เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหมือนเราจะเคยรักกัน ((อดีต-ปัจจุบัน)) กึ่งพีเรียด ตอนจบ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒  (อ่าน 17628 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
และแล้ววววววววววว ทั้งคู่ก็...
 :hao6:
ส่วนจินี่ตัวเล็ก แต่มีความร้ายกาจ อย่างนี้สินะถึงปราบวินได้

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



 
Time of tears
Chapter 11


 
            เช้านี้กรรณวิ่งวุ่นกับการช่วยสาวใช้ที่เรือนใหญ่ขนของจากโถงกลางเข้าไปไว้ในเรือนกล้วยไม้ของคุณสบันงา  อากาศร้อนอบอ้าวในฤดูฝนทำให้เหงื่อไหลราวสายน้ำ อีเฟืองคนสนิทของสบันงาคอยกำกับว่าอะไรวางตรงไหน นางค่อนข้างจ้ำจี้จ้ำไชกับกรรณเป็นพิเศษ  ในขณะที่สบันงานั่งนิ่งมองพฤติกรรมของทาสหนุ่มเงียบๆ  ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจของนางกลับร้อนรุ่ม  ความเกลียดชังค่อยๆ ซึมลึกราวกับรากไม้ยืนต้นที่ค่อยๆ ชอนไชเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
 
 
            ถ้าทำได้นางก็อยากจะฆ่ากรรณให้ตายคามือเสียตอนนี้  แต่เพราะฐานะและศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ทำให้นางต้องนิ่ง  ราวกับแม่น้ำที่เจ้าคะเนความลึกไม่ได้  สิ่งเดียวที่พอจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างก็คือเรียกกรรณมาใช้งานในช่วงที่เพชรไปทำงานและกรรณไม่ได้ตามไปด้วย
 
            “คุณสบันงาขอรับ  ข้าจัดของให้ท่านเสร็จแล้วขอรับ”  เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อลังไม้ใบสุดท้ายถูกวางให้เข้าที่เข้าทาง  ทาสตัวน้อยยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อ
 
            “เสร็จแล้วก็ไสหัวไปไกลๆ ”  เป็นอีเฟืองที่เอ่ยปากไล่แทนผู้เป็นนาย  กรรณก้มหัวให้ผู้เป็นนายก่อนจะถอยออกไป เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก ช่วงนี้คุณหญิงสั่งไม่ให้เขาตามนายน้อยออกไปที่กรมเด็กหนุ่มถูกเรียกใช้งานจนดึกดื่นแทบทุกวัน  กำมือทุบแขนขาเพื่อคลายความเมื่อยล้าลากเท้ากลับมายังเรือนทาส  พลับนั่งลับมีดอยู่ชานเรือนหันมามองอย่างขำๆ
 
            “ไง  หมดสภาพกลับมาทุกวันเลยนะ”
 
            “พลับ  ข้าไม่มีแรงจะเถียงกับเอ็าหรอกนะ” กรรณตอบกลับเนือยๆ ทิ้งตัวลงนอนแผ่ที่ชานเรือนมันซะอย่างนั้น
 
            “ไปอาบน้ำอาบท่าซะก่อนไม่ดีกว่าเหรอ จะได้สดชื่นขึ้น”
 
            “ไม่เอา  ขอข้านอนนิ่งๆแบบนี้ซักเดี๋ยวเถอะ ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน” กรรณหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า กะว่าจะพักสายตาซักหน่อยหายเหนื่อยก็จะลุกไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาแล้วจะรีบไปห้องหนังสือรอรับนายน้อย แต่ร่างบางทำได้แค่กินข้าวได้ไม่กี่คำมะลิก็มาเรียกไปพบคุณหญิงของบ้าน  กรรณรีบกลืนข้าวยกน้ำขึ้นดื่มวางชามข้าวแล้ววิ่งตามลิอินไปหาคุณหญิงแพ
 
            “คุณหญิงเจ้าเจ้าคะ ไอ้กรรณมาแล้วเจ้าเจ้าค่ะ” แม่บ้านชราเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย กรรณเข้ามาทำความเคารพพลางก้มหน้าหมอบต่ำ
 
            “มาแล้วเหรอ”นางปรายตามองทาสหนุ่ม สำรวจใบหน้าและรูปร่างของกรรณอย่างพินิจพิเคราะห์ เหมือนเพิ่งไม่นานมานี้คนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กน้อยผอมแห้งบัดนี้โตเป็นหนุ่มแต่รูปร่างกลับอ้อนแอ้น ใบหน้าก็ดูดีเกินทาสในเรือนคนอื่นๆ
 
            ดั่งโบราณจีนเคยกล่าวไว้เด็กหนุ่มน่ารักมักทำฮ่องเต้เสียศูนย์
 
            แล้วแบบนี้ลูกชายของนางคลุกคลีตีโมงอยู่กับกรรณทุกวันจะไม่ไขว้เขวบ้างหรือ
 
           ยิ่งคำพูดของลูกสะใภ้ที่บอกเล่ากับนางเมื่อหลายวันก่อนยิ่งทำให้ใจของหญิงชราหวาดระแวง  เพชรเป็นลูกชายที่ได้ดั่งใจและเชื่อฟังนางมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าคราวใดที่กรรณถูกดุลูกชายของนางมักออกหน้าปกป้องอยู่เสมอ  เมื่อก่อนนางคิดว่าเพราะความเป็นบ่าวคนสนิทลูกชายถึงปกป้องคนๆนี้  แต่ตอนนี้มีความคิดบางอย่างบอกกับนางว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
 
            เพราะฉะนั้น นางจะถือคติ นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้งไปเสียก่อนที่แผลจะลุกลามจนเหม็นเน่า
 
            “คุณหญิงเรียกบ่าวมาพบไม่ทราบว่ามีงานอะไรจะมอบหมายหรือไม่ขอรับ”
 
            “ไอ้มั่นบอกกับข้าว่าลูกจ้างที่เคยจ้างมาช่วยทำนาปีนี้ไม่มากันหลายคน บ่าวไพร่ที่ข้าส่งไปก็ไม่พอข้าเลยคิดว่าจะให้เจ้าไปช่วยทางนู้นทำนาซักระยะ”กรรณเงยหน้ามองคุณหญิงของบ้านทันทีหากเขาต้องไปทำนาก็เท่ากับว่ากรรณจะไม่ได้ดูแลรับใช้นายน้อย
 
            “คุณหญิงขอรับแล้วใครจะคอยรับใช้นายน่...”
 
            “เรื่องของนายน้อยเอ็งไม่ต้องยุ่ง ไม่มีเอ็งบ่าวไพร่ก็เต็มบ้าน  ลูกข้ามีไอ้เมฆเป็นพี่เลี้ยงตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขารู้ใจลูกข้าทุกอย่างมีอะไรน่าห่วงหรือ?”กรรณจำต้องหุบปาก จริงอย่างที่คุณหญิงว่าข้างกายของนายน้อยมีพี่เมฆคอยอยู่ใกล้ไม่เคยห่าง เพราะใกล้ชิดกับนายน้อยมาตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินนายกับบ่าวทำให้ทั้งชีวิตนี้ของกรรณวางไว้แทบเท้านายน้อย  การถูกจับแยกให้ห่างกันครั้งนี้จึงทำให้ใจดวงน้อยโหยไห้  แต่กรรณไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากน้อมรับคำสั่งของผู้เป็นคุณหญิง
 
            “เมฆ...กรรณหายไปไหน”เพชรเอ่ยถามพี่เลี้ยงคนสนิทเมื่อหลายวันมานี้ไร้เงาของทาสตัวน้อยที่มักจะนั่งรอเขากลับจากทำงานในทุกวัน แม้ว่าพอจะรู้มาบ้างว่าช่วงนี้ทั้งภรรยาและแม่ของเขาจะเรียกกรรณไปใช้สอย แต่ถึงกระนั้นต่อให้เสร็จงานดึกดื่นขนาดไหนกรรณก็มักจะกลับมาหาเขาทุกคืน
 
            “คุณหญิงสั่งให้ไปช่วยพ่อบ้านทำนาขอรับ”
 
            “อะไรนะ!! ทำนา ทำไมต้องให้กรรณไปทำบ่าวไพร่มีตั้งมากมายทำไมต้องให้กรรณไปทำงานหนักขนาดนั้น” ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันทีด้วยความโมโห
 
            “นายน้อยจะไปไหนขอรับ”
 
            “ข้าจะไปถามคุณแม่ว่าทำไมถึงส่งกรรณไปทำนา”
 
            “นายน้อยคิดดีแล้วเหรอขอรับ”เมฆเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยเสียงเรียบๆ น่าแปลกที่ประโยคสั้นๆ กลายเป็นน้ำฝนที่รดไฟในใจของเพชรให้มอดลงได้ เมฆไม่ใช่คนพูดมาก แต่จะพูดเฉพาะสิ่งที่ถูกที่ควร
 
            “ถ้านายน้อยไปถามกับคุณหญิงไม่แน่จากที่กรรณจะได้ทำนาใกล้ๆคุณหญิงอาจส่งมันไปทำนานอกเมือง การที่คุณหญิงทำอย่างนี้บ่าวคิดว่านางอาจจะระแเจ้าคะระคายเรื่องของท่านกับกรรณถ้าท่านไปซักถามจะไม่ยิ่งเหมือนว่าท่านกำลังเอาน้ำมันไปราดลงบนกองไฟกองใหญ่หรอกหรือขอรับ ท่านน่าจะทราบนิสัยคุณหญิงดีว่านางเป็นคนอย่างไร  บางทีความรักที่ท่านมีให้กรรณอาจเป็นสิ่งที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ก็ได้  ข้าอยากขอให้ท่านใจเย็นๆ ”
 
            เพชรนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดหลายวันมานี่แม่ของเขาสั่งให้คนมาตามไปพูดคุยด้วยจนดึกดื่นพร้อมสบันงาและไล่ให้กลับไปนอนที่เรือนกล้วยไม้  พยายามพูดถึงเรื่องการมีทายาท  เขาได้แต่นอนลืมตาในความมืดทุกค่ำคืน  แม้สบันงาจะมีท่าทีเข้าหาเขามากเพียงใดเขาก็แค่แกล้งหลับให้นางตายใจ
 
            เขาเป็นสามีที่บกพร่องเป็นลูกที่อกตัญญูแต่เขามิอาจฝืนใจมีสัมพันธ์กับหญิงที่ไม่ได้รักได้จริงๆ
 
            ราวกับว่าร่างกายของเขาตอบสนองกับกรรณเพียงแค่คนเดียว  ร่างกายของเขาตอบสนองตามที่หัวใจสั่งการ
 
            “เมฆ ข้าอยากเจอกรรณ” ที่สุดหลังจากนิ่งคิดไปนานนายน้อยก็เอ่ยด้วยเสียงที่สิ้นหวัง เขาจะไม่ทำให้กรรณเดือดร้อนไปมากกว่านี้ แต่ความคิดถึงก็ทรงพลังเหลือเกิน  อยากเห็นหน้าเจ้าตัวเล็กที่เคยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง  คิดถึงรอยยิ้ม  คิดถึงน้ำเสียง  คิดถึงกลิ่นกาย  คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรรณ  ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เห็นหน้าเจ้าตัวเล็กนั่นเขาต้องคลั่งตายแน่ๆ
 
            “มันจะมีปัญหานะขอรับนายน้อย ถ้านายน้อยไปเรือนทาสเรื่องอาจถึงหูคุณหญิง”
 
   “แต่ข้าเป็นห่วงกรรณ นะ เมฆเจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่? เจ้ารู้ใจข้าที่สุดแค่นี้เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าทรมานเหมือนกำลังจะตาย”
 
   เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทุกขณะที่พลับที่กำลังล้างหน้าล้างตาต้องหันไปมองตามเสียง ร่างสูงใหญ่ของคนที่เดินตามเมฆมาช่างคุ้นตาแม้จะสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างยับแต่ความงามสง่ายังคงแผ่กระจาย
 
            “น่ะ...นายน้อย...” พลับรีบหมอบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม แสงจากคบไฟส่องกระทบเพียงเสี้ยวหน้า  เพชรเพียงแต่กดสายตามองไร้แววใดใดแต่ก็พอจะทำให้พลับรู้ว่าตนเองควรทำตัวเช่นไร
 
            “กรรณหลับอยู่ในห้องขอรับ” นายน้อยเดินขึ้นบันไดเรือนเตี้ยๆ แล้วหายเข้าไปในห้อง พลับหันมามองเมฆด้วยสีหน้าลำบากใจ
 
            “แบบนี้มันจะดีเหรอพี่เมฆ ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”
 
            “ก็ช่วยกันดูสิ นายน้อยคงอยู่ไม่นาน” เมฆตอบก่อนจะทิ้งสายตาไปที่ประตูไม้บานเก่าที่ปิดสนิท
 
            เพชรหยุดยืนดูร่างซูบผอมและคร้ามแดดที่นอนหลับสนิทไม่รับรู้ถึงการมาของเขาเลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ปกติกรรณเป็นคนหูไวเพียงแค่เขาขยับตัวตื่นในยามเช้าตรู่เจ้าตัวเล็กก็จะรีบกุลีกุจอลุกขึ้นมารับใช้ปรนนิบัติเขา ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า
 
            ไม่เจอแค่ไม่กี่วันกรรณของเขาซูบผอมไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ           
 
            ได้กินข้าวอิ่มหรือเปล่า?
 
            ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ฝ่ามือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา
 
            ต้องตากแดดร้อนขนาดไหนผิวขาวๆของเจ้าถึงได้ไหม้ขนาดนี้?
 
            มองมือสองข้างที่วางบนหน้าอกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอด้วยความปวดใจ  นายน้อยดึงมือเรียวขึ้นมาดู  พลันน้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัว  มือของกรรณบัดนี้มีแต่รอยแผลพุพองหยาบกระด้าง
 
เจ้าตัวเล็กของเขาต้องจับจอบจับเสียมกำเคียวเกี่ยวข้าวนานเท่าไหร่มือถึงได้ยับเยินขนาดนี้  ค่อยๆจรดริมฝีปากจูบปลายนิ้วเรียวอย่างแผ่วเบาราวกับจะถ่ายทอดความรักความห่วงใยและความรู้สึกทั้งหมดในก้นบึ้งของหัวใจให้กับกรรณ  พลันเปลือกตาแสนหนักอึ้งของกรรณก็เปิดขึ้น รอยยิ้มซูบซีดถูกส่งมาให้
 
            “นายน้อย...วันนี้บ่าวฝันดีจังฝันเห็นนายน้อยของบ่าว” มือเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าของชายอันเป็นที่รักก่อนจะเกลี่ยหยาดน้ำตาให้อย่างเบามือ เพียงแค่สัมผัสผิวเนื้อของนายน้อยกรรณก็ตื่นเต็มตา  คนตรงหน้าหาใช่ภาพนิมิตหากแต่เป็นเจ้าของดวงใจที่มีเลือดเนื้อมีชีวิต  ส่งยิ้มปลอบประโลมไปให้  เอ่ยถามอย่างห่วงใยแสนรัก
 
            “ร้องไห้ทำไมขอรับนายน้อย...อย่าร้องไห้สิขอรับข้าใจคอไม่ดี”
 
            “กรรณ...เหนื่อยมากไหม? ”
 
            “เหนื่อยขอรับ...เหนื่อยมาก”ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องโกหก เขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด  กรรณลุกขึ้นนั่งนายน้อยรีบเข้าไปประคองก่อนจะดึงร่างน้อยให้นั่งอิงแอบแนบอกตน
 
            “กรรณ...”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกแนบใบหู
 
            “ขอรับ...”กรรณเงยหน้าขึ้นมอง  ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากเนียน  สายตาคมจ้องนิ่งอยู่กับดวงหน้าซูบนั้น
 
            “กรรณเราหนีไปด้วยกันเถอะนะ หนีไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครตามหาเราเจอ ไปสร้างชีวิตใหม่ที่เป็นของเราเอง”
 
            “ไม่ได้!! ” กรรณดันกายหนีห่างจากอ้อมอกอบอุ่นราวกับว่าตนเผลอไปพิงแผ่นเหล็กติดไฟ  สีหน้าตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน
 
            “ทำไมล่ะกรรณ เจ้าไม่รักข้าเหรอ เจ้าไม่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับข้าหรอกหรือ” น้ำเสียงตัดพ้อพร้อมกับสายตามีแววเสียใจถูกส่งผ่านมาให้
 
            “ไม่ใช่นะขอรับ ข้ารักท่านรักยิ่งกว่าชีวิตท่านก็รู้ แต่ถ้าเราหนีไปด้วยกันอนาคตของท่านล่ะขอรับ เจ้าคุณพ่อคุณแม่ของท่านอีกใครจะดูแล ชีวิตของเรามันไม่ได้มีแค่เรานะขอรับนายน้อย เรายังมีครอบครัวมีคนที่รักต้องดูแล ท่านเป็นลูกชายเพียงคนเดียว พ่อแม่ท่านมีท่านแค่คนเดียว”
 
            “เจ้าก็มีข้าแค่คนเดียวเหมือนกัน...”
 
            “แต่ความรักของเราต้องไม่ทำร้ายใครนะขอรับนายน้อย เท่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้ข้าเพียงพอแล้ว แค่ได้รู้ว่าท่านรักข้า ข้าก็ไม่หวังอะไรแล้วต่อให้เหนื่อยกว่านี้ซักร้อยเท่าข้าก็ทนได้ ขอแค่นายน้อยมีชีวิตที่ดีนะขอรับ นายน้อยได้โปรดอย่าคิดอะไรแบบนี้อีกนะขอรับ  นี่ก็นานแล้วนายน้อยรีบกลับเรือนไปเถอะขอรับ เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้าเรื่องจะถึงหูคุณหญิง” กรรณยันอกแกร่งของนายน้อยออกห่างจากตัว
 
            “ไม่อยากจากเจ้าไปเลย...”น้ำเสียงออดอ้อนทิ้งท้ายตามด้วยสายตาละห้อยหา  นายน้อยกำลังอ้อนเขารู้ดี  ถ้าเป็นเวลาอื่นกรรณคงใจอ่อน  แต่ไม่ใช่เวลาและสถานที่แห่งนี้  นี่เป็นเรือนทาสถ้ามีใครได้ยินบทสนทนาหรือมีใครเห็นนายน้อยในที่นี้  เรื่องเดือดร้อนยุ่งยากใจอีกมากมายจะตามมา
 
            “กลับเถอะขอรับ วันไหนที่ข้าเลิกงานไวจะรีบไปหานายน้อยนะขอรับ”เพชรทำท่าเหมือนจะคัดค้านอีกครั้งแต่คำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยก็ถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากอิ่มหวานที่เขาชอบคลอเคลียประกบจูบแผ่วเบาแต่ทว่ารสหวานล้ำกลับค่อยๆ ซึมลึกและตราตรึงเข้าในจนถึงก้นบึ้งหัวใจก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
 
            ครืด...ทั้งคู่สะดุ้งหันไปตามเสียงบานประตูที่เปิดออก
 
            “น่ะ...นายน้อยขอรับ  พี่เมฆให้มาบอกว่ากลับได้แล้วขอรับ”  เพชรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น ขายาวก้าวออกมาได้เพียงแค่ 2-3 ก้าว ก็หมุนตัวก้าวเร็วๆ กลับไปหากรรณก่อนจะโน้มตัวลงกดจูบลงบนหน้าผากอุ่นแล้วผละมาอย่างรวดเร็ว  เขาเกรงว่าจะยังอยู่ต่ออีกเพียงชั่วกระพริบตาเขาคงมิอาจหักใจหันหลังเดินออกมาได้อีกในคืนนี้
 
            เมื่อร่างสูงก้าวออกมาจากด้านในเมฆที่รอท่าอยู่แล้วก็รีบพาผู้เป็นนายเดินลัดเลาะกลับเรือนทันที  เมื่อร่างของบุรุษสองคนเดินลับหายไปอีเฟืองก็ออกจากที่ซ่อนทันที  อีเฟืองเคาะประตูห้องของนายสาวก่อนจะเข้าไปกระซิบเหตุการณ์ที่ได้เจอมา  ดวงตาของสบันงาวาวโรจน์สองมือกำเข้าหากันแน่น
 
            “ดี...แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
 
 
อนิจจาตัวเราเหมือนเขาอื่น
ฤาทนฝืนตากหน้าหาเหตุผล
ที่ต้นเหตุคือใครให้ทุกข์ทน
ย่ำยีหัวใจจนแหลกลงไป
ที่กอดไว้เพียงตำแหน่งพอเชิดหน้า
แต่ที่ชื่นชูหาได้มีไม่
ไฟค่อยสุมค่อยเผาที่กลางใจ
อ้อนวอนไปก็ไร้ความเมตตา
หากของรักแตกหักย่อยยับแล้ว
คงไม่แคล้วต้องเจ็บปวดหนักหนา
ขอสาปส่งให้ตายตกด้วยศาสตรา
ให้แสบสันถ้วนหน้าชีวาวาย
ได้รู้รสโลหิตหลั่งพลั้งอาฆาต
พิศวาสดับดิ้นสิ้นสลาย
ได้รู้ซึ้งใจรักที่เดียวดาย
เคยมอบหมายทิ้งขว้างไม่ลังเล
เจ็บเพียงหนึ่งคืนสนองเป็นร้อยเท่า
ตีให้แตกแยกเข้าให้หันเห
จะชาติใดตามติดไม่รวนเร
จะทุ่มเทจงชังไม่ร้างรา
ให้เจ็บจำแม้นกี่อสงไขย
รังควาญไปไม่มีทางได้พบหน้า
คำสัตย์นี้เป็นความแค้นในวิญญา
ไฟแล่นล้างสี่หล้าไม่ลบเลือน
 

            “ค้นให้ทั่ว หาทุกซอกทุกมุม” อีเฟืองสั่งบรรดาทาสราวยี่สิบคนด้วยเสียงอันดัง ทาสทั้งหลายต่างพากันวิ่งเข้าห้องนู้นออกห้องนี้กันให้วุ่น ข้าวของในหีบห่อถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย  กรรณและพลับมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความงุนงง  เกิดอะไรขึ้น  ทำไมห้องของพวกเขาโดนรื้อค้น
 
            “เดี๋ยวๆ พี่เฟือง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องค้นห้องกันด้วย”พลับถามเฟืองด้วยความไม่เข้าใจ คนสนิทของสบันงากดยิ้มที่มุมปาก
 
            “หยกประจำตัวคุณหนูหายไป ต้องมีใครซักคนขโมยมาแน่ๆ หยกชิ้นนั้นสำคัญมากเพราะมันเป็นหยกสีเลือดที่ส่งมาจากพม่าท่านเจ้าคุณมอบให้คุณหญิงของข้าตอนแต่งงาน ถ้าอยู่ที่ใครบอกได้คำเดียวว่าตายแน่ เรื่องนี้ถึงหูคุณหญิงแล้วท่านจึงสั่งให้ข้ามาค้นหาห้องพวกเจ้าทุกห้อง”
 
            “เจอแล้ว”เสียงตะโกนดังออกมาจากห้องของพลับและกรรณ ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ อีเฟืองรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องที่ถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย
 
            “เจอที่ไหน”
 
            “ในหีบเก็บของใบนี้ขอรับ”
 
            อีเฟืองรับหยกสีแดงสดมาไว้ในมือ ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์กดยิ้มร้ายอย่างหมายมาดก่อนจะหันกลับมาหาคนทั้งสองช้าๆ
 
            “หีบใบนี้ของผู้ใด??”
 
            “ข่ะ...ของข้าเอง แต่พี่เฟือง ข้าไม่เคยเห็นหยกชิ้นนี้เลยนะและไม่ได้เป็นคนเอามาด้วย”
 
            “จับมันไปหาคุณหญิง” อีเฟืองไม่เสียเวลาฟังคำอุทธรณ์ใดใดทั้งสิ้น  นางออกคำสั่งให้บ่าวร่างสูงใหญ่สองคนหิ้วปีกกรรณมาที่ลานกลางบ้านซึ่งบัดนี้คุณหญิงของบ้านรวมทั้งสบันงานั่งรออยู่ก่อนแล้ว  บ่าวไพร่ถูกตามมาดูการพิจารณาคดีด้วยศาลเตี้ยครบทุกคน ใจดวงน้อยแทบกระดอนออกมายามที่ร่างถูกเหวี่ยงลงพื้น เงยหน้าขึ้นมองตอนเฟืองเดินไม่มอบหยกในมือให้ผู้เป็นนาย
 
            “สบันงา ใช่หยกของเจ้าหรือไม่?” คุณหญิงของบ้านหันไปถามลูกสะใภ้ที่ส่งยิ้มดีใจมาให้
 
            “ใช่เจ้าเจ้าค่ะคุณแม่  นี่เป็นหยกของข้าเจ้าค่ะ”
 
            “กรรณ....เรือนของข้าเลี้ยงเจ้าให้อดอยากใช่หรือไม่ เรือนของข้าเลี้ยงเจ้าไม่สุขสบายใช่หรือไม่ หรือว่าข้าเลี้ยงเจ้าอดมื้อกินมื้อกินไม่อิ่มนอนไม่หลับหรือ?”น้ำเสียงคล้ายจะปราณีแต่สายตาของคุณหญิงราวกับมีกองเพลิงแดงฉานอยู่ข้างในก็มิปาน กรรณที่ปกติตัวเล็กอยู่แล้วยามนี้กลับยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ ร่างบางสั่นด้วยความหวาดกลัว
 
            “ไม่ขอรับ ท่านเลี้ยงข้าดีมากขอรับ”
 
            ปัง !!! เสียงตบโต๊ะดังลั่นป้านชากระเด้งขึ้นจนหล่นลงพื้น ทุกคนสะดุ้งเฮือกก้มหน้างุด กรรณรีบหมอบลงกับพื้นด้วยความตื่นกลัว
 
            “แล้วอย่างนี้เจ้าขโมยของๆ สบันงาทำไม ทำทำไม”
 
            “ไม่ขอรับคุณหญิง บ่าวไม่ได้เป็นคนเอาไป” กรรณละล่ำละลักปฎิเสธ
 
            “คุณหญิงเจ้าคะ...หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ของอยู่ในหีบส่วนตัวของไอ้กรรณเจ้าค่ะทุกคนเป็นพยานได้” อีเฟืองรีบใส่ไฟทันที คุณหญิงตวัดสายตามองนางเพียงครู่เดียวอีเฟืองก็หุบปาก
 
            “ผู้ร้ายปากแข็ง  ถ้าเจ้ายอมรับมาดีๆ โทษหนักก็จะกลายเป็นเบา แต่ดูท่าทางแล้วเจ้าคงจะยืนกรานกระต่ายขาเดียวสินะ  เจ้าคิดว่าเป็นคนโปรดของลูกชายข้าก็จะพ้นผิดสินะ  ถ้าเรื่องในบ้านข้าจัดการไม่ได้ก็อย่ามาเรียกข้าว่าคุณหญิงแพ ไอ้มิ่งโบยมันจนกว่ามันจะยอมรับ”นางหันไปสั่งเสียงเฉียบขาดให้กับบ่าวชายร่างใหญ่ในเรือน เพียงไม่นานร่างบางก็ถูกผูกตรึงกับขื่อรอการลงทัณฑ์ด้วยหัวใจที่สั่นระรัว  พลับพยายามเข้าไปช่วยกลับถูกบ่าวผู้ชายคนอื่นตีจนสลบ
 
            เสียงแหวกอากาศของไม้หวายก่อนจะฟาดลงกลางหลังทำให้ผิวเนื้อแสบร้อนเจ็บปวด เด็กหนุ่มกัดฟันไม่ปริปากร้องออกมาซักคำ  น้ำตาไหลพรากเต็มสองแก้ม กัดฟันกลั้นความเจ็บปวดจนเลือดซึม ไม้แล้วไม้เล่าฟาดลงมาทั่วทั้งแผ่นหลัง
 
นายน้อย...นายน้อยขอรับ...ท่านอยู่ไหน...กลับมา  กลับมาช่วยข้าด้วย...นายน้อย...ช่วยกรรณด้วย...เจ็บเหลือเกิน...
 
            เพชรก้าวเข้ามาในห้องด้วยความรุ่มร้อนเขาทราบข่าวของกรรณจากพลับที่มาดักรอที่ห้องหนังสือ  ชายหนุ่มแทบกระโจนไปหากรรณที่ยังคงถูกมัดที่ลานบ้าน
 
            “กรรณสลบไปแล้วขอรับนายน้อยแต่เขายังไม่เลิกโบยเลย”นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เข้าหู  เขาไปอ้อนวอนขอให้ผู้เป็นแม่ยกเลิกคำสั่งแสนป่าเถื่อนนั้น
 
            “ทำไมเจ้าถึงเชื่อว่ามันจะไม่ขโมยของล่ะพ่อเพชร  อย่าลืมสิกำพืดของมันก็แค่ขอทานต่ำต้อย เป็นเด็กที่เคยขโมยของฉกชิงวิ่งราวมาก่อน”
 
            “ลูกมั่นใจว่าคนอย่างกรรณไม่มีทางหยิบฉวยของๆ ผู้ใดมาเป็นของตัวเอง”
 
            “เจ้าเป็นอะไรกับมันถึงกล้ามารับรอง  ขนาดข้าเป็นแม่เจ้าข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลยว่าจริงๆ แล้วเจ้าเป็นคนเยี่ยงไร...เรื่องนี้ข้าจะให้สบันงาเป็นคนตัดสินใจถ้าเจ้าอยากให้มันรอดพ้นจากการโบยก็ไปอ้อนวอนนางเถอะ” นางบอกปัดก่อนจะหันหลังหนีผู้เป็นลูกชาย  เพชรมองหลังผู้เป็นแม่ด้วยความร้อนรนใจ เขาต้องไปขอร้องสบันงา เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าต้องทำมาก่อน แต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีทุกอย่างถูกกองทิ้งไว้เมื่อคิดได้ว่าถ้าช้ากว่านี้กรรณจะทนได้หรือไม่
 
            “มันขโมยของก็สมควรจะโดนทำโทษแล้วนี่เจ้าคะ” สบันงาเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาขอร้องหล่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆ ที่ในใจของนางอยากกรีดร้องใส่หน้าผู้เป็นสามีใจแทบขาด
 
            “หล่อนรู้ดีว่ากรรณไม่ได้เป็นคนเอาไป” เพชรกดเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจใส่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา  สบันงาหัวเราะขื่นๆ ผินหน้ามองตะเกียงด้วยความน้อยใจ
 
            “ก็ของอยู่กับมัน”
 
            “หายไปตั้งแต่เมื่อใด  หยกของเจ้าน่ะ...”
 
            “ตั้งแต่วันที่มันมาช่วยขนของข้าก็ไม่เห็นอีกเลย”
 
            “จะเป็นไปไดอย่างไรก็เมื่อคืนก่อนนอนเจ้ายังวางบนโต๊ะอยู่เลย  สบันงา อย่าให้ข้าต้องเกลียดเจ้าไปมากกว่านี้เลยนะ”ที่สุดเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลนายน้อยก็พูดประโยคแสนเย็นชานั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว สบันงาหันมามองราวกับคนตรงหน้านั้นเป็นสัตว์ประหลาดบัดนี้ใบหน้าหล่อเหลากลับดูไร้ชีวิตชีวา  สายตาที่เคยมีแววปราณีนางแม้จะเพียงน้อยนิดบัดนี้ราวกลับมาพายุค่อยก่อตัวขึ้น
 
            “คุณพี่...” นางแทบจะหาเสียงของตัวเองไม่เจอ  เหมือนคนโกหกที่ถูกจับได้  นางสั่นไปหมดทั้งตัวและหัวใจ  ลืมไปได้อย่างไรว่าเพชรเป็นคนช่างสังเกต เพราะถูกผู้เป็นมารดาบังคับให้กลับมานอนที่ห้องทุกคืนทำให้เขาจดจำรายละเอียดต่างๆ ไปโดยอัตโนมัติ และเขาเห็นว่านางพกหยกชิ้นนี้ตลอดเวลา  ยามจะนอนยังเอาออกมานั่งเช็ดถูกทำความสะอาด  ถ้าบอกว่าหายไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้วชิ้นเมื่อคืนนางเอามาจากไหน
 
            “สั่งให้หยุดโบยกรรณเดี๋ยวนี้ข้าจะไม่บอกใครเรื่องที่เจ้าโกหก” เพชรผุดลุกแล้วเดินออกจากห้องไปทันที  สบันงาอยากจะกรีดร้องอยากจะอาละวาด  แต่ที่สุดนางก็ทำได้แค่เพียงสูดหายใจสะกดอารมณ์ของตัวเอง  นางจำเป็นต้องสร้างภาพ  วันพระไม่ได้มีหนเดียว  สาบานได้ว่าครั้งต่อไปกรรณเจ้าทาสโสโครกนั่นต้องตายคามือนางแน่
 
            ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกอย่างแรงโดยพลับตามมาติดๆ ด้วยเมฆที่อุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของกรรณที่เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน
 
            “พลับเจ้าไปตามหมอมาเร็วๆ พี่เมฆไปเอาน้ำกับผ้าสะอาดมาข้าจะเช็ดตัวให้กรรณ” นายน้อยรีบออกคำสั่งพลับไม่รอให้สั่งซ้ำเด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปตามหมอทันทีที่จบคำสั่งผู้เป็นนาย  เมฆก็ไปเอาน้ำกับผ้าสะอาดมาเขาทำท่าจะเปิดเสื้อของกรรณแต่มือแกร่งของเพชรรีบจับไว้
 
            “ข้าทำเอง”ชายหนุ่มคว้าผ้าสะอาดมาเองก่อนจะตัดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดออก  สภาพแผ่นหลังบวมช้ำแตกเป็นริ้วเหมือนคมมีดที่กรีดหัวใจผู้เป็นนายให้แตกสลายตาม เลือดซึมตามปากแผลหาพื้นที่ๆ เคยเป็นผิวขาวเนียนของคนที่สลบอยู่ตรงนี้ไม่เจอเลย  ค่อยๆ ซับผ้าลงบนผิวเพียงแผ่วเบาแต่ก็ทำให้คนที่สลบอยู่ร้องครางออกมา ร่างบางสะดุ้งเป็นพักๆน้ำตาไหลไม่ขาดสาย กว่าเขาจะเช็ดตัวให้เสร็จหมอก็ถูกพามาถึงพอดี
 
            “โชคดีที่เด็กนี่ร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วไม่เกินสองอาทิตย์ก็ฟื้นตัวขอรับคุณเพชรมิต้องกังวลไป ข้าเขียนใบสั่งยาสมานแผล ยาแก้ช้ำใน กับยาบำรุงไว้ให้  ให้คนไปซื้อตามนี้ต้มให้กินเช้าเย็นอย่าให้ขาด ช่วงนี้ก็เช็ดตัวไปก่อนอย่าให้โดนน้ำแค่นี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ระหว่างนี้จะมีไข้ก็ให้คนคอยเช็ดตัวอยู่เรื่อยๆนะขอรับ” หมอส่งใบสั่งยาให้ อธิบายสิ่งที่ต้องทำให้คนป่วยก่อนจะลุกขึ้นยืน เพชรเอ่ยขอบคุณก่อนจะยื่นถุงใส่เงินถุงใหญ่มอบให้เป็นค่ารักษาและสั่งให้พลับไปส่งท่านหมอ
 
            “หมดเรื่องแล้วพี่ไปนอนเถอะข้าจะดูแลกรรณเอง”
 
            “แต่นานน้อยขอรับ มันจะเหมาะเหรอขอรับ เอากรรณกลับไปพักรักษาที่เรือนทาสจะดีกว่าไหมขอรับ”
 
            “เมียข้าคนเดียว  ข้าดูแลเองได้” เพชรเอ่ยเสียงเรียบพลางลูบมือลงบนกลุ่มผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อของกรรณ  เมฆลอบถอนหายใจให้กับความดื้อดึงของผู้เป็นนาย ก่อนจะค่อยๆถอยแล้วเดินออกไปจากห้อง
 
            เขารู้ดีว่าการตัดสินใจนี้ของนายน้อยกำลังจะสร้างเรื่องยุ่งยากมากมายในอนาคต  แต่ถึงอย่างไร  เขาจะไม่มีวันทิ้งนายน้อยให้ต้องเผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง
 
   ไหนๆ ก็ช่วยมาตั้งแต่ต้นแล้วเขาก็คงต้องช่วยให้ตลอดลอดฝั่ง


.....................................

เหตุการณ์ครั้งนี้นายน้อยทนไม่ได้จริงๆเจ้าค่ะ กรรณบาดเจ็บบอบช้ำมาก

ในเมื่อบ้านที่อยู่มันอยู่ไม่ได้ การตัดสินใจของนายน้อยถือเป็นที่สิ้นสุด สบันงาร้ายเกินเบอร์ไปแล้ว



ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

Time of tears
Chapter 12

 
                เมฆและพลับค่อยๆ ประคองร่างของกรรณเข้ามาไว้ในเรือนทาสเช่นเดิม  หน้าที่ดูแลคนเจ็บตกเป็นพลับเมื่อนายน้อยมอบหมายให้
 
                เพราะเมฆคัดค้านการที่ผู้เป็นนายจะดูแลกรรณเอง มันอาจจะนำความเดือดร้อนมาให้กับคนทั้งคู่  ยิ่งเป็นนายกับบ่าวด้วยแล้วยิ่งไม่สมควรที่ผู้เป็นนายจะมาดูแลคนรับใช้จากวันเป็นสัปดาห์ที่นายน้อยต้องข่มใจไม่ให้ไปหากรรณที่เรือนทาส ทุกคืนก่อนนอนเฝ้าแต่คิดถึง  บ่อยครั้งที่เผลอเงยหน้ามองดวงจันทร์ครั้งละนานๆ  สบันงารับรู้ว่าผู้เป็นสามีกำลังคิดถึงใคร  แต่นางทนเงียบซะ  ถึงอย่างไรตอนนี้เพชรก็อยู่กับนาง  ถึงแม้ว่าหางตาเพชรยังไม่แลนางเลยซักครั้ง แต่นางยังคงเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งด้วยเสน่ห์และมารยาของนางเพชรต้องหวั่นไหวบ้าง  ขอเพียงนางอดทนและอดกลั้น
 

                แต่เมื่อเวลาล่วงไปสบันงาก็รับรู้ได้ว่าตนเองนั้นคิดผิด...เพชรที่เคยเงียบขรึม  ความเรียบขรึมอันทรงเสน่ห์ที่นางคิดว่าน่าค้นหานั้นบัดนี้กลายกลับเป็นความเฉยชา  คล้ายธารน้ำแข็งที่จับตัวหนาจนเปลวไฟเช่นนางไม่อาจละลายได้  ความปวดร้าวครั้งนี้ใครเลยจะมาเข้าใจนางได้ ทุกวันหลังจากสามีออกไปทำงานตอนเช้านางได้แต่ระบายอารมณ์กับอีเฟืองพี่เลี้ยงคนสนิท
 

                “คุณหนูเจ้าคะคุณหนูต้องใจเย็นๆก่อนนะเจ้าเจ้าคะ” อีเฟืองรีบวิ่งไปคว้ากาน้ำชาที่ผู้เป็นนายเตรียมทุ่มลงพื้นระบายอารมณ์เอาไปวางไว้ไกลๆมือ นางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่นายสาวไม่ได้คว้าอะไรมาเขวี้ยงต่อ
 
 
                “ข้าแทบจะกระอักเลือดตายอยู่แล้วอีเฟืองคุณพี่นอกจากไม่พูดไม่คุยกับข้ายังทำเหมือนข้าไม่มีตัวตนไม่แม้แต่จะชายตามองข้า ข้าอยากเอามีดกรีดหัวใจออกมาดูนักว่าทำไมถึงได้ใจร้ายกับข้าถึงเพียงนี้” หญิงสาวระบายคำพูดพรั่งพรูราวสายน้ำเชี่ยวกราก ความร้าวระทมใจถูกถ่ายทอดผ่านสายตาที่สิ้นหวัง ความคั่งแค้นก็เช่นกัน ถามว่ารักเพชรมั้ย สบันงาบอกได้เลยว่ารัก แต่ยังไม่ถึงขั้นยอมถวายชีวิตให้แน่นอน  นางรักตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก ตั้งแต่นางลืมตาดูโลกนอกจากเดือนและดาวแล้วไม่มีสิ่งไหนที่นางอยากได้แล้วไม่ได้ ยกเว้นเพชร
 

                ครั้งแรกที่ทราบข่าวการสู่ขอทาบทามให้นางแต่งเข้าเรือนของเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชความปิติยินดีท่วมท้น นางสามารถเชิดหน้าอวดกับใครต่อใครได้ทั้งเมืองว่านางได้ครอบครองผู้ชายที่ดีที่สุดร่ำรวยที่สุด แล้วนี่อะไร...สิ่งที่นางได้รับนั้นคืออะไร เป็นเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่เพชรจะโยนทิ้งไว้ตรงมุมไหนในห้องก็ได้อย่างนั้นหรือ
 

                “คุณหนูเจ้าคะ....บ่าวทราบดีว่าคุณหนูเจ็บแค้นเพียงใด” อีเฟืองนั่งลงคุกเข่าแทบเท้าผู้เป็นนายอย่างจงรักภักดี
 

                “คุณหนูไม่ต้องกังวงไป เรื่องนี้มันจบง่ายนิดเดียว...”บ่าวสาวตวัดสายตามองผู้เป็นนายก่อนกดยิ้มร้ายที่มุมปาก
 
 
                “นิ้วไหนร้ายคุณหนูก็แค่ตัดมันทิ้งซะ ฆ่าไอ้กรรณซเจ้าค่ะ”
 
 
 
                ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกโดยไม่ได้ขออนุญาตทันทีที่เพชรกลับจากทำงาน ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองพลับอย่างแปลกใจ ปกติเจ้าทาสหนุ่มถ้าไม่เรียกก็แทบไม่อยากจะเหยียบมาที่นี่ซะด้วยซ้ำ สีหน้าร้อนใจทำให้เพชรลุกขึ้นยืนแทบจะทันที พลับมองซ้ายมองขวาก่อนจะปิดประตูจนมิดชิด
 
                “น่ะ..นายน้อย นายน้อยขอรับ” พลับทรุดตัวลงเอาศีรษะโขกพื้นรัวๆหลายต่อหลายครั้งปากก็ละล่ำละลักเอ่ยเรียกนายน้องไม่ขาด
 

                “พลับเจ้าเป็นอะไร” เพชรและเมฆดูท่าทางลนลานของพลับแล้วให้นึกห่วงกรรณ
 

                “กรรณ...หรือว่ากรรณเป็นอะไรใครทำอะไรเค้าหรือเปล่า” เพชรจับไหล่ของพลับเขย่าด้วยความร้อนใจ
 

                “คุณสบันงาวางแผนจะฆ่ากรรณขอรับนายน้อย ท่านต้องพากรรณหนีไป”

                “อะไรนะ” เป็นเมฆที่เอ่ยถามด้วยความตกใจแทน คุณสบันงาดูเอาแต่ใจแต่ไม่น่าจะคิดฆ่าใครได้
 

                “เรื่องนี้เจ้าจะมาพูดพล่อยๆ ไม่ได้นะ หลังขาดได้เชียวนะ”
 

                “โธ่ พี่ ข้าจะโกหกทำไมล่ะ นายน้อยท่านต้องเชื่อบ่าวนะขอรับ วันนี้กระผมไปทำสวนที่เรือนกล้วยไม้กระผมได้ยินเสียงนางอีเฟืองบอกคุณสบะนงาว่าให้ฆ่ากรรณซะท่านต้องช่วยกรรณนะขอรับนายน้อย” พลับเขย่าขาผู้เป็นนายอย่างอ้อนวอน แม้ตามจริงแล้วเขาจะไม่ชอบเพชรเท่าไหร่ แต่เรื่องคอขาดบาดตายของกรรณครั้งนี้มีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่จะช่วยได้
 
                “เอ็งกลับไปก่อนถ้าใครมาเห็นเข้าจะสงสัย อาการกรรณยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไงข้าจะหาวิธีช่วยเขาเองระหว่างนี้ต้องให้เจ้าช่วยดูแลอย่าให้คลาดสายตาก็พอไม่ต้องบอกอะไรกรรณทั้งนั้นเข้าใจหรือไม่? ระหว่างนี้อย่าให้กรรณกินอะไรที่คนอื่นเอามาให้ อาหารของเขาเจ้าต้องเป็นคนเตรียมเอง อย่าวางทิ้งไว้ให้กรรณกินให้หมดในทีเดียวบอกว่าข้าสั่ง อย่าทิ้งกรรณไว้คนเดียว ช่วยข้าดูแลมันด้วย แม้ว่าเอ็งจะไม่ค่อยชอบข้า แต่ถือว่าทำเพื่อปกป้องกรรณ” เพชรสั่งงานพลางสำทับพลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลับถอนหายใจแรงๆ อย่างหนักใจ เรื่องอาหารมันอาจจะคอยดูแลได้แต่เรื่องเฝ้ากรรณทั้งวันมันทำไม่ได้เพราะตัวของมันเองก็ต้องไปทำงานตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย พลับพยายามไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนจะรับคำนายน้อย
 
                “ขอรับนายน้อย กระผมจะดูแลมันให้ดีที่สุด”
 
 
 
   สบันงาอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้เมื่อเมฆมาแจ้งว่าวันนี้นายน้อยจะมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย  หญิงสาวรีบสั่งบ่าวไพร่ให้เตรียมอาหารรสเลิศเพื่อรอสามี  เมื่อทุกอย่างวางเรียงกันพร้อมสรรพเพชรก็มาถึงพอดี  ชายหนุ่มส่งยิ้มมาให้ หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังฝืนมองแสงอาทิตย์อันร้อนแรง  ใจของนางแทบละลายเมื่อได้สติก็รีบเดินไปหาผู้เป็นสามีจับต้นแขนแกร่งอย่างถือสิทธิ์ เพชรเผลอขืนตัวไว้แต่เพียงชั่วครู่ก็โอนอ่อนยอมให้นางดึงไปนั่ง  ตั้งแต่แต่งเข้าเรือนมาวันนี้เป็นวันแรกที่สบันงารู้สึกมีความสุข เพชรคุยกับนางมากขึ้น ปฏิบัติกับนางเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่นที่นางเคยเห็น
 
                “คุณพี่เจ้าคะ” สบันงาขยับเข้ามาใกล้ผู้เป็นสามีเมื่อบ่าวไพร่เก็บสำรับไปจนหมดแล้ว นางผสมน้ำให้ผู้เป็นสามีด้วยตนเอง หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้เพชร
 
                “วันนี้น้องมีความสุขเหลือเกิน คุณพี่ดีกับน้องแบบนี้ตลอดไปได้มั้ยเจ้าคะ” ร่างบางอิงศีรษะลงบนบ่ากว้าง รอยยิ้มจุดแต้มดวงหน้าตลอดเวลา สูดกลิ่นกายของชายข้างกายให้สมกับที่ต้องไกลห่างกันมาตลอด
 
                “ได้สิ...” เสียงทุ้มเอ่ยตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยจนสบันงาที่เตรียมใจรับฟังคำปฏิเสธถึงกับตะลึง นางแทบไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำผ่ายสายตา
 
                “ข้าสัญญาว่าข้าจะดีต่อเจ้าแต่มีข้อแม้...”
 
                “ข้อแม้อะไรเจ้าคะ? ”
 
                “อย่ายุ่งกับกรรณอีก” เหมือนถูกสายอสุนีบาตฟาดลงมากลางใจ สบันงาผลักแขนผู้เป็นสามีออก ดวงตาแดงก่ำด้วยแรงโทสะ
 
                “มันจะเกินไปหรือเปล่าเจ้าคะคุณพี่ คุณพี่จะหยามใจข้าเกินไปไหม? อย่าคิดนะว่าท่านกับมันทำเรื่องอัปปรีย์อะไรกัน ที่ข้าสู้ทนไม่ใช่ว่าข้ารักท่านสุดหัวใจหรอกนะ ข้าอาย อายคำครหาของคน คุณพี่รู้หรือเปล่าว่าทุกลมหายใจของข้าอยากจะทำลายมันให้สิ้นซากอยากจะฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆแต่ข้าก็ต้องสู้ทน  คุณพี่นอกจากจะไม่สำนึก  ยังมาอ้อนวอนร้องขอไม่ให้ข้ายุ่งกับมัน” ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งดัง ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหล ความคั่งแค้นพรั่งพรูในครั้งเดียว  เพชรถอนหายใจกับปัญหาหนักหน่วงนี้  ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้ยิน  สมองของเขากำลังคิดไตร่ตรอง
 
                ตอนนี้เหมือนเขาเป็นคนเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟที่คิดว่ามอดดับแล้วจนไฟมันลุกลามมากกว่าเดิม  ลำพังตัวเขาเองนั้นไม่มีอะไรน่าห่วงเลย  ห่วงแต่เจ้าตัวน้อยที่ยังไม่คลายหายเจ็บ ความเครียดฉายชัดในแววตา เพชรหยัดกายขึ้นยืนก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไป เค้าไม่อาจทนมองหน้าผู้หญิงใจร้ายคนนี้ได้อีกแม้วินาทีเดียว ทันทีที่ก้าวพ้นห้องเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแล้วข้าวของที่ถูกกวาดลงจากโต๊ะ ชายหนุ่มก้าวยาวๆ เพียงไม่นานก็ถึงห้องหนังสือ เขาเรียกเมฆเข้าไปภายในพี่เลี้ยงหนุ่มมองซ้ายขวาก่อนจะปิดประตูแน่นหนา
 
 

 
   รถม้าบรรทุกของเต็มท้ายค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ไอ้มิ่งมองพลับที่เป็นคนบังคับม้าก่อนจะทำหน้างุนงง
 
 
                “พลับเจ้าจะไปไหน”
 
 
                “พี่มั่นปวดหลังเลยให้ข้าเอาข้าวไปส่งนอกเมืองแทนน่ะลุง”

   “ทำไมมันดูเยอะจังไหนข้าขอดูหน่อยซิ๊” พ่อบ้านร่างท้วมกระโดดลงจากเก้าอี้เดินมาดูท้ายรถที่มีกระสอบข้าวสุมเรียงกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ทำท่าคล้ายจะจับเรียงกันใหม่จนพลับต้องรีบทัก
 
 
                “เอ้อลุงมิ่งข้าเห็นคุณหญิงถามหาลุงอยู่น่ะ ลุงรีบไปพบคุณหญิงก่อนเถอะ ช้านานเดี๋ยวคุณหญิงโมโหได้ซวยกันทั้งบ้านพอดี” ไอ้มิ่งชะงักมือที่กำลังจับปลายกระสอบข้าว
 
                “งั้นเอ็งไปเถอะข้าไปพบคุณหญิงก่อน รีบไปรีบกลับล่ะ”
 
                “จ้าๆ ” พลับรีบรับคำก่อนจะค่อยๆ บังคับม้าออกไป เหยื่อกาฬผุดซึมเต็มใบหน้า ชายหนุ่มขี่รถม้าออกจากตัวบ้านจนห่างมาไกลพอสมควรก็จอดแล้วรีบวิ่งไปท้ายรถมันแหวกๆกระสอบด้านบนออกก็พบว่ากรรณนอนอยู่ในนั้น
 
                “กรรณเอ็งไหวมั้ย?” เอ่ยถามอย่างห่วงใยเจ้าเพื่อนตัวเล็กที่สภาพดีขึ้นกว่าตอนที่โดนโบยใหม่ๆ กรรณพยักหน้ารับ ดวงตากลมฉายแววกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
 

                “กรรณ เอ็งกลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวนะอีกเดี๋ยวเอ็งจะได้เป็นอิสระแล้ว”

 
                “ข้าเป็นห่วงเอ็งนะไอ้พลับ” เสียงแหบเอื้อนเอ่ยอย่างจริงใจ หลังจากนี้พลับจะพบเจอกับอะไรบ้างเขาไม่อาจจะคาดเดาได้ แต่ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้ากลับยิ้มให้เค้าอย่างอ่อนโยน ดวงตาทอแสงอ่อนฉายชัดความรู้สึกที่เพาะบ่มในใจมาเนิ่นนาน
 
                “แค่เอ็าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากนี้ ต่อให้ต้องไปลงนรกพบยมบาลข้าก็ไม่เกรงอันใดแล้ว เอ็งอดทนอีกนิดนะ” ฝ่ามือหยาบลูบกลุ่มผมคนเป็นเพื่อนเบาๆอย่างปลอบประโลมกรรณส่งยิ้มพร้อมพยักหน้าให้ พลับหมุนกายกลับไปนั่งบังคับม้าให้วิ่งไปข้างหน้า เมื่อตะวันเริ่มโพล้เพล้บนเนินกว้างไม่ไกลออกไป ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านกินรัศมีเป็นวงกว้าง ร่างสูงสง่าของใครคนหนึ่งยืนรออยู่ข้างม้าตัวใหญ่  ข้างๆ กันเมฆขยับกายทันทีที่ได้ยินเสียงรถม้าเขารับบังเหียนจากผู้เป็นนาย สายตาคอยสอดส่องด้านหลังอย่างระแวดระวังภัย ในที่สุดรถม้าก็มาจอดตรงหน้า  นายน้อยรีบวิ่งไปยกกระสอบออกแล้วโยนลงพื้นทันทีโดยมีพลับช่วยอีกแรง ร่างของกรรณนอนราบอยู่ใต้กระสอบที่ถูกวางบนแผ่นไม้เว้นช่องว่างให้ร่างบางไม่ถูกทับโดยตรง ชายหนุ่มรวบแผ่นไม้ทั้งหมดออกแล้วโยนดังโครมก่อนจะรวบร่างของกรรณ มากอดอย่างแสนรัก ร่างบางสวมกอดชายอันเป็นที่รักไว้ น้ำตาที่ทนเก็บกักมานานไหลรินอย่างเงียบๆ ความคิดถึงความโหยหาที่ต้องห่างกันเกือบเดือนถูกทดแทนด้วยอ้อมกอดแข็งแกร่งจากผู้ชายที่คิดจะฝากชีวิตหลังจากนี้ไปชั่วชีวิต
 

                “ไม่ต้องกลัวนะกรรณ ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาทำอันตรายเจ้าได้ ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของข้า”
 
                “นายน้อย....บ่าวคิดถึงท่าน” เป็นประโยคแรกที่กรรณเอ่ยกับเขาหลังปล่อยให้ความเงียบถ่ายทอดความรู้สึกของตน
 
                “นายน้อยขอรับท่านรีบไปเถอะขอรับ” เสียงเมฆเอ่ยเตือนใกล้ๆ ทำให้เพชรได้สติ เขารีบประคองกรรณด้วยความระมัดระวัง

 
                “เจ้ายังเจ็บอยู่รึไม่กรรณ?” น้ำเสียงห่วงใยอาทรเอ่ยถาม กรรณคลี่ยิ้มให้ก่อนส่ายหน้า
 

                “บ่าวได้ยาที่ท่านฝากพลับมาให้ แผลสมานกันเร็วมากขอรับ อาการช้ำในก็เกือบเป็นปกติแล้ว ไม่ค่อยเจ็บแล้วขอรับแค่ตึงๆหลัง”
 
                “ดี งั้นเรารีบไปเถอะ” นายน้อยประคองกรรณลงจากรถม้าพามาหยุดข้างอาชาตัวใหญ่ฝีเท้าเยี่ยมที่เมฆคัดเลือกมาให้
 
                “พี่เมฆ...” ผู้เป็นนายหันไปทางพี่เลี้ยงหนุ่มใหญ่ที่ยืนรออยู่เงียบๆ เมฆส่งยิ้มให้เด็กที่เขาดูแลมาตั้งแต่เล็ก
 
                “ไม่ต้องห่วงกระผม ยังไงกระผมก็ไม่ใช่ทาสในเรือนท่าน ไม่ใช่คนของเรือนท่านที่จะมากดขี่หรือทำโทษได้ตามอำเภอใจข้าแค่ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นอย่างมากเรื่องก็ถึงไม่ถึงตายแน่นอนท่านไปเถอะ”
 
                “พลับแล้วเจ้าล่ะ”
 
                “นายน้อยท่านไม่ต้องห่วงกระผมเช่นกันกระผมจะหนีไปอยู่กับญาติที่ทางใต้ไปอยู่ที่ๆห่างไกลจากเมืองหลวง กระผมเป็นแค่ทาสตัวเล็กๆ ไม่ได้สำคัญอะไรท่านเจ้าคุณคงไม่ตามกระผมหรอกขอรับ กระผมจะเอาเงินที่ท่านให้มาไปซื้อที่ดินทำไรไถนาจนกว่าจะสิ้นอายุขัย หลังจากนี้ ท่านกับไอ้กรรณดูแลตัวเองให้ดีนะขอรับ”
 
                “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้าทั้งสอง ไม่ใช่พี่น้องก็เหมือนพี่น้อง หากไม่สิ้นไร้วาสนาวันหนึ่งคงได้กลับมาพบกันลาก่อน” ชายหนุ่มช้อนตัวของกรรณส่งขึ้นบนหลังม้าก่อนจะตามขึ้นไป มองบุคคลต่ำศักดิ์กว่าทั้งสองอย่างซาบซึ้งกรรณเองก็เอาแต่พูดคำว่าขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนภาพคนทั้งสองด้านหลังลับหายไป
 
                “กรรณ ต่อไปนี้มีแค่เราสองคนแล้วนะ เหลือแค่เพียงเราสองคน เราไปตั้งต้นสร้างชีวิตใหม่ด้วยกันเถอะ”
 
                “ขอรับ นายน้อย เราไปสร้างชีวิตใหม่ที่มีแค่เรากันนะขอรับ”
 

 ((ต่อข้างล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



                ชายหนุ่มแต่งกายซอมซ่อวางอุปกรณ์ทำนาลงกับพื้นข้างชานเรือนที่ทำจาหไม้ไผ่ขัดแตะเป็นฝาเรือนหลังคามุงจากง่ายๆแต่ทว่าแน่นหนามั่นคง ปลดผ้าคาดเอวออกมาซับเหงื่อไคลที่ไหลจนชุ่มไปทั้งตัว เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างของคนที่ตัวเล็กกว่า กรรณนั่งลงข้างๆเพชรมองซ้ายขวาแล้วฉวยเอาผ้ามาถือไว้ซะเองก่อนจะลงมือซับหน้าให้อย่างนุ่มนวล
 
                “เหนื่อยไหมขอรับ” กรรณเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เพชรส่ายหน้าเป็นคำตอบ กรรณคว้ามือของชายอันเป็นที่รักมากุมไว้ก่อนใช้ปลายนิ้วลูบไล้แผ่วเบาลงบนมือนายน้อย  มือที่เคยจับแต่ตำราและพู่กัน มือที่เคยอ่อนนุ่มตามแบบฉบับบัณฑิตและลูกผู้ดีที่ไม่จำเป็นต้องแตะต้องทำงานหนักบัดนี้มีทั้งรอยแผลจากการพุพอง  บางจุดพองจนเห็นน้ำใสที่ขังค้างด้านใน ไม่มีวันไหนเลยที่นายน้อยจะไม่มีแผลกลับบ้าน เช่นเดียวกับที่ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่แอบร้องไห้ด้วยความสงสาร

 
                ที่นายน้อยต้องทนตกระกำลำบากทุกวันนี้เพราะเขาคนเดียว หลังจากที่ตัดสินใจหนีมาตายเอาดาบหน้า นายน้อยพาเค้าขี่ม้าขึ้นมาเรื่อยๆ เดินบ้างขี่ม้าบ้างรอนแรมนานหลายวันสาเหตุหนึ่งที่ช้าเพราะเกรรณยังเจ็บอยู่ บางวันต้องเดินเพื่อให้ม้าได้พักจนมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นเมืองเล็กๆ ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม นายน้อยตัดสินใจขายม้าให้พ่อค้าที่มารับผลิตผลทางการเกษตรไปเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ความจริงแล้วในตัวนายน้อยพกทรัพย์สินมามากพอสมควรจึงซื้อที่นาเล็กๆ ผืนหนึ่งติดลำธารด้านหลังเป็นภูเขาสูงห่างจากบ้านคนและเขตชุมชน เปลี่ยนชื่อกันใหม่จากเพชรเป็นพันจากกรรณเป็นแก้ว  เพชรบังคับไม่ให้กรรณเรียกเขาว่านายน้อยแต่ให้เรียกชื่อหรือไม่ก็เรียกพี่ ห้ามทำกริยานอบน้อมเพื่อไม่ให้ชาวบ้านสงสัย ทั้งสองคนช่วยกันพลิกฟื้นผืนนาที่แห้งแล้งด้วยการผันน้ำเข้านา ปรับปรุงดิน รวมทั้งสร้างบ้านหลังเล็กๆ อยู่เชิงเขา กรรณไปขอซื้อพ่อไก่แม่ไก่มาเลี้ยงสองคู่  ช่วงที่พักรักษาตัวให้แผลหายเพชรขอให้กรรณสอนเรื่องการทำนา ชายหนุ่มนำเงินที่เหลืออยู่ไปซื้อควายมาคู่หนุ่งเอาไว้ไถนา เพชรตื่นตั้งแต่ย้ำรุ่งหุงหาอาหารไว้ให้กรรณแล้วตัวเองแบกจอบแบกเสียมไปขุดดินด้วยตัวเองเจนมือไม้แตก
 
                แม้จะลำบากกายแต่พอหันกลับมาที่บ้านจะเห็นกรรณนั่งมองและคลี่ยิ้มหวานเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจให้กับเขาเสมอ เขาทนยอมลำบากเพื่อให้ทุกราตรีมีกรรณอิงแอบซุกกับอกของเขา มากกว่าอยู่ในบ้านกว้างใหญ่แต่หาคนรู้ใจข้างกายไม่ได้ซักคน กว่าเดือนที่กรรณพักฟื้นเด็กหนุ่มถึงหายสนิทจากบาดแผลและอาการช้ำใน แต่สุขภาพกลับไม่ดีเหมือนเดิม เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เพชรกังวล ตอนนี้เขาไม่สามารถแสดงตนว่าเป็นบุตรของท่านเจ้าพระยาพิพัฒน์วานิชได้อีกแล้ว   เขาเป็นแค่ไอ้พันที่อพยพจากเหนือที่ที่ห่างไกลมาทำมาหาเลี้ยงชีพที่นี่เท่านั้น
 
                “ต่อให้เหนื่อยกว่านี้ข้าก็ทนได้ ดีกว่าอยู่สุขสบายแต่นอนไม่หลับซักคืนเพราะไม่มีเจ้า”
 
                “ไปอาบน้ำเถอะขอรับข้าเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว เมื่อเย็นข้าเอาผักท้ายแปลงไปขายที่ตลาดมาได้แตงโมลูกใหญ่มาเดี๋ยวข้าผ่าเตรียมไว้รอนะขอรับ” กรรณพยุงให้คนตัวใหญ่กว่าลุงขึ้นตามตนแต่คนเจ้าเล่ห์ก็แกล้งเซจนกรรณต้องรับไว้ในอ้อมกอดก่อนริมฝีปากอุ่นจะประทับบนแก้มขาวเรียกเลือดฝาดให้ทำงานอย่างทันท่วงที
 
                “หอมจัง”
 
   “พี่พัน...ทำอะไรเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”คนตัวเล็กตีเผียะลงบนอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างขวยเขิน
 

   “ทำอะไร พี่แค่ล้ม” น้ำเสียงหยอกเอินกับดวงตาพราวระยิบทำให้อดขำไม่ได้ ร่างบางดันหลังคนรักให้เดินลงจากเรือนไปก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้าน ยิ่งได้อยู่กันตามลำพังนายน้อยที่เคยเงียบขรึมก็ขี้เล่นมากขึ้นทุกวัน บางวันก็ทำท่าทางตลกๆ ให้ดูบางวันก็เล่านิทานที่ไม่ขำเลยซักนิดแต่กรรณก็ตั้งใจฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่นายน้อยเล่า
 

   ไม่ใช่การเอาอกเอาใจแต่คือความรัก เพราะกรรณคิดว่าคนรักกันก็ต้องมอบความสุขให้แก่กัน นายน้อยมอบความสุขให้กรรณ กรรณก็มอบความสุขให้นายน้อย
 
                สายลมเย็นพัดจนทุ่งหญ้าไหวลู่ไปตามแรง ลมหนาวของเดือนพฤศจิกาพัดมาให้ตึงผิว ดวงจันทร์กระจ่างอวดแสงเต็มดวง ชายหนุ่มสองคนเดินกุมมือตามกันมาก่อนจะนั่งลงบนเนินหญ้าสูง เพชรเงยหน้ามองฟ้าที่สกาวไปด้วยแสงดาวดวงเล็กๆ ต่างฝ่ายต่างสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด คือความสุขเล็กๆ ช่วยให้คลายหายเหนื่อยจากงานหนักที่กรำมาตลอดทั้งวันเพชรนอนราบลงบนพื้นหญ้านุ่มคว้าร่างของคนข้างๆ ให้ล้มมานอนหนุนบนอกของตน เสียงหัวใจของนายน้อยที่เต้นอยู่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มือหนาคว้ามือของกรรณมาจับเล่นอย่างคุ้นชิน
 
                “อยู่ที่นี่เจ้ามีความสุขดีมั้ยกรรณ”
                “มีขอรับ” คนตัวเล็กตอบรับ
 
                “ข้ามีความสุขมาก ไม่ว่าที่ไหนถ้ามีนายน้อยจะตกระกำลำบากมากกว่านี้ข้าก็รักมีความสุขเสมอ” ร่างบางเบียดกายเข้าหาอกอุ่นมือ
 
                “คืนพรุ่งนี้ที่วัดมีงานลอยกระทงเจ้าอยากไปเดินเล่นไหม?” เมื่อได้ยินคำว่ามีงานเทศกาลกรรณก็เด้งตัวขึ้นมามองหน้านายน้อยทันที เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น หัวกลมหยักขึ้นลงเร็วๆ รอยยิ้มดีใจฉายชัด ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะจับต้นคอของคนตัวเล็กดึงเข้ามาใกล้จนลมหายใจรินรดซึ่งกันและกันระยะห่างค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนท่ามกลางสายลมเย็นและดวงดาวเต็มท้องฟ้าคนสองคนต่างถ่ายทอดความอบอวลหอมหวานจนพระจันทร์ยังต้องเร้นกายหลังเมฆดำด้วยความเอียงอาย
 
 
                โคมไฟหลากสีแขวนห้อยระย้าตามเชือกที่ขึงบนเสาสูง บ้างเป็นรูปสัตว์สลักลวดลายงดงาม บ้างเป็นรูปดอกไม้กลีบดอกบรรจงวิจิตร รวมไปถึงแบบธรรมดา ผู้คนพลุกพล่านต่างพากันมาดูโคมไฟสวยงามรวมทั้งกราบไหว้พระพุทธรูปในวิหารใหญ่ที่สว่างไสวกว่าวันธรรมดาในมือของแต่ละคนถือกระทงที่บรรจงประดิษฐ์อย่างปราณีตคนละใบ หาบเร่แผงลอยพ่อค้าแม่ค้าต่างเสนอขายสินค้าของตนเอง มีทั้งของกินของใช้อีกทั้งเครื่องประดับแพรพรรณละลานตา กรรณมองบรรยากาศตรงหน้าอย่างตื่นเต้น นานหลายเดือนเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นเทศกาลรื่นเริงเช่นนี้ ตั้งแต่หนีตามกันมาเขากับนายน้อยต่างเร้นกายหายจากสังคม ใช้ชีวิตเรียบง่าย
 
                “อยากได้อะไรมั้ย” นายน้อยที่เดินตามเด็กซุกซนอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม
 
   “ข้าอยากได้น้ำตาลปั้น” เจ้าตัวน้อยชี้มือไปทางพ่อค้าขายน้ำตาลปั้นที่ทำเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เพชรเดินนำกรรณก่อนสั่งมา 2 ไม้ทั้งสองถือกินคนละไม้ รสหวานหอมติดตรึงที่ปลายลิ้นจนเจ้าทาสตัวน้อยแย้มยิ้มอย่างชอบใจ ทั้งคู่เดินชื่นชมโคมไฟไปเรื่อยๆ ก่อนที่เพชรจะซื้อโคมไฟอันเล็กๆ ให้กรรณอีกอันแล้วพากันเข้าไปไหว้พระในวิหาร กลิ่นธูปหอมคละคลุ้งผู้คนมากหน้าหลายตาสลับสับเปลี่ยนกันเข้าออกไม่ขาดสาย คนสองคนมุ่งมั่นกับการขอพรไหว้พระจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ตลอดไม่ได้ละสายตาแม้แต่น้อย
 
                “คุณหนูเจ้าคะ มีข่าวจากปากน้ำโพธิ์เจ้าค่ะ” อีเฟืองหยิบเอาจดหมายที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อให้นายสาว สบันงาเปิดมันออกอ่านด้วยสายตาแข็งกร้าว เพราะพ่อของนางเป็นขุนนางใหญ่ การจะตามหาใครซักคนไม่ใช่เรื่องยาก บรรดาขุนนางที่เป็นลูกน้องของพ่อนางสามารถพลิกแผ่นดินหาได้ไม่ยาก รอยยิ้มเย็นผุดขึ้นอย่างยากจะเดาจุดหมาย  ดวงตาสวยวาวโรจน์อย่างน่ากลัว
 

                “เจอจนได้สินะคุณพี่ หึ...เวลาความสุขของท่านมันจบลงแล้ว ต่อไปนี้ก็เตรียมรับชะตากรรมจากข้าได้เลย”
 

                เสียงฝีเท้าด้านนอกเรือนกลางดึกทำให้เพชรลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด กรรณนอนหลับสนิท เขาเงี่ยหูฟังความผิดปกตินั้นมันมากกว่า หนึ่งหรือสองคนแน่ๆ เสียงแม้จะแผ่วเบาแต่เขากลับได้ยินชัดเจน สัญชาติญาณบอกว่าภัยร้ายบางอย่างกำลังคืบคลานมาหาเขาทั้งคู่ เพชรค่อยๆ เขย่าแขนเล็กที่พาดบนเอวเขาจนกรรณงัวเงียลืมตาตื่น ร่างบางกำลังจะเอ่ยถามถึงสาเหตุการถูกปลุกกลางดึกแต่นายน้อยกลับเอานิ้วชี้แตะปากบอกให้เงียบไว้ แล้วนำกรรณค่อยๆ ย่องไปแอบมองตรงรอยแยกเล็กๆ ตรงไม้กระดาน เงาดำๆ ของคนนับสิบค่อยๆ ย่องใกล้มาถึงตัวบ้าน เพชรรีบคว้ามือคนรักย่องลงจากทางด้านหลังอย่างเงียบเชียบ
 
                เขามั่นใจแล้วว่าคนเหล่านั้นถ้าไม่ใช่บิดาของตนเองส่งมาก็ต้องเป็นคนของสบันงา ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นคนส่งมากรรณก็จะมีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน
 
                แกร่ก...เสียงกิ่งไม้หักดังลั่นกรรณหน้าซีดมองเท้าตัวเองที่เหยียบลงไปเต็มๆ แน่นอน คนเหล่านั้นก็ได้ยินเช่นกัน จากการคืบคลานอย่างเงียบๆ ก็ถูกสั่งให้บุกทันที
 
                “กรรณ วิ่ง” เพชรดึงมือคนรักให้ออกวิ่งทันที ชายแปลกหน้านับสิบคนต่างวิ่งกรูตามมาอย่างไม่ลดละ สองขาทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มความสามารถไม่สนใจแม้กิ่งไม้ที่ละฟาดผิวหน้าจนรู้สึกแสบ ทั้งสองพากันลัดเลาะจนถึงทุ่งหญ้ากว้างที่ชอบมานั่งดูดาวด้วยกันถ้าวิ่งข้ามเนินสูงลงไปก็จะถึงเขตชุมชน เชื่อว่าคนเหล่านี้คงไม่กล้าทำการอุกอาจ แต่ทว่า
 
                “โอ้ย!!!” เสียงกรรณร้องด้วยความเจ็บธนูดอกหนึ่งถากไหล่เล็กไปร่างบางสะดุดขาตัวเองชายชุดดำที่วิ่งมาถึงก่อนฟาดปลอกดาบใส่ต้นคอจนกรรณถึงกับมึนงง ภาพนายน้อยที่พยายามจะกระเสือกกระสนกลับมาหาเขาแต่ถูกคนสองคนจับตัวไว้ทำให้ใจดวงน้อยปวดร้าว
 
                จบสิ้นแล้ว ความสุขและอิสรภาพของนกน้อยที่หนีกรงทองมา กรรณถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
 
 
 
                “จัสตกลงเรื่องของแกกับไอ้เพชรมันยังไงทำไมมีข่าวว่าแกถอนหมั้นมัน” หนังสือพิมพ์ถูกปาลงตรงหน้ามัลลิกาที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนโต๊ะอาหาร แม่บ้านต่างพากันถอยออกไปอย่างรู้งาน
 

                “มันพังหมดแล้วค่ะพ่อ มันพังหมดแล้วพ่อจะให้จัสทำยังไง”มัลลิกาตะเบ็งเสียงใส่ผู้เป็นพ่อ หลายวันมานี้หล่อนก็เครียดมากพออยู่แล้ว นักข่าวต่างพากันรุมล้อมเธอทุกที่เฝ้าถามแต่คำถามเดิมๆ ซ้ำๆ ละครและผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่เคยติดต่อเข้ามาก็ขอยกเลิก
 
                หล่อนอับอาย คนใกล้ตัวต่างรู้ดีว่ามัลลิกาไม่มีทางขอถอนหมั้นพชร บางคนที่รอซ้ำก็เอาเรื่องนี้ไปพูดต่อๆ กัน

   “แล้วทีนี้จะทำยังไง  เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลายเราอยู่แล้วนะ ไหนที่มันถอนหุ้นจากบริษัทของเราทุกหุ้นแกกับฉันคงได้ถือกะลาขอทานกันเร็วๆ นี้แหละ”
 
                “โอ้ย แทนที่พ่อจะมายืนด่าจัสปาวๆ แบบนี้มาช่วยจัสหาวิธีก่อนเถอะค่ะว่าเราจะทำยังไง เรื่องทั้งหมดมันจะไม่ยากเลยถ้าไม่มีไอ้คุณช่างนั่น”
 

                “แล้วแกจะเก็บมันไว้ทำไม ทำไมไม่ฆ่ามันให้ตายๆ ไปเลยจะได้สิ้นเรื่อง หลังจากนี้ค่อยรวบหัวรวบหางไอ้เพชรให้เป็นผัวแกแค่นี้ก็จบ”
 

                “แล้วจัสจะไปทำแบบนั้นได้ยังไงจัสผู้หญิงตัวคนเดียวนะ”
 

                “แต่ฉันมีลูกน้องหลายคน....” สองพ่อลูกจ้องตากันก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมา เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังก้องทั่วห้องอาหาร
 
 
 
   นายน้อยแห่งเรือนโบราณหันไปมองร่างขาวๆ ที่ยังคงซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่ม กันต์เริ่มขยับตัวก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อย ร่างบางเหยียดแขนสองข้างขึ้นบิดขี้เกียจขับไล่ความปวดเมื่อย
 

                “อูย...”เสียงร้องครางเบาๆ ทำให้เพชรวางเอกสารที่อ่านอยู่ลงบนโต๊ะแล้วเดินไปนั่งหมิ่นๆ บนเตียง มืออุ่นแตะลงบนหน้าผากก่อนคลี่ยิ้มอ่อนโยน
 

                “ตื่นแล้วใช่มั้ยครับ? ” ทันทีที่ได้ยินเสียงของนายน้อย ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดก็วนเวียนเข้ามาในสมอง แก้มขาวขึ้นสีจัดถึงใบหูและต้นคอก่อนคุณช่างคนเก่งจะตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมตัวด้วยความอาย
 

                เขาทำเรื่องน่าอายด้วยความกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้นไปได้ยังไง
 

                แล้วอย่างนี้จะมีหน้าโผล่ไปมองคนข้างๆ ได้ยังไง เพชรหัวเราะอย่างเอ็นดูคนที่พยายามเก็บมุมผ้าห่มทุกมุม
 
                “อายเหรอครับ ไม่เห็นต้องอายเลย เหมือนว่าผมจะทำคุณเป็นไข้อีกแล้ว ลุกขึ้นมาอาบน้ำกินข้าวกินยาเถอะครับผมให้มะลิเตรียมไว้แล้ว”
 

                “คุณ...คือ คุณออกไปก่อนสิ” ที่สุดคุณช่างก็ส่งมือขาวๆ มาผลักๆ คนที่นั่งข้างๆ  เพชรเห็นแล้วหมั่นเขี้ยวอยากจะจับคนดื้อมาฟัดแต่ก็กลัวว่าจะโดนโกรธ ชายหนุ่มยอมลุกขึ้นแต่โดยดี
 

                “งั้นผมไปรอที่ห้องอาหารนะครับ”
 
                “อื้อ...” เสียงตอบรับเบาๆ ดังลอดออกมา เพชรก้มตัวลงจุ๊บบนผ้าห่มตรงที่คิดว่าคงเป็นแก้มของกันต์เบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อเสียงประตูปิดลงกันต์จึงเปิดผ้าห่มออก รอยยิ้มจุดพราวเต็มดวงหน้า แต่เพียงครู่ความฝันที่เพิ่งได้เห็นกลับทำให้รอยยิ้มค่อยๆ จางลงเหลือเพียงความเศร้าสร้อยโหยไห้
 
                ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้หลังจากนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้น โศกนาฏกรรมความรักต้องห้ามกำลังจะถูกปิดตัวลงด้วยความตาย
 

                “ประวัติศาสตร์จะไม่มีทางซ้ำรอย ชาตินี้ผมก็จะรักคุณให้มากๆ จะรักให้สมกับที่ต้องพลัดพรากกันมานับร้อยปี นับจากชาตินี้ไปเราจะไม่มีวันพรากจากกันผมสัญญา”
 
 
 
 
 
....................................

ตอนหน้าจบแล้วนะคะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ขอให้ทุกคนมีทางออกที่ดี ไม่ต้องถึงกับฆ่าแกงกันเลย
ขอให้จบกันในชาตินี้นะ เป็นห่วงจัง
 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

Time of tears
ตอนจบ

 
                บรรยากาศภายในเรือนโบราณอบอวลไปด้วยความรู้สึกหอมหวานจนบรรดาคนรับใช้ต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับท่าทีของผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคนที่คนหนึ่งก็เอาแต่จ้องหน้าอีกคนหนึ่ง แม้ใบหน้าจะเรียบขรึมแต่ทว่าดวงตากลับหวานหยดย้อยจนผึ้งในสวนยังยอมแพ้ ส่วนอีกคนก็เอาแต่นั่งหน้าแดงจนถึงใบหูและลำคอ
 
 
   ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับความรักที่ผิดธรรมชาติ แต่เมื่อคิดดูแล้วนายน้อยก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะคบหากับใครจนอายุใกล้จะ 30 ปีอยู่รอมร่อ มะลิก็มองข้ามเรื่องเพศสภาพไปเสีย เพราะอย่างน้อยตั้งแต่กรกันต์ก้าวเข้ามาในเรือนโบราณก็เหมือนคุณช่างตัวน้อยได้โปรยละอองแห่งความสุขไปทั่วทุกมุมบ้าน จากชายหนุ่มที่มักทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลาก็เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับนางแล้ว จะเป็นใครก็ได้ ขอแค่คนๆ นั้นทำให้นายน้อยของนางมีความสุขก็พอ

   หลังมื้ออาหารเช้าที่มานั่งกินกันตอนบ่ายจบลงพชรก็สั่งให้คนงานยกโต๊ะเขียนแบบของกันต์เข้ามาวางไว้ในห้องทำงานของเขา แม้คุณช่างจะเอ่ยประท้วงหากแต่เจ้าของเรือนกลับให้เหตุผลที่ต้องยอมจำนนว่า
 
                “ผมอยากเห็นหน้าคุณทั้งวัน ก่อนที่ผมจะไปประชุมที่กรุงเทพวันมะรืนนะครับไม่งั้นผมคงจับคุณปล้ำอยู่ในห้องทั้งวันไม่ต้องทำมันแล้วงานน่ะ”
 
                “หัดเป็นคนลามกตั้งแต่เมื่อไหร่”
 
   “ก็ตั้งแต่มีคนขึ้นมานั่งคร่อมตัวผมเมื่อเช้ามืดแหล่ะครับ ปกติผมเป็นคนสุภาพ” พชรยักคิ้วพลางฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวลักยิ้มที่แก้มซ้ายบุ๋มลงไปจนน่าเอานิ้วเข้าไปแหย่แต่คนฟังแทบจะแงะทีสไลด์ฟาดปากซักสองสามที
 
                “พูดจาหน้าไม่อาย” บ่นมุบมิบกันแปลนบ้านก่อนจะพุ่งความสนใจกับงานตรงหน้าแก้เขิน
 
   น่าแปลก สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือความตั้งอกตั้งใจในการทำงานที่ตนเองต้องรับผิดชอบ มีเสียงพูดคุยกันเป็นครั้งคราวยามคุณช่างเอ่ยถามรายละเอียดปลีกย่อยที่นายน้อยอยากให้ใส่เข้าไปในรายละเอียด แม่บ้านชราเอาขนมและของว่างมาเสิร์ฟตอนสี่โมงเย็น คุณช่างวางปากกาเขียนแบบลงทันทีก่อนจะพุ่งออกมานั่งประจำที่บนโต๊ะอาหาร
 
                “หิวเหรอคะคุณช่าง ป้าเห็นทำงานกันง่วนเลยเอาเข้ามาให้ อันนี้น้ำมะตูมนะคะหวานๆ เย็นๆ ชื่นใจแก้เหนื่อย” นางว่าพลางวางจานข้าวตังหน้าตั้งลงบนโต๊ะตามด้วยน้ำมะตูมที่ส่งกลิ่นหอมลอยน้ำแข็งเย็นเฉียบมาวางให้ พชรตามมานั่งลงข้างๆกันต์รับจานแบ่งกับส้อมอันเล็กที่คนตัวเล็กกว่ายื่นมาให้ กันต์จิ้มเอาขนมใส่จานให้แล้วรับแก้วน้ำมาวางไว้ข้างๆ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากด้วยความปลื้มใจ
 
                ไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้เค้าจะมีบุญได้รับการปรนนิบัติความเอาใจใส่จากคนที่ดูหัวแข็งหัวรั้นแบบนี้
               
                ถ้าต้องตายวันนี้พรุ่งนี้เค้าก็ไม่เสียใจเลยซักนิด เพราะชีวิตของเค้าผ่านความสุขจนล้นปรี่มาแล้ว
 
   อีกด้านหนึ่ง....ถ้าโลกนี้มีพรวิเศษสามประการ เขาขอแค่ประการเดียว คือใครก็ได้ช่วยดีดจิรายุออกจากรถของเขาไปซักทีเถอะ ตั้งแต่ที่เลขาตัวเล็กของศัตรูหัวใจของเขากระโดดขึ้นรถตามมา หูของเขาก็แทบไม่ได้พักเลย จิเอาแต่บ่นการขับรถของเขามาตลอดทาง รวมทั้งบรรยายสรรพคุณความเพอร์เฟ็คของเจ้านายตัวเองจนเขาเอียนเต็มทน
 
                ครั้นพอจะไล่ลงคุณเลขาก็ทำเป็นชี้มุมปากสีม่วงคล้ำผลงานชั้นยอดของตัวเขาเมื่อเช้านี้
 
                อาชวินท์ไม่ใช่คนไม่รู้จักแยกแยะ เมื่อเขาผิดเขาก็ยินดีจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง
 
   “จริงๆ รถที่เรือนก็มีตั้งหลายคันทำไมคุณไม่ขับมาเอง”
 
   “ขี้เกียจ”
 
   “คนขับรถก็มี”
 
                “นั่นน่ะเอาไว้บริการนายน้อย อีกอย่างไหนๆ คุณก็เข้ากรุงเทพอยู่แล้ว แค่มีผมติดรถมาด้วยอีกคนมันไม่ได้เปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นหรอกนะ อย่าเป็นคนใจแคบนักเลย มีผมมาด้วยจะได้มีเพื่อนคุยไงไม่ดีเหรอ”
 
                “ผมจำได้ว่าตั้งแต่ออกจากเรือนมาผมพูดแทบจะนับคำได้ไม่รวมตอนนี้ ผีเจาะปากคุณมาพูดหรือไง ฉอดๆๆๆไม่ได้หยุดเลย นี่ขนาดปากเจ็บนะ” วินหันมาค้อนใส่คนที่นั่งข้างๆ จิหุบปากฉับส่งค้อนวงเบ้อเริ่มมากให้เขาก่อนจะบึนปากใส่แล้วหันหน้ามองข้างทางแทนที่จะมองหน้าเขา
 
   อ่าว...งอน?
 
   งอนจริงดิ่?
 
   งอนจริงเหรอวะ?
 
   งอนแน่ๆ ใช่มั้ยอาการแบบนี้?
 
 
   ความเงียบชวนอึดอัดก่อตัวราวสงครามเย็นบนรถในอีกหลายนาทีต่อมา เมื่อวินแอบเหล่มองคนข้างๆ เจ้าตัวไม่มีท่าทีสนใจเขายังคงนั่งคอแข็งหน้าเชิด
 
   อารมณ์งอนมาเต็ม
 
   “เอ่อ...อ่ะแฮ่ม”คนหน้าหล่อแกล้งกระแอมไอเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม แต่จิยังคงนิ่งไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาซักนิด
 
                “นี่คุณ ที่ผมพูดไปเมื่อกี๊อ่ะ...” เหล่มองอีกรอบ....
 
                ยังคงเชิดอยู่แต่ดวงตากลมนั่นเริ่มไหวไปมา วินกระแอมอีกรอบอย่างประหม่า
 
                “ผม...ข่ะ..ข่ะ...” โว้ย!!! ทำไมมันพูดยากแท้วะ นี่สินะที่เค้าว่าตอนทำผิดทำโดยไม่ต้องคิดหรือพูดอะไรให้มันมากความ แต่พอจะขอโทษกลับรู้สึกเหมือนมีหินหนักซักร้อยตันมาถ่วงปาก
 
   “ถ้าการจะพูดคำว่าขอโทษซักคำมันยากนักก็ไม่ต้องลำบากหรอกคู๊ณ” จิค่อนแคะเข้าให้หนึ่งดอก นั่นทำให้คนขี้เก๊กถึงกับสวนกลับ
 
                “ปั่ดโธ่เอ๊ย ผมกำลังจะพูดอยู่นี่ไง ผมขอโทษที่ต่อยปากคุณแม้ว่าจริงๆ ผมอยากจะต่อยเจ้านายคุณมากกว่า ผมขอโทษที่ว่าคุณเรื่องที่คุณพูดมาก พอใจยัง”
 
                “พอใจก็ได้” จิเปลี่ยนท่าทางแทบจะทันที รอยยิ้มสดใสถูกแต่งแต้มประดับบนใบหน้าบรรยากาศในรถเหมือนเจอพายุฝนที่กำลังตั้งเค้าอยู่ๆ ฟ้าก็เปิดจนสว่างไสวอีกแป๊บเทเลทับบี้คงวิ่งออกมาทักทาย
 
                “นี่คุณ ผมขอถามอะไรหน่อยสิ” จิหันมาเลิกคิ้ว
 
                “เจ้านายของคุณน่ะรวยมากมั้ย เท่าที่ดูก็น่าจะรวยอยู่แต่รวยขนาดไหน พันล้านได้ป่าว”
 
                “โอ๊ยคุณ” จิส่งเสียงหัวเราะดังลั่นรถเมื่อคำถามที่ได้ยินคุณเลขาคิดว่ามันโคตรจะติงต๊อง
                “เจ้านายของผมน่ะรวยมากรวยแบบสะสมไปกินไปใช้ชาติหน้าได้เลย เฉพาะธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ใช่ของครอบครัวก็หลักพันล้านแหล่ะแต่ถ้ารวมอสังหากับหุ้นที่ถืออยู่ในทุกธุรกิจผมไม่รู้ว่ากี่หมื่นล้าน ยังไงถ้านายท่านวางมือทุกอย่างก็ตกเป็นของนายน้อยทั้งหมด”
 
                “แล้วเค้านิสัยยังไง เจ้าชู้มั้ย เพลย์บอย รักใครรักจริงหรือรักหวังฟัน”
 
   “นี่คุณ...ผมจะบอกอะไรให้นะ คนอย่างนายน้อยของผมน่ะไม่เคยชายตาแลใครมาก่อนเลย ขนาดยัยจัสที่เอานมถูแขนแล้วถูแขนอีกนายน้อยยังไม่หวั่นไหวเลย นายของผมรักใครรักจริง เมื่อรักแล้วเค้าก็จะหลงใหลคนๆ นั้นเพียงคนเดียว คุณวางใจได้ว่านายน้อยจะรักและให้เกียรติเพื่อนของคุณ เค้าจะวางคุณช่างไว้บนที่ๆสูงที่สุดทะนุถนอมดูแลเอาใจใส่ปกป้องเหมือนเพื่อนของคุณคือของล้ำค่า เพราะฉะนั้นคุณก็ช่วยเปิดใจยอมรับนายของผมหน่อยเถอะนะ”
 
                “ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา แต่ถ้าเค้าทำให้กันต์มีความสุขได้ผมก็ยินดี ว่าแต่นี่คุณจะเข้ากรุงเทพทำไม”
 
                “ผมเข้ามาตรวจเอกสารการประชุม เอกสารผู้ถือหุ้นให้แน่ใจว่ามันจะเรียบร้อยน่ะ พรุ่งนี้นายน้อยจะถอนชื่อพ่อของคุณจัสออกจากผู้ร่วมโครงการ แล้วก็จะขอซื้อหุ้นทั้งหมดไว้เอง”
 
   “กะจะตัดบัวไม่เหลือใยเลยสินะ”
 
   “ก็ถ้าบัวมันเน่าผมว่านายน้อยคงไม่แค่ตัด นายน้อยจะถอนรากถอนโคนเลยต่างหาก”จิตอบอย่างรู้ใจเจ้านายตัวเอง
 
   พชรได้แต่นอนมองขนตาที่กระพริบปริบๆ ของคนที่เอาแต่นอนเงียบอยู่ในอ้อมกอดของตน ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจุมพิตลงบนหน้าผากเนียนอย่างแสนรัก
 
                “พรุ่งนี้ผมต้องเข้ากรุง อาจจะไปซัก 2-3 วัน คุณอยากได้อะไรมั้ยครับ”
 
                “เห็นผมเป็นคนเห็นแก่ได้หรือไง ไม่ต้องซื้ออะไรมาหรอกครับ ทุกวันนี้ขาดเหลืออะไรมะลิดูแลจัดหาให้ตลอด” กันต์หันหลังให้พชรใช้มือรองหัวแทนหมอน
 
                “หันมาทางนี้สิครับ นอนแบบนั้นเดี๋ยวก็เหน็บกินกันพอดี” gพชรดึงตัวเด็กดื้อให้หันมานอนหงายตามเดิม รั้งกายบางให้แนบตัวมากขึ้น
 
                “อยากกอดคุณไว้แบบนี้ตลอดไม่อยากไปไหนเลย ”กระซิบเสียงแผ่วพลางใช้ปลายจมูกคลอเคลียใบหูนิ่ม
 
   “ก็ตอนนี้มีเวลากอดแล้วไงครับก็กอดให้พอใจเลย”
 
   “กันต์คุณเคยวางอนาคตไว้บ้างมั้ยครับว่าต่อไปจะทำอะไร”
 
   “ผมเหรอ เคยสิ ผมจะทำงานหาเงินเยอะๆ แล้วเปิดบริษัทของตัวเอง”
 
   “แล้วไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวบ้างเหรอครับ” พชรแกล้งถามหยั่งเชิง
 
   “ไม่นะ เรื่องการแต่งงานมีครอบครัวไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย เพราะผมโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยมั้งเลยไม่ให้ค่ากับสถาบันครอบครัว ผมโตมาแบบคนไม่มีใคร เมื่อก่อนผมลำบากมาก เวลาที่ผมมีปัญหาหรือผมท้อแท้หันไปทางไหนก็มีแค่ความว่างเปล่า ความจริงอันโหดร้ายคือผมไม่มีใคร ไม่มีใครเลย ” ปลายเสียงของกันต์แกว่งไปเล็กน้อย เขาเป็นคนเปราะบางเรื่องสถาบันครอบครัว ในใจของเขาคิดมาเสมอว่าเขาทำผิดอะไรพ่อและแม่ถึงไม่ต้องการเขา ทิ้งเขาไว้ที่โรงพยาบาลหลังจากคลอดเขาออกมาดูโลกได้เพียงวันเดียว ความเจ็บช้ำ ความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่ต้องทนรับมาตลอดชีวิต
 
                “แต่ตอนนี้คุณมีผมนะ กันต์ ผมจะเป็นครอบครัวให้คุณเอง” พชรกอดร่างน้อยแน่นถ่ายทอดความรักทั้งหมดที่เค้ามีให้กันต์ คนตัวเล็กส่งเสียงร้องไห้แผ่วเบาอย่างคนที่พยายามสะกดกลั้นความอ่อนแอของตัวเอง
 
   “อยู่กับผม คุณรู้สึกยังไงคุณแสดงมันออกมาได้เลยนะครับ ถ้าอยากร้องก็ร้องได้เลยไม่ต้องเก็บไว้”
 
   “อย่าทิ้งผม...อย่าทิ้งผมไปไหนอีก สัญญาได้มั้ย” มือเรียวขยุ้มอกเสื้อของเพชรจนยับย่น
 
   นี่คือสิ่งที่กรกันต์กลัวที่สุด กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวการต้องอยู่เพียงลำพัง
 
   เขาไม่เคยเปิดใจรักใครเพราะความกลัว กลัวว่าวันหนึ่งคนๆ นั้นจะทิ้งเค้าไปเหมือนที่พ่อแม่ทำ
 
                “ผมสัญญา ว่าชีวิตนี้จะไม่ทิ้งคุณไปไหน จะรักและเคียงข้างคุณตลอดไป”
 
 
 
                อาหารเช้าถูกตั้งก่อนเวลาปกติราวครึ่งชั่วโมงเพราะนายน้อยต้องเดินทางเข้ากรุงเทพ สองชีวิตบนโต๊ะอาหารต่างดูแลเอาใจใส่กันอย่างเงียบๆ บ้างก็ยื่นพริกไทย บ้างก็ยื่นซอสปรุงรส บ้างก็ยื่นเกลือให้กัน มะลิมองภาพคนทั้งสองอย่างสุขใจ จริงอยู่แม้ว่านางจะอยากเห็นนายน้อยลงหลักปักฐานกับผู้หญิงดีๆ ซักคน แต่เมื่อคนที่นายน้อยเลือกกลับเป็นคุณช่างที่ตอนแรกนางไม่ใคร่จะชอบซักเท่าไหร่ แต่เวลาที่ผ่านมากรกันต์พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนดีคู่ควรกับนายน้อย เด็กคนนี้ไม่เคยละโมบหรือต้องการอะไรไปมากกว่าสิ่งที่จัดหาให้ มีน้ำใจและมีสัมมาคาราวะกับคนที่อาวุโสกว่า เมตตาต่อคนรับใช้ที่อายุน้อยกว่าเสมอ นั่นทำให้กันต์กลายเป็นขวัญใจของคนทั้งเรือน  หล่อนรู้ว่าเส้นทางความรักของคนทั้งคู่อาจจะไม่ราบรื่น ยังมีนายหญิงและนายใหญ่ที่แผ่นดินใหญ่ที่นายน้อยต้องแจ้งให้ท่านทราบ แต่มะลิเชื่อว่า ความรักจะดำเนินไปตามเส้นทางของมัน ความดีจะทลายกำแพงหนานั้นได้
 
                “นายน้อยครับ รถพร้อมแล้วครับ” คนขับรถวัยกลางคนเข้ามาแจ้งเพชร ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้น กันต์ขยับตามแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเอกสารมาส่งให้
 
                “เดินทางปลอดภัยนะครับ” มือเล็กยื่นกระเป๋าให้ด้วยท่าทีเคอะเขิน แต่นั่นกลับทำให้พชรยิ้มกว้าง
 
                “ครับ แล้วจะรีบกลับมานะครับคุณภรรยา” ชายหนุ่มหอมแก้มคุณช่างฟอดใหญ่ก่อนจะหมุนตัวจากไปอย่างมีความสุข
 
                เย็นนั้นแม่บ้านเสิร์ฟอาหารให้กับกันต์คนเดียว ห้องอาหารเงียบเหงากว่าที่เคยเป็น คุณช่างยกน้ำขึ้นดื่มหลังจากรับประทานไปได้นิดเดียว
 
   คิดถึง....น่าขันที่เขาคิดถึงเพชรทั้งๆ ที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมง
 
                “อิ่มแล้วเหรอคะทำไมวันนี้รับน้อยจังเลย”  มะลิถามอย่างห่วงใยก่อนพยักหน้าเรียกให้แก้วตาสาวใช้คนใหม่ที่เพิ่งมาสมัครงานเมื่อไม่กี่วันมายกสำรับไปเก็บ
 
   “อิ่มแล้วครับ วันนี้กินไม่ค่อยลง”
 
   “คิดถึงนายน้อยเหรอคะถ้างานเสร็จไวพรุ่งนี้ค่ำๆ ก็คงจะกลับ”
 
   “ป้ามะลิ...พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ” ชายหนุ่มว่าอย่างเขินๆ
 
   “ไม่ต้องอายหรอกค่ะความสัมพันธ์ของคุณช่างกับนายน้อยเป็นยังไงดิฉันดูออกนะคะ อย่าลืมคนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อน “
 
   “ไม่เอาแล้วผมไม่คุยด้วยแล้ว ยังไงผมกลับห้องไปทำงานก่อนนะครับ”
 
   “ค่ะ อย่าลืมปิดหน้าต่างด้วยนะคะ สงสัยพายุจะเข้าฝนตกไม่หยุดเลยเดี๋ยวไม่สบายอีก” หญิงชราเอ่ยสำทับ กันต์รับคำก่อนจะเดินกลับห้องไปเงียบๆ ป้ามะลิตรวจตราประตูหน้าต่าง ตรวจความเรียบร้อยของตัวบ้านจนพอใจแล้วก็ค่อยๆ เดินไปหรี่ตะเกียงให้เบาไฟลง กลับไปเรือนคนรับใช้ภายในครัวปรากฏว่าบรรดาสาวใช้และคนสวนต่างนอนหลับกันระเนระนาด หญิงชราส่ายหน้าอย่างระอาใจ
 
   “อะไรกันพวกแกนี่มานอนอะไรตรงนี้ทำไมไม่เข้าไปนอนกันในห้อง ตื่นๆ แล้วนี่แก้วตาไปไหนเนี่ย” หญิงชราตบลงบนโต๊ะแต่ไม่มีใครขยับ
 
   “ตามใจ อยากนอนตากฝนหนาวตายกันตรงนี้ก็เชิญ” มะลิส่ายหน้าอย่างระอาใจ หญิงชราหันหลังจะเดินกลับห้อง พลันก็มีของแข็งบางอย่างกระทบศีรษะอย่างแรงจนหญิงชราล้มคว่ำ โลหิตแดงฉานไหนออกจากปากแผลเข้าดวงตาอันฝ้าฟาง ป้ามะลิส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด นางเงยหน้ามองรองเท้าบูทสีดำที่ก้าวเข้ามาประชิดร่าง
 
   “สวัสดีค่ะคุณแม่บ้าน ไม่เจอกันหลายวัน สบายดีมั้ยคะ” น้ำเสียงเล็กแหลมของใครบางคนที่คุ้นหูทำให้จางมะลิต้องตั้งสติแล้วเพ่งมองใบหน้านั้น
 
   “ค่ะ...คุณจัส”
 
   “ดีใจจังยังจำได้ นี่ขนาดจัสไม่ใช่คนโปรดนะคะเนี่ย โถๆๆ เจ็บมากมั้ยคะ ตอนแรกจัสก็กะว่าจะฟาดให้ตายในทีเดียว แต่สงสัยจัสมือเบาไปสินะคะ” หญิงสาวเดินวนไปรอบๆ ห้องครัวเลือกหยิบมีดปลายแหลมมาถือไว้ มะลิรวบรวมแรงที่มีค่อยๆ คลานหนีหญิงสาวที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาหานางเรื่อยๆ
 
   “ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยด้วย....” นางร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา หลายครั้งที่นางเคยคิดว่า อายุปูนนี้ถ้าจะต้องตายคงไม่เสียดายชีวิต...แต่เมื่อความตายคืบคลานมาตรงหน้า ความกลัวจับขั้วหัวใจก็บังเกิด ป้ามะลิเพิ่งรับรู้ว่า ไม่มีใครอยากตายทั้งนั้นไม่ว่าจะแก่หรือเด็ก อยากมีชีวิตไปจนถึงบั้นปลายที่ได้นอนหลับสบายตามที่ควรจะเป็น
 
   “คุณแม่บ้าน..จัส...คุณทำอะไรของคุณ.” กันต์ที่เดินเข้ามาในครัวชะงักกับภาพที่เห็น มะลิมองคุณช่างสลับกับจัส เลยออกไปด้านนอกชายชุดดำหลายคนปรากฏตัวขึ้นราวภูติผี
 
   “หนี....หนีไป หนีไปค่ะ”
 
   “รักกันจริงนะคะ ห่วงชีวิตตัวเองก่อนที่จะห่วงมันเถอะค่ะ เพราะยังไงคืนนี้ก็ต้องตายด้วยกันทั้งคู่” จัสเดินข้ามร่างของหญิงชราไปหากันต์ ชายหนุ่มประมวลสถานการณ์แล้ว เขาควรหนี เพราะท่าทางของจัสยามนี้คล้ายคนป่วยทางจิตไปแล้ว เมื่อหมุนตัวกลับก็พบก็ผู้ชายหลายคนที่ยืนรอท่าอยู่ด้านนอก
 
   เขาต้องคิด...จะไปทางไหนดี ด้วยขนาดตัวและจำนวนคนถ้าพุ่งปะทะเขามีแต่เสียเปรียบ ด้านหลังจัสก็พุ่งตัวเข้าใส่ คุณช่างกระโจนลงสวนด้านข้างแต่มิวายถูกปลายมีดแหลมแหวกอากาศมากระทบกับต้นแขน แม้จะแค่ถากๆ แต่ก็สร้างความเจ็บแสบได้พอควร ชายหนุ่มกุมแขนตัวเองก่อนจะวิ่งหนีไปทางเรือนทาสเก่า วินได้สั่งให้คนงานเอากุญแจประตูทางออกเล็กออกไปเมื่อวันก่อนเพราะแถวนั้นไม่มีคนสัญจรผ่านไปมาอยู่แล้ว ร่างบางวิ่งฝ่าสายฝนย่ำลงบนโคลนชื้นแฉะ ทั้งลื่น ทั้งหนาว เท้าที่ใส่เพียงสลิปเปอร์วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
   “ตามมันไป” จัสสั่งบรรดาชายชุดดำด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม หญิงสาวก้าวเท้าจะวิ่งตามไปแต่ก็พบว่ามะลิใช้แรงทั้งหมดที่นางมีรั้งขาเธอเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
 
   “อย่า อย่าทำคุณช่าง”
 
   “รักและห่วงมันเหลือเกินนะ ห่วงตัวเองก่อนเถอะอีแก่” หญิงสาวสลัดปลายเท้าจนมะลิกระเด็นก่อนที่จะทันตั้งตัวจัสก็นั่งคร่อมงื้อมีดขึ้นสูงแล้วจ้วงแทงร่างของหญิงชราสุดแรง มีดปลายแหลมเล่มใหญ่ปักลงบนอกซ้ายนางอย่างแม่นยำมะลิสะดุ้งเฮือกก่อนจะสำลักเลือดข้นคลั่กออกมาลมหายใจสุดท้ายพรั่งพรูออกมาก่อนจะสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น หญิงสาวแค่นยิ้มใส่ศพของหญิงชราก่อนจะดึงมีดปลายแหลมออกมาจากอกของมะลิเช็ดคมมีดกับเสื้อผ้าที่หญิงชราสวมใส่อย่างเลือดเย็น เสร็จแล้วก็เดินตามกันต์และลูกน้องของพ่อเธอตามไปอย่างใจเย็น หล่อนดึงตะเกียงที่ใช้ส่องสว่างตามทางเดินออกทีละดวงแล้วปามันลงพื้น น้ำมันก๊าดกระเด็นลงบนพื้นไม้และผนัง เปลวไฟโลมเลียอย่างรวดเร็ว
 
   กันต์ผลักประตูรั้วก่อนจะมองผ่านความมืดมิด กอหญ้าสูงใหญ่กินอาณาเขตยาวทั้งสองด้าน ความมืดทำให้ขาเรียวแทบจะขยับไม่ออก
 
   เขาวิ่งพุ่งเข้าไปท่ามกลางหญ้าสูงเลยหัว ภาพในอดีตซ้อนทับกับปัจจุบันราวกับเป็นเหตุการณ์เดียวกัน ทาสตัวน้อยล้มลุกคลุกคลาน ใบหญ้าคมบาดตามเนื้อตัวและใบหน้า แต่กันต์ยังคงหนี ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปที่ดงหญ้าพงใหญ่ขดตัวให้เล็กที่สุดหัวใจของกันต์เต้นไม่เป็นจังหวะ ลำพังแค่จัสคนเดียวเขาไม่มีปัญหาถ้าจะต้องสู้กัน แต่ผู้ชายตัวใหญ่ๆ อีกหลายคนนั้นต่อให้สู้ยังไงเขามีแต่เสียเปรียบ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือหาทางหนี
 
                “เจอมันหรือยัง”เสียงแหลมเล็กตะโกนถามฝ่าสายฝนหลังจากที่เดินตามมาจนถึงริมน้ำ
 
                “เรากำลังหาอยู่ครับคุณจัส” ชายคนหนึ่งตะโกนรายงาน จัสแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวทันทีที่ได้รับคำตอบ
 
                “มัวแต่งมอะไรกันอยู่หามันเร็วๆ สิ ที่แค่นี้ นอกจากมันมุดดินหรือดำน้ำหนีนั่นแหละที่พวกแกจะหาไม่เจอ” จัสเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ
 
                กรกันต์หดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่ร่างกายขนาด 180 เซนติเมตร ของเขาจะทำได้
 
   แต่ในที่สุดเกมแมวล่าหนูครั้งนี้ก็สิ้นสุดเมื่อปลายกระบอกปืนลำหนึ่งจ่อที่ขมับของเขา
 
   

((ต่อข้างล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2



“เจอจนได้นะ” กันต์ถูกกระชากแขนให้ลุกขึ้นมาอย่างรุนแรง ชายหนุ่มกัดฟันไม่ส่งเสียงร้องจากความร้าวเจ็บของบาดแผลที่จัสฝากไว้ กุญแจมือถูกสับลงบนข้อมือขาวทันทีชายหนุ่มถูกเหวี่ยงลงไปนั่งตรงเท้าของจัส หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะเยือกเย็นมาให้ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าของกันต์
 
                “ไง....กลัวเหรอ” จัสใช้ปลายมีดลูบไล้บนใบหน้าของกันต์ ชายหนุ่มกัดฟันข่มความหวาดกลัว
 
                “ใบหน้าแบบไหนกันนะที่เพชรหลงใหล แบบแกนี่น่ะเหรอ ทำไมคนที่เค้าเลือกไม่ใช่ฉันกลับเป็นแก ห๊ะ ตอบฉันมาซิ๊ แกเสนอหน้าเข้ามาในชีวิตของฉันทำไม” จัสวาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของกันต์อย่างระบายอารมณ์ ชายหนุ่มหน้าชาสะบัดไปตามแรงตบ เลือดไหลซึมที่มุมปากตวัดสายตามองหญิงสาวอย่างไม่พอใจ
 
                “คุณทำแบบนี้ทำไมจัส มันมีผลดีอะไร ผมจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้คุณฆ่าผมพชรก็ไม่มีทางรักคุณ ไม่มีวันรักคุณ”
 
                “ฉันไม่แคร์ ฉันไม่สนอะไรแล้ว ต่อให้เค้าไม่รักฉัน ขอแค่แกตายให้เค้าได้อยู่อย่างทรมานสาสมกับสิ่งที่เค้าทำกับฉันแค่นั้นฉันก็มีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว” จัสเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กันต์ใช้จังหวะนี้ยันเท้าถีบจนหญิงสาวหงายไปด้านหลังก่อนที่เขาจะลุกขึ้นพุ่งตัวจะหนี แต่ชายชุดดำที่ยืนรอท่าอยู่ก่อนหน้าไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำตามใจง่ายนักทั้งหมดกรูกันเข้ามารุมทำร้ายกันต์ ชายหนุ่มได้แต่ยกแขนปัดป้อง เจ็บไปถึงกระดูก มึนงงราวกับโดนฆ้อนทุบ ร่างบางร่วงลงไปกองกับพื้นราวลูกนกปีกหักสายตาพร่ามัวมองเห็นเท้าคู่ใหญ่ที่กำลังจะกระทืบลงมาบนร่างกายของตน กันต์กลั้นหายใจหลับตารอรอบความเจ็บปวดที่กำลังจะได้รับ กรกันต์ได้แต่ตั้งคำถามในใจซ้ำๆ ที่ชะตากรรมที่ต้องได้รับ
 
                ทำไม...ทำไมเราต้องมาพบกันมารักกันแบบนี้ด้วย  แล้ววงจรชีวิตเราสามคนก็กลับสู่วังวนเดิมๆ  ถ้าเลือกได้ผมจะไม่รักคุณเลย เพชร...ผมกลัว...กลัวการพลัดพรากจากลาของเรา ผมกลัว...กลัวที่จะไม่ได้อยู่กับคุณอีกต่อไป...ผมกลัว
 
                กันต์ลืมตาเมื่อเท้าที่จะกระทืบเค้าไม่สัมผัสกับร่างกายของเขาซักที ภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนขับรถของพชรรวมทั้งจิกับวินกำลังแลกหมัดต่อสู้กับกลุ่มชายชุดดำ จินั้นไม่น่าห่วงเท่าไหร่เพราะเจ้าตัวเรียนศิลปะป้องกันตัวมาแต่วินนั้นแสนจะเงอะงะชายหนุ่มใช้ไม้ท่อนใหญ่ฟาดใส่ข้อมือของชายชุดดำที่เล็งปืนใส่จิได้ทัน   ในขณะที่จิเองก็ล็อกข้อมือหมุนตัวกระทุ้งศอกใส่สีข้างของชายชุดดำอีกคนวาดขาเตะข้อพับของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  เลยไปร่างสูงสง่าของใครคนหนึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากับจัส
 
   “น่ะ...นายน้อย”
 
                “หยุดเถอะครับจัส อย่าทำแบบนี้อีกเลย คุณกำลังทำลายชีวิตคนบริสุทธิ์นะ”
 
                “แล้วที่มันทำลายชีวิตจัสล่ะใครจะรับผิดชอบ ทำไมจัสต้องเชื่อคุณคะ ทำไมจัสต้องไว้ชีวิตคนที่ทำลายชีวิตคู่ของเราทำไมจัสต้องปล่อยให้คุณกับมันไปเสวยสุขกันในขณะที่บ้านจัสกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย ถ้าไม่มีมันป่านนี้เราคงกำลังเตรียมงานแต่งงาน  อีกปีสองปีเราก็จะมีลูก คุณกล้าเนรคุณต่อบรรพบุรุษทำเรื่องอุบาทว์ชาติชั่วแบบนี้ได้ยังไง”
 
                “ความรักไม่ใช่เรื่องอุบาทว์ ไม่ใช่เรื่องเนรคุณ รักก็คือรักไม่ว่ากันต์จะเป็นหญิงหรือเป็นชายไม่ว่าจะเป็นเพศไหนขอแค่เป็นเขาผมก็รัก ได้โปรดเถอะจัส สั่งคนของคุณให้หยุดเรื่องของพวกเรามันลุกลามใหญ่เกินจะแก้ไขได้แล้ว ถ้าคุณลำบากผมจะช่วยเหลือคุณ ภายในพรุ่งนี้ผมจะให้จิจัดการโอนเงินเข้าบัญชีให้คุณ มันจะทำให้คุณอยู่ได้อย่างสบายตลอดชีวิต ปล่อยพวกเราไปเถอะ นะครับผมขอร้อง”
 
                “คุกเข่าสิ...”เพชรมองหน้าจัสที่เอ่ยเสียงเรียบ รอยยิ้มเยาะปรากฏตรงมุมปาก
 
                “คุณรักศักดิ์ศรีตัวเองแค่ไหนจัสรู้ดี จัสบอกให้คุณคุกเข่าขอร้องจัสกราบเท้าจัสให้ปล่อยคุณไปสิคะ คุณยอมหรือเปล่า ยอมก้มหัวคุกเข่าขอร้องจัสเพื่อมันมั้ยคะ” พชรจ้องหน้าจัสด้วยสายตาเรียบนิ่งหันไปมองกันต์ด้วยสายตาหวงแหน พลันร่างสูงก็คุกเข่าลงแทบเท้ามัลลิกาก้มศีรษะกราบลงแทบเท้าหล่อนอย่างขอร้อง
 
                “ได้โปรด ปล่อยพวกเราไปเถอะ ปล่อยกันต์ไปได้มั้ยครับ”

                “รักกันมากเลยเหรอคะ รักกันมากจนคุณยอมทิ้งศักดิ์ศรีที่หวงนักหวงหนาเลยใช่มั้ยคะ โอเค...ก็ได้ จัสปล่อยคุณกับมันไปก็ได้ค่ะ จัสคงสู้ความรักที่คุณมีให้กันไม่ได้ไปสิคะ ไปหาเค้า” จัสปล่อยมีดปลายแหลมให้ตกลงพื้นอย่างยอมจำนน พชรลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะสวมกอดหญิงสาว
 
   “ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ” ชายหนุ่มผละกายออกก่อนจะวิ่งไปหากันต์
 
                “กันต์ ระวัง!!” อาชวินท์ตะโกนสุดเสียงเมื่อจัดการชายชุดดำคนสุดท้ายให้ลงไปนอนสลบเหมือดกับพื้น หัวใจของเขาเย็นยะเยือกเมื่อเห็นจัสล้วงปืนตรงเอวมาเล็งใส่กันต์ พชรเมื่อได้ยินเสียงของวินชายหนุ่มหันไปมองจัส เร็วกว่าความคิดเขาพุ่งเข้าบังร่างของกรกันต์ทันที
 
 
   ปัง!!
   ปัง!!
   ปัง!!
 
 
   “ไม่!!!”
 
   “นายน้อย!!!”
 
   กันต์ร้องสุดเสียงเมื่อร่างของพชรกระตุกเฮือกแล้วร่วงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนเองพอดี จิรายุตะโกนเรียกผู้เป็นนายด้วยความตกตะลึง เขาทิ้งปืนในมือที่เพิ่งจะยิงเจาะร่างของจัสมินลงแล้ววิ่งไปหาผู้เป็นนาย ในขณะที่เสียงไซเรนของรถพยาบาลและรถตำรวจดังอยู่ด้านนอก
 
                “กันต์ เป็นอะไรหรือเปล่า” พชรยกมือลูบหน้ากันต์ที่บัดนี้ส่งเสียงร้องไห้อย่างไม่อายใคร
 
   เขากลัว กลัวนายน้อยจะจากไป เลือดที่แผ่นหลังของนายน้อยเปรอะเปื้อนเต็มฝ่ามือ
 
                “ห่วงตัวเองก่อนเถอะคนโง่ เอาตัวมาบังผมไว้ทำไม  ทำไมต้องคอยปกป้องผมมาตลอดด้วย”
 
                “ไม่ปกป้องคุณจะให้ผมปกป้องใคร ก็คุณเป็นครอบครัวของผม อีกอย่างผมไม่ตายง่ายๆ หรอกถ้าผมตายเดี๋ยวคุณหาสามีใหม่วิญญาณผมคงอยู่ไม่เป็นสุข” กันต์หลุดขำกับคำกระเซ้านั้นหัวเราะทั้งน้ำตา
 
                “อย่าไปไหนนะ อยู่กับผม...” ร้องของคนในอ้อมกอดก่อนจะหันไปมองร่างของจัสที่ค่อยๆ คลานมาทางเขา กันต์ฝากพชรไว้กับจิก่อนจะเดินไปหาจัสที่กำลังจะหมดลมหายใจ
 
                “แกมาทำไม ไป หลบไป...” หล่อนเอ่ยปากไล่เมื่อกันต์มายืนตรงหน้า ตอนนี้หญิงสาวแค่อยากไปอยู่ใกล้พชรมากที่สุด ลมหายใจของหล่อนใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
 
                “ผมมาอโหสิกรรมให้คุณ และมาขออโหสิกรรมจากคุณจะได้มั้ยครับ เราสามคนทนทุกข์มานานเกินไปแล้ว ปล่อยวางซะเถอะนะครับ อะไรที่ผมทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจได้โปรดให้อภัยกับเราทั้งสองคนด้วย อะไรที่คุณทำกับผม ผมก็จะไม่ถือโทษโกรธเช่นกันอย่าต่อเวรผูกกรรมต่อกันอีกเลยนะครับ”
 
                “ฉัน...ฉ่ะ..ฉันอยากไปหาเค้า...” หญิงสาวไม่ตอบรับหากแต่ร้องขอที่จะได้เข้าไปอยู่ใกล้ร่างของพชร
 
                “วิน ช่วยหน่อย” กันต์เอ่ยเรียกอาชวินท์ที่นั่งใกล้จิ ในขณะที่ตำรวจเริ่มเข้ามาเคลียร์พื้นที่และจับกุมคนร้ายที่เหลือ กลุ่มบุรุษพยาบาลนำอุปกรณ์ลำเลียงผู้ป่วยมาเตรียมพร้อม วินเดินมารวบตัวหญิงสาวขึ้นอุ้มแล้วนำไปวางใกล้กับนายน้อยแห่งเรือนโบราณ
 
                “เพชร...จัสขอโทษ จัสไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ” หญิงสาวใช้มือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดลูบผิวหน้าของพชร ชายหนุ่มกุมมือเธอไว้บีบเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมหญิงสาวที่กำลังอ่อนแรง
 
                “ไม่เป็นไร ผมไม่โกรธคุณเลย”
 
   “จัสรักคุณนะคะ...ยกโทษให้จัสด้วย...”
 
   “ผมยกโทษให้คุณ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยความจริงใจ เขารู้ว่าสิ่งที่จัสทำเป็นเพราะหญิงสาวไม่มีทางออก
 
   “คุณเคยรักจัสบ้างมั้ยคะ...ตอบจัสหน่อย”
 
   “รักครับ...” พชรเอ่ยคำว่ารักอย่างไม่ลังเล  คำว่ารักของเขาไม่ใช่คำพูดเสแสร้ง เขารักจัสเช่นพี่ชายจะพึงรักน้องสาวคนหนึ่งได้ เขารักจัสเช่นเพื่อนจะรักเพื่อนได้ แต่คำว่ารักที่เขาเอ่ยออกมาเป็นเหมือนน้ำสะอาดที่รินรดพื้นดินอันโสโครกในใจของจัสมิน หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนหวานให้เขา
 
                “ขอบคุณนะคะ จัสมีความสุขที่สุดเลย” หญิงสาวหันมามองกันต์
 
   “ขอโทษ...ฉันอโหสิกรรมให้พวกคุณ” เพียงสิ้นประโยคสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงบนยอดไม้ใหญ่ไกลออกไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายของหญิงสาว
 
   บัดนี้คำสาปนับร้อยปีสิ้นสุดลงแล้ว กรกันต์หลับตาลงอย่างโล่งใจ
 
   เพียงแค่รู้จักที่จะให้อภัยกัน...
 
   เพียงแค่รักให้เป็น...ก็จะไม่มีใครทรมาน
 
 
 
                บริเวณโดยรอบเรือนโบราณถูกประดับประดากระดาษ ริบบิ้น รวมทั้งช่อดอกไม้ตกแต่งอย่างสวยงาน ผู้คนมากมายพากันเดินชมตามมุมต่างๆ ที่จัดแสดงของใช้โบราณที่เจ้าของเรือนรวบรวมมา โถงกลางถูกจัดวางด้วยแท่นขนาดใหญ่มีตู้กระจกที่บรรจุโครงกระดูกสองร่างที่นอนขดกอดกัน พชรและกรกันต์ยืนมองอดีตร่างของตัวเองอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรหากแต่ว่ามือของทั้งคู่กลับค่อยๆ เลื่อนมากอบกุมกันไว้
 
   ความทุกข์ทรมานที่ได้รับมาทุกพบทุกชาติจบสิ้นกันไปแล้ว
 
   หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเรือนโบราณถูกไฟไหม้ไปส่วนหนึ่งโชคดีที่ไฟไม่ได้ลุกลามไปเยอะอย่างที่ควรเป็นเพราะฝนตกหนัก โชคดีที่สุดตรงที่พชรต้องยกเลิกการประชุมเพราะผู้ถือหุ้นรายหนึ่งป่วยกะทันหัน เขาจึงตัดสินใจตีรถกลับเรือนโบราณเลย จิจึงตามกลับมาพร้อมลากอาชวินท์กลับมาด้วย ศพของมะลิถูกทำพิธีและเผาราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของพชร เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหาตัวสาวใช้ที่วางยานอนหลับในน้ำดื่มที่หนีหายไปได้และหล่อนซัดทอดว่าจัสเป็นคนว่าจ้าง ตำรวจสอบปากคำชายชุดดำซึ่งคนเหล่านั้นซัดทอดไปยังพ่อของจัส ในที่สุดเขาก็ถูกจับกุมได้ในขณะที่กำลังจะหนีออกนอกประเทศ
 
                ทีมงานต่างบูรณะเรือนโบราณขึ้นมาใหม่อีกครั้งในเวลาอันรวดเร็วโดยมีพชรคอยดูแลระหว่างพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ โชคดีที่กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ เขาเข้ารับการผ่าตัดและได้ใช้ห้องพิเศษร่วมกับกันต์ แน่นอนคนที่มาเฝ้าไม่ใช่ใครเลย คืออาชวินท์กันจิ สองคนนี้ทะเลาะกันทุกวันแต่กลับมีละอองสีชมพูฟุ้งในอากาศแปลกๆ สัปดาห์ต่อมาพวกเขาก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน กันต์คอยดูแลปรนนิบัติพชรไม่ได้ห่างจากตัว นอกจากเจ้าตัวจะไปคุมคนงานที่เข้ามาตกแต่งภายใน
 
   จนในที่สุดงานทุกอย่างก็ลุล่วงไปด้วยดี
 
   “จบสิ้นกันซักทีนะครับ” พชรหันมาพูดกับคนข้างๆ
 
   “นั่นสิครับ จบสิ้นกันซักที ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเวลาแค่ไม่กี่เดือนแต่เหมือนเราผ่านอะไรกันมามากมาย” กันต์กวาดตามองรอบๆ
 
   “คิดถึงมะลินะครับ ถ้าแกยังอยู่ป่านนี้คงวิ่งวุ่นทั่วเรือน” ชายหนุ่มเอ่ยถึงแม่บ้านชราที่พยายามปกป้องเขาไว้ในคืนนั้น
 
   “มะลิเสียสละเพื่อเรา เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เรามาใช้ชีวิตให้มีความสุขกันเถอะนะครับ อดีตที่ผ่านมาเราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ปัจจุบันและอนาคตเราสามารถกำหนดมันได้ด้วยตัวของเราเอง” พชรกระชับมือของกันต์ให้แน่นขึ้นหันมายืนเผชิญหน้ากัน
 
   “กันต์ครับ...คุณจะใช้ชีวิตคู่กับผมนับจากนี้ไปได้มั้ยครับ” ชายหนุ่มหยิบตลับแหวนขึ้นมา ในนั้นมีแหวนสองวงคู่กันเขาหยิบวงหนึ่งออกมาถือไว้สายตาจ้องหน้ากันต์ที่ระบายยิ้มเต็มดวงหน้า กันต์ไม่ได้ตอบอะไรทำแค่เพียงยื่นมือไปตรงหน้าไม่นานแหวนวงนั้นก็ถูกสวมลงบนนิ้วเรียวก่อนที่กันต์จะหยิบแหวนอีกวงในมือพชรมาถือไว้แล้วสวมมันลงบนนิ้วของเขา
 
   “ห้ามทิ้งผมไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า เข้าใจมั้ยครับ”
 
   “คร๊าบผมนายหญิง” พชรแกล้งลากเสียงกระเซ้าเป็นผลให้คนตัวเล็กกว่าเอาศอกกระทุ้งสีข้างเข้าให้จนชายหนุ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ
 
   “ผมไม่ใช่นายหญิงซักหน่อย ผมคือกันต์ กันต์ของนายน้อย”
 
   “เข้าใจแล้วครับต่อไปนี้คุณเป็นของผมและผมเป็นของคุณคนเดียวแค่กันต์คนเดียวเท่านั้น”
 
   ไม่อยากจะยอมรับว่าเขินแต่ตอนนี้หัวใจของคุณช่างพองจนคล้ายจะปริแตก ไม่มีคำพูดอะไรเพิ่มเติมมีเพียงความรู้สึกรักที่ถ่ายทอดให้กันผ่านดวงตา เรื่องราวความรักอันทรมานนับร้อยปีจบลงพร้อมกับชีวิตรักบทใหม่ที่คนทั้งคู่จะช่วยกันแต่งแต้มได้เริ่มต้นขึ้นภายในสถานที่แห่งเดิม
 
จบลงแล้วสำหรับคราบน้ำตาและความสูญเสีย ต่อไปทั้งเขาและพชรจะประคับประคองความรักครั้งนี้ให้เติบโตอย่างแข็งแรง แม้ความรู้สึกครั้งแรกมันเหมือนเราจะเคยรักกันแต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าไม่ว่าชาติไหนๆ เขาก็จะรักกันด้วยความมั่นคงอย่างนี้....ตลอดไป
 
 
 
                                                                                                                                                   
  จบบริบูรณ์

......................................................


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :เฮ้อ:
ขอให้เวลาที่เหลืออยู่ ของนายน้อยและกรรณ มีแต่ความสุขตลอดไปนะจ๊ะ
ว่าแต่จิ กับวินนี่ สงสัยตบจูบๆ กันต่อไปนะ อิอิอิ
จบเสียที ลุ้นซะ
 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ชะนีถือว่าตายแบบดีๆอยู่นะ
ถ้าเป็นตัวดาวเองอินี่จะรอดไหมเนี่ย!  :beat:
แต่ก็ยินดีกับคุณพชรและคุณกันต์ด้วยนะคะ  :mc4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ปาดน้ำตา

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai2-1:ชอบมากๆกับเรื่องหลายภพหลายชาติแบบนี้อ่ะ... เรื่องราวน่่างสารมากอ่ะ.. เขียนได้ใจมากเลยจ๊ะ... เนื้อเรื่องกระชับดี.. เข้าใจจิตใจชะนีน้อยอยู่นะ.. แต่นางทำเกินกว่าเหตุไปหน่อยทุกชาติเลยมั้ยเนี่ย... กรรมที่เคยจับเค้าถ่วงน้ำ.น่าจะได้รับกว่านี้เลยนะ..เธอโกรธน่ะใช่..แต่เธอโหดมากเลย

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วนึกถึงเรื่องรอยรัก รอยอดีตเลย
ขอให้มีคนมาพบกันต์เร็วๆน้า

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ชอบนิยายแนวพรีเรียตค่ะ อ่านแบบย้อนยุค ได้อารมณ์ในการคิดภาพตามดี  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
สนุกค่ะ ปมไม่ซับซ้อนแต่เขียนออกมาได้ลื่นไหล แต่เวลาแยกพาร์ทอดีตกับปัจจุบันอยากให้เปลี่ยนตัวหนังสือเป็นตัวเอียง หรือจะเว้นบรรทัดซักหน่อยก็จะอ่านง่ายขึ้นค่ะ นี่แอบงงๆหน่อย
อยากอ่านคู่รองจังเลย คู่นี้น่าจะซัดกันมันดี 555555555555555555555555555555555

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
มีตอนพิเศษไหมคะ อยากอ่านตอนหวานๆจังค่ะ


ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆด้วยนะคะ

ออฟไลน์ Pondering88

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ gumrai3

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-4

ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
เรื่องน่าจะยาวกว่านี้สักหน่อยเนาะ มันรวบ ๆ ไปหน่อย
 :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
            “วันนี้ผมไปหาสบันงามา...” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด  กันต์ที่ยังมิอาจข่มตาให้หลับได้รู้สึกลมหายใจติดขัดแทบจะทันทีแต่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดใดออกไป  แสร้งนอนนิ่งคล้ายไม่สนใจแต่ประสาทหูของกันต์ตื่นตัวเต็มที่
ไม่น่าจะใช่สบันงา ผิดยุคแล้วผิดคนแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด