...ระบบอุปถัมภ์...ตอนพิเศษ คริสต์มาส...=> หน้าที่ 48 (24/12/2021)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...ระบบอุปถัมภ์...ตอนพิเศษ คริสต์มาส...=> หน้าที่ 48 (24/12/2021)  (อ่าน 304592 ครั้ง)

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
น้องจิณ ปากร้ายแบบนี้ต้องถูกลงโทษค่ะ
แต่ยังไงก็เอาใจช่วยให้งานสำเร็จนะคะ
จะได้มีแรงใจบอกตัวเองหน่อยว่าอย่างน้อยก็ได้ทำเพื่อพี่เค้า

ออฟไลน์ Blue

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ้โห ตัวประกอบค่าตัวแพง ทรงพลก็โผล่มาแจมในเรื่องนี้ด้วย

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :hao5: :hao5: สงสารทั้งคู่เลยค่ะ

ออฟไลน์ 9008123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารทั้งคู่เลยย เจ็บไม่แพ้กัน แต่จิณนะน่าจะเจ็บสุดเลยเพราะต้องโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายตัดใจ แต่ตัวเองดันตัดไม่ขาดเอง ฮื่อออออ ร้องไห้เวลานี้พรุ่งนี้ตาบวมแน่ๆๆ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
จากสงสารหนึ่งคน ตอนนี้สงสารสองคนเลยค่ะ

ทิศไม่ผิดที่ยอมรับกระสุนแทน เพราะความรัก
ทิศไม่ผิดที่ยังผูกใจ และสงสัยว่า จิณหายไปไหน
หายไปทำอะไร ทำไมไม่ติดต่อมา เพราะคำขอหรอ
แต่พอได้ยินวันนี้ จากคำอธิบาย กลายเป็นตัดขาด
พี่ทิศจะทนรับไหวได้ยังไงกัน

จิณที่ทุ่มเททำมา มันคุ้มค่าไหม กับใจที่หายไป
ไม่อยากให้พี่เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ไม่อยากให้ต้องเจ็บตัวกันอีก
แต่คำตัดขาดแบบไร้เยื่อใยนี้ จากแค่เจ็บ อยากให้ชังกันเลยหรอ

ทั้งพ่อ ทั้งลุง ทั้งน้อง ลุ้นช่วยให้ดีขึ้น แต่คำของจิณ
ดับฝันพี่ทิศหมดเลยจ้า ไม่มีคำใดได้เอ่ยต่อ

ออฟไลน์ IaminLove

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-5
เดี๋ยวตาจิณจะต้องโดนพี่ทิศลงโทษให้หนัก เด็กอะไรใจร้ายจัง ฮือออ ร้องไห้ตามเลย

ออฟไลน์ mox2224

  • :นักเขียนสมัครเล่น:
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เฮ้อ สั้นๆนะคะ งี่เง่าค่ะ

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นังจิณ นั่นปากหรือตูดยะทำไมถึงไปพูดกับพีทิศเค้าอย่างนั้นนนน
ถ้าเจอกับพี่ทิศรอบหน้าขอฝากพี่ทิศเตะสักป้าปนะ...หมั่นไส้เหลือเกิน

ออฟไลน์ little_def

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารพี่ทิศก็สงสาร  :heaven
แต่สงสารน้องจิณมากเหมือนกัน รักก็รักมาก แต่ไม่อย่กให้เค้าลำบาก อยากได้น้องจิณคนดีคนเดิมคนดื้อตาใสกลับมาแล้วค่ะคุณบัว :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เอ้าาาาา รอยาว สงสารจินมากกว่าคุณทิศว่ะ
เปิดมา ไม่เจอนิยายนี่มันช่างอยากจะร้องไห้ ค้างแบบมากๆ

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 822
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กรี๊ดกร๊าดมากตอนเห็นทรงพลในเรื่อง  :o8: อยากให้เปิดอกคุยกันเร็วๆแล้ววว

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
…………………..
ตอนที่ 17


หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ก็กลายเป็นประเด็นที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจอีกครั้ง เมื่อจับตัวไพศาลอดีตผู้มีอิทธิพลและเป็นหนึ่งในขบวนการได้ที่ชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน


ไพศาลในสภาพทรุดโทรมทั้งตกตะลึงและหวาดหวั่นที่ถูกจับ แต่มีเรื่องอีกมากที่เขาต้องหวาดและหวั่น เพราะจิณณะใช้ทนายความมือดีที่สุดที่มีในการทำคดี หนำซ้ำไพศาลผู้เคยร่ำรวย หน้าใหญ่ใจกว้าง จู่ๆก็กลายเป็นคนหมดเนื้อหมดตัว เงินทองทรัพย์สมบัติที่หามาได้ หากไม่ถูกอายัดก็ถูกลูกน้องยักยอกไปแล้ว แม้จะยังมีลูกน้องที่จงรักภักดี แต่ก็ล้วนกลัวตายไม่กล้าให้ความช่วยเหลือ เพราะลูกพี่เกี่ยวข้องกับคดีใหญ่ จะวิ่งเต้นหาคนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำชู ก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มองไปทางไหนก็ไม่มีเส้นสายหลงเหลือ ทางนั้นก็สายของคุณเทียม ทางนี้ก็สายของคุณกอบกุล จะวิ่งหาสายอื่น ก็ล้วนไม่มีใครอยากเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับคนที่ยังพัวพันกับคดีค้ามนุษย์และคดีจ้างวานฆ่าซึ่งเกี่ยวข้องกับทายาทของคุณเทียมและคุณกอบกุลไปพร้อมๆกัน


ไพศาลในเวลานี้ไม่ต่างจากเหลือแต่กระดูก เนื้อหนังหมดประโยชน์จะเถือกินอีกแล้ว แม้แต่ศาลยังไม่ให้ประกันตัวเพราะพฤติการณ์หลบหนีก่อนหน้านี้ แม้จะเพียรบอกว่าถูกจับตัวไปกักขัง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ สุดท้ายชีวิตของอดีตผู้มีอิทธิพลจึงไปสิ้นสุดที่หลังลูกกรง


หมดสิ้นอันตรายที่จะรุกล้ำเข้ามาในชีวิตแล้ว แต่จิณณะยังคงใช้เวลาในแต่ละวันอยู่กับการช่วยงานบิดาและติดตามเรื่องคดีไปพร้อมๆกัน แม้เวลานี้ไพศาลจะอยู่ในเรือนจำในฐานะนักโทษฝากขัง แต่กระบวนการพิพากษายาวนาน ไม่รู้ว่าเมื่อคดีสิ้นสุด ไพศาลจะติดคุกอีกสักกี่ปี หากได้รับอภัยโทษ มันก็คงออกมาสูดอากาศข้างนอกได้เร็วขึ้น แล้วคนอย่างนั้นไม่มีทางปล่อยให้เขาหรือพิทักษ์อยู่อย่างสงบ


อย่างที่คุณกอบกุลเคยบอก เรื่องนี้หากไม่อยากแพ้ก็ต้องชนะ อีกทั้งยังเป็นชัยชนะที่ต้องแลกมาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งลมหายใจของคนแพ้อีกด้วย


“พี่จิณ...” เสียงเรียกดังขึ้น ทำเอาจิณณะที่กำลังใช้เวลาว่างในช่วงบ่ายวันเสาร์อยู่กับการอ่านฎีกาคดีจ้างวานฆ่าอื่นๆและประมวลกฎหมายต่างๆต้องเงยหน้ามอง


จารีตเดินเข้ามาหา เหลือบตามองเอกสารตรงหน้าพี่ชายเล็กน้อยแล้วก็นึกสงสาร จิณณะไม่ได้ปิดบังใครว่าเขาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดการคดีจ้างวานฆ่า หนึ่งเพราะเป้าหมายที่แท้จริงของคนจ้างวานคือเขา และสอง...เพราะคนที่ถูกยิงคือพิทักษ์


ใครๆก็รู้ว่าเหตุผลข้อสองมีน้ำหนักกว่าข้อแรก เพียงแต่...ไม่มีใครพูดอะไร


“อ่านหนังสือเยอะกว่าสมัยเรียนอีกแหะ” จิณณะหัวเราะเบาๆที่ถูกหยอก แต่ก็ดูรู้ว่าเป็นการหัวเราะให้เข้ากับสถานการณ์เท่านั้นเอง


นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะที่แท้จริงของจิณณะ


“มีอะไร วันนี้แกไม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนหรือ”


“อยากออกไปเที่ยวกับพี่บ้าง” คนเป็นพี่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ จารีตเลยเอ่ยปากต่อ “จะมาชวนพี่จิณออกไปหาเหล้ากินกัน”


นับตั้งแต่เกิดเรื่อง จิณณะใช้ชีวิตอย่างตึงเครียด วันๆไม่ทำงานก็ดูเรื่องคดี การออกไปเที่ยวหรือดื่มกินถูกตัดออกจากชีวิตประจำวันอย่างสิ้นเชิง เขาบอกตัวเองว่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ สู้เอาเวลามาทำเรื่องที่เป็นประโยชน์จะดีกว่า


“เพื่อนเลิกคบแล้วรึไง มาชวนพี่”


“ก็กลัวเพื่อนเลิกคบไง เลยต้องพักชวนเพื่อน มาชวนพี่บ้าง ไปเหอะพี่จิณ ผมรู้จักร้านนึง เด็ดมาก เหล้าอร่อยอย่างงี้” ไม่พูดเปล่าแต่คนเป็นน้องยกนิ้วโป้งยืนยันด้วย จิณณะยกยิ้มมุมปาก ไม่อยากย้อนเอาเสียเลยว่าเหล้าร้านไหนก็อร่อยทั้งนั้น ถ้าใจมันอยาก เพียงแต่ตอนนี้ใจเขาไม่อยาก แต่...แขนที่ถูกเขย่าซ้ำไปซ้ำมา ไหนจะไอ้ท่าทางออดอ้อนของน้องชายตัวใหญ่พอๆกัน เห็นแล้วรำคาญตาจริงๆ


“นะพี่จิณ ไปเหอะ วันนี้ผมอยากเหล้ามากเลย แต่เพื่อนไม่ว่างสักคน”


“แล้วแกเห็นพี่ว่างรึไง”


“ก็เห็นว่าไม่ว่างเหมือนกัน แต่พี่ไม่ว่างให้ผมมานานแล้วเปล่าวะ วันนี้ยอมว่างเพื่อผมสักวันดิ” ลูกคนเล็กย่อมมีวิธีในการเอาแต่ใจได้น่าเตะ แต่ก็น่าตามใจไปพร้อมๆกัน จริงอย่างที่จารีตว่า เขาไม่ว่างมานานมากแล้ว หากจะ...ยอมวางทุกอย่างลงแล้วว่างขึ้นมาบ้างสักสองสามชั่วโมง ก็คงจะไม่เป็นไร


“เออๆ ไปก็ไป” เพียงเท่านั้น คนเป็นน้องก็ยิ้มกว้าง


“เยี่ยมเลย งั้นผมจองโต๊ะก่อน”


“หะ? ต้องจองโต๊ะด้วยเหรอ”


“จองสิ ก็ผมบอกแล้วไงว่าร้านนี้เด็ด พี่จิณแต่งตัวหล่อๆเลยนะ ร้านนี้ไม่หล่อ ไม่ให้เข้า” แล้วจารีตก็เดินกดโทรศัพท์ยิกๆจากไป คนเป็นพี่ได้แต่มองตามด้วยความสงสัย แต่จะเรียกน้องชายกลับมาถามไถ่ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจเสียงเรียกของเขาแล้ว


ช่างเถอะ...สมัยนี้อาจจะต้องจองโต๊ะร้านเหล้าแล้วก็ได้...


พอคิดได้อย่างนั้น จิณณะก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขาห่างเหินกับชีวิตสนุกสนานมานานมากแล้วจริงๆ

……………………

ร้าน ‘เตาถ่าน unoriginal’ ตั้งอยู่ในซอยแคบใจกลางเมือง ตัวร้านเป็นบ้านสีขาวขนาดสามชั้นบนพื้นที่กว้างที่ไม่น่าจะเหลือในเขตเมืองหลวงที่ที่ดินมีค่ายิ่งกว่าทอง ชั้นบนสุดมีทั้งส่วนที่เป็นห้องกระจกและเฉลียงประดับไฟ ให้บรรยากาศโรแมนติก ดูแล้วไม่น่าเป็นร้านสำหรับดื่มของจารีตเลย


“ร้านนี้หรือ” จิณณะถามหลังจากลงจากรถแล้วเงยหน้ามองร้านที่น้องชายบอกทางให้พามา ดูจากชื่อร้านและรูปทรงการออกแบบร้านที่เน้นบรรยากาศแนวครอบครัวคู่รักแล้ว ไม่น่าจะเหมาะกับการมาดื่มเลยสักนิด


“ก็ใช่ไง ร้านนี้มัสมั่นอร่อยมากนะ”


“ไหนแกว่าอยากกินเหล้า”


“ก็อยาก แต่กินข้าวก่อน แล้วค่อยกินเหล้า ร้านนี้ของคาวอร่อย เครื่องดื่มยิ่งโคตรอร่อย ขาหมูเยอรมันนี่ยังงี้”


“แกมาบ่อยหรือ”


“ไม่บ่อย แต่ถูกใจเจ้าของร้าน” จารีตพูดทำเอาคนพี่ถึงกับกะพริบตาปริบๆ น้องชายหัวเราะก๊าก “หมายถึงถูกใจฝีมือทำอาหารกับความเกรียนเจ้าของร้าน เห็นบอกว่าร้านเดิมของที่บ้าน แม่ไม่ยอมให้ขายค็อกเทล เลยมาตั้งร้านใหม่ แต่ใช้บารมีชื่อร้านเดิม เพราะกลัวขายไม่ออก” น้องชายชักออกทะเล จิณณะเลยต้องตั้งคำถามเพื่อดึงกลับมาที่เรื่องอาหาร


“แล้วสรุปอาหารอร่อยจริงไหม” จิณณะถามพลางกวาดตามองไปรอบๆบริเวณที่จอดรถ นอกจากรถของเขาแล้วก็มีรถยุโรปอีกคันหนึ่งจอดอยู่เท่านั้นเอง ทั้งๆที่หกโมงเย็นแล้ว


“จริงสิ ร้านนี้ถ้าวอล์กอินไม่ได้กินนะ” คนเป็นน้องพูดแล้วยักคิ้ว ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำเข้าร้าน แจ้งชื่อที่โทรมาจองโต๊ะก่อนจะถูกบริกรพาเดินนำไปขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นเฉลียงและห้องกระจก


โต๊ะที่จารีตจองเป็นโต๊ะในโซนเฉลียงซึ่งมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งอย่างห่างๆเพื่อความเป็นส่วนตัว มีเสาไฟประดับด้วยไฟระยิบผนวกกับลมเย็นสบายพัดผ่านแทบจะตลอดเวลา หนำซ้ำยังอยู่ในซอยแคบซึ่งแม้จะอยู่ใจกลางเมืองหลวงแต่ก็ไม่วุ่นวายโหวกเหวก ยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นและสบายให้กับลูกค้า


จารีตเป็นคนจัดแจงสั่งอาหาร ในขณะที่จิณณะพลิกเมนูไปมาแต่สุดท้ายก็ไม่สั่งอะไร ดูเหมือนเขาจะปล่อยวางความอยากไปนานแล้ว เพราะแม้จะมีรายชื่ออาหารและเครื่องดื่มเรียงรายแต่กลับไม่มีความอยากแม้สักนิด


“พี่จิณเอาอะไรเพิ่มไหม” เสียงของน้องชายทำให้คนพี่เงยหน้ามองก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ ตอนนั้นเองที่จิณณะเพิ่งรู้ตัวว่าร้านที่เงียบสงบเริ่มมีลูกค้าประปรายแล้ว มีทั้งโต๊ะครอบครัวหกเจ็ดคน และโต๊ะคู่รัก


จารีตหันไปสั่งขาหมูเยอรมันเพิ่มอีกอย่าง ก่อนจะให้บริกรนำรายการอาหารไปส่งครัว จากนั้นจึงหันมาทางพี่ชายของตนเอง เห็นท่าทางนิ่งเฉยดูไม่หืออือกับอะไรเป็นพิเศษแล้ว คนน้องก็ยิ่งสงสาร เวลานี้แม้ไพศาลจะไปไหนไม่รอดแล้ว แต่จิณณะยังคงมุ่งมั่นอย่างไม่ลดราวาศอก ราวกับถ้าไม่ถึงศาลฎีกาจะไม่ยอมวางมือ


หากไพศาลติดคุก จิณณะก็ติดหล่ม ตกอยู่ในห้วงของการจัดการคดีอย่างไม่จบไม่สิ้น


“คนเริ่มเยอะแล้วเห็นไหม ผมบอกแล้วว่าถ้าวอล์กอินไม่มีทางได้กิน” ข้อเสียของการมากันแค่สองคนคือไม่รู้จะคุยอะไรดี หนำซ้ำยังเป็นสองคนที่เป็นพี่น้องผู้ชายอีกต่างหาก ทั้งๆที่เป็นคนพูดเก่งทั้งคู่ แต่เวลานี้จารีตเองก็คิดไม่ออกว่าเขาควรจะชวนคุยเรื่องอะไรดี ในเมื่อมีเรื่องหนึ่งที่เป็นปมใหญ่ในใจของคนเป็นพี่ สุดท้ายเลยอาศัยพูดเรื่องร้านที่ตนเองพามาเสียเลย


จิณณะยิ้มจาง พยักหน้าเออออยอมรับ


“แล้วแกรู้จักร้านนี้ได้ยังไง ดูแล้วไม่น่าจะเป็นร้านที่แกจะมา” ร้านอาหารแนวครอบครัวที่ดูแล้วไม่เหมาะกับวัยรุ่นอย่างจารีตสักนิด แม้ว่าจารีตจะเป็นลูกหลานตระกูลเศรษฐี แต่ราคาอาหารของที่นี่ก็นับว่าแพงอยู่ดีเมื่อเทียบกับฐานะนิสิตนักศึกษาอย่างเขา


“ก็ร้านเขาดัง พี่จิณน่ะเป็นวัยรุ่นซะเปล่า ตกข่าวไปกี่ล้านเรื่องแล้ว” จารีตไม่มีทางบอกว่าเขารู้จักร้านนี้เพราะญาติห่างๆที่ไม่สมควรจะเรียกว่าญาติเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเป็นคนลากตัวมาคุยธุระที่นี่ เอาจริงๆเขาก็รู้ว่าร้านนี้ดัง แต่ก็ไม่คิดว่าเหมาะกับวัยนิสิตนักศึกษาอย่างเขาเท่าไร แต่ญาติคนนั้นต่างหาก เห็นรีวิวแล้วอยากชิมก็เลยมัดมือชกให้เขามาพบที่นี่เพื่อคุยธุระ เขาก็เลยมัดมือชกกลับให้ ‘หมอต่างจังหวัด’ รายนั้นเป็นคนจ่ายซะเลย


“พี่เลยวัยรุ่นมาแล้ว”


“ใครบอก! ถ้าเรายังหล่อก็แสดงว่าเรายังวัยรุ่นนะพี่!”


จิณณะส่ายหัวอย่างคร้านจะเถียง


“อะไรวะ ทำไมพี่ถอดใจความวัยรุ่นซะแล้วล่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมติวความเป็นวัยรุ่นให้พี่ใหม่”


“ไม่ต้อง”


“ไม่ได้ พี่จิณอายุเท่านี้จะมาเลิกเป็นวัยรุ่นได้ไง ความรู้แรกสุดเลย เป็นวัยรุ่นต้องรู้ว่าชานมไข่มุกร้านล่าสุดในสยามคือร้านอะไร” จิณณะอ้าปากค้าง ถ้าไม่มีโต๊ะคั่นระหว่างเขาและน้องชาย คงได้กระโดดตบหัวจารีตไปแล้ว


“ใครจะไปรู้วะ”


“เดือนที่แล้วใครมาจัดคอนเสิร์ตที่ราชมังฯ”


“พี่ไม่รู้”


“ใครเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีค”


“ไม่รู้”


“บุนเดสลีกา?”


“ไม่รู้”


“วงการเทนนิสล่ะ แกรนด์สแลม ยูเอสโอเพ่น”


“ไม่รู้!”


“อ่ะ งั้นข้ามมาการเมือง ประธานาธิบดีอเมริกาคนปัจจุบันมาจากพรรคอะไร”


“เอ่อ...” จิณณะนิ่งคิด ใครๆก็รู้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันคือใคร แต่พรรคการเมืองต้นสังกัดนี่สิ


“คิดนานไป ถือว่าไม่รู้ ข้ามมาฝั่งเอเชียก็ได้ ประธานาธิบดีจีนล่ะ”


“เอ้อ...” คุ้นๆว่า...


“ถ้าบอกว่าเจียงไคเช็ค ผมจะโทร.ไปฟ้องพี่ชุน หาว่าพี่ไม่ให้เกียรติเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติจีน”


จิณณะได้แต่ถลึงตาใส่น้องชายปากดี เขายังไม่ทันตอบก็หาเรื่องขู่กันแล้ว แต่สุดท้ายคนพี่ก็ถือโอกาสไม่ตอบนั่นล่ะ เพราะตนเองก็ไม่แน่ใจนักว่าชื่อประธานาธิบดีจีนคนปัจจุบันที่คิดว่าคุ้นจะยังเป็นคนปัจจุบันอยู่หรือไม่


“โอเค ยกเลิกคำถามการเมืองก็ได้ เอาเบาๆ ดาราไทยคนไหนเพิ่งแต่งงาน”


“ไม่รู้เว้ย! ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่วัยรุ่น” น้ำเสียงติดฉุนและสีหน้าหงุดหงิดใจเล็กๆ บอกให้รู้ว่าจิณณะไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ แม้ดาราคนล่าสุดที่เพิ่งประกาศแต่งงานจะกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ก็ตามที แต่...เขาก็ยังไม่รู้


“มันไม่ใช่ที่ว่าพี่ไม่ใช่วัยรุ่น พี่ก็เลยไม่รู้ แต่เป็นเพราะพี่ไม่สนใจเรื่องอื่นๆเลย ก็เลยไม่รู้ต่างหาก” คำพูดของจารีตทำเอาคนเป็นพี่นิ่งงัน


โลกเปลี่ยนไปทุกวันโดยที่จิณณะไม่ทันได้ใส่ใจกับมันเลย เพราะเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มให้กับเรื่องบางเรื่อง


...หมกมุ่น จมจ่อม ราวกับไม่ได้ผุดได้เกิด...


“แกก็เห็นว่าพี่ไม่ว่าง จะมีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นได้ยังไง” จิณณะแย้ง ถึงแม้จะรู้แก่ใจว่าที่ต่อให้มีเวลาเขาก็สนใจอยู่เพียงแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น


“ผมเห็น แล้วผมก็รู้ว่าพี่เหนื่อย แต่ที่ผมไม่รู้คือทำไมพี่ถึงยอมเหนื่อยโดยที่ไม่มีความสุข”


“แกรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่มีความสุข”


“พี่ยิ้มครั้งล่าสุดเมื่อไร”


“พี่ก็ยิ้มอยู่ทุกวัน”


“ผมหมายถึงยิ้มจริงๆ พี่อย่าบอกว่าทุกวันนี้ที่พี่ยิ้มมันมาจากใจพี่ ทั้งๆที่พี่ก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่” คนเป็นพี่เถียงไม่ออก รู้สึกเหมือนคำพูดของน้องชายกำลังบีบหัวใจเขาอย่างช้าๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำปากแข็งย้อนถามกลับไป


“แกจะพูดอะไร”


“พี่จิณยอมเหนื่อยเพื่อพี่ทิศ แต่พี่กลับทิ้งพี่ทิศ”


“พี่ไม่ได้ยอมเหนื่อยเพื่อใคร”


“อย่าเถียงสิ มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าทำไมพี่ถึงทุ่มขนาดนี้ เพราะพี่ทิศโดนหางเลขใช่ไหมล่ะ” จิณณะไม่โต้แย้ง เพราะรู้ดีว่าเถียงไม่ขึ้น ไพศาลหมายหัวเขาก็จริง แต่พลาดเป้าไปโดนพิทักษ์ ทางครอบครัวพิทักษ์น่าจะเป็นคนจัดการคดีนี้ แต่คนที่เต้นยิ่งกว่าเจ้าเข้ากลับกลายเป็นเขา


“พี่ทิศคือคนสำคัญของพี่ ทำไมไม่กลับไปหาเขา”


“แกไม่เข้าใจ เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ได้เกี่ยวแค่เฉพาะคนสองคน...”


“ผมรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่คนอีกหลายคนที่เกี่ยวกับเรื่องของพี่และพี่ทิศก็คนที่เรารู้จักทั้งนั้น ทำไมไม่ไปหาเขา ไปพูดไปอธิบายให้คนพวกนั้นเข้าใจว่าพี่รู้สึกยังไงกับพี่ทิศ พี่พร้อมจะดูแลพี่ทิศ พี่พร้อมจะทำทุกอย่างให้พี่ทิศมีความสุข พี่ทุ่มเทให้กับคดีของไพศาลก็เพื่อพี่ทิศ เห็นๆกันอยู่ว่าพี่ทำเพื่อพี่ทิศขนาดไหน ถ้าจะมีใครมองข้ามความทุ่มเทของพี่ ผมว่าเขาอคติแล้ว แต่ตอนนี้สิ! มันไม่ใช่อคติของใครทั้งนั้นที่ทำให้พี่กับพี่ทิศแยกย้ายกันไปคนละทาง คนเดียวที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้คือพี่! อคติของพี่ทำให้พี่คิดไปเองว่าทำให้พี่ทิศเดือดร้อน พี่ปิดกั้นตัวเอง ไม่ใช่เป็นเพราะคนอื่นขัดขวางพี่กับพี่ทิศ”


จิณณะนิ่งงัน ได้แต่เอนหลังพิงพนักอย่างหมดท่า สภาพของเขาในเวลานี้ไม่ต่างจากสภาพของไพศาลตอนหมดท่าเมื่อถูกจับเลย


“พี่จิณ...กลับไปหาพี่ทิศเถอะ อย่าทิ้งความสุขของตัวเองไปเลย”


จิณณะเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มลูกค้าในห้องกระจกใกล้ๆ ชายหนุ่มหนึ่งในกลุ่มนั้น ต่อให้จะเห็นแค่ด้านหลัง เขาก็จำไม่ลืม


จารีตหันมองตาม กำลังคิดว่าตนเองควรจะแสดงท่าทีตกใจอะไรบ้างไหมที่มีความบังเอิญเกิดขึ้นในโลกใบนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าคนที่เขาอุตส่าห์พาพี่ชายมา ‘บังเอิญ’ ให้เจอกันในร้าน กลับมีหญิงสาวคนหนึ่งโผมาเกาะแขนอย่างสนิทสนม


...อ้าว...ไอ้พี่ทิว! พาพี่ทิศมายังไงให้มีผู้หญิงติดตัวมาด้วยวะ!...


“เอ่อ...ผมว่า...ไม่ใช่พี่ทิศหรอกมั้ง...สงสัยคนหน้าเหมือน” จารีตหันกลับมาบอกพี่ชายแล้วยิ้มแห้ง สาธุในใจสามทีให้จิณณะเห็นด้วย ทว่าคนเป็นพี่กลับส่ายหน้า ต่อให้ร้านสลัว ต่อให้เห็นแค่ข้างหลัง ต่อให้จะเห็นจากที่ไกล อย่างไรก็จำได้


...ชีวิตนี้ไม่มีทางลืม...


“เขามีชีวิตที่ดีไปแล้ว อย่าให้พี่ต้องกลับไปสร้างความเดือดร้อนให้เขาอีกเลย” จิณณะเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มจางราวกับตัดใจ แล้วเบี่ยงสายตาจากภาพที่เห็นนั้นออกไปยังนอกเฉลียงแทน จารีตเห็นท่าทางหมองเศร้าของพี่ชายแล้วก็พลอยพูดไม่ออก หันกลับไปมองยังห้องกระจกนั่นอีกครั้งก็พบว่าพิทักษ์ถูกบังจากคนอื่นๆในกลุ่มแล้ว เขาหันกลับมาที่โต๊ะ บนหน้าจอโทรศัพท์มีไฟสว่างวาบขึ้นทีหนึ่งพร้อมกับข้อความเข้า


‘เจอกันรึยัง’


...ยังจะมีหน้ามาถาม...


‘พี่ทิศอยู่ในร้านแล้ว’


...อยู่กับผู้หญิงอื่นด้วย...


‘สรุปว่าไง สองคนนั่นได้คุยกันไหม’


จารีตชำเลืองมองพี่ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งกำลังจมอยู่กับวิวนอกเฉลียงซึ่งนอกจากสวนประดับไฟระยิบที่เบื้องล่างแล้ว ก็มีแต่ตึกรามบ้านช่องขึ้นเต็มเอียดไม่เห็นแม้แต่เส้นขอบฟ้า จึงหยิบโทรศัพท์ตนเองขึ้นมากดข้อความส่งกลับไป


‘หมดหวังแล้ว พี่ทิศควงผู้หญิงมาด้วย’


‘ฉห’


...รู้เลยนะว่าย่อมาจากอะไร…


……………………..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2019 22:27:59 โดย Dezair »

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8

ทั้งๆที่อุตส่าห์นัดแนะกับน้องชายของพิทักษ์เป็นดิบดีที่จะสร้างสถานการณ์ให้จิณณะฮึดกลับเข้าไปหาพิทักษ์อีกครั้ง แต่ฝั่งพิทักษ์ไม่เป็นใจ พาผู้หญิงไปทานข้าวในร้านเดียวกันเสียได้ สรุปแล้วสถานการณ์ที่ตั้งใจสร้างนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้จิณณะหดหัวอยู่แต่ในกระดองเข้าไปใหญ่


“โคตรแย่ว่ะพี่ชุน ผมบิ้วท์ไม่ขึ้นแล้ว” หมดหนทางจะช่วยเหลือ แถมอาการยังน่าเป็นห่วงขึ้นเรื่อยๆ น้องชายอย่างจารีตจะไม่ดูดำดูดีก็ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องปรึกษากับญาติทางไกลอย่างชเยนตร์แทน


‘แล้วทางทิศล่ะ’ แม้จะวุ่นวายอยู่กับการเรียน แต่ชเยนตร์ก็ยังให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เขาผละจากหนังสือและเอกสารกองใหญ่ มาสนใจการวีดีโอคอลกับญาติผู้น้องอย่างเต็มที่


“ผมคุยกับพี่ทิว น้องชายพี่ทิศ พี่ทิศก็ยุไม่ขึ้นเหมือนกัน ก็พี่จิณน่ะปากดีหาว่าเขาหมดประโยชน์ เขาจะหน้าด้านกล้ามาหาอีกได้ไง” พูดแล้วจารีตก็หงุดหงิดพี่ชายตัวเอง วิ่งเต้นเรื่องคดีงกๆก็เพื่อพิทักษ์ แต่กลับไปพูดใส่หน้าพิทักษ์ว่าหมดประโยชน์แล้ว ย้อนแย้งที่สุด


“แล้วดูพี่จิณตอนนี้เหอะ เหมือนเวรกรรมตามทัน พูดกับเขาไม่ดี สภาพตัวเองเลยเหมือนผีเข้าไปทุกวัน”


‘แล้วพ่อกับแม่แกว่ายังไง’


ข้อดีอย่างหนึ่งของการกลับมาทำงานที่บ้านคือจิณณะอยู่ในสายตาของโกศลและจรรยาตลอดเวลา แต่ไม่แน่ใจนักว่าการอยู่ในสายตาให้ผู้ใหญ่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ จะเป็นเรื่องดีๆที่สร้างความสบายใจให้บุพการี


“จะว่ายังไง ก็ไม่เห็นว่าอะไรกันสักคำ” จารีตบ่นหน้าหงิก หงุดหงิดใจพ่อแม่ตนเองไม่น้อยที่แม้จะเห็นสภาพของจิณณะแบบนี้แต่กลับไม่ลงมืออะไรสักอย่าง


บิดาไม่ยุ่งเพราะเห็นเป็นเรื่องส่วนตัวของลูก ในขณะที่มารดาเป็นคนเงียบๆ ที่แต่งเข้ามาอยู่ในตระกูลวงศ์กีรติที่มีหัวเรือใหญ่อย่างคุณกอบกุล การออกความคิดเห็นหรือริเริ่มทำอะไรสักอย่างย่อมไม่อยู่ในกิจวัตรของจรรยานานแล้ว หนำซ้ำเรื่องของจิณณะยังสร้างความไม่พอใจให้น้องสาวอย่างจิดาภาด้วย ไหนจะเรื่องที่ทั้งจิณณะและพิทักษ์ต่างเป็นชายซึ่งขัดกับคตินิยมของสังคมอีก โดยรวมแล้วการอยู่เฉยและทำเป็นมองข้ามจึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในสายตาของโกศลและจรรยา


แต่...ในสายตาจารีตแล้ว การอยู่เฉยไม่ต่างกับการซ้ำเติม


“พี่ชุน ผมควรทำไงดี”


ชเยนตร์เองก็คิดหนัก ลองว่าผู้ใหญ่ในบ้านต่างพากันวางเฉยแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยจิณณะให้เผชิญกับคลื่นลมแห่งความรู้สึกเพียงลำพัง


...แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น จะเรียกว่าครอบครัวได้อย่างไร…


อาม่าสอนเสมอ เป็นพี่น้องต้องรักกัน เป็นพี่น้องต้องช่วยเหลือกัน แม้ว่าชเยนตร์และสองพี่น้องจิณณะ จารีตจะมีเลือดครึ่งหนึ่งไม่เหมือนกัน แต่เราก็เป็นพี่น้องกัน


...แต่...จะช่วยอย่างไรดี…


โกศลและจรรยาไม่ขยับตัว ญาติคนอื่นๆต่อให้อยากช่วยเหลือก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ต้องเข้าใจว่าความช่วยเหลือจะสัมฤทธิ์ผลก็ต้องอาศัยบารมีของคนช่วยที่มีต่อคนถูกช่วย แล้วบารมีของใครจะมีมากเพียงพอที่จะทำให้โกศลและจรรยายอมเปิดทางอย่างว่าง่าย บารมีของใครที่พอจะมีผลต่อครอบครัวของพิทักษ์ และบารมีของใคร...ที่จะก้าวพ้นกำแพงของจิณณะ


...คุณกอบกุล…


ชื่อของหญิงชราปรากฏขึ้นในใจของชเยนตร์ จริงอยู่ว่าหล่อนเป็นไม้เบื่อไม้เมาของจิณณะมาแต่ไหนแต่ไร แต่สิ่งที่เขารับรู้จากมารดาคือแม้ว่าคุณกอบกุลจะเคยประกาศกร้าวไม่ให้จิณณะกลับเข้ามาในคฤหาสน์วงศ์กีรติอีก แต่หล่อนกลับส่งคนตามดูแลหลานชายทันทีที่กังวลเรื่องความปลอดภัย วันที่เกิดเรื่อง คุณกอบกุลก็รีบบุกไปที่โรงพยาบาล แม้จะเป็นคนตระหนี่แต่ก็ออกปากรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของพิทักษ์ทั้งหมด พอจิณณะลาออกจากราชการกลับมาทำงานธุรกิจของที่บ้าน ทั้งๆที่เป็นคนปากร้ายแต่หล่อนก็ไม่เคยขุดคุ้ยวาจาโอหังที่ขอออกจากตระกูลขึ้นมาซ้ำเติมอีก


เรื่องเหล่านี้ หากไม่ใช่ว่าทำเพื่อหลานชายนอกคอกที่ชื่อจิณณะ ก็ไม่รู้ว่าคุณกอบกุลจะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่ได้อะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอัน


แต่...ก็อย่างที่รู้กันดีว่าแม้คุณกอบกุลจะมีความปรารถนาดีต่อหลานชายที่หล่อนทำท่าชิงชังนักหนา แต่ทั้งย่าทั้งหลานก็ไม่ใช่คนพูดจาดีต่อกันเสียเท่าไร บารมีของหล่อนอาจจะก้าวพ้นกำแพงของจิณณะก็จริง แต่เกรงว่าจะยิ่งทำให้คนหดหัวอยู่แต่ในกระดองยิ่งหดหนักกว่าเดิม


‘แกเคยคุยกับคุณยายรึยัง’ ชเยนตร์ถาม เพียงเท่านั้นจารีตก็ถึงกับทำตาเหลือก


“คุยกับคุณย่าเรื่องพี่จิณอ่ะนะ?! หาเรื่องตายให้ผมเหรอพี่!”


ถ้าคุณกอบกุลเป็นตัวช่วยเพียงหนึ่งเดียวของเรื่องนี้ จารีตคิดว่าควรวางเฉยไปพร้อมพ่อแม่จะดีกว่า เพราะเกรงว่าจะยิ่งทำให้จิณณะดิ่งหนักกว่าเดิม


ชเยนตร์ถอนหายใจพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แม้คุณกอบกุลจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ผลกระทบอาจมาแรงแซงโค้งกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ


“พี่ชุนไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ อาม่าพี่ชุนได้ไหมล่ะ”


‘อาม่าจะมาช่วยพูดอะไรวะ’


จารีตได้แต่เงียบ คิดไม่ออกว่าจะมีใครที่จะพอช่วยเหลือคนสองคนให้หันกลับมาพบหน้ากันอีกสักครั้ง และต้องเป็นอีกสักครั้งที่พี่ชายของเขาจะไม่พูดจาตรงข้ามกับการกระทำ


“หรือเราจะช่วยพี่จิณไม่ได้แล้วจริงๆ...” คนเป็นน้องได้แต่ครวญหน้าเศร้า


ชเยนตร์มองผ่านจอจากอีกฝั่งซีกโลกแล้วก็ได้แต่เม้มปาก เทคโนโลยีทำให้คนห่างกันคนละเขตเวลาสามารถปรึกษาหารือและรับรู้ความทุกข์ของกันและกันได้ แต่น่าเศร้าที่เทคโนโลยีไม่อาจทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้กันสามารถทำความเข้าใจกันได้เลย


จารีตไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรต่ออีกแล้ว แม้แต่ญาติที่ดูท่าจะฉลาดที่สุดในรุ่นหลานอย่างชเยนตร์ก็ยังหมดปัญญา เขาก็ได้แต่บอกลา หน้าจอจากฝั่งประเทศไทยถูกตัดภาพไปเรียบร้อย แต่ว่าที่ดอกเตอร์ผู้ทิ้งกองเอกสารไว้เบื้องหลังยังคงนั่งที่เดิมอยู่ที่หน้าโน้ตบุ้คของตัวเองเช่นนั้น


ในตระกูลวงศ์กีรติ คนที่มีบารมีมากพอจะทำให้บิดามารดาของจิณณะยอมเปิดทางสะดวกให้ลูกชายก็คงมีแต่คุณกอบกุล


ในแวดวงธุรกิจ คนที่มีบารมีมากพอจะทำให้ตระกูลของพิทักษ์ยอมโอนอ่อนผ่อนตามมีมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคุณกอบกุล


ในเมื่อคุณกอบกุลเป็นหมากเดียวในการแก้ปัญหานี้ หนำซ้ำยังเป็นคนใกล้ตัวที่อาจจะพูดยากไปบ้าง แต่ความหวังดีของหล่อนที่มีต่อจิณณะก็ล้นเหลือ


...เอาวะ! ลองดูสักทีก็ไม่เสียหาย…


ชเยนตร์ตัดสินใจติดต่อไปหาผู้อาวุโสที่สุดในตระกูลวงศ์กีรติทันที ไม่นานเกินรอ ภาพหญิงชราก็ปรากฏบนหน้าจอด้วยแววตาฉงน หลานยายเพียงคนเดียวในบรรดาหลานทั้ง 5 ยกมือไหว้อย่างรู้มารยาท แม้จะไม่ได้เจอกันต่อหน้าก็ตาม


‘ว่างหรือชุน’


“นิดหน่อยครับ เอ้อ...อยู่ดีๆก็คิดถึงข้าวต้มมัดฝีมือคุณยาย เลยอยากคุยด้วย” ว่ากันว่ามนุษย์เราใช้เรื่องปากท้องเป็นมากกว่าเรื่องปากท้อง คิดอะไรไม่ออกก็อ้างปากท้องไว้ก่อน หาเหตุผลชวนคุยไม่ได้ก็อ้างปากท้องไว้ก่อน คราวนี้ชเยนตร์ก็เช่นกัน


คุณกอบกุลหัวเราะเบาๆ ‘ยายจะส่งไปให้ก็กลัวบูดน่ะสิ’


“คุณยายว่างเมื่อไร มาทำให้ผมทานที่นี่ได้ไหมครับ อาจจะอร่อยพอๆกับที่คุณยายทำให้ผมกินที่เมืองไทยก็ได้นะ”


‘ได้ แต่คงต้องพ้นช่วงนี้ไปก่อน นี่สัปดาห์หน้าต้องไปงานของแซ่ตั้งด้วย’ พูดถึงแซ่ตั้งขึ้นมา หลานชายของคุณกอบกุลผู้ใช้นามสกุลอื่นที่ไม่ใช่วงศ์กีรติก็ถึงกับเลิ่กคิ้ว แม้ชเยนตร์จะเป็นหนึ่งในแซ่ตั้ง แต่เขาก็ไม่ได้รับรู้ทุกเรื่องของทุกสายธุรกิจของตระกูล เป็นฝ่ายคุณกอบกุลเสียอีกที่รู้ดีกว่า


“งานอะไรหรือครับ”


‘คุณประชาเปิดโรงพยาบาลใหม่’


“อ้อ...งานของอาเจ็ด คุณยายไปเองหรือครับ” แม้ว่าเมื่ออยู่ในตระกูลตั้ง จะนับลำดับญาติด้วยภาษาจีน แต่เมื่อกลับมาทางฝั่งวงศ์กีรติ ชเยนตร์ก็พลิกเป็นคำไทยอย่างรวดเร็ว จาก ‘โซ้ยเจ็ก’ จึงกลายเป็น ‘อาเจ็ด’ ไม่ขัดหูเคืองตาคุณกอบกุลซึ่งเป็นคนไทยแท้ หนำซ้ำยังเรียกความเอ็นดูเพราะรู้ว่าเขาใช้คำไทยก็เพื่อเอาอกเอาใจหล่อน


ชเยนตร์รู้ว่าคุณกอบกุลชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เรื่องที่ไม่ชอบก็ไม่ทำ หรือถึงทำก็ทำในพื้นที่พ้นหูพ้นตาหล่อน ส่วนที่หล่อนชอบ หากทำได้ เขาจะทำเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เพราะต้องการให้หล่อนรักใคร่มากกว่าหลานคนอื่น แต่เพราะอยากรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้


   ‘คุณกิมมาเชิญเอง ไม่ไปก็น่าเกลียด’


   “ถ้าอย่างนั้น ผมฝากคุณยายเป็นตัวแทนผมด้วยนะครับ” ชเยนตร์พูดพลางยิ้ม แม้เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของแซ่ตั้ง แต่ยามอยู่กับคุณกอบกุล เขาก็ไม่แสดงตัวว่าอยู่กับอีกฝั่งมากกว่า หนำซ้ำยังยกให้คุณกอบกุลเป็นตัวแทนตนเองด้วย 


หญิงชราหัวเราะเบาๆ ท่าทางอารมณ์ดีของหล่อนทำให้ชเยนตร์พอจะเห็นลู่ทางที่จะพาคุยเรื่องที่เขาอยากพูด


“แล้ว...ช่วงนี้คุณยายเป็นยังไงบ้าง ผมได้ยินว่า...จิณกลับมาช่วยงาน...” รอยยิ้มของคุณกอบกุลจางลงเล็กน้อย ดวงตามีประกายบางอย่างราวกับรู้ทัน ชเยนตร์ไม่ได้ว่างพอดีจึงติดต่อมาหาหล่อน แต่เขามีเรื่องอยากพูด และเวลานี้เขากำลังพาเข้าประเด็นเรื่องที่อยากพูดกับหล่อนแล้ว


หญิงชราเอนหลังพิงพนัก ดวงตายังจับจ้องผ่านหน้าจอมายังหลานชาย แม้จะอยู่กันคนละซีกโลก แต่ก็ทำเอาชเยนตร์ร้อนๆหนาวๆราวกับหล่อนมานั่งอยู่ตรงหน้า


“อ...เอ่อ...ผม...ผม...ได้ยินมาจากแม่ ว่าจิณลาออกจากราชการ กลับมาทำงานที่บริษัท...”


‘พูดเรื่องที่อยากพูดมาเถอะ ชุนจะได้ไม่เสียเวลา’ ไม่แน่ใจนักว่านี่คือการตัดรำคาญที่จะพูดถึงหลานนอกคอกอย่างจิณณะหรือไม่ แต่ชเยนตร์จะถือเอาว่าเป็นคำอนุญาตก็แล้วกัน


“จิณ...อาการไม่ค่อยดีหรือครับ”


‘เท่าที่เห็นก็สบายดี’


ชเยนตร์มีท่าทีไม่สบายใจ แม้แต่คนที่มองจากอีกฝั่งของคอมพิวเตอร์ก็ดูออก สายตาคนแก่มากประสบการณ์นั้นมองไม่พลาด หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบราวไม่ทุกข์ร้อน


‘ชุนไม่ต้องห่วงไปหรอก มันไม่ตายเพราะเรื่องแค่นี้’


คุณกอบกุลมองเห็นตัวเองในหลานชายนอกคอกรายนั้น คนประเภทนี้ จะดิ้นรนจนหยดสุดท้าย หากไม่เพราะทะเยอะทะยาน ก็เพราะแรงขับทางด้านลบที่แข็งแกร่งอย่างความอาฆาต


“แต่จิณ...รักคนนี้มากไม่ใช่หรือครับ” ชเยนตร์เองก็ไม่คิดว่าญาติผู้น้องคนนี้จะฝังความรู้สึกกับพิทักษ์มากถึงเพียงนี้ สิ่งที่เขาได้ยินมาจากมารดาและจากจารีต ล้วนบอกให้รู้ว่าจิณณะทุ่มเทเพื่อพิทักษ์แค่ไหน แม้เหตุผลบังหน้าจะเป็นการแก้แค้นให้ตัวเองก็ตาม


‘วันนี้รัก อีกไม่นานก็เลิกรัก’ 


ผู้สูงวัยผ่านช่วงเวลาแห่งหนุ่มสาว ผ่านความรักใคร่และปลดปลง ประสบการณ์สอนให้รู้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ยั่งยืน วันนี้รัก พรุ่งนี้เลิกรัก วันต่อไปพบรักใหม่ วันดีคืนดีอาจถูกทิ้งเพราะคนรักไปพบคนใหม่ที่ถูกใจกว่า หรือมิเช่นนั้นก็ถูกพลัดพรากด้วยความตาย เรื่องเหล่านี้ควบคุมไม่ได้ คุมใจตัวเองว่ายากแล้ว คุมใจคนรักของตัวเองยากยิ่งกว่า คุมโชคชะตานั้นยากที่สุด สู้เงินทองก็ไม่ได้ ควบคุมได้ หาใหม่มาทับถมให้งอกเงยก็ได้ หากมีใครมาควักออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จะตามจองล้างจองผลาญก็ยังสมเหตุสมผล


ความคิดของคุณกอบกุลนั้นเป็นความจริงในโลก ชเยนตร์เข้าใจดี แต่จะให้ยอมรับการแยกจากของจิณณะและพิทักษ์ทั้งๆที่รับรู้ความรู้สึกของทั้งสองคน ก็ทำใจได้ยากเหลือเกิน


“แต่...ก็น่าจะให้พวกเขาเลิกรักกันก่อน ไม่ใช่แยกกันทั้งๆที่รักกัน...”


หญิงชรานิ่งงัน


...แยก...ทั้งๆที่รักกัน...


ครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณกอบกุล พานพบเหตุการณ์เช่นนี้ มันเกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว นานเสียจนวันเวลากลบความรู้สึกในวันนั้นจนมิด กระทั่งวันนี้...คำพูดของชเยนตร์ทำให้หล่อนถูกดึงกลับไปวันนั้นอีกครั้ง


วันที่สามีถูกพรากไปด้วยโรคร้าย ปราศจากคำบอกลา ปราศจากระยะเวลาทำใจ


จากครอบครัวเล็กๆ สองสามีภรรยาและบุตรธิดาอีก 3 คน ที่พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้งของตนเองเพราะไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจของตระกูลฝั่งคุณกอบกุลและสามี แม้กระทั่งนามสกุล ‘วงศ์กีรติ’ ก็ยังเป็นนามสกุลที่สองสามีภรรยาตั้งขึ้นใหม่ ครอบครัวที่เริ่มจากศูนย์ อาชีพสุจริตที่ไม่มีแม้แต่เส้นสายสักเสี้ยวมาเกื้อหนุน อาศัยเพียงแรงมุมานะอุตสาหะ ทว่า...โลกนี้ไม่ต้องการความขยันขันแข็ง ไม่ต้องการความดีความงาม ไม่ต้องการความสุจริตยุติธรรม


ในวันที่เงินทองยังมีไม่มากพอ ในวันที่รอบตัวไม่มีใครพอจะหยิบยื่นความช่วยเหลือ โรคร้ายพรากชีวิตสามีไปจากคุณกอบกุล


...เราจากกัน...ทั้งๆที่ยังรัก...


นับจากวันนั้น กอบกุล  วงศ์กีรติฝังความรู้สึกลงลึกสุดใจแล้วฮึดสู้อุปสรรครอบตัว จากเงินต่อยอดเป็นทอง จากทองสะสมจนท่วมท้นเป็นกองทอง ไขว่คว้าทั้งชื่อเสียง บารมี และเส้นสาย แม้วันนี้ทุกอย่างจะพรั่งพร้อม แต่ก็ไม่อาจพาสามีของหล่อนกลับมาได้อีกแล้ว


หล่อนเสียเขาในไปในวันที่รัก...จนกระทั่งวันนี้ก็ยังรัก...


“คุณยาย...” ชเยนตร์เรียกเสียงแผ่ว รู้สึกเหมือนเห็นประกายวาวของหยาดน้ำในดวงตาของหญิงชรา ทว่าเมื่อคุณกอบกุลได้สติ หยาดน้ำที่คลออยู่นั้นก็ราวกับถูกดึงหายกลับลงไป


‘ชุนมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหม’


“เอ่อ...ครับ...”


‘ยายต้องดูเอกสารต่ออีกหน่อย ชุนไปอ่านหนังสือได้แล้ว’ หลานชายทำได้เพียงพยักหน้า แต่เมื่อหญิงชรากำลังจะกดปิดสัญญาน ชเยนตร์ก็รีบเรียกเอาไว้ด้วยความค้างคาใจ


“คุณยายครับ...”


“...ช่วยจิณสักครั้งเถอะครับ”


คุณกอบกุลนิ่งไปเล็กน้อย หล่อนไม่ตอบอะไร จนกระทั่งสัญญานติดต่อถูกตัดไป ว่าที่ดอกเตอร์หนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง

.................................   

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
   

สภาพของจิณณะเป็นที่รับรู้ของคนในครอบครัว แต่ก็ไม่มีใครปริปากอะไรมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการถามไถ่แนะนำอย่างอ้อมๆ เช่น ทานข้าวให้มากหน่อย ทำงานให้น้อยลงหน่อย แต่ทั้งหมดล้วนไม่มีใครกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาเลย


เหตุหนึ่งคือเรื่องนี้กระทบกับคนหลายฝ่ายและหลายรูปแบบความสัมพันธ์ จิณณะและจิดาภาไม่พบหน้ากันอีก จรรยาและจิดาภาที่เป็นพี่น้องกันก็ไม่ติดต่อกันเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่อง จรรยาไม่ได้โกรธน้องสาว หนำซ้ำยังไม่กล้าสู้หน้าด้วยเพราะฝั่งตนปิดบังความจริง ซึ่งดูแล้วคล้ายหลอกใช้พิทักษ์จนเขาต้องเจ็บตัว


เหตุสองคือจิณณะเป็นหลานชายไม้เบื่อไม้เมาของคุณกอบกุล ต่อให้ทุกคนจะรู้ว่าเขากลับมาทำงานในธุรกิจของวงศ์กีรติแล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากใกล้ชิดเขามากนักเพราะไม่รู้ว่าจะสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลหรือไม่


   โดยรวมแล้ว ก็เลยไม่มีใครยุ่งกับจิณณะเกินความจำเป็น แต่โกศลและจรรยา จะให้วางเฉยกับสภาพลูกชายก็เห็นจะใจแข็งเกินไป


   “จิณ...มาทานข้าวก่อน วันนี้แม่ทำข้าวต้มกุ้ง เห็นเมื่อวานจิณบอกว่าอยากทานข้าวต้มไม่ใช่หรือ” จรรยาออกปากชวนเมื่อเห็นลูกชายลงมาจากห้องนอน จิณณะกำลังจะออกไปทำงาน แม้ตอนนี้จะเพิ่งเจ็ดโมงครึ่งก็ตาม


   นับตั้งแต่ออกจากราชการมาทำงานในธุรกิจของครอบครัว ไม่มีวันไหนเลยที่จิณณะจะเข้างานสาย เขาเริ่มงานแต่เช้า เลิกงานตรงเวลา แล้วไปทำธุระต่อ ธุระของเขาไม่ใช่เรื่องอื่นใด นอกจากคดีความ สิ่งที่พอจะบรรเทาความเป็นห่วงอยู่บ้างก็ตรงที่โกศลมาเล่าเรื่องที่จิณณะรับคนมาเป็นเลขานุการส่วนตัวควบตำแหน่งดูแลความปลอดภัย ซึ่งเป็นคนของคุณเทียม


   ในเมื่อหล่อนไม่เคยคัดค้านเขาได้แต่ไหนแต่ไรมา การที่เขารู้จักปกป้องตัวเองเช่นนี้ ก็พอจะเป็นทางเลือกเดียวที่สร้างความสบายใจ


   จิณณะเดินเข้าห้องรับประทานอาหารอย่างว่าง่าย แม้จะดูนิ่งสงบกับเรื่องรอบตัว แต่ชายหนุ่มก็รับรู้ความห่วงใยของบิดามารดา 


โกศลและจรรยาเป็นบุพการีผู้สนับสนุนเขาตลอดมา แม้หลายเรื่องจะไม่เห็นด้วย แต่ก็พยายามเกื้อหนุนเขาเท่าที่พอจะทำได้ เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการทำข้าวต้มเพราะได้ยินเขาพูดว่าอยากทานตอนดูโฆษณาเมื่อวาน สร้างความอบอุ่นใจเล็กๆให้ชายหนุ่ม


   ต่อให้โลกข้างนอกจะเป็นเช่นไร ต่อให้ชะตาชีวิตจะตกต่ำเพียงใด แต่บ้านหลังนี้คือแหล่งพลังงาน...เป็นแหล่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ในเวลานี้


   ชายหนุ่มตักข้าวต้มเข้าปาก ก่อนจะหันไปยิ้มจางให้มารดา


   “อร่อย...” คนเราจะรับรู้ความสำคัญของอะไรสักอย่างก็ต่อเมื่อประสบปัญหา เวลานี้จิณณะดำเนินชีวิตด้วยความอาฆาต ช่วงเวลาเดียวที่ในลมหายใจมีความรู้สึกอื่นเจือปนก็มีแค่ตอนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ อยู่กับครอบครัวนี้ มีพ่อ มีแม่ มีน้องชาย และเขาเป็นเพียงพี่ชายคนโต


   ไม่ใช่จิณณะ วงศ์กีรติซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องไพศาลในคดีจ้างวานและต้องการให้ศาลพิพากษาประหารชีวิตสถานเดียว แต่เป็น ‘จิณ’ ของบุพการี และเป็น ‘พี่จิณ’ ของน้องชาย


   “อร่อยก็ทานเยอะๆ แม่เจียวกระเทียมเองด้วยนะ” จรรยาไม่รู้จะช่วยลูกชายได้อย่างไร สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ หล่อนพอทำได้จึงไม่เกี่ยงงอน อย่างน้อยก็เพื่อให้เขารู้ โลกนี้ไม่ได้เหลือแค่เขา...แต่ยังมีหล่อน มีโกศล มีจารีต


   ...เราคือครอบครัวเดียวกัน...


   โทรทัศน์ในห้องรับประทานอาหาร จากรายการข่าวเช้าตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณา เสียงทำนองเพลงสนุกสนานพร้อมกับฉากบ้านเรือนแบบต่างจังหวัดปรากฏขึ้นตอนที่จิณณะหันไปมองพอดี เขาชะงักอยู่อย่างนั้นเมื่อภาพตัดไปยังดาราหนุ่มสวมชุดข้าราชการก้าวเท้าลงจากรถกระบะโฟร์วีลคันโตที่หน้าบ้านพักข้าราชการเก่าๆ แล้วภาพก็ตัดสลับไปยังหน้าตัวประกอบที่สวมบทชาวบ้านทำหน้าตกใจ


   ‘ปลัดอำเภอภูผาทองคนใหม่มาจากกรุงเทพฯ!’


   ‘คนจากกรุงเทพฯจะมาเป็นปลัดที่นี่เรอะ?!’


   ‘ตายแน่ๆ ปลัดใหม่ตายแน่ๆ’


   แล้วภาพก็ตัดอีกครั้งไปยังดาราสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่มารับบทนางเอกของเรื่อง แต่ทำท่าขเม่นอย่างทโมนขัดกับหน้าตาแสนน่ารักของหล่อนอย่างสิ้นเชิง


   ‘คนจากกรุงเทพฯเรอะ?! อย่างงี้มันต้องเจอไอ้กุหลาบ ลูกกำนันหนามอย่างฉัน!’ ปิดท้ายโฆษณาละครเรื่องใหม่ของช่องด้วยการตัดภาพพระเอกปลัดอำเภอในชุดข้าราชการสีกากียืนประจัญหน้ากับนางเอกลูกสาวกำนัน พร้อมกับชื่อละครเป็นตัวอักษรโย้เย้ปรากฏข้างล่าง ‘ปลัดลาภ กับ นางสาวกุหลาบหนามแหลม’


   ก่อนจะมีเสียงนางเอกแทรกเข้ามาในภาพสุดท้ายอย่างแสนน่าหยิก


   ‘อะไรนะ?! ปลัดชื่อลาภ? ลาบหมูไม่เผ็ดไม่ใส่ผักน่ะสิ!! อาหารเด็กอนุบาลชัดๆ!!’


   ละครโรแมนติกคอมมาดี้ พล๊อตข้าราชการหนุ่มจากเมืองหลวงและสาวทโมนต่างจังหวัดที่มีดีกรีเป็นลูกสาวกำนัน ช่างเป็นสูตรสำเร็จที่ถูกอกถูกใจคอละครมายาวนาน


   จิณณะไม่ใช่คอละคร แต่ถึงอย่างนั้นโฆษณาตัวนี้กลับดึงความสนใจเขาเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด


   ทว่า...ไม่ใช่การดึงความสนใจด้วยพล๊อตละคร ดาราหนุ่มหล่อสาวสวย หรือแม้แต่เคมีระหว่างพระเอกนางเอกเลยสักนิด ความสนใจของจิณณะกลับตกอยู่ที่ชุดเครื่องแบบสีกากีบนร่างสูงใหญ่ของพระเอกหนุ่ม


ดวงตาจับจ้องเครื่องแบบที่ครั้งหนึ่งเขาเคยสวมใส่ แม้ในละครจะใช้บั้ง แถบ และเครื่องหมายผิดเนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้พลเรือนสวมเครื่องแบบราชการ แต่ถึงอย่างนั้นสีของเครื่องแบบก็ทำให้จิณณะหวนคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่เขาได้สวมชุดนี้


ยามนั้น...บ่นแล้วบ่นอีกว่าทั้งร้อน ทั้งอึดอัด แต่เวลานี้...ที่ไม่มีสิทธิ์จะใส่แล้ว กลับ...คิดถึง


คิดถึงชุดข้าราชการ คิดถึงหน้าที่การงาน คิดไปถึง...วันที่เกิดเรื่อง


วันนั้นเขาก็สวมชุดข้าราชการสีกากี


จิณณะยกยิ้มเย้ยหยันตัวเอง...พิทักษ์เป็นประชาชนแท้ๆ แต่กลับรับกระสุนแทนเจ้าหน้าที่ภาครัฐ…


“จิณ...” เสียงเรียกดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังจมอยู่กับภวังค์สะดุ้งหันมอง จรรยานั่งมองเขาอยู่ด้วยสายตาห่วงใย ลูกชายคนโตที่ไม่เคยปริปากเรื่องความยากลำบากในชีวิตให้บุพการีฟัง แม้ในเวลานี้ความเครียดและกดดันจะทับถมจนแทบหายใจไม่ออกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังแสร้งยิ้มออกมาเหมือนไม่มีอะไร


“เรื่องนี้...น่าสนุกนะครับ”


“อายุยังไม่เกินไม่ใช่หรือ จะกลับไปสอบรับราชการอีกก็ได้นะ” ทว่าสิ่งที่มารดาพูดออกมากลับไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่จิณณะพยายามสร้างบทสนทนาเลยแม้แต่น้อย


อดีตข้าราชการที่ยอมลาออกจากตำแหน่งหน้าที่การงานเพื่อจัดการปัญหาคาราคาซังให้เรียบร้อย วันนี้ทุกอย่างกำลังเดินไปในทิศทางที่เขาต้องการแล้ว หากจะกลับไปสอบเข้ารับราชการอีกครั้งก็คงไม่มีปัญหาอะไร เสียแต่...จิณณะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว


เมื่อออกมาแล้ว ก็ไม่คิดจะกลับไปเส้นทางเดิมอีก


เมื่อจากมาแล้ว ก็ไม่คิดจะวนกลับไปอีก


“เรื่องบางเรื่อง มันก็เลยจุดที่จะกลับไปแล้วนะแม่” ใบหน้าของลูกชายที่มักมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ทว่านับตั้งแต่เกิดเรื่อง เขากลับยิ้มยากขึ้นเรื่อยๆ ยิ้มน้อยลงเรื่อยๆ และสีหน้าของเขา...ดูไม่มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ


“รวมทั้งเรื่องของทิศด้วยหรือ”


คำถามของมารดาทำให้จิณณะนิ่งงัน ตาตกลงมองข้าวต้มในถ้วยแล้วใช้ช้อนคนช้าๆ ราวกับพยายามควบคุมอารมณ์และกดเก็บความรู้สึกลงไปในอก เกือบนาทีเต็มๆ ก่อนจะสั่งให้ตนเองยกยิ้มเท่าที่จะทำได้แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง


“เรื่อง…นั้น มันไม่มีอะไรตั้งแต่แรกแล้ว”


มันไม่ควรมีอะไรตั้งแต่แรก ไม่ควรรู้สึกเกินเลยตั้งแต่แรก แต่...ผิดที่เขาเอง ผิดที่เขาเลือกพิทักษ์เข้ามาในชีวิต ผิดที่เขาดึงรั้งพิทักษ์เอาไว้ ผิดที่เขา...


จากนี้ไป จะไม่ให้ตัวเองเป็นต้นเหตุความวับัติใดๆในชีวิตพิทักษ์อีกแล้ว


“ผม...อิ่มแล้ว ขอบคุณนะครับแม่ ข้าวต้มอร่อยมาก ผมไปทำงานก่อนนะ” ลูกชายคนโตเอ่ยปาก ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ ตอนที่เดินออกจากห้องรับประทานอาหารและคิดว่าพ้นจากการรับรู้ของมารดาแล้ว ต่อให้จะพยายามยิ้มแย้มแค่ไหน แต่สุดท้ายความรู้สึกในใจก็ยังแตกหน่อแห่งความทรมานอยู่ดี


ชายหนุ่มเผลอถอนหายใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นหญิงชรายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขา จิณณะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติอีกรอบ แต่คนหนุ่มประสบการณ์ไม่มากพอ ต่อให้จะเรียนรู้การเก็บความรู้สึกนึกคิด แต่ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที จะซุกซ่อนทั้งหมดให้พ้นสายตาของคนแก่มากประสบการณ์อย่างคุณกอบกุลก็เห็นจะไม่ได้


“แม่แกไม่อยู่หรือ”


“อยู่ในห้องครับ” จิณณะตอบ เพียงเท่านั้นหญิงชราก็เดินผ่านหลานชายเข้าไปในห้องรับประทานอาหารทันที ชายหนุ่มสงสัยเล็กน้อยที่จู่ๆ คุณกอบกุลก็บุกมาถึงที่นี่ แต่ก็คิดว่าดีแล้วที่หล่อนมาในเวลานี้ อย่างน้อยเบี่ยงเบนความสนใจของจรรยาไปที่เรื่องของหล่อนแทนที่จะมาที่เขา ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากบ้าน โดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่าธุระอะไรที่ทำให้ผู้เป็นย่าต้องมาที่นี่แต่เช้า


“ฉันอยากจะส่งของไปให้ตาชุนที่อังกฤษ แต่ยัยกชยังไม่กลับจากฮ่องกง เลยต้องมาที่นี่” เรื่องที่เป็นเหตุให้คุณกอบกุลมาที่นี่ ทำเอาลูกสะใภ้ออกจะงุนงงเล็กน้อย แต่ฟังเหตุผลของผู้เป็นแม่สามีแล้วก็พอจะกล้อมแกล้มอยู่บ้าง ตรงที่กชกรผู้เป็นมารดาชองชเยนตร์ไปทำงานที่ฮ่องกงยังไม่กลับ เลยต้องมาวานหล่อนแทน


“ได้ค่ะคุณแม่” จรรยาเป็นลูกสะใภ้แสนว่าง่าย ธุระของผู้เป็นแม่สามีจึงหมดลงเท่านั้น แต่...คุณกอบกุลยังไม่กลับ และตั้งคำถามขึ้นมาใหม่


“แล้วลูกของเธอเป็นอย่างไรบ้าง”


จรรยามีลูกสองคน คือจิณณะ และจารีต ลูกคนเล็กอย่างจารีตกำลังเรียนมหาวิทยาลัย ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป มีสุขเศร้าเครียดเหนื่อยตามประสานิสิตนักศึกษา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นับว่าทรหดอะไรมากนัก กลับกันกับจิณณะ ลูกคนนี้กำลังทำงาน แม้จะไม่จำเป็นต้องปากกัดตีนถีบสร้างเนื้อสร้างตัวหรือมีหนี้สินรุงรัง แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในใจตนเอง


คนเป็นแม่...มีหรือจะดูไม่ออกว่าลูกของตนเองรู้สึกเช่นไร ในเมื่อเหตุการณ์หน้าห้องฉุกเฉินในวันนั้นหล่อนก็อยู่ด้วย จิณณะยอมรับปากกับจิดาภาว่าจะไม่สร้างความลำบากให้พิทักษ์อีก แต่นับแต่นั้น ชีวิตของเขาก็ไม่พบความสบายอกสบายใจอีกเลย


“ก็...วันหนึ่ง ทุกอย่างคงดีขึ้น...”


คุณกอบกุลขมวดคิ้วฉับ จรรยาเป็นเสียแบบนี้ ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าลงมือทำอะไรสักอย่าง เวลาเป็นยาชั้นดีในการสมานแผลอันเกิดจากความรู้สึกก็จริง แต่สำหรับคนใจร้อนมุทะลุอย่างคุณกอบกุลนั้น บางครั้ง...เวลาก็ออกฤทธิ์ช้าเหลือเกิน


...ใครจะมานั่งรอ นอนรอให้เวลาเยียวยาก็ทำเถอะ แต่ไม่ใช่คนอย่างกอบกุล  วงศ์กีรติแน่!...


“แล้วงานเย็นนี้ ตาโกไปไหม” จรรยางุนงงเล็กน้อยที่จู่ๆแม่สามีก็ถามถึงโกศลและงานเลี้ยงเย็นนี้ของคนในตระกูลตั้งกาญจนพาณิชย์


ครั้งหนึ่งแซ่ตั้งและวงศ์กีรติเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันด้วยการแต่งงานระหว่างลูกสาวของคุณกอบกุลและลูกชายของคุณกิม แม้ภายหลังหย่าขาดจากกันก็ยังมีชเยนตร์เป็นตัวเชื่อม อีกทั้งคุณกอบกุลเองก็ไม่ได้เก็บเอาความแตกหักของชีวิตคู่บุตรสาวมาเป็นปัญหาในใจ จึงยังคบค้าสมาคมกับครอบครัวของอดีตลูกเขยได้อย่างดี หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือฝั่งตระกูลอดีตลูกเขยนั้นร่ำรวยด้วยเงินทองและเส้นสายคอนเนคชั่น ไม่มีเหตุผลใดฟังขึ้นไปมากกว่านั้น


“ไปค่ะ”


การที่วงศ์กีรติจะไปร่วมงานก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ ทั้งในฐานะมิตรคู่ค้าและตระกูลที่เกี่ยวดองกันผ่านทางหลานชายอย่างชเยนตร์ ทว่า...งานนี้คุณกอบกุลมีนอกมีใน


“บอกตาโกว่าไม่ต้องไป จัดการเรื่องที่จะดีลกับทางเกาหลีให้เรียบร้อย ส่วนงานเลี้ยงคืนนี้ให้จิณณะไปแทน”


“จิณหรือคะ?”


“ใช่สิ มันโตจะตายอยู่แล้ว จะให้อยู่แต่ในบริษัทรึไง!”


“แต่...จิณจะไปหรือคะ รายนั้นไม่ค่อยชอบออกงาน...” เดิมทีจิณณะเป็นคนสนุกสนาน แต่นับตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็หลีกเลี่ยงทุกความสนุกสนานในชีวิต งานเลี้ยงพวกนี้ หากไม่มีความจำเป็นใดๆ เขาก็ไม่โผล่หน้าไป


“ถ้าอย่างนั้นเธอก็บอกให้มันไปกับเธอแทนตาโกสิ! เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้ฉันสอนรึ!”


“เอ่อ...ค่ะ” จรรยางุนงง แต่ในเมื่อแม่สามีสั่งมาอย่างนี้หล่อนก็ได้แต่รับคำ


หญิงชราไม่พูดเรื่องหลานชายนอกคอกรายนั้นอีก นอกจากย้ำให้จรรยาส่งคนไปเอาของฝากจากคฤหาสน์หลังแรกสุดเพื่อส่งไปให้ชเยนตร์ และกำชับให้สั่งจิณณะพาจรรยาไปงานเลี้ยงตอนเย็น ก่อนที่หล่อนจะออกจากบ้านไป


ทว่าคุณกอบกุลไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ของตนเอง แต่สั่งให้เตรียมรถเพื่อไปเยือนบ้านอีกหลังหนึ่ง


พื้นฐานเป็นคนใจร้อน แม้อายุอานามจะมากขึ้นและประสบการณ์สอนให้บางครั้งไตร่ตรองสถานการณ์อย่างรอบคอบ แต่สำหรับบางครั้งอย่างเช่นครั้งนี้...คุณกอบกุลไม่คิดว่าการใจเย็นจะเป็นเรื่องที่ดี เวลาอาจช่วยเยียวยาจิตใจได้ แต่มันจะได้ผลชะงัดและออกฤทธิ์ตรงจุดมากกว่า ถ้าหล่อนลงมือ


จุดหมายปลายทางต่อไปของคุณกอบกุลจึงไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล นอกเสียจากบ้านของทศพรและจิดาภา


………………………….


พี่สาวของจิดาภาเป็นลูกสะใภ้ของคุณกอบกุลก็จริง ทศพรเองก็อยู่ในแวดวงธุรกิจ แม้จะไม่ทันขับเคี่ยวหรือร่วมมือกับคุณกอบกุลในช่วงที่หล่อนยังไฟแรงเป็นงูพิษประดับวงการ แต่ก็รู้จักคุ้นเคย ทว่าความสัมพันธ์แบบดองกันห่างๆและความคุ้นเคยที่มี ไม่ได้มากพอให้คุณกอบกุลต้องมาเยือนที่นี่


ยกเว้นกรณีพิเศษ


จิดาภาไม่เข้าใจนักว่าทำไมจู่ๆแขกผู้มีเกียรติแต่ไม่ได้รับเชิญอย่างคุณกอบกุล  วงศ์กีรติมาหาถึงบ้าน ใจหนึ่งหล่อนคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะมาด้วยเรื่องของจิณณะ แต่...ความสัมพันธ์ระหว่างจิณณะและคุณกอบกุลมีแต่ทรงกับทรุด หล่อนจึงเผื่อใจว่าผู้มาเยือนคงจะมีเรื่องอื่น


“สวัสดีค่ะคุณกอบ”  หญิงชราพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับไหว้ ท่าทีของหล่อนยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยบารมี แม้ว่าจะอยู่ในบ้านของผู้อื่นก็ตามที


จิดาภาเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง การรับแขกด้วยเจ้าบ้านเพียงคนเดียว ทำให้คุณกอบกุลมีโอกาสถามถึงคนอื่น


“คุณทศพรไม่อยู่หรือ”


“คุณทศออกไปทำงานค่ะ” ระหว่างสตรีต่างวัยสองคนเกิดเป็นความเงียบอึดใจหนึ่ง ดูก็รู้ว่าจิดาภาไม่แน่ใจถึงจุดประสงค์ที่คุณกอบกุลมาที่นี่ ดังนั้นคนที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปาก จึงเป็นหญิงชรา


คนอย่างกอบกุล  วงศ์กีรตินั้น บางครั้งก็ใช้คำพูดอ้อมค้อมเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตน แต่บางครั้งก็ใช้คำพูดเถรตรงเพื่อผลประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า


และครั้งนี้ หล่อนเลือกการพูดอย่างตรงไปตรงมา


“พิทักษ์เป็นอย่างไรบ้าง” ในฐานะคนออกเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด คุณกอบกุลถือว่าตนเองย่อมมีสิทธิ์รู้ อันที่จริงหล่อนทราบดีว่าชายหนุ่มหายดีแล้ว แต่ถ้าจะถามซ้ำจากมารดาเลี้ยงของพิทักษ์ หล่อนก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดอะไร


“กลับไปทำงานได้แล้วค่ะ” จิดาภาตอบเรียบๆ หากเป็นคนอื่นถามไถ่ถึงพิทักษ์ หล่อนจะบอกเล่ามากกว่านี้ แต่คนที่ถามกลับเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับจิณณะโดยตรง แม้จะตระหนักได้ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับจิณณะรายนี้ก็มีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกับจิณณะเอง แต่...ถึงอย่างไรก็เป็นย่าหลานกัน สายเลือดเดียวกันต่อให้จะโกรธเคืองชังน้ำหน้า อย่างไรก็เป็นทายาทสายตรง


“หายดีแล้วก็ดี...” หญิงชราเอ่ย จิดาภาไม่รู้ว่าแขกผู้มีเกียรติคนนี้ต้องการอะไร หล่อนอยากถามอย่างตรงไปตรงมาว่ามาที่นี่ทำไม หรือหากจะถามไถ่เรื่องของพิทักษ์ หล่อนคิดว่าคนอย่างกอบกุล  วงศ์กีรติไม่เห็นจะต้องมาถึงที่นี่เพื่อถามเรื่องแค่นี้เลย


แต่...มารยาทค้ำคอให้จิดาภาอดทน และนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้หญิงชราผู้ใจร้อนมุทะลุ


“...แต่หลานของฉันยังไม่หายดี”


คำว่าหลานของฉัน ทำเอาจิดาภาหันมองคุณกอบกุลทันที สีหน้าของหญิงชราเรียบเฉย ทว่าดวงตาทรงอำนาจยามจับจ้องมาที่หล่อน ราวกับจะบอกว่าที่หลานของคุณกอบกุลยังไม่หายดีเป็นเพราะหล่อน


“คุณกอบหมายถึงอะไรคะ” จิดาภาพยายามตั้งสติ ทำใจดีสู้เสือ


“คุณภาก็น่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงหลานคนไหน”


“ถ้าหมายถึงจิณ...เขาไม่ได้เป็นอะไร...” เจ้าของบ้านตอบเรียบ จิณณะที่ไม่เสียเลือดสักหยด จิณณะที่ไม่ต้องประสบเคราะห์กรรมใดๆ เพราะพิทักษ์ปกป้องเขา หล่อนเองไม่ได้ต้องการให้จิณณะประสบเคราะห์กรรมเช่นกัน แต่มันก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือ หากหล่อนจะโทษว่าส่วนหนึ่งก็เพราะเขา ถึงทำให้ลูกเลี้ยงของหล่อนต้องเกือบตาย


เสียงหัวเราะดังเบาๆราวกับเย้ยหยัน


“คุณภาพูดง่าย เหมือนเมื่อครู่นี้ที่บอกว่าพิทักษ์หายดีแล้ว...” สีหน้าของคุณกอบกุลเยือกเย็นราวกับขั้วโลก


“...ไม่มีใครหายดีทั้งนั้น! ทั้งพิทักษ์! ทั้งจิณณะ!”


“คุณกอบต้องการอะไร”


พอกันทีกับความอดทนเพื่อมารยาท จิดาภาไม่อยากได้ยินได้ฟังเรื่องของจิณณะอีกแล้ว เขาเป็นหลานของหล่อนก็จริง แต่หากหลานชายแท้ๆทำให้ลูกเลี้ยงที่หล่อนเลี้ยงมาแต่เล็กต้องพบเจอกับเรื่องพรรค์นี้อีก หล่อนก็จะเป็นคนขวางไม่ให้พวกเขาได้พบเจอกันเอง


“คุณภาต่างหากต้องการอะไร ปกป้องพิทักษ์ด้วยวิธีนี้คิดว่าดีที่สุดหรือ เห็นเขากลับไปทำงานได้แล้วก็บอกตัวเองว่าเขาหายแล้วอย่างนั้นหรือ คิดตื้นๆ!”


“ถ้าคุณกอบมาที่นี่เพื่อมาพูดแทนจิณ ดิฉันคงต้องขอตัว” เจ้าของบ้านตัดบท หล่อนเคยเป็นคนรักษามารยาท แต่หากเป็นเรื่องนี้แล้ว จิดาภาก็ไม่คิดจะถือครองมารยาทใดๆเอาไว้อีก


“ฉันไม่ได้พูดแทนใคร แต่พูดในฐานะคนนอก”


“คุณกอบเป็นย่าของจิณ จะเป็นคนนอกได้อย่างไร”


“คุณภาก็คนนอก”


หญิงชราพูดสวนขึ้นมาทำเอาจิดาภาชะงัก


“ฉันขอเตือน อย่าเอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ อย่าถือว่าตนเองเป็นคนที่หวังดีกับลูกหลานมากที่สุด อย่าคิดว่าคุณเป็นแม่ เป็นญาติ เป็นคนเลี้ยงดูเขามาแล้วจะสรรหาแต่สิ่งที่ดีให้เขา ทุกอย่างที่คุณเลือกอาจไม่ใช่สักอย่างที่เขาต้องการ แล้วถ้าถึงวันหนึ่งที่เขาทนไม่ไหว เขารับสิ่งที่คุณพยายามให้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าวันหนึ่งเขาเลือกที่จะไปแล้วไม่กลับมาอีก วันนั้นคุณจะไม่มีทางได้แก้ตัวอะไรอีกเลย!”


คุณกอบกุลเรียนรู้ หล่อนบอกเล่าประสบการณ์ได้ แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าตนเองจะแก่เกินไปที่จะเปลี่ยนตัวเองหรือไม่ ทว่าสำหรับจิดาภานั้นยังสาว หรืออีกนัยหนึ่งคือยังไม่แก่เกินไปที่จะกลับตัวกลับใจ และเรื่องของพิทักษ์กับจิณณะยังคงพอจะเปลี่ยนแปลงได้


หากจะเป็นการสร้างบุญในบั้นปลายชีวิตสักครั้ง งูพิษอย่างกอบกุล  วงศ์กีรติก็จะถือว่านี่คือการฉุดรั้งไม่ให้มีคนเจริญรอยตามหล่อน


“เก็บไปคิดให้ดี แต่อย่าใช้เวลานานนัก เรื่องบางเรื่อง เวลายิ่งทำให้บานปลาย แต่ถ้าคุณภาคิดว่าพิทักษ์หายดีแล้ว จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ได้ คุณภายังสาว ยังมีเวลาอยู่ดูสภาพลูกชายที่คุณภาเลี้ยงมาได้อีกนาน” หญิงชรายกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น แล้วย้ำชัดราวกับตอกหมุดลงกลางใจคนฟัง


“แต่ฉันขอถามครั้งสุดท้าย...สภาพของพิทักษ์ตอนนี้ ดีสมใจคุณภาใช่ไหม”


เจ้าของบ้านนิ่งงันอยู่ที่เดิม แม้ว่าแขกผู้มีเกียรติจะจากไปแล้ว ในสมองของหล่อนมีเพียงเสียงของคุณกอบกุลดังซ้ำ


‘...สภาพของพิทักษ์ตอนนี้ ดีสมใจคุณภาใช่ไหม’


ร่างของหล่อนสั่นระริก ภายในห้องรับแขกมีเพียงเสียงสะอื้นด้วยความสะเทือนใจของคนเป็นแม่

………………….

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
งานเลี้ยงเย็นวันนั้นจัดในโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โตแต่ก็อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยนักธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการที่รู้จักมักจี่กับตระกูลตั้งกาญจนพาณิชย์ดี คุณกอบกุลไปร่วมงานด้วยตัวเอง โดยมีจรรยาและจิณณะติดตามไปด้วย


ยามหญิงชราก้าวไปทางไหน ก็ล้วนมีแต่คนรู้จักทั้งสิ้น หล่อนแวะพูดคุยกับคนสนิท เริ่มเรื่องด้วยการทักทาย แต่มักลงท้ายด้วยการประสานประโยชน์ที่คาดหวัง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของงานเลี้ยงเช่นนี้ ข้อตกลงปากเปล่าที่ทรงอำนาจเกิดขึ้นในงานอย่างนี้มากกว่าบนโต๊ะประชุมมาโดยตลอด


จิณณะเองก็พบเจอคนที่เขารู้จักอยู่บ้าง ที่เห็นลิบๆนั่นก็รัฐมนตรีนพพรที่เขาเคยพบที่สนามกอล์ฟของพิทักษ์ และ...ใช่...คนที่ยืนคุยอยู่กับรัฐมนตรีคนนั้นคือพิทักษ์


ชายหนุ่มนิ่งงัน แม้จะรู้ดีว่าเขาและพิทักษ์มีโอกาสพบเจอกันตามงานอย่างนี้ไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอ...เร็วอย่างนี้


เร็วหรือ...กี่เดือนมาแล้วที่เราไม่ได้เจอกันอีก กี่เดือนมาแล้วที่เหมือนตายทั้งเป็น กี่เดือนมาแล้วที่ทำได้เพียงค้นชื่อพิทักษ์จากอินเตอร์เน็ต รับรู้ข่าวสารของพิทักษ์ผ่านทางปากคนอื่น ทำทีเป็นไม่อยากรู้ แต่ตั้งใจฟัง ตั้งใจดู ตั้งใจรับรู้เรื่องของพิทักษ์ตลอดเวลา


ไม่เร็วเลย...แต่ละวันที่ผ่านไป เหมือนอยู่กับร่างกายที่ไร้วิญญาณ ผ่านไปแต่ละวันด้วยงานและคดี ใช้ชีวิตตึงเครียด ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ ไม่มีแม้แต่คนเตือนสติ จิณณะพบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ยังยืนได้ ยังใช้ชีวิตได้ ไม่มีพิทักษ์ใช่ว่าจะตาย เพียงแต่...ไม่มีความสุขเท่านั้นเอง


จะอยู่แบบไม่มีความสุขไปได้อีกนานไหมไม่รู้ แต่ที่รู้...พิทักษ์ไม่มีทางกลับมา ไม่มีทางได้ความสุขที่มีพิทักษ์อยู่ด้วยกลับมาอีกแล้ว


“จิณ...” เสียงเรียกจากข้างกายดึงสติจิณณะออกมาจากภวังค์แห่งความเหงาเศร้า จรรยายืนอยู่ข้างเขา สายตาของผู้เป็นแม่เต็มไปด้วยความสงสารและเวทนา จิณณะยกยิ้มเพื่อสร้างความสบายใจให้มารดา


“แม่จะเอาอะไรหรือครับ”


จรรยาพูดไม่ออก หล่อนไม่กล้าพูดว่าเห็นเขาเอาแต่มองพิทักษ์ ทว่าแค่เพียงมองอย่างเดียว ไม่แม้แต่จะเดินเข้าไปหา


จากคนที่ทำอะไรตามความต้องการของตนเอง จิณณะกลายเป็นคนสร้างกำแพงขวางเรื่องของพิทักษ์เอาไว้ แล้วได้แต่ยืนอยู่กับที่ ทำได้เพียงมองเท่านั้นเอง


“แม่จะเข้าไปคุยกับคุณสายใจสักหน่อย จิณมาด้วยกันสิ ยังจำคุณป้าสายใจได้ไหม” จรรยาไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือการดึงความสนใจลูกชายออกมาจากสิ่งที่ทำให้เขาหม่นหมอง จิณณะเพียงยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่คนเป็นแม่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย


“จำได้ครับ” สายใจ  ตั้งกาญจนพาณิชย์เป็นพี่สะใภ้เจ้าของงานเลี้ยงคืนนี้ หากจะไล่เรียงความเป็นญาติกับฝั่งวงศ์กีรติก็ต้องบอกว่าหล่อนไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดแต่อย่างใด เพราะเป็นสะใภ้แซ่ตั้ง ยิ่งหากมานับญาติกับจิณณะด้วยแล้ว เรียกว่าดองอย่างห่างๆถึงห่างมากๆ ผ่านทางชเยนตร์ที่เป็นสายเลือดครึ่งหนึ่งของตั้งกาญจนพาณิชย์เท่านั้นเอง


แต่...ไม่ว่าจะดองห่างๆมากเท่าไร การมีจุดสนใจอย่างการพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ก็ย่อมดีกว่าการยืนอยู่กับที่แล้วกวาดสายตาไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็จบลงที่มองตามแต่พิทักษ์เท่านั้นเอง


นี่ก็ไม่แฟร์…


อยากบอกวรชิตนัก ว่านอกจากเขาจะไม่แฟร์ต่อพิทักษ์แล้ว ร่างกายของเขาก็ไม่แฟร์ต่อหัวใจของเขาเช่นกัน


ไม่แฟร์เลย...สายตาทำอะไรไม่ถามหัวใจเลยสักนิด จะไปมองคนที่ใจพยายามตัดทิ้งอีกทำไม


“จิณ...จิณ...” เสียงเรียกดังขึ้นอีก จิณณะรู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าเขายืนยิ้มแต่ปากอยู่ระหว่างมารดาและสตรีวัยกลางคนอย่างสายใจแล้ว ชายหนุ่มอยากตบหน้าตัวเองแรงๆสักที ขนาดพยายามจูงใจตัวเองด้วยการมาพบปะผู้ใหญ่ สุดท้ายก็ดึงความสนใจออกมาจากพิทักษ์ไม่ได้


“ขอโทษครับ...” เขาไม่รู้จะแก้ตัวว่าอย่างไร ดีว่าคู่สนทนาของมารดาไม่ถือสา หนำซ้ำยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วยกมือเรียกบริกรที่ถือถาดเครื่องดื่ม ก่อนจะหยิบแก้วไวน์ทรงสูงมาส่งให้


“ใจลอยแบบนี้ ต้องดื่มสักแก้วนะ จะได้มีสมาธิ” หล่อนพูดพลางยิ้ม จิณณะได้แต่ยิ้มเฝือพลางรับแก้วมาจิบ แต่พอยกแก้วขึ้นจ่อที่ริมฝีปาก สายตาก็พลันเห็นหญิงสาวคนหนึ่งถูกเรียกเข้าไปร่วมวงคุยกับพิทักษ์และรัฐมนตรีนพพรอีก แล้วจู่ๆ คำพูดของชายวัยปลายที่เคยออกตัวว่าจะแนะนำผู้หญิงดีๆที่จะทำให้ธุรกิจของพิทักษ์เจริญเติบโตกว่านี้ก็ดังกลับเข้ามาในสมอง


ตอนนั้นจิณณะเข่นเขี้ยว อยากจะกระทุ้งคอหอยตาแก่นั่นสักทีสองที โทษฐานแก่ไม่อยู่ส่วนแก่ คิดจะหาเมียให้พิทักษ์


ส่วนตอนนี้ จิณณะก็ยังได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่คนแก่อย่างท่านนพพรไม่อยู่ส่วนแก่ ยังคงคิดจะหาเมียให้พิทักษ์เช่นเดิม


แต่...ตอนนี้กับตอนนั้นต่างกัน


ตอนนี้...พิทักษ์ไม่มีตัวถ่วงอย่างจิณณะ วงศ์กีรติอยู่ข้างกายอีกแล้ว ถ้าจะมีตาแก่อีกสักสิบคนช่วยหาเมียสักยี่สิบคนให้พิทักษ์ จิณณะก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแล้ว


พอคิดได้อย่างนั้น มือที่ยกแก้วขึ้นจ่อปากก็กลายเป็นกระดกแก้วเทเครื่องดื่มเข้าปากไปจนหมด


จรรยาเห็นท่าทางของลูกชายก็ยิ่งเป็นห่วง แต่หล่อนทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าพยายามชวนเขาเข้ามาอยู่ในบทสนทนากับสตรีตรงหน้า ทว่าอาจจะเรียกว่าเป็นความพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกที่แท้จริง เมื่อมีคนเข้ามาร่วมวงคุยเพิ่ม ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นภรรยานักธุรกิจรุ่นราวคราวเดียวกัน จิณณะจึงไม่ต่างอะไรแกะดำท่ามกลางหงส์ขาว ชายหนุ่มเพียงคนเดียวย่อมคุยกับกลุ่ม ‘หลังบ้าน’ ไม่รู้เรื่อง สุดท้ายเขาจึงกระซิบขอตัวจากมารดา โดยบอกว่าจะไปนั่งรอที่มุมห้องด้านหนึ่ง จรรยาเป็นห่วงลูกชายคนโตอยู่หรอก แต่ตรงหน้าก็ยังพูดคุยติดพัน สุดท้ายจึงได้แต่มองตามเห็นเขาหลบไปนั่งที่ชุดเก้าอี้มุมห้องได้แล้วก็พอจะเบาใจ


ทว่าคนเป็นแม่ย่อมไม่รู้...แม้จะหาที่นั่งได้แล้ว แต่สายตาของจิณณะก็ยังคงมองตามใครบางคนอยู่นั่นเอง


เมื่อครู่นี้มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกท่านนพพรเรียกเข้าไปร่วมวงคุยกับพิทักษ์ แต่ตอนนี้มีผู้หญิงอีกคนเดินเข้าไปร่วมวงคุยด้วยเป็นคนที่สอง


ชายหนุ่มหันไปยกมือเรียกบริกรแล้วหยิบเครื่องดื่มมาทีเดียวสองแก้ว ยกแก้วหนึ่งกระดกเข้าปากรวดเดียวให้สาแก่อารมณ์อัดอั้น แต่พอจะยกอีกแก้วขึ้นกระดก มือเหี่ยวย่นก็ดึงแขนเขาเอาไว้ จิณณะชะงักงัน ไล่สายตามองเลยขึ้นไปยังเจ้าของมือ


คุณกอบกุลยืนหน้าเชิดเย่อหยิ่งเหมือนเคย ก่อนจะกดสายตาลงมองหลานชายที่นั่งอยู่


จิณณะเป็นชายหนุ่มอกสามศอก สูง 180 เซนติเมตร แม้จะนั่งก็ยังดูสมส่วน ทว่าไม่สง่าผ่าเผยเพราะเมฆหมอกดำทะมึนลอยอยู่เหนือหัว ยิ่งมีคนแก่มาดนางพญาอย่างคุณกอบกุลมายืนขนาบอย่างนี้ จากชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็ไม่ต่างอะไรกับคนขี้โรคที่ดูอับเฉาน่าสมเพช


...ใช่ น่าสมเพช...


...จิณณะยังรู้ตัวบ้างไหมว่านามสกุลที่ห้อยท้ายคือนามสกุลของคุณกอบกุลคนนี้ ทำหน้าตาเบื่อโลกราวกับจะลาตายวันนี้พรุ่งนี้อย่างไรอย่างนั้น!...


“ดื่มรวดเดียวแบบนั้น คนอื่นเขาจะคิดเอาว่าแกอดอยากปากแห้ง”


จิณณะนิ่งไปเล็กน้อย ถอนหายใจแผ่วแล้วลดมือที่ถือแก้วไวน์ลง เรื่องที่อัดอั้นในใจ ให้อย่างไรก็พูดไม่ออก เดิมทีก็ไม่ใช่คนชอบเล่าเรื่องทุกข์ยากที่ตนเองประสบอยู่แล้ว หนำซ้ำคู่สนทนาในเวลานี้ยังเป็นคุณกอบกุลผู้ซึ่งไม่น่าคุยเรื่องทุกข์ยากให้หล่อนฟังด้วย เพราะนอกจากคำปลอบใจจะไม่มีแล้ว อาจถูกด่าทอเยาะเย้ยถากถางเข้าไปอีก สุดท้ายจิณณะเลยเลือกที่จะเงียบแทน


“แกเอาแก้วมา แล้วออกไปนั่งรอข้างนอก ถ้าแม่แกจะกลับ ฉันจะบอกให้ออกไปหาแกเอง” คุณกอบกุลมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวและคนขับส่วนตัว ในขณะที่สองแม่ลูกจรรยากับจิณณะมารถคันเดียวกัน แน่นอนว่าหญิงชราไม่ได้ห่วงใยหลานชายที่ดื่มไวน์เป็นน้ำ แต่เกรงว่าหากเกิดอุบัติเหตุเพราะเขาเมา ลูกสะใภ้ที่แสนว่าง่ายของหล่อนจะรับเคราะห์ แถมด้วยลงข่าวใหญ่ว่าหลานไฮโซเมาแล้วขับ ทำนองนั้นอีก


คุณกอบกุลย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้ห่วงหลานชายนอกคอกแต่อย่างใด


จิณณะไม่อยากหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ระยะหลังมานี่เขากลายเป็นคนไม่ค่อยมีปากเสียงกับคุณกอบกุลไปแล้ว ชายหนุ่มยอมวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะข้างโซฟา ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปแต่โดยดี แน่นอนว่าช่วงแรกที่เขาทำตัวว่าง่ายนั้นออกจะไม่ชินสำหรับคนเป็นย่า กระทั่งเวลานี้ก็ยังไม่คุ้นอยู่ดี แต่...คราวนี้หล่อนจะมองข้ามความคุ้นชินอะไรพวกนั้น เพราะการที่เขายอมออกจากห้องอย่างไม่มีปากเสียง ทำให้หล่อนทำเรื่องบางอย่างได้สะดวกขึ้น


เมื่อมองตามจนแน่ใจว่าชายหนุ่มร่างสูงออกจากห้องไปแล้ว จึงก้าวเท้าตรงดิ่งไปหาชายชราผู้หนึ่งที่กำลังหัวเราะกับบทสนทนาในกลุ่ม


แน่นอน...เป้าหมายของหล่อนไม่ใช่ชายชราที่เป็นรัฐมนตรีอย่างท่านนพพร แต่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่กำลังยืนคุยอยู่ด้วยต่างหาก


คุณกอบกุลพูดอะไรบางอย่างกับท่านนพพร สุดท้ายก็ขอตัวพิทักษ์ออกมาได้ และเมื่อได้พิทักษ์มาอยู่ในมือ แค่หล่อนพูดไม่กี่ประโยค เขาก็มุ่งหน้าไปที่ประตูห้องจัดเลี้ยงและหายออกไปจากงาน


หญิงชรามองตามอย่างพึงใจ ก่อนจะเหลือบไปสบตากับจิดาภาที่มองตรงมาที่หล่อน


คุณกอบกุลไม่พูด ไม่เดินเข้าไปหา แต่มองตอบกลับไปอย่างท้าทาย


ใช่...นี่คือการท้าทาย...


ถ้าจิดาภาคิดว่าสภาพของพิทักษ์ตอนนี้ดีสมใจ ก็เชิญตามลูกเลี้ยงออกไปได้เลย แต่ถ้าไม่...จิดาภาก็ต้องยอมรับในสิ่งที่คุณกอบกุลกำลังทำอยู่


ทลายกำแพงระหว่างคนสองคนนั่นเสีย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป!


...............................      


ข้างนอกห้องจัดเลี้ยงมีชุดโซฟาที่พอจะหาความสงบได้ ไม่มีคนเดินพลุ่กพล่าน ไม่มีสายตาใครมองมา ที่สำคัญ...ไม่ต้องมีใครให้สายตาไล่ตามอีกแล้ว


จิณณะได้แต่ชันศอกกับเข่าแล้วฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ เพราะพักผ่อนน้อย แถมดื่มมากไปในเวลารวดเร็ว หนำซ้ำยังไม่มีอะไรตกถึงท้องก่อนเครื่องดื่มมึนเมาพวกนั้นอีก แม้ไม่เมามาย แต่ก็นับว่าทำเอามึนศีรษะได้ที่


ก็ดี...ดีแล้ว...มึนไปซะ จะได้ไม่ต้องคิดเรื่องใครให้มันรกใจอีก


สัมผัสเย็นที่แขนทำเอาคนฟุบหน้าหลับตากับฝ่ามือถึงกับสะดุ้งลืมตาขึ้นมอง ต้นเหตุคือขวดน้ำเปล่าเย็นจัดที่ยื่นมาตรงหน้าเขา จิณณะกะพริบตาปริบๆด้วยความงุนงง ก่อนจะไล่สายตามองขึ้นไปยังมือที่ถือขวดน้ำ


แค่เห็นมือ...หัวใจของชายหนุ่มก็กระตุกแล้ว


เขาจำมือได้ จำได้แม้กระทั่งสีเสื้อสูทที่พิทักษ์ใส่มาวันนี้ จำได้แม้กระทั่งนาฬิกาข้อมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมา ทั้งหมดคือองค์ประกอบของพิทักษ์


...พี่ทิศ…


จิณณะได้แต่กะพริบตาเพื่อเรียกสติตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมายืนถือขวดน้ำอยู่ตรงหน้าเขา และที่ไม่เข้าใจที่สุดคือเขาควรจะรับขวดน้ำขวดนี้มาไหม


ตอนที่กำลังละล้าละลังด้วยไม่รู้ว่าจะรับดีหรือไม่ มืออีกข้างของคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็ดึงมือเขาไปรับขวดน้ำแล้ว จิณณะเงยหน้ามองด้วยความตกใจ และสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าความตกใจคือความคิดถึงที่พุ่งพล่านในวินาทีเดียว


จากที่เห็นแต่ไกลๆ ตอนนี้พิทักษ์ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เราได้สบตากัน แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา อีกฝ่ายก็หมุนตัวเดินจากไป


ไม่...ไม่เอาแล้ว...ไม่อยากให้ไปไหนอีกแล้ว


ก่อนที่สมองจะตั้งสติได้ ใจก็สั่งให้คว้าอีกฝ่ายเอาไว้ รั้งพิทักษ์ไว้ อย่าปล่อยให้เขาจากไปไหนอีก


จิณณะเอื้อมมือไปคว้าหมับ คนจะเดินจากกลายเป็นหยุดนิ่ง คนคว้าเองก็ตกใจเช่นกันที่เขาเป็นฝ่ายฉุดรั้ง


“อ...เอ่อ...ข...ขอโทษ ผม...ผม...” ทำได้เพียงรีบปล่อยมือเหมือนจับของร้อน ทว่าหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงรั้งพิทักษ์เอาไว้


ไม่มีเหตุผลจากสมองอะไรเลย นอกเสียจากเหตุผลของหัวใจ


เหตุผลของคนเห็นแก่ตัว รู้ทั้งรู้ว่าเคยก่อปัญหาให้พิทักษ์ รู้ทั้งรู้ว่ายังมีคนอีกมากที่เหมาะสมกับพิทักษ์ รู้ทั้งรู้ว่าที่เราจากกันอย่างนี้ก็เพราะการตัดสินใจของเขาเอง แต่ทั้งๆที่รู้...ก็ยัง...รัก


ร่างสูงมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาและเอาแต่มองซ้ายขวาราวกับจะหาข้ออ้างใดๆมาอธิบายการกระทำเมื่อครู่นี้ เขาเห็นจิณณะตั้งแต่เจ้าตัวเดินเข้ามาในงาน ยิ่งอยู่ในชุดสูทสีเข้มก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะผอมลงไปอีก สีหน้าเรียบเฉยและเอาแต่เหม่อลอยดูไม่เหมือนจิณณะ วงศ์กีรติที่เขารู้จัก


คนตรงหน้าไม่เหมือนคนที่เขารู้จักเลย ทำอย่างไรจึงจะได้จิณณะคนที่เขารู้จักกลับมา


‘จิณณะอยู่ข้างนอก’


‘…’


‘หึ! คงไม่บ้าและโง่เหมือนหลานนอกคอกของฉันใช่ไหม ที่คิดว่าการอยู่ห่างๆจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด’


‘จิณเป็นคนเลือกเองครับ’


‘ใจดีจริง! ปล่อยให้เจ้านั่นเลือก’


‘เขาบอกว่าผมหมดประโยชน์สำหรับเขาแล้ว’ เมื่อไม่มีประโยชน์แล้ว พิทักษ์ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องหน้าด้านหน้าทนถึงเพียงไหนถึงจะยังกล้ายืนหยัดอยู่ข้างจิณณะอีก


‘อ้อ แล้วก็เชื่อ?’


ประโยคนั้นของคุณกอบกุลทำให้พิทักษ์ชะงัก ทั้งๆที่เขาจับพิรุธจิณณะได้หลายต่อหลายครั้ง อ่านความรู้สึกนึกคิดออกก็หลายหน แต่คราวนั้น...ทำไมถึงกลับเชื่อคำพูดของจิณณะง่ายๆ


‘พิทักษ์...จิณณะเกิดมาสร้างเป็นแต่ปัญหา และเขาแก้ปัญหาด้วยวิธีธรรมดาไม่เป็น ไม่อย่างนั้นป่านนี้ สภาพของเขาคงไม่เป็นแบบนี้ ฉันคิดว่าคงไม่ต้องสาธยายว่าสภาพของเขาเป็นอย่างไร ดูด้วยตาก็น่าจะเห็น จริงไหม’


‘…ถ้าคิดว่าวิธีการแก้ปัญหาของหลานนอกคอกของฉันเป็นวิธีที่ดีที่สุด ก็อยู่อย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าคิดว่าไม่...ก็ควรตามไปจัดการมัน ให้เลิกดันทุรังใช้วิธีประสาทนี่มาแก้ปัญหาเสียที’


พิทักษ์นิ่งตรึกตรอง จริงอย่างที่คุณกอบกุลว่า เขาไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของจิณณะเพียงคนเดียว ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกเขาทั้งสองคน หากจิณณะจะหาว่าหน้าด้าน แต่เขาก็ควรได้รับคำอธิบายนอกเหนือจากการยกเหตุผลที่ว่าไพศาลติดคุกแล้ว เขาก็หมดประโยชน์


เราอาจจะเริ่มต้นด้วยเรื่องอันตราย แต่ในระหว่างที่เกิดเรื่องนี้ เรื่องของเราก็เกิดขึ้นด้วย หากแยกเรื่องทั้งสองออกจากกัน จะพบว่าเรื่องของพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของไพศาลเลย


ไพศาลติดคุกไปแล้ว แต่ ‘เรื่องของเรา’ ไม่เห็นจำเป็นต้องสิ้นสุดตามลงเลย


‘ขอบคุณครับ’


คุณกอบกุลมองเห็นแววของการตัดสินใจจะเดินหน้าของพิทักษ์แล้วก็เกิดเป็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก


‘อย่าปล่อยให้เจ้านั่นตัดสินใจบ้าๆอีกล่ะ ฉันเห็นแล้วเคืองสายตา’


หล่อนว่าอย่างนั้นด้วยท่าทางโอหังเช่นเคย พิทักษ์เพียงยิ้มจาง ก่อนจะมุ่งหน้าเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปตามทิศที่หญิงชราบอก แล้วก็ถึงได้มาเจอจิณณะนั่งฟุบหน้าอยู่บนโซฟาแบบนี้


ถ้าไม่ถูกกระตุ้นให้ตามออกมา ก็คงไม่ได้เห็นว่าสภาพของจิณณะในเวลานี้เป็นหนักถึงเพียงนี้ เขาเห็นเจ้าตัวถือแก้วเครื่องดื่มไม่วางก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นต้องนั่งฟุบหน้ากับมืออย่างนี้ เลยต้องกลับเข้าไปขอน้ำเปล่าจากพนักงานโรงแรมอีกครั้ง แล้วถึงได้เดินเข้ามาหา


ทว่าคนที่ดูย่ำแย่ พอเห็นหน้าเขาแล้วก็ไม่ต่างจากเห็นผี ใบหน้าซีดเซียวซูบผอมดูตกตะลึงจนไม่มีสติ พิทักษ์เห็นแล้วก็นึกสงสาร ตั้งใจจะทิ้งระยะสักหน่อยให้เจ้าตัวได้ตั้งสติ แต่พอเขาจะเดินจากมา กลับถูกคว้าแขนเอาไว้แบบนี้ แล้วจะทิ้งไปไหนได้อย่างไรกัน


...ทิ้งไม่ได้ ปล่อยไปไหนไม่ได้...ไม่อย่างนั้นคงถูกคุณกอบกุลหาว่าเขาตามใจคนแก้ปัญหาผิดๆรายนี้อีก...


“มีเรื่องจะคุยกับพี่ไหม” พิทักษ์ถาม ทำเอาคนที่เอาแต่มองซ้ายมองขวาเพื่อหาข้ออ้างชะงักไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา


“ม...ไม่มี...เอ่อ...ผม...พอดีมีโทรศัพท์...เอ่อ...” เป็นคำโกหกที่ต่อให้ปิดหูข้างหนึ่งฟังก็ยังรู้ว่าโกหก พิทักษ์ถอนหายใจแรง ฉวยแขนคนบนโซฟาให้ลุกขึ้น


“เฮ้ย! จะทำอะไร”


“ไม่ต้องคุยกับใครทั้งนั้น จิณต้องไปคุยกับพี่”


“ผ...ผมไม่มีอะไรต้องคุยกับพ...กับคุณ...”


ดวงตาดุตวัดมามอง เพียงเท่านั้นคำอ้างใดๆก็เหมือนจะถูกกลืนลงคอไปหมด


“จิณไม่มี แต่พี่มี” พิทักษ์ไม่พูดพล่าม ดึงแขนจิณณะให้เดินตามทันที แม้จะอยู่ในอาการมึนศีรษะ แต่หลานชายของคุณกอบกุลก็เป็นชายหนุ่มอกสามศอกคนหนึ่งที่มือไวใช้ได้ พอถูกลาก แขนอีกข้างก็รีบคว้าโซฟาใกล้ตัวเอาไว้เป็นหลักยึด สถานการณ์ตอนนี้เลยเหมือนผู้ใหญ่ดึงเด็กดื้อสักคนที่คิดว่าโซฟาจะช่วยเหนี่ยวรั้งตัวเองได้


ซึ่ง...ในความเป็นจริงต่อให้เด็กดื้อที่ว่าจะตัวใหญ่เป็นเด็กโข่ง แต่โซฟาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี


“ปล่อย!” ผู้ใหญ่ดุ แต่จิณณะถลึงตาใส่


“คุณสิปล่อย! ผมบอกแล้วว่าไม่มีอะไรต้องคุย!”


“พี่ก็บอกแล้วว่ามีเรื่องต้องคุย!”


“ผมไม่คุย! อยากคุยก็ไปคุยกับผู้หญิงคนอื่นสิวะ!” พอหลุดปากตอบโต้ออกไปแล้ว จิณณะก็นึกอยากกัดลิ้นตัวเองนัก ทำไมเขาต้องผลักไสไล่ส่งอีกฝ่ายไปหาผู้หญิงคนอื่นด้วย ไม่อยากคุยก็คือไม่อยากคุย ไม่เห็นต้องยกผู้หญิงคนอื่นมาเป็นทางเลือกราวกับ...ราวกับหึง


...ใช่...หึง...หึงแต่ทำอะไรไม่ได้ หึงแต่พูดอะไรไม่ได้…


“ผู้หญิงที่ไหน”


“จะไปรู้เหรอวะ! ปล่อย!”


“พูดไม่รู้เรื่อง มีแต่อารมณ์ล้วนๆ ไม่มีสติสักนิด”


จิณณะถลึงตาใส่หนักกว่าเดิมที่จู่ๆก็ถูกดุผสมด่าแบบนี้


“ผมจะมีสติหรือไม่มี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ! ปล่อยโว้ย!”


“ไม่มีสติแล้วยังดื้อไม่เข้าเรื่องอีก คุณกอบกุลพูดถูกว่าหลานคนนี้แก้ปัญหาไม่เป็น”


“ย่าผมมาเกี่ยวอะไรด้วย?!”


“ย่าของจิณเป็นคนบอกให้พี่ตามมา”


“หะ?!”


“แล้วยังบอกด้วยว่าจิณแก้ปัญหาไม่เป็น เลยเลือกที่จะทำแบบนี้ และพี่ไม่ควรตามใจปล่อยให้จิณแก้ปัญหาด้วยวิธีที่จิณคิดคนเดียวอีก เพราะฉะนั้นเราต้องไปคุยกัน แล้วตกลงว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง”


“ผมไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น!”


“ถ้าไม่มี แล้วทำไมจิณถึงเลิกกับพี่”


จิณณะอ้าปากค้างพูดไม่ออกแล้วไปแล้ว หน้าซีดสลับแดงทั้งฉุนทั้งเขิน อันที่จริงพวกเขามีความสัมพันธ์ที่รู้กันอยู่ในใจ แต่ไม่เคยระบุสถานะว่าคบหาในทำนองรักใครเลยสักที แต่ตอนนี้...พิทักษ์กลับเหมารวมว่าสถานะของพวกเขาตอนนี้คือ ‘เลิกกันแล้ว’


“ล..เลิก...เลิกอะไร ผม...เรา...เราไม่ได้...”


“ใช่ เราไม่ได้ตกลงคบกันตั้งแต่แรก เพราะจิณสัญญาว่าจะหลังจบเรื่องจะกลับมาคุยกัน แต่จนวันนี้ เราสองคนไม่ได้คุยกัน มีแต่ฝ่ายจิณที่พูดอยู่คนเดียว”


จิณณะเหมือนถูกย้อนศรทุกประโยค เขาได้แต่อ้าปากค้าง น้ำท่วมปากไปหมด


“พี่จะไม่ยอมให้จิณพูดคนเดียวอีกแล้ว เพราะฉะนั้น...เราต้องไปคุยกัน!”


แล้วพิทักษ์ก็ฉุดอีกทีเดียว ร่างของอดีตปลัดอำเภอก็ลอยหวือตามไปอย่างไม่อาจปฏิเสธได้อีก





ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)

ตอนนี้ยาวมาก เพราะแต่ละฉากพูดเยอะ ฮ่าฮ่า (จริงๆมันคือสองตอนรวบเข้าด้วยกัน แต่บัวกลัวว่คนอ่านจะลืมพี่ทิศ เพราะพี่แกไม่ออกมาแสดงศักยภาพนานแล้ว เลยตัดสินใจรวบมาเป็นตอนเดียวกัน)

เดี๋ยวจะหาว่ามีแต่ฝั่งพี่ทิศที่มีแต่ลาสต์บอส ฝั่งจิณก็มีลาสต์บอสนะคะ แถมลาสต์บอสรายนี้เป็นระดับคุณย่าด้วยค่ะ ที่สำคัญคือพี่ทิศกลับมาแล้ววววว ตบมือๆๆๆๆ ส่วนคนที่พยายามครองตำแหน่งพระเอกมานาน เราควรสะกิดเขามั้ยคะ ว่าถึงเวลากลับโพซิชั่นเดิม วะฮ่าฮ่า

ไปทำงานต่อล่ะ วันนี้ก็งานเยอะอีกแล้ววววว

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตาม กำลังใจและพื้นที่บอร์ด

เจอกันพฤหัสหน้าค่ะ


ออฟไลน์ sentpai

  • เพราะโลกของแต่ละคนนั้นมันไม่เหมือนกัน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ปาดดดดดครับ 555

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ sentpai

  • เพราะโลกของแต่ละคนนั้นมันไม่เหมือนกัน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กลับมากรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ YBlood

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หูยยย พีทิศกลับมาแล้ว  จัดการจิณให้อยู่หมัดเลยนะคะ คนปากแข็งแบบนี้


Sent from my iPhone using Tapatalk

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ little_def

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พระเอกตัวจริงออกโรงแล้ว  :katai2-1:

ออฟไลน์ nrbtst1997

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านมาตั้งต้นเลย​   แต่จำรหัสไ่ม่ได้เลย​  วันนี้ทนไม่ไหวเลยสมัครใหม่เลย​ อยากเมนท์​ให้กำลังใจมากๆๆ​  สนุกมากๆเลยรออ่านอยู่นะ​  :hao7:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
โอ๊ยยยย คุณย่าแสดงอภินิหารแล้ว เจ๋งกว่านี้มีอีกไหม? / หลายตอนที่แล้ว หนูไม่ว่าอะไรคุณย่าเลยนะคะ ไม่เค๊ยยย

ถถถถถถถ นี่ก็ลุ้น ว่าตอนนี้จะได้เห็นแค่หลังพี่ทิศในร้านอาหาร กับชายเสื้อสูทในงานเลี้ยงแค่นั้น พี่ทิศได้ค่าตัวแล้ว มีบทพูดแล้ว หนูตื้นตัน น้ำตาจิไหลลลล งือออออ  :z10:

นอกจากคุณย่าจะเป็นได้ตำแหน่งลาสบอสฝั่งจิณไปครองแล้ว แมนออฟเดอะแมทช์ตอนนี้ยกให้พี่ชุนคนไกล บิ๊กพ้อยมากค่ะพี่ แต้มนี้ของพี่สุดยอดเลย สามารถสะกิดให้คุณย่ากลายร่างจนเป็นลาสบอสได้ พี่ชเยนทร์สวดยอด!  :katai2-1:

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เย้ แต่ละคน กุมขมับแทนเลยดีนะมีคุณกอบกุล

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ยาวสะใจเลย
ต้องให้ย่าออกโรงถึงจะจบนะ

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 822
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
คุณย่าท็อปฟอร์มมากๆ  :katai3: มีใครจะเฟี้ยวไปกว่าคุณกอบกุลได้อีก!!!  คุณบัวบอกตอนนี้ยาว แต่สำหรับเรา เราอ่านเพลินมากๆจนคิดว่ามันยังไม่จุใจพอเลย พี่ทิศจัดการเด็กดื้อเลยค่ะ เด็กดื้อต้องถูกลงโทษ  รอติดตามอาทิตย์หน้านะคะ  :3123:

ออฟไลน์ psyfer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขุ่นย่านางเอกที่แท้ทรู

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
รักคุณย่า!!! บอกเลยตอนนี้คุณกอบกุลมากอบกู้เรตติ้งตัวเองมากๆ พี่ทิศเอาจริงแล้วโดนแน่ๆ จิณ

โอ๊ยย!! มีร้านเตาถ่านในตำนานมาแจมด้วย คิดถึงถ้วยฟูกับพี่ธันว์

ออฟไลน์ soul love

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ชูป้ายไฟให้คุณย่าสิคะ เร็วๆๆๆๆๆ
และว่าที่ด๊อกเตอร์อีกคน ยาวจ้า แต่ไม่จุใจ รออีก

ออฟไลน์ tomnub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ดีใจ..วันนี้คงนอนฝันดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด