chapter 6
[/size]
เราไม่มีสิทธิ์จะเกลียดใคร
เพียงแค่เขาไม่เข้าใจในความรักของเรา
[/size]
“พี่กันต์”
ราวกับว่าโลกหยุดหมุน ผู้ชายคนเดียวที่เห็นยืนตรงชายหาดคนนั้น คือคนไม่น่าจะมีตัวตนบนโลกนี้แล้ว
เภพัฒน์ยิ้มทั้งที่น้ำตาไหลไม่หยุดกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาคนที่คิดถึงสุดหัวใจ ไม่สนว่าเท้าเปล่าจะโดนก้อนหิน
หรือเปลือกหอยบาดเนื้อบาง เวลานี้หัวใจเขาเต้นแรง ในหูที่ไม่ได้ยินเสียงใด ราวกับความฝันหรือนี่จะเป็นแค่ฝันจริงๆ
“พี่กันต์ พี่กันต์ รอผมก่อน”
คนถูกเรียกหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น อ้าแขนกว้างรอให้เขาวิ่งไปรับกอดนั้น พี่กลับมาหาผมแล้ว
“คุณๆ” แต่ทว่าลืมตาขึ้นมากลับเป็นอีกคนที่กอดเขาอยู่
“คุณเองเหรอ” ผิดหวัง ฝันก็คือฝันมันไม่มีทางเป็นความจริง
“ผมเอง ฝันร้ายสินะ” ทำไมสายตาและน้ำเสียงของคนที่ปลอบดูเศร้ากว่าเขาอีกละ
“เปล่า ผมฝันดีต่างหาก” นานแล้วที่ไม่ได้ฝันเห็นเขายิ้มแบบนั้น
“คุณคงรักเขามาก คนชื่อกันต์หนะ” คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องตอบ
“คุณรู้ไหมผมไม่เคยฝันถึงเขาแบบนั้นเลย เขายิ้มอ้าแขนรอให้ผมวิ่งไปกอด บางทีเราอาจจะได้อยู่ด้วยกันสักที”
“..................” รพีฟังจบก็ลุกไปอาบน้ำเงียบๆ
เขามองตามแผ่นหลังของร่างสูงไป ลึกๆก็รู้สึกแย่ที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป ถ้ารพีรู้สึกดีกับเขามากก็คงจะเสียความรู้สึกมาก
แต่ให้มันเป็นแบบนั้นดีแล้ว อีกฝ่ายจะได้เลิกสนใจเขาในสักวัน
ตลอดเวลาที่เดินทางกลับ รพีเงียบไม่น่ารำคาญเลยสักนิด แต่มันแปลก เขากลับไม่ชอบ
“กวนตีนได้นะไม่ว่ากัน” จนทนไม่ไหวต้องชวนอีกคนคุยซะเอง
“ไม่หรอกแค่นี้คุณก็รำคาญผมมากพอแล้ว” น้อยใจสินะ
“นี่คุณเป็นใครคายรพีออกมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่คิดว่าคุณจะเล่นมุขเป็น” รพีเลิกคิ้วสีหน้าแปลกใจมากมาย
“ทำไม ผมดูเป็นคนยังไง”
“ก็...จริงจัง” คนพูดเม้มปากคิดก่อนจะพูดต่อ “แล้วก็อมทุกข์”
มันก็จริงเขาคงเป็นแบบนั้นในสายตาทุกคนไปแล้ว
“คุณเภพัฒน์”
“เรียกเภเฉยๆก็ได้นะ” บ้าไปแล้วเขาไม่น่าเผลอให้คนนี้เข้าใกล้พื้นที่ส่วนตัวมากกว่าที่เป็นเลยนี้นา
“คุณยังไม่เรียกผมว่าพีเลยนี้นา” ก็ไม่อยากเรียกเพราะไม่อยากสนิทกว่านี้ไง
“พี พอใจยัง” แต่ก็ยอมเรียกจนได้ เจ้าของชื่อยิ้มกว้างขึ้นมาทันที
“อย่าพูดแบบนั้นอีกได้ไหม เรื่องเมื่อเช้าหนะ”
“เรื่องพี่กันต์เหรอ หึงรึไง ตลกน่า”
“เปล่า เรื่อง...” เงียบไปสักพักก่อนจะต่อ “ที่พูดเหมือนคุณจะไม่อยู่แล้วผมไม่ชอบ”
นายรพีรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ แค่มีช่วงเวลาบนเตียงด้วยกันสองครั้ง แล้วก็เมาด้วย ไม่เห็นต้องผูกพันอะไรกันมากมายนักนี้นา
“นายคิดจริงจังเหรอบอกแล้วไงว่า...”
