#เรื่องสั้น# คนสองคน กับหมาหนึ่งตัว (จบ) 25 ธ.ค. 61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #เรื่องสั้น# คนสองคน กับหมาหนึ่งตัว (จบ) 25 ธ.ค. 61  (อ่าน 5812 ครั้ง)

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


ε=ε=ε=ε=ε=ε=┌(; ̄◇ ̄)┘


เขาน่ารัก และผมจะยอมเป็นคนคุยไปสักพัก


ใจคน....มันจะแข็งได้สักเท่าไหร่ หรือผม...คาดหวังมากเกินไป

เพจจ้า https://m.facebook.com/Mukmaoynovel/
เรารวมเรื่องสั้นกับนิยายที่แต่งไว้ทั้งหมดในโพสต์แรกที่ปักหมุดไว้
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2019 09:13:53 โดย mukmaoY »

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
คนหนึ่งคน กับหมาหนึ่งตัว

-ผมเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะรู้สึกผิด-

เขาเป็นคนรู้จักของเพื่อน แก่กว่าผมสามปี หน้าตาดี ผิวเนียน แต่มีรอยกระนิดๆ ตามประสาลูกครึ่ง ทว่าสูงสมส่วน ร่างไม่ใหญ่อย่างฝรั่ง ถ้าไม่เพ่งนานๆ ก็แทบดูไม่ออกว่ามีเชื้อ มันเลยทำให้เขามีเสน่ห์ กับบุคลิคนิ่งๆ ยิ้มๆ ตลอดเวลา ก็น่ารักดี
เราเจอกันครั้งแรกตอนไปคอนเสิร์ตนักร้องเพลงป็อปจากอเมริกา ไม่นึกว่าไอ้ฟ้าเพื่อนผมมันจะชวนทั้งผมทั้งเขาไปด้วย เขาเป็นคนขี้ใส่ใจ ถึงได้รับรู้ว่าผมไม่เอ็นจอยกับเพลงแนวนั้น ชวนผมคุยตลอด คุยในแง่ของคนที่คุยกันจริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกเฟลิร์ทอยู่เลยสักนิด หรือผมจะเมาแสงสีในคอนเสิร์ตมากเกินไป? สุดท้ายแล้วคืนนั้นก็จบลงที่ห้องเขา แต่ ผมชวนเขาเอง ชวนด้วยความต้องการเป็นประกายเต็มทั้งสองตาเลยมั้ง ห้องเขาอยู่ใกล้อิมแพค ขับรถสิบนาทีก็ถึง
ผมน่ะเป็นพวกใจร้อน พอเขาล็อกประตูได้ก็กระชากเข้ามาจูบ ปลดเข็มขัด เล้าโลมอวัยวะของเขาด้วยปลายลิ้นขั้นเทพ ทำจนอ่อนระทวยไปทั้งตัว จนเขาต้องขอตัวไปอาบน้ำ ทำตัวหอมๆ ก่อนออกมาให้ผมจับปลดผ้าขนหนู แล้วผลักลงบนเตียง สอดแทรกแก่นกายแข็งเข้าไปในร่างอุ่นๆ ช่วงแรกเขาออกนิ่งๆ อาจเป็นเพราะตกใจกับคนอย่างผม คนที่ซาดิสม์เล็กๆ ผมชอบกัด แต่ไม่ถึงกับทำรอย หรือทำจนเลือดตกยางออก ผมแค่กัดเพราะมันเขี้ยว เมื่อเขาเริ่มคุ้นกับรสเซ็กส์ของผม เขาก็ค่อยๆ ตอบสนองบ้าง พลิกตัวขึ้นมาออนท็อปให้เมื่อเราเริ่มเหนื่อย ขย่มเก่งดีที่หนึ่งเลย รู้จุดเร่งจุดผ่อน แถมยังเผลอทำหน้ายั่วโดยไม่รู้ตัวอีก
เขาชอบร้องด้วยคำแปลกๆ ที่หาเจอได้ในหนังโป๊ฝรั่ง แต่ชีวิตจริงมันจะมีเหรอ? ไม่รู้สิ ผมยังไม่เคยได้ยินล่ะมั้ง อย่างเช่น
“เยส! เยส! โอ้..ฟัค!!.”
หรือจะเป็น
“อ๊ะ อ๊ะ พลีส ! พลีส !~ จะตายแล้ว gosh!!”
ด้วยสำเนียงไทยๆ มันเลยตลก
แต่ในตอนนั้นผมตลกไม่ได้ เพราะมันเป็นตอนที่ผมใกล้จะแตก เขาก็จะแตกเหมือนกัน
เขาน่ารักจริงๆ ร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ทำท่าแลบลิ้นเลียปาก ไม่ส่งสายตาร้อนแรงเชิญชวน กลับกัน เขาหลับตาปี๋ ขยับเอวรับส่ง สองมือกำหมอน กำผ้าปูจนยับ

วันนั้นผมตื่นมาพร้อมกับบางสิ่งอุ่นๆ ปลายเท้า เกือบจะเตะไปก่อนซะแล้วถ้าจู่ๆ เขาไม่ลุกขึ้นมากอดจูบลูบคลำเจ้าสิ่งนั้น ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ‘หมา’


.....


ผมเพิ่งจะมาสังเกตชัดๆ ตอนที่แต่งตัวจะกลับบ้าน มันเหมือนกับว่าผมมาห้องของมนุษย์หมา ทุกตารางนิ้วจะต้องมีสิ่งของเกี่ยวกับหมาสักชิ้น ซึ่งผมนับรวมเศษขนมหมาด้วยนะ มันก็แค่หมาพันธุ์พูเดิลสีขาวหนึ่งตัว หน้าตาโหลๆ แต่มันปรากฏอยู่ในอ้อมกอดของเขาทุกรูปภาพบนผนังห้อง ทั้งยังมีรูปเดี่ยวของตัวเองติดที่ห้องนั่งเล่นอีก

“กินข้าวมั้ย?”
เหมือนเขาเดินออกมาจากภาพ...
หนุ่มรูปงามใส่เสื้อยืด กางเกงสามส่วน อุ้มหมา
ผมหัวเราะอย่างไม่ปิดบัง และเขาก็คงรู้ตัว ยิ้มเขินๆ แต่ก็แก้ต่างเป็นพัลวัน
เขา ณ ตอนกลางวันต่างจากที่ผมคิดไว้มาก เป็นคนขี้อาย เหมือนไม่มั่นใจในความเป็นลูกครึ่งของตัวเองเท่าไหร่ จึงเอาหมาตัวเองเป็นเกราะกำบังผู้คนที่จะเข้ามา แต่เขากลับเปิดประตูให้ผมโดยไร้เกราะนั่น ...น่ารักดี คงต้องเก็บไว้ดูเล่นสักพัก

“มันชื่ออะไร”

มันชื่อฟู แต่เขาชอบเรียกว่าที่รัก ดังนั้นจะเรียกอย่างไหนก็ได้ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่หันให้คนแปลกหน้า
เขาถามเรื่องข้าวอีกครั้ง ผมปฏิเสธ

และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของเรา





การพบกันอีกสามถึงสี่ครั้งของเราไม่มีเรื่องราวให้นึกถึง เป็นแค่การนัดทำเรื่องอย่างว่าโดยเฉพาะ เริ่มต้นที่เตียง จบที่เตียง ไม่เคยกินข้าว ไม่เคยมี pillow talk  ผมไม่ได้รับรู้ชีวิตด้านอื่นของเขาเลย และไม่คิดเสียดาย เพราะผมก็ไม่ได้อยากรู้อะไรนัก แค่เขาเป็นคนอ่อนโยน ใจดี ดูนุ่มนิ่มไปเสียทุกอย่าง ผมก็ว่าน่าประทับใจแล้วนะ รู้สึกว่าไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน วันๆเล่นแต่กับหมา คุยแต่กับหมา
ก็นั่นแหละ การพบกันที่ไม่มีอะไรคืบหน้า กระทั่งผมเจอเขาพาไอ้ฟูไปเที่ยวห้าง
หมาตัวเล็กนั่งอยู่ในรถเข็นเด็ก ไม่สนใจใครนอกจากเจ้าของ ผมเดินเข้าไปทักเขาก่อน คิดแค่ว่าวันนี้จะเอากันท่าไหน พูดตรงๆนะ แค่เห็นหน้าเขา ไอ้นั่นมันก็มีปฏิกิริยาแล้ว อยากกัดให้จมเขี้ยว อยากกระแทกให้สบถคำหยาบออกมาหลายๆ คำ

“กินข้าวกัน”

ผมชวน—ไม่รอคำตอบ เป็นฝ่ายดันรถเข็นนั้นเอง พาเขาออกมากินอาหารริมทะเลซึ่งเป็นร้านโปรดของผม ทิ้งรถเขาไว้ที่ห้าง ช่างมันเถอะ จอดชั้นวีไอพีแบบนั้นน่ะ ไม่เห็นต้องห่วงอะไรเลย

เจ้าฟูดูท่าทางกระดี๊กระด๊าที่ได้เที่ยวที่อื่นบ้างนอกจากห้าง มันเดินไปมาไม่อยู่นิ่งจนเขาต้องดุมัน เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาแสดงสีหน้าที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็เถอะ แววตานั่นกลับเต็มไปด้วยรักอยู่ดี

“มาที่นี่บ่อยเหรอ”
เขาถาม ชอบจังคนขี้อายแต่กล้าเปิดบทสนทนาก่อน คิดดูว่าถ้าเขาไม่ขี้ใส่ใจ เราก็คงร่ำลากันตั้งแต่คอนเสิร์ตจบในวันนั้น

“ไม่บ่อยหรอก แค่ทุกเดือน”

“นั่นน่ะแหละเรียกว่าบ่อย.....ขำอะไรโอม?”

“ไม่บอก”

คนอะไรไม่ทันมุกเลย แต่ก็ดี...ถ้าเขาเข้าใจก็คงไม่ขำ

กินเก่งเกินคาด กินได้ทุกอย่างที่สั่งมา ทั้งยังแกะกุ้งให้ผม คอยถามว่าเอาอีกไหมอยู่ตลอด เสียสละหัวกุ้งให้ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ชอบ ไม่ลืมเอาให้หมาอีกแน่ะ เหมือนเรามากินข้าวกันสามคนพ่อแม่ลูก
เขาเป็นคนคุยได้เรื่อยๆ มากกว่าจะเรียกว่าพูดมาก รู้จังหวะหยุด จังหวะโต้ตอบ และไม่พูดตอนเคี้ยวข้าว พ่อแม่คงเลี้ยงมาดี

“ขิงเป็นลูกครึ่งอะไร”

ขิงซ่อนเผ็ดเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน พ่อเสียได้หลายปีแล้ว ไอ้ฟูก็เป็นลูกของหมาพ่อ เขาเกิดมายังไม่เคยไปอเมริกาเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะเฉียด แต่พอถึงจุดที่สามารถไปได้เอง กลับเป็นห่วงหมา สงสารหมา ถ้าต้องไปเที่ยวทั้งๆ กังวล ก็ขอไม่เที่ยวดีกว่า
บอกแล้ว เขาตลก

ตอนกำลังจะกลับ เขาเกิดนั่งบิดกระสับกระส่าย ตอนแรกผมคิดว่าเขาไม่สบายใจที่ให้คนเด็กกว่าอย่างผมเลี้ยง แต่แล้วก็ตกไปเมื่อเขาขอตัวไปห้องน้ำ จำใจฝากหมาไว้กับผม ถึงได้รู้ว่าหมาเขาที่ไม่เอาใคร มันก็ไม่เอาใครจริงๆ เขารู้นิสัยหมาตัวเองดี จึงกังวลอย่างนั้น ไอ้ฟูมันยอมอยู่ในอ้อมกอดของผมตอนเดินกลับไปที่รถ แต่มันก็ส่งเสียงขู่ตลอด ตัวแค่นี้คิดว่าจะกลัวเหรอ หมาหวงเจ้าของ! ชอบมากวนตอนคนเอากัน ถ้าถูกชะตากันสิแปลก

“พี่ขอกลับห้องพี่ดีกว่า”

“ไม่”

ขัดได้เหรอ? คนคุมเกมอยู่นี่
ผมตรงไปยังห้องตัวเอง คอนโดแคบๆ ราคาชนชั้นกลางต่างจากของเขา เลี้ยงหมาก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเอากันแล้วข้างห้องจะได้ยินหรือเปล่า
เป็นครั้งแรกที่เคยพาคนนอกเข้ามา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามา

“พี่ต้องกลับไปเบิร์นพุงออก พรุ่งนี้มีเดินด้วย”

เขาเลือกปฏิเสธตรงๆ ซึ่งผมก็เข้าใจกับอาชีพนายแบบของเขา แต่นี่มันก็ดึกแล้ว รถราในกรุงเทพฯ ติดหนัก กว่าจะเอากัน กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะกลับ หมาฟูที่หลับปุ๋ย กวนได้เหรอ

ผมไม่แก้ต่างนะ ไม่พูดอะไร จนกระทั่งถึงห้อง เขาอุ้มหมาเข้ามา ทำหน้าไม่สบายใจ ผมให้เขาวางมันบนโซฟา ให้มันหลับต่อไป แต่หมาแปลกที่แปลกกลิ่น มันตื่นขึ้นมาดมฟุดฟิด เดินชมนกชมไม้ไปทั่ว คนทาสหมาอย่างเขาอดใจในภาพน่ารักนั่นไม่ไหวหรอก ยืนมองอย่างกับแม่ที่มาเชียร์ลูกเต้นงานวันเด็ก

“ไม่ต้องกลับหรอก”

“ฟูมันไม่มีข้าวกินนะ”

“เดี๋ยวลงไปซื้อมินิมาร์ทข้างล่างให้ มันกินอะไรล่ะ”

“อาหารเหลว ที่ไม่ใช่อาหารเม็ด”

หมาเรื่องมาก!
เขาอธิบายหน้าตาของมันอยู่นาน ถ้าผมไม่เปิดรูปให้ดู เขาก็คงอธิบายต่อออกไปอีก ทำให้ผมรู้ว่าเขาหัวไม่ไวเท่าไหร่

ผมทิ้งเขาไว้ให้จัดการตัวเองเงียบๆ ส่วนผมเดินลงมาซื้ออาหารหมา แต่พอเห็นถุงยางวางเรียงรายก็นึกขึ้นได้ว่าที่มีอยู่ใกล้จะหมดเต็มที หยิบมาสามกล่อง อาหารหมาหนึ่งซอง พร้อมเบียร์สองกระป๋อง ซี่งแอบผิดหวังนิดหน่อยเมื่อเขาตอบว่า “พี่ไม่กิน” ตอนเรายื่นให้

“พี่ไม่กินเหล้า”

“ไม่ใช่เหล้าสักหน่อย นี่เบียร์”

“กินไม่เป็น ไม่อร่อย”

ไม่เชื่อหรอก คนอะไรไม่กินเหล้า ยิ่งเป็นผู้ชายยิ่งต้องกินสิ เขาคงอยากกลับบ้านไวๆ ไม่อยากอยู่กับเราล่ะมั้ง ไม่เป็นไร ผมจะทำให้อยู่ต่อเอง

เบียร์รสขมเลอะตามมุมปาก แม้เขาจะฝืนกลืนไปบ้าง แต่การจูบแบบนี้ก็ต้องหกออกมาอยู่ดี ผมผละจากลิ้นร้อน เลียเบียร์ตรงปลายคางของเขาด้วยความเสียดาย แล้วไล้วนกลับมาที่มุมปากนิ่มสีชมพู ท่าทางคงไม่สูบบุหรี่ เป็นแม่ชีหรือไง

หวาน
ปากของเขาหวานตัดรสขมของเบียร์ ใบหน้าเหยเก ความไม่ประสีประสา แล้วผมจะเรียกเขาว่า ‘พี่’ ลงอย่างไรได้

“คืนนี้นอนที่นี่นะ”





ไอ้ฟ้าเอาอีกแล้ว

ผมตั้งใจจะเก็บความสัมพันธ์ของเราเอาไว้เป็นความลับไปจนกว่าจะเบื่อ แต่มันอาจจะพังในวันนี้ เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าปกปิดไม่เก่ง แล้วไม่ได้เจอเขานานเกือบสองเดือน ไม่ใช่ว่าไม่นัดเจอกัน เขาต่างหากที่ไม่ว่างเลย อ้างตลอดว่าติดงาน เป็นช่วงที่แบรนด์เสื้อผ้าเปิดตัวคอลเลคชั่นฤดูหนาวกันให้ควั่ก ผมจะพยายามเชื่ออยู่หรอก หลังจากนั่งมองหาเขาในคลิปงานเดินแบบแบรนด์ดัง เจอนะ แต่ไม่แน่ใจ แต่งหน้าอะไรก็ไม่รู้ แทบจำไม่ได้ เดี๋ยวเจอหน้ากันแล้วจะถาม

นั่งรอเขาหน้าโรงหนัง ซื้อตั๋วไว้ให้แล้วตามประสงค์ของเพื่อน มันอยากดูหนังรัก แต่ไม่มีผู้ชายให้ซึ้งด้วย เลยลากผมกับเขามา ไม่เข้าใจความคิดของมัน แต่ก็ดีที่จะได้เจอเขา

“พี่ขิงน่ารักมั้ย เห็นวันนั้นคุยกันถูกคอ”

“งั้นๆ ชื่อก็อย่างกับผู้หญิง หน้าตาก็เหมือน”

“พี่เขาเป็นนายแบบไง เลยไว้ผมยาว แนวแอนโดรจีเนียสอ่ะ”

“เหรอ”

“ก็น่ารักนี่ เห็นคุยกันจนลืมเพื่อน นึกว่าจะชอบ”

“ไม่ได้แปลกใหม่อะไร เจอคนหน้าตาดีมาทั้งชีวิต”

“แหวะ! กูมีเพื่อนแบบมึงได้ไงวะเนี่ย—พี่ขิงๆ ทางนี้”
ฟ้าตะโกน
จะเสียงดังทำไมวะ คนมองกันหมด ทำอะไรเคยคิดหน้าคิดหลังบ้างมั้ย แล้วนั่นเขาแต่งตัวบ้าอะไร ใส่เสื้อซีทรู กางเกงขาสั้นเหนือเข่า คิดว่ามาดูหนังกลางแปลงเหรอ จะโชว์หัวนมสีชมพูหรือไง น่าเกลียดชะมัด แต่งตัวไม่ได้ดูสถานที่เลย ไอ้เรารึจัดเต็ม ใส่แจ็คเกตมาเพราะในโรงสาขานี้หนาวมาก
เป็นนายแบบทั้งที ทำไมไม่ดูแลตัวเอง วันนี้จะยอมให้ก่อนแล้วกัน ให้เขาใส่แจ็คเกตเราไปก่อน

“ขอบคุณนะ—ฟ้านั่นแหละโทรมากระทันหัน พี่ใส่ชุดนี้ไปทำงาน เสร็จแล้วก็ออกมาเลย ไม่มีอะไรให้เปลี่ยน”

“ยังไงๆ ก็ไม่มีคนปกติที่ไหนใส่ชุดแบบนี้ไปทำงานอยู่ดี”

นั่นไง ผมเห็นไอ้ฟ้าอมยิ้ม จนได้สิน่า มันต้องสงสัยแล้วแน่ๆ คงต้องเตี๊ยมกับเขาไว้ก่อน วิธีที่เนียนที่สุดก็คงไม่พ้นส่งข้อความ

