“ไม่รู้เหมือนกัน” ก่อนจะปั้นยิ้มอีกครั้งเพื่อตอบกลับไป
“…”
“คุณนอนห้องใหญ่ข้างบนได้เลยนะครับ ห้องนั้นมีเตียงมีทีวีมีทุกอย่าง ผมทำความสะอาดประจำเพราะงั้นสบายใจได้” จริงๆนั่นห้องเก่าของผมเองแหละ แต่ว่าการที่มันอยู่ชั้นบน มันเลยเป็นอุปสรรคแก่การรักษาตัวของผมที่จะต้องพึ่งอุปกรณ์หลายๆอย่าง ดังนั้นผมจึงย้ายมานอนห้องข้างล่างแทน
ดีหน่อยที่เทียนไขยอมรับฟังแล้วเดินขึ้นไปบนห้องแต่โดยดี ผมจึงยิ้มให้กับแผ่นหลังที่ว่านอนสอนง่ายสำหรับตอนนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ครัวแล้วเริ่มทำแกงเขียวหวานอย่างที่ตั้งใจ ..จัดการทำทุกอย่างอย่างสุดฝีมือ ทั้งการเตรียมวัตถุดิบ การประกอบอาหาร และการตกแต่งจานให้สวยงามน่ารับประทาน
…คุณต้อง...ชอบมันแน่ๆ
“ท..ทำไมถึงทำแกงเขียวหวาน..?” ทว่า..ทันทีที่เทียนไขได้เห็นกับข้าวตรงหน้าเขากลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้อร่อยที่สุดแล้วครับ รู้สึก..คุ้นเคยกับมัน” ผมยิ้ม และตอบเขาไปตามตรง ก่อนจะขยับไปนั่งตรงข้ามเทียนไข แต่จู่ๆเทียนไขก็วางช้อนส้อมในมือลง
“อิ่มแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน.. คุณกินไปแค่ไม่กี่คำเองนะ”
“ไม่หิว”
“ผมตั้งใจทำมากเลย..” คุณกำลังแย่ สารอาหารพวกนี้มันสำคัญมากๆ เพราะงั้น..ช่วยกินให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรอ..
ผมเป็น…
เพล้ง! ..ชามแกงเขียวหวานถูกเทียนไขยกขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ถังขยะแล้วเทแกงที่ผมตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือทิ้ง..
“ตั้งใจทำหรอ..?” ..แล้วปล่อยให้ชามกระเบื้องตกกระทบพื้นจนมันแตกละเอียด
“เฮ้ย! ทำอะไรวะ!” ..คืออะไรวะ? ถึงคุณจะโกรธจะเกลียดกันยังไงแต่ตอนนี้คุณควรจะขอบคุณผมด้วยซ้ำมั้ย แล้วนี่คืออะไร คุณทำอะไรของคุณวะเทียนไข..!
“เลิกโกหกกันซักที!” อีกฝ่ายตะโกนลั่น กรีดปลายนิ้วชี้มาทางหน้าผมอย่างเหลืออด
“ผมโกหกอะไรคุณวะ!”
“เลิกแสดงละครตบตากันได้แล้ว มึงคิดว่ากูเป็นตัวอะไร..? จะทำอะไรกับกูก็ได้ จะทิ้งจะขว้างยังไงก็ได้หรอเปลว..”
“ผมไม่เคยคิดแบบนั้น แล้วผมก็ไม่เคยโกหกคุณ”
“จริงหรอ? แล้วแกงเขียวหวานนี่ล่ะ มึงก็รู้ว่ากูชอบกิน มึงทำให้กูกินทุกครั้งที่กูพูดว่ากูอยากกิน”
“…”
“บ้านหลังนี้.. ห้องของมึง.. ทุกๆอย่างมันก็คือของๆมึง มึงคิดว่ากูจะโง่จำไม่ได้หรอ?”
“...”
“มึงก็คือไอ้เหี้ยเปลวคนนั้นนั่นแหละ คนที่ทำชีวิตกูพังพินาศมาจนถึงทุกวันนี้”
“…”
“มึงเห็นสภาพกูตอนนี้ไหม? ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะมึง”
“…”
“เพราะฉะนั้น..มึงเลิกโกหกกันซักที”
“…”
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ทีหลังไม่ต้องหรอก สาระแน!”
“เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อนเทียนไข!” เรา..เรา..เคยรู้จักกัน..?
“อย่ามายุ่งกับกู!!” เทียนไขเปิดประตูก่อนจะประคองร่างตัวเองให้ไปจากที่นี่ด้วยการกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ..ใจผมเริ่มเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก
“เดี๋ยวก่อน..ที่คุณพูดหมายความว่ายังไง?” ผมไม่รอช้า และรีบตามเขาไปจนแนบชิดติดตัว ใช้มือข้างนึงรั้งแขนเขาเอาไว้
“เปลว…ถ้ามึงสงสารกูแม้ซักเสี้ยวนึง..”
“…”
“มึง..ปล่อยกูไปเถอะ” เขาหันกลับมาหาผมอีกครา และผมก็ต้องชาวาบไปทั้งร่างอีกครั้งเมื่อเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของเทียนไข
“…” เขาพยายามแกะมือผมออก สุดท้ายแล้วผมเลยจำเป็นต้องปล่อยเขาไป ทว่าเทียนไขเดินออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าวเขาก็เซล้มไม่เป็นท่า
“เทียน.. ให้ผมช่วย..” ผมวิ่งเข้าไปด้วยความร้อนรนพร้อมกับยื่นมือให้อีกฝ่ายยึดไว้ให้ยืนขึ้น แต่เทียนไขก็ปัดมันออกอย่างไม่ใยดี
“ไม่ ถอยไป..อย่ามาแตะต้องตัวกู”
“แต่คุณกำลังเจ็บ..”
“สำหรับกูแผลพวกนี้มันไม่มีผลอะไรหรอกเปลว การที่กูได้มาเจอมึงต่างหากที่ทำให้กูเจ็บ” “…” ราวกับถูกของมีคมเสียดแทงไปกลางหัวใจ ผมพูดอะไรไม่ออก
“มึงเข้ามาอีก..กูจะฆ่าตัวตายตรงนี้” และผม..ก็ทำได้แค่ยืนเป็นไอ้โง่อยู่ตรงนั้น
..ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่สามารถรั้งเทียนไขเอาไว้ได้เลย สิ่งที่ทำได้มีแค่ยืนอยู่ตรงนั้นจมจ่อมอยู่กับคำพูดที่เทียนไขพูดออกมา พร้อมกับมองดูเขาที่กำลังเดินออกไปไกลเรื่อยๆจนลับสายตา
เวลาผ่านไปนับสัปดาห์หลังจากวันนั้น ..ทุกๆคำพูดของเทียนไขเริ่มฉายย้อนเข้ามาในหัวผมซ้ำๆ จนผมไม่สามารถสลัดมันออกไปจากหัวได้
อะไรหลายๆอย่างในบ้านหลังนี้ที่ผมอยู่มันเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าสิ่งที่เทียนไขพูดเป็นความจริง ..ทั้งกระดาษโน้ตที่ติดอยู่บนตู้เย็นเอาไว้ว่าให้เตรียมวัตถุดิบให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับการทำแกงเขียวหวาน และเทียนไขก็บอกว่าผมชอบทำให้เขากิน..ทุกครั้งที่เขาพูดว่าเขาอยากกิน รวมถึงคำถามที่เขาถามถึงพ่อผมก่อนหน้านี้ ถ้าเขาไม่ได้รู้จักผมมาก่อนเขาจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าผมอยู่กับพ่อ ไหนจะกิริยาท่าทางที่ดูคุ้นชินกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีของเขานั่นอีก..
แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าตัวผมก่อนหน้านี้..เป็นคนอย่างไร
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เทียนไขก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดเลย
“หมอครับ พอมีวิธีที่จะทำให้ความทรงจำของผมกลับมาไหม ผมอยาก..ขอโทษเขา” ผมเริ่มต้นหาคำตอบให้กับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในหัว ..ผมอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ผมทำอะไรไว้กับเทียนไข เขาที่ดูไร้เดียงสาถึงกลับกลายเป็นคนก้าวร้าว ดูเศร้าโศกได้ถึงขนาดนี้
..และผมไม่ได้อยากรู้แค่อย่างเดียว
ผมอยากจะขอโทษเขาด้วยเช่นกัน..จากใจจริง
“การบริหารสมองและออกกำลังกายจะช่วยได้ครับ” หมอตอบผม
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆผมคงจะจำเรื่องราวทุกอย่างได้ตั้งนานแล้วล่ะครับ” และใช่..คำตอบที่หมอให้มันก็คำตอบเดียวกันกับตอนที่ผมรู้สึกตัวครั้งแรกเลย ..ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมดมันไม่มีผลอะไรเลย เปลวคนนี้ยังคงตกอยู่ในห้วงอวกาศอันมืดมิด
“บางสิ่งบางอย่างมันต้องใช้เวลา ขอแค่คุณอดทนอีกซักหน่อย ทุกๆอย่างจะดีขึ้น”
“มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอครับ..?” ..ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเชื่อเหมือนกันว่ามันจะดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ว่างเปล่าเหมือนเดิม
“เป็นแบบนั้นครับ ไม่ใช่ว่าที่คุณพยายามมาทั้งหมดมันไร้ความหมายนะครับ สมองของคุณมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ดังนั้นขอแค่คุณไม่หยุดพยายาม ความพยายามก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ”
“…” ผมก็อยาก..ให้เป็นแบบนั้น “ขอบคุณนะครับ”
ขอให้..มันเป็นแบบนั้น
•
..เวลาผันผ่านไปตามกลไลของมัน จนมาถึงเช้าวันนึงของการเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ ..วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ใครหลายๆคนเกลียด เปลวเองก็เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่ได้เกลียดแค่วันจันทร์
เขาเกลียดทุกวัน
เปลวเกลียดโลกที่ผุพังของเขาใบนี้ “วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี” นี่คือสิ่งที่เปลวมักจะบอกกับตัวเองในกระจกในทุกๆวัน ตัวเขาที่มักจะฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับจัดคอปกเสื้อนักศึกษาให้อยู่ทรง และขยับเนคไทสีเขียวเข้มให้ไม่แน่นและไม่หลวมจนเกินไป เปลวจ้องมองดูใบหน้าที่สะอาดเหลี้ยงเกลาของตัวเองในกระจก ก่อนจะพยายามปั้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง แต่ก็ต้องหุบมันลงเพราะดูเหมือน..มันจะไม่เวิร์คเอาเสียเลย
“นายจะหายดี..ซักวันนึง.. นายจะ..หายดี” นายเก่งมากแล้วเปลวที่ผ่านจุดนั้นมาได้ ไม่นานหรอก ..อีกไม่นานนายจะหายดีอย่างที่หมอบอก
ถึงตอนนั้นเส้นผมของนาย..ก็จะขึ้นตามปกติ “…” หมวกไหมพรมสีดำถูกถอดออก เปลวมองภาพของตัวเองที่สะท้อนในกระจก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เห็นไหม..นายเก่งแล้ว” หยดน้ำตาเม็ดหนึ่งไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกเพราะยากแก่การอดกลั้นเอาไว้ ..ภาพในกระจกที่สะท้อนกลับมาคือสัญลักษณ์ของความทรมานที่เขาเคยพบเจอ
..รอยผ่าตัดสมองที่ปรากฎเด่นชัดให้เห็นบนหนังศีรษะตั้งแต่บริเวณบนใบหูด้านขวายาวไปจนถึงส่วนกลางของศีรษะ เป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนเลยว่าในหัวของคนๆนี้...ไม่มีอะไรสมบูรณ์อีกแล้ว
..การผ่าตัดครั้งนั้นเปลวถูกเปิดกะโหลกออกเพื่อรักษาเลือดคั่งที่อยู่ในสมอง แน่นอนว่าขณะผ่าตัดทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เปลวไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่นั่นก็เพราะฤทธิ์ของยาสลบ ..ทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมาเขาเอาแต่ร้องไห้โวยวาย ดิ้นเร่าๆไม่หยุดเพราะความเจ็บปวดที่ตัวเองรู้สึก ..เป็นความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
หลายครั้งที่เขาต้องพึ่งยานอนหลับเพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ได้แค่ระยะสั้นๆเท่านั้น ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมา..ความเจ็บปวดก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่ร่ำไป
..ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรเหมือนเดิม เปลวพยายามรับความจริงในเรื่องนี้ แต่มันก็..ยากเหลือเกิน
ฝีเข็มที่เย็บปิดแผลผ่าตัดบางส่วนยังคงเห็นชัดเจน เช่นเดียวกับรอยแผลที่พาดยาวอยู่บนศีรษะ และเส้นผมที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ดูน่าเกลียดน่ากลัว เพราะเหตุนี้..เปลวจึงใส่หมวกไหมพรมใบนี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดก็เพื่อซ่อนบาดแผลที่น่าเกลียดนี้เอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
“…” ..เปลวปั้นรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหยิบยาแก้ปวดที่วางอยู่ข้างหน้าขึ้นมาทานแล้วดื่มน้ำตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเกิดปวดหัวขึ้นมาขณะที่อยู่มหาลัย
“วันนี้..จะเป็นวันที่ดี..” พรประจำวันที่เขาอยากจะวอนขอต่อพระเจ้าในวันนี้ ..ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี ..ขอให้..มันผ่านไปได้ด้วยดี
..หลังจากนั้นเขาก็ออกเดินทางเพื่อไปมหาลัย ทุกอย่างปกติดี เขาได้เจอเพื่อนคนสนิทภายในคณะ และที่แน่นอนที่สุดเขาได้เจอคนที่เขารัก..
“มาสายนะคุณ” เสียงนุ่มๆที่ทำให้เขาสบายใจเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ไม่คิดว่าจะมีคนรอเจอ ถ้ารู้จะมาตั้งแต่ประตูยังไม่เปิดเลย” เปลวตอบ
“ใครบอกว่ารอ”
“อ่าว งั้นถ้าไม่มีใครรอกูกลับก่อนนะ”
“โอ๋ งั้นกูรอก็ได้ ถ้าคุณเขาจะงอนเก่งขนาดนี้”
“ไม่หาย มึงต้องง้อด้วยการไปดูหนังกับกูเย็นนี้ครับ”
“อะได้ เอางั้นก็ได้ครับ”
“แล้วนี่..ทำไมอยู่คนเดียวอะ?” เปลวเอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นว่าพละพลกำลังนั่งอยู่คนเดียวจริงๆ
“เมธมันไม่สบาย ก็เลยหยุดวันนี้วันนึง” อีกฝ่ายเอ่ยตอบ ..วันนี้คนติดแฟนเขาเกิดป่วยขึ้นมากระทันหัน เดาว่าคงติสต์เดินกลับบ้านแต่เจอฝนตกแน่ๆ
“…” เปลวยังคงมองไปที่พื้นที่ว่างรอบๆโต๊ะที่พละพลกำลังนั่งอยู่ แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้อยากรู้เรื่องของเมธ แต่เขาอยากรู้เรื่องของ..
“มองหาอะไร”
“ป..เปล่า” เรื่องของ..เทียนไข
“เดี๋ยวกูจะขึ้นไปเรียนละ ตอนเที่ยงเจอกันนะ โรงอาหารใต้ตึกกูนี่แหละ..อร่อยสุดในมอละ” พละพลลุกขึ้นมาจากที่ที่ตัวเองนั่งอยู่ก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นมาแล้วทำท่าจะเดินออกไป
“โอเค” เปลวคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายแล้วหันกลับมาอีกทางเพื่อแยกไปเรียนอีกตึก
ไม่นานนักก็ได้เวลาพักเที่ยง แสงแดดที่แรงกล้าสาดส่องมายังโลกใบนี้อย่างไม่ยำเกรง นิสิตส่วนใหญ่เริ่มทยอยกันออกมาที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งสำหรับโรงอาหารคณะแพทย์แล้ววันนี้ก็คึกครื้นเหมือนเคย ..คงจะเพราะอาหารที่นี่ค่อนข้างอร่อยถูกปาก แถมยังราคาเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า จึงทำให้ดึงดูดนิสิตนักศึกษาต่างคณะให้มาซื้ออาหารที่นี่ได้มากมาย
รวมถึงเปลว
เปลวมาตามที่คุยกับพละพลเอาไว้เมื่อเช้าว่าจะมาทานข้าวที่นี่ด้วยกัน เขามาพร้อมกับพวกไอ้โจ้ กลุ่มเพื่อนของเขานั่นเอง ..เปลวใช้เวลาชั่วขณะในการกวาดสายตามองหาพละพล และก็พบว่าพละพลกำลังนั่งจองโต๊ะอยู่ที่โต๊ะตัวนึงโซนกลางๆโรงอาหาร
“นั่นไงแฟนมึง” โจ้ชี้ให้เปลวดู ก่อนจะถูกเจ้าตัวตบกะโหลกไปทีนึงเบาๆ
“ไม่ใช่แฟนครับโจโจ้” แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่โจ้พูดมันกำลังทำให้เปลวหุบยิ้มไม่ได้
“เออกูเชื่อก็ได้” โจ้ขำร่วน ก่อนจะเดินเคียงคู่มากันเปลวไปยังโต๊ะที่พละพลนั่งรออยู่ โดยมีเพื่อนคนอื่นๆของโจ้เดินตามอยู่ข้างหลัง
“เปลว กูรู้ว่ามึงชอบกินอันนี้ก็เลยซื้อไว้ให้ละ มึงจะได้กินพร้อมกูได้เลยไม่ต้องไปต่อแถวรอนาน” และทันทีที่เปลวนั่งลงตรงข้ามพละพลเจ้าตัวก็จัดแจงจานข้าวแกงที่ซื้อรอเปลวอยู่ก่อนแล้ว
“อ่าวพล แล้วกูล่ะเพื่อน ทำไมซื้อให้แต่ไอ้เปลว” โจ้ทักท้วง
“สิทธิพิเศษที่เปลวได้รับคนเดียวครับ โจ้อยากให้มีคนซื้อให้โจ้ต้องหาเมียแล้วปะ”
“โหดร้ายว่ะ งั้นกูกับพรรคพวกไปซื้อข้าวก่อนน้า เชิญสวีทวี๊ดวิ่วกันตามสบาย” พูดเสร็จเจ้าตัวก็ทิ้งท้ายด้วยการทำหน้าทำตากวนส้นเท้าแล้วเดินออกไป ..เหลือเพียงแค่เปลวกับพละพลสองคนกลางโรงอาหารที่คนพลุกพล่านเต็มไปหมด
“มึงจะดูหนังเรื่องอะไรวะ มีหนังใหม่เข้าหรอ” พลเปิดประเด็น พร้อมกับหยิบคู่ช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมจะตักข้าวกิน
“ใช่ กูรู้ว่ามึงต้องชอบแน่ๆ” เปลวตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ
“รู้ใจกูจังเลยเนอะ อย่างงี้ก็ควรเป็นมากกว่าเพื่อนแล้วปะ” ทว่าความมั่นใจเมื่อครู่ก็ต้องลดหลั่นลงมา ..มันไม่ใช่ว่าเปลวจะไม่อยากเลื่อนสถานะขึ้นไป แต่ว่า..มันยังไม่สมควรที่จะเป็นตอนนี้
“…” เปลวกลัว..
“ล้อเล่นหรอก เป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรไม่ต้องเป็นแฟนกันก็ได้” ..กลัวว่าพละพลจะรับในเรื่องที่เขากำลังป่วยไม่ได้
“อีกซักพักนะมึง รอให้กูพร้อม..” เพราะเขาก็รู้ตัวเองดีว่าสิ่งที่เขาเป็นมันค่อนข้างหนักหนาพอสมควร ถ้าพละพลรู้แล้วทำให้พละพลต้องคอยเป็นห่วงกัน อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากให้พละพลรู้หรอก เป็นแบบนี้ต่อไปดีที่สุด…กับทุกฝ่าย
“กูไม่ได้อยากมีแฟนอะไรขนาดนั้น แค่มีมึงอยู่ข้างๆกูก็โอเคแล้วอะ”
“กูอยู่ข้างๆมึงนี่แหละ ไม่ไปไหนหรอก..”
เพล้ง! จู่ๆเสียงจานตกกระทบพื้นก็ดังขึ้นมา ดึงเอาความสนใจของผู้คนภายในโรงอาหารกันเป็นตาเดียว เปลวหันไปตามต้นตอของเสียง ก่อนจะพบว่าคนที่ทำเสียงดังรบกวนคนอื่นๆทั้งโรงอาหารก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
เทียนไขนั่นเอง..
“อะไร? มองกูทำไม มึงสะดุดขากูเองปะไอ้ควาย” ใครคนนึงที่นั่งอยู่ตรงนั้นตะโกนใส่หน้าเทียนไขที่กำลังหันไปมองหาผู้ที่ทำให้ตัวเองล้ม “มองเหี้ยไรนักหนาไอ้สัด ทำไม? มึงไม่อยากจบตรงนี้มึงก็ไปเจอกับกูได้”
“…” ส่วนเทียนไข ..ตัวเขาเริ่มสั่นระริกเพราะความหวาดกลัวที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ เขาค่อยๆใช้แขนข้างนึงยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะขยับไปหยิบถาดรองจานที่กระเด็นไปใต้โต๊ะอีกโต๊ะนึงกลับมา แล้วใช้มือเปล่าของตัวเองหยิบจับเศษจานที่แตกขึ้นมาไว้บนถาดในมือด้วยความระมัดระวัง
..เม็ดข้าวที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น รวมถึงเนื้อและผักชิ้นโตที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเทียนไขถูกเจ้าตัวค่อยๆโกยขึ้นมาใส่ไว้ในถาดรองจาน จนพื้นที่เคยเปรอะเปื้อนดูสะอาดมากขึ้น ..เทียนไขลุกขึ้นยืนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาเดินต่อไป ทว่าทุกคนต่างก็รู้ดี..ใบหน้าของเทียนไขเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
..ที่แย่ไปกว่านั้น เศษข้าวที่เทียนไขเก็บขึ้นมาเขาไม่ได้นำมันไปทิ้งแต่อย่างใด แต่เทียนไขกลับพาข้าวเหล่านั้นไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป จับช้อนส้อมขึ้นมา ริมฝีปากที่สั่นระริกจากการสะอื้นค่อยๆอ้าออกก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆนำข้าวที่ตกพื้นเหล่านั้นเข้าปาก
มันไม่ใช่อุบัติเหตุ…ทุกคนต่างก็รู้ดี คนที่ด่าเทียนไขคนนั้นเขาจงใจยื่นขาออกมาสกัดขาให้เทียนไขล้มหน้าคะมำ และใช่…ดีใจด้วยที่ทำสำเร็จ
..แต่คุณจะรู้มั้ยว่า นั่นมันเป็นเงินที่กว่าจะได้มาเทียนไขต้องแลกมันด้วยน้ำพักน้ำแรง…
คุณจะรู้มั้ย..ว่ามันทรมานขนาดไหนกับการเป็นตัวตลกของทุกคนในโรงอาหาร..
“มึงดูดิ แม่งแดกข้าวที่ตกดิน โคตรบ้า..” ที่โต๊ะกลางโรงอาหารพละพลหัวเราะร่วนเมื่อเห็นภาพเทียนไขทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด
“…” เปลวถึงกับขมวดคิ้วกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“มันยังสติดีอยู่หรือเปล่าวะ?” ..และแล้วเส้นความอดทนที่มีอยู่ก็ขาดลง เปลวลุกขึ้นออกมาจากตรงนั้นก่อนจะเดินออกไป
“เทียนวางช้อนลง ผมซื้อมาให้คุณ” ..การมีชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวในสภาพแบบนี้แกก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอเทียนไขว่ามันยาก ทำไมแกถึงยังดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่ออีกล่ะ..?
“เทียน.. คุณได้ยินผมมั้ย?” จะบอกว่าอยู่ต่อไปเพราะความฝัน..เพราะความเชื่อมั่นของตัวเองหรอ …มันไม่จำเป็นซักเท่าไหร่หรอก เพราะแกไม่ได้สำคัญกับใครอะไรขนาดนั้น
เอาจริงๆ..ต่อให้แกหายไปก็..ไม่มีใครสนใจเลยด้วยซ้ำ
“เทียน” เปลวเอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดุดันมากขึ้น เพราะเทียนไขเอาแต่เหม่อลอยพยายามจะเอาเศษข้าวเข้าปากอยู่ซ้ำๆ จนเปลวต้องหยิบถาดข้าวตรงหน้าเทียนไขออกมาแล้วแทนที่ด้วยข้าวจานใหม่ที่เขาซื้อมาให้ ..เปลวไม่ได้เดินออกไปไหน แต่เขาเดินไปซื้อข้าวจานใหม่มาให้เทียนไข
“…” คนตัวเล็กกว่าจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นทำท่าจะเดินหนีไป แต่เปลวรู้ทันก็เลยรั้งเทียนเอาไว้ได้
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ที่ผมทำผมก็แค่อยากจะช่วยคุณ…สิ่งที่เขาทำกับคุณมันแย่” เปลวพูดในสิ่งที่รู้สึก ..ก็เห็นอยู่เต็มๆตาว่าจงใจขัดขากันชัดๆ ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นเขาอีก
“ปล่อย..” เทียนไขพยายามปลดตัวเองออกมาจากพันธนาการที่ข้อมือ แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ เพราะยิ่งขยับมากเท่าไหร่เปลวก็ยิ่งบีบข้อมือของเขาแรงขึ้นเท่านั้น
“เทียน..คุณฟังผม ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณ ผมสงสาร..ก็เลยซื้อข้าวมาให้คุณใหม่” เปลวพูดไปตามตรง เขารู้สึกไม่โอเคเลยซักนิดที่เห็นคนๆนึงโดนแกล้งแบบนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือทุกคนต่างก็หัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่พละพลที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเทียนไข ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจทำแบบนี้ ถึงแม้ว่า..
“กูขอมึงหรอ..?” จะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเทียนไขไม่ต้องการ
“…”
“กูบอกว่ายังไง.. กูบอกว่าทีหลังไม่ต้องมาช่วยกูไง กูไม่ต้องการ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มสั่นเครือ เปลวสบตากับเทียนไขอีกครั้งก่อนจะพบว่าดวงตาคู่สวยกำลัง..ร้องไห้อีกแล้ว
“คุณเกลียดผม ผมรู้…ผมรู้ดี แต่คุณช่วยห่วงตัวเองก่อนได้มั้ยเทียนไข” ใช่แล้ว..ตอนนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือเทียนไข เพราะงั้น..คุณช่วยเป็นห่วงตัวเองก่อนได้ไหม…
“เปลวมึงทำอะไร” เสียงนุ่มที่เคยฟังแล้วสบายหู ตอนนี้พละพลกลับใช้มันด้วยความดุดัน
“…” เปลวหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะพบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง กำปั้นทั้งสองของพละพลกำแน่นเพื่อระบายอารมณ์ เพราะสิ่งที่ประจักษ์ชัดแจ้งเต็มๆตาก็คือ..เปลวกำลังจับมือกับตัวเชื้อโรคอย่างเทียนไข
“ฮือ…ปล่อย ปล่อยกู.. ปล่อยกูที” และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งอะไร ..ทันทีที่เทียนไขเห็นพละพลเขาก็รีบแกะมือของเปลวออกไป
“หยุด” เปลวออกแรงบีบข้อมือของอีกฝ่ายให้มากขึ้นพร้อมกับบังคับขู่เข็ญเทียนไขด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “พล มึงไม่มาดูเพื่อนมึงหน่อยหรอวะ? พล?”
“…มึงจะไปยุ่งกับมันทำไม มึงก็รู้นี่ว่าไอ้เหี้ยเทียนมันทำอะไรไว้กับมึงบ้าง!”
“ทำไมวะ.. เทียนทำอะไรกูแล้วมันทำไม..?”
“มึงยังต้องถามอีกหรอว่าทำไม มันทำมึงเกือบตายเลยนะเปลว”
“ตอนนี้กูไม่สน” เปลวทิ้งท้ายก่อนจะหันกลับมาหาเทียนไขอีกครั้ง
“ปล่อยเถอะ..ปล่อยเถอะนะ” คนตัวเล็กกว่ายังคงดื้อดึงไม่หยุด
“คุณฟังผม …ที่ผ่านมาผมรู้ว่าระหว่างเรามันแย่ แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าจริงๆแล้วผมไม่เคยคิดร้ายกับคุณเลย ผมอยากให้เราได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ” …ถ้าหากทุกอย่างมันไม่บิดเบี้ยวแบบนี้ พวกเขาทั้งสองคงจะไม่ต้องมาพบเจอความเจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่แบบนี้.. พอจะเป็นไปได้ไหม ถ้าระหว่างเรา…จะเริ่มต้นใหม่
“กูไม่อยาก! มึงปล่อย…กูบอกให้ปล่อย ปล่อยกู”
“…” แต่คงจะเป็นไปไม่ได้
“กูเกลียดมึง..กูเกลียดมึง …มึงได้ยินไหมว่ากูเกลียดมึง ..อย่ามายุ่งกับกู …อย่ามายุ่งกับกู ฮือ….” ..ยังไงโลกของพวกเขาทั้งสองคนก็บิดเบี้ยวกันไปจนแทบจะไม่มีรูปร่างแล้ว …ไม่มีหนทางไหนให้โลกทั้งสองใบนี้มาบรรจบกันได้หรอก..
มีแต่…จะคอยแผดเผาทำลายกันอยู่เรื่อยไป
…เทียนไขร้องไห้อย่างหนัก ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ของตัวเองปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด ..เขาผลักเปลวออกไปเพื่อจะให้เปลวปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ เพราะเขารู้ดีว่ายังไงซะเปลวก็ไม่มีทางเจ็บปวดอะไรอยู่แล้ว เปลวมีคนที่รักเขายืนอยู่ไม่ห่าง มีเพื่อนพ้องคอยปกป้อง ในขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย..
โครม! …หากแต่ว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เทียนไขคิดไปซะทั้งหมด ด้วยแรงผลักเมื่อครู่เปลวถึงกับหงายหลังล้มลงไปกับพื้นโดยที่ไม่มีใครรับได้ทัน ที่แย่ไปกว่านั้น..
หมวกไหมพรมกำลังจะหลุดออกไปจากศีรษะ “ฮะ..ฮะๆ ฮ่าๆ..” เปลวรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิด เขาจึงพยายามหัวเราะเพื่อสร้างความสุขปลอมๆขึ้นมาในโลกที่ผุพังลงไปแล้วของเขา
“เปลว..!” เสียงนุ่มๆเอ่ยเรียกชื่อของเขา ก่อนจะพุ่งตรงมาหาเขาอย่างไม่รอช้า ทว่าพละพลกลับชะงักฝีเท้าอยู่ตรงนั้นข้างๆลำตัวของเขา หยุดยืนอยู่นิ่งๆจ้องมองไปที่ศีรษะของเขาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจอย่างสุดขีด
..เช่นเดียวกันกับพวกไอ้โจ้ที่เดินมาถึงเมื่อครู่ พวกมันหยุดกึกไม่กล้าเข้ามาใกล้เขา
รวมถึง..คนอื่นๆในโรงอาหารด้วยเช่นกัน
‘วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี’ ทั้งๆที่เขาหวังให้มันเป็นแบบนั้น ..เขาสู้มาโดยตลอด พยายามอยู่ในสังคมให้ได้ด้วยสภาพที่น่าเกลียดแบบนั้นของตัวเอง
ทั้งๆที่เปลว…พยายามจะมีความสุขมาโดยตลอด..
“สะใจคุณหรือยัง..เทียนไข” แต่ตอนนี้..มันไม่มีผลอะไรแล้ว โลกที่ผุพังถล่มสลายไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ความรู้สึกดีๆก็เช่นกัน
มัน..ไม่เหลืออะไรแล้ว