Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4  (อ่าน 25836 ครั้ง)

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่ยี่สิบเจ็ด


   “พ่อกับแม่เจอกันได้ยังไงอะ”
   ผมเอ่ยถามคุณกมลชนกที่กำลังนั่งดูละครทีวีหลังข่าวอยู่ในขณะที่ผมเองนั้นก็กำลังนั่งเปิดดูอัลบั้มภาพเก่าๆ ที่ผมไปค้นมาจากห้องเก็บของ ซึ่งก็เป็นรูปสมัยที่คุณกมลชนกกับพ่อของผมยังเป็นวัยรุ่นและอยู่ในสถานะแฟน

   “ก็เป็นเพื่อนในคณะเดียวกันยังไงล่ะ”
   “แล้วแม่กับพ่อคบกันได้ยังไงเหรอ”
   ผมเอ่ยถามออกไปอีก

   “ก็มีวิชานึงที่แม่บ่ค่อยสันทัดเท่าไหร่นัก พ่อแกก็เลยอาสามาติวให้ ก็ติวไปติวมาก็ปิ๊งปั๊งกันยังไงล่ะ”
   คุณกมลชนกตอบกลับมาในขณะที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีโดยไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย

   แต่เดี๋ยวนะ ทำไมฟังแล้วมันรู้สึกคุ้นๆ ฟังดูคล้ายๆ กับเรื่องราวของใครบางคนแถวๆ นี้วะ

   “แล้วเพราะอะหยังถึงเลิกกันล่ะ”
   “......”
   คุณกมลชนกนิ่งเงียบไปในทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นของผมคำถามที่ผมไม่เคยคิดจะเอ่ยถามเลยสักครั้งในชีวิตตั้งแต่ผมจำความได้และรับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านั้น

   “นึกอะหยังถึงถามน่ะ”
   คุณกมลชนกหันมาตอบกลับด้วยคำถาม ผมนิ่งเงียบไปชั่วครู่

   “ก็บ่อะหยัง แค่อยากรู้เฉยๆ แต่ถ้าแม่บ่อยากตอบ ก็บ่เป็นหยัง บ่ต้องตอบก็ได้”
   ผมตอบกลับไปด้วยความเกรงใจเล็กน้อย ไม่สิ ต้องเรียกว่ามากเลยก็ว่าได้เมื่อเห็นคุณกมลชนกนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมามากๆ จนรู้สึกผิดที่ถามคำถามนั้นออกไปโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของคนถูกถาม

   “ก็บ่มีอะหยังมาก ก็แค่ความคิดเห็นบ่ตรงกันในหลายๆ เรื่องน่ะ”
   คุณกมลชนกผมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะหันกลับไปยังหน้าจอทีวีเหมือนเดิม

   “บ่ตรงกันยังไง”
   ผมรีบเอ่ยถามต่อทันทีเมื่อเห็นว่าคุณกมลชนกยอมตอบกลับมา

   “ก็เยอะ พูดไป คนบ่มีแฟนอย่างเราก็บ่เข้าใจหรอก อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วขี้เกียจพูดถึงด้วย”
   เอ้ามีงี้ด้วย ตัดจบง่ายไปมั้ยคุณกมลชนก !!?

   “ว่าแต่นึกครึ้มยังไงถึงถามเนี่ย”
   คุณกมลชนกเอ่ยถามขึ้นมาอีกรอบ ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยกับคำถามนั้น

   “ถามแบบนี้ แสดงว่ามีแฟนแล้วใช่มั้ย”
   “แม่!!!”
   ผมเอ่ยเสียงดังออกไปทันทีที่ได้ยินคุณกมลชนกพูดเช่นนั้น

   “ฮั่นแน่ะ ทำเสียงสูงแบบนี้ แสดงว่าใช่ชัวร์”
   “แม่ บ่ใช่เน่อ”
   ผมพยายามปฏิเสธด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพอสมควร จนรู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองแดงขึ้นมายังไงไม่รู้

   “ว่าแต่เป็นใครน่ะ แม่รู้จักมั้ยหน้าตาเป็นยังไง สวยรึเปล่า แต่น้ำหน้าอย่างเรา บ่น่าจะมีแฟนสวยกับเขาได้หรอก”
   อึก!!!

   ผมรู้สึกจุกในลำคอขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแม่พูดเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องโดนปรามาสว่าหน้าตาไม่ดี เพราะอันนั้นรู้ตัวดี
   แต่...

   “แม่”
   “อะหยังอีกล่ะ เราเนี่ย”
   “แม่รู้สึกอายคนอื่นเขามั่งมั้ย ที่มีลูกอย่างหนูเนี่ย”
   ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความรู้สึกหวั่นๆ เล็กน้อย คุณกมลชนกเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงง

   “ถ้าเรื่องเราโง่น่ะ แม่ชินแล้ว”
   อุก!!!

   คุณกมลชนกครับ ถ้าคุณกมลชนกจะพูดแบบนี้ กระผมว่าคุณกมลชนกเอาก้านมะยมแช่เยี่ยวมาฟาดผมยังจะเจ็บน้อยกว่าอีกนะขอรับ

   “แต่แล้วยังไงล่ะ เราโง่แล้วไง แม่บ่ได้เลี้ยงเรามาเพื่อเอาไว้แข่งกับใครที่ไหนเสียหน่อย”
   “......”

   “แต่ที่แม่เที่ยวเคี่ยวเข็ญเราน่ะ เพราะแม่คงบ่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอดชีวิตหรอก แม่บ่ได้ต้องการให้เราเก่งเหมือนอย่างคนอื่นเขา แต่แค่เราเอาตัวเองรอด ดูแลตัวเองได้ บ่เป็นภาระของคนอื่นแค่นั้นแม่ก็พอใจแล้ว”
   พูดจบ คุณกมลชนกก็หันกลับไปยังหน้าจอทีวีเช่นเดิม

   ส่วนผมเองก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับก้มหน้าลงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วจึงลุกขึ้นไปยืนข้างหลังคุณกมลชก

   “รักแม่ที่สุดในโลกเลยนะ หนูสัญญานะ ถึงหนูจะโง่ แต่หนูก็จะเป็นเด็กดีของแม่นะ และหนูจะบ่ทำตัวเป็นภาระของใครด้วย”   
   ผมพูดพร้อมกับโอบกอดคุณกมลชนกจากด้านหลัง เพื่อหวังจะสร้างบรรยากาศซึ้งๆ ระหว่างแม่ลูกเหมือนที่เคยเห็นตามละครหลังข่าว

   “มากอดอะหยังเนี่ย ร้อน แถมยังคำพูดชวนขนลุกขยะแขยงนั่นอีก”
   ครับ ท่านผู้ชม นั่นล่ะครับ คุณกมลชนกของผม โอเคนะครับ

   “ว่าแต่ เรามีแฟนแล้วใช่มั้ย”
   “แม่!!!”
   คุณกมลชนกถามย้ำ ผมผละตัวออกมาด้วยความเขินอาย ก่อนที่จะกลับมานั่งลงที่เดิม แล้วจึงก้มหน้ามองดูรูปภาพต่างๆ ในอัลบั้มพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

   จะลองพูดออกไปดีมั้ยนะ

   “เอ่อ...แม่...”
   “เอ้อ อีกอย่าง วันนึงที่เรารียนจบไป เราก็ต้องทำงาน แล้วก็มีแฟน แต่งงาน มีลูก แม่ก็อยากให้เราเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เลี้ยงดูพวกเขาได้”
   อึก!

   “ถ้ามีโอกาส แม่เอง ก็อยากจะเห็นวันนั้นของเรานะ แม่เองก็อยากอุ้มหลานกับเขาเหมือนกัน”
   อึก!!

   “สรุปยังไงเนี่ย มีแฟนหรือยังบ่มีน่ะ แม่ก็บ่ได้จะว่าอะหยังหรอกนะ ถ้าเราจะมีแฟนน่ะ”
   อึก!!!

   ผมได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป

   “บ่บอกก็บ่เป็นหยัง แค่อย่าไปทำเขาท้องก็พอ ถึงแม่จะอยากอุ้มหลาน แต่ก็บ่ได้หมายความว่าจะเป็นตอนนี้นะ”
   พร่วดดด
   

   “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเพื่อนนันท์”
   เสียงของไอ้โอ๊ตเอ่ยทักทายผมขึ้นมาทันทีที่ผมเดินเข้ามาในห้องเรียน ผมพยักหน้าตอบรับกลับไปพร้อมกับเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะนักเรียนของตัวเองก่อนที่จะนั่งถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ

   “เป็นอะไรเหรอครับ คุณเพื่อนนันท์”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจนั้นผมหันไปมองเจ้าตัวคนถามที่กำลังจดจ่ออยู่กับเกมในมือถือเหมือนเช่นทุกครั้ง

   “กูว่ากูเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วว่ะ”
   เอาวะ ลองปรึกษาไอ้พวกนี้ดูหน่อยดีกว่า ไหนๆ พวกมันก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว

   “ปัญหาอะหยังวะ อย่าบอกนะว่ามึงทะเลาะกับไอ้แบงค์มันอีกแล้ว”
   ไอ้เต้ยเอ่ยถามขึ้นมาทันทีที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น ผมชูนิ้วกลางกลับไปเป็นคำตอบให้กับมัน

   อ้อ ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งครับ หลังจากที่เรื่องราวระหว่างผมและแบงค์คลี่คลายลง ผมก็ทักแชทไปบอกกับพวกมันทุกคนในคืนนั้นทันที ซึ่งก็แน่นอนล่ะ ว่าผมโดนพวกมันหัวเราะใส่อย่างห้ามไม่ได้

   “ปัญหาที่ว่าคือแม่กูต่างหาก เมื่อคืนกูลองพยายามลองเลียบๆ เคียงๆ ถามแม่ดู แต่กูบ่ได้เล่ารายละเอียดอะหยังหรอกนะ แต่กูก็พอจะรู้ว่านี่อาจจะบ่ใช่สิ่งที่แม่กูต้องการก็เป็นได้ว่ะ”
   “ยังไงวะ”
   คราวนี้เป็นไอ้ยีสต์ที่เอ่ยถามย้ำขึ้นมา

   “ก็แม่กูเอ่ยขึ้นมาว่า วันนึง กูก็ต้องแต่งงาน มีเมีย มีลูก กูต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวเลี้ยงดูพวกเขา...”
   ผมหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ ไอ้โอ๊ตก็ต่างหันมองหน้ากันเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้นจากผม

   “แม่กูยังบอกอีกว่า แม่กูก็อยากอุ้มหลานกับเขาเหมือนกัน”
   ทันทีที่ผมพูดจบประโยค ทั้งสามก็ต่างก็หัวเราะเสียงดังลั่นออกมาพร้อมกันทันที จนคนอื่นๆ ในห้องต่างก็หันมามองด้วยความงุนงง

   “หัวเราะเหี้ยอะหยังของพวกมึงวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

   “เฮ้ยๆ กู...กู สุมาเต๊อะว่ะ กูบ่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะเย้ย แต่มันอดบ่ได้จริงๆ ว่ะ”
   ไอ้เต้ยพยายามที่จะกลั้นหัวเราะ พร้อมกับปาดน้ำตาตัวเอง

   “คือ...กูบ่ได้หัวเราะที่แม่มึงคิดแบบนั้นหรอกนะ กูเข้าใจนะว่านั่นคือความคิดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพียงแต่...”
   “แต่ ?”
   “พวกกูนึกภาพมึงมีเมีย มีลูก และเป็นหัวหน้าครอบครัวบ่ออกจริงๆ ว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าาา”
   ไอ้เต้ยหัวเราะดังลั่นอีกรอบพร้อมกับคนอื่น ผมรู้สึกอึ้งพอสมควรที่ได้ยินเช่นนั้น แต่พอนึกตามที่ไอ้เต้ยมันว่าไว้ ก็พบว่าตัวผมเองก็นึกภาพนั้นไม่ออกเหมือนกันจริงๆ

   แต่เดี๋ยวนะ นี่มันไม่ใช่เวลามาตลกนะเฮ้ย กูกำลังดราม่าอยู่ ไอ้สัส

   “เออๆ กูสุมาเต๊อะ เอาแบบนี้นะ”
   ไอ้เต้ยพยายามตัดบทพร้อมกับปั้นสีหน้าจริงจังเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะอ้าปากเพื่อด่า หลังจากที่เห็นพวกมันหัวเราะเป็นคนบ้ากันมาพักหนึ่ง

   “นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคตว่ะ มึงยังมีเวลาอีกตั้งเยอะกว่าจะถึงวันนั้น ซึ่งระหว่างนั้น มึงก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปดีกว่า จนวันนึง แม่มึงก็น่าจะเข้าใจเรื่องของมึง...เอ หรือจะบ่เข้าใจหว่า...”

   “เอ้า คุณเพื่อนเต้ยไหงงั้นล่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตเงยหน้าขึ้นมาถามแซวอย่างติดตลก เมื่อเห็นว่าไอ้เต้ยที่กำลังจริงจังเกิดอาการลังเลขึ้นมาเสียอย่างนั้น

   “กูแค่คิดถึงอนาคตตัวกูเองน่ะ”
   “อนาคตทำไมเหรอครับ”
   ไอ้โอ๊ตถามด้วยสีหน้างุนงง

   “กูเป็นลูกหลานเชื้อสายคนจีน มึงก็รู้น่าจะรู้ว่าเป็นยังไง ยิ่งบ้านกูธุรกิจเยอะ เรื่องเส้นสายกิจการก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก มึงเคยได้ยินแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจมั้ยวะ”
   พวกผมพยักหน้ากลับไป เมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “ก็นั่นล่ะ วันนึงกูเองก็อาจจะโดนจับแต่งงานกับลูกหลานใครสักคนเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว และธุรกิจแน่ๆ”
   “แล้วคุณเพื่อนเต้ยจะทำยังไงล่ะครับ ถ้าถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ”
   ไอ้เต้ยนิ่งเงียบ พร้อมกับหันไปมองไอ้ยีสต์ที่กำลังอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ ก่อนที่จะหันกลับมา

   “กูขอเป็นตัวของตัวเองแบบนี้นี่ล่ะ ชีวิตกูก็ต้องเป็นของกู กูเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ก็ขอให้กูได้มีโอกาสตัดสินใจเพื่อชีวิตกูบ้างเถอะ”
   “แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่ของคุณเพื่อนเต้ยไม่ยอมล่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยคำถามชวนเครียดออกมา ทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลายไม่ลงเลยทีเดียว

   “ถ้าถึงวันนั้นจริง แล้วกูยังบ่สามารถเปลี่ยนความคิดพวกเขาได้ กูก็คงต้องยอมโดนตัดออกจากกองมรดก อย่างที่บอก ชีวิตกู ก็ต้องเป็นของกู อย่างน้อยก็เรื่องความรัก กูอยากจะอยู่กับคนที่กูอยากอยู่ด้วย บ่ใช่ใครที่ไหนที่กูบ่ได้รัก”

   “เหยดดด โรแมนติกสัสๆ เลยว่ะมึง”
   ไอ้ยีสต์แซวแหย่ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

   “หุบปากไปเลยมึง กูก็แค่ขอมีความสุขกับวันนี้ที่กูยังมีอยู่ ก็เท่านั้นล่ะ”
   ไอ้เต้ยด่ากลับไปก่อนที่จะเอามือตบหัวไอ้ยีสต์เบาๆ

   “เอาเหอะ คิดถึงเรื่องอนาคตเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็อย่างที่กูบอกนั่นล่ะ มึงก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อย่าเพิ่งไปคิดมาก มีความสุขกับปัจจุบันที่เป็นอยู่น่าจะดีกว่า”
   ไอ้เต้ยเอ่ยย้ำกับผมอีกรอบพร้อมกับเสียงกริ่งสัญญาณเรียกเข้าแถวตอนเช้าของโรงเรียนที่ดังขึ้น พวกผมจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องเพื่อลงไปยังสนามหน้าเสาธง

   ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดว่าอนาคตของผมจะเป็นอย่างไรหากแม่รู้เรื่องนี้เข้า สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นแบงค์ที่กำลังเดินเข้ามาผมพอดี

   “เย็นนี้ไปกินสเวนเซ่นกันมั้ยครับ ผมอยากกินไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วงมากๆ”
   แบงค์เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด ผมเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่

   “เอาสิ กูก็กำลังอยากกินอยู่พอดี งั้นเจอกันที่ชมรมหลังเลิกเรียนนะ”
   ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายเองก็ดูจะดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำตอบนั้นจากผม ก่อนที่จะเดินกลับไปยังแถวของห้องเรียนตัวเอง

   “......”
   รอยยิ้มของแบงค์เมื่อครู่ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

   ก็คงจะจริงอย่างที่ไอ้เต้ยว่าเอาไว้จริงนั่นล่ะ คิดถึงเรื่องอนาคตมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามากไป เราก็จะไม่อยู่กับปัจจุบัน และสุดท้ายก็เป็นตัวเราเองนั่นล่ะที่จะไม่มีความสุข
   

   เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมสมควรคิดถึงมากที่สุดในเวลานี้นั่นก็คือ การเฝ้ารอให้ถึงเวลาตอนเย็นเร็วๆ ด้วยใจจดจ่อ อยากกินไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วงไวๆ แล้วแฮะ
   ฮ่าฮ่าฮ่า


จบคาบเรียนที่ยี่สิบเจ็ด

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เรื่องของอนาคตทิ้งไว้ก่อนเอาปัจจุบันให้ดีที่สุด

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
          คาบเรียนที่ยี่สิบแปด

 

          “เหี้ย สิวขึ้น!”

            ผมเอ่ยอุทานกับตัวเองออกเบาๆ หลังจากสังเกตเห็นมันในขณะที่กำลังแปรงฟันอยู่ในตอนเช้า

            เข้าใจนะว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาหน้าใสปิ๊งแบบคนอื่นเขา ก็พอจะมีสิวขึ้นมาบ้างถึงแม้จะไม่ได้มากเหมือนตอนสมัย ม.ต้นก็ตามทีเถอะ แต่นี่มึงเล่นมาขึ้นเอาตรงปลายจมูกแบบนี้มันจะไม่น่าเกลียดไปหน่อยเหรอวะ ขืนไปโรงเรียนทั้งแบบนี้มีหวังได้โดนไอ้พวกเพื่อนเหี้ยหัวเราะเอาแน่ๆ

            ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็ยื่นหน้าตัวเองเข้าใกล้กระจกพร้อมกับพยายามใช้ปลายนิ้วชี้บีบมันออกมา

            “โอ๊ย!”

            ผมเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันทีที่เริ่มบีบมันไปได้เพียงแค่นิดเดียว

            “แม่ง นี่ต้องรอให้สุกก่อนเหรอวะเนี่ย ไอ้สิวบ้า”

            “นันท์ เสร็จรึยังน่ะเรา เดี๋ยวจะสายนะ แบงค์เขามารอตั้งนานแล้วเน่อ”

            “แป๊บนึงแม่ ใกล้เสร็จแล้ว”

            ผมรีบตะโกนตอบกลับไปทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณกมลชนกตะโกนเรียกขึ้นมา ก่อนที่จะรีบกุลีกุจอล้างหน้าแปรงฟัน และอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วแสงชนิดที่ควิกซิลเว่อร์ในหนังเรื่องอเวนเจอร์ยังต้องยอมแพ้

            “ตื่นเช้าจังนะมึง”

            ผมเอ่ยทักทายแบงค์ที่กำลังนั่งยิ้มปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรอผมอยู่ที่โต๊ะกินข้าว

            “นันท์ต่างหากล่ะครับ ที่ตื่นสาย ใช่มั้ยครับ แม่”

            “ถูกแล้ว หัดเอาตัวอย่างจากแบงค์เขาบ้างนะเราน่ะ”

            คุณกมลชนกรีบเอ่ยเห็นดีเห็นงามด้วยกับเจ้าคนใส่แว่นหนาอย่างรวดเร็ว

            “ค้าบๆ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ”

            ผมหรี่ตามองทั้งคู่ด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ ก่อนที่จะเดินไปหยิบนมถั่วเหลืองในตู้เย็นออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วจึงนั่งลงข้างๆ แบงค์ที่กำลังถอดแว่นออกมาเช็ดรอยสกปรก

            “เออ นันท์ เดี๋ยววันนี้แม่จะไปบ้านยายที่ปายเน่อ อีกสองสามวันจะกลับมา ดูแลบ้านดีๆ อย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ”

            “ค้าบๆ”

            ผมเอ่ยตอบรับกลับไปสั้นๆ พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาจัดการอาหารเช้าฝีมือของคุณกมลชนกที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

            “ยังไงแม่ก็ฝากแบงค์ช่วยดูๆ นันท์ด้วยนะจ้ะ”

            “ได้เลยครับแม่ จะดูแลให้เป็นอย่างดีเลย ไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวังแน่นอนครับ”

            พร่วด!!!

            ผมรู้สึกสำลักจนข้าวแทบจะติดคอขึ้นมาทันทีที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น

            “แม่ หนูโตแล้วนะ ดูแลตัวเองได้น่ะ”

            ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเขินอาย แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอเล็กน้อย จนผมต้องรีบเอาข้อศอกกระทุ้งไปยังไปสีข้างของอีกฝ่ายเบาๆ ทันทีที่เห็นท่าทีที่ชวนหมั่นไส้นั้น

            “แล้วมึงบ่กินเหรอวะ”

            “กินเสร็จแล้วครับ”

            ผมพยักหน้าอือๆ กลับไปเมื่อได้ยินคำตอบนั้น

            เอ่อ หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะนึกสงสัยอยู่ใช่ไหมครับว่าทำไมอยู่ๆ แบงค์ถึงเข้ามานั่งเสนอหน้าในบ้านผมได้ แถมยังเสวนากับแม่ผมได้อย่างสนิทชิดเชื้อจนแทบจะเป็นแม่ลูกกันจริงๆ แทนผมคนนี้ไปแล้ว

            ยังจำเรื่องที่แบงค์เคยบอกว่าย้ายหอได้ไหมครับ นั่นล่ะครับคือคำตอบ แบงค์เขาย้ายหอมาอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของผมน่ะครับ ซึ่งหากจะถามว่าใกล้ขนาดไหนนั่นน่ะเหรอ ก็คงใกล้ชนิดที่ว่าหอที่แบงค์อยู่ในตอนนี้นั้นติดกับบ้านของผมเลยยังไงล่ะครับ

            “คนบ้าอะหยังย้ายหอออกมาอยู่ไกลจากโรงเรียนมากกว่าเดิมอีกเนี่ย

          นั่นคือประโยคแรกที่หลุดออกจากปากผมทันทีที่ได้รู้ว่าหอใหม่ที่แบงค์ย้ายไปคือที่ไหน ก็มันสมควรจะถามไหมล่ะครับ ในเมื่อหอเดิมของอีกฝ่ายนั้นอยู่ใกล้โรงเรียนมากๆ ชนิดที่ว่าใช้เวลาเดินไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น แต่หอใหม่ที่ย้ายมาเนี่ย ขนาดขี่รถจักรยานยนต์ยังใช้เวลาสิบห้าถึงยี่สิบนาทีเลยแน่ะ

            ”ก็มันถูก แถมทำเลดี และที่สำคัญยังอยู่ใกล้ๆ กับนันท์ด้วยยังไงล่ะครับ

          และนั่นก็คือคำตอบที่ผมได้รับกลับมาจากเจ้าตัว

            “......”

            ก็แล้วแต่มึงเถอะ

            พอย้ายมาปุ๊บ ก็ดูแบงค์จะรีบทำคะแนนกับคุณกมลชนกใหญ่เลย จนตอนนี้กลายเป็นว่าคุณกมลชนกดูจะถูกอกถูกใจแบงค์มากกว่าผมที่เป็นลูกแท้ๆ คนนี้เสียแล้วนี่สิ

            แต่จะว่าไปการที่อีกฝ่ายย้ายมาอยู่ใกล้ๆ นี่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่งเหมือนกันนั่นคือ แบงค์จะคอยทำหน้าที่รับส่งผมไปกลับโรงเรียนทุกวันด้วยรถจักรยานยนต์ของผมโดยที่ผมไม่ต้องขี่มันเอง สบายแบบนี้หาได้ที่ไหนอีก ฮ่าฮ่าฮ่า

           

            “พรุ่งนี้ว่างมั้ยครับ”

            แบงค์เอ่ยถามผมทันทีที่เราทั้งคู่มาถึงโรงเรียน ผมครุ่นคิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น

            “ไม่รู้ล่ะ จะว่างไม่ว่างไม่สนละ ยังไงก็ต้องว่าง โอเคนะครับ”

            “เอ้า อะหยังเนี่ย”

            ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าเหวอเล็กน้อยเมื่อโดนแบงค์มัดมือชก

            “สรุป พรุ่งนี้มีอะหยังวะ”

            ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็อมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ

            “ไม่บอกครับ ไปเถอะ จะถึงเวลาเข้าแถวแล้ว รีบไปกัน เดี๋ยวสายนะ”

            แบงค์ปัดที่จะตอบพร้อมกับดึงเข้าเรื่องอื่น ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมันมากนัก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปยังห้องเรียนของตัวเองอย่างเร่งรีบ

           

            “กูอยากไปเที่ยวทะเลว่ะ”

            ไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งกินข้าวเที่ยงกันอยู่

            “......”

            “ช่วงนี้อากาศกำลังดี อยากไปเที่ยวทะเลชิบหายเลยว่ะ”

            “......”

            ทั้งผม ไอ้เต้ยและไอ้โอ๊ตต่างก็ยังคงนิ่งเงียบประหนึ่งว่าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นของไอ้ยีสต์

            “"กูอยากไปเที่ยวทะเลว้อยยย เกิดมาก็เห็นแต่ภูเขา อยากไปทะเลกับเขาสักครั้งจัง ถ้ามีใครพากูไปนะ กูจะ...”

            “เออๆ ปิดเทอมเดี๋ยวกูพาไป”

            ในที่สุดไอ้เต้ยก็เป็นคนแรกที่ทนรำคาญไม่ไหว รีบเอ่ยตัดบทขึ้นมาทีด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย

            “จริงดิ”

            “เออ แล้วก็หุบปากไปเลยนะมึง กูรำคาญญญ”

            “ได้เลยครัช เฮียว่าไง ผมก็ว่าตามนั้นล่ะครัช แผล่บๆๆ”

            ไอยีสต์รีบทำท่าพินอบพิเทาอีกฝ่ายทันที ไอ้เต้ยเองก็รีบยกข้อศอกขึ้นมาตั้งกันไอ้ยีสต์ด้วยความรำคาญแต่ก็แอบแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

            “ว่าแต่นึกยังไงถึงอยากไปเที่ยวทะเลขึ้นมาล่ะครับ คุณเพื่อนยีสต์”

            ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นมา ก่อนที่จะคีบลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก

            “ก็พอดีเมื่อคืนกูดูเรื่องปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นน่ะ กูเลยอยากไปบ้าง เผื่อได้จะมีประสบการณ์แบบไอเหิรมั่งยังไงล่ะวะ”

            “ยังไงวะ”

            ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะตัวผมเองนั้นยังไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้เลยสักครั้ง ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อย

            “ก็เผื่อจะได้เจอสาวๆ น่ารักๆ แบบอาโออิมั่งยังไงล่ะวะ”

            “โอเคงั้นกูบ่พามึงไปละ ไอ้สัส”

            ไอ้เต้ยรีบกลับคำตัวเองทันทีที่รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย

            “อ้าวเฮีย ไหงพูดแมวๆ แบบนี้ล่ะครับ เฮียรับปากแล้วห้ามคืนคำสิครับ บ่รู้ล่ะ ยังไงมึงก็ต้องพากูไป รับปากกูแล้ว กูบ่ยอมเว้ย”

            “พากูไปด้วยดิ กูก็อยากไปเหมือนกัน”

            ผมรีบเอ่ยกับไอ้เต้ยทันทีที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น

            “คุณเพื่อนนันท์ ก็ไปขอให้คุณเพื่อนแบงค์เขาพาไปสิครับ”

            ไอ้โอ๊ตเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง

            “เออ มึงก็ให้ไอ้แบงค์มันพาไปดิ เห็นหวานแหววมาด้วยกันทุกเช้าเลยนะมึง”

            ไอ้เต้ยรีบหันมาร่วมสมทบแซวผมทันที พร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

            “หวานเหวินเหี้ยอะหยังของพวกมึง บ่มีเว้ย”

            ผมรีบตอบปัดกลับไปทันทีด้วยความอายเล็กน้อย ทั้งไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ ไอ้โอ๊ตเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็หัวเราะกันอย่างชอบอกชอบใจกันใหญ่

 

            “เฮ้ย ไอ้นันท์ ยังไงถ้ามึงติวเสร็จแล้ว ก็ไปที่ชมรมด้วยนะเว้ย”

            ไอ้เต้ยหันมาบอกผมหลังจากที่คาบเรียนสุดท้ายหมดลง ในขณะที่เจ้าตัวกำลังเก็บของใส่กระเป๋า

            “มึงกับกูก็ไปพร้อมกันเลยก็ได้นี่”

            ผมหันไปบอกพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย

            “อ้าว แล้วมึงบ่ไปติวกับไอ้แบงค์เหรอวะ”

            “ก็ติว แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปติวที่ห้องไอ้แบงค์มันแล้วน่ะ”

            “อ๋อออ”

            “อ๋อเหี้ยอะหยังของมึง หยุดคิดต่อเลยนะมึง บ่มีอะหยังเว้ย แค่ติวเฉยๆ”

            ผมรีบพูดตัดบทขึ้นมาทันที่ได้ยินเสียงลากยาวนั้น

            “กูก็ยังบ่ได้ว่าอะหยังเลย มึงนั่นล่ะ ร้อนตัวไปเองรึป่าววะ”

            ไอ้เต้ยตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมเองเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูแล้วสุดแสนจะกวนตีนนั้นก็รีบยกเท้าขึ้นมาหมายจะถีบอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ทันเพราะมันไวกว่าผม

            “เออๆ งั้นก็ไปกันเถอะ เฮ้ย ไอ้ยีสต์ มึงกลับไปก่อนเลยนะเว้ย”

            ไอ้เต้ยหันไปตะโกนบอกไอ้ยีสต์ที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋า เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่ทั้งผมและไอ้เต้ยจะเดินออกจากห้องไป

           

            “แล้วกับไอ้ไนท์ มึงจะทำยังไงต่อวะ”

            ไอ้เต้ยหันมาถามผม ในขณะที่เราทั้งสองกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์รอสมาชิกคนอื่นกันอยู่ผมนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าคนถาม

            “ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ ทำตัวตามปกติ ยังไงกูก็บ่ได้คิดอะหยังกับมันอยู่แล้ว”

            “เป็นคำตอบที่โหดสัสๆ เลยว่ะ ทั้งๆ ที่น้องเขาพยายามตามจีบมึงมาตลอดเนี่ยนะ”

            ไอ้เต้ยแซวผมทำเอาผมสะอึกเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปมองหน้ามันอีกรอบ

            “ที่ผ่านมานั่นเรียกว่าจีบเหรอวะ”

            ไอ้เต้ยพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น

            “แล้วที่ผ่านมาอะหยังมึงบ่บอกกูเลยวะ”

            “อ้าว ก็บ่ใช่เรื่องของกูนี่หว่า อีกอย่างกูว่ามันก็สนุกดีจะตาย เวลาเห็นไอ้ไนท์มันพยายามจะจีบมึง รวมถึงไอ้แบงค์ด้วย ในขณะที่มึงเอง ก็ซื่อเสียจนบ่รู้เรื่องห่าอะหยังเลยสักนิด”

            “กูขอโทษนะที่กูเป็นพวกความรู้สึกช้า กูเลยบ่รู้ว่านั่นคือการจีบ”

            ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงอยๆ เล็กน้อย

            “เออๆ ช่างเถอะ ยังไงมันก็บ่ใช่ความผิดของมึงหรอก”

            พูดจบ ทั้งผมและไอ้เต้ยต่างคนต่างก็หันไปเตรียมของกันอย่างเงียบๆ กันทั้งคู่

            ครับ ก็อย่างที่ว่า ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกันว่าที่ผ่านมาไอ้น้องไนท์มันก็แอบชอบผมอยู่เหมือนกัน ซึ่งผมก็รู้สึกตะหงิดๆ ใจอยู่ก่อนแล้วตอนที่ได้อ่านไดอารี่ของแบงค์ที่พูดถึงไอ้หน่อมแน้มว่าเป็นใคร ซึ่งก็คือไอ้น้องไนท์นั่นเอง

            หากถามว่าผมรู้สึกยังไงน่ะเหรอครับ ยอมรับว่าตอนแรกก็อึ้งไปพอสมควรเหมือนกันครับ ที่อยู่ๆ ก็มีผู้ชายมาชอบผมในเวลาไล่ๆ กันถึงสองคน แต่พอคิดทบทวนเอาจริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับไอ้น้องไนท์ไปมากกว่าคำว่า 'พี่น้อง' เลยครับ ซึ่งมันอาจจะฟังดูโหดร้ายกับไอ้น้องไนท์อยู่พอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นคือความจริง

            พอพูดแบบนี้รู้สึกเหมือนตัวเองฮอตฮิตยังไงก็ไม่รู้ว่ะ เหี้ยเอ้ย เกิดมาบนโลกใบนี้สิบเจ็ดปีไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีสาวหันมอง พอบทจะป๊อปปูล่า ก็เสือกป๊อปปูล่ากับผู้ชายด้วยกันเองเสียอย่างนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า

            “สุมาเต๊อะด้วยนะ ที่มาช้า พอดีติดคุยเรื่องงานวันปิดภาคเรียนกับอาจารย์อยู่น่ะ”

            เสียงคำขอโทษของมายด์เอ่ยดังขึ้นทันทีที่เจ้าตัวเปิดประตูห้องเข้ามา โดยมีพี่สาธิต ไอ้น้องไนท์และไอ้เกมส์เดินตามหลังมาติดๆ ส่วนแบงค์นั้นยังไม่เสร็จธุระที่ชมรมถ่ายรูป จึงขอตามมาทีหลัง

            “เออ ไอ้นันท์ เดี๋ยวก็ตามหน้าที่มึงเลยนะ”

            ไอ้เต้ยหันมาพูดกับผมพร้อมกับหยิบบัตรสมาร์ตเพิร์สออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วหันมายื่นให้ผมที่เพิ่งจะจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เสร็จ ผมหรี่ตามองกลับไปพร้อมรับบัตรนั้นมาด้วยอารมณ์เซ็งนิดๆ แต่ก็ขัดขืนอะไรไม่ได้

            “ไอ้ไนท์ เดี๋ยวมึงไปช่วยไอ้นันท์ถือของด้วยนะเว้ย”

            “ครับพี่เต้ย”

            ไอ้น้องไนท์เองก็รีบตอบรับคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ผมก็รีบหันไปมองเขม่นไอ้เต้ยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

            ไอ้เหี้ยเต้ย มึงงง

            “พี่นันท์จะเอาอะหยังอีกมั้ยครับ”

            ไอ้น้องไนท์ชะโงกหน้าถามจากอีกฝั่งของชั้นสินค้า

            “บ่ๆ บ่เอาอะหยังละ รีบๆ ไปจ่ายเงินเหอะ”

            ไอ้น้องไนท์พยักหน้าให้กับคำพูดของผมพร้อมกับเดินตามหลังมาอย่างว่านอนสอนง่าย ก่อนที่จะช่วยกันหิ้วของทั้งหมดกลับไปยังชมรมหลังจากที่จ่ายเงินกันเสร็จเรียบร้อย

            “......”

            “......”

            ในขณะที่เราทั้งสองกำลังเดินกลับไปยังชมรม ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างก็เงียบไม่พูดอะไรกันทั้งคู่ ทำเอาผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

            “นี่สรุปว่าผมอกหักแล้วจริงๆ ใช่มั้ยครับเนี่ย”

            อยู่ๆ ไอ้น้องไนท์ก็เอ่ยถามขึ้นมา ทำเอาผมถึงกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดี

            “"เอาเถอะครับ ถือว่ารอบนี้ผมแพ้พี่แบงค์เขาไป แต่ยังไงผมก็...”

            “พอเถอะมึง กูขอโทษว่ะ แต่ต่อให้บ่มีไอ้แบงค์ กูก็บ่ได้คิดอะหยังกับมึงแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

            ผมพยายามอธิบายออกไปตามความคิดของตัวเอง ส่วนไอ้น้องไนท์เองถึงกับก้มหน้านิ่งเงียบไปในทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของผม

            “ก็พอจะทำใจไว้ก่อนแล้วนะ แต่พอได้ยินกับหูตัวเองจากปากของพี่แล้วมันก็เจ็บจี๊ดเหมือนกันแฮะ”

            “เอาน่ะ แต่ยังไงมึงก็ยังเป็นน้องกูเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นล่ะ โอเคมั้ยวะ”

            ผมพยายามพูดปลอบใจไอ้น้องไนท์ พร้อมกับตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อครู่นั้นมันสมควรหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนั่นก็คือความจริงจากใจผม

            “เอาเถอะ ถ้านั่นเป็นสิ่งที่พี่นันท์ตัดสินใจไปแล้ว ผมก็ทำอะหยังบ่ได้หรอก แต่สักวันผมจะพิสูจน์ให้เห็น ว่าพี่นันท์ได้มองข้ามผู้ชายดีๆ อย่างผมไป คอยดู”

            “มั่นใจเสียเหลือเกินนะมึง”

            ผมหรี่ตามองกลับไปด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ซึ่งดูจากคำพูดและท่าทางนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าไอ้น้องไนท์จะยังตัดใจไม่ได้ แต่เอาเถอะ ตอนนี้ถึงผมจะพูดอะไรไปก็เท่านั้น ปล่อยๆ ไปก่อนแล้วกัน สักวันเดี๋ยวน้องเขาก็คงเจอกับคนที่ใช่สำหรับน้องเขามากกว่าผมเองนั่นล่ะ

            สักวัน... ผมเชื่อเช่นนั้น


จบคาบเรียนที่ยี่สิบแปด


มุมแคปชั่นไร้สาระ


เมื่อไหร่เจ้าคิริโตะกับอาสึนะจะออกดอกกันนะ




ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่ยี่สิบเก้า

   เย็นวันนั้น
   “คืนนี้นอนค้างที่ห้องของผมมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ

   “บ่เอาว่ะ กูจะกลับไปนอนที่บ้าน”
   ผมตอบกลับทันทีอย่างรวดเร็วในขณะที่ตัวผมเองนั้นกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างคนขี้เกียจอยู่บนเตียงของอีกฝ่าย โดยที่ตัวผมเองนั้นยังคงอยู่ในชุดนักเรียนอันเนื่องมาจากเมื่อกลับมาถึงก็ตรงขึ้นมายังห้องของแบงค์ทันที จึงทำให้ยังไม่ได้กลับเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

   อ๊ะๆๆ ห้ามด่าว่าผมเป็นคนสกปรกนะครับ แค่ขี้เกียจเฉยๆ น่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “กลัวผมทำอะไรอย่างนั้นเหรอครับ”
   ผมรีบหันไปมองอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ภาพที่เห็นตอนนี้คือแบงค์ที่เกือบจะเปลือยเปล่า หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือใส่เพียงแค่บอกเซอร์ตัวเดียวเท่านั้นกำลังยืนยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ให้กับผม

   “สัส กลัวอะหยัง แค่จะกลับไปนอนเฝ้าบ้านแค่นั้นล่ะ เดี๋ยวแม่จะด่า”
   ผมรีบตอบปฏิเสธกลับไป ก่อนที่จะหันหลังกลับมาด้วยความรู้สึกเขินอายพอสมควร จริงอยู่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอีกฝ่ายมันจะมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ก็มันยังไม่ชินกับภาพแบบนี้อยู่ดีแฮะ

   “งั้น...ให้ผมไปนอนเป็นเพื่อนที่บ้านของนันท์ดีมั้ยครับ”
   เฮือก!
   เสียงกระซิบข้างหูผมที่แผ่วเบาของแบงค์ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งทันที พร้อมกับหันตัวกลับไปด้วยความตกใจ

   ทว่า
   “เฮ้ย อะหวังวะเนี่ย”
   อยู่ๆ แบงค์ก็จับข้อมือของผมทั้งสองข้างกดเอาไว้แน่นกับเตียงพร้อมกับคร่อมตัวผมเอาไว้ใบหน้าของผมกับอีกฝ่ายที่ปราศจากแว่นหนาบนใบหน้าในตอนนี้นั้นใกล้มาก ใกล้ชนิดที่ผมสามารถได้ยินเสียงลมหายใจแถมยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของอีกฝ่ายอีกด้วย

   “เฮ้ย ปล่อยดิ”
   “ไม่ปล่อยครับ”
   แบงค์ตอบปฏิเสธผมพร้อมกับทำสีหน้านิ่งที่แฝงไว้ด้วยความจริงจังและพยายามจะดิ้นขัดขืน
ซึ่งขอพูดตามความเป็นจริงเลยนะครับ ว่าหากคาดหวังจะได้เห็นภาพแบบละครหลังข่าวที่นางเอกไม่สามารถสู้แรงของพระเอกได้ แล้วสุดท้ายก็ตกเป็นของพระเอกพร้อมกับภาพตัดไปที่ไฟบนหัวเตียงแล้วล่ะก็

   ผมก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง เพราะเอาเข้าจริงๆ ดูจะเป็นแบงค์ต่างหากที่เป็นฝ่ายสู้แรงผมไม่ได้และดูจะเหนื่อยมากกว่าที่ต้องสู้กับแรงดิ้นของผม แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมลดละความพยายามที่จะกดผมเอาไว้กับเตียงให้ได้ กลายเป็นว่าทั้งผมและแบงค์ในตอนนี้ต่างก็หอบกันทั้งคู่เลยทีเดียว ชนิดที่หากได้ยินแต่เสียง ใครหลายๆ คนก็คงจินตนาการถึงอะไรที่มันเป็นสิบแปดบวกอย่างเป็นแน่แท้

   แต่ผมขอสาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสำรอง ณ ที่นี้เลยว่า มันไม่ใช่แบบนั้นเด็ดขาด ยังไงผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ แต่ก็คิดว่าหากผมยังคงถูกขึงพืดโดยที่มีอีกฝ่ายคร่อมอยู่ข้างบนต่อไปแบบนี้อีกสักนิดผมก็คงจะไม่รอดแล้วเหมือนกันล่ะ เพราะว่าผมเองก็เริ่มจะหมดแรงแล้วด้วย

   เจ้าตัวพยายามยื่นหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมรู้สึกเกร็งทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่ทำตัวนิ่งพร้อมหลับตาปี๋ ลมหายใจของแบงค์กระทบกับแก้มของผมเบาๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ

   “......”
   “......”

   “กลัวเหรอ”
   แบงค์กระซิบถามผมข้างหูผมเบาๆ ผมนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป ได้แต่หลับตานอนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น

   “......”
   “......”
   ความเงียบเข้าครอบงำ ผมไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากเสียงลมหายใจของแบงค์และเสียงหัวใจของผมเองที่ตอนนี้มันกำลังเต้นรัวเหมือนที่กลองถูกตีอย่างไม่เป็นจังหวะแล้ว

   “ล้อเล่นน่ะครับ ไปครับ ติวหนังสือกันเถอะ เดี๋ยวจะดึก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับปล่อยมือผม ก่อนที่จะลุกขึ้นออกจากตัวผมไป

   “......”
   ผมยังคงนอนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งแล้วจึงลืมตาขึ้นมา แสงไฟของห้องที่เปิดจ้าอยู่ทำเอาผมถึงกับปวดตาเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังเลือกชุดในตู้เสื้อผ้าอยู่

   ทันทีที่แบงค์แต่งตัวเสร็จ เจ้าตัวก็เดินไปหยิบแว่นที่วางเอาไว้บนชั้นหนังสือมาใส่ แล้วจึงไปนั่งลงกับพื้นที่โต๊ะญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ข้างโต๊ะคอมพ์ฯ ทันทีก่อนที่จะเปิดหนังสือขึ้นมาทบทวน ผมดึงตัวเองขึ้นมาอยู่ในท่านั่งพร้อมกับก้มหน้านิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปมองแบงค์อีกรอบ

   “......”
   ผมลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังแบงค์ ผมจ้องมองแผ่นหลังหนานั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคุกเข่าแล้วสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง

   “หือ เป็นอะไรน่ะครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “กูขอโทษนะ”
   “ขอโทษเรื่องอะไรครับ”

   “ก็เรื่องเมื่อกี้ไง ขอโทษนะ คือ กูกลัวจริงๆ นั่นล่ะ คือยังไงดีล่ะ กู...”

   “......”
   “......”
   ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบ

   “ก็กูทำตัวบ่ถูกนี่วะ”
   “......”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมพูดออกไปเช่นนั้น ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับเอื้อมมือมายีหัวผมเบาๆ แล้วจึงดึงตัวผมให้ย้ายมานั่งข้างๆ ตัวเอง

   “ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธ ผมเองต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษ ที่ทำให้นันท์รู้สึกไม่ดี ขอโทษนะครับ สัญญาครับ ว่าจะไม่ทำอีก”
   แบงค์พูดพร้อมกับยิ้ม ก่อนที่จะก้มหัวขอโทษให้ผม ผมรีบดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวทันที

   “บ่ๆ กูบ่ได้รู้สึกบ่ดี แต่แค่...กูยังบ่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อนนี่วะ...”
   ผมพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะหลุดขำออกมา

   “หัวเราะอะหยังวะ”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
   ทำไมต้องหัวเราะกูด้วยวะ มันผิดตรงไหนวะ ที่กูยังเก็บซิงไว้ชิงโชคมาจนถึงทุกวันนี้เนี่ย

   “เปล่าครับ แค่รู้สึกว่านันท์นี่ถึงภายนอกจะดูเถื่อนๆ ห่ามๆ ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วก็ซื่อมากๆ เลยน่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับพยายามที่จะกลั้นหัวเราะ

   “ว่าแต่คนอื่น มึงเองนั่นล่ะ เคยทำรึเปล่าเหอะ”
   “อยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยคำถามพร้อมกับยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้เสียเหลือเกิน เดี๋ยวนี้หัดทำสีหน้านี้กับเขาเป็นแล้วเหรอวะเนี่ย

   “ก็บ่ได้อยากรู้อะหยังขนาดนั้นหรอก พอๆ เลิกๆ มาติวหนังสือเหอะ”
   ผมรีบปัดเรื่องพร้อมกับหันมาให้ความสนใจกับกองหนังสือตรงหน้า แบงค์หัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับยีหัวของผมเบาๆ

   “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับเรื่องอดีตของผมน่ะ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยีหัวของผมเบาๆ อีกรอบ ก่อนที่จะเอาหน้าผากของตัวเองมาชนกับหน้าผากของผมซึ่งนั้นก็ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายกับผมในตอนนี้นั้นใกล้กันมาก ใกล้จนผมรู้สึกใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

   ให้ตายสิวะ ยังไม่ชินจริงๆ วุ้ย กับสถานการณ์แบบนี้เนี่ย

   “เรื่องแบบนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรมากหรอกครับ”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนที่จะขมวดคิ้วนิดหนึ่ง

   “เอ่อ จริงๆ ก็มีสนใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ”
   “อ้าว”

   “แต่ว่าความรู้สึกที่ผมมีให้กับนันท์นั้น มันเป็นความรักมากกว่าความใคร่ วันนี้ผมรู้ตัวแล้วว่านันท์คือใครคนนั้นของผม ซึ่งถ้าหากนันท์ยังไม่พร้อมจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ ผมรอได้”
   พูดจบ เจ้าตัวก็หอมแก้มผมฟอดหนึ่งทำเอาผมถึงกับรู้สึกเขินอายหน้าแดงขึ้นมาทันทีพร้อมกับรู้สึกว่าตัวเองที่ผ่านมานี่ช่างอ่อนต่อโลกยิ่งนัก

   ตั้งใจเรียน ไอ้นันท์ ตั้งใจเรียนว้อย อย่าให้เขาว่าเอาได้ว่าพอมีแฟนแล้วผลการเรียนตก ถึงแม้เดิมทีผลการเรียนของมึงมันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วก็ตามทีเถอะ

   “อ้อ อีกอย่าง ไหนๆ เราก็เป็นแฟนกันแล้ว ผมขออนุญาตเรื่องนึงได้มั้ยครับ”
   ผมหันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินประโยคนั้น ในขณะที่แบงค์พยายามเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายของผมที่ตั้งอยู่ข้างเตียงเข้ามาพร้อมกับพยายามที่จะแกะพวงกุญแจตุ๊กตาถักของฝากจากไอ้น้องไนท์ออกจากกระเป๋าสะพายของผม

   “เฮ้ย ไปแกะมันออกทำไมวะ”
   ผมเอ่ยถามขึ้นมาทันที่เห็นเช่นนั้น

   “ผมหึงครับ”
   “ห๊ะ แต่นี่มันของฝากนะมึง”
   ผมพยายามอธิบาย แต่ไม่ว่าจะยังไงอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ยอมฟังอยู่ดี

   “ของฝาก ก็เอาไปแขวนไว้ที่ข้างฝาผนังก็พอครับ ไม่ต้องเอามาใช้แบบนี้”
   “แต่ว่า...”
   “ไม่รู้ล่ะ ถือว่าผมขอนะครับ”
   อึก!

   ไม่พูดเปล่าแถมยังพยายามทำสีหน้าและสายตาอ้อนวอนผมอีกด้วย รู้สึกว่าหลังๆ มานี้ลูกเล่นจะเยอะขึ้นนะมึงเนี่ย

   “ถ้าอยากได้พวงกุญแจไว้แขวนกระเป๋า ก็ใช้อันนี้แทนนะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋านักเรียนของตัวเองที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะญี่ปุ่นเข้ามา จากนั้นจึงแกะพวงกุญแจรูปกลักฟิล์มที่ห้อยติดอยู่กับกระเป๋านั้นออกมาก่อนที่จะคล้องมันไว้กับกระเป๋าสะพายของผมแทนพวงกุญแจตุ๊กตาถักของไอ้น้องไนท์ แล้วหันมายิ้มให้กับผมด้วยสีหน้าราวกับว่าตัวเองคือผู้ชนะยังไงยังงั้น

   มาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ผมทำอะไรต่อได้ล่ะครับ ก็คงมีแต่ต้องยอมเขาแล้วล่ะ ใช่ไหมครับ ผมจึงได้แต่ยิ้มหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ ในความดื้อรั้นเล็กๆ ของแบงค์


   “พรุ่งนี้รีบตื่นเช้าๆ นะครับ”
   แบงค์เอ่ยเตือนขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

   “เออ สรุปว่าพรุ่งนี้มีอะหยังกันแน่น่ะ เมื่อเช้าก็บ่ยอมบอกกู”
   “......”
   ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา นอกจากรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเฉกเช่นทุกครั้ง

   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวจะตื่นสาย”
   พูดจบ เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ ก่อนจะหันหลังเพื่อเดินกลับไปยังหอตัวเอง

   “มึง”
   “ครับ”
   แบงค์หันตัวกลับมาด้วยความรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงผมร้องทัก

   “......”
   ผมนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกไป ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มกลับมาด้วยความสงสัย

   “มึงมั่นใจแล้วจริงๆ เหรอวะ ว่ากูคือใครคนนั้นสำหรับมึง”
   ผมเอ่ยถามออกไปเบาๆ พร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความวิตกเล็กน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาเช่นเดียวกันกับคำถามเมื่อครู่ นอกจากฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นมาเพื่อยีหัวผมเบาๆ อีกรอบ

   “ไปนอนเถอะครับ ดึกแล้ว ฝันดีนะครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้ผมก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังหอตัวเอง โดยท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ตอบคำถามอะไรของผมเลยสักคำถาม

   ผมมองแผ่นหลังใหญ่ที่เดินขึ้นหอไปพลางยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่ายที่จางหายไปแล้วแต่ในความรู้สึกของผมยังคงรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือนั้นได้อยู่ ฝามือใหญ่ที่แสนอบอุ่น ฝ่ามือทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่ถูกสัมผัส ถึงแม้ว่าภายในใจลึกๆ จะยังคงกังวลอยู่กับคำถามนั้นอยู่บ้างก็ตามที

   หลังจากที่ผมจัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็ขึ้นเตียงนอนทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมาชาร์จและตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วยเหมือนเช่นทุกคืน

   และในขณะที่ผมกำลังจะกดตั้งนาฬิกาปลุกอยู่นั่นเอง ข้อความในเมสเซนเจอร์จากแบงค์ก็เด้งขึ้นมา ผมกดเข้าไปอ่านด้วยความรวดเร็วก็พบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายส่งมานั้นเป็นลิงค์จากเว็บยูทูบ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้กดเข้าไปยังลิงค์นั้น

   Power Bank : คำตอบของคำถามเมื่อครู่ครับ

   ข้อความอีกข้อความก็ถูกส่งมาทันที ซึ่งก็ยิ่งสร้างความอยากรู้อยากเห็นของผมให้มีมากขึ้น ผมจึงรีบกดเข้าไปยังลิงค์นั้นทันทีด้วยความรวดเร็วก่อนที่หน้าจอมือถือจะสลับไปยังเว็บยูทูบพร้อมเสียงดนตรีที่ค่อยๆ บรรเลงขึ้นอย่างช้าๆ
   
เธอ...คือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ
เธอเป็นนิทานที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน
เธอคือหัวใจ ไม่ว่าใครไม่อาจเทียมเทียบเท่าเธอ
ช่างโชคดีที่เจอ ได้ตกหลุมรักเธอ ได้มีเธอเคียงข้างกัน

คงจะมีเพียงเธอทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน
คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว

เธอคือรักจริง ฉันยอมทิ้งทุกทุกอย่างเพียงเพื่อเธอ
ดั่งฟ้าให้มาเจอให้เธอคู่กับฉัน ให้เราได้เดินเคียงข้างกันนับจากนี้
คงจะมีเพียงเธอทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน
คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียง........
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่เฝ้ารอ ฉันจะขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว

จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี
ฉันอยู่ตรงนี้และจะมีเพียงเธอทุกวินาที จะอยู่ใกล้ไม่ห่างไกล จะเคียงชิดไม่ห่างไป ไม่ไปไหน...

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียง........
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอ เพียงเธอที่รอ ฉันขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด เกิดชาติไหนฉันมีเธอ มีเธอเพียง..........คนเดียว

   “......”
   พูดไม่ออกครับ

พูดไม่ออกจริงๆ จะว่าไปมันก็เป็นคำถามที่ผมไม่น่าจะถามออกไปจริงๆ นั่นล่ะ ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็ได้อ่านไดอารี่ของแบงค์มาแล้วแท้ๆ ถึงแม้จะด้วยความเจ้าเล่ห์ของเจ๊บัวก็ตามทีเถอะ

   คำถามที่หากผมลองใส่ใจและสังเกตมันดูอีกสักนิด ผมก็น่าจะได้คำตอบแล้วแท้ๆ

   นันทการ : ขอบคุณนะ ขอบคุณมากจริงๆ ฝันดีนะมึง พรุ่งนี้เช้าเจอกัน
   Power Bank : เช่นกันครับ

   ให้ตายสิ ความรู้สึกพวกนี้มันคือความรักอย่างนั้นเหรอ หากใช่ ก็แสดงว่าผมกำลังรู้สึกตกหลุมรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วอย่างนั้นสิ

   คนเรามักจะบอกว่าความรักนั้นหายาก คำพูดนั้นมันก็มีส่วนถูก
   แต่ก็แค่เพียงครึ่งเดียว

   เพราะสิ่งที่ยากกว่าการตามหามาให้ได้ซึ่งความรัก ก็คือการเก็บรักษาความรักนั้นให้อยู่กับเราไปตลอดชั่วนิรันดร์ต่างหากล่ะ จริงอยู่ว่าวันข้างหน้ามันไม่มีอะไรที่แน่นอนเส้นทางหลังจากนี้ทั้งผมและแบงค์คงจะต้องพบเจออะไรอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เราทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกันซึ่งก็ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่อีกเรื่องหนึ่งด้วย

   แต่แล้วยังไงล่ะขึ้นชื่อว่าความรัก ทำไมเราต้องให้คนอื่นมาตัดสิน มาจำกัด มานิยามมันด้วย หากมองในแง่ดี นั่นก็จะเป็นบททดสอบด้วยว่าผมกับแบงค์ เราทั้งสองนั้นเกิดมาเป็นคู่ชีวิตกันจริงหรือไม่

   แต่ก่อนที่จะกังวลไปกับอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถรับรู้ได้ในตอนนี้นั้นก็คือ


ความรัก ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว


จบคาบเรียนที่ยี่สิบเก้า

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
   คาบเรียนที่สามสิบ

   ปุจฉา สถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ อยู่ ณ แห่งหนใดกันนะ

   “ยังเหลือสอบคาบบ่ายอีกสองวิชาแล้วสินะ จะได้จบสิ้นกันสักทีว้อยยย”
   เสียงของไอ้ยีสต์เอ่ยตะโกนออกมาทันทีด้วยความดีใจหลังจากที่สอบช่วงเช้าเสร็จ ในขณะที่ตัวผมเองนั้นกำลังปาดเหงื่อที่กำลังไหลย้อยลงมาอันเนื่องมาจากอากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าวราวกับว่าเชียงใหม่นั้นมีพระอาทิตย์เป็นของตัวเองยังไงยังงั้น

   จะว่าไปวันเวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันแฮะ เผลอแป๊บๆ ก็จะจบชั้น ม.ห้ากันแล้ว เทอมหน้าพวกเราทั้งหมดก็จะเป็นนักเรียนชั้น ม.หก ซึ่งเป็นปีการศึกษาสุดท้ายแล้วที่พวกเราจะได้ใส่ชุดนักเรียนขาสั้นกันก่อนที่จะเข้าสู่รั้วมหาลัย

   มหาลัยอย่างนั้นเหรอ

   หนทางข้างหน้าช่างดูสาหัสเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนระดับมันสมองเมล็ดถั่วแบบผมแล้วด้วย จะรอดมั้ยเนี่ยกู แต่ก่อนจะไปวิตกกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง สิ่งที่รอเราอยู่ตรงหน้า ณ ตอนนี้นั่นก็คือ

   ปิดเทอมมม ฮิ้ววว ขอสนุกกับช่วงปิดเทอมให้สนุกก่อนละกัน ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอะไรอย่างนี้วะกูเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า

   “มึงจัดกระเป๋าที่จะไปเกาะพะงันเสร็จหรือยังวะ”
   ผมเอ่ยถามแบงค์กลางโต๊ะอาหารในช่วงพักเที่ยงของวันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทอมนี้

   “ไปอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอครับ จะรีบจัดไปไหน”
   “เออ นั่นดิ ไปอาทิตย์หน้า นี่อย่าบอกนะว่ามึง...”
   ไอ้เต้ยเงยหน้าขึ้นมาถามทันทีที่ได้ยินบทสนทนานั้น ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแห้งๆ กลับไป

   “แห่ะๆ กูจัดเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่ะ”
   “ไม่ค่อยจะเห่อเลยนะครับ คุณเพื่อนนันท์”
   คราวนี้เป็นเสียงของไอ้โอ๊ตเอ่ยแซวผมขึ้นมาทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะตักข้าวเข้าปากอย่างช้าๆ เพราะสายตาของมันมัวแต่จดจ้องอยู่กับเกมในหน้าจอมือถือ

   “ว่าแต่กู พวกมึงเหอะ โดยเฉพาะไอ้ยีสต์ ได้ข่าวว่าจัดเสร็จตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วบ่ใช่เหรอวะ”
   “ก็แหงสิ งานนี้บ่ได้ไปกันง่ายๆ นะเว้ย อุตส่าห์มีป้อเลี้ยงใจดีอย่างป้อเลี้ยงเต้ยเป็นผู้อุปการะทริปเที่ยวสุดหรูครั้งนี้เนี่ย”
   นอกจะไม่สะทกสะท้านให้กับคำแขวะของผม เจ้าตัวเองยังยิ้มกลับมาด้วยสีหน้าร่าเริงอย่างมีความสุขอีกด้วยพลางยกนิ้วชี้ไปยังไอ้เต้ยที่กำลังนั่งกินข้าวหมูแดงอย่างสบายอารมณ์

   “ถุย ป้อเลี้ยงเหี้ยมึงสิ แค่ครอบครัวกูมีคนรู้จักทำรีสอร์ตอยู่ที่นู่นเฉยๆ เว้ย เลยได้ส่วนลดราคาโคตรจะพิเศษจนเหมือนได้ฟรีเท่านั้นล่ะ แต่ยังไงค่ารถ ค่ากิน ค่าเที่ยวพวกมึงก็ยังต้องจ่ายเองอยู่ดีนั่นล่ะ กูบ่จ่ายให้เว้ย”
   พวกผมหัวเราะครืนทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยรีบตัดมุกของไอ้ยีสต์ ทำเอาไอ้ยีสต์ถึงกับทำปากบ่นอุบอิบๆ เลยทีเดียว

   ครับ เกาะพะงัน ตามนั้นครับ

   มันสืบเนื่องมาจากที่ไอ้ยีสต์มันเคยบ่นเอาไว้เมื่อคราวนู้นนนน่ะครับ หลังจากที่มันได้ดูหนังเรื่องปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่นก็ดูเจ้าตัวจะเกิดอาการอยากไปเสียให้ได้ ถึงแม้ไอ้เต้ยจะเคยตกปากรับคำไปแล้วก็ตามที แต่ในเมื่อไม่ได้ระบุวันเวลาที่แน่ชัด ไอ้ยีสต์จึงพยายามรบเร้าไอ้เต้ยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนไอ้เต้ยคงจะเกิดความรำคาญเลยจัดทริปนี้ขึ้นมาให้เพื่อสนองกิเลสของไอ้ยีสต์ให้สมใจอยาก

   ก็ถือเสียว่าเป็นการเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจฉลองปิดเทอมแล้วกัน ก่อนที่จะต้องกลับมาเจอโลกความจริงอันโหดร้ายเมื่อขึ้นชั้น ม.หก

   “เออ ว่าแต่ไอ้เต้ย คืนนี้มึงจะมานอนบ้านกูรึเปล่าน่ะ”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยถามพร้อมกับตักข้าวเข้าปากอย่างเร่งรีบ อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปหาคนถาม

   “ยังบ่แน่ใจว่ะ อะหยังวะมึง อยากให้กูไปนอนด้วยเหรอวะ”
   “พ่อมึงสิ มึงนั่นล่ะที่ชอบเป็นฝ่ายมาขอนอนบ้านกูตลอด อีกอย่างกูแค่จะบอกว่าถ้ามึงจะมา ก็เอากุญแจกูไปก่อนเลย”
   “อ้าว แล้วมึงจะไปไหนวะ”
   ไอ้เต้ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

   “ไปงานแต่งงานกับพ่อแม่กูน่ะ แต่คงกลับมาบ่ดึกหรอก บ่น่าเกินเที่ยงคืน”
   “แล้วพ่อแม่มึงจะบ่ด่ากูเอาเหรอวะ ที่ถือวิสาสะเข้าบ้านมึงโดยพลการ”
   “จะไปว่าอะหยังล่ะ มึงก็มาบ้านกูออกบ่อย จนพ่อแม่กูก็รู้จักมึงดี”
   ไอ้ยีสต์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไอ้เต้ยเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนที่จะก้มลงไปตักข้าวหมูแดงขึ้นมากินต่อ

   “ว่าแต่ตกลงพวกเราจะไปด้วยรถไฟจริงๆ เหรอครับคุณเพื่อนเต้ย”
   เสียงของไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบโดยที่ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือเลยแม้แต่น้อย

   “แน่นอน เราจะเดินทางจาก กรุงเทพฯ ไปยังสุราษฎร์ฯ ด้วยรถไฟ ส่วนจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ เราจะไปรถทัวร์กันน่ะ”
   “อะหยังต้องทำให้มันยุ่งยากแบบนั้นด้วยวะ แทนที่จะไปเครื่องบินทีเดียวจบ”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินแผนการเดินทางที่ดูแปลกประหลาดนั้น ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก็หันกลับมามองผมด้วยสีหน้ายิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

   “ไปเที่ยวแบบนี้เราก็ต้องไปแบบแอดเวนเจอร์เว้ย ซึมซับบรรยากาศการเดินทางให้เต็มที่ จะมาสบงสบายได้ยังไงวะ”
   “แล้วถ้าแบบนั้นทำไมไม่ไปรถไฟตั้งแต่เชียงใหม่เลยล่ะครับ คุณเพื่อนยีสต์”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถาม ก่อนที่จะยอมเงยหน้าขึ้นมามองไอ้ยีสต์เล็กน้อย ในขณะที่ผมเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามนั้น

   “แม่กูบอกว่ารถไฟเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ แม่งโคตรจะเลทเลยว่ะ เลยแนะนำให้ขึ้นรถทัวร์แทน”
   “แล้วถ้ายังงั้นอะหยังบ่นั่งรถทัวร์ทั้งเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ กับ กรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ฯ ทั้งสองต่อเลยล่ะวะ”
   ผมขมวดคิ้วหรี่ตาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายเมื่อถูกถามเช่นนั้นก็ยักคิ้วพร้อมกับยิ้มให้ผมอย่างภาคภูมิใจ

   “ก็กูบอกแล้วไงว่าเราต้องไปแบบแอดเวนเจอร์ อีกอย่างเผื่อโชคดีจะได้เจอสาวๆ สวยๆ แบบอาโออิในปิดเทอมใหญ่ฯ ยังไงล่ะวะ”

   “......”
   “......”
   เกิดความเงียบงันเข้าปกคลุมทันทีที่ไอ้ยีสต์อธิบายถึงเหตุผลของแผนการเดินทางไม่ว่าจะฟังยังไงก็ยังดูแปลกประหลาดอย่างไม่มีเหตุผลอยู่ดี

   “ชีวิตมึงนี่ก็ดูยุ่งยากดีเนอะ”
   ผมเอ่ยขึ้นมาเพื่อปิดบทสนทนาไปอย่างเหนื่อยใจ


   ตกเย็นวันนั้นทันทีที่กลับมาถึงบ้าน แบงค์ก็ชวนผมออกไปยังเซเว่นฯ ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณบ้านของผมเท่าไหร่นัก เพื่อไปซื้อของใช้จำเป็นอย่างพวกสบู่ ยาสีฟันอะไรทำนองนี้เพื่อเตรียมตัวเดินทางอาทิตย์หน้า โดยไม่ทันให้ผมได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ

   “ตื่นเต้นว่ะ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยไปเที่ยวเกาะเที่ยวทะเลแบบนี้เป็นครั้งแรก”
   “นันท์ไม่เคยไปเที่ยวทะเลเลยเหรอครับ”
   “บ่ะเคยเลย เคยไปไกลสุดก็แค่กรุงเทพฯ ตอนไปเยี่ยมพ่อที่เอาจริงๆ ก็บ่ค่อยอยากจะไปเยี่ยมเท่าไหร่นัก”
   “อ้าว ทำไมล่ะครับ มีปัญหาอะไรกันเหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จะว่าไปผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังเลยนี้นะ

   “ก็บ่ได้รังเกียจอะหยังหรอก ต้องเรียกว่าบ่ถูกโรคกับพ่อมากกว่า ก็แบบพ่อกูอ่ะ เป็นคนที่โคตรจะเจ้ากี้เจ้าการเจ้าระเบียบเลยล่ะ ในขณะที่กู...”
   “อ้อ พอเข้าใจละครับ แต่มีลูกชายอย่างนันท์ก็สมควรจะเจ้ากี้เจ้าการจริงๆ นั่นล่ะ”
   แบงค์รีบตอบตัดบทขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นโดยไม่รอให้ผมพูดจบประโยค ผมขมวดคิ้วหรี่ตามองกลับไปก่อนที่จะยกกำปั้นต่อยเข้าไปที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง จนเจ้าตัวถึงกับร้องโอ้ยออกมาเบาๆ แล้วหันมามองผมพร้อมกับยกมือลูบๆ บริเวณหัวไหล่ตัวเอง

   “ล้อเล่นน่ะครับ งั้นก็หมายความว่า นอกจากแม่ของนันท์แล้ว ก็ยังมีพ่อของนันท์ด้วยสินะครับที่ผมต้องเอาชนะใจให้ได้”
   “มึงด้วยอีกคน อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อให้มันมากนัก ขืนความแตกเดี๋ยวกูก็ได้ถูกแม่กูฆ่าตายเอาพอดี”
   ผมเอ็ดใส่ทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

   “ไม่ต้องห่วงครับ ผมเข้าใจ แต่เชื่อใจผมเถอะครับว่าสักวันผมจะพิสูจน์ให้พ่อกับแม่ของนันท์ได้เห็นว่าความรักในรูปแบบนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร”
   พูดจบเจ้าตัวก็หันมายิ้มให้ผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ

   เหี้ยเอ้ย ทำไมถึงได้รู้สึกเขินขึ้นมาได้วะเนี่ย
   “ว่าแต่คนอื่นเหอะ มึงล่ะ เคยไปทะเลมาแล้วเหรอ”
   ผมถามตัดบทเปลี่ยนเรื่องด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยพร้อมกับเดินตามแบงค์ที่กำลังหยิบของใส่ตะกร้าถือ

   “ก็เคยสองครั้งแต่ก็นานแล้ว ช่วงปิดเทอมสมัยประถม คุณน้าผมที่เป็นช่างภาพเขาพาไปน่ะครับ”
   “ดูมึงจะสนิทกับน้าจังเลยนะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ทว่าแบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสายตาจริงจัง จนผมรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันทีที่เห็นสายตานั้นพลางนึกสงสัยว่ากูเผลอพูดอะไรผิดออกไปหรือเปล่าวะเนี่ย

   “หึงเหรอครับ”
   แบงค์ฉีกยิ้มให้ผมทันทีที่พูดจบ ผมเลิกคิ้วเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “หึงเหี้ยอะหยัง ใครจะไปหึงน้ากันวะ วู้ววววว”
   แบงค์หัวเราะออกมาอย่างชอบใจทันทีที่เห็นสีหน้าท่าทางนั้นของผมก่อนที่จะเดินนำออกไป

   “ก็ไม่เชิงว่าสนิทกันครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกเป็นแรงบันดาลใจเรื่องการถ่ายภาพให้กับผมน่ะครับ”
   นั่นไง จริงอย่างที่เคยคิดเอาไว้ ว่าแบงค์ต้องมีน้าเป็นแรงบันดาลใจแน่ๆ

   “งั้นก็แสดงว่ามึงอยากเป็นตากล้องจริงๆ งั้นสิ”
   “ก็ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเป็นเหมือนกันนะครับ แต่...พอคิดอีกที มันจะดีจริงๆ หรือเปล่านะ”
   “ดีสิ อย่างมึงต้องเป็นได้อยู่แล้วล่ะ ออกจะมีแววมีพรสวรรค์ ถ้าได้เรียนเพิ่ม ได้ฝึกเพิ่มอีกหน่อย ต้องได้เป็นตากล้องมืออาชีพแน่ๆ”
   จริงอยู่ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นปากหมาพูดจาไม่ชวนให้น่าฟัง แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อครู่นั้นคือความสัตย์จริงที่ออกมาจากข้างใจ หาใช่การกล่าวเยินยอสรรเสริญเพื่อเอาใจ

   แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ และยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
   “ขอบคุณนะครับ ไปจ่ายเงินกันเถอะครับ หิวแล้ว จะได้ไปหาอะไรกินด้วย”
   พูดจบ เจ้าตัวก็เดินนำหน้าผมไปยังแคชเชียร์ทันที

   ระหว่างที่พนักงานกำลังคิดเงินอยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าแคชเชียร์ผมยืนจ้องมองดูมันอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเงียบ

   “ยืนจ้องแบบนั้น อยากให้ผมซื้อไปใช้เหรอครับ”
   ผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจทันทีที่เสียงของแบงค์กระซิบเข้าที่ข้างหูของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์นิดๆ

   “บ่ๆ บ่ได้คิดอะหยัง”
   “ไม่ได้คิดอะไร แล้วมองทำไมล่ะครับ แถมจ้องตาเป็นมันอีกต่างหาก”
   อีกฝ่ายยังคงพยายามต้อนผมด้วยคำพูด ผมชำเลืองหันไปมองพนักงานคิดเงินที่ดูจะอมยิ้มกับบทสนทนาระหว่างผมกับแบงค์ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาทันทีด้วยความอาย ก็จะไม่ให้อายได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อไอ้เจ้าสิ่งที่ผมกับแบงค์กำลังพูดถึงกันอยู่นั่นคือ

   ถุงยางอนามัย!

   ครับ ถุงยางอนามัยนั่นล่ะ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไม่ใช่ผ้าอนามัย ไม่ใช่ถุงมืออนามัย เพราะผมไม่ได้พิมพ์ผิดแต่อย่างใด แต่เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้คิดลามกอะไรจริงๆ นะแค่สายตามันเผลอไปมองเห็นก็แค่นั้นล่ะ

   จริงๆ นะ เชื่อผมเถ้ออออออออออออ

   “จ้องห่าอะหยัง พอๆ มึงรีบจ่ายเงินเหอะ กูหิวข้าวแล้วเนี่ย”
   “รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเลยนะครับ อยากให้ผมซื้อไปใช้ก็บอกมาตรงๆ เถอะ”
   ยังๆ ยังไม่ยอมจบอีก ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วยังไม่ยอมฟัง ผมจึงแจกหมัดตรงเข้าใส่หน้าท้องของแบงค์ไปเต็มๆ หนึ่งทีจนอีกฝ่ายถึงกับร้องโอ๊ยพร้อมกับเอามือกุมหน้าท้องตัวเอง ก่อนที่จะหันไปจ่ายเงินแล้วจึงเดินตามผมที่เดินนำหน้าออกมาก่อนอย่างรวดเร็ว

   “เดี๋ยวนี้ นันท์ชักจะโหดขึ้นทุกวันๆ เลยนะครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย

   “กูยังโหดได้มากกว่านี้อีก”
   “แฟนผมทำไมน่ากลัวอย่างนี้เนี่ย”
   “ก็มึงนั่นล่ะ เดี๋ยวนี้ชักจะลามกขึ้นทุกวันๆ เลยนะ”
   “ก็นันท์นั่นล่ะครับ ที่ยืนจ้องเสียขนาดนั้น ผมก็นึกว่าอยากให้ผมซื้อไปเสียอีก”
   ยังๆ ยังไม่จบ สงสัยคราวนี้อยากเจอเข่าพิฆาต

   “เอาแต่พูดเรื่องนี้ มึงต้องการมากนักเหรอไงวะ”
   ผมหันไปขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

   “ผมก็แค่อยากแซวเล่นสนุกๆ เฉยๆ น่ะครับ แต่ถ้านันท์ไม่ชอบ ก็ขอโทษด้วยครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยแสดงอาการสำนึกผิด

   “......”
   “......”

   “ก็ป่าวววบ่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น กูแค่สงสัยเฉยๆ”
   ให้ตายสิ แล้วทำไมผมต้องรู้สึกใจอ่อนด้วยวะเนี่ย

   “ก็แหม มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายนี่ครับ ยิ่งเราเป็นแฟนกันแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ฮอร์โมนพลุ่งพล่านมากขึ้นกว่าเดิมด้วย เพียงแต่ถ้านันท์ยังไม่พร้อม ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ ผมรอได้”
   ให้ตายสิผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้แบบไม่สะทกสะท้านได้วะเนี่ย ทั้งๆ ที่ในเวลาปกติก็ดูเป็นผู้ชายสุภาพเรียบร้อยบุรุษสุดๆ แท้ๆ แถมกลายเป็นผมเสียเองที่กลับรู้สึกอายแทน อายเสียจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด

   จะว่าไปตั้งแต่ผมกับแบงค์ตกลงเป็นแฟนกันอะไรๆ หลายอย่างก็ค่อนข้างเปลี่ยนไปพอสมควร จากที่เคยเป็นเพื่อน พอเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟน ก็มีบางเรื่องที่ต้องปรับตัวเข้าหากันบ้างแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอกครับ

   จะยกเว้นก็เรื่อง... เรื่อง... เรื่องนั้นนั่นล่ะครับ

   กำลังคิดว่าผมหวงเนื้อหวงตัว ทำเป็นเล่นเนื้อเล่นตัวอย่างนั้นเหรอมันก็ไม่เชิงนะ เพราะยังไงผมก็ยังเป็นผู้ชาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตคนโสด เวลาที่ผมอยู่ตัวคนเดียวแล้วเกิดอารมณ์มันก็ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ง่ายในการที่จะจัดการกับอารมณ์นั้น แต่นี่มันคนละกรณีกัน ซึ่งก็อย่างที่ผมเคยบอกนั่นล่ะครับผมว่าไม่เคยกับกรณีแบบนี้มาก่อน เลยค่อนข้างที่จะทำตัวไม่ถูกจนทำให้รู้สึกตื่นเต้น และพยายามที่จะเลี่ยงมันไปเสียทุกครั้ง

   ขนาดแค่เห็นแบงค์ในชุดกางเกงบอกเซอร์ตัวเดียว หรือในชุดผ้าขนหนู ผมก็ยังรู้สึกหน้าแดงเลยทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา เวลาแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนๆ เวลาออกค่ายผมก็ไม่เคยอายหรือตื่นเต้นอะไรแบบนี้เลยสักครั้งแท้ๆจนบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองนี่ดูจะดัดจริตยังไงไม่รู้

   “พูดแบบนี้แสดงว่ากับบรรดาสาวๆ แฟนเก่าของมึงคงบ่เหลือแล้วใช่มั้ยล่ะ”
   ผมแซวแหย่กลับไปพร้อมกับเอาข้อศอกกระทุ้งไปยังเอวของแบงค์เบาๆ

   “จะให้ผมตอบตามความจริงมั้ยล่ะครับ”
   อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย

   “บ่เอาดีกว่า บ่อยากฟัง บ่ต้องตอบนะเว้ย”
   ผมรีบปฏิเสธกลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับรู้สึกว้าวุ่นกระวนกระวายใจขึ้นมาทันทีอย่างบอกไม่ถูกเมื่อลองนึกภาพแบงค์กับบรรดาแฟนเก่า

   ให้ตายสิ นี่อาการแบบนี้นี่คือผมกำลังหึงอยู่ใช่มั้ยเนี่ย

   “โอ๋ๆ ไม่ต้องคิดมากนะครับนันท์ ถึงผมจะเคยมีแฟนมาก่อน ถึงจะเคยผ่านอะไรมา แต่อดีตมันคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมา พร้อมกับยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเงียบของผม

   “ขอให้รู้แค่ว่า ผมในตอนนี้เป็นของนันท์คนเดียว ทั้งตัวและหัวใจ ก็พอแล้วครับ”

   “......”
   “......”

   “น้ำเน่ามากเลยว่ะมึง ดูละครหลังข่าวมากไปป่ะเนี่ย”
   “โหนันท์ อะไรเนี่ย ผมอุตส่าห์พูดซึ้งๆ กะจะทำให้โรแมนติกเสียหน่อย”
   ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคตัดพ้อนั้นของแบงค์

   “พอๆ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ ไปหาอะไรกินกันเถอะ กูหิวมากๆ แล้วเนี่ย”
   ถึงแม้ปากของผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วในใจของผม มันกลับรู้สึกอิ่มเอมมีความสุขมากๆ

   นั่นสิ คนทุกคนย่อมต้องมีอดีตกันทั้งนั้น แล้วเราจะไปสนใจมันทำไมล่ะ มองวันนี้ที่เรามีอยู่ดีกว่า
หากไอ้เต้ยเคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าเรามัวแต่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เราก็จะไม่มีความสุขกับปัจจุบัน

วันนี้ผมก็ได้เรียนรู้เพิ่มอีกข้อหนึ่งนั่นก็คือ

หากเรามัวแต่คิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านเลยมาแล้วเราจะมีความสุขกับปัจจุบันได้อย่างไรกัน

   และทันทีที่คิดได้เช่นนั้น ผมก็เอื้อมมือตัวเองไปคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้พร้อมกับหันไปยิ้มให้ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของผมก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เราทั้งสองจะเดินออกไปยังเส้นทางที่รออยู่ข้างหน้า

   เพื่อหาอะไรกิน

   “ว่าแต่ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผมนะครับ ผมจะรอ โอ้ย!”

จบคาบเรียนที่สามสิบ

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
          คาบเรียนที่สามสิบเอ็ด

 

          ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าที่ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาได้ไม่นานนักเช่นเดียวความร้อนระอุที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องคอยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับสายตาที่กำลังจ้องมองบุคคลเบื้องหน้าด้วยความงุนงงสงสัย

            “สวัสดีครับ พี่นันท์ บ่เจอหน้ากันตั้งหลายวันนะครับ สบายดีมั้ยพี่”

            เด็กหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาเอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงทันทีที่ผมมาถึงสถานีขนส่งอาเขต

            “ไอ้ไนท์ มึงมาได้ไงวะ”

            ผมขมวดคิ้วหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ก่อนที่จะหันไปมองไอ้เต้ยที่ดูจะนิ่งเฉยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเหมือนอย่างผมเลยสักนิด

            “กูเป็นคนชวนมันมาเองน่ะเวลาเปิดห้องพักจะได้ครบคู่”

            ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย

            “ทำไมเหรอครับ หรือพี่นันท์รังเกียจผมแล้ว เลยบ่อยากให้ผมไปด้วย”

            ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าสร้อย

            “เฮ้ยๆ บ่ๆ บ่ใช่อย่างนั้น อย่าเพิ่งเข้าใจผิด”

            ผมรีบตอบกลับไปเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของไอ้น้องไนท์อย่างรวดเร็ว ซึ่งอันที่จริงการที่ไอ้น้องไนท์จะมาเที่ยวกับพวกผมด้วยเนี่ย ผมก็ไม่ได้มีปัญหาหรือรู้สึกรังเกียจอะไรหรอกกลับกันผมยังคิดว่าไปกันหลายๆ คนยิ่งจะทำให้สนุกสนานมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

            ถ้านั่นยังเป็นสมัยที่ผมยังโสดอยู่น่ะนะ

            “ตั้งแต่พี่นันท์มีแฟนแล้วเนี่ย ดูพี่นันท์จะทำตัวห่างเหินกับผมจังเลยนะครับ”

            หือ?

            “ก็แหงสิครับ นันท์เขามีแฟนแล้ว เขาก็ต้องให้เวลากับแฟนมากกว่าคนนอก เอ้ย คนอื่น มันก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ”

            นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำเลย สงครามเย็นก็เริ่มต้นขึ้นเสียแล้ว

            “ดูท่าว่าทริปนี้จะสนุกกว่าที่คิดนะครับ คุณเพื่อนเต้ย”

            “กูก็ว่างั้นล่ะ คิดถูกจริงๆ ที่ชวนมันมา ฮ่าฮ่าฮ่า”

            F*ck you ไอ้เพื่อนเหี้ย หุบปากไปเลย

            “ว่าแต่ไอ้ยีสต์ล่ะ ไปไหน หรือว่ายังมาบ่ถึงวะ”

            ผมพยายามรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อเลี่ยงสงครามเย็นที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับมองไปยังรอบๆ เพื่อหาไอ้ยีสต์

            “มันไปซื้อยาแก้เมารถที่เซเว่นฯ น่ะ นั่นไงมาพอดี”

            ไอ้เต้ยตอบพร้อมกับชี้ไปยังคนที่ถูกถามถึงซึ่งกำลังเดินเข้ามา

            “ไหวมั้ยเนี่ยมึง ดูหน้ามึงซิ ซีดเป็นไก่ต้มเลย นี่ขนาดยังบ่ได้ขึ้นรถทีนะมึง”

            ผมเอ่ยถามไอ้ยีสต์ที่ตอนนี้ดูสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นักด้วยความเป็นห่วง

            “ไหวๆ แต่แค่เมื่อคืนกูนอนดึกไปหน่อยน่ะ”

            “กูก็บอกให้นอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วก็บ่ฟังกู มัวแต่ดูหนังโป๊อยู่นั่นล่ะ เป็นไงล่ะมึง”

            ไอ้เต้ยแขวะใส่เล็กน้อย

            “อ้าว เมื่อคืนมึงไปนอนบ้านไอ้ยีสต์เหรอวะ ไอ้เต้ย”

            ผมหันไปถามไอ้เต้ยด้วยความสงสัย

            “บ่ ไอ้ยีสต์มันมานอนบ้านกูน่ะแม่งนอนกินที่กินเตียงกูฉิบหาย”

            “ก็กูบอกแล้วว่ากูจะนอนบ้านกู มึงก็บ่ฟังกูเองนี่หว่า”

            คราวนี้ไอ้เต้ยเป็นฝ่ายเถียงกลับไปบ้าง

            “เหรออออถ้ากูบ่ให้มึงมานอนบ้านกู ป่านนี้มึงก็ยังบ่ตื่นหรอก ไอ้เหี้ย สำนึกบุญคุณกูไว้ซะ เอ้า รีบแดกยาแก้เมารถซะ จะถึงเวลารถออกละ มึงจะได้หลับๆ ไป”

            ไอ้เต้ยบ่นอย่างยืดยาว พร้อมกับยื่นขวดน้ำให้ ไอ้ยีสต์รับขวดน้ำนั้นไปอย่างว่าง่ายก่อนที่จะกินยาแก้เมารถเข้าไป

            “ไปเครื่องบินตั้งแต่แรกก็จบแล้วแท้ๆ เป็นไง แอดเวนเจอร์มั้ยล่ะมึง”

            ผมกล่าวปิดบทการสนทนาไปอย่างเหนื่อยใจ

 

            พวกเราใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่ไปยังกรุงเทพฯ เกือบๆ สิบชั่วโมงด้วยรถของสมบัติทัวร์ ทันทีที่ถึงสำนักงานของสมบัติทัวร์ที่กรุงเทพฯ พวกเราก็ไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานีพหลโยธินซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักเพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานีบางซื่อ

            ผมเองซึ่งก็เคยมากรุงเทพฯ อยู่บ้าง เฉกเช่นเดียวกันกับไอ้เต้ย จึงไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไรกับที่นี่มากนัก ออกจะเบื่อๆ มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่ามันดูวุ่นวายแตกต่างจากที่เชียงใหม่ในขณะที่ไอ้โอ๊ตเองก็ดูจะสนใจอยู่แต่กับเกมในมือถือจนไม่ได้สนใจอะไรรอบข้างมากนัก ส่วนแบงค์นั้นให้ความสนใจกับการถ่ายภาพไปเรื่อยอย่างเงียบๆ

            จะมีก็เพียงไอ้ยีสต์ที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสภาพบ้านเมืองและผู้คนรอบข้างเป็นพิเศษจนลืมอาการเมารถไปเสียอย่างนั้น ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพบ้านนอกเข้ากรุงของไอ้ยีสต์ได้เป็นอย่างดี

            “ไอ้เต้ย กูอยากไปเที่ยวสยามว่ะ”

            ไอ้ยีสต์เปรยขึ้นมาเบาๆ แต่แฝงไว้ด้วยอาการเหมือนคนกำลังเรียกร้องความสนใจ

            “อย่าเยอะ ไอ้เหี้ย เราต้องรีบไปสุราษฎร์ฯ ต่อนะเว้ย”

            ไอ้เต้ยหันไปบ่นใส่ ทำเอาไอ้ยีสต์ถึงกับบุ้ยปากบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่นั่งนิ่งไป เจ้าตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีที่ดูผิดหวังของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

            “เออๆ ไว้ขากลับค่อยมาแวะ โอเคมั้ยวะมึง”

            ไอ้ยีสต์เปลี่ยนสีหน้ากลับมาสดชื่นราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยพูดเช่นนั้น

           


            อันเนื่องมาจาก อำเภอเมืองของสุราษฎร์ฯ นั้นไม่มีสถานีรถไฟ พวกเราจึงต้องลงที่ สถานีอำเภอพุนพิน ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ใกล้อำเภอเมืองสุราษฎร์ฯ มากที่สุดก่อนที่จะนั่งรถเมล์เข้าไปยังตัวเมืองอีกทอด ซึ่งก็ต้องขอบคุณคุณป้าผู้แสนจะใจดีที่นั่งข้างๆ พวกเรามากๆ ที่ให้ข้อมูลมา ไม่เช่นนั้นพวกเราคงได้นั่งเลยสถานีกันแน่ๆฮ่าฮ่าฮ่า

            “นี่ไง สาวสายแบบที่มึงใฝ่ฝันว่าจะได้เจอบนขบวนรถไฟแบบปิดเทอมใหญ่ไง”

            ประโยคสั้นๆ ของไอ้เต้ยที่แซวไอ้ยีสต์ทำเอาพวกเราถึงกับหัวเราะลั่นกันจนน้ำตาไหลออกมาทันทีที่ได้ยิน อนึ่ง ต้องขอโทษป้าด้วยนะครับ พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะป้านะ แค่หัวเราะเพื่อนผมเท่านั้นน่ะฮ่าฮ่าฮ่า

            ทันทีที่เข้ามาถึงในตัวเมืองพวกเราก็ซื้อตั๋วรถและเรือเพื่อไปยังเกาะพะงันต่อทันทีโดยไม่คิดที่จะพักกันเลยสักนิด ซึ่งการซื้อตั๋วนั้นเราจะต้องมาซื้อรอบต่อรอบ อันเนื่องมาจากการเดินเรือนั้นจะเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศด้วย จึงไม่มีการจองตั๋วล่วงหน้า และก็นับว่าโชคดีที่ช่วงที่พวกเราเดินทางกันมานั้นสภาพอากาศดีจึงมีรอบเดินเรือตามปกติ

            หลังจากซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็นั่งรอกันครู่หนึ่ง รถทัวร์ก็มารับพวกเราไปยังท่าเรือดอนสักเพื่อรอขึ้นเรือเป็นลำดับต่อไป มาถึงตรงนี้ก็เพิ่งจะสังเกตได้อย่างหนึ่ง ว่าตัวเมืองสุราษฎร์ฯ นั้นรถไม่ค่อยติดเหมือนเชียงใหม่แฮะ



            จากตัวเมืองสุราษฎร์ฯ มายังท่าเรือซึ่งอยู่ในอำเภอดอนสักนั้นใช้เวลาไม่มากนัก ประมาณชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น และเมื่อมาถึงท่าเรือ ผมก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันทีครับ

            ทะเล!

            ใช่ครับ ทะเลของจริง!!

            อยากที่บอกไปครับว่าตั้งแต่เกิดมา ชีวิตผมก็เห็นแต่ภูเขา ยังไม่เคยเห็นทะเลของจริงกับเขาเลยสักครั้ง จะเคยเห็นก็แค่จากในหนังสือหรือในทีวีในอินเตอร์เน็ตแค่นั้นถึงขั้นที่ว่าตอนเด็กๆ ยังเคยมีความคิดเลยว่า ทะเลไม่มีอยู่จริงเป็นเรื่องแต่งเรื่องสมมติขึ้นมาทั้งนั้นจนวันนี้ข้อสงสัยนั้นก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทะเลมีอยู่จริง

            อนึ่ง เรื่องนี้ห้ามเอาไปบอกใครเด็ดขาดนะครับ ผมอาย โดยเฉพาะกับไอ้พวกเพื่อนเหี้ยนี้แล้วด้วยเนี่ย ขืนพวกมันรู้มันได้เอาไปล้อยันลูกบวชแน่ๆ

            พวกเราทั้งหมดจัดแจงขนกระเป๋าสัมภาระต่างๆ ขึ้นเรือทันที ซึ่งจะว่าไปผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆ เหมือนกันแฮะ กับการนั่งเรือใหญ่ๆ แบบนี้ครั้งแรกในชีวิต

            “กลัวเหรอครับ”

            ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าตัวเองนั้นกำลังเกาะแขนของแบงค์เอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว

            “นิดหน่อย บ่คิดว่าทะเลมันจะกว้างขนาดนี้นี่วะ”

            ผมตอบพร้อมกับหันมองออกไปยังทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ในขณะที่เรือก็ค่อยๆ เริ่มแล่นออกห่างจากฝั่งไปเรื่อยๆ

            “นันท์นี่ก็ซื่อดีนะครับ”

            แบงค์พูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน

            “ตลกอะหยัง ก็คนมันว่ายน้ำบ่เป็น มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดานี่วะ"

            “อ้าว นี่นันท์ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอครับ”

            แบงค์เลิกคิ้วสูงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

            “ไม่เห็นจะยากเลย เดี๋ยวผมสอนให้เอามั้ยครับ”

            ผมพยักหน้าตอบรับให้กับข้อเสนอนั้นทันทีอย่างรวดเร็ว แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็จูงมือเดินไปยังด้านข้างของเรือในขณะที่ผมเองก็กำลังนึกสงสัยว่าบนเรือแห่งนี้มันจะมีจุดไหนให้สอนหัดว่ายน้ำได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ

            เสียงซ่าของคลื่นที่สาดกระเซ็นเข้ากระทบกับตัวเรืออย่างรุนแรงจนเป็นฟองสีขาวทำเอาผมถึงกับเกาะรั้วเรือไว้แน่น จนแบงค์เผลอหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นท่าทีนั้นของผม

            “เอาล่ะ วิธีการว่ายน้ำนะครับ ง่ายมากๆ หลักๆ ก็จะอยู่ที่มือ ดูให้ดีนะครับ”

            แบงค์อธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจัง

            “เอาฝ่ามือทั้งสองกระกบกันไว้ที่หน้าอกนะครับ”

            ผมพยักหน้าตอบรับอย่างตั้งใจ

            “หลังจากที่ประกบมือทั้งสองเข้าหากันแล้ว เราก็ค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างช้าๆ”

            แบงค์อธิบายต่อ ก่อนจะค่อยๆ ยกมือที่ประกบกันอยู่ทั้งสองข้างขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยจนกระทั่งนิ้วโป้งสัมผัสกับหว่างคิ้ว

            “......”

            “......”

            “มึง”

            “ครับ”

            “มีใครเคยบอกมึงมั้ยวะ ว่ามึงบ่เหมาะที่จะเล่นมุกสามบาทห้าบาทอะหยังแบบนี้เลยสักนิด”

            ผมเอ่ยถามพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

            “ก็ไม่นะครับ”

            “งั้นกูก็จะเป็นคนแรกนี่ล่ะที่จะบอกมึงเอง”

            ผมปิดการสนทนาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเอือมระอา

 

            จากท่าเรือดอนสักใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็มาถึงเกาะพะงันสักทีโดยสวัสดิภาพ ซึ่งก็ยอมรับเลยครับว่าตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากเชียงใหม่ มากรุงเทพฯ แล้วตามด้วยสุราษฎร์ฯ จนกระทั่งมาถึงเกาะพะงันแห่งนี้โดยแทบจะไม่ได้พักกันเลยสักนิด เล่นเอาพวกเราถึงกับเพลียกันพอสมควรอยู่เหมือนกัน

            แต่ทันทีที่เห็นความงามของเกาะ หาดทรายที่ดูทอดยาวออกไป ต้นมะพร้าวที่ขึ้นอยู่ริมหาด สายลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะ เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งที่ดังต่อเนื่องกันอย่างเป็นจังหวะ มันช่างเป็นเสียงที่ฟังดูไพเราะจริงๆ ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้พวกเรารู้สึกสดชื่นหายเหนื่อยขึ้นมาได้บ้าง

            เอ่อ ขอยกเว้นไอ้เหี้ยยีสต์เอาไว้คนหนึ่งนะครับ รายนั้นเมาเรือมาตลอดทาง ดูสิ ยังอ้วกไม่ยอมหยุดเลยเนี่ยเป็นไง ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นสมใจมึงแล้วมั้ยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

            สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะสังเกตได้ตั้งแต่บนเรือจนกระทั่งมาถึงที่นี่นั่นก็คือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะมากกกกกกก มองไปทางไหนก็เห็นแต่ฝรั่งเต็มไปหมด ต่างจากเชียงใหม่ที่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนเสียมากกว่าจนแทบจะทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในเมืองไทยเลยก็ว่าได้

            พวกเรายืนรออยู่ที่ท่าเรือกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนมารับพวกเราไปยังที่พัก ซึ่งตอนแรกก็ตกลงกันไว้ว่าจะไปพักที่รีสอร์ตของญาติไอ้เต้ยซึ่งตั้งอยู่ที่หาดริ้นแต่ติดปัญหาไม่คาดฝันเล็กน้อยเนื่องจากว่าช่วงนี้มีชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวเยอะ อันเนื่องมาจากใกล้จะถึงงานฟูลมูนปาร์ตี้ที่จะจัดขึ้นที่หาดริ้นซึ่งถือเป็นงานปาร์ตี้ที่ขึ้นชื่อติดอันดับของเกาะพะงันเลยก็ว่าได้จนทำให้ห้องพักเต็มทุกห้อง รวมไปถึงรีสอร์ตใกล้เคียง เลยต้องย้ายมาพักที่รีสอร์ตของเพื่อนญาติไอ้เต้ยอีกที ซึ่งอยู่ที่ท้องศาลา ห่างจากท่าเรือไม่ไกลนัก ราวๆ สองกิโลเมตรเห็นจะได้

            แม้จะไกลจากหาดริ้นตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกไปมาก แต่มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่งนั่นก็คือตรงที่ท้องศาลานี้มีอะไรสะดวกๆ สำหรับคนไทย มากกว่าหาดริ้นที่ค่อนข้างจะเน้นและให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียมากกว่า

            หลังจากที่เช็คอินที่รีสอร์ตเสร็จเรียบร้อย พวกเราทั้งหมดก็จัดแจงเอาสัมภาระทั้งหมดเข้าไปไว้ในห้องพักทันทีโดยที่ผมพักกับแบงค์ ไอ้โอ๊ตพักกับไอ้น้องไนท์ และไอ้เต้ยพักกับไอ้ยีสต์

            “ห้าโมงเจอกันที่หน้าแผนกต้อนรับนะเว้ย อย่าลืมล่ะ”

            “โห บ่คิดจะพักกันเลยเหรอไงวะ”

            ผมบ่นอุบอิบเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยพูดขึ้นมา

            “อย่าบ่นๆ กูจะพาพวกมึงไปกินของดีๆ”

            “ที่ไหนวะ”

            “เออ เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองล่ะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะเว้ย”

            พวกเราทั้งหมดพยักหน้าตอบตกลงให้กับคำพูดของไอ้เต้ย หัวเรือใหญ่ของทริปท่องเที่ยวทริปนี้


จบคาบเรียนที่สามสิบเอ็ด


มุมแคปชั่นไร้สาระ


นันทการ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่

ทะเลโว้ยยยยยยยยยยย




ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่สามสิบสอง


   “เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ เลย ในที่สุดก็ถึงสักทีเว้ย”
   ผมเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างรวดเร็วยิ่งการเดินทางที่แสนจะทรหดเกือบสองวันที่ผ่านมา ทั้งรถทัวร์ รถไฟ และเรือ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเตียงที่ผมกำลังล้มตัวลงนอนอยู่ตอนนี้นั้นเหมือนกับสวรรค์ที่แสนจะนุ่มและรู้สึกมีความสุขมากๆ

   “อ้าว จะนอนเลยเหรอครับ ไม่ลุกขึ้นมาจัดข้าวของก่อนเหรอครับ นันท์”
   แบงค์หันมาถามผมในขณะที่เจ้าตัวนั้นกำลังจัดแจงกับสัมภาระของตัวเองอยู่

   “เอาไว้อย่างงั้นก่อนนั่นล่ะ เดี๋ยวค่อยจัด ตอนนี้ม่ายหวาย..ยย....แล้ววว อ่า.....ขอนอน...ก่อน..........คร่อก...”
   “เอ้า เฮ้ย เดี๋ยวๆ...”
   ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดให้จบประโยค ผมก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วเสียก่อนอันเนื่องมาจากความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดการเดินทาง

   อา...เตียงนุ่มๆ แบบนี้ไม่อยากลุกไปไหนแล้วอบอุ่นเหลือเกิน สัมผัสที่อ่อนโยนแบบนี้
   รู้สึกดีจัง


   TRRRRR
   เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ที่แสนจะสบาย ผมดันตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่ตรงหัวโต๊ะข้างเตียงนอน ก่อนที่จะยกมืออีกข้างขึ้นมาปาดน้ำลายตัวเองเบาๆ ก่อนจะเพ่งสายตามองไปยังหน้าจอมือถือซึ่งก็พบว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณกมลชนกนั่นเอง แต่ไม่ทันที่ผมจะได้กดรับ อีกฝั่งก็ตัดสายทิ้งไปเสียก่อน ผมขมวดคิ้วหรี่ตาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ทันที

   คุณกมลนี่ล่ะก็ จะรีบตัดสายทิ้งไปไหนเนี่ย ทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้

   ในขณะที่ผมกำลังจะกดเบอร์ของคุณกมลชนกเพื่อโทรกลับไป ผมก็รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นั่นก็คือแบงค์หายไปไหนหว่าแถมกระเป๋าและสัมภาระของผมก็ถูกจัดเข้าที่ไว้อย่างเป็นระเบียบแล้วด้วย   ผมหันมองไปยังรอบห้องก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปดูในห้องน้ำ แต่ก็ไม่พบใครสงสัยจะออกไปข้างนอกแฮะ ออกไปดูหน่อยดีกว่า

   พลั่ก!
   โอ้ย!!
   ไม่ทันที่ผมจะได้เอื้อมมือไปจับลูกบิด ประตูเจ้ากรรมก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันจนกระแทกเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของผมอย่างจัง เล่นเอาผมถึงกับลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเลยทีเดียว

   “อ้าว นันท์ มานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

   “ก็จะเปิดประตูน่ะสิวะ แต่มึงนั่นล่ะดันชิงเปิดเข้ามาซะก่อน ประตูมันก็เลยกระแทกเข้ากับหน้ากูเลยเนี่ย เจ็บชะมัดเลยว่ะ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแบงค์นั่งลงพร้อมกับวางถุงลงไว้กับพื้น แล้วจึงยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าผมเบาๆ

   “โดนตรงไหนเหรอครับ”
   “ตรงจมูกเนี่ย”
   อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ในขณะที่สายตาก็จ้องมองหน้าผมผ่านแว่นหนานั้นเข้ามาในระยะประชิดด้วยสีหน้าจริงจัง

   “......”
   “......”
   ตึกๆ ตึกๆ

   ตึกๆ พ่องสิ มันใช่เวลาใจเต้นมั้ยวะ

   “นันท์ครับ”
   “อะ...อะหยัง”

   “คงกระแทกแรงมากเลยสินะ ดูสิ ดั้งยุบหายไปแล้ว...โอ๊ย!”
   ไม่ทันที่แบงค์จะได้พูดให้จบประโยค ผมก็เอาหัวตัวเองโขกใส่หน้าผากของอีกฝ่ายเข้าอย่างจังจนเจ้าตัวถึงกับปล่อยมือออกจากใบหน้าของผมอย่างรวดเร็ว

   “มึงออกไปไหนมาวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไป ก่อนที่สายตาจะหันไปเห็นถุงพลาสติก   ที่มีโลโก้เซเว่นฯ ตั้งอยู่ข้างๆ ตัวแบงค์ซึ่งก็ถือว่าเป็นคำตอบได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ

   “เออ กูเห็นข้าวของของกูถูกจัดเป็นระเบียบ นี่ฝีมือมึงใช่มั้ย”
   “ครับ ก็เห็นนันท์กำลังเหนื่อยหลับไปไง ผมก็เลยจัดการให้ ทำไมเหรอ”

   “บ่ๆ บ่มีอะหยัง”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับส่ายหัว แบงค์ลุกขึ้นเอาถุงไปวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ในขณะที่ผมยังคงนั่งนิ่งครุ่นคิดวิตกอะไรเล็กน้อย

   แบงค์จะเห็นสิ่งนั้นในกระเป๋าของผมหรือเปล่าวะ

   สิ่งนั้นที่ผมไม่อยากให้เห็นมากที่สุด เพราะถ้าแบงค์เห็นสิ่งนั้นแล้วล่ะก็ ผมกลัวว่าแบงค์จะ...

   TRRRRRRR
   ในขณะที่ผมกำลังสติเตลิด เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นอีกรอบ เมื่อเห็นว่าเป็นคุณกมลชนกโทรมา ผมก็รีบกดรับทันทีเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะรีบตัดสายทิ้งไปด้วยความใจร้อน

   “ว่าใดแม่”
   “บ่ต้องมาว่าดง ว่าใดเลย อยู่ไหนละนั่น ถึงรึยังน่ะ”
   คุณกมลชนกเอ่ยถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะดุด่าแต่จริงๆ แล้วก็แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

   “ถึงละแม่ บ่ต้องเป็นห่วงอะหยังนัก มากันหลายคนกับเพื่อนๆ ในห้องน่ะแบงค์ก็มาด้วยเนี่ย”
   “งั้นให้แม่คุยกับแบงค์หน่อย”
   ผมหรี่ตาเหลือบมองไปยังโทรศัพท์ของตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปยื่นโทรศัพท์ส่งให้แบงค์

   “อ่ะ แม่กูจะคุยด้วย”
   เจ้าตัวรับโทรศัพท์จากผมด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะแนบมันเข้ากับหูตัวเองอย่างช้าๆ

   “ครับแม่ มีอะไรเหรอครับ”
   แบงค์ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพแล้วจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ

   “ครับๆ ได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ แม่สบายใจได้เลยนะครับ ครับๆ สวัสดีครับแม่ ขอบคุณครับ”
   แบงค์กดวางสายทันทีที่สนทนากับปลายสายจบก่อนที่จะยื่นมือถือส่งคืนมาให้ผม
   “แม่คงบอกให้แบงค์ช่วยดูกูสินะ”
   ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าเอือมระอาเล็กน้อย แบงค์พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบพร้อมกับอมยิ้มแก้มแทบจะปริ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้ในรอยยิ้มนั้นอยู่เล็กน้อย

   “ฮู้ววววว แม่เนี่ยนะ ตลอดเลย ทำอย่างกับกูเป็นเด็กเล็กๆ อย่างนั้นล่ะ”
   “เอาน่ะๆ แม่เขาก็แค่เป็นห่วงตามประสาแม่นั่นล่ะครับ ถึงเราจะโตแค่ไหน แต่ในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เขาก็ยังเห็นเราเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ”
   แบงค์พูดพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ ซึ่งอันที่จริงผมก็รู้อยู่แล้วนั่นล่ะในสิ่งที่แบงค์พูดเนี่ย เพียงแต่มันก็อดที่จะรู้สึกอายอยู่เหมือนกันที่ต้องถูกฝากให้คนวัยเดียวกันมาดูแลเนี่ย

   “ใกล้จะห้าโมงแล้ว ไปที่หน้าแผนกต้อนรับกันเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรอ”
   แบงค์เอ่ยชวนพร้อมกับยื่นมือมา ผมจับมือนั้นไว้ก่อนที่จะฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

   “ว่าแต่ซื้ออะหยังมาบ้างวะ”
   ผมเอ่ยถามพร้อมกับเดินยังถุงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วจึงรื้อของในถุงออกมาดูโดยคาดหวังเอาไว้เล็กๆ ว่าอาจจะมีขนมอยู่ข้างใน

   “......”
   ก่อนที่จะนิ่งเงียบไปในทันทีที่เห็นของในถุง

   นี่มัน...

   “อ๋อ พอดีผมซื้อกางเกงในตัวใหม่มาให้นันท์น่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความพยายามที่จะกลั้นหัวเราะเอาไว้อยู่เล็กน้อย

   “......”
   ในขณะที่ผมเองนั้นกลับรู้สึกชาไปทั่วทั้งใบหน้าจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว พร้อมกับจ้องมองกล่องกางเกงในยี่ห้อรอซโซ่ที่อยู่ในมือ

   “นันท์นี่ก็นะ กางเกงในเก่าเสียจนยางยืดย้วยขนาดนั้นแถมยังมีจุดดำๆ ขึ้นแล้วด้วย ทำไมถึงไม่ทิ้งไปแล้วซื้อตัวใหม่สักทีล่ะครับ”

   อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

นั่นไง ว่าแล้วว่าแบงค์ต้องเห็นแล้วแน่ๆ เลย กับเหล่ากางเกงในของผมที่ผมไม่อยากให้เห็น

   เรื่องกางเกงในพวกนี้ ผมอธิบายได้ครับ คือผมแค่ต้องการที่จะประหยัดเฉยๆ ในเมื่อมันก็ยังใส่ได้ แถมมันยังเป็นแค่กางเกงในที่เราก็ใส่เอาไว้ด้านใน ไม่ได้เอาไปโชว์ใครเสียหน่อยนี่มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ได้ซื้อตัวใหม่สักทีอย่าเพิ่งหาว่าผมสกปรกโสโครกนะ

   “มันน่าหัวเราะอะหยังขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
   ผมหันไปตวาดใส่แบงค์ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนกับพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

   แม่งเอ้ยเพิ่งจะมาถึงเกาะพะงันวันแรก ก็มีเรื่องให้อับอายเสียแล้วนี่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความทรงจำที่สุดแสนจะอัปยศอดสูเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้


   หยุดหัวเราะสักทีได้มั้ยวะ กูอายว้อยยยยยย ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จบคาบเรียนที่สามสิบสอง

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
   คาบเรียนที่สามสิบสาม



สถานที่ที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงมั้ย
หากมันมีอยู่จริง มันจะคุ้มค่าที่เราจะยอมแลกทุกอย่างที่มีเพื่อไปให้ถึงที่แห่งนั้นมั้ยนะ

   เผลอแป๊บๆ ทริปการท่องเที่ยวของพวกผมก็เดินทางมาถึงวันที่สี่แล้วอย่างรวดเร็ว
   “นันท์ครับ ตื่นได้แล้ว เพื่อนๆ รออยู่นะครับ”
   เสียงของแบงค์ปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ในยามเช้า ผมลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ในขณะที่สมองดูเหมือนจะยังไม่ได้ตื่นตามขึ้นมาด้วย จึงเกิดอาการเบลอเล็กน้อย

   “อือ...ขออีกนิดบ่ได้เหรอวะ”
   “ไม่ได้ครับ ตื่นเดี๋ยวนี้เลย อะไรกัน อุตส่าห์ได้มาเที่ยวทะเลทั้งที ยังจะมานอนตื่นสายอีก”
   “ก็มันเหนื่อยนี่หว่า...”
   ผมบ่นอุบอิบๆ เล็กน้อยพร้อมกับดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ แล้วจึงขยี้ตาเบาๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่พร้อมแล้ว ซึ่งสวนทางกับผมที่ยังคงสะลืมสะลืองัวเงียอยู่พอสมควรและเมื่อหันไปมองตัวเองในกระจกข้างฝาก็พบว่าสภาพตัวเองในตอนนี้ช่างดูอนาถจิตยิ่งนัก

   เปลือกตาที่ยังลืมได้ไม่เต็มที่ ขอบตาที่ดำและบวมแถมยังมีขี้ตาเล็กน้อยอีก ทรงผมที่ฟูไม่เป็นทรง ยังดีที่ไม่มีคราบน้ำลายติดเลอะที่มุมปาก ทำเอาผมถึงกับสงสัยว่าพวกนางเอกละครหลังข่าวแม่งมันทำยังไงวะ ถึงได้ตื่นขึ้นมาแล้วสวยพริ้งยิ่งกว่าใช้กล้องฟรุ๊งฟริ๊งได้เนี่ย

   หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมกับแบงค์ก็ลงไปหาคนอื่นๆ ที่เหลือยังบริเวณร้านอาหารของรีสอร์ตเพื่อหาอะไรรองท้องกัน

   “แล้วนี่วันนี้เราจะไปไหนกันวะ”
   ผมหันไปถามไอ้เต้ย แกนนำหลักของการเที่ยวในครั้งนี้ที่กำลังใช้ช้อนตัดไข่ดาวในจานข้าวของมันเข้าปาก

   “เอ้า ไอ้นี่ ถามแปลกๆ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงไง มึงจำบ่ได้เหรอวะ”
   “ทำไมวะ พระจันทร์เต็มดวงแล้วมันเกี่ยวเหี้ยอะหยังกับสถานที่ที่จะไปเที่ยววันนี้นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะพากูไปเหยียบดวงจันทร์แบบเซอร์ไอแซกนิวตัน รึไงวะ”
   ไอ้เต้ยถอนหายใจทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

   “นั่นมัน นีล อาร์มสตรองครับคุณเพื่อนนันท์ ส่วนเซอร์ไอแซกนิวตัน มันทฤษฎีแรงโน้มถ่วงครับ”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยแทรกขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือโดยไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมแม้แต่น้อยผมขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อยในขณะที่คนอื่นในกลุ่มหัวเราะกันลั่นกับสิ่งที่ผมพูดออกไป

   คนเหยียบดวงจันทร์คนแรกคือนีลอาร์มสตรองหรอกเหรอ ไม่ใช่ เซอร์ไอแซกนิวตัวเหรอวะ

   “เออๆ สรุปวันนี้จะไปเที่ยวไหนกันแน่วะ”
   ผมเอ่ยถามอีกรอบโดยเก็บความความสงสัยเรื่องเซอร์ไอแซกนิวตันนั้นเอาไว้ไม่คิดจะถามหรือเถียงอะไรต่อทั้งสิ้น เพราะคิดว่าถ้าถามออกไป คงได้โดนหัวเราะเยาะต่ออีกเป็นแน่แท้ ไอ้เต้ยเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับถอนหายใจอีกรอบ

   “ก็หาดริ้นไงล่ะวะ เพราะคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ที่นั่นเขาเลยจัดฟูลมูนปาร์ตี้”
   เอออออออออออ จริงด้วย ลืมไปได้ยังไงวะ นี่มันจุดประสงค์หลักของการมาเที่ยวเกาะพะงันเลยนี่หว่ามิน่าล่ะ ดูไอ้ยีสต์จะระริกระรี้เป็นพิเศษ ต่างจากไอ้เต้ยที่ดูจะออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปส่วนไอ้โอ๊ตดูจะเฉยๆ สังเกตได้จากสายตาที่ไม่ละออกจากหน้าจอมือถือเลยแม้แต่น้อย ซึ่งบางทีผมก็สงสัยนะว่ามันรู้สึกสนุกกับการมาเที่ยวครั้งนี้จริงหรือเปล่าวะ

   ในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็ดูจะให้ความสนใจเกมที่ไอ้โอ๊ตมันเล่นอยู่พอสมควร ถึงขั้นโหลดมาเล่นตามเลยทีเดียวซึ่งไอ้โอ๊ตเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแถมยังให้คำแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ


   หลังจากที่กินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปยังหาดริ้นในทันทีด้วยรถจักรยานยนต์ที่เช่ามาในราคามิตรภาพด้วยอานิสงส์ญาติของไอเต้ย ส่วนสาเหตุที่พวกเราเลือกที่จะเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์แทนที่จะเป็นรถยนต์คันเดียวนั้นมันก็มาจากความเรื่องมากของไอ้ยีสต์นี่ล่ะครับ

   ด้วยสภาพพื้นที่ของเกาะพะงันนั้นมีลักษณะเป็นของภูเขาเสียมากถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าภูเขาที่เชียงใหม่แต่ก็นับว่ามีมากพอสมควร ถนนจึงคดเคี้ยวและมีความลาดชันซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นของแสลงสำหรับไอ้ยีสต์เพราะมันเป็นพวกเมารถเมาเรือง่าย ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกันจากตอนที่ไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะน่ะครับ ก็เลยคิดว่าการขี่จักรยานยนต์กันไปน่าจะโอเคกว่าสำหรับไอ้ยีสต์ แต่ถึงกระนั้นดูเจ้าตัวก็จะยังคงกลัวๆ เส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันของเกาะพะงันอยู่พอสมควรสังเกตได้จากการที่มันกอดเอวไอ้เต้ยเอาไว้แน่นตลอดเส้นทางเลย ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้ไอ้เต้ยหัวเราะขึ้นมาได้บ้างกับท่าทีที่ดูตลกของอีกฝ่าย


   หลังจากที่ทรหดกับเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ในที่สุดพวกเราก็มาถึงหาดริ้นเสียที
   หากจะพูดถึงเกาะพะงันแล้วนั้น หาดริ้นก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อติดอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวมุ่งหมายจะมาถึงให้ได้ ซึ่งหาดริ้นนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งนั่นก็คือหาดริ้นในและหาดริ้นนอก โดยบริเวณที่ผมพวกกำลังยืนอยู่นั้นคือหาดริ้นนอกซึ่งเป็นสถานที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้นั่นเอง เสน่ห์ของที่นี่คือหาดทรายสีขาวเนื้อเนียนละเอียดที่ทอดยาวกว่าสองกิโลเมตร ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้แล้วด้วย แสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบกับน้ำทะเลที่ใสสะอาดก็ยิ่งทำให้บรรยากาศดูสวยงามมากๆ

   ทันทีที่มาถึงไอ้ยีสต์ก็ดูกระปรี้กระเปร่าผิดจากเมื่อกี้อย่างลิบลับนั่นก็เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะพบนักท่องเที่ยวหญิงชาวต่างชาติในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเต็มไปทั่วชายหาด จึงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่เจริญตาเจริญใจสำหรับไอ้ยีสต์อยู่พอสมควรในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็ดูจะชอบอกชอบใจจนวิ่งลงทะเลไปอย่างรวดเร็วราวกับเด็กอนุบาลเจอของเล่นถูกใจโดยไม่รอใครทั้งสิ้น

   ส่วนไอ้โอ๊ตน่ะเหรอครับ ก็ดูมีทีท่าจะสนใจกับบรรยากาศความงดงามของชายหาดแห่งนี้ขึ้นมาบ้างอยู่เหมือนกันนะ สังเกตได้จากการที่ยอมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วไปเดินลงไปริมหาดเอาเท้าไปแตะน้ำทะเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินกลับมาหลบอยู่ในที่ร่มแล้วหยิบมือถือออกมาเล่นต่อ

   อืม ก็ถือว่านานสุดเท่าที่ไอ้โอ๊ตมันจะทำได้แล้วล่ะ

   “อ้าว คุณเพื่อนเต้ย ไม่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณเพื่อนยีสต์เหรอครับ”
   ไอ้โอ๊ตเงยหน้าขึ้นถามไอ้เต้ยที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังทำสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ซึ่งคนถูกถามก็หันไปมองไอ้ยีสต์ที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะหันกลับมา

   “ปล่อยมันไปเหอะ โตๆ แล้ว ดูแลตัวเองได้ละ มันอยากไปไหน อยากทำอะหยัง ก็เรื่องของมัน บ่ะเกี่ยวกับกู”
   ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะสดชื่นเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับทอดสายตามองออกไปยังทะเลอย่างเลื่อนลอย

   “นี่มึงสองคนทะเลาะอะหยังกันอยู่รึเปล่าวะ”
   ไอ้เต้ยหันมาเบิกตาโพลงมองผมอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากผม

   “บ่ กูเนี่ยนะ จะไปทะเลาะเหี้ยอะหยังกับมัน ไร้สาระ”
   “เอ้า ก็วันนี้ดูมึงบ่ค่อยจะสดชื่นเลยนี่หว่า แถมคำพูดแปลกๆ เมื่อกี้อีก กูก็นึกว่าพวกมึงสองคนทะเลาะกันอยู่ กูเลยอดเป็นห่วงบ่ได้ไง”
   ทันทีที่ผมพูดจบไอ้เต้ยก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเอียงคอเล็กน้อย ก่อนที่จะกลั้วหัวเราะแห้งๆ กลับมา

   “น่าแปลกนะ ปกติมึงจะดูเอ๋อๆ บ่ค่อยรู้เรื่องอะหยังกับเขา แต่มึงกลับสังเกตเห็นเรื่องนี้”
   “เอ้า นี่กูเป็นห่วง คือกูผิดเหรอวะ”
   ผมถามกลับพร้อมกับพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา

   “กูบ่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เออ ช่างเถอะ ยังไงก็ขอบใจมึงเว้ยที่เป็นห่วง แต่กูแค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ มึงเหอะ ถ้ามัวชักช้าจะตามไอ้แบงค์ไปบ่ทันนะเว้ย”
   ไอ้เต้ยพูดพร้อมกับยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะชี้ไปยังด้านหลังของผม ผมจึงหันหลังไปมองและภาพที่เห็นก็คือแบงค์ที่กำลังสนุกสนานกับการถ่ายรูปจนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แล้ว ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามออกไปทันทีโดยทิ้งไอ้เต้ยกับไอ้โอ๊ตเอาไว้ข้างหลัง

   “พอเจอวิวทิวทัศน์สวยๆ เข้าหน่อย ก็บ่รอกันเลยนะมึง”
   ผมเอ่ยเหน็บเล็กๆ ออกไป แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ผละสายตาออกจากกล้องหันมามองผม พร้อมกับยิ้มกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะก้มหน้าถ่ายรูปต่อไป ซึ่งเอาเข้าจริงผมเองก็ไม่ได้งอนอะไรหรอกที่อีกฝ่ายจะให้ความสนใจกับการถ่ายรูปในตอนนี้จนดูเหมือนจะลืมผมไป

   กลับกัน ผมกลับรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำที่ได้เห็นแบงค์ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ช่วงเวลาที่เจ้าตัวให้ความสำคัญกับการค้นหามุมมองและใส่ใจในการลั่นชัตเตอร์แต่ละครั้ง นั่นล่ะคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของอีกฝ่ายในสายตาผม ผมจึงเลือกที่จะเดินตามแบงค์ที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปไปอย่างเงียบๆ โดยไม่คิดที่จะกวนสมาธิแต่อย่างใด

   แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลากลางวันอยู่ซึ่งยังไม่ถึงช่วงเวลาของฟูลมูนปาร์ตี้ก็ตามที แต่นักท่องเที่ยวก็เริ่มหลั่งไหลกันมามั่งแล้วสมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ ส่วนร้านรวงต่างๆ รวมไปถึงตามผับ บาร์ที่ตั้งอยู่ริมหาดเริ่มมีการนำเสื่อและโต๊ะญี่ปุ่นมาตั้งตามหน้าร้านของตัวเอง ในขณะที่บางร้านก็มีการนำเครื่องเสียงขนาดใหญ่มาวางกันแล้ว ดูๆ ไปก็เริ่มชักจะสนุกขึ้นมาเสียแล้วสิ

   “เหนื่อยรึยังครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถาม ผมยิ้มพร้อมกับส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ แล้วจึงเดินไปหาที่นั่งใต้ต้นหูกวางริมหาดเพื่อหลบแดด

   “นั่งรอนี่นะ เดี๋ยวผมมา ไปซื้อน้ำแป๊บนึงครับ”
   แบงค์บอกกับผมก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปซื้อน้ำที่แผงขายซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรานั่งมากนัก

   “อ่ะ นี่ครับน้ำ แก้คอแห้ง เดี๋ยวจะเป็นลมแดดเอา”
   แบงค์ยื่นขวดน้ำให้กับผมก่อนที่จะลงนั่งข้างๆ

   “ครึกครื้นดีนะ หาดริ้นเนี่ย”
   “นั่นสิครับ”

   “เทอมหน้าพวกเราก็ม.หกกันแล้วนะ”
   “ใช่ครับ”

   “คงต้องพบเจออะหยังอีกมากเลยนะ”
   “นั่นสินะครับ”
   แบงค์ตอบรับกลับมาสั้นๆ ผมเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเบาๆ

   “ยังไง กูก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับมึงอีกปีนึงด้วยนะเว้ย”
   “ขอปฏิเสธครับ!”
   ผมรู้สึกเหวอทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธอย่างรวดเร็วของแบงค์

   “ท่ะ...ทำไมวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยพร้อมหันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังมองออกไปยังขอบฟ้าอย่างเงียบๆ ไม่ยอมพูดจาอะไร ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไหร่นักก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้ามองมายังผมด้วยสายตาที่ดูจริงจัง

   “นันท์บอกว่าขอฝากเนื้อฝากตัวกับผมอีกปีนึงใช่มั้ยล่ะครับ”
   “เออดิวะ”

   “......”
   “......”

   “แต่ผมอยากให้นันท์ฝากเนื้อฝากตัวกับผมไปตลอดทั้งชีวิตเลยมากกว่านะครับ”
   “......”

   “......”
   “มึง”
   “ครับ”
   “มุกแป๊กว่ะ”
   “อ้าวไหงงั้นล่ะครับ ผมกำลังหยอดคำหวานชวนซึ้งอยู่นะครับเนี่ย ไม่ได้มุกอะไรเลยสักนิด”
   “นั่นล่ะ ยิ่งแป๊กเข้าไปใหญ่ว่ะ”
   ถึงแม้ปากของผมมันจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วในใจลึกๆ ของผมมันกลับรู้สึกอบอุ่นมีความสุขมากๆ ที่ได้ยินคำพูดนั้นจากอีกฝ่าย ผมค่อยๆ เอนหัวไปพิงบนไหล่ของแบงค์พร้อมกับหลับตาลงอย่างช้าๆ  สายลมเย็นที่พัดจากทะเลเข้าหาฝั่ง แสงแดดอุ่น ที่สาดส่องลงมา เสียงคลื่นกระทบเข้าหาฝั่งอย่างเป็นจังหวะ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นานๆ เหลือเกิน

   “มึง”
   “ครับ”
   “น้าของมึงเป็นตากล้องของหนังสือท่องเที่ยวต่างประเทศใช่มั้ย”
   “ใช่ครับ ทำไมเหรอ”
   แบงค์ถามกลับด้วยความสงสัย ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป

   “งั้นก็คงจะเห็นสถานทีที่สวยงามมามากมายเลยล่ะสิ”
   “อืม... ก็น่าจะประมาณนั้นนะครับ”
   “แล้วพอจะรู้ปะว่าที่ไหนสวยงามมากที่สุด”
   ผมดันหัวตัวเองกลับขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองคนถูกถามด้วยความสนใจใคร่รู้ในคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ

   “ไม่รู้เหมือนกันสิครับ ความชอบของแต่ละคนมันต่างกัน คนนึงว่าที่นั่น แต่อีกคนอาจจะว่าที่นี่ นานาจิตตังน่ะครับ”
   “แล้วสำหรับมึงมึงคิดว่าที่ไหนสวยงามมากที่สุดวะ”
   ผมถามกลับไปอีกครั้ง แบงค์เลิกคิ้วสูงก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมครุ่นคิดอีกรอบ

   “นั่นสิครับ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันแฮะ ก็ชอบหมดทุกที่ๆ ไปนะครับ มันสวยกันไปคนละแบบ”
   แบงค์ตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบเท่าไหร่นัก ผมจึงได้แต่พยักหน้ากลับไปให้กับคำตอบนั้น

   “ว่าแต่ไม่ลงไปเล่นน้ำทะเลหน่อยเหรอครับ”
   คราวนี้แบงค์หันมาเป็นฝ่ายเอ่ยถามผมบ้าง

   “โหย ตั้งแต่มาถึงนี่ก็เล่นมันทุกวันแล้วนะเว้ยมึงดูสิเนี่ย ผิวกูดำหมดแล้วว่ะ”
   ผมบ่นพร้อมกับถกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นถึงสีผิวที่ตัดกันเพราะโดนแดด แบงค์กลั้วหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น

   ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็แทบจะไม่ได้พักกันเลยวันแรกที่มาถึง ไอ้เต้ยก็พาพวกเราไปพายเรือคายัคกันทันทีขอบอกว่าเมื่อยแขนมาก พายเรือคายัคข้ามไปยังเกาะม้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาพะงันมากนัก ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ยอมรับว่าสนุกมากครับ ทะเลสวย น้ำใสจนมองเห็นพื้นทรายข้างล่างเลยล่ะ ใสจนชนิดที่ไอ้โอ๊ตถึงขั้นต้องลงไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่อะไรหรอกครับ พอดีไอ้โอ๊ตมันพายเรือแบบเก้ๆ กังๆ น่ะครับ ก็เลยตกทะเลไป ซึ่งก็นับว่าโชคดีอย่างหนึ่งที่แว่นของมันไม่หล่นหายลงไปในทะเล สุดท้ายความซวยก็ต้องมาตกที่ไอ้น้องไนท์คู่พายเรือ ที่ต้องรับหน้าที่พายเรือคนเดียวไปในที่สุด ฮ่าฮ่าฮ่า

   วันที่สอง ไอ้เต้ยก็ยังไม่ยอมให้พวกเราได้หยุดพัก พาไปเดินป่าขึ้นเขากันที่อุทยานแห่งชาติธารเสด็จขอบอกว่า เหนื่อยยิ่งกว่าพายเรือคาพัคอีก แดดร้อนสุดๆ แถมยังต้องเดินขึ้นเขาที่เส้นทางก็โคตรจะสมบุกสมบันเอามากๆ แต่เมื่อไปถึงจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นท้องทะเลที่กว้างไกลได้จากด้านบน ก็ยอมรับว่าคุ้มค่าที่เดินขึ้นมาถึงจริงๆ

   ส่วนวันที่สาม วันนี้ดีหน่อยที่เป็นวันแห่งการกิน กินแม่งทั้งวันจริงๆ ครับ กินจนแทบจะอ๊วกออกมากันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า

   “จะว่าไป มึงนี่ก็ชอบถ่ายรูปจริงๆ นะ เพราะอะหยังวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย แบงค์นิ่งเงียบพร้อมกับมองกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยยิ้มเล็กๆ ออกมา

   “เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลงลืมง่ายยังไงล่ะครับ ภาพถ่ายจึงเปรียบเสมือนตัวแทนความทรงจำของเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ ว่าเรารู้สึกยังไงกับมัน”

   “เหมือนรูปนี้เหรอวะ”
   ผมเอ่ยถามพร้อมกับชี้ไปยังรูปที่กำลังโชว์อยู่ที่หน้าจอแสดงผลของกล้อง มันเป็นรูปรองเท้าแตะของผมกับแบงค์ที่วางเคียงข้างกันอยู่บนชายหาด

   “แล้วคิดว่ายังไงล่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยคำถาม ผมเพ่งมองดูรูปนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

   “เหมือนมึงกับกูในตอนนี้ยังไงล่ะ ที่ได้อยู่ข้างๆ กัน ถือเป็นความทรงจำที่ดีมากๆ เลยล่ะ”
   แบงค์กลั้วหัวเราะในลำคอพร้อมยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “ว่าแต่มึงบ่ไปถ่ายรูปต่อเหรอวะ”
   “ก็อยากถ่ายต่อนะ แต่กลัวจะโดนด่าหาว่าไม่สนใจแฟนของตัวเองเอาน่ะครับ”
   “เลอะเทอะกูบ่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น มึงอยากถ่ายก็ถ่ายไปเหอะ นานๆ จะได้มาที่สวยๆ แบบนี้ ก็ต้องถ่ายให้คุ้มสิ ไปเหอะ เดี๋ยวกูจะรอแถวนี้ละกัน”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับยกน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อแก้กระหายเล็กน้อย

   “อ้าว ไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”
   “บ่เอาดีกว่ากูไปด้วย เดี๋ยวจะเกะกะมึงเปล่าๆ แล้วจะพาลทำให้มึงถ่ายรูปบ่สนุก บ่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวกูจะไปรวมกลุ่มกับพวกไอ้เต้ยเอาน่ะ”
   “อ่า ครับ งั้นก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ มีอะไรก็โทรหาผมนะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับลุกขึ้นปัดทรายที่กางเกงเล็กน้อย ผมพยักหน้ายิ้มตกลงกลับไปพร้อมกับยกมือโบกลาให้อีกฝ่าย ก่อนที่จะนั่งมองทะเลอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นถือรองเท้าแตะเอาไว้ในมือพร้อมกับเดินลงไปยังริมหาดเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว

   ผมชอบช่วงจังหวะที่คลื่นตีกระทบฝั่งเข้ามาแล้วไหลย้อนกลับลงไป พาเอาเหล่าเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ลู่ตามลงไปด้วย มันทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ใต้ฝ่าเท้าจนอดไม่ได้ที่จะต้องอมยิ้มหัวเราะคิกคักเบาๆ เหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว

   สถานที่ที่สวยงามเอ๋ย
   นี่คือความจริง หรือ ความฝันกันนะ
   หากแม้นมันคือความจริง ก็ขอให้ความจริงนี้อยู่กับผมตลอดไป
   แต่หากแม้นมันคือความฝัน ก็ขอจงปล่อยให้ผมอยู่ในความฝันนี้ไปตลอดกาล...ด้วยเทอญ

   “......”

   ไงล่ะๆ สำบัดสำนวนของผมเจ๋งป่ะล่า ฮะฮ่าฮ่าฮ่าเอาล่ะ เพ้อมากเกินไปละ กลับไปหาพวกเพื่อนเหี้ยดีกว่า

   แต่เมื่อผมเดินกลับมา สิ่งที่พบก็มีแต่เพียงความว่างเปล่า อืม...ว่างเปล่าในที่นี้ ก็คือพวกเพื่อนๆ ผมน่ะครับ ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลยสักคนหันไปมองในทะเล ก็ไม่เห็นไอ้น้องไนท์แล้วด้วย ผมพยายามสอดส่ายสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย แต่ก็ไม่พบเหล่าเพื่อนๆ ทั้งหลายของผม

   เหี้ย เอาไงดีล่ะทีนี้ ถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเสียแล้วสิแล้วเมื่อกี้ก็ดันไปปากดีทำตัวเป็นพ่อพระผู้ใจบุญกับแบงค์ไปแล้วด้วย จะโทรไปตอนนี้มีหวังได้อับอายแน่ๆ

   เอาวะ เดินเที่ยวคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ดูท้าทายน่าตื่นเต้นดีออก
   เมื่อคิดได้เช่นนั้น การออกผจญภัยในโลกกว้างก็ได้เริ่มต้นขึ้น วะฮะฮ่าฮ่าฮ่า

   ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงท่าเรือที่หาดริ้นในซึ่งอยู่ตรงข้ามกันกับฝั่งหาดริ้นนอกโดยที่ฝั่งนี้จะเอาไว้ขนส่งสิ่งของและผู้โดยสารมาจากเกาะสมุย ส่วนใหญ่ฝั่งนี้จะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึกทั่วไป และบริการต่างๆ ทั้งโรงแรม อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ นวดแผนโบราณ ทัวร์ ธนาคาร ฯลฯ ซึ่งจะต่างจากฝั่งหาดริ้นนอกที่จะเน้นไปทางด้านความบันเทิง เช่นพวกผับบาร์ต่างๆ เสียมากกว่า

   ผมเดินมาหยุดยังร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านขายของต่างๆ ที่ทำมาจากหินสวยงามหลากหลายรูปแบบและสีสัน ซึ่งผมก็เดินดูของในร้านไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งมาหยุดตรงที่เหล่าบรรดาสร้อยข้อมือต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่ ผมดูมันไปเรื่อยๆ ทีละอัน โดยไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก

   แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดตาตรงสร้อยข้อมือสองเส้น ที่ดูภายนอกอาจจะธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก แต่จริงๆ แล้วมันมีความพิเศษนิดหน่อยนั่นคือเส้นหนึ่งจะสลักตัวอักษร Iเอาไว้ แล้วถัดลงมาจะเป็นหินรูปหัวใจครึ่งซีกซ้าย ในขณะที่อีกเส้นจะเป็นรูปหัวใจครึ่งซีกขวา แล้วถัดลงมาเป็นตัวสลักคำว่า You ซึ่งถ้าเอาทั้งสองเส้นมาประกบกันก็จะได้คำว่าไอเลิฟยู อืม... คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะ ก็มันเป็นรูปหัวใจนี่นา จะว่าไปก็ดูโรแมนติกดีแฮะ ถ้าผมกับแบงค์ใส่กันคนละอันเนี่ย ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ

   จะซื้อดีมั้ยวะ แต่รู้สึกเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “......”
   ในขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะซื้อมันดีหรือไม่นั้น

   “......”
   สายตาของผมก็พลันไปเห็นราคาที่แปะติดอยู่ตรงสร้อยเข้าพอดี ผมจึงตัดสินใจวางมันลงคืนที่เดิมทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายนัก

   ไอ้สัส แพงฉิบหาย ราคานี้ปล้นกูเลยเหอะ

   “พี่นันท์อยากได้เหรอครับ”
   เสียงกระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูนั้นทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนที่จะหันกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น

   “ไอ้สัสไนท์มึงเข้ามามะใดเนี่ย”
   “ก็เห็นพี่เดินเข้ามาในร้านนี้อะครับ ผมก็เลยเดินตามเข้ามา เพราะคนอื่นบ่รู้หายไปไหนกันหมด”
   ไอ้น้องไนท์ตอบกลับมาพร้อมกับหันมองออกไปนอกร้าน ก่อนที่จะหันกลับมายิ้มกว้างให้ผม

   “ว่าไง พี่อยากได้สร้อยเส้นนี้เหรอครับ”
   “กูก็แค่มองๆ ไปแค่นั้นล่ะ”
   ผมตอบปัดกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินออกจากร้านอย่างช้าๆ เพื่อรักษาท่าทีไม่ให้ดูน่ารังเกียจ แล้วเดินเข้าเซเว่นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากนักเพื่อหาอะไรรองท้องเล็กน้อย และเมื่อผมเดินออกมาจากเซเว่นก็เห็นไอ้น้องไนท์ที่กำลังยืนเงอะๆ งะๆ อยู่หน้าร้านขายของที่ระลึก

   “พี่นันท์อยู่นี่นี่เอง”
   ไอ้น้องไนท์เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าโล่งใจทันที่เห็นผม

   “ว่าแต่มึงจะอยู่ในชุดเปียกๆ แบบนี้ไปตลอดเรอะ บ่กลัวเหม็นกลิ่นเกลือรึไงวะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปพลางกัดแซนวิชในมือไปด้วย
   “แดดแรงๆ แบบนี้ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็แห้งครับ อีกอย่าง ผมไปล้างตัวที่ห้องน้ำแถวนี้มาแล้วด้วยน่ะ บ่เหม็นกลิ่นเกลือแน่นอน”
   ไอ้น้องไนท์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูมั่นใจในคำพูดตัวเองสุดๆ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ทันทีที่เห็นท่าทีนั้น

   “แล้วพี่แบงค์ไปไหนล่ะครับ ถึงได้ทิ้งให้พี่นันท์มาเดินเที่ยวคนเดียวเนี่ย”
   “ทิ้งเหี้ยอะหยัง กูเป็นคนบอกเขาเองล่ะว่าให้ไปถ่ายรูปตามที่ต้องการ กูบ่อยากรบกวน เลยมาเดินเล่น กะว่าจะมารวมกลุ่มกับพวกไอ้เต้ย แต่ก็กลายเป็นว่าบ่เจอใครสักคนเลยเนี่ย”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเซ็งนิดๆ ก่อนที่จะหันไปมองรอบๆ ด้วยหวังว่าจะเจอใครสักคน แต่ก็ต้องผิดหวัง

   “งั้นตอนนี้ก็ทางสะดวกสำหรับผมสินะครับ”
   “หมายความว่าไงวะ”
   ผมหันไปขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็เอาแต่ยิ้มกว้างไม่ตอบอะไรกลับมา ผมรู้สึกรำคาญเล็กน้อยกับท่าทีนั้นจึงพยายามที่จะเดินปลีกตัวออกมาเพื่อหาเพื่อนๆ ต่อ

   “เฮ้ย!”
   แต่ก็โดนไอ้น้องไนท์คว้าข้อมือเอาไว้ ผมหันกลับไปหมายจะเอ็ดใส่นิดหน่อย ทว่าก็ต้องชะงักทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน

   “ผมให้พี่ รักษามันเอาไว้ดีๆ นะครับ”
   ไอ้น้องไนท์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับพยายามที่จะยื่นสิ่งนั้นใส่เอาไว้ในมือของผม

   “นี่มัน...”
   ผมเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มมองสร้อยข้อมือซึ่งสลักคำว่า I Love You ที่ผมเพิ่งหยิบขึ้นมาดูในร้านขายของที่ระลึกเมื่อครู่นี้

   “พี่นันท์เก็บไว้ให้ดีนะครับ มันคือของแทนใจจากผมให้พี่”
   น้องไนท์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจัง


จบคาบเรียนที่สามสิบสาม


มุมแคปชั่นไร้สาระ


Power Bank ได้เพิ่มรูปภาพใหม่

นันทการ และ Bour Rai ได้ถูกใจสิ่งนี้

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่สามสิบสี่


   “...”
   สายตาและสีหน้าของไอ้น้องไนท์ที่ดูจริงจังนั้น ทำเอาผมถึงกับนิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มมองสร้อยข้อมือเส้นนั้นในฝ่ามือของตัวเองอย่างเงียบๆ

   “รับมันไว้เถอะครับ ผมอยากให้พี่นันท์เก็บมันไว้จริงๆ”
   ไอ้น้องไนท์ยังคงยืนกรานในความต้องการของตัวเองและพยายามคะยั้นคะยอผมให้ได้ ผมเงยขึ้นมองหน้าไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้กำลังส่งสายตาเว้าวอนอย่างน่าเอ็นดู จนผมเองเริ่มจะรู้สึกใจอ่อนอยู่เหมือนกัน

   แต่...

   “ขอโทษว่ะ ไนท์ กูคงรับมันไว้บ่ได้จริงๆ”
   ผมตอบปฎิเสธพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือเส้นนั้นส่งคืนกลับไปก่อนที่จะก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ

   “ผมบ่รับคืน ผมถือว่าผมให้ไปแล้ว และผมจะบ่เปลี่ยนใจด้วย”
   “แต่ว่า...”

   “ก็ผมชอบพี่นันท์จริงๆ นี่ครับ”
   “แต่...”

   “ถึงแม้ตอนนี้พี่นันท์จะเป็นแฟนพี่แบงค์อยู่ก็ตามที”
   “เฮ้ย มึงฟัง...”

   “ยังไงผมก็จะรอ”
   พลั่ก!!!

   หมัดขวาของผมพุ่งชกเข้าใส่แก้มซ้ายของไอ้น้องไนท์เข้าอย่างจังด้วยความรุนแรงจนอีกฝ่ายถึงกับลงไปนั่งกองกับพื้นก่อนที่จะใช้ฝ่ามือยกขึ้นมากุมแก้มใสของตนเอาไว้ด้วยสีหน้างุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“มึงจะหุบปากแล้วฟังกูก่อนได้มั้ยวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยหลังจากที่ต้องทนฟังไอ้น้องไนท์พยายามรัวคำพูดออกมาโดยไม่เปิดช่องให้ผมได้แทรกเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

“ไอ้ไนท์”
“ครับ”
“ถ้าเกิดสมมติ ว่าตอนนี้กูเป็นแฟนกับมึงจริงๆ มึงจะรู้สึกยังไง”

   ผมเอ่ยถามออกไปสั้นๆ ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
   “ดีใจสิครับ ดีใจมากๆ ด้วย”
   เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดีใจราวกับคนมีความหวัง

   “แล้วถ้าไอ้แบงค์มันมาทำแบบนี้กับกู เหมือนที่มึงกำลังทำอยู่ตอนนี้ มึงจะชอบและยอมรับมันได้มั้ยวะ”
   “......”
   คราวนี้ไอ้น้องไนท์ทำหน้านิ่งครุ่นคิดโดยไม่ตอบอะไรกลับมา

   “นี่ผมจะบ่มีความหวังเลยเหรอครับ กับเรื่องนี้”
   เจ้าตัวลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้า ผมเม้มปากขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

   จริงอยู่ว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยสังเกตหรือรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นของไอ้น้องไนท์เลย มันอาจจะดูโหดร้ายสำหรับเจ้าตัวอยู่ไม่ใช่น้อย ที่ที่ผ่านมาผมได้มองข้ามและไม่เคยสังเกตหรือรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นของอีกฝ่ายเลยสักนิด

   เพียงแต่...

   “กูขอโทษนะ แต่...”
   “แต่ผมก็ยังอยากให้พี่เก็บสร้อยเส้นนี้ไว้จริงๆ นะครับ”
   ไอ้น้องไนท์ยังคงไม่ยอมลดละความพยายาม แต่ผมก็ยังยืนกรานปฎิเสธที่จะรับมันไว้ จนเจ้าตัวถึงกับมองผมด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความผิดหวัง

   “กลัวพี่แบงค์เขาจะโกรธเหรอครับ”
   ไอ้น้องไนท์ชิงถามขึ้นมา ผมก้มหน้านิ่งเงียบพลางมองสร้อยข้อมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าแล้วยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

   “มันบ่ใช่ความกลัวหรอก แต่มันคือการสร้างความไว้ใจให้แก่กันมากกว่า ลองคิดดู ถ้ามึงมีแฟน มึงก็คงบ่ชอบให้แฟนตัวเองไปทำแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกันใช่มั้ยล่ะวะ”
   “ถึงแม้ว่าวันใดวันนึงอาจจะเป็นพี่แบงค์ที่ทำแบบนั้นเสียเองก็ตามทีเหรอครับ”

   อึก!!!
   ผมรู้สึกสะอึกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของไอ้น้องไนท์ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังสดใสแล้วจึงหันไปยิ้มให้เจ้าตัวอีกรอบ

   “นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตว่ะ เพียงแต่วันนี้ที่กูกับมันเป็นแฟนกัน กูก็จะขอทำให้มันดีที่สุด เท่าที่คนป้ำๆ เป๋อๆ อย่างกูจะทำได้ล่ะนะ”
   ทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้น้องไนท์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

   “เฮ้ออออออ ผมล่ะอิจฉาพี่แบงค์จริงๆ ที่ได้เป็นแฟนพี่นันท์เนี่ย รู้งี้ผมชิงสารภาพกับพี่นันท์ก่อนเสียก็ดี มัวแต่ลังเลๆ กล้าๆ กลัวๆ เป็นไงล่ะ โดนตัดหน้าไปซะงั้น โอ๊ยยยย สร้อยนี่ก็อีก สุดท้ายก็เป็นหมันอีกละ เฮ้ออออออ”

   “เอาน่ะๆ เก็บมันไว้เหอะ กูเชื่อว่าสักวันคนที่คู่ควรกับมึง คนที่คู่ควรกับสร้อยเส้นนี้มากกว่ากูจะต้องมีแน่ๆ”
   น้องไนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบ ก่อนที่เก็บสร้อยเส้นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ

   “อ้อ อีกอย่าง คราวนี้ถ้ามึงเจอใครที่ใช่ล่ะก็ บอกเขาไปเลยนะ บ่ต้องกลัว อย่างน้อย มันก็ยังมีโอกาสมากกว่าที่จะเก็บมันเอาไว้”
   ผมพยายามที่จะพูดปลอบใจไอ้น้องไนท์ที่ยังอยู่ในอาการเศร้าอยู่ ถึงแม้จะคิดได้ว่ามันอาจจะดูเหมือนคำพูดผลักไสไล่ส่งอยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพูดจาให้ความหวังทั้งๆ ที่ไม่มีความหวังมากกว่า

   “พี่นันท์รู้ตัวมั้ยครับ ว่าตั้งแต่พี่นันท์มีแฟนนี่ พี่ดูน่ารักมากขึ้นเลยนะครับ”
   “น่ารักห่าอะหยัง อย่ามาชมอย่างกับกูเป็นผู้หญิงนะเฮ้ย ว่าแต่คนอื่นๆ เขาไปอยู่ไหนกันหมดวะเนี่ย”
   ผมรู้สึกหน้าแดงด้วยความเขินอายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็พยายามจะกลบมันเอาไว้ พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องและหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า ก่อนที่จะกดโทรออกไปหาไอ้เต้ย

   ขออภัยค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
   อ้าว เวรกรรม ติดต่อไม่ได้ซะงั้น ไหนลองโทรหาไอ้ยีสต์ดูหน่อยละกัน

   “......”
   ไม่รับสายอีก อะไรวะเนี่ย

   จะเหลือก็แต่ไอ้โอ๊ต......แต่คิดอีกที ไม่โทรหามันดีกว่า ไอ้นี่โลกส่วนตัวสูง ยิ่งถ้าโทรไปหามันตอนจังหวะมันกำลังเล่นเกม ได้โดนมันด่าแน่ๆ

   TRRRRRRRR
   ในจังหวะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เสียงเรียกสายมือถือของผมก็ดังขึ้น ผมรีบรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือไอ้ยีสต์

   “ว่าไงไอ้นันท์ มีอะหยัง”
   “มึงอยู่ไหนวะ”
   “กูอยู่ร้านข้าวกับไอ้เต้ย ไอ้โอ๊ต แถวๆ หาดน่ะ”
   “เออ งั้นรอกูด้วย เดี๋ยวกูไปหา หิวข้าวเหมือนกันเนี่ย”
   หลังจากที่วางสายไป ผมก็ชวนไอ้น้องไนท์ไปยังร้านข้าวที่พวกไอ้ยีสต์มันนั่งอยู่ พวกเราหาอะไรกินไว้ก่อนเพื่อเตรียมรับศึกหนักสำหรับคืนนี้ ซึ่งนั่นก็คือ ฟูลมูนปาร์ตี้ ที่จะจัดขึ้นทุกเดือนในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงนั่นเอง

   จากการที่ผมค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลถึงจุดเริ่มต้นของปาร์ตี้ ก็พอจะจับใจความได้ว่ามันเริ่มมาจากการจัดงานปาร์ตี้เพื่อเลี้ยงส่งให้กับนักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งตรงกับคืนที่พระจันทร์เต็มดวงพอดี หลังจากนั้นจึงเกิดกระแสปากต่อปากบอกเล่าถึงความสวยงามของดวงจันทร์ที่เต็มดวงเมื่อมองจากหาดแห่งนี้ จึงกลายเป็นที่นิยมขึ้นมามากมายจนถึงทุกวันนี้

   ผมเองก็เคยพอจะเห็นบรรยากาศงานจากในหนังเรื่องปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นและในกูเกิ้ลมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ที่คืนนี้จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของจริงนั้นกับเขาเสียที และยิ่งตกเย็นมากขึ้นเท่าไหร่ เหล่านักท่องเที่ยวก็เริ่มเดินทางมามากขึ้นเท่านั้น เสียงเพลงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความสนุกสนานของค่ำคืนนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

   พวกเราเลือกที่จะนั่งบริเวณหน้าร้านแห่งหนึ่งที่นำเสื่อมาปูเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งหลาย

   “รู้สึกว่ากลายเป็นพวกเราเสียเอง ที่ดูแปลกแยกจากคนอื่นไปเลยนะเนี่ย”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหันมองไปรอบๆ บริเวณก่อนที่จะยกเหล้าบัคเก็ตขึ้นมาดื่ม ซึ่งก็จริงตามที่ไอ้ยีสต์มันว่าเอาไว้จริงๆ นั่นล่ะครับ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียมากกว่า ยิ่งบางคนนำสีสะท้อนแสงมาทาตัว เพนท์เป็นรูปต่างๆ ซึ่งก็ดูแปลกตาอยู่ไม่น้อย

   “ไอ้ยีสต์ มึงแดกเพลาๆ หน่อยดิวะ เดี๋ยวแม่งก็เมาหรอก”
   ไอ้เต้ยเอ็ดใส่ไอ้ยีสต์ที่ยกเหล้าบัคเก็ตขึ้นซดราวกับว่าตัวเองกำลังดื่มน้ำเปล่ายังไงยังงั้น

   “เฮ้ย นานๆ จะได้มาแอ่วม่วนๆ แบบนี้ ก็ต้องเต็มที่กันหน่อยดิวะ อย่าซีเรียสนักดิ”
   “เอ้า ไอ้ห่า กูซีเรียสก็เพราะเป็นห่วงมึงนั่นล่ะ ยิ่งทางกลับก็บ่ใช่ว่าจะสบายๆ เกิดมึงเมาพลัดตกรถเอากลางทางขึ้นมาจะทำยังไงวะ”
   ไอ้เต้ยขึ้นเสียงกลับไปเมื่อได้ยินไอ้ยีสต์ตอบกลับมาเช่นนั้น แต่ไอ้ยีสต์ก็หาได้จะใส่ใจกับคำพูดนั้นของไอ้เต้ยไม่ ยังคงซดเหล้าบักเก็ตราวกับคนกระหายน้ำ ไอ้เต้ยเองเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ไม่ยี่หระต่อคำพูดของตัวเอง ก็ดูจะออกอาการหัวเสียอยู่ไม่ใช่น้อย จึงลุกขึ้นใส่รองเท้าแตะที่ตั้งอยู่ข้างๆ เสื่อ

   “อ้าว ไอ้เต้ย มึงจะไปไหนวะ”
   ผมหันไปถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป ก่อนที่จะหยิบสปายรสคลาสสิคขึ้นมาดื่ม

   อนึ่ง หลังจากที่เจอเหล้าขาวเชียงดาวเมื่อคราวที่ไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะ ผมก็เลยค่อนข้างเข็ดไปพอสมควร รอบนี้เลยเลือกกินอะไรที่มันเบาๆ ก็พอดีกว่า แห่ะๆ

   “กูจะไปเยี่ยว มึงจะไปกับกูมั้ยล่ะ”
   ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความดุดันเล็กน้อย ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่ไอ้เต้ยจะเดินออกไปเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม

   “......”
   “......”

   อยู่ๆ บรรยากาศภายในกลุ่มก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งดูขัดแย้งกับบรรยากาศรอบข้างที่แสนจะสนุกสนานอย่างเห็นได้ชัด

   “นี่สรุปว่ากูผิดใช่มั้ยวะเนี่ย”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นมานิดๆ เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแอลกอฮอล์ที่เจ้าตัวกินเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์บ้างแล้ว

   “......”

   แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ จากคนอื่นภายในกลุ่ม ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในกลุ่มยิ่งดูอึดอัดมากขึ้นไปอีก ไอ้ยีสต์เอง เมื่อเห็นท่าทีเหล่านั้นของพวกผม ก็ทำเสียงจิ๊ปากเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นใส่รองเท้าแตะอย่างเก้ๆ กังๆ อันเนื่องมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

   “เฮ้ย มึงจะไปไหนวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีนั้นของอีกฝ่าย

   “กูจะไปเยี่ยว มึงนั่งอยู่นี่นั่นล่ะ บ่ต้องลุกไปไหน”
   “ใครบอกว่ากูจะไป กูแค่ถามไปงั้นล่ะ”
   ผมบ่นอุบอิบเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงดุดันนั้นตอบกลับมา ไอ้ยีสต์หันมามองผมอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อก่อนที่จะสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

   “เอ่อ ปล่อยไปแบบนั้นจะดีเหรอวะ ไอ้โอ๊ต”
   ผมหันไปถามไอ้โอ๊ตที่กำลังยกน้ำส้มปั่นขึ้นดื่มอย่างช้าๆ โดยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย

   “ปล่อยไปเหอะครับ เรื่องปกติตามประสาคนหึงหวงกันน่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น

   “หึงหวง? ใครวะ”
   ผมเอียงคอถามด้วยสงสัย

   “ก็วันก่อน คุณน้องจูนเด็กชั้นมอสี่ที่อยู่ชมรมเดียวกันกับคุณเพื่อนยีสต์เขาขอไลน์คุณเพื่อนยีสต์น่ะครับ แล้วดูเหมือนคุณเพื่อนยีสต์จะสนใจคุณน้องจูนอยู่เหมือนกัน คุณเพื่อนเต้ยเขาก็เลยออกอาการไม่พอใจน่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ก่อนที่จะขยับแว่นของตัวเองให้เข้าที่ ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วใช้สมองอันน้อยนิดของตัวเองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

   “นี่มึงอย่าบอกนะว่า...”
   ไอ้โอ๊ตพยักหน้าเบาๆ ทันทีที่ได้ยินผมเกริ่นเช่นนั้น

   “ไอ้ยีสต์กับไอ้เต้ยมัน...”
   “ครับ ก็ตามนั้นล่ะครับ”

   “มันจีบไอ้น้องจูนอะหยังนั่นเหมือนกัน ก็เลยบ่พอใจกันยังงั้นใช่ปะวะ”
   “หา!?”
   ไอ้โอ๊ตหันมาขมวดคิ้วใส่ผมทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น ผมเลิกคิ้วสูงกลับไปประหนึ่งว่าตัวเองพูดอะไรผิดออกไปรึเปล่า

   “บางที ผมเองก็สงสัยนะครับ ว่าสมองของคุณเพื่อนนันท์นี่มีอะไรอยู่ข้างในบ้าง ถึงได้ประมวลผลอะไรออกมาได้แบบนี้เนี่ย”
   “อ้าว แล้วกูพูดอะหยังผิดตรงไหนล่ะวะ มึงก็บอกกูมาดิ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย ไอ้โอ๊ตถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะหยิบน้ำส้มปั่นขึ้นมาจิบอีกเล็กน้อย

   “เอ่อ นันท์ครับ อย่าบอกนะครับว่าที่ผ่านมานันท์ไม่เคยสังเกตเรื่องของสองคนนั้นเลย”
   เสียงของแบงค์เอ่ยแทรกขึ้นมา ผมหันกลับไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังยิ้มอย่างเหนื่อยๆ อยู่ ผมเลิกคิ้วสูงพร้อมกับส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็ได้แต่ยกนิ้วขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ แต่ไม่ตอบอะไรออกมา

   “อะๆ ผมตอบให้ก็แล้วกัน จะได้จบๆ กันไป”
   คราวนี้เป็นไอ้น้องไนท์ที่เอ่ยแทรกขึ้นมาบ้าง ผมจึงหันไปมองด้วยความสงสัย

   “พี่นันท์ครับ พี่เต้ยกับพี่ยีสต์เขากำลังกิ๊กกันอยู่น่ะครับ โอเคนะครับพี่นันท์”

   “......”
   “......”
   “......”

   “ห๊า!!!!!!!!!!”


จบคาบเรียนที่สามสิบสี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่สามสิบห้า


   “ห๊า!!!!!!!!!!”
   เสียงร้องตกใจของผมดังขึ้นจนคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะรอบข้างต่างก็หันมามอง จนผมต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองทันทีที่รู้สึกตัวได้

   “เฮ้ย ตอนไหนวะ แล้วได้ยังไง ก็ไอ้ยีสต์มันออกจะบ้าผู้หญิงเสียขนาดนั้นบ่ใช่เหรอวะ”
   ผมถามด้วยความสงสัยโดยลดเสียงลงมาให้เบาลง

   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่รู้อีกทีเขาก็กิ๊กกันแล้ว นี่อย่าบอกนะครับว่าที่ผ่านมาคุณเพื่อนนันท์ไม่เคยสังเกตเลย”
   ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบด้วยสีหน้าตกใจทันทีที่ได้ยินไอ้โอ๊ตถามเช่นนั้น ก่อนที่จะหันไปมองน้องไนท์กับแบงค์ที่ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

   “นี่มีกูคนเดียวอีกแล้วสินะ ที่บ่รู้เรื่องเหี้ยอะหยังกับเขาเลย”
   ผมบ่นตัดพ้อกับตัวเอง ก่อนที่จะหยิบสปายขึ้นมาดื่มย้อมใจ

   “แล้วอะหยังไอ้สองคนนั้นมันถึงบ่บอกกันวะ จะเก็บเงียบไว้ทำเหี้ยอะหยัง ทีตอนกูล่ะพูดดิบพูดดี ละทีพอตัวเองล่ะ”
   ผมบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจอยู่พอสมควร แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

   “เอาน่ะครับ แต่ละคนเขาก็อาจจะมีเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน เต้ยกับยีสต์เขาคงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผย ใช่มั้ยโอ๊ต”
   ไอ้โอ๊ตพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของแบงค์

   “ครับ ก็ตามนั้น ที่พวกผมรู้เรื่องนี้ ก็เพราะสังเกตกันเองน่ะครับ คุณเพื่อนทั้งสองไม่ได้บอกอะไรเลยเหมือนกัน”
   ผมหันไปมองน้องไนท์กับแบงค์ ทั้งสองต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ไอ้โอ๊ตพูด ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้ผมรู้สึกเย็นลงได้บ้าง

   “แต่เดี๋ยวนะ ถ้าไอ้สองคนนั้นมันกิ๊กกัน แล้วอะหยังไอ้ยีสต์มันยังชอบผู้หญิงอยู่ล่ะวะ”
   ผมเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยทันทีที่ฉุกใจคิดได้

   “ก็คงเป็นประเภทเสือไบอะไรทำนองนี้ล่ะมั้งครับ”
   “หือ เสือไบ คืออะหยังวะ”
   ผมทวนคำพูดของไอ้น้องไนท์ที่เอ่ยแทรกขึ้นมา

   “ก็พวกที่ชอบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงน่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยเสริมให้กับคำตอบของอีกฝั่ง

   “แบบมึงน่ะเหรอ”
   ผมถามกลับไปอย่างงุนงง แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วสูงด้วยความตกใจเล็กน้อย

   “เอ่อ ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ อย่างผมนี่ต้องเรียกว่าเพิ่งค้นพบตัวเองมากกว่าล่ะมั้ง ไม่รู้สิ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยความเขินอายพลางขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อย

   “งั้นก็แสดงว่าตอนนี้มึงบ่ได้ชอบผู้หญิงแล้วอย่างนั้นเหรอวะ”
   ผมแหย่ถามกลับไปทันทีที่เห็นท่าทีเขินอายนั้นของแบงค์
   “แล้วอยากให้ผมกลับไปชอบมั้ยล่ะครับ ถ้านันท์ต้องการแบบนั้น”
   “ง่า ขอโทษๆ กูล้อเล่น กูบ่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”
   คราวนี้กลายเป็นผมเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายง้อแบงค์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีที่ดูเริ่มจะเสียความมั่นใจนั่นก็ปล่อยหัวเราะออกมาเบาๆ

   “ผมก็ล้อเล่นครับ แต่แค่อยากให้รู้ไว้ว่าคนที่ผมชอบและคนที่เป็นแฟนผมในตอนนี้นั้นคือนันท์คนนี้เท่านั้น และผมก็ไม่คิดจะมองใครอีกด้วย”
   พูดจบ เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ทำเอาผมรู้สึกเขินอายขึ้นยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “เอ่อ พวกพี่สองคนจะหวานกัน ก็ช่วยเกรงใจคนโสดที่เพิ่งโดนหักอกมาแบบผมบ้างก็ดีนะครับ”
   ไอ้น้องไนท์กระแอมแทรกขึ้นมาเบาๆ ทันทีที่เห็นผมกับแบงค์ง้องอนใส่กัน

   “ก็นี่ไง มึงก็จีบไอ้โอ๊ตเลยไง ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ได้ครบๆ คู่กันไป”
   ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลกเล็กๆ แต่ไอ้โอ๊ตเองได้ยินเช่นนั้น เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาดุดันทันที

   “ผมก็ไม่ได้รังเกียจเรื่องอะไรพวกนี้หรอกนะครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความผมจะชอบผู้ชายนะครับ คุณเพื่อนนันท์”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง จนผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีในเรื่องที่ตัวเองพูดออกไปอย่างไม่คิด

   “เอ่อ กูขอโทษ กูก็แค่...”
   “เอาเถอะครับ ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนักหรอก แต่แค่ไม่อยากให้ใครเข้าใจผมผิด ยังไงผมก็ยังชอบผู้หญิงอยู่ดีน่ะครับ”
   “แล้วทำไมมึงบ่หาแฟนสักทีล่ะวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไอ้โอ๊ตเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับขยับแว่นของตัวเองเบาๆ

   “ก็ถ้าไม่มีใครที่ดีและน่ารักเท่ากับคุณพระอาทิตย์แล้วล่ะก็ ผมก็ไม่เอาเด็ดขาดครับ”
   “ใครคือคุณพระอาทิตย์วะ”
   ผมขมวดคิ้วทันทีด้วยความสงสัย ไอ้โอ๊ตเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หยิบมือถือของตัวเองออกมาปลดล็อคหน้าจอก่อนที่จะหันมันมาให้ผมดู

   ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผมคือภาพของเด็กสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด ดูจากชุดที่เธอใส่แล้วนั้น คุ้นๆ ว่าเธอน่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มไอด้อลอะไรสักอย่างที่กำลังเป็นที่โด่งดังอยู่ในตอนนี้นี่ล่ะ

“เออ น้องเขาก็น่ารักดี แต่ถ้ากูจำบ่ผิด มึงเคยบอกบ่ใช่เหรอวะ ว่ามึงชอบสาวสองมิติมากกว่าสาวในชีวิตจริง”
“นั่นมันก่อนที่ผมจะโดนคุณพระอาทิตย์ตกเมื่อตอนที่ผมไปงานจับมือครับ”

ตก? งานจับมือ? ศัพท์อะไรของมึงอีกวะนั่น ไอ้เหี้ยโอ๊ต กูงง แล้วคนอะไรชื่อคุณพระอาทิตย์เนี่ย

ผมได้แต่พยักหน้ากลับไปโดยไม่คิดจะถามอะไรต่อเพราะเกรงว่าจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืด แต่ก็นับว่าการที่ไอ้โอ๊ตสามารถหันกลับมามองสาวในชีวิตจริงได้หลังจากที่ชอบแต่สาวสองมิติจากพวกการ์ตูนต่างๆ ได้นี่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีอย่างหนึ่งก็ได้ล่ะมั้งนะ

“เอ่อ แล้วสรุปพวกเราจะเอายังไงกันต่อดีครับ”
ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามขึ้นมา พวกผมหันมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองบรรยากาศรอบตัวแล้วจึงหันกลับมามองหน้ายิ้มให้กันอีกรอบ
“ก็สนุกไปกับปาร์ตี้สิวะ”
พูดจบ ผมดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วใส่รองเท้าแตะ พลางหันไปมองรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังสนุกสนานกับเทศกาลในค่ำคืนนี้ ในขณะที่ทั้งแบงค์ ไอ้น้องไนท์ รวมไปถึงไอ้โอ๊ตเองเมื่อได้ยินคำตอบนั้นก็ต่างหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นตามผมออกมา

ฟูลมูนปาร์ตี้จ๋า พี่มาแล้วว้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


และก็คงจะจริงอย่างที่ใครๆ ต่างก็เคยพูดเอาไว้ว่า เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ เพราะเผลอแค่แป๊บเดียวก็พบว่าเวลาในตอนนี้นั้นเลยเที่ยงคืนมากว่าสองชั่วโมงเศษๆ ได้แล้ว ซึ่งก็คิดว่าเป็นเวลาที่พวกผมสมควรจะกลับที่พักกันได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกสนุกสนานอยู่กับเทศกาลบนหาดริ้นที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลักหมื่นก็ตามที

แต่ว่าพวกเราก็ยังกลับกันไม่ได้ เพราะทั้งไอ้เต้ยและไอ้ยีสต์ต่างก็ยังไม่กลับมา และการที่จะกลับที่พักโดยทิ้งเพื่อนทิ้งสองเอาไว้ก็คงดูจะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก ผมจึงพยายามที่จะโทรหาเพื่อติดต่อทั้งสองซึ่งก็ใช้เวลาอยู่นานมากพอสมควรกว่าที่ไอ้ยีสต์จะรับสายจากผม โดยที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นั่งอยู่แถวๆ นี้กับไอ้เต้ยไม่ต้องตามหา พวกผมเมื่อลงความเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้จึงปล่อยไปตามนั้นแล้วพากันกลับที่พัก โดยที่ไอ้โอ๊ตและแบงค์รับหน้าที่เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์เพราะทั้งสองไม่ได้แตะต้องแอลกอฮอล์เลยสักหยด ในขณะที่ผมและไอ้น้องไนท์นั้นซัดไปเต็มที่ ถึงแม้แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปจะไม่ได้แรงมากมายอะไรนักเพราะยังขยาดจากตอนไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะ แต่ก็ถือว่าทำเอามึนๆ ได้อยู่เหมือนกัน
แต่ถึงกระนั้นภาพของพระจันทร์เต็มดวงที่มองจากชายหาดแห่งนี้ก็ยังคงดูชัดเจน และจะคงอยู่ในความทรงจำของผมไปอีกนานแสนนาน

“กูอาบน้ำเสร็จแล้วนะ จะอาบต่อเลยปะ อ้าว เขียนไดอารี่อยู่เหรอวะ”
ผมเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นแบงค์กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างขยุกขยิกอยู่ที่โต๊ะมุมห้อง

“ครับ ใกล้เสร็จละ นันท์ง่วงหรือยังครับ”
ผมพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไปเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากแบงค์ ก่อนที่จะเดินเข้าไปโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง พร้อมกับเอาคางเกยไว้ที่ไหล่ของเจ้าตัวเบาๆ

“เมารึเปล่าครับเนี่ย”
“แค่มึนๆ บ่ถึงขั้นเมา”
“งั้นจะอ้อนอะไรอีกล่ะครับเนี่ย”
แบงค์หันมาถามพร้อมกับยกมือมาลูบหัวผมเบาๆ ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอนหัวไปพิงกับหัวของแบงค์

   “สักวันนึงมึงกับกูจะมีทะเลาะกันแบบนั้นมั่งรึเปล่าวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจอยู่พอสมควร แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะดึงตัวผมออกจากไหล่ แล้วหมุนเก้าอี้หันหน้ามายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นพร้อมกับจับมือผมเอาไว้แน่น

   “ตอบตามความเป็นจริงเลยนะครับ มีแน่นอนครับ”
   “อ้าว ไอ้สัส ไหงงั้นวะ”
   ผมเลิกคิ้วสูงสบถถามกลับไป แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะอมยิ้มแล้วจึงยกมือมาลูบหัวของผมอีกรอบ

   “คนเป็นแฟนกัน มันก็เหมือนลิ้นกับฟันนั่นล่ะครับ มันก็อาจจะมีเรื่องที่จะต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง”
   “ก็กูกลัวนี่หว่า”
   ผมยังคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่สบายใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น

   “กลัวอะไรครับ”
   “ก็การทะเลาะกัน มันอาจจะเป็นต้นเหตุให้เราต้องเลิกกันยังไงล่ะวะ ยิ่งกูเห็นหลายคู่พอเลิกกันแล้วเสือกกลับมาเป็นเพื่อนกันบ่ได้ พอคิดแบบนั้นแล้วมัน...”
   “โอ๊ย คิดมากน่ะครับ ลองมองดูรอบๆ ตัวสิครับ อ่ะ ไม่ต้องไปไหนไกล พ่อแม่ของนันท์นั่นยังไงล่ะครับ”
   แบงค์พยายามที่จะอธิบายให้ผมเข้าใจ

   “ขนาดท่านเป็นผู้ชายจริงผู้หญิงแท้มีลูกน่ารักๆ อย่างนันท์แล้วแท้ๆ แต่เขายังเลิกกันได้เลย”
   “พูดแบบนี้แสดงว่ามึงบ่รู้สึกอะหยังเลยเหรอวะ ถ้าวันนึงมึงกับกูต้องเลิกกัน”
   เหี้ยเอ้ย นี่กูกำลังพูดอะไรออกไปวะ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเปล่าเนี่ย ถึงทำให้ผมรู้สึกเดือดดาลให้กับคำพูดที่ดูไม่สะทกสะท้านของอีกฝ่าย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดูจะไม่พอใจของผมก็ก้มหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

   แม่งเอ้ย ไม่ทันไรก็ทำท่าจะทะเลาะกันเสียแล้วรึเปล่าวะเนี่ย

   ในจังหวะที่ผมกำลังจะเข้าสู่อาการจิตตกนั้นเอง ...

   “แล้ววันนี้เรายังคบกันอยู่รึเปล่าล่ะครับ”
   แบงค์ก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามออกมาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูนุ่มนวลพลางใช้ฝ่ามือหนาของตนปัดเส้นผมที่ปิดหน้าผากของผมอยู่ให้ขึ้นไปด้านบน

   “มันก็ใช่ แต่...”
   “ทำวันนี้ที่เรายังรักกันให้ดีที่สุดดีกว่าเถอะครับ อนาคตมันจะเป็นยังไง มันก็อยู่ที่วันนี้เราปฏิบัติต่อกันอย่างไรไม่ใช่เหรอครับ”
   นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตว่ะ เพียงแต่วันนี้ที่กูกับมันเป็นแฟนกัน กูก็จะขอทำให้มันดีที่สุด เท่าที่คนป้ำๆ เป๋อๆ อย่างกูจะทำได้ล่ะนะ

   “......”
   คำพูดนั้นของแบงค์ทำเอาผมหวนคิดถึงคำพูดของตัวผมเองที่เพิ่งบอกกับไอ้น้องไนท์ไปเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้

   “......”
   “มึง”
   “ครับ”
   “กูขอโทษว่ะ ที่กูพูดอะหยังงี่เง่าเมื่อกี๊ออกไป”
   ผมเอ่ยขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า แบงค์หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือมาบีบจมูกของผมเล่น

   “คิดมากน่ะครับ มองในแง่ดี บางทีการที่เราทะเลาะกันบ้าง ผิดใจกันบ้าง แต่นั่นมันก็เพราะว่าเรายังรักกันอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
   “......”

   “ความรักมันก็คือการเรียนรู้ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ นี่เราก็เพิ่งเริ่มคบกันได้ไม่นาน ยังมีอีกหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เราต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยังมีสิ่งที่ผมต้องยอมปรับตัวเพื่อนันท์ สิ่งที่นันท์ต้องยอมปรับตัวเพื่อผม สิ่งที่ผมต้องยอมรับในตัวนันท์ สิ่งที่นันท์ต้องยอมรับในตัวผม เราอาจจะทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วเราจะเรียนรู้และผ่านมันไปด้วยกันให้ได้”

   “......”
“โอเคมั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบโต้อะไรกลับไป

“มึง”
“ครับ”
“ขอบคุณนะ รักมึงที่สุดเลยว่ะ”
“รักนันท์เหมือนกันครับ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ จะได้เข้านอนกันสักที พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าด้วย”
   ผมมองแผ่นหลังของแบงค์ที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับหันมามองสมุดไดอารี่ของแบงค์ที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่านแต่อย่างใด เพราะคำพูดและรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของแบงค์นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

   อนาคตอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะดี จะร้าย จะสุข จะเศร้าเพียงใด

   แต่สิ่งที่ผมทำได้ในวันนี้ คือเชื่อมั่นในวันนี้ที่เรายังมีกัน และทำมันให้ดีที่สุด

   เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้ไม่เสียใจ หากมันเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นก็ตามที


จบคาบเรียนที่สามสิบห้า

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่สามสิบหก

    เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า “เวลาคู่รักเขาทะเลาะกัน อย่าได้คิดเข้าไปยุ่งเป็นอันเด็ดขาด เพราะไม่นานเดี๋ยวเขาก็ดีกัน แล้วเราจะกลายเป็นหมาหัวเน่า”

บางทีคำพูดนั้นมันก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่เขากล่าวเอาไว้จริงๆ ก็เป็นได้แฮะ

“ไอ้เต้ย กูอยากไปเที่ยวเกาะนางยวนว่ะ”
“มาบอกอะหยังตอนนี้วะ จะกลับเชียงใหม่กันอยู่แล้วเนี่ย”
นั่นคือบทสนทนาแรกที่ผมได้ยินทันทีที่ผมกับแบงค์ขนสัมภาระมาถึงบริเวณแผนกต้อนรับ พร้อมกับภาพไอ้ยีสต์ที่กำลังนอนหนุนตักไอ้เต้ยและเล่นเกมในมือถือไปพลาง ในขณะที่ไอ้เต้ยเองก็กำลังจ้องมองไอ้ยีสต์ด้วยสีหน้าที่อมยิ้มเล็กน้อยอย่างมีความสุขพร้อมกับใช้ฝ่ามือของตัวเองลูบเส้นผมของไอ้ยีสต์เบาๆ

“เออๆ เดี๋ยวไว้รอบหน้า กูค่อยพามึงมาอีกรอบละกัน”
“สัญญากับกูแล้ว ห้ามโกหกกูนะเฮ้ย”
“เออ ถ้ามึงบ่ทำตัวเหี้ยๆ อีก กูก็บ่โกหกมึงหรอก”
เหี้ย ช่างเป็นภาพและบทสนทนาที่ชวนให้ขนลุกรับอรุณยามเช้าฉิบหาย

“พวกมึงสองตัวนี่ก็คืนดีกันเร็วจังนะ ทีเมื่อคืนยังทะเลาะกันเย้วๆ อยู่เลยแท้ๆ”
ผมเอ่ยแซวออกไป พร้อมกับวางกระเป๋าสะพายไว้ข้างๆ โซฟาที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ ไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินผมเอ่ยเช่นนั้นก็ต่างนิ่งเงียบพร้อมกับมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสีหน้าสงสัย

“พวกกูสองคนเนี่ยนะทะเลาะกัน”
ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยคำถาม ทำเอาผมถึงกับเลิกคิ้วสูงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“เอ้า ก็เมื่อคืนพวกมึง...”
“ก็กูปวดเยี่ยวไง ก็แค่นั้น”
ไอ้เต้ยชิงตอบกลับมาโดยไม่เปิดจังหวะให้ผมได้พูดจบ

“แต่...”
“เออ กูก็ปวดเยี่ยวเหมือนกัน ก็เลยตามไอ้เต้ยไปด้วย ก็แค่นั้น ใช่ปะวะ”
ทั้งไอ้ยีสต์และไอ้เต้ยต่างพยักหน้าสนับสนุนคำพูดให้กันและกัน ผมเองถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกและพยายามคิดหาคำเพื่อที่จะเถียงต่อ แต่ก็โดนแบงค์จับไหล่เบาๆ ปรามเอาไว้

“ว่าแต่มึงเหอะ มาเที่ยวเกาะพะงันนี่ ถึงสวรรค์กันรึยังวะ”
“สวรรค์ ? สวรรค์เหี้ยอะหยังวะ”
ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงให้กับคำถามนั้นของไอ้เต้ย

“ไอ้เต้ยมันหมายถึง มึงกับไอ้แบงค์ได้เสียกันรึยังน่ะ”
พร่วดดดดดดดดดดดดดดดดด
ผมถึงกับสำลักนำลายในคอทันทีที่ได้ยินไอ้ยีสต์มันพูดเช่นนั้น

“เมื่อเช้าก็เกือบแล้วล่ะครับ แต่นันท์เขา...โอ๊ย!!!”
ผมรีบเอาข้อศอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงของแบงค์ด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับหันไปขมวดคิ้วทำหน้าดุใส่แบงค์

“ว่าแต่ไอ้โอ๊ตกับไอ้น้องไนท์มันยังบ่ลงมาอีกเหรอวะ”
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเอ่ยถามถึงทั้งสองพร้อมกับหันไปมองรอบๆ บริเวณ

“กำลังจะลงมา เห็นว่าไอ้ไนท์มันตื่นสายน่ะ”
ไอ้เต้ยตอบคำถามผมด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะก้มลงไปลูบหัวไอ้ยีสต์ที่กำลังเล่นมือถือต่อด้วยความสบายใจ

หลังจากที่พวกเราทั้งหมดเช็คเอาท์กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องเดินทางกลับกันเสียที

เฮ้อ นี่สินะ ที่เขาเรียกว่า เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านพ้นไปไวเสมอ ยังรู้สึกอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยยังไงไม่รู้ แต่เมื่อดูเงินในกระเป๋าแล้ว คงถึงเวลาต้องกลับจริงๆ แล้วล่ะ

ลาก่อนนะ เกาะพะงัน สัญญาว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาเที่ยวอีก


หลังจากที่เดินทางกลับมาถึงเชียงใหม่ พวกเราทั้งสี่ก็แยกย้ายกลับกันบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย

ครับ ทั้งสี่ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ซึ่งได้แก่ ผม แบงค์ ไอ้โอ๊ต แล้วก็ไอ้น้องไนท์ ส่วนอีกสองตัวที่เหลือ ซึ่งก็คือไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์ มันขอแยกตัวออกไปตั้งแต่ที่กรุงเทพฯ แล้วล่ะครับ เห็นไอ้เต้ยบอกว่าจะพาไอ้ยีสต์ไปเที่ยวสยามตามความต้องการของไอ้ยีสต์มันน่ะครับ

ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ...!!!

“อ้าว แม่บ่อยู่อีกแล้วเหรอวะเนี่ย”
ผมเอ่ยกับตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นประตูรั้วถูกล็อกเอาไว้ ซึ่งเอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากหรอกครับ ถือเป็นเรื่องปกติเสียด้วยซ้ำ ดีนะที่พกกุญแจสำรองเอาไว้ด้วย ไม่งั้นมีหวังได้ไปนอนห้องแบงค์แน่ๆ

“นันท์ครับ เดี๋ยวผมจะเอาของฝากไปให้เจ๊บัว แล้วหลังจากนั้นก็จะไปอ่างแก้วด้วยน่ะครับ จะไปด้วยกันมั้ยหรือจะพักผ่อนก่อน”
แบงค์เอ่ยถามผมที่กำลังล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋าสะพายออกมา

“ไปอ่างแก้วทำไมวะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัยก่อนที่จะไขกุญแจประตูรั้วกั้นออก แต่ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ กลับมานอกจากรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นแต่แฝงไว้ด้วยความกวนเล็กๆ

“งั้นเดี๋ยวกูเอาของเข้าไปไว้ก่อนละกัน”
“ครับ เช่นเดียวกัน”
เฮ้อ ให้ตายสิ แพ้รอยยิ้มนั้นทุกทีสิกูเนี่ย


“มินิคาเฟ่ สวัสดีค่า....อ่ะอ้าว นันท์กับแบงค์นี่เอง”
เจ๊บัวเอ่ยทักทายด้วยความรวดเร็วทันทีที่พวกเราทั้งสองเดินเข้ามาในร้าน ผมยกมือขึ้นไหว้ทักทายเจ๊บัวที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่กลับไป

“เอานี่ ของฝากของเจ๊”
แบงค์หยิบถุงใบใหญ่ขึ้นวางบนเคาเตอร์ก่อนที่จะเดินเข้าไปหยิบแก้วน้ำตรงบริเวณด้านใน

“อ๊ะ ขอบใจมากๆ นะแบงค์ น่ารักที่สุดเลย อยากกินมานานแล้ว แต่หาที่เชียงใหม่ไม่ได้เลย”
“มันคืออะหยังเหรอครับ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่เห็นท่าทีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ของเจ๊บัว

“ลูกเนียงจ๊ะ เคยกินมั้ย”
ผมส่ายหัวทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นของเจ๊บัว
ลูกเนียง? อย่าว่าแต่กินเลย แค่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนแท้ๆ

“เอ้อ ว่าแต่ลูกค้าเยอะมั้ยอ่ะเจ๊”
แบงค์เอ่ยถามพร้อมกับรินน้ำใส่แก้วก่อนที่จะตั้งลงบนโต๊ะยื่นมาทางผม

“ก็เรื่อยๆ นะ ทำไมเหรอ เป็นห่วงเจ๊งั้นอ่ะดิ”
“ถึกอย่างเจ๊เนี่ยนะ มีอะไรต้องให้ผมเป็นห่วงด้วย”
เจ๊บัวขมวดคิ้วหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินแบงค์ตอบเช่นนั้น

“พูดมากน่ะ ว่าแต่นันท์ล่ะ เป็นยังไงมั่ง ไปเที่ยวมาสนุกมั้ย”
เจ๊บัวหันมาถามผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมอมยิ้มพร้อมกับพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบก่อนที่จะยกแก้วน้ำขึ้นมาทำท่าจะดื่ม

“โดนแบงค์เขาทำอะไรบ้างรึเปล่าน่ะ”
พร่วด!!!!!!
ผมเกิดอาการสำลักน้ำขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเจ๊บัวถามเช่นนั้น

“หือ อาการแบบนี้อย่าบอกนะว่า...”
“ก็แค่เกือบๆ อ่ะเจ๊ แต่นันท์เขา...โอ๊ย!!!”
ผมรีบปล่อยหมัดตรงใส่แขนของแบงค์เข้าอย่างจัง เจ๊บัวเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของพวกผมก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะอมยิ้มหัวเราะออกมาเบาๆ

ให้ตายสิ แต่ละคนเนี่ย

หลังจากที่เอาของฝากมาให้เจ๊บัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งผมและแบงค์ก็มุ่งหน้าไปยังอ่างแก้วซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อทันที

“จะว่าไปก็บ่ได้มานานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่มึงจะมาทำอะหยังที่นี่วะ”
ผมเอ่ยถามออกไปพร้อมกับหันกลับไปมองดอยสุเทพที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก่อนจะสูดอากาศยามเย็นให้เต็มปอด

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่นึกครึ้มอยากมาก็แค่นั้นเองน่ะครับ”
“ห๊ะ”
ผมหันกลับไปหรี่ตามองแบงค์ทันทีด้วยความงุนงง แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็อมยิ้มหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ

“ก็มันเป็นที่ๆ นันท์เคยพาผมมาตอนที่ผมอกหักครั้งนั้นยังไงล่ะครับ”
แบงค์หันมองทอดยาวไปยังดอยสุเทพซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่างแก้วทันทีที่พูดจบ

นั่นสิ จะว่าไปไอ้คำว่า ไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานแล้ว มันก็คงตั้งแต่วันนั้นนั่นล่ะ วันที่แบงค์อกหักจากแฟนเก่า ผมจึงพาเขามาที่นี่เพราะคิดว่ามันน่าจะพอช่วยให้แบงค์ในตอนนั้นรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง และนั่นก็นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างเราทั้งสองเลยก็ว่าได้

“นึกถึงแฟนเก่าขึ้นมาอย่างงั้นเหรอวะ”
ประโยคคำถามนั้นของผม ทำเอาแบงค์ถึงกับหันมาเลิกคิ้วสูงมองผมด้วยสีหน้าสงสัยทันที

“ใครบอกล่ะครับ ผมอยากมาเพราะมันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเราสองคนต่างหากครับ”
พูดจบแบงค์ก็หยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาพร้อมกับถ่ายรูปดอยสุเทพยามเย็นที่อยู่เบื้องหน้า ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปมองรอบๆ บริเวณที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน

ความทรงจำอย่างนั้นเหรอ

จริงสิ นอกจากสถานที่แห่งนี้จะเป็นความทรงจำของใครหลายๆ คนแล้ว ก็ยังนับได้ว่าเป็นสถานที่ในความทรงจำของเราสองคนอีกด้วย ผมยังจำแสงแดดที่ส่องลอดก้อนเมฆลงมาและสายลมยามเย็นที่พัดผ่านของช่วงฤดูร้อนที่กำลังคาบเกี่ยวเปลี่ยนไปยังฤดูฝนในวันนั้นของเมื่อปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี

“ยังจำได้ใช่มั้ยครับ เมื่อวันก่อนที่นันท์ถามผมว่าต่อไปเราจะมีเรื่องให้ทะเลาะกันรึเปล่า”
ผมพยักหน้าทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ก้มลงไปมองหน้าจอมือถือเพื่อสไลด์เหมือนหาอะไรบางอย่างในนั้น

“ยังจำรูปนี้ได้ใช่มั้ยครับ”
แบงค์ถามพร้อมกับยื่นมือถือของตัวเองมาให้ ผมรับมันมาพร้อมกับก้มมองยังหน้าจอมือถืออย่างรวดเร็ว
 
“จำได้สิ ก็กูเป็นคนถ่ายรูปนี้ให้มึงเอง ทำไมจะจำบ่ได้”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับยื่นมือถือส่งคืนให้แบงค์

“คำตอบสำหรับคำถามนั้นก็ยังคงเดิมครับ”
“อ้าว แล้วมึงจะถามเพื่อ...?”
ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แบงค์หัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าไปมองยังดอยสุเทพอีกครั้ง

“นั่นล่ะครับ อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่อาจจะรู้ได้ แต่สิ่งนึงที่ผมอยากให้นันท์คิดเอาไว้เสมอนะครับ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยากให้นันท์คิดถึงสถานที่แห่งนี้ คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นของเราให้ดีๆ”
แบงค์หันมายิ้มให้ผมทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ

“อีกอย่างนึงยังจำคำถามที่นันท์เคยถามผมเอาไว้ว่าสถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกนี้อยู่ที่ไหนได้ใช่มั้ยครับ”
ผมพยักหน้าให้กับคำถามนั้นของอีกฝ่าย

“จำได้สิ อย่าบอกนะว่ามึงจะตอบว่าอ่างแก้ว”
“เปล่าครับ ไม่ใช่”

“อ้าว ไหงงั้น อะหยังของมึงเนี่ย”
ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่ แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็อมยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เหมือนทุกครั้ง

“สำหรับผมไม่ว่าที่ไหน ก็สวยงามทั้งนั้นล่ะครับ ขอเพียงแค่มีนันท์อยู่ด้วยข้างๆ ...”

“......”
“......”
ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จนได้ยินเสียงกิ่งไม้ที่โดนสายลมยามเย็นพัดไหวและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนรอบข้างกำลังเดินผ่านไปมา

“มึง”
“ครับ”

“ถ้ากูจะบอกว่า...”
“ก็คิดไว้อยู่ก่อนแล้วน่ะครับ ว่าต้องโดนด่าว่ามุกแป๊กแน่ๆ”
แบงค์ชิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเจื่อนๆ เล็กน้อย ผมเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เปล่า กูจะบอกว่ามุกนี้ให้ผ่านว่ะ เฮ้ย เดี๋ยวๆ”
ทันทีที่ผมเอ่ยออกไปเช่นนั้น แบงค์ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีพร้อมกับกอดผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเอาไว้แน่นโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างที่กำลังหันมาจ้องมองด้วยความสงสัย

“รักนันท์มากๆ นะครับ”
แบงค์เอ่ยออกมาเบาๆ ข้างใบหูของผม ถึงแม้จะรู้สึกอายอยู่บ้าง ทว่ามันกลับทำให้หัวใจของผมรู้สึกพองโตอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกมากกว่า

ก็อาจจะจริงอย่างที่แบงค์บอกเอาไว้จริงๆ ก็เป็นได้ ว่าสถานที่ที่สวยงามในโลกนี้อาจจะมีมากมาย ซึ่งคงยากที่จะตอบว่าที่ใดสวยงามที่สุด

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้สถานที่แห่งนั้นสวยงามมากแค่ไหน แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดล่ะหากเราไปถึงแต่ไร้ซึ่งคนสำคัญอยู่เคียงข้าง

หากแบงค์บอกว่าทุกที่ๆ มีผมอยู่เคียงข้าง คือสถานที่ที่สวยงามที่สุด ผมเองก็คงจะตอบเช่นนั้นเหมือนกัน

หากหินก้อนนั้นคือแบงค์ที่เดียวดาย ผมเองก็พร้อมที่จะเป็นหินอีกก้อนที่จะอยู่เคียงข้างเขา

มีคนเคยเปรียบเปรยเอาไว้ว่า ความรักของคนสองคน มันก็เปรียบเสมือนการเดินทาง ที่ทั้งสองต่างก็ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากแค่ไหน จะต้องพบเจออุปสรรคปัญหาหนักสักเพียงใด

แต่หากคนเคียงข้างผมคือแบงค์คนนี้ ชายที่กำลังโอบกอดผมเอาไว้ด้วยความรักที่แสนจะอบอุ่น ผมเองก็พร้อมที่จะร่วมทางไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน

“มึง”
“ครับ”

“รักมึงนะ รักเสมอ และจะรักตลอดไป...”


จบคาบเรียนที่ 36

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
   คาบพิเศษ 1

   “แถวนี้ทำเลดีนะครับ”
   ใช่ แบงค์เคยพูดเอาไว้อย่างนั้น แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า อีกฝ่ายจะถึงขั้นย้ายหอที่เคยอยู่ใกล้โรงเรียนชนิดที่เดินไปกลับก็ยังใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีแท้ๆ มาอยู่ใกล้บ้านของผมที่อยู่ห่างจากโรงเรียน ที่ถึงแม้จะขี่รถจักรยานยนต์แล้วก็ยังใช้เวลาเกือบๆ ยี่สิบนาทีเลยก็ตามทีเถอะ

   เพียงเพื่อให้ได้มาอยู่ใกล้ๆ ผม

   เรื่องของเรื่อง จุดเริ่มต้นของคำพูดนั้น มันก็มาจากเทศกาลยี่เป็ง หรือเทศกาลลอยกระทง ซึ่งก็เป็นช่วงที่เราสองคนยังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยนั่นล่ะครับ

   เหี้ย พอพูดคำว่าแฟนแล้วไหงเขินขึ้นมาเองวะเนี่ย


   ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ช่วงนั้น

   หากจะพูดถึงเทศกาลลอยกระทงแล้ว เพื่อนๆ นึกถึงอะไรกันครับ ก็คิดว่าคงจะมีคำตอบที่หลากหลายอยู่ในใจใช่มั้ยครับ สำหรับผมน่ะเหรอ ก็จะว่ายังไงดีล่ะ เรียกว่ายังไงก็ได้ล่ะมั้ง ไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไรกับเทศกาลนี้มากนักหรอก ปีไหนมีคนชวนไปลอยก็ไป ปีไหนไม่มีก็นอนอยู่บ้านไม่ก็นั่งเล่นเกมอยู่กับบ้านตามปกติ ซึ่งถ้าจะพูดกับตามความเป็นจริงแล้ว ผมค่อนข้างที่จะชอบสงกรานต์กับปีใหม่มากกว่าแฮะ

   ส่วนปีนี้นั้นตอนแรกก็คิดว่าคงจะนั่งโง่ๆ เล่นเกมอยู่บ้านเหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมานั่นล่ะ เพราะกลุ่มเพื่อนๆ ของผมก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจอะไรกับเทศกาลนี้มากนักอยู่แล้ว ต่างฝ่ายจึงต่างไม่ชวนกันซะงั้น

   จนกระทั่ง...

   “วันนี้ลอยกระทงวันสุดท้าย เราไปลอยกระทงด้วยกันมั้ยครับ”
   ดูเหมือนว่าคงจะต้องเปลี่ยนแผนเสียแล้วแฮะ พอได้ยินคำเอ่ยชวนของคนตัวสูงที่กำลังขยับแว่นหนาแบบนี้เนี่ย

   
   “จะไปลอยกระทงกันเหรอจ๊ะ”
   เจ๊บัวเอ่ยถามผมในขณะที่ผมกำลังนั่งรอแบงค์ที่ร้านของเจ๊บัวซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมกับแบงค์ตกลงนัดเจอกัน ผมยิ้มพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ เจ๊บัวยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมพร้อมกับนำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นของโปรดมาเสิร์ฟให้ผม บรรยากาศรอบตัวในค่ำคืนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากวันอื่นๆ อยู่พอสมควร มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนมากันเป็นคู่ดูมีความสุขจนบางทีก็รู้สึกหมั่นไส้ยังไงก็ไม่รู้ ดูสวีทหวานแหวว แล้วกูล่ะ น่าหมั่นไส้จนอยากจะสาปแช่งเสียเหลือเกิน

   อืมมม กูนี่ชักจะเป็นตัวโกงขึ้นทุกวันๆ แล้วแฮะ นอกจากจะไม่หล่อ ไม่สูง หัวสมองทึบแล้วยังเสือกจิตใจเลวทรามอีก ฮ่าฮ่าฮ่า

   ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือที่กำลังบอกเวลาว่าอีกไม่นานก็จะสามทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่ผมกับแบงค์นัดเจอกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่เคยมาผิดเวลาจริงๆ

   “มึงนี่แต่งตัวธรรมดามากเลยว่ะ”
   ผมเอ่ยแซวแบงค์ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูร้านมินิคาเฟ่ของเจ๊บัวเข้ามา โดยที่ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าการแต่งตัวของตัวเองนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะแบงค์นั้นใส่เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีดำและรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ ในขณะที่ผมนั้นใส่เสื้อกีฬาสีส้มที่มีตราโรงเรียนตัวโตเต็มหลังชนิดที่ว่าใครเห็นก็จะรู้ได้ทันทีว่าคนใส่นั้นเรียนอยู่โรงเรียนอะไรโดยที่ไม่ต้องป่าวประกาศกับกางเกงบอลสีดำและรองเท้าแตะหนีบช้างดาวอย่างง่ายๆ

   แบงค์ยิ้มหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำแซวนั้นพร้อมกับเดินเข้ามายีหัวผมเบาๆ

   “แบงค์กินอะหยังมารึยังน่ะเรา”
   เจ๊บัวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่คนถูกถามก็ส่ายหัวพร้อมยิ้มกลับไปเป็นคำตอบ

   “รีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะดึกมากกว่านี้”
   “แหมๆ รีบพาหนูนันท์ออกไปแบบนี้ มีเป้าหมายอะหยังสำหรับคืนนี้รึเปล่าจ๊ะ”
   “บ้าน่ะ เจ๊พูดอะหยังของเจ๊เนี่ย ไปกันเถอะครับนันท์ อย่าไปฟังคนเพี้ยนๆ แถวนี้เลย”
   คนถูกแซวเอ่ยชวนผมด้วยท่าทีเร่งรีบ ผมเองจึงรีบจัดการสตรอว์เบอร์รี่ปั่นด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะหยิบเงินยื่นจ่าย เจ๊บัวรับเงินจำนวนนั้นไปพลางมองผมด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กน้อยซึ่งก็สร้างความสงสัยให้กับผมอยู่พอสมควร

   “คืนนี้ระวังให้ดีนะจ๊ะ”
   “ระวังอะหยังเหรอครับ เจ๊”
   ผมเลิกคิ้วสูงถามกลับไปด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดกระซิบนั้นของเจ๊บัว

   “ระวังแบงค์เขาจะทำอะหยังบ่ดีบ่ร้ายเอาน่ะ”
   ผมหันหลังกลับไปมองยังคนถูกพาดพิงที่ตอนนี้กำลังเซ็ตกล้องถ่ายรูปตัวโปรดของตัวเองอยู่หน้าร้านก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าเจ๊บัวด้วยความสงสัย

   “ยังไงอะเจ๊”
   ผมเลิกคิ้วสูงกว่าเดิมถามกลับไปด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่รอยยิ้มอย่างมีเลศนัยจากเจ๊บัว   

   สงสัยจะเพี้ยนอย่างที่แบงค์บอกจริงๆ แฮะ
   

   “คุยอะไรกันน่ะครับ”
   อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่ผมเปิดประตูร้านออกมา

   “นิดหน่อยน่ะ ช่างเถอะ บ่มีหยัง”
   “งั้นเอาเป็นว่ารีบๆ ไปกันดีกว่าเดี๋ยวจะดึกมากกว่านี้น่ะครับ”
   เจ้าตัวยีหัวผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินนำหน้าผมไปยังลานจอดรถโดยที่มีผมเดินตามหลังด้วยความสงสัย กูว่าไม่ใช่แค่เจ๊บัวคนเดียวแล้วล่ะที่แปลก แต่ช่างแม่งเหอะ คิดมากเดี๋ยวสมองจะฝ่อ

   “ว่าแต่จะไปไหนก่อนดีครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถาม ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เออ นั่นสิ ไปไหนดีวะ ปกติก็มีแต่ติดสอยห้อยท้ายเขาไปตลอดนี่หว่า

   “ไปที่สามกษัตริย์ก่อนดีมั้ยวะ”
   “อ๋อ โอเค ได้ครับ”
   อีกฝ่ายตอบตกลงพร้อมกับส่งหมวกกันน็อกมาให้

   
   พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ หรือที่มักเรียกกันว่า อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทยสามพระองค์ ผู้สร้างเวียงเชียงใหม่ คือ พญามังราย พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงมหาราชตั้งอยู่กลางเวียงเชียงใหม่ บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ด้านหน้าติดกับถนนพระปกเกล้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของถนนคนเดินท่าแพที่จะจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ บริเวณนี้เองถือเป็นศูนย์กลางของตัวเมืองเชียงใหม่ หน้าอนุสาวรีย์มีลานกว้างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดรวมตัวกันทำกิจกรรมมากมายของผู้คน โดยเฉพาะช่วงนี้เกมโปเกม่อนโกกำลังดัง เลยมักจะเห็นผู้คนมากมายมาไล่ตามจับโปเกม่อนเยอะเป็นพิเศษ

   และในทุกๆ ปีเทศกาลลอยกระทงของเชียงใหม่นั้นจะจัดขึ้นเป็นระยะเวลาสามวัน ซึ่งในแต่ละวันและแต่ละสถานที่ก็จะจัดกิจกรรมที่แตกต่างกันไปเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากชาวไทยและต่างชาติให้มาเยี่ยมเยียนกัน อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ก็จะมีเทศกาล “งานมหัศจรรย์โคมไฟแสงสีแห่งรัตติกาลยี่เป็ง”  ซึ่งจะเป็นการนำโคมไฟยี่เป็งสีสันสวยงามต่างๆ มาจัดเรียงกัน ถือได้ว่าเป็นแลนมาร์คอย่างหนึ่งของเชียงใหม่ในเทศกาลลอยกระทงที่ใครมาถึงเชียงใหม่ต้องแวะมาถ่ายรูป ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกที่จะมายังที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรกซึ่งก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกมาที่นี่ เพราะดูว่าคนตัวสูงในแว่นหนาจะถูกอกถูกใจเป็นพิเศษ

   “สวยจริงๆ เลยนะครับเนี่ย”
   ผมหันไปมองยังเจ้าของคำพูดนั้นที่ตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด

   “ได้ข่าวว่าหอมึงอยู่แถวนี้บ่ใช่เหรอ บ่เคยเห็นเหรอวะ”
   อีกฝ่ายส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ

   “เคยเห็นแค่ตอนกลางวันน่ะครับ อีกอย่างปกติถ้าค่ำแล้วผมก็ไม่ค่อยออกไปไหนแล้วด้วย”
   เป็นเด็กดีมากเลยนะมึง เมื่อเทียบกับกูเนี่ย

   “อ้าว ถ้างั้นวันนี้มึงนึกไงถึงชวนออกกูมาล่ะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปในขณะที่มือก็ซุกอยู่ในเสื้อกีฬาเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นกว่าที่คิดเอาไว้ แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “ไม่บอกครับ”
   นั่นคือคำตอบที่ออกมาจากปากของอีกฝั่ง เป็นคำตอบที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดต่อสมองของผมเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจะว่าไปพอลองมาคิดดูดีๆ เหมือนไอ้โอ๊ตจะเคยบอกว่าแบงค์เป็นคนแปลกๆ ผมก็คิดว่าพอจะเข้าใจคำพูดนั้นของไอ้โอ๊ตขึ้นมาบ้างละ

   “หนาวเหรอครับ”
   ผมพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากอีกฝั่ง

   “งั้นรอตรงนี้แป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมมา”
   ทันทีที่พูดจบ แบงค์ก็เร่งฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งผมไว้คนเดียวท่ามกลางฝูงชนนักท่องเที่ยวมากมายโดยที่ผมไม่ทันจะได้เอ่ยถามอะไรเลยแม้แต่น้อย

   โดดเดี่ยวสิกู...

   ว่าแต่ไปไหนของเขาหว่า แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงมา รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน
   ผมเดินไปหาที่นั่งยังบริเวณใกล้ๆ ก่อนที่จะหยิบมือถือของตัวเองออกมาถ่ายรูปต่างๆ ทั้งโคมลอย บรรยากาศโดยรอบ รวมไปถึงรูปตัวเองเอาไว้เผื่อเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในเฟซบุ๊ก ฮ่าฮ่าฮ่า

   โครก~~~~~~~~~~~~~~~
   หิวอีกแล้ว อะไรเนี่ย เพิ่งจะกินข้าวเย็นไปเมื่อตอนหัวค่ำแท้ๆ เดินไปหาอะไรกินเล่นระหว่างรอแบงค์ดีกว่า อ๊ะ ทาโกยากิร้านนั้นดูน่าจะอร่อยดีแฮะ จัดไปสักหน่อยก็แล้วกัน

   “ป้าครับ ขอทาโกยากิชุดนึงครับ”
   “ซาวบาทเจ้า”
   อนึ่งคำว่า ซาว ในภาษาเหนือนั้นแปลว่า ยี่สิบ ผมจึงล้วงหยิบเงินจากกระเป๋ากางเกงยื่นจ่ายให้กับป้าเจ้าของร้านแล้วจึงเดินกลับมายังที่เดิมด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวจะคลาดสายตากันกับแบงค์ ทาโกยากิถูกจิ้มเข้าปากและด้วยความร้อนของมันก็ทำเอาผมถึงกับต้องเป่าปากฟู่ๆ ทันที อยากจะลุกขึ้นไปซื้อน้ำมาดับร้อนเหมือนกันนะ แต่ขี้เกียจแล้วว่ะ ขี้เกียจได้ทุกเรื่องจริงๆ เลยกูเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า

   พอมาลองสังเกตบรรยากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาดูดีๆ แล้ว ก็เริ่มชักจะรู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองนั้นคิดพลาดไปเหมือนกันแฮะ ที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเทศกาลนี้ อาจจะเพราะตอนเด็กๆ เกลียดเสียงประทัดที่ดังจนแสบแก้วหูก็เป็นได้ นี่ถ้าพวกไอ้โอ๊ต ไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์มาด้วยน่าจะสนุกกว่านี้นะ

   หือ? นั่นมัน ...
   ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั่นเอง สายตาก็พลันไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่คุ้นตา เอ ไม่สิ ต้องเรียกว่าบางคนน่าจะเหมาะกว่านะ และไอ้บางคนที่คุ้นตานั่นก็คือ ...

   ไอ้เหี้ยเต้ย กับ ไอ้สัสยีสต์...!!!

   ทั้งสองกำลังยืนไหว้อนุสาวรีย์สามกษัตริย์อยู่ ถึงแม้จะห่างจากจุดที่ผมกำลังนั่งอยู่พอสมควร แต่ผมก็คิดว่าสายตาของผมมองไม่พลาดแน่ๆ ต้องเป็นไอ้สองคนนั้นแน่นอน ฟันธง หนอย ไหนบอกว่าไม่ได้สนใจเทศกาลลอยกระทงยังไงล่ะวะ ที่ไอ้ที่ออกมาลันล้ากันอยู่นั่นมันอะไรกัน เหี้ยว่ะ แถมออกมายังไม่ชวนกูอีก ไอ้เลววว

   อ๊ะ ถ้าด่ามันก็เหมือนด่าตัวกูเองด้วยนี่สิ สัส ด่าต่อไม่ออกเลยกู เออช่างแม่งเหอะ

   ผมลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วเพื่อจะเดินเข้าไปทักทายไอ้เพื่อนทั้งสอง

   “ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานนะครับ”
   เสียงของแบงค์เอ่ยเรียกดึงความสนใจของผมให้หันกลับไปมอง

   “เอ้านี่ครับ ใส่ซะจะได้ไม่หนาว”
   แบงค์ยื่นเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลส่งมาให้ผม

   “อย่าบอกนะว่าที่มึงหายไปนี่คือไปเอาเสื้อกันหนาวมาให้กู”
   อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีนั้น

   “บ่ลงทุนไปหน่อยเหรอวะ”
   “ไม่หรอกครับ หอผมก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง แถมอีกอย่าง...”

   เจ้าตัวนิ่งเงียบไปก่อนที่จะก้มหน้าพร้อมกับเอามือเกาหัวตัวเองเบาๆ

   “ผมเป็น...เป็นห่วงด้วย...น่ะครับ กลัวนันท์...จะ...ไม่สบายน่ะครับ”
   พูดจบเจ้าตัวก็อมยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยายามที่จะยัดเยียดเสื้อกันหนาวตัวนั้นให้ผม

   “ข่ะ ขอบใจมึงนะ”
   ผมรับเสื้อกันหนาวตัวนั้นมาใส่ แต่เสื้อนี่ก็ใหญ่ฉิบหายตามขนาดของเจ้าของ พอผมใส่แล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กอนุบาลใส่เสื้อกันฝนที่ใหญ่เกินตัวด้วยความคิดที่ว่าซื้อเผื่อโตของแม่ยังไงยังงั้น

   ใจหนึ่งก็อยากจะถอดนะ เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้หนาวอะไรมากมายขนาดนั้น แต่พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายแล้วก็ถอดไม่ลงยังไงก็ไม่รู้แฮะ ก็เลยจำเป็นต้องใส่ต่อไป

   “เออ เมื่อกี้กูเห็นไอ้ยีสต์ กับไอ้เต้ยด้วยว่ะแม่ง แอบมาเที่ยวกันแบบบ่บอกบ่กล่าวกันเลย”
   “เหรอครับ อยู่ไหนล่ะครับ”
   อีกฝ่ายถามกลับมา ผมจึงหันไปชี้ยังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ทว่า...

   “อ่ะ อ้าว หายไปไหนซะแล้ววะ”
   ไม่อยู่แล้วครับ ไอ้สองตัวนั้นหายไปแล้ว หายไปไหนก็ไม่รู้

   “งั้นเดี๋ยวแป๊บนะ กูลองทักแชทไปหาพวกมันแป๊บ”
   “ไม่ต้องหรอกครับ”
   ผมหยิบมือถือออกมาด้วยความรวดเร็วแต่ทว่าก็โดนแบงค์จับข้อมือห้ามเอาไว้เสียก่อน ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

   “เขาอาจจะมีเหตุผลบางอย่างก็เป็นได้ก็เลยไม่ได้บอก...”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะยกมืออีกข้างขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ

   “เหมือนผมที่ก็มีเหตุผลของผมเหมือนกัน...”
   “ห๊ะ?”
   ผมย่นจมูกถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย

   “ช่างมันเถอะครับ ผมก็พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ เอาเป็นว่าเราไปลอยกระทงกันเลยดีกว่ามั้ย เดี๋ยวจะดึก พรุ่งนี้จะตื่นไปโรงเรียนสายนะครับ”
   แล้วแบงค์ก็หันหลังเดินนำผมไปยังที่จอดรถโดยที่สมองของผมยังคงมึนงงอยู่กับคำพูดและเรื่องราวเมื่อครู่ อะไรของแบงค์เขาวะ งงวุ้ย

จบคาบพิเศษ 1

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนพิเศษที่สอง

   หลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายรูปที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์แล้วนั้น ผมกับแบงค์ก็ย้ายสถานที่ไปยังเจดีย์ขาวต่อทันที

   สำหรับเจดีย์ขาวนั้น เป็นเจดีย์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในวัด แต่กลับไปตั้งอยู่กลางถนน ใช่ครับ อ่านไม่ผิด กลางถนนเลยครับ เป็นวงเวียนให้รถวนรอบ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าเทศบาลนครเชียงใหม่ติดกับสถานกงสุลอเมริกา โดยอีกด้านหนึ่งจะอยู่ติดกับแม่น้ำปิงซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเชียงใหม่ ส่วนเจดีย์ขาวนั้นสร้างในสมัยไหนไม่มีใครทราบแน่ชัดรวมไปถึงความเป็นมาของมันด้วย แต่ที่ได้รับการเล่าขานกันมากที่สุดก็น่าจะเรื่องของปู่เปียงที่ยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องบ้านเมืองด้วยการอาสาเป็นตัวแทนแข่งดำน้ำอึดตามคำท้าของแม่ทัพฝ่ายข้าศึก ซึ่งปู่เปียงใช้วิธีนำผ้าขาวม้าผูกตัวเองไว้กับเสาหลักใต้น้ำ ด้วยความดีที่ยอมแลกชีวิตของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะเพื่อปกป้องบ้านเมืองจึงทำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่สร้างเจดีย์ขาวไว้ตรงนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ปู่เปียงมาจนถึงทุกวันนี้

   เอาล่ะผ่านพ้นช่วงสาระจากกูเกิ้ลโดยน้องนันท์ไปแล้ว ก็ขอตัดกลับเข้ามาสู่เทศกาลลอยกระทงกันต่อ ฮ่าฮ่าฮ่า

   อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ว่าแม่น้ำปิงนั้นถือได้ว่าเป็นแม่น้ำสายหลักของเชียงใหม่ จึงไม่แปลกที่จะมีคนมากมายมารวมตัวกันในช่วงเทศกาลลอยกระทงแบบนี้

   ฟิ้วววววว
   ปัง!!!
   “เหี้ย!”

   เสียงอุทานด้วยความตกใจของผมดังขึ้นหลังจากที่เสียงพลุและประทัดดังขึ้นอย่างที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว
   “กลัวเสียงประทัดเหรอครับ”
   “นิดหน่อยว่ะ”
   “งั้นย้ายที่กันมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีตกใจนั้นของผม

   “ช่างเหอะ เทศกาลแบบนี้ หนีไปที่ไหนก็เจออยู่ดีนั่นล่ะ เอาจริงๆ ก็บ่เชิงว่ากลัวหรอก แค่บ่ชอบมากกว่า”
   ผมหันมองไปยังรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศ ก่อนที่จะถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ เทศกาลแบบนี้คงต้องทำใจยอมรับสินะกับพวกพลุประทัดแบบนี้ คือจะเรียกว่ากลัวก็ไม่ถูกหรอกครับ แต่ที่ไม่ชอบเพราะมันไม่ทันได้ตั้งตัวมากกว่า อยู่ๆ ก็ปัง มันก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาใช่มั้ยครับ ต่างจากพลุตามงานใหญ่ๆ ที่มีกำหนดการชัดเจน ถ้าเป็นพลุแบบนั้น ผมชอบนะ มันสวยดี แต่เอาเถอะ อย่าไปใส่ใจมันดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สนุก

   ผมกับแบงค์เดินเลือกหากระทงจากแผงขายที่มีอยู่เรียงรายเต็มสองข้างถนนจนในที่สุดก็ได้อันที่ถูกใจมาซึ่งก็แลกมาด้วยราคาที่แพงบรรลัย แต่เอาน่ะ เทศกาลทั้งที อย่าคิดเยอะ คือตอนแรกผมกะว่าจะซื้อกันคนละกระทง แต่แบงค์บอกว่าเพื่อความประหยัดซื้อกระทงเดียวแล้วลอยด้วยกันดีกว่า

   แล้วเป็นไงล่ะ เจอราคาเข้าไป กระเป๋าฉีกไปเลยสิมึง ฮ่าฮ่าฮ่า

   “อย่าลืมอธิษฐานก่อนลอยด้วยล่ะ”
   “ห๊ะ?”
   แบงค์เสียงหลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของผม

   “เอ้า ก็มาลอยกระทง ก็ต้องมีอธิษฐานด้วยบ่ใช่เหรอวะ”
   ผมหันไปถามอีกฝ่ายกลับด้วยสีหน้าสงสัยก่อนที่หันไปมองยังผู้คนรอบข้างซึ่งบางคนก็กำลังทำท่ายกกระทงไหว้เหนือหัวเหมือนกำลังอธิษฐานอะไรบางอย่าง

   “เอ จริงๆ แล้วเรามาลอยกระทงกันเพื่อขอขมาพระแม่คงคาไม่ใช่เหรอครับ”
   พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่าง เออว่ะ เหมือนตอนเด็กๆ จะเคยได้ยินคุณครูสอนเอาไว้เหมือนกันนี่หว่า ว่าเทศกาลลอยกระทงนั้นจัดขึ้นเพื่อเป็นกุศโลบายให้ผู้คนได้มาขมาที่ปล่อยสิ่งของเน่าเสียต่างๆ ลงในแม่น้ำเพื่อให้รู้จักคุณค่าของทรัพยากร แล้วมันเปลี่ยนมาเป็นอธิษฐานขอพรเพื่อตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

   แล้วไอ้ลอยกระทงนี่อีก บอกว่าลอยเพื่อขอขมาที่ทิ้งสิ่งตางๆ ลงในแม่น้ำ แต่ขอขมาด้วยการเอาของมาลอยลงแม่น้ำเนี่ยนะ ถ้าผมเป็นพระแม่คงคาคงจะดีใจมากเลยล่ะ ลองนึกภาพพระแม่คงคาออกไปแดนซ์ในคืนเทศกาลแบบนี้สิ แล้วพอกลับมาเจอขยะกองโตขวางทางเข้าวังบาดาลสิ ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้สัส ยิ่งคิดยิ่งกวนตีนไปกันใหญ่ละกู พอๆ เดี๋ยวจะโดนยำตีนโทษฐานเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาล้อเลียน

   หลังจากที่จุดเทียนและธูปด้วยไฟแช็คที่ยืมมาจากคนข้างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ผมกับแบงค์ก็ช่วยกันยกกระทงขึ้นไว้เหนือหัว

   อืมมม ต้องขอขมาสินะ เอ่อ พระแม่คงคาครับ กระผมนายนันทการ บ้านอยู่แถวเจ็ดยอด ที่ลูกมาวันนี้ก็เพื่อมาขอขมาในสิ่งต่างๆ ที่ลูกทำไว้ ที่ลูกเคยทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง แต่เอ... เดี๋ยวนะ กูไม่เคยทิ้งขยะลงแม่น้ำเลยสักครั้งนี่หว่า เออนั่นล่ะ เอาเป็นว่าลูกขอขมาแทนผู้คนทั้งหลายด้วยแล้วกันครับ ขอบคุณพระแม่คงคาสำหรับน้ำท่าที่สมบูรณ์ และลูกขอขมาที่ลูกปากพล่อยความคิดอกุศลที่เอาพระแม่คงคามาล้อเลียนเมื่อกี้ด้วย หวังว่าพระแม่คงคาจะไม่ถือสาคนสมองกลวงๆ อย่างผมเลยนะครับ

   ขอบคุณมากๆ ครับ พระแม่คงคา

   หลังจากที่ขอขมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับแบงค์ก็ค่อยๆ ปล่อยกระทงให้ลอยไปตามกระแสน้ำ แสงสว่างจากเทียนไขดวงน้อยๆ แต่พอมาอยู่รวมกันมากๆ ก็ก่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงาม แบงค์หยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นมาเก็บภาพต่างๆ โดยรอบเอาไว้ ใจจริงก็อยากจะขอให้แบงค์ถ่ายรูปให้เหมือนกันนะ แต่คิดว่าคงโดนเจ้าตัวปฏิเสธแน่ๆ เพราะงั้นไม่ขอดีกว่า

   ผมหันไปมองยังรอบบริเวณ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยโคมลอย ซึ่งการลอยโคมถือได้ว่าเป็นอะไรที่ขาดกันไม่ได้จริงๆ สำหรับเทศกาลลอยกระทงแบบนี้ ช่างเป็นภาพที่สวยงามจับใจจริงๆ ครับ ถ้าไม่นับเรื่องประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับภัยจากโคมลอยที่ไปตกตามบ้านเรือนนะครับ

   “เดี๋ยวนั่งรอตรงนี้แป๊บนึงนะครับ”
   พูดจบ แบงค์ก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันจะได้ถามอะไร ผมขมวดคิ้วงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะบรรยากาศรอบข้างนั้นดึงดูดความสนใจได้มากกว่า

   “อ้าว นันท์นี่เอง ก็ว่าใครคุ้นๆ ที่ไหนเสียอีก”
   เสียงใสๆ ที่คุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อผมอย่างคุ้นเคย ผมหันกลับไปยังต้นเสียงนั้นก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น มายด์ นักร้องประจำชมรมดนตรีที่ผมอยู่นั่นเอง

   “อ้าว มายด์มากับใครเหรอ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมกับมองไปยังรอบด้าน

   “มากับพี่สาธิต แต่พี่เขากลับไปเอากระเป๋าตังค์ที่รถน่ะ ว่าแต่นันท์เถอะ มาลอยกระทงกับสาวที่ไหนเนี่ย”
   “บ้า สาวเสิวที่ไหน บ่มี๊ ถ้ามีก็ดีดิ”
   “อ้าว งั้นก็มาลอยคนเดียวงั้นเหรอ”
   มายด์เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย

   “ป่าว ชีวิตยังบ่ถึงขั้นตกทุกข์ได้ยากถึงขนาดต้องมาลอยกระทงคนเดียวหรอก แต่มากับแบงค์เขาต่างหากล่ะ”
   “แล้วเจ้าตัวไปไหนล่ะ”
   “บ่รู้”
   “ห๊ะ?”
   “ก็อยู่ๆ มันบอกว่าให้นั่งรอตรงนี้แล้วก็ลุกหายไปเลยอะดิ”
   มายด์หัวเราะทันทีที่ได้ยินผมตอบเช่นนั้น

   “โดนแบงค์ทิ้งกลับบ้านไปแล้วมั้งนั่น”
   มายด์เอ่ยแซวในขณะที่ผมเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งว่า กุญแจรถของผมอยู่ที่แบงค์เสียด้วยสิ ฉิบหายแล้วกูงานนี้
   ในจังหวะที่ผมกำลังคิดอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่นั่นเอง ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกทันทีที่มีอะไรบางอย่างเย็นๆ สัมผัสเข้าที่ต้นคอของผม จนผมต้องรีบเอามือปัดไปที่ต้นคออย่างรวดเร็วพร้อมกับหันไปมองว่ามันคืออะไร

   “ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ เอ้านี่ ผมซื้อมาให้”
   แบงค์เอ่ยพร้อมกับยื่นชาเขียวในมือซึ่งเป็นต้นเหตุที่ว่ามาให้ ผมงุนงงเล็กน้อยแต่เนื่องด้วยเป็นของกินผมจึงรับมันมาอย่างว่าง่ายก่อนจะเปิดขวดแล้วยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว

   “หายไปตั้งนาน มึงได้มาแค่ชาเขียวขวดเดียวเนี่ยนะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังจากที่ดื่มชาเขียวในมือไปได้อึกหนึ่ง

   “ใครบอกว่าขวดเดียวครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับชูขวดชาเขียวอีกขวดที่ถูกเปิดดื่มไปได้ครึ่งให้ผมดู ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อย เออ กูพูดผิดสินะ กูขอโทษ

   “ล้อเล่นครับ ผมซื้ออันนี้มาด้วยน่ะ”
   แบงค์เอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง ผมเพ่งมองดูด้วยความสงสัย มันคืออะไรหว่า เป็นกล่องยาวๆ แบบนั้น หรือว่าจะเป็น ...

   “ธูป?”
   “ใครบอกล่ะครับ ไฟเย็นต่างหากล่ะ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับแกะกล่องเจ้าไฟเย็นที่ว่าแล้วจึงหยิบเอามันออกมาจากกล่อง ก่อนที่จะยื่นมาให้ผมหนึ่งดอก

   “ก็เห็นว่านันท์กลัวพลุใช่มั้ยล่ะครับ แต่ไหนๆ ก็เป็นเทศกาลทั้งที ก็อยากให้นันท์ได้สนุกบ้าง เลยคิดว่าไฟเย็นน่าจะเหมาะที่สุดแล้วล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นพลางขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยในขณะที่มืออีกข้างก็ยีหัวผมเบาๆ ก่อนจะหยิบไฟแช็คที่ดูแล้วน่าจะซื้อมาพร้อมกับไฟเย็นออกมาจากกระเป๋ากางเกง

   “เอ่อ อะแฮ่มอะแฮ่ม”
   เสียงกระแอมเบาๆ จากข้างๆ ช่วยเตือนสติผมให้นึกขึ้นได้ว่าผมหลงลืมใครบางคนไป
   “อ้าว มายด์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”
   แบงค์หันไปเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่หันไปเห็นอีกฝ่าย

   “มาพักนึงแล้วเจ้าค่ะ แบงค์นั่นล่ะ ที่มัวแต่สนใจนันท์จนบ่สนใจมายด์เลย เสียใจนะเนี่ย”
   “ขอโทษด้วยครับ ที่ไม่ทันสังเกตเห็น ขอโทษจริงๆ ครับ”
   แบงค์รีบเอ่ยขอโทษพลางก้มหัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินมายด์ตัดพ้อเช่นนั้น ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมายด์เองก็แค่แซวเล่นเท่านั้นล่ะ สังเกตได้จากการที่เธอหัวเราะทันทีที่แบงค์รีบขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว

   “ว่าแต่มายด์มากับใครเหรอครับ”
   “พี่สาธิตน่ะ แต่พี่เขา...”
   TRRRRRR
   เสียงมือถือของมายด์ดังแทรกขึ้นจนเจ้าตัวต้องรีบหยิบมันขึ้นมารับสายด้วยความรวดเร็ว ซึ่งฟังจากบทสนทนาแล้วคิดว่าคนที่โทรมาไม่น่าจะใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่สาธิตนั่นเอง

   “งั้นเดี๋ยวมายด์ขอตัวก่อนนะ สุขสันต์วันลอยกระทงนะจ๊ะ”
   มายด์เอ่ยอวยพรหลังจากที่วางสายไปพร้อมโบกมือล่ำลาให้พวกเราทั้งสองก่อนจะหันไปยิ้มมุมปากให้แบงค์
   “แบงค์เองก็สู้ๆ นะ”

   สิ้นเสียงมายด์ก็หันหลังเดินจากไปทิ้งผมกับแบงค์ไว้สองคนตามเดิม ว่าแต่ไอ้ประโยคอวยพรอันแรกน่ะพอเข้าใจ แต่อันที่พูดกับแบงค์นี่มันหมายถึงอะไรน่ะ แล้วไหงแบงค์จะต้องทำหน้าตาเขินแบบนั้นด้วยล่ะ

   “แย่แล้วแฮะ สงสัยมายด์จะดูออกแล้วแน่ๆ เลย”
   แบงค์เอ่ยคำพูดนั้นออกมาเบาๆ พลางยกนิ้วขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเล็กน้อยซึ่งนั่นก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้ผมมากขึ้นกว่าเดิมอีก

   “เกิดอะหยังขึ้นเหรอวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปพลางดึงชายเสื้อของแบงค์เบาๆ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรจะดึงจึงรีบปล่อยมือของตัวเองออกจากชายเสื้อของแบงค์อย่างรวดเร็ว แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะอมยิ้มหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับยีหัวผมเล่นอีกครั้ง

   “ไม่บอกครับ บอกไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลา”
   รอยยิ้มมุมปากที่แฝงไว้ด้วยเล่ห์เล็กน้อยนั้นช่างชวนให้รู้สึกน่าหมั่นไส้อย่างบอกไม่บอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากย่นจมูกแสดงอาการไม่พอใจล็กน้อย จริงอยู่ว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องของผมแต่มันก็อดคาใจสงสัยไม่ได้จริงๆ นี่ ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะอยากรู้ไปทำไม

   “เอาน่ะครับ เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง แต่ตอนนี้เป็นเวลาเล่นไฟเย็นกันครับ มาเถอะ”
   ไฟเย็นในมือของแบงค์ที่แกว่งกวัดไปมาช่วยดึงสติของผมกลับคืนมาได้เล็กน้อย ถึงแม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกสงสัยในตัวเองอยู่พอสมควรว่าเหมือนช่วงนี้ตัวเองจะแปลกๆ ไป แต่ก็บอกไม่ได้ว่าอาการแปลกที่ว่านั้นคืออะไร แต่ช่างมันเถอะ คิดมากไปก็ปวดหัว มาเล่นไฟเย็นดีกว่า อิอิ

   ผมยื่นก้านไฟเย็นให้กับแบงค์เพื่อให้เจ้าตัวจุดให้ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ประกายสีจากไฟเย็นช่างเป็นอะไรที่ดูสวยงามและชวนให้รู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อย ภาพของเด็ก ม.ห้าหน้าเถื่อนที่กำลังแกว่งกวัดไฟเย็นไปมาราวกับว่าตัวเองเป็นพ่อมดให้นิยายแฟนตาซี จะเรียกว่าเป็นภาพที่น่ารักหรือเป็นภาพที่ชวนให้ดูสยดสยองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ผมก็หาได้สนใจไม่ ก็มันสนุกจริงๆ นี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ชอบใช่มั้ยล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยถาม ผมยิ้มกว้างพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

   “คิดถูกจริงๆ ที่ซื้อมา”
   แบงค์เอ่ยยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะจุดไฟเย็นในมือของตัวเองบ้างแล้วจึงแกว่งกวัดมันไปมาอย่างเป็นระเบียบเมื่อเทียบกับการแกว่งกวัดที่ดูไร้ทิศทางแบบผม

   “เอ้อ จะว่าไปนะ กูเคยเห็นรูปในเว็บต่างๆ ที่เขาถ่ายรูปไฟเย็นที่โบกไปมาจนเป็นรูปตัวอักษรน่ะ มึงถ่ายรูปแบบนั้นได้ปะวะ”
   แบงค์ขมวดคิ้วก้มมองไฟเย็นที่อยู่ในมือของตัวเองทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นของผม
   “จะว่าได้ มันก็คงได้ล่ะมั้งครับ ไม่รู้สิ ผมไม่เคยถ่ายแฮะ อีกอย่างกล้องของผมก็แค่กล้องธรรมดาคงถ่ายไม่ได้ถึงขนาดนั้นด้วย”

   คำตอบนั้นของแบงค์ทำเอาผมถึงกับผิดหวังอยู่พอสมควร เพราะคิดเอาไว้ในใจว่าอยากจะเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใหม่อยู่พอดีและอุตส่าห์ได้ไอเดียดีๆ แล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ดันแห้ว แต่พอมาลองนึกดูอีกทีดีๆ ต่อให้กล้องของแบงค์ถ่ายได้ ก็คงไม่มีทางถ่ายให้ผมอยู่ดีนั่นะล่ะ หลักฐานก็คือรูปโปรไฟล์ปัจจุบันที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ

   “แต่ก็ไอเดียที่ดีนะครับ น่าลองดูเหมือนกัน ผมเองก็อยากลองทำเป็นคำๆ นึงอยู่เหมือนกัน”
   “คำว่าอะหยังวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่แบงค์ให้ความสนใจกับความคิดเล่นๆ ของผม แต่ก็ไม่มีคำตอบๆ ใดออกมาจากปากของอีกฝ่ายนอกจากรอยยิ้มภายใต้แว่นหนานั้น ก่อนที่จะยื่นไฟเย็นในมือชี้มาทางผม จากนั้นก็ค่อยๆ ลากมือสะบัดไปมาช้าๆ ราวกับกำลังเขียนตัวอักษรอยู่ในอากาศ แต่กว่าผมจะฉุกใจคิดได้แบงค์ก็กวาดมือเขียนเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ผมจึงทันสังเกตเห็นแค่ตัวสุดท้ายที่ดูแล้วน่าจะเป็นตัวอีในภาษาอังกฤษ ในขณะที่ตัวอื่นๆ ก่อนหน้านั้นผมไม่ทันได้สังเกตจริงๆ

   “เดี๋ยวๆ เขียนคำว่าอะหยังวะ กูบ่ทันได้ดูว่ะ”
   “ไม่บอกครับ ของดีมีแค่ครั้งเดียว”
   “เฮ้ย ได้ไงวะ บ่เอาดิ ขออีกรอบดิ น่านะ นะ”
   ผมพยายามอ้อนวอนพร้อมกับดึงชายเสื้อของแบงค์เบาๆ โดยไม่สนใจแล้วว่าจะโดนอีกฝ่ายดุเอาหรือเปล่า

   “ไม่เอาครับ พอแล้ว ผมอาย แค่นี้ก็ถือว่ามากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ”
   แต่ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นกลับใบหน้าที่ดูเขินอาย ซึ่งก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้ผมมากกว่าเดิม อะไรของเขาวะเนี่ย เขียนอะไรพิเรนท์ๆ ไปหรือเปล่าวะนั่น นึกแล้วก็เจ็บใจตัวเองวุ้ยที่ไม่ทันสังเกตดูให้ดี
   

   หลังจากที่เล่นไฟเย็นจนหมดแล้ว ทั้งผมและแบงค์ก็แวะไปครูบาศรีวิชัยกันต่อ ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดศีโสดาตรงทางขึ้นไปยังดอยสุเทพโดยจะเลยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสวนสัตว์เชียงใหม่มาไม่ไกลมากนัก

   ใจจริงผมก็อยากจะเล่าประวัติของครูบาศรีวิชัยอยู่เหมือนกันนะครับ แต่เกรงว่าหากเล่าแล้วจะยาวจนกลายเป็นวิทยานิพนธ์ไปแทน เพราะประวัติของท่านนั้นยาวจริงๆ เอาเป็นขอรวบรัดตัดตอนว่าท่านเป็นพระนักพัฒนาและท่านยังเป็นผู้สร้างถนนทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่จนได้รับการขนานนามว่านักบุญแห่งล้านนา ชาวเชียงใหม่จึงได้ร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย” ขึ้นบริเวณเชิงดอยสุเทพเพื่อเป็นที่เคารพสักการะขอพรมาจนถึงทุกวันนี้

   ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่เป็นที่รู้จักอันดับต้นๆ ของทั้งคนเชียงใหม่ และนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ซึ่งส่วนมากก็มักจะมากราบไหว้ขอพรเพื่อนเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับผมในตอนนี้ที่ก็กราบไหว้เพื่อขอพรให้กับตัวเอง ซึ่งคงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะครับว่าผมมาขอพรในเรื่องอะไร

   อย่างว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล อ่านหนังสือตั้งใจเรียนแล้ว ก็มาขอพรนิดๆ หน่อยๆ เสริมกำลังใจให้กับตัวเองอีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มมั่นใจในการสอบคราวหน้า

   “มึงขอพรอะหยังไปน่ะ”
   ผมหันไปเอ่ยถามคนตัวสูงที่กำลังเช็ดแว่นหนาของตัวเองที่เปื้อนควันธูปอยู่ เจ้าตัวหันมาเลิกคิ้วสูงใส่ผมด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

   “ของแบบนี้เขาไม่ควรถามกันนะครับ”
   “เฮ้ย จริงดิ”
   ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นพลางหันไปมองยังกลุ่มคนที่กำลังกราบไหว้ขอพรกันอยู่

   “ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันครับ แต่เคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่เขาว่ามาอย่างนั้นน่ะ”
   แบงค์ขมวดคิ้วด้วยความไม่มั่นใจนิดหน่อยก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ

   “อีกอย่างผมก็ไม่ได้ขอพรอะไรให้กับตัวเองหรอกครับ”
   “อ้าวไหงงั้น”
   ผมถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายอมยิ้มเล็กน้อยกลับมาก่อนที่จะยกมือเกาท้ายทอยตัวเองเบาๆ

   “ก็เห็นเขาว่ากันว่าประเด็นที่ผมอยากจะขอพรนั้นครูบาฯ ท่านไม่ช่วยน่ะครับ แห่ะๆ”
   แบงค์หัวเราะแห้งๆ เหมือนพยายามกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเองอยู่ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับผมมากขึ้นกว่าเดิม แต่เอาเถอะ ถ้าคนเฒ่าคนแก่เขาบอกมาแบบนั้น ผมก็คงไม่อาจจะทำอะไรได้
   “แต่จะว่าไปสิ่งที่ผมต้องการในคืนนี้ก็สำเร็จไปแล้วเรื่องนึงด้วย แค่นี้ผมก็สบายใจมีความสุขแล้วล่ะครับ”

   แบงค์หันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มอ่อนโยน
   “เรื่องอะหยังวะ”
   ผมหันไปถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขของแบงค์ คงเป็นเรื่องดีสินะถึงได้ยิ้มออกมาได้แบบนั้นเนี่ย

   “ไม่บอกครับ”
   “ง่ะ”
   “กลับกันเถอะครับ เดี๋ยวจะดึกมากกว่านี้”
   แบงค์กล่าวตัดบทพร้อมแกว่งกุญแจรถของผมไปมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินไปยังรถอย่างรวดเร็ว

   อะไรเนี่ย วันนี้ดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ เป็นอะไรของเขาหว่า แต่จะว่าไปแบงค์ที่ทำสีหน้าเขินอายแบบนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

   คิดบ้าอะไรของกูวะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า
   “บ้านของนันท์อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามทันทีที่เราทั้งสองเดินมาถึงจุดจอดรถ

   “ก็แถวๆ เจ็ดยอดหลังห้างเมญ่าน่ะล่ะ”
   ผมตอบกลับไปพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อยจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเบาๆ

   “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งละกันนะครับ”
   “ส่งกูที่บ้านของกูด้วยรถของกูเนี่ยนะ”
   ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

   “ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ครับ ผมไปส่งนันท์ที่บ้านของนันท์ด้วยรถของนันท์”
   “แล้วมึงจะกลับยังไง”
   ผมขมวดคิ้วเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนกรานความต้องการนั้น

   “ก็ค่อยเดินกลับมาเอารถร้านเจ๊บัวยังไงล่ะครับ”
   “เพื่อ???”
   ผมขมวดคิ้วหนักมากขึ้นกว่าเดิมจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้แล้วในตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดที่แสนจะแปลกประหลาดนั่นจากอีกฝ่าย

“เพื่อความสบายใจของผมยังไงล่ะครับ”
   “แต่...”
   “เอาเถอะน่า น่านะ นะครับ”
   แบงค์พยายามรบเร้ายืนกรานในความต้องการของตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการกระทำเช่นนั้นมันจะก่อให้เกิดผลประโยชน์อะไร จะมีก็แต่เสียเวลาเปล่าๆ แต่... พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูจะต้องการที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ แล้ว มันก็...

   “เออๆ ก็แล้วแต่มึงละกัน”
   “เย่!”
   แบงค์ออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมตอบตกลง พิลึกคนจริงๆ เชียว แล้วทำไมผมต้องใจอ่อนยิ้มตามให้กับการกระทำบ้าๆ แบบนั้นด้วยเนี่ย พิลึกคนจริงๆ กู

   “เออ จะว่าไป กูบ่เคยเห็นรถของมึงเลยแฮะ มึงขี่รถอะหยังมาน่ะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยในระหว่างจอดรอสัญญาณไฟจราจรที่ค่ำคืนนี้รถค่อนข้างจะติดขัดมากเป็นพิเศษ
   “ผมปั่นจักรยานมาครับ”
   ผมร้อง ห๊ะ ทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากอีกฝ่าย

   “ก็ปกติหอผมอยู่ใกล้โรงเรียนยังไงล่ะครับ จะมีก็แค่เสาร์อาทิตย์ที่มาทำงานที่ร้านเจ๊บัว ผมก็เลยไม่ได้เอารถจากที่บ้านมา จะใช้ก็แค่จักรยานเท่านั้นล่ะครับ”
   “แล้วมึงก็ยังจะบ้าไปส่งกูที่บ้านของกูด้วยรถของกูแล้วเดินกลับมาเอาจักรยานที่ร้านเจ๊บัวเพื่อปั่นกลับไปหอมึงเนี่ยนะ”
   “ครับ”
   เจ้าตัวตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใส

   “มึงนี่ก็แปลกคนจริงๆ”
   “ห่ะห่ะ ใครๆ ก็มักจะบอกแบบนั้นเหมือนกันครับ”
   ยังๆ ยังไม่รู้ตัวอีกว่ากูกำลังประชด
   

   หลังจากที่ฟันฝ่าการจราจรที่แสนจะทุลักทุเล ในที่สุดแบงค์ก็มาส่งผมถึงบ้านของผมด้วยรถของผมเป็นที่เรียบร้อย อืม แล้วกูจะย้ำคิดย้ำทำย้ำคำทำแป๊ะอะไรหลายรอบวะเนี่ย

   “แถวนี้ทำเลดีนะครับ”
   แบงค์เอ่ยชมพลางหันมองไปยังรอบๆ บริเวณ ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้นออกมา เพราะบ้านของผมและหอพักบริเวณนี้นั้นอยู่เข้ามาในซอยลึกจึงทำให้ห่างไกลจากเสียงรบกวนจากชุมชนในย่านนี้ได้ดีพอสมควร ซึ่งก็เหมาะสำหรับผู้พักอาศัยที่ต้องการความเงียบสงบ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลาเดินกลับออกไปยังร้านเจ๊บัวอยู่พอสมควรเหมือนกัน

   “มึงแน่ใจแล้วเหรอวะ ว่าจะบ่ให้กูไปส่งมึงที่ร้านเจ๊บัว”
   ผมถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าภายใต้แว่นหนานั้น

   “แค่นันท์ยอมออกมาลอยกระทงเป็นเพื่อนผม ผมก็ดีใจมากพอแล้ว เพราะฉะนั้นไปพักผ่อนเถอะครับ แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะครับ”
   พูดจบเจ้าตัวก็ใช้ฝ่ามือหนายีหัวผมเบาๆ พลางหันไปมองยังหอพักที่ตั้งอยู่ข้างๆ กับบ้านของผมครู่หนึ่งจากนั้นจึงหันมายิ้มให้ผมอีกรอบก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปอย่างคนมีความสุข

   ผมในตอนนั้นถึงแม้จะรู้สึกงุนงงสงสัยในการกระทำนั้นของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลยแม้แต่น้อย

   แต่ก็ยอมรับว่าคืนลอยกระทงคืนนั้นเป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมรู้สึกสนุกกับมันจริงๆ จากคนที่เคยรู้สึกเฉยๆ กับเทศกาลลอยกระทง กลับรู้สึกสนุกสนานอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน


   ผมอมยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะไขประตูบ้านเข้าไปโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าในใจของผม ณ ตอนนั้น มันมีบางสิ่งค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย


จบคาบเรียนพิเศษที่สอง

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก (31-1-20) P.3
«ตอบ #77 เมื่อ31-01-2020 22:05:29 »

Once Love story ณ กาลครั้ง รัก   


ผมยังจำได้เมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทุกค่ำคืนแม่จะชอบเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน
   ทุกเรื่องมักจะจบลงอย่างมีความสุขอยู่เสมอ เจ้าหญิงเจ้าชายได้ครองรักในดินแดนอมตะนิรันดร์กาล
   แต่เมื่อผมโตขึ้น พบเห็นอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัยว่า “ชีวิตจริง มันจะมีตอนจบที่สุขสมหวังเหมือนในนิทานหรือเปล่านะ”
   ก็ได้แต่เก็บคำถามนั้นเอาไว้ในใจลึกๆ เรื่อยมา



คาบเรียนที่หนึ่ง

   เชียงใหม่  นครแห่งศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมผสานเข้ากับความทันสมัยได้อย่างตัว ผมเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่

   “นันท์ เก็บของเสร็จหรือยังน่ะ ลุงเขามารอนานละเน่อ”
   เสียงของคุณกมลชนกหรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือแม่ของผม ตะโกนจากชั้นล่างดังขึ้นมาถึงข้างบน

   “ใกล้เสร็จแล้วแม่”
   ผมตะโกนกลับลงไปเป็นคำตอบ พร้อมกับเร่งจัดการเก็บข้าวของที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยใส่ลังกระดาษ ก่อนที่จะใช้เทปกาวปิดมันเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นจึงยกลงมายังชั้นล่างด้วยความระมัดระวัง ผมวางกล่องลังลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนที่จะหันไปยกมือไหว้ลุงแม้น พี่ชายแท้ๆ ของคุณกมลชนกด้วยความเคารพ

   “บ่ได้เจอกันนานเลยเน่อ โตเป็นหนุ่มเป็นแน่นขนาดนี้แล้วกะเนี่ย”
   ลุงแม้นเอ่ยชมผมด้วยความเอ็นดู จะว่าไปก็ไม่ได้เจอลุงแกหลายปีแล้วจริงๆ แล้วเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่เจอก็น่าจะตอนผมขึ้นชั้น ม.สี่ เห็นจะได้

   “ลุงก็เหมือนกัน ยังดูแข็งแรงอยู่เลยเน่อ”
   ผมเอ่ยชมกลับไป พร้อมกับเดินไปหยิบขวดน้ำบนโต๊ะอาหารขึ้นมาดื่ม

   “เสร็จกันหรือยังน่ะ ไปเถอะ จะสิบโมงแล้ว เดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน”
   คุณกมลชนกเอ่ยถาม ในขณะที่เจ้าตัวก็หิ้วกระเป๋าผ้าใบใหญ่ออกมาจากห้องของตัวเอง ผมกับลุงแม้นพยักหน้าตอบกลับไปพร้อมช่วยกันขนของใส่ท้ายกระบะรถยนต์

   “เดี๋ยวพวกของชิ้นใหญ่ อย่างโต๊ะ ตู้เตียงอะหยังพวกนี้ อ้ายจะให้ลูกน้องของอ้ายเอารถหกล้อมาขนทีหลังเน่อ”
   ลุงแม้นหันไปกล่าวกับคุณกมลชนกหลังจากที่ล็อกกระบะท้ายรถเสร็จ คุณกมลชนกพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับเดินไปเปิดประตูรถ

   “บ่ลืมอะหยังแล้วใช่มั้ยนันท์”
   คุณกมลชนกหันมาเอ่ยถามย้ำผมอีกรอบ ผมส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบ พร้อมกับหันหลังกลับไปมองบ้าน แล้วจึงหันไปมองหอพักที่ตั้งอยู่ด้านข้างติดกันกับบ้านของผม ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นสี่ก่อนที่จะอมยิ้มให้กับตัวเองเงียบๆ

   ผมหันกลับมามองแผ่นป้ายประกาศขายบ้านแขวนติดอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ก่อนที่จะแทรกตัวขึ้นรถไปนั่งยังเบาะหลังโดยปล่อยให้คุณกมลชนกนั่งข้างหน้าคู่กับลุงแม้นซึ่งเป็นคนขับ ทันทีที่รถออกตัวผมก็หันกลับไปมองอีกรอบ ภาพที่เห็นคือบ้านที่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย

   นั่นเพราะผมเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ จึงทำให้มีความทรงจำมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวหมด ความทรงจำที่ทำให้ผมอมยิ้มและมีความสุขทุกครั้งที่ผมหวนคิดถึงมัน


   “ยังไงอยู่ทางนี้คนเดียว ก็ดูแลตัวเอง มีอะหยังก็โทรมาหาแม่ได้เสมอเน่อ”
   คุณกมลชนกเอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยหลังจากที่ลังสัมภาระต่างๆ ถูกขนขึ้นมาไว้ในห้องของคอนโดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเชียงใหม่

   “ครับแม่ บ่ต้องเป็นห่วงอะหยังหนูนักหรอกแม่ ยังไงเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอนก็ห่างกันแค่บ่กี่ชั่วโมงเอง แม่คิดถึงผม แม่ก็แวะมาแอ่วหาได้ตลอดนะ”
   ผมตอบกลับไปพลางเปิดกล่องสัมภาระออกมาดูทีละกล่องเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนที่จะหันไปมองคุณกมลชนกที่ยังคงทำสีหน้าเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

   “แหม แม่ หนูก็บ่ใช่เด็กละหนา ปีนี้ก็จะซาวสี่แล้ว ถ้าแม่คิดถึงหาหนูแต่บ่ว่างมา งั้นแม่ก็โทรหาหนูก็ได้ เดี๋ยวหนูจะไปหาแม่เอง โอเคปะ มาๆ มาให้หอมแก้มทีนึงซิ”
   ผมเดินอ้อมเข้าไปโอบกอดคุณกมลชนกจากด้านหลังทันทีที่พูดจบพร้อมกับหอมแก้มของคุณกมลชนกเข้าฟอดใหญ่ ซึ่งมันก็พอจะทำให้คุณกมลชนกของผมดูเบาใจและยิ้มออกมาได้ไม่ใช่น้อยอยู่เหมือนกัน

   อนึ่ง คำว่า ซาว เป็นภาษาเหนือครับ แปลว่ายี่สิบ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าปีนี้ผมจะมีอายุยี่สิบสี่ปีนั่นเองครับ

   หลังจากที่คุณกมลชนกและลุงแม้นกลับไป ห้องก็เข้าสู่ความเงียบงันในทันที ผมหันกลับมาดูสภาพห้องในตอนนี้ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะรกอยู่พอสมควร เพราะเพิ่งขนของเข้ามายังไม่ทันได้จัดอะไรให้เข้าที่เลยสักอย่าง

   “งานช้างเลยนะเฮ้ย เอาวะ ลงมือเลยดีกว่า เดี๋ยวจะบ่เสร็จ”
   ผมเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปยังกล่องสัมภาระที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

   เหมือนจะลืมอะไรไปบางอย่าง ใช่แล้ว ลืมแนะนำตัวนั่นเอง
สวัสดีครับ ผมชื่อนันทการ ชื่อเล่นนันท์ ปีนี้อายุอานามก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ซึ่งก็คือย่างเข้ายี่สิบสี่แล้ว เป็นผู้จัดการฝึกหัดอยู่ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งซึ่งไม่ขอเอ่ยนามนะครับ และก็ด้วยหน้าที่การงานนี่ล่ะครับ จึงทำให้ผมไม่สามารถย้ายบ้านตามไปอยู่กับแม่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ แต่ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ผมเองก็ค่อนข้างจะชินกับการอยู่คนเดียวแล้วเหมือนกัน เพราะปกติแม่ของผมก็มักจะไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านที่เชียงใหม่กับบ้านยายที่แม่ฮ่องสอนซึ่งเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว

แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมายายของผมท่านก็มาด่วนจากไปด้วยโรคมะเร็ง แม่ของผมจึงตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่ที่แม่ฮ่องสอนเป็นการถาวรเนื่องจากต้องดูแลกิจการต่อจากยาย ท่านก็เลยประกาศขายบ้านที่เชียงใหม่ไปเสีย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องระเห็จออกมาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้ยังไงล่ะครับ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อาจจะสงสัยกันใช่ไหมครับว่าทำไมถึงไม่อยู่บ้านของตัวเองต่อล่ะ จะขายทำไมให้ยุ่งยาก แห่ะๆ ขอสารภาพตามความเป็นจริงเลยนะครับ ว่าขี้เกียจ ฮ่าฮ่าฮ่า ขี้เกียจในที่นี้คือขี้เกียจดูแลน่ะครับ บ้านไม้สองชั้นถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็ถือว่าใหญ่พอสมควรถ้าต้องอยู่คนเดียว และยิ่งด้วยหน้าที่การงานแล้วด้วยนั้น ผมคงไม่มีเวลาดูแลแน่ๆ แม่ของผมจึงตัดสินใจขายบ้านแล้วให้ผมมาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้แทน ซึ่งก็เป็นห้องที่ซื้อต่อมาจากเพื่อนของแม่อีกทีหนึ่ง จึงได้มาในราคาที่ไม่แพงมากนัก

พล่ามมามากแล้ว ขอตัวจัดห้องก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่เสร็จ

TRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมที่ตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าวดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังนั่งจัดของอยู่ ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบขึ้นมาดู ก่อนที่จะรีบกดรับสายด้วยความรวดเร็วเมื่อเห็นชื่อผู้ที่โทรเข้ามาบนหน้าจอ

“ฮัลโหล ว่าไง ไอ้เต้ย”
“มึงอยู่ไหนละน่ะ”
เสียงของเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้นเอ่ยถามขึ้นทันทีที่ผมรับสาย

“อยู่คอนโด มีอะหยัง”
ผมเอ่ยถามพร้อมกับเดินกลับไปยังลังสัมภาระทั้งหลาย

“จะมาอะยง อะหยังเหี้ยไรล่ะ อย่าบอกนะว่ามึงลืมนัด”
ผมก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยพูดเช่นนั้น ตัวเลขบนนาฬิกาบอกว่ากำลังจะบ่ายสามโมงในอีกไม่ช้า

“เออ กูบ่ได้ลืม แต่เรานัดกันตอนหนึ่งทุ่มบ่ใช่เหรอวะ แล้วจะรีบโทรมาเร่งอะหยังตอนนี้เนี่ย”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย พร้อมกับหยิบของในกล่องลังที่อยู่ตรงหน้าออกมาก่อนที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง

“กูก็แค่จะโทรมาย้ำ กลัวมึงลืมไง มึงแม่งขี้ลืมอยู่ด้วย”
“......”
“ฮัลโหล ฮัลโหล ไอ้นันท์ มึงยังอยู่ปะวะ”
“ยังอยู่ๆ ว่าแต่ไอ้ยีสต์กับไอ้โอ๊ตล่ะ”
ผมเอ่ยถามถึงเพื่อนสนิทอีกสองคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ต้นเฉกเช่นเดียวกับไอ้เต้ยทันทีที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้

“บ่ต้องห่วง กูโทรไปยืนยันกับไอ้โอ๊ตแล้ว ส่วนไอ้ยีสต์มันอยู่กับกู มึงก็รู้นี่”
“เออๆ กูลืม โทษทีๆ”
“งั้นยังไงหนึ่งทุ่มเจอกันที่ร้านมิสติกนะเว้ย ห้ามมาสายล่ะ”
“เออๆ บ่สายๆ แค่นี้น่ะเว้ย กูจะจัดห้องต่อ”
หลังจากที่ตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็กดวางสายทันทีก่อนที่จะหันมามองสิ่งของที่อยู่ในมือของตัวเอง

สมุดไดอารี่ …

คือตัวการที่ทำให้ผมชะงักไปเมื่อครู่ ผมหันกลับมามองกล่องลังอีกรอบ ก็พบว่ากล่องลังใบนี้นั้นเป็นกล่องที่ถูกเก็บเอาไว้หลายปีแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ชะงักเมื่อเห็นของที่อยู่ในกล่อง

ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนว่า BANK อยู่บนหน้าปกสมุดไดอารี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงชื่อของเจ้าของที่แท้จริงของมัน ผมก้มลงกลับไปมองในกล่องลังอีกรอบ พร้อมกับพยายามควานหาอะไรบางอย่างในกล่อง ก่อนที่จะค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาทันทีที่หาเจอ
พวงกุญแจที่ทำมาจากกลักฟิล์ม

ถึงแม้สภาพของมันจะดูเก่าไปบ้างตามกาลเวลาและมีรอยถลอกอยู่เล็กน้อยก็ตามที แต่มันยังสามารถเอามาใช้ทำพวงกุญแจตามหน้าที่ของมันได้อยู่

“......”

กี่ปีมาแล้วนะ นับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ...
ภาพความทรงจำในอดีตค่อยๆ ย้อนกลับมาทีละเล็กทีละน้อย ผมหยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับเปิดแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊กทันที ก่อนที่จะกดปุ่มค้นหาแล้วใช้นิ้วโป้งของตัวเองพิมพ์ค้นหาอะไรบางอย่างด้วยความรวดเร็ว

Power Bank
ผมกดเข้าไปทันทีที่ชื่อนั้นโผล่ขึ้นมา

นันทการ > Power Bank
รักนะ รักเสมอ และจะรักตลอดไป ...


นั่นคือข้อความสุดท้ายที่อยู่บนหน้าเฟซบุ๊กของอีกฝั่งก่อนที่ฟังชั่นการโพสต์จากผู้อื่นจะถูกปิดไป และก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ของเฟซบุ๊กนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้ และเจ้าของข้อความนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผมคนนี้นี่เอง

ผมยังคงจดจำทุกความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดี

แว่นสายตาที่ดูหนาเตอะกับทรงผมที่อีกนิดก็จะเรียกว่ารกรุงรังได้แล้ว ซึ่งทำให้บดบังความหล่อเหลาที่หลบซ่อนอยู่ภายในของอีกฝ่าย กับรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยชวนให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้เห็นและฝามือหนาที่ครั้งหนึ่งเคยยีหัวผมเล่นอยู่บ่อยๆ

“นันท์ครับ ... ”
และทุกครั้งที่ผมหลับตา ผมก็จะได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั้นเรียกชื่อของผมอยู่เสมอ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่เสียงนั้นก็ยังคงชัดเจนราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นและผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานมานี้เอง




“นันท์ครับ นันท์ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอกครับ”
เสียงของแบงค์ปลุกเรียกผมให้ตื่นขึ้น แต่ขอโทษเถอะ บรรยากาศเย็นๆ ยามเช้าวันจันทร์ของเชียงใหม่ที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกไปเมื่อไม่นาน มันไม่ชวนให้น่าลุกออกจากเตียงเท่าไหร่เลยนี่สิ

“อือออ เดี๋ยวก่อนนน ขออีกแป๊บนึงนะ น้า...”
ผมพยายามปฏิเสธพร้อมกับขดตัวกลมคุดคู้อยู่ภายใต้ผ้าห่มหนา ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากลุกนะ แต่เตียงมันมีอำนาจดึงดูดทำให้ผมลุกไม่ได้จริงๆ ซึ่งผมก็เชื่อว่าใครหลายๆ คนก็คงจะเคยคิดเหมือนผมแน่ๆ แบงค์เองเมื่อเห็นท่าที่เช่นนั้นของผมก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ถ้าไม่ลุกดีๆ เห็นทีคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกันเสียแล้วนะครับ”
หือ หมายความว่าไงวะ

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้คิด ผมก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดของแบงค์ เมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของอีกฝ่ายที่กำลังรุกล้ำเข้ามาภายในเสื้อนอนของผม ความเย็นเฉียบของฝ่ามือที่ลูบไล้หน้าท้องที่ไร้ซึ่งซิกแพคเรื่อยขึ้นมาถึงแผงอกทำเอาผมถึงกับสะดุ้งโหยงทันที

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ กูตื่นแล้วๆ อ๊ากกก”
ผมเอ่ยปรามแบงค์พร้อมกับพยายามที่จะดิ้นหนี แต่ด้วยความแตกต่างทางด้านกายภาพของแบงค์ที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามเซนติเมตร กับผมที่สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบสี่เซนติเมตร ส่วนต่างที่มากเกือบยี่สิบเซนติเมตรมันก็มากพอที่จะทำให้ผมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่พอสมควร (ไหนใครบอกว่าส่วนสูงไม่มีผลในแนวนอนไงวะ โกหกชัดๆ)

แต่ด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติของลูกเสือสำรอง (???) ที่พอจะมีอยู่น้อยนิด การที่ผมจะยินยอมง่ายๆ ก็คงดูจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่แท้
“”ก็กูบอกให้หยุดยังไงวะ ถ้าเกิดแม่ขึ้นมาเห็นจะว่ายังไง เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดีหรอก สัส”

“......”
ได้ผลเว้ยเฮ้ย แบงค์ชะงักทันทีที่ได้ยินคำขู่นั้นของผม

แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นล่ะ

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นครับ ตอนเข้ามาผมล็อกประตูห้องไว้เรียบร้อยแล้ว ทางสะดวก เพราะงั้นเรามาต่อกันเลยนะครับ”
เดี๋ยวนะ หมายความว่าไงวะ
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยถามอะไรออกไป ใบหน้าของแบงค์ก็ซุกเข้ามายังซอกคอของผมทันที ไอ้ริมฝีปากที่ไซร้ไปตามลำคอน่ะยังพอทน แต่ไอลิ้นสากๆ ที่กำลังโลมเลียอยู่นี่สิ มันอะไรก๊านนน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ จะทำอะหยังเนี่ย”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกพร้อมกับพยายามดิ้นขัดขืน แต่แบงค์ยังคงพยายามที่จะรุกล้ำหนักเข้ามาเรื่อยๆ ขอสารภาพตามตรงและตามความเป็นจริงเลยนะครับ หากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วกำลังคิดว่าผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับการกระทำนั้นของแบงค์อยู่แล้วล่ะก็

ขอความกรุณาเปลี่ยนความคิดนั้นโดยด่วนด้วยนะครับ
เพราะกูหนาวว้อยยย

ทั้งฝ่ามือของแบงค์ที่เย็นเฉียบ ไหนจะสัมผัสที่แสนจะเฉอะแฉะจากลิ้นสากๆ นั้นอีก บวกกับอารมณ์หงุดหงิดเพราะยังอยากนอนต่อแต่กลับโดนปลุกก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่พอสมควร ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้จักฟังกัน เห็นทีต้องใช้กำลังกลับไปเสียแล้ว

“โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ยยย”
เสียงร้องของแบงค์ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดทันทีที่ผมอ้าปากใช้ฟันของตัวเองกัดเข้าที่เนินไหล่ของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ซึ่งก็ได้ผล แบงค์ผละตัวออกจากผมทันทีพร้อมกับผมที่รีบลุกขึ้นจากที่นอนไปยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความรวดเร็วโดยที่มีผ้าห่มคลุมตัวไปด้วย

“โหยยย โหดร้ายจังเลยนะครับ ดูสิ เป็นรอยแดงแล้วเนี่ย”
แบงค์โอดครวญพร้อมกับเปิดคอเสื้อโชว์เนินไหล่ให้ผมดู ยิ่งผิวที่ขาวเนียนของแบงค์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้รอยกัดของผมชัดเจนมากขึ้นจนสังเกตเห็นได้ชัด

“สมน้ำหน้า ก็อยากเล่นอะไรแผลงๆ เองนี่หว่า ช่วบ่ได้ ว่าแต่มึงเข้ามาในห้องของกูได้ยังไงวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย แบงค์ละสายตาจากรอยแผลของตัวเองหันมามองผมอย่างงุนงง

“ก็เปิดประตูเข้ามาน่ะสิครับ”
ตอบได้ศรีธนนชัยมากๆ

“บ่ใช่ กูหมายถึงใครเป็นคนเปิดประตูให้มึงเข้ามาต่างหากล่ะ”
แบงค์ขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เข้าที่

“ไม่ได้มีใครเปิดให้เข้ามาครับ เพราะประตูมันก็ไม่ได้ล็อกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
อึก...!!!

เถียงไม่ออกเลยกู ลืมไปเลยว่าปกติตัวเองเป็นพวกไม่ค่อยล็อกประตูห้องอยู่แล้วน่ะครับ ก็แบบขี้เกียจอะ บ้านตัวเองแท้ๆ ไม่รู้จะล็อกไปทำไมให้ยุ่งยาก

“อีกอย่างผมก็ไม่ได้ถือวิสาสะขึ้นมาเองนะครับ แต่คุณแม่ของนันท์นั่นล่ะครับ ใช้ให้ผมขึ้นมาปลุกนันท์เพราะว่านี่มันก็สายมากแล้ว เดี๋ยวจะไปโรงเรียนไม่ทันเอานะครับ”

ทันทีที่แบงค์พูดจบ ผมก็หันไปมองนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ซึ่งในความเป็นจริงมันส่งเสียงดังปลุกผมไปแล้วสองหรือสามรอบเห็นจะได้

“ชิบหายแล้ววว”
ผมอุทานเสียงดังทันทีที่เห็นเวลาพร้อมกับคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ข้างฝาผนัง ก่อนที่จะวิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว


“แม่ ทีหลังอย่าให้ใครที่ไหนเข้าห้องหนูง่ายๆ แบบนี้อีกนะ”
ผมโวยวายทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะอาหาร ก่อนที่จะนั่งลงด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย

“ห้องตัวเองก็หัดล็อกด้วยตัวเองสิ ถ้าบ่อยากให้ใครเข้า นี่ถ้าเกิดมีโจรมีขโมยอะไรเข้ามา เราคงโดนปล้น โดนฆ่าตายไปแล้วล่ะ”
ไอ้เรื่องเสียทรัพย์เสียชีวิตหรือไม่นี่ไม่รู้นะคุณกมลชนก แต่ถ้าเรื่องเสียตัวเสียพรหมจรรย์ล่ะก็คงอาจจะได้มีเร็วๆ นี้แน่ถ้าขืนยังเป็น
แบบนี้อยู่อีกล่ะก็ สงสัยหลังจากนี้คงต้องล็อกประตูห้องก่อนเข้านอนเสียแล้วแฮะ เพื่อสวัสดิภาพของร่างกายตัวเอง

“แล้วก็อีกอย่างนะ นาฬิกาปลุกดังตั้งกี่รอบ แม่ตะโกนเรียกตั้งกี่ครั้งแล้ว เราก็บ่ยอมตื่นสักทีน่ะสิ นอนกินบ้านกินเมืองจริงๆ เลยลูกคนนี้เนี่ย โตไปจะมีความรับผิดชอบได้ยังไง หัดเอาตัวอย่างดีๆ จากแบงค์เขามาบ้างสิเรา”

นั่น พูดไปหนึ่งโดนสวนกลับมาสิบเลยกู

คุณกมลชนกบ่นไปพร้อมกับนำสำรับอาหารเช้าขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ แบงค์หันมาอมยิ้มให้ผมทันทีที่คุณกมลชนกบ่นจบ รอยยิ้มนั้นช่างชวนให้รู้สึกน่าหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย

“ถ้าจะอวยกันซะขนาดนี้ ก็รับเป็นลูกบุญธรรมเลยมั้ยแม่”
“ก็ดีนะ แม่จะได้เอาเราไปปล่อยทิ้งที่วัด”
มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมา (หัวเน่า) ขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว ไม่น่าเปิดช่องเลยกู


หลังจากที่ผมและแบงค์กินข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราทั้งสองก็รีบไปโรงเรียนทันที โดยที่ผมไม่ลืมที่จะกอดและหอมแก้มของคุณกมลชนกเหมือนทุกครั้ง

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าเด็กหนุ่มที่มีนามว่าแบงค์คนนี้คือใคร ผมก็ขอตอบตามตรงแบบไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาเลยละกันนะครับว่า “แบงค์เป็นแฟนของผมน่ะครับ” อาศัยอยู่ที่หอพักข้างๆ บ้านผมนี่เอง

แห่ะๆ เขินนิดหน่อยเหมือนกันแฮะพอพูดกันตรงๆ เนี่ย เราทั้งสองเป็นแฟนกันมาได้ราวๆ ครึ่งปีเห็นจะได้แล้วน่ะครับ จุดเริ่มต้นมันก็มาจากตอนที่ผมโดนคำขู่พิฆาตจากแม่นั่นล่ะครับว่าถ้าผลการเรียนของผมยังไม่ดีขึ้น จะโดนส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ ซึ่งถือได้ว่าเป็นฝันร้ายที่สุดสำหรับผมเลยก็ว่าได้ ผมจึงต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ และก็โชคดีที่ได้ไอ้โอ๊ตเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งช่วยแนะนำให้ได้รู้จักกับแบงค์

ตอนแรกๆ ก็แค่ติวหนังสือกันธรรมดาๆ นี่ล่ะครับ แต่ไหงไปๆ มาๆ ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ดันกลายมาเป็นแฟนกันได้เสียงั้น แต่ก็นั่นล่ะ คนมันรักไปแล้วนี่ จะต้องมีเหตุผลอะไรรองรับให้มากมายด้วยล่ะ

ฮิ้ววว พูดเองอายเองเว้ย

“มึง วันนี้ถ้าติวหนังสือเสร็จแล้ว เราไปหาหนังดูกันดีมั้ยวะ”
ผมเอ่ยถามขึ้นมาทันทีที่เราทั้งสองมาถึงโรงเรียน

“ก็ดีนะครับ ไม่ได้ไปดูหนังในโรงนานแล้วเหมือนกัน ว่าแต่จะดูเรื่องอะไรกันดีครับ”
แบงค์เอ่ยถามกลับมาพร้อมกับยื่นกุญแจรถจักรยานยนต์คืนให้ผม ผมย่นจมูกครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนที่จะเก็บกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนของตัวเอง

“ยังบ่รู้ว่ะ รู้แค่ว่าอยากไปดู”
แบงค์ขมวดคิ้วหรี่ตาลงด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น ในขณะที่ผมเองก็ได้แต่ฉีกยิ้มกลับไป ก็แหม คนเป็นแฟนกันมันก็ต้องมีเติมความหวานกันบ้างสิ ใช่ปะ แต่บอกแบงค์ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแม่งจะได้ใจเกินไป

“เออน่ะ สรุปว่าตามนั้นนะเว้ย”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่นันท์ว่าละกัน ยังไงก็เจอกันหลังเลิกเรียนนะครับ”
เย่ สำเร็จ แบงค์ยกมือขึ้นมายีหัวของผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินถอยหลังช้าๆ พร้อมกับส่งยิ้มเล็กๆ ให้ผม แล้วจึงหันหลังเดินจากไปด้วยความเร่งรีบ ในขณะที่ผมยังคงยืนอมยิ้มอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว ก่อนที่ระฆังซึ่งเป็นสัญญาณเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติจะช่วยเรียกสติผมให้กลับมา ผมจึงเร่งฝีเท้าด้วยความรวดเร็วทันที


“เฮ้อ เผลอแป๊บๆ ก็มอหกแล้วเหรอวะเนี่ย เวลาแม่งผ่านไปไวชิบหาย ปีหน้าก็เข้ามหาลัยแล้ว พอคิดถึงสาวๆ ในชุดมหาลัยรัดรูปแล้วก็....”
ไอ้ยีสต์เพื่อนสนิทคนนึงของผมเอ่ยขึ้นมาทันทีแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยในขณะที่พวกเรากำลังเข้าแถวรอสั่งอาหารเที่ยง

“นั่นสิครับ ไหนจะต้องอ่านหนังสือ เข้าคอร์สติวกวดวิชาเพิ่ม สอบเก็บคะแนนนั่นนี่นู่น พอคิดแบบนี้แล้วมันก็....”
อาการร่าเริงประหนึ่งปลากระดี่ได้น้ำของไอ้ยีสต์ต้องชะงักลงทันทีที่ได้ยินไอ้โอ๊ตเอ่ยแทรกขึ้นมา เจ้าตัวหันหลังกลับมาเขม่นคิ้วใส่ไอ้โอ๊ตที่กำลังจดจ่อสายตาอยู่กับเกมในมือถืออย่างรวดเร็ว

“ไอ้เหี้ยโอ๊ต มึงอย่าเพิ่งมาดับความฝันของกูได้ป่ะวะ”
ไอ้โอ๊ตนิ่งเงียบไปครู่นึงก่อนที่จะปิดเกมและเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมกับขยับแว่นตาทรงกลมอันหนาเตอะของตัวเองเบาๆ

“ก่อนจะฝันไปถึงเรื่องสาวๆ รบกวนคุณเพื่อนยีสต์หันหลังกลับไปดูสีหน้าของคุณเพื่อนเต้ยก่อนก็จะเป็นการดีนะครับ”
ไอ้โอ๊ตพูดพร้อมกับชีนิ้วไปยังไอ้เต้ยที่กำลังทำสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินไอ้ยีสต์เอ่ยถึงสาวๆ ทำเอาไอ้ยีสต์ถึงกับยิ้มแห้งหัวเราะแห่ะๆ กันเลยทีเดียว

สำหรับคนที่สงสัยว่าทำไมไอ้เต้ยถึงต้องทำสีหน้าไม่พอใจเวลาที่ได้ยินไอ้ยีสต์เอ่ยถึงสาวๆ แล้วล่ะก็ อืม จะว่ายังไงดีล่ะครับ คือสองคนนี้เขามีซัมติงกันอยู่น่ะ แต่ดูเหมือนด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ทั้งสองเลือกที่จะปิดเอาไว้เป็นความลับ ซึ่งจะว่าไปผมเองถึงจะโง่แบบนี้แต่ก็พอจะเดาได้อยู่เหมือนกัน เพราะจะว่าไปเรื่องที่ผมกับแบงค์เป็นแฟนกันก็ถือว่ายังเป็นความลับอยู่เหมือนกัน จะมีรู้กันก็แค่ไม่กี่คน เพราะฉะนั้นไอ้เต้ยที่เป็นถึงทายาทเจ้าของธุรกิจใหญ่โตที่มีกิจการหลากหลายทั่วภาคเหนือและยังถูกวางตัวให้รับช่วงต่อกิจการ กับไอ้ยีสต์ที่เป็นลูกชายคนเดียวของกิจการร้านขนมปังที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่ เมื่อมองดูถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่แปลกใจที่ทั้งสองเลือกจะเก็บเรื่องราวทั้งหมดไว้เป็นความลับ

พอคิดอย่างนั้นแล้ว มันก็ทำเอาผมถึงกับวิตกอยู่พอสมควรกับเรื่องราวของตัวเอง เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าวันใดวันนึงเกิดความแตกขึ้นมาผมจะทำยังไงดี ซึ่งคนที่ผมกลัวและไม่อยากให้รู้มากที่สุดก็เห็นทีจะเป็นพ่อของผมเองนี่ล่ะ จริงอยู่ว่าพ่อกับแม่ของผมจะหย่าขาดจากกันไปตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก แต่ยังไงเขาก็ยังมีสิทธิ์ของความเป็นพ่ออยู่ดี
ถามว่าพ่อของผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี เอาเป็นว่าแค่พูดถึงผมก็รู้สึกสยองขวัญขนลุกขนชันเสียววาบไปทั่วแผ่นหลังทันทีเลยล่ะ

“เฮ้ยไอ้นันท์ เดี๋ยวเย็นนี้มึงไปที่ชมรมด้วยนะเว้ย”
ไอ้เต้ยหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความดุดันเล็กน้อย

“แต่เย็นนี้กูมีธุระว่ะ”
“ธุระอะหยังวะ”
เจ้าตัวหันมาเขม่นคิ้วใส่ผมทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น

“ก็กูชวนแบงค์เขาไปดูหนังเย็นนี้อ่ะ”
“เออ งั้นก็ดีเลย ลากแบงค์มาด้วยละกัน กูมีเรื่องจะประชุม”
ไอ้เต้ยยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูดออกไป หรือจงใจทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่รู้เหมือนกัน

”เฮ้ย ก็กูบอกละไง ว่าเย็นนี้กูมีนัดกับแบงค์...”
“นี่บ่ใช่ประโยคขอร้อง แต่เป็นประโยคคำสั่งจากหัวหน้าชมรม โอเคมั้ย”
เช็ดเขร้ ตั้งแต่ได้เป็นหัวหน้าชมรมคนใหม่แทนพี่สาธิตที่เรียนจบออกไป ดูมึงจะเผด็จการมากเลยนะมึง แต่พูดออกไปไม่ได้หรอก กลัวมันต่อยเอา ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่คนชอบใช้กำลังแบบนั้นก็เหอะ แต่ก็อดที่กลัวๆ มันอยู่ไม่ได้เหมือนกันแฮะ


ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก (31-1-20) P.3
«ตอบ #78 เมื่อ31-01-2020 22:06:14 »

“เข้าใจมั้ย!”
ไอ้เต้ยถามย้ำอีกรอบเมื่อเห็นท่าทีนิ่งเงียบของผม
“เออๆ รู้แล้วน่ะ”
ผมตอบตกลงกลับไปพร้อมกับขมวดคิ้วย่นจมูกเล็กน้อย ซึ่งก็ถือว่าเป็นท่าทีต่อต้านมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้วล่ะ



“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ไว้ค่อยไปดูหนังกันหลังเสร็จจากชมรมก็ได้นี่ครับ”
แบงค์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทันทีที่ได้ยินผมบ่นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“มันก็จริง แต่มันจะบ่ดึกไปหน่อยเหรอะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปพร้อมกับหยิบสมุดการบ้านออกมาจากกระเป๋าก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แบงค์

“ดึกแล้วยังไงเหรอครับ บ้านเราก็อยู่ใกล้ห้างนิดเดียวเอง”
ช่างกล้าใช้คำว่า “บ้านเรา” ได้อย่างหน้าตาเฉยเลยนะ แต่เอาเถอะขี้เกียจแย้ง เดี๋ยวจะยาว

“ก็กลัวจะไปกระทบเวลาส่วนตัวของมึงนี่นา แล้วไอ้เรื่องชมก็เหมือนกัน จริงๆ มึงบ่จำเป็นต้องไปทำตามคำสั่งของไอ้เต้ยมันให้มากนักก็ได้นะ”

ผมพยายามอธิบายกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะอันที่จริงแล้วแบงค์เองก็ไม่ใช่สมาชิกชมรมดนตรีหรอกครับ

แบงค์เขาเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพนู่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างก็เลยทำให้แบงค์ได้มาช่วยชมรมดนตรีของพวกผมน่ะครับ

เห็นแบงค์แบบนี้ก็เถอะ แต่ก็มีดีกรีเป็นถึงนักร้องนำของวงเลยนะครับ ถึงแม้รูปลักษณ์ตอนนี้จะขัดๆ กันดูไม่เหมือนนักร้องนำก็ตามทีเถอะ แรกๆ มันก็โอเคอยู่หรอกครับ แต่ตั้งแต่ไอ้เต้ยได้ขึ้นเป็นหัวหน้าชมรมคนใหม่ก็ดูจะไม่ค่อยเกรงใจแบงค์เท่าไหร่ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่ด้วยสถานะของตัวเองในชมรมก็ทำให้ผมไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มากนัก

“เอาน่ะครับ อย่าเครียดไปเลย มันก็ไม่ได้รบกวนเวลาส่วนตัวของผมเท่าไหร่หรอกครับ”
“แต่...”
“ผมเคยบอกแล้วนี่ครับว่าไม่มีใครบังคับหรือสั่งให้ผมต้องทำหรือไม่ทำอะไรได้หรอก หากผมไม่มีความต้องการตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นนันท์ก็อย่าคิดมากกับเรื่องนี้เลยนะครับ”
แบงค์เอยแทรกขึ้นมาทันทีโดยไม่รีรอให้ผมได้พูดอะไรต่อ พร้อมกับยื่นมือของตัวเองมากุมมือของผมเอาไว้แน่น

“เอาน่า ไม่ต้องคิดมาก ยิ้มหน่อยสิ นะ นะ ทำหน้าบูดแบบนี้มันดูไม่น่ารักไม่สมกับเป็นนันท์ของผมเลยนะครับ”
เดี๋ยวนะ ไอ้ลูกอ้อนพวกนี้มันอะไรกัน

“ยิ้มหน่อยสิ ยิ้มๆ ยิ้มนะ นั่นล่ะอย่างนั้นสิ นันท์ที่น่ารักของผม”
โอ้ยยยย ให้ตายสิ พอเจอลูกอ้อนกับรอยยิ้มนี้ทีไร อารมณ์หงุดหงิดที่มีก็พลันหายไปจนเผลอยิ้มตามไปด้วยทุกที

“ว่าแต่สรุปเราจะไปดูหนังเรื่องอะไรกันดีครับ”
แบงค์เอ่ยถามคำถามเดิมอีกรอบหลังจากที่ถามไปแล้วครั้งนึงแต่ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากผมไปเมื่อตอนเช้า

“ยังบ่รู้ เอาเป็นว่าไปถึงหน้าโรงแล้วมีเรื่องอะไรก็ดูเรื่องนั้นละกัน”
เป็นคำตอบที่โคตรจะเป็นนามธรรมและไร้ความรับผิดชอบมากเลยกู

“หือ แบบนี้ก็ได้เหรอครับ”
ผมยิ้มแห่ะๆ กลับไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับฝ่ามือของแบงค์จะสัมผัสลงบนหัวของผมเบาๆ ก่อนที่จะขยี้เล็กน้อยแต่ก็มากพอที่จะทำให้ทรงผมของผมนั้นเสียทรง ทว่าผมไม่ได้รู้สึกโมโหอะไรเลยแม้แต่น้อย กลับกันผมยิ่งมีความสุขมากขึ้นทุกครั้งที่แบงค์ยีหัวผมเล่น


ความสุขที่หาได้จากความธรรมดาง่ายๆ ใกล้ตัว
ความสุขที่ต่อให้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
ความสุขที่ผมจะไม่มีวันยอมเสียมันไปอย่างเด็ดขาด






ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เรียกสติของผมให้กลับมาสู่ความเป็นจริง ผมหันไปมองยังประตูห้องตัวเองด้วยความสงสัยก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นอีกรอบ

“โทษนะครับ บ่ทราบว่ามีคนอยู่หรือเปล่าครับ”
เสียงทุ้มแน่นเอ่ยถามลอดผ่านประตูเข้ามา เป็นสิ่งยืนยันว่าผมไม่ได้หูแว่วไปเอง ผมค่อยๆ ลุกตัวขึ้นเดินไปยังประตูก่อนที่จะเปิดมันออกอย่างช้าๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือชายหนุ่มหน้าตาดี วัยน่าจะไล่เลี่ยกับผม ความสูงน่าจะราวๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรกว่าๆ ร่างกายกำยำสมส่วนที่สื่อให้เห็นว่าต้องมีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสูง ยิ่งเมื่อรวมกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ กับเนคไทและสแลคสีดำเรียบ ก็ยิ่งเสริมบุคลิกภาพของอีกฝ่ายให้ดูดีมากยิ่งขึ้น

“สวัสดีครับ ...”
ผมเอ่ยทักทายอีกฝ่ายกลับไปอย่างไว้ท่าทีเล็กน้อย เจ้าตัวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบเผยยิ้มกว้างออกมาทันที

“สวัสดีครับ ขอโทษที่มารบกวนเวลาส่วนตัวนะครับ บ่ทราบว่าคุณ...เอ่อ...”
“นันท์ครับ”
ผมตอบกลับไปสั้นๆ

“ครับ นันท์นะครับ เพิ่งย้ายมาอยู่ใช่มั้ยครับ”
ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

“ผมชื่อภูนะครับ อยู่ห้องข้างๆ นี่เอง พอดีเห็นว่าย้ายเข้ามาใหม่ก็เลยจะมาแนะนำตัวทำความรู้จักกันไว้น่ะครับ ส่วนนี่ ถือว่าเป็นของแนะนำตัวเล็กๆ น้อยๆ ละกัน เป็นขนมที่คุณแม่ของผมท่านทำเองน่ะครับ พอดีท่านทำมาเยอะ ก็เลยเอามาแบ่ง ลองทานดูนะครับ อร่อยบ่อร่อยยังไงก็แนะนำติชมได้นะครับ ยินดีรับฟัง”
คนชื่อภูพูดด้วยความคล่องแคล่วพร้อมกับยื่นกล่องขนมที่ว่ามาให้ผม ทำเอาผมถึงกับรู้สึกเกร็ง เก้ๆ กังๆ อยู่พอสมควร แต่ด้วยท่าทีและรอยยิ้มของอีกฝ่ายจึงทำให้ผมไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ ผมรับมันมาพร้อมกับยิ้มและกล่าวขอบคุณกลับไป

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้นะครับ ยินดีช่วยบ่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวยังไงผมขอตัวก่อนนะครับบ่กวนแล้ว ไว้เจอกันนะครับ”
ภูกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีสุภาพพร้อมกับก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ผมโค้งตัวยิ้มขอบคุณกลับไปอีกรอบ อีกฝ่ายยิ้มกว้างด้วยความดีใจทันทีที่เห็นท่าทีนั้นของผมก่อนที่จะเดินกลับไปยังห้องตัวเอง ผมมองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายปิดประตูห้อง ผมจึงปิดประตูกลับเข้ามาในห้องตัวเอง

ผมยืนมองกระปุกพลาสติกในมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ เปิดมันออกอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวังเพราะกลัวว่าขนมข้างในจะกระเด็นหรือเสียรูปทรง เนื่องด้วยตัวผมเองนั้นค่อนข้างจะเป็นคนที่ค่อนข้างซุ่มซ่ามอยู่พอสมควร

คุกกี้รูปดาวและหัวใจคือขนมที่ถูกบรรจุเอาไว้ในกระปุกที่ว่า ผมนิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาลองชิมดูชิ้นหนึ่ง รสหวานแผ่กระจายไปทั่วลิ้นทันทีที่คุกกี้ถูกเคี้ยว แต่ถึงแม้มันจะมีรสชาติที่หวานไปหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารสชาติของมันก็อร่อยไม่ใช่น้อย ยิ่งถ้าได้กินคู่กับชาร้อนๆ สักถ้วยก็คงจะยิ่งเสริมความอร่อยอยู่พอสมควร

ผมหวนนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่ายที่เป็นเจ้าของขนมคุกกี้กล่องนี้

ชื่ออะไรนะ เอ้อใช่ ภู นั่นเอง เห็นครั้งแรกก็นึกว่าเซลล์ขายของมาหลอกขายอะไรให้เสียอีก เสียมารยาทมากเลยนะกูเนี่ยที่ไปมองเขาในแง่ไม่ดี

เอาเถอะ รู้จักกันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ อย่างที่ภูว่าไว้น่ะล่ะ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้
ผมปิดฝากระปุกให้เข้าที่ก่อนที่จะเอามันไปเก็บไว้ในตู้เย็น โดยคิดเอาไว้ในใจว่าหากพรุ่งนี้ไม่ลืมก็จะแวะหาซื้อชาในซุปเปอร์มาเกตมาไว้ทานคู่กับคุกกี้นี่เสียหน่อย
ผมรีบจัดแจ้งข้าวของที่เหลือเท่าที่พอจะจัดได้ด้วยความเร่งรีบเพราะอีกไม่มากนักก็จะถึงเวลาที่นัดกับพวกเพื่อนๆ ไว้แล้ว


เอาล่ะ คอนโดใหม่ งานใหม่ เพื่อนร่วมคอนโดใหม่ อะไรๆ ก็ใหม่หมด
รวมไปถึงชีวิตบทใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วด้วย
สู้ๆ นะ ไอ้นันท์


จบคาบเรียนที่หนึ่ง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก (31-1-20) P.3
«ตอบ #79 เมื่อ01-05-2020 03:07:56 »

 :pig4:
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก (31-1-20) P.3
« ตอบ #79 เมื่อ: 01-05-2020 03:07:56 »





ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่สอง

ณ ร้าน Mysticร้านเหล้าแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของห้างเมญ่า
“เอ้า ชนแก้วหน่อยเว้ย แด่มิตรภาพ”

เสียงร่าเริงของไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นทันทีที่เบียร์ถูกนำมาเสิร์ฟยังโต๊ะ ตามด้วยเสียงแก้วที่ภายในเต็มไปด้วยน้ำสีทองใสราวกับอำพันกระทบกันดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่พวกเราทั้งสี่จะยกแก้วขึ้นจิบจนฟองเบียร์สีขาวที่เคยเกาะติดอยู่ที่ขอบปากแก้วได้ย้ายมาอยู่ที่ริมฝีปากเสียแล้ว

“นานเท่าไหร่แล้วครับ ที่พวกเราไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นในขณะที่สายตามันยังคงจดจ้องอยู่กับเกมในมือถือ ซึ่งเป็นภาพปกติที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“นั่นสิ น่าจะราวๆ ปีกว่าเกือบสองปีได้แล้วมั้ง”
ผมพยายามย้อนภาพความหลังเท่าที่จำได้ เพราะหลังจากจบชั้นมัธยมปลายพวกเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปเรียนต่อกันคนละที่คนละทาง ไกลสุดก็คงเป็นไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์ที่ไปเรียนต่อถึงกรุงเทพฯ ในขณะที่ผมกับไอ้โอ๊ตเลือกเรียนต่อที่เชียงใหม่
ซึ่งพอลองนึกย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนั้นตัวเองจบมัธยมปลายเข้ามหาลัยได้ยังไง ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ส่วนหนึ่งก็คงต้องขอบคุณคนๆ หนึ่งด้วยล่ะ

ใช่แล้ว คนๆ นั้นก็คือแบงค์นั่นเอง คนที่ช่วยติวให้ผมมาตลอดในช่วงเวลาวิกฤติทางการเรียนของผม ณ ตอนนั้น
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ตามที

“แล้วคุณเพื่อนเต้ย กับคุณเพื่อนยีสต์เป็นยังไงมั่งครับ ชีวิตเด็กกรุงเทพฯ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบ ไอ้เต้ยเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบทีหนึ่งก่อนที่จะใช้ปลายลิ้นเลียฟองเบียร์ที่เลอะอยู่แล้วจึงยิ้มมุมปาก

“ก็ดีนะ ไกลหูไกลตาป๊ากูดี ได้ทำอะหยังอิสระมากขึ้น”
ไอ้เต้ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางหันไปมองไอ้ยีสต์ที่กำลังเหล่มองสาวโต๊ะข้างๆ อย่างไม่ละสายตา

“แต่ก็คงอิสระได้บ่ตลอดชีวิตหรอก เพราะยังไงสุดท้ายกูก็ต้องย้ายปิ๊กมาเชียงใหม่อยู่ดี”
“แล้วมึงจะย้ายกลับมาเมื่อไหร่วะ”

ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น
“ก็จนกว่าไอ้เหี้ยยีสต์มันจะเรียนจบนั่นล่ะ”

ไม่พูดเปล่า ไอ้เต้ยยังเอามือโบกใส่หัวไอ้ยีสต์อีกด้วย ทำเอาอีกฝ่ายเผลอส่งเสียง ‘โอ๊ย’ จนสาวๆ โต๊ะข้างๆ เหลียวมามอง ซึ่งก็เข้าทางไอ้ยีสต์พอดีจนเจ้าตัวถึงกับส่งสายตายิ้มหวานให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ไอ้เต้ยอยู่นิ่งเฉยไม่ได้จึงเอาแขนคล้องคอไอ้ยีสต์ไว้แน่นก่อนที่จะเอนหัวเข้าซบไหล่อีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด จนสาวๆ โต๊ะข้างๆ ต่างมองแล้วอมยิ้มหันไปซุบซิบกันในกลุ่ม

“โห่ อะหยังของมึงเนี่ย ไอ้เต้ย ดูดิพวกสาวๆ เขามองแปลกๆ เลยเห็นปะวะ”
“ก็ดีแล้วนี่”

“ดีเหี้ยอะหยังล่ะ มึงนี่คอยขัดแข้งขัดขากูตลอด กะจะให้กูเป็นโสดไปตลอดชาติเลยรึไงวะ”
“อืม โสดเป็นเพื่อนกูไปทั้งชาตินี่ล่ะ คือสิ่งที่กูต้องการ บ่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวกูรับผิดชอบดูแลชีวิตมึงเอง”
“ตลอดไปด้วยมั้ย”

ไอ้ยีสต์ถามย้ำ
ไอ้เต้ยพยักเพยิดหน้าตอบอือในลำคอกลับไปเบาๆ พลางหยิบเบียร์ขึ้นมาจิบอีกหนึ่งอึกด้วยท่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะเว้ย”
“เออ กูเคยผิดสัญญาปะเหอะ มีแต่มึงน่ะล่ะ พี่ผิดคำพูดตลอดเลย สัส”
ไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์ปะทะคารมกันเล็กน้อยพอเป็นกระษัย ซึ่งถ้าคนที่ไม่รู้จักสองคนนี้มาก่อน อาจจะคิดว่าไอ้สองคนนี้มันมีอะไรแปลกๆ กัน แต่ด้วยความที่พวกผมรู้จักกันมานานก็เลยรู้สึกชินชากับลักษณะเหตุการณ์แบบนี้ไปเสียแล้ว

 “ว่าแต่คุณเพื่อนยีสต์ยังเรียนไม่จบอีกเหรอครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามพลางขยับแว่นของตัวเองให้เข้าที่

“มีเวลาให้เรียนตั้งแปดปี ก็ใช้ให้คุ้มดิ จะรีบไปไหนวะ อีกอย่างถ้าจบเร็วก็ต้องปิ๊กมาเชียงใหม่เร็ว”
“มึงบ่อยากปิ๊กมาเชียงใหม่กันเหรอวะ”
คราวนี้เป็นผมที่เอ่ยถามบ้าง ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เม้มปากขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งแล้วเอนหลังไปพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์

“ก็อยากปิ๊กมานั่นล่ะ แต่ยังบ่ใช่ตอนนี้ ก็อย่างที่ไอ้เต้ยมันว่าน่ะล่ะ อยู่นู่นก็อิสระดี ก็เลยขออิสระอีกสักหน่อย แต่เอาจริงๆ ที่กูยังบ่จบ บ่ใช่เพราะกูบ่ยอมจบหรอก แต่กูยังบ่จบจริงๆ นั่นล่ะ ยังเหลือแก้นั่นนี่นู่นอีกหลายอย่างเลยเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไอ้ยีสต์พูดพลางหัวเราะ ในขณะที่ไอ้เต้ยก็ยังคงเอนหัวพิงไหล่ไอ้ยีสต์อยู่พร้อมกับสไลด์มือถือเล่นไปด้วย

“มึง พรุ่งนี้ไปแอ่วม่อนอิงดาวกันปะ ก่อนกลับกรุงเทพฯ กูอยากไปว่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นหน้าจอมือถือให้ไอ้ยีสต์ดู เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รับมือถือจากไอ้เต้ยมาดูพร้อมกับหรี่ตามองหน้าจอแล้วสไลด์หน้าจอขึ้นลงอยู่พักหนึ่ง

“เอาดิ สวยดี ถ้ามึงอยากไป กูก็ไป”
“โอเค งั้นเดี๋ยวกูจองที่พักเลยละกัน”
ไอ้เต้ยดันตัวขึ้นมาพร้อมกับหยิบมือถือคืนมาจากไอ้ยีสต์ ก่อนจะหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มแล้วจัดการจองที่พักตามที่ทั้งสองตกลงกัน

เฮ้อออ ก็ไม่เข้าใจพวกมันสองคนเหมือนกันว่าทำไมไม่ยอมรับแล้วก็เปิดตัวไปสักทีให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ว่าไม่ได้ เอาเข้าจริงๆ ก็พอจะรู้เหตุผลลึกๆ นั้นอยู่เหมือนกันน่ะล่ะ เพราะงั้นที่ผ่านมาสิ่งที่ผมเห็นมาตลอดก็คือมักจะเห็นพวกมันสองคนถ่ายรูปเช็กอินไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอด้วยสีหน้าที่ยิ้มแป้น แต่วันดีคืนดีก็จะเห็นไอ้ยีสต์โพสต์เวิ่นเว้อถึงความรักราวกับคนโสด ในขณะที่ไอ้เต้ยก็โพสต์เพลงโพสต์กลอนเกี่ยวกับความรักไปเรื่อยอย่างคนมีความสุข

ถึงกระนั้นพวกมันสองคนก็อยู่กันมาแบบนี้ได้หลายปีแล้วเหมือนกันนะเนี่ย
ก็เป็นคู่ที่แปลกดีเหมือนกันแฮะ
ในขณะที่ความรักของผม...

ณ ห้องชมรมดนตรี
“เอาล่ะ ที่เรียกมาประชุมในวันนี้ ก็น่าจะพอทราบกันอยู่บ้างแล้วนะ เกี่ยวกับปัญหาของชมรมเราในตอนนี้”
ไอ้เต้ยเริ่มต้นเอ่ยขึ้นทันทีที่องค์ประชุมมากันครบ

แต่แหม ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เหอะ ไอ้คำว่าองค์ประชุมที่ว่าเนี่ย เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้นหรอก เพราะชมรมดนตรีแห่งนี้ก็มีสมาชิกอยู่ไม่กี่คนเอง ประกอบด้วย ไอ้เต้ย หัวหน้าชมรมคนใหม่และยังเป็นมือกีตาร์ไปด้วยในตัว ไอ้น้องไนท์ มือเบสฝีมือฉมัง มายด์ หญิงสาวคนเดียวในชมรมผู้ซึ่งเป็นนักร้องนำหญิง กอล์ฟ มือคีย์บอร์ด ไอ้นี่บทจืดจางไม่ต้องไปสนใจมันหรอก แบงค์ สุดที่รักของผม (พูดเองอายเองว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า) นักร้องนำชาย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วแบงค์ก็ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมนี้แบบเป็นทางการด้วยซ้ำ เพราะเจ้าตัวนั้นเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพต่างหาก แต่แค่มีเหตุบางอย่างเลยทำให้เจ้าตัวเลือกที่จะมาช่วยชมรมดนตรีบ้างตามโอกาส และสมาชิกคนสุดท้ายของชมรมแห่งนี้ก็คือผมนั่นเอง

“จนถึงตอนนี้ เราก็ยังบ่สามารถหามือกลองคนใหม่มาแทนพี่สาธิตที่จบออกไปแล้วได้เลย”
“อันที่จริงมันก็มีมาสมัครอยู่ตลอดนะล่ะ แต่มึงบ่เอาเขาเองมากกว่า”
ผมเอ่ยแทรกขึ้นไปเบาๆ ก่อนที่จะรีบหุบปากพาซวยของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอำมหิตจากสายตาของไอ้เต้ย

“นี่ก็ใกล้จะถึงงานนอกสถานที่ที่อาจารย์แกไปรับเอาไว้แล้วด้วยใครพอจะมีข้อเสนออะหยังบ้างมั้ย”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่กำลังตกอยู่ในบรรยากาศเงียบงันจนชวนให้รู้สึกวังเวงอยู่ไม่ใช่น้อย

“อันที่จริง มึงก็แค่เลือกๆ เอาใครสักคนจากพวกที่เคยๆ มาสมัครมันก็จบเรื่องไปนานแล้วแท้ๆ”
ผมเอ่ยแทรกขึ้นไปอีกรอบด้วยความลืมตัว ทำเอาไอ้เต้ยถึงกับหันมามองด้วยสีหน้านิ่งเฉย พร้อมกับล้วงหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนของตัวเอง บัตรสมาร์ตเพิร์ตสีดำขลับถูกหยิบขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะยื่นมันมาให้ผม

“ในบัตรน่าจะมีอยู่ประมาณสี่ร้อยกว่าๆ มึงอยากแดกอะหยังก็ไปซื้อมา มันอาจจะช่วยทำให้ปากของมึงหุบลงได้บ้าง”
ผมมองเจ้าบัตรสมาร์ตเพิร์ตที่อยู่ในมือของอีกฝั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะไหวข้อมือสองสามครั้งเพื่อย้ำเตือนให้ผมทราบถึงหน้าที่และบทบาทของตัวเองในชมรมดนตรีแห่งนี้

ใช่ครับ หน้าที่หลักของผมในชมรมดนตรีแห่งนี้ก็คือ เจเนรัลเบ๊ ด้วยความที่เล่นดนตรีเหี้ยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ขนาดเป่าขลุ่ยในวิชาดนตรียังเพี้ยนเลยคิดดู แต่ยังเสือกสะเออะมาอยู่ชมรมดนตรี เพราะงั้นหน้าที่เจเนรัลเบ๊ก็คงจะเหมาะสมกับผมมากที่สุดในชมรมดนตรีแห่งนี้แล้วล่ะ

ผมรับบัตรนั้นมาด้วยสีหน้าระอาเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักก่อนที่จะลุกตัวขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความเอื่อยเฉื่อย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องชมรมดังขึ้นดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปมองพร้อมกัน

“สุมาเต๊อะครับ มีใครอยู่มั้ยครับ”
เสียงทุ้มฟังดูห้าวๆ เอ่ยแทรกถามเข้ามา ผมหันไปมองหน้าไอ้เต้ยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสำเหนียกตัวเองได้ว่าคนที่สมควรจะไปเปิดประตูไม่ใช่ใครที่ไหน

ก็ตัวกูเองนี่ล่ะ

อนึ่ง คำว่าสุมาเต๊อะคือภาษาเหนือครับ แปลเป็นภาษากลางได้ว่า ขอโทษ อะไรประมาณนั้นครับ

ผมค่อยๆ แง้มประตูช้าๆ แล้วชะโงกหัวออกไปดู ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนขาสั้นสองคนกำลังยืนอยู่หน้าประตู คนหนึ่งตัดผมสั้นเกรียนทั้งหัว ตัวสูงใหญ่กว่าผม ผิวสีแทน รูปร่างสมส่วน คิวเข้มหนาคือจุดเด่นที่สุดบนใบหน้าที่ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่นัก ในขณะที่อีกคนกลับดูสวนทางอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ร่างกายจะดูสูง (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ใครๆ แม่งก็สูงกว่าผมทั้งนั้นล่ะ ซึ่งกูเกลียดความจริงข้อนี้โว้ยยย) แต่กลับดูผอมแห้งไม่มีน้ำไม่มีนวล จนพาลทำให้คิดว่าเป็นโรคขาดสารอาหารหรือเปล่านะ ยิ่งสีหน้าที่ดูขาดความมั่นใจภายใต้แว่นตาหนาทรงสี่เหลี่ยมบวกกับการที่เอาแต่ยืนหลบอยู่ข้างหลังอีกคนจนไม่รู้จะเรียกว่าจืดจางหรือกลายเป็นจุดเด่นดี

“มีธุระอะหยังครับ”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเพราะกลัวว่าหากพูดอะไรไม่เข้าหูอาจจะโดนอีกฝ่ายประเคนหมัดเข้าที่เบ้าตาเอาได้ จริงอยู่ว่าหน้าตาผมอาจจะดูเถื่อนๆ โผงผางบ้าง แต่ในความเป็นจริงผมนั้นเป็นคนไม่สู้คนเท่าไหร่นัก

เด็กหนุ่มหัวเกรียนมองผมด้วยสายตาราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่างในหัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเอนตัวไปมองใบประกาศที่แปะอยู่หน้าห้องครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมาหรี่ตามองผมอีกรอบด้วยความสงสัย

“เอ่อ ที่นี่ใช่ห้องของชมรมดนตรีแม่นก่อครับ”
เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามขึ้น ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบอย่างรวดเร็ว

“จะมาสมัครเข้าชมรมเหรอ”
ผมเอ่ยถามกลับไป อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมาแทนคำตอบ ผมจึงค่อยๆ เปิดประตูออก เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา

“เอ่อ สองคนนี่เขา...”
“เออ กูได้ยินแล้ว บ่ได้หูตึง”
ผมขมวดคิ้ว ย่นจมูกทันทีที่โดนไอ้เต้ยตัดบทอย่างไร้ความปรานี

“จะมาสมัครตำแหน่งอะหยังน่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามพร้อมกับกอดอกวางมาด ซึ่งทำไมผมดูแล้วรู้สึกหมั่นไส้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“ก็พี่ประกาศรับสมัครตำแหน่งอะหยังล่ะครับ ผมก็มาสมัครอันนั้นน่ะล่ะ”
เอ้า ไอ้น้องนี้กวนตีนใช้ได้เว้ย งั้นงานนี้กูเชียร์มึงละกันไอ้น้อง ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่ดูเหมือนว่าไอ้เต้ยจะคงไม่ชอบใจในคำตอบนั้นของอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก จนเกือบจะถลาตัวเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับกำหมัดแน่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่โชคดีที่มายด์กุมแขนของไอ้เต้ยรั้งเอาไว้ทัน ไม่งั้นได้มีเฮแน่ เพราะดูเหมือนว่าไอ้น้องคนนี้ก็จะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

“เออๆ แล้วมึงจะเล่นเพลงอะหยังให้พวกกูฟังวะ”
“เต้ย พูดกับเขาเพราะๆ หน่อยสิ”
มายด์พยายามที่จะเตือนสติไอ้เต้ย ก่อนที่จะหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสอง

“บ่ทราบว่าทั้งสองอยู่ชั้นมอไหนเหรอคะ”
“มอสี่ครับ”
คนตัวโตตอบกลับไปด้วยท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นพวกดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายกลับอย่างนั้นเรอะ

“งั้นก็เป็นรุ่นน้องสินะคะ เอ่อ แล้ววันนี้จะมาออดิชั่นด้วยเพลงไหนเหรอคะ”
“ผมขอยืมคอมพ์ฯ ตรงนั้นใช้หน่อยได้มั้ยครับ”
เด็กหนุ่มหัวเกรียนเอ่ยถามพลางชี้นิ้วไปยังคอมพ์ฯ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง มายด์หันไปมองตามก่อนที่จะหันไปหาเต้ย เจ้าตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของมายด์ก็พยักหน้าเป็นคำตอบแทนเธอ เด็กหนุ่มหัวเกรียนซึ่งถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรเดินตรงไปยังคอมพร้อมกับหยิบเปิดเว็บยูทูบขึ้นมา

“ไอ้นันท์ เมื่อไหร่มึงจะไปซื้อของสักทีวะ”
ไอ้เต้ยหันมาถามผมด้วยสายตากดดันเล็กน้อย

“เอ้า ก็กูกะว่าจะรอฟังน้องเขาออดิชั่นก่อนไง”
ผมเอ่ยตอบกลับไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า ออดิชั่น นั้นมันแปลว่าอะไร แค่เห็นมายด์พูดแล้วมันเท่ดีก็เลยอยากพูดตาม รู้แค่ว่าชื่อของมันเหมือนชื่อเกมออนไลน์เกมหนึ่งซึ่งเป็นเกมแนวเต้น แต่ชมรมเรามันชมรมดนตรีนี่หว่า ไม่ใช่ชมรมเต้น แล้วมันเกี่ยวข้องกันยัง...

“เรื่องนั้นบ่เกี่ยวกับมึง เดี๋ยวพวกกูจัดการเอง ส่วนมึงน่ะรีบๆ ไปซื้อขนมมาอุดปากมึงเดี๋ยวนี้”
ไอ้เต้ยรีบพูดตัดบทตัดความคิดของผมพร้อมกับสะบัดมือไล่ผมด้วยสีหน้าเอือมระอา ผมย่นจมูกด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก่อนที่จะหันไปมองแบงค์ที่นั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ สมาชิก แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับชูสองนิ้วเป็นกำลังใจให้ผมซึ่งมันก็พอจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

ผมจึงรีบมุ่งหน้าไปยังเซเว่นและเลือกซื้อของด้วยความรวดเร็วแต่ด้วยเพราะช่วงเวลายามเย็นเช่นนี้ ลูกค้าของเซเว่นมักจะเยอะเป็นปกติ จึงทำให้คิวค่อนข้างจะยาวอยู่พอสมควร ซึ่งทันทีที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบกลับมายังห้องชมรมทันที เพราะอยากจะรีบกลับมาฟังไอ้กวนตีนนั่นมันตีกลองว่าจะเก่งแค่ไหน

ทว่า ...



จบคาบเรียนที่สอง

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่สาม

“เอาล่ะ เอาเป็นว่าก็ตามมติเสียงข้างมากอย่างเป็นเอกฉันท์ ตอนนี้เราก็ได้มือกลองคนใหม่แล้ว ส่วนวันนี้ก็เย็นมากแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้อีกทีละกัน แล้วเราค่อยมาประชุมอีกรอบ โอเค แยกย้ายได้”

หือ ???????????????????????????????????????????????

ทุกคนลุกขึ้นเก็บข้าวของเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมได้แต่ยืนนิ่งตะลึง งงกับเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมกับถุงขนมที่ถืออยู่ในมือทั้งสองข้าง

“บัตรกูล่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับยื่นมือมาทางผม ผมวางถุงขนมลงกับพื้นก่อนจะล้วงหยิบบัตรสมาร์ตเพิร์ตในกระเป๋ากางเกงคืนให้อีกฝ่าย ทันทีที่ไอ้เต้ยได้บัตรคืนก็เดินแทรกตัวผ่านผมกับแบงค์ไปทันทีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดี๋ยว แล้วขนมพวกนี้ล่ะ”

“ก็เก็บไว้อุดปากมึงนั่นล่ะ ล็อกห้องชมรมให้ด้วย เอ้อ แล้วพรุ่งนี้ก็มาชมรมด้วยล่ะ กูไปละ”
ไอ้เต้ยตอบพร้อมกับโยนกุญแจมายังผม ผมรีบรับมันอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะทำกุญแจตกลงพื้น ผมหันไปมองแบงค์ที่กำลังอมยิ้มกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนหมาสงสัยของผม


ณ ห้างเมญ่า
“สรุปมันอะหยังยังไงกันน่ะ”
ผมเอ่ยถามแบงค์ทันทีที่ซื้อตั๋วหนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“หืม เรื่องอะไรครับ หนังเหรอ ก็....”
“บ่ใช่เว้ย บ่ใช่เรื่องหนัง เรื่องชมรมต่างหาก”
ผมรีบตัดบทแบงค์ทันทีด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวจะออกทะเลไปกันใหญ่

“อ๋อ ก็ตามที่เต้ยเขาว่านั่นล่ะ ตอนนี้ชมรมเราได้มือกลองคนใหม่แล้วไงครับ”
“ขอรายละเอียดให้มันมากกว่านั้นหน่อยได้มั้ย”
ผมถามย้ำอีกรอบ จนบางทีก็มีความคิดในหัวว่าหลังๆ มานี้แบงค์ดูจะพยายามกวนตีนผมยังไงก็ไม่รู้แฮะ แบงค์หัวเราะในลำคอเล็กน้อยพร้อมกับยีหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผมที่ตอนนี้คิ้วกำลังขมวดจนแทบจะผูกโบว์กันได้แล้ว

“อะ ไม่กวนแล้วก็ได้ครับ”
นั่นไง กำลังกวนตีนกูอยู่จริงๆ ด้วย

“ก็น้องเขาเลือกเพลงไร้หัวใจของวงค็อกเทลมาทดสอบน่ะครับ รู้จักเพลงนี้มั้ยครับ”
ผมส่ายหัวทันทีที่ได้ยินชื่อเพลง คือวงนี้น่ะรู้จัก แต่เพลงนี้ไม่เคยได้ยินแฮะ แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ล้วงหยิบมือถือตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับหูฟังจากกระเป๋านักเรียน แล้วจึงกดค้นหาเพลงจากยูทูบ ก่อนที่จะยื่นมือถือและหูฟังมาให้ผม

“อ่ะ ลองฟังเพลงนี้ให้จบก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าต่อ”
ผมรับมือถือและหูฟังนั้นมา เมื่อใส่หูฟังเข้าที่เรียบร้อยแล้วผมก็กดเพลงไร้หัวใจที่ว่านั้นทันที



ไร้หัวใจ Heartless – Cocktail



ไร้หัวใจ เธอไม่เคยรับรู้เธอไม่ยอมเข้าใจเธอมองปัญหาของเธอ ว่าเป็นเรื่องใหญ่
เธอไม่เคยมองใจของคน
ไม่รู้สึก ข้างในส่วนลึกของเธอทำด้วยอะไรมันถึงได้ด้านชา ไร้น้ำตาข้างใน
เธอไม่เคยสะเทือน

พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

ไร้หัวใจเธอ เธอมองความรักของฉันว่าเป็นเช่นไรเธอจึงได้ขว้างปา ไร้น้ำตาหัวใจ
เธอมันคงไม่ใช่ของคน
   ไม่รู้สึก ข้างในส่วนลึกของเธอทำด้วยอะไรเธอถึงโหดร้าย เธอฆ่าฉันตายข้างใน
เธอไม่เคยมองเห็น

พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

   เพราะฉันอ่อนแอเกินจะทนไหวหัวใจอ่อนแรงเกินกว่าใคร
   เพราะฉันอ่อนแอเกินจะทนไหวหัวใจอ่อนแรงเกินกว่าใคร
ไร้หัวใจ ไร้หัวใจ ไร้หัวใจ

   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

“จบแล้ว”
“คิดว่ายังไงมั่งครับ”
แบงค์เอ่ยถามทันทีที่ผมยื่นมือถือกลับคืนไป ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าโรงหนัง

“ก็เพราะดี แต่ฟังยากไปหน่อย หลอนๆ ยังไงบ่รู้ว่ะ”
แบงค์หัวเราะทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นจากผมก่อนที่จะเก็บหูฟังใส่กระเป๋านักเรียน

“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันที่น้องเขาเปิดให้ฟังรอบแรก แต่พอรอบสองที่น้องเขาตีกลองตามไปด้วย ผมกลับคิดว่าน้องเขาเลือกเพลงมาทดสอบได้ดีเหมือนกันแฮะ”
“ยังไงวะ”
“อันนี้เป็นความเห็นจากคนอื่นๆ ในชมรมนะครับ เพราะผมเองก็ไม่สันทัดเรื่องดนตรีเท่าไหร่ พวกเขาบอกว่า เพลงนี้จังหวะกลองดี มีตั้งแต่เบาในตอนต้น พอดีในช่วงกลาง และหนักหน่วงโชว์จังหวะในตอนท้ายได้อย่างลงตัว”
แบงค์ทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตดูสีหน้าของผม เมื่อเห็นว่าผมเข้าใจในสิ่งที่พูดแบงค์ก็เอ่ยต่อทันที

“เต้ยบอกว่า ในบรรดาคนที่เข้ามาทดสอบนั้นทุกคนมักจะเล่นใหญ่ เล่นอลังการมากเกินไปเหมือนกะจะโชว์ตัวเองเด่นเต็มที่ ซึ่งมันไม่ใช่”
“อ้าว บ่ใช่ยังไงล่ะ”
“ก็เพลงๆ นึงมันประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดใช่มั้ยล่ะครับ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“ก็นั่นล่ะครับ ก็เพราะเพลงนึงประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลายชนิด เพราะงั้นจึงจำเป็นอย่างนึงที่จะต้องคุมจังหวะของแต่ละคนให้ดี รู้หน้าที่ว่าช่วงไหนสมควรจะเป็นของใครที่เด่นกว่า ลองนึกภาพวงที่ต่างคนต่างเอาแต่จะแย่งบทเด่นดูสิครับ กลองจะเอาแต่ตีตึงๆๆๆ กีตาร์ได้ยินเสียงกลองกลบตัวเองก็เร่งของตัวเองให้เด่นบ้าง เบสเห็น เอ้า เอาด้วยเดี๋ยวไม่เด่น นักร้องได้ยิน ก็แหกปากร้องสุดเสียงเพราะกลัวคนฟังไม่ได้ยิน สุดท้ายมันก็ล่ม คนฟังฟังไม่รู้เรื่อง แต่น้องคนนี้เขาคงจะรู้ถึงจุดนี้ ก็เลยรู้จังหวะว่าตรงไหนควรหลบ ตรงไหนคือจังหวะโชว์ของตัวเองน่ะครับ”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เข้าใจละ ดีๆ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันสักทีกับการหามือกลองเนี่ย ไอ้เต้ยนะไอ้เต้ย ทำอย่างกับเดอะ สตาร์ ค้นฟ้าคว้ามือกลองไปได้”
“เอาน่ะครับ เขาเป็นหัวหน้าชมรมนี่ครับ ความรับผิดชอบเขาก็ต้องมี เขาก็เลยต้องคัดเพื่อคุณภาพของชมรมยังไงล่ะ”
แบงค์พยายามอธิบายให้ผมมองในอีกมุมมองที่ผมไม่เคยสังเกต ซึ่งพอมาลองคิดตามที่แบงค์พูด มันก็จริงเหมือนกันแฮะ

“แต่ก็หวิดเกือบจะไม่ได้แล้วเหมือนกันแฮะ ตอนนั้นเนี่ย”
แบงค์พูดพร้อมกับเกาจมูกตัวเองเบาๆ

“ทำไมอีกล่ะ”
“ก็น้องอีกคนที่ตัวผอม ๆ ที่มาด้วยกันน่ะครับ”
“อื้ม ทำไมวะ”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แบงค์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ก็พอเต้ยถามว่าเล่นอะไรได้มั้ย น้องมือกลอง...”
“เดี๋ยว ๆ กูขอคั่นเวลาแป๊บ”

“อะไรครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง

“ตั้งแต่เมื่อกี้ละ มึงเรียกน้องมือกลองบ้างล่ะ น้องผอมๆ บ้างล่ะ สรุปน้องมันบ่มีชื่อเหรอ”
เออ นั่นล่ะ สมควรจะเป็นคำถามที่กูควรจะเอ่ยถามตั้งนานแล้ว

“เออใช่ น้องมือกลองชื่อพล ส่วนคนผอมๆ ชื่อตี๋เอ๋อครับ”
เอาล่ะ หายคาใจแล้วกู แต่เดี๋ยวนะ

“ตี๋เอ๋อ”
“ครับ”
“ชื่อตี๋เอ๋อเนี่ยนะ”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”
“คนบ้าอะหยังชื่อตี๋เอ๋อวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยปนหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้น

“ผมก็สงสัยเหมือนกันนั่นล่ะครับ ตอนได้ยินครั้งแรกทุกคนก็ยังตะลึงเหมือนกัน แต่น้องพลก็ยืนยันว่าน้องเขาชื่อตี๋เอ๋อจริงๆ ทุกคนก็เลยปล่อยผ่านไม่ถามอะไรต่อ”
ผมกุมขมับทันทีที่ได้ยินแบงค์พูดเช่นนั้น ในขณะที่สมองอันน้อยนิดก็กำลังคิดสงสัยว่าอะไรดลใจให้พ่อแม่ต้องชื่อเล่นลูกตัวเองว่า ‘ตี๋เอ๋อ’ กันนะ
ตั้งเพราะดูน่ารักงั้นเรอะ ฟังยังไงก็ไม่น่ารักว่ะ

ตั้งแก้เคล็ดเหรอ เคล็ดขัดยอกอ่ะสิ

หรือตั้งเอาฮา เออ อันนี้ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย แต่ตั้งชื่อเล่นลูกเอาฮาเนี่ยนะ

พอคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกโชคดียังไงไม่รู้แฮะ ที่พ่อแม่ตัวเองไม่ตั้งชื่อเล่นลูกแปลกๆ
“เอ่อ กลับเข้าสู่ประเด็นต่อได้รึยังครับ”
“เออใช่ ลืมไปเลย ต่อๆ”
ไอ้ชื่อตี๋เอ๋อบ้า แม่งทำกูเกือบหลงประเด็นออกทะเลแล้วมั้ยล่ะ สัส

“พอเต้ยถามว่าน้องตี๋เอ๋อเล่นอะไรได้บ้างมั้ย เจ้าตัวก็เอาแต่ส่ายหัว น้องพลก็เลยบอกว่าตี๋เอ๋อเล่นอะไรไม่ได้เต้ยก็เลยจะไม่รับน้องตี๋เอ๋อเข้าชมรม”
“ก็สมควร เล่นอะหยังบ่ได้แล้วยังจะมาเข้าชมรมดน...”
ผมหุบปากตัวเองทันทีที่ฉุกใจได้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมดนตรีที่เล่นเหี้ยอะไรไม่ได้สักอย่าง แบงค์หัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม

“แล้วไงต่อ พอไอ้เต้ยมันจะบ่เอาแล้วไง ไอ้น้องพลมันก็เลยจะบ่เข้าชมรมเลยว่างั้น”
แบงค์พยักหน้าทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น ผมถอนหายใจเบาๆ ด้วยความระอาทันทีเพราะไม่คิดว่าการคาดเดาเพี้ยนๆ แบบนั้นจะถูก

“แต่สุดท้ายด้วยความที่น้องพลเป็นคนที่มีฝีมือ เต้ยก็เลยให้ทุกคนลงประชามติกัน ว่าจะเอาไง ซึ่งผลก็ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าให้รับน้องตี๋เอ๋อเข้าชมรมได้ ด้วยเหตุผลที่เหมือนๆ กัน”
“เหตุผลอะหยังวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยและรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

“เอ่อ อยากจะรู้จริงๆ เหรอครับ”
ผมพยักหน้าพร้อมขมวดคิ้วทำหน้าเข้ม ถึงแม้พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วก็ตาม แต่ยังไงก็อยากจะฟังความจริงให้มันหายคาใจ
“ก็เขาบอกกันว่า มีนันท์อยู่แล้ว จะมีน้องตี๋เอ๋อเพิ่มมาอีกสักคนก็คงไม่เป็นไรหรอก”

นั่นไง กูว่าแล้ว ขอบใจเพื่อนๆ ทุกคนมากนะ ขอบใจจริงๆ ซึ้งใจสุดๆ เลย ฮือออ
“โอ๋ๆ ไม่ต้องน้อยใจไปนะ ถึงคนอื่นเขาจะคิดแบบนั้น แต่ผมไม่คิดนะ สำหรับผม ผมมีนันท์คนเดียว ก็ไม่ต้องการใครที่ไหนอีกแล้วล่ะครับ”

พูดจบ แบงค์ก็ตรงเข้าหอมแก้มผมฟอดใหญ่โดยไม่คิดจะแคร์สายตาคนรอบข้างที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักนิด
เหี้ย อายฉิบหาย แต่ไหงอีกใจถึงรู้สึกดีวะ นี่ ไอ้น้องผู้หญิงกลุ่มนั้นน่ะ ไม่ต้องแอบกรี๊ดกร๊าดกระซิบกระซาบกันเลยนะเว้ย
“พอๆ เล่นไรเนี่ย อายคนอื่นเขาบ้างเหอะ ไปๆ ถึงเวลาหนังฉายแล้ว วู้ววว”

ผมกำหมัดชกไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่จะหยิบตั๋วหนังแล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่แดงราวกับลูกตำลึงที่กำลังสุกใหม่ๆ แบงค์หัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจก่อนที่จะลุกขึ้นตามผม
“นันท์ครับ”
“อะหยัง”
“จับมือกันครับ”
พูดจบ แบงค์ก็ยื่นมือมาทางผม ผมเลิกคิ้วสูงมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะหันกลับไปมองหน้าเจ้าคนตัวสูงสวมแว่นหนาที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข
“บ้าเหรอ คนเยอะแยะ อายเขา”
ผมพยายามตอบปัด
“น่านะ นะครับ ผมอยากจูงมือด้วยอะ”
ไม่พูดเปล่า ซ้ำยังขมวดคิ้วทำสีหน้าส่งสายตาอ้อนวอนกลับมาด้วยอีกต่างหาก โอ้ย ให้ตายสิ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยเนี่ย เอาวะ จับก็จับ

ผมกุมมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาไว้แน่น ถึงแม้จะรู้สึกอายจนหน้าแดงอยู่เมื่อถูกสายตาจากคนรอบข้างจ้องมอง ในขณะที่อีกคนที่กำลังโดนผมจับมือกลับยิ้มอย่างมีความสุขจนออกนอกหน้านอกตา

ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้น มันก็ทำให้ผมลองกลับมาคิดดูอีกที ว่าเรากำลังเลือกแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า จนลืมความสุขของตัวเองเราซึ่งเราไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยนี่ คนรักกันเป็นแฟนกัน มันก็มีจับมือกันบ้างสิ ใช่มั้ย
พอคิดได้แบบนี้ ผมก็รู้สึกอมยิ้มกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้เอามากๆ เลยแฮะ ใครจะมองยังไงก็ช่างเขาสิ

“เออ ผมลืมบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับน้องใหม่สองคนนั้นไปอย่างนึงครับ”
แบงค์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ยื่นตั๋วหนังให้พนักงานตรวจ

“อะหยังวะ”
ผมเอ่ยถามกลับด้วยความสงสัยในขณะที่เราทั้งสองกำลังเดินไปยังโรงหนัง แบงค์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย
“คือสองคนนั้นเขาเป็นฝาแฝดกันด้วยน่ะครับ”
“ห๊ะ???”


จบคาบเรียนที่สาม

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่ 4

สิ่งใดเหมาะ

สิ่งใดไม่สมควร

สิ่งใดเหมาะกับสิ่งใด

แล้วสิ่งใดไม่สมควรกับสิ่งใด ???

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าที่นี่รับจองนิยายเรื่องนี้รึเปล่าคะ”
เสียงใสๆ เอ่ยเรียก จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นเสียงนั้น ภาพที่เห็นคือเด็กสาววัยน่าจะมัธยมปลายในชุดไปรเวทน่ารักกำลังเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยพลางยื่นหน้าจอมือถือให้ผมดู ผมชะเง้อคอเพื่อดูภาพบนหน้าจอมือถือนั้นก็พบว่าเป็นบ๊อกเซ็ทนิยายแปลเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อมดซึ่งกำลังเป็นที่โด่งดัง และตอนนี้ก็มีการจัดพิมพ์เป็นบ๊อกเซ็ทสำหรับนักสะสมด้วย

“รับครับผม ไม่ทราบว่าสนใจจะจองเลยมั้ย”
ผมเอ่ยถามกลับไปพร้อมกับก้มไปหยิบใบสั่งจองขึ้นมาจากลิ้นชัก เด็กสาวพยักหน้าด้วยความดีใจทันทีที่เห็นใบสั่งจอง

“ต้องวางมัดจำเท่าไหร่เหรอคะ”
เด็กสาวผมยาวเอ่ยถาม ผมจึงคลิกดูรายละเอียดในอีเมล์จากคอมที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อวันก่อน

“ขั้นต่ำหนึ่งพันบาทน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสะดวกมั้ย”
เด็กสาวพยักหน้าก่อนที่จะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งจอง หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็ยื่นใบสั่งจองคืนมา ผมตรวจสอบรายละเอียดทุกอย่างและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก็เงยหน้าส่งยิ้มให้กับเธอ

“เรียบร้อยแล้วครับ สินค้าน่าจะเข้าในอีกสองอาทิตย์ ถ้ายังไงทางเราจะติดต่อกลับไปอีกทีนะครับ”
เด็กสาวยิ้มตอบรับกลับมาก่อนที่จะเดินออกไปด้วยท่าทีร่าเริงพร้อมกับข้าวของในมือที่ดูแล้วน่าจะคาดเดาได้ว่ามาเรียนพิเศษที่ห้างเมญ่าแห่งนี้

ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ ว่าผมในตอนนี้นั้นกำลังเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือที่นี่ ในแต่ละวันก็พบผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ส่วนใหญ่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ

ทุกคนรักหนังสือและการอ่าน
ผมเองก็รักการอ่านเหมือนกัน แต่จะเป็นไปในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนมากกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่ก็จะมีบ้างบางครั้งที่ผู้คนที่เข้ามาจะมาด้วยจุดประสงค์อื่น

“โทษนะครับ บ่ทราบว่าว่างหรือเปล่าครับ”
เสียงทุ้มแน่นในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ภู เพื่อนข้างห้องร่วมคอนโดที่ผมอาศัยอยู่นั่นเอง

“อ้าว ภู มาได้ไงเนี่ย”
ผมยิ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“บอกไปจะเชื่อมั้ยเอ่ย ว่าผมทำงานที่นี่น่ะครับ”
“เฮ้ย จริงดิ”
ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่จะสังเกตเห็นเข็มกลัดบนหน้าอกของอีกฝ่ายซึ่งดูแล้วก็พบว่าเป็นของคลีนิกเกี่ยวกับความสวยความงามซึ่งอยู่ชั้นถัดไปนั่นเองจะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะดูแล้วอีกฝ่ายจัดได้ว่าหน้าตาและบุคลิกภาพดีมากๆ เหมือนกัน

“ว่าแต่จะมาซื้อหนังสือเรื่องอะไรล่ะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปอีกรอบ พร้อมกับตรวจสอบดูอีเมล์ในคอมไปด้วย

“เปล่าครับ บ่ได้มาซื้อหนังสือ แต่พอดีผมอยู่ในช่วงพักน่ะ ก็เลยกะว่าจะมาชวนนันท์ไปหาอะหยังทานน่ะครับ บ่ทราบว่าสะดวกมั้ย”
ภูเอ่ยถามด้วยความเกรงใจผมก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองครู่นึงก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้อีกฝ่าย

“รออีกประมาณสิบนาทีได้มั้ย พอดีผมให้น้องเขาไปพักอยู่น่ะ แต่ใกล้จะถึงเวลาเข้างานเขาละ”
อีกฝ่ายรีบพยักหน้าด้วยความดีใจก่อนจะไปนั่งรอที่ม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ร้าน


และก็ไม่นานนักน้องคนที่ผมว่าก็กลับมาถึงพอดี เอาเป็นว่าขอแนะนำตัวไว้ก่อนแล้วกัน น้องเขาชื่อ ซัน ครับ แต่พวกผมชอบเรียกว่า ซันด๋อย อย่าถามถึงที่มาของชื่อนะครับ เพราะหาที่มาไม่ได้เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า รู้อีกทีก็เรียก ซันด๋อย กันแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
หลังจากที่ซันด๋อยกลับมา ก็เป็นเวลาพักของผมเหมือนกัน ผมจึงเดินออกไปหาภูที่กำลังนั่งเล่นมือถือรอผมอยู่

“ว่าแต่จะกินอะหยังกันดีน่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“นันท์อยากกินอะหยังล่ะครับ”
นั่นไง ตอบคำถามด้วยคำถามกลับมาอีกที ช่างเป็นอะไรที่รับมือยากจริงๆ

“เอ้า ตัวเองเป็นคนชวนจะมาถามคนถูกชวนได้ไง”
ผมขมวดคิ้วตอบกลับไป ทำเอาภูถึงกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

“เฮ้ย”
แต่ทว่าผมก็รีบปัดมือนั้นเองทันทีด้วยความรวดเร็ว ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับทำสีหน้าเหวอทันที
“เฮ้ย ขอโทษๆ บ่ได้ตั้งใจจะปัดมือ แต่ว่า...”
“บ่อๆ ครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ดันไปเผลอทำตัวเสียมารยาทแบบนั้น พอดีมันติดเป็นนิสัยอ่ะครับ เวลาคุยกับคน...เอ่อ...ตัวเล็กกว่าผมอ่ะ”
อีกฝ่ายพยายามเลี่ยงบาลี แต่เอาเถอะเรื่องแบบนี้ผมชินแล้ว เกิดมาเตี้ยเองนี่

“ช่างเถอะ แต่แค่รู้สึกบ่ะดีน่ะ เวลาโดนลูบหัว มันยังไงก็บ่ะรู้อ่ะ”
“งั้นผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ คราวหลังผมจะบะทำอีกแล้ว ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
ภูพยายามเอ่ยคำขอโทษพร้อมกับยกมือไหว้ผมปลกๆ

“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่ารีบไปหาอะหยังกินกันเถอะ หิวแล้วเนี่ย”
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อคลายบรรยากาศ

“งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ วันนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นนันท์แล้วกันนะครับ”
“เฮ้ย บ่ะต้องถึงขนาดนั้นก็ได้”

ผมรีบเอ่ยปฏิเสธภูทันทีด้วยความเกรงใจ แต่ดูจากสีหน้าอ้อนวอนของอีกฝ่ายที่ดูมีความมุ่งมั่นตั้งใจจะที่ขอโทษผมให้ได้ ก็ทำเอาผมถึงกับใจอ่อนขึ้นมาทันที

“โอเคๆงั้นเดี๋ยวจะกินให้หมดกระเป๋าเลยคอยดูสิ”
“เอาสิครับ ผมยินดี”
ภูยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับกดเรียกลิฟท์ ในขณะที่ผมเองนั้นก็นึกย้อนทบทวนตัวเองอยู่
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เรารู้สึกไม่ดีกับการถูกลูบหัว
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเคยชอบมันมากแท้ๆ


“เกลียดชีวิตเด็กมอหกจังเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“อ้าว ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินผมบ่นเช่นนั้นออกไป

“เปล่า ไม่มีอะไรก็แค่บ่นไปงั้นล่ะ”
“อย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอครับ”
แบงค์หัวเราะในลำคอทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ จะว่ายังไงดีล่ะ ไม่เชิงเกลียดหรอก แต่รู้สึกมันดูวุ่นวายยังไงก็ไม่รู้ ไหนจะเรียนในคาบ ไหนจะสอบเก็บคะแนนนั่นนี่นู่น ยังไม่รวมกวดวิชาวันอาทิตย์อีก

...แม่ว่าระดับมันสมองอย่างเราต้องลงกวดวิชาเพิ่มแล้วล่ะ บ่งั้นเดี๋ยวจะเข้ามหาลัยที่ไหนบ่ได้แหงๆ...

นั่นคือคำพูดของคุณกมลชนก ก่อนที่จะจับผมยัดเข้าโรงเรียนกวดวิชาโดยไม่ถงไม่ถามสุขภาพของผมสักคำ ซึ่งก็กลายเป็นว่ายิ่งทำให้ชีวิตเด็ก ม.หกของผมดูวุ่นวายเข้าไปอีก ซึ่งก็เข้าใจอะนะว่าคุณกมลชนกนั้นหวังดีต่ออนาคตที่ยังดูเลือนรางของผม
แต่คุณกมลชนกจ๋า หนูก็อยากผ่อนคลายเครียดมั่งอะ ฮือๆๆ

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะถึงเวลาเรียนแล้ว”
แบงค์เอ่ยบอกผมก่อนที่จะหยิบเงินออกจากกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าข้าวเที่ยง ผมลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งคนหมดอาลัยตายอยากยังไงยังงั้น

“สดชื่นหน่อยสิครับ”
“ใครมันจะไปฉลาดสดใสเหมือนมึงกันล่ะ”
ผมเริ่มรู้สึกพาลเล็กน้อยก่อนที่จะสำนึกตัวเองได้

“ขอโทษ”
พูดจบ ผมก็เดินเข้าไปพร้อมกับกอดอีกฝ่ายอย่างแน่น

“ทำอะไรน่ะครับ”
“ขอดูดพลังงานหน่อย”
แบงค์หัวเราะในลำคอทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ อีกรอบ

“งั้นเดี๋ยวเลิกกวดวิชาเสร็จแล้วเราไปหาน้ำแข็งไสกินแก้ร้อนกันมั้ย เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง นันท์จะได้สดชื่นไง”
แบงค์เอ่ยชวนผมด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็นับว่าได้ผล ผมรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แบงค์เองเมื่อเห็นผมยิ้มได้ ก็ยิ้มตามด้วยความดีใจก่อนจะเดินนำผมไปยังสถาบันกวดวิชาซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ

จริงๆ แม่ผมส่งผมมาเข้ากวดวิชาคนเดียว แต่แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เลยมาลงกวดวิชาตามผมด้วย เห็นเจ้าตัวบอกว่าก็อยากจะลองมาหาความรู้เพิ่มเติมด้วย

หึ ช่างเป็นผู้ชายที่ตรงข้ามกับกูยิ่งนัก ละอายแก่ใจมั่งมั้ยล่ะ ไอ้นันท์

แต่เหมือนจะโชคร้ายอย่างนึงตรงที่ห้องที่ผมกวดวิชานั้นเป็นคนละห้องกับแบงค์ เพราะงั้นไอ้ความคิดที่ว่าจะมุ้งมิ้งๆ ช่วยกันติวช่วยกันสอนเหมือนตอนหลังเลิกเรียนน่ะ ล้มเลิกไปได้เลย แต่ในความโชคร้าย ก็ยังพอมีความโชคดีอย่างนึง

“จะถึงเวลาเรียนแล้วมึงก็ยังจะนั่งเล่นเกมอยู่เนอะ”
นั่นก็คือ ไอ้โอ๊ตก็มาลงกวดวิชาที่สถาบันแห่งนี้ด้วย และได้อยู่ห้องเดียวกับผม เอาวะ อย่างน้อยกูก็ไม่ได้เหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายในสถาบันกวดวิชาแห่งนี้

“ใกล้จะจบเกมแล้วครับคุณเพื่อนนันท์ ว่าแต่ไปกินข้าวที่ไหนมาเหรอครับ”
เจ้าตัวเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงจ้องอยู่กับเกมในมือถือ

“ก็ร้านป้าข้างๆ นี่น่ะล่ะ ว่าแต่มึงถามแบบนี้ อย่าบอกนะว่ามึงบ่ะได้ลงไปกินข้าวเที่ยง”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนจะหยิบสมุดออกมาจากกระเป๋าสะพาย

“ผมเพิ่งกินมาน่ะครับ เลยยังไม่หิว”
ผมพยักหน้าให้กับคำตอบนั้นพร้อมกับเปิดสมุดไปยังหน้าล่าสุดที่จดเอาไว้

“เฮ้ย ตัวเองเล่นเกมนี้ด้วยเหรอ”
เสียงใสเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาทั้งผมและไอ้โอ๊ตต่างก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียงนั้น ภาพที่เห็นคือเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งผมประบ่าที่กำลังยิ้มและให้ความสนใจกับเกมที่ไอ้โอ๊ตกำลังเล่นอยู่

“เอ่อ ครับ ทำไมเหรอครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามกลับไปอย่างสุภาพด้วยความสงสัย

“พอดีเราก็เล่นอยู่เหมือนกันน่ะเอ้อ เราชื่อแพตตี้นะ นายล่ะชื่อหยัง”
“เอ่อ โอ๊ตครับ”
ไอ้โอ๊ตตอบกลับด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย ซึ่งก็สมควรอยู่หรอก เนื่องจากปกติไม่ค่อยมีสาวที่ไหนเข้ามาคุยกับมันเท่าไหร่นัก คงเพราะด้วยอุปนิสัยโลกส่วนตัวสูงและบ้าเกมของมันนี่ล่ะ

“ชื่อโอ๊ตงั้นเหรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ นี่เราขอไลน์ของโอ๊ตหน่อยได้ป่ะ จะได้ส่งของส่งอะไรในเกมให้กันน่ะ”
เด็กสาวที่ชื่อแพตตี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มทำเอาไอ้โอ๊ตถึงกับเกร็งขึ้นมาทันทีก่อนจะหันมามองผมราวกับต้องการตัวช่วย

“มันคุยบ่ะค่อยเก่งน่ะครับ ส่วนไลน์มันก็นี่เลยครับ เดี๋ยวผมจดให้”
ผมรีบฉีกกระดาษจากหน้าท้ายๆ ของสมุดพร้อมกับเขียนไลน์ของไอ้โอ๊ตยื่นให้แพตตี้ด้วยความรวดเร็ว ทำเอาไอ้โอ๊ตถึงกับตกใจทำตาโตทันที

“ขอบใจมากนะ นายเอ่อ...”
“นันท์ครับ เพื่อนซี้ของไอ้โอ๊ตมันน่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ผมยิ้มพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น

“แพตตี้ทำอะหยังอยู่น่ะ”
เสียงนึงเอ่ยถาม เมื่อผมหันไปมองยังต้นเสียงนั้นก็พบว่าเป็นเสียงของเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวใสมาก มากเสียจนรู้ว่าสึกตัวเองดำขึ้นมาทันทีเลย

“พอดีเจอเพื่อนเล่นเกมเดียวกันน่ะ ก็เลยมาทำความรู้จักเอาไว้ นี่โอ๊ตกับนันท์ ส่วนนี่ไฮเปอร์ เพื่อนจากโรงเรียนเดียวกับเราเอง”
แพตตี้พยายามแนะนำให้พวกผมรู้จักกัน ผมยิ้มพยักหน้ากลับไปในขณะที่ไอ้โอ๊ตดูพยายามที่จะไม่สนใจเท่าไหร่นัก ไม่รู้เพราะอายหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่าไฮเปอร์หันมามองผมกับไอ้โอ๊ตครู่นึงด้วยสีหน้านิ่งเรียบก่อนจะไปหันไปทางแพตตี้

“เธอนี่ก็บ้าเกมจริงๆ เลยนะเนี่ย ระวังเถอะจะหาแฟนบ่ได้ยัยผู้หญิงติดเกม”
คนที่ชื่อไฮเปอร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่านะ แต่ภาพลักษณ์ของไฮเปอร์ดูเป็นลูกคุณหนู ดูวางท่าวางมาดยังไงก็ไม่รู้แฮะ ต่างจากแพตตี้ที่ดูจะอัธยาศัยดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ช่างมันสิ โลกที่บ่มีแฟนยังบ่น่าเศร้าเท่าโลกที่บ่มีเกมเลยสักนิด ชีวิตฉันมีแค่เกมก็พอละ”
ไอ้โอ๊ตรีบเงยหน้าทันทีที่ได้ยินแพตตี้พูดเช่นนั้นแต่ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรก่อนที่จะก้มหน้าลงไปมองเกมในมือถือต่อ

“ตามใจเธอแล้วกัน เบื่อที่จะคุยกับเธอแล้ว ว่าแต่เธอเอาปากกามากี่แท่งน่ะ ฉันเพิ่งทำหายเมื่อกี้ ขอยืมหน่อยสิ”
“ลองไปดูในกระเป๋าบนโต๊ะดูละกัน น่าจะมีอยู่นะ”
แพตตี้ตอบกลับไปพลางกดบางอย่างบนหน้าจอมือถือของตัวเอง ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นการแอดไลน์ไอ้โอ๊ตอยู่ สังเกตได้จากการที่เธอมองหน้าจอมือถือสลับกับกระดาษที่ผมจดให้เมื่อครู่นั่นเอง

“เออ แพตตี้ เมื่อกี้ฉันเจอผู้ชายคนนึงหล่อดีอะ”
“สเป๊คแกเลยอะดิ”
แพตตี้เอ่ยถามกลับไปเมื่อได้ยินเพื่อนของตัวเองพูดเช่นนั้น ซึ่งก็ทำเอาผมถึงกับตกใจเล็กน้อยเหมือนกัน แต่ก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะเมื่อหันย้อนมองตัวเองแล้วก็ ... ฮ่าฮ่าฮ่า

“ก็ดีนะ สูง หล่อ คิ้วเข้ม ดูเด่นมากๆ เลยล่ะ”
ไฮเปอร์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งวางมาด แต่แววตาดูจะชวนเพ้อฝันยังไงก็ไม่รู้

“แกก็ไปขอไลน์เขาเลยดิ แกก็บ่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่สักหน่อย”
แพตตี้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ผมเองก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้นของแพตตี้อยู่พอสมควร ไม่ต้องไปเทียบที่ไหนไกล เทียบกับผมนี่ก็ได้ บอกตามตรงเลยถ้าเอาผมไปยืนข้างกับคนที่ชื่อไฮเปอร์นี่ล่ะ ผมดับสนิทแน่ๆ

“เธอจะบ้าเหรอ เขาจะเป็นรึเปล่าก็บ่ะรู้ เกิดไปขอสุ่มสี่สุ่มห้าแทนที่จะได้ไลน์ กลัวจะได้ตีนแทนน่ะสิ”
ผมเกือบจะหลุดขำก๊ากออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็พยายามนิ่งไว้เพื่อรักษาท่าทีไม่ให้เสียมารยาทต่ออีกฝ่าย

“มัวแต่ลีลาแบบนี้ คนที่จะหาแฟนบ่ได้ น่าจะเป็นแกมากกว่านะ”
“พูดมากน่ะ ไปๆ กลับไปที่นั่งได้แล้ว จะถึงเวลาแล้วเนี่ย”
ไฮเปอร์เอ่ยเตือนอีกฝ่ายก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสายตานิ่งเฉยครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับไปยังที่นั่งตัวเองซึ่งอยู่อีกฟากของห้อง

“โอ๊ต เราแอดไลน์ไปแล้ว ยังไงก็รับแอดด้วยล่ะ ไปก่อนนะ”
แพตตี้พูดกับโอ๊ตก่อนที่จะหันมาส่งยิ้มให้กับผมแล้วจึงเดินตามไฮเปอร์กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

“เหยดดด เสน่ห์แรงนะมึง มีสาวขอไลน์ด้วย”
ผมรีบแซวไอ้โอ๊ตทันทีที่สบโอกาส แต่ดูเจ้าตัวจะพยายามเก็บอาการอยู่พอสมควร แหม ก็อย่างว่านั่นล่ะ นานๆ จะเจอสาวเจ้าเข้ามาคุยด้วย เข้ามาขอไลน์กันแบบนี้มันก็ต้องเขินกันบ้างน่ะล่ะ

“อ๊ะ”
ไอ้โอ๊ตอุทานขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่ยังคงรักษาสีหน้าและท่าทีเอาไว้
“อะหยังของมึงน่ะ”
“ผมคิดว่าผมน่าจะเจอคู่แข่งมากกว่านะครับ คุณเพื่อนนันท์”

พูดจบ ไอ้โอ๊ตก็ยื่นมือถือของตัวเองมาให้ ผมรับมันมาดู ภาพที่เห็นคือ รายชื่อตัวละครของแพตตี้ที่อยู่เหนือรายชื่อตัวละครของไอ้โอ๊ตขึ้นไปประมาณสามลำดับ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตัวละครของแพตตี้นั้นมีความสามารถและสถิติที่ดีกว่าตัวละครของไอ้โอ๊ตอยู่พอสมควร นับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผมอยู่ไม่น้อย เพราะโดยปกติแล้วในบรรดาพวกผมนั้น ไอ้โอ๊ตนับว่าเป็นคนที่เล่นเกมได้เก่งที่สุดแล้วไม่ว่าจะไปเกมไหนก็ตาม และการที่เจอคนที่เก่งกว่าไอ้โอ๊ตแถมยังเป็นผู้หญิงด้วยนั้น ก็นับว่าเป็นอะไรที่แปลกตาน่าติดตามต่อไปอยู่เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า


จบคาบเรียนที่ 4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2020 23:30:18 โดย จิบุ_จิบุ »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่ห้า



 

“พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะครับ คุณเพื่อนนันท์”

ไอ้โอ๊ตกล่าวคำอำลากับผมทันทีหลังจากที่กวดวิชาเสร็จก่อนที่จะรีบลุกออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็วประหนึ่งว่ากำลังจะหนีอะไรบางอย่างอยู่ ผมมองตามด้วยความงุนงงเพราะไม่ทันจะได้กล่าวร่ำลาอะไรเลยสักนิดก่อนที่จะหันกลับมาเก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพาย

“อ้าว โอ๊ตไปไหนแล้วล่ะ”

เสียงใสของแพตตี้เอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางหันมองซ้ายไปรอบบริเวณห้อง ซึ่งมันก็ช่วยทำให้ผมเข้าใจขึ้นมาในทันทีถึงความเร่งรีบของไอ้โอ๊ตเมื่อครู่

“อ๋อ เห็นเมื่อกี้มันบอกมีธุระด่วนแม่โทรตามเลยต้องรีบกลับน่ะ”

ลำบากกูต้องมาช่วยโกหกให้มึงอีกนะเนี่ยไอ้เหี้ยโอ๊ต

แพตตี้ทำสีหน้าเสียดายทันทีที่ได้คำตอบนั้นจากผมก่อนที่จะก้มมองมือถือของตัวเอง ผมแอบสังเกตเห็นว่าหน้าจอมือถือของเธอในตอนนี้นั้นกำลังเปิดเกมค้างไว้อยู่ ซึ่งก็เป็นเกมเดียวกันกับที่ไอ้โอ๊ตเล่น

“เสียดายจัง กะว่าจะชวนคุยเรื่องเกมต่อเสียหน่อย บ่เป็นหยัง เดี๋ยวค่อยทักไปคุยในไลน์ก็แล้วกัน”

พูดจบ แพตตี้ก็ยิ้มให้กับผมก่อนจะหันหลังเดินกลับไปหาไฮเปอร์ที่กำลังยืนรออยู่ที่หน้าห้องด้วยสายตากดดันเล็กน้อย

เอาแล้วไงล่ะมึงไอ้โอ๊ต งานนี้มึงเจอของจริงเข้าให้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า

หลังจากที่เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็รีบเดินออกไปยังหน้าห้องทันทีเพื่อรอแบงค์ และในจังหวะนั้นเอง

“นี่แก คนนั้นที่ฉันเล่าให้ฟังน่ะ”

เสียงของไฮเปอร์ที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องพูดกับแพตตี้ที่กำลังก้มหน้ามองหน้าจอเกมในมือถืออยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปตามที่เพื่อนชี้นิ้วให้ดู

“เออ ก็โอเคนะ แกนี่ตาถึงจริงๆ เข้าไปขอไลน์เลยดิ อย่าช้า เดี๋ยวจะโดนหมาคาบไปแดกนะแก”

ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมเลยสักนิดแท้ๆ แต่บทสนทนาของทั้งสองกลับกระตุ้นต่อมสอดรู้สอดเห็นของผมให้ทำงานทันที ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าสเป๊คของไฮเปอร์ที่ดูเป็นลูกคุณหนูจะหน้าตาดีแค่ไหน ผมจึงรีบเดินออกมานอกห้องแล้วหันไปมองอย่างไม่ให้มีพิรุธ

เหี้ย !!!

ผมอุทานสั้นๆ ในใจทันทีที่เห็นผู้ชายคนดังกล่าว ถามว่าหล่อมั้ย ยืนยันได้เลยว่าหล่อจริงๆ ครับ สูงด้วย ขาวด้วย หน้าใสด้วย

แต่ขอถอนคำพูดเมื่อกี้ที่ว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมอย่างรวดเร็วเลยครับ

เพราะไอ้คนที่ไฮเปอร์กำลังหมายตาอยู่นั่นน่ะ มันแบงค์แฟนผมนั่นเอง ...!!!

ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ คนนี้ให้ไม่ได้ หวงเว้ย

แต่ถึงในใจจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็ไม่สามารถแสดงท่าทีอะไรออกมาได้มากนัก จึงได้ยืนนิ่งเงียบอยู่ที่หน้าห้องคนเดียว

“นันท์รอนานมั้ยครับ”

แบงค์เอ่ยทักทายพร้อมกับเดินเข้ามาหาทันทีที่เห็นผม ซึ่งก็สร้างความตกใจให้แพตตี้และไฮเปอร์ที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พอสมควร

“บ่นาน ก็เลิกพร้อมกันบ่ใช่เหรอวะ”

“นั่นสิ”

แบงค์หัวเราะเบาๆ พลางลูบหัวของผมอย่างเช่นเคย ซึ่งโดยปกติแล้วผมจะรู้สึกดีทุกครั้งที่โดนแบงค์ลูบหัว แต่ทว่าคราวนี้ ผมกลับรู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิตกำลังแผ่มาทางผมยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“งั้นเดี๋ยวเราไปหาน้ำแข็งไสกินกันตามที่ตกลงเอาไว้นะครับ อ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวผมมานะ ผมลืมกระเป๋าใส่ปากกาไว้ในห้องน่ะ รอตรงนี้แป๊บนึงนะครับ”

พูดจบ แบงค์ก็รีบหันหลังเดินกลับไปยังห้องกวดวิชาของตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนเผชิญกับรังสีอำมหิตนั่นอยู่คนเดียว

“นันท์รู้จักคนตัวสูงๆ นั้นด้วยเหรอ”

นั่นไง แพตตี้รีบเดินเข้ามาถามเปิดประเด็นทันที ซึ่งก็เป็นคำถามที่ไม่น่าถามเลยสักนิด เพราะการที่เห็นผมยืนคุยกับอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วแท้ๆ ผมยิ้มแหยพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

“แล้วพอรู้มั้ย ว่าเขามีแฟนแล้วหรือยังอะ”

ผมนิ่งเงียบให้กับคำถามนั้นอยู่เล็กน้อย ซึ่งก็เข้าใจว่าเธอต้องการทำตัวเป็นแม่สื่อให้กับเพื่อนของตัวเอง เพียงแต่ว่าผมไม่รู้ว่าสมควรจะตอบยังไงออกไปดีนี่สิ

“แฟนเขาก็คนที่เธอกำลังถามอยู่นั่นไงล่ะ ยัยแพตตี้”

ไฮเปอร์รีบเอ่ยขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เล็กน้อย แพตตี้หันกลับไปมองยังเพื่อนตัวเองก่อนจะหันกลับมามองผมที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มแหยอยู่ เพราะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงดี แพตตี้เองเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของผมก็เลิกคิ้วสูงนิ่งเงียบเหมือนกำลังประมวลอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะยิ้มแห้งให้กับผม

ขอโทษนะที่คาบแบงค์ไปแดกก่อนเพื่อนของเธอน่ะ

“อุ่ย ขอโทษนะ งั้นเรื่องเมื่อกี้ ถือว่าเราบ่ได้พูด เราบ่ได้ถามอะหยังละกัน ไว้เจอกันนะนันท์ บาย ส่วนแก อีไฮเปอร์ เรื่องนี้ฉันขอบายละกันบ่ยุ่งด้วยแล้ว ไปละ”

พูดจบแพตตี้ก็รีบเดินออกไปด้วยเร็วแสง เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเธอหรอกนะ เข้าใจว่าเธอไม่รู้เรื่องและหวังดีกับเพื่อนของตัวเอง เพราะงั้นการที่เธอจะตกใจเมื่อรู้ความจริงแล้วรีบเดินหนีออกไป มันก็เป็นอะไรที่พอจะเข้าใจได้อยู่

จะมีก็แต่สายตาของคนที่ชื่อไฮเปอร์นี่ล่ะ

สายตาที่จ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเย็นชา เหมือนกับพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะเดินตามแพตตี้ออกไปโดยไม่พูดอะไรเลยสักนิด

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นไปมากกว่านี้”

แบงค์เดินเข้ามาทักช่วยเรียกสติของผมให้กลับมา ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แบงค์เองเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของผมก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ

“แล้วจะไปกินที่ไหนกันดีล่ะ”

ผมเงยหน้าขึ้นไปถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เม้มปากครุ่นคิดอยู่ครู่นึง

“ถ้าจำไม่ผิด เหมือนเมื่อตอนพักเที่ยงผมเห็นมีร้านน้ำแข็งไสอยู่ตรงหัวมุมอยู่ร้านนึงนะครับ เดี๋ยวเราลองไปดูก่อนแล้วกันว่าใช่มั้ย ถ้าไม่ใช่ก็ค่อยว่ากันอีกที ตกลงมั้ยครับ”

ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ ก่อนจะที่เดินตามแบงค์ออกไป ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกต หรือไม่ได้ให้ความสนใจก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างนึงว่าแบงค์เองเวลาอยู่ในชุดไปรเวทมักจะเป็นที่สนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมา ต่างจากตอนอยู่ในชุดนักเรียนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะว่าไปผมเองก็เริ่มชินแล้วล่ะกับสายตาเหล่านั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงอาจจะไม่รู้สึกอะไรหรอก

แต่ทว่าในตอนนี้นั้น ...

“แบงค์”

“ครับ”

แบงค์หันมามองหน้าผมด้วยความสงสัยเหมือนได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากผม

“กูอยากจับมือว่ะ”

ผมพูดเสียงเบาพร้อมกับยื่นมือของตัวเองออกไป แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ได้สิครับ”

พูดจบ แบงค์ก็ยื่นมือของตัวเองมากุมมือของผมเอาไว้ ผมเองก็กุมมือนั้นของแบงค์เอาไว้แน่นเช่นเดียวกัน

“รู้สึกดีใจมากๆ ที่คราวนี้นันท์เป็นฝ่ายขอจับมือผมก่อน เพราะผมเองก็กำลังอยากจับมือของนันท์อยู่พอดีเหมือนกัน”

“ก็แล้วทำไมบ่ขอล่ะ”

ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“ก็ปกติเวลาผมขอ นันท์ก็มักจะทำหน้าแบบเกร็ง อายสายตาคนอื่นตลอดยังไงล่ะ ผมก็เลยไม่กล้าขอน่ะครับ”

พอได้ยินคำตอบนั้น ผมก็ลองกลับมานึกย้อนทบทวนตัวเองดู จะว่าไปมันก็อาจจะจริงอย่างที่แบงค์ว่าอยู่เหมือนกันแฮะ ที่ผ่านมาผมมักจะแคร์สายตาคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของคนใกล้ตัว เลยดูเหมือนว่าผมเป็นฝ่ายพยายามหนีมาตลอด

แต่ไหงวันนี้ผมกลับเป็นฝ่ายเข้าหาเองเสียงั้นล่ะ

เพราะหึงอย่างนั้นเหรอ

หวงอย่างนั้นเหรอ

หรือมันอาจจะมีจุดเริ่มต้นมาจากสายตาของไฮเปอร์ที่จ้องมองผมเมื่อกี้ก็เป็นได้

นี่ผมกำลังพยายามแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ใช่มั้ย พยายามประกาศให้คนรอบข้างเห็นว่าพื้นที่ตรงนี้นั้นมีผมเป็นเจ้าของอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ

พอคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกปวดหัวยังไงก็ไม่รู้แฮะ ความรักมันทำให้ผมเป็นไปได้มากขนาดนี้เลยอย่างนั้นเหรอ จากไอ้นันท์ที่วันๆ ใช้ชีวิตไปอย่างไร้สาระเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนไปเรื่อย จนกระทั่งตัวเองยังเคยนึกสงสัยเหล่าคนที่มีแฟนเลยว่าทำไมถึงได้ทำอะไรแปลกๆ พอวันนี้มาเจอเข้ากับตัวเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเหมือนกันแฮะ

ยิ่งพอหันมองแบงค์แล้วมาเทียบกับตัวเองดูแล้วก็รู้สึกต่างกันยังไงก็ไม่รู้ ทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ หัวสมองที่แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย จนบางทีก็กลัวว่ามันจะเกิดอะไรหากวันใดวันนึงแบงค์เจอคนที่ดีกว่าผมคนที่พร้อมและคู่ควรกับเขามากกว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

หากวันนั้นมีจริงผมควรทำเช่นไร

“เป็นอะไรไปครับ เห็นเงียบๆ ซึมๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ยังเครียดเรื่องกวดวิชาอยู่อีกเหรอ”

คำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยของแบงค์นั้นช่วยเรียกสติของที่กำลังฟุ้งซ่านให้กลับมา ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มด้วยความเป็นห่วง

“หิว”

“ห๊ะ”

“หิวแล้วว่ะ”

ผมตอบกลับออกไปสั้นๆ พลางขมวดคิ้วพร้อมกับเอามืออีกข้างที่เหลือลูบท้องตัวเองเบาๆ แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“งั้นเรารีบเดินไปกันเถอะครับ”

ผมพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น ก่อนที่จะเร่งฝีเท้าตามอีกฝ่ายไป พร้อมกับครุ่นคิดอะไรอีกเล็กน้อย

“มึง”

“ครับ”

“ถ้ามีของชิ้นนึงที่มึงอยากได้มากๆ และคนอื่นก็อยากได้เหมือนเราเช่นกัน เป็นมึง มึงจะทำยังไงวะ”

แบงค์หยุดนิ่งทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นก่อนจะหันขมวดคิ้วมองผมด้วยสีหน้างุนงง

“อะไรครับเนี่ย อยู่ๆ มาคำถามปรัชญาอะไรใส่ผมแบบนี้”

“เออน่ะ ตอบกูมาเถอะ”

ผมพยายามรบเร้าอีกฝ่ายพลางเขย่าแขนไปด้วย

“ไม่เห็นจะยากเลย ก็ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมายังไงล่ะครับ”

“ถึงแม้มึงอาจจะบ่เหมาะสมกับสิ่งนั้นก็ตามอย่างนั้นเหรอ”

ผมพยายามถามเสริม แบงค์เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

“คือยังไงครับ ผมไม่เข้าใจคำถาม”

ซะงั้น นี่กูยังตั้งคำถามไม่ดีสินะ

“ก็แบบ ของชิ้นนั้นน่ะ มันน่าจะเหมาะกับคนอื่นมากกว่ามึงไง”

“แล้วนันท์อยากได้ของชิ้นนั้นมากหรือเปล่าล่ะครับ”

แบงค์สวนคำถามกลับ ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบอย่างรวดเร็วแบงค์ขมวดคิ้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางขยับแว่นหนาไปด้วย

“ถ้าของชิ้นนั้นมันเหมาะกับคนอื่นมากกว่า แต่ผมรู้สึกอยากได้มากๆ วิธีก็คือ ผมก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองเหมาะกับของชิ้นนั้นมากกว่าคนอื่นให้ได้ยังไงล่ะครับ”

“หือ”

“ก็ถ้าผมมัวแต่มอง แต่ไม่คิดจะทำอะไร มันก็เท่านั้นล่ะครับ เว้นเสียแต่ว่าผมพยายามที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองเหมาะกับของชิ้นนั้น ผมว่ามันก็ดูจะมีโอกาสมากกว่าที่จะยืนมองเฉยๆ นะ”

“จริงสินะ ...”

ผมตอบกลับไปสั้นๆ พลางคิดตามไปด้วย

จริงสิ ถ้าผมเอาแต่มอง เอาแต่กลัว มันก็ไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด รังแต่จะทำให้ผมสูญเสียความมั่นใจไปเปล่าๆ หากมีคนที่ดีกว่าผม แต่ผมไม่ต้องการที่จะเสียแบงค์ไป ทางออกก็คือ ผมต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้คู่ควรกับแบงค์มากกว่านี้

ยิ่งตอนนี้ผมอยู่ในสถานะเป็นแฟนกับแบงค์แล้วด้วย ก็เท่ากับว่าผมมีแต้มต่อมากกว่าคนอื่น

แต่ผมจะต้องไม่ยืนเฉย ไม่หยุดนิ่ง เพื่อไม่ให้คนอื่นทำคะแนนแซงผมไปได้

พอคิดแบบนี้แล้วรู้สึกมีแรงผลักดันมีความมั่นใจขึ้นมายังไงก็ไม่รู้แฮะ

สู้ๆ เว้ย ไอ้นันท์ฮ่าฮ่าฮ่า

“มึง”

“ครับ”

“......”

“......”

“ขอบคุณมึงมากนะ กูรักมึงมากๆ เลยล่ะ”

“มาอารมณ์ไหนอีกครับเนี่ย ตามไม่ทันจริงๆ ว่าแต่พูดมาแบบนี้กำลังอยากได้อะไรอยู่อย่างนั้นเหรอครับ”

แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปบอกกันได้ล่ะ

“บ่บอก เอาเป็นว่าถึงเวลา เดี๋ยวมึงก็รู้เองน่ะล่ะ ไปกันเถอะ กูหิวแล้วเนี่ย”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเดินจูงมือนำหน้าแบงค์ไป เจ้าตัวเองเมื่อเห็นผมกลับมาสดชื่นได้อีกครั้ง ก็ยิ้มตามด้วยความดีใจก่อนจะเดินตามผมมาอย่างรวดเร็ว

 

จะไฮเปอร์หรือใครก็ตามเถอะ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก



จบคาบเรียนที่ห้า

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่หก



จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะอยู่ตัวคนเดียว ดูแลตัวเองได้ในทุกสถานการณ์โดยไม่ต้องมีใคร

“ฮัดเช้ยยยย”
เหมือนจะเคยได้ยินว่าโบราณหรือใครสักคนกันแน่นะกล่าวเอาไว้ว่าคนบ้าไม่มีทางเป็นหวัด สงสัยคำพูดนั้นจะไม่จริงเสียแล้วล่ะ เมื่อคนบ้าอย่างผมกำลังป่วยไข้ขึ้นอยู่ในตอนนี้

“อย่าลืมกิ๋นยาแล้วพักผ่อนนักๆ เน่อถ้าบ่ไหวยังไงก็ไปหาหมอซะนะ”
เสียงที่แสดงถึงความห่วงใยจากปลายสายของแม่ผมเอ่ยขึ้นเมื่อทราบว่าผมกำลังไม่สบาย

“บ่เป็นหยังนักหรอกแม่ นี่ก็เพิ่งกิ๋นยาพาราฯ ไป เดี๋ยวว่าจะไปนอนพักผ่อนละ”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะอาหาร ในขณะที่มืออีกข้างก็บีบจมูกตัวเองเบาๆ เพื่อไล่น้ำมูกโดยหวังว่ามันจะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

หลังจากที่วางสายจากคุณกมลชนกเสร็จเรียบร้อย ผมก็หอบร่างตัวเองไปยังเตียงนอนอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เกลียดช่วงเวลาไม่สบายแบบนี้จังเลย ทำอะไรไม่สะดวก ขยับตัวก็ลำบาก อยากหายไวๆ จัง อยากกลับไปทำงานแล้วอ่ะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ในขณะที่ตัวผมเองกำลังจะล้มตัวลงบนที่นอน ใครกันนะมาเคาะห้องกันตอนนี้ ช่างไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย ลำบากผมต้องหอบร่างตัวเองไปเปิดประตูด้วยความยากลำบากอีก

“เป็นยังไงมั่งครับ เห็นได้ข่าวว่าบ่สบาย”
นึกว่าใครที่ไหน ภู นี่เอง ว่าแต่รู้ได้ไงวะนั่น

“พอดีผมไปแวะหาที่ร้านหนังสือมาน่ะครับ เลยทราบว่านันท์บ่สบาย ผมก็เลยแวะซื้อของมาเยี่ยม นี่ครับส้ม ดีต่อคนป่วย”
อ๊ะ อ่านใจกูได้รึเปล่าวะเนี่ย
ผมรับส้มนั้นมาอย่างไม่เกรงใจ เพราะคิดว่าต่อให้ปฏิเสธไปเจ้าตัวก็ต้องคะยั้นคะยอให้ผมรับอยู่ดีนั่นเอง

“ขอบใจมากนะ ว่าแต่นี่บ่ทำงานเหรอ”
ผมเอ่ยถามกลับไปพลางหันไปมองดูนาฬิกาที่ฝาผนังซึ่งกำลังบอกเวลาว่ากำลังบ่ายโมงอยู่

“ทำครับ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงพักน่ะครับ”
“อย่าบอกนะว่านี่มาเพื่อเอาส้มมาให้”
“ป่ะ เปล่าครับ พอดีผมลืมเอกสารสำคัญน่ะครับ เลยต้องแวะมาเอา ก็เลยถือโอกาสซื้อส้มมาเยี่ยมไข้น่ะครับ”
ภูรีบออกตัวปฏิเสธทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นทำเอาผมถึงกับรู้สึกหน้าแตกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะจะว่าไปการถามแบบนั้นก็ดูเหมือนผมกำลังสำคัญตัวเองอยู่ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“แล้วบ่ทราบว่าไปหาหมอรึยังน่ะครับ”
“ยัง บ่ได้ป่วยมากขนาดนั้นน่ะ เลยคิดว่ากินยาแล้วนอนก็น่าจะหายแล้วล่ะ”
ผมยิ้มตอบกลับไป

“ก็ดีครับ พักผ่อนเยอะๆ แต่ถ้าเกิดบ่ไหวยังไงขึ้นมาก็บอกผมได้นะครับ ถ้าไม่รังเกียจผมขอเบอร์นันท์ไว้ได้มั้ย เผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้”
ภูเอ่ยบอกกับผมด้วยท่าทีที่ดูเป็นห่วงเป็นใย ผมเองก็กำลังคิดว่าน่าจะดีเหมือนกันเผื่อตัวเองเป็นอะไรขึ้นมาก็จะได้มีคนช่วยเหลือ ผมจึงบอกเบอร์ตัวเองให้กับภู เจ้าตัวเองเมื่อได้เบอร์ของผมไปก็รีบยิ้มด้วยสีหน้าดีใจทันที

“เดี๋ยวผมยิงเบอร์ผมเข้าเครื่องของนันท์นะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลับไปทำงานบ่ทัน ถ้ามีอะไรยังไงก็โทรเข้ามาเบอร์ผมได้ตลอดเวลานะครับ”
ผมยิ้มพยักหน้าให้กับคำพูดนั้นของภูก่อนที่จะปิดประตูเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไป ผมก้มมองถุงส้มที่อยู่ในมือพร้อมกับยิ้มให้กับตัวเอง รู้สึกโชคดียังไงไม่รู้เหมือนกันแฮะที่ได้เพื่อนร่วมคอนโดที่ดีแบบภูเนี่ย ผู้ชายดีๆ แบบนี้ สาวที่ไหนได้เป็นแฟนนี่ถือว่าโชคดีมากๆ เลยนะนั่น

ผมรู้สึกง่วงมากๆ จึงวางถุงส้มไว้บนโต๊ะอาหารด้วยความคิดที่ว่าหากตื่นมาค่อยกินทีหลัง ก่อนที่จะพาร่างตัวเองไปยังเตียงนอนอีกรอบ พร้อมกับภาวนาในใจว่ารอบนี้คงไม่มีใครที่ไหนมาขัดจังหวะการนอนของผมอีกนะ

ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกเคลิ้มกำลังจะหลับนั้นเอง ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าป่วยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ซึ่งก็เป็นคำถามที่ผมเองก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะคิดว่ามันน่าจะนานมาก นานจนผมเองก็ยังจำไม่ได้

จำได้แค่ว่าเคยดูแลคนป่วยเท่านั้นเอง

คนป่วยที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นคนสำคัญสำหรับผม


“ตัวก็ออกจะใหญ่โต แต่ไหงป่วยง่ายจังน่ะ”
ผมเอ่ยถามแบงค์ที่กำลังคุยกับผมผ่านมือถืออยู่ในขณะพักเที่ยง

“นั่นสิครับ ผมว่าสงสัยผมต้องเป็นโรคหัวใจแน่ๆ เลย”
ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนก่อนจะไอผ่านมือถือสองสามครั้ง

“เฮ้ยจริงดิ ทำไมคิดว่างั้นอ่ะ หมอบอกมาเหรอ”
ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง จนคิดว่าอยากจะขอลาครึ่งวันกลับไปดูอาการของอีกฝ่ายทันที

“......”
ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาจากปลายสาย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

“เฮ้ย มึง เป็นอะหยังเปล่าวะ ตอบหน่อยดิ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เป็น...โรค.....หัวใจกำเริบ....”
“เฮ้ยจริงดิ เฮ้ยเดี๋ยวกูกลับไปหานะ อย่าเพิ่งเป็นอะหยังไปล่ะ”
ผมรีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายความกระวนกระวายใจ ทำเอาไอ้โอ๊ต ไอ้ยีสต์ ไอ้เต้ยที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจด้วยความสงสัย

“โรค...หัวใจ...กำเริบ.....เลิฟ ละ ละ เลิฟ เลิฟ เลิฟ ดูสิมันกำเริบ เลิฟ ละ ละ เลิฟ ยู เห็นแล้วใจมันอ่อนอ๊อน อยากจะอ้อนเธอน่าดูช่วยมาดูแลรักษากันหน่อยเหอะ”

“......”
“......”

“มึง”
“ครับ”
ผมนิ่งเงียบทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง

“ไปหาหมอเช็คสมองมั่งก็ดีนะ”
“ไหงงั้นล่ะครับ ผมอุตส่าห์คิดว่ามุกนี้ต้องตลกแน่ๆ เลยแท้ๆ”

แบงค์เอ่ยถามกลับมาด้วยความสงสัยและน้ำเสียงที่ดูสดชื่นกว่าเมื่อครู่ ผมถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันใช่เวลามาเล่นรึเปล่าน่ะ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงจนแทบอยากจะลากลับไปดูแลแล้วเนี่ย”

ผมเอ่ยกลับไปสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ปลายสายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ขอโทษด้วยครับ ขอโทษที่เล่นไม่ดูสถานการณ์ ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เป็นห่วง ทีหลังจะไม่เล่นอะไรแบบนี้อีกแล้ว อย่าโกรธผมนะครับ”

แบงค์เอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วสัมผัสได้ว่ารู้สึกผิดจริงๆ ยอมรับว่ารู้สึกโกรธอยู่เหมือนกัน แต่นั่นก็เพราะเป็นห่วง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็เลยทำให้รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง

“แล้วนั่นกินยาแล้วรึยังน่ะ”
“กินแล้วครับ เพิ่งกินหลังมื้อเที่ยงไปเมื่อกี้นี่เอง”
อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างว่าง่าย

“ดีแล้วๆ แต่ถ้าอาการบ่ดีขึ้น หรือแย่ลงยังไงก็รีบโทรมาหาเลยนะ จะได้รีบพาไปหาหมอ”
ผมเอ่ยกำชับด้วยความเป็นห่วง เพราะแบงค์เองไม่มีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง ที่ผ่านมาเวลามาโรงเรียนก็มาด้วยกันกับผมตลอด จะมีก็แต่จักรยานเสือภูเขาหนึ่งคันที่เจ้าตัวไว้ใช้ปั่นจากหอเก่ามาร้านเจ๊บัวในช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ก็แค่นั้น ซึ่งผมคิดว่าแบงค์ในสภาพนี้คงปั่นจักรยานไปหาหมอไม่ไหวแน่ๆ

“ขอบคุณมากครับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตอนนี้ผมได้พยาบาลฝีมือดีคอยดูแลอยู่แล้วน่ะครับ”
ใครหว่า แต่พูดแบบนี้ สงสัยต้องเป็นเจ๊บัวแน่ๆ เลย
หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จแล้ว ผมก็กดวางสายพร้อมกับรีบจัดการข้าวเที่ยงตรงหน้าตัวเองด้วยความรวดเร็ว

“เป็นห่วงกันจังเลยนะผัวเมียคู่นี้เนี่ย กูล่ะอิจฉาจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงไอ้เต้ยเอ่ยแซวผมอย่างชอบใจ ผมชูนิ้วกลางกลับไปให้อีกฝั่งแทนคำตอบ

“ว่าแต่มึงสองคนถึงขั้นไหนกันแล้ววะ”

พรวดดด

คราวนี้เป็นไอ้ยีสต์เอ่ยถามบ้าง ซึ่งก็เป็นคำถามที่ทำเอาผมถึงกับเกือบสำลักข้าวเลยทีเดียว
“ถึงขั้นไหน นี่หมายความว่าไงวะ”
ผมตอบกลับด้วยคำถาม

“ก็หมายถึงว่า คุณเพื่อนนันท์กับคุณเพื่อนแบงค์ได้เสียกันเป็นคู่สามีภรรยารึยังยังไงล่ะครับ”
คราวนี้เป็นไอ้โอ๊ตที่ช่วยขยี้มุกของไอ้ยีสต์ ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้ยีสต์มันหมายถึงเรื่องอะไรโดยไม่ต้องรอให้ไอ้โอ๊ตช่วยขยายความเลยสักนิด

“ว่าแต่ใครผัวใครเมีย ใครรุกใครรับวะ กูอยากรู้ว่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามรอบด้วยน้ำเสียงที่ดูพยายามจะกลั้นหัวเราะแต่ก็ปิดไม่มิด

“โอ้ย ถามเหี้ยอะหยังของพวกมึงเนี่ยกูบ่คุยกับพวกมึงแล้ว สัส”
“ตอบแบบนี้แสดงว่ายังบ่ได้เสียกันชัวร์”
ไอ้สัสเต้ย มึงไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี ถึงแม้คำพูดของมึงจะถูกต้องก็ตามทีเถอะ แล้วพวกมึงอีกสองตัวไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะชอบใจเลยนะเว้ย

ไอ้พวกเพื่อนเหี้ย ฮือๆ


หลังจากที่เลิกเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบตรงดิ่งกลับมายังบ้านทันทีโดยไม่ไปที่ชมรมซึ่งไอ้เต้ยก็เข้าใจในเหตุผลจึงไม่ได้ว่าอะไรผมมากนัก ทันทีที่ผมกลับมาถึงบ้านก็พบว่าประตูรั้วบ้านไม่ได้ล็อคไว้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคุณกมลชนกกลับมาจากอำเภอปายแล้วนั่นเอง

“อะหยังกลับมาไวจัง แล้วนั่นจะไปไหนน่ะ”
แม่เอ่ยถามทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาวางกระเป๋าสะพายไว้บนโซฟาแล้วทำท่าจะเปิดประตูออกไปด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยวมานะแม่ พอดีแบงค์บ่สบาย จะไปดูอาการแบงค์เขาหน่อยน่ะ”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับหันไปทางคุณกมลชนกที่ตอนนี้กำลังยกหม้อเล็กๆ ออกมาจากครัววางไว้บนโต๊ะอาหาร ควันที่ลอยกรุ่นออกมาจากหม้อเล็กๆ นั้นแสดงให้เห็นว่าเพิ่งจะทำสำรับข้าวเย็นเสร็จ

“ถ้าแบงค์เขาล่ะก็ ตอนนี้แม่ให้นอนอยู่บนเตียงในห้องของแกเรียบร้อยแล้วล่ะ”
พูดจบคุณกมลชนกก็เดินกลับเข้าไปในครัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่ผมกำลังใช้สมองอันน้อยนิดประมวลผลกับคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่อยู่

หืม ????????????????????????????????


ภาพของชายหนุ่มร่างสูงตัวโตที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของผมคือสิ่งที่ผมเห็นเป็นอย่างแรกทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา ผมรู้สึกตะลึงตกใจอยู่พอควรที่อีกฝ่ายเข้ามานอนอยู่บนเตียงในห้องของผม โดยปกติแล้วผมมักจะไม่ค่อยให้ใครเข้ามาให้ของผมง่ายๆ นัก ขนาดพวกไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ ไอ้โอ๊ตผมยังแทบไม่ให้เข้ามาเลย ซึ่งสาเหตุมันก็มีอยู่ข้อเดียวจริงๆ นั่นก็คือ

ห้องผมรกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

รกชนิดที่ว่าผมขออนุญาตไม่บรรยายจะดีกว่า เพราะเกรงว่ามันจะทำให้ภาพลักษณ์น้องนันท์ผู้น่ารักของผมนั้นเสียแน่ๆ
“นันท์ เดี๋ยวเอากะละมังข้างเตียงลงมาเปลี่ยนน้ำด้วยเน่อ”

คุณกมลชนกตะโกนขึ้นมา ผมหันไปมองยังข้างเตียงก็พบกะละมังที่ว่าวางไว้อยู่ ผมจึงค่อยๆ เดินเข้าหยิบอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินลงมายังครัว

“แม่ทำข้าวต้มปลาของโปรดแกไว้นะ เดี๋ยวถ้าแบงค์เขาตื่นก็ให้เขากินแล้วกินยาตามด้วยเน่อ”
ผมพยักหน้าตอบกลับไปด้วยความงุนงงในเรื่องราวที่เกิดขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับหันกลับมาเปลี่ยนน้ำในกะละมังและซักผ้าขนหนูผืนเล็กที่แช่อยู่ในนั้นเมื่อครู่ด้วย

“อ้อ อีกอย่าง...”
คุณกมลชนกทิ้งช่วงไปครู่หนึ่ง ผมหันไปมองด้วยความสงสัย

“ห้องหับน่ะ หัดจัดซะมั่งเน่อ จะรกเป็นถังขยะไปไหนนักหนา แขกไปใครมาอายเขารู้มั้ย”
นั่นไงกูว่าแล้วว่าต้องโดนด่าเรื่องนี้แน่ๆ

หลังจากที่เปลี่ยนน้ำและซักผ้าขนหนูเสร็จเรียบร้อย ผมก็นำมันกลับขึ้นไปยังห้องของตัวเองพร้อมวางมันลงข้างเตียง ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เตียงอย่างช้าๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนทำให้แบงค์ตื่น

ผมจ้องมองแบงค์ที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของผม ด้วยความอยากรู้ผมจึงยกมือของตัวเองไปแตะลงบนแก้มและหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าแบงค์ยังมีไข้อ่อนๆ อยู่ เจ้าตัวเผลอไอออกมานิดๆ ผมจึงรีบดึงมือของตัวเองคืนมา แล้วจึงจ้องมองอีกฝ่ายให้แน่ใจว่ายังไม่ตื่น ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

ภาพแบงค์ที่กำลังหลับสนิทอยู่ตอนนี้ช่างเป็นภาพที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก จนผมแทบจะอดใจไม่ไหว จึงค่อยชะโงกหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ๆ ทีละนิดอย่างช้าๆ จนในที่สุดริมฝีปากของผมก็ประทับสัมผัสลงบนแก้มของแบงค์

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ผมกับแบงค์คบกันในฐานะคนรัก ผมก็เคยหอมแก้มแบงค์หลายครั้งแล้วแท้ๆ แต่ทว่าครั้งนี้ผมกลับรู้สึกต่างไปจากทุกครั้ง สัมผัสนุ่มและความอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก

“แอบหอมแก้มลูกชายคนอื่นแบบนี้ ผมเสียหายนะครับ”
เสียงเอ่ยเบาๆ ของแบงค์นั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจจนต้องดึงตัวเองกลับมา

“เฮ้ย ตื่นอยู่เหรอเนี่ย”
ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“ก็สักพักตั้งแต่นันท์เดินขึ้นมารอบแรกแล้วล่ะครับ”
แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองผมอย่างช้าๆ

“แล้วทำไมบ่บอกล่ะว่าตื่นอยู่”
“ถ้าบอก ผมก็อดโดนนันท์แอบหอมแก้มสิครับ”
ดูเขาตอบสิ ป่วยอยู่แท้ๆ ยังจะมีหน้ามาหยอดคำหวานอีก แล้วไหงกูต้องหน้าแดงด้วยเนี่ยยยยย

“แล้วนี่มาอยู่ในห้องเราได้ไงอ่ะ”
ผมเอ่ยถามเพื่อเบี่ยงประเด็นก่อนที่หน้าของผมจะแดงไปมากกว่านี้

“ก็ช่วงสายๆ ผมกะว่าจะเดินออกมาซื้อยาน่ะครับ แล้วก็เจอกับแม่นันท์ที่กลับมาพอดี แม่เลยให้ผมมานอนในห้องของนันท์ยังไงล่ะครับ”
นั่นไง แม่กูอีกแล้ว ตลอดเลยนะคุณผู้หญิงคนนี้เนี่ย

“ตอนแรกผมก็เกรงใจเหมือนกันครับ เพราะกลัวว่าจะทำให้นันท์ติดหวัดไปแล้ว แต่แม่ของนันท์บอกไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องกลัว โบราณเขาว่าไว้ว่าคนบ้าไม่มีทางเป็นไข้หวัดหรอก”
ผมหันไปยังประตูห้องพร้อมกับหรี่ตามองทันที แม่นะแม่ นี่ลูกแม่แท้ๆ นะ มาว่ากันอย่างนี้ได้ไง

“แล้วเรียนวันนี้เป็นยังไงมั่งครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มจากถึงลำคอ

“ก็รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่งตามประสานั่นล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ในขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ก็เป็นห่วงคนบางคนที่ตัวโตเสียเปล่า แต่ป่วยง่ายเหลือเกิน”
แบงค์อมยิ้มทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น ในขณะที่ผมกลับรู้สึกเขินอายในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเสียเอง แต่จะว่าไปแบงค์ก็ป่วยง่ายเหมือนกันแฮะ จำได้ว่าเมื่อปลายปีที่แล้วตอนช่วงปีใหม่ก็ป่วยไปรอบหนึ่งนี่นา

“ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง ว่าแต่มีการบ้านอะไรมั้ย เดี๋ยวผมจะช่วยติวให้เป็นการตอบแทน”
แบงค์เอ่ยถามพลางมองหาแว่นตาตัวเอง ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบจากบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา ก่อนที่จะนึกเอะใจอะไรได้บ้างอย่าง
“แบงค์สายตาสั้นขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมเอ่ยถามพลางมองแว่นตาของอีกฝ่ายที่มีความหนามากผมลองหยิบมันขึ้นมาสวมดูก่อนจะรีบถอดออกด้วยความรวดเร็วเพราะรู้สึกมึนหัว

“ล่าสุดที่ไปวัดมาก็สี่ร้อยห้าสิบอ่ะครับ”
แบงค์ขมวดคิ้วตอบกลับมา จะว่าไปแบงค์ในตอนที่ไม่ได้ใส่แว่นก็ดูแปลกตาอยู่เหมือนกันแฮะพอลองนึกๆ ดูแบงค์ก็เคยใส่คอนแทคเลนส์ครั้งนึงนี่นาตอนงานคริสมาต์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งยอมรับว่าลุคตอนนั้นดูหล่อจริงๆ

“แล้วมันสั้นแค่ไหนวะ อย่างตรงนี้มองชัดมั้ย”
ผมถามพลางโบกมือกะระยะให้อีกฝ่าย แบงค์เพ่งสายตามาทางผม

“ไม่ชัดครับ ต้องเข้ามาใกล้ๆ อีก”
เจ้าตัวตอบ ผมจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ ก่อนที่จะ เฮ้ยยย

“ถ้าแบบนี้อะ ชัดมากครับ”
แบงค์เอ่ยบอกผมด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ผมกำลังตกใจอยู่ ก็จะไม่ชัดได้ไงล่ะ เล่นคว้าตัวผมไปกอดแน่นเสียขนาดนั้น หน้าของแบงค์ในตอนนี้นั้นใกล้ชิดกับหน้าของผมมากๆ ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายของแบงค์ที่ยังมีความร้อนจากฤทธิ์ไข้อยู่

“ขอเอาคืนเมื่อกี้หน่อยนะครับ”
พูดจบ แบงค์ก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่อย่างรวดเร็ว ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย

“ไม่ขัดขืนหน่อยเหรอครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ซึ่งจะว่าไปถ้าเป็นผมเมื่อก่อนอาจจะมีขัดขืนอยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าหลังๆ มานี้ค่อนข้างจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวพอสมควร จนบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองดูใจง่ายยังไงไม่รู้ ฮ่าฮ่าฮ่า

“ก็ถ้าแค่หอมแก้ม ก็ไม่รู้จะขัดขืนไปทำไมอ่ะ แต่ถ้ามากกว่านั้น ยังกลัวอยู่อ่ะ”
“กลัวอะไร กลัวเจ็บงั้นเหรอครับ”
“ถ้าขืนยังพูดแบบนี้อีกจะต่อยเอาจริงๆ ด้วยนะ”
ผมพูดขู่ออกไป ซึ่งก็ได้ผลอยู่บ้าง แบงค์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มให้กับผม

“แค่นันท์ไม่ขัดขืนเวลาผมหอมแก้มผมก็ดีใจมากแล้วครับ ที่เหลือหลังจากนี้ผมจะอดใจรอก็แล้วกัน”
พูดจบ แบงค์ก็หอมแก้มผมอีกฟอดพร้อมหยิบแว่นจากมือของผมไปใส่

“มาครับ มาติวการบ้านกันเถอะ”
แบงค์ลุกขึ้นจากเตียงพลางมองซ้ายขวาเหมือนพยายามจะหาพื้นที่ว่างในห้องรกๆ แห่งนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกอายยังไงก็ไม่รู้แฮะ ผมลุกขึ้นตามอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะญี่ปุ่นที่ถูกพับเก็บไว้ระหว่างตู้เสื้อผ้าและโต๊ะคอมพ์ฯ ออกมากางลงข้างเตียง หลังจากนั้นจึงหยิบสมุดการบ้านออกมาเพื่อให้แบงค์ช่วยติวให้



จบคาบเรียนที่หก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่เจ็ด

แบงค์ลุกขึ้นจากเตียงพลางมองซ้ายขวาเหมือนพยายามจะหาพื้นที่ว่างในห้องรกๆ แห่งนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกอายยังไงก็ไม่รู้แฮะ ผมลุกขึ้นตามอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะญี่ปุ่นที่ถูกพับเก็บไว้ระหว่างตู้เสื้อผ้าและโต๊ะคอมพ์ฯ ออกมากางลงข้างเตียง หลังจากนั้นจึงหยิบสมุดการบ้านออกมาเพื่อให้แบงค์ช่วยติวให้

ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ผมก็ทำการบ้านเสร็จซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่มีแฟนฉลาดๆ แบบแบงค์นั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า
“นี่ก็ค่ำแล้ว ถ้างั้นผมขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ”

แบงค์ลุกขึ้นยืนทันทีหลังจากที่พูดจบ
“แบงค์จะนอนนี่ก็ได้นะ เผื่อไข้ขึ้นจะได้ดูแลทัน”
“จะดีเหรอครับ”
แบงค์หันกลับมาถามผมด้วยสีหน้าสงสัย ผมขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่กำลังใช้ชายเสื้อเช็ดแว่นของตัวเองอยู่

“ก็ถ้าบ่ทำอะหยังแผลงๆ ก็นอนได้อยู่หรอก”
แบงค์หัวเราะเบาๆ ทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น พลางลูบหัวผมเบาๆ

“เป็นเกียรติมากเลยครับที่ได้นอนค้างที่ห้องนันท์เนี่ย”
“เว่อร์ นั่งรออยู่ตรงนี้เลยนะ เดี๋ยวกูจะลงไปเอาข้าวต้มมาให้กิน แล้วจะได้กินยา วันนี้มึงห้ามดื้อล่ะ ต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังกูทุกคำ เข้าใจมั้ย”
ผมยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปยังแบงค์ เจ้าตัวอมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม

“คร้าบบบ คุณหมอ”
“เยี่ยมมาก ไอ้น้องชาย”
พูดจบผมก็เดินลงไปยังชั้นล่างทันที

“แบงค์เขาเป็นยังไงมั่ง อาการดีขึ้นรึยัง”
คุณกมลชนกเอ่ยถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา

“ก็ดีขึ้นแล้ว พูดมากได้เหมือนเดิมแล้วล่ะ”
“ไปพูดแบบนั้นกับแบงค์เขาได้ยังไงน่ะ เสียมารยาทมากเลยนะเราเนี่ย”
ผมหรี่ตามองกลับไปยังคุณกมลชนกที่ยังคงให้ความสนใจกับละครในทีวีอยู่ ตอนนี้บางทีก็เริ่มๆ คิดแล้วนะว่าใครเป็นลูกของคุณกมลชนกกันแน่เนี่ย ดูจะโอ๋เอาอกเอาใจแบงค์เสียเหลือเกิน

แต่จะว่าไปเรื่องที่ผมกำลังคบกับแบงค์ในสถานะคนรักอยู่นั้น ผมเองก็ยังไม่ได้บอกคุณกมลชนกที่นี่นา ซึ่งคิดอีกที ผมเองก็ยังไม่กล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับคุณกมลชนกเหมือนกันแฮะ เพราะไม่รู้ว่าคุณกมลชนกจะรับได้หรือเปล่ากับสิ่งที่ผมเป็นและความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้

ในขณะที่ผมกำลังมีความสุข อีกด้านหนึ่งผมก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันที่ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ เคยคิดเอาไว้ว่าสักวันหากผมมีความกล้ามากพอ ผมคงจะพูดเรื่องนี้กับคุณกมลชนก
แต่คำถามคือ เมื่อไหร่กันล่ะ

เพราะงั้นสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียง ขอโทษคุณกมลชนกในใจ และหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะมีความกล้ามากพอที่จะพูดเรื่องนี้
ขอโทษนะครับ คุณกมลชนก


“อร่อยมากเลยครับ ข้าวต้มปลาฝีมือของแม่นันท์เนี่ย”
แบงค์เอ่ยชมหลังจากที่กินข้าวต้มปลาจนหมดถ้วยในขณะที่ผมยังเหลืออีกตั้งครึ่ง

“อิ่มมั้ย เอาเพิ่มอีกป่ะ มีเยอะเลย”
ผมหันไปเอ่ยถาม แบงค์พยักหน้าด้วยความดีใจ ผมจึงเดินลงไปตักขึ้นมาให้อีกถ้วย หลังจากที่แบงค์กินหมดเรียบร้อยแล้ว ผมก็นำยาพาราฯ มาให้แบงค์กินต่อ

“จะอาบน้ำก่อนนอนมั้ย”
ผมหันไปถามแบงพร้อมกับเดินไปหยิบผ้าขนหนู

“ครับ แต่นันท์อาบก่อนเลยครับ ผมค่อยอาบทีหลัง”
ได้ยินเช่นนั้น ผมก็นุ่งผ้าขนหนูแล้วถอดเสื้อตัวเองออกทันที เพราะเริ่มรู้สึกได้กลิ่นเหม็นเหงื่อของตัวเองแล้ว

“อ้วนขึ้นรึเปล่าครับ”
แบงค์เอ่ยถามขึ้นทันทีที่ผมถอดเสื้อเสร็จ ผมเลิกคิ้วสูงก่อนจะหันไปมองยังกระจกที่ติดอยู่ข้างฝาผนัง

“เฮ้ย จริงดิ”
ผมหันซ้ายหันขวาพร้อมกับเอ่ยถามกลับไปด้วยความวิตกเล็กน้อย แบงค์พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

“สงสัยช่วงนี้กินเยอะไปหน่อยแฮะ ไม่น่าเลย ฮือ”
ผมบ่นพร้อมกับใช้นิ้วจับหน้าท้องตัวเองที่สมควรจะเรียกว่า พุง มากกว่า ซึ่งตอนนี้เหมือนมันกำลังย้วยนิดๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกอนาถใจในตัวเองยังไงก็ไม่รู้แฮะ ขนาดพกพาสะดวกไม่พอ เสือกอ้วนออกข้างอีก แทนที่จะไปเพิ่มในส่วนสูง ไอ้อาหารบ้า ว๊ากกกกกกกกกก

“ไม่ได้การ สงสัยต้องลดความอ้วนละ”
“ไม่ต้องหรอกครับ นันท์ที่เป็นแบบนี้ก็น่ารักดีอยู่แล้ว”
แบงค์บอกพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น

“น่ารักตรงไหนเนี่ย”
“ก็ตรงที่เนื้อๆ นี่ล่ะครับ ดูมีน้ำมีนวล ผมชอบ เวลากอดแล้วมันรู้สึกอบอุ่นดี แถมอีกอย่าง....”

แบงค์นิ่งเงียบทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง ผมขมวดคิ้วหรี่ตามองด้วยความสงสัย
“อีกอย่างอะหยัง”

“......”
“......”
“นันท์ที่เป็นแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์อย่างบอกไม่ถูกด้วยน่ะครับ”

พูดจบแบงค์ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย พลางเกาคางเบาๆ ไปด้วย
“พูดบ้าอะหยังวะเนี่ย”

ผมปาผ้าขนหนูอีกฝืนใส่อีกฝ่ายทันทีก่อนที่จะรีบเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
แรกๆ ก็ดูออกจะเป็นสุภาพบุรุษเรียบร้อยดีๆ แท้ๆ แต่ไหงหลังๆ ถึงได้ดูโรคจิตหื่นกามขึ้นทุกวันๆ นะ กับแฟนเก่าเป็นแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย

จะว่าไป ก็เคยถามแบงค์เหมือนกันนี่หว่ากับเคยอะไรๆ กับแฟนเก่าหรือเปล่า เจ้าตัวก็เอาแต่ยิ้มมุมปาก ไม่ยอมตอบอะไร นี่แสดงว่ายังมีอีกหลายมุมของแบงค์สินะที่ผมยังไม่รู้จัก

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ผมก็รีบแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างรวดเร็วทันที เพราะคิดว่าหากยิ่งเปลือยกายนานเท่าไหร่ สวัสดิภาพความปลอดภัยของผมก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น เพราะสายตาของอีกฝ่ายตอนนี้กำลังจ้องมองผมตาเป็นมันเชียว และเมื่อแต่งตัวเสร็จ ผมก็ไล่อีกฝ่ายให้ไปอาบน้ำทันที

แบงค์ลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่าง่าย พร้อมกับถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นท่อนบนที่ขาวเนียนมากๆ เนียนจนหน้าอิจฉาสุดๆ

“จ้องมองผมแบบนี้หมายความว่ายังไงน่ะครับ”
แบงค์หันมาเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มมุมปากทันทีที่เห็นสายตาของผมจ้องมอง

“แบงค์น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือเปล่าน่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองตัวเองในกระจกข้างฝาผนัง

“ก็คิดว่าน่าจะขึ้นนะครับ ทำไมเหรอครับ ผมดูอ้วนเหรอ”
“เปล่า แค่รู้สึกดูจะล่ำขึ้น บึกขึ้นยังไงก็ไม่รู้น่ะ”

ผมตอบออกไปตามที่คิด แต่ทว่าแบงค์กลับยิ้มอย่างมีเลศนัยกลับมาแทนเสียงั้น
“เห็นแล้วมีอารมณ์ล่ะสิครับ”

“อารมณ์บ้าอะไร ไปๆ ไปอาบน้ำเลย จะนอนแล้ว”
แบงค์หัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก่อนที่จะถอดกางเกงขาสั้นของตัวเองลงกองกับพื้นโดยไม่คิดจะแคร์สายตาของผมเลยสักนิด

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ”
ผมเอ่ยทักเสียงดังเมื่อเห็นการกระทำนั้นของอีกฝ่าย ก่อนที่จะรีบเอามือปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้

“อ้าว ก็ไปอาบน้ำน่ะสิครับ”

แบงค์ตอบกลับมาอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ผมกลับเป็นฝ่ายรู้สึกเขินหน้าแดงแทนเสียเอง
“ก็แล้วทำไมไม่นุ่งผ้าขนหนูด้วยล่ะ”

ผมรีบโวยพร้อมกับชี้ไปยังผ้าขนหนูที่กำลังพาดอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมฯ เมื่อเห็นแบงค์ที่ตอนนี้มีแค่กางเกงในสีขาวตัวเดียวปกปิดร่างกายอยู่ เจ้าตัวหันไปมองผ้าขนหนูผืนนั้น ก่อนจะก้มลงมองเรือนร่างของตัวเอง แล้วจึงหันมามองผมอีกรอบ

“จะอายอะไรกันครับ เราเป็นแฟนกันแท้ๆ ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลยสักนิด หรือจะให้ผมถอดอีกชิ้นออกด้วย”
ไม่พูดเปล่า แบงค์ยังทำท่าจะถอดเจ้ากางเกงในซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ปกปิดตัวเองเอาไว้อีกด้วย จนผมต้องรีบลุกขึ้นไปจับข้อมือนั้นห้ามเอาไว้

“ปกติก็เคยเห็นผมในชุดบอกเซอร์ตัวเดียวมาก่อนแล้วแท้ๆ แล้วจะมาเขินอะไรกันตอนนี้ครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาอะไร ซึ่งจะว่าไปมันก็มีส่วนถูกอยู่บ้างหากจะพูดเช่นนั้น แต่เข้าใจป่ะ บอกเซอร์กับกางเกงในมันไม่เหมือนกันอ่ะ พื้นที่ในการปกปิดมันต่างกัน บอกเซอร์อย่างน้อยมันก็ดูเหมือนกางเกงขาสั้นไง ในขณะที่กางเกงในมันเป็นคนละแบบกันอ่ะ แต่คิดว่าอธิบายไปเจ้าตัวก็คงไม่สนใจหรอก ผมจึงรีบหยิบผ้าขนหนูมานุ่งให้ทันทีก่อนจะผลักอีกฝ่ายเข้าห้องน้ำแล้วรีบปิดประตูด้วยความรวดเร็ว

คนอะไรเนี่ย กับเรื่องอื่นออกจะฉลาดแท้ๆ แต่ไหงเรื่องแบบนี้ถึงได้ ...
“นันท์ครับ”
“อะไร”

ผมตอบกลับอย่างคนมีน้ำโหเล็กน้อย
“ผมไม่มีกางเกงในเปลี่ยนอ่ะครับ เสื้อผ้าด้วย”

“อาบไปก่อน เดี๋ยวหามาให้”
“ขอบคุณครับ”
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย คิดถูกป่ะเนี่ยที่ให้แบงค์นอนด้วยคืนนี้


“บ้านนันท์มีคนตัวใหญ่แบบนี้ด้วยเหรอครับ”
แบงค์เอ่ยถามก่อนจะก้มมองดูเสื้อผ้าที่ตนกำลังสวมใส่อยู่

“ของพ่อน่ะเอ้อ อย่าลืมกินยาก่อนนอนด้วยล่ะ”
“อ้อ ครับ”
เจ้าตัวตอบกลับมาสั้นๆ โดยไม่ถามอะไรต่อ นั่นเพราะพ่อกับแม่ของผมนั้นหย่ากันตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ซึ่งแบงค์เองก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวนิ่งเงียบไม่ซักไซ้อะไรมากนัก แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องตั้งแต่ผมยังเด็กๆ จนแทบจะจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับมันมากมายนักแล้วด้วย

“จะนอนเลยมั้ย”
ผมเอ่ยถามแบงค์พลางหันไปมองนาฬิกาในมือถือที่กำลังบอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะห้าทุ่มแล้ว แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็พยักหน้าตกลงก่อนจะเดินขึ้นเตียงอย่างว่าง่าย ผมจึงเดินไปปิดไฟห้องแล้วกลับมายังเตียงนอนตามอีกฝ่าย

“......”
“......”

“......”
“......”

เงียบ......
ทำไมรู้สึกแปลกๆ วะ ทั้งๆ ที่จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่นอนร่วมเตียงเดียวกับแบงค์ ที่จำได้ก็มีตอนไปสันป่าเกี๊ยะ แต่นั่นมันก็ในเต้นท์ แถมตอนนั้นยังไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย แล้วก็ตอนไปเกาะพะงันเมื่อช่วงต้นปี รอบนั้นก็นอนด้วยกันสองคนตั้งหลายวันด้วยแท้ๆอาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยให้ใครมานอนร่วมเตียงเดียวกันในห้องตัวเองก็เป็นได้แฮะ

“นันท์ครับ”
แบงค์ทำลายความเงียบนั้นด้วยการเอ่ยเรียกชื่อผมเบาๆ

“ว่าไง”
ผมตอบกลับไปสั้นๆ

“ขอบคุณนะครับ สำหรับการดูแลวันนี้”
พูดจบแบงค์ก็เข้าสวมกอดผมทันที จนผมนึกสงสัยว่าจะมาอารมณ์ไหนอีกละเนี่ย แต่พอลองนึกดูดีๆ เจ๊บัวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของแบงค์ก็เคยพูดเอาไว้นี่นา ว่าถึงแบงค์จะดูเป็นคนเข้มแข็งพึ่งพาได้ แต่ลึกๆ แล้วเขาเองก็เป็นคนขี้เหงามากๆ แต่พยายามจะปกปิดไว้ เพราะไม่อยากจะเป็นภาระของใคร

“อยากฟังเพลงมั้ย”
ผมเอ่ยถามกลับไปสั้นๆ แบงค์ส่งเสียง หือ ในลำคอด้วยความสงสัย ผมจับมือของแบงค์ที่กำลังกอดผมอยู่ออกไปแล้วจึงลุกขึ้นนั่งข้างตัวของอีกฝ่าย แสงไฟจากลอดผ่านจากข้างนอกเข้ามาทางมุ้งลวดที่หน้าต่างมันก็พอจะทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของแบงค์อยู่บ้าง

“หลับตาซะ”
ผมออกคำสั่งกับอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังทำหน้างง ผมขมวดคิ้วเข้มแบงค์จึงรีบหลับตาตามคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็ว ความเงียบงันของค่ำคืนที่เข้าครอบคลุมจะมีก็เพียงเสียงจิ้งหรีดที่กำลังส่งเสียงร้องมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ ซึ่งก็ช่วยสร้างบรรยากาศให้ค่ำคืนนี้ได้พอสมควร

ผมเอื้อมมือไปลูบยังหัวของอีกฝ่ายที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างเบามือ

...ขอบคุณนะครับ สำหรับการดูแลวันนี้...

คำพูดสั้นๆ ของแบงค์ที่เอ่ยกับผมเมื่อกี้มันทำให้ผมรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะที่ผ่านมาผมมักจะเป็นฝ่ายได้รับการดูแลจากแบงค์มาตลอด ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น แบงค์ก็มักจะอยู่เคียงข้างและช่วยให้ผมผ่านพ้นมันไปได้ทุกครั้ง จนผมเองไม่รู้จะเอ่ยคำขอบคุณอย่างไรกลับไปดี

การได้รับการดูแล และการได้ดูแลใครสักคนมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่าจริงๆ หลังจากที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน ได้แต่ใช้ชีวิตสนุกๆ ไปวันๆ อย่างไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งแบงค์ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของผม

ถึงแม้สิ่งที่ผมทำในวันนี้มันอาจจะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะช่วยกลบความเหงาในจิตใจของแบงค์ได้บางส่วน

และสักวันผมจะเติมเต็มส่วนนั้นจนไม่หลงเหลือพื้นที่ว่างให้กับความเหงานั้นให้ได้


หลับตาลงนะ นะคนดีขอให้เวลานี้ เธอหลับและพักผ่อน
กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอนแค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง

   ผมค่อยๆ ร้องเพลงๆ หนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ เบาๆ เพลงที่ครั้งหนึ่งผมเคยเปิดเจอในยูทูปแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับรู้สึกชอบมันในทันทีที่ได้ฟังในครั้งแรกและเป็นเพลงที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดในช่วงเวลานี้แล้ว

ลับตาลงนะ นะคนดีไม่มีอะไรที่ต้องห่วง แม้ซักอย่าง
สิ่งที่เคยแบกไว้ ให้เธอวางให้โลกผ่านดั่งเพียงฝันไป

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน
หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด
เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรนไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจหาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคนที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้

   ผมกุมมือแบงค์ไว้แน่น แบงค์ที่ตอนนี้ยังคงหลับตาอยู่ แต่ก็อมยิ้มที่มุมปากเล็กๆ แลดูเหมือนเด็กน้อย ซึ่งมันก็ทำให้ผมอมยิ้มตามไปด้วย

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน
หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด
เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรนไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจหาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคนที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้

หลับตาลงนะ นะคนดีสิ้นสุดลงตรงนี้ หนทางที่แสนไกล
แค่เธอจับมือฉัน และเชื่อใจรักยิ่งใหญ่จะไปถึงเธอ

   ผมค่อยๆ    โน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากของแบงค์อย่างช้าๆ ก่อนจะเอาหัวหนุนนอนบนหน้าอกของอีกฝ่าย แบงค์ยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ อย่างทุกครั้งที่เคยทำซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกมีความสุขมากๆ
   อยู่ด้วยกันนานๆ แบบนี้ตลอดไปนะครับ


   จบคาบเรียนที่ 4


   ซะเมื่อไหร่ล่ะ ....
   มีเรื่องจะขอเล่าต่ออีกนิด เกี่ยวกับเรื่องราวชวนหวาดเสียวเล็กน้อยในเช้าวันต่อมา

   เช้าวันเสาร์
   “เป็นยังไงมั่ง หายดีแล้วหรือยัง”
   แม่ของผมเอ่ยถามแบงค์หลังจากที่เราทั้งสองเดินลงมายังชั้นล่าง

   “หายดีแล้วครับ ก็มีทั้งพยาบาลและคุณหมอที่ดีคอยดูแลนี่ครับ”
   แบงค์ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำเอาแม่ของผมยิ้มตามทันที เรื่องปากหวานนี่ต้องยกให้เขาจริงๆ

   “มาๆ มากินข้าวเช้ากันก่อนเร็ว เอ้อนันท์ เดี๋ยวถ้ากินเสร็จแล้ว ก็เอายาให้แบงค์เขากินอีกรอบด้วยเน่อ กันไว้ก่อน ถึงจะหายแล้วก็เถอะ”
   ผมพยักหน้าให้กับคำพูดนั้นของแม่ที่กำลังยกสำรับอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะโดยที่มีแบงค์ช่วยอีกแรง

   “แล้วหนูล่ะ ต้องกินยาดักไว้ด้วยมั้ย”
   ผมหันไปถามในขณะที่กำลังเดินไปหยิบน้ำจากตู้เย็น

   “กินไว้ก็ดีเน่อ แต่คนบ้าอย่างแกคงบ่ะเป็นไข้หรอก”
   ผมหรี่ตามองไปยังคนพูดที่กำลังตักข้าวจากหม้อใส่จาน

   “กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยนะครับเนี่ย”
   “ลองกินดู แล้วจะติดใจในฝีมือแม่นะ”
   แม่รีบอวยตัวเองทันทีที่ได้ยินแบงค์พูดเช่นนั้น แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะฝีมือการทำอาหารของแม่ผมนั้นอร่อยไม่เป็นสองรองใครจริงๆ แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็จัดการตักอาหารที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเข้าปากทันทีด้วยความรวดเร็ว

   “อร่อยมากครับ”
   “ใช่มั้ยล่ะ บอกแล้ว”
   “อร่อยจนผมอยากจะมาสมัครเป็นลูกเขยแล้วเนี่ย...”
   !!!!!

   “......”
   “......”
   “......”
   อยู่ๆ ก็เกิดบรรยากาศเงียบขึ้นมาทันที ผมรู้สึกอึ้งตาโตก่อนจะกลอกตาไปมองแบงค์แล้วกลอกตากลับมามองแม่ที่กำลังนิ่งเงียบอยู่

   “เอ่อ ผมหมายถึงว่าถ้าแม่มีลูกสาว ผมคงจะมาขอสมัครเป็นลูกเขยเพื่อที่จะได้กินอาหารฝีมือแม่ทุกวันน่ะครับแห่ะๆ”
   แบงค์พยายามพูดแก้ด้วยน้ำเสียงกระตุกกระตัก ในขณะที่ใจของผมนั้นหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว

   “ก็ชมเกินไป แต่ถึงจะบ่ะได้เป็นลูกเขย ก็มากินได้ตลอดนะ ถ้าวันไหนแม่อยู่ก็มาได้นะ แม่บ่ะได้ถือ ดีเสียอีก แม่จะได้มีลูกชายเพิ่ม ทดแทนลูกชายที่บ่ะเต็มคนนี้เนี่ย”
   นั่นไง กูโดนพาดพิงอีกจนได้

   ผมพยายามชำเลืองมองสีหน้าของแม่ผม ซึ่งดูแล้วน่าจะไม่ได้เอะใจอะไรหรอกมั้ง ซึ่งก็พอจะทำให้ผมเบาใจไปได้นิดนึง ผมหันไปขมวดคิ้วเข้มใส่แบงค์แว๊บนึง เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ เป็นเชิงขอโทษกลับมาให้ผม
   
   เฮ้อ ชีวิตกู จะปิดบังไปได้ถึงเมื่อไหร่เนี่ยยยยยยยย ฮืออออออ


   จบคาบเรียนที่ 7 จริงๆ ละ จบเหอะ ก่อนชีวิตกูจะไม่รอด ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2021 03:00:33 โดย จิบุ_จิบุ »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่แปด

 

“พี่ ได้ฟังเพลงใหม่ของวง Undefined แล้วรึยัง”

เสียงของซันด๋อยซึ่งกำลังวุ่นอยู่กับการจัดหนังสือที่เพิ่งเข้ามาใหม่เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาภายในร้านในช่วงเวลายามบ่ายของฤดูร้อนที่ร้อนราวกับว่าตกอยู่ในทะเลทรายก็ไม่ปาน ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในคำถามนั้น ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจเบาๆ ออกมาทันทีก่อนจะลุกขึ้นหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมเปิดยูทูปแล้วยื่นมาให้ ผมรับมันมาแล้วก้มลงมองดูเอ็มวีเพลงที่ว่า ซึ่งขับร้องโดยนักร้องสาวที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

“เนี่ย เพิ่งจะอัพลงเมื่อบ่กี่ชั่วโมงที่แล้วเลยนะพี่”

ซันด๋อยพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย คงเพราะเจ้าตัวเป็นแฟนคลับตัวยงอยู่ด้วยนั่นเอง ซึ่งก็ทำให้ผมถึงกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยทันทีที่ได้เห็นท่าทีนั้นของซันด๋อย

จะว่าไปวันเวลานี่ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน จากวงดนตรีเล็กๆ ในชมรมดนตรีที่ผมเคยอยู่ กลายมาเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งของประเทศ สมาชิกในวงต่างก็ผลัดเปลี่ยนเข้ามาอยู่เรื่อยๆและจนถึงตอนนี้คนที่ผมรู้จักซึ่งยังเหลือในวงก็มีแค่มายด์นักร้องนำหญิง ไอ้น้องไนท์มือเบสที่นับวันก็ยิ่งดูเท่ขึ้นเรื่อยๆ และพี่สาธิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยออกจากวงไปเพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้

“เออ เพราะดีแฮะ สงสัยต้องโหลดของแท้สนับสนุนหน่อยแล้ว”

พูดจบผมก็ส่งมือถือคืนไปยังเจ้าของ ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองออกมาเพื่อดาวน์โหลดเพลงที่ว่า

“พี่นี่ก็นะ เคยเป็นถึงอดีตสมาชิกวงนี้แท้ๆ แต่กลับบ่รู้เรื่องอะหยังเกี่ยวกับวงเลยเหรอเนี่ย”

ผมหรี่ตามองไปยังคนพูดซึ่งกำลังยิ้มหยันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“เคยอยู่ชมรมเดียวกันแค่นั้นล่ะ แต่บ่ได้ถือว่าเป็นสมาชิกของวงอะหยังหรอก”

ใช่ สำหรับเบ๊จิปาถะของชมรมอย่างผม ไม่น่าจะนับเป็นสมาชิกของวงได้หรอก เพราะเล่นอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง ขนาดเป่าขลุ่ยยังเสียงเพี้ยนจนอาจารย์ยังต้องรีบห้ามผมอย่างรวดเร็ว ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจอะไรในคำตอบนั้นของผมมากนัก เนื่องจากกำลังวุ่นวายอยู่กับกองหนังสือที่เข้ามาใหม่นั่นเอง

จะว่าไปก็คิดถึงช่วงเวลานั้นแฮะ สำหรับชมรมดนตรี ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากๆ ช่วงหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้จะมีเรื่องราวให้ปวดหัวจนเกือบจะเป็นปัญหาใหญ่โตบ้างก็ตามทีเถอะ

 

“มีใครติดต่อไอ้เหี้ยพละได้บ้างมั้ย”

เสียงที่ฟังดูไม่สบอารมณ์ของไอ้เต้ยเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศในห้องชมรมที่กำลังอึมครึมอยู่ อันสืบเนื่องมาจากการหายตัวไปหลายวันของไอ้น้องพละ มือกลองหน้าใหม่และหน้าโหดของชมรม ทุกคนต่างส่ายหัวเป็นคำตอบ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ไอ้เต้ยดูจะหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

“ไอ้นันท์ มึงลองดูในใบสมัครของมันหน่อยซิ ว่ามีเบอร์โทรของมันมั้ย ถ้ามีก็ลองโทรหามันดู”

ผมรีบลุกขึ้นไปยังโต๊ะคอมพ์ฯ ที่มุมห้องทันทีอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำสั่งนั้นพร้อมกับค้นหาเอกสารการสมัครเข้าชมรมของไอ้น้องพละ

นายพลวัฒน์ ไม่ใช่ๆ นี่มันไอ้ตี๋เอ๋อ อ๊ะ นี่ไง นายพลภัทร เออ นามสกุลเหมือนกันจริงๆ ด้วยแฮะ แสดงว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นแฝดกันยังไงก็ดูไม่น่าเชื่อแฮะ ไหนขอดูวันเดือนปีเกิดหน่อยละกัน

หือ นี่มัน ...

“เจอยังวะ”

เสียงเข้มของไอ้เต้ยดึงสติของผมให้กลับมาสู่คำสั่งที่เจ้าตัวสั่งไว้ ผมจึงรีบเพ่งสายตาไปยังข้อมูลในใบสมัคร ทันทีที่เห็นเบอร์มือถือของไอ้น้องพละ ผมก็รีบหยิบมือถือของตัวเองออกมากดตัวเลขพร้อมโทรออกอย่างรวดเร็ว

สัญญาณติด ทว่าไร้การตอบรับ ผมจึงกดวางสายก่อนจะกดเบอร์นั้นซ้ำอีกครั้ง ซึ่งก็ได้ผลเหมือนเดิม คือไม่มีคนรับสาย

“บ่มีคนรับสายว่ะ”

“แล้วเบอร์ไอ้ตี๋เอ๋อล่ะ”

“ก็คงบ่มีคนรับสายเหมือนเดิมน่ะล่ะ เพราะดันเขียนเบอร์เดียวกันกับของไอ้พละเลย”

ผมเอ่ยตอบไปหลังจากที่ดูข้อมูลในใบสมัครของไอ้ตี๋เอ๋อ ไอ้เต้ยส่ายหัวด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ก็ดูเจ้าตัวพยายามจะเก็บอารมณ์เอาไว้อยู่

และในขณะที่บรรยากาศภายในห้องเริ่มจะตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม อยู่ๆ ไอ้น้องพละ บุคคลที่พวกเรากำลังตามหากันอยู่นั้นก็เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ อย่างไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น และยังรวมไปถึงไร้ซึ่งคำทักทายจากเจ้าตัวอีกด้วย

ไอ้น้องพละหยิบไม้กลองประจำออกมาจากกระเป๋าสะพาย ก่อนจะวางมันลงยังมุมห้องแล้วเดินมานั่งประจำตำแหน่งของตัวเองยังกลองชุด

“มึงหายไปไหนมาหลายวันวะ!”

ไอ้เต้ยเอ่ยถาม ไม่สิ เอาจริงๆ เรียกว่าตะคอกถามน่าจะถูกกว่า สังเกตได้จากอาการสะดุ้งเล็กน้อยของมายด์ ในขณะที่คนถูกถามกลับยังคงนิ่งเฉยไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ แม้แต่นิดเดียว

“ตี๋เอ๋อบ่สบาย เลยต้องอยู่ดูแล”

คนถูกถามตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองไปยังคนถาม เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำราวกับคนไปมีเรื่องทะเลาะกับใครมายังไงยังงั้น

“แล้วไงวะ มึงก็เลยขาดชมรมไปแบบง่ายๆ บ่บอกบ่กล่าวเลยงั้นเหรอ ความรับผิดชอบต่อคนอื่นมึงมีมั่งมั้ยวะ”

“ก็มาแล้วนี่ไง จะเอาอะหยังอีกวะ”

คำตอบที่ฟังดูเหมือนการท้าทายนั้นยิ่งทำให้ไอ้เต้ยรู้สึกเดือดดาลมากยิ่งขึ้นสังเกตได้จากการที่ไอ้เต้ยกำลังกำหมัดแน่นอยู่นั่นเอง

“ไอ้ห่าเอ้ย นึกว่าตัวเองฝีมือดีหน่อยแล้วจะทำอะหยังก็ได้เหรอวะ ไอ้เหี้ยตี๋เอ๋อก็อีกคน เป็นสมาชิกก็เหมือนตัวถ่วงไร้ค่า ทำอะหยังก็บ่ได้สักอย่าง”

ผมรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสบถนั้นของไอเต้ย เพราะมีความรู้สึกว่าเหมือนกำลังโดนด่ากระทบกลายๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“เฮ้ย พี่จะด่าผม ว่าอะหยังยังไงก็ได้ แต่อย่าไปด่าไปว่าอะหยังตี๋เอ๋อมันดิวะ”

ไอ้น้องพละโต้กลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมและจริงจัง ยิ่งด้วยสีหน้าที่โหดเป็นทุนเดิมของเจ้าตัวอยู่แล้วด้วยนั้น ก็ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

“อะหยังจะด่าบ่ได้วะ ก็มันจริงนี่หว่า โตเป็นควายแล้ว ยังต้องคอยให้คนอื่นคอยประคบประหงมอยู่นั่นแหละ ทำตัวเป็นลูกแหง่ติดแม่ไปได้”

ปึง!!!

เสียงไม้กลองของไอ้พลที่ถูกซัดลงบนกลองอย่างสุดแรงดังขึ้นทำเอาหลายคนที่นั่งอยู่สะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นตรงเข้าหาไอ้เต้ยด้วยความรวดเร็วพร้อมกับง้างหมัดที่กำแน่นหมายจะชกเข้าที่ใบหน้าของไอ้เต้ย ในขณะที่ไอ้เต้ยก็หาได้เกรงกลัวไม่ เจ้าตัวเองก็กำหมัดแน่นจะพุ่งเข้าหาสมาชิกรุ่นน้องด้วยอารมณ์เดือดเช่นกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่ทั้งแบงค์ ไอ้กอล์ฟ และไอ้น้องไนท์ต่างก็ตั้งสติได้ทันจึงพุ่งเข้ารั้งตัวของทั้งสองได้ทันท่วงทีด้วยความรวดเร็ว แต่ด้วยพละกำลังของทั้งคู่ที่ยังคงอยู่ในอารมณ์โมโห จึงทำให้ทั้งแบงค์ ไอ้กอล์ฟและไอ้น้องไนท์ดูจะต้องเสียแรงมากพอสมควร

“แน่จริงมึงเข้ามาดิวะ ไอ้แบงค์ มึงปล่อยกู กูจะต่อยไอ้ห่านี่ให้ปากแตกสักที”

ไอ้เต้ยท้าอีกฝ่ายพร้อมพยายามที่จะสลัดให้หลุด

“เอาดิวะ คิดว่ากูกลัวมึงเหรอวะ ไอ้สัส แก่กว่ากูแค่ปีสองปี อย่าคิดว่ากูจะเคารพมึงนะไอ้เหี้ย”

ไอ้น้องพละก็ใช่ย่อย ทำเอาไอ้น้องไนท์เกือบจะรั้งไว้ไม่ไหวเพราะดูไอ้น้องพละจะแรงเยอะกว่าไอ้น้องไนท์อยู่พอสมควร ก็แหงล่ะ ไอ้น้องพละออกจะล่ำเสียขนาดนั้น ในขณะที่ไอ้น้องไนท์นั้นรูปร่างสูงโปร่ง ยังดีที่มีไอ้กอล์ฟคอยกั้นกลางห้ามทัพเอาไว้

“ถ้ามึงบ่สามารถร่วมงานเป็นทีมได้ มึงก็ออกไปจากชมรมเลยไป๊”

“เออ กูออกแน่ ด่ากูอ่ะ กูยังพอรับได้ แต่มึงเล่นลามปามด่าไปถึงไอ้ตี๋เอ๋อ กูรับบ่ได้ กูบ่อยู่หรอก ชมรมเหี้ยๆ แบบนี้น่ะ ปล่อยกูดิเว้ย กูจะกลับแล้ว”

ไอ้น้องพละตะคอกพร้อมกับพยายามจะสลัดให้หลุด ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินและเห็นท่าทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะออกจากชมรมและคงไม่มีท่าทีจะเข้าหาเรื่องไอ้เต้ยจึงค่อยๆ คลายแขนออกอย่างช้าๆ ทันทีที่เป็นอิสระไอ้น้องพละก็รีบสะบัดไหล่เล็กน้อยเพื่อให้เสื้อเข้าที่ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องและไม้กลองส่วนตัวที่ตกอยู่ตรงพื้นแล้วเดินออกจากชมรมไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แบงค์เองเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินออกไปแล้วจึงค่อยๆ คลายล็อคจากไอ้เต้ยทันที

“งานนี้ต้องหามือกลองใหม่อีกแล้วสินะ”

ผมเอ่ยออกมาพร้อมถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันทีด้วยความรวดเร็วเมื่อโดนสายตาพิฆาตของไอ้เต้ยหันมาจ้องมอง

“ปล่อยให้แม่งลาออกไปนั่นล่ะดีแล้ว อยู่ไปก็เป็นภาระชมรม เป็นตัวถ่วงคนอื่นเปล่าๆ”

ไอ้เต้ยบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพลางจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่

“เต้ย ใจเย็นๆ ก่อนนะ เข้าใจว่าน้องเขาก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน แต่เราเป็นหัวหน้าชมรมก็ต้องใจเย็นด้วยสิ”

มายด์พยายามพูดเพื่อดึงสติของไอ้เต้ยคืนมา แต่ดูเจ้าตัวยังไม่คิดจะรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น

“จะให้ใจเย็นได้ยังไงวะ เราขึ้นเป็นหัวหน้าชมรมแทนพี่สาธิต ถ้าเราคุมคน คุมชมรมบ่ได้ ทำให้เกิดผลกระทบกับงาน เรายอมบ่ได้ว่ะ”

“ก่อนจะไปควบคุมใคร เต้ยต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนสิ อำนาจเขามีไว้เพื่อจัดการกับปัญหา บ่ได้มีไว้ใส่อารมณ์กับปัญหานะ ยังจำตอนที่พี่โตยังเป็นหัวหน้าชมรมได้มั้ย เวลาเกิดปัญหาอะไรร้ายแรงขึ้น พี่เขาจะพยายามหาทางเพื่อแก้ปัญหานั้นให้ผ่านไปได้ด้วยดีแทนที่จะใส่อารมณ์นะ”

มายด์พยายามยกพี่สาธิตซึ่งเป็นหัวหน้าชมรมคนเก่าขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งก็ดูจะได้ผลเล็กน้อย ไอ้เต้ยดูมีทีท่าสงบขึ้นมานิดหนึ่ง

จะว่าไปก็จริงอย่างที่มายด์ว่าจริงๆ นั่นล่ะเรื่องพี่สาธิตเนี่ย เพราะเมื่อก่อนตอนที่ผมเข้าชมรมนี้มาใหม่ๆ ผมเองที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เล่นดนตรีก็ไม่ได้ ร้องเพลงก็เสียงเหมือนควายโดนเชือด ที่เข้าชมรมนี้มาเพราะตามคำชวนของไอ้เต้ยเท่านั้นล่ะ เพราะไม่รู้จะไปอยู่ชมรมไหนดี

ตอนนั้นก็เครียดนะ แต่พี่สาธิตกลับไม่ได้มองเช่นนั้น พี่เขาไม่เคยหงุดหงิดหรือลงอารมณ์ใส่ผมเลยสักครั้ง กลับกันพี่เขายังให้กำลังใจผมอีกต่างหากพอคิดแบบนี้แล้วก็คิดถึงพี่สาธิตอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่พี่เขาเข้ามหาลัยไปแล้วก็ไม่ได้เจอกันเท่าไหร่เลยแฮะ

“จะเลือกหัวหน้าชมรมใหม่ก็ได้นะ เราคงเป็นหัวหน้าชมรมที่ดีแบบพี่สาธิตบ่ได้หรอก”

ไอ้เต้ยถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับตัดพ้อก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างๆ มายด์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็หยิบเก้าอี้ของตนไปวางพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ไอ้เต้ยทันทีก่อนจะยกมือขึ้นตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

“มายด์บ่ได้จะพูดตัดกำลังใจเต้ยนะ ไม่มีใครทำถูกตั้งแต่ครั้งแรกหรอก แต่แค่อยากให้ใช้สติให้มากกว่านี้ ยังไงเราก็ชมรมเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันสิ พวกเราเองก็บ่ได้คิดอยากจะได้หัวหน้าชมรมคนใหม่หรอก แต่ที่พวกเราอยากได้คือหัวหน้าชมรมที่ใจเย็นและมีเหตุผลมากกว่านี้ ซึ่งพวกเราทุกคนก็จะพยายามช่วยส่งเสริมและผลักดันเต้ยนะ จริงมั้ย”

มายด์หันมาถามพวกเราที่เหลืออยู่ ทุกคนรวมถึงผมต่างพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ ไอ้เต้ยเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ดูมีท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ มือกลองมาลาออกกะทันหันแบบนี้ นี่ก็ยิ่งจะใกล้งานที่รับเอาไว้แล้วด้วย”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ทุกคนต่างนิ่งเงียบคงเพราะยังนึกอะไรกันไม่ออกส่วนหนึ่งอาจจะด้วยเพิ่งผ่านเหตุระทึกขวัญมาก็เป็นไปได้

ในขณะที่ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ผมเองก็พยายามครุ่นคิดว่าพอจะมีสิ่งใดที่ตัวผมเองสามารถทำได้บ้างในเวลานี้

มันต้องมีสักอย่างหนึ่งสิ

“เฮ้ย เดี๋ยวกูมานะ”

ผมรีบเอ่ยพร้อมกับวิ่งออกจากห้องชมรมไปด้วยความรวดเร็ว โดยปล่อยให้คนเหลือในห้องงุนงงกับการกระทำของผม

ทันทีที่ผมเดินออกมาจากห้องชมรม ผมก็หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมพยายามมองซ้ายขวา ใช่ครับ สิ่งที่ผมกำลังพยายามทำอยู่ในตอนนี้คือการตามหาตัวไอ้น้องพละนั่นเองครับ ผมกดโทรออกไปยังเบอร์ของอีกฝ่าย ซึ่งก็เหมือนเดิมนั่นคือสัญญาณติดแต่ไม่มีคนรับสาย แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ยังคงพยายามที่จะติดต่อให้ได้จึงกระหน่ำโทรเข้าหาเบอร์นั้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับกวาดสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะยังไปไหนไม่ไกลมากนัก

สิ่งที่ผมพอจะทำได้ สิ่งที่ผมพอจะทำได้ สิ่งที่ผมพอจะทำได้

“ฮัลโหล ใครวะ โทรมาทำเหี้ยอะหยังนักหนาวะ”

สำเร็จ ในที่สุดอีกฝ่ายก็กดรับเสียทีหลังจากที่ผมพยายามโทรเข้าหาไปมากกว่าสิบครั้ง

“พละ นี่กูเองนะ นันท์น่ะ อย่าเพิ่งวางสายนะ”

“โทรมาอะหยังอะพี่ ถ้าจะโทรมาเพื่อด่าผมอีก ก็บ่ต้องเน่อ”

อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเมื่อรู้ว่าเป็นผมพร้อมตัดพ้อกลับมาเล็กน้อย

“บ่ๆ กูบ่ได้จะโทรมาด่าอะหยังหรอก แต่ตอนนี้มึงอยู่ไหนวะ บอกได้มั้ย”

“พี่จะอยากรู้ไปเพื่ออะหยังอะ”

โอ้ยยย ตอบๆ มาเถอะไอ้น้อง อย่าลีลาให้มากนักสิวะ

“เอาน่ะ พอดีพี่อยากจะคุยอะหยังด้วยนิดหน่อยน่ะ นะ ขอร้องล่ะ”

ผมพยายามจะใจเย็นให้ได้มากที่สุด

“......”

“......”

ทั้งผมและไอ้น้องพละต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ใจของผมในตอนนี้นั้นภาวนาเหลือเกินหวังให้อีกฝ่ายใจอ่อน

“อยู่ที่ลานจอดมอไซต์อะพี่”

เยส สำเร็จ ผมจะต้องทำภาระกิจนี้ให้สำเร็จให้จงได้




จบคาบเรียนที่แปด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด