03
เปลวจุดเทียน
“…” ผมทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เปลวพูดออกมา นี่เขาจะให้ผมไปอยู่กับเขาหรอ..
“ก็..กูคิดว่ามึงอาจจะลำบากถ้าอยู่คนเดียวแบบนั้น” เขาอธิบาย “ไหนจะเรื่องค่ากินค่าอยู่ ..ถ้ามึงอยู่คนเดียวแบบนี้ซักวันมึงก็อาจจะอยู่ไม่ไหว ซึ่งกู..ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”
“…”
“วันนั้นหลังจากมึงหมดสติพ่อกูก็มาถึงพอดี จริงๆกูก็อยากจะพามึงไปอยู่กับกูตั้งแต่วันนั้นเลยเหมือนกัน แต่ว่าพ่อกูเนี่ยสิ เขาไม่ได้ใจดีขนาดที่จู่ๆจะยอมรับใครก็ไม่รู้มาอยู่ด้วยกันได้ สิ่งที่กูทำเลยเป็นการไปบอกคนที่อยู่บ้านข้างๆให้พามึงไปโรงพยาบาลแทน ส่วนกูก็ไปคุยกับพ่อเรื่องของมึงตั้งแต่วันนั้นเลย”
“เปลว..ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้..” ผมพูดออกไปด้วยความเกรงใจ แค่นี้เขาก็ช่วยผมมามากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาคนอย่างผมไปเป็นภาระเลย
“มึงอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นภาระกู..” นั่น รู้ทันอีก
“…”
“แต่จริงๆไม่เลยเว้ย มึงไม่ใช่ภาระเลย สำหรับกู” เปลวพูดด้วยสีหน้าจริงจังทำเอาผมประหม่าซะจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติกลับมาสู่ความเป็นจริงที่ว่า ผมน่ะ..ไม่คู่ควรที่จะไปอยู่ที่แบบนั้นหรอก..
“ยังไงก็คงไม่ได้หรอกเปลว ..เราเป็นคนไม่ดี เรานิสัยแย่เกินกว่าจะไปอยู่กับคนอื่นได้” ผมพยายามบอกเปลวอ้อมๆ เพราะถ้าให้พูดไปตรงๆว่าผมขี้ขโมยก็กลัวว่าเปลวจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมอีกต่อไป ..แต่เอาจริงๆเปลวก็น่าจะรับรู้หมดแล้วแหละ เขาก็น่าจะได้ยินสิ่งที่ไอ้สามคนนั้นมันว่าผม
“เดี๋ยวก่อนนะ อันนี้กูไม่ได้ให้มึงเลือกนะเพื่อน”
“…”
“มึง ‘ต้อง’ ไปอยู่กับกู” ผมหันไปมองคนข้างๆด้วยใบหน้าที่เหลอหลาหนักกว่าเดิม นี่ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเลยหรอ..
“เปลวเผด็จการว่ะ..” ผมหันไปบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว
“กูได้ยินนะ” อ่าวเวรกรรม.. “ที่กูต้องบังคับมึงแบบนี้เพราะพ่อกูอนุญาตแล้ว ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะเว้ยเทียนกว่าเขาจะยอมเข้าใจกู มึงรู้มั้ยกูต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้นกี่รอบ”
“..เปลวทำจริงอะ..” ผมหลุดขำ คนอย่างเปลวเนี่ยนะจะนอนดิ้นเวลาถูกขัดใจ คิดไม่ถึงเลย
“กูก็เวอร์ไปงั้นแหละ วิธีของกูคือพูดกรอกหูเขาทุกวันๆ แล้วก็ทุกครั้งที่เจอหน้า จนสุดท้ายเขาก็ยอมกู ฮ่าๆ ..ไม่รู้ว่ายอมหรือรำคาญ แต่ก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่ามึงต้องมาอยู่กับกู ..ตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้”
“ฮะ? ว..วันนี้เลยหรอ”
“วันนี้เลย เลิกเรียนแล้วไปเก็บเสื้อผ้ากับของที่จำเป็นมา โอเคเปล่า”
“…”
“ไม่ตอบถือว่าโอเคนะ ..โอเค ตามนี้ เดี๋ยวเลิกเรียนกูไปกับมึงด้วย..ช่วยกันเก็บของ”
สรุปแล้วเปลวก็พูดเอาเองเสร็จสรรพโดยไม่เว้นช่องว่างให้ผมตอบกลับหรือโต้แย้งอะไรได้เลย..
จริงๆแล้ว ผมน่ะจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นใต้สะพานลอย ..บนสะพานลอย ..ข้างถนนหรือตามป้ายรถเมล์ ผมก็อยู่ได้ทั้งนั้น แต่ช้อยส์บ้านของเปลวเนี่ย..มันไม่เคยมีอยู่ในหัวผมเลยครับ ผมไม่รู้ว่าคนอย่างผมจะไปอยู่กับครอบครัวเปลวได้มั้ย ผมจะเผลอทำอะไรแย่ๆลงไปหรือเปล่า ครอบครัวนั้นจะรังเกียจผมมั้ย
แต่ขณะเดียวกันถ้าผมเลือกดั้นด้นที่จะอยู่บ้านหลังเดิมคนเดียวต่อไป ผมก็อาจจะอยู่ไม่ไหวจริงๆอย่างที่เปลวว่า การที่ผมขโมยของคนอื่น ผมต้องเปลี่ยนที่ขโมยไปเรื่อยๆไม่สามารถขโมยอยู่กับร้านเดิมๆ แหล่งเดิมๆได้ ทั้งนี้ก็เพื่อหนีไม่ให้ใครจำหน้าผมได้ แต่การเปลี่ยนที่แบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ให้มากขึ้นๆเหมือนกัน สุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไงซักวันผมก็ต้องถูกจับได้อยู่ดี พอถึงวันนั้นทุกอย่างก็อาจจะต้องจบลง
การไปอยู่กับเขาคงจะเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ผมเลือกซะด้วย
เพราะงั้นผมก็คง..ต้องไปอยู่กับเขาจริงๆแหละมั้ง
“ไว้วันไหนว่างๆจะมานอนเล่นที่บ้านมึงก็ได้นะ” เปลวบอกผมด้วยสายตาที่จ้องลึกเข้ามาในนัยน์ตาผมราวกับรู้ดีว่าที่บ้านหลังนั้นสำหรับผมแล้วมันสำคัญขนาดไหน ราวกับ..รู้ดีว่าบ้านหลังนั้นเป็นความทรงจำที่แสนงดงามของผม ราวกับ..เข้าใจความรู้สึกของผม..
“ขอบคุณนะ” ขอบคุณที่ช่วยผมทุกๆอย่าง ขอบคุณที่เข้าใจกันนะเปลว
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพื่อนกูกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติกูก็ต้องช่วยปะวะ”
“แต่ก็อยากขอบคุณอยู่ดี ขอบคุณนะเปลว” ผมยิ้มให้เขา แต่สงสัยรอยยิ้มของผมอาจจะทำให้เขาหมั่นไส้ เขาเลยโบ้ฝ่ามือลงกระบาลผมไปทีนึง มันไม่ได้แรงมากหรอกครับ ..หัวผมโยกเลยทีเดียว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมกลับรู้สึกอบอุ่นใจมากกว่าจะโกรธเคืองอีกฝ่าย
“เออๆรู้แล้ว” แล้วเขาก็เดินกอดคอผมไปแบบนั้นจนถึงห้องเรียน..
“เทียน เป็นไงบ้างวะ ได้ข่าวว่าโดนพวกห้องบ๊วยต่อย” หนึ่งในเพื่อนในห้องถามผม
“เจ็บดิครับ ฮ่าๆ” ผมตอบพร้อมกับหัวเราะร่วน รูปประโยคการตอบกวนส้นเท้าแบบนี้ก็เปลวนี่แหละครับที่ผมซึบซับเขามา ต้องขอบคุณเขาอีกเหมือนกันที่สอนให้ผมมั่นใจมากขึ้น ทำให้ผมกล้าพูดกล้าโต้ตอบกับคนอื่นได้อย่างไม่กลัวถูกทำร้ายเหมือนอย่างที่เคย
“ฮ่าๆ เออก็จริงของมึง แล้วทำไมมันมาต่อยมึงวะ มีเรื่องไรกัน” อีกฝ่ายหัวเราะร่วนไปตามผม แล้วก็ยิงคำถามต่อ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายถามผมกลับอึกอัก..และไม่กล้าที่จะพูดออกไป
‘ไอ้ลูกแม่เป็นเอดส์’ ‘ไอ้ขี้ขโมย’ ‘ไอ้ตุ๊ด’
ผม..พูดออกไปไม่ได้จริงๆ..
“ไอ้เทียนเผลอไปเหยียบขาพวกมัน พวกมันก็เลยโมโห” ทว่าเปลวกลับตอบคำถามของเขาไปแทนผมและหลีกเลี่ยงความจริงที่มันกระทบจิตใจผม..
“แต่ก็ไม่เห็นต้องทำร้ายกันขนาดนี้ปะวะ เหี้ยสัด” ดีหน่อยที่คนที่เข้ามาถามก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีกต่อไป
“เห็นว่าพึ่งออกจากโรงพยาบาลวันก่อนด้วยนี่หว่า ใช่ปะเทียน” เพื่อนอีกหลายคนเริ่มเข้ามารุมล้อมโต๊ะผม และถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“อ่า..ใช่” ผมตอบกลับ
“โห่ สงสารมึงว่ะ แย่เลย พึ่งจะหายเจ็บแต่ก็ต้องมาเจ็บซ้ำอีก”
“..ไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก”
“ยังไงก็..หายไวๆนะเพื่อน” ผมยิ้มให้เขาเป็นการขอบคุณ ..ครั้งแรกเลยที่ได้รับคำอวยพรว่า ‘หายไวๆ’ จากเพื่อน มีความสุขจัง..
ไม่นานนักเวลาก็ผันผ่านไปจนตกเย็น ผมกับเปลวเดินเลียบทางคลองมาด้วยกันเรื่อยๆท่ามกลางบทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและภาพฝันในอนาคตของพวกเรา
เราคุยกันเรื่องบ้าน ..เปลวบอกว่าบ้านเขามีเตียงนุ่มๆที่ใหญ่ถึงหกฟุต มีโซฟากำมะหยี่สีดำที่กว้างพอให้นั่งทั้งเขาและก็ผม มีทีวีจอแบนขนาดห้าสิบนิ้วติดอยู่ที่ผนัง มีอ่างอาบน้ำสีขาวเหมือนที่อยู่ในละครทีวี
ทุกๆอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเคยเจอในชีวิตจริงเลยซักครั้ง ทุกอย่างตรงข้ามกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านผมไปซะหมด
เปลวบอกว่าจะให้ผมอยู่ห้องเดียวกับเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าเวลามีการบ้านจะได้ช่วยกันทำ เวลาอยากเล่นเกมก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปชวนผมจากห้องอื่น ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรหรอกครับ ดีซะอีกจะได้ไม่รบกวนบ้านเปลวมาก แต่คำพูดของเปลวนี่สิที่ทำให้ผมเสียสมดุล..
‘มึงนอนกับกูนะ’ ผมไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกันแน่..
“อ้าวเทียน เก็บของจะไปไหน” น้าหยวนที่เดินผ่านหน้าบ้านไปพอดีเมื่อเห็นผมกำลังเก็บข้าวเก็บของอยู่ก็หยุดฝีเท้าตัวเองแล้วหันมาให้ความสนใจกับผมทันที ผมหันไปทางเธอกำลังจะตอบเธอกลับไปแต่เปลวก็ชิงตอบไปซะก่อน
“ตั้งแต่วันนี้เทียนจะไปอยู่บ้านผมครับ” เปลวตอบน้าหยวน ซึ่งพอเธอได้ยินแบบนั้นตาเธอก็เบิกโพลงไปด้วยความดีใจ เธอยิ้มร่าออกมาอย่างมีความสุข
…ดีใจที่ไอ้เทียนแม่งไปๆได้ซักที กูจะได้ทุบบ้านนี้ทิ้ง
…มีความสุขที่กูจะได้มีเงินเอาไปเล่นไพ่
นี่คงจะเป็นสิ่งที่น้าหยวนกำลังคิดอยู่แน่ๆ ...หลานปลายนิ้วตีนอย่างผมน่ะรู้ดีอยู่แล้ว
“เทียนไปอยู่บ้านเขาน่ะ ก็อย่าไปทำข้าวของเขาพังนะ” เธอเริ่มแสร้งร่ายยาวสั่งสอนผมเพื่อแสดงเป็นน้าที่แสนดี “อยู่นู่นก็ช่วยเขาทำงานบ้าน เก็บกวาด ล้างจานให้เขาด้วยนะรู้รึเปล่า”
“เอ่อ..บ้านผมมีแม่บ้านครับ” เปลวมองหน้าผมแล้วก็พูดออกไป
“…แต่ถึงอย่างงั้นก็ต้องช่วยเขาทำนะเทียน เข้าใจมั้ย” น้าหยวนหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ก็คงสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเธอไว้ได้ดังเดิมแล้วก็แสร้งสอนผมต่อไป
“เทียนไม่อยู่ฝากน้าดูแลบ้านหลังนี้ด้วยนะครับ” เปลวพูดพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าของผมขึ้นบ่า ก่อนจะเดินออกไปรอผมข้างนอก สวนกับน้าหยวน
“ได้จ้า” เธอรับคำ ผมหยิบของใช้ส่วนตัวอีกสองสามอย่าง และรูปภาพของแม่ใส่ลงในกระเป๋าเป้อีกใบก่อนจะสะพายมันขึ้นมา
“น้าหยวน เทียนไปก่อนนะ” ผมบอกเธอ “..น้าหยวนอย่ายุ่งกับบ้านเทียนนะ ห้ามเอาของข้างในไปขาย แม้จะเป็นแค่เศษเหล็กเศษไม้ น้าหยวนก็ห้ามเอาไปขาย..” จู่ๆผมก็พูดสิ่งที่คิดออกไปโดยไม่รู้ตัว คนที่ผมพูดด้วยถึงกับขมวดคิ้วจนเป็นปม
“ทำไมพูดแบบนั้น น้าจะเอาไปทำไม?” น้ำเสียงเธอเริ่มไม่สบอารมณ์ “พูดเหมือนกับน้าเป็นขโมยเหมือนเทียน”
“เทียนไม่คิดจะขโมยหรอกถ้าน้าหยวนช่วยเทียนดูแลแม่ซักนิดนึงอะ!” ผมเริ่มตวาดเสียงดัง “อีกอย่าง..น้าหยวนมีสิทธิ์อะไรมาว่าเทียน น้าหยวนก็ขโมยเหมือนเทียนนั่นแหละ ตังค์เทียน หรือแม้แต่ตังค์แม่ที่เก็บเอาไว้ให้เทียนไปโรงเรียน น้าหยวนก็ขโมย!”
“เออแล้วจะทำไม เงินที่กูเอาไปสุดท้ายแล้วกูก็เอาไปซื้อยาซื้อข้าวให้แม่มึงแดกนั่นแหละ”
“จริงหรอน้าหยวน..จริงหรอ เทียนไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี่ย ถึงว่าชีวิตเทียนกับแม่ถึงได้ดีขนาดนี้ เพราะน้าหยวนช่วยไว้นี่เอง”
“…”
“แต่ขอโทษที ช่วยไม่ให้ตัวเองโดนผีพนันเข้าสิงก่อนมั้ยน้าหยวน”
“ไอ้เทียน!”
“ห้ามเข้ามายุ่งกับบ้านเทียนนะ…น้าหยวนสัญญากับเปลวแล้ว!”
“ไปเลยนะไอ้เทียน! มึงจะไปไหนก็เลยนะ แล้วไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าเลย!” น้าหยวนตวาดลั่นก่อนจะเดินออกไป ผมมองตามหลังของผู้เป็นน้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกขอบตาร้อนๆเหมือนกับน้ำตากำลังรื้นเอ่อขึ้นมา ก่อนจะส่ายหัวเพื่อสะบัดมันทิ้งแล้วก้มหน้างุดเดินออกไปด้วยใจที่แตกสลาย ..ถึงจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเป็นหลานปลายตีน แต่ก็ไม่นึกเลยว่าวันนึงจะถูกน้าคนที่เป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไล่เหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้
“เทียนป่ะ..ไปกัน พ่อกูอยู่ตรงสะพานละ” เปลวหันหลังกลับมาเรียกผมที่เอาแต่ยืนมองบ้านตัวเองนิ่งๆ ..บ้านเก่าๆหลังนี้มีอะไรเกิดขึ้นมากมายหลายสิ่งหลายอย่าง
..หลายๆสิ่งที่ว่านั้นเป็นเรื่องราวที่ดีและน่าจดจำ
..ขณะเดียวกันหลายๆอย่างที่ว่ากลับเป็นเรื่องราวอันแสนโหดร้ายที่ไม่น่าจดจำแต่ยากเหลือเกินที่จะลืมเลือน
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผมอยู่ที่นี่ มีบทเรียนชีวิตหลายบทที่ได้จากบ้านหลังนี้ ..วันนี้ผมจะไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างงั้นผมก็จะไม่ลืมบทเรียนที่ได้มา ..จะไม่ลืมเรื่องราวดีๆ และจะจดจำเรื่องราวอันแสนโหดร้ายเอาไว้ในความทรงจำไว้คอยเตือนตัวเองในอนาคต
ขอบคุณบ้านหลังนี้..ที่ทำให้เทียนไขเป็นเทียนไขในปัจจุบัน
“สวัสดีครับพ่อเปลว” ผมเอ่ยทักทายพ่อของเปลวทันทีที่แทรกตัวเข้าไปในรถ เขามองผ่านกระจกมองหลังมาทางผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“สวัสดี” สั้นๆแค่นั้น ส่วนเปลวก็นั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรกับคนเป็นพ่อเลย เราสามคนปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมต่อไปจนรถเริ่มเคลื่อนตัว
“เห็นไอ้เปลวบอกว่าแม่พึ่งเสียงั้นหรอ แล้วญาติคนอื่นๆล่ะ ไม่มีหรอหนู” พ่อถาม
“ครับผม ..ผมไม่เหลือใครเลย..” ผมตอบ
“ไอ้เปลวก็เลยอยากให้หนูมาอยู่ด้วยกันสินะ”
“…” ชายวัยกลางคนตรงหน้านิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกเหมือนพ่อของเปลวกำลังสะอื้นอยู่เลย ไหล่แสนสง่าของเขาสั่นเครือไม่หยุด
“หนูจ๋า ลุง..ขอโทษนะ..”
“…” ผมหูฝาดหรือเปล่า.. ทำไมพ่อของเปลวถึงขอโทษผมล่ะ?
“ขอโทษนะ...ขอโทษจริงๆ” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือมากกขึ้นราวกับรู้สึกเศร้าสลดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ขณะเดียวกันเปลวที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ผมนั่งงงงันกับอากัปกิริยาของคนๆนี้
“ขอโทษ..ทำไมครับ..?” ผมถาม ทำไมคนดูมีภูมิฐานอย่างเขาถึงขอโทษเด็กน้อยอย่างผม..
“ลุงขอโทษ..” จากน้ำเสียงที่สั่นเครือก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น …พ่อของเปลวกำลังร้องไห้
“…”
“ลุงเป็น..เพื่อนของพ่อหนู ลุงขอโทษที่ไม่ได้ทำอย่างที่พ่อหนูขอเอาไว้..”
“…”
“ลุงขอโทษ ..ขอโทษจริงๆ” ผมรู้สึกทั้งตัวชาวาบ ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปว่ายังไง อะไรคือสิ่งที่พ่อผมขอ แล้ว..ผมควรโกรธใช่มั้ย.. หรือควรจะตอบกลับไปยังไงดี..
“..ตอนที่พ่อของหนูอยู่ในคุกเขารู้ดีว่าโทษของเขาคืออะไร เขาบอกลุงว่าเมียของเขาติดโรคเขาไปแล้ว เขาบอกลุงว่าเขามีลูกอยู่คนนึง ยังเด็กอยู่เลย เขาเป็นห่วงไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปกันยังไง เพราะฉะนั้นเขาเลยฝากให้ลุงมาดูแลลูกดูแลเมียของเขาให้ด้วย”
“…”
“…แต่ลุงไม่ได้ทำอย่างที่เขาขอไว้”
“…” น้ำตาเม็ดใสร่วงเผาะลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลก
“..ลุง..ไม่ได้มาดูแลหนู ดูแลแม่หนู อย่างที่พ่อหนูขอไว้”
“…”
“ถ้าเกิดตอนนั้น..ลุงไม่ละเลยสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อของหนู หนูก็คงมีชีวิตดีกว่านี้ แม่หนูก็อาจจะไม่ต้องมาพบจุดจบแบบนี้ ..ลุงขอโทษจริงๆ” ความรู้สึกผมว่างเปล่า แต่กลับกันในหัวผมนั้นได้จมจ่อมอยู่กับจินตนาการที่ผุดขึ้นมาในหัวเสียแล้ว
..ถ้าคนๆนี้ทำตามที่สัญญากับพ่อผมเอาไว้ ตอนนี้ผมคงกำลังนอนตักนุ่มๆของแม่อยู่ หรือไม่เราก็อาจจะกำลังดูละครหลังข่าวด้วยกัน มีความสุข…มีรอยยิ้ม และใช่ครับ มันคือจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริง ..แต่นั่นก็..เป็นสิทธิ์ของลุงที่จะทำหรือไม่ทำสินะ..? เพราะคำขอของนักโทษที่รอวันประหารอย่างพ่อผมน่ะ..มันไม่แปลกเลยที่จะถูกมองข้ามไป
“ลุงขอโทษจริงๆนะหนูนะ..” พ่อของเปลวยังคงร่ำคำขอโทษออกมาไม่หยุด
“พอแล้วพ่อ..” เปลวพูดขึ้นมา “มันผ่านไปแล้ว..ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว”
“ลุงพึ่งรู้ว่าไม่นานมานี้แม่ของหนูเสียแล้ว ..ลุง..รู้สึกผิดจริงๆ ขอโทษนะ”
“ลุง..คิดว่าเทียนจะโกรธลุงหรอ..” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“…”
“เทียนเข้าใจลุงดี…”
“เทียน..”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว ..เปลวก็รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย ..เพราะงั้นก็เลยเข้ามาเป็นเพื่อนกับเราใช่รึเปล่า..” ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกจุกๆอยู่ตรงช่วงอก ..ผมรู้สึกผิดหวังยังไงก็ไม่รู้ที่มารู้ว่าที่ผ่านมาเปลวดีกับผมเพราะ..สงสาร
“ไม่ใช่เลยเทียน ..ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด..”
“เทียนขอบคุณมากๆ แต่ว่าส่งเทียนข้างหน้านั้นก็ได้นะครับลุง ไม่จำเป็นต้องช่วยเทียนก็ได้ ไหนๆทุกอย่างก็จบแล้ว พ่อแม่เทียนไม่อยู่แล้ว ลุงไม่ต้องคิดจะช่วยเทียนแล้วก็ได้ครับ อีกซักพักเดี๋ยวเทียนเองก็คงตามพ่อกับแม่ไป” ผมไม่รู้จะควบคุมอารมณ์ตอนนี้ของตัวเองยังไงดี มันทั้งเสียใจ.. น้อยใจ.. ผิดหวัง และอีกๆหลายความรู้สึกปนกันมั่วไปหมดจนเผลอพูดแบบนั้นออกไป
“เทียน..อย่าพูดแบบนี้..” เปลวหันมาหาผม น้ำเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ นี่ผมทำให้เพื่อนของผมร้องไห้อีกแล้วหรอ แย่จริงๆเลยเทียนไข
ฮ่าๆแต่รู้มั้ย…ที่แย่กว่าคือเพื่อนของแกเขาเป็นเพื่อนกับแกเพราะสงสารยังไงล่ะ เพื่อนที่แกรัก ที่แกไว้ใจ..เชื่อใจที่สุด เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับแกเลยเว้ยเทียนไข เขาแค่ ‘สงสาร’ เด็กกำพร้าพ่อกำพร้าแม่ไม่มีที่ไปอย่างแกก็เท่านั้น
“หรือไม่จริงล่ะ..เปลว..”
“..ถ้าจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่มึงเลย” “…” น้ำตาเม็ดที่สอง สาม และสี่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงโลกโดยอัติโนมัติหลังจากที่ได้ยินคำว่าที่เปลวพูด ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน ..ทำไมผมถึงเจ็บกับคำว่า ‘แล้วแต่’ ของเขามากมายขนาดนี้
“หนูไปอยู่ด้วยกันนะ หนูไม่ต้องทนทรมานอยู่ตัวคนเดียวแล้ว” ทว่าพ่อของเปลวกลับไม่ปล่อยผมลงไปตามที่ผมขอ เขายังคงขับรถต่อไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ..จากที่เคยถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด ตอนนี้เราทั้งสามคนกลับถูกปกคลุมไปด้วยเสียงสะอื้น
ใช้เวลาร่วมสิบนาทีจนสุดท้ายแล้วรถคันที่เรานั่งมาก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วหน้าบ้าน คนเป็นพ่อยื่นรีโมตมากดปุ่มอะไรซักอย่างที่ทำให้ประตูรั้วด้านหน้านี้ค่อยๆเลื่อนเปิดออก ภายในประตูรั้วนั้นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่สีขาวสะอาดตัดด้วยหลังคากระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม พ่อขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถจากนั้นเราทั้งสามก็ลงมา
“ตามสบายเลยนะหนู” พ่อของเปลวบอกผม ก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ผมกับเปลวเปิดหลังรถก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ออกมา เปลวช่วยผมสะพายไปใบนึงเหมือนเดิม แต่ทว่าเราสองคนยังคงนิ่งใส่กันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ผมเลื่อนประตูกระจกสีหม่นให้เปิดออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไป ..ภายในบ้านเหมือนที่เปลวบอกผมเป๊ะเลย ..ทีวีจอใหญ่ ..โซฟากำมะหยี่สีดำ ตื่นเต้นแปลกๆยังไงก็ไม่รู้แต่พอหันไปหาเปลวเพื่อที่จะเล่าความตื่นเต้นให้ฟัง ผมก็ต้องหยุดความตื่นเต้นของตัวเองนั้นซะ ..สีหน้าของเปลวเรียบสนิทไร้ความรู้สึกใดๆ
..ผมทำให้เปลวโกรธแล้วใช่มั้ย
“หนูตามเปลวขึ้นไปบนห้องเลยนะ หนูอยู่ห้องเดียวกับเปลวนะลูก” พ่อของเปลวเดินมาบอกผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
‘เปลว รอด้วย’ อยากจะพูดแบบนี้ออกไป แต่ผมก็ทำได้แค่เดินตามหลังเขาต้อยๆโดยไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
ไม่นานนักเราก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบานหนึ่ง จากนั้นเปลวก็เปิดมันออกแล้วแทรกตัวเข้าไป ผมเองก็เข้ามาตามเขาติดๆ
ภายในห้องของเขานั้นถูกตกแต่งด้วยสไตล์เรียบๆแต่ดูคลาสลิคและทันสมัย ผนังห้องสีเทาหม่น เตียงใหญ่ขนาดคิงส์ไซส์อย่างที่เปลวเคยพูดไว้นั้นถูกปูด้วยผ้าปูสีดำและชุดเครื่องนอนโทนสีดำ ตรงหน้าห้องน้ำมีโซฟาอีกตัวนึงสีดำเช่นเดียวกัน ข้างหน้าโซฟามีโต๊ะเตี้ยเป็นกระจกใส มีถุงขนม เศษซากของของเล่นอย่างเลโก้ และหุ่นยนต์กันดั้มตกอยู่ ข้างหน้าเป็นทีวี มีชุดเครื่องเล่นดีวีดีและเครื่องเกมอยู่ข้างล่าง เดาว่าคงเป็นโซนโปรดของเปลวเลยล่ะมั้ง
“…” แต่ถึงจะเข้ามาในห้องแล้ว เราก็ยังไม่พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว สีหน้าของเปลวยังคงนิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆเหมือนเคย
ผมไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก ผมวางกระเป๋าตัวเองก่อนจะเดินสำรวจห้องต่อ ..ถัดจากโซนโปรดของเขาแล้วก็เป็นโซนหนังสือ ตรงนี้มีโต๊ะคอม แล้วก็บุ๊คเคสสีขาวตั้งอยู่ข้างๆ บนผนังมีรูปวิวสถานที่แลนด์มาร์กตามประเทศต่างๆติดอยู่หลายรูป ทว่ามีรูปหนึ่งที่ผมติดใจ
ผมเดินไปหารูปนั้น มันไม่ได้ถูกจัดใส่กรอบรูปเหมือนรูปอื่นๆ แล้วก็ไม่ใช่ภาพพิมพ์เหมือนรูปอื่นๆด้วย หากแต่เป็นเพียงกระดาษเอสี่ธรรมดาๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีไม้หลากหลายสีจนกลายเป็นรูปผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนที่ดูหน้าตาคล้ายเปลว
“กูกลับมาวาดรูปแล้ว ..อย่างที่มึงขอ” จู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไปด้วย เพียงแต่ยืนดูรูปใบนั้นที่เขาวาดดังเดิม ..องค์ประกอบของภาพล้วนดูสมส่วนไปซะหมดราวกับไม่ใช่ฝีมือของเด็กม.1 อย่างเขา
“…”
“เพราะงั้น..มึงช่วยรักษาสัญญาด้วย”
“…”
“ห้ามทิ้งความฝัน”
“…”
“ห้ามพูดแบบในรถอีก”
เป็นอีกครั้งที่หยาดน้ำตาเม็ดใสไหลลงอาบแก้ม ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่ผม นี่ผมเผลอทำให้เพื่อนคนสำคัญของผมเสียความรู้สึกไปแล้วสินะ..
“ขอโทษ..”
“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” เขาตอบ ผมหันมาหาเขา แต่เขาไม่ได้มองมาผมเลยซักนิด เปลวกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “จริงๆ..ก็ถูกของมึงแล้วแหละ”
“…”
“ครั้งแรกเลยกูเข้าหามึงเพราะสงสาร พ่อกูบอกไว้ว่าให้เข้าหาเด็กที่ชื่อเทียนไข”
“…”
“แต่ก็นั่นแหละนั่นมันความรู้สึกตอนครั้งแรกเฉยๆ หลังจากนั้นกูก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวที่ผ่านมาของมึงเท่าไหร่ เพราะมึงก็คือมึง..อย่างที่กูเคยบอก”
“…”
“มึงคือเพื่อนกู เพื่อนที่เก่งมากๆที่ผ่านอะไรมามากมายหลากอย่างโดยไม่คิดยอมแพ้”
“…”
“มึงที่ดูอ่อนแอ แต่พอเอาเข้าจริงๆมึงกลับแข็งแกร่งมาก กูยังอึ้งอยู่เลยที่มึงนั่งมองแอลกอฮอล์ที่ราดแผลตัวเองได้โดยไม่ร้องออกมาซักแอะ ..นั่นมันทำให้กูได้รู้ว่ามึงน่ะ แข็งแกร่งมากจริงๆ เป็นเทียนไขที่แข็งแกร่งที่สุดเลย”
“…”
“ชีวิตมึงอาจจะน่าสงสารก็จริง แต่ขณะเดียวกันกูโคตรนับถือมึงเลยนะ ที่มึงผ่านเรื่องราวร้ายๆต่างๆมาได้ขนาดนี้ ต่อจากนี้กูก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอก แต่..”
“…”
“เทียน..ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง กูสัญญา” “..สัญญา…สัญญาหรอ”
“ใช่ สัญญา”
“…”
“มาถึงตรงนี้แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บอดีตไว้แค่ในความทรงจำก็พอ จดจำเรื่องราวดีๆ ส่วนเรื่องราวร้ายๆก็เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ..แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิต..ที่เป็นของมึงเอง อาจจะไล่ตามความฝัน ..ปาร์ตี้กับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่กับคนที่มึงรัก”
“…”
“ทำสิ่งที่มึงชอบ ทำในสิ่งที่มึงรัก พอถึงตอนนั้นแล้วมึงก็จะมีความสุข”
“เปลวรู้มั้ยว่าทุกอย่างที่เปลวบอกมาเนี่ย สำหรับเราแล้วมันคือสิ่งๆเดียวกันเลย”
“…”
“สิ่งนั้นคือ..เปลว”
“…”
“แค่มีเปลวเราก็มีความสุขแล้ว”
“อันนี้ประโยคบอกรักทางอ้อมปะวะ”
“เฮ้ยไม่ได้หมายความแบบนั้น..” รู้สึกเลือดสูบฉีดมาที่แก้มอย่างหนักหน่วงเหลือเกินครับ “เราหมายถึงอยู่กับเปลวแล้วเรามีความสุขดี”
“งั้นกูก็คงไม่ต่างจากมึง”
“…”
“อยู่กับมึงแล้วมีความสุขดี” อีกครั้ง..ที่หัวใจผมเต้นถี่ระรัวไม่เป็นจังหวะ
“ขอโทษนะที่ก่อนหน้านี้พูดไปแบบนั้น ก่อนหน้านี้เรายอมรับว่าเราเผลอโกรธเปลวกับพ่อไปนิดหน่อย แต่ตอนนี้เราเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว” ผมพูดไปตามตรง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆเขา
“ขนาดโกรธนิดนึงนะเนี่ย ถ้าโกรธมากกว่านี้มึงคงเผาบ้านกูอะ” เปลวพูดติดตลก ซึ่งมันก็ได้ผลดีเลย ผมหลุดขำออกมาตามเขา บรรยากาศรอบข้างของเราตึงเครียดน้อยลงเยอะ “เออลืมไปอย่างนึง..”
“หืม?” ผมหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังใหม่ครับผม” เปลวพูดด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด “บ้านหลังนี้จะไม่ทำให้มึงต้องร้องไห้อีก ..บ้านหลังนี้มึงจะมีแต่ความสุข” ผมยิ้มก่อนจะกอดอีกฝ่ายแน่น
“ขอบคุณนะ”
หัวใจดวงน้อยๆของผมเริ่มผูกกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามันจะทรงพลังมากมายขนาดนี้
‘คำสัญญา’ คือสิ่งที่ถูกผมไว้อยู่กับสิ่งที่เปลวบอก
‘ขอให้มึงรู้ไว้ กูจะอยู่ข้างๆมึงตลอดไป เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งมึง’
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ‘ตลอดไป’ นั้นมันจะนานแค่ไหน แต่ว่า..
…อย่าผิดสัญญานะ...เปลว
มีต่อนะคะ