สายลมและคมมีด (The End)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมและคมมีด (The End)  (อ่าน 4766 ครั้ง)

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
สายลมและคมมีด (The End)
« เมื่อ11-11-2018 14:26:28 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





......................................................................................

สายลมและคมมีด

หยดน้ำตาหนึ่งไหลอาบแก้ม ใครคนนั้น
สายลมที่พัดแรง แต่ใจฉันกลับไม่ไหวติง
คมมีดเดียวพรากชีวิตคุณ แล้วฆ่าฉันให้ตายในคราวเดียวกัน



เมื่อไม่มีคุณอยู่บนโลกใบเดียวกัน
ความสุขก็ไม่ใช่ความจำเป็นในชีวิตของฉัน
หายใจไปวันๆ เพื่อรอวันตามคุณไปยังอีกโลก
ได้โปรดอย่าก้าวเร็วนัก หยุดรอฉันบ้าง
ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยนั่งรอฉันอยู่ตรงนั้นเลยก็ได้
สัญญาที่รัก ฉันจะรีบตามคุณไป










Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2018 20:56:47 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 1 (11/11/18)
«ตอบ #1 เมื่อ11-11-2018 14:38:13 »

chapter 1

ถ้าเราจมน้ำเมื่อลมหายใจสุดท้ายหมดสิ้นเราก็เป็นอิสระจากความทรมาน
แล้วการจมอยู่กับความสูญเสีย ต้องรอให้เราตายจากไปก่อนไหมเราถึงจะหายเศร้า[/center]


นิ้วเรียววนรอบขอบแก้ว สัมปะชัญญะล่องลอย ไร้ทิศทาง สติกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความจำเป็น แก้ววิเศษรินเหล้าเท่าไหร่ก็ไม่ล้น
เทแล้ว เทอีก เมาแล้ว เมาอีก จนสุดท้ายมืดสนิท ดวงตาหม่นเศร้าจ้องไปในวันวานที่ไม่อาจย้อนคืน ผู้คนรอบกายกับสรรพเสียงที่แว่วดังไร้ความหมาย มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เขาเมินปัจจุบัน ไม่แยแสอนาคต เพียงเพราะไม่อาจถอนตัวจากอดีต

ดื่ม

ดื่ม

ดื่ม

เวลาผ่านไปจนน้ำเมาเริ่มมีผลกับร่างกาย เภพัฒน์รู้แค่ว่ามีคนพยุงตัวเองขึ้นจากโต๊ะ อยากลืมตาขึ้นมองแต่ทำไม่ได้ หนักไปหมด ไม่ใช่สินธ์เพื่อนสนิทแน่นอนเพราะรู้สึกได้ถึงกำลังแขนของคนนี้ที่ยึดร่างเขาไว้แล้วพาเดินไปด้วย เขาสูงเกือบ 180 ไม่ใช่ว่าตัวเล็กซะที่ไหน

เสียงเพลงและดนตรีค่อยๆ เงียบไป เขากำลังถูกใครสักคนพยุงเดินออกมา รู้สึกตัวบ้างวูบไปบ้าง

“ฆ่าฉัน ฆ่าฉันที” พร่ำบอกคนที่เดินอยู่ด้วยกัน
“เงียบซะรำคาญ”

ประโยคสนทนาเดียวที่จำได้ก่อนสติจะเลือนจางลงไปในที่สุด


กลับมารู้สึกอีกครั้งตอนได้ยินประโยคพร่ำบ่นของคนเดิม

“หนักอะไรอย่างเน้ โอ๊ยอ้วกอีก ซวย ซวย ซวย”

เสียงบ่นน่ารำคาญดังจนแสบหู แต่เภพัฒน์ก็ยังไม่อาจลืมตาขึ้นมามองได้ อย่าว่าแต่ลืมตาเลย ตอนนี้ร่างเขาเหมือนหุ่นกระบอกไปแล้ว เจ้าของเสียงน่ารำคาญ จับเขาลุก พยุงเขาเดิน ยกเขาลอย และทุ่มลงบนที่นอน

ปึก!! รับรู้ แต่ไม่รู้สึกอะไรมันด้านชาไปแล้ว เพราะหัวใจที่เจ็บปวดมันกลบมิดความเจ็บใดในร่างกาย

“ขออีกแก้วว” เขาร้องขอความเมาอีกนิด เพราะมันยังไม่เพียงพอ ที่จะลบความเศร้าที่เขามี
ต้องเมาให้หลับนั่นต่างหากที่ต้องการ ส่วนเรื่องใครพามาจะทำอะไรเขาไม่แคร์

“แค่นี้ก็เป็นหมาอยู่แล้ว แดกอะไรนักหนาวะ” เสียงน่ารำคาญดังขึ้นอีกครั้ง
ได้ยินทุกคำแต่ตอบกลับไม่ได้ ปากมันชายกริมฝีปากไม่ขึ้น พยายามยกหัวแต่ทำได้แค่พยายาม รู้สึกถึงความเย็นเยือกเข้ามาปะทะร่าง อีกคนกำลังถอดเสื้อเขาออก ตามด้วยกางเกง

ความตายเป็นเรื่องที่เขาร้องขอทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าเป็นไปได้ช่วยฆ่าเขาให้ตายซะที
ตายแบบไหนก็ไม่เกี่ยง เจ็บปวดหน่อยก็ได้ ตอนนี้ก็ไม่ต่างกับตายทั้งเป็นอยู่แล้ว

“อยู่นิ่งๆ ล้างอ้วกออกก่อน เหม็นนะรู้ไหม”
“อื้ออออ” ได้แค่ส่งเสียงครางรับ ในหัวโคลงเคลงราวกับนั่งอยู่บนเรือ

ฝ่ามือหนาลูบผ่านตุมไตบนตัว ขนลุกไปหมด หายใจติดแผ่วลงไปอีกนิด
เสียงลมหายใจเข้าออกของใครคนนั้นรุนแรงขึ้น

“ไม่ไหวแล้ววะ ขอแล้วกันนะ”

ท่ามกลางสายน้ำกับพื้นฉ่ำแฉะ รู้สึกถึงแรงสัมผัส ไม่ใช่ว่าไม่เคย แต่ครั้งนี้แค่ไม่คุ้น
เซ็กส์ในความรู้สึกที่เจ็บชา มันก็ไม่ต่างจากอาหารอร่อยในวันที่เจ็บคอ

ไม่รู้รส ไม่สุขสม ร่างขยับไปตามแรงกระแทก เดี๋ยวก็เสียว แป๊บเดียวก็จุก สั่นไหวเวียนวนไป ไม่รู้นานแค่ไหน
ใครจะมาสนใจจับเวลา สติสุดท้ายของเขาคือพยายามลืมตามองคนที่ประกบปากเขาอยู่ มืดสนิท ไม่เห็นใคร มืดไปหมด
ไม่รู้ว่าใคร มืดดำเหมือนหัวใจของเขา แม้ช่วงเวลาที่จะมีความสุขเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มี

เสียงครางที่ดังขึ้นของเขาและใครสักคนที่ไม่รู้จัก เป็นได้มากที่สุดแค่คนแปลกหน้า เสียงครางที่เป็นภาษาเดียวที่สามารถใช้สื่อสารกันในตอนนี้ มันไม่ใช่ภาษารัก มันเป็นแค่ภาษาใคร่ ตัณหาราคะเท่านั้นที่มีร่วมกันในช่วงเวลาแสนสั้น

กายหยาบที่เบียดบดกันไม่มีใครยอมใคร แม้เขาจะเมาจนลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็ยังบิดส่ายร่างให้คนข้างบนได้รู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย ไม่มีบทสนทนาใดๆ เหมือนจังหวะดนตรีที่ขาดเนื้อร้อง เมื่อถึงตอนจบปลดปล่อยแล้วจบลง



ความจริงแล้วเขาอยู่ได้โดยไม่ใช้หัวใจ มันตายไปแล้ว ตายไปนานแล้วพร้อมกับตอนนั้น……….









เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง เสียงหวูดเรือดังแว่วมากระทบโสต มึนงงไร้ทิศทาง เปลือกตาขาวค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ
แล้วก็ต้องหรี่ลงอีกเพราะแสงจร้าที่ส่องเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ปรับสายตาให้ชินกับแสงสักพักก็ลืมตาได้สักที

เมื่อยังไม่ตายก็ควรสนใจหน่อยว่าที่นี่คือที่ไหน

ห้องสี่เหลี่ยมมีแค่ที่นอน กับโต๊ะเล็กๆ ตู้เย็นมีแค่น้ำเปล่า

เมื่อยังไม่ตายก็ควรดื่มน้ำ ประทังร่างไม่ให้ทรมานเพราะความกระหาย


ลุกขึ้นนั่งแล้วค่อยกระเถิบร่างเปลือยเปล่าลงจากเตียง บนโต๊ะมีกระดาษเขียนบอกสิ่งที่สงสัย
........เจ้าพระยา เกสเฮ้าส์............ เสียงเรือโดยสารดังเข้ามาอีกครั้ง ยืนยันว่าที่นี่คือที่พักชั่วคราว
ใกล้ร้านเหล้าที่เขาดื่มเมื่อคืน พาร่างบอบช้ำเข้าห้องน้ำด้วยแรงน้อยนิดที่พอมี สองมือจับข้างฝาช่วยพยุงตัวเอง เจ็บแปล๊บตรงสะโพก จนต้องหยุดเดินแล้วยกมือลูบเพื่อบรรเทาความเจ็บนั้น
สิ่งแรกที่เปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำคือเสื้อผ้าของตัวเองกองเปียกอยู่ที่พื้น

เดินไปยืนหน้ากระจกมองสภาพร่างกายที่อยากให้ตายตามจิตใจ รอยแดงจ้ำๆ ตามจุดอ่อนไหว
รอยกัดที่ไหล่และลำคอขาว ฝีมือคนที่มีเสียงน่ารำคาญเมื่อคืนไม่ต้องสงสัย

ช่างเถอะมันก็แค่.......เซ็กส์

พาร่างกายเหนื่อยอ่อนทำอะไรที่ควรทำอาบน้ำล้างคราบทุกอย่าง ซักเสื้อผ้าด้วยน้ำเปล่าและสบู่ก้อนราคาถูก เอาผ้าตากตรงระเบียงที่มีคอมเพรสเซอร์แอร์ช่วยเป่าให้แห้งไวขึ้น

ร่างบางที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันท่อนล่าง ล้มตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง รู้สึกถึงความชื้นจากผ้านวมสีขาวคงเพราะเมื่อคืนนอนทั้งที่ตัวเปียก เภพัฒน์นอนขดตัวบนเตียง ไม่ได้ไข้ ไม่ได้หนาวกาย แต่ใจมันสะท้าน หมดสิ้นความเมาความเหงาก็ตามหลอกหลอน

“ทำไมต้องทิ้งกันไป” เสียงตัดพ้อต่อว่าคนอีกโลก นำมาซึ่งสายน้ำตาที่เขาไม่เคยหักห้าม
น้ำตามาจากไหน สองปีมาแล้วร้องไปตั้งเท่าไหร่ก็ยังไม่หมดสักที บ่อน้ำตาอยู่ที่ไหนอยากเอาดินไปถ่มให้มิด ไม่อยากเศร้า
ไม่อยากอ่อนแอ พอๆ กับไม่อยากมีชีวิตอยู่ ร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปในที่สุด


ครืนนนน ครืนนน

เสียงอุปกรณ์สื่อสารประจำตัวปลุกเขาให้ลืมตาอีกครั้ง แสงแดดอ่อนลงคงเกือบเย็นแล้ว

“เภมึงอยู่ไหนเนี่ย” เสียงของคนสุดท้ายบนโลกที่ยังเป็นห่วงเขา
“ยังไม่ตาย”
“ยังจะมาปากดี ร้องไห้อีกแล้วสิเนี่ย มึงนี่นะทำไมต้องทำให้กูห่วงอยู่เรื่อย.......”

เมื่อยังไม่ตายถึงได้ยินถ้อยคำพร่ำบ่นของเพื่อนรัก

“เจ้าพระยา เกสเฮ้าส์มารับที”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมา แค่เป็นครั้งแรกในรอบสองปี ที่เกิดเรื่องแบบเมื่อคืนกับใครสักคนที่มีเสียงน่ารำคาญ กับสัมผัสที่มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป

“เภถ้ามึงเป็นผู้หญิงคงท้องไม่มีพ่อแน่ๆ ทำไมปล่อยตัวขนาดนี้วะ ไม่ท้องก็ติดโรคได้นะรู้ไหม”
“ก็ดีสิจะได้...”
“หยุดเลยนะ คำก็ตายสองคำก็ตาย กูไม่ชอบ”


“แล้วนี่กินอะไรรึยัง”
“ยัง”
“ว่าแล้วเชียว โอ๊ยแล้วทำไมเดินเดี้ยงขนาดนี้ ใครวะไม่ถนอมเพื่อนกูเลยสัด”
“หึ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“กูไม่ได้ถาม ยังจะตอบให้กูปวดหัวอีกนะ”
“อ้าว”
“ไม่ต้องมาอ้าว ตั้งแต่นี้กูขอห้ามเด็ดขาดอยากเมาบอกกู ห้ามมาคนเดียวเข้าใจไหม”


“อืม”
“อืมแล้วก็ทำด้วย จะให้พูดอีกกี่ทีวะ มึงเป็นคนเก่ง มึงหน้าตาดี ชีวิตมึงเลือกใหม่ได้ เริ่มต้นกับใครอีกสิบคนก็ได้ ทำไมต้องประชดชีวิตแบบนี้ด้วยกูไม่เข้าใจ”


“มึงไม่เข้าใจหรอก ชีวิตกูแม่งเลือกไม่ได้เพราะหัวใจกูมันถูกเผาไปพร้อมกับเขาแล้ว มึงเข้าใจไหม”

“อา ไม่ต้องร้องแล้วมึง กูไม่ว่าแล้วก็ได้ เฮ้ออเช็ดน้ำตาแล้วออกไปหาอะไรกินประทังชีวิตก่อน อิ่มแล้วกูจะให้มึงร้องให้น้ำท่วมโลกไปเลยเคไหม”

“อืออ”
“เช็ดน้ำตา ห้ามร้องไงเดี๋ยวคนข้างนอกว่ากูเป็นผัวมึงมาตามเมียที่โดนชู้พามากก”
“ไม่ร้องแล้วไงไปได้ยัง”


มันมีความจริงที่ว่าเราเลือกฟัง เลือกเห็น เลือกเป็น ทุกอย่างไม่ได้
เพราะอย่างนั้น คนเราถึงได้มีน้ำตาไว้คลายความผิดหวัง เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่หวัง

สำหรับเภพัฒน์เขามั่นใจว่าในชีวิตที่เกิดมายี่สิบห้าปี เขาใช้น้ำตาไปอย่างสิ้นเปลืองที่สุด
เขาร้องทุกครั้งที่อยากร้อง แม้ตอนที่ไม่อยากร้องยังห้ามไม่ได้เลย
แต่ถ้าน้ำตาเป็นคำปลอบโยนจากความผิดหวัง ทำไมเขาไม่รู้สึกดีขึ้นบ้างเลย


ความสุข เธออยู่ที่ไหน
ความสมหวัง เธอหลงทางใช่ไหม

ทำไมเราไม่เจอกันสักที







เช้าวันจันทร์ ที่เหมือนทุกจันทร์วุ่นวาย ไร้ระเบียบ เสียงคลิกเม้าท์ เสียงโทรศัพท์ภายใน เสียงมนุษย์ชายหญิง บรรยากาศรอบข้างกำลังชี้ชวนให้ความเบื่อหน่ายมานั่งเล่นในหัวของเขา ความสงบที่อยากเข้ามาก็ได้แต่ชะเง้อมองหาที่ว่างที่ไม่มี เพราะบัดนี้ความวุ่นวาย หน่ายเบื่อเข้ามายึดพื้นที่ไปหมดแล้ว


“เภพี่ขอต้นฉบับก่อนสี่โมงนะ”
“เภภาษาตรงนี้ยังไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่พี่ขอแบบเร้าใจกว่านี้”
“เภดูภาพประกอบให้พี่ยังโอเคไหมตอบด้วยนะจะได้ส่งเขาแก้”

“เภ”
“เภ”
“เภ”
“เภ”

สารพัดรูปประโยคที่ชวนอึดอัด ทุกครั้งขึ้นต้นด้วยชื่อเขา “เภ” รู้สึกเกลียดชื่อตัวเอง ตั้งแต่คนนั้นจากไปไกลแสนไกล
คนนั้นที่เรียกชื่อเภ ด้วยคำที่น่าฟัง หวานหู ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดว่าชื่อตัวเองจะไพเราะได้มากมายเท่าวันนั้น

‘พี่เรียกเราว่าเภได้ไหมครับ’
‘เภของพี่’
‘พี่รักเภพัฒน์’



หลบมายืนพิงประตูห้องน้ำ หลับตาปิดทางไหลของหยดน้ำสีใส คัดจมูกคล้ายเป็นไข้หวัด
ปวดตาเหมือนเส้นเลือดจะแตก แสบท้องแสบตา แสบก้น แผลมันยังสดก็ต้องใช้เวลา
ขนาดแผลใจผ่านมาสองปียังไม่ดีขึ้นเลย เมื่อปาดน้ำตาหยดสุดท้ายทิ้งไปแล้ว
โกยพลังชีวิตให้ตัวเองลึกๆ ก่อนจะออกมาล้างหน้าชำระใจไล่อารมณ์หม่นออกไปบ้าง


ครืนนนนน

“เภมึงอยู่ไหนกูหิวจนจะกินโต๊ะทำงานได้แล้ว”
“เป็นปลวกเหรอมึง มาเข้าห้องน้ำกำลังออกไปรอแป๊บ”

วางสายแล้วเงยหน้าเลี้ยวออกจากห้องน้ำ ด้วยใจที่ยังไม่กลับมาเต็มร้อย
กึก.....
ใครสักคนหน้าไม่คุ้น จำชื่อไม่ได้

ผู้ชายที่ตัวสูงกว่าเขานิดหน่อยยืนตรงหน้า จมูกของใครคนนั้นห่างจากหน้าผากเขาไม่ถึงคืบ


“โทษที” ประโยคขอโทษไม่ได้มองหน้าอีกคน และก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากตรงนั้น
“ขอโทษครับ” อีกคนก็เอ่ยประโยคเดียวกันกับเขา เลือกแล้วจะไม่ใส่ใจ
ตั้งแต่ตัดสินใจว่าพร้อมตายในวันพรุ่งนี้ เขาก็ไม่สนใจคนรอบข้างอีกแล้ว
เดินผ่านกันไป ไม่จำเป็นไม่มีงานต้องทำร่วมกันก็ไม่อยากคุย


ต๊อก

ต๊อก

ต๊อก

เสียงใครบางคนเดินใกล้เข้ามา เภพัฒน์ขอให้เป็นคนที่ไม่รู้จักจะได้ไม่ต้องหยุดทักทาย


“สินธ์มึงหิวขนาดต้องมาตามกูเลยเหรอ”
เพื่อนคนที่โทรมาตามเขานั่นแหละ เรื่องบ่นว่าหิวก็แค่เรื่องอ้างบังหน้ามากกว่า คงเป็นห่วงอีกตามเคย

“ช้าจังวะ นี่แอบไปร้องไห้มาอีกแล้วป่ะเนี่ย”
“ไปเถอะ” ไม่ต้องคิดคำโกหกให้เสียเวลา เพื่อนก็เห็นอยู่ว่าตาเขาก็บวม จมูกเขาก็แดง


เดินตามเพื่อนมาที่ร้านข้าวร้านประจำ คนไม่เยอะแค่เกือบไม่มีโต๊ะนั่งเท่านั้นเอง
เพราะรอกับข้าวนานหรือว่าเพราะไม่หิวห็ไม่รู้ เขาเอาแต่จ้องคะน้าหมูกรอบตรงหน้าจนสินธ์ต้องออกปากเตือน


“ไอ้เภแดกข้าว อย่าให้กูต้องจับกรอกปาก”
“........................” พอได้ยินอะไรแบบนั้นน้ำตาก็รื้นมาอีก ตักข้าวใส่ปากเคี้ยวทั้งน้ำตา เมื่อก่อนมีคนคอยห่วงใยเรื่องกินตลอด ตอนนี้ต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้สิ ถ้าคนคนนั้นมองมาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง


‘เภครับไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาทำงานมันไม่หนีไปไหนหรอก’
‘ขออีกนิดเดียวครับจะเสร็จแล้ว’
‘ดื้อจังเลยนะแฟนใครเนี่ย’
‘แฟนพี่กันต์ไงจะใครล่ะ’ คนคนนั้นยิ้มกว้างหยิบขนมบนโต๊ะมาส่งให้
‘อ่ะงั้นกินนี้รองท้องก่อน อ้าปาก’



รอยยิ้มความอ่อนโยน ความห่วงใยที่เคยได้รับจากคนคนนั้นมันดีเหลือเกิน

เมื่อไหร่จะได้ตายอย่างที่อยากสักที ไม่ไหวแล้วอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว


“พรุ่งนี้ลางาน กูจะพามึงไปหาหมอ สองปีมานี่เวลาไม่ช่วยอะไรมึงเลยหนักขึ้นทุกวัน”
สินธ์ยังทำหน้าที่คนสุดท้ายในโลกที่เป็นห่วงเขาอย่างไม่ลดละ


“กู...” ยังไม่ทันได้ปฎิเสธเพื่อนก็มีเสียงใครคนหนึ่งแทรกขึ้นมา


“ขอโทษนะครับ นั่งด้วยได้ไหม” ร้านนี้คนแน่นมีบ่อยครั้งที่มักจะมีคนมาขอนั่งด้วย
ต่างกันที่คนส่วนใหญ่มานั่นกินรีบอิ่ม แล้วก็รีบไป ไม่เหมือนผู้ชายคนนี้

“ได้ครับเชิญๆ” สินธ์ตอบรับอยู่คนเดียว ขณะที่เขาก้มหน้ากินข้าวคะน้าหมูกรอบผสมน้ำตาต่อไป

“ผมรพีมาทำงานใหม่ครับฝากตัวด้วยครับ” เสียงแนะนำตัวเองทำให้เขาต้องหันไปมอง
คนที่เจอหน้าห้องน้ำ เห็นหน้าชัดแบบนี้ก็หน้าตาดีเหมือนกันนี้นา แบบนี้ลองถ้าโสดสาวๆ คงเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน
“ผมสินธ์นี่ไอ่เภ เราสองคนเป็นนักเขียนครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับผมอยู่ฝ่ายบุคคล”

เมื่อยังไม่ตาย การผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ก็เป็นเรื่องที่ควรจะทำ


แต่ขอยังไม่ทำตอนนี้
“ขอตัวนะครับ มีงานด่วน”

เขาไม่ชอบสนิทกับเพื่อนใหม่ๆ เพราะรู้ดีว่าเมื่อคนเราสนิทกันก็ต้องมีความห่วงใย
และอยากถามไถ่คนที่เราเรียกว่าเพื่อน แล้วเรื่องราวเมื่อสองปีนั้นก็ต้องถูกนำมาฉายซ้ำ
ทั้งที่ก็ไม่เคยลืมมันจากใจ แต่กลับทำใจไม่ได้ที่จะต้องพูดถึง

“อ่า ผมขอตัวนะครับ / เภรอกูด้วย”
“รีบไปไหนเนี่ย เสียมารยาทมากนะมึง ขาดงานก็บ่อยน่าจะตีซี้กับเฮชอาร์ไว้รู้ไหม”
“ไม่จำเป็น”
“เสียใจได้นะมึงแต่มันเกินไป สองปีแล้วปล่อยวางบ้างเหอะ”
รู้สิทำไมจะไม่รู้ ปล่อยวาง ปลง ทำใจ สารพัดคำสวยหรู ที่ได้แค่คิด


“เดี๋ยวครับ คุณทำกระเป๋าตังหล่น” เพื่อนใหม่วิ่งมาหยุดหายใจหอบ ยื่นกระเป๋าตังค์หนังสีเทาอ่อนให้เภพัฒน์
หันไปถึงรู้ว่าสินธ์เดินเข้าไปก่อนแล้ว เลยจำใจต้องพูดอะไรตามมารยาทอย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็มีน้ำใจกับเขา

“ขอบคุณครับ” พอจะเอื้อมมือเข้าไปรับของคืน อีกฝ่ายรีบชักมือกลับ
“เลี้ยงข้าวผมก็พอ” น้ำใจที่หวังผลตอบแทน
“ได้ครับ”
“ง่ายจัง”
“............” แล้วทำไมต้องยากด้วย


“ผมขอยืมมือถือคุณหน่อย” อีกฝ่ายยิ้มหน้าระรื่นแบมือขอมือถือ
มันเป็นของใช้ส่วนตัวนะ เพิ่งรู้จักกันมายืมได้ยังไง
“มือถือคุณไม่มีใช้เหรอ”


“มีครับแต่แบตหมด เร็วคุณผมรีบ”
“เฮ้ออ” ถอนหายใจขนาดนี้ต้องเข้าใจได้แล้วสิว่าเขาไม่เต็มใจให้ยืม
“ขอบคุณครับ อ่ะรหัสครับ”

คนแบบไหนที่หน้าตายขอให้คนอื่นเลี้ยงข้าว คนแบบไหนที่ขอยืมมือถือคนอื่นไปแอดไลน์ตัวเอง ไม่พอแอดเฟซ ไอจี และทวิตเตอร์ ไม่รวมเข้าไปดูบล็อคส่วนตัวอีก ดีที่สังคมออนไลน์พวกนั้นเขาเอาไว้แค่ลงงานเขียนเท่านั้น


“นายว่านายชื่ออะไรนะ” เขาต้องถามชื่อคนนี้ไว้จะได้ระวังตัว
“สนใจผมแล้วละสิ ไม่บอกไปส่องเฟซผมเอาเอง ไปก่อนนะครับคุณเภพัฒน์”






.......................................
กลับมาอีกครั้งคนเขียนคนเดิมและพูดไม่เก่งเหมือนเดิม ไม่มีเพิ่มเติมอะไร
ฝากเรื่องใหม่ด้วยค่ะ #สายลมและคมมีด
เราชอบอ่านคอมเม้นต์มากๆเลยนะขอบอก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 14:31:48 โดย antivirus »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: สายลมและคมมีด
«ตอบ #2 เมื่อ12-11-2018 08:00:28 »

ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 2 (12/11/18)
«ตอบ #3 เมื่อ12-11-2018 10:00:42 »

Chapter 2

ถ้ารู้ว่าสุดทางเดินไม่มีอะไรที่คาดหวัง เราก็คงหยุดเดิน
แต่รู้ทั้งรู้ว่าเศร้าไปก็ไม่ได้อะไร ทำไมเราไม่หยุดเศร้าเสียที\



บางคืนเขาสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย ในฝันเขากลัวจนไม่กล้ากระดิกตัว แต่นั่นกลายเป็นเรื่องเล็กไปเมื่อตื่นขึ้นมาอยู่กับความมืดเพียงลำพัง มันรู้สึกเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เหมือนกันว่าความจริงกับความฝันที่ไหนน่ากลัวกว่ากัน


วันนี้เขาโดนสินธ์บังคับให้ลา เพื่อนผู้เป็นห่วงเป็นใยเขาเสมอต้นเสมอปลายจะพาเขาไปพบจิตแพทย์ รอบที่สามในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา หลังจากเขาไม่สามารถเลิกเศร้าได้สักที

เหมือนทุกครั้งไปนั่งตรงข้ามคนแปลกหน้า เล่าเรื่องในใจ หมอถามบ้าง ให้วาดรูปบ้าง แล้วก็รออีกฝ่ายตัดสินว่าเขาเป็นอะไร  เรื่องของจิตใจคนอื่นจะรู้ดีเท่าตัวเราเองอีกงั้นเหรอ   


 “ขอบคุณครับคุณหมอ”  สินธ์หันมามองเขาแล้วถอนหายใจเหมือนโล่งอกหนักหนา
“นึกว่าต้องไปส่งมึงที่โรงบาลบ้าแล้ว ปรกติก็ดีจะได้หายห่วง”

ความบ้าคือโรคอย่างหนึ่งที่ต้องรักษา โรคที่มองไม่เห็นในอวัยวะใดในร่างกาย
เภพัฒน์โชคร้ายที่เศร้าไม่หายสักที แต่ก็โชคดีที่ยังไม่ได้บ้า


ก็นะ.......

ถ้าบ้าแล้วลืมกลิ่นเลือด
ถ้าบ้าแล้วไร้ความเศร้า
ถ้าบ้าแล้วไม่ต้องร้องไห้

ก็อยากจะบ้า พอๆ กับอยากตายนั่นแหละ

“เภกูถามจริงมึงตอบหมอตามตรงไหม ทำไมหมอว่ามึงโอเคว่ะ” 
“พูดอย่างนี้มึงอยากให้หมอว่ากูไม่โอเคงั้นสิ” 
“เปล่า มึงยัง...อยาก...ตายอยู่ไหม”
“ก็อยากทุกวัน ตอนนี้ก็อยาก” 
“นั่นไงที่กูว่าไม่โอเคอ่ะ มึงอย่าคิดสั้นเชียวนะ”
“รู้แล้ว กูอยากตาย แต่ไม่ได้อยากฆ่าตัวตาย”  หวังว่าเพื่อนจะเข้าใจที่เขาพูด


สินธ์ท้าวแขนมองหน้าเขาครู่ใหญ่ ก่อนที่ฝ่ายการเงินจะเรียกชื่อเขาไปชำระค่ารักษา
เพื่อนรั้งแขนเขาไว้ก่อนจะพูดสีหน้าจริงจัง

“ไม่ว่าเหตุผลที่มึงไม่คิดสั้นจะคืออะไร แต่กูดีใจมากและขอบคุณในเหตุผลนั้น”


ความสัมพันธ์มีหลายรูปแบบ เราอาจเป็นอะไรกับคนรอบข้างได้มากมาย  พ่อแม่ลูก เพื่อน คนรัก แต่สำหรับเขามีแค่เพื่อนคนนี้คนเดียว ดังนั้นเพื่อนจึงสำคัญกับเขามากที่สุด

“สินธ์ขอบใจมึงมาก พรุ่งนี้กูจะกลับไปเป็นคนเดิม” 

การเป็นผู้รับมากๆ ทำให้เขาละอายใจ อย่างน้อยการเสแสร้งมีความสุขต่อหน้าเพื่อนคนเดียวที่เขามี มันก็คงไม่ได้ย่ำแย่มากนัก เพื่อนจะได้ไม่ต้องห่วงเขา และพลอยทุกข์ใจไปกับเขา

ยิ่งสินธ์เป็นเพื่อน ยิ่งไม่ควรเอาแผลในความทรงจำของตัวเองไปทำให้ความสุขของเพื่อนลดลง


 
“มะ มึงพูดจริงเหรอเภ กูดีใจนะ”   เพื่อนดีใจจนปากคอสั่น ดึงเขาไปกอดพร้อมโยกไปมา จนต้องดึงมุมปากให้ยกสูงขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง ยิ้มให้เพื่อนในรอบสองปี

กูขอโทษนะสินธ์ที่ทำให้มึงเป็นทุกข์ไปด้วย

“มึง อยากแดกไรกูเลี้ยง”
“เลี้ยงอะไรอีก วันนี้เหนื่อยแล้วแยกย้ายละกัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”  ราวกับเด็กหัดพูด
ประโยคยืดยาวนั้นทำให้เขาเหนื่อย ใช้พลังงานเยอะไปหมด


“ให้กูไปส่งไหม” 
“ไม่ต้องกูโตแล้ว ไม่เดินไปให้รถชนหรอกน่า” 
“ห่าเภ กูใจคอไม่ดีอย่าพูดแบบนั้น มานี้เลยกูจะไปส่ง”


ไม่น่าพูดอย่างที่คิดเลย ตอนนี้เพื่อนคนเดียวบนโลกไม่ยอมปล่อยเขากลับคนเดียวแล้ว
ยัดตัวเองลงนั่งข้างคนขับ รู้อย่างนี้ขับรถมาเองซะก็ดี

ตึ่ง!!

เสียงไลน์ดังขึ้น


รพี : ถึงห้องยังคุณ
เภพัฒน์:  มีอะไรครับ
รพี : ทวงสัญญา ขอเป็นข้าวกลางวัน
เภพัฒน์:  ถ้าร้านวันก่อนก็ได้ครับ
รพี : ผมขอข้าวกล่องแทนได้ไหม เอามาให้ผมที่แผนกด้วย ขอบคุณครับ



“คุยกับใครวะ” 
“บอกอทวงงาน” ผมตอบเสียงเหนื่อยหน่าย
“ทวงอะไรนักหนายังกะทวงหนี้”
“เอ่อนั่นดิ ติดหนี้อะไรมันไว้รึป่าวว่ะ” คิดถึงผู้ชายคนนั้นแล้วเดาได้เลยว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร

“มึงว่าไรนะ”
“เปล่า”
“รีบกลับไปปั่นส่งแกเถอะ ไม่งั้นก็ทวงยิก”
“อือ มึง แวะท็อปส์ให้กูหน่อย”
“หืออ ไปซื้อของใช้เหรอ”
“อืม”

สินธ์หันมามองเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ก็ไมได้พูดอะไรมาก เวลาต่อมารถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่แล่นไปจอดในซองของลาดจอดรถห้างดัง เพื่อแวะตลาดติดแอร์ซื้อของมาทำข้าวกล่อง
ตอบแทนบุญคุณนายคนนั้น


“เมนูอาหารกลางวัน มึงจะทำข้าวกล่องเหรอ” เพื่อนชะโง้กหน้ามาดูหน้าจอมือถือเขา
“เออ เข็นตามกูมาไม่เสือกสักเรื่องจะตายไหมมึงอ่ะ” 
“ฮู้ว มีปากมีเสียงแบบนี้ดิเพื่อนกูของจริง”

เพื่อนเขาดูดีใจที่เขากลับมาทำตัวปรกติสักที






เมื่อเรายังไม่ตาย การรักษาความสัมพันธ์กับคนที่ยังเหลือในชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญ



ตัดสินใจแล้ว เช้าวันนี้ วินาทีนี้ เขาจะเลือกร้องไห้แค่กับตัวเอง เสียใจแค่ลำพังก็พอ


ยืนหน้ากระจกฝืนยิ้มให้ตัวเอง เวลาอยู่กับคนอื่นเขาจะได้ยิ้มออกมาให้ดีที่สุด ก่อนออกจากบ้าน คว้าห่อข้าวที่ลุกมาทำตั้งแต่หกโมงไปด้วย ชดใช้บุญคุณให้หมดซะ  เผื่อพรุ่งนี้ตาย จะได้ไม่ต้องติดค้างกัน คนอย่างนายรพีเขอเจอแค่ชาตินี้ก็พอ


รพี : ผมเห็นข้าวกล่องแล้วนะ มาช่วยป้าแม่บ้านเปิดตึกเลยป่ะเนี่ย
เภพัฒน์: มาเช้าแบบนี้ทุกวัน
รพี : ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา



ต้องแหกตาตื่นมาทำให้แต่เช้าเพราะใครกันละ นายรพีคนนี้ช่างน่ารำคาญ เป็นผู้ชายที่น่ารำคาญมากคนหนึ่ง   


บล็อคไลน์ดีไหมนะ?



รพี : ผมโพสรูปกล่องข้าวในเฟซแล้วแท็กคุณได้ป่าว
เภพัฒน์: เผื่อคุณยังไม่สังเกตุผมเอาไว้ใช้ลงงานเท่านั้น ไม่ได้เอาไว้แชร์เรื่องส่วนตัว
รพี : แปลว่าเรื่องของเราเป็นเรื่องส่วนตัวอะดิ ดีใจนะเนี่ย
เภพัฒน์:  .........................



ไม่ได้โง่นะดูก็รู้ว่าโดนจีบ แล้วก็ใช่ว่านายรพีอะไรนี่จะขี้เหร่ ออกจะดูดีด้วยซ้ำ สงสัยอยู่อย่างเดียวมันมาเสียเวลากับคนที่หัวใจตายไปแล้วอย่างเขาทำไปกัน



“โดนทวงต้นฉบับแต่เช้าเลยสิมึงอ่ะ” 
“เอ่อโคตรรำคาญ”  คิดถึงหน้านายรพีแล้วในหัวมีแต่คำว่าน่ารำคาญเต็มไปหมด

“รำคาญอะไรกันเหรอจ๊ะ”  เสียงพี่เก๋ บก. คนที่สินธ์กำลังพูดถึงนั่นเอง
“อุ๊ย วันนี้พี่เก๋ทำทรงผมใหม่รึป่าวเนี่ยดูหน้าเด็กลงเลยนะครับ”  สินธ์เปลี่ยนประเด็นได้ลื่นไหลเหมือนเดิม
“นิดหน่อยพี่ดัดปลายมาพวกแกว่ารอดไหมอ่ะ”
“ดูดีครับ”  เขาตอบไปยิ้มไปให้คนถามมั่นใจ ความจริงแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนจากเดิม
แค่ปลายผมใครจะไปจำได้กันล่ะ 

พี่เก๋เดินเข้าห้องไปแล้ว เขากับเพื่อนหัวเราะออกมา  รอยยิ้มก็ปลอม เสียงหัวเราะก็ปลอม
แต่ก็ไม่ได้แย่มากอย่างที่คิด เขาแสดงมันได้ดีทีเดียว

แม็กซ์เวลล์ ชื่อหมอศัลยกรรมคนหนึ่ง เคยทดลองมาแล้วว่า คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้า จะเริ่มชินกับใบหน้าใหม่ของตัวเองใน 21 วัน ถ้าเขาฝืนยิ้มและมีความสุขแบบนี้ให้ครบ 21 วัน เขาอาจไม่ต้องฝืนมันอีกต่อไป


แต่ยี่สิบเอ็ดวัน มันจะสู้สองปีที่เขาเศร้าและเอาแต่ร้องไห้ได้จริงเหรอ
 




นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง ร้านเดิมกับเพื่อนคนเดิมแต่มีบางอย่างเปลี่ยนไป แทนที่จะเดินเลี้ยวซ้ายเขาเลือกเลี้ยวขวา เหมือนแค่เรื่องอาหาร แต่ผมก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเรื่องหนึ่งในรอบสองปี


“เภมึงเปลี่ยนเมนูเหรอ”  เขาเห็นเพื่อนยิ้มกว้างถามเสียงดังลั่นร้าน
“อื้ม” 
“ดี  ดีแล้ว”  สินธ์ยิ้มร่าเอ่ยชมไม่ขาดปาก 
“เว่อร์หนะแค่กูเปลี่ยนจากคะน้าหมูกรอบมาเป็นกระเพราหมูกรอบเองไหม”
“ใครบอกมีไข่ดาวไม่สุกเพิ่มมาด้วย”  เขายิ้มส่ายหัวให้เพื่อน จะมีสักกี่คนที่ดีใจกับการที่เรากินไข่ดาวไม่สุก






“นั่งด้วยคนนะครับ”   มาอีกแล้วนายรพี

  “ผมมองหาคุณอยู่นะเนี่ย เอ่อว่าแต่นั่นอะไร”  ยกหน้าที่ให้เพื่อนทักทายแขกไม่ได้รับเชิญ
มีการถามถึงกล่องข้าวกับเมนูในนั้น  สินธ์ทำหน้าสงสัยหันมามองเขา ซึ่งเภพัฒน์เลือกจะนิ่ง
ทำไมนะเหรอก็กล่องข้าวกับเมนูที่นายนั่นกำลังกินเหมือนอร่อยเต็มประดา ดันเหมือนที่เขาซื้อกับเพื่อนเมื่อวานทุกอย่างนะสิ

“วันนี้ผมมีข้าวกล่อง” นายรพีดูมีความภูมิใจจะตอบมาก จนเขาอดเบ้ปากให้ไม่ได้
“รพีคุณนี่แปลกเนอะ ห่อข้าวมาแต่ยังออกมากินที่ร้านอีก” สินธ์ถามกลายๆ
“กินคนเดียวมันเหงา” 

เขารู้สึกเบื่อคนที่นั่งข้างๆมาก จะยิ้มอะไรนักหนาชีวิตมีความสุขมากรึไง ข้าวกล่องก็ได้ไปแล้วยังจะเสนอหน้าหอบมากินด้วยอีก


“คุยได้นะครับผมไม่กัดหรอก”    และเริ่มกวนประสาททันที
“เอาเว้ยย  มาแซวเพื่อนผมแบบนี้คิดไรป่ะเนี่ย”
“คิดได้เหรอครับ”  รับมุขกันไปอีก
“โอ๊ะไอ่เภเขาถามมึงอ่ะ” 

ถอนหายใจใส่เพื่อนที่ผันตัวเป็นพ่อสื่อได้ปัจจุบันทันด่วนซะจริง

“ไร้สาระ” 
“อ้าวไอ่เภเขินเหรอ” 

“เขินบ้าเขินบออะไร รำคาญ!!”
“คุณเภนี่ตลกดีนะครับ” ดูเหมือนคำว่ารำคาญจะทำอะไรนายรพีไม่ได้
“คุณรู้ไหมว่านอกจากผมและคุณ ไอ่เภมันไม่ค่อยคุยกับใครเลยนะ” หันไปมองเพื่อนตาขวาง
สองคนนี้กำลังแข่งกันทำตัวไม่เป็นที่ต้องการของเขาอยู่รึป่าว

“ห๊ะ คุณเภไม่มีคนคบขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ยังมีหน้ามายักคิ้วใส่เขาอีก อยากริบข้าวกล่องคืนเอาไปให้ด่างหน้าสำนักพิมพ์ยังจะดีซะกว่า

“ฮ่าๆ รพีผมชอบคุณ ไงล่ะเภ เถียงไม่ออกเลย ฮ่าๆ”


โชคดีแค่ไหนที่กินข้าวเร็ว จ้วงไม่กี่คำก็หมด ไม่งั้นคงได้นั่งรำคาญนายรพีนานกว่านั้นแน่










........................................................
เรื่องนี้มันก็ไม่ได้ดราม่าอะไรมากมายนะคะ ลองอ่านดูเผื่อจะชอบ

ฝากติดแท็ก #สายลมและคมมีด 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 14:32:58 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 3 (12/11/18)
«ตอบ #4 เมื่อ12-11-2018 10:33:54 »

Chapter 3
[/b]

เวลาไม่ได้ลบความทรงจำของใครได้
แล้วเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเวลาจะทำให้เราเศร้าน้อยลง
[/b]



ในช่วงเวลาที่คนเราต้องมีเวลาให้กับการละลายพฤติกรรม งานสังสรรค์เป็นทางเลือกที่ดี
ใครหลายคนก็ชอบที่ไม่ต้องทำงาน แถมมีเวลาหาความสุขกับคนรอบข้างที่คุ้นเคยกัน
คงมีก็แต่เขาที่ไม่ชอบงานเลี้ยง เขาเหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยที่จะพูด เหนื่อยที่จะคิดถึงใครคนนั้น


เมื่อเรายังไม่ตาย เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องอดทน


“อะไร”  เขาหันไปถามคนน่ารำคาญที่เดินมาตักกุ้งใส่จานให้ จำได้นะว่าไม่ได้ขอ
“แย่จัง ผมคาดหวังจะได้ยินคือคำว่า ขอบคุณต่างหาก” กวนได้ทุกครั้งสิน่า
“ไม่ได้ขอ” 
“ไม่เป็นไรครับ เอาอย่างอื่นอีกไหม” 


เฮ้ออออ


“ไอ่เภคุณรพีคุยไรกันท่าทางสนุก”   ส่วนใหนบนหน้าเขาที่บ่งบอกว่ากำลังสนุก

“เภมึงกินกุ้ง เห้ยดีๆ” 
“สินธ์มึงนี่เว่อร์สัดๆ” 
“ด่ากูเลยกูชอบ”  เขาคิดว่าเพื่อนนั่นแหละควรไปหาหมอโรคจิตรึป่าว
“หาหมอไหมมึง”  เพื่อนก็ยังคงตื่นเต้นมากมายเมื่อเขาตักกุ้งที่คนคนนั้นชอบ ทั้งที่สองปีมานี้เขาเลี่ยงตลอด ไม่สิเขากินแค่เมนูเดิมมาตลอดต่างหาก เมนูเดียวที่ไม่เคยได้กินกับคนคนนั้น

“ขอโทษนะครับคือผมสงสัยว่า แค่คุณเภพัฒน์กินกุ้งมันน่าตื่นเต้นมากเหรอครับ” 
เขากับเพื่อนมองหน้ากัน เพื่อนมีท่าทีอึกอักเขาเลยตอบแทน

“เอาเวลาที่สนใจเรื่องการกินของผม ไปเคี้ยวอาหารที่คุณตักมาเถอะครับ” 

เดินออกมาไม่ต้องเรียกใคร น่าเบื่อ น่ารำคาญจริงๆ มายุ่งมาเสือกเรื่องคนอื่นอยู่ได้ ว่างมากเหรอ
ไม่มีใครคบแล้วรึไงกัน

“เภรอกูด้วยเซ่”  หาที่นั่งได้ก็นั่ง อย่างน้อยคนน่ารำคาญก็ไม่ได้ตามเพื่อนเขามาด้วย

“อ่ะระ”
“กูว่าคุณรพีชอบมึง” 
“เรื่องของคนอื่นมั่นใจเหมือนเรื่องตัวเองเลยนะ”  คาดหวังนะว่าเพื่อนจะเข้าใจได้ในทันที
“มึงว่ากูเสือกง่ายกว่าไหม”  ขอบคุณที่เพื่อนเข้าใจ แต่เข้าใจก็ไม่ได้หมายความว่าสินธ์จะหยุด

“แล้ว...มึงจะว่าไง”  เห็นแก่ความเป็นเพื่อนคนเดียวบนโลกจะไม่รำคาญก็แล้วกัน
“น่ารำคาญดี” 
“โห เขามาได้ยินเสียใจข้าวติดคอแน่ๆ”  อะไรของมันเสียใจจนข้าวติดคอ

“อ่ะเภมึงขำ กูดีใจที่สุดหยุดไม่ได้แล้วขอเก็บภาพรอยยิ้มมึงประดับไอจีได้ป่ะ” 

ถ้าจะขอก็ต้องรอจนกว่าจะได้รับอนุญาตไม่ใช่เหรอ ทำไปแล้วก็ไม่ต้องขอหรอกมั้ง


 
“กูแท็กมึงนะ” 
“ทำไปแล้วไม่จำเป็นต้องขอ” 
“ไม่ต้องขอบคุณกูหรอก มึงชอบรูปนี้ช่ะมะล่ะ” 
“ตรงไหนของหน้ากูที่แปลว่ายินดี”   
“ฮู้ว ลงรูปกับเพื่อนบ้างเซ่ ลงแต่ผลงานอยู่นั่นแหละ คือมึงต้องทำเพื่อแฟนคลับ ที่เขามีมึงเป็นนักเขียนในดวงใจบ้าง
เขาก็อยากเห็นหน้ามึง รับรู้ชีวิตมึงเหมือนกันนะ” 

ป่วยการจะเถียงด้วย ก้มหน้ากินดีกว่า กินไปกินมากุ้งในจานมันทำให้ผมคิดถึงคนคนนั้นอีกจนได้

‘กุ้งตัวใหญ่สุดพี่ให้เภนะ’
‘พี่กินเลยมันของโปรดพี่นี้นา’
‘ไม่เป็นไรตอนนี้พี่เจอของโปรดกว่ากุ้งแล้ว’



“เภ ไอ่เภ จะร้องไห้อีกแล้วช่ะ เอามานี้กูแดกแม่ม”  ว่าแล้วเพื่อนก็จ้วงกุ้งไปจัดการจนไม่เหลือซาก
“อึงอักอาอำไอ”(มึงตักมาทำไม) สินธ์ถามทั้งที่ปากยังเคี้ยวกุ้งอยู่
“กูไม่ได้ตักเอง มีคนเสือกตักให้” 
“อึก อย่าบอกว่าไอ่คุณรพี” พยักหน้าสายตาหน่ายๆ นอกจากสินธ์ก็มีแต่คนน่ารำคาญคนนั้นแหละที่กล้ายุ่งเรื่องของเขามากขนาดนี้

 “เชดดด ว่าละมันชอบมึง”
“กูไม่ได้ชอบมัน ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกะกู”
“เอ่อๆ แล้วแต่มึงเลย ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า”
แต่สายตาของสินธ์ไม่เหมือนกับที่พูดเลย เพื่อนมองเขาเหมือนมีแผนการบางอย่างในใจ


เสียงคนในงานฮือฮาขึ้น ดึงความสนใจเขาให้หันไปมองบนเวที นายรพีนั่งจับกีต้าร์ในมือ เพื่อนร่วมงานหลายคนส่งเสียง เป่าปาก  ให้กับการแสดงที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น มันเป็นกฏ พนักงานใหม่ต้องมีการแสดง เขาจำได้ตอนที่เขากับคนคนนั้นต้องทำตามกฏนี้


‘เภพัฒน์ชื่อเก๋ดีนะ’ คนคนนั้นพูดกับเขาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
ความประหม่าขัดเขินทำให้เขาต้องลูบผม ลูบหน้า จับคอตัวเองพัลวัล

‘เราแสดงอะไรกันดีล่ะ ร้องเพลงมะเดี๋ยวพี่เล่นกีต้าร์ให้’
เป็นตอนที่คนคนนั้นเริ่มเข้ามาในชีวิตของเภพัฒน์ และเริ่มก้าวเข้ามาใกล้หัวใจของเขาเรื่อยๆในเวลาต่อมา

ดนตรีที่ดังขึ้น เนื้อเพลงที่ดังตามมา บทเพลงเดียวกันกับความทรงจำ
เพียงแต่บนเวทีไม่ใช่เขาที่ร้อง และกีต้าร์ก็ไม่ใช่คนคนนั้นที่เล่น

แค่ได้ยินเพลงๆนั้น
ที่เราเคยฟังด้วยกันเหมือนครั้งก่อน
มันก็ย้อนความทรงจำ
ให้กลับมาราวกับเป็นเพลงของเรา
ยิ่งย้ำเตือนเรื่องราววันเวลาที่เคยมีทั้งดีและร้าย
ครั้งสุดท้ายนานเท่าไหร่ที่เรานั้นไม่ได้พบเจอกัน



และตอนนี้แม้ฉันจะเข้าใจว่ารักของเราได้จบไป
ก็รู้ไม่ควรทำอะไรเพราะมันก็ไม่เหมือนเดิม



ความเจ็บปวดไม่เบื่อบ้างรึไงเอาแต่มาในรูปของหยดน้ำสีใสแบบนี้อยู่ร่ำไป

แต่ยังคิดถึงเธอได้มั้ย
ถ้าฉันไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ
จะไม่ขออะไรไม่ได้หวังให้เธอคืนกลับมา
แค่คิดถึงเธอเท่านั้น
แม้รู้ว่าในวันนี้เธออยู่กับใครก็ไม่เป็นไร
แค่ได้คิดถึงเธอคนเดียวก็พอ

“เภ ออกไปข้างนอกไหมวะ” 
“ไม่เป็นไรกูจะไม่หนีอีกแล้ว”

ต่อให้เดินไปจนสุดขอบโลกเขาก็ยังต้องเจ็บปวดอยู่ดี


จากวันนั้นแม้จะนานแต่ว่าฉันยังจดจำทุกๆอย่าง
สิ่งที่ฉันเคยได้ทำให้เธอนั้นหวังว่าเขาคงทำได้ดี
กว่าก็ฉันเองที่ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำและเสียน้ำตา
ไม่ได้ทำดีกับเธออย่างที่ฉันควรได้ทำทุกๆวัน

และตอนนี้แม้ฉันจะเข้าใจว่ารักของเราได้จบไป
ก็รู้ไม่ควรทำอะไรเพราะมันก็ไม่เหมือนเดิม

แต่ยังคิดถึงเธอได้มั้ย
ถ้าฉันไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ
จะไม่ขออะไรไม่ได้หวังให้เธอคืนกลับมา
แค่คิดถึงเธอเท่านั้น
แม้รู้ว่าในวันนี้เธออยู่กับใครก็ไม่เป็นไร
แค่ได้คิดถึงเธอคนเดียวก็พอ



ต่อให้ลุกขึ้น จากตรงนี้จนไม่ได้ยินเสียงเพลงนี้ เขาก็คิดถึงอยู่ดี


ได้แต่คิดถึงเธอเท่านั้น
เพราะรู้ว่าในตอนนี้เธออยู่กับใครแต่ไม่เป็นไร
แค่ได้คิดถึงเธอคนเดียว
และจะคิดถึงเธอคนเดียวก็พอ



ต่อให้อยู่ที่ไหน ทำอะไร ถ้าหัวใจยังเต้นอยู่มันก็ยังเจ็บทรมานอยู่ดี


เพลงเดิมดนตรีเดิมเนื้อเพลงเดิม แต่แค่ไม่ได้ร้องเอง ทั้งที่เคยร้องด้วยรอยยิ้ม
ร้องไปเขินคนข้างๆไป จนโดนใครต่อใครแซวว่าเขาสองคนทำให้เพลงเศร้ากลายเป็นเพลงรัก

แต่เพลงเศร้าก็คือเพลงเศร้า จะหลอกตัวเองว่ามันเป็นเพลงรักตลอดไปคงไม่ได้ ก้มหน้าปล่อยน้ำตาหยดต่อหยดร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก   อาหารที่ตักมาคงกินไม่ลงแล้ว เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมโน้ตตัวสุดท้ายที่จบลง เขาเหมือนโดนเหวี่ยงลงไปในสนามของความทรงจำ ร่ำร้อง เสียใจ ภายในเจียนบ้า


“เภ”  เพื่อนเรียกเป็นครั้งที่สาม ไล่น้ำตาที่นองหน้า ฝืนยิ้มให้เพื่อนอีกครั้ง

“กูโอเค” สินธ์จ้องหน้าสักพักก็ปล่อยผ่าน การต้องมานั่งปลอบคนเดิมในเรื่องเดิม
นานร่วมเจ็ดร้อยสามสิบวัน ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็จะทำให้ใครได้ทุกคน

“ขอบใจมึงนะสินธ์ที่อยู่กับกูมาตลอด กูโอเคแล้วมึงไม่ต้องห่วงกูแล้ว” 
“ให้มันจริงเถอะ”  เขาแสดงเก่งขึ้นแล้วนะ เพื่อนต้องเชื่อสิว่าเขาโอเค


“เพลงต่อไปผมอยากให้มันปลอบคนที่กำลังร้องไห้นะครับ”  นักร้องคนเดิมมองตรงมาที่เขาซึ่งเพิ่งเช็ดคราบน้ำตาหยดสุดท้ายไปหยกๆ คนที่ร้องไห้ไม่ใช่ใครเขานั่นเอง

“กูจะไปเข้าห้องน้ำหน่อย”  เขาไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำแค่อยากไปจากตรงนี้
“กลับเลยไหม กูอยากกลับแล้ว”   เพื่อนรู้ใจเขาเสมอ  “อืมเอาสิ” 

เพลงใหม่ยังไม่เข้าท่อนร้องด้วยซ้ำ เขากับเพื่อนก็เดินออกจากงานเลี้ยงมาไกลจนไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว 

     
เปิดประตูไปนั่งข้างคนขับ  เขาตัดสินใจจะบอกเพื่อนให้เลิกเป็นพ่อสื่อสักทีมันไม่มีประโยชน์

“กูอยากขอร้องมึงอย่าง” 
“เรื่องคุณรพีเหรอ” สินธ์เดา
“อืม กูไม่พร้อมจะเสียใจกับใครแล้ว” 
“แต่ชีวิตมึงยังต้องเดินต่อ ลองคุยดูเขาอาจทำให้มึงลืมเรื่องในอดีต”
“กูควรลืมเรื่องเศร้าด้วยตัวเองนี้นา”
“แต่มึงก็ทำไม่ได้สักทีกูรู้ เหนื่อยไหมวะที่ต้องฝืนยิ้มให้กูไม่ต้องเป็นห่วงอะ”
“มึง รู้ เหรอ”
“กูเพื่อนมึงนะไอ่เภ” 

ราวฝนสาดซัดในรถคันเล็ก มีแค่อุ้งมือตัวเองรองน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
ปล่อยโฮด้วยสุดจะกลั้น เพื่อนแค่ขับรถไปไม่พูด ไม่ปลอบ

เมื่อร่างกายเหนื่อยพายุก็สงบ ทิ้งไว้แต่ความเปรอะเปื้อน คราบน้ำมูกน้ำตา และเสียงสะอื้นแผ่ว

ไม่นานนักรถคันเดิมเลี้ยวเข้าซองที่จอดอย่างเคยคุ้น

“ให้กูอยู่เป็นเพื่อนไหม”
“ไม่เป็นไร ได้ร้องออกมากูก็ดีขึ้น”
“เภ”
“อื้ม”
“กูคิดถึงเพื่อนเภคนกากของกูว่ะ ตามเขากลับมาทีเถอะ” 
สินธ์ร้องไห้โฮ น้ำตาไหล พร่ำบอกอ้อนวอนให้เขากลับมาเป็นคนเดิม เจ็บกว่าที่เจ็บ คงเป็นเจ็บที่ทำให้เพื่อนเจ็บ

“กูพยายามแล้ว กูพยายามมาก พยายามทุกวันเลยจริงๆนะ” 

ที่ว่าเหนื่อยแล้วร้องต่อไม่ไหวแล้ว ก็มีแรงขึ้นมาซะอย่างนั้น กอดเพื่อนแน่นแข่งกันทิ้งหยดน้ำตาลงบนไหล่ของอีกฝ่าย  ความเจ็บปวดไม่สามารถประมาณค่าได้ จึงไม่รู้ว่าใครเจ็บปวดกว่ากัน  คนที่ไม่เคยหยุดเศร้า หรือคนที่เฝ้ามองอีกคนเศร้าโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้

“กูรู้เภมันยาก แต่มึงต้องกลับมานะ มึงต้องกลับมาเป็นเพื่อนกากของกู”
“กากผ่องง”
“ฮ่าๆ แบบนั้นแหละ” 

หัวเราะไปด้วยกันทั้งน้ำตา


สินธ์ขับรถออกไปแล้ว เขาลากเท้าและร่างกายที่ไม่ค่อยมีแรงเดินไปเรื่อยๆตามความคุ้นชิน
แล้ววันนี้ก็ผ่านไปอีกวัน กับความพยายามหยุดเศร้าที่ยังหยุดไม่ได้อยู่ดี



รพี: คุณใจร้ายจังนะครับ ไม่อยู่ฟังเพลงผมเลย

เพิ่งเห็นว่ามีข้อความเข้ามาเห็นแค่แจ้งเตือนแต่เขาไม่ได้กดเข้าไปอ่านหรอก อีกสิบนาทีจะตีหนึ่ง
แต่เภพัฒน์ยังนอนลืมตาอยู่บนเตียง


‘กูคิดถึงเพื่อนเภคนกากของกูว่ะ ตามเขากลับมาทีเถอะ’
‘กูรู้เภมันยากแต่มึงต้องกลับมานะ มึงต้องกลับมาเป็นเพื่อนกากของกู’



ขณะที่กำลังคิดทำให้ตัวเองเข้มแข็งน้ำตาก็ไหลอีกแล้ว ใช่มันยากอย่างที่เพื่อนว่า
ยากมากที่จะลืม ยากเกินไปที่จะไม่เศร้า ในเมื่อความเศร้าเป็นสิ่งเดียวที่เขามีอยู่ในทุกวินาที









................................................
ความเศร้า การจมกับความทุกข์มันเป็นเรื่องที่ใครไม่เจอไม่เข้าใจจริงๆ

ใครชอบก็บอกกันด้วยนะคะ รักทุกคอมเม้นต์
ขอบคุณเพลง แต่ยังคิดถึง - ตู่ ภพธร


#สายลมและคมมีด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 14:33:44 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 4 (12/11/18)
«ตอบ #5 เมื่อ12-11-2018 11:01:54 »

chapter  4


เมื่อรู้ว่าทางเดิมผิด เราก็แค่เปลี่ยนเส้นทาง





“เภพี่เก๋เรียก บอกไปรอที่ห้องแกตอนนี้เลย” บก.เรียกเขาพบแต่เช้า 

พอเดินไปก็เจอกับคนที่เขายังไม่ได้ตอบไลน์ นายรพีทำท่าเหมือนจะมาหาพี่เก๋เหมือนกัน
หวังว่าจะไม่ต้องมีงานอะไรที่ต้องทำร่วมกันนะ


เขาถอยออก แต่อีกคนกลับเปิดประตูแล้วพายมือให้เขาเข้าไปก่อน
“เชิญครับคุณเภพัฒน์” 
“พ่อเป็นนายทะเบียนรึไงเรียกซะเต็มยศ”   
“รู้ได้ไงใช่ครับพ่อผมเป็นปลัดอำเภอ ที่ต้องการลูกสะไภ้มากๆ”  ไม่เคยจะสลด

“ไปทำอะไรมีสาระกันเถอะ”  เขาบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงเย็นชา
“คำพูดคำจาเจ็บแสบกว่านี้ไม่มีแล้ว”  ทำเป็นโอดแต่หน้าตาชื่นมื่นไปนะ 
“ทำไมน่ารำคาญ”
“ทำไมน่ารัก”
“............”  หันไปทำสายตาไม่พอใจนายนั่นถึงเงียบปากได้



นี่เหรอสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต ที่เพื่อนกรอกหูทุกวันว่าจะทำให้เขาลืมคนคนนั้นได้
แล้วกลับมามีความสุขในชีวิตอีกครั้ง  ตอนนี้นอกจากจะรำคาญจนน่าปวดหัวแล้ว
ยังไม่มีอะไรเฉียดคำว่ามีความสุขสักนิดเดียว

“โทษทีๆ รอพี่นานไหม มาเข้าเรื่องเลยนะ คือสำนักพิมพ์เราจะมีงานประชุมสำคัญเกี่ยวกับ.....”

ข้อความเป็นทางการจากปากของคนที่เรียกตัวเองว่า หัวหน้ากองบรรณาธิการ
 ใจความสำคัญคือ อีกไม่กี่วัน เขาและคนน่ารำคาญต้องเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมสื่อและการบริหารบุคลากรเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ที่หัวหินสองวันหนึ่งคืน

“แต่ผมมีงานปั่นเยอะมากคนอื่นไม่ได้เหรอพี่” เขาแย้ง
“ผมก็งานเยอะแต่ผมไปได้ครับเพื่อสำนักพิมพ์ของเรา” นายรพีนอกจากจะน่ารำคาญแล้วยังเป็นจอมเอาหน้าสุดๆ

“ขี้ประจบ”  พูดลอยๆแต่หวังว่าคนข้างๆจะได้ยิน
“ใช้คำว่าเสียสละน่าจะเหมาะสมกว่านะครับ” 

เขาทำท่าจะฮึ่มใส่อีกฝ่าย คนกลางรีบปราบเสียงดัง

“อ่ะ อย่าเพิ่งเถียงกันเซ่ แล้วกันสินี่จะไปด้วยกันได้ไหมเนี่ย เฮ้ออ คือเภหลักๆ เราต้องไป แต่คุณรพีก็ต้องไปเหมือนกันถึงไม่ใช่หลักเข้าใจ๋” 

ทำไมใครๆ ต้องเรียกคนน่ารำคาญนี่ว่าคุณหมดนะ  อ่อแต่เขาก็เรียกนี้นา ความจริงคนไร้มารยาท กวนประสาทแบบนั้น ไม่ควรให้เกียรติอะไรเลย

“ผมไปก็ได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร แต่งานส่งช้าห้ามมาเร่งผมนะพี่”  ในที่สุดก็ต้องไปอยู่ดี
“จร้า ขอบพระคุณลูกน้องที่เคารพ” 


ออกจากห้องพี่เก๋ปุ๊บนายรพีก็แสดงความน่ารำคาญปั๊บ

“ผมเห็นเพื่อนคุณแท็กคุณในไอจี” 
“พูดเรื่องอะไร”
“คุณเคยบอกว่าใช้แค่ลงผลงาน”
“สินธ์เป็นเพื่อนผมแท็กอะไรมาแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
ท่าจะบ้าโดนว่ายังยิ้มออก   “แปลว่าผมไม่ใช่เพื่อนอะดิ”
“ก็ใช่ไง”
“ไม่เป็นเพื่อนงั้นผมจีบคุณได้สิเนอะ ขอบคุณนะครับคุณเภพัฒน์”
“.......................”







แล้วหลังจากนั้นความสงบที่เคยมีก็หายไป พร้อมกับคนที่โผล่มาให้เขาเห็นหน้าทุกเวลาที่ว่าง

“ผมหิวม๊ากมาก”  ใครอยากรู้
“คุณรพีจะไปหัวหินกับไอ่เภเหรอ”  นี่ก็อีกคน
“มึงรู้ได้ไง”  เขาหันไปถามทันที
“ก็พี่เก๋บอกก่อนไปหามึงอ่ะ เอ่อยังไงก็ฝากดูแลเพื่อนผมด้วยนะครับคุณรพี”
“ครับ”  มันเป็นใครต้องไปฝากดูแล

“กูดูแลตัวเองได้ป่ะ”

“คุณสินธ์ไหนๆ คุณก็ฝากเขาไว้กับผม งั้น..ผมขอจีบเพื่อนคุณได้ไหมครับ”  ไม่ใช่ล่ะ

“อะไรของคุณเนี่ย” 

“ถ้าคิดว่าใช่ก็อย่ารอครับ ผมไฟเขียวทุกแยกให้คุณเลยคุณรพี”


“เงียบไปเลยทั้งคู่นั่นแหละ”   

นายรพีกับเพื่อนเขาเงียบลงหลังจากประโยคนั้นจบลง ความรักอะไรเขาไม่สนใจมันอีกแล้ว
เขาเหนื่อยเหลือเกินจะตั้งความหวังและผิดหวังอีก เพราะรู้ดีว่าดูแลใครไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าดูแลตัวเองยังไม่ดี
อดีตก็ยังลบลืมไม่ได้จะเอาหน้าที่ไหนไปเปิดใจรับคนใหม่ ใจที่ไม่มีที่ว่างให้ใครมายืนด้วยซ้ำ







เย็นวันนั้นหลังปั่นงานชิ้นสุดท้ายส่งเมล์เสร็จ นั่งจ้องมองความว่างเปล่ารอบตัวสักพัก
พรุ่งนี้วันหยุดใครต่อใครต่างไปหาความบันเทิงในรูปแบบที่แตกต่างกัน สำหรับเขาแล้วไม่มีความบันเทิงไหนที่สร้างความสุขได้เลย 


“ไปเดินเล่นกันไหมคุณ”  เสียงคุ้นหูกับใบหน้ากวนๆของรพี
“ไม่ยักรู้ฝ่ายบุคคลอยู่ดึกด้วย”
“ความจริงผมก็ไม่ได้อยู่เพื่อทำงานหรอก”  ขายาวก้าวเข้ามาใกล้เขาอย่างที่ไม่ต้องเรียก แล้วก็นั่งลงที่ขอบโต๊ะทำงานของเขาโดยไม่ได้ขออนุญาตด้วย

“อยู่เล่นเน็ตฟรีละสิ” 
“ก็ใช่ แต่หลักๆอยู่เป็นเพื่อนคุณมากกว่า” 

เภพัฒน์ทำหน้าไม่สนใจ ก้มหน้าเก็บของบนโต๊ะ แล้วทำลืมว่าอีกคนรอคำตอบอยู่

“คุณจะไม่ตอบผมหน่อยเหรอ ปฎิเสธก็ได้ถ้าไม่อยากไปหนะ” 
“การที่ผมเงียบก็แปลว่าผมไม่อยากไปไม่ใช่เหรอครับ” 

“ไม่เป็นไรวันอื่นก็ได้ผมจะชวนบ่อยๆ”
เสียงรพีที่ตะโกนไล่หลังมา ไม่มีผลกับการก้าวเท้าของเขาเลยสักนิด ทำไมจะไม่รู้ว่านายคนนั้นนั่งอยู่เป็นเพื่อนตลอดในวันที่เขาต้องทำงานจนดึก แค่ทุกครั้งจะไม่เดินมาทักเขาแบบนี้เท่านั้นเอง 


ตึก

ตึก

ตึก

เขาหันไปมองเสียงฝีเท้าหนักที่วิ่งตามมา


“คุณตามมาทำไม” 
“คุณ แฮ่ แฮ่กๆ ”  รพีใช้มือสองข้างก้มจับเข่า หายใจหอบก่อนจะยื่นกุญแจรถให้เขา
“คุณลืมกุญแจ”  เภพัฒน์รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ตั้งป้อมไว้แล้วว่าจะด่าเขาที่ตามตื้อไม่เลิก


“ขอบคุณครับ”  เขาคว้ากุญแจจากมือนั้นรวดเร็ว คิดว่าอีกฝ่ายจะขออะไรเป็นค่าตอบแทนรึป่าว
แต่ไม่ รพีบอกลาแล้วเดินกลับไปที่รถของตัวเอง



มันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น เขาเริ่มเปิดใจให้ผู้ชายในรถเก๋งสีดำป้ายแดงที่กำลังแล่นผ่านหน้าไป แม้จะเตือนตัวเองหลายครั้งว่ามันเร็วเกินไป มันต้องไม่เป็นแบบนั้น แต่ก็เท่านั้นหัวใจที่เต้นแรงไปแล้วยากที่จะห้ามมันได้








ขณะที่เภพัฒน์กำลังนอนมองความมืดอยู่บนเตียง เหมือนทุกคืนที่นอนไม่หลับ เขาคิดถึงเรื่องที่เพื่อนเอาแต่เชียร์ให้เขาเปิดใจกับนายรพีคนนั้น แล้วเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดข้อความที่ยังไม่ได้ตอบกลับ ความชัดเจนคงเป็นสิ่งเดียวที่เขาให้อีกฝ่ายได้ตอนนี้


รพี: คุณใจร้ายจังนะครับ ไม่อยู่ฟังเพลงผมเลย
เภพัฒน์ : มีคนตั้งเยอะรอฟังคุณอยู่ไม่รู้รึไง
รพี:  แล้วไม่รู้รึไงผมร้องให้คุณฟังคนเดียว

เภพัฒน์ : ขอโทษนะผมคิดว่าผมไม่อยากฟังในตอนนั้น
รพี:  แล้วตอนนี้ล่ะ
เภพัฒน์ : ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนไหน ผมก็ไม่อยากฟัง

รพี: ผมจะไปซื้อระเบิดสักสองลูก
เภพัฒน์ : เอามาปาใส่ผมงั้นเหรอ
รพี: ปาใส่กำแพงของคุณต่างหากทำไมมันแน่นหนาจัง

เภพัฒน์ : อย่าพยายามเลยมีคนดีกว่าผมรอคุณอยู่
รพี: คุณก็อย่าพยายามเลยคุณไล่ผมไม่สำเร็จหรอก
 เภพัฒน์ : มันไม่สนุกอย่างที่คุณคิดรพี ไม่ก็คือไม่ตรงไหนที่ผมไม่ชัดเจนบอกหน่อย
รพี: ไม่เลย คุณชัดเจน แต่บังเอิญว่า....ผมชัดเจนกว่าคุณ
เภพัฒน์ : ยังไง




รพี Calling you


สายเรียกเข้านั้นเขาปล่อยให้มันดังถึงสองครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจกดรับโดยไม่พูดอะไร

“คุณไม่อยากพูดอะไรผมรู้ ผมแค่อยากบอกว่า ผมจะไม่เลิกพยายามเพียงแค่คุณชัดเจนกับอดีตที่ไม่มีวันจับต้องได้หรอก 
ฝันดีครับ”


เป็นสายสั้นๆ ที่ทิ้งอะไรไว้มากมายในใจของเขา มีบางคนกำลังพยายามรุกล้ำอาณาเขตที่เภพัฒน์ก่อไว้กั้นตัวเองจากคนอื่น   
มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนักเพราะเขาไม่อยากให้ใครเข้ามา

...กลัว...


ก้มมองมือเปล่าของตัวเอง เขายังอยู่ตรงนี้มีชีวิตอยู่ที่เดิม มีคนใหม่อยากเข้ามาแต่เขากลับมองเห็นแต่คนเดิม เหงาและคิดถึงไม่รู้จักเหนื่อย เหมือนกำลังหิวโหยแต่ไม่ยอมแตะอาหารตรงหน้า เอาแต่คิดถึงอาหารที่ไม่มีอยู่ ต่อให้หิวจนใส้จะขาดก็ไม่มีอะไรตกถึงท้อง



“ผมคิดถึงพี่นะ รอผมด้วยสักวันผมจะไปหาพี่”   

พูดประโยคเดิมๆกับตัวเอง แล้วจิตนาการถึงคนคนนั้น

มันยังเหมือนกับทุกคืน แค่คืนนี้ไม่มีน้ำตา บางทีเขาอาจร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาแล้วก็ได้













..............................................................................
เคยบอกไว้ว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่าอะไรมากมาย อ่านไปก็จะตัดสินได้เองค่ะ

#สายลมและคมมีด

ขอเสียงคนอ่านหน่อยน้าา อย่าให้คิดว่าไม่มีใครอ่านสิ เราจะร้องจริงๆด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 14:34:20 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 5 (12/11/18)
«ตอบ #6 เมื่อ12-11-2018 11:38:23 »

chapter  5

ความจริงจะยิ่งน่ากลัวถ้าเราไม่ยอมรับมัน


บ่อยครั้งที่เภพัฒน์ถามตัวเองว่า การจากลาของคนสองคนที่รู้สึกต่อกันมาก จากเป็นหรือจากตาย อย่างไหนมันจะทุกข์ใจกว่ากัน ถ้าถามเขาตอนนี้ก็คงเป็นการจากตาย แต่นี้ไม่ใช่เวลามานั่งเศร้าเขาและผู้ร่วมเดินทางชื่อรพีถึงหัวหินแล้ว ตลอดการเดินทางอีกฝ่ายชวนคุยหลายเรื่อง เขาต้องแกล้งหลับเพราะไม่อยากคุย จนอีกฝ่ายคงรู้ตัวเลยทำตัวล่องหนจนถึงที่หมาย 


สิ่งที่เขาได้สัมผัสคือสายลมแสงแดด เสียงคลื่น กับความทรงจำที่แสนหวานกับคนคนนั้น 
คนที่ต้องบอกตัวเองทุกครั้งที่คิดถึงว่าไม่มีเขาบนโลกใบนี้แล้ว 


ยืนปล่อยความคิดสีเทา มองเหม่อดูวิวยังไม่ทันไรก็มีคนมาตาม

“ก๊อกๆ” 

เพราะรู้ว่าหลังประตูนั่นคือใครเลยทำหน้าเบื่อหน่ายได้มากอย่างที่เห็น

“เสร็จยังคุณไปกันเถอะงานจะเริ่มแล้ว”  รพียิ้มให้เหมือนทุกครั้งที่เขาไม่เคยยิ้มตอบ
“ไปก่อนเลยก็ได้ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายเราที่ติดกัน”  หันหลังให้จะปิดประตู แต่คนกวนดันยื่นมือมาจับประตูไว้แน่น

“ได้ไง มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิคุณ ผมไม่ยอมลงไปคนเดียวหรอกนะ”
“น่ารำคาญสัดๆ” บอกตัวเองเบาๆ แต่คิดว่าเขาคงได้ยิน
“ลงไปกันเถ๊อะ เค้าไม่ได้ให้มานอนพักร้อนนะ ไม่งั้นผมจะฟ้องพี่เก๋”
 
ไอ่คนน่ารำคาญ กวนประสาท และขี้ฟ้อง



มองเขม่นไปหลายครั้งก็คงไม่เป็นผล เลยทำได้แค่เงียบใส่ การสร้างความเงียบเขาถนัดมาก
เมื่ออีกคนไม่รู้ว่าเราอยู่ในอารมณ์ไหน คิดอะไร เขาจะไม่กล้าแสดงสิ่งที่เป็นความเสี่ยงว่าเราจะไม่ชอบออกมา

“คุณกินกุ้งไหม”  รพีกำลังทำสิ่งที่เขาถนัดต่อเภพัฒน์ ทำตัวน่ารำคาญ
“ไม่กิน”  เมื่อไหร่จะพ้นจากเวรกรรมที่ทำร่วมกับคนแบบนี้สักที

“คุณกินน้ำอะไร”
“หยิบเองได้ขอบคุณ”

“คุณขนมไหม”
“ผมอิ่มแล้ว”

“คนนั้นใครกันเห็นมองคุณตลอดเลย”
“ไม่รู้ไม่ชอบสนใจเรื่องคนอื่น”

“คุณว่าผมเสือกเหรอ”
“ใช่”

“เห้ยผมแค่ล้อเล่น”
“แต่ผมพูดจริง”



ถ้าเป็นคนอื่นคงเงียบและไม่สนใจกันไปแล้ว  แต่สงสัยว่าคนที่ชื่อรพีบ้านจะขาดแคลนยางอาย
ด้านคูณด้านพอกด้านไปอีกสามชั้น ไม่มีสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย


“ผมแค่เสือกเรื่องคนที่ผมสนใจคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”
“เชิญที่คุณสบายใจเถอะ” เถียงไม่ไหวเดินหนีเลยดีกว่า
“อ้าวคุณรอผมด้วยสิ”



การสัมนาเริ่มขึ้นแล้วตามแบบที่ควรจะเป็น มีคนพูดและมีคนฟัง รวมทั้งมีคนที่ทำท่าเหมือนฟังแต่ความจริงแล้วไม่รับรู้อะไรเลย เภพัฒน์นั่งกอดอกหลังพิงพนักสายตาว่างเปล่าจ้องไปบนเวที ส่วนรพีนั่งมองคนข้างๆ แทบจะทุกสามนาที ทั้งที่ไม่เคยอยู่ใกล้กันนานขนาดนี้ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าใกล้ขึ้นมาเลยสักนิด



“ต่อไปเราขอเชิญนักเขียนที่กำลังมีผลงานมาแรง คุณเภพัฒน์ พิกุลพรรณ ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ด้วยค่ะ”   

หลุดจากภวังค์แบบไม่ทันตั้งตัวเพราะคนบนเวทีเพิ่งเรียกชื่อเขา


“คุณต้องออกไปพูดด้วยเหรอ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย” 
“เพิ่งรู้เหมือนกัน ไรวะ” พูดกับตัวเองมากกว่าจะตอบคนข้างๆ

เขามั่นใจว่าอ่านตารางงานมาละเอียดแล้ว ไม่มีนะที่ต้องขึ้นไปพูดอะไรบนเวที แต่ถูกเชิญแล้วก็ต้องไปไม่งั้นงานก็ดำเนินต่อไม่ได้  รู้กันใช่ไหมว่าคนที่เขียนเก่งมันจะพูดไม่เก่ง แต่แม้เภพัฒน์จะเขียนเก่งไม่มาก แต่เขาหนะพูดไม่เก่งเลย


“ไม่ต้องตื่นเต้นแค่ออกไปพูดความคิดเห็นตัวเอง”  นั่นสินะตื่นเต้นทำไม เขาหันไปยิ้มให้รพีเป็นยิ้มแรกที่ทำให้อีกฝ่ายแทบหยุดหายใจ 


ร่างสูงโปร่งลุกจากเก้าอี้ของตัวเอง ก้าวขายาวเดินตรงไปยังเวที ระยะทางแค่ไม่กี่ก้าว
แต่เขารู้สึกมันช่างไกลห่าง ประหม่าจนเกือบเดินสะดุดขาตัวเอง ใจรัวราวกับไม่เคยเต้นมาก่อน
มือสั่นจับไมค์ไว้แน่น พยายามกระแอ่มไล่เสลดในคอ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัว

“ครับ ผมเภพัฒน์ พิกุลพรรณ ตัวแทนสำนักพิมพ์เล่าเรื่องมานานครับ”   

“สวัสดีค่ะน้องเภพัฒน์ พี่เรียกน้องเภก็แล้วกันเนอะ ทุกคนในวงการสำนักพิมพ์คงรู้จักน้องเภกันดีแล้ว ในฐานะนักเขียนประจำของเล่าเรื่องมานาน ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าคิวนี้ไม่มีในกำหนดการ และน้องเภก็ไม่ทราบมาก่อนว่าเราจะเชิญมาบนเวที ดังนั้นทุกท่านจะได้ฟังความคิดเห็นสดใหม่ที่ไร้การเตรียมพร้อม เชิญน้องเภบอกเล่าความเห็นหลังจากที่ได้ฟังสัมนาเมื่อสักครู่ได้เลยค่ะ” 

ว่างเปล่า ในหัวของเขาว่างเปล่า รู้แค่ว่าสัมนาเรื่อง ...สื่อในอนาคตกับคนที่อยากสื่อ...

นอกนั้นไม่ได้ฟังเลยสักนิด ก่อนอื่นต้องขอกลืนน้ำลายลงคอสักสองอึก

“เอ่อออ คือ เรื่องของสื่อในอนาคตกับคนที่อยากสื่อ ผมคิดว่า.....”   เขาคิดไม่ออก
เรื่องนี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าต้องคิดอะไร

“พูดๆไปเถอะไม่ต้องซีเรียส”  พี่ตาหวานพิธีกรกระซิบข้างๆ

นาทีที่เขากำลังเครียดกับคำที่กระจัดกระจายไม่เป็นประโยคในหัวนั้น เขาก็สบตากับผู้ชายคนนั้น
รพีกำลังยิ้มเป็นกำลังใจส่งมาให้เขา ‘ไม่ต้องตื่นเต้นแค่ออกไป พูดความคิดเห็นตัวเอง’



“ครับ อนาคตเป็นเรื่องที่เราคาดไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร ใครจะไปรู้ว่าอีกห้าปี สิบปี เราจะสื่อเรื่องอะไร สื่อกับใคร  ผมไม่เห็นความจำเป็นว่าเราจะคิดไว้ก่อนเพื่ออะไร การเตรียมการเป็นเรื่องดีถ้ามันไม่ทำให้เราเสียเวลา แต่ผม เอ่อ..ผมคิดว่าเอาสื่อปัจจุบันให้รอดก่อนไหม พัฒนามันให้ดีก่อนเถอะค่อยไปมองอนาคต” 


จบเอาดื้อๆ คนในห้องเงียบ บางคนมีสีหน้าอึ้ง เภพัฒน์เองก็นิ่งค้างนี่เขาพูดไม่ดีใช่ไหม

“แปะๆ แปะๆ”  คนเดียวที่ลุกขึ้นยืนและปรบมือลั่นห้อง ก่อนที่คนอื่นๆจะปรบมือตาม
ผู้ชายคนนั้นชื่อรพี นอกจากจะปรบมือให้แล้วยังมีสายตาชื่นชมปิดไม่มิดส่งมาให้อีกด้วย
คนน่ารำคาญก็ทำอะไรดีเป็นเหมือนกันนี่นา

เขาโค้งหัวขอบคุณ พิธีกรรีบไล่เขาลงเพราะที่พูดมามันงงงวย และไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ผู้จัดอยากสื่อในงานนี้เลยสักนิด 


ขากลับไม่นานเหมือนตอนไป รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะทำเรื่องขายขี้หน้าไว้
แต่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เป็นเภพัฒน์ที่ยังไม่ตายและมีความสุขได้ในความผิดพลาด


“มีปี๊บไหมเหมือนผมต้องใช้”  ตั้งแต่ได้ยินเสียงปรบมือเขาก็รู้สึกว่า บรรยากาศเวลาอยู่กับรพีน่ารำคาญน้อยลง

“เจ๋งจะตาย คุณรู้ไหมตั้งแต่ฟังมาทั้งวันเนี่ย ผมไม่ง่วงแค่ตอนฟังคุณพูดแค่ช่วงเดียวเลยนะ
แล้วที่ใครต่อใครพูดมาทั้งวันผมจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แค่ว่า เอาให้รอดจากปัญหาที่เจอก่อนเถอะค่อยไปมองอนาคต”

“ฮ่าๆ”  ขำกันอยู่สองคนกับคนข้างๆ 

อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องให้หัวเราะ และรู้สึกดีกับการมีชีวิตของตัวเอง







ความจริงจังผ่านไป เข้าสู่ช่วงสังสรรค์ หลายคนหลายสำนักรู้จักกันอยู่แล้ว และแน่นอนว่าในงานนี้คงไม่มีใครดังไปกว่า
เภพัฒน์ เจ้าของฉายา เอาวันนี้ให้รอดก่อนดีไหม


“น้องเภมึงโครตทัชใจกูเลยวะ”  พี่อ้วนนักข่าวสายบันเทิงกล่าวทักทายพร้อมแก้วไวท์ในมือ

“น้องเภคนจริงสองพันสิบแปด” หลายคนหัวเราะกับคำพูดของนักเขียนสาวใหญ่

“ผมคิดว่าต้องขุดดินหนีแล้วเนี่ย พวกพี่แม่งเงียบกันหมด”  เภพัฒน์เริ่มมึนและกำลังเริ่มมีปากมีเสียง แน่นอนว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคนตัวสูงชื่อรพี ที่คืนนี้ไม่ดื่มของเมาแต่เดินตามอีกคนราวกับบอดี้การ์ด  มีตาขวางใส่คนที่เข้ามาคุยกับเภพัฒน์แบบถึงเนื้อถึงตัวบ้างบางที


งานเลี้ยง เสียงเพลง บทสนทนามากมายที่ผ่านหู ในนี้ทุกคนคือพี่น้องร่วมวงการ ส่วนกลับไปแล้วจะแข่งขันช่วงชิงพื้นที่สื่อกันยังไงก็เป็นอีกเรื่อง

“เมายังคุณ” 
“ม่ายยยยยยยยยย”  เขาคิดว่าตอบธรรมดาแล้ว แต่ทำไมอีกคนส่ายหน้าให้
“งี้ตลอดเลยนะ”  เมาก็จริงแต่หูก็ยังได้ยินทุกอย่าง
“หมายความว่างายฮ่ะ” 

“หมายความอะไร กลับกันเถอะ”  คนน่ารำคาญดูมีพิรุจ
“อะไรตลอด ตอบมาก่อน” 
“ตลอดอะไรคุณเมาแล้ว”  แรงคนลากมีมากกว่าแถมไม่เมาด้วย เขาเลยต้องก้าวขาตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

“จะปายหนายย ขออีกแก้วไม่ได้หรา” 
“แค่นี้ก็เป็นหมาอยู่แล้วน่า”


เสียงน่ารำคาญคืนนั้น

‘แค่นี้ก็เป็นหมาอยู่แล้วแดกอะไรนักหนาวะ’

รูปประโยคที่คล้ายกันไม่สำคัญเท่าความรู้สึกว่าคนพูดคือคนเดียวกัน
รพีคือคนในผับคืนนั้นเหรอ  มีวิธีเดียวที่จะพิสูจน์

“เห้ยคุณๆ เวรกรรมอะไรของไอ่พีเนี่ย” 


โดนอีกคนรวบตัวขึ้นอุ้ม ไม่ใช่พยุงลากถูเหมือนคนนั้น ความอ่อนโยนมันต่างกัน
เกือบจะคิดแล้วว่าคนละคน ถ้า...

"หนักอะไรอย่างนี้ ตัวก็ผอมแค่นี้  โอ๊ยอ้วกอีก ซวย ซวย ซวย"   



‘หนักอะไรอย่างเน้ โอ๊ยอ้วกอีก ซวย ซวย ซวย’ 


เรื่องอ้วกเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่เรื่องคนเดียวกันรึป่าวนั้น กำลังสงสัยหนัก จากเมาอยู่สร่างขึ้นมาทันที หัวใจสูบฉีดด้วยความเขินอายและตื่นเต้น คืนนี้จะเป็นยังไงต่อ ตอนนี้อยู่ในห้องสองต่อสองแล้ว ที่อ้วกไปคือหน้าประตู 

จู่ๆเขาถูกวางลงกลางห้อง นายนั่นจัดการถอดเสื้อเชิ้ตราคาแพงที่เปื้อนออก  ส่วนกางเกง เอ่อ ถอดออกไปแล้ว ตอนนี้เขาเลยได้นอนบนพื้นเย็นๆ ขนลุกไปทั่วร่าง เมา เมา พยายามบอกตัวเองให้เมากว่านี้ เมาแค่นี้มันเริ่มจะไม่พอ 



“สองครั้งแล้วนะรู้ตัวไหมหื้มม”  สองครั้ง!! ชัดเจนไม่ต้องสงสัยแล้ว รู้สึกโดนอุ้มจากแขนเดิม
เข้าไปในห้องน้ำ  ความทรงจำบางช่วงบางตอนของคืนนั้นกลับมา  ทำไมต้องความจำดีด้วยนะ


แม้ว่าจะหลับตาแต่ก็รู้หมดว่าถูกจับนั่งโดยที่รพีซ้อนหลังให้เขาพิงอยู่ในอ่างอาบน้ำ
ใช่อาบน้ำ หมายถึงเปลือยกายล่อนจ้อน กางเกงในถูกถอดออก มือหนาล้วงไล้ลื่นมือไปทั่วตัว
ตอนนี้มีแค่ฟองสบู่เท่านั้นที่กั้นอยู่ระหว่างร่างเขากับมือของรพี

ความรู้สึกไม่ใช่พระอิฐพระปูน รู้สึกว่าคางถูกเชยขึ้นแล้วปากก็ถูกบดกับเนื้อริมฝีปากของอีกคนสัมผัสที่อ่อนโยน ไม่ใช่รุนแรงแบบคืนนั้น แต่เพราะเภพัฒน์ไม่ได้จูบกับใครบ่อยนัก มันเลยไม่ยากที่จะจำได้ว่าจูบสองครั้งนี้มาจากคนเดียวกัน

จูบที่มาจากสองร่างที่ใช้อารมณ์นำทางการกระทำ 

“คนเมาจำเป็นต้องจูบเก่งขนาดนี้ไหม” รพีเอ่ยชมคนที่เขาไม่เคยไม่คิดถึง

ครางครวญรัญจวนกว่าที่คิด อ่อนโยนกว่าครั้งก่อน อ่อนหวานกว่าจูบใดที่เคยจูบ
สติกับความจำเลอะเลือน มันจะมีแค่เภพัฒน์และรพี ในที่แห่งนี้ ในค่ำคืนนี้

ทุกอย่างเกินควบคุมและไม่มีความจำเป็นที่จะเอ่ยห้าม เมื่อคนบนฟ้าโปรยสายน้ำลงมาแล้วรู้กันดีว่าใครก็ห้ามฝนตกไม่ได้


เขาลืมตาอีกครั้งตอนเนื้อตัวเปียกปอนถูกวางลงบนเตียงนุ่ม แค่จูบแค่สัมผัสผิวเนื้อ
ยังเร่าร้อนขนาดนี้

“จำผมได้ไหม คืนนั้นที่...”  ไม่อยากให้รพีพูดถึง เขาเลือกจะปิดปากอีกคนด้วยปากของเขา

เลือนรางราวกับฝันไป หวั่นไหวในความรู้สึก เจ็บปวดแต่เสียวซ่านแทบขาดใจ
คืนนั้นกับคืนนี้ช่างแตกต่าง รพีอ่อนโยนเหมือนคนละคน แต่สัมผัสจากมือ และปาก ของเขากลับยืนยันได้ว่าคือคนเดียวกัน พวกเขาหายใจพร้อมกัน จุกเจ็บและสุขสมพร้อมกัน
ถึงสวรรค์ในชั่ววินาที มันดีจนปลดปล่อยออกมาพร้อมกันถึงสองครั้งสองครา

ร่างสูงหายใจหอบนอนหงายอยู่ข้างๆ มองอีกคนที่ยึดแขนเขาไปหนุนต่างหมอน เภพัฒน์ช้อนตาขึ้นจ้องตาอีกฝ่ายในความมืด ภาพอีกคนไม่ชัดเจนนัก พยายามอ่านใจรพีว่าตอนนี้อีกฝ่ายคาดหวังอะไรจากตัวเขามากที่สุด  ความรัก หรือ แค่ร่วมรัก


“รพีคุณคาดหวังอะไรต่อจากนี้” เขาตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุด
“คุณเป็นคนตรงไปตรงมาดีนะผมชอบ”
“เหรอ แต่คุณหนะเปลี่ยนประเด็นเก่งนะ ซึ่งผมไม่ชอบ”
“อะไรกัน ตอนนี้คุณควรนอนให้ผมกอดแล้วหลับไปด้วยกันจนถึงเช้าไม่ใช่เหรอ”
“พูดเหมือนเราเป็นคู่รักกันเลยนะ”
“หึ นั่นสิ”  เสียงรพีฟังดูเศร้า
“ขออะไรอย่างได้ไหม”   เขาต้องชิงตัดไฟแต่ต้นลม
“ครับคุณจะเอาอะไร”
“อย่าพูดถึงคืนนั้นอีก และอย่าบอกเรื่องคืนนี้กับใคร” 

“คุณ...”
“นะ ผมยังไม่พร้อมจะสานต่อ” 
“...............” รพีเงียบ
“ได้ไหม” จะว่าเขาเร่งให้อีกคนยอมรับก็ใช่
“ผมจะพูดอะไรได้อีกล่ะ”
“ขอบคุณนะ”

“แต่ผมขออะไรอย่างได้ไหมเภพัฒน์”
“คุณต้องการอะไร”
“เวลาเราอยู่ด้วยกันสองคนคุณเรียกผมว่าพีได้ไหม” 
“ทำไมล่ะมันก็แค่ชื่อ”  เภพัฒน์ไม่อยากเรียกไม่อยากสร้างความผูกพันทั้งที่เป็นอยู่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ารพีเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน

“ผมแค่อยากอยู่กับคุณแบบไม่มีกำแพงบ้าง”  ไม่ได้หรอกเขายังไม่พร้อมจะมีใคร
“ได้สิ”  เริ่มงงกับตัวเองทำไมคิดอย่างพูดอย่าง

“ขอบคุณครับ”  รพีกระชับกอดเขาไว้แน่นไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าหน้าอีกคนกำลังเปื้อนยิ้ม
“ไม่เป็นไรเพราะยังไง เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังอีกแล้ว”

เริ่มต้นที่ความสุข แต่จบลงด้วยความสับสน  ไร้ถ้อยคำ ไม่มีคำจำกัดความ
ควรให้คำนิยามความสัมพันธ์นี้ว่าอะไร คนแก้เหงา คนในความลับ คนที่เผลอตัว




.......................................................
ตอนสุดท้ายของวันนี้แล้วค่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ มาไวเคลมไว
เพราะคุยไม่เก่งเลยไม่อยากให้คนอ่านรอนานพาลจะเบื่อรอ
ขอคอมเม้นต์ให้ชื่นใจบ้างก็ยังดี

#สายลมและคมมีด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 14:35:06 โดย antivirus »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: สายลมและคมมีด
«ตอบ #7 เมื่อ13-11-2018 09:54:09 »

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 6 (13/11/18)
«ตอบ #8 เมื่อ13-11-2018 10:32:31 »

chapter  6
[/size]



เราไม่มีสิทธิ์จะเกลียดใคร

เพียงแค่เขาไม่เข้าใจในความรักของเรา
[/size]



“พี่กันต์” 



ราวกับว่าโลกหยุดหมุน ผู้ชายคนเดียวที่เห็นยืนตรงชายหาดคนนั้น คือคนไม่น่าจะมีตัวตนบนโลกนี้แล้ว

เภพัฒน์ยิ้มทั้งที่น้ำตาไหลไม่หยุดกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาคนที่คิดถึงสุดหัวใจ ไม่สนว่าเท้าเปล่าจะโดนก้อนหิน

หรือเปลือกหอยบาดเนื้อบาง เวลานี้หัวใจเขาเต้นแรง ในหูที่ไม่ได้ยินเสียงใด ราวกับความฝันหรือนี่จะเป็นแค่ฝันจริงๆ



“พี่กันต์ พี่กันต์ รอผมก่อน” 



คนถูกเรียกหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น อ้าแขนกว้างรอให้เขาวิ่งไปรับกอดนั้น พี่กลับมาหาผมแล้ว



“คุณๆ”  แต่ทว่าลืมตาขึ้นมากลับเป็นอีกคนที่กอดเขาอยู่

“คุณเองเหรอ”  ผิดหวัง ฝันก็คือฝันมันไม่มีทางเป็นความจริง

“ผมเอง ฝันร้ายสินะ”  ทำไมสายตาและน้ำเสียงของคนที่ปลอบดูเศร้ากว่าเขาอีกละ



“เปล่า ผมฝันดีต่างหาก”  นานแล้วที่ไม่ได้ฝันเห็นเขายิ้มแบบนั้น

“คุณคงรักเขามาก คนชื่อกันต์หนะ” คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องตอบ

“คุณรู้ไหมผมไม่เคยฝันถึงเขาแบบนั้นเลย เขายิ้มอ้าแขนรอให้ผมวิ่งไปกอด บางทีเราอาจจะได้อยู่ด้วยกันสักที”

“..................”  รพีฟังจบก็ลุกไปอาบน้ำเงียบๆ   



เขามองตามแผ่นหลังของร่างสูงไป ลึกๆก็รู้สึกแย่ที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป ถ้ารพีรู้สึกดีกับเขามากก็คงจะเสียความรู้สึกมาก

แต่ให้มันเป็นแบบนั้นดีแล้ว อีกฝ่ายจะได้เลิกสนใจเขาในสักวัน









ตลอดเวลาที่เดินทางกลับ รพีเงียบไม่น่ารำคาญเลยสักนิด แต่มันแปลก เขากลับไม่ชอบ

“กวนตีนได้นะไม่ว่ากัน”  จนทนไม่ไหวต้องชวนอีกคนคุยซะเอง

“ไม่หรอกแค่นี้คุณก็รำคาญผมมากพอแล้ว” น้อยใจสินะ



“นี่คุณเป็นใครคายรพีออกมาเดี๋ยวนี้”

“ไม่คิดว่าคุณจะเล่นมุขเป็น”  รพีเลิกคิ้วสีหน้าแปลกใจมากมาย

“ทำไม ผมดูเป็นคนยังไง”

“ก็...จริงจัง”  คนพูดเม้มปากคิดก่อนจะพูดต่อ   “แล้วก็อมทุกข์”

มันก็จริงเขาคงเป็นแบบนั้นในสายตาทุกคนไปแล้ว

“คุณเภพัฒน์”

“เรียกเภเฉยๆก็ได้นะ”  บ้าไปแล้วเขาไม่น่าเผลอให้คนนี้เข้าใกล้พื้นที่ส่วนตัวมากกว่าที่เป็นเลยนี้นา

“คุณยังไม่เรียกผมว่าพีเลยนี้นา”  ก็ไม่อยากเรียกเพราะไม่อยากสนิทกว่านี้ไง



“พี พอใจยัง” แต่ก็ยอมเรียกจนได้ เจ้าของชื่อยิ้มกว้างขึ้นมาทันที

“อย่าพูดแบบนั้นอีกได้ไหม เรื่องเมื่อเช้าหนะ” 



“เรื่องพี่กันต์เหรอ หึงรึไง ตลกน่า”

“เปล่า เรื่อง...”  เงียบไปสักพักก่อนจะต่อ “ที่พูดเหมือนคุณจะไม่อยู่แล้วผมไม่ชอบ”

 นายรพีรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ แค่มีช่วงเวลาบนเตียงด้วยกันสองครั้ง แล้วก็เมาด้วย ไม่เห็นต้องผูกพันอะไรกันมากมายนักนี้นา

“นายคิดจริงจังเหรอบอกแล้วไงว่า...”

“ไม่จำเป็นต้องย้ำผมเข้าใจดี”



“เข้าใจก็ดี ผมไม่พร้อมจะมีใคร ผมไม่อยากเสียใจอีก”

“อืม ผมเข้าใจ”  รพีจบการสนทนาด้วยการล้มหัวลงกับเบาะแล้วหลับตา



ถ้าคาดหวังทำให้เจ็บปวด ทำไมทั้งเขาทั้งรพีถึงไม่เลิกคาดหวังสักที











หลายวันต่อมาเขาใช้ชีวิตเหมือนเดิมไปทำงาน ก่อนนอนก็คิดถึงคนคนนั้น จมกับความเศร้าบ้าง

แต่น้อยลงไปเยอะอาจจะเพราะงานที่เบ่งบานเหมือนดอกเห็ด และเรื่องของใครอีกคนที่เข้ามารบกวนติดใจ



“ตั้งแต่กลับจากหัวหินกูไม่เห็นคุณรพีมากินข้าวกับพวกเราเลย มึงกับเขามีปัญหาอะไรกันรึป่าว”

สินธ์ตั้งข้อสงสัย  ความจริงเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไม รพีหลบหน้าเขาตั้งแต่กลับมา

แต่พอเดาออกอยู่ว่าใครจะอยากสนใจคนที่ไม่มีความชัดเจน และไม่พร้อมไปต่อ ได้ก็ได้แล้วจะต้องมาสนใจอีกทำไม



“ปัญหาอะไรไม่มีทั้งนั้นแหละ ไปจีบสาวของมันมั้ง”

“เภมึงมีพิรุจ มึงไม่สบตากูมีอะไรไหนเล่ามา”

“...............................”   ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้รีบกินจะได้รีบไป



“ตกลงมึงจะไม่พูดใช่มะ”  แต่สินธ์ดูจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่กลับมามันก็เหมือนหลบหน้ากู อยากรู้นักไปถามมันดูสิ”

“เอ่อกูถามแน่ ว่าแต่คืนนี้ไปนะมึงไม่ไปพบปะเพื่อนฝูงนานแล้ว”

เพื่อนตื้อชวนเขาไปงานวันเกิดเพื่อนในกลุ่มนักเขียนที่รู้จัก



“ไหนมึงว่าไม่อยากให้กูเมาง่ะ” เขาขี้เกียจไปตั้งแต่คืนนั้นที่หัวหินก็ขยาดเหล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น

“นั่นมันตอนกูไม่อยู่ ตกลงไปนะ”  แต่ถ้าไม่ไปสินธ์คงไม่เลิกตื้อ

“อืม” ไปก็ได้



“ไปไหนกันเหรอครับ”  นายรพีมาถึงก็อยากมีส่วนร่วมเลยนะ

“คุณรพีไม่เห็นคุณหลายวันเลยไปไหนมานึกว่าไม่คบพวกเราแล้วนะนี่”

เภพัฒน์ทำทียกแก้วน้ำปั่นขึ้นดูดเหมือนไม่สนใจอยากรู้ แต่ลึกๆรอคำตอบของอีกฝ่ายพอสมควร



“ผมลาป่วยครับ” รพีตอบสินธ์แต่ส่งสายตาตัดพ้อมาที่เขา

“อ้าวเหรอผมก็ว่าไม่เจอเลย นี่หายดีแล้วเหรอครับ”

“ครับไม่หายก็ต้องหาย ผมมันตัวคนเดียวนี้นาต้องพึ่งพาตัวเอง” 

ก็ยังเหมือนพูดกับเขาคนเดียวอยู่ดี ดราม่าทำไมใครจะไปรู้ว่าป่วยล่ะ



“น่าสงสารเขานะ”  สินธ์กระซิบมา เขาเสตามองไปทางอื่นทำเป็นไม่ได้ยิน เรื่องการวางหน้าไร้ความรู้สึกเป็นอะไรที่เขาถนัดมาก

“แล้วจะไปไหนกันเหรอครับ”  คนเพิ่งหายป่วยยังวกกลับมาประเด็นเดิมได้

“ผมกับมันจะไปงานวันเกิดน้องที่รู้จักอ่ะ คุณรพีไปด้วยกันไหมล่ะ”



“เขาพึ่งหายป่วยไหมมึง”  ไม่อยากให้ไปอ่ะใช่ สั้นๆคือเป็นห่วง

“ไม่รู้สิผมว่างนะ แต่....ไม่รู้ว่าคุณเภพัฒน์อยากให้ผมไปด้วยรึป่าว”  สินธ์ใช้ศอกกระทุ้งเขาเล็กน้อยให้ชวนคนตรงหน้า

“ตามใจคุณสิครับ เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ  /  เจอกันตอนเย็นนะมึงกูไปปั่นงานก่อน”

เขาลุกออกหลอกตัวเองไม่ได้หรอกว่ากำลังหนี หนีจากการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว

กลัวการเข้าใกล้ กลัวความรู้สึก กลัวไปหมด ไม่พร้อมจะเริ่มต้นไม่อยากสานต่อ เขาเหนื่อยเกินไป



เกือบสองทุ่มเขาควรกลับถึงบ้านแล้ว ไม่ใช่มาเดินตามหลังเพื่อนเข้าสถานบันเทิงแบบนี้

สำหรับเภพัฒน์ ผับที่ไหนก็เหมือนกัน กลิ่นแอลกอฮอล์ เพลงเสียงดัง หนุ่มสาวแต่งตัวสวยงามเหมือนผีเสื้อบินว่อนในสวน

ปีกที่มีแต่เปลือก สถานที่นี้ให้เราแสดงตัวตนอีกด้านยามเมามายเหมือนผู้คนหลุดไปอยู่อีกดาวหนึ่งก็ว่าได้



“เฮ้เล่าเรื่องมานานทางนี้เพื่อน”  หนึ่งในคนกลุ่มใหญ่โบกโม้โบกมือเรียกชื่อสำนักพิมพ์แทนชื่อเขาสองคน

“พี่เภไม่เจอกันนานน่ารักเหมือนเดิมเลยนะครับ” เขายิ้มพยักหน้าทักน้องนักเขียนคนหนึ่งจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ 



ความอึดอัดเพิ่มเริ่มต้น



“ไงสุพลเรื่องล่าสุดได้ข่าวว่ามีคนชื้อไปทำหนังเหรอดีใจด้วยนะมึง”  ถ้าสินธ์ไม่ทักก็คงไม่รู้ว่าน้องคนนั้นชื่อสุพล

“ขอบคุณครับพี่สินธ์ผมนี่ดีใจช็อคมาสามวันแล้วเนี่ย”



ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสินธ์ในการทักทายคนนั้นคนนี้ ส่วนเขาก็แค่ยิ้มเป็นส่วนประกอบหนึ่งของฉากพบปะสังสรรค์เท่านั้น

คนที่มาเภพัฒน์รู้จักเกือบทุกคน คนใหม่สองสามคนเกือบสิบห้าคน เครือข่ายนักเขียนที่รู้จักกันเพื่อแชร์งานฟรีแลนซ์

และช่วยโปรโมทผลงานให้กัน ไม่ได้สนิทขั้นรู้จักเรื่องส่วนตัวกันมากมาย   และในที่นี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่องคนคนนั้น

ก็ดีเหมือนกันถ้ามีใครสักคนถามว่าดีขึ้นไหม หรือทำใจได้รึยัง แล้วทุกสายตาก็จ้องมา เขาคงจะอยากกลับทันที



“เดี๋ยวเพื่อนกูมาอีกคน”  เขาหันไปมองเพื่อน รพีจะมาเหรอทำไมนายนั่นไม่ไลน์บอกเขานะ

“แฟนเหรอสินธ์”  พี่เทียนตั้งท่าแซวตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าใคร

“เห้ยไม่ใช่พี่ เพื่อนที่ทำงานชื่อรพี” แปลว่ารพีคุยกับเพื่อนเขาส่วนตัว



“มึงเป็นไรเภ”

“อา เปล่า”

“ได้ยินชื่อเขาถึงกับเสียสมาธิเลยเหรอ”

“อะไรของมึ้งง”

“ไม่เอาไม่ร้อนตัวสิครับเพื่อน”

“ไอ้....”





“สวัสดีครับทุกคน”  มาแค่นี้ไม่เห็นต้องแต่งหล่อเลย ลงทุนกลับบ้านไปอาบน้ำเลยเหรอ

“เพื่อนกูมาแล้วนี่รพี เป็นเอชอาร์ที่สำนักพิมพ์กู ส่วนนี้เจ้าของวันเกิดพี่เทียน โน้นน้องสุพล .....”

สินธ์แนะนำจนครบ เขาคิดว่านายรพีต้องก้มหัวทักทายทุกคนจนเวียนหัวไปเลย

ดูจากหน้ามึนนั่นแล้วอย่าไปถามเลยว่าจำใครได้บ้าง



"เรียกพี่พีได้ป่าวคะ"  น้องตาวสาวน้อยรีบชิงทักคนมาใหม่หูตาเป็นกระกาย

ตอนนี้นักเขียนผู้หญิงแข่งกันส่งสายตาทำนองเดียวกันกับตาวส่งให้รพีกันดุเดือด



“คุณขำอะไร”  รพีกระซิบถามเมื่อเห็นเขาหัวเราะในคอ

"มีคนทอดสะพานให้เต็มเลยนะรู้ตัวไหม" กระซิบกลับให้ได้ยินกันแค่สองคน

"แล้วคุณล่ะรู้ตัวไหมว่าผมทอดสะพานรอให้คุณข้ามมาอยู่ทุกวัน"

"เพิ่งหายป่วยมีแรงหยอดด้วยเหรอ" 



"พี่รพีว่าไงคะ ไม่เห็นตอบตาวเลยเรียกพี่พีได้ไหม"  สาวน้อยคนเดิมเรียกร้องคำตอบ

รพียิ้มสุภาพตอบเสียงดังฟังชัด 

"ขอโทษนะครับน้องตาวพี่ชอบให้คนอื่นเรียกว่ารพีมากกว่า ส่วนชื่อพี...อยากเก็บไว้ให้แฟนเรียกคนเดียว"



เสียงโห่ของคนในโต๊ะ กับสายตาที่รพีมองมาที่เขาทำเอาใจเต้น รอยยิ้มที่เก็บไม่อยู่จนต้องมองนั่นมองนี่ไปพราง

น้องตาวทำหน้าเซ็งที่อีกฝ่ายไม่ยอมข้ามสะพานของเธอ ทุกอย่างก็เกือบกลับสู่ภาวะปรกติ ถ้า.....





"พี่เภพรุ่งนี้ว่างไหมครับ ผมจะชวนไปงานหนังสือ"  น้องสุพลคงไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำให้ใครบางคนนั่งไม่ติด

"เอ่อ...คือ"   เภพัฒน์อึกอักหันไปมองรพี ที่กำลังสั่นขากัดปากดูก็รู้ว่าไม่พอใจ ขี้หวงเหมือนกันนะนายนี่

"พรุ่งนี้เขามีนัดกับผมแล้วครับ"  ได้แต่พยักหน้าตามนั้น เขาไม่ได้นัดกับรพีแต่ก็ไม่อยากไปกับสุพลแบบนี้ดีแล้ว



คนชวนยิ้มแห้งบอกว่าไม่เป็นไร แต่คงรู้แล้วว่ารพีกับเขามีบางอย่างที่ไม่ใช่แค่เพื่อนก็รพีแสดงออกขนาดนั้น



“ไอ่สินธ์ไปไหน” เขาหันไปถามคนที่ถือวิสาสะยกแขนวางพนัก ไม่ต่างจากกำลังโอบไหล่เขาอยู่

“ไปเตรียมเค้ก”

“รู้ดีจังนะ สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อย่าทำเสียงอย่างนั้นสิครับ จะผมจะคิดแล้วนะว่าเภหึงผม”

"ทำไมต้องหึง ผมไม่ได้ไร้สาระเหมือนพี"  เรียกชื่อนี้แล้วหน้าร้อนขึ้นมาทันที เท่ากับยอมรับเป็นแฟนรึป่าวเนี่ย

"ถึงไม่มีสาระแต่ผมมีใจนะ" 

"เน่ามาก แล้วก็ช่วยเอาแขนออกไปด้วย" เขาว่าทำตาเขียวใส่อีกคน

"เป็นเมียเหรอมาสั่ง อ่าลืมไปเป็นแล้วนี้หว่า" รพียักคิ้วทำหน้าเจ้าชู้ใส่

“...............”  เบื่อจะพูดด้วยกวนประสาทที่สุด





ยังดีที่เพลง Happy birthday ช่วยชีวิตไว้ เขาจึงได้จังหวะลุกจากที่นั่งไปยืนอีกฝั่งร่วมร้องเพลงกับคนอื่น

รีบกินเค้กแต่หัวค่ำ เพราะเจ้าของวันเกิดบอกว่ากลัวดึกแล้วจะเมาซะก่อน ก็อย่างนี้แหละอารมณ์ศิลปินติสท์แตก

ห่วงเมามากกว่าขนมหวาน



Happy birthday to you, Happy birthday to you

Happy birthday Happy birthday

Happy birthday to you.



ตัดเค้กอวยพรกันเสร็จ ก็พร้อมเมาแบบจัดเต็ม  เขาหลบมาเข้าห้องน้ำเพราะเริ่มเบื่อกับผู้คนรอบข้าง

ระหว่างเดินกลับโต๊ะสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนกอดผู้หญิงผมยาว  ใบหน้าคม รอยยิ้มอบอุ่นแบบนั้นเขาจำได้ดี 



“พี่กันต์”   



เหมือนโดนมนต์สะกดให้ตัวแข็งเป็นหิน  จะว่าเมาจนเห็นภาพหลอนก็เพิ่งดื่มไปสองแก้ว ไม่จริงนั่นแค่คนหน้าเหมือน

แต่นั่นมันเขาชัดๆ รูปร่างหน้าตากระทั่งส่วนสูง และสไตล์การแต่งตัว



“พี่กันต์”



ไม่กล้าเดินเข้าไปหา เขากลัวคนตรงหน้าจะไม่ใช่คนคนนั้น ใจสั่นไปหมด ค่อยๆล้วงมือถือขึ้นมาโทรหาเพื่อน

“สินธ์กูว่ากูเจอพี่กันต์วะ”

(เภมึงใจเย็นๆก่อน เสียงมึงสั่นอยู่ไหนเนี่ย แล้วพี่กันต์อะไรเขาตายแล้ว สติมึงสติ)



พริบตาเดียวที่หลุดจากคนคนนั้นหันกลับมาอีกที ก็ไม่เจอเขาแล้ว พี่หายไปอีกแล้ว

ไม่มีแรงจะพูด เขาตายไปแล้ว ภาพคมมีดกับกลิ่นเลือดยังติดแน่นในความทรงจำ

ใบหน้าคมอาบไปด้วยเลือดและน้ำตาของเขา  มันคือความจริง บางทีคนที่เขาเห็นอาจเป็นแค่ ...ภาพลวงตา..

ไม่สนใจใครแล้ว อยากร้องไห้ให้สุดเสียง ตะโกนไปให้ถึงอีกโลกที่อีกคนอยู่



“เภคิดถึงพี่นะ”



น้ำตาไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่อยากเช็ดไม่อยากสนใจใครที่เดินเบียดไปมา ตรงนี้มีคนมากมายแต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว

นาทีต่อมาร่างสูงของอีกคนยืนเด่นอยู่ตรงหน้า

“ไม่เป็นไรนะ”  ไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้รพีกอดเขาเอาไว้แน่น

คนตัวสูงลูบหัวของเขาพร่ำบอกแต่คำว่า ไม่เป็นไร  ไม่เป็นไร



“ผมเห็นเขา ผมเห็นเขา”  รู้ว่าไม่สมควรพูดให้อีกคนรู้สึกแย่ แต่ตอนนี้เขาอ่อนแอเหลือเกิน

“ชู่ว์ ผมรู้ ผมเชื่อคุณ”  แทนที่รพีจะโกรธไม่พอใจแต่กลับปลอบใจและรับฟัง มันดีเหลือเกิน



“ผมอยากกลับแล้ว”  เขาไม่อยากอยู่แล้วจริงๆ รพีพยักหน้าพยายามเช็ดน้ำตาให้เขาแต่เภพัฒน์เบือนหน้าหนี

แล้วจัดการปาดน้ำตาบนแก้มตัวเองออก ไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใกล้มากกว่านี้





เขาเดินตามคนตัวสูงออกมาส่งไลน์หาเพื่อนว่าขอกลับก่อน สินธ์ถามยาวเป็นสิบข้อความแต่เขาตอบกลับแค่

ไม่ต้องห่วงจะให้รพีไปส่ง เพื่อนเลยเงียบไป ร่วมชั่วโมงแล้วที่เขาและรพีออกมาจากผับความเงียบถูกงัดมาใช้ตลอดทาง



“ขอบคุณนะพีที่มาส่งผม”  สายตาของรพียิ้มกับสรรพนามที่เขาใช้

“อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม”  เสนอตัวเก่งเหมือนเดิม

“ถ้าไม่รบกวนพีนะ” ถึงจะเลี่ยงมาตลอดที่จะให้อีกคนเข้าใกล้  แต่คงจะดีถ้าคืนนี้มีคนอยู่ข้างๆ

“เข้ามาก่อนสิ”  พออนุญาตให้เข้ามา แขกก็มองนั่นมองนี่ไม่หยุด



“สำรวจอะไรนักหนา”

“ที่คิดไว้ไม่เป็นแบบนี้”  รพีบอก

“แบบนี้คือแบบไหน”  คุยไปด้วยเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำให้แขกไปด้วย

แปลกมากเขาน่าจะไม่อยากทำอะไรและควรคิดถึงแต่พี่กันต์ที่เจอในผับ แต่ทำไมเขารู้สึกสบายใจกว่าที่คิดไว้ เพราะรพีรึป่าว



“คิดว่าจะรกกว่านี้”

“เห้ ฟังดูไม่ดีเลยนะนั่น”  รกเหรอนายรพีเห็นเขาเป็นคนยังไงกันเนี่ย

“ก็คิดว่าเภไม่ค่อยใส่ใจอะไร ไม่คิดว่าจะจัดระเบียบห้องซะเหมือนห้องตัวอย่างในโครงการ”



“หึ กลัวโดนไล่กลับรึไงรีบอวยเชียว”

“ไม่ได้อวยออกจะจริง อินสปายเรชั่นตอนไปเดินอิเกียปะเนี่ย”

“ฮ่าๆๆ  ว่าไปนั่น”



รพีมองหน้าเขายิ้มกว้างส่งมาให้ บางทีมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่จังหวะการเต้นของหัวใจเขารัวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ



“ยิ้มอะไรนักหนา”

“ผมชอบนะ” รพีว่าแล้วยกมือเกาต้นคอ

“รู้แล้วว่าชอบบอกแล้วบอกอีก ก๊อปไอเดียได้นะผมไม่หวง”

“ไม่ใช่ห้องที่ผมบอกว่าชอบคือ เสียงหัวเราะของเภต่างหาก ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยหัวเราะให้ฟังบ่อยๆได้ไหมครับ”

และบางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดร้อนขึ้นมา วางหน้าวางมือไม่ถูก หรือคืนนี้ความเศร้าเบื่อที่จะมาหาเขาแล้ว

“หยอดบ่อยผมก็ไม่เคลิ้มหรอกนะ”

“รู้..ก็แค่ลองดูเผื่อได้”  ขอแค่ลองเถอะอย่าจริงจังกว่านี้เลยขอร้อง

“ได้อะไรพูดให้มันดีๆ”

“..............”  ทีอย่างนี้อมพะนำยิ้มลอยหน้าลอยตา หมั่นใส้จริงเชียว



เภพัฒน์ขอตัวอาบน้ำปล่อยให้แขกที่ไม่เชิงแขกนัก นั่งดูทีวีค้นห้องตามสบาย ไม่มีอะไรให้ค้นนักหรอก

เพราะเขาเป็นคนไม่ชอบเก็บของ ความทรงจำต่างหากที่เขาหวง



อาบน้ำแล้วล้างหน้าล้างตาค่อยรู้สึกชดชื่นขึ้นมาบ้าง น้ำตาแห้งไปตั้งแต่มีใครอีกคนเข้ามากอดแล้วกระซิบว่าไม่เป็นไร

เขายืนยิ้มให้รพีผ่านกระจกเงา ไม่ต่างจากยิ้มให้ตัวเองแต่ทำไมรู้สึกดี



“พี่กันต์ผมเข้มแข็งขึ้นแล้วนะ วันนี้เจอคนที่เหมือนพี่ผมยังไม่ร้องนานเลย” 



ออกจากห้องน้ำมากวาดสายตาหาทั่วห้องไม่เห็นคนร่างสูง กลับแล้วเหรอไม่บอกไม่กล่าว



“อยู่นี่ยังไม่กลับ”  ที่แท้ก็อยู่มืดๆที่ระเบียง ทำมิวสิครึไง

“ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ”

“ผมชอบความมืด”

“เป็นผีรึไง” จะว่าไปเภพัฒน์เองก็ชอบความมืดเหมือนกัน ตอนแรกกลัวแต่หลังๆมาเริ่มชอบ

“มานั่งด้วยกันไหม”  ไม่ตอบแต่ก็ยอมนั่งลงข้างๆ



“รู้ไหมบางครั้งความสว่างก็ทำให้เราแสบตา”  รพีว่า

“เหมือนความจริงที่ทำให้เราปวดใจ”  เภพัฒน์เสริม คนข้างๆพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่เภรู้ใช่ไหมว่าถึงเราไม่เปิดไฟ เมื่อถึงเวลาดวงอาทิตย์ก็เข้ามาไล่ความมืดอยู่ดี”

ใช่ความจริงถึงเราไม่รู้วันนี้ ไม่ยอมรับ แต่มันก็คือความจริงวันยังค่ำ ไม่ยอมรับแล้วไงมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี



“พี...ผมถามอะไรได้ไหม” เขาหันไปมองคนข้างๆ อีกคนจ้องมาให้รู้ว่าเขารอที่จะตอบคำถามทุกข้อของเภพัฒน์

“คืนนั้นที่ผับมันเกิดอะไรขึ้น ทำไม....”

“ไหนเภบอกไม่อยากให้ผมพูดถึง ทำไมอยู่ๆถามล่ะ”

“ไม่รู้สิผมคงเบื่อความมืดแล้วมั้ง”



รพีกัดปากจ้องไปในความมืด มือหนาเลื่อนมากุมมือเล็กดึงวางบนตักตัวเอง



“คืนนั้นผมดื่มกับเพื่อน เห็นคุณเมาหลับอยู่คนเดียวก็เลยช่วยพาไปหาที่พัก เพราะผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ไหน

แล้วก็ไม่กล้าพาคนแปลกหน้ากลับห้อง กะว่าทิ้งคุณไว้แล้วจะกลับเลย แต่....”



“เกิดหน้ามืดแล้วปล้ำผมเหรอ”

ทั้งสองคนไม่ได้มองหน้ากัน มีแค่มือที่บีบกันไปมา  และรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มให้ความรู้สึกตัวเองมากกว่า



“มั่นใจในตัวเองนะคุณเนี่ย”

“ว่าผมหลงตัวเองงั้นสิ”

“เปล่าครับ ไม่รู้อะไรคุณอ่ะอ้วกใส่ผมก็เลยต้องลากไปเข้าห้องน้ำล้างเนื้อล้างตัวทั้งคู่ แล้วคุณก็...เซ็กส์ซี่เป็นบ้า”   

คำสุดท้ายรพีก้มมาบอกข้างหู เขาขนลุกทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง



“หื่นนน” พอโดนเขาว่ารพีเกาหัวทำหน้าไม่ถูก

“ผมขอโทษนะที่หายไปเลย คือผม...” รพีขอโทษไม่จบเขาก็พูดแทรก

“ไม่เป็นไร ถ้าอยู่มันอาจไม่ใช่เรื่องดีนักก็ได้” เขาหมายความแบบนั้นจริงๆ



“สรุปเภฟันผมแล้วก็จะทิ้งเลยเหรอ เสียใจวะ”

“พูดให้มันดีๆ ใครฟันใครไม่ทราบ”

“แล้วนี่เราเถียงอะไรกันอยู่”

“นั่นสิ”



ต่างคนต่างรู้สึกแปลก มันประดักประเดิดไปหมด ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด

ท้องฟ้าปิดวิวที่ระเบียงก็เป็นวิวที่ไม่มีแสงสี แต่เภพัฒน์รู้สึกว่ามีลำแสงหนึ่งส่องเข้ามาในหัวใจของเขา



“แล้วคุณจำผมได้ตอนไหน”  คราวนี้รพีถามบ้าง

“ตอนสัมนา”  ตอนที่อยู่บนเตียงด้วยกันอีกครั้งนั่นแหละ

“แปลว่าคุณก็จำคืนแรกได้นะสิ”



“ใครจะลืม” ตอบเบามากรพีต้องเอียงหูเข้ามาฟังใกล้ๆ

“แล้วอะไรที่คุณจำได้”  ระพียกมือของเขาขึ้นมาวนนิ้วตัวเองเล่น ทำเอาวูบไหวขึ้นมาทันที

จนต้องรีบชักมือกลับ แต่อีกคนไม่ยอมปล่อยพร้อมรีบบอกว่าเลิกแกล้งแล้ว



“ประโยคที่พีพูด มันเหมือนกันกับคืนแรกที่เราเจอกันไม่มีผิด”

“ห๊ะ คะ คำพูดเนี่ยนะ”

“อือ นายบ่นว่าเมาเหมือนหมา บ่นว่าอ้วกใส่อีกแล้ว ซวย ซวย ประมาณนี้แหละ”

“เภมันฟังดูไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่เลยเนอะ”

“คิดมาก ก็แล้วใครว่าโรแมนติกละ ผมว่า....”



มือหนาคว้าคอเขาโน้มมาจูบ ริมฝีปากแตะกัน แล้วผละออกต่างคนต่างจ้องตากัน ต่างคนต่างเห็นเงาสะท้อนตัวเองในสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าหากันอีกครั้งราวกับมีแรงดึงดูด รพีละเลียดริมฝีปากตัวเองกับปากของเขา เหมือนกำลังชิมเนื้อครีมบนหน้าเค้ก



หวานละมุน เบาหวิว ไม่จาบจ้วงไม่ล่วงล้ำ แต่อิ่มอุ่นในความรู้สึก ทุกสัมผัสปากต่อปาก ทุกองศาที่สองคนตั้งใจมอบให้อีกฝ่าย ไม่ช้าไม่เร็วจังหวะเท่าลมหายใจเข้าออก ไม่เหนื่อยไม่เร่ง เหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาที่พร้อมจะเริ่มไปช้าๆ



“ขอบคุณนะครับสำหรับจูบ” รพีเอ่ยขอบคุณมือหนายังจับค้างลูบเบาๆที่หัวของเขา 

หน้าผากยังแตะกันอยู่ไม่มีใครคิดถอยไป   กำแพงในใจของเภพัฒน์พังครืนลงไปในชั่วพริบตา

บางทีการเปิดใจ การเริ่มต้นใหม่อาจไม่ได้ยากเย็น และเลวร้ายเหมือนที่กลัว

ถ้าเราเอาแต่กลัว วันไหนเล่าที่เราจะรู้จักความสุข











...................................................................................

เภเริ่มเปิดใจ พีสู้ๆ

#สายลมและคมมีด

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 7 (14/11/18)
«ตอบ #9 เมื่อ14-11-2018 12:54:18 »


Chapter 7
[/b]

ส่วนประกอบที่สำคัญของความรักคือ จังหวะและโอกาส
[/b][/size]

ความสัมพันธ์คืนหน้าไปบ้างแต่ก็ยังไม่มากพอให้คนอื่นรู้ เวลาอยู่ที่ทำงานก็ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม แต่เวลาพักเที่ยงรพีจะมายืนรอเภพัฒน์และสินธ์ที่หน้าสำนักพิมพ์ ทั้งสามคนจะเดินไปที่ร้านด้วยกันเสมอ  เรื่องคืนนั้นที่ผับสินธ์ไม่ได้ถามอะไรเขา คงไม่อยากให้เขาคิดมาก และดูเหมือนช่วงนี้เพื่อนจะทำตัวเป็นพ่อสื่อแบบออกนอกหน้ามาก

“รพีเย็นนี้ว่างไหม จะให้ไปส่งไอ่เภหน่อยพอดีติดธุระด่วน”
“กูไปเองได้เพื่อน...เขาไม่ว่างมั้ง” หันไปมองบุคคลที่สาม
“ว่างคร๊าบ ว่างทุ๊กวัน”  ความกวนไม่เคยรักษาให้หายขาดได้

“อ่าๆ ให้มันได้อย่างนี้สิเขยเพื่อน”  สินธ์ตบไหล่รพีปุๆ
“อะไรของมึงเพื่อนเขย” เขาอดถามไม่ได้
“แฟนเพื่อนสนิท เรียกเพื่อนเขยผิดตรงไหน”
“ไอ่บ้าฝงแฟนอะไร”  เขาทำเสียงเข้มว่าเสียงดัง จนโต๊ะข้างๆหันมามอง
ส่วนบุคคลที่ถูกเรียกด้วยสรรพนามแปลกๆ ยิ้มหน้าบานคับร้าน

“เอาน่าไม่เป็นวันนี้ก็ไม่รอดหรอกเนอะรพี”  แทนที่จะช่วยกันนายรพีเกาคอพยักหน้าซะงั้น
เขาทำตาขวางใส่ รพีก้มหน้ากินข้าวทันที

“ขนาดไม่ได้เป็นอะไรยังเกรงใจเบอร์นี้อ่ะนะ ยอมแล้ววว” โดนแซะไม่หยุด

ที่คิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องเขากับนายนั่นคงไม่ใช่แล้วล่ะ อย่างน้อยก็มีสินธ์ที่เหมือนจะรู้
แต่ก็ไม่รู้ว่ารู้มากแค่ไหน หลังๆมานี่สินธ์เหมือนจะสนิทกับนายรพีเหลือเกิน

“ตกลงให้ผมไปส่งนะ”  นี่ก็กลัวไม่ได้ไปส่งซะจริงถามในไลน์ก็ได้มั้ง
“เอ่อ” 
“มึงยอมง่ายจังวะเภ”  เอ้าไอ่นี่
“อ่ะๆ กูไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่แซวแล้ว ไม่แซวจร้า กินๆ” 

เบื่อมันสองคน เขาเลยรีบกินรีบกลับไปทำงานต่อ ขากลับเจอพี่เก๋ พี่เขาวานให้ไปเอาของที่ร้านเพื่อนให้หน่อย บอกว่าเป็นรายละเอียดงานใหม่ที่เขาต้องทำ คร่าวๆคือเขียนเรื่องโปรโมทร้าน   ก็เลยต้องไปดูร้านจริงคุยกับเจ้าของด้วย  ขึ้นรถไฟฟ้าต่อรถเมล์ ตอนยืนหน้าร้านถึงรู้ว่าโคตรไกลเลย คงไม่ได้กลับไปที่สำนักพิมพ์แล้วมั้งอย่างนี้


เภพัฒน์ : เย็นนี้ผมกลับเองนะ


ส่งข้อความบอกนายรพีไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องรอ





คุยรายละเอียดต่างๆเรียบร้อย เป็นไปตามที่คิดไว้ เกือบบ่ายสามแล้ว ขอตัวออกมาจากร้านขนมพบว่าเส้นทางที่ผ่านมาเป็นชุมชนรถไม่ค่อยมี อากาศก็ไม่ร้อนมาก เขาเลยเลือกจะเดินไปมากกว่าจะใช้บริการรถเมล์ จะได้คิดอะไรเพลินๆ หาไอเดียเขียนงานไปด้วย

สายตาที่มองนั่นมองนี่ดันไปสะดุดกับแผ่นหลังของใครบางคน

“พี่กันต์” 

อีกแล้วเหรอ หรืออาจเป็นแค่ผู้ชายที่หน้าเหมือน แต่ครั้งนี้มั่นใจมากว่าไม่ได้คิดไปเอง ไม่ใช่อุปทานหรือภาพลวงตา แล้วเขาจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปอีก  สองเท้าเล็กก้าวตามคนตัวสูงไปโดยไม่รั้งรอ เส้นทางที่ไม่คุ้นตาเริ่มปรากฏหลังจากอีกคนเลี้ยวเข้ามุมตึก รักษาระยะห่างพอสมควรด้วยกลัวอีกฝ่ายรู้ตัว แต่ไม่กลัวจะคลาดกันเพราะตรอกแคบไม่มีทางเลี้ยวแยก   แถมโชคดีที่เส้นทางคดโค้งอำพรางเขาได้เป็นอย่างดี


ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าอีกคนจะไม่รู้ว่ามีคนเดินตาม

“นั่นใคร”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม เมื่อเขารู้ตัวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องหลบ “พี่กันต์” 


เขาเดินออกมาจากที่ซ่อนเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงสั่น เผชิญหน้ากับคนที่ไม่รู้ว่าใช่คนที่เขาคิดถึงไหม
ในความใช่แต่ สายตาไม่ใช่ รอยยิ้มไม่มี ผู้ชายคนนี้ไม่มีท่าทีรู้จักเขาด้วยซ้ำ

“นายรู้จักชื่อฉันได้ไง”  นี่มันอะไรกัน

“พี่จำผมไม่ได้เหรอพี่กันต์”   สายตาครุ่นคิดคิ้วหนาย่นชนกันโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษครับผมคงจำคนผิด คุณเหมือนคนที่ผมเคยรู้จัก”  อยากร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหล
สมองอื้ออึง  จับต้นชนปลายความคิดไม่ถูก

“เดี๋ยวก่อน คือ..ฉันความจำเสื่อมหนะ นายรู้จักฉันเหรอ” 

เหมือนมองเห็นแสงสว่างในอุโมค์ที่มืดมิด น้ำตาไหลออกมาจนได้ ใช่เขาจริงๆด้วย

“พี่ยังไม่ตาย ฮือออ พี่ยังไม่ตาย”  โผกอดอีกคนแน่นอย่างลืมตัว
“เอ่อ ขอโทษนะคุณเป็นใคร เราเป็นอะไรกันเหรอ”  อีกฝ่ายผงะถอยไม่ได้กอดตอบ

“ผม ผมชื่อเภพัฒน์ เราสองคนรักกัน ไม่เป็นไรพี่จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อจากนี้ผมจะไม่ปล่อยพี่ไปไหนอีกแล้ว”

คนถูกทักนิ่งนาน ก่อนจะบอกประโยคที่ทำให้เขาปวดร้าวไปทั้งใจ

“ผมมีครอบครัวแล้ว มีลูกสาวหนึ่งคน”

แสงที่ปลายอุโมค์เป็นแค่ภาพลวงตา เภพัฒน์กลับไปจมอยู่กับความมืดมิดอีกครั้ง
มีใครกำลังเล่นตลกกับเขารึป่าว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต่างคนต่างยืนนิ่งใส่กัน
สองปีที่ร้องไห้ น้ำตาที่ไหล ความคิดถึงที่มากมาย กลับสูญไปได้กลับมาแค่ความว่างเปล่า
เหมือนเทน้ำแข็งลงในแม่น้ำ ไม่ได้อะไรเพิ่ม ไม่เหลืออะไรเลย มันละลายหายไปหมดในชั่วพริบตา


“พี่จะมีโอกาสกลับมาจำผมได้ไหม” 
“ผมรู้แค่ว่าผมรักภรรยาและลูกมาก ขอโทษนะถึงผมจะจำคุณได้มันก็เท่านั้น”

“..............”  อึ้งจนพูดไม่ออก เสียงวิ้งดังก้องจนหนวกหู

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะ คุณก็ดูแลตัวเองด้วย ลาก่อน”  เขาไปแล้ว ไม่มีท่าทีดีใจสักนิดที่เจอกัน บอกลากันง่ายๆ แล้วก็ไป

เภพัฒน์ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่มีแรงขยับขา สมองไม่สั่งการว่าควรทำยังไงต่อไป หมดหนทางยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าเขาตาย จนวันนี้ไม่ตายแต่ก็ไม่อาจกลับมาเหมือนเดิม เขามีครอบครัวแล้ว เขารักคนอื่นแล้ว มีลูกสาวด้วย ยิ้มทั้งน้ำตา ความเจ็บปวดในความยินดีหรือยังไง


ไม่รู้ตัวเลยว่าพาตัวเองออกมาจากตรงนั้นในสภาพไหน มีสติอีกครั้งตอนโดนใครสักคนบีบแตรใส่ถึงถนนใหญ่แล้วเหรอ เกือบโดนรถชนด้วย หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดไม่หย่อน สับสนและฟุ้งซ่าน




  ‘พี่จะมีโอกาสกลับมาจำผมได้ไหม’ 

‘ผมรู้แค่ว่าผมรักภรรยาและลูกมาก ขอโทษนะถึงผมจะจำคุณได้มันก็เท่านั้น’




ประโยคปฎิเสธเล่นวนซ้ำไม่รู้จบ เภพัฒน์ก้าวไปข้างหน้าตามสัญชาติญาณไม่ได้ใช้สติเลยสักนิด จนมาถึงห้องได้ในที่สุด
เมื่อประตูปิดลงหมดแรงจะยืนแล้วจริงๆ สองแขนสองขายกไม่ขึ้น มันเป็นความล้าสุดจะล้าได้ สับสนปนเปไปหมด ทั้งเรื่องคนคนนั้นที่คิดว่าตายไปแล้ว กับเรื่องรพี



“ก๊อกๆ ก๊อกๆ”   หลังส่องจากตาแมวก็รู้ว่าคนที่มาคือใคร


“เป็นอะไรรึป่าวคุณ ไลน์ก็ไม่ตอบโทรหาก็ไม่ติด ผมเป็นห่วง...”  เขาไม่รอให้รพีพูดจบ ขอกอดคนตรงหน้าให้แน่นหน่อยได้ไหม เขาไม่มีแรงจะไปต่อไม่มีแรงจะพูดอะไรแล้ว ขอแค่รพีที่ยืนให้เขากอด เป็นหลักให้เขายึดในวันที่อ่อนไหว เป็นคนลูบหัว บอกซ้ำๆว่าไม่เป็นไร

สำหรับเภพัฒน์แล้วพี่กันต์ยังเป็นคนที่มีผลต่อจิตใจมากที่สุดเหมือนเดิม แต่เขาก็ยอมรับว่ารพีคือคนที่ทำให้เขาสงบลง
เป็นคนที่ไล่น้ำตาของเขาให้เหือดแห้งลงได้ในเวลาไม่นาน ทั้งสองคนสำคัญ แต่สำคัญในความหมายที่ต่างกัน 
มันอธิบายยาก ถ้าถามว่าเขารักใครคงตอบได้ว่ารักพี่กันต์  แต่ถ้าถามว่าให้เลือกว่าอยากอยู่กับใคร เขาก็ยังลังเล



รพีไม่ได้ถามอะไร แค่นั่งข้างๆ จับมือเขาไว้ ไม่ได้มองเขาให้รู้สึกอึดอัด เภพัฒน์นั่งอยู่ปลายเตียง อีกคนนั่งตรงพื้นหันหน้ามาซบกับมือของเขา รพีไม่เงยหน้ามองแค่ซบหน้าลงกับมือขาว แน่นิ่งเหมือนหลับไปแล้ว


“ผมขอโทษนะพอดีแบตหมด”  เป็นเขาที่เริ่มบทสนทนา
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอโทษผมหรอก” 
ยิ่งรพีพูดเขายิ่งรู้สึกผิดที่เอาแต่สนใจเรื่องตัวเอง

“ถ้าความฝันเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว เราควรดีใจหรือเสียใจดี”  รพีเงยหน้ามองคนถามชั่วครู่
แล้วหันไปมองผ่าม่านสีฟ้าที่ไหวลู่ไปตามแรงลม ก่อนจะเลือกตอบคำถามด้วยคำถาม

“ความรู้สึกมันเลือกได้ด้วยเหรอ” 

“นั่นสินะ มันก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายแท้ๆ แล้วทำไมผมรู้สึกสับสนล่ะพี”
“บางทีมันอาจง่ายกว่านั้นถ้าคุณยอมรับความจริงให้ได้ก่อนนะเภ”   

ยอมรับความจริงเหรอ ความจริงว่าคนคนนั้นยังไม่ตาย เขาความจำเสื่อม และ มีลูกมีเมียแล้ว


“มันยากจัง ความจริงหนะมันยากมากเลย”
 
ร่างสูงดึงเอวของเขาไปกอด น้ำตาของเขารินไหลอาบแก้ม มันพรั่งพรูจนแน่ใจว่ามีบางหยดที่ตกบนแผ่นหลังอีกคน
อย่างห้ามไม่อยู่


“เภ เป็นพีไม่ได้เหรอที่เป็นความจริงเดียวของเภ ให้ผมเป็นคนเดียวคนนั้นไม่ได้เหรอ ผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้อีกแล้ว
ผมเจ็บ เจ็บตรงนี้”   มือหนาดึงมือเขาไปจับที่หน้าอกข้างซ้าย รพีสั่นไปตามแรงสะอื้น ไม่นะเขาไม่ควรเป็นต้นเหตุให้รพีเสียใจ เภพัฒน์รู้ดีว่าเขาไม่ได้มีค่าขนาดนั้น

“อย่าพีอย่าร้องให้เพราะผม มันไม่คุ้มกันหรอก”
“คุ้มไม่คุ้มผมเป็นคนบอก หัวใจผมเป็นคนบอกเอง” 


รพีย้ายตัวเองมานั่งบนเตียงดึงเขาไปจูบ จูบทั้งน้ำตาที่ไหลพร้อมกัน สายลมพัดมาจากหน้าต่างหัวนอน เภพัฒน์รู้สึกเย็นสบายผิว มันทำให้เขาใจเย็นลง บางอย่างบรรเทาความเจ็บปวดลงได้อย่างน่าประหลาด พวกเขายังคงจูบกัน  จูบแบบเดิมจูบบรรเทาความเจ็บซ้ำ ค่อยแตะ ค่อยเล็มเลีย รสของน้ำตามันไม่หวาน และเกือบจะทำให้พวกเขาผละออกจากกันหลายต่อหลายครั้ง แต่เพราะความรู้สึกบางอย่าง ที่ทำให้ยังไม่อยากทิ้งจูบที่เป็นของกันและกันไป  คล้ายว่าจะเป็นความเสียดาย และในที่สุดก็เป็นเภพัฒน์ที่ยกมือดันอีกคนออก

“ขอบคุณสำหรับจูบ มันดีมากเลยจริงๆ”  คนที่ถอยก่อนเป็นคนเอ่ยขอบคุณ เป็นกฏหลังการจูบสำหรับพวกเขาไปแล้ว  รพียิ้มรับยกนิ้วเรียวไล่หยดน้ำสีใสให้พ้นแก้มเขา

“ผมอยากฟังนะ ทุกเรื่องที่คุณอยากเล่าผมอยากฟัง” รพียังคงยืนยันในความตั้งใจ
“แม้มันจะทำให้คุณเจ็บนะเหรอ” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่ว่าจะต้องเสียใจมากแค่ไหน สำหรับผมมันคุ้ม”

เภพัฒน์ยิ้มให้ประโยคที่ได้ยิน รพีไม่ได้พูดว่ารักแต่ทำไมเขารู้สึกถึงความรักที่อีกคนส่งมาให้
มันชัดเจนมาก รู้สึกว่ามันมากเกินไปสำหรับคนอย่างเขาด้วยซ้ำ



“วันนี้ผมเจอเขา” 
“พี่กันต์ของคุณเหรอ เจอที่ไหน”  รพีมีท่าทีตกใจมาก ก็ไม่แปลกเขายังตกใจเลย
“แถวสีลมผมไปรับงาน เขาบอกว่าความจำเสื่อม และถึงเขาจะจำผมได้ก็ไม่มีวันกลับมา เพราะสองปีที่ผ่านมาเขาแต่งงานมีลูกแล้ว ลูกสาว คุณรู้อะไรไหม พี่กันต์หนะรักเด็ก ชอบเล่นกับเด็กมาก ผมยินดีกับเขาแต่ผมกลับเสียใจ เสียใจมากพอกับความยินดีเลยล่ะ” 

“.........................”   รพีนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เหมือนกำลังคิดอะไรหลายอย่าง บางทีอาจจะกำลังไม่พอใจเขาอยู่ด้วย
ก็สมควรอยู่หรอก

“คุณไปรับงานเหรอ” 
“ใช่ ร้านขนมคุณผึ้งเพื่อนพี่เก๋หนะ” 

“อ๋อ ร้านนั้นผมเคยไป แล้วคุณเชื่อไหมว่าเขาความจำเสื่อม”
“ผมไม่รู้ แต่สายตาที่เขามองผมมันไม่เหมือนเดิม ตอนผมกอดเขาก็ไม่เหมือนเดิม”

รพีหันมามองเขาด้วยสายตาเจ็บปวดแล้วก็ก้มหน้าลง เขารู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวแค่ไหนที่เล่าอะไรแบบนี้ให้รพีฟัง แต่เขาก็มีแค่คนนี้ให้เล่าให้ระบาย ถึงตอนนี้ไม่อยากเล่าให้สินธ์ฟังด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าเพื่อนคงจะเอาแต่เชียร์ให้เขาตัดใจ

แต่คนนี้ไม่ เขาแค่ฟัง และตั้งคำถาม คำถามของรพีทำให้เขาคิดอะไรได้บ่อยครั้ง
และเขาชอบที่จะเป็นแบบนั้น


“เภคุณจะเสียใจไหมถ้ารู้ว่าเขาโกหก”  เป็นคำถามที่ไม่คิดถึงคำตอบมาก่อน
“โกหกว่าจำผมไม่ได้เหรอ แล้วทำไมต้องโกหกละ” 
“สมมุติว่าเขาไม่ได้รักเภตั้งแต่แรก เภจะรู้สึกยังไง”
“รพีผมว่าคุณถามแปลกๆ คุณรู้อะไรมารึป่าว” 
“แค่สมมุติ”  รพีย้ำ

“ถ้าเขาโกหกตั้งแต่แรก เขาก็เก่งมาก เพราะเขาทำให้ผมเชื่อหมดใจว่าเขารักผมจริง แล้วถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่เชื่อในสายตา ในคำพูด ในการกระทำของคนที่บอกว่ารักผมอีกแล้วละมั้ง”

ที่ตอบรพีไปมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะสายตา คำพูด การกระทำ ของพี่กันต์คือสิ่งที่เขามั่นใจว่ามันเรียกว่าความรัก
ถ้าจะโกหกกันได้ขนาดนั้นก็เก่งเกินไป




“แล้วคุณละไหวรึป่าวพี”
 “ทำไมถามผมแบบนั้นล่ะ”
“ก็ต้องมาคอยปลอบผม ที่..เอาแต่เสียใจเรื่องของเขาอยู่แบบนี้”
รพียิ้มบางกดหัวเภพัฒน์ลงที่บ่าของตน   “ผมหน้าด้านกว่าที่คุณคิดนะเภ”


“ฟังพูดเข้า หึหึ” เป็นคนนี้ที่ทำให้เขายิ้มได้อีกครั้ง รพีทำให้สบายใจได้แม้ในวันที่สับสนที่สุด
“คุณควรขอบคุณผมนะพี”  ดูเหมือนมีคนทวงบุญคุณ
“คุณไม่อยากได้หรอกคำว่าขอบคุณหนะ” 
“รู้ใจผมเสียจริง งั้นบอกมาสิว่าผมอยากได้ยินคำไหนจากคุณ” 

เภพัฒน์ยืดตัวขึ้นกระซิบข้างหูคนชอบทวงบุญคุณ “คืนนี้อยู่กับผมทั้งคืนนะ” 

“ได้สิครับ”   ดูเหมือนเขาจะรู้ใจอีกฝ่ายจริงๆนั่นแหละ เพราะตอนนี้รพีกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยเลย


ก่อนช่วงสุดท้ายของวันนี้จะสิ้นสุดเขายังคงอยู่ในอ้อมกอดของรพี เภพัฒน์ตัดสินใจพูดบางคำให้เขาได้ฟัง คิดมาดีแล้ว
และแน่ใจว่ารพีคู่ควรจะได้ฟังมากที่สุด
 
 
“คุณจะรอผมได้ไหม”  รอให้เขาลืมเรื่องพี่กันต์ รอให้หัวใจเขามีแค่รพี รอได้ไหม
มันอาจไม่เร็วนักแต่เขาจะพยายามให้มันเร็วที่สุด


อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ตอบรับ คนถามเกือบจะถอดใจไม่รอฟังคำตอบแล้ว เสี้ยววินาที สติกำลังจะดับสู่นิทรา
เสียงตอบรับก็ดังจากอีกคน

“ตลอดชีวิตผมก็จะรอ” 









.................................
เภพัฒน์กำลังจัดการความรู้สึกของตัวเองอย่างสุดความสามารถ 
ส่วนพี่กันต์กลับมาทามมาย

ปล.คนเม้นต์น้อยจัง ขอบคุณคนที่มาคุยด้วยยังพอรู้ว่ามีคนรออ่าน ขอบคุณค่ะ
 :mew6: :mew6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 14:36:08 โดย antivirus »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สายลมและคมมีด chapter 7 (14/11/18)
« ตอบ #9 เมื่อ: 14-11-2018 12:54:18 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 8 (14/11/18)
«ตอบ #10 เมื่อ14-11-2018 14:29:09 »

chapter 8
[/b]


ถ้าการลองรักคือการเรียนรู้ ทำไมยิ่งรักกลับยิ่งโง่
[/b]




“ผมเอาอยู่น่าแค่นักเขียนซื่อๆคนเดียว ตอนนี้เขาก็ดูจะรักผมแล้วด้วย”



รพีพูดกับใคร หมายความว่ายังไง นี่เขาถูกหลอกเหรอ คนเดียวที่ช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากความเศร้า

กลับถีบเขาจมน้ำอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็หมดแรงจะตะเกียดตะกายอะไรอีกแล้ว เภพัฒน์เดินกลับห้องทำงานตัวเองเงียบๆ

ทิ้งความตั้งใจที่จะเข้าไปหารพีตั้งแต่ไปได้ยินประโยคนั้น ประโยคที่รพีพูดกับคนในสายเหมือนมือที่มองไม่เห็น

จับเขาลากไปมา คลุมเครือ หัวหมุนเหมือนคนเมา ใครก็ได้บอกเขาทีมันเกิดอะไรขึ้นกับเขานักหนา



“อ้าวเภไปไหนมาวะมือถือก็ไม่เอาไปเนี่ย”

“ห้องน้ำ”

“อะเหรอ  กูว่าจะมาชวนมึงไปดูหนัง ช่วงนี้ไม่มีเวลาให้กูเลยมึงหนะ”

“ไปสิ ไปเลยไหมละไม่มีงานแล้ว”  งานเขาเสร็จแล้วคราแรกเขาจะไปหารพีที่ห้องอยากทำให้อีกฝ่ายตกใจและดีใจ

แต่กลายเป็นว่าเขาเองที่ตกใจแถมไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด









สินธ์เป็นคนเลือกหนังที่จะดูและเขาไม่สนใจเลยสักนิด เรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“มึงบอกรพียังว่ามากับกู” เพื่อนหันมาถามขณะนั่งรอพนักงานเรียกเข้าโรงหนัง

“ทำไมต้องบอกวะ”

“ก็มึงกับเขาดูในใจกันอยู่”

“มึงรู้ได้ไง”



“ก็..แหะๆ เขาเล่าให้กูฟัง ตกลงว่าจริงไหม”

“อืมงั้นมั้ง”  ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว

“ทำไมมึงดูไม่มีความสุข เขาไม่ดีกับมึงเหรอ”

“เปล่าเขาก็ดี เวลากูเศร้าเขาเหมือนสายลมทำให้กูเย็นขึ้น สบายใจขึ้น”

“หวานเว่อร์ แล้วมึงจะคิดอะไรอีก”



“มันมีหลายเรื่องที่กูยังไม่ได้เล่าให้มึงฟัง”

เรื่องทุกอย่างตั้งแต่เจอนายรพีครั้งแรก เรื่องที่หัวหิน เรื่องที่คนคนนั้นยังไม่ตาย

เรื่องที่เขาได้ยินรพีคุยกับใครสักคนเล่าให้เพื่อนฟังหมดไม่มีปิดบัง



“นี่กูตกข่าวเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ เชี่ยยขออึ้งแป๊บ เอาละกูควรโฟกัสเรื่องไหนก่อนดี”

“มึงว่าที่รพีมันพูดหมายความว่าไง”

“ไม่รู้วะเหมือนมึงโดนหลอกใช้เลยเภ”   เขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน



“แล้วตกลงว่ารพีคือคนที่มึงเจอที่ผับแล้วเอ่อ พวกมึงก็แบบว่า...”

“สองครั้งและกูก็เต็มใจ”

“มึงใจง่ายกว่าที่กูคิดนะเนี่ย”

“ไอ่สินธ์”



“ก็กูพูดจริงอ่ะ ข้ามขั้นตอนไปป่ะ บอกว่าดูใจกันแต่ได้กันแล้วคืออะไร”

“มันไม่ได้ตั้งใจนี้หว่า ก็กูเมา เฮ้ออ ตอนนี้กูโคตรปวดหัวไม่รู้จะเชื่อใครหรือมั่นใจอะไรอีกแล้ว”

“กูเข้าใจ แต่เภ อย่างน้อยกูก็ดีใจมึงไม่ค่อยเศร้าแล้วนะรู้ตัวไหม”

“เหรอ ไม่รู้สิ” เขาดูดีขึ้นเหรอ คงเพราะสับสนจนบ้าแทน



“พูดก็พูดนะเรื่องรพีกูก็ว่าแปลกอยู่ มันมาเจอมึงที่ผับนั่นได้ไง ถึงจะบอกว่าบังเอิญมันก็ตลกไปป่ะ

แล้วจะบังเอิญมาเจอมึงที่ทำงานอีกเหรอ อีกอย่างนะมันเองชอบมาถามเรื่องมึงกับพี่กันต์”



“ตอนแรกกูก็คิดว่ามันจะมาจีบมึงก็ธรรมดารึป่าวที่ถามซอกแซกเรื่องมึง แต่บางคำถามกูก็งงนะว่าถามทำไม”

“ว่า”  สินธ์มองหน้าเขาก่อนจะตอบ “ถามว่ากูกับมึงไปงานศพพี่กันต์รึป่าว งานจัดที่ไหน เปิดดูศพก่อนเผาไหมอะไรแบบนั้น”

“แปลกจริงว่ะ แม่งมันอะไรยังไงเนี่ย”



“นิ่งไว้มึง อย่าเพิ่งตื่นตูมไป นิ่งไว้ก่อนความลับไม่มีในโลก กูจะเสือกมาให้เองไม่ต้องห่วง

ความจริงกูก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกันนะ แต่งานพี่กันต์ทำไมญาติเขาไล่เราขนาดนั้น"

  “ก็เขาคิดว่ากูเป็นต้นเหตุให้ลูกเขาตายมึงสงสัยอะไรเนี่ย”



“เดี๋ยวนะไอ่พี่กันต์มันโดนเจ้าหนี้ตามมาแทง ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงเลยนะเภ”

“กูควรทำไงต่อดีวะ”  คิดเองไม่ออกให้เพื่อนช่วยคิดละกัน

“ในเมื่อเขามีครอบครัวแล้วมีลูกแล้วด้วยมึงตัดใจเถอะ” สินธ์ยกมือมาโอบไหล่เขาเป็นการปลอบใจ



“หมายถึงรพี กูควรทำไงกับมันดี ถามตรงๆหรือทำเฉย”

“เภมึงรู้ตัวไหมว่ามึงแคร์เรื่องรพีมากกว่าเรื่องพี่กันต์แล้ว ใจมึงอ่ะให้เขาไปแล้วรู้บ้างไหม”

“ไม่จริงมึงอย่าพูดมั่วซั่ว” 



เขาไม่ยอมรับแน่ๆ ถึงจะเคยมีอะไรกันตั้งสองครั้ง และมันก็ไม่ได้แย่ ถึงจะมีบ้างที่นายนั่นทำเขาสับสน ใจเต้น

และรู้สึกดีในวันที่แย่ แต่ตราบใดที่ยังไม่ลืมพี่กันต์ เขาคิดดีแล้วจะไม่เปิดใจ ไม่ใช่แค่เขาที่จะรู้สึกไม่ดี คนใหม่เองก็ด้วย

แทบมองไม่เห็นความสุขในชีวิตคู่ที่คนรักเอาแต่คิดถึงคนเก่า

 









สามวันแล้วที่รพีติดต่อไม่ได้ วันนี้เขายอมไปถามที่แผนกเพราะเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ห้องก็ไม่รู้จัก

ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่หายหัวไปสักอย่าง เภพัฒน์หงุดหงิดจนลืมคิดเรื่องพี่กันต์ไปเลย







“ลาออก!!”  มึนไปหมดกับคำตอบที่ได้ ลาออกไม่บอกกันสักคำ

“ใช่ค่ะความจริงยื่นเรื่องไว้ตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว”  ที่เขาไม่รู้คงเพราะไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายด้วย

เดินกลับโต๊ะทำงานแบบงงกับชีวิต นี่เขาโดนเทตั้งแต่ยังไม่ได้คบเหรอ

แต่คิดไปคิดมาก็ได้กันแล้วสถานะอาจจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ ตลกสิ้นดี ฟันแล้วทิ้งคำนี้แหละเหมาะสมที่สุด



“เป็นอะไรซึมเหมือนหมาโดนยาเบื่อ”  เพื่อนก็ช่างเปรียบเขาไม่ได้ขนาดนั้นหรอก

“มึงรู้ไหมรพีมันลาออกไปแล้ว”

“อืม” สินธ์ขานรับในคอท่าทางไม่แปลกใจสักนิด



“มึงก็รู้”  เขาต้องถามย้ำอีกรอบ นี่เพื่อนเขารู้เหรอ หรือทั้งสำนักพิมพ์มีเขาไม่รู้อยู่คนเดียว

“มันเคยบอกกูไว้นานแล้วว่าจะออก กูนึกว่ามันบอกมึงแล้วซะอีก ไม่สิความจริงมึงควรรู้ก่อนกู”



“กูก็ว่างั้น กูคิดอะไรไปเองรึป่าววะ”   ที่คิดว่าอีกคนชอบ อีกคนรุก

บางทีอาจจะแค่เล่นๆไม่จริงจัง คิดแล้วรู้สึกแย่ขึ้นมาเลยแฮะ



“โทรไปถามดิ”  เพื่อนยุส่ง

“ไม่ดีกว่า เป็นแบบนี้ดีแล้ว”  เขาเองไม่ใช่เหรอที่คิดว่าไม่พร้อมจะสานต่อ แต่นายรพีบอกว่ารอได้ตลอดชีวิต

“เฮ้ออออ”

“เภถ้ามึงจะถอนหายใจขนาดนี้โทรเถอะ มึงชอบเขาก็บอกไปตรงๆ อมพะนำอยู่ได้”



“มึงไม่เข้าใจสินธ์ ทุกวันนี้กูยังไม่เลิกคิดถึงพี่กันต์เลย”

“คิดถึงแล้วไงก็ธรรมดาป่าวมึงไม่ได้ความจำเสื่อม”



“ถ้าแฟนมึงเอาแต่คิดถึงแฟนเก่าที่ไม่รู้ว่ากลับมาเมื่อไหร่ มึงโอเคเหรอ”  เขาถามหวังให้เพื่อนเข้าใจ

“มึงกำลังคิดแทนรพี เพราะมึงแคร์มัน คนไม่ชอบกันเขาไม่แคร์กันหรอกรู้ไว้ซะ”

กลับกลายเป็นเขาที่ต้องทำความเข้าใจซะเอง

 

 “ถ้ารู้แล้วทำไงได้มันไปแล้ว แปลว่ามันเลือกตัดใจจากกูไปแล้ว ขนาดลาออกแม่งไม่บอกกูเลย”



เพื่อนมองเขาแล้วส่ายหน้า



“มึงก็รุกบ้างดิ ไปหามันเลยไปถามให้กระจ่าง จะกลัวอะไรมึงไม่มีอะไรต้องเสียสักหน่อย”

นั่นก็จริง เย็นวันนั้นสินธ์เอาที่อยู่ของรพีมาให้เขา เป็นคอนโดหรูแถวสาธร ไม่ยักรู้ว่านายรพีรวย 

“ได้มาจากไหนเนี่ย”

“อย่ามองกูแบบนั้นเภขอร้อง กูไม่ได้กิ๊กกับมันหรอกน่า แค่ไปหลอกถามฝ่ายบุคคลมา”

“อย่างนั้นเหรอ”  แล้วไป



“ให้กูไปส่งป่ะ”

“ไม่เป็นไรกูไหว ไปหาพี่กันต์กูยังไปคนเดียวเลย”

“แน่ใจ๋”

“อือน่าไม่ต้องห่วง ขอบใจมาก”

“เภ”

“ว่า”

“มึงรู้ใช่ไหม มึงยังมีกูอยู่นะ”

“รู้น่า ห่าดราม่าไมเนี่ย”   



บอกลาเพื่อนเก็บของมุ่งหน้าไปตามที่อยู่ของนายนั่น ไปเคลียร์ให้มันจบๆซะ ชีวิตเขามีเรื่องคาใจแค่เรื่องพี่กันต์ก็แย่แล้ว

อย่าให้ต้องติดค้างเรื่องรพีอีกเลย แล้วก็ฝ่ารถติดมายืนอยู่หน้าคอนโดหรูจนได้ ก็กล้ามานะจะเจอรึป่าวยังไม่รู้

ไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรหาก็ไม่ติดแบบนี้ยังจะมาอีก เขาตัดสินใจเดินเข้าไปแลกบัตรที่ป้อมยามหน้าคอนโด

แจ้งชื่อว่ามาหาใคร แล้วก็เดินเลี่ยงไปดูรถของอีกฝ่ายที่ลาดจอด ถ้ารถอยู่คนก็อยู่ แล้วค่อยไปนั่งรอด้านล่าง



“รพี”   เหมือนจะดีที่ได้เจอ แต่ภาพที่เห็นกลับทำเขายิ้มไม่ออก



นายรพีในชุดธรรมดากางเกงขาสั้นแค่เข่าเสื้อโปโลสีดำ ยี่ห้อจระเข้ หมวกแก๊ปสีดำ เดินออกมาจากเก๋งป้ายแดง

พร้อมสาวสวยอีกคน ดูท่าทางสนิทกันเหมือนมานาน จู่ๆความกล้าที่เคยมีก็หดหาย  ขาแข็งไม่ยอมขยับซะงั้น



“หิวมาก”  ฝ่ายหญิงหันมาบอก

“จร้าเดี๋ยวพาไปเลี้ยง อย่าเพิ่งบ่นสิ”  อีกฝ่ายตอบกลับทำหน้าล้อเลียน



เขาเดินไปแล้ว ขึ้นไปบนห้องแล้ว เภพัฒน์มองตามสองคนที่ลับหายไปจากสายตา ทำไมเจ็บแบบนี้

ชอบเขาแล้วจริงๆสินะ ไม่น่าเลยไม่น่าใจอ่อนเลย เจ็บเลยเห็นไหม  หัวใจไม่รักดีย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ให้ชอบเขา

ก็ยังชอบสมน้ำหน้าแล้ว





ครืนนน  ครืนน



“ว่าไง”  สินธ์โทรมาถามความคืบหน้า

(เป็นไงบ้างมึง)

“เจอแล้ว”

(แล้ว)

“เขาอยู่กับแฟนเขา เป็นผู้หญิง แค่นี้นะกูจะกลับแล้ว”

(อย่าเพิ่งวะ......) 

เขากดวางสายเพื่อนไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ รู้สึกหมดแรง เคว้งไปแล้วทั้งความรู้สึกที่มี





เขาเคยรู้สึกดีเวลามีรพีอยู่ด้วยตอนเศร้า แต่ตอนนี้คนที่เคยเป็นความสบายใจของเขากลับเป็นของคนอื่นด้วย 

เภพัฒน์เดินแบบคนหมดแรงไปเรื่อยๆ ในใจคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา รพีเป็นเหมือนคนแปลกหน้าก็ว่าได้

ในขณะที่เขาเอาแต่ปิดกั้นไม่ให้รพีรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว เขาก็ไม่ทันได้ใส่ใจว่าพื้นที่ส่วนตัวของรพีก็ไม่มีเขาอยู่ด้วยเหมือนกัน

เขาสองคนรู้จักกันน้อยมาก น้อยจนไม่น่าเชื่อว่าเภพัฒน์จะเชื่อว่ารพีชอบเขา เชื่อแบบไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น

และบ้าที่สุดตรงที่เขาก็ดันมีใจตอบอีกฝ่ายไปแล้วด้วย ที่อยากรู้ตอนนี้คือเขามาไม่ทันหรือมันไม่มีโอกาสให้คว้าตั้งแต่แรก





มึนงงจนเกือบทรงตัวไม่อยู่ อยากร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหล อึดอัดเหมือนรพีจับเขายัดในถังแคบๆปิดฝาและนั่งทับไว้ 

ทุบจนเหนื่อยอีกฝ่ายก็ไม่เปิดฝาให้เขาออกมา ไม่เจ็บตัวไม่ตายง่ายๆ ทว่าเลวร้ายสิ้นดีกับสิ่งที่กำลังเจอ 

ตามไปโวยวายก็ไม่ได้ ไม่มีสถานะไม่มีสิทธิ์ หมุ่นตัวกลับไปซะ ลืมนายคนนั้น ลืมคนที่ชื่อรพี

เขามาในเวลาแค่ไม่นานคงลืมได้ง่ายกว่าลืมพี่กันต์แน่ๆ





พรึ่บ!!   



อยู่ๆก็มีใครเอาอะไรมาอุดจมูกเขา แล้วทุกอย่างก็วูบไป เกิดอะไรขึ้นเขาเป็นลมเหรอ









บ้านไม้สองชั้นทาสีขาวดูเงียบสงบ ต่างจากในบ้านที่มีใครคนหนึ่งร้องไห้ปานจะขาดใจ ใครคนนั้นคือเภพัฒน์

อีกคนที่เขากอดไว้แน่น นอนราบกับพื้นมีแค่ครึ่งตัวที่ถูกเขายกขึ้นกอด มีดสั้นตกอยู่ไม่ห่างจากพวกเขา

คมมีดชุ่มไปด้วยเลือดที่น่าจะเพิ่งออกจากลำตัวของคนที่นอนราบ  กันต์ประคองสติที่มีน้อยนิดฝืนตามองเขา

ริมฝีปากซีดขาวพยายามจะพูดอะไรสักอย่างอย่างยากเย็น





“พี่อย่าหลับนะ ฮืออออ”  ไร้สติคร่ำครวญราวคนบ้าตอนโทรเรียกรถพยาบาล

แล้วก็มานั่งกอดคนรักที่ถูกแทงอาการสาหัสรอคอยรถช่วยชีวิตให้มาถึงเสียที



“..............”  คนที่ถูกแทงไร้เรียวแรงจะพูดสองแขนยกไม่ขึ้น ร่างนิ่งหลับตาเหมือนคนหลับลึก

ลมหายใจระรินลงทุกที



“พี่กันต์ พี่กันต์”  เขาเรียกที่กอดอยู่เสียงดัง มือไม้ปัดป่ายไปเจอแต่อากาศ ก่อนที่จะลืมตาเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น

“ตื่นเถอะเภ”



ก่อนหน้านี้มั่นใจว่าคือความฝัน ฝันที่เหมือนจริงเป็นบ้า ส่วนตอนนี้เภพัฒน์ก็รู้ว่าตัวเองตื่นแล้ว

แปลกใจแค่ทำไมยังได้ยินเสียงคนคนนั้นตามมาอยู่



“พี่กันต์”  เรียกชื่อคนที่เห็นเป็นคนแรกเมื่อลืมตา

“เภตื่นเถอะเราต้องคุยกันหน่อย”



ใช่จริงเหรอเขาอยากลองหยิกตัวเองดูว่าฝันหรือตื่น  แต่คงไม่จำเป็นเพราะตอนนี้กันต์มานั่งปลายเตียง

ยื่นน้ำเย็นให้เขาดื่มเก้อกระหาย และไล่อาการมึนหัว  น้ำเย็นไหลจากลำคอลงไปในท้อง รู้สึกได้ขนาดนี้คงไม่ใช่ฝัน

ความสงสัยถาโถมมาราวกับห่าฝน แต่จบลงด้วยประโยคเดียวของอีกคน



  “เงียบนะ และฟังพี่.....” 



เรื่องมันมีอยู่ว่ากันต์แค่หลอกใช้เขา เป็นพยานให้ว่าตัวเองตายแล้ว เพื่อจะได้หนีไปจากงานผิดกฏหมาย

เขามีเมียที่รักมากอยู่แล้วคนที่เภพัฒน์เจอที่ผับนั่นแหละ พอเมียท้องก็เลยอยากทำงานสุจริตขึ้นมา

แต่การลงจากหลังเสือมันไม่ง่าย เข้าต้องตาย ในขณะที่คนตายก็จะถูกลบประวัติและคดีเก่าๆออกหมด

ซึ่งมันเป็นกำไรที่กันต์อยากได้มากที่สุด กันต์เริ่มคิดถึงวิธีตายที่แนบเนียน จนมาลงตัวที่ถูกแทง

ในชีวิตของเขาถูกแทงมานักต่อนัก แค่คมมีดเดียวเอาชีวิตเขาไปไม่ได้หรอก



ที่เหลืออีกอย่างคือการหาพยานที่ต้องสาวไม่ถึงคนที่เขารักและต้องเป็นคนที่เชื่อจริงๆว่าเขาตาย

และพยานที่เขาเลือกก็คือเภพัฒน์





คำถามของรพีดังขึ้น



‘เภคุณจะเสียใจไหมถ้ารู้ว่าเขาโกหก’

‘โกหกว่าจำผมไม่ได้เหรอ แล้วทำไมต้องโกหกละ’

‘สมมุติว่าเขาไม่ได้รักเภตั้งแต่แรก เภจะรู้สึกยังไง’

‘รพีผมว่าคุณถามแปลกๆ คุณรู้อะไรมารึป่าว’

‘แค่สมมุติ’



ตอนนี้เภพัฒน์รู้แล้วว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติ





“แต่แผลพี่ใหญ่มากผมคิดว่าพี่..”

“แค่คมมีดเดียวทำอะไรพี่ไม่ได้หรอกเภ”   เขาจ้องหน้าคนพูด

น้ำเสียงของกันต์ฟังแล้วอบอุ่นเหมือนเดิม แต่สายตาของเขาเปลี่ยนไปมันไม่เหมือนคนที่รัก หรือเคยรักกันสักนิด



“มีดนั่นมันไม่ได้จ้องจะฆ่าพี่หรอก ชีวิตผมต่างหากที่มันต้องการ สองปีที่ผมต้องเห็นคนรักตายต่อหน้าต่อตา

สองปีที่ผมฝันเห็นพี่ตื่นมาและทรมาน สองปีที่ร้องไห้กับความทรงจำ และพี่รู้อะไรไหมผมคิดถึงพี่ทุกวัน

ไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงอดีตของเรา”



เหมือนร้องไห้กับเพลงเศร้า เหมือนเอาตัวเองไปผูกกับหนังดราม่าสักเรื่อง หรือคร่ำครวญกับบทในนิยาย   

ทั้งที่ไม่เป็นความจริงสักอย่างเดียว ตอนนี้เหมือนเขาถูกฉุดออกมาจากอุโมงค์ที่ว่ามืดมิด

เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็เจอบ้านที่อบอุ่น หันกลับมามองตัวเอง ที่ร้องไห้ ที่เศร้า ที่จะเป็นจะตายเพื่ออะไร



“ผมถามได้ไหม”   กันต์พยักหน้า



“พี่รักผมบ้างหรือเปล่า เพราะอย่างนี้เหรอพี่ถึงไม่...”  แตะต้องผมตอนเราคบกัน



“พี่อาจจะผิดที่ดึงเรามาเกี่ยว พี่หลอกใช้เรา ที่พี่ไม่แตะต้องถือว่าเราหายกัน

เราไม่เคยมีความลึกซึ้งกันคิดว่าเภจะทำใจได้ง่ายกว่าถ้าวันหนึ่งพี่ตาย” อีกฝ่ายเล่าราวกับไม่แคร์ความรู้สึกคนฟัง



“ผมถามว่าพี่...รักผมบ้างหรือเปล่า” 



แทบไม่ต้องคิดกันต์ตอบชัดเจน



“ไม่ พี่มีเมียแล้วพี่รักเขา พี่มีลูกพี่รักเขา และพี่ไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่พี่ก็ไม่ได้ฝืนใจนะตอนดูแลเภพี่เต็มใจ

ถ้าเลือกคนอื่นพี่ไม่รู้จะรู้สึกเต็มใจแบบนั้นไหม ถ้าจะมีความรู้สึกดีๆก็คงรักแบบน้องชาย”



“หึ เหรอ”

“พี่ก็ห่วงเราอยู่ ความจริงเภไม่น่ามาเจอพี่วันนั้นเลย”



“แล้วนี่พี่จับผมมาทำไม” เข้าเรื่องเลยดีกว่า ตอนนี้งงจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว ยังยอมรับเรื่องตรงหน้าได้ไม่เต็มร้อยด้วย

“ไอ่รพี มันเป็นตัวปัญหาพี่คิดว่ามันเข้ามาตีสนิทกับเภเพราะจะสาวหาตัวพี่

มันเป็นคนเดียวที่ไม่เชื่อว่าพี่ตายจริงๆ อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวแต่เภช่วยอะไรพี่ครั้งสุดท้ายได้ไหม”



“พี่กันต์ตลกมากไหม คือพี่แม่งหลอกใช้กันแล้วยังมีหน้ามาขอให้ช่วยอีกเหรอวะ”

รักมากก็โกรธมาก โกรธมากก็เกลียดมาก เขาเกลียดคนที่นั่งเผชิญหน้าอยู่

ส่วนนายรพีก็กำลังจะได้รับแบบนั้นเหมือนกัน รู้สึกโง่จนอยากถีบตัวเอง โดนใครต่อใครหลอกใช้ขนาดนี้เลยเหรอ



“แก๊กก”  เสียงเปิดประตูอีกครั้ง คนที่ก้าวเข้ามาหน้าตาดูไม่ใช่คนที่อ่อนโยนนัก

“นายเร่งแล้วครับ”  กันต์พยักหน้าแล้วดึงข้อมือเขาเดินลงไป

วูบหนึ่งมันสั่นไหว สัมผัสของคนที่คิดว่าตายจาก แค่มือหนาสัมผัสก็เจ็บร้าวไปทั้งความรู้สึก

แต่มันว่างเปล่าสินะ ความรักที่คิดว่ายิ่งใหญ่ไม่เคยมีตั้งแต่ต้น  แม้แต่ความอาทรของสายลมอย่างรพีก็ไม่มีจริง

ให้เดาผู้หญิงที่เขาเห็นที่คอนโดก็แฟนรพีเหมือนกัน









“จบเรื่องนี้กันเถอะ”  เสียงคนที่นั่งรอข้างล่างกับลูกน้องอีกเป็นสิบที่เดินนำออกไป

เขารู้ว่าไม่ควรโวยวายตั้งแต่เห็นว่าทุกคนมีปืน เขาคงไม่มีทางเลือกมากนักในตอนนี้





ที่นี่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้น อยู่ในย่านกรุงเก่า เภพัฒน์เพิ่งได้ยินเสียงบรรยากาศรอบข้างตอนเดินออกมาจากตึก

จากสองปีที่โง่สุดบรรยาย  ตอนนี้เขาตื่นแล้วอย่างแท้จริง





“ตามพี่มา”  กันต์บอกเสียงราบเรียบไม่ได้ขู่ไม่ได้ปลอบ

“ไปไหน”  เขาหันมาถามตอนนั่งลงข้างคนขับ ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าพร้อมตาย แต่วันนี้เขากำลังกลัวตาย

  เขาต้องรอดและใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อตัวเอง หลังจากปล่อยความสุขไปสองปีให้กับความทรงจำที่ไร้ราคา



“ไปจัดการไอ่รพี”  เขาถึงกับหันไปมองอย่างลืมตัว ถึงจะโกรธนายนั่นแต่ก็ยังห่วงอยู่ดี

“ทำไมห่วงมันเหรอ ไหนว่ารักพี่หนักหนา”  กันต์หันมาถามคนที่ดูไม่อยากไปกับเขาเท่าไหร่



“ห่วงทำไมทั้งพี่ทั้งเขาก็หลอกใช้ผม ผมแค่ไม่เข้าใจทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ”

“ไม่รู้รึไงมันรักเรานะ พี่ดูก็รู้”  กันต์เสียงเรียบเหมือนเดิม

“ก็พี่เพิ่งว่าเขาหลอกใช้ผม”



“หลอกใช้ก็ส่วนหลอกใช้ แต่พออยู่กับเรามันคงห้ามใจได้หรอกได้กันไปแล้วด้วยนี้นา”

“........................”  นี่กันต์รู้ขนาดนี้แสดงว่าตามดูเขาทุกฝีก้าวแน่ๆ

“อย่าเข้าใจผิดพี่ไม่ได้..หึง”  เขาควรรู้สึกยังไงกับประโยคแบบนั้น ขำๆหรือเสียใจ



“พูดก็พูดนะเภเราหนะเป็นคนน่ารัก ทั้งหน้าตา ทั้งนิสัยพี่ไม่ได้เป็นคนดีนักหรอกสารภาพว่าอยากกดเราตั้งหลายครั้ง

แต่ทำไม่ได้วะสงสาร พี่ไม่ได้รักแล้วพี่ก็ต้องแกล้งตายกลัวเราจะอยู่ไม่ไหว”



“ผมควรขอบคุณพี่รึป่าวเนี่ย แล้วทำไมถึงต้องตามมาดูกันอีกละ”

“ตามรพีต่างหากมันรู้ว่าพี่ยังไม่ตาย แม่งกัดพี่ไม่ปล่อยสักที”

ตาสว่างแล้วสว่างอีกกับคำพูดของคนข้างๆ กันต์ไม่เคยรักเขาเลยสักนิด มากสุดก็แค่ถูกชะตา



“แล้วเอาผมมาล่อเนี่ยนะ ไปจับเมียเขาโน้นจะได้ผลกว่า” กันต์เลิกคิ้วใส่คำพูดนั้น

“มันไม่มีเมีย ถ้าจะมีก็เภไงเมียมัน”  ไม่ใช่เมียแต่ก็เป็นแฟนได้  เหมือนคนขับจะรู้ใจ

“ถ้าเป็นผู้หญิงที่อยู่กับมันที่คอนโด เพื่อนสนิทมันมีผัวแล้ว”



ทำไมเขารู้สึกดีใจขึ้นมานะ เพี้ยนไปแล้วแน่ๆ เภพัฒน์เอ้ยมึงช็อคจนเพี้ยน

ต้องโกรธเขาที่มาหลอกไม่ใช่ดีใจที่เขายังโสดแบบนี้



“พรุ่งนี้ฝนต้องตกเป็นกบแน่ๆ ดูพวกเราสิทำตัวเหมือนไม่ได้ถูกหลอก และกำลังจะไปฆ่าใคร”

กันต์ไม่ตอบประโยคไหนกลับมา  เขาเงียบและขับรถไปตามเส้นทางที่อยู่ในหัวเขาเพียงคนเดียว

เภพัฒน์จับอารมณ์ตัวเองไม่ทัน มันมีหลายอย่างรวดเร็วเหมือนวิวข้างทางที่รถแล่นผ่าน

 ดูรายละเอียดแทบไม่ทัน



“ถ้าตกลงกันได้คงไม่มีใครต้องตาย ถึงต้องให้มาช่วยพี่ไง”















.............................................................................

ค่อยๆเผยความลับทีละน้อยแล้วล่ะ

#สายลมและคมมีด
   :pig2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 14:37:12 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: สายลมและคมมีด
«ตอบ #11 เมื่อ14-11-2018 15:27:04 »

……


ก้อยังเชื่ออยู่ว่า รพีจะจริงใจกับเภพัฒน์นะ

แต่รพีมาเกี่ยวอะไรกับกันต์ นั่นเดาไม่ออกแฮะ


ลมเพลมพัด ให้ทุกข์โศกของเภพัฒน์หายไป


 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:



ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 9 (16/11/18)
«ตอบ #12 เมื่อ16-11-2018 07:28:25 »

chapter 9
[/b]

เจ็บปวดให้กับความว่างเปล่า  ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็ไร้ค่า




คงเป็นเพราะยาสลบที่ยังค้างอยู่เขาเผลอหลับไปจนกระทั่งตื่นอีกทีเพราะเสียงปลุก

“เภตื่นเถอะถึงแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอยู่หลังพี่เข้าใจไหม”  กันต์สั่งก่อนจะเปิดประตูนำออกไป

เสียงนกร้องก้องไปทั่วท้องฟ้าสีส้มอ่อน มันใกล้จะค่ำแล้วมองไปรอบๆ เป็นที่ดินเปล่าต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเต็มพื้นที่ มีทางเดินที่แทบจะปิดตาย กันต์เดินนำเภพัฒน์เดินตาม ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้ว่าแถวนี้เปลี่ยวแค่ไหน ขืนโดนฆ่าที่นี่กว่าใครสักคนจะมาเจอศพก็อาจเหลือแต่กระดูกไปแล้ว


สิบนาทีต่อมาเขาหยุดยืนหน้าบ้านปูนชั้นเดียว ผู้ชายที่เหมือนเป็นลูกน้องเพิ่มจำนวนขึ้นเกือบสองเท่า ไม่มีใครมองเขากับกันต์คนพวกนั้นมองพื้นหมด ตอนเขาสองคนเดินผ่าน


“เชิญครับ”  คนที่เปิดประตูออกมารับคือคนที่หน้าตาหาความอ่อนโยนไม่ได้คนเดิม
“พ่อล่ะ”  พ่อใคร?
“อยู่ข้างในครับ รีบเข้ามาเถอะเจ้านายเริ่มหงุดหงิดแล้ว”
“ก็ไม่เคยเห็นอารมณ์ดีสักวัน”  กันต์เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า แล้วหันมาคว้าข้อมือเภพัฒน์เดินเข้าไปในบ้าน เขาได้แต่มองข้อมือตัวเองถูกอีกคนดึงไปสองขาก้าวตามโดยไม่คิดอะไร
ตอนนี้ยังไม่หายงงเลย


ผิดคาดข้างในว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย จะมีก็แต่ทางลงไปชั้นล่าง ลึกลับเหมือนในหนังระทึกขวัญ
เขามองมือที่จับข้อมือเขาอยู่อย่างนั้น หัวใจมันไม่เต้นแรงแล้ว ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป บทจะไม่รู้สึกอะไรก็เฉยชาขึ้นมาซะงั้น  และกันต์ไม่ใช่คนที่มีผลกับจังหวะการเต้นของหัวใจของเขาอีกต่อไป


บันไดขั้นสุดท้ายสิ้นสุดลง ผู้ชายที่เขาเจอก่อนหน้านี้ คนที่ดูมีอำนาจเหนือใครนั่งอยู่กลางห้อง ห้องที่ดูดีกว่าที่จินตนาการ กระเบื้องสีขาวดำกับผนังอิฐสีเข้ม รอบห้องไม่มีอะไรมากมาย ลึกไปเป็นห้องน้ำ ชุดนั่งรับแขกอยู่กลางห้อง ทีวีที่ไม่ต่างจากของประดับเหมือนไม่มีใครเปิดมาก่อนหนึ่งเครื่องที่ผนัง แค่นั้นเองไม่มีอะไรแล้ว


“มันละ”  กันต์ถามคนที่นั่งอยู่ เขาคิดว่าหมายถึงรพี
“เดี๋ยวก็มา มันรู้แล้วว่าแกเอาใครมาด้วย เสียงเครียดน่าดู”  ผู้ชายคนเดียวที่นั่งอยู่ตอบมาท่าทางผ่อนคลาย ไม่เหมือนคนหงุดหงิดเลยสักนิด
“คุณรพีมาแล้วครับ”   เสียงลูกน้องคนหนึ่งบอกหลังจากรับสายพวกข้างนอก


เภพัฒน์ยืนนิ่งอยู่หลังกันต์ ความรู้สึกมันเหมือนโดนตีหัวจนมึน จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไง ก็เลยปล่อยตัวเองให้ว่างเปล่าต่อไป

ชั่วอึดใจนายรพีก็โผล่มา เขามองร่างสูงที่เดินลงมาจากบันได ทั้งที่ตอนแรกมึนอยู่ แต่พอเห็นหน้ารพีเท่านั้นแหละ ตื่นเต้นกลัวขึ้นมาซะอย่างนั้น ชั่ววินาทีที่อีกคนมองมาทางเขา แต่เขาหลบสายตามองพื้น ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ ทั้งเป็นห่วง และตื่นกลัว คนเพียงคนเดียวทำให้รู้สึกได้มากมายแบบนั้นจริงเหรอนายทำได้ยังไงรพี


“ปล่อยเภไปไม่อย่างนั้นกูไม่คุยเหี้ยไรทั้งนั้น”  คนมาใหม่ประกาศกร้าว

คนที่นั่งเพียงคนเดียวชูมือโบกสองสามที ลูกน้องคนอื่นก็เดินออกไปหมด เหลือแค่สี่คนที่ยังอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือเขา 

“คงปล่อยไม่ได้หรอกมึงก็รู้นี่หว่าทำไม อย่าพูดอะไรโง่ๆกูขอร้อง”  กันต์ไม่ทำตามและยังหันมาโอบไหล่เขาแน่น รพีมองตาไม่กระพริบ
“คุณอาเรื่องนี้เมียผมไม่เกี่ยว”  เดี๋ยวนะใครเป็นเมียนายถึงจะเคยได้กัน แต่จะเรียกแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง   


“โคตรเบื่อพวกมึงสองตัวเลย มีลูกชายก็ไม่เอาไหนติดเมียจนไม่เป็นอันทำงานทำการ”  คนพูดหันมามองกันต์

“มีหลานใช้ให้ไปทำงานก็ดันไปได้เมีย มีใครได้ดั่งใจกูบ้าง” และหันไปมองรพี


ปัญหาครอบครัวสินะ ส่วนเขาขออยู่เงียบๆละกัน



“ผมมีครอบครัวมีลูก หลานของพ่ออ่ะ ผิดตรงไหนที่ผมจะวางมือ”
“ผิดที่มึงจะทิ้งปัญหาไว้ให้คนอื่นตามล้างตามเช็ดไงไอ่กันต์ เภมานี่”   รพีสวนขึ้นน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโมโห ร่างสูงเดินเข้ามาหมายจะดึงเขาไป แต่กันต์ดันเขาไว้ข้างหลัง เภพัฒน์ไม่รู้จะทำยังไง ใจหนึ่งก็อยากไปอยู่ใกล้รพี แต่ใจหนึ่งก็ไว้ใจกันต์ว่าจะไม่ให้เขาเป็นอันตราย อีกอย่างพ่อเขาก็อยู่ คงไม่มีใครฆ่าใครอย่างที่เขากลัว

“ปล่อยผมไปเถอะพ่อ รพีมึงก็รู้ว่ากูห่วงลูกห่วงเมียแค่ไหน”  ในสายตาของเขาตอนนี้กันต์ดูเป็นคนน่าเห็นใจ บางคนทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่เขารัก ถามว่าเจ็บไหมที่ได้ยินแบบนั้น
ตอบยากตอนนี้เภพัฒน์รู้แค่ความรู้สึกกับกันต์มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ความจริงมันเปลี่ยนไปตั้งแต่ผู้ชายชื่อรพีเข้ามาในชีวิตเขาแล้วต่างหาก


“หรือมึงจะบอกว่ามึงไม่ห่วงเภ”  คำถามนี้ทำให้เขาและรพีเผลอสบตากัน แปลกแต่จริงทำไมเขาเจ็บ ในขณะที่ถูกเรียกว่าเมียแต่ถ้าอีกคนไม่แคร์เขาขึ้นมาจริงๆคงเจ็บน่าดู ขนาดแค่คิดไปเองยังเจ็บขนาดนี้

“...............”  รพีไม่ตอบคำถามมือหนายกขึ้นเสยผมลวกๆ กัดปากราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง



นานเกือบสองนาทีถึงมีคนทำลายความเงียบ

“แล้วจะให้กูทำยังไงมึงถึงจะปล่อยกูไป หรือว่าต้องให้กูตายก่อนจริงๆ”  กันต์ดูจริงจังและเจ็บปวดในคราวเดียวกัน

“แล้วใครจะขึ้นแทนถ้ามึงไม่ขึ้น อาก็แก่ลงทุกวันไม่ห่วงพ่อมึงบ้างรึไง” 


ยิ่งเถียงกันก็ยิ่งรู้ว่าปัญหาคืออะไร เขาประติดประต่อเรื่องราวเอาเองจนเริ่มหายสงสัยไปทีละนิด
ตอนนี้คนที่ถูกนิยามคำว่าแก่ให้ นิ่วหน้าไม่ค่อยพอใจนัก

“ถ้าพวกมึงยังเกี่ยงกันไม่เลิก กูจะยกตำแหน่งให้ลูกน้องข้างนอก พอจบแล้วก็รอดูว่าชีวิตพวกเรากับความฉิบหายของตระกูลอะไรมันจะมาก่อนกัน”


การพูดคุยเริ่มจากดุเดือด เป็นโอนอ่อน วกมาดุเดือด แล้วก็อ่อนลง วนไปมาหลายรอบ จากยืนกันคนละฝั่ง ตอนนี้กลายเป็นมานั่งล้อมวง ระหว่างนั้นเภพัฒน์ฟัง จนสรุปได้ว่าเรื่องตรงหน้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดตอนแรก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่าเป็นห่วง


ครอบครัวของกันต์ไม่มีแม่ มีแต่พ่อที่กำลังแก่ต้องการผู้รับช่วงต่อ อย่างที่กันต์เคยเล่าเขาขึ้นหลังเสือนั่นแปลว่าธุรกิจที่รอคงไม่ขาวสะอาดแน่ๆ ส่วนรพีเป็นแค่หลาน และดูเหมือนเขาไม่อยากรับหน้าที่แทนญาติผู้พี่

“มึงคิดว่ามึงจัดฉากว่าตายแล้วพวกนั้นจะเชื่อเหรอ ขนาดกูยังไม่เชื่อเลย”  รพีคงหมายถึงฝ่ายที่ไม่ถูกกันรอวันจะเหยียบซ้ำพวกเขาอยู่ถ้ารู้ว่าไร้ผู้นำ


“อีกไม่กี่วันก็จะมีประชุดหุ้นส่วนนะกันต์”  คนเดิมพูดต่อ คราวนี้น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
จะว่าอ้อนวอนก็คงไม่ผิด


“แต่กูอยากมีชีวิตธรรมดา พ่อเราไม่ต้องทำธุรกิจแบบนั้นก็ได้นี้นาเงินเราเยอะแยะแล้ว” กันต์หันไปอ้อนวอนต่ออีกทอด

“มึงลืมไปรึป่าวว่ามีลูกน้องอีกนับพันที่มึงต้องดูแล กูขอโทษนะกันต์มึงซวยที่เกิดมาเป็นลูกคนไม่ธรรมดาแบบกู” ชายวัยใกล้เกษียณมีแววตาเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“พ่อ” 
“คุณอา”

พ่อลูกมองหน้ากันส่วนรพีมองหน้าผู้ชายที่เขาเรียกว่าอา สายตาของทั้งสามคนบอกแทนความรู้สึกที่อึดอัด ช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากเย็น 

ตอนนี้กี่โมงแล้วไม่แน่ใจ ความเครียดเริ่มลดลงไปบ้างเพราะทุกคนก็เริ่มเหนื่อยกันแล้วแต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนเภพัฒน์เริ่มทนไม่ไหว


“เอ่อ ผมขอถามบ้างเถอะว่าผมเกี่ยวอะไรเอาผมมานั่งตรงนี้ด้วยทำไม”

ผู้ชายสามคนมองหน้ากัน สายตาท่าทางบอกว่ารพีต้องเป็นคนตอบ


“คือ..เพราะพีเองแหละไม่รู้จะอธิบายให้เข้าใจเรื่องราวยังไงเลยให้กันต์มันจับมาฟังด้วยกันซะเลย”

ห๊ะ!!  เขาหันไปมองกันต์

“รพีมันว่าเรางอนมันมากพี่เลยหาโอกาสเคลียร์ให้ไง ส่วนเรื่องที่เล่าไปก็จริงบ้างไม่จริงบ้างหนะ เภคงกำลังงงกับเรื่องที่เกิด ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวเราก็เข้าใจทุกอย่างเอง” 

สรุปอีกรอบตอนนี้ไม่มีใครจะฆ่าใคร ไม่มีใครเป็นศัตรูกัน แล้วเรื่องไหนที่กันต์บอกว่าไม่จริง
เรื่องที่ว่าไม่เคยรักเขา หรือเรื่องที่ว่ารพีโสด ในความโล่งใจก็มีความหนักใจปนสงสัยเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง



“เภมานั่งข้างพีได้แล้วนะ”  คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเรียกเขาอีกรอบ รอบที่เท่าไหร่แล้วไม่แน่ใจ

“โอ๊ยไอ่หลานชายมึงนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ เมียคนเดียวก็เอาไม่อยู่ ไหนโม้ว่าเขาเป็นนักเขียนซื่อๆ รักมึงหลงมึงไง เนี่ยไอ้กันต์แล้วจะให้กูยกตำแหน่งให้มันเหรอมึงดูเซ่”  จบคำกันต์ขำในคอ
ส่วนรพีจิ๊จ๊ะเสียงเบาอย่างไม่พอใจนัก  และเขากระจ่างชัดว่าที่แอบได้ยินรพีคุยโทรศัพท์นั้นคืออะไร
จะว่าโล่งใจไหมก็ใช่ จะว่าเขินไหมก็..มาก..

การพูดคุยเริ่มไร้สาระเภพัฒน์ก็หายงงไปเรื่อยๆ บางเรื่องก็ยังไม่เข้าใจนัก แต่เริ่มแน่ใจแล้วว่าการเจอกันของพวกเขาเหมือนจะมีใครบางคนอยากเจอเภพัฒน์มากกว่า หนึ่งคือคนที่แก่ที่สุดในห้อง

เขาบอกว่าอยากเห็นหลานสะไภ้ เฮ้ ทำไมชอบพูดเองเออเองกันนะ  สองนายรพีที่บอกว่าอยากง้อเขา และสามผู้ชายชื่อกันต์ที่นั่งข้างๆ ตอนหลังสารภาพว่าอยากขอโทษเขาที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายและรักเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่ง เลยจัดฉากให้ผมไปเจอเขาในวันนั้น เขาบอกว่าห่วงที่เอาแต่เศร้าไม่เลิกกับการตายของเขา ซึ่งมันก็สมควรแล้วที่เขาต้องมาขอโทษ


สุดท้ายเรื่องรับตำแหน่งก็ลงเอยที่รพี  สิ่งที่เภพัฒน์คิดได้ตอนนี้เป็นห่วงแฮะ








สามสี่วันต่อมา นายรพีกับกันต์หายไปจากชีวิต เขาได้ใช้ชีวิตเหมือนตื่นจากฝันร้าย
เพื่อมาเจอความจริงที่น่ากลัวกว่าความฝัน

ความจริงที่ว่า นายรพีโสด
ความจริงที่ว่า นายรพีกำลังจะจับธุรกิจมืดเต็มตัว
ความจริงที่ว่า เขารักนายรพีเข้าเต็มเปา
ความจริงที่ว่า เขาต้องเลือก



เสียงลมหายใจของใครบางคนทำให้มือที่จับลูกบิดประตูชะงัก



“คิดถึงจัง”  ประโยคนั้นดังมาจากความมืด
“แอบเข้าห้องอื่นแบบนี้เป็นขโมยเหรอ”

ขโมยที่หน้าตาดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นเผยตัวออกมา เราสองคนกำลังยืนรักษาระยะห่างอยู่ ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่วันรพีเปลี่ยนไปมาก ดูจากการแต่งตัวที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่เหมือนพนักงานฝ่ายบุคคลที่ผมรู้จัก มีบางอย่างแผ่ออกมารอบตัวเขา ทั้งน่าค้นหาและดึงดูดให้อยากเข้าไปใกล้

ราวกับละเมอเภพัฒน์ก้าวขาไปหาคนตรงหน้า


“อื้มมม”  แทบไม่รู้เนื้อรู้ตัวปากกับปากก็ประกบกันจนไม่มีที่ว่าง

จูบที่ปลดล็อคทุกความรู้สึก โหยหา คิดถึง อยากเจอ อยากอยู่ใกล้ๆ เป็นรพีที่ผละออกก่อน และเหมือนเดิมเขาต้องเป็นคนพูดประโยคที่ว่า

“ขอบคุณครับสำหรับจูบ มันทำให้หายคิดถึงได้เยอะเลย” 
รพีกอดและฝังหน้าลงกับซอกคอของเขาเอ่ยบางคำเสียงอู้อี้ ฟังผ่านๆอาจไม่เข้าใจ

“แสงสว่างของผม”  ต้องใช้ใจฟังถึงจะเข้าใจ

และเภพัฒน์ก็เลือกใช้บางคำตอบไป คำที่คนฟังต้องใช้ความรู้สึกที่มีแปลเอาเอง

“แต่สำหรับผมคุณคือสายลม”

คนฟังขมวดคิ้วใส่

“คอยพัดให้ผมเย็นลงหลังจากเจอเรื่องร้อนใจ”  ช่วยแปลกลัวเขาเข้าใจไม่ลึกซึ้ง

รพีปล่อยมือจากร่างบางทรุดตัวลงคุกเข่าเหมือนจะขอเขาแต่งงาน แต่ไม่มีแหวนอย่างที่ควรจะมี ถึงอย่างนั้นก็แบมือส่งให้เขา สายตาที่มองขึ้นมามีทั้งความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด


“ช่วยเป็นแฟนพีได้ไหมครับเภ”  ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันคลี่ออก แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เภพัฒน์ต้องเบือนหน้าหนีซ่อนความรู้สึกที่จู่โจม 


“ไม่”    ตอบนายรพีไปทั้งที่ยังไม่หันไปมองอีกฝ่าย

นายนั่นเงียบไปสักพัก ไม่แน่ใจว่าทำหน้าแบบไหนอยู่ เขาก็พูดต่อ

“ไม่เป็นถ้านายไม่รับปากมาก่อนว่าจะไม่ตาย” 


แค่นั้นแหละทั้งตัวของเขาก็โดนอีกคนทั้งกอดทั้งหอมไม่หยุด จนหน้าเริ่มร้อนขึ้นมาแล้ว

“พอได้แล้ว นี่ดีใจหรือจะฉวยโอกาสกันแน่” บ่ายเบี่ยงหลบคนที่อีกนิดก็จะสิงกันอยู่ล่ะ

“ก็พีดีใจนี่นา แม้จะไม่เหมือนที่คิดไว้ก็ดีใจมาก”  รพียิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากร่างของคนที่เพิ่งจะเรียกได้เต็มปากว่าแฟน


“คิดไว้ว่าไงล่ะ”
“ก็น่าจะแบบ เภยื่นมือมาให้จับ เขินหน้าแดงแล้วบอกผมว่าตกลงผมจะเป็นแฟนพี” 
ฟังดูโรแมนติกเกินไป
“อ่านนิยายมากไปแล้วแน่ๆ ใครจะเป็นอย่างนั้นวะพี”  คิดได้เนอะแต่เอาจริงเขาก็เขินนะ เขินในใจได้ไหมเขาไม่ใช่สาวน้อยที่ชายหนุ่มมาขอความรักสักหน่อย


“เภ”
“อะไร”
“เป็นแฟนแล้วกินได้แล้วสิ”
“ถ้าหื่นเชิญออกไป นั่นประตู”  นิ้วชี้เล็งไปที่ประตู
“ก็คนมันคิดถึง ไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ”
“คิดถึงกับหื่นมันคนละเรื่องมานี่เราต้องคุยกัน”  เภพัฒน์สะบัดตัวเดินไปนั่งเก้าอี้ อีกคนเดินคอตกนั่งเก้าอี้ข้างๆ
จะผิดหวังอะไรขนาดนั้น


เรื่องที่พวกเขาคุยกันแบบจริงจังคือเรื่องอนาคต ตอนนี้รพีรับช่วงต่อคุณอาเต็มตัวแล้ว

“พีอยากให้เภไปอยู่ด้วยกัน ลาออกจากสำนักพิมพ์ อยากเป็นนักเขียนอิสระหรือจะอยู่บ้านดูแลพีอย่างเดียวก็ได้”
นั่นเป็นข้อเสนอของนายรพี

“นี่จะให้ลาออกไปเกาะนายกินเหรอไม่อาว”

“ใครบอกล่ะ นี่กำลังขอแต่งงานต่างหาก”

“.....................”   ไหนความโรแมนติกที่ควรจะมีหาไม่เจอ


“พีอาจไม่มีคำหวานๆ ไม่มีดอกไม้ ไม่มีแหวน ไม่มีดนตรี แต่อยากอยู่กับเภจริงๆนะ ถึงเราเพิ่งจะคบกันแต่พีมองเภมานานแล้วรู้ไหม” 


“................”  เภพัฒน์สงสัยจนคิ้วจะชนกันอยู่แล้ว

“จำได้ไหมที่เราเจอกันที่ผับนั่น มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” 

ความจริงเริ่มถูกเปิดเผยอีกครั้ง คนเล่าก็เล่าไป ส่วนคนฟังกอดความเงียบไว้แน่น

“วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องคอยตามแก้ปัญหาให้กันต์ มันบอกว่าต้องการเป็นคนธรรมดา สมัครงานบริษัท ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นทั่วไป แต่งงานมีลูก เป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดี ผมตามสืบจนรู้ว่ามันมาทำงานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ตอนเห็นรูปกันต์สาบานว่าผมไม่สนใจมันสักนิด ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปหาคนที่ยืนข้างกันต์และเหมือนตอนนั้นเภกำลังหัวเราะ”


“พีคิดว่าตัวเองคงจะบ้าที่ดันได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากภาพนั้น รอยยิ้มและแววตาของเภสะดุดตาผมเข้าอย่างจัง หลังจากนั้นผมก็ตามดูเภตลอด จนวันหนึ่งไอ่กันต์มันรู้ตัวว่าผมตามอยู่ มันเลยวางแผนตบตาผมว่ามันตายแล้วเพื่อจะหนีไปอยู่กับเมียมันและทิ้งความรับผิดชอบทุกอย่างไว้ให้ผม  จริงที่ผมไม่เชื่อเลยสักนิดว่ามันตาย แต่เหตุผลที่ผมเข้ามาอยู่ในชีวิตเภไม่ใช่เพราะจะตามหากันต์หรอก ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆคนที่ผมหลงรัก”



   
“ลงทุนจังนะ”

“รู้ไหมว่ายิ่งใกล้ก็ยิ่งชอบ ยิ่งอยากได้อยากเป็นเจ้าของ อยากดูแล”





...................................................
สำหรับรพีความบังเอิญไม่มีจริง #สายลมและคมมีด

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 10 (17/11/18)
«ตอบ #13 เมื่อ17-11-2018 12:15:27 »


chapter 10
[/b]


เมื่อเรารู้สึกกลัวที่จะเสียเขาไป ก็แน่ใจได้แล้วว่ามันคือ..ความรัก..


“ซับซ้อนและซ่อนเงื่อนมากเลยมึง”  สินธ์เอ่ยออกมาหลังฟังเรื่องราวที่เขาเล่าจนจบ
“กูก็ว่างั้น”
“แล้วนี่มึงจะเอาไงต่อ”
“ยังไม่รู้เลย กูตัดสินใจไม่ได้”



มันไม่ใช่ว่ารักแล้วก็หอบผ้าไปอยู่ด้วยกันจบแฮปปี้ แต่นี่คือชีวิตจริงที่ต้องเจอ นายรพีมีชีวิตที่เสี่ยงขึ้นคืออาจตายวันไหนก็ได้ว่างั้น รักมากก็ต้องเจ็บมาก ตอนที่คิดว่ากันต์ตายเขาแทบไม่มีความสุขอยู่เกือบสองปี แต่ตอนนี้ค่อนข้างแน่ใจว่าเขารู้สึกกับรพีมากกว่ากันต์ไปแล้วด้วย
มันจะต้องเจ็บขนาดไหนคิดไม่ออกเลย

“มึงไม่กล้าทุ่มสุดตัวเพราะกลัวขาดทุนเหรอ” ใช่คงอย่างนั้น
“คิดไรมากวะถึงไม่ไปอยู่กับเขา มึงก็รักเขาอยู่ดี”  นั่นก็ถูก ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่า

“ถ้าคบห่างๆ แบบนี้สักวันอาจเลิกกันไป แต่ถ้าตกลงใช้ชีวิตร่วมกันหมายถึงกูถวายชีวิตผูกติดกับเขาเลยนะ แล้วถ้าเขา..ตาย กูจะอยู่ยังไง”



เหมือนจะคิดถึงแต่ตัวเอง เป็นกระต่ายตื่นตูม และดูไม่กล้าจะรัก แต่ถ้าใครที่เคยเจอการสูญเสียและต้องจมกับน้ำตามานานถึงสองปีแบบเขาจะเข้าใจว่าทำไมเขาไม่อยากกระโจนใส่โอกาสที่รพียื่นให้


ระหว่างที่รอคำตอบที่ชัดเจนของเขา นายรพีกลับหายไปอีกจนกลายเป็นเรื่องปรกติ นายนั่นไปมาเหมือนคนล่องหนได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งหาตัวยากอีกสิบเท่า  เภพัฒน์ไปตามหาที่คอนโดหรูก็ได้แค่บัตรประชาชนของตนคืนจากป้อมยามเท่านั้น บ้านช่องก็ไม่รู้จัก


ทั้งที่ก็ยังไม่มีคำตอบให้หรอก แต่ก็อยากเจอนะ


“ถ้าไม่ตกลงนายคงหายไปจากชีวิตฉันเลยใช่ไหม”  เงยหน้าถามท้องฟ้าอยู่เพียงลำพัง



จู่ๆ ท้องฟ้าก็เทสายฝนลงมาให้เป็นคำตอบ เภพัฒน์สั่นเทาด้วยความหนาว หนาวทั้งกายและสั่นไปทั้งใจ เคยคิดว่าเจ็บที่สุดตอนเห็นกันต์ตายไปต่อหน้า แต่วันนี้รู้แล้วว่าเจ็บได้มากกว่าตอนคิดว่าจะไม่มีวันได้เจอรพีอีก จากเป็นหรือจากตายอันไหนเศร้ากว่าคำถามเดิมวนมาอีกครั้ง

“ระวังไม่สบายนะครับ” เหนือหัวขึ้นไปเป็นร่มสีดำคนที่ยื่นให้ เป็นชายหนุ่มผมสีทองหน้าตาเกินจากคำว่าหล่อไปมาก เป็นดารารึป่าว? เภพัฒน์ถอยออกจากร่มคันนั้นสองก้าว หมุนตัวจะเดินหนี โดยไม่คิดจะทิ้งคำไหนไว้ให้คนแปลกหน้าที่ดูมีน้ำใจ


“เดี๋ยวสิไม่คิดจะพูดอะไรเลยเหรอ”  ผู้ชายคนนี้ดูไว้ใจได้ แต่เขาก็ไม่อยากยุ่งด้วยหรอก เดินจากไปแบบคนไร้มารยาท ไม่อยากมีใครเข้ามาในชีวิตอีกแล้วมันเหนื่อย


“คุณเภพัฒน์”  ผู้ชายคนเดิมจับไหล่เขาไว้แน่น
“ปล่อยผม คุณรู้จักผมได้ไง”  บางทีอาจเป็นศัตรูของรพีก็ได้ หรือนี่อาจเป็นต้นเหตุให้รพีเลือกจะทิ้งเขาไป คงกลัวเขามีอันตรายสินะ บางทีการไปกับผู้ชายคนนี้อาจทำให้เขาได้เจอรพีอีกครั้ง


“ผมชื่อภัทรวีร์ เรียกผมว่าภัทรก็ได้ เราเคยเจอกันในงานสัมนานักเขียนที่หัวหินไงผมขึ้นพูดด้วยนะ คุณจำไม่ได้เหรอ เสียใจจัง” 

“อะ จริงเหรอ โทษทีผมจำไม่ได้ เอ่อหมายถึงผมคงไม่ได้สนใจ อืมมม ช่างเถอะเอาเป็นว่าผมรีบขอตัวนะครับ”  ยิ่งพยายามรักษามารยาทยิ่งฟังดูแย่ สัมนานั่นเขาสนใจใครที่ไหนล่ะ จำได้แค่คนที่รู้จักเท่านั้นแหละ

“แล้วรพีไม่มาด้วยเหรอครับ”  หื้อออ ว่าไงนะ
“ผมนึกว่าคุณจะสนิทกับไอ่รพี” เรียกไอ่ด้วย
“ผมเป็นเพื่อนมัน” เพื่อนงั้นเหรอ

“คุณจะไม่พูดอะไรกับผมหน่อยเหรอ”  คนแปลกหน้าไม่สิคนที่รู้จักชื่อกันขนาดนี้คงเรียกว่าคนแปลกหน้าไม่ได้แล้ว

“ผมไม่รู้จะพูดอะไร”  เภพัฒน์คิดว่าประโยคนี้ก็ชัดเจนที่สุด เพื่อให้อีกคนเข้าใจ อยากถามเรื่องที่อีกฝ่ายรู้จักรพีแต่เงียบดีกว่า ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าภัทรวีร์มาดีหรือมาร้าย

“งั้นก็..ไว้เจอกันใหม่นะครับคุณเภ..พัฒน์”   

หลังยืนใช้สายตาส่งแขกที่ไม่ได้รับเชิญแล้ว เขาคิดอะไรหลายอย่างจนเหนื่อย ในที่สุดก็พาตัวเองกลับห้องได้สักที ตัวเปียกไปหมดต้องรีบอาบน้ำแล้วก็กินยารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้



ฝนหยุดตกแล้วหลงเหลือไว้เพียงความชื้นในอากาศ กับอุณหภูมิที่ลดลงกว่าทุกวัน เขานอนตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าห่มปากแห้งเจ็บคอทุกครั้งที่กลืนน้ำลาย เจ็บร้อนตามร่างกายไม่แน่ชัดว่าจุดไหน ปวดเหมื่อยกล้ามเนื้อ ทั้งที่ไม่ได้ออกแรงหนัก   ลองแบบนี้เป็นไข้แน่นอนแล้ว 

“แก๊กก”   เสียงประตูห้องเปิดออก ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกออกไปดู คำถามสุดท้ายก่อนจะหลับไหล

นายใช่ไหมรพี?


เสียงรถฉุกเฉินดังขึ้นมาถึงห้องของเขา ใครสักคนคงกำลังอยู่ในวินาทีความเป็นความตาย
ไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ เภพัฒน์รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะตาย  ไร้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้น ฝืนเปลือกตาให้ลืมมาดูความเป็นไปรอบตัวยังใช้เวลาตั้งนาน

“ค่อยๆสิ”  เสียงนายรพี
“นึกว่านายจะไม่กลับมาแล้ว”  เบาหวิวและแหบพร่า เปล่งเสียงพูดแต่ละคำช่างยากเย็น
“ต้องกลับมาสิรู้ว่ามีคนรออยู่”  คนสบายดีกำลังจับตัวเขาพลิกไปมาตามใจชอบ
“อยากเข้าห้องน้ำ”  สิ้นประโยค รพีช้อนร่างเขาขึ้น พยุงต่อไปตามที่เอ่ยขอ

กว่าจะแปรงฟัน เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวต้มที่ใครบางคนป้อนด้วยเสียงดุว่ากินให้หมด
กินยาและได้นอนอีกครั้งเหนื่อยจังเลย  แต่ยังนอนไม่หลับเพราะลืมไปว่าวันนี้ต้องส่งงาน

“พีให้สินธ์ลางานให้แล้ว”  คนพูดยังนั่งลูบหัวเขาต่อไป กล่อมให้หลับใช่ไหมเนี่ย
“พักเถอะถ้าตื่นมาไม่ดีขึ้น ต้องพาหาหมอแล้ว”  พยักหน้ารับขณะที่ไถหัวเข้ามุดข้างเอวของคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ


นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ร่างกายไร้สติ กลิ่นหอมจากอาหารที่เพิ่งเดือดปลุกเภพัฒน์ให้ฟื้นขึ้นมา

เขายังอยู่ รพียังไม่หายไป รอยยิ้มอ่อนของคนป่วยซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มหนา


ไม่กี่นาทีต่อมาก็มีแรงพอจะพาตัวเองออกมานั่งรอกินข้าวเย็น ซุปเห็ดกับขนมปังกระเทียม
คนทำบอกว่ากระเทียมทำให้หายป่วยเร็วขึ้น นอกจากจะดูมีความรู้แล้วก็ดูใส่ใจ

“อร่อยไหม”  พยักหน้ายิ้มให้ รพีหน้าบานทำมองวิวนอกระเบียง เรียกว่าเขินได้ใช่ไหม
ความจริงซุปเห็ดร้อนๆ ไม่ค่อยมีรสชาติอะไรหรอกก็ลิ้นมันไม่ปรกติ   

“หายไปไหนมา” 
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิเภ คุณทำให้ผมรู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่ได้บอกคุณก่อนไป คุณโกรธผมรึป่าว”
“จะโกรธก็ตอนถามอย่างตอบอย่างนี่แหละ” ทำท่าจะวางช้อน อีกคนเลยรีบตอบอย่างไว
 

“ไปจีนมาครับมันด่วนมาก กลับมาก็รีบมาหาเลย คิดถึงคนนี้มากรู้ไหม”   
ไม่ต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้ไม่โกรธแล้ว

“แล้วทำไมคุณไม่สบาย”
“ตากฝน ไปรอนายที่คอนโดมา” 
“คอนโด เอ่อ..ความจริงพีไม่ได้อยู่ที่นั่นนะ”
“..........”  คราวนี้วางช้อนลงรอฟังจริงจัง

“พีอยู่บ้าน คอนโดของเพื่อนสนิทคนที่เภเห็นไง กันต์มันเล่าว่ามีคนเข้าใจผมผิดเรื่องนี้”
“อย่ามาพูด แล้วยิ้มทำไมอีกล่ะ”
“ก็ดีใจ ที่คุณหึงผมนี้นา” ก็รักไงถึงได้หึง  เอาเถอะเปลี่ยนเรื่องดีกว่า

“พีนายมีเพื่อนชื่อภัทรวีร์รึป่าว”
“ไอ่ภัทร เจอมันที่ไหน”  หน้าตาของคนตอบมีความกังวลปนอยู่
“ที่หน้าคอนโดเพื่อนนาย เขาบอกว่าไปงานสัมนาที่หัวหินด้วยตกลงยังไง”
“เพื่อนสมัยเรียนไม่ได้เจอนานแล้ว”  ไม่น่าเชื่อเลย

“บอกมาตามตรงเถอะ ถ้าอยากใช้ชีวิตร่วมกัน ความลับมันก็ไม่จำเป็นใช่หรือเปล่า”
เภพัฒน์ทนอยู่กับความสับสน ความไม่ชัดเจนไม่ได้อีกแล้วมันทรมาน

รพีมองหน้าเขาสักพัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็เริ่มเล่า “หลายปีก่อน”   

“เจอกันที่เมกาผมไปเรียน ภัทรมันไปทำงาน รู้จักกันตอนมีเรื่องที่คลับแห่งหนึ่งเห็นเป็นคนไทยด้วยกันเลยช่วยเอาไว้ รู้อีกทีก็สนิทกันแล้ว มันเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง เราเจอกันไม่บ่อยนักแต่เวลามีเรื่องกับใครภัทรจะโผล่มาช่วยตลอด แล้วก็กลับไทยไม่เจอกันอีก ในงานที่หัวหินก็ไม่ได้ทำท่ารู้จักกัน เลยไม่ได้ทักทาย” 

“เรียกแฟนเก่าได้ไหม”  ถามเขาไปเพราะอยากได้ความชัดเจนจริงๆ
“ไม่รู้สิ”  คำตอบนั่นฟังแล้วยิ้มไม่ออก

เมื่อเห็นคนฟังก้มมองถ้วยซุปสายตาเศร้า รพีเลยรีบแก้ตัว
“มันไม่ใช่ที่เภคิดนะ อ่า จะบอกยังไงดี ตอนนั้นพียังเด็กมาก แล้วก็เห็นภัทรเป็นแค่พี่ชายจริงๆ แต่กับภัทรไม่รู้สิว่าเขาคิดยังไง”  นี่มันไม่เหมือนที่เภพัฒน์คิดก่อนหน้านี้เลยสักนิด

“แล้วมันไม่ดูบังเอิญไปหน่อยเหรอที่อยู่ๆก็มาเจอแบบนี้” 

คนนั้นอาจจะกลับมาสานต่อหรือเปล่า

“เภ ไปอยู่กับพีนะ” เปลี่ยนเรื่องทำไมเนี่ย

“อย่ามองบนใส่กันสิ โธ่คิดถึงใจจะขาดแล้วไม่เห็นใจกันมั้งเลย”
“อิ่มแล้ว” 
“อ่ะเปลี่ยนเรื่องเฉย”
“ก็ใครใช้ให้พีเปลี่ยนเรื่องก่อนเล่า”
“ก็แค่ไม่อยากให้เภคิดมากเรื่องคนอื่น”

“นี้” เขาเรียกและจ้องตาคนตรงหน้าก่อนจะถามต่อ
“ถ้าเกิดไม่ตกลงไปอยู่ด้วยจะหายไปจากชีวิตกันเลยไหม” 

รพีหลบสายตาก้มหน้า คนซุปราวกับจะไม่มีคำตอบอะไรให้เขา  ก่อนจะลุกขึ้นเก็บถ้วยไปล้าง เภพัฒน์ไม่ได้คำตอบเหรอ เปล่า!  สิ่งที่ไม่ได้พูดออกมานั่นแหละคือคำตอบ เพียงแต่ไม่รู้สาเหตุแต่ก็ไม่จำเป็น รู้แค่ที่ถามเท่านั้นก็เพียงพอ

ถ้าไม่ตกลงเราสองคนคงไม่ได้เจอกันอีกสินะ




...........................
ตอนนี้สั้นไปหน่อย ตอนหน้าแก้ตัวใหม่นะทุกคน :impress3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 12:19:22 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด chapter 11 (20/11/18)
«ตอบ #14 เมื่อ20-11-2018 13:37:39 »


chapter 11


สองวันเต็มอาการป่วยของเขาดีขึ้นมาก วันนี้เลยได้ไปทำงานสักที ส่วนรพีตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว

หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกตามเคย

 

“ไงมึงดีขึ้นแล้วสินะมีคนดูแลดีก็งี๊”  เสียงเพื่อนดังมาก่อนตัวเสียอีก

“อือ ดีขึ้นแล้ว”

“อาการทางกายกูไม่ห่วงหรอก แต่ใจมึงสิเศร้าอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”

“กูอ่านง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ที่ห้องมึงมีกระจกไหมล่ะ เล่ามาเลยกูรออยู่”



“วันก่อนกูเจอใครบางคน.....”   เล่าให้เพื่อนฟังเรื่องคนชื่อภัทรวีร์ เรื่องที่คาใจเรื่องรพี

และเรื่องที่อาจไม่ได้เจอกับรพีถ้าเขาไม่ลาออกไปอยู่ด้วย



“หลายเรื่องจังเลยนะมึง ค่อยคิดทีละเรื่องแล้วกัน อย่าเครียดมากจะแก่ไว” 

เขาหันไปยิ้มให้เพื่อนแทนคำขอบคุณ



“แล้วมึงอยากลาออกหรือเปล่า”

“ไม่อยากหรอก ที่นี่คือชีวิตของกู มีมึงมีงานที่กูรัก มันเหมือนกูต้องเลือกไปอยู่อีกโลกที่ไม่รู้จัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูไม่ลังเลเลยเพราะอยากหนีจากอะไรเดิมๆ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปกูอยากเจอเขา แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจอะไรในตัวเขาขนาดทิ้งทุกอย่างไปเพื่อเขา”

“เภถ้ามึงอยากได้อะไรมึงต้องเสี่ยง ถ้าไม่โอเคค่อยมาสมัครงานใหม่พี่เก๋รับมึงอยู่แล้ว”



“มันจะง่ายอย่างนั้นเลยเหรอวะ”

“ก็อย่าทำให้ยากดิ เปิดใจมึงไม่เปิดก็ไม่มีใครเข้ามาได้นะ”

“..............”  ใช้ความเงียบถามซ้ำเพื่อนไป ก็ได้รับการพยักหน้าหนักแน่นส่งมาให้



โอเคลองดูก็ได้ อย่างมากก็แค่เจ็บ อย่างร้ายก็แค่ตายละวะ



(หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้) 



ให้มันได้อย่างนี้สิแล้วเอาไงละทีนี้ ตัดสินใจดิบดีแล้วแท้ๆ ก็ดันติดต่อนายรพีไม่ได้อีก











ตัดสินใจกลับมาที่คอนโดอีกครั้ง เผื่อเจอผู้หญิงคนนั้นจะได้ถามที่อยู่รพี แต่กลับเจอ...





“ภัทรวีร์”



ริมฝีปากบางหลุดชื่อคนตรงหน้าออกมา ใบหน้าของเขาคงเก็บซ่อนความรู้สึกไม่เก่งนัก



“ทำหน้าเหมือนไม่ดีใจเลยที่เจอกัน”

จะดีใจได้ยังไงในเมื่ออีกคนรุกเข้ามาหาเขาแบบไม่ทันตั้งตัว

กระบอกปืนชิดจี้ที่เอวเสียงออกคำสั่งให้เดินหน้า ซึ่งเป็นคนละทางกับที่เขาจะไป



“คิดว่าผมกลัวตายเหรอ”  ปากดีไปก่อน ตอนนี้ไม่รู้จะใช้คำไหนถ่วงเวลาดี

“ไม่รักชีวิตตัวเองแต่คงรักชีวิตรพีบ้างแหละน่า”   พอได้ยินชื่อนั้นขาก็ก้าวง่ายไม่มีอิดออดอีกต่อไป



เขายังคงใช้ความเงียบเป็นเกาะคุ้มกันตัวเองไปตลอดทาง คนข้างๆไม่ได้โหดร้ายหรือป่าเถื่อนนัก

ถ้าไม่นับปืนก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าไหร่ ขนาดสายตาดุร้ายที่อีกฝ่ายจงใจส่งมาเขายังไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด



รถแล่นไปตามทางไปเรื่อยๆ นานมากกว่าจะหยุดนิ่ง บ้านหลังใหญ่ในเนื้อที่หลายไร่ ดูเงียบสงบเหมือนปราสาทผีสิง

ขนลุกขึ้นมาทันที เมื่อลงไปสัมผัสอากาศยะเยือกนั้น 



“กลัวผีรึไง ตามมาสิ อ้อแล้วก็ขอโทษทีที่เอาปืนขู่ขี้เกียจพูดมากหนะ เข้าใจผมด้วย”

บอกแล้วไงว่าคนนี้ไม่น่ากลัวเลยสักนิด



“รพีอยู่ข้างในเหรอครับ” ไม่มีคำตอบของคนเดินนำ น่าเบื่อชีวิตที่ต้องมีแต่ความสงสัย







“นี่เหรอคนรักไอ่รพี”  ผู้ชายที่ดูมีอายุแต่ทว่ายังดูดี มีโครงหน้าคล้ายภัทรวีร์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพ่อกับลูก

แต่ที่เภพัฒน์ไม่มีคำตอบคือแววตาที่ชายคนนั้นจ้องเขาต่างหาก มันดูมีความพิเศษอย่างอธิบายไม่ถูก

เหมือนคนที่รู้จัก ทั้งที่แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน



“นั่งลงก่อนสิ”  เภพัฒน์นั่งลงตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

  ภัทรวีร์มองพ่อทีมองคนที่มากับเขาที ด้วยสายตาเจือความสงสัย

“นายชื่อเภพัฒน์เหรอ เกิดที่ไหนพ่อแม่เป็นใคร”

“ทำไมผมต้องตอบด้วย พวกคุณเป็นใครต้องการอะไรยังไม่บอกผมเลย”

คนที่เหมือนเป็นเจ้าของบ้านตีหน้าขรึม ก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น จนลูกชายงุนงงเพิ่มขึ้น



“ฉันชื่อภิเชษเป็นพ่อเจ้านี่ ที่พามาเพราะอยากคุยเรื่องรพี นายเป็นแฟนมันคงจะพอคุยกับมันได้ไม่ยาก

เรื่องเกาะใหม่ฉันติดต่อไปก่อน แต่โดนมันตัดราคาอย่างนี้ฉันไม่โอเค”



“แล้วถ้าผมไม่ช่วยคุณพูดล่ะ”

“ไม่เป็นไรก็คิดไว้แล้วว่านายอาจเจ็บตัวนิดหน่อยแค่นั้นเอง”

“ไม่ใช่ว่าจะช่วยไม่ช่วยหรอกนะ คือผมก็ติดต่อรพีไม่ได้หลายวันแล้วเหมือนกัน”

พยายามแบ่งรับแบ่งสู้ไปก่อนน่าจะดีที่สุด



“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเดี๋ยวมันก็มา ว่าแต่นายเถอะจะช่วยกันไหม”



“การให้รพีถอยจากเส้นที่คุณขีดไว้เนี่ย ถ้ามันง่ายพวกคุณคงทำไปแล้ว นั่นแปลว่าเขาตัดสินใจแล้วไม่คิดถอย

 พวกคุณเอาอะไรมามั่นใจว่าเขาจะฟังคนนอกอย่างผม”



“ฉลาดตอบนี่ เอาละไว้ค่อยมาดูกัน”



ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปแล้ว อีกคนดึงแขนเขาให้ลุก แล้วก็ถูกปล่อยไว้ในห้องหนึ่งเหมือนห้องนอนแขกมีห้องน้ำมีทีวี มีตู้เย็น รวยจังเลยนะบ้านนี้



 “เกาะใหม่”  เขาพึมพร่ำชื่อสถานที่ต้นเรื่องของปัญหาที่ทำให้เขามาติดอยู่ที่นี่  เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินชื่อ



นั่งๆนอน กินขนมในตู้ ถูกจับตัวมาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะ









“แกร็ก”





“เภ”  ประตูเปิดออกอีกครั้งพร้อมนายรพี มาไวกว่าที่คิดไว้ซะอีก



“นายหายไปไหนมา”

“มันใช่เวลามาถามไหมเนี่ยเภ”  รพีตอบเสียงดุ

“เอาละอย่าเพิ่งมาผัวเมียแถวนี้ ตามฉันมา” เสียงภัทรวีร์ดังขัดขึ้น



ภัทรวีร์เดินนำพวกเขาไปที่สวนหลังบ้าน ลูกน้องของฝ่ายไหนไม่แน่ใจยืนกระจายกันทั่วบริเวณ





“โอ๊ยย”  อยู่ๆก็มีผู้ชายตัวโตดึงตัวเขาไปล็อคคอไว้ ตามด้วยหันกระบอกปืนจ่อที่หัว

“เภ”  รพีกำหมัดแน่นเรียกชื่อเขา



“เอาละอย่าเสียเวลารอพ่อเลย เซ็นต์ชื่อซะจะได้ต่างคนต่างไป เสียเวลาของฉันมากเลยนะเกาะบ้าบอเนี่ย” 

กระดาษกับปากกาวางลงตรงหน้ารพี



เภพัฒน์ไม่ได้ร้องขอหรือห้ามอะไร ตอนนี้เขายกให้รพีตัดสินใจเอง แต่ลึกๆก็กลัวปืนที่จ่อมาไม่น้อย

แถมคนที่จับเขาเนี่ยตัวโตกว่าเขามากหน้าตาก็ไม่มีแววว่าจะผูกมิตรกันได้เลย



“รีบๆเซ็นต์สิ ลังเลแบบนี้ไม่กลัวมีคนน้อยใจรึไง ก็แค่เกาะราคาไม่กี่สิบล้าน มีค่ากว่าชีวิตคนที่นายรักรึไง”

เขามองรพีแต่อีกฝ่ายไม่มองกลับมา ราวกับว่ากำลังคิดหนัก



“อยากทำอะไรก็ทำ ฉันไม่เซ็นต์”  ประโยคน้ำเสียงราบเรียบไม่หลงเหลือวี่แวว คนที่อาทรกันหลงเหลือสักนิด



“เพี๊ยะ” 

หน้าเภพัฒน์ถูกภัทรวีร์ตบจนเซ  รพีเมินไปมองทางอื่นแต่ก็ไม่มีท่าทีตกใจ



“จะบอกว่านายไม่รู้สึกอะไรกับคนนี้สินะ หึ มาดูกันดีกว่าว่าจริงแค่ไหน”

คราวนี้ไม่ใช่แค่มือแต่ปืนในมือของภัทรวีร์กำลังถูกเล็งมาที่เภพัฒน์ รพีหันมามองแต่ยังทำนิ่ง

“ให้ถึงสาม ถ้าไม่เซ็นต์ก็เสีย หนึ่ง”  เภพัฒน์ยืนเหงื่อแตกตาเบิ่งกว้าง แล้วก็หลับตาปี๋ตอนนับสอง



ปัง!!





เสียงปืนทำให้ลูกน้องที่ติดตามรพีมาด้วยวิ่งเข้ามาแต่ถูกคนของอีกฝ่ายกั้นไว้

เพราะจำนวนน้อยกว่าเลยไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้



“เภคุณเป็นไรรึป่าว”   เขาไม่ได้เจ็บตรงไหนเลย ลืมตาขึ้นมองคนที่โดดมากอดเขาไว้แน่น

ลืมความน้อยใจที่มีก่อนหน้านี้จนหมด ถ้าปืนเล็งมาที่เขาป่านนี้นายรพีคงได้ตายแทนไปแล้ว



“ก็เห็นๆอยู่ว่าสำคัญโธ่แล้วทำปากแข็งนะพี”

“ภัทรฉันขอล่ะปล่อยเขาไปก่อนเรื่องเกาะฉันจะคุยกับพ่อนายเอง”

ยังไม่ทันที่เภพัฒน์จะหายตกใจ ก็มีใครอีกคนเข้ามาทำให้ตกใจซ้ำอีกรอบ





“แกทำอะไรภัทรวีร์” 

“ภิเชษ”  รพีมองผู้ชายที่เป็นพ่อของภัทรวีร์สายตาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต่างคนต่างเกลียดกันแค่ไหน





...........................................................
มาต่อแล้วว ใกล้จบแล้วนะคะเรื่องนี้

รักคนอ่านรักคนเม้นต์

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: สายลมและคมมีด
«ตอบ #15 เมื่อ22-11-2018 15:09:32 »

 o13

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: สายลมและคมมีด (The end)
«ตอบ #16 เมื่อ22-11-2018 16:01:20 »

final chapter


ความจริงคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
[/b]




“ภัทรแกจะทำอะไร”  เสียงมีอำนาจคำรามก้อง

“ภิเชษ”  รพีเรียกชื่อผู้ชายที่เป็นพ่อของภัทรวีร์ สายตาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต่างคนต่างไม่ชอบขี้หน้ากันแค่ไหน

“ไปเอาตัวคุณเภขึ้นมา”

ลูกน้องอีกคนที่ยืนข้างหลังเดินมาจะดึงตัวเภพัฒน์ขึ้น แต่รพีปัดมือออกแล้วประคองคนรักให้ลุกขึ้นเอง 



ภัทรวีร์มองหน้าพ่อตัวเองด้วยสายตาสงสัย พ่อเขากำลังทำอะไร



“พ่อหมายความว่าไง แล้วนี่พ่อหายไปไหนมา เรื่องเกาะมันกำลังจะเซ็นต์ให้ผมอยู่แล้วเชียวนะ” 

“ภัทรช่างเกาะอะไรนั่นก่อนเถอะ”



ทุกคนตกอยู่ในความเงียบและต้องการคำตอบ



“นั่งสิรพี นั่งสิเภ”  แม้อีกฝ่ายจะเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น

แต่ก็ไม่วางใจกับคนตรงหน้า ขนาดลูกยังร้ายขนาดนั้น แล้วพ่อจะขนาดไหน 

ที่เขาคิดก่อนหน้านี้ว่าภัทรวีร์ไม่น่ากลัวชักไม่จริงซะแล้ว



“ภัทรแกเคยถามพ่อใช่ไหมว่าแม่หายไปไหน พ่อไม่เคยตอบได้เพราะพ่อก็ไม่รู้ แม่แกหอบน้องที่อยู่ในท้องหนีพ่อไปตั้งแต่วันที่พ่อตกลงรับตำแหน่งต่อจากปู่ แม่ที่แกจำหน้าไม่ได้ หน้าตาเหมือนน้องแกราวกับพิมพ์เดียวกัน”



คำว่าน้องผู้ชายที่ชื่อภิเชษหันมามองที่เภพัฒน์ ส่วนคนที่เหลือช็อคไปตามๆกัน



“พะ พ่อว่าไงนะ” คนที่ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะได้เป็นพี่ชายเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก



“เภลูกพ่อ เภคือน้องแกภัทร พ่อแน่ใจหลังให้คนของเราสืบที่มาของเภ

ทั้งที่เมื่อวานที่พ่อเห็นหน้าน้อง พ่อก็รู้ทันทีเพราะน้องเหมือนแม่มาก”



จากเรื่องแย่งเกาะ กลายเป็นเรื่องครอบครัวไปได้ยังไง

ทุกอย่างจบลงด้วยความงงงันของทุกฝ่าย เภพัฒน์งงที่สุดอยู่ๆ ก็มีพ่อกับพี่ชายโผล่มา

ส่วนรพีก็กลายเป็นลูกเขยที่ทั้งพ่อตาและพี่เขย ที่ไม่ค่อยปลื้มเขาเท่าไหร่











>>ทิ้งท้ายโดยนายรพี<<


“แกไม่ห่วงน้องฉันเลย ดูก็รู้ พ่อรู้ไหมว่า มันยอมให้ผมตบหน้าน้องอ่ะ”

คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นพี่ชายได้ทีฟ้องความผิดผมยกใหญ่  เกิดเป็นรพีมันช่างซวย



ไหนจะ..หลงรักเหยื่อของพี่

ไหนจะ..โดนคนที่หมายปองอ้วกใส่

ไหนจะ..ต้องทนเจ็บปวดเพราะคนที่ได้ชื่อว่าเมีย เอาแต่คิดถึงคนอื่น

ไหนจะ..ต้องมารับภาระที่ไม่ใช่ของตัวเอง ยอมเลวแทนไอ่พี่กันย์

ไหนจะ..ต้องจำใจตัดขาดคนรักเพราะกลัวเขาเป็นอันตราย

ล่าสุด..โดนกีดกันจากครอบครัวของเภ



ซวยครบสูตร!!!



“บอกแล้วไงว่าอยากให้เภปลอยภัยเลยแกล้งไม่สนใจ” ผมเถียงไปสิบรอบ

ไอ่เจ้าพี่เขยก็ยังไม่พอใจ ส่วนพ่อตาก็เอาแต่จ้องผมตาดุ ราวกับว่าจะถึงเวลาเอาคืน



ก่อนหน้านี้ผมกับพวกเขาก็มีเรื่องไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง

เพราะธุรกิจของเรามันคล้ายกัน เป็นธรรมดาที่จะขัดแย้ง



“แกจะเคลมลูกชายฉันทั้งสองคนเลยเหรอห๊ะ”   เดี๋ยวนะมันมีการเข้าใจผิดแล้วล่ะผมว่า

“พูดอะไรครับ ผมเคลมแค่เภ ส่วนภัทรเราแค่พี่น้องกัน” ผมหันไปมองหน้าอีกคน

แต่มันดันกวนตีนทำหน้านิ่ง อ้าวเห้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี้นา ผมไปเคลมมึงตอนไหนพี่เขย



“เพล้งง!!”  เสียงของตกกระทบพื้นดังจากหน้าประตู

ดึงความสนใจของเราทั้งสามคนให้หันไปมอง 



ฉิบหาย..เภ..



“ไปเคลียร์เซ่”  เสียงประมุขของบ้านตะโกนใส่หน้าผม

“ไปง้อน้องฉันสินั่งบื้ออยู่ได้”  ตามมาด้วยคนที่สร้างเรื่องไว้แต่ให้ผมไปตายแทน



โอ๊ยยย มันไม่ได้ดีอย่างที่อาบอกไว้เลยนะครับ

ผมวิ่งออกไปมองหาคนที่ต้องเข้าใจผิดไปไหนต่อไหนแล้ว

คำพูดของอาที่คุยกัน ก่อนหน้าจะมาที่นี่ก็ดังขึ้น



“ก็ดีสิวะอย่างนี้เราสองแก๊งจะได้ดองกันสมใจ หมดปัญหาต่างๆสักที”

ปัญหาระหว่างแก๊งคงจะหมดไป แต่ปัญหาของผมกับเภเนี่ยสิอยากจะร้องไห้



“เภครับเภคุยกันก่อน”  อ้อนวอนจนเหนื่อยถึงหยุดอีกคนไว้ได้

“ผมกับพี่ชายคุณไม่เคยมีอะไรกันนะสาบานได้”



“อย่าไปเชื่อมันนะเภ”  เสียงความร้าวฉานตามมาอีกแล้ว

“พอเถอะทั้งพี่ภัทรทั้งพีนั่นแหละ” 



เมื่อเภเสียงดังพี่ชายก็เริ่มไล่ผม เป็นไปตามสเต็ปราวกับว่าเตี้ยมกันมาก่อน

สุดท้ายผมก็โดนทั้งพี่เขยทั้งพ่อตามาดๆ ไล่กลับ ส่วนเมียก็หายไปไหนไม่รู้



ได้แต่คิดว่า  จบแล้ว  ชีวิตผมเนี่ยจบสิ้นแล้ว







เมื่อกลับมาถึงบ้านผมกลับเจอแสงสว่าง



“สินธ์มาได้ไง”

“เภมันบอกว่าคุณคงต้องการกำลังเสริม แล้วให้ที่อยู่คุณมา”



ทำไมเมียผมน่ารักแบบนี้วะ

ชีวิตที่รันทดของผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่



“คุณเข้าหน้าพี่เขยกับพ่อตาไม่ติดใช่ไหม”  ผมพยักหน้ารัวๆ

“ผมมีแผน”







เช้าวันต่อมาผมก็นั่งรอเภที่สวนหน้าบ้าน หลังจากเจ้าของบ้านคือพ่อตาและพี่เขยไม่ให้เข้าบ้าน

อ้างว่าไม่ไว้ใจ อยากจะบอกว่านั่นเมียผม ได้กันแล้วสองครั้งไม่ไว้ใจอารายยยย



“พี” เสียงเภเรียกผมดังมาแต่ไหน

“ทำไมทำหน้างั้น เป็นไรรึป่าว”

“ผมจะมาลา”

 

“ลาไปไหน/ จะไปไหน”   ไม่ใช่เสียงเภครับเสียงพ่อตากับพี่เขยถามพร้อมกัน



“อาบอกว่าผมไม่เหมาะกับตำแหน่ง ผมเลยจะไปอยู่กับกันย์

ผมอยู่ที่นี่ต่อก็คงอดใจไม่ให้มากวนที่บ้านเภอีกไม่ได้ เราคงไม่ได้เจอกันอีก”



ผู้ชายสองคนที่เป็นทั้งพ่อและพี่ชายมาดๆ มองหน้ากันไปมา ก็เห็นแหละว่าเภพัฒน์ทำหน้ายังไง

บางทีพวกเขาอาจจะบ้าอำนาจเกินไป ก็คนไม่เคยมีน้อง อีกคนก็เห่อลูกชายคนเล็ก



ก็เลยทำวางหน้าเข้มกีดกันไปอย่างนั้นเอง



“ผมลาละครับผ”  ผมยกมือไหว้พ่อและพี่ชายของเภ นึกกลัวว่าจะไม่มีใครรั้ง

ไม่รั้งนี่หน้าแตกยับเยินนะพูดเลย



“เดี๋ยว!!” 



เฮ้อออออ ในที่สุดก็รั้งผมแล้ว



“ตามฉันมา”  พ่อตาสั่งก็ต้องรีบตามครับ

เดินผ่านเภดูยังทำหน้าเครียด น่าสงสารพีไม่ทิ้งหรอกน่าอย่าเพิ่งร้องไห้เดี๋ยวมาปลอบ



“นายจะทิ้งลูกชายฉันรึไง โง่รึป่าวเนี่ย ลูกฉันทั้งน่ารัก ทั้งรวยนะโว้ยย” 

ถ้ารู้ว่าตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จแล้วจะเป็นแบบนี้ ทำตั้งนานแล้วขอบคุณนะสินธ์



“ผม ไม่อยากให้คุณสองคนลำบากใจ”

ตอนนี้ภัทรก็ตามมา เราอยู่กับสามคนเท่านั้น ส่วนเภไม่ได้เข้ามาด้วย



“เอาไงดีพ่อ”  ไม่ต้องกระซิบก็ได้ถ้าจะพูดจนผมได้ยินหนะ



“จะไม่ทิ้ง หรือทำให้ลูกชายฉันเสียใจใช่ไหม” แบบนี้แปลว่าไฟเขียวแล้วใช่ไหม

“ครับ”

“ฉันจะคอยดู”  คุณพิเชษลุกไปแล้ว เหรอแค่คุณภัทรวีร์เอาเลยครับ จะว่าไงจัดมาผมพร้อม



“ถ้าทำให้น้องฉันเสียใจ นายตาย”

“ไม่มีวันนั้นแน่นอน” จบคำของผม พี่เขยเดินออกไปแล้ว





เยสสสสสสสส





“เภ”  ผมเดินตามเขาไปมาเกือบชั่วโมงแล้ว สรุปคนที่พูดยากกว่าใครก็เภพัฒน์นี่แหละ

“ยังไม่กลับอีกเหรอ” อ้าวไล่ผมทำไมเนี่ย

“ยังไม่หายงอนอีกเหรอ”

“เราเป็นแฟนกันเหรอทำไมต้องงอน” พูดอย่างนี้ยิงหัวผมเลยไหม



“ไม่ได้เป็นแฟน แต่เป็นผัวเมีย โอ๊ยยย”  บิดหัวนมทำไม ชอบความรุนแรงเหรอครับ

“ไปไหนไม่บอกกัน แล้วเรื่องจะไปอยู่กับพี่กันต์เนี่ยคิดจะมาลาแล้วเดินไปขึ้นเครื่องเลยรึไง”



“มะ”  ผมกำลังจะอ้าปากเถียง แต่อีกคนน้ำตาคลอ

“ผมกลัวนะโว้ย คุณจะทิ้งผมไว้คนเดียวจริงเหรอ”



อ่า ผมทำเขาร้องไห้



“ชู่ว์ ผมไม่ได้ไปจริง แค่กุเรื่องขึ้นมาให้พ่อตากับพี่เขยยกเภให้ผมเฉยๆ”



“นี่คุณโกหกเหรอ”  เภโวยวายดังลั่นหาว่าผมเจ้าเล่ห์ แผนเพื่อนตัวเองทั้งน้าน

ผมเลยรวบแขนมากอด แล้วจูบปิดปาก



“ปล่อยก่อน”  เสียงอ่อนขนาดนี้ ห้ามหรือยั่วกันแน่

“เภ คุณเสียใจไหมที่ต้องมาโดนกันต์หลอก”

ความจริงอยากถามว่าเขาตัดใจจากพี่ผมได้รึยัง



เภ จับมือผมแล้วก้มหน้าตอบคำถามที่ดูจะชัดเจนกว่าสิ่งที่ผมถามไป



“ตอนแรกโกรธมาก แต่มาคิดดูผมไม่เคยเสียใจ ย้อนเวลากลับไปได้ผมก็อยากโดนพี่กันย์หลอก”



หัวใจผมมันบอบบางนะ ยิ่งรู้ว่าเภรักกันย์มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น







“เภไม่โกรธเพราะมันทำให้เจอพี” 



อะ อะไรนะ ขออีกที



“เภรักพีนะ”



เภรักผมครับ ทุกคนเขารักโผ้มมมม





The end










..................................................................

เป็นเรื่องสั้นๆ ระหว่างรอเปิดเรื่องใหม่นะคะ ใครชอบเรื่องนี้ก็ติดแท็ก  #สายลมและคมมีด

มาได้เลย  ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันจนตอนจบ ชอบไม่ชอบบอกกันได้น้า

ไรต์เตอร์คนเดิม


ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: สายลมและคมมีด (The End)
«ตอบ #17 เมื่อ04-12-2018 11:53:57 »

สนุกดีครับ เรื่องกระชับ ชอบแบบนี้ :pig4:

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: สายลมและคมมีด (The End)
«ตอบ #18 เมื่อ04-12-2018 12:51:40 »

ไม่นะไรท์!! นี่คือไม่มีนิยายอ่านหาเจอเห็นชื่อเรื่องน่าสนใจเฃยเข้ามาอ่านน วางทรศ.ไม่ลงเลยออ่ะ แต่จบเร็วไปปปอยากได้ตอนพิเศษง่าาาา ชอบมากกกกกก ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆขึ้นมานะคะะ  :mew1:

ออฟไลน์ sira_nann

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: สายลมและคมมีด (The End)
«ตอบ #19 เมื่อ04-12-2018 20:25:22 »

 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สายลมและคมมีด (The End)
« ตอบ #19 เมื่อ: 04-12-2018 20:25:22 »





ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: สายลมและคมมีด (The End)
«ตอบ #20 เมื่อ16-04-2020 14:06:38 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด