{ Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )  (อ่าน 34386 ครั้ง)

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************










‘ความเจ็บปวด’ ของคนเรานั้นถูกนิยามเอาไว้ว่าเป็นความทุกข์ทางกายหรือทางใจที่เกิดขึ้นเพราะมีสิ่งเร้ารุนแรงและอันตรายมากระตุ้น ผมไม่ปฏิเสธหรอก มันก็จริงอย่างที่มีคนได้นิยามไว้





แต่ความเจ็บปวดสำหรับผมแล้ว..มันลึกซึ้งกว่านั้น..








คุณเคย...หัวเราะทั้งๆที่ในใจกำลังร้องไห้มั้ย

คุณเคย...แสร้งทำเป็นมีความสุขทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า

ถ้าคุณเคย.. คุณคือเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันกับผมแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการที่หัวเราะทั้งๆที่น้ำตาไหล หรือแสร้งยิ้มทั้งๆที่ภายในกำลังเจ็บปวดทรมาน
 
สองความรู้สึกนี้..ผมอยู่กับมันจนรู้จักมันดี เอาจริงๆผมไม่ได้เจ็บปวดหรอก  ‘ความเจ็บปวด’ ของผมมันกลายเป็น ‘ความชินชา’ ไปแล้ว
ผมไม่จำเป็นต้องมีความสุขหรอก..ถ้ามีใครคนนั้น..
 







‘เทียน..ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกับกูมาจนถึงทุกวันนี้นะเว้ย มึงคือความโชคดีของกูจริงๆ’

‘เทียน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย...มึงยังมีกู’

‘เทียน...ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา’


‘กูเอง..ก็ต้องขอบคุณมึงมากๆเหมือนกัน..เปลว ถ้าไม่ได้มึง...กูก็คงไม่เป็นกูในทุกวันนี้ ขอบคุณมึงมากๆเลยเพื่อนรัก ขอบคุณจากใจจริงเลย’

‘กูไม่โกรธมึงหรอกนะเว้ย กูสบายมาก กูจะดีใจซะอีกถ้ามึงมีความสุข เพราะงั้นไม่ต้องห่วงกูเลยเว้ย ถ้ามึงกังวลกับเรื่องสัญญาที่มึงเคยพูด กูจะบอกว่ากูโอเค สัญญากับกูน่ะมึงไม่จำเป็นต้องทำตามที่มึงสัญญาก็ได้’

‘นอกจากขอบคุณแล้ว..กูก็อยากจะขอโทษมึงด้วยเหมือนกันว่ะ’

‘ขอโทษนะเว้ยเปลวที่กูยุ่งย่ามกับมึงมากเกินไป’

‘ขอโทษเว้ยที่กูเป็นห่วงมึงมากเกินไป ..แต่เพราะมึงคือบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตกูที่ยังเหลืออยู่ กูเลยอาจจะเผลอเป็นห่วงมึงมากเกินไปหน่อย กูขอโทษจริงๆ’

‘แล้วก็..ขอโทษที่ร้องไห้ง่าย ขี้แยเป็นเด็กจนทำมึงรำคาญ’

‘ขอโทษที่..กูยังมีชีวิตอยู่..ทำให้เป็นภาระมึง’








‘ขอโทษที่รักมึงหมดหัวใจ’












เขา..ผู้เป็นดั่ง ‘เปลวไฟ’ ผู้ชุบชีวิต ’เทียนไข’ ให้สว่างไสวโชติช่วง


แต่ขณะเดียวกัน เปลวไฟ..ก็แผดเผาเทียนไขเสียจนมอดไหม้เหลือเพียงไขน้ำตา










”น้ำตาเทียน”
- Tian’s Tears -


















*เนื้อหาค่อนข้างรุนแรง*
*พฤติกรรมและคำพูดมีบางส่วนที่ไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณ*

สารบัญ
ตอนที่ 1 : 01 เปลวจุดเทียน
ตอนที่ 2 : 02 เปลวจุดเทียน
ตอนที่ 3 : 03 เปลวจุดเทียน RE
ตอนที่ 4 : 04 เปลวเผาเทียน RE
ตอนที่ 5 : 05 เปลวเผาเทียน RE
ตอนที่ 6 : 06 เปลวเผาเทียน RE
ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 RE { 50% }
ตอนที่ 7 : 07 ‘เปลว’ 1/2 { 100% }
ตอนที่ 8 : 08 ‘เปลว’ 2/2
ตอนที่ 9 : 09 ‘เปลวเทียน’
ตอนที่ 10 : 10 ‘เปลวเทียน’
ตอนที่ 11 : 11 ‘เปลวเทียน’
ตอนที่ 12 : 12 ‘เปลวเทียน’
ตอนที่ 13 : 13 ‘เปลวเทียน’
ตอนที่ 14 : 14 ‘เปลวเทียน’
ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 1/2
ตอนที่ 15 : 15 ‘น้ำตาเทียน’ 2/2
ตอนที่ 16 : 16 บทส่งท้าย
(Special) “Memories Jigsaw Puzzle”

ฝากเปลวเทียนไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
คอมเมนต์บอกความรู้สึกหลังอ่านด้วยเราจะดีใจมากๆเลย
ยังไงก็ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ : )




Twitter : @_MindSky
[/i]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2019 00:14:50 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears
«ตอบ #1 เมื่อ22-11-2018 23:10:58 »

01


เปลวจุดเทียน










      “ไปเลยนะไอ้เทียน มึงไปเลยนะ! ออกไปจากร้านกู!” เสียงตวาดลั่นดังมาจากเฮียเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดประจำตลาด

       “ไม่มีจะแดกขนาดนั้นเลยรึไงไอ้เด็กเวรนี่ ก๋วยเตี๋ยวถุงละไม่ถึงห้าสิบ ไม่มีตังจะจ่าย.. ยังอีก มองหน้าหาเตี่ยมึงหรอ ไปไกลๆไอ้เด็กเหี้ย!” เฮียยังคงตวาดลั่นไม่หยุดใส่เด็กมัธยมเจ้าของเรือนร่างผอมเพรียวดูบอบบางที่อยู่ในชุดนักเรียนเก่าๆเปื้อนดินเปื้อนฝุ่นจนดูสกปรกไม่น่าชมอยู่อย่างนั้นไม่หยุด



       ‘ซักวันเทียนจะมาตอบแทนเฮียแน่’ เด็กคนนั้นคิดแบบนั้นอยู่ในใจ ก่อนจะพยายามข่มใจให้หายกลัวแล้ววิ่งหนีไป

       เขาไม่ได้ชอบการขโมย ไม่ได้ชอบการเอาเปรียบคนอื่น แต่ก็ต้องกัดฟันทำมันลงไป เพราะถ้าหากไม่ทำแบบนี้..ชีวิตเขาและแม่ก็จบ



       สองเท้าของเด็กคนนั้นยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆจากตลาดไปยังชุมชนแออัดที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดเท่าๆไรนัก จุดมุ่งหมายของเขาคือบ้านโทรมๆหลังหนึ่งที่ทำด้วยไม้มีที่ตั้งอยู่ริมน้ำคลองประปาสีดำทะมึนเท่านั้น ใช้เวลาไม่นานเขาก็ถึงจุดหมาย



       “แม่.. เทียนกลับมาแล้วครับ” เขาใช้เท้าข้างหนึ่งเสียดสีกับเท้าอีกข้างเพื่อถอดรองเท้านักเรียนขาดๆนั้นออกก่อนจะผลักประตูไม้เข้าไป

       “เทียนซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝากแม่ด้วย ..แม่ลุกไหวมั้ย” เด็กน้อยปรู่เข้าไปหาแม่ของเขาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกเก่าๆที่อุดมไปด้วยไรฝุ่น เขารู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังโกหกคนเป็นแม่ เด็กน้อยคนนี้รู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร

       เขาก็แค่..ไม่อยากให้แม่คิดมากที่เขาเป็นไอ้ขี้ขโมยไปแล้ว



       “…” แม่ของเด็กน้อยค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ สีหน้าเธอค่อนข้างซีดเซียว ริมฝีปากก็แห้งกรังไร้สีสัน

       “รอแป็ปนะเดี๋ยวเทียนเอาไปใส่ชามก่อน ..แม่ค่อยๆลุกนะครับ” เด็กน้อยยิ้มแย้มแจ่มใสพูดกับแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานก่อนจะค่อยๆพยุงแม่ของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง

       “มาแล้วว ดูสิแม่ กำลังร้อนๆเลย มา เดี๋ยวเทียนป้อน” เด็กน้อยค่อยๆใช้ส้อมพันเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วนำมาป้อนแม่ของเขา เป็นเวลาเดียวกันที่แม่ของเขามองมาทางเขาพอดี สายตาของท่านรื้นเอ่อไปด้วยน้ำตา จริงๆแล้วท่านรู้ดีว่าเงินแทบจะไม่มีเหลือแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกของท่านจะซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้แบบนี้ได้

       “กินอีกเยอะๆนะครับแม่ จะได้มีแรง” เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงจ่มใส และยังคงป้อนก๋วยเตี๋ยวให้แม่คำแล้วคำเล่า

       “พ..พอแล้วเทียน แม่..อิ่มแล้ว” ท่านบอก แม้ความจริงจะกินยังไม่ถึงครึ่งท้องเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเป็นห่วงลูกที่มีมากกว่า ท่านเลยอยากให้ลูกของตัวเองได้กินอะไรบ้าง ไม่ใช่อดๆอยากๆจนตัวผอมกร่องแกร่งแบบนี้

       “งั้นแม่กินยาต่อเลยแล้วกันนะครับ อะนี่ครับ น้ำด้วย” เด็กน้อยยื่นยาหลายชนิดให้แม่ของเขา ทุกครั้งที่มองไปที่แม่ของเขาเขาก็จะมีแต่ความเจ็บปวดจนตัวชาไปครู่หนึ่งเกิดขึ้น ..ร่องรอยบาดแผลตามตัวแม่ เขารู้ดีว่ามันเกิดจากอะไร

       ครั้งหนึ่งภายในบ้านไม้โทรมๆหลังนี้เคยเป็นบ้านที่อบอุ่น แม้สังคมรอบข้างจะค่อนข้างเลวร้าย มีแต่สิ่งสกปรกโสมม หรือแม้แต่ยาเสพติดอยู่รอบข้าง แต่ก็ไม่สามารถทำลายความอบอุ่นภายในบ้านหลังนี้ได้เลย บ้านหลังนี้มีพ่อ มีแม่ และเด็กน้อยที่อยู่ในวัยสดใสไร้เดียงสา

       ตอนเช้า..เด็กน้อยตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยอาหารเช้าที่แม่เป็นคนทำให้ ทุกเมนูแม้จะเป็นเพียงไข่เจียวธรรมดาๆแต่ก็อุดมไปด้วยความใส่ใจ เป็นอาหารแสนอร่อยที่ได้กินกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและมีบทสนทนาสัพเพเหระที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างดีคลอหูทำให้รู้สึกผ่อนคลาย การได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้มันช่างมีความสุขเหลือเกิน

       ตกเย็น..พ่อของเด็กน้อยก็กลับมาจากไปทำงาน งานของเขาไม่ได้หรูหราอะไรเลย เป็นแค่คนงานก่อสร้างธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับเด็กน้อย..เขาไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจเลยแม้แต่น้อยที่พ่อทำอาชีพนี้ กลับกัน..เด็กน้อยกลับรู้สึกว่าพ่อของเขาคือฮีโร่ ..ฮีโร่ที่สามารถเสกปูน เสกอิฐ จนกลายเป็นอาคารบ้านเรือนได้ แม้จะไม่ได้มีพลังพิเศษมากมายเหมือนในหนัง แต่ฮีโร่ของเขาคนนี้เป็นฮีโร่ที่เก่งที่สุด กัปตันอเมริกาหรอ.. แบทแมนหรอ ใครก็สู้พ่อของผมไม่ได้หรอก เด็กน้อยคิดแบบนั้น

       หลังจากที่พ่อกลับเข้ามา สามพ่อแม่ลูกก็จะกินอาหารเย็นด้วยกันพร้อมกับดูทีวีไปด้วย บรรยากาศยังคงอบอุ่นและสนุกสนานไปด้วยเสียงหัวเราะเหมือนเคย

       เสร็จจากมื้อเย็นสุดวิเศษแล้วก็ได้เวลาพักผ่อน ..บนฟูกสีชมพูอมแดงลายดอกไม้เก่าๆนั้นเป็นที่พักผ่อนของเด็กน้อย แม่ของเขาและพ่อของเขา ก่อนนอนพ่อจะกางมุ้งเพื่อกันไม่ให้ยุงตัวร้ายเข้ามากล้ำกรายเด็กน้อยได้ ..บางจุดของมุ้งก็ขาดไปแล้ว แต่ด้วยความเก่งกาจของแม่นั้น เธอสามารถซ่อมแซมรูโหว่บนมุ้งได้อย่างชำนาญการราวกับมีพลังวิเศษ

       ‘แม่ของเทียนเก่งที่สุดในโลกเลย’ เด็กน้อยคิดแบบนั้น ก่อนจะผล็อยหลับไปภายใต้ความอบอุ่นจากอ้อมแขนของพ่อและแม่ที่เขารักสุดหัวใจ





        ..ทว่าเมื่อเรามีความสุข เวลามักผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเสมอ

 

       เวลาผันผ่านไปถึงสองปีจนเด็กน้อยเข้าสู่รั้วของโรงเรียนประถม..

       ‘ตั้งใจเรียนนะครับคนเก่ง’ แม่ของเด็กน้อยมักจะบอกแบบนี้กับเด็กน้อยทุกวันๆ จนมันฝังลึกลงไปในสมองของเด็กน้อย ทำให้เขาเรียนเก่งจนสอบได้ที่หนึ่งมาตั้งแต่ประถมหนึ่ง

       แม่มักจะเดินไปส่งเด็กน้อยที่โรงเรียนเสมอ ใจนึงก็เพราะอยากเป็นห่วงกลัวเด็กน้อยจะถูกแกล้ง ถูกทำร้าย อีกใจหนึ่งก็เพราะเธออยากมีเวลาอยู่กับเด็กน้อยให้มากขึ้น

       เพราะเธอรู้ดีว่า..เวลาของเธอเหลือไม่มากแล้ว



       เธอกำลังป่วย…ป่วยด้วยโรคร้ายแรงโรคหนึ่งที่สังคมรังเกียจ..

       และคนที่ทำให้เธอป่วยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ..สามีของเธอนั่นเอง ..ความอบอุ่นหรอ ความสุขหรอ ..จริงๆแล้วมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยเมื่อไหร่ก็ตามที่เธออยู่ด้วยกันสองคนกับสามีของเธอ

       เขาทุบ ถีบ ฟาด ทำร้ายเธอไม่เว้นแต่ละวันเพราะฤทธิ์ของยาเสพติด เป็นความจริงที่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราหลวมตัวเข้าไปอยู่ในที่แบบนั้น เราจะเป็นคนแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว ..สุดท้ายแล้วคนเป็นพ่อก็หนีไม่พ้นจากมัน พ่อของเด็กน้อยติดกัญชา ยาบ้า และอีกสารพัดสารเสพติดที่เขาสามารถหาเสพได้ ซ้ำร้าย..พ่อของเด็กน้อยยังกลายเป็นคนที่ติดเที่ยว ถึงแม้จะไม่มีเงินอะไรมากแต่พ่อก็จะแอบหนีไปทุกครั้งที่มีโอกาส และใช่..พ่อแอบขโมยเงินเพื่อเอาไปเที่ยว ..เงินที่ต้องกิน..ต้องใช้จ่ายในแต่ละวัน พ่อก็เอามันไป

       ที่ร้ายยิ่งกว่าคือพ่อติดผู้หญิง.. ผู้หญิงค้าบริการที่อยู่ตามแหล่งที่พ่อไปเที่ยว พ่อเสียเงินไปหลายบาทเพื่อซื้อเธอมานอนด้วยเพียงแค่คืนเดียว พ่อดูแลเธอดีมาก..ดีซะกว่าลูกในใส้ซะอีก

      จนสุดท้ายเงินที่พ่อเสียไปพ่อก็ได้รับสิ่งตอบแทนสุดล้ำค่าที่จะเป็นบทเรียนให้เขาไปตลอดชีวิต..

       โรคเอดส์..



       เคราะห์ซ้ำกรรมซัด..แม่ของเด็กน้อยเองก็พลอยติดโรคร้ายนั้นไปด้วยทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เธอแค่ทำหน้าที่ของเธอ ..เธอทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถู ดูแลบ้าน ดูแลลูก ทำงานเล็กๆน้อยๆหาเงินเท่าที่จะทำได้ เธอทำมันได้โดยไม่เคยคิดย่อท้อเหน็ดเหนื่อย

       เธอรู้ดีว่าสามีเธอคงจะเหนื่อยกว่าเธอหลายเท่า งานก่อสร้างมันไม่ใช่งานที่นั่งพิมพ์นั่งวาด แต่มันต้องขึ้นไปบนนั่งร้าน แบกอิฐ แบกปูน เล่นล้ออยู่กับความเสี่ยงถึงชีวิต เพราะงั้นเธอถึงได้รอ..รอปรนิบัติดูแลสามีของเธอทุกวัน น้ำท่าก็หาให้ อาหารการกิน เสื้อผ้าเธอก็เป็นคนดูแล

       เธอไม่เคยคิดร้ายกับสามีของเธอเลย กลับกันเธอยังรักเขาอย่างสุดหัวใจ..

       รัก..โดยไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะถูกหักหลัง..





       ..เมื่อเรากำลังทุกข์ใจ กำลังเจ็บปวด หรือเฝ้ารอใครซักคน เวลานั้นจะโหดร้าย มันจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับเวลาถูกหยุด



       ‘โตไปลูกอย่าเอาพ่อเป็นแบบอย่างนะเทียน’

       ‘เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว’

       ‘พ่อขอให้ลูกเจอแต่สิ่งดีๆ’

       ‘พ่อขอโทษ..’



       ระฆังประหารลั่นดังก้องกังวาลก่อนที่พ่อของเด็กน้อยจะถูกอุกฤษฏ์โทษโดยการลั่นปืนเจาะลงที่กลางกระบาล ด้วยอาญาเสพและค้ายาเสพติด ซ้ำด้วยฆ่าข่มขืนหญิงค้าบริการ







       ชีวิตของ ‘เทียนไข’ ก็ได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่วันนั้น..













ต่อด้านล่างค่ะ





ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears
«ตอบ #2 เมื่อ22-11-2018 23:13:38 »

  ‘เทียน’ หรือ ‘เทียนไข’ เป็นชื่อของผมเอง แม่ผมเป็นคนตั้งให้โดยเธอบอกว่า ‘หนูจะเป็นแสงสว่างในยามที่มืดมิดให้แก่ใครซักคนนะ..เทียนไข’ ผมชอบความหมายของชื่อนี้นะ.. แต่เทียนที่แม่ว่าคงจะหมายถึงเทียนเล่มอื่นที่ไม่ใช่ผม ..เทียนอย่างผมไม่อาจส่องสว่างให้ใครได้เลย เป็นเทียนไขที่ไร้แสง หากแต่ถูกความโหดร้ายจากโชคชะตาแผดเผาอยู่ร่ำไปด้วยสารพัดคำล้อเลียนที่ว่า ‘ไอ้ลูกแม่เป็นเอดส์’ ‘หยี้ขยะแขยง ไอ้เอดส์’ ‘ไอ้ขี้ขโมย’ ‘ไอ้สาระเลว’ จนเทียนไขไม่สามารถเป็นเทียนไขได้อีก แหลกสลายกลายเป็นแค่น้ำมันไขจาก ‘น้ำตาเทียน’



       ทุกคำกล่าวหามันไม่ได้จริงไปซะทั้งหมด ..อย่างแรกเลยคือผมไม่ได้เป็นโรคร้ายอย่างที่แม่เป็น ผมยังเป็นผม ยังสมบูรณ์แข็งแรงสุขภาพดีเพราะแม่ของผมดูแลผมมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะไม่สามารถดูแลผมได้อีกแล้วก็ตาม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ความคิดประหลาดๆที่ว่า ‘ลูกคนเป็นเอดส์จะต้องเป็นเอดส์ไปด้วย’ นี่จะหายไปซักที

       อย่างที่สอง.. ผมไม่ได้อยากจะขโมยเลย แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ก็ไม่มีงานที่ไหนรับเด็กอายุสิบสามทำงานนี่ ผมจำเป็นต้องมียามารักษาแม่ จำเป็นต้องมีอาหารเพื่อความอยู่รอด จำเป็นต้องมีเงินเพื่อศึกษาเล่าเรียน ผมขอโทษจริงๆที่ผมต้องทำแบบนี้ ซักวันผมจะชดใช้บุญคุณพวกนี้แน่นอน ผมสัญญาไว้กับตัวเอง



       “แม่วันนี้เปิดเทอมวันแรก.. เทียนขึ้นม.1แล้วนะครับ” ผมยิ้มบอกเธอหลังจากที่เธอกินยาเสร็จเรียบร้อย เธอคลี่ยิ้มออกมาราวกับกำลังรู้สึกตื้นตันใจ เดี๋ยวนี้แม่ของผมแข็งแรงขึ้นแล้วนะครับ ก่อนหน้านี้เธอน้ำหนักลดฮวบฮาบเลย ตอนนี้เพิ่มขึ้นบ้างแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือเปล่านะ..

       “ตั้งใจเรียน..นะครับ” เสียงเธอสั่นคลอน เธอมองชุดนักเรียนมอซอที่ผมใส่อยู่แล้วน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมา เดาว่าเธอคงอยากให้ผมได้ใส่เสื้อผ้าดีๆบ้างล่ะมั้ง อย่างน้อยก็ชุดนักเรียนในวันที่เปิดเรียนใหม่วันแรกแบบนี้ ที่มันสภาพเป็นอย่างงี้ก็เพราะผมเองแหละมั้ง ผมไม่รู้จริงๆว่าควรซักเสื้อยังไงให้สะอาดให้เท่าที่แม่เคยซักให้

        “เทียนไม่เป็นไรหรอกครับ ชุดนี้ยังใส่ได้อยู่เลย เก็บเงินไว้ซื้ออย่างอื่นที่จำเป็นดีกว่า” ผมบอกแม่



       “งั้น..เทียนไปเรียนก่อนนะครับ” ผมเอ่ยลา ..และยังคงยิ้มให้แม่อย่างมีความสุข ผมเชื่อว่าถ้าผมยิ้มแม่ก็จะมีความสุขไปด้วย เพราะงั้นผมจึงยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอเวลาที่กลับมาบ้าน

       “เทียน..” เธอเรียกชื่อผม พยายามเอื้อมมือมาทางผมแต่ก็หยุดค้างไว้กลางอากาศ ก่อนจะนำมือกลับไปดังเดิม ..ผมรู้ดีว่าแม่เองก็กลัว..กลัวว่าผมจะติดโรคร้ายจากเธอ เธอจึงพยายามที่จะไม่โดนตัวผมเลยเท่าที่จะเป็นไปได้

       ผมจับมือเธอขึ้นมาแนบไว้กับแก้ม แม่ขัดขืนอยู่เล็กน้อย พยายามดึงมือกลับ แต่เสียใจครับแม่..ตอนนี้เทียนแรงเยอะกว่าแม่แล้วครับ

       “ไม่ต้องห่วงเทียนเลยแม่.. เทียนจะตั้งใจเรียน จะเป็นหมอให้ได้เลย ถึงตอนนั้น..แม่ของเทียนก็จะหายเป็นปกติ เพราะเทียนจะรักษาแม่เอง รออีกนิดนะแม่ อีกไม่นาน...” ผมแนบหน้าถูไถไปกับฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวเบาๆ แต่สำหรับผมแล้วมันสวยงามกว่าฝ่ามือใครๆ

       ความฝันของผมคืออยากเป็นหมอ มันจะไม่ใช่แค่ความฝันด้วย ผมจะเป็นให้ได้ มันต้องเป็นความจริง แม่ของผมต้องหายจากโรคนี้เพราะผมจะรักษาเธอเอง

       “..แม่รัก..เทียนนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาเม็ดนึงไหลลงข้างแก้มของเธอ ก็เหมือนกับผมแหละ..ตอนนี้ผมเองก็ร้องไห้..

       “เทียนก็รักแม่นะ..” ผมยกมือขึ้นมาซับน้ำตาบนแก้มของแม่ “แม่รอเทียนก่อนได้มั้ย...”

       “…อื้อ” เธอพยักหน้า



       แม่อย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ..

       แม่รอเทียนก่อน..

       แม่อยู่กับเทียนก่อนนะ..





       ผมเดินออกมาจากบ้านก่อนจะไปเคาะประตูบ้านข้างๆก่อน ระหว่างที่ผมไม่อยู่ผมมักจะฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลแม่อยู่เสมอ ซึ่งคนๆนั้นก็คือ ‘น้าหยวน’ น้องสาวคนละพ่อของแม่ผม น้าหยวนเข้าใจเรื่องราวต่างๆในบ้านของผมดี เธอรู้ดีเลยว่าพี่สาวของเธอโดนอะไรมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเธอก็พยายามช่วยเท่าที่จะทำได้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผมอีกคนเลยแหละ

       “น้าหยวน เทียนไปโรงเรียนก่อนนะครับ  ฝากดูแม่ด้วย”

       “จ้า เอ้อ..เดี๋ยวก่อนเทียน” เธอตอบรับก่อนจะเดินออกมาเปิดประตู

       “ครับ?”

       “อ่ะ เงินนี้น้าให้ ตั้งใจเรียนนะลูกนะ” เธอยิ้มก่อนจะให้ธนบัตรสีแดงใส่มือผม ผมก็รับมันมาแล้วก็ไม่ลืมยกมือไหว้เป็นการขอบคุณ

       “ขอบคุณมากเลยครับน้าหยวน เทียนไปเรียนแล้วน้า” ผมโบกมือบ๊ายบายก่อนจะเดินออกไป

       ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณสามกิโลได้มั้งผมประมาณเอา สำหรับคนอื่นไกลมั้ยผมก็ไม่รู้แต่สำหรับผมผมสบายมากที่จะเดินไป

 

       วันนี้เป็นวันใหม่ของผมเลยล่ะครับ ใหม่แบบว่าใหม่จริงๆ ภาคเรียนใหม่ โรงเรียนใหม่ สังคมใหม่ ชีวิตใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด..ยกเว้นชุดนักเรียนที่ผมใส่ อักษรย่อโรงเรียนก็ถูกปักทับกับแผ่นผ้าที่ผมเอามาเย็บปิดอักษรย่อโรงเรียนประถม รอหลังจากวันหมอนัดแม่ก่อนละกันค่อยซื้อใหม่



       ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้จะเจออะไรบ้าง จะมีเพื่อนจากโรงเรียนตอนประถมที่ชอบล้อผมมาเรียนด้วยหรือเปล่า

       แต่ถึงมีก็ช่างเถอะ…ผมไม่สนใจอยู่แล้ว



       ผมเดินเข้าโรงเรียนไปอย่างไม่รู้ทิศทาง จำได้ว่าตอนมาสมัครมันดูไม่ได้ใหญ่มาก แต่เอาเข้าจริงๆก็ใหญ่พอตัวเลยทีเดียว ใหญ่จนผมไม่รู้จะเดินไปทางไหนแล้วครับ ช่วยด้วย



       “เฮ้ย มึงอะ” ใครคนหนึ่งตะโกนเรียกใครก็ไม่รู้ มันดังจนเข้าหูผมเลยแต่ว่าเขาคงไม่ได้เรียกผมหรอกมั้ง…ไม่มีใครอยากเรียกผมหรอก..

       “หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง” เสียงยังคงดังตามหลังผมเรื่อยๆ หรือบางทีผมควรจะเร่งฝีเท้า.. เร่งดีกว่า

       “เอ้า รอกูก่อน” เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบกับพื้นดังรัวๆ สรุปคือคนๆนี้เขากำลังตามผมอยู่ใช่มั้ย

       ทันใดนั้นเองฝ่ามือของเขาก็แตะลงบนไหล่ผมทำเอาผมหยุดกึกลงในทันที

       “เฮ้อ เหนื่อยเลย..” ผมหันกลับไปหาเขา ..เด็กคนหนึ่งที่ส่วนสูงแตกต่างจากผมเล็กน้อยถึงปานกลาง ..ที่แตกต่างคือผมเตี้ยกว่าเขาครับ จำไม่ผิดโรงเรียนให้ตัดทรงนักเรียนแน่ๆแต่คนๆนี้กลับไว้รองทรงต่ำอย่างไม่แคร์สี่แคร์แปดอะไร เขาอยู่ในชุดนักเรียนเหมือนๆกันกับผมบนคอเสื้อปักเดือนหนึ่งดวง ..แสดงว่าอยู่ม.1เหมือนๆกันกับผมสินะ

       “มีอะไรรึเปล่า..” ผมถามเขา นานแค่ไหนแล้วนะที่มีคนมาทักผมก่อนโดยที่ไม่ได้ล้อผมแบบนี้ แต่คนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกที่ล้อผมเท่าไหร่ เขาเป็นใครถึงมากูมึงกับผมทั้งๆที่เราไม่เคยพบเคยเจอกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอก เขามาคุยกับผมได้ไม่นานหรอกครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขารู้ว่าผมเป็นใคร..เขาก็คงจะหายไปเอง

       “พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..” คนตรงหน้าหอบเหนื่อย พอเขาเงยหน้ามองผมขึ้นมาแบบนี้อะไรหลายๆอย่างก็ชัดเจนขึ้น ใบหน้าของเขาสะอาดเนียนเกลี้ยงเกลา จมูกโด่งมีสัน คิ้วเข้ม ริมฝีปากชมพูระเรื่ออย่างธรรมชาติ

       “…” ผมไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป มัวแต่จ้องหน้าเขาอยู่แบบนั้น ..นานมากๆเลยที่ไม่ได้มีคนมาคุยกับใกล้ๆแบบนี้

       “ได้มั้ย..?” เขาส่งเสียงอ่อนหวานละมุนละไม ดึงให้ผมหลุดจากภวังค์

       “เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน”

       ”อ่าว…”

       ผมยิ้มแหยๆให้เขาไป ส่วนเขาพอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ขำออกมาลูกใหญ่เลย

       “ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย” เขายังคงหัวเราะร่วนจนผมหลุดขำตาม แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังเดินมาด้วยกันเรื่อยๆจนถึงสนามฟุตบอลหลังที่ถัดไปก็เป็นรั้วโรงเรียนซะแล้ว ..คือก็เรื่อยๆจริงๆอะเรื่อยแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง แต่ก็ยังเดินกันต่อ



       {ประชาสัมพันธ์นะคะ สำหรับนักเรียน ม.1 และ ม.4 ที่เข้ามาใหม่นั้น อาคารเรียนของ ม.1 จะเป็นอาคารสามค่ะ และ ม.4 จะเป็นอาคารเจ็ดค่ะ ขอให้นักเรียนที่เข้ามาใหม่ทุกคนไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพบครูที่ปรึกษาให้เรียบร้อย และมาเข้าแถวเคารพธงชาติพร้อมกันที่โดมอเนกประสงค์หนึ่งเวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีค่ะ}



       เสียงตามสายดังจากลำโพงที่ติดอยู่ตามจุดต่างๆทำให้เด็กโง่สองคนเดินกลับมาทางเดิมที่พึ่งจะเดินผ่านไป ไม่รู้ว่าเดินกันเพลินหรือว่าโง่กันจริงๆ คืออาคารสามเนี่ยพึ่งจะเดินผ่านมาเลย เด็ก ม.1 เต็มเลยแถวนั้น แต่ก็ไม่หยุดเดิน

       “มึงอยู่ห้องไร” คนข้างๆถามผม

       “..อยู่ห้องสอง” ผมตอบ ใจนึงผมอยากจะถามกลับเหมือนกันนะ แต่อีกใจนึงผมก็ไม่กล้าถาม กลัวเขาจะไม่ตอบผมแล้วก็ล้อผมเล่นเหมือนเพื่อนสมัยประถม ไม่รู้เหมือนกัน..แต่เหมือนกับว่า ถ้อยคำพวกนั้น ท่าทางพวกนั้นที่พวกเขาเคยทำกับผมมันฝังลึกลงในใจทำให้ผมกลัวที่จะปฏิสัมพันธ์กับใคร

       “เฮ้ย เหมือนกันเลย กูก็อยู่ห้องสอง” ทว่าเขากลับบอกผมเอง โดยที่ผมไม่ต้องถามอะไรเขาเลย

       “ไปห้องกัน” เขาชวน ก่อนจะเดินนำผมไป ..ผมควรจะวิ่งตามเขาไปมั้ย ผมมีสิทธิ์ที่จะวิ่งตามเขาไปใช่มั้ย.. หรือผมควรจะอยู่ตรงนี้ รอให้ไม่มีใครใส่ใจกับผมก่อนแล้วค่อยเดินไป

       “เอ้า เร็วๆ อยากเจอคนอื่นๆจะตายอยู่แล้ว” แต่เขากลับเดินกลับมา ..ก่อนจะจับมือผมแล้วพาวิ่งไป

       เขาดูร่าเริง ดูเป็นมิตร นิสัยดี แถมหน้าตายังดีอีก

       ผม…รู้จักคนแบบนี้ได้จริงๆหรอ





       เวลาผันผ่านไปตามปกติอย่างที่มันควรจะเป็นเมื่อเราไม่ได้รู้สึกทุกข์…แต่ก็ไม่ได้มีความสุข..



       นั่นคือสิ่งที่ผมเป็น…คนก่อนหน้านี้เขาได้พบได้เจอกับเพื่อนคนอื่นๆแล้ว ใช้เวลาไม่กี่นาทีเขาก็เป็นที่รู้จัก ใครหลายคนไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงต่างก็เข้าหาเขาจนโต๊ะตัวที่เขานั่งมีแต่คนรุมล้อม ผมที่นั่งโต๊ะข้างๆเขาก็ทำได้แค่เป็นตัวประกอบฉากต่อไป

       เขาเหมือนเป็นดาวเนปจูน ในขณะที่ผมเป็นดาวพลูโต แล้วคนอื่นๆในห้องเป็นนักวิทยาศาสตร์เลย  ..ครั้งนึงเราต่างอยู่ในระบบสุริยะเดียวกัน ชั่วระยะนึงของการโคจรของพวกเราเคยมีระยะที่ใกล้กันจนแทบจะซ้อนทับกัน แต่ไม่นานหลังจากนั้นดาวเนปจูนและพลูโตก็จะโคจรออกห่างจากกัน ห่างจนไม่สามารถมองเห็นกันได้อีก

       นักวิทยาศาสตร์ทุกคนในห้องเริ่มสังเกตแล้วว่าดาวพลูโตมีวงโคจรที่ซ้อนทับกับดาวเนปจูน ดังนั้น..พวกเขาก็เลยขจัดดาวพลูโตออกไปเป็นเพียงดาวเคราะห์แคระ



       “นาย เราขอแลกที่ได้ปะ เราอยากนั่งกับไอ้เปลว” ใช่ครับคุณดาวเนปจูนคือ ‘เปลว’ คนที่ทำให้ผมเกือบเสียสมดุล…เกือบลืมไปว่าผม..ก็คือผม ที่ใครหลายคนรังเกียจ

       “ได้เลย” ผมยิ้มแหยๆให้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าลุกมาจากที่ตรงนั้น

       “มึงจะลุกไปไหน” หากแต่เปลวหยุดผมไว้ก่อนขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไป เขาเลิกคุยกับคนรอบกายแล้วหันมาสนใจผม 

       ..อย่ามองเราแบบนั้นเลย คุณยังไม่รู้จักเราจริงๆ ถ้าคุณรู้..คุณอาจจะรังเกียจเราก็ได้นะ เพราะงั้น..อย่ามองเหมือนใส่ใจเราแบบนั้นเลย..  ผมคิดอยู่ในใจ…หวังว่ามันจะส่งไปถึงเปลวนะ

        “กูขอแลกที่กับมันเองแหละ เห็นมันนั่งเงียบไม่พูดไม่จามาตั้งนาน”

        “เฮ้ยอะไร อันนี้ที่ของมันเว้ย อย่ามาแย่งดิ ที่เพื่อนกู”

        …หัวใจของผมเต้นตุ้มต่อมไม่เป็นจังหวะ ..เพื่อนหรอ.. ผม..เป็นเพื่อนเปลวแล้ว..จริงๆหรอ

        “โห่ กูไปนั่งตรงนั้นก็ได้วะ”

        “เออนั่งดิ ตรงนี้ก็ว่าง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเหมือนเคย “ส่วนมึงอะ..นั่งที่เดิมเลย”

        “…”

        “ชักช้าว่ะ ต้องให้กูปัดเก้าอี้ให้ก่อนมั้ย” ผมกลับไปนั่งที่ข้างๆเขาดังเดิมอย่างไม่อาจขัดคำสั่งเขาได้เลยแม้แต่น้อย เพื่อนหลายคนมองมาที่เราสองคนด้วยสีหน้างงๆ บางคนก็เริ่มที่จะเข้าหาผมบ้าง มีหลายคนที่เข้ามาถามชื่อผม ส่วนผมก็ใช้เวลานานเลยกว่าจะประมวลผมตอบเขาไป ..ผมไม่เคยเจอแบบนี้เลย

        ..ไม่เคยถูกสนใจใยดีมาก่อนเลย





        “ป่ะ กลับบ้านกัน” เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเขาคนนั้นก็ชวนผมขึ้นมา แบบนี้เรียกว่าชวนรึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน บางทีเขาอาจจะแค่บอกผมเฉยๆก็ได้ว่าเขาจะกลับแล้ว

        “มึงกลับยังไง” เขาถาม ผมอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะตอบไปตามตรง

        “เดินกลับ..”

        “บ้านอยู่แถวนี้หรอ”

        “ประมาณนั้น”

        “วันนี้พ่อกูมารับ ไปด้วยกันเปล่า เดี๋ยวไปส่ง” เป็นอีกครั้งที่หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ.. คนๆนี้เป็นใครกัน ทำไมเพียงแค่เขาพูดแค่นี้หัวใจผมต้องเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ด้วย

         “ไม่เป็นไรหรอก เรากลับเองได้ มันไม่ได้ไกลมาก” แค่ประมาณสามกิโล

        “ตามใจ” ผมยิ้มให้เขาก่อนจะเก็บกระเป๋าแล้วเดินตามหลังเขาออกไป

        เราเดินไปด้วยกันแบบนั้นจนถึงหน้าโรงเรียน ก็มีพูดคุยกันบ้างสัพเพเหระ แต่ส่วนใหญ่ผมจะไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไปมากนัก ..ผมไม่ชินเลยทุกอย่างมันแปลกใหม่ไปซะหมด..

        “งั้นเรา..ไปก่อนนะ” ผมบอกเป็นการอำลา เขาเองก็ยักคิ้วประมาณว่าเออไปเถอะอะไรประมาณนั้นก่อนจะโบกมือบ๊ายบายผมแล้วนั่งตรงป้ายรถเมล์ต่อ



        สองเท้าผมก้าวไปเรื่อยๆตามฟุตบาท วันนี้มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมายเลย แต่หลายๆอย่างนั้นผมกลับไม่เคยคุ้นชินกับมันเลยซักอย่าง ผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงตอนอยู่กับเพื่อน ไม่รู้ว่าควรพูดยังไง ถามอะไรได้บ้าง หรือควรตอบคำถามไปแบบไหน ดังนั้นทุกครั้งที่มีคนถามผมจึงใช้เวลานิดหน่อยในการคิดคำตอบ ผมกลัวว่า..ถ้าผมตอบอะไรไปไม่ดีพอ คนอื่นเขาจะเสียความรู้สึก พลอยผิดหวังในตัวผมไปด้วย หรือหนักๆเลยก็คือ..เกลียดผมเหมือนเพื่อนที่โรงเรียนเก่า

        …แล้ววันนี้ผมเผลอทำอะไรไม่ดีไปรึเปล่านะ?

        ผมนึกย้อนถามตัวเอง พยายามไล่เหตุการณ์ตั้งแต่เดินเข้าไปในโรงเรียน ผมกลัวว่าผมจะเผลอทำอะไรไม่ดีลงไป อย่างขโมยของอะไรแบบนี้ เพราะผมปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพอผมขโมยอะไรบ่อยๆเข้ามันก็ติดเป็นนิสัยจนผมอาจจะเผลอทำมันไปโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้



         แต่คิดๆไปแล้วก็คงไม่มีหรอกวันนี้ผมวุ่นวายมากจริงๆกับการที่ต้องใช้สมองเพื่อคิดคำตอบที่เพื่อนคนอื่นถาม แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้วล่ะครับ

         แต่ถามว่ามันดีมั้ย…มันดีมากๆเลยแหละวันนี้ ผมยิ้ม ผมหัวเราะ ผม..มีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…





        ใช้เวลาประมาณยี่สิบกว่านาทีผมก็เดินมาถึงทางเข้า ผมเดินเข้าตรงช่องใต้สะพานข้ามคลอง ก่อนจะเดินลัดเลาะต่อไปตามทางเดินที่เป็นสะพานปูนขนาบสองข้างคลองยาวไปสุดลูกหูลูกตา ใช้เวลาอีกไม่กี่นาทีผมก็มาถึงจุดหมาย..



        ทว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกไป.. บ้านของผมมีคนมามุงดูเต็มไปหมด

        เกิดอะไรขึ้น…



มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน #tianstears
«ตอบ #3 เมื่อ22-11-2018 23:16:35 »

        “แม่..” สิ่งเดียวที่ผมคิดอยู่ในหัวคือผู้มีพระคุณของผม …แม่.. เกิดอะไรขึ้นกับแม่..

        ผมวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปในบ้านทันที

        “แม่!!!!!” ผมตะโกนลั่นเมื่อเข้ามาในห้องนอนที่แม่นอนอยู่ หัวใจเต้นถี่รัว.. ใจผมสั่นราวกับว่าลึกๆแล้วรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

        “เทียน..” น้าหยวนที่น้ำตาอาบสองแก้มหันมาหาผม

        ..ภาพที่ผมเห็นคือน้าหยวนที่นั่งแหมะกับพื้นกอบกุมมือของแม่ไว้ด้วยตัวที่สั่นเทา น้ำตาไหลเป็นสายจนหน้าแดงเถือกราวกับร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงและยาวนาน ในขณะที่แม่ของผมกำลังนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆต่อน้าหยวนเลยแม้แต่น้อย เปลือกตาของแม่ปิดสนิท สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆอีก..



        อา…แม่ก็แค่หลับ แม่แค่หลับเท่านั้นเทียนไข เดี๋ยวแม่ก็ตื่น.. ผมบอกตัวเอง



        “น้าหยวนอย่ากวนแม่สิครับ..แม่กำลังหลับอยู่นะ..” พูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่จริงๆก็รู้อยู่แก่ใจ พยายามคงน้ำเสียงให้ปกติที่สุดแต่สุดท้ายก็ยังสั่นเครือ จู่ๆน้ำตาก็ไหลลงโดยทีผมไม่ได้ตั้งตัว จู่ๆก็สะอื้น จู่ๆ..แขนขาก็ไม่มีเรี่ยวแรง..

        “แม่จ๋า.. เทียนกลับมาแล้ว แม่..ตื่นได้แล้วนะครับ” ผมคลานเข้าไปหาร่างของแม่ก่อนจะจับมือเธอขึ้นมาแนบแก้ม พยายามสะกิดเธอ..เขย่าเธอเบาๆ ปลุกให้เธอตื่น ..แต่ก็ไม่ได้ผล

        “แม่ครับ.. แม่ตื่นได้แล้ว…” ผมขยับเข้าไปกอดเธอ น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด มันไม่จริงใช่มั้ย…ไม่จริงหรอก แม่อาจจะแค่กำลังฝันดีอยู่ ก็เลยยังไม่ตื่น…

        “เทียน.. แม่เทียนไปสบายแล้วนะ..” น้าหยวนบอกผม อะไรกันน้าหยวน แม่ไปไหนล่ะ แม่กำลังหลับอยู่ต่างหาก..แค่หลับเฉยๆ..

        “เทียนออกไปก่อน.. เทียนกอดแม่แบบนี้ไม่ได้นะ.. โดนน้ำหนองแล้วจะแย่เอา” น้าหยวนพยายามดึงผมให้ออกมาจากแม่

        “ไม่เอา.. น้าหยวนโกหก.. เมื่อเช้าแม่ยังคุยกับเทียนดีๆอยู่เลย..” และผมยังคงดื้อดึง จนเธอต้องให้แฟนของเธอมาเอาผมออกไป

        “ปล่อย.. ปล่อยเทียน ฮือ..ปล่อย ไม่เอา จะไปหาแม่..ปล่อย!” ผมทำได้แค่ดิ้นเร่าๆอยู่อย่างงั้นไม่หยุด..

        ในหัวขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าอยากเข้าไปหาแม่ อยากไปกอดแม่ ไม่อยากให้แม่ไปไหน



         ‘ตั้งใจเรียนนะครับคนเก่ง’



         เทียนกำลังตั้งใจเรียนเหมือนที่แม่บอกอยู่เลยแท้ๆ แม่ไม่อยากเห็นความสำเร็จของเทียนแล้วหรอ…





         ‘ไม่ต้องห่วงเทียนเลยแม่.. เทียนจะตั้งใจเรียน จะเป็นหมอให้ได้เลย ถึงตอนนั้น..แม่ของเทียนก็จะหายเป็นปกติ เพราะเทียนจะรักษาแม่เอง รออีกนิดนะแม่ อีกไม่นาน…’

       ‘...แม่รัก..เทียนนะ’ 

       ‘เทียนก็รักแม่นะ..’  ‘แม่รอเทียนก่อนได้มั้ย...’

       ‘...อื้อ’



        ไหนแม่บอกว่าแม่จะรอเทียนไง..

         แล้วทำไม..แม่ถึงทิ้งเทียนไปแบบนี้..







        “อยู่ตรงนี้ก่อนนะเทียน อาไปย้ายศพแม่เทียนก่อน”

        “อย่าเรียกแม่ผมแบบนั้น!” ผมมองแฟนของน้าหยวนด้วยสายตาเอาเรื่อง แม่ผมยังไม่ตาย.. ยังไม่ตายซักหน่อย..

       

         แต่แฟนน้าหยวนก็ไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดของผมมากนัก เขาเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้ว ..ปล่อยให้ผมอยู่ข้างนอกบ้านคนเดียว

         ท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าครั้งนึงผมเคยคิดว่ามันก็สวยดีเหมือนกันนะ มีทั้งสีส้ม สีเหลือง บางทีก็มีสีม่วง สีชมพู สีฟ้าเข้ามาเพิ่มด้วย แต่งแต้มเรียงไล่สีกันบนท้องฟ้า มีนกกระจิบบินผ่านฟากฟ้าสวนกับแสงแดดให้เห็นเป็นเงานกสีดำ ทุกอย่างพอรวมกันแล้วช่างลงตัวกันได้อย่างกลมกลืนราวกับภาพวาด

        …แต่ทำไมวันนี้..ภายใต้ผืนฟ้าเดียวกัน ผืนฟ้าที่ผมเคยชมว่ามันสวย ทำไมถึงได้ใจร้ายกับผมขนาดนี้.. ทำไมต้องเอาแม่ผมไปด้วย…ผมจะอยู่ยังไง

        ทำไมถึงไม่เอาผมไปด้วย…



        น้ำตาเม็ดใสยังคงหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาโดยที่ผมไม่สามารถห้ามมันได้ ผมเหม่อลอยมองไปรอบๆโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามองอะไร จมอยู่กับสภาวะว่างเปล่าที่ไม่รู้สึกนึกคิดอะไร แต่แค่..น้ำตายังคงไหล



        อา..สงสัยผมต้องยอมรับความจริงจริงๆแล้วล่ะ..

        ..คลองตรงหน้าผมจำได้ว่ามันก็ลึกพอสมควร ความลึกของมันน่าจะมากกว่าความสูงของผมอยู่หลายเท่า ดังนั้น..มันก็คงเป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะทำให้ผมได้ไปเจอแม่



       ผมมุดตัวลอดช่องรั้วไปก่อนจะค่อยๆโรยตัวลงบนผืนน้ำสีดำทะมึน น้ำเริ่มหลั่งไหลเข้ามาแทนที่อณูอากาศบนช่องของเสื้อผ้า ทำให้เสื้อและกางเกงเบื้องล่างเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ มันค่อนข้างหนาวเย็นเลยทีเดียว..

       แต่ไม่เป็นไรหรอก..แค่แป็ปเดียวเท่านั้น

      เทียนก็จะได้ไปหาแม่แล้ว..



       ผมปล่อยมือจากรั้วไม้ ทำให้ตัวเองตกลงสู่ผืนน้ำสีดำทะมึนนั้นทันที เสียงน้ำค่อนข้างดังเลย กลัวเหมือนกันว่าจะมีใครมาหยุดผมไว้ ..แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าผมรีบๆไปซะ ทุกอย่างก็จะดี..

       ผมเดินหน้าไปตรงกลางคลองทีละก้าวๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลไม่หยุดซักที น้ำสีดำเริ่มเพิ่มระดับขึ้นมาถึงอกผมแล้ว.. อีกไม่นานแล้ว



       “เฮ้ย ไอ้เทียน!” ทว่าเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ต้นเสียงคงจะมาจากอีกฝั่งของคลอง ผมคุ้นเสียงนี้ดี จำได้ดีเลยว่าเขาเป็นใคร

       “เทียนหยุด!” น้ำขึ้นมาถึงระดับคอแล้ว อีกนิดเดียว..



       ตู้ม!

       ทว่าเขาคนนั้นกลับกระโดดลงน้ำแล้วว่ายตรงมาที่ผมอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมตกใจจนได้สติขึ้นมา แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปหน่อย ..พื้นโคลนด้านล่างที่ผมเหยียบอยู่นั้นค่อนข้างลื่น เมื่อผมตกใจ..สิ่งที่เกิดขึ้นคือ.. เท้าผมไถลลื่นไปกับโคลนนั้นจนตัวหงายนอนอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมตีน้ำรัวๆไปมั่วๆตามสัญชาตญาณเอาชีวิตรอด ซ้ำร้ายเท้าขวาจู่ๆก็รู้สึกขยับไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

       เขาใกล้จะถึงตัวผมแล้ว.. อีกไม่กี่เมตรเท่านั้น ทว่าผม.. กำลังจมสู่ใต้น้ำ..



       ผมพยายามกลั้นหายใจ ปิดหู ปิดตา เม้มปากแน่น พยายามไม่ให้น้ำเข้าไปทางใดได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด น้ำบางส่วนเข้าสู่ร่างกายผมไปแล้ว รสชาติของมันเหม็นสาบแย่เสียยิ่งกว่าทุกสิ่งที่ผมเคยพบเคยเจอ ความอึดอัดจากมวลน้ำที่เบียดเสียดชิดตัวผมทำเอาผมยากที่จะปกป้องร่างกายตัวเอง แต่ถึงอย่างงั้นผมก็พยายามที่จะปกป้องตัวเองให้ได้มากที่สุด

       ผมอึดอัด.. อึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย อยากหายใจ..แต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่ปิดหูปิดตากลั้นหายใจเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ จนผมเริ่มขาดอากาศหายใจ ผมดิ้น..ดิ้น แล้วก็ดิ้น ดิ้นอย่างทุรนทุราย อวัยวะบางส่วนเริ่มชาดิก

      ทรมาน.. ทรมานเหลือเกิน..

      นี่หรือเปล่า..รสชาติของความตาย..

      สติผมเริ่มเลือนลาง ..ก่อนจะดับวูบไป









      ..ใครบางคนกำลังตบหน้าผมอยู่เบาๆ ราวกับกำลังพยายามปลุกผมให้ตื่น เขากดลงตรงช่วงอกของผมอย่างเป็นจังหวะ สลับกับประกบริมฝีปากนุ่มๆของเขากับปากผมแล้วเป่าลมร้อนๆเข้ามา เขาทำมันอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกถึงมวลน้ำบางอย่างที่กำลังดันขึ้นมากลางอกขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะมาถึงช่องปาก

       ทันทีที่ใครคนนั้นกดลงตรงกลางอกของผมอีกครั้งมวลน้ำคลองสีดำทะมึนก็พุ่งพรวดออกจากปากผมทันที

       “เทียน!” เขาเรียกชื่อผม ผมลืมตาขึ้นมาแต่ก็ยังมองเห็นอะไรไม่ชัด เห็นเพียงใบหน้าของเขาลางๆ เขาดูร้อนรนไม่น้อยเลยทีเดียว

       “…” ผมสำลักน้ำออกมาหลายระลอก ก่อนจะอาเจียนออกมาอย่างหนักเนื่องจากกลิ่นของน้ำที่เหม็นเกินจะบรรยาย ..ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าน้ำพวกนี้เข้าไปในตัวผมแล้วจริงๆ..

       “เทียน..ทำไมมึงทำแบบนี้..” คนข้างๆผมน้ำเสียงสั่นเครือ ผมหันไปมองเขาอีกครั้งนึง พยายามเพ่งสายตาให้ชัดๆ จนภาพที่เห็นนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น

       ..เปลว..

       “…” ผมทำอะไรไม่ถูก ว่าจะไม่ทำอะไรไม่ดีให้เพื่อนแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายแล้ว..ผมก็ทำ ‘เพื่อน’ ของผมร้องไห้..

       เปลว..กำลังร้องไห้

       “ทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้..” เขายังคงสะอื้นไม่หยุด จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงผลักดันอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจ …ผมเข้าไปกอดเขาแน่น

       …ขอโทษเปลว..เราขอโทษ



       เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ผมกับเขาเราก็ยังกอดกันอยู่ตรงนั้น เขาร้องไห้น้ำตาไหลตัวสั่นสะอื้นอย่างหนักซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับผมเลย…แม้จะไม่ได้พูดอะไรเลยแต่ผมกับเขาก็เข้าใจกันดีราวกับได้ส่งความรู้สึกของกันและกันผ่านการกอด



       เป็นแบบนั้นต่อไปอีกชั่วครู่ผมและเขาก็คลายอ้อมกอดออก ตัวเราเหม็นมากๆ ชุดนักเรียนสีขาวก็กลายเป็นสีเทาหม่นหมองเหมือนกันทั้งคู่ ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา ..เราสบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมากันทั้งคู่



       …ขอบคุณมากจริงๆ







       “แล้ว..เปลวมาที่นี่ได้ยังไง” ผมและเขาอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันแล้ว ผมให้เขายืมชุดผมไปใส่ก่อน ดูเขาตกใจกับสภาพบ้านของผมไม่น้อยเลยทีเดียว ..ก็แน่แหละเนอะ ตลอดชีวิตของเขาคงไม่เคยเจอสภาพบ้านแบบนี้

       “แอบตามมึงมา”

       “ฮะ?” ผมถึงกับตาโต

       “ล้อเล่น..จริงๆก็ไม่เชิง บ้านกูต้องผ่านสะพานตรงที่มึงเข้ามา เห็นมึงบอกว่าบ้านมึงไม่ได้ไกลแต่กูนั่งรถมาจนถึงนี่แล้วยังเห็นหลังมึงไวๆอยู่เลย ไม่ไกลกับผีมึงอะดิ” โดนพ่อว่าเลยครับ

        “สำหรับเรามันไม่ไกลไง” ผมตอบไปอย่างจริงใจ

        “เฮ้ย ไรวะ ยิ้มหน่อยดิ” เขาจับแก้มผมยกขึ้นให้ปากผมฉีกยิ้ม “เนี่ย ปกติมึงจะยิ้มแบบนี้ ยิ้มหน่อยดิวะ”

        “ปล่อยเลย” ผมหลุดขำกับท่าทางของเขา “เราไม่ได้ยิ้มแบบนี้”

        “…”

         “เรายิ้มแบบนี้ตังหาก” ผมทำคืนบ้าง ฉีกยิ้มให้ถึงหูไปเลยไอ้คุณเปลว

         “โอ๊ย กูเจ็บ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เขากลับไม่ได้ขัดขืนอะไร ยอมให้ผมดึงแก้มซะอีก ผมก็จัดให้สิครับ รออะไร เอาให้ย้วยกันไปข้าง

         “เป็นไงสบายใจขึ้นรึยัง” เขาจับมือผมที่กำลังดึงแก้มเขาอยู่พร้อมกับถามออกมา

         “…”

          “มึงคงจะผ่านอะไรมาเยอะมาก” เขาจ้องมาที่ผมอย่างกับอ่านเรื่องราวในชีวิตผมออกผ่านดวงตา

          “เปลวเห็น..หมดแล้วใช่มั้ย” ผมถามเขา …เขารู้แล้วใช่มั้ยว่าผมใช้ชีวิตยังไง โตมายังไง เพราะในบ้านนี้ร่องรอยบนฝาผนังต่างๆยังมีร่องรอยการต่อสู้อยู่เต็มไปหมด ร่องรอยที่..พ่อทำร้ายแม่..

          ไหนจะถุงยาของแม่ที่ผมรับมาจากคนินิกเฉพาะทางของโรคนี้ซึ่งใครๆก็รู้กันดี แล้วไหนจะสภาพ..นางฟ้าของผมเมื่อไม่นานมานี้อีก..

          “เห็นหมดแล้ว”

          “…”

          “เห็นแล้วยังไงวะงง” อ่าว..

          “ก็..นี่แหละเรา” ผมบอกเขา  …นี่แหละคนที่คุณช่วยชีวิตเขา คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่าชีวิตเขาเป็นยังไง โตมายังไงบ้าง คุณ..ผิดหวังใช่มั้ย

          “กูไม่ผิดหวังหรอก”

          “…”

          “ใช่มึงก็คือมึง แต่อย่างนึงที่มึงคือมึงคือ…มึงเป็นเพื่อนกู” เขาบอกผมด้วยสีหน้าจริงจัง ..หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว

          “เรา..เป็นเพื่อนเปลวแล้วหรอ..” ผมไม่เคยมีเพื่อนจริงๆซักคนเลยในชีวิต..

          “เอ้า รอไรอะ” เขาตอบ…กวนตีน? เรียกว่ากวนตีนรึเปล่านะ ผมไม่รู้เหมือนกันเห็นคนอื่นๆที่โรงเรียนพูดกัน

          “เรา..ไม่เคยมีเพื่อนเลย..” ผมก้มหน้างุด อยู่ๆก็รู้สึกน้ำตาจะไหล ขืนร้องไห้ต่อหน้าเปลวงี้อายแย่

          “ไม่เคยมีมึงก็มีซะ” เขาพูดพร้อมกับ..ลูบหัวผม “แล้ว..ต่อจากนี้จะไปอยู่กับใครล่ะ”

          “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน คงจะอยู่ที่นี่แหละมั้ง เราผูกพันธ์กับที่นี่ ..ถึงจะเห็นสภาพงี้น้า แต่ก่อนเนี่ยมีแต่ความอบอุ่นเลย เรามีความสุขมากๆเลยตอนนั้น” ผมเล่าไปพร้อมกับยิ้มไป ..พึ่งเคยเล่าเรื่องในชีวิตตัวเองให้คนอื่นฟังเป็นครั้งแรก รู้สึกสบายใจดีเหมือนกันเนอะ คลายความอึดอัดไปได้เยอะเลย

          “…”

          “แต่แล้ววันนึง..ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปหมดเลย จากที่แม่กับเราเคยมีความสุข..ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แม่กับเราทรมานเจ็บปวดกันมาตั้งแต่ตอนนั้น..”

          “..พ่อมึง..?”

         “พ่อโดนโทษประหารไปตอนเราอยู่ป.3 ก่อนพ่อจะไปพ่อทิ้งโชคร้ายให้แม่เต็มๆเลย..” น้ำตาผมไหลลงตามแรงโน้มถ่วงโลกอีกรอบ “เราก็..ดูแลแม่มาตั้งแต่ตอนนั้น”

         “…” คนตรงหน้าผมเงียบไป

         “ก็..เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆแหละ จนมาถึงวันนี้..ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวเลย”

         “…”

         “ถึงจะไม่อยากยอมรับความจริง…แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้” ผมเงยหน้ายิ้มให้เขาประมาณว่า ผมโอเค ผมไม่เป็นไร เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าอึดอัดใจไปด้วยหลังจากที่ฟังเรื่องราวของผม แต่ไม่รู้ว่ารอยยิ้มโง่ๆนั้นของผมมันจะพอกลบเกลื่อนน้ำตาที่ไหลอาบแก้มได้รึเปล่าเนี่ยสิ

         “จริงๆ ..เรามีความฝันด้วยนะ เราอยากรักษาแม่ให้หาย อยากดูแลแม่ได้ดีกว่านี้ เพราะงั้น..เราเลยตั้งใจเรียนมากๆ เราอยากเป็นหมอ..” ผมเล่าต่อ สิ่งที่อยู่ในหัวที่ผมไม่เคยบอกใครจู่ๆมันก็พรั่งพรูออกมาราวกับมีใครเปิดก๊อก “เราเคยบ้าอ่านหนังสือด้วย เราอ่านแบบทั้งวันทั้งคืนอะ จนแม่ถามว่าอ่านอะไรขนาดนั้น เราก็เลยบอกไปว่า..เทียนจะไปสอบหมอครับแม่ ทั้งๆที่ตอนนั้นอยู่แค่ป.4”

          “…”

          “แต่พอมาถึงวันนี้แล้ว..เราไม่รู้จะพยายามไปเพื่อใครแล้วล่ะ ความฝันของเราเป็นจริงไม่ได้แล้ว”

          “เทียน” จู่ๆคนตรงหน้าก็เรียกผม หลังจากที่นั่งฟังผมบ่นมาได้ซักพัก

          “…”

          “มึงไม่จำเป็นต้องเลิกฝันเลยเว้ย มีคนโชคร้ายอยู่อีกเป็นหมื่นๆคนที่รอให้มึงไปรักษา ..เพราะงั้นอย่าทิ้งฝันตัวเองดิวะ เท่ดีออกที่ความฝันมึงยิ่งใหญ่ขนาดนี้”

          “…”

          “มึงเก่งมากเลยนะที่อดทนมาได้ขนาดนี้..”

          “ไม่หรอก..”

          “กูก็..ไม่รู้หรอกนะเว้ย เพราะกูก็ไม่เคยพบเจออะไรแบบมึง แต่ว่าต่อจากนี้..มึงจำไว้เลยว่า..”

          “….”

          ”เทียน…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย...มึงยังมีกู”

       

         



       



     



       



       





 











       












ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อ่านไปอึดอัดไป อยาจะร้องไห้ให้กลับชีวิตน้้อง  :hao5:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
สงสาร​ร้องไห้ไม่หยุดดลย  สงสารน้องเทียนค่ะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น้องเทียนสู้ชีวิตมาก

 :pig4:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
น้องเทียนมีเพื่อนแล้ว ต่อไปคงทำฝันให้เป็นจริงเพื่อเพื่อนคนนี้แล้ว :hao5: :pig4:

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
02

เปลวจุดเทียน







     ‘เทียน…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย...มึงยังมีกู’



       เสียงทุ้มนุ่มของเปลวดังก้องอยู่ในหัวผม หัวใจผมเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดมาจากอก เคยได้ยินคำพูดประมาณนี้ในละครทีวี แต่ในละคร..เขาจะพูดเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นสำคัญกับเขา ..พูดเพราะว่าอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ว่าจะเดินไปข้างหน้าหรือหันหลังกลับมา..เขาก็จะอยู่ที่เดิม

       ..นี่ผม..สำคัญกับเปลวเหมือนในละครหรือเปล่า..



       “ขอบคุณเปลวมากๆนะ” ผมบอกเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม นี่ถ้าเปลวไม่เสี่ยงชีวิตไปช่วยผมขึ้นมาจากน้ำป่านนี้ก็คงไม่มีผมอีกต่อไปแล้ว

       ..ตอนแรกผมอยากไปหาแม่จริงๆนะ จู่ๆคนที่ผมรักมากที่สุด ..คนที่เป็นความหวังของผม เป็นกำลังใจ และคอยเข้าใจผมอยู่เสมอ คนที่เป็นทุกอย่างตลอดชีวิตของผมตั้งแต่วันที่เทียนไขคนนี้ได้ลืมตาดูโลก วันนี้คนๆนั้นเขาถูกท้องฟ้าใจร้ายมาพรากไป ผมก็เลยไม่รู้แล้วว่าทำไมต้องทนมีชีวิตอยู่ต่อ ..จะใช้ชีวิตต่อไปเพื่อใคร ..พยายามไปเพื่อใครในเมื่อไม่มีใครรอดูความสำเร็จของผมแล้ว

       แต่พอผมได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่เปลวเรียกผมให้ได้สติ ..ได้สบตากับดวงตาสีนิลของเขาแล้ว เหตุผลบางอย่างที่ผมได้มองข้ามก็กลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้งในหัวใจ ..เหตุผลที่ผมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อ

       เปลวเป็นคนบอกเหตุผลนั้นผ่านทางสายตา

       ’มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ต้องเพื่อใคร..แต่เพื่อความฝัน เพื่อตัวมึงเอง’







       “เออแล้วนี่เปลวไม่กลับบ้านหรอ ค่ำแล้วนะ” ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทะมึนก็เลยรีบถามเขาทันที

       “เดี๋ยวรอพ่อมารับอะ จริงๆก็ไม่อยากกลับบ้านหรอก” เขามองตามผมออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนผมหันกลับมามองหน้าเขาแทน ..เปลวจากด้านข้างนี่ยิ่งทำให้เห็นเลยว่าเขาจมูกสวยมากจริงๆ องค์ประกอบแม้เพียงครึ่งใบหน้าก็ยังดูกลมกลืนลงตัวไปทุกสัดส่วน ..แต่ว่าทำไมถึงไม่อยากกลับล่ะ

        “ทำไมไม่อยากกลับล่ะ คนที่บ้านไม่ว่าเปลวแย่หรอ.. แม่เราเคยสอนว่าห้ามกลับบ้านหลังจากหกโมง ถ้าหลังจากนั้นจะถือว่าเถลไถล นี่เปลวกำลังเถลไถลแล้วนะเนี่ย”

        “หรอวะ แม่กูไม่เห็นสอนอะไรเลย”

        “…”

        “อยู่ไหนก็ไม่รู้” สีหน้าของเปลวดูเศร้าสร้อยทันทีที่พูดถึงแม่

        “เปลวไม่ได้อยู่กับแม่หรอ”

        “…” ผมตาฝาดรึเปล่า ..ดวงตาสีนิลของเขากำลังรื้นเอ่อไปด้วยน้ำตา หรือว่าผมเผลอถามอะไรที่ไม่ควรจะถามออกไป

        “ขอโทษที่เราถามแบบนั้นนะ ..ไม่เป็นไร เปลวไม่ต้องตอบแล้ว ถือว่าเราไม่ได้ถามดีกว่า” ผมพยายามปลอบเขา

        “ไม่เป็นไร..” เปลวสูดหายใจเข้าก่อนจะผ่อนลมออกมาเหมือนจะพยายามข่มความเศร้าเอาไว้ในใจไม่แสดงออก “ก็จริง..กูไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ตั้งแต่กูเด็กๆแล้วล่ะ”

        “…”

        “แม่กูทำงานเกี่ยวกับวาดรูป..ที่เรียกว่า จิตรกร..ละมั้ง ไม่แน่ใจ ตอนกูเด็กๆเขาเลยสอนให้กูวาดรูป ..สอนให้วาดคน วาดต้นไม้ วาดบ้านหลังใหญ่ที่มีเขามีพ่อ..มีกู กูชอบวาดชอบเขียน..ก็เพราะเขา”

        “งั้นเปลวต้องวาดรูปสวยแน่ๆเลยเราว่า”

        “..มีอีกหลายอย่างเลยที่กูอยากให้เขาสอนกูวาด แต่มันคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เขาไปจากกู..ไปจากพ่อ ไปหาครอบครัวใหม่.. กูก็เลย..เลิกวาดรูปตั้งแต่นั้นมา” เปลวยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่แบบนั้น สายตาของเขาเหม่อลอยราวกับกำลังจมอยู่กับเรื่องราวเก่าๆสมัยที่เขาเป็นเด็ก

        “แต่เปลวเคยชอบไม่ใช่หรอ”

        “ก็ใช่ ..แต่ไม่อยากวาด วาดแล้วคิดถึงผู้หญิงคนนั้น”

        “เปลวเป็นคนบอกให้เราอย่าทิ้งความฝัน...” ใช่ เขาเป็นคนบอกผม เพราะฉะนั้นเขาเองก็ควรที่จะไม่ทิ้งความฝันของเขาด้วยเหมือนกัน  “เปลวฟังเรานะ.. แม่ของเปลวอาจจะผิดที่ทิ้งเปลวไปแบบนี้ แต่เปลวมองดูดีๆสิ แม่ของเปลวไม่ได้ทิ้งเปลวไปแบบไม่ใยดีซักหน่อย แม่ของเปลวทิ้งมรดกให้เปลวไว้ด้วย”

        “…ไม่มีอ่ะ”

        ”มีสิ ‘การวาดรูป’ ที่แม่สอนเปลว นั่นแหละมรดกที่เธอให้เปลว แม่ของเปลวส่งต่อความสามารถ ส่งต่อความฝันให้เปลว”

        “…”

        “เอางี้ดีกว่า.. เราจะไม่ทิ้งความฝัน เราจะเป็นหมอให้ได้ ถ้าเปลวหันกลับมาวาดรูปต่อ”

        “…”

        “โอเคนะ ”

        “เอาเข้าจริงๆมึงนี่ก็พูดมากเหมือนกันนะ” อ่าว.. โดนว่าเฉยเลยเทียนไข ผมคงเผลอพูดมากเกินไปจริงๆแหละครับ คงเพราะมัน..สบายใจเกินไป..เวลาที่ได้พูดคุยกับเปลว

        ..เขาจะไม่โกรธผมใช่มั้ย

        “ขอโทษ..”

        “พ่อกูโทรมาละ สงสัยคงใกล้จะถึงแล้ว” เปลวพูดสวนขึ้นมาทันควัน โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงเขาสั่นระรัว เขาหยิบมันขึ้นมามองดูครู่หนึ่งก่อนจะกดปิดหน้าจอแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม จู่ๆคนตรงหน้าก็หันมองมาที่ผม ซึ่งผมที่กำลังจ้องเขาอยู่แล้วพอเขาหันมาแบบนี้ก็ทำให้ประหม่าใจไม่น้อยเลยทีเดียว ทำไมถึงจ้องผมแบบนั้นล่ะ..หรือว่ามีอะไรติดอยู่บนหน้าผม..

       “..ไม่อยากกลับเลยจริงๆว่ะ”

       “…”

       ”ไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว”

       “…” เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ ผมแพ้น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขา.. แพ้ท่าทางของเขา แพ้สายตาอ่อนโยนที่จ้องมาที่ผม แพ้ประโยคที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเมื่อครู่ด้วย มันทำเอาผมหลงไหลไปกับมันอยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังจะออกไปแล้ว

        “กูไปก่อนนะ” ผมรีบลุกขึ้นเดินตามเขาไปกะว่าจะไปส่งเขาตรงคอสะพาน ..ทว่าผมกลับไม่อาจทำได้สำเร็จ มวลของเหลวอะไรบางอย่างกลิ่นเหม็นฉุนกำลังมาจุกอยู่ที่อกและยังดึงดันขึ้นมาเรื่อยๆ จู่ๆผมก็รู้สึกปวดท้องแล้วก็เวียนหัว

       มวลของเหลวเพื่อครู่ยังคงดึงดันที่จะออกมาจนยากที่จะทนต่อไป ..ผมทรุดลงตรงนั้นก่อนจะอาเจียนออกมาเต็มพื้นไม้  ระลอกแล้วระลอกเล่า..และยังคงอาเจียนออกมาอย่างหนักหน่วงจนเกิดความรู้สึกเจ็บแสบที่คอ

       “ไอ้เทียน!” เปลวที่กำลังจะเดินออกไปกลับต้องหันมาดูผมอีกครั้ง เขาวิ่งปรู่เข้ามาอย่างรวดเร็วและร้อนรน  ไม่ได้.. ผมจะให้ลำบากเปลวอีกไม่ได้แล้ว

       “เปลว..อย่าเข้ามา” เดี๋ยวก็เปื้อนอ้วกพวกนี้หรอก กลับบ้านไปได้แล้ว..

       ทว่ามวลของเหลวนั้นยังคงดึงดันที่จะออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เปลววิ่งอ้อมไปทางด้านหลังก่อนจะลูบหลังผมอย่างที่แม่ผมมักจะทำเวลาผมอาเจียนออกมาแบบนี้

       “เทียนมึงไหวมั้ย มึงเป็นอะไร..ทำไมมีเลือดด้วย” ฝ่ามือนุ่มกำลังลูบหลังผมอยู่เรื่อยๆไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ผมเริ่มหายคลื่นไส้แล้ว แต่กลับมาปวดท้องแทน รู้สึกราวกับว่าข้างในกำลังถูกใครซักคนบีบทำลาย

       ... ทำไมภาพบ้านที่ผมเห็นมันถึงโคลงเคลงก็ไม่รู้ หลายๆอย่างสลัวเบลอ ความมืดมิดรอบข้างค่อยๆกัดกินแสงสว่างทีละนิดๆ

       “เปลว..กลับบ้านดีๆนะ..” ผมพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง…ขอให้กลับบ้านปลอดภัยนะ ผมคงเดินไปส่งไม่ไหวแล้ว..

       ทันใดนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง..







       ‘เวลา..เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่กลับเป็นตัวกำหนดทุกๆอย่าง ..ไม่ว่าจะเป็น กลางวัน..หรือกลางคืน เวลาตื่นหรือเวลานอน เวลาเข้างานหรือเวลาเลิกงาน และอีกหลายสิ่งหลายอย่างบนโลก ทุกๆสรรพสิ่งล้วนถูกดำเนินไปด้วย ‘เวลา’ ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่นอกเหนือกาลเวลาได้’









        รวมถึง..ชีวิตของผม..



        “คนไข้ลำใส้ติดเชื้อฉับพลันรีบย้ายไปห้องฉุกเฉิน ด่วน!” ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่ร่างของผมถูกนำมาส่งที่โรงพยาบาล ทั้งหมอและพยาบาลต่างเดินกันขวักไขว่ดูร้อนรนเข้าๆออกๆห้องฉุกเฉินที่ว่าจนประตูกระจกไม่เคยได้ปิดสนิทเลย

        เข็มแหลมคมเจาะลงในเส้นเลือดที่หลังฝ่ามือของผมก่อนจะถูกติดไว้อยู่อย่างนั้นแล้วปล่อยของเหลวอะไรบางอย่างลำเลียงผ่านสายท่อเข้ามาในเส้นเลือดที่หลังฝ่ามือของผม

        มีบุรุษพยายาลแล้วก็พยาบาลหลายคนเลยที่กำลังยืนอยู่รอบๆผม หลายคนสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีราวกับกังวลใจอะไรบางอย่าง คง..กังวลว่าจะช่วยชีวิตผมไม่ทันซะแล้วละมั้ง..



       แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เสี้ยววินาทีชายวัยกลางคนในชุดกาวน์ก็เดินเข้ามาทางผม ก่อนจะนำหลอดของเหลวอะไรบางอย่างขึ้นมา แล้วป้อนลงไปที่ปากของผม ของเหลวนั้นไหลไปตามทางเดินอาหารจนเข้าไปสู่ลำใส้

 

       หมอและพยาบาลหลายคนวิ่งวุ่นอยู่กับการรักษาผม ดูเหมือนของเหลวที่ว่าจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว อาการปวดท้องที่เคยปวดอยู่ก่อนหน้ากลับปวดหนักยิ่งกว่าเดิม สมองสั่งการให้ผมรู้สึกตัวเหมือนจะให้ผมพาตัวเองหลีกหนีไปจากความเจ็บปวดนี้ แต่ผมไม่สามารถทำอย่างที่สมองสั่งได้เลย เรี่ยวแรงผมไม่มีเหลือแม้แต่จะขยับตัว ทำได้แค่กัดฟันทนกับความเจ็บปวดทรมานอยู่อย่างนั้น

       เดี๋ยวก็จะดีขึ้นแล้ว ..อีกนิดเดียว ทนต่ออีกซักหน่อยนะเทียน ..ผมบอกกับตัวเอง

       แต่ก็เหมือนกับผมให้กำลังใจตัวเองลมๆแล้งๆ เพราะไม่ว่าจะผ่านไปเท่าไหร่ท้องผมก็ยังปวดอยู่เหมือนเดิม ทุกเสี้ยววินาทีผมต้องกัดฟันทน..หลับตา แล้วก็ยอมจำนนอยู่กับความทรมานนั้น  ...จากเสี้ยววินาทีเป็นนาที  จากนาทีเป็นชั่วโมง



       จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่ท้องฟ้าภายนอกนั้นไม่มีแสงสว่างอีกต่อไป มันมืดสนิท เงียบสงัดวังเวง ซ้ำอากาศภายในห้องฉุกเฉินนี่ก็หนาวจับใจ  พยาบาลส่วนใหญ่ออกไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงส่วนน้อยอยู่แค่คนสองคนที่ยังเฝ้าดูอาการผมอยู่



       ผมอยู่ในชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อน มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่หลังฝ่ามือ และกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน ผมทำได้แค่นอนมองฝ้าเพดานอยู่แบบนั้นเพราะไม่มีเรี่ยวแรงใดๆหลงเหลืออยู่ให้ขยับเขยื้อนได้เลย อาการปวดท้องยังคงอยู่แม้จะทุเลาลงไปบ้างแล้ว



       ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่เดาว่าก็คงเป็นเพราะเปลวอีกเหมือนเดิมแหละมั้ง ผมคงจะเป็นภาระให้เขาอีกแล้ว..

       “คนไข้นอนพักก่อนนะคะ” พยาบาลสาวสวยเดินมาบอกผมเมื่อเห็นผมลืมตาขึ้นมาแล้ว

       “เอ่อ..พยาบาลครับ คนที่พาผมมาเขาอยู่ไหนแล้วครับ” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป รู้อยู่แล้วแหละว่าเปลวต้องเป็นคนพาผมมาที่นี่แน่ๆ แต่ตอนนี้ผมก็ถึงมือหมอแล้ว คงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะมารอดูอาการผมทั้งๆที่พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า

        “ญาติคนไข้รออยู่ข้างหน้าห้องค่ะ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างคะ” เธอถามผมต่อ

        “เอ่อ..ก็ ปวดท้องอยู่หน่อยๆครับ แต่ไม่ค่อยมีแรงเลย พูดแล้วรู้สึกเหนื่อย..” ผมตอบไปตามความจริง ตอนนี้เหนื่อยแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ เหนื่อยเหมือนกับพึ่งวิ่งมา ทั้งๆที่อยู่เฉยๆ

        “เป็นผลข้างเคียงจากยาน่ะค่ะ พักซักสองสามวันก็จะดีขึ้น” เธอบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เดี๋ยวจะย้ายหนูไปห้องพักแล้วนะ หนูจะได้เจอคนที่หนูถามหาแล้ว ดีใจมั้ยเอ่ย”

         “..ครับ” ผมยิ้มตอบเธอไป ก่อนจะนอนต่อโดยที่ไม่สามารถเลือกทำอย่างอื่นได้ นี่เปลวรอผมอยู่จริงๆหรอ.. เขาจะรอผมทำไมกัน..





        “เทียน!” เสียงหวานดังขึ้นเข้าสู่โสตประสาททันทีที่เตียงผมถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉิน

        “น้าหยวน..” ผมพูดออกมาเบาๆเมื่อเห็นน้าหยวน เธอมากับแฟนของเธอ น้าหยวนลุกขึ้นทันทีที่เห็นผมถูกเข็นออกมา

        ผมมองซ้าย มองขวา กวาดสายตาไปรอบๆจนทั่ว แต่ก็ไม่พบเขา..

         ..ไม่มีเปลว..



        ดีแล้วรึเปล่านะ.. เขาต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนพรุ่งนี้เข้า เพราะงั้นที่นี่ไม่มีเขามันก็น่าจะ..ดีแล้ว

        ถึงจะพยายามคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้ทำไมในใจมันถึงเหงาๆแปลกๆ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งๆที่แต่ก่อนผมมักจะไปไหนมาไหนคนเดียวแท้ๆ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยซักครั้ง แล้วนี่..ตอนนี้น้าหยวนก็อยู่กับผม ..ทำไมผมถึงยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง..



         “เป็นยังไงบ้างเทียน” น้าหยวนถามผมที่กำลังเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ผมถูกย้ายมาห้องพักผู้ป่วยรวม ซึ่งเตียงของผมอยู่ริมติดหน้าต่างเลยครับ ผมไม่ได้หันไปตอบเธอ สายตายังคงจ้องมองไปนอกหน้าต่างแบบนั้นต่อไป

         ..ความมืดกับความเหงาพอมารวมกันแล้วมันก็..ว่างเปล่าดีเนอะ

         ที่ผมรู้สึกแบบนี้เป็นเพราะผลข้างเคียงของยารึเปล่านะ ..บางทีอาจจะใช่ ผมคงไม่ได้ผิดหวังที่เปลวไม่ได้อยู่รอผมเหมือนที่คิดไว้หรอกมั้ง...



         “หลับแล้วหรอเทียน” น้าหยวนถามผมอีกครั้ง ดึงสติผมให้กลับมา

         “ย..ยังครับ”

         “เป็นยังไงบ้างลูก” น้ำเสียงเธอดูเป็นห่วงผมไม่น้อยเลย ทำเอาผมรู้สึกผิดที่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆอย่างการฆ่าตัวตายมากขึ้นไปอีก

         “ปวดท้องนิดหน่อยครับ ง่วงด้วย..แต่นอนไม่หลับ” ผมรู้สึกร่างกายมันเหนื่อยล้าเต็มที แต่สมองกลับไม่ยอมเหนื่อยตามไปด้วยเลย นี่ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งผลข้างเคียงของยาด้วยละมั้ง

         “ทำไมถึงลำใส้ติดเชื้อได้ล่ะลูก..หื้ม” น้าหยวนถามผม ..คงไม่ดีแน่ถ้าผมตอบไปตามตรงว่าผมเผลอกลืนน้ำคลองลงไปขณะที่กำลังฆ่าตัวตาย ดังนั้นผมจึงเลี่ยงคำถามนี้และแทรกด้วยคำถามใหม่ของผมเอง

         “น้าหยวนมาได้ยังไงอะครับ” ผมถามเธอ จำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นเธอเลยแม้แต่เงา เอาจริงๆถ้าเปลวไม่ได้อยู่กับผมผมก็คงไม่ได้หายใจต่อจนถึงตอนนี้หรอกครับ เพราะความจริงอันโหดร้ายอีกอย่างนึงที่ผมต้องยอมรับก็คือ น้าหยวน..ไม่ได้เห็นผมเป็นญาติพี่น้องซักเท่าไหร่

         ความเป็นหลานของผมคงสำคัญน้อยเกินไปสำหรับน้าอย่างน้าหยวน เพราะหลายต่อหลายครั้งน้าหยวนก็ไม่ได้สนใจใยดีครอบครัวพี่สาวตัวเองเท่าไรนัก น้าหยวนปล่อยให้แม่โดนพ่อทำร้ายโดยไม่คิดจะเข้ามาห้ามปราม ทั้งๆที่บ้านก็อยู่ติดกัน ขณะที่บ้านหนึ่งกำลังมีปากเสียงกัน อีกบ้านกลับตั้งวงเล่นไพ่ปิดกั้นโลกภายนอกราวกับไม่อยากใส่ใจ

        แต่น้าหยวนก็คอยช่วยผมอยู่หลายๆเรื่องเหมือนกันนะ..แต่น้าหยวนจะช่วยเมื่อจำเป็นเท่านั้น จำเป็นขั้นที่จำเป็นมากจริงๆ



         จำได้ว่ามีวันนึงผมหิวมากๆ ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงไม่ได้กินอะไรเลย เงินก็ไม่มีซักบาท ก็เลยไปดูของกินบ้านน้าหยวนเผื่อจะมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง ผมถามน้าหยวนว่าพอจะมีอะไรให้ผมกินมั้ย น้าหยวนก็ตอบกลับมาว่าไม่มี ผมก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อไป ทนอดข้าวต่อไปอย่างนั้น  ทว่าพอตกเย็นผมมองออกไปนอกหน้าต่างผมกลับเห็นน้าหยวนกำลังเทข้าวเทกับให้หมาให้ไก่กินอยู่หลังบ้าน..

          หลานคนนี้สำคัญน้อยกว่าหมากว่าไก่ซะอีก..

         เงินหนึ่งร้อยบาทที่วันนี้น้าหยวนให้ผมมา ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าเพราะอะไรจู่ๆเธอถึงให้ผม ผมรู้ดี..ผมเข้าใจดีเลย นั่นมันเงินผมต่างหาก เงินที่เธอเคยแอบขโมยเอาไปเล่นการพนัน



         “เพื่อนเทียนไปเรียกน้ามา” เธอตอบคำถามที่ผมถามไปเมื่อครู่

         “แล้วตอนนี้เพื่อนเทียนไปไหนแล้ว”

         “ไม่รู้เหมือนกัน เขาเรียกน้ามาดูเทียนเสร็จปุ๊ปก็เดินออกไปเลย คงจะกลับบ้านไปแล้วมั้ง”

         “เขากลับไปแล้วหรอน้าหยวน” ผมถามซ้ำ

         “จ้า”

         …ดีแล้วแหละมั้ง หวังว่าเปลวจะกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยนะ..













มีต่อด้านล่างนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
        อีกไม่กี่นาทีก็จะหมดวันแล้ว วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน.. อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องดีและเรื่องที่แสนโหดร้าย

         เรื่องดีก็คือผมได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้มีเพื่อนดีๆหลายคน และได้รู้จัก ‘เปลว’ เพื่อนที่พิเศษกว่าเพื่อนคนไหนๆ คนที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ คนที่ทำให้ใจเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

         ส่วนเรื่องที่โหดร้ายนั้นสำหรับผมแล้วมันค่อนข้างยากที่จะพูดออกไปตรงๆโดยไม่อ้อมค้อม ..ในใจผมลึกๆก็ยังไม่อยากจะยอมรับความจริงอยู่ดี แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าต่อให้วิ่งหนีมันยังไงสุดท้ายแล้วความจริงก็ต้องเป็นความจริง ไม่สามารถหนีมันพ้น

          ..บนโลกนี้ แม่ของผม..ไม่อยู่แล้ว

         แม่ของผมอยู่อีกโลกหนึ่งบนท้องฟ้า โลกที่..แม่ไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนในโลกนี้อีกต่อไป



          ...เทียนขอให้แม่พบเจอแต่ความสุข

         ….ขอบคุณที่เลี้ยงดูเทียนมาจนถึงวันนี้ เทียนมีความสุขมากๆที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่

         เทียนรักแม่ที่สุดในโลกเลย

         ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริงละก็..ขอให้เทียนได้เกิดเป็นลูกแม่อีกครั้ง ทุกชาติ…ตลอดไปเลย













         วันเวลาผันเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆอย่างเฉื่อยชา ผมยังคงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เหมือนเดิม ผมนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือว่าเพราะผมไม่คุ้นชินกับสถานที่กันแน่

         น้าหยวนไม่ได้อยู่ดูแลผมอีกในวันถัดมา และเธอก็ไม่ได้มาดูผมเลยตั้งแต่วันนั้น..

        ผมเฝ้ารอเวลาให้ผ่านพ้นไปแต่ละวันๆอย่างทรมาน พอรุ่งสาง..พระอาทิตย์ขึ้นไปยิ้มแฉ่งบนท้องฟ้า..แล้วพอตกเย็นพระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไป ผมนั่งนับวันคืนไปแบบนี้วนไปเรื่อยๆ หมอบอกว่าผมต้องอยู่ดูอาการที่นี่ก่อน อย่างน้อยก็หนึ่งอาทิตย์ กว่าแต่ละวันจะผ่านไปมันยาวนานเหลือเกิน

        หรือที่ผมรู้สึกว่านานเพราะผมกำลังรออยู่รึเปล่านะ.. เพราะผมรอเขารึเปล่า.. รอตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันที่หกแล้ว

        เปลว..ไม่เคยมาเยี่ยมผมเลย





        ผมมีแค่พี่พยาบาลใจดีเท่านั้นที่คอยดูแล เธอมักจะชวนผมคุยเรื่องราวต่างๆในชีวิต แล้วก็คุยเรื่องอนาคตด้วย ผมบอกเธอว่าผมอยากเป็นหมอ อยากช่วยชีวิตคนอื่นๆเหมือนเธอ เพราะงั้นเธอก็เลยแนะแนวทางให้ผมมากมายเลย

 

         ‘ถ้าหนูอยากเป็นจริงๆ หนูต้องตั้งใจอ่านหนังสือนะ เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้’

        ‘ทำไมล่ะครับ’

        ‘พระราชบิดาท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘เวลาเป็นของมีค่า เมื่อมันล่วงไปแล้วมันไม่กลับมาอีก ถ้าเรามีโอกาสจะใช้มันเป็นประโยชน์แล้วเราไม่ใช้มัน ก็เป็นที่น่าเสียดาย’  เพราะงั้นแล้วหนูอย่าปล่อยให้เวลาอันมีค่าของเราสูญไปโดยเปล่าประโยชน์เลย’

        ‘พระราชบิดาคือใครหรอครับ’

        ‘พระองค์คือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชบิดาแห่งการแพทย์แผนไทยนั่นเองค่ะ’



        ผมรู้สึกมีแรงใจขึ้นมาทันที รู้สึกผิดที่ก่อนหน้าที่ผมคิดจะล้มเลิกความฝันของตัวเองเพียงเพราะแม่ไม่ได้อยู่รอดูความฝันของผมเป็นจริงแล้ว  ต้องขอบคุณพี่พยาบาลมากๆที่นำคำสอนของพระองค์มาบอกแก่ผม ต่อจากนี้ผมจะมุ่งมั่นและตั้งใจให้มากขึ้น จะไม่ทิ้งความฝันตัวเองอีกแล้ว



        “เทียน” ใครบางคนเรียกผมขณะที่ผมกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะอยู่ที่นี่ เดี๋ยวสายๆรับยาเสร็จผมก็คงต้องกลับบ้านแล้ว

        “กูขอโทษนะที่พึ่งมา” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูที่ผมจำได้ดีเลยว่าเขาเป็นใคร จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมาเสียดื้อๆ ..การรอคอยของผมจบลงแล้ว ..เปลวมาหาผมแล้ว

        ..ทว่าเปลวไม่ได้มาคนเดียว ผู้หญิงคนหนึ่งมากับเขาด้วย เธอตัวเล็ก ผิวขาว ผมยาวสลวยราวกับเจ้าหญิงในจักรวาลดิสนีย์

        “ขอโทษที่ทิ้งมึง..” เปลวเดินเข้ามาข้างเตียงพร้อมกับเธอคนนั้น ผมยิ้มให้..พยายามข่มหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลร่วงลงไป

       “..ไม่เป็นไรเลย เราต้องขอบคุณเปลวมากกว่า” ขอบคุณ..ที่สุดท้ายก็ไม่ปล่อยให้ผมรออย่างไร้จุดหมาย

       “มึงยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ย” เปลวถามด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

       “ไม่เลย..เราดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ก็จะได้กลับบ้านแล้ว” ผมยิ้ม

       “อา..จริงสิ คนนี้ชื่อน้ำผึ้ง เพื่อนกูเอง อยู่ห้องสาม เขาก็อยากมาเยี่ยมมึงเหมือนกัน” เปลวผายมือไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอหันมามองค้อนเปลวอยู่หน่อยๆ ส่วนเปลวเองเมื่อเห็นแบบนั้นก็ลูบหัวเธอเล่นเบาๆ เปลวยิ้มด้วยแหละ เป็นยิ้มที่ดูมีความสุขมากๆ ยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นเปลวยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย คงเป็นเพราะน้ำผึ้งรึเปล่าที่ทำให้เปลวยิ้มออกมาได้ขนาดนี้

        “จริงๆเปลวให้เรามาเป็นเพื่อนต่างหาก เปลวป๊อด.. ไม่กล้ามาคนเดียว ฮ่าๆ” น้ำผึ้งหัวเราะออกมาเย้ยหยันเปลวด้วยท่าทีที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู  เปลวจึงเขกหน้าผากเธอเบาๆไปหนึ่งที สายตาของพวกเขาที่ใช้มองกันมันแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง..บางอย่างที่เรียกว่า..ความรัก

        ..ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมพวกเขาถึงมองกันแบบนั้น รู้แค่ว่าผมกำลังยิ้มอยู่เหมือนเคย ยิ้มอยู่ภาพที่เห็นตรงหน้า



        “แล้วมึงจะได้กลับบ้านตอนไหน กูจะได้รอ” เปลวหันมาถามผม

        “สายๆละมั้ง รอพยาบาลมาดูอาการอีกที” ผมตอบตามตรง

        “โอเค กูจะรอ”

        “แล้ววันนี้ทำไมไม่ไปโรงเรียนกันอะ ..วันนี้วันจันทร์ไม่ใช่หรอ” ผมถามพวกเขา นี่ก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้วมั้ง ทำไมสองคนนี้ถึงไม่ไปโรงเรียน ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนด้วย

        “วันนี้พ่อกูจะพาไปหัวหิน กูก็เลยชวนน้ำผึ้งไปด้วย”

        “อ๋อ.. แล้ว ไปกันตอนไหนล่ะ ทำไมถึงมาที่นี่แต่เช้าเชียว” ผมถามต่อ

        “ก็มาหามึงนั่นแหละ ว่าจะรอไปส่งมึงที่บ้านก่อน เดี๋ยวค่อยไปหัวหิน” เปลวตอบ สีหน้าเขายังดูร่าเริงแจ่มใสเหมือนเดิม สำหรับเปลวเขาคงไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ว่าผมคิด.. ผมกำลังเป็นตัวถ่วงของพวกเขาหรือเปล่า..

        “เปลวไปเตรียมตัวไปหัวหินเถอะ เดี๋ยวสายๆน้าหยวนคงมารับเราแล้วแหละ”

        “ไม่เอา กูจะไปส่งมึง” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง นี่เปลวจะรู้ตัวบ้างมั้ยว่าทุกครั้งที่เขาพูดแบบนี้มันทำให้ใจผมสั่น

        “กว่าเราจะออกจากโรงพยาบาล ..กว่าจะไปส่งเรา กว่าจะได้เตรียมของเตรียมเตรียมอะไร ไปถึงหัวหินก็เย็นพอดี เสียเวลาเปล่าๆนะเปลว น้ำผึ้งต้องรอนานด้วย” ผมพยักเพยิดเหตุผลไปทางเธอ

        “…”

        “ไปเถอะน่า เราโอเคแล้ว เดี๋ยววันต่อไปก็กลับไปวิ่งเล่นที่โรงเรียนได้แล้ว” ผมยิ้มกว้างเพราะไม่อยากให้เขากังวลอะไรเกี่ยวกับผมอีก

        เขาควรไปมีความสุขน่ะ ดีแล้ว



        เวลาผ่านไปจนถึงข่วงสายของวันเดียวกัน พยาบาลกำลังเข้ามาดูอาการผมเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จากนั้นเธอก็พาผมไปที่ช่องรับยา เภสัชตรงนั้นถามหาผู้ปกครองด้วยแหละ ผมก็เลยบอกว่าผมอยู่คนเดียว เธอก็อึ้งไปเลย แล้วเธอก็ชมผมที่ตัวแค่นี้แต่อยู่คนเดียวได้แล้ว ..นอกจากคุณพยาบาลแล้วก๋ต้องขอบคุณคุณเภสัชด้วยเหมือนกันที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

        จริงๆไม่มีใครมารับผมหรอก ..ผมโกหก







       ผมใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงในการเดินจากโรงพยาบาลมาถึงบ้าน แดดวันนี้ค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว แต่ก็ไม่กระทบกระเทือนอะไรกับผมได้หรอกเพราะปกติผมก็เดินกลางแดดกลางลมทุกวันอยู่แล้ว

       ทันทีที่ผมกลับถึงบ้านกำลังจะถอดรองเท้าเข้าไปในบ้านน้าหยวนก็เรียกผมไปหา เธอคุยกับผมเรื่องอนาคตต่อจากนี้ น้าหยวนถามผมว่าจะไปอยู่กับเธอมั้ย เพราะถ้าอยู่ที่บ้านตัวเองต่อเนี่ยค่าน้ำค่าไฟน้าหยวนจ่ายให้ไม่ได้เพราะเขาไม่มีตัง

       แน่นอนว่าผมรู้ดีว่าทำไม จริงๆน้าหยวนน่ะมีตังอยู่แล้ว แต่ที่เธอไม่อยากจะจ่ายให้ก็เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอ ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องมาเสียเงินไปกับเด็กข้างบ้านที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่แบบผม และผมก็รู้ทันเธอดี ถ้าผมไม่อยู่บ้านนี้ล้วเขาจะได้ทุบทิ้ง อย่างน้อยข้าวของเครื่องใช้ กระดานไม้และรางเหล็กที่ใช้สร้างบ้านของผมก็น่าจะพอทำให้เธอมีทุนในการพนัน

       ‘ไม่ครับ เทียนจะอยู่ที่บ้าน’ ผมตอบเธอไปแบบนั้น ให้ตายผมก็ไม่อยู่กับน้าหยวนหรอก เรื่องอะไรจะต้องเอาชีวิตไปอยู่ในวงการพนันแบบนั้นล่ะ อีกอย่างค่าน้ำค่าไฟมันก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรขนาดนั้น ผมหามันมาได้อยู่แล้ว

       เธอเกลี้ยกล่อมผมอีกหลายประโยคแต่ผมก็ยืนยันคำเดิม สุดท้ายน้าหยวนก็ต้องยอมแพ้ไป



       ผมกลับมาที่บ้าน จู่ๆฝนก็เทลงมาจากฟ้าอย่างหนัก   ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียแต่กลับนอนไม่หลับ ..ทำได้แค่นอนตาใสแจ๋วมองเพดานอยู่อย่างงั้น



       ติ๋ง

       หยาดน้ำจากฝนไหลซึมออกมาจากเพดาน นี่..เพดานรั่วอีกแล้วสินะ..



       ‘พ่อเอ๊ย เพดานผุอีกแล้วนั่นน่ะ สงสัยเปียกฝนแล้วมันอ่อน ไปหาอะไรมาปะมันหน่อยไป’

       ‘เออพอดีเลย ร้านตาเฮงมีไม้เก่าๆอยู่แกให้พ่อมาพอดี’

       ‘พ่อทำอะไรอะ ไม่กลัวตกหรอครับ’

       ‘แค่นี้เองเทียนเอ๊ย ปกติพ่อทำงานสูงกว่านี้อีกลูก’

       ‘พ่อลงมาเถอะ เทียนไม่อยากให้พ่อทำเลย กลัวพ่อตกมาแล้วจะเจ็บ..’

       ‘ถ้าให้พ่อเจ็บแล้วน้ำฝนไม่หยดมาโดนเทียนทำให้เทียนเป็นไข้ พ่อยอมเจ็บนะลูก’




       พ่อครับ..เทียนคิดถึงพ่อ..



       ฝ้าเพดานตอนนั้นตอนแรกมันเป็นช่องไม้ผุๆที่พอฝนตกน้ำฝนก็จะหยดลงมาทุกครั้ง ตอนเด็กๆแม่มักจะให้ผมเอาถังไปรองน้ำที่รั่วลงมาซึ่งผมก็ทำตามที่แม่สั่งเป็นแบบนั้นอยู่หลายวันเลยล่ะครับ จนสุดท้ายแม่ก็ให้พ่อมาซ่อมมัน เพดานนี้จึงกลับมาสวยเหมือนใหม่อีกครั้ง พ่อสามารถเสกให้ของเก่ากลายเป็นของใหม่ได้..นั่นคือพลังพิเศษอีกอย่างนึงของซุปเปอร์ฮีโร่ในดวงใจของผม



       ติ๋ง

       หยาดน้ำฝนยังคงหยดลงมา ถ้าผมส่งสัญญาณสปอตไลท์เรียกซุปเปอร์ฮีโร่เหมือนอย่างในหนัง ซุปเปอร์ฮีโร่ของผมจะกลับมาหาผมมั้ยนะ..



       ผมลุกไปหาถังมารองน้ำฝน หยาดน้ำฝนเริ่มหยดลงในถัง ผมนั่งดูเม็ดฝนกระทบกับผิวน้ำอยู่แบบนั้น ตอนเด็กๆผมก็ชอบนั่งดูเม็ดฝนกระทบกับผิวน้ำแบบนี้เหมือนกัน ก็พอเม็ดฝนตกลงมามันจะเกิดระลอกคลื่นใช่มั้ยล่ะครับ ระลอกคลื่นนั้นมันจะขยายออกเป็นวงกลม ใหญ่ออกไป..แล้วก็ใหญ่ออกไป ทว่าท้ายที่สุดแล้วระลอกคลื่นที่ขยายจนกว้างใหญ่ก็จะหายไป ..ตอนเด็กๆผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร

       แต่ตอนนี้มาคิดๆดูแล้ว มันก็คงเหมือนกับผมนั่นแหละ ผม..ที่เป็นผิวน้ำ กับเปลว..ที่เป็นหยาดน้ำฝน และระลอกคลื่นก็คือความสุข

       เมื่อหยาดฝนกับผิวน้ำกระทบกัน ระลอกคลื่นก็จะเกิด ผิวน้ำมัวแต่หลงอยู่กับระลอกคลื่นนั้นจนระลอกคลื่นขยายตัวออกไปเรื่อยๆเป็นวงกว้าง สุดท้ายแล้วระลอกคลื่นก็ค่อยๆหายไป โดยที่ผิวน้ำยังไม่ทันตั้งตัว

       เหมือนกับที่ผมได้รู้จักกับเปลว ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขา …มีความสุขเสียจนหลงลืมไปว่ามันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน สุดท้ายแล้วความสุขก็ไปจากผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว

       วันนี้เปลวมากับเธอคนนั้น ผมพอจะรู้อยู่หรอกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ ที่เปลวแนะนำเธอให้ผมรู้จักนั้นหมายถึงอะไร สถานะของพวกเขามันมากกว่านั้น…ผมรู้ดี

       ที่ผ่านมาที่เปลวไม่ได้มาหาผมเลยก็เพราะเหตุผลนี้ด้วยแหละมั้ง..ถึงในใจจะไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอม

       ที่แปลกที่สุดก็คือทำไมผมต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย…ผมมีสิทธิ์อะไรไปหวงเปลว

       ทำไมผมต้องร้องไห้แบบนี้..




ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       ภายใต้ฟ้าฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงกระทบหลังคาสังกะสีเก่าสนิมเกาะจนเกิดเสียงดังลั่น บ้านไม้เก่าๆหลังนี้มืดสลัวมีแต่ความว่างเปล่าปกคลุมทั่วบริเวณ หากแต่มีเด็กตัวเล็กอย่างเทียนไขนอนขดคู้อยู่บนพื้นไม้ อากาศภายในค่อนข้างหนาวเย็นจากไอฝนที่ผนวกเข้ากับความเดียวดายในหัวใจ เด็กน้อยทำได้แค่กอดตัวเองด้วยแขนที่สั่นเทาแล้วพยายามข่มตาหลับต่อไป



       เช้าวันรุ่งขึ้นน้าหยวนเข้ามาปลุกเด็กน้อย บอกให้รีบไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ..เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของงานศพแม่ของเทียนไข จริงๆพิธีศพของแม่นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ศพของเธอถูกนำไปเก็บไว้ที่โกดังเก็บศพของทางวัดเพื่อรอวันเผา  ซึ่งศพของเธอพึ่งถูกนับมาสวดทำพิธีตามศาสนาเมื่อวาน และจะเผาในวันนี้

       เด็กน้อยหน้าชาเมื่อรับรู้  ..เพียงแค่กอดแม่ที่เขารักในวาระสุดท้ายเขาก็ยังทำไม่ได้ แล้วนี่อีก..พิธีศพของแม่ตัวเอง เขาก็พึ่งมารับรู้ในวันเผาแบบนี้



       ..การเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปสำหรับเด็กน้อยอย่างเทียนไขแล้วมันเป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในชีวิต วันแรกที่แม่ของเด็กน้อยเสียชีวิตลงนั้น เด็กน้อยก็เสียสติจนจะฆ่าตัวตาย

       วันนี้ก็เช่นกัน…ทันทีที่โลงศพสีขาวที่ถูกตกแต่งด้วยลายไทยลายกนกสีทองและดอกไม้นานาชนิดถูกเปิดออกเพื่อที่จะให้ญาติๆของผู้ตายได้เห็นหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนั้น ..เมื่อคนตัวเล็กได้เห็นร่างไร้วิญญาณของคนที่เขารักที่สุดในชีวิต น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาโดยทันที เด็กน้อยร้องไห้และสะอื้นอย่างหนักหน่วงโดยไม่สนใจคนร่วมงานคนอื่นๆเลย เขาพยายามที่จะเอื้อมมือลงไปกอดแม่ขึ้นมาแต่ก็ถูกพระห้ามไว้ เด็กน้อยดิ้นอย่างรุนแรง เสียงร้องไห้ของเขาดังไปทั่วบริเวณอย่างน่าสลดใจ

       คนร่วมงานหลายคนมองดูเด็กน้อยที่กำลังร่ำไห้อย่างสมเพชเวทนา ภาพเด็กน้อยที่ถูกรัดถูกจับไว้โดยชายฉกรรจ์ถึงสามคนแต่เด็กน้อยก็ยังคงดิ้นอยู่แบบนั้น เทียนไขพยายามที่จะลงไปในโลงกับแม่ของเขา ..แต่โชคดีหน่อยที่สุดท้ายแล้วเขาก็แพ้แรงตัวเองแล้วหมดสติไป



        พอถึงเวลา …โลงสีขาวนั้นก็ถูกเคลื่อนย้ายเข้าเตาเผาในทันที มีเสียงของโลงไม้และกระดูกระเบิดอยู่หลายระลอกก่อนที่ควันสีดำจะพวยพุ่งออกมาจากบนยอดเมรุ ลอยละล่องขึ้นไปบนท้องฟ้า



        ระฆังบนยอดหอระฆังดังลั่นกังวานไกลไปทั่วอาณาบริเวณทั้งในวัดและชุมชนใกล้เคียง จริงๆคนแถวนั้นจะคุ้นชินกับเสียงระฆังไปแล้วเพราะได้ยินทุกวัน หากแต่วันนี้เสียงระฆังนั้นก้องกังวานอยู่เนิ่นนานเสียจนน่าแปลกใจ ..ราวกับเสียงระฆังปนมาด้วยเสียงร่ำไห้ของดวงวิญญาณที่ยังคงห่วงลูก



        เสียงจากระฆังในวันนี้นั้นนอกจากจะเป็นสัญญาณบอกเวลาแล้ว สำหรับเด็กน้อยก็เป็นสัญญาณแห่งก้าวต่อไปของขีวิตเขาด้วย

        ..ต่อจากนี้เทียนไขจะไม่เหลือใครอีกแล้ว ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติสนิทหรือใครคนใดก็ตาม

        ตัวคนเดียวบนโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้...อย่างแท้จริง







        เวลาผันเปลี่ยนไปจนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้เด็กน้อยตื่นขึ้นจากความฝันแสนหวานกลับเข้าสู่โลกความจริง

        เด็กน้อยตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปโรงเรียน เขาก็ยังใส่ชุดนักเรียนเก่าๆมอซอๆตัวเดิมเช่นเคย เพราะสำหรับเด็กน้อยแล้ว เขาไม่ได้ลำบากอะไรที่จะใส่มัน เพียงแต่ว่ามันค่อนข้างที่จะดูสกปรกรกสายตาไปซักหน่อยสำหรับคนรอบข้างที่เดินผ่าน

        เด็กน้อยแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะเดินไปหยิบขนมปังมาห่อนึงและขนมจุบจิบอีกหลายอย่างยัดใส่ช่องใต้เสื้อบ้าง ในกระเป๋านักเรียนบ้าง ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

        …นี่แหละ วิถีชีวิตของเทียนไข







       “เฮ้ย ไอ้เหี้ยเอดส์นี่หว่า!” ใครคนหนึ่งเรียกเด็กน้อยเมื่อเห็นเด็กน้อยเดินเข้ามาในโรงเรียนผ่านตาไป คำและน้ำเสียงที่คนๆนี้เรียกเด็กน้อยรู้ดีเลยว่าเขาคือใคร …เพราะฉะนั้นสิ่งที่เด็กน้อยทำได้ก็คือ..วิ่ง..วิ่ง แล้วก็วิ่ง วิ่งต่อไปถึงแม้ใจจะกลัวตัวจะสั่นแค่ไหนก็ตาม..

       “ไอ้เอดส์! ขนมมึงร่วงว่ะ ฮ่าๆไอ้ห่านี่ยังขี้ขโมยเหมือนเดิมเลยว่ะ” เสียงนั้นยังคงตามหลอกหลอนเด็กน้อยไม่หยุด เด็กผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่ายังคงตามเด็กน้อยอยู่อย่างนั้น ถ้อยคำที่เขาใช้…คำที่เขาตะโกน ..เริ่มทำให้คนอื่นๆเริ่มหันมาให้ความสนใจ จากคนที่วิ่งไล่ตามเด็กน้อยที่มีแค่คนเดียวก็เพิ่มเป็นสอง...และสาม มีอีกหลายคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันกับเด็กน้อย เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงจำได้ดีว่าเด็กน้อยเป็นยังไง

       “จะวิ่งหนีไปไหน ไอ้ลูกตุ๊ด!” ทว่า..ทันทีที่ได้ยินคำๆนี้ เส้นสติที่เด็กน้อยพยายามคุมไว้ก็ขาดสะบั้นลงทันที เขา..หยุดวิ่งหนี ก่อนจะหันกลับมาหาไอ้อ้วนที่ตามรังควานเขาไม่เลิก จนขนาดที่ว่าเขาวิ่งมาหลังตึกแล้วก็ยังไม่เลิกตาม

        “มึงว่ากูได้.. แต่มึงอย่ามาเล่นถึงพ่อกู!” เด็กน้อยพุ่งเข้าไปใส่ไอ้อ้วนคนนั้นทันที จริงๆเขาต่อยตีไม่เป็นหรอก แต่เขาทนไม่ได้ที่จะให้ใครมาดูถูกซุปเปอร์ฮีโร่ของเขาแบบนี้



        ผัวะ!

        แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หมัดของเด็กน้อย …แต่เป็นของไอ้อ้วนที่ฟาดกลับลงมาด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่า

        “ซ่าจังนะไอ้ตุ๊ด ไหนๆเลิกขโมยลิปผู้หญิงรึยัง” ไอ้อ้วนดึงกระเป๋าเด็กน้อยไปค้น มันเททุกอย่างออกมากระจัดกระจายเต็มพื้น

        ลิปที่ว่านั้นเทียนเคยขโมยมันมาจริงๆ ตอนนั้นเขาอยู่ป.4 ..ในคาบวิชาสังคมศึกษา คุณครูสอนเรื่องบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ หนึ่งในนั้นมีคลีโอพัตรา เจ้าหญิงผู้ที่งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์อยู่ด้วย

       เด็กน้อยเลยอยากให้แม่งดงามแบบนั้นบ้าง สิ่งที่เด็กน้อยตัดสินใจทำลงไปก็คือขโมยลิปสติกของครูคนนึงมาเพื่อมาทาให้แม่ของเขา

       ‘แม่ของเทียนสวยที่สุดในโลกเลย’ เด็กน้อยคิดแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกจับได้ แล้วก็ถูกล้อถูกรังแกตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเขาก็ยอมรับความผิดนั้นแต่โดยดี ..ยอมถูกล้อ ..ถูกรังแก โดยไม่คิดตอบโต้



       “โหวันนี้ขนมเยอะว่ะ ขโมยร้านไหนมาวะเหี้ย ร้านนั้นเจ๊งแล้วมั้ง”

       “อ้าว เจอโจทก์..  ว่าไงครับ ไอ้ลูกแม่เป็นเอดส์!” ใครอีกคนเดินมาสมทบ หัวเราะร่วนอย่างสะใจเมื่อได้พูดสิ่งที่ต้องการ ขณะที่เด็กน้อยนั้นได้แต่ลูบแก้มตัวเองที่พึ่งถูกชกป้อยๆ ทั้งเจ็บทั้งชา…หากแต่ไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นทางความรู้สึก

       “ได้ข่าวว่าแม่ตายแล้วนี่หว่า อุ๊ย! พ่อก็โดนประหาร แม่ก็เป็นเอดส์ตาย อยู่ยังไงดีล่ะทีนี้..” ใครอีกคนพูดสวนขึ้นมา เด็กน้อยตั้งหลักอีกครั้ง

       “ขโมยของชาวบ้านเขาไปวันๆงี้ไง ฮ่าๆ ไอ้ขี้ขโมย!” ทันทีที่ใครคนนั้นพูดจบ เด็กน้อยก็ชกเข้าไปกลางหน้าเขาทันที

       ผัวะ!

       คราวนี้เด็กน้อยต่อยโดนเต็มๆ จนเลือดอีกฝ่ายไหลซิบออกมาจากจมูก ทว่า..นั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้น ..เมื่อเส้นสติของสามตัวนี้ได้ขาดสะบั้นลง..



       “ไอ้เหี้ยเทียน!”

       ผัวะ! ผัวะ! ตุบ ผัวะ!

       หมัดหนักๆและฝ่าเท้าใหญ่โตของทั้งสามรุมฟาดฟันใส่เด็กน้อยไม่ยั้ง ของเหลวสีแดงสดไหลซึมออกจากปากเด็กน้อย ก่อนจะถูกหนึ่งในสามคนนั้นชกลงมากลางจมูกเพื่อเอาคืนกับสิ่งที่เด็กน้อยทำกับเขา



       “เทียน!” เสียงใครอีกคนดังขึ้นมาในโสตประสาทของเด็กน้อย

       “ไอ้เหี้ย พวกมึงทำอะไรเพื่อนกู!” คนที่พึ่งเข้ามาใหม่ประกาศเกล้าอย่างไม่เกรงกลัว “มึงไม่รู้หรอว่ามันพึ่งออกจากโรงพยาบาล!”

       เขาคนนั้นตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในใจเป็นห่วงเด็กน้อยอย่างสุดหัวใจ

       เป็นอีกครั้ง..ที่เปลวมาช่วยเทียนไข

       “ไอ้สาระเลว!” เขาลั่นวาจาดังไปทั่วบริเวณ

       ผัวะ!

       ก่อนตะพุ่งเข้าไปหาสามคนนั้นแล้วเสยหมัดอันแข็งกร้าวของเขาไปที่คางของไอ้อ้วนจนมันล้มลงไป หนึ่งในสองคนที่เหลืออาศัยจังหวะที่เปลวเผลอก่อนจะฟาดหมัดใส่หัวเขา

       โชคดีที่เขาหลบทัน เปลวเตะตัดขาหนึ่งในสองคนนั้นแล้วยัดหมัดหนักๆใส่หน้าหนึ่งคนที่เหลือ

       “ถุ้ย! หมาๆอย่างพวกมึงก็ดีแต่รังแกคนที่เขาไม่มีทางสู้นี่แหละวะ” เปลวชี้หน้าสามคนนั้นก่อนจะตวาดลั่น



       เด็กน้อยไม่เคยเห็นเปลวโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย ชายเสื้อเขาหลุดลุ่ยออกมานอกกางเกง ใบหน้าแดงเถือกจากเลือดที่สูบฉีดระรัวเพราะความโกรธ

        ครั้งหนึ่งเด็กน้อยเคยเห็นพ่อทำร้ายแม่ของเขาจนแม่กรีดร้องออกมาอย่างทุรนทุราย …ทว่าพ่อกลับไม่หยุดการกระทำนั้น

       ความรุนแรงนั้นมันฝังลึกลงในใจของเด็กน้อยจนเขาไม่เคยคิดจะลืม และถ้าได้เห็นอีกเมื่อไหร่เด็กน้อยก็จะมีอาการที่เปลี่ยนไป..

        …สีหน้าของพ่อก็เป็นเหมือนกับเปลวไม่ผิด

        เด็กน้อย…กลัว



        “เทียน.. เทียน เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหน” เปลววิ่งปรู่เข้ามาหาคนตัวเล็กที่กำลังนอนอยู่กับพื้น ทว่าคนตัวเล็กกลับผลักเขาออกไป เขาตัวสั่นราวกับลูกนก นั่งก้มหน้างุดเอามือขึ้นป้องกันหัวตัวเอง

        “อย่าเข้ามา..ฮือ อย่าเข้ามา” คนตัวเล็กสะอื้น ขยับถอยหลังหนีจากเปลว

        “เทียน.. เป็นอะไร กูมาช่วยมึงแล้ว ..ไปห้องพยาบาล..”

        “ออกไป!” เทียนไขตวาดลั่น

        “…” หากแต่เปลวไม่ได้เข้าใจความกลัวของเขาเลยแม้แต่น้อย …เพื่อนคนสำคัญของเขากำลังไล่เขาให้ออกไป

        “ฮือ.. ไม่เอาแล้ว.. เทียนกลัว”

        “ไม่ต้องกลัว กูอยู่นี่แล้ว” เปลวไม่ได้สนใจอะไรกับการที่เด็กน้อยไล่เขาเลย ในเมื่อเด็กน้อยไม่ฟังเขาจึงช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นมา ก่อนจะพาเดินไปห้องพยาบาล ..มันค่อนข้างที่จะทุลักทุเลมากเลยทีเดียว เพราะถึงแม้เด็กน้อยจะผอมกร่องแกร่ง แต่เปลวก็ไม่ได้ตัวใหญ่อะไรไปกว่าเด็กน้อยมากมายนัก แต่ก็ดีหน่อยที่เด็กน้อยสงบลงแล้ว เทียนไขเริ่มได้สติ ..เขาไม่ดิ้นเหมือนอย่างเคยอีก เขาไม่บอกว่าตัวเอง ‘กลัว’ อีกต่อไป

        นั่นก็เป็นเพราะ…สำหรับเทียนไขนั้น อ้อมแขนของเปลว ...เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด



        เปลวอุ้มเด็กน้อยมาจนถึงห้องพยาบาล ใครหลายคนตกใจกับสภาพของเทียนไข ครูบางคนพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ก็ไม่สามารถหยุดเปลวได้ เขาต้องเป็นคนพาเพื่อนคนสำคัญของเขาไปให้ถึงมืออาจารย์ห้องพยาบาลให้ได้ …เปลวคิดแบบนั้น

        ไม่นานนักเขาก็มาถึงห้องพยาบาลที่ว่า เปลวรีบส่งมอบเด็กน้อยต่อให้อาจารย์ห้องพยาบาลในทันทีที่เข้าไปถึง

        “ครูครับ ช่วยเพื่อนผมด้วยครับ ช่วยด้วย..” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว เปลวเองก็พึ่งจะสังเกต ..ตามตัวของเด็กน้อยมีแต่แผลอยู่เต็มไปหมด ไหนจะรอยเท้าบนเสื้อนักเรียนของเขาอีก..

        ใช้เวลาค่อนข้างนานเลยทีเดียวกว่าจะทำแผลเสร็จ ระหว่างที่ทำแผลเด็กน้อยไม่ร้องเลยซักแอะ จนเปลวแอบนึกแปลกใจอยู่หน่อยๆ ดูเขาเป็นคนบอบบางค่อนข้างมากเลยแท้ๆ แต่กลับนั่งอยู่เฉยๆมองแอลกอฮอล์ที่ราดลงบนแผลตัวเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

        หลังจากทำแผลเสร็จ เขาและเด็กน้อยก็ถูกเรียกให้ไปห้องปกครอง เช่นเดียวกับไอ้สามตัวนั้น  แน่นอนว่าพวกเขาถูกลงโทษกันทุกคนเพราะว่าเรื่องนี้ทุกคนก็มีส่วนผิด ..ถ้าไม่พูดจาหยอกล้อกันรุนแรงแบบนั้นก็คงไม่เกิดเรื่อง ..ถ้าเด็กน้อยไม่ต่อยจนจมูกไอ้อ้วนเลือดไหลก็คงไม่เกิดเรื่อง

        เทียนไขได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทีหลังจะใจเย็นให้มากกว่านี้ …เขาบอกตัวเองแบบนั้น

        “เทียน” เปลวเรียกเด็กน้อย หลังจากที่ออกมาจากห้องปกครอง

        “…” เทียนหันไปตามเสียงเรียก

        “เจ็บมากมั้ยวะ..”

        “..ไม่เป็นไรหรอก” แล้วก็หันกลับมามองทางข้างหน้าเหมือนเดิม

        “ไม่เทียน …กูรู้ว่ามึงเจ็บ”

        “…” เด็กน้อยยังคงเดินต่อไปนิ่งๆเหมือนเดิม ..มันก็จริงอย่างที่คนข้างๆเขาพูดนั่นแหละ แผลพวกนี้มันเจ็บแสบมากๆ

        “มึงโกรธกูรึเปล่าวะ..ที่กูไม่เคยไปเยี่ยมมึงเลย”

        “..เราจะโกรธทำไม ดีแค่ไหนแล้วที่เปลวช่วยไปบอกน้าหยวนให้เรา”

        “เฮ้อ ช่างเถอะว่ะ แต่กูขอโทษจริงๆนะ..พอดีกูมีปัญหากับบ้านกูนิดหน่อย” เปลวพูด เมื่อเด็กน้อยได้ยินว่าเปลวมีปัญหาแบบนี้เขาก็สนอกสนใจขึ้นมาทันที

        “ปัญหาอะไรหรอ บอกเราได้นะ เราจะพยายามช่วยให้เต็มที่เลย” เด็กน้อยหันมาหาเปลว

        “อยากรู้หรอ”

        “อยากสิ” เทียนทำตาใสแจ๋วราวกับอยากเผือกเต็มทีแล้ว

        “ไม่บอก”

        “เอ้า..” แล้วเทียนก็ทำหน้ามุ่ย

        “ฮ่าๆ ตลกหน้ามึงว่ะ” เปลวหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งคนข้างๆ

        “ทำไมขำอะ เราจริงจังนะเว้ยเปลว” เด็กน้อยหยุดเดินก่อนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

        “อ่าว..กูขอโทษ..”

        “เราล้อเล่น” ก่อนจะยิ้มออกมา

        “…”

        “ฮ่าๆ ตลกหน้าเปลวจัง” แล้วก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังที่ได้เอาคืนคนขี้แกล้งอย่างคุณเปลว

        เขาสองคนเดินเคียงกันไปแบบนั้นเรื่อยๆเพื่อไปยังห้องเรียน ระหว่างทางก็มีหยอกล้อกันแบบนี้เรื่อยๆ บรรยากาศรอบๆพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยเสียงหัวเราะ

        “แล้วนี่..ยังอยากรู้อยู่รึเปล่า ว่าปัญหาอะไร” เปลวถาม

        “อยากสิ ปัญหาเกี่ยวกับอะไรหรอ”

        “เกี่ยวกับ..มึง” คนตัวสูงกว่ากระซิบไปข้างๆหู

        “…”

        ”กูขอพ่อให้มึงมาอยู่กับกู”

       


















_________________________________
ชี้แจงนะคะ นิยายเรื่องนี้เนื้อเรื่องหลักอยู่ในพาร์ทปัจจุบันค่ะ (มหาลัย) ตอนนี้เป็นแค่เกริ่นๆน้ำจจิ้มๆค่ะ และเราก็เรียกพาร์ทเกริ่นๆนี้ว่า ‘เปลวจุดเทียน’
ยังไงก็ เป็นกำลังใจให้น้องเทียนไขกับคุณเปลวเขาด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่เข้ามาอ่าน : )

       

 





       

       









       







       









   

         

         


ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :L2:คุณพ่อของเปลวจะใจดีพอที่จะรับเทียนไปอยู่ด้วยหรือเปล่า รอตามตอนต่อค่ะ +1

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
พ่อของเปลวคงจะรับเทียนเข้ามาดูแลแหล่ะ แต่ว่า......
โอ๊ยยยย  ขนาดเราเป็นคอดราม่า แบบเจ้มจ้น เราอ่านพาร์ทแรกๆแล้วหน่วงเกินน สงสารน้องเทียน อายุแค่ไม่กี่ขวบหนูเจออะไรมาเยะแยะมากเลยนะลูก

ความใกล้ชิดของเทียนกับเปลวเนี่ยแหล่ะที่จะยิ่งทำให้หน่วงเข้าไปอีก หวังว่าน้องเทียนจะสมหวังนะคะ รอติดตามนะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ที่เปลวบอกว่ามีปัญหากับที่บ้าน เพราะพ่อไม่อยากรับเทียนมาอยู่ด้วยรึเปล่า  :hao5:

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
03
เปลวจุดเทียน



       “…” ผมทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เปลวพูดออกมา นี่เขาจะให้ผมไปอยู่กับเขาหรอ..

       “ก็..กูคิดว่ามึงอาจจะลำบากถ้าอยู่คนเดียวแบบนั้น” เขาอธิบาย “ไหนจะเรื่องค่ากินค่าอยู่ ..ถ้ามึงอยู่คนเดียวแบบนี้ซักวันมึงก็อาจจะอยู่ไม่ไหว ซึ่งกู..ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”

       “…”

       “วันนั้นหลังจากมึงหมดสติพ่อกูก็มาถึงพอดี จริงๆกูก็อยากจะพามึงไปอยู่กับกูตั้งแต่วันนั้นเลยเหมือนกัน แต่ว่าพ่อกูเนี่ยสิ เขาไม่ได้ใจดีขนาดที่จู่ๆจะยอมรับใครก็ไม่รู้มาอยู่ด้วยกันได้ สิ่งที่กูทำเลยเป็นการไปบอกคนที่อยู่บ้านข้างๆให้พามึงไปโรงพยาบาลแทน ส่วนกูก็ไปคุยกับพ่อเรื่องของมึงตั้งแต่วันนั้นเลย”

       “เปลว..ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้..” ผมพูดออกไปด้วยความเกรงใจ แค่นี้เขาก็ช่วยผมมามากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาคนอย่างผมไปเป็นภาระเลย

       “มึงอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นภาระกู..” นั่น รู้ทันอีก

       “…”

       “แต่จริงๆไม่เลยเว้ย มึงไม่ใช่ภาระเลย สำหรับกู” เปลวพูดด้วยสีหน้าจริงจังทำเอาผมประหม่าซะจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติกลับมาสู่ความเป็นจริงที่ว่า ผมน่ะ..ไม่คู่ควรที่จะไปอยู่ที่แบบนั้นหรอก..

       “ยังไงก็คงไม่ได้หรอกเปลว ..เราเป็นคนไม่ดี เรานิสัยแย่เกินกว่าจะไปอยู่กับคนอื่นได้” ผมพยายามบอกเปลวอ้อมๆ เพราะถ้าให้พูดไปตรงๆว่าผมขี้ขโมยก็กลัวว่าเปลวจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมอีกต่อไป ..แต่เอาจริงๆเปลวก็น่าจะรับรู้หมดแล้วแหละ เขาก็น่าจะได้ยินสิ่งที่ไอ้สามคนนั้นมันว่าผม

        “เดี๋ยวก่อนนะ อันนี้กูไม่ได้ให้มึงเลือกนะเพื่อน”

        “…”

        “มึง ‘ต้อง’ ไปอยู่กับกู” ผมหันไปมองคนข้างๆด้วยใบหน้าที่เหลอหลาหนักกว่าเดิม นี่ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเลยหรอ..

        “เปลวเผด็จการว่ะ..” ผมหันไปบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

        “กูได้ยินนะ” อ่าวเวรกรรม.. “ที่กูต้องบังคับมึงแบบนี้เพราะพ่อกูอนุญาตแล้ว ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะเว้ยเทียนกว่าเขาจะยอมเข้าใจกู มึงรู้มั้ยกูต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้นกี่รอบ”

        “..เปลวทำจริงอะ..” ผมหลุดขำ คนอย่างเปลวเนี่ยนะจะนอนดิ้นเวลาถูกขัดใจ คิดไม่ถึงเลย

        “กูก็เวอร์ไปงั้นแหละ วิธีของกูคือพูดกรอกหูเขาทุกวันๆ แล้วก็ทุกครั้งที่เจอหน้า จนสุดท้ายเขาก็ยอมกู ฮ่าๆ ..ไม่รู้ว่ายอมหรือรำคาญ แต่ก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่ามึงต้องมาอยู่กับกู ..ตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้”

        “ฮะ? ว..วันนี้เลยหรอ”

        “วันนี้เลย เลิกเรียนแล้วไปเก็บเสื้อผ้ากับของที่จำเป็นมา โอเคเปล่า”

        “…”

        “ไม่ตอบถือว่าโอเคนะ ..โอเค ตามนี้ เดี๋ยวเลิกเรียนกูไปกับมึงด้วย..ช่วยกันเก็บของ”

        สรุปแล้วเปลวก็พูดเอาเองเสร็จสรรพโดยไม่เว้นช่องว่างให้ผมตอบกลับหรือโต้แย้งอะไรได้เลย..

     

       จริงๆแล้ว ผมน่ะจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นใต้สะพานลอย ..บนสะพานลอย ..ข้างถนนหรือตามป้ายรถเมล์ ผมก็อยู่ได้ทั้งนั้น แต่ช้อยส์บ้านของเปลวเนี่ย..มันไม่เคยมีอยู่ในหัวผมเลยครับ ผมไม่รู้ว่าคนอย่างผมจะไปอยู่กับครอบครัวเปลวได้มั้ย ผมจะเผลอทำอะไรแย่ๆลงไปหรือเปล่า ครอบครัวนั้นจะรังเกียจผมมั้ย

       แต่ขณะเดียวกันถ้าผมเลือกดั้นด้นที่จะอยู่บ้านหลังเดิมคนเดียวต่อไป ผมก็อาจจะอยู่ไม่ไหวจริงๆอย่างที่เปลวว่า การที่ผมขโมยของคนอื่น ผมต้องเปลี่ยนที่ขโมยไปเรื่อยๆไม่สามารถขโมยอยู่กับร้านเดิมๆ แหล่งเดิมๆได้ ทั้งนี้ก็เพื่อหนีไม่ให้ใครจำหน้าผมได้ แต่การเปลี่ยนที่แบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ให้มากขึ้นๆเหมือนกัน สุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไงซักวันผมก็ต้องถูกจับได้อยู่ดี พอถึงวันนั้นทุกอย่างก็อาจจะต้องจบลง

       การไปอยู่กับเขาคงจะเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ผมเลือกซะด้วย

       เพราะงั้นผมก็คง..ต้องไปอยู่กับเขาจริงๆแหละมั้ง



       “ไว้วันไหนว่างๆจะมานอนเล่นที่บ้านมึงก็ได้นะ” เปลวบอกผมด้วยสายตาที่จ้องลึกเข้ามาในนัยน์ตาผมราวกับรู้ดีว่าที่บ้านหลังนั้นสำหรับผมแล้วมันสำคัญขนาดไหน ราวกับ..รู้ดีว่าบ้านหลังนั้นเป็นความทรงจำที่แสนงดงามของผม ราวกับ..เข้าใจความรู้สึกของผม..

       “ขอบคุณนะ” ขอบคุณที่ช่วยผมทุกๆอย่าง ขอบคุณที่เข้าใจกันนะเปลว

       “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพื่อนกูกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติกูก็ต้องช่วยปะวะ”

       “แต่ก็อยากขอบคุณอยู่ดี ขอบคุณนะเปลว” ผมยิ้มให้เขา แต่สงสัยรอยยิ้มของผมอาจจะทำให้เขาหมั่นไส้ เขาเลยโบ้ฝ่ามือลงกระบาลผมไปทีนึง มันไม่ได้แรงมากหรอกครับ ..หัวผมโยกเลยทีเดียว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมกลับรู้สึกอบอุ่นใจมากกว่าจะโกรธเคืองอีกฝ่าย

       “เออๆรู้แล้ว” แล้วเขาก็เดินกอดคอผมไปแบบนั้นจนถึงห้องเรียน..





       “เทียน เป็นไงบ้างวะ ได้ข่าวว่าโดนพวกห้องบ๊วยต่อย” หนึ่งในเพื่อนในห้องถามผม

       “เจ็บดิครับ ฮ่าๆ” ผมตอบพร้อมกับหัวเราะร่วน รูปประโยคการตอบกวนส้นเท้าแบบนี้ก็เปลวนี่แหละครับที่ผมซึบซับเขามา  ต้องขอบคุณเขาอีกเหมือนกันที่สอนให้ผมมั่นใจมากขึ้น ทำให้ผมกล้าพูดกล้าโต้ตอบกับคนอื่นได้อย่างไม่กลัวถูกทำร้ายเหมือนอย่างที่เคย

        “ฮ่าๆ เออก็จริงของมึง แล้วทำไมมันมาต่อยมึงวะ มีเรื่องไรกัน” อีกฝ่ายหัวเราะร่วนไปตามผม แล้วก็ยิงคำถามต่อ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายถามผมกลับอึกอัก..และไม่กล้าที่จะพูดออกไป

        ‘ไอ้ลูกแม่เป็นเอดส์’ ‘ไอ้ขี้ขโมย’ ‘ไอ้ตุ๊ด’

        ผม..พูดออกไปไม่ได้จริงๆ..

        “ไอ้เทียนเผลอไปเหยียบขาพวกมัน พวกมันก็เลยโมโห” ทว่าเปลวกลับตอบคำถามของเขาไปแทนผมและหลีกเลี่ยงความจริงที่มันกระทบจิตใจผม..

        “แต่ก็ไม่เห็นต้องทำร้ายกันขนาดนี้ปะวะ เหี้ยสัด” ดีหน่อยที่คนที่เข้ามาถามก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีกต่อไป

       “เห็นว่าพึ่งออกจากโรงพยาบาลวันก่อนด้วยนี่หว่า ใช่ปะเทียน” เพื่อนอีกหลายคนเริ่มเข้ามารุมล้อมโต๊ะผม และถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

       “อ่า..ใช่” ผมตอบกลับ

       “โห่ สงสารมึงว่ะ แย่เลย พึ่งจะหายเจ็บแต่ก็ต้องมาเจ็บซ้ำอีก”

       “..ไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก”

       “ยังไงก็..หายไวๆนะเพื่อน” ผมยิ้มให้เขาเป็นการขอบคุณ ..ครั้งแรกเลยที่ได้รับคำอวยพรว่า ‘หายไวๆ’ จากเพื่อน มีความสุขจัง..



       

       ไม่นานนักเวลาก็ผันผ่านไปจนตกเย็น ผมกับเปลวเดินเลียบทางคลองมาด้วยกันเรื่อยๆท่ามกลางบทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและภาพฝันในอนาคตของพวกเรา

        เราคุยกันเรื่องบ้าน ..เปลวบอกว่าบ้านเขามีเตียงนุ่มๆที่ใหญ่ถึงหกฟุต มีโซฟากำมะหยี่สีดำที่กว้างพอให้นั่งทั้งเขาและก็ผม มีทีวีจอแบนขนาดห้าสิบนิ้วติดอยู่ที่ผนัง มีอ่างอาบน้ำสีขาวเหมือนที่อยู่ในละครทีวี

        ทุกๆอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเจอในชีวิตจริงเลยซักครั้ง ทุกอย่างตรงข้ามกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านผมไปซะหมด         

        เปลวบอกว่าจะให้ผมอยู่ห้องเดียวกับเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าเวลามีการบ้านจะได้ช่วยกันทำ เวลาอยากเล่นเกมก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปชวนผมจากห้องอื่น ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรหรอกครับ ดีซะอีกจะได้ไม่รบกวนบ้านเปลวมาก แต่คำพูดของเปลวนี่สิที่ทำให้ผมเสียสมดุล..

        ‘มึงนอนกับกูนะ’ ผมไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกันแน่..

     

 

       “อ้าวเทียน เก็บของจะไปไหน” น้าหยวนที่เดินผ่านหน้าบ้านไปพอดีเมื่อเห็นผมกำลังเก็บข้าวเก็บของอยู่ก็หยุดฝีเท้าตัวเองแล้วหันมาให้ความสนใจกับผมทันที ผมหันไปทางเธอกำลังจะตอบเธอกลับไปแต่เปลวก็ชิงตอบไปซะก่อน

       “ตั้งแต่วันนี้เทียนจะไปอยู่บ้านผมครับ” เปลวตอบน้าหยวน ซึ่งพอเธอได้ยินแบบนั้นตาเธอก็เบิกโพลงไปด้วยความดีใจ เธอยิ้มร่าออกมาอย่างมีความสุข

       …ดีใจที่ไอ้เทียนแม่งไปๆได้ซักที กูจะได้ทุบบ้านนี้ทิ้ง

       …มีความสุขที่กูจะได้มีเงินเอาไปเล่นไพ่

       นี่คงจะเป็นสิ่งที่น้าหยวนกำลังคิดอยู่แน่ๆ ...หลานปลายนิ้วตีนอย่างผมน่ะรู้ดีอยู่แล้ว



       “เทียนไปอยู่บ้านเขาน่ะ ก็อย่าไปทำข้าวของเขาพังนะ” เธอเริ่มแสร้งร่ายยาวสั่งสอนผมเพื่อแสดงเป็นน้าที่แสนดี “อยู่นู่นก็ช่วยเขาทำงานบ้าน เก็บกวาด ล้างจานให้เขาด้วยนะรู้รึเปล่า”

       “เอ่อ..บ้านผมมีแม่บ้านครับ” เปลวมองหน้าผมแล้วก็พูดออกไป

       “…แต่ถึงอย่างงั้นก็ต้องช่วยเขาทำนะเทียน เข้าใจมั้ย” น้าหยวนหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ก็คงสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเธอไว้ได้ดังเดิมแล้วก็แสร้งสอนผมต่อไป

       “เทียนไม่อยู่ฝากน้าดูแลบ้านหลังนี้ด้วยนะครับ” เปลวพูดพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าของผมขึ้นบ่า ก่อนจะเดินออกไปรอผมข้างนอก สวนกับน้าหยวน

       “ได้จ้า” เธอรับคำ ผมหยิบของใช้ส่วนตัวอีกสองสามอย่าง และรูปภาพของแม่ใส่ลงในกระเป๋าเป้อีกใบก่อนจะสะพายมันขึ้นมา

        “น้าหยวน เทียนไปก่อนนะ” ผมบอกเธอ “..น้าหยวนอย่ายุ่งกับบ้านเทียนนะ ห้ามเอาของข้างในไปขาย แม้จะเป็นแค่เศษเหล็กเศษไม้ น้าหยวนก็ห้ามเอาไปขาย..” จู่ๆผมก็พูดสิ่งที่คิดออกไปโดยไม่รู้ตัว คนที่ผมพูดด้วยถึงกับขมวดคิ้วจนเป็นปม

        “ทำไมพูดแบบนั้น น้าจะเอาไปทำไม?” น้ำเสียงเธอเริ่มไม่สบอารมณ์ “พูดเหมือนกับน้าเป็นขโมยเหมือนเทียน”

        “เทียนไม่คิดจะขโมยหรอกถ้าน้าหยวนช่วยเทียนดูแลแม่ซักนิดนึงอะ!” ผมเริ่มตวาดเสียงดัง “อีกอย่าง..น้าหยวนมีสิทธิ์อะไรมาว่าเทียน น้าหยวนก็ขโมยเหมือนเทียนนั่นแหละ ตังค์เทียน หรือแม้แต่ตังค์แม่ที่เก็บเอาไว้ให้เทียนไปโรงเรียน น้าหยวนก็ขโมย!”

        “เออแล้วจะทำไม เงินที่กูเอาไปสุดท้ายแล้วกูก็เอาไปซื้อยาซื้อข้าวให้แม่มึงแดกนั่นแหละ”

        “จริงหรอน้าหยวน..จริงหรอ เทียนไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี่ย ถึงว่าชีวิตเทียนกับแม่ถึงได้ดีขนาดนี้ เพราะน้าหยวนช่วยไว้นี่เอง”

        “…”

        “แต่ขอโทษที ช่วยไม่ให้ตัวเองโดนผีพนันเข้าสิงก่อนมั้ยน้าหยวน”

        “ไอ้เทียน!”

        “ห้ามเข้ามายุ่งกับบ้านเทียนนะ…น้าหยวนสัญญากับเปลวแล้ว!”

        “ไปเลยนะไอ้เทียน! มึงจะไปไหนก็เลยนะ แล้วไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าเลย!” น้าหยวนตวาดลั่นก่อนจะเดินออกไป ผมมองตามหลังของผู้เป็นน้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกขอบตาร้อนๆเหมือนกับน้ำตากำลังรื้นเอ่อขึ้นมา ก่อนจะส่ายหัวเพื่อสะบัดมันทิ้งแล้วก้มหน้างุดเดินออกไปด้วยใจที่แตกสลาย ..ถึงจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเป็นหลานปลายตีน แต่ก็ไม่นึกเลยว่าวันนึงจะถูกน้าคนที่เป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไล่เหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้



       “เทียนป่ะ..ไปกัน พ่อกูอยู่ตรงสะพานละ” เปลวหันหลังกลับมาเรียกผมที่เอาแต่ยืนมองบ้านตัวเองนิ่งๆ  ..บ้านเก่าๆหลังนี้มีอะไรเกิดขึ้นมากมายหลายสิ่งหลายอย่าง

       ..หลายๆสิ่งที่ว่านั้นเป็นเรื่องราวที่ดีและน่าจดจำ

       ..ขณะเดียวกันหลายๆอย่างที่ว่ากลับเป็นเรื่องราวอันแสนโหดร้ายที่ไม่น่าจดจำแต่ยากเหลือเกินที่จะลืมเลือน 

       ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผมอยู่ที่นี่ มีบทเรียนชีวิตหลายบทที่ได้จากบ้านหลังนี้ ..วันนี้ผมจะไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างงั้นผมก็จะไม่ลืมบทเรียนที่ได้มา ..จะไม่ลืมเรื่องราวดีๆ และจะจดจำเรื่องราวอันแสนโหดร้ายเอาไว้ในความทรงจำไว้คอยเตือนตัวเองในอนาคต

        ขอบคุณบ้านหลังนี้..ที่ทำให้เทียนไขเป็นเทียนไขในปัจจุบัน





        “สวัสดีครับพ่อเปลว” ผมเอ่ยทักทายพ่อของเปลวทันทีที่แทรกตัวเข้าไปในรถ เขามองผ่านกระจกมองหลังมาทางผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

        “สวัสดี” สั้นๆแค่นั้น ส่วนเปลวก็นั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรกับคนเป็นพ่อเลย เราสามคนปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมต่อไปจนรถเริ่มเคลื่อนตัว

        “เห็นไอ้เปลวบอกว่าแม่พึ่งเสียงั้นหรอ แล้วญาติคนอื่นๆล่ะ ไม่มีหรอหนู” พ่อถาม

        “ครับผม ..ผมไม่เหลือใครเลย..” ผมตอบ

        “ไอ้เปลวก็เลยอยากให้หนูมาอยู่ด้วยกันสินะ”

        “…” ชายวัยกลางคนตรงหน้านิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกเหมือนพ่อของเปลวกำลังสะอื้นอยู่เลย ไหล่แสนสง่าของเขาสั่นเครือไม่หยุด

        “หนูจ๋า ลุง..ขอโทษนะ..”

        “…” ผมหูฝาดหรือเปล่า.. ทำไมพ่อของเปลวถึงขอโทษผมล่ะ?

        “ขอโทษนะ...ขอโทษจริงๆ” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือมากกขึ้นราวกับรู้สึกเศร้าสลดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ขณะเดียวกันเปลวที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ผมนั่งงงงันกับอากัปกิริยาของคนๆนี้

        “ขอโทษ..ทำไมครับ..?” ผมถาม ทำไมคนดูมีภูมิฐานอย่างเขาถึงขอโทษเด็กน้อยอย่างผม..

        “ลุงขอโทษ..” จากน้ำเสียงที่สั่นเครือก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น …พ่อของเปลวกำลังร้องไห้

        “…” 

        “ลุงเป็น..เพื่อนของพ่อหนู ลุงขอโทษที่ไม่ได้ทำอย่างที่พ่อหนูขอเอาไว้..”

        “…” 

        “ลุงขอโทษ ..ขอโทษจริงๆ” ผมรู้สึกทั้งตัวชาวาบ ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปว่ายังไง อะไรคือสิ่งที่พ่อผมขอ แล้ว..ผมควรโกรธใช่มั้ย.. หรือควรจะตอบกลับไปยังไงดี..

        “..ตอนที่พ่อของหนูอยู่ในคุกเขารู้ดีว่าโทษของเขาคืออะไร เขาบอกลุงว่าเมียของเขาติดโรคเขาไปแล้ว เขาบอกลุงว่าเขามีลูกอยู่คนนึง ยังเด็กอยู่เลย เขาเป็นห่วงไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปกันยังไง เพราะฉะนั้นเขาเลยฝากให้ลุงมาดูแลลูกดูแลเมียของเขาให้ด้วย”

        “…”

        “…แต่ลุงไม่ได้ทำอย่างที่เขาขอไว้”

        “…” น้ำตาเม็ดใสร่วงเผาะลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลก

        “..ลุง..ไม่ได้มาดูแลหนู ดูแลแม่หนู อย่างที่พ่อหนูขอไว้”

        “…”

        “ถ้าเกิดตอนนั้น..ลุงไม่ละเลยสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อของหนู หนูก็คงมีชีวิตดีกว่านี้ แม่หนูก็อาจจะไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้ ..ลุงขอโทษจริงๆ” ความรู้สึกผมว่างเปล่า แต่กลับกันในหัวผมนั้นได้จมจ่อมอยู่กับจินตนาการที่ผุดขึ้นมาในหัวเสียแล้ว

       ..ถ้าคนๆนี้ทำตามที่สัญญากับพ่อผมเอาไว้ ตอนนี้ผมคงกำลังนอนตักนุ่มๆของแม่อยู่ หรือไม่เราก็อาจจะกำลังดูละครหลังข่าวด้วยกัน มีความสุข…มีรอยยิ้ม และใช่ครับ มันคือจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริง ..แต่นั่นก็..เป็นสิทธิ์ของลุงที่จะทำหรือไม่ทำสินะ..? เพราะคำขอของนักโทษที่รอวันประหารอย่างพ่อผมน่ะ..มันไม่แปลกเลยที่จะถูกมองข้ามไป

        “ลุงขอโทษจริงๆนะหนูนะ..” พ่อของเปลวยังคงร่ำคำขอโทษออกมาไม่หยุด

        “พอแล้วพ่อ..” เปลวพูดขึ้นมา “มันผ่านไปแล้ว..ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว”

        “ลุงพึ่งรู้ว่าไม่นานมานี้แม่ของหนูเสียแล้ว ..ลุง..รู้สึกผิดจริงๆ ขอโทษนะ”

        “ลุง..คิดว่าเทียนจะโกรธลุงหรอ..” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

        “…”

        “เทียนเข้าใจลุงดี…” 

        “เทียน..”

        “อ๋อ เข้าใจแล้ว ..เปลวก็รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย ..เพราะงั้นก็เลยเข้ามาเป็นเพื่อนกับเราใช่รึเปล่า..” ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกจุกๆอยู่ตรงช่วงอก ..ผมรู้สึกผิดหวังยังไงก็ไม่รู้ที่มารู้ว่าที่ผ่านมาเปลวดีกับผมเพราะ..สงสาร

        “ไม่ใช่เลยเทียน ..ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด..”

        “เทียนขอบคุณมากๆ แต่ว่าส่งเทียนข้างหน้านั้นก็ได้นะครับลุง ไม่จำเป็นต้องช่วยเทียนก็ได้ ไหนๆทุกอย่างก็จบแล้ว พ่อแม่เทียนไม่อยู่แล้ว ลุงไม่ต้องคิดจะช่วยเทียนแล้วก็ได้ครับ อีกซักพักเดี๋ยวเทียนเองก็คงตามพ่อกับแม่ไป” ผมไม่รู้จะควบคุมอารมณ์ตอนนี้ของตัวเองยังไงดี มันทั้งเสียใจ.. น้อยใจ.. ผิดหวัง และอีกๆหลายความรู้สึกปนกันมั่วไปหมดจนเผลอพูดแบบนั้นออกไป

        “เทียน..อย่าพูดแบบนี้..” เปลวหันมาหาผม น้ำเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ นี่ผมทำให้เพื่อนของผมร้องไห้อีกแล้วหรอ แย่จริงๆเลยเทียนไข

        ฮ่าๆแต่รู้มั้ย…ที่แย่กว่าคือเพื่อนของแกเขาเป็นเพื่อนกับแกเพราะสงสารยังไงล่ะ เพื่อนที่แกรัก ที่แกไว้ใจ..เชื่อใจที่สุด เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับแกเลยเว้ยเทียนไข เขาแค่ ‘สงสาร’ เด็กกำพร้าพ่อกำพร้าแม่ไม่มีที่ไปอย่างแกก็เท่านั้น

        “หรือไม่จริงล่ะ..เปลว..”

        “..ถ้าจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่มึงเลย”

        “…” น้ำตาเม็ดที่สอง สาม และสี่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงโลกโดยอัติโนมัติหลังจากที่ได้ยินคำว่าที่เปลวพูด ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน ..ทำไมผมถึงเจ็บกับคำว่า ‘แล้วแต่’ ของเขามากมายขนาดนี้



        “หนูไปอยู่ด้วยกันนะ หนูไม่ต้องทนทรมานอยู่ตัวคนเดียวแล้ว” ทว่าพ่อของเปลวกลับไม่ปล่อยผมลงไปตามที่ผมขอ เขายังคงขับรถต่อไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ..จากที่เคยถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด ตอนนี้เราทั้งสามคนกลับถูกปกคลุมไปด้วยเสียงสะอื้น



        ใช้เวลาร่วมสิบนาทีจนสุดท้ายแล้วรถคันที่เรานั่งมาก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วหน้าบ้าน คนเป็นพ่อยื่นรีโมตมากดปุ่มอะไรซักอย่างที่ทำให้ประตูรั้วด้านหน้านี้ค่อยๆเลื่อนเปิดออก ภายในประตูรั้วนั้นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่สีขาวสะอาดตัดด้วยหลังคากระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม พ่อขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถจากนั้นเราทั้งสามก็ลงมา

        “ตามสบายเลยนะหนู” พ่อของเปลวบอกผม ก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ผมกับเปลวเปิดหลังรถก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ออกมา เปลวช่วยผมสะพายไปใบนึงเหมือนเดิม แต่ทว่าเราสองคนยังคงนิ่งใส่กันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา



        ผมเลื่อนประตูกระจกสีหม่นให้เปิดออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไป ..ภายในบ้านเหมือนที่เปลวบอกผมเป๊ะเลย ..ทีวีจอใหญ่ ..โซฟากำมะหยี่สีดำ ตื่นเต้นแปลกๆยังไงก็ไม่รู้แต่พอหันไปหาเปลวเพื่อที่จะเล่าความตื่นเต้นให้ฟัง ผมก็ต้องหยุดความตื่นเต้นของตัวเองนั้นซะ ..สีหน้าของเปลวเรียบสนิทไร้ความรู้สึกใดๆ

         ..ผมทำให้เปลวโกรธแล้วใช่มั้ย

        “หนูตามเปลวขึ้นไปบนห้องเลยนะ หนูอยู่ห้องเดียวกับเปลวนะลูก” พ่อของเปลวเดินมาบอกผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

        ‘เปลว รอด้วย’ อยากจะพูดแบบนี้ออกไป แต่ผมก็ทำได้แค่เดินตามหลังเขาต้อยๆโดยไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้



       ไม่นานนักเราก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบานหนึ่ง จากนั้นเปลวก็เปิดมันออกแล้วแทรกตัวเข้าไป ผมเองก็เข้ามาตามเขาติดๆ

       ภายในห้องของเขานั้นถูกตกแต่งด้วยสไตล์เรียบๆแต่ดูคลาสลิคและทันสมัย ผนังห้องสีเทาหม่น เตียงใหญ่ขนาดคิงส์ไซส์อย่างที่เปลวเคยพูดไว้นั้นถูกปูด้วยผ้าปูสีดำและชุดเครื่องนอนโทนสีดำ ตรงหน้าห้องน้ำมีโซฟาอีกตัวนึงสีดำเช่นเดียวกัน ข้างหน้าโซฟามีโต๊ะเตี้ยเป็นกระจกใส มีถุงขนม เศษซากของของเล่นอย่างเลโก้ และหุ่นยนต์กันดั้มตกอยู่ ข้างหน้าเป็นทีวี มีชุดเครื่องเล่นดีวีดีและเครื่องเกมอยู่ข้างล่าง เดาว่าคงเป็นโซนโปรดของเปลวเลยล่ะมั้ง

       “…” แต่ถึงจะเข้ามาในห้องแล้ว เราก็ยังไม่พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว สีหน้าของเปลวยังคงนิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆเหมือนเคย

       ผมไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก ผมวางกระเป๋าตัวเองก่อนจะเดินสำรวจห้องต่อ ..ถัดจากโซนโปรดของเขาแล้วก็เป็นโซนหนังสือ ตรงนี้มีโต๊ะคอม แล้วก็บุ๊คเคสสีขาวตั้งอยู่ข้างๆ บนผนังมีรูปวิวสถานที่แลนด์มาร์กตามประเทศต่างๆติดอยู่หลายรูป ทว่ามีรูปหนึ่งที่ผมติดใจ

       ผมเดินไปหารูปนั้น มันไม่ได้ถูกจัดใส่กรอบรูปเหมือนรูปอื่นๆ แล้วก็ไม่ใช่ภาพพิมพ์เหมือนรูปอื่นๆด้วย หากแต่เป็นเพียงกระดาษเอสี่ธรรมดาๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีไม้หลากหลายสีจนกลายเป็นรูปผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนที่ดูหน้าตาคล้ายเปลว

       “กูกลับมาวาดรูปแล้ว ..อย่างที่มึงขอ” จู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไปด้วย เพียงแต่ยืนดูรูปใบนั้นที่เขาวาดดังเดิม ..องค์ประกอบของภาพล้วนดูสมส่วนไปซะหมดราวกับไม่ใช่ฝีมือของเด็กม.1 อย่างเขา

       “…”

       “เพราะงั้น..มึงช่วยรักษาสัญญาด้วย”

       “…”

       “ห้ามทิ้งความฝัน”

       “…”

       “ห้ามพูดแบบในรถอีก”

       เป็นอีกครั้งที่หยาดน้ำตาเม็ดใสไหลลงอาบแก้ม ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่ผม นี่ผมเผลอทำให้เพื่อนคนสำคัญของผมเสียความรู้สึกไปแล้วสินะ..

       “ขอโทษ..”

       “ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” เขาตอบ ผมหันมาหาเขา แต่เขาไม่ได้มองมาผมเลยซักนิด เปลวกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “จริงๆ..ก็ถูกของมึงแล้วแหละ”

       “…”

       “ครั้งแรกเลยกูเข้าหามึงเพราะสงสาร พ่อกูบอกไว้ว่าให้เข้าหาเด็กที่ชื่อเทียนไข”

       “…”

       “แต่ก็นั่นแหละนั่นมันความรู้สึกตอนครั้งแรกเฉยๆ หลังจากนั้นกูก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวที่ผ่านมาของมึงเท่าไหร่ เพราะมึงก็คือมึง..อย่างที่กูเคยบอก”

       “…”

       “มึงคือเพื่อนกู เพื่อนที่เก่งมากๆที่ผ่านอะไรมามากมายหลากอย่างโดยไม่คิดยอมแพ้”

        “…”

        “มึงที่ดูอ่อนแอ แต่พอเอาเข้าจริงๆมึงกลับแข็งแกร่งมาก กูยังอึ้งอยู่เลยที่มึงนั่งมองแอลกอฮอล์ที่ราดแผลตัวเองได้โดยไม่ร้องออกมาซักแอะ ..นั่นมันทำให้กูได้รู้ว่ามึงน่ะ แข็งแกร่งมากจริงๆ เป็นเทียนไขที่แข็งแกร่งที่สุดเลย”

        “…”

        “ชีวิตมึงอาจจะน่าสงสารก็จริง แต่ขณะเดียวกันกูโคตรนับถือมึงเลยนะ ที่มึงผ่านเรื่องราวร้ายๆต่างๆมาได้ขนาดนี้ ต่อจากนี้กูก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอก แต่..”

        “…”

        “เทียน..ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา”

        “..สัญญา…สัญญาหรอ”

        “ใช่ สัญญา”

        “…”

        “มาถึงตรงนี้แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บอดีตไว้แค่ในความทรงจำก็พอ จดจำเรื่องราวดีๆ ส่วนเรื่องราวร้ายๆก็เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ..แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิต..ที่เป็นของมึงเอง อาจจะไล่ตามความฝัน ..ปาร์ตี้กับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่กับคนที่มึงรัก”

         “…”

         “ทำสิ่งที่มึงชอบ ทำในสิ่งที่มึงรัก พอถึงตอนนั้นแล้วมึงก็จะมีความสุข”

         “เปลวรู้มั้ยว่าทุกอย่างที่เปลวบอกมาเนี่ย สำหรับเราแล้วมันคือสิ่งๆเดียวกันเลย”

         “…”

         “สิ่งนั้นคือ..เปลว”

         “…”

         “แค่มีเปลวเราก็มีความสุขแล้ว”

         “อันนี้ประโยคบอกรักทางอ้อมปะวะ”

         “เฮ้ยไม่ได้หมายความแบบนั้น..” รู้สึกเลือดสูบฉีดมาที่แก้มอย่างหนักหน่วงเหลือเกินครับ “เราหมายถึงอยู่กับเปลวแล้วเรามีความสุขดี”

         “งั้นกูก็คงไม่ต่างจากมึง”

         “…”

         “อยู่กับมึงแล้วมีความสุขดี” อีกครั้ง..ที่หัวใจผมเต้นถี่ระรัวไม่เป็นจังหวะ

         “ขอโทษนะที่ก่อนหน้านี้พูดไปแบบนั้น ก่อนหน้านี้เรายอมรับว่าเราเผลอโกรธเปลวกับพ่อไปนิดหน่อย แต่ตอนนี้เราเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว” ผมพูดไปตามตรง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆเขา

         “ขนาดโกรธนิดนึงนะเนี่ย ถ้าโกรธมากกว่านี้มึงคงเผาบ้านกูอะ” เปลวพูดติดตลก ซึ่งมันก็ได้ผลดีเลย ผมหลุดขำออกมาตามเขา บรรยากาศรอบข้างของเราตึงเครียดน้อยลงเยอะ “เออลืมไปอย่างนึง..”

         “หืม?” ผมหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ

         “ยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังใหม่ครับผม” เปลวพูดด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด “บ้านหลังนี้จะไม่ทำให้มึงต้องร้องไห้อีก ..บ้านหลังนี้มึงจะมีแต่ความสุข” ผมยิ้มก่อนจะกอดอีกฝ่ายแน่น

         “ขอบคุณนะ”



        หัวใจดวงน้อยๆของผมเริ่มผูกกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามันจะทรงพลังมากมายขนาดนี้

        ‘คำสัญญา’ คือสิ่งที่ถูกผมไว้อยู่กับสิ่งที่เปลวบอก

        ‘ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง’

        ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ‘ตลอดไป’ นั้นมันจะนานแค่ไหน แต่ว่า..

        …อย่าผิดสัญญานะ...เปลว








มีต่อนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2019 17:21:19 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
        เสียงอื้ออึงจากลำโพงเครื่องเสียงของทางโรงเรียนดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ พิธีกรที่เป็นคุณครูฝ่ายกิจกรรมดำเนินการทำหน้าที่ของเธออย่างขะมักเขม้นภายใต้เสียงเฮฮาให้กำลังใจของแต่ละแสตนเชียร์

        ‘กีฬาสี’ เริ่มขึ้นแล้ว!



        “เฮ้ยไอ้เทียน ฝากมึงยกน้ำไปให้พวกนักบอลหน่อยดิ พวกไอ้เปลวอะแหละ มันอยู่สนามหลังโรงเรียน แข่งกับสีฟ้าอยู่”

        ‘โก้’ เพื่อนคนใหม่ที่ย้ายเข้ามาตอน ม.4 เดินมาหาผมพร้อมด้วยกระติกน้ำที่เต็มไปด้วยมวลน้ำที่หนักโคตรๆ

        “เออได้ๆ” ผมรับคำก่อนจะผัดเปลี่ยนหน้าที่จากไอ้โก้มาแล้วเดินไปที่สนามหลังโรงเรียน  บรรยากาศวันนี้ครึกครื้นมากครับ หลายคน..ไม่สิ ทุกคนเลยต่างหาก.. ทุกคนวุ่นวายกันไปหมดเลย โดยเฉพาะ ม.5 ที่เป็นชั้นปีของผม ทั้งงานหนัก งานหยาบ งานช้างก็ตกที่ ม.5 เรียกได้ว่า ม.5 เนี่ยเป็นทุกอย่างให้กีฬาสีแล้วจริงๆ เราต้องแบ่งคนไปดูทั้งหลีด ทั้งแสตนเชียร์ แล้วก็กีฬา ซึ่งผมกำลังจะไปดูกีฬา

         วันนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชาย ม.ปลาย ระหว่างสีม่วงกับสีฟ้า ..ห้องผมอยู่สีม่วงครับ กำลังแข่งอยู่กับพวกห้องสิบสองที่อยู่สีฟ้า เห็นมีคนบอกว่าค่อนข้างดุเดือดเลยทีเดียว โกล์ฝั่งของสีฟ้านี่แน่นหนามาก งานหยาบไปเลยสิครับสีม่วงเรา..

         “ตรงนี้ไอ้เทียน!” ใครคนหนึ่งที่อยู่สีม่วงเหมือนกันเรียกผมให้เอาน้ำไปวางตรงนั้น ผมก็เดินไปตามที่เขาเรียกนั่นแหละครับ แต่สายตาผมนี่ไม่ค่อยจะได้มองทางเท่าไหร่เลย มองไปในสนามอย่างเดียว..

         ..เปลวในชุดนักบอลสีม่วงเบอร์ 18 กำลังวิ่งไล่ตามลูกหนังอย่างตั้งอกตั้งใจ เหงื่อของเขาโชกตัวจนเสื้อแนบไปกับแผ่นหลัง ทรงผมของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อจนเปียกชื้นดูยุ่งเหยิงคล้ายกับหนวดปลาหมึก แต่ไม่รู้เหมือนกันทำไมผมถึงคิดว่าเขาเท่มากเลย

 

         ปั่ก!

         ครับ มัวแต่เดินดูนักกีฬา เดินชนเสาไปดิ

         “เอ้าไอ้ควาย55555” เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นมาจากเพื่อนๆคนอื่นๆที่อยู่สีเดียวกัน ผมได้แต่หัวเราะแก้เขินลูบหน้าผากที่ดูเหมือนจะปูดโนขึ้นมาป้อยๆ ก่อนจะเดินมาที่ที่เขาบอกแล้ววางกระติกน้ำลง



         ผ่านมาจะห้าปีแล้วครับที่ผมเป็นแบบนี้ …เดินชนนู่นชนนี่มั่วไปหมดไม่ยอมดูทาง ..บางครั้งก็เหม่อไม่สนใจเพื่อนคนอื่นจนเพื่อนต้องป้าบกลางหัวแรงๆถึงจะรู้สึกตัว แล้วก็ชอบมาป้วนเปี้ยนแถวสนามบอล ค่ำมืดแล้วก็ไม่ยอมกลับบ้าน

         ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาคนเดียวเลยครับ..

         คุณเปลวนั่นแหละ!



         ผมเดินชนเสา ..เดินชนผนัง ..เดินชนต้นไม้ ก็เพราะมัวแต่มองเขา

         ที่เหม่อจนโดนป้าบกลางกระบาลก็เพราะมัวแต่คิดถึงเขา

         ที่มาสนามบอลมาดูนักบอลซ้อมจนมืดค่ำก็เพราะเขาอีกตามเคย ถึงผมจะไม่ชอบฟุตบอลเลยก็เถอะ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นชอบและได้สมัครเป็นนักฟุตบอลลงแข่งกีฬาสีแบบนี้แล้ว ..ผมก็คงต้องชอบมัน

         ส่วนที่มารอจนมืดค่ำก็เพราะว่าต้องกลับบ้านพร้อมกัน ผมต้องรอเขาซ้อมเสร็จถึงจะได้กลับ เปลวเคยไล่ให้ผมกลับไปก่อนเหมือนกันนะแต่ว่าผมเองก็ห่วงเขาไง กลับค่ำเกินหกโมงแบบนี้เรียกว่าเถลไถล เมื่อเถลไถลแล้วก็จะมีแต่อันตรายทั้งนั้น ผมเชื่อแบบนั้นเพราะแม่ผมสอนมาแบบนี้

         นั่นผลพลอยได้ครับ จริงๆก็คืออยากใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากๆแค่นั้นแหละ



         ห้าปีแล้วล่ะครับที่ผมเป็นแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่คิดว่าในใจลึกๆผมก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดีอยู่แล้ว

         ผมชอบเปลว ..นี่แหละครับที่ผมรู้สึกมาตลอด



         “เทียนน้ำๆๆๆๆ ไอ้เทียน!” นั่น ผมเผลอเหม่ออีกแล้วครับ ฮ่าๆ

         “เออๆ แข่งเสร็จแล้วหรอวะ” ผมถาม เมื่อเห็นนักกีฬาคนอื่นๆเริ่มทยอยมาตรงที่ที่ผมอยู่

         “เสร็จแล้วไอ้ควาย เราแพ้”

         “อ่าว กูพึ่งมาได้ไม่นานเสร็จแล้วหรอวะ ไวสัดเลย” สกิลการพูดของผมพัฒนาขึ้นแล้วครับ จาก Lv. หน่อมแน้มเทียน เป็น Lv. หยาบสถุนเทียน ไม่ต้องสืบนะครับว่าพัฒนามาจากใคร

         “ไวกับผีอะดิ มึงหลับในหรอวะไอ้สัด กูฮาว่ะ เด๋อจริงๆเลยมึงเนี่ย” ผมเกาหัวแก้เขินอีกรอบ ยอมรับครับว่าเด๋อจริงวอนอย่าด่าเยอะเพราะด่าไปก็เด๋ออยู่ดี

         ผมแสตนบายแก้วน้ำตักน้ำดื่มรอนักกีฬามาเอาไปดื่ม ซึ่งก็เริ่มทยอยมาหยิบกันแล้วแหละครับ เหลือแต่คุณเปลวกับเดอะแก๊งของเขาอีกสองสามคนที่มัวแต่ยืดเส้นยืดสาย บางคนก็นอนราบไปเลยครับ ส่วนเปลวนั้นแลบลิ้นเป็นหมาหอบแดกเลยครับ โคตรฮา

         “เปลว เอาน้ำเปล่า เดี๋ยวกูเอาไปให้!” ผมตะโกนบอกเขา คุณเชื่อปะว่าเขาต้องเล่นมุข

         “เออกูเอาน้ำเปล่า ไม่เอากาแฟ ไม่เอาชาเขียว” นั่นไงครับ เทียนไขคนนี้ไม่เคยเดาผิดเลยถ้าเป็นเรื่องไอ้คุณเปลว

         ผมยกน้ำใส่ถาดมาหลายแก้วก่อนจะเดินมาหาเขา ที่ใส่มาหลายแก้วไม่ใช่จะเอามาให้เดอะแก๊งเขาดื่มหรอกนะครับ จริงๆเอามาให้เปลวคนเดียวฮ่าๆ ล้อเล่น

         “โต้ แม็ก ไอ้เท็นเอาน้ำเปล่า กูเอามาให้ หยิบเลยๆ” ผมตะโกนเรียกนักกีฬาคนอื่นๆมาหยิบน้ำ

         “ไรวะเรียกคนอื่นไม่เห็นมีไอ้เลย ทำไมเรียกกูมีไอ้อะ ลำเอียงว่ะเทียน กูนอยด์” ไอ้เท็นพูดติดตลก เอาจริงๆไอ้เท็นนี่ผมสุภาพกับมันไม่ได้จริงๆครับ สุภาพแล้วตลกมาก เชื่อว่าน่าจะเคยเป็นกันนะครับกับอาการที่ประมาณว่าคนๆนี้แม่งต้องหยาบใส่  ส่วนคนๆนี้หยาบใส่ไม่ได้ต้องภาษาดอกไม้เท่านั้น

          “โอ๋เอ๋นะที่รัก” ผมเดินเอาแก้วน้ำไปง้อมัน

          “ดีมากค่ะป๋าของหนู” และมันก็ทำท่ากวนตีนเหมือนน้องเบอร์ตองในตู้กระจก

          “ฟัคยูค่ะน้องส้ม” ผมชูนิ้วกลางใส่น้องส้ม ..ชื่อในวงการของไอ้เท็นมันอะ ก่อนจะเดินกลับมาหาเปลวเหมือนเดิม

          “เป็นไงมึง เหงื่อโชกเชียว” ผมถามไถ่อย่างเป็นห่วง เอาจริงๆนี่แยกไม่ออกแล้วว่าพึ่งเล่นบอลหรือพึ่งอาบน้ำ

          “แอมฟายแต๊งกิ้ว” และมันตอบ สีม่วงมีใครปกติไหมวะเอาดีๆ

          “แซดปะที่แพ้” ผมถามต่อ

          “แอมโซแซดเลยพี่ครับ ไอ้เวรเอ้ยประตูสีฟ้าแม่งเก่งสัดเลย ขนาดยิงลูกโทษกูยังยิงไม่เข้า”

          “มึงกากเองเปล่าเปลว” ผมกวนตีนไปหนึ่งสเต็ป

          “เนี่ยดูดิ ไม่เคยจะให้กำลังใจกูอะเทียน เดี๋ยวนี้น้า อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปหมดแหละ ใช่สิ้กูมันไม่สำคัญแล้วไง” แล้วก็พบกับสเต็ปที่เล่นใหญ่กว่าของไอ้เปลว

          “สู้ๆน้า อะให้กำลังใจละ” ผมชูสองนิ้วให้ ยิ้มแฉ่งบอกมันสู้ๆก่อนจะหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว

          “มึงเฟคมากสัด” เปลวหัวเราะร่วนออกมาอย่างมีความสุข …ผมเองก็ไม่ต่าง

          โคตรมีความสุขเลย ที่ได้คุยกันเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้แบบนี้



          “มึง ไอ้กุ้งโทรมาบอกว่าให้ไปช่วยเก็บสแตน แข่งจบแล้ว” หนึ่งในสีม่วงพูดขึ้นมา ดึงเอาความสนใจของทุกคนไปซะหมด ไม่เว้นแม้แต่ผม สิ่งที่เธอพูดเหมือนกับแสงสว่างปลายอุโมงค์เลยครับ กีฬาสีสูบพลังได้จบลงแล้ว เหลือแค่เก็บข้าวเก็บของ แล้วเราก็จะกลับบ้านได้แล้ว!

          ไม่รอช้าครับ ผมรีบเดินไปที่แสตนทันที คนอื่นๆก็เดินตามผมมาเหมือนกันนะครับ แต่พวกนักกีฬาคงต้องไปเปลี่ยนชุดกันก่อน แต่อย่างไอ้คุณเปลวนี่ผมว่าแม่งควรอาบน้ำใหม่เลยอะ



          “แสตนเราชนะเว้ยมึง กูดีใจ ฮือ อุตส่าห์ทำพร็อบ อุตส่าห์คิดท่า ฮือ มันสำเร็จแล้ว ..กูดีใจ” พวกคนอื่นๆที่คุมแสตนดีใจกันยกใหญ่เมื่อผลประกาศออกมาแล้วปรากฎว่าถ้วยสแตนเป็นของสีม่วง บางคนก็ถึงกับน้ำตาไหลเลยทีเดียว ผมก็ดีใจเหมือนกันนะถึงเราจะไม่ได้กีฬาแต่อย่างน้อยเราก็ได้แสตนแหละวะ

          ผมกับคนอื่นๆกระจายกันไปพร็อบต่างๆที่ใช้บนแสตน แล้วก็พร็อบตกแต่งแสตนอย่างอื่นกันอย่างเป็นระบบ ยกเว้นคัตเอาท์ที่ทางโรงเรียนให้เอาไว้โชว์บนแสตน ..ใช้เวลาไม่นานนักสแตนก็กลับมาว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยได้อีกครั้งหนึ่ง

          มนุษย์หมีแพนด้าหลายคนเริ่มสลบเหมือดไปตรงนั้นเมื่อเก็บของเสร็จ เอาจริงๆบางคนก็ยังไม่ได้นอนเลยครับตั้งแต่เมื่อคืน เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่โคตรสูบพลังจริงๆ



        Rrrrrrrrrr

        “ฮัลโหล” ผมกดรับโทรศัพท์ก่อนจะกระแอมกระไอเล็กน้อยแล้วกรอกเสียงหล่อๆของผมลงไป

        [สวัสดีจ้า กูเอง..เปลวไฟแห่งความเหี้ยมโหด วะฮะฮ่า]

        “ขอโทษนะครับ ประกันคุณก็อกก๋อยมาก ผมไม่ซื้อครับ ลาก่อน” เป็นคุณเปลวนี่เองที่โทรมา สงสัยจะเรียกให้ผมกลับบ้านแล้วล่ะมั้งครับ เขาเองก็คงจะเหนื่อย

         [สัด มึงกวนตีนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ]

         ”มีอะไรครับคุณ รีบพูดมาเลย ผมธุระเยอะนะ เดี๋ยวต้องบินไปแสดงคอนเสิร์ตที่ต่างประเทศอีก”

         [จะกลับบ้านยัง]

         “มึงอยากกลับรึยังล่ะ”

         [อยากมากแบบโคตรมากเลยครับ โคตรเหนื่อย.. อยากนอน]

         “งั้นกลับเลยก็ได้” ไม่เถียงเลยครับว่าวันนี้มันเหนื่อยขนาดไหน มีอะไรเยอะแยะมากมายเลยที่ต้องทำในงานกีฬาสี แต่สุดท้ายแล้วผมกับเพื่อนคนอื่นๆก็ผ่านมันมาได้ รางวัลจากความเหน็ดเหนื่อยครั้งนี้นอกจากถ้วยรางวัลแล้วก็คงเป็นความสนุก..ละมั้งครับ

        ถึงจะเหนื่อย ..แต่ในความเหน็ดเหนื่อยนั้น พวกเราเองก็สนุกกันมากๆ ทุกๆคนต่างร่วมด้วยช่วยกัน สามัคคีกันด้วยความบ้าบออย่างสุดขีด ถึงแม้จะมีหลุดกรอบ มีปัญหาที่คาดไม่ถึงบ้าง แต่เราก็ช่วยกันแก้ปัญหาจนสุดท้ายแล้วเราก็ผ่านปัญหานั้นไป และมีความสุขกับรางวัลล้ำค่าที่ยากจะลืมเลือน

       ‘ความสนุก’ อันเกิดจากความสามัคคีของเพื่อนๆทุกคน

         [จะมาเอากระเป๋าที่ห้องคณะสีปะ กูรออยู่นี่นะ รีบมา]

         “โอเค”

         เออแต่..เอาจริงๆถ้าคุยกันดีๆแบบนี้ก็คงรู้เรื่องกันตั้งนานแล้วปะวะคุณ 







         สองเท้าของผมก้าวสลับซ้ายและขวาไปเรื่อยๆจนไปหยุดที่จุดหมายที่นัดกับคุณเปลวเขาไว้ แต่พอมาถึงห้องคณะสีที่ว่า..ผมกลับไม่เจอคุณเขาเลยแม้แต่เงา

        “เปลว..?” ผมใช้แขนข้างหนึ่งดันประตูกระจกตรงหน้าก่อนจะแทรกตัวเข้าไปด้านใน ภายในห้องค่อนข้างมืดเพราะไร้ที่ทางให้แสงเล็ดลอดเข้ามา ซ้ำด้วยสภาพที่เป็นห้องกึ่งๆห้องเก็บของ

        ใช้เวลาชั่วขณะในการเดินไปหยุดอยู่หน้าล็อกเกอร์ที่ผมเอากระเป๋ามาเก็บไว้ ..จริงๆผมคิดว่าที่เปลวพูดอาจจะหมายถึงบอกล่วงหน้าว่าจะมาเอากระเป๋าที่ห้องนี้ แต่พอเปิดล็อกเกอร์ดูแล้วกระเป๋าที่อยู่ข้างในก็มีแต่ใบของผมแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นหมายความว่า…เปลวกลับไปก่อนผมแล้วนั่นเอง

        ช่างเถอะ

        เปลวคง…เหนื่อย ..เลยอยากจะกลับบ้านไปนอนพักเร็วๆล่ะมั้ง



        พอคิดได้ดังนั้นแล้วผมจึงหยิบกระเป๋าผมออกมาสะพายแล้วหันกลับไปทางประตูเช่นเดิม



        ผัวะ!

        ..และขณะที่กำลังหันกลับมานั่นเอง จู่ๆโลกที่ผมเห็นก็โอนเอียง เซล้มจนมุมมองที่เห็นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

 

        “เงินกูเมื่อไหร่มึงจะคืน!!!!!” เสียงแข็งกร้าวตวาดลั่นพร้อมกับกระชากคอเสื้อของผมขึ้นไปอย่างรุนแรง ความรู้สึกแสบๆชาๆเกิดขึ้นที่มุมปาก

        “มึงรู้มั้ยว่านี่มันเงินแม่กู แม่กูให้ยืมมาใช้ในงานสีก็เพราะคนในห้องบอกว่าจะคืนภายในวันนี้ และใช่..ทุกคนคืนกูหมดแล้ว ยกเว้นมึงกับไอ้เหี้ยเปลว!” มือแกร่งขยำคอเสื้อในมืออย่างเดือดดาลพร้อมกับเขย่าร่างผมทั้งร่างอย่างบ้าคลั่ง ภาพตรงหน้าที่เห็นสลัวเบลอไปด้วยม่านน้ำตาแห่งความหวาดกลัว ถึงแม้จะจับจุดไม่ได้ว่าตอนนี้ข้างหน้าผมมีอยู่กี่คนแต่ก็พอจะจำได้อยู่ว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร

        “พ..พรุ่งนี้..” ผมเอ่ยอ้อนวอนด้วยเสียงแหบพร่า ..เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่กิจกรรมโรงเรียนอันมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างประสบการณ์การทำงานให้นักเรียนอย่างกีฬาภายในที่เรียกว่ากีฬาสีนั้น…ไม่ได้มีแค่ด้านที่แสนสนุกน่าจดจำ

       อีกด้านหนึ่งที่ทุกคนต่างรู้ดี.. ปัญหาล้านแปดจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาจากการสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ปัญหาจากครูอาจารย์ที่อยากได้งานละเอียดงานดีๆแต่ไม่ได้ช่วยทำอะไรเลยนอกจากพูดกดดันไปวันๆ แล้วไหนจะงบประมาณโรงเรียนที่ให้มา ‘หนึ่งหมื่นบาท’ นี่อีก แค่ค่าอาหารกลางวันกับน้ำของนักกีฬาก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ถึงแม้โรงเรียนจะมีนโยบายที่เป็นข้อห้ามเลยว่าห้ามให้นักเรียนเก็บเงินกันเอง แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับทุกทางแบบนี้แล้ว ทางออกเดียวที่มีก็คือแหกข้อห้ามนั้น

       และใช่...สีของผม เราทุกคนตกลงกันว่าจะช่วยกันออก ตอนแรกเราช่วยกันคนละห้าร้อย แต่นั่นก็ยังไม่พอค่าพร็อบ ค่าคัตเอาท์ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ เราจึงตกลงกันอีกครั้งว่าจะให้ใครซักคนออกไปก่อน ซึ่งคนที่ดูจะเสียสละส่วนนี้ได้โดยไม่มีปัญหาเลยก็คือ..ภูมิ คนที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ ..แต่ใครจะไปรู้ว่านั่นมันแค่ระยะเดียวเท่านั้น

       ไม่นานหลังจากที่ภูมิออกเงินไปแล้วเจ็ดหมื่นหมื่น ปัญหาที่เขาเคยพูดเองว่าจะไม่มีก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ซึ่งตรงนี้ผมก็เข้าใจเขาอยู่ เลยตกลงกับคนทั้งห้องไว้ว่าจะออกเงินคืนให้มันกันคนละสามพัน ขีดเส้นตายไว้ว่าวันนี้ ทว่าทุกอย่างกลับผกผันไปหมดเมื่อทางฝั่งมนุษย์เงินเดือนอย่างพ่อเปลวก็วนเข้ามาในช่วงปลายเดือนอย่างนี้

        “ภูมิ…ใจเย็นๆก่อน คือพ่อเปลวเขายังไม่มีตังค์เลยอะช่วงนี้ รอก่อนได้ไหม..” ผมพยายามคุมสติ กลั้นใจกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก

        “กูต้องรออีกนานแค่ไหนวะ ก่อนหน้านี้ที่มีเงินทำไมไม่จ่ายอะ ทีงี้มาเรียกร้องว่ากำลังจนๆ ทุเรศปะ อย่ามาเอาเปรียบคนอื่นไอ้ควาย!” มือแกร่งที่กอบกุมคอเสื้อของผมอยู่สะบัดออกพร้อมกับออกแรงผลักอย่างรุนแรงจนศีรษะกระแทกไปกับพื้นปูน ส่วนคนอื่นๆที่มากับภูมิก็แสยะหัวเราะเยาะยิ้มอย่างสะใจ ขณะเดียวกันริมฝีปากพวกเขาก็ขยับขึ้นลงเป็นคำพูดร้ายๆส่งเสริมสิ่งที่ภูมิพูดออกมาเมื่อครู่อยู่เรื่อยๆ

        “มึงรู้มั้ยว่าการที่มึงทำตัวทุเรศๆแบบนี้มันทำให้ครอบครัวกูเดือดร้อนไอ้เหี้ย!” ภูมิลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับชี้หน้าผมตวาดถ้อยคำร้ายๆออกมาเสียงดังไปทั้งบริเวณ

         ภาพตัวผมในวัยเด็กฉายซ้ำขึ้นมาในหัว …เด็กชายเทียนไขที่มีแต่แผลฟกช้ำตามตัว ผมจำรสชาติความเจ็บปวดในตอนนั้นได้ดีและมันก็เฝ้าหลอกหลอนผมมาตลอดถึงแม้จะจางๆไปบ้าง แต่ตอนนี้...ภาพเหล่านั้นได้กลับมาชัดเจนอีกครั้งแล้ว ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าบัวในโคลนตมก็ยังเป็นบัวในโคลนตมอยู่วันยันค่ำ อย่าได้ริอาจโผล่ดอกเน่าๆไปบนผิวน้ำให้ใครได้พบเห็น เพราะไม่ว่าใครเขาต่างก็..รังเกียจ

        “ร..เราขอโทษ เดี๋ยวจะคืนภูมิแน่ๆ พรุ่งนี้นะ..พรุ่งนี้ เราสาบาน”

        “ก็รอดูแล้วกันว่ามึงจะมีพรุ่งนี้หรือเปล่า!!!” เสียงแข็งกร้าวตวาดลั่นขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้คนตรงหน้าผมไม่ได้พูดเปล่า ฝ่าเท้าหนักๆของเขากดลงที่ช่วงท้องของผมอย่างรุนแรงในขณะที่ผมไม่ทันตั้งตัว และทันทีที่ปลายรองเท้าผ้าใบสีดำของเขากระทืบลงมานั่นเอง ทั้งหมัด ฝ่าเท้า แข้ง ขา ของใครต่อใครก็ไม่รู้ก็กระหน่ำเข้าใส่ผมอย่างหนักหน่วง

        “พอแล้ว..ฮือ ยอมแล้ว ร..เราขอโทษ..” …ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่ขอร้องอ้อนวอนออกไปซ้ำๆหวังว่าอีกฝ่ายจะหยุดการกระทำนี้ลง แต่ก็ดูเหมือนว่า..     

        “กูเกลียดมึงไอ้เหี้ยเทียน!!” ..มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

        ที่พึ่งสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่ก็คงจะมีแค่เขาคนเดียว…มีแค่เปลวคนเดียวที่จะหยุดคนเหล่านี้ได้ ดังนั้นผมจึงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่พอจะหลงเหลืออยู่พยายามยันตัวเองขึ้นมาต่อต้านแรงหมัดแรงเท้าที่กระทำกับตัวผมอยู่



        ตุบ!

        และมันก็ล้มเหลว ปลายคางของผมกระแทกกับพื้นปูนอย่างแรงจนกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมาในปาก แต่ผมก็ยังคงพยายามดิ้นรนต่อไป ..ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมพยายามคลานเข้าไปหาโทรศัพท์ที่ตกอยู่ไม่ไกลเพื่อหวังจะติดต่อเปลว

        “เหมือนหมาเลยนะมึง” อีกฝ่ายแค่นขำพูดออกมาหน้าตายอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ “ได้ข่าวว่าไปอาศัยบ้านเขาอยู่ด้วยนี่หว่า จริงๆเป็นเด็กสลัมไม่มีพ่อไม่มีแม่”

        …ผิดแผกกับผมที่รู้สึกเหมือนถูกมีดแหลมๆกรีดลงกลางใจ

        “เปลว..” ผมพูดออกไปเสียงแผ่วเบาด้วยลมหายใจที่กำลังรวยริน ภาพใบหน้ายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะอันเต็มไปด้วยความสุขสันต์ของเปลวปรากฎขึ้นมาในหัว เป็นพลังให้ผมพอที่จะขยับเข้าไปใกล้อีกคืบจนสัมผัสกับตัวโทรศัพท์ได้สำเร็จ

        “จะโทรหาไอ้เปลวหรอ..?” แต่แล้วก็ล้มเหลวอีกครั้ง ฝ่ามือของผมที่กำลังเอื้อมไปหยิบถูกพื้นรองเท้าผ้าใบเหยียบอย่างรุนแรงราวกับจะให้กระดูกภายในแตกหักเป็นเถ้าธุลี

       ”เปลว…ป..เปลว” ผมยังคงเรียกชื่อเปลวอยู่แบบนั้นเรื่อยๆ น้ำตาเม็ดใสไหลอาบสองข้างแก้มจนโลกที่ผมเห็นพร่าเบลอไปหมด ความเจ็บปวดทุกเซลล์สัมผัสมันชัดเจนและหนักหน่วงจนผมไม่อาจขยับเขยื้อนได้

        “หึ.. ตลกว่ะ” ตอนนั้น...สิ่งที่ผมกลัวมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และสิ่งนั้นคือ ผมกลัว..กลัวที่จะไม่ได้เห็นหน้าเปลวอีกต่อไป “มึงจะรู้บ้างมั้ยวะไอ้เทียน..”

        “…” แต่ผมไม่เคยรู้เลย..

        “..ว่าที่มึงต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะไอ้เปลวนั่นแหละ”

        “…” ..ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดตระหนักถึงความเป็นจริง

        “ไอ้เปลวมันหนี แล้วมันก็ทิ้งมึงไว้แบบนี้ไงไอ้เทียน”

         “…” เอาแต่จมอยู่กับโลกสีสดใสในจินตนาการและภาพความฝัน หวังลมๆแล้งๆว่ามันจะเป็นความจริง

         “ไม่สิ..มันไม่ได้ทิ้งมึง”

         “…”

         “มันหลอกให้มึงมาที่นี่เลยต่างหาก เพราะมึงมันโง่!”

       

       

 

       

         

         



















           ครั้งหนึ่งผมเคยได้รู้จักเทวดาใจดี คนๆนั้นเขามักจะช่วยผมทุกเรื่อง คอยสร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะกับผมอยู่เสมอ ผมไม่เคยเบื่อเลยเวลาที่อยู่กับเขา  ..เทวดาคนนี้ช่างร่าเริง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม     

           ‘เปลว’ เขาบอกผมว่านี่คือชื่อของเขา ครั้งแรกที่เราเจอหน้ากัน จู่ๆเขาก็เข้ามาทักผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมวันนั้นเปลวถึงเลือกที่จะเข้ามาทักผม บางทีอาจจะเป็นเพราะ..โชคชะตา รึเปล่า...

       โชคชะตาที่..พัดพาเปลวไฟอย่างเขาล่องลอยมาจุดประกายเทียนไขที่มอดดับไร้แสงสว่างอย่างผม จนทำให้เทียนไขเล่มนี้..ส่องสว่างได้อย่างงดงามอีกครั้ง

       ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนไขอย่างผมรู้จักยิ้มและหัวเราะ

       ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนไขอย่างผมได้มีเพื่อน..อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

       ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนอย่างผมกล้าพูด กล้าคิด และกล้าที่จะใช้ชีวิตเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ

       และ.. ‘เปลวจุดเทียน’ ให้เทียนไขอย่างผม รู้จัก ‘ความสุข’  ‘ความทรงจำ’ และ ‘ความเจ็บปวด’

       



         











       

         



 

       

       



 

       

 







       

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2019 17:26:34 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 :a5:
ทำไมเปลวทำงี้อะ
แล้วเทียนไม่ใช่เพื่อนเปลวเหรอ
พูดออกมาได้ เฮงซวย!!!
เปลวอย่าได้เป็นพระเอกเลย  :beat:

 :pig4:

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
โหหหหหหหห  Iเปลว ทำไมเป็นคนแบบนี้ เปลี่ยนพระเอกเป็นเท็นค่ะ ไม่โอเคเลย  ไม่เห็นเทียนเป็นเพื่อนเลยรึไง รึว่านอนด้วยกันทุกวันก็แอบคิดรึอะไร

ไม่เข้าใจเปลว

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ใจสลายเลยเปลวเหี้ยมากพวกเปลวเล่นสารเสพติดหรือเปล่า
ถ้าเปลวคนเดียวพอว่าแต่หลายคนแนวรุมโทรมสำหรับเรามันสกปรกต้องขอโทษนะคะที่ใช้คำนี้
ปกติรับได้ฉากข่มขื่นแต่ต้องโดนคนเดียว หรือฉากร่วมรักสามคนขึ้นไปเราไม่อ่านเลยรับไม่ได้ค่ะเสียความรู้สึกเลยเจอบทนี้จริงๆชอบเรื่องนี้คอยติดตามตลอด เฮ้อ :hao5: :ling1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2018 00:09:51 โดย Chompoo reangkarn »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
วันนี้จะมาอัพตอนที่4-5นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เฮ้ย​ อะไรอ่ะ​ ทำไม​ยังทำกับเทียนแบบนี้เปลวยังเป็นคนอยู่มั้ย​ แม็กกับโต้ยังเป็นคนอยู่มั้ย​ พอกับคนแบบเปลวเถอะโคตรสารเลวเลย​ ทำกับเพื่อนแบบนี้หรอ​ ชีวิตเทียนจะยังไงต่อไป​

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2018 21:22:06 โดย Chompoo reangkarn »

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ

คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ ข่มขืนไม่มช่เรื่องที่ควรเกิดซ้ำๆ และมันไม่ควรจบที่พระเอกนายเอกรักกัน ไม่โอเคมากๆ ตอนแรกนึกว่าเปลวจะเมาแล้วมีอะไรกับเทียน แต่นี่เหมือนเดิมหลอกเทียนมารุมโทรมโอโห เชว เลวรับไม่ได้

sex harassment ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นนิยายก็ตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2018 21:41:41 โดย Ti0590 »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ

ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนะคะแล้วก็ขอบคุณสำหรับคำติชมด้วยค่ะ เราขออนุญาตเก็บทุกคำพูดของคุณไว้เพื่อปรับปรุงและพัฒนางานเขียนของเราในอนาคตนะคะ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
จริงๆนิยายเรื่องนี้เราเคยลงในเด็กดีไปแล้วถึงตอนที่6 ทีนี้มีแพลนว่าจะเอามาลงในเล้าด้วย ก็เลยทยอยอัพลงให้เร็วที่สุดให้พร้อมกับเด็กดี ถ้าคุณผู้อ่านอยากรู้ว่าเนื้อหาต่อจากนี้เป็นยังไงไปอ่านในเด็กดีได้นะคะ นิยายเรื่องที่คุณเคยเจออาจจะจบแบบนายเอกพระเอกรักกัน แต่อาจจะไม่ใช่กับนิยายเรื่องนี้ก็ได้นะคะ ตัวละครทุกตัวในนิยายเรื่องใดก็ตามในไคลแมกซ์ก็ต้องมีรีเฟลกซ์ของการกระทำอยู่แล้ว และก็เช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ค่ะ ตัวเปลวเองก็มีรีเฟลกซ์ของการกระทำของเขา ซึ่งอยู่ในตอนถัดๆไป อีกอย่างคือเราไม่เคยคิดสนับสนุน sex harassment ค่ะ ถ้าเนื้อเรื่องที่เรานำเสนอมีส่วนไหนที่แสดงถึงการสนับสนุนการคุกคามทางเพศเราขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
วนลูปแบบเดิมให้เทียนรับกรรมโดนรุมโทรม เชื่อใจเปลวเกินไป อ่านไปเซ็งเลยนึกว่าสำนึกบาปกันจริง พระเอกเหี้ยเกินทน กะเลิกอ่านตั้งแต่เจอบทรุมข่มขื่นตอนที่สามแล้วแต่เห็นตอนนี้อัพอาจดีขึ้นแต่เนื้อเรื่องยังคงดำเนินให้รุมข่มขื่นอีกจากที่เคยเม้นท์ตอนที่สามคือรับได้กับฉากขมขื่นแต่ต้องคนเดียวถ้ามากเหมือนหมาหมู่(ขอโทษใช้คำหยาบ)ไม่ไหวค่ะไม่สร้างสรรอ่านไปขนลุกซู่มันน่ากลัว  ที่สำคัญมักจบแบบพระ-นายรักกันทั้งที่พระเอกเลวขนาดให้คนอื่นมาข่มขื่นอีกถ้าจะดร่ามาแบบนี่ต่อจนจบก็ขอให้จบแบบแก้แค้นไม่สมหวังไม่รักกัน  แต่เราขอเลิกติดตามอ่านต่อรับไม่ไหวค่ะ.    ขอหักลบ1 ออกนะคะ

คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ ข่มขืนไม่มช่เรื่องที่ควรเกิดซ้ำๆ และมันไม่ควรจบที่พระเอกนายเอกรักกัน ไม่โอเคมากๆ ตอนแรกนึกว่าเปลวจะเมาแล้วมีอะไรกับเทียน แต่นี่เหมือนเดิมหลอกเทียนมารุมโทรมโอโห เชว เลวรับไม่ได้

sex harassment ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถึงแม้จะเป็นนิยายก็ตาม

ถ้ามีส่วนไหนของเนื้อหาที่แสดงถึงการสนับสนุน sex harassment เราขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่ตัวเราเองไม่เคยคิดที่จะสนับสนุน sex harassment เลยค่ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำติชมนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2018 22:35:44 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
เครียด รอภาคมหาลัย เทียนจะเข้มแข็งได้รึเปล่า ขออ่านผ่านๆ หน่วงจิตหน่วงใจเกินไป นิยายนะนิยาย

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ไปตามอ่านในเด็กดีมาแล้วนะคะ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ทั้งตัวไรท์เองและตัวละครทุกตัวด้วย   :mew1:

ออฟไลน์ Opolniscute

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮือออออ สนุกมากกกก  อ่านไปน้ำตาไหลไปติดตามค่ะ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai1: แค่ชิวิตปกติก็ดราม่าแล้ว ถ้าต้องแตกกับใหม่เพรทะผู้ชายอีกนี่....ปวดตับมากเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด