บทที่ 4 : แมวของผม...ทำอาหาร
พอมาถึงที่ห้องมันธ์ก็เอาวัตถุดิบทั้งหลายที่ซื้อจากร้านวางไว้ที่ครัว แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอนสักพัก ก่อนจะออกมาพร้อมกับกล้องและขาตั้งกล้อง ผมเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยทันที
“มันธ์ไปเตรียมวัตถุดิบเถอะครับ เดี๋ยวผมตั้งกล้องให้” อะไรช่วยได้ก็ช่วย
“ขอบคุณครับ” เขาส่งอุปกรณ์ทั้งหลายมาให้ผม ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในครัว
เจ้าแมวทั้งสองตัวเห็นผมก้มหน้าก้มตาต่อขาตั้งกล้อง มันก็เดินเขามาดูด้วยความสนใจใคร่รู้ พอเซ็ทกล้องเรียบร้อยเจ้าของห้องก็เดินมาทางผมก่อนจะยื่นชามมาให้
“อะไรหรอครับ?” ผมถามขึ้นมองดูของที่อยู่ในชามนั่นก็พบว่ามันคือ...ดินสอพอง
“พายจะทาเองหรือให้ผมทาให้ครับ?” เขาถามขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินอย่างนั้นผมเลยรีบรับชามนั้นมาทันที แล้วเดินไปส่องกระจกที่ห้องน้ำ ทาดินสอพองตรงบริเวณที่หัวโนบางๆ พอออกจากห้องน้ำก็เห็นอีกฝ่ายเท้าแขนนั่งมองมาทางผมด้วยรอยยิ้มแป้นแล้น
“อะไรกันครับ?” ผมถามขึ้น ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ
“เปล่าครับ”
ยัง...ยังไม่หยุดยิ้มอีก....ผมมองเลยริมฝีปากของอีกฝ่ายขึ้นไปยังหน้าผาก นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็หัวโนเหมือนกันนี่น่า ผมเดินไปนั่งข้างๆ มันธ์ หันหน้าไปมองอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็มองผมกลับอย่างงงๆ ผมเลยหันไปจิ้มดินสอพองในชามแล้วยื่นมือไปทางเขา
“อะไรกันครับ?”
“ก็ที่ตกลงไว้ไง ถ้าให้ผมพอกดินสอพองอย่างนี้ มันธ์ก็ต้องทำด้วย”
“เดี๋ยวผมทาเองก็ได้ครับ”
“ไม่ครับ ยื่นหน้ามา เดี๋ยวผมทาให้” ก็เมื่อเช้ามันธ์ทาให้ผม เล่นทาซะหนาเลย ปล่อยให้ผมอายอยู่คนเดียว ทีนี้ถึงตาผมเอาคืนบ้างล่ะ
ตอนแรกนึกว่าอีกฝ่ายจะอิดออดไม่ยอม แต่ที่ไหนได้ มันธ์กลับยื่นหน้ามาให้ผมอย่างเต็มใจ เล่นเอาผมที่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าราวกับว่าผมเป็นคนถูกแกล้งแทนซะงั้น
ด้วยความหมั่นไส้ มือที่ทาหน้าผากเขาอยู่เลยกดหนักๆ ไปหนึ่งที
“โอ๊ย! แกล้งกันหรอครับ”
“เออ หมั่นไส้” ผมตอบกลับอย่างไม่แคร์ มันธ์หัวเราะขึ้นมานิดๆ
“เสร็จหรือยังครับ?” เขาเหล่ตาขึ้นมองมือที่หน้าผาก
“เสร็จแล้วๆ” ผมกดหนักๆ ไปอีกครั้ง
“ขี้แกล้ง”
เกิดเสียงบ่นเล็กน้อยจากอีกฝ่าย ผมได้แต่หยักไหล่อย่างไม่สนใจ มันธ์ลุกเดินไปที่ครัว มือก็หยิบชามใส่ดินสอพองติดไปด้วย
“พายออกกล้องได้ไหมครับ?”
จู่ๆ มันธ์ก็ถามขึ้น
“ออกกล้อง? หมายถึงอะไรครับ?”
“คือ เดี๋ยวผมจะถ่ายคลิป แล้วให้พายช่วยทำครับ มันอาจจะมีบางช่วงที่อาจจะถ่ายติดหน้าพายน่ะครับ”
“อ๋อ...ได้ครับ ไม่มีปัญหา” จริงๆ ผมชอบอยู่หลังกล้องมากกว่า แต่มองจากเวลาตอนนี้แล้ว ถ้าผมมาเรื่องมากตอนนี้ กว่าจะถ่ายคลิปเสร็จคงไม่ทันการณ์แน่ๆ
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมบอกสคลิปคร่าวๆ ก่อนนะครับ”
แล้วมันธ์ก็เริ่มอธิบายขั้นตอนต่างๆ รวมถึงมุมกล้องที่เขาคิดว่าจะถ่าย มันธ์บอกว่าจะแค่ตั้งกล้องเฉยๆ ซึ่งก็ดูสะดวกดี ส่วนผมต้องคอยช่วยหยิบนั่นนี่ แล้วก็ผสมส่วนผสมต่างๆ ฟังแล้วก็ดูไม่ยากเท่าไหร่
พอมันธ์เอาวัตถุดิบออกมาจัดเตรียมเจ้าอ้วนตัวส้มก็รีบกระโดดขึ้นไปตรงเคาน์เตอร์ครัวที่วางของเหล่านั้นทันที ราวกับมันรู้ว่ากำลังจะมีอาหาร
“อะไรหึ? เจ้าอ้วน” มันธ์ลูบหัวเจ้าแมวส้มไปมา
“มันคงรู้ว่าพวกเรากำลังจะทำขนมมั้งครับ”
“ฮ่าๆ เก่งมากเจ้าอ้วน” เขายังคงลูบหัวเจ้าตัวส้มไปมาไม่หยุด “ผมเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วครับ พายพร้อมไหมครับ”
ถามเป็นจริงเป็นจังอย่างกับจะชวนผมไปออกรบอย่างนั้นแหละ
“พร้อมครับ”
“โอเค”
พอกล้องเริ่ม เขาก็เริ่มจากอธิบายวัตถุดิบต่างๆ ผมได้แต่ยืนเงอะงะอยู่ข้างๆ เขา
“พายครับ เดี๋ยวพายเอาตะกร้อตีส่วนผสมให้หน่อยนะครับ”
ผมทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนเขาก็หันไปวุ่นกับเตา สักพักเขาก็หันกลับมาหยิบชามที่ผมกำลังกวนส่วนผสมอยู่ มันธ์ตักส่วนผสมลงอะไรสักอย่างที่มีลักษณะเป็นถุงพลาสติกแบบกรวยตรงปลายมีหัวพลาสติก โดยแบ่งใส่เป็นสองอัน ก่อนจะยื่นมาให้ผม
“อะไรครับ?”
“ก็พายช่วยผมบีบคุกกี้ใส่ถาดหน่อยได้ไหมครับ”
“บีบคุกกี้?”
“ครับ เดี๋ยวผมทำให้ดูก่อน”
มันธ์ก้มหน้า ลงมือบีบเนื้อครีมออกมาจนได้ขนาดไม่ใหญ่มาก ผมก้มหน้าลงไปมองตามมือของมันธ์ ระหว่างบีบไปเขาก็พูดไปด้วย “พายแค่บีบไปเบาๆ ให้ได้ขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางสองนิ้วนะครับ แล้วก็บีบแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนหมด”
“อ่าโอเค”
มันธ์หันมามองหน้าผม ผมหยิบที่บีบนั่นขึ้นมาก่อนจะตั้งใจบีบ บีบเสร็จหนึ่งชิ้นผมก็หันไปมองมันธ์ที่กำลังมองผมอยู่พอดี
“แบบนี้ใช่ไหม?”
“ครับ แบบนั้นแหละ” มันธ์ยิ้มให้ผมแล้วหันกลับไปทำของตัวเอง ผมเห็นอีกฝ่ายโอเค ก็เลยลงมือทำต่อ
ใครว่าทำขนมไม่ยาก ผมนี่ขอเถียงเลย ผมตั้งใจกับการบีบคุกกี้ตรงหน้ามากๆ แต่ตั้งใจแค่ไหนมันก็ไม่เท่ากันสักที ผมพยายามทำให้มันชิ้นเท่ากันนะ แต่บางทีมันก็ใหญ่เกิน บางทีก็เล็กเกิน แต่เห็นมันธ์ไม่ว่าอะไร ผมก็คงทำไม่แย่ล่ะมั้ง?
ไม่กี่นาทีมันธ์ก็ทำเสร็จ ในขณะที่ที่บีบของผมยังเหลือเนื้อแป้งอีกเกือบครึ่งเลย
“เป็นไงบ้างครับพาย”
“ยากอ่ะ”
“ครั้งแรกก็งี้แหละครับ เดี๋ยวพายมาทำอันนี้ดีกว่าเดี๋ยวทีเหลือผมทำเอง”
“หืม? ให้ทำอะไรหรอ”
“พายไปหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ตรงเตามาให้หน่อยนะครับ แล้วก็เอาเม็ดมะม่วงเหล่านั้นมาวางบนคุกกี้ ชิ้นละสองถึงสามเม็ดครับ”
“อ่า...โอเค”
ผมส่งที่บีบคุกกี้ให้กับมันธ์ หันซ้ายหันขวาเล็กน้อย ก็เห็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์แล้วค่อยๆ บรรจงวางมันลงบนคุกกี้ ก่อนจะหันไปถามคนข้างๆ “แบบนี้ได้ไหม”
เขาหันมายิ้มนิดๆ “ครับ แบบนั้นแหละครับ จริงๆ พายอยากวางแบบไหนก็แล้วแต่เลยนะครับ”
“เอางั้นหรอ”
“ครับ อยากใส่น้อยเยอะยังไงแล้วแต่พายเลย”
“เหมียว~” เสียงแมวดังขึ้นพร้อมกับร่างอ้วนๆ เดินอุ้ยอ้ายมาทางมันธ์ เจ้าไข่แดงก้มลงดมคุกกี้ในถาดไปมา
“ไม่เอาครับ ยังกินไม่ได้ครับ” มันธ์ดุเล็กน้อย
เจ้าแมวหยุดดมคุกกี้ แล้วหันไปมองหน้ามันธ์
“เหมียว!” บ่นเสร็จก็เดินมาหาผม
“ไม่เอา เจ้าอ้วน ไปเล่นที่อื่นก่อน” ผมดุมัน มันเลยมองหน้าผมกลับด้วยสายตาเบื่อๆ ก่อนจะกระโดดไปที่เก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก และนั่งมองดูพวกผมอย่างสายตาสงสัยใคร่อยากรู้ เจ้าไข่ขาวเห็นน้องตัวเองมานั่งเล่นตรงนี้ มันก็เลยกระโดดตามมานั่งด้วย
มันธ์เอื้อมมือมาหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากชามที่อยู่ข้างๆ ผม ตอนนั้นเองผมเลยเห็นว่าอีกฝ่ายบีบคุกกี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ผมเพิ่งวางเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงในคุกกี้ได้ไม่ถึงสิบชิ้นเลย...ทำเร็วเว่อร์ นี่สินะมืออาชีพ
“เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวดังขึ้นอีกครั้ง เรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง
“อะไรไอ้อ้วน บ่นอะไรอีก”
“เมี๊ยว~?”
“เฮ้อ เจ้าตะกละเอ๊ย!” ผมบ่นงืมงัมใส่เจ้าแมว
“พายฟังมันออกด้วยหรอครับ?”
“เปล่าหรอกครับ ไม่ได้ฟังออก แค่พอจะเดาได้น่ะ” ผมตอบตามความจริง ก็ปกติผมก็ฟังพวกมันไม่ออกหรอก ยกเว้นเวลาผมกลายเป็นแมว แต่ด้วยความที่อยู่กับเจ้าพวกนี้มาเกือบปี ก็เลยพอจะเดานิสัยมันได้บ้าง อย่างตอนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าไข่แดงต้องกำลังถามผมแน่ๆ ว่าเมื่อไหร่พวกมันจะได้กิน
“แล้วมันพูดว่าอะไรหรอ?”
“มันบ่นน่ะครับว่าเมื่อไหร่พวกมันจะได้กิน”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง....อีกแป๊ปนะครับ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” ประโยคหลังมันธ์หันไปพูดกับเจ้าแมวทั้งสองตัว
ไม่นานนักมันธ์ก็หยิบคุกกี้ทั้งสองถาดเข้าเตาอบ ระหว่างรอคุกกี้อบเสร็จผมเลยเดินไปนั่งโต๊ะกินข้าว ส่วนมันธ์ก็เดินไปปิดกล้อง
ผมหันมองเวลาก็พบว่าตอนนี้เที่ยงแล้ว กว่าคุกกี้จะอบเสร็จก็น่าจะไม่เกินเที่ยงครึ่ง ถ้ารวมเวลาตัดต่อคลิปยังไงก็น่าจะเสร็จทัน
“ตอนนี้ก็เหลือแค่รอคุกกี้อบเสร็จ แล้วก็ถ่ายตอนเสร็จแล้วแค่นั้นครับ ขอบคุณนะครับที่ช่วย เพราะพายแท้ๆ มันเลยเสร็จทันเวลา”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง”
“นี่ก็เที่ยงแล้ว งั้นระหว่างรอคุกกี้เสร็จเดี๋ยวผมทำอะไรให้กินนะครับ”
ยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธอีกฝ่ายก็ลุกไปที่ตู้เย็นซะแล้ว เขามองที่ตู้เย็นไปมาสักพักแล้วหันมาพูดกับผม
“ในตู้เย็นผมเหลือแค่ไข่กับปลาทู ถ้าผมทำไข่น้ำกับปลาทูทอด พายกินได้ไหมครับ?”
“จริงๆ มันธ์ไม่ต้องทำก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือว่าตอบแทนไงที่ช่วยผมทำคุกกี้”
“แต่เมื่อเช้ามันธ์ก็เพิ่งทำข้าวต้มให้ผมเองนะ เรื่องช่วยทำคุกกี้ก็ตอบแทนที่เลี้ยงข้าวเช้าแล้ว ยังจะมาเลี้ยงข้าวกลางวันอะไรอีก”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ยังไงผมก็ต้องทำของตัวเองไง เพิ่มอีกสักคนก็ไม่ได้ลำบากอะไร”
“แน่ะ...พูดเหมือนเมื่อเช้าอีกแล้ว”
“ก็จริงนี่ครับ”
“โอเค ก็ได้ งั้นกลางวันนี้ขอฝากท้องไว้ด้วยละกันครับ” ผมยอมคนตรงหน้าเพราะเถียงไปก็ดูจะไม่ชนะอีกฝ่ายแน่ๆ
“ว่าแต่พายกินไข่น้ำกับปลาทูทอดได้ไหมครับ”
“แค่ไข่น้ำก็พอแล้ว” ผมตอบกลับ กว่าจะทอดปลาทู กว่าจะทำไข่น้ำ ผมกลัวว่ามันจะเสียเวลาอีกฝ่ายเกินไป เพราะเขายังเหลือถ่ายคลิปช่วงสุดท้ายอีก แถมยังไม่ได้ตัดต่อเลยด้วย
“เอางั้นหรอครับ”
“อืม แค่ไข่น้ำก็พอ หรือว่ามันธ์อยากกินปลาทู ถ้ามันธ์อยากกินปลาทูผมกินด้วยก็ได้นะ เอาที่มันธ์สะดวก”
“ผมกินที่พายอยากกินนั่นแหละครับ” เขาพูดแล้วก็หันไปวุ่นวายกับในครัว ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นเดินไปเดินมาในครัว ไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าโดนอีกฝ่ายตามใจอีกแล้ว
ไม่ถึงสิบห้านาทีไข่น้ำก็มาวางข้างหน้าผมพร้อมทาน มันธ์ตักข้าวมาสองจานแล้วส่งให้ผม ผมรับมาพร้อมพูดขอบคุณเบาๆ
คำแรกที่ผมตักไข่น้ำเข้าปาก....อร่อย...คนตรงหน้าผมนี่ทำอะไรก็อร่อยหรือไงกันนะ
“อร่อยไหมครับ?” มันธ์หันมาถามผม
“อร่อยมากครับ นี่มันธ์ทำอาหารมานานหรือยังครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะถามคนตรงหน้า
“เอาจริงๆ ผมเริ่มทำมาตั้งแต่จำความได้แล้วแหละครับ ผมชอบเข้าครัวไปช่วยแม่ทำบ่อยๆ พอขึ้นมหาลัยเลยเลือกเรียนทางนี้โดยตรง”
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง ก็ว่ามันธ์ทำอร่อยจริงๆ แหละครับ สมกับที่ทำมาตั้งแต่เด็ก”
“อ่า....ขอบคุณครับ” มันธ์หน้าขึ้นสีนิดๆ ซึ่งเป็นภาพหายากก็ว่าได้ ทุกทีมีแต่ผมที่หน้าแดงไปฝ่ายเดียวเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงก็คราวนี้แหละ “แน่ะ~ ชมนิดเดียวถึงกับเขินเลยหรอครับ”
ได้ทีผมก็รีบแซวอีกฝ่ายทันที
“ก็มีคนมาชมตรงๆ อย่างนี้ ผมก็เขินสิครับ” นั่น...ไม่ปฏิเสธด้วย
กิ๊ง~!
จู่ๆ เสียงเตาอบดังขึ้นขัดบทสนทนาของพวกเรา
“สงสัยคุกกี้อบเสร็จแล้วน่ะครับ”
“งั้นเราจะถ่ายคลิปต่อเลยไหมครับ?”
“เดี๋ยวกินข้าวให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ”
“อ่า...โอเค” ได้ยินดังนั้นผมเลยรีบกิน จะได้รีบไปถ่ายวิดิโอต่อ จะได้ไม่เสียเวลา
ไม่นานนักพวกเราก็กินเสร็จผมเลยหยิบจานไปเก็บเช่นเดิม
“พายวางไว้ก็ได้ครับเดี๋ยวผมล้างเอง” มันธ์ก็ยังคงพูดคำเดิมๆ
“เดี๋ยวผมล้างเองครับ มันธ์ไปถ่ายคลิปต่อเถอะ”
โชคดีที่คราวนี้ผมมีข้ออ้าง เลยไม่ต้องเสียเวลาต่อปากต่อคำกับมันธ์ มันธ์ยอมว่าง่ายหันไปเปิดกล้อง จังหวะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น
“ขอโทษครับ เสียงมือถือผมเอง”
ผมรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว พอเห็นเบอร์ที่โทรมาก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ แต่ก็ยอมกดรับ
“มีเรื่องไร?”
[แหม เพื่อนโทรมาแค่นี้ทำเสียงเขียวใส่เชียว]
“ก็ปกติมึงโทรมาก็ไม่เคยมีเรื่องดีๆ เลยนี่หว่า” ผมพูดกลับไปพลางเดินไปทางระเบียงเพื่อไม่ให้รบกวนอีฝ่ายที่กำลังจะอัดคลิป “สรุปมีอะไร?”
[เพื่อนรักกกกกกกก Help me~]
“อะไรอีก?”
[เอาน่า มึงมาหากูก่อน กูต้องการความช่วยเหลือด่วน!!]
“อะไรของมึงเนี่ย?”
[เออน่ามาก่อน กูรออยู่ที่โรงพยาบาลนี้นะ รีบมาล่ะมึง ด่วนๆ ตอนนี้เลย] มันบอกชื่อโรงพยาบาลมา ด้วยน้ำเสียงร้อนลนขึ้นเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อน มึงบอกมาก่อนว่าเรื่องอะไร แล้วทำไมมึงไปอยู่โรงพยาบาล?”
[เออมาก่อนน่า เดี๋ยวมึงก็รู้เอง รีบมานะ]
“เดี๋ยวมึง...!!”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้แย้งอะไรมัน มันก็ชิงวางสายไปซะแล้ว สรุปนี่มันเป็นอะไรเนี่ย? แล้วทำไมไปอยู่ที่โรงพยาบาล?
ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง ก็เห็นอีกฝ่ายเดินมาปิดกล้องพอดี
“เอ่อ ผมต้องกลับแล้วล่ะครับ”
“อ้าว! ไม่อยู่ทานคุกกี้กันก่อนหรอครับ?” มันธ์ถามขึ้นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“คือตะกี้เพื่อนผมโทรมาตามให้ไปหาด่วนน่ะครับ” ผมตอบอีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรนัก
“งั้นหรอครับ” มันธ์ทำน้ำเสียงดูหดหู่ลงนิดๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงมองเห็นเขาเหมือนหมาตัวโตกำลังนั่งหงอยหูลู่ซะงั้น
“มันธ์ตัดต่อคลิปเองได้ใช่ไหมครับ?” ผมถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าเอง
“ครับ ทำได้ครับ ไม่ยากหรอก ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะครับ”
“อ่า...ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ”
อยากพูดอะไรกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ผมเลยได้แต่พูดไปแค่นั้น...พอเดินไปถึงหน้าประตูเจ้าแมวตัวขาวก็เดินตามผมมา แต่ตัวอ้วนตัวส้มกลับอยู่ไหนก็ไม่รู้
“เจ้าอ้วน?” ผมตะโกนขึ้นนิด หันมองซ้ายมองขวา ก็ยังไม่ไม่เห็นมัน เลยเรียกขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “เจ้าอ้วนอยู่ไหน?”
“เจ้าอ้วนอยู่ในครัวครับ” เสียงตอบรับกลับมาเป็นเสียงเจ้าของห้อง ไม่ใช่เสียงเจ้าแมวของผม
ผมเลยรีบเดินกลับไปที่ครัว เจ้าไข่แดงกำลังนั่งดมคุกกี้อยู่ในครัวนั่นเอง
“เจ้าอ้วนกลับห้องได้แล้ว”
“เมี๊ยว!!”
มันรีบส่งเสียงกลับทันที ราวกับจะประท้วงว่าจะไม่กลับ จะอยู่กินคุกกี้
“ไม่ต้องมาดื้อ กลับห้องเราได้แล้ว!!”
“เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยวววว!!” มันร้องโวยวายขึ้นทันทีที่ผมจับตัวมันอุ้ม แถมไม่ใช่แค่ร้องด้วย มันดิ้นไปมาอีกต่างหาก!! เจ้าอ้วน!! เจ้าตะกละ!!
“จริงๆ ให้พวกมันอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ”
“เมี๊ยว~” เสียงเจ้าไข่แดงดังขึ้นทันที อยากบอกว่าเห็นด้วยกับอีกฝ่ายสินะ
“ไม่เอาหรอก รบกวนมันธ์เปล่าๆ”
เจ้าตัวอ้วนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาอาฆาตเล็กน้อย
“ไม่รบกวนหรอก ผมอยู่คนเดียว มีเจ้าแมวสองตัวเป็นเพื่อนเล่นก็สนุกดีครับ”
“เอางั้นหรอครับ?” ผมถามขึ้นย้ำอีกทีด้วยความเกรงใจ
“ครับ เอางี้แหละ”
“อ่า...งั้นก็ขอบคุณครับ เดี๋ยวถ้ากลับมาจากธุระ แล้วผมจะมารับนะครับ”
“ครับ” มันธ์ยิ้มให้ผมนิดๆ แล้วรับเจ้าตัวอ้วนสีส้มไปอุ้ม พอเจ้าไข่แดงอยู่ในอ้อมกอดคนตัวสูงก็รีบคลอเคลียใส่ทันที นี่สรุปใครเป็นเจ้าของกันเนี่ย?
“ดูแลน้องดีๆ ด้วยนะ อย่าให้น้องเล่นซนล่ะ” ผมก้มลงพูดพลางลูบหัวเจ้าไข่ขาวสองสามครั้ง
“เออพายครับ!” จู่ๆ เจ้าของห้องก็เรียกผมไว้ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง
“?”
“หน้าผากน่ะครับ อย่าลืมล้างล่ะ”
“รู้แล้วน่า!!” ผมรีบหันหลังเดินกลับห้องทันที หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นว่าผมหน้าแดงอีกแล้ว เอาจริงๆ ถ้ามันธ์ไม่บอก ผมก็คงลืมไปเลยว่าที่หน้าผากผมยังคงมีดินสอพองพอกไว้อยู่
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องตัวเอง ผมก็รีบเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าก่อนเลย แล้วจึงเดินไปหยิบกระเป๋ามือถือของใช้จำเป็นสองสามอย่าง ก่อนจะรีบออกไปยังโรงพยาบาลที่อีกฝ่ายนัดไว้
“ไอ้พายเพื่อนรักกกกกกกก”
เสียงเพื่อนผมดังมาแต่ไกลทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัว ผมได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่มัน
“สรุปเรียกกูมาทำไม แล้วนี่มึงเป็นอะไรเนี่ย?” ผมถามขึ้นเพราะตอนนี้มันอยู่ในชุดผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง แต่ดูจากสีหน้าท่าทางมันแล้วก็ไม่เห็นจะดูเจ็บป่วยอะไร
“พอดีกูเพิ่งผ่าตัดไส้ติ่งอ่ะ แล้วมันมีงานต้องส่งให้บอสด่วน กูเลยจะให้มึงเอาไปให้บอสกูหน่อย” มันว่าพลางโบกซองสีน้ำตาลในมือไปมาสองสามที
“แค่เนี้ย? แล้วทำไมมึงไม่ให้บอสมาเอา หรือให้ไลน์แมนไปส่งวะ?”
“ก็กูอยากเจอมึงด้วยไง”
“แค่เนี้ย?”
“เออแค่นี้แหละ ช่วงนี้กูไม่ได้เจอมึงเลย ก็คิดถึงอ่ะ แล้วเรื่องนั้นเป็นไงบ้าง” ประโยคหลังมันถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ‘เรื่องนั้น’ ของมันก็ไม่พ้นเรื่อง ‘แมวๆ’ ของผม
ผมกับไอ้คนที่นอนบนเตียง หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า ‘นิว’ มันเป็นเพื่อนกับผมมาตั้งแต่สมัยจำความได้ และเป็นหนึ่งในคนที่รู้ว่าผมกลายเป็นแมวได้ด้วย
“ก็สบายดี ส่วนเรื่องนั้นก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ช่วงนี้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแมวบ่อยนักหรอก เพราะกูก็พยายามไม่ให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป”
“ก็ดีแล้ว ยังไงช่วงที่เป็นแมวมึงก็ระวังๆ หน่อย เกิดเป็นแมวในที่แปลกๆ ขึ้นมาล่ะจะเป็นเรื่อง”
“เออ รู้แล้วน่า”
“พาย นี่กูจริงจังนะ จนถึงทุกวันนี้มึงก็ยังหาสาเหตุหรือวิธีรักษาไม่ได้อีกหรอ”
“ก็อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ กูก็พยายามหาข้อมูลแล้วแต่ก็ไม่ได้อะไรเลย กูไม่รู้ว่าทำไมกูถึงเป็นแบบนี้ กูไม่รู้เลย ไม่รู้จริงๆ” ใช่ว่าผมไม่อยากหายจากอาการประหลาดนี่นะ ผมอยากหาย ผมอยากรู้ว่าผมเป็นเพราะอะไร แต่ผมพยายามเสิร์ชเน็ต เข้าห้องสมุด อ่านนิยาย ลองทุกอย่างแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นอะไรกันแน่
“กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจทำให้มึงรู้สึกแย่”
“เออกูรู้ ช่างมันเถอะ” ผมบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ ก็รู้แหละว่ามันเป็นห่วงผม
“กูเป็นห่วงมึงจริงๆ นะ ถ้าวันไหนจู่ๆ มึงกลายเป็นแมวขึ้นมาในที่ๆ ไม่รู้จัก หรือในที่แปลกๆ ขึ้นมางี้ มึงจะทำไง หรือถ้าจู่ๆ มีคนไม่ดีมารู้เรื่องของมึง แล้วทำไม่ดีกับมึงล่ะ”
“กูรู้ กูดูแลตัวเองได้น่า”
“ได้จริง?”
“เออ ได้!!” ถ้าไม่รวมถึงเหตุการ์เมื่อคืนที่ผมดันกลายร่างหน้าห้องตัวเองอ่ะนะ... “สรุปมึงเรียกกูมาแค่นี้?”
“จริงๆ นอกจากเรื่องที่กูจะฝากให้มึงเอาเอกสารไปให้บอสกูแล้ว กูมีเรื่องอยากจะคุยด้วยแหละ อาทิตย์หน้าเดี๋ยวมึงจะไปออกทริปช่ะ?”
“อือ เดี๋ยวกูเอาแมวไปฝากมึงเหมือนเดิม ฝากดูแลมันด้วย ไอ้ไข่แดงก็ไม่ต้องข้าวให้มันเยอะมาก มันเริ่มจะอ้วนเกินไปแล้ว”
ทุกเดือนผมจะมีออกทริปไปถ่ายรูปเขียนคอลัมน์นิตยสาร ปกติก็จะไปสี่วัน แต่บางครั้งก็ไปนานหนึ่งอาทิตย์ แล้วแต่สถานที่ที่ไป
“นั่นแหละประเด็น”
“ประเด็น?”
“คืออาทิตย์หน้ากูต้องไปดูงานที่ญี่ปุ่นกับบอสอ่ะ ไม่อยู่สองอาทิตย์ เพราะฉะนั้นกูคงดูแลแมวให้มึงไม่ได้แล้ว”
“อ้าว...จริงดิ”
“เออ กูเลยรีบบอกมึงเนี่ย มึงจะได้หาคนมาดูแลเจ้าสองตัวนั้นได้ทัน”
“เออ ยังไงก็ขอบใจมาก เดี๋ยวกูลองดูอีกทีว่าจะฝากใครได้บ้าง ถ้าไม่ได้จริงก็คงเอาพวกมันไปด้วย”
“เฮ้ย จะไม่ลำบากหรอ?”
“ก็ลำบากแหละ แต่จะทิ้งพวกมันอยู่ห้องเฉยๆ สองตัวทั้งอาทิตย์กูก็แอบเป็นห่วงว่ะ ยิ่งช่วงนี้เจ้าไข่แดงชอบซนหนีไปนั่นไปนี่”
“เออ ถ้ามึงหาไม่ได้จริงๆ ยังไงบอกกูได้นะ เดี๋ยวกูช่วยหาอีกแรง กูก็เป็นห่วงพวกมันเหมือนกัน”
“ขอบใจมากมึง”
“สรุปที่เรียกมามีแค่นี้?” ผมถามย้ำมันอีกครั้ง
“มึงนี่ก็เพื่อนบาดเจ็บ ไม่เป็นห่วงเลยเร๊อะ เอาแต่ถามอยู่นั่นแหละว่าเรียกมาแค่นี้ เรียกมาแค่นี้”
“มึงพูดมากขนาดนี้กูคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วมั้ง แล้วนี่ทำไมมึงไม่กินข้าว?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อหันไปเห็นอาหารของโรงพยาบาลวางอยู่ไม่ไกล
“ก็มันไม่อร่อยอ่ะ กูอยากกินพิซซ่า สั่งมากินกันไหม? กูโทรถามน้ำแล้ว วันนี้มึงไม่มีงาน มึงก็อยู่กับกูหน่อยนะ กูเหงาปากไม่มีเพื่อนคุย สั่งพิซซ่ามากินด้วยเดี๋ยวกูเลี้ยงเองเลย” ไอ้นิวนี่ก็จริงๆ ถึงกับโทรหาหนึ่งในทีมงานของผมเพื่อเช็คตารางงานเลยทีเดียว
“คนป่วยไม่ควรกินอาหารอื่นนอกจากอาหารของโรงพยาบาลนะครับ” เสียงนุ่มเข้มดังขึ้นมาจากทางประตู เรียกเอาคนป่วยและผมหันไปมองผู้มาใหม่
“บอส!!”
“คุณธาริณสวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ผู้มาใหม่ทันที
ผมกับนิวด้วยความที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมาจนถึงปัจจุบัน เลยพอจะรู้จักคนรอบตัวของกันและกันอยู่บ้าง อย่างคุณธาริณหรือบอสของมันเนี่ย ผมก็เคยเจอกันอยู่สองสามครั้ง เวลาไปหาไอ้นิวที่คอนโด
“สวัสดีครับพาย มานานหรือยังครับ?”
“สักพักแล้วครับ แล้วคุณธาริณมาเยี่ยมไอ้นิวหรือมาเอางานหรอครับ?”
“ทั้งคู่เลยครับ เอาจริงผมก็เพิ่งรู้นี่แหละครับว่านิวเข้าโรงพยาบาลเลยเพิ่งมา”
“บอสรู้ได้ไงเนี่ย?” คนป่วยบนเตียงโวยวายขึ้นมานิด
“ผมควรจะรู้เป็นคนแรกมากกว่านะครับ นิว” น้ำเสียงเข้มขึ้นหันไปมองคนถามพลางขมวดคิ้วนิดๆ เล่นเอาคนบนเตียงสะดุ้งไปเล็กน้อย
บรรยากาศภายในห้องเริ่มมาคุขึ้น เป็นสัญญาณว่าผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่แล้วแหละ...
“นิว ถ้าบอสมึงมาแล้วกูกลับแล้วนะ”
“เดี๋ยวสิมึง ไอ้เหี้ย! อย่าเพิ่งทิ้งกู”
ผมรีบเดินออกมาทันที ไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อน ได้ยินเสียงมันไล่หลังมานิดหน่อย พร้อมกับเสียงเข้มของคนเป็นบอส “นิวครับ เด็กดีห้ามดื้อต้องกินข้าวนะครับ”
อ่า....รีบกลับคอนโดไปหาเจ้าแมวทั้งสองดีกว่า~
____________________________________
มาแล้วค่ะ ชอบไม่ชอบ คิดเห็นกันยังไงก็บอกกันได้นะคะ อย่าลืมนะคะ ทวิต #แมวอยู่กับผม
ฝากแชร์ ฝากเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยน้าาาาา >___<