☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)  (อ่าน 40452 ครั้ง)

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-02-2019 23:13:32 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) Intro : 21/10/2018
«ตอบ #1 เมื่อ21-10-2018 19:31:11 »

Finding the twilight
Intro
จุดจบและจุดเริ่มต้น
 ☼ ☽



ไม่เคยมีวันที่จันทราหรือสุริยาดับแสงไป


และถ้าหากมันหายไป เกรงว่าจะถึงวันสิ้นโลกแล้วเป็นแน่ หากโลกใบนี้ไร้ซึ่งแสงสว่าง แล้วมนุษย์จะมีความหวังอยู่ได้อย่างไร ยังดีที่วันนั้นยังมาไม่ถึง ทว่ายามนี้ ตำนานบทใหม่ที่ไม่มีใครรู้แม้แต่เทพสวรรค์ มันกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง การลืมตาของเด็กคนนั้นจะมาเปลี่ยนแปลงชีวิต…ของอีกคน


“แต่มันก็อยู่ที่พวกเขาจะเลือก”  และนี่อาจจะเป็นมนุษย์คู่แรกที่สวรรค์ไร้สิทธิ์ที่จะบงการ เทพแห่งโชคชะตานั้นพูดออกมาตามใจนึกคิด เพราะในยามนี้ไม่มีใครอยู่รอบกาย การตัดสินใจของเทพสวรรค์คู่หนึ่ง ได้ทำให้ขนบที่มีมาได้เปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลง จำต้องมีผู้เสียสละได้ลองสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเรื่องราวของพวกเขาต่างถูกจับตามอง


คนหนึ่งอยู่ที่ทิศตะวันตก
และอีกคนเฝ้ารอทางทิศตะวันออก


“รอให้เจ้านายของเจ้าโตอีกสักหน่อยค่อยไปหาเขาเถิดนะ”  เทพเจ้าผู้รับรู้ถึงชะตาชีวิตของทุกคนนั้นหันมาพูดกับเจ้าขนฟูสีน้ำตาลอ่อนซึ่งในบัดนี้เจ้านายของมันได้หนีไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล มันไม่พูดอะไร จริงๆแล้วมันไม่เคยพูดอะไรเลย แต่ท่าทางนิ่งสงบทำให้รู้ว่ามันยอมที่จะรอ


แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม…


ทว่าชะตาที่มิอาจจะถูกกำหนดได้นั้นก็ยังต้องไหวเอนไปตามชะตาที่ถูกกำหนดแล้วของผู้อื่น ในที่สุดเจ้าของอิสระแห่งโชคชะตาก็ต้องหลบหนีออกมาจากบ้านเกิดเมืองนอนโดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ เด็กน้อยยังอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษผู้หนึ่งที่ใจสลายไม่ต่างกัน ใบหน้าอ่อนเยาว์ยังคงหลับไม่รู้เรื่องราวทั้งๆที่ภายนอกมีแต่ความวุ่นวาย


“ท่านหมอ”  เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มที่โอบอุ้มเด็กน้อยไว้แนบอกต้องหันไปมองก่อนจะพยักหน้า พวกเราต้องเดินทางกันแล้ว พวกเราต้องไปให้ไกลจากที่นี่…


ไปให้ไกลจากบ้านเพื่อสร้างบ้านใหม่ของเรา


“เราจำต้องข้ามเขตแดน” 


“ท่านหมอ…จะไตร่ตรองอีกสักนิดมิดีกว่าหรือ” คนสนิทที่ติดตามมาได้ไถ่ถามออกไป การข้ามเขตแดนนั้นเท่ากับหลบหนีเข้าดินแดนของผู้อื่น ซึ่งการเป็นผู้ลี้ภัยนั้นจะมีสถานะที่เปราะบาง ลำพังแค่ผู้ใหญ่อย่างเราๆคงจะรับมือกันได้ แต่เด็กผู้นี้ที่เราต่างก็ทะนุถนอมพาออกมานี่เล่า หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างนี้ เท่ากับว่าที่ทำมาทั้งหมดนั้นไร้ความหมาย


“หากเรายังอยู่ที่นี่ต่อไปพวกนั้นก็จะตามเจอ”


“ก็จริงของท่าน”


“เราไม่มีเวลาเสี่ยงอีกต่อไปแล้ว”  ทิศตะวันออกคือความหวังของเราในยามนี้ หากไม่เร่งฝีเท้าไปแล้วคาดว่าจะไม่ทันการณ์ และหากว่าเด็กคนนี้ยังมีชะตาเกี่ยวพันกับโลกใบนี้อยู่ พวกเราจะต้องปลอดภัยแน่ หวังแค่เพียงสวรรค์จะไม่ใจร้าย กลั่นแกล้งเรา คนทรยศกันอีกต่อไป


เพราะต่อจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว เหล่าคนทรยศพวกนั้น…


ในอีกด้านหนึ่งของดินแดนทางทิศตะวันออก หรือที่ถูกเรียกว่า ‘สิหราชนครา’ แสงจันทร์ที่ส่องแสงลอดผ่านม่านภายในห้องนอนของพระโอรสองค์เดียวของอาณาจักรแห่งนี้ช่างสวยเกินไป สวยจนไม่อาจจะละสายตามองไปได้ ‘อคิราห์’ นั้นแม้จะซุกซนเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป แต่ยามใดที่พระจันทร์สดสวย ก็จะเอาแต่มองโดยไม่กล่าวอะไรกับผู้ใด เขาจะนิ่งเสียจนคนเป็นแม่ยังต้องหวั่นใจ


“อคิราห์ ลูกควรนอนได้แล้ว”  องค์ราชินีแห่งดินแดนนี้นั้นรู้สึกเป็นกังวลเสียมากกว่า อคิราห์ดูไม่เหมือนลูกชายของเธอในยามที่เหม่อมองดวงจันทร์ แต่เขาคิดอะไรอยู่นั้นก็ไม่มีใครรู้เลย


“เสด็จแม่ว่าพระจันทร์นั้นใหญ่มากไหม”


“ท่านราชครูได้สอนลูกไว้ว่าอย่างไร”


“ท่านบอกว่าดวงจันทร์อยู่แสนไกล”  และยังไม่มีมนุษย์ตนใดที่ไขว้คว้าดวงจันทร์กลับมาครอบครองได้


“ลูกชอบดวงจันทร์นัก”


“ลูกไม่ได้ชอบ” 


“ไฉนถึงเอาแต่จ้องตาไม่กระพริบเช่นนั้นเล่า” นั่นสินะ เพราะเหตุใดกัน?


“ลูกอยากได้”  เพราะอยากครอบครอง นี่คือความรู้สึกที่องค์ชายตัวน้อยเข้าใจในตอนนี้ พระองค์ยังคงเล็กนัก อาจจะแยกแยะสิ่งต่างๆไม่ได้มากมาย พระราชินีส่งส่ายพระพักต์ให้กับคำพูดเอาแต่ใจ แม้จะเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทรงได้ทุกอย่างที่หวัง แน่นอนว่ามันมีอย่างหนึ่งที่ไม่อาจจะไขว้คว้ามาได้


นั่นคือพระจันทร์…ที่ไม่เคยเป็นของใครเลย



Talk: จะบอกว่าแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาแทนเมื่อทินกรลับฟ้ายามจันทราดับแสง #อาทิตย์ศศิ  และขออนุญาตใช้แท้กเดิมนะคะ ถามว่าทำไมถึงแต่งใหม่ บอกตรงว่าลืมของเก่าไปหมดแล้วค่ะ ชื่อพระเอกก็ใช้ซ้ำกับอีกเรื่อง แต่มาคิดดูอีกที คำว่าอาทิตย์ทินกรมันยาวไป เราตัดได้ไหมถ้าใจเราต้องการ555 แต่ยังคงเก็บชื่อศศพินทุ์และชื่อเล่นศศิไว้เหมือนเดิม เราชอบความหมาย


เรามีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องไปค่อนข้างเยอะเลย ถ้าคนเคยอ่านอีกเรื่องอาจจะงง เอาเป็นว่าให้คิดเสียว่าอ่านเรื่องใหม่ไปเลยดีกว่าค่ะ บางทีพลอตที่ทำใหม่นี้อาจจะไม่ดราม่าเท่าของเดิมแล้วด้วย ในเล้าเป็ดนี้เราลบอันเก่าไปแย้วด้วย ._.


มาถึงบรรยากาศและฉากของเรื่อง จริงๆเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีที่ไม่ได้โบราณจนเกินไปแต่ก็ไม่ได้เหมือนยุคปัจจุบันจนเกินไป ไม่ได้แต่งกายแบบฝรั่งจ้าหรือจีนจ้าหรือไทยจ้า บอกไม่ถูก55 เอาเป็นว่าถ้าวาดรูปมาได้จะเอามาให้ดูนะคะ แต่ถ้าสะดวกจะจินตนาการไปก่อนเลยก็ได้ค่ะ ก่อนหน้านี้ที่แต่งอันเดิม มีคนสงสัยว่าจะจบแบบแบดเอนด์ไหม คือเราไม่ใช่สายนั้น เลยยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ค่ะ แต่ในอนาคตเรื่องอื่นๆ ไม่แน่ อาจจะมาบอก แฮ่… (แต่คิดว่าไม่มีเพราะเป็นสายฟีลกู้ด ใจเราบางพอๆกับคนอ่านเลย)

ในส่วนของราชาศัพท์จะมีใช้บ้างนิดหน่อย ตอนแรกลังเลว่าจะใช้แบบเต็มอัตราเลยดีไหม แต่คิดไปคิดมามันจะอ่านยากไปเนาะ (และแต่งยากด้วย555)

#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri



ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) Intro : 21/10/2018
«ตอบ #2 เมื่อ22-10-2018 11:34:08 »

น่าติดตามๆ

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
1
การพบกันที่แปลกประหลาด
☼ ☽

จากวันนั้น เวลาก็ผ่านมาได้ 20 ปี


เด็กน้อยที่เคยเอ่ยคำชมพระจันทร์ก็ได้เติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่เต็มไปด้วยชื่อเสียงคำเยินยอมากมาย ทว่าสี่ตีนยังรู้พลาด ไฉนเลยคนที่ไม่ได้แม้แต่จะเป็นนักปราชญ์จะพลั้งพลาดบ้างไม่ได้


‘หวังว่าการเจรจาจะผ่านไปได้ด้วยดี’ และ ‘พ่อคาดหวังในตัวเจ้า’ ทำให้พระองค์ดั้นด้นมาจนถึงที่นี่…
เพื่อมาตาย…อย่างนี้?!?!!!!


หากได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่ออย่างไร้ศักดิ์ศรี อคิราห์คงไม่วางใจให้โจมตีได้ง่ายนัก แต่ในตอนนี้ท่ามกลางความมืดมิดของขุนเขาแถบชายแดนระหว่างสิหราชนคราและคีรีธารา มีเพียงเสียงร้องครางอันเจ็บปวดของตัวพระองค์เอง หรือนี่เราต้องเอาชีวิตที่ใครก็ว่ามันสูงค่ามาทิ้งไว้ในที่แห่งนี้อย่างเดียวดาย?


น่าแปลกที่ยังไม่รู้สำนึก เลือดในตัวยังคงร้อนเร่า หมายจะสู้ต่อแต่ร่างกายกลับต่อต้านความหวังในใจ วรกายสูงใหญ่นอนแผ่ไปกับพื้น แผลที่โดนฟันไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสมเพชตนเอง เป็นถึงว่าที่กษัตริย์แห่งดินแดนอันยิ่งใหญ่ ทว่ากลับมาแพ้ให้กับรอยแผลที่เล็กเช่นนี้  มันเล็กเท่ามีดบาดได้ แต่คาดว่าพิษ…ที่มากับคมดาบกำลังทำลายระบบภายใน และเช่นนี้มันทำให้ทรมานมากกว่า


พระจันทร์ในคืนนี้ช่างงดงามนัก อย่างน้อยแม้จะตาย เรื่องดีๆที่มีอยู่คือแสงจันทร์ที่ส่องลงมาเพื่อชี้นำแนวทางแก่ผู้คนยามอาทิตย์ลาลับนั้น ช่างสวยเหลือเกิน พระองค์เคยมีความฝันว่าอยากจะครอบครองความงดงามของเจ้าของแสงสีเรืองรองนั่น แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ มาวันนี้ที่กำลังจะตายก็ยังไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าตายแบบนี้ก็ไม่แย่ ไม่มีใครรู้ แต่พระจันทร์ก็จ้องมองกันอยู่


แม้การจ้องมองอยู่เฉยๆนั้นมันจะเย็นชากับพระองค์มากก็ตาม


“สำหรับคนเป็นนั้นคงเป็นไปไม่ได้สินะ”  แล้วคนตายเล่าจะได้ไหม?


คำถามนี้พระจันทร์ ก็ไม่ตอบอยู่ดี…


ทว่าไม่ไกลจากผืนป่าที่ใครบางคนได้สลบไสลไปแล้วนั้น มีใครอีกคนที่กำลังตื่นตัวอยู่กับสถานการณ์รอบด้านอยู่  มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่? เด็กหนุ่มในชุดสีดำที่มีไว้เพื่อพรางตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นนั้นลอบมองจากบนต้นไม้ใหญ่


ป่าในยามวิกาลเช่นนี้ไม่สมควรจะมีมนุษย์เดินอยู่เลย ทว่าวันนี้นอกจากตนเองที่เป็นมนุษย์เพียงหนึ่งคนที่มักจะหาเรื่องออกมาตามหาสมุนไพรแปลกๆแล้ว ยังได้เห็นว่ามีเพื่อนร่วมทางวุ่นวายกันไปมาอยู่ข้างล่างมากมายไม่ใช่สิ คนพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นใครก็ไม่รู้ ดูน่ากลัว และไม่น่าทักทาย


“แล้วอย่างนี้จะได้ลงไปเมื่อไหร่กัน”  คนตัวเล็กเฝ้าถามตนเองเบาๆ จริงๆก็อยากจะให้เจ้าขนฟูในอ้อมกอดเข้าใจ จะได้ไม่หาเรื่องวุ่นวายให้กัน จนต้องปีนขึ้นมาบนต้นไม้แบบนี้ คนตัวเล็กหน้ามุ่ย เพราะเจ้าตัวปัญหานี่เชียว ที่ไม่รู้ปีนขึ้นมาบนต้นไม้ได้อย่างไร ด้วยเป็นห่วงจึงปีนขึ้นตามมา และก็ลงไม่ได้อย่างที่เห็น


แต่จะโทษว่าเพราะมันก็คงไม่ได้ อาจจะต้องขอบคุณเสียด้วยซ้ำเพราะที่ยังปลอดภัยอยู่นี่ก็เพราะไม่มีใครมองมาข้างบน คนพวกนั้นไม่ได้ดูเป็นคนดีเลย การหลบหนีไม่พบเจอย่อมดูปลอดภัยกว่า แต่นี่ก็เป็นชั่วโมงจนผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ได้ลง


“ไปกันแล้ว”  น่าจะปลอดภัยแล้ว อ้อมกอดเล็กนั้นค่อยๆประคองอุ้มเจ้าตัวเล็ก แต่มันช่างรู้ดีขึ้นไปเกาะที่ไหล่กันราวกับเป็นกระรอก ไม่ใช่ ‘กระต่าย’ อย่างนั้น หลังจากค่อยๆปีนลงมาได้อย่างปลอดภัย ตอนที่กำลังจะเอาเจ้ากระต่ายใส่ไว้ในย่าม มันก็กระโดดลงกับพื้นและวิ่งหนีหายไปเสียอีก ให้ตายเถิด!


ในยามที่มืดมิดแบบนี้ ตนกลับมีดวงตาที่สามารถมองทางได้ดีกว่าคนอื่นนัก ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ที่มีดวงจันทร์สาดส่อง ก็ยิ่งสามารถมองได้ถึงสิ่งกีดขวางต่างๆ โดยลืมถึงอันตรายที่อาจจะพบเจอ เจ้าของกระต่ายได้ตามมันไป ในใจนึกก่นด่าอยากทำโทษมันนัก แต่ในความเป็นจริงเมื่อจับได้ก็คงจับมาโอ๋จนเสียนิสัยอยู่ดี


คราวนี้ต้องเล่นไม่แข็งบ้างแล้ว คงต้องขู่เสียบ้างว่าจะจับเอามาย่างเป็นกระต่ายปิ้งสักที ทำอย่างนี้เสียปกครองหมด ก็รู้หรอกว่าในบรรดาทุกคนในครอบครัว ตนนั้นจัดอยู่ในกลุ่มคนอายุน้อยที่สุด แต่กับกระต่ายตัวเดียวก็ยังให้ความเคารพกันไม่ได้หรืออย่างไร!


“รอด้วยสิ”  ทำไมกับแค่กระต่ายตัวนิดเดียวถึงตามได้ยากเย็นอย่างนี้นะ นี่เรามาไกลแค่ไหนแล้วเชียว แม้จะจดจำผืนป่านี้ได้ดี แต่ลึกกว่านี้ก็จะไม่คุ้นเคยแล้วนะ!


กึก..


“อะ…โอ้ย!!”  ร่างเล็กที่วิ่งตามเจ้ากระต่ายเลี้ยงไม่เชื่องนั้นสะดุดล้มลงกับพื้น ซุ่มซ่ามเสียจริง ถ้ากระต่ายมันหัวเราะได้ มันคงหัวเราะเยาะจนฟันหลุดร่วงไปแล้ว!เจ้าของกระต่ายที่นึกหงุดหงิดตัวเองไม่น้อย ค่อยๆประคองตัวจะลุกขึ้น พลันสายตาที่มองได้ดีในความมืดใต้แสงจันทร์ก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติ


ใต้ร่างของตน…


“ท่าน…” ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูด เรียก หรืออย่างไรดี เดิมทีที่ล้มลงมาก็คาดว่าตัวเองน่าจะเจ็บตัวกว่านี้ ทว่าตนกลับทับอยู่บนร่างของใครบางคนที่ไม่ขยับกายหรือส่งเสียงแห่งความเจ็บปวดเพราะแรงกระแทก เมื่อรู้ตัว แทนที่จะลุกขึ้น ก็กลับเสียมารยาทสัมผัสเขาไปทั่วเพื่อตรวจสอบลมหายใจและชีพจร ในความมืดมิดนี้เพียงรับรู้ได้แค่ว่าเขาคือบุรุษร่างสูงที่ร่างกายดูจะหนากว่าตนไม่น้อย


พวกนั้น…


พลันเลือดในกายก็เย็นเหยียบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ความวุ่นวายเมื่อครู่นั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเขาคนนี้?ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ความลังเลมีอยู่มากมาย การช่วยเหลือคนสำหรับ ‘หมอ’ คนหนึ่งแล้ว ไม่อาจจะเลือกคนไข้ได้ แต่ก็กังวลเรื่องความปลอดภัยหลังจากนี้ ทว่าคิดอะไรได้ไม่นาน บุคคลที่อยู่ใต้ร่างก็ขยับตัว เขานิ่วหน้าก่อนจะลืมตาขึ้นมา


และได้เอ่ยออกมาว่า…


“พระจันทร์”


“…”


“ท่านงดงามจริงๆด้วย”  แม้มันอาจจะเป็นคำละเมอของเสี้ยวลมหายใจสุดท้ายของมนุษย์คนหนึ่ง


แต่หมอผู้ซุ่มซ่ามผู้นี้ก็ตัดสินใจจะลองยื้อชีวิตเขาแล้ว!


ทว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักที่จะช่วยกันในสภาพนี้ เมื่อมองจากขนาดตัวแล้ว อาจจะต้องใช้แรงกายมากเสียหน่อยที่จะฉุดลากให้ไปนอนในที่ที่มีอะไรคุ้มหัว และเมื่อลากเขามาถึงในถ้ำใกล้ๆนั้นได้ราวกับปาฏิหาริย์คนร่างบางก็แทบจะหมดแรงตายแทนไปเสียตรงนั้น แต่ท่านหมอตัวน้อยก็ไม่ละเลยหน้าที่ เริ่มสำรวจอาการคนป่วยในทันที ยามนี้คนที่หลุดคำละเมอไม่เหลือแล้วซึ่งสติที่จะกู้กลับมาคุยเพื่อไถ่ถามอาการ


“ยังพอช่วยได้”  เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง ยังพอช่วยได้จริงๆ แต่หากช้ากว่านี้ ต่อให้มีอุปกรณ์การรักษาเพียบพร้อมก็มิอาจจะยื้อไว้ได้!


มือเล็กนั้นสัมผัสไปที่แผ่นอกแกร่ง อาศัยแสงสว่างจากตะเกียงในการตรวจดู ปากแผลเริ่มจะกลายเป็นสีดำเหมือนผิวหนังไหม้ กลิ่นคาวที่มีกลิ่นพิษบางอย่างเจือจางลอยกระทบจมูก ริมฝีปากคล้ำซีดลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังของเขาเริ่มจะกลายเป็นสีโปร่งใสเห็นเส้นเลือดสีคล้ำชัดเจน ทราบแล้วว่านี่คือพิษตัวไหน


สวรรค์อาจจะลิขิตให้ได้มาพบเจอในวันนี้ก็เป็นได้ เพราะยาพิษชนิดนี้จำต้องใช้สมุนไพรเฉพาะตัวเพื่อการรักษา ซึ่งปกติตนก็ไม่ได้มีถือครองไว้หรอก ทว่าเผอิญวันนี้ต้องออกเดินทางมาเพื่อเก็บตุนมันกลับไปที่สำนักพยาบาลอยู่แล้ว ในตอนนี้จึงมีมันอยู่พอดี!


“นะ..หนาว”  คนตัวเล็กสะดุ้ง หลังจากรักษาด้วยสมุนไพร ด้วยรู้ว่าสักพักเขาจะต้องเกิดอาการเหน็บหนาวเป็นแน่ จึงได้เร่งมือในการก่อฟืน และเสียงฟ้าผ่าที่ด้านนอกถ้ำทำให้รู้ว่าอากาศจะยิ่งหนาวเย็นขึ้นไปอีก ต่อให้ร่างกายสูงใหญ่แค่ไหนแต่เมื่อได้ต้องพิษร้ายแรงเข้าไปก็มิอาจจะฝืนทนได้เหมือนปกติ แม้แต่ตนเองในยามนี้ก็ยังรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา


ดวงตากลมมองเจ้าขนฟูที่เข้าไปซุกอยู่กับคนไข้ของตน มันเองก็คงจะหนาวและต้องการความอบอุ่นเช่นกัน หรือไฟที่ก่อไว้จะไม่เพียงพอกันนะ ร่างเล็กบางของท่านหมอที่ไม่ได้มีอุปกรณ์ยังชีพสำหรับค้างคืนในป่าพยายามคิดหาวิธี ตนมีเพียงผ้าคลุมผืนหนึ่งที่จะห่มกาย มันก็อาจจะยาวพอที่จะห่มช่วงบนของคนสองคนอยู่หรอก


“อดทนหน่อยนะ”  แม้พูดไปก็อาจจะไม่รับรู้ แต่ก็ได้ทำเต็มที่แล้ว คนตัวเล็กกางผ้าคลุมผืนบางคลุมช่วงอกของเขาเอาไว้ ก่อนที่จะสอดตัวเข้าไปนอนใต้ผ้าผืนเดียวกันโดยพยายามเว้นระยะห่าง และในขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับไป


ร่างของตนก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นราวกับเปลวไฟจากผิวกายคนข้างๆ


“ท่าน”


“…”  เขายังดูหนาวสั่น ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความทรมานจากพิษที่กำลังต่อต้านตัวยาของสมุนไพรที่เข้าไปทำลายการทำงานของมัน ร่างกายนี้จะฟื้นฟูและกลับมาเป็นปกติแน่ แค่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ก็เท่านั้นเอง ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นเช่นนี้แล้วจากคนป่วยเพียงหนึ่ง เราอาจจะมีเพิ่มมาเป็นสอง


“เอาเถิด”  เจ้าของดวงตากลมโตค่อยๆปิดการทำงาน นี่เป็นเรื่องสุดวิสัย ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่มีอะไรให้เลือกมากหรอก ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นอกจากคนป่วยจะทรมานจากความหนาวเหน็บแล้ว ตัวหมอเองอาจจะล้มด้วยอีกคน อีกทั้งการรับความร้อนจากตัวคนไข้


ก็ไม่ได้ถูกระบุว่าผิดจรรยาบรรณแพทย์ตรงไหนด้วย?

☼ ☽

“อืม”  ไม่น่าเชื่อว่าริมฝีปากนั้นยังเปล่งเสียงร้องออกมาได้อีก เหมือนกับว่าพระองค์ได้นอนหลับไปนานมากๆ นานจนแทบจะจำตัวตนและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไม่ได้ ความพร่ามัวทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ที่นี่ที่ไหนกันนะ สวรรค์หรือโลกมนุษย์กันแน่หลังจากครุ่นคิด ก็พยายามปรับสายตาให้เข้าที่เพื่อมองดูรอบๆ


และก็พบว่าที่ด้านขวาของร่างกาย มีใครบางคนกำลังซุกตัวอยู่


“เฮ้ย!”  การที่อยู่ๆมีคนมานอนข้าง ทำให้สะดุ้งผละออกมาสุดตัวจนลืมเจ็บ


ทว่าธรรมชาติก็เรียกร้องให้จดจำความเจ็บปวดขึ้นมาได้ หลังจากผละออกมาก็ต้องร้องครวญครางไปเพราะความเจ็บแสน ร่างที่นอนขดอยู่ข้างๆเมื่อครู่นั้นก็สะดุ้งตื่นและผละออกจากกัน พระองค์ยังคงใส่ใจกับอาการเจ็บปวดของกาย จนไม่ทันได้ดูใบหน้าของอีกฝ่ายให้ดี ร่างบางที่เคยได้ชิดใกล้นั้นเมื่อได้ยินเสียงร้องก็ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบเข้ามาใกล้เพื่อดูปากแผล


“อย่าขยับตัวแรง ท่านยังไม่ฟื้นตัวดี”


“อา…” 


“อาจจะเหลือแผลเป็นนิดหน่อยไว้ดูต่างหน้า แต่ข้าจะพยายามให้ยารักษาเพื่อให้มันหายดี”  ผิวกายของพระองค์ก็ไม่ได้ขาวเรียบเนียนผุดผ่องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นครั้งหนึ่งในอดีตนั้นเคยมีวรกายขาวผ่องงดงาม แต่เพราะการฝึกฝนการต่อสู้ ทำให้ร่างกายมีแผลเป็นติดกายอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจข้อเสนอนี่นัก


“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”


“เป็นข้าลากท่านมา”เมื่อความทรงจำเริ่มกลับคืนมาบ้าง อคิราห์ก็จำได้ว่าพระองค์ทรงล้มตัวลงนอนกับพื้นป่าใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ ไม่ใช่ถ้ำแบบนี้ และอีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่ากันนี่หรือที่ลากเข้ามา ทั้งๆที่การลากผู้ชายตัวโตขนาดนี้เข้ามาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยจริงๆ


“เจ้าเป็นใคร”


“ข้าเป็นแค่หมอที่ผ่านมา”  เจ้าของร่างเล็กที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตานั้นตอบคำถามหนึ่ง “แล้วท่านเล่า คือผู้ล่าหรือถูกล่า”  และถามกลับคำถามหนึ่ง


“ผู้ถูกล่า” จริงๆมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ในยามนี้ถือเป็นผู้ถูกล่า ในเมื่อเหลือเพียงแค่พระองค์ กับศัตรูที่มีมากกว่าสิบ อคิราห์นั้น ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้ไหว ดังนั้นสถานภาพตัวเองยังคงชัดเจนให้หงุดหงิดใจ 


การหนีเอาตัวรอดไม่ใช่หนทางที่อคิราห์อยากเลือก แต่พระองค์ก็ไม่อาจจะปล่อยให้ชีวิตสูญเปล่าไปได้ ทั้งนี้น่าแปลกนักที่เด็กหนุ่มซึ่งแลดูอายุน้อยผู้นี้จะเรียกตัวเองว่าเป็นหมอ และสามารถทำการรักษาพิษยากๆแบบนี้


แม้จะไม่ใช่หมอ แต่ก็ร่ำเรียนมาหลายแขนงวิชา และพิษที่น่าจะเป็นของคีรีธาราชนิดนี้ ก็ยังไม่เคยปรากฏวิธีรักษาให้หาย ความระแวงก่อกำเนิดขึ้นในใจ ทรงจ้องมองผู้ที่ใจดีรักษาตนอย่างครุ่นคิด เวลาตายไม่คอยใคร แม้จะเจ็บหนักแต่พระองค์ก็ไม่อาจจะกักเก็บความระแวงเอาไว้ได้


“อย่ามองข้า”  กระแสเสียงที่มีแต่ความไม่มั่นใจทำให้พระองค์หลุดออกจากมิติแห่งความคิด เมื่อพิศดีๆ เจ้าของยารักษาพิษนั้นก็พยายามจะหลบเลี่ยงไม่ให้มองหน้าอยู่จริง แต่พระองค์ก็เห็นแล้ว จะว่าเขินอายก็ไม่น่าใช่ เมื่อพิจารณาให้ดีก็จะพบได้ว่านั่นไม่ใช่อาการเขินอายแต่อย่างใด


ทว่ามันคือการทำตัวไม่ถูกยามถูกจ้องหน้า
เพราะใบหน้านั้น…ไม่ได้ดูน่ามองแต่อย่างใด


“….”


“ท่านจำเป็นต้องพักผ่อน”  คนตัวเล็กกล่าวแค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและหันหลังให้กัน นี่เป็นการพบกันระหว่างคนแปลกหน้าที่แปลกไม่ใช่น้อย แปลก…


เป็นการเริ่มต้นที่แปลก…เลยทีเดียว


การรักษาได้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเข้าคืนที่ 3 มันอาจจะเป็นการเริ่มที่แปลกไปสักหน่อย แต่อคิราห์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ทรงเจ็บหนักเช่นนี้ แล้วจะไปคาดหวังว่าตนเองจะเยียวยาอะไรตัวเองได้ อย่างน้อย คนๆนี้ก็ช่วยมายื้อชีวิตที่เคยเกือบสั้นจนน่าใจหายของพระองค์


เป็น ‘ท่านหมอ’ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตั้งแต่รักษา หาที่พัก นอกจากนั้นยังหาของกินมาให้ถึงที่ ตอนนี้พระองค์จึงยังมีชีวิตที่ค่อนไปทางสุขสบาย และตามประสาคนถูกตามล่าที่บาดเจ็บและกำลังหลงทางอยู่กลางป่าใหญ่ รอบด้านยังไม่มีอะไรที่ดูน่าสงสัย แต่ไม่แปลกหรอกที่จะระแวงและสงสัยไว้ก่อน


“เหตุใดจึงถูกตามล่า ท่านบอกข้าได้หรือไม่” 


“…”  พระองค์ทรงเงียบไปเมื่อถูกไต่ถาม ท่านหมอผู้อ่อนเยาว์ผู้นี้ฝีมือดีเกินคาด จากที่เกือบได้ไปเหยียบปรโลกมาจนตอนนี้ กับสภาพที่กินผลไม้ได้ตามปกติ พระองค์ถือว่าตนเองฟื้นตัวเร็วอย่างผิดปกตินัก


“ข้าเพียงแค่ถามไปเรื่อย อย่าใส่ใจเลย”  จริงๆแล้วท่านหมออาจจะมีความเคลือบแคลงอยู่ในใจไม่น้อย จะมีหมอสักกี่คนที่รักษาและช่วยดูอาการอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ทรงจ้องมองเด็กหนุ่มในชุดดำที่กำลังจัดการกับกองไฟ จริงๆจะจากไปเลยก็ย่อมได้ แต่ก็ยังอยู่ดูอาการให้  ทั้งๆที่ก็ยังกลัวว่าจะช่วยชีวิตคนผิดอยู่ก็ตาม


“เกรงว่าข้าเองก็บอกไม่ได้เช่นกัน”  ในทุกๆเรื่อง จะว่าอีกฝ่ายไม่ไว้ใจกัน พระองค์ก็หาได้ไว้ใจท่านหมอผู้นี้ แม้ 3 วันที่อยู่ด้วยกัน สิ่งที่อีกคนทำให้มีเพียงแค่ความหวังดี แต่เกมการเมืองที่ได้รู้จักมาตลอดชีวิต หลายครั้งคือการทำให้วางใจเพื่อลอบแทงทีหลัง และครั้งนี้ก็อาจจะไม่ต่างกันก็เป็นได้


  “คาดว่าในวันพรุ่งท่านอาจจะหาย ถึงยังใช้กำลังหนักมากไม่ได้ แต่ค่อยๆเดิน คงจะพอได้อยู่”


“ตอนนี้เราอยู่ในเขตของคีรีธาราใช่หรือไม่”


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”  และนั่นมันทำให้พระองค์รู้สึกยุ่งยากใจไม่น้อย กลายเป็นองค์ชายตกยากที่ถูกลอบทำร้ายไม่พอ ตัวเองอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ ไม่ได้สังเกตเลยว่าใบหน้าที่ดูไม่พอใจนั้นทำให้อีกคนรู้สึกไม่ดี ทั้งๆที่นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านหมอเลย


“บ้านช่องท่านเล่า?”  เมื่อรู้ตัวว่าใบหน้าดุขรึมของตนทำให้ใครบางคนสลดก็เลยเปลี่ยนเรื่องถาม แต่ก็ยังวนเวียนกับทิศทางอยู่นั่น แต่มันก็น่าคิด ว่าหมอคนหนึ่งจะซื่อบื้อขนาดช่วยคนจนหลงทางเองได้อย่างนั้นหรือ!?!


“อยู่ในเขตใกล้ชายแดนของสิหราชนครา”  แล้วเช่นนี้จะกลับอย่างไร คงเป็นคำถามที่คนป่วยตัวใหญ่อยากจะถามออกไป คนตัวเล็กเลยรีบตอบวิธีของตน “ข้าพอจะรู้เรื่องดาวนำทาง”


“ดาวนำทาง?”ใช่แล้ว..ดาวนำทาง


มันมีศาสตร์นี้อยู่จริง แต่เพราะพระองค์หาใช่นักเดินทางจึงไม่คุ้นเคย ดูจากสภาพของคนตัวเล็กที่มาช่วยกัน ก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นหมอที่ออกเดินทางในป่าบ่อย พบเจอเรื่องไม่คาดฝันมาก็คงจะเยอะแยะ จึงอาจจะคุ้นชินกับศาสตร์ชนิดนี้ แต่ถ้าเกิดเป็นพวกของศัตรูและกำลังตั้งใจจะลวงพระองค์ไปติดกับดักเล่า ตัวแค่นี้ทำอะไรกันไม่ได้แน่ แต่หลอกล่อไปก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ยังคงมองอีกฝ่ายอย่างหวั่นระแวง แต่ก็ยังหนักใจเรื่องที่ต้องหาทางไปเช่นกัน


“ทำไมเจ้าถึงรักษาพิษนี้ได้”


“หืม”


“มันเป็นพิษ…ชาดสีดำของคีรีธาราไม่ใช่หรือ”  ชาดสีดำ เป็นพิษที่แรกเริ่มจะเป็นสีชาด แต่เมื่อโดนหยดเลือดจะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำท่ามกลางสีแดงฉานของเลือด บาดแผลของพระองค์ก็มีสีดำ และเพราะฤทธิ์ที่เข้าทำลายระบบร่างกายของมันทำให้ทรงสงสัยว่าจะเป็นพิษนี้


อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่พิษที่หาได้ทั่วไปแม้แต่ในเมืองของคีรีธาราเอง มีการใช้ไม่แพร่หลายนัก การรักษาจึงไม่มีบอกชัดเจน ดังนั้นการที่อีกฝ่ายรักษาได้โดยง่าย มันจึงทำให้พระองค์หวนคิดได้ว่าหากเป็นคนปรุงพิษก็คงจะรักษาพิษได้เช่นกัน


“เป็นความโชคดีของข้าที่ออกตามหาสมุนไพรที่ใช้รักษาพิษนี้อยู่พอดี”


“แปลว่าท่านก็รู้อยู่แล้วถึงวิธีรักษา”


“ข้าได้รับการสั่งสอนมาจากอาจารย์”  คำตอบที่ดูเหมือนจะตรงไปตรงมาแต่ก็ทำให้สับสน ที่สับสนคงจะเพราะการแสดงออกนั้นมันดูไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยม แต่พระองค์ก็พยายามยัดเยียดข้อสงสัยต่างๆให้คนตรงหน้าอยู่ดี มันจะเป็นเพราะอคติ หรืออะไรกันนะ


สายตาคมที่มองมานั้นไม่ได้ดูเป็นมิตรแม้แต่น้อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ เขาก็ไม่ใช่คนแรกหรอกที่มองกันแบบนี้ตั้งแต่แรกเห็น และไม่อาจจะถือโทษโกรธอะไรเขาด้วยเพราะมันเสียเวลา และความรู้สึกของตัวเองคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุด


“…”  อาจจะเพราะใบหน้าของตนนั้นมีตำหนิใหญ่ที่มักจะสร้างศัตรูในคราแรกที่ได้พบอยู่บ้าง เพราะปานสีดำแดงที่กินพื้นที่ช่วงเหนือคิ้วขวาลงไปถึงข้างแก้มเหมือนเสี้ยวพระจันทร์ซึ่งมีมาตั้งแต่เด็ก ไม่แปลกเลยที่จะทำให้คนอื่นตกใจกลัวได้ คนแปลกหน้าที่ช่วยไว้ เมื่อตื่นมาเห็น เขาก็ผละออกไปในทันที ใบหน้ายามนั้น…ดูหวาดกลัวราวกับอยู่ต่อหน้าภูตผีก็ไม่ปาน


แต่จริงแล้วหาใช่ภูตผีที่จะสะใจเมื่อได้หลอกคนอื่นสำเร็จได้ และเพราะเป็นมนุษย์นั่นแล จึงต้องใช้เวลาปรับการทำงานของความรู้สึกเสียหน่อย ก่อนจะตัดใจและจัดหมวดหมู่ของคนไข้คนนี้ไม่ให้คำพูดหรือการแสดงออกของเขามีผลต่อจิตใจ การที่ต้องช่วยงานท่านอาจารย์หมอมาแต่เด็ก ทำให้ตนได้พบผู้คนมากมาย และเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้ ที่รออยู่คือ…


รอให้หัวใจชินชาเสียที


“โอ้ย!”ทว่ายังไม่ทันตั้งจิตทำใจอะไร เสียงร้องของคนป่วยก็เรียกกันจากภวังค์ สัญชาตญาณหมอเหมือนถูกปลุก คนตัวบางแทบจะถลาเข้ามาดู แต่กลับกลายเป็นว่า…


“เจ้าขนฟู!!” แล้วไปแง๊บมือเขาทำไมกันนะ!


