ลูกเป็ดขี้เหร่[:12:]
ตีสามสิบห้านาทีเสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะ
ความจริงเวลาขนาดนี้ถ้าไม่หลับไปแล้วก็ต้องกำลังกดเมียอันเป็นที่รักที่ช่วงนี้นานๆถึงจะได้เจอกันซักทีอยู่ใช่มั๊ย แล้วอะไรคือการที่ผมต้องมานอนมองหน้ากับคุณหมอจิณณ์โดยมีไอ้เด็กยักษ์นอนเมาหลับกั้นกลางระหว่างเราด้วย
ไม่ผิดหรอกครับ...ตอนนี้บนเตียงนอนของเรามีเด็กโย่งหมอกนอนหลับพริ้มราวทารกคั่นกลางระหว่างผมกับหมออยู่เรื่องของเรื่องคือมันดื่มไปเยอะจนเมาในขณะที่ลูกปัดมันขอกลับแต่หมอกมันเพียบแปล้คุณหมอเลยตัดสินใจให้มันค้างด้วย
นี่ก็ไว้ใจคนง่ายซะเหลือเกิน ยังไม่ได้เคลียร์เลยนะเรื่องที่รับมันขึ้นรถโดยไม่รู้ว่ามันเป็นใครเนี่ย จากนั้นเราก็หามหมอกมาไว้ในห้องกะจะให้มันนอนพื้นที่ไหนได้พอมันเห็นเตียงเท่านั้นแหล่ะมันก็ทิ้งตัวลงนอนกลางเตียงทันที
สวรรค์ล่มต่อหน้าต่อตา...ผมพยายามดึงมันออก ทั้งดึง ทั้งออกแรงถีบแต่คือสกิลการเกาะเตียงของมันเหนียวมากจนผมได้แต่ยืนเท้าสะเอวหอบอยู่ข้างๆเตียงมองมันที่นอนหลับตาพริ้มอย่างเคืองๆ ส่วนหมอจิณณ์ได้แต่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งจากนั้นจึงได้แยกย้ายกันอาบน้ำนอน
“เหมือนมีลูกเลยเนอะ” อยู่ๆเสียงหมอก็ดังแทรกความมืดลางๆของห้อง
“อืม” ผมได้แต่ขานรับเบาๆแล้วเอื้อมมือไปจับมือหมอไว้ผ่านลำตัวของหมอก
ภาพนี้มันเหมือนผมกำลังกอดน้องชายไว้ ตั้งแต่หมอกโตพอจะจำความได้ผมก็ไม่ได้กอดมันอีกเลย นานกี่ปีแล้วนะที่ผมไม่เคยสัมผัสน้องด้วยความรู้สึกดีๆเลย
ผมละเลยปล่อยปะมันไปหรือเปล่า ไอ้เด็กที่เอาแต่ร้องเรียก เมฆ เมฆ มันโตมากขนาดนี้เชียวเหรอ
“คิดอะไรอยู่?” หมอจิณณ์กระชับมือของเราให้จับกันแน่นขึ้น…อุ่นขึ้น
“คิดถึงมันตอนเด็กๆครับ ตอนหมอกมันเกิดตัวมันขาวๆกลมๆ ตอนเด็กๆมันอ้วนกว่านี้ชอบเล่นสัตว์แปลกๆ มันน่ารัก...แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราสองคนห่างกันเรื่อยๆจนเหมือนมันเกลียดผม”
“พี่น้องก็อย่างนี้แหล่ะมีช่วงที่สนิทกันมากกับห่างกันมากหมอว่านายสองคนถ้าเปิดอกคุยกันอะไรๆอาจจะดีขึ้นนะ หมอกเองก็ดูอ่อนให้แล้ว”
“ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง...ไม่รู้สิครับคงเป็นเพราะเราห่างกันมานานอายุเราก็ต่างกันการเลี้ยงดูก็ต่างกันพ่อกับแม่ตามใจมันมากคงเป็นเพราะมันเองก็ยังเล็กเด็กกว่าผมเกือบ 7 ปี ผมไม่ได้ไม่รักน้องนะ ผม...รักมันเท่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะรักน้องได้แต่การแสดงออกของผมอาจจะไม่ดีพอแล้วหมอกเองมันก็เอาแต่ใจ บางทีผมอาจจะอิจฉาที่มันได้รับความรักมากเกินไปจากพ่อแม่จากทุกๆคนเหมือนสิ่งดีๆไปรวมอยู่ที่มันจนหมด หมดจนไม่เหลือถึงผม”
“เหลือสิ...ยังมีความรักของหมออยู่นะหมอไม่แบ่งให้ใครหรอกมันเป็นของนายคนเดียวเลยนะ”
“พูดแบบนี้มาทำกันมั๊ยครับ” ผมอดที่จะหื่นใส่หมอไม่ได้ทั้งที่จริงๆในใจกำลังปลื้มกับคำพูดของคุณหมอ
ผมเชื่อว่าหมอรักผมจริงเหมือนที่พูด คำพูดของหมอจิณณ์สัมผัสได้ว่ามันเป็นของจริงหมอไม่จำเป็นต้องโกหกผมอยู่แล้ว แต่นั่นทำให้ผมถูกหยิกที่มือทันที
“บ้าเหรอน้องนอนอยู่ด้วยจะมาเทิงมาทำอะไรล่ะ”
“โถ่...หมออ่ะไม่เจอตั้งหลายวันอยากทำกับเมียจะแย่อยู่แล้วนะ” ผมแกล้งส่งเสียงอ้อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้คุณหมอกำลังนอนหน้าแดงอยู่แน่ๆ
“เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันไหนๆก็ได้หยุดตั้งสองวัน”
“พูดจริงนะครับ” ผมแกล้งเอี้ยวตัวไปจ้องตาผ่านความมืดสลัวของตัวห้อง แม้จะมองเห็นรางๆแต่ผมกลับเห็นดวงตาใสแจ๋วของคุณหมอชัดเจน เหมือนดาวที่สุกสกาวกลางคืนอันมืดสนิท
“จริงสิ จะเล่นทายากท่าพิสดารหรือเบสิคใต้เตียงบนโต๊ะริมระเบียงอ่างอาบน้ำหมอจะยอมตามใจเลย” เสียงคุณหมอว่าอู้อี้เพราะเอาหน้าซุกกับหมอนนุ่มจนผมต้องแกล้งแซะขึ้นมาให้ได้เขินเล่น
“งั้นมาโป๊ะๆปากสัญญากันก่อน” ผมแกล้งโน้มตัวผ่านหมอกที่กรนน้อยๆเข้าไปใกล้หมอจิณณ์มากขึ้น…มากขึ้น…มากขึ้น…มากขึ้น…ก่อนที่ปากของเราจะ....
“โอ๊ยยยยยยย......อึดอัดโว๊ย!!” เสียงไอ้เด็กนรกมันโวยวายพลางขยับตัวยุกยิกแขนขายาวเก้งก้างของมันกางพาดเราสองคนไว้คนละฝั่งทำให้เราสองคนต้องหลุดจากวงโคจรของกันและกัน ผมหงุดหงิดจนอดไม่ได้ทีจะถีบเข้าที่สะโพกของไอ้ตัวขัดลาภซะหนึ่งที เสียงหมอจิณณ์หัวเราะเบาๆผ่านความมืด
“ไม่ต้องมาหัวเราะดีเลยรอพรุ่งนี้ก่อนจะเอาให้ลุกไม่ขึ้น”
“กลัวคนปากดีแถวนี้จะไม่มีแรงทำมากกว่า” คุณหมอปากเก่งแลบลิ้นใส่เมฆที่เอาแต่นอนอมยิ้มก่อนจะต่างคนต่างปิดเปลือกตานอนโดยไม่รู้เลยว่าคนที่เมาหลับกลายมาเป็นก้างชิ้นใหญ่แอบยิ้มในความมืด
“นี่นมกินซะจะได้โตทันพี่” คุณหมอจัดการเทนมจืดแก้วโตวางไว้ให้หมอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปช่วยเมฆที่ผัดข้าวในกะทะใบใหญ่อย่างขมักเขม่น
กว่าทั้งสามคนจะตื่นนอนก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงเมฆรับหน้าที่ทำอาหารเช้าส่วนหมอจิณณ์เก็บขวดเบียร์ขวดเครื่องดื่มและเศษขยะไปทิ้งจนเสร็จมีเพียงหมอกที่นั่งรอราวคุณชายอยู่คนเดียวซึ่งเมฆเองก็ไม่อยากจะเรียกให้ช่วยเพราะรู้ดีว่าถึงหมอกจะมาช่วยก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร รังแต่จะเกะกะซะเปล่าๆเพราะไอ้ตัวดีมันทำกับข้าวไม่เป็นเอาซะเลย
ไม่นานข้าวผัดหอมฉุยควันโชยกรุ่นก็ถูกยกมาเสิร์ฟหมอกที่ยังดูเขินๆกับสถานภาพปัจจุบันตักข้าวเข้าปากเงียบๆในขณะที่หมอเปิดทีวีเสียงดังดูรายการตลกส่วนเมฆนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เชคข่าวตัวเอง
Rrrrr
เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นเมฆเหลือบตามองก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อชื่อของคนที่โทรเข้ามาคือศิโรจน์ ผู้จัดการส่วนตัว
แปลก..ปกติถ้าเป็นวันหยุดเดย์จะรู้ดีว่าเขาต้องทุ่มเวลาให้กับครอบครัว หมอเหลือบตามองหนเผมแว๊บหนึ่งด้วยสายตาสงสัยเพราะเห็นว่าผมไม่รับซักที
“ครับพี่” ในที่สุดผมก็กดรับแล้วหรอกเสียงลงไป
“มาที่คอนโดด่วนเลย” น้ำเสียงติดหงุดหงิดร้องบอกกับผม
“วันนี้วันหยุดของผมนะพี่” ผมท้วงออกไปอย่างไม่ชอบใจเสียงถอนหายใจหนักๆดังขึ้นก่อนน้ำเสียงห้วนๆจะตอบกลับมา
“บริษัทเครื่องสำอางค์ยักษ์ใหญ่ที่ดาราเกือบทั้งวงการอยากป็นพรีเซนเตอร์ให้เค้าเพิ่งจะติดต่อมาว่าอยากได้นายไปร่วมงานเลือกเอาว่าจะนอนกกเมียแล้วไม่ได้อะไรกับมาหาพี่แล้วนายเงินเป็นสิบๆล้านดี”
ณ จุดนี้ผมกดวางสายแล้วมองหน้าหมอก
“ใกล้อิ่มหรือยังเดี๋ยวจะไปส่ง” มันเงยหน้าจากจานข้าวมามองผมก่อนจะพยักหน้า
“หมอครับคงต้องไปเลย”
“อ่าวทำไมล่ะ” หมอวางช้อนแล้วหันมามองผมด้วยดวงตาเศร้า
อย่ามองอย่างนี้สิครับขอผมไปเมคมันนี่ก่อนเพื่ออนาคตของสองเรา
“พอดีบริษัทเครื่องสำอางค์ติดต่อมากระทันหันน่ะครับผมอยากได้งานของแบรนด์นี้มานานขอผมทำนะครับ”
“เดี๋ยวไปหยิบกุญแจรถให้นะ” คุณหมอไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงเลื่อนเก้าอี้แล้วพาตัวเองหายข้าไปในห้อง
หมอของผมน่ารักมั๊ยล่ะครับไม่มีงอแงฉุดรั้งหรือดึงดันมีแต่สนับสนุนผม น่ารักจริงๆเลย
ภายในห้องนอนหมอจิณณ์ที่บอกกับคนรักว่าจะเข้ามาหยิบกุญแจให้ก็ทรุดนั่งลงบนเตียงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงราวกับคนอ่อนแรง ทำไมต้องโทรตามวันนี้ด้วย เมฆเพิ่งจะอยู่กับเค้าไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่นัดคุยวันอื่นก็ได้ทำไมศิโรจน์ไม่ทำ
ถึงแม้ไม่อยากจะคิดมาก ถึงแม้ไม่อยากจะมองโลกในแง่ร้ายแต่วันนี้หมอจิณณ์ก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองไม่เข้มแข็งพอจะหลอกตัวเองว่าไม่หึงไม่หวงไม่ห่วง เพราะจะให้พูดตามจริงแล้วหมอจิณณ์หึงเมฆกับศิโรจน์มากๆ
เพราะจะให้พูดตามจริงแล้วหมอจิณณ์หวงเมฆไม่อยากให้ใครมาวอแวเกาะแกะโดยเฉพาะศิโรจน์ เพราะจะให้พูดตามจริงแล้วหมอจิณณ์ห่วงเมฆมากกลัวจะโดนใครใช้ความใสซื่อมาหลอกเหยียบหัวเมฆเพื่อก้าวขึ้นสู่สะพานดาว
ต้องเชื่อใจอีกซักเท่าไหร่ถึงจะไม่เป็นทุกข์ แค่ที่พยายามทำเหมือนเชื่อใจทุกวันนี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ไม่อยากทำตัวงี่เง่าเพราะกลัวเมฆจะรำคาญใจไม่อยากโทรตามจิกตามเช้คพราะกลัวเมฆจะมองว่าไม่น่ารัก
พยายามบอกตัวเองให้เชื่อใจเมฆแต่แล้วไงล่ะ สุดท้ายก็อดหวั่นไหวไม่ได้
สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ากุญแจรถและกระเป๋าสตางค์มาถือไว้ปรับสีหน้าให้สดใสแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะกินข้าวยื่นของทั้งสองสิ่งให้คนรักด้วยความรู้สึกหวิวแปลกๆแต่ก็สลัดออกไปทันทีเมื่อเมฆเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแบบที่หมอจิณณ์บอกว่ามันเป็นยิ้มที่ไร้เดียงสา
“จะไปกันเลยเหรอ” ที่สุดหลังจากข้าวหมดจานเมฆก็ขยับตัวลุกขึ้นพร้อมๆกับหมอกที่สะพายเป้เรียบร้อย
“ครับเดี๋ยวต้องไปส่งหมอกก่อนแล้วแวะไปคอนโดเตรียมตัวไปคุยงาน”
“แล้วจะกลับมานี่มั๊ย?”
“ยังไม่ตอบได้มั๊ยครับ” แทนที่จะได้คำตอบกลับมาหมอจิณณ์กลับได้คำถามเป็นคำตอบซะงั้นคนตัวเล็กแกล้งยิ้มสดใสแล้วโบกมือบ๊ายบายยามที่สองพี่น้องเดินออกไปจากห้องก่อนจะหยุดมือไว้ระดับแผ่นหลังที่เคลื่อนไปข้างหน้าของเมฆ หมอจิณณ์เองก็ไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร เราเหมือนอยู่ใกล้กันแค่ลมหายใจกั้น
แต่จริงๆแล้วตอนนี้ในหัวใจของหมอกลับรู้สึกว่าเราห่างกันไปเรื่อยๆเมื่อก่อนจะไปไหนมาไหนก็สามารถเล่นหัวหยอกเอินกันได้ไม่มีใครมองแต่เดี๋ยวนี้จะออกไปข้างนอกแต่ละครั้งต้องพรางตัวแล้วพรางตัวอีกหรือไม่ก็ต่างคนต่างเดินแล้วไปเจอกันที่จุดหมาย ตกลงเราเป็นอะไรกันไปแล้ว แฟนกันหรือแค่แฟนคลับเหมือนคนอื่นๆ
“ฉันยังสำคัญกับนายอยู่มั๊ยเมฆ...”
ร่างสูงหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางการจราจรยามบ่ายค่อนข้างหนาแน่นแดดจัดยามบ่ายทำให้หมอกเบ้หน้า
เขาเกลียดความร้อนเกลียดแสงแดดมันทำให้เขาแสบตาเด็กหนุ่มขยับตัวปลดเข็มขัดนิรภัยหลังจากนั่งอมน้ำลายจนเกือบจะบูดมาตลอดทาง
คนไม่เคยพูดดีกันมาตั้งแต่แรกจะมาให้เริ่มพูดก่อนมันก็ตลกอีกอย่างเมฆก็คุยโทรศัพท์กับผู้จัดการส่วนตัวเกือบตลอดทาง
รถยนต์คันนี้หรูใช่เล่นออดี้รุ่นใหม่ราคาแพงไม่คิดว่าไอ้ลูกเป็ดที่เค้าค่อนว่ามาหลายปีจะโด่งดังเป็นพลุแตกโฆษณาวิ่งชนเท่าที่นับๆตอนนี้ที่ได้ยินก็ 5 ตัวเข้าไปแล้ว ถ้าถ่ายโฆษณาผ้าอนามัยได้ก็คงจะรับแล้วมั้ง
“เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกหลังจากหมอกลงไปจากรถแล้ว แว่นตากันแดดแบรนด์เนมสีดำดีไซน์สวยถูกยื่นให้
“แดดมันแรงใส่ซะตาแกแพ้แสง” คนเป็นพี่ว่าเรียบๆ หมอกเสมองไปทางอื่นก่อนจะหยิบแว่นมาสวม
“เดี๋ยว” คนเป็นพี่ยังเรียกไว้อีกครั้งก่อนจะล้วงกระเป๋าเงินออกมานับเงินแล้วยื่นให้
“ไม่ค่อยได้พกเงินสดฝากเงินนี่ให้แม่ครึ่งนึงอีกครึ่งยกให้แก”
“ไม่เอาหรอกไม่จำเป็น” หมอกจะส่งเงินคืนให้แต่เมฆกลับพ่นลมออกจากปาก
“อยากได้กีต้าร์ตัวใหม่ไม่ใช่เหรอถือว่าฉันสมทบทุน ไว้ว่างๆค่อยไปดูกันก็แล้วกัน ฉ่ะ...เอ่อ...พี่ไปก่อนฝากบอกแม่ด้วยว่าคิดถึง” เมฆออกรถไปแล้ว ทิ้งน้องชายให้ยืนกำเงินอยู่ลำพังบนฟุตบาท
ทันทีที่รถยนต์สีขาวลับตาหมอกก็ยกเงินก้อนนั้นขึ้นมาดูก่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับจะผุดขึ้น ดวงตาวาววับตวัดมองถนนที่คราคร่ำด้วยรถมากมาย
“หึ...แค่เล่นละครนิดๆหน่อยๆก็หลงเชื่อซะแล้วเหรอ พวกแกนี่มันโง่ๆๆ โง่กันหมดทุกคนเลยจริงๆ” เด็กหนุ่มเอาเงินใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะผิวปากหวือเดินไปคนละทิศกับซอยบ้านตัวเอง
โง่...
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเมฆก็ยังคงโง่กว่าหมอกตลอด แค่ทำหน้าตาเหมือนคนสำนึกผิดเมฆก็นึกว่าเขากลับตัวกลับใจ ไหนจะได้แรงสนับสนุนจากคุณหมอพี่สะใภ้แล้วเมฆมันก็เออออไปตลอดทุกรายการ โคตรตลกเลยที่เมื่อคืนชายหมอกแกล้งเมาเพื่อเป็นก้างขวางคอระหว่างคนทั้งคู่
หมอกได้ยินทุกอย่างที่ทั้งสองคนคุยกันและแกล้งโวยวายตอนที่ปากของทั้งคู่กำลังจะประกบกันอยู่แล้ว…สำนึกผิดเหรอ??
คนอย่างหมอกจำเป็นต้องสำนึกผิดด้วยเรื่องอะไร?? ไม่มีทางซะล่ะเพราะคนอย่างขาเกิดมาเพื่อเป็นคนชี้ว่าอันไหนคือถูกและอันไหนคือผิด
“รวยนักใช่มั๊ยคอยดูนะฉันจะไถตังค์แกจนหมดตัวเลยไอ้เมฆ อยากได้นักเหรอความรักน่ะ ขอโทษด้วยนะถ้ามึงจะต้องจ่ายแพงหน่อย”
ผมจอดรถแล้วหยิบข้าวของอีกสองสามชิ้นล็อครถเสร็จก็เดินเข้าตัวคอนโดที่มี รปภ.ทำความเคารพยื่นเครื่องดื่มบำรุงกำลังให้แกไปสองขวดกับขนมขบเคี้ยวถุงใหญ่เป็นอะไรที่ผมทำจนชินอยู่แล้วเพราะแกค่อนข้างเป็นคนเอาการเอางานและดูแลรถให้ผมดีมาก
อ่อ...แกเป็นแฟนคลับของผมด้วยนะ ช่วงที่มาอยู่แรกๆแกเคยเอาสมุดเล่มเล็กๆกับรูปโปสเตอร์ที่ทางผู้จัดละครทำออกมาแจกแฟนคลับเอามาขอให้ผมเซ็นต์ให้แกบอกว่าทั้งบ้านชอบผมมากโดยเฉพาะลูกสาวของแกที่นอนป่วยเดินไม่ได้อยู่กับบ้าน ผมเห็นว่ารูปมันยับแล้วก็เลยบอกให้แกรอแล้วขึ้นไปเอารูปบนห้องมาให้ใหญ่เท่าฝาบ้านแล้วขับรถพาแกเอารูปไปเก็บเซนต์ให้ต่อหน้าลูกสาวของแกแล้วถ่ายรูปร่วมแล้วถึงกลับมา หลังจากวันนั้นแกดูจงรักภักดีกับผมมากขึ้นไปอีก 7.8 ริกเตอร์
“ไหนว่าวันหยุดไงครับคุณแล้วทำไมกลับมาคอนโด” เห็นมั๊ยผมบอกแล้วว่าแกเป็นแฟนบอยตัวย
“คุณขี้บ่นเขารับงานด่วนมาให้น่ะครับผมไปก่อนนะลุงเดี๋ยวคุณขี้บ่นสวดสามชั่วโมงไม่ซ้ำคำ”
ครับ...คุณขี้บ่นเป็นสรรพนามที่ลุงยามเรียกพี่เดย์ลับหลังครับ เป็นที่รู้กันดีว่าพี่แกขี้บ่นมากขนาดไหนลุงยามแกเลยมอบชื่อนี้ให้พี่เดย์ด้วยความเต็มใจ
“กว่าจะมาได้นะไม่รู้หรือไงว่าต้องมาเตรียมตัวก่อนเวลาชั่วโมงเดียวจะพอมั๊ยทำไมไม่กระตือรือร้นเลยล่ะเมฆไหนพูดนักพูดหนาไงว่าอยากได้งานนี้แล้วดูซิ๊พี่โทรตามนายตั้งแต่ยังไม่เที่ยงมัวเอ้อระเหยที่ไหนมาจนบ่ายสองหัดมีความรับผิดชอบกับงานหน่อยสิทำไมต้องให้พี่คอยบ่นคอยจ้ำจี้จ้ำไชนายตลอดเวลาเลยฮ๊ะ”
เพียงแค่ผมไขประตูเข้ามาสิ่งที่ต้อนรับผมเป็นอันดับแรกคือค้อนวงใหญ่ อย่างที่สองคือเสียงบ่นแบบนันสตอป ผมถอนหายใจแล้วกรอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายรอฟังพี่แกบ่นจนจบแล้วก็แกล้งยกนาฬิกาขึ้นดู
“ตอนนี้ผมเสียเวลาฟังพี่บ่นไปอีก 5 นาที” พี่เดย์ตวัดตามาค้อนแบบจิกๆให้ผมซะหนึ่งทีก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้มาให้ผม
“เปลี่ยนซะจะได้รีบไปซะทีนัดคุยงานกับเค้าตอนบ่ายสามป่านนี้ยังไม่เสด็จกันเลย”
“เสียเวลาไปอีก 2 นาที”
“เมฆ!! พี่ไม่ตลกกับนายนะ” พี่เดย์หันมาแหวผมครับผมแกล้งยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่ายอมแพ้ก่อนจะรับเสื้อผ้าในมือพี่เค้าแล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง สิบนาทีต่อมาผมในเสื้อเชิ๊ตขาวกับยีนส์เข้ารูปสีซีดก็ออกมายืนเป็นเด็กอนุบาลให้พี่เดย์เชคความเรียบร้อยเป็นขั้นตอนสุดท้าย
“โอเคแล้วไปได้” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ถึงบ่ายสามดีเราก็เข้ามานั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่พี่เดย์จองไว้เมื่อเที่ยงอีกสิบนาทีต่อมาตัวแทนจากบริษัทเครื่องสำอางค์ก็ตามเข้ามาแต่ที่ทำให้ผมกับพี่เดย์ตกใจคือท่านประธานใหญ่ของบริษัทตามมาด้วยทำเอาลุกขึ้นทำความเคารพแทบไม่ทัน
การพูดจาในขั้นแรกของเราผ่านไปด้วยดีเป็นอันตกลงว่าทางบริษัทเครื่องสำอางค์จะจ้างผมเป็นพรีเซนเตอร์อย่างต่อเนื่องโฆษณาที่จะถ่ายจะทำเป็นซีรี่ส์ 4 ตัว กับงานโชว์ตัวอีกตลอด 1 ปี
เงินกำลังจะไหลมา กำลังจะไหลมา
เพราะเม็ดเงินที่ผมกำลังจะได้ค่อนข้างมหาศาลมื่อท่านประธานเอ่ยปากชวนไปงานฉลองวันเกิดลูกสาวท่านผมกับพี่เดย์จึงตกลงทันทีอย่างไม่รีรอ เราขอตัวกลับมาอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดอีกครั้งก็ยังพอมีเวลาอีกซักชั่วโมงผมโทรหาหมอจิณณ์แล้วเล่าเรื่องวันนี้ให้หมอฟังหมอแสดงความดีใจกับผมแล้วเล่านู่นเล่านี้ว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้างตบท้ายด้วยคำว่าคิดถึงเมื่อได้ยินพี่เดย์ร้องเตือนว่าควรจะไปที่ผับได้แล้ว
“เมฆ...”
“ครับ?”
“อย่าดื่มเยอะล่ะ”
“รับทราบครับ” ผมวางสายจากหมอจิณณ์แล้วคว้ากุญแจรถเดินตามพี่เดย์ที่วันนี้แต่งตัวได้เปรี้ยวมากเถอะ
เสื้อกล้ามคว้านลึกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนปิดทับด้วยแจ็คเกตลายขาวดำบนหัวมีหมวดที่ใส่ปัดๆ…ก็น่ารักดี
ส่วนตัวผมพี่เดย์เลือกเสื้อเชิ๊ตสีดำให้ท่าทางพี่แกจะกะขนาดตัวผมผิดก็มันแน่นตึงจนนมผมปริเชียวล่ะ หายใจทีกระดุมแทบระเบิดหลุดออกมา
เรามาถึงผับราวๆสามทุ่มบรรยากาศคึกคักเห็นพวกดาราไอดอลและเซเลปคุ้นหน้าคุ้นตากันหลายคนผมกับพี่เดย์ที่แวะหาซื้อของขวัญติดมือกันมาคนละกล่องเข้าไปทักทายเจ้าของงาน บรรยากาศสนุกดีครับเดินไปทางไหนก็เจอแต่คนรู้จัก รุ่นพี่ในวงการเจอคนหนึ่งก็ยกแก้วกันทีหนึ่ง
“เดินดีๆสิเมฆตัวนายหนักมากเลยรู้มั๊ย” เดย์เอ็ดเมฆที่ตัวเองประคองมาตามทางเดินเมื่อชายหนุ่มที่ดื่มไม่เก่งนักเมาแปล้เพราะโดนรุ่นพี่ในวงการบังคับให้ยกไปซะทุกคนดาราดาวรุ่งหนุ่มถึงกับคอพับคออ่อนหลังจากเจ้าของงานตัดเค้กเสร็จเดย์จึงขอตัวพาเด็กโย่งกลับซะที
“เกรงใจเค้ายังโดนเค้าแกล้ง ทำไมไม่ฉลาดเลยแกล้งจิบๆไปก็ได้” เดย์ล้วงคีย์การ์ดขึ้นมาปลดล็อคห้อง
“หื๊ม??...ทำไมวันนี้คุณหมอขี้บ่นจังบ่นเสียงเหมือนนกมาร้องในหัวจิ๊บๆๆๆๆเลย” ร่างสูงปรือตามองคนที่ประคองตัวเองอยู่ เดย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย…ไม่ชอบเลยเวลาที่เมฆพูดถึงคนรัก ไม่ชอบฟังไม่อยากเห็นรูปไม่อยากได้ยินชื่อหรืออะไรทั้งนั้นที่เกี่ยวกับหมอจิณณ์ แต่ก็ได้ยินทุกวัน...เดย์ประคองเมฆเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของดาราหนุ่ม
คอนโดนี้มีสองห้องนอนซึ่งห้องใหญ่เป็นของเมฆส่วนอีกห้องที่เล็กกว่ากันนิดหน่อยเป็นของเขาเองส่วนมากเดย์จะมาอาศัยนอนต่อเมื่อมีงานที่ต้องไปตั้งแต่เช้าหรืองานที่ต้องไปต่างประเทศ
“ตัวหนักมากเลยนะเราน่ะ” บ่นอุบเมื่อรู้สึกล้าที่ไหล่ประคองคนเมาตัวอ่อนปวกเปียกมาที่เตียงก่อนจะพยุงให้ค่อยๆเอนตัวลงบนที่นอนแต่เพราะขนาดตัวที่ต่างกันรวมทั้งน้ำหนักที่ถ่วงทำให้แทนที่เมฆจะร่วงลงที่นอนคนเดียวก็กลายเป็นเดย์เสียหลักล้มลงไปด้วย
“หืม...นี่ใครกันล่ะเอ่ย เมียผมใช่มั๊ยเนี่ย” คนเมาที่กำลังจะเคลิ้มหลับเมื่อมีอะไรหล่นมากระแทกหน้าอกก็ลืมตามองขึ้น
ทำไมหมอจิณณ์มี 1...2...3...4...5...6...7...กี่คนกันล่ะเนี่ยหน้าก็เบลอๆด้วย…คนเมาพยายามเขม้นมองใบหน้าที่ห่างจากตัวเองแค่คืบ
“ทำๆกันมั๊ย?” อยู่ๆคนเมาก็ยกมือขึ้นประคองหน้าของเดย์ที่ขมวดคิ้วอย่าง งงๆ
“อะไร?”
“แบบนี้ไง” ว่าจบก็ประกบปากลงบนกลีบปากนุ่มทันที ตอนแรกก็ตกใจกับการจู่โจมนั้นแต่พอตั้งตัวได้ศิโรจน์ก็ตอบโต้กลับด้วยความดุเดือดไม่แพ้กัน เขาชอบเมฆ..ชอบความหล่อเหลาของเมฆ…ชอบความนิสัยดีของเมฆ…ชอบดวงตาซื่อๆของเมฆ…แล้วมันจะผิดอะไรถ้าจะยอมมีอะไรด้วย ด้วยความเต็มใจ แม้จะเป็นแค่ตัวแทนของใครบางคน
แล้วไงล่ะ??..ใครจะสน??..เสื้อกล้ามถูกถอดออกโยนลงข้างเตียงพร้อมๆกับมือขาวค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของเมฆทีละเม็ด เสียงโทรศัพท์มือถือของเมฆดังขึ้นแต่ไม่มีใครสนใจจะมองมัน บนเตียงกลายเป็นสมรภูมิรบที่แสนดุเดือด
“ยังไม่กลับอีกเหรอ??”
หมอจิณณ์ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงมองนาฬิกาเกือบตีสามก็ต้องตัดใจวางโทรศัพท์ลงบนหัวเตียงแล้วกับไฟล้มตัวลงนอน ซักพักก็เอาผ้าห่มลงแล้วดึงหมอนที่เมฆใช้หนุนนอนไปกอด ระบายยิ้มจางๆเมื่อได้กลิ่นแชมพูปนกลิ่นเฉพาะตัวของเมฆกดจูบแผ่วเบาที่หมอนใบโตกระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะหลับตาลงในที่สุด
..........................................