ชีวิตมนุษย์หาเช้ากินค่ำ พอกลับถึงบ้านก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไร เมื่อพระจันทร์ตรงหัวตัวก็ล้มลงนอนบนเตียงอัตโนมัติ จัดท่าทางการนอนให้เรียบร้อยแล้วค่อยดำดิ่งสู่นิทรา ระหว่างหลับลึกก็ถึงเวลาความฝันตามหลอกหลอน
ซึ่งคราวก่อน ๆ เห็นแค่อุโมงค์กว้าง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป
หมอกกลุ่มใหญ่บดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า ก่อนจะเผยเงาจาง ๆ มีใครบางคนกำลังเดินมาทางนี้ ชายคนเดียวกับที่ยืนขวางบนถนนปรากฏตรงหน้า จำได้ว่าเป็นคนเดียวกันเพราะนัยน์ตาดำยังฉายความเศร้า เหงาและแสนโดดเดี่ยว เสมือนทรมานกับการอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดมิด เหน็บหนาวเพราะแสงอาทิตย์ไม่เคยส่องถึง
ความเจ็บปวดถ่ายทอดจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสหรือแตะต้อง
‘นายเป็นใคร…’
‘ได้โปรดนึกให้ออก’ เสียงนั้นก้องกังวานและสั่นเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้ ความเจ็บปวดที่จับต้องได้เป็นบ่อเกิดของความสะเทือนใจและสะท้านอยู่ในอกคนฟัง ร่างบางรู้สึกผิดที่เกิดจำอีกคนไม่ได้แล้วมันก็สายเกินไปที่จะรั้ง ลำพังแรงเดียวหรือจะสู้มือนับสิบที่พยายามขัดขวางการพูดคุยระหว่างคนเป็นกับคนตาย รีบรั้งตัวชายหนุ่มกลับเข้าในหมอก
‘ตะวัน ฉันอยู่ที่นี่’ ชายหนุ่มฝากคำพูดสุดท้ายไว้ก่อนจะกลืนหายไปในหมอกจนมองไม่เห็น สวรรค์เล่นกล เหมือนโดนดูดด้วยเครื่องฟอกอากาศและอันตรธานหายไปชั่วพริบตา ทิ้งร่างบางให้อยู่กับคำถามว่าทำไมและเริ่มร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล ความสงสารมันท่วมท้นในอกซ้ายจนต้องระบายออกทางรูม่านตา โดยมีเสียงเตือนว่าอย่าลืมฉันดังก้องอุโมงค์
แล้วโลกแห่งความฝันก็ถูกปัจจุบันไล่ที่ แต่ในชีวิตจริงก็นอนน้ำตาไหลอาบหมอน ตอนตื่นแล้วก็ยังเศร้าไม่เสื่อมคลาย ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนในฝัน แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลท่ามกลางความเงียบสงัด ตะวันนอนมองตัวเลขในนาฬิกาดิจิตอลที่เปลี่ยนไปตลอดขณะนึกย้อนถึงเรื่องราวในฝันที่แฝงไปด้วยนัยยะ มันวนเวียนอยู่ในสถานที่เดิมจนทำให้เริ่มฉุกคิด
ร่างบางตัดสินใจลุกจากเตียงแล้วเรียกหาโน้ตบุ๊กราวกับว่ามันมีขาเดินมาได้ ว่ากันว่ายามต้องการใช้ ของก็มักจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ยอมรับว่าทำของหายบ่อยแต่น้อยครั้งที่จะหาไม่เจอ แต่นี่ค้นจนทั่วบ้านลามยันในรถยนต์ หรือว่าโน้ตบุ๊กสมัยนี้จะมีฟังก์ชันล่องหนได้ ซึ่งพอจะหันมาใช้โทรศัพท์ แบตก็ดับต่อหน้าต่อตา เสียเวลาต้องชาร์จ
ตะวันต้องเก็บงำความอยากรู้ไว้จนถึงฟ้าสางและรีบอาบน้ำแต่งตัว ออกจากบ้านตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน ที่รีบมาบริษัทแต่เช้า เพราะจะอาศัยคอมพิวเตอร์เข้าอินเทอร์เน็ต โชคดีว่าระหว่างเดิน บังเอิญเห็นแผ่นหลังเพื่อนไว ๆ จึงเรียกให้หยุดรอ
“ว่าน บริษัทเราเก็บพวกหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ไว้บ้างไหม”
ไม่มีการถามว่าเป็นไงมาไง แต่ถามในสิ่งที่อยากรู้เป็นลำดับแรก
“นายมาเช้าจัง” ว่านมองด้วยสายตาแปลกใจ
เรื่องมาก่อนเวลางานน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ท่าทางรีบร้อนเนี่ยมันยังไงกัน
“ก็มาเช้าเหมือนนายนั่นแหละ แล้วตกลงบริษัทเราเก็บพวกหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ไว้บ้างไหม”
สหายที่ไม่ค่อยแน่ใจนักจึงตอบตามอย่างที่คิด “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ต้องลองถามป้าแม่บ้านดูก่อน มีอะไรหรือเปล่า ทำไมดูรีบร้อน”
“งั้นนายช่วยไปถามป้าแม่บ้านให้หน่อยนะ” สั่งมากกว่าร้องขอ แถมไม่รอฟังคำตอบใด ๆ เพื่อนรั้งไว้ก็ไม่ได้ยิน
ตะวันรีบจ้ำอ้าวเข้าหาโต๊ะทำงานและจัดการเปิดคอมพิวเตอร์ทันที รีบคว้าเก้าอี้มานั่งมองจอก่อนจะตามด้วยการเคาะแป้นพิมพ์รัว ๆ เพื่อเปิดเว็บไซต์ที่คนทั่วโลกใช้เป็นอันดันต้น ๆ พิมพ์คำว่าอุโมงค์xxxแล้วกดค้นหา ตัวหนังสือก็ปรากฏแก่สายตา ข้อมูลทุกอย่างถูกรวบรวมไว้ในหน้าจอสี่เหลี่ยมมุมป้าน
นอกจากจะมีลิงก์บอกวันสร้างอุโมงค์ เลื่อนสกอร์บาร์ลงมาด้านล่างก็ยังเจอลิงก์ข่าวอีกมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในบริเวณอุโมงค์และวันที่ที่ลงข่าวก็เป็นเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเท่านั้น
ประโยคพาดหัวข่าวสั้น ๆ พานทำให้คิดถึงชายคนที่มาเข้าฝัน ตะวันที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง จึงไม่ลังเลที่จะกดลิงก์ข่าว อยากรู้เรื่องราวทั้งหมดเต็มแก่ แต่พอได้เห็นรูปผู้ตายที่ใช้ประกอบข่าวชัด ๆ ก็ชะงักกึก อ่านเนื้อหาข่าวถึงแค่ประโยคที่ว่าดับอนาถช่างภาพหนุ่มอนาคตไกลก็หยุด
ยิ่งจ้องรูปถ่ายยิ่งพูดไม่ออก เพราะใบหน้าของคนในรูปเป็นใบหน้าเดียวกับคนในฝัน คัดลอกกันมาจนเหมือนทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งคิ้วที่เรียงตัวเป็นระเบียบ ทั้งริมฝีปากบนที่บางเฉียบเหมือนกระดาษและรูปตาคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ ความหล่อเหลาที่ถอดแบบมาจากนายแบบบนหน้าปกนิตยสารกับสันจมูกที่ใครเห็นเป็นต้องอยากลองสัมผัส
แทนที่จะหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์แต่อาจเป็นภูตผี ร่างบางกลับรู้สึกใจหายและเชื่อว่าอีกคนไม่ได้มาร้ายแต่มาดี บางทีอาจต้องการความช่วยเหลือและเพื่อช่วย ตนจะพยายามจำเรื่องราวของอีกคนให้ได้อีกครั้ง
“ตะวัน ฉันถามป้าแม่บ้านให้แล้วนะ” หลังจากที่โดนใช้ ไม่ใช่ขอให้ช่วย ว่านก็เดินนวยนาดกลับมาพร้อมคำตอบ ตั้งท่ายืนพิงขอบโต๊ะอย่างดิบดี แต่มือที่เตรียมใช้กอดอกก็ต้องยกขึ้นปิดปากแทนเมื่อเห็นว่าเพื่อนกำลังนั่งดูข่าวอะไร
“นายรู้จักเขาไหม” ตะวันถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากหน้าจอ
ส่วนว่านยังส่อพิรุธเป็นระลอก ๆ ทำหน้าตกใจเหมือนโดนผีหลอกตอนกลางวันแสก ๆ “มะ …ไม่นี่”
“นายแน่ใจนะ”
“ทำไม…”
เมื่อสุดท้ายเก็บไว้กับตัวก็อึดอัด ทางออกเดียวจึงเหลือแค่การเล่าให้ใครสักคนฟัง ระบายออกไปบ้าง ความรู้สึกหนักอึ้งนี้จะได้เบาบางลง “ฉันฝันเห็นอุโมงค์ ฉันฝันเห็นเขา แล้วเขาก็ขอร้องให้ฉันนึกให้ออก”
“ตะวัน” ได้ยินน้ำเสียงเศร้าสร้อยก็พลอยทุกข์ใจไปด้วย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ได้แต่วางมือลงบนว่าแคบแผ่วเบา
“ฉันจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วนะ” จริง ๆ แล้วก็ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนเพราะก็ไม่เข้าใจเจตนาของชายที่มาเข้าฝันเหมือนกัน “ฉันฝันเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ มาเป็นสัปดาห์ แล้วก็คงจะต้องฝันต่อไปจนกว่าฉันจะจำอะไรได้”
ว่านมีสีหน้าสลดลงอย่างชัดเจน เห็นเพื่อนกลุ้มใจก็รู้สึกว่าควรทำอะไรสักอย่าง ดั่งคนน้ำท่วมปากและลังเลจนวินาทีสุดท้าย ก่อนจะอาศัยขอโทษบิดามารดาเพื่อนในใจ แค่บอกอะไรสักหน่อยคงไม่ถือว่าผิดคำสบถสาบาน
“…หมอนั่นชื่อ
ปุณณ์”
“นายรู้จัก…”
“ฉันบอกอะไรมากไม่ได้ แต่พอบอกได้ว่าร่างของปุณณ์ฝังไว้ที่ไหน”
ว่านจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ เป็นที่อยู่ของสุสานแถวชานเมือง ตะวันต้องทำเรื่องลางานครึ่งวันและดั้นด้นมาไกลพร้อมดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ในมือ ขณะถือลงมาจากรถก็สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ
ลมเอื่อย ๆ พัดจนยอดหญ้าเอนไปทางเดียวกัน อึมครึมตั้งแต่บรรยากาศยันอารมณ์
ผมเส้นสีน้ำตาลปลิวไสวในยามที่เดินขึ้นเนินสูงและชื่อผู้ตายที่สลักบนป้ายหินก็บอกว่าร่างบางมาหาถูกคนแล้ว
“ฉันรู้ว่านายชื่ออะไรแล้วนะ นี่ดอกไม้ ฉันมาเยี่ยม” ตะวันลดตัวลงวางช่อดอกไม้ไว้หน้าป้ายชื่ออย่างนุ่มนวล แล้วตามด้วยการยืนไว้อาลัยเป็นเวลาหลายนาทีเพียงเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ลำคอมันแห้งผากเหมือนอย่างที่สุสานแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา ความเปล่าเปลี่ยวกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างและรุกลามมายังพื้นที่ในใจ
“ที่จริงแล้วฉันรู้ชื่อนายจากเพื่อน แล้วก็ยังจำนายไม่ได้หรอก” สารภาพหน้าเศร้า “ถ้าให้เดานายคงรู้จักฉันดี ทำไมฉันรู้สึกเศร้าอย่างนี้ก็ไม่รู้” ข้อดีของการอยู่คนเดียวก็คือพูดคนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องว่าใครจะบอกว่าเป็นบ้า “ฉันขอโทษนะ แต่ถ้านายอยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอก ฉันอยากนึกเรื่องนายให้ออกจริง ๆ มันพอจะมีทางไหนเป็นไปได้บ้างไหม”
ตะวันค้นพบว่าการคุยกับป้ายชื่อก็ทำให้สบายใจไปอีกแบบ ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากหรือระวังว่าใครจะมองเราด้วยสายตาแบบไหน “อ่อ ฉันไม่โกรธที่นายมายืนขวางทางรถหรอกนะ สบายใจได้” ร่างบางเองรู้สึกผ่อนคลายถึงขั้นนั่งลงบนหญ้าและยกเข่าขึ้นมากอด “ถึงฉันจะกลัวสิ่งลี้ลับ แต่ในกรณีของนายฉันจะพยายามทำความเข้าใจก็แล้วกัน”
เชื่อว่าเราผูกพันแต่ในฐานะไหนนั้นคงต้องถามเอาจากคนรอบข้าง ร่างบางใช่ว่าไม่หงุดหงิดตัวเองที่จู่ ๆ ก็ลืมเรื่องของคน ๆ หนึ่งไปสนิทใจ ระหว่างปล่อยให้สายลมปลอบประโลมและโอบกอด ความคิดหนึ่งก็แสร้งซ้อนเข้ามา
“นายว่าว่านจะรู้เรื่องนี้ไหม” พอฉุกคิดได้ก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนโดยพลัน “ฉันไม่น่าถามเลย หมอนั่นต้องรู้แน่ ๆ” ร่างบางรีบปัดก้นแล้วกล่าวลา ทิ้งท้ายแค่ว่าเดี๋ยวเจอกันอีกก่อนจะวิ่งลงเนินไป
เป้าหมายของการขับรถกลับมาที่บริษัทคือการดักเจอเพื่อนหลังเวลาเลิกงาน ตะวันตั้งใจมาคาดคั้นและออกปฏิบัติการเมื่อสบโอกาสทันที รีบปรี่เข้าหาว่านที่พอเห็นว่าใครเดินมาหาก็ทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารอีกครั้ง
“เล่าเรื่องของปุณณ์ให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้”
“ฉันมีกินเลี้ยงกับรุ่นน้องที่แผนก เอาไว้พรุ่งนี้นะ” อ้างตารางนัดที่ไม่มีอยู่จริง แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตรงนั้น
“ถ้านายไม่เล่า งั้นเราก็ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันอีก”
“ตะวัน” ว่านที่ใกล้ถูกตัดขาดเรียกชื่อเพื่อนเสียงอ่อย ยิ่งเห็นสีหน้าน้อยใจยิ่งรู้สึกผิด
“ฉันจะถือว่านายไม่จริงใจกับฉัน” แค่คิดว่ามิตรภาพจะต้องขาดสะบั้นก็แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ “เราเป็นเพื่อนที่เล่าทุกอย่างให้กันฟังไม่ใช่เหรอ”
แต่เพราะรับปากผู้ใหญ่ไว้ว่านจึงต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกเลยว่าสถานะคนกลางทำลำบากใจที่สุดในชีวิตและถ้าย้อนเวลากลับไปก็จะไม่ช่วยปกปิดความจริงเด็ดขาด
“นายต้องเข้าใจฉันด้วยนะ ฉันไม่อยากผิดคำสัญญากับผู้ใหญ่”
“ใคร”
“พ่อแม่นาย…”
“แล้วพ่อแม่ฉันเกี่ยวอะไรด้วย” ตะวันย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “เดี๋ยวนะ ที่นายคอยดูแลฉัน…”
ประวิงเวลาไปก็เท่านั้น ดูท่าอีกไม่นานเรื่องก็ต้องแดงขึ้นมาอยู่ดี จะบอกวันนี้หรือวันไหนคงมีค่าเท่ากัน
ว่านที่กุมความลับบางอย่างไว้จึงยอมเปิดปาก เพื่อความสบายใจทั้งของตัวเองและเพื่อน “พวกท่านแค่อยากมั่นใจว่านายลืมแล้วจริง ๆ”
“ลืมอะไร”
“ลืมผู้ชายที่ชื่อปุณณ์ไปตลอดชีวิต”
แล้วเรื่องที่ได้ยินต่อจากนั้นก็เหมือนพล็อตนิยายที่ขายความน้ำเน่า ไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องราวหักมุมจะเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอง ตะวันรู้สึกเคว้งคว้าง นั่งเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่างมาตลอดทางแล้วก็ปฏิเสธความหวังดีของสหายเสียงเบา ไม่ให้ว่านที่อยากอยู่เป็นเพื่อนเข้าบ้านด้วยเหตุผลที่ว่าฉันอยากอยู่คนเดียว
ถึงแม้ว่าสองขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังยืนรอส่งเพื่อนขึ้นรถแท็กซี่จนเสร็จเรียบร้อย
แล้วค่อยเดินเข้าด้านในขณะที่จิตใต้สำนึกเอาแต่ระลึกถึงคำพูดเพื่อนไม่หยุด
'นายกับปุณณ์เป็นคนรักกัน'
เหมือนโดนหมัดซ้ายฮุกเข้าที่แก้มขวา แล้วล้มลงนั่งบนโซฟาอย่างแรง ขาแบกรับน้ำหนักตัวไม่ไหว
'แล้วนายสองคนก็รักกันมากด้วย'
'ถ้างั้นทำไมฉันถึงจำปุณณ์ไม่ได้ล่ะ'
‘หมอบอกว่านายความจำเสื่อมเพราะโดนกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง’
‘แต่ฉันก็จำทุกคนได้ปกตินี่’
‘นายแค่ต้องการลืมเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ความทรงจำส่วนที่เกี่ยวกับปุณณ์เลยหายไป’
‘แล้วมันเกี่ยวกับรอยช้ำตามตัวกับที่หน้าผากฉันด้วยหรือเปล่า’
‘วันนั้น... นายสองคนประสบอุบัติเหตุในอุโมงค์ด้วยกัน แต่นายรอดคนเดียว ส่วนปุณณ์...’
‘ทำไมไม่มีใครบอกอะไรฉันเลย เรื่องที่ฉันล้มหัวฟาดพื้นจนเข้าโรงพยาบาลนั่นก็กุเรื่องขึ้นมาใช่ไหม’
‘มีคนนำนายส่งโรงพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุ พอนายฟื้นแล้วรู้เรื่องปุณณ์ นายก็ช็อกจนหมดสติ ตื่นมาอีกทีก็จำเรื่องปุณณ์ไม่ได้แล้ว …ฉันขอโทษ ไม่มีใครอยากให้นายเสียใจ ที่พ่อแม่นายทำไปก็เพราะว่ารักนายนะ’ เรื่องที่บิดามารดาทำไปไม่ใช่แค่ให้เพื่อนคอยจับดู ยังทำลายหลักฐานการเคยมีอยู่ของคนตายด้วยการนำเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวไปทิ้งจนเกือบเกลี้ยง เหลือแค่เพียงบางชิ้นที่ตกหล่น ตะวันเพิ่งเข้าใจเหตุผลของการมีของใช้เป็นคู่อยู่ในบ้าน มันเป็นเพราะผู้ชายที่ชื่อปุณณ์เคยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เป็นบ้านที่ผ่อนจากน้ำพักน้ำแรงของทั้งคู่ สลิปเปอร์ในตู้แท้จริงก็เคยมีเจ้าของ ถ้าในห้องน้ำจะมีแปรงสีฟันสองอันก็ไม่แปลกอะไร
เพราะกลัวจะจำได้และจมอยู่กับความเศร้า แต่ละคนจึงช่วยกันเอากรอบรูปที่เคยวางไว้ในที่ต่าง ๆ ไปซ่อน
พอลองจินตนาการว่าแต่ก่อนบ้านหลังนี้เคยประดับตกแต่งไปด้วยรูปถ่ายมากมาย ตะวันก็นัยน์ตาแดงก่ำ
เข้าใจว่าทุกคนทำไปเพราะหวังดี แต่ถ้าต้องมีชีวิตแบบขาดอะไรไป สู้ให้ทุกคนใจร้ายใส่เสียยังดีกว่า
ร่างบางหลุบตามองโน้ตบุ๊กที่วางบนโต๊ะแก้ว และแล้วมันก็กลับคืนสู่เจ้าของ ‘มันเป็นของนาย’ เพื่อนสนิทยื่นให้และพูดแค่นั้น ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติม แต่แค่บอกว่าถ้านายอยากจะเริ่มจำใครสักคนให้ได้ ให้ลองเปิดมันดู
ตะวันทำตามคำแนะนำและถูกต้อนรับด้วยรูปคู่ที่ใช้เป็นภาพพื้นหลัง เป็นภาพที่ตัวเองกำลังยิ้มกว้างให้กล้อง สองแก้มอูมไปด้วยความสุขแล้วถูกชายคนรักขโมยหอมแก้มตอนเผลอ ร่างบางเหมือนขุดเจอขุมทรัพย์แห่งความทรงจำ จนน้ำตาไหลเป็นสาย ทำนบทลายจนไม่เหลือเค้าคนเข้มแข็ง กำลังแหวกว่ายในทะเลน้ำตาจนมองอะไรก็พร่ามัว
ปลายนิ้วเคลื่อนไปมาอย่างสับสน รู้ตัวอีกทีก็กดเปิดโฟลเดอร์รูปถ่าย
ลูกศรเล็ก ๆ เลื่อนไปตามภาพที่กำลังทยอยแสดงผลและกดที่รูป ๆ หนึ่งซึ่งจำได้ว่าด้านหลังเป็นฉากสวนสนุก
แต่รูปนี้คนในภาพไม่ได้ถูกขโมยหอมแก้มแต่อย่างใด สองคนในภาพแค่ยิ้มให้กันจนหมู่มวลธรรมชาติอิจฉา
ตะวันยังจำได้อีกว่าวานให้คนอื่นช่วยถ่ายรูปนี้ให้ แล้วหลังจากนั้นก็ไปซื้อไอศกรีมกินกันต่อ แต่เพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองจึงไม่ทันได้กินสักคำแถมทำหกใส่เสื้อคนรัก เสียงหัวเราะสดใสและเสียงโวยวายทีเล่นทีจริงยังดังก้องในโสตประสาท ทว่าวันนั้นก็ไม่ได้จบที่ความเลอะเทอะเสียทีเดียว พวกเขาเที่ยวเล่นเหมือนคู่รักทั่วไปและใช้เวลาสองต่อสองบนกระเช้าลอยฟ้า แต่ภาพวิวด้านล่างไม่น่าสนใจเท่าริมฝีปากของกันและกัน
ตะวันได้ริมรสชาติหวาน ๆ ของไอศกรีมผ่านริมฝีปากของปุณณ์
ความละมุนของวานิลลาเปลี่ยนเป็นร้อนแรงดั่งลาวาภูเขาไฟ …นึกถึงทีไรก็ยังทำหน้าเห่อร้อน
ยังจำได้ว่าชายหนุ่มชอบนอนหนุนตักให้ปั้นหูบนโซฟานี้ ร่างบางนั่งมองภาพจำลองแบบสามมิติของตัวเองกับคนรักแล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น ไม่มีพื้นที่ไหนปราศจากความทรงจำและมันยากจะลบเลือน เหมือนรอยสักที่หมึกซึมลงเป็นเนื้อเดียวกับผิวหนัง ไม่มีทางแยกจากกันจนกว่าจะตาย
รูปถ่ายอีกนับร้อยทยอยปรากฏบนจอโน้ตบุ๊ก เนื่องจากปุณณ์เป็นช่างภาพ ชายหนุ่มมักจะตามถ่ายทุกอิริยาบถของคนรักทั้งแบบเผลอและแบบตั้งใจ พอร่างบางได้มานั่งดูตัวเองในท่วงท่าต่าง ๆ แล้วก็อดทึ่งไม่ได้
ตนเคยยิ้มกว้างแบบนั้นได้ยังไงกัน
รูปจะสวยสักบานปัจจัยอาจอยู่ที่แสงหรือสภาพอากาศ แต่สำหรับตะวันอยู่ที่ใครเป็นคนถ่าย แค่อยากยิ้มหวานให้ตากล้องที่มองผ่านอุปกรณ์ ตากล้องที่ชอบนอนเป็นชีวิตจิตใจ ชอบสีขาวมากกว่าสีดำ ชอบว่ายน้ำ แต่กลับชอบภูเขามากกว่าทะเล ชอบท่องเที่ยว เสียดายอย่างเดียวคือไม่ค่อยให้ใครถ่ายรูป
เคยถามว่าทำไมถึงไม่ชอบเข้ากล้อง หน้าก็ออกจะหล่ออย่างกับดารา
ชายหนุ่มให้เหตุผลแค่ว่าไม่ชอบ แต่ทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น
‘แฮปปีเบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปีเบิร์ดเดย์ทูยู…’
เสียงเพลงสากลดังลั่นบ้านเมื่อกดปุ่มเล่น เป็นวิดีโอที่ถ่ายในคืนวันคล้ายวันเกิดของคนรัก ร่างบางเดินถ่ายและต้องใช้อีกมือถือเค้ก ภาพที่ออกมาจึงดูทุลักทุเลไปบ้าง แถมปากก็ต้องขยับ ไหนจะระวังไม่ให้เทียนดับกลางทาง
ท่ามกลางความกลางมืด เจ้าของวันเกิดถูกปลุกให้ตื่นจากฝัน ชายหนุ่มที่หลับไปแต่หัววันเพราะเหนื่อยจากงานลุกขึ้นมานั่งงัวเงีย แล้วสางผมที่ตั้งไปด้านหลังอย่างลวก ๆ เกิดหวงเนื้อหวงตัว กลัวจะดูโป๊จึงเอาผ้าห่มคุ้มท่อนบนที่เปลือย
‘หยุดถ่ายสักทีเถอะน่า’
‘ไหนว่ายอมฉันคนเดียวไง วันนี้วันเกิดนายทั้งทีนะ’
‘แล้วไหนของขวัญ’
‘ฉันไง’ ชายหนุ่มแกล้งล้มตัวลงนอนแล้วเอาหมอนปิดหน้า
‘ขอดูหน้าคนหล่อหน่อย~’“ขอดูหน้าคนหล่อหน่อย…” ตัวเองในปัจจุบันพูดประโยคเดียวกันกับตัวเองในอดีตก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา
ฝ่ามือเรียวทาบกับหน้าจอที่ยังแสดงภาพเคลื่อนไหวต่อไป “ฉันจำนายได้แล้วนะ ได้ยินไหมปุณณ์ว่าฉันจำได้แล้ว” แก้วตากลมสั่นระริกราวกับมีแผ่นดินไหว ใจเหมือนตึกสูงที่พังครืนลงมา เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ทั้งดีใจที่จำได้และเสียใจที่จำรายละเอียดทั้งหมดได้เช่นกัน “ฉันขอโทษที่ก่อนหน้านี้จำนายไม่ได้”
อยากจะเลือกเห็นแก่ตัว แต่ก็กลัวจะไม่ยุติธรรมกับคนตายที่ถูกลืม
ชายหนุ่มไม่ผิดอะไร ไม่แม้แต่จะเคยทำผิด
เพียงแต่ความทรงจำมันเหมือนมีด มันทิ่มแทงเราได้
แล้วร่างบางก็กำลังถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็น
ภาพเหตุการณ์ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำย้อนกลับมาเป็นฉาก ๆ ซึ่งคนที่ควรสังเวยชีวิตให้กับความตายในวันนั้นควรเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ เพราะความหึงหวงพ่วงด้วยความงี่เง่าแท้ ๆ พอไม่รู้จักแยกแยะก็ชวนคนรักทะเลาะ
‘มันก็แค่งานเองนะ’
‘แค่งานเองงั้นเหรอ ถ่ายผู้หญิงแก้ผ้าเนี่ยนะเรียกงาน แบบนั้นเรียกอนาจารต่างหากล่ะ!’
‘ตะวัน!’
‘ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ฉันไม่ให้นายทำงานนี้ต่อ’
‘มีเหตุผลหน่อยสิ’
‘ใช่ ฉันมันไม่มีเหตุผล ถ้าอยากได้คนมีเหตุผลนักก็ไปรักคน…!’
‘ตะวัน ระวัง!’
คนขับกลับรอดราวมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ แท้จริงอาจเป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์
ให้อยู่อย่างทรมานกับความคิดถึงและสำนึกกับสิ่งที่ก่อ
“ขอโทษที่เอาแต่ใจ ฉันจะไปหานายเดี๋ยวนี้แหละ”
ร่างบางพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลงทันทีที่ตัดสินใจแน่วแน่ แล้วคว้าแค่กุญแจรถออกจากบ้าน
ฝนที่ตกนอกฤดูกาลไม่ได้ชโลมจิตใจให้เย็นขึ้น ในทางตรงกันข้ามความชื้นทำให้ยิ่งเหงาและหนาวจับใจ
ตะวันยืนยันจะขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนดท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ โดยไม่สนเรื่องความปลอดภัย ไม่คาดเข็มขัดซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ อันตรายถึงชีวิต
หินก้อนเล็กก้อนเดียวยังทำคนสะดุดล้มได้ แล้วถ้าหินหลายก้อนล่ะจะสามารถทำอะไรล้อรถได้บ้าง
อย่างน้อยก็สร้างความเสียหายเล็ก ๆ ให้กับยางรถ
สายฝนยังคงโปรยปรายแทบไม่ปล่อยให้เครื่องปัดน้ำฝนหยุดทำงาน ลมกระโชกแรงทำทุกอย่างปั่นป่วนขณะฟ้าร้องเสียงดัง น่านฟ้าสีดำกำมะหยี่สว่างจ้าเพราะแสงสีขาวเป็นระยะ ๆ น้ำตาที่เทลงมาหนักกว่าฝนด้านนอกลดสมรรถภาพในการมองเห็นครึ่งต่อครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นตะวันก็ยังดื้อรั้นจะขับรถฝ่าสภาพอากาศที่เลวร้าย
ใคร ๆ ก็รู้ว่าถนนที่เต็มไปด้วยน้ำมีฤทธิ์ลื่นอย่างกับราดด้วยน้ำมัน ถ้าคนขับไม่ชำนาญมากพอ ล้อก็จะแฉลบขวาแฉลบซ้าย ภายในเวลาไม่กี่วินาทีรถเริ่มส่าย เหตุการณ์มันคลับคล้ายคลับคลากับเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เหมือนได้ย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ตะวันสูญเสียความสามารถในการควบคุมพวงมาลัยรถไปในที่สุด ก่อนสภาพแวดล้อมรอบตัวร่างบางจะหมุนคว้างอย่างสโลว์โมชัน เหมือนกังหันที่หมุนตามแรงลมเอื่อย ๆ ระหว่างที่ภาพในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในสมองเรื่อย ๆ ภาพเบื้องหน้าก็บิดเบี้ยวเกินกว่าจะทนมอง สองตาจึงหลับลง แล้วโลกทั้งใบก็มืดสนิท
‘พักร้อนคราวนี้ไปเที่ยวไหนกันดี’
‘ไปที่ไหนก็ได้ที่มีนาย’
‘งั้นไปสวรรค์กัน’ไม่รู้ว่านานแค่ไหนหรืออาจนานชั่วกัปชั่วกัลป์ที่หลับไปแล้วถึงได้ลืมตาอีกครั้ง
เปลือกตาสีอ่อนยกขึ้นสูงทีละนิดขณะได้ยินเสียงจอแจจากรอบด้าน ขนาดอยู่ในรถเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายและเสียงไซเรนดังทะลุเข้ามา ตะวันปรือตามองความอลหม่านผ่านหน้าต่างแต่ภาพมันกำลังกลับหัวกลับหางอยู่ ก่อนจะก้มดูบาดแผลตามร่างกายเล็กน้อย แล้วค่อยผลักบานประตูออกและคลานมาด้านนอกตัวรถท่ามกลางเขม่าควัน
ร่างบางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ยักจะรู้สึกเจ็บพาตัวเองออกจากใต้ซากรถและตะเกียกตะกายไปบนพื้นคอนกรีต อีกนิดเดียวก็จะเข้าสู่เขตทางลอดและเมื่อช้อนนัยน์ตาขึ้นก็เห็นรองเท้าผ้าใบพร้อมกับมือที่ยื่นให้อย่างใจดี ร่างบางไล่สายตามองตามแล้วจับมือนั้นยังไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าใครเป็นเจ้าของความมีน้ำใจ
ปุณณ์ช่วยให้ตะวันหยัดยืนได้อีกครั้ง ก่อนจะเป็นร่างบางที่โผกอดชายหนุ่มด้วยความคิดถึงเพราะตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้เจอกันแล้ว แววตาที่เคยหม่นหมองแสดงออกถึงความตื้นตัน ต่างคนต่างยิ้มกว้างแล้วใช้หน้าผากดันกันแผ่วเบา เรื่องราวน่าเศร้ากลับลงเอยด้วยความสุข แต่แล้วบรรยากาศหวาน ๆ ก็ถูกรบกวนด้วยเสียงดัง
ตะวันดันตัวออกห่างแล้วหันหลังกลับเพื่อมองความเสียหายจากเหตุรถพลิกคว่ำ เห็นรถที่ขับมากำลังตีลังกากลางถนน แถมข้างในยังมีร่างตัวเองติดอยู่ตรงเบาะคนขับ นั่งกลับหัวและเลือดอาบทั่วตัวจนดูแทบไม่ได้
ตะวันยืนมองความวุ่นวายของผู้คนที่เข้ามารุมล้อมรอบรถด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่เคยนึกเบื่อหน่ายชีวิตเท่านี้มาก่อน มองกู้ภัยพยายามใช้เครื่องมืองัดร่างตัวเองออกจากซากรถขณะที่ฝนหยุดตกแล้วเหมือนเช่นน้ำตา
อากาศช่วงค่ำเริ่มเย็นและการทำงานแข่งกับเวลาจำเป็นต้องพึ่งแสงไฟ ร่างบางมองพยาบาลช่วยกันยื้อชีวิตตัวเองให้กลับมาหายใจอีกครั้ง แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่าอยากกลับไปยังโลกที่โหดร้ายหรือเปล่า
กลับไปยังโลกที่ไร้เงาคนรักเคียงข้างและอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนแก่ตาย
‘ไปกันเถอะปุณณ์’ แต่สุดท้ายแล้วก็เลือกกุมมือคนข้าง ๆ
สองมือสอดผสานพลางพยักหน้าให้กัน ก่อนจะหันหลังให้กับทุกอย่าง
ตะวันปฏิเสธการมีชีวิตเพื่อที่จะได้อยู่กับคนรักในโลกหลังความตาย
ตลอดกาล ----------------------------------------------------
เคยแต่งไว้นานแล้วค่ะ เอามาปัดๆฝุ่นหน่อย เผื่อจะเข้ากับวันฮาโลวีนบ้าง อิอิ
Tag # #เรื่องสั้นพอเป็นกระษัยติดตามข่าวสาร