CHAPTER 9ผมบอกน็อตไปแล้วถึงสิ่งที่ผมคิดและสิ่งที่ผมรู้สึก .. ใครอาจจะมองว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ ..แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีคำว่าเห็นแก่ตัว
ถ้าคบกันแล้วใช่ มันก็น่าคบต่อ .. แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยมือกันไป
ผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายนัก ..เพราะส่วนตัวผมก็ชอบผู้หญิงมาตลอดเหมือนกัน
แต่ถ้ามันมีคนที่'ใช่'.. แล้วดันเป็นผู้ชายขึ้นมา
คุณว่ามันคุ้มเหรอ กับการพยายามดึงดันคบกับผู้หญิงที่แค่ 'เหมือนจะใช่' ต่อไป
ผมว่าไม่คุ้ม..
ผมกับน็อตก็ยังไม่มีข้อสรุปว่าเราเป็นอะไรกัน ..แต่ผมไม่ได้อยากหยุดความสัมพันธ์ไว้แค่ที่คำว่า 'ไม่รู้'
ผมอยากรู้ว่าเราสองคนจะเป็นได้ถึงไหน.. ใช่อยู่ว่าถ้าซักวันนึงมันไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยมือเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ผมยังไม่ขอปล่อยมือจากน็อต แล้วมาเลือกความสัมพันธ์ที่จริงจังขึ้นในอีกระดับกับแอม
ผมกับแอมเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราเป็นแฟนที่..ก็โอเค.. ถึงจะทะเลาะกันบ่อยก็เถอะ
แต่ผมไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นคู่หมั้นและคู่ชีวิตที่ดีของกันและกัน
ต้องยอมรับตามตรงว่า 'ไม่เคยคิด' เลยจริงๆ ..
ผมถึงตกใจตอนแอมโทรมาคุยเรื่องนี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพราะผมรู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไป..
และที่สำคัญ ผมว่าผมกำลังทำความเข้าใจความรู้สึกของผมกับน็อตด้วย
วันนี้วันอาทิตย์ วันที่แอมจะมาคุยกับพ่อแม่ผม แต่ผมขอให้แอมมาที่บ้านเพื่อคุยอะไรกันก่อน
"ทำไม..ถึงเลิกกับน็อตล่ะ" ผมถาม แอมก็เลยทำหน้างงๆ
"รู้ได้ไง ?"
"เอาเป็นว่ารู้"
"น็อตไม่ได้พูดอะไรใช่มั้ย ?" แอมน่าจะหมายถึงว่าไอ้น็อตมันได้พยายามขัดขวางการหมั้นรึเปล่า
"ไม่..ก็รู้แค่นี้ แต่น็อตก็ยินดีด้วย"
แอมเลยมองหน้าผมนิดนึงก่อน แล้วถึงค่อยตอบ
"ก็.. พอถึงจุดนึงแอมรู้สึกว่าเค้าเป็นเพื่อนที่ดี แล้วมันก็น่าจะหยุดไว้แค่นั้น ..เทมก็รู้ว่าแอมไม่ชอบผูกมัดกับอะไรนานๆ ..คือตอนนั้นก็คิดหลายเรื่องด้วยแหละ แอมรู้สึกว่าเราเรียนจบแล้ว เราน่าจะมีชีวิตใหม่ๆ.. ไม่ใช่ว่าน็อตไม่ดีนะ น็อตดี แต่จะดีกว่าถ้าเป็นเพื่อน แอมคิดงั้น"
"ไม่ใช่เพราะนิสัยเข้ากันไม่ได้เหรอ" ผมลองถาม
"เอ่ออ.. น็อตเป็นคนติดเพื่อนนะ ตอนทำงานเป็นมั้ย.." แอมหันมาถามความเห็นผม "แต่แอมก็ไม่ค่อยซีเรียส.. คือคนเราก็ต้องมีจุดที่ไม่ถูกใจอะไรกันบ้างแหละ จริงๆก็หลายเรื่องเหมือนกัน.. แต่แอมก็ไม่ได้อะไร อาจจะเป็นเพราะแอมไม่ได้คาดหวังอะไรกับน็อตอยู่แล้วด้วยมั้ง.. เหมือนคบไปวันๆ เหมือนเพื่อนน่ะ ทีนี้สุดท้ายแอมรู้สึกว่าคบกันไปมันก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนา ก็เลยเป็นเพื่อนดีกว่า"
"แล้วแอมคิดว่าแอมจะทนผูกมัดกับเทมได้เหรอ" ผมถาม
"อะไรนะ ?"
"เราทะเลาะกันบ่อยมากเลยนะ ขนาดว่านานๆเจอกันที" ผมพูดยิ้มๆเพราะมันเป็นเรื่องจริง
"เพราะว่าบางทีเทมก็นิสัยเสียไง" แอมพูดตรงๆแบบนี้มาแต่ไหน นิสัยเหมือนผู้ชายมาก ..อาจเป็นเพราะแบบนี้ด้วยถึงได้ทะเลาะกันบ่อย
"แอมก็นิสัยเสีย" ส่วนผมเองก็ปากไม่ดี
"นี่ไง..เริ่มอีกและ" แอมหน้ายู่ใส่ผมแบบกึ่งจริงกึ่งเล่น
"งั้นที่เราทะเลาะกัน ที่แอมว่าเทมบ่อยๆ เพราะแอมคาดหวังกับเทมเหรอ" ผมถามอีก
"หมายความว่าไง" แอมทำหน้างง
"หรือเพราะแอมไม่อยากให้เรากลายเป็นเพื่อนกันแบบแอมกับน็อต.." ผมพูดต่อ "..หรือเพราะเราเข้ากันไม่ได้จริงๆ ?"
แอมเลยหยุดคิดนิดนึง
"อาจไม่คาดหวังก็ได้นะ.. คือเราเริ่มกันมาแบบเพื่อน แต่พอคบกัน ยิ่งใกล้กันก็ยิ่งเห็นนิสัยจริงๆที่ตอนเป็นเพื่อนไม่แสดงออก....น่าจะแบบนั้นมั้ง" แอมอธิบาย "แต่แอมไม่คาดหวังเอากับใครอยู่แล้ว ไม่ใช่คนแบบนั้น เทมก็คงรู้"
"ใช่" ผมตอบยิ้มๆ
"แอมคิดว่าเราจะหมั้นกันได้จริงๆเหรอ" ผมถามเข้าประเด็น
"อะไรนะ ?" คราวนี้แอมหันมามองหน้าผมตรงๆ "นี่ไม่อยากหมั้นใช่มั้ย ?"
"นี่เป็นคำถาม" ผมพยายามอธิบาย ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะเริ่มเถียงกันอีกแล้ว
"เป็นคำถามที่แสดงความรู้สึกมากเลยเทม!"
"นี่ไง..เราเริ่มเถียงกันอีกแล้วนะ"
"ก็ใครเริ่ม ?"
"มันไม่ได้อยู่ที่ใครเริ่ม แอม มันอยู่ที่ว่าไม่มีใครจบต่างหาก" ผมบอก "ทุกครั้งก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าใครจะเริ่ม เราก็ไม่เคยยอมกันเลย... แต่อย่าเพิ่งโมโห วันนี้ขอคุยด้วยเหตุผล"
แอมเลยเชิดหน้าขึ้น แบบที่ดูก็รู้ว่าหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน
"คนเราหมั้นกันเตรียมแต่งงานกัน มันต้องเป็นเรื่องของคนสองคนที่เข้าใจกันไม่ใช่เหรอ ..แล้วการที่ไอ้คนสองคนเนี่ย.." ผมชี้มาที่ตัวเองสลับกับชี้แอม "..ไม่มีใครฟังใคร คิดเห็นอะไรก็ไม่เหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้จักยอมกัน มันจะเรียกว่าเข้าใจกันได้ยังไง"
แอมฟังแล้วก็ดูเหมือนจะเย็นลงนิดหน่อย เพราะแอมเองก็รู้ว่าผมพูดถูก
"เทมพูดตามตรงนะ.. ยิ่งเราคบกัน เทมยิ่งรู้สึกเหมือนเรากลับมาเป็นเพื่อนกัน แต่เป็นเพื่อนที่ไม่ถูกใจกัน .. ตอนเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ เราไม่ได้เป็นมากขนาดนี้"
ผมเว้นวรรคไปนิดนึงก่อนจะพูดต่อ
"ถ้าคบกันแล้วความสัมพันธ์มันค่อยๆแย่ลง มันจะ'ใช่'จริงๆเหรอแอม ?"
"วันนี้..เทมให้เกียรติแอมนะ เทมจะเคารพการตัดสินใจของแอม ..เทมจะทำตามที่แอมบอกทุกอย่าง ถ้าแอมยังยืนยันว่าเราควรจะหมั้นกัน เทมก็ยินดีจะหมั้น" ผมมองหน้าแอม
"แต่เทมอยากให้แอมคิดดูดีๆก่อนว่า แอมคิดว่าเรารักกัน เข้าใจกันมากขนาดที่จะหมั้นกันแล้วใช่มั้ย ? .. แอมมั่นใจว่าเราจะหมั้นกัน แล้วก็แต่งงานกันไปแบบมีความสุขใช่มั้ย ?.."
ผมสูดหายใจเข้านิดหน่อย ก่อนจะปล่อยคำถามสุดท้าย
"แอมมั่นใจว่าเราจะมีชีวิตคู่ที่ดีร่วมกันได้จริงๆ.. ใช่มั้ย ?"
แอมก้มหน้าคิดตามคำพูดผม
คำถามพวกนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดมานานแล้วเหมือนกัน .. น่าจะก่อนได้เจอน็อตด้วยซ้ำไป
ตอนผมกับแอมเริ่มคบกัน เราใช้เวลาศึกษากันไม่นานแล้วแอมก็ต้องไปทำงานต่างจังหวัด .. กลายเป็นว่าเรายังไม่ทันได้รู้จักกันและกันดีเท่าไหร่เลย .. แล้วยิ่งพอไม่ได้จูนตั้งแต่แรก นานๆกลับมาเจอกันทีก็เลยยิ่งมีเรื่องให้ทะเลาะกัน
แรกๆผมเคยรู้สึกว่าเราแค่คบกันแบบไม่คิดอะไรมาก ลองคบดูว่าเราจะเข้ากันได้มั้ย ..แต่แปลกที่พอแอมเริ่มไปเป็นเซลที่ต่างจังหวัด เรื่องของเรามันก็เริ่มจริงจังขึ้นมาเรื่อยๆ จากความรู้สึกของคนรอบข้าง
พ่อแม่แอมรู้จักผม ..พ่อแม่ผมรู้จักแอม
แต่ผมว่า.. ผมยังไม่ได้รู้จักแอมดีเลย
"ทำไมเราถึงมาคบกันได้นะเทม" อยู่ๆแอมก็ถามผม
"เราเป็นเพื่อนกันไง" ผมตอบ
"อืม.." แอมรับคำ "เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก.. แอมก็เลยคิดว่าถ้าเป็นมากกว่าเพื่อนมันคงจะเวิร์ค"
"อย่าว่าแต่แอม ..เทมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน"
แอมพ่นหัวเราะออกมาทางจมูกเบาๆ
"จากที่คิดว่าจะลองคบกันแบบขำๆเนอะ" แอมพูดในสิ่งที่ผมเองก็คิดเหมือนกัน
"อยู่ๆมันก็ไม่ขำขึ้นมาเฉยเลย"
"ใช่..ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่มันเริ่มไม่ขำขึ้นมา.. จะว่าไปความสัมพันธ์ของเรามันก็ขำไม่ค่อยออกด้วย"
ใช่.. เราทะเลาะกันบ่อยมาก
"อย่าว่าไป ก็มีมุมขำๆมั่งล่ะน่า" ผมเลยแกล้งพูดยิ้มๆ
"แต่มันก็ไม่บ่อย ..แล้วเทมคงจะรู้ว่ามันไม่ขำจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ" แอมหันหน้ามามองผม "ตอนเป็นเพื่อนแฮปปี้กว่าเยอะเลย"
ผมไม่เคยมาคุยเรื่องนี้กับแอมแบบตรงๆเลยตั้งแต่คบกันมา ..นี่เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่เราเปิดอกคุยกันจริงๆ
และแอมเองก็คิดเหมือนผม
"คำว่า 'หมั้นก็ได้' หรือ 'แต่งก็ได้' มันจะทำให้เรามีความสุขในอนาคตได้จริงๆเหรอแอม" ผมถามถึงสิ่งที่ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน
แอมมองผม .. แล้วซักพักนึงก็ส่ายหน้า..
"ไม่"
"หืม ?" ผมถามย้ำ
"เราหมั้นกันไม่ได้หรอก" แอมพูด "แค่ตอนนี้ยังทะเลาะกันจะแย่ จะคาดหวังอะไรกับอนาคตได้ไง"
"หมายถึง..?"
"กลับไปอยู่จุดที่มันแฮปปี้กว่านี้กันดีกว่าเนอะเทม ..แอมว่าดึงดันถึงเรื่องในอนาคตที่กำหนดไม่ได้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย" แอมพูดพลางหัวเราะเบาๆ ผมเลยยิ้มไปด้วยแล้วก็ดึงแอมมากอด
เป็นประโยคบอกเลิกที่ฟังแล้วกลับรู้สึกโล่งใจยังไงก็ไม่รู้..
อย่างน้อย ทั้งผมกับแอมก็ไม่ได้บังคับตัวเองให้อยู่ในกรอบของคำว่า แฟน อีกแล้ว เพราะมันมีเงื่อนไขความสัมพันธ์บางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่า ท้ายที่สุดเราสองคนคงเหมาะแค่จะเป็นเพื่อนกันจริงๆนั่นแหละ
"ทำไมเราปล่อยให้มันเลยเถิดจนคนอื่นคิดมากขนาดนี้นะเทม" แอมถามผม
นั่นสิ.. ทำไม ..มันอาจเป็นเพราะเราไม่เคยมีเวลามาปรับความเข้าใจกันเลยล่ะมั้ง
หรืออาจเป็นเพราะความไม่ใส่ใจซะจนเรามีแต่คำว่า 'ก็ได้' มาคอยชี้นำเรา
"ไม่รู้เหมือนกัน" ผมเลยตอบแอมไป
_ _ _
_ _ _
_ _ _
ผมนั่งคิดเรื่องแอมกับไอ้เทมไปเรื่อยๆอยู่ในคอนโด ..สงสัยจังว่าสองคนนั่นจะคุยกันได้ว่าไง จะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ..ถ้าเป็นข่าวร้ายขึ้นมา วันนี้เสือกเป็นวันอาทิตย์ จัดหนักไม่ได้ด้วย
ถ้าถามว่าผมยังรักแอมอยู่มั้ย.. ตอนนี้ผมตอบไม่ถูกแล้ว ความรู้สึกมันอาจไม่ได้เหมือนเดิม ..แต่ก็ยังมีห่วงอยู่ตามประสาคนเคยดูแลกัน
แต่จริงๆที่ผมเป็นบ้า กินเหล้า จัดหนักอะไรแบบนั้นมันเป็นเพราะผมเสียใจที่แอมบอกเลิก ..หรือเพราะผมเจ็บใจที่ตัวเองต้องเสียหน้าวันขอแต่งงานกันแน่
บางทีถ้าเอามาคิดดูดีๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไงกับไอ้เทม .. ก็คงจะ
ชอบ.. มั้ง ผมก็ไม่รู้
ที่ผมคิดว่าอาจจะชอบ.. ไม่ใช่เพราะรู้สึกซาบซึ้งที่มันดีกับผมจนผมได้งาน นั่นมันแค่จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มมองตัวตนของมันจริงๆต่างหาก
ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าคำนิยามความรู้สึกของผมคือ'ชอบ'จริงๆ ผมไปเริ่มชอบมันตอนไหน ..แต่ตอนจูบกันครั้งแรกมันอาจเป็นตัวกระตุ้นก็ได้ ไม่รู้สิ..
พูดออกมาไม่ถูกจริงๆเรื่องของผมกับมัน
ช่วงหลังๆที่ได้ใช้เวลาอยู่กับมัน ผมมีความสุข เราอาจจะกวนตีนกันบ้าง แต่ก็ยังเรียกว่ามีความสุขอยู่ดี.. ผมกอดมันแล้วมีความสุข ตอนจูบกับมันก็มีความสุข ..แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกอยากมีอะไรด้วย เพราะพอจินตนาการไปถึงแล้วแม่งจะอ้วกทุกที ..ขอจินตนาการถึงผู้หญิงก่อนก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นเรื่องของผมกับมันคง
ไม่ใช่เรื่องทางกายแน่ๆ
ผมก็ไม่ใช่เกย์อยู่ดี แค่ตอนนี้คนที่ผมรู้สึกดีด้วยเป็นผู้ชาย ..แล้วต้องเป็นผู้ชายที่ชื่อไอ้เทมคนนี้ด้วย
แปลกดีนะ จากที่ผมคิดว่าจะแย่งแอมมาคืนให้ได้ภายในอาทิตย์เดียว .. ตอนนี้ผมกลับอยากได้มันแทนซะงั้น
ไอ้หอกเทมเอ๊ยย..
พักนึงก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์เข้า เลยยกมาดูเห็นเป็นเบอร์ไอ้เทม ผมชั่งใจอยู่ครู่นึงแล้วถึงกดรับ
"ว่า.."
"ลงมาเปิดประตูให้หน่อยเร็ว" มันพูดแค่นั้นแล้วก็วางไป ผมเลยต้องลงลิฟท์ไปเปิดประตูทางเข้าคอนโดแล้วพามันขึ้นมาที่ห้อง
ผมมองหน้ามันเงียบๆ เพราะรู้อยู่ว่าไม่จำเป็นต้องถาม มันก็ต้องตอบผมออกมาเอง
เห็นมันส่ายหน้า.. แต่ผมไม่แน่ใจว่าที่มันส่ายหน้าน่ะหมายถึง แอมไม่หมั้น หรือ ตกลงไม่ได้เลิกกัน
"อะไร ?" ผมเลยถาม
"ก็ไม่"
"ไม่อะไรล่ะ ไอ้กร๊วก!"
"ไม่หมั้นไง" พอพูดเสร็จมันก็เดินมาใกล้ผม "แอมว่ากลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ..เวิร์คกว่า"
"ฮ๊ะะ ??" ผมดีใจอยู่นะ แต่ก็ตกใจนิดนึงที่มันทำได้ "แกไปพูดอะไรวะ ..แกไม่ได้พูดเรื่องฉันใช่มั้ย แอมเสียใจนะเว้ย!"
"เฮ่ยยยย.." มันทำเสียงให้ผมหยุด
"ไม่มีอะไรเกี่ยวกับแกเลย ฉันแค่พูดเรื่องฉันกับแอม .. แอมก็รู้ว่าฉันกับเค้าน่ะเป็นเพื่อนกันดีกว่า นี่แอมเป็นคนพูดเองนะ"
ผมรู้นิสัยแอมดี เป็นผู้หญิงพูดตรงๆ คิดแบบไหนก็พูดแบบนั้น ..จะไม่มีการพูดเอาใจใครหรือพูดเพื่อให้ใครสบายใจทั้งนั้น
และถ้าแอมพูดออกมาแบบนี้จริง แสดงว่าแอมก็คงคิดว่าเป็นแฟนกับไอ้เทมไม่เวิร์ค
"งั้นแอมว่างแล้ว ฉันเข้าต่อเลย" ผมแกล้งแซวมัน
"ไม่ได้.." มันบอกพลางดึงผมเข้าไปใกล้มันอีก
"เพราะแกไม่ว่าง"มันจ้องลึกเข้ามาในตาผม ..แม่ง เขินอีกแล้วกู
ก็เลยหาเรื่องพูดทำลายบรรยากาศซะหน่อย เดี๋ยวมันจะโรแมนซ์เกินไป ฮ่าๆ
"แต่ฉันเอากับแกไม่ได้นะเว้ยพูดตรงๆ"
"ไอ้ทุเรศ" มันเลยด่าผม "ยังไม่ทันได้เป็นอะไร แม่งคิดไปถึงขั้นนั้นแล้ว หมกมุ่นจังวะ"
"ยังไงต่อไปซักระยะนึงมันก็ต้องมีกันมั่งล่ะน่า" แต่ผมก็พูดเรื่องจริงนะ ธรรมชาติสร้างให้ผู้ชายกับเซ็กส์เป็นของคู่กัน ..ผู้ชายถึงได้คิดเรื่องเซ็กส์ตลอดเวลาไง
"คิดว่าจะ
มี ..แสดงว่าคิดไว้แล้วว่าต่อไปมันต้องพัฒนาอะดิ ?" มันถาม แม่งไล่ต้อนผมได้อีกแล้ว
"ก็ไม่รู้เว้ย" ผมเลยหันหน้าไปทางอื่น เพราะทนมองหน้ามันระยะใกล้ๆไม่ไหวแล้ว เขินมาก
"ถึงตอนนั้นเดี๋ยวมันก็ได้ของมันเองอะน่า" มันบอก "แต่ตอนนี้เอาเท่าที่ได้ก่อนแล้วกัน"
มันใช้สองมือประคองหน้าผมให้หันมามองมันตรงๆ แล้วค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ช้าๆ ..มันไม่จู่โจมทันทีแบบครั้งที่ผ่านๆมา เหมือนจะรอให้ผมเคลื่อนหน้าเข้าไปหาเหมือนกัน
ผมเลยไม่ขัดศรัทธา จัดให้มันบ้าง.. จะได้รู้ว่าครั้งนี้ผมไม่ได้แค่โดนจูบ..
แต่เราเลือกที่จะจูบกันปากผมแตะปากมันเบาๆแล้วค่อยๆกดลงไปให้หนักขึ้น สองแขนของผมก็เอื้อมขึ้นไปโอบรอบคอมัน ..ส่วนไอ้เทมก็ลดมือลงมากอดเอวผมไว้อย่างนั้น
เวลาที่เราได้จูบกับคนที่เราชอบนี่มันมีความสุขจริงๆนะ
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ..วันนึงผมอาจจะรู้ตัวว่าผมไม่ได้ชอบมันจริงๆแต่เป็นแค่เรื่องหวั่นไหวบ้าๆบอๆครั้งนึงในชีวิต ..หรืออาจจะพัฒนาไปจนเรียกมันว่าแฟนเต็มปากก็ได้ ใครจะไปรู้..
แค่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมมีความสุขที่จะเริ่ม
ความสัมพันธ์โคตรกำกวมกับไอ้บ้านี่.. ก็พอแล้วครับ
....
...
..
..
.
"พูดจริงพูดเล่นเนี่ยไอ้น็อต !!!" ไอ้กิตมองหน้าผม
ตอนนี้ผมมานั่งกินเหล้าอยู่กับไอ้กิต ไอ้พงษ์ ไอ้ตูม ไอ้บอส ครบเซ็ท
"กูไม่ได้พูดห่าอะไร กูแค่ถาม" ผมบอก
"อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วเพื่อน" ไอ้บอสว่า
"มึงถามว่าอะไรนะ เอาใหม่ซิ" ไอ้ตูมถามผมอีก
"กูถามว่า..
ถ้ากูอาจจะมีแฟนเป็นผู้ชาย พวกมึงจะรับได้มั้ย" ผมย้ำเสียงดังฟังชัด เพื่อนแต่ละคนก็ค้างกันไปเลยทีเดียว
"กูว่า.. กูคงรู้สึกแปลกๆว่ะ" ไอ้พงษ์ตอบขึ้นมาคนแรก "คงงงๆไปเหมือนกัน ..คือตอนนี้กูก็งงที่มึงมาถาม งงมาก"
"แล้วแอมล่ะ ?" ไอ้บอสถามผม
"น้องกรีนเคยบอกกูว่าอย่าจมอยู่กับที่แล้วเอาแต่มองอดีต ..ชีวิตคนเรามันต้องก้าวต่อไป"
"การก้าวต่อไปของมึงคือการชอบผู้ชายเหรอวะน็อต" ไอ้กิตถาม
"แล้วมันผิดเหรอวะ ?" ผมหันหน้ามองมัน "ถ้าผู้หญิงทำให้เพื่อนมึงเป็นบ้า แต่ผู้ชายอีกคนทำให้เพื่อนมึงมีความสุขได้ทุกวัน.. มึงว่าเพื่อนมึงจะเลือกอะไรล่ะ"
ตอนนี้เพื่อนผมทุกคนเงียบไปอีกแล้วครับ ..มีแต่ไอ้พงษ์กับไอ้ตูมที่ทำหน้าเหรอหรา เพราะผมไม่เคยพูดเรื่องไอ้เทมกับไอ้สองคนนี่
"มึงหมายถึง
ไอ้เทม เพื่อนมึงเหรอวะ" ไอ้ตูมถาม ผมเลยพยักหน้า
"มึงได้ข้อสรุปแล้วเหรอ ?" ไอ้กิตถามขึ้นมาอีก
"ยัง.. กูถามพวกมึงเผื่อไว้เฉยๆ เผื่อว่าซักวันนึงแม่งจะเป็นแฟนกันขึ้นมาจริงๆ"
พวกเพื่อนผมก็เลยมองหน้ากันพักนึง
"รับได้ดิวะไอ้สัส ความสุขของเพื่อน" ไอ้ตูมตบไหล่ผมเบาๆ
"แม่งก็ดีกว่าเมาคอตกเป็นหมาแล้วบ่นเรื่องแอมรอบที่เจ็ดร้อยล่ะวะ" ไอ้พงษ์พูดหัวเราะๆ
"ถ้าคบกับมันแล้วอย่าต้องมาเสียใจแบบแอมนะเว้ย" ไอ้กิตพูด "ถ้ามึงเป็นแบบนั้นอีกกูจะอัดมันจริงๆด้วย"
"อย่าเอากันจนตูดบานล่ะมึง" ไอ้บอสแซวหัวเราะๆ ผมเลยผลักไหล่มัน
"ไอ้เหี้ย !!" ก็ไม่รู้ว่าตัวเองขำหรือเขิน หรือทั้งสองอย่าง บ้าฉิบ !
แล้วพวกเพื่อนผมก็เห็นไอ้เทมเดินเข้ามาในผับที่พวกเรานั่งกินเหล้ากันอยู่
"นั่นไง พูดถึงก็มาเลย" ไอ้พงษ์พูด
"อ๋อ.. ไอ้เทมมันจะมารับกูกลับอะ ไม่อยากกวนรถพวกมึง"
"เห่ยย.. ขี้เกรงใจขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอไอ้น็อต" ไอ้บอสแซวผมอีก
"กูว่ารับส่งกันขนาดนี้ เรียกแฟนได้แล้วมั้งง"- The End -
------------------------------
Writer Talk : จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราแต่งจบไว้ตั้งแต่ปี 2011 แต่เพิ่งเอามารีไรท์ใหม่ ปรับสำนวน & รายละเอียดให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
ส่วนตัวเราชอบเรื่องนี้มาก รู้สึกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แต่งได้ถูกใจตัวเองมาก ไม่ว่าจะกลับมาอ่าน & เกลากี่ครั้งก็มีความสุข
หวังว่าท่านผู้อ่านทุกคนก็จะมีความสุขกับการอ่านเรื่องนี้เหมือนกันนะคะ ^^