เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน  (อ่าน 4242 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
  01 อินโทร



'บางทีความรักก็เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะฉนั้น จงรักเเละมั่นคงกับรักที่ให้อย่างถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้'



แดดอ่อนๆ พาดผ่านหน้าต่างเข้ามาสร้างความอบอุ่นภายในห้อง เเสงสีส้มอ่อนในยามเช้าตัดกับพื้นสีขาวอย่างลงตัว และตกกระทบใบหน้าเนียนจนอดที่จะหยีตาตื่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้



ปวดหัวจัง...



เขาบิดขี้เกียจเพียงนิดคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพงัวเงีย หากเเม้เพียงเขาขยับตัวชั่วครู่ ทั้งร่างก็จมหายไปกับอะไรบางอย่างที่ฉุดเขากลับไป



ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ปากใสหุบๆ อ้าๆ เป็นพักๆ หากไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรรู้สึกอย่างไรดี ผมควรจะดีใจที่คนๆ นี้เป็นคนที่ผมรู้จักเขาเป็นอย่างดี หรือจะเสียใจเพราะตอนนี้ผมกำลังหลบหน้าเขาอยู่กันเเน่



อะไรก็ไม่ทราบ ผมต้องการความจริงทุกอย่าง ซึ่งคนที่น่าจะตอบได้ดีที่สุดคงหลีกหนีไม่พ้นคนข้างกายผมนี่เเหละ



สองมือผลักหน้าอกเเข็งออกห่าง คิ้วหนาขมวดมุ่นเหมือนรำคาญการกระทำของผมเสียเต็มประดา หากเเต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะนั่นถือเป็นเรื่องเล็กมากๆ สำหรับผมในตอนนี้ที่มานอนกับ 'เขา' เเบบนี้ตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้



"ตื่น...ตื่นสิวะ ตื่นโว้ยยยยยย"เสียงโวยวายดังขึ้นใกล้หู สุดท้ายคนหลับก็ต้องยอมเเพ้ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก







"ทำไมมึงรีบตื่นจังวะ นอนต่อดิ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนนะมึง"ไม่พอยังลากตัวผมไปกอดหน้าตาเฉย โคตรเกลียดความตัวเล็กของตัวเองก็ตอนนี้เเหละ เพราะผมเเทบจะจมหายไปในอกของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ



"ตื่นมาคุยกับเราก่อน เราไม่ให้ 'บีท' นอนง่ายๆ หรอกนะ ถ้าเรายังไม่รู้เรื่องทั้งหมดน่ะ"ใช่ คนที่นอนอยู่ข้างๆ ไม่สิ เจ้าของอ้อมกอดต่างหาก เขาชื่อ 'บีท' หนุ่มฮอตของมหา'ลัยชื่อดัง เกือบจะได้เป็นเดือนเเต่เจ้าตัวไม่เอา ถึงอย่างนั้น ความโด่งดังก็ถือได้ว่าเทียบเคียงกับเดือนได้เลยทีเดียว หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ไหนจะยังเป็นที่ชื่นชอบของทั้งหญิงและชายอีกจนได้เป็นตัวท็อปของเพจดังหลายๆ เพจเลยทีเดียว



อาจจะเพราะความโหด ดิบเถื่อน ปากเเข็ง เเต่ใจดี และชอบช่วยเหลือคนอื่นไปทั่ว หรือความอ่อยไม่เลือกหน้าของเขาที่ทำให้ 'หลายคน' หลงสเน่ห์มันไปตามๆ กัน เเม้กระทั่ง...



ผมเอง



"..."



"ตื่น...ตื่นสิ"



"..."



"บีท...เราจะหมดความอดทนเเล้ว...อื้อออ"ก่อนจะโวยวายต่อ อีกฝ่ายที่รำคาญการกวนเวลานอน จู่ๆ ก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด คือการลืมตาตื่นกะทันหันเหมือนรออยู่ก่อนเเล้ว จากนั้นก็ก้มลงมาใช้สองมือประคองใบหน้าผมให้อยู่กับที่ ก่อนริมฝีปากนิ่มจะประกบลงมากับอวัยวะเดียวกัน





โลกทั้งใบหมุนติ้ว ความคิดทั้งหมดเหมือนถูกสตอปชั่วคราว เมื่อได้สติเพียงนิด อีกฝ่ายก็ค่อยๆ ขบเม้มริมฝีปากเอาไว้เหมือนรู้ทัน เรี่ยวเเรงที่โวยวายเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เขาหลับตารับรสจูบเเรกอย่างหอมหวาน



ผมไม่รู้สึกรับรู้อะไรทั้งนั้น ผมรู้เเต่เพียงริมฝีปากที่กำลังขยับไปซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จักพอ ปลายลิ้นไล้เลียกลีบปากอย่างอ้อนวอน ราวกับจะขออนุญาต ผมที่จะอ้าปากห้าม กลับเป็นคราวเดียวกันที่ทำให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ง่ายขึ้น



ผมร้องประท้วงในลำคอ มือของตัวเองกำเสื้ออีกฝ่ายเเน่นตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปล่อยออกแล้วทุบอกอีกฝ่ายเพื่อขออากาศหายใจ หวังว่าจะเห็นใจผมบ้าง เเละมันก็ได้ผลที่อีกคนยอมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง



เขามองผมอย่างเสียดาย เขาไล้เลียริมฝีปากด้วยท่วงท่าที่ทำให้ผมเม้มปากเเน่น ทำไมเขามองผมเเบบนั้น สายตาที่คนเป็น 'เพื่อน' อย่างผมนึกหวั่นไหว



ก่อนจะคิดอะไรมากผมก็โกยอากาศเข้าปอดทันที เนื่องจากจะหายใจไม่ออกอยู่เเล้ว อีกฝ่ายมองหน้าผมราวกับเอ็นดูก่อนจะยกยิ้มมุมปาก แล้วเลื่อนมือหนามาลูบหัวผมเป็นลูกเเมว





"หายใจเข้าลึกๆ อ่า...อย่างนั้นเเหละ"ผมทำตาม"โอเค หายใจออกนะ เก่งมาก"



แล้วผมก็บ้าจี้ทำตามอ่ะนะ



"นะ...นี่ บีทมาทำแบบนี้กับเราทำไม"เมื่อเริ่มหายใจปกติผมก็ถามเขาด้วยความไม่เข้าใจอย่างหนัก เราเป็นเพื่อนกัน เราเป็นเเค่นั้น แล้วทำไมจู่ๆ เรื่องราวมันเปลี่ยนไปได้เพียงชั่วข้ามคืนกันล่ะ



"คิดว่าไงล่ะ..."ช่วยเอามือที่ลูบหัวผมอยู่ออกไปก่อนได้ไหม อยากจะบอก เเต่สถานะคนเเอบรักทำได้เพียงยินยอมกับสัมผัสที่เขามอบให้อย่างหน้าไม่อาย ไม่อย่างนั้น ผมจะยอมให้อีกฝ่ายจะ...จูบได้ยังไงกันล่ะ



"...ไม่รู้"อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม เเววตาดุทอเเสงลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าชิดอก จนต้องแตะคางจากกรอบหน้ากลมๆ นั่นขึ้นมองผมอีกรอบ



"มองตากู"คำสั่งจากอีกฝ่ายไม่สามารถทำให้ผมทำตามได้ สุดท้ายก็ต้องเสมองทางอื่นอยู่ดี ไม่มีใครรู้หรอกว่าเเค่มองตาอีกฝ่าย ผมจะใจเต้นเเรงมากขนาดนี้น่ะ ราวกับมีกลองเต้นระทึกภายใน ในจังหวะที่สัมพันธ์กันกับความรู้สึกตอนนี้ แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น...



จะมีสักครั้งไหม ที่เราจะมีโอกาสใจตรงกันบ้าง เเม้เพียงครั้งเดียวก็ยังดี...



"คิดอะไรอยู่...หืม ?"เสียงของเขาเเผ่วเบา เเต่ก็ดังพอที่จะพาผมกลับในห้วงของความเป็นจริง ผมกระพริบตาปริบๆ จากสัมผัสที่ฝ่ามือหนาไกล่เกลี่ยที่ข้างเเก้ม ก่อนไล่ลงมาที่ริมฝีปากจากนั้นก็ไล้ไปตามกลีบปาก



ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลย หากเขาไม่จ้องผมแบบนั้น ด้วยเเววตา...กระหาย



ความคิดไร้สาระผุดขึ้นมาในหัว มันไม่มีทางที่จะเป็นจริง หรืออาจจะจริงในสักชาติ แต่คงไม่ใช่ชาตินี้หรอก



"ปะ...ปล่อย"เสียงของผมขาดห้วงเนื่องจากควบคุมตัวเองไม่ได้ หากเเต่พยายามออกมาเป็นคำได้สำเร็จ



"กูไม่เคยรู้เลยว่ามึงจะน่ากินขนาดนี้น่ะ...คาราเมล"เขายกยิ้ม กลีบปากที่ชอบตีหน้านิ่งตอนนี้ค่อยๆ หยีโค้งเป็นรูปสวยงาม พลันใจดวงน้อยเต้นเเรงจนเเทบจะหลุดออกจากอก ผมเห็นยิ้มนี้น้อยครั้งได้ ตั้งเเต่เป็นเพื่อนกันมา มันจะยิ้มเเบบนี้ยามมีความสุขมากๆ เท่านั้น



เดี๋ยวนะ...เป็นเพราะผมหรอ



ความคิดเข้าข้างตัวเองอย่างเห็นเเก่ตัว แต่ใจไม่รักดียังชอบความคิดนั้น ส่งผมให้ใบหน้าสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วใบหน้าจนหน้าร้อน ไม่ต้องให้อีกฝ่ายบอก ผมก็รู้ว่ามันต้องเเดงมากเเน่ๆ



ยิ่งคิดถึงเสียงที่เขาเอ่ยชื่อเต็มของผมที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบเเล้วยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูก จนทำได้เพียงเม้มปากเเน่น เเล้วหลับตาลงอย่างไร้ทางสู้



"..."



"ลืมตามองกู...เมล"



"..."



"เมล...อย่าดื้อ"ใครจะลืมตาตอนนี้ให้โง่ล่ะ มองตอนนี้ผมก็ตายพอดีน่ะสิ  เเดเมจจากอีกฝ่ายน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ผมไม่ยอมเสียเปรียบง่ายๆ หรอกนะ



"..."พอเสียงเงียบไป ผมเลยตัดสินใจลืมตาขึ้นมาดู ก่อนจะรู้ว่าเป็นความคิดที่ผิดมาก เมื่ออีกฝ่ายยิ้มเจ้าเล่าห์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และไม่รู้ว่าผมมองอีกฝ่ายเเบบไหน เขาถึงได้กล่าวหาผมเเบบนี้



"เเม่ง...มึงโคตรยั่ว"



"เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ"



"ไม่...ดูตามึงตอนนี้ดิ เเม่ง"อีกฝ่ายดูหัวเสียอย่างหนัก กล่าวโทษผมด้วยสิ่งที่ผมไม่ได้ทำเลยสักนิด ก่อนจะเลื่อนมือมารัดเอวผมให้เข้าใกล้เขาอีกนิด จากนั้นเพื่อนของผมก็หลับตาลงเหมือนรวบรวมสติ ก่อนเวลาจะผ่านไปชั่วครู่...



ผมจึงได้สำรวจอีกฝ่ายอย่างเต็มตา



บีทมีใบหน้าคม คิ้วเข้มพาดเฉียงเป็นเเนวยาว ดวงตาของมันดุทุกครั้งที่มองคนรอบข้าง จมูกโด่งเป็นสันจนบางทีผมก็เเอบคิดว่าพระเจ้ารักคนไม่เท่ากันก็ได้ ริมฝีปากอวบอิ่มที่ไม่หนาไม่บางจนเกินไปรับเข้ากับรูปหน้าเป็นอย่างดี



"เมล..."...ไหนจะเสียงทุ้มๆ น่าฟังนี่อีก



"อ้ะ"เพราะอาจจะเผลอมองนานเกินไป อีกฝ่ายเลยลืมตามาเจอผมอยู่ตรงหน้าพอดี



"กูถามอะไรมึงหน่อยดิ..."



"วะ...ว่าไง"ผมตอบรับเสียงเบา



"มึง...คิดอย่างไรกับกูกันเเน่วะ"ก่อนที่ชีวิตหลังจากนี้ของผมได้เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์



...



TBC

ฝากติดตามด้วยค่ะ


ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
02 ข้อตกลง



'หลายคนอาจมองว่าคุณธรรมดา แต่บางทีคุณอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของใครบางคนก็ได้'



หลายครั้ง หลายอย่าง มันก็เกิดขึ้นในตอนที่เราไม่ทันตั้งตัว จนมารู้อีกทีก็ตอนที่เราเริ่มเเน่ใจในความรู้สึกนั้นเเล้ว



ในเช้าวันหนึ่ง เป็นวันธรรมดา มีเเสงอาทิตย์อาบไล้พื้นผิวโลกจนเเทบไหม้อย่างเดิม มีผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตของตัวเองวนลูปแบบเดิม มีรถรามากมายที่เเล่นออกตัวไปบนท้องถนนเพื่อออกเดินทางตามจุดมุ่งหมาย แต่อาจช้าลงเพราะรถมากเกินไป



ผมนั่งดูความเป็นไปได้สักพัก รถคันหรูก็เเล่นเข้ามาในเขตมหา'ลัย ก่อนจะจอดลงในหน้าตัวคณะที่สาวเจ้าเรียนอยู่ อีกฝ่ายลงมาเปิดประตูให้ตามความเป็นสุภาพบุรุษ ก่อนจะร่ำลากันอีกนิดแล้วรถก็ออกตัวไปในคณะของตนเอง



เมื่อรถคันนั้นเเล่นออกไป ผมจึงทอดถอนหายใจก่อนจะจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มก่อนจะนั่งรถรางของมหา'ลัยไปลงที่หน้าคณะตัวเอง



ความจอเเจเริ่มเบาบางลงเมื่อใกล้เวลาเข้าเรียน ไม่นานนักผมก็เดินขึ้นมาถึงห้องเรียนเรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง สอดส่องสายตาไปหากลุ่มเพื่อน ก่อนจะเดินไปหาเมื่อเจอเป้าหมาย ทักทายเล็กน้อยก่อนจะเงียบเสียงไปเมื่ออาจารย์เริ่มทำการสอน



หากเเต่ไม่นานนักเพื่อนของผมก็ทนไม่ได้ ต้องเอ่ยปากถามผมอย่างคนสนใจเรื่องคนอื่น



"ทำไมเดี๋ยวนี้มึงมาช้าทุกวันเลยวะ"คำถามเเรก เริ่มต้นด้วย 'โอ้ต' หนุ่มหล่อนักกีฬาที่เฟรนลี่ ขี้เล่น แต่ก็ไม่เคยทิ้งการเรียน ด้วยหน้าตาหล่อคมเข้ม คารมดีเลยมีสาวมาติดอยู่มากทีเดียว



"เออ นั่นดิ ช่วงนี้หายตัวบ่อยจังนะมึง"ผู้ร่วมอุดมการณ์คนถัดไปคือ 'รุจน์' เพื่อนตาตี๋ของผมเอง ที่เวลายิ้มตามันจะเป็นสระอิ มันไม่ค่อยเข้าสังคม เพราะนิสัยที่ออกจะขรึมๆ มากเกินไป บวกกับความเถรตรงของมัน เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าคุยด้วยเท่าไหร่



"ช่วงนี้...เราไม่ค่อยว่างว่ะ"ผมว่าพลางเหล่มองจอมากกว่ามองตาพวกมัน เพราะความรู้สึกของผมมันปิดยากอยู่เเล้ว โดยเฉพาะกับ...



"มันจะยุ่งขนาดไม่รับโทรศัพท์กูเลยงั้นหรอวะ ?"นี่คือ'บีท'เพื่อนสนิทที่สุดของผมในตอนนี้ มันทั้งหน้าตาดี  อาจจะโหดไปนิด แต่ก็สามารถทำให้หนุ่มสาวในม.หลงใหลได้พอสมควร



"ตอนนั้น...เราหลับอยู่หรอก"ผมตอบอย่างไม่ทันคิด เพราะหากตอบช้า ผมคงถูกจับผิดง่ายกว่านี้ แต่ว่าคำตอบที่พูดออกไปนั้นก็ไม่ได้มีผลต่างกันเลยสักนิด



"หลับตอน 4 ทุ่มเนี่ยนะ ?"



"ก็...ก็เราเหนื่อยมาทั้งวันเลยนี่ ทั้งเรียนทั้งทำงาน ก็ต้องพักผ่อนกันบ้างดิ"



"แน่ใจ๊ ?"



"มึงก็อย่าไม่ซักมันมากดิวะ เเค่นี้มันก็สะอาดเเล้วเว้ย"รุจน์อาจมองเห็นความผิดปกติจากผมจึงช่วยพูดให้



"เออ เรียนได้เเล้ว เจ๊เเกมองหมายหัวพวกเราเเล้วเนี่ย"โอ้ตว่า ก่อนจะหันไปมองอาจารย์พร้อมกันก็เป็นอย่างที่บอก ผมเลยหันไปตั้งใจเรียนเเทน โดยพยายามไม่สนใจสายตาจากคนที่นั่งถัดผมไปสองที่นั่งอย่างถึงที่สุด



เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนจบคาบ ผมรีบเก็บของเตรียมจะกลับเเล้ว หากเเต่มือหนาก็คว้าแล้วลากออกมาก่อน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมเซคหลายคนที่มองมา



"เห้ยยยย"



เเน่ล่ะ ผู้ชายสองคนเดินจับมือกันเป็นเรื่องปกติเสียที่ไหน โดยเฉพาะเพื่อนที่ไม่น่าจะจับมือกันอยู่เเล้ว





"จะพาเราไปไหนเนี่ยบีท"



"..."



"ถ้ายังเงียบเราไม่ไปแล้วนะ"เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบ ผมเลยจัดการเเกะมืออีกฝ่ายออก แต่กลับไม่ได้ผล เเน่ล่ะ ผมตัวเล็กกว่ามันนี่ ทั้งขนาด ทั้งความสูง เทียบกันไม่ค่อยติดเลย



"ปล่อยได้เเล้ว...เราเจ็บนะ"อีกฝ่ายปล่อยจริงๆ เมื่อเห็นมุมสงบเเล้ว ผมมองรอบข้าง เห็นเพียงพุ่มไม้รกๆ รอบๆ และกำเเพง ไม่รู้ว่าเราอยู่ส่วนไหนของมหา'ลัย อีกฝ่ายเองก็คงจะไม่รู้เช่นเดียวกัน



"มีอะไร ?"



"มึงหลบหน้ากูทำไมเมล"อีกฝ่ายถามเสียงเครียด ด้วยความที่หน้ามันดุอยู่เเล้ว ยิ่งทวีความดุขึ้นอีกนิดจนผมอดจะตกใจมันไม่ได้



"ระ...เราไม่ได้หลบนะ"ผมว่า แต่สายตากลับมองรอบๆ มากกว่าหน้าอีกฝ่าย ได้ยินเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจ เมื่อได้ยินเสียงย่ำเท้า ก็เห็นอีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกนิด จนผมต้องถอยห่าง ระยะห่างยิ่งลดลงมันก็ยิ่งมีผลต่อหัวใจผมมากขึ้น ยิ่งถอยก็ยิ่งลดช่องว่างระหว่างกำเเพงลง จนในที่สุดแผ่นหลังของผมก็เเนบสนิทกับกำเเพงโดยสมบูรณ์



เฮือก



ผมสะดุ้งทันที ที่อีกฝ่ายเท้าเเขนทั้งสองไว้ข้างลำตัวและเหนือหัวของผมราวกับจะกักขังไม่ให้หนีไปไหนได้อีก



"กูให้โอกาสมึงตอบใหม่"



"เราไม่..."



"อ้อ เเล้วถ้ามึงโกหกกูล่ะก็ มึงเจอดีเเน่"ทะ...ทำไมต้องกระซิบประโยคสุดท้ายข้างหูด้วยเล่า ใกล้เเค่นี้พูดเบาผมยังได้ยินเลย



"เปล่า...เราไม่ได้หลบหน้าบีทจริงๆ จะถามแค่นี้ใช่มั้ย งั้นก็ปล่อยเราไปสิ เราจะกลับหอเเล้ว"ถึงจะต้องโกหก...เราก็ต้องยอม ขอโทษนะบีท



"...กูไม่เชื่อ ไม่งั้นทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์กู ไม่คุยกับกู ไม่มองหน้ากูล่ะเมล"



"ช่วงนี้เรายุ่งๆ จริงๆ บีทก็เห็นว่าเราทำงานหนักเเค่ไหน เราไม่..."



"ลาออกสิ"



"หืม? บีทว่าไงนะ"



"กูบอกให้มึงลาออกไง"



"จะบ้าหรอ จู่ๆ จะมาลาออกได้อย่างไร เขาจะหาคนมาทันได้อย่างไรกัน อีกอย่างเราก็ไม่ได้อยากออกด้วย"



"แต่กูจะให้มึงออก แล้วมึงต้องทำ"



"ทำไม ?"



"ก็กูไม่อยากเห็นเพื่อนสนิทกูทำงานงกๆ แบบนั้นอีก เเค่เรียนมันก็หนักมากพอเเล้วสำหรับมึง"สายตาจริงจังที่พาดผ่านนัยน์ตาคู่นั้นทำให้ผมได้เเต่ถอนหายใจเสียงเบาเพราะดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเอาจริง



"เเต่เราไม่ได้รวยเหมือนบีทนี่ เราต้องทำงานเรียน บีทเองก็น่าจะรู้นะ"



"เเค่มึงคนเดียวกูเลี้ยงได้หน่า"อีกฝ่ายยิ้มมุมปากเพียงครู่เดียว เเต่ก็ปั่นป่วนให้ในใจของผมอยู่ไม่สุขได้



"เลี้ยงในฐานะอะไรหรอ ?"



"ก็เพื่อ..."



"เราเป็นเเค่เพื่อนกันนะ จะมาดูเเลเราทำไม เราดูเเลตัวเองได้ ไม่ต้องรบกวนหรอก"ผมเอ่ยขัดก่อนอีกฝ่ายพูดจบ ผมน่าจะรู้คำตอบดีอยู่เเล้ว ไม่น่าถามให้เจ็บใจเล่นๆ เลย



"เเต่ว่า..."



"...บีท"



"..."



"..."



"...เห้อออ โอเค กูยอมมึงเเล้วเมล แต่กูมีข้อเเม้"



"ข้อเเม้อะไรอีก ?"



"มึงต้องรับโทรศัพท์กูทุกครั้งที่กูโทร.ถ้าไม่ว่าง มึงก็ต้องโทร.กลับหากูโดยเร็วที่สุดเท่านั้น"



"มะ..."



"อ้อ มึงต้องตอบไลน์กูด้วย เผื่อกูมีธุระด่วน"



"หยะ..."



"มึงห้ามปฏิเสธไม่อย่างนั้นกูจะคิดว่ามึงตั้งใจจะหลบหน้ากูจริงๆ แล้วเอาเรื่องงานมาอ้าง"พูดมาซะขนาดนี้เเล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ



"...ตกลง"



...

TBC


ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
​03 ความใจดีของคุณ



'คุณคงไม่รู้หรอก ว่าคุณมีอิทธิพลต่อผมขนาดไหน ผมยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบเพียงเพราะคุณเท่านั้น...เพราะคุณคนเดียว'



ยามสายของวันเสาร์ ผมเดินทางมาที่ทำงานตามเดิม วันนี้อาจจะได้เลิกเร็วหากผมเริ่มงานเร็ว จะได้มีเวลาไปซื้อของกับการสะสางรายงานปึกหนาที่เพิ่งจะได้รับมอบหมายเมื่อไม่นานมานี้ให้เรียบร้อย



หวืด



หลังเปิดบานประตูกระจก สิ่งที่เเรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นความหอมของกาแฟที่โอบล้อมภายในร้านจนทั่วทั้งบริเวณ ผู้คนยังคงบางตาอยู่ อาจเป็นเพราะตอนนี้เป็นเวลาที่หลายคนกำลังพักผ่อนอยู่ ผู้คนเลยค่อนข้างน้อย จะหนาตาขึ้นอีกนิดก็ตอนเกือบเที่ยงโน่นเเหละ เสียงทักทายจากบาริสต้าทำให้ผมหลุดออกจากกรอบความคิด แล้วยิ้มตอบรับอย่างไม่เป็นการเสียมารยาทมากนัก



"เมล วันนี้มาเร็วนะ"พี่ธี เอ่ยถามด้วยความอัธยาศัยดี



"ครับ เเต่สู้คุณบาริสต้ามือหนึ่งของร้านไม่ได้หรอกครับ"ผมเอ่ยทีเล่นทีจริง ก่อนในร้านจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์จากอีกฝ่าย เราคุยถามไถ่กันทั่วไป ก่อนความรู้สึกเบื้องลึกของผมจะทำให้ผมค่อยๆ ปลีกตัวออกมาจากสถานการณ์นั้นอย่างเอื่อยเฉื่อยเเละไม่ผิดสังเกต



นี่คงเป็นเพียงหนึ่งความสามารถพิเศษของผม นั่นคือการสังเกตความคิดของคนอื่นได้ค่อนข้างดี



เวลาล่วงเลยจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายคล้อย อีกไม่ถึงชั่วโมงผมจะได้ไปจัดการทั้งซื้อของและกลับหอได้เสียที ผมยิ้มบางกับความคิดเจ้าระเบียบของตัวเอง ก่อนจะได้ยินเสียงการมาถึงของลูกค้ารายใหม่ของร้านที่เหมาะสมกันมาก มากเสียจนเขาอยากจะแทรกเเผ่นดินหนีไปจากจุดนี้เสียตอนนี้เลย...



"ร้านลาเต้ยังยินดีต้อน..."คำพูดเหมือนถูกดูดหายไปจากผม เสียงที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว มีเพียงความรู้สึกชาหนึบไปทั่วสรรพางค์กายเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเรื่องตอนนี้เป็นเรื่องจริง



"อ้าว เมลทำงานที่นี่หรอ ซีเพิ่งรู้นะเนี่ย"ซี สาวเจ้าหน้าสวยดาวคณะทันตะ รูปร่างผอมบางน่าดึงดูดบวกกับความน่ารักที่เป็นเอกลักษณ์จากเจ้าตัว ทำให้เพื่อนสนิทของผมหลงใหลจนตกลงปลงใจคบกันยาวนานที่สุดทั้งที่มันคบมา



"อืม ซีจะเอาอะไรหรอ ?"ผมทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถที่หน้าเคาน์เตอร์ ทั้งที่มือที่จับปากกาตอนนี้สั่นหงัก เหงื่อเริ่มผุดตามกรอบหน้า ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ผมก็ไม่เคยชาชินเวลาที่สองคนเขาอยู่ด้วยกันสักที



ขอเวลาหน่อยนะ ผมคงจะยิ้มอย่างมีความสุขให้ทั้งสองได้อย่างจริงใจ และไม่ฝืดเฝื่อนเช่นนี้



"เราขอชานมไข่มุก 1 เเก้ว กับเค้กมัฟฟิน 1 นะ บีทเอาอะไรหรอ ?"เธอหันไปถามอีกฝ่ายเสียงหวาน มือเล็กเกาะกุมอยู่บนเเขนซ้ายอีกฝ่าย ช้อนตามองด้วยท่าทางน่ารัก จนคู่ของเธอต้องลูบหัวอย่างอดไม่ได้



คงเป็นภาพความน่ารักที่หากใครมองมาคงจะเห็นว่าเหมาะสมมาก หากเเต่ไม่ใช่สำหรับผม



"เราขอเป็นนมสดคาราเมลเเล้วกัน"ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะจดเมนูลงไปทั้งมือสั่นๆ เมื่อครู่ที่สบตากัน นัยน์ตาดุที่มองมามีเเววหยอกล้ออย่างเห็นได้ชัด เเม้ว่าบีทจะชอบเมนูนี้เดิมอยู่เเล้วก็ตามที



"เดี๋ยวเราไปเสิร์ฟนะ"ผมว่าก่อนจะลงมือทำชานมไข่มุกเเละช้อนเค้กชิ้นขนาดกลางลงบนจานสีขาวเนียนสวย ก่อนจะวางบนถาดและเดินไปเสิร์ฟ



ทุกย่างก้าวหนักอึ้งราวกับมีหินหนักๆ มาทับร่างให้เดินไม่ไหว ภาพที่ทั้งสองนั่งเล่นกันอย่างรักใคร่นั้น ทำให้หลายคนที่มองมาอิจฉาได้อย่างไม่ยาก



...ขอโทษด้วยนะที่ในนั้นมันมีผมรวมอยู่ด้วย



"เครื่องดื่มกับเค้กได้เเล้วครับ"ผมว่า ก่อนจะยกของเสิร์ฟให้ทั้งคู่ ก่อนจะชะงักชั่วครู่กับเเววตากลมโตที่ผมเผลอสบเพียงเสี้ยววินาที มันเหมือนมีคลื่นบางอย่างที่เธอเหมือนต้องการจะปกปิด เเต่เพียงกระพริบตาเดียว มันก็หายไปราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น



"ไม่เห็นต้องพูดเพราะเลย คนกันเองทั้งนั้น ใช่ไหมคะบีท ?"เธอหันไปซบไหล่อีกฝ่ายอีกรอบ ก่อนมือเล็กจะคล้องเเขนอีกฝ่ายเพื่อเเสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน



"อืม"ผมไม่ตอบกลับอะไร เพียงเเต่ยิ้มตอบรับเท่านั้น ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ เเต่เสียงทุ้มต่ำกลับเรียกเท้าผมให้หยุดชะงักไปเสียก่อน



"อย่าเพิ่งไป...มึงตอบไลน์กูด้วย"ผมไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ เสียงใสก็เอ่ยขึ้นมาเเทนผมเสียก่อน



"บีทก็ เห็นไหมว่าเพื่อนบีทน่ะยุ่งขนาดไหน จะให้เขาปลีกเวลาไหนมาตอบไลน์ล่ะคะ ใช่มั้ยเมล ?"



"อ่ะ...อืม"



"เมลไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวโดนดุหรอก เราเป็นห่วง"



"ขอบใจมากนะซี"ผมเอ่ยก่อนจะเดินออกมา ไม่ใช่เเค่เดินออกมาจากตรงนั้นในความเป็นจริง แต่รวมไปถึงการเดินออกมาจากความรู้สึกที่ควรจะหลีกออกมาได้ตั้งนานเเล้ว...




ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
​04 ความ(ไม่)ลับ



'สำหรับผม...คุณกับผมเป็นเหมือนเส้นขนาน ที่โคจรมาเจอกัน เเต่ไม่มีสักเสี้ยวที่จะได้ลงเอยกัน'



เช้าวันใหม่ของผมยังคงหม่นหมองดังเดิม ผมลุกจากเตียงด้วยความเคยชิน ก่อนจะจัดร่างตัวเองให้พร้อมกับการไปเรียน



เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเริ่มต้นการควิซตั้งเเต่ต้นคาบโดยไม่บอกไม่กล่าวของอาจารย์ผู้สอน



ยังดีที่ผมทบทวนบทเรียนอยู่เสมอ เลยทำให้วันนี้ผ่านไปโดยที่ยังไม่ได้ย่ำเเย่มากนัก เมื่อสอบเสร็จอาจารย์ก็ไม่ได้เห็นใจนักศึกษาตาดำๆ อย่างพวกผมเท่าไหร่ เพราะรัวคำพูดตามจอใหญ่เพื่อสอนบทต่อไปทันที



"เราจะมาเริ่มกันในเรื่อง..."



ความเจ็บปวดมาเยือนอีกครั้งยามจบคาบเช้า กว่าผมจะตั้งสติได้ ก็รู้สึกชาหนึบไปทั่วร่างเสียเเล้ว สาวสวยที่มายืนรอคนรักอยู่หน้าห้อง กำลังโบกมือส่งยิ้มหวานให้เพื่อนในเซคคนอื่นๆ ช้ำใจเล่น เพราะความน่ารักเเละความน่าเอ็นดูของสาวเจ้าที่เล่นเอาเพื่อนผมสยบเอาได้ง่ายๆ



"หวัดดีเมล"เธอโบกมือทักทายผมตามมารยาท เเววตากลมโตจ้องมองผมอย่างทุกที หากเเต่คราวนี้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนมากเกินกว่าจะยกยิ้มให้เธอได้ตามเดิม



ใครจะรู้...ว่าภายใต้หน้ากากคำว่าเพื่อนที่ผมสร้างมันไว้ ภายในมันซุกซ่อนความรู้สึกมากมายที่เธอไม่มีวันรู้อยู่



"หวัดดีซี"



"เมลจะไปไหนต่อหรือเปล่า เรากับบีทกำลังจะไปดูหนังกันอ่ะ ไปด้วยกันไหม ?"ใครจะอยากไปดูหนังกับคนที่ไปเป็นคู่บ้างล่ะ หลายคนคงไม่มีทางตอบตกลงอย่างเเน่นอน หากมันจะเเลกช่วงเวลาเหล่านี้เพียงเพื่อได้ใกล้อีกฝ่าย หากเเต่มันไม่ได้มีเเค่เราสองคนที่อยู่ด้วยกัน มันเเลกเวลานั้นไปด้วยการดื่มด่ำกับความเจ็บปวดที่ต้องมองเขาดูเเลใครคนอื่นที่เขารักสุดใจ



มันคุ้มกันจริงๆ เหรอ ?



ต่อให้ถามเเบบนั้น แต่คำตอบของผมก็คงไม่พ้น...



"หนังเรื่องอะไรอ่ะ ?"เเม้จะรู้ว่าเธอชวนตามมารยาทเท่านั้น...



"เรื่อง..."แต่ผมก็ยังคงคำตอบเดิมในใจ



"เราอยากดูอยู่พอดี ขอไปด้วยคนนะ"...ที่จะทำให้ผมเจ็บปวดจนชาชินต่อไป หรือเท่าเดิม แต่มันคงไม่เจ็บไปกว่านี้อีกเเล้ว





ผู้คนยามนี้ยังไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่นัก เนื่องจากเวลานี้เหมาะกับการนอนพักผ่อนมากกว่าการมาดูหนังที่ห้างอย่างเรา



ระหว่างทางก็เป็นไปตามคาด ผมที่นั่งด้านหลังเเต่เป็นตรงกลางเบาะ ต้องนั่งกลืนก้อนหนืดๆ ลงคอ ต้องยอมหลับตาพร้อมฟังเพลงกับหูฟังคู่ใจ หากเเต่บทสนทนาของทั้งคู่ไม่ได้หายไปเลยจากโสตประสาทของผมเลยเเม้เเต่ประโยคเดียว อย่างเช่น...



"บีทกินอันนี้ไหม เราว่าบีทน่าจะชอบ"



"อืม เอาดิ"การตามใจแฟนของเขา



"ปรับเบาะหน่อยมั้ย หลับก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราปลุก"



"อื้อ ขอบใจมากนะ"การเอาใจใส่เเฟนของเขา แม้กระทั่ง...



"อืม"เสียงครางเครือที่ดังเเผ่วเบาจากลำคอ เสียงหวานที่หลุดรอดออกมาเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร



...การเเสดงออกถึงความรัก ที่ผมไม่มีสิทธิได้รับ



ทั้งที่บอกว่าหลับตา ทั้งที่บอกว่าฟังเพลง แต่มือที่กำเเน่นขึ้นอีกนิดบนกระเป๋าตัวเองนี้ ก็เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีเลยว่า...



ทุกอย่างไม่มีอยู่จริง



"...เมล เมล"เสียงหวานเอ่ยเรียกผมให้กลับสู่ปัจจุบัน เธอยังคงยิ้มหวานเหมือนเดิม เสียงใสๆ ยังเอ่ยเหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ผมกลับรู้สึกถึงกระเเสบางอย่างที่ค่อยๆ ผิดเเผกไปจากเดิม



เพียงเสี้ยวเดียว...ที่ผมสัมผัสได้



"ว่าไงซี"ผมเอ่ยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม



"เราเเค่จะถามว่าเอาป๊อปคอร์นรสอะไร"



"เราเอา...หวานก็ได้"ผมตอบก่อนจะยิ้มฝืดเฝื่อนกับบทสนทนาถัดไปของคู่รัก



"เห็นไหม เราบอกเเล้วว่ามันกินรสหวานอ่ะ"



"จ้าๆ ก็เรากลัวบีทเดาใจเพื่อนผิดอ่ะดิ ถ้าซื้อมาเเล้วเมลไม่ชอบก็เสียดายของสิ"เเววตาของอีกฝ่ายส่อเเววเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด ก่อนมือหนาจะลูบหัวทุยๆ นั่นเบาๆ



"ครับๆ ผมเเพ้เเล้วครับ"ก่อนบทสนทนาจะจบลง พร้อมกับรอยยิ้มสมเพชตัวเองของผม



ที่รู้ว่า...ให้ตายยังไง ผมก็ไม่มีวันเเทนที่เธอได้



หนังในโรงเป็นเรื่องของอะไรผมก็ไม่ทราบได้ ทั้งที่บอกเธอตั้งเเต่เเรกว่าอยากดู แต่เอาเข้าจริงๆ ผมไม่เเม้เเต่จะรู้จักชื่อเรื่องเลยด้วยซ้ำ ผมแค่อยากมาเพื่อทำให้ตัวเองเจ็บกว่าเดิม จะได้เตือนตัวเองได้สักที ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร



และจะได้เลิกรักคนที่ไม่มีวันรักเราได้สักที



แต่ในความเป็นจริงน่ะหรอ ?



"กูขอกินของมึงบ้างดิ น่าอร่อยว่ะ"ไม่ทันรอคำตอบรับ มือหนาก็คว้าขนมในถุงไปเข้าปากเรียบร้อย ความรวดเร็วฉับไวของอีกฝ่ายทำเอาผมตั้งตัวไม่ทัน  หากเพียงเสี้ยววินาทีที่อีกฝ่ายหยิบนั้น มือผมกำลังจะดึงออกจากปากถุงพอดี ทำให้ความร้อนจากตัวอีกฝ่ายเเผ่ซ่านโดนผม เพียงนิด แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกวาบไปทั้งอกได้



ความสุขของผมมันคงมีเเค่นี้จริงๆ



ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะนะ



"อื้อ หนาวอ่ะ"ร่างเล็กซุกซบไหล่หนาเป็นที่พึ่ง ก่อนร่างสูงจะหันเหความสนใจไปอีกฝั่งทันที เสียงอ้อนๆ ที่เอ่ยพูด ทำให้อีกฝ่ายอดใจไม่ไหวหอมหัวทุยๆ นั่นไปทีนึง ทุกอย่างอยู่เเค่เพียงหางตาของผม ห่างเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เเต่เหมือนว่าผมถูกตัดออกจากวงโคจรโดยสมบูรณ์



หนังจบลงทั้งๆ ที่ผมได้ดูเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น เมื่อออกจากโรง เสียงหวานก็เอ่ยเสียงเจื้อยเเจ้วอย่างน่ารัก พูดเกี่ยวกับหนังเมื่อครู่อย่างออกรส โดยมีเพื่อนของผมเป็นผู้ฟังที่ดี และตอบรับไปบ้างคราวที่มีคำถาม





"เมลล่ะ...ชอบหนังเรื่องนี้มั้ย"คราวนี้เธอหันเหคำถามมาที่ผมบ้าง



"อ่ะ...เอ่อ ก็ชอบเเหละ"



"อ้าว ไหนว่าอยากมาดูไง ไม่สนุกหรอ"ความจริงตอนนี้ผมรู้จักเเค่ชื่อหนังอยู่เลยไง จะรู้ได้ไงว่าสนุกไหมอ่ะ



"ก็สนุกนะ เเต่ไม่เท่าไหร่อ่ะ"



"หรอๆ อืม บีท...เราหิวเเล้วอ่ะ ไปกินอะไรกันดี"เธอถามความเห็นคนรักของเธออีกครั้ง



"เรากินอะไรก็ได้อ่ะตามใจ"เวลานี้เเหละที่ผมจะหาทางออกจากสถานการณ์บ้าๆ นี้ได้สักที



"เราขอกลับก่อนได้ไหม คือ...คือเรายังทำงานไม่เสร็จเลยอ่ะ"



"ได้สิ"



"เดี๋ยวดิ เมื่อเช้ามึงยังไม่กินข้าวเลยไม่ใช่หรอ ไปกินก่อนดิเเล้วค่อยไปทำ"



"แต่ว่า..."



"เอางั้นก็ได้นะ กองทัพต้องเดินด้วยท้องไงเมล"



"กะ...ก็ได้"แล้วแผนของผมมันก็ล่มลงอย่างไม่เป็นท่า



"งั้นเรากินอาหารญี่ปุ่นกันนะ บีทชอบนี่"



"อืม โอเค"



'คุณคงไม่รู้หรอก ว่าผมไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น ผมไม่ชอบดูหนัง ผมไม่ชอบการซื้อของนานๆ แต่รู้อะไรมั้ย แม้ผมจะไม่ชอบ ผมก็ทำมันได้ เพียงเพราะคุณชอบมัน'



ผมก้าวเดินเคียงร่างโปร่งด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย



อยากจะถอนหายใจเสียงดัง เเต่ในความเป็นจริงกลับทำแบบนั้นไม่ได้ เสียงพูดคุยระหว่างกันทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงส่วนเกินของการมาครั้งนี้เหลือเกิน อยากจะเเยกตัวออกไปแต่ก็ทำไม่สำเร็จ



หรือผมมีความพยายามไม่มากพอกันเเน่



"รับอะไรดีคะ ?"ร่างบางในชุดประจำร้านเอ่ยถามอย่างสุภาพ



"ผมเอา..."ผมที่ทำท่าจะสั่งก็ต้องชะงัก เพราะเสียงทุ้มที่เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน



"เอาเซตนี้ เซตนี้ แล้วก็เพิ่มเเซลมอนโรลด้วยครับ"อีกฝ่ายว่าพลางปิดเมนูลง เราสบตากันเพียงเล็กน้อย หากเเต่เเววตาที่ส่อว่ารู้ดีไปหมดทำให้ผมนึกหมั่นไส้เหลือเกิน จนเผลอหลุดยิ้มออกมา



"บีทเปลี่ยนเมนูเเล้วหรอ ทุกทีเห็นไม่กินเเซลมอนโรลนี่"เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัย



"พอดีเมลมันชอบกินน่ะ เลยสั่งเพิ่ม"ว่าพลางพยักเพยิดมาทางผม



"เหรอ...เมลชอบหรอ ?"



"เอ่อ ก็ชอบนะ"



"อืม งั้นกินให้อร่อยนะ"ถ้าผมยังมีความสามารถเดิม ผมก็คงรู้สึกไม่ผิด



ที่เห็นว่าเธอกำลังมองผมด้วยสายตาเเบบไหน



หลังจากการกินอาหารเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ผมก็ขอเเยกตัวออกมา เพื่อต้องการพักใจเพียงชั่วคราว ให้พรุ่งนี้ ผมได้ไปพบเจอกับเรื่องราวเเบบเดิมอย่างวันนี้อีกครั้ง



เดินออกจากห้างอีกทีก็ตอนเย็นเเล้ว ผมทุ่มเวลากับการเลือกหนังสือไปค่อนข้างยาวนานจนไม่ดูเวลา บวกกับความเหม่อลอยที่ทำให้ทุกอย่างยาวนานกว่าทุกครั้ง



ทุกทีผมรู้สึกทนได้เสมอ เเม้จะไม่อยากทนก็ตาม หากเเต่คราวนี้ผมรู้สึกได้ว่า ระยะเวลาที่ยาวนานเหล่านั้นมันควรจะสิ้นสุดลงได้เสียที การตัดสินใจนี้ ผมเชื่อว่ามันดีที่สุดเเล้ว



ไม่ต้องเสียใครไปสักคน



เเม้ผมจะต้องเจ็บเพียงคนเดียวก็ตาม



สองเท้าก้าวเดินเข้ามาที่ผับเเห่งหนึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมถอนเงินมามากพอกับการทำใจอันเเสนยาวนานในค่ำคืนนี้ ผมตัดสินใจเเล้วว่าตั้งเเต่พรุ่งนี้ มันจะไม่เหมือนเดิม ผมจะต้องกลับไปเป็นเพื่อนสนิทคนเดิมที่รู้สึกยินดีกับการเห็นเขามีความสุข



อย่างน้อยก็คงมากกว่านี้



​กลิ่นหึ่งของเเก้วน้ำสีอำพัน ทำให้ผมค่อนข้างรับไม่ได้  เพราะคิดว่ามันต้องเเรงมากเเน่ๆ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เเล้ว ผมก็ได้เเต่ยกขึ้นกระดกจนหมดเเก้วภายในเวลาอันรวดเร็ว



แก้วเเล้ว...แก้วเล่า ที่ผมวางมันลงบนเคาน์เตอร์อย่างใจเย็น ถ้อยคำที่อัดอั้นค่อยๆ พรั่งพรูออกมา ผู้ฟังที่ดีของผมคือบริกรหนุ่มที่ยืนทำหน้าที่นั้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง



ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเมามายจนทรงตัวไม่ไหว แค่จะยืนยังยากเลย จะกลับบ้านยังไงดีเนี่ย ผมคิดในใจพลางเหม่อลอยไปเรื่อยเปื่อย



ยิ่งเมา ทุกอย่างยิ่งทวีคูณ ผมยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัวจนน่าใจหาย เมื่อทุกอย่างตั้งเเต่อดีตที่ผมไม่คิดว่าจะจำได้ หลั่งไหลขึ้นมาให้เห็นเป็นภาพฉายลอยวนอยู่ในสมอง ความใจดีของอีกฝ่ายที่ทำให้ผมเผลอรู้สึกมากเกินกว่าที่จะเป็น ความเอาใจใส่และดูเเลคนใกล้ตัวอยู่เสมอเป็นอีกสเน่ห์ที่ผมชื่นชอบเหลือเกิน



เสียงเพลงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ยิ่งดึก เพลงก็ยิ่งเศร้า ยิ่งบาดลึกเข้าไปสุดขั้วหัวใจ ผมฟุบหน้าร้องเพลงบนท่อนเเขนของตัวเองเสียงเบา ทุกอย่างหายไปเรื่อยๆ จนเลือนรางไปในที่สุด



"ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้วะ"



"กูก็ไม่รู้ แต่เด็กกูมันบอกกูว่ามันมาตั้งเเต่ผับเพิ่งเปิดเเล้วก็เล่นของเเรงเลย ทะเลาะอะไรกันวะ"



"ไม่ได้ทะเลาะเลย"



"อ้าว งั้นเเม่งมีปัญหาไรวะ"



"เดี๋ยวผมคุยเอง..."เสียงไรว้าาาาา งื้มมม อย่ามากวนน้าาา ออกปายยยย งื่ออออออ



...



"ทำไมมึงเมาขนาดนี้เนี่ยเมล"เสียงดุอยู่ข้างหู ผมคงเพ้อเกินจนเห็นมันยืนอยู่ข้างๆ เตียง คอยส่งสายตาดุๆ ของตนมาให้



"อย่ามายุ่ง อึ้ก คนใจร้าย"



"กูไปใจร้ายกับมึงตอนไหนวะ"



"อึ้ก ฮึกๆ "จู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนอ่อนเเออย่างห้ามไม่ได้ คงต้องโทษพิษจากเเอลกอฮอล์ที่ทำให้ผมเป็นเเบบนี้ ผมพลิกตัวหนีอีกฝ่ายต่อไป ถึงนี่จะเป็นความฝัน แต่เเล้วทำไมผมรู้สึกเหมือนเจ็บในอกจริงๆ วะ



"เมล...เมลเป็นอะไรครับ บอกบีทสิครับ"เสียงทุ้มยังดังอยู่ใกล้ๆ หู อาจเพราะความเมาที่ทำให้ผมไร้ซึ่งสติอย่างที่ควรจะเป็น บวกกับความอัดอั้นจากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาที่ผมรู้สึกเเบบนี้ ความลับที่เฝ้าเก็บเนิ่นนานอย่างทรมานนั้นก็ถูกเปิดเผยจากตัวเจ้าของเองอย่างไม่น่าให้อภัย



"เรา...ชอบบีท ฮือออ"ความในใจที่พรั่งพรูจากคนเมา ทำคนถามเมื่อครู่นิ่งอึ้ง เเต่แล้วสติอีกฝ่ายก็ถูกดับไปโดยปริยายพร้อมน้ำตาที่ยังไหลเจือจางบนใบหน้าหวาน เเม้จะช็อคเเค่ไหน หากเเต่มือหนาก็เกลี่ยหยาดน้ำใสนั้นออกจากหน้าอีกฝ่ายให้อยู่ดี

...

TBC

ฝากติดตามเเละคอมเมนท์ติชมได้นะคะ

เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
​05 ตัดให้ได้

'ผมไม่รู้เลยว่าผมจะรู้สึกกับคุณได้มากขนาดนี้ ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เเหละ ว่ามันยังสามารถเพิ่มได้อีกตอนที่เราได้อยู่ด้วยกัน​'

*ปุกาศ ! เนื้อหาในตอนนี้ บางส่วนต่อเนื่องจากตอนที่1นะคะ เพื่ออรรถรสสามารถอ่านตอน1ซ้ำก่อนและอ่านตอนนี้นะจ้ะ*





อากาศที่เย็นเฉียบจากยามดึก เเปรเปลี่ยนเป็นอุ่นร้อนจากความร้อนของเเสงอาทิตย์ ความแฮงค์จากเมื่อคืนทำให้ผมไม่อยากจะฝืนลืมตาขึ้นไปปิดผ้าม่านเลยเเม้เเต่น้อย เเม้จะรำคาญเเสงที่มาเเยงตาก็ตามที



ผมขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รู้สึกอบอุ่นเเปลกๆ แต่ก็เลือกจะไม่สนใจ ว่าเเต่...เมื่อคืนผมกลับห้องมาได้ยังไงกันนะ จำไม่ได้เลยแฮะ



คิดไปก็ปวดหัว ผมเลยลุกขึ้นนั่งอย่างทุกที เเต่อาจเพราะลุกเร็วเกินไป ก็เลยนั่งมึนอยู่บนเตียงเเบบนั้น



หืม ?



จู่ๆ มือปริศนาก็ฉุดตัวผมกลับเข้าไปในอ้อมเเขน ความอบอุ่นบวกกับกลิ่นกายที่เเสนคุ้นเคย เพราะเราเจอกันมาเกือบทุกวันนั้น ทำให้ผมไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลย



หากเเต่ความอยากรู้มันมีมากกว่าเลยลืมตาขึ้นมาข้างนึง จนอีกตาก็เบิกตาตามมาติดๆ ผมอ้าปากพะงาบๆ ราวปลาขาดน้ำ ก่อนจะพยายามคิดประมวลผลทุกอย่าง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่



ทำไมคนที่ผมอยากจะหนีมากที่สุดถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้



ปวดหัวโว้ยยยยย



จู่ๆ อ้อมกอดนั้นก็รัดรึงจนผมขยับเขยื้อนตัวเองไม่ได้ สองมือผลักอกหนาออกห่าง ก่อนจะตะโกนเสียงดังจนอีกฝ่ายยอมตื่นในที่สุด



สิ่งที่เหนือความคาดหมายมากที่สุด คือการที่อีกฝ่ายบดเบียดริมฝีปากลงมา ขบเม้มเป็นจังหวะจนผมอ่อนปวกเปียกจนเกือบหมดลมหายใจ



ดวงตาปรือปรอยจ้องมองอีกฝ่ายไม่ห่าง ด้วยความสงสัยจึงส่งสายตาถามไป แต่เพื่อนสนิทของผมกลับไม่ตอบเเถมยังส่งคำถามที่ยากจะตอบมาให้อีก





"มึง...คิดอย่างไรกับกูกันเเน่วะ"คำถามธรรมดา หากผมคิดกับมันเพียงเเค่เพื่อน แต่ผมไม่ได้มีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ ผมเลยไม่อยากโกหกหัวใจตัวเองอีก เเต่จะให้บอกไป มันก็เกินกว่าคนอย่างผมจะรับไหว...กับผลที่มันจะตามมา



"เรา..."รักบีท รักมากๆ รักมานานเเล้วด้วย"ก็เป็นเพื่อนกันไง"แต่ยังไงผมก็ไม่กล้าจะพูดคำๆ นั้นออกไปอยู่ดี



"เมื่อไหร่ ?"



"อะไรเมื่อไหร่"



"ก็ที่มึงโกหกกูเเบบนี้อ่ะ ตั้งเเต่เมื่อไหร่เเล้วเมล"เสียงทุ้มเอ่ยเข้มขึ้นอีกนิด สายตาที่จ้องมองมามีเเต่ความสับสน ความเสียใจและอะไรหลายๆ อย่างผสมกันอยู่จนผมเเน่นในอกไปหมด



"..."



​"บีท...พูดเรื่องอะไรอ่ะ เราไม่เห็นจะเข้าใจเลย"ผมว่า ก่อนจะหัวเราะฝืดๆ ส่งไปให้ สิ่งที่มันพูด เหมือนกับมันรู้อะไรมา และสัญชาตญาณของผมมันก็บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีเเน่ๆ...



"มึงเลิกโกหกกูสักทีดิวะ จะได้รู้เรื่องที่กูพูด ที่ผ่านมากูเเม่งโง่ขนาดไหนวะ ที่ไม่เคยมองมึงออกเลย !"



"..."มือหนาลูบซีกเเก้มของผมเเผ่วเบา เเววตาส่อเเววรู้สึกผิดจับใจ เป็นเเววตาที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดจากมัน เพราะว่ามันคงรู้เเล้วถึงเรื่องที่ผมเก็บซ่อนมาตลอด



"ทั้งที่มึงเป็นเพื่อนที่กูสนิทด้วยที่สุด เเต่กูไม่เคยรู้อะไรเลย เมล...กูขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ"



"...ฮึก"ไม่รู้ว่าตั้งเเต่เมื่อไหร่ ที่ดวงตาของผมปลดปล่อยน้ำใสให้ไหลลงมาจนเปียกปอนไปทั่วหน้า ผมไม่เเม้เเต่สนใจจะเช็ดมันออกเลยเเม้เเต่น้อย หัวสมองครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าหลังจากนี้มันจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไง สมองพร่ำคิดเเค่เรื่องหลังจากนี้เท่านั้น



...มันก็คงจะจบเเล้ว มันคงจบเเล้วจริงๆ



"ชู่ววว...อย่าร้องสิ มึงไม่เหมาะกับน้ำตาเลย"



"เราขอโทษ เรา...เราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นเเบบนี้ เเต่เราทำไม่ได้ อย่าห้ามความรู้สึกเราเลยนะบีท เราคงทำให้ไม่ได้จริงๆ"ผมคิดว่าหลังจากที่ประโยคนี้จบลงอีกฝ่ายคงจะวีนเหวี่ยงใส่ผมเต็มที่ตามนิสัยเถื่อนๆ ของมัน หากเเต่คราวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น อีกฝ่ายเพียงยิ้มใจดี สายตาที่มองมาเป็นอะไรที่ผมคาดเดาไม่ได้ ไม่เเม้เเต่จะคิดเสียด้วยซ้ำไป



"กูก็ไม่ได้จะห้ามมึงสักหน่อยนี่ คิดอะไรเพ้อเจ้อจังคาราเมล"แล้วมือหนาก็เกลี่ยผมหน้าม้าผมเล่นราวกับสนุกมือเสียนักหนา



ในอกพองฟูอย่างบอกไม่ถูก ที่เรื่องที่ผมคิดมันไม่จริง อีกฝ่ายไม่ได้เเสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์ผมเเต่อย่างใด ซ้ำยังคงความใจดีไว้อย่างเดิมอีก



"ขอบคุณมากนะบีท เรา...ขอบคุณจริงๆ"



"เลิกร้องไห้ได้เเล้ว หน้าเลอะหมดเเล้วเนี่ย"เเต่คนที่ว่าก็ยังเช็ดให้ไม่ใช่รึไง



"แต่กูขอโทษมึงนะ ที่กู...คงตอบรับความรู้สึกของมึงไม่ได้อ่ะ"รอยยิ้มเมื่อครู่ค่อยๆ บางลงตามความรู้สึกที่ค่อยๆ มีมาเเทนที่ความดีใจเมื่อครู่



เเน่นอนว่าต่อให้อีกฝ่ายจะยอมรับสิ่งนี้ได้ เเต่เขาก็ไม่มีทางจะเลิกกับเเฟนที่รักมาก มาคบกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออย่างผมหรอก



"อื้อ เราเข้าใจ เเค่ไม่เกลียดเรา เราก็โอเคมากเเล้ว"ผมยิ้มเหมือนทุกที เหมือนทุกครั้งที่ยิ้มให้บีท เเม้ความรู้สึกจะไม่เหมือนเดิม ผมก็ยังคงยิ้มให้อีกฝ่ายได้อย่างนี้ ผมโคตรเก่งเลยว่ะ ไม่งั้นผมจะเก็บความรู้สึกมาได้ถึงขนาดนี้หรอวะ



"ขอบคุณนะเมล"



"เราสิต้องขอบคุณ ตอนเเรกนึกว่าบีทจะตัดเพื่อนไปเลยซะอีก เป็นเเบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย"



"กูจะไปตัดเพื่อนกับมึงเพราะเรื่องนี้ได้ยังไงกัน"



"อือ เข้าใจเเล้ว ขอบคุณที่เข้าใจเรานะ"



"อือ อย่าคิดมากเลยนะ"มือหนาลูบหัวก่อนเดินหายไปในห้องน้ำ



ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นจากฝ่ามือเมื่อครู่ เเม้จะบางเบาแต่กลับตราตรึงในใจผมได้เหลือเกิน



เเค่นี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแอบรักที่โชคดีที่สุดเเล้ว



​เวลาเคลื่อนผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันสอบมิดเทอมวันสุดท้ายเวียนมาถึง เรื่องระหว่างผมกับบีทก็ยังคงเป็นปกติ หากเเต่บางครั้งอีกฝ่าย ก็พยายามเว้นระยะห่างของเราเอาไว้ เพื่อที่ไม่ให้ผมรู้สึกเจ็บ



ไม่รู้เหมือนกัน ว่าการที่อีกฝ่ายเฉยชาเพื่อให้ผมตัดใจได้ง่ายขึ้น กับการที่อีกฝ่ายสนิทสนมกับผมแบบเดิม เเบบไหนผมจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่ากัน



แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ ผมเร่งทบทวนในสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดอยู่หน้าห้องสอบ ก่อนเวลานรกจะมาถึงเมื่ออาจารย์เรียกเข้าห้องไปทำข้อสอบ



สมองเกิดอาการเเบลงค์ไปชั่วครู่  ก่อนจะสงบลงตามเดิม หลังจากส่งกระดาษคำตอบให้อาจารย์แบบไร้สติ ผมก็ออกจากห้องมาตามนักศึกษาคนอื่นๆ



"ไปไหนกันต่อดีวะ"รุจน์เอ่ยถาม หลังจากที่เรารอเพื่อนออกจากห้องกันจนครบทั้งกลุ่มเเล้ว



"กูว่าจะไปเล่นบาสว่ะ"



"ไรวะเชี่ยโอ๊ต นานทีจะได้ปลดปล่อย ไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงหน่อยดิ"อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไร เพียงเเต่ยักไหล่อย่างกวนอวัยวะเบื้องล่างตอบกลับ



"มึงอ่ะเมล จะไปไหนมั้ย ?"



"วันนี้ว่าง ลางานเเล้ว"



"เออดี ส่วนมึงอ่ะบีท ไปหาซีช่ะ กูจะได้ไม่ต้องชวน"แทนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าอย่างเช่นทุกที ผมก็สังเกตเห็นเเววตาสับสนบางอย่างก่อนจางหายไปราวกับลม จากนั้นอีกฝ่ายก็ส่ายหน้า



"เปล่า ว่างเเล้ว"



"หูยยยย เพื่อนบีทว่างว่ะ ไปเที่ยวกันได้ครบกลุ่มสักทีเนาะ"



"ไม่ต้องมาเนาะเลยสัด เมื่อกี้ใครวะออกตัวชิ่งก่อนเพื่อนอ่ะ"ว่าไม่พอ มือหนักๆ ของรุจน์ก็ผลักหน้าผากโอ๊ตเสียเกือบกระเด็น



ถึงสองคนนี้จะตัวพอๆ กัน เเต่ทว่ารุจน์ดูมีความสุขุมมากกว่า อีกทั้งยังไม่ง้องเเง้งเหมือนโอ๊ตด้วย พอดูๆ ไปแล้วเวลาทั้งคู่ทะเลาะกันมันเหมือนเป็นการสวีตกันมากกว่าเลยนะ เเล้วผมมานินทาเพื่อนทำไมเนี่ยยยย



"แหมมม รุจน์ก็ ตอนเเรกกูก็คิดว่าบีทเเม่งไม่ไปอยู่เเล้วไง กูเลยปฏิเสธไว้ก่อนอ่ะ เเต่ตอนนี้บีทไปว่ะ กูก็เลยต้องไปด้วยไง ใช่มั้ยเมล"



"เกี่ยวไรกับเมล มึงไม่ต้องยุ่งกับมันเลย"ผมไม่ทันโต้ตอบ มือหนาก็วางพาดมาบนไหล่อย่างถือวิสาสะ ก่อนจะปิดหูผม เหมือนมีมที่มีคนมาปิดหูสองข้างเเล้วพูดว่า



'อย่าไปฟังมันลูก'



ผมหลุดหัวเราะเสียงเบา ให้บีทชะงัก ก่อนมือทั้งสองข้างจะเเนบลำตัวตามเดิม



"มึง...ไม่หัวเราะนานเเล้วนะเมล"แววตานั้นจริงจังปะปนความดีใจ ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวก็กระเเอมเสียงเบา เเล้วเสียงก็เงียบเสียงลงตามเดิม



"เอ่อ กูว่าเราไปเที่ยวกันดีกว่าเนาะเพื่อนเนาะ"โอ๊ตว่าพร้อมหาเเนวร่วมด้วยการกระทุ้งสีข้างรุจน์เต็มเเรงจนมันเบ้หน้า จนผมกลัวว่าเเทนที่มันจะเข้าข้างกัน มันจะฆ่ากันเองเสียมากกว่า



"เออ ไปๆ แล้ววันนี้เราจะไปไหนกันดีวะ"



"ไปห้างเปิดใหม่กันดีมั้ยวะ กูยังไม่ได้ไปเลย"โอ้ตทำหน้าเพ้อฝันเหมือนกำลังจะขึ้นสวรรค์ ผมว่ามันไม่ได้อยากไปเดินเที่ยวจริงหรอก มันแค่อยากไปส่องสาวมากกว่า



"อย่ามานโนเเถวนี้ สาวๆ ที่นั่นเค้าไม่ชายตามองหุ่นผอมเหมือนไม้เสียบผีอย่างมึงหรอก รู้ไว้ซะด้วย"



"แล้วต้องหุ่นเหมือนยักษ์วัดเเจ้งอย่างมึงรึไงเล่า !"



"เออสิวะ"เสียงถกเถียงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมละความสนใจจากมัน ก่อนจะตั้งใจฟังในสิ่งที่บีทพูด



"อย่าไปฟังพวกเเม่งเลย มึงหิวยังเนี่ย"



"นิดหน่อยอ่ะ"



"แล้วอยากกินอะไร?"



"อาหารญี่ปุ่นก็ได้"เเม้ใจจะไม่รู้ในคำตอบที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม ผมก็ตอบในคำตอบที่อีกฝ่ายคงจะพึงพอใจไม่น้อย



"มึงนี่ ท่าชอบอาหารญี่ปุ่นมากเลยนะ ถามทุกทีก็อยากกินแต่อาหารญี่ปุ่น เเต่ก็ดีเเล้วล่ะ เพราะกูก็ชอบเหมือนกัน"อีกฝ่ายว่าพลางยุติการเถียงกันของอีกคู่ ก่อนจะเดินเคียงกันไปที่รถ โดยมือหนาที่ไม่เเม้จะขยับเขยื้อนออกจากไหล่ของผม



รู้อะไรมั้ย ว่าเราไม่ได้ชอบกินอาหารญี่ปุ่นอย่างที่บีทเข้าใจเลย เราชอบกินอาหารทะเลมากกว่าด้วยซ้ำ เเต่เราก็ยังคงเหมือนเดิม ที่อยากรักษารอยยิ้มของคนที่เรารักไว้เหมือนเดิม ด้วยการเเอบตามใจเงียบๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ตัว



บรรยากาศโดยรอบเป็นไปด้วยความวุ่นวาย ผมไม่ค่อยชอบการมาเดินห้างเสียเท่าไหร่ ก็เพราะมีเหตุผลนี้เป็นส่วนหนึ่ง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คงหลีกหนีไม่พ้นคนข้างตัวนี่เเหละ



"แกกก พี่คนนั้นหล่อมากเลยอ่ะ ฉันอยากได้"

"ใช่มั้ยๆ ตาดุๆ สูงๆ เท่โคตร"

​"เพื่อนเขาก็งานดีนะ หล่อมาก แต่ว่าพวกเเกดูพี่คนนั้นดิ ตัวเล็กนิดเดียวเอง น่าร้ากกก"ผมไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นนะ

"คนไหนๆ อ๋อ ที่เดินกับสุดหล่อฉันใช่มั้ย"

"ใช่  เอ๊ะ เขาไปเป็นของเธอตั้งเเต่เมื่อไหร่เนี่ย"

"เมื่อกี้นี่เเหละ"

"พอเลยๆ ทั้งคู่นั่นเเหละ เห็นมั้ยเขามากันเป็นคู่น่ะ เดินโอบกันขนาดนั้นไม่ใช่เพื่อนเเล้วเเหละ"



*"จริงด้วย กรี๊ดดดด"*เสียงดังระหว่างทางค่อนข้างจะรบกวนสมาธิของผมพอสมควร สายตาที่จับจ้องที่คนข้างกายของผมค่อนข้างมาก ทำให้ผมต้องรับฟังในสิ่งที่พวกเขาพูด พอดีหูดีไปหน่อย เลยได้ยินทุกประโยคเลย ชัดเเจ๋ว



"เมล...หยุดเดินทำไม"



"ห่ะ...อ่อ เราเเค่เมื่อยอ่ะเลยหยุดนิดนึง"คำตอบที่รีบเร่งจะตอบเลยไม่ได้ประมวลผลทำให้อีกฝ่ายเพียงยกยิ้มมุมปากแล้วมองอย่างล้อๆ



"อือ จะเชื่อเเล้วกันนะ"



"อะ...อื้อ"



"พวกมึงสองคนอ่ะ ทำไมไม่เดิน จะหยุดทำพระเเสงอะไรกันครับ"ปากหมาๆ เเบบนี้ไม่พ้นจากรุจน์เเน่นอน



"เสือก"



"อื้อหือ เต็มหน้ากูเลยนะมึง สัด"



"ไปกินเเซลม่อนดีกว่า อย่าไปสนใจมันเลย"ไม่พูดเปล่าเดินพาผมเข้าร้านไปก่อนใครเพื่อนเลย



บนโต๊ะอาหารมีอาหารสีส้มๆ อยู่เต็มไปหมด เพราะคนข้างๆ ผมมันชอบกินมากๆ เลยสั่งเเต่เมนูพวกนี้ ผมก็ไม่อะไร ตามใจมาตลอดอยู่เเล้วนี่นา ให้ทำไงได้



แต่ความเเปลกๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้



"เมล กินนี่หน่อยนะ เมนูใหม่ของร้าน"



"อืม"



"อยากกินอะไรเพิ่มมั้ย เดี๋ยวสั่งให้"



"เเค่นี้ก็ไม่หมดเเล้ว"



"ปากเลอะแล้วเนี่ย กินเป็นเด็กไปได้ เดี๋ยวเช็ดให้"



"ห่ะ เอ่อ ขอบใจ"





...ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรกันเเน่



แต่ใจไม่รักดีมันกลับเต้นเเรงเหมือนจะทะลุออกมานอกอกเสียดื้อๆ เพียงเเค่วันนี้อีกฝ่ายทำดีด้วยเท่านั้น



"พวกกูว่าวันนี้มึงเเปลกๆ ไปนะบีท ทะเลาะกับซีมาป่ะ"มือที่ตักอาหารให้ผมอยู่ชะงักชั่วครู่ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาช่างสังเกตของผมไปได้ ผมค่อยๆ วางส้อมลงบนจานเเผ่วเบา จิบน้ำอย่างค่อยๆ เพื่อไล่ก้อนหนืดๆ ที่ติดอยู่ในคอ ตั้งเเต่รู้ในคำตอบนั้นโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องตอบ



"นั่นไง ว่าไมวันนี้ตัวติดกับเมลจัง ทะเลาะกับเเฟนมานั่นเอง"



"งี้เเหละน้า เพื่อนจะสำคัญตอนมึงไม่มีใครเท่านั้นเเหละ"เเม้จะรู้ว่าเพื่อนสนิทอีกสองคนไม่รู้อะไรด้วย เเละพูดเพื่อหยอกล้อเพื่อนอย่างไม่คิดอะไร แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับเเทงใจดำอย่างห้ามไม่ได้



เป็นได้เเค่ตัวเเทน จะมาหวังอะไรขนาดนั้นล่ะเมล



"หุบปากสักที !"บีทตะโกนทะลุปล้องขึ้นมาเสียงดังราวกับโมโหจนทุกอย่างเงียบสนิท ใครจะรู้ว่าเเค่หยอกเล่นเเค่นี้มันจะโกรธถึงขนาดนั้น เเละเมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบผมก็เอ่ยขึ้น



"เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"ก่อนจะเดินออกมา เเล้วขึ้นเเท็กซี่กลับหอโดยไม่รั้งรอใครเลยเเม้เเต่คนเดียว ก่อนจะไลน์บอกในกลุ่มว่าขอตัวกลับก่อนเพราะมีธุระ เเล้วก็ไม่ตอบไลน์ใครเลยเเม้มันจะเเจ้งเตือนอีกสักกี่ครั้งก็ตาม



เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เเต่ผมก็ไม่คิดเเม้เเต่จะกดรับ สองมือรีบเร่งเก็บของยัดใส่กระเป๋าสะพายหลังอย่างด่วน ก่อนที่สองเท้าจะออกจากห้องของตัวเอง ผมก็เม้มปากเเน่น



ผมคิดดีเเล้ว ถ้าไม่ทำเเบบนี้ ผมก็ยังตัดใจไม่ได้สักที ผมขึ้นเเท็กซี่อีกรอบ ก่อนจะกดเบอร์โทรที่คุ้นเคย เเค่ไม่ค่อยได้โทรเท่าไหร่นัก รอไม่นานปลายสายก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม



"ว่าไงเมล"บางทีการเปิดใจ อาจจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้ การได้อยู่ในที่ที่เป็นของเรา โดยที่ไม่ต้องเป็นตัวเเทนของใคร มันคงดีไม่น้อยเลย



ผมจะทำให้ได้ จะได้เลิกเป็นบ้าอย่างนี้สักที



...

TBC



เจิมเเทก #บีทเมล ได้ในทวิตนะคะ ว่างๆ มาคุยกันได้เนอะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0




SPECIAL Beat





'ผมเป็นคนโง่...ที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยเเม้เเต่อย่างเดียว และหากผมฉลาดกว่านี้อีกสักนิด ผมคงไม่ทำให้คุณเสียใจจนผมเสียคุณไปหรอก'





ความรู้สึกร้อนรุ่มในอกเหมือนโดนสุมไฟนี่มันอะไรกัน



ผมรู้สึกเเบบนี้มาหลายวันเเล้ว ตั้งเเต่ตอนนั้นที่เมลเดินออกจากร้านไปแล้วไม่กลับมาอีก มีเพียงข้อความเดียวที่ตอบกลับมาว่ากลับไปแล้วให้ผมรู้สึกกระวนกระวายใจเล่นๆ พอไปถึงที่หอ เจ้าตัวก็ไม่อยู่เเล้ว โทร.หาก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ จนผมอยู่ไม่สุข โทร.หาเพื่อนทุกคนที่ผมรู้จักเเต่คำตอบก็คือความผิดหวัง เพราะเจ้าตัวไม่ได้อยู่กับใครสักคน



แล้วผมก็ได้คำตอบในเช้าวันรุ่งขึ้นที่มีเรียน รถยนต์คันหรูเทียบจอดหน้าคณะ เรียกสายตาให้จับจ้องได้ไม่ยาก ยิ่งคนขับเป็นคนดังของมหา'ลัยอยู่เเล้ว ก็ทำให้มีเเต่คนสนใจ สัญชาตญาณบอกว่าอีกฝ่ายเเค่มาหาเพื่อน ใครก็ได้ เเต่คงไม่ใช่มัน เเต่เเล้วความคิดโง่ๆ ก็ถูกดับลงเพียงเพราะประตูอีกฝั่งนึงเปิดตัว



ร่างบางเดินออกจากตัวรถ พูดคุยกันไม่นาน หากเเต่กลับเเสดงออกถึงความสนิทสนมอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มบางจุดใบหน้าหวานตลอดเวลา เเววตากลมโตฉายชัดถึงความสุข เเต่คนมองอย่างผมกลับกำมือเเน่น



ไม่นานนัก อีกฝ่ายก็เดินมาที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ พร้อมกับหนุ่มฮอตที่ตามต้อยๆ มาด้วย



"นี่พี่ดิน เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเก่าของเราเอง...พี่ดินครับ นี่เพื่อนเราเอง โอ๊ต รุจน์...บีท"



"สวัสดีครับ เเหมมม ร้ายนะมึง พาคนหล่อของม.มาเป็นสารถีให้น่ะ"อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะปฏิเสธให้ผมเดือดเพิ่มขึ้น



"พี่เต็มใจนะครับ"มือหนาวางบนกลุ่มผมนุ่มที่ผมเคยสัมผัส อีกฝ่ายเพียงเเค่ยิ้มอย่างเดิม ไม่ปัดออกหรือเเสดงความไม่พอใจใดๆ



"เหม็นความรักว่ะ งุ้ยๆ"



"+1000000"



"เพื่อนเรานี่ตลกดีนะ เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนนะ ตั้งใจเรียนนะครับน้องเมล"



"เหมือนกันนะครับ"อีกฝ่ายขับรถออกไปแล้ว เเต่หน้าเปื้อนยิ้มเหมือนสุขเสียเต็มประดานี่ยังกวนใจผมได้ไม่ยาก ผมปิดหนังสือเสียงดังก่อนจะเดินลิ่วขึ้นห้องไปไม่บอกกล่าวใคร



เเม้ว่าผมจะเคยบอกเมลเเล้ว ว่าอย่าไปยุ่งกับคนๆ นี้ แต่ตอนนี้เมลกลับไม่เชื่อในคำพูดของผม เหมือนความสำคัญของผมถูกลดทอนลงเรื่อยๆ จนผมเองรู้สึกไม่โอเค



และยิ่งเมลเเสดงออกถึงความสุข ผมก็ไม่กล้าที่จะทำให้เมลมาทุกข์อีกเพราะผม เพราะเมลเหมือนเเก้ว ที่เเตกสลายได้ทุกเมื่อ หากเเม้ผมไปแตะรุนเเรงเกินไป



เรื่องเมื่อวานผมเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย จากการที่เมลเดินหนีไปแบบนั้นมันทำให้โหวงในอกอย่างบอกไม่ถูก ผมเชื่อว่าสาเหตุส่วนใหญ่มันเกิดจากผม รู้ได้จากสายตาที่มองผมอย่างตัดพ้อก่อนจะเดินออกไป



ผมนอนไม่หลับอยู่ค่อนคืน เหตุผลก็เพราะเป็นห่วงคนๆ นี้เท่านั้น ห่วงว่าเขาจะเป็นอันตรายอะไรรึเปล่า และที่ห่วงมากกว่าคือความรู้สึกของเมล



ยิ่งรับรู้ถึงความในใจที่เมลเฝ้าเก็บมาตลอดด้วยเเล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำร้ายคนที่รักผมอย่างไม่น่าให้อภัย ส่วนที่ผมว่างเมื่อวานก็เพราะทะเลาะกันกับซีจริงๆ ผมไม่มีความคิดที่จะง้อเลยสักนิด ตอนนั้นสมองมันวุ่นวายอยู่เเค่เรื่องเดียวคือเพื่อนสนิทของผม



ผมไม่อยากทำตัวจับปลาสองมือแบบนี้ ทว่าความโง่ของผมมันก็ไม่สามารถที่จะทำให้ผมชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองได้เลย



ผมนั่งทบทวนตัวเองอยู่ในห้อง ยังไม่มีใครเข้ามาในนี้ ซึ่งผมว่ามันก็ดีอยู่มากทีเดียวที่จะไม่มีใครรบกวนความคิดอันประหลาดของผมเอง



ความรู้สึกแปลกๆ ในอกที่ผมไม่เข้าใจตัวเองมาหลายวันเเล้ว นับจากวันที่ผมได้รับรู้ความรู้สึกของเพื่อนสนิทตนเองที่ไม่ควรจะเป็น ผมไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ทั้งๆ ที่ถ้าเกิดว่าเป็นเพื่อนคนอื่นมาชอบผมเเบบนี้ทั้งยังเป็นผู้ชายอีกด้วย มันก็คงจะเเปลกไม่น้อย แต่นี่กลับ...



เสียงผู้คนค่อยๆ ทยอยเดินเข้ามาในห้องเรียน ทำให้ผมวางพักความคิดพวกนั้นเอาไว้ก่อน เพราะใกล้ถึงเวลาเรียนเเล้ว และผมก็ไม่อยากคิดเรื่องนี้ด้วย



มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก...



กลุ่มเพื่อนของผมค่อยๆ เคลื่อนตัวมานั่งที่นั่งข้างๆ ผม พื้นที่นั่งของผมอยู่ด้านในสุดจึงไม่ต้องขยับเขยื้อนใดๆ เก้าอี้ข้างผมถูกจับจองด้วยโอ๊ตและรุจน์ตามลำดับ ดูจากสายตาก็พอจะรู้ ว่ามันคงมีคำถามมากมายในหัวที่สงสัยเเละอยากจะถาม หากเเต่มันยังคงเป็นเพื่อนที่ดีพอที่จะปิดปากเงียบทั้งที่ปกติมันพูดมากที่สุดในกลุ่ม



เมลนั่งถัดออกไป ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนกำลังโดนอีกฝ่ายถอยห่างไปเรื่อยๆ เหมือนอะไรบางอย่างค่อยๆ แตกกระจายเเละสลายตัวไปในที่สุด ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย ทว่าจู่ๆ ภาพของเมลที่มีรุ่นพี่มาส่งเมื่อเช้านั้นก็ลอยเข้ามาในหัว จนผมแทบจะเเสดงอาการออกไป หากเเต่ระงับมันไว้ได้ทัน



ผมไม่มีสิทธิ์อะไร อีกอย่างผมก็เเค่หวงเพื่อนเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่เเตกต่างไปจากเดิมเลย



หลังเลิกเรียนเมลก็รีบเก็บของอย่างเร็วรี่ ผมเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้ก่อน รู้ว่ามันก็เเค่การถ่วงเวลาโง่ๆ ของผม และสุดท้ายมันก็ไม่สำเร็จ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน เวลาที่ผมเรียกเขาไว้เขาก็ไม่เคยอิดออดใดๆ และตามใจผมทุกอย่าง



มากเสียจนผมเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เลวมาก



เมลเป็นคนดี ดีมากๆ เลยล่ะ ระยะเวลาที่ผ่านมาสามารถบ่งบอกถึงเรื่องนี้ได้อย่างดี เมลชอบนึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ และชอบช่วยเหลือคนอื่นเเม้ตัวเองจะต้องเดือดร้อนก็ตาม อย่างการไปช่วยเพื่อนทำงานจนตัวเองเกือบไม่ทันส่งคราวนั้น ที่ผมโกรธเขามาก เพราะมันเกินไป บางทีเมลก็ไม่ทันคน จนผมกลัวว่าสักวันนึงจะมีคนหลอกมันได้



และดูเหมือนว่า...สิ่งที่ผมกลัวจะค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ เสียเเล้ว



"มันรีบไปไหนของมันวะ"



"ไปหาคนเมื่อเช้าไง"ถึงเเม้ว่าผมจะปฏิเสธตัวเองเเค่ไหน...



"หูยยย จริงจังอ่อวะ เมื่อก่อนไม่เห็นมันสนใจใครเลยนี่นา ตัวติดกับไอ้บีทเป็นตังเมเลย"ผมก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าตอนนี้...



"หึ คงงั้นเเหละ"ผมรู้สึกสับสนอีกเเล้ว...



สองเท้าหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องเรียนของคณะอีกฟากหนึ่งของคณะผม ก่อนทิ้งตัวลงนั่งเมื่อใกล้ถึงเวลา ไม่นานนักเสียงดังก็กลบความเงียบเมื่อครู่เสียสนิท



ร่างเพรียวในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ ส่งยิ้มมีสเน่ห์มาให้ผมแต่ไกล เธอเดินผ่านผู้คนรอบข้างมาหยุดตรงหน้าผม ก่อนจะยื่นปากเล็กๆ นั่นมาใกล้ๆ มาเพื่อพูดอ้อนผมอย่างทุกที



จู่ๆ ภาพของเพื่อนสนิทตัวเองก็ซ้อนทับร่างตรงหน้าเอาไว้  จนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป หากก็ไม่พ้นสายตาจากคนที่ยืนด้านข้างผมอยู่ดี



"บีท...เป็นอะไรรึเปล่าคะ"เธอถามด้วยสายตาที่ส่อเเววเป็นห่วง



"เปล่าหรอก เราเเค่มึนๆ นิดหน่อยอ่ะ สงสัยนอนน้อยเมื่อคืน"ผมเลือกจะบอกในสิ่งที่ควรพูดมากกว่าความเป็นจริง



"งั้นหรอ...งั้นบีทไปพักที่ห้องก่อนมั้ย เดี๋ยวซีไปอยู่เป็นเพื่อน"เธอพูดในระหว่างที่เดินไปที่รถ สายตาที่มองมีประกายความหวังซ่อนอยู่ ซึ่งผมก็ดูออก จึงค่อยๆ เลือกปัดไปเรื่องอื่นเเทน



"ไม่เป็นไรหรอก ซีอยากดูหนังไม่ใช่หรอ ไปดูก่อนก็ได้"เธอเบะปากเล็กๆ นั่นน้อยๆ ราวกับไม่พอใจในคำตอบ



"เราไม่เคยไปห้องบีทเลยนะ ทั้งๆ ที่เราคบกันมานานเเล้วอ่ะ ทีเมลยังไปได้ออกจะบ่อย  ทั้งที่เป็นเเค่เพื่อนกันเเท้ๆ"ประโยคประชดประชันนั่น ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ แต่ก็เลือกจะปัดมันออกไป



"ก็เพราะมันเป็นเพื่อนไง อีกอย่างมันก็เป็นผู้ชาย เเต่ซีเป็นผู้หญิงนะ เราอยากให้เกียรติคนที่เรารักนะ"ผมกุมมือเล็กไว้ ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่คิดว่าดีที่สุด ถ้าจะหยุดให้เธอไม่คิดมากเรื่องนี้อีก คิดว่าเป็นอย่างนั้น หากเเต่คราวนี้เธอกลับไม่ยอมจบง่ายๆ



"อยากให้เกียรติ หรืออยากจะเก็บไว้ให้ใครกันเเน่ บีทไปถามตัวเองดีๆ เถอะ ว่าตอนนี้ความรู้สึกของบีทมันยังเหมือนเดิมรึเปล่า เพราะเราไม่อยากมาเสียเวลาให้กับคนที่ไม่ชัดเจน"ก่อนจะเดินหายไปจนลับสายตา คำพูดที่ทำให้ผมชะงักงันอยู่กับที่ เพราะมันค่อนข้างจะเเทงใจอยู่ไม่น้อย



ความรู้สึกตอนนี้น่ะหรอ...ผมเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน



บางทีก็คงต้องหาคำตอบให้ได้สักที ก่อนทุกอย่างจะเเย่ไปมากกว่านี้...



นับจากวันนั้น เราทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น จากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ก็ทำให้มันเป็นเรื่องจนได้ จนผมเริ่มเหนื่อยกับความสัมพันธ์นี้ เเละรู้สึกเบื่อมากขึ้นทุกวัน



อีกทั้งเรื่องที่รบกวนสมองผมไม่ใช่เเค่เรื่องนี้เรื่องเดียวอีกด้วย...



"เมลครับ เย็นรึเปล่า ห่มผ้าหน่อยนะ"



"ขอบคุณครับพี่ดิน"เสียงของคนทั้งสองดังขึ้นในโสตประสาท เหมือนเดจาวูที่เกิดขึ้นซ้ำ เพราะตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในโรงหนัง หากเเต่ไม่ใช่การมาพร้อมกันเหมือนที่อีกคนทำตอนมาคราวนั้นกับผม แต่ผมกำลังทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์ตามคนทั้งคู่ตั้งเเต่ที่มหา'ลัยเเล้ว



วันนี้เป็นวันดี วัดได้จากการที่อากาศปลอดโปร่งโล่งสบายตั้งเเต่เช้า จนผมไม่กล้าเเม้เเต่จะเคลื่อนตัวออกจากที่ร่มเลยเเม้เเต่วินาทีเดียว และวันนี้ผมก็ว่างมากพอที่จะทำตัวไร้สาระอยู่ที่นี่



ผมกำลังถามตัวเองว่าอะไรที่ทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ สายตาที่จ้องมองกันท่ามกลางเเสงจากจอในโรงให้ความรู้สึกโรเเมนติกได้เป็นอย่างดี เเละผมก็ฉลาดมากพอที่จะเลือกที่นั่งที่จะสามารถมองดูคนทั้งคู่ได้อย่างเต็มๆ ตา ผ่านช่องตรงกลางระหว่างเบาะตรงนี้



เเปลกมั้ย ทั้งที่ผมควรจะรู้สึกดีที่เห็นเพื่อนมีความสุข เเต่เหมือนอะไรบางอย่างในตัวมันหล่นหายไปพร้อมกับความรู้สึกเบาโหวงที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ยามที่อีกฝ่ายไปสนิทชิดเชื้อกับคนอื่นมากกว่าเขา



มันค่อยๆ เริ่มจะชัดเจนขึ้นอีกนิด...



สามชั่วโมงจะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า แต่มันก็มากพอกับความรู้สึกที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา มือหนาที่เกาะกุมมือเล็กนั่นยังไม่ปล่อยจากกันตั้งเเต่ที่นั่งอยู่ในโรง ผมผ่อนลมหายใจเพื่อระบายความร้อนในอก ก่อนจะทอดกายเดินตามนิ่งๆ อย่างเดิม



เอาไงดีวะ จะตามไปขัดตอนที่เมลกินข้าวยังไงดี จะขอไปกินด้วยโต้งๆ ก็น่าแปลกเกินไป อีกทั้งอีกฝ่ายคงจะจับไต๋ได้ และไล่ต้อนจนผมหาข้อเเก้ตัวไม่ทันเเน่ๆ



สมองขบคิดคำตอบอยู่ในหัว หากเเต่ไม่ทันจะได้คำตอบ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของผมก็มาหยุดยืนตรงหน้าผมเสียก่อน



"ตามเรามาทำไม ?"ผมเหลือบมองด้านหลังไป ก็เจอกับมารผจญที่ตอนนี้ผมจัดเขาให้เข้าไปอยู่ในเเบลกลิสของผมเรียบร้อยเเล้ว



"อะไรวะ กูจะตามมึงมาทำไม กูเเค่มาดูหนัง"ผมทำเสียงดังกลบเกลื่อน เหมือนกลัวความผิดตัวเอง ทั้งที่การเเสดงอาการเเบบนี้จะส่อพิรุธมากกว่าการทำตัวปกติเสียอีกก็ตาม



"เเล้วไหนซีล่ะ ไม่มาด้วยหรอ"อีกฝ่ายมองซ้ายเเลขวาก็ไม่พบเลยหันมาถามผม

ผมเพิ่งได้สติมองอีกฝ่ายเต็มๆ ตา วันนี้เมลเเต่งตัวเหมือนเดิม ผมด้านหน้าถูกเซตเป็นทรงเรียบร้อยอย่างมีระเบียบอย่างที่ปกติไม่เคยคิดจะทำ บอกได้อย่างดีเลยว่าอีกฝ่ายทุ่มเทและใส่ใจมากขนาดไหน ใบหน้าขาวผ่องยังคงสดใสดังเดิม เมลใส่เพียงเสื้อตัวโปร่งเเถบน้ำเงินกับกางเกงยีนส์เท่านั้น เเต่ทำไมนะ...วันนี้มันถึงเหมือนอีกฝ่ายน่ารักขึ้นมาในสายตาผม ยิ่งเวลาปากชมพูเล็กๆ นั่นขยับยามพูด ยิ่งยากจะหยุดสายตา



"บีท ยังอยู่ป่ะเนี่ย ?"



"..."



"บีท บีท!"มือเล็กที่จับไหล่อยู่ผมออกเเรงเขย่าเบาๆ ให้ได้สติ ก่อนจะทิ้งมันไว้ข้างตัวเหมือนเดิม

แต่ความใกล้เมื่อครู่ก็ทำให้ผมได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของมันได้ แม้จะเบาบาง แต่ก็ทำให้จิตใจของผมสงบได้เหมือนทุกที



เหมือนการได้ใกล้ชิดกันเป็นเหมือนเเรงที่ผมมีชีวิตต่อไปได้ ฟังเหมือนเว่อร์นะ แต่ที่ผ่านมา คนเเรกๆ ที่ผมคิดถึงเวลาเหนื่อยก็ไม่พ้นมันเนี่ยเเหละ



ยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่า...มันสำคัญกับผมจริงๆ



"ว่าไง"



"เหม่อไรเนี่ย ทำไมไม่ตอบเรา"



"อ่ะ อ๋อ...ซีไม่มาหรอก ไม่ว่างน่ะ"



"เเล้วบีทมาดูหนังกับใคร"



"คนเดียวไง"อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนดาวสักดวงพุ่งชนโลกจนพังทันที



"ทำไม กูจะมาดูหนังคนเดียวไม่ได้?"



"ก็ได้ เเต่ปกติเห็นมาดูกับเเฟนไง"แววตาอีกฝ่ายดูเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อพูดประโยคนี้ ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว เเต่คนที่มองอีกฝ่ายไม่วางตาอย่างผมตอนนี้สามารถสังเกตได้ทัน



มันต้องมองผมด้วยสายตาเศร้าขนาดนั้นนานเเค่ไหนเเล้ววะ



แล้วทำไมกูเเม่งโง่ขนาดนี้วะ ไม่เคยรู้เหี้ยไรสักอย่าง



"เเต่วันนี้ก็มาคนเดียวได้"



"อืม งั้นเราขอตัวก่อนนะ"ก่อนสมองจะสั่งการ มือของผมก็คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้เหมือนเป็นคำสั่งบางอย่างที่รวดเร็วกว่าสมอง ว่าผมต้องรั้งอีกฝ่ายให้นานกว่านี้ เเม้จะเเค่ไม่นานก็ตาม



"มีอะไร"อีกฝ่านเอียงคอถามเล็กน้อย ก่อนจะเเกะมือผมออกอย่างนิ่มนวล เเต่การกระทำดังกล่าวกลับบาดข้างในผมให้เป็นเเผลได้มากกว่าการพูดด้วยซ้ำ



"กู...กูหิว"



"แล้ว ?"



"ขอไปกินด้วยดิ"



"มาดูหนังคนเดียวได้ เเค่กินข้าวคนเดียวมันคงไม่ต่างเท่าไหร่หรอกมั้ง"



"แต่มึงเป็นเพื่อนกู มึงก็ต้องตามใจกูสิ เหมือนเมื่อก่อนไง"อีกฝ่ายชะงักชั่วครู่ ผมเสียใจในคำพูดตัวเองไม่น้อย สิ่งที่ผมทำอยู่เหมือนเด็กที่เรียกร้องความสนใจ รู้ตัวอีกทีผมก็เอาคำพูดกลับคืนมาไม่ได้เเล้ว



"โตเเล้วนะบีท รู้ได้เเล้วว่าไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปหมดทุกอย่างหรอก และอดีตกับปัจจุบันมันก็อาจจะไม่เหมือนเดิมไปหมดทุกอย่างเหมือนกัน ขอตัวนะ"



อีกฝ่ายเดินจากไปนานเเล้ว หากแต่สองเท้าของผมยังคงหยุดอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน สมองค่อยๆ ทบทวนคำพูดเมื่อครู่วนไปมาไม่รู้จบเหมือนผมสั่งการอะไรมันไม่ได้เเล้ว



และตอนนี้ผมก็ได้รู้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือการกระทำ ถ้ามันมาจากอีกฝ่ายแล้ว...ผมก็เจ็บปวดได้ไม่ต่างกันเลย



...

TBC

ไม่ใช่เเค่เมลที่น่าสงสารนะ บีทก็ไม่เเพ้กันเลย
ปล.ใครเล่นทวิต มาคุยกับเราได้นะ #บีทเมล



ขอโทษที่ไม่มาอัพหลายวันนะคะ อาทิตย์นี้ยุ่งๆ นิดหน่อย เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
​07 เผลอ NC



'พอมาถึงจุดหนึ่ง ผมจึงได้รู้ว่า...การได้เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของชีวิตคุณ มันก็มากเกินพอเเล้วสำหรับผม'





เสียงเครื่องปรับอากาศดังขึ้นเเข่งกับความเงียบสงบในตัวห้อง ผมนั่งมองคนที่เพิ่งหลับใหลเพราะความอ่อนเพลียเมื่อไม่นานมานี้ด้วยรอยยิ้ม

ร่างโปร่งคงเหนื่อยมาก เนื่องจากการทำโครงงานของปีหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากจะต้องเเก้ซ้ำเเล้วซ้ำเล่าเเล้ว ยังต้องอดทนกับการอดหลับอดนอนอีกต่างหาก

ผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก...

หากเเต่ผมไม่มาเริ่มต้นทำเอาตอนใกล้ช่วงส่งเเบบนี้  เลยทำให้ผมไม่ต้องฝืนเหมือนคนอื่นๆ

มือเล็กปัดผมด้านหน้าที่ปรกอีกฝ่ายเเผ่วเบา ลูบคลึงหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเหมือนคิดอะไรตลอดเวลาทั้งที่หลับไปแล้วให้มันคลายออกจึงละมือไว้ที่เดิม

การนั่งมองอีกคนนับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม...

หากเเต่ยามเวลาปกตินั้น ผมจะทำแบบนี้ได้ไม่เต็มที่นัก เพราะอีกฝ่ายจะรู้ตัว และผมเองไม่มีความกล้ามากพอขนาดนั้นด้วย

คิดมาถึงตรงนี้ก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงเบาอย่างสมเพชตัวเอง ใครจะไปรู้ ว่าคนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน ทำกิจกรรมด้วยกันตลอดเกือบทุกครั้ง ที่ติดกันเเบบปาท่องโก๋เเบบนั้นน่ะ จะไม่ได้คิดเเค่เพื่อน

มันอาจจะเริ่มมานานเเล้ว...

หรือไม่นาน แต่เมื่อผมมารู้ตัวอีกที ผมก็ทำอะไรไม่ได้ไปเสียเเล้ว

จะตัดใจยังไง กับคนที่ต้องพบเจอกันทุกวัน ต้องพูดคุยทักทายอย่างสนิทสนมแบบนั้น

ผมไม่มีวันทำได้...

และไม่เคยคิดจะทำด้วย...

แค่เป็นเเบบนี้ ก็ดีเเค่ไหนเเล้ว...

...

เช้าวันใหม่มักจะมีดวงอาทิตย์กลมโตฉายเเสงสว่างบนโลกเสมอ ใครๆ ต่างบอกว่ามันเป็นสิ่งที่โลกขาดไม่ได้พอๆ กับพระจันทร์ เพราะมันทำให้เรารู้ถึงเวลาในขณะนั้น

แน่นอนว่าคงจะจริง...

เพราะผมตอนนี้กำลังเบิกตาตื่นนอนด้วยเเววตาอ่อนเพลียอย่างถึงที่สุด ขนาดการทำงานหามรุ่งหามค่ำผมยังไม่อดหลับอดนอนขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

สาเหตุก็ไม่ได้ไกลจากไหนเลย มีคนเดียวนั่นเเหละ

เสียงเครื่องปรับอากาศยังคงทำงานของมันได้ดี มีเสียงข้างห้องที่เปิดปิดประตูเสียงดังเหมือนเดิม

หากเเต่มีบางสิ่งที่ค่อนข้างต่างไปจากเดิมนิดหน่อย

ผมฝืนยันตัวขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก หากก็ไม่เหนือบ่ากว่าเเรงเท่าไหร่ที่จะเดินมาจัดการตัวเองในห้องน้ำ

ขณะสองมือกำลังถือผ้าขนหนูเพื่อไล่ความเปียกชื้นบนศีรษะงั้นก็ชะงัก เมื่อมองเห็นตัวเองในกระจก

ดวงตากลมโตมีเเววเเดงก่ำ ใต้ตาเกิดสีดำคล้ำ ไม่ต่างจากหัวใจตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ผมถอนหายใจเสียงเบา มือพยุงตัวเองตอนนี้ด้วยการจับขอบอ่างล้างหน้าเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองเพดานเพื่อไล่หยาดน้ำในตาออกไป

ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็ยังมีอิทธิพลต่อผมเสมอเลย

เเค่เขาตามผมมาดูหนังเเค่นั้น ผมก็รู้สึกว่า สิ่งที่ผมพยายามทำมาทั้งหมดมันหายไปในพริบตาเดียว

ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไงน่ะหรอ ผมก็เเค่สังเกตเอาจากความรู้สึกตัวเอง เขาโกหกคนไม่เก่งเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยทำ ดังนั้นท่าทีลุกลี้ลุกลนเหมือนคนกลัวความผิดเเบบนั้นน่ะ ไม่ยากเกินไปสำหรับผมหรอก

เสียงจอเเจยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ระหว่างทางการเดินเข้าห้องเรียนยังคงเป็นเช่นนั้นเหมือนเดิม

คาบเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากเเต่ผมกลับรู้สึกว่ามันผ่านไปช้าเหลือเกิน

เค้าว่ากันว่า การรอคอยมักจะยาวนานเสมอ นั่นอาจจะจริงก็ได้

เพราะคนที่ผมรอ ผมยังไม่เห็นวี่เเววว่าจะเจอเลยในวันนี้ คิดพลางเม้มปากขบคิดบางสิ่ง ก่อนสมองจะได้ยินเสียงคนด้านข้างพูดขึ้นอย่างเมามัน

ผมไม่ค่อยชอบสนใจเรื่องคนอื่น หากเเต่รูปประโยคที่มีชื่อของเพื่อนสนิทผมที่อยู่ในนั้นด้วย ก็เหมือนจะดึงความน่าสนใจจากตัวผมไปได้มากโขเลยทีเดียว

"แกเห็นคลิปที่เขาเเชร์กันยัง นักศึกษาม.เราไปมีเรื่องกับนักศึกษาต่างม.อ่ะ"

"ไหนๆ ยังไม่ดูเลย เอ๊ะ นั่นบีทนี่"

"ใช่หรอ ไม่เห็นเลยอ่ะ"

"ถึงมันจะมืดมาก เเต่ฉันจำได้"

"จริงดิ ไปมีเรื่องทำไมก็ไม่รู้เนาะ เสียดายหน้าหล่อๆ หมด"

"นั่นสิ วันนี้ก็ไม่มาเรียนด้วยนี่"

"จริงด้วย"

"นักศึกษากลุ่มนั้นน่ะ ถ้าไม่อยากเรียน ผมเชิญพวกคุณออกไปคุยกันด้านนอกเลยนะครับ"

"ขอโทษค่ะ"

"รบกวนคนอื่นจริงๆ เอ้า มาต่อดีกว่า..."เสียงอาจารย์ที่กำลังพูดอยู่ในห้องนั้นไม่เข้าโสตประสาทผมเเม้เเต่น้อย สมองขบคิดเรื่องเมื่อครู่ที่ได้ยินมาอย่างใจจดใจจ่อ

เมื่อจบคาบ ผมไม่รอช้าคว้ากระเป๋าคู่กายแล้วออกจากห้องเป็นคนเเรกๆ ทันที สองเท้ารีบเร่งก้าวขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมาย ซึ่งเป็นคอนโดหรูใกล้มหา'ลัยทันที

อาจจะเป็นเพราะว่าผมมาที่นี่บ่อยเกินไป หรือหน้าตาผมอาจจะจำได้ง่ายก็ได้ พนักงานที่เคาน์เตอร์ถึงได้ให้คีย์การ์ดกับผมมาอย่างง่ายดายทันที

สองเท้าก้าวเข้าไปในลิฟท์ ยืนรอตัวเลขบนหน้าจออย่างกระวนกระวาย ก่อนประตูจะเปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ ผมจึงรีบเดินไปยังห้องจุดหมายทันที

เสียง ติ้ง! ดังขึ้นเสียงเบา ผมไม่รอช้าเข้าไปทันที ภายในห้องสว่างโร่เมื่อผมวางคีย์การ์ดไว้บนนั้น ก่อนจะสาวเท้าไปยังห้องด้านในที่คาดว่าคนที่ผมต้องการจะเจออยู่ในนั้น

สิ่งเเรกที่ผมสัมผัสได้ไม่พ้นเเอลกอฮอล์ ความเหม็นเหียนทำให้ผมยกมือปิดจมูกเเทบไม่ทัน เมื่อได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ มาจากข้างเตียง ผมก็รีบเดินมาหาอีกคนทันที

ผมเบิกตาตกใจ จากดวงตาที่โตเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว บัดนี้มันยิ่งเบิกกว้างเท่าไข่ห่านก็ว่าได้ เพราะจากสภาพหล่อเหลาที่เจอมา กับตอนนี้ เรียกได้ว่าเเทบจะเป็นคนละคน

ความหล่อคมที่อีกฝ่ายสร้างไว้มาตลอด บัดนี้มีเพียงคนที่นอนกอดขวดเหล้าเหมือนคนขี้เมาเท่านั้น

ใบหน้าคมมีร่องรอยเเผลมากมายจนบวมช้ำ เเยกเเผลไม่ออกทีเดียว ผมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะหยิบขวดในมือนั้นออก ยื้อยุดอยู่พอสมควรก่อนผมจะเอามันออกมาจากอกอีกคนได้

ผมพยุงคนหนักเหมือนยักษ์ขึ้นมานอนเเผ่หลาบนเตียงได้สำเร็จ ความใกล้ชิดนี้ทำให้มองเห็นรอยเเผลที่ตอนนี้เหลือเพียงเลือดที่เเห้งเกรอะกรังไปทั่ว พร้อมกับกลิ่นเเอลกอฮอล์ที่ดับกลิ่นหอมประจำตัวของอีกคนไปเสียหมด

ไม่นานนักผมก็เดินมาพร้อมกับกล่องยา ดีที่มันยังคงวางไว้ที่เดิมเลยไม่เสียเวลาในการค้นหา สองมือบรรจงทำแผลให้อีกคนเเผ่วเบาราวอีกคนจะเจ็บ แต่เพราะคนเมาหลับไปเเล้ว เลยวางใจได้ว่าคงจะไม่เจ็บมากในตอนนี้

ผมก้มลงเป่าแผลที่พลาสเตอร์บนหัวคิ้วอีกฝ่ายอย่างเเผ่วเบาราวกับว่า หากทำแบบนี้มันจะยิ่งหายเร็วขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงเเล้วมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นักหรอก

ความเหนื่อยถัดมาคือการเก็บกวาดซากเศษที่อีกคนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

กองขวดเหล้าที่เกลื่อนกลิ้งไปทั่วพื้นนั้น บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า มันถูกเจ้าของห้องดื่มไปมากเท่าไหร่เเล้ว

นอกจากจะไปตีกับเขาจนเหมือนหมา ยังมากินเหล้าเมามายเเบบนี้อีก

มันน่าตีให้ตายจริงๆ...

กว่าจะจัดการเรียบร้อย ก็กินเวลาไปค่อนข้างนานอยู่ ผมไม่ลืมเปิดม่านกับหน้าต่ผมก็เหนื่อยใช่ย่อยเหมือนกัน หากเเต่ว่าหน้าที่ผมยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะตัวคนเมายังคงเหม็นหึ่งอยู่ดี

ผมเดินหายไปชั่วครู่ ไม่นานนัก ผมก็กลับมาพร้อมกับกะละมังเเละผ้าผืนขนาดกลาง ทิ้งตัวลงข้างคนเมา เเล้วบรรจงเช็ดหน้าเช็ดตัวอีกฝ่ายทันที

เนื่องจากคนเมาไม่ยอมให้ความร่วมมือ ผมเลยอดทนอยู่หลายครั้ง เเต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี เมื่อเช็ดซอกคอเสร็จ ผมก็เลื่อนต่ำลงมาที่เสื้อตัวโคร่งที่อีกฝ่ายสวมอยู่ ปลดกระดุมจนหมดเเผง ก่อนผมจะรู้สึกรัดเเน่นในอกมากกว่าเดิม

รอยฟกช้ำดำเขียวบนตัวอีกฝ่ายนั้นเต็มไปหมด ผมรีบเช็ดตัวอีกคนโดยเร็ว ก่อนจะเก็บของเเล้วเดินกลับมาพร้อมกับยาทาฟกช้ำ

ผมค่อยๆ ทาลงบนเเผลเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บ หากเเต่ตอนนี้อีกฝ่ายหลับอยู่  ผมเลยโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง ว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่เจ็บ

จู่ๆ มือที่ทาตัวอยู่บนตัวอีกฝ่ายก็สั่นเทาขึ้นมาเสียดื้อๆ มืออีกข้างวางกล่องยาไว้ข้างตัวก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น

ทำไมต้องเป็นแบบนี้...

ทำไมต้องทำให้รู้สึกผิดอยู่เรื่อย...

ทำไมต้องเอาเเต่ใจตัวเองเเบบนี้ด้วย...

ทำไม...ต้องทำให้เป็นห่วงกันเเบบนี้ตลอดเลย

"ทำไมใจร้ายนักล่ะ...ฮึก บีทตอบเรามาสิ"เเม้อีกฝ่ายจะไม่สามารถลุกขึ้นมาตอบได้ในตอนนี้เเต่ผมก็ยังตั้งคำถาม

ความจริงอีกฝ่ายไม่ผิดเลยด้วยซ้ำ จะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของเขาทั้งนั้น ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปก้าวก่าย เเต่ทว่าการชอบอีกฝ่ายไปเต็มเปาตั้งเเต่ตอนไหนไม่รู้ทำให้ผมเลิกโทษตัวเองไม่ได้เสียที

ที่ไม่เคยดูเเลอีกฝ่ายดีพอเลย จนทำให้คนที่ผมรักต้องมาเจ็บอยู่เเบบนี้ โดยที่ผมไม่ได้รู้อะไรเลย

หากเป็นยามปกติเเล้วนั้น ผมคงไม่ปล่อยโฮง่ายๆ แบบนี้ ทว่าความเข้มเเข็งมันถูกทลายลงได้ง่ายๆ เมื่อเจอเรื่องที่เจ็บปวดมากระทบจิตใจติดต่อกันหลายๆ ครั้งในเวลาอันสั้น

ผมขอเเค่วันนี้

ที่ผมจะขออ่อนเเอต่อหน้าเขา

ผมจะไม่เป็นเเบบนี้ให้เขาเห็นอีกเเล้ว

การตัดใจจบลงอย่างไม่เหลืออะไรเลยเมื่อเห็นคนที่เรารักเจ็บปวด ผมทรมานเหลือเกิน ทุกอย่างมันคือความผิดของผม และมันผิดที่ผมไม่เข้มเเข็งพอที่จะตัดเขาออกไปจากชีวิตในตอนนี้

ความตกใจเกิดขึ้นทันทีเมื่อคนที่คิดว่าหลับไปแล้ว พรุ่งพราดขึ้นมาจากเตียงแล้วกดผมให้อยู่ใต้อาณัตของเขา

ริมฝีปากนุ่มหยุ่นของคนเมากดลงมาในอวัยวะเดียวกัน เผยเเพร่ความขมปร่าจากเเอลกอฮอล์มาให้ผมผ่านปลายลิ้นนุ่มหยุ่นนั้น

เขาขบเม้มไปทั่วริมฝีปาก ผมรู้สึกเหมือนในท้องตัวเองมีผีเสื้อนับร้อยกระพือปีกบินว่อนอยู่ด้านใน เหมือนผมลอยไปในที่ไหนสักที่ที่โล่งปลอดโปร่ง จนผมลืมไปหมดทุกอย่าง

ลืมเเม้กระทั่งว่า...เราเป็นเพียงเเค่เพื่อนกัน

ความร้อนลามไปทั่วทั้งตัวที่มือหนาลูบผ่าน เหมือนมือคู่นั้นมีไฟร้อนที่เเผดเผาตัวผมให้ละลายไปได้เพียงเขาเเตะต้องมัน

เขาจับมือผมให้คล้องลำคอเเกร่ง ผมทำตามด้วยความมึนงงเพราะสมองขาวโพลน ยิ่งยามที่ความนุ่มหยุ่นในปากนั้นดูดดึงปลายลิ้นของผมก็เหมือนกับมีกระเเสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง

ผมกลายเป็นตุ๊กตาให้เขาจับเล่นไปอย่างง่ายดาย

เมื่อเขาผละออกไปให้ผมได้หายใจเพียงนิด เเววตาที่จ้องมองมามีเพียงความกระหาย เมื่อเริ่มมีสติผมก็ทำท่าจะผลักเขาออกไปทว่าเขาไวกว่า ก้มลงพร้อมกับจูบกระชากทุกอย่างให้หมดไป

หายไปพร้อมกับสำนึกให้ได้ว่า สิ่งที่เราทำตอนนี้มันผิดเช่นไร

มีเเต่ความมึนงง มัวเมา ลุ่มหลงไปกับสิ่งที่ร่างสูงมอบให้ เขาผละออกไปซุกไซร้ซอกคอต่อไป ความเจ็บเเปลบทำให้ผมจิกเก็บลงบนลำคอเขาความไม่ตั้งใจ เขาคำรามในคอเหมือนพอใจ ก่อนจะทำอีกข้างไม่ต่างกัน

มือหนาเปลื้องผ้าผมออกจากตัวด้วยความเร็วจนผมไม่สามารถห้ามได้ทัน รู้อีกที ความเย็นก็เข้ามาเเทรกบนผิวหนังเเล้ว

"อ่ะ อ๊า ฮึก อย่าบีบ ไม่ อ้ะ"ผมร้องทันทีเมื่อสัมผัสความรู้สึกแปลกใหม่ยามมือหนาบดคลึงเม็ดเล็ก บนหน้าอกผมสลับบีบอย่างรุนเเรง

"หึ"

"อ๊า ไม่เอา อื้อ บีท เรา อึ่ก"ความรู้สึกผมเพิ่มทวีคูณยามริมฝีปากนั้นครอบครองเม็ดนั้นในปาก เเล้วตวัดเลียจนผมซ่านไปทั้งตัว มืออีกข้างก็บดคลึงอีกข้างเหมือนกลัวว่ามันจะน้อยใจ

ผมผลักหัวอีกฝ่ายให้ออกไป หากเเต่เรี่ยวเเรงที่หายไปนั้นเหมือนกับยิ่งกดให้อีกฝ่ายชิดอกมากขึ้น ยิ่งเมื่อรู้สึกมากขึ้น ผมก็กระเด้งป้อนเม็ดเล็กๆ เข้าปากโดยไม่รู้ตัว

ผมหอบหายใจถี่เมื่อเขาผละออกไปเเล้วจ้องมองร่างกายผมด้วยเเววตาหื่น ก่อนจะกล่าวโทษว่าเป็นเพราะผมที่ทำให้เขาทนไม่ไหว

ผมอยากจะต่อต้านว่าไม่จริง แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงร้องครางกับหอบหายใจระบายความรู้สึกในอกเท่านั้น ความเหนื่อยทำให้ผมไม่ระวังตัว ทำให้เพื่อนสนิทไปเคลื่อนตัวไปด้านล่างเสียเเล้ว เเถมยังเปลื้องอาภรณ์จนเหลือเพียงกางเกงชั้นในติดกายเท่านั้น

เขายกยิ้มมุมมาก และถอดสิ่งนั้นออกไปตามกางเกงสีเข้มของผมทันที สองมือจับมันให้ตั้งตรง ก่อนจะครอบครองริมฝีปากลงไป

ผมร้องไห้โดยที่ไม่ได้เสียใจ จนกระทั่งปลดปล่อยเรียบร้อย ผมก็ต้องร้องไห้กับความเจ็บปวดที่เเทรกกายเข้ามาเเบบไม่ทันตั้งตัว

"อึ่ก"ความคับเเน่นทำให้อีกคนสบถออกมา ก่อนจะหันเหความสนใจของผมโดยการขยับฝ่ามือรูดรั้งส่วนนั้นอีกครั้งจนเข้ามาได้จนสุด เเช่ไว้ไม่นานก็ขยับร่างกายทันที

"อ่ะ อ้ะ เจ็บ...เราเจ็บ อึ่ก"

"เชื่อใจกูสิ กูไม่ทำให้มึงเจ็บนานหรอก"

"มะ...อื้อ"ริมฝีปากประกบลงมาอีกครั้งยามกายขยับเเรงขึ้น เถียงไม่ได้จริงๆ ว่านอกจากความเจ็บปวดเเล้ว ยังมีความเสียดเสียวตามมาเช่นเดียวกัน ผมร้องไห้พร้อมลากเล็บไปตามหลังของอีกฝ่าย ทว่าอีกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร

เมื่อถึงเวลา ผมก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เสียงร้องเเบบที่ผมไม่เคยทำ ได้ยินขึ้นมาเรื่อยๆ ยามอีกฝ่ายกระเเทกตัวตนลงในจุดๆ หนึ่งผมก็ยิ่งร้องไม่เป็นภาษา

"อ่ะ อ๊าาา"

"ซี...อึ่ก"ร่างสูงปลดปล่อยออกมาเต็มช่องทาง และทิ้งตัวทาบทับผมทันที

ก่อนเปลือกตาจะปิดลง สิ่งที่หายไปพร้อมกันคือความเจ็บปวด...



...



TBC รอมาม่าเเละวิ่ง ฟิ้วว อยากเห็นเม้นให้ชื่นใจหน่อย กริ้วๆ


ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
​​08 ความชัดเจน



'ความรักไม่ได้เเย่ หากเเต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง'

ความเปียกชื้นมาเยือนอีกครั้งยามลืมตา ก่อนจะกระพริบตาไล่มันให้หายไป สิ่งเเรกที่มองเห็นคือมือหนาของอีกฝ่าย ที่พาดเฉียงไว้บนช่วงเอวของผม

ผมลอบมองเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายในความมืด มือเล็กปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายอยู่บนใบหน้าคมอย่างตั้งใจก่อนจะลูบสะเปะสะปะบนนั้น

จากหัวคิ้วที่คลึงมันเพื่อให้คลายออก จมูกโด่งเป็นสันที่เข้ารับกับริมฝีปากขนาดพอดี รวมไปถึงส่วนคางที่คมกริบเป็นรูปสวยงามอย่างตัวร้าย

มุมปากยกยิ้มอย่างมีความสุข เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงมัน เเม้จะเกิดขึ้นเพียงเพราะอีกฝ่ายโดนฤทธิ์เเอลกอฮอล์ครอบงำก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็มีความรู้สึกดีของผมปะปนอยู่บ้าง

เเม้ว่าความเจ็บปวดคือสิ่งที่ตอบเเทนความรักของผมก็ตาม

สองมือเล็กโอบกอดอีกฝ่ายอย่างอาวรณ์ ก่อนผละตัวออกมา กัดฟันลืมความเจ็บปวดชั่วคราว เก็บข้าวของที่กระจัดกระจายเกลื่อนห้องไว้ในอก ก่อนจะเเต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วฝืนความเสียดช่วงล่างไปถึงประตู หมุนมันเบาๆ ก่อนเม้มปาก เอ่ยถ้อยคำที่เสียดในอกอย่างเจ็บปวด หากเเต่ก็ห้ามไม่ได้

"ลาก่อนนะ...บีท"

ทุกอย่างราวกับฝันไป

ไม่คาดคิด ไม่คิดว่าวันนี้จะเกิด หากเเต่โกหกไม่ได้ว่าต้องการ เป็นเสี้ยวเล็กๆ ในความคิดของคนเลวอย่างผม

ที่มันรักคุณเหลือเกิน

...

Special Beat

มือหนาปัดป่ายไปบนเตียงกว้างเพื่อหาคนข้างกาย หากเเต่ต้องขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อสิ่งที่ต้องการถูกเเทนที่ไว้เพียงเเค่ความว่างเปล่า

เขาลืมตาตื่นอย่างตกใจ ก่อนจะรู้สึกบีบรัดในอกเเปลกๆ เหมือนมีบางสิ่งสำคัญกำลังจะหายไป ก่อนจะพันผ้าเช็ดตัวท่อนล่างเเล้วเดินตามหาคนที่ต้องการไปทั่วห้อง

"เมล...มึงอยู่ไหน"ห้องน้ำมีเพียงความว่างเปล่า ผมเดินไปทั่วหากเเต่หาไม่เจอ จนทำได้เพียงกระวนกระวาย

"เเม่งเอ้ย !"

สองมือปัดสิ่งของบนโต๊ะจนเต็มพื้น และมีบางสิ่งตกเเตกหากเเต่เจ้าของไม่ได้สนใจ สมองขบคิดถึงคนที่หายไปเท่านั้น

สองมือควานหาโทรศัพท์  กดเปิดมันอย่างลวกๆ ก่อนจะโทร.หาคนที่หายไป ทว่ากลับทำให้ความรู้สึกในอกผมพลุ่งพล่านเพราะเป็นเสียงอัตโนมัติที่ตอบกลับมาเเทนที่เสียงหวานอย่างที่ผมต้องการ

พลันสมองอื้อชั่วขณะ คนที่มีทุกอย่าง ทั้งครอบครัวทั้งเงินทองมากมายก่ายกองตรงหน้า มีผู้คนมากมายรายล้อมอยู่รอบกาย ใครๆ ต่างบอกว่าเขาโชคดี แต่เขาไม่เคยมีความรู้สึกนั้นในหัวเลยเเม้เเต่น้อย

เขามีเงิน มีทุกอย่างก็จริง เเต่หนึ่งสิ่งที่ผมต้องการเเละอยากได้มันกลับไม่เคยมี

ความรัก

สิ่งที่คนเราใฝ่ฝันมากที่สุด อยากไขว่คว้าแม้รู้ว่าปลายทางอาจไม่ได้สวยงามดังที่หวังไว้ แต่ก็ยังต้องการมัน

แค่ได้สัมผัส ก็คงมากเพียงพอต่อการได้มีความรู้สึกกับใครสักคนนึง

ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องการมันมาก มากเสียยิ่งกว่าเงินทองที่มีอยู่ในชีวิตผมตอนนี้เสียอีก มันเป็นเพียงตัวเลขที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป

ยามที่ไม่มีเขา

คนที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากเเล้วว่า...ผมรู้สึกดีต่อเขามากจริงๆ

มันอาจจะยังไม่ใช่ความรัก เเต่ผมเชื่อว่าสักวันมันต้องพัฒนาได้

เหตุการณ์เมื่อคืนมันไม่ได้เกิดจากความเมา ผมตั้งใจในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ผมรับรู้ทุกอย่างว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เป็นเพื่อนสนิทของผมที่ผมรู้สึกเเบบไหนด้วย หากเเต่ความคิดโง่ๆ ของผมทำให้อีกฝ่ายเสียใจ

ผมยังจำสายตาตัดพ้อของเขายามมองผมตอนผมเรียกชื่ออีกคนได้ดี ความเจ็บปวดในอกไม่สามารถพยุงตัวต่อไปได้ จึงทำได้เพียงหลับตาหลีกหนีสิ่งนั้นไป

ผมไม่อยากให้อีกฝ่ายโกรธ ทว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นยิ่งตอกย้ำว่าผมมันเป็นเพียงเเค่คนโง่ขนาดไหน

ผมแค่รู้สึกผิดต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเเฟนของผม เลยเผลอเปล่งเสียงนั้นออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

อืม ก็คงไม่มีใครโง่เกินกว่าผมแล้วล่ะ

ที่กำลังมีความสุขกับอีกคนแต่กลับเรียกชื่ออีกคนออกมา

นอกจากจะโง่เเล้วยังหลายใจอีก

เหมือนหัวใจผมเเบ่งเป็นสองซีก วางคนร่างเล็กที่เป็นเพื่อนสนิทไว้หนึ่งฝั่ง ส่วนอีกฝั่ง ผมก็วางคนที่ขึ้นชื่อว่ามีสถานะเเฟนกับผมอยู่เอาไว้ในนั้น

แต่ตอนนี้ เหมือนซีกซ้ายจะค่อยๆ กระจายยึดพื้นที่มากกว่าซีกขวาเสียเเล้ว

ถึงผมจะโง่ เเต่ผมก็ยังฉลาดพอที่จะรู้เเล้วว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปยังไงดี

สองเท้าเดินเข้าหายไปในห้องน้ำ จัดการตัวเองอย่างเร็วรี่ ก่อนจะคว้ากุญเเจรถกับโทรศัพท์มือถือไว้เต็มมือ แล้วเดินออกจากห้องทันที

ผมกดนิ้วมือลงบนหน้าจอ หาคนที่ต้องการ เเต่ปลายสายเป็นเสียงตอบกลับอัตโนมัติทำให้ผมเเทบจะพ่นไฟออกมาเเทบจะทันที

ไม่มีอะไรดั่งใจเลยสักอย่างเดียว

สองตาปิดลงชั่วครู่เพื่อปรับอารมณ์ ก่อนจะทอดตัวดันเกียร์ให้พร้อมต่อการขับแล้วมุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที

มือหนาคว้าคีย์การ์ดวางบนเครื่องเเสกน ก่อนจะเข้าห้องไปอย่างเงียบเชียบที่สุด เสียงครวญครางกระทบหูจนรู้สึกถึงมือที่ถือคีย์การ์ดนั้นกำลังสั่นระริก จากนั้นก็ก้าวตามเสียงนั้นไป ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกไม่อยากอยู่ที่นี่มากเท่านั้น เหมือนคนโง่เง่าที่ไม่อยากยอมรับความจริง

จนประตูบานใหญ่ปิดลง

สายตาทั้งคู่จ้องมองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ คนหนึ่งคว้าผ้าห่มมาปิดกายทันท่วงทีเพื่อไม่ให้ผมเจอภาพที่บาดตามากกว่านี้

ผมยกยิ้มอย่างสังเวชตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องมาทันที โดยไม่ฟังเสียงเรียกใดๆ ไม่นานนัก ร่างเล็กที่น่าจะคว้าผ้ามาสวมตัวลวกๆ ก็คว้าข้อมือผมไปอย่างถือวิสาสะ

เเววตาใสมองผมอย่างอ้อนวอน ก่อนดวงตาเล็กๆ นั่นจะปล่อยหยาดน้ำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด

"บีท...เราขอโทษ ฮึก เราไม่ได้ตั้งใจนะ"

"..."

"เราเเค่เหงา เเล้วก็คิดถึงบีทมาก เเต่บีทก็หายไปในตอนที่เราต้องการบีทที่สุด เราไม่รู้จะทำยังไง เราเลย..."เธอเว้นประโยคไว้เเค่นั้น เเต่เท่านั้นคนฟังก็พอจะเดาเหตุการณ์ต่อมาได้ไม่ยาก

"ไม่เป็นไร อย่าร้องเลยนะซี"

"ฮึก เราคงเลวมากใช่มั้ยบีท บีทคงเกลียดเราเเล้วใช่มั้ย ฮือ"

"ไม่หรอก เพราะเราเองก็คงเลวไม่ต่างจากซีหรอก"

"บะ...บีทหมายความว่ายังไง"

"เมื่อคืน...เรามีอะไรกับเมลไปแล้ว"

เพี้ยะ

ทันทีที่จบคำตอบ ฝ่ามือเล็กก็ฟาดลงมาอย่างเต็มเเรง เธอสะอื้นจนไหล่บางนั้นสั่นไหว ลมหายใจขาดห้วงเพราะการร้องไห้ เธอมองผมด้วยเเววตาผิดหวัง

"บีททำกับเราเเบบนี้ได้ยังไง !"

"..."

"เราถามก็ตอบสิ เงียบทำไมล่ะ คนผิดก็ต้องยอมรับผิดสิ"

"เราขอโทษ"ผมกล่าวได้เพียงเท่านี้ เพราะไม่รู้ว่าคำไหนจะดีไปมากกว่านี้อีกเเล้ว

คนเราเป็นเเบบนี้เสมอ ความผิดของตัวเองมักจะเล็กไปเลยเมื่อคนอื่นมีความผิดเหมือนกัน

"ขอโทษ เเค่นี้หรอ บีทนอกใจเรานะ พูดได้เเค่นี้หรอ !"

"แล้วเธอล่ะ เธอไม่ได้นอกใจเราเลยงั้นสิ เราผิดคนเดียวเลยงั้นสิ"

"อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ผิดเพศที่ไปเอากับผู้ชายเหมือนเเกหรอกบีท แกมันน่าสมเพช เอาไม่เลือกหน้า ทำได้เเม้เเต่เพื่อนตัวเอง !"

"หึ นี่คือตัวตนของเธอสินะซี"

"..."

"ขอบคุณที่พูดความจริงนะ ว่ารู้สึกเเบบไหนกับเรา ยิ่งซีทำเเบบนี้ เรายิ่งอยากขอบคุณซีเลย"

"ทำไม จะมาขอบคุณทำไม"

"ขอให้โชคดีนะ เรา...เลิกกันเถอะ"

"วะ...ว่าไงนะ เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป บีท!"

ขอบคุณที่ทำให้การตัดสินใจของผมมันง่ายขึ้นเยอะ ต่อจากนี้ผมจะชัดเจนต่อความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเเคร์ใครอีก

เพราะคนที่ผมควรจะเเคร์มีเพียงคนเดียว

...

'เรามักจะคิดถึงบางอย่าง ในคราที่ไม่มีมันอยู่กับเราอีกเเล้ว'

สายฝนยังคงสาดซัดจนเเทบจะไม่ได้ยินเสียงโทรทัศน์ตรงหน้าที่กำลังฉายละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง

"ไม่ ทำไมคุณต้องทิ้งฉันไปด้วย ฉันสู้เขาไม่ได้ตรงไหน ฉันมีหน้าตา มีฐานะ มีความสามารถ ซึ่งฉันเชื่อว่ามันมากกว่าเขาเเน่นอน เขาไม่มีทางเทียบฉันได้ด้วยซ้ำ แล้วทำไมคุณถึง..."แววตาตัดพ้อเหมือนคนสับสนถูกส่งไปยังตัวเอกของเรื่องที่กำลังหน้านิ่งเรียบอยู่

มือหนาค่อยๆ แกะมือเล็กออกอย่างเเผ่วเบา ก่อนถอยเท้าออกมาหนึ่งก้าว รอยยิ้มเเต่งเเต้มบนใบหน้าหล่อเหลา แต่ทว่าน้ำตาที่อาบหน้านั้นไม่สามารถทำให้สนใจเรื่องนั้นได้อีก

"อยากรู้ใช่ไหมคุณ ว่าทำไมผมเลือกเขา..."

"..."

"เขาอาจจะไม่ได้มีทุกอย่าง หน้าตาเขางั้นๆ ความสามารถปานกลาง ฐานะก็ไม่ได้ดี แต่เขาเป็นคนที่ผมรัก และพร้อมจะสร้างชีวิตที่มีอยู่ไปพร้อมกับเขา ค่อยๆ เติบโตไปด้วยกัน และมีกันตลอดไป"

"..."

"ผมขอโทษที่ผมรักคุณไม่ได้ แต่สักวันหนึ่งคุณอาจจะเจอคนที่ดีกว่าผมก็ได้ ถึงตอนนั้นถ้าคุณยังอยากมีีผมอยู่ในชีวิต ช่วยมาทักทายกันบ้าง อย่างน้อยเราก็มีกันแม้ไม่ใช่สถานะที่คุณต้องการก็ตาม"นางเอกคุกเข่าลงตรงหน้ามือเล็กๆ เกาะกุมท่อนขาอย่างคนหมดเเรง หากเเค่สิ่งที่ได้รับคือสีหน้าลำบากใจเท่านั้น

เขาเดินจากไปแล้วคนด้านหลังที่ต้องเจ็บปวดกับรักที่พร่ำดูเเลมาอย่างดี แต่กลับพังทลายลงตรงหน้า

ผมไม่เคยเข้าใจความรัก แต่ตอนนี้หลังจากทุกอย่างเข้ามาผมก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจมันให้มากขึ้น ผมจึงได้รู้ว่า ถ้าเป็นผมผมก็จะทำแบบที่นางเอกทำ

แม้ต้องเสียศักดิ์ศรีเท่าไหร่ ก็ไม่เท่ากับการเสียคนที่รักให้ออกไปได้หรอก

มันเทียบกันไม่ได้เลย



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในโสตประสาท ผมไม่มีจิตใจจะลุกไปเปิดด้วยซ้ำจึงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนหน้าจอข้างตัวจะสว่างวาบ ผมเหลือบมองด้วยความรวดเร็วก่อนจะผิดหวังอีกครั้งเมื่อไม่ใช่คนที่ผมต้องการ

แต่เขาไม่ต้องการผม

"ว่าไง"ผมกดรับและกรอกเสียงลงไปนิ่งๆ

"ทำไมเสียงเป็นเเบบนี้ เมาหรอ ?"

"แค่กรึ่มๆ"

"อยู่ไหน ให้กูไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ย/เกิดอะไรขึ้นวะ"

"อยู่ในห้องเนี่ยเเหละ มึงใส่รหัสเเล้วก็เข้ามาเลย"

"บอกกูสิว่ารหัสอะไร"

"1512"

"..."ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นอึ้ง หรือกำลังงงอยู่ก็ได้

"ทำไมเป็นเลขนี้ล่ะ"รุจน์เสียงเรียบอย่างจริงจังทันที ผมถอนหายใจอย่างตึงเครียดพอกันก่อนจะกรอกเสียงลงไป

"กูว่ามึงน่าจะฉลาดพอนะ"

"..."

"แต่ถ้ามึงโง่เหมือนกู กูบอกให้ก็ได้"

"..."

"กูชอบมัน"

...

"เชี่ยยย ทำไมห้องมันเละเเบบนี้วะ"

"พอเข้ามาในห้องก็โวยวายเลยนะมึง"รุจน์หันไปตบหัวอีกฝ่ายทันที ก่อนที่อีกคนจะเงียบลงถนัดตา

"มึงโอเคมั้ย ?"

"อืม"

"อย่าตอบว่าโอเคทั้งที่มึงเป็นเเบบนี้ดิ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่เนี่ย"

"มึงนี่ขี้เสือกจริงๆ นะ ไปซื้อเหล้ามาเพิ่มดิ จะได้ดับความขี้เสือกเรื่องคนอื่นได้บ้าว"

"อ้าว เเล้วทำไมมึงไม่ไปเองวะ แล้วมาด่ากูทำไมเนี่ย ถ้ามึงไม่ขี้เสือกเนี่ยก็ไปกับกูดิ"

"อ่ะ ที่เหลือให้ทิป"

"โอเค ตามสบายเลยคร้าบบบ"ไอ้ตัวโวยวายหันมาขอบคุณเมื่อได้เเบงก์สีเทาในมือก่อนจะฮัมเพลงเดินออกจากห้องไป ลืมความเสือกเมื่อครู่ไปสนิท

"มึงเคยได้ยินเรื่องนี้มั้ยวะ"

"..."

"ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่มิตรภาพที่สวยงาม จากวันรับน้องจนถึงตอนนี้ มันเหมือนจะดี แต่วันนึงก็มีคนหนึ่งคิดเกินเพื่อนแต่รู้ว่าคนที่ตัวเองรักมีเเฟนอยู่เเล้วเลยต้องหักใจไว้ทั้งๆ ที่ก็รักไม่ได้น้อยไปกว่าใครเลย"

"..."

"บางทีก็เจ็บที่ต้องมองเขาอยู่กับคนอื่น ดูเเลกัน รักกันปานจะกลืนกิน แต่ก็ต้องเเสร้งยิ้ม บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ทำใจได้แล้ว ทั้งที่ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะมาถึงเมื่อไหร่"

"..."

"มึงรู้ ?"

"หึ กูไม่ได้โง่เหมือนมึงสักหน่อย"นั่นสิ คงไม่มีใครโง่เหมือนผมแล้วล่ะ

"ไม่ต้องทำหน้าหมาตอนนี้ บอกกูได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น"

"เมลหนีกูไปแล้ว เขาไม่มาหากูเเล้ว"ผมซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างหมดเเรง บางคนบอกผมว่าการกินเหล้ามันทำให้ลืมความเจ็บปวด แต่ผมใช้เหตุผลข้อนี้ไม่ได้ เพราะเเผลผมตอนนี้เหมือนมันจะฝังลึกลงไปเเน่นขึ้นอีกจนแทบจะทนไม่ไหว

"คิดจะยอมเเพ้เเค่นี้เหรอวะ มันรักมึงเเค่ไหน มึงมายอมง่ายๆ แบบนี้น่ะหรอ"

"กู..."

"กูถือว่ากูเตือนมึงเเล้วนะบีท เมลมันเป็นคนดี ถ้าไม่จริงจัง..."

"ไม่ใช่ !"ผมพูดเเทรกขึ้นมาเสียงดังทันทีเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยดูถูกความรักของผม

ต่อให้ผมจะโง่ เเต่ถ้าผมมั่นใจเเล้วผมรักจริงเเน่นอน

"ถ้ามึงเเน่ใจก็ไปตามมันกลับมาสิ"

"กูไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน"เพราะผมรู้จักอีกฝ่ายคนเดียว ไม่ได้รู้จักครอบครัวอีกฝ่ายเลยเเม้แต่น้อย

"อ่ะ เปิดดูในไลน์ดิ กูส่งให้เเล้ว"

"หึ"รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนมุมปากทันที

มึงหนีกูไม่พ้นหรอกเมล...

...






CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
​09 คุย

'เราเลือกได้เสมอว่าความสุขขึ้นอยู่กับอะไร แต่ต่อให้การรักคุณเป็นทุกข์ผมก็ยินดีลือกจะรับความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้เอง'

CARAMEL

จากท้องฟ้าสีสดของเวลากลางวัน จู่ๆ ก็กลับมีหยาดฝนสาดซัดลงมาอย่างไม่ขาดสายด้วยเวลาอันรวดเร็ว

กลิ่นไอดินพัดโชยเข้ามาในจมูกโด่ง ก่อนจะหายไปและกลับมาอีกครั้งวนไปเช่นนั้น สองหูได้ยินเสียงของมันที่ตกกระทบพื้นดินสะท้อนก้องอยู่เป็นระยะ

เรื่องบางเรื่อง กับคนบางคนในบางช่วงเวลานั้น สามารถสร้างบาดเเผลในใจได้ไม่น้อย

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้ผมต้องหิ้วกระเป๋าที่เก็บของลวกๆ ใส่มาด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะรีบจองตั๋วรถทัวร์แล้วเดินทางกลับบ้านโดยไม่ทันตั้งตัวใดๆ

ไม่ลืมที่จะโทรบอกมารดาให้ทราบ ท่านเป็นคนที่อยู่กับผมมาทั้งชีวิต เราคุยกันอยู่เสมอเป็นระยะเพียงเเต่ช่วงหลังมานี้ เราก็ห่างหายกันไปบ้างเพราะความไม่ว่างของผมเอง แต่สายใยที่พันผูกมาตลอดตั้งเเต่อยู่ในครรภ์นั้นทำให้ท่านตอบรับการกลับไปของผมโดยที่ไม่ถามใดๆ เพียงเเค่อวยพรให้เดินทางปลอดภัยเท่านั้น

พลันสมองก็อื้อไปชั่วขณะ ปลายสายไม่อาจทราบได้ว่าเพียงเเค่ประโยคนั้นถูกเอ่ยออกมา สมองก็สั่งให้ดวงตาปล่อยน้ำใสให้รินรดใบหน้าได้ไม่ยากเย็นเลย

เมื่อถึงเวลาผมก็ออกเดินทางทันที ก่อนรถคันใหญ่จะเเล่นทะยานไปในท้องถนน พร้อมกับสมองที่อ่อนล้าจะสั่งให้ร่างกายพักผ่อนทันที

ผมใช้เวลาพักผ่อนค่อนข้างนาน ก่อนจะรู้ตัวอีกที ว่ารถคันนี้จะเดินทางมาครึ่งค่อนทางเเล้ว ก่อนจะบิดตัวไล่ความเมื่อยขบตามร่างกาย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะพบว่าหน้าจอได้ดับไปเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว ผมทอดถอนหายใจ ก่อนจะคว้ากระเป๋าใบเล็กมาเปิดหาเพาเวอร์เเบงค์ ก่อนจะรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเสียบมันเข้ากับโทรศัพท์ในมือ

หน้าจอสว่างวาบเมื่อเปิดเครื่อง อาจเป็นเพราะเกิดเเต่เรื่องวุ่นวายในช่วงเวลาสั้นเกินไป ทำให้ผมลืมสิ่งที่ควรจะทำไปเสียสิ้น ดีที่ยังคว้าเพาเวอร์เเบงค์ติดกายมาด้วย ไม่เช่นนั้นผมก็คิดไม่ออกเลยว่าหากเกิดอะไรขึ้นมันจะเป็นอย่างไรต่อไป

ทันใดนั้น มือที่กำลังจะกดโทร.หาเเม่ก็กลับชะงัก เมื่อตัวเลขผู้ที่โทร.เข้ามาในเครื่องปรากฏสู่สายตา

ค่อนข้างจะไม่คาดคิดเสียเท่าไหร่

เเต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความอดทนมากขนาดนั้น ที่จะกระหน่ำโทร.จนขึ้นmiss call เป็น100ได้ในเวลาไม่เกิน1ชั่วโมง

ผมผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดอะไรในหัวอย่างที่ไม่อยากจะทำแต่กลับห้ามไม่ได้ คิดตั้งเเต่เรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น ความร้อนที่สอดลึกเข้ามาในร่างกาย ความอ่อนโยนที่ได้รับ ริมฝีปากที่พ่นถ้อยคำหวานหูให้ได้ยินนับไม่ถ้วน จมูกโด่งที่คลอเคลียข้างเเก้มอย่างทะนุถนอม จนรู้ตัวอีกที ก็ต้องปาดน้ำตาบนหน้าอีกเเล้ว

ไม่รู้ว่าความเจ็บจากการที่เเอบรักมานานเเต่เขาไม่รู้ กับการที่ต้องเจ็บปวดจากการที่อีกฝ่ายร้องหาคนอื่นในตอนนั้นอันไหนมันจะเจ็บกว่ากัน

อันหลังคงจะมากกว่า

ความสั่นครืดที่ได้รับจากของในมือ ทำให้ร่างโปร่งพลิกหน้าจอขึ้นมาดูอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะรู้ว่าเป็นความคิดที่ผิดหนัก

เพราะมันคือคนที่ผมไม่ต้องการอีกแล้ว

ในหลายๆ ครั้ง มนุษย์เราต้องพบเจอกับความเจ็บปวดมานับไม่ถ้วน อาจจะกล้ำกลืนฝืนทน จนบางทีก็รับมันไม่ไหวอีกแล้ว

จนอยากหยุดมัน

เสียงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้งที่อยากจะตัดมันออกไป ผมกลับไม่ยอมแม้แต่กดตัดสายทิ้ง หรือปิดเครื่องหนีไปเลยด้วยซ้ำจะได้จบๆ ไป

แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลงอยู่ดี

ผมอาศัยช่วงจังหวะที่บีทหายไป โทร.เข้าหามารดาทันที

"แม่ครับ เมลใกล้ถึงแล้วนะ ออกมารับหน่อย"

"จริงหรอ เดี๋ยวแม่ไปนะลูก"น้ำเสียงยินดีดังขึ้นให้ผมใจชื้น ผมไปตั้งต้นกับความรักมา

เกินไปจนหลงลืมคนที่ควรจะให้ความสำคัญจริงๆ ในชีวิตไป

เมลขอโทษนะครับแม่



"แม่สวัสดีครับ"ผมเอ่ยเสียงอ่อนพร้อมยกมือไหว้ มือเล็กสอดรอบเอวผมทันที กอดผมเต็มแรงเหมือนลืมตัว ก่อนใบหน้าหวานจะมีน้ำตานองหน้า ผมยิ้มแล้วปาดมันออกแผ่วเบา

ผมเชื่อว่าการกลับมาในครั้งนี้ผมจะคิดไม่ผิด…

รุ่งสางของวันต่อมา ผมตื่นนอนมาด้วยอาการอ่อนเพลียเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ก็ฝืนลุกขึ้นมา ผมยืนซ้อนหลังคนสวยของผม ก่อนจะหอมแก้มเต็มแรงให้ผู้เป็นแม่ยิ้มขึ้นมาได้ ก่อนจะช่วยกันทำอาหารเพื่อเตรียมสำหรับการทำบุญในวันนี้

เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงพักผ่อนของผมกับแม่ ผมกับแม่เลยเลือกจะทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน หรืออาจจะเป็นเพราะแววตาเข้าใจของแม่ที่ไม่ถามแม้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงกลับมากะทันหันแบบนี้ ท่านเป็นคนที่เข้าใจผมดีที่สุด จนผมละอายใจตัวเอง

การทำบุญในวันนี้ไม่มีอะไรมาก ผมตั้งใจไว้ว่าเราสองคนจะทำอาหารไปเลี้ยงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแถวๆ บ้าน ถึงแม้ว่าเงินของเราจะไม่ได้เหลือเฟือ แต่เราก็ให้มันด้วยความเต็มใจตามกำลังเราจะมี ผมกะไว้ว่าจะชวนเพื่อนสมัยเด็กๆ ไปด้วย แต่เพราะกะทันหันเกินไป เลยมีคนมาร่วมได้ไม่กี่คน

ก็ยังดี…

ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

ผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องวันนั้นอีก มันควรจะจางหายไปพร้อมเวลา แม้ว่ามันจะนานสักแค่ไหน ผมก็เชื่อว่า สักวันมันต้องหายไปบ้าง สักนิดก็ยังดี

กริ๊ง

เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ผมรีบล้างมือให้สะอาดทันที ก่อนจะเช็ดมันให้แห้งเพื่อไปเปิดประตู ดูท่าว่าจะมากันแล้วสินะ

"แม่ครับ เดี๋ยวเมลไปรับเพื่อนก่อนนะครับ"

"จ้ะลูก อย่าวิ่งนะ"

"แม่ เมลไม่ใช่เด็กๆ นะ"

"จ้าๆ"

            หลังบานประตูไม้ มีสองร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมยกยิ้มดีใจ ก่อนจะสวมกอดทั้งคู่ทันทีอย่างคิดถึงทั้งที่ยังไม่ทันได้ทักทายกันเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะเอ่ยชวนไปคุยกันต่อในบ้าน

“เราโคตรคิดถึงมายด์กับตุลมากเลย ไม่เจอกันตั้งนานยังหน้าตาดีเหมือนเดิมทั้งคู่เลยนะ”

“แหมมม ปากหวานจังนะเรา แล้วไม่เห็นกลับมาเที่ยวบ้างเลย หลงแสงสีหมดแล้วมั้ง

มายด์เพื่อนสาวเอ่ยอย่างหยอกล้อแบบไม่จริงจัง

“นั่นสิ ไปอยู่นู่นไม่เห็นกลับบ้านบ้างเลย ไม่คิดถึงแม่หรอ”ตุลถามขึ้นมาบ้างให้ผมเสียใจอยู่ลึกๆ ผมลืมคนสำคัญไปอย่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ

“คิดถึงสิ แต่งานอะไรรัดตัวน่ะ เรียนหนักมากด้วย แต่ก็คุยอยู่ตลอดนะ”…เว้นแค่ช่วงหลังนั่นแหละ

“อ๋อออ งั้นเราไปทำบุญแล้วไปเที่ยวกันต่อมั้ย ถึงเพื่อนคนอื่นจะไม่ว่างแต่เราไปเที่ยวกันสามคนก็ได้ รำลึกความหลังกันไง”มายด์เอ่ยเสียงใส

“เออ ก็ดีเหมือนกัน นานๆ ทีจะได้อยู่ด้วยกัน”

“ก็ได้ แต่เราไปช่วยแม่ก่อนนะ”

“เห้ย เราไปช่วยด้วยดิ”

“กูไปด้วย”ผมยกยิ้มทันทีเมื่อคนหลังดูท่าทางจะติดเพื่อนเขาแจทีเดียว อะไรก็ดีงามไปเสียหมด จนอดเอ่ยแซวไม่ได้ในตอนที่เดินคู่หลังตามคนร่าเริงเข้าครัวไปแล้ว

“แหน่ะ ไม่เจอกันแปปเดียวนี่ตามเค้าต้อยๆ เลยนะ”

“อย่าพูดมาก”อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบา เพราะกลัวคนที่พูดอยู่ในประโยคจะได้ยิน ด้วยหน้าแดงๆ

“เห้ย หน้าแดงว่ะ นี่เขินหรอเนี่ย มายด์…มายด์มานี่ดิ อุ้บบบบ”ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาทันทีหลังฝ่ามือใหญ่ที่ปิดปากผมอยู่ กับหน้าตาคาดโทษเหมือนผมไปทำความผิดร้ายแรง

“หุบปากเลยนะมึง อย่าให้ถึงคราวกูนะ”มีชี้หน้าด้วย

“อ่อยอ่อน”อีกฝ่ายก็ทำตามคำขอทันที ผมอ้าปากจะแกล้งต่อแต่ก็หลุดหัวเราะเสียงดัง จนคนในครัวหันมามอง

“เล่นอะไรกันอ่ะ ไม่ชวนเลยนะ”

“ปล๊าววว คือเรา…”ไม่ทันจะแกล้งเพื่อนต่อ เสียงดังหน้าบ้านก็เรียกความสนใจเราไปได้ทั้งหมดทันที

กริ๊ง

“อ้ะ ใครมาอ่ะ ไม่มีแล้วไม่ใช่หรอ”

“อาจจะมีคนมาเพิ่มมั้ง งั้นเดี๋ยวเราไปเปิดเองนะ”ผมว่าอย่างเป็นมารยาท ยังไงก็ต้องไปเปิดเองอยู่แล้ว เพราะจะให้แขกเดินไปได้ยังไงเล่า

“เดี๋ยวเราไปทำกับข้าวต่อนะ”

“กะ…กูไปด้วย”

“ก็มาสิ อ้ำอึ้งทำไม”

“คิก”ผมหลุดหัวเราะ แต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่อเจอสายตาของอีกฝ่ายที่ไม่พอใจอยู่

น่ากลัวจังเล้ยยย

นี่ยอมก่อนหรอกนะ เพราะเห็นว่ามีคนมาเพิ่ม จะได้เจอใครอีกเนี่ย ตื่นเต้นจัง ไม่เจอกันตั้งนานผมอยากเจอทุกคนเลย

ความร่าเริงหายไปทันทีหลังเปิดประตู มือจับบานประตูชะงัก เหมือนความชาเหน็บจะกัดกร่อนตัวจนขยับไปไหนไม่ได้ นิ่งค้างอย่างไม่รู้สาเหตุ ก่อนจะหลบสายตาอีกฝ่ายพัลวัน

ในหัวมีแต่คำถามที่ผมไม่สามารถใช้สติเรียบเรียงมันได้ จนถามได้เพียงแค่คำถามง่ายๆ เท่านั้น

“มะ…มาได้ยังไง”

“ขับรถมา ขอเข้าไปหน่อยสิ”บีทว่าเสียงทุ้ม อีกฝ่ายดูเหมือนเดิมทุกอย่าง อาจจะจำเรื่องคืนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะวันนั้นฤทธิ์แอลกอฮอล์มันออกมากเกินไปจนสติเลอะเลือน

ความคิดที่ทำให้ผมเม้มปากอย่างน้อยใจ กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วผมก็เป็นแค่เพื่อนที่งี่เง่ามาโกรธอะไรก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสินะ

ท่าทางที่ร่างโปร่งเห็นอยู่ในสายตาชัดถนัด เพราะความใกล้ชิดจนได้กลิ่นกายประจำตัวเหมือนคืนนั้น แววตาน้อยใจสับสนและความเสียใจฉายชัดในสายตาจนเขาอยากเข้าไปกอดปลอบเหลือเกินแต่ทำไม่ได้

“อืม เข้ามาสิ”ผมเอ่ยชวนก่อนจะเดินคู่กันเข้าไปในบ้าน จากปรกติที่ไม่เคยมีความอึดอัดยามที่อยู่ด้วยกัน กลับกันตอนนี้กลับมีความรู้สึกนั้นอัดเต็มเปี่ยม ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย แต่แค่ห้ามไม่ให้ตาปล่อยหยาดน้ำออกมาก็ยากมากพอแล้ว แค่นี้ก็เกินกว่าที่ผมจะทำได้แล้วแหละ

“เมล คือกู…”

“ใครมาหรอ ?”มายด์ชะโงกหน้ามาถามจากชั้นบน ผมเลยได้โอกาสแนะนำตัวไปด้วยเลย

“บีท เพื่อนเราน่ะ”

“หูยยย หล่อจัง เมลมีเพื่อนหล่ออ่ะ”

“ขอบใจมากนะ”อีกฝ่ายส่งยิ้มหวานไปให้ ผมลืมไปได้ยังไงว่าอีกฝ่ายชอบผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายไม่มีอะไรดีแบบผม

“ทำไมถ้าหน้าแบบนั้น”ตุลผู้สังเกตท่าทางผมได้ถามขัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนจะส่งสายตาคำถามปนเป็นห่วงมาให้

“เปล่าหรอก เข้าในบ้านกันเถอะ”ผมว่าแล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน

“สวัสดีจ้ะ เพื่อนเมลหรอลูก”แม่ผมเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร

“ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

“ได้สิ งั้นวันนี้ไปทำบุญด้วยกันไหม แม่เตรียมของเสร็จพอดี”

“ได้หรอครับ ขอบคุณมากนะครับ”

“แต่ว่า…”ผมทำท่าจะเอ่ยขัดประโยคที่คุยอย่างสนิทสนมนั้นแต่แม่ก็ส่งสายตาดุๆ มาให้ก่อน

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น เพื่อนเราอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล จะใจร้ายกับเขาได้ยังไง”

“ครับ”

“งั้นเราไปกันเถอะ”

“พ่อแม่ทำงานอะไรหรอ ?”

“พ่อผมเปิดบริษัทเล็กๆ อยู่น่ะครับ ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านครับ”เล็กอะไรล่ะ มีเงินเหลือใช้ขนาดนั้น

“หรอ แล้ว…”

“แม่ครับ ถึงแล้วครับ”

“อ้อ จริงด้วยเกือบจะเลยแหน่ะ”

“ครับ”

“นี่”

“หืม ว่าไงมายด์”



“ไม่อยากให้บีทมานี่หรอ เห็นทำหน้าแบบนั้น”

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”

“หรอ งั้นก็ทะเลาะกัน”เพื่อนอีกคนเอ่ยถามเสียงทะเล้นตามสไตล์

“ก็ไม่เชิงอ่ะ”ทะเลาะอะไรล่ะ ผมคิดอยู่คนเดียวนี่นา

“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าเลย เราจะมาทำเรื่องดีๆ กันนะ”มือเล็กวางบนไหล่เล็กเบาๆ ให้ผมยิ้มอ่อนไปให้

“อืม ขอบใจมากนะ”



“เด็กๆ สวัสดีพี่ๆ ทุกคนกับคุณป้าเร็ว”เจ้าของที่นี่เอ่ยขึ้นอย่างใจดีจนเด็กๆ ทำตามกันอย่างรวดเร็ว

ที่นี่มีเด็กๆ หน้าตาน่ารักหลายคน แต่ส่วนใหญ่จะดูเป็นเด็กดี คุณป้าน่าจะสอนมาดี

“สวัสดีครับ/ค่ะ”มือเล็กพนมมือกลางอกอย่างสวยงามจนผมยิ้มตาม ตาก็หันไปเจอร่างเล็กที่ยืนสงบเสงี่ยมด้านหลังอีกคน เมื่อเห็นผมมองก็สะดุ้งหลบหลังเพื่อนอีกคนทันที ผมหรี่ตามองอย่างสนใจ คงต้องทำความรู้จักหน่อยแล้ว

“มีอะไรหรอ”

“อ้อ เอ่อ เปล่าหรอก”ผมชะงักรอยยิ้มเมื่อครู่ฉับพลัน ก่อนจะเสหน้ามองทางอื่นและค่อยๆ ขยับออกเล็กน้อย เพราะความใกล้ชิดเมื่อครู่ที่มันมากเกินไป

“งั้นหรอ”

“แม่ครับ เราไปแจกอาหารน้องๆ เลยดีกว่านะครับ”

“จ้ะ งั้นเด็กๆ มาเข้าแถวให้เรียบร้อยก่อนนะคะ”

“ค่า/ครับ”อีกฝ่ายเดินหายไปกับแม่ของผมเรียบร้อยแล้ว เพื่อนที่นี่สองคนมองมาอย่างเป็นห่วงก่อนผมจะส่ายหน้าไปว่าไม่เป็นไรก่อน ไม่อยากให้ใครมาเป็นห่วง ผมไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นตอนนี้ เพราะยิ่งมีคนให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ผมจะยิ่งรู้สึกอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น

“อยากกินอะไรครับตัวเล็ก”ผมเอ่ยหยอกเย้าคนที่ยืนหน้าแดงตรงหน้า คนที่หลบตาผมตอนนั้นนั่นแหละ

“อันนั้นครับ”มือเล็กชี้ไปที่ขนมสีสดใสตรงหน้า ก่อนผมจะยีหัวเล็กจนไม่เป็นทรงแล้วส่งให้มือเล็กอย่างเลิกแกล้ง

“ขอบคุณครับ”

“ตัวเล็กเอาอะไรครับ”ผมถามอย่างไม่นึกเบื่อ การได้มาอยู่กับเด็กๆ วัยนี้ก็ทำให้ชีวิตผมสดใสขึ้นมาบ้าง ความน่ารักในวัยเด็กที่หาไม่ได้ในปัจจุบัน ไม่อยากให้พวกเขาเติบโตเลยให้ตาย เพราะพวกเขาอาจจะไม่มีความสุขมากกว่าผมตอนนี้ก็ได้

โลกนี้มันค่อนข้างจะโหดร้ายไปนิดสำหรับพวกเขา

แต่ทุกคนก็ต้องเติบโต และเข้าใจจนยอมรับความเจ็บปวดเหล่านั้นให้ได้อยู่ดี

“เหนื่อยไหม”มือหนามาพร้อมกับคำถาม ไม่ทันตอบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนก็ซับอยู่ข้างขมับเสียแล้ว

การกระทำแสนอ่อนโยนเหล่านั้นทำให้หัวใจเต้นแรงผิดจังหวะไปชั่วขณะก่อนจะค่อยๆ ปัดมือหนาออกเบาๆ ทั้งที่ความจริงไม่อยากทำเลยสักนิด

“ไม่หรอก ขอบคุณมาก”อีกฝ่ายหน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแย้มเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่เป็นไรกูอยากดูแลมึง”ผมขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันที ก่อนจะขอตัวสักครู่ ฝากหน้าที่ไว้กับพี่เลี้ยงที่นี่ไว้ก่อน แล้วตัดสินใจจูงอีกฝ่ายมาด้านนอกทันที

ผมผลักอีกคนติดผนังเพื่อไม่ให้หนี ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมจู่ๆ…”ผมไม่ทันพูดจบอีกฝ่ายก็ยื้อตัวผมไปหยุดที่ผนังแทนเขาเมื่อครู่ก่อนมือแกร่งจะจับข้อมือผมไว้ตรึงกับผนังทั้งสองข้างเพื่อกักขัง

“คิดว่ากูจะปล่อยให้มึงหนีกูไปได้งั้นหรอ”

“…”

“เมล…มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”

“เราไม่ได้หนีอะไรทั้งนั้น ทำไมเราต้องหนี”ผมเงยหน้ามองอย่างไม่เกรงกลัว เจอเพียงแววตาถูกใจในความกล้าของผม แต่ผมก็ต้องตกใจเมื่อประโยคถัดมาของอีกฝ่าย ที่ทำให้ผมตัวแข็งค้างกับที่ทันที

“ก็เรื่องคืนนั้นไง คิดว่ากูจำไม่ได้งั้นหรอ”

“บะ…บีท”เพิ่งรู้ว่าเสียงตัวเองมันหายไปก็ตอนที่เรียกชื่ออีกคนนั่นแหละ แต่อีกคนอาจจะพูดเพื่อหลอกผมก็ได้ อีกฝ่ายเมามากนี่นา ไม่น่าจะจำได้ แม้ในใจผมจะหวั่นใจไปมากกว่าครึ่งแล้วก็ตาม

“บีทไปรู้อะไรมา”

“กูไม่ต้องไปรู้อะไรมาหรอก กูแค่จำได้ ว่ากูมีอะไรกับมึงแล้ว ถึงวันนั้นกูจะเมามาก แต่กูก็จำได้ว่ามึงคือมึง อย่ามาทำเป็นจำไม่ได้หรอก กูรู้ว่ามึงจำได้ดี”หลักฐานความเชื่อมั่นของผมหายไปทันควัน ผมหลบตาอีกฝ่ายอย่างไม่กล้าสู้หน้า หลังจากนี้มันจะเป็นอย่างไร

“เมล มองตากู”

“ไม่”ผมกลัว…กลัวว่าถ้ามองอีกฝ่ายตอนนี้ผมจะเผลออ่อนแอ และเจอแววตาที่มองผมอย่างไม่พอใจอยู่

“เมลครับ มองตาบีทนะ”น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ใจอ่อนยวบทันที ผมค่อยๆ ทำใจกล้ามองอีกฝ่ายตามคำขอ ใบหน้าอีกฝ่ายยิ้มอย่างมีความสุขทันที

“เราไม่เข้าใจ บีทไม่โกรธเราหรอ”

“กูจะไปโกรธมึงทำไม มึงสิต้องโกรธกู กู…กูทำร้ายมึง”ดวงตาคมฉายแววรู้สึกผิดจนผมอยากกอดปลอบเหลือเกิน แต่สถานะที่มีกลับทำให้ผมทำแบบนั้นไม่ได้

“ไม่หรอก เราเต็มใจเอง บีทก็รู้หนิว่าเรา…”รักบีท

รักมานานแล้วด้วย

“แต่กูควรจะรอให้มึงเต็มใจมากกว่าทำแบบนี้ กูเสียใจจริงๆนะเมล”

“ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นผู้ชายไม่ได้เสียหายอะไรหรอก”คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายมองผมอย่างโกรธทันที แววตานั้นเหมือนจะมีดวงไฟลุกจนผมผงะตกใจ

“ถึงมึงจะเป็นผู้ชายกูก็ต้องรับผิดชอบ”

“บีทไม่ต้อง…”

“เมล อย่าดื้อ”

“…”

“กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจดุนะ แต่มึงดื้อจริงๆ นี่หว่า”

“เราผิดไปหมดนั่นแหละ บีทไม่ผิดหรอก”

“อย่าตัดพ้อแบบนี้ดิ ขอโทษ”

“ช่างเหอะ เราจะกลับไปช่วยเขาแล้ว”

“ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะเมล”มือหนาคว้าแขนผมไปจับไว้ พอผมตวัดสายตามองก็ปล่อยทันที

นี่ผมน่ากลัวหรอ ?

“คุยกันก่อนเถอะนะ”

“มีอะไรอีกก็ว่ามา”

“มึงไม่มีอะไรจะถามจริงดิ”อันที่จริงก็มีอยู่หรอก แต่ไม่อยากรู้แล้ว

“…”

“เห้อออ กูเลิกกับซีแล้ว”

“หรอ แล้วทำไม…ห้ะ บะ…บีทว่าไงนะ”

“ก็เลิกแล้วไง ไม่เห็นมีไรเข้าใจยากตรงไหน”อีกฝ่ายส่งมือมาโยกหัวผมเบาๆ

“แล้ว…แล้วบีทเป็นไงบ้าง”

“ก็ปกติหนิ ไม่เห็นเป็น…”ผมไม่ต้องรออีกฝ่ายพูดจบก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มแรงจนอีกฝ่ายเกือบเซ แต่ไม่ได้สนใจ เพราะความสนใจตอนนี้คือความรู้สึกอีกฝ่ายตอนนี้ต่างหาก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ”ผมลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ คนที่เพิ่งตั้งสติได้ก็รัดเอวผมแน่น

“เราไม่รู้จะทำยังไง บีทถึงจะโอเค บีทบอกเราได้เลยนะ เราจะยอมทำหมดเลย”ผมเป็นห่วงอีกฝ่ายจนลืมว่ากำลังโกรธอีกคนอยู่ด้วยซ้ำ ความรู้สึกที่ผมควบคุมไม่ได้ตอนนี้มันเริ่มครอบงำผมจนไม่เป็นตัวของตัวเองไปหมดแล้ว

“อืม งั้นขอกอดสักพักนะ”

“อือ”

ถ้าแค่กอดแล้วบีทสบายใจขึ้นเรายอมให้กอดไปตลอดเลยก็ได้…

เรารักบีทมากนะ

...

TBC



ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0


10 แค่ตัวแทน

CARAMEL

เวลาพ้นผ่านไปเร็วเสมอ รู้ตัวอีกที ก็ได้เวลามาตั้งใจเรียนอีกครั้งแล้ว

ระยะเวลาในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น บีทมาอาศัยอยู่ที่บ้านผมราวกับเป็นบ้านตัวเอง อาจจะมีเคืองอยู่บ้างนิดหน่อยเพราะแม่ผมให้ความสนใจเขามาก จนบางทีผมก็แอบอิจฉาลึกๆ เหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องทำใจถ้าสิ่งที่แม่ทำมันทำให้เขามีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาบ้าง

ตั้งแต่ที่ผมรู้ว่าบีทเลิกกับซีแล้วก็รู้สึกคาดไม่ถึง แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดด้วยท่าทางปกติมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของเขาเพื่อรับรู้ความรู้สึกลึกๆ ของอีกฝ่ายได้ เลยต้องพยายามดูแลอยู่ห่างๆ

ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บไม่ต่างกัน

เอาจริงๆ นะ ผมเองก็ยังรู้สึกเหมือนมีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่มีคู่แข่งให้ว้าวุ่นใจ แต่มันก็มอดดับลงเพียงเพราะว่ารับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อแฟนเก่าว่ามันมากมายขนาดไหน

ผมไม่ได้ซักไซร้อะไรไปมากกว่านั้นเพราะคิดว่าอาจจะเป็นแผลสดอยู่เลยพยายามลืมเรื่องนั้นไปอย่างไม่พูดถึงอีก

ส่วนเหตุผลที่อีกฝ่ายมาหาก็คงเพียงแค่อยากหาที่ระบายก็เท่านั้น

เพราะผมมีสิทธิเพียงแค่นี้แหละ



“กินหมูเยอะๆ นะมึง มึงผอมลงไปเยอะแล้ว”อีกฝ่ายว่าพลางหยิบหมูที่ลวกไว้มาใส่ถ้วยสีส้มของผม

ในบ่ายวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด จู่ๆ บีทก็อยากกินชาบูขึ้นมา ผมเลยได้แต่ตามใจเขาเท่านั้น อย่างน้อยเขาจะได้ไม่คิดมาก

แม้ผมจะต้องพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่าก็ตาม ที่จะต้องรักษาระยะห่างเขาเอาไว้ แม้มันจะยากเต็มที

“อืม ขอบใจนะ”เรากินกันไปเงียบๆ แต่บีทก็ตักนู่นตักนี่มาให้ไม่ขาด รอยยิ้มน่ามองนั่นผลักสาวเล็กสาวใหญ่ให้ตกหลุมอีกฝ่ายได้ไม่น้อย อย่างน้อยๆ ก็ต้องมองบ้างแหละ ถึงจะเลือกที่นั่งที่คิดว่าเป็นส่วนตัวแล้ว แต่รัศมีของเพื่อนผมก็ไม่ใช่ว่าจะน้อยๆ เลย

“เอาชีสมั้ย มึงชอบนี่”อีกฝ่ายกระตือรือร้นในการเอาใจผมมากเกินไปจนผมเริ่มผิดสังเกต แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ

ความจริงก็สงสัยมาหลายวันแล้วแหละ

หรือบางทีบีทจะทำใจได้แล้วจริงๆ ?

ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง และถอยห่างออกมาได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่ต้องพะวงกับอะไรอีก

เรื่องที่จะหนีก็คงจะต้องพับเก็บไว้ก่อนเพราะมหา’ลัยก็จะเปิดแล้ว ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ทุกวันอยู่ดี เพราะวิชาเรียนที่เหมือนกันเกือบจะทุกตัวที่เป็นตัวผูกมัดผมไว้ไม่ให้ไปไหนได้

“หือออ ลูกชิ้นนี้อร่อยว่ะมึง กินดูดิ”ผมจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเกิดคำพึงพอใจของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ไม่ได้มาพร้อมกับตะเกียบที่คีบลูกชิ้นดังกล่าวมาลอยเด่นตรงหน้าของผม

“…ทำอะไร”

“ก็ป้อนไง กินหน่อยนะ อร่อยจริงๆ”อีกฝ่ายไม่ล้มเลิกความพยายามแม้จะเห็นสีหน้าไม่พอใจของผมมากแค่ไหนก็ตาม

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ผมคงระริกระรี้จนตัวสั่น ก้อนเนื้อในอกมันคงจะแทบทะลุออกมานอกอกเพื่อบอกว่ากำลังรู้สึกดีใจมากขนาดไหนแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ ในคราวที่เรื่องราวหลายๆ อย่างมันเข้ามา ผมก็รู้สึกว่าอะไรๆ มันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

“กินเองได้”เช่นการถอยห่างออกมาเหมือนตอนนั้น

“เถอะหน่า กูเมื่อยนะเนี่ย สงสารหน่อยสิ”แม้มันจะยาก

“…”แต่ผมก็จะพยายาม

“นะๆ”แม้ว่าบางทีผมก็แพ้หัวใจตัวเองอีกครั้งอย่างไม่น่าให้อภัย

“อืม”

“เป็นไงอร่อยไหม”อีกฝ่ายว่าอย่างนำเสนอ แววตาคู่คมกำลังมีประกายความอยากรู้อยู่ จนผมเกือบหลุดยิ้มออกมา ดีที่ห้ามมุมปากตัวเองได้อยู่

“ก็ดี”



“หูย โคตรอิ่มอ่ะ มึงอิ่มไหม"มือหนาลูบท้องป้อยๆ ประกอบคำพูด จู่ๆ ก็ได้กินฟรีไม่ต้องเสียสักบาทเพราะคนข้างๆ ผมเลี้ยง เเม้จะเกรงใจเเต่ในเมื่อทำผมเหนื่อยมาขนาดนี้ ก็จ่ายบ้างเล็กๆ น้อยๆ เถอะ

เเม้จะหลงลืมคิดไปว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้จะเหมือนเลื่อนสถานะไปเองโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

“ถ้าไม่อิ่มสิเเปลก เล่นกินซะขนาดนั้น”ผมเอ่ยเเซะอย่างหมั่นไส้ กินอีกนิดร้านเขาก็เจ๊งเเล้วครับ

“ทำมาซงมาเเซะนะมึง เดี๋ยวเถอะ”มือหนาโยกหัวผมไปมา พร้อมส่งสายตาคาดโทษจนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พิกลเลยเเกล้งเสมองอย่างอื่นเเทน

“กลับกันเถอะ ดึกเเล้ว”ผมว่า ก่อนจะปัดมือหนาออกไปจากหัวโดยที่เจ้าของมือก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วิ มือหนาก็คว้ามือผมไปครอบครองเรียบร้อย

“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งกลับไม่ได้หรอ ?”

“แต่มันค่ำมาก...”

“ยังไม่สามทุ่มเลยนะมึง..."มือหนายกมืออีกข้างดูนาฬิกาและเอ่ยขอร้องเสียงใสให้ผมปฏิเสธไม่ลง "ไปดูหนังกันก่อนนะ”

“...อืม”

“น่ารักที่สุดคาราเมล”

“อื้ออ เจ็บๆๆ”ผมหมุนหน้าหนีคนขี้เเกล้งที่ชอบหยิกเเก้มผมโดยไม่ขอ นวดหน้าตัวเองเบาๆ หวังจะคลายความเจ็บลงบ้าง พร้อมตวัดสายตามองคนไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวข้างกาย

ในเวลานี้ในโรงภาพยนตร์มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นเพื่อนร่วมดูหนังเรื่องเดียวกัน

แน่สิ ดึกขนาดนี้แล้วนี่นาใครจะมาดู

“กินก่อนไหม กว่าหนังจะฉายก็อีกนานเลยนะ”ป๊อปคอร์นกลิ่นหอมยั่วยวนตรงหน้า ในขณะที่คนถือป๊อปคอร์นนั้นกำลังเคี้ยวกรวบๆ อยู่ในปาก พร้อมสีหน้าบอกว่ากำลังอร่อยมากให้ผมส่ายหัวกับท่าทางเหล่านั้น ก่อนจะหยิบเข้าปากตามบ้าง

แปลกดี ที่รสชาติเดิมๆ ของป๊อปคอร์นที่ผมเคยชินกับมันกลับหอมหวานกว่าเดิมขึ้นไปอีก เพียงเพราะคนข้างๆ ที่คะยั้นคะยอผมให้กินมัน ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

จู่ๆ ความคิดที่จะตัดใจก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ย้ำเตือนให้ผมรู้สึกสำนึกกับสิ่งที่ผ่านมา เเต่อีกใจผมก็บอกผมเช่นกันว่าต่อให้จะทุกข์ผมก็สุขมากเเค่ไหนในช่วงเวลาเหล่านั้น

ถ้าลองทิ้งทุกอย่างให้หายไป ไม่ต้องคิดอะไร มีเพียงเเค่บีทกับเมลเหมือนตอนเเรกเริ่ม ผมจะรู้สึกอย่างไร

“อืม อร่อยเหมือนเดิม”

“แน่นอน กูรู้ใจมึงที่สุดเเล้วคาราเมล”เเววตาดีใจเหมือนหมาตัวโตมีคนเล่นด้วยถูกส่งมาหาผมอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะโยกหัวผมเบาๆ ให้ผมยิ้มออก

ไม่นานหลังจากนั้นมือหนาข้างนั้นก็กุมมือผมไว้ ทาบทับจนผมเเทบไม่เห็นมือตัวเองเพราะขนาดที่ต่างกัน อีกฝ่ายมองหน้าผมอย่างชั่งใจเเละเอ่ยถาม

“ได้ไหม”ถ้าลองทำในสิ่งที่อยากทำมันก็คงจะดีไม่น้อย ผมไม่ตอบแต่ถอนมือออกเชื่องช้า อีกฝ่านทำหน้าไม่สู้ดีทันทีก่อนจะกลับมายิ้มเเป้น เมื่อคราวที่ผมสอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน

“ไปดูหนังกันเถอะ :)

ความมืดมิดในโรง มีเพียงเเสงสว่างจากจอตรงหน้าเท่านั้น ในรอบนี้มีเพียงประปรายที่เข้ามาดู

หนังที่เราเลือกที่วันนี้เป็นหนังที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์สีเหลืองที่เอาชีวิตรอดด้วยการมาโลกมนุษย์และใช้รถคันเก่าเป็นที่หลบซ่อนตัว มีเรื่องราวมากมายจนสนิทกับเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือและพยายามปกป้องเขาตามกำลังจะทำได้

เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดพลิกเรื่อง เเต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี ผมเผลอเช็ดน้ำตาออกจากหน้าเบาๆ โดนล้ออีกตามเคยที่ผมมันอ่อนไหวง่ายขนาดนี้ เเต่ผิดคาด เมื่อมือหนาเอื้อมมาซับน้ำตาให้ผม ก่อนเเววตาจะอ่อนโยนจนผมอ่อนไหวอีกครั้ง

ก้อนเนื้อในอกเริ่มหนักหน่วงตามความรู้สึก ใบหน้าเเดงซ่านกับการกระทำเล็กน้อยนั่นโดยไม่ตั้งใจ

ใบหน้าคมคร้ามเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนรู้ตัวอีกทีก็เเนบจะชิดกันเสียเเล้ว เขามองผมราวกับอ้อนวอนอนุญาต ผมหลับตาลงเป็นการตอบรับ ไม่นานนักริมฝีปากอุ่นร้อนก็เเนบสนิทเสียเเล้ว

อีกฝ่ายเเค่เเช่มันค้างไว้ ไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพียงเเค่ต้องการซึมซับความรู้สึกระหว่างกัน เพื่อให้มันชัดเจนมากกว่าที่เป็นอยู่

ผมรับรู้ถึงลมหายใจของฝ่ายที่ตกกระทบอยู่ข้างเเก้ม ก่อนจะค่อยๆ หายออกเมื่อยามที่ร่างสูงถอยออกไปเหมือนเดิม เขายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่ผมทำแบบนี้

เสียงของหนังในเรื่องยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมเเทบไม่ได้มองมันอีก เพราะเอาเวลาไปสนกับความอุ่นร้อนของฝ่ามืออุ่นที่เกาะกุมผมอยู่เพียงเท่านั้น

ที่มันอุ่นซ่านเเผ่ขยายไปทั่วหัวใจด้วยความรวดเร็ว

เเม้ว่าหนังเรื่องนั้นจะจบลงไปเเล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อยมือออกเเต่อย่างใด

“บีท...เดี๋ยวมีคนเห็น”

“เเล้วยังไง หรือมึงไม่อยากให้ใครเห็น ?”เสียงทุ้มเข้มขึ้นอีกนิดจนต้องรีบอธิบาย

“ไม่ใช่ แต่ว่ามันไม่เหมาะสม ที่นี่มันที่สาธารณะนะ”ผมเอ่ยดุกลับบ้างเเต่อีกฝ่ายเพียงยักไหล่

“กูไม่ได้ทำอะไรเสียหายสักหน่อย หรือมึงอยากทำ?”

“บ้ารึไง ทะลึ่ง”

“โอ้ยยย เจ็บจังเลย ด่าโคตรเด็กน้อย”ผมมองอีกฝ่ายอย่างเข่นเขี้ยว ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยต่อ“กูไปส่งนะ”

“ดึกขนาดนี้เราก็ไม่กลับเองหรอก เปลือง”ผมว่าให้อีกฝ่ายสำนึกว่าคราวหน้าคราวหลังอย่าพาผมออกมาค่ำมืดเเบบนี้เพราะเดี๋ยวรถจะหมดเเล้วต้องเพิ่งเเท็กซี่ที่ผมไม่ค่อยอยากจะขึ้นเสียเท่าไหร่เพราะราคาที่มากกว่าค่าข้าวของตัวเองอีกหากนั่งคนเดียว

“ดีเเล้ว มึงจะได้ให้กูไปส่งไง”ดวงตาคมอ่อนเเสงลง พร้อมมืออีกข้างที่สัมผัสความนิ่มบนกลุ่มผมนุ่มเเผ่วเบา เเต่เเจ่มชัดในความรู้สึก

“ครับ พ่อคนรวย”

“ใช่ รวยมาก เปย์คนเเถวนี้ได้สบายพูดเลย”

“จะกินให้หมดตัวเลย”

“ครับ...ยอมให้กินทั้งชีวิต”

“อุ้ย ขอโทษที”เสียงดังด้านหลังเรียกความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะหันไปมองพร้อมกับหัวใจที่กระหน่ำด้วยความกลัวอีกครั้ง

“ซี...”ผมเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายเเผ่วเบา ให้ร่างบางเเสยะยิ้ม ก่อนที่สายตานั้นจะมองผมกับบีทสลับกัน

"ยังจำชื่อกันได้ด้วยหรอ คิดว่าจะลืมไปพร้อมๆ กับตอนที่เเย่งเเฟนคนอื่นไปซะเเล้ว ความจำดีเหมือนกันนี่เมล"เสียงหวานเอ่ยเยาะเย้ย ก่อนเเววตานั้นจะฉายเเววโกรธเคืองอย่างปิดไม่มิด

เป็นสายตาที่ผมมองเห็นมาโดยตลอด

สายตาที่มองทุกอย่างออกโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย เป็นสายตาที่ผมกลัวมาตลอดเช่นกัน

สายตาของความจริง ที่ผมปกปิดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้

"อย่ายุ่งกับเมล"บีทเอ่ยเสียงเข้ม กระชับมือผมไว้เเน่นให้ผมรู้สึกอุ่นใจ

“เเหม พอเลิกกันเเล้วหวานออกนอกหน้าเชียวนะบีท ได้ทำอะไรตามใจตัวเองเป็นไงบ้างล่ะ รู้สึกดีไหม”

“...”

“นายล่ะเมล ได้เขาไปแล้วรู้สึกยังไง สะใจรึเปล่าที่เเย่งเขามาสำเร็จเเล้วน่ะ หึ”

“เราไม่ได้เเย่งใครทั้งนั้น”

“หึ ก่อนจะพูดเอามือออกจาก...”

“เพราะบีทกับซีเลิกกันเเล้ว”ผมเอ่ยขัดพร้อมเผยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้ใช้นัก เเต่คราวนี้ก็คงต้องงัดออกมาใช้บ้างถ้าไม่อยากโดนรังเเกเพียงฝ่ายเดียว

​ผมไม่ใช่คนยอมคน และไม่ใช่คนดี

“บีทบอกมันเเล้วหรอ”เธอหันไปต่อว่าคนข้างกายผมเเทน “ซีไม่เลิก เราไม่ได้เลิกกัน บีทเเค่เข้าใจผิด”

บีทดันตัวผมไปอยู่ด้านหลัง เผชิญหน้ากับร่างเล็กตรงหน้า ผมเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่ดูสถานการณ์ เพียงเพราะรู้สึกดีกับการกระทำดังกล่าว

เหมือนเขากำลังปกป้องผม

“เราว่าเราชัดเจนเเล้วนะซี เราไม่ได้เข้าใจผิด ตำตาขนาดนั้นยังจะเเก้ตัวอะไรอีก”

“แต่บีทก็ผิดเหมือนกัน เราก็หยวนๆ กันสิ”เธอพูดปากสั่นเมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มไม่พอใจจริงๆ

“หึ เราไม่ได้รัก จะคบต่อทำซากอะไรเสียเวลาเปล่า”

“เราไม่ยอม บีทจะทิ้งเราไปหามันไม่ได้นะ”เธอเเผดเสียงเรียกความสนใจจากคนโดยรอบได้เป็นอย่างดี เเม้จะเป็นเวลากลางคืนเเล้ว เเต่ผู้คนก็มีประปรายให้ได้เห็นเเละมีบางส่วนที่หันมองมาที่เราสามคนอยู่

“อย่าเรียกเมลว่ามัน เขาไม่ใช่คนที่เธอจะชี้หน้าเรียกว่ามันได้”บีทกดเสียงต่ำ บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกขึ้นมาทันควัน ผมลูบฝ่ามือหนาให้ใจเย็น เเละมันค่อนข้างได้ผลเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเเผ่วเบาดังเล็ดรอดออกมาจากลำคอ

“บะ...บีท ปกป้องมั...เมลหรอ”เธอเริ่มพูดไม่เป็นคำ เพราะคงรู้ดีว่าเวลาที่บีทโกรธมันน่ากลัวมากขนาดไหน

“ทำไมกูจะปกป้องคนของกูไม่ได้”สรรพนามที่เปลี่ยนไปยิ่งทำให้ใจคนฟังสติเเตกได้มากกว่าเดิม

“บีท!”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่กู แล้วเลิกยุ่งกับกูอีก ต่างคนต่างอยู่ ไปเมล”อีกฝ่ายว่าพลางกระตุกมือผมให้เดินตาม ก่อนปากหนาจะก้มลงกระซิบข้างหูสาวเจ้าในประโยคที่ผมไม่ได้ยิน ก่อนอีกฝ่ายจะหน้าซีดปากสั่นมองบีทอย่างหวาดกลัว

เราเดินมาถึงที่จอดรถ ระหว่างบีทไม่พูดอะไรเลยสักคำ แถมเมื่อมาที่รถก็ยังเงียบจนผมใจไม่ดี

กลัวว่าอีกฝ่ายจะยังมีเยื่อใย

เพราะสายตากังวลที่ผมมองเห็นเมื่อครู่ยามสบตานั้นทำให้ใจดวงน้อยหวั่นวิตกไปได้

รู้เเหละว่ามันออกจะไร้สาระไปนิด เพราะท่าทางที่เเสดงออกชัดเจนเเบบนั้นมันบ่งบอกเเล้วว่าสถานะของเราจะค่อยๆ ขยับขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ เเม้จะยังไม่มีชื่อเรียก แต่ความรู้สึกดีของผมมันบอกว่าไม่ต้องการที่จะปล่อยมันให้หลุดมือ

ความพยายามที่กำลังจะสัมฤทธิ์ผล

...

TBC

ฝากติดตามด้วยค่ะ


ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
Re: เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน
«ตอบ #12 เมื่อ12-01-2019 23:25:37 »

 o13 มันดีมากๆเลยค่ะ  o13 ชอบค่ะ  o13  แต่บางที่ก็หน่วงเกิ๊นนนนน  :o12: 

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
11 เริ่มต้น



            ‘แก้วหนึ่งใบ กว่าจะหลอมรวมกันได้ก็ต้องใช้เวลา คงเหมือนกันกับคราที่มันแตกหักลง กว่าจะมาประกอบได้ใหม่คงนานยิ่งกว่า หรือไม่ก็ไม่มีทางเหมือนเดิมได้อีก’



ลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอข้างๆ ตัวของผมเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ดีว่าร่างข้างกายของผมกำลังหลับอยู่

ผมเอียงหน้าแนบอกกว้าง ความเงียบทำให้ได้ยินก้อนเนื้อส่วนนั้นเต้นเป็นจังหวะดังขึ้นฝ่าความเงียบเชียบ

เมื่อวานหลังจากนั้น บีทก็พาผมมาค้างที่นี่ อ้างนู่นนี่สารพัดจนผมต้องยอม เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ปกป้องผม

แม้จะยังไม่เชื่อใจเต็มร้อยก็ตาม

เสื้อผ้าของผมมีติดห้องนี้อยู่บ้าง เนื่องจากเมื่อก่อนผมเองก็เคยมาค้างที่นี่ เลยทำให้ไม่ยากลำบากหากว่าจะมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง

เสี้ยวหน้าของคนที่หลับสนิทกำลังขมวดคิ้วเป็นปม มือเล็กยื่นไปลูบเบาๆ ที่หัวคิ้วหวังจะให้มันคลายออกบ้าง

ในความฝันของเขาเคยมีผมอยู่ในนั้นบ้างไหม

ในนั้นผมจะเป็นแค่เพื่อนของเขาแบบเมื่อก่อนใช่หรือเปล่า

ผมจะเป็นเพียงคนแอบรักที่ทำให้เขาสับสนกับความรู้สึกตัวเองใช่ไหม

ในบางครั้งผมเองก็สับสนไม่แพ้กันหรอก ผมเป็นเหมือนของตาย ที่อีกฝ่ายนึกจะอยากมาเมื่อไหร่ก็มา พอชาร์ทแบตเรียบร้อยแล้วก็หายไป

ถึงอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ทว่าผมกลับรับรู้มันด้วยการกระทำของอีกฝ่ายที่ผ่านมา

มันยากเหลือเกินบีท…

ที่จะรักบีทต่อไป พร้อมๆ กับการเชื่อใจบีททั้งที่ตอนนี้เราเองเริ่มไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองแล้วเหมือนกัน





HEARTBEAT



ความหนาวเย็นถูกกลบด้วยความอบอุ่นของคนในอ้อมกอด

เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ผมก็ลืมตามองอีกฝ่ายเต็มตา ผมไม่ได้หลับ ผมตื่นตั้งแต่ที่คนตัวเล็กขยับตัวแล้ว

ผมไม่รู้ว่าคิดมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่า ผมมองเห็นดวงตาคู่นั้นกำลังเศร้าเหลือเกิน

เขาไม่มีแววของความสุขร่วมด้วยเลยแม้แต่น้อย มันมีเพียงความไม่มั่นใจ ความสับสน และความคิดมากที่อีกฝ่ายพยายามกลบซ่อนมันผ่านรอยยิ้มที่ฉาบเคลือบเอาไว้ไม่ให้ผมได้รับรู้มัน

ที่ผ่านมาผมอาจจะเป็นคนที่ไม่ดี ผมอาจจะทำอะไรให้อีกคนเสียใจ แต่ผมไม่อยากให้ทุกอย่างมันซ้ำรอยเดิม ถ้ามันจะมีโอกาสให้ผมได้ทำอย่างนั้น

ผมยินดีที่จะทำมันอย่างเต็มใจ

เสียงจอแจของผู้คนในยามนี้ กับเพลงที่อึกทึกครึกโครมบอกเราได้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน

“บีท ! ทางนี้”เสียงเรียกพร้อมสัญลักษณ์โบกมือพาให้ผมคว้ามือคนข้างตัวเดินไปตามโต๊ะดังกล่าวทันที

ผมถูกชวนมาที่ผับของพี่ที่สนิทคนหนึ่ง เลยต้องมาอย่างหลีกไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือคนตัวเล็กของผมเท่านั้นแหละ

เพราะปกติเมลจะไม่ค่อยอยากให้ผมมาสถานที่แบบนี้เท่าไหร่ แรกๆ อาจจะมีเตือนบ้าง แต่หลังๆ พอรู้ว่าห้ามไม่ได้ก็ไม่ห้ามอีก มีเพียงสายตาที่เป็นห่วงส่งมาให้เท่านั้น

แล้วผมก็โง่มากพอที่จะไม่เข้าใจสายตาพวกนั้นตั้งแต่แรก

หลังจากที่นั่งลงได้ไม่นาน เสียงเซ็งแซ่ก็เงียบลงราวกับมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น

“มีไรกันวะ”

“เอ่อ…”

“มึงพูดดิ”

“มึงนั่นแหละพูด”

“พูดมาเถอะครับ อย่าเก็บไว้เลยพี่ ผมไม่ชอบ”ผมว่าเสียงเข้มอีกนิด ความใจร้อนในตัวไม่เคยลดลงเลย

แต่เมื่อมือเล็กกระชับมือแน่นที่ผมกุมไว้อยู่นั้น กลับทำให้ใจสงบได้อย่างประหลาด

ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยด้วยซ้ำ

ทุกอย่างมันเหมือนถูกยกเว้นจากคนๆ นี้ ทันทีตั้งแต่ผมเข้าใจและแน่ใจในความรู้สึกตัวเอง

“มึง…สองคนเป็นแฟนกันหรอ”

“ครับ”เสียงชัดถ้อยชัดคำทำให้คนด้านข้างหันขวับมองผมอย่างรวดเร็ว พร้อมกระซิบเสียงดุๆ อีก “บะ…บีทพูดอะไร”

“พูดความจริงไงครับ นี่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันอีกหรอ”

“…”ผมจ้องมองดวงตาหลุกหลิกที่ดูตลกและน่าเอ็นดูไปพร้อมๆ กัน บิดจมูกเล็กนั้นไปที ให้อีกคนปัดมือผมออกพร้อมกับเสหน้าแดงๆ ไปทางอื่น

“กูว่าเราได้คำตอบแล้วนะ”

“เออๆ หวานมดขึ้นขนาดนี้ไม่ต้องถามแล้วล่ะ”หลังจากนั้นก็มีเสียงแซวดังขึ้นรอบโต๊ะ หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนกะทันหัน ทุกคนหันไปเฮฮากันตามประสา แก้วน้ำสีอำพันถูกหยิบยื่นให้ผมไม่รู้จบ ผมรับมาอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ห้ามคนข้างตัวไม่ได้ดื่มเพราะเป็นห่วง เลยเหลือเพียงน้ำโค๊กเท่านั้นที่ตัวเล็กกินได้ และจู่ๆ บทสนทนาก็วกกลับมาที่ผมอีกรอบทว่ามันไม่ได้เป็นผม แต่กลับเป็นคนข้างกายผมที่นั่งตัวลีบมองคนนู้นคนนี้สลับกัน

“แล้วน้องตัวเล็กนี่ชื่ออะไรอ่ะครับ”พี่ดินรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเอ่ยขัดขึ้นมา เมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยน ผมก็เลยเลือกจะโอบคนข้างกายแทนการจับมือแทน

“อย่ายุ่งกับเมียผม”

“บีท !”

“โหยยย เจอคนมาปราบเสือร้ายแล้วโว้ย สนุกดีจัง…ใช่ไหมครับน้องตัวเล็ก”อีกฝ่ายส่งยิ้มหวานไปให้ จนผมควันออกหูเมื่อเมียทางพฤตินัยของผมกำลังหน้าแดงก่ำกับสายตานั้น จนผมต้องยกมืออีกข้างปิดตากลมๆ น่ามองนั้นไว้แทน

“โอ้โห มันจะเกินไปหน่อยมั้ยวะ เชี่ยบีท”

“ไม่ต้องยุ่งกับผม”

“ฮ่ะๆ กูไม่เคยเห็นมึงบ้าขนาดนี้มาก่อนเลย จริงจังขนาดนี้เอาเมียมึงอีกคนไปเก็บไว้ไหนล่ะ”พี่อีกคนถามขึ้น แม้จะไม่ค่อยสนิทแต่ว่าความปากหมาที่ร่ำลือมานานนมทำให้ผมเชื่อในวันนี้นี่แหละ

ผมไม่สนใคร ตอนนี้ผมวางมือข้างตัวเหมือนเดิม ปากเล็กๆ เม้มเข้าหากัน แววตาดูสับสนและเจ็บปวดให้ผมนึกโกรธพี่คนนั้นเสียเหลือเกิน ชื่อกูยังจำแม่งไม่ได้เลย กล้าดียังไงมาทำเมียกูวะ

แต่ถึงที่สุดผมกลับโกรธตัวเอง

ที่แค่จะทำให้เมลเชื่อใจผมยังทำไม่ได้เลย

ไม่เคยทำได้เลย

ผมรับรู้จากสายตาที่อีกฝ่ายมองมา เขาดูไม่มั่นใจราวกับผมจะมาหลอกเขาอีกหากเขาปักใจเชื่อในตัวผมอีกครั้ง

สายตาที่ทำให้หัวใจของผมมันบีบรัดแปลกๆ รู้แต่ว่ามันไม่ดีต่อความรู้สึกของผมเลย

พอผมหันไปมอง เมลก็แสร้งยิ้มปกปิดเหมือนอย่างทุกที รอยยิ้มที่ผมนึกเกลียดเสมอ เมื่อหน้าหวานนั้นกำลังทำ แสดงว่าความรู้สึกของอีกคนย่อมจะค่อยๆ ลดทอนลงเรื่อยๆ

กำแพงที่สร้างขึ้นไว้ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตาม

“เดี๋ยวผมมานะ”ผมจับมือเล็กมั่น ก่อนจะเดินออกมาไม่สนใจคำขอโทษจากใครทั้งนั้น มือเล็กพยายามจะแกะมือผมออกในตอนแรกก็สงบลงเมื่อเจอสายตาไม่พอใจจากผม กลับไปยอมแพ้แล้วเม้มปากเงียบๆ คนเดียวอีกครั้ง

เมื่อเดินเข้ามาในห้องน้ำ ผมเลือกห้องท้ายสุดด้านใน เพื่อไม่ให้มายุ่งวุ่นวาย ก่อนจะล็อกกลอนและกักขังร่างบอบบางไว้ติดผนังที่มีแววหวาดกลัว

ผมเชยคางมนขึ้นสบตา อีกฝ่ายยอมแต่โดยดี พร้อมกับสายตาหวาดๆ ที่ส่งมา ทำให้ผมค่อยๆ ปรับสายตาตัวเองให้อ่อนลง แล้วพยายามพูดคุยกับเขาดีๆ

เขาไม่ผิดเลย มีเพียงผมเท่านั้นที่ผิด

อย่าทำให้เขาต้องเสียใจไปมากกว่านี้จะดีกว่า

ผมไม่ได้อยากทะเลาะ แต่อยากปรับความเข้าใจกัน อย่างน้อยมันอาจจะช่วยให้เมลเข้าใจผมมากขึ้น

และอีกอย่างผมเป็นห่วงความรู้สึกของเขา

ไม่รู้ว่าหัวเล็กๆ นี้ที่ผมพรมจูบก่อนนอน จะคิดอะไรไปบ้าง ไม่รู้จะจมกับความคิดเหล่านั้นนานแค่ไหนแล้ว ผมแค่อยากให้เขาเชื่อและเปิดใจกับผมมากกว่านี้ก็เท่านั้น

“เมลมีไรอยากบอกเรามั้ย”

“เรา…ไม่มี”คิ้วขมวดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ

“เมล เมลก็รู้ว่าโกหกบีทไม่ได้”

“ช่างมันเถอะ”อีกฝ่ายทอดถอนใจอย่างหมดแรง ราวกับไม่อยากเหนื่อยกับเรื่องแบบนี้อีก อะไรก็ตามแต่ตอนนี้หัวใจผมกลับรู้สึกโหวงจนเหมือนมีใครคว้างปามันทิ้งออกไปนอกอก

“เมลจะให้บีทปล่อยความรู้สึกเมลไปงั้นหรอ คิดบ้างมั้ยว่าบีทเป็นห่วงเมลแค่ไหน…”

“…”

“ที่ผ่านมาบีทพยายามมาตลอด ตั้งแต่บีทรู้ว่าบีทรู้สึกยังไงกับเมล บีทก็พยายามที่จะเปลี่ยน”

“บีทไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย”

“จำเป็นสิ มันจำเป็นมากเมล ทุกอย่างที่มันเป็นเมลมันสำคัญกับบีทเสมอ รู้ไว้ซะด้วย”ผมกดอารมณ์เดือดไว้ในอก ก่อนจะเสยผมตั้งสติ มองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าคนตัวเล็กในตอนนี้

ไม่อยากเอาอารมณ์ร้อนของตัวเองไปลงกับเขา

“…บีท”

“ไม่เป็นไรหรอก เมลช่วยบอกบีททีเถอะนะ ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เราจะแก้ไขมันไปด้วยกันได้…”

“…”ผมกุมมือเล็กขึ้นแนบหัวใจ ก่อนจะสื่อผ่านสายตาที่คิดว่าจริงจังที่สุดไปให้อีกฝ่าย

“ขอแค่เมล‘เชื่อใจ’บีทสักครั้งเถอะนะ ถ้าคราวนี้บีททำให้เมลเชื่อไม่ได้ มันจะไม่มีคราวหน้าอีกแล้ว”ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังน้ำตาไหล ก็ตอนที่มือเล็กยกขึ้นปาดมันออกเบาๆ

ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีคำพูด หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมที่อัดอั้นและรอคอยการระบาย

ผมโอบร่างเล็กไว้เต็มแรง คงเป็นเพราะความเมา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกกำลังสลายไปต่อหน้าหากปล่อยร่างนี้ไปจากอ้อมแขน

มือเล็กยกลูบหลังผมสั่นๆ ราวกับย้ำเตือนว่าเขายังอยู่ตรงนี้

“อย่าไปไหนนะ”

“…”

“ขอร้องนะเมล…อย่าทิ้งบีทไปอีก”





คาราเมล



ความอุ่นร้อนยังคงซึมเข้าเสื้อยืดบนร่างผมอย่างต่อเนื่อง

คนที่เข้มแข็งมาตลอด เป็นที่พึ่งให้ผมได้เสมอตอนนี้เหมือนกับเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังหลงทางและไร้ที่พึ่ง

ผมใจอ่อนยวบทันทีที่มองดวงตาคู่คมกำลังปล่อยหยดน้ำตาเงียบๆ ตรงหน้า โดยที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ผมตัดสินใจบางอย่างได้ ก็ค่อยๆ ผลักอีกฝ่ายออกด้วยแรงที่มี

เขามองผมอย่างตกใจและตัดพ้อ ผมเม้มปากแน่น ความรู้สึกที่ทับถมมานานถูกกดไว้ในส่วนลึก มันพังทลายไปหมดแล้วเมื่อเจอความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมาถึงผม

สองมือเล็กเกี่ยวลำคอแกร่งให้โน้มลงมา หลับตาลงแล้วตัดสินใจกดปากลงไป

อีกฝ่ายตาโตมองผมอย่างไม่เชื่อ แต่เมื่อตั้งตัวได้ก็ไม่รอช้าสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากให้ผมไม่ตั้งตัวทันที

น้ำหวานที่ติดปลายลิ้นทำให้ผมรู้สึกดีได้ไม่เท่ารอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าคมนั้นเลย

ขาผมสั่นเสียดื้อๆ เมื่อกำลังจะหมดลม สองมือที่โอบลำคอนั้นตกลงมาพร้อมกับแรงที่ถดถอยหายไป

ดีที่ว่าอีกฝ่ายรู้ทัน โอบเอวผมได้ทันเวลาผมเลยไม่ไปกองกับพื้นเสียก่อน อีกฝ่ายถอยหน้าให้ผมได้หายใจชั่วครู่

ใบหน้าห่างกันแค่คืบ ลมหายใจที่เป่ารินรดกันนั้นทำให้เหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดเราเข้าหากัน คราวนี้รสจูบเปลี่ยนจากหวานล้ำเป็นความร้อนแรงเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายยังถนอมผมอยู่บ้าง

“อื้อ”ผมถูกจับนั่งคร่อมตักอีกฝ่ายที่ทิ้งตัวลงบนชักโครก ก่อนมือหนาจะเอื้อมมาสัมผัสเม็ดกลางอกของผมด้วยความไม่เบาแรงเท่าไหร่นัก

ผมบิดตัวเร่ายามที่มือหนาสะกิดมันระรัวโดยที่ริมฝีปากยังทำหน้าที่ไม่ขาด มืออีกข้างก็ประคองหลังผมให้ไม่ตกไป ผมขยุ้มปกเสื้ออีกฝ่ายแน่น ก่อนจะเชิดหน้าหายใจไม่ทั่วท้องยามอีกคนฝากรอยรักไว้ที่ลำคอ

“อ่า บีท”

“เมล เมล”อีกฝ่ายเหมือนคนละเมอ พร่ำร้องชื่อผมสลับกับส่งเสียงหอบครางให้ผมใจเต้นกระหน่ำ

ผมน่าจะเมาจูบอีกฝ่ายแล้วแน่ๆ ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองแก้มเห่อร้อนมากขนาดไหน

ริมฝีปากหน้าไต่ต่ำลงไปเรื่อยๆ ก่อนจะยกยิ้มร้ายมองผมนิดหน่อยและตวัดลิ้นลงบนเม็ดกลางอกนั้นด้วยความรวดเร็ว

“อึ่ก บีทอย่า อ่ะ อ๊า”ปลายลิ้นร้อนตวัดไปมา ขบกัดเบาๆ สลับกับเม้มอย่างเป็นจังหวะ

กึก

“จะ…เจ็บ”ผมเอ่ยร้องเสียงสั่นเมื่อฟันคมกัดลงมาเต็มแรง

“โทษที เจ็บมากมั้ยครับคนดี”มือหนาลูบหัวผมราวกับปลอบใจ แต่มืออีกข้างกลับปลดกระดุมผมด้วยความรวดเร็ว

ทำไมเร็วขนาดนี้ !

รู้ตัวอีกทีตัวผมก็ถูกลอกคราบไปหมดแล้ว บีทเองก็ไม่ต่างกัน บีทพาผมไปนั่งแบบเดิม แต่ในเมื่อมันไม่มีอะไรขวางกั้น ผมเลยยิ่งสัมผัสได้มากกว่าเดิม ผมจะยกสองมือปิดหน้าแต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อปลายลิ้นหนาสัมผัสที่เดิมโดยไม่ผ่านสิ่งใดขวางกั้น

ความรู้สึกพุ่งทะยานเหมือนล่องลอย ผมบิดตัวเร่าบนตักอีกฝ่าย รู้สึกถึงความร้อนที่มากขึ้นจนส่งไปถึงส่วนกลางกายที่ค่อยๆ ปล่อยหยาดความสุขออกมา

“หึ”อีกฝ่ายยิ้มล้อพอให้ผมอาย คว้าของผมไปกุมไว้เต็มมือ ก่อนจะค่อยๆ ขยับมือพร้อมกับมองหน้าผมอย่างชอบใจ

“อย่ามอง อื้ออ บีท”

“ทำไมล่ะครับ ? มองเมียตัวเองไม่ได้หรอ”อีกฝ่ายเอียงคอเหมือนเด็กน้อยขี้สงสัย แต่สายตาที่เจ้าเล่ห์นั้นทำให้ผมรู้ว่าตัวเองแพ้อีกแล้ว

“อย่า…อย่าพูดนะ อ๊า”ฝ่ามือเล็กตีไหล่หนาด้วยแรงที่มี แต่อีกฝ่ายเพียงหัวเราะเท่านั้นเพราะแรงของผมตอนนี้ไม่ต่างจากมดเท่าไหร่

“ก็เมลไม่ให้พูด บีทเลยทำไงครับ”ฝ่ามือหนากลั่นแกล้งผมไปเรื่อยๆ ผมหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ คลื่นความสุขกำลังจะหมดลงผมก็ต้องชะงัก เมื่อมือหนาผละออกไป มองผมด้วยสายตาเหนือกว่าที่ผมโคตรจะเกลียดเลยในตอนนี้

“ช่วย…ช่วยหน่อย”

“อย่าเพิ่งสิครับ เมลจะทิ้งบีทไว้คนเดียวหรอ ช่วยบีทด้วยครับ”อีกฝ่ายไม่ว่าอย่างเดียว คว้ามือผมไปกอบกุมส่วนของตัวเองบ้าง ผมมองอีกคนชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆ ขยับมือ

“อืม ดีครับตัวเล็ก”

“เรา เราไม่ได้ตัวเล็กนะ”

“ครับๆ อืม เมล…เก่งมากครับ…คนดีของบีท”เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมเลยเร่งความเร็วไปอีก พร้อมกับบดขยี้ส่วนปลายอีกฝ่ายเพื่อเร่งความรู้สึกให้มากขึ้น อีกคนเพียงมองคาดโทษเท่านั้น และเมื่อกำลังจะถึงปลายมือ มือหนาก็พาให้ผมหยุดมือลง

“ไม่อยากมีความสุขคนเดียว อยากมีความสุขกับเมล”

“อื้อ”ความร้อนค่อยๆ สอดลึกเข้ามาในตัวผมโดยไม่ผ่านการเบิกทางมาก่อน แต่ผมก็ค่อยๆ กัดฟันเพราะความเจ็บไม่มากเท่ากับอารมณ์ที่พุ่งสูงในตอนนี้ น้ำตาผมค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตา เรียกความเป็นห่วงจากคนด้านล่างเป็นอย่างดี

“ไหวมั้ย”

“อื้อ วะ…ไหว”

“ค่อยๆ นะ เดี๋ยวจะเจ็บ”

ทำไมต้องเป็นห่วงขนาดนี้ด้วย ผมยิ่งรู้สึกมากกว่าเดิม เลยตัดสินใจ “ไม่”

“อ๊า”

“เมล อึ่ก”อีกฝ่ายขบกรามแน่นแต่ร้องเรียกชื่อผมเสียงดัง ผมสะอื้นกับไหล่เขา กอดไหล่กว้างแน่น ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วร่าง เมื่อครู่ที่ผมดันกายลงมาทีเดียวจนสุดความยาว

“ไม่เป็นไรนะ เจ็บมากมั้ยคนดี”

“อือ เจ็บ ตะ…แต่ไม่เป็นไร”

“แช่ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวมันจะเจ็บกว่านี้”อีกฝ่ายว่าทั้งที่ผมได้ยินเสียงกัดฟันไม่ขาด สองมือค้ำไหล่แกร่งแน่น มองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยถามเสียงพร่าที่อีกฝ่ายมองว่ามันยั่วอารมณ์เหลือเกิน

“ช่วย…ช่วยที นะ”มือหนาคว้าสะโพกเล็กเต็มมือก่อนจะค่อยๆ พาขึ้นทีละนิดและปล่อยมันลงช้าๆ

เมื่อเริ่มจับจังหวะได้ เมลก็เริ่มคุมเกม เด็กเรียบร้อยหายไปทันทีที่ความซ่านแล่นพล่านไปทั่ว กายบางขยับขึ้นลงเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นไว้ภายใน เสียงครางดังก้องไปทั่วห้องน้ำโดยไม่สนใจว่าใครจะมาได้ยินไหม

ปากหนาครอบครองตุ่มไตนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดเลียให้อีกคนดิ้นพล่านขยับกายเร็วกว่าเดิม

“ไม่…ไม่ไหวแล้ว”

“พร้อมกันนะ”

“อ่ะ อ๊า”

“เมล…เมลครับ อืมมม”

เมื่อเสร็จภารกิจร่างเล็กที่อ่อนเพลียก็หลับสนิททั้งที่ตัวตนอีกคนยังค้างอยู่ภายในทันที ให้อีกฝ่ายยิ้มอ่อนโยน ค่อยๆ จัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วไลน์ไปบอกเจ้าของงานว่าไม่ว่างร่วมงานต่อแล้ว

ต้องกลับไปดูแลคนบางคน

ขอบคุณที่ให้โอกาสกันนะ คนดีของบีท…

​...

TBC

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
​12 เติมใจ​



‘มีสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่าเรามีความรู้สึก นั่นคือการได้รู้จักรัก’



ชีวิตของเรามันสั้น อยากทำอะไรก็ให้รีบทำ คำๆ นี้ผมได้ยินจากพ่อมาเสมอตั้งแต่จำความได้ พ่อกรอกหูมาตลอดให้ผมได้มีความสุขกับชีวิต อยากทำอะไรก็อย่าไปคิดเยอะ เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะเหลือลมหายใจอยู่อีกหรือเปล่า

ตอนนี้ผมอยากบอกพ่อเหลือเกินว่า ผมทำได้แล้วนะครับ ผมทำทุกอย่างที่พ่อสอนได้แล้ว

ผมได้รักคนที่ผมอยากจะรัก อยากจะดูแล ผมคว้าเขามาอยู่กับผมได้แล้ว

สองมืออุ้มร่างเล็กแนบอก ร่างบางหลับสนิทเพราะความเพลียทั้งวันและกิจกรรมที่คนตัวเล็กเป็นคนดำเนิน อยากบอกเหลือเกินว่าผมโคตรจะมีความสุขเลย มันเหมือนฝันที่ไม่ใช่ฝัน ยิ่งสัมผัสร่างบอบบางนี้ใกล้ๆ ยิ่งอยากจะฟัดให้ตัวช้ำ ไม่อยากให้ออกไปไหน ไม่อยากให้ใครมอง

ยิ่งสายตาอ้อนๆ กับท่าทางเบะปากตอนอยู่ในห้องน้ำนั้นทำผมแทบจะบ้าตาย อารมณ์หึงหวงเข้าแทรกมากขึ้นจนไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหนักได้ขนาดนี้

ผมค่อยๆ วางเมลลงบนเตียงอย่างเบามือ มือเล็กปัดป่ายไปในอากาศเมื่อผมหายไป จนผมต้องยื่นมือไปให้อีกคนจับถึงจะสงบลง

นี่ไง ก็เป็นซะอย่างนี้ไง แล้วผมจะไปไหนรอดบอกที

ฝ่ามืออุ่นแนบแก้มคนกึ่งหลับกึ่งตื่น ผมใช้มืออีกข้างลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความรัก รักที่ผมมั่นใจและพูดมันออกมาได้เต็มปากแล้วว่ามันใช่ความรู้สึกนี้จริงๆ

ดวงตาคมดุทอดมองอีกฝ่ายด้วยความละมุนและอ่อนโยนจนถ้าหากมีคนสนิทมาเจอคงจะได้ตกใจไม่มากก็น้อย

สายตาที่บ่งบอกว่า อีกฝ่ายสำคัญต่อเจ้าของดวงตานั้นขนาดไหน

แพขนตาปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ปากเล็กอ้าออกเล็กน้อยงับอากาศหายใจ คิ้วเล็กขมวดบ้างคลายบ้าง บางครั้งก็พึมพำอะไรฟังไม่รู้เรื่อง ผมอีกฝ่ายยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงแต่กลับน่ารักน่าเอ็นดูมากในสายตาคนมองอย่างผม ผมหอมหัวทุยๆ นั่นไปที ก่อนจะได้ยินเสียงครางอ่อนอย่างรำคาญของอีกฝ่าย ก่อนจะยกยิ้มปล่อยมืออีกฝ่ายออก และดูแลอีกฝ่ายต่อ

กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ใช้เวลาไปนานใช้ได้ แปลกดีเหมือนกันที่ผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกอย่างมันเกิดจากความเต็มใจที่ไม่มีใครบังคับให้ทำ

ผมสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน  คว้าร่างเล็กมานอนกอด ฟังเสียงลมหายใจอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตามไป

            “โปรเจกต์ของเทอมนี้นะครับ เราจะแบ่งกลุ่มทำเป็น 4 คน ซึ่งหัวข้อที่พวกคุณจะได้ต้องมาจับสลากด้านหน้า ซึ่งมีหัวข้อ…”เสียงของอาจารย์หน้าห้องทำให้นักศึกษาในห้องพากันโอดครวญ เพราะมันคืองานใหญ่ของเทอมนี้ ที่แม้จะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่กลับรีบเร่งให้ทำเหลือเกิน

ก็ดีนะครับ ผมจะได้หาเรื่องให้คนตัวเล็กมาอยู่ห้องบ่อยๆ ฉลาดนะเนี่ยเรา

“เมล”ผมสะกิดเบาๆ

“อือ”

“เมล สนใจบีทหน่อย”ผมพยายามลดเสียงลงเหมือนที่ใครๆ เรียกว่าเสียงสอง แต่ดูเหมือนว่าไม่สำเร็จ

“แป๊บนะ”อีกฝ่ายว่าพลางจดยุกยิกลงบนสมุดคู่ใจ

“เสร็จแล้ว บีทมีอะไรหรอ ?”ร่างเล็กหันมามอง ผมเห็นด้วยหางตาเพราะตอนนี้กำลังกอดอกมองทางอื่นแล้ว

ไม่เคยรู้สึกว่าตัวงี่เง่าขนาดนี้มาก่อนเลย

เมลทำให้ผมรู้ว่าตัวเองมีอีกหลายด้านเหมือนกัน และมันก็ค่อยๆ เผยออกมาตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน

“คิก”เสียงหัวเราะทำให้ผมขมวดคิ้วหันไปทำหน้าดุใส่ อีกฝ่ายมองอย่างขอโทษแต่กลับหัวเราะไม่หยุด

“ตลกอะไรเมล”

“ก็ดูบีท ฮ่ะๆ ก็ดูบีทดิ นั่งกอดอกทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กเลย”

“บีทไม่ใช่เด็กนะเมล อย่าแซวดิ”

“คิก มันอดไม่ได้อ่ะ มันตลกจริงๆ นะ”

“ถ้าไม่หยุด เดี๋ยวโดนทำโทษนะ”ผมยิ้มร้าย แกล้งขยับหน้าไปใกล้ ได้ผล เมลชะงักและหาทางหนีทันที แต่ไม่ทันจะแกล้งต่อเสียงนกเสียงกาข้างๆ ก็เรียกความสนใจจากผมไปให้ผมต้องจิ๊ปากขัดใจ

“รุจน์ๆ”

“อะไร”

“อย่าทำหน้าแบบนี้นะ หน้ามุ่ยเหมือนเด็กเลย คิก”อีกฝ่ายปิดปากแสร้งหัวเราะด้วยท่าทางกวนตีน

“กูไม่ใช่เด็ก อย่ามาแซว”อีกฝ่ายรับคู่หูด้วยหน้าตานิ่งๆ ที่ถ้าไม่สนิทคงไม่รู้ว่ากำลังกวนบาทาอยู่

“มันอดไม่ได้อ่ะ มันตลกจริงๆ นะ คิก”

“หุบปากได้ยัง”ผมว่าอย่างไม่สนใจ อยากล้อล้อไป ผมไม่สนหรอก แต่คนข้างๆ ดูเหมือนจะไม่คิดแบบผมนะ เพราะแก้มนิ่มกำลังมีสีแดงปลั่งอย่างน่าฟัด

เหี้ย นี่ถ้าไม่ใช่ในห้องเรียนนะ ฮึ่มมม

“แหมๆ กูไม่ได้จะล้อมึงสักหน่อย กูล้อแฟนมึงต่างหาก ดูดิ หน้าแดงหมดแล้ว กิ้วๆ”โอ้ตยิ้มล้อคนตัวเล็กให้อีกฝ่ายหน้าแดงกว่าเดิม

“อย่าแกล้งเมล”

“ไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย”เมลยู่ปากพึมพำเสียงเบาแต่ไม่พ้นคนหูดีขี้เสือกอย่างโอ๊ตไปได้

“แหมมม จะมาองมาอวดว่าไม่ใช่แฟนแต่เป็นผัวใช่ป๊า โด่ ขี้โม้อ่ะ”

“ก็ดีกว่าคนไม่มีแล้วกัน”เมลเถียงกลับทั้งหน้าแดงๆ ฮือ น่ารักว่ะ แม่ง อยากจับมาฟัดจังเล้ยยย

“ใครบอกกูไม่มี”โอ๊ตเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“ใครล่ะ”

“นี่ไง”มือของโอ๊ตสอดเข้าที่แขนของรุจน์ก่อนจะยักคิ้วเหนือกว่าแล้วพูดต่อ“กูก็มีคนของกูเหมือนกัน นี่ไง”

“กูไม่เล่น”รุจน์ว่าอย่างไม่จริงจัง แต่วันนี้กลับไม่ปัดมือมันออก ผมไม่ทันคิดอะไรต่อ เมลก็หันมาคุยกับผมต่อ

“วันนี้ไปกินแซลม่อนกันนะ”ดวงตากลมโตช้อนมองผมอย่างคนขี้อ้อน นับจากวันนั้นเมลอ้อนผมบ่อยขึ้นมาก เวลาอยากจะได้อะไรหรืออยากทำอะไร ก็อ้อนผมตลอด บางทีก็อยากขัดใจ แต่ดูดิ ดูตากลมๆ นี่ดิ ไหนจะปากเล็กๆ ที่แบะตอนคิดว่าผมจะปฏิเสธนี่อีก ใจอ่อนยวบไม่ทันเลยกู

“ได้ดิ เมลอยากกินบีทก็พาไปได้อยู่แล้ว”

“ขอบคุณนะครับ งั้นเดี๋ยวเราไปกินก่อนแล้วเดินห้างต่อนะ”

“ครับ ตามใจเมลเลย”

“ตามใจเมลเลย”เสียงเห่าหอนข้างตัวที่โคตรจะน่ารำคาญเพราะมันแสร้งดัดเสียง จนอยากจะฝากรอยเท้าสวยๆ ประทับหน้ามันก่อนจะกลับเหลือเกิน

“วอนนักนะมึงอ่ะ”

“ทำไมพี่บีทไม่อ่อนโยนกับน้องโอ๊ตเลยอ่า”ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนมันจะหลุดกลับมาแบบเดิมเพราะรับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

“อี๋ กูรับตัวเองไม่ได้ว่ะ”

“เออ เหมือนกัน”

“+1”

“+1”

“เอ้า ทำไมรุมกูวะ”

“เพราะไม่มีใครรักมึงไง”สามเสียงประสานกันโดยไม่ตั้งใจ แต่เรียกเสียงฮาครืนของเราทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย

“จะกินหรือจะเดินก่อนดีวะ”โอ๊ตถามขึ้น เราสี่คนยืนอยู่ในห้างแห่งหนึ่ง สุดท้ายอีกสองคนที่เหลือที่อยากจะมาเดิน(เป็นก้างขวางคอ)เล่นก็ติดสอยห้อยตามเรามาด้วย

“เมลบอกอยากกินก่อน”

“อะไรๆ ก็เมลนะมึงอ่ะ รุจน์ มึงดูเพื่อนมึงดิ ไม่สนใจกูเลย”

“น้อยใจไรไร้สาระ”หึ สมน้ำหน้า โดนเพื่อนด่า

“สมน้ำหน้า”คนรู้ใจผมด่ากลับไป เมลดูมีความสุขขึ้นเยอะ ยิ่งอยู่ด้วยกันครบแก๊งค์ เมลก็ยิ่งดูมีความสุข ผมเลยยอมให้พวกมันมาด้วยไง ทั้งที่วันนี้จะมาเดทกันสองคน

อะไรก็ไม่เท่าความสุขเขาแล้วล่ะครับ

“พอๆ จะรุมกูอีกนานไหมวะ จะกินอะไรก็ไปกินดิ นำไปเลย”โอ๊ตดุนหลังเมลไปด้านหน้า เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของทั้งสองคนนั้นทำให้ผมเบาใจ เดินทิ้งท้ายกับเพื่อนหน้านิ่งต่อไป

“หวานจังนะมึงอ่ะ”

“หึ แน่นอน กว่าจะผ่านมาได้ใช่เล่นเลย ก็ต้องเอาให้คุ้ม”ผมว่าอย่างมีความสุขให้อีกคนส่งสายตาเบื่อหน่ายมาให้

“ดีแล้ว เพื่อนกูมีความสุขกูก็ดีใจ แต่อย่าผิดใจกันอีกก็แล้วกัน”

“ไม่มีแล้วว่ะ เข็ดแล้ว กูจะชัดเจนกับทุกอย่างแล้วไม่ทำให้เมลต้องร้องไห้เพราะกูอีก”

“เออดี”

“แต่อาจจะร้องเพราะอย่างอื่นนะ หึ”

“หึ”

“เห้ย อันนั้นน่ากินว่ะ กูขอนะเมล”ตะเกียบของคนตะกละกำลังจะเอื้อมมาในจานของคนด้านข้างผม เสียงหวานร้องขึ้นทันทีเมื่อของที่ชอบกำลังจะถูกแย่งไป

“ฮื่อออ ไม่ให้”จานเล็กยกหนี ใบหน้ามึงตึงที่ผมเชื่อว่ามันไม่กลัวหรอก ดูจากเสียงหัวเราะก็พอจะรู้

“เอามาหน่อยหน่า คิดจะหวงกับเพื่อนหรอวะ”โอ๊ตยังคงไม่ละความพยายาม

“มึงก็ไปแกล้งเมล เอาของกูไปแทนก็ได้”แววตาโอ๊ตสบกับผมชั่วครู่ ก่อนจะหันไปตักของผมไปกินแทน แต่รุจน์เร็วกว่า ยื่นจานตัวเองไปแทน

“ไม่ต้องหรอก มึงกินของกูดีกว่า”

“ไม่ต้อง”

“กินเหอะ”แล้วมันก็กระซิบอะไรกันก็ไม่รู้ ช่างมันก่อน สนใจคุณแฟนดีกว่า

“อันนี้อร่อยจัง”แก้มเล็กบวมตุ่ย ผมมองตามช่วงจังหวะการเคี้ยวของคนตัวเล็ก ก่อนจะเช็ดมุมปากที่เลอะนั่นเบาๆ เรียกใบหน้าแดงๆ ของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ

เลี้ยงง่ายแบบนี้จะเลี้ยงไปตลอดเลยครับ

“อือ ถ้าชอบจะพามากินร้านนี้อีกนะ”

“อื้อ”

“อาทิตย์หน้าว่างไหมบีท”

“ก็คงว่างอ่ะ ทำไมหรอ”

“เปล่า”

“แล้วเรื่องงานอ่ะจะทำวันไหน”รุจน์เอ่ยถามขึ้นมาก่อนผมจะสงสัยอะไร

“เราแบ่งงานในไลน์แล้ว ก็ทำตามนั้นได้เลย เตรียมพวกหนังสือที่น่าจะใช้มาทำที่ห้องเรา”เมลว่า

“ทำไมไม่ทำห้องเรา”

“ก็…ก็บีท”เมลหันมาทำหน้างงใส่ เพราะในกลุ่มรู้ดีว่าผมหวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองแค่ไหน ใครจะเข้ามาก็นับครั้งได้ แม้จะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม มีข้อยกเว้นได้ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าออกได้อย่างอำเภอใจ

“มาทำที่คอนโดบีทดีกว่านะ กว้างกว่า”ผมก้มลงไปใกล้หูเล็ก “เมลจะได้ค้างห้องบีทต่อไงครับ”ผมแอบเม้มหูเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวไปอีกครั้งก่อนจะผละออก

“อือ”

“พวกกูยังจำเป็นอยู่ไหม”

“อ้าว ยังอยู่อีกหรอ”

“สัด”

“หึ”

“แยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน กูกับเมลจะไปซื้อของเข้าห้องต่อ”ผมว่าพร้อมโอบไหล่เล็กเข้าหาตัว ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตไปใส่พวกแมลงวันที่ผ่านไปผ่านมาแล้วจ้องคนข้างตัวผมไม่หยุด

“จ้าๆ ของเข้าห้อง คู่ใหม่ปลามันก็เงี้ยะ เนาะรุจน์เนาะ”โอ๊ตหันไปศอกใส่คนข้างๆ เรียกตัวช่วย แต่แทนที่จะได้ตัวช่วย กลับหันไปมองโอ๊ตด้วยสายตาที่ผมไม่เข้าใจ

“วันนี้รุจน์แปลกๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า”เมลถามขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่คนถูกถามส่ายหน้า

“เปล่า สงสัยเมื่อคืนนอนน้อย”

“นอนน้อยเพราะน้องเมย์หรือเปล่าน้า”โอ๊ตหันหน้าไปแซว

“เสือก”

“อุ้ย เจ็บจังเลย งั้นกูขอตัวก่อนนะ พวกมึงจะไปสวีทกันยังไงก็ตามสบายเลยนะ ไปมึง”โอ๊ตลากรุจน์เดินออกไป ผมเลยพาเมลออกมาบ้าง

“เราว่าวันนี้รุจน์ดูแปลกๆ นะ”

“อือ คิดงั้นเหมือนกัน แต่คงไม่มีอะไรหรอก”ผมโยกหัวเล็กไปมา “อย่าคิดมากเลยครับ”

“อื้อ”

“ไปซื้ออะไรกันอ่ะ”

“เราจะซื้อพวกของสดเข้าห้องไง บีทจะได้กินอะไรที่มันดีกว่าอาหารแช่แข็งสักที”

“น่ารัก”

“ห้ะ อะ…อะไร”

“ก็เมลไงน่ารัก เป็นห่วงบีทด้วย”นิ้วชี้ชี้ไปตรงหน้าอีกฝ่าย ปากเล็กเม้มเข้าหากันอย่างทำตัวไม่ถูก เหมือนคนโดนแกล้งที่ไม่รู้จะรับมืออย่างไร แต่ก็น่าเอ็นดูดี

“ก็บีทเป็นแฟนเรานี่นา”พึมพำพูดคางชิดอก

“หึ อย่าน่ารักไปกว่านี้เลย รีบซื้อรีบกลับเหอะ ก่อนจะทนไม่ไหว”

“บีท !”ฝ่ามือเล็กตีผมอย่างไม่เบาแรงกลบความอายจากประโยคเมื่อครู่

“อะไร บีทหมายถึงจะได้รีบไปทำอาหารไง ทนไม่ไหวอยากกินอาหารฝีมือเมลจะแย่”

“ฝากไว้ก่อนเถอะนะ”

“หึ รีบมาเอาคืนคืนนี้นะครับ”

“บีท!”

...

TBC


ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รุจน์



ผมไม่คิดว่าคนที่ยิ้มแย้มร่าเริงตลอดเวลาจนผมคิดว่ามันจะเป็นสักโรค เวลามันแสดงความอ่อนแอออกมามันจะน่าสงสารขนาดนี้

นิสัยนิ่งเงียบไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของผมทำให้ผมมีโอกาสสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง ผมชอบสังเกตพฤติกรรมของหลายๆ คนแล้วเอามาเก็บไว้ในสมอง ค่อยๆ จดจำมัน และเพิ่งรู้ว่าสายตาของตัวเองมันหลีกหนีจากคนๆ หนึ่งไม่พ้นมานานแล้ว

แต่ไม่เคยสังเกตตัวเองเลย

ความลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้คนอื่นรู้ ผมเองก็ไม่ได้อยากรู้หรอก แต่เหมือนว่ายิ่งพูดว่าไม่ มันยิ่งจะต้องมารับรู้ทุกอย่างที่ไม่ควรรู้

ผมควรจะอยู่ในที่ของตัวเอง นั่งเล่นเกม ทำงาน เรียน ตามประสานักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ผมไม่ควรจะต้องมายุ่งเรื่องของคนอื่นมากเกินความจำเป็น

หลายคนเคยบอกว่าผมฉลาด ผมจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเอง บางครั้งก็เป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ แต่คราวนี้ผมกลับไม่สามารถจัดการอะไรได้แม้กระทั่งความรู้สึกตัวเอง

ไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้มันเรียกว่าอะไรดี กำลังสับสน มึนงง เครียด หรือเสียใจ

มันผสมปนเปกันเกินไปจนผมแยกไม่ออก ดวงตาเล็กทอดมองไปไกลแสนไกล มองผู้คนผ่านม่านตา ก่อนจะปิดมันลงพร้อมกับความคิดมากมายในหัวที่ไม่สามารถพูดออกมาได้

วันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสพิสูจน์สิ่งที่ผมได้รู้มา ว่ามันจะจริงสักแค่ไหน หรือผมอาจจะเข้าใจผิดไปเอง

เราสี่คนมายืนในห้างแห่งหนึ่ง ผมมองคู่หนึ่งในกลุ่มกำลังยืนคุยกัน สร้างกรอบล้อมรอบกันอยู่สองคนเหมือนโลกเป็นสีชมพู ก่อนจะละออกมามองคนข้างตัวผมเอง

สายตามันเหมือนเดิม

ปกปิดเก่งเหมือนเดิม

ไม่มีใครที่จะรู้ว่าภายใต้ความเข้มแข็งของคนที่ร่าเริงมาตลอดอย่างมันนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับความคิดมันบ้าง

ถ้าผมมองไม่ผิด เมื่อครู่ผมมองเห็นแววตาตัดพ้อจากมัน ที่มองไปยังเพื่อนอีกคนของเรา

เราเลือกมากินก่อนจะไปเดินต่อ เพราะบีทเลือกตามใจเมล ก่อนจะแยกกันเพราะอีกสองคนจะไปเดทกันต่อ

ผมมองคนร่าเริงที่ผละแขนตัวเองออกไปจากแขนผม มันชอบเล่นแบบนี้ มันบอกว่ามีคนจิ้นเราสองคนอยู่ เลยอยากจะเป็นกัปตันที่ดี ผมเองก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก แต่อะไรที่พอจะทำให้มันมีความสุขได้บ้างผมก็ยินดีจะทำ

“แยกกันตรงนี้เลยก็ได้นะ”โอ๊ตว่าพร้อมสายตาที่ทอดมองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย มันดูโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ทั้งๆ ที่มันตัวใหญ่พอๆ กับผม แม้จะผอมกว่าแต่ก็ดูแข็งแรงเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอยากปกป้อง

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ แค่นี้มันก็ยุ่งเหยิงมากพอแล้ว

“มึงจะไปไหนต่อ”

“ไปไหนหรอ หึ ไม่รู้เหมือนกัน กูอาจจะไปหาที่เล่นบาสต่อมั้ง มึงอ่ะ”

“ไม่มี”

“ไม่มีธุระต่อหรอ”

“อือ”

“งั้นไปเล่นบาสกันป่ะ กูไม่เล่นหลายวันแล้วเนี่ย”ถ้าเป็นปกติผมคงตอบว่าไม่ เพราะอยากเห็นสีหน้าขัดใจของมัน แต่วันนี้

“อือ ไปดิ”

เสียงลูกบาสกระทบพื้น ผมวิ่งแข่งกับมัน คว้าลูกสีส้มมาในมือก่อนจะชู้ตสามแต้มเข้าห่วงอย่างสวยงาม

“แฮ่ก แม่ง มึงโคตรเก่ง”โอ๊ตหอบหน้าแดง มองหน้าผมไม่พอใจนิดหน่อย เพราะแพ้มาหลายครั้งแล้ว

“ช่วยไม่ได้”ผมยกไหล่ไม่แคร์

“ไม่ไหวแล้ว”ร่างสูงนอนแผ่หลาในสนามบาสเหมือนหมดแรงทั้งลมหายใจหอบถี่ โดยไม่กลัวว่าชุดนักศึกษาจะสกปรกแค่ไหน

“…”ผมล้มตัวนอนลงข้างมัน มองอีกคนที่ยกมือก่ายหน้าผากนิ่งเงียบ ตามันกลับมาเศร้าเหมือนเดิม เป็นสายตาที่ผมไม่อยากมอง ผมไม่ชอบสายตาแบบนี้ของมัน จะเรียกว่าเกลียดเลยก็คงไม่ผิดมากนัก

ความเงียบของเราทั้งสองไม่ได้สร้างความอึดอัด เหมือนเวลาจะปล่อยให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ให้เราได้คิด ว่าชีวิตควรจะทำอย่างไรกับมันต่อไป

เสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ข้างสนามทำให้ผมลุกไปหยิบมากดรับ แล้วกลับมานั่งลงข้างตัวโอ๊ตเหมือนเดิม

“อือ ว่าไงเมล”แววตาเล็กวูบไหวชั่วครู่ก่อนจะนิ่งสงบเหมือนเดิม พร้อมรอยยิ้มที่เจ้าตัวปั้นมันขึ้นมา

“พรุ่งนี้อยากกินอะไรเปล่า เราซื้อของมาเต็มเลยเดี๋ยวทำไปให้”เสียงเล็กพูดอย่างร่าเริง ผมรู้สึกยินใจจริงๆ ที่เมลกับบีทดีกันได้สักที เพราะไม่อย่างนั้นมันคงจะหนักกว่านี้

“ได้หมด ขอบใจมาก”

“ไม่เป็นรายยย”สายถูกตัดไปแล้ว แต่ผมกลับแนบมันใกล้หูเหมือนเดิม หันไปลอบมองปฏิกิริยาของคนข้างตัวผมเรื่อยๆ แต่กลับไม่พบอะไร เลยยอมแพ้ นอนลงเหมือนเดิม

ผมเจอคนที่เก่งกว่าผมแล้วล่ะ หึ

“เก็บเก่งจังนะมึงอ่ะ”

“อะไร ?”

“เปล่า อยากเล่นอีกไหม”

“ไม่อ่ะ”

“แล้วจะไปไหนต่อ”

“คงกลับเลยมั้ง มึงอ่ะ”

“กลับเลยเหมือนกัน เหนื่อยแล้ว”

“อือ เหนื่อยเหมือนกันว่ะ”น้ำเสียงอ่อนลงจนผมใจหายดังขึ้น ก่อนจะเป็นปกติ “เล่นบาสโคตรเหนื่อยเลยเว้ยยย”

“หึ”ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะยื่นมือให้คนที่นั่งอยู่

“อะไรวะ”

“ขึ้นมาดิ”

“กูลุกเองได้ ไม่ต้องมาหลอกจับมือกูหรอก อี๋ ขนลุก”

“ไร้สาระ ขึ้นมาเร็วๆ”

“เออๆ”สุดท้ายมันก็ยื่นมือเรียวของมันมาจับ มือของมันไม่ได้นิ่มนวลมันก็แค่มือผู้ชายธรรมดา แต่ชั่ววินาทีที่โอ๊ตยืนขึ้น ผมกลับรู้สึกถึงความประหลาดของตัวเองไป

มันแปลกกว่าที่ควรจะเป็น

“กูหิวว่ะ”อีกฝ่ายลูบท้องประกอบคำพูด ก่อนที่ผมจะส่ายหน้า ยอมตามใจมัน จนมาหยุดยืนที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังข้างทาง

กินง่าย อยู่ง่าย

“ลุงคร้าบ ขอเส้นเล็กไม่ผัก2นะครับ มึงเอาไร”อีกฝ่ายสั่งเสร็จก็หันมาถามผมที่นั่งตรงข้าม

“เส้นใหญ่พิเศษครับ”

“มึงอ่ะสั่งไม่คุ้ม มันต้องสั่งแบบปกติสองถ้วยเว้ย มันถึงจะคุ้ม”

“ยังไง”ผมถามอย่างอยากรู้ ความจริงก็ไม่ได้อยากรู้อะไรจริงจังหรอก แค่อยากมองสายตาที่ดูมั่นใจนั้นที่ดูเป็นประกายตอนที่ได้พูด กับปากเล็กๆ นั่นที่ขยับไม่หยุดจนผมเหนื่อยแทน

แต่รวมๆ ก็ดี

“ก็ถ้าสั่งแบบปกติอ่ะมัน 40 ช่ะ แล้วถ้าสั่งไป 2 เนี่ยมันจะเท่ากับ80 แต่ถ้าสั่งพิเศษถ้วยเดียวก็60แล้วอ่ะ ปริมาณน้อยกว่าเห็นๆ”

“แต่พิเศษถูกกว่านะ”พอผมพูดไป ปากเล็กนั่นก็บึนออกเล็กน้อยพร้อมสายตาไม่พอใจจากมันมาให้

หึ โคตรเด็ก

“แต่แบบแรกมันอิ่มกว่าไง มึงไม่เข้าใจหรอวะ แพงกว่า20บาทแต่กูอิ่มไปทั้งคืนเชียวนะ”

“เออๆ”หมดแรงจะเถียงแล้ว อีกฝ่ายยิ้มกริ่มเมื่อเป็นผู้ชนะ และพร้อมกับที่ก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟพอดี ต่างคนก็ซัดโฮกก๋วยเตี๋ยวโดยที่ไม่มีบทสนทนาใดๆ บนโต๊ะอีก

แต่ก็ไม่อึดอัด

ผมนั่งมองคนที่กินจนเลอะปากเพราะความตะกละของตัวเอง มือซ้ายถือน้ำ เพราะความเผ็ดจากพริกที่ปรุงเข้าไปเองทีหลัง แต่ก็ยังชอบความเผ็ด ส่วนมือขวาก็จับตะเกียบค้างไว้บนอากาศ พอเคี้ยวหมดคำก็กินน้ำตามทันที

“กินแบบนี้กูว่าวันนี้มึงคงอิ่มน้ำก่อนก๋วยเตี๋ยว”ผมว่าเสียงนิ่งแบบเดิม ก่อนอีกฝ่ายจะหันมามองตาดุ โคตรน่ากลัวเลย

“อ่าเอือก”อีกฝ่ายด่าทั้งที่เต็มปากให้ผมทนมองไม่ได้ หยิบทิชชู่ยื่นไปให้มัน อย่าหวังเลยว่าผมจะช่วยเช็ดเหมือนในนิยาย ต่างคนต่างเป็นผู้ชายทั้งคู่ ทำอะไรแบบนั้นไม่ลงหรอก

มันมองอย่างขอบใจ ก่อนจะเช็ดปากให้พอดูดีขึ้นบ้างและกินต่อแบบเดิม

“เท่าไหร่ครับ”ผมถามเด็กเสิร์ฟที่ยืนคิดเงินตรงหน้า

“140ค่ะ แต่วันนี้ฟรีค่ะ”

“อ้าว ไมอ่ะ”โอ๊ตถามขึ้นอย่างสงสัย

“ถือซะว่ามื้อนี้เป็นของขวัญจากจิ๊บนะคะ ขอให้พี่ทั้งสองคนรักกันนานๆ นะคะ อะไรที่ไม่เข้าใจกันก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะ บ้ายบาย”

“หา”

“อ่ะ อ๋อ ขอบใจมากนะน้อง พี่จะจำไว้นะ”โอ๊ตฉีกยิ้มกว้างไปให้ แถมยังคว้ามือผมไปจับโชว์น้องเขาอีก จากนั้นมันก็ลากผมออกมาจากร้านทันทีไม่ให้ทันผมได้ทักท้วง

“แฮ่กๆ แรงเยอะชะมัดมึงเนี่ย กว่าจะลากออกมาได้นะ”

“แล้วใครใช้ให้ไปหลอกน้องเขาแบบนั้นล่ะ”

“กูเปล่านะ กูยังไม่ได้บอกเลยว่าเราเป็นแฟนกัน น้องเขาคิดไปเองต่างหาก”

“หลอกกินฟรีไง”

“ก็…ไหนๆ น้องเขาก็จับเราจิ้นกันแล้ว แค่นี้เองหน่า”

“เห้อออ”ผมถอนหายใจ ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก มุมปากยกสูงขึ้นอัตโนมัติ เป็นรอยยิ้มที่โอ๊ตเคยบอกว่าเกลียดที่สุด

เพราะมันไม่ใช่ยิ้มของคนดีๆ เขาชอบทำ

ผมก็ไม่เคยบอกนะว่าตัวเองเป็นคนดี

โอ๊ตแสดงสีหน้าตกใจจนน่าขำ ถอยเท้าไปด้านหลังทันทีเหมือนข้อมูลอัตโนมัติตอนที่ผมก้าวเข้าไปใกล้ แต่ไม่นานก็ถึงทางตันเมื่อแผ่นหลังหนั่นแน่นนั่นชิดกับผนังตึกที่ไหนสักที่

และมือของเรายังไม่ปล่อยจากกัน

ดวงตาเลิ่กลักกำลังมองผมอย่างหาทางหนี ยิ่งผมขยับหน้าเข้าไปใกล้เท่าไหร่ ลมหายใจของอีกฝ่ายก็จะหอบถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

“หยะ…หยุดนะเว้ย กูเป็นเพื่อนมึงนะ”

“ไหนมึงบอกเองว่าเราเป็นแฟนกัน”

“กูพูดตอนไหน”

“อ้อ ใช่สิ มึงไม่ได้พูด น้องเขาต่างหากที่บอก ถ้างั้น ไหนๆ ก็หลอกกินฟรีมาแล้ว ก็ทำให้มันเป็นเรื่องจริงเลยดีไหม”ดีที่ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว ถนนที่นี่ก็เลยค่อนข้างโล่ง ไม่มีรถรามาบีบแตรไล่ถ้ามาเจอผู้ชายสองคนเอาหน้าใกล้กันขนาดนี้

“…”ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ก่อนปากเล็กจะอ้าออกอย่างตกใจในคำพูดนั้นของผม มันขยับปากราวจะพูดอะไร แต่ก็เหมือนปลาขาดน้ำที่พูดอะไรไม่ออก จนได้แต่มองหน้าผมอยู่แบบนั้น

“มะ…อื้อ”เหมือนว่ามันจะได้สติขึ้นมาบ้างเลยกำลังจะเอ่ยปากพูด ผมเลยใช้จังหวะนั้นสอดปลายลิ้นเข้าไป พอดีว่าผมฉลาดมากพอที่จะรู้ว่ามันจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ว่านะ…ผมไม่ชอบการถูกปฏิเสธเสียเท่าไหร่ด้วยสิ

ริมฝีปากนั่นยังคงหวานเหมือนเดิม ผมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ตั้งตัว คว้าเอวมันให้เดินเข้าซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งทันที ไม่งั้นคงได้เป็นภาพที่ว่อนเน็ตไปทั่วแน่ถ้ามีคนมาเจอแล้วถ่ายรูปไปโพส

ผมกดปากลงไปอย่างหนักแน่น หลอกล่อปลายลิ้นร้อนให้ตอบสนองกลับมาเท่าที่ตัวเองต้องการ นี่ไม่ใช่จูบแรกของเรา ครั้งแรกมันเกิดจากความเมาของตัวมันเองที่คว้าคอผมเข้าไปจูบตอนไปหาบีทในวันนั้น และมันก็ลืมไปแล้ว จนผมต้องมารื้อฟื้นความทรงจำให้มันใหม่แบบนี้

เสียงหยาบโลนดังขึ้นภายในซอยเปลี่ยว แสงสว่างที่เล็ดรอดเข้ามาทำให้ผมเห็นใบหน้าสับสนของมันชัดเจน ดวงตาฉ่ำปรือด้วยแรงอารมณ์นั้นกำลังทำให้ผมคลั่งตาย รู้ตัวอีกที มือขวาก็สอดเข้าไปลูบไล้เนื้อตัวของมันอย่างห้ามไม่ได้ไปแล้ว

“อื้อ อ่ะ”

“โอ๊ต อือ”

“หยะ…อย่านะ”เสียงห้ามขาดห้วงไม่ได้ทำให้ผมอยากหยุดเท่ากับความร้อนในกายที่แล่นพล่านไปทั่วตอนนี้เลย ผมซบหน้าลงกับไหล่ที่เล็กกว่าผมเล็กน้อยอย่างหมดแรง ไม่นานนัก ผมก็ค่อยๆ ปรับอารมณ์ให้มันเหมือนเดิมได้

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ…

ผั่วะ

หมัดหนักๆ ฟาดเข้าหน้าผมเต็มแรงทันทีที่ผมผละออก แม้จะเตรียมใจแล้วว่าไม่พ้นโดนต่อย

“หมัดหนักเหมือนกันนะมึง”ผมหัวเราะ ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดมุมปากตัวเอง

“มึงทำอะไรของมึง กูเป็นเพื่อนมึงนะ”

“หรอ แล้วมึงชอบเพื่อนตัวเองได้ด้วยงั้นหรอ”อาจเพราะความไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง ผมเลยเผลอพูดแบบนั้นออกไป ใบหน้าคร้ามแดดก็ซีดลงฉับพลัน

“หมะ…หมายความว่าไง”

“กูว่ามึงเข้าใจสิ่งที่กูพูดนะ”

“แล้วมึงทำแบบนั้นกับกูทำไม หรือว่ามึง…”

“กูไม่รู้”

“ไม่รู้หรอ อยู่ๆ มึงก็จูบกู แต่มึงบอกว่าไม่รู้เนี่ยนะ มึงเป็นเหี้ยไรอ่ะ”ผมเซไปด้านหลังจากแรงผลักจากอีกฝ่าย ก้มหน้าไม่กล้าสบตาของมัน เพราะอะไรไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่อยากมองดวงตาที่ผิดหวังในตัวผมล่ะมั้ง

โคตรน่าสมเพชเลยว่ะ

แต่ที่น่าสมเพชกว่านั้นก็คือ…ตอนนี้ผมไม่สามารถพูดออกมาได้เต็มปากแล้วว่ายังคิดกับอีกฝ่ายแค่เพื่อนสนิทเท่านั้น

มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมใจหายจนว่างเปล่าก็คือประโยคนั้น

“อย่าเจอกันสักพักเลยนะ”อีกฝ่ายว่าเสียงเบา ผมสบตาเอ่อคลอนั้นทันที มันร้องไห้เงียบๆ ไม่รู้ว่ามันร้องเพราะอะไร เพราะเรื่องที่ผมรู้เรื่องของมัน หรือว่า…เพราะผม

ไม่จริงหรอก คนเรามันจะเปลี่ยนไปง่ายๆ เพียงเพราะจูบกันเพียงครั้งเดียวงั้นหรอ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

“อย่าไป”ผมเอื้อมมือไปคว้ามือนั้นมาจับอีกครั้งแต่คราวนี้ได้เพียงความว่างเปล่าเมื่ออีกฝ่ายชักมือหนี เหมือนภาพสโลว์ตอนที่อีกฝ่ายถอยหนีผมและหมุนตัวเดินออกไป ไกลเรื่อยๆ จนลับสายตา

ผมยืนทำอะไรไม่ถูกแบบเดิม ความว้าวุ่นที่เติมในใจตอนนี้มันสร้างความสับสนได้มากพอที่ทำให้ผมต้องทบทวนตัวเองอีกครั้ง

ใครว่าผมฉลาด…ผมว่าผมโง่กว่าที่พวกคุณคิดอีกนะ


ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
13 คิดมาก



'ค่ำคืนมีเพียงแสงสว่างจากดวงดาวเท่านั้น แต่มันกลับสว่างมากเหลือเกินเพราะคุณคือดาวดวงนั้นที่เคียงข้างผม'



ผมมองลูกแมวน้อยที่ไม่ยอมนอนหลับ

เมลกลับมาถึงก็รีบอาบน้ำแล้วซุกตัวเข้าผ้าห่มไปทันที ผมคิดว่าจะหลับไปเสียอีก แต่ว่าเมลกลับลืมตามองผมทันทีที่เดินเข้าไปใกล้เตียง ดวงตาเล็กแย้มยิ้มเป็นพระจันทร์เสี้ยว ก่อนจะรีบเข้ามานอนซุกผมเมื่อผมสอดตัวเข้าไปนอนใกล้ๆ

ผมโอบกอดอีกฝ่ายเต็มรัก ก่อนจะกดจูบที่ขมับเล็กราวกับจะกล่อมให้หลับ มืออีกข้างก็กดหาช่องที่ต้องการ ก่อนจะเจอแล้วหรี่เสียงลงเพื่อไม่ให้รบกวนเขาเท่าไหร่

“นอนได้แล้วครับ”

“ฮื่อออ”ผมสวยสะบัดไปทั่วเตียงราวกับไม่ยอม เสียงเล็กครางหงิงเหมือนลูกแมว เรียกสายตาเอ็นดูจากเจ้าของได้เป็นอย่างดี

“ทำไมครับ”

“เมลยังไม่ง่วง”

“คนไม่ง่วงที่ไหนตาปรือแบบนี้ครับ”ผมหัวเราะเบาๆ มองคนที่บอกว่าไม่ง่วงกำลังพยายามกระพริบตาเพื่อไล่ความง่วงให้ออกไป

วันนี้เป็นอะไรกันแน่ ทำไมไม่ยอมนอน ทั้งที่เวลาปกติ เมลจะนอนเร็วอยู่แล้วหนิ เรียกได้ว่าแค่หัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยเป็นเด็กน้อยไปเลยทันที

“ไม่ง่วงจริงๆ นะ”

“แล้วถ้าไม่ง่วง เมลอยากทำอะไรครับ หรือว่าหิว”ผมมองร่างเล็กอย่างสงสัย อาจจะหิวตอนนี้ก็ได้ ผมพยายามคิดว่าจะทำโอวัลตินหรือว่าโกโก้ให้เมลดีก็ต้องพับโครงการเก็บไปเมื่อร่างเล็กไม่เลือกทั้งสองอย่าง

“จะดูบอล”

“หืม ดูบอล”

“ใช่”เสียงเล็กตอบอย่างหนักแน่น ให้ผมได้แปลกใจ

“ทำไมล่ะครับ ปกติไม่เห็นอยากดูเลย”

“ก็…วันนี้อยากดูไม่ได้หรอ”

“…”ผมมองอีกฝ่ายเพื่อค้นหาความจริง เมลดูออกง่ายจะตายแค่นี้ก็รู้แล้วว่าอีกคนกำลังปิดบังผมอยู่

“คือ…เมลคุยกับเพื่อนมา”

“อือฮึ แล้ว”

“เขาบอกว่าให้เมลใช้เวลากับบีทให้มากขึ้น พยายามหาอะไรทำด้วยกันมากกว่านี้”

“…”

“ทำในสิ่งที่บีทชอบมาก อย่าเอาแต่ใจตัวเองเกินไป เดี๋ยวบีทจะเบื่อ”แววตาเล็กดูเศร้าลงไปทันทีเมื่อพูดจบ ผมจูบลงบนเปลือกตาเล็กที่หลับลงทันทีเมื่อผมเข้าไปใกล้เหมือนตอบรับ จูบเบาๆ ทั้งสองตาเล็ก ก่อนจะผละออกมาแล้วยิ้มแบบเดิม

ยิ้มให้กับคนรักเหมือนเดิม

“บีทไม่เคยคิดจะเบื่อเมลเลยนะ เมลกลัวเรื่องนี้หรอ”ใบหน้าเล็กหลุบต่ำแต่ก็ยอมพยักหน้าในที่สุด

“เมลครับ กว่าที่บีทจะทำให้เมลเชื่อใจบีทได้มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วบีทจะมาเบื่อแค่เมลเอาแต่ใจหรอ เมลคิดว่าบีทเป็นคนแบบนั้นหรอ”

“ไม่ใช่นะ”เมลรีบเงยหน้าขึ้นตอบทันที

“ขอบคุณนะครับที่เชื่อบีท ถ้างั้นก็เลิกคิดมากได้แล้ว บีทไม่เบื่อเมลง่ายๆหรอก”ผมบีบจมูกเล็กไปอย่างหมั่นเขี้ยว

“แต่ว่า…”

“รักขนาดนี้แล้วเนี่ย คุณแฟนช่วยเห็นใจผมหน่อยนะครับ”

“คะ…คุณแฟนอะไร บีทเป็นอะไรเนี่ย”

“เขินเก่งนะครับ”

“ฮื่อออ ไม่เอาอย่าแกล้ง”มือเล็กปัดป้องมือผมให้หลบออกไปเมื่อจะเอื้อมไปหยิกแก้ม ผมละมือออกอย่างพอใจ แค่นี้ก็เขินจะแย่อยู่แล้ว ถ้าแกล้งกว่านี้ผมคงได้เห็นคนเขินตายแน่

จะจำเอาไว้ว่าเมลชอบให้พูดว่า ‘คุณแฟน’

“นอนได้แล้วครับ ไม่ต้องฝืนหรอกนะ ง่วงก็นอนก่อนเลย”

“แต่เมลอยากทำอะไรเพื่อบีทบ้างนี่ บีทดูแลเมลตลอดเลย แต่เมลกลับ…”

“แค่เมลเป็นหมอนข้างให้บีทกอดทุกคืน จูบตอนเช้าให้บีททุกวัน ยืนทำอาหารให้บีทกินตลอด แค่นี้ก็คุ้มแล้วล่ะ”

“อย่าไปฟังคนอื่นมากเลย ฟังแค่แฟนคนเดียวก็พอแล้วนะ”

“อื้อ”แล้วคนน่ารักก็หลับไปทันทีอย่างว่าง่าย ผมลูบหัวจนแน่ใจว่าเขาหลับแล้วก็หันความสนใจไปที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลต่อ

“ฝันดีนะครับคนดี”หอมหัวทุยไปอีกที และกระชับกอด

ผมยืนมองร่างเล็กในผ้ากันเปื้อนสีสะอาดกำลังยืนคนอาหารในหม้อ ปากเล็กพึมพำสูตรอาหารไม่หยุด บางทีก็ยู่ปากอย่างน่ารัก อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาแล้วหอมแก้มเต็มแรง

“อ้ะ บีท ตกใจหมดเลย”

“หึหึ”ใบหน้าเล็กแดงซ่านด้วยความเขิน เวลาผมสกินชิพอีกฝ่ายทีไร เมลก็จะเขินตลอด ไม่เห็นจะชินสักที แต่ผมก็ชอบมองหน้าแดงๆ แบบนี้นะ เลยชอบแกล้งอยู่แบบนี้ไง

“ทำอะไรอยู่ครับ”ผมว่าพลางวางคางบนไหล่เล็กมองสองข้างสวมกอดรอบเอวบางเบาๆ

“ก็…ต้มจับฉ่ายอ่ะ อยากกิน แม่เคยทำให้กินตอนนั้นเลยคิดถึง”อีกฝ่ายหน้าหมองลงไปเบาๆ

“หรอครับ งั้นวันหยุดนี้ไปหาแม่เมลกันอีกไหมครับ”วันหยุดที่ว่าคือหยุดสามวันที่อาจารย์จะไปดูงานที่ต่างประเทศน่ะครับ เราเลยได้หยุดกันแบบงงๆ

ได้ผล แววตากลมโตเปล่งประกายดีใจ หมุนตัวเผชิญหน้าผมทันทีทั้งที่เมื่อครู่ยังตั้งใจทำอาหารอยู่เลย

“จริงนะ บีทพูดจริงๆ นะ”

“ครับ”ผมยีหัวเล็กไปที ก่อนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อมือเล็กกอดผมเต็มแรง ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเตาก่อน เพราะอาหารที่ปรุงไม่เสร็จน่าจะกินไม่ได้

“อะไรครับเมล”

“รางวัลของบีทไง”

“ไม่เอา”

“อ้าว”ใบหน้าเล็กเงยหน้าจากอกขึ้นมามอง ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่อีกฝ่ายจะเม้มปากหน้าแดงก่ำเพราะผมชี้นิ้วมาที่ปากตัวเอง

“บีท”เมลเอ่ยเสียงอ้อนเพื่อไม่ยอมทำตามผมบอก ใครจะยอมกันล่ะ เรื่องอื่นน่ะยอมได้ แต่เรื่องแกล้งเมลแบบนี้เนี่ย ผมไม่ยอมให้หรอก

“ครับ”เมื่อเจอสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของผม เมลก็ก้มหน้าลงสร้างความมั่นใจ

“หลับตาสิ”

“ครับ”ผมทำอย่างว่าง่าย ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าเมล แต่ก็ช่างเถอะ ดีกว่าเขาไม่ยอมแหละนะ

จุ้บ

ผมลืมตามองสิ่งที่จูบไปเมื่อครู่ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเจ้าตัวการณ์ยืนปิดปากกลั้นขำอยู่

“คิดว่าจะแกล้งเมลได้คน…อ้ะ”สองมือแกร่งจับร่างเล็กขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะแทรกตัวเองไปอยู่ตรงกลาง เมลหน้าเหลอหลาน่าตลกทันที

“บะ…บีท เมลไม่เล่นนะ”

“บีทก็ไม่เล่น ไหนคนขี้แกล้งเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว กล้านักนะเมล เอาแก้วมาให้บีทจูบเนี่ย กล้าหลอกแฟนตัวเองหรอ หื้ม”จมูกโด่งคลอเคลียข้างพวงแก้มนิ่ม ก่อนความอุ่นร้อนของแก้มที่ไซร้ที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับสีแดงสุกปลั่งที่ค่อยๆ ตามเช่นกัน

“ก็…ก็บีทแกล้งก่อน”เบะปากน้อยๆ เรียกความเห็นใจจากคนรัก

“ก็บีทรักเมลนี่นา ไม่ให้แกล้งคุณแฟนจะไปแกล้งใครหรอครับ”

“ถ้าไปแกล้งคนอื่นล่ะน่าดู”

“แฟนโหดขนาดนี้ไม่กล้าหรอกครับ”ผมมองอีกฝ่ายราวกับกลัวมาก ท่าทางแสร้งทำเมื่อครู่ทำให้เมลมองผมตาขุ่นทันที

“ไม่ต้องมาประชดเลยนะ”

“ใครจะกล้าประชดเมลล่ะ”

“บีทไง”

“เมล…”ผมยกยิ้มอ่อนโยนให้คนตรงหน้า ดวงตาสองคู่สบกันก่อนจะมีแรงดึงดูดที่พาให้ใบหน้าเราขยับแนบชิดกันจนไร้ช่องว่าง

มือเล็กขยับมาโอบรอบคอไว้ทันทีที่จูบกัน เผลอโอบแน่นเมื่อผมสอดปลายลิ้นเข้าไป

“อื้มมม”เสียงครางเบาเล็ดรอดออกมาจากลำคอเล็ก ก่อนมือเล็กจะจิกหลังคอผมแน่นด้วยความรู้สึกที่ค่อยๆ โหมกระพือขึ้นตามแรงอารมณ์

ผมลูบหลังเล็กปลอบใจไม่ให้ตื่นกลัว มืออีกข้างก็สอดเข้าไปหยอกล้อกับเม็ดนิ่มกลางอกจนคนได้รับสัมผัสสะดุ้งเฮือกทันที

“ฮ่ะ ฮ้า”เมลเชิดหน้าขึ้นสูงโกยอากาศยามที่ผมผละออกมาซุกไซร้ซอกคอขาวล่อตาตรงหน้าแทน พร้อมกับปลดผ้ากันเปื้อนสีสวยออกจากตัวร่างเล็ก

“อึก บีท”ลิ้นร้อนละเลงบนตุ่มไตเล็กจนมันแข็งชัน อุณหภูมิในห้องครัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความหยาบโลนที่แฝงไปด้วยความรักกำลังสร้างความสุขมากมายให้กับสองร่างที่กอดก่ายถ่ายทอดความรู้สึกกันในตอนนี้

ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง

“บีท อ้ะ เดี๋ยว”

“อืม อย่าไปสนใจ”ผมจัดการถอดเสื้อเล็กออกจากตัวโดยเจ้าของร่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ปิ๊งป่องๆๆๆๆๆๆ

“โว้ย ถ้าเรื่องไม่สำคัญนะ กูจะฆ่าแม่งให้หมดเลย”ผมว่าตอนที่ผละออกจากร่างเล็กแล้วเดินไปเปิดประตู

“มีอะ…ป๊า”ผมตั้งสติแทบไม่ทันเมื่อคนที่ไม่คิดว่าจะมายืนตรงนี้เป็นคนที่มาหาผมถึงห้อง

ร่างสูงที่ผมถอดแบบมาตอนนี้แต่งตัวสบายๆ เหมือนวันนี้เป็นพักผ่อน เดินฝ่าผมเข้าห้องไปโดยที่ผมยังยืนที่เดิม พอได้สติก็รีบวิ่งตามเข้าไปทันที

“ป๊า…ป๊ามาได้ไง”

“ก็ห้องลูกชายไหมล่ะ จะมาก็ไม่เห็นแปลก หรือว่า…”ป๊ายกนิ้วชี้หน้าผมหรี่ตามองสงสัย“แอบพาสาวมาซุกที่ห้อง”

“บีท ใครมาหร…ป๊า”บุคคลที่ป๊ากล่าวเมื่อครู่เดินยิ้มออกมาจากห้องครัวอย่างอารมณ์ดี ในมือถือจานข้าวออกมาเตรียมตั้งโต๊ะ ดีที่รีบวางก่อน ไม่อย่างนั้นผมว่าผมตั้งมานั่งเก็บจานก่อนกินข้าวแน่ๆ

ป๊ามองเมลตั้งแต่หัวจรดเท้า ปากเล็กๆ ที่บวมเจ่อเสื้อผ้าที่ไม่เข้าที่ กระดุมสองเม็ดบนที่ผมปลดออกทำให้ผิวขาวๆ โผล่พ้นออกมาอวดสายตา แถมยังมีร่องรอยที่ผมทิ้งไว้อีก “เมล ?”ป๊ามองผมสลับกับแฟนผมอย่างงงๆ ก่อนจะหันมามองด้วยคำถาม

“เมล อยู่ที่นี่หรอ ?”

“เอ่อ ครับป๊า”เมลก้มหน้าตอบความจริง

“เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยนะบีท เมล”ป๊าว่าและเดินหายไปในห้องรับแขกทันที แววตาเมื่อครู่ไม่มีแววล้อเล่นอย่างเช่นทุกทีทำให้ผมหวั่นไม่น้อย แต่ไม่เท่ากับคนที่ยืนหน้าซีดปากสั่นคนนี้หรอก

ผมรีบเดินไปโอบเอวเขาไม่ให้ล้มพับไป ก่อนจะคว้ามือเล็กมาบีบแน่นเพื่อบอกว่าผมยังอยู่ตรงนี้ เขาฝืนยิ้มมาให้เล็กน้อยทั้งที่ดวงตาใสเต็มไปด้วยความกังวลจนผมนึกสงสารเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรนะครับ เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะ”

“แต่ว่าป๊า…”

“ชู่ววว ไม่มีอะไรที่บีททำไม่ได้หรอก อีกอย่างป๊าตามใจบีทจะตาย ไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก”

“…”

“เมลครับ”

“หือ”

“เชื่อใจบีทไหม”ผมมองลึกไปในแววตาสีสวยที่ผมหลงใหลก่อนคำถามที่ไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองใดๆ ตอบรับมาอย่างรวดเร็ว

“เชื่อสิ”คำตอบที่ทำให้ผมใจชื้นก่อนจะเอ่ยปากต่อ

“ไปแต่งตัวสวยๆ นะ เดี๋ยวบีทไปคุยกับป๊าก่อน เมลค่อยตามมานะ”

“อื้อ”เมลรับคำว่าง่าย ก่อนจะจับมือผมขึ้นคลอเคลียแก้มนวล ผมถูจมูกไปบนจมูกเล็กเบาๆ

“กำลังใจดีแบบนี้ต่อให้มีอีกสิบป๊าบีทก็ไม่กลัวหรอก”

บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบสนิท ผมนั่งมองผู้ให้กำเนิดเงียบๆ จนสุดท้ายป๊าก็ทนไม่ไหวถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“เห้อออ นี่แกคิดดีแล้วหรอ”

“ครับ”ผมตอบรับหนักแน่น ใช่ว่าไม่กังวล แต่ที่พูดกับเมลไปแบบนั้นก็เพราะว่าอยากให้คนตัวเล็กสบายใจ ให้ผมเป็นคนที่รับทุกอย่างเอาไว้เอง แค่นี้เขาก็เหนื่อยมามากแล้ว ผมไม่อยากให้เขาต้องมาปวดหัวกับเรื่องนี้เพิ่มอีก

“ป๊าไม่เคยห้ามแกเลยถ้าจะมีแฟน เพราะป๊าเชื่อว่าแกจะไม่เอาผู้หญิงพวกนั้นเดินท้องโย้เข้าบ้านแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะเอาคนท้องไม่ได้เข้าแทน”ป๊ายกมือขึ้นนวดขมับ

“ป๊าครับ”ผมลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าป๊า มองอีกฝ่ายที่สูงกว่าด้วยความจริงจังที่เจอไม่ค่อยบ่อยนักให้ป๊าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าเคร่งขึมเหมือนเดิม

“ว่ามา”

“ผมอยากขอโอกาส กับเมลน่ะผมจริงจังจริงๆ นะ และกว่าที่ผมจะรู้ใจตัวเองก็นานเหมือนกัน ดังนั้นผมไม่เล่นๆ แน่ๆ”

“…”

“เพราะเมลคือคนที่ครองหัวใจผมไปแล้ว และผมไม่ปล่อยไปอีกหรอกครับ”

“หึ ได้ยินแล้วสินะ”ป๊ามองเลยไปที่ประตู ก็เจอกับร่างเล็กที่ยืนเม้มปากหน้าแดงอยู่

“เอ่อ ครับ”

“เมล…เมลมาตั้งแต่เมื่อไหร่”ผมหันไปถามเสียงอ่อน ถึงจะบอกรักกันค่อนข้างบ่อย แต่มันไม่ใช่ว่าต่อหน้าป๊านี่หว่า มันก็เลย…รู้สึกแปลกๆ นิดนึง

“ก็มาทันที่บีทพูดนั่นแหละ”

“มานั่งก่อนสิ”

“ครับป๊า”เมลเดินไปนั่งข้างป๊าอย่างว่าง่าย เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากป๊าได้เป็นอย่างดีก่อนที่ป๊าจะให้ผมขึ้นมานั่งเหมือนกันโดยมีป๊านั่งคั่นกลาง

“เรากับบีทน่ะมั่นใจแล้วหรอ”

“เมลมั่นใจครับป๊า”

“ป๊าไม่ได้จะกีดกันนะ แต่เราสองคนยังเด็ก จะทนสายตาที่มองมาได้แน่หรอ ป๊าว่า…”

“ทนได้ครับ”ผมรีบเอ่ยปากก่อนป๊าจะเอ่ยต่อ อาจดูไม่มีมารยาทแต่คงดีกว่าฟังสิ่งที่ป๊าจะพูดต่อดีกว่า ผมคงทนฟังไม่ได้หรอก

“เมลล่ะ”

“เมลทนได้ครับป๊า ปกติก็ไม่ค่อยสนใจสายตาใครอยู่แล้วครับ”

“ป๊าเป็นห่วงเมลนะลูก มาเจอกับบีทเนี่ย”ป๊าพยักเพยิดหน้ามาทางผมก่อนจะหันไปมองลูกรักตัวเองต่อ

อ่อ ผมลืมบอกไป เมลน่ะบ้านผมเขารักมันทั้งบ้านนั่นแหละ โดยเฉพาะป๊า เอ็นดูมันมากกว่าใครเพราะว่าเมลชอบอ้อน ป๊าก็ชอบใจใหญ่ เลยดูสนิทสนมกันขนาดนั้น

ดีนะที่พาคนนี้เข้าบ้านจะได้ไม่ต้องกินลูกปืนป๊า

“ผมมันทำไมหรอครับคุณป๊า”

“หึ อย่าให้ต้องพูด แกน่ะ เจ้าชู้ประตูดิน เอาแต่ใจ ขี้เกียจ งานการไม่ทำแล้วจะดูแลเมลได้อย่างไรกัน”

“พอก่อนเถอะ ผมดูชั่วไปเลยอ่ะ ป๊าก็”ผมเริ่มงอแงเรียกความเห็นใจจากป๊า แต่ป๊ากลับไปสนใจลูกสะใภ้ต่อ

“เมลเห็นไหม มันเด็กขนาดนี้เมลต้องเป็นคนดูแลมันแน่ๆ เปลี่ยนใจทันนะลูก เดี๋ยวป๊าหาคนดีๆ ให้”

“ป๊าอ่า พอเลยๆ อย่ามายุให้บ้านแตกนะป๊า”ผมรีบจับมือคนขี้แกล้งที่มือไว คว้าโทรศัพท์ตัวเองทำท่าจะโทร.จริงๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ จากเจ้าของร่าง

“หึ แกน่ะมันเด็กบีท จะไปดูแลคนอื่นได้อย่างไร”

“ไม่จริงนะครับป๊า”เมลพูดบ้าง “บีทน่ะ ดูแลเมลดีมากเลย เขาพยายามทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่ออยากให้เมลมีความสุข และก็ใจดีมากด้วย”เมลพูดไปก็ก้มหน้าซ่อนใบหน้าแดงๆ ของตัวเองไว้

“เมล…”ผมครางชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา รู้สึกดีใจที่ทุกอย่างไม่สูญหายไปอย่างเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยมันก็ทำให้เมลมีความสุข

ผมโคตรจะปลื้ม…

“พอได้แล้ว อย่ามาสวีทกันต่อหน้าป๊านะ ม๊าไม่อยู่เนี่ย ถ้าอยู่นะจะจับจูบโชว์เลยคอยดู”ป๊าฟึดฟัดหัวเสีย ผมว่าแล้วว่าทำไมป๊าถึงดูอารมณ์ไม่ดีวันนี้ ที่แท้แม่ก็หนีไปเที่ยวอีกนั่นเอง คงไม่พ้นทริปคุณนายเขาล่ะสิ

“อ๋อออ งานม๊านี่เองเลยมาหาเรื่องผม”

“หุบปากไปเลย เมลลูก หิวไหมป๊าจะชวนไปหาอะไรกินดีไหม ผอมลงนะเนี่ย แกดูแลลูกสะใภ้ฉันไม่ดีเลยนะ”

“ใครว่าล่ะ เมลน้ำหนักเพิ่มมาตั้งสองโล ผมเพิ่งให้ชั่งไปเมื่อวานนี้เอง ป๊าอย่ามามั่ว ผมดูแลของผมดีอยู่แล้ว จับทุกวันจะไม่รู้ได้ไงว่ามันนิ่มมือขึ้นขนาดไหน”

“แกจับอะไรของแกน่ะ”

“อ้าวก็กะ…”

“แก้มใช่ไหมบีท”เมลหันมาแก้ให้ทันทีก่อนจะส่งสายตาขอร้องมาให้เลิกแกล้งสักที ปากเล็กแบะออกอย่างน่าสงสารทำให้ผมตัดใจเลิกแกล้ง

“ครับ แก้มก็แก้ม”

“เอ้อ ดีเนาะ ดูท่าแววกลัวเมียจะออกแล้วว่ะ เมลทำดีมากลูก”ป๊าหันไปลูบหัวลูบหางเมลเป็นรางวัล

“ครับป๊า”

“ป๊า นั่นหัวของผมนะ ห้ามจับ”

“ของป๊าต่างหาก แกน่ะอย่าหวังเลย”

“ฮึ่ย ป๊า !”

“บีท”

“ป๊าเอามือออกเลยนะ”

“ไม่อ่ะ นิ่มดี”

“ป๊า !”

“บีท !”

“เอ่อ คือเมลหิวแล้วครับ”เมลตัดสินใจห้ามทัพก่อนที่หัวของเขาจะฟูไปมากกว่านี้ใช้หัวข้อที่คิดว่าจะเปลี่ยนพ่อลูกในตอนนี้หน่อย

“เมลหิวแล้วหรอลูก”

“ครับ”

“นี่คนของผมนะป๊า อย่ากอดแบบนั้นนะ”

“ทำไมจะกอดไม่ได้ เมลมันก็ลูกฉันคนนึงเหมือนกัน”

“เห้ออออ”




ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0




'ในหนึ่งวัน...บางความสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้น บางความสัมพันธ์หยุดตัวลง ผมไม่รู้ว่าระยะทางของผมกับคุณมันจะยืนยาวเเค่ไหน เเค่ผมทำวันนี้ให้ดี เพราะถ้าเกิดวันนั้นมาถึง ผมก็ไม่เสียใจเเล้ว...เพราะผมได้เเสดงความรู้สึกทั้งหมดให้คุณได้รับรู้เต็มเปี่ยม'





ท้องถนนในยามวิกาลค่อนข้างจะโล่งสบาย ไฟเเดงอันยืนยาวผ่านไปให้สีเขียวมาเเทนที่ คนขับรถชั่วคราวของผมมุ่งตรงไปสู่จังหวัดหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่

ผมก้มหน้างุดซ่อนความเเดงก่ำของใบหน้าตัวเอง

มือหนาอุ่นร้อนที่กอบกุมมือผมไว้ทั้งหมดไม่ยอมปล่อยห่างกาย เเม้ว่าผมจะร้องท้วงไปแล้วกี่ครั้งก็ตาม

"เข้าห้องน้ำไหมเมล"บีทเอ่ยถามเมื่อเราเดินทางมาได้สักระยะหนึ่ง

"อื้ม เเวะหน่อยก็ได้"รถยนต์คันสวยตีไฟเลี้ยวเข้ามาในปั๊มน้ำมันเเห่งหนึ่ง ผมเข้าไปทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็ออกมาล้างมือด้านหน้า ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้ เลยวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อ24ชั่วโมงทันที

ประตูที่นั่งคนขับเปิดขึ้นเเละปิดลงอย่างรวดเร็ว ผมนั่งหอบเเฮ่กข้างๆ เขา มือกำของในมือเเน่นและมีเหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้า

คราวหน้าต้องไปวิ่งบ้างเเล้วล่ะ แค่นี้ก็เหนื่อยเสียเเล้ว ผมนี่โคตรจะอ่อนเเอเลยให้ตาย

"วิ่งมาทำไมครับ เห็นไหมเหงื่อออกหมดเลย"น้ำเสียงกับเเววตาดุๆ นั่นดูขัดกับมือหนาที่เช็ดเหงื่อบนหน้าให้ผมอย่างสิ้นเชิง ผมยิ้มอ้อนให้อีกฝ่ายคลายสีหน้าดุๆ ลงพร้อมเอ่ยตามความคิด

"เมลไม่อยากให้บีทรอเมลนาน อีกอย่าง...เมลคิดถึงบีทด้วย"จมูกเล็กเเดงเป็นปื้นอย่างเขินอาย ผมมองเห็นใบหูคนขี้บ่นเมื่อครู่ขึ้นสีจางๆ ทำให้เกิดอาการอยากเเกล้งทันที

"งุ้ย บีทหูเเดงด้วยอ่ะ เขินเมลหรอ"ผมใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มไปเบาๆ ที่ใบหูน่ารักนั่น ส่งผลให้มันขึ้นสีหนักกว่าเดิม เขาขมวดคิ้วแล้วรีบปัดมือของผมออก ผมทำตามอย่างว่าง่าย

และรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาบันทึกรูปหายากนี้ไว้ในเเกลลอรี่ของตัวเองทันที

เเชะ

"เมล ถ่ายทำไมครับ ไม่มีอะไรน่าถ่ายสักหน่อย ลบเลยนะครับ"อีกฝ่ายพูดอย่างอ่อนใจ เตรียมจะคว้าโทรศัพท์ผมไปลบรูปด้วย เเต่ผมไหวตัวทันเสียก่อนอีกฝ่ายเลยทำได้เพียงเอ่ยขอร้องผมเท่านั้น

"น่าถ่ายสิ น่าถ่ายมากๆ บีทไม่ค่อยเขินให้เมลเห็นเลยนี่ รูปนี้ต้องเป็นภาพหายากเเน่ๆ เมลจะอัดกรอบอย่างดีเลย"

"เรานี่ขี้เเกล้งเหมือนกันนะ"ผมยิ้มรับข้อกล่าวหา ก่อนจะย่นหน้าลงเพราะมือหนาเลื่อนทาสัมผัสเส้นผมจนไม่เป็นทรงอีกเเล้ว

"ติดเชื้อบีทนั่นเเหละ"

"ครับ...ครับ บีทผิดเองเเหละ เมลไม่ผิดเลย"รถคันสวยออกตัวต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่เร่งรีบ เป็นการเดินทางที่เราต้องการจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางมากกว่าการรีบเร่งให้ถึงจุดหมาย เพราะจุดหมายมันมีเท่าเดิม จึงอยู่ที่เราว่าจะเดินทางยังไง จะช้าหรือจะเร็ว จะสร้างอะไรระหว่างทางให้มันเป็นความทรงจำดีๆ ได้บ้าง

อืม นั่งจับมือไปตลอดทางก็ไม่เลวนะครับ

"บีท"ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายอีกครั้งเมื่อรถติดไฟเเดง

"ครับ"

"ทำไมวันนี้ถึงเขินเมลอ่ะ ปกติเมลก็พูดเเบบนี้นะ ไม่เห็นบีทจะมีอาการอะไรเลย"อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงชัดเจน

"ไม่รู้สิ...คงเพราะรักเมลมากขึ้นมั้ง พออยู่ด้วยกันทุกวัน มันยิ่งทำให้บีทรู้สึกดี ไม่ใช่ว่าทุกทีไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ บีทก็เขินเหมือนกันนั่นเเหละ เเต่เเค่ไม่เเสดงออกเเค่นั้นเอง ไม่งั้นก็จะมีคนขี้ล้อเเบบนี้มาเเซวบีทเเบบตอนนี้ไง"

"ฮื่อออ ทีหลังเราจะไม่เซ็ทผมเเล้ว ขยี้อยู่ได้"

"หึหึ ไม่ต้องเซ็ทเเหละดีเเล้วครับ"

"ทำไมอ่ะ บีทไม่ชอบหรอ"

"ครับ"หัวใจของผมฝ่อลงจนผมเเทบไม่อยากจะเชื่อ แค่คำๆ เดียวมันมีผลกับผมขนาดนี้เลยหรือเนี่ย

"ไม่ซึมสิครับ บีทยังพูดไม่จบเลย"ผมรีบเงยหน้ามองคนพูด

"..."

"ที่ไม่ชอบเพราะข้อหนึ่ง...เมลน่ารักเกินไป"

"ข้อสอง บีทหวงคุณเเฟนมากๆ ไม่อยากให้ใครมองคุณเเฟนของบีทเลย"

"ส่วนข้อสุดท้าย..."บีทยกยิ้มและเงียบไปจนผมต้องเอ่ยเร่งเร้า

"เร็วๆ สิ"ถึงจะเขินมาก เเต่ก็ชอบจัง

"บีทรักเมลนะครับ รักมากๆ เลย"

"มัน...มันเกี่ยวไหมเนี่ย"

"ไม่เกี่ยวหรอกครับ เเค่อยากบอกให้คุณเเฟนรู้"

"รู้เเล้วหน่า"

"เขินเก่ง"

"พอได้เเล้ว อย่าเเซวนะ ไม่ไหวๆ"

ภายในรถที่ตลบอบอวนไปด้วยความหอมหวานจากกลิ่นของความรักพานทำให้ใจของทั้งคู่เย็นใจและมีความสุข ก่อนที่รถจะหยุดลง เเละเจ้าของบ้านเดินไปเปิดประตูรั้วเเละเข้ามาในบ้านพร้อมอีกคน

ประตูไม้บานใหญ่เปิดขึ้น เผยให้เห็นหญิงสาววัยกลางคนที่ยังมีหน้าตาและรูปร่างที่ดีสมวัย เมลรีบวิ่งไปสวมกอดคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มกว้างทันที

"เเม่ครับ คิดถึงจังเลย"

"จ้าๆ เเม่ก็คิดถึงลูก"

"คุณน้าสวัสดีครับ"

"สวัสดีจ้ะบีท เมล พาเพื่อนเข้าบ้านก่อนสิลูก"

"ครับเเม่"อดีตเพื่อนของผมที่เลื่อนสถานะเดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมเอ่ยชวนเสียงเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

"เข้าบ้านกัน"

"ครับ"

"เมล ไปหาน้ำหาท่ามาให้เพื่อนสิ"เจ้าของบ้านเอ่ยปากให้ลูกรักรีบตะเบ๊ะเเล้วเดินหายลับไปในครัวทันที ผมนั่งตัวตรงมองหน้าคนเป็นเเม่ของเเฟนอย่างจริงจัง

"มีอะไรหรอบีท"

"ผมกับเมล...เราคบกันเเล้วครับ"

"..."เเววตาคู่นั้นนิ่งสนิทจนบีทไม่สามารถจับความรู้สึกได้ จึงเอ่ยต่อตามใจคิด

"เรารักกันมาก ความจริงเมลเป็นคนรักผมก่อน โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เลย ผมใช้ชีวิตของผม จนทำร้ายเมลมาหลายครั้ง เเล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่าขาดเขาไปไม่ได้จริงๆ"

"..."

"หลายครั้งผมถามตัวเองว่า ผมเเค่หลงไปชั่วคราวรึเปล่า เเต่เวลาทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความหลง มันคือความรัก"

"..."

"ผมไม่รู้ว่าเเม่จะคิดยังไงกับเรื่องนี้ เเต่ผมจริงใจกับเมลจริงๆ และผมคงไม่รักใครนอกจากเขาอีกเเล้วครับ"

"ไม่ต้องพูดเร็วขนาดนั้นหรอกลูก เดี๋ยวหายใจไม่ทันนะ"

"เเม่ครับ..."

"เเม่พอจะรู้เเหละว่าลูกเเม่เป็นยังไง เเม่ไม่เคยคิดขัดขวางเพราะถ้าทำเเบบนั้นเมลก็จะไม่มีความสุข เเม่ไม่เคยอยากให้เขาเป็นเเบบนั้น เพราะฉนั้น หลังจากนี้เเม่ฝากเขาไว้กับเราด้วยนะ...ดูเเลหัวใจของเเม่ด้วยนะลูก"ฝ่ามือชื้นเหงื่อจับมือผมอย่างขอร้อง น้ำตาคนเป็นเเม่ไหลเอื่อย เธอใช้มืออีกข้างปัดมันออกเเผ่วเบาเมื่อได้ยินเสียงลูกชายของเธอส่งเสียงออกมา

"มาเเล้วคร้าบบบ"

"ผมจะทำให้ดีที่สุดครับเเม่"

"คุยอะไรกันอยู่หรอครับ"เมลหันมองผมกับเเม่สลับกัน ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างเเม่เเล้วสวมกอดเต็มรัก พร้อมหอมเเก้มฟอดใหญ่

"หื้ม ชื่นใจจัง เเก้มหอมที่สุดเลยที่รักของเมล"

"จ้าๆ ปากหวานจริงนะ ตอนนี้อ้อนเเม่ ต่อไปคงไปอ้อนเเฟนเเล้วล่ะสิ"เเม่เอ่ยยิ้มเเซว เมลก็หน้าขึ้นสีทันที มีคนเเซวไม่ได้เลยคนนี้เขาเขินเก่ง

น่ารักเก่งด้วย

"เมลก็อ้อนเเม่เเบบนี้ไปตลอดนั่นเเหละครับ เมลไม่รักใครมากกว่าเเม่หรอก"

"แล้วคนนี้ล่ะ"เเม่พยักเพยิดหน้ามาทางผม

"ครับ?"

"เเฟนเราไง รักเท่าเเม่รึเปล่า"

"เเม่"เมลครางเสียงอ่อน ก่อนจะมองไปที่คนเป็นเเม่ด้วยความกังวล มือของคนผ่านร้อนผ่านหนาวมามากลูบบนหัวดวงใจของตนอย่างอ่อนโยนเเละคนได้รับก็หลับตาพริ้มรับเเต่โดยดี

"เมลรักเเม่มากมั้ย"

"ที่สุดในโลกเลยครับ เเม่เป็นทุกอย่างของเมล ทั้วพ่อทั้งเพื่อนทั้งคนที่ดูเเลเมลมาตลอด เมลรักใครไม่เท่าเเม่เเน่นอน"

"เเม่ก็รักเมลเหมือนกันนะลูก เเม่ดีใจนะ ที่ลูกแม่สมหวังสักที"

"แม่รู้หรอครับ ?"

"แม่อยู่กับเราตลอด ทำไมจะไม่รู้"ฝ่ามือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบหัวปลอบจิตใจของลูก ก่อนจะเอ่ยต่อ "เราน่า ดูออกง่ายจะตาย เราเป็นเด็กดีมาตลอด ดูแลแม่มาตลอด ต่อไปก็มีความสุขมากๆ นะลูก ดูแลบีทดีๆ ล่ะ"

"ครับแม่"น้ำตาร่างเล็กร่วงผล๋อยจนเปียกเป็นวงกว้างในอกคนเป็นแม่ เธอมีรอยยิ้มแห่งความสุข ก่อนจะอ้าแขนอีกข้างรับลูกชายอีกคนเข้าอ้อมกอด

"รักกันนานๆ นะลูก…"



บรรยากาศในงานค่อนข้างเป็นไปอย่างเงียบสงบ ไม่หวือหวา แต่อบอวลไปด้วยความรักที่ถ่ายทอดผ่านความรู้สึกภายในงาน

เด็กตัวน้อยๆ วิ่งเล่นไปทั่วงานด้วยชุดสีชมพู ก่อนจะมาชนร่างเล็กที่เดินสวนมาพอดี

"โอ๊ะ ขอโทษฮับ"มือเล็กยกขึ้นไหว้ด้วยท่าทางน่ารัก คนที่ถูกชนยิ้มก่อนจะย่อตัวเสมอคนตัวเล็ก ก่อนจะจับมือเล็กนั่นไว้

"อย่าซนนะครับตัวเล็ก เดี๋ยวจะล้มนะ"

"ฮับ"รับคำก่อนจะวิ่งเล่นต่อ เมลส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยืนเต็มความสูง เด็กก็คือเด็กนั่นแหละ ร่างบางเดินไปตามงานที่ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย งานของเพื่อนในคณะ แวะทักทายเพื่อนสมัยเรียนบ้างตามความคิดถึง ระยะเวลามักผ่านพ้นไปรวดเร็วเสมอ เผลอไม่นานผมก็เข้าช่วงเบญจเพศแล้ว

"ช่วงนี้เป็นไงบ้างหรอเมล"ฝนเอ่ยถามอย่างสนใจ ฝนเป็นเพื่อนอีกคนในคณะ ที่แม้จะไม่ค่อยสนิท ทว่าเธอกลับเป็นห่วงเพื่อนทุกคนอย่างเท่าเทียม

"ก็เรื่อยๆ นะ ช่วงนี้งานก็โอเคดี"

"ดีแล้วล่ะ แล้วไหนบี…"

"คนดีมาอยู่ที่นี่เอง"วงแขนอุ่นโอบกระชับเอวผมเข้าหาตัวอย่างรวดเร็วจนผมเอ่ยห้ามไม่ทัน ผมมองค้อนอีกฝ่ายด้วยท่าทางดุๆ ที่อีกฝ่ายเพียงหันมายิ้มให้เท่านั้น ก่อนจะหันไปมองเพื่อนคนอื่นๆ ที่มองล้อไม่ขาด

"แหม ไม่ทันถามจบเจ้าตัวก็มาแสดงความเป็นเจ้าของถึงที่เลยนะ"ฝนเอ่ยแซวเป็นคนแรก

"เอ้อ นั่นดิ รู้จังหวะดีจริง นี่งานเพื่อนนะครับ อย่ามาหวานกว่าเจ้าของงานดิวะ"

"เค้าไม่เรียกหวาน เค้าเรียกสม่ำเสมอ ใช่ไหมครับเมล"บีทโน้มตัวมาชิดแล้วเอ่ยถามเสียงหวาน

ฮือออ ก็คบกันมานานขนาดนี้แล้วนะ ทำไมใจยังเต้นแรงอยู่เลยอ่ะ

"จ้าๆ พอเถอะ เบาหวานขึ้นตาหมดแล้ว ไปสวีทที่อื่นไป๊"

"หึ แล้วนี่พวกมึงเป็นไงบ้างอ่ะ ไม่เจอกันนาน คิดถึงว่ะ นัดเจอกันสักทีดีป่ะ"

"เออ น่าสนนะบีท นัดเวลาที่พอจะว่างตรงกันได้บ้างอ่ะ เดี๋ยวกูสร้างไลน์กลุ่มใหม่ให้"เมื่อบีทเสนอ เพื่อนอีกคนก็รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาจัดการลากเพื่อนเข้ากลุ่มทันที

"เพื่อนใครก็ลากเข้ามาเพิ่มด้วยนะ กูมีไลน์ไม่หมดว่ะ"

"ได้ๆ แต่มึงไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้นะ"

"ก็กูตื่นเต้นนี่หว่า เราไม่เจอกันนานแล้วนะเว้ย"

"นั่นดิ อ้ะ เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาแล้ว"เสียงพูดคุยหยุดชะงักเมื่อเจ้างานขึ้นมาบนเวที

“เจ้าบ่าวเจ้าสาวกล่าวอะไรเล็กน้อยแก่แขกหน่อยค่ะ”พิธีกรสาวเอ่ยปากก่อนจะส่งไมค์ให้ทั้งคู่

"สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านนะครับ ขอบคุณที่มาร่วมงานในวันนี้มากๆ ผมมีความสุขที่สุดเลยครับ"

"เหมือนกันค่ะ ขอให้แขกทุกท่านทานให้เต็มที่และมีความสุขไปกับพวกเรานะคะ"

"แล้วเวลาสำคัญก็มาถึงแล้วค่ะ สาวเล็กสาวใหญ่รวมไปถึงผู้ชายในงานมายืนรอได้เลยค่า เพราะตอนนี้เราจะโยนดอกไม้แล้วค่ะ"เสียงพิธีกรเอ่ยอย่างตื่นเต้น พาคนในงานลุกจากโต๊ะไปยืนที่หน้าเวทีอย่างรวดเร็ว บีทก็ก้มมากระซิบข้างหู

“เมลไปด้วยสิครับ”

“ฮื่อออ ไม่เอาอ่ะ คนเยอะ ไม่ได้หรอก”

“ไม่แน่นี่นา ไปนะ”ไม่ทันได้ท้วงอะไรอีกมือหนาก็คว้าข้อมือผมไปจุดนั้นเสียแล้ว แววตาตรงนี้พวกเขายิ้มแย้มอย่างรอคอยว่าจะได้ช่อดอกไม้สีสวยนั่น ไม่ใช่ต้องการเพราะมันสวยงาม ทว่าตามความเชื่อนั้นคือว่าถ้าใครได้มันไปจะได้แต่งงานเป็นคนต่อไปนี่สิ

ยังไงก็ไม่ได้หรอก…

“เจ้าสาวหันหลังเลยค่ะ มานับพร้อมกันนะคะ 1…2…”

“ดูดีๆ นะครับที่รัก”

“3”

ฟุ้บ

ทุกอย่างสงบนิ่ง มองหาเจ้าของผู้โชคดีที่ได้รับดอกไม้กันจ้าละหวั่น จากนั้นสายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่คนข้างตัวของผมที่รับดอกไม้ช่อนั้นด้วยมือเดียว โดยที่อีกข้างก็ยังเกาะกุมมือผมอยู่ไม่ห่าง ผมอ้าปากค้างเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ

"บะ…บีทได้จริงๆ หรอเนี่ย"

“ผมได้แล้วครับ รอบหน้ามางานผมด้วยนะ”

“เห้ย บีท”ผมรีบตีอีกฝ่ายที่ตะโกนเสียงดังอย่างรวดเร็ว ฮือออ เขามองกันทั้งงานแล้วเนี่ย

“ฮิ้ววว เจ้าบ่าวเจ้าสาวเหมาะสมกันมากเลยนะคะ คราวหน้าอย่าลืมเชิญดิฉันไปเป็นพิธีกรนะคะ”พิธีกรสาวสวยเอ่ยออกไปท่าทางแซวอย่างมีความสุขก่อนจะหางานให้ตัวเองทันที “ทีนี้ก็พอจะรู้แล้วนะคะว่างานต่อไปเป็นของใคร คราวนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วค่ะ ขอเชิญทุกคนอยู่ต่อแล้วแดนซ์กันให้เต็มที่เลยนะค่า”ว่าจบเสียงเพลงก็ถูกเปิดขึ้นอย่างเมามันส์ แขกเหรื่อในงานเต้นกันอย่างออกรสก่อนที่เจ้าสาวจะขึ้นมาร้องเพลงในงานต่อเพื่อสร้างความสนุกมากขึ้น บีทจูงมือผมเดินออกมาจากงานเรื่อยๆ จนถึงพื้นที่ที่ค่อนข้างสงบ ก่อนจะหมุนตัวเข้าหากัน และคุกเข่าลง

ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องนั่งท่านี้ด้วย มันเหมือน…จะขอแต่งงาน

แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับอย่าลืมสิ เรา…แต่งกันไม่ได้จริงๆ หรอก

“เราคบกันมานานแค่ไหนแล้วครับเมล”

“6 ปี 7 เดือน”ผมตอบอย่างว่องไว เพราะความจำดีอีกทั้งยังจดจำมันลงบนปฏิทินตลอด ไม่มีทางลืมหรอก

"นานมากแล้วเนาะ"ใช่ นานมากเลย แต่ก็อยากให้มันนานแบบนี้ไปเรื่อยๆ

“อืม”

“มันคงนานพอที่เมลจะเชื่อใจบีทได้แล้วหรือเปล่า”

“หืม ?”

“ให้บีทเป็นคนดูแลเมลไปตลอดชีวิตนะครับ”กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกฝ่าย ก่อนจะเปิดขึ้นให้เห็นแหวนขนาดพอดี ที่แวววาวอยู่ในนั้น พลันน้ำตาที่มาจากตรงไหนไม่รู้เอ่อคลอในตาผมอย่างตื้นตัน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ว่าบีทเตรียมมาขนาดนี้

“บีท…”ผมพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

“คนดีของบีท แต่งงานกันนะครับ”

"แต่เมลเป็น…"

“เราไม่ต้องใหญ่สิครับ”บีทพูดเหมือนรู้ความคิดผม “จัดงานเล็กๆ ในบ้านบีท เชิญแค่เพื่อนที่สนิทจริงๆ มางาน แล้วก็จัดพิธีธรรมดา เพราะยังไง คนที่อยู่กับบีทไปทั้งชีวิตก็คือเมลคนเดียวนะครับ”

“อือ แต่งครับ”ในเมื่อเขาพยายามมาตลอด ดูแลผมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมไม่มีเหตุผลเลยที่จะปฏิเสธ บีทน้ำตาค่อยๆ ไหล ยกมือสั่นๆ บรรจงสวมแหวนผมอย่างนุ่มนวล ก่อนจะจูบที่นิ้วนางข้างซ้ายแผ่วเบาแต่ทว่าทำให้ผมอุ่นซ่านไปทั้งใจ ก่อนจะยืนเต็มความสูง แล้วบรรจูงจูบละมุนไม่ต่างกัน

ขอบคุณที่รักกันนะ

ความรักที่ไม่เคยคิดว่าจะสมหวัง สุดท้ายมันก็จบลงด้วยดี แต่ต่อให้มันจะไม่เป็นอย่างนี้ ทุกความสัมพันธ์มันก็มีความสวยงามของตัวมันเองที่ซุกซ่อนไว้เสมอ

เป็นกำลังใจให้ทุกคนเจอความรักที่ดีนะครับ…เมล





THE END



...

จบไปอีกหนึ่งเรื่อง ขอบคุณทุกคอมเมนท์ของเรานะคะ จะคิดเรื่องใหม่ออกมาเรื่อยๆ ขอบคุณที่ติดตาม ใจหายเหมือนกัน รู้สึกเหมือนเรื่องนี้ทำให้เราก้าวไปอีกขั้น อย่างน้อยก็เรื่องของภาษาที่สื่อตัวละครออกมา เรารักตัวละครของเมลกับบีทมากๆ ในเรื่องของกลุ่มเพื่อนเป็นเรื่องที่เราต้องทำการบ้านมากกว่านี้ เเต่เรื่องหน้าอาจจะออกมาดีกว่านี้ ขอบคุณมากนะคะที่ตามมาจนถึงตอนนี้ การเติบโตของเรามันพัฒนาไปอีกหน่อย เเล้วหวังว่าสักวันมันจะมากพอที่จะทำให้ทุกคนรักตัวละครที่เราสร้างไม่ต่างจากเรานะคะ





KAOOI

24/02/2562

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน
«ตอบ #18 เมื่อ15-03-2019 19:19:01 »

 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน
«ตอบ #19 เมื่อ16-03-2019 02:24:03 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน
« ตอบ #19 เมื่อ: 16-03-2019 02:24:03 »





ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน
«ตอบ #20 เมื่อ29-06-2019 23:21:06 »

น่ารักดีค่ะ..ชอบจังการพัฒนาความรักและความน่ารักของเมลบีท  o13

แต่ แต่ แต่ แล้วเรือโอ็ตรุจน์ล่ะ...ลอยไปอยู่ไหนแล้ว...ทิ้งไว้กลางทางเลย  :hao5:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: เพื่อนสนิท(ไม่)คิดเเค่เพื่อน
«ตอบ #21 เมื่อ16-04-2020 11:32:33 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด