{ Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )  (อ่าน 34445 ครั้ง)

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 o22 ดราม่า ทุกข์หนัก ให้มันตายกันไปเลย
กระอักเลือดดดด :jul1:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
อ่านแล้วจิตใจอ่อนแออย่างแรง

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
หนักหน่วงกระอักเลือดตายกันไปปข้างงงง  :sad4:  :o12:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
น้ำหนักมันก็ยังไม่มากพอที่จะให้เทียนมาเจอแบบนี้​ แล้วทำไมพ่อไอ้เด็กเหี้ยพวกนั้นต้องอัดเสียงแล้วแล้วเอามาให้ลูกมาต่อรองกับคนอื่นแบบนี้ได้ด้วยหรอ​ แล้ว​ครั้งที่2​ เกิดจากอะไร​ แล้วเปลวไปโดนใครตีหัวมาจนความจำเสื่อมรึป่าวคะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
04
เปลวเผาเทียน




       แสงอาทิตย์บนท้องฟ้าเริ่มถูกกัดกินไปทีละเล็กทีละน้อยจนท้ายที่สุดแล้วก็มืดมิดไร้แสงสว่าง เสียงเม็ดฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายจากภายนอกดังเคล้าคลอเป็นเพื่อนกับหยาดน้ำตาที่กำลังไหลริน ภายในห้องเก็บของช่างเงียบสงัดหากแต่เสียงร่ำไห้ในใจนั้น...ดังระงมอย่างทรมาน

       ทันทีที่คนเหล่านั้นพอใจกับสิ่งที่ได้กระทำ พวกเขาก็ลาจากไป หลงเหลือไว้ก็แต่บาดแผลทางกายที่ม่วงช้ำหลายบริเวณ และบาดแผลทางใจที่แตกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี

       เทียนไขไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทั้งหมดที่เขาทำได้มีแค่นอนให้ความเจ็บปวดทรมานกลืนกินตัวเขาต่อไป

       ‘ไม่เป็นไรหรอก…เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว’ เทียนไขนึกปลอบใจตัวเองอยู่แบบนี้ซ้ำๆ สายตามองไปที่ประตูกระจกอย่างเลื่อนลอย ได้แต่หวังว่าอีกไม่นานมันจะถูกเปิดออก เปลวจะกลับมาหาเขา แล้วก็จะ…กลับ ‘บ้านของเรา’ ด้วยกันเหมือนทุกวัน

 

       เวลาผันผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เทียนไขตัวสั่นเครือในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ภาพในวัยเด็กฉายขึ้นมาในหัวซ้ำๆ

       ‘พ่อ อย่าทำแม่ อย่า.. เทียนขอร้อง’ เด็กน้อยคนหนึ่งพยายามเว้าวอนต่อผู้เป็นพ่อเพื่อให้หยุดการกระทำอันโหดร้ายกับแม่ของตนที่กำลังร้องห่มร้องไห้ แต่ก็ใช่ว่าพ่อของเขาจะยอมฟัง การกระทำอันรุนแรงและป่าเถื่อนยังถูกดำเนินต่อไป เป็นความสุขทางใจของผู้เป็นพ่อที่เกิดขึ้นบนความทุกข์ทรมานของคนอื่น



       เด็กหนุ่มจำภาพนั้นได้ไม่มีวันลืมเลือน และวันนี้โลกอันแสนโหดร้ายก็นำพาให้เด็กหนุ่มคนนี้พบเจอสิ่งเดียวกันกับที่แม่เขาเคยเจอ

       เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นแม่ของเขาถึงทำได้แค่ร้องไห้

       เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของเขาในวันนั้นถึงไม่เป็นผลใดๆ

       เขาและแม่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยอมจำนนต่อโชคชะตา ..ต่อให้ดิ้น ต่อให้ดื้อรั้น ก็ใช่ว่าคนใจร้ายที่เป็นผู้กระทำนั้นจะหยุด



        “…” การรอคอยมันทรมานขนาดไหนเทียนไขได้รู้แล้วในวันนี้ ..แม้ว่าผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน รอบกายของเขาก็ยังคงมีแต่ความเงียบเหงาและว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของคนที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่เลยแม้แต่เงา

       ครั้งนึง..เทียนไขเคยเชื่อว่าเปลวคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขาแล้วจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือความรู้สึกใดๆเปลวล้วนให้เขาได้ทุกอย่าง เชื่อ..จนขนาดที่ว่าไม่เคยคิดเผื่อใจไว้เลยว่าวันนึงจะถูกหลอกลวง ถูกหักหลังแบบนี้

       “…” และเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียวว่าทำไมน้ำตาถึงต้องไหลออกมาไม่หยุด

       เขารู้…เขารู้ดีว่าสำหรับเปลว ตัวเขานั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน เสียงอันน้อยนิดของเขามันไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อยู่แล้ว

       สิ่งที่ภูมิชี้หน้าด่าเขามันก็ไม่มีข้อไหนที่สามารถแย้งไปได้เลย ..เขามันก็แค่เด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่คนหนึ่งที่ดั้นด้นตัวเองอยากจะได้อยากจะมี ก็..สมควรแล้วล่ะมั้งที่ตัวเขาต้องมาพบจุดจบแบบนี้ ทั้งหมดนี่ก็ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น ทุกๆอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะตัวเขาเอง เขาผิดเอง..

 

        ..ผิดที่โง่ไปรักคนอย่างเปลวอย่างสุดหัวใจ

       











































       ‘เทียน เป็นอะไรลูก กลัวหรอจ๊ะ’

       ‘ฮือ..แม่ เทียนกลัว..’

       ‘โอ๋ มานี่มา มาอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของแม่มา’

       ‘…’

       ‘ดีขึ้นมั้ยลูก? แค่นี้พ่อก็มาทำร้ายลูกไม่ได้แล้ว’



       ภาพเด็กน้อยวัยประถมที่หวาดกลัวหมัดและเท้าหนักๆของผู้เป็นพ่อวิ่งร้องไห้เข้าไปหาแม่ฉายซ้ำขึ้นมาในหัว

       ผู้เป็นแม่เห็นลูกรักตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัวจึงอ้าแขนดึงลูกน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมอก ใจจริงของเธอไม่ใช่แค่ปลอบให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้เท่านั้น หากแต่การกอดแบบนี้ก็เคยป้องกันลูกรักของเธอไม่ให้ถูกทำร้ายได้แล้วจริงๆ

       เธอใช้ร่างกายบอบบางของเธอเพื่อปกป้องลูกรักในอ้อมกอด ถึงแม้จะเจ็บปวดทรมาน แต่ก็จะไม่มีทางให้ลูกน้อยต้องเจ็บไปกับเธอด้วยแน่ๆ

       ผู้เป็นแม่ลูบหัวเด็กน้อยพร้อมกับเอียงตัวไปซ้ายขวาเพื่อปลอบประโลมลูกรักไปทั้งน้ำตา

       ‘ไม่เป็นไรนะเทียนนะ..เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’





       เทียนไขกอดตัวเองแน่นแล้วลองเอียงตัวไปซ้ายขวาเหมือนตอนที่เคยอยู่ในอ้อมกอดแม่

       “ไม่เป็นไร..เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เขาบอกกับตัวเองซ้ำๆ เป็นแบบนั้นอยู่เนิ่นนานจนแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามา กระบวนการคิดของเขาจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง



       โชคชะตาก็ยังคงเล่นตลกอยู่กับคนเจ็บเจียนตายอย่างเทียนไขต่อไป แสงตะวันกลับมาสาดส่องอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง แต่ทว่าภายในห้องนี้ก็ยังคงเงียบสงัดอยู่เช่นเดิม ใช่แล้ว…วันนี้วันหยุด เพราะฉนั้นแล้วความหวังอันริบหรี่ว่าจะมีคนผ่านมาเห็นแล้วให้ความช่วยเหลือก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน

       เทียนไขไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฝืนลืมตาต่อ ความเจ็บปวดที่ช่วงท้องบังคับให้เขาต้องนอนตัวงออยู่แบบนั้นด้วยความเหนื่อยเพลีย ซ้ำร้าย…บางส่วนของร่างกายชาดิกจนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

       เขาอยากจะหลับ อยากจะหลีกหนีจากความเจ็บปวดทรมานที่กำลังได้รับ แต่ก็ทำไม่ได้…จนถึงตอนนี้แล้วเทียนไขก็ยังคงรอเปลวอยู่เช่นเดิม ยังคง..อยากจะเห็นใบหน้าของคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจอีกซักครั้ง 

       ก่อนจะ…หลับตาลง

       แล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย





       “เฮ้ย!” เสียงใครคนหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท ใครกัน? เปลว..เปลวหรือเปล่า?

       ..แขนของใครคนนั้นสอดเข้าไปใต้ร่างของคนเจ็บอย่างเทียนไขก่อนจะพยุงขึ้นมาด้วยความร้อนรน

       “เปลว..” ดวงตาที่ปูดบวมของคนเจ็บปิดสนิท ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าเจ้าของอ้อมแขนนี้ แต่เทียนไขก็เชื่อว่าคนๆนี้ต้องเป็นเปลวอย่างแน่นอน ..คิดได้แบบนั้นแล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลก็คลี่ยิ้มอันแสนหวานเหมือนทุกครั้งออกมา



       “เปลว..เราจะกลับบ้าน..กันแล้ว ใช่มั้ย..?” กลับบ้านของเรา..บ้านที่เปลวบอกว่าจะมีแต่ความสุข..

       “…”

       “เรารอเปลว..มานานมากเลย..รู้มั้ย” คนเจ็บยังคงพูดจ้อไม่หยุดด้วยความดีอกดีใจ หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวของเขากลับมาพองโตอีกครั้งอย่างง่ายดาย

       “…” อีกฝ่ายผู้เป็นเจ้าของอ้อมแขนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแต่ยังคงพยุงเทียนไขเดินออกไปจากห้องนี้อย่างยากลำบาก

       “เรา..รักเปลวนะ..” จู่ๆเทียนไขก็โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยพร้อมกับน้ำตาเม็ดใสไหลระรินพาดผ่านข้างแก้ม ริมฝีปากที่สั่นระริกพยายามเม้มเข้าหากันเพื่อกลัดกลั้นความตื่นเต้นและความเศร้าโศกในใจ แต่เพราะตอนนี้เขาอยากให้เปลวได้รู้ความรู้สึกของเขา ฉนั้นแล้วถึงคำว่า ‘รัก’ ของเขามันจะทำให้ตัวเขาเองเจ็บปวด เขาก็จะพูดออกไป แม้ว่า..

       “เดี๋ยวลุงพาไปส่งโรงพยาบาลนะ”

       ..สิ่งที่เขาต้องการสื่อออกไปทำได้แค่ในโลกของความฝันอันแสนหวานก็ตาม





















       “ไม่ไปครับ”

       “ทำไมล่ะหนู สภาพหนูแย่มากเลยนะ” ..ผ่านไปร่วมชั่วโมงที่คุณลุงภารโรงพยายามเกลี้ยกล่อมเทียนไขให้ไปโรงพยาบาล ไม่ว่าจะทำยังไงเจ้าตัวก็ยังยืนกรานคำปฏิเสธคำเดิมว่าจะไม่ไปโรงพยาบาล

       “ไม่ไปครับ” ริมฝีปากที่แห้งแตกมีรอยเลือดคลี่ยิ้มตอบปฏิเสธอย่างมีมารยาท ดวงตาที่เคยปูดบวมถูกประคบบ้างแล้วจึงทำให้พอมองเห็นโลกภายนอกได้บ้าง “ขอบคุณลุงมากๆที่มาช่วยผมเอาไว้”

       “งั้นเดี๋ยวลุงโทรหาพ่อแม่ให้มารับให้นะ ขอเบอร์หน่อย..” คุณลุงภารโรงยังคงจ้องมองมาที่คนเจ็บด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่สภาพร่างกายของเด็กน้อยคนนี้ที่ดูแย่จนเขาแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่ายังมีชีวิตอยู่ ซ้ำด้วยความดื้อดึงของเจ้าตัวที่ตัวเขาเองไม่อาจไปบังคับขู่เข็ญอะไรได้

       “..ผมไม่มีพ่อแม่หรอกครับ”

       “…” คำตอบที่เขาได้ทำเอาเขาพูดไม่ออก “งั้นเดี๋ยวลุงโทรหาครูประจำชั้น..”

       “ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้..ผมแค่อยากกลับบ้าน” แค่..อยากกลับไปเจอหน้าใครคนนั้นที่เขารัก

       “เอาแบบนั้นหรอ..?”

       “ครับ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

       “งั้นเดี๋ยวลุงเรียกแท็กซี่ให้ มีเงินไหม? เอาเงินลุงออกไปก่อนก็ได้นะ”

       “ขอบคุณครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณลุงเลย”

       “กลับถึงบ้านให้ผู้ปกครองพาไปหาหมอด้วยนะหนูนะ”

       “ครับ” เทียนไขเอ่ยตอบ กัดฟันทนความเจ็บที่ช่วงท้อง ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองเดินออกไป



























      …ขณะที่แสงเทียนกำลังส่องสว่างนั้น

      น้ำตาเทียนก็เริ่มละลายเช่นกัน














       ท้องฟ้าสีวานิลาอันได้ชื่อว่าเป็นท้องฟ้าที่สวยงามที่สุดกำลังไล่เรียงเฉดสีอย่างสวยงามอยู่บนฟากฟ้า ประจักษ์สู่ดวงตาที่ฉายแววความเจ็บปวดอยู่ทุกขณะของเทียนไข เขาเงยขึ้นไปมองเบื้องบน พร้อมกับยื่นมือออกไปหมายจะแตะต้องท้องฟ้า ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วเดินก้มหน้าเข้าไปในบ้านหลังที่จะมีแต่ความสุข





       “อ้าวไอ้เทียน ไปไหนมาทำไมไม่กลับบ้านเมื่อวาน” และทันทีที่เขาเลื่อนประตูกระจกสีหม่นหน้าบ้านออก คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอดก็เอ่ยทักอย่างดุดันทันที “เหลวไหลนะมึงอ่ะ”

       “…” เทียนหันไปสบตากับคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอรู้ตัวว่าน้ำตากำลังจะไหลก็เลยเบือนหน้าหนีมาอีกทาง …นี่ใช่มั้ย คำทักทายคำแรกของคนที่เคยพูดนักพูดหนาว่าเป็นห่วงกัน?

       “แล้วนี่ไปโดนอะไรมา ไปหาเรื่องใคร”

       “…” ..นี่ใช่มั้ย สิ่งที่เขาเฝ้าทนอยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดทั้งวันทั้งคืน เขาอดทนรอเพื่อมาเจอแบบนี้..ใช่มั้ย?

       “เป็นอะไรทำไมไม่ตอบกู”

       “…” ..ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ไม่มีแม้แต่คำอธิบาย

       “เทียน มึงโกรธอะไรกูมึงก็แค่พูดออกมา อย่ามาทำหน้าแบบนี้ กูเป็นห่วงเนี่ยกูเลยถาม”

       “…” เทียนไขแค่นยิ้ม ก่อนจะเดินขึ้นห้องไป ..มันก็ตลกดี ที่เขาเคยเชื่อคำว่า ‘เป็นห่วง’ ของเปลว ทั้งๆที่มันไม่เคยมีความจริงผสมอยู่เลย

       “ตามใจมึงนะ กูไม่สนละ” เสียงของเปลวดังตามหลังขึ้นมา ทำเอาขาที่กำลังก้าวขึ้นบันไดต้องหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอฉุกคิดได้ถึงความเป็นจริง สุดท้ายเขาก็เดินขึ้นบันไดต่อ



       จริงๆ…เปลวก็ไม่เคยสนใจกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นะ..?















       …ภายใต้ห้องนอนสีเทาหม่นห้องนี้ เคยมีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นมากมายระหว่างเทียนไขและเปลว ทุกเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเทียนไขยังจำมันได้ดีเสมอมา

        ที่โซนทีวี..พวกเขาเคยเล่นเกมด้วยกัน บางวันก็ดูหนังกันดึกดื่นจนพ่อเปลวเข้ามาด่า แต่พอพ่อเปลวออกไป พวกเขาก็ดูต่อเหมือนเดิม จนสุดท้ายแล้วก็ผล็อยหลับกันไปทั้งคู่ พอเช้าถึงพึ่งรู้ตัวว่าทั้งเปลวทั้งเทียนไขต่างก็กอดกันกลม

       ที่ตรงนั้น พวกเขาเคยแอบเอาข้าวขึ้นมากินด้วยกัน

       ระเบียง..เปลวเคยขอให้เทียนไขนั่งเป็นแบบให้เขาวาดรูปอ้างว่าจะเอาส่งครู แต่พอวาดเสร็จรูปนั้นก็ไม่ได้เอาไปส่งครูคนไหนเลย แต่กลับติดอยู่บนหัวนอน

       พวกเขาเคยตื่นสายกันทั้งคู่จนต้องเลือกที่จะอาบน้ำด้วยกัน แต่สุดท้ายก็สายอยู่ดีเพราะมัวแต่แกล้งกัน

       ..เคยโกนหนวดให้กันเพราะกระจกแตก

         ..เคยปลอบใจกัน อยู่เคียงข้างกันไม่ว่าร้อนหรือหนาว   

       เคย…มีความสุขกันมากๆ

       แต่ตอนนี้ มันคง…ไม่มีอีกแล้ว





       สิ่งที่เหลืออยู่..สำหรับเปลวก็คงจะมีแต่ความขุ่นมัวของอารมณ์ เขาไม่เข้าใจเทียนไขเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไรผิด เพราะอะไรถึงมองกันด้วยสายตาแบบนั้น

       และสำหรับเทียนไข…สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ตัวเขา ความทรงจำทุกเรื่องที่ผ่านมา และเสียงร้องไห้อย่างหนักหน่วงที่ดังระงมอยู่ทั่วบริเวณ

       “เทียน ลงไปกินข้าว” นานร่วมชั่วโมงที่เทียนไขขึ้นมานั่งกอดเข่าอยู่บนห้องคนเดียวเพื่อปลดปล่อยความเศร้าโศกที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาเห็นว่าเขาอ่อนแอ แต่ว่าก็คงจะไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว ..น้ำเสียงนุ่มๆเมื่อครู่ เทียนไขรู้ดีว่าคือเสียงของใคร

       “มึงร้องไห้หรอ?” ครู่หนึ่งหลังจากที่เปลวเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเทียนไขแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนก้อนเนื้อในอกกำลังถูกของมีคมเสียดแทงก็เกิดขึ้นกับตัวเขาจนเขาทำอะไรไม่ถูก ทำได้แค่เอ่ยถามออกไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

       “…” เทียนไขหันไปตามต้นตอของเสียง เขาจ้องมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นโดยไม่ละสายตา หากเป็นก่อนหน้านี้แค่เพียงเผลอสบตากันรอยยิ้มแสนหวานก็คงเกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกต่อไป

       “..ไปกินข้าวเถอะเทียน กูรู้ว่ามึงหิวแล้ว” เปลวพยายามสลัดความรู้สึกนั้นออกไป แล้วคุมน้ำเสียงให้ปกติดังเดิม

       “…” ..ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับเขามาเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายยังคงมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้วเปลวจึงทำได้แค่ถอนหายใจแล้วเดินออกไป



       “อะกูเอาขึ้นมาให้” แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่รบกวนเปลวอยู่ตลอดเวลา ไม่นานนักเขาก็กลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับถาดสีน้ำตาลอันมีจานกระเบื้องใส่ข้าวสวยร้อนๆอยู่พูนจานหนึ่งใบ และแกงเขียวหวานของโปรดเทียนไขในชามกระเบื้องใบโตอยู่อีกหนึ่งใบ

       เปลวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทียนไข เขาวางถาดลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน..

       “กินซะ!” ยอมรับว่าตัวเขาตอนนี้เริ่มที่จะหมดความอดทน เปลวไม่ชอบคนงี่เง่าที่โกรธอะไรก็ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ทว่าถึงเปลวจะใช้น้ำเสียงที่ดุดันแค่ไหนก็ตาม เทียนไขก็ยังจ้องมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอยู่ดังเดิม

       “…” แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเหมือนอย่างเคย เทียนไขละสายตาจากเขา ก่อนจะก้มลงแล้วหยิบจานข้าวขึ้นมาพร้อมกับชุดช้อนส้อม เปลวเห็นดังนั้นก็เลยใจชื้นขึ้นมาบ้าง รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นที่มุมปากของเขาเมื่อเห็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขายอมทำตามอย่างว่าง่าย

       ‘ไม่.. มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น’ ..คิดหรอว่าเทียนจะยอมให้รอยยิ้มนั่นได้เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนอย่างเปลว?



       เพล้ง!

        ..เทียนไขลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมจานข้าวที่อยู่ในมือ ก่อนจะปล่อยให้มันร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกจนจานกระเบื้องตกกระแทกกับพื้นห้องแตกละเอียด เม็ดข้าวสวยกระจัดกระจายทั่วพื้น

       “ไอ้เหี้ยเทียน!” น้ำแกงเขียวหวานร้อนๆกระเด็นโดนตัวของคนที่กำลังนั่งอยู่อย่างเปลว จนเส้นความอดทนที่เขาพยายามอดทนอดกลั้นมาตลอดขาดสะบั้นลง

       “มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนาวะไอ้สัด!!!!!” เขาใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักเทียนไขที่กำลังไร้สติออกไปจนอีกฝ่ายล้มลงกับพื้น ซ้ำร้ายศีรษะอันบอบบางของเขาก็กระแทกกับขอบเตียงจนของเหลวสีแดงสดไหลซึมออกมา

        “…” น้ำตาเม็ดใสของเทียนไขดูท่าจะไหลรินออกมาอีกแล้ว..

       “ไม่อยากแดกข้าวบ้านกูมึงก็ออกไป ออกไป๊!” เรียวนิ้วชี้ชี้กราดมาที่คนที่กำลังนอนกองอยู่กับพื้น เปลวตวาดลั่นด้วยความเดือดดาล เขาสาดพ่นถ้อยคำร้ายๆออกมา โดยไม่คาดคิดเลยว่า..

       “เปลว..ทำแบบนี้ทำไมหรอ” ความรู้สึกคนฟัง…จะเป็นอย่างไร

       “ทำ? กูทำอะไร มึงต่างหาก มึงเป็นอะไรของมึง”

       “จนถึงตอนนี้..เปลวก็ยังไม่คิดที่จะอธิบายใช่ไหม?”

       “คือเหี้ยไร กูทำไรให้มึง…มึงพูดสิไอ้สัด มึงไม่พูดกูจะรู้มั้ยไอ้ควาย!”

       “โอเค จริงๆแล้ว...เปลวอาจจะไม่ได้ทำอะไรหรอก..” สุดท้ายแล้วเทียนก็ไม่สามารถต้านทานหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาได้อีกต่อไป เขารวบรวมเศษเสี้ยวความรู้สึกในหัวใจเอามาปะติดปะต่อกันให้พอเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาอีกครั้งแล้วกลั่นออกมาเป็นถ้อยคำให้เปลวได้รับรู้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นถ้อยคำที่ทำให้เทียนไขต้องเจ็บปวดถ้าต้องพูดออกไป...  “มัน..ผิดที่เราเองนั่นแหละ”

        “…” เทียนไขรวบรวมแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่พยุงตัวเองขึ้นมา ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเปลวอีกครั้ง

        “…เราขอโทษที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเปลวจนทำให้เปลวต้องรู้สึกรำคาญ”

        “…” สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของเปลวคือใบหน้าที่นอกจากจะมีร่องรอยของบาดแผลฟกช้ำแล้ว ยังถูกย้อมด้วยคราบน้ำตาอีกด้วย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเลือดสีสดที่กำลังซึมแทรกไรผมที่หน้าผากออกมาเป็นทางยาว

        “…เราขอโทษที่ลืมตัวไปหน่อย ..ลืมว่าตัวเราเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไร …ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม ความสุข หรือการได้มีชีวิตปกติอย่างที่คนอื่นๆได้มี ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราไม่มีสิทธิ์นั้นเลย”

       “…”

       “…ขอโทษที่เชื่อใจเปลวมากเกินไปหน่อย”

       “…”

       “แล้วก็…ขอโทษที่ไว้ใจเปลวมากเกินไปด้วยนะ”

       “…” ..จริงๆมีคำถามๆนึงที่ติดอยู่ในใจของเปลวมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับเทียนไข ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่เคยเข้าใจตัวเองอีกเลยว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแปลกๆแบบนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะได้คำตอบเสียแล้ว..

       “…ขอโทษที่รักเปลวนะ”

       “เทียน…” เขา..ก็รักเทียนไขเช่นกัน

       “…” ไม่ทันที่เทียนไขจะได้พูดอะไรต่อไปอีกเขาก็ถูกคนตัวโตกว่ารวบเข้าไปในอ้อมกอด และทันทีที่ได้ซึมซับไออุ่นจากอ้อมกอด หัวใจที่แตกสลายก็เริ่มกลับมาเป็นชิ้นเป็นอันอีกครั้ง ..เพราะนอกจากอ้อมกอดของแม่แล้วอ้อมกอดของเปลวนี่แหละที่เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

       “ปล่อย..” ทว่าอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเปลวนั้นเต็มไปด้วยหนามแหลม เพราะงั้นเขาจะไม่มีวันยอมอยู่ในอ้อมกอดนี้อีกต่อไปแล้ว “บอกว่าให้ปล่อย..”

        “เทียน..กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ” เปลวกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น อารมณ์เดือดดาลเมื่อครู่ลดลงได้อย่างน่าประหลาดเพียงเพราะอ้อมกอดนี้ และในที่สุด…เปลวก็เอ่ยคำขอโทษออกมา

        เป็นคำที่..เทียนไขอยากได้ยินมาตลอด..

        “..เราไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่านี้เลย”

        “…”

        “ขอแค่มีเปลวอยู่ข้างๆกัน…สำหรับเรามันก็เพียงพอแล้ว” สำหรับเทียนไขเอง เขาก็ไม่ต่างอะไรกับเปลวเลย ..ความเจ็บปวดทรมานที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปหมดสิ้น “ขอบคุณที่ขอโทษกันนะ..”

       “…” เปลวคลายอ้อมกอด ก่อนจะใช้สองมือตรึงท้ายทอยอีกฝ่ายไว้ ประสานสายตาซึ่งกันและกันอยู่เนิ่นนานก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามา

       “เปลว..” ลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายเป่ารดที่ปลายจมูก ไม่นานนักเด็กไม่ประสีประสาเรื่องนี้อย่างเทียนไขก็หลับตาพริ้ม เปลวเห็นดังนั้นแล้วจึงค่อยๆประกบริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากสีระเรื่อของอีกฝ่าย

        ..รสจูบที่เขาทั้งสองได้สัมผัสนั้นช่างหอมหวาน ยากที่จะลืมเลือนได้ และเมื่อได้เริ่มสัมผัสมันก็ยิ่งอยากที่จะสัมผัสให้มากขึ้น …เปลวคลายมือที่ตรึงท้ายทอยอีกคนออก ก่อนจะค่อยๆขยับเข้าหาเทียนไขจนแนบชิดกัน เทียนไขถอยออกมา แต่ก็เปลวก็ยังคงขยับเข้ามาหาอีก จนไม่มีที่ให้เทียนได้ถอยหนีอีกต่อไป เปลวจึงใช้แขนข้างหนึ่งรองแผ่นหลังของเทียนเอาไว้แล้วค่อยๆโน้มตัวลงมาให้เทียนนอนราบไปบนที่นอน

        รสจูบอันหอมหวานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้เปลวไม่ได้หยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเทียนไขที่เดียว เขาบรรจงละเลงรอยจูบไล่ลงมาตามลำคอ เรียวไหล่สีไข่มุก มาจนถึงยอดอก ทำเอาเทียนไขร้องครางออกมาอย่างอดไม่ได้ 

        ท้ายที่สุดแล้ว…แสงจากโคมไฟที่หัวเตียง..

        ก็ดับลง

















       ‘ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว’ เหมือนเขาและเปลวจะไปได้ดี ใช่…มองดูแค่ภายนอกก็คงเป็นแบบนั้น

       เทียนไข…เป็นเด็กที่หวาดกลัวง่าย จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ร่างกายอ่อนแอ แต่กลับถูกทำร้ายทารุณมาตั้งแต่เด็กๆ และถึงจะโตขึ้น เขาก็ยังถูกทำร้ายอยู่ซ้ำๆร่ำไป

       แย่หน่อยที่สมองของเขาดันจดจำเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะฉนั้นแล้วทุกภาพ ทุกฉาก ทุกเหตุการณ์ เขาจำมันไม่หมดทุกอย่าง ทั้งเสียง และความรู้สึกเจ็บปวดทรมานก็ด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างตามหลอกหลอนเขาตลอดมา นานวันเข้า…สมองของเขาก็ไม่สามารถทนรับเรื่องราวต่างๆได้อีกต่อไป

       แต่เขาก็ยังยิ้มนะ เขายิ้มให้เปลวเสมอเวลาที่อยู่ด้วยกันหรือกำลังพูดคุยกัน



       ส่วนเวลาที่นอกเหนือจากนั้น…เขาร้องไห้ ร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไร้ค่าเข้าเกาะกุมหัวใจจนเขาเคยคิดจะทำร้ายตัวเองด้วยการกระโดดลงมาจากระเบียง แต่โชคดีที่เปลวเข้ามาซะก่อน เขาเลยหยุดการกระทำนั้น

       เขาจะไม่มีทางให้เปลวรู้โดยเด็ดขาด

       ว่าเขากำลัง…ป่วย











   

       



















       

มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       ล่วงเลยมาจนถึงวันสุดท้ายของการใส่ชุดนักเรียน วันนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ดังเซ็งแซ่จากนักเรียนคนอื่นๆที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มีการจัดซุ้มถ่ายรูปเป็นธีมต่างๆ มีจัดบู๊ทเพื่อแสดงความรู้สึกตลอดเวลาที่ผ่านมาของการเป็นนักเรียน ชมรมเสียงตามสายเองเปิดเพลงซึ้งๆที่เกี่ยวกับเพื่อนคลอหูเหมือนอย่างทุกปี

       บรรยากาศโดยรวมอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นจากเพื่อนพ้องน้องพี่ภายในรั้วเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ครูอาจารย์ที่คอยมอบคำอวยพรน่ารักๆให้แก่พวกเรานักเรียน ม.6



       “พี่เทียนคะหนูขอถ่ายรูปกับพี่หน่อยได้มั้ยคะ” น้องหนูมัธยมต้นเดินเข้ามาทักเทียนไขที่ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในพี่ ม.6 สุดหล่อของสาวๆในโรงเรียนไปแล้ว

       “ได้ครับ เอาท่าไหนดีล่ะ?”

       “โหยพี่เทียนไขอ่า ทะลึ่งงง” พี่เทียนที่หมายถึงแอ๊บท่าไหนดีก็ได้แต่งงๆไปที่น้องเข้าใจไปอีกทาง

       แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยิ้มและหัวเราะให้น้องหนู ก่อนจะเทคอะเซลฟี่กับน้องหนูแบบชิดใกล้จนแทบจะสิงร่าง ส่วนน้องหนูก็คือดีใจจนกระโดดลิงโลดไปเลย



       “แหม ฮอตใหญ่เลยน้า” ไอ้เท็นเอ่ยแซว เพื่อนคนนี้เทียนไขสนิทใจกับมันมากที่สุดรองจากเปลว ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เทียนไม่เคยเปิดใจให้ใครเลยนอกจากเปลว แต่พอเมื่อเวลามันเริ่มสอนให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เทียนไขก็เลิกปิดกั้นใจตัวเอง

       “ธรรมดาอะครับคุณสิบ อิดส๋าก็ไปวุฒิสภา” คุณสิบ = คุณเท็น, อิดส๋า = อิจฉา

       “วุฒิศักดิ์มั้ยมึง”

       “เออนั่นแหละ” นี่ถ้ามีจังหวะกลองตึ่งโป๊ะซักหน่อยก็คงจะฮาแตกไม่ใช่น้อย



       ฮะแป้กหรอ

       โทษๆ



       “ไอ้เท็นไอ้เทียน มาถ่ายรูปรวมห้องกัน!” สมาชิกหนึ่งในหกทับสองส่งเสียงตะโกนกรีดร้องโวยวายเรียกสองหนุ่ม

       “เออๆกำลังไป!” ไอ้เท็นตะโกนกรีดร้องโวยวายตอบกลับก่อนจะเดินไปทางที่เพื่อนคนๆอื่นยืนออกันอยู่ตรงซุ้มถ่ายรูปธีมอาชีพในฝันซึ่งมีพร็อบแต่ละอาชีพให้เลือกสรรมาประดับตัว



       และแน่นอนว่า ‘ว่าที่นิสิตแพทยศาสตร์’ อย่างเทียนไขเลือกเสื้อกาวน์มาใส่

       “ฮั่นน้อวว มึงแม่งโคตรเท่”

       “มึงคุยกะใครวะเทียน”

       “กูคุยคนเดียว”

       “…”

       งงตาแตกไปดิ นี่เทียนคนเดิมหรอวะทำไมถึงกวนตีนได้หน้าตายแบบนี้

       ว่าบุญว่าบาป เทียนไขมันก็เปลี่ยนไปมากจริงๆนะ มากจนแบบเรียกว่าหนูน้อยไม่ได้แล้วอะก็ดูความสูงที่ก้าวกระโดดของมันที่ผนวกเข้ากับใบหน้าหล่อสไตล์โคเรียนั่นดิ อปป้าเวอร์

       ไหนจะสมองที่โคตรหัวกะทิของโรงเรียนนั่นอีก มันกะทิขนาดที่ว่าตอนไปแข่งตอบคำถามทางวิชาการที่มันได้แชมป์เพราะตอบคำถามได้หมดจนโรงเรียนคู่แข่งถึงกับอุทานออกมาว่านี่คนหรือวิกิพีเดีย

       ไหนจะนิสัยติดตลกกวนตีนหน้ามึนของมัน นี่ถ้าใครไม่รู้จักไอ้เทียนมาก่อนแล้วมาโดนมันกวนตีนหน้ามึนใส่นะ ความคันตีนยุบยับอยากเอาไปทาบหน้าไอ้เทียนก็จะเกิดขึ้นในใจทันที

       พอจับทุกอย่างมายำเข้าด้วยกันแล้ว เทียนแม่งก็เป็นคนๆนึงเลยอะที่น่าเข้าหา ดูเหมือนส่วนใหญ่ในโรงเรียนนี้จะคิดแบบนี้กันซะด้วย เพราะฉะนั้นไอ้เทียนก็เลยดังระเบิดระเบ้อไปเลยในโรงเรียน

       ..มันก็ดีแล้วแหละที่เทียนได้เจอเรื่องราวดีๆบ้าง

       “หนึ่ง สอง ซั่มม เซย์ขี้!” ตากล้องโรงเรียนพูดให้สัญญาณ ซึ่งจากที่จะยิ้มแฉ่งก็กลายเป็นฮาระเบิดแทน เซย์ขี้พร่องส์

       “เทียนถ่ายรูปกับกูหน่อยดิ” เสียงทุ้มนุ่มของไอ้เปลวเอ่ยทักเทียนหลังจากที่ถ่ายรูปรวมเสร็จ ซึ่งเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกก็ยิ้มแล้วเดินตามไปถ่ายรูปด้วยกันอย่างว่าง่าย

       “เอาแบบหลุดๆ” เปลวบอก

       “งี้ต้องแก้ผ้าปะหรือยังไง”

       “ทำไมเป็นคนแบบนี้วะเทียน แก้ดิมา”

       “โห่เพื่อน กูล้อเล่น555”

       “ป๊อดไอ้ควาย55555” สองหนุ่มหัวเราะร่าจนตาหยีเป็นสระอิ

       “มาๆถ่ายดีๆละ มึงๆถ่ายให้พวกผมหน่อย” เปลวหันไปบอกตากล้องที่กำลังจะเดินไปทางอื่นด้วยสรรพนามกึ่งหยาบกึ่งสุภาพอย่างลงตัว

       “ถ่ายไปแล้วโว้ย”

       “อ่าว ถ่ายตอนไหนวะ” เทียนทำหน้าเหลอหลา เฮ้ยตอนไหนวะ หน้าหลุดถ่ายใหม่นะเว้ย

       “อะมาดู” ตากล้องเดินกลับมาหาพร้อมกับเปิดรูปที่พึ่งถ่ายให้ดู

       “ไหนๆ” ไอ้เปลวผู้ชื่นชอบในการอยากรู้อยากเห็นยื่นหน้าเข้าไปดูก่อนใคร

       ภาพที่เห็นในกล้องคือเปลวกับเทียนที่กำลังหัวเราะให้กันจนตาหยี องค์ประกอบรอบข้างค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร อย่างเช่นลูกโป่งที่ลอยพาดผ่านอยู่ตรงขอบรูป แต่โชคดีที่รูปยังโฟกัสคนอยู่ เพราะงั้นโดยรวมแล้วรูปที่ออกมาจึงดูเป็นธรรมชาติมากๆราวกับไปถ่ายในป่าอะเมซอน

       “เชี่ย มึงโคตรเมียเลยอะเปลว” เทียนไขเกทับไปดิเมื่อเห็นว่าไอ้เปลวเพื่อนมันแก้มชมพูตุ่นเบอร์แรงมากในรูป แต่จริงๆเป็นเพราะแสง

       “กูเมียแล้วไง เมียคนนี้เอาผัวได้นะบอกก่อน”

       “ถุ้ยถุ้ยถุ้ย” เทียนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เวลาที่ผ่านไปเป็นยางลบเกรดเอเลยที่ช่วยลบล้างความโกรธเคืองจนออกไปได้เกือบหมด ที่บอกว่าเกือบก็เพราะว่ามันยังไม่หมดไปซะทีเดียว ถ้าเกิดมีใครสะกิดมันขึ้นมาล่ะก็ ความรู้สึกเก่าๆก็พร้อมกลับมาเสมอ เทียนรู้สึกแบบนั้น

       แต่เขาไม่อยากจะจมจ่อมอยู่กับความโกรธไง เพราะยังไงแล้วเขาก็ยังต้องพึ่งเปลวอยู่ ส่วนเปลวเองก็แสดงออกให้เขาเห็นเรื่อยๆว่าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ฉนั้นแล้วก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่เทียนจะต้องนึกโกรธเคืองอะไรกันอีก เทียนเกิดความคิดนึงเข้ามาในหัว ความคิดที่ว่า ‘จริงๆโลกนี้ไม่ได้โหดร้ายซักหน่อย ผู้คนที่เราพบเจอต่างหากที่โหดร้าย’  ซึ่งหากมันเป็นโชคชะตาจริงๆเราก็คงเลือกอะไรไม่ได้ สิ่งที่เทียนไขทำจึงเป็นการเลือกที่จะทำตัวให้น่าคบหามากขึ้น ยิ้มมากขึ้น เพราะงั้นเขาก็แทบจะไม่ได้เจอคนแบบนั้นอีกเลย

       “เทียน” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

       “…” เทียนจ้องมองแววตาคู่นั้นที่จ้องมาที่เขา เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มจะยิ้มออกมา

       “..ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกับกูมาจนถึงทุกวันนี้นะเว้ย มึงคือความโชคดีของกูจริงๆ”

       “…” เทียนไขยิ้มตอบ ไม่รู้เหมือนกันว่ายิ้มกว้างขนาดไหนแต่ที่รู้อยู่แก่ใจคือรู้สึกดีมากๆ โชคดีหรอ.. มึงเองก็เป็นโชคดีของกูเหมือนกันนะ

       ..ยิ้มอยู่อย่างนั้น หัวใจก็รู้สึกพองโตจนแทบจนล้นออกมาจากอก

       





       “ละนี่…จะเลิกเรียกเพื่อนได้ยัง? ..อยู่กันสองคนแล้วนะ” เทียนเอ่ยถามเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาทที่ข้างๆหู คุณเปลวอดีตเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขาตอนนี้ได้เลื่อนสถานะมาเป็นคนข้างกายได้ปีกว่าแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้แกรนด์โอเพนนิ่งออกมาให้ชาวโลกรับรู้แต่อย่างใด สถานะของเขาถูกเก็บไว้เป็นความลับระหว่างกันและกัน

       “…” และด้วยความที่เปลวเป็นพวกพูดไม่น้อย ต่อยหนัก เพราะงั้นพอเจ้าตัวถูกกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงแบบนั้นแล้ว เขาก็เลยหอมแก้มเทียนไขไปเลยฟอดใหญ่

       “สัด” เลือดสูบฉีดไปที่หน้าแก้มเทียนไขอย่างหนักหน่วง เปลวเห็นดังนั้นจึงแค่นยิ้มที่ทำให้โลกสดใสออกมา

       “ไม่อยากให้กูเรียกเพื่อนหรอ? งั้นกูเรียกเมียจ๋า..อย่างนี้ได้ปะ”

       “ไม่ได้โว้ย!” เทียนไขปฏิเสธทันควัน แค่จินตนาการว่าเปลวเรียกตัวเองแบบนั้นก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

       “555555555555” ส่วนคุณเปลวพอเขาได้รับรีเอคชั่นแบบนั้นแล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมาใส่หน้าเทียนไขด้วยความสะใจ สงครามกวนตีนแมทซ์นี้เขาชนะวะฮะฮ่า



       “แล้วนี่…มึงคิดไว้หรือยังว่ามึงจะเข้ามหาลัยไหน?” หลังจากสงบอารมณ์บ้าๆบอๆของทั้งคู่ได้สำเร็จ เทียนไขก็เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้นมา

       “ยังไม่อยากบอกมึงตอนนี้เลยว่ะ” เปลวตอบ

       “ทำไมอะ? ต่างจังหวัดหรอ..” ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย…

       “อือ”

       “….” ไม่อยากแยกจากกัน…

       “ล้อเล่น แต่กูไม่บอกมึงตอนนี้หรอก คิดซะว่าเป็น..เซอไพรส์แล้วกัน กูสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะเข้าที่นั่นให้ได้”

       “พูดมาขนาดนี้แล้วกูไม่รู้เลยมั้งว่ามึงจะเข้าที่ไหน”

       “อ่าวเออ555555555 จริงด้วยว่ะ”

       “งั้น..เดี๋ยวกูช่วยติวให้ มึงต้องเข้าได้แน่นอนเปลว”

       “นอนติวได้ไหม”

       “ส้นตีนมั้ยที่รัก”

       “โหดเหลือเกินว่ะคุณเนี่ย”

       “ยังไงก็…ขอบคุณมึงมากๆเลยว่ะ ทั้งๆที่มีตัวเลือกอื่นให้มึงตั้งเยอะแยะ แต่มึงก็เลือกที่เดียวกับกู เรามา..พยายามไปด้วยกันนะ”

       “ขอบคุณมึงเหมือนกันเทียน กูจะต้องทำให้ความพยายามของเราเป็นจริงให้ได้”

        …สรุปก็คือไปมอเดียวกันเลยทั้งเทียนทั้งเปลว แต่เทียนอะมันติดแล้วตั้งแต่รอบพอร์ตฟอลิโอ เปลวนี่สิที่พลาดรอบหนึ่งรอบสองไปแล้ว เหลือก็แต่ต้องสอบแข่งขันกับคนอีกทั้งประเทศ แย่หน่อยก็ตรงที่เจ้าตัวเป็นคนหัวช้า เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยอยู่ในช่วงซุ่มหักโหมอ่านหนังสือปานจะต้มหนังสือแดก

 

       “วันนี้ไปไหนเปล่า มีนัดยัง เด็กเยอะหนิมึงอะ” เปลวหันไปถามเทียนไขด้วยน้ำเสียงนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเขาและเทียนไขก็ชอบเสียงของเปลวมากๆ แต่คุณเปลวเขาก็ไม่วายที่จะแว้งกัดคนดังของโรงเรียนตรงท้ายประโยค

       “ไม่ได้ไปไหน ทำไม?” เทียนเอ่ยตอบ

       “จะชวนไปกินเหล้าบ้านเพื่อน”

       “กูไม่กินมึงก็รู้”

       “ไม่ต้องกินหรอก แต่แค่ไปเป็นเพื่อนกูเผื่อกูเมาจะได้หามกูกลับ”

       “ภาระโลกว่ะมึงอะ.. ไปก็ไป” ถึงจะบ่นกระปอดกระแปดแต่สุดท้ายแล้วเทียนไขก็ยอมตกลงไปด้วยอยู่ดี



       อปป้าเทียนยังคงเดินโปรยเสน่ห์ให้รุ่นน้องต่อไปเรื่อยๆในลานโดมกิจกรรม ดอกกุหลาบหลายดอกอยู่เต็มมือเขาเลย ไหนจะรูปที่ห้อยคอต่องแต่งเขียนข้อความไว้ว่าโชคดีนั่นอีก สภาพเสื้อนักเรียนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มีแต่รอยหมึกรอยปากกาเต็มไปหมด

       แต่มันก็ดีนะที่พี่น้องผองเพื่อนจะมอบดอกไม้ รูปภาพ หรือคำอวยพรให้กัน มันแสดงให้เห็นเลยว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดนี้ เรามีคนเป็นห่วง เรามีคนเฝ้ารอดูความสำเร็จ ซึ่งมันก็อบอุ่นหัวใจมากๆเลย



       เวลาผันผ่านไปจนช่วงเย็นของวัน กิจกรรมอำลาอาลัยพี่ ม.6 จบลงแล้ว แต่สำหรับคนบางกลุ่มงานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อ อย่างเช่นเขากับคุณเปลวตอนนี้ที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนซักแห่ง บ้านเพื่อนหรอ? เพื่อนคนไหนกันล่ะ

       ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีแท็กซี่ก็พาเด็กหนุ่มทั้งสองมาจอดอยู่ที่หน้าทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์นหลังนึง เปลวดูคุ้นกับที่นี่ดีแต่เทียนกลับไม่รู้จักสถานที่นี้เลย

       “ฮัลโหลกูถึงละ มาเปิดประตู” เปลวกรอกเสียงทุ้มนุ่มลงไปในโทรศัพท์ ไม่นานนักก็มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูบ้านสีน้ำตาล

       แม็ก?

       “ใครมาบ้างวะเพื่อนแม็ก” เทียนเอ่ยถามเจ้าของบ้านที่มาในชุดเสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงนักเรียน ใช่..นี่คือบ้านของไอ้แม็ก

       “ไม่มีหรอก มีแค่เราสามคน กูเฮิร์ตอยากแดก เลยชวนไอ้เปลวมาแดกเหล้า” มันตอบ ก่อนจะดึงกลอนรั้วขึ้นแล้วเปิดออกต้อนรับผู้มาเยือน

       ทุกอย่างดูปกติดี แต่มีบางอย่างที่รบกวนใจของเทียนไขอยู่ตลอดเวลา ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน ทุกอิริยาบถที่เขาขยับหรือเขยื้อนจะมีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องอยู่เสมอ ไม่สิ..สองคนเลยทั้งแม็กแล้วก็เปลว  ถึงเขาจะกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่แล้วพยายามคิดว่ามันจะไม่เป็นไรแล้วก็เถอะ แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

       เทียนไขนั่งอยู่ตรงโซฟาได้ไม่นาน เจ้าของบ้านเดินไปเอาเหล้า โซดา น้ำอัดลม และกับแกล้มต่างๆออกมาก่อนจะวางลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา

       “มึงลงมานั่งพื้นดิ กินด้วยกัน” แม็กเอ่ยชวนซึ่งเทียนก็ส่ายหัวไปเป็นคำตอบ

       “หึ ไม่กินๆ”

       “เฮ้ยไรว้า มาๆมากินด้วยกัน มึงจบ ม.6 แล้วนะเว้ยไม่ดีใจหรอ มาฉลองหน่อย”

       “ไม่เป็นไรๆ กูไม่กินเหล้า” เทียนไขปฏิเสธด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร หากแต่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดมันโคตรจะเข้าทางทั้งสองคนนี้

       ใช่…เปลวไม่ได้ชวนเทียนไขมาเพื่อมาเฝ้าเขากินเหล้า



       “มานี่มาเทียน” ไอ้เปลวตบพื้นที่ว่างปุๆ “ถึงไม่กินก็มานั่งด้วยกัน นั่งบนนั้นมึงจะไปสนุกไรวะ”

       “…” ความกลัวเริ่มเกาะกุมภายในจิตใจของเทียนไข เขาไขว้มือไปด้านหลังเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่ามันกำลังสั่นเครือ เทียนไขก็ยังเป็นเทียนไขอยู่ดี เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่พ่อเคยทำกับแม่

       “ชนแก้ว!” ทุกคนในวงนั้นยกแก้วขึ้นมาชนอย่างมีความสุข ผิดกับคนไม่กินเหล้าที่ได้แต่นั่งก้มหน้ามองแก้วเปล่าตรงหน้า

       “เนี่ย ก็มึงเป็นแบบเนี้ย มันมานั่งแล้วก็แทนที่จะเทให้มัน” แม็กพูดขึ้นก่อนจะหยิบแก้วเปล่าตรงหน้าเขาไปผสมเหล้ากับน้ำอัดลมให้แล้วยื่นมาให้เขาในระดับที่ใกล้จนควรจะเรียกว่าจ่อปาก

       “ลองดู ไม่เมาหรอก” เทียนไขพยายามส่ายหัวปฏิเสธแต่จนแล้วจนรอดก็ต้องพ่ายแพ้กับสายตากดดันของอีกฝ่ายที่มองมา ..ไม่เว้นแต่เปลว

       ของเหลวหวานปนขมที่เขาไม่เคยลิ้มลองเลยซักครั้งในชีวิตกำลังถูกป้อนเข้าปาก เทียนหลับตาปี๋ คิดในใจว่าคงไม่เป็นไรหรอก ก่อนจะกลืนมวลน้ำแอลกอฮอล์นั้นลงไป

       “เนี่ยเห็นมั้ย ไม่ได้ยากเลย เอาอีกเปล่าเดี๋ยวเทให้”

        “ไม่..” เทียนไขบอกปฏิเสธ

        “เหอะน่า” แต่เขาก็ต้องฝืนดื่มมันลงไปเป็นแก้วที่สอง สัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แตะของพวกนี้สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

       เขากำลังถูกหลอกให้ดื่ม ..แก้วที่สี่ผ่านไป ..แก้วที่ห้าผ่านไป แม็กลดปริมาณน้ำอัดลมลงเรื่อยๆแต่เพิ่มเหล้าเข้าไปมากขึ้น สตงสติที่ว่าจะคงไว้ก็เริ่มจะล้มเหลวไม่เหลือเค้า

       “รู้สึกยังไง?” ใครซักคนเอ่ยถามเขา ถึงแม้พยายามเพ่งอยู่นานแต่ก็ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นใคร ความปวดหัวตุบๆเกิดขึ้น รู้สึกอย่างเดียวคืออยากนอน

       “กูว่ามึงคงง่วงละ งั้นขึ้นไปบนห้องดีกว่า”  หนึ่งในนั้นพูดขึ้น ก่อนจะลุกมาพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นเดินขึ้นไปบนห้อง ภาพตรงหน้าสลัวเบลอ หนังตามันหนักจนเทียนไม่อยากจะฝืนลืมตาต่อ

       “ก..กูไปก่อนนะ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมา ก่อนจะพยายามแทรกหลีกออกไป แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อถูกเจ้าของบ้านห้ามไว้ด้วยแขนแกร่ง

       “มึงไม่ต้องไปไหนหรอก” มันแค่นยิ้มพาเทียนไขไปที่เตียง แล้ววางลงให้นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์..

       “มาทำด้วยกัน มึงชอบไม่ใช่หรอ…ที่มึงเล่าให้กูฟัง?”





























       เวลาผ่านไปเชื่องช้าราวกับถูกหยุด ร่างเล็กที่อยู่ใต้อาณัติคนตัวใหญ่กว่าทำได้แค่พยายามกอบโกยออกซิเจนเข้าไปหายใจ แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อตัวเองกำลังถูกรุกล้ำทางร่างกายอย่างไม่มีทางสู้

       น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอย่างไม่ขาดสาย เสียงอู้อี้ในลำคอที่เอ่ยร้องขอให้ปล่อยกันไป แต่ก็ไม่มีความสงสารใดเกิดขึ้น

 

       “กูชอบว่ะไอ้เปลว เอามันส์สัดๆเลย…อยากเอามึงบ่อยๆจังเทียน” เสียงกระเส่าดังข้างหูเทียนไขกระตุกเอาความหวาดกลัวในจิตใจออกมาทำให้เทียนไขดิ้นเร่าๆอย่างทรมาน

       “ไอ้เปลว มึงจะเอามันปะ มาดิกูเสร็จละ ไปเข้าห้องน้ำแป็ป” คนบนร่างเอ่ยถามเพื่อนรักของเขา เทียนไขภาวนาในใจขอให้หยุดแค่เท่านี้ก็พอแล้ว เขาไม่ไหวแล้ว…

       “….” คนที่เขารักไม่ได้เอ่ยเอื้อนอะไรตอบกลับไป เพียงแต่ค่อยๆเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับค่อยๆถอดเสื้อ และทันทีที่ได้เห็นแบบนั้นในหัวของเทียนไขก็ขาวโพลนไปหมด

       “เปลว…มึง..” เสียงแหบพร่าเอ่ยออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตัวเอง แล้วที่ผ่านมาล่ะ..? ที่บอกว่ารักกัน… ที่บอกว่าจะดูแลกัน..

       “อยู่เงียบๆไปดีกว่าเทียน”

       “เปลวทำไม..ฮือ ทำไมทำแบบนี้ …ทำไม..” เม็ดน้ำตาสีใสของเทียนไขไหลร่วงไม่ขาดสายด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกใครบางคนเหยียบหัวใจ

       “ไม่ต้องร้องนะ.. ก..กูมาช่วยมึง..” คนตัวโตกว่ารวบเขาเข้าไปในอ้อมกอด

        ..ช่วยหรอ? ทำไมถึงกล้าใช้คำนี้ ไม่ใช่เพราะไอ้เหี้ยอย่างมึงหรอที่ทำให้เทียนต้องมาพบเจออะไรแบบนี้

       “ไม่ต้องเสือกช่วยกูหรอก…สาระแน” ถ้อยคำหยาบโลนหลั่งไหลออกมาจากปากหนูน้อยอย่างที่เปลวไม่เคยได้ยินมาก่อน

       “…” ทำเอาเขาได้แต่มองหน้าหนูน้อยด้วยความประหลาดใจ



       “ไม่เอากูด้วยอีกคนล่ะ ..กูจะได้เป็นเอดส์ตายให้สมกับคำที่พวกเหี้ยนั่นเคยล้อกู!!”



       ราวกับถูกเรียวมีดแหลมๆกรีดลงกลางอกก่อนจะเสียดแทงสวนเข้าไปกลางใจ เปลวถึงกับมือสั่นทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เขาปล่อยเทียนไขจากอ้อมแขนก่อนจะยืนนิ่งอยู่แบบนั้น



       “ต้องการแบบนั้นหรอ?” อารมณ์ของเปลวครุกรุ่น เขาก็แค่จะช่วยพาไปล้างตัวล้างคราบพวกนั้นออก มันจำเป็นด้วยหรอที่ต้องประชดกันถึงขนาดนี้ หรือเพราะอยากให้ทำจริงๆ ..ถ้าอยากคนอย่างไอ้เปลวคนนี้มันก็พร้อมจะจัดให้เสมอ

       “ไม่..ออกไปไกลๆตีนกูเลยนะ ออกไป!” เทียนถอยกรูด ส่วนเปลวก็เดินตามประชิดเข้าใกล้เรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วหนูน้อยก็ไม่มีที่ไหนให้หนีไปอีกเมื่อแผ่นหลังบางแนบกับผนังกำแพง

       “ไล่กูหรอ กูคนที่ช่วยชีวิตมึงมาทั้งชีวิตอะนะ?” เปลวแสยะยิ้มที่เต็มไปด้วยโทสะ เขาขยับไปประชิดกับเทียนก่อนจะเชยคางขึ้นมา

       “ทวงบุญคุณ?” เทียนถาม ที่ช่วยกันมานี่เพราะจะเอาไว้มาทวงบุญคืนทีหลังงั้นหรอ “แล้วจะช่วยกูทำไมวะ ปล่อยให้กูตายดิ คิดว่ากูอยากอยู่มากนักหรือไง!!”

       “ยังไงมึงก็ได้ตายแน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นมึงก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกู”

       “…”

       “จริงๆกูไม่ใช่คนที่จะให้เด็กกำพร้าแบบมึงมาตะโกนใส่หน้าแบบนี้นะ”

       ไม่เหลืออีกแล้วแม้ซักเสี้ยวของความรู้สึก..

       “…” หนูน้อยเริ่มเงียบลง และไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก คำว่า ‘เด็กกำพร้า’ มันสะท้านก้องกังวานอยู่ในหัว

       “มึงเก่งนักก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ ออกไปอยู่บ้านโทรมๆของมึง ไป๊!”

       “…” เม็ดน้ำตาโง่ๆที่ไหลออกมาเพราะความเจ็บปวดไหลลงอีกครั้ง เทียนก้มหน้างุดปาดน้ำตาบนใบหน้าออก

       “เงยขึ้นมาดิไอ้สัด เก่งมากอะ!!” เปลวตวาดลั่นใส่หน้าคนตัวเล็กพร้อมกับบีบคางเขาขึ้นมาราวกับอยากให้มันแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ หนูน้อยจ้องใบหน้าคนที่เคยเป็นโชคดีของเขาอีกครั้ง

       คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ขัดขืนอะไรอีก เขาเพียงแค่มองใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าคนๆนี้เหมือนเป็นเทวดาใจดีด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองข้างแก้ม

       “เปลวอยากให้เราไปใช่ไหม..?” คนตัวเล็กกว่าพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อนเต็มที 

       “…” เทียนไขยอมจำนนแล้ว…ทุกสิ่ง

       “ขอโทษที่…เรายังมีชีวิตอยู่”

       “…”

       “เราจะไป”



       

       ..น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาอย่างหนักหน่วงจนต้องยกแขนขึ้นมาปาดออก เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน มันเจ็บทั้งกายและเจ็บแทบจะตายอยู่ตรงนั้นในความรู้สึก

 

       ‘มึงเป็นเพื่อนกู’ คำนี้…มันไม่มีจริง



      ไม่มีอีกแล้ว...คนที่เคยบอกว่าจะไม่ปล่อยให้เขาร้องไห้

       ไม่มีอีกแล้ว…คนที่เคยบอกว่าเป็นห่วงกัน เคยดูแลกันยามที่ใครอีกคนป่วย

       ไม่มีอีกแล้ว …คำว่า ‘เพื่อน’







       กว่าค่ำคืนอันเลวร้ายนี้จะจบลงก็ปาไปจนตีหนึ่ง เทียนไขที่เอาแต่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดทรมานจนหน้าแดงไปหมด เขาพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นไปจากตรงนี้ เทียนไขใช้มือข้างหนึ่งดันกำแพงไว้เพื่อยึดเป็นหลักในการเดิน ..การก้าวขามันยากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

       คนตัวเล็กเปิดประตูห้องน้ำก่อนจะพาตัวเองเข้าไป เขาหมุนเปิดฝักบัวเพราะคิดว่าน้ำจะช่วยชำระล้างความสกปรกออกไปจากร่างกายได้ ..แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ไม่ว่าน้ำจะชโลมลงบนร่างกายยังไงสัมผัสพวกนั้นก็ยังคงชัดเจนอยู่ดี

       เทียนไขจ้องมองสภาพตัวเองในกระจก ภาพเขาที่สะท้อนกลับมานั้นดูทุเรศจนเขาก็ยังนึกสมเพชตัวเอง ร่างกายมีแต่รอยม่วงช้ำเต็มไปหมด ปากก็บวมเป่งมีเลือดซิบ ใบหน้าแดงเถือกยังกับโดนน้ำร้อนลวก ที่เลวร้ายที่สุดก็คงจะเป็นรอยของเหลวสีแดงที่แห้งกรังไปแล้วบนเรียวขาของเขา ..การกระทำอันโหดร้ายเมื่อก่อนหน้านี้นั้นมันหนักหนาเกินกว่าที่เทียนไขจะรับได้ กล้ามเนื้อตรงส่วนนั้นของเขาปริฉีก ความเจ็บแสบจากแผลนั้นทรมานจนเขาแทบจะยืนไม่ไหว

       เทียนไขปล่อยให้น้ำเย็นๆไหลชำระล้างร่างกาย เขาพยายามเอานิ้วถูร่องรอยทุเรศนั่นแรงๆเพื่อลบมันออก หลอกตัวเองไปว่ามันลบออกได้แล้วก็ถูไปแบบนั้นถึงจะเจ็บแสบแต่ก็ไม่อยากมีรอยนี้อยู่บนตัว

       ‘มึงไม่ได้ร้องไห้ ที่เห็นนี่มันเป็นหยดน้ำเฉยๆ มึงเข้มแข็ง...มึงไม่ได้อ่อนแอเลยเทียน’ เขาพยายามหลอกตัวเองทั้งๆที่น้ำตากำลังไหลอาบสองแก้ม ก่อนจะใช้มือถูรอยทุเรศนั่นอีกครั้งแต่เพิ่มแรงให้มากกว่าเดิมจนสุดท้ายแล้วเลือดก็เริ่มซิบออกมาแต่รอยนั่นก็ยังไม่จางหายไป

       เทียนไขร้องไห้อยู่อย่างนั้น เขาทุบกำปั้นลงกับกำแพงห้องน้ำซ้ำๆ ก่อนจะเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างทุกข์ทรมาน…เขากรีดร้องจนสุดเสียง



       ‘เทียน…เราลองมาคบกันดูดีมั้ย?’

       ‘…’

       ‘กูอยากดูแลมึงอย่างจริงจัง กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงอีกแล้ว’

       ‘เรา..’

       ‘เป็นแฟนกูนะ’

       ‘…’

       ‘กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงไปไหน’




       …เป็นเสียงที่กลั่นออกมาจากขั้วหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี





       

       





       



       





 



       



       



       



       



       

       









       

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2019 17:48:25 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
05
เปลวเผาเทียน




       “เปลว จำวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย” เทียนไขในชุดนักเรียนสีขาวสะอาดเดินเข้ามาถามเขา

       “จำได้สิ วันนั้นกูหลงกูเลยเข้าไปทักมึง”

       “ฮ่าๆ นั่นแหละ ตอนนั้นมันดีมากเลยเนอะ ..ดีมากเลยที่เราได้รู้จักกัน” เด็กในชุดนักเรียนยิ้มตอบอย่างเปรมปรี แต่ว่า..มันไม่แปลกไปหน่อยหรอที่จู่ๆมาพูดอะไรกันแบบนี้

       “ทำไมพูดแปลกๆ นึกซึ้งอะไรของมึง”

       “เปลว.. มีความสุขรึเปล่า?” รอยยิ้มที่ฉายแววเมื่อครู่เริ่มหม่นหมองลง เช่นเดียวกับชุดนักเรียนสีสว่างที่ค่อยๆทึบทะมึนก่อนจะจางหายไปเผยให้เห็นผิวพรรณขาวเนียนข้างใน



       “...”

       “เรา..มีความสุขมากๆเลย เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุด”เทียนก้มหน้าลง ทว่าทันใดนั้นร่างกายเจ้าของผิวพรรณละเอียดเนียนก็เริ่มปรากฎร่องรอยฟกช้ำตามตัว ยอดอกม่วงคล้ำ ซ้ำร้ายซอกคอกับไหปลาร้าที่มีร่องรอยเช่นเดียวกันหากแต่มันแดงก่ำและมีเลือดไหลซึมออกมา

       “เออ กูมีความสุขเหมือนกัน” เปลวนึกสงสัยกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขาพยายามคิด คิดแล้วคิดอีกแต่ก็คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ‘เพื่อน’ ที่เขารัก

       “แต่ว่า.. ขณะเดียวกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่ทรมานราวกับเราตายทั้งเป็น” คนตรงหน้าเงยใบหน้าขึ้นมา ก่อนจะทำให้เปลวต้องผงะเพราะสภาพใบหน้าที่เขาเห็น..

       ริมฝีปากที่เคยระเรื่อตอนนี้บวมเป่ง ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยฉายแววแห่งความสุขข้างหนึ่งปิดสนิท ส่วนอีกข้างก็ปูดบวมดูน่ากลัว พวงแก้มที่เคยมีเลือดฝาดตอนนี้ไม่ใช่แค่เลือดฝาดอีกต่อไป แต่เป็นเลือดสีสดจริงๆ

       “...” เปลวพูดอะไรไม่ออก อะไรบางอย่างจุกขึ้นมาที่คอจนเขาเปล่งเสียงออกไปไม่ได้ คนตรงหน้าเห็นดังนั้นจึงค่อยๆคลี่ริมฝีปากบวมเป่งนั้นยิ้มออกมาบางๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาพาดผ่านข้างแก้ม ก่อนจะเอ่ยคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

       “เรา..มาลา”















       “เทียน!” เสียงทุ้มนุ่มตะโกนลั่นอย่างสั่นกลัวจากฝันร้ายที่พึ่งจบไป สิ่งที่เห็นตัดภาพจากสภาพน่ากลัวของเด็กคนนั้นมาเป็นความมืดสลัวๆภายในบ้านสีครีมยามใกล้รุ่ง เขาใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปรอบๆ

       “ฝันหรอวะ..” เขาถามกับตัวเอง สิ่งที่ดวงตาสีนิลของเขาเห็นมีเพียงซากคนที่เมามายอย่างไอ้แม็กกำลังหลับไหลอยู่ไม่เป็นทาง ซึ่งก็ดูปกติดีทุกอย่าง

       “..เทียน..?” แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือ...ไม่มีเพื่อนรักของเขาอยู่



       ใจที่แข็งแกร่งเข้มแข็งไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดกำลังสั่นกลัว บางอย่างที่เขารับรู้ได้ในสัญชาตญาณกำลังกระซิบข่าวร้ายให้เขายอมรับความจริง

       ‘เทียนไขตายจากมึงแล้ว’



       นั่นคือสิ่งที่สัญชาตญานกำลังพร่ำบอกเขา เปลวรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันระยำแค่ไหน กับการหลอกเทียนไขมาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ให้เพื่อนของเขา

       หนึ่งความคิดโง่ๆในหัวเลยก็คือ ‘ไอ้เทียนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพรามันไม่มีพ่อมีแม่ให้มาเอาเรื่องได้’ เพราะงั้นการลิ้มลองรสชาติใหม่ๆของเปลวจากคำรบเร้าท้าทายของเพื่อนจึงได้เริ่มขึ้น
       หมดสิ้นแล้วความรู้สึกนึกคิดและจิตใต้สำนึกที่ควรมี พวกเขากระทำต่อเทียนไขอย่างทารุณพลางเผยอหน้าขึ้นเหยเกไปด้วยความสุข หากแต่แลกมาด้วยความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสของเทียนไข



       ‘อย่า หยุดเถอะนะ.. พอแล้ว ฮือ ขอร้อง.. ไม่ไหวแล้ว’



       เสียงเว้าวอนอันไร้ความหมาย ถึงแม้จะประสานมือขึ้นมาบนอกเป็นทรงดอกบัวตูม หรือจะยกดอกบัวตูมนั้นขึ้นเหนือหัวแล้วก็ตาม



       ‘เปลว.. ช่วยด้วย’

 

       ความหวังสุดท้ายที่มีอยู่คือคนสำคัญคนสุดท้ายในชีวิตเขา และสิ่งที่ตอบแทนความหวังนั้นก็คือควันบุหรี่สีขาวที่พวยพุ่งออกจากปากกับสีหน้าอันเฉยชาไร้ความรู้สึก

       และ…ไร้ความเมตตา ที่แม้แต่..ความเมตตาอันควรมีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

       ฟ้องพ่อแม่หรอ…ไอ้เทียนไม่มีพ่อแม่ให้ฟ้องแล้วซักหน่อย

       ฟ้องครูอาจารย์หรอ…ไอ้เทียนไม่ใช่คนที่กล้าเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังขนาดนั้น

       ไประบายกับเพื่อนหรอ…ไอ้เทียนคนนี้ไม่มีทางเล่าให้เพื่อนคนไหนฟังอีกเหมือนกัน เพราะมันไม่ไว้ใจใคร

       ชีวิตเทียนมีเหลืออยู่แค่คนเดียวที่มันรัก ที่มันไว้ใจและเชื่อใจ เป็นคนสำคัญคนสุดท้ายเพียงคนเดียวในชีวิตของมัน

       และเปลวก็คือคนๆนั้น ขณะเดียวกันเปลวก็เป็นคนทำลายความไว้ใจความเชื่อใจและความรักที่ไอ้เทียนให้จนหมดสิ้น



       “เทียน..อยู่ไหน ได้ยินแล้วตอบกู” เปลวเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงดุดัน เขารู้ดีว่าเทียนไขกลัวน้ำเสียงนี้ และทุกครั้งที่เรียกเทียนไขก็จะออกมา มันง่ายเหลือเกิน ง่ายกว่าเรียกสุนัขซะอีก

       “ไอ้เทียน!” หากแต่ไม่ใช่กับครั้งนี้

       น้ำเสียงดุดันที่เปล่งออกไปมีเพียงความว่างเปล่าอันเงียบสงัดที่ตอบกลับมา



       “มีอะไรวะ” เจ้าของบ้านงัวเงียตื่นขึ้นมาเนือยๆ “เรียกมันทำไมนักหนา..?”

       ‘มัน’ สรรพนามที่ใช้เรียกสรรพสัตว์หรือสิ่งของแต่คนพวกนี้กลับใช้แทนตัวเทียนไข

       “มันหายไปไหนไม่รู้” เปลวตอบ

       “จะไปไหนได้วะ สภาพนั้น”

       “กูก็คิดเหมือนมึง แต่ว่า..ไม่มีเลย มันไม่ได้อยู่นี่แล้ว” ไม่รู้ว่าคนเจ็บเจียนตายสภาพนั้นจะไปที่ไหน แต่เชื่อเถอะว่า ‘มัน’ ไม่มีทางไปได้ไกล อย่างน้อยเลยก็ไม่มีทางไปได้ไกลจากเปลว

       “โว๊ะ! ไอ้เหี้ย! น่ารำคาญแต่เช้าเลย” แม็กสบถเสียงดังลั่น

       “ไปหาหน่อยปะ? เดี๋ยวมันจะตายเอา” 

       “ไอ้เชี่ยก็ปล่อยแม่งตายๆไปดิ”

       “ไอ้เชี่ยแม็ก นั่นชีวิตคนนะเว้ย” เปลวพูดออกไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะพูดคำว่า ‘ปล่อยให้แม่งตายๆไป’ ได้อย่างหน้าตาเฉย

       “แล้วไง?”

       “งั้นไม่เป็นไร…มึงก็นอนๆไปเถอะ นอนรอหมายจับข้อหากระทำชำเรา ไม่ก็…ฆาตรกร” เปลวไหวไหล่พูดออกไปอย่างไม่สนสี่สนแปดก่อนจะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วเดินไปดูรอบๆเพื่อหาร่องรอยของเทียนไข

       “ไอ้เหี้ยเปลวแม่งปากดีว่ะ” แม็กสบถลั่นหวังให้เจ้าตัวได้ยิน ก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาช่วยหาอีกแรง



       “มึงว่าคนอย่างมันจะไปไหนวะ?” เปลวเอ่ยถาม ในหัวเขามืดแปดด้านไปหมด

       “สภาพงั้นจะไปไหนได้วะถามจริง เดินยังจะไม่ไหวเลยเถอะ มันอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละมึงเชื่อดิ หาตามต้นไม้พุ่มไม้อะเผื่อมันจะแอบ” แม็กตอบ

       “กูหาหมดละ กูคิดว่ามันจะสลบอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่มี”

       “ถังขยะเปล่า?” ไม่พูดเปล่า …ไอ้แม็กเตะถังขยะหน้าบ้านประกอบด้วย สิ่งโสมมในถังขยะนี่แหละเหมาะสมกับไอ้เทียน

       “ไปตายไอ้เหี้ย!” …ทว่าเปลวกลับไม่ได้รู้สึกตลกไปกับมัน เสี้ยวเล็กๆในใจของเขาบอกเขาว่ามันแรงเกินไป เทียนไขก็เป็นคนๆนึงเหมือนกัน ไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลา ไม่ใช่เศษขยะให้เขามาเหยียดหยามกันถึงขนาดนี้



       “กูว่ามันไม่ได้อยู่นี่ว่ะ” เปลวพูด จริงๆถ้ามีสมองก็จะดูออกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะโง่มาแอบอยู่ในหมู่บ้านถ้ามีโอกาสได้ออกไป

       “แล้วมันจะไปอยู่ไหนวะ..” เจ้าของบ้านเริ่มเป็นกังวล

       “เดี๋ยวกูไปดูเอง กูคิดว่ามันน่าจะกลับบ้าน ไอ้แม็กกูยืมรถหน่อยนะ” เปลวตอบก่อนจะถือวิสาสะเดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอไซค์ของบ้านนี้แล้วก็ขับออกไป







       ใช้เวลาชั่วขณะรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวจึงมาหยุดอยู่ที่บ้านเดี่ยวหลังใหญ่สีขาวซึ่งก็คือบ้านของเขานั่นเอง

       ‘…ถ้าไอ้เทียนมันไม่ได้กลับมานี่ มันก็ไม่มีที่ไหนให้มันไปแล้ว’ เปลวคิดแบบนั้น

       “อ้าวลูก ไปไหนมาเมื่อวานทำไมกลับซะเช้าเลย” ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อของเขาเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าลูกรักครั้งแรกในรอบวันขณะกำลังจิบกาแฟอยู่ที่โซฟา

       “พ่อ อย่าพึ่งถามได้มั้ย” ทว่าคนเป็นลูกกลับตอบไปด้วยความหงุดหงิดใจ

       “เออๆ แล้วนี่เทียนล่ะ? ไม่ได้ไปด้วยกันหรอ”

       “…” สองเท้าของชายหนุ่มสะดุดกึกทันที “ไอ้เทียน..ไม่ได้กลับมาบ้านหรอพ่อ?”

       “อ่าว ก็ใช่น่ะสิ นี่ไม่เห็นหน้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

       “…”

       “มีอะไรรึเปล่า?” พ่อวางกาแฟในมือลงก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับท่าทางเลิ่กลั่กของลูกชายแล้วถามไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนเป็นลูกเมื่อเห็นดังนั้นความขลาดเขลาในใจก็กัดกินตัวเขาจนเหงื่อกาฬเริ่มซึมออกตามฝ่ามือ เขาทำได้แค่กำมือแน่นแล้วก็ส่ายหัวปฏิเสธไป

       “ม…ไม่มีครับ” เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือ เปลวตัดสินใจเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง พยายามข่มใจตัวเองไม่ให้หวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังเกิด



       “จะไปไหนได้วะ..” เขาบ่นกับตัวเอง ก็ในเมื่อบ้านก็ไม่ได้กลับ ตามทางที่ขับรถผ่านมาก็ไม่เห็นร่องรอยเลย แล้วไอ้เทียนจะไปไหนได้?

       เปลวก้าวขาคร่อมเบาะก่อนจะสตาร์ทแล้วขับออกไป จมจ่อมอยู่แต่กับเรื่องของเทียนไข

       ..ใจหนึ่งก็คิดว่าช่างแม่งไปก็ได้เดี๋ยวมันก็กลับมาเอง แต่อีกใจหนึ่งกลับหวาดหวั่นจนเขาลนลานแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่

     

       ‘เปลว จำวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย’

       ‘จำได้สิ วันนั้นกูหลงกูเลยเข้าไปทักมึง’

       ‘ฮ่าๆ นั่นแหละ ตอนนั้นมันดีมากเลยเนอะ ..ดีมากเลยที่เราได้รู้จักกัน’




       ‘เฮ้ย มึงอะ’

        ‘…’

        ‘หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง’

        ‘…’

        ‘เอ้า รอกูก่อน’

        ‘…’

        ‘เฮ้อ เหนื่อยเลย..’

        ‘มีอะไรรึเปล่า..’

        ‘พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..’

        ‘…’

        ‘ได้มั้ย..?’

        ‘เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน’

        ‘อ่าว… ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย’

       

       ‘มึงอยู่ห้องไร’

       ‘…ห้องสอง’

       ‘เฮ้ยเหมือนกันเลย กูก็อยู่ห้องสอง’





        ‘มึงจะลุกไปไหน’

        ‘กูขอแลกที่กับมันเองแหละ เห็นมันนั่งเงียบไม่พูดไม่จามาตั้งนาน’

        ‘เฮ้ยอะไร อันนี้ที่ของมันเว้ย อย่ามาแย่งดิ ที่เพื่อนกู’





        ‘พ่อกูโทรมาละ สงสัยคงใกล้จะถึงแล้ว’

        ‘…’

        ‘..ไม่อยากกลับเลยจริงๆว่ะ’

        ‘…’

        ‘ไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว’





         ‘อยากรู้หรอ’

         ‘อยากสิ’

         ‘ไม่บอก’

         ‘เอ้า..’

         ‘ฮ่าๆ ตลกหน้ามึงว่ะ’

         ‘ทำไมขำอะ เราจริงจังนะเว้ยเปลว’

         ‘อ่าว..กูขอโทษ..’

         ‘เราล้อเล่น’

         ‘…’

         ‘ฮ่าๆ ตลกหน้าเปลวจัง’





       ‘เปลว.. มีความสุขรึเปล่า?’

       ‘...’

       ‘เรา..มีความสุขมากๆเลย เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุด’

       ‘เออ กูก็มีความสุขเหมือนกัน’






        ‘มึงกากเองเปล่าเปลว’

        ‘เนี่ยดูดิ ไม่เคยจะให้กำลังใจกูอะเทียน เดี๋ยวนี้น้า อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปหมดแหละ ใช่สิ้กูมันไม่สำคัญแล้วไง’

        ‘สู้ๆน้า อะให้กำลังใจละ’

        ‘มึงเฟคมากสัด’





       ‘เทียนถ่ายรูปกับกูหน่อยดิ’

       ‘…’

       ‘เอาแบบหลุดๆ’

       ‘งี้ต้องแก้ผ้าปะหรือยังไง’

       ‘ทำไมเป็นคนแบบนี้วะเทียน แก้ดิมา’

       ‘โห่เพื่อน กูล้อเล่น555’

       ‘ป๊อดไอ้ควาย55555’





       ‘เชี่ย มึงโคตรเมียเลยอะเปลว’

       ‘กูเมียแล้วไง เมียคนนี้เอาผัวได้นะบอกก่อน’

       ‘ถุ้ยถุ้ยถุ้ย’







       “…” ภาพในฝันซ้อนทับมาในหัว สภาพเทียนไขที่บอบช้ำจนเขาต้องผงะเมื่อเห็นปรากฎขึ้นอีกครั้งในหัว



       ‘แต่ว่า… ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่เราทรมานราวกับตายทั้งเป็น’











       ‘เรา…มาลา’
















       “เฮ้ย ไอ้เหี้ย!!!!!!!” ..หากแต่ว่า บางทีอาจจะไม่ใช่เทียนไขที่เป็นคนจากไป



       โครมมม!!!!!























       “แม่..ฮือ แม่จ๋า” เด็กหนุ่มเอ่ยร้องหาผู้เป็นแม่ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม

       สองแขนที่สั่นเทาของเขากอดตัวเองแน่นเพื่อบรรเทาความหวาดกลัวภายในจิตใจ

       เด็กหนุ่มนอนขดคู้กอดตัวเองอยู่แบบนั้นท่ามกลางบ้านโทรมๆหลังเดิมที่เคยมีกลิ่นอายของความอบอุ่น

       หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนสิ่งที่เทียนไขเลือกทำโดยไม่ลังเลเลยมีอยู่สิ่งเดียว



       ‘หนี’

       เขาวิ่งหนีออกมาจากนรกด้วยสองขาที่แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ..หลายครั้งที่ความปวดร้าวและเหนื่อยเพลียบอกเขาว่าให้หยุดพัก แต่จิตใจกลับไม่ยอมรับฟัง

       สองขาของเทียนไขยังคงวิ่งต่อไปท่ามกลางความมืด ปล่อยให้น้ำตาไหลลงตามแรงโน้มถ่วงโลกโดยไม่คิดจะปาดหรือซับออก รู้อยู่อย่างเดียวว่าต้องไปให้พ้นๆจากที่นี่

       ...ไปให้พ้นจากเปลว





       “แม่..เทียนคิดถึงแม่จังเลย..” เสียงที่เคยหวานหูน่าฟังตอนนี้แหบพร่าจนแทบจะไม่มีเสียงใดๆเปล่งออกมานอกจากลม

       “..แม่ เทียนเจ็บ.. แม่ลูบหัวเทียนหน่อยได้มั้ยครับ” เด็กหนุ่มคลายอ้อมกอดจากแขนตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือข้างนึงขึ้นมาจับบนกลุ่มผมแล้วลูบเบาๆ “แบบที่แม่เคยทำ …แบบนี้”

       ..ท้ายที่สุดแล้วเทียนไขก็ยังคงเป็นเด็กน้อยคนนึงอยู่ดังเดิม ..เป็นเด็กน้อยผู้ที่โชคชะตาไม่เคยให้ความสนใจใยดี ..เป็นเด็กน้อยผู้ที่เกลียดความรุนแรงแต่กลับถูกกระทำด้วยความรุนแรงมาตั้งแต่จำความได้ ..เป็นเด็กน้อยที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง มีเพื่อนแท้เพียงคนเดียวที่เคียงคู่เขามาตลอดก็คือ ‘ความเจ็บปวด’

       “ไม่เป็นไรนะเทียน.. ไม่เป็นไร” น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลอาบสองข้างแก้มของเทียนไขไม่หยุด ร่างกายของเขาสั่นเทาราวกับลูกนก

       “แม่จ๋า.. ถ้าเทียนไปหาแม่ ..แม่จะโกรธเทียนมั้ย..” เด็กน้อยชันตัวลุกขึ้นนั่งกอดเข่า ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองความว่างเปล่าที่พื้นด้วยสายตาเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัส

       “เทียน..ไม่อยากอยู่แล้ว”

       “…”

       “แม่..ไม่โกรธเทียนใช่มั้ย..”

       เทียนไขใช้แขนยันตัวเองลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินโซซัดโซเซตรงไปที่ทางเดินสะพานปูนข้างหน้าบ้าน

       ..สิ่งที่อยู่ถัดจากสะพานปูนคือคลองสีทะมึนที่เด็กน้อยรู้จักมันเป็นอย่างดี รู้ซึ้งถึงรสชาติของมันแล้วด้วย และครั้งนี้ก็จะเป็นอีกครั้งที่เขาจะทิ้งตัวลงบนผืนน้ำนี้

       เทียนไขนั่งลงก่อนจะหย่อนขาข้างนึงลงไปจากสะพานปูน และตามด้วยขาอีกข้าง

       “ไอ้เทียน..จะทำอะไร!” แต่ทันใดนั้นเสียงอันคุ้นหูของผู้หญิงวัยกลางคนบ้านข้างๆก็ดังลั่นเข้ามาในหู หากถ้าเทียนไขปกติดีเหมือนคนอื่นก็คงจะหันกลับไปตามเสียงเรียก แต่ทว่าเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ไม่อาจปกติได้อีกต่อไปแล้ว

       “อย่า.. ไม่เอาแล้ว พอแล้ว อย่าเข้ามา.. ฮือ พอแล้ว.. เทียนขอร้อง ฮือ..แม่ เทียนกลัว ..เทียนเจ็บ ฮือ..เจ็บ ไม่ไหวแล้ว” เด็กน้อยยกมือขึ้นมาปกป้องตัวเอง เขาปัดเป่าผลักไสไล่อากาศมั่วซั่วพลางขยับถอยหนีออกไปโดยไม่ห่วงว่าเนื้อตัวจะถูครูดกับพื้นปูนพื้นคอนกรีตเลยแม้แต่น้อย สองมือเล็กยกขึ้นพนมระดับอกพร้อมกับส่งเสียงเว้าวอนไปด้วยความหวาดระแวง

       “…” ผู้เป็นน้ามองดูภาพที่เห็นด้วยความประหลาดใจ ทว่าเมื่อได้ขยับเข้าไปใกล้ๆตัวของหลาน อะไรหลายๆอย่างที่เคยสลัวเบลอก็ชัดเจนขึ้นจนเธอต้องตกใจ

       “เทียน..นี่หนูไปโดนอะไรมา..” เธอใช้มือข้างนึงจับดูตามเนื้อตามตัวที่มีแต่รอยฟกช้ำประหลาดที่ดูแล้วก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่รอยที่เกิดจากการชกต่อย 

       “ฮือ.. ยอมแล้ว อย่าทำอะไรเทียนเลย..” ไหนจะเสียงครวญครางแหบพร่านี่อีก..

       “พ่อ!! มาดูไอ้เทียนมันหน่อย พามันไปโรงพยาบาลหน่อย!!” เธอตะโกนลั่นเรียกสามี พร้อมกันนั้นก็พยายามสังเกตร่องรอยต่างๆอีกครั้งซ้ำๆ เพราะในใจเธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับหลานของเธอแล้วจริงๆ

       “หนูลูก.. นี่น้าเองนะ น้าไม่ทำร้ายเทียนหรอกนะ” หากแต่เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร ซ้ำยังรู้สึกสงสารเด็กคนนี้ซะจนจับใจ น้ำตาแห่งความรักความห่วงใยของผู้เป็นน้ารื้นเอ่อขึ้นรอบดวงตาอย่างห้ามไม่ได้

       “ไม่เป็นไรนะเทียนนะ.. ไม่ต้องกลัว น้าหยวนไม่ทำร้ายเทียนหรอกนะ” ก่อนจะใช้สองแขนของเธอโอบกอดหลานรักเพื่อปลอบประโลมความหวาดกลัวภายในจิตใจ



       ..จริงๆแล้วผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เทียนไขเคยคิดไปซะทีเดียว ถูกต้องที่เธออาจจะติดการพนัน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญเลยคือเธอไม่เคยเห็นหลานของเธอเป็นหลานปลายตีนแต่อย่างใด น้าหยวนออกจะรักเทียนไขเสียด้วยซ้ำ

       ครั้งหนึ่งที่เทียนไขเคยมาขอข้าว ตอนนั้นเธอไม่มีเหลือเลยจริงๆ ตัวเธอเองข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินไม่ต่างกัน พอตกเย็นพอจะมีข้าวมีน้ำมาก็เอาไปให้บ้านข้างๆหวังจะเป็นอาหารให้เด็กน้อย แต่เขาก็ไม่เคยนึกห่วงปากท้องตัวเองเลย ข้าวปลาที่น้าเอามาให้ก็เอามาให้แม่หมดถึงแม้ตัวเองต้องอดอยากปากแห้งอยู่เป็นวัน

       ‘อ่ะ เงินนี้น้าให้ ตั้งใจเรียนนะลูกนะ’ เงินนี้เธอก็ให้จากใจจริง มันไม่ใช่เงินที่เธอขโมยมาจากไหนเลยหากแต่เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงของสามีที่ทำงานบากบั่นเพื่อให้ได้มันมา และเธอก็ให้เด็กน้อยเอาไปซื้อข้าวซื้อน้ำที่โรงเรียนด้วยความรักที่น้ามีให้ต่อหลาน

       เพียงแต่..เด็กน้อยอาจจะไม่เคยมองในจุดนี้ ก็เท่านั้น





        หลังจากนั้นไม่นานเด็กน้อยก็ถูกพาไปส่งที่โรงพยาบาล

       หลายฝ่ายวุ่นวายในทันทีเมื่อได้เห็นร่างที่มีแต่ร่อยรอยฟกช้ำอยู่ทั่วร่าง และรอยเลือดที่แห้งกรังไปแล้วบริเวณหว่างขาของเทียนไข

       บรรยากาศภายในห้องแห่งชีวิตขณะทำการรักษาเด็กน้อยค่อนข้างวุ่นวาย หมอและพยาบาลเดินเข้าออกกันขวักไขว่เพื่อนำตัวยา และอุปกรณ์อื่นๆมาดำเนินการรักษา

       แต่ทว่าจวบจนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าแล้ว การรักษาก็ยังไม่เสร็จสิ้น ...เด็กน้อยถูกฉายรังสีเพื่อพิจารณาหาความบอบช้ำส่วนอื่นๆ ถูกเจาะเอาของเหลวสีแดงไป และถูกให้ยานอนหลับ

       แต่นั่น….ก็คงยังไม่สำคัญเท่าผลตรวจที่ออกมาในไม่กี่วันถัดมา



       “เรียนเชิญญาติคุณเทียนไขค่ะ” พยาบาลสาวกล่าวประชาสัมพันธ์ด้วยน้ำเสียงสดใสของเธอ วันนี้น้าหยวนถูกนัดให้มาพบคุณหมอ อย่างแรกเลยก็เพื่อมาฟังผลการตรวจวินิจฉัยของหลานตัวเองในฐานะญาติของผู้ป่วย และอย่างที่สองคือ…ตัดสินใจเพื่อให้เทียนไขได้เข้ารับการรักษาระยะยาว

       “ญาติคุณเทียนไขใช่มั้ยครับ หมอขอเรียนแจ้งญาติก่อนจะเรียกคุณเทียนไขมารับฟังพร้อมกันนะครับ” คุณหมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังกับน้าหยวน แต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าน้ำเสียงน่าฟังนั้น สิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้มันไม่ได้น่าฟังเหมือนน้ำเสียงเลย

       “ค่ะ” น้าหยวนสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจรับฟังสิ่งที่หมอกำลังจะบอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย เธอก็ยินดีรับฟัง และถ้าเกิดเป็นข่าวร้ายจริงๆ…เธอก็ยินดีที่จะอยู่ดูแลหลานรักของเธอเคียงข้างกันตลอดไป

       “สำหรับผลตรวจเลือด HIV-Antibody นะครับ ตรงส่วนนี้คุณเทียนไขค่อนข้างโชคดีที่ยังไม่มีเชื้อ”

       “…” เธอคลี่ยิ้มออกมา ก็ยังดีหน่อยที่โชคชะตายังคงเมตตาหลานของเธออยู่บ้าง สบายใจไปได้เปราะนึงสำหรับเรื่องนี้ 

       “แต่ว่า...โรคซึมเศร้าที่เขาพึ่งจะหายขาดได้ไม่นาน ตอนนี้..คุณเทียนไข กลับมาเป็นอีกแล้วครับ”

       “…” ยิ้มเมื่อครู่ก็ต้องหุบลง ความสงสัย ความประหลาดใจ และความงงงวยเกิดขึ้นในหัว

       “ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาเท่าที่หมอสังเกตดูอาการของเขาแล้ว หมอรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้าแล้วก็ได้ เพราะอาการของเขามันรุนแรงกว่านั้น หมอสงสัยว่าเทียนไขอาจจะกำลังเป็น ‘โรคจิตเภทหวาดระแวง (Paranoid Schizophrenia)’ ซึ่งต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยด่วน..”

       “เดี๋ยว.. เดี๋ยวนะคะ”

       “ครับ?”

       “ดิฉันไม่ยักกะรู้ว่าเทียนไขเคยเป็นโรคซึมเศร้า” 

       “ตามประวัติการรักษาของคุณเทียนไขมีระบุเอาไว้ว่าเทียนไขมีภาวะสารเคมีในสมองไม่สมดุลมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2019 13:21:42 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       “…” จู่ๆก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ แล้ว..ที่ผ่านมา หลานรักของเธอนอกจากต้องต่อสู้กับปัญหาครอบครัว คำนินทาครหา คำด่าและคำเหยียดหยามแล้ว ยังต้องต่อสู้กับตัวเองอีกหรอ..

       “ง่ายๆเลยก็คือคุณเทียนไขมีภาวะซึมเศร้ามาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ทีนี้เนี่ย..ภาวะนี้จะไม่รุนแรง เทียนไขสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปกติถ้าไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น”

       “…”

       “และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อวันก่อนมันก็กระตุ้นภาวะนี้อย่างรุนแรง เพราะงั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้หมออยากให้ญาติดูแลคุณเทียนไขอย่างใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านก็อย่าปล่อยให้เขาคลาดสายตาโดยเด็ดขาด พยายามทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวให้ได้นะครับ คงความรู้สึกนี้ของเขาให้ได้ตลอด”

       “…” น้าหยวนพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่ารับปาก

       “ส่วนเรื่องความเรื่องคดี ตรงนี้หมอขอแนะนำว่าถ้าญาติประสงค์จะดำเนินคดี หมออยากให้เลื่อนไปก่อน เพราะยังไงแล้วคุณเทียนไขก็ยังไม่อยู่ในจุดที่สามารถพูดเรื่องแบบนั้นออกไปได้ง่ายๆ และถ้าให้เขาฝืนก็ยังเป็นอันตรายกับเขาอีกด้วย”

       “เรื่องคดี..ดิฉันตามใจหลานอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ว่าคุณหมอคะ..”

       “ครับ?”

       “ที่ว่าเทียนมันเคยเป็นโรคนี้แต่หายแล้วเนี่ย ตอนไหนหรอคะ..?”

       “เทียนไขเข้ารับการรักษาตั้งแต่ธันวาเมื่อสองปีก่อนแล้วครับ พึ่งหายขาดเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว” นั่นมันช่วงที่..เทียนย้ายออกไปแล้วใช่รึเปล่า..?

       “หมอบอกว่า..ต้องถูกอะไรซักอย่างกระตุ้น งั้นแสดงว่าครั้งที่แล้วก็มีอะไรซักอย่างกระตุ้นเขางั้นใช่มั้ยคะ?”

       “อาจจะใช่ครับ ครั้งก่อนหมอไม่ใช่หมอเจ้าของไข้ของคุณเทียนไข เดี๋ยวหมอขอดูในประวัติการรักษาซักครู่นะครับ”

      “…”

      “ในนี้ระบุว่าเทียนไขถูกทำร้ายร่างกายครับ ตรงนี้หมอก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าใครเป็นผู้กระทำ แต่เทียนไขดูจะกลัวเขามากๆ จากประวัติการรักษา..เทียนไขเคยจะฆ่าตัวตายด้วยครับ”

       “….”

       “ที่แย่ไปกว่านั้น…เทียนไขเหลือไตข้างขวาข้างเดียวแล้วนะครับ จากเหตุกาณ์ที่เขาถูกทำร้ายร่างกายตอนนั้น ทำให้ไตข้างซ้ายของเขาบอบช้ำหนักจนไม่ทำงานอีกต่อไป”  …ราวกับมีระฆังดังลั่นอยู่ในหัว จู่ๆก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ในหัวขาวโพลน รับรู้อยู่อย่างเดียวคือความรู้สึกผิดที่ดูแลลูกของพี่สาวตัวเองไม่ได้เลย

       “เรื่องการรักษา.. ตามสิทธิ์การรักษาของคุณเทียนไขแล้วก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เป็นค่ายาอีกนิดหน่อย และอาจจะมีค่ารักษากรณีอาการหนัก ไม่ทราบว่าญาติเห็นด้วยรึเปล่าครับถ้าจะให้คุณเทียนไขเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังตั้งแต่วันพรุ่งนี้”

       “ดิฉันไม่มีปัญหาเรื่องเงินค่ะ เพราะงั้นดิฉันเห็นด้วยค่ะ” เธอโกหก.. จริงๆครอบครัวของเธอก็มีภาระหนี้สินเช่นกันแล้วก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลยด้วย

       ความรักล้วนๆที่ทำให้เธอโกหกไปแบบนั้น

       ‘ความรัก’ ที่จริงแท้และบริสุทธิ์

       “งั้นหมอจะเชิญคุณเทียนไขเข้ามาแล้วนะครับ”





       ไม่นานนักประตูห้องตรวจสีน้ำเงินก็ถูกเปิดออก ก่อนจะถูกแทรกเข้ามาด้วยวีลแชร์ของหนึ่งในผู้ป่วยแผนกจิตเวชของทางโรงพยาบาลผู้ที่อายุน้อยที่สุด

       ‘นายเทียนไข จินตนันท์’



       “สวัสดีครับคุณเทียนไข” คุณหมอเอ่ยทักคนไข้ด้วยโทนเสียงนุ่มน่าฟังประจำตัวของเขา “เบื่อหน้าพี่หมอแล้วรึยังครับ?”

       …ไม่มีเสียงตอบรับใดๆนอกจากสายตาที่เลื่อนลอยและความว่างเปล่าอันเงียบสงัด

       “วันนี้คุณแม่ว่ายังไงบ้างเอ่ย” คุณหมอเอ่ยถาม ซึ่งคำถามนี้ก็ทำเอาน้าหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆถึงกับหันควับมามองคุณหมอในทันที

       “..แม่บอกว่า อยากให้เทียนไปหา” แต่ไม่นานนักเธอก็ได้เข้าใจแล้วว่า ‘รุนแรง’ ที่คุณหมอบอกมันหมายถึงอะไร

       ..พอได้เข้าใจแล้วเธอก็พูดอะไรไม่ออกเลย อาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาการของผู้ป่วยทางจิต แต่เธอก็ไม่นึกว่ามันจะน่าสงสารขนาดนี้

       ..มันเจ็บอยู่ในอกที่ได้เห็นสายตาที่เคยฉายแววแต่ความสุขแสนไร้เดียงสาตอนนี้เลื่อนลอยราวกับไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วในโลกของความเป็นจริง



       “แล้วคุณแม่..อนุญาตให้เราเข้ารับการรักษารึยังครับ?” คุณหมอเอ่ยถาม พลางจดอะไรยุกยิกๆลงในกระดาษ

       “แม่บอกว่า..ให้เทียนรักษา แต่เทียนไม่อยากทำแล้ว เทียนกลัว...เทียนเจ็บ มันปวดหัว ฮือ...ปวดหัว” ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มฉายแววความรู้สึกอีกครั้งแต่กลับเป็นความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดจนน้ำตาเม็ดใสจู่ๆก็ไหลลงมาเสียดื้อๆ ส่วนผู้เป็นน้าเมื่อเห็นดังนั้นจึงขยับไปหาหลานรักก่อนจะจับฝ่ามือเล็กขึ้นมากอบกุมหวังจะบรรเทาอาการลงไปได้บ้าง

       “รบกวนญาติเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยครับ” คุณหมอเอ่ยบอก น้าหยวนจึงกลับมาให้ความสนใจตรงนี้อีกครั้ง

       “ส่วนเทียนไขคนเก่ง หยุดร้องก่อนนะครับ แล้วเอานิ้วกดลงตรงนี้ แล้วก็เอามาแตะลงบนกระดาษตรงนี้ โอเคมั้ยครับ?” คุณหมอบอกกับคนไข้พร้อมกับทำท่าทางประกอบด้วยการยกนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วกดลงไปในหมึกปั๊มสีน้ำเงินแล้วทำท่าทาบบนกระดาษ

       “อย่าลืมที่หมอบอกนะครับ อย่าปล่อยให้เขาต้องรู้สึกว่าอยู่เพียงตัวคนเดียว” คุณหมอหันมาบอกน้าหยวนอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง

       “ค่ะ ยังไงฝากหมอช่วยดูแลหลานดิฉันด้วยนะคะ ดิฉันอยากให้เทียนหายเป็นปกติอีกครั้ง อนาคตเขายังอีกยาวไกลเลย”

       “หมอจะทำเต็มที่แน่นอนครับ เทียนจะหายป่วยแน่นอน ดีใจรึเปล่าครับเรา..” คุณหมอเอ่ยตอบ ก่อนจะหันไปให้ถามเทียนไขด้วยโทนเสียงประจำตัว ซึ่งคนป่วยพอจะคลี่ยิ้มออกมาได้บ้างเขาจึงผายมือเป็นสัญญาณให้บุรุษพยาบาลพาเด็กน้อยกลับไปพักผ่อนต่อ



       “จริงๆแล้ว.. โอกาสที่จะหายเป็นปกติก็มีนะครับญาติ”

        “…”

        “แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจจากคนรอบข้าง สภาพแวดล้อม แล้วก็..แรงใจของตัวผู้ป่วยเอง”

       “…”

       “จากสภาพที่เห็นแล้วหมอก็พอจะรู้อยู่บ้างแล้วว่าเทียนไขเจออะไรมา ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเจอมามันจะบั่นทอนแรงใจของเขาจนแทบไม่มีเหลือเลย”

       “…”

       “ยังไงหมอก็จะรักษาเทียนไขอย่างสุดความสามารถ แต่ว่า…หมอคงรับปากไม่ได้ว่าเขาจะหายดี”









       

       



       29 ก.พ 10.23 น.

       “สวัสดีครับคุณเทียนไข” เสียงนุ่มของพี่หมอเอ่ยถามหนูน้อยที่พึ่งเข้ามาใหม่ในห้องตรวจ สายตาของเขายังคงเลื่อนลอยดังเดิม แต่ยังพอจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าอยู่บ้าง “วันนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับ”

       “..เทียน..มีความสุข” เสียงหวานเอ่ยตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม “แม่อยู่กับเทียนตลอดเลย เทียน..มีความสุขจัง”

       “..โอเคครับ” คุณหมอมองภาพเด็กน้อยตรงหน้าที่มองพื้นที่ว่างข้างๆตัวก่อนจะบันทึกอาการของเทียนไขลงในคอมพิวเตอร์ “แล้ว..วันนี้คุณแม่ว่ายังไงบ้างครับ”

       “แม่บอกว่า..เทียนจะหายเจ็บ เทียนจะไม่เจ็บ ถ้าเทียนไปหาแม่..”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่หนึ่ง

       วันนี้อาการเห็นภาพหลอนค่อนข้างรุนแรง ยังคงหวาดระแวงสั่นกลัวว่าจะถูกทำร้าย และคิดจะฆ่าตัวตาย’



       3 มี.ค 16.39 น.

       “เทียนไขครับ นี่หมอเองนะ พี่หมอเอง”

       “พอ..ฮือ เจ็บ ไม่เอาแล้ว ไม่เอา… อย่ามายุ่ง โอ๊ย..ฮือ”

       “…”

       “กลัวแล้ว..ฮือ เปลว หยุดเถอะนะ ขอร้อง..”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่สี่

       อาการเห็นภาพหลอนยังคงรุนแรงถึงแม้จะให้ยาบรรเทาไปแล้ว วันนี้เทียนไขไม่ได้พูดถึงแม่เหมือนทุกๆวัน แต่พูดถึงคนชื่อเปลว คาดเดาว่าน่าจะเป็นหนึ่งในความทรงจำอันเลวร้ายของเขา เทียนไขดูหวาดกลัวเขามาก

       อาการในช่วงเย็นรุนแรงจนต้องให้ยานอนหลับ ถ้าอาการในวันพรุ่งนี้ยังรุนแรงอาจจะต้องช็อกไฟฟ้าเพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง’



       17 มี.ค 13.20 น.

       “เทียนไข..เทียนไขครับ”

       “…”

       “บอกพี่หมอหน่อยซิว่าวันนี้เรารู้สึกยังไงบ้าง สนุกมั้ย เหงารึเปล่า?”

       “…”

       “เทียนไขได้ยินพี่หมอมั้ย? ..เทียนไข”

       “…”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่สิบแปด

       วันนี้ไม่มีอาการเห็นภาพหลอน แต่เทียนไขไม่พูดไม่จาไม่ตอบโต้อะไรเลย เอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า

        ให้ยากระตุ้นประสาทไป พอช่วงค่ำถึงได้เริ่มแสดงความรู้สึกตัวเองออกมาบ้าง แต่ก็มีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้นที่แสดงออกมาผ่านหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างหนักหน่วง’



       21 เม.ย 11.17 น.

       “สวัสดีครับพี่หมอ” เสียงหวานเอ่ยทักคุณหมอเจ้าของไข้ด้วยน้ำเสียงสดใส

       “สวัสดีครับเทียนไข ยังรู้สึกกลัวพี่หมออยู่รึเปล่าครับวันนี้” ตลอดช่วงการรักษาที่ผ่านมาทุกครั้งที่เทียนไขต้องทำจิตบำบัดผ่านการพูดคุยเรื่องราวต่างๆกับพี่หมอ เขาก็มักจะแสดงความหวาดระแวงอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับวันนี้

       “ไม่กลัวแล้วครับ วันนี้เทียนรู้สึกสบายใจมากๆเลย ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”

       “ดีแล้วครับ ชอบความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า?”

       “ชอบครับ”

       “งั้นเทียนคงความรู้สึกนี้ไปเรื่อยๆเลยนะครับ”

       “ครับ เทียนจะคงความรู้สึกนี้ไปจนถึงวินาทีสุดท้ายเลย พี่หมอไม่ต้องห่วงเทียนนะ เทียนหายดีแล้ว”



       ‘บันทึกการรักษานายเทียนไข จินตนันท์ วันที่ห้าสิบสาม

       วันนี้เทียนไขดูมีความสุขมากกว่าวันไหนๆจนน่าแปลกใจ เขายิ้มมากกว่าทุกวัน แถมยังสนอกสนใจกับหนังสือทางการแพทย์อีกด้วย หมอก็เลยให้ยืมไปอ่านเล่มนึง

       เป็นสัญญาณที่ดีมากๆเลยสำหรับเช้านี้ บางทีเทียนไขอาจจะหายเป็นปกติได้แน่อีกไม่นาน



       ทว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น ตกดึกคนที่ยิ้มแย้มในตอนเช้ากลับกลายเป็นคนละคน ..เทียนไขคิดจะฆ่าตัวตายอีกแล้ว

       เขาทุบกระจกในห้องน้ำแล้วนำเศษกระจกกรีดลงบนข้อมือตรงช่วงเส้นเลือดใหญ่ ดีที่ผู้ป่วยคนอื่นๆเห็นแล้วร้องขอความช่วยเหลือ เราจึงช่วยเหลือเขาได้ทัน

       วันพรุ่งนี้อาจจะต้องเปลี่ยนใช้ยาตัวใหม่ที่แรงกว่าเดิม และอาจจะต้องทำการช็อกไฟฟ้าอีกครั้ง’



       ..การรักษาเทียนไขยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบ อาการของเขาขึ้นๆลงๆ บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ร้องไห้จนรู้สึกเศร้าสลดเมื่อพบเห็น

       วันแล้ววันเล่า สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เด็กคนนี้ก็ยังคงมีอาการหวาดระแวงไม่ต่างอะไรกับวันแรกที่เข้ารับการรักษา

       เสียงโอดครวญของเขาเป็นที่โจษจันแก่พยาบาลและผู้ป่วยคนอื่นๆ เพราะทุกครั้งที่ได้ยินก็อดที่จะรู้สึกเวทนาไม่ได้ หลายครั้งที่เทียนไขต้องพึ่งยานอนหลับเพื่อสงบอาการ แต่มันก็ได้ผลเพียงแค่คืนต่อคืน

       เด็กน้อยถูกรักษาด้วยไฟฟ้ามาหลายต่อหลายครั้ง และบ่อยครั้งมากขึ้นในระยะหลังเพราะเขาเริ่มไม่ตอบสนองต่อยาหรือการทำจิตบำบัดใดๆ

       จวบจนโลกหมุนเวียนผันเปลี่ยนไปจนถึงช่วงเดือนกรกฎา อาการของเทียนไขจึงเริ่มทุเลาลงจนอยู่ในขั้นที่ควบคุมดูแลตัวเองได้



       21 กรกฎา 10.25น.

       “Good morning ครับ my doctor” เสียงหวานของผู้ป่วยแผนกจิตเวชผู้ที่เด็กที่สุดเอ่ยทักคุณหมอด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงบริทิชจากการฝึกฝนโดยใช้หนังสือที่ยืมคุณหมอมา

       “Good morning  ครับเทียนไข วันนี้คุณดูมีความสุขนะ” คุณหมอเอ่ยตอบ เขาคลี่ยิ้มอย่างยินดีที่ในที่สุดคนไข้ที่ตัวเองดูแลดีขึ้นจนสามารถไปใช้ชีวิตในสังคมข้างนอกได้แล้ว

       “ครับ ผมมีความสุข แล้วผมก็อยากให้พี่หมอมีความสุขด้วย ขอบคุณที่ดูแลผมมาตลอด” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ในใจรู้สึกขอบคุณพี่หมอมากจริงๆที่ช่วยดึงเขาจากจุดที่ต่ำที่สุดขึ้นมายังจุดที่ควบคุมความรู้สึกนึกคิดตัวเองได้อีกครั้ง

       “ได้เห็นผู้ป่วยของหมอมีความสุขแบบนี้หมอก็มีความสุขแล้วครับ” คุณหมอยิ้มตอบ “อย่าลืมมาหาหมอตามที่ระบุไว้ในใบนัดด้วยนะครับ”

       “ครับผม” เด็กน้อยรับปาก ..ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของการรักษาตัวภายในโรงพยาบาล หลังจากนี้เทียนไขจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมข้างนอกอีกครั้ง

       “น้าหยวนมารอรับเราตั้งแต่เจ็ดโมงแล้วล่ะ ตอนนี้น่าจะนั่งหลับอยู่ชั้นหนึ่ง” คุณหมอพูดติดตลกด้วยความสนิมสนม ระยะเวลาตลอดการรักษานั้นทำให้เขาสนิทกับผู้ป่วยคนนี้ในระดับนึงเลยทีเดียว

       “โห งั้นนี่ผมก็ปล่อยให้น้าหยวนรอนานแล้วน่ะสิ..” เทียนไขบ่นอุบอิบกับตัวเอง

       “ฮ่าๆ เดี๋ยวเราไปรับยาด้านล่างนะครับ แล้วก็กลับบ้านได้เลย”

       “ขอบคุณนะครับพี่หมอ ..ขอบคุณมากๆเลยที่ดูแลผมมาตลอด” เทียนไขบอกชายในชุดกาวน์อย่างจริงใจ

       “ครับผม หมอยินดี”

       “งั้น..ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวมารบกวนใหม่เดือนหน้าวันที่พี่หมอนัด”

       “เทียนไข” คุณหมอเอ่ยเรียก

       “ครับ?”

       “กลับมาเป็นหมอของที่นี่ให้ได้นะ” ..มีหลายครั้งที่เทียนไขบอกกับเขาว่าอยากเป็นหมอ และเมื่อเขาได้ฟังแบบนั้น ..ได้รู้ว่าเด็กคนนี้สอบติดที่ไหน เรียนเกี่ยวกับอะไร ..ได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแบบนั้น บอกตรงๆว่าเขาพร้อมที่จะสนับสนุนเด็กคนนี้อย่างเต็มที่

       ในฐานะ…รุ่นพี่สายรหัสเดียวกัน



















       เทียนไขเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ต่อแต่นี้ชีวิตเขาไม่ได้มีลำพังเขาคนเดียวอย่างที่เคยคิดอีกต่อไปแล้ว

       ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เทียนไขอยู่โรงพยาบาลมีเพียงคนเดียวที่เข้าๆออกๆเพื่อไปเยี่ยมเยียนพูดคุยถามไถ่ ถึงแม้ไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ค่ายา ค่ารักษา คนๆนี้ก็หามาจ่ายให้เขาจนได้

       คนๆนั้นเป็นคนที่เขาเคยนึกเกลียด เคยนึกมองข้าม นึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่เห็นความสำคัญของเธอเลยแม้แต่น้อย

       “น้าหยวนครับ..กลับบ้านกัน” แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่ามันไม่เป็นแบบนั้น ..คนๆนี้ไม่เคยมองเขาในแง่ลบอย่างที่เขามองเธอเลย ซ้ำยังคอยซัพพอร์ต ให้กำลังใจ อยู่เคียงข้างเขามาตลอดไม่เคยทิ้งไปไหน

       “อ้าว..มาแล้วหรอลูก ดีๆ กลับบ้านกันนะเทียนนะ” แล้วก็ยัง…รักและเป็นห่วงเขาเสมอมา

       “ขอบคุณน้าหยวนมากๆนะ”





       เทียนไขกลับไปอยู่ที่บ้านริมคลองหลังเดิม ถึงสภาพจากภายนอกจะดูทรุดโทรม แต่ภายในตอนนี้บอกได้เต็มปากเลยว่าโมเดิร์นสุดๆ

       เขาใช้เวลาว่างก่อนจะต้องเริ่มไปเข้าค่ายต่างๆนาๆเพื่อเตรียมตัวเปิดเทอมให้กับการทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูบ้านของเขาจนสะอาดหมดจด แล้วก็จัดนู่นจัดนี่ใหม่ให้เป็นที่เป็นทางมากขึ้น เขารู้แล้วว่าอะไรทิ้งได้ก็ควรทิ้งซะ เพราะฉะนั้นแล้วสภาพใหม่ของบ้านหลังนี้จึงไม่สามารถใช้คำว่าบ้านโทรมๆได้อีกต่อไป

       เด็กน้อยยิ้มแป้นกับสภาพบ้านที่พึ่งตกแต่งใหม่ของตัวเอง

       ..มันอาจจะไม่ได้มีเตียงขนาดคิงไซส์ โซฟานุ่มๆ หรือทีวีห้าสิบนิ้วติดผนัง

       แต่นี่แหละคือความสุข..

       “นี่แหละ ‘บ้าน’ ของเทียนไข” เด็กน้อยบอกกับตัวเองอย่างภูมิใจ





       เวลาที่เหลือนอกจากนั้นเทียนไขก็ทุ่มมันให้กับงานพาร์ทไทม์ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งภายในห้าง ซึ่งเงินที่ได้แต่ละวันนั้นก็เพียงพอกับการดำรงชีวิตและยังเหลือเก็บอีกด้วย

       ชีวิตของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างเรียบง่ายและค่อยเป็นค่อยไป   ..ไม่มีเรื่องอะไรให้รู้สึกหวือหวา ขณะเดียวกันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้รู้สึกทุกข์ใจ

       เขาเริ่มมีสังคมจากพี่น้องในที่ทำงาน ได้พบปะผู้คนมากมายมากหน้าหลายตา ทำให้อาการป่วยนั้นทุเลาลงจนแทบจะไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนป่วยอีกต่อไปแล้ว





       วันเวลาฝันเปลี่ยนจนมาถึงมาถึงวันเปิดภาคเรียนวันแรกในการเป็นนักศึกษา

       เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอยู่ในชุดนิสิตสีขาวสะอาดและกางเกงสแล็คสีดำ มีเนกไทสีเขียวแก่ผูกอยู่หลวมๆที่คอ ซึ่งรวมๆกันแล้วเจ้าตัวก็ดูดีจนออร่าจับเลยทีเดียว

       สองขาของเขาก้าวเดินไปข้างหน้าตามทางเท้าหน้ามหาลัยต่อไปเรื่อยๆอย่างสง่าผ่าเผยเพื่อตรงไปยังประตูทางเข้า ผิดกับในใจที่ตื่นเต้นจนแทบอยากจะวิ่งตีลังกาไปคณะตัวเองอยู่รอมร่อเพราะอยากไปเจอเพื่อนๆที่คณะใจจะขาด

       ..กิจกรรมรับน้อง กิจกรรมค่ายปฐมนิเทศ และอื่นๆที่ทางคณะจัดให้นั้นทำให้เขาเป็นที่รู้จักรักใคร่ต่อใครหลายๆคนทั้งรุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้นปี

       เทียนไขเองก็สนุกไปกับกิจกรรมที่ว่ามากๆ เขาได้เพื่อนจากกิจกรรมนี้มากมายเลย ซึ่งก็..

       “นาย…นายทำบัตรนักศึกษาหล่นรึเปล่า..” เกือบจะทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นไปได้แล้วแท้ๆ

       “…” เทียนไขหยุดกึก ทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้เห็นคนตรงหน้า

       “อ่ะ รับไปดิ” ความหวาดกลัวที่เคยจางหายไปเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง

       “…” เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่รับบัตรนักศึกษาคืนมาอย่างหวาดๆกลัวๆ



       แต่ก็ต้องนึกแปลกใจที่คนตรงหน้ากลับไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ได้ข่มเหงหรือรังแกเขาอย่างที่เคยทำในอดีต

      คนตรงหน้าทำเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆออกมาก่อนจะหันกลับแล้วเดินนำเขาไป



       เทียนไขพยายามสะบัดความกลัวออกไปจากหัวก่อนจะก้าวเดินไปตามแผ่นหลังนั้นโดยไม่ลืมเว้นระยะห่างเอาไว้



       เขาใช้สายตามองสังเกตคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า คนนี้ๆใส่ชุดนิสิตเหมือนๆกันกับเขา จะแตกต่างก็แค่คนตรงหน้ามีหมวกไหมพรมใส่อยู่ที่หัวแค่นั้น การแต่งกายของเขาสะอาดสะอ้านดูดีระดับนึงเลยทีเดียว

       องค์ประกอบทั้งใบหน้าและรูปร่างทุกสัดส่วนมันไม่ผิดแน่ๆ..

       “เปลว..” เทียนไขเผลอเรียกออกไปเสียงเบาหวิวโดยไม่รู้ตัว ทว่าคนตรงหน้ากลับได้ยินและกำลังหันตัวกลับมาหาเขา

       “เมื่อกี้..เรียกเรารึเปล่า?” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มหันมายิ้มถามเพื่อความแน่ใจ

       “….” เทียนไขส่ายหัวปฏิเสธ

       “…” คนตัวสูงกว่าเมื่อเห็นดังนั้นจึงยิ้มบางๆกลับมาก่อนจะหันไปทางเดิมแล้วเดินต่อไป



       ‘แบบนี้ดีแล้ว..เป็นแบบนี้ดีแล้ว’ เทียนไขพร่ำบอกกับตัวเอง มันก็ดีแล้วที่เปลวไม่ได้ทำร้ายอะไรเขาอีก แต่ในเสี้ยวลึกๆในใจกลับรู้สึกจุกแปลกๆ

       เปลวทำเหมือนกับ…ไม่เคยรู้จักกัน



       

       





 

     

       








ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
06
เปลวเผาเทียน






       “อ้าวว่าไงเพื่อนเทียน มาเช้าเหมือนกันนะมึงเนี่ย” คนตัวสูงไล่เลี่ยกันกับเทียนไขเอ่ยทักทายเขา คนๆนี้เทียนไขพึ่งรู้จักตอนค่ายปฐมนิเทศของทางคณะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง

       “แน่นอนครับคุณพล ประเดิมวันแรกด้วยการมาเจอหน้ามึงตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว” เทียนไขตอบรับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

       คนๆนี้คือ ‘พละพล’ เพื่อนที่เทียนไขสนิทที่สุดตั้งแต่ก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในคณะแพทยศาสตร์



       “พูดงี้แสดงว่าดีใช่ปะที่ได้เจอหน้ากู” พละพลถามต่อพร้อมกับเดินคู่กันไปกับเทียนไข

       “หึ” เทียนไขส่ายหัวขำๆ

       “สัด ขอบคุณ” ก่อนจะเดินคุยกันไปตามทางเรื่อยๆไปจบที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่งในโรงอาหาร ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ ทั้งสองคนแทรกตัวลงไปนั่ง ก่อนจะพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมากันอย่างออกรส

       “หลังจากค่ายแล้วเป็นไงบ้างวะมึง” พละพลเอ่ยถาม

       “ก็เหมือนเดิมแหละว่ะ กูต้องทำงาน” เทียนไขตอบ เป็นความจริงที่ถ้ามีเวลาหลงเหลืออยู่เด็กตัวคนเดียวอย่างเขาก็จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากภาระค่าใช้จ่ายในเมืองใหญ่แบบนี้ และใช่ มันก็เหนื่อยมากๆจนเขาแทบจะไม่มีเวลาได้พักเลย

       “มึงอย่าหักโหมเกินไอ้เทียน นี่ก็เปิดเทอมแล้ว ถ้ามีเวลาได้พักก็ควรพักบ้าง” พละพลบอกด้วยความเป็นห่วง เขาเป็นคนฉลาดและสามารถรับรู้และเข้าใจเพื่อนคนนี้ดีว่าชีวิตเป็นอย่างไรเมื่อมองแววตาและท่าทาง แต่เขาก็ไม่เคยถามไปตรงๆหรอกเพราะมันดูจะยุ่มย่ามกันเกินไป

       “ไม่เป็นไรหรอก กูอะแค่นี้สบายมาก นี่เดี๋ยวพอเลิกเรียนวันนี้กูก็ต้องไปร้านอีกเหมือนกัน วันไหนว่างๆก็ไปอุดหนุนกันได้นะเพื่อนพล ช่วงนี้มีโปร”

       “ถ้ามึงทำให้กูกิน โปรที่ว่าคงไม่ใช่โปรโมชั่น แต่คงเป็นเป็ดโปร”

       “รู้ทันอีก” เทียนไขรับมุกอย่างรู้งาน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาด้วยกันทั้งคู่ เป็นอย่างนั้นไปได้ซักพักก็ต้องหยุดเมื่อมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา

       “เฮ้ยไอ้พล เป็นไงบ้างวะ” หนึ่งในกลุ่มนั้นเอ่ยทักพละพล ก่อนจะตรงลงมานั่งข้างๆคนที่เขาเอ่ยถึง ส่วนคนอื่นๆในกลุ่มเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองนั่งแหมะลงแบบนั้นแล้วก็จำเป็นจะต้องเดินตามมานั่งด้วยกันจนที่ว่างที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยพวกเขาไปซะหมด

       “อ้าวไอ้โจ้ กูหรอ...กูสบายดี มึงล่ะเพื่อน ได้ข่าวไปอังกฤษมาไม่ใช่หรอ ในของฟงของฝาก” พละพลตอบ

       “โทษทีกูลืม เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาให้ละกัน”

       “ดีมาก”

       “เออแล้วนี่เป็นไงมาไงถึงมาอยู่โรงอาหารคณะกูวะ คณะมึงก็มีปะโรงอาหาร หรือมาดักรอใครรึเปล่าครับคุณพละพล” โจ้มองพละพลสลับกันเทียนไขก่อนจะมองไปรอบๆพร้อมๆกับพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท

       “ไม่ได้มารอใครครับสัด กูหิว คณะกูอยู่ไกลเลยแวะแดกที่นี่ก่อน”

       “แล้ว…” โจ้เชยสายตามามองเทียนไขอีกครั้งอย่างนึกสงสัย

       “คนนี้เพื่อนกูเอง ชื่อเทียน ส่วนเทียน ไอ้เหี้ยนี่ชื่อโจ้นะ ระวังมันหน่อย..มันขี้ขโมย” พละพลแนะนำเพื่อนทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันด้วยน้ำเสียงปกติของเขา หากแต่ในคำสุดท้ายที่เขาพูดออกมานั้นมันกลับเป็นราวกับเรียวมีดแหลมๆที่แทงสลักลึกลงไปกลางใจของคนฟังอย่างเทียนไข 

       “มึงก็เวอร์ นั่นมันก็นานแล้วมั้ย เอ่อ..เราไม่ได้เป็นอย่างที่ไอ้เหี้ยพลมันพูดเมื่อกี้หรอกนะ” โจ้รีบแก้ต่าง

       “…” เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่ยิ้มให้บางๆ

       “เออแล้วนี่ไอ้ติสต์แตกของเรามันหายไปไหนของมันวะเนี่ย” โจ้มองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนที่เขาพูดถึง

       “ใครวะ” พละพลเอ่ยถาม

       “เพื่อนกูนี่แหละ พึ่งเจอกันวันนี้วันแรก เห็นมันใส่หมวกไหมพรมอยู่ตลอดเวลากูก็เลยเรียกมันว่าไอ้ติสต์แตก”

       “…”

       “แต่แม่งหล่อนะ เดินไปตรงไหนก็มีแต่สาวมองมันเต็มไปหมดเลย กูล่ะโคตรอิจฉา” เพื่อนร่วมโต๊ะทุกคนดูสนอกสนใจกับสิ่งที่โจ้พูด แต่ผิดกับเทียนไขที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ในหัวใจดวงน้อยๆที่พึ่งกลับมาแข็งแรงได้ไม่นานกำลังหวาดหวั่น

       “นั่นไงไอ้โจ้…มันมานู่นแล้ว” เพื่อนในกลุ่มของโจ้พูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ด้วยนิ้วโป้งไปทางผู้มาเยือน ซึ่ง..เทียนไขก็คุ้นหน้าคุ้นตาเขาดียิ่งกว่าใคร

       “โห…ไอ้โจ้ นี่..ว่าที่เดือนคณะมึงรึเปล่าวะ..” พละพลเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่กำลังเดินตรงมาทางนี้ก็ได้แต่อ้าปากเหวอตกตะลึงกับองค์ประกอบบนใบหน้าที่ได้สัดส่วนและเหมาะสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว

       “เออคิดเหมือนกูเลย กูก็ว่าจะดันให้มันเป็นอยู่เหมือนกันเนี่ย”



       “เปลว..” เป็นอีกครั้งที่เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัว ..คนใจร้ายคนนั้นกลับยิ้มและทำท่าทีมีความสุขราวกับลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรให้กันไว้บ้าง

       “ไอ้เปลว! มานี่ๆ คัมมอน กูอยู่นี่” โจ้กวักมือเรียกอีกฝ่าย แน่นอนว่าพอเปลวเห็นดังนั้นเขาก็รีบตรงเข้ามาหาในทันที

       “ว่าไง แล้วนี่นั่งทำอะไรกัน” คนใจร้ายหยุดพร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

       “อ๋อ ก็..นั่งนินทามึงอยู่อะ” โจ้ตอบ

       “เสียใจ”

       “กูล้อเล่น เออ..แต่จริงๆก็ไม่ล้อเล่นหรอก เพราะพวกกูกำลังพูดถึงมึงอยู่จริงๆ เนี่ยอุตส่าห์มาโฆษณามึงให้ไอ้พวกหมอฟังเลยนะเนี่ย”

       “กูควรดีใจ?” เปลวแค่นขำ ก่อนจะแทรกตัวนั่งลงตรงข้างๆโจ้

       “อ้อ..ไอ้พล กับ..เอ่อ เทียน ไอ้นี่มันชื่อเปลวนะ ส่วนไอ้เปลว นี่..ไอ้พล กับคนนี้..ชื่อเทียน” โจ้จัดแจงเป็นตัวกลางทำความรู้จักให้ทั้งสองฝ่าย

       “ไม่ต้องสาระแนหรอกเพื่อนโจ้ กูแนะนำตัวเองได้ สวัสดีครับ..ผมชื่อพละพล เรียนอยู่คณะแพทย์ครับ” พละพลหันไปคุยกับเปลวด้วยสีหน้าที่ร่าเริงและเป็นมิตร ..ดูๆไปแล้วก็กำลังมีความสุขกันอยู่ทุกคน ยกเว้นแต่เทียนไขที่กระอักระอ่วนใจจนฝ่ามือที่เคยวางอยู่นิ่งๆสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำได้แค่เพียงกำมือไว้แน่นๆใต้โต๊ะเพื่อระบายสิ่งที่กำลังรู้สึกออกไป

       “ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เสียงนุ่มเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตรเช่นกัน ก่อนจะเชยสายตามามองคนตรงข้ามที่ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จาอะไรออกมาเลยตั้งแต่ที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ “แล้วนี่..ชื่อเทียนใช่มั้ย”

       “…” ทุกคนนิ่งเงียบเมื่อเห็นเทียนไขเอาแต่ก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบอะไรกลับไป

       “เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ..?” เสียงนุ่มๆของคนใจร้ายยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทกระตุกเรื่องราวต่างๆในอดีตให้ค่อยๆพรั่งพรูเข้ามาเป็นฉากๆ

       “…” เทียนไขรีบส่ายหัวปฏิเสธ และพยายามปัดเป่าภาพเหล่านั้นออกไป

       “แปลกจัง ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆกับชื่อนี้..”

       “เด็กยุคเก้าศูนย์หรือไงมึง มุกนี้มันใช้จีบใครไม่ได้แล้วครับเพื่อนติสต์ของกู” ดีหน่อยที่โจ้พูดเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาได้ทันท่วงที ไม่งั้นสุดท้ายแล้วเทียนไขก็คงไม่พ้นที่จะต้องกลับไปสถานที่แห่งเดิมที่เรียกว่าโรงพยาบาล

       “กูไม่ได้จะจีบเขา แค่รู้สึก..คุ้นๆกับชื่อเฉยๆ” เปลวตอบ สายตายังคงมองมาทางคนตรงหน้าที่ยังคงก้มหน้างุดอยู่เหมือนเดิม “แล้วนี่เทียน..เป็นอะไรรึเปล่า”

       “…” เทียนไขกำมือแน่น เหงื่อกาฬไหลซึมตามฝ่ามือและข้อพับตามกลไกของร่างกายเมื่อตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ในใจทำได้แต่เพียงพร่ำบอกกับตัวเอง..



       ‘ไม่มีเปลวคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาตายจากมึงไปแล้ว อย่าเสียใจ.. อย่าร้องไห้.. ดีแล้วที่เขาจำมึงไม่ได้ ดีแล้วที่เขาตายจากมึงไป… ดีแล้ว’



       “เทียน..มึงเป็นไรเปล่า” พละพลแตะไหล่เพื่อนของเขาอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีไม่ดี

       “เปล่า.. กูไม่เป็นไร ป..ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” เทียนไขเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างเร่งรีบ ก่อนจะลุกพรวดพราดแล้วพาตัวเองออกไปจากตรงนั้น เสียงนุ่มๆดังไล่หลังเขามาติดๆ แต่เทียนไขก็ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย



       “..ใช่คนๆเดียวกันกับที่ผมเก็บบัตรนักศึกษาให้เมื่อเช้ารึเปล่าครับ?”



       …ถึงจะไม่ได้ตอบกลับอะไรไปเป็นคำพูด แต่ในใจของเทียนไขนั้นตวาดลั่นคำตอบจนดังสะท้านไปทั่วทั้งใจแล้ว

      ‘ใช่…ผมเอง แต่ไม่ใช่แค่คนที่คุณเก็บบัตรนักศึกษาให้หรอก ผมคนนี้..ผมคนนี้คือคนที่คุณทำชีวิตของเขาแหลกสลายไม่มีชิ้นดี คนที่คุณทำระยำกับเขาไว้มากมายแต่กลับทำเป็นจำไม่ได้ คนโชคร้าย...ที่ได้พบเจอคนอย่างคุณ’





























       เวลาผันผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆของวัน แสงแดดจากพระอาทิตย์บนท้องฟ้าสาดส่องเข้ามาอย่างแรงกล้าทำเอาด้านหลังของเสื้อนิสิตสีขาวของเทียนไขนั้นเปียกชุ่มจนแนบติดไปกับแผ่นหลัง

       ตอนนี้เขาเลิกเรียนแล้ว และกำลังมุ่งหน้าเดินออกจากมหาลัยเพื่อไปทำงานพาร์ทไทม์ของตัวเองต่อ โดยมีเพื่อนอย่างพละพลเดินเคียงคู่ไปด้วย

       “มึงจะกลับบ้านแล้วใช่เปล่า” เทียนไขหันมาถามเพื่อนที่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะต้องสู้กับแดดและอุณหภูมิที่เหยียบสี่สิบองศา

       “ก็คงกลับบ้านแหละว่ะ เหนื่อย ร้อน อยากนอน” อีกฝ่ายบ่นกระปอดกระแปดอย่างที่กำลังรู้สึก ก่อนจะหันมาหาเทียนไขแล้วเริ่มต้นประเด็นใหม่ “เออมึง”

       “ว่า”

       “มึงเคยรู้สึกใจสั่นเพราะเจอหน้าใครบางคนปะ” อีกฝ่ายอมยิ้มพร้อมกับก้าวเดินต่อไปราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก

       “…”

       “…แบบว่า ทำตัวไม่ถูก ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย เพียงเพราะ..ได้เจอหน้าเขา”

       “เคยสิ …เคยอยู่แล้ว” เทียนไขตอบพร้อมกับหันหน้ากลับมามองทางตรงหน้าเหมือนอย่างเดิมด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนคนนี้ต้องการจะสื่อความรู้สึกใจสั่นที่ว่าในความหมายไหน

       แต่สำหรับเทียนไข…มีเพียงความหมายเดียวเท่านั้นในหัวใจ

        ใจสั่นเพราะ..ความเจ็บปวด…

 

        “..ปกติควรจะเป็นกับผู้หญิง แต่ว่ากู..รู้สึกแบบนี้กับผู้ชายว่ะ” พละพลพูดออกมาเสียงแผ่ว ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด “มึงจะไม่รังเกียจกูใช่มั้ยวะเทียน”

       “กูจะรังเกียจมึงทำไมวะไอ้พล มันเป็นเรื่องปกติ มึงก็คือมึง” เทียนไขเอ่ยตอบ

       “กูก็กังวลไว้ก่อนไง กูกลัวมึงจะรับไม่ได้”

       “กูรับได้อยู่แล้ว ไม่ต้องซีเรียสอะไรเรื่องนี้เลย”

       “จริงหรอ ..ดีใจว่ะ อย่าเกลียดกูนะเว้ย เป็นเพื่อนกับกูต่อไปด้วย”

       “กูไม่มีทางเกลียดมึงหรอกเพื่อนพล”

       “มึงว่า…กูพอจะมีโอกาสสมหวังบ้างมั้ยวะ”

        “ไม่รู้ดิ” เรื่องแบบนี้สำหรับประสบการณ์อันน้อยนิดในความทรงจำที่ผ่านมาของเทียนไขแล้วเขาก็ไม่รู้หรอกว่าแบบไหนที่เรียกว่ามีหวัง แบบไหนที่เรียกว่าไม่มีหวัง ยังไงก็แล้วแต่..ถ้าเพื่อนอย่างพละพลพูดพร้อมใบหน้าจริงจังแบบนี้แล้วก็แสดงว่าคงจะตกหลุมรักใครเข้าแล้วจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้น..เทียนไขอย่างเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ “แต่..มึงบอกกูก่อนสิว่ามึงไปรู้สึกแบบนั้นเข้ากับใคร”

        “กูยังไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเท่าไหร่เลยว่ะ ดูเหมือนกูจะไม่มีโอกาสสมหวังอะไรเลยด้วย..”

        “บ้า ไม่ลองก็ไม่รู้ปะวะ มึงบอกกูก่อนว่าคนๆนั้นคือใคร เดี๋ยวกูจะช่วยเท่าที่กูจะช่วยได้”

        “มึงอย่าไปบอกใครนะเว้ย รู้แค่เราสองคน เจอหน้ากันก็ห้ามแซวห้ามยิ้มห้ามขำห้ามทั้งหมด ทำตัวปกติ..” พละพลหันมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

        “เออได้”

        “กู..”

        “…”

        “กูชอบเปลวว่ะ”

        “…” ดั่งมีระฆังลั่นดังอยู่ในหัว จู่ๆขาที่ควรจะก้าวเดินต่อก็หยุดกึก ทบทวนสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อกี้คราแล้วคราเล่า “มึง..ชอบเปลว..?”

        “ใช่.. มึงว่ากูจะพอมีหวังมั้ยวะ” มันไม่ใช่ความรู้สึกที่หึงหวง ไม่ใช่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเปลว แต่มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

       คนอย่างเปลวไม่ควรได้รับความรักจากใครทั้งนั้น



       “พล”

       “ว่า”

       “มึงไม่มีหวังหรอก ตัดใจซะเถอะว่ะ” ใช่แล้ว…อย่าหวังเลย พละพลไม่ควรมาหวังกับคนอย่างเปลว เขาควรไปพบเจอใครที่ดีกว่านี้…เทียนไขคิดแบบนั้น

       “…” ทว่าเพื่อนสนิทของเขากลับนิ่งไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดร้ายๆออกมาจากปากเพื่อนตัวเอง

       “มึงก็ได้ยินแล้วนี่ว่าคนชื่อเปลวมันมีผู้หญิงเยอะ อย่าหวังเลยว่ะพล”

       “..แล้วกูไม่มีสิทธิ์หวังซักนิดเลยหรอวะเทียน” พละพลได้รู้แล้วว่าเพื่อนสนิทของเขาที่แท้แล้วเป็นคนยังไง

       “ใช่ มึงไม่มี”

       “…” แขนที่เคยกอดคอเพื่อนสนิทคลายออก “ขอบคุณที่บอกให้กูรู้นะ แต่ทีหลังไม่ต้อง”

       “…”

       “กูกลับบ้านละ ไว้เจอกัน”

       “…” เทียนไขยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนสนิทเมื่อครู่กลับกลายเป็นใบหน้าทะมึนตึงบอกบุญไม่รับไปในทันที ก็คงไม่ผิดหรอกที่จะโกรธกัน เพราะคำพูดที่เขาตอบกลับทุกคำมันก็ค่อนข้างจะทำลายความรู้สึกไม่น้อยเลย

       “…ขอโทษนะเว้ย” แต่ทั้งหมดนี่..ก็เพื่อพละพลทั้งนั้น





















       “เทียน ออกไปรับออเดอร์ลูกค้าหน่อย” เสียงหวานของหนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเขาเอ่ยเรียกเพื่อผัดเปลี่ยนหน้าที่

       “ครับ” เทียนไขรับคำ ก่อนจะเดินออกมาจากครัวของทางร้านตรงไปที่หน้าร้าน

       ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดสนิทแล้ว เป็นสัญญาณบ่งบอกให้เขารู้ตัวเลยว่าอีกไม่นานก็จะได้เลิกงานกลับไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านแล้ว เขาคิดอยู่ในใจว่าถ้าลูกค้าโต๊ะสิบเอ็ดเรียกเช็คบิลเมื่อไหร่เขาก็จะกลับบ้านตอนนั้น แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง ลูกค้ารายใหม่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

       เทียนไขเอ่ยทักทายลูกค้าคนแล้วคนเล่าด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วอย่างเป็นมิตรตามที่ได้รับการฝึกสอนฝึกพูดจากพี่พนักงานคนอื่นๆ ปากกาในมือก็จดชื่ออาหารที่ลูกค้าสั่งอย่างไม่หยุดพัก จนขาทั้งสองข้างที่ยืนมานานร่วมชั่วโมงเริ่มเหนื่อยล้าแทบจะยืนต่อไปไม่ไหวแต่เขาก็ทำได้แค่ทนต่อไปเรื่อยๆเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องถึงความสบายใดๆทั้งสิ้น

       “สวัสดีครับคุณลูกค้า มากันกี่ท่านครับ..” เสียงใสเอ่ยทักทายลูกค้าคนสุดท้ายก่อนจะปิดร้านเหมือนอย่างเคยพร้อมกับเตรียมปากกามาจด แต่ว่าก็ต้องตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วได้เห็นว่าลูกค้าด้านหน้านั้นเป็นคนที่เขาไม่อยากพบไม่อยากเจอเลยแม้แต่น้อย

       “อ้าวเทียน ..ทำงานอยู่นี่หรอ” เสียงนุ่มเอ่ยตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม คนตรงหน้านี้ยังคงอยู่ในชุดนักศึกษา มีหมวกไหมพรมใบเดิมใส่อยู่ที่ศีรษะเช่นเคย

       “…” เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขายืนก้มหน้านิ่งๆ ไม่แม้แต่จะเชยสายตาไปมอง

       “อ่า..เรามาคนเดียว ยังไงก็รบกวนด้วยนะ” คนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็ต้องจำใจยอมแพ้ไป ถึงแม้จะไม่เข้าใจเลยก็ตามว่าเพราะอะไรถึงได้ดูเหมือนเกลียดกันขนาดนี้

       “พี่ส้มมารับออเดอร์แทนเทียนหน่อย เทียนจะกลับบ้านแล้ว” เทียนไขหันไปเรียกพนักงานในร้าน ก่อนจะวางสมุดจดออเดอร์ไว้ตรงนั้นแล้วพรวดพราดเข้าไปหลังร้านในทันที



       ไม่นานนักชุดยูนิฟอร์มพร้อมผ้ากันเปื้อนสีดำก็ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา เทียนไขใช้เวลาซักพักในการเก็บของลงกระเป๋าสะพายคู่ใจ ก่อนจะเปิดประตูทางหลังร้านออกมากะว่าจะลงไปทางบันไดหนีไฟแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวังเมื่อทันทีที่เปิดประตูออกไปก็เจอกับร่างสูงกำลังยืนพิงผนังอยู่

       “เทียนเดี๋ยวก่อน” น้ำเสียงนุ่มๆเสียงเดิมที่เขาเคยตกหลุมพรางของมันจนแทบถอนตัวไม่ขึ้นดังเข้ามาในโสตประสาท ถึงแม้จะเตือนตัวเองอยู่ในใจซ้ำๆแล้วว่าอย่าได้ตอบอะไรกลับไป แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เขาเฝ้าอดทนอยู่กับความเจ็บปวดทรมานมาตลอดหลายเดือนก็ขาดสะบั้นลง

       “จะเรียกทำไมนักหนาวะ! รู้จักกูหรอ หรือยังไง สนิทกับกูมากนักหรอ!” ไม่มีอะไรที่จะเสียหายไปมากกว่านี้แล้ว แม้แต่ความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันในอดีตก็ไม่มีให้เสียหายได้อีกเพราะมันพังทลายจนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวใดๆ

       “…” ร่างสูงตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นคนตรงหน้าจู่ๆก็เดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าแบบนี้ บางที..คงจะผิดที่เขาเองที่ไปทำเหมือนได้เป็นเพื่อนกันไปแล้ว ทั้งๆที่ความจริงก็ยังเป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้น

       “ไม่ต้องมายุ่งกับกู กูไม่ได้อยากรู้จักมึง ช่วยจำใส่หัวมึงไว้ด้วย!!!” ปลายนิ้วชี้ของเทียนไขเหยียดตึงกดลงบนหมวกไหมพรมบนหัวของคนตรงหน้าอย่างเหลืออด

       “โอ๊ย..” ทว่าเปลวกลับร้องออกมาเสียงดังลั่น เพียงเพราะเรียวนิ้วที่กดลงไป แรงที่กดลงไปน่ะหรอ ยังไม่ถึงเสี้ยวนึงเลยด้วยซ้ำถ้าเทียบกับสิ่งที่เปลวเคยทำ

       “…” ดวงตาสีนิลจ้องมองมาที่เทียนไขอย่างเจ็บปวดเพื่อขอความเห็นใจ และแน่นอนว่าเขาไม่มีสิทธิ์ได้รับมัน

       “มึงเจ็บหรอ?” รองเท้าหนังสีดำขลับขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงมากขึ้นๆ จนแผ่นหลังของเจ้าของร่างสูงนั้นแนบชิดไปกับผนัง



        ‘เทียน..ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา’

        ‘สัญญา…สัญญาหรอ’

        ‘ใช่ สัญญา’

        ‘...’

        ‘มาถึงตรงนี้แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บอดีตไว้แค่ในความทรงจำก็พอ จดจำเรื่องราวดีๆ ส่วนเรื่องราวร้ายๆก็เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ..แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิต..ที่เป็นของมึงเอง อาจจะไล่ตามความฝัน ..ปาร์ตี้กับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่กับคนที่มึงรัก’

         ‘…’

         ‘ทำสิ่งที่มึงชอบ ทำในสิ่งที่มึงรัก พอถึงตอนนั้นแล้วมึงก็จะมีความสุข’

         ‘เปลวรู้มั้ยว่าทุกอย่างที่เปลวบอกมาเนี่ย สำหรับเราแล้วมันคือสิ่งๆเดียวกันเลย’

         ‘…’

         ‘สิ่งนั้นคือ..เปลว’

         ‘…’

         ‘แค่มีเปลวเราก็มีความสุขแล้ว’

         ‘อันนี้ประโยคบอกรักทางอ้อมปะวะ’

         ‘เฮ้ยไม่ได้หมายความแบบนั้น.. เราหมายถึงอยู่กับเปลวแล้วเรามีความสุขดี’

         ‘งั้นกูก็คงไม่ต่างจากมึง’

         ‘…’

         ‘อยู่กับมึงแล้วมีความสุขดี’



        “สำออยฉิบหาย” มือข้างหนึ่งของเทียนไขออกแรงบีบลงไปที่ศีรษะของคนตรงหน้าอย่างรุนแรงก่อนจะสบัดปล่อยให้มันกระแทกไปกับผนัง

       “โอ๊ย…” เสียงร้องนั่นดังขึ้นกว่าเดิม ร่างสูงที่เคยสง่าผ่าเผยถึงกับทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น เขาใช้สองมือเกาะกุมศีรษะของตัวเองไว้แน่น

       “ไม่ต้องเสือกแสดงว่าตัวเองเจ็บหรอก” เทียนไขมองภาพคนตรงหน้านอนขดคู้แสร้งทำเป็นเจ็บอย่างหมั่นไส้

       “..เจ็บ..”

       “ถุ้ย ขนาดกูมึงยังไม่เคยเห็นใจเลยไอ้เหี้ย!!”

       “..โอ๊ย ..ฮือ ช่วยด้วย..”

       “มึงหูหนวกหรอไอ้ควาย”

       “…ช่วยด้วย”

       “อยากให้ช่วยมากนักหรอ”

       “…”

       “..กราบตีนกูดิ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงกล้าพูดไปแบบนั้น คงจะเพราะเขามั่นใจล่ะมั้งว่าคนอย่างเปลวไม่มีทางทำ แต่ทว่า…

       “ช่วย..เราหน่อย ..ได้มั้ย เราเจ็บ..” สองมือที่สั่นเทาของเปลวกลับกำลังประสานกันและกำลังก้มลงไปกราบแทบเท้าของเขา

       “…” เทียนไขได้แต่แค่นยิ้มกับภาพที่เห็นก่อนจะชักเท้าถอยหลัง ..มันเหนือความคาดหมายของเขาเยอะ แต่บอกตรงๆเลยว่าสะใจดีเหมือนกัน “กูไม่ช่วย”

       “…”

       “ตอนกูเจ็บ…กูก็เคยขอมึงแบบนี้ มึงยังไม่เคยฟังกูเลย”

       “ร..เราจำไม่ได้ ฮือ…ขอโทษ ขอโทษ..ข” ใบหน้าหล่อขยับมาแนบกับรองเท้าหนังของเขาเพื่อขอความเห็นใจพร้อมกับพร่ำคำขอโทษอันแสนไร้ค่าออกมาซ้ำๆ

       “มึงตายนู่นแหละ กูถึงจะยกโทษให้ได้”























       



       

       





       

       



   





















       เวลาผันผ่านไปจนเช้าวันใหม่มาเยือน วันนี้เทียนไขก็มีเรียนตั้งแต่เช้าเช่นเคย เอาจริงๆก็มีเรียนเช้าทุกวันนั่นแหละ แถมบางวันอาจจะเช้ากว่าสมัยเรียนมัธยมซะอีก แต่มันก็ไม่ได้แย่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในทางที่เขาชอบมันไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออะไรเลย กลับกันมันยิ่งน่าค้นหามากขึ้นๆ และนั่นก็เป็นแรงใจที่ดีเลยที่ทำให้เทียนไขไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน

       “พล มึงอยู่ไหน กูอยู่ตึกคณะแล้วนะ” เสียงใสเอ่ยพูดเพื่อส่งสารไปยังปลายสาย

       [วันนี้กูสายว่ะ โทษทีที่พึ่งบอก] และคำตอบที่อีกฝ่ายตอบกลับมาก็ทำเอาบุคคลที่ตื่นเต้นดีใจที่จะได้เรียนเนื้อหาใหม่ๆอย่างเขาจนมาตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ต้องหงอยไปเลยทีเดียว

       “เออๆไม่เป็นไร แล้ว..ทำไมถึงสายวะ เมื่อวานมึงก็มาโคตรเช้า มาก่อนกูอีก”

       [วันนี้กูก็จะไปเช้านั่นแหละ แต่ว่าไอ้โจ้มันโทรมาบอกกูพอดี ตอนนี้กูอยู่โรงพยาบาล]

       “อ่าว ใครเป็นไร”

       [แป็ปนึงนะ อย่าพึ่งวาง กูไปคุยกับไอ้โจ้แป็ป] ไม่ทันที่เทียนไขจะได้พูดอะไรต่อ ปลายสายก็มีแต่เสียงลมซะแล้ว …แต่เอาจริงๆแล้วใครจะเป็นอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขามากมายอะไรขนาดนั้นหรอก ก็แค่ถามเฉยๆเป็นมารยาท นี่ถ้าไอ้พลไม่บอกเขาก็จะไม่เซ้าซี้อะไรต่อเลย…เทียนไขคิดแบบนั้น



       ตุบ

       กระเป๋าสะพายคู่ใจถูกวางลงบนโต๊ะสีขาวภายในห้องเรียนคาบแรก ไม่นานนักเจ้าตัวก็ฟุบลงไปกับโต๊ะเพราะไม่รู้จะทำอะไร จริงๆถ้ามีไอ้พลมานั่งข้างๆป่านนี้ก็คงเล่นเกมไม่ก็ช่วยๆกันสรุปเนื้อหาที่เรียน แต่แย่ตรงที่ที่ข้างๆมันไม่มีใครเลย ในห้องก็มีคนอยู่แค่ห้าหกคนเท่านั้น

       [ฮัลโหลๆ มึงยังอยู่เปล่า หรือวางไปแล้ววะ..]

       “หึ ยังไม่วาง ไม่อยากวางเลยว่ะเหงา”

       [เออน่าเดี๋ยวเที่ยงๆกูไป]

       “โห งี้กูก็ต้องอยู่คนเดียวไปครึ่งวันเลยอะดิ”

       [วันเดียวน่า อาการไอ้เปลวยังแย่อยู่เลย]

       “…เดี๋ยว”

       […]

       “เดี๋ยวนะ..”

       [เดี๋ยวอะไรของมึงวะ..]

       “เปลวอยู่โรงพยาบาลหรอ..” ฝ่ามือที่ถือโทรศัพท์แนบกับใบหูจู่ๆก็สั่นระรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ บางอย่างที่เขานึกสงสัยมาตลอด บางอย่างที่มันติดอยู่ลึกๆภายในใจที่เขาเลือกที่จะมองข้ามมันไปโดยไม่คิดสนใจ

       [ใช่ เมื่อคืน ตอนประมาณเที่ยงคืนมั้งมีพยาบาลโทรมาหาไอ้โจ้บอกว่าไอ้เปลวอยู่โรงพยาบาล]

       “มัน..มันเป็นไรวะ..”



       บางอย่าง..ที่เขาเลือกที่จะกลบมันไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด..







       ‘ขอให้มึงรู้ไว้ เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง…กูสัญญา’







      [หมอบอกว่าสมองมันกระทบกระเทือน ตอนนี้อยู่ ICU]



       



       

       


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
07
เปลว 1/2
50%




      ‘แม่ครับ ทำไมแม่ถึงต้องวาดรูปบ้านของเราด้วยล่ะครับ?’

       ‘แม่อยากให้ใครก็ตามที่มาบ้านเราได้เห็นไง ว่าบ้านเรานั้นสุขสงบและน่าอยู่ขนาดไหน’

       ‘แล้วรูปเปลวล่ะครับ ทำไมแม่ถึงต้องวาดรูปเปลวด้วย?’

       ‘แม่วาดเปลวก็เพราะว่าอยากจะให้ทุกคนได้จดจำคนเก่งของแม่เอาไว้ในความทรงจำ’

       ‘แล้วรูปนี้ล่ะครับแม่ ทำไมแม่ถึงวาดพ่อ แม่ แล้วก็เปลว?’

       ‘แม่วาดก็เพราะว่า..อยากให้รูปๆนี้ เป็นสัญลักษณ์ว่าเราสามคนจะอยู่ดูแลเคียงข้างกันไปนานๆ”

       ‘นานขนาดไหนหรอครับแม่’


      ‘…ตลอดไปครับคนเก่ง’







       เสียงโทนนุ่มและอ่อนหวานน่าฟังที่เอ่ยบอกกับเปลวในวันนั้นยังคงย้ำเตือนให้เขารับรู้สถานะของตัวเองอยู่ทุกขณะผ่านทุกเซลล์ประสาทสัมผัสในทุกครั้งที่ฝ่ามือของเขาได้จับปลายดินสอ

       ผ่านมาแล้วนับสิบๆปีที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น

       เหตุการณ์ที่…เปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆหนึ่งไปตลอดกาล









       “คุณอย่ามายุ่งกับฉัน เลิกยุ่งเลิกวุ่นวายกันซักที! รู้ตัวมั้ยว่าคุณมันน่ารำคาญขนาดไหน!!” เสียงที่เคยหวานนุ่ม...เสียงที่เคยน่าฟัง หากแต่ทันทีที่เธอคนนี้ได้ลั่นประโยคนี้ออกมา น้ำเสียงที่เธอพ่นสาดก็กลับกลายเป็นเสียงแผดร้องตะโกนดังลั่นไปทั่วอาณาบริเวณ

       “คุณใจเย็นๆก่อน ผมขอโทษ คุณอย่าไปจากผมเลยนะ อย่างน้อยก็คิดถึงเปลวเถอะ อยู่ด้วยกันอีกซักหน่อย..เพื่อเปลว..” ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงเสียงแหบพร่าของผู้เป็นพ่อเท่านั้น เขากำลังโอดครวญอ้อนวอนต่อคนรักโดยมีความหวังลมๆแล้งๆหล่อเลี้ยงหัวใจ เด็กน้อยวัยเพียงแปดขวบผู้ถูกเอ่ยถึงในบทสนทนาทำได้เพียงนั่งกอดเข่าปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสายไม่รู้จบ ไม่มีหนทางใดเลยที่เด็กน้อยอย่างเขาจะเข้าไปแทรกกลางเรื่องแบบนี้ได้

       ถึงแม้ในใจ…อยากจะเข้าไปขอร้องให้แม่อยู่กับตนมากแค่ไหนก็ตาม



       “เพื่อไอ้เด็กนี่อะหรอ ทำไมฉันต้องทำเพื่อมันด้วยถามก่อน?” ..ก้มหน้า ก้มหน้าให้ลึกมากกว่านี้ พ่อจะได้ไม่เห็นว่ามึงอ่อนแอ เสียงเล็กๆเฝ้าบอกตัวเองย้ำๆอยู่ในใจ

       “เถอะนะคุณ เปลวยังต้องการแม่..”

       “ฉันไม่ใช่แม่ของมัน” เสียงตอบกลับของเธอแม้จะเรียบๆ แต่มันก็ดังพอที่จะสะท้านไปทั่วทั้งใจของคนฟังอย่างเปลว น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกโดยไม่รู้หยุด

       “แต่อย่างน้อยครั้งนึงคุณก็เคยรักเด็กคนนี้..”

       “แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้รักมันแล้ว”

       “…”

       “ไอ้เปลวมันไม่ใช่เด็กโง่ มันโตของมันได้อยู่แล้ว อีกอย่างคุณก็มีปัญญาส่งเสียมันให้เรียนสูงๆได้อยู่แล้ว เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องมีแม่หรอก” ได้ยินแล้วใช่มั้ยเปลว.. ต่อไปนี้..แกจะไม่มีแม่อีกแล้ว

       “คุณ.. อย่าไปเลยนะ ผมขอร้อง..อยู่กับผม…” เข่าทั้งสองข้างกระทบลงกับพื้นพร้อมกับฝ่ามือที่ยันพื้นเอาไว้ และผลตอบรับที่เขาได้ก็คือ..เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้องที่ค่อยๆดังไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง..หายไปกับความเงียบงัน



       …ถึงแม้ในหัวใจจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่เปลวจะสามารถแสดงออกไปได้ เสียงสะอื้นจากการร้องไห้และคราบน้ำตานั้นทันทีที่พ่อของเขาลุกขึ้นมาเขาก็ต้องรีบเก็บซ่อนมันไปให้เร็วที่สุด

       “เพราะมึงเลยไอ้เด็กเหี้ย!” แข้งขาอันแข็งแกร่งตวัดฟาดลงกลางลำตัวของเด็กน้อยอย่างไร้ความปราณีทันทีที่เธอคนนั้นออกไป ผู้เป็นพ่อคิดเพียงแค่ว่าเป็นเพราะไอ้มารหัวขนคนนี้นี่แหละที่มันสะเหล่อเกิดมาทำให้แม่แท้ๆของมันตาย ถ้าไม่มีมันมาเป็นภาระ...ภรรยาคนเก่าของเขาก็คงจะอยู่เคียงข้างเขาจนถึงทุกวันนี้  เขาก็ไม่ต้องมาเริ่มต้นชีวิตคู่ใหม่กับคนไม่รู้จักพอ แต่ท้ายที่สุดแล้วพอไอ้เด็กนี่มันเกิดมาทุกอย่างก็พังทลายไปเสียหมด แม้แต่ชีวิตคู่ครั้งใหม่ของเขาเองก็ด้วย

       “เป็นเพราะมึงคนเดียวเลยไอ้เหี้ยเปลว!” หมัดหนักๆทุบลงไปกลางกระโหลกเล็กของเด็กน้อย ผู้ถูกกระทำอย่างเขาทำได้แค่กัดฟันทนรับความเจ็บปวดเท่านั้น ห้ามแม้แต่จะส่งเสียงเรียกร้องอะไร

        “มึง..เพราะมึง… มึงเกิดมาทำไม..” หมัดแล้ว..หมัดเล่า สาดซัดใส่ลำตัวของเปลวอย่างไม่หยุดยั้ง บนผิวสีไข่ที่ถูกกระทำเริ่มปรากฏรอยม่วงช้ำ กระพุ้งแก้มกระแทกกับเหลี่ยมฟันจนเกิดแผลภายในปาก เลือดบางบริเวณไหลลงมาไม่หยุด ถึงกระนั้นแล้ว…เปลวก็ต้องทนเจ็บต่อไป จนกว่าจะสาแก่ใจพ่อตัวเอง





       สิ่งที่พอจะเป็นกาวคอยเชื่อมใจที่แตกสลายของเขาได้มีเพียงสองสิ่ง สิ่งแรก...คือกระดาษสีขาวอันว่างเปล่ากับดินสอไม้ ..หลังจากที่พ่อทุบตีทำร้ายเขาจนสาแก่ใจแล้ว เปลวก็จะพาร่างของตัวเองมานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำการบ้าน หยิบกระดาษขึ้นมาพร้อมกับใช้มือขวาจับปลายดินสอ ก่อนจะจรดดินสอลงบนแผ่นกระดาษ วาดรูปแม่ของเขาออกมา ถึงแม้เธอคนนี้จะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่เปลวก็รักเธออย่างสุดหัวใจ เพราะฉนั้นแล้วแม้ตอนนี้คนๆนั้นจะจากไปไกลแต่ก็ยังพอหลงเหลือสิ่งที่ทำให้นึกถึงเธอได้อยู่ ซึ่งก็คือ ‘ภาพวาด’ ที่เธอคนนั้นสอนให้วาดนั่นเอง ..ทุกครั้งที่เส้นร่างเป็นใบหน้าของแม่ หัวใจของเขาก็จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทุกครั้ง แต่ถึงจะอบอุ่นใจขึ้นมามากมายเพียงใด น้ำตาเม็ดใสก็ยังคงไหลอาบสองข้างแก้มอยู่ดี

       ‘เปลวรักแม่นะ’ ประโยคบอกรักที่ไม่เคยส่งไปถึงเธอคนนั้นเลย



       อีกสิ่งหนึ่งคือ ‘โรงเรียน’ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความสนุก ทุกๆวันที่เปลวต้องมาโรงเรียนเขาไม่เคยคิดเบื่อเลยซักครั้ง เพื่อนๆของเขาทุกคนคอยสร้างเสียงหัวเราะให้เขาได้เป็นอย่างดี ความเศร้าโศก เจ็บปวด และทรมานจึงทุเลาลงไปบ้าง แต่สุดท้ายพอตกเย็นเปลวก็ต้องกลับไปเจอความเศร้าโศก เจ็บปวด และทรมานอีกเช่นเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกิดขึ้นวนเวียนไปไม่รู้จักจบ



       วันเวลาผันผ่านไปจนกระทั่งเปลวได้เข้าสู่ช่วงปลายประถมต้น ชีวิตเขาตอนนั้นถึงได้เป็นดั่งท้องฟ้าหลังพายุฝนอันสวยงาม ช่วงนั้นพ่อของเขามีงานที่ต้องสะสางมากมายจนต้องทำโอที บางวันก็ไม่ได้กลับบ้าน กลับทีก็ดึกดื่นค่อนคืน ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ต้องไปเป็นที่ระบายโทสะของพ่อเขาอีก

       เด็กน้อยได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น หลบหลีกจากความเศร้าที่เคยอยู่ร่วมกันมานับแรมปีไปหาความสุขสมรื่นเริงอย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงจะได้รับ

       และใช่ ด้วยเหตุนี้...เปลวถึงได้ให้ความสำคัญกับเพื่อนมากๆ เพื่อนคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา เปลวให้ทุกอย่างเท่าที่จะให้เพื่อนได้ แน่นอนว่าเด็กน้อยไม่ประสีประสาก็ไม่รู้หรอกว่าการถูกหลอกมันเป็นยังไง ดังนั้นแล้วสิ่งที่เปลวประสบพบเจอจากเพื่อนในสมัยนั้นจึงเป็นการถูกหลอกเอาเงินไป นานวันเข้าก็เริ่มสะสมไปเรื่อยๆจนคนเป็นพ่อเริ่มสงสัย



        ท้องฟ้าหลังพายุที่เคยสวยงามจึงได้กลับมาถูกครอบคลุมด้วยหมู่เมฆสีทะมึนอีกครั้ง



       ..แต่เปลวกลับไม่ได้บอกความจริงกับพ่อไปว่าตัวเองถูกเพื่อนหลอกเอาเงิน เขากลับยอมให้คนเป็นพ่อทุบตีเป็นที่ระบายโทสะอีกครั้ง อาจจะแย่หน่อยตรงที่ว่า..ในตอนนั้นพ่อของเขาติดเหล้า เพราะงั้นแล้วทุกครั้งที่หมัดหรือแข้งขาได้กระทบลงบนลำตัวเขามันก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้หยุดง่ายๆเลย

       ชีวิตของเปลวดำเนินไปแบบนั้น สามวันดี...สี่วันทรมาน การที่ลำตัวของเขามีแต่บาดแผลนั้นเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนหรือใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นเขาจะได้รับรู้ เปลวเองก็เคยได้ยินคำว่า ‘สงสาร’ มาจากคนอื่นบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครนึกจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจริงๆจังเลยซักครั้ง

       จนกระทั่งเขาได้มารู้จักกับเพื่อนคนนึง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

       ‘ไอ้แม็ก’ นั่นเอง



       พวกเขามาสนิทกันตอนประถมปลาย ในตอนนั้นเปลวรัก ไว้ใจ และเชื่อใจเพื่อนใหม่ของเขาอย่างสุดซึ้ง ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ไอ้แม็กต่างก็รู้ดีว่าเปลวผ่านอะไรมาบ้าง และมันก็แตกต่างกับคนอื่นๆตรงที่มันกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเปลว ด้วยความที่พ่อของไอ้แม็กทำงานในบริษัทเดียวกันกับพ่อของเปลว และมันก็สนิทกับพ่อตัวเองมากๆ เป็นพ่อลูกที่ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ทุกปัญหา วิธีที่ไอ้แม็กใช้จึงเป็นการไปปรึกษากับพ่อแล้วให้พ่อชวนพ่อของเปลวไปเที่ยวหรือไปไหนต่อก็ได้ให้กลับดึกๆ สำหรับเปลวแล้ว..มันก็ได้ผลดีมากๆ เขาไม่ต้องเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอะไรอีก

       นอกจากนี้ไอ้แม็กยังช่วยสอนอะไรหลายๆอย่างให้เปลวได้รับรู้ด้วยเหมือนกัน ..หนึ่งความคิดที่ตกตะกอนได้ในหัวเปลวก็คือ ‘เราทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องระบายความอารมณ์ของใคร’ ซึ่งมันทำให้เปลวในตอนนั้นเริ่มเข้มแข็งมากขึ้น เขาไม่ได้ร้องไห้ขี้แยเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป เวลาที่พ่อกลับมาแล้วอารมณ์ร้อนคิดจะทำร้ายเขา เปลวก็จะลุกหนีขึ้นไปบนห้องก่อนหรือไม่ก็วิ่งหนีออกไปจากบ้านให้ไกล อาจจะไปเล่นเกมหรืออ่านหนังสือที่บ้านไอ้แม็ก แล้วค่อยกลับมาในตอนที่พ่อนอนหลับไปแล้ว ทุกวันนี้เขากับพ่อเลยแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว อาจจะดูแย่แต่สำหรับเปลวแล้ว อย่างน้อยเลยการที่ไม่ต้องมาพูดจาเสวนาอะไรกับคนเป็นพ่อมันก็ทำให้ร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำใดๆอีก

       เด็กน้อยไม่ประสีประสาอย่างเปลวในตอนนั้นคิดว่าการที่ชีวิตเขาดีขึ้นได้เป็นเพราะเพื่อนคนนี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงรักเพื่อนคนนี้มากๆ หากมีโอกาสก็จะหาสิ่งตอบแทนมาให้ทุกครั้ง



       ‘แม็ก  ถ้ามึงอยากได้อะไรมึงบอกกูนะ กูหามาให้มึงได้ทุกอย่างเลย’

       ‘จริงหรอ กูอยากได้ PS2 ว่ะ’

       ‘ได้ เดี๋ยววันอาทิตย์ไปซื้อกัน ให้พ่อมึงพาไป แต่เอาตังค์กูซื้อ’



       ‘เปลว กูโดนพ่อทำโทษว่ะ เขาไม่ให้ตังค์กูใช้เลยอะอาทิตย์นี้..’

       ‘ไม่เป็นไร กูพอมีอยู่ มึงอยากกินอะไรก็บอกกู เดี๋ยวกูซื้อให้’



       ..เปลวตามใจเพื่อนใหม่ของเขาทุกอย่าง จนสุดท้ายแล้วความเกรงใจที่เพื่อนควรจะมีก็มลายหายไป



       ‘เปลว โทรศัพท์มึงรุ่นใหม่เลยนี่หว่า อยากได้บ้างว่ะ ซื้อให้หน่อยได้ปะวะ’

       ‘…’

       ‘ถ้าได้น้า…กูจะไม่ขออะไรมึงอีกเลย แต่ถึงยังไงมึงก็มีเงินอยู่แล้วนี่ ..โทรศัพท์แค่หมื่นกว่าๆคงไม่ทำให้มึงต้องกินแกรบหรอกมั้ง ใช่ปะ?’

       ‘โทษทีว่ะแม็ก กูไม่มีเงินเลย วันก่อนที่กูไปบ้านมึงกูก็เลี้ยงมึงจนเงินไม่เหลือแล้ว’

       ‘โห่เปลว มึงก็ขอพ่อดิ พ่อมึงให้อยู่แล้ว’

       ‘แม็ก.. มึงก็รู้ว่าพ่อกูเป็นยังไง’

       ‘จะเป็นไรวะนิดเดียวเอง’

       ‘ไม่ได้จริงๆว่ะ.. กูกลัว..’

       ‘งั้นก็ไปไกลๆกูไปไอ้สัด’

       ‘…’

       ‘กูช่วยอะไรมึงตั้งหลายอย่างนะไอ้เปลว ทีกูขอให้ช่วยบ้างนี่มีปัญหาตลอด’

        ‘..ได้ ง..งั้น..เดี๋ยวกูจะลองขอพ่อให้’



       ..สุดท้ายแล้วเปลวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะลองไปคุยกับพ่อดู เพราะถ้าจะให้เลือกโดนทุบตีกับไม่มีเพื่อนคบ...เขายอมโดนทุบตีดีกว่า



       ‘มึงจะเอาเงินไปทำไรเยอะแยะวะไอ้เหี้ยนี่ ตัวเท่าลูกหมาใช้เงินเก่งฉิบหาย มึงคิดว่ามันหาได้ง่ายๆหรือไง ..ที่กูต้องกลับบ้านดึกดื่นค่อนคืนก็เพราะกูต้องหาเงินมาให้มึงกินมึงใช้ แล้วดูสิมึงเคยคิดสงสารกูบ้างมั้ยวะไอ้ลูกเณรคุณ!’ เสียงแหบพร่าอย่างเหนื่อยอ่อนของชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อตวาดลั่นอย่างไม่สบอารมณ์ ในครั้งนี้ไม่มีการทุบตีเหมือนครั้งก่อนๆอีก มีเพียงแค่ถ้อยคำร้ายๆที่พร้อมจะบั่นทอนทุกเสี้ยวของจิตใจ

       ‘นะพ่อ.. เปลวไม่เคยขออะไรพ่อเลยนะ..นะครับ..’

       ‘กูไม่ให้ มึงสำเหนียกตัวเองบ้างมั้ยวะ ไอ้เหี้ยนี่!’

       ‘…’

       ‘สำเหนียกบ้างมั้ย..ว่าเป็นเพราะมึงเกิดมาแม่มึงเลยตาย!’ และมันก็..เจ็บกว่าหมัดหนักๆหรือแม้แต่แข้งขาของพ่อหลายเท่า



       ..หยดน้ำตาเม็ดใสไหลลงมาโดยอัตโนมัติอย่างกลั้นไว้ไม่ได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ตัวล่ะว่าเขาเป็นสาเหตุทำให้แม่ต้องตาย ทำไมเขาจะไม่รู้..ว่าตัวเขาน่ะ ไม่สมควรเกิดมาเลยซักนิด เปลวรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว..



       ‘ขอโทษที่…เปลวเกิดมานะพ่อ’



       ..รู้อยู่แล้วว่าตัวเขาสมควรตายมากกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อความว่างเปล่า







       แต่ว่า..ปัญหาก็ไม่ได้จบแค่นั้น ในเมื่อเปลวไม่มีเงินพอที่จะซื้อ คำว่า ‘เพื่อน’ ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของเขา ก็ไม่มีอีกต่อไป



       ‘แม็ก..กูขอโทษนะเว้ย แต่กูไม่มีเงินจริงๆว่ะ’

       ‘…’

       ‘มึงรอกูก่อนได้ไหม..ซักเดือนสองเดือนเดี๋ยวกูซื้อให้มึงแน่ๆ’

       ‘ไม่รอหรอกไอ้สัด ไปไหนก็ไป ไร้ค่าว่ะมึงเนี่ย!’

       ‘…’



       ..หมดสิ้น..ทุกสิ่งอย่าง







       …หลังจากนั้นมา ชีวิตของเปลวก็ไม่มีโอกาสได้แตะต้องคำว่า ‘ความสุข’ อีกเลย..

       เขาถูกจำกัดทุกอย่างจากผู้เป็นพ่อด้วยข้อหาที่ว่าเปลวใช้เงินเกินตัว เขาไม่มีสิทธิ์ได้ออกไปไหน ไม่มีสิทธิ์ได้ดูทีวีหรือเล่นเกม ไม่มีสิทธิ์ใช้โทรศัพท์หรือติดต่อใครผ่านสังคมออนไลน์ แม้แต่สิทธิ์ในชีวิตตัวเอง เปลวก็..แทบจะไม่มี

       ตอนแรกเขาเคยคิดว่าจะเรียนต่อที่โรงเรียนสาธิตของมหาลัยดังๆ แต่พอถึงเวลาพ่อกลับไม่ให้เขาได้เรียนต่อที่นั่น เอาจริงๆมันก็มีเหตุผลอยู่ เปลวและพ่อต้องขายบ้านที่เคยอยู่มาทั้งชีวิตทิ้งไป รอจนได้เงินแล้วไปหาซื้อบ้านหลังใหม่ที่ถูกกว่าแถวๆชานเมืองแทนเพราะสภาวะการเงินที่มีปัญหา ดังนั้นแล้วโรงเรียนที่เปลวจำเป็นที่ต้องเข้าศึกษาต่อจึงเป็นโรงเรียนธรรมดาๆแถวๆนั้นแทน

       

       ..วันเวลายังคงหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้งจนมาถึงวันแรกของการขึ้นศึกษาต่อในชั้นมัธยมหนึ่ง วันนี้เด็กชายเปลวคุณพ่อขับรถมาส่งถึงโรงเรียน บรรยากาศในรถตลอดทางมีแต่ความอึดอัดและเงียบงันแต่พอถึงหน้าโรงเรียนคนเป็นพ่อกลับมีสีหน้าตกอกตกใจ สายตาจ้องมองไปที่เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนสกปรกมอมแมมคนนึงที่กำลังเดินเข้าโรงเรียน

       “…” คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับนักโทษก่อนนักโทษคนนั้นจะถูกประหารชีวิตฉายย้อนเข้ามาในหัวของคนเป็นพ่อ



       ‘พี่ชัย อีกไม่กี่วันผมก็จะถูกประหารแล้ว ผมขอ..ไหว้วานอะไรพี่อย่างนึงได้มั้ย’

       ‘ว่าไง’

       ‘พี่จำได้ใช่มั้ยที่ผมเคยบอกว่าผมมีเมียที่ติดโรคผมไปแล้วกับลูกที่พึ่งได้ ป.3 เมื่อไม่นานมานี้’

       ‘..จำได้สิ’

       ‘ผมฝากพี่ดูแลพวกเขาหน่อยได้ไหม..พวกเขา…ไม่เหลือใครแล้วจริงๆ’

       ‘…’

       ‘โดยเฉพาะลูกของผม.. เขายังเด็กมาก ผมขอให้พี่รับเขาไปอยู่ด้วยได้ไหม ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของผม..’

       ‘…’

       ‘นะพี่..นะ.. สัญญากับผมนะ..’

       ‘เออๆ พี่สัญญา..’



       คำสัญญาที่เขา...ไม่ได้ทำตามที่ตัวเองพูดออกไปเลยแม้แต่น้อย





       “เปลว…พ่อขออะไรอย่างนึง” เสียงของคนเป็นพ่อดูอ่อนลง น้ำลายฝืดๆถูกกลืนลงคอไปอึกใหญ่ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เต็มประดา

       “…?” เด็กน้อยในชุดนักเรียนตัวใหม่สีขาวสะอาดได้แต่ทำหน้างงงันกับปฏิกิริยาของพ่อ ปกติไม่เห็นแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘พ่อ’ เลยซักครั้ง เขาเองก็แทบจะลืมไปแล้วว่าเคยมี ‘พ่อ’ กับคนอื่นด้วย

       “ช่วยไปสนิทกับเด็กคนนั้นหน่อยนะ.. เห็นใช่มั้ย ที่ใส่ชุดเก่าๆคนนั้นน่ะ”

       “…” เปลวเปรยสายตาไปมองหาคนที่พ่อบอกจนไปสะดุดเข้ากับคนที่พ่อหมายถึง “คนนั้นหรอ?”

       “นั่นแหละ..คนนั้น ช่วยไป..เป็นเพื่อนกับเขาทีนะ..” และเพราะคำๆนี้…เรื่องราวทุกอย่างจึงได้เริ่มขึ้น



















       เปลวทำตามสิ่งที่พ่อไหว้วานอย่างว่าง่าย เพราะเขาเองก็ไม่มีเพื่อนเลยเหมือนกัน เปลวเดินตามหลังเด็กในชุดนักเรียนเก่าๆไปติดๆ ก่อนจะเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตร

       “เฮ้ย มึงอะ” ก็เป็นมิตรเสียจน..ทำเอาคนถูกเรียกสะดุ้ง

       “หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง” คนตรงหน้าไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมาสนใจเขาซักที แถมยังเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกเมื่อเขาพยายามบอกให้หยุด

       “เอ้า รอกูก่อน” สุดท้าย ก็เป็นเขาที่ต้องเร่งฝีเท้าวิ่งตามไป เปลวใช้ฝ่ามือแตะไหล่อีกฝ่ายพร้อมกับหยุดกึกแล้วหายใจสูดเอาอากาศเข้าไปถี่รัว “เฮ้อ เหนื่อยเลย..”

       “มีอะไรรึเปล่า..” เด็กผู้ชายตรงหน้าตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูเลิ่กลั่กและหวาดระแวง ซึ่งก็คงจะไม่แปลกอะไรที่จะตกใจกลัวเพราะถ้าเป็นเขาเอง เขาก็คงตกใจไม่แพ้กันที่จู่ๆมีคนมาทักแบบนี้

       “พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..” เปลวตอบ

       “…” ทว่าคนตรงหน้ากลับเอาแต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่พยางค์เดียว สายตาจับจ้องอยู่แต่บนใบหน้าของเขาจนทำเอารู้สึกประหม่าขึ้นมา

       “ได้มั้ย..?” เปลวส่งเสียงเว้าวอนออกไปอีกครั้ง ..พอมามองดูดีๆแล้วคนตรงหน้าเขาตอนนี้เอาจริงๆก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย ดวงตาที่กลมโต ปากนิด จมูกหน่อย คิ้วเป็นทรงอย่างธรรมชาติ ทุกสิ่งอย่างล้วนดูเข้ากันไปเสียหมดเพียงแต่ถูกร่องรอยของดินของฝุ่นบดบังไว้ก็เท่านั้น

       “เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน” อีกฝ่ายให้คำตอบกับเปลวด้วยใบหน้านิ่งๆไร้อารมณ์ใดๆ ซึ่งก็ดูกวนส้นเท้ามากๆจนทำเอาเปลวหลุดขำออกมา

       ”อ่าว… ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย” เขาหัวเราะร่วนออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่ ถึงจะดูเสียมารยาทแต่กลับกันคนตรงหน้าเขากลับมีรอยยิ้มปรากฎออกมาแต่งแต้มให้ใบหน้าหล่อที่ถูกบดบังนั้นดูเด่นขึ้นมาได้อย่างน่าหลงใหล รับรู้ถึงความจริงใจที่ส่งผ่านออกมาผ่านรอยยิ้มบางๆนั้น



       เพียงเท่านี้..เปลวก็มั่นใจแล้วว่า เขาได้เจอเพื่อนแท้ของเขาแล้ว





       ในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้จักเทียนไขจริงๆ เพราะงั้นเขาจึงคิดว่าเทียนไขก็เป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งเหมือนๆกันกับเขา ซึ่งก็..คิดแบบนั้นไปได้จนถึงช่วงเย็นของวันเดียวกันเท่านั้น  เปลวถึงได้เข้าใจทุกอย่าง..

       รอยยิ้มเมื่อเช้าที่เขาได้เห็นก็เช่นกัน เขาได้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยิ้มแบบนั้นออกมาทั้งๆที่ตัวเองกำลังแบกรับความเจ็บปวดทรมานอยู่ ซึ่งเปลวก็..เข้าใจมันได้เป็นอย่างดี..



       เปลวตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นเทียนไขกำลังเดินลงน้ำด้วยสายตาที่เลื่อนลอยไร้จุดหมายพร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลนองอาบสองแก้ม เขาจึงไม่รอช้าและรีบกระโดดลงไปช่วยให้เร็วที่สุดโดยไม่สนเลยว่าผืนน้ำนี้มันจะเหม็นสาบขนาดไหน

        ใช้เวลาไม่นานนักเปลวก็ช่วยเพื่อนของเขาได้สำเร็จ คนตรงหน้าสำลักน้ำและอาเจียนออกมาหลายระลอกจนหน้าแดงตัวแดงไปหมด พอเห็นสภาพแบบนี้แล้วในใจของเปลวก็หวั่นๆแปลกๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าพอจะเรียกว่าเป็นห่วงได้มั้ยกับคนที่พึ่งรู้จักกันวันแรกแบบนี้ แต่ลึกๆในใจของเปลว เขา..รู้สึกแบบนั้นอยู่จริงๆ



       “เออแล้วนี่เปลวไม่กลับบ้านหรอ ค่ำแล้วนะ” เทียนไขมองไปนอกหน้าต่างก่อนจะหันกลับมาถามเขา

       “เดี๋ยวรอพ่อมารับอะ จริงๆก็ไม่อยากกลับบ้านหรอก” เปลวตอบไปตามความจริง ในความรู้สึกของเขาถ้าเลือกได้ล่ะก็..เขาจะไม่กลับไปเหยียบที่บ้านอย่างแน่นอน

        “ทำไมไม่อยากกลับล่ะ คนที่บ้านไม่ว่าเปลวแย่หรอ.. แม่เราเคยสอนว่าห้ามกลับบ้านหลังจากหกโมง ถ้าหลังจากนั้นจะถือว่าเถลไถล นี่เปลวกำลังเถลไถลแล้วนะเนี่ย”

        “หรอวะ แม่กูไม่เห็นสอนอะไรเลย”

        “…”

        “อยู่ไหนก็ไม่รู้”

        “เปลวไม่ได้อยู่กับแม่หรอ”

        “…” จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาเสียดื้อๆ ทำไมกัน..แค่ถูกถามคำถามแค่นี้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องร้องไห้เลย..

        “ขอโทษที่เราถามแบบนั้นนะ ..ไม่เป็นไร เปลวไม่ต้องตอบแล้ว ถือว่าเราไม่ได้ถามดีกว่า” คนตรงหน้าเหมือนจะจับสังเกตได้ จึงรีบออกตัวขอโทษขอโพยก่อนอย่างเร็วรี่ ซึ่งสำหรับเปลวแล้ว ..มันอบอุ่นหัวใจมากๆเลย เขารู้สึกได้เลยว่าคนๆนี้กำลังห่วงว่าเขาจะไม่รู้สึกไม่ดี ..นานมากแล้วที่เปลวไม่เคยมีคนห่วงใยเขาแบบนี้

        “ไม่เป็นไร..” เปลวยิ้มตอบ ก่อนจะสูดหายใจเข้าๆลึกแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ..มีบ้างที่ต้องพยายามกำมือแน่นๆเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล แต่การที่ได้ระบายออกไปมันก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายไปได้มากมายเลย “ก็จริง..กูไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ตั้งแต่กูเด็กๆแล้วล่ะ”

        “…”

        “แม่กูทำงานเกี่ยวกับวาดรูป..ที่เรียกว่า จิตรกร..ละมั้ง ไม่แน่ใจ ตอนกูเด็กๆเขาเลยสอนให้กูวาดรูป ..สอนให้วาดคน วาดต้นไม้ วาดบ้านหลังใหญ่ที่มีเขามีพ่อ..มีกู กูชอบวาดชอบเขียน..ก็เพราะเขา”

        “งั้นเปลวต้องวาดรูปสวยแน่ๆเลยเราว่า”

        “..มีอีกหลายอย่างเลยที่กูอยากให้เขาสอนกูวาด แต่มันคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เขาไปจากกู..ไปจากพ่อ ไปหาครอบครัวใหม่.. กูก็เลย..เลิกวาดรูปตั้งแต่นั้นมา” ใช่แล้ว.. หลังจากที่แม่จากเขาไปได้ไม่นาน เปลวก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะวาดรูปอีกต่อไป

        “แต่เปลวเคยชอบไม่ใช่หรอ”

        “ก็ใช่ ..แต่ไม่อยากวาด วาดแล้วคิดถึงผู้หญิงคนนั้น” เป็นความคิดถึงที่ไม่เคยส่งไปถึงเลย..

        “..เปลวเป็นคนบอกให้เราอย่าทิ้งความฝัน...”

        “…?”

        “เปลวฟังเรานะ.. แม่ของเปลวอาจจะผิดที่ทิ้งเปลวไปแบบนี้ แต่เปลวมองดูดีๆสิ แม่ของเปลวไม่ได้ทิ้งเปลวไปแบบไม่ใยดีซักหน่อย แม่ของเปลวทิ้งมรดกให้เปลวไว้ด้วย”

        “…ไม่มีอ่ะ”

        “มีสิ ‘การวาดรูป’ ที่แม่สอนเปลว นั่นแหละมรดกที่เธอให้เปลว แม่ของเปลวส่งต่อความสามารถ ส่งต่อความฝันให้เปลว”

        “…” เปลวจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งๆ ขณะเดียวกันในหูก็รับฟังสิ่งที่น้ำเสียงโทนหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของคนตรงหน้าพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ

       ..ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเขาเลยซักครั้ง จนเขาเองก็ฉุกคิดไม่ได้เลยว่าแม่ได้ทิ้งมรดกที่ว่านั้นไว้ให้เขาจริงๆ

       ‘ขอบคุณมึงมากๆ...ขอบคุณจริงๆ’ เปลวพร่ำบอกเทียนไขผ่านสายตาด้วยความจริงใจ

       ขอบคุณนะ..





















       

       ...หลังจากนั้นแล้วก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วเทียนไขก็ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันในบ้านของเขา เปลวยังจำอ้อมกอดแรกที่เขากอดต้อนรับสมาชิกคนใหม่ของบ้านอย่างเทียนไขได้ดีไม่มีวันลืม



       ‘บ้านหลังนี้จะไม่ทำให้มึงต้องร้องไห้อีก ..บ้านหลังนี้มึงจะมีแต่ความสุข’



       ถ้อยคำที่เปลวบอกกับเทียนไข ..ในตอนนั้นเขาพูดมันออกไปจากใจจริง เขาคิดแบบนั้นอยู่จริงๆ และสัญญากับตัวเองไว้แล้วด้วยว่าจะทำให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่มีแต่ความสุขของเทียนไข ซึ่งแต่ละวันก็ผันเวียนเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างที่เปลวตั้งใจ และเปลวก็ดีใจมากๆที่ได้เห็นเทียนไขมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะตัวเขาเองพอได้เห็น ‘เพื่อนรัก’ มีความสุขแบบนั้นแล้ว เขาก็มีความสุขไปด้วยเช่นกัน



        ทว่าผ่านไปได้แค่ปีสองปีโชคชะตากลับเล่นตลก ..ทันทีที่เปลวได้ก้าวเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย…ความสุขที่เขาเคยมีก็กลับกลายมลายหายไปจนหมดสิ้น



       ‘ประหยัดๆหน่อยนะมึงอะ ค่าเทอมมึงกูก็จะไม่มีจ่ายอยู่แล้วรู้ตัวซะบ้าง’ สภาวะการเงินที่ติดขัดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ทำให้เปลวต้องมาทนรับรู้ความตึงเครียดจากผู้เป็นพ่อทุกครั้งเวลาที่อยู่บ้าน เขาจึงเลือกที่จะอยู่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน พอเห็นว่าโรงเรียนจะมีกีฬาสีเขาเลยรีบไปสมัครเป็นนักฟุตบอลแล้วเคร่งซ้อมจนค่ำทุกวัน

       แต่ก็ยังดีที่เทียนไขมักจะมารอกลับพร้อมเขาอยู่เสมอ เพราะฉนั้นแล้วเขาจึงพอจะมีรอยยิ้มอยู่บ้าง



       แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด..


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       ‘ว่าไงไอ้เปลว…ไม่เจอกันนานเลยนะเพื่อน’ เสียงอันคุ้นหูที่เขาจำได้ดีเลยว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ..จำได้ดีเลยว่าครั้งหนึ่งเคยถูกคนๆนี้ขับไล่ไสส่งอย่างหมูอย่างหมาเพียงเพราะแค่ว่าเขาไม่มีเงิน

       ‘ไอ้แม็ก’ ย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเขา มันมาเพราะว่าต้องย้ายบ้านตามพ่อซึ่งพ่อมันก็ทำงานฝ่ายเดียวกันกับพ่อของเปลวเพราะงั้นแล้วก็เลยต้องย้ายตามมาด้วยเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางไปมาหาสู่ 

       เป็นความบังเอิญที่แสนประจวบเหมาะและลงตัว…



       ‘ย้ายมาเรียนนี่ไม่รู้จักบอกกูเลยนะเพื่อนเปลว นี่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่าเอ่ย?’

       ‘มึงเคยเห็นกูเป็นเพื่อนด้วยหรอวะถามก่อน’

       ‘เคยสิ เราก็ออกจะสนิทกันไม่ใช่หรอวะ หรือที่ผ่านมากูสนิทกับมึงฝ่ายเดียว’

       ‘…’

       ‘อ้อ จริงด้วยลืมเลย ปีหน้าพ่อมึงจะโดนปลดแล้วนะ ทางบริษัทเขาจะเอาพ่อกูขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดแทนพ่อมึงเพราะเขาจับได้ว่าพ่อมึงเอาเงินบริษัทไปใช้เป็นแสน ส่วนพ่อมึงไม่แน่ก็โดนไล่ออกเลย ฮ่าๆ กูกับพ่อกันฉิบหาย สงสัยจะกรรมตามสนอง’

        ‘ไม่..กูไม่เชื่อ..’

        ‘กูว่าแล้วว่ามึงต้องไม่เชื่อ มันก็แน่แหละเนอะ คนอย่างมึงมันไม่เคยสนใจพ่อตัวเองอยู่แล้ว มึงเกลียดพ่อมึงจะตาย’

        ‘…’

        ‘มึงคอยดูเอาปีหน้าเถอะว่ามันจะจริงอย่างที่กูพูดมั้ย’

        ‘…’

        ‘ไปก่อนนะจ๊ะ.. เอ้ยลืมเลย…ว่าจะมาเตือน..’

        ‘…’

        ‘เตรียมหายาทาแก้ปวดแก้บวมไว้ได้เลยนะเพื่อนรัก’

        ‘…’

        ‘เผื่อพ่อมึงจะเครียดหลังจากถูกปลดแล้วมาระบายโดยการเอาตีนฟาดหน้ามึงอย่างที่เขาเคยทำ’



       ...หลังจากนั้นเป็นต้นมา รอยยิ้มที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรอย่างเปลวก็ล้วนแต่เป็นรอยยิ้มจอมปลอมดุจดังหน้ากากที่ใส่ทับบนใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตา



       ‘พ่อเหนื่อยมั้ย..’ คำถามสั้นๆที่เปลวอยากจะเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นชายวัยกลางคนในชุดยูนิฟอร์มของทางบริษัทกลับมาบ้านยามดึกดื่นค่อนคืนด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ไม่เคยได้ถามออกไปเลยซักครั้งเพราะความรู้สึกกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่มักจะรู้สึกทุกครั้งเวลาต้องพูดกับคนเป็นพ่อ ต้นเหตุลึกๆก็แน่นอนว่ามันเป็นเพราะสิ่งที่พ่อเคยกระทำกับเขานั่นเอง พอมาวันนี้..วันที่รู้ว่าชายคนนี้นั้นเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะได้มาแต่ละบาทแต่ละสตางค์ นอกจากนี้ก็กำลังจะถูกปลดจากหน้าที่การงานที่เขาภาคภูมิใจ มันก็ยิ่งทำให้เปลวรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

       ‘เทียนหลับแล้วใช่มั้ย.. แล้วนี่ลงมาทำอะไรข้างล่างไม่ขึ้นไปนอน พรุ่งนี้ไม่ไปเรียนหรือไง’ น้ำเสียงแหบพร่าบ่นน้ำไหลไฟดับทันทีที่ได้เห็นลูกชายนั่งกอดเข่าอยู่ที่โซฟา

       ‘ไปๆ ขึ้นไปนอนได้แล้วไอ้เปลว จะตีสองอยู่แล้วมัวมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว ขึ้นไปเลย!’ น่าแปลก..ที่เปลวโคตรจะคิดถึงเสียงบ่นของพ่อเลย..

       ‘มึงนี่ทำไมพูดยากจังเลยวะ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มึงจะตื่นไหวรึไงดึกขนาดนี้แล้วเนี่ย’ น้ำตาเม็ดใสไหลงพาดผ่านสองข้างแก้มอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ..ทำไมเขาไม่รับรู้ให้เร็วกว่านี้ว่าพ่อกำลังมีปัญหา ..ทำไมไม่รับรู้ให้เร็วกว่านี้ว่าพ่อกำลังจะถูกไล่ออก..

       ‘..นอนก่อนนะพ่อ..’ เปลวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะผ่อนออกพร้อมๆกับลุกเดินขึ้นไปบนชั้นสอง แต่ทว่าขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ขั้นขาของเขาก็ต้องหยุดกึกเพราะคำพูดของพ่อที่ดังตามหลังมา..

      ‘ถ้ามึงตื่นไม่ไหวก็ไม่ต้องไปโรงเรียนก็ได้นะ เดี๋ยวจะแย่เอา หรือถ้าจะไปก็กินยาแก้ปวดหัวด้วย…ในตู้ยายังมีอยู่’



       ..ทำไมถึงไม่รับรู้ให้เร็วกว่านี้ว่าพ่อรักและเป็นห่วงเขาขนาดไหน...



































       ‘ไปไหน กูนึกว่ามึงไปเข้าห้องน้ำ ..อ่าว เป็นไร ร้องไห้หรอ..’ เสียงงัวเงียของเทียนไขที่พึ่งตื่นเพราะถูกแสงไฟจากข้างนอกรบกวนเอ่ยถามเปลวที่พึ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

       ‘เปล่า…ไม่มีอะไร มึงนอนเถอะ ดึกแล้ว’ เปลวตอบทั้งๆที่นัยน์ตาแดงก่ำและยังคงสะอื้นไม่หยุด

       ‘ไม่มีอะไรก็บ้าละปะ มานี่เลยมึงอะ’

       ‘อะไรของมึง จะนอนก็นอนไป อย่าพึ่งยุ่งกับกู..’

       ‘กูบอกให้มา’ เทียนไขพูดออกไปเสียงแข็ง เปลวได้ยินดังนั้นแล้วจึงจำใจเดินไปที่เตียง

       ‘มีอะ...’ เจ้าตัวพูดยังไม่สิ้นคำถามก็ถูกตัดบทด้วยอ้อมกอดอุ่นๆที่เทียนไขมอบให้อย่างไม่ทันตั้งตัว

       ‘กูไม่รู้หรอกว่ามึงไปเจออะไรมา ..มึงยังไม่ต้องเล่าให้กูฟังก็ได้ ไว้ตอนไหนพร้อมแล้วก็ค่อยเล่า แต่ว่าตอนนี้อะกูรู้นะว่ามึงรู้สึกยังไง’

       ‘...’

       ‘กูรู้ว่ามึงกำลังเศร้า ..มึงกำลังไม่โอเค กูรู้หมดทุกอย่างนั่นแหละ…ที่เป็นมึง เพราะงั้นแล้วมึงไม่ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งก็ได้เวลาอยู่กับกู’

       ‘…’

       ‘มึงร้องไห้ออกมาได้เลย กูอยู่ข้างๆมึงตรงนี้ …คอยกอดมึงแล้วก็ลูบหัวมึงแบบนี้’ ฝ่ามือทั้งสองของเทียนไขที่โอบล้อมลำตัวของอีกฝ่ายสอดประสานเรียวนิ้วกันอยู่ด้านหลังของเปลว ก่อนจะค่อยๆโยกตัวไปซ้ายขวาเบาๆ เพื่อปลอบประโลมความเศร้าโศกในใจ

       ‘เทียน..’ คนในอ้อมกอดพอได้ยินอย่างนั้นแล้วน้ำตาที่อุตส่าห์ทำฟอร์มเป็นเข้มแข็งมาตลอดเวลาขณะอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พังทลายหลั่งไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก แต่กลับกันริมฝีปากสีระเรื่อของเปลวกลับกำลังคลี่ยิ้มไปด้วยความตื้นตันใจ

       ‘กูขอบคุณมึงมากๆเลยนะเทียน’

























       ..เวลาผันผ่านไปจนขึ้นศักราชใหม่ ซึ่งเป็นช่วงของกีฬาสี นักเรียนทุกคนล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ บางคนก็รู้สึกสนุกไปงานกีฬานี้ แต่บางคนก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายและคิดว่ามันเป็นกิจกรรมที่แสนจะน่าเบื่อ และบางคน..ก็กำลังนั่งเครียดอยู่กับมันเพราะหาทางออกใดๆไม่ได้เลย

       งบประมาณกีฬาสีปีนี้ได้คณะสีละหมื่นเท่านั้น และสีม่วงซึ่งเป็นคณะสีของเปลวกับเทียนก็ได้เอาเงินหมื่นนี้ไปลงกับแสตนเชียร์กับเชียร์หลีดเดอร์ซะหมด ทั้งๆที่เหลืออย่างอื่นที่ต้องใช้เงินอีกมากมาย สุดท้ายแล้วก็จบลงตรงที่ทุกๆคนต้องออกเงินเพิ่มกันคนละห้าร้อย สำหรับตรงนี้เปลวกับเทียนก็ยังไม่มีปัญหาอะไร

       แต่ทว่ามันกลับไม่จบแค่นั้นเมื่อมารู้ทีหลังว่าเงินหมื่นนึงที่หลีดเอาไปใช้นั่นมันได้แค่ชุดที่ใส่ตอนเต้นกับพร็อบแสตนของน้องๆบนแสตนเท่านั้น ยังไม่รวบกับค่าฉากหลีด พร็อบของหลีด แล้วก็ค่าสอนของคนที่พวกเชียร์หลีดเดอร์ไปจ้างมาอีก รวมๆทั้งหมดก็ประมาณเจ็ดหมื่น ซึ่งมันแพงมากๆถ้าจะให้พวก ม.5 ช่วยกันออก เพราะ ม.5 สีม่วงทั้งหมดมีกันไม่ถึงสี่สิบคนเลยด้วยซ้ำ เฉลี่ยออกมาแล้วก็คนละประมาณสามพัน ขีดเส้นตายไว้ในวันกีฬาสี

       ซึ่งสำหรับครอบครัวนี้หมายความว่าต้องจ่ายคูณสอง เพราะไม่ได้มีแค่เปลวคนเดียวแต่ยังมีเทียนอีกด้วย ซ้ำด้วยเงินจำนวนหกพันมันก็ไม่ใช่จำนวนเงินอันเล็กน้อยเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว อีกอย่างพ่อของเปลวก็กำลังจะถูกปลดในอีกไม่กี่วันนี้



       ปัญหามากมายร้อยแปดพันเก้ากระจุกอยู่ในหัวของเปลวจนตัวเขาเองก็แทบจะรับมันไม่ไหว แต่ถึงกระนั้นแล้วเขาก็ยังคงกัดฟันทน แล้วฝ่าฟันปัญหาต่างๆต่อไปด้วยตัวคนเดียว หนึ่งความคิดในหัวเลยก็คือ เขาจะไม่โยนปัญหาต่างๆไปให้ใครต้องมาคิดมากอย่างที่เขาคิด เพราะงั้นแล้วสิ่งที่เปลวเลือกทำก็คือเก็บซ่อนทุกสิ่งอย่างและไม่เคยที่จะแสดงออกไปเลยซักครั้งว่าจริงๆแล้วตัวเองกำลังรู้สึกหรือนึกคิดอะไรอยู่



       และแล้วก็มาถึงวันกีฬาสี ทุกอย่างราบรื่นดี กีฬาก็มีชนะบ้างแพ้บ้างเป็นธรรมดา ปีนี้ถึงแม้ผลจะออกมาว่าสีม่วงซึ่งเป็นสีของเปลวและเทียนไม่ได้แชมป์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกแย่เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำออกมาพวกเขาได้ทำเต็มที่อย่างที่สุดแล้ว

       ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็นอันเป็นเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน เปลวกับเทียนเองก็เช่นกัน เปลวโทรไปหาเทียนเพื่อบอกให้เทียนรีบเก็บของแล้วตามมาที่ห้องคณะสี เขาจะรออยู่ที่นั่น แล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน



       แต่ทุกอย่างกลับผกผันไปเสียหมด..

       ทันทีที่เขาวางสายจากเทียน เบอร์โทรศัพท์ของผู้เป็นพ่อก็โทรเข้ามา ซึ่งปกติร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเบอร์นี้โทรมาหากันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

       เขารับสาย ก่อนจะพบกับเสียงของผู้หญิงคนนึงจากอีกฝั่งของการสนทนา น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นช่างนุ่มนวลและสุภาพ หากแต่สิ่งที่เธอเอ่ยบอกกับเปลวนั้นมันกลับทำให้โทรศัพท์ในมือเขาตกลงพื้นในทันที



      ‘ดิฉันแพทย์หญิงวชิรญา สุนทราฤประดิษฐ์นะคะ ดิฉันจะโทรมาแจ้งคุณทินกรว่าพ่อของคุณความดันขึ้นค่ะ จากผลตรวจพบว่าเขาเป็นโรคความดันมานานแล้วแต่ไม่เคยเข้ารับการรักษา ครั้งนี้จึงอาการหนักมาก ดิฉันต้องให้พ่อคุณนอนโรงพยาบาล แต่ว่าเขาไม่มีเงินติดตัวมาเลย เรียนคุณทินกรมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำเรื่องแอตมิตและจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยนะคะ’



       ..เรี่ยวแรงที่เคยมีอยู่หดหายไปหมดจนเขาทรุดลงตรงนั้น เปลวทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะนึง แต่เมื่อตัดสินใจได้เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าตัวเองในล็อกเกอร์แล้วมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลทันที

       …พร้อมกับเงินหกพันที่ว่าจะเอามาจ่ายค่ากีฬาสี



       เปลวฉุกคิดจึ้นมาได้ว่าตัวเขานัดกับเทียนไว้ว่าจะรออยู่ที่ห้องคณะสี เลยตั้งใจว่าจะโทรกลับไปหาแต่รู้สึกตัวอีกทีโทรศัพท์เขาก็ไม่ได้อยู่กับตัวเขาอีกต่อไปแล้ว มันตกกระแทกพื้นและกระเด็นกระดอนออกไปไกลตอนที่เขาคุยโทรศัพท์กับคุณหมอในตอนที่เขากำลังช็อคอยู่พอดี เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาและเทียนไขติดต่อกันไม่ได้เลย

       เปลวต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อทำเรื่อง ขีดเขียนเซ็นใบรับรองนู่นนั่นนี่มากมาย เขาต้องทำแทนพ่อหมดทุกอย่างเพราะตอนนี้พ่อของเขายังคงหลับไหลไม่ได้สติ ..แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขาที่เขาทอดทิ้งไว้ที่โรงเรียน ห่วงมากๆจนมือที่จับปากกาสั่นระรัวแทบจะเขียนไม่ได้

       เปลวเสร็จธุระตอนทุ่มกว่าๆ ตอนนั้นพ่อเขาตื่นขึ้นมาพอดี เมื่อแขนของชายวัยกลางคนเริ่มขยับ ผู้เป็นลูกที่นอนซบอยู่ข้างเตียงจึงผละออกมาแล้วหันออกไปเช็ดน้ำตา

       ‘เปลว..ร้องไห้หรอลูก?’ น้ำเสียงอันอบอุ่นที่เขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าได้ยินครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

       ‘เปล่า..’ คนปากแข็งเอ่ยตอบ

       ‘พ่อไม่เป็นอะไรหรอกนะลูกนะ ไม่ต้องห่วง’ ..ได้ยินแบบนี้แล้ว น้ำตาที่อุตส่าห์กลัดกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาห่วง..ห่วงพ่อมากๆ กลัวสุดๆว่าพรุ่งนี้จะไม่มีพ่ออีก จมอยู่กับความกังวลใจมาร่วมชั่วโมง ทำอะไรไม่ได้นอกจากกอบกุมมือของพ่อไว้หวังว่าจะส่งพลังใจไปถึง

       ‘ฮือ..ทำไมพ่อไม่บอกเปลวว่าพ่อป่วย ..ทำไมพ่อถึงไม่มาหาหมอ..’ เด็กน้อยสะอื้นไห้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

       ‘พ่อไม่อยากเพิ่มภาระให้ครอบครัวเรา ไม่อยากให้ลูกอยู่แบบลำบากตรากตรำเพราะต้องเจียดเงินมารักษาพ่อ พ่อรู้ว่ามันเป็นโรคที่ไม่มีทางหาย ธรรมดาน่ะแหละลูก แก่ๆหน่อยก็เป็นโรคนี้กันทั้งนั้น พ่อก็แค่เป็นหนึ่งในนั้น’

       ‘เปลวไม่เป็นอะไรซักหน่อย เปลวโตแล้วนะพ่อ.. กินข้าวกับเกลือเปลวก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่มีพ่อเปลวอยู่ไม่ได้’

       ‘…’

       ‘ต่อไปนี้เปลวจะหาเงินมารักษาพ่อเองนะ เปลวจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อ เพราะงั้นแล้วพ่อต้องเชื่อฟังคุณหมอ กินยาตามที่หมอบอกให้ตรงเวลา อย่าเครียด อย่า..’

       ‘เปลว’

       ‘…ครับ?’

       ‘พ่อ..พ่อขอโทษนะ’ ..น้ำตาของชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อหลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพตัวเองทุบตีลูกคนนี้ในอดีต

       ‘ไม่เป็นไรครับ เปลวไม่เคยโกรธพ่อเลย’ ลูกน้อยของเขาได้ยินแบบนั้นแล้วถึงกับยิ้มจนแก้มแทบปริ ส่วนตัวเขาเองพอได้เอ่ยคำขอโทษออกไปในใจก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

       หลังจากนั้นพ่อลูกทั้งสองโอบกอดกันและกันในรอบสิบกว่าปี เขาทั้งสองวางทิฐิในใจลง แสดงความรักที่ล้นฟ้ามหาสมุทรออกมามากขึ้น และพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลน่าฟัง

       เปลวและพ่อพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา เรื่องราวในปัจจุบัน และเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต มีบ้างที่ดุด่าว่ากล่าวกัน แต่เขาทั้งสองก็พยายามคิดหาทางแก้ปัญหาด้วยกันเสมอ

       แต่ดูเหมือนว่า…เปลวจะลืมใครบางคนไปซะสนิทใจ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2019 21:35:55 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
แจ้งนะคะ

มายด์ได้ Re-Write เรื่องนี้ เนื่องจากว่าเนื้อหามีบางจุดที่มายด์พลาดในเรื่องของข้อมูล และความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง ดังนั้นมายด์จึงเลือกที่จะ re-write ใหม่ ตั้งแต่ตอนที่ 3 จนถึงตอนที่7 โดยเนื้อหาที่รีไรท์มีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปคือ
- มายด์ตัดฉากที่เทียนโดนรุมข่มขืนไป
- เทียนและเปลวติดเงินค่าคณะสี จนทำให้เทียนถูกทำร้ายร่างกาย
- พ่อของเปลวถูกเปลี่ยนให้เป็นพนักงานบริษัท ตอนแรกเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด แต่ถูกลดลงมาเป็นแค่พนักงานธรรมดา และสุดท้ายก็จะถูกไล่ออก
- เทียนกับเปลวเคยคบกัน
ประมาณนี้ค่ะ


หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนะคะ : )

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       เย็นของวันถัดมาเปลวได้กลับมาบ้านหลังจากไปอยู่โรงพยาบาลเฝ้าพ่ออยู่เป็นวัน วันนี้เขาเลยบอกพ่อว่าจะขอกลับมานอนบ้านเพราะมีการบ้านที่ต้องทำอีกเยอะ แต่พอกลับมาถึงบ้านแทนที่เขาจะได้ยินเสียงกวนส้นเท้าที่มักจะตะโกนทักทายเขาทันทีที่ได้เห็นก็กลับเป็นเสียงเงียบๆเหงาๆ ราวกับไม่มีใครอยู่บ้าน



       ‘เทียนไปไหน?’

       เขานึกสงสัยอยู่ในหัว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะไปเล่นบ้านเพื่อน อีกไม่นานก็คงกลับ

       และใช่…มันเป็นอย่างที่เขาคิด ไม่นานหลังจากนั้นประตูรั้วหน้าบ้านก็ถูกเปิดออก ก่อนจะถูกแทรกเข้ามาด้วยร่างผอมบางของเทียนไข ทว่า…เทียนไขที่กำลังเดินเข้ามานั้นกลับโซซัดโซเซราวกับไม่มีเรี่ยวแรงใดๆเหลือ



       “อ้าวไอ้เทียน ไปไหนมาทำไมไม่กลับบ้านเมื่อวาน” ในใจของเปลวมีหลากหลายความรู้สึกตีกันวุ่นวายไปหมด ทั้งความเครียดเพราะไม่รู้จะจัดการยังไงกับชีวิต ความเหงา ความเศร้า ใจหนึ่งนึกโกรธอีกฝ่าย แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงและเป็นห่วงจนแทบนั่งไม่ติดพื้น แต่ทุกๆความรู้สึกนั้นเปลวกลับไม่รู้จะถ่ายทอดมันออกมายังไง เขารู้..เขารู้ ว่าตัวเองกำลังไร้สาระที่รู้สึกแบบนี้  “เหลวไหลนะมึงอ่ะ”

       “…” 

       “แล้วนี่ไปโดนอะไรมา ไปหาเรื่องใคร” …หึง? คำนี้ใช้ได้หรือเปล่า หรือเขาแค่โกรธที่เทียนไขมาในสภาพบาดแผลเต็มตัวด้วยความคึกคะนองของวัย?  สร้างภาระให้เขาเพิ่มขึ้นไปอีก?

       “…” 

       “เป็นอะไรทำไมไม่ตอบกู” ..คำตอบที่เขาได้จากเทียนไขมีเพียงสายตาที่จ้องมองมาที่เขาเท่านั้น มันทั้งนิ่ง เงียบ และดูเยือกเย็นราวกับฟันเฟืองความรู้สึกบางตัวได้หล่นหายไปจนทำให้โครงสร้างทั้งหมดพังทลาย “เทียน มึงโกรธอะไรกูมึงก็แค่พูดออกมา อย่ามาทำหน้าแบบนี้ กูเป็นห่วงเนี่ยกูเลยถาม”

       “…” เทียนไขยิ้มตอบเขา หากแต่เปลวกลับไม่ได้รู้สึกว่าเทียนไขกำลังยิ้มให้เขาอยู่จริงๆเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าเทียนไขเป็นคนยังไง และเขาก็รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนี้…เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เปลวอยากได้คำตอบแม้ซักพยางค์เดียวก็ยังดี แต่เทียนไขก็ไม่ได้ให้มันกับเขา ด้วยอารมณ์หลากหลายที่กำลังคุกรุ่นวุ่นวายอยู่ในหัว เปลวจึงไม่มีที่ว่างเหลือพอให้สนใจความงี่เง่าไร้สาระของเทียนไขอีก

       “ตามใจมึงนะ กูไม่สนละ”







       ‘รับจ้างวาดภาพ’ เปลวคลิกเม้าส์ด้วยปลายนิ้วชี้เพื่อกดสร้างเพจของเขา สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ ซึ่งก็คือ ‘การวาดรูป’ อันเป็นมรดกเดียวที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้นั่นเอง เปลวจะใช้เพจๆนี้หารายได้เสริม เพื่อนำเงินมาเป็นค่ารักษาโรคที่พ่อเขาเป็น หรือไม่บางทีในอนาคต…สิ่งนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะหาเลี้ยงครอบครัวของเขาได้



       ‘มึงทำได้…มึงต้องทำได้อยู่แล้วเปลว เพื่อพ่อ …เพื่อเทียน’ เขาพูดกับตัวเขาเองในกระจก ก่อนจะไปฝากลิ้งค์เพจไว้ในบล็อกต่างๆ รวมถึงฝากบรรดาเพื่อนๆของเขาให้ช่วยกันแชร์ 

       ..เปลวยิ้มกับจำนวนคนกดถูกใจที่ปรากฎแก่สายตาเขา ก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วลุกไปหากล่องพยาบาล เขาเดินไปที่ครัวเพื่อทำแกงเขียวหวานของโปรดของเทียนไขพลางนึกยิ้มอยู่ในใจเมื่อนึกถึงสีหน้างอๆของเทียนไขที่ต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งจนแก้มแทบแตกถ้าได้ลิ้มรสแกงเขียวหวานของโปรด…

       แต่มันกลับ…ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด



       “เทียน ลงไปกินข้าว” เจ้าตัวหันมาตามเสียงเรียก หากแต่คราบน้ำตาบนใบหน้าของเทียนนั้นชัดเจนจนเปลวทำอะไม่ถูก เพราะอะไรเทียนถึงร้องไห้? เขาตั้งคำถามอยู่ในใจ แต่ขาที่ควรจะก้าวเข้าไปปลอบกลับแข็งชาขึ้นมาดื้อๆ

       “มึงร้องไห้หรอ?” เปลวเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นเครือ

       “…” และคำตอบที่เขาได้รับก็คือความนิ่งเงียบ เฉยชา เยือกเย็นราวกับความรู้สึกใดๆก็ไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว

       “..ไปกินข้าวเถอะเทียน กูรู้ว่ามึงหิวแล้ว” เปลวพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองให้เหมือนเดิมแม้มันจะยากลำบาก

       “…”

       และเมื่อเทียนไขไม่ยอมพูดอะไรออกมา..สุดท้ายเปลวจึงทำได้แค่..ถอนหายใจ..แล้วเดินออกไป



       “อะกูเอาขึ้นมาให้” แต่ด้วยความเป็นห่วงที่แทบจะล้นออกมาจากอก เปลวจึงเลือกที่จะกลับไปข้างล่างเพื่อนำแกงเขียวหวานของโปรดเจ้าตัวขึ้นมาเสิร์ฟถึงที่ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆนอกเหนือจากนั่งจ้องเขานิ่งๆด้วยสายตาที่แสนเจ็บปวด

       ความสงสัยที่เพิ่มพูนทำให้เปลวระเบิดความหงุดหงิดออกมา เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเทียนไข วางถาดลง ก่อนจะเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงดุดัน..

       “กินซะ!”

       “…” คนตัวเล็กกว่ามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ยอมจับช้อนส้อมเพื่อทานข้าวอยู่ดี  เปลวเห็นแบบนั้นอารมณ์จึงเริ่มดีขึ้น เขาลอบยิ้มอยู่เงียบๆ อย่างนึกเอ็นดูเมื่ออีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย ทว่า…



       เพล้ง!

        ..เทียนไขกลับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมจานข้าวที่อยู่ในมือ แล้วปล่อยมันให้ร่วงทำเอาจานกระเบื้องตกกระแทกกับพื้นจนแตกละเอียด

       “ไอ้เหี้ยเทียน!” เส้นอารมณ์ที่เขาพยายามคงไว้ขาดผึง เมื่อเศษจานทำให้น้ำแกงเขียวหวานร้อนๆกระเด็นโดนตัวเขา หมัดที่มือข้างซ้ายกำแน่น

       “มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนาวะไอ้สัด!!!!!” เขาใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักเทียนไขออกไปด้วยแรงโทสะ “ไม่อยากแดกข้าวบ้านกูมึงก็ออกไป ออกไป๊!”

       เขาผิดอะไรนักหนา? บอกกันดีๆก็ได้ไม่ใช่หรอ? ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้?

       เพราะอะไร…เพราะอะไรความเป็นห่วงของเขาจึงไม่มีค่าเลย...

 

       “เปลว..ทำแบบนี้ทำไมหรอ” และในที่สุด…ประโยคแรกก็หลุดออกมาจากปากเทียนไข

       “ทำ? กูทำอะไร มึงต่างหาก มึงเป็นอะไรของมึง”

       “จนถึงตอนนี้..เปลวก็ยังไม่คิดที่จะอธิบายใช่ไหม?”

       “คือเหี้ยไร กูทำไรให้มึง…มึงพูดสิไอ้สัด มึงไม่พูดกูจะรู้มั้ยไอ้ควาย!”

       “โอเค จริงๆแล้ว...เปลวอาจจะไม่ได้ทำอะไรหรอก..”

       “…”

       “มัน..ผิดที่เราเองนั่นแหละ”

       “…” ..เสียงแหบพร่าปนกับเสียงสะอื้นของเทียนไขเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานจนเขารู้สึกได้ ใบหน้าของเปลวเริ่มซีดลง ความรู้สึกบางอย่างกำลังทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก มือทั้งสองข้างสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนี้…เปลวรับรู้แล้วว่า ฟันเฟืองบางอย่างนั้นได้หล่นสลายไปแล้วจริงๆ..

       “…เราขอโทษที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเปลวจนทำให้เปลวต้องรู้สึกรำคาญ”

        “…” 

        “…เราขอโทษที่ลืมตัวไปหน่อย ..ลืมว่าตัวเราเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไร …ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม ความสุข หรือการได้มีชีวิตปกติอย่างที่คนอื่นๆได้มี ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราไม่มีสิทธิ์นั้นเลย”

       “…” …ไหนล่ะคำสัญญาที่เปลวเคยให้ไว้ว่าจะไม่ทำให้เทียนไขต้องร้องไห้

       “…ขอโทษที่เชื่อใจเปลวมากเกินไปหน่อย”

       “…” …ไหนล่ะความสุขที่เปลวเคยพูดนักพูดหนาว่าอยากให้เทียนไขมี

       “แล้วก็…ขอโทษที่ไว้ใจเปลวมากเกินไปด้วยนะ”

       “…”

       “…ขอโทษที่รักเปลวนะ”

       …ไหนล่ะความรู้สึก ‘รัก’ ที่เปลวรู้สึกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเทียนไข



       ใช่แล้ว...เปลวมีใจให้เด็กน้อยที่ดูบอบบางคนนั้นตั้งแต่แรกพบ แต่เขาก็ปฏิเสธความรู้สึกตัวเองมาตลอดเพราะไม่อยากให้เทียนไขรู้สึกอึดอัด โดยที่ตัวเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าเทียนไขเองก็…รู้สึกไม่ต่างอะไรกับเขาเลย

       ทันทีที่เทียนไขพูดจบ เปลวไม่ปล่อยให้เจ้าตัวต้องร้องไห้อีกต่อไป เขาโผเข้าไปกอดเทียนไขในทันที พร้อมกับเอ่ยขอโทษออกไปสำหรับทุกความผิดที่เขาทำ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเทียนกำลังโกรธเขาเรื่องอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้เขายอมแล้ว..ยอมแล้วทุกอย่าง

       เปลวกอดคนตัวเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขนโดยไม่คิดจะปล่อยออกไปไหนอีก

       เขา..จะไม่มีวันปล่อยให้เทียนไขต้องร้องไห้อีกต่อไป















       ค่ำคืนนั้นจบลงที่เขาปลอบประโลมเทียนไขจนเทียนไขเริ่มสงบลง เปลวบอกความรู้สึกออกไปด้วยภาษากาย เขาทิ้งรอยจูบไว้แทบจะทุกอณูบนผิวสีขาวนวล มอบสัมพันธ์อันลึกซึ้งให้แก่เทียนไข ก่อนจะเอ่ยคำมั่นสัญญาด้วยใจจริง



       ‘เทียน…เราลองมาคบกันดูดีมั้ย?’

       ‘…’

       ‘กูอยากดูแลมึงอย่างจริงจัง กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงอีกแล้ว’

       ‘เรา..’

       ‘เป็นแฟนกูนะ’

       ‘…’

       ‘กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงไปไหน’






       …ไม่มีใครรู้ว่าคำสัญญานี้เปลวจะทำมันได้จริงๆหรือเปล่า แต่เด็กอ่อนต่อโลกอย่างเทียนไขก็ให้อภัยและยินดีที่จะเชื่อในคำมั่นสัญญาของเปลว ..แน่นอนว่าเทียนเองก็อดที่จะจินตนาการไปถึงอนาคตไม่ได้ ว่าเขากับเปลวจะไปกันได้นานแค่ไหน แต่ด้วยความรักที่เขามีให้เปลว ขอได้ไหม… อย่าให้รักครั้งนี้เขาต้องเจ็บปวดเลย…





























       ..จากฤดูหนาวปลายเดือนธันวาในวันนั้นก็ผัดเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน แล้วก็วนกลับมาที่ฤดูหนาวอีกครั้ง ความแปรปรวนของอุณหภูมิทำให้อากาศในฤดูนี้อาจจะไม่ได้หนาวเหมือนอย่างที่มันควรจะเป็น แต่สำหรับเปลวแล้วอากาศในฤดูนี้นั้นช่างหนาวเหน็บและเยือกเย็น

       แต่อาจจะไม่ใช่ในทางกายภาพ แต่เป็นทางความรู้สึก..





       ‘ภูมิ…เหลืออีกแค่พันเดียวไม่ใช่หรอ ขอเวลาอีกซักอาทิตย์ได้มั้ยวะ’

       ‘เป็นปีแล้วมั้ยไอ้เหี้ย!’

       ‘มึง กูจำเป็นจริงๆ ตอนนั้นพ่อกูเข้าโรง’บาล กูเลยต้องเอาเงินที่จะให้มึงไปจ่ายค่ารักษาก่อน’

       ‘..ครอบครัวมึงนี่เข้าโรงพยาบาลกันแทบจะทุกคนเลยนะ..’

       ‘มึงว่าไงนะ..?’

       ‘เปล่า’

       ‘…แล้วก็ ภูมิ...กูขอเหอะ’

       ‘…’

       ‘กูทำได้อย่างเดียวก็คือวาดรูป เพราะฉนั้นมึงเลิกหลอกให้เพื่อนมึงมาจ้างกูวาดแล้วก็เทได้แล้ว กูเดือดร้อน’

       ‘ก็กูไม่เดือดร้อนอะ ทำไงดี’

       ‘ภูมิ.. กูคุยกับมึงด้วยเหตุผลแล้วนะ’

       ‘หรอวะ? กูเองก็เคยเดือดร้อนเหมือนกันตอนกีฬาสีกูกับแม่เกือบจะโดนยึดบ้าน เพราะพวกเหี้ยอย่างพวกมึงไม่คืนเงิน’

       ‘มันก็ผ่านมาแล้วปะวะ มึงกับแม่ก็แค่ ‘เกือบ’ รึเปล่า? ไม่ได้โดนยึดจริงๆ..’

       ‘สำหรับกูมันไม่เคยผ่านไป เจ้าหนี้ที่แม่กูไปกู้เงินมาจ่ายค่าบ้านยังตามทวงพวกกูอยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้น’

       ‘…’

       ‘ทั้งหมดก็เป็นเพราะพวกมึงที่ทำให้กูเดือดร้อน ทีนี้..ถามว่าตอนนั้นที่กูเดือดร้อน มึงสำนึกกันบ้างหรือเปล่า? ก็ไม่ คราวนี้ก็ทีกูบ้างแล้วล่ะที่จะไม่สำนึกแบบที่มึงเคยทำ’

       ‘ก..กูขอโทษ’

       ‘ไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่อยากฟังเสียงดัดจริตเรียกร้องความสงสารของมึง ปัญญาอ่อน’

       ‘…’

       ‘อีกอย่าง…กูเอาคืนพวกมึงหมดแล้ว …อย่างสาสม’

       ‘เดี๋ยว..หมายความว่าไง?’

       ‘ไม่รู้อีกหรอ..? งั้นก็ไม่มีอะไรหรอก คนโง่ๆอย่างมึงก็ควรจะโง่ๆต่อไปแบบนี้นี่แหละ เดี๋ยวกูจะไปเอาใบ Transcipt ละ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาเจอหน้ามึงอีก เหม็นขี้หน้าเกินจะทน’



       …หลังจากนั้นภูมิก็ย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศพร้อมกับยกหนี้ที่เหลืออยู่ให้เป็นผลประโยชน์แก่เปลว ทว่าเปลวก็พึ่งมารู้เอาทีหลังว่าสภาพเทียนไขที่โซซัดโซเซในคืนวันถัดจากวันกีฬาสีนั้นเป็นเพราะภูมิ ถึงแม้เขาจะไม่รู้แน่ชัดว่าภูมิทำอะไรเทียนไข แต่จากที่ภูมิบอกเขาผนวกกับสภาพเทียนไขในวันนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่าคนอย่างภูมิ…สารเลวยิ่งกว่าใคร

       เปลวอยากจะแจ้งความเอาผิด แต่มันก็สายเกินไปซะแล้ว



       วันวานผ่านไปอย่างโหดร้ายในแต่ละวัน พ่อของเปลวอาการดีขึ้นบ้างจากการรักษา แต่พอเจอกับความกดดันจากที่ทำงาน พอกลับบ้านมาก็ความดันขึ้นทุกครั้ง เปลวทำได้แค่เป็นห่วงพ่ออยู่ห่างๆเท่านั้น เพราะพ่อของเขาก็ยังคงดื้อดึงที่จะไปทำงานต่อ เหตุผลเดียวที่ต้องทำแบบนั้นก็คือ..กลัวเปลวกับเทียนจะอดตาย

       แต่เปลวก็ไม่ได้นิ่งเฉย  อาชีพรับจ้างวาดภาพที่เปลวเคยคิดว่าจะทำมันเป็นงานอดิเรก ตอนนี้..เปลวต้องทำมันเป็นงานหลักอย่างแท้จริง ทันทีที่เลิกเรียนเขาไม่มีเวลาเถลไถลไปไหนทั้งนั้น หนังสือก็ไม่มีเวลาอ่าน เขาทำได้อย่างเดียวคือจุ่มปลายพู่กันลงบนเฉดสีทั้งหลายแล้ววาดลงบนแผ่นเฟรมผ้าใบ แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นนักเพราะลูกค้าหลายรายจ้างเขาแล้วก็ไม่มาเอา หายเงียบ ปล่อยให้น้ำหมึกน้ำสีที่ใช้วาดเปลืองไปโดยไร้คุณประโยชน์ เปลวก็มารู้เอาในภายหลังเช่นกันว่าภูมิเป็นคนอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว

       เขาเครียดหนัก แสงสว่างที่เคยมีเริ่มริบหรี่จนไม่เห็นทางออก และสำหรับเปลว.. ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นมาในหัว..



       ‘พ่อครับ’

       ‘…’

       ‘เรื่องที่พ่อกำลังมีปัญหากับที่ทำงานแล้วก็เรื่องที่เปลวรับจ้างวาดรูป พ่ออย่าบอกให้เทียนรู้นะ’

       ‘ทำไมล่ะ?’

       ‘ผมสัญญากับเขาไว้แล้วว่าจะทำให้เขามีแต่ความสุข’

       ‘…’

       ‘เพราะฉนั้นแล้วเปลวเลยไม่อยากให้เทียนต้องมารับรู้เรื่องนี้ พ่อก็รู้ใช่มั้ยล่ะว่าที่ผ่านมาเทียนเจออะไรมาบ้าง เทียน..สมควรที่จะมีความสุข..’

       ‘พ่อเข้าใจ พ่อเองก็รู้สึกผิดกับพ่อของเทียนมันอยู่เหมือนกัน งั้นเอาตามนี้ ว่าแต่..’

       ‘…’

       ‘คงจะไม่แปลกใช่ไหมถ้าพ่อจะถามว่าลูกกับเทียนไขยังเป็นเพื่อนกันอยู่?’

       ‘…’

       ‘เอาเถอะ พ่อไม่ได้จะว่าอะไรหรอก จะรักจะใคร่จะอะไรกันก็ช่าง พ่อขอแค่อยู่ดูแลกันไปเรื่อยๆก็พอ คนนึงร้องไห้..คนนึงต้องปลอบ คนนึงร้อน…คนนึงต้องเย็น คนนึงรัก…คนนึงต้องรักให้มากกว่า’

       ‘…’

       ‘พ่อไม่รู้หรอกว่าตัวพ่อเองจะอยู่ได้อีกซักกี่ปี แต่ก็คงอีกไม่นานแล้ว พ่อเลยอยากให้ลูกกับเทียนอยู่ดูแลกันไปเรื่อยๆ ห้ามทิ้งกัน เพราะเทียนเหลือแค่ลูกคนเดียว ส่วนลูกเองถ้าไม่มีพ่อแล้ว เทียนก็คงเป็นคนเดียวที่ลูกจะเหลืออยู่’

       ‘พ่อ… ไม่เอา.. ไม่พูดแบบนี้’

       ‘ไม่ว่าช้าหรือเร็ว วันนั้นก็ต้องมาถึงอยู่ดี อย่าลืมที่พ่อบอกแล้วกันนะเปลว’



       …คนรักของเขาจะต้องมีแต่ความสุข จะต้องมีแต่ความสุข… จะต้องมีแต่…





       ‘เปลว กูว่าไอ้เทียนแม่งน่ารักว่ะ’ ทว่า..ภายใต้ผืนสมุทรที่เคยสงบเงียบ เกลียวคลื่นระลอกใหม่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมา

       ‘มึงมีอะไรอีก ไอ้แม็ก’

       ‘โถ ทำไมทำตัวห่างเหินกับเพื่อนรักอย่างกูจังเลยอะ กูเสียใจจัง’

       ‘มึงต้องการอะไร กูไม่มีเงินให้มึงรีดไถแล้วว่ะ ขอตัว..’

       ‘แล้วใครบอกว่ากูต้องการเงิน’

       ‘…’

       ‘กูรู้นะว่ามึงกับไอ้เทียนคบกัน กูเห็นตอนพวกมึงแอบมาคุยกันอยู่หลังบู๊ท มีหอมกงหอมแก้มด้วยอะ น่ารักจังเลย…แหวะ กูจะอ้วก’

       ‘คนที่ดูถูกความรักของคนอื่นนี่ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำประเภทไหนวะ?’

       ‘อย่าปากดี’

       ‘มึงรู้ก็รู้ไปเหอะ กูไม่ได้สนใจ ยังไงๆก็จะไม่ได้เจอหน้ากันอยู่ละ ไม่ใช่เพราะเราเรียนจบนะ แต่คนปากอย่างมึงน่าจะต้องตายอีกไม่นาน’

       ‘ไอ้เชี่ยเปลว!’

       ‘อ่าวคิดว่าจะรู้สีกดีซะอีก เห็นชอบด่าคนอื่น กูก็คิดว่าจะชอบโดนคนอื่นด่าด้วย แต่กลายเป็นว่าพอโดนบ้างก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าเลย โห่ มึงนี่…’

       [บอสครับ… บอส ผมขอเถอะนะครับ อย่าไล่ผมออกเลย เรื่องเงินผมไม่ได้ทำจริงๆครับ ผมยังมีลูกที่ต้องส่งเสียอยู่นะครับ บอสครับ.. ผมไหว้ล่ะ ผมกราบเลยก็ได้ อย่าไล่ผมออกเลย …อย่า..]

       ‘…’

       ‘เป็นไง? ไม่ปากดีแล้วหรอครับคุณเปลว’

       ‘เสียงพ่อกู..’

       ‘ใช่ เสียงพ่อมึง ..เป็นคลิปเสียงพ่อมึงที่กำลังอวดครวญ ขอร้องอ้อนวอนกับพ่อกู’

       ‘มึงทำอะไรพ่อกู!!!!’

       ‘กูไม่ได้ทำ พ่อกูก็ไม่ได้ทำ คนที่ทำมีเพียงคนเดียวนั่นก็คือพ่อมึง พ่อมึงทำตัวเอง’

       ‘…’

       ‘หรือไม่ ก็เป็นเพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องยอมทำตัวไร้ค่าแบบนี้’

       ‘แม็ก มึงล้อเล่นใช่ไหม กูไม่ตลกเลยนะ’

       ‘มีสมองก็คิดเอาเองละกัน ..เอาจริงๆมึงยังนึกภาพไม่ออกหรอวะว่าพ่อมึงกำลังอ้อนวอนพ่อกูในท่าไหน’

       ‘…’

       ‘ในฐานะที่กูเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์กูจะบอกอะไรมึงให้นะ หัวพ่อมึงนี่…ระดับเดียวกับส้นตีนพ่อกูเลยว่ะ’

       ผัวะ!

       ‘ไอ้เหี้ย! ไอ้พวกเหี้ย!’

       ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

       ‘ต่อยกูไปเถอะ ทำให้สาสมแก่ใจมึง เพราะสุดท้ายกูก็ชนะมึงอยู่ดี..’

       ‘ทำไม.. ทำไมมึงต้องทำกับพ่อกูแบบนี้..’

       ‘อะไร? นี่มึงร้องไห้หรอ..? กูอึ้งเลยว่ะ คนที่เคยเกลียดพ่อตัวเองนักหนากลับกำลังร้องไห้ให้พ่อของตัวเอง’

       ‘ฮือ… ปล่อยพ่อกู ปล่อยพ่อกูไป..’

       ‘กูไม่ทำอะไรพ่อมึงหรอก เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็โดนไล่ออกอยู่ดี แต่กูจะทำ..’

       ‘…’

       ‘เอางี้ดีกว่า กูมีเกมมาให้มึงเล่น’

       ‘…’

       ‘กูขอตั้งชื่อว่า ‘เลือกใคร..คนนั้นรอด’ แล้วกัน’

       ‘…’

       ‘อย่างที่กูบอกไป ไอ้เทียนแม่งโคตรน่ารัก..’

       ‘ไม่..  ไม่..ไม่..ไม่..’

       ‘กูอยากได้มัน’

       ‘ไอ้เหี้ยแม็ก ไม่!!!!!!!’

       ‘แลกกับ…ให้พ่อมึงได้ทำงานต่ออย่างสบายใจ มึงจะมีกินมีใช้เหมือนเดิม’

       ‘ไม่มึง.. ไม่ กูไม่เอา…กูไม่เลือก’

       ‘ไม่มีสิทธิ์ว่ะ มึงต้องเลือกเท่านั้น ..ถ้าจะโทษใครซักคนก็คงต้องโทษตัวมึงเองนั่นแหละ ที่เกิดมาให้กูเกลียด แล้วก็โทษพ่อมึงด้วยที่เกิดมาแย่งงานที่พ่อกูอยากเป็น’

       ‘ไม่.. กูรู้ว่ามึงไม่มีทางไล่พ่อกูออกได้หรอก กู! ไม่! เลือก!’

       ‘ฮัลโหล พ่อครับ ที่เราตกลงกันไว้ไงครับ ตอนนี้ไอ้เปลวมันไม่เลือก พ่อไล่พ่อมันออกเลยได้ไหมครับ’

       ‘…’

       […ได้เลยลูก]

       ‘…เชื่อยัง?’

       ‘…’

       ‘มันก็แค่ง่ายๆเองปะวะเพื่อนเปลว แค่แบ่งให้ไอ้เทียนมาเป็นเมียกูบ้าง’

       ‘…’

       ‘ไหนล่ะเปลวคนเมื่อกี้ที่ยืนด่ากูฉอดๆ หึ เอ้า! เร็วๆ ชักช้าครอบครัวมึงอดตายแน่ ได้ยินมาว่าพ่อมึงก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลแล้วนี่’

       ‘กู..กูไหว้ก็ได้ มึง..กูขอเหอะ อย่าทำแบบนี้เลย..’

       ‘…’

       ‘แม็ก.. กูขอร้อง..’

       ‘มึงแม่งก็ไร้ค่าไม่ต่างอะไรจากพ่อมึงเลยว่ะ คิดว่าไหว้แล้วกูจะเมตตากรุณามึงว่างั้น?’

       ‘…’

       ‘มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก มึงอย่าโง่ไปหน่อยเลย พ่อมึงเองก็ทำพ่อกูเจ็บแสบไม่ใช่น้อยเหมือนกัน’

       ‘พ่อกูทำอะไร..?’

       ‘ตอนที่มึงยังเป็นไอ้เด็กเหี้ยคนนึงที่ถูกพ่อเตะต่อยทุกวัน พ่อกูเข้าไปช่วยใช่มั้ยล่ะ?’

       ‘พ่อมึงชอบชวนพ่อกูไปเที่ยวกลางคืนจนไม่ค่อยได้กลับบ้าน..’

       ‘ใช่ มึงก็จำได้นี่หว่า แต่มึงคงจะไม่รู้ล่ะสิ..’

       ‘…’

       ‘วันนึง..พ่อมึงพลาดทำผู้หญิงท้อง แล้วเขาก็ตามติดพ่อมึงตลอดจะให้พ่อมึงรับผิดชอบ มึงคิดว่าพ่อมึงทำยังไง?’

       ‘…’

       ‘พ่อมึงโกหกหน้าด้านๆว่าพ่อกูเป็นคนทำเขาท้อง’

       ‘…’

       ‘อ้างว่าผู้หญิงคนนั้นเมาแล้วจำผิดคนบ้างล่ะ ตัวเองกลับบ้านตั้งแต่สี่ทุ่มแล้วบ้างล่ะ จนสุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็โง่เชื่อ’

       ‘…’

       ‘มันก็ทำแบบที่กูทำกับมึงนี่แหละ แอบตามติดพ่อกูไปที่งานสัมมนา ถ่ายคลิปพ่อกูที่อยู่ในชุดทำงานพร้อมตราสัญลักษณ์ต่างๆที่บ่งบอกว่าทำงานบริษัทนี้ แล้วอัพโหลดลงบนอินเทอร์เน็ต แฉพ่อกูจนตำแหน่งที่พ่อกูจะได้รับก็กลายเป็นไม่ได้ และใช่…พ่อมึงก็เลื่อนขั้นมาแทนที่ตำแหน่งที่พ่อกูอยากจะเป็น’

       ‘…’

       ‘กูกับพ่อ เกลียดครอบครัวมึงมาตั้งแต่นั้น ทั้งรังเกียจ ขยะแขยง ไม่อยากจะเข้าใกล้ แต่ก็ต้องทำเป็นยิ้มทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป’

       ‘…’

       ‘วันนี้โอกาสมันเป็นของพวกกูบ้างแล้ว ทั้งมึงทั้งพ่อมึง…สมควรจมอยู่ใต้ตีนพวกกู!’

       ‘…’

       ‘กูเกลียดมึงไอ้เปลว! กูเกลียดมึง กูเกลียดพ่อมึง!!!’

       ‘กูจะรับผิดชอบ..’

       ‘เสือก ไม่มีสิ่งไหนมารับผิดรับชอบได้ทั้งนั้น นอกซะจากพวกมึงจะได้รับผลจากการกระทำของพวกมึงกลับไปบ้าง!!’

       ‘แม็ก..’

       ‘ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู กูไม่ได้อยากเป็นคนรู้จักกับมึง’

       ‘…’

       ‘มึงจำเอาไว้ ไอ้เทียนต้องเป็นเมียกู’

       ‘…’

       ‘ถ้ามึงเลือกไอ้เทียน พ่อมึงก็จะไม่ได้โดนแค่ไล่ออก แต่กูกับพ่อจะเอาให้สาสมกว่านั้น และถ้ามึงเลือกพ่อมึง คนที่มึงรักนักรักหนาก็จะจากมึงไป…ตลอดกาล’

       ‘เป็น…กู’

       ‘หืม?’

       ‘เป็นกูไม่ได้หรอ..เอากูแทนไอ้เทียนได้ไหม’

        ‘…’

        ‘ทุกอย่างที่มึงกับพ่อมึงอยากทำ อยากแก้แค้น เอามาลงที่กูคนเดียว กระทืบกูให้ตายจนกว่าจะสาแก่ใจ’

        ‘รักกันดีจริงๆเลยว่ะ กูชอบเลยแบบนี้’

        ‘แม็ก.. กูขอร้อง ทำกู…ทำกูคนเดียว มึงอยากทำอะไรกูยอมหมด’

        ผัวะ!!

        ‘สำหรับมึง กูต้องการแค่นี้’

        ‘…เอาอีก ..เอาอีก ต่อยกูอีก แล้วอย่าทำร้ายใครเลย..’

        ‘ถ้ามึงต้องการให้กูกระทืบมึง กูก็ทำให้ได้ แต่กูก็จะเอาไอ้เทียนมาเป็นเมีย แล้วก็ไล่พ่อมึงออกอยู่ดี!’

        ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!













       ‘เปลวไฟ’ หากมองจากภายนอกคงจะเห็นแค่สีส้ม สีเหลือง และสีแดงสลับประดับประกายกันอยู่ แน่นอนว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเปลวไฟนั้นร้อนระอุเพียงใด …หากแต่ ถ้าแสงสีที่เห็นเป็นประกายไฟนั้นเป็นสีของหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาจนเป็นสีเลือด ความร้อนระอุที่แผ่ออกมาเป็นเสียงร้องตะโกนที่แสนเจ็บปวดทรมานล่ะ?



       ‘มึงต้องทำตัวปกติ อยู่ดูกูมีความสุขกับไอ้เทียน จ้องมองใบหน้าของคนรักมึงให้ดี บางทีมันอาจจะเผยสีหน้าแสนสุขออกมาก็ได้’

       ‘…’

       ‘จริงด้วย หลังจากกูเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วมึงจะทำอะไรไอ้เทียนต่อก็ได้นะ เผื่อแบบว่า..คนต่ำๆอย่างมึงจะเกิดอารมณ์ตอนดูกูกับไอ้เทียน’



       …เม็ดฝนเทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า คืนนี้คงเป็นคืนแรกที่ผันเปลี่ยนฤดูเข้าสู่ฤดูร้อน นอกเกลียวม่านมีแต่เสียงเม็ดฝนตกกระแทกกับวัตถุต่างๆ …ก็คงตะดีแล้วล่ะที่ฝนตก เพราะไม่งั้น..เสียงที่ได้ยินก็คงจะมีแต่เสียงร่ำไห้

        เทียนไขกำลังร้องไห้ นี่คือสิ่งที่เปลวเห็น ดวงตาของคนที่เขารักเต็มไปด้วยความทรมานแสนสาหัส เขาดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อหลีกหนี แต่ก็..เปล่าประโยชน์

       คมมีดแหลมๆเสียดแทงเข้ากลางใจก่อนจะขยับปลายมีดแล้วหันคมมีดขึ้นห้ำหั่นก้อนเนื้อหัวใจให้แตกเป็นเสี่ยงๆ …นี่คือความเจ็บปวดที่เปลวกำลังรู้สึก หรือบางทีมันอาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ

       …ภาพที่ปรากฎแก่สายตาของเขามันโหดร้ายเกินไป และที่โหดร้ายยิ่งกว่าคือ…



       ‘พ่อ.. พ่ออยู่กับพ่อไอ้เปลวอยู่ใช่ไหม? อย่าพึ่งให้เขาไปไหนนะ กักตัวเขาไว้ ถ้าไอ้เปลวมันตุกติกพ่อจัดการพ่อมันได้เลย’



       …เขาทำอะไรไม่ได้เลย

       เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเทียนไขดังไม่หยุด มันดังเข้ามาในโสตประสาทของเปลวและฝังลึกลงไปในหัวอย่างไม่มีทางลืม



       ‘เปลว วันนี้วันอะไรรู้เปล่า’

       ‘รู้ดิ วันจันทร์ไง’

       ‘ผิด วันนี้วันครบรอบ’

       ‘กูก็ล้อเล่นเฉยๆหรอก กูเตรียมของไว้ให้มึงด้วย’

       ‘เหมือนกัน’

       ‘ไม่รู้เหมือนกันว่ามึงจะชอบหรือเปล่า..แต่ว่า กู..ตั้งใจวาดมากๆเลย’

       ‘…’

       ‘อะนี่ กูวาดให้มึงนะ ใส่กรอบให้เรียบร้อย’

       ‘ส..ส่วนอันนี้ เปลวคงจะเคยเห็นเรานั่งถักบ้างแล้วแหละ แต่เราพยายามแอบๆถักแล้วนะ กะจะเซอร์ไพรส์..’

       ‘หมวก..?’

       ‘ใช่แล้ว…หมวกไหมพรม’

       ‘..ขอบคุณมากนะเว้ยเทียน’

       ‘ยังไม่หมดแค่นี้นะ เรายังมีนี่ด้วย’

       ‘ไหน?’

       ‘อ้อมกอด’

       ‘…’

       ‘แบบนี้ไง..’

       ‘น่ารักว่ะ แฟนใครวะ’

       ‘แฟนคุณเปลวเขาอะครับ’

       ‘เนี่ย จะไม่ให้รักได้ไง อยู่กับกูไปนานๆนะเทียน’

       ‘นานขนาดไหนหรอ?’

       ‘ตลอดไปเลย’

       ‘เปลวก็เหมือนกันนะ’

       ‘อยู่ข้างๆกัน…ตลอดไป’





       

       



       











             



       


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
08
‘เปลว’

2/2







    ‘กูจะปกป้องมึง..ให้ได้’





       “ไอ้เปลว มึงจะเอามันปะ มาดิกูเสร็จละ ไปเข้าห้องน้ำแป็ป” เสียงของไอ้แม็กเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสุขสม มันคงจะมีความสุขมากๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามเกมที่มันวางไว้ ทั้งพ่อเปลว ทั้งเปลว หรือแม้แต่เทียน ก็เจ็บปวดรวดร้าวไม่แพ้กัน

       “…” เปลวไม่ตอบ จ้องมองมันนิ่งๆด้วยความโกรธแค้นที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาทุกเมื่อ แต่ก็ต้องตามเกมที่มันวางไว้ต่อไป ..เขาลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปหาคนเจ็บที่ร้องครวญครางอย่างทรมานอยู่บนเตียงพร้อมกับถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก

       “เปลว…มึง..” เสียงแหบพร่าของเทียนเอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ..เปลวรู้ดีว่าเทียนไขกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในใจเขาอยากจะให้เทียนไขเชื่อใจเขาซักครั้ง.. 

       “อยู่เงียบๆไปดีกว่าเทียน” ทุกอย่างจะไม่เป็นไร.. เทียนจะต้องหนีไปอย่างปลอดภัย แล้วที่เหลือ เขา..จะเป็นคนรับทั้งหมดเอง

       “เปลวทำไม..ฮือ ทำไมทำแบบนี้ …ทำไม..”

       “ไม่ต้องร้องนะ.. ก..กูมาช่วยมึง..” แต่แค่เห็นน้ำตาบนใบหน้าของคนที่เขารัก เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เปลวโผเข้าไปกอดคนตัวเล็กกว่าอย่างแนบแน่น วางใบหน้าไว้บนไหล่ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาที่ตนเองพยายามกลัดกลั้นไว้หลั่งไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก ทว่า..

       “ไม่ต้องเสือกช่วยกูหรอก…สาระแน”

       “…” เทียนกลับ..ไม่ได้เชื่อใจเขาเลย

       “ไม่เอากูด้วยอีกคนล่ะ ..กูจะได้เป็นเอดส์ตายให้สมกับคำที่พวกเหี้ยนั่นเคยล้อกู!!” ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในหัวใจจนรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง น้ำตาหลายหยดไหลอาบทั้งสองข้างแก้มของเขา หยาดเหงื่อย้อมชโลมให้เปียกปอนไปทั้งร่าง

       “ต้องการแบบนั้นหรอ?” เปลวกลั่นความเจ็บปวดเหล่านั้นออกมาเป็นคำถาม

       “ไม่..ออกไปไกลๆตีนกูเลยนะ ออกไป!” ก่อนจะได้รับความเจ็บปวดกลับคืนมาซ้ำๆ

       “ไล่กูหรอ กูคนที่ช่วยชีวิตมึงมาทั้งชีวิตอะนะ?” เขาไม่ได้อยากพูดแบบนี้ แต่ก็ต้องพูดออกไปเพราะกลัวว่าไอ้แม็กจะจับได้ว่าเขากำลังจะพาเทียนหนี แต่มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ.. เขาแค่จะช่วยเทียนให้หนีไป แค่หนีไป.. 

       “ทวงบุญคุณ?”

       “…” หนีไปสิเทียน.. ไม่อยากใช้คำพูดทำร้ายจิตใจมึงไปมากกว่านี้แล้ว..

       “แล้วจะช่วยกูทำไมวะ ปล่อยให้กูตายดิ คิดว่ากูอยากอยู่มากนักหรือไง!!”

       “ยังไงมึงก็ได้ตายแน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นมึงก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกู” ขอโทษ… ขอโทษ

       “…”

       “จริงๆกูไม่ใช่คนที่จะให้เด็กกำพร้าแบบมึงมาตะโกนใส่หน้าแบบนี้นะ”

       ขอโทษ....

       “…” 

       “มึงเก่งนักก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ ออกไปอยู่บ้านโทรมๆของมึง ไป๊!”

       “…” 

       “เงยขึ้นมาดิไอ้สัด เก่งมากอะ!!” เปลวจับปลายคางของเทียนให้เงยขึ้น พยายามประคองคนตัวเล็กกว่าให้เคลื่อนไปที่ประตู หากแต่ว่า..ใจเขาตกไปอยู่ที่ปลายเท้าทันที ทั่วทั้งร่างชาวาบอีกครั้ง ..แขนเล็กๆที่เคยออกแรงขัดขืนปล่อยให้ตัวเองลู่ลงตามแรงโน้มถ่วง เทียนไขเลิกขัดขืน เขาหยุดอยู่นิ่งๆโอนเอนไปตามแรงกระทำของเปลว ดวงตาของอีกฝ่ายเริ่มเลื่อนลอย

       “เปลวอยากให้เราไปใช่ไหม..?”

       “…” 

       “ขอโทษที่…เรายังมีชีวิตอยู่”

       “…”

       “เราจะไป”

       “…” เปลือกตาสีไข่ปิดลงมาทีละนิดๆจนแนบสนิทกับหนังตาด้านล่าง ร่างกายของเทียนไร้เรี่ยวแรงใดๆ จนร่างเขาเซล้มกลับไปบนที่นอนอีกครั้ง ทำให้เปลวที่กอบกุมร่างเขาอยู่เซล้มไปตามๆกัน เปลวรู้สึกตัวอยู่บ้างจึงทำให้ไม่ได้นอนทับเทียนไขไปซะทีเดียว แต่ก็อยู่ในสภาพขึ้นคร่อมอยู่บนตัวเทียนไข



       “กูว่าแล้วว่ามึงต้องมีอารมณ์ มึงนี่…โคตรขยะ” เสียงทุ้มดังมาจากฝั่งห้องน้ำ เปลวหันไปตามเสียง ก่อนจะเจอกับไอ้แม็กที่ยืนกอดอกมองสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ไม่ห่าง

       “กูแค่จะลบร่องรอยทุเรศที่มึงทำไว้บนตัวเทียน” สติ.. เปลวต้องมีสติ

       “หรอ? ที่ทุเรศนี่..เพราะไอ้เทียนมันทุเรศหรือเปล่า?”

       “มึงต่างหาก” ดีแล้วที่เทียนหลับไป ..ดีแล้ว

       “ตัวมึงดีแค่ไหนกันเชียว”

       “…”

       “ทำอะไรก็ทำไป ลบให้สะอาดละกันร่องรอยที่มึงว่า แต่คงต้องเน้นๆตรงนั้นหน่อย เพราะกูใช้ทั้งปากทำ ใช้ทั้ง..”

       “เสือก ไปตายไปไอ้สัด”

       “ควาย ปากดีเดี๋ยวได้ตายทั้งพ่อทั้งลูกหรอก อย่าเยอะให้มาก”

       “ถ้ามึงกล้ามึงทำไปแล้วแม็ก มึงไม่กล้ามากกว่า มึงขี้ขลาดไง.. เหมือนกับตอนเด็กๆที่มึงก็กลัวพ่อตัวเองไม่ต่างอะไรจากกู แค่ขอเงินพ่อซื้อนู่นนี่ มึงยังไม่กล้า ต้องมาอาศัยคนอื่น..”

       “เปล่า กูมีตังค์เยอะแยะ แต่อยากใช้ตังค์มึง..ก็แค่นั้น ไม่เปลืองดี”

       “…”

       “จะทำอะไรก็ทำ อย่าเสียงดัง กูจะไปนอนละ เสร็จแล้วมึงจะไปไหนก็ไป ส่วนเทียนไขต้องอยู่กับกู”

       “ซึ้งน้ำใจมึงจังเลยว่ะ ใจบุญเอาตอนนี้กลัวต้องตกนรกเพราะสิ่งที่มึงทำละสิ”

       “ไอ้เชี่ยเปลว!”

       “…” เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่ยิ้มเยาะอย่างสะใจก่อนจะทำเป็นก้มเคลียคลอกับคนใต้ร่างเพื่อรอให้ไอ้แม็กเดินออกไป













       “…” และหลังจากที่มันเดินออกไป สวิตซ์ความรู้สึกก็ถูกเปิดออก.. เปลวขยับมานั่งข้างๆเทียนไข ชันเข่าขึ้นมากอด ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วยความเจ็บปวด

       มือข้างขวาของเขากำขึ้นมาเป็นหมัดก่อนจะต่อยไปที่หน้าของตัวเองสุดแรง…

       ผัวะ!

       สำหรับการที่เขา...ปกป้องเทียนไขไม่ได้

       ผัวะ!

       สำหรับการที่เขา…ทำให้เทียนไขต้องร้องไห้

       ผัวะ!

       สำหรับการที่เขา…ทำให้เทียนไขต้องเจ็บปวด..



       “..ขอโทษ.. กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ กูขอโทษ” เปลวหันไปมองใบหน้าที่กำลังหลับพริ้มอยู่ในความฝันแสนหวานหลบหลี้หนีจากความเป็นจริง พร่ำคำขอโทษออกมาซ้ำๆ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่จนราวกับจะเหยียบให้ใจของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ

       ..ไม่รู้เหมือนกันว่าความเข้มแข็งที่ใครหลายคนบอกว่าเขามีมันมากกว่าใครๆ หายไปไหนหมด แต่ตอนนี้มันไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เหลือมีแต่ความอ่อนแอ ท้อแท้ เหนื่อยล้า และอยากจะยอมแพ้กับชีวิตที่ต้องเผชิญ

       …ยิ้มได้จากใจจริงครั้งล่าสุดเมื่อตอนไหนกันนะ? เขาเองก็จำไม่ได้แล้ว อาจจะเป็นตอนที่เขายังแบเบาะ มีพ่อ มีแม่ มีคนที่รักเขารายล้อมอยู่รอบกาย ตอนนั้นคงเป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและจริงใจที่สุดแล้ว

       จู่ๆเปลวก็รู้สึกคิดถึงผู้หญิงคนเดียวที่เขารักขึ้นมา เธอคนนั้นเป็นผู้สอนให้เปลววาดรูปนั่นเอง เขานึกถึงตัวเองในวัยเด็กที่ถูกผู้หญิงคนนี้โอบกอดด้วยความรัก ดูแลเขา เอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี จู่ๆก็คิดถึงความอบอุ่นที่เคยได้รับ อ้อมกอดของแม่ที่เคยกอดเขาเวลาที่เขาร้องไห้

       ถึงไออุ่นจากอ้อมกอดนั้นเขาจะจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นยังไง แต่เขาก็จำได้ดีว่าทันทีที่แม่กอดเขา น้ำตาที่เคยหลั่งไหลก็ค่อยๆหยุด ค่อยๆหยุด จนสุดท้ายเขาก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง..

       ‘คิดถึงแม่จังเลยครับ’ เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อ.. มันทั้งยาก ทั้งลำบาก จนเขารับมันไม่ไหวแล้ว



       “…” เชยสายตาไปมองเทียนไขอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง ..ตอนนี้กำลังจะตีหนึ่งแล้ว เขาเองก็สภาพร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากจะอุ้มเทียนลงไปตอนนี้เกิดตกบันไดขึ้นมาก็คงแย่กว่าเดิม แต่..คงไม่มีทางอื่นแล้ว

       “มึงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามคนที่กำลังหลับตาพริ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะไม่ได้คำตอบ แต่ขอแค่ได้ให้กำลังใจตัวเอง..แม้ซักน้อยนิดก็คงจะเพียงพอเป็นแรงสู้ต่อได้

       “ให้ความร่วมมือกูหน่อยนะ..” เปลวรวบรวมแรงกายแรงใจพยุงเทียนไขที่กำลังหลับให้ลุกขึ้น แต่ทว่าคนหลับกลับทิ้งน้ำหนักตัวลงสู่ที่นอนและไม่ได้ความร่วมมือใดๆกับเขาเลย ..จากที่จะพยุงพาเทียนไขออกไปก็กลับกลายเป็นต้องอุ้มเทียนไขขึ้นมาจริงๆ

       “…” เปลวเจ็บแขน.. เขารู้ตัวเองดี ไอ้แม็กเป็นคนทำให้เขาสบักสบอม แต่ตอนนี้เขาจะไม่ยอมแพ้มัน เขาเชื่อว่า..ความหวังอันเล็กน้อยนี้จะทำให้เขาทำสำเร็จ..



       ตุบ!

       แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด..

       แขนเขาไม่ได้แข็งแกร่งพอจะรับน้ำหนักคนทั้งคนได้ไหว สุดท้ายแล้วเขาจึงยอมแพ้ ปล่อยให้ตัวเองทรุดลงจนเข่ากระแทกกับพื้น แล้วค่อยๆวางเทียนไขลงบนพื้นข้างๆตัว

       ความเจ็บปวดที่หัวเข่าแล่นไปทั่วร่างจนเขาเผลอร้องออกไปด้วยความทรมาน น้ำตาเม็ดใสไหลลงมาอีกระลอก..



       ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

       แด่ความอ่อนแอทั้งหมดที่เขามี.. ทำไมกัน.. ทำไม แค่นี้ทำไมเขาทำไม่ได้..



       เปลวทึ้งผมตัวเอง ดิ้นเร่าๆ พร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นเพราะทำอะไรไม่ได้ เขาโกรธตัวเองมากๆจนอยากจะหาค้อนมาทุบหัวตัวเองทิ้ง

       “กู.. ฮือ กูขอโทษมึงจริงๆนะเทียน..กูขอโทษ” เปลวเอ่ยเอื้อนออกมาเสียงแหบพร่าจากน้ำมูกน้ำตาที่หลั่งไหลไม่หยุด เขาหันไปหาเทียน ก่อนจะโอบร่างคนหลับเข้ามาในอ้อมกอด มือข้างนึงลูบกลุ่มผมสีดำก่อนจะก้มไปหอมกลุ่มผมนั้น



       “มันจะผ่านไป.. มันจะผ่านไป..” เปลวพูดเสียงแผ่วอยู่ข้างๆหูคนในอ้อมแขน  ..จะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือเปล่าเปลวก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ต่อจากนี้เทียนไขจะต้องไม่เป็นอะไรอีกแน่นอน เขาจะปกป้องให้ได้

       คิดแบบนั้น…จนสุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้า เปลวจึงผล็อยหลับไป..






















       ..คืนนั้นเปลวฝันร้าย เป็นฝันที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เขาเคยรับรู้ เขา..ฝันถึงเทียน เป็นเทียนในชุดนักเรียนที่น่าสงสารเสียจนใจเขาแทบสลาย และความฝันนี้…ก็เป็นสิ่งที่กระตุกขวัญจนเปลวตกใจตื่นขึ้นมา..



       “เทียน!” เสียงทุ้มนุ่มตะโกนลั่นอย่างสั่นกลัวจากฝันร้ายที่พึ่งจบไป “ฝันหรอวะ..”

       เปลวกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ก่อนจะพบว่าตอนนี้แสงอรุณได้สาดส่องเข้ามาในห้องแล้ว ..ทุกอย่างก็ดูปกติดี แต่ทว่า..

       “..เทียน..?” ..สิ่งที่ไม่ปกติคือ...ไม่มีเทียนนอนอยู่ข้างๆเขาอีกต่อไป

       เปลวดีดตัวลุกขึ้นยืนในทันทีเมื่อกระบวนการคิดทำให้เขารู้ว่าเทียนไขไม่อยู่ที่นี่แล้ว เขาเดินไปดูตามบริเวณต่างๆ รอบๆห้อง ก่อนจะเปิดประตูลงไปข้างล่าง แล้วหาบริเวณรอบๆบ้าน แต่หาจนทั่วแล้วก็ไม่มีวี่แววของเทียนไขอยู่เลย



       “เทียน..อยู่ไหน ได้ยินแล้วตอบกู” เปลวเดินขึ้นไปบนชั้นสองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงดังลั่น เผื่อว่าไอ้แม็กมันจะเอาเทียนไขเข้าไปในห้องของมันตอนที่เขาหลับ

       “ไอ้เทียน!” เขาเรียกอีกครั้ง.. และอีกครั้ง… 

       “มีอะไรวะ” หากแต่ว่า..มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ..เทียนไม่ได้อยู่กับไอ้แม็ก “เรียกมันทำไมนักหนา..?”

       “มันหายไปไหนไม่รู้” เปลวตอบ

       “จะไปไหนได้วะ สภาพนั้น”

       “กูก็คิดเหมือนมึง แต่ว่า..ไม่มีเลย มันไม่ได้อยู่นี่แล้ว” ในใจเปลวกำลังร้อนรนไปด้วยความเป็นห่วง 

       “โว๊ะ! ไอ้เหี้ย! น่ารำคาญแต่เช้าเลย”

       “ไปหาหน่อยปะ? เดี๋ยวมันจะตายเอา” เขาเอ่ยถามอีกฝ่าย หยั่งเชิงหาความเป็นคนที่แม็กอาจจะพอหลงเหลืออยู่บ้างแม้ซักเล็กน้อย 

       “ไอ้เชี่ยก็ปล่อยแม่งตายๆไปดิ” แต่คงไม่..

       “ไอ้เชี่ยแม็ก นั่นชีวิตคนนะเว้ย”

       “แล้วไง?”

       “งั้นไม่เป็นไร…มึงก็นอนๆไปเถอะ นอนรอหมายจับข้อหากระทำชำเรา ไม่ก็…ฆาตรกร” เปลวพูดกระแทกหน้ามันไป ก่อนจะเดินออกมาจากบ้านมันออกไปหาบริเวณในหมู่บ้าน

       “ไอ้เหี้ยเปลวแม่งปากดีว่ะ” ไม่วายที่มันจะตะโกนไล่หลังมา เสียงไอ้แม็กเริ่มอ่อนลงผิดกับเมื่อวาน เดาได้ว่าต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาไม่ก็พ่อเขาแล้วแน่ๆ มันถึงได้ดูสงบลงได้ขนาดนี้



       “มึงว่าคนอย่างมันจะไปไหนวะ?” เปลวเอ่ยถาม เพราะเขาไม่ใช่คนแถวนี้ ไม่ได้ชำนาญทางบริเวณนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

       “สภาพงั้นจะไปไหนได้วะถามจริง เดินยังจะไม่ไหวเลยเถอะ มันอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละมึงเชื่อดิ หาตามต้นไม้พุ่มไม้อะเผื่อมันจะแอบ”

       “กูหาหมดละ กูคิดว่ามันจะสลบอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่มี”

       “ถังขยะเปล่า?” ..เส้นความอดทนที่เขาคงไว้จาดผึง

       “ไปตายไอ้เหี้ย!” เปลวไม่พูดเปล่า เขาชกไปกลางจมูกของไอ้แม็กจนหยดเลือดสีสดไหลซึมออกมา

       “ไอ้สัด!” มันทำท่าจะต่อยคืน แต่เปลวไหวตัวได้ทันจึงรีบออกมาจากตัวบ้านแล้วปิดประตูรั้วกระแทกหน้ามัน

       “นี่ยังน้อยสำหรับที่มึงทำกับทุกคนในชีวิตกู”

       “เหมือนกัน..”

       “เหมือนอะไรของมึง”

       “นี่ยังน้อยสำหรับถ้าเทียบกับที่กูทำกับพ่อมึง”

       “ไอ้เหี้ยแม็ก!!!!!!!!!”

       “อย่าเอะอะโวยวาย เดี๋ยวข้างบ้านก็ปามีดใส่หัวมึงหรอก”

       “มึงทำอะไรพ่อกู มึงทำอะไร…” น้ำเสียงเปลวสั่นเครือ เขาคงทนไม่ได้แน่ๆถ้าพ่อเขาเป็นอะไรไป

       “กูไม่ได้ทำอะไร สำหรับคนแก่ใกล้จะลงโลงแบบนั้นแค่กีดกั้นไม่ให้บริษัทไหนรับเขาเข้าทำงานมันก็พอแล้ว”

       “…”

       “พ่อมึงโดนไล่ออกเมื่อวาน ชื่อสุริยสัตย์ของพ่อมึงก็ถูกขึ้นบัญชีดำ ..เมื่อวานพ่อมึงความดันขึ้นด้วยแหละ แต่เผอิญอยู่กับพ่อกูอยู่ไง ก็เลยไม่มีใครพาไปหาหมอ พ่อกูก็เลยนั่งดูพ่อมึงทรมานได้อย่างสะใจ”

       “ทำไมทำงั้นวะ! มึงจะให้เขาตายเลยหรอ!”

       “พ่อกูจะทำมากกว่านั้นอีกถ้าไม่ติดว่าไอ้แก่พ่อมึงมันก็กำลังจะตายอยู่พอดีอะ”

       ผัวะ!

       “มึงแม่งเหี้ยทั้งพ่อทั้งลูก!!!”

       “ต่อยกูเข้าไปเถอะ เอาเลย เอาให้สบายใจ แต่มึงจำใส่กะโหลกเน่าๆของมึงไว้เลยว่า ‘มึงแพ้’”

       “ไอ้ชั่ว”

       “ด่ากูอยู่นั่น.. ไม่หาเมียมึงแล้วหรอ? เดี๋ยวมันตายน้า”

       “เสือก”

       “ปากดี กูขอให้ไอ้เทียนแม่งตายห่าขึ้นมาจริงๆ”

       “กูว่ามันไม่ได้อยู่นี่ว่ะ”  เปลวเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ เขามืดแปดด้านไปหมด เป็นห่วงเทียนก็เป็นห่วง เป็นห่วงพ่อก็เป็นห่วง

       “แล้วมันจะไปอยู่ไหนวะ..” ไอ้แม็กตั้งคำถามถามกลับมาด้วยสีหน้ายียวนกวนส้นตีน แม้ในช่วงเวลาจริงจังแบบนี้

       “เดี๋ยวกูไปดูเอง กูคิดว่ามันน่าจะกลับบ้าน ไอ้แม็กกูยืมรถหน่อยนะ” เปลวไม่มีอะไรจะเสีย เขาทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของไอ้แม็ก ซึ่งแน่นอนว่า..มันไม่มีทางให้ได้ง่ายๆ

       “ได้สิเพื่อนรัก แต่ว่า..”

       “มึงอย่าเยอะ ชีวิตคนนะ ถ้ามันตายกูเอามึงตายแน่ ไม่สนอะว่ามึงจะเป็นคนเต็มบาทหรือไม่เต็มบาท”

       “กูแค่จะบอกว่าอย่าลืมสิ่งที่มึงเลือก”

       “…”

       “มึงเลือกพ่อ มึงไม่ได้เลือกไอ้เทียน”

       …ด้วยเกมโง่ๆของไอ้แม็ก ทำให้เปลวต้องตัดสินใจเลือกใครซักคน และคนที่เขาเลือกก็คือพ่อ แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางทิ้งเทียนไข เขาจึงพยายามหาทางออกอยู่ตลอด แต่มันกลับถลำลึกจนทำให้เทียนไขต้องเปื้อนมนทิน

       “กูรู้แล้ว” เปลวตอบ

       “มึงจะเลิกกับไอ้เทียนแล้วให้ไอ้เทียนมาอยู่กับกู?”

       “เออ กูจะเลิก”
















มีต่อนะคะ


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
      ใช้เวลาชั่วขณะรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็มาถึงจุดหมาย หนึ่งความคิดในหัวคือเขาเชื่อว่าเทียนต้องกลับมาบ้านสีขาวหลังนี้แน่ๆ เพราะนอกเหนือจากนี้ก็คงไม่มีที่ไหนให้เทียนไขไปแล้ว



       “อ้าวลูก ไปไหนมาเมื่อวานทำไมกลับซะเช้าเลย” พ่อเขาเอ่ยถาม นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่พ่อดูปกติดีราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่พ่อก็คงไม่ต่างอะไรจากเขา ที่เป็นอะไรก็มักจะเก็บเอาไว้คนเดียว ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ

       “พ่อ อย่าพึ่งถามได้มั้ย” ..ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วงพ่อ แต่เพราะตอนนี้เทียนกำลังหายตัวไป เพราะงั้นเขาจึงต้องรีบไปตามหาเทียนให้เจอเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกับพ่อว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี

       “เออๆ แล้วนี่เทียนล่ะ? ไม่ได้ไปด้วยกันหรอ”

       “…” สองเท้าของเปลวสะดุดกึกทันที “ไอ้เทียน..ไม่ได้กลับมาบ้านหรอพ่อ?”

       “อ่าว ก็ใช่น่ะสิ นี่ไม่เห็นหน้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

       “…”

       “มีอะไรรึเปล่า?” พ่อวางกาแฟในมือลงก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับท่าทางเลิ่กลั่กของเขา  เปลวทำได้แค่กำมือแน่นแล้วก็ส่ายหัวปฏิเสธไป

       “ม…ไม่มีครับ” เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ยอมรับว่าตอนนี้ใจของเขาเริ่มหวั่นวิตก สั่นระรัวไม่เป็นจังหวะใดๆอีกต่อไป ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาไม่สบายใจ รวมถึงความฝันเมื่อเช้าที่ราวกับเป็นลางร้ายบอกเหตุอะไรซักอย่าง

       “จะไปไหนได้วะ..” หรือว่า.. เทียนจะกลับไปบ้านของเขา บ้านริมคลองหลังโทรมๆหลังนั้น? 

       ไม่รอช้า..เจ้าตัวก้าวสลับซ้ายขวาอย่างรวดเร็วจนมาถึงตัวรถก่อนจะก้าวขาคร่อมตัวรถแล้วขับออกไป จุดมุ่งหมายคือบ้านหลังนั้น

       ..เข้มชี้บอกความเร็วเริ่มวาดวงสูงขึ้นเรื่อยๆจนทำองศามากกว่ามุมป้าน  ภายใต้หมวกกันน็อคสีดำน้ำตาเม็ดใสทำท่าจะหลั่งไหลออกมาอีกแล้ว

       ‘อย่าเป็นอะไรนะเทียน …มึงอยู่กับกูก่อนนะ’







       รถมอเตอร์ไซค์ขับผ่านสถานที่ๆหนึ่งอันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดระหว่างเขาและเทียนไข ‘โรงเรียน’ คือสถานที่แห่งนั้น หลากหลายความทรงจำเกิดขึ้นที่นี่ เขาได้รู้จักเทียนไขก็เพราะที่นี้ และเช่นเดียวกัน เทียนไขเองก็รู้จักเปลวเพราะโรงเรียนนี้เหมือนกัน ความรักที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น…ก็เกิดขึ้นที่นี่

       สถานที่นี้ปรากฎสู่สายตาของเปลวผ่านทิวทัศน์สองข้างทาง ตอนนั้น..เขาไม่ได้นึกใส่ใจอะไรกับมันสักเท่าไหร่ และยังคงขับรถมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วเท่าเดิม หากแต่เขาไม่รู้เลยว่า..บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นมัน

       ..ชุดนักเรียนสีหม่นที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนจากปากกา ประจักษ์ให้เห็นอยู่ด้านหน้า แม้จะดูเลือนลางไปซักหน่อย แต่ก็เริ่มค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อขับเข้าไปใกล้ๆ

       เข็มชี้ความเร็วเริ่มลดองศาลงจนน้อยกว่ามุมฉาก เปลวคลายมือที่ไม่ได้จับคันเร่งขึ้นมาดันกระจกที่ปิดหน้าหมวกกันน็อคออก ก่อนจะตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลออกไป

       “เทียน!!!” ใจเขาร้อนรน ยิ่งขยับไปใกล้ภาพที่เขาเห็นมันยิ่งชัดเจน เทียนไขตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับในฝันที่เขาเห็นเลย สภาพหน้า สภาพตัว ..น่าสงสารจนใจเขาแทบสลาย

       “เทียน!” เปลวเอ่ยเรียกอีกครั้ง และอีกครั้ง ..จนเทียนไขหยุดเดินแล้วหันมาตามเสียง หากแต่ดวงตาของเขากลับเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัสราวกับไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆอีกต่อไป

        “…” เจ้าตัวพลิกตัวมาทางเขา ดูเหมือนจะมองมาทางนี้ด้วยเหมือนกัน แต่พอเปลวชะลอรถ เทียนกลับยังคงมองอยู่อย่างนั้น มองข้ามเปลวไปที่โรงเรียนที่เปลวพึ่งขับผ่านมา

       สีหน้าของเทียนไขเริ่มแปลกๆไป ก่อนจะปรากฎเม็ดน้ำตาใสๆพาดผ่านข้างแก้ม เปลวไม่รู้เลยว่าตอนนี้เทียนไขคิดอะไรอยู่ แต่ทันใดนั้น...

       “เทียน!!!!” ..ร่างอันบอบบางของเทียนไขก็ก้าวลงมาบนพื้นถนนที่มีรถราวิ่งกันอยู่ขวักไขว่ไม่ขาดสาย ปลายเท้าที่เปลือยเปล่าไร้รองเท้ามารองรับก้าวสลับซ้ายขวาทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อยๆไม่หยุด ฝ่ามือเล็กๆที่บอบช้ำจากแรงบีบขยับเอื้อมไปด้านหน้าราวกับอยากจะหยิบจับอะไรบางอย่าง  รถราหลายคันบีบแตรกันชุลมุนวุ่นวาย

       เปลวเร่งความเร็วจนเข็มชี้ความเร็วเพิ่มองศาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เพื่อไปให้ถึงตัวเทียนไขให้เร็วที่สุด หากแต่ขณะเดียวกันนั้นก็มีรถบรรทุกหกล้อขับไล่หลังเขาอยู่ไม่ห่าง รถคนนั้นขับมาด้วยความเร็วไม่ต่างอะไรจากเขาเลย และรถบรรทุกคันนี้..ก็อยู่เลนเดียวกันกับเลนที่เทียนไขกำลังเดินอยู่

       ..รถราข้างหน้าขยับเลี้ยวหลบเทียนไขแล้วขับออกไปอย่างไม่สนสี่สนแปด จนถนนเริ่มว่าง ทำให้เปลวได้โอกาสเร่งความเร็วเข้าไปก่อนจะผ่อนลงเมื่อเหลือระยะห่างไม่ถึงห้าร้อยเมตร แต่ทว่า..



       !!!!!!

       แตรรถบรรทุกก็ดังไล่หลังเปลวมาในระยะที่เริ่มจะประชิดแล้วเช่นกัน..



       ‘เราเกรงใจเปลวมากเลย หลายๆเรื่อง..’

       ‘เกรงใจไรวะ กูเต็มใจทำให้มึงทุกอย่างอะ มาเกรงจงเกรงใจเดี๋ยวกูโบก’

       ‘เราไม่ใช่แท็กซี่ปะ’

       ‘เออ ก็อย่าเกรงใจดิ กูเต็มใจให้มึงทุกอย่าง’



       ‘เปลวคิดว่า..การที่เราได้รู้จักกันมันเป็นเรื่องดีหรือเปล่า?’

       ‘สำหรับมึงกูไม่รู้ แต่สำหรับกูอะ..กูดีใจมากๆเลยว่ะที่ได้รู้จักมึง’

       ‘เราก็เหมือนกัน ต้องขอบคุณโรงเรียนที่ทำให้เราได้พบกัน’



        ‘เทียน ตอนนี้มึงเป็นหนึ่งในครอบครัวกูแล้วนะเว้ย มึงไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองมึงยังไง ไม่ต้องสนใจคำพูดที่คนอื่นล้อมึง มึงมีกู มีพ่อ มีบ้านเรา มึงมีทุกอย่างไม่น้อยไปกว่าคนพวกนั้นเลย’

       ‘…’

       ‘มึงเชื่อมั้ย…ว่ากูให้มึงได้ทุกอย่าง’

       ‘เปลว..?’

       ‘ชีวิตกู..ถ้ามันจำเป็น กูก็ให้มึงได้’









       “เทียน!!” นี่คง..เป็นเสียงทุ้มนุ่มเสียงสุดท้ายแล้ว..ที่จะเอ่ยเรียกเทียนไข

       ..ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ที่เปลวขี่มาสามารถเข้าถึงตัวเทียนไขได้ เปลวก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้จับคันเร่งข้างเดิมดันกระจกหน้าหมวกกันน็อคให้ปิดลง ก่อนจะใช้มือข้างเดียวกันนั้นผลักให้เทียนไขออกไป กลับไปอยู่บนฟุตบาท

 

       !!!!!!!!!!!!!!!!

       ส่วนตัวเขานั้น…เมื่อเห็นเทียนไขปลอดภัย จึงคลี่ยิ้มบางๆออกมา แต่งเเต้มใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อค

       ‘กูปกป้องมึง…ได้แล้วนะ’



       และขณะเดียวกันนั้นเอง รถบรรทุกหกล้อที่เบรกไม่ทันก็พุ่งเข้าชนกับรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดขวางทางอยู่กลางถนนในทันที ตัวคนขับกระเด็นออกจากตัวรถออกไปไกลกว่าสิบเมตร เปลวนอนแน่นิ่งอยู่ริมฟุตบาทที่ห่างออกไป สติที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดสั่งการให้เขาหันไปดูเทียนไขว่าเป็นอย่างไร และเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กของเขากำลังลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าไปที่สะพานปูน รอยยิ้มเล็กๆ..ก็เกิดขึ้นอยู่ที่ริมฝีปาก ก่อนเปลือกตาจะค่อยๆ..

       ‘กูรักมึงนะเทียน’ …ปิดลง

       เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากตัวเขา แผ่บริเวณกว้างขึ้นและกว้างขึ้นเรื่อยๆ..



       ‘ตอนนี้กูมีความสุขจนไม่อยากจะคิดเลยว่ะว่าวันที่ไม่มีมึงจะเป็นยังไง’

       ‘เราว่าเปลวต้องเป็นคุณตาที่อยู่คนเดียวเหงาๆกับกาแฟและหนังสือพิมพ์แน่ๆเลย’

       ‘คุณตา..’

       ‘ทำไมหรอ?’

       ‘เปล่า จู่ๆกูก็เขินขึ้นมาเฉยเลย มึงแม่ง..น่ารักชิบหาย’

       ‘พอแล้วเลิกกอดได้แล้วน่า หายใจไม่ออกแล้ว อ่อก!’

       ‘โทษฐานน่ารักเกินไป.. เออแล้วมึงล่ะ..ถ้าไม่มีกูมึงคิดว่าตัวมึงจะเป็นไง’

       ‘ให้เปลวทาย’

       ‘ร้องไห้ขี้มูกโป่ง’

       ‘โคตรเวอร์ เราเคยเป็นแบบนั้นหรอ’

       ‘ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักมึงเลยแหละ’

       ‘เออจริงด้วย อืม..ถ้าไม่มีเปลว เราคง..ลืมนิยามของคำว่าความสุขไปเลยล่ะมั้ง’

        ‘…’

        ‘อยู่กับเปลว..เปลวสอนให้เรารู้จักความสุข รู้จักความเศร้า รู้จักทำอะไรหลายๆอย่าง รู้จักการคิด รู้จักการยิ้มแฉ่งแบบนี้…ให้มากขึ้น’

        ‘…’

        ‘ถ้าไม่มีเปลว โลกของเราก็คงไม่มีสีสันอะไร เราก็คงจำไม่ได้แล้วว่าความสุขเป็นยังไง ความเศร้าเป็นยังไง การที่จะยิ้ม..ต้องทำยังไง’

        ‘…’

        ‘แต่..มันจะไม่มีวันนั้นหรอกใช่มั้ย?’

        ‘…’

        ‘เปลวจะอยู่เคียงข้างเราตลอดไป’

       









































       ‘เปลวไฟ’ เมื่อเผาไหม้เชื้อเพลิงจนหมดสิ้น สุดท้ายแล้วก็จะค่อยๆดับ และ..สลายไป







       ..คนเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่วนรถบรรทุกคันนั้นก็ขับหนีไปโดยไม่สนใจใยดี รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ขี่บิดเบี้ยวจนไร้รูปทรง แม้จะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วแต่คราบเลือดที่แห้งกรังอยู่ตรงฟุตบาทนั้นมากมายเสียจนน่าใจหาย



       ห้องแห่งชีวิตวุ่นวายอีกครั้งเมื่อผู้ป่วยรายใหม่เข้ามา พยาบาลคนหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนไม่หยุดหย่อน เพื่อแทรกหลีกหลบ เข็นเตียงผู้ป่วยคนนี้เข้าไป

       สิบนาทีเห็นจะได้ ที่เปลวนอนอยู่บนเตียงนี้ แต่แค่นั้นเลือดสีสดก็ย้อมให้ผ้าปูบางส่วนเป็นสีแดงไปซะแล้ว …อุปกรณ์เครื่องช่วยหลายอย่างถูกใส่ให้กับร่างหนุ่มที่เปลือกตาของเขาปิดสนิท หมอและพยาบาลหลายคนเข้ามาดูคนไข้และเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงที

       ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ชายวัยกลางคนก็มาถึงที่นี่ด้วยความร้อนรน ทันทีที่เขารู้เรื่องเขาแทบจะเป็นลมล้มพับอยู่ตรงนั้น และด้วยความเร่งรีบที่เขารีบมา เขาหวังอยู่ลึกๆว่าอยากเห็นใบหน้าลูกชาย แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้นเมื่อตัวเขาเองสุขภาพก็ไม่สู้ดีเท่าไหร่ พอเร่งรีบทำอะไรเข้าสักหน่อย ความดันเขาก็ขึ้นสูงซะจนเขาหน้ามืดเซล้มอยู่ตรงโถงในโรงพยาบาล

      ฝั่งคนเจ็บ.. เขาไม่รู้สึกตัว ไม่ขยับ ไม่เขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เปลวนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยนิ่งๆไม่ไหวติง ลมหายใจเขารวยรินจนแทบจะหยุดหายใจ แต่ดีหน่อยที่ได้เครื่องช่วยหายใจเอาไว้ เครื่องแสดงจังหวะชีพจรข้างๆก็เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีเลยว่าเปลวยังมีขีวิตอยู่

       แต่แค่ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้..ไปได้อีกนานซักกี่ชั่วโมง





       หนึ่งชั่วโมงผ่านไป พยายาลยังคงวุ่นๆอยู่กับการรักษาเปลวอยู่ไม่ขาดสาย บาดแผลตามตัวถูกปกปิดด้วยผ้าพันแผล จนขาข้างซ้ายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ริมฝีปากของเปลวซีดเผือก ไร้สีสัน ที่คอต้องใส่เฝือกเพื่อพยุงและเชื่อมกระดูก ชีพจรยังคงปกติ แต่ที่แย่ก็คือ หลังจากเอกซเรย์สมองของเปลว สิ่งที่พบคือ..มีอะไรบางอย่างไม่ปกติ

      ..เปลวเลือดคั่งในสมอง 



       สองชั่วโมง.. เปลวต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาเลือดคั่ง เขาต้องผ่าตัดสมองและแข่งกับเวลาเพื่อให้เซลล์สมองเสียหายน้อยที่สุด การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี แต่หลังจากนั้นจู่ๆชีพจรของเปลวหยุดเต้น หมอต้องทำการช็อตไฟฟ้าเพื่อทำให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่ก็ยากลำบากราวกับเปลวไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ทว่าพระเจ้าคงไม่ได้เข้าข้างเขา สุดท้ายหัวใจดวงน้อยๆที่บอบช้ำอย่างหนัก ก็กลับมาทำงานอีกครั้ง



       หลายวันผ่านไปเปลวก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอยู่เหมือนเดิมและไม่ได้รู้สึกตัวหรือลืมตาขึ้นมาดูโลกที่กำลังผันผ่านไปเลยแม้แต่น้อย 

       ‘เปลว..ลูก ตื่นได้แล้ว.. ลูกหลับไปสี่วันแล้วนะ พ่ออยากคุยกับลูก.. พ่ออยาก..’ ชายวัยกลางคนจับฝ่ามือที่เย็นเฉียบจากอุณหภูมิแอร์ขึ้นมาแนบหน้า พลางลูบไล้มือนั้นด้วยใบหน้าของตน หวังให้ลูกชายเพียงคนเดียวลืมตาขึ้นมา ยิ้มให้เขาเหมือนอย่างที่เคย

       ไม่สิ..ไม่ต้องยิ้มก็ได้

       ขอแค่ตื่นขึ้นมา จะด่าจะว่าอะไรเขาเขาก็ยอมทั้งนั้น เขาผิดเองที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ



       เจ็ดวันผ่านไปเปลวก็ยังไม่รู้สึกตัว แต่หัวอกคนเป็นพ่ออย่างสุริยสัตย์ก็ยังคงเฝ้ารอต่อไปอย่างมีความหวัง …เขาโดนไล่ออกจากงานแล้ว ซ้ำร้ายเขาไม่สามารถไปสมัครงานที่บริษัทไหนได้เลย บางทีนี่คงเป็นกรรม..กรรมที่เขาเคยทำไว้ตั้งแต่ตอนที่เปลวยังเป็นเด็ก

       แต่ทำไมกรรมที่เขาก่อถึงไม่ลงที่เขาคนเดียวล่ะ..?

       ทำไม.. ทำไม..ต้องเป็นลูกของเขาด้วย





       วันที่สิบสอง วันนี้เปลวรู้สึกตัวแล้ว เขาขยับนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมา พร้อมกับค่อยๆลืมตา แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาเลย แถมยังทำท่าทีเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ตลอดเวลา

       จากผลตรวจคุณหมอบอกกับพ่อของเปลวว่าส่วนที่ได้รับความเสียหายที่สุดน่าจะเป็นสมอง แต่เปลวก็ได้ผ่าตัดไปแล้ว และได้รับยาอยู่ตลอด หากอาการปวดหัวยังคงไม่มีทีท่าว่าจะลดลงก็คงต้องตรวจดูสมองอีกครั้ง

       และผลที่ออกมาก็คือสมองส่วนความทรงจำได้รับความกระทบกระเทือน..

       เปลว..สมองเสื่อม







       ..การรักษาดำเนินต่อไปแม้ช่วงหลังๆจะทำได้แค่พยุงอาการให้ไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ แต่ท้ายที่สุดเปลวก็ค่อยดีขึ้นๆ ..ผกผันกับพ่อของเขา ที่ต้องวิ่งวุ่นหาเงินมารักษาเปลว จ่ายค่าผ่าตัด ค่ายา และค่าแอตมิต พ่อเปลวไม่ได้ตัดสินใจกู้เงิน แต่เขาใช้พลังกายอันน้อยนิดของเขาที่เหลืออยู่ไปทำงานแบกๆหามๆตอกตะปูเพื่อสร้างบ้านสร้างที่อยู่ เวลาที่ว่างที่เหลือก็รับจ้างทำนู่นทำนี่เล็กๆน้อยเพื่อหารายได้เสริม รูปบางรูปที่เปลวเคยบ่นกับเขาว่าลูกค้าไม่มาเอา เขาก็เอาไปขาย เงินที่ได้มาก็เยอะพอสมควร ทำให้เขายิ่งรู้แน่ชัดเลยว่าลูกของเขามีพรสวรรค์ด้านนี้ไม่น้อยเลย



       ‘เทียนไขหายตัวไป’ แต่พ่อของเปลวก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเทียนจนพอจะรู้ว่าเทียนจะไปไหนได้ เป็นความบกพร่องของการรับผิดชอบชีวิตคนๆนึงที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอด เขาเลยเลือกที่จะแจ้งตำรวจแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคืบหน้า



       เป็นแบบนั้นไปได้ซักระยะ คนที่เคยทำทุกอย่างเพื่อลูกของตัวเองก็ได้..จากไป พ่อของเปลวจากไปโดยไม่ทิ้งคำร่ำลาหรือจดหมายบอกลาใดๆ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเปลวยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าคนนี้คือพ่อของเขา

       เปลวไม่รู้เลยว่า…ชายวัยกลางคนที่เคยดุด่าเขา เตะต่อยเขา แต่ก็คอยเป็นห่วงเขาอยู่ตลอด นึกถึงเขาอยู่จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ตอนนี้ชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว

       งานศพถูกจัดเงียบๆ มีญาติมาเพียงแค่สี่ห้าคน แล้วก็ถูกเผาภายในวันเดียวกัน ไม่มีใครบวชหน้าไฟให้ทั้งนั้น



       ส่วนครอบครัวของไอ้แม็กก็ยังคงเสวยสุขกันต่อไป ความสะใจเกิดขึ้นในใจของสองพ่อลูกเมื่อได้ไปเห็นศพของคนที่ตัวเองเกลียด พวกเขาฉลองในความสำเร็จ ..ความสำเร็จที่แลกมาด้วยการยัดเยียดข้อหาขโมยเงินบริษัทให้พ่อของเปลว..



       สองเดือนผ่านไปเปลวเริ่มดีขึ้นมากจนได้รับอนุญาตให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านได้ แต่เปลวก็ไม่รู้ว่าบ้านตัวเองอยู่ไหน จึงต้องไหว้วานให้หมอเรียกญาติของเขามารับให้หน่อย

       และวันนั้นเองที่เปลวได้รู้ว่า…ชายวัยกลางคนที่มักจะแวะเข้ามาหาเขาซะทุกวันพร้อมกับชุดเปื้อนดินเปื้อนปูนคือใคร เขามองหน้าคนในรูปที่กำลังยิ้มแฉ่งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในหัว ลึกๆก็เหมือนน้ำตาจะไหล แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเศร้า

        ท้ายที่สุดแล้วก็มีญาติทางพ่อคนนึงมารับเขา เป็นผู้หญิงอายุประมาณห้าสิบต้นๆ เปลวไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่ก็ติดรถมาจนเธอมาส่งเขาที่บ้านหลังนึง

       ใช่..บ้านของเขานั่นแหละ เพียงแต่เขาจำไม่ได้เลยซักนิดว่านี่คือบ้านของตัวเอง



       อาจจะดูตลกไปซักหน่อย แต่ตอนนี้เขากำลังกดกริ่งที่ประตูรั้วบ้านตัวเองพร้อมกับเอ่ยถามซ้ำๆว่ามีใครอยู่มั้ย





       เปลวต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่กับบ้านของเขาอยู่หลายวันเลยทีเดียวกว่าจะเข้าใจและจดจำพื้นที่ทั้งหมดได้ และด้วยความที่เขาไม่รู้จะทำอะไรในแต่ละวันเขาจึงหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือมาอ่าน เขาเรียนรู้ใหม่อีกครั้งผ่านหนังสือทุกเล่มบนชั้นวาง ทว่ามีเล่มหนึ่งที่เขาจะเปิดอ่านแต่จู่ๆก็มีสมุดโน้ตเล่มเล็กๆหล่นออกมา ในนั้นไม่ได้เขียนอะไรมากมาย แต่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกรายรับรายจ่ายของใครซักคน

       ‘ของเจ้าของบ้านคนเก่าแน่ๆเลย’ เขาคิดแบบนั้น แต่ความจริงคือ ของพ่อเขาต่างหาก..



       เปลวถือวิสาสะเปิดอ่าน แต่ละหน้ามีวันที่กำกับอยู่ ซึ่งหน้าแรกถูกเขียนมานานหลายปีแล้วเหมือนกัน ถ้านับลบอายุของเขาไปตอนนั้นเขาก็น่าจะอายุประมาณสิบสองสิบสาม และทุกๆหน้าจะมีบรรทัดสุดท้ายที่เขียนไว้ว่า..



       ‘อนาคตของลูก’ พร้อมกับจำนวนเงินด้านหลังที่เขียนว่า +1000 เสมอ



       และในขณะนั้นเองจู่ๆหนังสือเล่มเดิมก็ปรากฎเป็นสมุดบัญชีร่วงหล่นลงมาตามหน้าที่แทรกอยู่ ชื่อบัญชีเป็นชื่อของ ‘นายทินกร’ ซึ่งเป็นชื่อที่เหมือนกับชื่อที่พยาบาลบอกว่าเป็นชื่อของเขา จำนวนเงินที่ปรากฎในสมุดบัญชีเป็นตัวเลขเจ็ดหลัก





       ….พ่อของเปลวเก็บหอมรอมริบมาตลอดระยะเวลาหกปี ทั้งหมดก็เพื่อวันที่ลูกของเขาจะต้องก้าวไปสู่อนาคต ลึกๆเขาเองก็หวังอยู่ในใจว่าซักวันเงินก้อนนี้จะช่วยให้ลูกของเขาประสบความสำเร็จ

       เขาเคยเกลียดจิตรกร แต่พอเห็นเปลวชอบวาดชอบเขียน เขาก็เลยคิดว่า..

       ‘ซักวัน…เราคงจะได้เห็นลูกเราเป็นจิตรกรแน่ๆเลย’



       แต่เขาก็คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2019 07:04:35 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 o22 หนาวเลยค่ะ ฮืออ

ออฟไลน์ Happyshi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แต่งได้ดีมากเลยค่ะ ชอบการบรรยายอารมมากทั้งหน่วง ทั้งสิ้นหวัง เจ็บปวด เเละลุกขึ้นสู้ไรท์ใส่ใจลายละเอียดได้ดีมาก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตัวละครอาภัพทุกตัวเลยค่ะ ไม่อยากวาดฝันถึง Happy End ขอยังไงก็ได้ให้แม็กและพ่อได้รับกรรม

ออฟไลน์ Happyshi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาอัพเร็วนะคะ งื้ออออ สงสารทั้งเปลว กับเทียน ขอให้ผ่านเรื่องร้ายๆไปได้

ออฟไลน์ Fujoshi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-2
มาอัพต่อนะคะ ไม่ไหวแล้ว จะbad end happy end ยังไงเราก็ตามใจคนเขียนเลยค่ะ
เขีนได้สุด ได้ดีมากจริงๆ
รอนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เปลวเทียน ชะตาชีวิตอาภัพนัก เจ้ากรรมนายเวรต่อกันยังไม่สิ้นสุดจนกว่าจะจำความได้ ให้อโหสิซึ่งกัน เวียนวนมาเจอกันอีกครั้งคนนึงก็ลืมสิ่งที่กระทำระยำ อีกคนที่รับกรรมดันจำได้ดี หึหึ!! อ่าาาาา ข้างหน้าหวังว่าจะได้เห็นฟ้าหลังฝน กับความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ของเทียนเปลว ความรักนั้นจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรมต่อกันเอาเถอะนะ  ทำพลาดไปไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตามนั้น ขอเพียงสำนึกผิดด้วยใจจริงก็พอ ผลที่ออกมานั้นจะอย่างไรก็ต้องยอมรับ มันต้องใช้เวลา ว้อยยยยยยยสนุกกมากกกกกกกับความหน่วงนี้ อ่านรวดเดียว อื้ออออยากอ่านต่อแล้วววววววว รอตอนต่อไปเลยค่ะ ทั้งโกรธทั้งชังและอาจจะยังรัก เห็นเขาเป็นยังงี้จะเอาไงดีละ อาจจะไม่ใจร้ายเพื่อตอบแทนช่วงเวลาที่ดีที่ผ่านมา แต่เมื่อความจำเขากลับมาใช่ว่าจะหลงลืมความเจ็บปวดที่เราได้รับมานะเทียน ตัวเราก็จิตเบาๆส่วนเขาก็ดันมาสมองเสื่อม เวรกร๊รมเวรกรรม คึคึ!! เข้มแข็งไว้ละกันทั้งสองคน จะผ่านไปกี่ปี หวังว่าจะทำตามฝัน นี่กดติดตาม Fav ไว้เลย อยากรู้เรื่องราวต่อไป ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพลงที่นี่ให้อ่านกัน ^_^ สนุกมาก ชอบค่ะชอบ เอาอี๊กก (:

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
09

‘เปลวเทียน’
ที่เคย...สุกสว่าง













       “เดี๋ยวนะ..”

       [เดี๋ยวอะไรของมึงวะ..]

       “เปลวอยู่โรงพยาบาลหรอ..” 

       [ใช่ เมื่อคืน ตอนประมาณเที่ยงคืนมั้งมีพยาบาลโทรมาหาไอ้โจ้บอกว่าไอ้เปลวอยู่โรงพยาบาล]

       “มัน..มันเป็นไรวะ..”

       [หมอบอกว่าสมองมันกระทบกระเทือน ตอนนี้อยู่ ICU]



       ..มือข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่จู่ๆมันก็อ่อนแรงจนประคองโทรศัพท์เอาไว้แทบไม่อยู่ ความรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างเกิดขึ้นกับเทียนไขจนเขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

       [เทียน.. ไอ้เทียน]

       “ฮ..ฮะ ว่าไง”

       [ว่าไงอะไรของมึง กูบอกว่าวันนี้กูคงไม่ได้ไปเรียนแล้ว กูเป็นห่วงเปลวว่ะ..ไม่อยากปล่อยเขาอยู่คนเดียว พยาบาลบอกกูว่าญาติเปลวมาหาเขาไม่ได้]

       …จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในภวังค์ ในหัวอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก ทำได้แค่พยายามคงน้ำเสียงให้ปกติ

       “ไม่เป็นไร.. ดีแล้วล่ะ” ดีแล้ว.. สิ่งที่นายทำมันไม่ผิด เปลวสมควรได้รับผลของสิ่งที่เขากระทำ …มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม..

       [เลิกแล้วมาอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อยดิ]

       “…”

       เทียนไขถึงกลัว …กลัวที่จะต้องเผชิญหน้า

       “ไม่ได้ว่ะ วันนี้มีธุระ ก..กูต้องทำงาน” ..กับคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ที่โรงพยาบาล







       ..ตลอดทั้งวันเทียนไขพยายามสลัดเรื่องของเปลวออกไปจากหัว เขาพยายามยิ้ม พยายามหัวเราะ เข้าหาคนอื่นๆเพื่อที่จะได้ลืมเรื่องที่เกิด แต่จนแล้วจนรอด..ทุกครั้งที่เทียนไขต้องอยู่คนเดียว ภาพสีหน้าของเปลวที่น้ำตาไหลอาบแก้มไปด้วยความเจ็บปวดก็จะปรากฎขึ้นมาในหัวของเขาอยู่เสมอ

       ‘เจ็บแค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ’ ใช่แล้ว.. นี่แหละคือสิ่งที่เปลวควรจะได้รับ เทียนไขบอกกับตัวเองอยู่แบบนั้นซ้ำๆ เพื่อใช้มันลบความรู้สึกบางอย่างออกไป ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงเปลวหรือนึกถึงห้วงความรักจอมปลอมที่ผ่านมา แต่เขาแค่กำลังกลัว…กลัวว่าเพื่อนสนิทที่เขามีเพียงคนเดียวตอนนี้อย่างพละพลจะต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุให้เปลวเจ็บเจียนตายก็คือเขา

       สิ่งที่เทียนไขทำจึงเป็นการเลือกที่จะปฏิเสธทุกครั้งที่พละพลเอ่ยปากชวนให้ไปโรงพยาบาลด้วยกัน อ้างว่าต้องทำงานบ้าง ต้องกลับไปหาน้าบ้าง หรือไม่ก็อ้างธุระนั่นนี่ ทั้งที่ความจริงก็คือเทียนไขลางาน เขากลับมาอยู่ที่หอของตัวเองที่มุมนึงของห้อง

       ร่างของคนที่ดูเหมือนจะปกติมักจะชันเข่าตัวเองขึ้นมากอด พลางบอกตัวเองอีกครั้ง..



       ‘สิ่งที่แกทำ…มันถูกต้องแล้ว’ เปลวสมควรหายไป.. เปลวสมควรตาย.. เราไม่ควรได้เจอหน้ากันอีก…

   



       

       ‘โรงพยาบาลบ้า’ ที่ที่สังคมมักจะมองว่ามันเป็นที่ที่มีแต่คนจิตไม่ปกติ มีแต่คนสติฟั่นเฟือง หากแต่ว่าความจริงแล้วคนป่วยเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกเขาเลย คนป่วยเหล่านี้แค่ถูกโลกอันแสนโหดร้ายกลั่นแกล้ง เขาแค่ถูกโชคชะตาเล่นตลก ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือผู้ป่วยบางคนก็เคยได้รู้สึกถึงคำว่า ‘คนปกติ’เช่นกัน แต่เขากลับถูก ‘คนปกติ’ เหล่านั้นทำร้าย ทรมานเขาอย่างทารุณจนเขาไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ส่วนผู้กระทำบางคนก็ยังอยู่สุขสบาย นึกตลกขบขัน นึกขยะแขยง และเหยียดหยามคนไม่ปกติที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม

       เพราะเหตุนี้ผู้ป่วยบางคนเลยอาจจะมีอาการคลุ้มคลั่งจากระบบความคิดที่ผิดเพี้ยนเพราะความเจ็บปวด แต่พวกเขาทุกคนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร พวกเขายังคงอยากจะมีชีวิตได้อย่างคนปกติ ..เพียงแต่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็เท่านั้น



       และใช่..เทียนไขตอนนี้เขาแค่ ‘ดูเหมือน’ คนปกติ แต่ร่องรอยความเจ็บปวดภายในมันไม่เคยเลือนหายไป เช่นเดียวกับสารเคมีในสมองที่มันไม่มีวันสมดุลกันได้เลย

       เทียนไขคงสภาพ ‘ปกติ’ ในชีวิตทุกวันนี้ได้ก็เพราะยา







       วันใดที่มีเรื่องร้ายๆมากระทบกระแทกจิตใจ วันนั้น…สมองของเขาก็จะควบคุมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วันก่อนที่เปลวมาดักรอเขาหลังร้าน สมองของเขาจึงสั่งให้เขาทำร้ายเปลว หากแต่ถ้ามองอีกมุม…สมองที่ผุพังของเขาก็แค่สั่งการให้เขาป้องกันตัวเอง เอาตัวเองหลีกหนีออกมาจากความเจ็บปวด..ก็เท่านั้น

       บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ เหตุการณ์วันนั้น..เขาอาจจะรู้สึกตัว เขาอาจจะรับรู้ทุกอย่าง ทั้งภาพเปลวที่กำลังเจ็บปวดที่ฝังรากลึกลงไปในหัวใจ ทั้งเสียงร้องเว้าวอนขอความเมตตาจนเปลวก้มกราบแทบเท้า และผิวสัมผัสที่เขาใช้มือต่อย ใช้เท้ากระทืบจนมันช้ำม่วง…เขาก็จำมันได้ดี แต่ทั้งหมดทั้งมวลเขาไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้น เทียนไขรู้สึกตัว..แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วมันก็..ทรมานอย่างถึงที่สุดเลยที่เห็นเปลวเจ็บปวด..







       ..ท้องฟ้าสีครามที่ผันเวียนเปลี่ยนคืนเปลี่ยนวันทำหน้าที่ของมันตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น จนมาหยุดที่ช่วงบ่ายแก่ๆวันหนึ่งในฤดูฝน ช่วงเวลาตอนนี้เป็นช่วงก่อนที่เหล่านิสิตจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งก็แล้วแต่คณะ บางคณะก็เลิกเย็นจนเกือบจะเลยไปค่ำ แต่คณะของเทียนไขตอนนี้เลิกเรียนแล้ว เมื่อเทียนไขมองดูนาฬิกาที่ข้อมือจึงรีบเก็บหนังสือ ชีทเรียน และอุปกรณ์การเรียนต่างๆเข้ากระเป๋า ทุกอย่างดูปกติดี แต่ทว่าบทสนทนาที่ดังเข้ามาในโสตประสาทเขานั้น..กำลังรบกวนจิตใจของเขาอยู่ไม่น้อย

       “เมธ มึงว่าคนป่วยเขาต้องการอะไรมากที่สุดวะ” เพื่อนสนิทของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยถาม ‘เมธ’ เพื่อนร่วมคณะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

       “กำลังใจดิ” เมธเอ่ยตอบ

       “อันนั้นกูรู้ กูเลยอยู่ข้างๆเขามาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าโรงพยาบาล จนสองสามวันก่อนหน้านี้เขาพึ่งรู้สึกตัว กูเลยอยากซื้ออะไรหรือทำอะไรซักอย่างนึง…ไปให้เขา แทนคำขอบคุณที่เขายังอยู่กับกู” ..ชีทเรียนที่กำลังจะถูกใส่เข้าไปในกระเป๋าต้องหยุดกึก ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ในหัวทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ จนรับรู้ได้ว่า ‘เปลวรู้สึกตัวแล้ว’ ทันใดนั้นเอง..ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกก็ทำงานอย่างหนัก ความรู้สึกสบายใจก็เกิดขึ้น

       “หมายถึง..ไอ้คนที่ใส่หมวกไหมพรมมาเรียนใช่ปะพล? นี่มึง..ชอบมันจริงๆหรอ..” เมธถาม

       “กูก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่ะ ไม่รู้ว่ากูจะจริงๆจังๆมั้ย แต่ว่าทันทีที่รู้ว่าเปลวเข้าโรงพยาบาล วินาทีนั้นกูโคตรห่วงมันเลย แล้วก็เป็นห่วงหนักเข้าไปอีกตอนที่หมอบอกกูว่ามันไม่รู้สึกตัว”

       “โห..ขนาดนี้กูว่าใจมึงก็รู้คำตอบอยู่แล้วแหละว่ะ”

        “…”

        “ที่มึงถามกู..กูอาจจะไม่รู้แน่ชัดว่าสำหรับคนป่วยที่พึ่งฟื้น..เขาต้องการอะไรมากที่สุด แต่กูคิดว่าเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมายหรอกว่ะ ขอแค่ใครซักคนอยู่ข้างๆ ให้เขาตื่นมาแล้วเขารู้ว่าเขาไม่ได้กำลังสู้อยู่คนเดียวแค่นั้นก็อาจจะเพียงพอแล้ว”

        “หรอวะ.. งั้น..หมวกนี่ กูก็คงซื้อมาเก้อเลยอะดิ” พละพลเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมพร้อมกับหยิบหมวกไหมพรมสีดำใบนึงขึ้นมา

       “อย่าบอกว่ามึงกะจะให้หมวกมัน..?”

       “ใช่ มัน..ไม่ดีหรอ..?”

       “กูว่าเวิร์คนะ เห็นว่ามันชอบใส่นี่ ได้ยินพวกเด็กคณะมันคุยกัน”

       “กูก็คิดแบบนั้น หมวกใบเดิมของเปลวมันเก่าแล้วอะ ดูโทรมๆ แถมยังสกปรกอีกต่างหาก กูเลยไปซื้อใบใหม่มา กะว่าจะให้เขา”

       “เออใช่ วันนั้นที่มันใส่มา โอโหคือแบบ..กูอยากให้เงินไปซื้อใหม่”

       “ความรู้สึกเดียวกัน เหมือนจะเป็นหมวกถักเองนะ ลายผ้าถึงดูแหว่งๆขาดๆเกินๆ”

       “55555555ถือว่าเป็นโอกาสดีแล้วกันเพื่อนพล ซื้ออันใหม่ให้เปลว เปลวจะได้รู้ว่ามึงแคร์เขาขนาดไหน”

       “เทียนล่ะ…มึงว่าไง?” พละพลหันมาถามคนที่นั่งข้างๆ เพราะเห็นว่าเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรมาซักพักแล้ว

       “…” เทียนยังคงนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้น สายตาจ้องมองไปที่ฝ่ามือตัวเองที่วางอยู่บนหน้าตักอย่างเลื่อนลอย

       “เทียน?” พละพลเอ่ยเรียกอีกครั้งพร้อมกับใช้มือข้างนึงสะกิด ...จริงๆ เทียนไขไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาก็แค่..

       “หมวกมึงสวยดีออก เปลวต้อง..ชอบแน่ๆ” ..พึ่งจะรู้ว่าหมวกที่เขาถักทอเองกับมือ มันทำให้เปลวดูแย่ในสายตาคนอื่น

       “งั้น…กูเอาไปให้วันนี้เลยดีกว่า ..ไปด้วยกันมั้ยพวกมึง” ดีหน่อยที่พละพลไม่ได้จับสังเกต เจ้าตัวก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่องอื่น แต่มันก็ชัดเจนดีนะว่า..พละพลไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเขาขนาดนั้น

       “กูไม่ว่างว่ะวันนี้มีนัดกับทางบ้านแฟน” เมธตอบ ก่อนจะหันไปเก็บข้าวของสัมภาระตัวเองยัดลงกระเป๋าลวกๆ

       “ตลอดอะเมธ ..มึงล่ะเทียน จะไม่ไปเยี่ยมเปลวจริงๆหรอ มันก็เพื่อนมึงนะเว้ย ไปเยี่ยมมันซักวันก็ได้มั้ง” เมื่อไม่มีใครตกลงที่จะไปเป็นเพื่อนเขาเลยซักคน พละพลเลยหันมาหาที่พึ่งสุดท้ายซึ่งก็คือเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง

        “…” เทียนไขเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร จึงทำให้พละพลรู้คำตอบได้ในทันที ..เป็นอีกครั้งที่เทียนไขปฏิเสธ แต่นี่..เปลวก็เป็นเพื่อนพวกเราไม่ใช่หรือไง? 

        “แล้วแต่ กูไม่ได้บังคับใคร แค่คิดว่าถ้ามึงเห็นว่าไอ้เปลวเป็นเพื่อนกับมึงบ้างซักนิดซักหน่อย มึงก็ควรจะโผล่หน้าไปให้มันเห็นบ้าง”

        “…”

        “กูไม่ได้อยากจะว่ามึงนะเทียน แต่แบบ..มึงไปไหนของมึงวะ กูไปหาที่ร้านกูก็ไม่เจอมึง ไปหาที่หอมึงก็ไม่อยู่” อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเขาไม่สังเกต แต่เทียนไขดูเหมือนจะพยายามหลีกหนีอะไรบางอย่าง ที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเทียนไขกำลังหนีอะไร

        “ก..กู..”

        “ช่างเถอะ มึงก็คงมีธุระของมึง”

        “…”

        “กูแค่จะบอกว่าไปเยี่ยมมันบ้าง” ..กับคำตอบที่มีแต่เสียงลมอันว่างเปล่าที่พละพลได้รับ มันก็คงเพียงพอแล้วที่จะเลิกเซ้าซี้ให้รู้สึกรำคาญใจ ทว่าครู่นึงหลังจากนั้นคนที่นั่งนิ่งๆไม่พูดไม่จามาตลอดจู่ๆก็พยักหน้าหงึกหงักราวกับตอบรับคำที่เขาพูดแล้ว พละพลควรจะเชื่อแบบนั้น…หรือควรจะเชื่อสีหน้าหวาดระแวงที่แสดงออกมาดี?

       “มึงจะไป?” เขาเอ่ยถาม ก่อนจะลุกขึ้นมาเตรียมจะเดินออกไปจากตึก

       “กูจะไป” เจ้าตัวก้มหน้างุด ก่อนจะลุกขึ้นตามเขา ปลายหางตาของพละพลเหลือบไปเห็นเรียวนิ้วที่กำลังสั่นเทาไม่หยุดของเทียนไข ..ทำให้เกิดคำถามอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว

        เทียน..กับเปลว ต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน





       “แล้ว..มึงจะไปวันไหน ถ้ามึงยังไม่อยากไปก็เอาไว้ก่อนก็ได้ มันไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น” พลเอ่ยถาม สายตาพยายามจับจ้องเทียนไขทุกๆการกระทำ

       “ไม่เป็นไร ก..กูไปวันนี้ได้” เขาไม่รู้ว่าเทียนไขกำลังคิดอะไร หรือกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่สิ่งนึงที่เขารับรู้คือกิริยาท่าทางของเทียนไขมันแปลกเกินไป

       “…”

       “ก..กูไปวันนี้ ไป..วันนี้ ไปวันนี้..” มันแปลก…เกินกว่าคนปกติ

       “…” เขากับเมธหันมามองหน้ากันเพราะไม่รู้จะจัดการยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ทำได้แค่เดินเคียงข้างเทียนไขต่อไปด้วยความรู้สึกอึดอัด



       “ไปไหนกันจ๊ะสามคนนี้” แต่ดีหน่อยที่บรรยากาศขุ่นมัวเมื่อครู่ถูกทำลายลงไปด้วยเสียงทุ้มของผู้มาเยือนคนใหม่

        “อ้าวไอ้โจ้ มาป้วนเปี้ยนอะไรแถวนี้วะ” พวกเขาทั้งสามคนหันหลังกลับไปตามต้นตอของเสียง ก่อนจะพบกับคนตัวสูงโปร่งที่อยู่ในชุดนักศึกษา ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกมานอกกางเกง

        “กูมาจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หลังตึกมึงเลยเดินมาเอาค้าบ” โจ้ตอบ

        “แล้วไป นึกว่ามาหาเศษกระดูกไปแทะ จะได้บอกว่าไม่มี” ไม่วายที่พละพลจะแกล้งแซวเพื่อนต่างคณะขำๆ อย่างสนิทสนม

        “มึงว่ากูเป็นแมวหรอ”

        “ใช่ แมวบ้านมึงแทะกระดูก…ถุ้ย!” ก่อนจะขำลั่นกันอยู่สองคน ส่วนเมธกับเทียนไขเป็นได้แค่ตัวประกอบฉาก

        ..เวลาที่ค่อยๆผันผ่านไปทำให้ท่าทางของเทียนไขเริ่มสงบลง เขาไม่ได้พึมพัมคำเดิมซ้ำๆเหมือนอย่างที่เคย ปลายนิ้วไม่ได้กระดิกสั่น แต่เจ้าตัวก็ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ต่างกับเทียนไขที่ทุกคนเคยรู้จักอยู่มากโข

        “เออพวกมึง..” โจ้เอ่ยขึ้นมาเปลี่ยนประเด็นพร้อมกับพยายามประคองไม้กระดานและพู่กันอุปกรณ์ต่างๆในมือไม่ให้ร่วงหล่น

        “ว่า” พละพลตอบรับ

        “มีใครว่างมั้ย พอดีกูอยากให้ไปช่วยกูขนของหน่อยว่ะ กูย้ายหอ”

        “กูไม่ว่าง มีนัดกับแฟน” คนติดแฟนอย่างเมธผู้ซึ่งมีนัดได้ทุกวี่ทุกวันไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ เขาตอบได้ในทันที ..ผิดกับเทียนไขที่เอาแต่ยืนมองภาพตรงหน้านิ่งๆราวกับกำลังใช้สมองประมวลผลคำถามที่โจ้ถาม เพื่อนสนิทอย่างพละพลมองมาที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้ความสงสัยอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในหัว..

        “กูว่าง” เขารับปาก ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ไปเลยหรอหรือไง”

        “เดี๋ยวไปเอามอ’ไซค์ก่อน”

        “มึงงั้นกูไปก่อนนะ แฟนกูรอ เจอกันๆ” เมธพูดขึ้นมาก่อนจะเดินแยกออกไป ทำให้ตอนนี้เหลือแค่พละพลและเทียนไขยืนอยู่ตรงนั้น



        “เทียน..” พละพลเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าที่ใช้คุยกันปกติ ก่อนจะเปิดกระเป๋าคู่ใจแล้วหยิบอะไรบางอย่างยื่นมาให้เทียนไข

        “…”

        “กูฝาก..หมวกอันนี้ไปให้เปลวด้วยนะ ไหนๆมึงก็จะไปแล้ว” ..ไปเยี่ยมเปลว.. ใช่แล้ว เขากำลังจะไปเยี่ยมเปลว ..ไปเยี่ยมเปลว ..คนที่เขาไม่อยากพบไม่อยากเจอ

        “…”

        “กูไปก่อนนะ ถ้าขนของเสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป”



       



       





       ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำทะมึน บดบังแสงสว่างของดวงอาทิตย์จนแสงทั้งหมดลาลับขอบฟ้าไป ตึกรามบ้านช่องเริ่มปรากฎแสงของหลอดฟลูออเรสเซนซ์ที่ทอแสงละเล่นกันระยิบระยับตาเมื่อมองจากที่สูงๆ

        ประตูลิฟต์กำลังปิด ข้างในมีเพียงเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาเจ้าของใบหน้าทรงสวย ดูเย้ายวนตาเป็นที่ตราตรึงแก่ผู้พบเห็น หากแต่ว่าตอนนี้ใบหน้านั้นกลับดูหมองลง และเต็มไปด้วยความโศกเศร้าราวกับรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ..แสงลิฟต์ที่ทำหน้าที่ขับไล่ความมืดมิดมีเพียงน้อยนิดจนเทียนไขแทบจะจมไปกับความมืด ในมือของเขามีถุงกระดาษใบหนึ่ง ข้างในเป็นหมวกไหมพรมสีดำที่ถูกถักทออย่างปราณีต มีป้ายแบรนด์ดังและราคาที่แพงหูฉี่ติดอยู่

        “…” เขาก้มมองถุงกระดาษในมืออีกครั้ง ..ไม่ว่าจะดูยังไง มองมุมไหน ความแตกต่างมันก็ชัดเจนมากๆถ้าเทียบกับหมวกใบเก่าที่เขาเคยถักให้เปลวเพื่อเป็นของขวัญในวันครบรอบ ..เทียนไขไม่ใช่คนที่ทำอะไรแบบนี้เป็น แต่ว่าเขาก็พยายามทำมัน มีบ้างที่เข็มแหลมๆแทงโดนปลายนิ้วตัวเองจนต้องร้องโอดครวญ แต่ท้ายที่สุดแล้วหมวกใบนั้นก็ออกมาเป็นหมวกไหมพรมได้อย่างที่เขาตั้งเป้าไว้

       และใช่.. หมวกใบนั้นมันไม่ได้สวยงาม ลายผ้า ตะเข็บการเย็บ ทุกอย่างบิดเบี้ยว และปรากฎออกมาภายนอกเด่นชัดราวกับเจ้าตัวนำเศษผ้ามาเย็บๆติดกันเฉยๆ คง..ไม่ต้องถามเลยว่าถ้าเปลวเห็นหมวกใบนี้ เขาจะยังเก็บหมวกใบนั้นไว้หรือเปล่า

       แต่จริงๆ..ขยะแบบนั้น ทิ้งๆไปน่าจะดีที่สุดแล้ว





       ติ๊ง!

       ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกเมื่อถึงชั้นเป้าหมาย สองเท้าก้าวสลับซ้ายและขวาเพื่อเดินออกมา ก่อนจะมองหาห้องที่เปลวอยู่

       ไม่นานนักเทียนไขก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าประตูห้องที่เปลวอยู่ กระจกสี่เหลี่ยมที่ติดตรงประตูทำให้เขาเห็นภาพที่อยู่ข้างใน ..ห้องผู้ป่วยที่ถูกปิดจนภายในห้องมืดสนิทไร้แสงสว่าง

       ฝ่ามือข้างที่ไม่ได้ถืออะไรกำแน่นเพื่อระบายความหวาดกลัวในหัวใจ ก่อนเจ้าตัวจะดันประตูตรงหน้าแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านใน ..อากาศที่เย็นเฉียบจากอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศตีกระทบเข้ากับผิวหนังของเขาจนเขาต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองป้อยๆ ความหวาดกลัวผนวกเข้ากับความหนาวเย็นภายในห้องทำเอาปลายนิ้วเริ่มสั่นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง ..ใบหน้าของคนใจร้ายที่ทำให้เขาเจ็บปางตาย อยู่ไม่ห่างจากเขาแล้ว..

 

       ‘ไม่เป็นไร.. แค่วางถุงใบนี้ แล้วก็ออกไป.. มันจะต้อง.. ไม่เป็นไร’ ไม่เป็นไร.. ต้อง..ไม่เป็นอะไร


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       “ใคร” ทว่าจู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็ดังมาจากคนป่วยที่นอนซมอยู่บนเตียง กระตุกความกลัวและทุกอย่างที่เทียนไขพยายามขุดหลุมฝังมันเพื่อให้ตัวเองลืม พรุ่งพรูไหลเข้ามาในหัวทั้งภาพที่เขาถูกกระทำอย่างทารุณและเสียงกรีดร้องจนเส้นเสียงในคอแทบแตก..



      ‘เปลว กูขอร้อง..ฮือ ช่วยกูด้วย..ช่วยกู ช่วยกูที… แม็กหยุดเถอะนะ หยุดที..หยุด กูขอร้อง กูไหว้..ฮือ’

       ‘…’

       ‘เปลว.. ทำไม..ทำไมมึงถึงทำกับกูแบบนี้…ทำไม’

       ‘…’

       ‘แม็กมึงบีบคอกู..มึงฆ่ากู มึงฆ่ากูที…กูอยากตาย กูไม่อยากอยู่แล้ว..ขอร้อง กูขอร้อง..’




       ฉายเข้ามาในหัวซ้ำๆไม่รู้หยุด…



        “เทียน..” คนป่วยพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พิงหลังกับผนักเตียง เชยสายตามองมาที่เทียนไข ก่อนจะพบว่าเจ้าตัวก็กำลังจ้องมาที่ตัวเขาอยู่เช่นเดียวกัน ความหวาดกลัวเกิดขึ้นภายในจิตใจของเปลว เพราะภาพในวันนั้นที่เขาโดนเทียนไขทำร้ายมันก็ชัดเจนอยู่ไม่ต่าง

        “…พลฝากมาให้” ทว่าคนที่กระทืบเขาจนเขามีสภาพแบบนี้กลับไม่ได้เข้ามาทำร้ายหรือสัมผัสแตะต้องตัวเขาเลยแม้แต่น้อย เจ้าของใบหน้าทรงสวยแค่เข้ามาวางถุงกระดาษไว้ที่เคาน์เตอร์หัวเตียงก่อนจะหมุนตัวแล้วทำท่าจะเดินออกไป

        “เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน!” เปลวรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดแผดเสียงตะโกนบอกให้อีกฝ่ายหยุด ..เขาก็เป็นคนๆนึงเหมือนกัน ไม่ใช่ตัวตลกที่จะยอมให้ใครตบหัวแล้วเอาเท้าลูบหน้าแบบนี้ ไหนล่ะคำขอโทษ? ไหนล่ะมารยาทพื้นฐานที่ควรมี? “คุณทำแบบนี้ทำไม?”

        “…”

        “คุณทำร้ายผมทำไม คุณโกรธคุณเกลียดอะไรผมขนาดนั้นเลยหรือไง ..ทั้งๆที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยเนี่ยนะ?” คนป่วยจิกนิ้วลงบนผ้าห่มของทางโรงพยาบาลด้วยความโกรธที่ปะทุลุลั่นอยู่ในใจ เขาจ้องมองคนตรงหน้าไม่กระพริบ และด้วยเสียงตะโกนเมื่อครู่ของเขามันก็พอจะทำให้คนตรงหน้าหยุดเดิน..

        “ไม่เคย?” ทว่า..เสียงที่เขาได้ยินจากอีกฝ่าย มันกลับสั่นเครือจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ราวกับ..อีกฝ่ายกำลังร้องไห้



       ‘มึงว่า..ถ้าเราห่างกันไกล ไม่ได้เจอกันนานๆเราจะลืมกันปะวะ?’

       ‘สำหรับเรา..เราว่าต้องห่างแบบ เราอยู่โลกเปลวอยู่ดาวอังคารเลยล่ะถึงจะลืม’

       ‘โห่ กาก’

       ‘เอ้า’

       ‘กูยังไม่คิดจะลืมมึงเลย ไม่ว่าจะไกลแสนไกล…จะดาวอังคารหรือจะกี่ปีแสง กูก็ไม่มีทางลืมมึง’




       ฮ่าๆ..คนๆนั้นเขาลืมแกซะสนิทใจเลยล่ะเทียนไข

        “ทำไม? หรือคุณจะบอกว่าเรารู้จักกันมาก่อนหน้านี้?”

        “…” เป็นอีกครั้งที่เปลวไม่ได้รับคำตอบ หากแต่คนตัวเล็กกว่าที่ยืนไม่ไกลออกไปกลับกำลังตัวสั่นงันงกราวกับกำลังร้องไห้อย่างหนัก

        “ไม่ตอบ เอาจริงๆปะ ผมว่าคุณควรไปพบหมอจิตเวชข้างล่างนี่บ้างอะ คุณเหมือนคนไม่เต็ม”

        “…”

        “จะออกไปแล้วไม่ใช่หรอ ไปได้เลยครับ ฝากขอบคุณพลด้วย ผมอยากให้เขามาให้ผมด้วยตัวเองจัง”

        “…” ..ทุกอย่างมันจบไปแล้วเทียนไข ยอมรับความจริง..ยอมรับความจริง นี่คือสิ่งที่มันควรจะเป็น แกควรจะเดินออกไป ..ปิดประตูให้สนิท แล้ววิ่งออกไปให้ไกลอย่าให้ใครเห็นว่าแกร้องไห้



        “อยู่ทำไมล่ะ? ออกไปดิ” ..ทันทีที่คำๆนี้ส่งไปถึงโสตประสาทของคนฟัง ความรู้สึกเจ้าตัวที่กำลังดิ่งลงเหวก็ยิ่งดิ่งลงไปลึกจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับคำพูดเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นก้อนหินขนาดยักษ์ที่ถูกเขวี้ยงปาลงมาทับถมกันไปเรื่อยๆจนความรู้สึกที่เคยคงอยู่ในระดับเข้าใกล้คำว่า ‘ปกติ’ ก็แตกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี

        หยาดน้ำตายังคงไหล..และไหลอยู่แบบนั้นไม่รู้หยุด ริมฝีปากที่สั่นระรัวเม้มแน่นก่อนจะกัดฟันแล้วกลั่นออกมาเป็นคำพูดที่เขาหวังว่ามันจะช่วยปกป้องตัวเขาเอง

        “คิดว่า…อยากอยู่มากนักหรอ?” โกรธ..เขาต้องโกรธ เพื่อจะได้ลืมความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวล..

        “แล้วใครใช้ให้คุณอยู่? ผมบังคับคุณหรอ” อาจจะไม่มีใครบังคับใคร แต่มีสิ่งนึงที่ผูกมัดกันเอาไว้ตลอดมา..



       ‘เปลว..สิ่งนึงที่เราอยากจะบอกเปลวก็คือ ..มันไม่มีอะไรปกติอีกต่อไปแล้วนะ..’

       ‘…’

       ‘แค่…อยากให้รู้ไว้ เราควบคุมตัวเองไม่ได้ บางอย่างในตัวเรามันไม่เหมือนเดิม’

       ‘ถ้าหมายถึง..ผลตรวจในใบนี้ กูเห็นหมดแล้ว’

       ‘…’

       ‘มึงต่อยกูที เอาให้สาสมกับความโง่ของกูที่กูปกป้องมึงไม่ได้’

       ‘เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ไม่เป็นไรนะ..เรายังไหว เปลวไม่ต้องเป็นห่วงกันเลย เรายัง..เหลือไตอีกข้างนึงที่ยังใช้การได้อยู่’

       ‘เทียน กูรักมึงนะ กูรักมึงมากๆ กูคงอยู่ไม่ได้ถ้ามึงเป็นอะไรไป’

       ‘…’

       ‘เพราะฉนั้น กูขอได้ไหม.. อยู่ข้างๆกู สู้ไปด้วยกัน’

       ‘โรคซึมเศร้า..มันทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้ เราคงรับปากเปลวไม่ได้หรอก..’

       ‘ไม่เทียน.. มึงต้องหาย …อยู่กับกูนะ สัญญาได้ไหม..สัญญาว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อกู’

       ‘…’

       ‘กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง’




       ‘คำสัญญา’ ที่เทียนไขรักษามันไว้อย่างดี ถึงแม้ตัวเขาจะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว..

        “จริงด้วยสิเนอะ ถ้าไม่ได้รู้จักกัน..กูก็คงไม่ต้องทน ‘อยู่’ มาจนถึงทุกวันนี้”

        “…” ..น้ำเสียงสั่นเครือพร่ำคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

        “กูไม่รู้ว่ามึงกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร ..แต่ถ้ามึงคิดว่ามึงแกล้งทำเป็นลืมเรื่องเหี้ยๆที่มึงเคยทำกับกูแล้วกูจะให้อภัยมึงได้ กูจะบอกมึงตรงนี้เลยว่ามึงคิดผิด”

        “….”

        “กูเกลียดมึง นี่แหละสิ่งเดียวที่กูรู้สึก” นิยามความรักของคนอื่นมันเป็นยังไงเทียนไขไม่อาจรู้ แต่สำหรับเขา คำว่ารัก..ล้วนประกอบไปด้วยความทรมานและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส..

        “ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณอภัยให้ผมซักหน่อย เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ราวกับถูกมีดแหลมๆหลายๆเล่มกระหน่ำแทงลงที่กลางใจ จริงๆก็…คิดอยู่แล้วว่าเปลวคงไม่คิดว่าตัวเองทำผิด แต่พอมาได้ยินด้วยสองหูของตัวเองชัดๆแบบนี้…สองขาที่ช่วยพยุงร่างโทรมๆนี้ให้ยืนหยัดได้ก็ไร้เรี่ยวแรงใดๆ ขึ้นมาทันที

        “มึงกล้าพูดว่ามึงไม่ผิดหรอ..” 

        “…”

        “สิ่งที่มึงทำกับกู ..สำหรับกูมึงแม่งยิ่งกว่าฆาตรกร ..ยิ่งกว่ายมบาล ..ยิ่งกว่าผีห่าซาตานตนไหนๆ”

        “…”

        “มึงทำให้กูเจ็บ...เจ็บแบบที่มึงก็จินตนาการไม่ได้ว่ามันเจ็บขนาดไหน เพราะสิ่งที่มึงได้รับมันเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวนึงกับสิ่งที่กูเจอ”

        “…” ..นานมาแล้วการได้เจอหน้ากันและกันของพวกเขาเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด..หัวใจทั้งสองดวงของพวกเขารู้สึกแบบนั้น แต่ในตอนนี้การพบกันมันกลับเป็นหอกแหลมๆที่จะทิ่มแทงเรียวขาทุกครั้งถ้ามีใครคิดจะก้าวเดินต่อไป

        “..มึงกลับมาทำไม.. มึงกลับมาให้กูเห็นหน้ามึงอีกทำไม ..กูเหนื่อยแล้ว…ไม่อยากรับรับรู้อะไรแล้ว ..มึงได้ยินมั้ย ฮือ” …หยดน้ำตายังคงรินไหลออกมาไม่หยุด เรี่ยวแรงที่เคยมีเริ่มเหือดหายจนร่างทั้งร่างเซล้มลงไปตรงนั้น..

        “…” ..ถ้าเกิดว่า..ย้อนเวลากลับไปได้ บางทีมันอาจจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าเราทั้งคู่ไม่ได้พบกัน ..จะได้ไม่ต้องรู้จักกัน และ..

        “ทำไมมึงต้องทำให้กูรัก ทำไมมึงต้องทำอย่างงี้กับกู ทำไม…” ..ไม่ต้องรักกัน ..มันจะดีกว่ามั้ย..ถ้าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเป็นแค่หนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านจบก็กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ หรือไม่มันก็แค่ฝันร้าย.. ฝันร้ายที่ยาวนานกินเวลาตลอดคืน แต่พอตื่นขึ้นมาในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น โลกทั้งใบก็จะกลับมาสดใสเหมือนเดิม

        “ออกไป” ..แต่คงไม่มีทางเป็นไปได้ ความจริงก็คือความจริง และมันก็ปรากฎอยู่ชัดเจนให้เห็นอยู่ตรงหน้า มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่เทียนไขจะหลอกตัวเอง ..มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่จะเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจคนเดียวโดยไม่พูดออกมา

        “มึงลืมกูลงได้ยังไงอะเปลว ..ไหนมึงบอกว่ามึงรักกู ..มึงจะไม่ทำให้กูเจ็บปวด ..มึงจะทำให้กูมีแต่ความสุข ..มึงจะปกป้องกู…แล้วดูสิ่งที่กูได้รับ” ..หลากหลายคำถามที่กระจุกอยู่ในใจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกพร่ำมันออกไปไม่หยุด พร้อมกับพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา

       ..จริงๆทุกๆคำถามในใจเทียนก็รู้คำตอบดี

      มึงลืมกูลงได้ยังไง? นั่นก็เพราะว่าเปลวไม่เคยคิดจะจดจำมึงตั้งแต่แรกไง

      ไหนมึงบอกว่ารักกู? ความรักจอมปลอมที่เกิดขึ้นมีเพียงคนโง่เท่านั้นที่มอบความรักที่จริงใจไป คนๆนั้นคือมึงนั่นแหละเทียนไข

       มึงจะไม่ทำให้กูเจ็บปวด? มึงจะทำให้กูมีแต่ความสุข? มึงจะปกป้องกู?

       นี่แหละ..นิยามของคำโกหก



       

       “ผมบอกให้ออกไป”

       “กูไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ ..กูไม่ได้อยากมาหามึง ..กูไม่ได้อยากเจอมึง..”

       “ทำตัวเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่บังคับไปได้”

       “…”

       “ถ้าคุณไม่ใช่เด็กแบบนั้นคุณก็ไปซะ ไม่ได้อยากเจอผม? ผมก็ไม่ได้อยากเจอคุณ เราก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกัน..” ..อยากให้อยู่..เขาก็ต้องอยู่ ..อยากให้ไป…เขาก็ควรจะ..



       “..กูรู้..กูรู้แล้ว แล้วมึงล่ะรู้มั้ย…กูไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เลย” ..หายไปใช่มั้ย?

       “…”

       “..แต่กูต้องทำ ..กูต้องอดทนถึงแม้ตัวกูจะเจ็บซ้ำๆครั้งแล้ว..ครั้งเล่า..”

       “คุณอยากตายคุณก็ไปตายสิ คุณจะฝืนอยู่ทำไม ออกไปซักที!” เขาคง..ขวางหูขวางตาน่าดูเลยสินะ..?

       “..มึงอาจจะ..ไม่เคยรักษาสัญญา แต่กูจำได้ทุกประโยคเลยนะ..ฮ่าๆ ..กูจำได้..ทุกคำพูดที่กูเคยพูดกับมึง แล้วกูก็ไม่เคยผิดสัญญา”

       “…”

       “มึงเคยขอให้กูมีชีวิตอยู่ต่อไป”

       “…”

       “กูเลยอยู่ ..ฝืนอยู่ต่อไปทั้งๆที่กูโคตรทรมาน”

       “…”

       “มึงเคยบอกว่ามึงชอบรอยยิ้มกู…กูก็เลยยิ้มให้มึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่ากูจะกำลังเจ็บปวดหรือกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ก็ตาม”

       “…”

       “มึงเคยบอกกูว่าอย่าร้องไห้ กูเลยพยายามกลัดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลถึงแม้ข้างในกูจะกำลังพังทลายก็ตาม..”

       “ออกไป”

       “…” ..เปล่าประโยชน์เทียนไข หยุดทำตัวไร้ค่าได้แล้ว

       “ผมอาจจะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่คุณเคยรู้จัก”

       “…”

       “อย่ามาพูดอะไรแบบนี้ให้ผมฟังอีก ผมไม่ชอบ”

       “กูขอถามอะไรมึงเป็นอย่างสุดท้าย..”

       “…”

       “กู..หายไป ได้แล้วใช่ไหม?”

       “…”

       “กูไม่ต้องแกล้งทำเป็นมีความสุข ไม่ต้องแกล้งยิ้ม…แกล้งหัวเราะแล้วใช่ไหม?”

       “ผมจะพูดอีกครั้ง ออกไปซะ”

       “นี่คือ..คำตอบของมึงใช่รึเปล่า?” ..นกกระจิบตัวเล็กๆผู้ถูกกักขังอยู่ในกรงหนามแหลมๆ ถูกหนามเหล่านั้นทิ่มแทงจนปีกที่เคยใช้โลดแล่นในห้วงนภาไม่อาจสลายกางได้อีก ..ตอนนี้กรงหนามเหล่านั้นถูกเปิดออก ..พันธะสัญญาที่เคยผูกมัดกันตลอดมา..มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว

       “…”

       “ฮ่าๆ ขอบคุณมึงมากๆเลยเปลว กูจะไม่..เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว..” แต่ไม่รู้ทำไม..

       “…”

       “กูอาจจะเห็นแก่ตัว แต่เรื่องราวดีๆที่เคยเกิดขึ้น กูขอ…เก็บมันไว้ในความทรงจำของกูหน่อยนะ..” ..นกกระจิบตัวนั้นกลับไม่ยอมออกมาจากกรง



       “…” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ..เป็นรอยยิ้มที่เปลวในตอนนี้ก็ไม่อาจลืมเลือนได้

       …มันไม่ใช่รอยยิ้มที่สวยสดงดงามที่ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ แต่รอยยิ้มที่เขาเห็นมันเป็นยิ้มที่ดูเปรมปรีดิ์ ราวกับเจ้าตัวกำลังดีใจ..กับอิสรภาพที่ตัวเองได้รับ เทียนไขสละสายตาที่จ้องมองมาที่เขาก่อนจะหันไปทางประตูแล้วหันกลับไป ทว่า..

       “..มีชีวิตอยู่” จู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็ไล่หลังเขามา ถึงแม้มันจะไม่ได้ดังมาก แต่มันก็ดังพอที่จะลั่นสะท้านก้องกังวานไปในหัวใจ

       “ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ผมเชื่อว่าเขาจะพูดแบบนี้” ..ประตูห้องถูกเปิดออก ก่อนจะถูกปิดลง ภายในห้องจึงกลับมามืดมิดอีกครั้ง คนป่วยยังคงนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้นทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา..



       ‘เปลวว่า..โตขึ้นเราจะยังรักกันอยู่ไหม?’

       ‘แน่นอนอยู่แล้ว’

       ‘สำหรับเรา..เราไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่เราจะไม่มีวันเสียเปลวไปแน่นอน’

       ‘หมายความว่ายังไงวะ..?’

       ‘ก็..วันไหนที่เปลวไม่รักเราแล้ว..เราจะยังคงรักเปลวอยู่ตรงนี้เสมอ’

       ‘…’

       ‘และจะไม่มีวันเสียเปลวที่เรารัก…ไปจากความทรงจำ’




       ..และขณะที่เปลวกำลังจมจ่อมอยู่กับความคิด หยาดน้ำตาเม็ดใสเม็ดนึงก็ไหลพาดผ่านข้างแก้มของเขา..























       ค่ำคืนนี้ค่อนข้างจะมืดมิดจนซอยเปลี่ยวส่วนใหญ่แทบจะไม่มีแสงใดๆเล็ดรอดเข้าไป ดวงจันทร์บนท้องฟ้าวนคาบจันทรคติมาที่คืนเดือนดับ เมฆเมฆาบนท้องฟ้าก็หนาแน่นจนบดบังแสงจากดวงดาวไปหมดสิ้น

       …เวลาผันผ่านไปจนเข็มนาฬิกาของนาฬิกาลูกตุ้มเรือนหนึ่งเคลื่อนไปที่เลขโรมันเลขหนึ่ง ลูกตุ้มนาฬิกาจึงแกว่งกวัดก่อให้เกิดเสียงดังลั่นกังวานไปทั่วอาณาบริเวณ

       “มึงเชื่อกูหรือยังล่ะโจ้” ใครคนนึงเอ่ยถามเพื่อนของเขาที่พึ่งดูคลิปบางอย่างที่ใครคนนั้นถ่ายมาได้จบ

       “ตรงๆนะ” เจ้าของชื่อเอ่ยตอบ “กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะว่าเทียนเพื่อนมึงจะเป็นคนแบบนี้”

       “กูก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่แม่งคือความจริง” ..เพื่อนของเทียนไข ที่สนิทที่สุดก็มีเพียงคนเดียว

       “กูสงสารไอ้เปลวว่ะ”

       “กูยิ่งกว่ามึงอีก กูแทบจะคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่แล้วตอนที่ได้ยินกับสองหูของตัวเอง”

       “มึงจะเอายังไงต่อ?”

       “มันทำอะไรไว้ มันก็จะได้รับอย่างนั้น”













       เวลาผ่านไปจนถึงค่ำคืนของเช้าวันใหม่ บนถนนที่ลาดยาวสุดลูกหูลูกตาไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัย มีเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาคนนึงเดินเตร็ดเตร่อยู่พร้อมกับคุยโทรศัพท์กับแฟนสาวไม่วางมือ

       “เดี๋ยวจะถึงหอแล้วแหละ ขอบคุณนะผึ้งที่โทรคุยเป็นเพื่อน”

       [ไม่เป็นไร เราเป็นห่วงเมธมากเลย ขอโทษนะที่วันนี้เราไม่ส่งไม่ได้ พ่อเราเอารถไปต่างจังหวัดอะ]

       “ไม่เป็นไรหรอก คิดมาก ได้เดินซักหน่อยมันก็ดีเหมือนกัน จะได้ย่อยข้าวที่พึ่งกินไปด้วย”

       [ลดความอ้วนหรือไงคุณ ถามจริงเอาตรงไหนมาอ้วน มีแต่กระดูกเถอะ]

       “55555555555”

       [เออนี่..จำได้ว่าเมธเล่าให้เราฟังว่าก่อนเมธจะมาหาเรามีเพื่อนเมธคนนึงอาการแปลกๆ เรารู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ก็เลยลองค้นหาดูว่ามันคืออาการของอะไร..]

       “…”

       [เท่าที่เราหามาได้นะ..มันก็มีหลายโรค หลายปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ว่าส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับทางจิตเวชทั้งนั้นเลย เราเป็นห่วงเขาว่ะ..]

       “จริงหรอผึ้ง..จิตเวช?”

       [ใช่ ตอนนั้นที่เขาแสดงอาการ..มีอะไรซักอย่างไปกระตุ้นเขาหรือเปล่า?]

       “…”

       [ว่าแต่..เพื่อนเมธคนนั้น ชื่ออะไรนะ?]

       “ผึ้งเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ..เราว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

       [เดี๋ยวก่อน! เพื่อนเมธชื่ออะไร]

       “เทียน…มันชื่อเทียนไข”

       [เทียน.. เทียน.. เฮ้ย! เมธ รีบไปหาเทียนเดี๋ยวนี้เลย!]

























       …ทุกอย่างกำลังจะจบ ค่ำคืนอันแสนยาวนานคืนนี้จะเป็นค่ำคืนสุดท้ายที่ฝันร้ายจะตามมาหลอกหลอนเขาได้

       “…” ยากระปุกนึงที่เขาพึ่งมันมาตลอดการใช้ชีวิตถูกเจ้าตัวเทลงฝ่ามือจนพูนพ้นขอบมือหล่นร่วงลงกับพื้นไปบ้าง แต่เทียนไขไม่ได้ใส่ใจอะไร

       ‘ทุกอย่างจะต้องไปได้สวย’ ใช่แล้ว.. เพียงแค่เขาค่อยๆหยิบยาในมือเข้าปากทีละเม็ดๆ ทุกๆอย่างก็จะดีขึ้น ..ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวด ..ไม่ต้องรู้สึกถึงความเศร้า เขาก็จะได้จมลงสู่ฝันหวาน ไปเจอพ่อ..ไปเจอแม่ คนในครอบครัวของเขาที่เขารัก กลับไปสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่น กลับไปสู่บ้านริมคลองหลังเดิมที่มีแต่ความสุข

       “มีความสุขมากๆนะเทียน” ประจวบเหมาะกับสายตาที่มองไปเห็นวันที่ที่ถูกวงกลมไว้ด้วยหมึกสีแดงไว้ว่าวันเกิด เขาจึงอวยพรให้กับตัวเอง พร้อมกับมอบอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นให้กับตัวเองเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับคำอวยพร

       ..ยาเม็ดที่หนึ่งถูกนำเข้าไปในปาก ก่อนจะตามด้วยเม็ดถัดมา และถัดมา ไปเรื่อยๆจนแคปซูลสองสีอัดอั้นเต็มปากไปหมด ..แก้วน้ำที่อยู่ข้างๆถูกยกขึ้นกระดกเข้าปาก ..ถึงแม้มันค่อนข้างที่จะกลืนยากจนทำให้น้ำหกราดตัวเขาไปบ้างแต่ใช้เวลาเพียงครู่เดียว..ยาทุกเม็ดก็ถูกส่งลงไปในท้อง



       เทียนไขคลี่ยิ้มให้ตัวเองในกระจก ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียง โอบกอดความทรงจำดีๆของเรื่องราวที่ผ่านมา ก่อนจะจดจำทิวทัศน์ที่เห็นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลง..

       ‘จริงๆ.. ไม่ใช่ว่าการที่เราได้เจอกันจะมีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นนะ ต้องยอมรับแหละว่าครั้งนึงตอนที่ทั้งคุณและผมต่างก็เป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาตอนนั้นเรามีความสุขกันมากๆ การเล่นเกมแข่งกันแบบมาราธอนไม่ยอมหลับยอมนอนใครแพ้เลี้ยงขนมมันเป็นความสุขเล็กๆที่ผมยังคงจำได้ดี ต้องขอบคุณคุณด้วยเหมือนกันที่มอบหลายๆอย่างให้กับผม มันล้ำค่ามากๆเลยล่ะ’

       ‘ต่อจากนี้..ขอให้รักครั้งใหม่ของคุณเป็นรักที่ดีที่สุด ยั่งยืนจนคุณแก่เฒ่าและเป็นรักครั้งสุดท้ายของคุณ’

       ‘ขอให้คุณมีแต่ความสุขนะ’






ออฟไลน์ Star06

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คนเรามันต้องเจอมรสุมชีวิตขนาดนี้เลยเหรอ สงสารเทียน นี่ว่าการที่เทียนหายไปจากโลกนี้คงมีความสุขกว่าปัจจุบันที่เทียนอยู่อะ ไม่มีใครเข้าใจแล้วอยู่ข้างๆเทียนได้สักคน อยากกอดปลอบเทียนมาก

ออฟไลน์ mannysy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เมื่อไหร่น้องจะได้เจอกับความสุขที่แท้จริงฮืออออออออ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ถ้าไม่ตายก็จะกลับมาอยู่ในวังวนของความเศร้า ทุกข์ทรมานใจอยู่เช่นเดิม หรืออาจจะอยากหลอกตัวเองให้เขามาเข้าใจเหมือนเดิม มารักเหมือนเดิม ถ้าเข้มแข็งด้วยตัวเองไม่ได้ก็คงจะทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่ปรารถนาให้จากไปนะ แต่ก็เข้าใจความอยากหายไป ถ้าไม่ได้คนอยู่ข้างๆกับที่ใจต้องการ มันก็ยากที่จะเข้มแข็งอยู่ เออเอาไงดีนะ หมอคะช่วยเทียนด้วยค่ะ คิดถึงน้าไว้นะเทียน เทียนไปน้าจะอยู่ยังไง ยังมีน้าที่รักเทียนมากอยู่นะ สู้มาได้ผ่านมาได้ เก่งแล้ว อยู่ใช้ชีวิตต่อนะ รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะมีใครมาทันไหม แล้วพลจะทำอะไร ช่างเปลวเขานะเทียน อย่างน้อยก็ได้คำปลดปล่อยพันธะมา รอรอตอนหน้าค่าาา สนุกกกกกกกก ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพ แต่ว่าถ้าใส่วันที่ลงอัพตอนใหม่จะดีเลยค่ะ เพราะบางทีจำตอนไม่ได้ ดูวันที่อัพเอาว่าอ่านไปยัง 555555

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
10


‘เปลวเทียน’







       …อุโมงค์ที่มืดไปหมดทุกทิศทุกทางเริ่มปรากฎจุดแห่งแสงสว่างจุดเล็กๆอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ความมืดมิดเมื่อครู่จึงค่อยๆถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างสีขาว

       ‘อีกนิดเดียว..ทุกอย่างกำลังจะจบ..’ ใช่แล้ว..ทุกอย่างกำลังจะจบ ความเจ็บปวดทรมานที่เขาได้รับมาตลอดกำลังจะจบลง เทียนไขกำลังจะได้ไปหาแม่..คนที่เขาเฝ้าคิดถึงตลอดมา เทียนไขกำลังจะได้..มีความสุข

       “อึก…ฮือ..” ..แต่มันกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ..ความเจ็บปวดที่ช่วงท้องเกิดขึ้นกับคนที่นอนขดคู้อยู่บนเตียงจนเขาต้องใช้มือกดมันเอาไว้หวังจะคลายความเจ็บปวด ลมหายใจของเขาเริ่มผิดปกติ หัวใจเต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ใบหน้าของเจ้าตัวปรากฎรอยเลือดฝาดเนื่องจากความดันเลือดที่สูบฉีดอย่างหนัก จู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เหงื่อไคลผุดขึ้นมาตามผิวหนังราวกับถูกแผดเผา ทว่ากลับกันร่างกายของเขากลับเย็นเฉียบ น้ำตาเม็ดใสไหลพาดผ่านสองข้างแก้มเพราะความทรมานที่ตัวเองกำลังเผชิญ

       …ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ความเจ็บปวดที่ช่วงท้องก็ยิ่งเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ของเหลวอะไรบางอย่างพยายามดันตัวเองออกมาผ่านหลอดทางเดินอาหาร รสชาติขมๆจากเม็ดยาตีกลับขึ้นมาในโพรงปาก ก่อนจะอาเจียนออกมาโดยไม่อาจต้านทานต่อไปได้



       เม็ดยานับสิบเม็ดที่ร่างกายของเขาดื้อดึงไม่ยอมรับมัน และตอนนี้ก็กระจัดกระจายอยู่เต็มที่นอนพร้อมกับของเหลวสีแดงที่อาเจียนออกมาพร้อมกัน  ทว่ามันยังไม่หมดแค่นั้น …เทียนไขอาเจียนอีกหลายระลอก จนสิ่งที่ออกมามีเพียงแค่เลือดสีข้น

       ‘..ไม่สิ..มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ทุกอย่างต้องจบลงได้แล้ว..มันควรจะจบเสียที..’ ถูกต้องที่มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม..ถึงแม้จะข่มตาให้หลับ แต่ความรู้สึกนิดคิดทุกอย่างกลับยังคงทำงานอยู่เช่นเดิม ..ยังคงตอกย้ำด้วยถ้อยคำร้ายๆที่เสียดแทงหัวใจ และยังคงฉายภาพคืนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคืนนั้น สลับกับภาพความทรงจำดีๆที่เคยมี ..ทุกๆภาพฉายซ้ำๆอยู่ในหัวโดยไม่อาจหยุดยั้งได้ สิ่งที่เทียนไขทำได้จึงมีแค่ปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอของตัวเองหลั่งไหลต่อไป หวังจะย้อมชะโลมหัวใจให้หลุดพ้นออกมาจากความเจ็บปวด



       ..เทียนไขกัดฟันเพื่อข่มความเจ็บปวดทรมานที่กำลังรู้สึก ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆออกมา ตลอดช่วงชีวิตของเขาคำว่า ‘ความสุข’ ที่แท้จริงมันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะงั้นอย่างน้อยๆเขาก็อยากให้วินาทีสุดท้ายของชีวิต…เขาก็อยากให้ตัวเขาเองได้เป็นคนที่มีความสุขซักครั้งหนึ่ง

       ..หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที ฝ่ามือน้อยๆที่พยายามกดช่วงท้องก็คลายออก ดวงตาสีใสค่อยๆถูกเปลือกตาบดบังทีละเล็กทีละน้อย และท้ายที่สุด…ร่างทั้งร่างก็แน่นิ่งไปไม่ขยับเขยื้อนอีก..













       ปัง!

       ..ครึ่งชั่วโมงถัดมา ประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยกุญแจสำรองของเจ้าของหอพัก ปรากฎเป็นกลุ่มคนมากหน้าหลายตาที่มามุงดูสถานการณ์ที่กำลังเกิด ก่อนจะถูกเด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งแทรกเข้ามาภายในห้องด้วยความร้อนรน และเมื่อเจ้าตัวได้เห็นร่างที่แน่นิ่งไม่ไหวติงที่อยู่บนเตียง เขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาทันที

       “เทียน.. ไอ้เทียน!” เขาใช้ฝ่ามือของตัวเองตบลงไปที่ใบหน้าของเทียนไขเบาๆเพื่อเรียกสติ และสิ่งที่เขาได้ก็คือ..มันไม่มีผลอะไรเลย เทียนไขยังคงแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น ผิวกายเย็นเฉียบจนน่ากลัว

       “ใครก็ได้โทรเรียกรถพยาบาลให้หน่อยครับ!” เขาตะโกนแผดเสียงออกไปดังลั่นเพื่อให้คนที่มามุงดูได้สติแล้วคิดจะช่วยเหลือกันซักที

      ..ความสงสัยหลายๆอย่างเกิดขึ้นในหัวของเขา เพราะตอนเย็นก่อนจะแยกกันเขาจำได้ว่าเทียนไขอาจจะมีอาการแปลกๆไปบ้าง แต่รวมๆก็ดูปกติดี ไม่คิดเลยว่าพอมาถึงตอนนี้เพื่อนของเขาจะนอนแน่นิ่งจมอยู่กับกองเม็ดยาที่ถูกละลายไปบ้างแล้ว และคราบเลือดที่ซึมอยู่กับผ้าปูที่นอน

       ‘มันเกิดอะไรขึ้นกับมึงกันแน่วะเทียน..’ หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นภายในหัว ..ถึงแม้จะพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวยังไงเขาก็ยังไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดอยู่ดี บางอย่างมันขาดหายไป..และดูเหมือนว่าสิ่งที่ขาดหายไปจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดซะด้วย





       ..หลังจากนั้นเกือบชั่วโมง เทียนไขก็ถูกนำมาส่งจนถึงมือหมอ ร่างที่ดูบอบบางถูกวางนอนบนรถเข็นของทางโรงพยาบาล ก่อนจะถูกเข็นเข้าไปในห้องแห่งชีวิตอย่างรวดเร็ว



       Rrrrrrrr

       “ฮัลโหล ว่าไงผึ้ง” คนที่เป็นความสบายใจของเขาเพียงคนเดียวติดต่อเข้ามาพอดีราวกับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังต้องการใครซักคน

       [เป็นไงบ้างเมธ] ปลายสายเอ่ยถาม และเพียงเพราะคำถามที่ดูธรรมดาๆนี้ ก็ทำเอาคนที่จมอยู่กับความเครียดอย่างเมธน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมาเลยทีเดียว

       “ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้วล่ะ” เขาตอบ

       [อาการของเทียนแย่มากเลยหรอเมธ..]

       “เทียนหมดสติ ..เราไม่แน่ใจว่าอาการของเขามันอยู่ในระดับไหน แต่คงจะ..”

       [เมธล่ะ? ตอนนี้..เมธโอเคหรือเปล่า ให้เราไปอยู่เป็นเพื่อนไหม]

       “ไม่เป็นไร เราโอเค ..เครียดนิดหน่อย” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าของเมธ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนคนรักของเขาก็ยังคงน่ารักแบบนี้เสมอ ผึ้งเป็นคนที่เขาสามารถเล่าให้ฟังได้ทุกอย่าง และเธอก็คอยรับฟังเขา อยู่ข้างๆกันตลอดมา “..เรารู้สึกเหมือนตัวเองบกพร่องในหน้าที่ของเพื่อนคนนึงเลยว่ะผึ้ง..”

       […]

       “เราไม่เคยรู้เลย ..ไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าเทียนกำลังป่วย เราปฏิบัติกับเขาแบบคนปกติคนนึง มีบ้างบางครั้งที่เรากวนตีนกัน มีบ้างที่เราหลุดคำพูดร้ายๆออกไป โดยที่เราแบบ..ไม่รู้เลยว่าเทียนไขที่เป็นคนฟังจะรู้สึกยังไงบ้าง เราไม่รู้เลย.. เราเห็นแค่ว่าเขายิ้ม..เขาหัวเราะ แล้วเราก็ทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ..ตลอดมา”

       [..เราเข้าใจเมธนะ แต่อย่างน้อยๆตอนนี้เมธก็ได้รู้แล้วนี่ ยังไม่สายไปหรอกนะถ้าเมธจะจดจำสิ่งที่ตัวเองอาจจะทำพลาดไปแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ไม่ทำแบบนั้นอีก..]

       “ไม่ผึ้ง.. มันยังมีอีกอย่าง คือเรารู้..วันนี้เราเห็นว่าเทียนมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่พูดถึงคนๆนึง แล้วไอ้พลมันก็ให้เทียนไปหาคนๆนั้น เทียนก็เลยไป ..ที่จะบอกก็คือ เรารู้ว่าเทียนไม่โอเคที่จะไปเจอคนๆนั้น แต่เราแม่ง..ไม่ห้าม ไม่พูดอะไรออกไปซักคำ เราปล่อยให้เทียนไป ..เราปล่อยให้เพื่อนของเราไปหาคนที่เขาไม่อยากเจอ.. แล้วทุกอย่างก็เป็นแบบที่เห็น เทียนพยายามฆ่าตัวตาย”

       [ใจเย็นๆนะเมธ มันอาจจะไม่ใช่ความผิดเมธก็ได้ เพราะถ้าเมธจะคิดแบบนี้ ทุกๆคนที่อยู่ตรงนั้นก็มีส่วนผิดเท่าๆกันหมด เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองนะ อีกอย่าง..เราเชื่อว่าเทียนไขเข้มแข็งพอ เทียนไขจะไม่เป็นอะไรแน่นอน]

       “แต่เขาป่วย..ป่วยแบบที่เราเองก็ไม่รู้ว่ามันหนักหนาขนาดไหน”

       [เทียนไขไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอก เรารู้จักเขาดี]

       “เดี๋ยว..เดี๋ยวนะ ผึ้งรู้จักเทียนด้วยหรอ..?”

       [ใช่ เรารู้จัก แต่อาจจะไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น ญาติเราชอบเล่าเรื่องของเขาให้เราฟังบ่อยๆ เราเคยเจอเทียนไขด้วย ครั้งนั้นเขาป่วยเหมือนกัน..นอนอยู่โรงพยาบาล แล้วเราก็เด็กมาก แต่เราจำรอยยิ้มของเทียนไขได้ดีเลยล่ะ ถึงแม้เขาจะเจ็บ..จะป่วยอยู่ แต่เขาก็ยิ้มออกมาได้อย่างสดใส มันแสดงให้เห็นเลยว่าเทียนไขน่ะ..เข้มแข็งมากๆเลย]

       “อ๋อ เพราะแบบนี้ผึ้งเลยให้เรารีบไปหาเทียนใช่ไหม?”

       [เปล่า อันนั้นมีอีกเหตุผล]

       “…”

       [เราเคยบังเอิญเจอเขามาหาหมอจิตเวช]

       “…”

       [นานแล้วแหละ ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ ม.5 มั้ง..น่าจะ วันนั้นเราพาแม่ไปหาหมอ แล้วก็บังเอิญเจอเทียนไขกำลังเดินเข้าไปในแผนกจิตเวชพอดี สีหน้าเขาดูหม่นหมองมากเลย ..มาคนเดียวด้วย]

       “ถ้าเป็นแบบนั้น…หมายความว่าเทียนไขก็ป่วยมาตั้งแต่ ม.5 แล้วหรอ..”

       [ก็อาจจะ..]

       “…” เมธได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับกุมขมับ แสดงว่า..เทียนไขป่วยมาตั้งแต่ตอนนั้น และจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่หายขาด ก็หมายความว่า..อาการของเทียนไขก็คงจะไม่ใช่เล่นๆ แต่เขากลับ..เล่นๆ กับเทียนไขมาตลอด ทั้งการปฏิบัติตัวและการใช้คำพูดคำจา

       ..เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนใกล้จะรุ่งสาง ประตูห้องฉุกเฉินข้างหลังเมธก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกมา จนสุดท้ายแล้วเมธก็ตัดสินใจกลับบ้านไปซะก่อนเพราะตัวเองก็มีเรียนเช้า ทว่าการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้ใจของเขาสงบลงเลยแม้แต่น้อย ในใจของเมธยังคงเป็นกังวลถึงคนที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่โรงพยาบาล แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้เวลาผ่านไปให้ถึงเวลาเลิกเรียน
















       ฝั่งคนเจ็บ มันไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความว่างเปล่าและความเงียบสงัด ..เทียนไขถูกย้ายมานอนพักในห้องพักผู้ป่วยแล้ว แต่ด้วยปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจึงทำให้เทียนไขสามารถนอนได้แค่ห้องพักผู้ป่วยรวมเท่านั้น

       การรักษาดำเนินไปจนแล้วเสร็จทุกวิถีทาง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สิ่งเดียวที่พอจะเป็นความหวังได้ก็คือสัญญาณชีพจรที่ยังไม่หยุดเต้น นอกเหนือจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ที่พร้อมจะร่วงหล่นทุกเมื่อ

       เปลือกตาสีไข่ยังคงปิดสนิท ราวกับเจ้าตัวกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความฝันอันแสนหวาน ..เป็นความฝันที่เทียนไขได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งพ่อทั้งแม่แล้วก็ตัวเขาเอง นั่งทานข้าวด้วยกัน ดูละครโทรทัศน์พร้อมกับวิจารณ์พระเอกนางเอกกันเหมือนอย่างที่เคย ก่อนจะนอนหลับไหลอยู่ในอ้อมกอดแห่งความรัก ทุกๆคนล้วนแล้วแต่มีความสุข พ่อไม่ได้ติดยาเสพติด ชอบซื้อหญิงขายบริการ หรือโดนประหาร แม่ก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายที่คนต่างก็รังเกียจ และไม่ได้ลาจากเทียนไขไปไหนไกล พวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น

       ..เป็นความฝันที่อบอวลไปด้วยความรัก น่าทะนุถนอม และน่าหวงแหนอย่างถึงที่สุด เพราะฉะนั้นแล้ว…ก็คงจะไม่มีเหตุผลอะไรที่เทียนไขจะต้องตื่นขึ้นมาอีก

       “เทียน..” มันก็..ควรจะเป็นแบบนั้น

       “…”

       …หากแต่ว่าเสียงสั่นเครือที่ดังอยู่ข้างๆหูของเขามันกำลังปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา

       “เทียนไข..ตื่นได้แล้วนะ..”

       “…”

       “..ตื่นได้แล้ว..” จนสุดท้ายเปลือกตาสีไข่ก็ค่อยๆปรือขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีใสและนัยน์ตาสีนิล

       ‘ดีใจจังที่เรายังมีชีวิตอยู่’ สำหรับคนอื่นมันอาจจะเป็นแบบนั้น แต่สำหรับเทียนไข…วินาทีแรกที่เขาลืมตาขึ้นมาสัมผัสความรู้สึกของการมีชีวิตอีกครั้ง หยาดน้ำตาเม็ดใสก็ร่วงหล่นออกมาไม่หยุด

       “ทำไม.. ทำไมกูยังมีชีวิตอยู่อีก…ฮือ” ที่ผ่านมาเขาพบเจอแต่ความเจ็บปวด ปัจจุบันเขาก็พบเจอแต่ความเจ็บปวด ในอนาคตเขาก็คงหนีไม่พ้นความเจ็บปวด มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว

       “เทียน มึงใจเย็นๆ ใจเย็นๆดิวะ..” เมธที่อยู่ข้างๆเตียงเมื่อเห็นเทียนไขรู้สึกตัว แว็บแรกเขาดีใจ เขากำลังจะยิ้ม แต่ทันทีที่เขากำลังจะยิ้ม เพื่อนที่เขาเป็นห่วงมาตลอดวันก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาจนรอยยิ้มของเขาค่อยๆหุบลง

       “มึงช่วยกูทำไม..มึงช่วยทำไม..ฮือ” เทียนไขที่เคยหลับตาพริ้มตอนนี้กำลังร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับขยับถีบ ดิ้นเร่าๆอย่างทรมาน แต่อีกนัยนึงมันก็แสดงถึงความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง บางทีเมธควรจะออกไปแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญหรือเปล่า?

       ทว่าเขากลับไม่ได้คิดแบบนั้น ก็จริงอยู่ที่เขาเองก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น แต่พอได้เห็นความเจ็บปวดทรมานที่แสดงออกมาผ่านสีหน้าของเทียนไข มันก็ทำให้เขาทิ้งเทียนไขไม่ลง

       “ไม่เป็นไรนะเพื่อน กูอยู่ตรงนี้แล้ว” เมธจับมือเล็กๆที่กำลังสั่นเทาขึ้นมากอบกุมเพื่อหวังจะปลอบประโลมให้เทียนไขทุเลาลง แต่ดูเหมือนว่า..มันจะไม่ได้ผล

       “ไม่ต้องการ ฮือ…กูอยากตาย กูไม่อยากอยู่แล้ว..” เทียนไขยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่แบบนั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ดึงมือตัวเองกลับไป เมธเห็นดังนั้นจึงคิดว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี..สำหรับเขา

       “กูอยากให้มึงมีชีวิตต่อไป”

       “ไม่เอา..ฮือ เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว” ริมฝีปากอันสั่นเครือของคนเจ็บเม้มแน่น หยาดน้ำตายังคงหลั่งไหลออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ..ภาพที่เห็นสำหรับเมธแล้วมันทำให้เขาสงสารเทียนไขอย่างสุดหัวใจ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาเจ็บใจไปด้วย เจ็บใจตรงที่ว่า..เขาช่วยเหลือเพื่อนของเขาไม่ได้เลย..

       “ถือว่า..กูขอก็ได้ ครั้งนี้ครั้งเดียว” คงจะมีเพียงแค่คำขอร้องคำนี้เท่านั้นที่เขาพอจะทำได้ “ในฐานะเพื่อนคนนึงกูก็ไม่ชอบที่จะเห็นเพื่อนกูเจ็บปวดหรอก เพราะงั้นต่อจากนี้กูจะอยู่ข้างๆมึงเสมอ ไม่ว่ามึงจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจมึงก็มาโม้ให้กูฟังได้เสมอ”

       “…”

       “มีชีวิต.. มีชีวิตอยู่ต่อเถอะนะ..” เมธเอ่ยเอื้อนออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจากการสะอึกสะอื้น ยอมรับว่าตัวเขาตอนนี้ก็กำลังร้องไห้อยู่ไม่ต่าง เป็นหยาดน้ำตาที่เกิดจากหลายๆความรู้สึก ทั้งสงสาร รู้สึกผิด ดีใจที่เทียนไขยังมีชีวิต และเสียใจที่เทียนไขไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

       “…”

       “นะ..เทียน..”

       “…เมธ..” และในที่สุด..คนเจ็บก็ยอมรับฟังสิ่งที่เขาพูด ..เสียงในหัวใจของเขาส่งไปถึงหัวใจที่บอบช้ำของเทียนไขแล้ว

       “..กูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงผ่านอะไรมาบ้าง แต่กูอยากให้มึงมองมันให้เป็นอดีตให้หมด มองตัวมึงเองตอนนี้ให้เป็นปัจจุบัน แล้วมองความฝันของมึงให้เป็นอนาคต”

       “…”

       “มึงไม่อยากรักษาคนอย่างที่มึงเคยตั้งใจแล้วหรอ?”

       “…”

       “มึงฟังกูนะ ตอนนี้มึงอาจจะยังไม่มีความสุข เจอแต่เรื่องร้ายๆ ล้มลุกคลุกคลาน โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มึงเชื่อเหอะว่าซักวันมันจะผ่านไป”

       “…”

       “กูเชื่อว่าซักวัน ‘เทียนไข’ จะส่องสว่าง”

       “…” เทียนไขหันไปมองคนที่กำลังกอบกุมมือของเขาอยู่ ก่อนจะเชยสายตาขึ้นมามองที่ใบหน้าของอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าที่มีคราบน้ำตาไหลผ่านทั้งสองข้างแก้ม แต่กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นจากใจจริง เขามองภาพที่เห็น อารมณ์ในใจเริ่มสงบลงก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา





       

       ‘ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร’ เทียนไขเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง ..ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาก็คงจะไม่ต้องลังเลกับคำตอบเลยว่าต้องตอบว่าอะไร แน่นอนว่าเขาจะตอบว่าเพื่อทำฝันให้เป็นจริง เพื่อที่จะมีความสุข แต่สำหรับเทียนไขนั่นก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ดีพอ แท้จริงแล้ว..ความหมายของการมีชีวิตอยู่มันไม่ได้มีอะไรมากมาย ทุกๆอย่างสามารถรวมกันได้เป็นคำว่า ‘ความเชื่อมั่น’ นั่นเอง ..เชื่อมั่นว่าในอนาคตซักวันเราจะมีความสุข .เชื่อมั่นว่าซักวันในอนาคตเราจะมีบ้านหลังใหญ่ แค่มี ‘ความเชื่อมั่น’ ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งหาคำตอบให้กับคำถามนี้อีกต่อไป และสำหรับตอนนี้ เมธ..ก็ได้ทำให้ ‘ความเชื่อมั่น’ เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง

       ‘เชื่อมั่น’ ว่า ซักวันหนึ่งเทียนไขเล่มนี้..จะส่องสว่าง ให้แสงสว่างกับคนที่กำลังตกอยู่ในความมืดมิด

       ซักวัน..คำว่า ‘นายแพทย์’ จะต้องมาอยู่หน้าชื่อของเขา



       “เทียน กูขอถามได้มั้ยว่าทำไมมึงไม่บอกพวกกูว่ามึงป่วย” คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอ่ยถาม เทียนไขหันไปสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาแล้วยันตัวเองขึ้นนั่งให้หลังพิงกับหัวเตียง แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรกลับอะไรไปในทันที ในหัวทบทวนสิ่งที่ได้ยินอยู่ซ้ำๆ

       “…”

       “ทำไมมึงถึงไม่ยอมบอกใครว่ามึงไม่ได้ปกติเหมือนคนอื่นๆ ทำไมมึงถึงไม่บอกว่ามึงป่วย..”

       “…”

       “ยาที่มึงกิน มันเป็นยาระงับประสาท.. หมอที่มาดูอาการมึง ก็ไม่ได้มีแค่หมอทั่วๆไป แต่มีหมอจิตเวชด้วย..”

       “…”

       “กูก็เป็นเพื่อนมึงคนนึงนะเว้ย ไอ้พลก็ด้วย ทำไมมึงไม่บอกกันวะ”

       “…”

       “…” เมธจ้องมองเทียนไขเพื่อรอคำตอบ แต่เมื่อเห็นว่าช่องว่างของบทสนทนามันเริ่มมากเกินไปเขาเลยกะจะขอโทษที่ถามไปแบบนั้น แต่ทันใดนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา เป็นน้ำเสียงที่ดูนิ่งๆเย็นๆ แต่ก็ดังกังวานกึกก้องอยู่ในหัวของคนฟัง

       “..ก็…ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องบอกพวกมึงนี่..”

       “…”

       “เวลาอยู่กับพวกมึงกูอยากเป็นคนปกติ กูไม่ได้อยากเป็นคนป่วย” ใช่แล้ว..มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องทำให้คนรอบตัวต้องมามัวเป็นกังวลเรื่องของตัวเอง 

       “…”

       “ไม่ได้อยากถูกเทคแคร์ดูแลจนเหนือกว่าคนอื่น ที่สำคัญเลยก็คือ..ไม่อยากให้พวกมึงต้องมาคอยเป็นห่วงกู”

       “…”

       “เพราะงั้นกูก็เลยไม่ได้บอกใคร เพราะถ้าบอกใครซักคน ในสายตาเขา..กูก็จะไม่มีวันกลับไปเป็นคนปกติได้อีก” และนี่คือสิ่งที่เทียนไขกลัวที่สุด …เขารู้ดีว่าตัวเองป่วย และรู้ดีว่าเพื่อนๆของเขาอยู่ในวัยที่กำลังต้องการความสนุก ต้องการโลดแล่นอยู่ในแสงสี เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเลือกที่จะปกปิดเรื่องอาการป่วยของตัวเอง เพื่อที่จะให้เพื่อนๆรอบๆตัวเขาได้สนุก และมีความสุขอย่างที่ใจต้องการโดยไม่ต้องมากังวลอะไรเกี่ยวกับตัวเขา และสิ่งที่เทียนไขต้องทำมันก็ไม่ได้ยากอะไรด้วย ก็แค่..ทำตัวให้เป็นปกติ

       “…แต่ในฐานะเพื่อน กูก็ควรจะรู้เรื่องของเพื่อนกูบ้างปะวะ” เมธนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับ “เห็นกูติดแฟนงี้ แต่กูก็เป็นห่วงเพื่อนของกูเหมือนกันนะเว้ย”

       “กู..”

       “เอาเป็นว่ากูจะไม่บอกใคร แต่ขอให้กูได้รู้หน่อยเถอะ มึงเป็นอะไรขึ้นมากูจะได้รู้ว่ากูต้องทำยังไง” ..นานมากแล้วที่เทียนไขไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใย และตอนนี้เขาก็กลับมารู้สึกถึงมันอีกครั้ง ผ่านทุกๆคำพูดที่เมธสื่อออกมา

       “หมอบอกว่า…กูสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นๆได้แล้ว แต่กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจริงมั้ย เพราะบางทีกูก็รู้สึกว่ากูควบคุมตัวเองไม่ได้..” และเขา..ก็เลือกที่จะลองเชื่อใจเมธ

       “…”

       “กูเป็นโรคจิต หมอบอกกูว่ากูเป็นประเภท Paranoid Schizophrenia”

       “…”

       “กูเคยเป็นหนักตอนช่วงจบ ม.6 ใหม่ๆ แต่ก็รักษาจนกูสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ แต่มึงรู้มั้ย..”

       “…”

       “พี่หมอเขาโกหกกู.. เขาบอกว่ากูจะไม่เห็นภาพหลอนอีกต่อไปแล้ว แต่กูก็ยังเห็นมัน เห็นภาพเหล่านั้นอยู่ทุกๆครั้งที่กูหลับตา..” เทียนไขพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จริงๆเขาก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงมันเท่าไหร่นัก ถ้าเลือกได้เขาก็อยากจะลืมๆมันไปเสียด้วยซ้ำ

       “เทียน..” เมธค่อนข้างตกใจกับความจริงที่กำลังได้ฟัง แต่เขาไม่ได้นึกกลัวอะไรทั้งนั้น ในอกมีแต่ความเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งเขาก็ส่งผ่านมันผ่านทางฝ่ามือที่กำลังบีบมือเล็กๆของเทียนไขอยู่เบาๆ

        “..ทุกอย่างมันมืดไปหมด กูมองไม่เห็นทางออกเลยด้วยซ้ำว่ากูควรทำยังไงกับตัวเอง กูไม่มีที่ไป แม้แต่บ้านกูกูก็เรียกได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำว่านั่นยังเป็นบ้านอยู่ แต่แล้วกูก็ได้รับการช่วยเหลือ น้ากู..ช่วยกูจากตรงนั้น ดูแลกู รับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย เป็นธุระให้กูทุกอย่าง กูรู้สึกขอบคุณเขามากๆ ซักวันกูจะกลับไปตอบแทนบุญคุณเขาแน่ๆถ้ากูเรียนจบ แต่มันคงจะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว”

       “น้ามึง..?”

       “เขาเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นาน” น้าหยวน..จากเทียนไขไปเมื่อไม่นานมานี้ตอนช่วงก่อนวันเปิดภาคเรียนไม่กี่วัน แต่เทียนไขมารู้เอาทีหลังก็ตอนเปิดเทอมได้สองสามวันแล้ว ใช่..งานศพถูกจัดไปแล้วเรียบร้อย สิ่งที่เหลืออยู่ให้เห็นมีเพียงแค่โกฐใส่อัฐิ แต่ที่แย่ก็คือเขามารู้เอาทีหลังว่าน้าหยวนอยากจะมาหาเขา ในมือมีปิ่นโตซึ่งเต็มไปด้วยอาหารมากมาย ตั้งใจว่าจะเอามาให้หลานเพียงคนเดียวของตัวเองเพื่อหวังจะให้เทียนไขได้กินของดีๆก่อนจะเปิดภาคเรียน แต่ทุกอย่างก็พังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี น้าหยวนถูกรถชนในขณะที่กำลังจะข้ามถนน สิ่งที่คิดว่าจะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณก็ไม่มีวันส่งไปถึงได้อีก



       “…”

       “สิ่งที่เหลืออยู่ในชีวิตกูเลยมีแค่เพื่อน ซึ่งกูก็มีแค่มึง กับไอ้พล”

       “ไม่เป็นไรนะเว้ยเทียนไข กูเชื่อว่ามึงเก่งมากๆที่มึงผ่านเรื่องราวพวกนี้มาได้”

       “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆมันก็คงจะดี แต่แย่หน่อยที่กูไม่ใช่..”

       “…”

       “กูขอโทษนะเมธ แต่กูยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องนี้ตอนนี้ว่ะ..” ..เรื่องของคนๆนึงที่เทียนไขเคยมีใจให้ ..เรื่องของคนที่เป็นทุกๆอย่างในชีวิตของเขา มันคงจะดีถ้าในหัวของเขามองเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วและสามารถเล่ามันออกมาให้เป็นแค่นิยายรักเรื่องนึง แต่มันไม่ใช่แบบนั้น…ทุกๆอย่างมันไม่เคยผ่านไป โดยเฉพาะความรู้สึก..

       “ไม่เป็นไรเพื่อน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าก็ได้ เอาที่มึงทำแล้วมึงโอเคอะดีที่สุด กูอยู่ตรงนี้คอยรับฟังมึงอยู่เสมอ” เมธตบบ่าเทียนไขเบาๆ ส่งพลังความเป็นห่วงที่อยู่ในใจไปให้มากที่สุด ซึ่งเทียนไขก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงเหล่านั้น แต่ว่ามันยังมีอะไรบางอย่างที่ยังตกค้างอยู่ในใจ…ที่เขาอยากรู้

       “เออเมธ..กูมีอะไรจะถามมึงหน่อย”

       “จัดมาเลย”

       “มึงจะคิดยังไง..ถ้ากูจะบอกว่ากูเป็นต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ..สมมุติว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ” เมธจะคิดยังไง..ถ้าเกิดวันนึงเขามารู้ว่าเป็นเพราะเทียนไขเปลวถึงได้หลับไปเกือบสัปดาห์ จะคิดยังไง..ถ้าเทียนไขคนนี้ไม่ได้เป็นคนอย่างที่เขาคิด..?

       “ก็อย่างที่บอก…กูอยู่ข้างๆมึง ไม่ว่าคนอื่นจะมองมึงยังไง แต่กูจะมองมึงเหมือนเดิม มึง..ก็คือมึง ไอ้เทียนเพื่อนกู” ทว่า..คำตอบที่ได้มันกลับไม่ได้ทำให้เขาต้องกังวลอะไรอีกต่อไป แต่มันกลับทำให้เขายิ้ม

       “อยากจะอ้วกแต่กลัวอ้วกเป็นเลือดอีก” …หมายถึง ขอบคุณมึงมากๆเลยนะเมธ

       “กวนตีนแบบนี้แสดงว่ามึงเริ่มโอเคแล้วอะดิ”

       “ไม่รู้ว่ะ ไม่อยากให้มึงเครียดไปตามกูเฉยๆ”

       “กูเคยเครียดอะไรด้วยหรอวะถามจริง”

       “เออว่ะ ไม่เคยเลย”

       “นั่นแหละ”

       “55555555555555”

       …เสียงหัวเราะดังลั่นสนั่นห้องในห้องพักผู้ป่วยรวมที่มีผู้ป่วยคนอื่นๆนอนอยู่ด้วย แน่นอนว่ามันเสียมารยาท แต่กลับกันมันช่วยทำให้ความสุขเล็กๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานาน..เกิดขึ้นอยู่ในใจของเทียนไข







มีต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       วันเวลาผ่านไปหลายวันจนอาการจากการกินยาเกินขนาดของเทียนไขเริ่มปกติดี อีกวันเดียวเทียนไขก็จะได้รับอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านต่อได้ แต่เขาต้องกลับมาหาหมออีกครั้งตามวันและเวลาที่หมอนัดเพื่อดูอาการ เนื่องจากว่าหมอไม่สามารถไว้วางใจกับอาการป่วยของเขาได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเขา สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือความเงียบเหงาที่เขาต้องเผชิญในแต่ละวันนี่ต่างหาก

       เทียนไขอยากกลับไปเรียน ..แต่ก็ทำได้แค่นั่งมองตึกรามบ้านช่องผ่านหน้าต่างกระจกสีใสเพื่อรอให้วันเวลาผ่านไป แต่ละวันหมุนเวียนไปด้วยการตื่นนอนในตอนเช้า แล้วก็หลับไหลในตอนกลางคืน..เป็นแบบนั้นอยู่ร่ำไป จะมีบางวันเท่านั้นที่เมธจะมาอยู่เป็นเพื่อนเขา แต่ส่วนใหญ่เมธจะติดธุระหลายๆอย่างทำให้มาไม่ได้ แต่ก็จะโทรมาถามไถ่กันอยู่ตลอดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก



       “ทะด๊า สวัสดีครับผม วันนี้กูมาพร้อมช็อคโกแลตและบรรดาขนมขบเคี้ยวไร้ประโยชน์ที่มึงชอบ” นั่นไง กำลังนึกถึงอยู่พอดี คุณเมธเขามีความตายยากเวอร์ๆ

       “มันคืออาหารชั้นเลิศปะเหอะ มึงไม่รู้อะไร” เทียนไขยันตัวเองลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นเพื่อนของเขากำลังเดินเข้ามาหา

       “แน่นอน เพราะกระเพาะกูไม่ย่อยของที่ราคาต่ำกว่าสองพัน”

       “อุแหวะ” คนป่วยบนเตียงทำท่าอ้วกเพื่อกวนตีนไปหนึ่งสเต็ป ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะกลับมา โอเค..ถือว่ากวนตีนสำเร็จ

       “วันนี้เป็นไงบ้างล่ะมึง” เมธเอ่ยถาม ก่อนจะวางถุงขนมไว้ข้างๆเตียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม

       “ก็เฉยๆ ลงไปหาหมอมาตอนบ่าย เขาก็ให้กูทำแบบประเมิน สอบถามว่ากูรู้สึกยังไงช่วงนี้ เป็นยังไง”

       “เดาว่ามึงน่าจะเบื่อแน่ๆ”

       “ก็ไม่ขนาดนั้น อาจจะมีเหงาๆนิดหน่อย เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้กูทำ คือโคตรว่าง อยากเอาเวลาว่างพวกนี้ไปนั่งเรียนกับพวกมึงมากๆเลย”

       “โห่ กูนี่อยากจะบินหนีจากห้องเรียนชิบหาย รู้สึกเหมือนเป็นนกยูงในฝูงยุง คือกูเรียนไม่รู้เรื่อง”

       “กูขอเกลียดการเปรียบเทียบ”

       “55555555555”

       “แล้วนี่..ไอ้พลยังไม่ว่างอีกหรอวะ..?” เทียนไขชะเง้อมองหาคนที่เขาพูดถึงเพราะหวังว่าพลจะตามมาด้วย แต่ก็เห็นแต่เพียงความว่างเปล่า ..ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในโรงพยาบาลเขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวหรือได้เห็นหน้าค่าตาพละพลเลย เมธเคยบอกเขาว่าพลไม่ว่าง ช่วงนี้มีงานที่คณะ เขาก็เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด แต่จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่เห็นพละพลเลยแม้แต่เงา

       “เออ ช่วงนี้มันฮอต” เมธพูดติดตลก ก่อนจะหันไปหยิบขนมที่เป็นของฝากให้ผู้ป่วยมากินเสียเอง

       “ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่กูจะไปขอลายเซ็นละกันนะ” คนป่วยรับมุกอย่างรู้งานก่อนจะหันไปหยิบขนมในถุงมาแกะกินบ้าง

       “เออนี่..มึงออกจากโรงพยาบาลวันไหนนะ?” เมธเอ่ยถามพร้อมกับเคี้ยวมันฝรั่งทอดกรอบในปาก

       “พรุ่งนี้ครับผม กูจะได้กลับไปเรียนแล้วเย่” เทียนไขยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ..พรุ่งนี้เขาจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว ..เขาจะได้กลับไปเจอเพื่อน ..ได้เรียนในสิ่งที่เขารัก ทว่า..

       “ไม่” จู่ๆสีหน้าเมธก็ดูผิดแปลกไปจากเดิม เช่นเดียวกันกับเสียงแข็งกร้าวเมื่อครู่ที่เปลี่ยนไปจากน้ำเสียงปกติ

       “…” เทียนไขหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง ความเงียบสงัดเกิดขึ้นในการสนทนาชั่วขณะ

       “ก..กูหมายถึง มึงอย่าพึ่งไปเรียนตอนนี้ หยุดพักไปก่อนซักอาทิตย์ รอให้มึงหายดี” บางอย่างที่น่าสงสัยเกิดขึ้นในน้ำเสียงตะกุกตะกักของเมธ ..เพราะอะไรกันล่ะที่เขาจะไปเรียนไม่ได้?

       “ทำไมวะ มีอะไร”

       “ไม่มีอะไรหรอก กูแค่อยากให้มึงหายดีก่อน แล้วค่อยไปโรงเรียน จนถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่สาย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวกูอธิบายให้มึงก็ได้”

       “จ้า เอางั้นก็ได้ขอบพระใจในความเป็นห่วงนะค้าบ” เทียนไขตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม หากแต่ลึกๆในใจความสงสัยเมื่อครู่ก็ไม่ได้หายไป

       











       วันเวลาผ่านไปจนถึงวันที่เทียนไขได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ตลอดทั้งวันหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเขาไม่ได้ทำอะไรมากมายนอกจากนอนพัก แล้วก็นอนพัก มีแค่นั้นจริงๆ ..ล่วงเลยจนมาถึงเช้าวันใหม่อันแสนสดใส ซึ่งถ้าจำไม่ผิดวันนี้เขามีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า แต่เวลาที่เขาตื่นดันเป็นแปดโมงเช้าซะแล้ว สิ่งที่เทียนไขทำจึงเป็นการทำทุกอย่างแบบลวกๆแล้วรีบไปมหาลัยให้เร็วที่สุด



       “ขออนุญาตครับ!” เขาเอ่ยออกไปตามมารยาทพร้อมกับเปิดประตูตรงหน้าออก ก่อนจะพบว่าอาจารย์กำลังสอนไปได้ซักระยะแล้ว และเพื่อนคนอื่นๆก็กำลังเทความสนใจมาที่จอโปรเจคเตอร์หน้าห้อง แต่ทันทีที่อาจารย์หันไปตามเสียงเปิดประตู นิสิตทุกคนก็เทความสนใจมาที่ตัวเขาแทน


       ‘ก..กูหมายถึง มึงอย่าพึ่งไปเรียนตอนนี้ หยุดพักไปก่อนซักอาทิตย์ รอให้มึงหายดี’



       จู่ๆคำพูดของเมธก็ดังเข้ามาในหู แต่..ทุกๆอย่างมันก็ปกติดีนี่?

       “ขออภัยที่เสียงดังครับ” เทียนไขก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปตรงที่ว่างที่เหลืออยู่แถวๆหลังห้อง ซึ่งไกลกับที่ที่เมธกับพละพลนั่งอยู่พอสมควร



       “..อ่าว กระเป๋าดินสอล่ะวะ..?” และด้วยความรีบร้อน จึงทำให้เทียนไขลืมหยิบกระเป๋าดินสอใส่ลงมาในกระเป๋าสะพายของเขาเพราะฉะนั้นเทียนไขจึงจำเป็นที่จะต้องยืมจากเพื่อนคนอื่น และเขาก็เลือกที่จะยืมคนที่อยู่ข้างหน้าเขา..ตอนนี้

       “อุ้ม..มีปากกาให้เรายืมมั้ย คือเราลืมเอากระเป่าดินสอมา ก็เลย..”

       “ไม่มี”

       “..โอเค” ไม่ผิดหรอกที่อุ้มจะไม่มีปากกาให้ยืม ก็เธอใช้แท็บเลตในการเลคเชอร์ เพราะงั้นเป้าหมายจึงเปลี่ยนมาที่คนที่อยู่เยื้องๆไปทางซ้ายแทน

        “ฝ้าย ขอยืมปากกาหน่อยดิ คือเราลืมเอากระเป๋าดินสอมา ..ก็เลยไม่มีปากกาเลยซักด้าม ดินสอก็ไม่มี..” เทียนไขเอ่ยขอด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน แต่คำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงสีหน้านิ่งๆเท่านั้น ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของเธอเลยแม้แต่คำเดียว ..ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรหรอก ฝ้ายอาจจะไม่มีให้เขายืมก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่มีไปด้วยซะหน่อย คิดได้แบบนั้นเทียนไขจึงขอยืมใครอีกหลายคน แต่คำตอบที่ได้บางคนก็ให้มาแค่ความว่างเปล่า บางคนก็กระแทกหน้าเขากลับมาด้วยคำว่าไม่มีซะเสียงดังลั่น แต่…อย่างน้อยๆหัวหน้าอย่างลูกหว้าก็ต้องมีอยู่แล้วแหละ

      “ลูกหว้า..มีปากกาให้เรายืมไหม? คือเราลืมเอากระเป๋าดินสอมา..”

       “อะ เอาไป ไม่ต้องคืนนะ” เห็นมั้ย..ไม่ใช่ทุกคนซักหน่อยที่จะไม่มีปากกาให้ยืม..

       “ขอบคุณนะ” เทียนไขยิ้มตอบ ก่อนจะเปิดฝาปากกาแล้วเขียนชื่อตัวเองลงไปในชีท ทว่า..

       “ไม่ต้องขอบคุณ มันไม่ติด ฝากทิ้งด้วยนะ” ปากกาที่ลูกหว้าให้ยืมมามันเป็นปากกาหมึกหมด

       “…” รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าของเทียนไขต้องหุบลง เมื่อเห็นลูกหว้าและเพื่อนคนๆอื่นหันไปหัวเราะกันคิกคักด้วยความสะใจ



       นี่หรือเปล่าคือสิ่งที่เมธพยายามจะบอกเขา..?







       ช่วงพักกลางวันของวันเดียวกัน ..ทันทีที่เสียงออดบอกเวลาดังขึ้นเทียนไขก็ไม่รอช้า รีบลุกเดินไปหาเพื่อนสนิทของเขาในทันที

       “ว่าไงคนดัง แหม่ ฮอตใหญ่เลยน้า ไม่ไปเยี่ยมกูบ้างเลย..” เขาเท้าแขนลงกับโต๊ะก่อนจะเอ่ยทักทายพร้อมกับเล่นหูเล่นตาแบบขำๆอย่างที่มักจะทำกันตามปกติ

       “เมธวันนี้กินไรดีวะ” ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ..ไม่หรอก พลคงจะไม่ได้ยิน..

       “ขอลายเซ็นหน่อยค้าบ เนี่ยๆๆเซ็นตรงนี้ เซ็นบนเสื้อผมเลยค้าบ” เพิ่มความดังให้มากขึ้น..เผื่อว่าพลจะไม่ได้ยินจริงๆ

       “เมธมึงรำคาญเหมือนกูปะวะ”

       “…” ฮ่าๆ คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเพราะพลไม่ได้ยิน แล้วมันก็ใช่จริงๆด้วย แล้วนี่..พลกำลังหงุดหงิดกับเกมในมือถือใช่หรือเปล่า? ไม่ได้เห็นพละพลมุมนี้มานานเหมือนกันนะเนี่ย

       “เก็บได้แล้วเกมอะเพื่อนพล เดี๋ยวคนเต็มโรงอาหารก่อนน้า หิวไส้กิ่วไม่รู้ด้วย” ทุกอย่างปกติ.. ทุกอย่างมัน..ปกติ

       “อ้าวเทียน ออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอ?” เห็นมั้ยล่ะ..ทุกอย่างปกติดี เมื่อกี้พลแค่ไม่ได้ยิน เมื่อกี้พลแค่หงุดหงิดใส่เกมในมือถือเท่านั้น..

       “ไม่ออกกูจะมายืนตรงนี้มั้ยครับ ป่ะ ไปกินข้าวกัน” เทียนไขยิ้มตอบเสียงใส ก่อนจะเดินมาอีกฝั่งแล้วกอดคอพละพลเดินออกไป

       “ไอ้เมธบอกกูว่ามึงอาหารเป็นพิษ ตอนนี้เป็นไงบ้างหายดีแล้วหรอ” พละพลเอ่ยถาม ซึ่งคำถามที่เขาพูดออกมาก็ทำเอาคนฟังอย่างเทียนไขนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เพราะนั่นมันไม่ใช่ความจริงเลยซักนิด แต่พอหันไปทางเมธที่กำลังจีบนิ้วเป็นเชิงว่าโอเค เทียนไขก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพลถึงคิดว่าเขาอาหารเป็นพิษ

       “ตอนนี้กูสบายดี แต่จริงๆนอยด์มึงนิดหน่อยที่ไม่ไปเยี่ยมกูเลย อย่าลืมง้อด้วย” เทียนไขยิ้มตอบ ในใจนึกขอบคุณเมธมากๆที่เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้จริงๆว่าตัวเขาป่วย

       “ไม่ค่อยว่างเลยว่ะ เดี๋ยวต้องไปช่วยงานคณะเรา เดี๋ยวก็ถูกไอ้โจ้ดึงไปช่วยงานคณะมัน”

       “เออๆกูเข้าใจ ช่วงคนมันจะฮอตมันก็ฮอตงี้แหละ” เทียนไขเอ่ยแซว

       “ที่ฮอตนี่เพราะหน้าตากูทั้งนั้นครับผม”

       “ถุ้ยถุ้ยถุ้ย”

       “5555555555”

       “อย่าขำเยอะเหม็นปาก อะ..ล้อเล่น”

       “สัด เออนี่เย็นนี้มึงก็ไปกับกูด้วยดิ ช่วยไอ้โจ้มัน คณะมันทำกระเป๋าเพื่อการกุศลขาย เป็นกระเป๋าผ้าสกรีนลาย มันให้เราไปช่วยมัน”

       “ได้ๆ หลังเลิกเรียนหรอ”

       “ใช่แล้วค้าบ”

       “เดี๋ยวนะพล” เมธเอ่ยขึ้นมา “กูไม่ยักรู้ว่าสถาปัตย์ทำกระเป๋าขาย”

       “มึงจะไปรู้ไรวะไอ้เมธ วันๆอยู่แต่กับแฟน ไงล่ะ..จะไปกับพวกกูเปล่าตอนเย็น” พละพลถามต่อ

       “โทษที..”

       “โอเคกูเก็ท ไม่ต้องพูดละครับ” ไม่ทันที่เมธจะได้พูดอะไรตอบกลับมาเขาก็ตัดบททันที ประมาณว่าพอเถอะ กูรู้ว่ามึงจะพูดอะไร

       หลายวันแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจสบายสมองเพราะบทสนทนาในกลุ่มเพื่อนที่หาสาระไม่ค่อยจะได้แบบนี้ บางที..นี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีของการมีชีวิตอยู่ต่อด้วย ‘ความเชื่อมั่น’ ก็ได้ และสำหรับเทียนไขเองเขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะ ถึงแม้จะนึกสงสัยกับท่าทีที่แปลกๆไปของพละพลในตอนแรกอยู่บ้าง แต่มันก็คงจะไม่มีอะไร ทุกคนตรงนี้คือ ‘เพื่อน’ ที่เขารัก และเขาก็เชื่อด้วยว่าทุกคนตรงนี้ก็รักเขาเช่นกัน

       ..เป็นแบบนั้น..ใช่ไหม?











       ช่วงเย็นของวัน เทียนไขเดินออกมาจากตึกเรียนเดินไปตามฟุตบาทโดยมีพละพลอยู่เคียงข้าง จุดมุ่งหมายก็คือตึกสถาปัตย์ที่อยู่ไกลออกไปพอสมควร พวกเขาเดินคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวในแต่ละวันที่ผ่านๆมา โดยในบทสนทนาเต็มไปด้วยมุกตลก เรื่องราวไร้สาระ และสีหน้าที่แป้นแล้นทะเล้นล้อเลียนกันไปล้อเลียนกันมา อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหมือนอย่างเคย ..ไม่นานนักท้องฟ้าเบื้องบนก็เริ่มทอแสงสีส้ม แสงอาทิตย์เริ่มจางหาย เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าใกล้จะสิ้นสุดช่วงวัน และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกเขาทั้งสองคนเดินมาถึงจุดหมายพอดี ทว่า..พละพลกลับไม่ได้พาเขาเดินขึ้นไปบนตึก โจ้ไม่ได้โผล่หน้ามาทักทายกันเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้



       “อ่าวพล..นี่ทางขึ้นไม่ใช่หรอ ไปไหนวะ?” เทียนไขเอ่ยถาม ในใจเริ่มรู้สึกหวั่นๆ..

       “…” อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรเขากลับมา ทว่ากลับกอดคอเขาแล้วกึ่งเดินกึ่งลากตัวเขามาที่ด้านหลังตึก

       “โอ๊ย! กูเจ็บ..” เทียนพยายามใช้มืองัดแงะให้ตัวเองหลุดออกมาจากพันธนาการ แต่มันกลับยิ่งยากขึ้นเพราะพละพลเกร็งแขนจนแทบจะล็อคคอเขาอยู่ตรงนั้น

       “พล..มึงจะพากูไปไหน ไอ้โจ้ล่ะ? …ปล่อยกู…ปล่อยกูได้ไหม กูเจ็บ..” คนในอาณัติร้องโอดครวญขอความเมตตามาตลอดทาง จนสุดท้ายแล้วพละพลก็ปล่อยให้เขาออกไปจากพันธนาการ และวิธีที่พละพลใช้ก็คือ..ผลักเทียนไขออกไปอย่างแรง

       “มึงกับเปลวเป็นอะไรกัน” เขาไม่เล่นแง่เล่นง่ามอะไรทั้งนั้น พละพลถามออกไปตรงๆโดยไม่อ้อมค้อมพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เทียนไขที่กำลังพยายามตั้งหลักให้ตัวเองยืนเต็มความสูง

       “…” ..ความรู้สึกหลายๆอย่างก่อเกิดขึ้นในใจ ..เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พลกำลังจะทำ ไม่เข้าใจสีหน้าที่พลแสดงออกมา ก่อนหน้านี้พลยิ้มแย้ม..แต่ตอนนี้กลับบึ้งตึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นขุ่นเคือง และคำถามเมื่อครู่..ก็กำลังทำให้เศษเสี้ยวหัวใจที่พึ่งจะปะติดปะต่อสมานกันเกือบจะสำเร็จพังทลายลงอีกครั้ง

       “มึงเป็นใบ้หรอ” ..เทียนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเพียงแค่ได้ยินชื่อของเปลวเข้ามาในหู โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกๆอย่างแน่นิ่งราวกับถูกใครซักคนหยุดเวลาเอาไว้

       “ร..เรา..ไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น” ใช่แล้ว..สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมันเป็นแค่ความรักจอมปลอม มันไม่ใช่เรื่องจริง

       “เชื่อก็โง่ ..กูรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น”

       “ม..มัน..ไม่มีอะไรทั้งนั้น กูกับมันไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ” ใช่แล้ว..ไม่เคยรู้จักกัน อย่างที่เปลวพูดอยู่ทุกครั้ง

       “วันนั้นที่โรงพยาบาล กูได้ยินที่พวกมึงคุยกัน”

        “….” ..ราวกับมีระฆังดังก้องอยู่ในหัว

        “มึงเป็นแฟนเก่าเปลว? ..ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทำไมถึงต้องทำร้ายกันด้วยวะ มึงเจ็บแค้นอะไรขนาดนั้นเลยรึไง ชีวิตคนนะ?” 

       “พล กูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไรนะ แต่กูกับเปลวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น ถ้าไม่อยากให้กูยุ่งกับเปลว ก็แน่นอน..มันเป็นอย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว กู..ไม่เคยคิดที่จะยุ่งกับมัน”

        “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วมึงจะมีเหตุผลอะไรที่มึงต้องทำร้ายเปลวด้วยวะ”

        “…”

        “เห็นมั้ย? มึงก็ตอบคำถามกูไม่ได้”

        “…”

        “กูแคร์มึงมากเลยนะเทียน คิดว่ามึงเป็นเพื่อนของกูมาตลอด ไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้”

        “…”

        “เปลวก็บอกกับกูเหมือนกันว่ามันก็ไม่ได้รู้จักมึง กูก็เลยสรุปเอาเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเพราะความเหี้ยของมึงล้วนๆ ..อยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะเก่งซักแค่ไหน..?”

       “…”

       “มึงทำให้เปลวเป็นแผลที่หัว เพราะงั้น..”

       “…”

       “มึงก็โดนบ้างแล้วกัน”

        ..สิ้นเสียงของพละพลที่เย็นยะเยือก ก็ปรากฎเป็นชายฉกรรจ์หลายคนออกมาจากด้านหลังของเขาห้อมล้อมรอบทิศทาง ก้อนเนื้อในอกเต้นถี่รัวไม่เป็นจังหวะ ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจจนฝ่ามือสั่นระริก ริมฝีปากพยายามส่งเสียงเรียกพละพลที่กำลังเดินออกไปเพื่อขอความเมตตา

        “ไงไอ้เทียน มึงซ่านักหรอ ..ได้ข่าวว่าห้าวจัดจนทำเพื่อนกูเข้าโรงพยาบาลไปหลายวัน” เสียงทุ้มต่ำอันน่ากลัวเอ่ยรดอยู่ที่ใบหูของเขาอย่างน่าขนลุก

        “ไม่..ออกไป ออกไป” หยาดน้ำตาเริ่มรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตา เทียนไขพยายามถอยหนี แต่ก็ไม่มีที่ทางให้เขาหลบหลีกไปไหนได้เลย

        “มึงคงจะรู้ตัวดีใช่ไหมว่าตัวเองทำอะไรลงไป?” โจ้พูดขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่รอการปะทุอย่างเต็มที่ “มึงทำให้คนที่เขากำลังจะไปกันได้ดีต้องมาหยุดชะงักความสัมพันธ์..”

        “…”

        “ไม่เข้าใจเลยว่ะ …ทำไมเพื่อนกูต้องมาเจอคนแบบมึงด้วยวะ” ไม่เป็นไรหรอกเทียนไข …ไม่เป็นไร เข้มแข็งไว้..เข้มแข็ง..

        “…”

        “คนเหี้ยๆอย่างมึง ทำไมเพื่อนกูต้องมาเจอ!!” โจ้ตวาดเสียงดังลั่นก่อนจะใช้แรงเพียงเสี้ยวหนึ่งผลักเทียนไขออกไปจนคนตัวเล็กกว่าล้มไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยหินกรวด



        ผัวะ!

        ..สิ้นเสียงของโจ้หมัดหนักๆก็พุ่งตรงมาที่ศีรษะของเทียนไขทันที ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทุกเซลล์ประสาทสัมผัส

        “นี่แค่ส่วนน้อยที่มึงทำกับเพื่อนกู ไอ้เหี้ยเทียน!”



        ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

        หลังจากหมัดแรกที่กระแทกลงมาที่ศีรษะอย่างจังผ่านไป ก็ตามมาด้วยหมัดต่อไปๆในทันที กำปั้นหนักๆทุบลงที่สันจมูก ใครคนหนึ่งกระชากคอเสื้อของเขาจนตัวเขาลุกขึ้นไปตามแรง ก่อนจะถูกมอบอีกหมัดลงที่พวงแก้มสีระเรื่อ แล้วตามมาด้วยฝ่าเท้าที่ถีบมาจากด้านหลังจนเขาเซไปด้านหน้า ..ไม่มีใครรอรับเขาทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเทียนไขล้มหน้าคะมำไปกับพื้นดินที่มีแต่หินกรวด

        “อึก..ฮือ กูขอโทษ…ขอโทษ” น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาจากความเจ็บปวดที่รู้สึก


      ‘มึงฟังกูนะ ตอนนี้มึงอาจจะยังไม่มีความสุข เจอแต่เรื่องร้ายๆ ล้มลุกคลุกคลาน โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มึงเชื่อเหอะว่าซักวันมันจะผ่านไป’


       ..สิ่งที่เมธเคยบอก ตอนนี้เขาก็ยังอยากจะเชื่ออย่างนั้น ..ทุกอย่างจะผ่านไป..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่มันทรมานเหลือเกิน..



       “ไม่ต้องร้องขอให้ใครมาช่วยมึงหรอก เพราะตอนนี้ไม่มีใครสนใจมึงอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองก็ตาม”

       “…”

       “เรื่องที่มึงทำเอาไว้ ทุกคนทั้งในคณะกูแล้วก็คณะไอ้พล..รู้หมดแล้ว”

        “…”

        “และทุกคนก็เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าเข้าใกล้ น่าขยะแขยง”

        “…ไม่..ไม่ใช่แบบนั้น” ไม่หรอก..ไม่จริง อย่างน้อยๆพละพลก็ไม่คิดอย่างงั้นแน่ๆ พละพลคือเพื่อนที่เขารัก เป็นเพื่อนคนเดียวที่เขาเชื่อใจแล้วก็ไว้ใจมากที่สุด..

        “ทำไม? มึงมีอะไรจะแถหรอ?”

        “พล.. พลช่วยด้วย” เอ่ยร้องออกไปทั้งน้ำตา ..แต่คำตอบที่ได้ก็มีแค่ความเงียบสงัด

        “โห่ นึกว่าจะแถอะไร ไอ้พลมันไปเที่ยวกับไอ้เปลวแล้ว มันไปด้วยกันทุกวันอะ”

        “…”

        “..คนเขารักกัน”

        “…”  นี่คือ…ความเป็นจริงสินะ? ตลอดเวลาที่ผ่านมา ขณะที่เทียนไขเจ็บปวดทรมานอยู่ที่โรงพยาบาล  พวกเขาทั้งสองคนกลับมีชีวิตที่ดี ความรักที่กำลังก่อตัวก็ไปได้สวย ชีวิตอบอวลไปด้วยความสุข อา..ฮ่าๆ เป็นแบบนี้นี่เอง..

        “อิจฉาล่ะสิ น่าสมเพชจัง”

        “…”

        “แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วแหละ คนอย่างมึงไม่น่าจะมีใครรัก!” สิ้นเสียงของโจ้ก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่ดังสนั่นลั่นกังวานอยู่ในหัว ..ก็พูดถูกแล้วแหละ..เทียนไขอย่างเขาไม่มีใครรักจริงๆ

        “…ปล่อยกู..ไปเถอะนะ” ..เป็นแค่เทียนไขเล่มนึงที่ถูกแผดเผาจนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ก็ยังดั้นด้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

        “ไปตายเถอะไอ้เหี้ย!!” ใครคนหนึ่งตวาดใส่หน้าเขาเต็มๆ ก่อนจะตามมาด้วยทั้งหมัดทั้งเท้า ที่ทั้งต่อยทั้งถีบจนร่างกายเขาสะบักสะบอมไร้เรี่ยวแรงใดๆหลงเหลือ

        ..เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาไม่อาจรู้ แต่หลังจากนั้นกลุ่มคนใจร้ายเมื่อครู่ก็ทยอยจากไป หลงเหลือไว้แต่เพียงเขาในสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัวเพราะน้ำที่คนพวกนั้นสาดราดใส่เขา



       “…” ..มันเจ็บไปหมดทุกส่วน แต่ไม่เป็นไรหรอก.. เขาเข้มแข็ง ต้องเข้มแข็งอย่างที่ใครหลายๆคนเคยบอก..



       ..พระจันทร์เสี้ยวเล็กๆบนท้องฟ้า สาดแสงเพียงน้อยนิดนำทางให้เขาใช้ก้าวเดิน เทียนไขเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะยิ้มให้กับภาพหมู่ดาวที่เขาได้เห็น ถึงแม้มันจะพร่าเบลอไปด้วยม่านน้ำตาไปบ้างก็ตาม

       “..ขอบคุณนะ..” เขาเอ่ยขอบคุณให้กับดวงจันทร์ที่กำลังยิ้มแฉ่งให้เขา “ผมจะไม่ยอมแพ้..ไม่ยอมแพ้หรอก..”

       …เลือดกำลังไหลออกจากรอยแผลที่ศีรษะและรอยแผลบนใบหน้าลงไปตามลำตัว เสื้อนิสิตที่เคยขาวสะอาดเปื้อนดินเปื้อนน้ำจนสกปรกดูน่ารังเกียจ บางส่วนของเสื้อก็เปื้อนสีแดงที่มาจากเลือด บางส่วนก็ขาดวิ่นเพราะถูครูดไปกับพื้นหินและแรงกระชากที่ทารุณ เรียวขาของเขาแทบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วด้วยซ้ำว่ามันยังใช้การได้อยู่ แต่เทียนไขก็ยังประคองตัวเองให้เดินต่อไปโดยใช้ฝ่ามือยันผนังเอาไว้  ในหัวพยายามคิดถึงเรื่องที่เขาอยากจะทำ คิดถึงความฝันที่พอจะนำมาเป็นแรงให้เขาก้าวเดินต่อไปได้แม้เพียงก้าวเดียว..ก็คุ้มค่าแล้ว



       ตุบ!

       ด้วยความที่..ขาของเขาบอบช้ำจนเกินไป ทำให้ไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้อีก เทียนไขจึงล้มฟุบอยู่ตรงฟุตบาท

       “ไม่..ไม่เจ็บหรอก มันจะผ่านไป..มันจะผ่านไป..” ใช่แล้ว..ทุกอย่างจะต้องผ่านไป มันจะผ่านไปได้ด้วยดี ขอแค่ตอนนี้เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินต่อไปให้ถึงหอพักของตัวเอง ..ไม่เป็นไร ต้องไม่เป็นอะไร..



       …ร่างเล็กโซซัดโซเซค่อยๆลุกขึ้น ก่อนจะพาตัวเองมาจนถึงประตูทางออกได้สำเร็จ ทว่าระยะห่างระหว่างจุดที่เขายืนอยู่ตรงนี้กับหอพัก มันก็ไกลเหลือเกิน ไกลเสียจน..ร่างกายของเขาไม่สามารถอดทนต่อไปได้ไหว

       “…เมธ ฮ่าๆ กูพยายามแล้วนะเมธ ..กูพยายามแล้ว..” เป็นอีกครั้งที่เขาหกล้ม ที่หัวเข่าเริ่มถลอก เทียนไขนึกขำ..แต่ขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นน้ำตามันเอาไว้
       “กู..พยายามแล้วจริงๆ..”








มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       …ค่ำคืนนี้สำหรับใครบางคนมันเป็นคืนที่แสนวิเศษ และเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก แต่ทว่ามันก็ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ

       เปลวออกจากโรงพยาบาลแล้วเมื่อห้าวันก่อน เขากลับไปพักฟื้นอยู่บ้านได้สี่วันจนมาถึงวันนี้ที่ร่างกายเขาพร้อมสำหรับการมาเรียน เขาจึงกลับมาเรียนเป็นปกติอีกครั้ง ซึ่งวันแรกของเขาในครั้งนี้มันก็พิเศษมากๆ เพราะเขาได้ใช้เวลาอยู่กับใครคนนึงที่เขาอยู่ด้วยแล้วแสนจะสบายใจ คนๆนั้นคือ ‘พละพล’ นั่นเอง

       วันนี้พวกเขาตกลงกันว่าจะไปทานอาหารด้วยกันแล้วก็ไปดูหนังกันซักเรื่อง ซึ่งทุกอย่างก็ไปได้สวย จำไม่ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องในหนังเป็นอย่างไร แต่ที่ตราตรึงใจอยู่จนถึงตอนนี้ก็คือรสจูบที่เขาและพละพลมอบให้กัน

       “กลับบ้านดีๆนะ” พละพลเอ่ยลาพร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปิดประตูรถเบาๆแล้วถอยออกไปก้าวหนึ่ง มองดูรถที่มาส่งเขารอให้ลับสายตา ..เปลวมักจะมาส่งพละพลเสมอ ทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เหตุผลก็คงจะเพราะ..เขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับพละพลให้นานที่สุด ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นตลอดมา

       ..เวลาผ่านไปจนครึ่งค่อนคืน เปลวกำลังขับรถมุ่งหน้ากลับไปบ้านของตัวเองพร้อมกับเพลงสากลที่เปิดคลอหู ในหัวคิดถึงแต่เรื่องของคนที่พึ่งบอกลากันไป วาดฝันไปถึงวันพรุ่งนี้แล้วว่าจะไปที่ไหนหรือทานอะไรกันดี

       รถกำลังเคลื่อนตัวผ่านมหาวิทยาลัยที่เขาเรียน เขามองเข้าไปภายในรั้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขอบคุณสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เขาได้เจอพละพลอยู่ในใจ แล้วละสายตากลับมาสู่ท้องถนน ทว่าจู่ๆเปลวก็เหยียบเบรกขึ้นมาอย่างกระทันหันเพราะสายตาเหลือบไปเห็นใครคนนึงที่กำลังเดินโซซัดโซเซอยู่บนทางเท้า ..รูปร่างและการแต่งกาย เขาจำได้ว่าคนๆนี้ใคร หากแต่ว่าทุกๆสัดส่วนของคนๆนี้ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยของของเหลวสีเข้ม



        “เฮ้ยคุณ!” เปลวรีบลงมาจากรถแล้วตะโกนเรียกเขาคนนี้ขึ้นมาทันที ..มันดูไม่มีเหตุผลซักเท่าไหร่ที่เขาจะมาเป็นห่วงคนที่ทำเขาเจ็บเจียนตาย แต่ว่า..ตอนนี้เขากลับกำลังรู้สึกแบบนั้น

        “…” อีกฝ่ายไม่ได้ตอบ เพียงแต่หันมามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปแล้วก้าวเท้าเดินต่อ

        “เทียน..? คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ไหวมั้ย?” เปลวเอ่ยถามด้วยความร้อนรน

        “…” แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ปลายเท้าเล็กๆยังคงก้าวเดินต่อไปทีละเล็กทีละน้อย ดวงตารื้นเอ่อไปด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด

        “เทียน ใครทำอะไรคุณ?” เปลวเดินไปดักอยู่ข้างหน้าเทียนไขพร้อมกับจับไหล่อีกฝ่ายไว้ ใช้สายตาสังเกตตามร่างกาย ก่อนจะพบว่าสภาพของเทียนไขนั้น..เต็มไปด้วยคราบเลือด ที่แย่ไปกว่านั้นคือ..ดวงตาของเทียนไขเลื่อนลอยราวกับไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป

        “มีชีวิตอยู่.. มีชีวิตอยู่.. เข้มแข็ง ..ต้องเข้มแข็ง..” เสียงแหบพร่าพึมพัมอยู่กับตัวเองก่อนจะเป็นลมล้มพับอยู่ตรงนั้น

        “เทียน!” เปลวตกใจกับภาพที่เห็น โชคดีที่เขารับตัวเทียนไขได้ทัน แต่เทียนไขก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไปแล้ว



        ‘หมอไม่อยากให้คุณทำงานหนัก ทั้งการใช้สมองจนหนักเกินไป แล้วก็การใช้ร่างกายที่หักโหมจนเกินพอดีด้วยเช่นกัน’



        หมอบอกกับเขาแบบนั้น ซึ่งเขาก็ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้..เขากลับเลือกที่จะทิ้งสิ่งที่หมอและเขาพยายามทำมาโดยตลอด แล้วโอบอุ้มเทียนไขขึ้นมาในอ้อมอก

       “โอ๊ย!” ความเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อหลายๆส่วนเกิดขึ้นมาทันทีที่อุ้มเทียนไขขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของคนที่อยู่ในอ้อมอกเขาในตอนนี้อีกแล้ว











       ..เปลวเลือกที่จะพาเทียนไขมาที่บ้านของเขา และเลือกที่จะปฐมพยาบาลด้วยตนเอง เขาจัดการถอดเสื้อผ้าของเทียนไขออก ก่อนจะแทนที่ด้วยชุดที่มีอยู่ในตู้ของเขาเอง เปลวทำทุกอย่างอย่างเบามือ และไม่นานหลังจากนั้นเทียนไขก็เริ่มรู้สึกตัว

       “โอ๊ย!” คนเจ็บร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีเมื่อขยับตัวแล้วพบว่าตัวเองกำลังถูกแอลกอฮอล์ล้างแผลประคบอยู่ที่แผลตรงหัวเข่า

       “อยู่เฉยๆ ผมจะทำแผลให้” เปลวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ส่วนเทียนไข..เขาตกใจกับภาพที่เห็น จึงรีบถอยกรูด

       “ไม่ต้องกลัวหรอกผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ ผมแค่บังเอิญเห็นคุณสลบ เลยพาคุณมาที่นี่ กำลังทำแผลให้”

       “…”

       “ขยับมานี่”

       “..ไม่ต้องหรอก ท..ทำเองได้”

       “ตามใจ” เปลวหยิบกล่องพยาบาลมาให้คนเจ็บ ก่อนจะมองดูคนเจ็บปฐมพยาบาลให้ตัวเองด้วยความเป็นห่วงที่รู้สึกอยู่ลึกๆในใจ



       “ดีใจนะที่คุณเลือกที่จะมีชีวิตอยู่” จู่ๆเปลวก็พูดออกมา มือที่กำลังจับที่คีบสำลีของเทียนไขหยุดค้างกลางอากาศ

       “…”

       “ผมว่าเขาคนนั้น..ที่อาจจะหน้าเหมือนผม? เขาต้อง..ดีใจมากแน่ๆ” เปลวพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม เทียนไขเชยสายตาขึ้นมาสบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้างุดดังเดิม

       “….” ก้มหน้า..เพื่อหลบซ่อนหยาดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมาอีกระลอก



       “กินอะไรซักหน่อยมั้ย? ผมทำอาหารเก่งนะ”

       “ไม่เป็นไร..เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

       “ดึกแล้วนะ นอนที่นี่ก็ได้ มีห้องว่างอีกหลายห้องเลย..ผมอยู่คนเดียว”

       “..พ่อละ?”

       “ไม่รู้เหมือนกัน”

       “…”

       “คุณนอนห้องใหญ่ข้างบนได้เลยนะครับ ห้องนั้นมีเตียงมีทีวีมีทุกอย่าง ผมทำความสะอาดประจำเพราะงั้นสบายใจได้”

       ..เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เพียงแต่เก็บของทุกอย่างลงกล่องแล้วขึ้นไปบนห้องที่เปลวบอกอย่างว่าง่าย ..มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมาย เทียนไขแค่..เหนื่อย เหนื่อยกับการพยายามที่จะมีชีวิตอยู่









       ..ความเจ็บปวดไม่ได้ทุเลาลงไปซักเท่าไหร่ แต่เขาก็ดีขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้ที่ทุลักทุเลอยู่บนทางเท้า เทียนไขไม่ได้นึกตั้งคำถามอะไรกับชุดที่ถูกเปลี่ยน คงเพราะ..เขาเหนื่อยแล้วจริงๆ ไม่อยากจะคิดอะไรหรือรู้สึกอะไรให้ตัวเองย่ำแย่ไปกว่านี้ เขาไม่เคยมีความสุข..เขารู้ และเขาก็จะไม่เว้าวอนเรียกหามันอีกต่อไปแล้ว

       น่าแปลกที่ภายในห้องๆนี้ยังคงเหมือนเดิม ..ชุดเครื่องนอน ..โซนโปรดของเปลว ..ชั้นหนังสือ และรูปภาพต่างๆที่เคยติดไว้ประดับตกแต่งก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ..กลิ่นอาย ..ภาพเก่าๆในที่ตรงนี้มันหอมหวนชวนให้คิดถึงก็จริง แต่ขณะเดียวกันหากคิดถึงภาพเหล่านั้นขึ้นมาภายในหัวใจก็จะเจ็บปวด..

       เทียนไขชันเข่าตัวเองขึ้นมากอด จ้องมองส่วนต่างๆในห้องด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ยอมรับว่าในใจลึกๆก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรกับตัวเขาในตอนนี้อีกต่อไปแล้ว เขาและเปลวต่างก็เติบโตขึ้นมาก ต่างคนก็ต่างมีเรื่องราวที่หลากหลายของตัวเอง เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วมันจึงเป็นสิ่งที่สมควรและถูกต้องที่สุด

        แต่ไม่รู้ทำไม..ตอนนี้ในความรู้สึกเขาถึงรู้สึกเจ็บ..



       ‘เปลว รูปเรานี่จะเอาไว้ไหนอะ ใหญ่เบอเร่อ’

       ‘ไว้บนหัวนอน’

       ‘ไม่กลัวมันร่วงใส่หัวหรือไง’

       ‘ร่วงก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างน้อยก็ได้ตายในอ้อมกอดของมึง..มึงที่อยู่ในรูปอะนะ’

       ‘แหวะ อย่าเอาออกแล้วกันคุณ’

       ‘แน่นอนครับ จะติดอยู่ตรงนี้ตลอดไปเลย’




        คงเพราะ..เขาคงจะเชื่อสิ่งที่เปลวเคยพูดเอาไว้มากเกินไปหน่อย
        เพราะตอนนี้ รูปใบนั้น..มันไม่อยู่ตรงนี้แล้ว

       



       จมจ่อมอยู่กับความคิดได้ครู่หนึ่งประตูห้องก็ถูกเปิดออก ..เปลวขึ้นมาตามให้เขาลงไปกินข้าว จริงๆเขาก็ปฏิเสธนั่นแหละ แต่เปลวก็สาดมาด้วยข้ออ้างสารพัดจนทำให้เขาต้องตามลงมากินข้าวด้านล่าง



       “ท..ทำไมถึงทำแกงเขียวหวาน..?” ทว่า..ทันทีที่เทียนไขได้เห็นกับข้าวตรงหน้า ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็เกิดขึ้นกับตัวเขา

       “ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้อร่อยที่สุดแล้วครับ รู้สึก..คุ้นเคยกับมัน” ไม่รู้หรอกว่าเปลวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับเทียนไขนี่มันเกินไปแล้วจริงๆ..

       “อิ่มแล้ว”

       “เดี๋ยวก่อน.. คุณกินไปแค่ไม่กี่คำเองนะ”

       “ไม่หิว”

       “ผมตั้งใจทำมากเลย..”

       “ตั้งใจทำหรอ..?” เทียนเชยสายตาไปมองคนใจร้ายอีกครั้ง ก่อนจะจับชามที่ใส่แกงเขียวหวานขึ้นมาแล้วเอาไปเทลงถังขยะ

       “เฮ้ย! ทำอะไรวะ!”

       “เลิกโกหกกันซักที!” เทียนไขตวาดเสียงดัง หยาดน้ำตาไหลร่วงออกมาไม่หยุด

       “ผมโกหกอะไรคุณวะ!”

       “เลิกแสดงละครตบตากันได้แล้ว มึงคิดว่ากูเป็นตัวอะไร..? จะทำอะไรกับกูก็ได้ จะทิ้งจะขว้างยังไงก็ได้หรอเปลว..”

       “ผมไม่เคยคิดแบบนั้น แล้วผมก็ไม่เคยโกหกคุณ”

       “จริงหรอ? แล้วแกงเขียวหวานนี่ล่ะ มึงก็รู้ว่ากูชอบกิน มึงทำให้กูกินทุกครั้งที่กูพูดว่ากูอยากกิน”

       “…”

       “บ้านหลังนี้.. ห้องของมึง.. ทุกๆอย่างมันก็คือของๆมึง มึงคิดว่ากูจะโง่จำไม่ได้หรอ?”

       “...”

       “มึงก็คือไอ้เหี้ยเปลวคนนั้นนั่นแหละ คนที่ทำชีวิตกูพังพินาศมาจนถึงทุกวันนี้”

       “…”

       “มึงเห็นสภาพกูตอนนี้ไหม? ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะมึง”

       “…”

       “เพราะฉะนั้น..มึงเลิกโกหกกันซักที”

       “…”

       ”ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ทีหลังไม่ต้องหรอก สาระแน!”







   

       

       
















ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Talks กันนิดนึงนะคะ


จะบอกว่า เนื้อหาที่เป็นส่วนวิชาการมายด์ได้หาข้อมูลแล้วก็นำมาใส่ในเนื้อเรื่องตามความเข้าใจของมายด์เอง หากมันไม่ถูกต้องหรือมีตรงไหนผิดพลาด มายด์อยากให้นักอ่านทุกท่านช่วยชี้แจงให้มายด์ทราบด้วยอะค่ะ แหะๆ มายด์จะรีบแก้ไขแย่างด่วนจี๋เลย :o8:
ทั้งนี้ทั้งนั้นขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะหากเนื้อหาไม่ถูกใจ

เรื่องนี้มายด์ได้แรงบันดาลใจมาจากหลายๆอย่างที่อยู่ในสังคมเราจริงๆ ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของชีวิตของคนๆนึงตั้งแต่เริ่มต้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่น้องเจอก็เลยดูหนักหนาพอสมควร แต่แน่นอนค่ะว่า ท้องฟ้าหลังพายุฝนย่อมสวยงามเสมอ
ยังไงก็ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
พูดคุยกันได้ที่แฮชแท็กทวิตเตอร์ #น้ำตาเทียน นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด