10 แค่ตัวแทน
CARAMEL
เวลาพ้นผ่านไปเร็วเสมอ รู้ตัวอีกที ก็ได้เวลามาตั้งใจเรียนอีกครั้งแล้ว
ระยะเวลาในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น บีทมาอาศัยอยู่ที่บ้านผมราวกับเป็นบ้านตัวเอง อาจจะมีเคืองอยู่บ้างนิดหน่อยเพราะแม่ผมให้ความสนใจเขามาก จนบางทีผมก็แอบอิจฉาลึกๆ เหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องทำใจถ้าสิ่งที่แม่ทำมันทำให้เขามีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาบ้าง
ตั้งแต่ที่ผมรู้ว่าบีทเลิกกับซีแล้วก็รู้สึกคาดไม่ถึง แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดด้วยท่าทางปกติมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของเขาเพื่อรับรู้ความรู้สึกลึกๆ ของอีกฝ่ายได้ เลยต้องพยายามดูแลอยู่ห่างๆ
ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บไม่ต่างกัน
เอาจริงๆ นะ ผมเองก็ยังรู้สึกเหมือนมีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่มีคู่แข่งให้ว้าวุ่นใจ แต่มันก็มอดดับลงเพียงเพราะว่ารับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อแฟนเก่าว่ามันมากมายขนาดไหน
ผมไม่ได้ซักไซร้อะไรไปมากกว่านั้นเพราะคิดว่าอาจจะเป็นแผลสดอยู่เลยพยายามลืมเรื่องนั้นไปอย่างไม่พูดถึงอีก
ส่วนเหตุผลที่อีกฝ่ายมาหาก็คงเพียงแค่อยากหาที่ระบายก็เท่านั้น
เพราะผมมีสิทธิเพียงแค่นี้แหละ
…
“กินหมูเยอะๆ นะมึง มึงผอมลงไปเยอะแล้ว”อีกฝ่ายว่าพลางหยิบหมูที่ลวกไว้มาใส่ถ้วยสีส้มของผม
ในบ่ายวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด จู่ๆ บีทก็อยากกินชาบูขึ้นมา ผมเลยได้แต่ตามใจเขาเท่านั้น อย่างน้อยเขาจะได้ไม่คิดมาก
แม้ผมจะต้องพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่าก็ตาม ที่จะต้องรักษาระยะห่างเขาเอาไว้ แม้มันจะยากเต็มที
“อืม ขอบใจนะ”เรากินกันไปเงียบๆ แต่บีทก็ตักนู่นตักนี่มาให้ไม่ขาด รอยยิ้มน่ามองนั่นผลักสาวเล็กสาวใหญ่ให้ตกหลุมอีกฝ่ายได้ไม่น้อย อย่างน้อยๆ ก็ต้องมองบ้างแหละ ถึงจะเลือกที่นั่งที่คิดว่าเป็นส่วนตัวแล้ว แต่รัศมีของเพื่อนผมก็ไม่ใช่ว่าจะน้อยๆ เลย
“เอาชีสมั้ย มึงชอบนี่”อีกฝ่ายกระตือรือร้นในการเอาใจผมมากเกินไปจนผมเริ่มผิดสังเกต แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ
ความจริงก็สงสัยมาหลายวันแล้วแหละ
หรือบางทีบีทจะทำใจได้แล้วจริงๆ ?
ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง และถอยห่างออกมาได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่ต้องพะวงกับอะไรอีก
เรื่องที่จะหนีก็คงจะต้องพับเก็บไว้ก่อนเพราะมหา’ลัยก็จะเปิดแล้ว ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ทุกวันอยู่ดี เพราะวิชาเรียนที่เหมือนกันเกือบจะทุกตัวที่เป็นตัวผูกมัดผมไว้ไม่ให้ไปไหนได้
“หือออ ลูกชิ้นนี้อร่อยว่ะมึง กินดูดิ”ผมจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเกิดคำพึงพอใจของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ไม่ได้มาพร้อมกับตะเกียบที่คีบลูกชิ้นดังกล่าวมาลอยเด่นตรงหน้าของผม
“…ทำอะไร”
“ก็ป้อนไง กินหน่อยนะ อร่อยจริงๆ”อีกฝ่ายไม่ล้มเลิกความพยายามแม้จะเห็นสีหน้าไม่พอใจของผมมากแค่ไหนก็ตาม
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ผมคงระริกระรี้จนตัวสั่น ก้อนเนื้อในอกมันคงจะแทบทะลุออกมานอกอกเพื่อบอกว่ากำลังรู้สึกดีใจมากขนาดไหนแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ ในคราวที่เรื่องราวหลายๆ อย่างมันเข้ามา ผมก็รู้สึกว่าอะไรๆ มันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
“กินเองได้”เช่นการถอยห่างออกมาเหมือนตอนนั้น
“เถอะหน่า กูเมื่อยนะเนี่ย สงสารหน่อยสิ”แม้มันจะยาก
“…”แต่ผมก็จะพยายาม
“นะๆ”แม้ว่าบางทีผมก็แพ้หัวใจตัวเองอีกครั้งอย่างไม่น่าให้อภัย
“อืม”
“เป็นไงอร่อยไหม”อีกฝ่ายว่าอย่างนำเสนอ แววตาคู่คมกำลังมีประกายความอยากรู้อยู่ จนผมเกือบหลุดยิ้มออกมา ดีที่ห้ามมุมปากตัวเองได้อยู่
“ก็ดี”
…
“หูย โคตรอิ่มอ่ะ มึงอิ่มไหม"มือหนาลูบท้องป้อยๆ ประกอบคำพูด จู่ๆ ก็ได้กินฟรีไม่ต้องเสียสักบาทเพราะคนข้างๆ ผมเลี้ยง เเม้จะเกรงใจเเต่ในเมื่อทำผมเหนื่อยมาขนาดนี้ ก็จ่ายบ้างเล็กๆ น้อยๆ เถอะ
เเม้จะหลงลืมคิดไปว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้จะเหมือนเลื่อนสถานะไปเองโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว
“ถ้าไม่อิ่มสิเเปลก เล่นกินซะขนาดนั้น”ผมเอ่ยเเซะอย่างหมั่นไส้ กินอีกนิดร้านเขาก็เจ๊งเเล้วครับ
“ทำมาซงมาเเซะนะมึง เดี๋ยวเถอะ”มือหนาโยกหัวผมไปมา พร้อมส่งสายตาคาดโทษจนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พิกลเลยเเกล้งเสมองอย่างอื่นเเทน
“กลับกันเถอะ ดึกเเล้ว”ผมว่า ก่อนจะปัดมือหนาออกไปจากหัวโดยที่เจ้าของมือก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วิ มือหนาก็คว้ามือผมไปครอบครองเรียบร้อย
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งกลับไม่ได้หรอ ?”
“แต่มันค่ำมาก...”
“ยังไม่สามทุ่มเลยนะมึง..."มือหนายกมืออีกข้างดูนาฬิกาและเอ่ยขอร้องเสียงใสให้ผมปฏิเสธไม่ลง "ไปดูหนังกันก่อนนะ”
“...อืม”
“น่ารักที่สุดคาราเมล”
“อื้ออ เจ็บๆๆ”ผมหมุนหน้าหนีคนขี้เเกล้งที่ชอบหยิกเเก้มผมโดยไม่ขอ นวดหน้าตัวเองเบาๆ หวังจะคลายความเจ็บลงบ้าง พร้อมตวัดสายตามองคนไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวข้างกาย
ในเวลานี้ในโรงภาพยนตร์มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นเพื่อนร่วมดูหนังเรื่องเดียวกัน
แน่สิ ดึกขนาดนี้แล้วนี่นาใครจะมาดู
“กินก่อนไหม กว่าหนังจะฉายก็อีกนานเลยนะ”ป๊อปคอร์นกลิ่นหอมยั่วยวนตรงหน้า ในขณะที่คนถือป๊อปคอร์นนั้นกำลังเคี้ยวกรวบๆ อยู่ในปาก พร้อมสีหน้าบอกว่ากำลังอร่อยมากให้ผมส่ายหัวกับท่าทางเหล่านั้น ก่อนจะหยิบเข้าปากตามบ้าง
แปลกดี ที่รสชาติเดิมๆ ของป๊อปคอร์นที่ผมเคยชินกับมันกลับหอมหวานกว่าเดิมขึ้นไปอีก เพียงเพราะคนข้างๆ ที่คะยั้นคะยอผมให้กินมัน ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
จู่ๆ ความคิดที่จะตัดใจก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ย้ำเตือนให้ผมรู้สึกสำนึกกับสิ่งที่ผ่านมา เเต่อีกใจผมก็บอกผมเช่นกันว่าต่อให้จะทุกข์ผมก็สุขมากเเค่ไหนในช่วงเวลาเหล่านั้น
ถ้าลองทิ้งทุกอย่างให้หายไป ไม่ต้องคิดอะไร มีเพียงเเค่บีทกับเมลเหมือนตอนเเรกเริ่ม ผมจะรู้สึกอย่างไร
“อืม อร่อยเหมือนเดิม”
“แน่นอน กูรู้ใจมึงที่สุดเเล้วคาราเมล”เเววตาดีใจเหมือนหมาตัวโตมีคนเล่นด้วยถูกส่งมาหาผมอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะโยกหัวผมเบาๆ ให้ผมยิ้มออก
ไม่นานหลังจากนั้นมือหนาข้างนั้นก็กุมมือผมไว้ ทาบทับจนผมเเทบไม่เห็นมือตัวเองเพราะขนาดที่ต่างกัน อีกฝ่ายมองหน้าผมอย่างชั่งใจเเละเอ่ยถาม
“ได้ไหม”ถ้าลองทำในสิ่งที่อยากทำมันก็คงจะดีไม่น้อย ผมไม่ตอบแต่ถอนมือออกเชื่องช้า อีกฝ่านทำหน้าไม่สู้ดีทันทีก่อนจะกลับมายิ้มเเป้น เมื่อคราวที่ผมสอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน
“ไปดูหนังกันเถอะ
”
ความมืดมิดในโรง มีเพียงเเสงสว่างจากจอตรงหน้าเท่านั้น ในรอบนี้มีเพียงประปรายที่เข้ามาดู
หนังที่เราเลือกที่วันนี้เป็นหนังที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์สีเหลืองที่เอาชีวิตรอดด้วยการมาโลกมนุษย์และใช้รถคันเก่าเป็นที่หลบซ่อนตัว มีเรื่องราวมากมายจนสนิทกับเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือและพยายามปกป้องเขาตามกำลังจะทำได้
เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดพลิกเรื่อง เเต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี ผมเผลอเช็ดน้ำตาออกจากหน้าเบาๆ โดนล้ออีกตามเคยที่ผมมันอ่อนไหวง่ายขนาดนี้ เเต่ผิดคาด เมื่อมือหนาเอื้อมมาซับน้ำตาให้ผม ก่อนเเววตาจะอ่อนโยนจนผมอ่อนไหวอีกครั้ง
ก้อนเนื้อในอกเริ่มหนักหน่วงตามความรู้สึก ใบหน้าเเดงซ่านกับการกระทำเล็กน้อยนั่นโดยไม่ตั้งใจ
ใบหน้าคมคร้ามเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนรู้ตัวอีกทีก็เเนบจะชิดกันเสียเเล้ว เขามองผมราวกับอ้อนวอนอนุญาต ผมหลับตาลงเป็นการตอบรับ ไม่นานนักริมฝีปากอุ่นร้อนก็เเนบสนิทเสียเเล้ว
อีกฝ่ายเเค่เเช่มันค้างไว้ ไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพียงเเค่ต้องการซึมซับความรู้สึกระหว่างกัน เพื่อให้มันชัดเจนมากกว่าที่เป็นอยู่
ผมรับรู้ถึงลมหายใจของฝ่ายที่ตกกระทบอยู่ข้างเเก้ม ก่อนจะค่อยๆ หายออกเมื่อยามที่ร่างสูงถอยออกไปเหมือนเดิม เขายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่ผมทำแบบนี้
เสียงของหนังในเรื่องยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมเเทบไม่ได้มองมันอีก เพราะเอาเวลาไปสนกับความอุ่นร้อนของฝ่ามืออุ่นที่เกาะกุมผมอยู่เพียงเท่านั้น
ที่มันอุ่นซ่านเเผ่ขยายไปทั่วหัวใจด้วยความรวดเร็ว
เเม้ว่าหนังเรื่องนั้นจะจบลงไปเเล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อยมือออกเเต่อย่างใด
“บีท...เดี๋ยวมีคนเห็น”
“เเล้วยังไง หรือมึงไม่อยากให้ใครเห็น ?”เสียงทุ้มเข้มขึ้นอีกนิดจนต้องรีบอธิบาย
“ไม่ใช่ แต่ว่ามันไม่เหมาะสม ที่นี่มันที่สาธารณะนะ”ผมเอ่ยดุกลับบ้างเเต่อีกฝ่ายเพียงยักไหล่
“กูไม่ได้ทำอะไรเสียหายสักหน่อย หรือมึงอยากทำ?”
“บ้ารึไง ทะลึ่ง”
“โอ้ยยย เจ็บจังเลย ด่าโคตรเด็กน้อย”ผมมองอีกฝ่ายอย่างเข่นเขี้ยว ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยต่อ“กูไปส่งนะ”
“ดึกขนาดนี้เราก็ไม่กลับเองหรอก เปลือง”ผมว่าให้อีกฝ่ายสำนึกว่าคราวหน้าคราวหลังอย่าพาผมออกมาค่ำมืดเเบบนี้เพราะเดี๋ยวรถจะหมดเเล้วต้องเพิ่งเเท็กซี่ที่ผมไม่ค่อยอยากจะขึ้นเสียเท่าไหร่เพราะราคาที่มากกว่าค่าข้าวของตัวเองอีกหากนั่งคนเดียว
“ดีเเล้ว มึงจะได้ให้กูไปส่งไง”ดวงตาคมอ่อนเเสงลง พร้อมมืออีกข้างที่สัมผัสความนิ่มบนกลุ่มผมนุ่มเเผ่วเบา เเต่เเจ่มชัดในความรู้สึก
“ครับ พ่อคนรวย”
“ใช่ รวยมาก เปย์คนเเถวนี้ได้สบายพูดเลย”
“จะกินให้หมดตัวเลย”
“ครับ...ยอมให้กินทั้งชีวิต”
“อุ้ย ขอโทษที”เสียงดังด้านหลังเรียกความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะหันไปมองพร้อมกับหัวใจที่กระหน่ำด้วยความกลัวอีกครั้ง
“ซี...”ผมเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายเเผ่วเบา ให้ร่างบางเเสยะยิ้ม ก่อนที่สายตานั้นจะมองผมกับบีทสลับกัน
"ยังจำชื่อกันได้ด้วยหรอ คิดว่าจะลืมไปพร้อมๆ กับตอนที่เเย่งเเฟนคนอื่นไปซะเเล้ว ความจำดีเหมือนกันนี่เมล"เสียงหวานเอ่ยเยาะเย้ย ก่อนเเววตานั้นจะฉายเเววโกรธเคืองอย่างปิดไม่มิด
เป็นสายตาที่ผมมองเห็นมาโดยตลอด
สายตาที่มองทุกอย่างออกโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย เป็นสายตาที่ผมกลัวมาตลอดเช่นกัน
สายตาของความจริง ที่ผมปกปิดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้
"อย่ายุ่งกับเมล"บีทเอ่ยเสียงเข้ม กระชับมือผมไว้เเน่นให้ผมรู้สึกอุ่นใจ
“เเหม พอเลิกกันเเล้วหวานออกนอกหน้าเชียวนะบีท ได้ทำอะไรตามใจตัวเองเป็นไงบ้างล่ะ รู้สึกดีไหม”
“...”
“นายล่ะเมล ได้เขาไปแล้วรู้สึกยังไง สะใจรึเปล่าที่เเย่งเขามาสำเร็จเเล้วน่ะ หึ”
“เราไม่ได้เเย่งใครทั้งนั้น”
“หึ ก่อนจะพูดเอามือออกจาก...”
“เพราะบีทกับซีเลิกกันเเล้ว”ผมเอ่ยขัดพร้อมเผยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้ใช้นัก เเต่คราวนี้ก็คงต้องงัดออกมาใช้บ้างถ้าไม่อยากโดนรังเเกเพียงฝ่ายเดียว
ผมไม่ใช่คนยอมคน และไม่ใช่คนดี
“บีทบอกมันเเล้วหรอ”เธอหันไปต่อว่าคนข้างกายผมเเทน “ซีไม่เลิก เราไม่ได้เลิกกัน บีทเเค่เข้าใจผิด”
บีทดันตัวผมไปอยู่ด้านหลัง เผชิญหน้ากับร่างเล็กตรงหน้า ผมเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่ดูสถานการณ์ เพียงเพราะรู้สึกดีกับการกระทำดังกล่าว
เหมือนเขากำลังปกป้องผม
“เราว่าเราชัดเจนเเล้วนะซี เราไม่ได้เข้าใจผิด ตำตาขนาดนั้นยังจะเเก้ตัวอะไรอีก”
“แต่บีทก็ผิดเหมือนกัน เราก็หยวนๆ กันสิ”เธอพูดปากสั่นเมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มไม่พอใจจริงๆ
“หึ เราไม่ได้รัก จะคบต่อทำซากอะไรเสียเวลาเปล่า”
“เราไม่ยอม บีทจะทิ้งเราไปหามันไม่ได้นะ”เธอเเผดเสียงเรียกความสนใจจากคนโดยรอบได้เป็นอย่างดี เเม้จะเป็นเวลากลางคืนเเล้ว เเต่ผู้คนก็มีประปรายให้ได้เห็นเเละมีบางส่วนที่หันมองมาที่เราสามคนอยู่
“อย่าเรียกเมลว่ามัน เขาไม่ใช่คนที่เธอจะชี้หน้าเรียกว่ามันได้”บีทกดเสียงต่ำ บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกขึ้นมาทันควัน ผมลูบฝ่ามือหนาให้ใจเย็น เเละมันค่อนข้างได้ผลเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเเผ่วเบาดังเล็ดรอดออกมาจากลำคอ
“บะ...บีท ปกป้องมั...เมลหรอ”เธอเริ่มพูดไม่เป็นคำ เพราะคงรู้ดีว่าเวลาที่บีทโกรธมันน่ากลัวมากขนาดไหน
“ทำไมกูจะปกป้องคนของกูไม่ได้”สรรพนามที่เปลี่ยนไปยิ่งทำให้ใจคนฟังสติเเตกได้มากกว่าเดิม
“บีท!”
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่กู แล้วเลิกยุ่งกับกูอีก ต่างคนต่างอยู่ ไปเมล”อีกฝ่ายว่าพลางกระตุกมือผมให้เดินตาม ก่อนปากหนาจะก้มลงกระซิบข้างหูสาวเจ้าในประโยคที่ผมไม่ได้ยิน ก่อนอีกฝ่ายจะหน้าซีดปากสั่นมองบีทอย่างหวาดกลัว
เราเดินมาถึงที่จอดรถ ระหว่างบีทไม่พูดอะไรเลยสักคำ แถมเมื่อมาที่รถก็ยังเงียบจนผมใจไม่ดี
กลัวว่าอีกฝ่ายจะยังมีเยื่อใย
เพราะสายตากังวลที่ผมมองเห็นเมื่อครู่ยามสบตานั้นทำให้ใจดวงน้อยหวั่นวิตกไปได้
รู้เเหละว่ามันออกจะไร้สาระไปนิด เพราะท่าทางที่เเสดงออกชัดเจนเเบบนั้นมันบ่งบอกเเล้วว่าสถานะของเราจะค่อยๆ ขยับขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ เเม้จะยังไม่มีชื่อเรียก แต่ความรู้สึกดีของผมมันบอกว่าไม่ต้องการที่จะปล่อยมันให้หลุดมือ
ความพยายามที่กำลังจะสัมฤทธิ์ผล
...
TBC
ฝากติดตามด้วยค่ะ