“ไม่จำเป็นต้องย้ำผมเข้าใจดี”
“เข้าใจก็ดี ผมไม่พร้อมจะมีใคร ผมไม่อยากเสียใจอีก”
“อืม ผมเข้าใจ” รพีจบการสนทนาด้วยการล้มหัวลงกับเบาะแล้วหลับตา
ถ้าคาดหวังทำให้เจ็บปวด ทำไมทั้งเขาทั้งรพีถึงไม่เลิกคาดหวังสักที
หลายวันต่อมาเขาใช้ชีวิตเหมือนเดิมไปทำงาน ก่อนนอนก็คิดถึงคนคนนั้น จมกับความเศร้าบ้าง
แต่น้อยลงไปเยอะอาจจะเพราะงานที่เบ่งบานเหมือนดอกเห็ด และเรื่องของใครอีกคนที่เข้ามารบกวนติดใจ
“ตั้งแต่กลับจากหัวหินกูไม่เห็นคุณรพีมากินข้าวกับพวกเราเลย มึงกับเขามีปัญหาอะไรกันรึป่าว”
สินธ์ตั้งข้อสงสัย ความจริงเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไม รพีหลบหน้าเขาตั้งแต่กลับมา
แต่พอเดาออกอยู่ว่าใครจะอยากสนใจคนที่ไม่มีความชัดเจน และไม่พร้อมไปต่อ ได้ก็ได้แล้วจะต้องมาสนใจอีกทำไม
“ปัญหาอะไรไม่มีทั้งนั้นแหละ ไปจีบสาวของมันมั้ง”
“เภมึงมีพิรุจ มึงไม่สบตากูมีอะไรไหนเล่ามา”
“...............................” ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้รีบกินจะได้รีบไป
“ตกลงมึงจะไม่พูดใช่มะ” แต่สินธ์ดูจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่กลับมามันก็เหมือนหลบหน้ากู อยากรู้นักไปถามมันดูสิ”
“เอ่อกูถามแน่ ว่าแต่คืนนี้ไปนะมึงไม่ไปพบปะเพื่อนฝูงนานแล้ว”
เพื่อนตื้อชวนเขาไปงานวันเกิดเพื่อนในกลุ่มนักเขียนที่รู้จัก
“ไหนมึงว่าไม่อยากให้กูเมาง่ะ” เขาขี้เกียจไปตั้งแต่คืนนั้นที่หัวหินก็ขยาดเหล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น
“นั่นมันตอนกูไม่อยู่ ตกลงไปนะ” แต่ถ้าไม่ไปสินธ์คงไม่เลิกตื้อ
“อืม” ไปก็ได้
“ไปไหนกันเหรอครับ” นายรพีมาถึงก็อยากมีส่วนร่วมเลยนะ
“คุณรพีไม่เห็นคุณหลายวันเลยไปไหนมานึกว่าไม่คบพวกเราแล้วนะนี่”
เภพัฒน์ทำทียกแก้วน้ำปั่นขึ้นดูดเหมือนไม่สนใจอยากรู้ แต่ลึกๆรอคำตอบของอีกฝ่ายพอสมควร
“ผมลาป่วยครับ” รพีตอบสินธ์แต่ส่งสายตาตัดพ้อมาที่เขา
“อ้าวเหรอผมก็ว่าไม่เจอเลย นี่หายดีแล้วเหรอครับ”
“ครับไม่หายก็ต้องหาย ผมมันตัวคนเดียวนี้นาต้องพึ่งพาตัวเอง”
ก็ยังเหมือนพูดกับเขาคนเดียวอยู่ดี ดราม่าทำไมใครจะไปรู้ว่าป่วยล่ะ
“น่าสงสารเขานะ” สินธ์กระซิบมา เขาเสตามองไปทางอื่นทำเป็นไม่ได้ยิน เรื่องการวางหน้าไร้ความรู้สึกเป็นอะไรที่เขาถนัดมาก
“แล้วจะไปไหนกันเหรอครับ” คนเพิ่งหายป่วยยังวกกลับมาประเด็นเดิมได้
“ผมกับมันจะไปงานวันเกิดน้องที่รู้จักอ่ะ คุณรพีไปด้วยกันไหมล่ะ”
“เขาพึ่งหายป่วยไหมมึง” ไม่อยากให้ไปอ่ะใช่ สั้นๆคือเป็นห่วง
“ไม่รู้สิผมว่างนะ แต่....ไม่รู้ว่าคุณเภพัฒน์อยากให้ผมไปด้วยรึป่าว” สินธ์ใช้ศอกกระทุ้งเขาเล็กน้อยให้ชวนคนตรงหน้า
“ตามใจคุณสิครับ เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ / เจอกันตอนเย็นนะมึงกูไปปั่นงานก่อน”
เขาลุกออกหลอกตัวเองไม่ได้หรอกว่ากำลังหนี หนีจากการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
กลัวการเข้าใกล้ กลัวความรู้สึก กลัวไปหมด ไม่พร้อมจะเริ่มต้นไม่อยากสานต่อ เขาเหนื่อยเกินไป
เกือบสองทุ่มเขาควรกลับถึงบ้านแล้ว ไม่ใช่มาเดินตามหลังเพื่อนเข้าสถานบันเทิงแบบนี้
สำหรับเภพัฒน์ ผับที่ไหนก็เหมือนกัน กลิ่นแอลกอฮอล์ เพลงเสียงดัง หนุ่มสาวแต่งตัวสวยงามเหมือนผีเสื้อบินว่อนในสวน
ปีกที่มีแต่เปลือก สถานที่นี้ให้เราแสดงตัวตนอีกด้านยามเมามายเหมือนผู้คนหลุดไปอยู่อีกดาวหนึ่งก็ว่าได้
“เฮ้เล่าเรื่องมานานทางนี้เพื่อน” หนึ่งในคนกลุ่มใหญ่โบกโม้โบกมือเรียกชื่อสำนักพิมพ์แทนชื่อเขาสองคน
“พี่เภไม่เจอกันนานน่ารักเหมือนเดิมเลยนะครับ” เขายิ้มพยักหน้าทักน้องนักเขียนคนหนึ่งจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ
ความอึดอัดเพิ่มเริ่มต้น
“ไงสุพลเรื่องล่าสุดได้ข่าวว่ามีคนชื้อไปทำหนังเหรอดีใจด้วยนะมึง” ถ้าสินธ์ไม่ทักก็คงไม่รู้ว่าน้องคนนั้นชื่อสุพล
“ขอบคุณครับพี่สินธ์ผมนี่ดีใจช็อคมาสามวันแล้วเนี่ย”
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสินธ์ในการทักทายคนนั้นคนนี้ ส่วนเขาก็แค่ยิ้มเป็นส่วนประกอบหนึ่งของฉากพบปะสังสรรค์เท่านั้น
คนที่มาเภพัฒน์รู้จักเกือบทุกคน คนใหม่สองสามคนเกือบสิบห้าคน เครือข่ายนักเขียนที่รู้จักกันเพื่อแชร์งานฟรีแลนซ์
และช่วยโปรโมทผลงานให้กัน ไม่ได้สนิทขั้นรู้จักเรื่องส่วนตัวกันมากมาย และในที่นี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่องคนคนนั้น
ก็ดีเหมือนกันถ้ามีใครสักคนถามว่าดีขึ้นไหม หรือทำใจได้รึยัง แล้วทุกสายตาก็จ้องมา เขาคงจะอยากกลับทันที
“เดี๋ยวเพื่อนกูมาอีกคน” เขาหันไปมองเพื่อน รพีจะมาเหรอทำไมนายนั่นไม่ไลน์บอกเขานะ
“แฟนเหรอสินธ์” พี่เทียนตั้งท่าแซวตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าใคร
“เห้ยไม่ใช่พี่ เพื่อนที่ทำงานชื่อรพี” แปลว่ารพีคุยกับเพื่อนเขาส่วนตัว
“มึงเป็นไรเภ”
“อา เปล่า”
“ได้ยินชื่อเขาถึงกับเสียสมาธิเลยเหรอ”
“อะไรของมึ้งง”
“ไม่เอาไม่ร้อนตัวสิครับเพื่อน”
“ไอ้....”
“สวัสดีครับทุกคน” มาแค่นี้ไม่เห็นต้องแต่งหล่อเลย ลงทุนกลับบ้านไปอาบน้ำเลยเหรอ
“เพื่อนกูมาแล้วนี่รพี เป็นเอชอาร์ที่สำนักพิมพ์กู ส่วนนี้เจ้าของวันเกิดพี่เทียน โน้นน้องสุพล .....”
สินธ์แนะนำจนครบ เขาคิดว่านายรพีต้องก้มหัวทักทายทุกคนจนเวียนหัวไปเลย
ดูจากหน้ามึนนั่นแล้วอย่าไปถามเลยว่าจำใครได้บ้าง
"เรียกพี่พีได้ป่าวคะ" น้องตาวสาวน้อยรีบชิงทักคนมาใหม่หูตาเป็นกระกาย
ตอนนี้นักเขียนผู้หญิงแข่งกันส่งสายตาทำนองเดียวกันกับตาวส่งให้รพีกันดุเดือด
“คุณขำอะไร” รพีกระซิบถามเมื่อเห็นเขาหัวเราะในคอ
"มีคนทอดสะพานให้เต็มเลยนะรู้ตัวไหม" กระซิบกลับให้ได้ยินกันแค่สองคน
"แล้วคุณล่ะรู้ตัวไหมว่าผมทอดสะพานรอให้คุณข้ามมาอยู่ทุกวัน"
"เพิ่งหายป่วยมีแรงหยอดด้วยเหรอ"
"พี่รพีว่าไงคะ ไม่เห็นตอบตาวเลยเรียกพี่พีได้ไหม" สาวน้อยคนเดิมเรียกร้องคำตอบ
รพียิ้มสุภาพตอบเสียงดังฟังชัด
"ขอโทษนะครับน้องตาวพี่ชอบให้คนอื่นเรียกว่ารพีมากกว่า ส่วนชื่อพี...อยากเก็บไว้ให้แฟนเรียกคนเดียว"
เสียงโห่ของคนในโต๊ะ กับสายตาที่รพีมองมาที่เขาทำเอาใจเต้น รอยยิ้มที่เก็บไม่อยู่จนต้องมองนั่นมองนี่ไปพราง
น้องตาวทำหน้าเซ็งที่อีกฝ่ายไม่ยอมข้ามสะพานของเธอ ทุกอย่างก็เกือบกลับสู่ภาวะปรกติ ถ้า.....
"พี่เภพรุ่งนี้ว่างไหมครับ ผมจะชวนไปงานหนังสือ" น้องสุพลคงไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำให้ใครบางคนนั่งไม่ติด
"เอ่อ...คือ" เภพัฒน์อึกอักหันไปมองรพี ที่กำลังสั่นขากัดปากดูก็รู้ว่าไม่พอใจ ขี้หวงเหมือนกันนะนายนี่
"พรุ่งนี้เขามีนัดกับผมแล้วครับ" ได้แต่พยักหน้าตามนั้น เขาไม่ได้นัดกับรพีแต่ก็ไม่อยากไปกับสุพลแบบนี้ดีแล้ว
คนชวนยิ้มแห้งบอกว่าไม่เป็นไร แต่คงรู้แล้วว่ารพีกับเขามีบางอย่างที่ไม่ใช่แค่เพื่อนก็รพีแสดงออกขนาดนั้น
“ไอ่สินธ์ไปไหน” เขาหันไปถามคนที่ถือวิสาสะยกแขนวางพนัก ไม่ต่างจากกำลังโอบไหล่เขาอยู่
“ไปเตรียมเค้ก”
“รู้ดีจังนะ สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อย่าทำเสียงอย่างนั้นสิครับ จะผมจะคิดแล้วนะว่าเภหึงผม”
"ทำไมต้องหึง ผมไม่ได้ไร้สาระเหมือนพี" เรียกชื่อนี้แล้วหน้าร้อนขึ้นมาทันที เท่ากับยอมรับเป็นแฟนรึป่าวเนี่ย
"ถึงไม่มีสาระแต่ผมมีใจนะ"
"เน่ามาก แล้วก็ช่วยเอาแขนออกไปด้วย" เขาว่าทำตาเขียวใส่อีกคน
"เป็นเมียเหรอมาสั่ง อ่าลืมไปเป็นแล้วนี้หว่า" รพียักคิ้วทำหน้าเจ้าชู้ใส่
“...............” เบื่อจะพูดด้วยกวนประสาทที่สุด
ยังดีที่เพลง Happy birthday ช่วยชีวิตไว้ เขาจึงได้จังหวะลุกจากที่นั่งไปยืนอีกฝั่งร่วมร้องเพลงกับคนอื่น
รีบกินเค้กแต่หัวค่ำ เพราะเจ้าของวันเกิดบอกว่ากลัวดึกแล้วจะเมาซะก่อน ก็อย่างนี้แหละอารมณ์ศิลปินติสท์แตก
ห่วงเมามากกว่าขนมหวาน
Happy birthday to you, Happy birthday to you
Happy birthday Happy birthday
Happy birthday to you.
ตัดเค้กอวยพรกันเสร็จ ก็พร้อมเมาแบบจัดเต็ม เขาหลบมาเข้าห้องน้ำเพราะเริ่มเบื่อกับผู้คนรอบข้าง
ระหว่างเดินกลับโต๊ะสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนกอดผู้หญิงผมยาว ใบหน้าคม รอยยิ้มอบอุ่นแบบนั้นเขาจำได้ดี
“พี่กันต์”
เหมือนโดนมนต์สะกดให้ตัวแข็งเป็นหิน จะว่าเมาจนเห็นภาพหลอนก็เพิ่งดื่มไปสองแก้ว ไม่จริงนั่นแค่คนหน้าเหมือน
แต่นั่นมันเขาชัดๆ รูปร่างหน้าตากระทั่งส่วนสูง และสไตล์การแต่งตัว
“พี่กันต์”
ไม่กล้าเดินเข้าไปหา เขากลัวคนตรงหน้าจะไม่ใช่คนคนนั้น ใจสั่นไปหมด ค่อยๆล้วงมือถือขึ้นมาโทรหาเพื่อน
“สินธ์กูว่ากูเจอพี่กันต์วะ”
(เภมึงใจเย็นๆก่อน เสียงมึงสั่นอยู่ไหนเนี่ย แล้วพี่กันต์อะไรเขาตายแล้ว สติมึงสติ)
พริบตาเดียวที่หลุดจากคนคนนั้นหันกลับมาอีกที ก็ไม่เจอเขาแล้ว พี่หายไปอีกแล้ว
ไม่มีแรงจะพูด เขาตายไปแล้ว ภาพคมมีดกับกลิ่นเลือดยังติดแน่นในความทรงจำ
ใบหน้าคมอาบไปด้วยเลือดและน้ำตาของเขา มันคือความจริง บางทีคนที่เขาเห็นอาจเป็นแค่ ...ภาพลวงตา..
ไม่สนใจใครแล้ว อยากร้องไห้ให้สุดเสียง ตะโกนไปให้ถึงอีกโลกที่อีกคนอยู่
“เภคิดถึงพี่นะ”
น้ำตาไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่อยากเช็ดไม่อยากสนใจใครที่เดินเบียดไปมา ตรงนี้มีคนมากมายแต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว
นาทีต่อมาร่างสูงของอีกคนยืนเด่นอยู่ตรงหน้า
“ไม่เป็นไรนะ” ไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้รพีกอดเขาเอาไว้แน่น
คนตัวสูงลูบหัวของเขาพร่ำบอกแต่คำว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
“ผมเห็นเขา ผมเห็นเขา” รู้ว่าไม่สมควรพูดให้อีกคนรู้สึกแย่ แต่ตอนนี้เขาอ่อนแอเหลือเกิน
“ชู่ว์ ผมรู้ ผมเชื่อคุณ” แทนที่รพีจะโกรธไม่พอใจแต่กลับปลอบใจและรับฟัง มันดีเหลือเกิน
“ผมอยากกลับแล้ว” เขาไม่อยากอยู่แล้วจริงๆ รพีพยักหน้าพยายามเช็ดน้ำตาให้เขาแต่เภพัฒน์เบือนหน้าหนี
แล้วจัดการปาดน้ำตาบนแก้มตัวเองออก ไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใกล้มากกว่านี้
เขาเดินตามคนตัวสูงออกมาส่งไลน์หาเพื่อนว่าขอกลับก่อน สินธ์ถามยาวเป็นสิบข้อความแต่เขาตอบกลับแค่
ไม่ต้องห่วงจะให้รพีไปส่ง เพื่อนเลยเงียบไป ร่วมชั่วโมงแล้วที่เขาและรพีออกมาจากผับความเงียบถูกงัดมาใช้ตลอดทาง
“ขอบคุณนะพีที่มาส่งผม” สายตาของรพียิ้มกับสรรพนามที่เขาใช้
“อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม” เสนอตัวเก่งเหมือนเดิม
“ถ้าไม่รบกวนพีนะ” ถึงจะเลี่ยงมาตลอดที่จะให้อีกคนเข้าใกล้ แต่คงจะดีถ้าคืนนี้มีคนอยู่ข้างๆ
“เข้ามาก่อนสิ” พออนุญาตให้เข้ามา แขกก็มองนั่นมองนี่ไม่หยุด
“สำรวจอะไรนักหนา”
“ที่คิดไว้ไม่เป็นแบบนี้” รพีบอก
“แบบนี้คือแบบไหน” คุยไปด้วยเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำให้แขกไปด้วย
แปลกมากเขาน่าจะไม่อยากทำอะไรและควรคิดถึงแต่พี่กันต์ที่เจอในผับ แต่ทำไมเขารู้สึกสบายใจกว่าที่คิดไว้ เพราะรพีรึป่าว
“คิดว่าจะรกกว่านี้”
“เห้ ฟังดูไม่ดีเลยนะนั่น” รกเหรอนายรพีเห็นเขาเป็นคนยังไงกันเนี่ย
“ก็คิดว่าเภไม่ค่อยใส่ใจอะไร ไม่คิดว่าจะจัดระเบียบห้องซะเหมือนห้องตัวอย่างในโครงการ”
“หึ กลัวโดนไล่กลับรึไงรีบอวยเชียว”
“ไม่ได้อวยออกจะจริง อินสปายเรชั่นตอนไปเดินอิเกียปะเนี่ย”
“ฮ่าๆๆ ว่าไปนั่น”
รพีมองหน้าเขายิ้มกว้างส่งมาให้ บางทีมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่จังหวะการเต้นของหัวใจเขารัวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
“ยิ้มอะไรนักหนา”
“ผมชอบนะ” รพีว่าแล้วยกมือเกาต้นคอ
“รู้แล้วว่าชอบบอกแล้วบอกอีก ก๊อปไอเดียได้นะผมไม่หวง”
“ไม่ใช่ห้องที่ผมบอกว่าชอบคือ เสียงหัวเราะของเภต่างหาก ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยหัวเราะให้ฟังบ่อยๆได้ไหมครับ”
และบางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดร้อนขึ้นมา วางหน้าวางมือไม่ถูก หรือคืนนี้ความเศร้าเบื่อที่จะมาหาเขาแล้ว
“หยอดบ่อยผมก็ไม่เคลิ้มหรอกนะ”
“รู้..ก็แค่ลองดูเผื่อได้” ขอแค่ลองเถอะอย่าจริงจังกว่านี้เลยขอร้อง
“ได้อะไรพูดให้มันดีๆ”
“..............” ทีอย่างนี้อมพะนำยิ้มลอยหน้าลอยตา หมั่นใส้จริงเชียว
เภพัฒน์ขอตัวอาบน้ำปล่อยให้แขกที่ไม่เชิงแขกนัก นั่งดูทีวีค้นห้องตามสบาย ไม่มีอะไรให้ค้นนักหรอก
เพราะเขาเป็นคนไม่ชอบเก็บของ ความทรงจำต่างหากที่เขาหวง
อาบน้ำแล้วล้างหน้าล้างตาค่อยรู้สึกชดชื่นขึ้นมาบ้าง น้ำตาแห้งไปตั้งแต่มีใครอีกคนเข้ามากอดแล้วกระซิบว่าไม่เป็นไร
เขายืนยิ้มให้รพีผ่านกระจกเงา ไม่ต่างจากยิ้มให้ตัวเองแต่ทำไมรู้สึกดี
“พี่กันต์ผมเข้มแข็งขึ้นแล้วนะ วันนี้เจอคนที่เหมือนพี่ผมยังไม่ร้องนานเลย”
ออกจากห้องน้ำมากวาดสายตาหาทั่วห้องไม่เห็นคนร่างสูง กลับแล้วเหรอไม่บอกไม่กล่าว
“อยู่นี่ยังไม่กลับ” ที่แท้ก็อยู่มืดๆที่ระเบียง ทำมิวสิครึไง
“ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ”
“ผมชอบความมืด”
“เป็นผีรึไง” จะว่าไปเภพัฒน์เองก็ชอบความมืดเหมือนกัน ตอนแรกกลัวแต่หลังๆมาเริ่มชอบ
“มานั่งด้วยกันไหม” ไม่ตอบแต่ก็ยอมนั่งลงข้างๆ
“รู้ไหมบางครั้งความสว่างก็ทำให้เราแสบตา” รพีว่า
“เหมือนความจริงที่ทำให้เราปวดใจ” เภพัฒน์เสริม คนข้างๆพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่เภรู้ใช่ไหมว่าถึงเราไม่เปิดไฟ เมื่อถึงเวลาดวงอาทิตย์ก็เข้ามาไล่ความมืดอยู่ดี”
ใช่ความจริงถึงเราไม่รู้วันนี้ ไม่ยอมรับ แต่มันก็คือความจริงวันยังค่ำ ไม่ยอมรับแล้วไงมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี
“พี...ผมถามอะไรได้ไหม” เขาหันไปมองคนข้างๆ อีกคนจ้องมาให้รู้ว่าเขารอที่จะตอบคำถามทุกข้อของเภพัฒน์
“คืนนั้นที่ผับมันเกิดอะไรขึ้น ทำไม....”
“ไหนเภบอกไม่อยากให้ผมพูดถึง ทำไมอยู่ๆถามล่ะ”
“ไม่รู้สิผมคงเบื่อความมืดแล้วมั้ง”
รพีกัดปากจ้องไปในความมืด มือหนาเลื่อนมากุมมือเล็กดึงวางบนตักตัวเอง
“คืนนั้นผมดื่มกับเพื่อน เห็นคุณเมาหลับอยู่คนเดียวก็เลยช่วยพาไปหาที่พัก เพราะผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ไหน
แล้วก็ไม่กล้าพาคนแปลกหน้ากลับห้อง กะว่าทิ้งคุณไว้แล้วจะกลับเลย แต่....”
“เกิดหน้ามืดแล้วปล้ำผมเหรอ”
ทั้งสองคนไม่ได้มองหน้ากัน มีแค่มือที่บีบกันไปมา และรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มให้ความรู้สึกตัวเองมากกว่า
“มั่นใจในตัวเองนะคุณเนี่ย”
“ว่าผมหลงตัวเองงั้นสิ”
“เปล่าครับ ไม่รู้อะไรคุณอ่ะอ้วกใส่ผมก็เลยต้องลากไปเข้าห้องน้ำล้างเนื้อล้างตัวทั้งคู่ แล้วคุณก็...เซ็กส์ซี่เป็นบ้า”
คำสุดท้ายรพีก้มมาบอกข้างหู เขาขนลุกทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง
“หื่นนน” พอโดนเขาว่ารพีเกาหัวทำหน้าไม่ถูก
“ผมขอโทษนะที่หายไปเลย คือผม...” รพีขอโทษไม่จบเขาก็พูดแทรก
“ไม่เป็นไร ถ้าอยู่มันอาจไม่ใช่เรื่องดีนักก็ได้” เขาหมายความแบบนั้นจริงๆ
“สรุปเภฟันผมแล้วก็จะทิ้งเลยเหรอ เสียใจวะ”
“พูดให้มันดีๆ ใครฟันใครไม่ทราบ”
“แล้วนี่เราเถียงอะไรกันอยู่”
“นั่นสิ”
ต่างคนต่างรู้สึกแปลก มันประดักประเดิดไปหมด ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด
ท้องฟ้าปิดวิวที่ระเบียงก็เป็นวิวที่ไม่มีแสงสี แต่เภพัฒน์รู้สึกว่ามีลำแสงหนึ่งส่องเข้ามาในหัวใจของเขา
“แล้วคุณจำผมได้ตอนไหน” คราวนี้รพีถามบ้าง
“ตอนสัมนา” ตอนที่อยู่บนเตียงด้วยกันอีกครั้งนั่นแหละ
“แปลว่าคุณก็จำคืนแรกได้นะสิ”
“ใครจะลืม” ตอบเบามากรพีต้องเอียงหูเข้ามาฟังใกล้ๆ
“แล้วอะไรที่คุณจำได้” ระพียกมือของเขาขึ้นมาวนนิ้วตัวเองเล่น ทำเอาวูบไหวขึ้นมาทันที
จนต้องรีบชักมือกลับ แต่อีกคนไม่ยอมปล่อยพร้อมรีบบอกว่าเลิกแกล้งแล้ว
“ประโยคที่พีพูด มันเหมือนกันกับคืนแรกที่เราเจอกันไม่มีผิด”
“ห๊ะ คะ คำพูดเนี่ยนะ”
“อือ นายบ่นว่าเมาเหมือนหมา บ่นว่าอ้วกใส่อีกแล้ว ซวย ซวย ประมาณนี้แหละ”
“เภมันฟังดูไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่เลยเนอะ”
“คิดมาก ก็แล้วใครว่าโรแมนติกละ ผมว่า....”
มือหนาคว้าคอเขาโน้มมาจูบ ริมฝีปากแตะกัน แล้วผละออกต่างคนต่างจ้องตากัน ต่างคนต่างเห็นเงาสะท้อนตัวเองในสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าหากันอีกครั้งราวกับมีแรงดึงดูด รพีละเลียดริมฝีปากตัวเองกับปากของเขา เหมือนกำลังชิมเนื้อครีมบนหน้าเค้ก
หวานละมุน เบาหวิว ไม่จาบจ้วงไม่ล่วงล้ำ แต่อิ่มอุ่นในความรู้สึก ทุกสัมผัสปากต่อปาก ทุกองศาที่สองคนตั้งใจมอบให้อีกฝ่าย ไม่ช้าไม่เร็วจังหวะเท่าลมหายใจเข้าออก ไม่เหนื่อยไม่เร่ง เหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาที่พร้อมจะเริ่มไปช้าๆ
“ขอบคุณนะครับสำหรับจูบ” รพีเอ่ยขอบคุณมือหนายังจับค้างลูบเบาๆที่หัวของเขา
หน้าผากยังแตะกันอยู่ไม่มีใครคิดถอยไป กำแพงในใจของเภพัฒน์พังครืนลงไปในชั่วพริบตา
บางทีการเปิดใจ การเริ่มต้นใหม่อาจไม่ได้ยากเย็น และเลวร้ายเหมือนที่กลัว
ถ้าเราเอาแต่กลัว วันไหนเล่าที่เราจะรู้จักความสุข
...................................................................................
เภเริ่มเปิดใจ พีสู้ๆ
#สายลมและคมมีด