คราวนี้แทนที่จะถลาไปดูแลคนป่วย กลายเป็นว่าต้องถลาไปคว้าเจ้ากระต่ายจอมหาเรื่องมาไว้กับตัวแทน ไม่เห็นขนาดแขนของเขาเลยหรือ?! สามารถหักคอเจ้าได้ในพริบตาเชียวนะ!


“อยากถูกจับย่างใช่ไหม!”  เอาแล้วไง! พิสูจน์ได้เลยว่ายาที่รักษาไปดีแค่ไหน คนป่วยตอนนี้ลุกขึ้น แทบจะกระโดดมาหักคอทั้งกระต่ายและเจ้าของกระต่ายแล้ว!


“มันก็แค่คันฟันนิดหน่อยเท่านั้นเอง!” นี่ไม่ได้ช่วยเขาไม่ให้ตาย เพื่อมาตายเองหรอกนะ!


“ไม่ได้กินเนื้อมาหลายวัน ข้าจะจับกระต่ายของเจ้าย่างซะ”  ฮือออออออออออออ คิดอะไรอยู่กันนะตอนนั้นไม่น่าไปช่วยยักษ์มารใจร้ายตนนี้เลย!!!!!


“อย่าทำกระต่ายของข้า!”


“เป็นเจ้าที่ไม่รู้จักดูแลสั่งสอนมันให้ดี!”  อันนี้ก็พอจะรู้ว่ามันนะชอบหาเรื่อง


แต่อย่างเสียงดังใส่กันได้ไหม…


“ฮึก”


“…”  ดูเหมือนว่าวันนี้


ก็คงต้องกินผลไม้ต่อไปอยู่ดี


“ฮึก”  ไม่ใช่เพราะเป็นคนดีที่จับกระต่ายหักคอกินไม่ได้ แต่เจ้าของกระต่ายไม่มีทางยอม  หากนี่คือคนของศัตรูแล้วก็ เรียกว่าหาทางที่แยบยลมาปราบกันได้จริงๆ แววตาของเจ้าของกระต่ายแดงก่ำคลอหยาดน้ำ ช้อนตามองกันอย่างตัดพ้อ


 มันไม่ได้น่ากลัวหรอก แต่เช่นนี้ให้เอามีดมาฟันกันให้ตายไปอีกรอบยังดีเสียกว่า


“เจ้า…”


“อย่ามายุ่งกับกระต่ายของข้า!”  ดูมองค้อนเข้าสิ คิดว่าแค่นี้จะทำให้ทรงเจ็บปวดหรือ? ไม่… ก็ไม่ได้เจ็บปวดหรอก


แค่รับมือ…ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่


“…”  ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ก็ไม่เคยรับมือกับคนอายุน้อยกว่าได้ดีจึงพยายามเลี่ยงคนที่ดูอ่อนแอไม่ทนไม้ทนมือมาตลอด


“ข้ารู้ว่าทำให้ท่านไม่ชอบใจ”  ก็ใช่ ไม่ชอบใจจริงๆที่เจ้ากระต่ายนี่มากัดกันไม่รู้จักเวล่ำเวลา “แต่ท่านไม่ชอบข้าก็อย่ามาระบายกับกระต่ายของข้าได้ไหม”  หืม…


ข้านะหรือ ไม่ชอบเจ้า?


คนตัวเล็กเกือบระบายความรู้สึกลำบากใจออกมาหมด ก็รู้ว่าตนเองน่าเกลียดน่ากลัว แต่ทนหน่อยเพื่อตัวเองไม่ได้หรืออย่างไรพรุ่งนี้ก็จะไม่อยู่ให้เห็นหน้าแล้ว ทีนี้ก็ไม่ต้องอดทนมองหน้าตาอัปลักษณ์นี่ให้หงุดหงิดหัวใจอีกต่อไป กับกระต่ายนี่ มันจะไปรู้เรื่องอะไรที่ไหน ไม่ชอบใจกันก็อย่าพาลกับสัตว์ตัวเล็กๆที่ไม่มีทางสู้สิ!


“ข้าไม่ยุ่งกับกระต่ายของเจ้าแล้ว”  เป็นพระองค์ที่ถอยทัพและกลับไปนั่งที่เดิม เจ้าของกระต่ายมองทุกอากัปกิริยาของเขาให้มั่นใจว่าเจ้าขนฟูจะปลอดภัย ก่อนจะปาดน้ำตาที่ไหลคลอน่ารำคาญนี่ น่าหงุดหงิดจริงๆ ที่ต้องมาติดอยู่ด้วยกันแบบไร้ทางเลือก เพราะไอ้ตอนที่เลือกได้


ก็ดันเลือกทางผิดมาแต่แรก!




Talk:  เป็นการเริ่มต้นที่ดีของคู่นี้ เรื่องนีคิดว่าคงไม่กี่ตอนก็คงจบนะคะ เราหวังไว้เช่นนั้น เปิดมาตอนแรกก็ดำเนินเรื่องอย่างไวเลย ทะเลาะกันตั้งแต่ตอนแรกแล้วจะไปกันรอดไหมรูกกกกกกกกกกกกกก แต่ไม่เป็นไร ทุบไปทุบมาก็รักกันได้เองแหละ เราหวังว่าเช่นนั้น5555 อย่าเพิ่งต่อว่าพระเอกของเราเลยค่ะ นั่งเฉยๆน้องก็กลัวแล้ว แต่นางทำอะไรน้องไม่ได้หรอก แค่นั่งเฉยๆก็โดนกัดได้แบบนี้จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำศศิได้กันล่ะ จริงไหม

ในส่วนความถี่ของการลงเรื่องนี้ เอาเป็นว่าค่อยๆดูกันไปก่อนได้ไหม ช่วงนี้หยุดยาวเราก็พอจะมีเวลาบ้างอยู่นะ แฮะๆ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2018 19:26:16 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เริ่มมาก็จะตีกันแล้ววว 555555555

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :katai2-1:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
2
ตกกระไดพลอยโจน
☼ ☽




“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ทำอะไรกับกระต่ายของเจ้าแล้ว!”  เป็นพระองค์ที่ทนไม่ไหวต้องพูดออกมา นอกจากทำคนร้องไห้เก่งแต่โอ๋ไม่ได้ เรื่องโน้มน้าวให้คนที่เคยร้องไห้เลิกมึนตึง ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่


นี่หรือคนที่องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราส่งไปเจรจาเพื่อให้เกิดความปรองดอง
คงทำได้ดีจริงๆถึงได้ถูกไล่ฆ่าและต้องมาง้องอนคนที่หลงป่าเหมือนกันในตอนนี้


“…”


“มานอนตรงนี้ได้แล้ว ผ้านี่ก็ผ้าของเจ้า”  ทำไมถึงเป็นเด็กแบบนี้กันนะ ไม่พอใจอะไรจะอยู่ห่างแค่ไหนก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรแสร้งแสดงว่าห่วงใยและสละผ้าคลุมให้พระองค์ห่ม ส่วนตัวเองไปอยู่เสียไกลแสนเช่นนั้น


“ท่านป่วยอยู่”พระองค์เป็นคนป่วยในระยะที่คล้ายปกติมาก และตอนปกติก็ไม่ใช่คนขี้หนาวอะไร สิหราชนครามีอากาศที่เย็น พระองค์ย่อมปรับตัวได้ แต่อีกคนที่อยู่ในสภาพปกติกว่ากลับสั่นหงกๆนั่นแหละที่น่าห่วง สั่น…ทั้งคนและกระต่ายเลย



“ข้าบอกว่าจะไม่ทำอะไรกระต่ายเจ้าแล้ว”  ทรงตรัสออกไปมากกว่าสิบครั้งในวันนี้


“…”


“แต่เริ่มจะโกรธเด็กดื้อด้านอย่างเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว”


“ข้าไม่ใช่เด็กดื้อด้าน”


“คนที่งอนอย่างไร้เหตุผลนะหรือไม่ใช่เด็ก”


“…”


“หากเป็นผู้ใหญ่เพียงพอคงจะไม่ทำความลำบากให้ตัวเองเป็นแน่”  ดูเหมือนอคิราห์ จะจับจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของกันได้


ร่างสูงของคนป่วยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาก้าวไปหาท่านหมอกระต่ายที่นั่งอีกมุมหนึ่งก่อนจะคลุมผ้าและแยกออกมานั่งที่เดิม กอดอกและหลับตาลง จุดอ่อนที่เผลอจี้อาจจะทำให้เกิดอาการขุ่นเคือง แต่ก็ไม่คิดจะง้องอนอะไรเพราะที่พูดไปก็ตั้งใจจะสะกิดแผลใจ คงมีบ้างที่อีกฝ่ายต้องโดนปรามาสในฝีมือเพราะความเยาว์วัย พระองค์ก็แค่คิดและลองตรัสดู ไหนเลยจะมั่นใจว่าคำพูดนั้นจะจริง


เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาเรื่อยๆทำให้พระองค์ต้องรีบสะกดริมฝีปากที่กำลังจะหยักยิ้ม ท่านหมอตัวน้อยคลุมผ้าให้คืนเหมือนเดิมก่อนจะสอดตัวมานอนข้างๆ และมันอาจจะเป็นเหมือนเดิม เมื่อหลับไปสักพัก เราก็จะเขยิบหากันโดยไม่รู้ตัว อคิราห์ก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้นัก ความใกล้ชิด รังแต่จะทำให้อึดอัด แต่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ก็คือห้ามเลือก และพระองค์ก็ไม่เย็นชาจนปล่อยให้คนที่ดูบอบบางกว่าต้องป่วยไข้ได้ลงคอ


และเช้าแห่งการจากลาก็มาถึง


ท่านหมอที่เคยตัดพ้อในความโหดเหี้ยมของคนที่จะหักคอกระต่ายของตนนั้นใจดีกว่าที่คิด  เสื้อของพระองค์นั้นขาดเพราะถูกลอบฟันแทงมาก็เย็บปะให้ วันนี้อคิราห์จะได้กลับมาใส่อาภรณ์ของตนเสียที หลังจากที่ต้องเปลือยอกอยู่หลายวันเพื่อรักษา นิ้วมือเรียวเล็กของท่านหมอนั้นสัมผัสไปบนแผ่นอกที่แผลสมานดีแล้วในตอนนี้


จะว่าไปเจ้าตัวก็ดูคล้ายกระต่ายของตนเอง บางทีก็กระฟัดกระเฟียดใส่ บางทีก็ทำตาใสน่าเอ็นดู


“แผลของท่านดูดีขึ้นทีเดียว”  และถูกมองอยู่อย่างนี้ก็ยังไม่รู้ตัว เป็นกระต่ายที่รู้สึกช้า มาถึงตรงนี้อคิราห์ก็ตระหนักได้ถึงความใกล้ชิด ทว่าการกระทำที่ละลาบละล้วงของกระต่ายดื้อตนนี้ ไม่ได้มีแววแห่งความเสน่หาแบบที่พระองค์เคยเจอจากคนอื่นที่พยายามเข้าใกล้อยู่เลย


น่าแปลกที่ตนเองก็ไม่นึกรังเกียจที่ถูกลูบไล้
กลับกัน…ดันเอาเวลาไปคิดซะได้ว่ามือของอีกฝ่ายดูเล็ก บอบบาง และนิ่มนวล


“ว่าแต่เจ้าจะไปที่แห่งใด”


“กลับไปที่ค่าย ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงข้าแล้ว”  เพราะเอาแต่ใจสนใจคนป่วย ก็เลยแทบจะลืมไปเลยว่าหายไปหลายวัน เช่นนี้อาจารย์คงเป็นห่วงมาก ก่อนออกมาก็ไม่ได้บอกก่อนว่าจะไปนานขนาดนี้ และก็ไม่เคยไปไหนนานขนาดนี้มาก่อนด้วย


“ค่าย…ค่ายอะไร?”


“…”


“ข้าก็ไม่ได้หวังให้เจ้าบอกหรอก แต่อยากให้รู้ไว้ว่ากับคนที่หวังดีช่วยเหลือกัน ไม่มีเหตุผลให้ข้าตามไปทำร้ายเลย”  นี่คือความจริง แม้จะไม่ไว้ใจ แต่เท่าที่รู้จักกันมา ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ได้โหดเหี้ยมอะไรขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นจะทนกินผลไม้ ทั้งๆที่กระต่ายน่าตายนอนอยู่ข้างๆมาหลายคืนเช่นนี้ไปทำไม!?


“ค่ายที่ชายแดนของสิหราชนครา ที่ด่านชายแดนทิศตะวันตกที่ 2” เป็นอคิราห์ที่ต้องแปลกใจ ที่นั่นคือสถานที่ที่พระองค์คิดจะไปเช่นกัน ว่าแต่ท่านหมอผู้นี้มาจากที่นั่นงั้นหรือ ก็เป็นไปได้ เพราะพระองค์ก็ถูกลอบทำร้ายที่ชายแดนฝั่งคีรีธารา ไม่ไกลจากด่านนั้นของฝั่งสิหราชนคราเลย


“แล้วเจ้าไปถูกหรือ?”


“ข้าต้องลองดู แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”


“…”


“งั้นเรามาแยกกันตรงนี้เถิด”


และคนใจดีที่แสนเย็นชาก็ไม่ปล่อยให้พระองค์ได้เอ่ยคำว่า ‘ไปด้วยกันเถอะ’ ออกมา


ทรงรู้สึกเหมือนชาไปหมดหลังจากได้ยินอย่างนั้น คนตัวเล็กนั้นหันไปจัดการกับสัมภาระของตัวเองและกองไฟที่มอดแล้ว เก็บกวาดเพื่อไม่ให้ใครที่ตามมารู้ได้ว่าตรงนี้เคยมีร่องรอยของคนอยู่ อคิราห์เพียงหันไปมองอีกฝ่ายที่ยุ่งอยู่กับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมา พระองค์ก็ไร้แผนการเช่นกัน แต่การอยู่ต่อไปก็ไม่ทำให้อะไรดีๆเกิดขึ้น


การพบเจอกันอย่างฉาบฉวยมันเป็นอย่างนี้เอง สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็อาจจะเป็นแค่หมอธรรมดาที่หวังดีต่อมนุษย์คนหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนและ 4 วัน 3 คืนที่อยู่ด้วยกันตลอดนั้น มันได้สร้างความผูกพันไม่มากก็น้อยเอาไว้ เมื่อทรงเสด็จออกมาจนพ้น ก็ตระหนักได้ว่าคืนนี้จะไม่มีใครให้เถียงหรือโวยวายใส่ ใจมันก็พาลจะ…รู้สึกแปลกๆอยู่ไม่น้อย


“เฮ้ย! ทางนั้น”  เสียงที่ดังออกมาทำให้หยุดคิดเรื่องหนึ่งเพื่อตั้งรับอีกเรื่องให้ดี ทรงรีบหลบและแอบมองสถานการณ์ที่เป็นไป ดูเหมือนว่าอันตรายกำลังจะเข้ามาใกล้ตัว จำนวนศัตรูยังไม่แน่ชัด ทางหนีที่ควรไป…ก็ยังไม่รู้ พระองค์อาจจะมีกำลังพอที่จะสู้ได้ แต่คนเดียวโดยไร้อาวุธรคงยาก และหากถามว่าอยู่คนเดียวทำอะไรได้ไหม


ในหัวก็พลันคิดถึงอีกคนขึ้นมา


“บ้าเอ้ย!”  ทรงไม่รอช้าหวนกลับไปทางที่เดินมาโดยไม่ได้จัดการกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดีๆ เป็นครั้งแรกที่ประมาทขนาดนี้ แต่ต้องรีบไปแล้ว แม้จะไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกันกับพวกนั้นก็ตาม


“ท่าน!”  เจ้าของกระต่ายนั้นเดินออกมาถึงปากถ้ำ มองร่างสูงที่ตนสั่งห้ามไม่ให้วิ่งหรือออกแรงเกินไปด้วยแววตาเป็นกังวลระคนขุ่นเคืองใจ แต่ยังไม่ได้ต่อว่าอะไร เขาก็คว้ามือของตนเอาไว้


“พวกมันมาถึงนี่แล้วและคงจะตามมาถึงในไม่ช้า”


“พวกมัน? เอ๊ะ! พวกที่ตามล่าท่านนะหรือ?!”  แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่ ไม่หรอก…เกี่ยวหรือไม่พวกมันก็ไม่น่าหวังดีต่อสิ่งมีชีวิตที่พูดภาษาเดียวกัน และเมื่อมองให้ดี แม้ท่านหมอผู้นี้จะมีปานบนใบหน้าแลดูประหลาด แต่เรือนร่างที่อรชรดูงดงามนี่ก็อาจจะดึงดูดความสนใจของพวกเลวทรามนั่นได้


แล้วเราจะหนีไปทางไหนกัน???


“เจ้าขนฟู!”  ยังไม่ทันจะนึกออก เจ้าตัวแสบที่น่าจะหักคอเสียเมื่อวานก็กระโดดลงจากย่ามและเข้าไปในถ้ำ ตอนนี้ต่อให้ควรจะรักตัวกลัวตาย เจ้าของกระต่ายก็ไม่ฟังคำทัดทานใดๆและวิ่งตามเข้าไป บ้าจริงๆ! เป็นเช่นนี้พระองค์ก็จะต้องตามเข้าไปด้วยน่ะสิ!


เจ้าขนฟูตัวเล็กที่ไม่ควรจะเร็วกว่ามนุษย์ทั้งสองกลับเร็วใจหาย หากสุดถ้ำนี้เป็นทางตัน ก็เท่ากับเราเอาชีวิตมาทิ้งไว้แบบไร้ซึ่งความหวังจริงๆ  อคิราห์นั้นรีบคว้าท่านหมอเอาไว้ แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามจะคว้าเจ้าขนฟูที่หนีลอดเข้าไปในช่องแคบๆที่มนุษย์ไม่อาจจะเข้าไปได้


“มันอันตรายนะ ทางตันแบบนี้”


“แต่เจ้าขนฟู!”


“เจ้านั่นไม่เป็นอะไรหรอก เจ้ากับข้านะสิ!”  มันก็จริง แต่เราก็คงออกไปไม่ได้แล้วอยู่ดี เพราะเป็นไปได้เหลือเกินว่าอันตรายกำลังจะคืบคลานมา อคิราห์มองไปรอบๆ รู้สึกหมดหวังแต่ก็พยายามสร้างความหวังให้ตนอยู่เสมอ หากจะมีช่องให้หลบซ่อนหรืออาวุธอะไรที่พอจะต้านทานไว้ได้ก็คงจะดี


มันต้องมีสักทางที่ทำอะไรได้บ้างสิ!


“หืม”  แต่แล้วอยู่ๆท่านหมอน้อยก็ส่งเสียงร้องออกมา ก้อนหินรูปทรงไม่เข้าพวกตรงนั้นช่างสะดุดตา พลันความคิดที่เหลือเชื่อก็แล่นเข้ามาในหัว ที่นี่อาจจะเป็นสถานที่แห่งนั้นก็เป็นได้!


“อะไรหรือ”  อคิราห์นั้นเอ่ยถามหลังจากเห็นคนตัวเล็กนิ่งไป เจ้าตัวเพียงกวักเรียกให้เข้าไปหาโดยไม่ได้ตอบ แต่การกระทำชัดเจนดี มือเล็กนั้นพยายามดันก้อนหินนั้นไปทางด้านหลังสุดกำลัง


ครืน!


“นี่มัน!”  ไม่นาน… ผนังด้านหนึ่งของถ้ำที่ดูเหมือนจะเป็นทางตันก็เปิดออก เจ้าของกระต่ายพยักหน้าให้เดินเข้าไปด้วยกัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร” แม้จะเห็นความหวังตรงหน้า แต่ก็ทรงมีคำถาม


“ข้าแค่มีความหวัง”  หากมองโดยรวมแล้วถ้ำนี้ก็ดูไม่ได้แตกต่างจากถ้ำไหนๆ แต่อาจจะเพราะความหวังที่จะมีชีวิตรอดกระมัง ที่ทำให้สวรรค์ประทาน ‘ถ้ำลวงตา’ มาให้ 


ถ้ำลวงตา…ที่เป็นความเชื่อมาเนิ่นนานว่ามีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนแผ่นดินนี้


อคิราห์จ้องมองกันไม่วางตา เกิดคำถามมากมายแต่ไม่ได้ตรัสถามออกไป ไฉนถึงรู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ทั้งๆที่เมื่อครู่ก็จนตรอกเช่นกัน และเมื่อเข้ามา อีกฝ่ายก็หาทางปิดมันได้จากอีกฝั่ง ทว่าเมื่อไถ่ถามไป ก็ไม่ตอบให้ชัดเจน


แต่จะบอกว่าคิดร้ายต่อกันก็เอ่ยไม่ได้เต็มปาก มีหรือที่รู้ว่าพรรคพวกอยู่ไม่ไกลแล้วจะพาเดินหนีเข้ามาในถ้ำแบบนี้ พระองค์ยังคงยืนยันว่าแค่ตัวคนเดียวเอาชนะพระองค์ไม่ได้แน่นอน แต่ปริศนาของอีกฝ่ายก็มีเยอะเกินไป เยอะจนปลุกต่อมระแวงให้กลับมาทำงานอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง


“ท่านอาจารย์ของข้าเคยเล่าว่ามันมี”


“…”


“ข้าเองก็เพิ่งได้เห็นกับตา”


“แล้วอาจารย์ของเจ้าได้บอกไหมว่าทางนี้จะพาเราไปไหน” และที่สำคัญจะมีอะไรดักรอกันอยู่หรือเปล่า?


“ข้างหน้าจะเป็นป่าใกล้ๆกับเมืองชายแดนของสีหราชนครา”  เจ้าของกระต่ายนั้นหยุดคิดเล็กน้อย “อาจจะต้องเดินเท้าเป็นวันๆกว่าจะถึงค่ายที่ท่านอชิระดูแลอยู่”


“ท่านอชิระ? ท่านแม่ทัพนะหรือ?”


“ท่านรู้จักท่านแม่ทัพอชิระด้วยหรือ?”  นั่นเป็นคำถามของพระองค์ชายต่อพสกนิกรคนหนึ่งใช่หรือไม่ พระองค์ย่อมรู้จักอยู่แล้ว ว่าแต่พสกนิกรคนหนึ่งตรงนี้เล่า เหตุใดจึงย้อนถาม? อ่อ…เพราะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของพระองค์สินะ


“เป็นญาติกันน่ะ”  นี่ไม่ใช่คำลวง แต่อีกฝ่ายกลับหรี่ตามอง ไม่เชื่อในคำโป้ปด ก็เป็นญาติจริงๆนี่ น้องชายคนเล็กของพ่อถือว่าเป็นอาใช่ไหม “เอาเป็นว่าข้ารู้จัก”  เลยตัดปัญหาไป ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ถือว่าไม่ได้โป้ปดออกไป


“พูดให้ข้าฟังมันก็ดีอยู่หรอก ท่านอชิระไม่ใจดีนัก หากทราบเข้า ท่านจะลำบาก”


“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”คำพูดของท่านหมอทำให้พระองค์นึกขัน ก็จริงว่าเสด็จอาอชิระนั้นหาใช่คนใจดีนัก แต่กับพระองค์ที่เป็นหลานชายแล้วก็พอจะใจดีด้วยอยู่ ทว่าคำถามนี้กลับทำให้คนที่เหมือนกระต่ายอีกตัวสะดุ้งโหยง


“กะ…ก็ ข้าช่วยชีวิตท่านไง”  ก็จริง ถ้าช่วยให้ไม่ตายแล้ว ก็ไม่สมควรตายง่ายๆเหมือนปลาหมอตายเพราะปาก พระองค์ควรตระหนักในความหวังดีนี้แล้วเลิกหยอกล้อไปซะ เพราะแค่นี้…ท่านหมอก็อยากจะกุมขมับจะแย่!


เราสองคนเลือกที่จะเดินต่อ แม้ไม่แน่ใจว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร คาดว่าต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงปากถ้ำ ภายในก็มืดมิด จึงต้องใช้ตะเกียงอันเล็กที่มีอยู่ จากที่เคยได้ยิน ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงอาจจะถึงจุดหมาย แต่ต้องใช้เวลาในการเดินเข้าไปในหมู่บ้านอีกสักพัก


ในที่สุดอคิราห์ก็มีภาพแผนที่ชายแดนขึ้นมาในหัว พื้นที่ตรงนี้ควรจะเปราะบาง ทว่าที่ไม่มีทหารคุ้มกันฝั่งที่เราเข้ามาเพราะลักษณะที่เป็นปราการธรรมชาติ ภูเขาอันสูงชันทำให้คนของสองแผ่นดินไม่สามารถใช้เส้นทางเดินเขาในการลักลอบผ่านเข้าออกไปมาได้ แต่ถ้ามีคนรู้ว่ามันมีทางเข้าจากในถ้ำที่พวกเราใช้นี้ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เลยทีเดียว


และในตอนนี้ว่าที่กษัตริย์แห่งสิหราชนคราก็ตั้งใจที่จะส่งคนมาคุ้มกันพื้นที่นี้แบบลับๆ


เราหลงทางกันไปไกลจากค่ายที่แม่ทัพอชิระดูแลอยู่พอสมควรเลย และต้องเป็นคนแบบไหนกันที่จะบอกให้ท่านหมอผู้นี้รู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่อันตรายเช่นนี้ได้ อคิราห์หมายมั่นในใจ ว่าจะต้องไปเจออาจารย์ของท่านหมอน้อยผู้นี้ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย การเจอกันกับคนเล็กๆคนหนึ่ง อาจจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ระดับความมั่นคงได้จริงๆ


“ท่านเหนื่อยไหม”  อยู่ๆคนตัวเล็กก็พูดขึ้น เรามีแค่แสงนำทางเล็กน้อย ในถ้ำที่แทบไม่มีแสงลอดผ่าน อาการที่ร้อนจนเหงื่อซึมหน้าทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี


“ข้ายังไหว”


“ข้ามีน้ำกับเสบียงอยู่บ้าง เรากินก่อนก็ได้นะ”จริงๆแล้วพระองค์ยังทนไหวจริงๆ และก็พอจะรู้ว่าเสบียงนั้นไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่


“เจ้าพอจะทราบไหมว่าเราต้องเดินอีกไกลไหม”


“ข้าเพียงได้ยินว่าเส้นทางไม่ซับซ้อน เดินไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงปากถ้ำแล้ว”


“งั้นเจ้ากินไปแต่พอดี”


“ข้าบอกให้ท่านกิน”


“ถ้าข้าไม่ไหวข้าจะกิน” หลังจากตรัสออกไปก็ทรงเงียบไปชั่วครู่ “แต่ถ้าเจ้าไม่ไหว ข้าก็คงแบกออกไปไม่ไหวเช่นกัน”  ในความมืด ทรงพระสรวลออกมา ด้วยเคยฝึกฝนร่างกายมาจึงพอรู้ลำดับขีดสุดที่รับไหว แม้จะยังไม่แข็งแรงพอแต่ก็ทรงประมาณตนเองได้ดี มีแต่อีกคนนั่นแหละ ผอมบางราวกับจะปลิวได้เช่นนี้ จะทนไหวหรือ?


“ข้ายังไม่หิว”  คนตัวเล็กเอ่ยออกมา  “เราควรหาทางออกให้ได้เร็วที่สุดค่อยกิน”  เพราะไม่มีใครรู้จริงๆว่าทางออกจริงๆอยู่ตรงไหน การเสียเสบียงไปอย่างไม่รอบคอบอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ในภายหลัง อคิราห์เพียงรับทราบ แต่สุดท้ายเราก็ตกลงจะดื่มน้ำกันคนละนิดหน่อยให้พอเยียวยาความแห้งผากของลำคอพวกเราเดินทางกันต่อด้วยไม่อยากให้ถึงปากทางในยามค่ำมืด ต่อให้ไปถึงจุดหมายแล้วก็ยังต้องระวังภัย อาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่ปลายทาง


เจ้าของกระต่ายนั้นเดินมานาน น่ากลัวว่าตอนนี้ก็คงจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ละย่างก้าวแลดูช้าลง ทว่าไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหรือเอ่ยปากขอ พระองค์ไม่ได้เสนอความช่วยเหลือใดๆ เพียงแค่สังเกตเด็กคนนี้เรื่อยๆ


“ข้าเหมือนเห็นแสงสว่างที่ด้านหน้า” อคิราห์เอ่ย ท่านหมอน้อยที่เดินตามกันมานั้นเงยหน้าขึ้นมามอง คนตัวสูงอาจจะไม่เห็น แต่เจ้าตัวยิ้มร่าด้วยปลื้มปิติ  “อย่าผลีผลามเข้าไป เราต้องดูให้แน่ใจว่าข้างหน้าไม่มีอะไร”  ทรงเอ่ยเตือน คนตัวบางจึงพยักหน้าตอบรับ หลบเลี่ยงการเดินตรงและติดตามเขาไปในทุกย่างก้าว


“ตรงนั้นมีเด็กนี่”  พระองค์ก็เห็นตามนั้น พิจารณาได้ว่ามันคงไม่มีอะไร แต่จะให้เดินออกไป อาจจะทำให้เด็กพวกนั้นตกใจกลัว ทว่ายังไม่ทันตอบตัวเองได้…


เจ้าของกระต่ายก็ถลาเข้าไปหาเด็กพวกนั้นเสียแล้ว!!!


“ธีระ นั่นเจ้าใช่ไหม!” ยังไม่ทันได้สั่งห้าม ท่านหมอที่ดูไม่ได้โตกว่าเด็กพวกนั้นสักเท่าไหร่ก็เรียกได้แม้แต่ชื่อ พระองค์ทรงดูซื่อบื้อไปเลย!


“พี่ศศิ!พี่ศศิใช่หรือไม่!”  เด็กคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงเรียกนั้นทิ้งดาบไม้ของตนและหันมาขานรับก่อนจะวิ่งมาหา ต่อให้ตอนนี้มีคนลอบสังหาร ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วในเมื่อเล่นวิ่งไปเอาธนูมาปักอกเองเสียอย่างนั้น ทรงเสด็จตามเจ้าของกระต่ายที่ป่วนเก่งไม่แพ้กัน ดูท่าจะเป็นบุคคลยอดนิยมในหมู่เด็กๆไม่น้อย เพราะเรียกคนหนึ่ง อีกหลายคนก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบ


“โล่งอกไปที ในที่สุดข้าก็กลับมาได้”


“ท่านอาหมอใหญ่โกรธท่านมาก มาคราวนี้ท่านต้องโดนอดขนมเป็นแน่!”  นี่หรือวิธีการทำโทษเด็กที่หายออกจากบ้านไปหลายวันของคนแถวนี้ อคิราห์ที่เดินตามมานั้นรู้สึกประหลาดใจไปกับทุกสิ่งตั้งแต่เช้ามา และคนเป็นพี่ก็โวยวายออกมาหลังจากได้ยินเช่นนั้นการงดขนมคงจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆของท่านหมอตัวเล็กผู้นี้


“ท่านพาใครมาด้วยหรือ?”  เด็กคนหนึ่งที่สังเกตเห็นกันนั้นเอ่ยถาม “เอ๋!ไหนพี่ศศิบอกว่ายังไม่มีคนรักอย่างไรเล่า!” แล้วมันกลายเป็นข้อสันนิษฐานเช่นนี้ได้อย่างไร?! บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าหลอกลวงหันขวับ ก่อนจะรีบปฏิเสธโดยพลันว่าไม่ใช่ แทนที่จะสร้างความลำบากใจให้กับพระองค์ที่ถูกกล่าวหาร่วมด้วย เรื่องนี้กลับดูน่าขำขันเสียมากกว่า


“ท่านขำอะไร มันไม่ใช่ไง!”


“ก็เพราะว่ามันไม่ใช่อย่างไร ข้าถึงได้ขำ”  จะให้พระองค์พูดได้อย่างไรว่าท่าทีแข็งขันที่จะปฏิเสธคำกล่าวหาของท่านหมอนั้นมันน่าขำมากกว่า แต่เมื่อทรงตรัสคำลวงออกมา นัยน์ตาของคนได้ฟังก็พลันหม่นแสงไปชั่วครู่ หรือนี่อคิราห์ทำอะไรผิดลงไปอีก?


“ไม่เป็นไรนะศศิ เจ้าอาจจะขี้เหร่ไปเสียหน่อย แต่ถ้ารอได้ เมื่อข้าโตแล้วจะไปขอรับผิดชอบเจ้ากับท่านอาหมอใหญ่เอง”  แล้วหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นก็เอ่ยออกมา เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะน้อยๆจากคนที่ซึมไปเพียงครู่ทันที ทว่าสิ่งหนึ่งได้สะกิดใจพระองค์เข้าอย่างจัง…


หน้าตาขี้เหร่งั้นหรือ?


เราได้ออกมาจากถ้ำกับกลุ่มเด็กที่จะไม่ยอมแยกไปจากพี่ศศิของพวกเขา อคิราห์นั้นไม่ต่างจากก้างขวางคอ จะว่าไปพระองค์ก็เพิ่งได้รู้ว่าท่านหมอที่ดูแลกันอยู่หลายวันมีชื่อที่ดูไพเราะไม่น้อย ‘ศศิ’แปลว่าพระจันทร์ หรือที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะปานที่ดูคล้ายพระจันทร์เสี้ยวบนใบหน้า?


“ท่านลุง อยู่ไหมจ้ะ”  ศศิเรียกหาใครสักคนในกระท่อมหลังจากที่เราเดินกันมาจนจะเข้าเขตหมู่บ้าน


“ศศิ นั่นเจ้าหรือ!?”เจ้าของกระท่อมที่น่าจะเป็นคนที่ถูกเรียกหานั้นเดินออกมา ท่าทางดูตื่นตกใจไม่น้อย


“เป็นข้าเอง ได้เจอคนรู้จักมากมายเช่นนี้ รู้สึกสบายใจนัก” 


“เจ้าหายไปไหนมา ท่านอาจารย์หมอของเจ้านั้นร้อนรนไม่น้อย”


“ข้าบังเอิญช่วยท่านผู้นี้ในป่า ดูอาการเขาสักพักจึงออกมา เดี๋ยวก็จะรีบออกเดินทางไปที่ค่ายแล้ว ท่านอาจารย์คงอยู่ที่นั่น”


“ศศิ” ใบหน้าของท่านลุงคู่สนทนาดูลำบากใจไม่น้อย ยิ่งศศิยิ้มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกรับมือกับความรู้สึกได้ยาก “ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกตินัก” คำพูดนี้เรียกความสนใจจากอคิราห์จนต้องหันมามองหน้าคนพูดเต็มตา ทรงอยากเดินเข้าไปถามเองว่ามันเกิดอะไร แต่ก็ยับยั้งชั่งใจ เลือกที่จะเป็นผู้ฟังอยู่ด้านหลังคนที่ร้อนใจไม่แพ้กัน


“เกิดอะไรขึ้นหรือ”  ดวงตาของคนถูกถามหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากตอบออกมา


“ได้ยินว่ามีเจ้าหน้าที่ของทางเมืองหลวงมาเสริมทัพตามหาคนสำคัญ แต่มีคนภายในบอกว่าเหล่าองครักษ์ที่มานั้นขึ้นตรงกับเจ้าณรงค์ชัย”


“เจ้าณรงค์ชัย?”  ชื่อนั้นดังก้องในพระทัย เจ้าณรงค์ชัยนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระมารดา มีศักดิ์เป็นลุงของพระองค์


กับญาติผู้ใหญ่ผู้นั้น ก็มีความสัมพันธ์กันประมาณหนึ่ง แต่การที่องครักษ์ของเจ้าณรงค์ชัยที่เป็นอธิบดีการค้ามาที่นี่เพื่อตามหาคนสำคัญ มันฟังดูแปลกประหลาดไม่น้อย ยิ่งหากถ้าคนสำคัญคืออคิราห์ที่หายไปด้วยแล้ว คนที่ควรจะออกตามหา ไม่น่าจะเป็นคนของลุง แต่ควรจะเป็นองครักษ์หลวงหรือของพระองค์เองมากกว่า


“เป็นเจ้าณรงค์ชัยที่คอยช่วยเหลือคีรีเขตนั่นไง อาจารย์เจ้าไม่เคยเล่าให้ฟังเลยหรือ” ท่านลุงผู้นั้นถามกลับไปยังศศิ แต่คนตัวเล็กเพียงเงียบและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คำกล่าวหานั้นช่างรุนแรงนัก แต่แทนที่จะออกตัวไป อคิราห์เลือกที่จะเงียบและเรียบเรียงคำถามต่อในใจ


เจ้าณรงค์ชัยเป็นอะไรกับคีรีธารา?
แล้วอาจารย์ของศศิคือใคร เหตุใดถึงรู้?
และศศิกับคนที่นี่ทำไม…ถึงดูระแวงกันเช่นนี้?


“ตอนนี้ท่านอาจารย์ ไปอยู่ไหนแล้ว”


“คาดว่าคงหลบหนีไปแล้ว”


“…”


“เจ้าพอจะรู้บ้างหรือไม่ว่าท่านไปที่ไหน”


“ไม่รู้เลย”  ศศิเงียบลง ดูเหม่อลอยไร้ซึ่งทิศทางไปต่อ อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้คงคิดอะไรอยู่ และอาจจะมีบางเรื่องที่รู้ แต่บอกใครไม่ได้เช่นกัน


“แม้แต่แถวนี้ก็ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเจ้านัก หากจะให้แนะนำ เจ้าควรปลอมตัวและหลบหนีไปสักพัก เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ค่อยกลับมาจะดีกว่า”  สำหรับคนฟังแล้วนั้น วิธีนี้แลดูจะดีกว่าจริงๆ แต่ตอนนี้…ข้อมูลที่ได้รับมานั้นมันมากเกินไปแล้ว ศศิไม่อาจจะรับฟังได้อีก และร่างทั้งร่างก็เหมือนไม่เป็นของตนเองอีกต่อไป


“เจ้า!”  แม้แต่เสียงเรียกสุดท้ายของอคิราห์ที่มาด้วยกันจะได้สดับรังฟังหรือไม่ก็ไม่รู้เลย


เพราะตอนนี้ศศิได้สิ้นสติอยู่ในอ้อมพระอุระของพระองค์แล้ว…




Talk:  ไม่ได้มาต่อนานมากมาย แต่อยากให้รู้ไว้ว่าเราไม่ได้เทนะคะ หนีไปแต่งค่ะ แต่งเก็บไว้หลายๆตอน อยากจะปล่อยแบบรวดๆๆเหมือนกันแต่ก็ทำไม่ได้ เอาเป็นว่าเอาตอนนี้มาปล่อยไว้ให้ทราบกันก่อนนะคะว่ายังต่ออยู่ไม่หายไป

จริงๆเราแต่งไปสิบกว่าตอนแล้วค่ะ เทไม่ไหว เทไม่ลงจริงๆ แต่ที่ไม่ลงเนี่ย เพราะมันอาจจะมีการปรับนั่นนี่ตลอด เลยไม่กล้าลงไปแต่งไป จะได้แก้ไขก่อนเปิดให้อ่านเนอะ

ยังไงฝากน้องกระต่ายของเราด้วย ทิศทางเรื่องจะเป็นดินแดนสองดินแดนในโลกที่เกือบเหมือนโลกของเรา5555 คือบางเรื่องบางส่วนมันอาจจะไม่ได้สมกับเป็นวิทยาศาสตร์ที่เรารู้จักกันเท่าไหร่ แต่ไม่ได้เมจิเคิลอะไรขนาดนั้น หากมีคำถามอะไรสามารถทิ้งไว้ได้นะคะ เราจะไปตอบหรือไม่ก็มาอธิบายในทอล์ก


ฝากน้องวินแอนด์ตอนพิเศษในเจนไม่นกด้วยเด้อ


#อาทิตย์ศศิ
Twitter @reallyuri
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2018 19:24:34 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เราก็สงสัยเหมือนกับอคิราห์เลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 2 : 11/11/2018
« ตอบ #9 เมื่อ: 08-11-2018 23:12:12 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 2 : 11/11/2018
«ตอบ #10 เมื่อ09-11-2018 10:25:01 »

ศศิเป็นลูกของใคร
แล้วคุณลุงของอคิราห์มาเกี่ยวอะไร  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 3 : 1/12/2018
«ตอบ #11 เมื่อ01-12-2018 19:12:35 »

Finding the twilight
3
เมียคนสวย
☼ ☽


มันก็ไม่เหมือนกับว่าโลกได้ถล่มทลายลงมาข้างหน้าหรอก
แต่ศศิก็ไร้แรงเดิน


“อืม” 


“ฟื้นแล้วหรือ”  เสียงของชายหนุ่มที่เคยได้รับการรักษาจากคุณหมอผู้มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอผู้นี้ ศศิรับรู้แล้วว่าตนได้เป็นลมสลบลงไป และก็คงเป็นเขาที่ให้การช่วยเหลืออุ้มพามานอนดีๆ เพราะบริเวณนั้นคนที่พอจะมีกำลังวังชาทำเช่นนั้นได้ก็คงมีแค่เขาคนเดียว


“ข้าหลับไปนานไหม”  เวลาคือสิ่งสำคัญ แม้จะยังคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่…บางทีนี่ก็อาจจะช้าไปเสียแล้ว


“ค่อยๆลุก”  คนป่วยที่ฝืนตัวเองทำให้ต้องเอ่ยเตือนออกไป “ไม่นานหรอก แต่นี่ก็มืดแล้ว”


“ข้า…ต้องรีบไปที่ค่าย”


“เจ้าจะไปจริงๆนะหรือ”ทั้งๆที่คนตักเตือนไว้อย่างนั้น “มันไม่อันตรายสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ”  ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย แต่การทำเป็นพูดเหมือนรู้ดี ก็อาจจะทำให้รู้ขึ้นมาได้จริงๆ


“บางทีท่านอาจารย์ของข้าอาจจะอยู่แถวนั้น”


“แต่ทุกคนบอกว่าเขาไปแล้ว”


“…”


“คิดให้ดีๆก่อน”  มันก็ถูกอย่างที่เขาว่า แต่อาจารย์ของศศิ ไม่ได้มีที่ไปมากมายนักหรอก ที่คิดได้ก็มีอยู่ที่เดียว แต่จะให้วางใจก็อยากไปให้เห็นกับตา แต่กว่าจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ถ้าไม่ไปยิ่งแล้วใหญ่ ในตอนนี้ศศิไม่มีใคร และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรด้วยซ้ำ


“ข้าแค่ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน”ในที่สุดก็เลือกที่จะสารภาพความจริง “อยู่ที่นี่ก็อาจจะทำให้คนแถวนี้มีภัยตามไปด้วย”


คำสารภาพนี้ทำให้งงอยู่บ้าง ศศิอ่านดวงดาวออก เท่ากับว่าจะต้องมีประสบการณ์การเดินทาง ไฉนเลยถึงบอกกันว่าไม่รู้จะไปไหนทั้งๆที่ควรจะไปมาหมดแล้วหลายที่ กับเส้นทางที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกก็ยังพาพระองค์ไปมาแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย


“คิดไม่ออกบ้างเลยหรือ เจ้าอาจจะไปหาญาติ หรือไปที่เมืองอื่น”คนตัวเล็กส่ายหัวจนผมปอยผมยาวๆนั้นปลิว


ศศิไม่มีที่เช่นนั้นหรอก เพราะตลอดมาก็มีแค่เข้าป่าเก็บสมุนไพรและก็อยู่ในหมู่บ้านแถบนี้ไม่เคยไปไหน ญาติพี่น้องที่เมืองอื่นย่อมไม่มี ที่สนิทสนมเลี้ยงดูกันมา ทุกคนล้วนรวมตัวอยู่ด้วยกัน และตอนนี้ก็ไม่รู้ ว่าทุกๆคนเป็นอย่างไรบ้าง ที่เมืองนี้ไม่มีหมอด้วย หากพวกเราไม่อยู่ แล้วใครจะช่วยดูแลชาวบ้านที่เจ็บไข้แค่คิดดังนั้น น้ำตาก็ไหลออกมา


“นี่…”  พระองค์ทรงเอ่ยเรียก ไม่ถนัดในเรื่องน้ำตาของเด็กคนนี้เอาเสียเลย  “ที่เขาพูดกันมาว่าเจ้าไม่ควรกลับไป มันอันตรายมากเลยหรือ”


“คงเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด ทราบแค่ว่าเราไม่ควรจะเข้าใกล้กับพวกคนที่หนุนหลังรัฐบาลไหนๆของคีรีธารา”  น่าแปลก กับแค่มนุษย์ตัวน้อยๆที่อยู่ชายแดนของอาณาจักร ทำไมถึงต้องมานั่งกังวลเรื่องการเมืองอันลึกล้ำนี้ด้วย  “พ่อแม่ของข้าตายไปแล้ว ท่านอาจารย์จึงพาข้าที่ยังเล็กหลบหนีมาที่นี่”  พระองค์พอจะเข้าใจแล้ว…


นั่นก็เพราะศศิคือผู้อพยพนั่นเอง…


พื้นที่ชายแดนย่อมมีคนอพยพหรือคนที่ไปมาหาสู่ 2 เมือง อาศัยกันอยู่เยอะ บางทีเส้นทางที่พวกเราใช้กันในวันนี้ อาจจะเป็นช่องทางอพยพที่ศศิเคยผ่านเข้ามาและได้ยินคนบอกเล่าถึงการมีอยู่จึงมองหาเจอ โดยปกติผู้อพยพที่ไม่ขึ้นทะเบียนหรือทำผิดกฎหมายจากอีกเมืองจะไม่สามารถอยู่ที่สิหราชนคราได้ ก็ไม่รู้ศศิอยู่ในกลุ่มนี้ไหม แต่คิดว่าการทำตัวให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถช่วยให้อยู่ที่นี่ต่อได้ โดยเจ้าหน้าที่รัฐก็ทำเป็นมองไม่เห็นบ้างเพราะต้องอาศัยเกื้อกูลกัน


“หรือเจ้าจะไปกับข้า”  อยู่ก็เอ่ยชวนออกไป ทั้งๆที่เคยคิดว่าการมีศศิอยู่อาจจะถ่วงกันไว้ แต่ในตอนนี้พระองค์คิดว่าพาไปด้วยอาจจะดีกว่า เด็กคนนี้เหมือนจะรู้บางสิ่งที่อคิราห์ไม่รู้ และบางทีก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสาวถึงมือดีที่พยายามไล่ล่ากันด้วย


คำว่าเกี่ยวข้องกับคีรีธารานั้นน่าสนใจไม่น้อยเลย


ข้อเสนอที่ถูกยื่นไปนั้นถูกตอบรับโดยง่าย ในสถานการณ์ที่ไร้ประโยชน์และอาจจะเป็นภัยต่อคนรู้จักนี้ ศศิที่ยังต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เลือกที่จะไปกับเขา เราเองก็พบพานได้รู้จักกันแล้ว แม้จะยังไม่สนิทใจ แต่ก็ดูเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่มีในตอนนี้ คนตัวเล็กพยักหน้ารับตามคำชวน โดยที่ยังไม่ได้ถามออกไปว่าเขาจะไปไหน ศศิไว้วางใจกันเกินไปหรือเปล่า เขาจะพาไปลงนรกที่ไหนก็ย่อมได้เลยใช่ไหม?!


ค่ำคืนแรกที่ได้หลับสบายๆในห้องที่มีหลังคาและฟูกนุ่มได้ผ่านไป เราสองคนตัดสินใจเดินทางไปเมืองหลวงแห่งสิหราชนคราที่มีนามว่า ‘สิหราชธานี’ จากนั้นหากศศิคิดเห็นว่าควรจะเริ่มทำเช่นไร เขาก็ไม่ว่าหากจะแยกตัวออกไป อคิราห์บอกกันเช่นนั้นก็จริง แต่คำพูดนั้นบิดเบือนจากความรู้สึก ทรงต้องรู้ให้ได้ในสิ่งที่ศศิรู้ จนกว่าจะถึงตอนนั้น ไม่มีทางหรอกที่ศศิจะได้ออกห่างจากไป


เราตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หารือเรื่องเส้นทางที่จะตัดไปถึงเมืองหลวงให้เร็วที่สุดและวิธีการ ตระเตรียมของให้พร้อมเท่าที่เจ้าบ้านจะเอื้ออำนวยให้ได้ ก่อนจะเตรียมออก ท่านลุงที่ให้พักอาศัยได้เรียกมาคุยก่อนลา และได้มอบบางสิ่งให้


“คงจะดีกว่าหากพวกเจ้าปลอมแปลงตัวเอง ได้ยินว่าหูตาของคนพวกนั้นอยู่รอบด้าน”  ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันกับกลุ่มผู้ตามล่ากันในป่าหรือไม่ อาจจะเพราะเห็นร่องรอยการมีชีวิตของพวกเขาแล้วแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ พวกมันอาจจะส่งข้อมูลให้คนในสิหราชนครารู้และตามล่ากันต่อที่นี่อีกทีก็เป็นได้


ศศินั้นมองอาภรณ์ที่ได้รับมา แต่ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ แม้จะไม่ได้ดูมาดแมนเหมือนกับบุรษที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่การให้แต่งกายด้วยชุดของอิสตรีนั้นมันก็ดูจะเกินรับได้อยู่ ส่วนเขาเองก็ได้รับเสื้อผ้ามาเหมือนกัน


“ในส่วนของคุณชาย อาภรณ์ของท่านแม้จะขาดและสกปรกไปบ้าง ทว่าดูดีมีราคาไม่น้อย จะสะดุดตาเอาได้”  ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ศศิไม่เคยสังเกตตรงนี้เลยทั้งๆที่เอาเสื้อผ้ามาซ่อมให้ เนื้อผ้าแบบนี้น่าจะแพงมาก ตั้งแต่เกิดมา ศศิแทบไม่เคยได้สัมผัสความนุ่มลื่นแบบนี้มาก่อน ที่พอจะเห็นมีใส่ก็เป็นพวกขุนนางชั้นสูง


อย่างแม่ทัพอชิระเป็นต้น…


“รบกวนท่านเผาทำลายมันด้วย”  ทรงตัดสินพระทัยที่จะเปลี่ยนชุดด้วยเช่นกัน อย่างที่ถูกว่ามา หากเดินไปทั้งอย่างนี้ โอกาสที่จะกลับไปโดยไม่ไปสะดุดขาใครช่างน้อยเหลือเกิน “ไปเปลี่ยนชุดกันเถิด”  ทรงแตะบ่าของคนที่ยังคงเหม่อลอยคิดเรื่องเสื้อผ้าเบาๆ เรียกให้ลุกเพราะเราไม่ได้มีเวลามากนัก ศศิที่รู้ตัวแล้วรีบตามกันไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า…


มันจำเป็นหรือที่เราต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกัน!


“เอ่อ…”


“ถึงเจ้าจะแต่งเป็นหญิง ทว่าแท้จริงเป็นชาย คงไม่คิดอะไรมากใช่ไหม”  หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว ก็ไม่รอช้าเปิดปากพูดไปด้วย ถอดเสื้อไปด้วย ศศิที่เคยแม้แต่ถอดเสื้อให้เขาเองมาก่อนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเขินอายหรอก เห็นมาแล้วด้วย แต่สถานการณ์แบบนี้มันต่างออกไป


ก่อนนี้ศศิจับเขาแก้ผ้าตามจรรยาบรรณนี่!


“มัวทำอะไรอยู่”  ทรงเร่งถาม จนจัดการเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จ คุณหมอที่คิดนั่นนี่ไม่จบก็ยังคงนิ่งเฉย ดวงตาคมนั้นจ้องมองแบบดุๆ แต่จริงๆแล้วมันพยายามกักเก็บแววขบขำเอาไว้ลึกสุดใจ ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งหรอก แต่พอได้แกล้งแล้วก็แกล้งเลยเสียอย่างนั้น


“ข้าทำไม่เป็น”


“เจ้าอยากให้ข้าช่วยเช่นนั้นหรือ?”  ทรงถามย้ำ และแน่นอนว่าเจ้าของกระต่ายที่เหมือนกระต่ายนั้นส่ายหัวจนผมปลิว


“ข้า…ขะ..ข้าทำเอง” อคิราห์ยิ้มอย่างพึงใจ ออกมารอข้างนอกโดยไม่เอ่ยปากต่อล้อต่อเถียงอีก เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจริงๆเสียที


แล้วเขาก็ถูกเรียกให้ไปพบเพื่อรับข้าวของใช้สำหรับการเดินทาง ชาวบ้านที่นี่ไม่ได้ร่ำรวย พวกเขาให้เท่าที่ให้ได้ ระหว่างที่กำลังคิดประมวลนั่นนี่อยู่คนเดียวนั้น หางตาก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างที่ดูจะเรียกร้องความสนใจกันมาสักครู่


“องค์ชายอคิราห์”  ด้วยคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับผู้เรียก พระองค์จึงเดินเข้าไปหาคนที่กำลังพยายามหลบซ่อนอยู่ เป็นคนสนิทของเสด็จอาอชิระที่เรียกกัน เขาผู้นี้มีนามว่า‘อลงกรณ์’ ว่าแต่รู้ได้อย่างไรว่าจะพบพระองค์ได้ที่นี่?


“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”


“ท่านทิชากร…เอ้ย! มีคนบอกท่านแม่ทัพพะยะค่ะ ว่าให้มาดูหมู่บ้านบริเวณถ้ำแถวนี้”แต่การได้เจอพระองค์นั้นถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ “กระหม่อมได้รับคำสั่งมาว่าให้มาส่งข่าวให้กับคนๆหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอพระองค์ที่นี่”  ส่งข่าวอย่างนั้นหรือ พระองค์รู้สึกเหมือนกับว่ามันจะเกี่ยวข้องกับศศิอย่างไรไม่รู้


“แล้วทางค่ายเป็นเช่นไรบ้าง” 


“ปกติดีพะยะค่ะ”  แต่เมื่อตอบไปแล้ว แววตาของผู้ฟังก็กดดันให้พูดใหม่อีกครั้ง  “ก็ยังคงอยู่ในความควบคุมอยู่พะยะค่ะ”  หลังจากตอบใหม่ก็หลบตากัน มีพิรุธชัดเจนเช่นนี้ คิดว่าจะปล่อยให้ออกไปได้ง่ายๆหรือ?


“ได้ยินว่าเจ้าณรงค์ชัยส่งคนมา”


“เอ่อ…ทรงทราบแล้ว”


“มาตามหาใคร”


“ทูลฝ่าบาท เป็นพระองค์เองที่ทุกคนกำลังตามหา” 


“เจ้าณรงค์ชัยเป็นอธิบดีกรมการค้า ไฉนเลยถึงรับหน้าที่นี้”


“จริงๆแล้วหน่วยอื่นก็ออกตามหากันไปทั่วพะยะค่ะ แต่…” คนพูดเว้นวรรคเพียงครู่ ไม่ใช่แค่เรียกขวัญกำลังใจ แต่ต้องคิดให้ดีไม่งั้นพูดออกไปจะทำให้กริ้วได้ “กระหม่อมได้ยินมาว่า เจ้าณรงค์ชัยได้ไปบอกกับองค์ราชินีว่าจะเข้ามาช่วยตามหาในพื้นที่นี้พะยะค่ะ”  ก็ยังแปลกอยู่ดี…


ที่ไม่แปลกคือใครๆก็ออกตามหาพระองค์ แต่เจ้าณรงค์ชัยที่ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นนะหรือจะหยิบยื่นความช่วยเหลือไปให้น้องสาวที่กำลังโศกเศร้าเพราะพระโอรสเพียงพระองค์เดียวได้หายไป เสด็จแม่ย่อมคว้ารับความช่วยเหลือจากพี่ชายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจอยู่แล้วในยามโศก แต่ทำไมต้องเป็นพื้นที่นี้?


แม้ว่าจะเป็นด่านผ่านทางระหว่างสองอาณาจักร แต่ก็ไม่ใช่ด่านการค้าสำคัญเพราะพื้นที่ตรงนี้ไม่ได้ติดทะเล ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่แปลกว่าอธิบดีกรมการค้าที่ควรจะสนใจเรื่องค้าขายและมีความชำนาญที่อีกด่านหนึ่งมากกว่าจะเจาะจงมาที่นี่ จะมาสนใจหาคนอะไรในพื้นที่ที่การค้าไม่เฟื่องฟูอย่างด่านตะวันตกที่ 2ตอนที่เสด็จกลับแม้จะไม่ได้ระบุว่าจะข้ามผ่านด่านไหน แต่แวบแรกในใจของอธิบดีการค้า ก็ไม่น่าใช่ด่านที่ไม่สำคัญอะไรอย่างที่นี่ ที่ซึ่งมีแม่ทัพที่ไม่ค่อยจะกินเส้นรั้งไว้อยู่


นอกเสียจากจะรู้อยู่แล้วว่าจะพบเจอคนที่ตามหา?!


“แต่ทรงปลอดภัยก็ดีแล้วพะยะค่ะ!” 


“เจ้าอย่าเพิ่งเอาไปบอกใครว่าเจอกับข้า”


“แม้สักคนก็ไม่ได้จริงๆหรือพะยะค่ะ”  ทรงมองคนถามกลับด้วยแววตาราบเรียบ ก็รู้ว่ามีคนห่วงอยู่มากมาย แต่มันก็มีคนที่มุ่งหวังปองร้ายไม่น้อยเช่นกัน


“เจ้าบอกอาของข้าได้เพียงผู้เดียว”  นั่นหมายถึงให้บอกท่านแม่ทัพอชิระได้เพียงผู้เดียว เพราะในบรรดาญาติทุกคน คนที่มั่นใจได้มากที่สุด…คือคนที่อยู่ไกลจากอำนาจในเมืองมากที่สุดนั่นเอง


อชิระนั้นเป็นคนเก่งกาจอนาคตไกล เขาอาจจะได้รับตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรติพร้อมทรัพย์สินที่จะไหลเข้ามาไม่มีขาด ทว่าเพราะเกมการเมืองบางอย่างในช่วงเวลานั้น ทำให้ท่านอาที่สนิทสนมกันต้องระเห็จมาอยู่แถบชายแดนที่แร้นแค้นและยากจน ทว่ามันก็อาจจะเป็นความต้องการลึกๆของอีกฝ่ายที่รำคาญความวุ่นวายในเมืองหลวงด้วย


หลังจากพูดคุยกันต่ออีกนิด พระองค์ก็ได้รับทราบเพิ่มเติมว่าอลงกรณ์มาพบศศิเพื่อแจ้งข่าวสารบางอย่าง อลงกรณ์ได้นำเงินและของมีค่าเล็กน้อยมาให้กับศศิด้วย ที่น่าแปลกคือมีคำฝากฝังจากแม่ทัพอชิระมาถึงเจ้ากระต่ายดื้อตัวนั้นโดยตรง…


ว่าให้หาทางไปพบที่คฤหาสน์ส่วนพระองค์ที่เขตชานเมืองสิหราชธานีให้ได้ นั่นเท่ากับว่าอีกไม่นาน เขาผู้นั้นเองก็จะกลับไปที่นั่นด้วยเช่นกันแต่คนแบบท่านแม่ทัพนี่นะ? จะมาใยดีอะไรกับเด็กกะโปโลคนนั้น?!


ทรงกำชับครั้งสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะไปพบกับศศิว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องเจอพระองค์กับใคร และอย่าได้บอกกับเป้าหมายที่มาพบว่ารู้จักกัน ตัวตนของพระองค์ยังควรจะเป็นความลับ ไม่ใช่ว่าเพราะไม่ไว้ใจศศิ แต่การทำอะไรในฐานะใครสักคนที่ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาทย่อมง่ายดายกว่า


รออยู่พักหนึ่งให้อลงกรณ์ได้พูดคุยกับศศิให้เรียบร้อย ความรู้สึกระแวดระวังเกี่ยวกับตัวของเด็กคนนั้นแทบไม่มีอยู่อีกแล้ว หากมีเวลามากกว่านี้ ก็อยากจะถามอลงกรณ์เหมือนกันว่าศศิเป็นใครมาจากไหน แต่ก็ถามออกไปไม่ได้ ดูเหมือนต่อจากนี้ไปคงต้องไปเรียนรู้จักอีกฝ่ายด้วยตัวพระองค์เอง


“ไปกันได้ยัง”  ทรงเห็นแผ่นหลังบางยืนหันหลังให้อยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้ามาทัก มองจากด้านหลัง ชุดเสื้อติดกระดุมคอตั้งสีชมพูตุ่นๆกับกระโปรงกางเกงขายาวดูอ่อนหวานแต่ทะมัดทะแมงคงจะเข้ากับอีกฝ่ายไม่น้อย จนกระทั่งศศิหันมาหา พระองค์ก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แค่ ‘คง’ แต่มันเข้ากับศศิมากจริงๆ


“รีบออกเดินทางกันเถิด”  ดวงตาที่มองจ้องกันทำให้ประหม่าเหลือเกิน แต่ก็ต้องควบคุมน้ำเสียงและสีหน้าไม่ให้เผลอหลุดไป ศศิมีผมที่ยาวแต่มักจะมวยไว้สูงๆเพื่อให้สะดวกแก่การทำงาน มานึกดูตอนนี้มันก็มีประโยชน์กับการปลอมตัวไม่น้อย เพราะนอกจากมันจะช่วยขับใบหน้าให้ดูหวานสวยราวสตรีแล้ว เมื่อใส่หมวกใบใหญ่  ความยาวของผมจึงพอดีกับการปิดบังลักษณะเด่นบนใบหน้า


ปานรูปพระจันทร์เสี้ยว…


เราสองคนออกเดินทางจากหมู่บ้านกับกลุ่มพ่อค้าที่ต้องเอาผลผลิตทางการเกษตรไปขายที่เมืองอื่น และจะขอลงระหว่างทางเพราะเป้าหมายไม่ใช่ทางเดียวกัน เราสองคนอาจจะไม่ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวกันจริงๆ แต่องค์รัชทายาทรู้ดีว่าตัวเองนั้นมีความเสี่ยงกว่า และรู้สึกเอาเปรียบศศิอยู่ไม่น้อย


“เมียเจ้านี่ สวยดีนะพ่อหนุ่ม”  หนึ่งในพ่อค้าที่เราขอเดินทางไปด้วยนั้นพูดขึ้นมา ทรงพระสรวลกลับไป ไม่ได้โต้ตอบอะไร ขนาดศศิเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ยังมีคนชมว่างามได้หรือนี่ แต่ก็คิดว่าเจ้าตัวไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้เสียเท่าไหร่


ว่าแต่…ก็ไม่เคยบอกเสียหน่อยว่าเราคือผัวเมีย?


มาคิดดูแล้ว เป็นเช่นนี้มันอาจจะดีกว่า หากพระองค์เดินทางเพียงคนเดียวอาจจะง่ายต่อการถูกตามล่าแม้ไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะเคยเห็นพระพักต์ ทว่าการมีศศิไปด้วยอาจจะช่วยลดความน่าสงสัยไปได้อีก ไม่เลวเลยกับการเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เดินทางไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมืองแบบนี้ ดูแล้ว ศศิคงต้องยอมถูกเอาเปรียบเข้าไปอีก


“ข้าหาใช่เมียของท่านเสียหน่อย”  ศศินั้นกระซิบบอกเมื่อเห็นบางคนกำลังยิ้มให้แผนการของตนเองอยู่


“ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น แต่เราก็ไม่ต้องไปต่อความยาวอะไรอีกก็ย่อมได้” ไม่ยอมรับไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้คนอื่นเห็นไปเช่นนั้น เพราะหมวกปีกกว้างนี้แท้ๆที่ทำให้วงค้อนในแววตาส่งไปไม่ถึงคนเจ้าเล่ห์ เป็นศศิที่เสียทั้งขึ้นทั้งล่องแม้แต่เจ้าตัวก็ยังรู้ตัว


เมื่อถึงจุดหมายชั่วคราว เราสองคนก็ขอแยกมาจากกลุ่มพ่อค้าและเข้าไปหาที่พักในเมือง เนื่องจากเป็นเมืองทางผ่านทางการค้า เราจึงพอหาที่นอนกันได้ เงินที่อลงกรณ์ฝากมาให้ดูจะเพียงพอให้เราใช้จ่ายพากันเข้าไปในเมืองหลวงได้ แต่เส้นทางต่อจากนี้อาจจะไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในทุกวัน


“ยังปวดตึงแผลอยู่หรือเปล่า”  ศศิถาม หลังจากที่ต่างคนต่างชำระกายและกลับมาอยู่ในห้องด้วยกัน ในตอนนี้ศศิกลับมาใส่ชุดของตนเองแล้ว ทว่าผมสีดำขลับนั่นกับถูกปล่อยให้ยาวสยายคลอเคลียใบหน้าลงมาถึงกลางหลัง เป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้เห็นผมของใครสักคนที่ยาวและสวยขนาดนี้


ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงผมที่ยาวขนาดนี้มาก่อน แต่เพราะหญิงสาวที่พบเจอล้วนชอบที่จะตกแต่งเส้นผมของตนจนบ้างมีความหยาบกระด้าง ผมที่ดูนุ่มลื่นมือราวผ้าไหมสีดำรัตติกาลเช่นนี้  ยิ่งเมื่อถูกตัดกับสีผิวขาวผ่องกับใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางของบุรุษหน้าหวานผู้หนึ่ง เกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตขององค์ชายอคิราห์จริงๆ


“ไว้ผมยาว เจ้าไม่รำคาญบ้างหรือ”


“ข้าเคยแอบหนีไปตัดอยู่หลายครั้ง และมักถูกทำโทษเมื่อจับได้”


“โดยอาจารย์ของเจ้านะหรือ”


“อืม ท่านมักบอกว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นหากข้าตัดผม” ดูเป็นคำพูดหลอกเด็ก และไม่รู้ว่าเด็กจะเชื่อหรือไม่ แต่ก็เป็นเด็กดียอมเชื่อฟัง ทรงจ้องมองศศิหวีแปรงเส้นผมอยู่อีกมุมก่อนจะเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง โดยไม่รู้ตัว อีกคนที่จัดการกับตัวเองเสร็จแล้วได้เดินมาหากันเงียบๆ


“มีอะไร”  เพราะเตียงที่ยวบลงไป ทำให้พระองค์ต้องกลับมาสนใจศศิอีกครั้ง กลิ่นหอมที่โชยมาจากคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆทำให้พระองค์ขมวดคิ้ว ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่ดีหรอกนะ


“แผลของท่านเป็นเช่นไรบ้าง”  ทรงลืมตอบคำถามนี้ไปเลยสินะ


“ยังปวดตึงอยู่บ้าง”  น่าแปลกที่แผลเล็กเหมือนมีดบาดจะทำให้ยังรู้สึกมาถึงตอนนี้ มันไม่ใช่ฤทธิ์ของของมีคมหรอก แต่น่าจะเป็นเพราะพิษที่มากับของมีคมเสียมากกว่า


“ข้าขอดูหน่อยได้ไหม”  ศศิเอ่ยถาม พระองค์กำลังจะถอดเสื้อเก่าๆนี่ออกให้  “ดึงแต่คอเสื้อของท่านลงมาก็ได้” 


“ข้าถอดแล้ว”  ทว่าทรงเลือกที่จะถอดออกให้ท่านหมอตัวเล็กได้เห็นชัดๆ แก้มใสนั้นขึ้นสี นอกจากผิวจะขาวแล้วยังบางมากๆด้วยสินะ แล้วพระองค์ก็รู้สึกพึงพระทัยไม่ใช่น้อย จริงๆจะดึงแค่คอเสื้อมาแบบที่ศศิบอกก็ย่อมได้ แต่ถอดให้ดู ก็มีคนที่จะอายๆอยู่เหมือนกัน แค่คนนั้นไม่ใช่คนถอดก็เท่านั้นเอง


มาเขินอายอะไรกันทั้งๆที่ตอนอยู่ในป่าที่มีเพียงสองคนนั้น เป็นเด็กน้อยผู้นี้ไม่ใช่หรือที่ถอดเสื้อของผู้อื่นออกและบังคับให้อยู่ในสภาพนั้นเพราะต้องคอยเอาสมุนไพรพอกไว้ตลอดเวลา พอเข้าเมืองมาความรู้สึกรู้สาจึงเพิ่งเริ่มทำงานเช่นนั้นหรือ


“แผลท่านดูดีขึ้นแล้วจริงๆ แต่ข้าคงต้องให้ยาบำรุงแก่ท่านต่อไป”  พอตั้งสติได้ ศศิก็กลับมาเป็นท่านหมอผู้เดิมที่ไร้ความเขินอายเมื่อแตะต้องเนื้อกายของผู้อื่น  ทว่าเป็นองค์รัชทายาทเองที่เอาแต่หลุบตามองไปยังคนที่กำลังพูดนั่นพูดนี่เกี่ยวกับการฟื้นฟูกำลังวังชาของตัวเอง ถึงท่านหมอผู้ใจดีจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่ดูยั่วยวนอะไร แต่มันก็เพียงพอจะทำให้นึกภาพสัดส่วนที่อยู่ภายในได้


ดูเหมือนว่าพระองค์จะแอบคิดเรื่องนี้อยู่บ้างหลังจากที่มีคนชอบมาชมว่าเมียสวย…


“รีบนอนเถิด”  ศศิผละจากร่างสูง ไม่ได้รู้ตัวแม้แต่นิดว่าถูกมองอยู่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ


“เจ้าจะนอนที่นี่?”


“มันก็ไม่ได้มีที่อื่นที่ข้าจะนอนได้นี่นา”  ศศิมองไปรอบๆห้อง ก่อนจะกลับมาจ้องตา “หรือท่านไม่อยากให้ข้านอนตรงนี้”  แต่มันมีอยู่เตียงเดียว แม้เราจะมีสภาพที่ดีกว่าการนอนป่า แต่ก็เลือกไม่ได้มากเท่าไหร่ หากไม่ต้องการจริงๆ ศศิก็คิดจะเปิดห้องใหม่เพิ่ม แต่ก็กังวลเรื่องเงินไม่น้อย เพราะไม่แน่ใจว่าเราอาจจะต้องใช้อีกมากมายแค่ไหนถึงจะเพียงพอ


“เปล่าๆ เจ้านอนไปเถิด”  กลายเป็นอคิราห์แต่เพียงผู้เดียวที่คิดมากไปหรือนี่แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ศศิต้องคิดจริงๆในเมื่อก็พยายามจะทำให้เห็นมาตลอดว่าที่เข้าหาก็เพราะต้องการช่วยเหลือ และอีกฝ่ายไม่ได้รับรู้นี้ว่ากำลังร่วมเตียงกับใคร แล้วถ้าศศิได้ทราบเล่าการปฏิบัติตัวจะเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร?


แล้วนี่จะไปคิดสนใจทำไม?


“ราตรีสวัสดิ์”  เช้าตรู่นั่นแลที่เราจะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อออกเดินทางไปต่อ หนทางยังอีกยาวไกล และจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้เลย


ร่างบางที่นอนตะแคงหันไปอีกข้างนั้นเหมือนจะหลับสนิท กินง่าย นอนก็ง่าย ทั้งๆที่ดูบอบบางขนาดนี้ แต่กลับเลี้ยงง่ายเหลือเกิน มีแต่อคิราห์นั่นแล จะบอกว่าเพราะตนนั้นเป็นถึงองค์ชายแห่งสิหราชนคราแล้วจึงเรื่องมากก็ไม่ใช่ พระองค์เคยได้รับการฝึกฝนมานับไม่ถ้วน นอนกลางดินกินกลางทรายมานักต่อนัก แต่ไม่เหมือนครั้งไหนที่เป็นเหมือนครั้งบนเตียงนี้เลย


คงเพราะไม่ชินกับการมีคนร่วมเตียงเป็นแน่ องค์รัชทายาทคิดเช่นนั้น พระองค์ไม่เคยชื่นชอบการข้ามคืนแบบร่วมเตียงกับใคร แม้ก่อนนี้จะแบ่งผ้าห่มที่แทบจะไม่ได้ให้ความอบอุ่นอะไรกับเด็กคนนี้มาแล้ว แต่วันนี้เพิ่งตระหนักได้ว่านิสัยดั้งเดิมของตนคือการไม่ชอบร่วมเตียงใดๆกับใครทั้งนั้น  ที่ผ่านมาในป่านั้นไม่นับ!


ดวงตาคมเบิกโพลงในความมืดมิด พระวรกายเกร็งไปเสียทุกส่วน หากบรรทมท่านี้ชาตินี้ก็ไม่มีวันหลับได้ ในขณะเดียวกัน คนที่เป็นต้นเหตุความวุ่นวายในครั้งนี้กลับชิงหนีไปสู่นิทราเสียแล้ว ให้มันได้อย่างนี้สิ หรือเป็นพระองค์ที่จะต้องลุกไปหาที่นอนเสียเอง  แต่มันเรื่องอะไรกันเล่า!


“เฮ้อ…”  ก็ได้ๆ นอนก็นอน องค์รัชทายาทแห่งสิหราชคนครานั้นขยับพระวรกายเล็กน้อยเพื่อหาท่าทางที่สบายที่สุด โดยเลือกที่จะนอนตะแคงหันไปมองต้นคอของอีกคนที่หลับไปก่อนนี้ อีกเรื่องที่น่าขัดใจคืออะไรรู้ไหม?


คือกลิ่นหอมสมุนไพรจากตัวเจ้ากระต่ายนี่ไง ก็เพราะมีตัวช่วยผ่อนคลายแบบนี้ถึงหลับได้อย่างง่ายดาย แล้วไฉนจะขโมยดอมดมมันจากกายอีกคนมาบ้างไม่ได้?


ในเมื่อพระองค์…ก็ต้องหลับต้องนอนเช่นกัน


- - - - - - -

ไม่ได้มาลงเสียนาน วันนี้มีหน้ากลับมา เพราะแต่งไปได้เยอะแบ้ว และก็พบว่าดีกว่าจริงๆที่แต่งนำไปก่อน มันมีหลายอย่างที่ต้องกลับมาอ่านแก้ เราอ่อนด้อยเอง ถึงจะเคยแต่งฟิคชั่นพีเรียดมาบ้างแต่ก็ไม่อยากให้เหมือนที่เคยแต่งหรอกค่ะ เลยพยายามมากกว่าเดิม อย่าเขวี้ยงทิ้งแต่ก็อีกใจก็ยังอยากแต่งอยู่ พลอตก็แก้ไปแก้มา จึงคิดว่าควรจะไปแต่งให้มันคงที่ในระดับหนึ่งก่อนค่อยลง ซึ่งคงที่ในที่นี้ 80%ของเรื่องเลยทีเดียว555
เรื่องนี้จะไม่เน้นคำราชาศัพท์ทั้งเรื่อง อาจจะมีใช้ผิด ใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง มันคือเจตนาของเราเองค่ะแต่ถ้าคิดว่าควรปรับปรุงตรงไหนก็บอกได้นะคะ
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีปมเกี่ยวกับตัวละคร เหตุการณ์บ้านเมือง แต่เราจะเน้นไปที่ความรักและความรู้สึกของคนสองคนเสียมากกว่านะคะ  อาจจะมีบรรยายถึงเหตุการณ์และประวัติของตัวละครอยู่บ้าง แต่จะไม่ทำให้ยาวจนเกินไป เพราะแต่งยาก เราไม่น่าเก่งพอจะทำให้ทุกคนอ่านแล้วสนุกได้ แถมมันจะยาวไปกว่านี้ พลอตมันใหญ่ไป จริงๆมันก็ควรจะยาวมากๆแหละ แต่เราไม่เอาแล้ววววววว เอาฉบับย่อไปละกันเนอะ แต่ย่อแล้ว 25 ตอนก็ยังไม่จบเรื่องเลย บอกก่อน5555
ขอบคุณคนที่ยังเฝ้ารอที่จะได้อ่านเรื่องนี้นะคะยังคงยืนยันว่าเราจะทำผลงานเรื่องนี้ให้ดีที่สุด เราทุ่มเทกับมันมากแม้จะกลัวกระแสและฝีมือไม่ถึง เลยหนีไปแต่งนำไว้เยอะๆจะได้ลงจนจบแน่ๆ
สุดท้ายนี้ เราพยายามตรวจคำผิดแล้วจริงๆ ถ้ามันยังผิดอยู่ก็มาบอกกันได้นะคะ เราจะไปแก้ไข
หรือถ้าเราสะกดผิดเลย ก็มาบอกกันหน่อยนะคะ เราจะได้เมมใส่หัวเสียใหม่ เชื่อเถอะค่ะว่าคำบางคำที่คนอื่นสะกดถูกกัน เราสะกดผิดมานานเกือบจะ30ปีเลยค่ะ55555 บางตอนตรวจไปสามรอบแล้วก็ยังเจอคำผิดหรือไม่ชอบบางจุดอยู่ มาบอกได้นะคะ เราจะขอบคุณมากๆ




ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 3 : 1/12/2018
«ตอบ #12 เมื่อ02-12-2018 01:03:24 »

ทางอาก็รู้จักศศิเหรอ  :katai1:
แต่ๆๆๆ อย่าติดใจกลิ่นเขาจนนอนคนเดียวไม่ได้อีกน้า

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 4 : 5/12/2018
«ตอบ #13 เมื่อ05-12-2018 19:09:14 »

Finding the twilight
4
5 ต่อ 2 แต่เกรงว่าจะรอดเพียง 1
☼ ☽

“นี่มันอะไรกัน”


“ก็ยาบำรุงกำลังของท่านนะสิ”  ท่านหมอตัวเล็กตื่นแต่เช้าตรู่ไปขอยืมครัวของที่พักนักเดินทางเคี่ยวมาให้ดื่ม แต่พอน้ำเหนียวๆนี่สัมผัสกับปลายลิ้น พลันสรรพางค์กายก็หนาวเหน็บขึ้นมา ศศิ…เจ้าทำยาบำรุงกำลังหรือยาพิษมาให้กินกันแน่?!


“รสชาติ…มันไม่ไหวนะ”  แม้ไม่เคยเลือกกินขนาดนี้มาก่อน แต่ครั้งนี้ขอไว้สักหน่อยเถิด หากดื่มเข้าไปทั้งหมดก็เกรงว่าจะกินอะไรไม่ลงไปอีกเป็นวันๆ ขนาดยังไม่ได้กลืนลงคอสักอึกหนึ่ง ขนก็ลุกไปทั่วร่างแล้ว รสชาติที่ยิ่งกว่าขมปร่านั้นยังติดอยู่ที่พระชิวหาอยู่เลย


“หวานเป็นลม ขมเป็นยา หากท่านคาดหวังให้ยามันจะหอมอร่อยเหมือนขนม เกรงว่านั่นคงไม่ใช่ยาเสียแล้ว”  เจ้าของผมยาวสลวยนั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน แต่เป็นความหวานคล้ายน้ำผึ้งพิษ  เจ้าตัวดี! นี่รู้ไหมว่ากำลังหาเรื่องใครอยู่?!


แน่นอนว่าศศิไม่รู้ และคงปล่อยให้รู้ง่ายๆไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเคี่ยวยานี้แต่เช้ามาให้พระองค์ดื่มกัน แผลที่อกนี่ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว  ไม่ต้องบำรุงอะไรก็คาดว่าร่างกายคงแข็งแรงดีอยู่ แต่ท่านหมอบอกว่าไม่ได้ ยังไงก็ต้องกิน หวังดีหรือหวังร้ายกันแน่ จะไม่สงสัยเลย หากยานี่มันจะเป็นรสที่คนกินได้กว่านี้ คาดว่าเทใส่คลอง น้ำก็พลันเน่าเสียทันทีเป็นแน่!


ยาที่เคี่ยวเป็นชั่วโมงนั้นย่อมเป็นยาดี ศศิมั่นใจ แต่ถ้าถามว่าศศิเป็นหมอที่ปรุงยาได้ห่วยแตกขนาดนั้นเลยหรือไรก็เกรงว่านั่นจะเป็นคำปรามาสที่แรงไปเสียหน่อย เดิมทีตอนอยู่ที่สำนักพยาบาลในหมู่บ้าน จะหาใครไหนเลยที่ปรุงยาได้อร่อยเท่าศศิไม่มี วิชาก็มีติดตัวอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะปรุงยาบำรุงกำลังที่มีฤทธิ์ทำลายลิ้นคนอยู่แล้ว แต่ที่รสชาติมันห่วยนั้น


ล้วนแล้วแต่เพราะความตั้งใจของคนปรุง


ก็ใครใช้ให้นอนดิ้นขนาดนั้นกัน เมื่อตื่นมาแต่เช้ามืด มันเป็นปกติที่มักจะตื่นมาเพื่อไปเข้าห้องน้ำบ้างหรือแค่ตื่นมารับรู้ว่าใกล้เวลาเช้า แต่ก็มักจะนอนต่อเพื่อเก็บแรงไว้ทำงานหนัก ทว่าวันนี้ที่ตื่นมา สิ่งที่รับรู้ได้คือลมหายใจของที่เป่ารดต้นคอและแขนหนักที่พาดอยู่บนเอว!


“เจ้าโกรธเคืองอะไรข้าอีก”  เพราะทำให้เสียเวลานอนอย่างไร เจ้าคนไม่รู้ความ! อยากจะถลึงตาใส่เสียจริงๆแต่ก็กลัวจะรู้ตัวและไม่ยอมกินยาที่อุตส่าห์ไปยืนเคี่ยวให้ตั้งนานนี่ แม้รสชาติจะแย่ แต่จงมั่นใจในสรรพคุณของมันเถิด ถึงจะเคืองโกรธแต่ใช่ว่าจะละทิ้งจรรยาบรรณ!


“ข้าอุตส่าห์ปรุงยานี่ตั้งนาน เหมื่อยขบไปทั้งตัวแต่เพราะหวังดีจึงทำ”  หลังจากได้ฟังคำตัดพ้อ ก็ถอนหายใจออกมาและฝืนดื่มมันทั้งหมดใบหน้าบูดเบี้ยวแห่งความทรมานนั้น เรียกรอยยิ้มจากริมฝีปากได้รูปของผู้หวังดี


ก่อนที่เขาจะเห็น ศศิก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติและหวีผมของตัวเองต่อไป ถึงจะบอกว่าไม่ชอบและแอบไปตัดอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ดูออกว่าศศินั้นรักผมตัวเองกว่าใคร ปกติเจ้าตัวจะรวบมัดไว้ตลอด แต่เพราะต้องแต่งกายเป็นหญิงในช่วงนี้ ก็เลยดูจะทะนุถนอมเส้นผมตัวเองไปด้วย


เราทานข้าวเช้ากันที่นี่ ศศิดูเจริญอาหารดี จนบางทีก็อยากจะปรามว่าไม่มีสตรีที่ไหนกินมูมมามแบบนั้น แต่ก็ทรงต้องปล่อยไป เพราะเมื่อจ้องมองแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกินอย่างมีความสุขดี ก็ตรัสอะไรออกไปไม่ลงเหมือนกัน จนแล้วจนเล่าก็ไม่ได้ตักเตือน แต่ดูเหมือนจะแค่มองและมองและมองเท่านั้น


“เจ้ากินเก่ง”


“เพราะเราอาจจะไม่ได้กินอะไรทั้งวัน”  ก็เลยต้องกินตุนเอาไว้


“โธ่เมียรัก ข้าไม่ให้เจ้าต้องอดตายหรอก แต่งกับข้าอาจจะลำบากนิดหน่อย แต่ข้าจะเลี้ยงเจ้าให้สุดความสามารถ”


“….”  นั่นเขา…


พูดจาสามหาวอะไรขึ้นมา?!


“หรือทูนหัวของพี่จะท้อง เจ้าจึงกินมากไปเผื่อลูก งั้นอย่าได้ลำบากใจเลย เราสั่งมาอาหารเพิ่มกันเถิด”


“หยุดเดี๋ยวนี้”  ศศิวางแป้งทอดในมือลงด้วยไม่สามารถกินอะไรอีก ใบหน้าหล่อของเขามีรอยยิ้มประดับแต่มันช่างดูกวนสิ้นดี อยากจะด่าว่าให้สมกับความคับแค้นใจ แต่ศศิถูกเลี้ยงมาดีกว่านั้นจึงไม่มีคำใดหลุดออกมา มันอึดอัดจนต้องกระทืบเท้าระบายความหงุดหงิด ยิ่งอีกฝ่ายหัวเราะ มันก็ยิ่งอยากจะทุบแรงๆ


“เจ้ากินดูอร่อย ข้าเห็นแล้วก็อิ่มท้องตาม”  เป็นการเอาคืนใช่หรือไม่ ที่ศศิให้เขากินยาที่ปรุงโดยไร้การตัดรสขม ในระหว่างที่กำลังสรรหาคำในคลังศัพท์ต้องห้าม ทว่ายังไม่ทันค้นคำใดเจอ คุณป้าที่ไปขอใช้ครัวก็เดินมาหา


“กำลังท้องกำลังไส้หรือนี่ลูก เอานี่ไปนะ ป้าให้”  พลันคำที่กำลังคิดว่าจะใช้ในหัวก็หลุดร่วงหายไปคาตา แววตาเอ็นดูของเจ้าหล่อนทำให้ไปไม่ถูก ผิดกับตาคนที่แอบอ้างเก่ง เขากลั้นขำอย่างสุดความสามารถ จะมองทางไหน เราก็ล้วนเป็นผู้ทรมานทั้งสิ้น คนหนึ่งกลั้นขำจนจะขาดใจตาย ส่วนอีกคนอยากด่าคนจนอยากจะร้องไห้


อคิราห์ที่เป็นต้นตอแห่งความวุ่นวายในยามเช้าควรจะสำนึกผิด ที่ทำให้ ‘เมียรัก’ เดินห่างไปไกลขนาดนี้ ศศิจ้องมองกันอย่างไม่ไว้วางใจ แล้วเมื่อดวงตาของเราสบกัน ก็เป็นคนงามที่เชิดหน้าหนีไปก่อน


“ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะกินจนจุก เห็นเจ้ากินแล้วกลัวใจนัก”  ทรงอธิบายออกมา พร้อมกับเสด็จเข้าไปหา แต่ยิ่งใกล้ เจ้ากระต่ายก็เดินห่างออกไปเท่านั้น


“ข้าเกิดมาจนโตขนาดนี้ ใยถึงจะไม่รู้ว่ากินอะไรได้มากมายแค่ไหน”  อย่าริอาจมาสู่รู้กว่าหมอที่เป็นเจ้าของกระเพาะน้อยๆนี่ ศศิทั้งอายทั้งโกรธในสิ่งที่ถูกกระทำ ทว่าจะยิ่งโกรธไปอีกที่พยายามเดินหนีเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็เดินมาใกล้มากขึ้น และจนขี้เกียจตามติดแล้ว


จึงได้ดึงแขนศศิไม่ให้หนีไปไหนได้อีก


“….”


“อย่างอนเลย”  ทรงเลือกที่จะเปลี่ยนโทนเสียง ภายใต้เสียงนุ่มนี้ไม่มีแววล้อเล่นแต่ก็ไม่ได้จริงจังจนทำให้ประหม่า “เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเจ้าเป็นหญิงจริงๆ”  แล้วมันจำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้นไหม?เขวี้ยงค้อนไปให้อีกที ก่อนจะถอนหายใจใส่คนที่แถจนสีข้างถลอก มันน่าเหนื่อยหน่ายที่จะต้องมาทะเลาะกับคนชอบแกล้งคนนี้เรื่อยๆ จึงเลือกที่จะหยุดงอน แต่ก็ไม่พูดอะไรด้วยอีก


คนตัวเล็กที่มักจะทำหน้านิ่งๆเชิ่ดๆนั้น พระองค์ก็คิดว่ามันดูน่ารักดี แต่เมื่อกำลังงอน กลับยิ่งน่าสนใจกว่าปกติ อคิราห์ไม่รู้เลยว่าคำว่าน่าสนใจนั้นมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว หากตัดสถานะองค์ชายรัชทายาทออกไป ก็ทรงเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้แพรวพราวอะไรเท่าไหร่


ศศิเองก็ไม่ได้ดูจะเป็นคนนิ่งอย่างที่พยายามจะแสดงออก หลายครั้งก็หลุดออกมา คาดว่าที่พยายามนั้น ก็เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับผู้ร่วมเดินทางเท่าไหร่นัก ทว่าเราจำเป็นที่จะต้องคุ้นเคย ในเมื่อชะตาได้มาเกี่ยวข้องกันแล้ว จะเย็นชาเมินเฉยใส่กันก็ดูจะเกินไป


ทว่าจู่ๆคนที่พยายามจะเดินออกห่างให้ไกลก็เข้ามาเบียดชิด อคิราห์นั้นก้มมองไปที่เจ้าของกระต่ายตัวน้อยที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองอย่างกะทันหัน ก่อนจะมองไปรอบๆเมื่อค้นพบว่ามันอาจจะมีตัวแปรบางอย่างที่ทำให้ศศิทำเช่นนี้ และใช่…มันมีกลุ่มคนที่เดินตามเรามา สำหรับคนที่อาจจะตายเพราะถูกลอบสังหารอย่างองค์ชายรัชทายาทผู้นี้แล้ว คนพวกนี้ต้องสงสัยว่าน่าอันตรายไว้ก่อนเห็นๆ ทว่าเมื่อสบสายตาคนพวกนั้น


สิ่งที่ทรงทำคือการดึงศศิมาชิดใกล้และกอดไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้ให้แนบชิด


“ท่าน?”


“เห็นหรือไม่ ว่าข้าไม่ได้พูดไปเองว่าเจ้าสวยจริงๆ”  และความสวยก็เป็นพิษภัย ศศิรับรู้ได้ว่าคนพวกนั้นจ้องมองกันด้วยแววตาเชิงเสน่หาอย่างไร้มารยาทร่างกายมันจึงเลือกที่จะเข้าหาทางที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่เกรงว่านี่จะเป็นทางเลือกที่ผิด เพราะนี่มันไม่ปลอดภัยต่อความรู้สึกเท่าไหร่ ศศิไม่เคยชื่นชอบคำว่า ‘สวย’ และไม่เคยถูกชมว่า ‘สวย’ มาก่อน


ในตอนนี้จึงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรเมื่อได้ยินมันใกล้ๆ


“หน้าตาข้าออกจะน่าเกลียด” เขาก็เห็นปานที่ใบหน้าแล้ว แถมยังเป็นฝ่ายตกตะลึงในคราแรกเสียแบบนั้น วันนี้มากลับคำพูด มันดูไม่น่าเชื่อถือเลย


“เจ้าไปหน้าตาน่าเกลียดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


“…”


“หากจะหมายถึงปานบนใบหน้านั่น… มันไม่ได้ดูน่าเกลียดน่ากลัวหรอกนะ”  แต่มันก็ทำให้ศศิโดนล้อเลียนโดยคนไม่รู้จักมาตลอด แม้จะได้รับกำลังใจจากคนใกล้ชิดอย่างล้นหลาม แต่กับคนภายนอกนิสัยกักขฬะที่ตนไม่เคยคิดอยากเข้าใกล้ พวกเขามักจะมองปานบนใบหน้านี้ ราวกับเห็นว่ามันสกปรกเสียเต็มประดา


และคนๆนี้ เราไปรู้จักกันดีตั้งแต่เมื่อไหร่


ตั้งแต่จำความได้ การอาศัยอยู่ที่สำนักพยาบาลนั้นทำให้ต้องพบปะผู้คนมากมายที่หวาดระแวงต้องความเจ็บปวด แค่เดินเข้าไปใกล้ พวกเขาก็รีบผละหนีไปด้วยกลัวว่าจะติดโรคร้ายแม้จะไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจและแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร ก็ไม่ได้หมายความทนต่อสายตาและท่าทางเหล่านั้นได้ดีนักหรอก


“ถ้าข้าเปิดหน้าให้พวกเขาดู ย่อมแตกกระเจิงไปแน่”  ศศิเชื่อว่าเพราะผมยาวและเสื้อผ้าของสตรีนี้ที่ดึงดูดให้คนสนใจ แต่เนื้อแท้ศศิเป็นยังไง ในเมืองนี้แลดูจะมีเขาคนเดียวที่รับรู้


“มันไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น”


“เป็นท่านเองไม่ใช่หรือที่เกลียดกลัวใบหน้าของข้าแต่แรกเห็น”


“ข้านะหรือ?”  อคิราห์ถามกลับ ได้เคยพูด หรือแสดงออกให้เด็กขี้งอนนี้เห็นเช่นนั้นหรือ?


“วันแรกที่ท่านตื่นมาเห็นข้า ก็ผละหนีทำหน้าเหมือนเห็นผีอย่างนั้น ใยจึงทำเป็นจำไม่ได้กันเล่า”  เราไม่ได้รู้จักกันนานพอที่จะลืมง่ายขนาดนั้นเสียหน่อย ศศิก้มหน้าลง ซ่อนความผิดหวังบางอย่างไม่ให้ใครเห็น


“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”  องค์รัชทายาทเมื่อได้สดับรับฟังก็หลับตาและนึกถึงสิ่งที่ศศิเล่า ก่อนจะส่ายหัวนิดๆ อคิราห์ทำเช่นนั้นจริงในวันที่ได้พบหน้าเป็นครั้งแรก “แล้วก็คิดผิดไปหมด”  แต่มันไม่ใช่อย่างที่เจ้ากระต่ายนี่เข้าใจเลย


“…”


“ข้าเป็นชายโสดไร้พันธะใกล้ตายและคิดไปแล้วว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว การตื่นมาเห็นคนที่ไม่รู้จักนอนอยู่ข้างๆ มันควรจะเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือที่จะตกใจ”  ทรงพยายามอธิบาย  “แต่อาจจะถูกที่เจ้าว่าข้ามองเจ้าเหมือนเห็นผี ในเมื่อตอนนั้นคิดว่าตัวเองได้ไปเมืองผีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” 


คำพูดติดตลกในตอนที่กำลังมีอารมณ์หม่นหมองนั้นทำให้ศศิยิ้มออกมา โชคดีที่หยุดเสียงหัวเราะได้ทันไม่งั้นคนล้อเก่งได้ล้อไม่หยุดแน่ แต่เหมือนว่าพระองค์จะรู้ดีกว่า ทรงเชยคางของคนตัวเล็กที่เอาแต่หลบซ่อนรอยยิ้มให้เงยหน้าขึ้นมามอง


“เจ้ายิ้มแล้ว”  ริมฝีปากได้รูปหุบฉับ แต่มันช้าไป เพราะรอยยิ้มไม่ได้มีแค่ริมฝีปากเท่านั้น ทว่ายิ้มจากประกายตา ก็ทำให้ได้รับรู้ว่าศศิรู้สึกดีขึ้นแค่ไหนกับเรื่องนี้


อคิราห์เองก็พอจะรู้ว่าศศิไม่มั่นใจในเรื่องนี้ และพระองค์เองก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายคิดมากจากท่าทีตอนที่เราได้รู้จัก และตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเพราะเรายังไม่รู้จักกันดีพอ นี่มันก็ไม่กี่วันหรอกที่ได้พบเจอ แต่เราอยู่ด้วยกันทั้งวันจนเกรงว่าจะรู้จักกันมากกว่าบางคนที่พบเจอกันมาเป็นเดือนๆ


ทรงไม่ได้เย็นชาจนเกินไปที่จะไม่สนใจคนที่ตื่นมาต้มยาขมปี๋เพื่อบำรุงกำลังให้กันในยามเช้าหรอก ใช่ไหม?


“พวกเขาไม่มองแล้ว ปล่อยได้แล้ว”  และเป็นพระองค์ที่ไม่รู้ตัวว่ากอดกันนานไป นอกจากนั้น มือที่เชยคางอีกคนไว้ก็ยังอยู่อย่างนั้น เด็กคนนี้มีเสน่ห์ที่น่าแกล้งจนน่าใจหาย สุดท้ายเลยใช้พระหัตถ์ที่เชยคางนั่น บีบแก้มนิ่มไปที ก่อนจะลดมือลงให้ศศิได้เป็นอิสระมาลูบแก้มตัวเองปอยๆ


คงเพราะเป็นลูกคนเดียวมันเหงาสินะ เลยคิดว่าคงจะดีถ้ามีน้องชายน่ารักๆแบบนี้มาต่อล้อต่อเถียงบ้าง


พวกเราได้ติดต่อขอเดินทางไปกับพ่อค้าที่ทางที่พักได้แนะนำให้ เป็นพระองค์ที่เข้าไปเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพย์สินและจุดหมาย ศศิเพียงยืนอยู่ข้างหลังและฟังเงียบๆ ในที่สุดพวกเราก็มีรถเดินทางออกนอกเมืองไปในวันนี้ อคิราห์นั้นหันมายิ้มให้คนที่ยืนรอ โดยที่อีกคนทำเพียงแค่พยักหน้ารับทราบ


การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้น ศศินั่งอยู่บนเกวียนข้างๆกันอย่างเงียบๆไม่พูดคุยกับใครเหมือนเคย จะมีพวกพ่อค้าที่ถามคำถามกันอยู่บ้างและมักจะเป็นอคิราห์ที่ตอบให้แทนเสมอ ยามเย็นกำลังจะคลืบคลานเข้ามา และอาทิตย์บนฟ้าก็คงจะจากลาไปเหมือนในทุกวัน แต่ละวันนั้นแสนสั้น หากแต่การเดินทางของเรายังดูอีกยาวไกล


“เฮ้อ”  คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงตรงนี้ เจ้าขนฟูที่ไม่ได้ลืมเอามาด้วยนั้นกระโดดฟุบมาอยู่ที่ตัก เจ้ากระต่ายตัวน้อยนั้นออกมาออดอ้อนคลายเบื่อให้กันอย่างน่าเอ็นดู จึงอดไม่ได้ที่จะลูบตัวมันเล่น


“เจ้านี่ยังอยู่อีกหรือนี่” ทว่าจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่ดูจะไม่ถูกกับความน่าเอ็นดูของเจ้าขนฟูเท่าไหร่ ผู้ชายตัวโตที่ชอบทะเลาะกับกระต่ายนี่มันยังไงกันนะ ศศิมองค้อนกลับไป แกล้งกันคนเดียวไม่พอ ยังพาลไปแกล้งกระต่ายของศศิด้วยหรือ


“มันเป็นกระต่ายของข้า ก็ต้องอยู่กับข้าสิ” 


“กระต่ายที่เลี้ยงกระต่ายเลยอดไม่ได้ที่จะเข้าข้างกระต่ายสินะ”  ศศินั้นกอดเจ้าตัวเล็กไว้กับอก ทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด กระต่ายเลี้ยงกระต่ายที่ไหนกัน ศศิหาใช่กระต่ายจริงๆเสียหน่อย!


“ที่พูดน้อย เพราะงอนผัวอยู่นี่เองสินะ”  ทว่าบทสนทนาของศศิและอคิราห์นั้นกลับได้ยินโดยผู้อื่น และแน่นอนว่าประโยคนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก การที่แต่งหญิงมาด้วย ไม่ได้หมายความว่าเราตกลงจะเล่นบทผัวเมียจริงๆเสียหน่อย!


“แก้ตัวหน่อยสิ ข้าหาใช่เมียท่านนะ”  คนตัวเล็กกระซิบเบาๆ ไม่พอใจกับเรื่องนี้ หากอีกฝ่ายจะพูดล้อเล่น ก็อยากให้มันพอดีๆ


“เจ้าก็พูดสิ”


“….”


“ปล่อยให้พวกเขาคิดไปเช่นนั้นดีแล้ว”  แม้จะเก็บมาเป็นความขุ่นมัวในใจ แต่ก็ยอมรับว่าทำเช่นนี้อาจจะฉลาดกว่าจริงๆ สายตาของคณะเดินทางที่มองมาทางศศินั้นบางทีก็ติดจะหื่นกระหาย การมีเขาอยู่ข้างๆในฐานะสามีอาจจะช่วยทำให้พวกนั้นมีมโนธรรมขึ้นมาบ้าง แต่เป็นเช่นนี้…ตนไม่ต้องมานั่งอึดอัดตลอดการเดินทางเลยหรือ!?


“ข้าจะคาดโทษท่านไว้”  ด้วยการเพิ่มสูตรสมุนไพรที่กินแล้วอยากสำรอกออกมา…ก่อนจะมีกำลังวังชาไปสู้กับใคร องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นเดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนี้จะเอาคืนกันด้วยแบบไหน


ฟ้าเริ่มจะเป็นสีส้มก่อนที่ทุกอย่างเริ่มจะหายลับตาไป ขบวนเดินทางของเราหยุดพักที่ชายป่า ศศิลังเลว่าควรจะคุยกับเขาเรื่องขอแยกเดินทางออกมาดีหรือไม่ น่าแปลกที่ไว้ใจคนๆนี้เหลือเกิน อาจจะเพราะเราเดินทางด้วยกันมาตั้งแต่ต้น แม้จะขี้แกล้งไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยหักหาญน้ำใจกันจริงๆ


“ท่าน…”  แต่เกรงว่าเสียงที่เรียกจะไปไม่ถึง เขานั้นเดินไปคุยกับหัวหน้าคณะไม่ไกลเกินระยะสายตา ใบหน้าของศศินั้นดูจะผิดหวังที่เขาไม่ได้ยินที่เรียกหา แต่นอกจากคำว่า ‘ท่าน’ แล้ว ก็คิดไม่ออกจริงๆว่าควรจะเรียกว่าอย่างไร เพราะรู้จักกันมาสักพักแล้วก็จริง


แต่ไม่เคยจะได้ถามชื่อเสียงเรียงนาม


ส่วนอีกฝ่ายนั้นน่าจะทราบชื่อกันดีเพราะที่หมู่บ้านแห่งนั้นทุกคนเอาแต่เรียก‘ศศิ’ ไปมาน่าน้อยใจที่ไม่ได้ทราบชื่อของเขาเลยแต่ก็เป็นจุดประสงค์ของตนนั่นแลที่จะไม่ถาม ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากสร้างความผูกพัน แต่ไม่คิดว่าเราจะดวงผูกกันจนต้องระหกระเหินเร่ร่อนมาจนถึงที่นี่


“เจ้าคงเหนื่อยดื่มไวน์นี่ก่อนเถิด”  พวกเขาคือพ่อค้าที่กำลังขนส่งสุราไปขายต่างเมืองจึงไม่แปลกที่จะมีของพวกนี้ให้ดื่มกินได้ตลอดทาง ร่างบางนั้นหันไปมองทางด้านของเขาที่กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่กับอีกกลุ่มหนึ่ง รู้สึกน้อยใจอย่างประหลาด หรือจริงๆอาจจะแค่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะเราไม่ได้มาเพียงผู้เดียวแต่แรก ร่างบางนั้นรับไวน์มาและยิ้มกลับไปให้ตามมารยาท ก่อนจะจรดริมฝีปากเพื่อดื่มกิน

ทว่า….


“ต้องขอโทษด้วยแต่ข้าได้ยินไม่ถนัดว่านี่คือไวน์ บังเอิญข้าแพ้สุราจึงมิอาจจะร่วมดื่มกับท่านได้”


“แม้สักนิดก็ไม่ได้หรือ แม่นาง”  อีกฝ่ายดูผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ


“ต้องขอโทษที่เสียมารยาทจริงๆ”  และอย่างนี้มันดีกว่า…


เพราะศศิคิดว่าเรากำลังมีอันตราย…


“พี่อาทิตย์”  เจ้าของร่างเล็กที่ปฏิเสธการร่วมดื่มสุรานั้นตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนที่มาด้วย อคิราห์นั้นดูจะตกใจไม่น้อยที่ท่านหมอเดินเข้ามาออดอ้อนกอดแขนและเรียกกันด้วยโทนเสียงที่ชาตินี้คงไม่มีวันทำกับใครมาก่อน


พร้อมชื่อที่ไม่ใช่ของพระองค์ เจ้าตัวดูเคอะเขินแต่ก็คงจริงจังกับการเรียกร้องความสนใจไม่น้อยเชียว ศศิตั้งใจทำให้สงสัยเช่นนี้ ใครเล่าจะดูไม่ออก


“มีอะไรหรือเมียรัก”  พระองค์จึงทรงเรียกกลับไปเช่นนั้นด้วยแววตาหวานเยิ้ม ทว่าการตอบรับแบบนี้ทำให้ได้รู้ว่าเขานั้นน่าจะรู้ตัวว่ามีอะไรอยากจะพูดคุย


“เจ้าขนฟูของน้องมันหายไปไหนไม่รู้”


“ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าอย่านำกระต่ายนั่นมา”  ทรงโอบไหล่ของคนตัวเล็ก ถือแก้วไวน์ที่ได้รับมาไว้อีกมือพลางยกขึ้นจิบ  ก่อนจะพาท่านหมอตัวน้อยเดินหันหลังจากกลุ่มนั้นช้าๆ


“ข้าขอโทษไม่คิดว่ามันจะดื้อซนถึงเพียงนี้”


“เจ้าก็ดื้อซนไม่น้อย”


“ช่วยข้าหามันหน่อยได้หรือไม่”  เป็นศศิที่ส่งสายตาออดอ้อนมาให้ และอคิราห์ก็ยิ้มตอบกลับอย่างพึงใจ


“ใยจะไม่ได้เล่า”  เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เข้าตามแผน


ไม่รอช้า ศศิก็ได้พาเขาเดินออกมาจากกลุ่มพ่อค้านั่นในทันที ตาก็ยังคงเหลือบมองแก้วไวน์ที่เขาถือ ดวงตาที่เคยมองกันหยาดเยิ้มเปลี่ยนเป็นแววเครียดขรึม ไม่แน่ใจว่าดื่มไปแล้วเท่าไหร่ แต่คิดดีไม่ได้หรอก เพราะในแก้วของตนนั้นมันมียานอนหลับ ในแก้วของเขาที่มาด้วย ก็อาจจะมีเหมือนกันอยู่


“เจ้าเดินแบบนี้จะน่าสงสัยเอานะ”  อยู่ๆก็ซอยขาอย่างรวดเร็วเช่นนั้น มันน่าสงสัยเกินกว่าจะเป็นคู่ผัวเมียที่อยากจะหนีมาพลอดรัก ศศิเงยหน้าขึ้นไปหมายจะอธิบายให้เขาฟังถึงสถานการณ์ที่ได้รับทราบ แต่แววตาคู่นั้นทำให้ต้องกลับมามองแก้วไวน์ให้ดีและจะพบว่า


ยังไม่มีสักครั้งที่เขาจรดริมฝีปากกับขอบแก้ว!


“ข้าเองก็ได้กลิ่น ‘ราตรีเรียกขาน’ เหมือนกัน”  สมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลาย ถ้าดื่มไปในปริมาณที่พอดีมันอาจจะทำให้นอนหลับสบาย แต่ถ้ามากไปก็คร่าชีวิตได้ และปริมาณในแก้วของศศิมันเพียงพอให้นอนหลับลึกไปหนึ่งคืน ทว่าเมื่อยกแก้วขึ้นมาดมจะรับรู้ได้ถึงรสที่เข้มข้น เอาถึงตายเลยทีเดียว


“เพื่ออะไรกัน ของข้ายังไม่ใส่เท่านี้”  ศศิถามออกมา อคิราห์นั้นไม่ได้มีความรู้ด้านสมุนไพรเท่าศศิเป็นแน่ แต่เพราะพวกนั้นกะวางยาให้ตายเลยใส่ไปเสียเยอะขนาดนี้ เพียงยกแก้วขึ้นดมยังไม่ทันจรดริมฝีปากก็รับรู้ได้ แต่น่าแปลกที่กับศศินั้นพวกมันไม่ได้กะจะฆ่า ทว่าก็เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่


“พวกนั้นตามมาแล้ว”  ร่างสูงเร่งฝีเท้า พวกนั้นน่าจะสงสัยจึงตามมา หรือไม่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรแต่แค่คิดว่าควรจะรวบหัวรวบหางเสียที มากันห้าคนแบบนี้คงจะคิดว่าอคิราห์คนเดียวฆ่าได้สบาย ส่วน ‘เมียของเขา’ เมื่อฆ่า ‘ผัว’ ได้ก็จัดการได้ไม่ยาก


แม้เหมือนจะชวนพูดคุยสร้างมิตรไมตรีไปเรื่อยๆ แต่จริงๆมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย เพราะหลวมตัวมาด้วยแล้ว อคิราห์จำต้องเรียนรู้ศัตรูให้ดีเพื่อที่จะเอาชนะ ศศิกำลังจะพาพระองค์เข้าป่า ในความมืดมิดอาจจะทำให้เราเสียเปรียบหรือได้เปรียบ นั่นไม่มีใครรู้เลย ทว่าเมื่อพระอาทิตย์ลับแสง ก็ไม่มีใครได้เปรียบใครเลยจริงๆ


และกลางคืนก็ได้ครอบงำโลกทั้งใบให้มีแต่ความมืดมิด


“พวกมันหนีไปแล้ว!”


“อย่าให้มันหนีไปได้!”  องค์รัชทายาทกำลังพาศศิออกวิ่ง ท่านหมอตัวเล็กไม่ได้มีแววหวาดกลัวสิ่งใด และความร่วมมือที่มีให้ก็ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง ทว่าธนูที่ตัดผ่านใบหน้าไปก็ทำให้ต้องชะงักกึก พวกเรากำลังลังเลว่าจะเข้าไปในป่าเพื่อหาทางรอด หรือจะเผชิญหน้าต่อสู้ตรงนี้


อย่างไรซะตรงนั้นก็มีแค่ห้า ส่วนเรามีสองเป็นสองที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีเพียงหนึ่งที่จับดาบคล่อง ได้เปรียบขนาดนี้เห็นๆก็รู้อยู่แล้วว่าจะเลือกอะไร


พระองค์ก็ได้แต่หวังว่าศศิจะปีนหนีขึ้นไปบนต้นไม้ทันนะ


-  - - - - - - - - - - - - - - - - -

อนุญาตให้ด่าพี่อาทิตย์ได้เลยค่ะ ทำไมทำแบบเน้5555
หวังว่ายังจะมีคนรออ่านเรื่องนี้อยู่น้า ถ้าแต่งจบแล้วเรารับรองจะมาแบบถี่ๆจริงๆ
สาบานด้วยเกียรติของลูกเฉือที่อยากแต่งเรื่องอื่นแน้วววววว
น่อววว ใครไม่รู้จะอ่านอะไรรอไปอ่าน  #เจนไม่นก ก็ได้เด้อ (ขายของแบบไม่เนียน555)

#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 4 : 5/12/2018
«ตอบ #14 เมื่อ05-12-2018 22:47:52 »

ขอให้ทั้งคู่ปลอดภัย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆนะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 4 : 5/12/2018
«ตอบ #15 เมื่อ05-12-2018 23:42:53 »

จะปีนจริงๆเหรอ ปีนให้ทันเน่อ 5555555555
กระต่ายหายไปไหนแล้ววว

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 5 : 8/12/2018
«ตอบ #16 เมื่อ08-12-2018 19:55:57 »

Finding the twilight
5
อาทิตย์กับศศพินทุ์
☼ ☽


“ปีนหนีขึ้นไปบนต้นไม้”  เขาสั่ง ศศิแทบร้องไห้ นี่เขาเห็น ‘เมียรัก’ ที่เฝ้าอุ้มชูมาตลอดวันเป็นพญาลิงหรือ? ต่อให้ปีนได้ก็ไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน ใครจะกระโดดแล้วขึ้นไปอยู่บนนั้นได้เลยเล่า หากแน่จริงก็ทำให้ดูเสียที แล้วจะลงมาสู้กับพวกนี้ต่อก็ไม่เป็นอะไรเลย!


“ข้าปีนไม่ได้” ปกติก็ปีนได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ตอนนี้และให้เสร็จภายในวินาทีนี้!


“งั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะเอาตัวรอดได้!”  ไม่รอดก็ต้องรอดแล้วงานนี้ อคิราห์นั้นพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ทิ้งภาระดูแลชีวิตตัวเองไว้ให้ศศิที่ตามไม่ค่อยจะทัน เห็นได้ชัดว่าเขานั้นเหมาไป 3 แล้วจะเหลืออีก 2 มาให้ตามกันทำไม!


“ยอมเสียเถิดคนสวย”  หนึ่งในพวกมันที่ดูอ่อนแอที่สุดในกลุ่มนั้นย่างสามขุมเข้ามา ศศิถอยหลังไปตามสัญชาตญาณแต่สติยังมีครบถ้วน แม้ใบหน้าจะดูลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกของตนที่ต้องพบเจอกับอันตรายแบบนี้ และครั้งแรกก็ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจนัก


เมื่อฝ่ายนั้นถลาเข้ามา ศศิที่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายตั้งรับกลับโจมตีด้วยฝ่ามือที่ลงสับบริเวณจุดอ่อน ทำให้ชาไปทั้งร่าง ก่อนจะหักแขนด้วยความว่องไว ไม่ใช่ว่าศศิเก่งเรื่องต่อสู้อะไรหรอก นี่ถือเป็นสถานการณ์จริงครั้งแรกตั้งแต่ฝึกมาจึงทำให้ประหม่าอยู่บ้าง


เดิมทีนั้นตนถูกสอนโดยท่านอาจารย์หมอเกี่ยวกับการต่อสู้ระยะประชิดมาบ้าง แต่เพราะตัวก็เล็กแค่นี้แถมไม่ชอบออกเรี่ยวออกแรงเลยคิดว่าตนทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยไปฝึกซ้อมหรือฝึกประลอง แต่พอโค่นไปได้คนหนึ่ง ก็เริ่มมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาบ้าง เหลืออีกคนให้จัดการ และมันคงระวังตัวกว่าเดิมเพราะได้เห็นแล้วว่าศศิไม่ได้อยู่เฉยๆให้จับ


เมื่อหันไปทางคนที่จัดการตัวใหญ่ๆอีกสาม ก็พบว่าเขาไปเอาดาบมาจากไหนไม่รู้ล้มไปได้ถึงสองแล้ว มันก็รู้สึกขัดแย้งในใจไม่น้อย ทั้งๆที่เป็นหมอแต่กลับมาทำร้ายคนให้บาดเจ็บ และเพราะมัวแต่คิดเพลิน หางตาของตนเลยแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าคู่ต่อสู้ของตนได้มาประชิดกันแล้ว และศศิก็กำลังจะพลาดท่า…


“ศศิ!”


ปึก!


“….”  แล้วร่างนั้นก็เซถลาไปด้านหลัง


ก่อนที่ศศิจะยกเข่าไปกระแทกที่จุดอ่อนตรงกลางหว่างขา และต่อยหน้าคู่กรณีจนล่วงลงไปนอนกับพื้นอีกคน ช่างเป็นหมัดที่คมนัก ขัดกับหน้าหวานๆราวกับอิสตรีที่พร้อมจะพับผ้านั่งร้อยดอกไม้เสียเหลือเกิน


“….” อคิราห์ที่เสียเวลามาเป็นห่วงกลับมาสนใจถีบยอดหน้าคนสุดท้ายที่ต้องจัดการให้เด็ดขาด ในตอนนั้นไม่ได้ทอดพระเนตรไปเห็นฉากสุดท้ายของศศิที่ก้มลงไปกระทืบมือของมันไม่ให้จับดาบได้อีก ไม่คิดเลยว่าคนที่ลูบขนกระต่ายด้วยความเอ็นดูและทายาให้พระองค์อย่างอ่อนโยนจะจัดการได้อย่างเด็ดขาดแบบนี้


บอกตรงๆว่าได้เห็นมาถึงตรงนี้ก็เจ็บตรงนั้นแทนไม่น้อย คนงามช่างใจไม้ไส้ระกำ!


“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง!”  ศศิที่มั่นใจว่าจะไม่มีใครแว้งมาทำร้ายกันจากด้านหลังได้อีกนั้นวิ่งมาหา การจัดการคน 3-5 สำหรับคนที่ฝึกฝนตนเองมารับมือกับการลอบสังหารหรือภารกิจต่างๆย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนตัวน้อยที่น่าจะถูกสอนมาให้ดูแลรักษา ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดการคนเลวได้ไม่น้อยหน้าเขาเช่นนี้ เสียศูนย์หน่อยๆ แต่ก็ภูมิใจราวกับได้เลี้ยงให้เติบโตมาด้วยพระองค์เอง


หลังจากยอมให้ศศิจับหมุนทั้งตัว ก็เป็นพระองค์ที่ต้องลากศศิออกมาจากพวกนั้น เพราะสัญชาตญาณหมอก็อยากจะเข้าไปดูว่าได้ทำใครถึงตายหรือไม่ แม้จะมาดมั่นกล่าวไว้ว่าไม่ได้ช่วยชีวิตหนึ่งมาฆ่าอีกสาม แต่บางทีก็เอ๋อๆจนลืมคิดไปว่าไอ้ 3+2 ตรงหน้ามันจะฆ่าเราทั้งคู่


หลังจากจัดการจับมัดอุดปาก อคิราห์ก็กระทำการปลดทรัพย์พวกคนชั่วด้วยการทำตัวให้ชั่วยิ่งกว่า ศศิมองกันตาปริบๆ เริ่มรู้สึกเหมือนเดินทางผิดก็วันนี้ แต่ถ้าศศิได้รู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว อาจจะงงยิ่งกว่า องค์ชายรัชทายาท กษัตริย์คนต่อไปของสิหราชนคราหรือนี่ที่ทำเรื่องแบบนี้?!


“เพราะข้าเห็นว่าเจ้ากินจุต่างหาก”  เงินอาจจะไม่พอเลี้ยงศศิระหว่างทาง เป็นเช่นนี้แล้วก็พอจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปได้ อย่างไรปากท้องของเรา(?)ก็สำคัญ


อคิราห์จัดการปล่อยม้าของพวกคนชั่วให้หนีไปและเก็บไว้ใช้เพียงตัวเดียว ตอนแรกได้หันมาถามศศิแล้ว ว่าจะเอาด้วยไหม แต่เกรงว่าคนเลี้ยงกระต่ายจะไม่มีประสบการณ์ขี่ม้ามาก่อนทั้งๆที่โตในค่ายทหาร ไม่เป็นไร ต่อยตีเป็นบ้างก็พอจะอยู่ร่วมกันได้ ก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิทจริงๆ ทรงได้พาคนตัวเล็กควบม้าหนีไป แสงจันทร์ในวันนี้ดูจะสว่าง นำพาให้เราไปได้ไกลกว่าที่คิด ก่อนจะมาหยุดที่ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่งดูจะไกลพอแล้ว


“ถ้าท่านอาจารย์ของข้ารู้ ท่านต้องตีตายแน่”  ทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายคนอื่นโดยไม่เหลียวแล หรือแม้แต่ไปปลดทรัพย์สินเขามาด้วย


“หากไม่ยอมรับการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ก็หมายความว่าจะไม่นอนกับข้าในนี้สินะ”  ทรงหมายถึงชุดเครื่องนอนที่เตรียมมา เจ้ากระต่ายจอมแสบรีบส่ายหน้าตบปากตัวเองที่พูดจาไม่ดี ท่าทางแบบเด็กๆทำให้องค์รัชทายาทเผลออมยิ้ม ก่อนจะกลั่นแกล้งด้วยการเถิบหนีเมื่อศศิเข้ามาใกล้


“ให้ข้านอนด้วย”


“บอกว่าให้เมียนอนด้วยสิจ้ะผัวจ๋า” 


“จะบ้าหรือ!”  ใครจะพูดอย่างนั้นกัน มันชักจะมากเกินไปแล้ว นี่ศศิเป็นเมียเขาเต็มวันไปแล้วหรือนี่!


“งั้นหาวิธีมาขอน่ารักๆหน่อย เอาให้ข้ารู้สึกว่าต้องเสียใจที่ใจร้ายกับเจ้า”  มันน่าโมโหนัก ทั้งๆที่เขามีโอกาสมาปากดีใส่กันได้ก็เพราะท่านหมอผู้มีพระคุณคนนี้ไม่ใช่หรือไร? เมื่อนึกได้ว่าตนยังไม่ได้ทวงบุญคุณเลยก็คิดจะโพล่งมันออกมา


จนกระทั่งนึกถึงไม้ตายที่เคยได้ใช้
 

“ท่านพี่”  น้ำเสียงที่เรียกกันมีแววหวานจนทำให้ขนลุกเกรียว อคิราห์ที่คิดว่าศศิต้องไม่ยอมแน่พลันหันมาสนใจสบตาคู่นั้นที่ช้อนมองกันอย่างออดอ้อน “ให้ศศินอนด้วย”  ในตอนนั้นเองทรงคิดแล้วว่าบางที…


ควรจะยกให้ศศิไปนอนคนเดียวให้มันจบๆซะ!


ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มอบให้…มิหนำซ้ำยังต้องมานอนใกล้ชิดกันอีก ทั้งๆที่ควรลำบากพระทัย แต่นี่มันคืนที่เท่าไหร่แล้วที่มีศศินอนข้างๆ และเจ้าตัวที่ไม่ได้พิศวาสอะไรก็ช่างกินง่ายนอนง่าย สอดตัวเข้าไปในความอบอุ่นได้ ก็พลิกตัวนอนตะแคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เป็นพระองค์ที่หยอกล้อสนุกในยามกลางวัน ก่อนจะถูกเอาคืนให้ใช้เวลามากกว่าในยามค่ำคืน เช่นนี้


แค่เพียงเนื้อตัวเราต้องสัมผัสกัน พระองค์ก็รับรู้ได้ถึงความนุ่มลื่นของผิวกายอีกฝ่าย จินตนาการที่ห้ามไม่ได้ ทำให้เผลอคิดว่าหากพระหัตถ์นั้นได้สัมผัสหรือลูบไล้คนที่นอนข้างๆนี้ จะให้ความรู้สึกที่ดีเหมือนแพรไหมอบร่ำที่ทรงชื่นชอบนักหนาหรือไม่ อย่างนั้นแค่สัมผัสคงไม่พอ จะรู้ว่าหอมหรือไม่…มันก็ต้องดอมดมดูสักครา


“…”  เป็นความอยากรู้อยากเห็นที่บ้าบอ โฉดเขลา และสกปรกสิ้นดี ก่นด่าตัวเองจนพอใจแล้ว ก็นอนหลับพักผ่อนสักนิดเถิด เฝ้าระวังความปลอดภัยในค่ำคืนนี้เสียหน่อย ทว่าในขณะที่กำลังฝึกตนอยู่นั้น คนข้างๆก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย เมื่อศศิขยับกายมาใกล้อีกนิด เส้นผมนิ่มสลวยก็แผ่กำจายกลิ่นหอมมาถึงทางนี้ เจ้ากระต่ายนี่เอาอะไรมาหอมกัน ได้ข่าวว่าเราไม่ได้อาบน้ำก่อนนอนกันไม่ใช่หรือ?


อืม…มันต้องเป็นเพราะไม่ได้อาบน้ำแน่ๆเลย ถึงรู้สึกไม่สบายตัวแบบนี้


“ช่วยไม่ได้”  ไม่งั้นคงนอนไม่หลับเป็นแน่  ไปอาบน้ำเสียหน่อย และถ้าจำเป็น…


ก็คงต้องไปจัดการเรื่องน้ำๆเสียหน่อยเหมือนกัน…


ศศิตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เป็นเพราะนอนไปตั้งแต่หัวค่ำ เรียกว่าซักผ้าเสร็จ ผึ่งไว้ไม่ไกลจากกองไฟและก็นอน ไม่รู้หรอกว่าคนข้างๆนอนเมื่อไหร่ ก็เขาดูหลับยาก พลิกไปพลิกมาเลยชิงหลับไปก่อนเสมอ เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าคนข้างกายยังหลับสนิท ช่วงนี้พระจันทร์เต็มดวงไร้เมฆบัง มันสว่างจนพอจะมองเห็นรูปร่างของคนที่หลับใหลอยู่ข้างกาย


น่าแปลกที่ยามนี้เขาดูแตกต่าง อาจจะเพราะหลับอยู่จึงดูน่าคบหากว่ายามที่แกล้งหยอก เขาเป็นคนหน้าดุ เสียงก็ดุ นิสัยก็ดุ ถ้าหากไม่ขี้แกล้งอยู่บ้างคงจัดได้ว่าไม่น่าเข้าใกล้เพราะคล้ายไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เอาเสียเลย จนตอนนี้ศศิกล้าวิจารณ์กันในใจได้แล้ว เพราะความใกล้ชิดที่ไม่เคียงความสนิทสนมทำให้รู้ว่าพอจะฝากอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง อย่างน้อยก็เหมือนจะฝากชีวิตได้ จากเหตุการณ์ที่ผ่านๆมา


“ถ้าท่านไม่ขี้แกล้งก็คงจะดี”  เผลอหลุดพึมพำออกมาขณะมองใบหน้าคมในเงามืด ทว่าในจินตนาการ ลักษณะเด่นของเขากลับฉายชัดในหัว จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคมเรียวดุ ริมฝีปากบางรับกับรูปหน้าที่ดูสมชายชาตรี ร่างกายก็สูงใหญ่ ให้ความรู้สึกปลอดภัยยามต้องพึ่งพา ดูโดดเด่นจนต้องซ่อนใบหน้าไว้ในหมวกใบใหญ่แบบเดียวกัน หากลดความขี้แกล้งลงหน่อยจะดีมาก เพราะคนตรงนี้ไม่ไหวจะเขินและโกรธแล้วจริงๆ


อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้น เรากำลังก้าวเข้าสู่เช้าวันใหม่อย่างแท้จริง ศศิคิดเช่นนั้นก่อนจะมองไปยังทะเลสาบไม่ไกลจากนี้ เมื่อคืนวานศศิได้ไปซักผ้าอยู่ตรงนั้นและเอามาตาก ตอนนี้มันก็ดูจะแห้งดี เสื้อผ้าก็สะอาดแล้ว แต่ร่างกายที่ไม่ได้รับการชำระล้างก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ คนตัวเล็กจ้องมองพระจันทร์ลูกโต ความรู้สึกอันตรายต่อธรรมชาติที่มองไม่เห็นถูกแทนด้วยความเชื่อมั่นบางอย่าง คนตัวบางยิ้มออกมา ก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นแรกและชิ้นต่อๆไป


โดยไม่รู้ว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนที่นอนอยู่ไม่ไกล


องค์รัชทายาทนั้นนอกจากจะหลับไม่ง่าย ยังตื่นได้ไวอีกต่างหาก ยิ่งเมื่อมีคนมาพูดพร่ำนินทาอะไรข้างๆหู ก็ย่อมบรรทมต่อไม่ได้ ทว่าก็ไม่ได้แสดงตัวออกไปเพราะยังเช้าเกิน ยังอยากนอนต่อ ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมามองว่าอีกฝ่ายไปไหน สิ่งที่เห็นก็ทำให้พระทัยเต้นแรงและลังเลไม่น้อยเลย


ควรจะสะกดจิตตัวเองให้หลับต่อหรือว่าควรจะตื่นไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดดี!


ไม่รู้ว่าพระจันทร์เต็มดวงนั้นและตะเกียงอันไม่ใหญ่นักให้แสงสว่างต่อกันมากเกินไปหรือเปล่า ศศิถึงได้กล้าอาบน้ำยามท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่แบบนี้ และแก้ผ้าอย่างไม่อายว่าจะมีใครตื่นและมองกันอยู่ สิ่งที่พระองค์ได้เห็นและคงติดตาไปอีกนานนั้น คงเป็นภาพร่างบางที่กำลังรวบผมของตน เผยแผ่นหลังนวลเนียนที่ประดับไปด้วยแนวกระดูกสันหลังลงมาถึงบั้นท้ายกลมกลึง ไหล่ลาดเล็กเรื่อยลงมายังเรียวแขนที่พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง เรียวขานั่นก็เรียวสวยนวลเนียนดูหมดจด ไฉนเลยยังกล้าบอกว่าตัวเองอัปลักษณ์ได้ลงคอ เจ้าช่างหลงผิดไปไกลเหลือเกิน!


รูปลักษณ์ปานล้มเมืองนี่หรือที่กล้าด่าทอตนเองแบบนั้น!


แต่ด้านหลังราวอิสตรีนั้นมันต่างกับด้านหน้า อย่างไรศศิก็คือบุรุษและแม้จะเป็นบุรุษโฉมงาม แต่บุรุษก็คือบุรุษ และที่เจ้าตัวกล่าวว่าอัปลักษณ์นั้นก็คือใบหน้าหาใช่เรือนร่างที่พระองค์ได้เห็นไม่ แลดูว่าอคิราห์จะเพ้อเจ้อไปไกลจนเกินจะกู่กลับเสียแล้ว


“เฮ้อออออ”  ถึงจันทร์จะสว่าง ก็ใช่ว่าใต้น้ำจะมองอะไรเห็นได้ ถึงจะได้ลองสรงน้ำไปเมื่อคืนวานนี้แล้ว แต่ศศิอาจจะเผลอพลั้งพลาดอะไรได้อีก พระองค์จึงตัดสินใจลุกขึ้นไปแสดงตัวว่าตื่นแล้วที่ทะเลสาบ ก่อนจะนั่งที่โขดหินไม่ไกลกันนัก


“รอให้เช้าก่อนจะตื่นมาอาบ ข้าก็ไม่ว่า”  ศศิที่หันหลังให้นั้นสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง ใบหน้านั้นขึ้นสีแดง นี่เขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?


“ข้าเหนียวตัวไปหมดแล้ว”  แต่แม้จะเขินอาย ก็เลือกจะเผชิญหน้า แม้จะได้เห็นชัดเจนในส่วนอกที่ตอกย้ำว่าศศิหาใช่หญิงจำแลงมาจริงๆ


“….”  แต่แผ่นอกบางเรียบนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันดูไม่เย้ายวนเลย


ผมยาวสลวยนั้นถูกรวบเป็นมวยสูงเก็บโชว์กรอบหน้า มีปอยผมหลุดร่วงลงมาขับความหวาน และแน่นอนว่าจุดเด่นที่ศศิมีซึ่งก็คือปานที่นึกรังเกียจก็ยังมีให้เห็นชัดเจนอยู่ แต่พระองค์กลับไม่เห็นว่ามันเป็นตำหนิตรงไหน เมื่อรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่กำลังจ้องมองใบหน้าของตน มือเล็กก็ถูกยกขึ้นมาปิดบังมัน


อคิราห์ถอนหายใจออกมาให้คนที่ไม่รู้จะเรียกว่าขี้หวง ขี้เขิน หรืออะไรดี ที่มองนั้นก็เพลิน แต่ไม่มีสักนิดที่จะคิดว่ามันน่าเกลียด และมันก็ไม่เคยน่าเกลียดน่ากลัวสำหรับพระองค์จริงๆ


มันเป็นค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในการชื่นชมใบหน้าอ่อนเยาว์ผิวพรรณงดงามไร้ตำหนิต่างๆ ศศินั้นก็มีครบทั้งความอ่อนเยาว์และผิวสวย ทว่าปานนั้นอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อยจนเป็นที่ครหา ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมา แต่กับอคิราห์ที่ต้องพบเจอแผลเป็นมากมายบนใบหน้าของคนอื่นหรือแม้แต่แผลไฟไหม้ของคนในสนามฝึก ทรงกลับคิดว่าที่ศศิมีมันไม่ใช่อะไรที่มากมายเกินรับได้เลย ก็คงเหมือนสิวเม็ดหนึ่งที่ผุดขึ้นมานั่นแล


ตรรกะนี้มันประหลาด ก็ใช่…แต่ถ้าเรามองปัญหาบนใบหน้านั้นเล็กเท่าสิว มันก็จะเป็นแค่เรื่องสิวๆจริงๆ พระองค์ทรงกวักน้ำไปกระเซ็นใส่คนที่อาบน้ำอยู่จนอีกฝ่ายต้องหลับตาปี๋ ก่อนจะลืมตาและมองค้อนใส่กัน


“ปิดไปก็เท่านั้น ข้าเห็นปานของเจ้าหมดแล้ว”  ก็รู้ว่าเห็นหมดแล้วแต่มันคือปฏิกิริยาที่ศศิมักหลุดทำเสมอ มันผิดหรือไร?


“ข้าเผลอ”


“ข้าไม่ได้คิดว่ามันแย่ขนาดนั้นเลยนะ”


“ก็คงมีแค่ท่านคนเดียวที่คิดแบบนี้”  ศศิยิ้มให้กับคำพูดนั้น


“เจ้าคิดว่ามีแค่ข้าแต่เพียงผู้เดียวหรือที่คิดเช่นนั้น”


“….”


“งั้นข้าก็พอใจที่เป็นหนึ่งเดียวนั้น”  เขาทำให้ต้องชะงักไปกับคำพูดนี้ เพราะไม่ต้องการเหมือนใคร แม้ว่าการที่คนอื่นจะคิดได้แบบเดียวกันนั้นดีต่อศศิมากกว่าก็ตาม ไม่ใช่ว่าหวงอะไรกับตำแหน่งนี้มากนักหรอก แต่อยากให้รู้เอาไว้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะตัดสินคนที่แบบนั้น และที่ยิ่งกว่านั้น…


ทรงไม่คิดว่าปานแบบนี้ไปอยู่บนหน้าใครแล้วจะงดงามได้เท่าศศิอีก…


“…..”


“อย่าเล่นน้ำนาน หรืออย่าไปไกลนักนะ”  เมื่อศศิไม่เถียงต่อก็แปลว่าพอจะเข้าใจและหายเศร้าแล้ว “เข้าใจไหม ศศิ”


ศศิ…คำเรียกนี้ช่างทุ้มก้องอยู่ในใจ…


“เจ้าไม่ควรตื่นเร็วขนาดนี้ เดี๋ยวจะเดินทางไม่ไหว”  เมื่อเห็นท่าทีที่หยุดนิ่ง จึงเปลี่ยนบทสนทนาของเราให้เป็นเรื่องอื่นไปเสีย


“ข้าเห็นว่าตัวเองนอนเยอะแล้ว ไหนจะต้องลุกมาปรุงยาให้”  สิ้นคำอธิบาย ใบหน้าของคนต้องโทษต้องดื่มยาขมก็บูดเบี้ยว เขาทำให้ศศิยิ้มออกมาได้ง่ายๆ วันนี้จึงคิดว่าจะทำให้รสชาติมันดีขึ้นเสียหน่อย


“เราต้องเดินทางกันไกลนัก ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเหนื่อย”  เพราะมันอาจจะทำให้เราพากันช้า


“เรามีม้าคงไม่เหนื่อยเท่าไหร่”


“เผลอหลับบนม้า มันอันตราย”  เขาดุออกมา ทั้งๆที่เรายังไม่ได้นั่งบนหลังม้ากันเลย


“แต่ท่านอยู่ข้างหลังข้า”


“….”


“เพียงแค่ผูกตัวข้าไว้กับท่าน ก็ไม่ตกแล้ว” คำพูดของศศิทำให้ทรงคิดภาพตาม หากคนตัวเล็กหลับลงไป ก็ไม่พ้นต้องพิงมาทางข้างหลังอย่างนั้นหรือ ทรงพระสรวลออกมาน้อยๆ ใบหน้าคนที่บอกว่าจะผูกตัวเองไว้กับพระองค์ไม่ได้ฉายแววคิดมาก หรือไม่ได้คิดอะไรเลย นอกจากจะนอนง่าย ไร้ความอึดอัดใดๆ ก็จะพิงอกนอนกันง่ายๆโดยไม่คิดอะไรเช่นนั้นนะหรือ?


เกรงว่าเสน่หาอันล้นเหลือขององค์ชายรัชทายาทจะถูกเจ้ากระต่ายตัวดีเมินเฉยเสียแล้ว…


“เจ้าจะทำให้ข้าไหลตกไปกับเจ้าด้วยนะสิ”


“ตัวก็ตั้งใหญ่ ข้าตัวนิดเดียว”  ตัวนิดเดียวก็ยังซัดคนร่วงไปตั้งสอง ใบหน้าอวดดีนั่นทำให้ทรงนึกหมั่นไส้ระคนเอ็นดู


“งั้นคงต้องมัดเจ้าไว้กับข้าแน่นๆหน่อย”  นึกอยากเอาคืนเจ้าคนที่ทำให้ทรงเสียความมั่นใจอยู่ไม่น้อย “เผื่อเจ้าจะตกลงไป ข้าจะได้คว้ามาก่อนได้ทัน”


“…”


“ตัวเจ้าก็นิดเดียวข้าย่อมกอดได้ถนัดมืออยู่แล้ว”  แล้วเจ้ากระต่ายบื้อก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัว เพราะใบหน้าขาวนั้นดูร้อนขึ้นมา ไม่ใช่แค่คำพูด แต่แววตาเจ้าชู้ของคนที่พยายามจะกู้ความมั่นใจนั้นชักนำให้ศศิได้เข้าถึงภาวะนี้ ภาวะความเขินอาย


“ข้าไม่หลับเป็นแน่ โปรดวางใจได้!”


“งั้นก็ขึ้นมาได้แล้ว แช่น้ำนานๆเจ้าจะไม่สบาย”  และอาจจะผล็อยหลับระหว่างที่เราอยู่บนม้าให้เขาต้องโอบกอดเอาไว้ แต่ถ้าคนตัวสูงยังนั่งอยู่เช่นนี้แล้วศศิจะขึ้นไปได้อย่างไร เขาก็เหมือนจะรู้ตัวอยู่ด้วย


“ท่านก็หันไปก่อนสิ” 


“ทำไมกันเล่า”


“ข้าจะได้ขึ้นไปยังไง”


“เจ้าขึ้นไม่ได้หรือ? หรือต้องการให้ข้าไปพาขึ้นมา”  ศศิรีบยกมือห้าม ทั้งๆที่รู้ว่าเขานั้นเข้าใจทั้งหมดแต่ยังจงใจแกล้ง ในที่สุดก็ต้องยอมยืดตัวขึ้น แหวกว่ายคลานกลับเข้าฝั่ง แต่คนขี้แกล้งทำได้ดีกว่านั้น เขาเดินเข้ามาหา พร้อมผ้าคลุมตัวที่ถือติดมือไว้ ช่วยคลุมร่างเปล่าเปลือยที่กำลังจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไม่ให้ต้องกระดากอาย


“…”


“เจ้าควรเช็ดตัวให้แห้ง อากาศเย็น จะเป็นไข้ได้”  โทนเสียงอบอุ่นที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยทำให้ศศิที่อยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว ลืมเลือนมัน ทว่าสิ่งที่มาทดแทนคือความสับสนที่มาพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่รุนแรงหนักหน่วง ริมฝีปากบางของเขาเผยรอยยิ้มมาให้ มันเจิดจ้าท่ามกลางฟ้าที่ใกล้สางนี้


“ขอบคุณ”  ศศิหลุบตาลง เลือกที่จะไม่ตอบโต้ใดๆและกระชับผ้าที่คนขี้แกล้งนำมาคลุมตัวไว้ให้แน่นขึ้นอีก ดวงตาอันอบอุ่นแต่แวววาวนั้นทำให้อึดอัดเหมือนไม่มีที่ให้ยืน เขาผละจากไปก่อนให้ศศิตามมา อคิราห์เพียงพอแล้วกับการกลั่นแกล้งให้เลือดลมไหลเวียนคล่องตัวในยามเช้า แต่ใครเล่าจะคิดว่าที่ผละออกนั้น ใช่เพราะแกล้งพอแล้ว


ไม่ใช่…แกล้งมากไป พระทัยก็สั่นไหวไม่น้อยอยู่เหมือนกัน?!


เราต่างแยกย้ายกันไปจัดการนั่นนี่ของตัวเอง ศศิไปต้มยาด้วยสมุนไพรที่ตนนั้นเตรียมไว้ เอามาให้เขาดื่ม ซึ่งตัวผู้รับก็ว่าจะดื่มเงียบๆไม่ชวนต่อล้อต่อเถียงใดๆ ทว่าก็อดจะหลุดสีหน้าแหยงๆไม่ได้ เพราะเมื่อนึกถึงรสชาติที่เคยลิ้มลอง แต่หวานเป็นลมขมเป็นยาจริงๆ หลังจากดื่มยาบำรุงที่มีรสชาติคล้ายยาพิษนั่น ร่างกายก็ฟื้นฟูได้เร็ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีปัญญาเปรี้ยวสู้กับชาวบ้านเมื่อวานจริงๆ


“ข้าไม่ได้แกล้งท่านแล้ว ทานเถิด มันไม่แย่นักหรอก”  เมื่อเห็นท่าทางลังเลใจประหนึ่งทำใจไปรบของคนป่วย มันทำให้คนปรุงยาหลุดคำสารภาพออกมา เพราะแกล้งเอาคืนอย่างนั้นใช่ไหม รสชาติมันเลยแย่ได้ขนาดนั้น แต่เมื่อเห็นว่าอีกคนยอมลงให้ขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะปฏิเสธ ทรงดื่มยาสมุนไพรลงไปและก็พบว่ารสชาติมันไม่แย่เท่าวันนั้นแล้ว


แต่ก็ยังคงไม่อร่อยอยู่ดี


“ยาไม่ใช่ขนม มันขมแต่ก็ดีกับร่างกาย”  ศศิกล่าวก่อนจะเดินจากไปเก็บข้าวของ ทรงมองตามแผ่นหลังบางของคนที่พยายามจะสร้างระยะห่างกับพระองค์ในเช้านี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ถ้ามองกันในแง่ของหลักเหตุผลหรืออะไรก็แล้วแต่ ศศิก็ทำถูกแล้ว ใกล้ชิดกันมากไปก็ไม่ค่อยดีหรอกแต่เป็นแบบนี้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายกว่านะ


เหมือนเมื่อวาน ทรงช่วยอุ้มยกศศิขึ้นไปบนหลังม้าก่อนจะก้าวไปนั่งซ้อนหลัง เมื่อแผ่นหลังของคนตัวเล็กสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากตัวอีกคน ร่างบางก็เกร็งไปหมด คงจะคิดเรื่องบทสนทนาในเช้าตรู่วันนี้ของเราเป็นแน่ แต่พระองค์ชายก็ไม่ได้ล้อเลียนอะไรออกไป เพราะเกรงว่าอาจจะมีคนโวยวายบนหลังม้าพาให้ตายกันเป็นคู่ ทว่าพอปล่อยให้ศศิเกร็งไปอย่างนั้นนานๆเข้า ก็เป็นพระองค์ที่ต้องพูดอะไรขึ้นมาเพื่อทำลายความอึดอัด


“ทำไมถึงเรียกข้าตอนนั้นว่าพี่อาทิตย์เล่า?” 


“….”


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชื่ออาทิตย์”  แต่จริงๆพระองค์ก็ไม่ได้มีพระนามว่าอาทิตย์เสียหน่อย แต่ความบังเอิญนั้นมีอยู่บ้าง อคิราห์นั้นแปลว่า ‘พระอาทิตย์’


“ข้าคิดไม่ออก”


“หรือเพราะเจ้าชื่อศศิที่แปลว่าพระจันทร์เลยเดินมาเรียกข้าว่าอาทิตย์”  คิดง่ายๆแบบนั้นจริงๆหรือ?


“ก็คงจะอย่างนั้น แต่ตอนนั้นข้าเพียงหวังให้ท่านสังเกตว่ามันมีอะไรผิดปกติเท่านั้น” เจ้าตัวไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อเลย ตอนนั้นจะเรียกออกไปแค่ว่า ‘ท่านพี่’ ก็ย่อมได้ แต่เดินไปกอดแขนและเรียกว่า ‘พี่อาทิตย์’ มันเหมือนมีอะไรจากส่วนลึกภายในที่เรียกร้องให้ตนทำเช่นนั้น


“ฉลาดนัก เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบเป็นลมไปเลยที่เรียกกันอย่างนั้น”


“แล้วท่านชื่ออะไรเล่า”


“หืม?”


“ท่านยังไม่เคยบอกเลยนะ”  ศศิพูดมันออกมาด้วยเสียงเบา เป็นจริงที่ไม่เคยบอก เพราะไม่เคยคิดว่าต้องบอกหรือควรบอก เดิมทีเราก็ไม่ควรจะมาอยู่ในจุดๆนี้ด้วยกันอยู่แล้ว แต่เพราะความเป็นไปที่ทำให้ได้ใกล้ชิด มาถึงตรงนี้ก็คิดว่าควรบอกออกไปจริงๆ พระองค์ทรงกระเถิบไปหาให้ใกล้ชิดขึ้น ก่อนจะพูดเสียงเบา


“ชื่ออคิราห์”  ที่แปลว่าพระอาทิตย์  “แต่อยากให้เจ้าเรียกว่าพี่อาทิตย์มากกว่า” 


“ทำไม”


“ข้าชอบแบบนี้”  แต่ทำไม? “เพราะมันดูพิเศษ”  แล้วพระองค์ต้องการความพิเศษระหว่างกันทำไม นั่นก็เป็นปริศนาที่เวลาและความใกล้ชิดเท่านั้นที่จะบอกได้


“ช้าชื่อศศิ”  เจ้าของกลิ่นหอมรัญจวนบอกกันอย่างนั้นแต่เขาก็รู้อยู่แล้ว มันเลยเจ็บใจที่ศศิไม่มีความลับตรงนี้อยู่เลย “นามจริงคือศศพินทุ์” ทว่าถ้าเป็นชื่อจริง เขาย่อมไม่เคยทราบแน่


ศศพินทุ์…จุดหรือรอยรูปกระต่าย ซึ่งนั่นก็คือดวงจันทร์


“เป็นชื่อที่เหมาะกับเจ้านัก” สำหรับคนเลี้ยงกระต่ายที่เหมือนกับกระต่ายแล้ว จะมีนามใดที่เหมาะไปกว่านี้ และนี่คือความนัยที่กล่าวออกไปโดยไม่ได้หมายจะแกล้งอะไรเลย ทว่า…


ใบหูของคนฟังกลับขึ้นสีแดงจัดช่างน่ากัดเสียเหลือเกิน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - -

วันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนข้างนอก แต่นอกจากกินข้าวแล้วก็ซื้อของไปเยอะมาก ใจบางไปหมดแล้ว ฮือออออ
ขออนุญาตมาลงนิยายต่อแบบไม่รอแล้วนะ ต้องหาอะไรทำให้ใจไม่ฟุ้งซ่าน555
นิยายเรื่องนี้ไม่ค่อยดราม่าหรอกค่ะ /มองหน้าตาใส

#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri





ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 6 : 9/12/2018
«ตอบ #17 เมื่อ09-12-2018 19:55:30 »

Finding the twilight
6
ที่ความหวั่นไหว
☼ ☽


ศศิลังเลว่าควรจะจับมือของเขาไหม
ในตอนที่มันยื่นมารับกัน


“…” 


“ลงมาพักก่อน”  เมื่อยื่นมือมาให้จับ ศศิจะปฏิเสธความใจดีนี้ไปก็ได้ แต่มือของตน…ก็ยื่นไปหาเสียแล้ว 


เด็กดี…ทรงเห็นว่าศศพินทุ์ลังเลที่จะจับมือกันในชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะจับมือกันไว้ ไม่ว่ามันจะแสดงถึงความเชื่อใจหรือแค่มารยาท ก็ทรงแย้มพระสรวลออกไปเสียแล้ว


ทว่าหลังจากบทสนทนาเกี่ยวกับชื่อเสียงเรียงนามของแต่ละคน ก็ไม่มีใครพูดคุยอะไรกันอีก เมื่อเห็นว่าเดินทางมาไกลพอแล้ว ควรให้ม้าได้พัก เราจึงมาหยุดอยู่ที่นี่


“วันนี้เราอาจจะทันเข้าเมืองไปหาที่พักกัน”


“วันนี้เราจะนอนในเมืองหรือ” 


“ใช่แล้ว”


“ดีจัง ข้าอยากอาบน้ำ”


“ที่ไหนเจ้าก็อาบได้ทั้งนั้น”  ไม่ได้สิ โดยเฉพาะต่อหน้าคนขี้แกล้งนี้ด้วย แม้จะไม่เอยแซวหรือทำตาเจ้าชู้ใส่พร่ำเพรื่อ แต่เราไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะแก้ผ้าอาบน้ำให้เห็น ความทรงจำสุดท้ายที่มีคนอาบน้ำให้ มันก็ล่วงเลยมาสิบกว่าปีแล้ว!ทว่าวันนี้เขากลับโผล่เข้ามา ถ้าแสดงให้เห็นว่าเขินอายก็เข้าทางกันพอดี แม้จริงๆก็เขินอายอยู่ไม่น้อยเลย


“ใจข้าก็อยากกินอาหารอร่อยๆด้วย!”


“ข้าก็ปล้นมาให้เจ้าได้ทำตามใจแบบนี้แล้วไง เรามาใช้เงินของพวกนั้นให้คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากที่หามากันเถิด”  หยุดกล่าวหาว่าทุกอย่างเป็นเพราะศศิเดี๋ยวนี้นะ!


หลังจากนั้นเราก็นั่งเถียงกันไปมาปล่อยให้เจ้าม้าได้กินอาหารของมันเพื่อเก็บแรงไว้สู้ต่อ เจ้าของกระต่ายก็สนใจแต่เจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เก็บไว้ในย่ามตลอดการเดินทาง ส่วนคนที่ไม่มีกิจกรรมอื่นๆให้ทำนอกจากนั่งพักแล้ว เขาก็แค่มองกระต่ายเล่นกับกระต่ายเท่านั้น


“ทำไมเจ้าถึงเลือกเป็นหมอเล่า”


“ข้าไม่ได้เลือก แต่เป็นหมอก็ไม่ได้แย่” ตั้งแต่เด็ก ศศพินทุ์ที่กำพร้าทั้งบิดาและมารดานั้น ถูกเลี้ยงโดยท่านอาจารย์หมอซึ่งเป็นญาติที่มีความใกล้ชิดที่สุด ท่านผู้เป็นทั้งครูและน้าของตนจึงเปรียบเสมือนโลกทั้งใบ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาจึงถูกรายล้อมด้วยหมอและคนไข้ สมุนไพรและหมอต้มยา ไม่มีใครบังคับให้เป็น แต่เรียกว่ามันคือความเคยชินที่ก่อให้เกิดความสบายใจเสียมากกว่า


“เจ้าดูเด็กนัก ข้าไม่เคยเห็นหมอที่ไหนเด็กเท่าเจ้ามาก่อน”


“ข้าก็มีปัญหาในเรื่อยวัยและรูปลักษณ์ไม่น้อย แต่คนไข้ส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันมาตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาล้วนเป็นครูให้ได้ฝึกฝนและสะสมความน่าเชื่อถือ”  ทรงแย้มพระสรวลให้กับคำตอบนี้ แม้บางทีจะระแวงกับรูปลักษณ์ของตนไปบ้าง แต่ก็ยังมีทัศนคติที่ดี


เด็กคนนี้ช่างน่าค้นหา ในความเป็นเด็ก กลับมีความเป็นผู้ใหญ่ซ่อนอยู่ ในความอ่อนแอ ก็มีความเข้มแข็งที่มิอาจจะมองข้ามได้ เด็กคนนี้เติบโตขึ้นมาในโลกที่แสนลำบากได้อย่างดี คนที่เลี้ยงดูมาย่อมเป็นคนเก่งคนหนึ่งเลย และเป็นคนเก่งที่เต็มไปด้วยปริศนา


“เจ้ากับอาจารย์นั้นอพยพมาจากคีรีธาราหรือ?”


“อื้ม แต่ตั้งแต่จำความได้ ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว”  ดูเหมือนศศิจะไม่ได้รู้อะไรเท่าไหร่


เรื่องของผู้อพยพนั้น ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือระหว่าง 2 ดินแดน จริงๆหากมีการขึ้นทะเบียนหรือทำเรื่องขอย้ายให้เรียบร้อย ก็จะสามารถเปลี่ยนเชื้อชาติมาเป็นพลเมืองของกันและกันได้ ทว่าก็มีไม่น้อยเลยที่หลบเลี่ยง และสาเหตุหลักๆคือการหนีความผิดหรือคดีอะไรสักอย่าง แม้จะมีการขอความร่วมมือมาตลอดแต่ก็มักจะถูกมองข้ามเสมอ สิหราชนคราและคีรีธารา…บางทีเราก็รักแต่ก็ชังกันอย่างน่าใจหาย


กลับมาที่ศศิที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาถึงนี่ทรงคาดว่าอีกฝ่ายคือคนที่หนีมาโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนขอเปลี่ยนแปลงเชื้อชาติ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าตัวบอก มันไม่มีทางที่เด็กเล็กๆคนหนึ่งจะหนีมาได้ดังนั้นคนที่มีความผิดฐานหลบหนี เกรงว่าจะเป็นอาจารย์ของเด็กคนนี้เสียมากกว่า


ฝีมือทางการแพทย์ของท่านหมอน้อยผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร เกรงว่าผู้สั่งสอนย่อมเป็นหมอที่มีความสามารถมากมายคนหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้ว คนเป็นแพทย์ย่อมมีจิตใจเอื้อเฟื้อแบบที่ศศิมี แล้วความผิดของหมอประเภทไหนถึงทำให้ต้องหนีมาเสียไกล ในตอนนี้คิดไปก็ไม่ได้อะไรหรอก พระองค์ไม่เคยพบอาจารย์ของเด็กคนนี้สักครั้ง คิดไปเท่ากับด่วนตัดสินใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเจอแล้วค่อยพิจารณากันใหม่ก็ย่อมได้


“ท่านว่าอีกกี่วันเราจะถึงที่หมาย”  ศศพินทุ์ถามทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าเขานั้นรู้ทางจริงหรือเปล่า หากเขาเป็นชาวเมืองหลวง ทำไมถึงไปตกระกำลำบากที่ป่าตรงชายแดนฝั่งคีรีธารากันเล่า?


“อาจจะ 3 วัน”


“3 วันเลยหรือ”


“มีอันใดรึ”


“ข้าแค่เพียงคิดถึงอาจารย์”


“เจ้าคงสนิทกันมาก”


“โดยปกติแล้ว ข้านอนกับอาจารย์ทุกคืน พอคิดได้ว่าไม่ได้เจอหน้ามาเป็นสัปดาห์แล้ว ใจข้ามันก็…”


“เจ้านอนกับอาจารย์มาตลอดเลยหรือ?”  เติบโตจนป่านนี้ ศศิที่นอนข้างพระองค์ในทุกค่ำคืนนั้นไม่เคยที่จะนอนคนเดียวเลยหรือ?


“อื้ม แต่บางทีท่านอาจารย์ก็เข้าไปในกระโจมของท่านแม่ทัพทั้งคืน ท่านอาจจะ…มากล่อมหรือพูดคุยกับข้าก่อน”


“….”  ในกระโจมของท่านแม่ทัพ…ทั้งคืน?


“คาดว่าอาจจะไปให้การรักษาบางอย่างที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน อ๊ะ! ถือว่าข้าไม่เคยพูดนะ”  พูดออกมาหมดแล้วเพิ่งมารู้ตัวหรือเจ้ากระต่ายน้อย และเสด็จอาคนนั้น…


ป่วยเป็นโรคอะไรถึงต้องให้หมออยู่ใกล้ทั้งคืนกัน! ไข้ใจหรือ!?


บทสนทนาของเราเมื่อครู่ยังคงเวียนวนอยู่ในหัว เสด็จอาอชิระ ถือว่าเป็นพระญาติที่สนิทที่สุดคนหนึ่งในส่วนของอุปนิสัยที่นอกเหนือจากองอาจแล้ว ยังรักและหวงแหนความเป็นส่วนตัวเป็นที่สุด ทรงเลือกที่จะจับดาบถือทวนมายังชายแดน เสียมากกว่ายอมแต่งงานรับสะใภ้เข้าตำหนักเพื่อคงสถานะความเป็นองค์ชายแห่งสิหราชวงศ์ซึ่งเป็นราชวงศ์ปัจจุบันของสิหราชนครา แล้วไฉนเล่าถึงยอมให้หมอคนหนึ่งอยู่เฝ้าจนถึงเช้า?


“ท่านอาจารย์ของเจ้า คงงดงามน่าดูสินะ”


“หืม..ท่านรู้ได้ไง เคยพบท่านอาจารย์หรือ?”  นั่นไง!


“แค่สงสัยน่ะ ข้าไม่เคยเจอหรอก”


“สำหรับข้า อาจารย์นั้นจัดว่าเป็นบุรุษที่งดงามมากๆคนหนึ่งเลย แต่ก็นะ…นอกจากคนแถวนั้น ข้าก็ไม่ค่อยพบเจอใคร นั่นอาจจะเป็นแค่ความเห็นของข้าฝ่ายเดียว”ถ้าให้พูดเรื่องคนที่ตนชื่นชอบ ศศิจะพูดออกมาได้ยาวมากๆ แต่บุคคลที่ถูกพูดถึงเป็นผู้ชายรึ ชายรูปงามเสียด้วย นี่มันยิ่งกว่ากระต่ายเลี้ยงกระต่ายเสียแล้ว


“สมกับเป็นเสด็จอาจริงๆ”


“ท่านว่าอะไรนะ”  แม้จะบ่นพึมพำ แต่ก็ได้ยินทุกคำ อคิราห์นั้นบ่ายเบี่ยงไป แต่ในใจยังพาลคิด


ไม่ใช่ว่าท่านแม่ทัพอชิระจะเป็นคนเจ้าชู้ชอบเกี้ยวพาราสีใครหรอก แต่ท่านมีรสนิยมที่ดีจนบางทีก็ดีเกินอย่างที่ไม่น่าจะหามนุษย์คนไหนที่ถูกใจท่านได้ด้วยซ้ำ เพราะเหตุนี้จึงน่ากังวลว่าจะอยู่เป็นโสดไร้ทายาทตลอดไป จนกระทั่งมาได้ยินจากปากของเจ้ากระต่ายช่างเจรจานี่แล ว่าอีกฝ่ายที่ใกล้ชิดสนิทสนมนั้นงดงามขนาดไหนตอนนี้ผู้ฟังจึงปักใจเชื่อแล้วไซร้ ว่าการรักษาที่ว่าไปเป็นอาการป่วยประเภทไหนทำไมจึงติดใจให้รักษาตลอดคืนอย่างนั้นกัน


ศศิก็ช่างใสซื่อเสียเหลือเกิน!


เรามาถึงเมืองจุดหมายก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ทว่าเมืองนี้กลับเป็นเมืองเล็กๆซึ่งไม่มีที่พักอาศัยให้บริการ แต่เราก็สามารถหาที่พักได้จากความสามารถทางการแพทย์ที่มี เมื่อพบคนป่วยไข้ ท่านหมอที่เอื้อเฟื้อแก่ทุกคนก็พร้อมจะให้การรักษาเท่าที่ทำได้ และเราก็ได้ที่พักเป็นห้องๆหนึ่งของลูกชายเจ้าของบ้านซึ่งย้ายไปอยู่อีกเมืองแล้ว


“หากขาดเหลืออะไรก็บอกกันได้นะท่านหมอ พวกท่านคงเหน็ดเหนื่อย ข้าจะต้มน้ำไว้ให้ได้อาบ”  เจ้าของบ้านหญิงได้กล่าวอย่างอารี เมื่อศศิช่วยดูแผลจากอุบัติเหตุของหลานชายตัวน้อยของนาง


พระองค์เองก็เคยเป็นหนึ่งในคนป่วยที่ท่านหมอน้อยผู้นี้เคยดูแล และแน่นอนว่านี่คือครั้งแรกที่ได้มองท่านหมอน้อยรักษาคนอื่น ใบหน้าหวานเย่อหยิ่งนั้นดูอ่อนโยนยิ่งกับเด็กตัวเล็กๆหรือคนแก่ที่สุขภาพไม่ดีจากอากาศเปลี่ยนแปลง ช่างต่างจากตอนที่เราพูดคุยกัน หรือนั่นมันเป็นผลกรรมจากการกลั่นแกล้งอีกคนบ่อยครั้งเกินไป


“เหนื่อยไหม ศศิ”  เสียงทักด้วยความห่วงใยทำให้ต้องหันไปมอง เขานั้นค่อยๆทัดปอยผมให้ สักแต่ว่าอยากทำ เคยคิดบ้างไหม…ว่าเราไม่ได้สนิทสนมจนแตะเนื้อต้องตัวได้แบบนี้ ทว่าในมุมมองของเขา อาจจะเห็นแล้วรำคาญแทนเลยทำๆไป ไม่ได้คิดลึกซึ้งแต่อย่างใด


“พอได้ยินว่าจะได้อาบน้ำอุ่น วันนี้ข้าก็มีความสุขแล้ว”


“เจ้านี่ชอบอาบน้ำจริงๆ”


“ไม่ได้เหมือนท่านที่ดูซกมกนี่”ศศิย่นจมูกใส่ อยากจะบอกว่ามันเหม็นแค่ไหนงั้นหรือ


“ตัวข้าออกจะหอม เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”  เลยพิสูจน์ให้ได้รู้ด้วยการถอดเสื้อของตนออกและนำมันมาอุดจมูกให้ดมจริงๆ


“เล่นเป็นเด็กๆไปได้ แค่กๆ”  แล้วก็ยื้อยุดกันแบบนั้น น่าแปลกที่กับคนๆนี้ การแสดงออกของพระองค์ก็ดูประหลาดไปหมด อาจจะเพราะจะต้องสวมหน้ากากมาดองค์ชายรัชทายาทตลอดเวลา การได้มาเป็นคนธรรมดา จึงได้ปลดปล่อยด้านอื่นๆ  แต่ก็บอกไม่ได้ว่าการเป็น ‘องค์ชายอคิราห์ของปวงชน’ กับ ‘พี่อาทิตย์ของศศิ’ อย่างไหนดีกว่ากัน


“มาแล้วจ้า อ้าว! ป้ามากวนอะไรหรือเปล่านี่?”


“…”


“รักกันดีจังเลยน้า หนุ่มสาวคู่นี้”  ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะเข้าใจเราผิด ทว่าการถอดเสื้อต่อหน้าเจ้าของบ้านนั้นไม่ดีเลยร่างสูงจึงดึงให้คนตัวเล็กมาบังร่างกายของตนมากขึ้น ทว่าภาษากายที่สื่อออกไป ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดหนักกว่าเดิม


รักกันมากจนต้องกอดกันให้แน่นขึ้นอย่างนั้นสินะ…


“ปล่อยข้านะ”  ศศิดิ้น หลังจากที่เอ๋อเมื่อเจอคุณป้าเข้ามาพูดอะไรไม่รู้แล้วก็ออกไป


“รู้แล้วน้า ข้าปล่อยเจ้าไปอาบน้ำแน่ๆ”


“….”


“หรือเจ้าจะให้ข้าอาบน้ำด้วยเลยได้หรือไม่ ข้าก็เหนื่อยล้าเช่นกันนะ”  หุบปากไปเลย!


“ไม่เอา!”  ศศิ ย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว!


แต่จะคิดอะไรมากมาย…
อย่างไรก็ชายเหมือนกันไม่ใช่หรือ?


สงบศึกกันได้สักพักศศพินทุ์ก็ประกาศกร้าวและเดินเข้ามาล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดก่อนจะหย่อนขาลงในอ่างอาบน้ำที่อุ่นร้อนสบายตัว ทว่ายังไม่ทันรับรู้ถึงอุณหภูมิดีนัก คนน่ารำคาญก็เดินตามเข้ามาล้างตัวและหย่อนตัวลงมาในอ่างเดียวกัน โชคดีที่อ่างใหญ่พอสมควร เราเลยได้นั่งคนละมุม ศศิเท้าคางกับขอบอ่าง หันหน้าไปด้านหนึ่ง ตัดขาดการมีอยู่ของอีกคนในพื้นที่นี้ ปล่อยให้ความอุ่นร้อนของน้ำคลายความปวดเหมื่อยของร่างกาย น้ำก็ร้อนถ้าอารมณ์ยิ่งร้อน…คาดว่าคงมีคนตายอย่างแน่นอน


“น้ำอุ่นดีจัง”  เขาเข้ามาแช่น้ำด้วยเพราะกว่าจะรออีกคนออกมา น้ำอาจจะหายอุ่น นี่มันก็ค่อนข้างดึกแล้ว จะรอให้ออกมาก่อนก็เกรงว่าจะไม่ต้องนอนกันพอดี ตั้งใจจะมาแช่อ่างด้วยอย่างสงบ ตราบใดที่ไม่ล้อแซวหรือจ้องมองเกินไป เด็กขี้ใมโหก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยที่พระองค์จะมาร่วมอ่างด้วยหรอกกระมัง


“อืม”


“ได้อาบอย่างนี้ทุกวันคงจะดี”  อคิราห์พูดขึ้น ส่วนศศินั้นพยักหน้า พอไม่ทะเลาะก็จะสบายหูแบบนี้


แช่น้ำจนสบายใจแล้วศศิก็ขึ้นมาก่อน ในครั้งนี้อคิราห์ไม่แม้แต่จะสนใจการเคลื่อนไหวใดๆของอีกคนเพื่อให้ความเป็นส่วนตัว นอกจากใบหน้าแล้ว เกรงว่าเจ้าของร่างกายน่ามองนั้นก็ไม่ชอบให้จ้องมองกันทั้งตัวเสียเท่าไหร่ แม้จะอยากมองแต่ก็ต้องหักห้ามใจ มองมากไปก็ไม่ดีกับใครเลยจริงๆ


ในความเงียบงันนี้ มีอะไรให้ต้องคิดอีกหลายเรื่องเลย หากใกล้ถึงเมืองหลวง ก็คงต้องไปด้อมๆมองๆที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของท่านแม่ทัพอชิระที่อยู่ชานเมือง ก็ไม่รู้ว่าในระหว่างนี้จะเกิดอะไรบ้าง แต่ระวังตัวเองก็ไม่เสียหาย ถึงศศิจะต่อสู้ได้ แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจหรือเทียบเท่าทหารที่ได้รับการฝึกฝนมา พระองค์มีสำนึกในการดูแลอีกฝ่ายดี จนกว่าจะได้ตอบแทนอย่างเหมาะสม คงต้องดูแลท่านหมอที่ช่วยยื้อกันจากปรโลกให้ดีที่สุด


พอกลับเข้ามาในห้องพัก ก็ได้เห็นว่าคนที่ทรงต้องดูแลนอนขดตัวตะแคงหันหลังให้อยู่บนเตียงแล้ว ต่อให้ทรงหยอกให้เขินหรือโกรธปานใด พออาบน้ำร้อนจนตัวสบายตัว ก็มักจะอ่อนเพลียและนอนง่ายอย่างนี้แลหลังจากประทับนั่งลงบนเตียง การเคลื่อนไหวแม้จะแผ่วเบาก็ทำให้ศศิลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ


“ข้าทำให้ตื่นหรือ”  ทรงเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ เด็กขี้เซาทำเพียงแค่หลับต่อไปเสียอย่างนั้น องค์รัชทายาทนั้นด้วยสบายกายก็ใกล้จะเคลิ้มหลับ ทว่าจากที่นอนหงายก็เปลี่ยนมาตะแคงข้าง จ้องมองเส้นผมสีดำที่สยายบนหมอนนุ่ม ก่อนจะซุกหน้าลงไปด้วยความสงสัยว่ากลิ่นของมันจะเป็นอย่างไร และก่อนที่จะเข้าสู่นิทรา คำตอบขององค์รัชทายาทก็มีเพียงแค่รอยยิ้ม


อาจจะเพราะเราไม่ได้หลับนอนกันอย่างสบายนักในคืนก่อน จึงทำให้เราในเช้าวันนี้ยังไม่มีใครตื่นไหว อากาศในเช้ามืดที่เย็นขึ้นทั้งๆที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหนา ทำให้ศศิค่อยๆตะแคงมาหาไออุ่นที่อีกด้านอย่างเผลอไผลปลดปล่อยร่างกายให้ใกล้ชิดอีกคนอย่างเกินจำเป็น


อีกคนนั้นอาจจะตื่นง่ายกว่าในวันนี้ ทว่าลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าหวานราวสวรรค์ปั้นยังคงฝันดีอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้ใช้เวลาคิดพิจารณาให้มากนัก เลือกที่จะเพิกเฉยแสดงความเกียจคร้านต่อไปโดยการหลับตาลงอีกครั้ง การมีคนตัวเล็กนอนอยู่ข้างๆแบบนี้ กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว


อีกนานจนกระทั่งเจ้าของร่างสูงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องมองแพขนตาของคนที่ยังไม่ยอมตื่น เชื่อเถิดว่าทรงบรรทมท่าเดิมท่าเดียวแบบนี้ทั้งคืน จะมีก็แต่ศศิที่นอนดิ้นมาหา แล้วดูสิ เอาขาก่ายพระองค์ไว้อีก ถ้าตื่นมาโวยวายย่อมต้องกู้สิทธิ์กู้เสียงให้ตัวเองเสียแล้ว ทรงนอนนิ่งเหมือนคนตายขนาดนี้ หากด่าว่ากันคงต้องทำโทษคนเกเรเสียที!


“ศศิ”  พระองค์ทรงกระซิบเรียก “ตื่นได้แล้ว”  ตื่นมาดูผลงานตัวเองเร็วๆเถิด ทรงรอซ้ำเติมไม่ไหวแล้ว


“อืม”


“เด็กขี้เซา ตื่นมาได้แล้ว”  เรียกก็ไม่ลุก พอบีบแก้มก็ทำหน้ายุ่ง นี่หรือคนเป็นหมอที่ทำหน้าเครียดหน้าขรึมตอนปรุงยาและรักษาคนไข้ พอแกล้งเข้าหน่อยก็ไม่ใช่แค่ขาที่เอามาก่าย มือยังเอามากอด


“อื้อออออออ”บีบจมูกเสียที


“ตื่น!”


“ง่วง!”  ง่วงนักใช่ไหม ไหนดูหน่อยว่าจะทนนอนต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ อคิราห์ที่ยิ้มอย่างนึกสนุกในใจนั้นไม่รอช้า ก็ไม่รู้หรอกว่าคนขี้เซาจะเส้นตื้นหรือแข็ง แต่ถ้ามานอนให้แกล้งแบบนี้ใครจะอดใจได้ หลังจากที่ตัดสินใจจี้เอวบางลงไป ท่านหมอตัวน้อยก็ดิ้นปัดป้อง เสียงหัวเราะของพระองค์กับเสียงโวยวายในยามเช้าที่ดังพร้อมๆกันก่อให้เกิดสีสันยามสาย สนุกอยู่นานจนคนที่ยอมตื่นแล้วต้องนอนหอบค้อนใส่กัน ทั้งๆที่ขายังก่ายกันอยู่นั่นแล


“มันสายแล้ว”  พระองค์ทรงบอกออกไปด้วยหน้านิ่งๆ มองสภาพของคนที่ถูกแกล้งที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยผมยุ่งเหยิง


“ปลุกดีๆก็ได้”


“ปลุกดีๆแล้ว”  แล้วเจ้ากระต่ายขี้วีนก็นิ่งไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพราะความขี้เซาของใครถึงได้กลายเป็นแบบนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา ยอมลุกขึ้นหันไปมองฟ้า และก็พบว่ามันสายโด่งแล้วจริงๆ


“อาบน้ำได้ไหม”  พอรู้ว่าเราต้องรีบเดินทางก็หันมาอ้อนขอ สายโด่งแบบนี้ อากาศก็เย็นแบบนี้ยังจะอาบอีก เด็กขี้หนาวเอ้ย ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าผ้าห่มผืนเดียวก็เอาไม่อยู่อย่างเจ้านะ ขี้หนาวปานใด


“เร็วๆนะ”  แต่ก็เป็นพระองค์ที่ตามใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มยามเช้าจากริมฝีปากอิ่ม ก็คิดว่าทำถูกแล้วที่ไม่เข้มงวดกับอีกฝ่ายจนเกินไป ในบรรดาการแสดงออกทางใบหน้าของคนร่างบางทั้งหมด ทรงชอบรอยยิ้มนี้ที่สุดจริงๆ


เราสองคนกล่าวอำลาเจ้าของบ้านผู้ใจดีอยู่ค่อนข้างนาน เพราะหมอดีๆจะผ่านมาเมืองนี้นานๆครั้งจึงมีเรื่องให้ฝากฝังบอกกล่าวกันอยู่นานหน่อย ศศิบอกว่าหากสะดวกแล้วจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง ช่างเป็นเด็กที่ทำให้ผู้ใหญ่หลงรักได้เก่งจริงๆ ตรงนี้พระองค์ก็คิดว่าเป็นความสามารถที่ดีเยี่ยมอย่างหนึ่ง


เราได้รับสเบียงมาสำหรับเก็บไปกินได้หลายมื้อ ฉะนั้นเราจึงจะไม่อดยากต้องกินผลไม้อีกแล้ว ทรงช่วยดันให้ศศิขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ก่อนจะขึ้นไปนั่งตาม ก้มลงมายิ้มให้คุณป้าเจ้าของบ้านอีกครั้งก่อนจะลาจากจริงๆ


“กลับมาคราวหน้า พาเจ้าตัวเล็กมาด้วยนะลูก” เจ้าตัวเล็ก?“คนหนึ่งหล่อคนหนึ่งก็สวยขนาดนี้ เจ้าต้องมีเจ้าตัวน้อยที่น่ารักน่าชังมากแน่ๆ” จริงๆแล้วศศิควรจะหันไปยิ้มรับคำอวยพรของคุณป้า ทว่าเจ้าตัวกลับหลบสายตาเสีย ปล่อยหน้าที่ตอบรับให้เป็นของผู้ชายหน้าด้านที่นั่งอยู่ด้านหลังไปซะอย่างนั้น


“ขอบคุณมากขอรับ”  ก็ไม่ได้บอกว่าเรื่องเจ้าตัวเล็กจะมีหรือไม่ แต่อย่างไรเรื่องคนอวยพรก็ต้องขอบคุณไว้ก่อน จริงไหม?


จะว่าไปตลอดการเดินทาง เราไม่เคยพูดกับใครหรือไม่แม้แต่แสร้งว่าเป็นสามีภรรยากัน ทว่ามันมักจะมีคนคิดเห็นเช่นนั้นและเราก็มักจะเล่นตามน้ำกันไปบ้าง ถ้าไม่รวมที่เจอกลุ่มพ่อค้าใจทรามนั่น ศศพินทุ์ก็แทบจะไม่ให้ความร่วมมือใดๆเลย แต่กระนั้นคนก็ยังคิดไปได้ เราจะเป็นพี่ชายน้องสาวไม่ได้หรือไง หรือว่าควรกลับไปใส่ชุดผู้ชายเสียที!


“พวกเขาก็แค่ไม่รู้ เจ้าก็อย่าได้เคืองโกรธเลย”  ศศินิ่งมากสักพักแล้ว ก็คงไม่พ้นคิดมากเรื่องนี้ ว่าแต่มีข่าวลือกับคนแบบองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรนี้มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ ไม่ต้องแสดงความยินดีก็ได้ แต่แสดงความรังเกียจนี่สิ ไม่ยักกับเคยเห็น


“….”


“หรือกลัวว่ามาด้วยกันครั้งหน้าแล้วไม่มีเจ้าตัวเล็กมาพวกเขาจะผิดหวัง แหม…ถ้ากังวลเรื่องนี้ก็บอกกันเถิด โอ้ย!”ศศิหยิกไปที นี่เห็นแก่ว่าบังคับม้าให้กันอยู่หรอกนะ คงปล่อยให้ตายไม่ได้ แต่ต้องทำให้เจ็บตัวบ้าง ไม่งั้นคงทนเจ็บใจต่อไปไม่ไหว


“พูดอะไรของท่านกัน ข้าย่อมไม่พอใจที่ถูกเข้าใจผิดและเอ่ยแซวแบบนั้นอยู่แล้ว”


“ทำไมไม่เรียกพี่อาทิตย์เล่า”


“….”


“วันก่อนเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงที่ใช้มันไม่ได้โกรธเคืองกัน ทว่ามันมีแววน้อยใจอยู่ในนั้น


“ไม่ได้สัญญาอะไรสักหน่อย”  ศศิแก้ตัวเสียงเบา แต่คนฟังได้ยินชัดเจน


“หากเจ้าเรียกกันแค่ท่านๆ ข้าอาจจะไม่หันได้นะ”


“….”  แล้วเขาชื่ออคิราห์ไม่ใช่หรือ เรียกว่าอาทิตย์แล้วจะหันได้ไง?


“หากไม่เรียก พี่ไม่หันจริงๆนะ ศศิ”  ทรงกระซิบเบาๆด้วยโทนเสียงที่คนฟังต้องใจสั่นไหว ครั้งนี้ขอมากไปไหม ขอด้วยการเปลี่ยนสรรพนามตัวเอง ขอด้วยการกระซิบที่ข้างหู ขอด้วยการเรียกชื่อ…


ทำให้ศศิดูตัวเล็กลงเหลือนิดเดียวในอุ้งมือของเขา


“ขะ…ข้าจะพยายาม”


“แค่พยายามเองหรือ”


“….ก็ยังดีกว่า ไม่ทำไม่ใช่หรือไร”  คนตัวเล็กปากเก่งนั้นแก้ตัวพัลวัน ท่าทางร้อนรนในน้ำเสียงทำให้พระองค์มั่นใจได้ถึงเสน่ห์ที่ทรงตั้งใจแสดงให้เห็น ในยามนี้แม้ไม่ได้เห็นหน้า ก็รู้ว่ากำลังทำให้อีกคนใจสั่นได้จริงๆ


สนิทกันแค่ไหน พระองค์ถึงทำแบบนี้ และทรงคิดอะไรอยู่ถึงได้ไม่สนใจกำแพงที่เจ้ากระต่ายน้อยพยายามก่อ กี่ครั้งแล้วที่ทรงทำลายมันลงไปอย่างเลือดเย็นด้วยรอยยิ้มหวานและโทนเสียงนุ่ม ยามนี้ก็เช่นกัน ทรงกระชับกอดให้เข้ามาใกล้และคลายกอดหลวมๆแต่วางคางบนไหล่เล็กบางนั่นไว้


ก่อนจะพูดถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของศศิเต้นผิดจังหวะซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ได้อย่างไร


“เด็กดี”  ศศิเป็นเด็กดีสำหรับอาจารย์ คนไข้ ผู้ใหญ่ทุกคนที่พบเจอ คำชมนี้ควรจะเป็นคำชมทั่วไปที่ได้ยินทุกวันและเรียกรอยยิ้มทุกครั้งยกเว้นครั้งนี้ ผู้ฟังไม่ได้ยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน แต่ควรทำเช่นไรก็ไม่รู้


เพราะคำหยอกล้อเพื่อความสนุกสนานนี้แท้ๆ มันทำให้ศศิเป็นไปมากขนาดนี้ แต่ถ้ากลับกัน เขานิ่งเฉย ไม่หยอกล้อ และไม่สนใจกันเลยเล่าจะมาหงุดหงิดใจหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็ไม่น่าพอใจอยู่ดี ไม่ใช่เพราะนึกภาพเหล่านั้นไม่ออก อคิราห์ที่ดูเย็นชาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน ในช่วงแรกๆที่เขาตื่นขึ้นมาหลังการรักษาพิษ เขาก็ดูเป็นเช่นนั้น


“….”  และความรู้สึกในตอนนั้น…มันทั้งหวั่นกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ เขามีบรรยากาศที่หลากหลายในตลอดสัปดาห์ที่ได้สัมผัส แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ คือความใจดีและไม่เคยรังเกียจกัน


“หนาวไหม”  วันนี้อากาศเย็นลงกว่าเมื่อวาน ทรงถามไถ่ออกไป ทว่าคนร่างบางกลับไม่ตอบรับแต่เพียงหันกลับมามองเล็กน้อย เมื่อดวงตาประสานกัน เราต่างก็หยุดนิ่ง ก่อนที่ศศิจะส่ายหน้าและหันกลับไป


“ยังไม่หนาวเท่าไหร่”


“ถ้าง่วงแล้ว จะหลับก็บอกได้นะ”


“…..”


“เจ้าหลับได้ ไม่ได้ผูกเชือกไว้กับตัวข้าก็จริง แต่ไม่ต้องห่วง”  เขาทั้งใจดี และอ่อนโยนต่อกัน “ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตกลงไปแน่” และก็สร้างความเชื่อใจด้วยภาษากายที่ชัดเจน อ้อมแขนนั้นโอบรัดกันให้แน่นขึ้น โอบกอดทั้งกายและหัวใจ


โดยไม่รู้ตัว…เหมือนเรานั้นเผลอหย่อนตัวลงไปในหลุมลึกที่ไม่รู้ว่าใครตั้งใจขุดเสียแล้ว


-  - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Talk:  หลังจากเห็นว่าลงนิยายผิดเรื่องที่รีดอะไวรท์ เราก็รุสึกผิดมากเบยยยยยยยยยย
ฮือออออออออออออ ทำไมไม่รอบคอบ

ช่วงนี้ก็จะเต๊าะกันไปมาแหละค่ะ ปัญหายังไม่มาก็จะเรื่อยๆหน่อย แต่ปัญหาก็ไม่ได้ดราม่าอะไรนานๆเพราะเรื่องนี้จะไม่ยาวเท่าเรื่องที่เคยเขียนมาค่ะ ช่วงนี้อาจจะมาบ่อยหน่อย ฝากตัวด้วยนะคะ m(._.)m

คอมเมนท์บอกได้นะคะว่าคิดเห็นเป็นยังไง #อาทิตย์ศศิ
@reallyuri

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 6 : 9/12/2018
«ตอบ #18 เมื่อ09-12-2018 22:32:03 »

เหมือนคนพี่ก็เริ่มจะหลงสเน่ห์น้องแล้วนะ :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 6 : 9/12/2018
«ตอบ #19 เมื่อ10-12-2018 15:27:25 »

 :L2: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 6 : 9/12/2018
« ตอบ #19 เมื่อ: 10-12-2018 15:27:25 »





ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
«ตอบ #20 เมื่อ10-12-2018 18:51:59 »

Finding the twilight
7
ณ.คฤหาสน์ปิติชาญ
☼ ☽


แทนที่จะตรงไปที่คฤหาสน์ปิติชาญของท่านแม่ทัพอชิระในทันทีที่เหยียบเข้าเขตเมืองนี้
แต่อคิราห์กลับพาศศิมาเดินเตร็ดเตร่ชมนั่นชมนี่เสียก่อน…


จากที่นี่ไปถึงพระราชวังยังจัดว่าไกลกันนัก และไม่ใช่ว่าคนเมืองทุกคนจะเคยเห็นหน้ากัน  ทว่าทั้งๆที่ทรงเป็นที่จับตามองในขณะนี้ การออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่มันก็เสี่ยงต่อการถูกลอบสังหารอยู่ แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของศศิก็ทำให้คิดไปว่าสักนิดหนึ่ง…คงจะไม่เป็นไร…


“เจ้าดูเหมือนจะอยากกินไปหมดทุกอย่าง”  หลังจากสังเกตอยู่สักพัก ก็จะเห็นได้ว่าเด็กน้อยนั้นตาวาวทุกครั้งที่ผ่านร้านขายอาหารหรือขนม ในใจเราก็รู้ว่าไม่ได้มาเที่ยวเล่น แต่เพียงประเดี๋ยวเดียว ก็คิดไปเองว่าไม่เป็นไร


“ข้าไม่ค่อยได้เห็นของแบบนี้ ย่อมสนใจเป็นธรรมดา”  แค่สนใจคงไม่พอ หากได้เอาเข้าปาก เคี้ยวๆและกลืนได้ด้วย คงจะสมใจนัก หากเชื่อเด็กขี้ปดคนนี้ก็คงโง่งมแล้ว แต่พอเห็นศศิที่ดูอยากกินทุกอย่างไปทั้งตลาดเช่นนี้ อีกใจหนึ่งก็อยากจะเหมาซื้อมาให้ชิมตรงหน้าเวลาแค่เพียงสัปดาห์เดียวก็เคยตัว ไม่ได้หมายว่าศศิเคยตัว แต่พระองค์นี่แล ที่เคยตัว!


“เราซื้อขนมปุยๆนั่นกินได้ไหม”


“สายไหมนะหรือ ได้สิ”  น่าเอ็นดูขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อคนที่เหมือนกระต่ายนั้นอุ้มกระต่ายเดินตามกันและร้องเรียกด้วยการดึงชายเสื้อ แล้วจึงชี้ชวนถามด้วยแววตาที่แฝงคำว่า ‘ไม่ได้หรือ’ เอาไว้ พออนุญาตแล้วก็ดึงแขนพระองค์ไว้ให้เดินตามเหมือนเด็กที่พาผู้ปกครองไปจ่ายเงิน


สายไหมหลากสีก้อนโตมาอยู่ในมือของศศิแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าท่านหมอที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่จะรู้สึกประหลาดใจกับการมีอยู่ของขนมทั่วไปแบบนี้ แต่อาจจะเพราะในหมู่บ้านเล็กๆแถบชายแดนก็ไม่ได้มีอะไรแบบนี้ แม้แต่เครื่องปั่นไฟ ก็ยังมีอยู่เพียงไม่กี่เครื่องทุรกันดารแบบนั้นก็คงจะใช้ชีวิตกันแบบตามมีตามเกิด


สถานที่ที่ศศิเกิดและเติบโตนั้นมันช่างมืดมิดในยามค่ำคืน แต่น่าประหลาดที่ยามราตรีที่ควรจะมองไม่เห็นอะไร หากมีศศิอยู่เคียงข้าง พระองค์ก็รู้สึกได้ถึงแสงจันทร์และแสงดาวที่สุกสว่างกว่าปกติ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อเรายืนอยู่ใต้พระจันทร์ดวงโตนั้นด้วยกัน


“หึ”  แค่เพียงทอดพระเนตรมองศศิที่อ้าปากกว้างงับสายไหมก็รู้สึกสบายพระทัย ได้แต่บอกตัวเองว่าเพียงแค่เอ็นดูเท่านั้นกระมัง เด็กนี่ไม่ได้ดูเย้ายวนเลยแม้แต่น้อย ทว่าแก้ตัวไปก็ผิดอีกอยู่ดี ใครกันที่หวั่นไหวเมื่อยามที่จินตนาการไปไกลถึงไหนต่อไหนในยามค่ำคืน


“ท่านไม่กินอะไรหน่อยหรือ”  เมื่อเห็นว่าเขาตีหน้าขรึมก็ถามด้วยความเป็นห่วง อคิราห์นั้นหันมามองกันเล็กน้อย ก่อนจะก้มงับสายไหมของศศิคำใหญ่  “ท่าน!”  ใครใช้ให้กินไปขนาดนี้!!!


“ขนมหลอกเด็ก”  กินหน้าตาเฉยแบบนั้นแล้วยังมีหน้ามาพูดอีก เห็นว่าวันนี้ไม่กลั่นแกล้งกัน แต่ที่จริงนั้นเราไม่เคยสงบศึกกันจริงๆ แก้มใสที่พองลมอยู่นั้นทำให้พระองค์ยิ้มออกมา งอนได้น่าง้อขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ…ศศพินทุ์


ว่าแล้วก็ชี้ชวนให้ดูนั่นดูนี่ อธิบายความน่าสนใจและความน่าเอร็ดอร่อยของอาหารเหล่านั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของท่านหมอน้อยที่งอนเก่ง ขายเก่งกว่าพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้ก็พระองค์นี่!ตรัสอะไรไปก็ทำให้ศศิอยากกินมันทั้งหมดเช่นนี้ก็เลือกไม่ได้นะสิ!


“แล้วเราก็สั่งมาลองกินทั้งหมดเลย”


“เห็นข้าตะกละขนาดนั้นได้อย่างไร กินไม่หมดหรอกนะ”


“แล้วเจ้าจะมีพี่ไว้ทำไมถ้าไม่ให้กินด้วย”


พี่…


“หรือไม่อยากจะร่วมโต๊ะอาหารกับพี่แล้ว ศศิ” 


ก็ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ตราบใดที่ไม่แกล้งกัน ศศิก็ยังกินข้าวกับเขาได้อย่างเอร็ดอร่อยอยู่ และยอมรับด้วยว่าการที่มีคนมาพูดอธิบายถึงสรรพคุณ ที่มา ประวัติอะไรต่างๆเกี่ยวกับของพวกนี้แล้ว มันยิ่งทำให้เจริญอาหารขึ้นไปอีก ดังนั้นการทานอาหารร่วมกันนั้น จึงดีกว่านั่งกินคนเดียวเป็นสิบเท่า


“ก็ไม่บังคับหรอก หากไม่อยากให้กินด้วย”  ว่าแล้วก็เดินหันหลังจากไป ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ใจหรอก เพียงแต่ว่าทรงรอให้ศศิมาง้อกันบ้างก็เท่านั้น โดยหารู้ไม่


ว่าศศิ…ทำได้ดีกว่าที่คาดนัก


“พี่อาทิตย์”  ร่างบางเรียก ทั้งเสียงที่เปล่งออกมา และกิริยาที่ยื่นมาดึงแขนเสื้อกันไว้นั้น


“…..”


“กินเป็นเพื่อนศศิหน่อย”  มันเกินกว่าที่คาดหมายไปมาก และคิดว่า…


จะเหมาให้หมดตลาด มากองไว้ตรงนี้ต่อหน้าศศิให้หมด!


“อันนี้อร่อย อันนั้นก็อร่อย แต่อันโน้นเฉยๆ” ศศิที่กำลังตั้งใจชิมนั้นก็เจื้อยแจ้วไป คนมองนั้นก็ทอดเนตรมองอย่างเพลิดเพลิน ที่ถูกไล่ล่าลอบสังหารนี้ไม่เสียแรงได้กลับมามีชีวิตใหม่ อะไรที่ไม่เคยทำ ก็ได้ทำทั้งหมด ลองตายก็เกือบได้ตายมาแล้ว การมาเอาอกเอาใจผู้อื่นก็ดูจะเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย


“ถ้ากินอันนี้แล้วจิ้มอันนี้จะอร่อยมากนะ”  ทรงตรัสบอกให้ทำตาม และเด็กดีก็ว่าง่ายจิ้มกินอย่างที่แนะนำ เรานั่งอยู่กับพื้น ที่ใต้ต้นไม้ของยามบ่ายซึ่งอากาศอุ่นกำลังดี มองทั้งคนและกระต่ายทานอาหารอย่างเพลิดเพลิน เป็นความเรียบง่ายแบบที่ไม่คิดว่าจะมีความสุขได้ เป็นความสุขที่อยากจะมีให้นานขึ้นกว่านี้


พระองค์ไม่เคยปลื้มการเสวยอะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน แต่เห็นดวงตาใสแจ๋วของคนที่กำลังคีบเส้นบะหมี่ทั้งๆที่ยังเคี้ยวเกี๊ยวทอด ทรงกลับคิดว่ามันน่ารัก พระหัตถ์หนานั้นช่วยเช็ดมุมปากให้อย่างนิ่มนวล ท่านหมอน้อยที่ตอนนี้ไม่ต่างจากน้องน้อยเพียงแค่ช้อนตาขึ้นมามอง ก่อนจะกลับไปสนใจบะหมี่ตาเป็นมัน


“เจ้ากินได้มีสุขนัก”


“ยามมีกินเราก็ควรมีความสุขกับการกินสิ”  การเป็นผู้อพยพในพื้นที่แร้นแค้น ตัวเลือกอาหารก็ไม่ได้หลากหลายแบบที่รับประทานอยู่นี่ ศศิอาจจะกินจุไปหน่อยตอนนี้ แต่ลองได้มีกินแบบนี้ทุกวันก็ย่อมเบื่อได้เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดา   


“เห็นเจ้ากินได้ทุกอย่างแล้วมีความสุขก็ดี”


“แต่ข้าไม่ชอบกินเต้าหู้”


“อา…แบบเต้าหู้ทอดอันนี้นะหรือ?”  พระองค์ทรงชี้ไปที่เต้าหู้ทอดที่ศศิซื้อมาพร้อมกับผักทอดชนิดอื่นๆ เจ้าตัวตาโตด้วยไม่ทราบมาก่อน “เจ้าคงไม่ทิ้งขว้างมันใช่หรือไม่”  ทรงตรัสถาม ส่วนอีกคนนั้นเงียบไปแล้ว ท่าจะไม่ชอบเอาเสียมากๆ


“พี่อาทิตย์” 


“ข้าไม่กินแทนเจ้านะ”  ทีอย่างนี้ไม่แทนตัวเองว่าพี่แล้วนะ!


“กินให้หน่อยไม่ได้หรือ นิดเดียวเองนะ”  แค่เพียงชิ้นเดียวเอง


“ไม่ได้ ซื้อมาก็ต้องรับผิดชอบ”  ก็ไม่ใช่ว่าอคิราห์จะกินแทนไม่ได้หรอก แต่ไม่ใช่ของที่ศศิไม่ชอบแน่นอน ทรงอยากจะเห็นเด็กเอาแต่ใจต้องกินอะไรที่ตัวเองไม่ชอบดูจริงๆ


“จะไม่กินให้ศศิจริงๆหรือ…” 


“…”


“ศศิป้อนนะ”  เจ้าของดวงตาใสแจ๋วนั้นคลี่ยิ้ม ก่อนจะจิ้มเจ้าก้อนเต้าหู้ทอดมาจ่อปากเขา “อ้า…”  ออดอ้อนกันขนาดนี้แล้วจะเหลือหรือ?


ไม่รอดสิ อ้าปากรอให้เด็กรู้ทันตั้งแต่ที่พูดว่าจะป้อนนั่นแล…


ท่านหมอน้อยเป็นเด็กวัยกำลังเรียนรู้หรืออย่างไร ทำไมถึงรู้ทันกันแล้ว! ทั้งๆที่แต่ก่อนนั้นจะพูดออกมาทีล้วนแล้วแต่เขินอาย ยามนี้ เมื่ออารมณ์ดีก็เอาคืนกันด้วยการออดอ้อนกลับ ราวกับรู้ว่าถ้าทำลงไป คนที่จะต้องแพ้ภัยตัวเองล้วนเป็นพระองค์ เจ้าเล่ห์นัก!


หลังจากทานอาหารเสร็จจนอิ่มหนำสำราญ เราก็เดินตลาดด้วยกันอีกนิด และมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ เจ้าของกระต่ายนั้นจับเจ้าขนฟูใส่ย่าม ก่อนวิ่งมาเดินเคียงกัน ทรงทอดพระเนตรมองด้วยหางตาก่อนจะจี้เอวไปที ส่งผลให้จากหน้าระรื่นก็เปลี่ยนมาหน้าบึ่งใส่กันเป็นที่เรียบร้อย คงต้องหาวิธีรับมือกันไปมาเรื่อยๆ ทั้งๆที่วันหนึ่งใครสักคน จำต้องห่างออกไป


แต่แล้วจู่ๆเขากลับดึงร่างบางมาชิดใกล้..


“….”


“มีอะไรรึ?”  หากใบหน้ายังประดับยิ้มอยู่ ก็อาจจะคิดว่าเขาแกล้งเช่นทุกครั้ง ทว่าดวงตาคมคู่นั้นกลับเรียบนิ่ง ดูหวั่นระแวงในบางอย่าง


“มีคนตามมา”  เมื่อเขาเฉลย ศศิก็เกือบจะหันไปมองด้านหลัง แต่ก็เป็นเขาที่เชยคางให้มาสบตา


“อย่าหันไปสิ”  เขาแสร้งทำใบหน้าเจ้าชู้ใส่ ก่อนจะปล่อยให้ปลายจมูกของเราแตะกันเล็กน้อยเหมือนกับคู่รักกำลังงอนง้อ มันเป็นฉากหนึ่งในหนังสือ แต่ทำให้คนถูกกระทำเหมือนจะหลุดลอยไปยังอีกมิติหนึ่ง


“อีกไกลไหม”  เจ้ากระต่ายจอมแสบนั้นหวั่นระแวงไปหมดว่าตนจะเป็นภาระของเขา


“ไม่ไกล”  แต่ก็ไม่ใกล้ นี่คือสิ่งที่เขาไม่ได้พูด รอบตัวเรามีคนติดตามมากกว่า 10 คน เหมือนจะตามมาสักพักแล้ว ในตอนนี้ทรงรู้สึกผิดจริงๆที่มัวแต่ชวนเที่ยว


พระองค์ทรงลอบมองสถานการณ์รอบด้าน เช่นนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเราเสียเปรียบเพราะอยู่ในจุดที่ถูกโจมตีได้จากถูกทิศ หลังจากคำนวณความเป็นไปได้ต่างๆมากมาย อคิราห์ก็รู้สึกสิ้นหวังไปเรื่อยๆ แม้อีกไม่ไกลเราก็จะถึงคฤหาสน์ของท่านแม่ทัพแล้ว แต่เราก็อาจจะไม่สามารถปกป้องชีวิตของเราทั้งคู่ไปจนถึงประตูทางเข้าได้


แต่อคิราห์มิอาจจะสิ้นหวังกับสถานการณ์นี้ แม้ไม่ได้เสียดายชีวิต แต่กังวลถึงความวุ่นวายหลังการจากไปต่างหาก ถ้าคนจะตายยังกังวลอยู่กับทางโลกเช่นนี้ นรกหรือสวรรค์ที่ไหนจะกล้าเปิดประตูรับ เป็นเช่นนี้จึงยอมตายไม่ได้หรอก แต่จะทำอย่างไรดีให้เราทั้งคู่ปลอดภัย ในเมื่อถ้าพระองค์หวังจะไม่ตาย ก็จะให้คนข้างกายมาตายแทนไม่ได้เช่นกัน!


“เราจะทำยังไงดี”  ศศพินทุ์ดูเป็นกังวล ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงแบบนี้ อคิราห์ได้แต่กอดปลอบ รอยยิ้มที่ส่งไป หมายอยากให้เชื่อมั่น และในส่วนของการกระทำ ก็อยากจะให้เชื่อใจ


“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ขอให้เจ้าวิ่งไปทางเหนืออย่าได้หยุด”  หมายความว่า…


“แล้วถ้าท่านเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเล่า”


“เจ้าจะช่วยรักษาข้าใช่ไหม”


“….”


“เจ้าจะกลับมาพาข้าไปกับเจ้าใช่ไหม” เป็นศศิที่ช่วยกันมาตั้งแต่แรก และก็จะเป็นศศิใช่ไหมที่จะช่วยกันได้อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ศศิที่ฝากชีวิตน้อยๆของตนท่ามกลางคนเป็นสิบไว้กับองค์รัชทายาท แต่เป็นพระองค์เองด้วยที่หมายฝากชีวิตเอาไว้ ชีวิตของเราไม่ได้อยู่ในกำมือของใครเลย


แต่อยู่ในกำมือของกันและกัน


“จงวิ่งไปทางทิศเหนืออย่าได้หยุดนะ”  หลังจากรับฟัง น้ำเสียงของศศินั้นเจือเสียงสะอื้น ความรู้สึกที่ล้นปรี่ขึ้นมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นนี้เกิดขึ้นกับใครสักคนที่เพิ่งพานพบได้ไม่นาน ช่างหวานล้ำเจือรสขม ราวกับได้บ่มเพาะมานานหลายสิบปี หรือมากกว่านั้น…


ทั้งๆที่ความเป็นจริง มันยังไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ…


“พี่จะตามไป” 


ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็จะตามไป ขอแค่เพียงอยู่รอให้ ‘พี่อาทิตย์’ ตามไปหาก็พอ


หลังจากทำให้ศศิเชื่อมั่นทั้งในตัวเองและตัวพระองค์แล้ว อคิราห์ก็ให้สัญญาณสำหรับการออกวิ่ง มันไม่มีทางที่จะรอดไปได้แบบไร้แผลใดๆ แต่ทรงฝากความหวังในการรักษาไว้ ขอแค่เพียงเจ้ากระต่ายน้อยจะกระโดดไปถึงที่หมายได้ไวๆ ใครสักคน คงเร่งมาช่วยกันได้ทัน


มีมากกว่าสิบจริงๆ และดูจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อทำการลอบสังหาร หากเป็นมือสมัครเล่นเหมือนพวกโจรชั่วในคราบพ่อค้านั่น พระองค์ก็ยอมที่จะปล่อยให้ศศิอยู่ใกล้ตัว แต่กับคนพวกนี้พระองค์ไม่ไว้ใจ แต่เราคงไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ พวกมันเข้ามาจ่อประชิดเรื่อยๆ ทรงต้องรีบสลัดศศิออกโดยไว ไม่เช่นนั้นแผนคงล่มแน่


“วิ่ง”  สิ้นเสียงกระซิบ ร่างบางก็ออกวิ่งสุดแรงไปในทิศทางที่ตระเตรียมกันไว้


“ไปตามไอ้คนที่หนีไป ปิดปากมันให้ได้!”  เหมือนหัวใจกระตุก แค่คิดถึงคนที่พระองค์ปล่อยให้หนีไปก่อน ความห่วงหาก็วิ่งเข้าใส่จนต้องหักห้ามและตั้งสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ต้องจัดการข้างหน้า  อยากจะตามไปก็ย่อมได้


แต่ต้องหนีมีดสั้นนี่ให้พ้น!


ฉึก!


“จัดการมัน!!!!”  พระองค์นั้นไม่ควรจะไปปามีดที่ละครสัตว์เท่าไหร่ เพราะปาทีไรก็แทงเข้าตาชาวบ้านทะลุทุกที


ต้องขอบคุณพวกคนชั่วที่หมายปล้นสวาทคนงามวันนั้น ทำให้พระองค์มีของไว้ใช้ในยามนี้มากมายทั้งมีดสั้นและดาบ แต่คู่ต่อสู้ก็ไม่ได้ล้มง่ายๆ พวกมันมาพร้อมอาวุธครบมือและฝีมือที่พร้อมประสบการณ์ ทว่าการต่อสู้ยังเป็นได้แค่เฉียดกันไปมา ไร้บาดแผล ทว่าจะต้องระวังให้มาก เพราะก่อนนี้ก็ทรงเคยต้องบาดแผลเล็ก แต่พิษที่ติดมากับอาวุธกิ๊กก๊อกพวกนั้นมันไม่ใช่เล่นๆเลยเช่นกัน


“ตายซะ!”  ก็บอกแล้วว่ายังตายไม่ได้ อย่างเต็มที่ก็ทรงแค่อนุญาตให้ตัวเองบาดเจ็บได้บ้าง ถ้าโดนมากกว่านั้น ต่อให้เก่งกล้ากว่าศศิ ก็คงไปแย่งพระองค์มาจากโลกแห่งความตายไม่ได้อีกแล้ว


“เจ้าสิที่ต้องตาย!!!”  ทรงไม่ลังเลที่จะจ้วงแทงทุกคนเมื่อได้จังหวะ อคิราห์อาจจะได้ชื่อว่าเป็นองค์ชาย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในพระราชวัง แต่คนนอกคงไม่รู้ ว่าพระองค์นั้นเป็นองค์ชายที่ไม่เข้าตำรับตำราไหน ทรงรักการต่อสู้และจับอาวุธตั้งแต่จำความได้ เดิมทีก็เรียนไว้เพราะเห็นว่าเป็นศิลปะแขนงที่น่าสนใจ ทว่าใครจะไปรู้…ว่ามันจะถูกนำมาใช้จริงได้หลายต่อหลายครั้ง


เพราะทรงถูกลอบสังหารบ่อยครั้งเหลือเกิน!


“ศศิ!”  ทว่าปัจจัยก่อกวนก็ทำให้พระองค์ใจไม่นิ่งเท่าที่ควรเป็น ก็คนที่ควรจะวิ่งไปเรื่อยๆทางทิศเหนือกลับมายืนฟาดหัวคนด้วยท่อนไม้อยู่ไม่ไกลนี้ แล้วที่บอกให้มารักษาชีวิตกันจะได้มาไหม คิดว่านักฆ่าอีกหกคนที่พร้อมจะรุมมาขย้ำเรานั้นมันจะยืนนิ่งๆทุกคนให้ทุบหัวอย่างนี้หรือ!


“ก็ถ้าท่านตายก่อนเล่า!” ถ้าแค่ป่วยหรือบาดเจ็บ ศศิย่อมรักษาให้ได้ แต่ถ้าตาย…จะไปกู้ชีพให้จากไหนกัน!


“บัดซบ!”  ตอนนี้จะด่าว่าอะไรกันก็แล้วแต่เขาเถิด ถ้าไม่ตายย่อมกลับมาด่ากันซ้ำๆได้ ศศิได้เรียกความสนใจจากลุ่มนักฆ่าจำนวนหนึ่ง อคิราห์ในยามนี้ดูจะแรงตกไปไม่น้อย ทั้งต้องโจมตี ปัดป้อง การมีคนมาช่วยผ่อนแรงนั้นถือว่าดีกว่า แต่ไม่แน่ว่าเป็นศศินี้ จะดีหรือแย่กว่าที่เป็นอยู่


“ฆ่าพวกมันให้หมด!!!”


“ศศิ!”  ต้องไปคว้าศศิมา ต้องไปคว้าศศิมาให้ใกล้กว่านี้! แค่เพียงท่อนไม้ที่ถืออยู่ จอมแสบไม่อาจสู้อะไรใครได้แน่ แต่เด็กคนนั้นอยู่ไกลเกินก้าวเข้าไปหา ผู้คนมากมายต่างกรูกันเข้ามาฟาดฟัน ปัดป้องเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะกำจัดได้เลย มิหนำซ้ำ


แม้แต่สักก้าวพระองค์ก็มิอาจจะก้าวไปหาศศิได้…


“หนีไป!!!!”


ฉึก!


ทว่ายังไม่ทันที่เราจะล้มลง ธนูที่ถูกยิงมาจากทิศทางหนึ่งก็ตรงเข้าปักไปที่นักฆ่าซึ่งหมายจะทำร้ายศศพินทุ์ ก่อนที่กลุ่มคนกว่าสิบคนจะพากันกรูเข้ามาจากภายนอก


ทหารองครักษ์จากคฤหาสน์ปิติชาญนั้น เข้ามาจัดการเหล่านักฆ่าที่หมายเอาชีวิตอย่างว่องไว รอบด้านมีแต่ความวุ่นวาย ทว่าไม่มีใครอีกแล้วที่แตะต้องพระองค์ได้แม้แต่ปลายผม อคิราห์นั้นจ้องมองไปที่ศศิซึ่งยังดูตกใจกับเหตุการณ์ความวุ่นวายตรงหน้า การที่พวกเขาเข้ามาช่วยเหลือทันแบบนี้นั้นแสดงว่าต้องทราบเรื่อง


เราทั้งสองหอบเหนื่อย จ้องตากันหมายจะเอาคำตอบ สิ่งที่อคิราห์สั่งให้ศศิทำ เจ้าตัวก็ทำมันอย่างครบถ้วน เพียงแต่ว่าทรงไม่เคยบอกว่าหลังจากขอความช่วยเหลือแล้วให้ไปหลบซ่อนให้ปลอดภัย ที่พูดไปมีเพียงให้มาพาเขากลับไปรักษาด้วยเท่านั้น


ท่านหมอน้อยไม่ได้ตีความอะไรมากมายหรอก สิ่งที่อคิราห์สั่งไว้ ศศิเพียงใช้ใจทำมันทั้งหมด เพราะรู้ว่าเราสองคงไม่อาจจะสู้ได้ จึงยอมที่จะเป็นคนวิ่งไปหาความช่วยเหลือโดยให้เขาต้านเอาไว้ แต่การที่จะให้รอความช่วยเหลือจนเสร็จสิ้นนั้นไม่เคยอยู่ในความต้องการของหัวใจเลย จะอย่างไรก็อยากจะมั่นใจ….ว่าเขาจะปลอดภัยจริงๆแม้ว่าเราจะมีความช่วยเหลือมากมายรอบด้าน


“มันอันตรายมากรู้ไหม เด็กโง่” คำต่อว่าที่ไร้น้ำเสียงตะคอกแดกดันไม่ได้ทำให้เจ็บปวด แต่นี่คือคำพูดหลังจากได้รับความช่วยเหลือหรือ? ศศินั้นหาใช่เด็กโง่งมที่ทำแผนผิดพลาด แต่ เป็นเพียงแค่เด็กที่ทำทุกอย่างตามความต้องการของหัวใจก็เท่านั้น


“…”  ตอนที่หนีมา มีนักฆ่าคนหนึ่งติดตามมาสังหารกัน ทว่าไม่ไกลจากที่ที่เราแยกจาก นายทหารของท่านแม่ทัพที่รู้จักกันดีบังเอิญกำลังพักอยู่แถวนั้น และเพราะความช่วยเหลือของเขา ศศิจึงปลอดภัยมาได้


ทันทีที่กล่าวบอกให้ทหารคนนั้นทราบว่าคนที่มาด้วยกันกำลังมีอันตราย เขาผู้นั้นจึงรีบกลับไปตามคนมาช่วยเหลือ ทว่าศศิก็ไม่สามารถยืนรอนิ่งๆได้ จึงวิ่งกลับไปเฝ้ามองประเมินสถานการณ์รอบนอกสักหน่อย เพราะอคิราห์ดูจะรับมือต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ตนจึงทำใจกล้าหยิบท่อนไม้เข้าไปและ….ก็อย่างที่เห็นกัน


ศศิเล่าให้เขาฟังตามนั้น แต่การที่ทหารองครักษ์ออกมาช่วยกันอย่างนี้ ก็คาดเดาได้ว่าทางคฤหาสน์ปิติชาญนั้นทราบว่าพระองค์มาถึงแล้ว เป็นอลงกรณ์ที่ออกคำสั่ง โชคดีจริงๆที่บังเอิญอลงกรณ์รับทราบถึงการมาพร้อมอันตรายของศศิ


“ท่านหมอน้อย”  เสียงเรียกของอลงกรณ์นั้นดังขึ้น เราทั้งสองหันไปหาคนสนิทของท่านแม่ทัพอชิระที่ช่วยจัดการความวุ่นวายเหล่านี้ให้ เขาที่อยู่ข้างหลังศศินั้นพยักพเยิดพยายามบอกอีกฝ่ายไปว่ายังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และคนผู้นั้นก็ทำได้ดี


“ท่านอลงกรณ์ เป็นไปได้ว่าคนผู้นี้จะได้รับบาดเจ็บ ข้าขอพาเขาไปดูอาการ”  จริงๆอคิราห์นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนักหนา  ทว่าอลงกรณ์นั้นก็ตาโตเหงื่อตกไปหมดแล้ว พระองค์จึงส่ายพระพักต์ และตรัสว่าไม่เป็นอะไรเพื่อคลายความกังวลใจ


“ถ้างั้นให้ท่านหมอน้อยตรวจหน่อยเถิดพะยะ… ขอรับคุณชาย เชิญทางนี้”  เกือบแล้วไหม เกือบไปแล้ว ไม่ใช่แค่อลงกรณ์ที่โล่งใจ แต่คนออกคำสั่งก็กังวลไม่แพ้กัน ว่าแต่เราต้องปกปิดฐานะจริงไปถึงเมื่อไหร่ แล้วเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องหลอกล่อกันไปเรื่อยๆอย่างนั้นนะหรือ?


เรื่องนี้ก็ยังคงไม่มีคำตอบที่ตรงกับความต้องการนัก…


“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”  ศศิเอ่ยถาม ทว่าไม่มองตากันแม้แต่น้อย หลังจากที่อลงกรณ์พาเราเข้ามาที่ห้องๆหนึ่ง เมื่อเหลือเพียงแค่เรา ศศิก็รูดรั้งแขนเสื้อของเขาขึ้น เพื่อเริ่มสำรวจบาดแผลตามกาย แม้แต่นิดเดียว ก็ห้ามมี


“ไม่ ข้าไม่มีบาดแผลอะไร”  ที่เสียไปคือแรงกายที่ทำให้เหนื่อยล้าอยู่บ้าง พระองค์ทรงปัดป้องคมดาบได้ทุกครั้ง ในคราวนี้จึงไร้แผลใดให้กังวลใจ ที่กังวลก็มีแค่เรื่องเดียว คือจอมดื้อนี่แล


“งั้นก็ดีแล้ว แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีอะไรตรงไหน ต้องรีบบอกข้านะ”  รู้สึกไม่ดีทุกตรงนั่นแล แต่เกรงว่าจะบอกหมดไม่ได้ เดี๋ยวคนงามจะไม่มองหน้าพระองค์อีก


“ศศิ อย่าทำอย่างนี้อีกนะ”


“….”


“ข้ารู้ว่าเจ้าไปเรียกพวกเขามาช่วยกันแล้ว”  เมื่อรู้ว่าเขาจะพาคุยเรื่องนี้อีก ศศิก็ผละออกมา แต่ว่า…


เขากลับจับมือเล็กนั่นไว้


“ยามข้าบอกให้ไปตามคนมาช่วย เจ้าจงมาหาข้าตอนที่ทุกอย่างมันปลอดภัยแล้ว จะได้ไหม”


“…”


“มันทำให้ข้าเป็นกังวล”


“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า” 


“แต่พี่เป็นห่วง”


“….”


“เป็นห่วงเจ้านักศศิ ดังนั้นอย่าทำอย่างนี้อีก”  และเขาคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ห่วงกันฝ่ายเดียวหรือไง จะไม่อนุญาตให้ศศิเป็นห่วงกันบ้างเลยหรือไง ไม่ยุติธรรม!


ไร้คำตอบรับจากศศพินทุ์ที่ก้มหน้า และมีเพียงสายตากดดันที่เต็มไปด้วยความห่วงใย เช่นนี้จะตอบรับก็ไม่ดีต่อใจ แต่ปฏิเสธไป เขาก็ไม่ยอมรับอยู่ดี แล้วจะเลี่ยงสถานการณ์นี้อย่างไร ในเมื่ออคิราห์เอาแต่ใจเสียขนาดนี้ ทั้งๆที่การตอบรับความต้องการของเขามีแต่ผลประโยชน์รออยู่ ต่อให้คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้รู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาว่าดีแค่ไหน แต่ศศิก็ยังไม่อาจจะห้ามขาทั้งสองข้างที่วิ่งกลับไปหาได้ ราวกับว่าคำสั่งการใช้งานมันไม่ได้มาจากสมอง ทว่ามาจากอวัยวะที่ทำงานอยู่ในอกซ้าย ที่ซึ่งเต้นดังตึกตักตลอดทั้งวัน


และศศิก็ได้ยินเสียงมันเต้นชัดเจน ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราอยู่ใกล้กัน…


“พอแค่นี้เถิด”  ทว่าช่วงเวลาน่าอึดอัดระหว่างเราสองก็จบลง เพราะมีคนมาสร้างความน่าอึดอัดครั้งใหม่ให้ เราสองหันไปทางประตู ก็พบกับบุรุษร่างโปร่งบางผู้หนึ่งยืนอยู่ อคิราห์นั้นไม่แม้แต่จะคุ้นหน้าคนๆนี้ ทว่าคนตัวเล็กตรงหน้าเขานั้นดูจะรู้จักดี


“ท่าน….ท่านอาจารย์”  เป็นอาจารย์ของศศิที่ได้ยินมาตลอดหรือนี่ ทรงหันไปเพื่อที่จะทักทาย ทว่าอีกฝ่ายไม่เปิดโอกาส และแม้พระหัตถ์จะจับมือของเจ้ากระต่ายน้อยอยู่ ทว่าคำแรกที่ผู้มาใหม่ทักมา ก็ได้สะบั้นสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นของเราจนยับเยิน


“องค์รัชทายาท”  ทิชากรนั้นยืนตัวตรง ค้อมตัวทำความเคารพให้กับเขาผู้สูงศักดิ์ตามธรรมเนียม ริมฝีปากติดรอยยิ้มบางตามมารยาท การปรากฏตัวของคนๆนี้ มันทำให้พระองค์ตั้งรับไม่ถูก


“….”  โดยเฉพาะกับศศิที่นิ่งเงียบไป


“กระหม่อมคงต้องให้ลูกศิษย์มาด้วยสักครู่ เรามีเรื่องต้องคุยกันเสียหน่อย”  อา…ดูเหมือนว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องคิดไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะบอกความจริงอย่างไร แต่คงต้องคิดต่อไปเสียแล้วว่าจะรับมืออย่างไร…กับดวงตาอ่านยากที่มองจ้องมาก่อนจะเบือนหนีไปพร้อมกับมือที่ดึงออกจากการจับกุมของพระหัตถ์ที่พยายามจะไขว่คว้า ทุกสิ่งที่แสดงออกด้วยภาษากายนี้


มันแปลความหมายว่า ข้า...ผิดหวังเหลือเกิน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


Talk: ความชิลของคนที่ได้หยุดยาว ก็จะลงติดๆกันแบบนี้ละค่ะทุกคน55555
ตอนนี้ก็จะจุดประกายดราม่าขี้งอนน้อยใจกันนิดหน่อย แต่ไม่นานค่ะ เรื่องนี้ไม่ดราม่านานจริงๆ ยังไงพรุ่งนี้ถ้าไม่ติดอะไรก็จะมาลงต่อนะคะ กลัวบูดที่แท้จริง ตอนนี้อยู่ช่วงลงต่อไม่รอแล้วนะ แต่เราก็ยังแต่งเรื่อยๆอยู่ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ฝากรักเรื่องนี้ด้วยนะคะ

ฝากแท้ก #อาทิตย์ศศิ
และทวิตเตอร์เรา @reallyuri
จริงๆมีเพจในเฟชด้วย https://www.facebook.com/Skylover-x-novels-249101909234202

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
«ตอบ #21 เมื่อ10-12-2018 23:12:00 »

งานเข้าพี่อาทิตย์ซะแล้ว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
«ตอบ #22 เมื่อ10-12-2018 23:14:26 »

งื้อออออออออ น้องศศิไม่งอนน๊าาา

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
«ตอบ #23 เมื่อ11-12-2018 10:19:03 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
«ตอบ #24 เมื่อ11-12-2018 13:54:07 »

ไม่นะ :hao5: :hao5: ความหวานในใจฉันกำลังหมดไปปป

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
«ตอบ #25 เมื่อ11-12-2018 20:19:18 »

ค้างงงงงงงงง

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
«ตอบ #26 เมื่อ12-12-2018 09:53:37 »

อย่าโกรธพี่เขานานได้มั้ย  :hao5:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
«ตอบ #27 เมื่อ12-12-2018 19:41:27 »

Finding the twilight
8
ทิชากรและศศพินทุ์
☼ ☽


องค์รัชทายาท…บ้าบออะไรกัน!!!!!!


“….” 


“…..”  ทว่าก่อนที่จะหงุดหงิดใจเรื่องนั้น ควรต้องแยกแยะว่าตอนนี้มีอะไรที่สำคัญยิ่งกว่า ใบหน้าของท่านอาจารย์นั้นเคร่งขรึม ต่อจากนี้จะต้องเป็นการถูกด่าว่าตลอดคืนเป็นแน่ หลังจากติดตามท่านอาจารย์มาที่ห้องส่วนตัวของท่าน ก็ยืนนิ่งอย่างรู้ผิด เฝ้ารอการลงโทษด้วยใจหดหู่


“ไฉนทำให้คนอื่นเป็นห่วงเก่งได้ขนาดนี้”  ทิชากรนั้นอยากจะทบต้นและดอกกับเด็กคนนี้นัก หายไปเก็บสมุนไพรอะไรนานสองสัปดาห์แล้วยังมาหากันพร้อมกับนักฆ่าจำนวนมากแบบนั้นอีก เด็กคนนี้รู้หรือไม่ ว่าทำให้คนอื่นกินไม่ได้นอนไม่หลับมันเป็นยังไง อย่าให้ได้เห็นว่าเคี้ยวข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเชียว!


“ข้าขอโทษ”   ศศิที่รู้สึกผิดนั่นเอ่ยออกไป แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสีหน้าดุจัดนั่นได้ “ศศิขอโทษ” มันเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทุกอย่างมิอาจจะควบคุมได้ และดีแค่ไหนที่เด็กคนนี้มายืนสำนึกผิดต่อหน้าตรงนี้ที่ๆสามารถมั่นใจว่ายังอยู่ดี ในที่สุดทิชากรก็งยิ้มออกมา ทั้งโล่งอกและเต็มไปด้วยความคิดถึง


เมื่อรับรู้ได้ว่าท่านอาจารย์หรือ ‘ท่านน้า’ ไม่โกรธกันแล้วก็ได้ใจ เดินโผเข้าไปกอดเหมือนเด็กน้อยเมื่อวันวาน ศศิไม่มีพ่อหรือแม่ ไม่แม้แต่จะมีความทรงจำเกี่ยวกับพวกท่าน แต่ก็เติบโตขึ้นมาด้วยความรักและความเอาใจใส่จากชายผู้นี้ผู้ที่คือโลกทั้งใบมาจวบจนทุกวัน


“รู้หรือไม่ว่าน้าคิดถึงเจ้าแค่ไหน”ทั้งเฝ้ารอด้วยกลัวว่าจะเกิดอันตราย และเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ต้องหนีจากหมู่บ้านชายแดนมาที่คฤหาสน์แห่งนี้ ด้วยระยะทางและความไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้ความกังวลกัดกินหัวใจ ในทุกวันทิชากรจะจมอยู่กับการเฝ้ารออย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าอชิระจะพูดว่าหลานชายของเขาสามารถดูแลศศิได้ แต่ทิชากรไม่รู้จักเขา แล้วจะมีหลักประกันอะไรที่ทำให้เชื่อมั่น


และหลานชายที่ว่านี่….มันองค์ชายรัชทายาทแห่งสิหราชนครามิใช่หรือ ต้องเป็นศศิหรือเปล่าที่ต้องคอยดูแลรับใช้เชื้อพระวงศ์? ทว่าเมื่อออกความเห็นตรงนี้ไป สิ่งที่ได้มากลับเป็นเพียงเสียงหัวเราะของบุรุษที่ไม่เคยสร้างความรู้สึกสบายใจให้กัน อชิระนั้นหัวเราะราวกับว่าสิ่งที่ทิชากรเป็นกังวลนั้นคือเรื่องงี่เง่าที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ก็คนมันไม่เคยเจอนี่!


“เป็นเช่นไรบ้าง”  ทิชากรเอ่ยถามคนในอ้อมกอด และได้กลับมาเพียงรอยยิ้ม ศศิเองก็คิดถึงท่านน้าเหลือเกิน หลายวันมานี้ได้พานพบกับเหตุการณ์มากมายแบบที่ไม่เคยฝัน และที่มากมายเกินรับไหวนั้น ทุกอย่างล้วนมีผู้กระทำร่วม


คือเขาผู้สูงศักดิ์คนนั้นที่นอนเคียงข้างกันในทุกคืน…


“เจ้าไปพักก่อนเถิด ข้าจะพาเจ้าไปยังห้องที่ท่านพ่อบ้านจัดเตรียมไว้ให้”  ศศิเพียงพยักหน้าและเดินตาม หวังให้น้ำอุ่นๆ อาหารอร่อยๆ และเตียงนุ่มๆช่วยบรรเทาอาการที่เป็นอยู่อาการที่ศศิก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่ที่เข้าใจคือร่างที่กำลังเดินอยู่นี้….มันเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเลย


ในด้านองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครา…


ทั้งๆที่มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเอ่ยถึงและไม่รู้แน่ชัดว่าคืออะไร แต่มันมีอยู่จริง ตั้งแต่แยกจากก็ทรงนิ่งเฉยประทับอยู่กับที่ทอดพระเนตรไปยังนอกหน้าต่าง ศศิอาจจะคิดว่าทรงกลั่นแกล้ง แต่จริงๆนั้นมันล้วนเป็นความจำเป็นที่บอกไม่ได้ หากอธิบาย เด็กดีก็คงเข้าใจ แต่ในส่วนที่น่าสงสัย คือแค่ปกปิดไม่ได้หรือ เหตุใดถึงต้องให้ความสนิทสนมถึงเพียงนั้นจนก่อให้เกิดความไว้ใจ


“…” แม้แต่พระองค์เอง ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ ว่าทำไมต้องทำตัวเช่นนั้น


“ดูเจ้าเครียดเสียยิ่งกว่าถูกยึดบัลลังก์ เป็นอะไรกันเล่า หลานชายของข้า”  เมื่อครู่นี้ทิชากรก็มาก่อกวนกันจนได้เรื่องราว คราวนี้เป็นอชิระแล้วหรือที่จ้องจะมาวุ่นวาย


ทรงทำเพียงถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปหาเจ้าของร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามแดด ท่านแม่ทัพอชิระ หรือเสด็จอาของพระองค์นั้นอายุเพิ่งเข้าช่วงปลายๆ 30 เท่านั้น เรียกได้ว่าวัยไม่ห่างไกลกันมากจนควรจะนับถือเป็นพี่น้องเสียมากกว่า หลายคนก็พอทราบว่าท่านแม่ทัพที่ไปประจำที่ด่านตะวันตกที่ 2 นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง แต่ท่านไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง ทว่าปัญหาในการคบหาผู้ชายคนนี้เป็นสหาย น่าจะเป็นเรื่องอื่นๆเสียมากกว่า


“ขอบพระทัยที่ทรงส่งคนไปช่วยเหลือ”


“ไปบอกกับอลงกรณ์เถิด เป็นเขาที่ทราบว่าศศิวิ่งมาขอความช่วยเหลือเลยจัดส่งไป” 


“หลานทราบแล้ว จะไปขอบคุณเขาเอง”


“แล้วก็ช่วยหยุดใช้คำราชาศัพท์เถิด เราขอรับความเป็นอาหลานเอาไว้ ไม่ชิน”  ทั้งๆที่ใช้คำพวกนี้มาทั้งชีวิต แต่เมื่อได้สถานะใหม่ ก็เห่อจนลืมเก่า


“จะพยายามพะยะค่ะ แต่มันชินปาก”  อชิระเพียงถอนหายใจเมื่อหลานชายตัวดีไม่ตอบรับความต้องการ ก่อนที่จะมาเป็นแม่ทัพ การเมืองภายในราชวงศ์ค่อนข้างจะบีบคั้นกันในหลายๆด้าน ทำให้พระองค์เจ้าอชิรพลในวันนั้นขอถอดพระยศแล้วดำรงตำแหน่งแม่ทัพประจำชายแดนตะวันตกที่ 2 รับเบี้ยหวัดตามค่าตำแหน่งและมีสินทรัพย์เดิมเป็นเครื่องช่วยการันตีว่าจะอยู่ได้สุขสบายจนแก่เฒ่า แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่ได้กลับคืนมานั้นคือ…


สิทธิ์ในการครองบัลลังก์…


“ขอบใจเจ้าที่ช่วยดูแลเจ้าหนูศศิด้วยละกัน”  และจากวันนั้นก็ให้คนอื่นเรียกกันว่าแม่ทัพอชิระ เพื่อให้ผู้คนที่ทำงานด้วยลืมเลือนฐานะเดิมที่ทรงปล่อยวางละทิ้งไป


“ศศิๆ อะไรใครๆก็ศศิ”  รวมทั้งพระองค์ด้วย


“เด็กนั่นไปทำอะไรให้วุ่นวายใจ เจ้ามีปัญหากับเจ้าลูกกระต่ายของข้ารึ”  ของข้า…คำนี้ของเสด็จอาที่อยากเป็นแค่อานั้นทำให้หงุดหงิด ก่อนจะเงยพระพักต์ขึ้นมามองตาคนพูดที่ไม่สื่ออะไรเป็นพิเศษ


“รู้จักกันมานานแล้วหรือขอรับ”


“นานแล้ว ตั้งแต่เพิ่งเริ่มเดินได้กระมัง”  เดินได้สามสี่ก้าวแล้วล้ม


“รู้จักได้อย่างไร”


“ต้องเล่าให้เจ้าฟังด้วยรึ?”  มันใช่หน้าที่หรือไรที่ต้องมาเล่าให้องค์ชายรัชทายาทฟังว่ารู้จักกับเจ้าลูกกระต่ายของทิชากรได้อย่างไร จริงๆมันก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ในตอนนั้นพระองค์เพิ่งก้าวเข้ามารับตำแหน่งแม่ทัพ แม้เพิ่งจะผ่านพ้นช่วงวัยเพียงแค่ 18 ปีมาไม่กี่วัน ความสามารถยังเป็นที่กังขา จึงต้องทุ่มเทแรงกายไม่ใช่น้อยในการก่อร่างสร้างตน


และทิชากรในวัย 20 ปี ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยผลักดันความน่านับถือ…


☼ ☽


ในวันนั้นที่พระจันทร์เต็มดวงเมื่อ 20ปีก่อนนี้…


ที่ค่ายทหารชายแดนตะวันตกที่ 2 มีการจับกุมผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายจากคีรีธาราได้จำนวนมาก คาดว่าทุกคนหลบหนีมาด้วยกัน แต่สอบถามเจตนานั้นไม่มีใครตอบ ยิ่งกดดันก็ยิ่งมีแต่ความเงียบงัน ทุกคนในขณะนั้นเอาแต่เพียงก้มหน้าไม่ตอบคำถาม ไม่สนใจคำขู่กร้าวใดๆ และไม่มีแม้แต่คำว่าเกรงกลัว


จนกระทั่งเสียงร้องสะอื้นไห้ของเด็กทารกที่ถูกมัดผูกไว้ที่หลังดังขึ้น…


“แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”


“เสียงใคร”  อชิระนั้นถามเสียงดังลั่น และมันยิ่งทำให้เสียงเด็กร้องดังกังวานกว่าเดิม ผู้คนมากมายต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อให้เกิดความรำคาญใจต่อท่านแม่ทัพมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนเอาแต่มองหน้ากัน ไม่มีใครตอบกลับมาสักคน


“ขะ…ข้าเอง”  ในที่สุดก็มีคนใจกล้าตอบกลับมา อชิระได้มองไปที่นักโทษคนหนึ่งที่อยู่ในนั้น และนั่นคือครั้งแรกที่เราสองได้สบตากัน


“นั่นลูกเจ้ารึ”


“ข้า…ข้าขอกล่อมเขาให้หลับไปอีกครั้งได้หรือไม่”  จะเล่นตุกติกอะไรอีก อชิระคิดพิจารณาในใจ แต่เสียงเด็กก็ยังไม่หยุดดังจึงยอมๆไป อย่างไรก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะทหารของสิหราชนคราควบคุมทุกอย่างได้หมดแล้ว


แต่อีกสาเหตุที่ทำให้ยอมอนุญาตนั่นคงเพราะแววตาตื่นตระหนกราวกับคนละคนเมื่อแรกเห็นนั้นสะกดความสนใจไว้มั่น ในที่สุดเจ้าของริมฝีปากอันแห้งผากก็ได้เอ่ยขอร้องกันขึ้นมา บุรุษร่างเพรียวบางที่แรกเห็น ความหยิ่งผยองในแววตานั้นโดดเด่นให้สนใจ ทว่ากลับยอมลงให้กันง่ายๆเพียงเพราะเด็กที่มาด้วยร้องไห้งอแง อชิระรู้แล้วถึงจุดอ่อนของคนๆนี้ และดูเหมือนว่าทุกคนที่มาด้วยกัน จะมีจุดอ่อนร่วม…


แววตาอันเต็มไปด้วยปริศนาซ่อนเร้นให้ค้นหา ช่างขัดกับเพลงกล่อมเด็กของคีรีธาราที่ถูกขับร้อง อชิระยิ้มออกมาเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ เจ้าหนูน้อยก็น่ารักน่าชัง ร้องไห้ไม่นานก็ยินยอมหลับง่ายๆ บรรยากาศในตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยความยินดีและความกดดันเจือความเศร้าสร้อย เหล่าผู้ทำผิดกฎหมายกลับมานิ่งเงียบอีกครั้งเพื่อรอรับโทษทัณฑ์โดยไร้ซึ่งการโต้แย้งหรืออธิบายเช่นเคย


ทว่าท่านแม่ทัพคนใหม่ก็ไม่ยอมมอบโทษทัณฑ์กันโดยง่าย เขามีข้อสงสัยอยู่อย่าง เหตุใดจึงเป็นที่ด่านนี้ ที่ๆซึ่งการตรวจตราไม่เข้มงวดเพราะกำลังมีการระบาดของโรคร้าย พื้นที่กักกันนี้มีแต่คนบ้าบิ่นเท่านั้นที่กล้าเหยียบย่างเข้ามา และแน่นอน…อชิระก็คือหนึ่งในคนบ้าเหล่านั้นที่ไม่กลัวตายแถมยังพาคนอื่นที่ติดสอยห้อยตามมาตายด้วย


และเมื่อถามไป ทิชากรก็เป็นผู้ตอบคำถาม ผู้นำของคนมากมายในกลุ่มนี้คือเด็กหนุ่มที่น่าจะอายุอานามพอๆกัน และเมื่อได้ยินคำตอบ ดวงตาของแม่ทัพหนุ่มก็แวววาวขึ้นมา


“โรคนี้มันเคยมีมานานแล้วที่คีรีธารา และพวกเรา…เอ่อ..ก็สามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้”


“ข้าก็เคยได้ยินว่ามันมีมานาน แต่เรื่องรักษาให้หายได้ก็เพิ่งเคยได้ยินจากปากเจ้านี่แล” อชิระนั้นต้อนกลับในทันใด “คำพูดของนักโทษอย่างเจ้า มันน่าเชื่อถืองั้นหรือ”


ทิชากรที่รับรู้ได้ว่าเขาไม่เชื่อกันนั้นถอนหายใจออกมาก่อนจะหลับตา ความน่าเชื่อถืออะไรนั่นตนไม่มีหรอก เพราะตัวตนที่แท้จริงเป็นใครก็บอกไม่ได้ หากจะตายก็ขอให้ความลับนี้ตายไปพร้อมกับตัวเถิด เมื่อสิ่งที่พอจะพูดได้ พูดออกไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ ปล่อยให้มันแล้วแต่เวรและกรรมแล้วกัน


“ข้าเป็นหมอ” 


“เจ้านะหรือ”  ยังเยาว์วัยเกินกว่าจะเรียกตัวเองว่าหมอได้


“ข้ารักษาคนได้”ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน


“คิดจะเล่นตุกติกอะไร ก็หวังว่าเจ้าจะคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน” 


“มาถึงขั้นนี้แล้วข้าจะต้องกลัวอะไรอีก”


“กลัวตายอย่างไร”


“การที่แอบอ้างเป็นหมอก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตายเสียหน่อย”


“….”


“ในเมื่อท่านถามว่าเหตุใดจึงรักษาได้ ข้าก็ตอบคำถาม…เพียงเท่านั้นเอง”  และการเป็น ‘หมอ’ ก็น่าจะอธิบายทุกอย่างได้ดี คำตอบของนักโทษที่ควรจะทำให้เส้นความอดทนขาดผึงกลับเรียกรอยยิ้มจากริมฝีปากท่านแม่ทัพ


“เจ้าชื่ออะไร”


“ทิชากร”


“ทิชากร…ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”  บอกความต้องการของตนก่อนจะลุกขึ้นท่ามกลางความงงงวยของผู้คนมากมาย ทิชากรยังคงนิ่ง มึนงงเหมือนกับคนอื่น จนเขาต้องเอ่ยย้ำ “พาลูกของเจ้ามาด้วยก็ได้ ข้าไม่ถือ”  และตอนนี้ทุกคนคงทราบทั่วกันแล้วว่านิสัยชอบทำตามอำเภอใจของแม่ทัพคนใหม่เป็นอย่างไร และทุกคนในนั้นทั้งที่อพยพมาจากคีรีธาราหรือที่อยู่ที่สิหราชนคราอยู่แล้ว ก็ได้แต่ส่งใจไปช่วยทิชากรที่ต้องเข้าไปนั่งคุยกับมนุษย์ที่แปลกประหลาดสองต่อสอง


เจ้าของร่างเพรียวบางของท่านหมอนั้นกระชับอ้อมแขนของตนด้วยหมายจะปกป้องเด็กน้อยที่หลับสนิท ก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญของเขาที่ไม่สบายตายามเห็นคนมายืนเก้ๆกังๆแถวนี้ ในส่วนของบทสนทนากว่าชั่วโมงของเราที่เกิดขึ้นในขณะนั้น


ได้ลิขิตชะตาชีวิตของกลุ่มคนอพยพอย่างผิดกฎหมายใหม่
จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว….


☼ ☽


“ไว้ชีวิตเพื่อใช้งานสินะ” 


“แค่ข้าอธิบายนิดเดียว หลานชายผู้เก่งกาจก็เดาทางได้หมดเลยหรือนี่”


“ใช้งานเสร็จก็กินต่อสินะ”ไม่ได้ฆ่า แต่เก็บไว้กิน


“สมกับเป็นหลานชายที่รู้ทันกันไปหมดจริงๆ ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไร”  หลายคนมักพูดถึงเราในเชิงว่าทำอะไรสมกับเป็นอาหลาน และเราสองต่างก็ยอมรับว่ารู้ทันรู้ใจกันไปหมดราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียว ทว่าสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์นั้น ในวันนี้ไม่น่ายินดีเท่าไหร่  “อย่าบอกว่าเจ้านั้นกินเจ้าลูกกระต่ายของข้าไปแล้วเหมือนกัน”  หากจะเปรียบทิชากรดั่งแม่ อชิระก็เปรียบคล้ายกับพ่อที่ทำท่าจะหวงลูกสาวมาก


“ไม่ได้กิน”  ถ้าได้กินแล้วจะนอนอึดอัดแบบนั้นหรือ


“ก็ดีไป เพราะข้ายังไม่ทันทำใจจะปล่อยเจ้าลูกกระต่ายออกเรือน” 


“ท่านอาดูจะเอ็นดูศศิมาก”


“ข้าก็เลี้ยงช่วยทิชากรมานั่นแล เป็นข้าที่สอนเจ้าตัวเล็กให้ต่อสู้ ถึงจะงอแงเก่งแต่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ทำให้ภูมิใจ”


“ในฝีมือหรือ?”  ทรงได้เห็นฝีมือของศศิกับพระเนตร


“ในความน่ารักต่างหาก”  อคิราห์นั้นส่ายหัวให้กับความหลงงมงายนี้ของอชิระพระองค์ไม่เคยมีความทรงจำที่ถูกรักหลงแบบนี้ จากใครโดยเฉพาะกับคนๆนี้มาก่อน แต่เพียงคิดว่าหากมันเคยเกิดขึ้น ก็ขนลุกไปทั้งร่างเจ้าลูกกระต่ายนั้นทนความบ้าบอมาได้อย่างไรตั้งหลายปี! นอกเสียจากตีเนียนเป็นคนบ้าบอให้เหมือนกันไปซะ จะได้สบายใจ


“สองอาหลานต่างไว้ผมยาวเหมือนกัน”  ทรงได้พบกับทิชากรเมื่อครู่ ท่านอาจารย์ของศศิผู้นี้เป็นผู้มีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้างดงามแต่ดูดุขรึมกว่า หากบอกว่าอยู่ในวัยใกล้เคียงกับอชิระ ทิชากรนั้นจัดว่าดูอ่อนเยาว์กว่ามาก และยังดูงดงามเหลือเกิน


“ทิชากรให้ศศิไว้ผมยาวเผื่อไว้ว่าวันหนึ่งต้องปลอมตัวเป็นสตรี”  และวันนั้นก็มาถึงแล้ว เพราะศศิผมยาวนั่นแล เราถึงได้ปลอมตัวเป็นผัวเมียแสนรักหลอกคนอื่นมาได้นานสองนาน หากทราบว่าคนงามเสน่ห์แรงขนาดเกือบถูกเล่นงานที่ชายป่าแบบไหน เกรงว่าอชิระต้องเดือดดาลส่งคนไปตามพวกมันกลับมาและกระทืบซ้ำเป็นแน่


ว่าแต่คนประเภทไหนกันที่ต้องไว้ผมยาวเพื่อปลอมตัว?


“แล้วพวกเขาอพยพมาทำไม ท่านรู้หรือไม่”  คำถามนี้คือคำถามที่อชิระเองก็เคยสงสัย หากแต่ทิชากรไม่ยอมบอกแต่คราแรก เรามีความสัมพันธ์ในด้านผลประโยชน์ร่วม คืออชิระจะช่วยปิดบังการมีอยู่ของทุกคนให้ แลกกับการเป็นหมอช่วยดูแลประชาชนในหมู่บ้านและทหารในค่าย ด้วยเพราะการพัฒนาทางการแพทย์ขยายมาไม่ถึง จึงต้องช่วยกันเองแบบนี้


อชิระเป็นถึงแม่ทัพ ไฉนจึงทำเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสำหรับคนใกล้ชิด อคิราห์เองก็เข้าใจ จะเอาอะไรกับผู้ชายที่ทำตามใจตัวเองขนาดยอมสละบัลลังก์ให้หลานอย่างง่ายดายและมาใช้ชีวิตอยู่ชายแดนแบบไม่สนคำรั้งของใคร


การกระทำของอชิระไม่เคยทำเพื่อราชวงศ์หรือดินแดน หากแต่ถือมั่นในตัวบุคคลและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า ดังนั้นการเก็บกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายจากบ้านเมืองอื่นเพื่อมาทำประโยชน์ให้บ้านเมืองนี้ สำหรับอชิระถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และอำนาจลับๆที่มีอยู่นั้น ก็เพียงพอจะทำให้คนอื่นทำเป็นมองข้ามปัญหานี้ได้เช่นกัน


“พวกเขาไม่ได้ทำความผิดหรอก แต่ถูกไล่ล่าอย่างหนักที่คีรีธารา”  แล้วอะไรคือการไม่ได้ทำความผิดแต่ถูกไล่ล่าจนต้องหนีมาแบบถูกกฎหมายไม่ได้  “คีรีธาราในช่วงตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้มีปัญหาภายในมาตลอด หลานก็รู้นี่”  อคิราห์รู้ดี และล่าสุดที่พระองค์ทรงเดินทางไปที่นั่น ก็เพื่อด้วยเหตุผลทางการทูต ทว่ามันไม่เป็นดั่งที่หวังไว้ สุดท้ายก็โดนลอบสังหาร โดยกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์สักกลุ่ม ที่พระองค์ยังระบุไม่ได้ว่ากลุ่มไหน กลุ่มที่คีรีธาราสักกลุ่มหรือกลุ่มที่สิหราชนครา


“เรื่องของการปกครองนี่เกี่ยวกับพวกเขาด้วยหรือ?”


“อืม”  หากทิชากรพูดให้ฟังแต่คราแรกที่ได้พบ บางทีอชิระอาจจะส่งกลับเดี๋ยวนั้นเลยเพราะไม่อยากวุ่นวาย ทว่ามาทราบภายหลังจึงพอจะปล่อยวางไปได้บ้าง  เกี่ยวกับปัญหาในคีรีธาราตอนนี้ หลักๆจะเป็นเรื่องการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ


คือคีรีเขตที่ปกครองฝั่งใต้ของคีรีธารา ซึ่งมาจากกลุ่มข้าราชการที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์
กับคีรีราชสกุลที่สืบเชื้อสายกษัตริย์ผู้ดูแลฝั่งเหนือ


ความบาดหมางกินเวลายาวนานเกินกว่าอายุของอคิราห์เสียอีก รุนแรงขนาดจังตั้งเมืองหลวงไว้สองแห่งทางเหนือกับทางใต้ตามการปกครองของแต่ละฝ่ายเลยก็ว่าได้ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับพวกศศิกันเล่า?


“ถ้าทางคีรีราชสกุลเป็นฝ่ายชนะ”  เท่ากับว่าราชวงศ์และระบบกษัตริย์ จะกลับมาเกรียงไกรในคีรีธาราอีกครั้ง แต่มันไม่แค่นั้นนะสิ  “กลุ่มคนอพยพคงจะกลับไปที่นั่นเพราะพวกเขาจะไม่ถูกไล่ล่าอีกแล้ว”  เท่ากับว่าศศิต้องกลับไป


“….”  แต่มันไม่ใช่แค่นั้น…


“ที่พวกเขาประคบประหงมดูแลศศินั้น ไม่ใช่อะไรหรอก” แล้วมันทำไมกันเล่า?  “ศศิคือคนที่คีรีราชสกุลให้ความสำคัญ”


“ศศิคือคนของราชวงศ์หรือ?”  ในตอนนั้นพระทัยขององค์ชายรัชทายาทแห่งสิหราชนคราพลันเต้นแรง ภาพของศศิตั้งแต่แรกพบเหมือนฉายกลับเข้ามาในความทรงจำ


“นั่นสินะ” 


“แล้วศศิทำไม”  นั่นสิ ศศิทำไม?


ทำไมถึงทำให้พระองค์รู้สึกต่อเด็กคนนั้นมากมายเช่นนี้?!


“ศศิคือคน…ที่เกิดมาโดยความหวังจะให้ถูกหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทของฝั่งนั้นนะสิ”  ตอนนี้ไม่เพียงมือของเราได้ปล่อยออกจากกัน แต่สวรรค์กลับหยิบยื่นความจริงที่เลวร้ายกว่านั้นมาให้


นั่นคือศศิกับพระองค์…ไม่อาจจะจับมือกันได้เลย…


“…”


“นี่…ไม่ได้ความว่าท่านกำลังช่วยให้คนที่สำคัญกับคีรีราชสกุลซึ่งเป็นศัตรูของคีรีเขตหลบหนีอยู่ที่นี่งั้นรึ” การช่วยเหลือคนสำคัญระดับนี้ อาจจะก่อให้เกิดปัญหารุนแรงได้ แต่ทว่าแม้แต่คนถามก็ยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญตรงนั้น เพราะทรงรู้สึกปวดร้าวกับเหตุอื่นยิ่งกว่า


“หลานชาย…เจ้าจะให้ข้าส่งมอบเด็กคนนั้นกลับไปคีรีธาราจริงๆหรือ”


“….”


“หากเป็นพระบัญชาขององค์รัชทายาทกระหม่อมย่อมทำตามอย่างไร้ข้อโต้แย้ง”  ในฐานะแม่ทัพ อชิระย่อมต้องทำตามคำสั่งของเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งอย่างองค์ชายอคิราห์อยู่แล้ว เพียงแต่ความต้องการนั้น มันคือสิ่งที่เจ้าตัวยินยอมจริงๆหรือเปล่า แม้แต่พระองค์ชายผู้เก่งกาจ ก็ไม่อาจจะให้คำตอบตัวเองได้


หลังจากที่อชิระได้แยกตัวไป คำถามมากมายที่เกิดขึ้นในพระทัยก็ฉุดรั้งไม่ให้อคิราห์ข่มตาหลับได้ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องประสงค์และไม่ได้ตามประสงค์ ทว่าในวันนี้ ทรงได้รับทราบถึงความรู้สึกของการไม่ได้ตามหวังเข้าเสียแล้ว แม้ไม่รู้ว่าแท้จริงตนนั้นต้องการอะไร ในภาวะสับสนเช่นนี้ ทรงไม่อยากออกไปพบหน้าใคร ทว่าก็มีใบหน้าของคนๆหนึ่งที่วนเวียนอยู่ตลอด


เป็นคนเดียวที่อยากพบ อยากเจอ


“จะโกรธอยู่หรือเปล่านะ” 


แววตาคู่นั้นที่มองกันตอนที่ทราบว่าพระองค์คือใคร ศศิไม่ได้ฉายแววโกรธเคืองแต่อย่างใด ทว่าพระองค์ก็รับทราบได้ว่ามันคงทำลายความเชื่อใจของอีกฝ่ายไปพอสมควร แต่จะทรงกู้คืนมันมาได้ไหม ก่อนอื่นก็ต้องถามหัวใจก่อนว่ายังอยากให้เจ้าลูกกระต่ายของท่านอาเข้ามาอยู่ในชีวิตจริงๆหรือไม่ เพราะสองสัปดาห์นั้น ในทางทฤษฎีแล้วมันดูเหมือนจะสั้นเกินกว่าจะบ่งชี้อะไร


“เฮ้อ”  ในวันนี้จะไม่มีคนที่นอนขดตัวหันหลังให้กันอยู่ข้างๆ ผ้าห่มก็เป็นของเรา หมอนหนุนก็เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว ห้องหรือเตียงที่ไม่มีอีกคนอยู่ตรงนี้ ให้อิสระและความเงียบสงบแบบที่เคยชื่นชอบ ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจจะทำให้ไม่ชินเสียหน่อย นอนคนเดียวไปสักพักก็คงกลับมาเป็นแบบเดิม


แต่ปัญหาจริงๆมันไม่ได้อยู่ที่เตียงหรือบุคคลที่สูญเสียไป ปัญหามันน่าจะอยู่ที่ใจที่สูญเสียไปแล้วมากกว่า


ทางฝั่งของศศพินทุ์เองก็ไม่อาจจะพูดได้ชัดเจนว่ารู้สึกอย่างไร การพูดคุยกับอลงกรณ์และท่านน้าทิชากรที่ผ่านมา ทำให้ตนทราบว่าอคิราห์มีความจำเป็น ซึ่งมันก็ไม่แปลก ต่อให้เขาดูแลตัวเองได้ดี แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องปกปิดตัวตนเพื่อความปลอดภัย ศศิย่อมเข้าใจเหตุผลง่ายๆเพราะตนไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจไร้เหตุผลเช่นนั้น ทว่าก็ยังไม่สามารถยอมรับได้เต็มหัวใจ


ความรู้สึกปวดหน่วงไปหมดแบบนี้มันคืออะไรกัน ‘อาทิตย์’ นั้นก็คงจะเป็นชื่อที่ให้เรียกเพื่อปิดบังชื่อจริงทว่าน้ำเสียงยามที่เขาสั่งให้เรียกกันว่าพี่อาทิตย์ยังคงติดหูอุตส่าห์จับทางออดอ้อนได้แล้วแท้ๆ พอทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใคร ความคิดที่จะใช้ประโยชน์อะไรต่อไป ก็คงต้องลบทิ้งให้หมด ศศิทำมันต่อไม่ได้ และแม้แต่จะเข้าใกล้อีกก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน


“ได้รู้จักกันแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”  เจ้าของกระต่ายนั้นยิ้มให้ตัวเอง หากไม่มีเขา ในตอนนี้เราจะได้มานอนอยู่ตรงนี้ไหมก็ไม่รู้ ค่ำคืนนี้ช่างยาวนาน ทั้งๆที่มักจะเข้าหลับก่อนเพราะเขินอายกับการพูดคุยบนเตียงก่อนนอน ทว่าในวันนี้กลับไม่สามารถหลับลง ไม่รู้อีกนานแค่ไหนกว่านิทราจะมาเยือน เมื่อรับรู้ว่าคงไม่มีลมหายใจอุ่นๆของอีกคนเป่ารดที่ต้นคออีกต่อไปแล้ว


ทั้งๆที่ไม่มีคนมาแย่งผ้าห่มกับหมอนตอนนอนแล้ว
ทำไมกันนะ…ถึงได้รู้สึกเหน็บหนาวถึงเพียงนี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Talk:
ไม่ดราม่าเลยเห็นไหมมมมมมมมมมมมมมม
ไม่เอาไม่เครียด ตอนต่อไปจะรีบมาเพราะเราไม่อยากทิ้งช่วงหน่วงไว้ให้นาน แต่โทนเรื่องก็ประมาณนี้เนาะ
หวานๆหน่วงนิดๆแล้วไหนบอกไม่ดราม่ามาก5555
ก็ไม่มากนะคะเราว่า อาจจะมีอะไรให้หงุดหงิดใจบ้างตามประสาแต่ไม่มากมายมั้งคะ/หัวเราะแฮะๆ
ตอนต่อไปจะรีบมา ขอเวลาอีกไม่นาน

ฝาก #อาทิตย์ศศิ ด้วยนะคะ คิดว่าเราคงไม่แต่งอะไรแนวๆนี้อีกแล้ว
ด้วยความที่เคยแต่งฟิคที่เป็นแนวๆนี้มาหลายเรื่อง พอมาแต่งนิยายเรื่องนี้ก็ไม่อยากให้ซ้ำของเดิมเลยพยายามมากๆ
รู้สึกเหมือนใส่เต็มจนไม่รู้จะหาอะไรมาใส่ได้อีกไหม55
@reallyuri







ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
«ตอบ #28 เมื่อ12-12-2018 23:22:47 »

น้องศศิเอ้ยยยยยย
พ่อบุญธรรมหนูหวงน่าดูเลยนะเนี่ย 5555

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
«ตอบ #29 เมื่อ13-12-2018 00:16:52 »

โอ๊ยหนูลูกกกกกกกกกก
คนพี่ก็กลัวคนน้องก็ไม่กล้าแล้ว  :hao5: :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด