06
เปลวเผาเทียน
“อ้าวว่าไงเพื่อนเทียน มาเช้าเหมือนกันนะมึงเนี่ย” คนตัวสูงไล่เลี่ยกันกับเทียนไขเอ่ยทักทายเขา คนๆนี้เทียนไขพึ่งรู้จักตอนค่ายปฐมนิเทศของทางคณะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง
“แน่นอนครับคุณพล ประเดิมวันแรกด้วยการมาเจอหน้ามึงตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว” เทียนไขตอบรับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
คนๆนี้คือ
‘พละพล’ เพื่อนที่เทียนไขสนิทที่สุดตั้งแต่ก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในคณะแพทยศาสตร์
“พูดงี้แสดงว่าดีใช่ปะที่ได้เจอหน้ากู” พละพลถามต่อพร้อมกับเดินคู่กันไปกับเทียนไข
“หึ” เทียนไขส่ายหัวขำๆ
“สัด ขอบคุณ” ก่อนจะเดินคุยกันไปตามทางเรื่อยๆไปจบที่โต๊ะไม้ตัวหนึ่งในโรงอาหาร ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ ทั้งสองคนแทรกตัวลงไปนั่ง ก่อนจะพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่ผ่านมากันอย่างออกรส
“หลังจากค่ายแล้วเป็นไงบ้างวะมึง” พละพลเอ่ยถาม
“ก็เหมือนเดิมแหละว่ะ กูต้องทำงาน” เทียนไขตอบ เป็นความจริงที่ถ้ามีเวลาหลงเหลืออยู่เด็กตัวคนเดียวอย่างเขาก็จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากภาระค่าใช้จ่ายในเมืองใหญ่แบบนี้ และใช่ มันก็เหนื่อยมากๆจนเขาแทบจะไม่มีเวลาได้พักเลย
“มึงอย่าหักโหมเกินไอ้เทียน นี่ก็เปิดเทอมแล้ว ถ้ามีเวลาได้พักก็ควรพักบ้าง” พละพลบอกด้วยความเป็นห่วง เขาเป็นคนฉลาดและสามารถรับรู้และเข้าใจเพื่อนคนนี้ดีว่าชีวิตเป็นอย่างไรเมื่อมองแววตาและท่าทาง แต่เขาก็ไม่เคยถามไปตรงๆหรอกเพราะมันดูจะยุ่มย่ามกันเกินไป
“ไม่เป็นไรหรอก กูอะแค่นี้สบายมาก นี่เดี๋ยวพอเลิกเรียนวันนี้กูก็ต้องไปร้านอีกเหมือนกัน วันไหนว่างๆก็ไปอุดหนุนกันได้นะเพื่อนพล ช่วงนี้มีโปร”
“ถ้ามึงทำให้กูกิน โปรที่ว่าคงไม่ใช่โปรโมชั่น แต่คงเป็นเป็ดโปร”
“รู้ทันอีก” เทียนไขรับมุกอย่างรู้งาน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาด้วยกันทั้งคู่ เป็นอย่างนั้นไปได้ซักพักก็ต้องหยุดเมื่อมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา
“เฮ้ยไอ้พล เป็นไงบ้างวะ” หนึ่งในกลุ่มนั้นเอ่ยทักพละพล ก่อนจะตรงลงมานั่งข้างๆคนที่เขาเอ่ยถึง ส่วนคนอื่นๆในกลุ่มเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองนั่งแหมะลงแบบนั้นแล้วก็จำเป็นจะต้องเดินตามมานั่งด้วยกันจนที่ว่างที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยพวกเขาไปซะหมด
“อ้าวไอ้โจ้ กูหรอ...กูสบายดี มึงล่ะเพื่อน ได้ข่าวไปอังกฤษมาไม่ใช่หรอ ในของฟงของฝาก” พละพลตอบ
“โทษทีกูลืม เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาให้ละกัน”
“ดีมาก”
“เออแล้วนี่เป็นไงมาไงถึงมาอยู่โรงอาหารคณะกูวะ คณะมึงก็มีปะโรงอาหาร หรือมาดักรอใครรึเปล่าครับคุณพละพล” โจ้มองพละพลสลับกันเทียนไขก่อนจะมองไปรอบๆพร้อมๆกับพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท
“ไม่ได้มารอใครครับสัด กูหิว คณะกูอยู่ไกลเลยแวะแดกที่นี่ก่อน”
“แล้ว…” โจ้เชยสายตามามองเทียนไขอีกครั้งอย่างนึกสงสัย
“คนนี้เพื่อนกูเอง ชื่อเทียน ส่วนเทียน ไอ้เหี้ยนี่ชื่อโจ้นะ ระวังมันหน่อย..มันขี้ขโมย” พละพลแนะนำเพื่อนทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันด้วยน้ำเสียงปกติของเขา หากแต่ในคำสุดท้ายที่เขาพูดออกมานั้นมันกลับเป็นราวกับเรียวมีดแหลมๆที่แทงสลักลึกลงไปกลางใจของคนฟังอย่างเทียนไข
“มึงก็เวอร์ นั่นมันก็นานแล้วมั้ย เอ่อ..เราไม่ได้เป็นอย่างที่ไอ้เหี้ยพลมันพูดเมื่อกี้หรอกนะ” โจ้รีบแก้ต่าง
“…” เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่ยิ้มให้บางๆ
“เออแล้วนี่ไอ้ติสต์แตกของเรามันหายไปไหนของมันวะเนี่ย” โจ้มองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนที่เขาพูดถึง
“ใครวะ” พละพลเอ่ยถาม
“เพื่อนกูนี่แหละ พึ่งเจอกันวันนี้วันแรก เห็นมันใส่หมวกไหมพรมอยู่ตลอดเวลากูก็เลยเรียกมันว่าไอ้ติสต์แตก”
“…”
“แต่แม่งหล่อนะ เดินไปตรงไหนก็มีแต่สาวมองมันเต็มไปหมดเลย กูล่ะโคตรอิจฉา” เพื่อนร่วมโต๊ะทุกคนดูสนอกสนใจกับสิ่งที่โจ้พูด แต่ผิดกับเทียนไขที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ในหัวใจดวงน้อยๆที่พึ่งกลับมาแข็งแรงได้ไม่นานกำลังหวาดหวั่น
“นั่นไงไอ้โจ้…มันมานู่นแล้ว” เพื่อนในกลุ่มของโจ้พูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ด้วยนิ้วโป้งไปทางผู้มาเยือน ซึ่ง..เทียนไขก็คุ้นหน้าคุ้นตาเขาดียิ่งกว่าใคร
“โห…ไอ้โจ้ นี่..ว่าที่เดือนคณะมึงรึเปล่าวะ..” พละพลเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่กำลังเดินตรงมาทางนี้ก็ได้แต่อ้าปากเหวอตกตะลึงกับองค์ประกอบบนใบหน้าที่ได้สัดส่วนและเหมาะสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว
“เออคิดเหมือนกูเลย กูก็ว่าจะดันให้มันเป็นอยู่เหมือนกันเนี่ย”
“เปลว..” เป็นอีกครั้งที่เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัว ..คนใจร้ายคนนั้นกลับยิ้มและทำท่าทีมีความสุขราวกับลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรให้กันไว้บ้าง
“ไอ้เปลว! มานี่ๆ คัมมอน กูอยู่นี่” โจ้กวักมือเรียกอีกฝ่าย แน่นอนว่าพอเปลวเห็นดังนั้นเขาก็รีบตรงเข้ามาหาในทันที
“ว่าไง แล้วนี่นั่งทำอะไรกัน” คนใจร้ายหยุดพร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ ก็..นั่งนินทามึงอยู่อะ” โจ้ตอบ
“เสียใจ”
“กูล้อเล่น เออ..แต่จริงๆก็ไม่ล้อเล่นหรอก เพราะพวกกูกำลังพูดถึงมึงอยู่จริงๆ เนี่ยอุตส่าห์มาโฆษณามึงให้ไอ้พวกหมอฟังเลยนะเนี่ย”
“กูควรดีใจ?” เปลวแค่นขำ ก่อนจะแทรกตัวนั่งลงตรงข้างๆโจ้
“อ้อ..ไอ้พล กับ..เอ่อ เทียน ไอ้นี่มันชื่อเปลวนะ ส่วนไอ้เปลว นี่..ไอ้พล กับคนนี้..ชื่อเทียน” โจ้จัดแจงเป็นตัวกลางทำความรู้จักให้ทั้งสองฝ่าย
“ไม่ต้องสาระแนหรอกเพื่อนโจ้ กูแนะนำตัวเองได้ สวัสดีครับ..ผมชื่อพละพล เรียนอยู่คณะแพทย์ครับ” พละพลหันไปคุยกับเปลวด้วยสีหน้าที่ร่าเริงและเป็นมิตร ..ดูๆไปแล้วก็กำลังมีความสุขกันอยู่ทุกคน ยกเว้นแต่เทียนไขที่กระอักระอ่วนใจจนฝ่ามือที่เคยวางอยู่นิ่งๆสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำได้แค่เพียงกำมือไว้แน่นๆใต้โต๊ะเพื่อระบายสิ่งที่กำลังรู้สึกออกไป
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เสียงนุ่มเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตรเช่นกัน ก่อนจะเชยสายตามามองคนตรงข้ามที่ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จาอะไรออกมาเลยตั้งแต่ที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ “แล้วนี่..ชื่อเทียนใช่มั้ย”
“…” ทุกคนนิ่งเงียบเมื่อเห็นเทียนไขเอาแต่ก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบอะไรกลับไป
“เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ..?” เสียงนุ่มๆของคนใจร้ายยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทกระตุกเรื่องราวต่างๆในอดีตให้ค่อยๆพรั่งพรูเข้ามาเป็นฉากๆ
“…” เทียนไขรีบส่ายหัวปฏิเสธ และพยายามปัดเป่าภาพเหล่านั้นออกไป
“แปลกจัง ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆกับชื่อนี้..”
“เด็กยุคเก้าศูนย์หรือไงมึง มุกนี้มันใช้จีบใครไม่ได้แล้วครับเพื่อนติสต์ของกู” ดีหน่อยที่โจ้พูดเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาได้ทันท่วงที ไม่งั้นสุดท้ายแล้วเทียนไขก็คงไม่พ้นที่จะต้องกลับไปสถานที่แห่งเดิมที่เรียกว่าโรงพยาบาล
“กูไม่ได้จะจีบเขา แค่รู้สึก..คุ้นๆกับชื่อเฉยๆ” เปลวตอบ สายตายังคงมองมาทางคนตรงหน้าที่ยังคงก้มหน้างุดอยู่เหมือนเดิม “แล้วนี่เทียน..เป็นอะไรรึเปล่า”
“…” เทียนไขกำมือแน่น เหงื่อกาฬไหลซึมตามฝ่ามือและข้อพับตามกลไกของร่างกายเมื่อตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ในใจทำได้แต่เพียงพร่ำบอกกับตัวเอง..
‘ไม่มีเปลวคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาตายจากมึงไปแล้ว อย่าเสียใจ.. อย่าร้องไห้.. ดีแล้วที่เขาจำมึงไม่ได้ ดีแล้วที่เขาตายจากมึงไป… ดีแล้ว’ “เทียน..มึงเป็นไรเปล่า” พละพลแตะไหล่เพื่อนของเขาอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีไม่ดี
“เปล่า.. กูไม่เป็นไร ป..ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” เทียนไขเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างเร่งรีบ ก่อนจะลุกพรวดพราดแล้วพาตัวเองออกไปจากตรงนั้น เสียงนุ่มๆดังไล่หลังเขามาติดๆ แต่เทียนไขก็ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“..ใช่คนๆเดียวกันกับที่ผมเก็บบัตรนักศึกษาให้เมื่อเช้ารึเปล่าครับ?”
…ถึงจะไม่ได้ตอบกลับอะไรไปเป็นคำพูด แต่ในใจของเทียนไขนั้นตวาดลั่นคำตอบจนดังสะท้านไปทั่วทั้งใจแล้ว
‘ใช่…ผมเอง แต่ไม่ใช่แค่คนที่คุณเก็บบัตรนักศึกษาให้หรอก ผมคนนี้..ผมคนนี้คือคนที่คุณทำชีวิตของเขาแหลกสลายไม่มีชิ้นดี คนที่คุณทำระยำกับเขาไว้มากมายแต่กลับทำเป็นจำไม่ได้ คนโชคร้าย...ที่ได้พบเจอคนอย่างคุณ’
เวลาผันผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆของวัน แสงแดดจากพระอาทิตย์บนท้องฟ้าสาดส่องเข้ามาอย่างแรงกล้าทำเอาด้านหลังของเสื้อนิสิตสีขาวของเทียนไขนั้นเปียกชุ่มจนแนบติดไปกับแผ่นหลัง
ตอนนี้เขาเลิกเรียนแล้ว และกำลังมุ่งหน้าเดินออกจากมหาลัยเพื่อไปทำงานพาร์ทไทม์ของตัวเองต่อ โดยมีเพื่อนอย่างพละพลเดินเคียงคู่ไปด้วย
“มึงจะกลับบ้านแล้วใช่เปล่า” เทียนไขหันมาถามเพื่อนที่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะต้องสู้กับแดดและอุณหภูมิที่เหยียบสี่สิบองศา
“ก็คงกลับบ้านแหละว่ะ เหนื่อย ร้อน อยากนอน” อีกฝ่ายบ่นกระปอดกระแปดอย่างที่กำลังรู้สึก ก่อนจะหันมาหาเทียนไขแล้วเริ่มต้นประเด็นใหม่ “เออมึง”
“ว่า”
“มึงเคยรู้สึกใจสั่นเพราะเจอหน้าใครบางคนปะ” อีกฝ่ายอมยิ้มพร้อมกับก้าวเดินต่อไปราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก
“…”
“…แบบว่า ทำตัวไม่ถูก ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย เพียงเพราะ..ได้เจอหน้าเขา”
“เคยสิ …เคยอยู่แล้ว” เทียนไขตอบพร้อมกับหันหน้ากลับมามองทางตรงหน้าเหมือนอย่างเดิมด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนคนนี้ต้องการจะสื่อความรู้สึกใจสั่นที่ว่าในความหมายไหน
แต่สำหรับเทียนไข…มีเพียงความหมายเดียวเท่านั้นในหัวใจ
ใจสั่นเพราะ..ความเจ็บปวด…
“..ปกติควรจะเป็นกับผู้หญิง แต่ว่ากู..รู้สึกแบบนี้กับผู้ชายว่ะ” พละพลพูดออกมาเสียงแผ่ว ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด “มึงจะไม่รังเกียจกูใช่มั้ยวะเทียน”
“กูจะรังเกียจมึงทำไมวะไอ้พล มันเป็นเรื่องปกติ มึงก็คือมึง” เทียนไขเอ่ยตอบ
“กูก็กังวลไว้ก่อนไง กูกลัวมึงจะรับไม่ได้”
“กูรับได้อยู่แล้ว ไม่ต้องซีเรียสอะไรเรื่องนี้เลย”
“จริงหรอ ..ดีใจว่ะ อย่าเกลียดกูนะเว้ย เป็นเพื่อนกับกูต่อไปด้วย”
“กูไม่มีทางเกลียดมึงหรอกเพื่อนพล”
“มึงว่า…กูพอจะมีโอกาสสมหวังบ้างมั้ยวะ”
“ไม่รู้ดิ” เรื่องแบบนี้สำหรับประสบการณ์อันน้อยนิดในความทรงจำที่ผ่านมาของเทียนไขแล้วเขาก็ไม่รู้หรอกว่าแบบไหนที่เรียกว่ามีหวัง แบบไหนที่เรียกว่าไม่มีหวัง ยังไงก็แล้วแต่..ถ้าเพื่อนอย่างพละพลพูดพร้อมใบหน้าจริงจังแบบนี้แล้วก็แสดงว่าคงจะตกหลุมรักใครเข้าแล้วจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้น..เทียนไขอย่างเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ “แต่..มึงบอกกูก่อนสิว่ามึงไปรู้สึกแบบนั้นเข้ากับใคร”
“กูยังไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเท่าไหร่เลยว่ะ ดูเหมือนกูจะไม่มีโอกาสสมหวังอะไรเลยด้วย..”
“บ้า ไม่ลองก็ไม่รู้ปะวะ มึงบอกกูก่อนว่าคนๆนั้นคือใคร เดี๋ยวกูจะช่วยเท่าที่กูจะช่วยได้”
“มึงอย่าไปบอกใครนะเว้ย รู้แค่เราสองคน เจอหน้ากันก็ห้ามแซวห้ามยิ้มห้ามขำห้ามทั้งหมด ทำตัวปกติ..” พละพลหันมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เออได้”
“กู..”
“…”
“กูชอบเปลวว่ะ” “…” ดั่งมีระฆังลั่นดังอยู่ในหัว จู่ๆขาที่ควรจะก้าวเดินต่อก็หยุดกึก ทบทวนสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อกี้คราแล้วคราเล่า “มึง..ชอบเปลว..?”
“ใช่.. มึงว่ากูจะพอมีหวังมั้ยวะ” มันไม่ใช่ความรู้สึกที่หึงหวง ไม่ใช่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเปลว แต่มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
คนอย่างเปลวไม่ควรได้รับความรักจากใครทั้งนั้น
“พล”
“ว่า”
“มึงไม่มีหวังหรอก ตัดใจซะเถอะว่ะ” ใช่แล้ว…อย่าหวังเลย พละพลไม่ควรมาหวังกับคนอย่างเปลว เขาควรไปพบเจอใครที่ดีกว่านี้…เทียนไขคิดแบบนั้น
“…” ทว่าเพื่อนสนิทของเขากลับนิ่งไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดร้ายๆออกมาจากปากเพื่อนตัวเอง
“มึงก็ได้ยินแล้วนี่ว่าคนชื่อเปลวมันมีผู้หญิงเยอะ อย่าหวังเลยว่ะพล”
“..แล้วกูไม่มีสิทธิ์หวังซักนิดเลยหรอวะเทียน” พละพลได้รู้แล้วว่าเพื่อนสนิทของเขาที่แท้แล้วเป็นคนยังไง
“ใช่ มึงไม่มี”
“…” แขนที่เคยกอดคอเพื่อนสนิทคลายออก “ขอบคุณที่บอกให้กูรู้นะ แต่ทีหลังไม่ต้อง”
“…”
“กูกลับบ้านละ ไว้เจอกัน”
“…” เทียนไขยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนสนิทเมื่อครู่กลับกลายเป็นใบหน้าทะมึนตึงบอกบุญไม่รับไปในทันที ก็คงไม่ผิดหรอกที่จะโกรธกัน เพราะคำพูดที่เขาตอบกลับทุกคำมันก็ค่อนข้างจะทำลายความรู้สึกไม่น้อยเลย
“…ขอโทษนะเว้ย” แต่ทั้งหมดนี่..ก็เพื่อพละพลทั้งนั้น
“เทียน ออกไปรับออเดอร์ลูกค้าหน่อย” เสียงหวานของหนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเขาเอ่ยเรียกเพื่อผัดเปลี่ยนหน้าที่
“ครับ” เทียนไขรับคำ ก่อนจะเดินออกมาจากครัวของทางร้านตรงไปที่หน้าร้าน
ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดสนิทแล้ว เป็นสัญญาณบ่งบอกให้เขารู้ตัวเลยว่าอีกไม่นานก็จะได้เลิกงานกลับไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านแล้ว เขาคิดอยู่ในใจว่าถ้าลูกค้าโต๊ะสิบเอ็ดเรียกเช็คบิลเมื่อไหร่เขาก็จะกลับบ้านตอนนั้น แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง ลูกค้ารายใหม่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เทียนไขเอ่ยทักทายลูกค้าคนแล้วคนเล่าด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วอย่างเป็นมิตรตามที่ได้รับการฝึกสอนฝึกพูดจากพี่พนักงานคนอื่นๆ ปากกาในมือก็จดชื่ออาหารที่ลูกค้าสั่งอย่างไม่หยุดพัก จนขาทั้งสองข้างที่ยืนมานานร่วมชั่วโมงเริ่มเหนื่อยล้าแทบจะยืนต่อไปไม่ไหวแต่เขาก็ทำได้แค่ทนต่อไปเรื่อยๆเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องถึงความสบายใดๆทั้งสิ้น
“สวัสดีครับคุณลูกค้า มากันกี่ท่านครับ..” เสียงใสเอ่ยทักทายลูกค้าคนสุดท้ายก่อนจะปิดร้านเหมือนอย่างเคยพร้อมกับเตรียมปากกามาจด แต่ว่าก็ต้องตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วได้เห็นว่าลูกค้าด้านหน้านั้นเป็นคนที่เขาไม่อยากพบไม่อยากเจอเลยแม้แต่น้อย
“อ้าวเทียน ..ทำงานอยู่นี่หรอ” เสียงนุ่มเอ่ยตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม คนตรงหน้านี้ยังคงอยู่ในชุดนักศึกษา มีหมวกไหมพรมใบเดิมใส่อยู่ที่ศีรษะเช่นเคย
“…” เทียนไขไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขายืนก้มหน้านิ่งๆ ไม่แม้แต่จะเชยสายตาไปมอง
“อ่า..เรามาคนเดียว ยังไงก็รบกวนด้วยนะ” คนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็ต้องจำใจยอมแพ้ไป ถึงแม้จะไม่เข้าใจเลยก็ตามว่าเพราะอะไรถึงได้ดูเหมือนเกลียดกันขนาดนี้
“พี่ส้มมารับออเดอร์แทนเทียนหน่อย เทียนจะกลับบ้านแล้ว” เทียนไขหันไปเรียกพนักงานในร้าน ก่อนจะวางสมุดจดออเดอร์ไว้ตรงนั้นแล้วพรวดพราดเข้าไปหลังร้านในทันที
ไม่นานนักชุดยูนิฟอร์มพร้อมผ้ากันเปื้อนสีดำก็ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา เทียนไขใช้เวลาซักพักในการเก็บของลงกระเป๋าสะพายคู่ใจ ก่อนจะเปิดประตูทางหลังร้านออกมากะว่าจะลงไปทางบันไดหนีไฟแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่หวังเมื่อทันทีที่เปิดประตูออกไปก็เจอกับร่างสูงกำลังยืนพิงผนังอยู่
“เทียนเดี๋ยวก่อน” น้ำเสียงนุ่มๆเสียงเดิมที่เขาเคยตกหลุมพรางของมันจนแทบถอนตัวไม่ขึ้นดังเข้ามาในโสตประสาท ถึงแม้จะเตือนตัวเองอยู่ในใจซ้ำๆแล้วว่าอย่าได้ตอบอะไรกลับไป แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เขาเฝ้าอดทนอยู่กับความเจ็บปวดทรมานมาตลอดหลายเดือนก็ขาดสะบั้นลง
“จะเรียกทำไมนักหนาวะ! รู้จักกูหรอ หรือยังไง สนิทกับกูมากนักหรอ!” ไม่มีอะไรที่จะเสียหายไปมากกว่านี้แล้ว แม้แต่ความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันในอดีตก็ไม่มีให้เสียหายได้อีกเพราะมันพังทลายจนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวใดๆ
“…” ร่างสูงตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นคนตรงหน้าจู่ๆก็เดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าแบบนี้ บางที..คงจะผิดที่เขาเองที่ไปทำเหมือนได้เป็นเพื่อนกันไปแล้ว ทั้งๆที่ความจริงก็ยังเป็นแค่คนแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้น
“ไม่ต้องมายุ่งกับกู กูไม่ได้อยากรู้จักมึง ช่วยจำใส่หัวมึงไว้ด้วย!!!” ปลายนิ้วชี้ของเทียนไขเหยียดตึงกดลงบนหมวกไหมพรมบนหัวของคนตรงหน้าอย่างเหลืออด
“โอ๊ย..” ทว่าเปลวกลับร้องออกมาเสียงดังลั่น เพียงเพราะเรียวนิ้วที่กดลงไป แรงที่กดลงไปน่ะหรอ ยังไม่ถึงเสี้ยวนึงเลยด้วยซ้ำถ้าเทียบกับสิ่งที่เปลวเคยทำ
“…” ดวงตาสีนิลจ้องมองมาที่เทียนไขอย่างเจ็บปวดเพื่อขอความเห็นใจ และแน่นอนว่าเขาไม่มีสิทธิ์ได้รับมัน
“มึงเจ็บหรอ?” รองเท้าหนังสีดำขลับขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงมากขึ้นๆ จนแผ่นหลังของเจ้าของร่างสูงนั้นแนบชิดไปกับผนัง
‘เทียน..ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา’
‘สัญญา…สัญญาหรอ’
‘ใช่ สัญญา’
‘...’
‘มาถึงตรงนี้แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บอดีตไว้แค่ในความทรงจำก็พอ จดจำเรื่องราวดีๆ ส่วนเรื่องราวร้ายๆก็เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ..แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิต..ที่เป็นของมึงเอง อาจจะไล่ตามความฝัน ..ปาร์ตี้กับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่กับคนที่มึงรัก’
‘…’
‘ทำสิ่งที่มึงชอบ ทำในสิ่งที่มึงรัก พอถึงตอนนั้นแล้วมึงก็จะมีความสุข’
‘เปลวรู้มั้ยว่าทุกอย่างที่เปลวบอกมาเนี่ย สำหรับเราแล้วมันคือสิ่งๆเดียวกันเลย’
‘…’
‘สิ่งนั้นคือ..เปลว’
‘…’
‘แค่มีเปลวเราก็มีความสุขแล้ว’
‘อันนี้ประโยคบอกรักทางอ้อมปะวะ’
‘เฮ้ยไม่ได้หมายความแบบนั้น.. เราหมายถึงอยู่กับเปลวแล้วเรามีความสุขดี’
‘งั้นกูก็คงไม่ต่างจากมึง’
‘…’
‘อยู่กับมึงแล้วมีความสุขดี’
“สำออยฉิบหาย” มือข้างหนึ่งของเทียนไขออกแรงบีบลงไปที่ศีรษะของคนตรงหน้าอย่างรุนแรงก่อนจะสบัดปล่อยให้มันกระแทกไปกับผนัง
“โอ๊ย…” เสียงร้องนั่นดังขึ้นกว่าเดิม ร่างสูงที่เคยสง่าผ่าเผยถึงกับทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น เขาใช้สองมือเกาะกุมศีรษะของตัวเองไว้แน่น
“ไม่ต้องเสือกแสดงว่าตัวเองเจ็บหรอก” เทียนไขมองภาพคนตรงหน้านอนขดคู้แสร้งทำเป็นเจ็บอย่างหมั่นไส้
“..เจ็บ..”
“ถุ้ย ขนาดกูมึงยังไม่เคยเห็นใจเลยไอ้เหี้ย!!”
“..โอ๊ย ..ฮือ ช่วยด้วย..”
“มึงหูหนวกหรอไอ้ควาย”
“…ช่วยด้วย”
“อยากให้ช่วยมากนักหรอ”
“…”
“..กราบตีนกูดิ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงกล้าพูดไปแบบนั้น คงจะเพราะเขามั่นใจล่ะมั้งว่าคนอย่างเปลวไม่มีทางทำ แต่ทว่า…
“ช่วย..เราหน่อย ..ได้มั้ย เราเจ็บ..” สองมือที่สั่นเทาของเปลวกลับกำลังประสานกันและกำลังก้มลงไปกราบแทบเท้าของเขา
“…” เทียนไขได้แต่แค่นยิ้มกับภาพที่เห็นก่อนจะชักเท้าถอยหลัง ..มันเหนือความคาดหมายของเขาเยอะ แต่บอกตรงๆเลยว่าสะใจดีเหมือนกัน “กูไม่ช่วย”
“…”
“ตอนกูเจ็บ…กูก็เคยขอมึงแบบนี้ มึงยังไม่เคยฟังกูเลย”
“ร..เราจำไม่ได้ ฮือ…ขอโทษ ขอโทษ..ข” ใบหน้าหล่อขยับมาแนบกับรองเท้าหนังของเขาเพื่อขอความเห็นใจพร้อมกับพร่ำคำขอโทษอันแสนไร้ค่าออกมาซ้ำๆ
“มึงตายนู่นแหละ กูถึงจะยกโทษให้ได้” เวลาผันผ่านไปจนเช้าวันใหม่มาเยือน วันนี้เทียนไขก็มีเรียนตั้งแต่เช้าเช่นเคย เอาจริงๆก็มีเรียนเช้าทุกวันนั่นแหละ แถมบางวันอาจจะเช้ากว่าสมัยเรียนมัธยมซะอีก แต่มันก็ไม่ได้แย่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในทางที่เขาชอบมันไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออะไรเลย กลับกันมันยิ่งน่าค้นหามากขึ้นๆ และนั่นก็เป็นแรงใจที่ดีเลยที่ทำให้เทียนไขไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน
“พล มึงอยู่ไหน กูอยู่ตึกคณะแล้วนะ” เสียงใสเอ่ยพูดเพื่อส่งสารไปยังปลายสาย
[วันนี้กูสายว่ะ โทษทีที่พึ่งบอก] และคำตอบที่อีกฝ่ายตอบกลับมาก็ทำเอาบุคคลที่ตื่นเต้นดีใจที่จะได้เรียนเนื้อหาใหม่ๆอย่างเขาจนมาตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ต้องหงอยไปเลยทีเดียว
“เออๆไม่เป็นไร แล้ว..ทำไมถึงสายวะ เมื่อวานมึงก็มาโคตรเช้า มาก่อนกูอีก”
[วันนี้กูก็จะไปเช้านั่นแหละ แต่ว่าไอ้โจ้มันโทรมาบอกกูพอดี ตอนนี้กูอยู่โรงพยาบาล]
“อ่าว ใครเป็นไร”
[แป็ปนึงนะ อย่าพึ่งวาง กูไปคุยกับไอ้โจ้แป็ป] ไม่ทันที่เทียนไขจะได้พูดอะไรต่อ ปลายสายก็มีแต่เสียงลมซะแล้ว …แต่เอาจริงๆแล้วใครจะเป็นอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขามากมายอะไรขนาดนั้นหรอก ก็แค่ถามเฉยๆเป็นมารยาท นี่ถ้าไอ้พลไม่บอกเขาก็จะไม่เซ้าซี้อะไรต่อเลย…เทียนไขคิดแบบนั้น
ตุบ
กระเป๋าสะพายคู่ใจถูกวางลงบนโต๊ะสีขาวภายในห้องเรียนคาบแรก ไม่นานนักเจ้าตัวก็ฟุบลงไปกับโต๊ะเพราะไม่รู้จะทำอะไร จริงๆถ้ามีไอ้พลมานั่งข้างๆป่านนี้ก็คงเล่นเกมไม่ก็ช่วยๆกันสรุปเนื้อหาที่เรียน แต่แย่ตรงที่ที่ข้างๆมันไม่มีใครเลย ในห้องก็มีคนอยู่แค่ห้าหกคนเท่านั้น
[ฮัลโหลๆ มึงยังอยู่เปล่า หรือวางไปแล้ววะ..]
“หึ ยังไม่วาง ไม่อยากวางเลยว่ะเหงา”
[เออน่าเดี๋ยวเที่ยงๆกูไป]
“โห งี้กูก็ต้องอยู่คนเดียวไปครึ่งวันเลยอะดิ”
[วันเดียวน่า อาการไอ้เปลวยังแย่อยู่เลย]
“…เดี๋ยว”
[…]
“เดี๋ยวนะ..”
[เดี๋ยวอะไรของมึงวะ..]
“เปลวอยู่โรงพยาบาลหรอ..” ฝ่ามือที่ถือโทรศัพท์แนบกับใบหูจู่ๆก็สั่นระรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ บางอย่างที่เขานึกสงสัยมาตลอด บางอย่างที่มันติดอยู่ลึกๆภายในใจที่เขาเลือกที่จะมองข้ามมันไปโดยไม่คิดสนใจ
[ใช่ เมื่อคืน ตอนประมาณเที่ยงคืนมั้งมีพยาบาลโทรมาหาไอ้โจ้บอกว่าไอ้เปลวอยู่โรงพยาบาล]
“มัน..มันเป็นไรวะ..”
บางอย่าง..ที่เขาเลือกที่จะกลบมันไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด..
‘ขอให้มึงรู้ไว้ เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง…กูสัญญา’
[หมอบอกว่าสมองมันกระทบกระเทือน ตอนนี้อยู่ ICU]