เพราะนายคือของฉัน [ll] : 22
ก่อนนอนเมื่อคืน ผมได้ตกลงกับพี่โชไว้แล้วว่า เราจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปเฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้นริมชายหาด เพราะอยากเก็บบรรยากาศและความอบอุ่นก่อนที่พี่โชจะต้องไปอีก และก็เป็นแบบนั้น เมื่อนาฬิกาในโทรศัพท์ดังปุ๊บ ผมกับพี่โชก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปนั่งที่ชายหาด
เวลานี้ภาพด้านหน้ายังคงมืดสนิท มีเพียงเสียงลมซัดคลื่นเข้าฝั่งฟังดูน่ากลัว ถ้ามีซาวน์เพลงเกี่ยวกับผีนี่โคตรเข้ากันเลย เห็นภาพตรงหน้าแบบนี้แล้ว ก็พาลย้อนไปนึกถึงละคร ที่แม่ผมติดสมัยก่อนนู้น ผมจำได้เลาๆ ว่า มีละครเกี่ยวกับผีปะการังอะไรสักอย่างที่ปรากฏตัวอยู่กลางทะเล ก่อนผีนั่นจะเดินลากชุดเดรสสีดำยาวขึ้นมาบนชายหาด เพื่อมาตามของกลับไป แม้จะจำเรื่องราวได้ไม่มาก แต่รู้ว่ามันน่ากลัว มันทำให้ผมไม่อยากมาทะเลอยู่หลายปี
“พี่โชว่า ทะเลมีผีไหม”
“ไม่รู้สิ”
“แต่กลอยว่ามี เห็นป่ะ แค่พูดยังขนลุกเลย” ว่าแล้วก็ยื่นแขนไปให้ดูเป็นหลักฐาน
“ขนลุกเพราะปวดขี้หรือเปล่า เมื่อคืนไม่ได้ขี้นี่” แล้วความน่ากลัวก็หมดไป เมื่อได้ยินประโยคนี้ แต่มันก็จริง เมื่อคืนผมคงจะรีบเข้านอน เลยไม่ได้ทำธุระหนัก “ไอ้กลอยเอ้ย” คงเห็นผมนิ่งไป พี่โชเลยขำ มือใหญ่ดันศีรษะผมให้พิงไหล่ของตัวเอง “รออีกหน่อย เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา”
“อื่อ กลอยจะรอ แต่ถ้านานมากจะไปหาคนอื่นแล้วนะ”
“ก็ลองดู”
น้ำเสียงพี่โชตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าผีปะการังซะอีก
“พูดเล่นน่า ใครจะกล้า มีแฟนดีแบบนี้อยู่ทั้งคน ทิ้งไปก็โง่แล้ว”
“อ้อนเก่ง”
ผมยิ้มกว้างกอดแขนของพี่โชแน่น อยากซึมซับความอบอุ่นแบบนี้ไว้ มันเป็นช่วงเวลาที่แสนมีค่า ทุกนาที ทุกวินาที ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องมีความสุข
...แต่
“เชี่ยเอ้ย เหน็บแดกขากู”
“ยุงโคตรเยอะ ไหนมึงบอกมีลมจะไม่มียุงไง หลอกกูเหรอไอ้สัด”
“ใครจะไปรู้ละพี่ ว่ายุงที่ทะเลชอบโต้ลม”
“กวนตีนกูไอ้เชี่ยอัธ”
“ซัน กูว่าเราไปนอนเถอะ พระอาทิตย์ขึ้นดูเมื่อไหร่ก็ได้ กูง่วง”
“กูเห็นด้วยกับไอ้จอม เมื่อคืนดวลกับไอ้เชี่ยเบเกือบสว่าง”
“พวกพี่ทำให้ผมไม่ได้นอน เสียงดังเกิน”
“แล้วทำไมมึงไม่ไปนอนห้องไอ้ม่าน”
“โธ่ พี่ ผมไม่อยากไปเป็น กขคงจฉ คู่มัน เชี่ย ถีบเอวกูทำไมไอ้สัดม่าน”
“มึงจะได้หุบปาก”
และ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทุกอย่างที่ผมกับพี่โชคิดและวางแผนไว้นั้น มันเกือบจะดีอยู่แล้ว เกือบ มันแค่เกือบ...
“พวกมึงกลับไปทั้งหมดเลยไป หนวกหูสัด!” พี่โชคงทนไม่ไหว ตะโกนด่าเลยครับ แต่คิดเหรอ ว่าคนกลุ่มนั้นจะสนใจ ทุกคนแค่เพียงหยุดคุยพร้อมปรายตามองมา ก่อนหันกลับไปคุยกันต่อเหมือนเดิม
บางทีการมาเป็นกลุ่มก็ไม่ได้ดีเสมอไปนะครับ ไอ้กลอยบอกเลย
เมื่อพวกนั้นไม่ใส่ใจ เราสองคนเลยเลือกจะเป็นฝ่ายไปเอง พี่โชดึงให้ผมลุกพลางก้มเก็บเสื่อขึ้นมาจากพื้นทราย ก่อนจะเดินจูงมือผมไปนั่งไกลจากจุดเดิมประมาณสามร้อยเมตร คงหัวเสียจริงๆ ก็นะ เวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันน้อยลงทุกวันนี่นา เดี๋ยวก็ต้องห่างกันอีก
นึกถึงแล้วน้ำตาจะไหล...เปล่าซึ้ง แต่ทรายเข้าตา พี่โชสะบัดเสื่อแรงไปหน่อย เศษทรายปลิวเข้าตาจนผมต้องโวยวาย เกือบชวดการดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วไหมล่ะ
“ยังอยากไปตกหมึกอีกไหม” อยู่ๆ พี่โชก็พูดขึ้น มีเจือเสียงขำด้วย ล้อผมอยู่แน่ๆ
“ก็อยากนะ แต่ไม่ชอบเมาเรือ” ผมถึงกับต้องกินยาแก้เมารถเลยนะครับ ไอ้ทู ไอ้ม่านก็ไม่ต่างจากผม แต่พี่แทมดวลเหล้าแก้เมาเรือ (พี่แกบอกแบบนี้) กับพวกพี่เบ พี่ตินทั้งคืน ยอมใจจริงๆ “ว่าแต่ พี่โชรู้ได้ไงว่ากลอยอยากตกหมึก” ในเมื่อพี่จอมไม่ได้บอก
“นึกให้ออกสิ” คนพูดเหม่อมองไปยังพื้นน้ำทะเล ที่ตอนนี้เริ่มเห็นแสงส้มอยู่รำไร ตรงระหว่างเส้นขอบฟ้ากับขอบน้ำ
“นึกเหรอ...” ตอนนี้คิ้วผมเกือบผูกเป็นโบว์ คิดแล้วคิดอีก ยิ่งคิดก็คิดไม่ออก จนหางตาเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ผมรีบหันไปมอง “จำได้แล้ว”
“อะไร?”
“ก็ที่หาดทรายนี่ไง” พี่โชละสายตาจากภาพความสวยตรงหน้า เพื่อหันมามองผม “ตอนวันแรกที่เราตกลงคบกัน ตรงหาดทราย กลอยบอกพี่โชว่าอยากตกหมึก เพราะมีเรือไดหมึกผ่าน”
“แล้วตอนนั้น เรากำลังทำอะไรกันอยู่?” สีหน้าและแววตาตอนพี่โชพูด ช่างดูกรุ้มกริ่มซะนี่กะไร
“กำลังนอนคุยกัน”
“ใช่เหรอ”
แล้วพี่โชก็ขำออกมาเมื่อผมกลิ้งหน้ากับต้นแขนพี่เขา เห็นผมหน้าด้าน ปากหมาแบบนี้ก็อายเป็นนะเออ
“นู้น พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว”
“เปลี่ยนเรื่องว่ะ”
“ไม่ได้เปลี่ยน...”
พูดไม่จบประโยคเพราะโดนดึงเข้าไปจูบ แล้วเสียงโห่ เสียงโวยวายที่ได้ยินก็ถูกตัดออกจากโสตประสาททันที หรือแม้แต่พระอาทิตย์ที่รอการขึ้นยังหมดความน่าสนใจไปชั่วขณะ
“จูบนานขนาดนี้ เข้าห้องเลยไหม” ผมประชดทันทีที่พี่โชผละออก
“ได้นะ ป่ะ”
“ประชดต่างหากเล่า”
พี่โชก็หัวเราะเสียงดัง พอๆ กับเสียงโห่แซวจากกลุ่มคนไกลที่ยังไม่ลดละ ถามว่าอายไหม ตอบเลยว่าไม่...ไม่เหลือครับพี่ครับ
พอหลังจากเสียงตะโกนล้อจบลง ก็ถึงช่วงเวลาที่เฝ้ารอคอย เมื่อแสงรำไรสุดขอบท้องฟ้าและผืนน้ำเริ่มมีแสงสีส้มเด่นชัดขึ้นทั้งผืน พี่โชก็ตั้งหน้า ตั้งตากดรัวชัตเตอร์ บ่อยครั้งจะหันมาทางผม ซึ่งแน่นอนว่ารูปต้องไม่ดี เพราะแสงน้อย (คิดไปเอง) จนล่วงเลยมา ก้อนกลมอันร้อนแรงก็เริ่มโผล่ขึ้นมาทีละนิดๆ เป็นภาพที่สวยงามและคุ้มค่ากับการรอคอย ซึ่งตอนนี้มีคนอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มพวกเรามารอดูและรอเก็บภาพที่แสนประทับใจนี้ด้วย
“พี่โช” พอคนที่ผมเรียกหันมา นิ้วก็กดถ่ายรูปจากกล้องโทรศัพท์ทันที เผื่อจะได้รูปแบบไม่หล่อ แต่ที่ไหนได้ หล่อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแสงสีส้มที่เป็นแบล็กกราวคือเข้ากันสุดๆ “หล่อเกิน”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ว่าแล้วพี่โชก็กดถ่ายรูปผมไปทีหนึ่งพลางยื่นให้ดูที่หน้าจอของกล้อง “ดูกลอยสิ”
“พี่โช ลบเลยนะ” ต้องโวยวายครับ เพราะรูปที่ถ่ายนั้น ปากผมกำลังอ้าจะพูด โคตรน่าเกลียด “อย่าให้เห็นว่าเอาลงเฟซนะ มีเจ็บแน่นอน”
“จะต่อยพี่เหรอ”
“กัด”
“เพิ่งรู้ว่าเป็นหมา”
“ถ้ากลอยเป็นหมา พี่ก็มีเมียเป็นหมา” แล้วผมก็ถูกตบเข้าหัวมาทีหนึ่ง
เมื่อกี้ยังจูบ ยังบอกรักผมอยู่เลย แม่ง ปีศาจ!
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง พวกเราทุกคนก็กลับเข้าห้องพัก และสิ่งแรกที่พี่โชทำคือการโหลดรูปที่เพิ่งถ่ายลงแล็ปท็อปแล้วแต่งรูป ผมอยู่รอจนผล็อยหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนถูกสะกิด
“ไปกินข้าวกัน”
“กี่โมงแล้ว” ยกมือขยี้ตาอย่างงัวเงีย
“จะเที่ยงแล้ว”
ได้ยินปุ๊บตาผมแทบถลน มิน่าทำไมท้องมันร้องหนักขนาดนี้
“แล้วข้าวเช้าล่ะ กลอยยังไม่ได้กิน”
“พี่เรียกแล้วกลอยไม่ตื่น”
“แล้วพี่ได้ไปกินไหม” พี่โชส่ายหน้าพลางส่งยิ้มบางๆ มาให้ “อ่าว ทำไมล่ะ”
“ก็กลอยไม่ตื่น” ย่นคิ้วหน้านิ่วหลังจากได้ยิน “รีบไปล้างหน้า ล้างตาเร็ว พี่หิวแล้ว”
“พี่โชไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ...”
“พูดมาก เร็วๆ พี่หิวแล้วเนี่ย”
ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ากระแทกหน้าอย่างแรงจนยิ้มไม่ออก สงสัยฤทธิ์ยาแก้เมารถยังค้างอยู่ ผมถึงไม่รู้สึกตัว ตอนนี้เดินเข้าห้องน้ำแบบลอยๆ ก่อนวักน้ำล้างหน้าแล้วออกมา เห็นพี่โชนั่งไขว้ห้างรอบนเตียง
“ทำไมไม่เช็ดหน้าด้วย” พี่โชเดินตรงเข้ามาหา แล้วเบี่ยงตัวเข้าห้องน้ำ พอผมจะเดินกลับถูกดึงแขนไว้ “เช็ดหน้าก่อน” พูดจบก็มีผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับทั่วหน้า
“ขอโทษที่ทำให้พี่โชไม่ได้กินข้าวเช้า”
“รู้สึกผิดเหรอ?” รีบพยักหน้ารัวๆ แต่อีกฝ่ายกลับขำออกมา “พี่ไม่เป็นไรหรอก กินบ้าง ไม่กินบ้างก็เรื่องปกติ เมื่อก่อนก็เป็นบ่อย จำไม่ได้เหรอ”
ถึงพี่โชจะพูดแบบนั้น ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ตอนเดินลงจากห้อง ผมเกาะแขนพี่โชไม่ปล่อย ลงมาถึงห้องอาหารด้านล่างก็ยังเกาะ แม้จะมีคนมองด้วยสายตาสงสัยแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ จนมาเจอพวกพี่ซันที่กวักมือเรียก
“เป็นอะไรของมึง หรืออยากอวดผัว?” ทันทีที่หย่อนก้นนั่งกับเก้าอี้ ไอ้ทูก็รีบแซะทันที
“อวดผัวบ้านมึงสิ กูแค่รู้สึกผิดที่หลับเพลินจนพี่โชไม่ได้ลงมากินข้าวเช้า” ตอบเพื่อนสนิทไป มันก็พยักหน้าส่งๆ รับ “มีอะไรอร่อยบ้างวะ” เพราะบนโต๊ะตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารนานาชาติ
“เด็ดทุกอย่าง” ไอ้ม่านยื่นหน้ามาตอบแทน มือถือน่องไก่อันโตที่ถูกกัดจนแหว่ง
“ของฟรีมันก็อร่อยหมดนั่นแหละ” ประชดเพื่อนไป ไอ้ม่านยักไหล่อย่างไม่แคร์ “พี่โชจะกินอะไร เดี๋ยวกลอยไปตักให้”
“มึงตักแกงเขียวหวานมาด้วยนะ”
“พี่ชื่อพี่โชเหรอ”
ความที่ปากไวเลยโดนมะเขือพวงจากจานพี่จอมเข้าเต็มหน้า พี่โชถึงกับโวยวายดึงผมลุกจากโต๊ะก่อนพาไปนั่งอีกที่ คงไม่อยากมีเรื่อง อารมณ์คนหิวยิ่งน่ากลัวอยู่ด้วย จากนั้นผมก็โดนสั่งให้นั่งเฉยๆ ส่วนพี่โชก็ลุกไปตักกับข้าวที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติ เลือกตักได้ตามสะดวก
และหลังจากมื้อเที่ยงจบลง พวกพี่แทมก็อยากเล่นน้ำทะเลก่อนกลับ ทั้งที่แดดแรงขนาดนี้ยังคิดจะลงเล่นน้ำ แต่ก็นะ มาถึงทะเลทั้งที่ ไม่เล่นน้ำก็เหมือนกับมาไม่ถึง แต่สุดท้าย ความระอุของเปลวแดดก็ทำให้พวกเราเปลี่ยนสถานที่ จากทะเลเป็นสระน้ำของรีสอร์ทแทน แม้จะกลางแจ้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่แผดเผาเท่าที่ชายหาด
“ทาครีมกันแดดหรือยัง” พี่โชถามขณะที่ผมกำลังจะลุกจากที่เตียงริมสระ
“ทาแล้วสิ” ยิ้มแป้นบอก พลางลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นพวกพี่แทมที่ว่ายเล่นอยู่ในสระกำลังสนุก แต่พอก้าวขา แขนกลับถูกดึงไว้ หันไปก็เห็นพี่โชกำลังดมมืออยู่” ทำไรอะ”
“ก็ดมพิสูจน์ดู ว่าทาจริงหรือโกหก”
“นี่ใคร นี่กลอยประเกรียน ไม่โกหกอย่างแน่นอน เชี่ย” คำลงท้ายนั่นไม่ได้ด่าพี่โชครับ แต่ด่าพี่จอมที่นอนที่เตียงข้างๆ พี่แกยกตีนขึ้นมาถีบต้นขาผม “พี่โช พี่จอมถีบกลอย”
“ไอ้ขี้ฟ้อง”
ผมแลบลิ้นใส่พี่จอมไปทีก่อนวิ่งไปหยุดที่ขอบสระเพื่อจะโชว์สกิลการกระโดดลงสระน้ำแบบมืออาชีพ แต่คงกะจังหวะขาพลาดไปหน่อย เลยเอาหน้าลง โคตรแสบเลยให้ตาย แต่ไม่อายเท่าโดนหัวเราะรอบสระ ที่ไม่ได้มีแค่พวกผม ยังมีลูกค้าอื่นๆ ของรีสอร์ทอีก
“มึงทำอะไรวะ ตลกสัด” ไอ้ม่านขำปากกว้าง ข้างๆ มีไอ้เม่นที่ขำไม่ต่างกัน
“เรื่องของกู” ทำโมโหตีเนียน ผมจ้วงว่ายน้ำหนีพี่แทมที่ใช้ขาตีกระทบน้ำใส่ โดยที่ตัวเองนั่งอยู่ในห่วงยางโพนี่อันโต ไม่รู้ไปเอาของใครมาเล่น ก่อนจะถูกพี่ตินดำน้ำลงไปแล้วโผล่ขึ้นคว่ำ คนตกห่วงยางขึ้นจากใต้น้ำได้ก็โวยวายเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนผมน่ะเหรอ ได้ห่วงยางโพนี่มาแบบงงๆ พลางลากเข้าขอบสระก่อน
“สวัสดีครับ” สำเนียงทักทายแบบแปร่งๆ กับแรงสะกิดทำให้ผมหันไปดูด้านหลัง เจอฝรั่งโผล่มาจะเอ๋เอาสะดุ้งเฮือกจนเกือบปล่อยห่วงยาง
“พี่โชเล่นอะไรเนี่ย” ตกใจจริงๆ นะครับ พี่โชเอาฝรั่งทั้งลูกมาจ่อหน้า
“กินไหม”
“กิน” แม้จะแอบโกรธที่ทำให้ตกใจ แต่ก็อ้าปากรอกิน พี่โชยิ้มขำออกมา มือก็หยิบฝรั่งที่สับแล้วเข้าปากผม “พี่โชไม่ลงมาเล่นเหรอ”
“ไม่ล่ะ ว่าแต่เอาห่วงยางนี่มาจากไหน” พี่โชชี้นิ้วไปที่ของที่ผมใช้แขนหนีบเอาไว้ “เมื่อกี้พี่เห็นไอ้แทมเล่น”
“ก็พี่แทมไม่เล่นแล้ว กลอยก็เลยเอามา” พูดไปเคี้ยวฝรั่งไป บางทีพี่โชก็ป้อนไวเกิน ล้นปากผมแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่พี่โชป้อนละก็ ผมพ่นทิ้งจริงๆ ด้วย “เคี้ยวไม่ทัน”
“ต้องเคี้ยวเหรอ”
“กลอยก็คนไหมล่ะ” พี่โชหัวเราะงอหงายจนผมหน้างอ “พี่โชแม่งกวนตีน” พูดจบผมก็ปีนขึ้นขอบสระ แต่กระโดดไม่ขึ้นเลยต้องให้พี่โชช่วย ขึ้นได้แล้วก็ขอให้พี่โชช่วยจับห่วงยางเพื่อที่ผมจะลงไปนั่งตรงกลางห่วง เห็นพี่แทมเล่นแล้วก็อยากเล่นบ้าง
“ระวังนะ” เสียงลอยมาจากด้านหลัง
“ระวังอะไรของมึงไอ้จอม” สิ่งที่ผมสงสัยนั้น พี่โชได้ถามแทนแล้ว
“ห่วงยางจะแตกเพราะไอ้เกรียนมันอ้วน” เกือบตกจากห่วงยางแล้วไหมล่ะ พี่โชมัวแต่ขำที่เพื่อนพูดจนลืมจับห่วงยาง ดีที่ผมใช้วิชาตัวเบาโดดลงไปนั่งได้ทัน
“มึงอย่าเอาความจริงมาพูดเล่นไอ้จอม”
“พี่โช!”
โวยวายเสร็จก็ใช้ขาดีดตัวเองกับขอบสระให้ห่วงยางลอยออกไปตรงกลาง จะว่าไป แบบนี้ก็สนุกเหมือนกัน เอามือพายพร้อมกับขาราน้ำไปเรื่อยๆ เสียอย่างเดียวแดดแรงไปหน่อยแล้วก็ห่วงยางชอบหมุนวนไปมาชวนเวียนหัว
“Hi” ระหว่างใช้มือวักน้ำเล่น เสียงทักก็ดังจากด้านข้าง หันไปก็เจอกับฝรั่ง คราวนี้ฝรั่งตัวเป็นๆ ไม่ใช่ผลไม้แล้ว “you...”
“I can’t speak English” รีบพูดตัดบทด้วยสำเนียงแปร่งๆ แล้วรีบหนี แต่ด้วยห่วงยางที่ใหญ่ทำให้มันค่อยๆ ขยับ “จับไว้ทำไมเนี่ย”
“ผมพูดไทยได้”
“ก็ไม่พูดตั้งแต่แรก” อุตส่าห์พึมพำกับตัวเองแท้ๆ แต่คงออกเสียงคนที่อยู่ใกล้เลยได้ยินแล้วหัวเราะออกมา “มีอะไร เราไม่ได้รู้จักกัน คนไม่รู้จักก็ไม่ควรคุยกัน จบ”
“อย่าเพิ่งจบสิครับ ผมยังไม่ได้เริ่มเลย...หมายถึงเริ่มคุย” คงเห็นผมหน้าเหวอเลยรีบอธิบายเพิ่มเติม “มากับเพื่อนเหรอครับ”
“งั้นมั้ง”
“เพื่อนกลุ่มใหญ่เลยนะครับ”
“งั้นมั้ง”
“กวนตีนเหมือนกันนะครับ”
“ขอบใจที่ชม” แล้วไอ้ฝรั่งพูดไทยมันก็หัวเราะ “มีอะไรอีกไหม”
“ถ้าผมจะขอเล่นน้ำด้วยได้ไหม”
“มาขอผมทำไม สระน้ำนี้ไม่ใช่ของผมสักหน่อย” พยายามงัดสกิลความปากหมาออกมา เผื่อไอ้คนตรงหน้าจะล่าถอย แต่มันก็ยังไม่ยอมไปสักที ผมก็ไปไม่ได้เพราะมันดึงไว้ ลองเผลอเมื่อไหร่โดนเตะเสยคางแน่มึง
“คุณเป็นคนจังหวัดนี้เหรอครับ?”
“ไม่ใช่ มาเที่ยวเฉยๆ” ก็ยังไปตอบมันอีก อยากตบหัวตัวเอง
“ดูจากหน้าตาแล้ว น่าจะยังเรียนอยู่ใช่ไหม”
“อืม” พยักหน้าส่งๆ สายตาก็มองหาเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้กำลังทำสงครามสาดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนานไม่สนใจผมเลยว่ากำลังถูกคนแปลกหน้าคุกคาม “ปล่อยห่วงยางได้ปะ”
“ถ้าปล่อย คุณก็หนีน่ะสิ”
รู้ทันอีก ไอ้ฝรั่งนี่
“ฟังนะ ขอพูดครั้งเดียวไม่มีกรอกลับ ผมมีแฟนแล้วๆ เขาก็อยู่บนนุ...” กำลังชี้นิ้วไปขอบสระ สายตาดันเจอกับปีศาจยืนเท้าเอวมองมาทางผม แม้ดวงตาจะมีแว่นกันแดดปิดอยู่ แต่รังสีความโหดทะลุออกมาจนผมต้องยอมพลิกตัวเองลงจากห่วงยาง
ความซวยมาเยือนแล้ว
โผล่ขึ้นจากน้ำมา ได้ก็ยังเจอหน้าไอ้ฝรั่งหน้าขาวยิ้มแป้นอยู่ ไม่รู้สึกถึงพลังอำมหิต ที่ส่งมาจากขอบสระสินะ ถึงยังดูสบายได้อยู่ ผมรีบว่ายน้ำไปหาไอ้ทูทันที มันก็งงๆ แต่พอผมส่งซิกให้มองไปด้านหลัง มันถึงกับร้องอ๋อเมื่อเห็นคนตามผมมา
“ผัวอยู่ ยังกล้าอ่อยอีกนะมึง แถมคราวนี้เป็นฝรั่งด้วย”
“อ่อยพ่อมึงสิ มันมาทักกูเอง” ผมพยายามอยู่ติดกับไอ้ทู มันขยับผมก็ขยับตาม
“แล้วนี่พี่โชไม่รู้...อูย” ไอ้ทูกะจะถาม แต่พอมองไปขอบสระมันถึงร้องออกมา ไงล่ะ ความโหดของพี่โชไอ้ทูยังรับรู้ได้ “กูว่ามึงรีบๆ ขึ้นไปเถอะ ก่อนที่พี่โชจะเป็นฝ่ายลงมาหา แล้วเรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ แน่” รีบพยักหน้าเห็นด้วย พอผมจะไป แขนก็ถูกดึงไว้
“ทำหน้าตาตอแหล เป็นอะไรวะ” ไอ้ม่านถามผม ด้านหลังมันมีไอ้เม่นเกาะอยู่เหมือนเห็บ
“ตอแหลห่าอะไร” สะบัดเสียงใส่จนคนถามหน้าเหวอ ยังดีที่ไอ้ทูยื่นหน้าไปกระซิบ ไอ้ม่านถึงร้องอ๋อออกมา
“งั้นมึงก็รีบๆ ขึ้นไป เดี๋ยวจะซวยกันหมด”
“ผมว่าไม่ทันแล้วว่ะพี่ นู้น แฟนพี่กลอยลงน้ำแล้ว”
วงแตกสิครับ!
ผมรีบว่ายน้ำไปหาพี่โชที่กำลังมุ่งหน้าไปหาคนที่คุกคามผมเมื่อกี้
“พี่โช กลอยอยากขึ้นแล้ว” รีบเข้าไปหา แต่พี่โชแม่งแรงเยอะ “พี่โช”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” อุตส่าห์ไม่ให้พี่โชเข้าไปหา แต่อีกฝ่ายกลับเข้ามาซะเอง แล้วผมก็ถูกดันออกไปด้านข้างพร้อมๆ กับพี่โชไปยืนประชันหน้าฝรั่งนั่น “มีอะไรกับผมใช่ไหม?”
“อย่ายุ่งกับคนของกู” สั้นๆ นิ่งๆ แต่ได้ใจความสุดๆ หน้าพี่โชตอนนี้นิ่งจนผมขนลุก กรามที่นูนขึ้นบ่งบอกได้เลยว่ากำลังข่มความโกรธของตัวเองไว้อย่างที่สุด
“คนของคุณ? คนนี้น่ะเหรอ” ไอ้ฝรั่งคนนั้นชี้มาที่ผม พี่โชไม่ได้หันมามอง เพราะดวงตาดุจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามเขม็ง “แฟนที่ว่า คนนี้เหรอครับ” มีถามผมกลับอีก
“กูบอกว่า อย่ายุ่งกับคนของกู!” ตาแทบถลนที่อยู่ๆ พี่โชก็พุ่งพรวดไปบีบคอไอ้ฝรั่งนั่น ผมโผเข้าไปกอด ออกแรงดึง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยแรงที่น้อยกว่า ก่อนพวกพี่แทม พี่ติน รวมทั้งพี่ซันลงน้ำมาช่วยห้าม คนทั้งสระต่างก็มองมาด้วยความสงสัยปนอยากรู้
“ใจเย็นๆ ไอ้โช” พี่ซันดึงร่างเพื่อนตัวเองออกห่างได้ก็พยายามทำให้สงบ
“นั่นดิ่ อย่าใจร้อนมึง น้ำเย็นจะตาย”
“น้ำเย็นเกี่ยวอะไรกับใจร้อนวะไอ้แทม”
“ก็ตัวเย็น ใจจะได้เย็นไง โง่นี่ไอ้ติน”
“มันใช่เวลาที่พวกมึงจะเถียงกันไหมวะ!” พี่ซันตะคอกเสียงดังเอาผมสะดุ้ง “กลับห้องเถอะ” พี่ซันออกแรงลากพี่โชที่แทบไม่ยอมขยับ มือชี้ไปที่ฝรั่งตรงหน้าอย่างหาเรื่อง อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้กลัวอะไร “ใจเย็นๆ มึง”
“ก่อเรื่องตลอดนะมึง” พอขึ้นจากสระ ผมก็ถูกพี่จอมแขวะทันที
“ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มสักหน่อย” พูดได้แค่นั้นก็ถูกพี่โชดึงกลับห้อง “พี่โช”
“ยังไม่ต้องพูด กูอารมณ์ไม่ดี”
ถูกสั่งห้ามปุ๊บ ก็รีบหุบปากตัวเองทันที ผมเดินตามหลังแรงฉุดพี่โชไปอย่างเงียบๆ ถามว่ารู้สึกผิดไหม ผมก็ตอบไม่ได้ว่าตัวเองทำผิดอะไร เรื่องคุยกับไอ้ฝรั่งนั่นเหรอ ผมก็ไม่ได้อยากคุย แต่มันก็หนีไม่ได้ อีกอย่าง ผมก็ออกตัวไปแล้วว่ามีแฟน ไม่ได้อ่อย ปากหมาใส่ตลอด แล้วแบบนี้ผมผิดเหรอครับ
“ใจเย็นยัง” พอถึงห้องปุ๊บ ผมก็รีบถาม พี่โชเหล่ตามองนิ่งๆ ไม่ยอมตอบ “แปลว่ายัง” แล้วผมก็ยิ้มแห้งๆ ส่งให้
“ไปคุยกับไอ้เหี้ยนั่นทำไม” คำถามไม่โหดเท่าดวงตา นี่ถ้ามีแสงได้ คงเป็นแสงสีแดงเลือดแน่นอน “กูถามเนี่ย!”
“จะตะคอกทำไมเล่า” ขี้หูเต้นเลยทีนี้ “กลอยไม่ได้อยากคุย”
“ไม่อยากคุย แล้วคุยทำไม” น้ำเสียงลดลงมาหน่อย แต่ก็ยังกระด้างอยู่
“ก็มันดึงห่วงยางไว้ กลอยหนีไม่ได้”
“มือ ตีนมึงเป็นง่อยเหรอ”
แรง!
“ไม่ง่อย แต่มัน....” ผมเดินไปเกาะแขนพี่โช ใช้แก้มแนบลงไปพลางช้อนตามอง “กลอยขอโทษที่หนีมันช้า แต่กลอยก็บอกไปแล้วว่ามีแฟน”
“แล้วมันถอยไหมล่ะ” ผมส่ายหัวรัวๆ จนพี่โชต้องใช้มืออีกข้างจับศีรษะผมไว้พลางดันให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง “ต่อไปถ้าเจอแบบนี้ให้เรียกพี่ เข้าใจไหม” ใจชื้นสุดๆ ตรงได้ยินพี่โชแทนตัวเองว่าพี่
“เข้าใจ แต่ถ้าพี่โชไม่อยู่ล่ะ กลอยจะเรียกใคร” พี่โชทำหน้าเครียดทันทีที่ผมพูดจบ “รู้แล้ว กลอยจะเรียกตำรวจเลย” พยายามพูดติดตลกเพื่อให้พี่โชผ่อนคลายและมันก็ได้ผล เพราะพี่โชขำออกมา
“คิดได้นะเราเนี่ย แต่พี่ว่า กลอยนั่นแหละที่จะโดนจับ”
“งั้นเปลี่ยนแผน เอางี้ปะ กลอยไว้หนวดไว้เครา ทำตัวซกมก อาบน้ำอาทิตย์ละครั้ง เป็นไง แบบนี้รับรองว่าไม่มีใครอยากเข้ามาแน่นอน”
“อืม ก็ดีนะ”
“พูดจริง พูดเล่นเนี่ย”
“ล้อเล่น ขืนเป็นแบบนั้น พี่อาจจะไปคนแรก”
“โห อะไร รักกลอยแค่เปลือกเหรอ ไหนบอกรักเพราะเป็นกลอยไง”
“ก็ใช่”
“แล้วไหงจะทิ้ง งอนว่ะ”
“พอๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว อีกเดี๋ยวจะกลับแล้ว”
“พี่โชไม่อาบเหรอ?”
“นี่ชวนพี่อาบด้วยเหรอ?”
เปิดช่องให้ไม่ได้เลยเชียว ผมรีบเดินหนีเข้าห้องน้ำโดยมีพี่โชเดินตามเข้าไป ด้วยเวลาอันน้อยนิดทำให้ปีศาจจอมหื่นไม่ได้ทำอะไรนอกจากตอดเล็ดตอดน้อยพอให้อารมณ์ดีแค่นั้น อาบน้ำก็แต่งตัวจัดกระเป๋าพร้อมลงไปข้างล่าง ที่ล็อบบี้รีสอร์ท พี่แทมนั่งอืดอยู่ที่โซฟากับไอ้อัธแล้วก็พี่ติน
“คนอื่นละวะ” พี่โชเอ่ยถามเพื่อนตัวเอง
“ยังไม่ลงมาเลยพี่” ไอ้อัธรีบตอบแทนเพราะรุ่นพี่อีกสองคนนั่งหลับตานิ่ง อย่าบอกว่านั่งหลับ ผมเดินอ้อมไปนั่งข้างเพื่อนตัวเอง ส่วนพี่โชก็ไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าไม่ได้ออกเพียงคนเดียว ทริปนี้เก็บเงินก่อนออกเดินทางแล้ว “นึกว่ามึงจะลงมาช้ากว่านี้” คำถามจากไอ้อัธทำเอาผมตีหน้าเป็นหมางง
“ทำไมวะ?”
“เอ้า ก็แบบโดนจัดหนัก”
“หนักพ่อมึงสิ” แล้วผมก็ถูกหัวเราะเยาะใส่ “อย่างกูเคลียร์ได้ทุกเรื่องเว้ย”
“เก่งว่างั้น”
“แน่นอน กูกลอยประเกรียนซะอย่าง”
“ชักอยากเห็นมึงโดนพี่โชกระทืบจริงๆ”
“อย่าแช่งเพื่อนผู้แสนดีของมึงครับเพื่อนอัธ”
“แน่ใจว่าแสนดี ขอมือดิ๊”
“กูไม่ใช่หมา”
“กูยังไม่ได้พูดเลย”
“พี่โช ไอ้อัธด่ากลอยเป็นหมา”
“ขี้ฟ้องว่ะ”
แล้วไอ้อัธก็ถูกพี่โชตบหัว ก็บอกแล้วว่าเล่นผิดคน นี่กลอยประเกรียนไง ผู้อยู่เหนือปีศาจ (ยกเว้นเวลานอนที่ไม่ได้นอน) ไม่นานพวกที่เหลือก็ทยอยลงมา และพร้อมเดินทางกลับ ขากลับพี่ซันยังเป็นคนขับคนแรก และพี่โชเป็นคนที่สอง คนอื่นๆ ยังคงกิน นอน เข้าห้องน้ำตามปั๊มโดยที่ไม่คิดจะเปลี่ยนอีก สบายเสียจริง
กว่าจะถึงห้องก็บ่ายคล้อยเพราะมัวแต่แวะปั๊ม ผมช่วยพี่โชแบกกระเป๋าขึ้นห้องแล้วก็ต้องเจอเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ที่บอกเลยว่า...ไชยา มิตรชัยมากๆ (ไม่ธรรมดา อะฮ้า ไม่ธรรมดา)
แล้วภาพเตียงนอนที่คิดไว้ตั้งแต่อยู่ในรถ คงเป็นได้แค่ความฝัน โอ้ สไปเดอร์แมน ปิ้วๆ (เสียงปล่อยใย)
...TBC
ขอฝากน้องกลอยผู้อยู่เหนือปีศาจ (คิดว่างั้น) ด้วยนะคะะะะ (ก้มกราบบบ)
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โดยเฉพาะอากาศร้อน อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
แล้วพบกันตอนหน้าค่า >w<