Finding the twilight
2
ตกกระไดพลอยโจน
☼ ☽
“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ทำอะไรกับกระต่ายของเจ้าแล้ว!” เป็นพระองค์ที่ทนไม่ไหวต้องพูดออกมา นอกจากทำคนร้องไห้เก่งแต่โอ๋ไม่ได้ เรื่องโน้มน้าวให้คนที่เคยร้องไห้เลิกมึนตึง ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
นี่หรือคนที่องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราส่งไปเจรจาเพื่อให้เกิดความปรองดอง
คงทำได้ดีจริงๆถึงได้ถูกไล่ฆ่าและต้องมาง้องอนคนที่หลงป่าเหมือนกันในตอนนี้
“…”
“มานอนตรงนี้ได้แล้ว ผ้านี่ก็ผ้าของเจ้า” ทำไมถึงเป็นเด็กแบบนี้กันนะ ไม่พอใจอะไรจะอยู่ห่างแค่ไหนก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรแสร้งแสดงว่าห่วงใยและสละผ้าคลุมให้พระองค์ห่ม ส่วนตัวเองไปอยู่เสียไกลแสนเช่นนั้น
“ท่านป่วยอยู่”พระองค์เป็นคนป่วยในระยะที่คล้ายปกติมาก และตอนปกติก็ไม่ใช่คนขี้หนาวอะไร สิหราชนครามีอากาศที่เย็น พระองค์ย่อมปรับตัวได้ แต่อีกคนที่อยู่ในสภาพปกติกว่ากลับสั่นหงกๆนั่นแหละที่น่าห่วง สั่น…ทั้งคนและกระต่ายเลย
“ข้าบอกว่าจะไม่ทำอะไรกระต่ายเจ้าแล้ว” ทรงตรัสออกไปมากกว่าสิบครั้งในวันนี้
“…”
“แต่เริ่มจะโกรธเด็กดื้อด้านอย่างเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ข้าไม่ใช่เด็กดื้อด้าน”
“คนที่งอนอย่างไร้เหตุผลนะหรือไม่ใช่เด็ก”
“…”
“หากเป็นผู้ใหญ่เพียงพอคงจะไม่ทำความลำบากให้ตัวเองเป็นแน่” ดูเหมือนอคิราห์ จะจับจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของกันได้
ร่างสูงของคนป่วยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาก้าวไปหาท่านหมอกระต่ายที่นั่งอีกมุมหนึ่งก่อนจะคลุมผ้าและแยกออกมานั่งที่เดิม กอดอกและหลับตาลง จุดอ่อนที่เผลอจี้อาจจะทำให้เกิดอาการขุ่นเคือง แต่ก็ไม่คิดจะง้องอนอะไรเพราะที่พูดไปก็ตั้งใจจะสะกิดแผลใจ คงมีบ้างที่อีกฝ่ายต้องโดนปรามาสในฝีมือเพราะความเยาว์วัย พระองค์ก็แค่คิดและลองตรัสดู ไหนเลยจะมั่นใจว่าคำพูดนั้นจะจริง
เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาเรื่อยๆทำให้พระองค์ต้องรีบสะกดริมฝีปากที่กำลังจะหยักยิ้ม ท่านหมอตัวน้อยคลุมผ้าให้คืนเหมือนเดิมก่อนจะสอดตัวมานอนข้างๆ และมันอาจจะเป็นเหมือนเดิม เมื่อหลับไปสักพัก เราก็จะเขยิบหากันโดยไม่รู้ตัว อคิราห์ก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้นัก ความใกล้ชิด รังแต่จะทำให้อึดอัด แต่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ก็คือห้ามเลือก และพระองค์ก็ไม่เย็นชาจนปล่อยให้คนที่ดูบอบบางกว่าต้องป่วยไข้ได้ลงคอ
และเช้าแห่งการจากลาก็มาถึง
ท่านหมอที่เคยตัดพ้อในความโหดเหี้ยมของคนที่จะหักคอกระต่ายของตนนั้นใจดีกว่าที่คิด เสื้อของพระองค์นั้นขาดเพราะถูกลอบฟันแทงมาก็เย็บปะให้ วันนี้อคิราห์จะได้กลับมาใส่อาภรณ์ของตนเสียที หลังจากที่ต้องเปลือยอกอยู่หลายวันเพื่อรักษา นิ้วมือเรียวเล็กของท่านหมอนั้นสัมผัสไปบนแผ่นอกที่แผลสมานดีแล้วในตอนนี้
จะว่าไปเจ้าตัวก็ดูคล้ายกระต่ายของตนเอง บางทีก็กระฟัดกระเฟียดใส่ บางทีก็ทำตาใสน่าเอ็นดู
“แผลของท่านดูดีขึ้นทีเดียว” และถูกมองอยู่อย่างนี้ก็ยังไม่รู้ตัว เป็นกระต่ายที่รู้สึกช้า มาถึงตรงนี้อคิราห์ก็ตระหนักได้ถึงความใกล้ชิด ทว่าการกระทำที่ละลาบละล้วงของกระต่ายดื้อตนนี้ ไม่ได้มีแววแห่งความเสน่หาแบบที่พระองค์เคยเจอจากคนอื่นที่พยายามเข้าใกล้อยู่เลย
น่าแปลกที่ตนเองก็ไม่นึกรังเกียจที่ถูกลูบไล้
กลับกัน…ดันเอาเวลาไปคิดซะได้ว่ามือของอีกฝ่ายดูเล็ก บอบบาง และนิ่มนวล
“ว่าแต่เจ้าจะไปที่แห่งใด”
“กลับไปที่ค่าย ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงข้าแล้ว” เพราะเอาแต่ใจสนใจคนป่วย ก็เลยแทบจะลืมไปเลยว่าหายไปหลายวัน เช่นนี้อาจารย์คงเป็นห่วงมาก ก่อนออกมาก็ไม่ได้บอกก่อนว่าจะไปนานขนาดนี้ และก็ไม่เคยไปไหนนานขนาดนี้มาก่อนด้วย
“ค่าย…ค่ายอะไร?”
“…”
“ข้าก็ไม่ได้หวังให้เจ้าบอกหรอก แต่อยากให้รู้ไว้ว่ากับคนที่หวังดีช่วยเหลือกัน ไม่มีเหตุผลให้ข้าตามไปทำร้ายเลย” นี่คือความจริง แม้จะไม่ไว้ใจ แต่เท่าที่รู้จักกันมา ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ได้โหดเหี้ยมอะไรขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นจะทนกินผลไม้ ทั้งๆที่กระต่ายน่าตายนอนอยู่ข้างๆมาหลายคืนเช่นนี้ไปทำไม!?
“ค่ายที่ชายแดนของสิหราชนครา ที่ด่านชายแดนทิศตะวันตกที่ 2” เป็นอคิราห์ที่ต้องแปลกใจ ที่นั่นคือสถานที่ที่พระองค์คิดจะไปเช่นกัน ว่าแต่ท่านหมอผู้นี้มาจากที่นั่นงั้นหรือ ก็เป็นไปได้ เพราะพระองค์ก็ถูกลอบทำร้ายที่ชายแดนฝั่งคีรีธารา ไม่ไกลจากด่านนั้นของฝั่งสิหราชนคราเลย
“แล้วเจ้าไปถูกหรือ?”
“ข้าต้องลองดู แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
“…”
“งั้นเรามาแยกกันตรงนี้เถิด”
และคนใจดีที่แสนเย็นชาก็ไม่ปล่อยให้พระองค์ได้เอ่ยคำว่า ‘ไปด้วยกันเถอะ’ ออกมา
ทรงรู้สึกเหมือนชาไปหมดหลังจากได้ยินอย่างนั้น คนตัวเล็กนั้นหันไปจัดการกับสัมภาระของตัวเองและกองไฟที่มอดแล้ว เก็บกวาดเพื่อไม่ให้ใครที่ตามมารู้ได้ว่าตรงนี้เคยมีร่องรอยของคนอยู่ อคิราห์เพียงหันไปมองอีกฝ่ายที่ยุ่งอยู่กับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมา พระองค์ก็ไร้แผนการเช่นกัน แต่การอยู่ต่อไปก็ไม่ทำให้อะไรดีๆเกิดขึ้น
การพบเจอกันอย่างฉาบฉวยมันเป็นอย่างนี้เอง สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็อาจจะเป็นแค่หมอธรรมดาที่หวังดีต่อมนุษย์คนหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนและ 4 วัน 3 คืนที่อยู่ด้วยกันตลอดนั้น มันได้สร้างความผูกพันไม่มากก็น้อยเอาไว้ เมื่อทรงเสด็จออกมาจนพ้น ก็ตระหนักได้ว่าคืนนี้จะไม่มีใครให้เถียงหรือโวยวายใส่ ใจมันก็พาลจะ…รู้สึกแปลกๆอยู่ไม่น้อย
“เฮ้ย! ทางนั้น” เสียงที่ดังออกมาทำให้หยุดคิดเรื่องหนึ่งเพื่อตั้งรับอีกเรื่องให้ดี ทรงรีบหลบและแอบมองสถานการณ์ที่เป็นไป ดูเหมือนว่าอันตรายกำลังจะเข้ามาใกล้ตัว จำนวนศัตรูยังไม่แน่ชัด ทางหนีที่ควรไป…ก็ยังไม่รู้ พระองค์อาจจะมีกำลังพอที่จะสู้ได้ แต่คนเดียวโดยไร้อาวุธรคงยาก และหากถามว่าอยู่คนเดียวทำอะไรได้ไหม
ในหัวก็พลันคิดถึงอีกคนขึ้นมา
“บ้าเอ้ย!” ทรงไม่รอช้าหวนกลับไปทางที่เดินมาโดยไม่ได้จัดการกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดีๆ เป็นครั้งแรกที่ประมาทขนาดนี้ แต่ต้องรีบไปแล้ว แม้จะไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกันกับพวกนั้นก็ตาม
“ท่าน!” เจ้าของกระต่ายนั้นเดินออกมาถึงปากถ้ำ มองร่างสูงที่ตนสั่งห้ามไม่ให้วิ่งหรือออกแรงเกินไปด้วยแววตาเป็นกังวลระคนขุ่นเคืองใจ แต่ยังไม่ได้ต่อว่าอะไร เขาก็คว้ามือของตนเอาไว้
“พวกมันมาถึงนี่แล้วและคงจะตามมาถึงในไม่ช้า”
“พวกมัน? เอ๊ะ! พวกที่ตามล่าท่านนะหรือ?!” แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่ ไม่หรอก…เกี่ยวหรือไม่พวกมันก็ไม่น่าหวังดีต่อสิ่งมีชีวิตที่พูดภาษาเดียวกัน และเมื่อมองให้ดี แม้ท่านหมอผู้นี้จะมีปานบนใบหน้าแลดูประหลาด แต่เรือนร่างที่อรชรดูงดงามนี่ก็อาจจะดึงดูดความสนใจของพวกเลวทรามนั่นได้
แล้วเราจะหนีไปทางไหนกัน???
“เจ้าขนฟู!” ยังไม่ทันจะนึกออก เจ้าตัวแสบที่น่าจะหักคอเสียเมื่อวานก็กระโดดลงจากย่ามและเข้าไปในถ้ำ ตอนนี้ต่อให้ควรจะรักตัวกลัวตาย เจ้าของกระต่ายก็ไม่ฟังคำทัดทานใดๆและวิ่งตามเข้าไป บ้าจริงๆ! เป็นเช่นนี้พระองค์ก็จะต้องตามเข้าไปด้วยน่ะสิ!
เจ้าขนฟูตัวเล็กที่ไม่ควรจะเร็วกว่ามนุษย์ทั้งสองกลับเร็วใจหาย หากสุดถ้ำนี้เป็นทางตัน ก็เท่ากับเราเอาชีวิตมาทิ้งไว้แบบไร้ซึ่งความหวังจริงๆ อคิราห์นั้นรีบคว้าท่านหมอเอาไว้ แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามจะคว้าเจ้าขนฟูที่หนีลอดเข้าไปในช่องแคบๆที่มนุษย์ไม่อาจจะเข้าไปได้
“มันอันตรายนะ ทางตันแบบนี้”
“แต่เจ้าขนฟู!”
“เจ้านั่นไม่เป็นอะไรหรอก เจ้ากับข้านะสิ!” มันก็จริง แต่เราก็คงออกไปไม่ได้แล้วอยู่ดี เพราะเป็นไปได้เหลือเกินว่าอันตรายกำลังจะคืบคลานมา อคิราห์มองไปรอบๆ รู้สึกหมดหวังแต่ก็พยายามสร้างความหวังให้ตนอยู่เสมอ หากจะมีช่องให้หลบซ่อนหรืออาวุธอะไรที่พอจะต้านทานไว้ได้ก็คงจะดี
มันต้องมีสักทางที่ทำอะไรได้บ้างสิ!
“หืม” แต่แล้วอยู่ๆท่านหมอน้อยก็ส่งเสียงร้องออกมา ก้อนหินรูปทรงไม่เข้าพวกตรงนั้นช่างสะดุดตา พลันความคิดที่เหลือเชื่อก็แล่นเข้ามาในหัว ที่นี่อาจจะเป็นสถานที่แห่งนั้นก็เป็นได้!
“อะไรหรือ” อคิราห์นั้นเอ่ยถามหลังจากเห็นคนตัวเล็กนิ่งไป เจ้าตัวเพียงกวักเรียกให้เข้าไปหาโดยไม่ได้ตอบ แต่การกระทำชัดเจนดี มือเล็กนั้นพยายามดันก้อนหินนั้นไปทางด้านหลังสุดกำลัง
ครืน!
“นี่มัน!” ไม่นาน… ผนังด้านหนึ่งของถ้ำที่ดูเหมือนจะเป็นทางตันก็เปิดออก เจ้าของกระต่ายพยักหน้าให้เดินเข้าไปด้วยกัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร” แม้จะเห็นความหวังตรงหน้า แต่ก็ทรงมีคำถาม
“ข้าแค่มีความหวัง” หากมองโดยรวมแล้วถ้ำนี้ก็ดูไม่ได้แตกต่างจากถ้ำไหนๆ แต่อาจจะเพราะความหวังที่จะมีชีวิตรอดกระมัง ที่ทำให้สวรรค์ประทาน ‘ถ้ำลวงตา’ มาให้
ถ้ำลวงตา…ที่เป็นความเชื่อมาเนิ่นนานว่ามีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนแผ่นดินนี้
อคิราห์จ้องมองกันไม่วางตา เกิดคำถามมากมายแต่ไม่ได้ตรัสถามออกไป ไฉนถึงรู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ทั้งๆที่เมื่อครู่ก็จนตรอกเช่นกัน และเมื่อเข้ามา อีกฝ่ายก็หาทางปิดมันได้จากอีกฝั่ง ทว่าเมื่อไถ่ถามไป ก็ไม่ตอบให้ชัดเจน
แต่จะบอกว่าคิดร้ายต่อกันก็เอ่ยไม่ได้เต็มปาก มีหรือที่รู้ว่าพรรคพวกอยู่ไม่ไกลแล้วจะพาเดินหนีเข้ามาในถ้ำแบบนี้ พระองค์ยังคงยืนยันว่าแค่ตัวคนเดียวเอาชนะพระองค์ไม่ได้แน่นอน แต่ปริศนาของอีกฝ่ายก็มีเยอะเกินไป เยอะจนปลุกต่อมระแวงให้กลับมาทำงานอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ของข้าเคยเล่าว่ามันมี”
“…”
“ข้าเองก็เพิ่งได้เห็นกับตา”
“แล้วอาจารย์ของเจ้าได้บอกไหมว่าทางนี้จะพาเราไปไหน” และที่สำคัญจะมีอะไรดักรอกันอยู่หรือเปล่า?
“ข้างหน้าจะเป็นป่าใกล้ๆกับเมืองชายแดนของสีหราชนครา” เจ้าของกระต่ายนั้นหยุดคิดเล็กน้อย “อาจจะต้องเดินเท้าเป็นวันๆกว่าจะถึงค่ายที่ท่านอชิระดูแลอยู่”
“ท่านอชิระ? ท่านแม่ทัพนะหรือ?”
“ท่านรู้จักท่านแม่ทัพอชิระด้วยหรือ?” นั่นเป็นคำถามของพระองค์ชายต่อพสกนิกรคนหนึ่งใช่หรือไม่ พระองค์ย่อมรู้จักอยู่แล้ว ว่าแต่พสกนิกรคนหนึ่งตรงนี้เล่า เหตุใดจึงย้อนถาม? อ่อ…เพราะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของพระองค์สินะ
“เป็นญาติกันน่ะ” นี่ไม่ใช่คำลวง แต่อีกฝ่ายกลับหรี่ตามอง ไม่เชื่อในคำโป้ปด ก็เป็นญาติจริงๆนี่ น้องชายคนเล็กของพ่อถือว่าเป็นอาใช่ไหม “เอาเป็นว่าข้ารู้จัก” เลยตัดปัญหาไป ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ถือว่าไม่ได้โป้ปดออกไป
“พูดให้ข้าฟังมันก็ดีอยู่หรอก ท่านอชิระไม่ใจดีนัก หากทราบเข้า ท่านจะลำบาก”
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”คำพูดของท่านหมอทำให้พระองค์นึกขัน ก็จริงว่าเสด็จอาอชิระนั้นหาใช่คนใจดีนัก แต่กับพระองค์ที่เป็นหลานชายแล้วก็พอจะใจดีด้วยอยู่ ทว่าคำถามนี้กลับทำให้คนที่เหมือนกระต่ายอีกตัวสะดุ้งโหยง
“กะ…ก็ ข้าช่วยชีวิตท่านไง” ก็จริง ถ้าช่วยให้ไม่ตายแล้ว ก็ไม่สมควรตายง่ายๆเหมือนปลาหมอตายเพราะปาก พระองค์ควรตระหนักในความหวังดีนี้แล้วเลิกหยอกล้อไปซะ เพราะแค่นี้…ท่านหมอก็อยากจะกุมขมับจะแย่!
เราสองคนเลือกที่จะเดินต่อ แม้ไม่แน่ใจว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร คาดว่าต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงปากถ้ำ ภายในก็มืดมิด จึงต้องใช้ตะเกียงอันเล็กที่มีอยู่ จากที่เคยได้ยิน ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงอาจจะถึงจุดหมาย แต่ต้องใช้เวลาในการเดินเข้าไปในหมู่บ้านอีกสักพัก
ในที่สุดอคิราห์ก็มีภาพแผนที่ชายแดนขึ้นมาในหัว พื้นที่ตรงนี้ควรจะเปราะบาง ทว่าที่ไม่มีทหารคุ้มกันฝั่งที่เราเข้ามาเพราะลักษณะที่เป็นปราการธรรมชาติ ภูเขาอันสูงชันทำให้คนของสองแผ่นดินไม่สามารถใช้เส้นทางเดินเขาในการลักลอบผ่านเข้าออกไปมาได้ แต่ถ้ามีคนรู้ว่ามันมีทางเข้าจากในถ้ำที่พวกเราใช้นี้ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
และในตอนนี้ว่าที่กษัตริย์แห่งสิหราชนคราก็ตั้งใจที่จะส่งคนมาคุ้มกันพื้นที่นี้แบบลับๆ
เราหลงทางกันไปไกลจากค่ายที่แม่ทัพอชิระดูแลอยู่พอสมควรเลย และต้องเป็นคนแบบไหนกันที่จะบอกให้ท่านหมอผู้นี้รู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่อันตรายเช่นนี้ได้ อคิราห์หมายมั่นในใจ ว่าจะต้องไปเจออาจารย์ของท่านหมอน้อยผู้นี้ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย การเจอกันกับคนเล็กๆคนหนึ่ง อาจจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ระดับความมั่นคงได้จริงๆ
“ท่านเหนื่อยไหม” อยู่ๆคนตัวเล็กก็พูดขึ้น เรามีแค่แสงนำทางเล็กน้อย ในถ้ำที่แทบไม่มีแสงลอดผ่าน อาการที่ร้อนจนเหงื่อซึมหน้าทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี
“ข้ายังไหว”
“ข้ามีน้ำกับเสบียงอยู่บ้าง เรากินก่อนก็ได้นะ”จริงๆแล้วพระองค์ยังทนไหวจริงๆ และก็พอจะรู้ว่าเสบียงนั้นไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่
“เจ้าพอจะทราบไหมว่าเราต้องเดินอีกไกลไหม”
“ข้าเพียงได้ยินว่าเส้นทางไม่ซับซ้อน เดินไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงปากถ้ำแล้ว”
“งั้นเจ้ากินไปแต่พอดี”
“ข้าบอกให้ท่านกิน”
“ถ้าข้าไม่ไหวข้าจะกิน” หลังจากตรัสออกไปก็ทรงเงียบไปชั่วครู่ “แต่ถ้าเจ้าไม่ไหว ข้าก็คงแบกออกไปไม่ไหวเช่นกัน” ในความมืด ทรงพระสรวลออกมา ด้วยเคยฝึกฝนร่างกายมาจึงพอรู้ลำดับขีดสุดที่รับไหว แม้จะยังไม่แข็งแรงพอแต่ก็ทรงประมาณตนเองได้ดี มีแต่อีกคนนั่นแหละ ผอมบางราวกับจะปลิวได้เช่นนี้ จะทนไหวหรือ?
“ข้ายังไม่หิว” คนตัวเล็กเอ่ยออกมา “เราควรหาทางออกให้ได้เร็วที่สุดค่อยกิน” เพราะไม่มีใครรู้จริงๆว่าทางออกจริงๆอยู่ตรงไหน การเสียเสบียงไปอย่างไม่รอบคอบอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ในภายหลัง อคิราห์เพียงรับทราบ แต่สุดท้ายเราก็ตกลงจะดื่มน้ำกันคนละนิดหน่อยให้พอเยียวยาความแห้งผากของลำคอพวกเราเดินทางกันต่อด้วยไม่อยากให้ถึงปากทางในยามค่ำมืด ต่อให้ไปถึงจุดหมายแล้วก็ยังต้องระวังภัย อาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่ปลายทาง
เจ้าของกระต่ายนั้นเดินมานาน น่ากลัวว่าตอนนี้ก็คงจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ละย่างก้าวแลดูช้าลง ทว่าไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหรือเอ่ยปากขอ พระองค์ไม่ได้เสนอความช่วยเหลือใดๆ เพียงแค่สังเกตเด็กคนนี้เรื่อยๆ
“ข้าเหมือนเห็นแสงสว่างที่ด้านหน้า” อคิราห์เอ่ย ท่านหมอน้อยที่เดินตามกันมานั้นเงยหน้าขึ้นมามอง คนตัวสูงอาจจะไม่เห็น แต่เจ้าตัวยิ้มร่าด้วยปลื้มปิติ “อย่าผลีผลามเข้าไป เราต้องดูให้แน่ใจว่าข้างหน้าไม่มีอะไร” ทรงเอ่ยเตือน คนตัวบางจึงพยักหน้าตอบรับ หลบเลี่ยงการเดินตรงและติดตามเขาไปในทุกย่างก้าว
“ตรงนั้นมีเด็กนี่” พระองค์ก็เห็นตามนั้น พิจารณาได้ว่ามันคงไม่มีอะไร แต่จะให้เดินออกไป อาจจะทำให้เด็กพวกนั้นตกใจกลัว ทว่ายังไม่ทันตอบตัวเองได้…
เจ้าของกระต่ายก็ถลาเข้าไปหาเด็กพวกนั้นเสียแล้ว!!!
“ธีระ นั่นเจ้าใช่ไหม!” ยังไม่ทันได้สั่งห้าม ท่านหมอที่ดูไม่ได้โตกว่าเด็กพวกนั้นสักเท่าไหร่ก็เรียกได้แม้แต่ชื่อ พระองค์ทรงดูซื่อบื้อไปเลย!
“พี่ศศิ!พี่ศศิใช่หรือไม่!” เด็กคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงเรียกนั้นทิ้งดาบไม้ของตนและหันมาขานรับก่อนจะวิ่งมาหา ต่อให้ตอนนี้มีคนลอบสังหาร ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วในเมื่อเล่นวิ่งไปเอาธนูมาปักอกเองเสียอย่างนั้น ทรงเสด็จตามเจ้าของกระต่ายที่ป่วนเก่งไม่แพ้กัน ดูท่าจะเป็นบุคคลยอดนิยมในหมู่เด็กๆไม่น้อย เพราะเรียกคนหนึ่ง อีกหลายคนก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบ
“โล่งอกไปที ในที่สุดข้าก็กลับมาได้”
“ท่านอาหมอใหญ่โกรธท่านมาก มาคราวนี้ท่านต้องโดนอดขนมเป็นแน่!” นี่หรือวิธีการทำโทษเด็กที่หายออกจากบ้านไปหลายวันของคนแถวนี้ อคิราห์ที่เดินตามมานั้นรู้สึกประหลาดใจไปกับทุกสิ่งตั้งแต่เช้ามา และคนเป็นพี่ก็โวยวายออกมาหลังจากได้ยินเช่นนั้นการงดขนมคงจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆของท่านหมอตัวเล็กผู้นี้
“ท่านพาใครมาด้วยหรือ?” เด็กคนหนึ่งที่สังเกตเห็นกันนั้นเอ่ยถาม “เอ๋!ไหนพี่ศศิบอกว่ายังไม่มีคนรักอย่างไรเล่า!” แล้วมันกลายเป็นข้อสันนิษฐานเช่นนี้ได้อย่างไร?! บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าหลอกลวงหันขวับ ก่อนจะรีบปฏิเสธโดยพลันว่าไม่ใช่ แทนที่จะสร้างความลำบากใจให้กับพระองค์ที่ถูกกล่าวหาร่วมด้วย เรื่องนี้กลับดูน่าขำขันเสียมากกว่า
“ท่านขำอะไร มันไม่ใช่ไง!”
“ก็เพราะว่ามันไม่ใช่อย่างไร ข้าถึงได้ขำ” จะให้พระองค์พูดได้อย่างไรว่าท่าทีแข็งขันที่จะปฏิเสธคำกล่าวหาของท่านหมอนั้นมันน่าขำมากกว่า แต่เมื่อทรงตรัสคำลวงออกมา นัยน์ตาของคนได้ฟังก็พลันหม่นแสงไปชั่วครู่ หรือนี่อคิราห์ทำอะไรผิดลงไปอีก?
“ไม่เป็นไรนะศศิ เจ้าอาจจะขี้เหร่ไปเสียหน่อย แต่ถ้ารอได้ เมื่อข้าโตแล้วจะไปขอรับผิดชอบเจ้ากับท่านอาหมอใหญ่เอง” แล้วหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นก็เอ่ยออกมา เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะน้อยๆจากคนที่ซึมไปเพียงครู่ทันที ทว่าสิ่งหนึ่งได้สะกิดใจพระองค์เข้าอย่างจัง…
หน้าตาขี้เหร่งั้นหรือ?
เราได้ออกมาจากถ้ำกับกลุ่มเด็กที่จะไม่ยอมแยกไปจากพี่ศศิของพวกเขา อคิราห์นั้นไม่ต่างจากก้างขวางคอ จะว่าไปพระองค์ก็เพิ่งได้รู้ว่าท่านหมอที่ดูแลกันอยู่หลายวันมีชื่อที่ดูไพเราะไม่น้อย ‘ศศิ’แปลว่าพระจันทร์ หรือที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะปานที่ดูคล้ายพระจันทร์เสี้ยวบนใบหน้า?
“ท่านลุง อยู่ไหมจ้ะ” ศศิเรียกหาใครสักคนในกระท่อมหลังจากที่เราเดินกันมาจนจะเข้าเขตหมู่บ้าน
“ศศิ นั่นเจ้าหรือ!?”เจ้าของกระท่อมที่น่าจะเป็นคนที่ถูกเรียกหานั้นเดินออกมา ท่าทางดูตื่นตกใจไม่น้อย
“เป็นข้าเอง ได้เจอคนรู้จักมากมายเช่นนี้ รู้สึกสบายใจนัก”
“เจ้าหายไปไหนมา ท่านอาจารย์หมอของเจ้านั้นร้อนรนไม่น้อย”
“ข้าบังเอิญช่วยท่านผู้นี้ในป่า ดูอาการเขาสักพักจึงออกมา เดี๋ยวก็จะรีบออกเดินทางไปที่ค่ายแล้ว ท่านอาจารย์คงอยู่ที่นั่น”
“ศศิ” ใบหน้าของท่านลุงคู่สนทนาดูลำบากใจไม่น้อย ยิ่งศศิยิ้มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกรับมือกับความรู้สึกได้ยาก “ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกตินัก” คำพูดนี้เรียกความสนใจจากอคิราห์จนต้องหันมามองหน้าคนพูดเต็มตา ทรงอยากเดินเข้าไปถามเองว่ามันเกิดอะไร แต่ก็ยับยั้งชั่งใจ เลือกที่จะเป็นผู้ฟังอยู่ด้านหลังคนที่ร้อนใจไม่แพ้กัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ดวงตาของคนถูกถามหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากตอบออกมา
“ได้ยินว่ามีเจ้าหน้าที่ของทางเมืองหลวงมาเสริมทัพตามหาคนสำคัญ แต่มีคนภายในบอกว่าเหล่าองครักษ์ที่มานั้นขึ้นตรงกับเจ้าณรงค์ชัย”
“เจ้าณรงค์ชัย?” ชื่อนั้นดังก้องในพระทัย เจ้าณรงค์ชัยนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระมารดา มีศักดิ์เป็นลุงของพระองค์
กับญาติผู้ใหญ่ผู้นั้น ก็มีความสัมพันธ์กันประมาณหนึ่ง แต่การที่องครักษ์ของเจ้าณรงค์ชัยที่เป็นอธิบดีการค้ามาที่นี่เพื่อตามหาคนสำคัญ มันฟังดูแปลกประหลาดไม่น้อย ยิ่งหากถ้าคนสำคัญคืออคิราห์ที่หายไปด้วยแล้ว คนที่ควรจะออกตามหา ไม่น่าจะเป็นคนของลุง แต่ควรจะเป็นองครักษ์หลวงหรือของพระองค์เองมากกว่า
“เป็นเจ้าณรงค์ชัยที่คอยช่วยเหลือคีรีเขตนั่นไง อาจารย์เจ้าไม่เคยเล่าให้ฟังเลยหรือ” ท่านลุงผู้นั้นถามกลับไปยังศศิ แต่คนตัวเล็กเพียงเงียบและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คำกล่าวหานั้นช่างรุนแรงนัก แต่แทนที่จะออกตัวไป อคิราห์เลือกที่จะเงียบและเรียบเรียงคำถามต่อในใจ
เจ้าณรงค์ชัยเป็นอะไรกับคีรีธารา?
แล้วอาจารย์ของศศิคือใคร เหตุใดถึงรู้?
และศศิกับคนที่นี่ทำไม…ถึงดูระแวงกันเช่นนี้?
“ตอนนี้ท่านอาจารย์ ไปอยู่ไหนแล้ว”
“คาดว่าคงหลบหนีไปแล้ว”
“…”
“เจ้าพอจะรู้บ้างหรือไม่ว่าท่านไปที่ไหน”
“ไม่รู้เลย” ศศิเงียบลง ดูเหม่อลอยไร้ซึ่งทิศทางไปต่อ อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้คงคิดอะไรอยู่ และอาจจะมีบางเรื่องที่รู้ แต่บอกใครไม่ได้เช่นกัน
“แม้แต่แถวนี้ก็ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเจ้านัก หากจะให้แนะนำ เจ้าควรปลอมตัวและหลบหนีไปสักพัก เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ค่อยกลับมาจะดีกว่า” สำหรับคนฟังแล้วนั้น วิธีนี้แลดูจะดีกว่าจริงๆ แต่ตอนนี้…ข้อมูลที่ได้รับมานั้นมันมากเกินไปแล้ว ศศิไม่อาจจะรับฟังได้อีก และร่างทั้งร่างก็เหมือนไม่เป็นของตนเองอีกต่อไป
“เจ้า!” แม้แต่เสียงเรียกสุดท้ายของอคิราห์ที่มาด้วยกันจะได้สดับรังฟังหรือไม่ก็ไม่รู้เลย
เพราะตอนนี้ศศิได้สิ้นสติอยู่ในอ้อมพระอุระของพระองค์แล้ว…
Talk: ไม่ได้มาต่อนานมากมาย แต่อยากให้รู้ไว้ว่าเราไม่ได้เทนะคะ หนีไปแต่งค่ะ แต่งเก็บไว้หลายๆตอน อยากจะปล่อยแบบรวดๆๆเหมือนกันแต่ก็ทำไม่ได้ เอาเป็นว่าเอาตอนนี้มาปล่อยไว้ให้ทราบกันก่อนนะคะว่ายังต่ออยู่ไม่หายไป
จริงๆเราแต่งไปสิบกว่าตอนแล้วค่ะ เทไม่ไหว เทไม่ลงจริงๆ แต่ที่ไม่ลงเนี่ย เพราะมันอาจจะมีการปรับนั่นนี่ตลอด เลยไม่กล้าลงไปแต่งไป จะได้แก้ไขก่อนเปิดให้อ่านเนอะ
ยังไงฝากน้องกระต่ายของเราด้วย ทิศทางเรื่องจะเป็นดินแดนสองดินแดนในโลกที่เกือบเหมือนโลกของเรา5555 คือบางเรื่องบางส่วนมันอาจจะไม่ได้สมกับเป็นวิทยาศาสตร์ที่เรารู้จักกันเท่าไหร่ แต่ไม่ได้เมจิเคิลอะไรขนาดนั้น หากมีคำถามอะไรสามารถทิ้งไว้ได้นะคะ เราจะไปตอบหรือไม่ก็มาอธิบายในทอล์ก
ฝากน้องวินแอนด์ตอนพิเศษในเจนไม่นกด้วยเด้อ
#อาทิตย์ศศิ
Twitter @reallyuri