เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒  (อ่าน 17629 ครั้ง)

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━






เหมือนเราจะเคยรักกัน

Intro


 
                   สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบอยู่นอกหน้าต่างสว่างวาบราวดวงไฟที่หลอดกำลังจะขาด  ลมฝนที่กรรโชกแรงอยู่ภายนอกทำให้หน้าต่างห้องกระแทกเปิดปิดจนเกิดเสียงดังแต่ไม่ได้ทำให้ร่างบางที่นอนกระสับกระส่ายบนเตียงเปิดเปลือกตาขึ้นมาแต่อย่างใด  กรกันต์นอนหอบสะท้านลมหายใจติดขัด  เหงื่อผุดพรายตามไรผม  ริมฝีปากบางเม้มแล้วคลาย  มือเรียวกำผ้าปูที่นอนจนยับย่น
 
                   “ อึก ...”  ร่างบางกลืนน้ำลายราวกับคนที่กำลังขาดอากาศหายใจ  ปลายเท้าเหยียดตรง  น้ำตาไหลลงหางตา  ริมฝีปากที่เม้มแน่นอ้าออกราวกับจะกอบโกยอากาศให้มากที่สุด
 
                   กรกันต์กำลังฝันร้าย.....
 
                   ในฝันของคนตัวเล็ก  ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังซุบซิบกัน  เสียงฝีเท้าที่เดินย่ำรอบๆ
 
                   รับรู้ได้ถึงความโคลงเครง
 
                   มืด... มีเพียงแสงสลัวที่พอจะทำให้มองเห็นร่างของคนสองคนที่ถูกขังอยู่ในหีบโบราณใบใหญ่
 
                   หนึ่งในนั้น...
 
                   ใบหน้าที่คุ้นชิน...
 
                   คนที่กันต์เห็นใบหน้าชัดเจนในฝันก็คือ...ตัวเขาเอง
 
                   “ ปล่อย !! ” กรกันต์มองเห็นตัวเองพยายามใช้สองมือที่ถูกมัดดันฝาหีบ  แต่มันไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
 
                   “ ปล่อยเหรอ?... มึงคิดว่ากูจะใจดีขนาดปล่อยให้มึงกับผัวของกูได้ไปเสวยสุขกันสองคน  แล้วทำให้กูกลายเป็นหม้ายที่ถูกผัวทิ้งให้อับอายอย่างนั้นเหรอ?...กูไม่เคยยอมให้ใครมาหยามเกียรติ  ในเมื่อพวกมึงรักกันมากนักกูก็จักสงเคราะห์ส่งไปครองคู่ด้วยกันในนรกไม่ดีหรือ? ” เสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดเข้าไปในจิตใจคนฟัง  กรกันต์เริ่มเสียขวัญ  ร่างบางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
 
                    กลัว...
 
                   “ ฮึก...แม่หญิง ท่านมันจิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์  รูปโฉมของท่านงดงามแต่จิตใจกลับสกปรกอย่างไม่น่าเชื่อ ”
 
                   “ ก็ใครกันล่ะที่มันทำให้กูต้องกลายเป็นคนเลวแบบนี้  ไม่ใช่เพราะมึงสองคนเหรอ? ”  น้ำเสียงดุดันแต่ทว่ากลับปกปิดความเศร้าไว้ไม่มิด
 
                   กรกันต์ส่งเสียงร้องไห้อย่างหมดสิ้นหนทาง  ร่างบางถูกดึงเข้าไปกอดจากคนที่ที่ฟื้นจากการสลบไปนาน
 
                   “ นายน้อย...ฮึก... นายน้อยกระผมกลัว ” ซุกหน้าเข้ากับอกกว้างอย่างหาคนปลอบใจ  ฝ่ามือหนาลูบแผ่นหลังที่ไหวสะท้อนอย่างปลอบประโลม
 
                   “ ไม่ต้องกลัวนะพ่อกรรณ  ไม่ว่าเจ้าจะไปแห่งหนใดข้าจักตามเจ้าไปด้วย  เราสองคนจะครองคู่กับทุกภพทุกชาติไป ” เสียงทุ้มที่กันต์ได้ยินหากแต่มองไม่เห็นใบหน้า  เอ่ยออกมาจนกันต์ในหีบเหล็กกระชับอ้อมกอดกับร่างสูงใหญ่นั้นไว้แน่นอย่างหาที่พึ่ง
 
                   “ ข้าก็จะรักท่านทุกภพทุกชาติ  ไม่ว่าจะอยู่ไกลสุดหล้าซักเพียงไหนก็ขอให้ได้เดินทางมาพบกัน  นายน้อย...ฮึก...ข้ารักนายน้อยนะขอรับ”
 
                   “ หึ...ฮ่าๆๆๆ... รักกันนักเหรอ  รักกันมากใช่หรือไม่?  คุณพี่ทำไม?  เพราะเหตุใดใจของคุณพี่ไม่ปันไม่เหลือแบ่งมาให้ข้าบ้าง  ทั้งๆที่ข้าทุ่มเททำเพื่อคุณพี่ทุกอย่าง  แต่คุณพี่กลับเลือกที่จะมีชีวิตวิปริต  หากแม้นว่าคุณพี่รักมันมากนักล่ะก็งั้นเชิญคุณพี่ไปรักกับมันในนรกเถิด  ข้า ขอสาบานต่อฟ้าว่าข้าจะตามจองล้างจองผลาญคุณพี่กับมันทุกชาติไปเช่นกัน...  ”
 
                   “ โยนมันทั้งคู่ลงไป  ให้มันไปครองรักกันที่แม่น้ำนั่นแหละ  อย่าได้โผล่ขึ้นมาอีกเลย ” สิ้นเสียงประกาศก้องของสบันงาหีบเหล็กก็ถูกยกขึ้น  เพียงไม่นานกรกันต์ก็รับรู้ได้ถึงความจมดิ่งและหนาวเหน็บจากน้ำเย็นที่ค่อยๆซึมเข้ามาภายใน
 
                   “ ข้ารักท่านนะครับนายน้อย... ข้ารักท่าน ฮือ... นายน้อยข้ากลัว ” เมื่อถึงที่สุดของความอดกลั้นก็ทำให้กรกันต์กอดรัดร่างสูงที่กระชับอ้อมกอดเขาไว้แน่น ริมฝีปากบางบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผากของกันต์อย่างแสนรัก
 
                   “ จะไม่พูดคำว่าลาก่อนหรอกนะยอดรัก  เพราะเราจะไปเจอกันชาติหน้าจะได้พบกันทุกภพทุกชาติไป ข้าก็รักเจ้านะ ”  ทั้งสองร่างกระชับอ้อมกอดแน่นจนกระทั่งน้ำเข้ามาเติมเต็มพื้นที่ว่าง  ร่างทั้งสองเริ่มขาดอากาศหายใจ  จนในที่สุดกรกันต์ก็ไม่ได้ยินเสียงหัวใจจากคนที่ตนซุกหน้าอยู่ในอ้อมอก
 
                   นายน้อยของเขาจากไปแล้ว กร กันต์เองก็กำลังจะตามไป  เขากลัวว่าหากเขาตายช้ากว่านี้จะตามหานายน้อยไม่เจอ
 
                   “ ข้าไอ้กรรณเกิดมาชาตินี้อาภัพยิ่งนัก  เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกขายมา  ซ้ำยังโดนคนเลวทำร้ายถึงชีวิตหากชาติหน้ามีจริง  ขอให้ข้าได้รัก ได้ครองคู่กับนายน้อย ไม่ว่าเกิดเป็นเพศใดก็ขอให้ได้รักกัน  ขอให้ข้าเข้มแข็งและไม่กลัวหญิงชั่วนางนั้น  ขอให้ข้าเข้มแข็งต่อกรกับนางได้  อย่าได้อ่อนแอด้อยกำลังเช่นชาตินี้เลย ”  สิ้นคำอธิฐาน ท้องฟ้าด้านบนก็สั่นสะเทือนด้วยอสุนีบาตที่ฟาดลงมาบนยอดไม้  สบันงาที่กำลังเดินกลับเรือนถึงกลับสะดุ้ง  นางเงยหน้ามองไปบนยอดไม้พลางคลี่ยิ้มเย้ยหยัน
 
                   “ หึ... ”
 
                   ภายในหีบเหล็ก ฟองอากาศและเลือดพรั่งพรูออกมาจากปากและจมูกของกรกันต์และนายน้อยเป็นสายสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะนิ่งสงบ  ร่างสองร่างที่กอดกันแน่นค่อยๆจมดิ่งสู่ก้นแม่น้ำครองคูกันจนชั่วนิรันดร์
 
 
 
                   พรวด!!!
 
 
                   “ แฮ่ก...แฮ่ก... ” ร่างบางบนเตียงนอนสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง  กันต์ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง  นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ครึ่ง  ชายหนุ่มสะดุ้งเมือได้ยินเสียงบางอย่างตรงกระจกหน้าต่าง  เมื่อหันไปมองก็พบว่ากิ่งไม้เล็กๆถูกลมพัดจนไหวมาตีกับกระจกห้อง  ลมแรงพัดเข้ามาจนรู้สึกหนาว  กันต์ลงจากเตียงเดินไปปิดหน้าต่าง  ยกมือขึ้นกดหน้าอกตัวเองอย่างพยายามสะกดกลั้นความกลัวบางอย่างในใจ
 
                   “ ฝันแบบนี้อีกแล้ว... ทำไมช่วงนี้ฝันบ่อยจัง ”
 
 
 ...................






Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2019 01:17:12 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชอบแนวนี้ค่ะ ติดตามเลยย

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ชาตินี้จะได้รักกันอีกใช่มั้ย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

เธอคนนั้นช่างใจร้าย

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2




Time of tears
Chapter 1

                        “ นี่ฝันร้ายมาอีกหรือไง ? ” อาชวินท์วางแก้วกาแฟที่ส่งควันหอมกรุ่นลงตรงหน้ากรกันต์
 
                        “ อือ... พักนี้ฝันบ่อยจนปวดหัว ” กันต์ที่นั่งหลับตาเอนกายพิงเก้าอี้เอ่ยตอบพลางนวดขมับของตัวเองไปด้วย เพื่อคลายความปวดที่เต้นตุบๆ ก่อนจะเหยียดหลังตรง  ร่างบางส่งยิ้มแทนคำขอบคุณให้กับเพื่อนสนิทก่อนยกกาแฟขึ้นมาจิบ  รสขมฝาดของกาแฟดำที่ไม่ปรุงอะไรเลยทำให้ประสาทตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย  กรกันต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนใช้ปลายนิ้วหมุนคลึงแก้วกาแฟไปมาอย่างใช้ความคิด
 
                        “ ฉันไม่รู้ว่าทำไมต้องฝันเห็นเหตุการณ์เดิมๆคำพูดเดิมๆ  ที่สำคัญคนที่ฉันฝันเห็นหน้าตาเหมือนฉันทุกอย่างราวกับเป็นคนๆเดียวกันแม้แต่ชื่อก็ยังเหมือน  ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องรู้สึกทรมานทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจตามคนในฝันด้วย บอกตรงๆ  ฉันเหนื่อย! ” กรกันต์ระบายคำพูดออกมาให้เพื่อนรักฟังอย่างอัดอั้น
 
                        ทุกครั้งที่เขาฝันแบบนั้น  คนตัวเล็กรู้สึกราวถูกสูบพลังไปด้วยทุกครั้ง  และเขามักจะฝันในช่วงเวลาเดิมๆเมื่อตื่นมามองนาฬิกา  มักจะเป็นเวลาตีสี่ครึ่งเป็นประจำ หลังจากนั้นเขาก็จะตาค้างนอนไม่หลับ  จนต้องลุกขึ้นมานั่งเงียบๆหรือหยิบงานขึ้นมาทำฆ่าเวลาอยู่เสมอ
 
                        อาชวินท์ตบไหล่คนตัวเล็กราวกับให้กำลังใจ  เขารับรู้ถึงความทรมานที่กันต์ได้รับอย่างดี  เพราะตัวเขาเองเคยเห็นอาการดิ้นรนร้องไห้ทุรนทุรายของเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน  ไม่ว่าจะพยายามปลุกเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาจนกระทั่งร่างของกันต์แน่นิ่งไปเอง
 
                        คนตัวเล็กฝันว่าจมน้ำและจะตื่นขึ้นมาเองแบบนี้ทุกครั้ง
 
                        เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ  เขาจึงเอ่ยปากถาม  ซึ่งกันต์ก็เล่าให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมา
 
                        “ เข้าหน้าฝนแล้วสินะ ” อาชวินท์มองออกไปนอกหน้าต่าง  ท้องฟ้ามืดครึ้ม  ก้อนเมฆกระจายหนาตัว
 
                        “ อืม... ” คนตัวเล็กตอบรับเบาๆในลำคอ
 
                        “ แปลกนะที่นายจะฝันเห็นเหตุการณ์นั้นบ่อยๆช่วงหน้าฝน ”
 
                        “ ในฝันฉันได้ยินเหมือนเสียงฟ้าผ่า ”
 
                        “ เป็นไปได้มั้ย ? ที่นายอาจจะเป็นกรกันต์ที่ถูกขังในหีบเหล็กนั่นกลับชาติมาเกิด ” อาชวินท์ทำหน้าตาจริงจังจนดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วยิ่งโตมากขึ้น  จนกันต์ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เพราะท่าทางของเพื่อนตัวโตตอนนี้ช่างแสนตลก
 
                        “ วิน  นายดูละครมากเกินไปหรือเปล่า? ” คนตัวเล็กแกล้งใช้หลังมือแตะหน้าผากของอาชวินท์ราวกับวัดไข้  ร่างสูงจับมือเรียวนั้นไว้พลางทำหน้าตาจริงจัง
 
                        “ นี่... ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่เหรอ ? อย่าทำเป็นเล่นไปนะเว้ย  เรื่องกลับชาติมาเกิดเขาพิสูจน์กันมาหลายคนแล้ว  ไม่แน่ที่นายไม่ยอมคบใครซักทีอาจเป็นเพราะคำมั่นสัญญาข้ามภพข้ามชาตินั้นของนายก็ได้  สัญญาที่ว่าจะรักกันทุกชาติไป มันเลยทำให้นายไม่เปิดใจยอมรับใครเข้ามาในชีวิตซักที  ขนาดฉันหล่อจนสาวๆมดลูกละลายนายยังไม่สนใจฉันเลยคิดดูดิ่ ”
 
                        “ นายนี่นะหล่อ ” กันต์เอามือยีหัวเพื่อนจนผมยุ่ง  อย่างน้อยในวันที่รู้สึกเหนื่อย  กันต์ก็ยังมีอาชวินท์คอยอยู่เป็นเพื่อนชวนคุยจนลืมเรื่องที่ไม่สบายใจไปได้
 
                        “ เออนี่ พรุ่งนี้ไปพิพิธภัณฑ์กันมั้ย? ” อาชวินท์เอ่ยถามกันต์ในขณะที่นั่งทำงานส่วนของตน  คนตัวเล็กเงยหน้าจากแปลนบ้านที่กำลังลงรายละเอียดปลีกย่อยอยู่หันไปมองอย่างสนใจ
 
                        “ มีอะไรใหม่ๆเหรอ? ” เป็นที่รู้กันดีว่าถ้ามีโบราณวัตถุมาจัดแสดงอาชวินท์จะมาชวนกันต์เสมอ เพราะเขารู้ว่าเพื่อนรักชอบดูของพวกนี้  จริงๆแล้วต้องเรียกว่ากันต์เกือบจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณวัตถุเลยก็ว่าได้       
 
                        “ เห็นว่าเป็นพวกข้าวของเครื่องใช้โบราณที่งมได้มาจากก้นแม่น้ำน่ะ  น่าจะมีอายุหลายร้อยปี  แต่เห็นว่าสภาพยังสมบูรณ์อยู่มาก ”
 
                        “ อือ... ไปๆ น่าสน  งั้นพรุ่งนี้ซัก 10 โมงเช้าฉันขับรถไปรับนายที่คอนโดแล้วกัน ” กันต์เสนอทางเลือกให้อาชวินท์  คนตัวเล็กเลือกที่จะเสนอว่าตนเองจะไปรับดีกว่าเพราะอย่างไรเส้นทางที่จะไปพิพิธภัณฑ์ก็ต้องผ่านคอนโดของอาชวินท์อยู่แล้ว
 
                        และที่สำคัญถ้าไม่ไปรับ  อาชวินท์อาจจะนอนยาวจนลืมที่นัดกันไว้แน่ๆ
 
 
                        ก๊อกๆๆ
 
 
                   เสียงเคาะกระจกดังแว่วมาให้ได้ยิน  ทั้งสองคนหันไปมองตามเสียงก็พบกับพี่หนึ่งที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่พลางเบี่ยงหน้าเป็นเชิงบอกว่าให้ตามเข้ามาในห้อง
 
                        “ วิน  กันต์ เชิญ! ” กันต์คว้าสมุดจดงานเล่มเล็กที่คนตัวเล็กมักพกติดตัวติดมือไปด้วยเสมอ  ต่างกับอาชวินท์ที่เดินอาดๆเข้าไปทันที
 
                        “ เชิญนั่ง ”
 
                        “ บอสมีอะไรให้พวกกระผมรับใช้ขอรับ ? ” อาชวินท์แกล้งยื่นหน้าเข้าไปหาเจ้านายด้วยสีหน้าทะเล้น
 
                        เพี๊ยะ!!
 
                   “ ไอ้โย่ง  อย่ามาทะลึ่ง ” พี่หนึ่งใช้ปลายนิ้วดีดลงหว่างคิ้วของอาชวินท์  ไม่หนักแต่ก็ไม่เบาจนเจ้าตัวต้องใช้มือขยี้ป้อยๆ
 
                        “ โอ๊ย! เล่นอะไรของพี่เนี่ย  เจ็บนะ ”
 
                        “ หนังหนาเหมือนหนังควายอย่างนายนี่เจ็บเป็นด้วยเหรอ?”พี่หนึ่งค่อนขอดอาชวินท์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก
 
                        อันที่จริงแล้วทั้งสามคนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว  เพราะพี่หนึ่งเป็นรุ่นพี่ที่คณะ  และที่สำคัญยังพ่วงตำแหน่งพี่รหัสของอาชวินท์อีกด้วย  ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมาก  และเมื่อกันต์ได้รู้จักอาชวินท์ก็ทำให้สนิทกับพี่หนึ่งไปด้วย
 
                        แต่เมื่อต้องมาทำงานภายใต้หลังคาเดียวกัน  ทั้งสามจึงตกลงกันว่าเวลางานไม่มีคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง  มีแต่เจ้านายกับพนักงานธรรมดาๆคนหนึ่ง  เพื่อป้องกันเสียงนินทาจากคนอื่นๆว่าพวกเขาใช้เส้น  แต่ทั้งสองสร้างผลงานเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าตนเข้ามาทำงานที่นี่ได้เพราะฝีมือล้วนๆ
 
                        “ มีงานใหญ่เข้ามาคิดว่านายสองคนอาจจะชอบ ” พี่หนึ่งโยนแฟ้มปึกใหญ่ให้รุ่นน้องทั้งสอง  กันต์หยิบไปเปิดดู
 
                        พลันความรู้สึกเหมือนมีความร้อนแล่นวาบเข้าสู่ปลายนิ้วเมื่อหน้าแรกปรากฏขึ้น
 
                        ภาพเรือนโบราณหลังใหญ่ถ่ายจากมุมสูงเผยให้เห็นเรือนต่างๆเป็นกระจุกในบริเวณเดียวกัน  แต่ทว่ากลับทรุดโทรมตามกาลเวลา
 
                        หากแต่สิ่งที่สายตากลับแจ่มชัดในมโนสำนึก  กันต์รู้สึกราวกับนั่งรถถอยหลังไปอย่างรวดเร็วภาพตรงหน้าเคลื่อนไหวได้  เรือนทรุดโทรมในรูปกลับกลายเป็นเรือนไทยหลังใหญ่โอ่อ่าแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่บ้างก็ปัดกวาดเช็ดถู  บ้างก็เดินถือสิ่งของวิ่งวุ่นราวกับจะมีงานสำคัญอะไรบางอย่าง
 
                        “ กรรณ... กรรณ ” เสียงเรียกแว่วดังมาจากที่ใดซักแห่ง  คนตัวเล็กพยายามตั้งใจฟังว่าเสียงนั้นดังมาจากไหนหากแต่ไม่พบ
 
                        “ กรรณ... เจ้าอยู่ไหน? ” คราวนี้คนตัวเล็กรับรู้ได้ว่าเสียงลึกลับนั้นดังออกมาจากเรือนไทยโบราณหลังนั้น
 
                        กรกันต์ปล่อยแฟ้มในมือราวกับนั่นคือของร้อน  ก่อนจะถีบปลายเท้าไสเก้าอี้นั่งให้ถอยออกห่างอย่างตกใจ  ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อรู้สึกเลือดในร่างกายจับตัวเป็นก้อน
 
                        “ กันต์เป็นอะไร? ” พี่หนึ่งเอ่ยถามด้วยความแปลกใจในท่าทางของรุ่นน้อง  คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆไล่ความมึนงงก็เห็นอาชวินท์กับพี่หนึ่งที่ยืนเท้าโต๊ะมองมาที่ตนด้วยสีหน้าแปลกใจ
 
                        “ เอ่อ...ม่ะ...ไม่มีอะไรครับ ” กลั้นหายใจปฏิเสธไป  ก่อนจะกวาดตามองรอบๆ
 
                   ตาฝาด...บอกตัวเองว่าสิ่งที่เห็นแค่ตาฝาด
 
                   เขาคงนอนน้อยถึงได้ตาฝาดมองเห็นอะไรแปลกๆแบบนั้น
 
                        “ ไม่มีอะไรก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆสิ  รังเกียจพี่จนนายต้องถอยไปนั่งซะตรงนั้นเลยเหรอ? ” พี่หนึ่งกวักมือเรียกกันต์พลางแกล้งว่าด้วยเสียงขำๆ  กันต์เหลือบมองแฟ้มบนโต๊ะก่อนเลื่อนเก้าอี้กลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
 
                   ในนั้นก็แค่ภาพถ่ายและภาพสเก็ตแบบคร่าวๆ
 
                   ไม่ได้มีอะไรแปลกไปอย่างที่เห็น
 
                        กันต์ผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างโล่งอก  ก่อนจะตั้งใจฟังรายละเอียดจากเจ้านาย...
 
 
                        รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่วิ่งปุเลงขึ้นมาจนถึงลานจอดรถชั้น 7 กรกันต์ดับเครื่องก่อนจะเอื้อมมือไปเบาหลัง  คว้าถุงใส่อาหารมาถือไว้แล้วลงจากรถ
 
                        9 โมงเช้า ถือว่ามาเร็วกว่าเวลาที่นัดกับอาชวินท์ไว้  กันต์เดินเข้าไปในตัวอาคารอย่างคุ้นเคย  ห้องพักของอาชวินท์อยู่เกือบจะสุดทาง  คนตัวเล็กเคาะประตูเบาๆสองสามครั้ง
 
 
เงียบ...
 
                        ไร้เสียงตอบรับ  ไม่มีเสียงหืออือใดๆลอดออกมาให้ได้ยิน  กรกันต์ส่ายหน้าอย่างปลงๆ
 
                        เป็นแบบนี้ประจำ  ถ้าไม่ใช่วันทำงาน  อย่าหวังว่าเจ้าเด็กเด๋อร่างโย่งจะลุกจากที่นอนได้เร็วเป็นอันขาด
 
                        “ เมื่อคืนเล่นเกมจนดึกล่ะสิ ไอ้วิน! ” กันต์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วย ก่อนจะล้วงเอาคีย์การ์ดที่วินเคยให้ไว้
 
 
                   “ สำหรับนายเข้าออกได้ทุกเวลาโดยไม่ต้องขออนุญาต ”
                       
                        แอ๊ดดดด...
 
 
                   ภายในห้องยังสลัวเพราะเจ้าของห้องเล่นปิดม่านจนแสงแทบจะเข้าไม่ถึง  เสื้อผ้าใส่แล้วกองระเกะระกะ  ขวดเบียร์  ซองขนม  จานกับแกล้ม  เศษกระดาษ  ปากกา ดินสอกระจัดกระจายทั่วห้อง
 
                        บนโต๊ะอาหารตัวเล็กยังมีถ้วยบะหมี่ที่กินจนหมดเกลี้ยงวางทิ้งไว้
 
                        “ เหมือนหลงเข้ามาในกองขยะ ” กันต์จัดการวางของที่หิ้วมา ก่อนจะใช้มือบ้าง เท้าบ้าง คีบเอาเสื้อผ้าใช้แล้วเหวี่ยงลงในตะกร้าใบใหญ่  ถุงดำถูกนำมาใส่เศษขยะ  เพียงไม่นานทุกอย่างก็ดูดีขึ้นมานิดหนึ่ง  กันต์จัดการอุ่นอาหารเพื่อเตรียมไว้ให้เจ้าของห้องกินจะได้ไม่เสียเวลาไปหากินเอาตามร้าน เขาจะได้มีเวลาเดินดูพวกโบราณวัตถุนานๆ
 
                        เพียงแค่อาหารเริ่มร้อนกลิ่นหอมเริ่มโชย  ร่างสูงที่นอนอุตุอยู่บนเตียงก็เริ่มขยับตัวก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดแล้วหลับหูหลับตางัวเงียลุกขึ้น
 
                        “ หอม... หอมอ่ะ ” อาชวินท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆก่อนจะวางคางลงบนไหล่มนของกันต์จนคนตัวเล็กต้องวางมือ  ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากอาชวินท์จนหน้าหงาย
 
                        “ ทำบ้าอะไรของนาย  ฉันไม่ใช่พวกสาวๆหน้าตาจิ้มลิ้ม อกฟูๆที่นายชอบไปอ่อยหรอกนะ ” กันต์จัดแจงตักอาหารใส่จานก่อนจะยื่นให้อาชวินท์เอาไปวางบนโต๊ะ  คนตัวสูงย่นจมูกกับคำประชดนั้น  ก่อนจะรับจานจากมือไปวางไว้บนโต๊ะโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
 
                        “ นายนัดฉัน 10 โมง ตอนนี้ 10 โมงครึ่งนายเพิ่งตื่น  อาชวินท์...  เมื่อไหร่จะเป็นคนรักษาเวลาซักทีฮะ! ” กันต์ใช้มือตัวเองยีหัวของอาชวินท์ที่ตักอาหารเข้าปากด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน
 
                        “ นี่ไง จะเสร็จแล้ว  บ่นเป็นผู้หญิงไปได้ ” อาชวินท์แกล้งว่าพลางทำท่าค้อนปะหลับปะเหลือก
 
 
                        เพียงไม่นานคนทั้งคู่ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าตู้โชว์พวกเครื่องปั้นลายครามต่างๆ  อาชวินท์มองคนตัวเล็กที่ยืนอ่านประวัติของเครื่องลายคราม  หัวคิ้วขมวดม่นราวกับกำลังใช้ความคิด
 
                        “ นี่ ฉันแยกไปดูห้องอื่นนะ ” อาชวินท์สะกิดสีข้างคนที่ทำเหมือนตกอยู่ในภวังค์จนสะดุ้ง  กันต์พยักหน้ารับอาชวินท์จึงได้แยกออกไป
 
                        ขาเรียวเดินดูห้องนู้นเดินออกห้องนี้จนทั่ว  จนกระทั่งถึงโถงกลางที่จัดไฟให้สลัวเพื่อหนุนให้ของที่โชว์อยู่กลางห้องเด่นขึ้น
 
                        หีบโบราณใบใหญ่ตั้งอยู่บนแท่นทำมุมลาดเอียงเพื่อให้คนดูได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
 
                        กันต์เดินเข้าไปใกล้ๆราวกับพี่พลังบางอย่างดึงดูดตนเองให้เดินเข้าไปใกล้ๆ  จนกระทั่งไปหยุดอยู่เบื้องหน้าตัวเมียบใบใหญ่
 
                       
                        เฮือก!!!
 
 
                        ร่างบางสะดุ้งกับสิ่งที่เห็น  พลันความรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ  ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมน้ำก็แล่นเข้ามาจู่โจมอย่างรุนแรง
 
                        สิ่งที่อยู่ในหีบโบราณคือโครงกระดูกที่นอนคุดคู้กันสองโครง
 
                        อยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่กันต์ไม่รู้ตัว  หัวใจเต้นตุบปวดหนึบราวกับคนที่กำลังได้รับความทุกข์ทรมาน
 
                        เจ็บปวด...
 
ทรมาน...
 
ร่ำไห้....
 
และ  อาดูร ...
 
                       
                        เสียงสะอื้นเบาๆทำให้ใครบางคนที่กำลังก้าวเข้ามาให้ห้องโถงหยุดชะงัก  แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมคนๆนั้นจะต้องมาร้องไห้หน้าตัวเมียบใบใหญ่ แต่เขาเลือกที่จะหยุดรอ
 
                        เกรงว่าถ้าเดินเข้าไปดูจะเป็นการเสียมารยาท  จนกระทั่งกันต์หันหลังเดินสวนออกมา
 
                                    ราวกับเวลาเดินย้อนกลับหลัง  ภาพต่างๆราวกับถูกดูดย้อนวันเวลาจากกันต์ในปัจจุบันกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดโบราณกำลังเดินสวนกับผู้ชายร่างสูงที่สวมเสื้อผ้าด้วยผ้าไหมราคาแพง
 
                        คนทั้งคู่เดินสวนกันผ่านกาลเวลา  คนหนึ่งเดินออก  ส่วนอีกคนเดินเข้า
 
                                    “ อ่าว ดูเสร็จแล้วเหรอ? ” อาชวินท์เอ่ยทักคนตัวเล็กที่ตามมาหาเขาในห้องที่จัดแสดงภาพวาด
 
                                    “ อื้อ เสร็จแล้ว ”
 
                                    “ เป็นอะไรตาแดงๆ ” อาชวินท์จับหน้าเพื่อนให้เงยขึ้นเพื่อที่ตนเองจะได้มองได้ถนัดๆ  กันต์เบี่ยงหน้าหลบพลางตีหน้ามุ่ยใส่
 
                                    “ ตาเดิงตาแดงอะไรล่ะ สงสัยฉันเพิ่งหาวไปมั้ง  ไปเถอะไม่มีอะไรจะดูแล้ว  กลับไปคิดงานที่จะต้องทำพรุ่งนี้ดีกว่า ” กันต์ไม่พูดอะไรต่อชายหนุ่มทำเพียงเดินนำอาชวินท์ออกไป
 
 
                                    “ กรรณ...”
 
 
                                    กึก...
 
                                    ร่างบางชะงักเมื่อได้ยินเสียงแหบทุ้มของใครบางคนเอ่ยเรียกชื่อตน  คนตัวเล็กหยุดเดินพลางหันไปมองหาต้นเสียง  อาชวินท์ที่เดินตามหลังมาพลอยหยุดเดินทำหน้างงๆ
 
                                    “ มีอะไร ” ถามออกไปอย่างสงสัยในท่าทางแปลกๆของเพื่อน  กันต์เพ่งสายตามองหากแต่กลับไม่พบใครที่พอจะรู้จัก  ภายในโถงกลางที่แสดงหีบโบราณมีเพียงผู้ชายร่างสูงยืนหันหลังอยู่  กันต์ส่ายหน้าพลางปฏิเสธว่าไม่มีอะไร
 
                                    “ สงสัยหูแว่ว  เหมือนได้ยินคนเรียก ”
 
                                    “ ผีป่าววะ? ” อาชวินท์แกล้งทำหน้าตาตื่นกลัว  จนกันต์ต้องกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเอือมๆ
 
                                    “ ผีบ้าอะสิ ”
 
                                    “ เพชรคะ ” ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนมองโครงกระดูกสองร่างในหีบโบราณหันตามเสียงเรียกของหญิงสาวร่างบอบบางที่เดินส่งยิ้มเย็นๆมาให้
 
                                    “ บ่ายสามแล้วนะคะ จัสหิวแล้ว ” หญิงสาวเดินเข้ามาก่อนจะสอดมือเข้าไปคล้องแขนของชายหนุ่มที่ใช้มือตนเองล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางนิ่งๆอยู่
    
              พชรแกะมือหญิงสาวออกอย่างอ่อนโยน พยายามไม่ทำให้มัลลิการู้สึกเสียหน้า
 
    “ ขอโทษนะ พอดีผมดูอะไรเพลินๆไปหน่อย ”
 
            “ จะต้องดูอะไรอีกคะ  ของพวกนี้พิพิธภัณฑ์ก็ขอยืมจากคุณมาแสดงโชว์ทั้งนั้น ”
      
        “ ของบางอย่างมันมีเรื่องราวที่น่าค้นหาน่ะสิ  เช่นโครงกระดูกในหีบนั้น  อาจเป็นบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่งของผม ”
 
       “ ตลกน่ะ ก็ต้องเป็นบรรพบุรุษของคุณอยู่แล้ว  ของมันอยู่ในบ้านคุณนี่คะ ”  จัสมินเอ่ยแซวอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ  หล่อนไม่ได้รู้สึกว่าของพวกนั้นมันมีคุณค่า
 
       “ ถ้าขายให้พวกนักสะสมของโบราณ... ”
 
     “ จะไม่มีการขายของพวกนี้เด็ดขาด! ” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ  ร่างสูงก็เอ่ยขัดออกมาแทบจะทันที
 
      “ ผมจะเก็บทุกอย่างไว้  เรือนโบราณกำลังจะบูรณะ  ผมจะเปิดให้คนภายนอกได้เข้าไปใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ ” พชรเดินผละออกไปจากหญิงสาวแทบจะทันทีที่พูดจบ  จัสมินได้แต่เบะปากอย่างไม่ชอบใจ
 
                    “ รอแต่งงานกันเมื่อไหร่ก่อนเถอะ ฉันจะขายให้หมดเลย  รวมทั้งไอ้โครงกระดูกสองโครงนี้ด้วย ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ” หญิงสาวตวัดสายตาขุ่นมองโครงกระดูกในหีบโบราณอย่างไม่ชอบใจ
 
              ไม่รู้ทำไมแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตคนที่มีชีวิต  แต่หล่อนกลับไม่ชอบเอาซะเลย  รู้สึกเกลียดอย่างไม่มีเหตุผล หากแต่เมื่อหันไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง พชรก็เดินลับมุมห้องไปแล้ว มัลลิกาทำได้เพียงวิ่งตามแล้วร้องเรียก
 
                                    “ เพชรค่ะ รอจัสด้วย ”
 
 
                 TBC.…
                       
 ...................




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Time of tears
Chapter 2
 
 
 
                    ครืน....
 
 
                 
                   เสียงฟ้าร้องแว่วมาจากที่ไกลลิบหลังภูเขาลูกใหญ่ปรากฏแสงจากสายฟ้ากรกันต์หักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางพลางเปิดแผนที่ดู  ความมืดเริ่มโรยตัว
 
 
                   คิ้วเรียวขมวดมุ่นพลางตวัดสายตาสอดส่ายหาอะไรที่พอจับอกทางตนเองได้ว่าเขาขับรถมาถูกทางแล้ว  กันต์พับแผนที่เก็บก่อนจะออกรถอีกครั้ง  หักเลี้ยวเข้าแนวป่าทึบที่มีถนนเล็กๆทอดยาวเข้าไป  ในที่สุดเพียงไม่นานรถยนต์คันเก่งของกันต์ก็แล่นมาจอดหน้าเรือนโบราณหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่หลังแนวป่า
 
 
                   สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ  ลมแรงกรรโชกจะพัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างให้พังพินาศ
 
                 
          “ พายุเข้าหรือไงเนี่ย ? ” กันต์เอี้ยวตัวไปควานหาอะไรบางอย่างชั่วครู่ ก่อนจะคว้าร่มคันเล็กที่พกติดท้ายรถไว้เป็นประจำ
 
 
 
 
          ปัง! ปัง! ปัง!
 
 
         
          โลหะคล้องหน้าประตูไม้บานใหญ่ถูกคนตัวเล็กจับเคาะกับบานประตูจนเกิดเสียง  กันต์ยืนรอแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีสิ่งมีชีวิตออกมาต้อนรับเขา  คนตัวเล็กใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเล่นอย่างไม่สบอารมณ์
 
          คนที่นี่น่าจะรู้แล้วว่าเขาจะมา  แล้วทำไมทุกอย่างยังนิ่งสนิท  ร่างเล็กเคาะประตูอีกครั้งคราวนี้เพิ่มความแรงมากขึ้นจนเกิดเสียงดังลั่น  หากแต่ยังคงเหมือนเดิม ทุกอย่างภายหลังบานประตูยังคงเงียบ  กันต์ขมวดคิ้วจนแทบจะผูกโบว์ได้อย่างไม่ชอบใจ  ร่างเล็กหมุนตัวเตรียมจะกลับขึ้นรถแต่ทว่า
 
          แอ๊ด ....
 
 
          เสียงประตูกถูกเปิดออก  คนตัวเล็กหันไปมองหญิงร่างท้วมคนหนึ่ง  ใบหน้าเรียบนิ่งเปิดประตูออกมามองเขา
 
          “ สวัสดีครับ ผมกรกันต์ จาก บริษัท L.H. Home Decor  ครับ ” ชายหนุ่มโค้งให้กับหญิงชราแล้วแนะนำตัว
 

          “ เชิญ  นายน้อยรอนานแล้ว ”
 

          กึก...!
 
          กันต์ชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำที่หญิงชราใช้เรียกเจ้าของบ้าน
 
          เพียงแค่ก้าวเข้าไปในเขตบ้าน  กาลเวลาก็หมุนย้อนกลับไปในวันวาน  กันต์ในปัจจุบันเป็นเด็กชายสวมใส่เสื้อผ้ามอซอหน้าตามอมแมมเดินตามหญิงชราร่างท้วมในชุดไทยแบบโบราณคือผ้าแถบสี่ทึมๆและโจงกระเบนเข้ามาในบ้าน  ในอ้อมแขนมีห่อผ้าเก่าๆที่ใส่เสื้อผ้าเพียงสองชุดไว้แน่น  ดวงตากลมโตมีแววหวาดหวั่นแต่ทว่ายังแฝงความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก
 

          “ นี่จะเดินโอ้เอ้อีกนานมั้ยห๊ะ? ข้าไม่ได้มีเวลายืนรอเจ้าทั้งวันนะ ไอ้เด็กเหลือขอ! ” หญิงชราที่หยุดรอเปล่งเสียงแหวมาให้เด็กน้อย จนกันต์ที่กำลังสนใจปลาสีสวยในสระน้ำถึงกับสะดุ้ง
 
         
“ ขอรับๆ ข้ากำลังจะรีบ ”
 
 
          “ เออ  แหม...ดีนะ  กำลังจะรีบ  ข้าจะบอกอะไรให้นะ  อยู่บ้านนี้เรือนนี้เอ็งาจะใช้คำว่ากำลังจะไม่ได้หรอกนะ  ทำอะไรต้องรวดเร็วตลอดเวลาท่านเจ้าคุณไม่ชอบคนยืดยาด” นางว่าพลางฟาดฝ่ามืออูมลงตรงไหล่เล็กเสียทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้  หยิกเนื้อนิ่มจนเด็กน้อยสูดปากร้องด้วยความเจ็บ
 
          “ โอ๊ย... ข้าเจ็บนะ ”
 
          “ ก็ตีให้เจ็บไง  ถ้าความหลังเอ็งายังชักช้าเจ้าจะโดนหนักกว่านี้ เดินมา ” กรรณใช้มือเล็กๆของตนขยี้หัวไหล่ที่ถูกหยิก  ปากเล็กขมุบขมิบก่นแข่งหญิงชราอยู่ในใจ  เด็กน้องเดินตามจากหน้าประตูลัดเลาะเรือนต่างๆ สวนสวยที่ติดสระน้ำ  จนในที่สุดก็ถูกพามาหยุดที่เรือนไม้เป็นแถวยาว ไม่ไกลจากที่ยืนอยู่มีควันไฟพร้อมกับกลิ่นหอมฉุยของอาหาร  จนเด็กน้อยเผลอกลืนน้ำลายด้วยความหิวตามประสาเด็ก
 

          “ เดี๋ยวเอ็งาไปอาบน้ำอาบท่า ขัดขี้ไคลให้เรียบร้อยนะ เสร็จแล้วไปหาข้าที่ครัว เดี๋ยวข้าจะพาไปหาคุณหญิง ”
         

          “ นี่คุณคะ เข้าใจที่บอกมั้ยคะ ? ” เสียงคำถามที่เหมือนจะดังแว่วมาจากที่ไกลๆทำให้กันต์สะดุ้งเฮือกราวกับหลุดจากภวังค์  คนตัวเล็กกระพริบตาไล่ความมึนงง
 
 
          “ ฮะ... อะไรนะครับ ? ” กันต์ไล่ความมึนงงกับสิ่งที่เห็นออกไป ก่อนหันมาสนใจหญิงชราที่มีหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนจากที่เห็นในอดีต  นางทำหน้าไม่พอใจก่อนจะกระแทกเสียงใส่
 
 
          “ ดิฉันบอกคุณให้ยืนรอตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไปเรียนนายน้อยให้ว่าคุณมาแล้ว ส่วนเสื้อผ้าข้าวของของคุณดิฉันจะให้คนไปเอามาเก็บไว้ที่ห้องให้นะคะ ”
 
          “ ครับ ขอบคุณครับ ” ได้แต่รับคำไปอย่างแกนๆ
 
 
          เขาต้องมาพักที่บ้านหลังนี้เพราะสถานที่อยู่ไกลจากกรุงเทพร้อยกว่ากิโลเมตร เป็นเมืองที่แวดล้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำอีกทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนจำนวนมากหากแต่เรือนหลังนี้อยู่ออกมานอกอำเภอเมืองอีกเล็กน้อยผู้คนจึงไม่พลุกพล่าน  ร่างเล็กหุบร่มวางพิงไว้กับเสาบ้านก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ความมืดที่โรยตัวบวกกับความอึมครึมของบรรยากาศยามฝนตก  ทำให้บ้านดูวังเวง ลมเย็นที่พัดกรูเข้ามาพาให้ขนลุกเกรียวจนต้องยกแขนกอดอกไว้
 
 
          น่าแปลก... ที่ทุกอย่างดูคุ้นตา
 
          บางสิ่งบางอย่างบอกว่าเขาคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้
 
          ราวกับเคยอาศัยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานแสนนาน
 
 
          “ คุณคะ นายน้อยเชิญที่ห้องอาหารค่ะ ”
 
          กันต์เดินตามหญิงชราเข้าไปในบริเวณเรือนหลังใหญ่ ภายในยังคงตกแต่งแบบโบราณแท้  เครื่องเรือนต่างๆเป็นไม้เนื้อดีที่มีอายุนับร้อยปี  เป็นของโบราณแท้ๆ ตามฝาผนังมีภาพวาดและตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันจีนตามแบบนิยมของคนสมัยก่อนที่ชอบสะสมพวกคติธรรมดีๆ หรือภาพวาดราคาแพงของศิลปินชื้อก้องในสมัยนั้น  พื้นไม้กระดานแผ่นใหญ่ถูกถูจนขึ้นเงา
 
 
          “ บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้าเหรอครับ ? ” อดแปลกใจไม่ได้เมื่อแม่บ้านชราใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่าง รวมทั้งบริเวณบ้านไม่มีหลอดไฟหรือปลั๊กไฟซักตัว
         
 
          “ มีค่ะ แต่นายน้อยชอบบรรยากาศแบบนี้เราเลยใช้ตะเกียงแทนหลอดไฟฟ้า ”
 
 
          พิลึก... อดค่อนขอดในใจไม่ได้  ถ้าเป็นการออกแบบฝังพวกสายไฟกับเต้าเสียบต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่าทำได้อย่างแนบเนียนมากเพราะเขาหาไม่เจอเลยซักเส้น
 
          “ สายไฟที่เรือนต่างๆถูกสั่งให้ฝังลงดินค่ะส่วนที่อยู่ในตัวบ้านใช้การตกแต่งพรางตาเอาทำให้ไม่เห็นพวกปลั๊กหรือเต้าเสียบ นายน้อยอยากให้สภาพบ้านคงอยู่เหมือนโบราณมากที่สุด ” กันต์อดแปลกใจไม่ได้ที่แม่บ้านชราราวกับอ่านความในใจของเขาออก  ชายหนุ่มได้แต่ทำตาโตวูบหนึ่งก่อนกลบเกลื่อนไปอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นที่สาดซัดเข้าฝั่ง  ฟองสีขาวกระทบพื้นทรายแล้วกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว
 
          “ เชิญค่ะ ” หญิงชราเปิดประตูไม้สีทึบให้ร่างบางเดินเข้าไป  ภายในมีกลิ่นหอมจากไม้หอมบางชนิดซึ่งอาจจะเป็นกำยานหรืออาจจะเป็นสเปรย์ปรับอากาศแต่ช่วยทำให้บรรยากาศภายในดูละมุนขึ้นทันตา
 
          “ สวัสดีครับ ผมกรกันต์ จาก... ”
 

          “ เชิญนั่ง... อาหารเย็นจะเริ่มเวลา 19.00 น. อาหารเช้าจะเริ่ม 8 โมงตรง ส่วนอาหารกลางวันแล้วแต่สะดวก เช้ากับเย็นเราจะมาร่วมโต๊ะกันทุกวัน ” ยังไม่ทันที่กันต์จะได้เอ่ยแนะนำตัวได้จบประโยค เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านที่ยืนหันหลังคนน้ำอะไรบางอย่างในแก้วก็พูดแทรกขึ้น  แสงไฟจากตะเกียงที่แขวนตามจุดต่างๆและเชิงเทียนบนโต๊ะเผยเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่ถือได้ว่า  ‘ หล่อจัด ’ คนหนึ่ง
 
          แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้กันต์รู้สึกดีกับการเสียมารยาทของเจ้าของบ้านเลยซักนิด
 
          “ เกรงว่าจะเป็นการรบกวน  ผมเป็นคนทานอาหารไม่ตรงเวลา... ”
 
          “ แต่อยู่ที่นี่คุณจำเป็นต้องตรงต่อเวลาที่ผมกำหนด ” กันต์กัดปกอย่างไม่ชอบใจ พอดีกับที่เจ้าของบ้านหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาพอดี  แสงแปลบปลาบจากสายฟ้าสาดเข้ามาในขณะที่ชายหนุ่มหันกลับมา  กันต์สะดุ้งกับเสียงฟ้าผ่า  เทียนบางเล่มดับไปห้องมืดลงกว่าเดิมนิดหน่อย  เพชรหยิบกล่องไม้ขีดบนโต๊ะมาจุดเทียนเล่มที่ดับจนครบ
 
          “ อย่าหาว่าผมไร้มารยาทเลย  ผมเป็นเจ้าของบ้านก็ต้องดูแลแขกไม่ให้ขาดตกบกพร่อง  ถ้าคุณไม่มาร่วมโต๊ะกับผม ผมจะทราบได้อย่างไรว่าคุณทานข้าวหรือยัง ? ผมทราบคุณมักจะทำงานจนลืมเวลาอยู่เสมอ  และถ้าคุณมาทานข้าวโดยไม่มีผม มาทานก่อน หรือมาทานหลังผม ผมทราบว่าคุณคงจะรู้สึกไม่ดี คงรู้สึกว่าตัวเองเป็นแขกที่ไร้มารยาทที่กินโดยไม่รอเจ้าของบ้าน หรือปล่อยให้เจ้าของบ้านหิวจนต้องกินไปก่อนใช่มั้ยครับ ? ” กันต์ได้แต่อ้าปากค้างกับคำพูดที่เหมือนจะอธิบายแต่ประโยคท้ายคือ
 
          หลอกด่ากูนี่หว่า...
 
          คนตัวเล็กใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างไม่ชอบใจ  เป็นกริยาที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่หงุดหงิด
 
          “ ใช่ครับ แหม นี่ถ้าคุณลูกค้า อ่อ...คุณชื่ออะไรนะครับ ? ”
 
          เพชรตวัดตามองกันต์ที่ยืนกอดอกเต๊าะลิ้นเล่นราวกับรอคำตอบจากเขาอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่
 
          มาทำงานบ้านเค้า   เป็นไปได้เหรอที่จะไม่รู้จักชื่อผู้ว่าจ้าง
 
 
          “ เพชร... พชร ” ชายหนุ่มก้าวยาวๆเพียงสองสามก้าวก็เข้ามาประชิดตัวคนตัวเล็กจนกันต์ถอยไปข้างหลังอย่างตกใจ  หลังของร่างบางเกือบชนกับพนักเก้าอี้โชคดีที่เพชรรวบเอวไว้  พลางรั้งให้คนตัวเล็กเข้าหาตัวได้ทัน
 
          “ ระวังหน่อยนะครับ พลาดพลั้งไปคุณจะเจ็บ ”
 
          “ ขอบคุณ ” กันต์เอ่ยขอบคุณพลางผละตัวออกจากร่างสูง  ในขณะเดียวกันประตูไม้ก็ถูกเลื่อนออกอีกครั้งพร้อมแม่บ้านสองสามคนที่ทยอยยกถาดอาหารเข้ามา
 
          “ เอ่อ...ไม่ทราบว่าจะจัดงานเลี้ยงเหรอครับ ? ” อดที่จะแขวะไม่ได้เมื่อเห็นอาหารมากมายถูกนำมาวงบนโต๊ะ  เพชรมองคนตัวเล็กพลางเลิกคิ้วราวกับไม่เข้าใจคำถามของคนตัวเล็ก
 
          “ ผมหมายถึง นอกจากผมแล้วคุณยังมีแขกคนอื่นอีกเหรอครับ ”
 
          “ ไม่นี่...มีแค่เรา ”
 
          “ กินกันแค่สองคนเนี่ยนะ ” คนตัวเล็กเพิ่มเลเวลของเสียงขึ้นมาอีกสามสเต็ปครึ่ง
 
          “ กินกันสองคนอาหารเป็นสิบอย่าง... ผมว่าคราวหลังแค่ข้าวไข่เจียวราดซอสก็พอครับ ผมกินง่าย ”

          “ บ้านนี้มีคนอีกเป็นสิบคนครับ  ไม่ต้องกลัวว่าอาหารจะเหลือ เชิญทานเถอะครับ ผมคิดว่าคุณคงจะหิวแล้ว ”
 
          “ ผมขอล้างมือก่อนได้มั้ยครับ ? ไม่ทราบว่าห้องน้ำไปทางไหน ”
 
          “ เข้าไปใช้ในห้องทำงานผมก็ได้ครับ ” เพชรผายมือไปยังห้องติดกันที่ถูกปิดประตูไว้  กันต์เอ่ยขอบคุณก่อนจะหายตัวไปชั่วครู่ แล้วกลับมาด้วยหน้าตาที่สดชื่นขึ้น  จากนั้นมืออาหารที่ชวนอึดอัดก็เกิดขึ้น เพชรไม่ได้เอ่ยคุยเรื่องอะไรอีก  ในขณะที่กันต์ก็หิวจนเกิดกว่าจะสนใจเจ้าของบ้านจนในที่สุด
 
          เอิ่กกกกกก....
 

          “ อุ่ย... ขอโทษครับ  มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ ” กันต์ที่แกล้งเรอออกมาแสร้งทำสีหน้าตกใจก่อนจะเอ่ยขอโทษอย่างเสแสร้งแล้วต่อท้ายประโยคด้วยสีหน้าที่สะใจสุดๆว่า
 
          “ พอดีที่บ้านไม่ได้เคร่งเรื่องมารยาทน่ะครับ ”
 
 
 
          “ นี่พี่หนึ่ง พี่ส่งผมมาเข้าค่ายดัดสันดานหรือไง  พี่รู้มั้ย ตาขี้เก๊กนั่นตั้งกฎอะไรกับผมบ้าง ” เสียงที่ลอดออกจากห้องนอนของคนตัวเล็ก  มัณฑนากรที่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการปรับปรุงบ้านของเพชรลอดออกมาโดยที่เจ้าตัวคงลืมไปว่า ไม่ได้อยู่คอนโดของตัวเอง ทำให้คนที่เพิ่งละมือจากงานเอกสารสำคัญต่างๆกำลังจะเดินทางกลับห้องถึงกับชะงัก
 
          ไม่ได้อยากเสียมารยามแอบฟัง  เพชรตัดสินใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร  และไม่สนใจใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจว่าตนจะเดินผ่านห้องของแขกไปอย่างเงียบๆ
 

          “ โอ๊ยพี่  ผมมาถึงยังแนะนำตัวไม่จบเลยตานั่นก็พูดแทรกแจงเวลาอาหารมาว่าต้องกินเวลานั้นเวลานี้  คิดว่าตัวเองเป็นใครก็แค่ผู้ว่าจ้างจะมาบงการชีวิตคนอื่นได้ไง  คอยดูนะพรุ่งนี้ผมจะลงไปกินข้าวเช้าตอนเที่ยง ทนหิวท้องรอได้ก็ทนไป คิดดูนะพี่ผมมาเพิ่งมาถึงเนื้อตัวเปียก แทนที่จะให้ผมเข้าห้องพักอาบน้ำอาบท่าก่อนไม่มี  ให้ผมนั่งกินข้าวทั้งทีหัวเหอเปียกเป็นลูกหมาเลย.... เออๆๆ... นี่ไม่อยากจะบ่นนะ  เดี๋ยวจะหาว่าผมนินทาเจ้าของบ้านตั้งแต่วันแรกที่มาถึง  ดีนะที่บ้านสอนมารยาทมาดี ” เพชรแทบจะหลุดหัวเราะออกมากับประโยคหลัง
 
          “ พอดีที่บ้านไม่ได้เคร่งเรื่องมารยาทน่ะครับ ”
 

          คำพูดในห้องอาหารยังคงดังก้องอยู่ในหัว ท่าทางจะร้ายไม่เบา
 
 
  “ เออแค่นี้นะ  เดี๋ยวจะนอนแล้วพรุ่งนี้จะลุยงานแต่เช้าจะได้เสร็จไวๆ อยู่กับคนมารยาทจัดแล้วคันตัวเหมือนผื่นจะขึ้น ” เสียงคนในห้องเงียบไปพร้อมกับเสียงกุกกัก เพชรเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยซักนิด  ชายหนุ่มย่องผ่านห้องของกันต์กลับไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ถัดไปโดยมีทางเดินกั้นกลาง
 
 
 
          เพชรจำกันต์ได้ตั้งแต่แรกเห็น  ผู้ชายที่ยืนร้องไห้ราวกับคนที่กำลังสูญเสียสิ่งสำคัญไปที่หน้าตัวเมียบโบราณวันนั้น
 
          ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่มานั่งเรอให้เขาฟังในห้องอาหาร
 

          “ แบบไหนนะคือตัวตนที่แท้จริงของคุณ เศร้าสร้อยหรือกวนประสาท ”
 
 
          “ กรรณ... กรรณ... เจ้าอยู่ไหน ? ” ร่างบางบนเตียงกระสับกระส่ายเหงื่อเม็ดเล็ดผุดเต็มใบหน้า  ร่างเล็กส่ายหน้าไปมา  น้ำตาไหลลงสองข้างแก้ม
 
 
          ในฝัน
 
 

          กรรณพยายามวิ่งฝ่าหญ้าคาต้นสูงโดยไม่คำนึงเลยซักนิดว่าใบหญ้าที่คมราวกับใบมีดจะบาดผิวอ่อนๆของตนเองจนเป็นแผลเต็มไปหมด
 
 
          “ นายน้อย...ฮึก... นายน้อยท่านอยู่ไหน ” สองเท้าวิ่งไม่ได้หยุด  ห่อผ้าที่สะพายมาบนไหล่หล่นลงพื้นโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะเก็บ สองมือแหวกพงหญ้า  สายฟ้าที่แลบปลาบทำให้ร่างบางสะดุ้งพลางหลบเพราะความกลัวโดยอัตโนมัติ
 
 
          “ อย่ามา   หนีไป ” เสียงทุ้มแหบพยายามร้องบอก  ร่างบางส่ายหน้าไปมา น้ำตาไหลลงสองข้ามแก้ม

 
          “ นายน้อย...ไม่  พวกเจ้าจะทำอะไร นั่นคุณเพชรของท่านเจ้าพระยานะ ” กันต์กระเสือกกระสนวิ่งลงไปในน้ำ เพื่อจะตามเรือลำใหญ่ที่แล่นเอื่อยราวหลอกล่อ
 
 
          “ อยากได้คุณพี่คืนมากนักเหรอ ไอ้ขี้ข้า! ”
 

          กึก!...
 
                   ร่างบางหยุดกับที่ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น  เมื่อหันกลับไปก็ถูกไม้ยาวฟาดลงบนต้นคอจนล้มทั้งยืน
 

                   ใคร....?
 
                   กันต์ที่ยืนมองเหตุการณ์ในฝันพยายามเพ่งมองฝ่าความมืด สตรีท่าทางสง่างามยืนมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยท่าทางนิ่งสนิท  ในขณะที่ผู้หญิงอีกคนที่ลุยน้ำลงไปตีกรรณ  ออกแรงลากร่างเล็กที่นอนหมดแรงเข้าฝั่ง
 
                   “ คุณสบันงาเจ้าคะ ” นางเอ่ยเรียกผู้หญิงคนนั้น  ความมืดทำให้มองใบหน้านั้นไม่ชัดจนกระทั่ง

 
                   “ เอาเรือเข้าฝั่ง  กูจะถ่วงพวกมันสองคนให้ไปครองรักกันที่ก้นแม่น้ำ ”

 
                   เปรี้ยง!!!!

 
                   เสียงฟ้าผ่าลงบนยอดไม้ใหญ่  แสงสว่างวาบจนทำให้เห็นดวงหน้าของหญิงคนนั้น  พร้อมๆกับที่กันต์สะดุ้งตื่นขึ้นมา  เมื่อหน้าต่างห้องที่ตนเองเปิดรับลมช่วงหัวค่ำถูกลมตีจนพัดมาปะทะขอบหน้าต่างส่งเสียงดังลั่น
 
 
                   เฮือก!!!
 
                   ร่างบางเด้งตัวขึ้นนั่งสายตามองไปยังต้นเหตุของเสียง  กันต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ตี 4 ฝนข้างนอกตกหนักละอองฝนสาดเข้ามาในห้องจนพื้นเปียก  กันต์ลงจากเตียงเดินไปจะดึงหน้าต่าง  แต่สายตาพลันเห็นบางอย่างตรงศาลากลางน้ำ
 

                   เสียงซอแว่วหวานแทรกมากับเสียงฝน  ภาพผู้ชายสองคนนั่งซ้อนในชุดโบราณที่เห็นบ่อยๆในละครพีเรียด  ราวกับว่าคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าบอกฐานะว่าเข้าขั้นดีมากขนาดไหน เพราะเนื้อผ้ามันเงาด้วยไหมเนื้อแท้กำลังสอนคนตัวเล็กกว่าที่ใส่เสื้อผ้าซอมซ่อให้เล่นซอ
 
                   ลมเย็นปะทะผิวจนขนลุกเกรียว  ภาพที่เห็นมลายหายไปราวกับละอองสีรุ้งแทนที่ด้วยภาพหญิงสาวนางหนึ่ง  เหมือนในความฝันเดินมากับคนรับใช้ผู้หญิงอีกคน  คนที่ฟาดท่อนไม้ใส่กันต์ในฝัน  ร่างเล็กยกมือขึ้นลูบต้นคออย่างลืมตัว
 
                   สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘ คุณสบันงา ’ หันรีหันขวางในขณะที่ผู้เป็นบ่าวยืนประสานมือก้มหัวอย่างเกรงกลัว
 
                   พลัน!
 
                   เฮือก!!
 
                   ปัง!!!
 
                   ทันทีที่หญิงสาวคนนั้นหันขวับมามองกันต์ดวงสายตาอาฆาต  ร่างเล็กก็กระชากหน้าต่างปิดอย่างแรงแล้วกระโดดแผล่วขึ้นเตียง  เท้าเกี่ยวผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอง
 
                   “ คนหรือผีวะ? ” ร่างเล็กนอนคิดถึงเหตุการณ์ที่เห็นจนผล็อยหลับไปอีกรอบ
 
                   เสียงซอหวานแว่วที่ได้ยินยังคงตราตรึงในหัวใจจนมุมปากยกยิ้มน้อยๆ
 
                   “ นายน้อย... ”

 
จวนรุ่งเช้าชุ่มฉ่ำพยับฝน
ฟ้าคำรณเลื่อนลั่นทั่วเวหา
ฝนกระหน่ำดุจดั่งหยาดน้ำตา
เศร้าโศกาชีวาต้องวายปราณ
ทัณฑ์แห่งรักใครเห็นมิควรคู่
ตรวนร้อยรัดมุ่งสู่อวสาน
ใต้ผืนน้ำฝังร่างอนธกาล
ใจสั่งสาส์นก่อนวิญญาณจะปลดปลง
จากวันแรกพบพานขานสนิท
จากเพียงพิศเป็นชิดใกล้ตามประสงค์
ในสวนขวัญมองพุดจีบปีบประยงค์
เคยนั่งลงพร่ำพรอดกกกอดเกย
ซอแว่วหวานจากศาลา ณ กลางน้ำ
ที่ใจหวามด้วยสนิทแนบเขนย
มือเคยแตะหัดซอต่อทรามเชย
ซ่านสีแก้มเอื้อนเอ่ยมีวาจา
แสนเสียดายต่อจากนี้ไม่มีแล้ว
เจ้าดวงแก้วในถวิลผินแลหา
อันชีวิตหลังจากไกลใครนำพา
ใครรู้ว่าจะได้กลับมาพบกัน
ทำได้เพียงให้สัตย์อธิษฐาน
ใจสองขอยืนกรานเป็นคำมั่น
เกิดชาติใดให้ได้มาผูกพัน
สิ่งใดมิอาจกั้นแม้ความตาย
สัตยาชาตินี้ชีวีคู่
ความตายอยู่ตรงหน้าดังคาดหมาย
เกิดไม่พร้อมแต่ตายพร้อมไม่เสียดาย
ขอให้สายธารเย็นเป็นพยาน
มือที่แตะหัดซอเคยชิดแนบ
ครานี้มืออิงแอบรอประหาร
ชีวิตดับล่วงลับเหลือวิญญาณ
ขอคิดอ่านพิศวาสทุกชาติไป
ซอเสียงแผ่วแว่วมากลางเสียงฝน
เสียงซอโศกระคนปนพลิ้วไหว
ตรวนตอกตรึงร่างจนชลาลัย
หากสองใจไร้ตรวนล้วนผูกผัน
สัตยาอธิษฐานว่าชาติหน้า
จะพบพานตามสัญญาเป็นคู่ขวัญ
รักที่เกิดสถิตแล้วเป็นนิรันดร์
ไม่มีวันเปลี่ยนผันเป็นอื่นเอย
 
[/i]

                   “ อาการเป็นยังไงบ้างครับหมอ? ” เพชรที่นั่งอยู่ข้างเตียงของคนตัวเล็กที่หลับสนิทปากซีดอยู่บนเตียงเอ่ยถามคุณหมอชราที่ตนรีบบึ่งรถไปรับทันทีหลังรู่ว่าคุณช่างตัวแสบไม่สบาย
 
 
                   “ ไข้หวัดธรรมดา น่าจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทางแล้วมาโดนฝนอีกเลยป่วย  ให้พักแล้วกินยาตามที่หมอสั่ง สองสามวันก็หาย ”
 
                   “ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ  เดี๋ยวผมให้เมฆขับรถขับรถไปส่งนะครับ  มะลิไปหยิบซองบนโต๊ะทำงานมาแล้วเรียกเมฆมาด้วย ” เพชรสั่งงานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าอกของกันต์ ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกจุ่มลงไปในน้ำแล้วบิดหมาดก่อนจะนำมาเช็ดตามใบหน้าและลำคอให้  หลังมืออังบนหน้าผากที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้
 
                   “ นึกยังไงเปิดหน้าต่างนอน ” อดบ่นคนตัวเล็กไม่ได้  เช้านี้เขาไปนั่งรอกันต์ที่ห้องอาหารตั้งแต่ก่อน 8 โมง จนกระทั่ง 9 โมงกว่าก็ยังไม่เห็นคนที่บอกว่าจะลงมากินข้าวตอนเที่ยง  จึงสั่งให้มะลิไปตามกันต์  เพียงครู่เดียวแม่บ้านชราก็ไปรายงานว่า
 
                   “ คุณช่างไม่สบาย  นอนเพ้ออยู่บนเตียงค่ะ ” เพียงเท่านั้นเพชรก็ก้าวพรวดๆมาดูอาการคนป่วยที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง  ผู้ชายเจ้าระเบียบกวาดตามองจนทั่วห้องก็พบว่าบริเวณพื้นใกล้หน้าต่างเปียกชื้นจากละอองฝน  หน้าต่างปิดไม่สนิท  ร่างบางนอนเพ้อพูดจาไม่เป็นคำ
 

                   “ นายน้อย... อึก ... ระวัง  อย่าไป ”
 

                   “ หืม ? ”
 

                   “ นางจะฆ่าท่าน...ใจร้าย  อย่าเชื่อ ”
 
                   “ กันต์  คุณ... ” เพชรพยายามเรียกคนป่วย  แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาซ้ำยังร้องไห้จนชายหนุ่มใจเสีย  เพชรตัดสินใจขับรถเข้าตัวเมืองเพื่อไปรับคุณหมอ แพทย์ประจำตัวมาดูอาการของกันต์
 

                   ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเป็นห่วงคนๆนี้ทั้งๆที่เพิ่งได้พบกัน

 
                   แค่ก...แค่ก...
 

                   เสียงไอจากคนบนเตียงดึงสติของเพชรให้กลับมา  ชายหนุ่มหยิบผ้าที่โปะบนหัวของกันต์ออกมาชุบน้ำแล้วนำไปวางอีกรอบ
 
                   แพขนตาหนากระพริบปริบๆ ลิ้นสีสดส่งออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก
 
                   “ หิวน้ำหรือเปล่า ? ” เพชรถามเสียงเรียบ  คนป่วยพยักหน้าพลางยกมือขึ้นหยิบผ้าบนหัวตัวเองโยนทิ้งอย่างไม่ชอบใจ
 
 
                   เผี๊ยะ!!
 
                   ทันทีที่เพชรเห็นชายหนุ่มก็ฟาดมือลงบนมือนุ่มของกันต์ทันที  ก่อนจะก้มลงไปหยิบผ้าขึ้นมาชุบน้ำแล้วโปะลงไปใหม่
 
                   “ อย่าคิดจะหยิบออกอีก ไม่งั้นผมจะเอาที่ช๊อตยุงมาช๊อตมือคุณ ” ชายหนุ่มขู่คนป่วยที่นอนอ้าปากค้างบนเตียงก่อนจะประคองให้นั่งพิงหมอน  แก้วน้ำที่มีหลอดพร้อมถูกจ่อตรงปาก  กันต์ยื่นมือจะคว้าหากแต่เพชรกลับส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
 
                   “ ผมแค่ไม่สบายไม่ได้เป็นง่อย ”
 
    “ กินของที่ผมป้อนไม่ทำให้ศักดิ์ศรีคุณลดลงหรอก ” คนป่วยได้แต่หันหน้าไปทำปากขมุบขมิบอีกทางก่อนจะหันมางับหลอดน้ำอย่างไม่พอใจ เพราะดูดเร็วไปทำให้น้ำที่กินขึ้นจมูกจนสำลักน้ำจากในปากไหลออกมาเปื้อนมือคนป้อน  เพชรรีบลูบหลังคนป่วยที่สำลัก ไอจนตัวโยนก่อนจะเอาทิชชู่มาซับปากให้

                   “ เป็นยังไงบ้างคุณ  ค่อยๆกินสิ ” เหมือนจะเป็นคำดุ  แม้ใบหน้าจะนิ่ง  แต่สายตาที่มองมาที่กันต์ทำให้คนตัวเล็กเถียงไม่ออก  ได้แต่เบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนที่เพชรประคองตัวเองไว้
 
                   “ ขอบคุณ ”
 
                   “ ทานข้าวต้มเถอะจะได้ทานยา ” เพชรยกชามข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมจนคนป่วยกลืนน้ำลายลงคอดังดังเอื๊อกใหญ่ ชายหนุ่มคนข้าวต้มพลางเป่าควันอย่างอ้อยอิ่งราวกับจะแกล้งคนป่วยที่เมื่อวานบอกว่าจะลงมากิน
                   “ นี่คุณ!  จะเป่าจะข้าวมันงอกต้นหรือไง ” ในที่สุดคนที่นั่งท้องร้องจ๊อกๆก็อดทนไม่ไหวแขวะเจ้าของบ้านไปหนึ่งดอก  เพชรยิ้มที่มุมปากก่อนจะหันมาตีหน้าใสซื่อ
 
                   “ อ่าว.. คุณหิวหรอ  เมื่อคืนผมเดินผ่านห้องได้ยินคุณบอกว่าจะกินข้าวเช้าตอนเที่ยง  นี่เพิ่ง 10 โมงกว่าเองนะ เดี๋ยวผมเป่ายันเที่ยงเลยก็ได้ ” กันต์ได้แต่ทำตาโตอ้าปากค้าง
 
                   ไอ้บ้าเอ๊ย… แอบมาฟังเราคุยโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่
 
                   “ นี่คุณ... ”
 
                   “ หยุดเลย!  ห้ามกล่าวหาว่าผมแอบฟังคุณคุยโทรศัพท์เด็ดขาด  ผมแค่เดินผ่านจะกลับห้องแต่บังเอิญได้ยินคนบางคนกำลังนินทา  ผมเลยต้องฟังซักหน่อยเพื่อรักษาสิทธิ์ ”
 
                   “ เขาไม่ได้เรียกว่านินทา  เขาเรียกว่าเล่าสู่กันฟัง  แล้ววันนี้ผมจะได้กินข้าวมั้ยเนี่ย ? ” คนป่วยแก้เก้อด้วยการแหวใส่เจ้าของบ้ายที่ถือชามข้าวเดินร่อนไปร่อนมาราวกับจะกระจายกลิ่นอันหอมฟุ้งให้ทั่วห้อง
 
                   “ อ่ะ ” ชายหนุ่มยอมยื่นชามข้าวให้เพราะสงสารคนป่วยที่ทำปากเชิดใส่เขาอย่างหงุดหงิด
 
 
                   “ วันนี้ยอมให้ก่อน  ไม่อยากแกล้งคนป่วย ” ชายหนุ่มปิดประตูก่อนจะยกยิ้มอย่างชอบใจ

 
                   ไม่รู้เพราะถูกชะตาหรือถูกใจกันแน่  ทำให้ผู้ชายเงียบๆอย่างเขาอยากจะหาเรื่องแกล้ง หาเรื่องพูดคุยกับมนุษย์จอมดื้อที่นั่งซดข้าวต้มอย่างสบายอารมณ์คนนั้นเสียเหลือเกิน
 
 
 
 
                   TBC...
 
 
 
 ..............................

นายน้อยแห่งเรือนโบราณเจอกับคุณช่างจอมกวนอารมณ์แล้วนะคะ

ขอโทษสำหรับเสียงเรอ

พอดีที่บ้านไม่เคร่งเรื่องมารยาทน่ะค่ะ ฮิฮิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2019 16:07:28 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ทั้งหลอน ทั้งมุ้งมิ้ง น่ากลั่นแกล้ง โอ๊ย... กันต์น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Time of tears
Chapter 3

 
                        ร่างบางที่นั่งคลุมตัวด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ริมหน้าต่างเหม่อมองออกไปยังศาลากลางสระกว้าง  ดวงตาเรียวมองเพ่งไปยังจุดที่เห็นร่างคนสองคนนั่งสีซอกันเมื่อคืน  มือเรียวยกขึ้นนำบุหรี่ที่หมดไปกว่าครึ่งมวนขึ้นมาอัดควันราวกับใช้ความคิด
 
 
                        ทำไม...?
 
 
                        ทำไมตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้วเขารู้สึกเหมือนความฝันมันจะดำเนินเรื่องราวมากขึ้น  ภาพเหตุการณ์ต่างๆแจ่มชัดขึ้นจนเหมือนเป็นเรื่องจริง
 
 
                        หรือจะเป็นแบบที่วินท์พูดบ่อยๆว่าเขาระลึกชาติได้
 
 
                        แล้วทำไม  ในฝันของเขากลับไม่เคยได้เห็นหน้าของ  ‘ นายน้อย ’ คนนั้นเลย  ทำไมเขากลับได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้า  หรืออย่างเช่นเมื่อคืน เขาได้เห็นมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด
 
 
                        “ ก่อนตายเขาโดยทำร้ายเหรอ ? ”
 
 
                        “ ผมคิดว่าคนป่วยควรจะนอนพักอยู่บนเตียงมากกว่ามานั่งสูบบุหรี่ตากลมอยู่ที่ข้างหน้าต่างนี่นะครับ ”
 
 
                        เฮือก!!
 
 
                        อยู่ๆเสียงที่ดังข้างๆหูก็ทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์จนไม่ทันได้ระวังตัวและไม่ได้สังเกตว่าจะมีใครมาประชิดตัวขนาดนี้ ทำให้บุหรี่ในมือหลุดร่วงลงพื้น
 
 
                        พชรส่ายหน้าเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อยก่อนจะรีบก้มลงเก็บแล้วปล่อยลงในแอ่งน้ำที่ขังจากฝนจนไฟมอดดับ
 
 
                        “ ถ้าคุณไม่ระวัง  สูบบุหรี่ในสถานที่ที่เป็นไม้ 100% แบบนี้ ผมคิดว่าบางทีงานของคุณอาจจะจบโดยที่ยังไม่ทันเริ่ม  แล้วก็จะมีข่าวใหญ่โชว์หราที่หน้าหนังสือพิมพ์ว่า  เรือนโบราณที่กำลังจะถูกทำเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์วอดเพราะคุณช่างที่รับผิดชอบงานนี้สูบบุหรี่มวนเดียว ”
 
 
                        “ ผมไม่ได้ตั้งใจทำก้นบุหรี่หล่น  ถ้าคุณไม่เข้ามาแบบนี้มันก็ยังอยู่ในมือผม ” กันต์กกระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้นเมื่อลมเย็นพัดวูบเข้ามา
 
 
                        “ ให้ตายสิ คุณเป็นลูกหลานพระพายหรือไง มาแต่ละทีต้องหอบเอาลมเอาฝนมาด้วยตลอด ” อดค่อนขอดคนที่ยืนหลังตรงแหน่วยืนเอาสองมือล้วงๆเข้าไปในกระเป๋ากางเกงไม่ได้  กันต์เบะปากให้กับท่าทางราวพระเอกซีรี่ส์ของพชร
 
 
                        “ ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อกับคุณก็คือ คนป่วยควรนอนพักผ่อน ” พชรเชิดหน้าขึ้นสูงกว่าเดิมอีกนิดเมื่อรู้ตัวว่าโดนคนตัวเล็กกว่าค่อนขอด
 
 
                        “ ผมเป็นผู้ชายอดทนเข้มแข็งกว่าที่คุณคิดเยอะ ”
 
 
                        “ ผู้ชาย...อืม  เข้มแข็งมาก  ใครกันล่ะที่นอนเพ้อแทบไม่รู้สึกตัว ”
 
 
                        “ คนเราก็ป่วยกันบ้างอะไรบ้าง  ผมคงไม่อ่อนแอให้คุณเห็นบ่อยๆหรอก แล้วนี่ว่างเหรอครับ? เที่ยวมาวุ่นวายในห้องส่วนตัวคนอื่น  ผมว่านี่เวลาส่วนตัวนะครับ ” กันต์ขยับตัวเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงแทนที่จะนั่งแล้วเหมือนตกเป็นเบี้ยล่างให้กับคนที่ยืนวางมาดสง่าอยู่ริมหน้าต่าง
 
 
                        ความรู้สึกเหมือนตัวเองต่ำต้อยกว่าคนๆนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
 
 
                        รู้สึกอึดอัดที่ต้องทำตัวตีเสมอ
 
 
                        “ ผมแค่มาเตือนคุณว่าอย่าลืมออกไปทานข้าวตอนทุ่มนึงนะครับ ไม่ทราบว่าไหวมั้ย ? ”
 
 
                        “ ไหวสิ... พรุ่งนี้ผมเดินปรื๋อไปสำรวจบ้านคุณได้แล้วล่ะไม่ต้องห่วงครับ ขอบคุณ ” คนป่วยทำท่าอวดเก่ง จนเจ้าของบ้านยกยิ้มอย่างเอ็นดู
 
 
                        เขาเชื่อว่ากันต์ทำได้ตามที่พูดจริงๆ  ชายหนุ่มขยับตัวก่อนเอามือไพล่หลังทอดสายตาคมกดต่ำลงมามองคนที่นั่งปากซีด
 
 
                        มันแฝงทั้งอำนาจแต่เจือด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
 
 
                        “ งั้น 1 ทุ่มตรงเจอกันที่ห้องอาหารนะครับ ” กันต์ได้แต่พยักหน้ารับแกนๆ  ร่างสูงก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้อง  ทิ้งให้ร่างบางนั่งเซ็งกับบรรยากาศที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝน
 
 
                        ในที่สุดเมื่อไม่มีอะไรทำหลังจากพยายามโทรหาวินท์หลายรอบแต่กลับไม่มีสัญญาณ กันต์ก็วางโทรศัพท์ไว้บนหัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอนโดยไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนหกโมงเย็น  เพียงไม่นานหลังจากนอนฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคา เพราะฤทธิ์ยาทำให้หลับไปในที่สุด
 
 
 
เมื่อตะวันลับลา  ฟ้าก็หมองมืดหม่น
ทนเงียบเหงาอ้างว้าง
เมื่อเธอลาลับไกล  กลับอุ่นไอกับไม่สร่าง
ใจฉันค้าง.....เคียงเธอ
รู้หรือไม่ว่าภายในดวงตาสองนั่น
ฉันได้พบความอบอุ่นใจ
รู้หรือเปล่าว่าข้างในรอยยิ้มของเธอ
ฉันแอบเพ้อละเมอคร่ำครวญ
อิ่มอบอวลไอ
 
อยากจะบอกซักคำ  ฉันได้ถลำหัวใจ
ตกอยู่ในความรัก
เมื่อตะวันนิทรา  ฟ้าจะรอพบจันทร์
ฉันจะฝันถึงเธอ…
 

 
                        “ นี่จะนอนสันหลังยาวแบบนี้อีกนานมั้ยเจ้าเด็กเลว ? ”
 
 
                        ความเจ็บตามหลังและขา ทำให้เด็กน้อยที่นอนคุดคู้อยู่มุมห้องเก็บฟืนที่ถูกแบ่งให้เป็นห้องนอนต้องเด้งตัวขึ้นพลางใช้มือปัดไม้เรียวที่แม่บ้านชราฟาดลงมาอย่างไม่ออมแรง
 
 
                        “ โอ๊ย... ข้าเจ็บนะ ” เด็กน้อยคว้าปลายไม้เรียวได้ก็จัดการดึงยึดมาไว้ในมือก่อนจะยกเข้าตั้งฉาก  แล้วหักมันทิ้งเป็นสองท่อน  มือเล็กลูบไปตามแนวที่นูนขึ้นจากการถูกตี  ริมฝีปากสีสดก็สูดเข้าหากันราวกับมันจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการถูกตีได้
 
 
                        ถึงจะเป็นทาสที่ถูกซื้อมาจากตลาดค้าทาส
 
 
                        แต่กรรณก็มีชีวิตจิตใจนะ
 
 
                        ถึงจะเป็นเด็กก็มีความรู้สึกนะ
 
 
                        ดวงตากลมจ้องหญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่นน่ากลัวราวกับแม่มดนั้นด้วยความขุ่นเคือง
 
 
                        ฟ้าด้านนอกยังคงมืดอยู่  จะรีบเรียกทำไมกัน  กรรณรู้เพียงแต่ตัวเองยังง่วง  ร่างกายเหมือนยังนอนไม่เพียงพอ
 
 
                        ตอนที่นั่งขอทานอยู่กับพวกที่ตลาด  เขายังได้นอนมากกว่านี้เลย
 
 
                        “ หนอย... ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เป็นทาสเขา เป็นบ่าวเขา จะมานอนกินบ้านกินเมืองเป็นนายน้อยของบ้านอีกคนน่ะไม่ได้หรอกนะ โน่น... ออกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วขึ้นไปรับใช้นายน้อยได้แล้ว ” หญิงชราจัดการดึงหูของเด็กน้อย  ออกแรงดึงจนหูของร่างเล็กแทบจะหลุดติดมือมา ก่อนจะเหวี่ยงจนเด็กตัวผอมปลิวลงไปนั่งแหมะอยู่ข้างบ่อน้ำ
 
 
                        “ รีบๆอาบเข้า  เสื้อผ้าข้าเตรียมไว้ให้แล้ว  เดี๋ยววันนี้จะให้เจ้าไปนอนกับไอ้พลับมัน  อาบเสร็จแล้วตามมาที่เรือนริมสุดซ้ายมือนะ  ถ้าเจ้ามัวโอ้เอ้ข้าจะหยิกให้เนื้อหลุดเลย ” เด็กน้อยได้แต่เอี้ยวตัวหลบมืออูมที่ทำท่าจะฟาดลงมาเพื่อแสดงศักยภาพว่าตนสามารถฉีกเนื้อเด็กน้อยได้ตามที่ปากพูดจริงๆ  กรรณได้แต่พยักหน้าเออออไปเพื่อให้รอดจากกรงเล็บเพชฌฆาต  เด็กน้อยนั่งลงบนขั้นบันไดขั้นสุดท้ายใช้ขันตักน้ำขึ้นมาอาบ
 
 
                        กายเล็กสั่นริกยามน้ำที่เย็นจัดราวกับตักมาจากธารน้ำแข็งกระทบผิวกาย
 
 
                        ฟันขาวกระทบกันดังกึก  เด็กน้อยพยายามขัดตัวให้สะอาดที่สุดเพราะไม่อยากโดนตีโดนดุอีก  สองวันมานี้ที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เขาต้องเรียนรู้มารยาทมากมาย  รวมทั้งเรียนรู้ที่จะรักษาความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ
 
 
                        เมื่อวันก่อนยายแม่มดเอาไม้ตีมือเขาจนมือแทบหัก
 
 
                        “ ต๊ายนี้เล็บคนหรือเล็บหมา! ทำไมมันสกปรกอย่างนี้ จัดการตัดซะให้เรียบร้อยนะ ”
 
 
                        “ เสื้อผ้าของเอ็งที่ติดตัวมาน่ะเผาทิ้งได้เลย  แม้แต่เอาไปทำผ้าขี้ริ้วยังไม่คู่ควร เหม็นอย่างกับซากหมาเน่าแบบนี้ ใส่ไปได้ยังไง ”
 
 
                        “ ผมเผ้าเนี่ยทำไมมันกระเซอะกระเซิงแบบนี้  เจ้ารู้จักหวีมั้ย? เคยหยิบมาหวีผมบ้างมั้ย? ”
 
 
                        และอื่นๆอีกมากมายที่นางจะสรรหามาว่า  มากมายจนกรรณไม่รู้ว่าสมองเล็กๆของเด็กชายวัย 7 ขวบอย่างเขาจะจำมันได้หมดได้อย่างไร
 
 
                        อยู่ที่นี่ดีอย่างก็คือเขาไม่ต้องเร่ร่อน ไม่ต้องถูกใครต่อใครเอาไม้ไล่ตีหรือดุด่า  ไม่ต้องคอยวิ่งหนี ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
 
 
                        แต่....เขาจะต้องไร้อิสรภาพตลอดชีวิต
 
 
                        ในที่สุดหลังจากอาบน้ำแต่งตัวและโดนดุเรื่องความโอ้เอ้อีกพักใหญ่  กรรณก็เดินตามหญิงชราไปทางเรือนหลังใหญ่ที่ไม่ไกลที่มีสระกว้างมีศาลากลางน้ำตั้งตระหง่าน เด็กน้อยถือถาดใส่เสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอมโชยให้ได้ดมอย่างชื่นอกชื่นใจ
 
 
                        เสื้อผ้าที่ผ่านการซักรีดอบร่ำอย่างดี
 
 
                        “ เสื้อผ้านายน้อย ทุกวันเจ้าจะต้องเอามาให้นายน้อยเปลี่ยนตอนเช้ากับตอนเย็น ” นางสั่งสอนงานที่เด็กน้อยจะต้องทำมาตลอดทาง  กรรณพยายามจดจำรายละเอียดต่างๆให้มากที่สุด
 
 
                        ประตูที่ปิดสนิทถูกเคาะเบาๆ
 
 
                        “ เข้ามา ” เสียงเด็กผู้ชายที่เริ่มแตกหนุ่มเอ่ยอนุญาตเบาๆ  เมื่อกรรณเดินตามหญิงชราที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่า บนเตียงนอนมีร่างของเด็กผู้ชายที่ดูจะอายุมากกว่าตนราวๆ 3-4 ปีนั่งห้อยขาอยู่  ดูจากสีหน้าท่าทางจะตื่นมานานแล้ว มุ้งหลังบางถูกรวบชายมัดกับเสาทั้งสี่เป็นระเบียบเรียบร้อยแต่มะลิก็มิวายจะเดินไปตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้งตามนิสัยคนละเอียดลออ
 
 
                        “ วันนี้ช้านะ  ข้านึกว่าจะต้องอยู่ใส่ชุดนอนไปเรียนซะแล้ว ”
 
 
                        “ ขอประทานโทษเจ้าค่ะ บ่าวเพิ่งได้สอนงานบ่าวที่เพิ่งได้มาใหม่  ท่านเจ้าคุณให้ส่งมารับใช้นายน้อยเจ้าค่ะ ”
 
 
                        “ อืม  รีบเข้าเถอะ ถ้าข้าไปเรียนสายขรัวตาจะตำหนิเอาได้ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ ? ” นายน้อยเอ่ยถามเด็กน้อยที่ยื่นถาดเสื้อผ้าให้หญิงชรา  เด็กน้อยก้มหน้างุด ในใจเกิดความรู้สึกเกรงใจคนที่ส่งน้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตรมาให้ซะเฉยๆ  ทั้งๆที่อยู่ในตลาดกรรณคนนี้ไม่เคยเกรงกลัวใครซักคนแท้ๆ
 
                       
“ กะ...กรรณ  ข้าชื่อกรรณขอรับ ”
 
 
“ อืม... กรรณ....ข้าชื่อ...เพ....”
 
 
 
ติ๊ด....ติ๊ด...ติ๊ด...
 
 
“ อื้อ... ” เสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ เรียกให้คนที่หลับยาวตื่นขึ้นมา  กันต์จิ๊ปากอย่างขัดใจ
 
 
“ เพ...เพอะไรวะ ? ” กันต์ตวัดขาลงจากเตียงจัดการธุระส่วนตัวแล้วจึงเดินไปห้องอาหาร
 
 
“ เมื่อไหร่คุณจะไปกรุงเทพล่ะคะ  คุณพ่ออยากพบคุณค่ะ ”
 
 
กึก…!
 
 
                        ร่างบางหยุดเท้าไว้ที่หน้าประตู  ภายในห้องอาหารที่มีแสงสว่างเพียงแค่ตะเกียงและเทียนไม่กี่ดวง  กับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินไปกอดเอวสอบจากทางด้านหลัง  ทำให้ขาของกันต์หยุดนิ่งราวกับถูกตรึงด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่มองไม่เห็น
 
 
                                    ความรู้สึกเกรงใจเกิดขึ้น
 
 
                                    ท่าทางที่ดูก็รู้ว่าคงเป็นคนรักกัน
 
 
                                    กันต์ทำท่าจะถอยกลับ  ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า  หากแต่เจ้าของบ้านกลับหันตัวเองแกะแขนของหญิงสาวออก  พชรเลิกคิ้วสูงทันทีที่เห็นร่างของคนป่วยทำท่าเงอะๆงะๆ
 
 
                        “ มาแล้วเหรอครับ ? ” ชายหนุ่มส่งเสียงถามแววตาพราวระยับราวกับเก็บดวงดาวนับล้านอยู่ในนั้น  กันต์ได้แต่ส่งยิ้มรับ  ขณะเดียวกันกับหญิงสาวที่ถูกปฏิเสธด้วยท่าทีนุ่มนวลหันกลับมามองบุคคลที่สาม
 
 
                                    ควับ
 
 
                                    เฮือก!!!
 
 
            กันต์สะดุ้งตัวเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่มีใบหน้าสวยดวงตากลมดุดันคนนั้น หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงในสวนเมื่อคืน
 
 
                        เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่จากชุดแซกสีดำเว้าลึกเห็นร่องออกถูกภาพในอดีตซ้อนทับเป็นหญิงสาวในชุดไทยโบราณ  ชายหนุ่มถอยไปข้างหลังด้วยความตกใจจนชนกับโต๊ะที่วางแจกันดอกไม้ใบใหญ่ด้านนอก  แรงชนทำให้แจกันโอนเอนไปมาก่อนจะตกลงมากระทบพื้นแตกกระจาย  เศษกระเบื้องกระเด็นมาบาดข้อเท้าจนเลือดไหล
 
 
                        “ โอ้ย ”
 
 
                        “ ตายแล้ว ”  มัลลิกาปิดปากร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นผู้ชายแปลกหน้าทรุดตัวลงไปใช้มือกุมข้อเท้า  พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวพรวดๆเพียงไม่กี่ก้าวก็ประชิดตัวกันต์  ผ้าเช็ดหน้าถูกดึงออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วซับเลือดที่ข้อเท้าทันที
 
 
                        “ ไม่... ไม่เป็นไรครับ ” กันต์หดขาหนีอย่างเกรงใจ  มือแกร่งที่ประคองข้อเท้าของตัวเองกระชับแน่นเป็นเชิงบังคับให้เขานั่งนิ่งๆพลางขมวดปมผ้าให้แน่น
 
 
                        “ ลุกไหวมั้ยครับ ? ดีที่แผลไม่ลึก  เดี๋ยวใส่ยาทำแผลก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ” พชรประคองกันต์ให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะเรียกแม่บ้านให้มาเก็บกวาดเศษแจกัน
 
 
                        “ ต้องขอโทษคุณด้วยที่ซุ่มซ่ามทำข้าวของคุณเสียหาย  ผมจะชดใช้ให้นะครับ ”
 
 
                        “ ไม่เป็นไรครับ  พอดีผมว่าจะเปลี่ยนใบใหม่พอดี ”
 
 
                        “ อ่ะอื้ม... ” เสียงกระแอมไอของมัลลิกาทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันกลับไปมอง  กันต์ขยับเข้าไปใกล้พชรทันทีราวกับจะให้ร่างสูงของชายหนุ่มช่วยบดบังความกลัวของตนเอง
 
 
                        ไม่รู้ทำไมเขาถึงกลัวผู้หญิงคนนี้  คนที่มีดวงตาแสนดุ
 
                        “ อ่อ จัส นี่คุณกันต์เป็นมัณฑนากรที่รับชอบโครงการ  กันต์ครับนี่จัสมิน ‘ เพื่อน ’ของผม ” พชรพากันต์มายืนเผชิญหน้ากับหญิงสาว  ชายหนุ่มรับรู้ถึงการเบียดกายเข้าหาแผ่นหลัง  มือที่จิกท่อนแขนเขาอย่างลืมตัว  เนื้อตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนกตัวน้อยที่กำลังเผชิญกับลมฝน  ในขณะที่มัลลิกากลับส่งยิ้มที่ดูเหมือนนางพญามาให้พร้อมกับยื่นมือตรงหน้า
 
 
 
                        “ สวัสดีค่ะ  ฉันมัลลิกา  เรียกว่าจัสก็ได้นะคะ ” กันต์กระพริบตาปริบๆขับไล่ความรู้สึกกลัวที่เกาะจิตใจออก
 
                        เขาไม่เคยกลัวใคร
 
                        แล้วเป็นบ้าอะไรถึงมากลัวผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียวด้วย
 
 
                        ร่างบางขยับออกจากด้านหลังของเจ้าของบ้านมายืนเผชิญหน้ากับมัลลิกาก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสกับหญิงสาว
 
 
                        ราวกับมีประจุไฟฟ้าแล่นจากปลายนิ้วของกันและกัน
 
 
                        “ ผมกรกันต์ครับ ”
 
 
                        “ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ  ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า ? ” มัลลิกาจ้องหน้าของกันต์ไม่วางตา  ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเคยเห็นชายหนุ่มจากไหนซักแห่ง ทำให้เอ่ยปากออกไปอย่างสงสัย  กันต์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
 
 
                        “ ไม่เคยหรอกครับ อาจจะเป็นพวกหน้าโหลน่ะครับ ” กันต์ดึงมือออกจากหญิงสาวเมื่อแม่บ้านเริ่มทยอยเอาอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะ  กลิ่นหอมที่โชยมาทำให้คนป่วยที่เพิ่งได้แผลเดินกระเผลกๆนำไปที่โต๊ะโดยไม่รอเจ้าของบ้าน
 
 
                        “ ผมหิวจนแทบกินช้างได้ทั้งโขลง ” กันต์หยิบช้อนส้อมเตรียมพร้อมในขณะที่พชรเดินตามไปนั่งใกล้ๆโดยลืมหญิงสาวไว้ด้านหลัง  สบันงาเบะปากอย่างไม่ชอบใจก่อนจะเดินตามไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับกันต์
 
 
                        หล่อนไม่ชอบที่จะเป็นคนถูกลืม...
 
 
                        ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  มีผู้คนมากมายเท่าไหร่  หล่อนจะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ
 
 
                        แต่ทำไมตอนนี้ ขณะนี้หล่อนกลับรู้สึกไร้ตัวตนต้องแสร้งหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ



 
 
 ((ต่อข้างล่าง))
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2019 00:45:54 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

 
 
                        “ คุณช่างคะ ” แม่บ้านชราวางแก้วนมอุ่นให้กับร่างเล็กที่นั่งพาดเท้ากับเก้าอี้อีกตัวตรงข้อเท้าแปะพลาสเตอร์สีสันแสบทรวงที่เจ้าตัวมักพกติดกระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยประจำเพราะนิสัยเดิมเป็นคนซุ่มซ่ามอยู่แล้ว  ในมือมีดินสอที่เจ้าตัวขีดๆเขียนๆลงบนกระดาษ  กันต์หดเท้าลงกับพื้นก่อนจะนั่งให้เรียบร้อยมากขึ้น
 
 
                        “ มีอะไรครับ ? ”
 
 
                        “ นายน้อยให้มาเรียนว่า อย่าลืมทานยาให้ครบด้วยนะคะ ” กันต์กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ
 
 
                        “ นี่ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่บ้านยังโทรมาสั่งเหรอครับ ? ” อดที่จะไม่เอ่ยแซวไม่ได้หลังจากเย็นวันนั้น  พอรุ่งขึ้นผู้หญิงที่ชื่อมัลลืกาก็คาบคุณพชรเจ้านายจำเป็นของเขาขึ้นรถไปด้วยจนได้
 
 
                        “ โธ่ เพชรคะ จีสเป็นผู้หญิงนะคะใจคอคุณจะให้จีสขับรถกลับกรุงเทพคนเดียวตั้งสองสามร้อยกิโลเลยหรอคะ ? ”
 
 
                        เออนะ... ตอนถ่อมาล่ะมาคนเดียวได้ พอจะกลับดันกลับคนเดียวไม่ได้ซะอย่างนั้น
 
 
                        แล้วนี่จะไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะเนี่ย
 
 
                        เอ้อ...ทำงานไปสิ  บ้าไปแล้วรึไง ” กันต์ได้แต่ใช้ฝ่ามือทุบหัวตัวเองเบาๆ มือเรียวเริ่มทำงานอีกครั้งท่ามกลางฝนที่ลงเม็ดไม่ขาดสาย  ลมเย็นพัดเข้ามาเรื่อยๆ  เปลือกตาก็รู้สึกหนักอึ้งจนในที่สุดร่างเล็กก็แนบแก้มไปกับต้นแขนที่วางพาดยาวกับโต๊ะ  ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวตามกระแสลมกังสดาลส่งเสียงแหลมใสยามที่กระทบกับลมราวเสียงดนตรีที่ขับกล่อม
 
 
                        “ นี่... กรรณ... ”
 
 
                   “ ขอรับ นายน้อย ”
 
 
                   “ ตื่นได้แล้วไม่กลับเรือนหรือไง ? ”
 
 
                        กรรณกระพริบขับไล่ความง่วงงัน  เขามานั่งรอนายน้อยเรียนหนังสือ ที่นี่มีแต่ลูกผู้ดี  ลูกขุนนางจากตระกูลสูงๆ รวมทั้งเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์  เด็กน้อยมักอาศัยตีนบันไดเป็นที่อยู่รอในขณะที่บ่าวของคนอื่นๆจะใช้เวลาช่วงนี้นอนพักหรือเที่ยวเล่นใกล้ๆกัน
 
 
                        กรรณปัดฝุ่นตามโจงกระเบนก่อนจะยื่นมือไปรับห่อตำราของนายน้อย
 
 
                        “ ไม่ต้องหรอก ให้เมฆถือเถอะ เจ้าตัวเล็กนิดเดียวเดินตามข้ามาก็พอ ” นายน้อยหันไปยื่นห่อผ้าให้กับผู้ดูแลอีกคน  เมฆรับห่อผ้าไปถือไว้พลางรอให้ผู้เป็นนายเดินนำไปก่อน  นายน้อยเดินนำทั้งคู่เข้ามาในตลาด บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างส่งเสียงร้องเรียกลูกค้ากันเป็นที่สนุกสนาน  กันต์มองสถานที่ๆตนเคยวิ่งเล่นเคยใช้ชีวิตด้วยความคิดถึง
 
 
                        “ นายน้อยๆ ” มือเล็กดึงชายเสื้อผู้เป็นนายไว้จนนายน้อยต้องหยุดเดินหันไปถามด้วยความแปลกใจ
 
 
                        “ กระไรกันรึเจ้า ? ”
 
 
                        “ ถ้าอยากได้เงินต้องทำงานใช่มั้ยขอรับ ? ” ดวงตากลมจ้องผู้เป็นนายด้วยสายตามีความหมาย  นายน้อยส่งยิ้มเอ็นดูเด็กที่เล็กกว่าตนเอง
 
 
                        “ ใช่สิ ถ้าอยากมีเงินก็ต้องทำงาน ”
 
 
                        “ แต่ข้าทำงานให้พวกท่านแล้วข้าก็ยังไม่มีเงินอยู่ดี ... โอ้ย!  พี่เมฆตีข้าทำไม ” เด็กน้อยหันไปแหวใส่ผู้ดูแลนายน้อยที่ใช้ห่อตำราตีลงมาที่ตัวตนจนเซ
 
 
                        “ เจ้าจะได้เงินได้อย่างไรเล่าเด็กโง่  เจ้าถูกขายมา ”
 
 
                        “ ก็นั่นแหละ  ต่อให้ข้าทำงานจนหัวหงอกก็ไม่ได้เงินอยู่ดี  แล้วอะไรคือการที่นายน้อยบอกว่าทำงานแล้วถึงจะได้เงินล่ะ ”
 
 
                        “ เจ้าจะเอาเงินไปซื้ออะไรบอกข้าซิ ” นายน้อยวางมือลงบนศีรษะของกรรณก่อนจะย่อตัวลงนั่งจนความสูงอยู่ในระดับเดียวกัน
 
 
                        “ ข้า... ข้า... ”
 
 
                        “ หืม? ว่ายังไง ”
 
 
                        “ ข้าอยากซื้อขนมไปฝากพวกเพื่อนๆของข้า ” เด็กน้อยก้มหน้าพูดอย่างเบาๆจนไม่ได้ยิน  แต่นายน้อยกลับส่งเสียงหัวเราะ
 
 
                        “ อยากซื้ออะไรล่ะ ”  เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างใจดีเป็นผลให้เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นยิ้มประจบอย่างดีใจทันที
 
 
                        “ นายน้อยว่ายังไงนะขอรับ ? ”
 
 
                        “ ข้าถามว่าเจ้าอยากซื้ออะไรล่ะ ข้าจะซื้อให้ ”
 
 
                        “ นายน้อยขอรับ ข้าว่า... ” เมฆขยับจะทักท้วงแต่นายน้อยกลับฉวยมือเล็กพาจูงเดินนำไปโดยไม่รออีกคนที่ส่ายหน้าอย่างระอา
 
 
                        ตามใจกันเกินไปหรือเปล่า ?
 
 
 
                       
                        เสียงร้องไห้กระจองอแงของเหล่าเด็กๆที่สวมใส่เสื้อผ้าสกปรก  ไม่ต่างจากกรรณตอนที่ก้าวเข้าไปในเรือนของท่านเจ้าพระยาในวันแรก  ในมือของเด็กแต่ละคนมีขนมถืออยู่  อาหารหลายชนิดถูกแบ่งกันไปโดยที่เด็กวัย 7 ขวบที่เป็นคนขนมาให้ใช้หลังมือปาดน้ำตาป้อยๆ
 
 
                        “ลำเจียกเจ้าต้องระวังตัวให้ดีนะ  ฮึก... อย่าให้นังอ้วนใจยักษ์จับเจ้าไปขายได้ ไอ้จ้อย ขาเจ้าเป็นยังไงบ้าง  นายน้อยของข้าออกเงินซื้อยามาให้เจ้าอย่าลืมต้มกินนะ ” เด็กชายเอาห่อยามอบให้เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับขาที่ใช้ผ้าพันเท้าไว้
 
 
                        มันสกปรกจนนายน้อยนึกเวทนา
 
 
                        “ ขาเจ้าไปโดนอะไรมา ”
 
 
                        “ ข้า... ข้าวิ่งหนียัยหวังใจร้ายวันที่มันส่งคนมาไล่จับพวกเราไปขาย  แล้วเตะกันไม้ที่หักเข้าขอรับ ”
 
 
                        “ ถ้าเจ้าไม่รักษาความสะอาดแผลสกปรกเจ้าอาจจะเป็นบาดทะยัก อาจจะต้องตัดขาทิ้งหรืออาจจะตายได้นะ ” ไอ้จ้อยองหน้านายน้อยตาโตด้วยความตกใจ
 
 
                        “ ต่ะ... ตายเหรอ  นายน้อยข้ายังไม่อยากตาย ฮือ... ”
 
 
                        “ นายน้อยท่านจะหลอกให้เพื่อนข้ากลัวทำไม ” กรรณลุกขึ้นยืนต่อว่าผู้เป็นนายอย่างลืมตัว  เมฆถลึงตาใส่จนเด็กน้อยย่นคอด้วยความกลัว
 
 
                        “ ข่ะ.. ข้า ... ข้าขอโทษ ก็ท่านทำเพื่อนข้ากลัว ”
 
 
                        “ กรรณฟังข้า  ข้าไม่ได้แกล้งพูดให้เพื่อนของเจ้ากลัว  ข้าพูดเพื่อให้เขาดูแลรักษาแผลของตัวเองให้สะอาดเพราะไม่อย่างนั้น เขาอาจจะต้องตัดขาทิ้งหรือแผลติดเชื้ออาจจะตายได้  นี่ก็เย็นมากแล้วลาเพื่อนๆของเจ้าซะ ” กรรณเช็ดน้ำตาพลางหันไปล่ำลากับเพื่อนๆ
 
 
                        “ ข้าไปแล้วนะ  ของกินดีๆแอบเก็บไว้อย่าให้ไอ้เบิ้มเห็นเชียวนะ  เดี๋ยวมันแย่งกินหมด ” เด็กน้อยโบกมือลาเพื่อนๆ ก่อนจะเดินตามนายน้อยของตนไป
 
 
                        “ เจ้าตัวเล็ก... ข้าจะบอกอะไรให้นะ  อย่าอ้อนเอานู่นเอานี่จากนายน้อยให้มันมากนัก  ถ้าคุณหญิงท่านทราบเจ้าจะโดนทำโทษ  นางไม่ชอบให้ขี้ข้าทำตัวตีเสมอนาย ”  เมฆที่จับไหล่เล็กของกรรณกระซิบบอกกับเด็กน้อยเสียงเบา
 
 
                        “ ข้าไม่ได้อ้อน ... ”
 
 
                        “ กรรณ... ”
 
 
 
                        Rrrrrr…
 
 
                        “ อืม .... ” ร่างบางสะดุ้งตื่นเมื่อโทรศัพท์มือถือของจนแผดเสียงปลุกให้คนตัวเล็กตื่นขึ้น  มองดูเบอร์ที่ไม่คุ้นชินก่อนจะกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป
 
 
                        “ ครับ... ”
 
 
                        “ หลับอยู่หรอครับ ? ” เสียงทุ้มปลายสายกลั้วหัวเราะถามกลับมา  กันต์แยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ทันที่ที่ได้ยินเสียง
 
 
                        “ เอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ย ? ” เลี่ยงที่จะไม่ตอบที่แลดูเหมือนตัวเองเป็นคนขี้เกียจจึงแสร้งไปถามเรื่องอื่นแทน
 
 
                        “ ตอนคุณไม่สบาย  ผมเอาเบอร์คุณโทรเข้าเครื่องผมน่ะ ”
 
 
                        “ ไม่มีมารยาทนะครับ ”
 
 
                        “ ไม่เป็นไรครับ  พอดีช่วงนี้ที่บ้านผมเริ่มหย่อนๆเรื่องมารยาทลงนิดหน่อยแล้ว ”
 
 
                        “ นี่คุณกวนผมเหรอครับ ? ” กันต์สวนกลับไปทันทีเมื่อรู้สึกว่าคนตัวสูงที่มักทำหน้าเรียบ ขรึมตลอดเวลากำลังตีรวนตน  เสียงทางนู้นหัวเราะกลับมาเบาๆ
 
 
                        “ ใครจะกล้ากวนคุณช่างล่ะครับ ไม่กล้าหรอกครับ ”
 
 
                        “ แล้วนี่คุณโทรมาทำไม ? ” กันต์เตาะลิ้นเล่นพลางยกเท้าพาดเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ
 
 
                        “ คุณทานข้าวหรือยัง ? ”
 
 
                        “ อะไรของคุณ ?? ... โทรมาผมนึกว่าจะถามเรื่องงาน คุณถามแค่เนี๊ยะ ?? ”
 
 
                        มันดูเหมือนเขาถูกเอาใจใส่...
 
 
                        “ แล้วนี่คุณทานข้าวหรือยัง ? ” กันต์เหน็บโทรศัพท์ไว้กับไหล่  สองมือเก็บกวาดแผ่นกระดาษ  ดินสอ  ยางลบลงกระเป๋าก่อนจะเดินกลับห้อง  เสียงทุ้มปลายสายถามตอบกลับไปกลับมา  จากที่ว่าคุยแป๊บเดียวก็จะวาง  ก็กลายเป็นว่าคนตัวเล็กเปลี่ยนจากถือโทรศัพท์คุยเป็นเสียบสมอลทอล์คพลางชาร์จแบตเสร็จสรรพ    บางครั้งก็คุยกันด้วยเรื่องงาน  บางครั้งก็คุยกันเรื่องทั่วไป  บางครั้งคนตัวโตกว่าก็กวนประสาทกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม  บางครั้งก็พอใจที่โดนดักทาง  กันต์ก็ขู่ว่าจะวางสายสุดท้ายก็ไม่ได้วางซักทีจนกระทั่ง...
 
 
                        “ ผมถึงหน้าเรือนแล้วนะครับ  หิวจังคุณช่วยไปบอกมะลิให้เตรียมอาหารให้ผมทีได้มั้ยครับ ? ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆเป็นเชิงขอร้อง  กันต์เหลือบมองนาฬิกามันห้าทุ่มกว่าแล้ว
 
 
                        “ คุณ นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะ  ผมเกรงใจคุณแม่บ้าน  ป่านนี้คงหลับไปแล้ว ”
 
 
                        “ แต่ผมหิวมากเลยนะ  ตั้งแต่เที่ยงผมยังไม่ได้กินอะไรเลยคุยงานทั้งวัน ”
 
 
                        “ อือ... งั้นไปรอที่ห้องอาหารแล้วกัน ”
 
 
                        “ ผมขอไปรอที่ศาลากลางน้ำได้มั้ย ? ” เจ้าของบ้านต่อรอง  เสียงกุกกักที่ได้ยินคงเป็นเพราะเจ้าตัวหิ้วถุงของหรืออะไรซักอย่างแน่ๆ
 
 
                        “ อือ ตามใจ คืออาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนก็ได้นะ ”
 
 
                        “ โอเคครับ ”
 
 
                        “ งั้นผมวางนะ  เมื่อยจะตายแล้วเนี่ย  โหย.. คุยไรตั้งสามสี่ชั่วโมง ” กันต์ทำเสียงเหมือนชายหนุ่มสร้างภาระให้กับตัวเอง ทำเป็นบ่นแก้เขินนิดหนึ่งที่ตัวเองก็บ้าจี้คุยกับเขาได้ตั้งแต่กรุงเทพจนถึงเรือนนี้
 
 
                        “ เอาไงดีล่ะ ป่านนี้ป้ามะลิหลับไปแล้วแหละใครจะกล้าเรียก  ตัวเองเป็นเจ้าของบ้านแทนที่จะเรียกเองเนอะ ” กันต์เดินบ่นไปตามทางก่อนจะเลี้ยวเข้าครัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
 
 
                        “ เอาเหอะ กินกันตายนะคุณ ” กันต์เปิดตู้เย็น  มันมีอาหารสดมากมายแต่ยังไม่มีอาหารสำเร็จรูปเลย  คนตัวเล็กเขย่งดูตู้ชั้นบนเห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่สองสามห่อ
 
 
                        “ บราโว่... รอดตายแล้วแหล่ะคุณ ” กันต์ติดแก๊สเอาหม้อน้ำขึ้นตั้งก่อนจะแกะซองบะหมี่แล้วเทลงในน้ำที่กำลังเดือด
 
 
                        “ ผักเยอะนะ  ใส่หน่อยแล้วกันเพื่อเสริมเกลือแร่ ” กันต์เด็ดผักสารพัดชนิดใส่ลงไป
 
 
                        “ ทำไมหน้าซองสีมันสวยแบบนี้ล่ะ  ในหม้อนี่สีอย่างจืด  ปรุงรสหน่อยแล้วกัน ” กันต์หยิบสารพัดเครื่องปรุงมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเทพริกป่น  น้ำตาล น้ำส้มสายชู แล้วปรบมือให้กับผลงานตัวเอง
 
 
                        “ เพิ่มโปรตีนหน่อยล่ะกัน  ขับรถกลับมาดึกๆ ” กันต์เปิดตู้เย็นหยิบไข่ไก่มาก่อนจะตอกโปะลงไปในชามบะหมี่แล้วยืนดูผลงานของตัวเองอย่างปลาบปลื้ม
 
 
                        “ อยากเข้าครัวมานานแล้ว  แต่ไอ้วินมันชอบสกัดดาวรุ่ง  คุณนี่มีบุญนะได้กินฝีมือผมเป็นคนที่สอง ” กันต์จัดการหยิบตะเกียบกับช้อนเตรียมจะยกไปเสิร์ฟ แต่ก็หยุดฉุกคิด
 
 
                        “ เอ... รสชาติจะเป็นยังไงหว่า ต้องชิมมั้ย ? ” ร่างเล็กหยิบช้อนทำท่าจะชิมหากแต่เสี้ยววินาทีก็วางลงแล้วยักไหล่
 
 
                        “เชฟที่มั่นใจในฝีมือตัวเองไม่จำเป็นต้องชิมให้เสียเครดิต ”
 
 
                       
 
“ อ้าว ... ทำไมยกมาเองล่ะครับ แม่บ้านไปไหนหมด ” พชรลุกขึ้นรับถาดอาหารที่มีพร้อมทั้งชามที่ปิดฝามาอย่างดีและน้ำเย็นที่รินใส่แล้วมาอย่างเตรียมพร้อม
 
 
                        “ มันดึกแล้วนะคุณ  ป้ามะลิแกหลับแล้ว คนอื่นๆผมก็ไม่กล้ารบกวนหรอก กินบะหมี่ไปก่อนแล้วกันนะ ” กันต์เปิดฝาชามตรงหน้าชายหนุ่ม เขามองไข่ดิบที่โปะหน้าพลางกลืนน้ำลายเอื๊อก
 
 
                        “ ไข่ ? ”
 
 
                        “ อ่อ  เพิ่มโปรตีน ผมทำเองเลยนะ  บุญของคุณนะเนี่ยที่ได้กินอาหารฝีมือผม ” กันต์ยัดตะเกียบใส่มือชายหนุ่มพลางนั่งจ้องหน้าพชรเป็นการกดดัน
 
 
                        จงกิน...
 
 
                        จงกิน......
 
                       
                        จงกิน............
 
 
                        “ กินดิ่... มานี่ผมคนให้  ถ้าคุณกลัวไข่มันไม่สุกก็คนให้มันแตกผสมกับน้ำแบบนี้ ” กันต์จัดการคลุกไข่ลงไปในน้ำซุปที่ร้อนจัดพลางเลื่อนถ้วยบะหมี่ให้เจ้าของบ้านที่นั่งทำหน้าเหวออีกครั้ง
 
 
                        ตีไข่ให้แตกขนาดนั้นมันไม่คาวเหรอ ?
 
 
                        เอาวะ...ไหนๆก็ตั้งใจทำให้ทั้งที
 
 
                        ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุปเข้าปากก่อนในขณะที่คนทำได้แต่นั่งมองอย่างลุ้นๆ
 
 
                        “ ................ ” เพียงรสชาติของน้ำซุปแตะปลายลิ้นชายหนุ่มก็รับรู้ถึงความรู้สึกขนพองสยองเกล้าทันที  เพราะมันทั้งเปรี้ยว ทั้งเผ็ด ทั้งเค็มตีกันตั้งแต่ปลายลิ้นจนถึงโคน
 
 
                        “ ไงคุณ.... อร่อยมั้ย ? ”
 
 
                        “ ไม่เคยกินบะหมี่อร่อยแบบนี้ที่ไหนในโลกเลย  อร่อยจนลืมไม่ลง ” ชายหนุ่มกลั้นใจชมเพราะถ้าบอกไม่อร่อย ด้วยนิสัยของคนตรงหน้าที่สัมผัสมาหลายวันก็พอจะเดาออกว่า ชามบะหมี่ที่เจ้าตัวตั้งใจครีเอทมาอย่างดีอาจได้ลอยตุ๊บป่องในสระน้ำเป็นแน่  กันต์ปรบมืออย่างดีใจ  เสียงหัวเราะใสดังกังวานราวกับกังสดาลต้องลม
 
 
                        “ โห่ .... นึกแล้วว่าต้องอร่อย  คุณกินให้หมดนะ ไม่อิ่มก็บอกเดี๋ยวไปทำให้ใหม่  เนี่ยถ้าไม่โดนเพื่อนห้ามเข้าครัวนะ  ผมคงทำอาหารได้มากกว่านี้ อ๊อออ ผมทอดไข่เป็นด้วยนะ แต่มันไหม้ผมเลยทำบะหมี่ดีกว่า ชัวร์กว่า ” พชรได้แต่ยิ้มตามกับท่าทางลืมตัวพูดเจื้อยแจ้วของกันต์  พอคนตัวเล็กหันมามองก็คีบเส้นบะหมี่เข้าปากซักครั้ง  พอคนตัวเล็กหันหลังพูดถึงเรื่องของตัวเองพชรก็ขอโทษปลาในสระ  แอบเทเส้นบะหมี่ทิ้งลงในบ่อจนหมดชาม
 
 
                        “ โห..... กินหมดเกลี้ยงเลย  อิ่มมั้ยคุณ? ผมทำเพิ่มให้มั้ย ? ” กันต์เห็นชามเปล่าก็เอ่ยถามอย่างดีใจระคนปลาบปลื้ม
 
 
                        “ พอแล้วครับ  อิ่มแล้ว  ผมว่าดึกแล้วคุณกลับไปพักเถอะครับ  แล้วก็ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ อร่อยจนลืมไม่ลงเลย ”
 
 
                        “ ไม่เป็นไร งั้นผมไปนอนก่อนนะครับ ” กันต์ขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยลาไปนอน
 
 
                        “ กันต์ครับ ...... ” แต่ในขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะก้าวจากไป  ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเรียกเขาไว้ก่อน
 
 
                        “ ฮะ ?? .... ” กันต์หันมาทำตาแป๋วใส่
 
 
                        “ ฝันดีนะครับ ... ” ชายหนุ่มส่งยิ้มพร้อมสายตาพราวระยับให้จนคนตัวเล็กยกมือลูบต้นแขนแก้เก้อกับความรู้สึกแปลกๆจนทำให้รู้สึกจั๊กจี้รอบสะดือ
 
 
                        “ เอ่อ .... ฝันดีครับ... ฮ๊าวววว ..... ง่วงแล้ว  ผมไปนอนจริงๆล่ะ  คุณก็รีบกลับห้องนะ  นั่งนานยุงหามไปกินอย่าหาว่าผมไม่เตือน ”
 
 
 
 
TBC………
 
 
 
 
…………………………
 
ไว้อาลัยให้กับปลาในบ่อด้วยการสงบนิ่ง 3 นาที
 
#เหมือนเราจะเคยรักกัน
 
                       
 
 
 
 
 
                       
 
 
     
 
 
 
 
                       
 


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อะไรเนี่ย มีแอบอ้อนกันด้วย กรรณรู้ตัวหรือเปล่านะ
 :really2: :really2:

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เล็งที่อินังชะนีแล้วเผามานกันค่ะทุกคนน  :angry2:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Time to tears
Chapter 4



                   “ พรุ่งนี้ผมจะเริ่มสำรวจรอบบ้านแบบจริงๆจังๆซักทีนะครับ  สองวันมานี่ฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว  น่าจะได้งานคืบหน้าขึ้นมาบ้าง  นั่งๆนอนๆหลายวันตัวขี้เกียจจะเกาะเอา ” กันต์บอกกับเจ้าของบ้านในขณะที่นั่งกินน้ำชาตอนบ่ายที่เจ้าตัวแอบค่อนขอดในใจหลายครั้งว่าทำตัวเหมือนพวกผู้ดีอังกฤษ  แต่พอกินบ่อยๆเข้าก็ชักจะติดเพราะมีทั้งชาหอมๆที่กินแล้วรู้สึกสดชื่นกับขนมสารพัดอย่างที่มะลิจะนำมาเสิร์ฟ  แต่ส่วนมากจะเป็นเขาที่กินอยู่คนเดียวในขณะที่เพชรมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ  เช่นเดียวกับในตอนนี้ชายหนุ่มละสายตาจากหนังสือแล้วมองมาที่ใบหน้าของกันต์แทน

 
                        “ ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องรีบ ”

 
                        “ ผมมาทำงานนะคุ๊ณ... ไม่ได้มาพักร้อน  มาแล้วไม่ได้งานถ้าเจ้านายผมโทรมาเช็คแล้วจะให้ผมตอบว่าไง อ่อ พอดีผมมัวแต่นั่งจิบชายามบ่ายอยู่ครับเลยยังไม่ได้เริ่มอะไรเลยนอกจากสเกตแบบคร่าวๆไว้  แบบนี้หรอครับ ? ” คนตัวเล็กอดแขวะเจ้าของบ้านที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ใกล้ๆไม่ได้  ในขณะที่เจ้าของบ้านหนุ่มได้แต่หัวเราะเบาๆในลำคอ  หนังสือเล่มหนาถูกวางลงบนโต๊ะก่อนที่มือเรียวจะหยิบที่คีบๆน้ำตาลก้อนลงในแก้วของกันต์แล้วเทชาราคาแพงที่ชายหนุ่มหอบหิ้วมาจากเมืองนอกลงไป


                        “ นี่คุณ ... ” กันต์เอ่ยเรียกชายหนุ่มเบาๆ


                        “ หืม ? ”


                        “ จะมอมชาจนผมท้องผูกเลยหรือไง ? ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเมื่อโดนคนตัวเล็กแขวะอีกรอบ



                        “ ผมเห็นคุณก็ซดเอา ซดเอา ไม่เห็นคุณปฏิเสธ ”


                        “ ผมแค่เกรงใจคุณเห็นเทจัง  ถ้าน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นผมคงท้องผูกตายล่ะ ” กันต์ใช้ช้อนคันเล็กคนน้ำตาลในแก้วให้ละลายก่อนจะยกชาขึ้นจิบ  พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ  เขาชอบบรรยากาศของบ้านหลังนี้

 
                        ความโบราณที่ทรงคุณค่า  ไม้ทุกแผ่น  เสาทุกต้นดูมีประวัติที่น่าค้นหา  ฉลุไม้ที่ทำเป็นกรอบประตูดูอ่อนช้อย
 
                        “ ผมว่าบ้านหลังนี้มันดูผสมผสานยังไงไม่รู้เหมือนมีกลิ่นอายของจีนปนๆมาด้วย ”
 

                        “ จริงๆบรรพบุรษของผมเป็นคนจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่เมื่อสองสามร้อยกว่าปีก่อน  เหมือนที่ทราบๆกันมาว่าเมื่อก่อนคนจีนเข้ามาทำมาค้าขายในสยามกันเยอะมีทั้งทีเป็นใหญ่เป็นโตอย่างบรรพบุรุษของผมกับที่เป็นพ่อค้า  บ้านหลังนี้ก็เลยถูกออกแบบให้ก่ำกึ่งระหว่างบ้านแบบไทยและบ้านแบบจีน ”

 

                        “ ไม่ทราบว่าสร้างมากี่ร้อยปีแล้วครับ ? ” กันต์ซักประวัติบ้านด้วยความสนใจ  เพชรขยับนั่งในท่าทางที่สบายขึ้นก่อนจะเริ่มเล่าประวัติบ้านหลังนี้ในกันต์ฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

 
                        “ บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อสามร้อยปีก่อน  ลูกหลานที่เป็นรุ่นต่อๆมาดูแลรักษาให้คงสภาพเดิมอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งร้อยกว่าปีก่อน  การดูแลสะดุดลงในรุ่นของคุณทวดของผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่คงสภาพบ้านหลังนี้ไว้ ”

 
                        “ ทำไมล่ะครับ ? ”

 
                        “ เพราะเกิดเหตุร้ายกับลูกชายของบ้านหลังนี้น่ะครับ  ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเศร้า ” เพชรส่งยิ้มขื่นๆให้กับอดีตของบรรพบุรุษของตนเองที่ได้ยินมา

 
                        “ คุณพอจะเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ ? ” กันต์ขยับเก้าอี้ไปนั่งใกล้ชายหนุ่มอย่างลืมตัวจนเพชรจ้องมองอยากแปลกใจในท่าทีกระตือรือร้นของอีกคน  กันต์เริ่มรู้สึกตัวก็หัวเราะออกมาแห้งๆ

 
                        “ คือผมเป็นพวกชอบดู ชอบฟังเรื่องสมัยก่อนน่ะครับ ได้ยินแล้วอะดรีนาลีนวิ่งพล่าน ”


                        “ ผมเป็นคนเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง  ยังไงถ้าทำให้สะดุดจนหงุดหงิดก็ขอโทษด้วยนะครับ ” ชายหนุ่มออกตัวอย่างเขินๆ กันต์รีบโบกมือไปมา


                        “ โอ้ย... ไม่เป็นไรครับ  ผมมันพวกจินตนาการสูง  คุณเล่ามาเหอะเดี๋ยวผมนึกภาพตามเองได้ ”


                        “ บรรพบุรุษของผมเป็นข้าราชการขั้นสูงจากเมืองจีน... ” ชายหนุ่มเริ่มเล่าเรื่องของบรรพบุรุษของตนเองให้กับกันต์ฟัง  เริ่มจากต้นตระกูลที่เดินทางไกลจากแผ่นดินใหญ่เพื่อรับราชการกับทางสยามเพื่อสอดแนมและรายงานเหตุการณ์บ้านเมืองจากทางนี้กลับบ้านเกิดแม้กระทั่งสมรสกับลูกสาวของขุนนางฝ่ายไทยเรื่อยมาจากรุ่นสู่รุ่นนับร้อยๆปี  จนกระทั่งถึงรุ่นของแม่เจ้าพระยาวาณิชย์พิพัฒน์
 


                        “ พวกเค้าใช้ชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองทางหน้าที่การงาน  มีพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและอำนาจ    คุณเทียดของผมมีลูกชายเพียงคนเดียว  สมัยนั้นการค้าทาสเฟื่องฟูบ้านหลังนี้ซื้อทาสเด็กมาฝึกให้ทำงานหลายสิบคน  มีคนหนึ่งที่ถูกส่งมาเป็นทาสรับใช้ของคุณทวดผม  คุณทวดของผมท่านมีหัวด้านดนตรีแต่คุณเทียดอยากให้ท่านรับราชการเหมือนบรรพบุรุษท่านอื่นๆ ”


 
                        “ กรรณ ... ”


 
                   “ ขอรับนายน้อย ? ”


 
                   “ เจ้าอยากหัดซอหรือไม่ ? ”


 
                        กรรณที่บัดนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ตวัดตามองแผ่นหลังของนายน้อย


 
                        แผ่นหลังกว้างสมชายชาตรี  เด็กหนุ่มหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม
 


                        “ บ่าวไม่กล้าหรอกขอรับ ? ”


 
                        “ ทำไมล่ะข้าจะหัดให้เจ้าเอง  ข้ารู้นะว่าเจ้าอยากเล่น  เอามั้ย? ” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างปราณีจนหัวใจคนฟังรู้สึกอุ่นวาบ
 


                        นายน้อยใจดีกับเขาเสมอตั้งแต่เล็กจนโต  สำหรับทาสที่ตกเป็นเบี้ยล่างคนอื่นเสมอๆนั้น  การที่เจ้าชีวิตอีกคนหนึ่งให้ความเมตตาเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจของทาสที่ซื่อสัตย์อย่างเขา


 
                        “ นายน้อยจะหัดให้ข้าจริงๆเหรอขอรับ ? ” ดวงตากลมจ้องผู้เป็นนายเขม็ง


 
                        “ จริงสิมานั่งนี่สิ  ข้าจะสอนเจ้าเอง ” ร่างบางค่อยๆคลานเข้าไปหาผู้เป็นนายแต่ทว่านายน้อยกลับมานั่งซ้อนข้างหลังตัวของกันต์  พลางจับมือเล็กให้ประทับที่สายซอ  เสียงทุ้มเอ่ยบอกว่านิ้วไหนคือโน้ตตัวใด  อีกมือก็จับมือเล็กให้จับคันชักถูกวิธีแล้วสอนการสีที่ถูกวิธี


 
                        “ ขั้นแรกเจ้าต้องหัดสายเปล่าก่อนจะไล่เสียงไปก่อนแล้วค่อยขึ้นเพลง เข้าใจหรือไม่ ? ” เสียงทุ้มที่เอ่ยชิดใบหู  สัมผัสอุ่นที่มือทั้งสองข้างทำให้แก้มขาวขึ้นสีอย่างช่วยไม่ได้  ใจดวงน้อยเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ  มุมปากสวยปรากฏรอยยิ้มโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ซักนิด
 
 
                        “ กันต์ ... กันต์... ” เสียงทุ้มเสียงเดิมเอ่ยเรียกชื่อ  กันต์รู้สึกตัวก่อนจะขานรับ


 
                        “ ครับ  นายน้อย ”


 
                        “ ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนในห้องสิครับ เห็นมั้ยผมบอกแล้วว่าผมเล่าเรื่องไม่เก่ง  คุณฟังแล้วยังหลับเลย ”
 
 

                        หลับ...หลับหรอ... ใครหลับ ?



 
                        เฮือก!!!
 



                        ร่างบางเด้งตัวขึ้นจากการนอนซบลงกับท่อนแขนของตัวเองเป็นเวลานาน


 
                        เขาหลับไปตอนไหนกัน  คนตัวเล็กยกมือขึ้นสำรวจมุมปากตัวเองก็พบกับสายตาที่มองมาอย่างขบขัน



                        “ เรียบร้อยดีครับ  น้ำลายไม่ยืด  ขี้ตาไม่มี  เข้าบ้านเถอะครับฝนตั้งเค้ามาแล้ว  เอาเป็นว่าคุณเริ่มต้นทำงานวันไหนก็บอกนะครับ  อีกสองวันเลขาผมจะตามมา  เขาจะพาคุณเดินดูรอบๆบริเวณบ้าน  ทุ่มหนึ่งเจอกันที่ห้องอาหารนะครับ ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง  กันต์ยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดู  น่าแปลกที่ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับ


 

                        “ ทำไมครั้งนี้รู้สึกเหมือนจริงมากๆเลยล่ะ  แล้วทำไมตั้งแต่กันต์คนนั้นโตเราไม่เห็นหน้านายน้อยเลยนะ ”
 
 
 
                        “ คุณช่างจะไปไหนคะ ? ” แม่บ้านร่างท้วมที่เริ่มคุ้นชินกับคนตัวเล็กที่เดินไปทางนู้นทีทางนี้ที  เอ่ยถามเมื่อร่างบางกำลังก้าวยาวๆผ่านบริเวณครัวไป  กันต์ชะงักเท้าก่อนหันมายิ้มให้จนคนมองอดที่จะเอ็นดูไม่ได้


 
                        “ วันนี้จะเดินสำรวจบ้านในทั่วน่ะครับ  ต้องรีบทำก่อนฝนจะตกลงมาอีก  นั่งๆนอนๆนานนานแล้วตัวขี้เกียจชักจะเกาะ ต้องสะบัดออกซะบ้างน่ะครับ ”
 


                        “ งั้นมารับของว่างก่อนมั้ยคะแล้วค่อยไปทำงาน ? ” แม่บ้านชราไม่รอคำตอบ  นางจัดแจงหยิบจานอาหารว่างที่เด็กรับใช้เดินตามมาให้อย่างคล่องแคล่วเป็นการปิดประตูไม่ได้กันต์เอ่ยปากกฏิเสธ


 
                        “ ทำแบบนี้ผมก็แย่สิครับ ” กันต์ยื่นมือไปรับแก้วเครื่องดื่มพลางย่นจมูก


 
                        “ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันเลย วันๆเอาแต่กินกับนอนจนตอนนี้ผู้สึกมีห่วงยางที่ท้องนิดๆแล้วครับ ” กันต์พลางตักขนมเข้าปาก
 

                        “ ไม่อ้วนหรอกค่ะ  คุณเป็นคนโครงร่างเล็กรับรองทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน  ทานเยอะๆนั่นแหละค่ะดี  คุณช่างต้องทำงานใช้สมองใช้แรง  ถ้ากินไม่อิ่มจะเป็นลมเอาได้นะคะ ”  มะลิตรวจดูความเรียบร้อยพลางพยักหน้าอย่างพอใจ


 
                        “ ไม่ทราบว่าวันนี้จะเดินดูตรงจุดไหนบ้างคะ  มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ? ”  หญิงชราที่มองคนตัวเล็กนั่งเอนกายบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในมือมีแปลนบ้านแผ่นใหญ่ที่คลี่ดูด้วยความสนใจเอ่ยถามขึ้น


 
 
                        “ ตรงปีกซ้ายน่ะครับ  คิดว่าวันนี้จะเริ่มจากตรงนี้ก่อน ”
 


                        “ อ่อ... เรือนกล้วยไม้น่ะเหรอคะ ”  กันต์ทำตาโตอย่างสนใจ
 


                        “ เรือนกล้วยไม้  ชื่อเพราะจังเลยครับ ”
 


                        “ เรือนหลังนั้นสวยมากๆด้วยนะคะ ”  มะลิเลื่อนขนมอีกจานไปตรงหน้าคุณช่างของเธอ  กันต์รีบกลืนขนมลงคอก่อนจะถามด้วยความสนใจ


 
                        “ ถ้าให้เดา  เจ้าของเรือนหลังนั้นต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆเลยใช่มั้ยครับ ? ” มะลิมองหน้าคุณช่างก่อนจะส่งยิ้มอ่อนๆ  ช่วยให้ใบหน้าของหญิงชราดูมีชีวิตชีวามากกว่าวันแรกที่ได้เจอกัน


 
                        “ ว่ากันว่าเรือนกล้วยไม้เป็นเรือนหอของนายน้อยกับคุณสบันงามาก่อนค่ะ ”


 
                        “ เอ๋...เรือนหอเหรอครับ ? ” กันต์วางส้อมในมือก่อนทำหน้าสงสัย  เท่าที่เขาทราบประวัติคร่าวๆของเรือนโบราณแห่งนี้  เจ้าของรุ่นสุดท้ายถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุรุ่นหนุ่ม  ทายาทที่สืบเชื้อสายรุ่นถัดมาเป็นลูกจากบรรดาเมียรองลงมาของท่านเจ้าพระยาวาณิชย์พิพัฒน์
 


                        “ ใช่ค่ะ  เรือนหอของนายน้อยรุ่นก่อน  คุณสบันงาเธอเป็นธิดาของอำมาตย์ท่านหนึ่ง ว่ากันว่ารูปโฉมของนางงดงามกว่าสตรีใดๆในยุคนั้นเลยนะคะ ”
 


                        “ อยากเห็นจัง  สมัยนั้นน่าจะนิยมจ้างช่างมาถ่ายรูปแล้วใช่มั้ยครับ ? น่าจะยังมีรูปหลงเหลืออยู่บ้าง ”


 
                        “ รูปก็เหมือนจะเคยมีนะคะ  คงอยู่ในห้องเก็บของ  แต่ของมันเยอะดิฉันว่าคุณช่างอย่าเสียเวลาไปเสาะหาเลยค่ะ เรือนหลังนี้กว้างจะตายกี่เดือนจะปรับปรุงเสร็จก็ไม่รู้ ”
 


                        “ ถ้าเร่งทำจริงๆไม่เกิน 3 เดือนหรอกครับ  ผมไม่ชอบดองงานเดี๋ยวเจ้าของเขาจะหาว่าผมโอ้เอ้เพื่อชาร์จเงิน ” กันต์ขยับตัวลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเป้ที่ใส่สิ่งของจำเป็นในการทำงานไว้ขึ้นสะพายบ่า


 
                        “ แล้วอย่าทำงานเพลินจนลืมเวลาอาหารเย็นนะคะ ” มะลิเอ่ยเตือนคุณช่างของหล่อนก่อนจะบอกให้เด็กรับใช้เก็บจานของว่างที่คนตัวเล็กทานทิ้งไว้  กันต์หันมาโบกมือให้หญิงชราก่อนเดินลับหายไป
 
 

                        “ น่าเสียดายจัง  ถ้าดูแลอย่างดีกล้วยไม้พวกนี้คงสวยมากแน่ๆ ” มือเรียวแตะลงบนเถาและใบของกล้วยไม้ที่อดีตคงเป็นกล้วยไม้หลายพันธุ์ที่สวยงาม  แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่สภาพร่วงโรยเพราะขาดการดูแลบำรุง  คนตัวเล็กสเกตภาพเรือนตรงส่วนต่างๆ  บางจุดเขียนกำกับลงรายละเอียด  กันต์ขยับระเบียง  บานประตูหน้าต่างตรวจเช็คความแข็งแรง
 



                        แอ๊ด....บานประตูไม้หนาถูกเลื่อนเปิดลำแสงที่ทอดผ่านช่องลมทำให้เห็นละอองฝุ่นทอดตัวอยู่ในนั้น  กันต์ยกมือปัดไล่ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ


 
                        ห้องนอนของเรือนนี้กว้างจนแทบจะเป็นบ้านหลังหนึ่งได้เลย


 

                        “ ลายไม้ที่ฉลุตรงขอบเตียงและหัวเตียงบ่งบอกถึงความล้ำค่า  ความโบราณ  โทนสีในห้อง สีแบบนี้นอนไปไม่ร้อนไม่แสบตาหรือไง  แสดงว่าเจ้าของห้องนี่คงร้อนแรงซู่ซ่าน่าดู ”
 


 
                        “ บังอาจ !!! ”
 


                        เฮือก !!!


 
                        กันต์สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงตวาดก้อง  คนตัวเล็กหันขวับกลับไปมองด้านหลังที่ได้ยินเสียงทันที  แต่ก็พบกับความว่างเปล่า  ห้องนอนเงียบกำลังอับแสงเพราะความสว่างจากดวงตะวันกำลังจะลาลับ


 

                        ขนอ่อนตามแขนลุกซู่จนกันต์ต้องใช้มือของตัวเองลูบไปมา


 
                        “ ผีไม่มีในโลก  กันต์แกแค่หูฝาดน่ะ ” คนตัวเล็กมองบริเวณรอบเพื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตพอที่จะตวาดก้องแบบเมื่อครู่  สองเท้าก็ค่อยๆก้าวถอยหลังอย่างหวาดๆ
 


                        ตุ่บ!!!
 


                        “ อะ!!!... อื้อ.... อ่อยอ๊ะ  อ่วยอ้อวยยยยยยยย ” ร่างบางที่ถอยหลังไปชนกับใครคนหนึ่งกำลังจะแหกปากร้องด้วยความตกใจ  แต่มือหนาของเจ้าของร่างนั้นก็ตะครุบเข้าที่ปากของตนเองซะก่อน  แขนแกร่งอีกข้างรัดเอวบางรั้งเข้าหาตัว  กันต์ตาลีตาเหลือกพยายามใช้แรงที่มีต่อสู้กับแรงของคนที่กักตนไว้ด้วยแขนพียงข้างเดียว


 
                        “ ชู่วววววว...คุณ... ผมเอง ” เพชรกระซิบข้างหูคนตัวเล็กที่ทำท่าจะสู้สุดฤทธิ์  กันต์ชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหู  ดวงตากลมเบิกกว้างก่อนจะกระทุ้งศอกกใส่หน้าท้องเจ้าของเรือนโบราณที่บังอาจทำให้ตกใจทันที


 
                        “ โอ้ย...คุณ มันเจ็บนะ ” ชายหนุ่มตัวงอกุมท้องทันทีเมื่อโดนศอกแหลมๆของคนที่ดีดตัวออกไปเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อีกด้าน
 


                        “ เจ็บสิดี  มันน่าถองให้ใส่ทะลักนัก  เป็นบ้าอะไรของคุณมาไม่ให้สุ่มให้เสียง  ถ้าผมลืมตัวเตะก้านคอคุณสลบขึ้นมาจะทำไงเนี่ย ”
 


                        “ ขอโทษ... พอดีผมเพิ่งกลับจากไปธุระ กลับมาไม่เห็นคุณที่ห้อง ถามมะลิรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่เลยมาตามคุณไปทานข้าวเย็น  ไม่คิดว่าคุณจะตกใจ ” เพชรถอยห่างออกจากกันต์เล็กน้อยอย่างสุภาพ  ดวงตาคมฉายแววขบขันอย่างเห็นได้ชัด
 
                 

                       “ หัวเราะอะไรของคุณ ? ” กันต์เอ่ยถามอย่างไม่ชอบใจ
 


                        ก็ในสายตาน่ะมันเหมือนกับมีคนนับร้อยกำลังตะโกนล้อเลียนเขาว่า  กันต์กลัวผี กันต์กลัวผี   กันต์กลัวผี... ซ้ำๆอยู่ในนั้นน่ะสิ
 


                        ฮึ่ย...เห็นแล้วอยากเอาเสียมแซะลูกกะตา


 
                        “ ผมเปล่า ” ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธทันที


 
                        “ คุณหัวเราะเยาะผม ” คนตัวเล็กเถียงอย่างไม่ลดละ


 
                        “ ผมไม่ได้หัวเราะเยาะคุณ ”
 


                        “ คุณไม่ได้หัวเราะ  แต่ตาคุณมันกำลังไหวระริกๆๆๆเชียว  คุณหัวเราะเยาะผมผ่านสายตา ”



                        “ โห... คุณ... หาเรื่องน่า ” ชายหนุ่มหันหลังเดินออกมาจากเรือนกล้วยไม้ทันที  มีหรือคนตัวเล็กจะไม่รีบแจ้นตามออกมาอย่างเอาเรื่อง
 


                        “ ผมไม่ได้หาเรื่องนะ  ก็คุณน่ะหัวเราะเยาะผมผ่านสายตาจริงๆ ”


 
                        “ ตาผมมันสื่อขนาดนั้นเชียวเหรอ ? ”


 
                        “ นั่นไง  คุณยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าคุณหัวเราะเยาะผม ” คนตัวเล็กชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง  เพชรมองนิ้วเรียวที่แทบจะจ่อจมูกของเขาก่อนจะ


 
                        งับ....
 


                        “ เฮ้ย...คุณ  ทำไรเนี่ย ปล่อยนะ ” กันต์พยายามดึงนิ้วของตัวเองออกจากปากของเพชรที่งับหมับเข้าให้อย่างหมั่นเขี้ยว  ร่างสูงนอกจากจะไม่ทำตามที่คนตัวเล็กขู่ฟ่อๆราวกับลูกแมวตัวน้อยแล้วยังรั้งเอวบางเข้าหาตัวอีกต่างหาก


 
                        “ ย๊าห์!!! บอกให้ปล่อยไง  คุณเป็นหมาหรือไงเนี่ยมาเที่ยวไล่กัดชาวบ้านเขาเนี้ย   ปล๊อยยยย ”


 
                        “ ทำอะไรกันน่ะ !!! ? ”
 


                        เสียงแหลมเล็กที่ดังจากด้านหลังทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกันอย่างตกใจ  เมื่อหันไปมองก็พบกับมัลลิกาที่ยืนจ้องคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ  ใบหน้าสวยเครียดขึงอย่างเห็นได้ชัด


 
                        มันอะไรกันกับสิ่งที่เห็น  ภาพที่เพชรใช้ปากงับเข้าที่นิ้วของกันต์มันอะไรกัน


 
                        “ จัส... มาได้ยังไงครับ ” เป็นชายหนุ่มที่เรียกสติของตัวเองกลับมาได้ก่อนในขณะที่กันต์ยืนทำตาแป๋วอย่างไม่รู้จะอธิบายภาพเมื่อครู่ว่าอย่างไร
 


 
                        มัลลิกาพยายามนับหนึ่งถึงร้อยในใจ  หล่อนไม่อยากแสดงกริยาไม่ดีให้เพชรเห็น


 
                        ภาพลักษณ์ของหล่อนคือดารานางแบบสาวที่แสนน่ารัก  หญิงสาวถอนหายใจก่อนปั้นยิ้มหวานหยดให้กับชายหนุ่มและ....คุณช่างที่แม่บ้านเรียกกันก่อนจะเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่มือเรียวก็คล้องแขนชายหนุ่มไว้ราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่  กันต์ถอยห่างออกมาอย่างเก้อๆ บรรยากาศที่รู้สึกมันวิ๊งค์ๆเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น  ยังไม่ทันทีมัลลิกาจะพูดอะไรก็มีบุคคลที่ 4 ก้าวพรวดเข้ามา
 


                        “ อยู่นี่เองนะครับนายน้อย  ผมตามหาแทบแย่ ” ร่างบางของผู้ชายที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มกล่าวจบก็คำนับผู้เป็นเจ้านายก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้


 
                        “ งานที่จีนเรียบร้อยแล้วหรอจิ” เพชรแกะตัวออกจากการเกาะกุมของมัลลิกาอย่างเนียนๆ ด้วยการก้าวเข้าไปตบไหล่ของจิรายุเบาๆ
 


                        ทำไมจะไม่รู้ว่าเพชรหลีกเลี่ยงที่จะให้หญิงสาวสัมผัส  จิรายุลอบยิ้มอย่างขำๆกับการทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ว่าผู้หญิงข้างหลังจะไม่พอใจขนาดไหน


 
                        เจ้านายของเขาไม่ได้โง่  เพียงแต่ไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวว่าเป็นการทำให้ผู้หญิงเสียหน้า


 
                        “ เรียบร้อยดีครับนายน้อย  มิสเตอร์หว่องให้มาเรียนนายน้อยว่าให้นัดเซ็นสัญญาร่วมทุนสร้างท่าเรือขนส่งสินค้าได้เลย  แล้วท่านก็ฝากมาบอกว่าโครงการที่จะสร้างห้างสรรพสินค้า ท่านอนุมัติแล้วนะครับให้เตรียมนำเสนอแผนงานเข้าที่ประชุมได้เลยครับ ” จิรายุรายงานรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่เพชรมอบหมายให้ไปทำโดยละเอียดและครบถ้วน  มัลลิการู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความสำคัญในที่นี่จึงแสร้งกระแอมไอจนจิรายุที่แกล้งทำเป็นไม่เห็นเลิกคิ้วอย่างเสแสร้ง


 
                        “ โอ๊ะ... คุณจัสมินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย ? ดาราดังคิวดกขนาดคุณมีเวลาว่างนั่งรถมาไกลขนาดนี้เชียวหรือครับ ”
 


                        “ ทำไมคะ  ฉันมาไม่ได้เหรอคะ  ในเมื่อพ่อของฉันก็เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งในโครงการพัฒนาเรือนนี้เหมือนกัน ” จัสมินรู้ว่าจิรายุไม่ชอบหล่อน  เช่นเดียวกับที่หล่อนก็ไม่ชอบเลขาของเพชรที่ทำหน้าเหมือนรู้อะไรไปซะทุกเรื่อง


 
                        จิรายุไม่เคยแสดงว่าจะยอม ‘ ลง ’ให้แก่หล่อนเพราะฉะนั้นมัลลิกาก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับจิรายุ


 
                        “ ผมไม่ได้พูดว่าคุณมาที่นี่ไม่ได้นี่ครับ  ผมแค่ถามคุณมายังไงแค่นั้นเองทำไมต้องอ้างถึงเรื่องการเป็นหุ้นส่วนด้วยล่ะครับ  ไม่เอาแล้วคุยกับคุณไม่สนุก เอาเป็นว่าคุณจะนั่งรถมาหรือเหาะมาผมก็ไม่สนใจคุณแล้วก็ได้ ” จิรายุลอยหน้าลอยตาพูดกับมัลลิกา  หญิงสาวสั่นเหมือนโดนเจ้าเข้าทรง


 
                        เกลียด...
 


                        เกลียดเลขาของเพชรคนนี้ที่สุด  มันทำตัวเหมือนรู้อะไรต่อมิอะไรของหล่อนจนตั้งตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมาอย่างออกนอกหน้า
 


                        “ จิ... ” เพชรเรียกชื่อลูกน้องคนสนิทด้วยเสียงกดต่ำอย่างปรามๆ  จิรายุทำหัวหดราวกับเกรงกลัวเสียเต็มประดาแต่ความจริงเพชรรู้ว่าจิรายุแกล้งทำ
 



                        “ โอ๊ะ !... นั่น คุณช่างของคุณนมใช่มั้ยครับ ? ผมจิรายุเป็นเลขาคนสนิทของนายน้อยครับเรียกจิเฉยๆก็ได้นะครับ ” จิรายุยื่นมือออกไปตรงหน้าของกันต์ที่ทำหน้านิ่งยืนดูเหตุการณ์ต่างๆเงียบๆ  กันต์มองหน้าจิรายุที่ระบายยิ้มอ่อนโยนให้ไม่มีท่าทีจิกกัดเหมือนที่พูดกับจัสมิน  สายตาดูเป็นคนจริงใจก็ยื่นมือไปสัมผัสกับมือของจิรายุ   

     
     
                      “ สวัสดีครับ ผมกรกันต์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ”


 
                        “ ฝากเนื้อฝากตัวก็พอฝากได้นะครับแต่ถ้าฝากหัวใจอันนี้คงต้องรบกวนให้ฝากกับนายน้อยแทนนะครับ ” จิรายุจงใจยั่วมัลลิกาโดยเฉพาะ  คนปากร้ายแอบขำกับปฏิกิริยาของอีกคน


 
                        ถ้ามีซาวด์เอฟเฟ็คเหมือนในหนังคงจะได้ยินเสียง ฉ่า... เพราะตอนนี้ใบหน้าของกันต์กับนายน้อยของเขาแดงเห่อถึงใบหู  ส่วนหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นี้ก็เหมือนกัน  แต่ไม่ได้แดงเพราะเขินอายเหมือนผู้ชายที่ยืนทำหน้ามึนตรงหน้าเขาทั้งสองคน


 
                        หล่อนกำลังโกรธพร้อมกับส่งสายตาราวกับจะควักตับของเขาออกมากระทืบเล่น


 
                        “ นี่จะยืนคุยกันตรงนี้อีกนานมั้ยคะ ? จัสเมื่อยแล้ว ยุงก็เยอะ เข้าบ้านกันไม่ได้เหรอคะ ? ” น้ำเสียงแหลมห้วนเจือกระแสไม่พอใจพร้อมกับสีหน้าบึ้งตึงทำให้เพชรรู้สึกตัว
 


                     
                        แสงสีส้มของยามเย็นนำความมืดมาเยือนชายหนุ่มขยับตัวก่อนเอ่ยปากชวนทุกคนเข้าบ้านโดยมีจัสมินกลับมาทำตัวเป็นปลิงเกาะแขนชายหนุ่มแจ
 


                        “ ผมว่าคราวหลังคุณจัสต้องพกเข็มทิศกับแผนที่ของเรือนมานะครับ จะได้ไม่กลัวหลง ” อดที่แขวะหญิงสาวอีกไม่ได้  ในขณะที่กันต์เดินตามรั้งท้ายยังแอบขำ


 
                        ไม่รู้ว่าไปโกรธแค้นอะไรกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน


 
                        ตั้งแต่เจอกันจิรายุกัดมัลลิกาจนเลือดซิบหลายต่อหลายครั้งโดยที่มีเพชรคอยเรียกชื่อปรามๆ


 
                        หากแต่ก็ไม่สามารถหยุดจิรายุได้ซักที


 
                        “ จัสไม่ได้กลัวหลงหรอกค่ะ จัสกลัวพวกแมวขโมยที่ชอบมาขโมยปลาย่างเวลาที่เจ้าของเค้าไม่อยู่มากกว่าค่ะ ” จัสมินจงใจตวัดสายตาไปให้คนที่เดินตามท้ายแถวจนกันต์รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตะหงิดๆ


 
                        เขาไปทำอะไรให้ทำไมมาคราวนี้จัสมินถึงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบเขา
 


                        “ แต่ที่นี่ไม่มีแมวนะครับ  แล้วเราก็ไม่ชอบกินปลาย่างด้วย จริงมั้ยครับนายน้อย ? ”


 
                        “ ครับ ” เพชรที่ถูกโยนขี้มาให้ตอบรับแบบไม่ทันตั้งตัวเป็นผลให้จิรายุหัวเราะหึหึ  ในขณะที่จัสมินปล่อยแขนชายหนุ่มพลางสะบัดหน้าเดินฉับๆนำเข้าบ้านไปอย่างไม่พอใจ


 
                        “ ทำไมชอบยั่วโมโหเขานักจิ ” เพชรหันมาทำเสียงนิ่งใส่เลขาที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทไปในตัวอย่างไม่จริงจังนัก
 


                        “ หมั่นไส้ล้วนๆครับ ไม่มีเหตุผลอื่น ”



..................................................................................





ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาต่อแล้ว เดินเรื่องได้ดีมาก ค่อยๆลุ้น

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2


Time of tears
Chapter 5

#เหมือนเราจะเคยรักกัน

                        บรรยากาศยามเช้าหลังฝนกระหน่ำตกลงมาทั้งคืนทำให้โดยรอบชุ่มฉ่ำหยดน้ำเกาะพราวตามใบไม้ก่อนจะกลิ้งหล่นเมื่อมือเรียวแตะลงเพียงแผ่วเบา  ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติคลี่ยิ้มอย่างชอบใจ  อากาศที่เย็นกำลังดีทำให้กรกันต์สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด
 
                        “ ตื่นเช้าจังเลยนะครับคุณกันต์ ” เสียงใสๆจากด้านหลังทำให้กรกันต์หันไปส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จิรายุขยับเดินมาหยุดใกล้ๆก่อนจะยื่นกาแฟที่ส่งควันหอมฉุยให้
 
                        “ ขอบคุณครับ ” กรกันต์รับมายกขึ้นจิบ
 
                        “ อากาศที่นี่ดีจังเลยครับ  อย่างกับบ้านในฝันของผมเลย ” กรกันต์เท้าแขนกับขอบระเบียบเสียงนกเล็กๆร้องดังกังวาน
 
                        “ คุณกันต์ชอบบ้านโบราณเหรอครับ ? ” จิรายุยืนพิงระเบียงด้วยท่าทางสบายๆ ในขณะที่คนตัวเล็กกดหน้าหงึกหงัก
 
                        “ ใช่ครับ ผมชอบบ้านแบบนี้  คงเป็นเพราะผูกพันมั้งครับ  ผมฝันเห็นบ้านโบราณ คนโบราณอยู่บ่อยๆ จนบางครั้งก็แอบงงๆว่าตกลงผมเกิดในยุคไหนกันแน่ ”
 
                        “ ฝันถึงบ้านโบราณกับคนโบราณบ่อยๆเหรอครับ ? ” จิรายุหันมาถามอย่างสนใจ  กรกันต์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
 
                        หลายคนที่ได้ฟังก็ถามเขาแบบนี้แหละ
 
                        สุดท้ายก็บอกว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
 
                 
                        “ มันดูเพ้อเจ้อใช่มั้ยล่ะครับ  แต่ผมฝันแบบนั้นจริงๆนะ  ฝันเห็นตัวเองในชุดโบราณ  ฝันเห็นแผ่นหลังของใครบางคน  ฝันเห็นเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันราวกับว่าผมเป็นคนๆนั้นที่ใช้สายตาของผมมองเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ตอนไหนมีความสุขผมก็จะมีความสุขไปด้วยแต่วันไหนเจ็บปวดมีความทุกข์ผมก็เจ็บปวดเหมือนเขาคนนั้น ”
 
                        “ คุณฝันแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ ? ขอโทษที่ละลาบละล้วงแต่ผมว่าเรื่องของคุณมันน่าสนใจน่ะครับ ” จิรายุรับออกตัวเมื่อเห็นดวงตาเรียวตวัดมองเขาราวกับแปลกใจที่เขาให้ความสนใจเรื่องของกรกันต์ขนาดนี้
 
                        “ ฝันตั้งแต่จำความได้แล้วล่ะครับ  ช่วงแรกๆน่ะผมเกือบตายตามคนในฝันไปแล้ว ”
 
                        “ หืม ?... มีคนตายด้วยเหรอครับในฝันของคุณ ”
 
                        “  คุณช่างคุณเลขาคะ  นายน้อยให้มาเชิญไปทานข้าวค่ะ ” ยังไม่ทันที่กรกันต์จะอธิบายรายละเอียดในฝันคุณแม่บ้านก็ออกมาเรียกทั้งสองคนให้เข้าไปข้างใน  กรกันต์กับจิรายุจำต้องเดินกลับเข้าไปในเรือน  ภายในห้องอาหารมัลลิกากำลังคุยบางอย่างกับชายหนุ่มเจ้าของบ้าน  เพชรได้แต่ทำหน้านิ่ง  จิรายุเมื่อเห็นสีหน้าเจ้านายก็รู้ได้ทันทีว่ามัลลิกากำลังทวงถามอะไรอยู่
 
                        “ สงสัยจะทวงสัญญาตั้งแต่ชาติปางก่อนที่บรรพบุรุษทำไว้ด้วยกันมั้งครับ ” จิรายุหันไปกระซิบกระซาบกับกรกันต์ที่เดินเคียงกันมาอย่างหมั่นไส้
 
                        “ สัญญาอะไรเหรอครับ ? ” กรกันต์อดที่อยากรู้ไม่ได้  แต่เห็นสีหน้าเรียบนิ่งของเพชรแล้วก็คงไม่ใช่สัญญาที่ชายหนุ่มชอบใจแน่ๆ
 
                        “ สัญญาว่ารุ่นลูกรุ่นหลานต้องแต่งงานกันรุ่นละคนไงครับ  รุ่นไหนเป็นเพศเดียวกันก็รอดไป  แต่นายน้อยของผมซวยครับ ดันเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วดันหล่อซะด้วย คุณจัสเธอเลยจับหนับไม่ยอมไปไหนเลย ”
 
                        “ ยุคสมัยนี้นี่นะครับ  ยังจะสัญญาคร่ำครึแบบนี้อีก ”
 
                        “ ไม่ทราบว่าคุณสองคนจะยืนคุยกันอีกนานมั้ยคะ ? จัสว่าควรรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารกันซักนิดก็น่าจะดี ”
                        “ ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่ได้ไปนั่งคุยกันบนโต๊ะกินข้าวเรื่องมารยาทผมเลยไม่ต้องเคร่งมากก็ได้ ” จิรายุตอกกลับนิ่งๆ ก่อนจะเดินนำกรกันต์เข้ามานั่งประจำที่
 
                        “ จิรายุบางทีคุณควรมีมารยาทบ้างก็ดีนะคะ  ปรับนิสัยนิดนึงในอนาคตจะได้ไม่ลำบาก ”
 
                        “ ผมไม่สนเรื่องอนาคตครับเพราะมันเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  ผมสนแค่ปัจจุบันมากกว่า ” จิรายุตักอาหารเข้าปากอย่างไม่ถือเป็นอารมณ์โดยที่เพชรได้แต่ส่งสายตาปราม  แต่คนอย่างจิรายุหาสนใจไม่ชายหนุ่มปรายตามองหญิงที่จ้องหน้าตนอย่างท้าทาย
 
                        “ แต่คุณควรคิดไว้ซักนิดก็ดีนะคะ  เพราะยังไงในอนาคตจัสก็ต้องเป็นคนมาดูแลเรือนนี้อยู่แล้ว ”
 
                        “ เจ้านายผมเขาตกปากรับคำคุณแล้วเหรอครับ ? ผมไม่ทำตามใครจนกว่าจะมีทะเบียนสมรสหรือเจ้านายผมพูดออกมาเองว่าให้รับคำสั่งใคร ”
 
                        “ เพชรคะ ” มัลลิกาเมื่อเห็นว่าเถียงเลขาปากคมไม่ได้ก็หันไปเขย่าแขนชายหนุ่มอย่างเอาแต่ใจ  เพชรได้แต่ตบหลังมือหญิงสาวเบาๆ
 
                        “ ผมว่าทานข้าวกันเถอะครับ ผมหิวแล้ว ” มัลลิกาได้แต่กระแทกตัวนั่งอย่างขัดใจ
 
                        ทำไมจะไม่รู้ว่าเพชรพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะแต่งงานกับตน  ชายหนุ่มเพียงบอกปัดอยู่ตลอดเวลา
 
                        “ กันต์ครับ ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนตัวเล็กที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลาข้างตน  กรกันต์ช้อนตาขึ้นมามอง  ดวงตาใสแจ๋วที่ทำให้คนมองใจสั่น
 
                        “ ทานนี่ดูนะครับ  เนื้อหมักของป้ามะลิอร่อยมาก ” เพชรตักเนื้อหมักน้ำมันงาที่มะลิทำขึ้นโต๊ะมาให้กับกรกันต์  คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้าเอ่ยขอบคุณ
 
                   
                        “ กินเยอะๆนะกรรณ เจ้าผอมเกินไปแล้ว ”
 
                   “ ขอบพระคุณขอรับนายน้อยแต่แบบนี้มันจะสมควรเหรอขอรับ  ถ้ามีใครมาเห็นเข้าบ่าวอาจจะโดนคุณหญิงทำโทษ ”  กรรณที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงโต๊ะตัวเตี้ยที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดตรงหน้ามีชามข้าวที่มีกับข้าวตักใส่จนแทบจะล้น
 
                   “  ถ้าข้าบอกให้เจ้ากินก็กินไปเถอะ  หากใครมีปัญหาให้มันมาพูดกับข้า ”
 
                       
 
                        “ กรกันต์ครับ กรกันต์ ” เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกดึงภวังค์  คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆมองบริเวณรอบ  จานข้าวเต็มไปด้วยกับข้าวที่เพชรตักให้เหมือนภาพนิมิตที่เห็นเมื่อครู่
 
                        “ พ่... พอเถอะครับมันล้นจานแล้ว ”
 
                        “ กินเยอะๆนะครับ  คุณน่ะผอมเกินไปแล้ว ”
 
                        “ แล้วนี่เมื่อไหร่จะได้เริ่มงานคะ ? ฉันเห็นคุณนั่งๆ นอนๆ ที่นี่มาเป็นจะเป็นเดือนแล้วยังไม่เห็นได้งานอะไรเลย ” อยู่ๆหญิงสาวก็พูดทะลุกลางวงสนทนาออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
 
                        ไม่รู้ทำไมแค่เห็นเพชรเอาใจใส่ผู้ชายคนนี้ความรู้สึกไม่พอใจก็ตีวูบราวกับพายุฤดูร้อนที่พร้อมจะพัดผ่านและทำลายทุกอย่างที่ขาวงหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง
 
                        แม้กรกันต์จะไม่ได้มีท่าทีอะไรกับเพชรแต่อยู่ๆความรู้สึกไม่ชอบใจก็เกิดขึ้นในใจหญิงสาว
 
                        “ กันต์เขาเริ่มงานออกแบบไปบ้างแล้ว  ผมเพิ่งดูแปลนที่เขาวาดเมื่อวันก่อน  ผมว่าเราไม่ควรคุยเรื่องงานกันบนโต๊ะอาหารนะครับ ”  เพชรหันมาติงหญิงสาวด้วยสายตาเรียบเฉยจนมัลลิกาต้องหลบตา  บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับสู่ปกติจิรายุยังคงพูดคุยกับเจ้านายของตนและกรกันต์ตามปกติ  โดยเว้นหญิงสาวให้กลายเป็นแกะดำพียงคนเดียวเรียกได้ว่าคุยข้ามหัวมัลลิกาไปเลย  กรกันต์เองก็พูดคุยกับจิรายุด้วยท่าทางสดใสขึ้นไม่มีท่าทีว่าจะเกรงหญิงสาวเหมือนตอนแรกที่เจอ  เพชรก็ร่วมพูดคุยในบางเรื่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  สายตาคมคอยเหลือบมองคนข้างๆอยู่ตลอดเวลา
 
                        สายตาที่มัลลิกาไม่เคยได้รับแม้เพียงสักครั้ง
 
                        หลายวันมานี้งานของกรกันต์เดินไปได้มากจนคุณช่างเข้าไปคุยรายละเอียดกับนายน้อยผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า
 
                        “ ผมคิดว่าอาทิตย์หน้าก็เรียกช่างเข้ามาทำงานได้เลยนะครับถ้าแบบผ่าน ”
 
                        “ แล้วถ้าแบบเสร็จคุณจะอยู่คุมงานต่อหรือกลับบริษัทครับ ? ” ชายหนุ่มอดใจถามไม่ได้ถ้าคนตัวเล็กนี้ต้องกลับแล้วให้ช่างคนอื่นมาคุมงานแทน
 
                        ถ้าเรือนโบราณหลังนี้จะขาดเสียงเจื้อยแจ้วยามที่คนตัวเล็กเอ่ยทักทายบรรดาแม่บ้านและสาวใช้
           
                        ถ้าเรือนโบราณหลังนี้จะขาดเสียงโต้เถียงของคุณช่างที่ไม่เคยยอมให้กับเขาเลย
 
                        ถ้าเรือนโบราณหลังนี้จะขาดเชฟที่มีฝีมือน่าสะพรึงกลัว
 
                        เขาคงจะเหงา....น่าดู
 
                        “ ผมจะเป็นคนคุมงานเองครับ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ชิ่งหรอกน่า  แต่ด้านงาน Landscape เกี่ยวกับสวนเกี่ยวกับต้นไม้ต่างๆจะมีช่างอีกคนมาสมทบนะครับ  รับรองได้คนนี้เด็ดถึงท่าทางจะไม่ได้เรื่องก็เถอะ ”  คนตัวเล็กดีดนิ้วประกอบคำพูด เมื่อพูดถึงเพื่อนร่วมงานอีกคน
 
                        “ ถ้าแบบนั้นผมก็วางใจ  เพราะถ้าคุณบอกว่าต้องเปลี่ยนช่างที่มาคุมงาน  ผมคงต้องแกล้งขอแก้แบบตรงนั้นทีตรงนี้ที เพื่อรั้งให้คุณอยู่กับผมนานๆ แน่ๆ ”
 
                        ตาบ้าเอ้ย...พูดอะไรออกมาน่ะรู้ตัวมั้ย
 
                        กรกันต์ยกมือขึ้นเกาหลังคอแล้วผินหน้าไปนอกหน้าต่าง  คนตัวเล็กกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
 
                        รั้งให้คุณอยู่กับผมนานๆ
 
                        พูดออกมาได้ยังไงไม่อายปากเหรอ
 
                        แก้มจะแตกอยู่แล้วเนี่ย
 
                        “ เอาเป็นว่า...เอ่อ... เดี๋ยวผมกลับไปทำงานต่อแล้วกัน ” กรกันต์แก้เขินด้วยการยกงานขึ้นมาอ้าง  คนตัวเล็กยื่นมือจะหยิบแบบแปลนบนโต๊ะไม้สลักตัวใหญ่ทว่าคนตัวสูงกว่าก็มือไวเช่นกัน
 
                        หมับ!!!
 
                   “ เดี๋ยวสิครับ ”
 
                        “ อ่ะ...อะไร ? ”  อยู่ๆคนปากกล้าก็รู้สึกประหม่าหน้าร้อนผ่าว  ก้มมองมือตัวเองที่ถูกถือวิสาสะกุมไว้  พร้อมกับใช้มืออีกข้างประกบด้านบนหลังมือของกรกันต์อย่างทะนุถนอม
 
                        “ ผมต้องไปคุยงานที่กรุงเทพ 3 วัน  อยู่ที่นู่นผมคงคิดถึงคุณ ... ” อยู่ๆเพชรก็หยุดพูด  แล้วกลับเป็นฝ่ายเขินซะเอง
 
                        ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องกว้าง  ทำให้คนทั้งสองได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักโครมคราม  กรกันต์เองก็เม้มปาก
 
                        เกิดมา 20 กว่าปี  ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอย
 
                        ความรู้สึกหน้าร้อนวูบใช่ว่าจะไม่เคย
 
                        แต่...มันไม่เคยรุนแรงขนาดนี้
 
                        ความรู้สึกเขินอายแบบนี้  ทำให้หัวใจสั่นไหว
 
                        “ ผม... เอ่อ... ผมไม่อยู่คุณดูแลตัวเองด้วยนะ ” คนตัวสูงสบตากับคุณช่างที่เงยหน้าขึ้นพอดี  กรกันต์ดึงมือตัวเองออกก่อนจะลนลานเก็บแบบขึ้นมาถือไว้แนบอก
 
                        ไม่ได้หวงกระดาษแผ่นใหญ่  แต่ถือโอกาสใช้มือตัวเองกดหัวใจที่เต้นจนแทบจะกระดอนออกมานอกอกต่างหาก
 
                        “ ผมยี่สิบกว่าแล้วนะคุณ ไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ ไม่ต้องมาบอกให้ดูแลตัวเองหรอก จะไปไหนก็ไปเถอะ ” กรกันต์หมุนตัวกลับออกไปทิ้งให้ร่างสูงได้แต่อมยิ้มก่อนจะหัวเราะกับท่าทางเงอะงะของคุณช่างเพียงลำพัง
 
                        “ อ่ะแฮ่ม... แก้มจะแตกแล้วครับนายน้อย ”  เพชรสะดุ้งจากเสียงกระแอมของเลขาตัวแสบที่รู้ทันเค้าไปซะทุกเรื่อง  ยืนพิงกรอบประตูส่งยิ้มล้อเลียนมายังผู้เป็นนาย  ดวงตากลมๆของจิรายุมองหน้านายน้อยที่เป็นทั้งนายและเพื่อนก่อนจะหันไปมองตามทางเดินที่คุณช่างเพิ่งจะเดินเร็วๆผ่านเขาไป
 
                        ถ้าตาไม่ฝาดกรกันต์เองก็มีสภาพไม่ได้ต่างกับนายของเขา  คุณช่างเดินไป บ่นพึมพำไปแต่ใบหน้าแดงจัดกลับระบายยิ้ม
 
                        ชวนมอง....
 
                        “ พูดอะไร  แล้วนี่เตรียมเอกสารพร้อมหรือยังจะได้ออกเดินทางได้เลย ”
 
                        “ เสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วคร๊าบ... ก็ว่าจะเข้ามาบอกแต่พอดีเจอฉากแอบสารภาพรักแต่สาวเจ้าทำซึนเลยแอบดูซักหน่อย ”
 
                        “ ทะลึ่ง ”
 
                        “ แหมๆ... เรื่องแบบนี้มันเรื่องธรรมชาติ  นายน้อยไม่ต้องอายหรอกครับ ” คนเป็นเลขายังไม่วายเย้าผู้เป็นนายที่ปั้นหน้าขรึมข่มความเขินอาย  เพชรจัดการหยิบเสื้อนอกมาใส่แล้วหยิบกุญแจรถออกมาเตรียม
 
                        “ เดี๋ยวครับ นายน้อยลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ? ” จิรายุเดินมาดักผู้เป็นนายไว้
 
                        แม้ไม่อยากนึกถึงสักเท่าไหร่ ... แต่ก็ยังอดจะนึกถึงไม่ได้
 
                        “ อะไร ? ”
 
                        “ นายน้อยลืมไปหรือเปล่าครับว่าบ้านเราไม่ได้มีแค่คุณช่างแต่ยังมีแขกอีกคน ไม่ไปบอกเธอหน่อยเหรอครับว่าเราจะไปกรุงเทพเผื่อเธอจะติดรถกลับไปด้วย ”
 
                        “ อ่า... ”
 
                        คนเป็นนายถึงกับพูดไม่ถูก
 
                        เขาลืมไปจริงๆว่าที่บ้านหลังนี้ยังมีแขกอยู่อีกคน
 
                       มัลลิกายังอาศัยอยู่ในเรือนโบราณด้วยอีกคน  เพชรได้แต่ถอนหายใจหนักๆอย่างหนักใจเพราะเขาไม่ได้สนในหญิงสาวเหมือนที่เธอรู้สึกกับเขา  ตลอดเวลาที่มัลลิกามาพักเขาจึงดูแลเหมือนเธอเป็นแขกคนหนึ่งและวางฐานะเธอไว้เสมอเพื่อน  เพราะฉะนั้นเพชรจึงลืมไปว่าเขาต้องบอกมัลลิกาว่าเขาจะต้องไปทำธุระ
 
                        “ ถ้างั้นนายไปรอที่รถนะ  ฉันขอไปบอกจัสที่ห้องก่อน ” จิรายุพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหิ้วกระเป๋าเอกสารออกไป  เพชรยกมือลูบใบหน้าก่อนจะชะงักไว้  แล้วแบมันออกมองมือของตัวเองที่ยังคงกรุ่นกลิ่นหอมจางๆของโลชันที่กรกันต์ใช้
 
                        ความหนักใจในบางเรื่องดูเหมือนจะเจือจางลง  ชายหนุ่มกำมือของตัวเองแน่นก่อนจะก้าวตรงไปยังห้องพักของมัลลิกา
 
                        “ จัส... จัสครับ ”
 
                        ก๊อกๆๆๆ
                       
                        ชายหนุ่มเคาะประตูห้องนอนของหญิงสาวพลางส่งเสียงเรียก
 
                        แต่ทว่าภายในยังคงเงียบกริบ  ชายหนุ่มเคาะเรียกอีกหลายครั้ง  เมื่อมองดูนาฬิกาเพชรตัดสินใจว่าอีกซักพักค่อยโทรกลับมาบอกหญิงสาว  เพราะถ้าขืนชักช้าอาจจะไปถึงกรุงเทพช้าเกินเวลานัด
 
                        “ ตกลงว่าไงครับนายน้อย ? ” จิรายุขยับตัวจากการพิงรถ  เพชรส่ายหน้า
 
                        “ คงยังไม่ตื่น ”
 
                        “ สายจนตะวันแยงก้นแล้วเนี่ยนะครับ  โห....ใครได้ไปทำเมียนี่คงเพลียทั้งชาติ... อุ่ย.... ”  ท้ายประโยคจิรายุแกล้งทำสะดุ้ง  เมื่อเจอสายตาปรามๆจากผู้เป็นนาย  ในที่สุดทั้งสองก็ขึ้นรถเคลื่อนออกไปท่ามกลางสายตาของหญิงสาวที่แอบมองคนทั้งคู่มาซักระยะ
 
                        “ หึ... ไม่เคยได้ยินคำว่าอย่าฝากปลาย่างไว้กับแมวใช่มั้ยคะเพชร ? ฉันจะทำให้คุณรู้ว่าการที่คุณกล้าชอบคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันน่ะมันเป็นความผิดถนัด ”
 
 
 
                        กรกันต์เดินย่ำดินโคลนที่ถูกฝนกระหน่ำมาหลายวันไปตามทางดินแคบๆที่ตัดจากตัวเรือนใหญ่ไปทางด้านหลังจนสุดแนวรั้วเรือนไม้เก่าๆขาดการดูแล  เห็นเรือนลักษณะที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆไม่มีความสวยงาม ตรงจุดนี้ในแปลนบอกไว้ว่าเป็นโรงครัวและเรือนนอนของพวกทาส  ด้านนอกมีบ่อตั้งอยู่ตรงกลาง  ถัดไปเป็นเรือนเปิดโล่งมีแค่หลังคา  มีเศษฟืนกองระเกะระกะ  เครื่องมือเครื่องใช้เก่าๆบางอย่าง เช่น  มีด พร้า จอบ เสียมยังถูกเรียงทิ้งไว้  ไม่ไกลออกไปเป็นประตูไม้เล็กๆที่กรกันต์คาดว่ามีไว้ให้ทาสออกไปทำธุระข้างนอก
 
                        หยากไย่โรยตัวระเกะระกะตามเพดานและฝาผนังจนน่าขนลุก
 
                        กรกันต์เคาะมวนบุหรี่ออกจากซองก่อนจะจุดไฟอัดเข้าไปเต็มปอด
 
                        แม้ใครบางคนจะชอบค่อนขอดว่าเขาสร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง  แต่การได้อัดสารก่อมะเร็งเข้าปอดเวลาที่ต้องการใช้ความคิดมันก็ช่วยได้เยอะอดไม่ได้ที่จะค้อนลมค้อนแล้งกับคนที่ชอบโปรยคำหวานให้อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขากำลังถูกผู้ชายตัวโตๆทอดสะพานเลี่ยมทองฝังเพชรให้ข้าม  แต่ก็กลัวว่าถ้าคิดแบบนั้นแล้วพอเอาเข้าจริงเขาแค่หยอกเล่นแล้วจะหน้าแตก  เลยต้องข่มใจตัวเองทุกครั้งที่รู้สึกหวั่นไหวว่าเขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นก็พอจะช่วยให้หายฟุ้งซ่านขึ้นมาได้บ้าง
 
                        คนตัวเล็กหน้าหวานที่เพื่อนร่วมงานรู้ดีว่านิสัยการทำงานไม่หวานเหมือนหน้าเดินไปหยุดหน้าเรือนๆหนึ่งก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งชันขาข้างหนึ่งขึ้นรองกระดานเขียนแบบพิงเสาต้นใหญ่  หยิบแปลนและสมุดออกมาจดรายละเอียดต่างๆ  รวมทั้งสเกตภาพโดยรวมแนบไว้ด้านในบุหรี่หมดไปสองมวน  เมื่อคนตัวเล็กจัดการงานด้านนี้เสร็จก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่กางเกงออกลวกๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจตามห้องต่างๆโดยเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดก่อน
 
                        “ อ่อ ครัว ” เมื่อเข้ามาเจอกับหม้อ ชาม กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ กรกันต์ก็ใช้มือถือของตัวเองถ่ายรูปไว้ก่อนจะเดินไปสำรวจบริเวณรอบๆ
 
                        กระด้งที่ใช้ตากเครื่องยาและสมุนไพรต่างๆ ยังวางเรียงอยู่บนชั้นแม้ฝุ่นจะเกาะเต็มแต่คนตัวเล็กกลับเห็นภาพซ้อนทับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ยังสะอาดเอี่ยมราวกับมันไม่เคยเดินทางผ่านกาลเวลานับร้อยๆ ปีมาก่อนคนตัวเล็กใช้ปลายนิ้วเรียวแตะสัมผัสสิ่งของต่างๆ
 
                        อยู่ๆความรู้สึกบางอย่างมันก็ตีตื้นขึ้นมาจนไม่รู้ตัวว่าทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาง่ายๆ
 
                        ความรู้สึกของคำว่าคิดถึง
 
                        เหมือนคนที่พลัดบ้านไปนานแล้วได้กลับมาอีกครั้ง
 
                        “ ตลก... แกเคยมีบ้านมีครอบครัวกับเค้าด้วยเหรอกรกันต์  เป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย ” คนตัวเล็กที่ดึงอารมณ์ตัวเองกลับมาในที่สุดพูดกับตัวเองอย่างเห็นขำและความรู้สึกที่มีเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
 
                        เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่เคยมีบ้านให้กลับในช่วงวันหยุดไม่มีอารมณ์ความรู้สึกคิดถึงครอบครัวเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้
 
                        “ แค่เจ้าของบ้านเค้าทำดีด้วยจะมายึดว่าที่นี่เป็นบ้านของแกไม่ได้หรอกนะกรกันต์ จบงานทุกอย่างก็จบ ”  คนตัวเล็กใช้กระดาษแปลนตบฝุ่นที่ก้นตัวเองอีกครั้ง  ก่อนใช้ปากกาเหน็บที่ใบหูตัวเองเดินไปสำรวจห้องอื่นๆต่อ  ส่วนมากที่เข้าไปก็จะเป็นเรือนพักที่กั้นเป็นห้องแคบๆ
 
                        และทุกห้องมีเพียงหีบใบเขื่องที่ใช้สำหรับเก็บของกับหมอนโบราณห้องละใบสองใบเท่านั้น  เศษผ้าผุๆที่คาดว่าจะเป็นผ้าห่มก็วางอยู่ไม่ไกลกัน  ของใช้ในห้องมีเพียงโต๊ะตัวเตี้ยๆกับตะเกียงเล็กๆเท่านั้น  แต่ถึงแม้จะสร้างอย่างหยาบๆ ขนาดไหนก็ตามแต่ไม้ทุกแผ่น เสาทุกต้นล้วนยังคงแข็งแรงด้วยความที่สร้างจากไม้เนื้อดี  ทำให้สภาพเรือนนี้ถ้าฟื้นฟูซ่อมแซมอีกหน่อยก็สามารถกลับมาคงสภาพเดิมได้ไม่ยาก
 
                        กรกันต์จดรายละเอียดปลีกย่อยก่อนจะออกมาและมุ่งตรงไปยังห้องสุดท้ายที่อยู่ไกลออกไปแยกจากเรือนไม้ราวๆ 50 เมตร  ข้างนอกมีสลักที่ทำจากไม้ไว้สำหรับการล็อกจากด้านนอก  มือเรียวไวเท่าความคิดจัดการปลดแล้วปิดบานประตูไม้บานใหญ่ที่แสนจะฝืดเฝือออก
 
                        แอ๊ดดดดดดดดด......
 
                        ทันทีที่เปิดประตูแสงสว่างจากภายนอกก็สาดส่องเข้าไปให้เห็นสภาพด้านใน  มันเป็นห้องเก็บของที่มีสิ่งของวางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ มีทั้งกระสอบข้าว  โต๊ะไม้  ละสารพัดสิ่งอย่างแต่ที่มีเหมือนห้องอื่นๆก็คือฝุ่นที่หนาเตอะ  ห้องนี้ไม่มีหน้าต่างและมีทางเข้าเพียงทางเดียวคือประตูนี้  กรกันต์จดๆจ้องๆตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี เพราะสิ่งหนึ่งที่คนตัวเล็กกลัวก็คือความมืดและที่แคบ
 
                        มือที่จับขอบประตูชื้นไปด้วยเหงื่อ  กรกันต์ถอนหายใจหนักก่อนจะตัดสินใจว่า
 
                        “ เดี๋ยวค่อยมาดูกับนายน้อยดีกว่า ” เมื่อคิดได้ดังนั้นคนตัวเล็กก็คิดจะหันหลังกลับเรือนใหญ่ซักที
 
                        แต่ทันทีที่คนตัวเล็กหันมา
 
                        ผลั๊วะ!!!!
 
                        โลกทั้งใบดับวูบลงพร้อมๆกับความรู้สึกเจ็บและชาที่ต้อคอและกกหู
 
                        “ อ่า... ”  คุณช่างส่งเสียงร้องได้เพียงเท่านั้นสติก็ดับวูบลงพร้อมกับเสียงท่อนไม้ที่กระทบพื้น  รอยยิ้มเยาะปรากฏที่ริมฝีปากฉาบลิปสติกสีแดงสด
 
                        “ หลับให้สบายนะจ๊ะ  กว่าจะมีคนมาเจอแกก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้  ขอโทษทีนะ  ฉันพลั้งมือตีนายแรงไปหน่อย  นี่แค่สั่งสอนนะว่าคราวหลังอย่ามาให้ท่าผู้ชายของฉันอีก ” มัลลิกาใช้เท้าเขี่ยกรกันต์ที่นอนเลือดอาบกกหูและลำคอ  แปลนงานปลิวกระจาย หญิงสาวไม่ได้สนใจก้มลงดึงข้อมือของกรกันต์ก่อนจะออกแรงลากร่างเล็กเข้าไปในห้องเก็บของที่ทั้งมืด ชื้น และอับนั้น  แม้จะตัวไม่ใหญ่มากแต่ก็ใช้เวลาพอสมควรและแรงค่อนข้างมาจนหญิงสาวเหงื่อออกเต็มไรผม  มัลลิกาปัดมือไปมาเมื่อลากร่างของกรกันต์เข้ามาสำเร็จ
 
                        “ นอนในนี้แล้วกันนะ ต่อให้ร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยินหรอก  สะเออะออกมาซะไกล  ฝันดีนะจ๊ะ บายยยยย ” หญิงสาวทำท่าโบกมือให้กับร่างที่นอนสลบไม่รู้เรื่องรู้ราว  ก่อนจะเดินออกไปแล้วลงสลักกลอนข้างหน้าประตูอย่างเลือดเย็น
 
                       มัลลิกาเดินกลับเรือนด้วยความพอใจในผลงานของตังเอง
 
                        “ อ้าว คุณจัสไปไหนมาคะ ? ดูซิโคลนเปรอะขาไปหมดเลย ” มะลิที่ออกมาจากในครัวเอ่ยทักหญิงสาว  มัลลิกาตวัดตามองมะลิอย่างไม่ชอบใจ  แต่ก็เพียงครู่ก่อนจะปรับสีหน้าให้อ่อนหวานหันไปจีบปากจีบคอตอบด้วยน้ำสียงใส
 
                        “ ไปสูดอากาศบริสุทธิ์มาน่ะค่ะ  แล้วคุณแม่บ้านจะไปไหนคะ ? ”
 
                        “ อ๋อ  จะไปตามคุณช่างเธอน่ะค่ะ  ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาสงสัยทำงานเพลินอีกแน่ๆ  คุณมัลลิกาเห็นคุณช่างบ้างมั้ยคะ ? ” ท้ายประโยคหันมาถามหญิงสาวที่ตีหน้าซื่อได้อย่างแนบเนียบ
 
                        “ ไม่หนิคะ  ตั้งแต่เช้าจัสยังไม่เคยใครเลยจนคุณแม่บ้านมาบอกว่าเพชรกับคุณเลขาเข้ากรุงเทพนั่นแหละค่ะ  แต่คุณกันต์วันนี้มัลลิกายังไม่เห็น ถ้าไม่มีอะไรแล้วมัลลิกาขอตัวไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนนะคะ ”
 
                        “ อ่อค่ะๆ ขอบคุณมากนะคะ  อาหารพร้อมแล้วคุณจัสทานได้เลยนะคะ ” คุณแม่บ้านบอกส่งท้ายเพียงแค่นั้นก่อนจะขอแยกตัวไปตามหาคุณช่างของเธอ
 
                       มัลลิกาเบะปากใส่อย่างดูแคลน  สายตาที่ดูใสซื่ออ่อนโยนแปรเปลี่ยนไปแทบจะทันทีที่แม่บ้านชราหมุนตัวกลับ
 
                        “ หาไปเถอะ... จ้างให้ก็หาไม่เจอหรอก ”
 
                        ว่ากันว่าแรงริษยาของผู้หญิงช่างร้ายนัก... มัลลิกาเพิ่งรู้ว่ามันจริงก็ต่อเมื่อตนเองได้ใช้มันเป็นพลังเพื่อทำร้ายคนคนหนึ่งไปแล้ว
 
 
                        “ ไม่จำเป็นที่ฉันต้องรู้สึกเสียใจใช่มั้ยคะเพชร ? ในเมื่อคุณเป็นของๆฉันตั้งแต่แรกแล้ว  ฉันที่เป็นเจ้าของก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องของๆฉันไม่ว่าจะแลกมาด้วยวิธีใดก็ตาม  คุณจะโทษกันไม่ได้ว่าฉันร้าย  ในเมื่อปลอกคอที่คุณสวมมันเป็นของฉัน  สายจูงที่ติดไว้ฉันก็ถืออยู่ แล้วคุณไปเคล้าคลอกับคนอื่นทำไม ? ”
 
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2019 13:14:46 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
จัส   เทอมันร้าาาาาายยยยยยยยย  o18

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

คิดไปได้ น่ารังเกียจจริงๆ

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เก่งเหลือเกินนะกับคนที่ไม่สู้เนี่ยถ้ามีสู้หล่อนจะริอไหมนะ  :beat:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อ่านความคิดของจัสมินแล้วอดเบ้ปากไม่ได้จริงๆ
จิคือตัวแทนของเรา ทั้งชงนายน้อยกับนายช่าง และแซะจัสมินได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

 :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
เหล่าอสัตย์เดนคนกูขออาฆาต
จงวิปลาสวอดวายด้วยอาถรรพ์
สมความชั่วโฉดช้าความระยำ
ที่กระทำข้าไว้เยี่ยงจัณฑาล

ขอให้เทพยดาจงสาปส่ง
ท้าวนรกสาปให้สิ้นวาสนา
แลภูติผีสาปให้ตายวายชีวา
สู่หุบเหวนคราแห่งกงกรรม
 

อ้างอิง เพลงแช่ง ปรางค์

อ่านไปแล้วเพลงนี้ก็ลอยเข้ามาในหัว

 o13


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
เดี๋ยวจะลองไปหาฟังค่ะ ปกติไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยเท่าไหร่ คนเขียนเป็นติ่งเกาหลี 555555 เพลงไหนที่เริ่มฟังคือเขาเลิกฮิตกันแล้ว
เหล่าอสัตย์เดนคนกูขออาฆาต
จงวิปลาสวอดวายด้วยอาถรรพ์
สมความชั่วโฉดช้าความระยำ
ที่กระทำข้าไว้เยี่ยงจัณฑาล

ขอให้เทพยดาจงสาปส่ง
ท้าวนรกสาปให้สิ้นวาสนา
แลภูติผีสาปให้ตายวายชีวา
สู่หุบเหวนคราแห่งกงกรรม
 

อ้างอิง เพลงแช่ง ปรางค์

อ่านไปแล้วเพลงนี้ก็ลอยเข้ามาในหัว

 o13

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



Time of tears
Chapter 6
 
                       
                        “ นายน้อยครับ ได้เวลาประชุมแล้วครับ ”จิรายุออกมาตามผู้เป็นนายที่ยืนกดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเรียบตึง
 
 
                        “ เข้าไปก่อน ขอเวลา 5 นาทีเดี๋ยวตามไป ” เพชรหันไปสั่งความกับจิ  ซึ่งเลขาตัวเล็กก็ผงกศีรษะรับฟัง  จิรายุหมุนตัวเตรียมเข้าไปจัดการเอกสารการประชุมอีกรอบให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรพลาด  แต่ก็หันหน้ากลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นนาย
 
 
                        “ นายน้อยครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ ? ทำไมสีหน้ายุ่งๆ ”
 
 
                        “ ผมโทรหากันต์ไม่ติด ” คนเป็นนายตอบแบบหงุดหงิดเรียกเสียงหัวเราะให้กับจิได้ในทันที
 
 
                        “ โธ่... นายน้อยครับ  ป่านนี้คุณช่างคงกำลังปีนเรือนนู้นไต่เรือนนี้อยู่มั้งครับ  เอาจริงเอาจังกับงานขนาดนั้น  ผมว่าบางทีคุณช่างอาจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง  เดี๋ยวค่ำๆค่อยโทรไปใหม่ก็ได้นี่ครับ ” จิเอ่ยเย้าๆจนเพชรมองจอมือถือตัวเองแล้วจึงเก็บเข้ากระเป๋าเดินแล้วตามจิไปในที่สุด 
 
 
 
                        “ อื้อ.... ” เสียงครางเบาๆหลุดออกจากปากร่างเล็กที่นอนตะแคงกายกับพื้นดินสกปรกที่เริ่มชื้นแฉะเพราะน้ำฝนด้านนอกเริ่มซึมเข้ามา
 
 
                        อาการเจ็บราวที่ต้นคอทำให้คนที่พยายามลืมตา  ต้องปิดเปลือกตาของตัวเองอีกครั้ง
 
 
                        สมองหนักอึ้งมึนงงไปหมด  ครั้นพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกรกันต์ถึงกับสะดุ้ง
 
 
หัวใจเย็นเฉียบราวกับยืนเหยียบก้อนน้ำแข็งยักษ์
 
 
                        ภาพที่เห็นมีเพียงความมืด...
 
 
                        ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งกอดเข่าทันที
 
 
                        กลัว... กลัวความมืด  แสงสว่างวาบลอดเข้ามาจากรอบแตกของหลังคาสูงส่องให้เห็นเงารางๆภายในห้อง
 
 
                        ความรู้สึกอับชื้นและความมืดที่เกลียดกลัว ทำให้คนตัวเล็กใช้เท้าดันตัวเองให้หลังพิงกับบางสิ่งราวหาที่พึ่ง
 
 
                        “ ช่วย... ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ” ความกลัวทำให้รู้สึกราวกับว่าร่างกายกลายเป็นอัมพาตชั่วขณะ
 
 
                        ความกลัวที่ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมตัวเองต้องกลัวความมือและที่แคบ  กรกันต์มองรอยแตกของประตูเพื่อพึ่งพิงแสงสว่างจากสายฟ้าเป็นเพื่อน  ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อควบคุมความกลัวของตัวเองไม่ได้ ปกติเวลานอนไม่เคยเลยซักครั้งที่จะปิดไฟ  กรกันต์ทนอยู่ในความมืดได้ไม่เกิน 5 นาที  แม้แต่ขึ้นลิฟต์ ถ้าไม่มีคนขึ้นเป็นเพื่อน บ่อยครั้งยอมที่จะวิ่งขึ้นตึกมากกว่าต้องอยู่เพียงลำพังในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ
 
 
                        “ ฮึก... ”           
 

                        เสียงสะอื้นหลุดออกจากลำคอยามที่ความกลัวแล่นวาบสู่หัวใจ
 

                   ใครเป็นคนทำร้ายเขา ? แล้วคนๆนั้นต้องการอะไร ? เขาไม่เคยสร้างศัตรูที่ไหนแล้วใครที่ปองร้ายกันถึงขนาดนี้
 
 
                        “ คอยดูนะ...ระ...รอ...รอให้เช้าก่อน  ฉันจะพังออกไป  ย่ะ...ฮึก...อย่าให้รู้นะว่าเป็นใครจะเล่นงานให้... ฮึก ... ” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาหวังใช้เสียงตัวเองเป็นเพื่อนในความเงียบ
                 
 
                        ตอนนี้แม้แต่จะขยับ คุณช่างคนเก่งยังไม่กล้าได้แต่ซุกหน้ากับเข่าทั้งสองข้างของตัวเอง
 
 
                        “ ไอ้น้ำตาบ้า  ฉันไม่ได้ร้องไห้นะ  ไม่ได้ร้องเลยซักหน่อยแล้วแกจะไหลทำไม... หยุดไหลสิ... นายน้อย... คุณอยู่ไหน... รีบกลับมานะ มาช่วยผม  ฮึก...รีบกลับมาเร็วๆนะครับ ”
 
 
                        กรกันต์ส่งเสียงเบาหวิวร้องขอให้คนช่วย  ร่างเล็กๆสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อแสงแปลบปลาบลอดเข้ามาเรื่อยๆ  ทำให้เงาภาพเงาต่างๆในห้องดูน่ากลัวเสียเหลือเกินสำหรับคนเสียขวัญ  จวบจนรุ่งสางร่างเล็กก็สลบไปอีกคราด้วยความอ่อนเพลีย
 
                   
                        “ กรรณเจ้านี่ทำไมขี้เซาแท้นะ  ตื่นได้แล้วเจ้าเด็กขี้เกียจ ” เสียงเรียกด้วยความเอ็นดูปลุกเด็กหนุ่มหน้าหวานให้เปิดเปลือกตามอง  เมื่อเห็นดวงหน้าคมสันเผยแววอารีย์ในดวงตาได้ถนัด  รวมทั้งแสงสว่างที่ลอดผ่านช่องลมเข้ามาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวพรวดขึ้นนั่งหายง่วงแทบจะทันที
 

                        “ นายน้อย บ่าวขอโทษขอรับ รอซักครู่เดี๋ยวบ่าวเตรียมน้ำกับเสื้อผ้าให้นะขอรับ ” กรรณกุลีกุจอลุกขึ้นก่อนจะตลบที่นอนบนพื้นของตนลวกๆแล้วผลุบหายออกไปชั่วครู่ก็กลับมาพร้อมกาน้ำร้อนกาใหญ่แล้วหายเข้าไปในห้องอาบน้ำของนายน้อย
 
                        “ นายน้อยครับ  บ่าวรัดแบบนี้ให้ท่านแน่นไปมั้ยขอรับ ? ” ที่สุดเมื่อสายคาดเอวถูกผูกปมอย่างปราณีตทาสตัวน้อยก็ถามผู้เป็นนายน้อยด้วยดวงตากลมซื่อ
 
                        เหมือนลูกแก้วที่กลิ้งไปมาจนผู้เป็นนายอดจะยิ้มให้อย่างเอ็นดูไม่ได้
 
                        “ ไม่หรอก  แบบนี้พอดีแล้ว ”
 
                        แอ๊ด......
 
                   เสียงประตูที่เปิดทำให้สองนายบ่าวรีบหันไปมอง
 
                        “คุณหญิง ”
 
                        “คุณแม่ ”
 
                        “ ทำไมชักช้านักล่ะพ่อเพชร  แม่รอกินข้าวพร้อมลูกอยู่  เห็นไม่ไปหาแม่ซักทีเลยเดินมาดูเผื่อป่วยไข้ ” ผู้เป็นนายหญิงของเรือนเคลื่อนกายเข้าใกล้ลูกชายคนเดียวพลางใช้หลังมืออังกับหน้าผากของชายหนุ่ม
 
                        “ ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา  หรือเพราะเอ็งไม่ปลุกนายน้อย ” นางตวัดตาไปหากรกันต์ที่ยืนประสานมือกดหน้ามองพื้น
 

                        กรรณกลัวคุณหญิงมากกว่าป้ามะลิซะอีก
 

                        เพราะนางขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีที่ดุและเจ้าระเบียบมาก
 
                        แม้แต่มดหากเดินผ่านนางก็คงต้องทำความเคารพก่อนจาก  พลับเคยบอกกับกรรณ
 
                        ซึ่งทาสตัวเล็กก็เห็นจริงด้วยทุกประการ
 
                        “ ไม่ใช่หรอกขอรับคุณแม่เป็นลูกที่ตื่นสายเอง  เมื่อคืนลูกท่องตำราเสียดึกดื่นกรรณมันเตือนให้ลูกเข้านอนแล้วเข้านอนอีกจนอ่อนใจ  หากลูกทำให้คุณแม่ต้องรอลูกต้องขอประทานโทษคุณแม่ด้วยนะขอรับ ”
 
                        “ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไป  อย่าให้ข้ารู้จะว่าเป็นบ่าวแต่นอนตะวันแยงตาให้นายตื่นก่อน  ข้าจะสั่งโบยเจ้าสิบหวาย  ทำอะไรต้องรู้ฐานะตัวเองด้วย  อย่าตีตนเสมอนาย ” มิวายที่จะหันไปข่มผู้เป็นบ่าว
 
                        จริงๆแล้วที่ต้องลากสังขารมาถึงเรือนของลูกชายก็เพราะมีบ่าวไปรายงานว่าเห็นนายน้อยหัดซอให้กับกรรณที่สวนเมื่อคืนวันก่อน  ยิ่งเห็นภาพตาสบตากับรอยยิ้มละมุนของคนทั้งคู่ผู้เป็นแม่ไม่อยากจะคิดไปในทางเสื่อมเสีย  หากแต่ลางสังหรณ์ของผู้เป็นแม่นั้นจับสัญญาณบางอย่างได้
 
                        หากเกิดควันต่อมาจะกลายเป็นประกายไฟ
 
                        นางจะใช้ฝ่าเท้าของนางดับมันซะ
 
 
                        กลางศาลาริมน้ำภายในสระที่ผิวน้ำไหวระริกด้วยแรงลมพลิ้ว  ปลาหลายสีแหวกว่ายไปมา  บนศาลาภาพของสตรีแต่งกายตัวอาภรณ์ที่ถักทอจากผ้าไหมเนื้อดีกำลังนั่งเผชิญหน้ากับชายหนุ่มบุตรชายคนเดียวของท่านเจ้าพระยา
 
                        แม้บรรยากาศโดยรอบจะสงบร่มเย็นแต่ทว่าตัวนายน้อยเองกลับร้อนไปทั้งตัว
 
                        “ ข้ายังไม่พร้อมนะขอรับคุณแม่ ” นายน้อยเอ่ยกับผู้เป็นมารดาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  บรรยากาศที่บ่าวไพร่ที่คอยอยู่เฝ้ารับใช้ไม่กล้าเงยหน้ามองยามนายหญิงของบ้านเทชาในกาลงแก้วจนเกิดเสียงเมื่อของเหลวตกกระทบถ้วยกระเบื้องเนื้อดี
 
                        เสียงถอยหายใจที่บ่งบอกว่ายามนี้นายหญิงของบ้านกำลังมิพึงใจ...
 
                        “ อายุเจ้าก็ยี่สิบปีแล้ว  ถ้าเป็นลูกชายบ้านอื่นป่านนี้คงมีลูกเล็กๆให้พ่อแม่ได้ชื่นชูกันซักคนสองคนแล้ว  เจ้าจะรั้งรออะไรแม่สบันงาก็งดงามกิริยามารยาทเรียบร้อย  ชาติตระกูลไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา ”
นายหญิงแห่งเรือนเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ  ชารสฝาดถูกส่งเข้าลำคอก่อนที่นางจะผินหน้าแสร้งมองปลาในน้ำ
 
                        “ มัจฉายังมีคู่  สกุณาเมื่อถึงเวลายังตั้งสร้างรังตัวเจ้าเป็นถึงบุตรชายท่านเจ้าพระยาหากแม้นไม่ออกเรือนมีคู่มีทายาทสืบสกุลถือว่าเสียชาติเกิดและเนรคุณต่อบรรพบุรุษ  พรุ่งนี้เตรียมตัวให้ดีแม่จะพาเจ้าไปเยี่ยมเจ้าคุณโยธาเทพ”
 
                        “ คุณแม่  โบราณว่าไว้ว่าปลูกเรือนให้ตามใจผู้อยู่ปลูกอู่ให้ตามใจผู้นอนมิใช่หรือขอรับ ? ยามนี้ลูกมิพึงใจที่จะสร้างเรือนกับผู้ใดใยคุณแม่ไม่เข้าใจข้าบ้าง ”

                        “ แต่การเชื่อฟังพ่อแม่ถือเป็นหน้าที่ที่ลูกพึงมี  พ่อแม่เห็นดีเห็นเหมาะแล้วว่าเรือนนี้สมควรร่วมลงหลักปักฐานมันจะทำให้ครอบครัวเรามั่นคงมากขึ้น แม่เหนื่อยแล้วไม่อยากจะพิรี้พิไรมากมาย  เอาเป็นว่าทำตามที่แม่บอกเถอะ  มะลิพาข้ากลับห้องเถอะลมชักจะแรงเผลอไผลไปจะไม่สบาย ” บรรดาบ่าวไพร่ที่ยืนรอต่างก้มหน้าค้อมตัวต่ำยามนายหญิงของบ้านเดินผ่าน
 
                        บรรยากาศยามเย็นที่นายน้อยชอบกลับดูหม่นเทา
 
                        “ ออกไปให้หมดทุกคน ” เสียงทุ้มเอ่ยไล่บริวารที่ยังคงเหลืออยู่  ทุกคนทำความเคารพก่อนย่อกายเดินจากไปทีละคน
 
                        คนตัวเล็กที่นั่งตรงตีนบันไดมองนายน้อยด้วยสายตาลังเล
 
                        ทำไมเพียงแค่ได้ยินว่านายน้อยจะต้องหมั้นและแต่งงานกับคนอื่นใจของกรรณก็กระตุก
 
                        มันเต้นเร็วจนน่าแปลกใจ
 
                        ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจเลยซักนิดเพราะถ้าดีใจที่เจ้านายจะได้ออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝาที่หางตาคงไม่ร้อนผ่าวขนาดนี้
 

                        ที่มือทั้งสองข้างคงไม่ชื้นเหงื่อและสั่นเทาขนาดนี้
 
                        ร่างกายคงไม่รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้
 
                        และที่หัวใจคงไม่รู้สึกเหมือนมันกำลังจะหยุดเต้นขนาดนี้  ทาสตัวเล็กกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นยามรู้สึกเหมือนมันจะหลุดเสียงสะอื้นออกมา  ยิ่งมองแผ่นหลังกว้างหัวใจยิ่งสะท้าน
 
                        นายน้อยกำลังจะไปเป็นของหญิงอื่นที่เหมาะสมกันทุกอย่างตามที่คุณหญิงบอก
 
                        ควรยินดีกับเขาสิ  ทำไมรู้สึกใจหายขนาดนี้
 
                        กรรณขยับตัวลุกขึ้นหวังจะไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ตามที่นายน้อยเอ่ยไล่
 
                        “ กรรณเจ้าไม่ต้องไป ” แต่ทว่าเสียงทุ้มที่เบาโหวงกลับร้องรั้งเอาไว้  ขาเรียวที่เหมือนถูกถ่วงด้วยหินหนักกลับหนักมากขึ้นยามที่หันกลับไปรับคำ  ร่างเล็กค่อยๆนั่งลงที่ขั้นบันไดมองผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
 
                        “ บางที... ข้าก็อยากจะเกิดเป็นทาสอย่างเจ้านะ  ไม่ต้องแบกภาระอะไรไว้บนบ่ามากมาย  มีข้าวกินมีที่นอนก็พอ เกิดเป็นลูกขุนนางแบบที่เจ้าเคยฝันน่ะมันไม่สนุกเลยซักนิดเลยนะเจ้ารู้หรือไม่  เหมือนตอนนี้ที่ข้ากำลังถูกคลุมถุงชนล่ะไอ้กรรณเอ๋ย  เจ้ารู้หรือไม่ในใจข้าตอนนี้มันเอาแต่ตะโกนว่าข้าไม่อยากออกเรือน”
 
                        “ นายน้อย... ”
 
                        “ ข้าก็มีคนที่ข้าพึงใจเหมือนกัน... ” เสียงพูดเบาๆที่ทำให้จิตใจที่แกว่งราวกับนอนอยู่บนเรือยิ่งไหววูบมากขึ้น
 
                        น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ร่วงลงมาโดยไม่รู้ตัว
 
                        นายน้อยมีคนที่พึงใจอยู่แล้ว  ทำไมข้าไม่เคยเห็นเลย  แล้วใจเอยทำไมรู้สึกราวจะขาดรอนๆเช่นนี้กันเล่า
 
                        “ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ข้ารักชอบน่ะเป็นผู้ใด? ” เสียงนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
 
                        น้ำเสียงอบอุ่นนั้นบ่งบอกว่ามีความสุขยามที่เอ่ยถึงคนๆนั้น  กรกันต์กลืนน้ำลายกลั้นก้อนสะอื้น
 
                        น้อยใจ...
 
                        “ บ่าวไม่ทราบหรอกขอรับว่านายน้อยรักใครชอบใคร  หน้าที่บ่าวอย่างข้ามีเพียงติดตามรับใช้นายน้อยแต่ไม่ได้มีหน้าที่ไปสอดส่ายหัวใจหรือความรู้สึกผู้ใด ”
 
                        “ หึ... เจ้ากำลังประชดข้าหรือ  มานี่สิข้าจะบอกความลับให้ว่าแท้จริงแล้วข้ามีจิตปฏิพัทธ์กับผู้ใด ”
 
                        “ ข้ามิได้อยากรู้เลยนายน้อย ” คนตัวเล็กแทนที่จะขยับเข้าหาผู้เป็นนายตามคำสั่ง  กลับทำท่าจะหันหลังไป  น้ำตาแห่งความน้อยใจจวนเจียนจะไหลเต็มที่
 
                        ทว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนกายไปไหนเอวเล็กกลับถูกดึงรั้งจนแผ่นหลังสัมผัสกับอกแกร่งของผู้เป็นนาย
 
                        “ คนที่ข้าชอบคือเจ้านะกรรณ ถ้าไม่รู้ก็รู้ไว้ซะ ” ก่อนที่สมองจะประมวลผลกับสิ่งที่นายน้อยบอก  ร่างของชายหนุ่มก็เดินหายไปแล้วทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจนสองปรางแดงซ่าน  กรรณยกมือขึ้นลูบแก้มที่ผู้เป็นนายเพิ่งประทับริมฝีปากลงไปก่อนเดินหายไปเบาๆราวกับจิตใจกำลังล่องลอยออกจากร่าง
 
                        และน้ำตาก็กลิ้งหล่นจากหางตา
 
                        ไม่ใช่น้ำตาแห่งความน้อยใจเช่นคราแรก  แต่กลับเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
 
                        “ บ่าวเองก็คง... ก็คง... ชอบท่านเหมือนกันนะนายน้อย... ”
 
 
 

                       
 
                        เปลือกตาบวมช้ำค่อยๆขยับเมื่อคุณช่างตัวเล็กเริ่มได้สติในช่วงสายของอีกวัน  น้ำที่เจิ่งนองจนพื้นดินเฉอะแฉะบ่งบอกได้ดีว่าฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง  บางช่วงมีน้ำขังถึงจะเป็นตอนสายจัดแต่เพราะพายุที่เข้าทำให้ท้องฟ้ามืดครื้มแสงแทบจะไม่ส่องผ่านเข้ามาตามรอยแตกของเพดานสูงด้วยซ้ำ  ดังนั้นทั่วทั้งห้องเก็บของขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จึงยังคงมืดแต่ยังพอเห็นด้านในได้ลางๆ
 
                        กรกันต์ค่อยๆยันกายลุกขึ้นนั่งร่างเล็กกุมท้องตัวเองที่เริ่มร้องประท้วงเพราะไม่ได้รับอาหารมาตั้งแต่เที่ยงของเมื่อวาน  กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น
 
                        “ หิวข้าวอะ  ปวดท้องด้วย ” บ่นเบาๆก่อนจะกวาดตาสำรวจรอบๆ
 
                        “ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้  ถ้ามัวแต่นอนเป็นผักอยู่แบบนี้นายซวยแน่ ” บอกกับตัวเองเสียงเข้มทั้งที่ในใจหวาดหวั่น
 
                        ไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งอะไรหรอกนะยามต้องอยู่คนเดียว
 
                        คุณช่างค่อยๆใช้มือคลำสะเปะสะปะมองรอยแตกของกระเบื้องบนหลังคาที่อยู่เสียสูงด้วยความอ่อนใจ
 
                        “ ทำไมจะต้องทำหลังคาซะสูงเสียดฟ้าอย่างนี้  รอให้ออกไปได้ก่อนฉันจะสั่งโละแกทิ้ง ”  คุณช่างยกมือชกลมอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน  ก่อนจะสอดส่ายสายตาหาทางออกอื่น
 
                        “ แล้วนี่คนในบ้านไม่คิดจะออกตามหาฉันบ้างเลยเหรอเนี่ย  คนหายไปทั้งคนนะอย่างน้อยคุณแม่บ้านก็น่าจะผิดสังเกตว่าคุณช่างผู้น่ารักคนนี้หายไปไหน ”  กรกันต์บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะเดินกุมท้องแล้วใช้มือดันผนังห้องไปเรื่อยๆ
 
                        “ ไม้อย่างแน่นอะ ” คุณช่างใช้สีข้างตัวเองกระแทกลงบนบานประตูที่ถูกหับจากด้านนอก
 
                        ไม่มีปฏิกิริยาใดใดเกิดขึ้นมีเพียงร่างของตนเองที่กระเด้งกลับราวลูกบอลที่ถูกเตะอัดกับกำแพงหิน  จนรู้สึกร้าวไปทั้งแถบ  คุณช่างตัวเล็กที่กระเด้งล้มลงกับพื้นบีบไหล่ตัวเองน้ำตาเล็ด
 
                        “ อย่างนี้ต้องสั่งเผา ” เสียงเบาเอ่ยด้วยความแค้นใจพลางส่งค้อนให้กับเจ้าประตูบ้าที่ทั้งหนาและแข็งแรง
 
                        “ ไม่มีทางยอมหรอก นี่ใคร! กรกันต์ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคนะ  แต่ตอนนี้หิวจังเลย  นายน้อยคุณอยู่ไหน ? ”
 
                        กรกันต์กวาดสายตามองหาช่องทางที่จะออกไปจากห้องเก็บของนี้
 
                        “ .. ขุดออกไปได้มั้ยนะ? ดินมันโดนน้ำน่าจะนิ่ม ” ไวเท่าความคิดคุณช่างเดินโขยกเขยกไปที่กองไม้หยิบขาโต๊ะหักๆแหลมๆขึ้นมามองด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
 
                        “ หึ... อย่าคิดว่าประตูแค่นี้จะทำอะไรฉันได้ ” กรกันต์แสยะยิ้มให้กับบานประตูที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำก่อนจะปักไม้แหลมลงบนพื้นดินนิ่ม
 
                        คุณช่างตัวเล็กคงลืมไปว่า...
 
                        “ โอ๊ย ! ” คุณช่างทิ้งไม้พลางยกมือตัวเองขึ้นดูตุ่มใสพองจนเกือบแตกในขณะที่บนพื้นปรากฏรอยขุดที่ลึกราวครึ่งฝ่ามือ
 
                        ดินนุ่มแฉะกองอยู่ปากหลุมลึกลงไปคือดินแข็งจับตัวแน่นราวชั้นหิน
 
                        น้ำที่เปียกแฉะเจิ่งนองมาจากหลังคาที่รั่วและที่ถูกฝนสาดเข้ามาตามรอยแตกของประตูไม่ได้ซึมมาจากชั้นหน้าดินแต่อย่างใด
 
                        ความพยายามนานนับสองชั่วโมงสิ้นสุดพร้อมกับร่างเล็กชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาซบหน้าลงตรงกลางเข่าของตัวเอง
 
                        ไหล่มนสั่นเบาๆพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เจ้าตัวพยายามกลั้น
 
                        “ ...วิน... ช่วยด้วย ”
 
 
 
                        “ สวัสดีครับขอสายกรกันต์หน่อยครับ ” ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น
 
                        วินกำลังร้อนใจเขาโทรหากรกันต์ตั้งแต่เมื่อวาน  แต่เจ้าเพื่อนตัวเล็กกลับไม่ยอมรับสาย
 
                        เป็นเรื่องผิดปกติของกรกันต์เพราะเจ้าตัวแทบจะไปปล่อยโทรศัพท์ให้อยู่ห่างกาย
 
                        เพราะฉะนั้นวินจึงไปขอเบอร์โทรศัพท์บ้านจากพี่หนึ่ง  วินรีบต่อสายเข้าเรือนโบราณทันทีที่ได้เบอร์จากรุ่นพี่ควบตำแหน่งเจ้านาย
 
                        “ เอ่อ... ขอประทานโทษค่ะ คุณกรกันต์ไม่อยู่ค่ะ ” มะลิกรอกเสียงไปตามน้ำเสียงของหญิงชราเบาโหวง
 
                        คุณช่างหายไป...หล่อนตามหาตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่พบ
 
                        “ .. ไม่อยู่เหรอครับ ไม่ทราบว่าไปไหนแล้วเค้าลืมเอาโทรศัพท์ไปหรือเปล่าครับ ? ”
 
                        “ ขอโทษนะคะ  ดิฉันไม่ทราบจริงๆค่ะ ” หญิงชราทำท่าจะตัดสาย  วินขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม
 
                        “ เดี๋ยวนะครับ  ไม่ทราบนี่หมายความว่ายังไงครับ  เค้าออกไปสำรวจ  เค้าออกไปข้างนอก  หรือยังไงครับ ? ”
 
                        “ ดิฉันไม่ทราบคะ  เมื่อวานที่เจอคุณช่างเธอบอกว่าจะไปดูรอบบ้าน  แต่เวลาอาหารว่างเลยไปแล้วเธอก็ยังไม่กลับมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ ”
 
                        “ อะไรนะ! แล้วคนหายไปทั้งคนเจ้าของบ้านเค้าไม่ออกตามหาเลยเหรอ ”
 
                        “ นายน้อยกับคุณเลขาไม่อยู่ค่ะ  ส่วยคุณจัสเธอเพิ่งกลับกรุงไปเมื่อเช้า  พวกเราตาหาแล้วแต่ไม่เจอก็เลยคิดว่าคุณช่างอาจจะกลับกรุงเทพเพราะเธอเคยบอกไว้ว่าต้องเข้าบริษัทซัก 2-3 วันค่ะ ”
 
                        “ บ้าชิบ ! ” วินสบถใส่สายโทรศัพท์ก่อนจะกดตัดสาย
 
                        กรกันต์หายไป....
 
                        ไม่มีใครสนใจตามหา
 
                        แม้แต่ตัวเจ้าของเรือนโบราณ
 
                        “ พี่หนึ่งผมลางานอาทิตย์นึงนะ ” วินเดินไปเคาะประตูกระจกของเจ้านายก่อนจะเอ่ยบอกเรียบๆ  แล้วหมุนตัวออกมาจนหนึ่งต้องวางงานในมือวิ่งตามมา
 
                        “ เฮ๊ย... วินแกรีบร้อนจะไปไหนวะ ? ” วินที่กำลังกวาดๆของบนโต๊ะใส่กระเป๋าใบใหญ่ถอนหายใจ
 
                        ถ้าหนึ่งตาไม่ฝาดเขาเห็นไอ้รุ่นน้องอารมณ์ดีกัดฟันกรอดจนเส้นเอ็นขึ้นที่คอ
 
                        “ พี่วินครับ สายจากทางบ้านครับ ” รุ่นน้องในบริษัทตะโกนมาจากโต๊ะร้องบอกวิน  ชายหนุ่มถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างหัวเสียก่อนนะเดินไปที่โต๊ะเพื่อรับโทรศัพท์
 
                        “ ฮัลโหล ”
 
                        “ วินกลับบ้านด่วนพี่วุ้นเข้าโรงพยาบาล ”
 
 
 
                        “ ผมหวังว่าการร่วมทุนโครงการของเราทั้งสองฝ่ายจะเป็นไปได้ด้วยดีนะครับ ” ชายวัยกลางคนยื่นมือมาให้กับพชรเมื่อการตกลงเซ็นสัญญาเสร็จสิ้นลง  พชรพ่นลมอย่างโล่งอกเมื่อภารกิจด่วนของตนเสร็จสิ้นลง
 
                        จะได้กลับกลับเมืองไทยซักที
 
                        ที่จริงเขาควรจะได้กลับเรือนโบราณตั้งแต่ 5 วันที่แล้ว แต่เพราะพ่อของเค้าโทรมาบอกให้บินตรงมาปักกิ่งเพื่อเซ็นสัญญาโครงการสร้างห้างสรรพสินค้าการประชุมและการตกลงกินเวลาถึงสามวัน
 
                        งานยุ่งมากจนเพชรไม่มีเวลาโทรหากรกันต์หรือแม้แต่ใครที่ไทยซักคน
 
                        คิดถึงคุณช่างจนจวนจะแย่อยู่แล้ว
 
                        “ นายน้อยครับ ผมจัดการเตรียมตั๋วเครื่องบินได้แล้วนะครับ  รับรองถึงไทยไม่เกินเที่ยงคืน  คืนนี้แน่ๆ ”
 
                        “ นี่เร็วที่สุดแล้วใช่มั้ย ? ”
 
                        “ ครับเร็วที่สุดแล้วครับ แหม... ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  ยังไงไม่เกินพรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้วครับ ”
 
                        “ รู้ดีตลอดเลยนะ  แต่จริงๆอยากเจอตอนนี้เลยด้วยซ้ำไม่รู้ทำไมใจมัยห่วงแปลกๆ ”
 
                        “ รับรองให้เลยนะครับว่าถึงไทยผมจะเหยียบสองร้อยให้ถึงเรือนภายในสองชั่งโมง ” จิเอ่ยกระเซ้าผู้เป็นนายที่ทำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจก่อนจะขอตัวกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทใหญ่ก่อนจะขึ้นเครื่องตามประสาคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ
 
                        “ รอผมหน่อยนะ พรุ่งนี้เช้าเราจะได้เจอกันแล้ว ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับลมฟ้าเหมือนหวังจะให้คนที่อยู่ทางนู้นได้ยินโดยไม่รู้เลยว่า 5 วันที่ตนไม่อยู่นั้น คุณช่างต้องประทังชีวิตด้วยการทนกินน้ำสกปรกที่ขังบนพื้นดินและสลบสไลไปเมื่อตอนพลบค่ำต่อมา
 

                        ร่างเล็กหายใรรวยริน

                        ริมฝีปากแห้งผากแตกระแหงจนตกสะเก็ดคราบเลือดยังคงซึมผ่านรอยแผล

                        ขอบตาบวมแดงช้ำด้วยผ่านการร้องไห้ไม่เว้นแต่ละวัน
 
                        การมีชีวิตอยู่ในยามนี้เหมือนจะเป็นสิ่งยากลำบากเสียแล้วสำหรับกรกันต์
 
                        เล็บมือเกรอะกรังไปด้วยเลือดเพราะคนตัวเล็กใช้มือในการพยายามขุดดินและแกะไม้ที่ทำผนัง
 
                        ลมหายใจคล้ายจะขาดช่วงยามออกแรงขยับริมฝีปาก
 
                        “ ช่ะ...ช่วย...ด้วย...น่ะ...นาย...น้อย...ช่วย...ด้..ว...ย... ”
 
 
                        ปัง!!!
 
 
                        “ ในที่สุดก็เจอจนได้นะกรกันต์ ”
 
 

                        TBC………….
 
 
 
 ...............................

ตายมั้ย ตายมั้ยคุณช่างงงงงง

นายน้อยก็กำลังจะโดนจับแต่งงานแล้วด้วย


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด