Time of tears
Chapter 11
เช้านี้กรรณวิ่งวุ่นกับการช่วยสาวใช้ที่เรือนใหญ่ขนของจากโถงกลางเข้าไปไว้ในเรือนกล้วยไม้ของคุณสบันงา อากาศร้อนอบอ้าวในฤดูฝนทำให้เหงื่อไหลราวสายน้ำ อีเฟืองคนสนิทของสบันงาคอยกำกับว่าอะไรวางตรงไหน นางค่อนข้างจ้ำจี้จ้ำไชกับกรรณเป็นพิเศษ ในขณะที่สบันงานั่งนิ่งมองพฤติกรรมของทาสหนุ่มเงียบๆ ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจของนางกลับร้อนรุ่ม ความเกลียดชังค่อยๆ ซึมลึกราวกับรากไม้ยืนต้นที่ค่อยๆ ชอนไชเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
ถ้าทำได้นางก็อยากจะฆ่ากรรณให้ตายคามือเสียตอนนี้ แต่เพราะฐานะและศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ทำให้นางต้องนิ่ง ราวกับแม่น้ำที่เจ้าคะเนความลึกไม่ได้ สิ่งเดียวที่พอจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างก็คือเรียกกรรณมาใช้งานในช่วงที่เพชรไปทำงานและกรรณไม่ได้ตามไปด้วย
“คุณสบันงาขอรับ ข้าจัดของให้ท่านเสร็จแล้วขอรับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อลังไม้ใบสุดท้ายถูกวางให้เข้าที่เข้าทาง ทาสตัวน้อยยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อ
“เสร็จแล้วก็ไสหัวไปไกลๆ ” เป็นอีเฟืองที่เอ่ยปากไล่แทนผู้เป็นนาย กรรณก้มหัวให้ผู้เป็นนายก่อนจะถอยออกไป เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก ช่วงนี้คุณหญิงสั่งไม่ให้เขาตามนายน้อยออกไปที่กรมเด็กหนุ่มถูกเรียกใช้งานจนดึกดื่นแทบทุกวัน กำมือทุบแขนขาเพื่อคลายความเมื่อยล้าลากเท้ากลับมายังเรือนทาส พลับนั่งลับมีดอยู่ชานเรือนหันมามองอย่างขำๆ
“ไง หมดสภาพกลับมาทุกวันเลยนะ”
“พลับ ข้าไม่มีแรงจะเถียงกับเอ็าหรอกนะ” กรรณตอบกลับเนือยๆ ทิ้งตัวลงนอนแผ่ที่ชานเรือนมันซะอย่างนั้น
“ไปอาบน้ำอาบท่าซะก่อนไม่ดีกว่าเหรอ จะได้สดชื่นขึ้น”
“ไม่เอา ขอข้านอนนิ่งๆแบบนี้ซักเดี๋ยวเถอะ ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน” กรรณหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า กะว่าจะพักสายตาซักหน่อยหายเหนื่อยก็จะลุกไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาแล้วจะรีบไปห้องหนังสือรอรับนายน้อย แต่ร่างบางทำได้แค่กินข้าวได้ไม่กี่คำมะลิก็มาเรียกไปพบคุณหญิงของบ้าน กรรณรีบกลืนข้าวยกน้ำขึ้นดื่มวางชามข้าวแล้ววิ่งตามลิอินไปหาคุณหญิงแพ
“คุณหญิงเจ้าเจ้าคะ ไอ้กรรณมาแล้วเจ้าเจ้าค่ะ” แม่บ้านชราเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย กรรณเข้ามาทำความเคารพพลางก้มหน้าหมอบต่ำ
“มาแล้วเหรอ”นางปรายตามองทาสหนุ่ม สำรวจใบหน้าและรูปร่างของกรรณอย่างพินิจพิเคราะห์ เหมือนเพิ่งไม่นานมานี้คนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กน้อยผอมแห้งบัดนี้โตเป็นหนุ่มแต่รูปร่างกลับอ้อนแอ้น ใบหน้าก็ดูดีเกินทาสในเรือนคนอื่นๆ
ดั่งโบราณจีนเคยกล่าวไว้เด็กหนุ่มน่ารักมักทำฮ่องเต้เสียศูนย์
แล้วแบบนี้ลูกชายของนางคลุกคลีตีโมงอยู่กับกรรณทุกวันจะไม่ไขว้เขวบ้างหรือ
ยิ่งคำพูดของลูกสะใภ้ที่บอกเล่ากับนางเมื่อหลายวันก่อนยิ่งทำให้ใจของหญิงชราหวาดระแวง เพชรเป็นลูกชายที่ได้ดั่งใจและเชื่อฟังนางมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าคราวใดที่กรรณถูกดุลูกชายของนางมักออกหน้าปกป้องอยู่เสมอ เมื่อก่อนนางคิดว่าเพราะความเป็นบ่าวคนสนิทลูกชายถึงปกป้องคนๆนี้ แต่ตอนนี้มีความคิดบางอย่างบอกกับนางว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
เพราะฉะนั้น นางจะถือคติ นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้งไปเสียก่อนที่แผลจะลุกลามจนเหม็นเน่า
“คุณหญิงเรียกบ่าวมาพบไม่ทราบว่ามีงานอะไรจะมอบหมายหรือไม่ขอรับ”
“ไอ้มั่นบอกกับข้าว่าลูกจ้างที่เคยจ้างมาช่วยทำนาปีนี้ไม่มากันหลายคน บ่าวไพร่ที่ข้าส่งไปก็ไม่พอข้าเลยคิดว่าจะให้เจ้าไปช่วยทางนู้นทำนาซักระยะ”กรรณเงยหน้ามองคุณหญิงของบ้านทันทีหากเขาต้องไปทำนาก็เท่ากับว่ากรรณจะไม่ได้ดูแลรับใช้นายน้อย
“คุณหญิงขอรับแล้วใครจะคอยรับใช้นายน่...”
“เรื่องของนายน้อยเอ็งไม่ต้องยุ่ง ไม่มีเอ็งบ่าวไพร่ก็เต็มบ้าน ลูกข้ามีไอ้เมฆเป็นพี่เลี้ยงตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขารู้ใจลูกข้าทุกอย่างมีอะไรน่าห่วงหรือ?”กรรณจำต้องหุบปาก จริงอย่างที่คุณหญิงว่าข้างกายของนายน้อยมีพี่เมฆคอยอยู่ใกล้ไม่เคยห่าง เพราะใกล้ชิดกับนายน้อยมาตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินนายกับบ่าวทำให้ทั้งชีวิตนี้ของกรรณวางไว้แทบเท้านายน้อย การถูกจับแยกให้ห่างกันครั้งนี้จึงทำให้ใจดวงน้อยโหยไห้ แต่กรรณไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากน้อมรับคำสั่งของผู้เป็นคุณหญิง
“เมฆ...กรรณหายไปไหน”เพชรเอ่ยถามพี่เลี้ยงคนสนิทเมื่อหลายวันมานี้ไร้เงาของทาสตัวน้อยที่มักจะนั่งรอเขากลับจากทำงานในทุกวัน แม้ว่าพอจะรู้มาบ้างว่าช่วงนี้ทั้งภรรยาและแม่ของเขาจะเรียกกรรณไปใช้สอย แต่ถึงกระนั้นต่อให้เสร็จงานดึกดื่นขนาดไหนกรรณก็มักจะกลับมาหาเขาทุกคืน
“คุณหญิงสั่งให้ไปช่วยพ่อบ้านทำนาขอรับ”
“อะไรนะ!! ทำนา ทำไมต้องให้กรรณไปทำบ่าวไพร่มีตั้งมากมายทำไมต้องให้กรรณไปทำงานหนักขนาดนั้น” ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันทีด้วยความโมโห
“นายน้อยจะไปไหนขอรับ”
“ข้าจะไปถามคุณแม่ว่าทำไมถึงส่งกรรณไปทำนา”
“นายน้อยคิดดีแล้วเหรอขอรับ”เมฆเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยเสียงเรียบๆ น่าแปลกที่ประโยคสั้นๆ กลายเป็นน้ำฝนที่รดไฟในใจของเพชรให้มอดลงได้ เมฆไม่ใช่คนพูดมาก แต่จะพูดเฉพาะสิ่งที่ถูกที่ควร
“ถ้านายน้อยไปถามกับคุณหญิงไม่แน่จากที่กรรณจะได้ทำนาใกล้ๆคุณหญิงอาจส่งมันไปทำนานอกเมือง การที่คุณหญิงทำอย่างนี้บ่าวคิดว่านางอาจจะระแเจ้าคะระคายเรื่องของท่านกับกรรณถ้าท่านไปซักถามจะไม่ยิ่งเหมือนว่าท่านกำลังเอาน้ำมันไปราดลงบนกองไฟกองใหญ่หรอกหรือขอรับ ท่านน่าจะทราบนิสัยคุณหญิงดีว่านางเป็นคนอย่างไร บางทีความรักที่ท่านมีให้กรรณอาจเป็นสิ่งที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ก็ได้ ข้าอยากขอให้ท่านใจเย็นๆ ”
เพชรนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดหลายวันมานี่แม่ของเขาสั่งให้คนมาตามไปพูดคุยด้วยจนดึกดื่นพร้อมสบันงาและไล่ให้กลับไปนอนที่เรือนกล้วยไม้ พยายามพูดถึงเรื่องการมีทายาท เขาได้แต่นอนลืมตาในความมืดทุกค่ำคืน แม้สบันงาจะมีท่าทีเข้าหาเขามากเพียงใดเขาก็แค่แกล้งหลับให้นางตายใจ
เขาเป็นสามีที่บกพร่องเป็นลูกที่อกตัญญูแต่เขามิอาจฝืนใจมีสัมพันธ์กับหญิงที่ไม่ได้รักได้จริงๆ
ราวกับว่าร่างกายของเขาตอบสนองกับกรรณเพียงแค่คนเดียว ร่างกายของเขาตอบสนองตามที่หัวใจสั่งการ
“เมฆ ข้าอยากเจอกรรณ” ที่สุดหลังจากนิ่งคิดไปนานนายน้อยก็เอ่ยด้วยเสียงที่สิ้นหวัง เขาจะไม่ทำให้กรรณเดือดร้อนไปมากกว่านี้ แต่ความคิดถึงก็ทรงพลังเหลือเกิน อยากเห็นหน้าเจ้าตัวเล็กที่เคยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงน้ำเสียง คิดถึงกลิ่นกาย คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรรณ ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เห็นหน้าเจ้าตัวเล็กนั่นเขาต้องคลั่งตายแน่ๆ
“มันจะมีปัญหานะขอรับนายน้อย ถ้านายน้อยไปเรือนทาสเรื่องอาจถึงหูคุณหญิง”
“แต่ข้าเป็นห่วงกรรณ นะ เมฆเจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่? เจ้ารู้ใจข้าที่สุดแค่นี้เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าทรมานเหมือนกำลังจะตาย”
เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทุกขณะที่พลับที่กำลังล้างหน้าล้างตาต้องหันไปมองตามเสียง ร่างสูงใหญ่ของคนที่เดินตามเมฆมาช่างคุ้นตาแม้จะสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างยับแต่ความงามสง่ายังคงแผ่กระจาย
“น่ะ...นายน้อย...” พลับรีบหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม แสงจากคบไฟส่องกระทบเพียงเสี้ยวหน้า เพชรเพียงแต่กดสายตามองไร้แววใดใดแต่ก็พอจะทำให้พลับรู้ว่าตนเองควรทำตัวเช่นไร
“กรรณหลับอยู่ในห้องขอรับ” นายน้อยเดินขึ้นบันไดเรือนเตี้ยๆ แล้วหายเข้าไปในห้อง พลับหันมามองเมฆด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แบบนี้มันจะดีเหรอพี่เมฆ ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”
“ก็ช่วยกันดูสิ นายน้อยคงอยู่ไม่นาน” เมฆตอบก่อนจะทิ้งสายตาไปที่ประตูไม้บานเก่าที่ปิดสนิท
เพชรหยุดยืนดูร่างซูบผอมและคร้ามแดดที่นอนหลับสนิทไม่รับรู้ถึงการมาของเขาเลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ปกติกรรณเป็นคนหูไวเพียงแค่เขาขยับตัวตื่นในยามเช้าตรู่เจ้าตัวเล็กก็จะรีบกุลีกุจอลุกขึ้นมารับใช้ปรนนิบัติเขา ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า
ไม่เจอแค่ไม่กี่วันกรรณของเขาซูบผอมไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ได้กินข้าวอิ่มหรือเปล่า?
ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ฝ่ามือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา
ต้องตากแดดร้อนขนาดไหนผิวขาวๆของเจ้าถึงได้ไหม้ขนาดนี้?
มองมือสองข้างที่วางบนหน้าอกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอด้วยความปวดใจ นายน้อยดึงมือเรียวขึ้นมาดู พลันน้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัว มือของกรรณบัดนี้มีแต่รอยแผลพุพองหยาบกระด้าง
เจ้าตัวเล็กของเขาต้องจับจอบจับเสียมกำเคียวเกี่ยวข้าวนานเท่าไหร่มือถึงได้ยับเยินขนาดนี้ ค่อยๆจรดริมฝีปากจูบปลายนิ้วเรียวอย่างแผ่วเบาราวกับจะถ่ายทอดความรักความห่วงใยและความรู้สึกทั้งหมดในก้นบึ้งของหัวใจให้กับกรรณ พลันเปลือกตาแสนหนักอึ้งของกรรณก็เปิดขึ้น รอยยิ้มซูบซีดถูกส่งมาให้
“นายน้อย...วันนี้บ่าวฝันดีจังฝันเห็นนายน้อยของบ่าว” มือเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าของชายอันเป็นที่รักก่อนจะเกลี่ยหยาดน้ำตาให้อย่างเบามือ เพียงแค่สัมผัสผิวเนื้อของนายน้อยกรรณก็ตื่นเต็มตา คนตรงหน้าหาใช่ภาพนิมิตหากแต่เป็นเจ้าของดวงใจที่มีเลือดเนื้อมีชีวิต ส่งยิ้มปลอบประโลมไปให้ เอ่ยถามอย่างห่วงใยแสนรัก
“ร้องไห้ทำไมขอรับนายน้อย...อย่าร้องไห้สิขอรับข้าใจคอไม่ดี”
“กรรณ...เหนื่อยมากไหม? ”
“เหนื่อยขอรับ...เหนื่อยมาก”ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องโกหก เขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด กรรณลุกขึ้นนั่งนายน้อยรีบเข้าไปประคองก่อนจะดึงร่างน้อยให้นั่งอิงแอบแนบอกตน
“กรรณ...”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกแนบใบหู
“ขอรับ...”กรรณเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากเนียน สายตาคมจ้องนิ่งอยู่กับดวงหน้าซูบนั้น
“กรรณเราหนีไปด้วยกันเถอะนะ หนีไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครตามหาเราเจอ ไปสร้างชีวิตใหม่ที่เป็นของเราเอง”
“ไม่ได้!! ” กรรณดันกายหนีห่างจากอ้อมอกอบอุ่นราวกับว่าตนเผลอไปพิงแผ่นเหล็กติดไฟ สีหน้าตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน
“ทำไมล่ะกรรณ เจ้าไม่รักข้าเหรอ เจ้าไม่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับข้าหรอกหรือ” น้ำเสียงตัดพ้อพร้อมกับสายตามีแววเสียใจถูกส่งผ่านมาให้
“ไม่ใช่นะขอรับ ข้ารักท่านรักยิ่งกว่าชีวิตท่านก็รู้ แต่ถ้าเราหนีไปด้วยกันอนาคตของท่านล่ะขอรับ เจ้าคุณพ่อคุณแม่ของท่านอีกใครจะดูแล ชีวิตของเรามันไม่ได้มีแค่เรานะขอรับนายน้อย เรายังมีครอบครัวมีคนที่รักต้องดูแล ท่านเป็นลูกชายเพียงคนเดียว พ่อแม่ท่านมีท่านแค่คนเดียว”
“เจ้าก็มีข้าแค่คนเดียวเหมือนกัน...”
“แต่ความรักของเราต้องไม่ทำร้ายใครนะขอรับนายน้อย เท่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้ข้าเพียงพอแล้ว แค่ได้รู้ว่าท่านรักข้า ข้าก็ไม่หวังอะไรแล้วต่อให้เหนื่อยกว่านี้ซักร้อยเท่าข้าก็ทนได้ ขอแค่นายน้อยมีชีวิตที่ดีนะขอรับ นายน้อยได้โปรดอย่าคิดอะไรแบบนี้อีกนะขอรับ นี่ก็นานแล้วนายน้อยรีบกลับเรือนไปเถอะขอรับ เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้าเรื่องจะถึงหูคุณหญิง” กรรณยันอกแกร่งของนายน้อยออกห่างจากตัว
“ไม่อยากจากเจ้าไปเลย...”น้ำเสียงออดอ้อนทิ้งท้ายตามด้วยสายตาละห้อยหา นายน้อยกำลังอ้อนเขารู้ดี ถ้าเป็นเวลาอื่นกรรณคงใจอ่อน แต่ไม่ใช่เวลาและสถานที่แห่งนี้ นี่เป็นเรือนทาสถ้ามีใครได้ยินบทสนทนาหรือมีใครเห็นนายน้อยในที่นี้ เรื่องเดือดร้อนยุ่งยากใจอีกมากมายจะตามมา
“กลับเถอะขอรับ วันไหนที่ข้าเลิกงานไวจะรีบไปหานายน้อยนะขอรับ”เพชรทำท่าเหมือนจะคัดค้านอีกครั้งแต่คำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยก็ถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากอิ่มหวานที่เขาชอบคลอเคลียประกบจูบแผ่วเบาแต่ทว่ารสหวานล้ำกลับค่อยๆ ซึมลึกและตราตรึงเข้าในจนถึงก้นบึ้งหัวใจก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
ครืด...ทั้งคู่สะดุ้งหันไปตามเสียงบานประตูที่เปิดออก
“น่ะ...นายน้อยขอรับ พี่เมฆให้มาบอกว่ากลับได้แล้วขอรับ” เพชรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น ขายาวก้าวออกมาได้เพียงแค่ 2-3 ก้าว ก็หมุนตัวก้าวเร็วๆ กลับไปหากรรณก่อนจะโน้มตัวลงกดจูบลงบนหน้าผากอุ่นแล้วผละมาอย่างรวดเร็ว เขาเกรงว่าจะยังอยู่ต่ออีกเพียงชั่วกระพริบตาเขาคงมิอาจหักใจหันหลังเดินออกมาได้อีกในคืนนี้
เมื่อร่างสูงก้าวออกมาจากด้านในเมฆที่รอท่าอยู่แล้วก็รีบพาผู้เป็นนายเดินลัดเลาะกลับเรือนทันที เมื่อร่างของบุรุษสองคนเดินลับหายไปอีเฟืองก็ออกจากที่ซ่อนทันที อีเฟืองเคาะประตูห้องของนายสาวก่อนจะเข้าไปกระซิบเหตุการณ์ที่ได้เจอมา ดวงตาของสบันงาวาวโรจน์สองมือกำเข้าหากันแน่น
“ดี...แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
อนิจจาตัวเราเหมือนเขาอื่น
ฤาทนฝืนตากหน้าหาเหตุผล
ที่ต้นเหตุคือใครให้ทุกข์ทน
ย่ำยีหัวใจจนแหลกลงไป
ที่กอดไว้เพียงตำแหน่งพอเชิดหน้า
แต่ที่ชื่นชูหาได้มีไม่
ไฟค่อยสุมค่อยเผาที่กลางใจ
อ้อนวอนไปก็ไร้ความเมตตา
หากของรักแตกหักย่อยยับแล้ว
คงไม่แคล้วต้องเจ็บปวดหนักหนา
ขอสาปส่งให้ตายตกด้วยศาสตรา
ให้แสบสันถ้วนหน้าชีวาวาย
ได้รู้รสโลหิตหลั่งพลั้งอาฆาต
พิศวาสดับดิ้นสิ้นสลาย
ได้รู้ซึ้งใจรักที่เดียวดาย
เคยมอบหมายทิ้งขว้างไม่ลังเล
เจ็บเพียงหนึ่งคืนสนองเป็นร้อยเท่า
ตีให้แตกแยกเข้าให้หันเห
จะชาติใดตามติดไม่รวนเร
จะทุ่มเทจงชังไม่ร้างรา
ให้เจ็บจำแม้นกี่อสงไขย
รังควาญไปไม่มีทางได้พบหน้า
คำสัตย์นี้เป็นความแค้นในวิญญา
ไฟแล่นล้างสี่หล้าไม่ลบเลือน
“ค้นให้ทั่ว หาทุกซอกทุกมุม” อีเฟืองสั่งบรรดาทาสราวยี่สิบคนด้วยเสียงอันดัง ทาสทั้งหลายต่างพากันวิ่งเข้าห้องนู้นออกห้องนี้กันให้วุ่น ข้าวของในหีบห่อถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย กรรณและพลับมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความงุนงง เกิดอะไรขึ้น ทำไมห้องของพวกเขาโดนรื้อค้น
“เดี๋ยวๆ พี่เฟือง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องค้นห้องกันด้วย”พลับถามเฟืองด้วยความไม่เข้าใจ คนสนิทของสบันงากดยิ้มที่มุมปาก
“หยกประจำตัวคุณหนูหายไป ต้องมีใครซักคนขโมยมาแน่ๆ หยกชิ้นนั้นสำคัญมากเพราะมันเป็นหยกสีเลือดที่ส่งมาจากพม่าท่านเจ้าคุณมอบให้คุณหญิงของข้าตอนแต่งงาน ถ้าอยู่ที่ใครบอกได้คำเดียวว่าตายแน่ เรื่องนี้ถึงหูคุณหญิงแล้วท่านจึงสั่งให้ข้ามาค้นหาห้องพวกเจ้าทุกห้อง”
“เจอแล้ว”เสียงตะโกนดังออกมาจากห้องของพลับและกรรณ ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ อีเฟืองรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องที่ถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย
“เจอที่ไหน”
“ในหีบเก็บของใบนี้ขอรับ”
อีเฟืองรับหยกสีแดงสดมาไว้ในมือ ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์กดยิ้มร้ายอย่างหมายมาดก่อนจะหันกลับมาหาคนทั้งสองช้าๆ
“หีบใบนี้ของผู้ใด??”
“ข่ะ...ของข้าเอง แต่พี่เฟือง ข้าไม่เคยเห็นหยกชิ้นนี้เลยนะและไม่ได้เป็นคนเอามาด้วย”
“จับมันไปหาคุณหญิง” อีเฟืองไม่เสียเวลาฟังคำอุทธรณ์ใดใดทั้งสิ้น นางออกคำสั่งให้บ่าวร่างสูงใหญ่สองคนหิ้วปีกกรรณมาที่ลานกลางบ้านซึ่งบัดนี้คุณหญิงของบ้านรวมทั้งสบันงานั่งรออยู่ก่อนแล้ว บ่าวไพร่ถูกตามมาดูการพิจารณาคดีด้วยศาลเตี้ยครบทุกคน ใจดวงน้อยแทบกระดอนออกมายามที่ร่างถูกเหวี่ยงลงพื้น เงยหน้าขึ้นมองตอนเฟืองเดินไม่มอบหยกในมือให้ผู้เป็นนาย
“สบันงา ใช่หยกของเจ้าหรือไม่?” คุณหญิงของบ้านหันไปถามลูกสะใภ้ที่ส่งยิ้มดีใจมาให้
“ใช่เจ้าเจ้าค่ะคุณแม่ นี่เป็นหยกของข้าเจ้าค่ะ”
“กรรณ....เรือนของข้าเลี้ยงเจ้าให้อดอยากใช่หรือไม่ เรือนของข้าเลี้ยงเจ้าไม่สุขสบายใช่หรือไม่ หรือว่าข้าเลี้ยงเจ้าอดมื้อกินมื้อกินไม่อิ่มนอนไม่หลับหรือ?”น้ำเสียงคล้ายจะปราณีแต่สายตาของคุณหญิงราวกับมีกองเพลิงแดงฉานอยู่ข้างในก็มิปาน กรรณที่ปกติตัวเล็กอยู่แล้วยามนี้กลับยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ ร่างบางสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ขอรับ ท่านเลี้ยงข้าดีมากขอรับ”
ปัง !!! เสียงตบโต๊ะดังลั่นป้านชากระเด้งขึ้นจนหล่นลงพื้น ทุกคนสะดุ้งเฮือกก้มหน้างุด กรรณรีบหมอบลงกับพื้นด้วยความตื่นกลัว
“แล้วอย่างนี้เจ้าขโมยของๆ สบันงาทำไม ทำทำไม”
“ไม่ขอรับคุณหญิง บ่าวไม่ได้เป็นคนเอาไป” กรรณละล่ำละลักปฎิเสธ
“คุณหญิงเจ้าคะ...หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ของอยู่ในหีบส่วนตัวของไอ้กรรณเจ้าค่ะทุกคนเป็นพยานได้” อีเฟืองรีบใส่ไฟทันที คุณหญิงตวัดสายตามองนางเพียงครู่เดียวอีเฟืองก็หุบปาก
“ผู้ร้ายปากแข็ง ถ้าเจ้ายอมรับมาดีๆ โทษหนักก็จะกลายเป็นเบา แต่ดูท่าทางแล้วเจ้าคงจะยืนกรานกระต่ายขาเดียวสินะ เจ้าคิดว่าเป็นคนโปรดของลูกชายข้าก็จะพ้นผิดสินะ ถ้าเรื่องในบ้านข้าจัดการไม่ได้ก็อย่ามาเรียกข้าว่าคุณหญิงแพ ไอ้มิ่งโบยมันจนกว่ามันจะยอมรับ”นางหันไปสั่งเสียงเฉียบขาดให้กับบ่าวชายร่างใหญ่ในเรือน เพียงไม่นานร่างบางก็ถูกผูกตรึงกับขื่อรอการลงทัณฑ์ด้วยหัวใจที่สั่นระรัว พลับพยายามเข้าไปช่วยกลับถูกบ่าวผู้ชายคนอื่นตีจนสลบ
เสียงแหวกอากาศของไม้หวายก่อนจะฟาดลงกลางหลังทำให้ผิวเนื้อแสบร้อนเจ็บปวด เด็กหนุ่มกัดฟันไม่ปริปากร้องออกมาซักคำ น้ำตาไหลพรากเต็มสองแก้ม กัดฟันกลั้นความเจ็บปวดจนเลือดซึม ไม้แล้วไม้เล่าฟาดลงมาทั่วทั้งแผ่นหลัง
นายน้อย...นายน้อยขอรับ...ท่านอยู่ไหน...กลับมา กลับมาช่วยข้าด้วย...นายน้อย...ช่วยกรรณด้วย...เจ็บเหลือเกิน...
เพชรก้าวเข้ามาในห้องด้วยความรุ่มร้อนเขาทราบข่าวของกรรณจากพลับที่มาดักรอที่ห้องหนังสือ ชายหนุ่มแทบกระโจนไปหากรรณที่ยังคงถูกมัดที่ลานบ้าน
“กรรณสลบไปแล้วขอรับนายน้อยแต่เขายังไม่เลิกโบยเลย”นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เข้าหู เขาไปอ้อนวอนขอให้ผู้เป็นแม่ยกเลิกคำสั่งแสนป่าเถื่อนนั้น
“ทำไมเจ้าถึงเชื่อว่ามันจะไม่ขโมยของล่ะพ่อเพชร อย่าลืมสิกำพืดของมันก็แค่ขอทานต่ำต้อย เป็นเด็กที่เคยขโมยของฉกชิงวิ่งราวมาก่อน”
“ลูกมั่นใจว่าคนอย่างกรรณไม่มีทางหยิบฉวยของๆ ผู้ใดมาเป็นของตัวเอง”
“เจ้าเป็นอะไรกับมันถึงกล้ามารับรอง ขนาดข้าเป็นแม่เจ้าข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลยว่าจริงๆ แล้วเจ้าเป็นคนเยี่ยงไร...เรื่องนี้ข้าจะให้สบันงาเป็นคนตัดสินใจถ้าเจ้าอยากให้มันรอดพ้นจากการโบยก็ไปอ้อนวอนนางเถอะ” นางบอกปัดก่อนจะหันหลังหนีผู้เป็นลูกชาย เพชรมองหลังผู้เป็นแม่ด้วยความร้อนรนใจ เขาต้องไปขอร้องสบันงา เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าต้องทำมาก่อน แต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีทุกอย่างถูกกองทิ้งไว้เมื่อคิดได้ว่าถ้าช้ากว่านี้กรรณจะทนได้หรือไม่
“มันขโมยของก็สมควรจะโดนทำโทษแล้วนี่เจ้าคะ” สบันงาเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาขอร้องหล่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆ ที่ในใจของนางอยากกรีดร้องใส่หน้าผู้เป็นสามีใจแทบขาด
“หล่อนรู้ดีว่ากรรณไม่ได้เป็นคนเอาไป” เพชรกดเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจใส่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา สบันงาหัวเราะขื่นๆ ผินหน้ามองตะเกียงด้วยความน้อยใจ
“ก็ของอยู่กับมัน”
“หายไปตั้งแต่เมื่อใด หยกของเจ้าน่ะ...”
“ตั้งแต่วันที่มันมาช่วยขนของข้าก็ไม่เห็นอีกเลย”
“จะเป็นไปไดอย่างไรก็เมื่อคืนก่อนนอนเจ้ายังวางบนโต๊ะอยู่เลย สบันงา อย่าให้ข้าต้องเกลียดเจ้าไปมากกว่านี้เลยนะ”ที่สุดเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลนายน้อยก็พูดประโยคแสนเย็นชานั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว สบันงาหันมามองราวกับคนตรงหน้านั้นเป็นสัตว์ประหลาดบัดนี้ใบหน้าหล่อเหลากลับดูไร้ชีวิตชีวา สายตาที่เคยมีแววปราณีนางแม้จะเพียงน้อยนิดบัดนี้ราวกลับมาพายุค่อยก่อตัวขึ้น
“คุณพี่...” นางแทบจะหาเสียงของตัวเองไม่เจอ เหมือนคนโกหกที่ถูกจับได้ นางสั่นไปหมดทั้งตัวและหัวใจ ลืมไปได้อย่างไรว่าเพชรเป็นคนช่างสังเกต เพราะถูกผู้เป็นมารดาบังคับให้กลับมานอนที่ห้องทุกคืนทำให้เขาจดจำรายละเอียดต่างๆ ไปโดยอัตโนมัติ และเขาเห็นว่านางพกหยกชิ้นนี้ตลอดเวลา ยามจะนอนยังเอาออกมานั่งเช็ดถูกทำความสะอาด ถ้าบอกว่าหายไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้วชิ้นเมื่อคืนนางเอามาจากไหน
“สั่งให้หยุดโบยกรรณเดี๋ยวนี้ข้าจะไม่บอกใครเรื่องที่เจ้าโกหก” เพชรผุดลุกแล้วเดินออกจากห้องไปทันที สบันงาอยากจะกรีดร้องอยากจะอาละวาด แต่ที่สุดนางก็ทำได้แค่เพียงสูดหายใจสะกดอารมณ์ของตัวเอง นางจำเป็นต้องสร้างภาพ วันพระไม่ได้มีหนเดียว สาบานได้ว่าครั้งต่อไปกรรณเจ้าทาสโสโครกนั่นต้องตายคามือนางแน่
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกอย่างแรงโดยพลับตามมาติดๆ ด้วยเมฆที่อุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของกรรณที่เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน
“พลับเจ้าไปตามหมอมาเร็วๆ พี่เมฆไปเอาน้ำกับผ้าสะอาดมาข้าจะเช็ดตัวให้กรรณ” นายน้อยรีบออกคำสั่งพลับไม่รอให้สั่งซ้ำเด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปตามหมอทันทีที่จบคำสั่งผู้เป็นนาย เมฆก็ไปเอาน้ำกับผ้าสะอาดมาเขาทำท่าจะเปิดเสื้อของกรรณแต่มือแกร่งของเพชรรีบจับไว้
“ข้าทำเอง”ชายหนุ่มคว้าผ้าสะอาดมาเองก่อนจะตัดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดออก สภาพแผ่นหลังบวมช้ำแตกเป็นริ้วเหมือนคมมีดที่กรีดหัวใจผู้เป็นนายให้แตกสลายตาม เลือดซึมตามปากแผลหาพื้นที่ๆ เคยเป็นผิวขาวเนียนของคนที่สลบอยู่ตรงนี้ไม่เจอเลย ค่อยๆ ซับผ้าลงบนผิวเพียงแผ่วเบาแต่ก็ทำให้คนที่สลบอยู่ร้องครางออกมา ร่างบางสะดุ้งเป็นพักๆน้ำตาไหลไม่ขาดสาย กว่าเขาจะเช็ดตัวให้เสร็จหมอก็ถูกพามาถึงพอดี
“โชคดีที่เด็กนี่ร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วไม่เกินสองอาทิตย์ก็ฟื้นตัวขอรับคุณเพชรมิต้องกังวลไป ข้าเขียนใบสั่งยาสมานแผล ยาแก้ช้ำใน กับยาบำรุงไว้ให้ ให้คนไปซื้อตามนี้ต้มให้กินเช้าเย็นอย่าให้ขาด ช่วงนี้ก็เช็ดตัวไปก่อนอย่าให้โดนน้ำแค่นี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ระหว่างนี้จะมีไข้ก็ให้คนคอยเช็ดตัวอยู่เรื่อยๆนะขอรับ” หมอส่งใบสั่งยาให้ อธิบายสิ่งที่ต้องทำให้คนป่วยก่อนจะลุกขึ้นยืน เพชรเอ่ยขอบคุณก่อนจะยื่นถุงใส่เงินถุงใหญ่มอบให้เป็นค่ารักษาและสั่งให้พลับไปส่งท่านหมอ
“หมดเรื่องแล้วพี่ไปนอนเถอะข้าจะดูแลกรรณเอง”
“แต่นานน้อยขอรับ มันจะเหมาะเหรอขอรับ เอากรรณกลับไปพักรักษาที่เรือนทาสจะดีกว่าไหมขอรับ”
“เมียข้าคนเดียว ข้าดูแลเองได้” เพชรเอ่ยเสียงเรียบพลางลูบมือลงบนกลุ่มผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อของกรรณ เมฆลอบถอนหายใจให้กับความดื้อดึงของผู้เป็นนาย ก่อนจะค่อยๆถอยแล้วเดินออกไปจากห้อง
เขารู้ดีว่าการตัดสินใจนี้ของนายน้อยกำลังจะสร้างเรื่องยุ่งยากมากมายในอนาคต แต่ถึงอย่างไร เขาจะไม่มีวันทิ้งนายน้อยให้ต้องเผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง
ไหนๆ ก็ช่วยมาตั้งแต่ต้นแล้วเขาก็คงต้องช่วยให้ตลอดลอดฝั่ง
.....................................
เหตุการณ์ครั้งนี้นายน้อยทนไม่ได้จริงๆเจ้าค่ะ กรรณบาดเจ็บบอบช้ำมาก
ในเมื่อบ้านที่อยู่มันอยู่ไม่ได้ การตัดสินใจของนายน้อยถือเป็นที่สิ้นสุด สบันงาร้ายเกินเบอร์ไปแล้ว