ตอนจบ แต่เหมือนตอนพิเศษมากกว่า 5555
——-
คนสองคน กับหมาหนึ่งตัว
เช้าวันอังคารที่ 25 ธันวาคม กรุงเทพฯ ในพื้นที่ของผมมีอากาศเย็นนิดหน่อย คาดว่ากลางคืนก็คงเย็นเหมือนตอนเช้า ผมจึงหยิบสูทที่ใช้ผ้าที่หนากว่าตัวอื่นมาสวม สูทสีเทาเข้ม ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวเกลี้ยง ไม่มีเนคไท นี่เป็นชุดหลักในการทำงาน ให้ลุคที่สุภาพ แต่ก็แสดงถึงความสบาย เป็นกันเอง
“อะไรครับ”
ลูกฟูเลียเท้าของผมออดอ้อน มันชอบมาเกาะแกะทุกครั้งเมื่อรู้ว่าผมจะออกไปทำงาน แม้แม่ของมันยังคงนอนหลับอยู่ มันก็อ้อนเราสองคนเท่ากันเสมอๆ ผมเริ่มกลายเป็นคนบ้าหมาตามเขาไปแล้ว เวลาว่างๆ ชอบวางแผนหากิจกรรมทำกับหมา เย็นนี้จะซื้อขนมรสอะไรให้ดี แชมพูยี่ห้อไหนเหมาะกับผิวหมา คิดไปสารตะ นี่ถ้าเขารู้นะ เขาต้องหัวเราะแน่เลย ดังนั้นผมจะเก็บความลับนี้ไว้ดีกว่า
พอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เข้าห้องไปลาเขาก่อน นอนหลับอุตุด้วยความเพลียจากศึกเมื่อคืน ผิวขาวๆ มีรอยแดงประปราย ดูเปราะบางจนอยากบีบให้แหลก ทำไมเขาถึงน่ารักอย่างนี้นะ หลับเงียบๆ ปากเจ่อๆ ขนตาหนาของเขาช่างสงบเงี่ยม เป็นคนน่ารักโดยเนื้อแท้ จนผมหาข้อเสียไม่ได้เลย หรือผมกำลังหลงกัน? ไม่หรอก! คนทุกคนต่างมีข้อเสีย เช่นอะไรดี? เขาขี้ใจอ่อน? เขาบอบบางเกินไป? เขาขี้เกรงใจเกินไป? นั่นสิ นี่คงเป็นข้อเสียของเขานั่นแหละ
จุ๊บ
“ไปก่อนนะ”
วันนี้เขาไม่มีงาน ผมนัดให้ไปเจอที่เซ็นทรัลตอนห้าโมงครึ่ง อยากดูหนัง แล้วหาอะไรอร่อยๆ กิน ติดที่เขาจะเอาไอ้ฟูไปด้วยหรือเปล่า ยิ่งชอบพาหมาไปเปิดหูเปิดตาในวันที่ตัวเองว่างอยู่ด้วย
“เดี๋ยว~~”
เสียงหวานๆ เรียกผมตอนหันหลังแล้ว
ให้ตาย
จะได้ไปทำงานมั้ยวันนี้
ผมหันกลับไป เจอร่างของคนน่ารักโถมเข้าใส่ ซอกคอมีสบู่กลิ่นสตรอเบอร์รี่จางๆ ผมกดจมูกตัวเองลงไป แล้วโอบแขนรอบตัวเขา
“ทำตัวเหมือนเด็ก”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“วันนี้วันคริสต์มาสนะ”
ลมร้อนปะทะข้างหูผม พร้อมเสียงกระเส่านิดๆ รู้ทันทีว่าเขาจงใจยั่ว
เขาเคยบอกผมถึงความสำคัญของคริสต์มาสสำหรับเขา หนุ่มลูกครึ่งที่พ่อเสียไปนาน ไม่มีคริสต์มาสแสนสนุกของครอบครัวตั้งแต่นั้น เมื่อมีคนที่เขาไว้ใจ...วางใจ เขาคงอยากฉลองกับผม
สรุปแล้วสถานะของเขากับผมคืออะไรน่ะเหรอ....
ก็ใช่...คบกัน
เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่—ดูเหมือนผมเป็นพี่เขามากกว่า ทั้งๆ ที่ผมเด็กกว่านะ
แล้วก็เป็นครอบครัวไปแล้ว
ได้ไงล่ะ ลูกฟูของผมต้องมีพ่อแม่ครบ ดูมัน...กระดิกหางอ้อนใหญ่เลย ไม่อยากให้ไปทำงานเหมือนกันสิท่า
“ก็ได้ๆ”
เขาร้องดีใจเป็นเด็กๆ จากนั้นจึงวิ่งหายไปในห้องน้ำ เอาไอ้ฟูไปด้วย ส่วนผมเปลี่ยนชุด ดัดเสียงเหมือนคนป่วย เพราะแพ้อากาศ แพ้ควันพิษที่ลอยอยู่เต็มกรุงเทพฯ แล้วโทรบอกหัวหน้า
เป็นคนเกเรสักวันหนึ่งคงไม่ผิดใช่ไหม
หลังจากนอนจิบชาคาโมมายล์ได้สักพัก คนตัวหอมก็เสด็จออกจากห้องน้ำได้สักที อันที่จริงเขาไม่ต้องอาบน้ำใหม่ก็ได้ ตัวยังหอมอยู่เลย คนบ้าอะไร
“ดูหนังกันมั้ย”
เขาชวน หมายถึงหนังออนไลน์
“แต่เช้าเนี่ยนะ?”
ไม่รู้สิ เพราะตื่นเช้าเกินไป ผมเลยยังไม่มีแผนในหัว
“อื้ม เน็ตฟลิกมันเพิ่งลงเรื่องใหม่”
เขานอนลงข้างๆกัน ดึงผ้าห่มไปห่มจนมิดคอ หมาน้อยก็กระโดดขึ้นเตียงมาเบียดพวกเราด้วยความหนาว ผมวางถ้วยชาลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วเปิดหนังดูตามแววตาอ้อนวอนของเขา ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจก็เหมือนหมา เขาน่ารัก ซื่อสัตย์ และมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ
ตั้งแต่เราตกลงคบกัน ผมเริ่มเห็นตัวตนของเขามากยิ่งขึ้น (หรืออาจจะเพิ่งสังเกต) เขาเป็นคนขี้อ้อนและรักการสกินชิพ ...พอๆ กับผม ที่เพิ่งมารู้สึกว่าทำไมเราชอบกอดเขาจังวะ?
ตัวเขาหอม ไม่แข็งมาก ผิวก็เนียน แก้มใส มีเลือดฝาด มันน่าหอม น่าฟัด น่าบีบไปหมด
.....เราคงโชคร้ายไปหน่อยที่เปิดหนังที่ไม่ใช่แนวทั้งคู่ การดำเนินเรื่องเนิบนาบ บทแปลกประหลาด ไม่สมเหตุสมผล
ผมถอนหายใจ มองเขาที่นอนตาปรืออยู่ข้างๆ
“เสียดายพระเอก”
เขาเหลือบตามองผม ยิ้มนิดๆ เป็นธรรมชาติ
“เสียดายความหล่อใช่มั้ย”
บีบแก้มนิ่มด้วยความหมั่นไส้
จุ๊บ
แล้วจูบปากเขา
เพียงแค่ปากแตะปากก็จุดไฟของเราสองให้โหมกระพือ ขาเราเสียดสีกันมานานแล้ว เพียงแค่ยังเซ็งกับหนัง จึงยังไม่มีใครเริ่ม
ผมเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาก่อน อากาศในห้องเย็นจัด จึงไม่มีใครกล้าออกจากผ้าห่มผืนนี้ แต่เดี๋ยวสักพักผมจะทำให้มันร้อนเอง ด้วยการถอดกางเกงขาสั้นแค่พอปิดแก้มก้นตัวนี้ ชอบใส่นักไอ้ชุดโป๊ๆ ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นฝรั่ง ไม่ค่อยสนใจเรื่องพรรค์นี้เท่าไหร่ แต่ผมน่ะมันชายไทย ที่ส่วนใหญ่มีนิสัยหวงแฟน!
“อ๊ะ!”
ผมบีบแก้มก้นนุ่มนิ่มของเขาทั้งสองข้างพร้อมกัน แล้วจับมันเพื่อลากเขาให้นอนในแนวราบจากที่นอนแบบเอนตัวดูหนัง
“ขอกินหน่อยนะ”
ถกเสื้อเขาขึ้น ฉกชิมยอดลูกสตรอเบอร์รี่หวานหอมทั้งสองลูก
“อือ...อ..โอม”
ผมกัด เลีย ดูด ทำสลับไปมาด้วยความบ้าคลั่ง จากผิวที่แดงอยู่แล้ว ก็เกิดเป็นรอยแดงช้ำ ใหม่ๆ มันก็สวย แต่หลังจากนี้มันจะเริ่มน่ากลัว และเขาชอบบ่นอยู่บ่อยๆด้วยอาชีพที่ต้องเปิดเนื้อหนังมังสา แต่ผมไม่แคร์ ตราบใดที่ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเมคอัพ ผมก็จะดูด จะกิน ให้หนำใจ
“โอ๊ย!”
ผมกัดติ่งหูที่ใส่หมุดเงินแท้เอาไว้ แหย่ลิ้นเขาไปเลียและดูดดึงความอ่อนของมัน เขาขนลุกจนผมสัมผัสได้ พยายามย่นคอหนีตามสัญชาตญาณ ผมจึงปล่อยจากจุดนั้นมาเป็นปากแทน
ผมสอดลิ้นเข้าไป ไล้ตามแนวฟัน แล้วหยอกเล่นกับลิ้นน่ารักๆ ของเขา เสียงปากประกบกันดังขึ้นตามแรงอัด แต่คงสู้เสียงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ได้
เขาร้องครางในคอ เล็บจิกหลังผม เจ็บและแสบมาก แต่อารมณ์ช่วงล่างมันเหนือกว่าอะไรทั้งหมด ผมจับสะโพกเขาให้ยกขึ้น หยิบหมอนใบเล็กมารองไว้ ท่านี้จะทำให้เขาและผมสบายที่สุด ก่อนจะจับลูกชายตัวเขื่องออกมาทักทายทางเข้า ให้ลูกคายน้ำใสๆ ออกมานิดหน่อย ถูหัวลูกกับช่องทางนั้น แล้วลากขึ้นลง บอกเลยว่าสูตรนี้ทำเขาร้องระงม-อ่อนระทวย เรียกหาแต่ลูกของผมมากกว่าลูกหมาฟูเสียอีก
“ฟั*มี! อือ...พลีส...”
“ฟั*คยูเหรอ? No!
“โอ้ว พลีส โอม พลีส~ I can do anything. I can do anything you want.”
“Really?”
ผมแกล้งถามเขาไปอย่างนั้นเอง ใจจริงผมก็อยากฟั*!จะตาย ลูกชายผมแข็งเหมือนไม้คมแฝกแล้ว
เขาเกี่ยวเอวผมด้วยขาเรียวสวย ดันมันให้เนื้อเราแนบกัน หน้าท้องเรานาบกัน ทั้งยังเกี่ยวคอผมไปจูบ ผมก็ไม่ไหวแล้ว ยกเอวออกเล็กน้อยเพื่อจับลูกให้อยู่ตรงๆ แล้วดันลูกชายเข้าไปในช่องทางอันคับแน่น
ความรู้สึกดีแผ่ซ่านตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ
“อ....โอม—แรง..แรงเลย”
ตามใจเขาอยู่แล้ว
จัดไปสิครับ
“อ๊ะ! อ๊ะ! อ้ะ..”
ผมกระแทกเอว ย้ำจุดที่ทำให้เขารู้สึกดีไม่ลดละ เขาเสียวจนปากค้าง เล็บจิกไปทั่วแผ่นหลัง เหมือนคนกำลังจะขาดใจ แต่ผมชอบเหลือเกิน ได้เห็นเขามีความสุขอย่างนี้ ผมก็ย้ำเอวเข้าถี่ๆ กัดไหล่เขา กัดปากเขา เสียงเนื้อกระทบกันหยาบโลน แต่เสียงครางของเขากลบมันเกือบมิด เขาครางจนรู้สึกได้ว่าคอต้องแห้งแน่
“โอม....ไม่ไหวแล้ว!”
ร่างกายเขาแดงทั้งตัว ปลายเท้าเหยียดเกร็ง มือเริ่มนิ่ง ผมรีบเน้นจังหวะนั้นแรงๆ หลายที กดเอวตัวเองให้ลึกที่สุดเพื่อให้โดนจุดเสียวของเขาอย่างถึงแก่น ก่อนร่างบางจะกระตุกสองที แล้วสบถ
“ฟั*!!!”
ผมพักหายใจสามวิ แล้วจึงขยับเอว ทำต่อให้ตัวเองถึงฝั่ง ส่วนเขาร้องครวญครางบอกว่าไม่ไหว เสียงเริ่มแหบลงๆ ด้วยผมยังไม่ยอมเปลี่ยนท่า ดังนั้นไอ้ลูกชายตัวแสบจึงยังโดนจุดที่เขารู้สึกดีอยู่ ผมกระแทกเอวถี่ๆ จนเหมือนลืมว่าตัวเองเป็นคน แต่เป็นกระต่าย กระทั่งหยาดแห่งความสุขพวยพุ่งใส่ตัวเขา และเขาก็ถึงอีกครั้ง ผมจึงพอด้วยความเหนื่อย อย่างน้อยๆ จุดนี้ก็ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เป็นกระต่ายจริงๆ
“แม่ง..”
เป็นผมที่สบถบ้าง
ร้อน!
ผมเหวี่ยงผ้าห่มออกไป ลุกขึ้นจากเขาที่ยังแยกขาค้างไว้ วิญญาณคงสลบไสลไปแล้ว ที่เหลือไว้มีเพียงกายหยาบ กะพริบตามองผม
ผมไม่มองเขา...ผมสนใจช่องทางคับแน่นที่ของเหลวขุ่นกำลังไหลออกมาเหมือนดูงานศิลปะ ผมชอบมองด้วยความปลาบปลื้ม คงเป็นความโรคจิตของผมเอง และเขาก็เต็มใจที่จะให้ผมมอง เพราะอีกไม่นาน มันจะต้องถูกกำจัดออกไป เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเขา
“อยากต่ออีกรอบอ่ะ”
ปากไม่มีหูรูดของผมเอ่ยอย่างเกรงใจ(?)
เขาไม่ใช้เสียงตอบ คาดว่าคงจรไปกับคลื่นอารมณ์เมื่อครู่แล้วจริงๆ จึงทำเพียงพยักหน้า ปากเจ่อๆ พยายามยิ้ม แม้จะเหนื่อยเต็มทน
จะน่ารักไปถึงไหนวะ!
อยากจะบ้าตาย ผมอยากกินเขาไปทั้งตัวเหมือนในเพลงของพี่แจ้ ไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกเงี่*นเท่านี้มาก่อน จนได้มาเจอเขานี่แหละ
“โอเค อีกรอบนะ”
ผมโถมตัวใส่เขาอีกครั้ง แต่งเพลงรักของเราสองคนจบไปหลายเพลง
ถ้าคืนนี้ยังมีแรง ผมจะแต่งเพลงคริสต์มาสตามกระแสนักร้องฝั่งตะวันตกบ้าง
•
พอบ่ายหน่อย ผมก็พาสุดที่รักทั้งสองไปทานข้าวร้านประจำ เป็นร้านอาหารทะเลแบบเปิดโล่ง เขาจึงให้หมาเข้าได้ น้องฟูของเราชอบร้านนี้มาก เพราะมีสนามให้วิ่ง มันเป็นสนามเด็กเล่นธรรมดานี่แหละ แต่วันธรรมดาแบบนี้ไม่มีเด็กสักคน
“ร้อนอ่ะ”
บ่นใหญ่แล้วคนน่ารัก ทำไงได้ล่ะบนตัวเขามีแต่รอยแดงเต็มไปหมด จำต้องใส่เสื้อที่ปิดมาถึงคอ ใส่ซีทรูของชอบก็ไม่ได้ มันเป็นแผนของผมเองแหละ ถ้าไม่ทำนะ น่ากลัวว่าคืนนี้จะใส่ซีทรูไปงานคริสต์มาส
ผมบอกให้เขาใจเย็นๆ บอกเด็กเสิร์ฟว่าขอพัดลมอีกตัวได้ไหม ไหนๆ ร้านก็ไม่มีคนอยู่แล้ว ด้วยความที่เราเป็นเจ้าประจำและหน้าตาดีมาก เขาจึงยอมให้ เขายิ้มร่าเมื่อมีพัดลมมาจ่อถึงสองตัว และยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อกุ้งเผาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดมาถึง
เขาแกะกุ้งให้ผมตามปกติ และเผื่อแผ่ไปยังลูกที่ชอบกินกุ้งกับปลาหมึกมาก มันชอบอาหารทะเลทุกอย่างยกเว้นหอย ของโปรดคือปลาหมึก กินได้ตั้งแต่หมึกต้มไปจนถึงหมึกแห้งย่าง
“แล้ววันนี้จะดูหนังเรื่องอะไร”
ผมถามแพลนของเย็นนี้ แต่ไม่คิดว่าจะได้ดู เพราะมีหมา
“ไม่ดูได้มั้ยอ่ะ จะเอาที่รักไปไว้ไหน”
ถ้าพูดว่าเอาไปฝากร้านฝากหมาสิ เขาต้องเคืองแน่ ก็รู้ว่ารักหมาขนาดไหน ถ้าคบกับเขา ก็ต้องรักหมาของเขา แต่ผมก็รักลูกฟูจริงๆ เป็นหมาเรียบร้อย เชื่อฟัง เลี้ยงง่ายมาก แต่ก็ติดเจ้าของ (หรือที่จริง เรียกว่า เจ้าของติด มากกว่า)
“ก็ได้ แล้วจะไปเซ็นทรัลเหมือนเดิมมั้ยล่ะ”
เขาส่ายหน้า
“ไปจนเบื่อแล้ว—เราไปซื้อของมาแต่งห้องพี่กันดีกว่า ไม่ได้ทำนานมากกกกกกก”
ผมขำกับการลาก กอ ไก่ ล้านตัวของเขา แต่ไม่ลืมเห็นดีเห็นงามด้วย ฟูมันมีรถเข็น เอาเข้าห้างซื้อของได้สบายอยู่แล้ว เขาบอกว่าจะจ่ายเอง ก็ตามใจนะ อันที่จริงผมไม่ใช่คนขี้งกอะไร แต่ผมก็ไม่มีเงินที่จะมาซื้อของในเรทราคาเดียวกับเขาได้ ผมมีเงินเดือนสูงก็จริง เพราะพูดได้ถึงสี่ภาษา และทำมาตั้งแต่เรียนจบ แต่มันก็ไม่เท่าเขาอยู่ดี
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยฝันไปทำอย่างอื่นที่เงินเดือนมากกว่า อย่างพวกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เพียงแต่ผมชอบอยู่เมืองไทย มันสบายใจกว่า อีกอย่างคือ ไม่ชอบขึ้นเครื่องบิน
เขาบอกว่า เวลาซื้อของ แค่ไปยืนเลือกข้างเขา แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว
“กินเยอะๆ น้า”
ได้สิ จะกินเยอะๆ เลย
“ที่รักของพ่อจะได้โตไวๆ”
อ้าว! พูดกับหมาหรอกเหรอ พูดกับหมาเป็นตุเป็นตะ พูดจนมันเห่าเป็นเสียงชื่อตัวเอง
ให้ตาย
มันเห่าคล้ายคำว่า ‘ขิง’ จริงๆ
ผมอัดคลิปไปให้ใครต่อใครดู ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน พอมันเห่าอย่างอื่นจะไม่ใช่เสียงนี้เลยด้วย
“ปีใหม่นี้ขิงคงกลับไปหาแม่ใช่มั้ย”
ผมเอ่ยถามเรื่องสำคัญที่สุดออกไป การได้นับถอยหลังสู่ปีใหม่ด้วยกันกับคนที่เรารัก ผมฝันมานานแล้ว
“ไม่ๆ”
“ทำงานเหรอ”
“มีวันสิ้นปีวันนึง แต่ว่าพี่จะไปหาโอมที่บ้าน ได้มั้ย? นะโอมนะ”
“แล้วแม่ขิงล่ะ”
เขาทำเสียงฟึดฟัด ก่อนจะย้ายมานั่งข้างผม แล้วกอดแขน เอาหน้าไถๆ คิดว่าเป็นแมวมั้ง
“แม่จะไปด้วย เขาอยากเจอพ่อแม่โอมอ่ะ พี่ก็อยาก ครั้งที่แล้วทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“เขาเข้าใจว่าไม่สบาย”
“คนไม่สบายก็ทำตัวดีกว่านั้นได้”
“ไม่หรอก”
“นี่โอมอยากให้พี่ไปมั้ยเนี่ย”
คิดไปนั่น ผมน่ะอยากอยู่แล้ว
“อยากสิ ไปถูกนะ? หรือผมจะรอขิงเลิกงานก่อนดี?”
“ไปถูก ถ้าหลงก็โทรถามเอา—พี่มันไม่มีเสน่ห์ปลายจวัก ไม่มีสกิลแม่บ้านแม่เรือน เอาแม่พี่ไปคุยกับแม่โอมดีแล้ว เพราะช่วยฆ่าเวลาให้พี่”
“ร้ายนะเรา จริงๆ แค่ยิ้ม แม่สะใภ้ก็หลงแล้ว”
“คิก....ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบโอมจะเรียกแม่ตัวเองว่าแม่สะใภ้แล้ว—พี่ดีใจจัง—ความสุขมันล้นจนพี่จะอกแตกตายแล้วโอม ถ้าวันหนึ่งมันไม่เป็นแบบนี้ขึ้นมา พี่จะทำไงดี”
เฮ้อ! อย่าว่าแต่เขาเลย
ผมก็คิดอยู่ตลอด
ทำไมมันมีความสุขจังวะ สุขจนไม่แน่ใจว่าความสุขจากการคบคนที่ผ่านมามันจริงหรือเปล่า
“ไม่ต้องทำอะไรหรอก”
ผมเชื่อใจตัวเอง ว่าจะไม่ทำให้เขาเสียใจ
•
ต้นคริสต์มาสปลอมสูงแค่หน้าอกเรากำลังถูกประดับด้วยของกระจุกกระจิก ทั้งดาว ทั้งตุ๊กตาตัวเล็กๆ เขาไม่ลืมสรรหาตุ๊กตาหมาพูเดิ้ลมาประดับเพื่อเป็นตัวแทนของฟู ซึ่งตอนนี้ไอ้หมาน้อยของเรานอนหลับเพราะเที่ยวมาทั้งวัน
ผมพันสายไฟที่ติดหลอดไฟวิบวับดวงเล็กๆ กับต้นไม้ ทดลองเปิดไฟแล้วพอใจกับความสวยของมันมาก เขายกมือถือถ่ายรูปด้วยความเห่อ
“พ่อต้องอิจฉาแน่เลย”
อยากย้อนเวลาไปตอนที่พ่อเขายังมีชีวิตอยู่ เขาคงน่ารักมาก คงขี้อ้อนสุดๆ
แต่ตอนนี้...อยากถามเขาว่า ‘ไม่เหงาแล้วใช่ไหม’ มีผมอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่สร้างความทุกข์ใจให้ ...เขาไม่เหงาแล้วสินะ
“โอม พี่อยากกินพิซซ่า”
“หืม...ก็สั่งสิ เอาหน้าอะไร”
“อะไรก็ได้ อยากกินไก่ด้วย”
“จะกินหมดไหม มีกันอยู่สองคน”
“ใช่ที่ไหนล่ะ สองคนกับหนึ่งตัวต่างหาก”
นั่นสินะ
สองคน กับหนึ่งตัว
ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป
ไม่อยากนึกถึงวันที่มีใครสักคนจากไปก่อนเลย โธ่เรา! ท่าจะบ้าแล้วจริงๆ
“เป็นอะไร ร้องไห้?—คิก...ขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่”
ไม่ได้ร้องสักหน่อย ลมแอร์มันเป่าหน้า
ใครจะบ้าร้องไห้เพราะคิดถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดกัน ไม่มีทาง!
“งั้นพี่โทรสั่งพิซซ่าเอง ไปนอนให้ที่รักปลอบเลยไป”
ในอนาคต จำนวนมันจะไม่ลดลง
ผมจะเพิ่มครอบครัวของเรา
เป็นคนสองคน กับหมาอีกหลายๆ ตัว
-จบ-
“โอม~ พี่ซื้อหมวกซานต้ามาให้ด้วยเนี่ย เอาไปใส่เลย ใส่ชุดซานต้าให้ที่รักด้วยนะ”
“แล้วขิงล่ะ ไม่ใส่ชุดซานตี้ที่ผมซื้อมาเหรอ”
“หยุดเลย!”
“โอ๊ย! อะไรวะ ทำไมต้องทำร้ายร่างกายกันด้วย”
“แค่เมื่อเช้าก็จะตายแล้ว”
“ได้น้ำมันเบนซินเกรดพรีเมี่ยมไปตั้งหลายลิตร เครื่องยังไม่ติดอีกเหรอเนี่ย ไหนมาให้ฉีดใหม่ซิ”
“ไอ้บ้า! เขาเรียกเติม!”
“ไม่ปฏิเสธเรื่องถูกเติมน้ำมัน แสดงว่าเต็มใจจะให้ ‘เติม’ อีก”
“โอ๊ย อย่า~”
“เสียงหวานขนาดนี้ ชุดซานตี้ไม่ต้องมีก็ได้”
“โอม~~อ่ะ...”
-จบจริงๆ-
•
To k.yunnutjae
ใช่ค่ะ55555 เราชอบเคะเรียบร้อย ไม่ใช่แค่เคะหรอก คนทั่วไปเราก็ชอบ ไม่ต้องหวาน เป็นตัวของตัวเอง แต่เรียบร้อย หงิมๆ น่าแกล้งดี