-อย่าบอกฟ้านะว่าเราเจอกันหลังคอนเสิร์ต-

-ทำไมล่ะ-

-ไม่อยากให้มันล้อ รำคาญ-

-โอเค-

-ต่อจากนี้ว่างมั้ย กลับด้วยกันนะ-

-ได้ แต่ห้องพี่นะ หมามันคอย-

ผมไม่ส่งกลับ เลือกพยักหน้าให้แทน เขาอมยิ้ม เสยผมตรงของตัวเอง ดูเหมือนจะยาวขึ้น ขับให้ลุคแอนโดรจีเนียสของเขาชัดกว่าเดิมมาก


หนังรักสุดซึ้งทำเพื่อนผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร มีเพียงผมกับเขาที่มองหน้ากันแล้วยิ้มให้ด้วยความขำเพื่อน ยังไม่รู้เลยว่ามารู้จักกับฟ้าได้ไง อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีสิ่งที่ชอบเหมือนกันบ้างแหละ แต่เท่าที่เห็นก็ยังนึกไม่ออก
ผมรู้ว่าตอนที่ฟ้ามันโบกมือลาให้นั้นมันยิ้มอย่างรู้ทัน เขาน่ะซื่อบื้อ เดินตามผมมาเฉย ลืมที่เตี๊ยมกันไว้เสียอย่างนั้น ไม่ต้องเดาเลยว่าคืนนี้จะมีข้อความจากใครมาบ้าง พวกชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

“ที่รักครับ”
เรียกหมาเขาน่ะ ไอ้ฟูขนเกรียน ถูกตัดขนจนหน้าตาขี้เหร่ สมน้ำหน้า

“ตัดขนมันทำไม”

“ขนมันพันกัน พี่ขี้เกียจหวีเองแหละ เลยให้ช่างตัดจนเหี้ยนไปเลย เลี้ยงง่ายดี—กินอะไรมั้ย เย็นแล้ว”

“ไม่ล่ะ ยังอิ่มป็อปคอร์นอยู่เลย”

“เดี๋ยวค่อยทำกันนะ รายการที่พี่ชอบมันจะมาแล้วอ่ะ”

เขาพูดทิ้งไว้อย่างนั้น ก่อนจะออกมาจากห้องนอนพร้อมผ้าห่มกับหมอนสองใบ กองมันบนพรมหน้าโซฟา เรียกให้หมาไปนอนซุกด้วยกัน
ซุกอย่างกับอยู่ขั้วโลก แค่เปลี่ยนเสื้อก็หายหนาวแล้วมั้ย

“มานอนด้วยกันสิ”

ผมตกลง ล้มตัวลงนอนข้างเขา ดึงผ้าห่มออกมาคลุมตัวเอง ผิวของเราสัมผัสกัน แขนของเขานุ่มนิ่ม จะแข็งตามประสาผู้ชายบ้างตรงกล้ามเท่านั้น เขาน่ารัก ขนตายาว ยิ้มมีเสน่ห์ สงสัยจังว่าตอนเดินแบบเขาเป็นยังไง ผมนึกหน้าเคร่งขรึมของเขาไม่ออกน่ะ แต่เรามันก็คนธรรมดา ไม่มีอารมณ์ศิลปะไปดูงานอย่างนั้นหรอก

“มาแล้ว”
เขาพูดโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าผมสนใจแต่เขา ได้ยินเสียงพิธีกรพูดเรื่องเดินแบบก็พอเดาได้

ตอนนี้...ผมอยากจูบ อยากกอด อยากฟัดเขา

ปากสวยจริงๆ
อืม...นุ่มด้วย บำรุงด้วยอะไรกัน ทุกคืนก่อนนอนต้องสครับปากเหมือนสาวๆ หรือเปล่า เดี๋ยวนะ...อืม เหมือนน้ำผึ้ง

ผิวก็เนียนลื่นมือดีจัง
สะโพกตรงนี้เป็นจุดอ่อนไหว ลูบเบาๆ ช้าๆ ตัวเขาจะเกร็งมาก
หึ...ถ้ามือไม้อ่อนขนาดนี้ ก็ไม่ต้องปัดป้องหรอก ตัวอ่อนอย่างกับขี้ผึ้ง สู้เราไหวก็บ้าแล้ว อา...ต้นขาสวยจัง เนื้อแน่นหนึบ เห็นแล้วนึกถึงเนื้อปลาบึก แน่นๆ มันๆ อยากกัดให้จมเขี้ยว แต่ก็กลัวเขาเจ็บ แค่ขบเม้มพอให้ตัวเองสะใจเท่านั้นดีกว่า

รู้ไหมว่าน่ารักไปทั้งตัว
หิวอีกแล้ว ป็อปคอร์นย่อยไปหมดแล้ว
ขอกินนะ
ขอหลายๆคำเลย


.
.
เขาหลับ

เป็นนายแบบต้องเหนื่อยขนาดไหน เหมือนพนักงานธรรมดาๆ อย่างเราหรือเปล่า ที่แน่ๆ เขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อตะลอนไปทั่ว ไม่แปลกใจเลยที่จะหลับได้ง่ายขนาดนี้ เพิ่งกินไปสองคำเอง

แต่ถึงจะเหนื่อยขนาดไหน เขาก็ยังเรียกหมามานอนกอด เรานี่โคตรหัวเน่าเลย

เฮ้อ...พอแล้ววันนี้ ถึงจะแค่สองคำ ก็เป็นสองคำที่อร่อยเกินคุ้ม ได้กินของดี โดยที่ไม่เสียอะไร

กลับดีกว่า



“ถึงขั้นไหนกันแล้ว”

ผมรู้ว่าฟ้าจะต้องถาม

ความสัมพันธ์ของเรามันก็แค่คู่นอนทั่วไป ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่ฟ้าคงคาดหวังมากกว่านั้น สีหน้าของมันเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟังคำตอบของผม ไม่พอใจ แล้วก็...ผิดหวัง
ฟ้าพูดออกมาตรงๆ ว่าตั้งใจจะเป็นแม่สื่อให้ เห็นโสดกันทั้งคู่ เขาเพิ่งอกหักมา ไม่เคยยิ้มได้เลยสักวัน แต่พอวันนั้น...คอนเสิร์ตที่ผมโดนบังคับไป เขากลับยิ้ม ทักทาย ฟ้าดีใจมาก คิดว่าผมจะไว้ใจได้ แต่ผมกลับเล่นกับความใจดีของเขา
หึ! ผมเล่นเหรอ
เราต่างวิน-วินกันทั้งคู่ มีอะไรกันโดยสมยอม แล้วเขาก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ต้องรู้จักความสัมพันธ์แบบนี้สิ

“มึงมันขี้ขลาดเหมือนแฟนเก่าเขานั่นแหละ”

อะไรวะ โดนด่าอีกแล้ว
ไอ้แฟนเก่านั่นมันสำคัญแค่ไหน ทำไมฟ้าต้องพูดซ้ำด้วยวะ


ถามเขาแล้ว วันนี้กลับห้องไว ผมแวะซูเปอร์มาเก็ตซื้อขนมเคี้ยวเล่นของหมากับอาหารสด จะเอาไปทำกับข้าวกินกันกับเขา ได้คุยกันบ้างก็ดี เผื่อจะหลุดเรื่องแฟนเก่าขึ้นมาบ้าง

ผัดกะเพราเป็นสิ่งที่ผมถนัดที่สุด มันเป็นอาหารง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าใครจะทำออกมาอร่อยก็ได้ วันนี้ผมจะโชว์ฝีมือให้เขาชิมว่าถูกปากหรือเปล่า รสมือผมออกจะเผ็ดเสียด้วยสิ เหมือนลีลาบนเตียงนั่นแหละ

“ว้าว~”

เขาตาโตเหมือนเด็กเห็นของเล่น ผมวางไข่ดาวรูปหัวใจลงไปบนผัดกะเพราเป็นอันจบขั้นตอนการทำมือเย็นในวันนี้ กลิ่นหอมฉุยของมันเรียกน้ำลายเราสองคนได้เป็นอย่างดี ให้เก้าเต็มสิบ เขาจะต้องชอบแน่ๆ

ปากสวยอ้ารับข้าวคำเล็กเข้าไป ผมเชื่อว่าเขากลัวเผ็ด ถึงได้ตักน้อยขนาดนั้น แต่คนขี้เกรงใจอย่างเขาน่ะหรือจะกินไม่หมด เขาเคี้ยวคำแรกได้ไม่เท่าไหร่ก็ตักคำแล้วคำเล่าเข้าปาก น่ารักจริงๆ

“อร่อยมากกว่าที่มีคนอื่นทำให้หรือเปล่า”

เขายิ้ม พลางยกน้ำขึ้นดื่ม ปากสวยน่ามอง มีสีแดงขึ้นกว่าเดิมมาก

“นอกจากแม่แล้วก็มีโอมนี่แหละ”

“งั้นก็แสดงว่าไม่มีใครทำกับข้าวให้กินเลยสิ อยู่เมืองกรุงแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ ออกจะฮอตแท้ๆ”

เขานิ่งไป แววตาหมองลงชั่ววูบหนึ่ง แล้วจึงกลับมาเป็นปกติ
นึกถึงแฟนเก่าใช่ไหม จะมีใครบ้างลืมแฟนเก่าได้ลง ยิ่งถ้าเป็นรักแรกแล้วด้วยล่ะก็...
ผมก็เคยมีนะ รักครั้งแรก แต่มันจบสวย จบด้วยความเข้าใจกัน เราต่างไปต่อไม่ได้ เข้ากันไม่ได้ ก็ควรจบกันเสียแต่ตอนยังมองหน้ากันติด ไม่มีใครอยากสร้างศัตรูเรื่อยเปื่อยหรอก แล้วเขาล่ะ จบกับคนๆ นั้นยังไง ดูจากสีหน้าฟ้าแล้ว คงจะเละไม่ใช่น้อยสินะ

“ก่อนหน้านี้พี่ก็เคยมีแฟนนะ”

ผมยิ้มกริ่มในใจ ติดกับเราแล้วคนสวย
คนใสซื่ออย่างเขา คงไม่คิดเอาเรื่องแย่ๆ นั่น มามีอิทธิพลเหนือตัวเองได้นาน การพูดถึงเรื่องนั้นได้อย่างเป็นปกติ เท่ากับว่าคุณก้าวผ่านมันมาได้แล้ว

“เราคบกันมาตั้งแต่พี่ย้ายมากรุงเทพ—แต่ไปไงมาไงไม่รู้ จู่ๆ เขาก็เลิกกับพี่ไปแต่งงาน”
 
โอเค แสดงว่าโอกาสที่ ‘ไอ้นั่น’ จะกลับมาตอแยคงน้อยมาก

“ปล่อยไปเถอะคนแบบนั้น”

“อื้อ ไม่อะไรแล้วแหละ”

เขาจบประโยคแค่นั้น กลายเป็นความเงียบสงัด ชั่ววินาทีแรกผมยังไม่เข้าใจสถานการณ์ มันก็แค่การหยุดคุยกันธรรมดาทั่วไป แต่วินาทีต่อมาสมองของผมเหมือนจะกลับมาหมุนฟันเฟือง ที่เขาเงียบ...ก็เพราะอยากให้ผมเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง?

“ผมไม่เคยมีแฟน”

ผมพูดความจริง อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่เคยเรียกใครว่าแฟน แต่ถ้าฝั่งนั้นเรียกก็ไม่แน่ ถ้าหน้าคนเราสามารถประทับรอยแดงของฝ่ามือได้ตลอดชีวิต บนหน้าผมก็น่าจะมีสักสามรอยได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรอยหมัดจากพี่ชายของใครสักคนอีกต่างหาก

“เหรอ”

เขาเขินอาย ผมรู้ แต่เลือกที่จะหยุดอยู่แค่นั้น หันมาหักขนมแท่งยาวหลอกล่อไอ้ฟูให้ติดกับอีกคน เดี๋ยวนี้มันหันตามเสียงเรียกของผมแล้ว ไม่ขู่เหมือนแต่ก่อน ซึ่งก็เป็นข้อดี เพราะจากแต่ก่อนที่ผมนอนกับเจ้าของของมันทีไร ไอ้หมาตัวเล็กมักจะมานอนเบียดเหมือนแกล้ง ทว่าตอนนี้มันเลือกที่จะนอนห่างออกไปราวกับว่ารู้งานแล้ว
ติดสินบนหมานี่มันเหนื่อยจริงๆ



หยุดยาวติดกันสามวัน พนักงานออฟฟิศอย่างผมถ้าไม่กลับจากต่างจังหวัดบ้านเกิด ก็ต้องหาที่เที่ยวที่ไหนสักที่ จะว่าไปผมไม่ได้ออกจากเมืองกรุงนานแล้ว วันหยุดทีไรก็ได้แต่นอนเป็นซากบนเตียง แล้วนายแบบอย่างเขาจะมีวันหยุดหรือเปล่า ต้องแคสติ้งงานตลอดไหม ได้พักหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางทุกวันหรือเปล่า สงสารเขา เมื่อวันก่อนเห็นสิวขึ้นตั้งสามเม็ด ดูเขากังวลมาก ผมตัดสินใจโทรหา

“ฮัลโหล”

เขารับทันทีที่เสียงสัญญาณจากฝั่งผมดังแค่เพียงหนึ่งครั้ง ราวกับว่ารอสายของเรามาตลอด
ผมชวนเขาไปทะเลที่ระยอง เช็กดูแล้วว่าหมาเล่นน้ำได้ มีหมาก็เหมือนมีลูก ต้องคิดถึงมันตลอด ใส่ใจมันตลอด ลองให้ไอ้ฟูนิสัยแย่กว่านี้ ผมก็คงไม่ชวนเขา

“ไปสิ!”

ผมจับน้ำเสียงดีใจของเขาได้ทันที นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พาหมาน้อยออกจากกรุงเทพฯ บ้าง ผมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า บอกว่าจะไปถึงคอนโดของเขาประมาณสิบโมงเช้า แล้วพาไประยองเลย

ไอ้หมาบ้า
กระโดดเหย็งๆ เกาะแข้งเกาะขาผมราวกับว่าขอบคุณที่พามันไปเที่ยว มันอ้าปากกว้าง แลบลิ้น เหมือนยิ้มให้ผมอยู่ เขาหัวเราะ อุ้มมันขึ้นมาจูบซ้ายขวา แล้วยื่นหน้ามันมาให้ผมจูบอีกแน่ะ ใครจะไปจูบลงล่ะ มีเชื้อโรคหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมดันหน้ามันออก เขาก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมหอมแก้มมันก็ยังดี มันอุตส่าห์รักผมแล้ว ผมเลยเลยตามเลย หอมหัวมันไป ยังดีที่หมาพันธุ์นี้ขนไม่หลุดติดจมูก

“น่ารักจังเลยค่ะ”

พนักงานต้อนรับของบ้านพักยิ้ม มองมาที่เราสองคนด้วยตาเป็นประกาย
แน่นอนล่ะ ใครเห็นก็บอกว่าน่ารัก ไอ้หมาหัวฟูเนี่ย

.
.
.

ทำอย่างกับเพิ่งเคยมาเที่ยวครั้งแรก

เขาอุ้มไอ้ฟูออกไป ทำให้ผมต้องตามไปอย่างช่วยไม่ได้ เรียกเขาให้ใจเย็นๆ เราต้องกินข้าวก่อนเพราะเที่ยงกว่าแล้ว ไอ้ฟูมันพูดง่ายดีนะถ้าเป็นเขา ยอมเดินตามไปกับเราอย่างเงียบๆ โดยไร้สายจูง ผมเชื่อแล้วว่าความผูกพันนั้นสร้างความเชื่อใจต่อกันได้จริง เขากับหมามีสายใยที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป เกินกว่าใครจะแทรกกลางได้ และผมเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น เขาไม่ใช่คนบ้ารักแต่หมาเลย เขาก็แค่มีหมาเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตก็เท่านั้น

“ชอบเลยสิ”

“อื้ม ที่รักชอบไหมครับ”
หันไปถามหมาเฉย

“ขอบคุณนะที่พามา”

“ไม่เป็นไร แล้วไม่เป็นไรเหรอ งานน่ะ”

เขาส่ายหัว

“พี่อยากอยู่กับโอม”





ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตของผมมันมีไม่กี่อย่างหรอก การที่ได้ปล่อยของเหลวออกมาในร่างร้อนของคนๆ หนึ่ง ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น
กลิ่นน้ำหอมละมุนที่ซอกคอของเขาเย้าให้ผมกัดลงไป ไม่มีรสขม ไม่มีรสชาติ ทว่าในความรู้สึกกลับหอมหวาน ...หอมหวานในอก
ผมปล่อยร่างบางลงจากการห้อยค้างกลางอากาศอยู่หลายนาที แผ่นหลังคงมีรอยแดงบ้าง แต่เขาไม่บ่น เลือกที่จะบ่นเรื่องของเหลวที่กำลังไหลลงมาตามซอกขามากกว่า ผมยิ้มขัน ย่อตัวลง เลียสิ่งที่ออกจากร่างกายตัวเอง ...ไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงชอบกินมันนัก

“ไปที่เตียงกัน พี่จะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว”

“แก่แล้วก็งี้”

“เราห่างกันนิดเดียว อย่ามาเรียกว่าแก่นะ”

เขาโน้มตัวลงมากอดคอผมที่นั่งคุกเข่าอยู่ ใบหน้าเราใกล้กัน เขายื่นปากยิ้มๆ นั่นมาหาผม ผมจูบตอบ ผละออกมา เขาก็พุ่งหน้ามาอีก จูบแก้มผม กอดคอผม นั่งลงบนตัก แล้วถอดเสื้อของผมออก

“ยุติธรรมแล้วนะ”

เขาเคยนอยด์ว่าทำไมผมไม่ชอบถอดเสื้อตอนมีอะไรกัน
ผมไม่ได้อายรูปร่างตัวเอง กลับกัน อยากจะโชว์มากต่างหาก แค่ตอนที่ผมไม่ถอดนั้น มักจะเป็นตอนที่ผมปิดประตูห้องแล้วกระโจนใส่เขา ใครมันจะไปมีเวลาถอดทันล่ะ

“พี่ชอบโอม”

พูดออกมาอย่างนี้ ใครจะไปตั้งตัวทัน
แล้วเขาก็ไม่รอให้ผมอ้าปากต่อได้อีก เมื่อเขากดตัวลง รับเอาส่วนหนึ่งของร่างกายผมเข้าไป กลืนกินมัน ...ขยับขึ้นลง ...เป็นฝ่ายคุมเกม

.
.
.

ผมตื่นก่อน
ลุกขึ้นมาแกะอาหารให้หมาฟู ก่อนจะทำข้าวผัดไข่ง่ายๆ เป็นอาหารเช้าให้เราสองคน

หมับ!

ให้ตาย เกิดมายังไม่เคยเจออะไรแบบนี้
ไออุ่นร้อนและหนักนิดๆ แปะอยู่บนหลังของผม ส่วนสูงพอดีกับไหล่เรา ทำให้คางของเขาวางได้พอดิบพอดี

“ให้ข้าวฟูแล้วเหรอ ขอบคุณนะ”
คงปลื้มมากกว่าเราทำกับข้าวให้เขาอีกมั้ง

ถึงกระนั้นข้าวผัดง่ายๆ ก็ยังถูกปาก
เขากินไปยิ้มไป ชวนผมคุยเรื่องหนังที่เราดูเมื่อคืน และแผนในวันนี้ ซึ่งผมบอกตรงๆ ว่าไม่มีอะไรในหัวเลย แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศในการนอนก็เท่านั้น เขาเข้าใจดี และเห็นด้วย นายแบบมืออาชีพอย่างเขา แทบไม่มีเวลาให้พัก ในสายตาคนอื่นอาจดูง่าย สบายๆ แท้จริงแล้วเหนื่อยแสนเหนื่อย ต้องวิ่งหางานทั้งวัน

เราเดินออกมาจากบ้านพัก ปล่อยหมาวิ่งลงน้ำ วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่อย่างนั้น เขากุมมือผม จูงมือไปยืนเฝ้ามัน กลัวว่าจะถูกคลื่นซัดไป

“ไว้ว่างๆ มาด้วยกันอีกนะ”

ผมยิ้มให้



หวั่นไหวเหรอ

ไม่

ผมหวาดหวั่น

สายตาของเขา ทุกการกระทำของเขา
...กำลังตกหลุมรัก

แต่ผมยังไม่พร้อม
ชีวิตของผมไม่เหมาะที่จะอยู่กับใคร







เราขาดการติดต่อกันไป ไม่สิ ต้องเรียกว่า ‘ผม’ ขาดการติดต่อ
ตั้งแต่กลับจากระยอง ผมไม่เคยติดต่อเขาเลย ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความใดๆ
เขาคงรับรู้ได้ในวันที่สี่ เมื่อข้อความอันสดใส กลายเป็นหม่นเศร้า

-วันนี้พี่ว่าง ไปดูหนังกัน-

-ยุ่งเหรอ สู้ๆ นะ-

-ริฮานน่าปล่อยเพลงใหม่แล้วนะ ฟังหรือยัง-

-ที่ระยองสนุกมาก พี่ขอลงรูปที่เราถ่ายไว้ได้มั้ย-

-เป็นอะไรหรือเปล่า-

-วันนี้มีเดินแบบที่เซ็นทรัล ออฟฟิศอยู่ตรงไหนนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วพี่จะเดินไปหา กลับบ้านพร้อมกัน-

-ฟูคิดถึงใหญ่แล้ว-

-ยังอยากไปเที่ยวด้วยกันอยู่นะ-


เผลอคิดนะว่าข้อความสุดท้ายที่ส่งมา ต้องเจือไปด้วยน้ำตา

และแน่นอน ไอ้ฟ้าโทรมาเฉ่งผม เชื่อว่าเขาไม่ได้ฟ้อง หรือใส่ร้ายใส่ความเรา แต่เขาน่าจะโทรหาฟ้าเพื่อถามอาการของผมว่าตายไปหรือยังมากกว่า

“กูเบื่อเขาแล้ว”

ผมคบกับใครไม่เคยยืด ไม่จำเป็นต้องใฝ่หาชีวิตรักแสนหวาน รักกันนิรันดิ์กาล ผมไม่เคยเชื่อ มันไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของผม
สุดท้ายแล้วบั้นปลายของผมจะเป็นยังไงก็เรื่องของมัน ตายอย่างโดดเดี่ยวเหรอ? ผมไม่กลัว


.
.
.


เบื่อกับชีวิตพนักงานกินเงินเดือน
ทำงานเหนื่อยแทบตาย ยังต้องทำโอต่อถึงดึก แทนที่คืนวันศุกร์จะได้สังสรรค์กับเพื่อน
ผมให้รางวัลตัวเองด้วยการจองหนังรอบดึก ไม่ใช่เรื่องที่อยากดูนัก แค่ต้องการนอนหลับพร้อมเสียงกระหึ่มในหู ให้มันดังจนกลบความคิดฟุ้งซ่านในหัวให้หมด

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมชอบที่นั่งริมสุด เขาเคยบอกว่าถ้าดูคนเดียวโดยไม่มีคนอื่นมาจองติดกัน ก็จะได้เหยียดแข้งเหยียดขา ได้นอนเอนตัวไปยังที่นั่งว่างข้างๆ ผมทำตามบ้าง สบายอย่างเขาว่าจริงๆ
อากาศเย็นๆ เสียงดังก้อง กล่อมให้เราลืมเรื่องงาน เรื่องชีวิตอันน่าเบื่อ และเรื่อง...การอยู่ตัวคนเดียว



หนังจบแล้ว ผมทันตื่นขึ้นมาดูตอนจบพอดี ในที่สุดนางเอกก็ได้รักกับพระเอกมนุษย์ต่างดาว ผมลุกขึ้นเมื่อเครดิตหนังขึ้น

ความบังเอิญไม่มีจริง
ผม ‘เคย’ เชื่ออย่างนั้น

เขาอยู่ตรงหน้าผม เหมือนจะมาคนเดียว คงนั่งเก้าอี้แถวหลังมาตลอด
สายตาตกใจนิดหน่อย ผมก็เหมือนกัน
แล้วเขาก็นิ่งไป ปรับสีหน้าให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะหันหลังกลับ
เป็นฝ่ายผมที่ยืนเคว้งเสียเอง

ผมนึกว่าลืมวิธีหายใจไปแล้ว เมื่อมีสติ จึงหายใจเข้าออกยาวๆ อยู่หลายครั้ง
ถ้าได้น้ำมาลูบหน้าสักนิดคงจะรู้สึกดีขึ้น ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด แต่สมองที่ยังเบลอจากการเพิ่งตื่นอยู่นั้น อาจจะทำให้เราประมวลภาพผิดเพี้ยนไปก็ได้

ห้องน้ำเวลาห้าทุ่มกว่าร้างคน มีเพียงห้องเดียวที่ปิดประตูอยู่ ผมจึงใจชื้นขึ้นที่ยังมีเพื่อน
เปิดน้ำ เอามือรอง แล้วยกขึ้นลูบหน้าตัวเองสองครั้ง ดึกแล้ว ผมไม่พิถีพิถันพอที่จะหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้า ใช้เสื้อตัวเองนี่แหละไวที่สุด

เฮ้อ!

ขอบตาดำเป็นบ้า

แอ๊ด...

เฮ่ย!

ยอมแล้ว ผมยอมแล้ว
ยอมจำนนให้กับโชคชะตาที่จงใจลงโทษผม
เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังประตูนั่น คราวนี้สมองของผมไม่เบลออย่างเมื่อครู่ สองตาเห็นชัดเจนว่าเขาก้มลงเช็ดน้ำตาตอนเปิดประตูออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเจอกับผมที่ยืนอึ้งอย่างเงียบๆ
ครั้งนี้เขาไม่ตกใจ แต่เขา...ก้มหน้าลงไปใหม่ พยายามทำเหมือนกับว่าผมโง่พอที่จะไม่เห็น น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลง แขนเสื้อฮู้ดสีเทามีรอยน้ำเป็นวง ผมเห็นว่าเขาพยายามก้าวขา พยายามขยับ แต่ผมคงน่ากลัวมากกว่าผี แม้แต่จะวิ่งเขายังทำไม่ได้

สงสาร
ในอกมันบีบรัดจนเจ็บ แล้วเขาล่ะ คนที่อยู่ๆ ก็ถูกปล่อยให้รอ มันคงเจ็บกว่าผมมาก
แต่ว่า...
มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว
เขาควรเจอคนที่ดีกว่าผม

ไร้ซึ่งคำพูด
ปลายนิ้วนุ่มนิ่มไล้ผ่านฝ่ามือ เขาเข้าใกล้มาโดยไม่ทันรู้ตัว ยังคงก้มหน้า แปลกใจที่ไม่สะอื้นเลย

ผมพยายามอย่างสุดความสามารถ ยิ่งกว่าแข่งวิ่งร้อยเมตรในงานกีฬาสีตอนม.5
พยายามไม่คว้ามือของเขามากุมไว้

แต่เขากลับทำมันพัง
คนที่กล้าหาญที่สุดในโลกคว้ามือผมไว้  เงยหน้าขึ้น ดวงตาอันโศกเศร้าช้อนมองผม อ้อนวอนผม แน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมองผมแบบนี้ แต่มันก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผม...รู้สึก

เขาคว้ามือผม
ผมคว้าตัวเขา

โอบกอดทั้งตัว คนตัวเล็กแต่ใจใหญ่

“...ฮึก”

“ไม่อยากให้เป็นแบบนี้” เลยโว้ย!!!!

“คุยกันเถอะ...พี่อยากรู้ว่าโอมคิดอะไร อยากรู้เหตุผลของโอม...ไปห้องพี่นะ”

ลำบากใจ
ผมไม่ฉลาดพอในตอนนี้ ทำงานมาเหนื่อย ดึก เพลีย วิเคราะห์อะไรไม่ออก ดังนั้นพอเด็กของโรงหนังมาเจอเราเข้า แล้วเตือนว่าจะปิดห้างแล้ว ผมจึงเผลอตอบตกลงไป ทิ้งรถหรูของเขาเอาไว้ที่ชั้นวีไอพีตามเคย



.
.
.


ผมไม่มีอะไรจะพูดมาตั้งแต่ต้น เพราะไม่มีเหตุผลสวยหรู ไม่มีข้ออ้างอะไรนอกจาก “ยังไม่พร้อม” เขาพยักหน้าเข้าใจ แต่สายตานั้นก็ยังเศร้าอยู่ ดูเหมือนว่าคนที่โดนแฟนทิ้งไปแต่งงานกับผู้หญิงยังมีความพร้อมมากกว่าผมเสียอีก
เขาจะลดตัวมาคบกับผมทำไมวะ
ทำไมไม่เอากันเล่นๆ ไปเรื่อยๆ วะ


“งี้ดดด”

ผมหลุดเก๊กหน้าขรึมเมื่อไอ้หมาฟูต้อนรับอยู่ที่ประตู  มันยกขาหน้าทั้งสองข้างตะกุยขา ยิ้มดีใจ ...ถ้ามันยิ้มได้น่ะนะ

“มันซึมไปตั้งหลายวัน”

เขาหายร้องไห้นานแล้ว ยิ้มให้หมา ยิ้มให้ผม
ความอ่อนโยนของเขาคงไม่มีใครทำลายได้

“โอม~”

เขาทำเหมือนว่าไอ้ฟูมันเรียกผม อุ้มหมาตัวเล็กขึ้นมา แล้วจับขาข้างหนึ่งมาแตะๆ ตรงอก

“ไปเพิ่มอกอย่างที่เคยบอกเหรอ”

“อื้ม เพิ่มแค่นิดเดียวเอง เดี๋ยวจะใหญ่กว่าผู้หญิง”

เขาหัวเราะ พลางยื่นหมาน้อยมาให้ผมอุ้ม
ผมรับมันมาไว้ในอ้อมกอด จูบหัวไปหนึ่งที ตัวหอมเหมือนเจ้าของ ปกติหมามักจะมีกลิ่นสาบ หนักเบาต่างกันไป แต่ไอ้ฟูของเราสะอาดเกินหมา ไม่มีกลิ่นอะไรเลย แถมยังหอมมากอีกต่างหาก

จากนั้นเขาก็ผละออกไป ขอตัวไปอาบน้ำ ทิ้งผมให้เล่นกับไอ้ฟูสุดที่รักของเขาเพื่อง้อในข้อหาที่หายหน้าไปเกือบเดือน

มันไม่เปลี่ยนไปเลย อ้วนจ้ำม่ำน่าฟัด ขนนิ่มๆ ไม่เคยทำให้ระคายผิว ดังนั้นจะซุกจะไซ้มันยังไงก็ได้ เอาหน้าทิ่มลงไปบนพุงกลมๆ ก็ได้
เจ้าของเป็นยังไง หมาก็เป็นอย่างนั้น

นั่งดูทีวีจนเกือบตีหนึ่ง ร่างบางนุ่มนิ่มก็เดินออกมา หมาฟูรีบวิ่งไปประจบเจ้าของ ปกติเขาพันผ้าขนหนูผืนเดียวออกมา แต่วันนี้เราสองคนคงไม่คิดทำเรื่องอย่างว่า หรืออีกนัยหนึ่งคือ เราคงไม่มีอารมณ์ราคะมากมายขนาดที่จะกระโจนใส่กัน ผมตัดสินใจจะนอนค้างห้องเขา ด้วยความขี้เกียจ...ด้วยความง่วง

“มานอนใกล้ๆ สิ พี่หนาว”

ปีนขึ้นเตียงตามเสียงเรียก เขายกตัวกลมๆ ของหมาออกไปนอนริมเตียง เพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกัน
มือนิ่มเล่นปูไต่บนไหล่เปลือย ผมไม่ได้ใส่เสื้อนอน มีเพียงบ็อกเซอร์ตัวบางไว้

“หนาวเหรอ”

ผมถามย้ำคำพูดของเขาเมื่อสักครู่ ดูท่าว่าจะลืมไปแล้ว นอนมองตาหวานจนผมไม่กล้าสบตาด้วย ขนตายาวเป็นแพ ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าเป็นสีน้ำตาล ไม่ใช่สีดำ

“อืม”

เอื้อมแขนออกไปโอบรอดตัวเขา รั้งให้หัวทุยเข้าล็อกพอดีกับหน้าอกเรา เราสองจัดท่าให้สบายที่สุด แม้บางคราวจะสยิวเพราะปลายจมูกโด่งปัดผ่านหน้าอก



“จำได้ไหม เราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่”

จำได้สิ จำได้ดีเลย แต่อย่าพูดใส่หน้าอกได้ไหม ผมขนลุกไปทั้งตัวแล้ว
คนซื่อๆ อย่างเขาไม่น่าจะคิดทัน ในหัวคงมีแต่เรื่องโรแมนติก และความดีใจที่ผมกลับมาหา

ตั้งแต่คอนเสิร์ต...ใครจะจำไม่ได้
คอนเสิร์ตนักร้องเพลงป็อประดับโลก มีวัน เวลา และกิจกรรมให้เรานึกถึง ทำไมจะจำไม่ได้
มันผ่านมาตั้งแต่ต้นปี....
ต้นปี!

“จะครบปีแล้วนะโอม
—คนเล่นๆ แบบโอม...ยอมทนอยู่กับพี่ได้เกือบปี ...ขอบคุณนะ”

ประโยคที่ผมเชื่อว่าผ่านการคัดกรองมาอย่างดีสร้างรอยยิ้มให้ผมโดยอัตโนมัติ

จริงๆ ก็ร้ายนะเรา



-มีสามตอนนะคะ

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
คนหนึ่งคน กับหมาหนึ่งตัว

-การตกหลุมรัก มันเจ็บขนาดนี้เลยเหรอ-



คนปากแข็ง

โกหกใครก็โกหกได้ แต่โกหกใจตัวเองน่ะจะได้สักกี่น้ำ

โอมเป็นคนหน้าตาดี แต่เจ้าตัวไม่รู้ ชอบถล่มตัวเองว่าเป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ ไม่น่าสนใจ ทั้งๆ ที่จริงแล้ว โอมมีเสน่ห์ รอยยิ้มของเขาคือคาถาพิฆาตให้สาวๆ หนุ่มๆ หลงใหล ถ้าโอมยิ้มเยอะกว่านี้อีกนิด ผมคงไม่รู้จะจัดการกับความหึงหวงของตัวเองได้อย่างไร ใจหนึ่งก็คิดว่าดีแล้ว ที่โอมไม่โปรยเสน่ห์พร่ำเพรื่อ
ร่างหนามักบ่นอยู่เรื่อยว่าไม่เฟิร์ม ชอบออกกำลังกาย ชอบว่ายน้ำ ไม่ลืมพาที่รักของผมไปว่ายด้วย เขาสรรหาสระว่ายน้ำสุนัขทั่วกรุงเทพฯ และพาไปว่ายทุกครั้งที่ว่างตั้งแต่เราคืนดีกัน ผมก็เพิ่งรู้ว่าสุดที่รักเขาชอบว่ายน้ำเหมือนกัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อผมมองที่รักทีไร ก็มักมีภาพหน้าเขาฉีกยิ้มควบคู่กันมาด้วย

อีกไม่กี่วันก็จะคริสต์มาสแล้ว
คริสต์มาสทำให้ผมนึกถึงพ่อ ท่านจัดบ้านทุกปี ชวนเพื่อนบ้านที่เป็นคนไทยมาร่วมกินข้าว หรือจะตั้งวงเหล้าก็ได้ หลังจากนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูกก็จะเหนื่อยกับการเก็บบ้าน
มันเหนื่อย ...แต่ไม่เหงา

—ปีนี้อาจเป็นปีที่เหงาที่สุด ถ้าวันนั้นผมไม่ตัดสินใจไปดูหนังรอบดึก





“แต่งอะไรเนี่ย”

โอมหัวเราะจนผมเขินกับสภาพตัวเอง เดินออกจากห้องพักนายแบบด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ดูธรรมดามากจนควรมองข้าม ทว่าเครื่องสำอางบนหน้านี่สิ ผมรีบมาเจอเขา เลยขี้เกียจนั่งเช็ดในห้องพักน่ะ
เขาดึงกระเป๋าอันหนักอึ้งของผมไปถือไว้เอง ก่อนมือที่ว่างจะคว้ามือผมไปจับ
เราเดินออกมาจากงานเดินแบบแบรนด์ไทยที่จ้างผมมา ซึ่งคอลเลคชั่นลายเสือกำลังเป็นที่นิยม และลุคของผมคงถูกใจดีไซเนอร์เข้า

“ไม่สวยเลยเหรอ”

ลายเสือดาวถูกประดับบนหน้าด้านซ้าย เบ้าตาถูกกรีดและถมด้วยสีดำให้ดูลึกลับและคม เหมือนเสือ ผมถูกต่อให้ยาวกว่าเดิม และรีดจนตรง

“ไม่กล้าพาไปกินหมี่เกี๊ยวข้างทางเลย”

“พาไปเถอะน้า~พี่หิว”

เราเดินกันมาจนถึงรถพอดี ผมชอบที่โอมไม่เคยแคร์สายตาคนมองเลย ไม่ว่าลุคของผมจะเยิน จะแปลก หรือบางวันก็สวยเกินชายมากแค่ไหน

จุ๊บ!

ผมรักโอม ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น อาจจะตกหลุมรักตั้งแต่ฟ้าขายเพื่อนให้ก่อนหน้านั้นเลยด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าแม่สื่อดูคนให้ไม่ผิด และผมก็ชอบคนไม่ผิด เหลือแค่โอมคนเดียว ว่าจะใจอ่อนได้เมื่อไหร่

จุ๊บ!

ผมจูบปากเขา หลังจากครั้งแรกที่จูบแก้มไป โอมดูชอบ ผมก็จะทำซ้ำๆ ถ้าเขาชอบ
ร่างหนาจูบผมตอบเพียงเบาๆ แล้วจึงออกตัวรถพาผมไปหาอะไรกิน


.
.
.

ดึกแล้ว
ลานจอดรถเงียบกริบ มีเพียงแสงสลัวจากไฟไม่กี่ดวงเปิดอยู่ ได้ข่าวมาว่าเจ้าของที่นี่ขี้งก แม้จะถูกร้องเรียนไปแล้วก็ตาม แต่ ณ เวลานี้ ความมืดและความเงียบมันก็ไม่เลวสำหรับเราสองคน
โอมถามผมว่าหมี่เกี๊ยวอร่อยไหม แน่นอนการได้กินตอนหิวนั้น กับข้าวมักอร่อยกว่าปกติ

“เดี๋ยว!”

ผมคว้าข้อมือหนาที่กำลังบิดกุญแจดับรถ

ไม่รู้ หรือจงใจกันแน่

ตั้งแต่วันนั้น เราทำอย่างว่ากันนับครั้งได้ ผมรู้ว่าโอมกระอักกระอ่วน เขาเหมือนก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้ามาในบ้านผม ส่วนอีกข้างกำลังต่อสู้กับโซ่หนาหนักที่รั้งตัวเองเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าสุดปลายโซ่นั้นล่ามกับอะไรอยู่ อาจจะเป็นความกลัว หรือความขี้ขลาด
ซึ่งผม...ปลดปล่อยมันไปนานแล้ว

“อินกับบทเสืออยู่เหรอ”

โอมลอบยิ้มยั่ว เมื่อผมวาดขาตัวเองขึ้นคร่อมเขา กดเลื่อนเก้าอี้ให้เอนลง แล้วค่อยๆ ปลดกระดุมเม็ดสวย แหวกเสื้อออก ลากไล้มือผ่านอกแกร่ง
วันนี้โอมไม่ได้ใส่เข็มขัด แค่รูดซิป ดึงชั้นในลง  ก็เผยให้เห็นอวัยวะที่ผมหลงใหลนอนกึ่งหลับกึ่งตื่น ผมบดเอวตัวเองลงไป แม้จะยังมีกางเกงยีนส์ขวางกั้น กางเกงยีนส์เนื้อหนา ไม่รู้ว่าจะบาดผิวอ่อนของเขาหรือเปล่า
แต่ถ้าบาด...เขาก็คงไม่ส่งเสียงครางเบาๆ ในคอหรอก

“ตามใจเลยวันนี้ พ่อเสือหนุ่ม จะกินจะแทะส่วนไหนก็ตามใจ”

ผมยิ้ม
พยายามถอดกางเกงตัวเองในรถหลังคาเตี้ยก็ไม่ง่ายนัก ต้องยกก้นตัวเองขึ้นมา รั้งกางเกงลงไป ค่อยๆ ถอดออกจากขาทีละข้าง
โอมใจเย็น นอนมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม กระทั่งส่วนล่างหลุดออกไปหมดแล้ว ผมจึงถอดเสื้อยืดออก กลายเป็นเราที่เปล่าเปลือยอยู่คนเดียว

ผมบดตัวเองลงไปเหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ปราศจากกางเกงกั้นขวาง ผิวของเราจึงสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุ ความเป็นชายของเขาตั้งตระหง่าน ผมควานหาซองเจลเล็กจิ๋วในกระเป๋าเงินตัวเอง แกะออกมาทาแท่งร้อน นวดคลึงมันอย่างเบามือ แล้วแกะอีกซองชโลมนิ้วตัวเอง ก่อนจะส่งนิ้วนั้นเข้าไปเบิกทางเบื้องล่าง
ผมไม่ชอบถุงยาง
ไม่ชอบใช้เลยกับคนที่เราหลงจนโงหัวไม่ขึ้น เราเคยไปตรวจเชื้อพร้อมกัน และผมเชื่อใจเขา
คนอย่างโอมไม่มีวันสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง เขาต้องป้องกันอย่างถึงที่สุด แต่กับผม...เป็นข้อยกเว้น
เหตุผลน่ะเหรอ...ลองถามเขาดูสิ

“อา—ฟั...ค”

ไม่รู้ทำไมเวลามีอารมณ์ ผมต้องสบถเป็นภาษาอังกฤษด้วย แต่มันสะใจกว่าภาษาไทยจริงๆ นะ

ผมสอดแท่งเนื้อร้อนเข้ามาในร่างตัวเอง ความใหญ่ยาวพอดีของมันไม่เคยทำให้ผมเจ็บเลย พอดีเสียจนเผลอคิดไปว่าเราสองถูกสร้างเพื่อให้มาคู่กัน เข้ากัน
ผมขยับตัวขึ้น-ลงอย่างช้าๆ จังหวะเดียวกับที่โอมดึงคอผมเข้าไปจูบ ผมก็ขยับรัวเร็ว

“อ๊ะ!”

โอมชอบกัด
เขางับริมฝีปากล่างผมเอาไว้ ล็อกคอผม แล้วเด้งเอวสวนขึ้นมากระแทกจุดเสียวได้พอเหมาะพอเจาะ ผมครวญคราง แม้เสหน้าตัวเองออกมาได้แล้ว เขาก็ยังตามมากัดใบหูของผม
เขาเก่งเรื่องเอวจริงๆ เก่งจนปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเสพติด ผมหลงใหล ผมกำลังเป็นบ้าเพราะเขา
เขาทำให้ผมยิ้ม หัวเราะ ประทับใจ และมัวเมา ผมไม่เคยเมาเหล้า แต่ถ้าให้บรรยายว่าอาการเมาคืออะไร ผมว่าผมรู้แล้ว

“พลีส...babe อ้ะ! อ๊ะ!”

กลับกลายเป็นว่าโอมเป็นคนคุมจังหวะเสียเอง เขาจับเอวผม แล้วโยกสวนเข้า-สวนออกอย่างรุนแรง เครื่องสำอางบนหน้าคงไหลเยิ้มเพราะเหงื่อ แม้รถจะเปิดแอร์แรงแค่ไหน แต่มันไม่ช่วยอะไรเลย ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีกเมื่อแสงไฟจากรถคันอื่นกำลังวนหาที่จอด เสียงคนเดิน เสียงคนคุย
ผมพยายามให้โอมหยุดเอวตัวเอง เพราะรถต้องสั่นมากแน่ๆ ถ้าเป็นลานจอดรถของห้างคงไม่เท่าไหร่หรอก ไม่มีใครรู้จัก แต่ที่นี่...คอนโดของผม ที่จอดประจำของสมาชิกในคอนโด ทุกคนจำรถคันข้างๆ ได้ บางคนอาจจะจำเจ้าของรถได้ด้วยซ้ำ เหมือนกับผมยังจำได้เลย

“จะให้หยุดจริงๆ เหรอ”

“อย่า...อ๊ะ! แกล้ง..พลีส”

ก้มตัวลงจนแก้มแนบหน้าอกแกร่ง กลัวว่าคนที่เดินผ่านไปจะเห็นใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเรา โอมไม่รัวเอวแล้ว แต่ใช่ว่าเขาจะหยุด ความเร็วของสะโพกอยู่ในระดับต่ำ เหมือนแรงเครื่องปั่นที่เบอร์ 1
ผมเงยหน้าขึ้นจากอกเขา มองดวงตาฉ่ำเยิ้มด้วยความกระสัน เขามองตอบพร้อมกับยิ้ม

“อ..โอม...”

“อะไร?...เปลี่ยนที่มั้ย?”

ผมพยักหน้า
รู้ใจกันอย่างนี้ ต่อให้อีกสิบปี สิบห้าปี ผมก็จะรอ

เราย้ายตัวไปเบาะหลังที่กว้างและสะดวกกว่า ก่อนจะ ‘ฟาด’ กันอย่างเมามันจนรถเก่าๆ ของเขาต้องส่งไปเช็กช่วงล่าง





“เอารถพี่ไปใช้ก่อน”

หลังๆ มานี้ โอมค้างที่ห้องของผมบ่อยๆ ผมเคยบอกเขาแล้วว่ามันลำบาก ที่ทำงานของเขาอยู่ใจกลางเมือง ขณะที่คอนโดผมอยู่นอกเมือง แต่ก็ยังคงยืนกรานว่าตื่นได้ ค้างได้ เข้างานสิบโมงซึ่งเลทจากเวลาเข้างานจริงไปชั่วโมงหนึ่งก็ยังได้ ผมไม่ค่อยเข้าใจตำแหน่งรองผู้จัดการ customer service ของเขาเหมือนกัน ว่าต้องทำอะไรบ้าง ทำไมดูเอ้อระเหยไปซะหมด

“ถ้าผมเอาไป แล้วขิงจะไปทำงานยังไง”

โอมวางที่รักลงบนตัก ท่อนบนไร้เสื้อ อวดกล้ามสวยจางๆ
เดี๋ยวนี้ตัวติดกันอย่างกับตังเม ไม่รู้ใครเป็นเจ้านายตัวจริงกันแน่

“เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไป รถเข้าศูนย์แค่สองอาทิตย์เอง พี่สบายๆ อยู่แล้ว”

ผมดันที่รักออก แล้วเข้าไปนั่งบนตักแกร่งแทน คล้องคอเขา แล้วจูบแก้มที่เต็มไปด้วยไรหนวดเข้ม ยังไม่ได้โกนสิเนี่ย บางวันก็ขี้เกียจ บางวันก็ขยัน หลังๆ มานี้เดาใจไม่ได้เลย ไม่เหมือนช่วงที่คบกันแรกๆ เขารักษาภาพลักษณ์หนุ่มสะอาดได้อย่างไม่มีที่ติ แต่ถึงจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เขาก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดี

“หรือจะให้แม่พี่ส่งรถมาให้อีกคันก็ได้”

“จ้าพ่อคนรวย”

ไม่ได้รวยสักหน่อย แม่ต่างหาก
แม่ของผมมีปั๊มน้ำมันหลายสาขาในจังหวัดบ้านเกิด และมีร้านอาหารที่ดูเหมือนว่าจะลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายปี แต่แม่ก็ยังทำ เพราะพ่อชอบ

ผมจูบปากเขาอีกที ก่อนจะลุกออกมาเตรียมขนมปังทาเนย พร้อมไข่ลวกให้กินก่อนไปทำงาน คนกินจุ ชอบกินชอบเคี้ยว เหมือนๆ กับที่ชอบกัดเราตอนมีอะไรกัน

“สักรอบก่อนกินอาหารเช้าได้มั้ย”

คึกมาจากไหนเนี่ย
ผมหันหน้าออกจากเคาท์เตอร์ เขาปิดกั้นเราทุกทางไม่ให้หนี จำต้องเลยตามเลยด้วยจูบอันรุนแรง โก่งสะโพกให้เขาปู้ยี่ปู้ยำจนหนำใจ





ผมอกหักจากรุ่นพี่นายแบบมาได้ปีกว่าแล้ว ฟ้าคิดว่าผมยังคิดถึงเขาอยู่ ทั้งๆ ที่จริง แผลมันสมานมาได้หลายเดือน
ผมกับคนๆ นั้น ไม่มีอะไรให้น่าจดจำนักหรอก

กระทั่งงานเดินแบบของดีไซเนอร์ลายครามมาถึง ผมเดาไม่ผิดว่าเสื้อผ้าประจำฤดูหนาวปีนี้ ลุงแกต้องเชิญไอดอลนายแบบนางแบบยุค 90 ที่เคยพาแกโด่งดังมาแล้วกลับมา เนื่องในโอกาสครบรอบสิบปีของแบรนด์ฤดูหนาวปีนั้น และหนึ่งในนั้นคือเขา
ในห้องแต่งหน้า ผมเห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวแรกสุด เขาเหลือบมองมาบ้าง นั่นทำให้พี่ช่างแต่งหน้าที่ต่างรู้ความสัมพันธ์ของเรากันดีพากันยิ้มกริ่ม แต่พี่เจรู้งานที่สุดเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน “น้องขิงมีแฟนใหม่แล้วย่ะพวกหล่อน!” ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะ ถึงโอมยังไม่ได้ขอเป็นแฟน แต่โอมก็ทำตัวยิ่งกว่าแฟนนี่

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะราบรื่นดีจนจบงาน เสียงปรบมือเกรียวกราวจากชุดฟินาเล่ที่สวมใส่โดยคุณพิภพ ดารานายแบบที่เพิ่งแต่งงาน ภรรยาไฮโซของเขาเซอร์ไพรส์ด้วยการขึ้นมามอบช่อดอกไม้ให้ ชั่วขณะนั้นเขาหันมามองผม แน่นอนเพื่อนนายแบบนางแบบหันมาทำตาเลิ่กลั่ก ด้วยกลัวผมจะอาละวาด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอภรรยาเขาตัวเป็นๆ ทุกคนจึงคงกังวลอยู่ไม่น้อย

สำคัญตัวผิดเกินไปแล้วคุณภพ ผมไม่รักคุณแล้ว

.
.
.
“จะกลับแล้วเหรอขิง”

“ครับพี่เจ—มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”
ประโยคแรกผมตอบพี่ช่างแต่งหน้า ส่วนประโยคที่สอง...ถามเขา

“พี่ขอคุยด้วยหน่อย”

ผมกับพี่เจมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ

“น้องขิงคงไม่ว่างค่ะ แฟนเขามารับแล้ว”

ผมพยักหน้ายืนยัน ก่อนจะคว้ากระเป๋าออกมา ทั้งที่จริงแล้ว โอมยังมาไม่ถึงเลย เรานัดกันที่ลานจอดรถชั้นสองของห้าง โอมจะวนเข้ามารับตรงทางเข้าห้าง
ผมไม่ได้มองไปด้านหลังว่าคนๆ นั้นตามมาหรือเปล่า พยายามก้าวเท้าให้ไวที่สุด

“หลบหน้าพี่เหรอ ไหนแฟน”

ไม่สงสารภรรยาตัวเองหรือไง!

ผมหันไปประจันหน้ากับเขา เหลือบเห็นภรรยายืนมองอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่าไปตกลงกันอีท่าไหน ถึงให้สามีมาคุยกับแฟนเก่าได้

“พี่คุยกับแป้งแล้ว เขาโอเคนะถ้าพี่จะมีคนอื่น”

สีหน้าผมคงเหวอมาก เขาใช้จังหวะนั้นจับทั้งสองมือของเราไว้ ส่งสายตาหวานเยิ้มที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ผมเคยรักเขาได้ยังไงกัน โดนยาสั่งหรือยังไง ช่างต่างชั้นกับโอมลิบลับ

“พี่ก็เลยอยากขอคืนดีกับเรา”

ยังหน้าด้านพูดต่ออยู่อีกเหรอ!?

พูดตรงๆ ผมรับมือกับคนหน้าด้านไม่เป็น ได้แต่ภาวนาให้โอมมาถึงไวๆ มือถือในกระเป๋าสั่นเพราะมีสายเข้า แต่ก็หยิบออกมาดูไม่ได้ คุณภพจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแม้ผมจะขืนออกมาแค่ไหน มีคนผ่านไปผ่านมา แต่ไม่มีใครสนใจเราเลย

เอี๊ยดดดด

เสียงเบรครถบาดหูดังขึ้นจากข้างหลัง ผมเชื่อว่านั่นคือโอม

“เฮ่ย!! ทำอะไรวะ!”

ร่างสูงเดินลงมา ก้าวอาดๆ หมายจะผลักอกเขา แต่คุณภพปล่อยผมก่อน โอมจึงทำเพียงดันผมไปหลบข้างหลัง

“มีปัญหาอะไร!!”

ไม่เคยเห็นโอมโมโหขนาดนี้มาก่อน หน้าโอมแดงมาก ใช้เสียงดังตะโกนถามคุณภพซ้ำๆ ซึ่งผมเชื่อว่าเขาจงใจกวนตีนให้คุณภพอาย โอมอาจจำหน้าเขาได้ว่าเป็นดารา เมื่อมีคนมามุงมากๆ คุณภพก็จากไปเอง
คุณภพมีสีหน้าเสียดายนิดหน่อย แต่แกก็แค่อยากได้คนบำบัดความใคร่เท่านั้นแหละ ต่อให้ไม่มีผม เขาก็ยังมีคนอื่น


.
.
.


“คงดีใจที่เมียอนุญาตจนลืมคิดหน้าคิดหลังน่ะ

“ยังจะแก้ตัวให้มันอีกเหรอ”

โอมไม่ขึ้นเสียงถาม เขาใช้น้ำเสียงนิ่งๆ สายตามองทางข้างหน้า ถอยรถเข้าซองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อโอมจอดรถเสร็จ เราก็ออกจากรถพร้อมๆ กัน แต่โอมยังคงโกรธคุณภพอยู่ เขาดึงผมเข้าไปจูบ แน่นอนฟันที่กระทบกัน มันไม่ได้โรแมนติกอะไรเลย เจ็บจะตาย แต่โอมก็ยังฝืนบดขยี้ปากผม หลังจากนั้นผมก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ใจหนึ่งก็ดีใจที่โอมรู้จักหึง ใจหนึ่งก็เสียใจที่ทำให้โอมหึง ถ้าหากผมเด็ดขาดกว่านี้ คงไม่ปล่อยให้เขาจับมืออยู่ได้ตั้งนานสองนาน
สถานะของเราไม่สามารถเรียกได้ว่ามั่นคง ผมรู้ว่าโอมชอบ แต่เขาก็คือเขา คนขี้ขลาด กลัวการผูกมัด ถ้าเรื่องนี้ทำให้โอมเสียจริต แล้วเกิดกังวลขึ้นมามากๆ เข้า โอมก็อาจจะทิ้งผมไปได้ง่ายๆ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เรากำลังไปได้ดี เขากำลังใจอ่อน ผมไม่อยากเสียเข้าไปเลย คนที่คอยดูแลเราทุกอย่าง คนที่ใส่ใจ คนที่นิสัยดีมีเหตุผล ถ้าโอมทิ้งไป ใครจะทำกับข้าวให้กิน ใครจะขับรถให้ ใครจะเลี้ยงที่รักให้ และยังสร้างเสียงหัวเราะให้เราได้เสมอๆ
คิดแค่นี้ หัวใจก็แทบหยุดเต้นแล้ว

“อย่าร้องไห้”

“ป...เปล่า”

ผมไม่ได้ร้องไห้นะ ฝุ่นในลิฟต์มันเยอะ เลยเข้าตา

“เฮ้อ!—ถึงห้องแล้วค่อยคุยกัน”

.
.

โอมเข้าออกห้องผมมานานเท่าไหร่แล้วนะ
ภาพที่โอมอุ้มที่รัก เดินไปหยิบน้ำอัดลม เดินไปเปิดไฟ คุยหนุงหนิงกับที่รักเสียมากมาย มันฝังลึกในใจจนเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเราไปแล้ว โอมคงไม่เลิกกับเราใช่ไหม ไม่สิ! เขายังไม่เคยขอคบกับผมเลยด้วยซ้ำ แล้วผมควรใช้คำนั้นเหรอ!? ...คบกัน ....เป็นแฟนกัน อยู่ด้วยกันด้วยความสบายใจไปตลอดชีวิต โอมเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างไหม หรือยังคิดลอยไปลอยมาเหมือนหมาไม่มีเจ้าของ!

“เลิกร้องก่อน—อ่ะนี่ กินน้ำหวานๆ จะได้อารมณ์ดีขึ้น”

ผมไม่ได้ร้อง ผมไม่คิดร้องไห้ให้กับคนที่ไม่มีสถานะอะไรกับเราหรอก!

“เลิกร้องแล้วหันมาสนใจน้องฟูได้แล้ว เข้ามายังไม่ทักน้องเลย”

ผมปาดน้ำตา แล้วอุ้มที่รักมากอดแนบอก กอดแน่นๆ ให้สมกับความน่ารัก มันเลียมือผมราวกับปลอบใจและให้กำลังใจ

“ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจว่าขิง”

“พี่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเจอเขาเหมือนกัน”

“พรุ่งนี้หยุดมั้ย ผมจะพาไปต่างจังหวัด”

“อื้ม”



ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7



ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำหน้าอย่างไรดีเมื่อต่างจังหวัดที่โอมว่าคือบ้านเกิดของโอม
เขาให้เหตุผลว่าแม่บังคับให้มาเอาผักผลไม้กลับไปกินที่กรุงเทพฯ ถ้ากินไม่หมดก็ฝากให้เพื่อน โอมเลยกระเตงผมกับที่รักมาเพื่อมาดูสวนของครอบครัว และบอกพ่อกับแม่ว่าพาเพื่อนมาเลือกด้วย ขณะที่ในใจผมมันดีใจเป็นลิงโลด มันเหมือนกับว่าโอมกำลังเอาใจผมด้วยการพามาเจอพ่อกับแม่ ให้รู้ว่าเขาจริงจัง บางทีโอมอาจไม่ใช่คนพูดมากก็ได้ เขาอาจแสดงออกว่าเขาคบกับเราด้วยการกระทำ ผมจะไม่คิดมากก็แล้วกัน

เรามาถึงจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออก รายล้อมด้วยภูเขา และบรรยากาศมัวๆ ของฤดูหนาว ผมถ่ายรูปโอมตอนขับรถ ตอนบอกเด็กปั๊มว่าเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ตอนผมป้อนขนมขณะที่มือเขาจับพวงมาลัยอยู่ และหลายๆ ตอน ที่ติดหน้าผมไปด้วย อยากจะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ถ้าวันใดวันหนึ่งเราเข้ากันไม่ได้ แต่เราต่างรู้ว่ามันยังมีวันหนึ่งๆ ที่เรามีความสุขร่วมกัน

ขับรถแค่เพียงสามชั่วโมงก็ถึงบ้านโอมแล้ว เขาบอกว่าสวนข้างทางที่เห็นนี้คือสวนของบ้านเขาเอง มันยาวเป็นกิโลฯ อยู่เหมือนกัน กว่าจะถึงตัวบ้าน

ผมเห็นผู้หญิงอายุมากคนหนึ่งเดินตะลึงมาหารถยุโรปของผม ซึ่งโอมเคยเกริ่นไว้แล้วว่าพ่อแม่ต้องตกใจแน่ที่เห็นลูกขับรถคันละหลายล้านแบบนี้มา

“สวัสดีแม่ —พ่อล่ะ?”

“อยู่บนบ้าน—นี่มีเงินซื้อรถแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะโอม”

“รถเขาน่ะแม่”

“สวัสดีครับ”

แม่โอมทำหน้างงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนมาเป็นยิ้มกว้าง รับไหว้ผม ลูบหัวลูบตัวผม แค่ไม่กี่นาที ผมก็กลายเป็นลูกแกไปอีกคน  แต่คนที่ผมตกใจมากที่สุดคงเป็นพ่อของโอม แกยังหนุ่มอยู่มากๆ หน้าตาก็เหมือนลูกชายไม่มีผิด มีคารมคมคาย เล่นมุกทุกสามวินาที

ตกเที่ยง พ่อกับแม่ช่วยกันทำกับข้าวให้ลูกชายและ ‘เพื่อน’ ของลูกชายกิน ผมมองตาโอม บอกเขาทางสายตาว่าเหมือนคู่เราเลยเนอะ แต่โอมคงไม่เข้าใจ เอาแต่นั่งดูบอลในทีวี ปล่อยให้ผมกับที่รักนั่งเล่นกันอย่างเหงาๆ
พอไม่มีอะไรทำนานเข้า ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ ทำไมโอมไม่พาเราชมบ้าน ชมสวน เอาแต่นั่งเฉยๆ ไม่คุยกับเราด้วยซ้ำ ผมเลยอุ้มที่รักออกมาข้างนอก เดินไปตามทางที่มีรอยถางไว้ จังหวัดนี้ทำให้ผมนึกถึงระยอง ที่แรกที่ผมบอกชอบเขา มันจะเป็นไปได้ไหมหากเราจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้จริงจังกว่านี้ หรือผมเองที่ผิด ไม่เข้าใจสถานะ ‘เพื่อนร่วมเตียง’ เหมือนอย่างโอม

“ท่าทางคงเหลือเราสองคนเหมือนเดิมเนอะที่รัก”

อยู่คนเดียวกับหมาหนึ่งตัว...ไม่เห็นจะเหงาเลย

“กับข้าวเสร็จแล้วนะขิง มาเล่นเอ็มวีอะไรตรงนี้”

ผมฝืนยิ้มให้ ปล่อยที่รักลง ให้เท้าได้สัมผัสพื้นดินบ้าง ส่วนตัวเองคล้องแขนโอม อ้อนเขา อยากให้เขารู้ว่าเรารัก

“เหนื่อยเหรอ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ จะพาไปนอน”

“โอมไม่คุยกับพี่เลย”

ผมเลือกพูดสิ่งที่เป็นปัญหา ณ ตอนนี้ออกไป

“เดี๋ยวแม่รู้น่ะสิ ไม่อยากแสดงพิรุธเยอะ”

ถ้าอย่างนั้นขออยู่กรุงเทพฯ ก็ได้ โอมไม่เคยกังวลกับสายตาคนอื่น บอกตรงๆ ผมไม่ชิน

ผมรู้ว่าสีหน้าเราคงแสดงออกชัดมากว่าเซ็ง โอมจึงปล่อยให้เราเกาะแขนไปจนถึงหน้าบ้าน ตอนกินข้าวก็ไม่คุย ไม่โฆษณาเราให้พ่อแม่รู้จักอย่างที่หวัง ปกติผมไม่ใช่คนนิ่งเงียบแบบนี้ แค่พยายาม ‘ไม่แสดงพิรุธ’ อย่างที่โอมบอก
กระทั่งรอให้ที่รักกินข้าวเสร็จ โอมชวนขึ้นห้องของเขาซึ่งอยู่ชั้นสอง บนบ้านมีห้องนอนสองห้อง ห้องพระหนึ่งห้อง โอมชวนผมไหว้พระก่อน แล้วจึงหายาพารามาให้หลังจากที่ผมหลอกว่าปวดหัว
หลังกินยาเสร็จ จึงล้มตัวลงนอนบนฟูกที่มีกลิ่นฝุ่นนิดหน่อย คงเพราะเจ้าของห้องไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก ที่รักไม่กระโดดขึ้นมานอนด้วยเพราะถ้าอากาศไม่เย็นจัด มันจะนอนอ้าขาบนพื้น คิดว่าคงระบายความร้อนล่ะมั้ง ส่วนโอมนอนกับผม เขาอาจจะง้อก็ได้ แต่รอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่พูดอะไร
มีเพียงมือของเขา ...ที่สัมผัส สื่อถึงเรื่องอย่างว่า

ผมรู้สึกแย่....เป็นเซ็กส์ที่รู้สึกแย่

ไม่ได้หมายความว่าผมเกลียดการง้อด้วยเซ็กส์  ผมแค่เกลียดการที่โอมไม่คุยกับเราก่อน ไม่ถกปัญหากับเราก่อน เขาเพียงทำตามใจอยากตัวเอง อาจด้วยความตื่นเต้นที่ได้อยู่บ้านเกิด ตื่นเต้นที่มีพ่อแม่อยู่ข้างล่าง  เป็นเซ็กส์ที่เนิบนาบ เนิ่นนานนักในความรู้สึก ไร้เสียงสบถจากผม มีเพียงเสียงลมหายใจติดขัดและรอยฟันเต็มตัวไปหมด


โอมคิดว่าผมหลับไปแล้ว
เขาจูบไหล่ผม ลุกหายไปจากห้อง


“แฟนไม่สบายเหรอ”

จู่ๆ ผมก็ได้ยิน
มันเป็นเสียงที่เบามาก แต่เสียงธรรมชาติก็เบามากเช่นกัน เสียงนั้นจึงดังมาถึงหูของผม
น่าจะมาจากด้านล่าง ฝั่งเดียวกับห้องของโอมที่หน้าต่างเปิดอยู่

“ไม่ใช่แฟนสักหน่อย”

“แหม แม่ไม่ใช่คนหัวโบราณนะที่จะดูไม่ออก”

“รู้น่าๆ แต่ก็ไม่ใช่แฟน”

“ไม่ใช่แฟน แล้วเป็นอะไร”

“ก็...เพื่อน”

“โอ๊ยจะรอดู ว่าใช่เพื่อนแน่มั้ย ระวังเถอะ เขาจะน้อยใจจนหนีไป—แล้วไปทำอีท่าไหนล่ะเขาถึงไม่สบาย หรือน้อยใจกันแน่ พามาก็มานั่งดูบอลกับพ่อเอ็ง เห็นหัวเขามั้ยล่ะ ถ้าเป็นแม่นะ แม่คงน้อยใจน่าดูเลย”

“ถ้าจะคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น ผมก็ไม่เอาหรอก”

“พูดให้มันเบาๆ หน่อย เดี๋ยวเขาได้ยินมาแล้วจะซวย”

“เขาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกแม่”

“คงน่ารักมากเลยสิ ถึงได้พามาบ้าน”

“ก็ดี”

“คบกันมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“ไม่ใช่แฟน ไม่ได้เรียกว่าคบ”

“แม่ไม่รู้นะว่าเขาคิดยังไง ผู้ชายนับวันยิ่งดูดี ถึงจะแก่แต่ก็มีอาชีพที่มั่นคง สาวๆ หนุ่มๆ เห็นที่ไหน เขาก็สนใจกันหมด แต่ถ้าเป็นผู้หญิงน่ะ นับวันสังขารมันยิ่งโรยรา หมดเสน่ห์ไปเรื่อย ถ้าเกิดวันหนึ่งได้อยู่ตัวคนเดียวตอนแก่ขึ้นมา เขาจะหาคนมาดูแลยากแล้วนะ”

“แต่เขาเป็นผู้ชาย”

“แล้วเข้าใจที่แม่บอกหรือเปล่าล่ะ”

“เข้าใจๆ”

“เออ คนบางคน ไม่ได้มีเวลาเหมือนเรานะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย เลี้ยงหมาไปสิ”

“เฮ้อ! แม่ว่าเอ็งยังไม่เข้าใจ”

“ถ้าเขารักเราจริง เขาก็ต้องรอได้สิแม่”

“แน่จริงไปพูดกับเขาแบบนี้เลย เดี๋ยวแม่กับพ่อจะเป็นพยานให้ ว่ารอได้หรือเปล่า”





รสนิยมในการเลือกผู้ชายของผมคงจะห่วยแตกสุดๆ ขอถอนคำพูดที่เคยบอกว่าโอมเป็นคนดี ช่างเอาใจใส่ แท้จริงแล้ว โอมก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่กลัวความเหงา
ผมนอนคิดมากจนการหลอกว่าปวดหัวกลายเป็นจริงขึ้นมา ลมหายใจก็ร้อนระอุขึ้น รู้สึกมึนตื้ออยู่ในหัว กระทั่งเจ้าของห้องกลับมา เขาตรงเข้ามาจูบหน้าผาก บ่นว่าตัวร้อนขึ้นกว่าเดิม ตะโกนเรียกแม่ให้ทำข้าวต้มเลย เขาจะให้ผมกินยาหลังกินข้าว

“ช่วงนี้ทำงานดึกทุกวันนี่นา ร่างกายมันคงพีคแล้ว”

ผมนอนตาปรือฟังเขา แต่ไม่โต้ตอบอะไร จริงๆ แล้ว อยากให้โอมพากลับกรุงเทพฯ อยากอยู่คนเดียว แต่ก็เกรงใจเขา นานๆ ทีจะมาหาพ่อแม่


ดูเหมือนระหว่างเราจะมีแต่ความเงียบงัน โอมต้องรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เพียงแค่ยังไม่อยากหาเรื่องคนไม่สบาย
ตัดสินใจแล้วแหละ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะอยู่กับเขา คงเป็นอาถรรพ์อะไรสักอย่างที่พอกลับจากต่างจังหวัด เราสองคนจะมีปัญหากัน
แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ นะ
ผมไม่อยากหลอกตัวเองว่าตัวเองรอได้ ทั้งๆ ที่จริง หัวใจของเรามันถลำลึกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ผมอยากมีคุณค่า ให้กับคนที่เห็นคุณค่าของเรา นอนอ้าขาให้คนๆ หนึ่งมาเกือบปี ไม่ใช่ว่าผมจะนิ่งเฉยไปตลอด คนเรา...ถ้ายังมีความรู้สึก มันก็ต้องคาดหวังบ้างว่าการถูกเขากระทำต่างๆ นานา ...ควรได้สิ่งตอบแทน

อย่างน้อยๆ ก็บอกสักคำที่ทำให้รู้สึกดีบ้าง

.
.
.

“งอนอะไรหรือเปล่า ขิงเป็นอย่างนี้ ผมไม่สบายใจนะ”

ถึงคอนโดผมแล้ว โอมคงอัดอั้นมานาน ในที่สุดเขาก็ต้องพูดหลังจากถอยรถเข้าซองได้
ผมปวดหัวมาก พยายามข่มตานอนมาตลอดทาง หนาวก็หนาวไปถึงกระดูก ไม่รู้โดนลมเพลมพัดอะไรมา ทำไมเป็นหนักขนาดนี้ แต่ผมก็ต้องพูดในสิ่งที่ตัดสินใจลงไป เราสองคน ควรกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง ผมไม่มีแฟน—ไม่เห็นเป็นไร อย่างน้อยก็เหงาน้อยกว่าตอนนี้เยอะ

“โอม...”

“ไปหาหมอมั้ย ตัวร้อนมากเลยเนี่ย”

“เราเลิก—ติดต่อกัน...ดีกว่า”

เฮ้อ! ได้พูดออกไปสักที
ครั้งที่แล้วโดนหลบหน้า พอเจอเขาก็อ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง ครั้งนี้ผมจะต้องเข้มแข็ง จะไม่ใจอ่อน

“ไม่สบายจนเบลอแล้วนะเรา”

ผมเบี่ยงหน้าหลบมือหนาที่ยื่นออกมาลูบแก้ม

“พี่ยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ แล้วพี่ก็คิดมาดีแล้วด้วย”

โอมมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาถอนหายใจอยู่หลายครั้ง
ถ้ามันจะจบ ก็ให้มันจบในวันนี้เถอะ ผมขี้เกียจยื้อแล้ว ผมอาจช็อกกับการกระทำของเขาในช่วงสองวันมานี้ แต่เชื่อเถอะ ตราบใดที่ผมยังหวัง และโอมไม่เอาจริง มันก็จบไม่สวยหรอก

ปัง!

โอมคงลืมไปว่านี่ไม่ใช่รถเขา
ร่างสูงเดินงุ่นง่านอยู่นอกรถ บางจังหวะก็หันมามอง สายตามีคำถามมากมาย แต่คนขี้ขลาดไม่กล้าเอ่ยปาก

“โว้ย!!!”

โอมต้องคิดว่าผมกำลังกดดันเขาอยู่แน่ๆ ทั้งๆ ที่จริงผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย
ตอนนี้—โอมกำลังเลือก อาจจะใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งผมรอได้นะภายในวันนี้ แต่ร่างกายนี่สิ ...มันรู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ มาได้สักพักแล้ว หนาวมากๆ ปวดหัวตุบมากกว่าเดิม เอาตรงๆ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นหนักก็ตอนยกหัวตัวเองขึ้นมาไม่ได้ เหมือนไม่ใช่ร่างกายตัวเอง ควบคุมไม่ได้ ดวงตาพร่าเบลอ สมองเริ่มไม่รับรู้
สิ่งสุดท้ายที่ปรากฏในครรลองสายตาคือภาพโอมเปิดประตูรถฝั่งผม
ดีจัง ...เขาคงตัดสินใจได้แล้ว







เสียงแรกที่ได้ยินตอนรู้สึกตัวไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เป็นแม่กับเขาคุยกันเรื่องข่าวในทีวี ผมได้นิสัยชอบชวนคุยมาจากแม่นี่แหละ เราไม่ชอบให้คนข้างๆ เครียด จึงต้องทำให้เขาผ่อนคลายที่สุด ไม่รู้ว่าแม่รู้ข่าวได้อย่างไร แต่ช่างมันเถอะ แค่ผมยังไม่ตาย แม่ก็ดีใจน้ำตานองหน้าแล้ว

“ตื่นแล้วเหรอลูก”

“...แม่”

ผมยิ้มให้แม่ โอมยืนถัดไป เห็นเขามาเฝ้าตอนสภาพเราดูไม่จืดอย่างนี้แล้วอายจัง และแม่เหมือนรู้ความคิดผม แกหาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้

“แม่บอกแล้วว่าอย่าโหมงานหนัก ทำให้แม่เป็นห่วง ก็รู้อยู่ว่าแม่เหลือแกคนเดียว”

มาแล้วราชินีดราม่า ดราม่าตลอดเวลาจนผมต้องหนีมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่ว่าไม่รักแม่นะ แต่การอยู่กับคนแก่ที่คิดมากตลอดเวลา มันพาเราจิตตกจริงๆ
เมื่อก่อนแม่ไม่เป็นอย่างนี้หรอก แกเป็นตั้งแต่พ่อเสียไป เริ่มพร่ำเพ้อถึงวันวาน และห่วงผมจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เป็นนายแบบมืออาชีพอย่างทุกวันนี้ แม่ก็คงตามมาอยู่ด้วยแล้ว

“หายไวก็ดีแล้ว แฟนแกจะได้ไม่ต้องลางานมาเฝ้า”

แม่พูดถึงเขาที่ส่งยิ้มให้
หัวใจบ้า อย่าเต้นแรงนักสิ
ผมเกลียดความรักจริงๆ ชอบอยู่เหนือเหตุผล บอกว่าจะเลิกๆ พอเห็นเขามาเฝ้าหน่อย ไงล่ะ...หุบยิ้มสิปากบ้านี่!!

“เดี๋ยวแม่ไปซื้อของกินมาให้นะ —เอาขนมอะไรจ๊ะลูกโอม”

แน่นอนโอมปฏิเสธแบบขำๆ คงขำที่แม่เรียกแบบนั้น ทำให้ผมอดยิ้มตามด้วยไม่ได้

พอลับหลังแม่ โอมก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง จับมือผมไปลูบๆ คลำๆ เพิ่งสังเกตว่าเขาไม่โกนหนวด เขียวครึ้มน่ากลัว ไม่เหมือนนายโอมที่ลูกค้าติดเอาเสียเลย

“ไหนขอดูหน่อยเจ้าแม่ขิง มีเลขเด็ดอะไรบ้าง”

“อย่า~ พี่จั๊กจี้”

โอมหัวเราะเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกขึ้นมาจูบปากผมเบาๆ เหมือนหมาเลีย
เอ๊ะ...ที่รัก!

“ที่รักอยู่กับใครเนี่ย”

“ผมเลี้ยงเอง นอนค้างที่ห้องขิงน่ะ”

“พี่หลับไปกี่วัน”

“แค่เกือบวันเอง เมื่อวานจู่ๆ ก็หลับในรถ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น แถวตัวร้อนจี๋เลย ผมกลัวขิงช็อก เลยพามาโรง’บาลดีกว่า อุ่นใจกว่า พอดีกับที่แม่ขิงโทรมา ผมเลยบอกเขาไป เขาเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เอง ผมก็เหมือนกัน—ไม่นึกว่าแม่ขิงจะดุผมด้วย”

“แต่ตอนนี้ดีกันแล้ว?”

“อืม เขาแค่ดุที่ปล่อยให้ขิงไม่สบายขนาดนี้—-มีอะไรหรือเปล่า”

เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เราต่างรู้ว่าเรากำลังหลอกตัวเอง

“ผมอยากให้ขิงหายก่อน แล้วค่อยเคลียร์กัน—ได้ไหม?”

ผมถอนหายใจ พลางส่ายหน้า

“ให้เวลาผมหน่อย”

“พี่ไม่ได้ให้เวลาโอมนะ แต่พี่ตัดสินใจแล้ว”

“ขิงก็พูดเองเออเองอยู่คนเดียว”

“ก...ก็พี่—“

“—ไม่ต้องพูดเลย ผมจะให้ขิงนอนพักจนกว่าจะหาย ถ้าไม่หาย ผมจะไม่คุย แล้วก็จะมาหาทุกวันๆ ไม่งั้นผมจะขโมยที่รักของขิงไป”


ไอ้เด็กบ้า





ถูกเชิญให้ไปงานเปิดตัวต้นคริสต์มาสใหญ่ยักษ์ ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แสงแฟลชสาดเสียจนตาพร่า ผมกอดเอวเพื่อนร่วมงานเพื่อถ่ายภาพหมู่ ได้แค่ไม่กี่รูป มันก็ดึงมือผมออก

“แฟนมึงจ้องอยู่”

ผมตกใจ หันหน้าไปยังทิศทางที่เพื่อนชี้ เห็นร่างสูงถือดอกไม้ช่อใหญ่มองด้วยสายตาหึงหวง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกันในรอบสองสัปดาห์
ตั้งแต่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมก็หลบหน้าเขา หรือจะเรียกว่าปิดกั้นเขาทุกทางก็ได้ ใครใช้ให้เล่นแง่ไม่เคลียร์ตอนป่วยอยู่ล่ะ ไม่คุยก็ไม่คุยสิ
แต่เขากลับมาหาทุกวันหลังเลิกงาน ไม่ว่าจะที่อีเว้นต์ หรือที่ห้อง เขารู้ตารางงานของผม ซึ่งไม่ทราบว่าขยันเอาเวลาที่ไหนไปทำความรู้จักพี่ๆ เพื่อนๆ ในวงการ
มีครั้งหนึ่ง โอมมาในคราบเด็กส่งพิซซ่า ผมนึกว่าส่งผิดห้อง จึงใจดีจะเปิดประตูบอกห้องที่ถูกให้ ปรากฏว่าเขายื่นกล่องพิซซ่าหน้าดอกกุหลาบ แปะกระดาษว่า ‘ขอโทษ’
หรือจะเป็นตอนที่โอมวิ่งกระหืดกระหอบมาหาหลังเลิกงาน พยายามโน้มน้าวให้เราไปกินข้าวด้วย
อยากรู้จริงๆ ว่าวันนี้จะมามุกอะไรอีก

“ทำไมไม่คืนดีกับเขาไป”

“คืนดีไม่ได้หรอก ยังไม่เคยคบกันนี่”

“อินเทรนด์เนาะ มีคนคงคนคุย ไม่มีสถานะ พอโดนเทก็นั่งซึมนั่งหงอย ไม่คุยกับมนุษย์เป็นวัน”

“เลิกแซวได้แล้ว”

ผมผละออกมาเมื่อช่างภาพไปถ่ายภาพคนอื่นต่อ หลังแบ็คดร็อปมีเต๊นท์สำหรับทีมงานตั้งเรียงราย ผมกลับเข้าเต๊นท์ตัวเอง หาน้ำดื่ม

“พรุ่งนี้พี่ภพเดินแบบงานเดียวกับเรานะ ลองใจเขาดูไหมล่ะ น่าจะมาอยู่หรอก เหมือนเจ๊จูจะบอกแฟนมึงแล้ว”

การกระทำเด็กๆ แบบนั้นไม่ใช่ตัวผม ผมไม่ใช่คนช่างประชด ตัดแล้วตัดเลย  อาจมีใจอ่อนบ้างเป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่นี่คือครั้งที่สองแล้ว และผมเป็นคนพูดเอง ดังนั้นผมจะไม่โง่และไม่กลืนน้ำลายตัวเองเด็ดขาด!

“พี่ภพเขาถามหามึงทุกวันเลยน้า วันซ้อมก็ไม่ไป วันไปก็หลบหน้า คงหาทางคุยแน่ๆ พรุ่งนี้อ่ะ”

ช่างหัวคุณภพเถอะ จะมีความสุขได้นานแค่ไหนเชียว พอเราหมดความตื่นเต้น เขาก็ทิ้ง

“ลองใจเขาหน่อยเถอะน่า อยากให้เพื่อนเป็นฝั่งเป็นฝาสักที”

ผมมองบน เดินแบบร่วมกันมาตั้งเกือบสิบปี รู้เหตุผลไอ้หนุ่มลูกครึ่งอิตาลีแสนเจ้าเล่ห์นี่หมดแล้ว

“อยากสนุกล่ะสิไม่ว่า”

ผมนั่งคิดอย่างเคร่งเครียด แม้พยายามเก็บสีหน้าตัวเองมากแค่ไหน แต่พอหันไปทางคนอิตาเลียน มันก็ยิ้มกวนมาให้ กดดันกันชัดๆ

“น้องขิงขา ดูซิใครมา”

ผ้าเต๊นท์เปิด เป็นพี่ทีมงานกับโอมอย่างที่คิด ร่างสูงกล่าวขอบคุณพี่เขาที่เส้นให้เข้ามาได้ แล้วตรงมาหาผม ไม่ลืมส่งค้อนวงใหญ่ให้โจทย์ สายตาโอมชัดเจน ...ประกาศสงคราม ...ที่ไม่ทางเกิดขึ้น

“เหนื่อยมั้ย”

โอมถามพลางยื่นช่อดอกไม้ให้ ราคาคงหลายพัน เขาไม่น่าลงทุนถึงขนาดนี้เลย ผมอดเกรงใจไม่ได้  ปกติแล้วโอมไม่ชอบใช้เงินไปกับสิ่งของฟุ่มเฟือย เพราะเงินเดือนเป็นเรทพนักงานออฟฟิศที่ต้องใช้จ่ายค่าครองชีพของกรุงเทพฯ ซึ่งมันพอดีอยู่แล้ว ดังนั้นของฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นพวกนี้ มันทำให้ผมรู้สึกผิดที่โอมต้องฝืนตัวเองเพื่อให้ ‘เทียบเท่า’ กับผม อย่างที่เขาเผลอพูดออกมาบ่อยๆ
ผมไม่อยากให้โอมคิดแบบนั้น เราคบกัน เราอยู่ด้วยกัน เราแชร์กันได้ ด้วยสายงานเราต่างกัน มันไม่มีทางที่จะพอเหมาะไปเสียทุกอย่างหรอก ส่วนไหนที่โอมขาด ผมจะเสริม ส่วนไหนที่ผมขาด โอมก็เสริมผม
ความรักควรเป็นอย่างนี้

“ไม่ชอบเหรอ..ดอกไม้”

ผมรีบส่ายหน้า

“ชอบ สวย จำได้ด้วยเหรอว่าชอบดอกไฮเดรนเยีย”

“จำได้สิ เพราะผมก็ ‘ชอบ’”

รู้สึกว่าคำว่า ‘ชอบ’ ของโอม จะไม่ได้หมายถึงดอกไม้นะ
คนเล่นตัว ชอบเราก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ ไอ้ลูกครึ่งอิตาลี่ยิ้มล้อใหญ่แล้ว

“อ่านการ์ดสิ”

ผมเพิ่งเห็นการ์ดตอนเขาบอก เป็นการ์ดใบเล็กๆ ติดมากับช่อดอกไม้
ในนั้นเขียนไว้ว่า

‘ผมว่าผมคงขาดขิงไม่ได้ แล้วพ่อผมก็จะเอาลูกซองมายิงผมด้วย
                                                     ขอโทษนะครับ’

ผมหลุดยิ้ม หลังจากเก๊กหน้าขรึมมาตั้งนาน
ทำไมพ่อโอมต้องยิงโอมด้วยล่ะ นี่เราทำให้เขาถูกใจตอนไหนกัน ตอนไปบ้านก็ได้แต่นั่งเงียบๆ กระมิดกระเมี้ยน นึกว่าเขาจะไม่ชอบ
หรือไม่แน่...อาจเป็นตอนนั้น ที่ผมได้ยินโอมพูดกับแม่ทางหน้าต่างบ้าน ใจร้ายน่าดูเลยนะ บางทีพ่อหัวสมัยใหม่ของโอมคงรับไม่ได้นั่นแหละ เป็นผม ผมคงรับลูกตัวเองไม่ได้เหมือนกัน แต่ช่างเถอะ มันผ่านมาแล้ว ผมรู้ว่าโอมพูดไปด้วยความคะนอง และยังไม่รู้ตัว
....ตอนนี้ก็อาจจะยังไม่รู้ก็ได้

ดูจากข้อความในการ์ด ยังคงคอนเซ็ปต์คนปากแข็งเหมือนเดิม
หรือผมจะยอมทำตามแผนของเพื่อนดี?





หลังจากโทรปรึกษาฟ้าผู้เป็นคนกลางของเราเสร็จ น้องก็ให้คำแนะนำดีๆ หลายอย่าง โอมไม่ใช่คนไม่ดี โอมแค่เพิ่งหัดรัก ฟ้าจึงไม่อยากให้ผมเร่งรัดมากนัก แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมาตั้งเกือบปีแล้ว ถ้าไม่ลองใจสักหน่อย มันก็เหมือนว่าเราอ่อนเกินไป โอมน่ะเคยมีแฟนที่พอจะเรียกว่า ‘แฟน’ จริงๆ แค่หนึ่งคน เป็นรักวัยมัธยม พอเลิกกันตอนเข้ามหาลัย เขาก็ใช้เสน่ห์หว่านไปทั่ว ถ้าคนไม่สนิทจริงจะมองว่าโอมอกหักจากรักครั้งนั้นมาก จึงประชดชีวิต แต่จริงๆ แล้ว “มันค้นพบว่าตัวเองรักสนุกมากกว่า” นี่เป็นสิ่งที่ฟ้าบอก
สรุปแล้วงานวันนี้ ผมจะแกล้งคุยกับคุณภพเขา เอาแค่พอทักทาย ทำให้ดูเหมือนว่าผมไม่แคร์เรื่องที่เขาทิ้งอีกแล้ว โอมซึ่งตามมาเฝ้าแน่ๆ ต้องเห็นทุกการกระทำ คนขี้หึงจะต้องควันออกหู และยอมขอผมเป็นแฟนในที่สุด

“วันนี้ต้องสนุกแน่เลย”

เหลือบตามองเพื่อนผู้ ‘หวังดี’ ที่มาสายกว่าชาวบ้าน ผมแขวะมันว่าเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ก่อนที่มันจะโดนเจ้าของงานลากไปด่า ปกติแล้วหนุ่มลูกครึ่งอิตาลี่คนนี้ไม่ค่อยทำงานผิดพลาด ผมคิดว่ามันคงมีสิ่งสำคัญบางอย่างจริงๆ จึงไม่หัวเราะซ้ำเติมอะไรอีก
และประโยคที่เพื่อนมันทักก็เริ่มสัมฤทธิ์ผล มันคงเห็นคุณภพข้างนอกตอนที่วิ่งมา
คุณภพเพิ่งมาถึง สำหรับเขาไม่เรียกว่าสาย เจ้าของงานแค่นัดช้ากว่าคนอื่นเท่านั้น เขาตัวสูง มีมาดอย่างชายโตเต็มวัย ไม่แปลกใจเลยที่อายุห่างกับผมหนึ่งรอบ แต่ก็ยังได้เป็นพระเอกอยู่

“...ขิง”

เขายืนเก้ ๆ กังๆ อย่างคนทำตัวไม่ถูก ผมจึงให้นั่งข้างๆ มีช่างแต่งหน้ามาบริการเสริมเพิ่มนิดหน่อย เขาไม่ชอบแต่งหน้าจัด เป็นพวกลงรองพื้นแล้วสิวบุก

“พี่ขอโทษนะวันนั้น”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แฟนไม่มาเหรอ”

ผมยิ้มหวานให้

“ไม่รู้สิ”

ตอบพลางไหวไหล่ เลเวลความชั่วเพิ่มขึ้นหนึ่งขีด
รู้สึกสนุกขึ้นมานิด แต่ก็รู้สึกผิดเช่นกัน เมื่อร่างสูงสมาร์ทของโอมปรากฏขึ้นมา ชั่วขณะแรกเขาแปลกใจที่เห็นผมนั่งคู่กับแฟนเก่า ทว่าต่อมาสายตาเขาเข้มขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่ขยับเพื่อเผยความรู้สึกใดๆ โอมลากเก้าอี้ของใครไม่รู้มานั่งแทรกระหว่างผมกับคุณภพ
คุณเขาเป็นพระเอก ภาพพจน์ถูกสร้างให้ดูดีอยู่เสมอ เขาจึงไม่กล้าทำตัวเหมือนอย่างวันนั้นอีก กลายเป็นว่าคุณภพกลับไปนั่งตัวตรง ปล่อยช่างแต่งหน้า ส่วนโอมนั่งหันมาทางผม ซึ่งถ้าตัวติดกันได้ เขาคงคร่อมผมไปแล้ว

“วันนี้ไม่เอาอะไรมาฝากแล้วเหรอ”

ผมพูดเพื่อกลบเกลื่อนความระทวยบริเวณต้นขา เขาวางมือลงมา แล้วลากขึ้นลง
ชุดวันนี้เป็นชุดโป๊หน่อย กางเกงผ้าซาตินที่ยาวแค่คืบเดียว นั่งแล้วเหมือนไม่ได้ใส่อะไร ของข้างในอยากออกมาทักทายชาวโลกเสียเต็มประดา ส่วนเสื้อก็เป็นซีทรู เสมือนเป็นซิกเนเจอร์ของผมไปแล้ว พี่ๆ เขาชอบให้ผมใส่น่ะ แต่ตอนขึ้นเวทีจริงๆ ผมจะได้เสื้อขนสัตว์สังเคราะห์มาใส่ทับ

“ชุดนอนไม่ได้นอนหรือไง—ไอ้ที่ใส่อยู่เนี่ย”

เขาไม่ตอบคำถาม แต่กลับเป็นฝ่ายถามเสียเอง
ผมหัวเราะถูกใจ เขายังคงทำให้ผมหัวเราะได้เสมอ
เฮ้อ~ถ้าเราลองชั่งน้ำหนักระหว่างทุกข์กับสุขดู ดูเหมือนความสุขจะมีมากกว่านะ

“วันนี้อย่าเพิ่งย่ามใจนะว่าจะแกล้งผมได้ ผมมีตัวประกัน”


“?”

เล่นพิเรนท์อะไร
ขณะที่ผมคิดว่าตัวเองทำอะไรเป็นเด็กๆ แล้ว ปรากฏว่าเขาก็ทำ สรุปว่าศีลเราเสมอกันใช่ไหม

“เลิกงานแล้วค่อยคุย”

มนุษย์ ‘ค่อยคุย’ ส่งสายตาเป็นต่อกว่าเรา รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ...เกลือเป็นหนอนแน่ๆ !

.
.
.

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
.

ผมเดินแบบวันนี้สองชุด ชุดแรกก็โป๊ๆ อย่างที่บอก ส่วนชุดสอง ออกแนวต้อนรับปีใหม่ มีความแวววาวของคริสตัล และดิ้นสีทอง สวยจนอยากขอยืมพี่โจมาใส่วันคริสต์มาส ‘ที่อาจจะ’ มีโอมร่วมแบ่งปันบรรยากาศแห่งความสุข
โอมไม่ออกมาดูผมเดิน บอกว่าขี้เกียจ ซึ่งผมไม่เชื่อ เขาต้องมีแผนอะไรแน่ๆ จะขอเราเป็นแฟนหรือเปล่านะ คิดแล้วก็ตื่นเต้น

เมื่องานเสร็จสิ้นลง เสียงปรบมือจางหายไป ผมเดินกลับห้องพัก ไม่เห็นใครเลยนอกจากกระดาษโน้ตแปะไว้บนโต๊ะ

‘รีบออกมาที่ลานจอดรถนะ’

เป็นลายมือของโอมแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน ผมจึงบอกลาพี่ๆ ทีมงาน แล้วกลับเลย โดยไม่เช็ดกลิตเตอร์สีทองบนหน้า



.

โอมยืนอยู่ข้างรถของเขาที่สามารถจอดข้างของผมได้อย่างน่าอัศจรรย์ นั่นไม่นับว่าแปลกนัก หากคุณติดสินบนรปภ. ด้วยเอ็มร้อยสักขวดสองขวด แต่สิ่งที่ทำให้ผมโมโหก็คือ “ที่รัก!”
ในอ้อมแขนโอมมีที่รักนอนขดตัวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว มันดิ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นผม แล้วก็กลับไปนอนยิ้มต่อ น่าตีจริงๆ !

“อย่าบอกนะว่าที่รักเป็นตัวประกัน”

“ใช่แล้ว—ขิงคิดจะทำอะไร ผมรู้นะ”

ฟ้า...ต้องเป็นฟ้าแน่ๆ

“เอาที่รักคืนมาให้พี่เลย”

ผมเก็บกระเป๋าใส่รถตัวเอง เดินไปขอหมาน้อยสุดที่รักกับเขา มันดิ้น อยากจะมาหาผม สองมือหน้าทำท่าเหมือนจะให้อุ้ม โธ่! ลูกที่น่ารักของพ่อ

“ฮึ่ม”

โอมส่งเสียงเพี้ยนๆ อยู่ในคอ แล้วจู่ๆ ก็รวบตัวผมแน่น กลายเป็นว่าเราสามคนพ่อแม่ลูกกอดกัน  เขายังไม่พอแค่นั้น ยังหอมแก้มผมแรงมาก เหมือนอัดอั้นมานาน ซึ่งเรายอมไม่ได้เด็ดขาด เรากำลังงอนอยู่นะ
โอมทำอะไร ไม่ให้เกียรติกันบ้างเลย ไม่เห็นแก่ความงอนที่ฝืนทำมาตั้งหลายวัน

“ฟอด--เลิกทำตัวน่ารักสักทีเถอะ ฟอด—จุ๊บ”

ผมขัดขืนอย่างสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ แรงจูบของเขามันรุนแรง ผมต้านทานไม่ไหว

“ฟูบอกแม่สิลูกว่าหายงอนได้แล้ว ฟูคิดถึงพ่อ ใช่มั้ยจ๊ะ?”

“พี่ไม่ได้งอน เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“อยากได้ยินเหรอคำนั้น”

โอมถามใกล้หู รู้สึกเสียววาบแปลกๆ

“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวจะพาไปเที่ยว”





เส้นทางที่ทำให้ผมประทับใจ ทำไมจะจำไม่ได้ แม้จะมืดมากแล้ว สองข้างทางก็เงียบสงัด แต่ผมกลับไม่กลัวสิ่งใดเลยเมื่ออยู่กับโอม ผมลดกระจกลง ให้ที่รักเอาหน้ารับลม ขนฟูๆ ของมันลู่ไปตามลม น้ำลายก็กระเซ็น ตลกจริงๆ แล้วก็น่ารักมากด้วย อยากให้ที่รักมีความสุขแบบนี้ทุกวัน อยากพามาเที่ยวทุกวัน

“ที่รักจำระยองได้หรือเปล่า”

เขาลูบหัวหมา จากนั้นเลื่อนมือมาลูบไหล่ผม
...ทำเป็นเนียน

“ขับรถดึกๆ ไม่เหนื่อยเหรอ”

“ขิงเป็นห่วงเหรอ?”

ผมไม่ตอบ กำลังกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ


โอมไม่ถามอะไรต่อ เขาแค่ยิ้มกรุ้มกริ่มตามสไตล์ จากนั้นจึงเลี้ยวรถเข้าบ้านพักหลังเก่าที่เราเคยมา ตอนนั้นผมเอาความกล้าหาญมาจากไหนก็ไม่รู้ที่บอกชอบเขา ให้อธิบายก็คงยาก ความรักเนี่ย...ไม่ค่อยซับซ้อนนักหรอก แต่สิ่งที่ช่วยพยุงมันและช่วยให้มันเติบโตต่างหากที่ซับซ้อน
ชีวิตของผมเติมเต็มได้ก็เพราะโอม เมื่อก่อนผมคิดว่ามีแค่หมาก็พอแล้ว บางครั้งอาจจะเหงาบ้างเวลาไปเที่ยวคนเดียว เพราะหมามันพูดไม่ได้ เลยไม่ได้แชร์ความคิดกัน แต่พอมาเจอโอม...เรามีทั้งหมา มีทั้งโอม...ผมไม่เคยรู้สึกอิ่มใจเท่านี้มาก่อนเลย มันคือสุดยอดของชีวิตแล้ว
ผมอยากจะบอกชอบเขา ชอบเขา ชอบเขา ไปเรื่อยๆ หรือให้บอกว่ารักดีล่ะ? ไม่เอาดีกว่า! เดี๋ยวที่รักน้อยใจ

คืนนั้นจบลงโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมนอนกอดที่รักตัวกลม มีโอมนอนข้างๆ ปล่อยให้เสียงคลื่นเป็นบทเพลงขับกล่อม ปลอบประโลมความขุ่นข้องให้หายไป





เช้าต่อมาผมตื่นก่อน ทั้งๆ ที่เมื่อวานนอนดึกมาก แต่ร่างกายกลับตื่นขึ้นมาเองตั้งแต่ตีห้า อาจเป็นเพราะตื่นเต้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ
สุดที่รักยืนสั่นหางดิกๆ ตอนผมเทอาหารหมาชนิดเปียกลงบนถ้วย พร้อมกับที่ร่างสูงเดินมาพอดี เขาใส่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว กล้ามเป็นลอนไม่ชัดมาก แต่หุ่นหนากว่าผม น่าอิจฉา ทั้งๆ ที่ผมมีเชื้ออเมริกันแท้ๆ

“ดูแต่งตัว...”

ดวงตาคมมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า...ไม่มีอะไรแปลกนี่ ก็แค่เสื้อกล้ามซีทรูยาวเกือบถึงเข่า กับกางเกงในจีสตริงของผู้ชายที่พี่เจเอามาให้ลองใส่ บอกว่ามันใส่สบายดี ซึ่งจากที่ผมได้ลองแล้ว ก็ยังไม่ชินสักเท่าไหร่ อาจต้องรอต่อไปสักสองชั่วโมง

“เลิกทำตัวน่ารักได้แล้ว”

โอมยกมือลูบหน้า ก่อนเดินตรงมากอดผม เขากอดแน่น สูดหายใจแรง แล้วก็หอมแก้มตั้งสองที

“แบบนี้มีความสุขกว่าใช่มั้ย”

“ไม่เข้าใจอ่ะ ยังไงเหรอ”

ผมก็...มีความสุขหลายๆ แบบนะ

“ผมยอม”

“ไม่ต้องยอมหรอก...”

“เข้าใจแล้วเหรอ”

“หึ ไม่รู้สิ...ขอแค่โอมเปิดใจ ไม่กลัวการมีความรัก พี่ก็ดีใจแล้ว”

“ขอโทษนะที่เป็นแบบนี้”

“พี่เลือกเองน่า...”

ผมจูงมือโอมให้นั่งลงบนเก้าอี้กินข้าว ก่อนจะนั่งคร่อมลงไปบนตักเขา หน้าเราใกล้กันเพียงลมหายใจสัมผัส อยากถามว่าทำไมเขาถึงพามาที่นี่ ...คิดว่าคงได้คำตอบแล้ว
โอมอยากเริ่มต้นใหม่
ในสถานะใหม่

“...ที่รัก”

“เรียกที่รักของพี่ทำไม”

แปลกเกินไปแล้ว เรียกหมา แต่มองหน้าเรา

“หึ..” โอมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมสงสารขิงว่ะ ที่ใจอ่อนให้ผมตลอด”

“อ้าวพี่ใจอ่อนเหรอ? นึกว่าโอมซะอีกที่กลับมาหาพี่ทุกที ติดใจของดีล่ะซี้~”

“ฮึ่มมม ร้ายนะเรา—“

ให้ตายเถอะ เขากัดปากเข่นเขี้ยว แต่มือบีบก้นเราทั้งสองข้าง โอมไม่ค่อยรู้ตัวว่าเป็นคนมือหนัก ทำอย่างว่ากันทีไร ผมมีแต่รอยช้ำทั่วทั้งตัว

“ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง ถือซะว่าเป็นวิทยาทาน”

“คิก..วิทยาทานเลยเหรอ ดูจริงจังจัง”

“เอาน่าๆ จะฟังมั้ย”

“ฟังสิฟัง แต่ขอไปฟังบนโซฟานะ เดี๋ยวเหน็บกินขาโอม”

ผมจูงมือโอมเหมือนเขาเป็นเด็กหลงทาง หาทางเดินไม่ถูกอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่จริงแล้วผมแค่อยากสัมผัสเขาตลอดเวลา เหมือนที่อยากสัมผัส อยากกอดที่รักตลอดนั่นแหละ
พอเรานั่งบนโซฟา ที่รักของผมก็ขึ้นมานอนซุกบนตัก โอมขยี้หัวมันด้วยความหมั่นไส้ที่หน้ามันซุกอยู่ตรง...เอ่อ...ตรงที่ไม่ควรจะซุก ซึ่งด้วยกางเกงในอันเปิดเผยนี้ ก็ทำให้รูปทรงมันชัดมากกว่าเดิมนิดดดดดดหน่อย

“เล่าสิๆ”

ผมรีบเตือนเขาว่าอย่าลืมสิ่งที่จะบอก ไม่ใช่เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไปเสียก่อน

“ก็...เรื่องที่ผมขี้เกียจมีแฟนน่ะ—ผมกลัวว่าจะดูแลเขาไม่ดี ไม่ชอบให้คนที่ผมรักร้องไห้ แล้วเดี๋ยวนี้คนดีๆ ก็หายาก พอเจอแล้วก็ดันสงสารเขาอีกที่มาเจอคนอย่างผม ผมมันไม่รวยเหมือนคนอื่น ขับรถญี่ปุ่นธรรมดาๆ กินอาหารตามห้าง เที่ยวแบบบ้านนอกๆ ขัดกับลุคที่ดูเหมือนจะรวยของผม เขามาได้แป๊บๆ พอเจอคนที่ดีกว่า เขาก็ไป ผมเลยไม่ผูกมัด”

“ใครมันช่างตาถั่ว”

“แรกๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่ไปนานๆ มันก็ไม่มีอะไรไปสร้างความตื่นเต้นให้เขาแล้ว”

หล่อขนาดนี้ ยังมีคนไม่เอาอีกเหรอ ตัวเองปากแข็งด้วยส่วนหนึ่งล่ะมั้ง แต่ผมเลือกที่จะไม่พูดเพื่อรักษาน้ำใจ คิดว่าเขารู้ตัวเองอยู่แล้ว

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

ผมถาม แตะแก้มสาก ไรหนวดอ่อนๆ ขึ้นเขียวครึ้ม กอปรกับอยู่ใกล้ทะเล เห็นแล้วนึกถึงนายหัวจำเลยรัก

“ขิงคิดว่ายังไงล่ะ”

“พี่เหรอ....” ผมเกาคาง คิดว่ายังไงเหรอ? คิดว่าความรักเหมือนโคถึก พาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ น้อยใจก็น้อยใจ แต่รักก็รัก ห่วงก็แสนห่วง
“พี่ไม่เคยเจอผู้ชายที่เอาใจใส่พี่ขนาดนี้มาก่อน”

“จริงเหรอ”

“โอมดูแลดียิ่งกว่าพ่ออีก ขยันมาหาพี่แทบทุกวันทั้งๆ ที่งานตัวเองก็เยอะ ทำกับข้าวเก่ง ทำโดยเต็มใจ ไม่บ่น ไม่ชักสีหน้า ไม่แสดงพลังด้านลบออกมาเหมือนคนอื่นเลย แถมยังไปหาพี่ที่งานบ่อยๆ ไม่อายใคร ไม่แสดงสีหน้าว่าเหนื่อยอ่ะ โอมเหมือนซูเปอร์แมนเลย”

เขาทำหน้าประหลาดใจ “จริงเหรอ?!”

“ที่สำคัญที่สุดคือโอมรักสุดที่รักของพี่ ใส่ใจหมาของพี่ ถ้าเป็นคนอื่นนะ จะชอบว่าว่าพี่เพ้อเจ้อ รักแต่หมา ไม่คุยกับคน ถามจริงเถอะ ถ้าพี่ไม่คุยกับคน แล้วพี่จะคบเขาได้ไง”

“นั่นสิเนอะ ก็แค่คนรักหมา ผมว่าปกติ”

“พี่ว่า...โอมทำให้พี่สบายใจมากกว่าตื่นเต้น แล้วพี่ก็ไม่เบื่อที่ตัวเองจะรู้สึกสบายใจด้วย”

เขายิ้ม หูแดง เหมือนจะเขิน
“รู้ไหม ขิงเป็นคนเดียวที่ผมพาไปเจอพ่อกับแม่”

ขี้โกง! ทำให้เราเขินกว่าอีก
ผมไปต่อไม่ถูก นั่งก้มหน้านวดนิ้วตัวเอง ไม่รู้จะนวดทำไม

“ปากบอกแค่คนคุย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ในหัวของผมไม่คิดถึงใครเลย ผมเหมือนบ้า...”

โอมหยุดอยู่แค่นั้น ทำปากขมุบขมิบ เหมือนจะพูด แต่ก็ไม่กล้าพูด ผมเลยเอาหน้าไถกับแขนหนาๆ ของเขาฆ่าเวลา
เก่งแล้ว โอมของขิงเก่งแล้ว

“คนบ้าอะไร โคตรน่ารัก น่ารักตลอดเวลา แม่ง”

น่ารักจนถึงกับสบถเลยเหรอ ผมกลั้นขำไม่ไหวจริงๆ ขำจนเขาต้องจูบปิดปาก นายหัวเข้าสิงแล้วแน่ๆ

“น่ารัก...แล้วก็รักไปแล้ว”

บ้าจริงๆ ทำไมฉากนี้ต้องมาเกิดตอนที่ผมใส่ชุดประหลาดด้วย
การได้เป็นคนพิเศษมันดีอย่างนี้นี่เอง ไม่ต้องหลบซ่อน ไม่ต้องบอกตัวเองว่าปลงเถอะ อยู่กับหมาก็ไม่เหงาหรอก มีคนที่เรากล้าที่จะฝากชีวิตไว้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมไม่ปฏิเสธเลยว่ายอมให้ชีวิตโอมได้ เพราะผมเชื่อใจเขา จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าเขาเป็นคนพูดจริงทำจริง โอมจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง และผมก็สัญญาว่าจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง เรื่องมือที่สามจะไม่มีทางเกิด เรื่องที่เราไม่เข้าใจกัน เราแก้ไขมันได้ ผมจะใช้เหตุผลคุยกับโอม จริงใจ ไม่หลอกลวง ไม่เสแสร้ง
ชีวิตคนหนึ่งคน จะเจอคนที่เราปล่อยเขาไปไม่ได้สักกี่ครั้งกัน

“ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”

ร่างสูงลุกขึ้นพร้อมจับมือผมให้ลุกตาม แต่ชุดที่ใส่โป๊เกินจะออกจากบ้าน
โอมหัวเราะ เดินวนๆ สักพักก็ทำท่าโลกสว่าง เขารื้อกระเป๋าเดินทางตัวเอง ใต้สุดนั้นมีผ้าสามเหลี่ยมอย่างที่เขาเอามาห่อของ ซึ่งใหญ่พอจะพันตัวผม แล้วโอมก็ทำอย่างที่คิด เขาเอามาพันเอวผมไว้

หกโมงเช้าเศษ ที่ปลายท้องฟ้าเริ่มมีสีส้มปนทองเปล่งประกาย เราต่างคนต่างเดินไปเรื่อยๆ บนชายหาด สุดที่รักตัวเล็กของผมกำลังสนุกอยู่กับการไล่งับคลื่นทะเล

ขอหยุดเวลาไว้ที่ตรงนี้ได้ไหม
ไม่ต้องคิดถึงอะไร
มีแค่เราสามคน



จบตอน

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ไรท์เตอร์ขาาาาาาเรื่องที่2ที่อ่านนิยายของไรท์ ถัดจากเรื่องน้องแม่ชี เอ้ย น้องเม เราชอบสำนวนของไรท์มากกกอะ จากที่อ่านมา ไรท์ชอบให้นายเอกนิสัยน่ารักๆ ใสๆ น้องๆหน่อย แต่คือก้มีความเผ็ชๆยั่วเยๆ  :jul1: พระเอกก้จะเยดุๆหน่อย ละมีคาแรคเตอร์เป็นผช.รักสนุก ไม่ชอบผูกมัด แต่ก้คือมาหลงรัก ลงหลักปักฐานกับนายเอก ดีงามมมม ขณะเดียวกันคราวดราม่าของนายเอกตอนพระเอกยังไม่รู้ตัวก้แบบสงสารอะ หยักจะจิกหัวพระเอกละพูดว่า มึงรักเค้าว้อยยยยยย 55555555555555555555555 ชอบอะ ติดตามๆๆๆ ลงนิยายเยอะๆนะคะ ชอบบบบบบบบ  :กอด1:

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ตอนจบ แต่เหมือนตอนพิเศษมากกว่า 5555

——-


คนสองคน กับหมาหนึ่งตัว


เช้าวันอังคารที่ 25 ธันวาคม กรุงเทพฯ ในพื้นที่ของผมมีอากาศเย็นนิดหน่อย คาดว่ากลางคืนก็คงเย็นเหมือนตอนเช้า ผมจึงหยิบสูทที่ใช้ผ้าที่หนากว่าตัวอื่นมาสวม สูทสีเทาเข้ม ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวเกลี้ยง ไม่มีเนคไท นี่เป็นชุดหลักในการทำงาน ให้ลุคที่สุภาพ แต่ก็แสดงถึงความสบาย เป็นกันเอง

“อะไรครับ”

ลูกฟูเลียเท้าของผมออดอ้อน มันชอบมาเกาะแกะทุกครั้งเมื่อรู้ว่าผมจะออกไปทำงาน แม้แม่ของมันยังคงนอนหลับอยู่ มันก็อ้อนเราสองคนเท่ากันเสมอๆ ผมเริ่มกลายเป็นคนบ้าหมาตามเขาไปแล้ว เวลาว่างๆ ชอบวางแผนหากิจกรรมทำกับหมา เย็นนี้จะซื้อขนมรสอะไรให้ดี แชมพูยี่ห้อไหนเหมาะกับผิวหมา คิดไปสารตะ นี่ถ้าเขารู้นะ เขาต้องหัวเราะแน่เลย ดังนั้นผมจะเก็บความลับนี้ไว้ดีกว่า

พอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เข้าห้องไปลาเขาก่อน นอนหลับอุตุด้วยความเพลียจากศึกเมื่อคืน ผิวขาวๆ มีรอยแดงประปราย ดูเปราะบางจนอยากบีบให้แหลก ทำไมเขาถึงน่ารักอย่างนี้นะ หลับเงียบๆ ปากเจ่อๆ ขนตาหนาของเขาช่างสงบเงี่ยม เป็นคนน่ารักโดยเนื้อแท้ จนผมหาข้อเสียไม่ได้เลย หรือผมกำลังหลงกัน? ไม่หรอก! คนทุกคนต่างมีข้อเสีย เช่นอะไรดี? เขาขี้ใจอ่อน? เขาบอบบางเกินไป? เขาขี้เกรงใจเกินไป? นั่นสิ นี่คงเป็นข้อเสียของเขานั่นแหละ

จุ๊บ

“ไปก่อนนะ”

วันนี้เขาไม่มีงาน ผมนัดให้ไปเจอที่เซ็นทรัลตอนห้าโมงครึ่ง อยากดูหนัง แล้วหาอะไรอร่อยๆ กิน ติดที่เขาจะเอาไอ้ฟูไปด้วยหรือเปล่า ยิ่งชอบพาหมาไปเปิดหูเปิดตาในวันที่ตัวเองว่างอยู่ด้วย

“เดี๋ยว~~”

เสียงหวานๆ เรียกผมตอนหันหลังแล้ว
ให้ตาย
จะได้ไปทำงานมั้ยวันนี้
ผมหันกลับไป เจอร่างของคนน่ารักโถมเข้าใส่ ซอกคอมีสบู่กลิ่นสตรอเบอร์รี่จางๆ ผมกดจมูกตัวเองลงไป แล้วโอบแขนรอบตัวเขา

“ทำตัวเหมือนเด็ก”

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้”

“วันนี้วันคริสต์มาสนะ”

ลมร้อนปะทะข้างหูผม พร้อมเสียงกระเส่านิดๆ รู้ทันทีว่าเขาจงใจยั่ว
เขาเคยบอกผมถึงความสำคัญของคริสต์มาสสำหรับเขา หนุ่มลูกครึ่งที่พ่อเสียไปนาน ไม่มีคริสต์มาสแสนสนุกของครอบครัวตั้งแต่นั้น เมื่อมีคนที่เขาไว้ใจ...วางใจ เขาคงอยากฉลองกับผม
สรุปแล้วสถานะของเขากับผมคืออะไรน่ะเหรอ....
ก็ใช่...คบกัน
เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่—ดูเหมือนผมเป็นพี่เขามากกว่า ทั้งๆ ที่ผมเด็กกว่านะ
แล้วก็เป็นครอบครัวไปแล้ว
ได้ไงล่ะ ลูกฟูของผมต้องมีพ่อแม่ครบ ดูมัน...กระดิกหางอ้อนใหญ่เลย ไม่อยากให้ไปทำงานเหมือนกันสิท่า

“ก็ได้ๆ”

เขาร้องดีใจเป็นเด็กๆ จากนั้นจึงวิ่งหายไปในห้องน้ำ เอาไอ้ฟูไปด้วย ส่วนผมเปลี่ยนชุด ดัดเสียงเหมือนคนป่วย เพราะแพ้อากาศ แพ้ควันพิษที่ลอยอยู่เต็มกรุงเทพฯ แล้วโทรบอกหัวหน้า
เป็นคนเกเรสักวันหนึ่งคงไม่ผิดใช่ไหม



หลังจากนอนจิบชาคาโมมายล์ได้สักพัก คนตัวหอมก็เสด็จออกจากห้องน้ำได้สักที อันที่จริงเขาไม่ต้องอาบน้ำใหม่ก็ได้ ตัวยังหอมอยู่เลย คนบ้าอะไร

“ดูหนังกันมั้ย”

เขาชวน หมายถึงหนังออนไลน์

“แต่เช้าเนี่ยนะ?”

ไม่รู้สิ เพราะตื่นเช้าเกินไป ผมเลยยังไม่มีแผนในหัว

“อื้ม เน็ตฟลิกมันเพิ่งลงเรื่องใหม่”

เขานอนลงข้างๆกัน ดึงผ้าห่มไปห่มจนมิดคอ หมาน้อยก็กระโดดขึ้นเตียงมาเบียดพวกเราด้วยความหนาว ผมวางถ้วยชาลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วเปิดหนังดูตามแววตาอ้อนวอนของเขา ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจก็เหมือนหมา เขาน่ารัก ซื่อสัตย์ และมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ
ตั้งแต่เราตกลงคบกัน ผมเริ่มเห็นตัวตนของเขามากยิ่งขึ้น (หรืออาจจะเพิ่งสังเกต) เขาเป็นคนขี้อ้อนและรักการสกินชิพ ...พอๆ กับผม ที่เพิ่งมารู้สึกว่าทำไมเราชอบกอดเขาจังวะ?
ตัวเขาหอม ไม่แข็งมาก ผิวก็เนียน แก้มใส มีเลือดฝาด มันน่าหอม น่าฟัด น่าบีบไปหมด



.....เราคงโชคร้ายไปหน่อยที่เปิดหนังที่ไม่ใช่แนวทั้งคู่ การดำเนินเรื่องเนิบนาบ บทแปลกประหลาด ไม่สมเหตุสมผล
ผมถอนหายใจ มองเขาที่นอนตาปรืออยู่ข้างๆ

“เสียดายพระเอก”

เขาเหลือบตามองผม ยิ้มนิดๆ เป็นธรรมชาติ

“เสียดายความหล่อใช่มั้ย”

บีบแก้มนิ่มด้วยความหมั่นไส้
จุ๊บ
แล้วจูบปากเขา 
เพียงแค่ปากแตะปากก็จุดไฟของเราสองให้โหมกระพือ ขาเราเสียดสีกันมานานแล้ว เพียงแค่ยังเซ็งกับหนัง จึงยังไม่มีใครเริ่ม
ผมเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาก่อน อากาศในห้องเย็นจัด จึงไม่มีใครกล้าออกจากผ้าห่มผืนนี้ แต่เดี๋ยวสักพักผมจะทำให้มันร้อนเอง ด้วยการถอดกางเกงขาสั้นแค่พอปิดแก้มก้นตัวนี้ ชอบใส่นักไอ้ชุดโป๊ๆ ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นฝรั่ง ไม่ค่อยสนใจเรื่องพรรค์นี้เท่าไหร่ แต่ผมน่ะมันชายไทย ที่ส่วนใหญ่มีนิสัยหวงแฟน!

“อ๊ะ!”

ผมบีบแก้มก้นนุ่มนิ่มของเขาทั้งสองข้างพร้อมกัน แล้วจับมันเพื่อลากเขาให้นอนในแนวราบจากที่นอนแบบเอนตัวดูหนัง

“ขอกินหน่อยนะ”

ถกเสื้อเขาขึ้น ฉกชิมยอดลูกสตรอเบอร์รี่หวานหอมทั้งสองลูก

“อือ...อ..โอม”

ผมกัด เลีย ดูด ทำสลับไปมาด้วยความบ้าคลั่ง จากผิวที่แดงอยู่แล้ว ก็เกิดเป็นรอยแดงช้ำ ใหม่ๆ มันก็สวย แต่หลังจากนี้มันจะเริ่มน่ากลัว และเขาชอบบ่นอยู่บ่อยๆด้วยอาชีพที่ต้องเปิดเนื้อหนังมังสา แต่ผมไม่แคร์ ตราบใดที่ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเมคอัพ ผมก็จะดูด จะกิน ให้หนำใจ

“โอ๊ย!”

ผมกัดติ่งหูที่ใส่หมุดเงินแท้เอาไว้ แหย่ลิ้นเขาไปเลียและดูดดึงความอ่อนของมัน  เขาขนลุกจนผมสัมผัสได้ พยายามย่นคอหนีตามสัญชาตญาณ ผมจึงปล่อยจากจุดนั้นมาเป็นปากแทน
ผมสอดลิ้นเข้าไป ไล้ตามแนวฟัน แล้วหยอกเล่นกับลิ้นน่ารักๆ ของเขา เสียงปากประกบกันดังขึ้นตามแรงอัด แต่คงสู้เสียงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ได้

เขาร้องครางในคอ เล็บจิกหลังผม เจ็บและแสบมาก แต่อารมณ์ช่วงล่างมันเหนือกว่าอะไรทั้งหมด ผมจับสะโพกเขาให้ยกขึ้น หยิบหมอนใบเล็กมารองไว้ ท่านี้จะทำให้เขาและผมสบายที่สุด ก่อนจะจับลูกชายตัวเขื่องออกมาทักทายทางเข้า ให้ลูกคายน้ำใสๆ ออกมานิดหน่อย ถูหัวลูกกับช่องทางนั้น แล้วลากขึ้นลง บอกเลยว่าสูตรนี้ทำเขาร้องระงม-อ่อนระทวย เรียกหาแต่ลูกของผมมากกว่าลูกหมาฟูเสียอีก

“ฟั*มี! อือ...พลีส...”

“ฟั*คยูเหรอ? No!

“โอ้ว พลีส โอม พลีส~ I can do anything. I can do anything you want.”

“Really?”

ผมแกล้งถามเขาไปอย่างนั้นเอง ใจจริงผมก็อยากฟั*!จะตาย ลูกชายผมแข็งเหมือนไม้คมแฝกแล้ว
เขาเกี่ยวเอวผมด้วยขาเรียวสวย ดันมันให้เนื้อเราแนบกัน หน้าท้องเรานาบกัน ทั้งยังเกี่ยวคอผมไปจูบ ผมก็ไม่ไหวแล้ว ยกเอวออกเล็กน้อยเพื่อจับลูกให้อยู่ตรงๆ แล้วดันลูกชายเข้าไปในช่องทางอันคับแน่น
ความรู้สึกดีแผ่ซ่านตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ

“อ....โอม—แรง..แรงเลย”

ตามใจเขาอยู่แล้ว
จัดไปสิครับ

“อ๊ะ! อ๊ะ! อ้ะ..”

ผมกระแทกเอว ย้ำจุดที่ทำให้เขารู้สึกดีไม่ลดละ เขาเสียวจนปากค้าง เล็บจิกไปทั่วแผ่นหลัง เหมือนคนกำลังจะขาดใจ แต่ผมชอบเหลือเกิน ได้เห็นเขามีความสุขอย่างนี้ ผมก็ย้ำเอวเข้าถี่ๆ กัดไหล่เขา กัดปากเขา เสียงเนื้อกระทบกันหยาบโลน แต่เสียงครางของเขากลบมันเกือบมิด เขาครางจนรู้สึกได้ว่าคอต้องแห้งแน่

“โอม....ไม่ไหวแล้ว!”

ร่างกายเขาแดงทั้งตัว ปลายเท้าเหยียดเกร็ง มือเริ่มนิ่ง ผมรีบเน้นจังหวะนั้นแรงๆ หลายที กดเอวตัวเองให้ลึกที่สุดเพื่อให้โดนจุดเสียวของเขาอย่างถึงแก่น ก่อนร่างบางจะกระตุกสองที แล้วสบถ

“ฟั*!!!”

ผมพักหายใจสามวิ แล้วจึงขยับเอว ทำต่อให้ตัวเองถึงฝั่ง ส่วนเขาร้องครวญครางบอกว่าไม่ไหว เสียงเริ่มแหบลงๆ ด้วยผมยังไม่ยอมเปลี่ยนท่า ดังนั้นไอ้ลูกชายตัวแสบจึงยังโดนจุดที่เขารู้สึกดีอยู่ ผมกระแทกเอวถี่ๆ จนเหมือนลืมว่าตัวเองเป็นคน แต่เป็นกระต่าย กระทั่งหยาดแห่งความสุขพวยพุ่งใส่ตัวเขา และเขาก็ถึงอีกครั้ง ผมจึงพอด้วยความเหนื่อย อย่างน้อยๆ จุดนี้ก็ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เป็นกระต่ายจริงๆ

“แม่ง..”

เป็นผมที่สบถบ้าง
ร้อน!
ผมเหวี่ยงผ้าห่มออกไป ลุกขึ้นจากเขาที่ยังแยกขาค้างไว้ วิญญาณคงสลบไสลไปแล้ว ที่เหลือไว้มีเพียงกายหยาบ กะพริบตามองผม
ผมไม่มองเขา...ผมสนใจช่องทางคับแน่นที่ของเหลวขุ่นกำลังไหลออกมาเหมือนดูงานศิลปะ ผมชอบมองด้วยความปลาบปลื้ม คงเป็นความโรคจิตของผมเอง และเขาก็เต็มใจที่จะให้ผมมอง เพราะอีกไม่นาน มันจะต้องถูกกำจัดออกไป เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเขา

“อยากต่ออีกรอบอ่ะ”

ปากไม่มีหูรูดของผมเอ่ยอย่างเกรงใจ(?)

เขาไม่ใช้เสียงตอบ คาดว่าคงจรไปกับคลื่นอารมณ์เมื่อครู่แล้วจริงๆ จึงทำเพียงพยักหน้า ปากเจ่อๆ พยายามยิ้ม แม้จะเหนื่อยเต็มทน
จะน่ารักไปถึงไหนวะ!
อยากจะบ้าตาย ผมอยากกินเขาไปทั้งตัวเหมือนในเพลงของพี่แจ้ ไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกเงี่*นเท่านี้มาก่อน จนได้มาเจอเขานี่แหละ

“โอเค อีกรอบนะ”

ผมโถมตัวใส่เขาอีกครั้ง แต่งเพลงรักของเราสองคนจบไปหลายเพลง
ถ้าคืนนี้ยังมีแรง ผมจะแต่งเพลงคริสต์มาสตามกระแสนักร้องฝั่งตะวันตกบ้าง





พอบ่ายหน่อย ผมก็พาสุดที่รักทั้งสองไปทานข้าวร้านประจำ เป็นร้านอาหารทะเลแบบเปิดโล่ง เขาจึงให้หมาเข้าได้ น้องฟูของเราชอบร้านนี้มาก เพราะมีสนามให้วิ่ง มันเป็นสนามเด็กเล่นธรรมดานี่แหละ แต่วันธรรมดาแบบนี้ไม่มีเด็กสักคน

“ร้อนอ่ะ”

บ่นใหญ่แล้วคนน่ารัก ทำไงได้ล่ะบนตัวเขามีแต่รอยแดงเต็มไปหมด จำต้องใส่เสื้อที่ปิดมาถึงคอ ใส่ซีทรูของชอบก็ไม่ได้ มันเป็นแผนของผมเองแหละ ถ้าไม่ทำนะ น่ากลัวว่าคืนนี้จะใส่ซีทรูไปงานคริสต์มาส
ผมบอกให้เขาใจเย็นๆ บอกเด็กเสิร์ฟว่าขอพัดลมอีกตัวได้ไหม ไหนๆ ร้านก็ไม่มีคนอยู่แล้ว ด้วยความที่เราเป็นเจ้าประจำและหน้าตาดีมาก เขาจึงยอมให้ เขายิ้มร่าเมื่อมีพัดลมมาจ่อถึงสองตัว และยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อกุ้งเผาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดมาถึง
เขาแกะกุ้งให้ผมตามปกติ และเผื่อแผ่ไปยังลูกที่ชอบกินกุ้งกับปลาหมึกมาก มันชอบอาหารทะเลทุกอย่างยกเว้นหอย ของโปรดคือปลาหมึก กินได้ตั้งแต่หมึกต้มไปจนถึงหมึกแห้งย่าง

“แล้ววันนี้จะดูหนังเรื่องอะไร”

ผมถามแพลนของเย็นนี้ แต่ไม่คิดว่าจะได้ดู เพราะมีหมา

“ไม่ดูได้มั้ยอ่ะ จะเอาที่รักไปไว้ไหน”

ถ้าพูดว่าเอาไปฝากร้านฝากหมาสิ เขาต้องเคืองแน่ ก็รู้ว่ารักหมาขนาดไหน ถ้าคบกับเขา ก็ต้องรักหมาของเขา แต่ผมก็รักลูกฟูจริงๆ เป็นหมาเรียบร้อย เชื่อฟัง เลี้ยงง่ายมาก แต่ก็ติดเจ้าของ (หรือที่จริง เรียกว่า เจ้าของติด มากกว่า)

“ก็ได้ แล้วจะไปเซ็นทรัลเหมือนเดิมมั้ยล่ะ”

เขาส่ายหน้า

“ไปจนเบื่อแล้ว—เราไปซื้อของมาแต่งห้องพี่กันดีกว่า ไม่ได้ทำนานมากกกกกกก”

ผมขำกับการลาก กอ ไก่ ล้านตัวของเขา แต่ไม่ลืมเห็นดีเห็นงามด้วย ฟูมันมีรถเข็น เอาเข้าห้างซื้อของได้สบายอยู่แล้ว เขาบอกว่าจะจ่ายเอง ก็ตามใจนะ อันที่จริงผมไม่ใช่คนขี้งกอะไร แต่ผมก็ไม่มีเงินที่จะมาซื้อของในเรทราคาเดียวกับเขาได้ ผมมีเงินเดือนสูงก็จริง เพราะพูดได้ถึงสี่ภาษา และทำมาตั้งแต่เรียนจบ แต่มันก็ไม่เท่าเขาอยู่ดี
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยฝันไปทำอย่างอื่นที่เงินเดือนมากกว่า อย่างพวกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เพียงแต่ผมชอบอยู่เมืองไทย มันสบายใจกว่า อีกอย่างคือ ไม่ชอบขึ้นเครื่องบิน
เขาบอกว่า เวลาซื้อของ แค่ไปยืนเลือกข้างเขา แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว

“กินเยอะๆ น้า”
ได้สิ จะกินเยอะๆ เลย

“ที่รักของพ่อจะได้โตไวๆ”
อ้าว! พูดกับหมาหรอกเหรอ พูดกับหมาเป็นตุเป็นตะ พูดจนมันเห่าเป็นเสียงชื่อตัวเอง
ให้ตาย
มันเห่าคล้ายคำว่า ‘ขิง’ จริงๆ
ผมอัดคลิปไปให้ใครต่อใครดู ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน พอมันเห่าอย่างอื่นจะไม่ใช่เสียงนี้เลยด้วย

“ปีใหม่นี้ขิงคงกลับไปหาแม่ใช่มั้ย”

ผมเอ่ยถามเรื่องสำคัญที่สุดออกไป การได้นับถอยหลังสู่ปีใหม่ด้วยกันกับคนที่เรารัก ผมฝันมานานแล้ว

“ไม่ๆ”

“ทำงานเหรอ”

“มีวันสิ้นปีวันนึง แต่ว่าพี่จะไปหาโอมที่บ้าน ได้มั้ย? นะโอมนะ”

“แล้วแม่ขิงล่ะ”

เขาทำเสียงฟึดฟัด ก่อนจะย้ายมานั่งข้างผม แล้วกอดแขน เอาหน้าไถๆ คิดว่าเป็นแมวมั้ง

“แม่จะไปด้วย เขาอยากเจอพ่อแม่โอมอ่ะ พี่ก็อยาก ครั้งที่แล้วทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“เขาเข้าใจว่าไม่สบาย”

“คนไม่สบายก็ทำตัวดีกว่านั้นได้”

“ไม่หรอก”

“นี่โอมอยากให้พี่ไปมั้ยเนี่ย”

คิดไปนั่น ผมน่ะอยากอยู่แล้ว

“อยากสิ ไปถูกนะ? หรือผมจะรอขิงเลิกงานก่อนดี?”

“ไปถูก ถ้าหลงก็โทรถามเอา—พี่มันไม่มีเสน่ห์ปลายจวัก ไม่มีสกิลแม่บ้านแม่เรือน เอาแม่พี่ไปคุยกับแม่โอมดีแล้ว เพราะช่วยฆ่าเวลาให้พี่”

“ร้ายนะเรา จริงๆ แค่ยิ้ม แม่สะใภ้ก็หลงแล้ว”

“คิก....ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบโอมจะเรียกแม่ตัวเองว่าแม่สะใภ้แล้ว—พี่ดีใจจัง—ความสุขมันล้นจนพี่จะอกแตกตายแล้วโอม ถ้าวันหนึ่งมันไม่เป็นแบบนี้ขึ้นมา พี่จะทำไงดี”

เฮ้อ! อย่าว่าแต่เขาเลย
ผมก็คิดอยู่ตลอด
ทำไมมันมีความสุขจังวะ สุขจนไม่แน่ใจว่าความสุขจากการคบคนที่ผ่านมามันจริงหรือเปล่า

“ไม่ต้องทำอะไรหรอก”

ผมเชื่อใจตัวเอง ว่าจะไม่ทำให้เขาเสียใจ






ต้นคริสต์มาสปลอมสูงแค่หน้าอกเรากำลังถูกประดับด้วยของกระจุกกระจิก ทั้งดาว ทั้งตุ๊กตาตัวเล็กๆ เขาไม่ลืมสรรหาตุ๊กตาหมาพูเดิ้ลมาประดับเพื่อเป็นตัวแทนของฟู ซึ่งตอนนี้ไอ้หมาน้อยของเรานอนหลับเพราะเที่ยวมาทั้งวัน

ผมพันสายไฟที่ติดหลอดไฟวิบวับดวงเล็กๆ กับต้นไม้ ทดลองเปิดไฟแล้วพอใจกับความสวยของมันมาก เขายกมือถือถ่ายรูปด้วยความเห่อ

“พ่อต้องอิจฉาแน่เลย”

อยากย้อนเวลาไปตอนที่พ่อเขายังมีชีวิตอยู่ เขาคงน่ารักมาก คงขี้อ้อนสุดๆ

แต่ตอนนี้...อยากถามเขาว่า ‘ไม่เหงาแล้วใช่ไหม’ มีผมอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่สร้างความทุกข์ใจให้ ...เขาไม่เหงาแล้วสินะ

“โอม พี่อยากกินพิซซ่า”

“หืม...ก็สั่งสิ เอาหน้าอะไร”

“อะไรก็ได้ อยากกินไก่ด้วย”

“จะกินหมดไหม มีกันอยู่สองคน”

“ใช่ที่ไหนล่ะ สองคนกับหนึ่งตัวต่างหาก”

นั่นสินะ
สองคน กับหนึ่งตัว
ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป
ไม่อยากนึกถึงวันที่มีใครสักคนจากไปก่อนเลย โธ่เรา! ท่าจะบ้าแล้วจริงๆ

“เป็นอะไร ร้องไห้?—คิก...ขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่”

ไม่ได้ร้องสักหน่อย ลมแอร์มันเป่าหน้า
ใครจะบ้าร้องไห้เพราะคิดถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดกัน ไม่มีทาง!

“งั้นพี่โทรสั่งพิซซ่าเอง ไปนอนให้ที่รักปลอบเลยไป”




ในอนาคต จำนวนมันจะไม่ลดลง
ผมจะเพิ่มครอบครัวของเรา
เป็นคนสองคน กับหมาอีกหลายๆ ตัว


-จบ-


“โอม~ พี่ซื้อหมวกซานต้ามาให้ด้วยเนี่ย เอาไปใส่เลย ใส่ชุดซานต้าให้ที่รักด้วยนะ”

“แล้วขิงล่ะ ไม่ใส่ชุดซานตี้ที่ผมซื้อมาเหรอ”

“หยุดเลย!”

“โอ๊ย! อะไรวะ ทำไมต้องทำร้ายร่างกายกันด้วย”

“แค่เมื่อเช้าก็จะตายแล้ว”

“ได้น้ำมันเบนซินเกรดพรีเมี่ยมไปตั้งหลายลิตร เครื่องยังไม่ติดอีกเหรอเนี่ย ไหนมาให้ฉีดใหม่ซิ”

“ไอ้บ้า! เขาเรียกเติม!”

“ไม่ปฏิเสธเรื่องถูกเติมน้ำมัน แสดงว่าเต็มใจจะให้ ‘เติม’ อีก”

“โอ๊ย อย่า~”

“เสียงหวานขนาดนี้ ชุดซานตี้ไม่ต้องมีก็ได้”

“โอม~~อ่ะ...”


-จบจริงๆ-





To k.yunnutjae
ใช่ค่ะ55555 เราชอบเคะเรียบร้อย ไม่ใช่แค่เคะหรอก คนทั่วไปเราก็ชอบ ไม่ต้องหวาน เป็นตัวของตัวเอง แต่เรียบร้อย หงิมๆ น่าแกล้งดี  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
ขิงน่ารัก ดีใจที่หนูเจอรักแท้  :mew1:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
แงๆๆ ดีงามไม่ไหวแล้ววว ใจบางมากกๆๆๆ เขินเด้อ  :-[  พี่ขิงคือน่ารักอะะะะะะะ  ครอบครัวสุขสันต์จริงๆๆๆ :z3: ขอบคุณมากๆค่ะ รอเรื่องต่อไปน้า  :กอด1:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
งุ้ยยยยทำไมน่ารักแอบกังวลนิดๆนังโอมคนปากแข็งน้องฟูน่ารักมากเลยค่ะลูกเป็นอีกเรื่องที่เก็บขึ้นหิ้ง

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น่ารักมาก
ชอบทั้งสองคนเลยค่ะ
รู้สึกหลงที่รัก อยากฟัดน้องงงงงง
พอพ้นช่วงหน่วงๆมามันดีมากเลย
 :pig4:

ออฟไลน์ peach

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ๊ยยยย มันดีมาก สนุกจัง ชอบภาษามากเลยค่ะ จะไปอ่านเรื่องอื่นของคนเขียนต่ออีกนะคะ แล้วเขียนมาอีกนะคะ เป็นแฟนคนเขียนแล้ว

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารีกๆๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด