พิมพ์หน้านี้ - Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 03-10-2018 01:42:44

หัวข้อ: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 03-10-2018 01:42:44
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 1 จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 03-10-2018 02:01:20
สวัสดีครับ ทุกท่านที่หลงกดเข้ามาอ่าน ฮ่าฮ่าฮ่า
ขอฝากนิยายเรื่องนี้เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ
เป็นนิยายแนว Comedy Romantic มัธยมใสๆ (คิดว่านะ เอิ๊กๆ)
หากอ่านแล้วชื่นชอบก็รบกวนกดเก็บไว้เป็นเรื่องโปรดด้วยนะครับ

และหากชื่นชอบมากกว่านั้น ก็รบกวนกดไลค์สับตะไคร้ได้ที่

เพจ จิ๊บคุง (https://www.facebook.com/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%87-1599889170117148/?view_public_for=1599889170117148)

(http://i346.photobucket.com/albums/p426/jibjr001/50_zps1zevsidx.jpg)


*หมายเหตุ*

- นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่ง (ถึงแม้บางเหตุการณ์จะมีแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้น)

- ตัวละครในเรื่องเป็นบุคคลสมมติขึ้นเท่านั้น ไม่มีตัวตนอยู่จริง

- สถานที่ในเรื่อง บางสถานที่มีอยู่จริง และบางสถานที่เป็นสถานที่สมมติขึ้นมา

- *สำคัญ* ภาษาที่ตัวละครใช้ในเรื่อง จะเป็นการผสมผสานระหว่างคำเมือง(ภาษาเหนือ) และภาษากลาง เนื่องจากต้องการให้ได้บรรยากาศของความเป็นเชียงใหม่ แต่กระนั้นก็ยังต้องเขียนเพื่อให้ผู้อ่านทุกภาคสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้โดยไม่งุนงงไปเสียก่อน หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ



(http://i346.photobucket.com/albums/p426/jibjr001/127550810_zpsumjj87jc.jpg)

ยังจะรอความรักให้ผ่านเข้ามา
ยังจะตามค้นหาครึ่งหนึ่งที่หล่นหาย แม้ไม่รู้ว่าเป็นใคร
เก็บความรักรอให้เธอผ่านมา
ใครคนนั้น - Bedroom Audio

"ถ้าหินก้อนแรกเป็นผม แล้วหินก้อนที่สองนี่ล่ะครับ เป็นใคร"


ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาอย่างมีความสุขในช่วงเวลายามเย็นของเมืองเชียงใหม่ เมืองที่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งติดอันดับต้นๆ ของภาคเหนือ เมืองที่ผสมสานระหว่างวัฒนธรรมของยุคสมัยเก่าและความเจริญของยุคสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
แต่หากจะมีสิ่งใดที่ผิดแผกแปลกแยกไปจากรอบข้าง สิ่งนั้นก็คงจะเป็นผมคนนี้นี่ล่ะ
นั่นเป็นเพราะผมในตอนนี้นั้นกำลังยืนร้องไห้อย่างที่ไม่เคยเป็นและไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
หากจะถามว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มต้นจากตรงไหนแล้วล่ะก็ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้

“นันท์ ถ้าผลการเรียนของเราเทอมนี้โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่แย่เอามากๆ ยังบ่ดีขึ้น แม่จะส่งเราไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ นะ”
จุดเริ่มต้น มันก็น่าจะเริ่มมาจากคำพูดนั้นของคุณกมลชนกนี่ล่ะ


**********


Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ


**********
สารบัญ

คาบเรียนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3895256#msg3895256)
คาบเรียนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3895696#msg3895696)
คาบเรียนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3896012#msg3896012)
คาบเรียนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3897124#msg3897124)
คาบเรียนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3898457#msg3898457)
คาบเรียนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3899396#msg3899396)
คาบเรียนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3899957#msg3899957)
คาบเรียนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3901121#msg3901121)
คาบเรียนที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3901922#msg3901922)
คาบเรียนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3902930#msg3902930)
คาบเรียนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3903585#msg3903585)
คาบเรียนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3904700#msg3904700)
คาบเรียนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3906885#msg3906885)
คาบเรียนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3906897#msg3906897)
คาบเรียนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3907934#msg3907934)
คาบเรียนที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3908869#msg3908869)
คาบเรียนที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3912668#msg3912668)
คาบเรียนที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3915803#msg3915803)
คาบเรียนที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3917651#msg3917651)
คาบเรียนที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3918662#msg3918662)
คาบเรียนที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3920032#msg3920032)
คาบเรียนที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3922048#msg3922048)
คาบเรียนที่ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3925158#msg3925158)
คาบเรียนที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3928169#msg3928169)
คาบเรียนที่ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3930880#msg3930880)
คาบเรียนที่ 26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3931713#msg3931713)
คาบเรียนที่ 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3935576#msg3935576)
คาบเรียนที่ 28 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3937971#msg3937971)
คาบเรียนที่ 29 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3940982#msg3940982)
คาบเรียนที่ 30 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3942535#msg3942535)
คาบเรียนที่ 31 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3945805#msg3945805)
คาบเรียนที่ 32 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3950924#msg3950924)
คาบเรียนที่ 33 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3953169#msg3953169)
คาบเรียนที่ 34 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3957868#msg3957868)
คาบเรียนที่ 35 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3960956#msg3960956)
คาบเรียนที่ 36 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3972808#msg3972808)

จบภาคแรก

คาบเรียนพิเศษที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg3995752#msg3995752)
คาบเรียนพิเศษที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68570.msg4011643#msg4011643)

สามารถโดเนทเพื่อเป็นกำลังใจได้นะครับ
(http://image.free.in.th/v/2013/ik/211219085746.jpg)


คาบเรียนที่หนึ่ง

“ห๊ะ! เมื่อกี้แม่ว่าอะหยังนะ”
ผมหันไปถามคุณกมลชนกซึ่งเป็นแม่ของผมที่ตอนนี้กำลังทำอาหารเช้าให้ผมอยู่ ก่อนที่จะหันกลับมามองหานมถั่วเหลืองของโปรดในตู้เย็นต่ออย่างสบายอารมณ์ โดยที่ยังไม่ได้รู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะคืบคลานเข้ามาเลยสักนิด

“ก็ตามที่พูดไปเมื่อกี้นั่นล่ะ ผลการเรียนของเราอยู่ในขั้นวิกฤตมากเลยนะรู้ตัวมั่งมั้ย”
“แล้วอะหยังต้องให้ไปอยู่กับพ่อด้วยล่ะ”

ผมถามย้ำกลับไปอีกรอบด้วยความสงสัยพลางดูดนมกล่องเพื่อรองท้องในขณะที่รอคุณกมลชนกทำอาหารเช้าเสร็จ คุณกมลชนกหันมองหน้าผมด้วยสายตาที่ดูเย็นชาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไป

“ก็เพราะแม่รู้ยังไงล่ะว่าเราบ่อยากไปอยู่กับพ่อ”
อึก!
น้ำเสียงของคุณกมลชนกที่ฟังดูจริงจังนั้นทำเอาผมถึงกับหน้าถอดสีเลยทีเดียว

“นี่แม่กำลังอำหนูเล่นอยู่ใช่มั้ยเนี่ย”
ผมถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ ถึงแม้ในใจตอนนี้จะเริ่มรู้สึกไม่ดีเอาเสียแล้ว
อนึ่ง คำว่าหนูในที่นี้คือสรรพนามที่ผมใช้เรียกแทนตัวเองเวลาคุยกับคุณกมลชนกน่ะครับ แต่อย่าเพิ่งหัวเราะกันนะ เพราะตอนนี้ผมกำลังเครียดและจริงจังอยู่ เพราะฉะนั้นโปรดเก็บอาการกันเอาไว้ด้วย

“ก็ดูผลสอบเทอมนี้ก็แล้วกัน จะได้รู้ว่าแม่พูดเล่นหรือพูดจริง”
คุณกมลชนกตอบกลับมาโดยไม่คิดที่จะหันมามองหน้าผมเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งหากจะขอสามคำให้กับสถานการณ์ ณ ตอนนี้แล้วล่ะก็

เหี้ย แล้ว กู

น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผมในตอนนี้แล้วล่ะ


“เฮ้ย ไอ้นันท์ เป็นเหี้ยอะหยังของมึงวะ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างกับกอลลั่มโดนข่มขืมเลยว่ะ”
เสียงของไอ้เต้ยเอ่ยแซวขึ้นทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยท่าทีที่ชวนหดหู่

“กอลลั่มบ้านเตี่ยมึงสิจะหล่อเหลาเหมือนกัปตันอเมริกาแบบนี้”
ไอ้เต้ยทำท่าถุยน้ำลายทันทีที่ได้ยินผมตอบกลับไปเช่นนั้น ผมวางกระเป๋าสะพายลงข้างโต๊ะนักเรียนของตัวเองด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสดชื่นเท่าไหร่นักก่อนที่จะลากเก้าอี้มานั่งร่วมกลุ่มกับเพื่อน

“ก็แม่กูอะดิ จะส่งกูไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ ถ้าผลการเรียนของกูเทอมนี้ยังบ่ดีขึ้น โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่กูโคตรจะเกลียดที่สุดด้วยเนี่ย”
“อ้าว แล้วบ่ดียังไงวะ มึงจะได้ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เมืองทันสมัยมีรถไฟฟ้าวิ่งฉิว แถมสาวๆ ที่นั่นยังเด็ดอีกด้วยนะเว้ย”
ไอยีสต์เอ่ยแทรกขึ้นมาในขณะที่สายตาและมือของเจ้าตัวกำลังจดจ่อสมาธิอยู่กับการลอกการบ้านอยู่

“บ่เอา กูบ่อยากไป กูยังอยากอยู่ที่นี่ อีกอย่างเรื่องพ่อกูพวกมึงก็น่าจะรู้กันดีนี่หว่า”
ทั้งไอ้เต้ยและไอ้ยีสต์ต่างก็มองหน้ากันพร้อมขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

คืออย่างนี้ครับ พ่อแม่ของผมเขาหย่ากันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ส่วนสาเหตุที่ทำให้หย่ากันนั้นผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันและก็ไม่อยากจะถามด้วย เพราะคิดว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขาดีกว่า เขาก็คงมีเหตุผลของเขานั่นล่ะ แต่เราก็ยังติดต่อสื่อสารกันอยู่เสมอ นานๆ ทีผมก็ไปเยี่ยมเยือนหาท่านที่กรุงเทพฯ บ้างถ้ามีโอกาส

ย้ำนะครับว่า ‘นานๆ ที’

ถามว่าผมรังเกียจอย่างนั้นเหรอ อย่าใช้คำว่ารังเกียจเลยครับ เพราะอย่างไรท่านก็เป็นพ่อของผม ให้เปลี่ยนไปใช้คำว่า “เกรงกลัว” น่าจะเป็นคำที่ถูกต้องมากกว่า เพราะพ่อของผมท่านเป็นคนเจ้าระเบียบสุดๆ เข้มงวดไปเสียทุกเรื่อง ซึ่งก็ไม่ถูกกับโรค ‘ไร้ระเบียบ’ อย่างผมเอามากๆ

“จะยากอะไรกันล่ะครับ คุณเพื่อนนันท์ ก็แค่ตั้งใจเรียนให้มากขึ้นกว่าเดิมสิครับ”
คราวนี้เป็นเสียงของไอ้โอ๊ตเอ่ยแนะนำขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้าเล่นเกมในมือถือของตัวเองต่อ

“สัส ถ้าพูดง่ายทำง่ายก็ดีน่ะสิ กูจะได้บ่ต้องมานั่งเครียดอยู่แบบนี้ พวกมึงก็น่าจะรู้ถึงระดับมันสมองของกูดีนี่ว่ามันเลวร้ายขนาดไหน”
ผมพูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

“นี่กูสมควรจะยกย่องมึงดีมั้ย ที่มึงกล้าอวดความโง่ของตัวเองต่อหน้าคนอื่นได้แบบหน้าบ่อายเนี่ย”
ไอ้เต้ยพูดด้วยน้ำเสียงอึ้งปนประชด ในขณะที่ไอ้ยีสต์กับไอ้โอ๊ตต่างก็พยักหน้าให้กับคำพูดของไอ้เต้ยโดยไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมแม้แต่น้อย

“เฮ้ย พวกมึงช่วยติวให้กูทีสิ”
ผมเอ่ยขอร้องเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ซึ่งทันทีที่ทั้งสามได้ยินเช่นนั้นต่างก็มองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะหัวเราะหึหึในลำคอเบาๆ แล้วจึงส่ายหัวเป็นคำตอบกลับมาให้ผม

“ไอ้นันท์ นี่มึงโง่หรือมึงง่าวกันแน่วะ ถึงเกรดของพวกกูจะบ่ได้น่าเป็นห่วงอย่างมึง แต่ก็บ่ได้ฉลาดขนาดที่จะไปสอนใครได้นะ”
ไอ้เต้ยพยายามอธิบายให้ผมเข้าใจพลางยืดแขนบิดขี้เกียจไปด้วย

“แค่พวกกูเอาตัวเองให้รอดในการสอบแต่ละครั้ง พวกกูก็แทบจะตายห่าอยู่แล้ว”
ไอ้ยีสต์เอ่ยสมทบขึ้นมาก่อนที่จะปิดสมุดการบ้านของตัวเองลง เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมจึงหันไปหาไอ้โอ๊ต ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของผมทันที เพราะหมอนี่ถือได้ว่าฉลาดที่สุดเท่าที่จะฉลาดได้ในกลุ่มของพวกผมแล้วล่ะ

“ไอ้โอ๊ต มึง...”
“หยุดเลยครับคุณเพื่อนนันท์”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดให้จบประโยค ไอ้โอ๊ตก็รีบยกมือเป็นปางห้ามญาติใส่ผมทันทีด้วยความรวดเร็วพร้อมกับกดหยุดเกมเอาไว้ชั่วคราว แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ตอนนี้กำลังทำหน้าอ้อนวอนอยู่

“ให้ผมสอนลิงเล่นเฟซบุ๊กได้ ยังจะมีความเป็นไปได้มากกว่าสอนคุณเพื่อนนันท์ให้ฉลาดอีกนะครับ”
ไอ้ยีสต์กับไอ้เต้ยปล่อยหัวเราะก๊ากทันทีที่ได้ยินไอ้โอ๊ตพูดเช่นนั้น
นี่มึงกำลังหลอกด่าว่ากูโง่กว่าลิงอย่างนั้นเหรอวะไอ้เหี้ยโอ๊ต

“ขอบใจมึงมาก ที่พูดตรงๆ กับกูนะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
“กูประชด!”
“อันนั้นผมก็ทราบดีครับ”
ไอ้โอ๊ตตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนที่จะก้มหน้าเล่นเกมต่อ

ในขณะที่ผมกำลังทำสีหน้าเครียดและครุ่นคิดกับอนาคตของตัวเอง ไอ้เต้ยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับตบบ่าของผมเบาๆ
“คิดมากน่ะมึง ยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน ค่อยเป็นค่อยไปเหอะ ทุกปัญหามันมีทางออกอยู่เสมอ ไปเหอะ จะถึงเวลาเข้าแถวแล้วด้วย”
ทันทีที่ไอ้เต้ยพูดจบ ทั้งไอ้ยีสต์และไอ้โอ๊ตต่างก็ตบบ่าของผมเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินตามไอ้เต้ยออกไป โดยที่ผมยังคงนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

“......”

จริงด้วย เดี๋ยวอะไรๆ มันก็ดีขึ้นเองนั่นล่ะ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงลุกขึ้นเดินตามออกไปอย่างสบายอารมณ์
นี่กูเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือกูกำลังหลอกตัวเองกันแน่วะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 1 จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 03-10-2018 02:04:18
เย็นวันนั้น
“เฮ้ยๆ พวกมึงรีบกลับกันรึเปล่าวะ”
ไอ้ยีสต์เอ่ยถามพวกผมที่กำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋ากันอยู่

“ก็ว่างอยู่นะ บ่ต้องไปชมรม แล้วก็บ่ได้มีธุระอะหยังต่อด้วย”
ไอ้เต้ยตอบกลับไปก่อนที่จะหันไปมองไอ้โอ๊ตที่ก็พยักหน้าเป็นคำตอบกลับมาแล้วจึงหันมามองทางผม

“ไอ้นันท์ มึงล่ะว่างมั้ย”
“ก็ว่างอยู่นะ แม่กูไปช่วยยายขายของที่ปาย กว่าจะกลับมาก็มะรืนนู่น”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับสะพายกระเป๋านักเรียนไว้กลางหลัง
ว่าแต่ไอ้ยีสต์มันถามทำไมวะ เอ หรือว่า

“พวกมึงจะติวหนังสือให้กูเหรอ”

“ถุย บ่ติวเว้ย กูนัดสาวห้องห้าเอาไว้ว่ะ น้องหญิงที่ขาวๆ ตัวเล็กๆ น่ะ ว่าจะไปร้องคาราโอเกะกันที่ห้างเมญ่า เห็นว่าจะพาพวกเพื่อนๆ ไปด้วย ขอบอกเลยว่าสวยๆ น่ารักๆ ทั้งนั้น”
ไอ้ยีสต์พูดพร้อมกับทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็เป็นปกติตามนิสัยหื่นกามของมันอยู่แล้วล่ะครับ ในขณะที่คนอื่นๆ กลับมีสีหน้านิ่งเฉยกับสิ่งที่ไอ้ยีสต์พยายามนำเสนอ

“ไปเหอะๆ ไปเหอะนะ โดยเฉพาะมึงไอเต้ย พวกสาวๆ เขาเรียกร้องมาว่ามึงต้องไปด้วยให้ได้ ถ้ามึงบ่ไป พวกสาวๆ เขาก็บ่ไป”
“อ้าว เกี่ยวเหี้ยอะหยังกับกูเนี่ย”
“แหม ทำเป็นใสซื่อนะครับ คุณเพื่อนเต้ย”

ไอ้โอ๊ตแขวะใส่พร้อมกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ซึ่งก็พอจะเข้าใจนะครับว่าทำไมเหล่าสาวๆ ถึงได้เรียกร้องมาแบบนั้น นั่นก็เพราะว่าไอ้เต้ยจัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ผิวขาวเนียน รูปร่างสมส่วน ความสูงกำลังดี ที่สำคัญมันยังเป็นลูกคุณหนูมีดีกรีเป็นถึงลูกชายคนโตของเจ้าของธุรกิจใหญ่ที่มีกิจการหลากหลายทั่วภาคเหนืออีกด้วย เรียกได้ว่าหาผู้ชายที่สมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

สมบูรณ์แบบจนบางทีกูเองก็รู้สึกหมั่นไส้มึงอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

“เออๆ ไปก็ได้วะ”
“เยส!”
ไอ้ยีสต์ฉีกยิ้มกำหมัดชกลมด้วยความดีใจทันที


นี่ล่ะครับกลุ่มของพวกผม ซึ่งผมก็ขออนุญาตแนะนำตัวสักหน่อย กลุ่มของผมมีกันอยู่สี่คน ประกอบไปด้วยพระเอกของเรื่องซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นผมคนนี้ ผมชื่อนันทการ หรือจะเรียกง่ายๆ ว่านันท์ซึ่งเป็นชื่อเล่นของผมก็ได้ ส่วนพวกตัวประกอบข้างทางที่เหลือก็มี ไอ้ยีสต์จอมลามก ซึ่งที่มาของชื่อเล่นมันก็มาจากการที่มันเป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของกิจการร้านขนมปังที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของเชียงใหม่นั่นล่ะครับ ไอ้เต้ยรูปหล่อพ่อรวยจนน่าหมั่นไส้อย่างที่ได้อธิบายไปเมื่อครู่ และไอ้โอ๊ตเนิร์ดบ้าเกม บ้ามากๆ ว่างเป็นเล่น ว่างเป็นเข้าเกม แต่เสือกเรียนเก่งที่สุดในกลุ่มของเราได้ยังไงก็ไม่รู้

พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่ชั้น ม.หนึ่ง ซึ่งตอนนี้พวกเราเองก็อยู่ชั้น ม.ห้ากันแล้ว ก็นับว่านานพอสมควร นานจนรู้สันดานกันหมดแล้วก็ว่าได้ ฮ่าฮ่าฮ่า กิจวัตรในแต่ละวันของพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ โดยทุกๆ วันจันทร์ที่ไม่ต้องไปชมรม พวกเราตกลงกันว่าหากไม่รีบกลับก็จะไปหากิจกรรมอะไรทำร่วมกัน ก็อย่างเช่นไปร้องเพลงด้วยกันบ้าง ดูหนังที่ห้าง ไม่ก็เล่นบาสฯ กัน ซึ่งก็แน่นอนครับว่าการที่พวกเราสามารถทำกิจกรรมพวกนี้ร่วมกันได้นั่นก็เพราะพวกเราทั้งสี่นั้นโสดยกกลุ่มครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
ไอ้เต้ยมันเฉยๆ ครับกับเรื่องแฟน มันบอกว่า “ผู้หญิงทั่วไปไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด” ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าระดับลูกคุณหนูโปรไฟล์ดีแบบนั้นก็ต้องมาตรฐานสูงเป็นธรรมดา ไอ้โอ๊ตเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเรื่องแฟนเหมือนกัน มันเคยพูดเอาไว้ว่า “โลกที่ไม่มีผู้หญิง ยังไม่ถือว่าเป็นหายนะเท่ากับโลกที่ไม่มีเกมให้เล่นและการ์ตูนให้อ่าน” ซึ่งผมเองพอได้ฟังเช่นนั้น ก็ไม่คิดจะถามอะไรมันต่ออีกเลย

ส่วนตัวผมงั้นเหรอ จะว่ายังไงดีล่ะ ผมยังไงก็ได้มากกว่ามั้ง หรือจะเรียกว่าไม่ได้สนใจเหมือนกับไอ้เต้ยและไอ้โอ๊ตก็ว่าได้ เหมือนผมยังคงสนุกสนานกับการได้อยู่ร่วมกับเพื่อนฝูงมากกว่า ก็เลยไม่ได้คิดสนใจเรื่องตรงนั้นมากนัก

“......”

เอ่อ ที่พูดไปเมื่อกี๊นี้โกหกล้วนๆ ครับ

จริงๆ ก็อยากมีเหมือนคนอื่นเขานั่นล่ะ แต่ด้วยหน้าตาที่ก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไรมากนัก ออกจะธรรมดาๆ หาได้ทั่วไปเหมือนปลาทูในเข่งที่หาซื้อได้ง่ายๆ ตามท้องตลาด แถมนอกจากจะไม่ได้หล่อแล้ว ยังจะเสือกมีสิวอีกต่างหาก ถึงแม้จะไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อตอนชั้นมัธยมต้นแล้วก็ตามทีเถอะ แต่หากเทียบกับไอ้เต้ยและไอ้ยีสต์ ก็คงจะบอกได้เต็มคำเลยว่าผมนั้นดับอนาถจริงๆ นั่นล่ะ

แต่ถึงผมอยากจะมีแฟนมากแค่ไหนก็ตาม ยังไงก็คงจะสู้ไอ้ยีสต์ไม่ได้หรอก ที่รายนี้ดูจะกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะมีแฟนให้ได้เสียเหลือเกิน ก็เลยเป็นที่มาของการมีทติ้งกับพวกสาวๆ อยู่บ่อยครั้ง โดยมันให้เหตุผลว่า “ชีวิตวัยรุ่นมันสั้น ต้องเก็บความทรงจำให้คุ้ม” ก็เอาที่มึงสบายใจเลยแล้วกันนะ แต่ด้วยนิสัยที่ดูล้นๆ จนออกนอกหน้าของไอ้ยีสต์นี่ล่ะ เลยทำให้มันยังไม่มีแฟนกับเขาสักที


และมีทติ้งคราวนี้ก็เช่นเดียวกันกับคราวที่ผ่านๆ มา ไอ้ยีสต์พยายามเข้าหาสาวๆ ทั้งหลาย แต่ก็ดูเหมือนสาวๆ จะไม่ค่อยอยากจะเล่นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะพวกเธอให้ความสนใจไปที่ไอ้เต้ยเสียมากกว่า ส่วนไอ้โอ๊ตนั้นไม่ต้องไปพูดถึงมันครับ ไอ้ห่านี่มันเปิดโหมดโลกส่วนตัวไปกับเกมในมือถือของมันเรียบร้อยแล้ว ผมจึงปลีกตัวออกมาเงียบๆ ก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อเคลียร์ทุกข์หนักของชีวิตที่กำลังถาโถมมาอย่างรุนแรง

อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรกับมีทติ้งพวกนี้นักหรอก จะว่าไปมันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่งนะ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกชอบเวลาที่มีแต่พวกเรามากกว่ายังไงก็ไม่รู้แฮะ คงเพราะไม่ต้องมาคอยเกร็ง ไม่ต้องมาคอยเกรงอกเกรงใจ หรือเอาอกเอาใจคนอื่น โดยเฉพาะกับพวกผู้หญิงด้วยแล้วเนี่ย ถือว่าเป็นอะไรที่ผมค่อนข้างจะแพ้ทางจริงๆ เพราะบ่อยครั้งก็เดาอารมณ์และความต้องการของพวกเธอไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ค่อยกล้าเข้าหาพวกผู้หญิงเท่าไหร่นัก

อืม... กูว่า กูพอจะรู้สาเหตุที่กูยังโสดสนิทมาจนถึงทุกวันนี้แล้วแฮะ


แชะ!
ในขณะที่ผมกำลังนั่งทำธุระหนักอยู่ในห้องน้ำนั่นเอง หูของผมก็เหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเข้า

แชะ! แชะ!
หือ เสียงอะไรวะ

กึก! ซ่า... แชะ! แชะ!
เสียงเหมือนคนกำลังถ่ายรูปอยู่แฮะ

ผมพยายามมองไปรอบๆ ห้องน้ำที่ผมกำลังเข้าอยู่ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าคงไม่มีใครที่ไหนมาแอบถ่ายรูปผมอยู่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ผมก็คงจะนึกสงสารอีกฝ่ายที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ต้องมาเจอกับรูปที่ทำให้ฝันร้ายอย่างผมคนนี้ก็เป็นได้

กึก! ซ่า... แชะ! แชะ! แชะ!
เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่องจนผมในตอนนี้รู้สึกระแวงขึ้นมาพอสมควร จึงรีบจัดการตัวเองแล้วลุกขึ้นใส่กางเกงให้เข้าที่อย่างรวดเร็วพร้อมกับกดชักโครกทันที ก่อนที่จะเปิดประตูห้องน้ำออกไปเพื่อดูให้แน่ใจว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ ทว่าสิ่งที่พบก็มีเพียงความว่างเปล่า ผมจึงพยายามชะเง้อมองดูไปยังห้องน้ำห้องอื่นซึ่งก็พบว่าไม่ใครอยู่ในห้องน้ำเลยสักห้องเช่นเดียวกัน

แล้วเมื่อกี้มันเสียงอะไรวะ
หรือว่า....!!!?

ทันทีที่สมองอันน้อยนิดคิดได้เช่นนั้น ผมก็รีบเดินออกจากห้องน้ำกลับไปยังห้องคาราโอเกะทันทีด้วยความรวดเร็วประหนึ่งว่าตัวเองกำลังเป็นนักวิ่งทีมชาติโอลิมปิก

“เฮ้ย ไอ้นันท์ เป็นเหี้ยอะหยัง หน้าซีดเลยนะมึง แอบไปชักว่าวมาเหรอวะ”
“ชักว่าวบ้านพ่อมึงสิ ไอ้สัสยีสต์ บ่มีอะหยังเว้ย”

ผมรีบปฏิเสธออกไป เพราะรู้ว่าถ้าพูดความจริงออกไปคงไม่แคล้วโดนพวกมันหัวเราะเยาะเย้ยเอาแน่ๆ ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินผมตอบเช่นนั้นก็พยักหน้าแบบงงๆ แต่ก็ดูจะไม่ได้สนใจใคร่รู้อะไรมากนักจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับบรรดาเหล่าสาวๆ ต่อ

หลังจากที่ร้องคาราโอเกะกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น พวกเราก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้งนั่นล่ะครับ ไอ้ยีสต์ก็ยังคงเป็นฝ่ายแห้วเหมือนเดิม ซึ่งก็ต่างจากไอ้เต้ยโดยสิ้นเชิงที่ได้เบอร์โทรจากสาวๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยขอเลยสักนิด ก็ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมเพชไอ้ยีสต์มันดี ส่วนไอ้โอ๊ตน่ะเหรอ ยังไม่ออกมาจากโลกส่วนตัวของมันเลยครับ

ผมยังคงเดินเล่นอยู่ภายในห้างอีกเล็กน้อยก่อนที่จะกลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวห้างเท่าไหร่นัก

กิจวัตรประจำวันของผมเวลาอยู่บ้านก็คงจะเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปนั่นล่ะครับ ช่วยแม่ดูแลและทำความสะอาดบ้านยกเว้นห้องของตัวผมเองที่ปล่อยทิ้งไว้จนรกยิ่งกว่ารังหนู เคลียร์งาน เคลียร์การบ้านที่อาจารย์สั่งเอาไว้ หลังจากนั้นก็ดูทีวี เล่นคอมพ์ฯ เล่นเฟซบุ๊ก ไม่ก็เล่นเกมกับเพื่อนๆ บ้างถ้าเขาชวน

แต่วันนี้พิเศษหน่อย ขอขยันสักนิด ทบทวนวิชาคณิตศาสตร์สักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวคุณกมลชนกจะกริ้ว

ตรึ๊ง!
เสียงข้อความจากเมสเซนเจอร์ดังขึ้นในจังหวะที่ผมกำลังจะหยิบหนังสือออกจากกระเป๋านักเรียน ผมจึงชะโงกหน้าไปดูยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว

Oat Inwศาสตร์: ตีดอทกันมั้ยครับ ตอนนี้ผม คุณเพื่อนเต้ย คุณเพื่อนยีสต์กำลังรออยู่ในเกม
ไอ้สัส กูกำลังจะขยันเสียหน่อย มึงนี่ก็ชวนกูออกนอกลู่นอกทางตลอด ไม่ได้ๆ เพื่อนทักมาอย่างนี้ ต้องสวนกลับไปเสียหน่อยแล้ว

นันทการ: จัดไป กูเข้าเกมแพร๊พ
ผมรีบตอบกลับไปก่อนที่จะกดเข้าเกมทันทีด้วยความรวดเร็ว

อืม กูว่า กูคงได้ถูกส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ แน่ๆ เลยงานนี้ แต่เอาน่ะ เดี๋ยวอะไรๆ มันก็ดีขึ้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 1 จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 03-10-2018 02:09:00
“เฮ้ย วันเสาร์นี้พวกมึงว่างกันมั้ย”
ไอ้ยีสต์เอ่ยถามพวกผมที่กำลังยืนต่อแถวเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวในช่วงพักเที่ยง

“มึงไปนัดใครไว้อีกล่ะ”
ไอ้เต้ยชิงดักคอถามไว้ก่อน จนไอ้ยีสต์ร้อง อุ๊ย ขึ้นมาทันที

“บ่ๆ พอดีพ่อกูได้ตั๋วดูหนังฟรีมาว่ะก็เลยมาชวนพวกมึง หรือพวกมึงจะบ่เอา”
ไอ้ยีสต์พูดพร้อมหยิบคูปองขึ้นมาโบกไหวๆ ก่อนที่จะทำท่าเก็บใส่กระเป๋า

“ของฟรีแบบนี้ใครที่ไหนจะไม่เอาล่ะครับคุณเพื่อนยีสต์”
ไอ้โอ๊ตรีบคว้าเอาไว้ทันทีด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะหันมาทางผม

“ว่าแต่คุณเพื่อนนันท์ล่ะครับ เรื่องติวจะเอายังไง”
ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ

“กูว่ากูคงได้ไปเรียนพิเศษแน่ๆ เลยว่ะ”
“ด้วยสมองขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวอย่างมึงเนี่ยนะ”
ไอ้ยีสต์เอ่ยแซว ผมยกเท้าทำท่าจะถีบมัน แต่ก็ไม่ทัน

“ว่าแต่มึงถามทำไมวะ”
ผมถามกลับไปก่อนที่จะหันไปสั่งก๋วยเตี๋ยวทันทีเมื่อถึงคิวของตัวเอง

“พอดีเมื่อคืนผมแชตคุยกับเพื่อนคนนึงที่ในเฟซบุ๊ก ก็ปรึกษาเรื่องการบ้านนี่ล่ะครับ ก็เลยถือโอกาสเล่าเรื่องของคุณเพื่อนนันท์ให้เขาฟัง เขาเลยอาสาจะติวให้น่ะครับ”

“เฮ้ยจริงดิ แล้วกูต้องจ่ายเท่าไหร่ อะหยังยังไงบ้างวะ”
ผมตะลึงทันทีที่ได้ยินไอ้โอ๊ตพูดเช่นนั้นพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์จ่ายค่าก๋วยเตี๋ยว

“ฟรีครับ”
ผมยิ่งตะลึงตาโตเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำว่า ‘ฟรี’
“เดี๋ยวนะ ทำไมมันใจดีจัง คนแบบนี้ก็มีในโลกด้วยเหรอวะ”
ไอ้เต้ยถามด้วยความสงสัยในขณะที่พวกเรากำลังเดินหาโต๊ะนั่ง

“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ นี่ขนาดผมบอกไปแล้วนะครับว่าคุณเพื่อนนันท์ของพวกเรามีพัฒนาการทางด้านสมองช้ามากๆ”
“ไอ้สัสโอ๊ต ขอบคุณที่ชมกูนะ”

“แต่เขาจะว่างติวให้ได้เฉพาะช่วงหลังเลิกเรียนวันจันทร์ถึงศุกร์เท่านั้น  ซึ่งเป็นช่วงที่เขาใช้ทบทวนการเรียนของเขาน่ะครับ”
“เฮ้ย แค่นั้นก็มากเกินพอสำหรับกูแล้วเว้ย”

“ว่าแต่เพื่อนของมึงคนนี้มันฉลาดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
ไอ้ยีสต์ถามแทรกขึ้นมาในขณะที่ปากของมันเต็มไปด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยว ช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้เป็นยิ่งนัก

“ก็คิดว่าในระดับนึงครับ มีอะไรผมก็ถามเขาได้ตลอด จะติดก็แค่นิสัยนี่ล่ะ ที่ดูจะแปลกๆ ไปบ้าง”
“โลกนี้ยังมีคนแปลกกว่ามึงด้วยเหรอวะ”
ไอ้เต้ยถามติดตลกจนไอ้โอ๊ตถึงกับหรี่ตามอง

“ว่าแต่เริ่มติวได้วันไหนวะ”
ผมถามตัดบทพลางใช้ตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
“วันนี้ก็น่าจะได้นะครับ เพราะเขาก็นั่งทบทวนทุกเย็นที่โรงอาหารนี่ล่ะ”
“โอเค ขอบใจมาก เพื่อนเลิฟ”
เห็นมั้ย บอกแล้วว่าเดี๋ยวอะไรๆ มันก็ดีขึ้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า


ตกเย็นวันนั้นหลังจากเลิกเรียน ผมก็รีบเดินลงจากอาคารเรียนไปยังโรงอาหารทันทีด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะฉุกใจนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เพื่อนไอ้โอ๊ตที่ว่ามันชื่ออะไรวะ
แล้วรูปร่างหน้าตามันเป็นยังไงหว่า

“......”

ไอ้สัส! กูลืมถามไอ้โอ๊ตได้ยังไงวะ ข้อมูลพื้นฐานสำคัญขนาดนี่เนี่ย สงสัยกูคงสมองเท่าเมล็ดถั่วเขียวอย่างที่ไอ้ยีสต์มันว่าเอาไว้จริงๆ แต่เอาวะ ลองหาดูด้วยตัวเองก่อนแล้วกัน พิจารณาจากความน่าจะเป็น อืม... ส่วนมากพวกฉลาดๆ มันจะต้องเป็นแบบที่เคยเห็นในหนังในการ์ตูน บวกกับที่ไอ้โอ๊ตมันบอกว่าแปลกๆ ด้วยแล้วเนี่ย ก็ไม่น่าจะหายากเท่าไหร่นะ (มั้ง)

ผมพยายามมองไปรอบๆ โรงอาหารเพื่อหาบุคคลเป้าหมายที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของไอ้โอ๊ต ก่อนที่จะไปสะดุดตากับคนๆ หนึ่งเข้า ดูจากลักษณะหัวเกรียนถูกต้องตามกฎโรงเรียน ใส่แว่นตาหนาๆ ดูเนิร์ดๆ แปลกๆ ยิ่งกว่าไอ้โอ๊ตอีก ที่สำคัญกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ด้วย ผมว่าต้องใช่แน่ๆ

ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาเป้าหมายทันที ก่อนที่จะลงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยความรวดเร็วจนอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองและยิ้มให้ผมเล็กน้อย ผมจึงยิ้มตอบกลับไปเป็นมารยาท

กูเจอแล้ว ใช่แน่ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า กูนี่ก็ฉลาดกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย

หลังจากที่ยิ้มให้ผม อีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงไปจดจ่อกับการบ้านของตัวเองต่อ ผมจึงตัดสินใจนั่งมองเงียบๆ ไปก่อน ยังไม่อยากรบกวนอะไรมาก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกเกร็งๆ จึงเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมจึงยิ้มให้อีกรอบด้วยความเป็นมิตรให้มากที่สุดเท่าที่คนหน้าตาเถื่อนๆ อย่างผมจะทำได้

“เอ่อ โทษนะ มีธุระอะหยังครับ”
อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพลางขยับแว่นหนาของตัวเองเล็กน้อย ซึ่งก็ดีเลยเพราะผมจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน

“กูชื่อนันท์นะ”
“ครับ แล้วยังไงเหรอ”

“อ้อ ก็ที่ไอ้โอ๊ตบอกว่ามึงเป็นคนอาสาจะติวให้กูยังไงล่ะ”
พอผมพูดออกไปเช่นนั้นอีกฝ่ายถึงกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความสงสัยทันที
“เอ่อ ติว ใครติวให้ใครครับ แล้วโอ๊ตที่ว่านี่คือใคร แล้วนายเป็นใครเหรอครับ”
หลังจากที่อีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนั้น ผมก็รู้ตัวในทันทีเลยว่า

กูคงทักผิดคนแล้วล่ะ
ผมรีบลุกขึ้นขอโทษขอโพยอีกฝ่ายทันทีด้วยความรวดเร็ว ซึ่งก็ดีนะที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไรมากนัก แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกอับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด ผมเดินออกมาแล้วหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะกดโทรหาไอ้โอ๊ตอย่างเร่งด่วน

“สวัสดีครับคุณเพื่อนนันท์ มีอะไรให้รับใช้เหรอครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยรับสายด้วยน้ำเสียงงึมงำเหมือนกำลังเคี้ยวขนมอะไรสักอย่างอยู่ในปาก

“เฮ้ย ไอ้โอ๊ต เพื่อนของมึงที่จะติวให้กูน่ะ มันชื่ออะไรวะ แล้วรูปพรรณสัณฐานล่ะเป็นยังไง”
ผมจู่โจมถามทันที ไอ้โอ๊ตนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ขื่อแบงค์น่ะครับ ส่วนลักษณะก็...”
“ก็...”
“ก็ต่างจากคุณเพื่อนนันท์ยังไงล่ะครับ”
“....”
“....”
ทั้งผมและไอ้โอ๊ตต่างก็นิ่งเงียบไปชั่วจังหวะ

“หมายความว่าไงวะ”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ก็คุณเพื่อนแบงค์เขาดูฉลาด ส่วนคุณเพื่อนนันท์ก็...”
“อ๋อเหรอ ตลกนะมึง”
ผมชิงพูดตัดบททันทีเพราะรู้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ ไอ้เหี้ยนี่ คนยิ่งร้อนใจอยู่ยังจะมาลีลากวนส้นตีนกันอยู่ได้เดี๋ยวปั๊ดตบให้แว่นเบี้ยวเลยมึง

“ล้อเล่นครับ แป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมวางสายโทรหาให้แป๊บ”
ผมตอบตกลงแล้วจึงกดวางสายก่อนที่จะสอดส่ายสายตามองหาบุคคลที่น่าจะใช่ (ยังไม่เข็ดอีกนะมึง) ไม่นานนักไอ้โอ๊ตก็โทรกลับมาหาผม
“ว่าไงไอ้โอ๊ต”
“ตอนนี้คุณเพื่อนนันท์อยู่ที่โรงอาหารแล้วใช่มั้ยครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถาม ผมส่งเสียง อือ ในลำคอกลับไปเป็นคำตอบ

“งันก็...เดินไปหาเสาโรงอาหารต้นไหนก็ได้...”
“หาทำไมวะ”
“อย่าขัดเวลาผมพูดได้มั้ยครับ”
แน่ะ มีขู่ด้วย ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ผมจึงเดินไปยังเสาโรงอาหารต้นที่ใกล้ที่สุดตามที่ไอ้โอ๊ตสั่ง

“แล้วยังไงต่อวะ”
“เอานิ้วโป้งถูเสาไปเรื่อยๆ เลยครับ”
“ห๊ะ!”
ผมงงกับคำพูดของไอ้โอ๊ตจนเผลออุทานออกไป
“สั่งให้ทำก็ทำสิครับ นี่ผมกำลังช่วยคุณเพื่อนนันท์อยู่นะครับเนี่ย หัดสำนึกในบุญคุณของผมเสียมั่ง ถูไปเรื่อยๆ ห้ามหยุด แค่นี้นะครับ”
“เฮ้ย เดี๋ยว!”

ไม่ทันเสียแล้ว ไอ้โอ๊ตตัดสายทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เอายังไงดีวะ ไอ้เหี้ยโอ๊ตเล่นอะไรกูอีกเนี่ย ให้เอานิ้วโป้งถูเสาเนี่ยนะ ผมมองซ้ายมองขวาพร้อมกับคิดลังเลว่าจะทำตามที่ไอ้โอ๊ตมันสั่งดีหรือไม่

เอาวะ! ไหนๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้ว ชีวิตกูคงไม่มีเหี้ยอะไรจะให้เสียแล้วนี่ เอาให้เต็มที่เลยครับพี่น้อง ผมบรรจงเอานิ้วโป้งถูไปยังเสาของโรงอาหารอย่างช้าๆ อยู่ประมาณสองสามนาทีเห็นจะได้ ก่อนที่จะคิดตั้งคำถามกับตัวเองว่าตอนนี้กูกำลังทำเหี้ยอะไรอยู่ ถูหาหวยอย่างนั้นเหรอ หรือกำลังถูเรียกยักษ์ในเสาของโรงอาหารให้ออกมาเพื่อขอพรสามข้อ

หรือแท้จริงแล้วกูกำลังโดนไอ้โอ๊ตแกล้ง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็ยืดตัวขึ้นเลิกเอานิ้วถูเสาทันทีพร้อมกับเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงด้วยอารมณ์หงุดหงิดพอสมควร
ไอ้เหี้ยโอ๊ต ไอ้สัส เดี๋ยวพรุ่งนี้แว่นมึงเบี้ยวแน่ คอยดูเหอะ

ในขณะที่ผมจะเดินออกจากโรงอาหารพลางคิดบ่นให้ไอ้โอ๊ตอยู่ในใจนั่นเอง

“เดี๋ยวครับๆ นั่นใช่นันท์หรือเปล่าครับ”
เสียงทุ้มที่ฟังดูไม่คุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อของผม ผมจึงหันไปมองซึ่งก็ทำเอาผมถึงกับต้องชะงักไปชั่วขณะเมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้น

“ชะ ใช่”
ผมตอบกลับไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก

“ขอโทษที พอดีติดธุระนิดหน่อยที่ชมรมน่ะครับเลยทำให้มาช้า ขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ”
“เอ่อ บ่เป็นหยัง ว่าแต่มึงคือ...”

“ครับ ผมแบงค์เองครับ เพื่อนของโอ๊ตน่ะ”
อีกฝ่ายแนะนำตัวอย่างสุภาพพลางขยับแว่นของตัวเองให้เข้าที่ ทำเอาผมรู้สึกโล่งใจเพราะในที่สุดก็เจอสักที แต่จะว่าไปก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมไอ้โอ๊ตมันถึงได้บอกว่าต่างจากผมนั่นก็เพราะว่า...

“มึงสูงเท่าไหร่น่ะ”
ผมยิงคำถามแรกทันทีด้วยความสงสัย

“เอ่อ ก็ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบสามหรือแปดสิบสี่ราวๆ นี้นี่ล่ะครับ”
“เล่นกีฬาอะหยังบ้างหรือเปล่าวะ อย่างจำพวกบาสฯ พวกนี้น่ะ”

“ก็ไม่นะ จะมีก็แค่ในวิชาพละเท่านั้นน่ะครับ”
“นมล่ะ กินเยอะมั้ย”
ผมยังคงยิงคำถามอย่างต่อเนื่อง อีกฝ่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางขยับแว่นหนาบนใบหน้าให้เข้าที่ก่อนที่จะใช้ร่องนิ้วเสยผมของตนขึ้นด้านบน แต่มันก็อยู่ทรงได้ไม่นานนักก็ลู่ตกลงตามแรงโน้มถ่วงจนเกือบจะปิดคิ้วหนาของตัวเองแล้ว

“ก็ปกตินะ กินมั่งไม่กินมั่ง ว่าแต่ทำไมเหรอครับ”
ทันทีที่อีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนั้น ผมก็รู้สึกได้ทันทีเลยว่า ‘พระเจ้าแม่งไม่ยุติธรรมกับกูฉิบหาย’ ทั้งๆ ที่ผมก็กินนมเช้า เที่ยง เย็น ก่อนนอนทุกวัน กีฬาก็พยายามเล่น โดยเฉพาะบาสฯ ที่เขาบอกกันว่าเล่นแล้วจะทำให้ตัวสูง

แต่ทำไมกูถึงยังสูงแค่หนึ่งร้อยหกสิบสี่อยู่วะ สารอาหารที่กูกินเข้าไป ไม่ได้ช่วยให้กูสูงขึ้นเลยหรือไงวะเนี่ย

อ๊ะๆ หากอ่านมาถึงตรงนี้ ทุกท่านคงกำลังคิดว่าผม ‘เตี้ย’ จนไม่น่าให้อภัยกันอยู่ใช่มั้ยล่ะครับ หากใช่ ก็ขอความกรุณาเปลี่ยนความคิดนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิดแล้วเรียกผมว่า ‘เตี้ย’ เด็ดขาด

ผมไม่ได้เตี้ยครับ แต่แค่อยู่ในโหมด ‘ขนาดพกพาสะดวก’ เฉยๆ เท่านั้น โปรดเข้าใจตรงกันด้วยนะครับ

“ว่าแต่มึงรู้ได้ยังไงว่ากูคือนันท์”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับใช้นิ้วชี้เกาจมูกของตัวเองเบาๆ

“ก็...โอ๊ตเขาบอกว่าให้สังเกตคนที่กำลังเอานิ้วโป้งถูเสาโรงอาหารอยู่ ผมก็เลยคิดว่าน่าจะใช่น่ะครับ”
“......”
ผมอ้าปากค้างตกตะลึงทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนั้น

“นี่มึงยืนดูนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“ก็ราวๆ สองสามนาทีเห็นจะได้น่ะครับ”
เช็ดเขร้ นี่มันดูตั้งแต่กูเริ่มถูเลยหรือเปล่าวะนั่น

“นี่กำลังถูหาหวยอยู่เหรอครับ”
คำถามนั้นทำเอาผมถึงกับรู้สึกอับอายขึ้นมากกว่าเดิม

“สัส บ้านมึงดิ เฮ้ย คือ บ่ใช่นะเว้ย คือ ไอ้เหี้ยโอ๊ตมันบอกน่ะว่า...”
ผมพยายามแก้ตัวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับอมยิ้มหัวเราะออกมาเบาๆ

“ผมล้อเล่นน่ะ นี่คงโดนไอ้โอ๊ตมันแกล้งมาแน่ๆ เลยใช่มั้ยครับ”
อีกฝ่ายพยายามคาดเดา ผมจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าชวนให้ดูน่าสงสารให้มากที่สุดเท่าที่หน้าเถื่อนๆ แบบผมจะทำได้

“ว่าแต่มึงจะติวให้กูจริงๆ เหรอวะ”
ผมถามเข้าประเด็นทันทีเพราะคิดว่าหากขืนยังออกนอกเรื่องไปเรื่อยๆ ผมจะยิ่งอับอายมากขึ้นกว่าเดิม
“ครับ”
“บ่คิดเงินเหรอ”
“ไม่ครับ”

“แล้วต้องมีอะหยังแลกเปลี่ยนมั้ย”
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ อีกฝ่ายขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ก็ไม่นะครับ พอดีผมว่างช่วงเวลานี้อยู่แล้วน่ะ ก็เลยถือว่าการติวให้เป็นการทบทวนความรู้ของตัวผมเองไปด้วยในตัวน่ะครับ ไม่ต้องคิดมาก”
อีกฝ่ายอธิบายกลับมาเช่นนั้น ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับกลับไป เอาน่ะ ของฟรีก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าถามเซ้าซี้ให้มากจะดีกว่า เดี๋ยวเกิดอีกฝ่ายรำคาญยกเลิกการติวขึ้นมากูจะซวยเสียเปล่าๆ

“มาครับ เริ่มติวกันเลยดีมั้ย”
อีกฝ่ายเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มให้ผมก่อนที่จะเดินนำไปยังโต๊ะอาหารตัวที่ว่างอยู่ ผมจึงเดินตามไปอย่างว่านอนสอนง่าย

และการติวให้กับคนสมองเมล็ดถั่วเขียวอย่างผม รวมไปถึงเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เริ่มต้นขึ้น

จบคาบเรียนที่ 1
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 1 จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 03-10-2018 06:28:12
 :man1:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 2 ก้อนหินก้อนนั้น (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-10-2018 00:37:49
   คาบเรียนที่สอง

“ไอ้โอ๊ต มึงซื้อวันพีชเล่มใหม่มารึยังวะ”
ไอ้ยีสต์เอ่ยถามถามขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังวอร์มร่างกายในคาบวิชาพละกันอยู่

“ซื้อมาแล้ว แต่ยังให้คุณเพื่อนยีสต์ยืมไม่ได้นะครับ เพราะผมยังไม่ได้อ่าน และอีกอย่างคุณเพื่อนเต้ยก็จองคิวต่อเอาไว้แล้วด้วยน่ะครับ”
ไอ้โอ๊ตตอบกลับไปพลางถอดแว่นตาของตัวเองออกมาเช็ดคราบสกปรก ไอ้ยีสต์ทำหน้าบูดทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นโดยมีไอ้เต้ยยิ้มหัวเราะเยาะเย้ยใส่

“ว่าแต่วันนี้พวกคุณเพื่อนๆ มีธุระไปไหนกันรึเปล่าครับ”
ไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์มองหน้ากันก่อนที่จะพยักหน้าตอบตกลงกลับไป

“ก็ว่างนะ ว่าแต่จะชวนไปไหนวะ”
“พอดีผมเพิ่งซื้อเกมใหม่มา เลยกะว่าจะชวนไปเล่นที่บ้านของผมน่ะครับ”
ไอ้โอ๊ตตอบกลับไปก่อนที่จะหันมามองด้วยด้วยสีหน้านิ่ง

“แล้วคุณเพื่อนนันท์ล่ะครับ จะไปด้วยมั้ย”
“ช่วงนี้กูขอตัว กูมีนัดติวกับแบงค์เขาว่ะ”
“ไอ้คนที่มึงไปถูเสาโรงอาหารให้เขาดูนั่นใช่ปะวะ”
ไอ้สัสเต้ยมึงรู้ได้ไงวะ สงสัยไอ้เหี้ยโอ๊ตต้องเป็นคนบอกแน่ๆ เลย

“ขยันจริงนะเว้ยช่วงนี้ กลัวโดนส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ยังไงก็อย่าติวเพลินจนลืมเพื่อนฝูงซะล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไอ้ยีสต์หัวเราะแซวผม ผมชำเลืองมองพร้อมกับชูนิ้วกลางใส่มัน

“แล้วเรื่องติวของคุณเพื่อนนันท์เป็นยังไงบ้างแล้วล่ะครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามผมพร้อมกับหยิบลูกบาสขึ้นมาอุ้มเอาไว้ ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปยิ้มแห้งๆ ให้กับคนที่เอ่ยถาม

“กูว่า กูก็ยังบ่เข้าใจเหี้ยอะหยังเหมือนเดิมเลยว่ะ”
ทั้งไอ้โอ๊ต ไอ้ยีสต์และไอ้เต้ยต่างก็ทำหน้าปลงชีวิตขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินผมตอบกลับไปเช่นนั้น
“ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกครับ”
ไอ้โอ๊ตพูดปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงระอาก่อนที่พวกเราทั้งจะเดินไปเข้าแถว

“งั้นยังไงพวกกูไปก่อนนะเว้ย ถ้ามึงติวเสร็จไว ก็ตามมาได้นะเว้ย”
ไอ้เต้ยตะโกนบอกผมที่กำลังจะเดินไปยังโรงอาหาร ผมหันกลับไปพยักหน้าให้เป็นคำตอบแล้วจึงมุ่งไปยังโรงอาหารทันทีด้วยความรวดเร็ว จะว่าไปนี่ก็ผ่านมาได้เกือบๆ อาทิตย์แล้วล่ะมั้ง นับตั้งแต่วันที่แบงค์เริ่มติวหนังสือให้กับผม แต่ดูเหมือนว่าสมองของผมมันจะเป็นสมองเมล็ดถั่วเขียวจริงๆ อย่างที่ไอ้ยีสต์มันว่าเอาไว้

“เวกเตอร์คืออะไรครับ”
แบงค์เปิดคำถามจู่โจมใส่ผมทันทีที่ผมเดินมาถึง ทำเอาผมถึงกับเหวอแดกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

“เอ่อ เวกเตอร์คือ เอ่อ คือ แห่ะๆ”
ผมยิ้มแหยๆ เป็นคำตอบให้กับแบงค์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มให้ผม

“ขอโทษนะ มันจำบ่ได้ว่ะ เอ่อ ใช่ปริมาณที่บ่งบอกเฉพาะขนาดรึเปล่าวะ”
“นั่นมันสเกล่าร์ครับ”

“อ้าวเหรอวะ แห่ะๆ”
ผมหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อนกลับไปก่อนที่จะหยิบหนังสือของตัวเองออกมาจากกระเป๋าสะพาย

“ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยก็ยังถือว่าดีขึ้นกว่าวันแรกๆ ที่ตอบอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”
อันนี้มึงกำลังชมหรือด่ากูวะเนี่ย

แบงค์ยังคงยิ้มให้ผมก่อนที่เราจะเริ่มติวหนังสือโดยที่ไม่แสดงอาการโกรธหรือเบื่อหน่ายอะไรออกมาให้ผมเห็นแม้แต่นิดเดียว จนบางทีผมก็ยังสงสัยนะครับว่าคนใจดีแบบนี้มันมีอยู่ในโลกด้วยเหรอเนี่ย ติวก็ติวให้ฟรี แถมยังไม่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนเลยแม้แต่อย่างเดียว

ใจดีมากเกินไปจนดูน่าสงสัยยังไงก็ไม่รู้ บางทีก็รู้สึกอยากจะถามเหมือนกัน แต่พอคิดอีกที ไม่ถามดีกว่า ของฟรีก็อย่าเรื่องมากให้มากนักเลย


“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะเย็นเกินไปน่ะครับ”
แบงค์พูดพร้อมกับจัดเรียงหนังสือใส่กระเป๋าของตัวเอง ผมเองก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับเก็บหนังสือใส่กระเป๋าสะพายเช่นเดียวกัน

“ขอบใจมึงมากนะที่ช่วยติวให้กู รู้สึกรบกวนยังไงก็บ่รู้เหมือนกันแฮะ”
“คิดมากน่ะครับ ก็บอกแล้วไงว่ายังไงผมก็ว่างช่วงเวลานี้อยู่แล้ว”
แบงค์ยิ้มตอบกลับมาให้ผม ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นสุภาพบุรุษมากๆ เมื่อเทียบกับตัวผมเองเนี่ย

ตรึ๊ง!
เสียงมือถือดังขึ้น ผมรีบล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแต่ปรากฏว่าเสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากเครื่องของผม แต่เป็นเครื่องของอีกฝ่ายหนึ่งแทน แบงค์หยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนที่จะใช้นิ้วโป้งจิ้มลงบนหน้าไปมาอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังพิมพ์สนทนากับใครบางคนอยู่

“ฮั่นแน่ะ! แฟนแชตมาตามตัวแล้วเหรอวะ”
ผมเอ่ยแซวออกไปพร้อมกับทำหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ ฝ่ายที่ถูกแซวเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะเผยยิ้มให้ผมด้วยท่าทีเขินอายนิดๆ

“ครับ พอดีแฟนทักมาบอกว่าให้ไปหาที่หน้าโรงเรียน งั้นเดี๋ยวยังไงผมขอตัวไปก่อนนะครับ โชคดี พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
แบงค์กล่าวคำอำลากับผมก่อนที่จะเร่งฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมยืนนิ่งเงียบอยู่คนเดียว

อืม... สูง เรียนเก่ง ดูเป็นสุภาพบุรุษ ดูมีอนาคตไกล ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีแฟนแล้ว
แล้วกูล่ะ แล้วกูล่ะเฮ้ย เหี้ยเอ้ยยย พระเจ้าแม่งไม่ยุติธรรมจริงๆ ด้วย ฮือๆ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ แอบไปสังเกตแฟนของแบงค์ดูสักหน่อยดีกว่าว่าจะสวยแค่ไหน ฮ่าฮ่าฮ่า งานเผือกขอให้บอกครับ ของถนัด เอิ๊กๆ

ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็รีบเดินตามแบงค์ไปห่างๆ โดยระวังไม่ให้เจ้าตัวสังเกตเห็น


ที่หน้าโรงเรียน

แบงค์เอ่ยทักทายกับเด็กสาวคนหนึ่งที่ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่นักเรียนโรงเรียนเดียวกับพวกผมแน่ๆ สังเกตได้จากสีกระโปรงซึ่งเป็นคนละสีกับสีกระโปรงนักเรียนหญิงของเรา ผมอึ้งไปชั่วขณะเพราะเด็กสาวคนนั้นจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ผมยาวสลวย ผิวขาวใส หน้าตาจิ้มลิ้ม แก้มอมชมพูกำลังดี เธอเด่นมากจนผู้คนรอบข้างต่างหันมามอง

ชีวิตมึงจะเพอร์เฟคไปไหนวะเนี่ย ไอ้เหี้ยแบงค์
อ๊ะ ด่ามันเหี้ยไม่ได้นี่หว่า มันเป็นคนติวหนังสือให้กู ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ งั้นเอาใหม่
ชีวิตมึงจะเพอร์เฟคไปไหนวะเนี่ย ไอ้แบงค์

แบงค์ยกมือของตัวเองขึ้นยีหัวเด็กสาวคนนั้นเบาๆ ทว่าเธอกลับมีทีท่าไม่ค่อยพอใจในการกระทำนั้นของแบงค์เท่าไหร่นัก เธอรีบปัดมือของแบงค์ออกทันทีอย่างรวดเร็วทำเอาแบงค์ถึงกับหน้าถอดสีไปชั่วขณะ ก่อนที่จะรีบกลับมายิ้มให้เธออีกรอบ แต่ก็ไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆ ตอบกลับมาจากเด็กสาวคนดังกล่าว

อะไรของเธอวะ
อย่างที่เคยบอกไป ผมล่ะไม่เข้าใจความคิดของพวกผู้หญิงเลยจริงๆ ให้ตายสิ วู้ววว ปวดหัวๆ ไปบ้านไอ้โอ๊ตเล่นเกมแก้เครียดดีกว่า


เช้าวันถัดมา

“เฮ้ย ไอ้โอ๊ต มึงทำรายงานวิชาภาษาไทยเสร็จรึงยังวะ”
ไอ้ยีสต์เอ่ยถามขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังเดินขึ้นไปยังห้องเรียนหลังจากที่เคารพธงชาติเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ทำเสร็จแล้วครับ แต่! ขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า ไม่!”
ไอ้โอ๊ตชิงพูดดักคอขึ้นมาทันที แต่ไอ้ยีสต์ก็ยังไม่คงลดละความพยายาม

“แล้วมึงล่ะ ทำเสร็จรึยัง”
ไอ้เต้ยหันมาเอ่ยถามผมทันทีเมื่อเจ้าตัวได้ยินบทสนทนานั้น

“ใกล้แล้วว่ะ เหลืออีกนิดหน่อย กูว่าน่าจะเสร็จทันอยู่”
“เฮ้ย งั้นกูขอลอกหน่อยดิวะ”

คราวนี้ไอ้ยีสต์หันมารบเร้าผมแทน ผมหันไปทำสีหน้าสื่อความหมายทำนองว่า ‘มึงแน่ใจแล้วเหรอที่จะลอกกู’ กลับไป ไอ้ยีสต์ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตระหนักได้ว่า ‘ก็จริง’ จึงหันกลับไปอ้อนวอนไอ้โอ๊ตต่อชนิดที่ว่าถ้าก้มลงกราบได้ มันก็คงก้มลงกราบแล้วแน่ๆ

ในช่วงจังหวะนั้นเอง สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นแบงค์กำลังเดินขึ้นมา ผมจึงโบกมือทักทายออกไป แบงค์เองเมื่อเห็นผมก็ยิ้มตอบกลับมาให้ผมก่อนที่เจ้าตัวจะเดินแยกออกไปยังห้องของตัวเอง

“นั่นเหรอวะ คนที่ติวให้มึง”
ผมพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับคำถามของไอ้เต้ย

“ดูต่างกับมึงลิบลับเลยเนอะ”
“หมายความว่ายังไงวะ”
 “ก็ดูมันดิ สูงชิบหาย ส่วนมึงน่ะ ก็เตี้ยโคตรๆ”
ขอบคุณที่ย้ำจุดเด่นของกู ไอ้สัสเต้ย

“อีกอย่างคุณเพื่อนแบงค์เขาดูเป็นคนฉลาด ในขณะที่คุณเพื่อนนันท์ดู...”
ไอ้โอ๊ตพยายามจะเสริมคำพูดของไอ้เต้ย แต่ผมไม่ปล่อยให้มันพูดจนจบประโยคหรอก ผมทำท่าจะกระโดดถีบตูดของมันแต่ก็ไม่ทัน ไวฉิบหายไอ้เหี้ยนี่

แต่จะว่าไป ทำไมผมถึงได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับรอยยิ้มของแบงค์เมื่อกี๊ยังไงก็ไม่รู้แฮะ ดูเผินๆ มันก็เหมือนๆ ยิ้มทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ไม่รู้สิ ความรู้สึกมันกำลังบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติและน่าเป็นห่วง

“เออ จะว่าไป อาทิตย์ที่แล้วอาจารย์มลฤดีแกบอกว่าวันนี้จะมีสอบย่อยวิชาภาษาอังกฤษนี่หว่า”
ไอ้เต้ยทำท่านึกขึ้นได้ ก่อนที่จะหันมาทางผมที่ตอนนี้กำลังหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ก่อนที่จะไปห่วงคนอื่น กูว่าไอ้ที่น่าเป็นห่วงจริงๆ น่ะ น่าจะเป็นอนาคตของกูมากกว่าแล้วแฮะ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 2 ก้อนหินก้อนนั้น (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-10-2018 00:42:42
“เป็นไงมั่งวะ สอบวิชาภาษาอังกฤษเมื่อกี๊”
ไอ้ยีสต์เอ่ยถามผมหลังจากที่จบคาบวิชา ซึ่งก็เป็นคำถามที่ไม่สมควรจะถามเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าสังเกตดูจากสีหน้าของผมในเวลานี้ก็น่าจะได้คำตอบแล้วแท้ๆ

“ถ้าแม่กูรู้เรื่องนี้ กูคงได้ถูกส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ ทันทีโดยบ่ต้องรอให้จบเทอมแน่ๆ เลยว่ะ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงวิตก ทว่าเพื่อนๆ ที่แสนดีทั้งหลายกลับเห็นเป็นเรื่องตลกไปเสียอย่างนั้น

“โชคดีนะมึง อยากแดกอะหยังก็มาเข้าฝันพวกกูแล้วกันนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“กูบ่ได้ไปตายเว้ย”
พูดจบ ผมก็ชูนิ้วกลางใส่ไอ้เต้ยที่กำลังหัวเราะร่วนอย่างชอบใจทันที


หลังจากที่ผมเก็บสัมภาระต่างๆ ใส่กระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ผมก็แยกย้ายกับพวกเพื่อนๆ ทันที เพื่อลงไปหาแบงค์ที่โรงอาหาร แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะมาถึงเร็วเกินไปแฮะ เพราะอีกฝ่ายยังมาไม่ถึงเลย งั้นนั่งรอไปก่อนแล้วกัน จริงสิ วันนี้มีการบ้านวิชาคณิตศาสตร์เลยพอดีนี่หว่า เอาออกมาทำรอแบงค์ไปพลางๆ ดีกว่า

“......”
“......”

นี่มันเหี้ยอะไรกันเนี่ยยย อะเหื้อออ ท่านจอมยุทธ์ช่วยข้าน้อยด้วย ยิ่งทำยิ่งงง ยิ่งชวนให้กระอักเลือดยิ่งนัก เจอแบบนี้ขอตายดีกว่า คร่อกกก อ๊ะ แต่กูยังตายไม่ได้นี่หว่า เพราะยังเล่นเกมที่เพิ่งซื้อมาไม่จบเลย เพราะฉะนั้นสงสัยคงต้องฟื้นกลับขึ้นมาแล้วให้รอแบงค์มาสอนดีกว่า

ผมหยิบมือถือออกมาเล่นไปพลางในขณะที่นั่งรออีกฝ่าย เปิดเฟซบุ๊กเผือกเรื่องชาวบ้านชาวช่องเขาบ้าง เข้าเกมนู้นออกเกมนี้ เปิดเว็บอะไรดูไปเรื่อย จนเวลาล่วงเลยไปเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าติวเตอร์คนเก่งของผมจะโผล่หัวมาเลย ไปไหนของมันวะ หรือว่าจะติดธุระอะไรเร่งด่วนรึเปล่าหว่า จะโทรหาหรือติดต่อก็ไม่ได้ด้วยนี่สิ เพราะยังไม่มีทั้งเบอร์มือถือ เฟซบุ๊กหรือไลน์ของอีกฝ่ายอะไรเลยสักอย่าง

ถ้างั้นก็กลับบ้านดีกว่าแฮะ สงสัยแบงค์คงมีธุระจริงๆ นั่นล่ะเลยมาไม่ได้
ในขณะที่ผมคิดเช่นนั้นและกำลังจะเก็บของใส่กระเป๋าอยู่นั่นเอง

“ขอโทษครับที่มาช้า”
เสียงของแบงค์ก็เอ่ยทักขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความดีใจ แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มทันที

“เป็นอะหยังรึเปล่าวะ ดูสีหน้าเครียดๆ นะ”
ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูไม่เหมือนทุกวันที่ผ่านมา แบงค์เองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็สะดุ้งทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย

“หืม? ผมทำหน้าเครียดอยู่เหรอครับ”
ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมายิ้มให้ผม

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ นี่ก็สายไปมากแล้ว มาติวกันเลยดีกว่า วันนี้เราจะติวกันตรงไหนดีครับ”
แบงค์เอ่ยถาม ผมจึงหยิบสมุดการบ้านขึ้นมา แบงค์เองก็ยังคงติวให้ผมตามปกติ พยายามอธิบายวิธีคิด และให้ผมลองฝึกทำเองเพื่อหาคำตอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้นเถอะ ผมกลับรู้สึกสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ดูผิดปกติไปจากทุกครั้ง เหมือนแบงค์จะดูเงียบๆ ไป ถึงแม้โดยปกติแล้วเจ้าตัวจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอะไรมากอยู่แล้วก็ตามทีเถอะ แต่มันก็ไม่ใช่แบบนี้ ดูเหมือนว่ากำลังมีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของแบงค์อยู่ยังไงก็ไม่รู้แฮะ สังเกตได้จากการที่เจ้าตัวพยายามหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยครั้ง เหมือนกำลังรออะไรหรือใครอยู่

“เฮ้ย มึง ข้อนี้เป็นยังไงบ้าง ถูกมั้ยวะ”
ผมเอ่ยถามพร้อมยื่นสมุดให้แบงค์ดู แต่ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังจะหยิบไปดูนั่นเอง

TRRRRRR
เสียงมือถือของอีกฝ่ายดังขึ้น แบงค์วางสมุดของผมลงบนโต๊ะทันทีก่อนที่จะคว้ามือถือของตนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวหันมามองผมเล็กน้อย ผมพยักเพยิดหน้าเป็นนัยว่า “ตามสบาย” กลับไป แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปทิ้งระยะห่างจากโต๊ะที่ผมนั่งพอสมควร

ถึงแม้ผมจะมีทักษะความเสือกอยู่ในระดับสูงก็ตาม แต่คราวนี้ผมก็รู้ตัวดีว่าไม่สมควรจะเข้าไปแอบฟังอย่างเด็ดขาด สังเกตได้จากท่าทีที่ดูจริงจังและเป็นกังวลของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

แบงค์ใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการคุยโทรศัพท์อยู่กับคู่สนทนาแล้วจึงกดวางสายไป ก่อนที่จะเดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่นัก เจ้าตัวนิ่งเงียบไปพร้อมกับก้มหน้าจ้องมองหน้าจอมือถืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกไป ไม่นานนัก แบงค์ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับหยิบสมุดของผมไปตรวจดูก่อนที่จะส่งมันคืนมาให้ผม

“ถูกต้อง เก่งมากเลยครับ”
แบงค์ตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมกับยิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง แต่ดูก็รู้ว่ารอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่ฝืนๆ ยังไงไม่รู้ ผมรู้สึกลังเลใจว่าจะเอ่ยถามออกไปดีหรือไม่ ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะคิดว่าผมสอดรู้สอดเห็นมากเกินไปหรือเปล่า ถึงแม้ว่าโดยปกติผมจะโดนไอ้พวกเพื่อนๆ ด่าว่าไอ้ขี้เสือกอยู่บ่อยครั้งก็ตามทีเถอะ

แต่ครั้นจะให้นิ่งเงียบปล่อยผ่านไปมันก็...

“มึงกำลังมีปัญหาอะหยังอยู่รึเปล่าวะ”
ผมเอ่ยถามออกไปความน้ำเสียงตะกุกตะกัก แต่สาบานได้เลยว่าผมรู้สึกเป็นห่วงจริงๆ แบงค์เองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปก่อนที่จะหันไปดูมือถืออีกรอบ แล้วจึงหันมายิ้มให้ผมด้วยแววตาที่ดูเศร้า

“พอดีผมเพิ่งโดนแฟนบอกเลิกมาน่ะครับ”
“.....”
“.....”
ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินแบงค์ตอบกลับมาเช่นนั้น ในขณะที่สมองอันน้อยนิดก็กำลังประมวลผลอยู่

“เฮ้ย ได้ไง ก็...เมื่อวานกูยังเห็นมึงยิ้มดีใจอยู่เลยบ่ใช่เหรอวะ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสงสัย โดยที่ไม่ได้บอกถึงเรื่องที่ผมเองแอบตามไปดูจนถึงหน้าประตูโรงเรียน ในขณะที่แบงค์ก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากยิ้มอย่างเดียว

ยิ้มที่ดูเหงาและเศร้ายังไงก็ไม่รู้
ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็มีความรู้สึกอยากจะช่วยจริงๆ แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

“ไป”
ผมเก็บสัมภาระทั้งหมดใส่กระเป๋าสะพายพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แบงค์เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยความสงสัย

“ไปไหนครับ”
“ไปหาที่พักผ่อนหย่อนใจกันยังไงล่ะวะ”
ผมพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไว้กลางหลัง แบงค์ขมวดคิ้วหนานั้นด้วยความงุนงง แต่ผมก็ไม่ลดละความพยายามที่จะคะยั้นคะยอด้วยการฉีกยิ้มกว้างกลับไป จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมลุกขึ้นตามผมมาแต่โดยดี เมื่อไปถึงลานจอดรถจักรยานยนต์ ผมก็ล้วงหยิบกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้แบงค์ทันที เจ้าตัวมองผมด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

“ไปรถกูนี่ล่ะ แต่มึงเป็นคนขี่”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
แบงค์เอ่ยถามพร้อมกับมองกุญแจรถในมือผม

“พอดีมีความหลังฝังใจนิดหน่อย กูก็เลยถือคติบ่ขี่ให้ใครซ้อนท้ายน่ะ อีกอย่างมึงตัวใหญ่ด้วย ถ้าให้มึงซ้อน กูจะทรงตัวลำบาก เออน่ะ มึงขี่น่ะดีแล้ว เดี๋ยวกูเป็นคนบอกทางเอง”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะเขย่ากุญแจรถในมือไปมาจนเกิดเสียงเล็กน้อยตามแรงกระทบ แบงค์อมยิ้มหัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ แล้วจึงรับกุญแจรถนั้นไป ผมขึ้นซ้อนท้ายทันทีที่แบงค์สตาร์ทรถจากนั้นจึงบอกเส้นทางให้แก่อีกฝ่าย

อนึ่ง ความหลังฝังใจที่ว่านั้น คือครั้งหนึ่งผมเคยพาเพื่อนคนหนึ่งซ้อนท้ายแล้วเกิดอุบัติเหตุน่ะครับ ถึงแม้จะไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงอะไรมาก ทั้งผมและเพื่อนคนนั้นแค่ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอกกันเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันก็ถือว่าเป็นความหลังฝังใจอย่างหนึ่ง จนกลายเป็นว่าทุกวันนี้ผมแทบจะไม่กล้าให้ใครมาซ้อนท้ายรถผมเลยถ้าไม่จำเป็น

“ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ”
แบงค์หันมาเอ่ยถามผมทันทีที่หาจอดรถได้

“อ่างแก้วไง มึงบ่รู้จักเหรอวะ”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากผม แบงค์ก็หันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองผม
“อ๋อ เคยได้ยินชื่ออยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่เคยมาสักทีน่ะครับ”
ผมหันไปขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ

 
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/2058062204-member.jpg)
อ่างแก้ว เป็นอ่างกักเก็บน้ำที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อนามว่า มช. มีชื่อมาจากน้ำห้วยแก้วที่ไหลลงมาจากดอยสุเทพ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ และยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่านักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงเวลายามเย็นเช่นนี้แล้วด้วยเนี่ยผู้คนจึงมากันมากเป็นปกติ ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน บ่อยครั้งหากผมไม่รู้จะไปไหนหรือมีเรื่องอะไรไม่สบายใจผมก็มักจะมาที่นี่

“ว่าแต่พาผมมาทำไมหรอครับ”
แบงค์หันมาถามผมที่ตอนนี้กำลังอ้าแขนรับลมยามเย็นอยู่ ผมเองเมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้นก็หันไปยิ้มกว้างให้ทันที

“ก็...บ่มีอะหยังมาก ก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเฉยๆ น่ะ อีกอย่างดูมึงเองก็บ่ค่อยสดชื่นด้วย ก็เลยคิดว่ามันน่าจะพอช่วยอะหยังได้บ้าง หรือมึง...จะคิดว่ากูยุ่งอะหยังบ่เข้าเรื่องหรือเปล่าวะ”

ผมทำหน้าหงอยทันทีที่พูดออกไป แบงค์เองเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของผมก็อมยิ้มพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนที่จะยกฝ่ามือใหญ่ของตัวเองขึ้นมาขยี้หัวของผมเบาๆ แล้วจึงเดินนำหน้าผมออกไป

แบงค์เดินไปตามทางเรื่อยๆ โดยที่มีผมเดินตามหลังก่อนที่เจ้าตัวจะหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อก้มเก็บหินก้อนหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ แล้วเดินไปยังม้านั่งที่ตั้งอยู่ข้างทางเดิน แบงค์วางมันลงตรงมุมของม้านั่งก่อนที่จะนั่งยองๆ ลงข้างม้านั่งโดยที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับหินก้อนนั้น ทำเอาผมถึงกับสงสัยในการกระทำนั้นของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก

ไม่นานนักแบงค์ก็ล้วงหยิบมือถือของตัวเองออกมาปลดล็อกหน้าจอแล้วจึงกดถ่ายรูปหินก้อนนั้น ซึ่งก็ช่วยคลายความสงสัยของผมลงไปได้เยอะ

ผมยืนมองอย่างเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายถ่ายรูปต่อไปเรื่อยๆ จากก้อนหินไปยังดอกไม้ จากดอกไม้ไปยังต้นหญ้า จากต้นหญ้าไปสู่โคมไฟและอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนที่จะนั่งลงข้างทางเดินริมอ่างแก้ว แบงค์มองทอดยาวออกไปยังดอยสุเทพซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่างแก้วพร้อมกับเผยยิ้มเล็กๆ ออกมา แล้วจึงหันมามองผมที่เดินมานั่งลงข้างๆ เจ้าตัว

“ขอบคุณที่พามานะครับ”
เจ้าตัวเอ่ยขอบคุณพร้อมก้มหัวให้ผมเล็กน้อย ผมรีบก้มหัวตอบรับทันทีด้วยความเกรงใจก่อนที่จะหันไปมองยังดอยสุเทพเช่นเดียวกัน

“ทำไมบ่ลองไปง้อดูวะ”
ผมเอ่ยถามขึ้นก่อนที่จะหันไปหาแบงค์ที่ยังคงมองดูดอยสุเทพอยู่ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นของผมก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะหยิบก้อนหินข้างตัวขึ้นมาขว้างไปข้างหน้า

“เคยลองแล้วครับ แต่ไม่ได้ผล เมื่อวานที่นันท์เห็นว่าผมยิ้ม เพราะผมคิดว่าเธอจะกลับมาหาผมน่ะครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็คงจะมีแต่ผมล่ะมั้งที่คิดไปเองฝ่ายเดียว”
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 2 ก้อนหินก้อนนั้น (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-10-2018 00:48:52
ผมได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำตอบจากน้ำเสียงฟังดูเศร้านั้นของอีกฝ่าย
“เป็นอะไรไปเหรอครับ”
คราวนี้แบงค์เป็นฝ่ายถามผมกลับมาบ้าง ผมเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อยก่อนที่สมองอันน้อยนิดของตัวเองจะประมวลผลได้

“อ๋อ เปล่าๆ บ่ได้เป็นอะหยัง พอดีแค่กำลังสงสัยอะหยังบางอย่างนิดหน่อยน่ะ”
“อะไรเหรอครับ”
แบงค์ถามผมอีกครั้ง ผมทำท่าเหยียดแขนเพื่อบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนที่จะยืดขาออกนั่งทำท่าห่อไหล่ พร้อมกับมองออกไปข้างหน้า

“ก็เรื่องความรักน่ะสิ ว่าทำไมคนเราถึงต้องเศร้า ต้องร้องไห้เสียใจเสียน้ำตาให้กับสิ่งที่เรียกว่าความรักด้วยวะ”
“นันท์ไม่เคยมีแฟนเหรอครับ”
แบงค์เอ่ยถามแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัย ช่างเป็นคำถามที่กรีดใจผมจริงๆ แฮะ

“อื้ม กูยังบ่เคยมีแฟนเลยสักคน มึงก็ดูตัวกูเนี่ย ทั้งเตี้ย ทั้งสิว ใครที่ไหนมันจะมาสนใจ อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะกูยังรู้สึกสนุกสนานเวลาอยู่กับเพื่อนๆ มากกว่าก็เป็นไปได้ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เลยกลายเป็นไม่ได้ไปสนใจกับเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก จนบางทีกูก็ยังคิดสงสัยเลยนะ ว่าชีวิตนี้กูจะสามารถรักใครได้จริงๆ หรือเปล่าวะ”

ทันทีที่พูดจบ ผมก็เป็นฝ่ายหยิบก้อนหินขึ้นมาขว้างบ้าง เสียงหินที่กระทบกับผิวน้ำชวนให้ผมรู้สึกหลงใหลจนต้องหยิบขึ้นมาขว้างอีกก้อน
“ได้สิครับ”
แบงค์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผมหันไปมองอีกฝ่าย

“เพียงแต่นันท์อาจจะยังไม่เจอคนๆ นั้น หรืออาจจะเคยเจอแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัวก็เป็นไปได้นะ”
อีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมา แต่เดี๋ยวนะๆ ตอนนี้ใครเป็นฝ่ายปลอบใจใครกันแน่วะเนี่ย

“พูดซะหล่อเลยนะ ว่าแต่มึงเหอะ มีแฟนมากี่คนแล้ววะเนี่ย”
ผมถามแซวกลับไป เจ้าตัวขมวดทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนที่จะหันมามองผม

“สี่ครับ”
“!!!”
ผมถึงกับตะลึงทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น

“แต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายโดนบอกเลิกหมดทั้งสี่คนเลยน่ะครับ”
“!!!!!!”
ผมตาโตตะลึงหนักกว่าเดิมอีก

“ไหงงั้นวะ”
ผมถามด้วยความสงสัยอย่างรุนแรง เพราะคิดๆ ดูแล้ว แบงค์เองก็ออกดูจะเพียบพร้อมในระดับหนึ่งอยู่นะ ถ้าไม่นับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่อาจจะดูเป็นเด็กเรียนมากเกินไปหน่อยก็เหอะ

“ก็ไม่รู้สิครับ เท่าที่จำได้ คนแรกบอกว่าผมดีเกินไป”
หือ?
“คนที่สองบอกว่า ผมไม่เร้าใจพอ”
หา??
“คนที่สามบอกว่า ผมไม่เข้าใจเธอ”
เห???
“ส่วนคนล่าสุดนี้ก็บอกว่า ผมน่าเบื่อเกินไป”
ห๊ะ????

“......”
“......”

อ่า... อืม... เอ่อ... จะว่ายังไงดีล่ะ พอลองฟังเหตุผลของเหล่าสาวๆ ทั้งสี่แล้วลองมาคิดทบทวนดูอีกที มันก็อาจจะจริงตามนั้นก็ได้แฮะ แต่จะยังไงนั้นก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

“แล้วเป็นไงล่ะ อกหักมาถึงสี่ครั้งแบบนี้ เข็ดขยาดมั่งรึเปล่าวะ”
ผมยิ้มแซวพร้อมกับเอาข้อศอกไปแตะแขนของแบงค์เบาๆ

“ไม่รู้สิครับ จริงๆ ที่ผ่านมาทั้งสี่คนนั้นก็เป็นฝ่ายมาขอคบกับผมก่อนทั้งนั้น”
ครับ ไอ้หล่อเลือกได้ น่าหมั่นไส้จริงๆ ว่ะ

“อาจจะมีนอยด์ๆ ไปบ้าง แต่อีกสักพักก็คงหาย มุมมองอาจจะเปลี่ยนไป แต่อย่างไร ความรักมันก็ยังสวยงามเสมอ แค่เราอาจจะยังไม่เจอความรักที่ใช่สำหรับเรา ก็แค่นั้นล่ะ”
แบงค์พูดพร้อมกับมองออกไปยังดอยสุเทพอีกรอบ ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

ความรักที่ใช่ อย่างนั้นเหรอ

“เออใช่ เมื่อกี้กูเห็นมึงถ่ายรูปนี่ ชอบถ่ายรูปเหรอวะ”
ผมหันไปถามแบงค์ทันทีที่นึกขึ้นได้ เจ้าตัวหันมาพยักหน้าให้ผมแทนคำตอบ

“ขอดูหน่อยได้ปะวะ”
ผมถามพร้อมฉีกยิ้มให้แบงค์ เจ้าตัวหยิบมือถือของตัวเองออกมาปลดล็อกหน้าจอก่อนที่จะเปิดแฟ้มรูปแล้วจึงยื่นมาให้ ผมรับมันมาแล้วเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ

“มีแต่รูปสิ่งของกับธรรมชาติทั้งนั้นเลยนี่หว่า”
ผมหันไปถามก่อนที่จะก้มดูรูปต่อ

“ครับ”
เจ้าตัวตอบกลับมาแค่นั้น รูปทั้งหมดที่แบงค์ถ่ายไว้มีแต่รูปสิ่งของ ธรรมชาติ ไม่ก็สถานที่ต่างๆ แต่ไม่มีรูปคนแม้แต่รูปเดียวซึ่งจะว่าไปแบงค์นี่ก็ถ่ายรูปเยอะเหมือนกันแฮะ รูปถ่ายดินสอ ยางลบก็มี แล้วนี่รูปอะไรเนี่ย โอ้โห ขนาดก๊อกน้ำอ่างล้างหน้าก็ยังถ่ายเลยคิดดูสิ

“ทำไมบ่ถ่ายรูปคนมั่งล่ะวะ”
ผมถามอีกรอบในขณะที่สายตายังคงไล่ดูรูปในมือถือไปเรื่อยๆ แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะใช้นิ้วชี้ยกขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ

“จะว่ายังไงดีล่ะครับ เรียกว่าเป็นสไตล์ก็คงได้ ผมชอบถ่ายรูปแนวนี้มากกว่าน่ะ รูปบางรูป บางทีมันก็สื่อความหมายในสิ่งที่เราไม่กล้าหรือไม่สามารถพูดออกมาได้”

“อย่างรูปนี้เหรอวะ”
ผมถามพร้อมกับเปิดรูปก้อนหินบนม้านั่งที่แบงค์เพิ่งถ่ายเมื่อกี้

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/734737746-member.jpg)
"ครับ ดูแล้วคิดยังไงครับ"
แบงค์ถามกลับผมมองดูรูปนั้นอีกรอบพร้อมกับพยายามตีความหมายของมัน

“ดูเหงาๆ ยังไงบ่รู้ว่ะ”
“อย่างงั้นเหรอครับ”
แบงค์หันมามองพร้อมกับยิ้มให้ผม

“หรือบ่ใช่”
“ก็อาจจะเป็นอย่างงั้นก็ได้มั้งครับ”
แบงค์พูดก่อนที่จะหันไปหยิบหินขึ้นมาขว้างออกไปอีกรอบ ผมเองพอจะสังเกตได้ว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟายอะไรขนาดนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็คงรู้สึกเหงาอยู่ไม่ใช่น้อย

มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้บ้างนะ
อ๊ะ จริงสิ วิธีนี้น่าจะได้อยู่นะ

ผมลุกขึ้นพร้อมกับหยิบมือถือของแบงค์ติดมือมาด้วย แบงค์หันมามองผมด้วยความสงสัยแต่ก็ยังคงนั่งอยู่กับที่ ผมเดินไปยังม้านั่งตัวที่แบงค์ถ่ายซึ่งก็อยู่ไม่ไกลมาก ผมพยายามหาก้อนหินขนาดใกล้เคียงกับที่แบงค์ถ่ายเมื่อครู่ แล้วจึงหยิบมันขึ้นมาวางลงบนม้านั่ง ก่อนที่จะนั่งลงเพื่อหาโฟกัสให้คล้ายกับที่อีกฝ่ายถ่ายเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“ทำอะไรอยู่เหรอครับ”
แบงค์เอ่ยถาม ผมหันไปมองก่อนที่จะลุกขึ้นพร้อมยิ้มมุมปากให้กับอีกฝ่าย แล้วจึงยื่นมือถือส่งคืนให้เจ้าของ

“เอ้า มึงดู”
ผมบอกพร้อมกับชี้ไปยังมือถือที่อยู่ในมือของแบงค์ เจ้าตัวมองผมด้วยสีหน้าที่งุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาดู

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1647714563-member.jpg)

แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอมยิ้มพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ออกมา
“อะไรครับเนี่ย”
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมจึงเดินเข้าไปยืนข้างๆ

“ก็รูปที่มึงถ่ายน่ะ มันมีก้อนหินแค่ก้อนเดียวใช่ปะวะ”
แบงค์พยักหน้าให้กับคำถามของผม

“ก็นั่นล่ะ มันก็เลยดูเหงาๆ เหมือนมึงในตอนนี้ไง กูก็เลยถ่ายใหม่ โดยเพิ่มหินเข้าไปอีกหนึ่งก้อนเป็นสองก้อนยังไงล่ะวะ”
ผมพูดพร้อมกับชี้ไปยังก้อนหินสองก้อนที่วางอยู่บนม้านั่ง แบงค์หันไปมองตามที่ผมชี้ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับมาดูรูปอีกครั้ง

“ถ้าหินก้อนแรกเป็นผม แล้วหินก้อนที่สองนี่ล่ะครับ เป็นใคร”
แบงค์ถามผมก่อนที่จะชี้ไปยังหินบนม้านั่ง
“ก็กูนี่ไง”

“อะไรนะครับ”
แบงค์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นผมตอบออกไปพร้อมกับใช้นิ้วโป้งชี้มาที่ตัวผมเองด้วยความมั่นใจ

“ก็...แค่อยากให้มึงรู้ไว้น่ะ ว่ามึงยังมีกูอยู่ข้างๆ นะ เวลาที่รู้สึกเหงา”
ผมตอบพร้อมกับยิ้มให้ แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะฉุกใจคิดอะไรได้บางอย่าง

“เฮ้ยๆ อย่าเข้าใจผิด บ่ได้หมายความอะหยังอย่างอื่นนะเว้ย หมายถึงว่ามึงยังมีกูอยู่เป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ น่ะ”
ผมรีบพูดออกตัวทันทีที่คิดได้ แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็นิ่งเงียบมองดูรูปอีกรอบ

“ขอบคุณนะครับ”
แบงค์พูดพร้อมกับเผยยิ้มออกมาเล็กๆ ซึ่งมันก็เป็นรอยยิ้มที่พอจะทำให้ผมรู้สึกดีตามไปด้วย

“เอาล่ะ คราวนี้มึงลองถ่ายรูปกูให้หน่อย พอดีกูจะทำรูปโปรไฟล์ใหม่น่ะ”
ผมพูดพร้อมกับหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้แบงค์ เจ้าตัวทำสีหน้างงเล็กน้อย ผมถอยห่างทิ้งระยะออกมาทันทีเมื่อแบงค์รับมือถือของผมไป ก่อนที่จะตั้งท่าเพื่อให้อีกฝ่ายถ่าย แบงค์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาตั้งท่าจะถ่ายรูป

“เอ่อ ผมว่า นันท์ยืนตัวตรงดีกว่านะครับ”
“อ้าว ทำไมวะ กูว่าท่านี้เด็ดแล้วนะเว้ย”
ผมถามกลับไป ในขณะที่ยังคงตั้งท่าค้างไว้อยู่

“เอาเถอะครับ เชื่อผม”
อีกฝ่ายยังคงยืนยันคำเดิม ผมจึงจำต้องทำตาม อะๆ ยืนตัวตรงก็ได้วะ

“อ้าว ทำอะหยังของมึงวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าแบงค์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมทันทีที่ผมยืดตัวตรง และด้วยระยะที่ใกล้กันมากชนิดที่ผมถึงขั้นต้องเงยหน้ามองอีกฝ่ายเพราะส่วนสูงที่ต่างกันมากกว่ายี่สิบเซนติเมตรมันก็ทำให้ผมประหม่าอยู่พอสมควร

แต่จะว่าไปแล้วพอได้ลองมองแบงค์จากระยะใกล้แบบนี้ก็มีความรู้สึกว่าที่จริงแล้วแบงค์เองก็จัดได้ว่าเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งผิวที่ขาวเนียน คิ้วคมเข้ม แถมหน้าก็ยังใสมากๆ อีกด้วยเมื่อเทียบกับผมที่มีสิวขึ้นบ้างประปรายถึงแม้จะไม่ได้มากมายจนถึงขั้นต้องวิตกอะไรเหมือนเมื่อสมัย ม.ต้นแล้วก็เหอะ แต่ยังไงก็ยังดูน่าอิจฉาอยู่ดีนั่นล่ะ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองมากนักเลยทำให้ความหล่อนั้นถูกบดบังซ่อนอยู่ภายใต้ความเป็นเด็กเรียนไปอย่างน่าเสียดาย

“หลับตาลงครับ”
“ห๊ะ! อะหยังนะ”
ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

“เอาเถอะครับ เชื่อผม”
แบงค์ยังคงยืนยันคำเดิม ผมจึงจำต้องหลับตาตามที่อีกฝ่ายสั่ง เอาวะ อยากได้รูปสวยๆ ก็อย่าเถียงตากล้องจะดีกว่า

“หลับตาไว้ ห้ามลืมตาจนกว่าผมจะบอกนะครับ”
ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

“......”
“......”

แชะ!
“โอเค ลืมตาได้แล้วครับ”
สิ้นเสียงแบงค์พูดจบ ผมก็รีบลืมตาทันที แบงค์ยื่นมือถือที่คว่ำหน้าอยู่คืนให้แก่ผมก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป ผมรีบหงายมือถือขึ้นมาดูด้วยความรวดเร็ว

“เฮ้ย อะหยังวะเนี่ย!?”
ผมตะโกนร้องด้วยความแปลกใจทันทีที่เห็นรูปซึ่งเป็นรูปรองเท้าของผม ย้ำครับ ว่า "รองเท้า" ผมจึงรีบเดินตามหลังอีกฝ่ายไปทันที

“ก็ผมไม่ถ่ายรูปคนนี่ครับ”
แบงค์หันกลับมายิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังกลับไป แล้วเดินนำหน้าไปเรื่อยๆ

“มันก็น่าจะมีข้อยกเว้นกันมั่งดิวะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อไหร่จะมีใครที่ทำให้ผมยอมยกเลิกข้อยกเว้นนั้นได้น่ะครับ”
“ห๊ะ”

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”
อีกฝ่ายพยายามเฉไฉไปเรื่องอื่น ในขณะที่ผมยังเดินตามหลังพร้อมกับบ่นไปด้วย

ท่ามกลางท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีส้มเข้มเข้าสู่ความมืดมิดในช่วงเวลาพลบค่ำและสายลมยามเย็นของปลายฤดูร้อนเข้าสู่ต้นฤดูฝนที่กำลังพัดผ่านอยู่นั้นเอง อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่ทันสังเกต

ก็เป็นได้...


จบคาบเรียนที่สอง

มุม Caption ไร้สาระ
นันทการ ได้เปลี่ยนรูปประจำตัวของเขา
 (http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1123024524-member.jpg)
รูปหล่อ พ่อรวย : อะหยังของมึงน่ะ
ยีสต์ เทพเจ้าขนมปัง : จะสื่อว่ามึงหน้าส้นตีนเหรอวะ
Oat lnwศาสตร์ : ผมว่าน่าจะใช่นะครับ
นันทการ : ไอ้พวกเพื่อนเหี้ย!
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 3 พาวเวอร์ แบงค์ (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-10-2018 21:45:08
   คาบเรียนที่สาม
   
   เรื่องมันเริ่มมาจากความเบื่อหน่ายในวันเสาร์ที่แสนจะน่าหดหู่ของผมนี่ล่ะ
   
   “เคเอฟซีสวัสดีค่ะ จะรับเมนูไหนดีคะ”
   เสียงของพนักงานหญิงเอ่ยถามผมขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาภายในร้าน

   “เอ่อ เอาโคนวานิลาอันนึงครับ”
   “สิบบาทค่ะ รบกวนรอสักครู่นะคะ”
   อีกฝ่ายแจ้งราคาก่อนที่จะหันไปปั่นไอศกรีม ผมจึงหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเพื่อกดโทรหาไอ้ยีสต์

   “ฮัลโหล ไอ้ยีสต์ มึงว่างมั้ยวะ”
   ผมเอ่ยถามอีกฝั่งในขณะที่มืออีกข้างกำลังควักเงินเหรียญออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจ่ายค่าไอศกรีม
   “บ่ว่างว่ะ พอดีคนที่ร้านขอลากลับบ้าน กูเลยต้องอยู่ช่วย แค่นี้ก่อนนะเว้ย ลูกค้าเยอะ”
   อีกฝ่ายกดวางสายทันทีที่พูดจบ พร้อมกับผมที่ยื่นมือไปรับไอศกรีมมาจากพนักงาน ผมจึงกดสายต่อไปทันที

   “โหล มีหยังวะ”
   ไอ้เต้ยเอ่ยถามด้วยความรวดเร็วทันทีที่รับสาย
   “มึงว่างปะวะ”
   “มีอะหยัง”
   “กูว่าจะชวนออกมาเที่ยวเป็นเพื่อนกูหน่อยว่ะ”
   ผมตอบพร้อมกับยกไอศกรีมในมือขึ้นมากิน

   “ไปบ่ได้ว่ะ พอดีพ่อกูสอนงานเอกสารให้กูอยู่ โทษทีนะเว้ย”
   ไอ้เต้ยตอบปฏิเสธกลับมา ผมจึงกดวางสายก่อนที่จะกดเบอร์ไปยังเป้าหมายสุดท้าย
   “ขออภัยด้วยครับคุณเพื่อนนันท์ ผมกำลังลงดันเจี้ยนอยู่ แค่นี้นะครับ”
   ไอ้โอ๊ตกดวางสายทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย

   อะไรแว๊!!!

   ผมถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะกินไอศกรีมในมือจนหมด
   โอยยย ทำไมมันน่าเบื่อแบบนี้เนี่ย ทำไมไม่มีใครว่างกันเลยวะ หรือเป็นกูกันแน่ที่ว่างเกินไปหรือเปล่าวะ แม่ก็ไม่อยู่ ไปบ้านยายอีกแล้ว รู้แบบนี้ตามแม่ไปด้วยก็เสียดีหรอก ผมถอนหายใจเบาๆ อีกรอบก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงชั้นห้าของห้างซึ่งเป็นชั้นของโรงภาพยนตร์
เอาวะ ดูหนังคนเดียวก็ได้ ว่าแต่จะดูเรื่องอะไรดีล่ะ อืม... เรื่องนี้ก็เพิ่งดูกับพวกเพื่อนๆ ไปเมื่อเสาร์ที่แล้ว เรื่องนี้หนังสยองขวัญ ไม่เอากูกลัว เรื่องนี้แนวสืบสวนสอบสวน ไม่เอากูโง่ อ๊ะ เรื่องนี้ละกัน หนังแอ็คชั่นน่าจะม่วน

   ผมเดินเข้าไปซื้อตั๋วทันทีที่ติดสินใจได้ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบนาทีกว่าจะเข้าไปข้างในได้ ผมจึงเดินมานั่งรอที่ม้านั่งหน้าทางเข้าโรงหนังโดยไม่ลืมที่จะถ่ายรูปตั๋วหนังโพสต์ลงเฟซบุ๊กเพื่อเรียกยอดไลค์ไว้แลกข้าวกิน

   ในระหว่างที่ผมกำลังรออยู่นั่นเอง สายตาของผมก็หันไปสังเกตมองรอบๆ ข้าง ก่อนที่จะรู้สึกตัวอะไรบางอย่างขึ้นมา นี่กูแปลกหรือเปล่าวะที่มาดูหนังคนเดียว ดูคนอื่นเขาสิมากันเป็นคู่เป็นหมู่คณะกันทั้งนั้น มีแต่กูคนเดียวเนี่ยที่หัวเดียวกระเทียมลีบ ช่างเป็นอะไรที่น่าอดสูเสียเหลือเกิน

   
   หลังจากที่ดูหนังจบ ผมก็เดินออกมาจากโรงพร้อมกับความคิดที่ว่า “จะไม่ขอมาดูหนังคนเดียวอีกเด็ดขาด” เพราะในโรงหนังยิ่งแล้วใหญ่ ซ้ายก็มากันเป็นคู่รักกระหนุงกระหนิง ขวาก็มากันเป็นกลุ่มคณะแลดูครึกครื้น ในขณะที่ตัวผมเองนั้นต้องนั่งดูหนังอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย


   จะเรียกว่าเหงาอย่างนั้นเหรอ ไม่น่าจะใช่นะ เรียกว่าไม่ชินน่าจะถูกกว่าเพราะปกติก็จะมาดูกับพวกเพื่อนๆ ตลอด

   ผมถอนหายใจเบาๆ อีกรอบ ก่อนที่จะเดินลงบันไดเลื่อนไปอย่างเซ็งอารมณ์เพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อดี ในจังหวะนั้นเองสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นผู้คนในร้านแคมป์ ที่มีทั้งนักเรียนศึกษารวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต่างเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อติวหนังสือ ทำการบ้านและงานของตัวเองอันเนื่องมาจากบรรยากาศมันเหมาะ แต่อาจจะยกเว้นสำหรับผมคนหนึ่งนี่ล่ะที่คงไม่เหมาะสำหรับร้านนี้ เพราะบรรยากาศเงียบๆ ภายในร้านแบบนั้นสำหรับผมแล้วคงเหมาะแก่การหลับมากกว่าที่จะทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่มีแบงค์มาด้วยก็อย่าหวังว่าผมคนนี้จะมีสมาธิตั้งใจเรียน ฮ่าฮ่าฮ่า

   เดี๋ยวนะ

   ในขณะที่ผมกำลังคิดเช่นนั้น ผมก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาไอ้โอ๊ตด้วยความรวดเร็ว
   “ผมไม่ว่างครับ กำลังจะเคลียร์...”
   “”เฮ้ย เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งวางสาย กูบ่ได้จะกวนมึง กูขอเบอร์ไอ้แบงค์หน่อยดิวะ”
   ผมรีบพูดแทรกไอ้โอ๊ตทันทีเพราะกลัวจะโดนมันตัดสายทิ้ง ไอ้นี่แม่งยิ่งติสท์ๆ อยู่ด้วย

   “อะไรนะครับ เบอร์คุณเพื่อนแบงค์เหรอครับ”
   “อื้ม”
   ผมส่งเสียงในลำคอกลับไปสั้นๆ ไอ้โอ๊ตนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

   “นี่พวกคุณรู้จักกันมาก็เป็นเดือนแล้วแท้ๆ นะ แต่ยังไม่มีเบอร์ซึ่งกันและกันอีกเหรอครับ”
   “ทั้งเฟซบุ๊ก ทั้งไลน์ก็ยังไม่มีด้วย”
   ผมพูดสมทบกลับไปโดยหารู้ไม่ว่ากำลังโดนไอ้โอ๊ตประชดอยู่แถมยังมีตัวผมเองเป็นคนตบมุกและฝังกลบตัวเองอีกแรง ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของไอ้โอ๊ตลอดผ่านมือถือเบาๆ

   “ศูนย์แปดหนึ่ง ห้าหกแปดแปดสามXX”
   “ไอ้ห่า บอกเร็วเป็นจรวดแบบนั้น คิดว่ากูจะจำได้เหรอวะ ส่งมาในข้อความดิสัส”
   “เรื่องมากจังเลยนะครับคุณเพื่อนนันท์เนี่ย”
   ไอ้โอ๊ตถอนหายใจเบาๆ ผ่านสายก่อนที่จะวางสายไป ทันทีที่ได้เบอร์ของแบงค์มาผมก็รีบกดโทรออกไปยังเบอ ร์นั้นอย่างรวดเร็ว

   “ฮัลโหลครับ”
   “ฮัลโหล มึงเหรอวะ”
   ผมเอ่ยทักทายทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะนิ่งเงียบไป

   “เอ่อ นั่นใครน่ะครับ”
   จำเสียงกูไม่ได้เหรอวะเนี่ย เออ ช่างเหอะ
   “นี่กู นันท์ไง คนที่มึงช่วยติวหนังสือให้น่ะ”
   “อ้อ นันท์น่ะเอง มีอะไรเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ ในขณะที่ผมเองก็เดินลงบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆ

   “มึงว่างปะวะ กูว่าจะชวนมึงไปเที่ยวเป็นเพื่อนกูหน่อยน่ะ”
   “......”
   ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง

   “แล้วตอนนี้นันท์อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
   “อยู่ที่ห้างเมญ่าน่ะ แล้วมึงล่ะอยู่ที่ไหน”
   “ห้างเมญ่าอย่างนั้นเหรอครับ โอเค ถ้าอย่างนั้นก็เดินออกมาที่ร้านกาแฟที่ชื่อมินิคาเฟ่ข้างๆ ห้างเลย ร้านที่อยู่ก่อนถึงกาดรินคำน่ะครับ”

   อนึ่ง คำว่ากาดในภาษาเหนือแปลว่าตลาดน่ะครับ ผมพยายามนึกภาพตามคำบอกของแบงค์ อ๋อ ร้านนั้นนั่นเอง พอจะเคยเห็นอยู่ ผมตอบตกลงกลับไปก่อนที่จะกดวางสายแล้วรีบเดินออกประตูห้างไปยังร้านที่แบงค์ว่าทันที ผมยืนรอที่หน้าร้านอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะดูนาฬิกาในมือถือที่กำลังบอกเวลาว่ากำลังบ่ายสองโมงอยู่

   ผมยืนรอแบงค์ที่หน้าร้านกาแฟที่ว่าอยู่ประมาณเกือบยี่สิบนาที แต่ก็ไร้วี่แววของอีกฝ่าย ผมจึงกดโทรหาอีกรอบ
   “ครับ”
   “มึงอยู่ไหนวะ กูอยู่หน้าร้านแล้วนะเว้ย”
   ผมเอ่ยถามพร้อมกับมองซ้ายมองขวาเพื่อหาแบงค์แต่ก็ไม่เห็น อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหลุดหัวเราะเบาๆ ลอดเข้ามา มันมีอะไรให้น่าขำอย่างนั้นเหรอวะ

   “อยู่หน้าร้านแล้วใช่มั้ยครับ”
   “เออดิวะ”
   “งั้นก็ลองหันหลังมาครับ”

   ผมหันหลังไปตามที่อีกฝ่ายว่า และภาพที่ผมเห็นก็คือแบงค์ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ภายในร้านตรงหน้าประตู พร้อมกับถือมือถือแนบไว้ข้างหู ผมรู้สึกอึ้งและอายพอสมควรเพราะเหมือนจะมีลูกค้าในร้านสามถึงสี่คนหันมามองผมด้วย ผมรีบเดินเปิดประตูร้านเข้าไปพร้อมกับก้มหน้างุดๆ หยุดยืนอยู่ตรงหน้าแบงค์ที่ตอนนี้กำลังอมยิ้มหัวเราะเบาๆ อยู่

   “แล้วทำไมมึงบ่บอกกูตั้งแต่แรกล่ะวะ ว่าอยู่ในร้าน”
   ผมถามกลับไปพร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงอมยิ้มหัวเราะเบาๆ ไม่ยอมหยุด

   “ก็ผมบอกแล้วว่าเดินมาที่ร้านเลย แต่ก็ไม่นึกนี่ครับว่านันท์จะซื่อขนาดนั้น”
   แบงค์ยังคงยิ้มหัวเราะไม่ยอมหยุด ผมทำหน้าเครียดใส่จนอีกฝ่ายเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวเองก็เลยหยุดนิ่งทันทีก่อนที่จะชี้ไปยังโต๊ะว่างข้างๆ เคาน์เตอร์

   “จะกินอะไรก่อนมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามพร้อมกับยื่นเมนูให้ผมที่ตอนนี้ยังคงทำหน้าเครียดอยู่
   “เลี้ยงเหรอวะ”
   ผมถามกลับไปพร้อมกับหยิบเมนูขึ้นมาดู

   “จะกินอะไรล่ะครับ”
   แบงค์ถามผมอีกรอบพร้อมกับยิ้มให้ผม ผมจึงกลับมาอารมณ์ดียิ้มออกได้อีกครั้ง แต่บางทีก็รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่เหมือนแฮะที่ถูกหลอกล่อได้ง่ายๆ ด้วยของกิน แต่ช่างเหอะ กินเข้าไปเยอะๆ นั่นล่ะดีแล้ว จะได้โตไวๆ ถึงแม้ที่ผ่านๆ มามันจะขยายออกด้านข้างมากกว่าก็ตามที ผมดูเมนูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกอีกฝ่ายว่าเอาลาเต้ปั่น กับสตรอว์เบอร์รี่ชีสเค้ก ผมเป็นคนชอบกินสตรอว์เบอร์รี่น่ะครับ ถึงแม้หน้าตาจะไม่ให้ก็ตามที ส่วนกาแฟจริงๆ แล้วก็เฉยๆ นะครับ แต่ถ้าให้เลือกก็เลือกลาเต้ครับ เพราะมันนุ่มดี กินง่ายสุดละในบรรดาหมู่กาแฟเนี่ย
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 3 พาวเวอร์ แบงค์ (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-10-2018 21:47:58
   “ว่าแต่พนักงานร้านนี้หายไปไหนหมดวะ”
   ผมเอ่ยถามแบงค์พร้อมกับหันมองซ้ายมองขวาไปด้วย แต่ก็ไม่เห็นใครที่พอจะเข้าเค้าว่าเป็นพนักงานเลยสักคน ในขณะที่แบงค์เองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น ก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วจึงเดินเข้าไปในส่วนของเคาน์เตอร์ด้านใน ทำเมนูตามที่ผมสั่งแล้วนำมาเสิร์ฟให้ผม ก่อนที่จะเดินไปรับออเดอร์ที่โต๊ะอื่นต่อ โดยปล่อยให้ผมนั่งตะลึงตาค้างอยู่ที่โต๊ะ

   “นี่อย่าบอกนะว่ามึงเป็นเจ้าของร้าน”
   ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันทีที่อีกฝ่ายเดินกลับมายังโต๊ะของผม ก่อนที่ผมจะหันไปมองให้ทั่วร้านที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามลงตัวกำลังดี มีภาพถ่ายทิวทัศน์ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถูกแขวนเอาไว้ตามข้างฝาซึ่งก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้แก่ร้านได้มากจริงๆ แบงค์เองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น ก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะใช้ส้อมตัดแบ่งเค้กในจานของผมเข้าปากตัวเองไป

   “เปล่าครับ ผมเป็นแค่ลูกจ้าง แต่พอดีเจ้าของร้านแกออกไปทำธุระข้างนอกน่ะครับ”
   เพล้ง! เหมือนได้ยินเสียงหน้าแตกจากที่ไหนดังขึ้นใกล้ๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นผมคนนี้นี่ล่ะ เออ มันก็จริง เด็ก ม.ห้าที่ไหนมันจะเป็นเจ้าของร้านกาแฟแบบนี้ได้เนี่ย กูนี่ก็ช่างสมองเมล็ดถั่วเขียวจริงๆ

   “ว่าแต่จะชวนไปไหนเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถาม ผมหยิบแก้วลาเต้ขึ้นมาดูดอึกหนึ่งก่อนที่จะหันไปมองอีกฝ่าย
   “เออ นั่นสิ บ่รู้เหมือนกันว่ะ”
   ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับแบงค์ทันทีที่ตอบกลับไปแบบนั้น และในจังหวะนั้นเอง

   “โอ๊ยยย นับวันเชียงใหม่จะเริ่มเหมือนกรุงเทพฯ เข้าไปทุกทีๆ แล้วนะ รถติดจริงๆ เลย จะติดอะหยังกันนักหนาเนี่ย”
   เสียงเล็กๆ บ่นขึ้น ผมหันไปมองยังต้นเสียงนั้น ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งวัยน่าจะประมาณยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกเดินเข้ามาภายในร้านพร้อมถุงใบใหญ่ ลูกค้าหรือยังไงน่ะ

   “กลับมาช้ามากเลยนะครับ เจ๊บัว”
   แบงค์เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงที่ดูคุ้นเคย
   “ก็รถติดน่ะสิ แต่ขอบใจมากเน่อที่ช่วยดูร้านให้ เป็นไงมั่ง มีอะหยังวุ่นวายมั้ย”
   แบงค์ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวเป็นคำตอบกลับไป

   “ว่าแต่ นั่นใครน่ะ”
   พี่บัวหันมาถามทันทีที่สังเกตเห็นผมนั่งโต๊ะเดียวกันกับแบงค์
   “อ๋อ ชื่อนันท์ เพื่อนที่โรงเรียนเดียวกับผมน่ะครับ เอ้อ นี่เจ๊บัวนะ เป็นเจ้าของร้านตัวจริง”
   อ้อ เจ้าของร้านตัวจริงเองเหรอเนี่ย  ผมรีบยกมือไหว้ทักทายด้วยความรวดเร็ว พี่บัวยกมือรับไหว้ผมก่อนที่จะหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับจ้องมองผมด้วยสีหน้าสงสัย

   “สูงเท่าไหร่จ๊ะ”
   พี่บัวเอ่ยถามผม
   “หนึ่งร้อยหกสิบสี่ครับ”
   “แล้วเราล่ะแบงค์ สูงเท่าไหร่”
   คราวนี้พี่บัวหันไปถามแบงค์ต่อ
   “ก็ราวๆ หนึ่งร้อยแปดสิบสามหรือแปดสิบสี่มั้งครับ”

   พี่บัวขมวดคิ้วหรี่ตาต่ออีกเล็กน้อย
   “ไหนทั้งสองคนช่วยลุกขึ้นยืนข้างๆ กันหน่อยได้มั้ย”
   ทั้งผมและแบงค์ต่างหันหน้ามองกันด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนตามที่พี่บัวสั่ง

   “รู้จักกันมานานรึยังจ๊ะ”
   “เอ่อ ก็ราวๆ เดือนนึงเห็นจะได้มั้งครับ พอดีผมขอร้องให้แบงค์เขาช่วยติวหนังสือให้น่ะครับ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพและท่าทีเกร็งๆ พอสมควร

   “อ๋อ มิน่าล่ะ เจ๊ถึงบ่เคยเห็นหน้าเรา ขอบใจมากนะจ๊ะ เอาล่ะ ตามสบายเลยนะ บ่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวเจ๊ขอตัวเอาของไปไว้ก่อนนะ”
   พี่บัวยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ผมจึงนั่งลงก่อนที่จะหันไปมองแบงค์ด้วยสีหน้าสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แบงค์เองก็ส่ายหัวเป็นเชิงไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน
พี่บัวนี่ก็เป็นคนแปลกเหมือนกันแฮะ คนอะไร เจอหน้ากันครั้งแรกก็ถามส่วนสูงกันเลย พิลึกฉิบหาย

   แต่เดี๋ยวนะ กูเองก็เคยถามส่วนสูงของแบงค์ตอนเจอกันครั้งแรกเหมือนกันนี่หว่า งั้นขอถอนคำพูดเรื่องเป็นคนแปลกเมื่อกี๊แล้วกัน เดี๋ยวจะเข้าตัวเอง

   “เรียนอยู่ห้องเดียวกันเหรอจ๊ะ”
   เสียงพี่บัวที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในเคาน์เตอร์เอ่ยถามขึ้น ผมส่ายหัวเบาๆ กลับไปเป็นคำตอบ
   “อ้าว แล้วรู้จักกันได้ยังไงล่ะเนี่ย”
   “เอ่อ รู้จักกันผ่านเพื่อนในห้องของผมน่ะครับ”
   ผมตอบกลับไปด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบลาเต้ปั่นขึ้นมาดูด

   “แล้วแบงค์เขาทำที่นี่นานแล้วเหรอครับ เห็นดูชำนาญงานจัง แถมยังดูสนิทกับพี่ด้วย”
   “เรียกเจ๊ดีกว่าจ๊ะ ทำไม หึงเหรอ”
   เดี๋ยวนะ “หึง” มันเป็นคำที่เอาไว้ใช้สำหรับคนเป็นแฟนกันไม่ใช่เรอะ เล่นมุกอะไรวะเนี่ย ผมรีบส่ายหัวพร้อมกับยกมือปัดเป็นเชิงปฏิเสธทันทีที่ได้ยินพี่ เอ้ยเจ๊บัวพูดเช่นนั้น เจ๊เองยิ้มหัวเราะเล็กๆ ก่อนที่จะหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม

   “ถ้าที่นี่ก็ได้ประมาณปีกว่าๆ ตั้งแต่แบงค์เขาย้ายเข้ามาเรียนในตัวเมือง แต่กับเจ๊รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ เป็นลูกพี่ลูกน้องบ้านใกล้ๆ กันน่ะ”

   “อ้าว แบงค์เขาเป็นคนที่ไหนเหรอ”
   “เชียงดาวจ๊ะ”
   “อ้อ มิน่าล่ะว่าทำไมถึงบ่เคยไปอ่างแก้ว”
   จะว่าไปไอ้โอ๊ตก็คนเชียงดาวเหมือนกันนี่หว่า แต่รายนั้นย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองกับพ่อแม่ตั้งแต่ช่วงประถมเห็นจะได้

   “หืม อ่างแก้ว ทำไมเหรอ”
   “อ๋อ บ่มีอะไรมาก พอดีวันก่อนนู้น ผมเห็นแบงค์เขาอกหักน่ะ ก็เลยพาไปพักผ่อนหย่อนใจที่อ้างแก้วน่ะครับ”
   เจ๊บัวนิ่งเงียบมองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอมยิ้ม

   “มิน่าล่ะว่าทำไมคราวนี้เขาถึงดูบ่เศร้าอะหยังมากนัก เพราะเรานี่เอง”
   “ห๊ะ อะหยังนะครับ”
   “อ๋อ เปล่าๆ”
เจ๊บัวตอบปัดพลางหยิบของออกจากถุงออกมาตรวจสอบ

“ว่าแต่ที่ผ่านๆ มาเขาเศร้ามากเหรอครับ เวลาอกหักเนี่ย”
ผมเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น หรือถ้าใครจะเรียกว่าเสือกก็คงไม่ผิดนักหรอก เจ๊บัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หันไปมองยังคนที่ถูกพาดพิงซึ่งกำลังรับออเดอร์ลูกค้าโต๊ะอื่นอยู่ ก่อนที่จะหันมามองผม

“แบงค์เขาก็เป็นคนแบบนั้นน่ะล่ะ ภายนอกเขาเหมือนผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบ ทำอะหยังก็ดูดีไปหมด ส่วนนึงคงจะมาความคิดที่บ่อยากจะเป็นภาระของใคร ซึ่งก็คงมาจากการที่เขาต้องรับผิดชอบอะหยังหลายๆ อย่างด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ด้วยล่ะมั้ง แต่เขาบ่เก่งเรื่องอ่านใจผู้หญิงเลยสักนิด ก็เลยบ่แปลกใจที่จะโดนบอกเลิก ทีนี้เขาก็เลยเศร้าเหมือนโทษว่าเป็นความผิดตัวเองน่ะ”
   ผมอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินเจ๊บัวตอบเช่นนั้น

   “แบงค์เขามีมุมแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย”
   “เยอะเลยล่ะ ยังไงเจ๊ก็ฝากแบงค์เขาด้วยนะ เห็นแบบนั้น แต่ลึกๆ เขาเป็นคนอ่อนไหวง่าย เป็นคนขี้เหงามากๆ เลยนะ แต่บ่ค่อยแสดงออกให้ใครเห็น เพราะอย่างที่บอก เขาบ่อยากเป็นภาระของใครน่ะ”
   เจ๊บัวหันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้ยังคงรับออเดอร์ลูกค้าอยู่ ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองตาม จะว่าไปแบงค์ก็เป็นผู้ชายที่ดูขยันมากๆ คนหนึ่งเลยก็ว่าได้นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับผมที่ค่อนข้างจะขี้เกียจ จะขยันได้ก็ต่อเมื่อโดนแม่ด่า ไม่ก็ไฟลนก้นแล้วจริงๆ มากกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ครับ”
   ผมยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปสั้นๆ

   “คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ถูกคอกันดีจัง โดยเฉพาะเจ๊บัวเนี่ย ปกติไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยนะครับ”
   แบงค์เดินเข้ามาแซวผมกับเจ๊บัวทันทีหลังจากที่รับออเดอร์เสร็จพร้อมกับส่งมันให้เจ๊บัวรับช่วงต่อ เจ๊บัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมายิ้มให้ผมก่อนที่จะหันกลับไปหาแบงค์

   “ปกติเจ๊ทำไมยะ”
   “ก็ปกติเห็นเจ๊จะดูรำคาญๆ ไม่ใช่เหรอครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับหยิบเหยือกน้ำเทใส่แก้วเปล่ายกขึ้นดื่ม

   “นั่นมันกับเหล่าแฟนสาวที่น่ารำคาญของแกยังไงล่ะ”
   “เอ้า อย่างนี้ก็ได้เหรอเจ๊ ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ”
   ผมหัวเราะร่วนทันทีที่เห็นทั้งสองหยอกล้อกัน ดูทั้งสองจะสนิทกันมาก เป็นภาพที่ดูแล้วให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าผมเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวด้วยล่ะมั้ง ไม่มีพี่น้อง ก็เลยรู้สึกอิจฉานิดๆ ก็เป็นได้

   “สรุปคิดได้หรือยังครับว่าจะไปเที่ยวไหน”
   แบงค์หันมาถามผมอีกรอบ เออว่ะ ลืมไปเลยนะเนี่ยว่ามาที่นี่ทำไม

   “อ้อ นี่มาชวนแบงค์ไปเที่ยวอย่างนั้นเหรอจ๊ะ”
   เจ๊บัวถามแทรกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
   “ตอนแรกก็คิดไว้แบบนั้นน่ะครับ แต่ถ้าแบงค์เขาติดงานอยู่ก็บ่เป็นหยังครับ ผมบ่รบกวนดีกว่า”
   ผมตอบกลับไปด้วยความเกรงใจก่อนที่จะใช้ส้อมตัดเค้กเข้าปาก
   “โอ้ๆๆๆ บ่เลยจ้า บ่รบกวนเลย แบงค์เขากำลังจะเลิกงานพอดีเลยเนี่ย ใช่มั้ยแบงค์”
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 3 พาวเวอร์ แบงค์ (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-10-2018 21:51:04
   “เดี๋ยวนะเจ๊ ผมเลิกงานหกโมง แต่นี่เพิ่งจะบ่ายสามโมงนิดๆ เองนะ”
   แบงค์ตอบกลับมา ในขณะที่สายตาหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังด้านในเคาน์เตอร์ เจ๊บัวหันขวับไปมองค้อนตาเขียวใส่แบงค์ทันทีเช่นกัน

   “ก็วันนี้เจ๊พอใจจะให้ออกสามโมงอะ มีอะหยังมะ”
   “เอ้า แบบนี้ก็ได้เหรอ ทีกับแฟนเก่าของผมไม่เห็นเจ๊จะใจดีแบบนี้บ้างเลยนะ”
   แบงค์หัวเราะแซวกลับไป

   “ก็แหงล่ะ ก็เล่นมานั่งเฝ้า จะเอานั่น จะเอานี่ เอาแต่ใจ จะเอาให้ได้ ดูน่ารำคาญยังไงก็บ่รู้ ในขณะที่หนูนันท์เขามีมารยาท รู้จักนั่งรอ รู้จักเกรงใจ เจ๊ชอบเด็กน่ารักๆ แบบนี้ อีกอย่างมิตรภาพระหว่างเพื่อนมันต้องมาก่อนแฟนสิยะ”
   เจ๊บัวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับหันมามองและยิ้มให้ผมที่กำลังนั่งเขินเพราะโดนชมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจะหันกลับไปหาแบงค์

   “เว้นเสียแต่แกจะเอาเพื่อนอย่างหนูนันท์ทำแฟนก็ว่าไปอย่าง”

   พร่วดดด ลำสักลาเต้สิครับ
   “ตรรกะไหนของเจ๊เนี่ย ?”
   แบงค์ขมวดคิ้วถามกลับไปด้วยความสงสัย

   “ทำไม แปลกตรงไหนยะ”
   “แปลกสิเจ๊ ผมเป็นผู้ชาย นันท์เขาก็เป็นผู้ชาย จะมาเป็นฟงเป็นแฟนได้ยังไง เลอะเทอะแล้วเจ๊เนี่ย”

   “บ่เห็นจะแปลกเลย  บ่เคยได้ยินเหรอ ความรักบ่มีจำกัดเพศน่ะ ไปๆ ไปเลย ไปเตรียมตัว วันนี้เจ๊ขอสั่งให้แกเลิกงานเพื่อพาหนูนันท์ไปเที่ยวได้เลย โอเคนะ”
   แบงค์เกาหัวแกรกๆ ด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างใน ส่วนผมเองก็หยิบเงินออกจากกระเป๋าเพื่อที่จะจ่ายค่าลาเต้ปั่นกับเค้ก

   “บ่เป็นหยังจ้า เจ๊เลี้ยง”
   เจ๊บัวปฏิเสธที่จะรับเงินจากผม ผมพยายามคะยั้นคะยอที่จะจ่ายเงินให้ได้เพราะความเกรงใจ ก็แหม เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรกจะให้กินฟรีได้ไง น่าเกลียด ถึงแม้โดยปกติจะเป็นพวกชอบของฟรีก็ตามเหอะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเจ๊บัวก็ไม่ยอมรับเงินจำนวนนั้นจากผม ผมจึงเก็บเงินคืนใส่กระเป๋าพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ เจ๊บัวยกมือรับไหว้ผมแล้วจึงลุกขึ้นไปทำอะไรบางอย่างที่ตู้โชว์ขนมก่อนที่จะเดินกลับมาหาผม

   “เอ้านี่จ้ะ เอาไปแบ่งกันกินนะจ๊ะ เจ๊เลี้ยง”
   เจ๊บัวยื่นกล่องที่บรรจุทาร์ตไข่เอาไว้ข้างในให้กับผม ผมรับมันมาด้วยความเกรงใจพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณอีกรอบ

   “ไปกันเถอะครับนันท์ รีบไปก่อนที่เจ๊จะนึกเปลี่ยนใจดีกว่า ไปก่อนนะเจ๊ พรุ่งนี้เจอกัน”
   แบงค์เดินมาบอกผมก่อนที่จะหันไปโบกมือลาให้กับเจ๊บัว ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้ลาเจ๊บัวอีกรอบ

   “ว่างๆ ก็มาเที่ยว มานั่งเล่นได้นะจ๊ะ”
   เจ๊บัวเอ่ยลากับผม ผมหันไปยิ้มให้กับเจ๊บัวพร้อมกับก้มหัวให้ทีหนึ่งด้วยความเขินอายเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามแบงค์ที่ยืนรออยู่หน้าร้านออกไป
   

   “เอ่อ เรื่องที่เจ๊บัวแกพูดเมื่อกี้อย่าไปถือสาแกเลยนะครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเกรงใจเล็กน้อย ในขณะที่ผมเองก็ได้แต่เลิกคิ้วสูงกลับไปด้วยความสงสัยในคำพูดของอีกฝั่ง

   “ก็เรื่องแฟน เรื่องจีบอะไรนั่นน่ะครับ”
   “อ้อออ เฮ้ย บ่ต้องคิดมาก กูเฉยๆ แต่จะว่าไปเจ๊บัวแกก็เป็นคนตลกดีว่ะ”
   ผมตอบกลับไปในขณะที่เราทั้งสองกำลังเดินเข้าประตูห้างเมญ่า

   “ปกติแกก็เป็นคนแบบนั้นน่ะล่ะครับ บ้าๆ บอๆ แต่เพิ่งจะเคยเห็นแกดูสนุกสนานแบบนี้ก็กับนันท์เป็นคนแรกนี่ล่ะ สงสัยนันท์จะถูกชะตาแกซะแล้วล่ะมั้ง”

   แบงค์หันมายิ้มให้ผม เล่นเอาผมรู้สึกเขินอยู่เหมือนกันแฮะ เพราะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนสันดานถ่อยๆ แบบผมจะมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ

   “ว่าแต่เราจะไปไหนกันครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยคำถามเดิมเป็นรอบที่สามแล้ว ผมเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ กลับไป

   “นั่นสิ แล้วแต่มึงเลยละกันว่าอยากไปไหน”
   “อ้าว ไหงยังงั้นล่ะครับ ?”
   แบงค์ขมวดคิ้วถามกลับด้วยความสงสัยก่อนที่จะมองผมที่ตอนนี้ได้แต่ยิ้มแห้งๆ อยู่ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นสีหน้านั้นของผมก็หัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับขยับแว่นตาของตัวเองเล็กน้อยแล้วจึงยกฝ่ามือใหญ่ของตัวเองขึ้นมายีหัวผมเบาๆ

   “งั้นไปดูหนังกันมั้ยครับ มีเรื่องนึงที่ผมอยากดูอยู่พอดีเลย”
   แบงค์เอ่ยชวนในขณะที่ผมกำลังใช้มือจัดทรงผมของตัวเองให้เข้าที่อยู่
   “จะดูเรื่องอะหยังน่ะ”
   ผมถามในขณะที่มือก็แกะกล่องหยิบทาร์ตไข่ขึ้นมากินไปพลาง

   “นี่ไงครับ”
   แบงค์ชี้นิ้วไปยังโปสเตอร์หนังที่แปะอยู่ตรงทางขึ้นบันไดเลื่อน ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นโปสเตอร์หนังที่ว่า
   “ทำไมเหรอครับ ไม่อยากดูเหรอ”
   แบงค์เอ่ยถามผมเมื่อเห็นผมชะงักไปพร้อมกับทาร์ตไข่ที่ยังคงคาอยู่ในปาก

   “อ๋อ บ่ๆ แค่กำลังคิดว่าหนังแอคชั่นก็น่าจะสนุกดีน่ะ”
   แบงค์ออกอาการยิ้มดีใจอย่างออกนอกหน้าทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนที่จะเดินนำหน้าผมไปยังลิฟท์แก้วทันทีด้วยความรวดเร็ว

   สรุปว่ากูต้องดูหนังเรื่องเดิมถึงสองรอบภายในวันเดียวเหรอวะเนี่ย จะพูดก็พูดไม่ได้อีกเพราะแม่งเสือกเป็นคนชวนแถมยังบอกให้อีกฝ่ายเลือกเองด้วย เอาวะ ช่างแม่ง รอบสองก็รอบสอง

   “เออ จะว่าไปมึงกับกูยังบ่ได้เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊กกันเลยใช่ปะวะ”
   ผมหันไปถามแบงค์ระหว่างที่เราทั้งสองกำลังยืนรอลิฟท์แก้วพร้อมกับยื่นทาร์ตไข่ชิ้นสุดท้ายให้แบงค์ เจ้าตัวพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบให้ผมก่อนที่จะปฏิเสธทาร์ตไข่ชิ้นนั้น ผมจึงหยิบมือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับจัดการทาร์ตไข่ชิ้นสุดท้ายด้วยความเอร็ดอร่อย

   “เฟซบุ๊กมึงชื่อว่าอะหยัง”
   “พาวเวอร์แบงค์ ครับ อ้อ แล้วก็อีกอย่างผมชื่อแบงค์ด้วยนะครับ”
   “ห๊ะ!?”
   ผมหันไปขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายด้วยความสงสัยเล็กน้อย

   “เฟซบุ๊กผมชื่อว่า พาวเวอร์แบงค์ ครับ ส่วนตัวผมน่ะชื่อแบงค์”
   “รู้ว่ามึงชื่อแบงค์ จะบอกกูทำไมวะ”
   “ก็นันท์เอาแต่เรียกผมว่า มึงๆๆๆ ฟังแล้วมันรู้สึกแปลกๆ น่ะครับ เลยอยากให้เรียกผมว่าแบงค์ดีกว่าเถอะครับ”
   แบงค์เอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อยทำเอาผมถึงกับฉุกใจคิดขึ้นมาได้ เออแฮะ จะว่าไปที่ผ่านมาก็เอาแต่เรียกมึงๆ แทนที่จะเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายจริงๆ นั่นล่ะ นี่ถ้าเจ้าตัวไม่ทักก็คงจะไม่รู้ตัวไปอีกนานเลยนะนั่น

   “บ่ะ...แบงค์”
   ผมเอ่ยชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะรู้สึกเขินเหี้ยอะไรขึ้นมากับอีแค่เรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายเนี่ย

   “อย่างนั้นล่ะครับ จะได้ดูสนิทๆ กันมากขึ้น”
   “บ่เอาว่ะ บ่คุ้นปาก”
   “อ้าว ไหงงั้นล่ะครับ”
   “ก็กูชินของกูแบบนี้อะ เวลากูคุยกับเพื่อนๆ กูก็คุยแบบนี้นี่ล่ะ มีแต่มึงน่ะล่ะ ที่พูดจาสุภาพชิบหาย”
   “แล้วมันไม่ดีเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

   “ก็ดี แต่สนิทของมึงกับสนิทของกูมันบ่เหมือนกันไง สำหรับกูน่ะ เรียกมึงกูเนี่ย สนิทที่สุดแล้ว”
   “อ่า งั้นก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่ากัน”
   “เออ”
   แบงค์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอามือขึ้นมายีหัวผมอีกรอบ ผมพิมพ์ค้นหาเฟซบุ๊กของแบงค์ทันที
ทว่า...

   “ไหนวะ บ่เห็นมีเลย”
   ผมถามพร้อมกับยื่นหน้าจอมือถือให้แบงค์ดู เจ้าตัวก้มมองดูมือถืออยู่ครู่หนึ่งก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ
   “เอ่อ ขอโทษครับ ลืมบอกไปว่าชื่อเฟซบุ๊กของผมมันเป็นภาษาอังกฤษน่ะครับ”
   ผมรีบหันมือถือกลับมาดูทันทีเมื่อได้ยินแบงค์พูดเช่นนั้น
ใช่ครับ ผมพิมพ์ภาษาไทยไปน่ะ

   “กูจะไปรู้เหรอวะ ก็มึงบ่บอกนี่”
   ผมพูดแก้เก้อออกไปเพื่อกลับความอายของตัวเองพร้อมกับกดลบแล้วพิมพ์ใหม่อีกรอบ แต่ก็...
   “ไหนเนี่ย บ่เห็นมีเลยจริงๆ นะเฮ้ย”
   ผมพูดพร้อมกับย่นจมูกขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่จะยื่นหน้าจอมือถือให้แบงค์ดูอีกรอบ อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปชั่วครู่เมื่อเห็นหน้าจอมือถือของผมแล้วจึงหยิบมือถือไปจากมือของผมพร้อมกับกดพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปก่อนที่จะส่งมือถือคืนให้ผม

   “เรียบร้อยแล้วครับ ผมกดแอดให้ละ”
   แบงค์พูดพร้อมกับหยิบมือถือของตัวเองออกมา ในขณะที่ผมยังคงงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลิฟท์แก้วนั้นก็มาพอดี

   “นันท์ครับ เดี๋ยววันจันทร์ผมจะติววิชาภาษาอังกฤษเพิ่มให้นะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับเดินเข้าลิฟท์แก้วไปอย่างรวดเร็ว ผมหงายมือถือขึ้นมาดูหน้าจอจึงรู้ได้ในทันทีเลยว่า

   กูพิมพ์ผิดไปนั่นเอง

   ผมรู้สึกว่าตัวเองโง่ขึ้นไปอีกระดับทันทีก่อนที่จะเก็บมือถือใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินเข้าไปในลิฟท์แก้วโดยที่มีแบงค์กำลังยิ้มหัวเราะเบาๆ รอผมอยู่ด้านใน
   

   อย่าหัวเราะให้มากนักสิวะ กูอาย รู้มั้ย ฮือๆ

จบคาบเรียนที่สาม


   มุม Caption ไร้สาระ
   นันทการ และ Power Bankได้เป็นเพื่อนกันแล้ว
   BourRai ได้ถูกใจสิ่งนี้
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 3 พาวเวอร์ แบงค์ (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-10-2018 18:01:29
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 3 พาวเวอร์ แบงค์ (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 05-10-2018 18:37:15
นันท์น่าร้ากกก  :-[
พยายามอ่านด้วยสำเนียงเหนือไปด้วย รู้สึกอ่านช้าลงเยอะเลย 555
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 ใครคนนั้น (5-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 07-10-2018 16:17:43
   คาบเรียนที่สี่

   ท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงัดของค่ำคืนที่พอจะมีดวงดาวกำลังส่องแสงประกายระยิบระยับให้เห็นอยู่บ้างถึงแม้จะไม่ได้มากมายนัก ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรจากบริเวณรอบข้างเลยแม้แต่นิดเดียว นอกเสียจากเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นของแบงค์เท่านั้น

   ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกพวกนี้มันคืออะไรกัน

   
   ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง

   “เฮ้ย ไอ้นันท์ วันนี้มีซ้อมดนตรีที่ชมรมนะเว้ย อย่าลืมมาล่ะ”
   ไอ้เต้ยบอกกับผมในขณะที่พวกเรากำลังพักเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหาร

   “กูมีติวกับแบงค์ว่ะ อีกอย่างกูไปก็บ่ได้ไปทำเหี้ยอะหยังนอกจากคอยเสิร์ฟน้ำ ซื้อขนม เก็บของให้พวกมึงเท่านั้น”
   ผมบ่นออกไปก่อนที่จะตักข้าวขาหมูหนึ่งในเมนูโปรดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

   “ก็เพราะอย่างนั่นน่ะล่ะมึงถึงยิ่งต้องไปให้ได้ มึงน่ะอยู่ชมชมรมดนตรีแท้ๆ แต่เสือกเล่นเหี้ยอะหยังบ่ได้สักอย่าง ร้องเพลงก็เสียงอย่างกับกอลลั่มโดนข่มขืน เพราะงั้นหน้าที่ของมึงในชมรมก็คือ เจเนอรัลเบ๊ ก็ถูกต้องแล้วน่ะล่ะ”
   ไอ้เต้ยบ่นรัวใส่ผมทันทีอย่างไม่ยั้ง ผมย่นจมูกเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้ารับคำไปอย่างเสียไม่ได้

ใช่แล้วครับ ผมอยู่ชมรมดนตรีเช่นเดียวกับไอ้เต้ย ส่วนไอ้ยีสต์อยู่ชมรมการแสดงด้วยเหตุผลเพราะมีสาวๆ เยอะ ในขณะที่ไอ้โอ๊ตอยู่ชมรมคอมพิวเตอร์ซึ่งก็น่าจะเหมาะกับมันที่สุดแล้ว ทว่าถึงผมจะอยู่ชมรมดนตรีก็จริง แต่ผมกลับไม่สามารถไม่สามารถเล่นเครื่องดนตรีอะไรได้เลยสักอย่าง ขนาดเปล่าขลุ่ยในวิชาดนตรียังเพี้ยนเลยคิดดู  เพราะฉะนั้นหน้าที่ของผมในชมรมจึงอยู่ในส่วนของงานจิปาถะทั่วไปหรือก็คือ เจเนอรัลเบ๊ อย่างที่ไอ้เต้ยมันว่าเอาไว้นั่นล่ะครับ

   อนึ่ง เจเนอรัลเบ๊ เป็นชื่อตำแหน่งที่ไอ้เต้ยเป็นคนคิดและแต่งตั้งให้กับผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมสมควรจะดีใจกับชื่อตำแหน่งนี้ดีหรือไม่

   “เออๆ มึงจะซ้อมกันถึงกี่โมงน่ะ”
   ผมหันไปถามไอ้เต้ย

   “บ่รู้ว่ะ แต่คงดึกนิดหน่อย แต่บ่น่าจะดึกมาก”
   “เออ งั้นเดี๋ยวกูติวเสร็จแล้วกูจะเข้าไป เอ้อ อีกอย่างวันนี้มึงไปส่งกูที่บ้านด้วยนะสัส รถกูยางรั่วยังบ่ได้เอาไปปะเลยว่ะ”

   “อ้าว แล้วเมื่อเช้ามึงมายังไงวะ”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยถามผมในขณะที่ข้าวยังคงเต็มปาก ช่างเป็นภาพที่ชวนเวทนายิ่งนัก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงไอ้ยีสต์ถึงจะไม่ได้หล่อมากมายเหมือนไอ้เต้ยแต่ก็ถือว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ด้วยความซกมกที่เป็นอยู่ เลยทำให้คะแนนความนิยมในตัวมันต่อสาวๆ เป็นศูนย์หรืออาจจะติดลบเลยก็ว่าได้

   “กูให้ลุงข้างบ้านเขามาส่งกูน่ะ โอเคนะมึง ไอ้เต้ย”
   ไอ้เต้ยพยักหน้าตอบตกลงให้กับข้อเรียกร้องของผม
   

   ตกเย็น
   “งั้นถ้ายังไงมึงเสร็จแล้วก็รีบๆ มานะเว้ย”
   ไอ้เต้ยตะโกนบอกผม ผมหันกลับไปพยักหน้าตกลงก่อนที่จะรีบมุ่งไปยังโรงอาหารด้วยความรวดเร็ว

   “วันนี้ขอติวภาษาอังกฤษนะครับ ส่วนวิชาคณิตศาสตร์เอาไว้ก่อน”
   แบงค์ชิงพูดขึ้นมาทันทีที่เห็นผมเดินมาถึง

   “สัส พอเหอะ อย่าแซวเยอะ เดี๋ยวมึงจะโดนกูต่อย”
   ผมขมวดคิ้วย่นจมูกใส่เพื่อกลบความอายนั้นเอาไว้ ในขณะที่ตัวคนแซวยังคงยิ้มหัวเราะเบาๆ อยู่ ผมหยิบสมุดการบ้านขึ้นมาเพื่อทบทวน แต่ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าให้แบงค์ช่วยสอนน่าจะถูกต้องมากกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ว่าแต่วันนั้นน่ะครับ”
   ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเมื่อได้ยินแบงค์เอ่ยทักขึ้นมา

   “วันนั้น?”
   “ก็ที่ไปดูหนังกันน่ะครับ”
   “ทำไมวะ”
   ผมเลิกคิ้วสูงถามด้วยความสงสัย

   “พอดีผมเห็นในเฟซบุ๊กของนันท์น่ะครับ ก็เลยเห็นว่านันท์ดูหนังเรื่องนั้นไปแล้วก่อนที่จะมาหาผมที่ร้านกาแฟ”
   แบงค์พูดออกมาด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ
   “อืม แล้วทำไมวะ”
   ผมถามย้ำ

   “ก็ทำไมนันท์ไม่บอกผมล่ะครับ ว่านันท์ดูเรื่องนั้นแล้ว ผมจะได้เลือกเรื่องอื่นแทน”
   ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สมองเมล็ดถั่วของผมจะประมวลผลได้

   “อ้ออออออออออออออออออ”
   ผมลากเสียงยาว จนแบงค์ถึงกับเลิกคิ้วสูงมองผมด้วยความตกใจ

   “คิดมากน่ะมึง ก็กูเป็นคนบอกมึงเองบ่ใช่เหรอว่าให้มึงเป็นคนตัดสินใจ เพราะงั้นกูก็เลยบ่ได้คิดอะหยังมากนัก นี่กูเองยังลืมไปแล้วด้วยนะเนี่ย”
   “แต่...”
   “อีกอย่างนะ”
   ผมขัดคอแบงค์พร้อมกับเอื้อมมือของตัวเองไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้

   “การที่มีคนไปดูหนังด้วย มันก็รู้สึกดีกว่านั่งดูคนเดียวจริงๆ ว่ะ”
   ผมพูดยิ้มให้กับแบงค์พร้อมกับภาพความทรงจำที่ต้องเข้าดูหนังคนเดียวเมื่อวันนั้นก็ผุดขึ้นมาให้จำความรู้สึกอันขมขื่นนั้นได้ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนั้นก็ยิ้มตอบกลับให้ผมก่อนที่จะก้มลงไปมองมือผมที่กำลังกุมมือของแบงค์เอาไว้ พร้อมกับผมที่ฉุกใจอะไรบางอย่างได้ในทันทีทันใด

   “เอ่อ หมายถึงเรื่องไปดูหนังน่ะ คือแบบ...”
   ผมพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักก่อนที่จะรีบดึงมือตัวเองกลับมาทันที แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีของผมก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอมยิ้มพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

   “เฮ้ยมึง ข้อนี้นี่ยังไงวะ ใช่แบบนี้ป่ะ ?”
   ผมเปลี่ยนเรื่องด้วยความรวดเร็วพร้อมกับยื่นสมุดให้ แบงค์หยิบมันไปดูครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวางสมุดลงบนโต๊ะแล้วอธิบายให้ผมฟัง

   “เกือบถูกแล้วครับ แต่ตรงนี้ต้องทำแบบนี้นะครับ”
   แบงค์ใช้นิ้วชี้ไปยังจุดที่ว่า ผมพยายามจะชะเง้อตะแคงคอดูด้วยความยากลำบากอันเนื่องมาจากการที่ต้องหมุนสมุดไปมา แบงค์จ้องมองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน แล้วเดินอ้อมโต๊ะอาหารมายืนข้างๆ ผม ผมเงยหน้ามองด้วยความสงสัย

   “ทำอะหยังน่ะ”
   ผมถามแบงค์ด้วยความสงสัย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็นั่งลงข้างๆ ผมด้วยความรวดเร็วแล้วจึงหันมามองหน้าผมพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

   “ก็แบบนี้ผมว่ามันใกล้กันดีน่ะครับ ติวง่าย ไม่ต้องชะเง้อไม่ต้องตะแคงคอให้เมื่อยยังไงล่ะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับหยิบสมุดเข้ามาใกล้ตัว ก่อนที่จะขยับเข้ามานั่งใกล้ผมยิ่งขึ้นกว่าเดิม ใกล้มากจนชนิดที่ผมได้ยินเสียงลมหายใจและยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของอีกฝ่ายเลยก็ว่าได้

   ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ
   ตึกๆ พ่องมึงสิ กูจะใจเต้นเพื่อ ???

   
   “เอาล่ะงั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนนะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ใส่กระเป๋าเช่นเดียวกันกับผม

   “แล้วนี่เดี๋ยวมึงจะกลับเลยเหรอวะ”
   ผมหันไปถาม เจ้าตัวพยักหน้าเป็นคำตอบกลับมา

   “ทำไมเหรอครับ”
   “เปล่า กูถามเฉยๆ น่ะ”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มหัวเราะเบาๆ แบงค์เองเมื่อได้ยินผมตอบเช่นนั้น ก็ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มให้ผมพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเบาๆ

   “งั้นผมกลับก่อนนะครับ พรุ่งนี้เจอกัน กลับบ้านดีๆ นะครับ”
   แบงค์กล่าวลากับผมก่อนที่จะเดินออกไป ผมยิ้มพร้อมกับโบกมือเล็กน้อยแทนการบอกลา

   จะว่าไปนี่ก็ผ่านมาประมาณเดือนเศษๆ แล้วเหรอเนี่ยที่ผมเริ่มติวหนังสือกับแบงค์ วันเวลามันก็ผ่านไปไวเหมือนกันแฮะ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ได้เก่งอะไรขึ้นมามากมายนักอาจจะเพราะด้วยสมองเมล็ดถั่วก็เป็นได้ ฮ่าฮ่าฮ่าแต่ถึงกระนั้นผมก็กลับรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ปกติผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยแท้ๆ

   มันเพราะอะไรกันนะ


   “โห ไอเหี้ย มาช้าโคตร กูนึกว่ามึงหนีกลับบ้านไปแล้วนะเนี่ย”
   ไอ้เต้ยบ่นขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูห้องชมรมเข้าไป

   “หนีพ่องสิ กูกลับได้ซะที่ไหนล่ะ”
   ผมสวนกลับไปก่อนที่วางกระเป๋าสะพายลงที่มุมห้อง

   “หวัดดีครับพี่นันท์ บ่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
   เสียงของไอ้น้องไนท์ รุ่นน้องชั้น ม.สี่ มือเบสของชมรมเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมพยักหน้ากลับไปพร้อมกับหันไปยักคิ้วให้ไอ้กอล์ฟมือคีย์บอร์ดซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันเท่าไหร่หรอกดูเก๊กๆ ยังไงก็ไม่รู้ ถึงแม้จะยอมรับว่ามันหน้าตาดีเมื่อเทียบกับผมก็ตามทีเถอะ ก่อนที่จะหันไปยกมือไหว้พี่สาธิตรุ่นพี่ชั้น ม.หก ซึ่งเป็นมือกลองประจำวง

   “โห มายด์ สวยขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ไปทำอะหยังมาน่ะ”
   ผมหันไปถามมายด์ เด็กสาวตัวเล็กผมยาวนักร้องนำหญิงของชมรม เธอเรียนอยู่ชั้น ม.ห้า เช่นเดียวกับพวกผม

   “แหม ปากหวานจังนะ พูดจริงเหรอเนี่ย”
   มายด์ยิ้มพร้อมกับบิดตัวไปมา ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าผมทำนิ้วไขว้กันเป็นสัญลักษณ์ว่าผมโกหก เธอจึงปาสมุดโน้ตเพลงใส่ผมแต่ก็ไม่โดนเพราะผมหลบทัน ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ว่าแต่หานักร้องชายคนใหม่ได้รึยังน่ะ”
   ผมหันไปถามมายด์ พร้อมกับเดินไปเก็บสมุดโน้ตเพลงคืนที่

   “ยังเลย ยังบ่มีใครตรงกับอิมเมจที่ต้องการเลยสักคน บางคนอิมเมจได้ แต่เสียงบ่ผ่าน บางคนเสียงผ่าน แต่อิมเมจบ่ได้”
   “อิมเมจ? อิมเมจคืออะหยัง แล้วเกี่ยวอะหยังกับอิมเมจวะ”
   ผมหันไปขมวดคิ้วถามมายด์ด้วยความสงสัย เธอเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็เลิกคิ้วสูงหันไปมองคนอื่นในห้องซ้อมก่อนที่จะหันมามองผม

   “จะว่ายังไงดีล่ะ อิมเมจก็คือภาพลักษณ์ ถ้าเรามีนักร้องที่นอกจากจะเสียงดีแล้วยังมีภาพลักษณ์ที่ดีด้วย มันก็ย่อมดีกว่ายังไงล่ะ”
   “สรุปก็คือขายหน้าตาว่างั้น”
   ผมถามกลับไปอีกรอบ มายด์ถึงกับเอามือกุมขมับทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น
กูพูดผิดตรงไหนวะเนี่ย

   “เออๆ ช่างเหอะ อธิบายไป มึงก็บ่เข้าใจ เอาเป็นว่าหน้าที่มึงตอนนี้ คือไปซื้อขนมมาให้พวกกูหน่อย โอเคนะ ไอ้เจเนอรัลเบ๊”
   ไอ้เต้ยรีบพูดตัดบททันทีด้วยความรำคาญพร้อมกับทำท่าปัดมือไล่ผม ผมทำหน้าบูดย่นจมูกพร้อมกับแบมือยื่นใส่ไอ้เต้ยส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วหยิบบัตรสมาร์ตเพิร์สยื่นให้ผม

   “ในนั้นมีอยู่ประมาณสามร้อยกว่า มึงจะซื้ออะหยังก็ซื้อมา ส่วนใครเอาอะหยังก็บอกไอ้นันท์เอานะ”
   ผมเดินไปหยิบกระดาษกับปากกาจากในกระเป๋าสะพายมาจดทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยพูดเช่นนั้น ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปหลังจากที่รับคำสั่งจากแต่ละคนเสร็จ

หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 ใครคนนั้น (5-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 07-10-2018 16:21:38
   นี่ล่ะครับชีวิตของ เจเนอรัลเบ๊ อย่างผม ฮืฮๆ ชีวิตช่างน่ารันทดฉิบหาย เป็นทาสให้เขาจิกหัวใช้

   “เดี๋ยวครับ พี่นันท์รอผมก่อน”
   เสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อของผมในขณะที่ผมกำลังเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ผมหันไปยังต้นเสียงนั้น ซึ่งเจ้าของเสียงที่คุ้นหูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้น้องไนท์นั่นเองครับ

   “หืม ว่าไง จะฝากซื้ออะหยังเพิ่มวะ”
   ผมเลิกคิ้วสูงถามไอ้น้องไนท์พร้อมกับหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เอาปากกาติดตัวมาด้วย ไอ้น้องไนท์ยกมือปัดปฏิเสธเบาๆ ในขณะที่เจ้าตัวดูจะมีอาการหอบเล็กน้อย คงเป็นเพราะวิ่งตามผมออกมา

   “เปล่าครับ แค่จะไปเซเว่นด้วยน่ะครับ อยากไปดูไปเลือกเองมากกว่า อีกอย่างเผื่อจะได้ช่วยพี่ถือของด้วยน่ะ”
   ไอ้น้องไนท์บอกพร้อมกับยิ้มหัวเราะแห่ะๆ ให้ผม ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยกนิ้วโป้งเป็นเชิงว่าเยี่ยมให้ไอ้น้องไนท์ทันที นี่สินะที่เขากล่าวไว้ว่านครล้านนายังไม่สิ้นคนดี ฮ่าฮ่าฮ่า

   ทันทีที่ไปถึงเซเว่นผมกับไอ้น้องไนท์ก็ช่วยกันเลือกซื้อของกันอยู่พักหนึ่งแล้วจึงนำไปคิดเงิน ก่อนที่จะช่วยกันถือออกมา

   “ช่วงนี้บ่ค่อยเห็นพี่นันท์มาที่ชมรมเลยนะครับ”
   ไอ้น้องไนท์หันมาถามผมในระหว่างที่เราทั้งสองกำลังเดินกลับไปยังห้องชมรม

   “ก็นิดหน่อยว่ะ พอดีช่วงนี้กูมีเหตุจำเป็นเลยต้องติวหนังสือนิดหน่อยน่ะ”
   “โห ขยันจังเลยนะครับพี่นันท์เนี่ย อย่างนี้ต้องเก่งมากเลยแน่ๆ”

   ผมยิ้มแห้งๆ กลับไปโดยไม่พูดอะไรต่อเพราะกลัวจะเป็นการประจานความโง่ของตัวเอง คือไอ้น้องไนท์เขาเป็นสมาชิกใหม่ของชมรมน่ะครับ เพิ่งเข้ามาเมื่อตอนต้นเทอมที่ผ่านมานี่เอง แต่มีฝีมือที่น่าสนใจเลยได้เป็นตัวหลักของวง เฉกเช่นเดียวกับผมที่เป็นตัวหลักของวงเหมือนกัน

ตัวหลักในเรื่องเจเนรัลเบ๊อะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ทำไม คิดถึงกูเหรอวะ”
   ผมหันไปยิ้มแซวไอ้น้องไนท์ที่กำลังหยิบจับของในถุงขึ้นมาดู เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองหน้าผมทันทีด้วยความรวดเร็ว

   “ก็แล้วถ้าผมจะบอกว่า...”
   “เฮ้ย ล้อเล่นน่า ปะ รีบไปเหอะ เดี๋ยวไอ้เต้ยมันจะด่าเอา ไอ้ห่านี่ชอบหงุดหงิดจิตงุดเงี้ยวง่ายอยู่ด้วย”
   ผมพูดพร้อมกับตบเบาๆ ที่หลังของไอ้น้องไนท์ เจ้าตัวเองยิ้มแห้งให้กับผมก่อนที่เราทั้งสองจะเร่งฝีเท้ากัน และในจังหวะนั้นเองสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ผมคุ้นเคย

   “อ้าว มึง ไอ้แบงค์ มาทำอะหยังแถวนี้วะ!”
   ผมตะโกนเสียงดังเรียกอีกฝ่าย เจ้าตัวเองหันมามองด้วยสีหน้างงๆ พร้อมกับขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มให้เมื่อเห็นว่าคนที่ตะโกนเรียกชื่อของตนเป็นผมนั่นเอง

   “ผมออกมาหาอะไรกินน่ะครับ แล้วนันท์ล่ะ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
   “ยังๆ พอดีที่ชมรมดนตรีเขามีซ้อมน่ะ ก็เลยอยู่ช่วยนิดหน่อย”
   “อ๊ะ นันท์เล่นดนตรีเป็นด้วยเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถาม แต่เดี๋ยวนะ ไอ้คำถามกับสีหน้าตกใจแบบนั้นมันหมายความว่าไงวะ

   “บ่ๆ กูอยู่แผนกเจเนอรัลเบ๊น่ะ นี่ก็เพิ่งซื้อขนมเสร็จกำลังจะกลับไปที่ห้องชมรมเอ้อ นี่ไอ้ไนท์ รุ่นน้องที่ชมรม ส่วนนี่แบงค์คนที่ติวให้กูน่ะ”
   ผมแนะนำทั้งสองให้รู้จักกันหลังจากที่สังเกตเห็นอาการของไอ้น้องไนท์ที่กำลังทำสีหน้ามึนงงอยู่ ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ไอ้น้องไนท์จะยกมือไหว้พร้อมกับอีกฝ่ายที่รีบยกมือรับไหว้ด้วยความเกรงใจ

   “ว่าแต่มึงพักอยู่แถวนี้เหรอวะ”
   ผมเอ่ยถามแบงค์เพราะสังเกตจากชุดที่อีกฝ่ายใส่อยู่ตอนนี้ซึ่งเป็นชุดสบายๆ เสื้อยืด กางเกงบอลธรรมดา พ่วงด้วยรองเท้าแตะหนีบช้างดาวที่สภาพตอนนี้ที่ไม่น่าจะเรียกว่าช้างได้แล้วเพราะค่อนข้างจะเยินจนไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ช่างเป็นคนที่ไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองเลยสักนิดเดียวจริงๆ แฮะ

   “ใช่ครับ ว่าแต่เจอนันท์ก็ดีเลยครับ พอดีว่าเหมือนสมุดการบ้านของผมน่าจะติดไปกับกระเป๋าของนันท์น่ะครับ”
   “จริงดิ บ่ทันได้สังเกตแฮะ กระเป๋าอยู่ที่ห้องชมรมด้วยน่ะ จะเอาเลยใช่ปะ งั้นตามกูมา พร้อมกับเอานี่ไปด้วย”
   ผมพูดพร้อมกับยื่นถุงขนมให้อีกฝ่ายถือ เจ้าตัวรับมันไปด้วยท่าทีงงๆ เล็กน้อย ผมเดินนำหน้าไอ้น้องไนท์และแบงค์ออกไป ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามมาประกบผมซ้ายขวา

ผมในตอนนี้มีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพระราชาที่มีองครักษ์คอยอารักขายิ่งนัก เพราะมีไอ้น้องไนท์เดินขนาบซ้ายและแบงค์เดินขนาบขวา ประหนึ่งว่าโลกใบนี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว วะฮ่าฮ่าฮ่า

   แต่…

   พอลองคิดดูให้ดีๆ เมื่อหันไปดูความสูงของทั้งสองแล้วย้อนมองดูตัวเอง ก็กลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนแคระกับองครักษ์เผ่าเอลฟ์ในหนังเรื่องฮอบบิทมากกว่ายังไงก็ไมรู้แฮะ พวกมึงทั้งสองจะสูงกันไปไหนนักหนาวะ ไม่เห็นใจคนเตี้ย เอ้ย คนขนาดพกพาสะดวกแถวนี้กันเลยนะ ฮืฮๆ

   “มาช้านะมึง กูนึกว่ามึงไปซื้อถึงดาวพลูโต”
   ไอ้เต้ยบ่นทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามา ผมชูนิ้วกลางให้คนบ่นก่อนที่จะหยิบถุงขนมจากแบงค์ไปวางลงบนโต๊ะข้างห้อง

   “หือ นั่นใครเหรอนันท์”
   มายด์หันมาถามผมในขณะที่เจ้าตัวกำลังหยิบขนมในถุงออกมา

   “อ๋อ ชื่อแบงค์น่ะ คนที่ติวหนังสือให้เราตอนเย็น พอดีสมุดการบ้านเขาติดมากับกระเป๋าเรา ก็เลยมาเอาคืนน่ะ”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับยื่นบัตรคืนให้ไอ้เต้ยก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองมาเปิดดู อ๊ะ นี่ไง มีสมุดที่มีชื่อ “นายปกปักษ์” เขียนเอาไว้ที่หน้าปกติดมาในกระเป๋าของผมจริงๆ ด้วยแฮะ

   ว่าแต่ชื่อจริงของแบงค์คือ “ปกปักษ์” เหรอเนี่ย ไม่เคยสังเกตเลยแฮะ ช่างเป็นชื่อที่แปลกหูอยู่ไม่น้อย

   “ขอโทษด้วยว่ะที่บ่ได้ดูให้ดีก่อน”
   ผมยื่นสมุดส่งคืนไปยังเจ้าของ

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ได้ดูให้ดีด้วย ขอบคุณนะ ไปก่อนนะครับ ขอโทษที่มารบกวนนะครับทุกคน”
   แบงค์พูดพร้อมกับเอามือมายีหัวผมแล้วจึงโค้งคำนับให้กับคนอื่นๆ ในห้องก่อนที่จะเดินออกไป ดูเหมือนช่วงนี้แบงค์จะเริ่มติดเป็นนิสัยแล้วแฮะกับการเอามือมายีหัวผมเนี่ย แต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือรู้สึกไม่ดีอะไรเลยแม้แต่น้อย   

   ทำไมกันนะ

   “โหย เพื่อนนันท์ที่ชื่อแบงค์นี่สูงดีนะเนี่ย สูงเท่าไหร่เหรอ”
   มายด์หันมาถามผมในขณะที่เจ้าตัวกำลังแกะขนมกินไปด้วย

   “เห็นเจ้าตัวบอกว่าร้อยแปดสิบห้าหรือแปดสิบหกราวๆ นี้มั้งนะ”
   “ชิ สูงกว่าผมจริงๆ ด้วย ผมสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบเก้าเอง”
   ไอ้น้องไนท์บ่นอุบอิบเล็กน้อย ผมหันไปเหลือบมองอีกฝั่งแวบหนึ่งก่อนที่จะยิ้มแห้งๆ ให้ ก็แหม กล้าใช้คำว่า "แค่ร้อยเจ็ดสิบเก้าเอง" เหอะๆๆๆ จะใช้คำอะไรก็รบกวนเกรงอกเกรงใจคนที่สูง "ตั้งร้อยหกสิบสี่" อย่างกูบ้างก็ดีนะไอ้น้อง เดี๋ยวปั๊ดกระโดดเตะก้านคอเสียเลยนี่

   “โหย ใช่เลย อิมเมจได้เลยนะเนี่ย”
   มายด์พูดพร้อมกับกุมมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าอก ดูท่าเธอจะติดใจแบงค์เสียแล้วล่ะมั้ง

   “อิมเมจ อิมเมจอะหยัง”
   ผมหันไปถามด้วยความงุนงง

   “ก็อิมเมจแบบผู้ชายอบอุ่นใจดี ยิ้มทีใจละลายยังไงล่ะ ยิ่งตอนเมื่อกี๊ที่ยีหัวนันท์อะนะ ขอบอกว่าชวนกรี๊ดมากกก ถ้าจับมาขัดสีฉวีวันเปลี่ยนโฉมสักหน่อยนะ เกิดแน่ๆ”
   มายด์ตอบกลับมาในขณะที่เธอยังคงอยู่ในอาการเพ้ออยู่จนพี่สาธิตถึงกับขมวดคิ้วหรี่ตามอง ส่วนไอ้น้องไนท์ทำเสียงเดาะลิ้นนิดหนึ่ง ในขณะที่ตัวผมเองนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินมายด์พูดเช่นนั้น

   แบงค์ในสายตาสาวๆ เป็นอย่างนั้นเหรอวะ
   ไม่ม้างงง ถ้าเป็นงั้นจริง คงไม่โดนเหล่าบรรดาแฟนเก่าบอกเลิกมาถึงสี่คนหรอก

   “เดี๋ยวมานะ”
   มายด์พูดพร้อมกับเดินเปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็ว จนไม่ทันที่พวกผมจะได้เอ่ยถามอะไรแม้แต่นิดเดียว

   
   “เอ่อ จะให้ผมลองจริงๆ เหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามพวกผม ในขณะที่เจ้าตัวกำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงหน้าไมค์ พวกผมหันมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับแบงค์

   คือมันสืบเนื่องมาจากที่มายด์วิ่งออกไปเมื่อกี๊น่ะครับ เธอวิ่งออกไปตามแบงค์มาเพื่อให้ลองออดิชั่นดู แบงค์เองคงจะเกรงใจมายด์ด้วยล่ะมั้ง เลยยอมตามมาอย่างว่าง่าย

   “ลองเลือกเพลงที่แบงค์คิดว่าร้องได้ จากสมุดโน้ตเพลงตรงหน้านั้นเลยนะ”
   มายด์พยามยามเชียร์ ในขณะที่แบงค์เองก็มีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ผมชูสองนิ้วเพื่อให้กำลังใจ เจ้าตัวยิ้มให้ผมด้วยความเขินอายเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดสมุดโน้ตเพลงขึ้นมาดู

   “เอ่อ คิดว่าเพลงนี้น่าจะได้นะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับยื่นสมุดโน้ตเพลงให้มายด์หลังจากที่เจ้าตัวยืนเลือกอยู่ครู่หนึ่ง มายด์รับมันมาดูก่อนที่จะส่งต่อให้คนอื่นในวง หลังจากนั้นทุกคนก็เข้าประจำที่ยังเครื่องดนตรีของตัวเองทันทีที่เห็นชื่อเพลง

   “เดี๋ยวท่อนเปิดท่อนแรกนี่ เราจะร้องนำให้ก่อนนะ พอถึงท่อนถัดไป ก็ตานายเลย โอเคนะ”
   ไอ้เต้ยบอกกับแบงค์ เจ้าตัวพยักหน้าตกลงด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อยแต่ก็พยายามที่จะเก็บมันเอาไว้ ว่าแต่ตกลงแบงค์เลือกเพลงอะไรหว่า

   ทันทีที่คีย์บอร์ดบรรเลงอินโทรเพลงขึ้น แบงค์ก็หันมามองผมอีกรอบ ผมจึงยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างกลับไปเป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 ใครคนนั้น (5-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 07-10-2018 16:28:20
ใครคนนั้น - Bedroom Audio (https://www.youtube.com/watch?v=bSs2QCAM2Y0)

ยังจะรอความรัก...ให้ผ่านเข้ามา.......ยังจะตามค้นหา..ครึ่งหนึ่ง..ที่หล่นหาย......
แม้ไม่รู้ว่าเป็นใคร เก็บความรักรอให้เธอผ่านมา...

   ทันทีที่ไอ้เต้ยนำจบ แบงค์ก็หลับตาลงพร้อมกับกุมไมค์เอาไว้แน่น

ปล่อยให้วันและคืนรอบตัวหมุนไป ปล่อยให้ความเหงาเข้ามาเป็นเพื่อนในใจ
จะแดดจะฝน จะทุกข์ก็ทน ยิ้มสู้กันไป บนทางอ้างว้างที่ไม่มีผู้ใด
บางทีก็ยังสงสัยลึกๆ ในใจ บางคืนก็เหงาแทบทนไม่ไหว
คนหนึ่งคนของฉันคนนั้นเป็นใคร ก็ยังต้องค้นต้องหากันต่อไป
ยังคงรอคอยความรักให้ผ่านเข้ามา ยังคงคอยตามค้นหาครึ่งหนึ่งที่หล่นหาย
ยังรอใครคนนั้นแม้ไม่รู้ว่าเป็นใคร ยังเก็บความรักรอให้เธอผ่านมา....

   แบงค์ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับจ้องสายตามองมาทางผมที่ตอนนี้กำลังอึ้งอยู่กับเสียงของอีกฝ่าย ก่อนที่จะถึงเพลงท่อนต่อไป
   
อยากมีคนจับมือคอยปลอบโยนเมื่อร้อนใจ วันที่ท้อก็อยากมีคนให้ซบไหล่
ค่ำคืนเหน็บหนาวจะกอดเอาไว้แนบกาย กุมมือเธอไว้คงอุ่นไปทั้งหัวใจ
บางทีก็ยังสงสัยลึกๆ ข้างใน บางคืนก็เหงาแทบทนไม่ไหว
คนหนึ่งคนของฉันคนนั้นเป็นใคร ก็ยังต้องค้นต้องหากันต่อไป
ยังคงรอคอยความรักให้ผ่านเข้ามา ยังคงคอยตามค้นหาครึ่งหนึ่งที่หล่นหาย
ยังรอใครคนนั้นแม้ไม่รู้ว่าเป็นใคร ยังเก็บความรักรอให้เธอผ่านมา
ยังคงจะตามค้นหาต่อไป ยังมีจริงๆ ใช่ไหม สักคนสำหรับฉัน
คนที่จะเติมชีวิตครึ่งๆ กลางๆ ของฉันให้เต็มสักที....

   ตอนนี้เหมือนบรรยากาศทั้งห้องถูกสะกดเอาไว้ด้วยเสียงดนตรี แต่ละคนดูสนุกสนานไปกับเพลงมากทั้งคีย์บอร์ดของไอ้กอล์ฟ กีต้าร์ของไอ้เต้ย เบสของไอ้น้องไนท์ และกลองของพี่สาธิตต่างเล่นเข้าขากันอย่างผสมผสานได้อย่างลงตัวจนแทบจะสะกดผมเอาไว้จนเกือบลืมหายใจ แบงค์จ้องมองผมพร้อมกับยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่เพลงท่อนสุดท้ายจะมาถึง

รอเพียงใครคนนั้นจะผ่านเข้ามา รอวันที่การค้นหาของฉันถึงจุดหมาย
รอเธอคนสุดท้ายที่ฉันจะยอมมอบทั้งใจ รอใครคนนั้นที่ฉันจะรักตลอดไป...


   “เอ่อ เป็นยังไงบ้างครับ”
   แบงค์เอ่ยถามพวกผมที่ตอนนี้กำลังสุมหัวประชุมกันอยู่ พวกผมมองหน้ากันอีกรอก่อนที่จะพยักหน้าให้กัน แล้วจึงหันไปหาอีกฝ่ายที่กำลังยืนรอฟังคำตอบอยู่

   “เอ่อ แบงค์คะ ตอนนี้แบงค์อยู่ชมรมอะไรเหรอ”
   “ชมรมถ่ายภาพ ทำไมเหรอครับ”
   แบงค์ตอบคำถามของมายด์ พร้อมกับถามกลับด้วยความสงสัย มายด์ยิ้มพร้อมกับเอามือเรียวเล็กประสานไว้ที่หน้าอกของตัวเอง

   “เอ่อ คือ...แบงค์สนใจจะย้ายมาอยู่ชมรมดนตรีมั้ย คือ...ตอนนี้วงของเรายังขาดนักร้องนำชายน่ะ เพราะคนเก่าเขาย้ายโรงเรียนไปน่ะค่ะ เราก็เลยต้องหาคนใหม่มาแทน แล้วแบงค์ก็เหมาะมากๆๆๆๆๆๆๆ ที่จะเป็นนักร้องนำ เพราะอิมเมจได้ ส่วนเสียงก็ถือว่าโอเค ฝึกเพิ่มอีกหน่อยก็น่าจะใช้ได้ ส่วนเรื่อง....”

   “ขอปฏิเสธครับ!”
   แบงค์ชิงตัดบทมายด์ที่กำลังพยายามอธิบายให้ฟังด้วยความรวดเร็ว

   “แต่ว่า คือ...”
   “คือผมรักชมรมถ่ายภาพ ผมชอบที่จะถ่ายภาพและมีความสุขกับมัน เพราะงั้นผมคงไม่สามารถย้ายชมรมได้น่ะครับ”
   แบงค์พยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้มายด์เข้าใจ ก่อนที่จะหันมามองผม ดูท่าทางแบงค์ก็คงจะคิดหนักอยู่เหมือนกัน เพราะทุกคนในห้องต่างก็ต้องการให้แบงค์เข้าชมรมนี้อาจจะยกเว้นไอ้น้องไนท์ที่ดูจะพยายามขัดๆ มติเสียงส่วนใหญ่อยู่บ้างซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ด้วยเป็นเสียงส่วนน้อยจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก

   แต่ถึงกระนั้น ผมเองก็เข้าใจแบงค์ดี ว่าการจะให้ออกจากชมรมถ่ายภาพที่ตัวเองรักมาเพื่อชมรมนี้ มันก็คงจะเป็นอะไรที่ยากจะทำใจจริงๆ นั่นล่ะ สิ่งที่ผมพอจะทำคงจะมีเพียงรอยยิ้มที่สื่อเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรกลับไปให้แบงค์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นผมยิ้มเช่นนั้น ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปหามายด์

   “ยังไงก็ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ”
   แบงค์ก้มหัวให้มายด์ ก่อนที่จะหันมามองหน้าผมอีกรอบ

   
   “บ่น่าเชื่อนะว่ามึงจะเสียงดีเหมือนกัน”
   ผมเอ่ยชมในขณะที่เดินออกมาส่งแบงค์

   “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ชมครับ”
   “จะว่าไปก็น่าเสียดายเหมือนกันนะ แต่เอาเถอะ ไอครั้นจะให้มึงย้ายชมรมมามันก็ออกจะโหดร้ายเกินไปจริงๆ น่ะล่ะ แถมยังเป็นการรบกวนเวลาของมึงอีก ไหนจะเรียน ไหนจะการบ้าน ชมรมที่มึงอยู่ เสาร์อาทิตย์ยังต้องทำงานอีกด้วย แล้วไหนจะต้องติวให้กับคนสมองเมล็ดถั่วอย่างกูอีกด้วยเนี่ย”
   ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าวิตกเล็กน้อย ไม่สิ มากพอสมควรเลยล่ะ เพราะเมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้ว แบงค์แทบจะไม่เหลือเวลาส่วนตัวให้ตัวเองเลยนะนั่น

   “คิดมากน่ะครับ เรื่องติวเนี่ย ผมทำเพราะผมเต็มใจที่จะทำครับ”
   “แต่ว่า...”

   “ไม่มีใครบังคับให้ผมทำหรือไม่ทำอะไรได้หรอกครับหากผมไม่เต็มใจ ส่วนเรื่องเพลงเนี่ย ตอนแรกๆ ก็กลัวๆ ประหม่าๆ เหมือนกัน แต่พอได้ลองร้องดู มันก็รู้สึกว่าสนุกดีเหมือนกันนะ แต่จะให้ไปเป็นนักร้องนำ ร้องต่อหน้าคนอื่นมากมายเนี่ย คงไม่ไหวจริงๆ ครับ”

   แบงค์พูดพร้อมกับยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะยกเอาฝ่ามือใหญ่ของตัวเองมายีหัวผมอีกครั้ง แล้วจึงเดินนำหน้าไป ผมในตอนนี้ที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปจึงได้แต่ก้มหน้าเดินตามด้วยความเงียบ

   “หากจะมีอะไรนอกเหนือจากการถ่ายภาพแล้วล่ะก็...”
   แบงค์เอ่ยขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมามองไปยังแผ่นหลังที่ดูหนานั้น
   “...ก็คงจะเป็นการร้องเพลงนี่ล่ะครับ ที่สามารถช่วยให้เราสื่อความหมายในสิ่งที่เราไม่กล้าหรือไม่สามารถพูดได้ในเวลาปกติ เพราะงั้นผมก็เลยค่อนข้างรู้สึกสนุกไปกับมัน”

   “อย่างเพลงเมื่อกี๊เหรอวะ”
   ผมเอ่ยถามแบงค์ออกไปโดยที่ตัวเองก็ไม่ทันคิด แบงค์หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงก้มหน้าลง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิดในยามค่ำคืน

   “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้มั้งครับ...”

   ยังไงเจ๊ก็ฝากแบงค์เขาด้วยนะ เห็นแบบนั้น แต่ลึกๆ เขาเป็นคนอ่อนไหวง่าย เป็นคนขี้เหงามากๆ เลยนะ แต่บ่ค่อยแสดงออกให้ใครเห็น เพราะอย่างที่บอก เขาบ่อยากเป็นภาระของใครน่ะ

   อยู่ๆ คำพูดของเจ๊บัวก็แล่นเข้ามาในหัวผมทันที ผมหันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองยังท้องฟ้านั้นเช่นเดียวกันกับแบงค์ สิ่งที่ผมเห็นคือดวงดาวที่กำลังส่องแสงระยิบระยับถึงแม้จะไม่ได้มากมายอะไรนักเนื่องจากอยู่ในตัวเมืองแต่ก็พอจะมองเห็นได้อยู่บ้าง เพราะบริเวณที่ผมยืนอยู่ตอนนี้นั้นค่อนข้างที่จะมืดอยู่พอสมควร

   อ๊ะ นั่นไง กลุ่มดาวนายพรานที่ตอนสมัยเด็กๆ ผมมักจะเงยหน้าขึ้นมองมันอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นกลุ่มดาวที่มองเห็นและสังเกตได้ง่ายที่สุดแล้วสำหรับคนหัวทึบอย่างผมเนี่ย

   พอเห็นแบบนี้แล้วก็นึกฉุกใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ว่านานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เงยหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าแบบนี้

   “ว่าแต่ออกมาส่งผมนานแบบนี้ เพื่อนๆ เขาจะไม่ว่าเหรอครับ”
   แบงค์หันกลับมาถาม ผมหันไปมองคนถาม เออแฮะ ตอนแรกว่าจะออกมาส่งแบงค์เฉยๆ นี่หว่า แล้วไหงถึงได้กลายเป็นออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปได้เนี่ย

   “ช่างเถอะ อยู่ตรงนี้ดีกว่า”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มเล็กๆ ให้แบงค์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาแล้วเอามือยีหัวผมเล่น

   ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ
   มันต่างจากเวลาที่ผมอยู่กับพวกไอ้โอ๊ต ไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์รึเปล่าวะ

   “มึง”
   “ครับ?”
   “ถ้ามีอะหยังที่กูพอจะช่วยได้ก็บอกกูได้เสมอนะ”
   ผมพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังทำหน้ายิ้มแบบงงๆ อยู่

   “อะไรนะครับ”
   “ก็แบบ มึงช่วยเหลือกูมาตั้งหลายอย่างแล้วไง กูก็เลยรู้สึกอยากตอบแทน อยากช่วยเหลืออะหยังมึงกลับไปบ้างยังไงล่ะวะ”
   ผมพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่กูกำลังทำอะไรอยู่กันนะ แล้วทำไมถึงได้รู้สึกประหม่าขึ้นมาได้เนี่ย แต่ไม่ทันที่ผมจะได้หาคำตอบอะไรให้กับตัวเอง

   หมับ!

   “อะ อะหยังของมึงเนี่ย!?”
   ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจปนสงสัย เมื่ออยู่ๆ แบงค์เข้าสวมกอดผมทันทีอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย

   “ค่ำคืนเหน็บหนาว จะกอดเอา...ไว้แนบกาย...”
   “ห๊ะ! อะหยังนะ?”
   “ก็นันท์บอกเองนี่ครับ ว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้ไม่ใช่เหรอครับ”
   “ก็ใช่ แต่ว่า...”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับขยับตัวหนีเล็กน้อย ทว่ายิ่งผมขยับตัวมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งกลับกอดผมแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนหน้าของผมในตอนนี้แทบจะติดกับหน้าอกของแบงค์แล้วก็ว่าได้

   “ขออยู่แบบนี้แป๊บนึงได้มั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงราบเรียบนุ่มนวล ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ
   น่าแปลก ที่กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของแบงค์มันกลับทำให้ผมรู้สึกสงบใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกลังเลว่าสมควรหรือไม่ที่จะยกแขนของตัวเองไปโอบกอดอีกฝ่าย

“......”

เมื่อหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ผมจึงได้แต่ปล่อยแขนนิ่งไว้ข้างตัว ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ


   ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกพวกนี้มันคืออะไร


   ท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงัดของค่ำคืนที่พอจะมีดวงดาวกำลังส่องแสงประกายระยิบระยับให้เห็นอยู่บ้างถึงแม้จะไม่ได้มากมายนัก ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรจากบริเวณรอบข้างเลยแม้แต่นิดเดียว นอกเสียจากเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นของแบงค์เท่านั้น


จบคาบเรียนที่สี่

   มุม Caption ไร้สาระ
   Power Bank : ใครคนนั้น...สินะ
   BourRai : อะไรๆ อะไรเหรอ ???
   Power Bank : ไม่บอกครับ
   BourRai : ชิส์...!!!
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 3 พาวเวอร์ แบงค์ (4-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 07-10-2018 16:30:18
ตอนที่ 4 มาแล้วครับ ^^

:man1:

 :mew1:

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ขอบคุณมากๆ ครับ
 :3123: :3123:

นันท์น่าร้ากกก  :-[
พยายามอ่านด้วยสำเนียงเหนือไปด้วย รู้สึกอ่านช้าลงเยอะเลย 555

มันก็จะมีความต๊ะต่อนยอนหน่อยๆ 555+
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 4 ใครคนนั้น (7-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 08-10-2018 06:26:14
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 สันป่าเกี๊ยะ (10-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 10-10-2018 21:03:36
   คาบเรียนที่ห้า

   มันต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหนสักอย่างแน่ๆ เลย
   ผมพยายามคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่มีแบงค์กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ ผม

   ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก มีแบงค์กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ ผม
แถมยังกอดผมเอาไว้แน่นอีกด้วยนี่สิ
   

   ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
   “ห๊ะ อะหยังนะ สันป่าเกี๊ยะอย่างนั้นเหรอวะ”
   ผมที่กำลังงุนงงอยู่กับการบ้านที่อยู่ตรงหน้าหันไปถามแบงค์ด้วยความสงสัยเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อสถานที่ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักครั้งถูกเอ่ยออกมาจากปากของอีกฝ่าย

   “ครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาสั้นๆ ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรกระจ่างขึ้นมาเลยสักนิด ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งในขณะที่สายตายังคงจับจ้องดูรอยยิ้มเล็กๆ ของอีกฝ่ายอยู่

คืองี้ครับ แบงค์เขาเอ่ยชวนผมไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะในวันเสาร์และอาทิตย์ที่กำลังจะถึงนี้น่ะครับ   

   “แล้วนึกยังไงถึงชวนกูวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยอยู่พอสมควร เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งเงียบพร้อมกับขมวดคิ้วเม้มปากเล็กน้อยพลางใช้ปลายนิ้วขยับแว่นหนาให้เข้าที่

   “เอ่อ...ก็...พอดีเสาร์นี้พ่อของผมจะขึ้นไปทำธุระที่สันป่าเกี๊ยะน่ะครับ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้...”
   “โอเคครับ ไปแน่นอนครับ”
   เสียงตอบตกลงดังขึ้นทันทีด้วยความมั่นใจโดยไม่ทันที่แบงค์จะได้พูดให้จบประโยค

   แต่...นั่น...ไม่ใช่...เสียงกู...นะครับ

   “อ้าว มาไงวะไอ้โอ๊ต”
   ผมหันไปมองยังเจ้าของเสียงที่ชิงตอบตกลงแทนผมซึ่งตอนนี้กำลังยืนอยู่ด้านหลังแบงค์ที่กำลังทำสีหน้างุนงงอยู่เฉกเช่นเดียวกับผม

   “ผมแค่แวะเอาวันพีชเล่มใหม่มาให้คุณเพื่อนนันท์ แต่บังเอิญได้ยินที่คุณเพื่อนแบงค์เอ่ยชวนก็เลยตอบตกลงให้เลยน่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตตอบคำถามพร้อมกับหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มที่ว่าออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งยื่นให้ผม

   “วันเสาร์นี้ใช่มั้ยครับ เดี๋ยวยังไงผมจะไปบอกคุณเพื่อนยีสต์กับคุณเพื่อนเต้ยให้อีกทีนะครับ ขอบคุณคุณเพื่อนแบงค์มากนะครับที่มีน้ำใจเอ่ยชวนเนี่ย”
   ไอ้โอ๊ตพูดรวบรัดตัดบทคนเดียวพร้อมกับยิ้มให้เราทั้งสองคน ก่อนที่จะตบไหล่แบงค์เบาๆ แล้วจึงเดินจากไปโดยทิ้งให้ผมกับแบงค์นั่งมองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงงสงสัยเหมือนไก่ตาแตก

   “งั้น...ก็ตกลงตามนั้นละกันนะ”
   ผมเอ่ยกลับไปพร้อมกับยิ้มหัวเราะแห้งๆ ให้แก่กัน

   
   และแล้วเช้าวันเสาร์ก็มาถึงด้วยความรวดเร็วราวกับจงใจยังไงยังงั้น

   “เฮ้ย ไอ้เหี้ยยีสต์เมื่อไหร่มึงจะมาถึงวะเนี่ย เออๆ เร็วๆ นะเว้ย ช้าแล้วเนี่ยรู้ตัวมั่งมั้ย เออๆ รีบมาๆ”
   เสียงตะโกนของไอ้เต้ยดังไปทั่วบริเวณ จนคนรอบข้างถึงกับหันมามองด้วยความตกใจก่อนที่เจ้าตัวจะเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าและอารมณ์หงุดหงิดอยู่พอสมควร

   “แม่ง เมื่อคืนกูไปนอนบ้านมันซะก็ดีหรอก ถ้าว่ารู้มันจะมาสายแบบนี้นะ ห่าเอ้ย”
   “เอาน่ะมึง ใจเย็นๆ บ้านไอ้ยีสต์มันก็ไม่ได้ไกลจากแถวนี้มากนัก เดี๋ยวมันก็มาถึงเองล่ะ”
   ผมพยายามคลายบรรยากาศตึงเครียดให้เย็นลง แต่ถ้าจะว่ากันตามความจริงแล้วล่ะก็ คนที่ตึงเครียดน่ะมันก็มีแค่ไอ้เต้ยคนเดียวนั่นล่ะ ในขณะที่คนอื่นยังดูสบายๆ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับการมาสายของไอ้ยีสต์เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะไอ้เหี้ยโอ๊ตตัวดีที่ตอนนี้กำลังเปิดโหมดโลกส่วนตัวโดยไม่คิดที่จะสนใจใครรอบข้างเลยสักนิด

   “ไอ้โอ๊ต มึงเล่นเยอะแบบนี้บ่กลัวแบตฯ หมดมั่งรึไงวะ เห็นว่าบนสันป่าเกี๊ยะไม่มีที่ให้ชาร์จไฟนะเว้ย”
   ทันทีที่ไอ้โอ๊ตได้ยินคำพูดของผมก็เงยหน้าขึ้นมามองผมครู่หนึ่งด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนที่จะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าจากด้านหลังมาเปิดให้ผมดู ผมจึงก้มตัวมองดูภายในกระเป๋าด้วยความสงสัย และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ พาวเวอร์แบงค์กว่าสิบอันที่กำลังแออัดกันราวกับปลากระป๋องอยู่ภายในกระเป๋านั้น

   เออ ไอ้สัส กูยอม

   “พี่นันท์ครับ กินนี่มั้ย”
   เสียงที่เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงของไอ้น้องไนท์เอ่ยเรียกผมพร้อมกับยื่นห่อขนมมาให้ ผมล้วงมือเข้าไปหยิบขนมด้วยความรวดเร็วอย่างไม่เกรงใจ

   “ขอบคุณพี่นันท์มากๆ นะครับ ที่อนุญาตให้ผมติดสอยห้อยท้ายมาด้วย”
   คราวนี้ไอ้น้องไนท์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสีหน้าและท่าทีเขินอายเล็กน้อยซึ่งเป็นภาพที่ดูขัดๆ อยู่พอสมควรกับคนที่มีความสูงเกือบๆ จะร้อยแปดสิบยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “บ่ต้องขอบคุณกูหรอก ไหนๆ ก็ไปกันหลายคนอยู่แล้วน่ะ”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับล้วงมือเข้าไปหยิบขนมในห่อขึ้นมากินอีกรอบ คืองี้ครับ พอดีไอ้น้องไนท์มันได้ยินผมคุยกับไอ้เต้ยเรื่องจะมาเที่ยวสันป่าเกี๊ยะในชมรมน่ะครับ เจ้าตัวเลยขอติดมาด้วยเพราะยังไม่เคยไปน่ะ ผมเองก็ไม่ได้คิดมากอะไรอยู่แล้วหากจะมีไอ้น้องไนท์เพิ่มเข้ามาอีกคน เพราะการไปเที่ยวแบบนี้ยิ่งไปกันหลายๆ คนก็จะยิ่งทำให้สนุกมากขึ้นอีกด้วย

   “เฮ้ย ไอ้ไนท์ มึงมาช่วยกูยกของขึ้นรถหน่อยสิวะ”
   ไอ้น้องไนท์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของไอ้เต้ย ก่อนที่จะฝากขนมไว้ที่ผมแล้วจึงวิ่งไปหาไอ้เต้ยทันทีอย่างรวดเร็ว เสร็จกูสิขนมห่อนี้เนี่ยฮ่าฮ่าฮ่า ผมหยิบมันขึ้นมากินเรื่อยๆ ก่อนที่สายตาจะหันไปเห็นคนตัวสูงใส่แว่นหนาที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กล้องถ่ายรูปในมือ

   “กล้องสวยดีนะ”
   แบงค์เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับยิ้มให้ผมทันทีที่ผมเอ่ยทัก

   “ก็กล้องธรรมดาทั่วไปน่ะครับ ไม่ใช่ของแพงอะไรมากมายนัก”
   แบงค์ตอบกลับพร้อมกับกดปุ่มบนกล้องสลับกับหยิบขึ้นมาเล็งโฟกัสไปมา

   “ถ่ายรูปกูหน่อยสิ”
   ผมเอ่ยขอร้องพร้อมกับเก๊กท่าค้างไว้ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบกล้องขึ้นมาเล็งใส่ผม ซึ่งก็ทำเอาผมถึงกับรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่อีกฝ่ายยินยอมถ่ายรูปให้ผมแต่โดยดีหลังจากที่เคยโดนปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่งที่อ่างแก้ว ผมจึงรีบฉีกยิ้มให้กับกล้องทันทีด้วยความรวดเร็ว

   ทว่า...

   แชะ!
   “เฮ้ย อะหยังเนี่ย!?”
   ผมตะโกนถามด้วยความสงสัยปนผิดหวังเล็กน้อยทันทีที่แบงค์ลั่นชัตเตอร์ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายถ่ายนั้นไม่ใช่ผม แต่กลับเป็นกิ่งไม้ที่อยู่เหนือหัวของผมขึ้นไป

   “ก็บอกแล้วยังไงล่ะครับว่าผมไม่ถ่ายรูปคน”
   แบงค์ตอบกลับและยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมย่นจมูกทำหน้าบูดเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปนั่งลงข้างๆ อีกฝ่ายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเซ็ตกล้องในมือของตัวเองอยู่

   “งอนผมอยู่เหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามผมที่กำลังหยิบขนมขึ้นมากินเพื่อปรับอารมณ์นิดนึง ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำสีหน้าตกใจพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

   “เฮ้ย ป๊าววว ไหนใครที่ไหนงอน บ่มี๊”
   ผมตอบปัดกลับไปพร้อมกับหันมองซ้ายมองขวาด้วยน้ำเสียงสูงที่แฝงไว้ด้วยอาการตะกุกตะกัก แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ยิ้มหัวเราะในลำคอเล็กน้อยพร้อมกับยกฝ่ามือหนาขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนที่จะล้วงหยิบขนมในมือของผมขึ้นไปกินแล้วจึงก้มหน้าเซ็ตกล้องต่อ

   ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงต่อยคว่ำไปแล้วแท้ๆ กับการยีหัวผมเล่นเนี่ย

   “มาแล้วๆๆๆๆๆๆๆ เฮ้ย ขอโทษว่ะ กูตื่นสายนิดหน่อย ปะๆ ไปกันเหอะ”
   เสียงตะโกนที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยหอบเพราะรีบวิ่งมาของไอ้ยีสต์ดังลั่นช่วยดึงสติของผมให้กลับมาจากห้วงความคิด

   “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย”
   แบงค์ลุกขึ้นหันมาพูดพร้อมกับยื่นมือมาทางผม ผมจับฝ่ามือหนานั้นฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนที่จะเดินไปยังรถยนต์ของไอ้เต้ย ซึ่งจริงๆ แล้วตอนแรกพวกเราตกลงกันว่าจะขี่รถจักรยานยนต์กันไปครับ แต่ด้วยสัมภาระต่างๆ ที่ค่อนข้างจะเยอะอยู่พอสมควร จึงคิดว่าการเดินทางด้วยรถยนต์ของไอเต้ยน่าจะเป็นทางเลือกที่โอเคกว่า ซึ่งก็ยอมรับว่าค่อนข้างจะเบียดกันอยู่พอสมควรเมื่อเทียบกับขนาดรถยนต์ของไอ้เต้ยซึ่งเป็นรถเก๋งและจำนวนชายหนุ่มฉกรรจ์ถึงหกคน

   ทว่าปัญหาสำหรับผมมันไม่ได้อยู่ตรงที่เรื่องการนั่งเบียดกันนั่นหรอกครับ แต่ปัญหาคือทำไมต้องเอาคนตัวโตอย่างไอ้น้องไนท์กับแบงค์มานั่งประกบข้างกูด้วยนี่สิ
   

   จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปอำเภอเชียงดาวนั้นใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ครับ ยิ่งช่วงนี้ใกล้หน้าหนาวแล้วด้วยทำให้พวกเราได้เห็นหมอกสองข้างทางอยู่เป็นระยะ ช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะมากสำหรับการมาเที่ยวครั้งนี้

   “เฮ้ย ไอ้เหี้ยยีสต์ตื่นเว้ย ไอ้ห่า มาสายละยังเสือกมาหลับในรถอีก เมื่อคืนชักว่าวหนักไปรึไงวะ มาๆ มาช่วยกูขนของลงจากรถเลย”

   ไอ้เต้ยตะโกนเรียกไอ้ยีสต์ทันทีที่มาถึงบ้านของแบงค์ โดยมีไอ้น้องไนท์ช่วยขนของลงจากรถเก๋งไปยังรถกระบะของพ่อแบงค์อีกแรง ส่วนสาเหตุที่ต้องย้ายรถกันนั้นก็เพราะแบงค์บอกว่าเส้นทางหลังจากนี้จะค่อนข้างวิบากพอสมควรจึงไม่เหมาะที่จะใช้รถเก๋งส่วนผมกับแบงค์นั้นกำลังช่วยคุณแม่ของแบงค์ยกสำรับอาหารออกจากครัวมาตั้งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน

   “กิ๋นหื้อเต๋มตี้เลยเน่อบ่ต้องเกรงใจ๋”
   แม่ของแบงค์บอกกับพวกเราด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร พวกเรายกมือไหว้ขอบคุณก่อนที่จะนั่งลงที่โต๊ะ
   “เดี๋ยวกินเสร็จแล้วพาไปที่ตลาดหน่อยนะ จะไปซื้อพวกเนื้อหมูเนื้อไก่อะหยังพวกนี้หน่อย จะเอามาหมักไว้ย่างกินบนสันป่าเกี๊ยะกัน ไอ้ยีสต์มึงไปด้วย ไปช่วยกูหิ้วของ ส่วนที่เหลือรอนี่นะ”

   ไอ้เต้ยพูดขึ้นมาในระหว่างที่พวกเรากำลังกินข้าวกันอยู่ ทุกคนต่างพยักหน้าตกลงกับข้อตกลงนั้น จะมีก็แต่ไอ้ยีสต์ที่ดูมีท่าทีอิดออดเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้
   หลังจากที่พวกเรากินข้าวเสร็จแล้ว แบงค์ ไอ้ยีสต์ และไอ้เต้ยก็เข้าไปในตัวเมืองเชียงดาวเพื่อซื้อของด้วยรถเก๋งของไอ้เต้ย โดยที่ผมกับไอ้น้องไนท์ก็ช่วยกันเก็บจานไปล้างในครัว ส่วนไอ้โอ๊ตนั้นก็รับหน้าที่เก็บกวาดบริเวณโต๊ะหินอ่อน

   “พี่นันท์กับพี่แบงค์นี่รู้จักกันมานานรึยังครับ”
   ไอ้น้องไนท์ถามขึ้นในขณะที่ผมเองนั้นกำลังเอื้อมมือไปหยิบฟองน้ำล้างจานมา

   “ก็ราวๆ สองเดือนเห็นจะได้ละมั้ง ทำไมเหรอวะ”
   ผมหันไปถามไอ้น้องไนท์กลับ ก่อนที่จะยื่นจานให้อีกฝ่ายล้างน้ำสะอาดต่อ
   “ก็...เปล่าครับ บ่มีอะหยัง แค่เห็นดูสนิทกันดีน่ะครับ”
   “หืม อย่างนั้นเหรอ พอดีแบงค์เป็นเพื่อนของไอ้โอ๊ตน่ะ ก็เลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ดูสนิทกันเร็วขึ้นล่ะมั้ง”

   “เกี่ยวกันมั้ยนั่น”
   ผมหัวเราะแห่ะๆ กลับไปเมื่อได้ยินไอ้น้องไนท์พูดเช่นนั้น

   “ว่าแต่ถามทำไมวะ”
   ไอ้น้องไนท์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้นของผม

   “ป่ะ..เปล่าครับ ก็แค่ถามไปเรื่อยน่ะ”
   เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับหยิบจานไปวางผึ่งไว้ที่ชั้นวาง

   “ก็แค่เผื่อว่าผมอาจจะพอมีโอกาสน่ะ...”

   “ห๊ะ อะหยังนะ บ่ได้ยิน”
   ผมหันไปถามไอ้น้องไนท์ด้วยความสงสัยเพราะเจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงเบามากๆ

   “เอ่อ เดี๋ยวผมออกไปดูพี่โอ๊ตก่อนนะครับว่าเสร็จรึยัง”
   ไอ้น้องไนท์รีบเดินออกไปทันทีที่พูดจบ ทิ้งผมให้ยืนงงเป็นไก่ตาแตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่คนเดียว
   อะไรของไอ้น้องไนท์มันหว่า
   

หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 สันป่าเกี๊ยะ (10-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 10-10-2018 21:04:12
หลังจากที่พวกเราจัดการเตรียมตัว เตรียมข้าวของต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ในที่สุดก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่สันป่าเกี๊ยะกันสักที

   สันป่าเกี๊ยะ หรือชื่อเต็มคือ "สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ" ตั้งอยู่ในหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว และบางส่วนของตำบลกึ๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว

เอ่อ แต่อาจจะยกเว้นผมไว้คนหนึ่งที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิดแท้ๆ

   ที่นี่มีดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพู หรืออีกชื่อหนึ่งที่นิยมเรียกกันก็คือดอกซากุระเมืองไทย ให้นักท่องเที่ยวชมด้วย โดยทั่วไปมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยจะหนาวจัดในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์

   จากที่นี่เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้โดยรอบ และยังมองเห็นยอด “ดอยหลวงเชียงดาว”  อีกด้วย

   ที่นี่ยังมีเรือนพักไว้บริการด้วย ซึ่งปกติเป็นที่พักของนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่มาฝึกงานโดยจะมีห้องน้ำ ห้องครัวพร้อมเครื่องครัวให้ใช้ประกอบอาหารได้แต่ ต้องนำอาหารวัตถุดิบขึ้นมาเอง

   แต่พวกผมมาแบบวัยรุ่นผจญภัยกันครับ จะมานอนสบายๆ มันไม่ได้บรรยากาศ เพราะงั้นพวกเราจึงเอาเต็นท์มากางเองครับ ฮ่าฮ่าฮ่า ซึ่งต้องเสียค่ากางเต็นท์ประมาณหนึ่งร้อยบาทครับ และยังมีค่าบำรุงสถานที่อีกคนละห้าสิบบาทต่อคืนด้วย

   อนึ่ง ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมคนสมองเมล็ดถั่วอย่างผมที่ไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้เลยสักครั้งถึงได้รู้ข้อมูลที่นี่เป็นอย่างดี หึหึหึ คำตอบคือค้นหาจากอากู๋น่ะครับ คิดว่าน้ำหน้าโง่ๆ อย่างผมจะมีความรู้อะไรในหัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

   การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างลำบากพอสมควร เพราะถนนเส้นที่ขึ้นไปยังสันป่าเกี๊ยะนั้นเป็นถนนลูกรัง มีถนนคอนกรีตบ้างแต่น้อยมากและเป็นแค่ระยะสั้นๆ แถมยังเป็นทางคดเคี้ยวและชันอีกด้วย สมกับเป็นเส้นทางขึ้นภูเขาจริงๆ เล่นเอาพวกเราถึงกับสะบักสะบอมกันอยู่ไม่น้อย อันเนื่องมาจากพวกเราทั้งหมดนั่งท้ายกระบะกันหมดครับ จึงโคลงเคลงรับแรงกระแทกกันไปเต็มๆ  ซึ่งหนักสุดก็คงเป็นไอ้ยีสต์นี่ล่ะ ที่ถึงขั้นอ้วกแตกเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า

   แต่ทันทีที่พวกเราขึ้นมาถึงจุดหมาย ความเจ็บปวด ความเมื่อยล้าที่มีมาตลอดเส้นทางก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยครับ เอ่อ อาจจะยกเว้นไอยีสต์ไว้คนหนึ่งที่ยังคงมีอาการเมารถอยู่

   คือจะว่ายังไงดีล่ะ ขนาดดูรูปในกูเกิ้ลก็ว่าสวยแล้วนะครับ แต่พอมาเจอของจริงนี่ยิ่งกว่า มันสวยงามมากๆ จนบรรยายออกมาไม่ได้จริงๆ ครับ ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น

   พวกเราทั้งหมดช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถกระบะกันก่อนที่จะจัดการวุ่นวายกับการตั้งเต็นท์ ส่วนไอ้เต้ยกับน้องไนท์รับอาสาเรื่องเตาย่างบาร์บิคิวและเสบียง ในขณะที่ไอ้ยีสต์ พวกผมปล่อยให้มันนั่งพักดมยาดมไปก่อนซึ่งก็เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกอเนจอนาถใจยิ่งนัก

   อ่อนแอก็แพ้ไปนะเพื่อน ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ว่าแต่ใครจะนอนกับใครมั่งวะ”
   ไอ้เต้ยตั้งคำถามขึ้นมาทันทีหลังจากที่จัดการข้าวของต่างๆ เสร็จ พวกเราหันมองหน้ากันเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนที่จะหันไปมองเต็นท์ที่กางเอาไว้ ซึ่งเป็นเต็นท์ใหญ่ที่ไอ้เต้ยเอามาหนึ่งหลังกับเต็นท์เล็กของแบงค์และไอ้น้องไนท์อีกคนละหลัง

   “พี่นันท์มานอนกับผมก็ได้นะครับ”
   ไอ้น้องไนท์ชิงเอ่ยปากขึ้นมาเป็นคนแรกอย่างรวดเร็ว ทำเอาพวกผมถึงกับหันไปมองคนพูดทันที

   “เอ่อ คือ พี่นันท์ตัวเล็กไง ผมตัวโตมันน่าจะโอเคกว่าที่ผมต้องนอนกับคนอื่นยังไงล่ะครับ”
   ไอ้น้องไนท์รีบอธิบายทันทีด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

   “ขอบคุณนะที่ชมว่ากูตัวเล็ก งั้นกูไปนอนเต็นท์ใหญ่ของไอเต้ยดีกว่า มึงจะได้นอนคนเดียวสบายๆ บ่ต้องอึดอัด”
   ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อยพร้อมกับหยิบกระเป๋าสัมภาระของตัวเองขึ้นมาหมายจะมุ่งไปยังเต็นท์ของไอ้เต้ย แต่ก็ถูกไอ้น้องไนท์รั้งแขนเอาไว้เสียก่อน

   “อ๊าาา บ่ช่ายนะพี่นันท์ ผมขอโทษษษ บ่ได้หมายความว่าอย่างงั้น คือแบบ คือแบบว่า...”
   ไอ้น้องไนท์รั้งแขนของผมเอาไว้พร้อมกับพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะกันเลยทีเดียว ซึ่งพอมาคิดอีกทีในตอนหลังก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันหัวเราะไอ้น้องไนท์หรือหัวเราะเรื่องผมตัวเตี้ยกันแน่

   “งั้นผมไปนอนกับคุณเพื่อนแบงค์ดีกว่า ให้ตายยังไงผมก็ไม่นอนร่วมเต็นท์กับคุณเพื่อนเต้ยและคุณเพื่อนยีสต์เด็ดขาดครับ”
   ไอ้โอ๊ตพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าเข้าไปวางในเต็นท์ของแบงค์ทันทีด้วยความรวดเร็ว แบงค์ส่งเสียง 'อ๊ะ' เบาๆ ก่อนที่จะนิ่งเงียบไป พลางหันมองไอ้โอ๊ตก่อนที่จะยกนิ้วชี้ขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ ในขณะที่ไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์ต่างก็หันมองหน้ากันด้วยความสงสัยในคำพูดของไอ้โอ๊ต

   “โอเค งั้นกูนอนกับไอ้ยีสต์ ส่วนมึงไปนอนกับไอ้ไนท์มันละกันนะ”
   “อ้าว เต็นท์มึงหลังใหญ่ กูนอนด้วยดิวะ”
   ผมหันไปพูดกับไอ้เต้ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยในขณะที่เจ้าตัวกำลังโยนกระเป๋าเข้าเต็นท์

   “บ่เอา กูอึดอัด มึงไปนอนกับไอ้ไนท์น่ะล่ะ ดีแล้ว”
   ไอ้เต้ยตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้หันมามองผมแม้แต่นิดเดียว ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดของไอ้เต้ยแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้จึงหยิบกระเป๋าไปไว้ในเต็นท์ของไอ้น้องไนท์ด้วยความจำใจ โดยที่มีเจ้าของเต็นท์ยืนยิ้มให้ผม

   
   หลังจากที่จัดการสัมภาระเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็พากันเดินไปที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหกร้อยเมตร แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า อยู่ก่อนสถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะที่เป็นจุดที่พวกผมกางเต็นท์น่ะครับ หรือพูดง่ายๆ คือเดินย้อนกลับไปนั่นล่ะครับ

   จุดประสงค์ที่พวกเราไปก็คือเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกน่ะครับ ซึ่งนี่ก็ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกแล้วด้วย ทันทีที่ไปถึง ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับบรรยากาศวิวทิวทัศน์ของที่นี่ทันที มันสวยมากครับ ต้นไม้ภูเขาสุดลูกหูลูกตา มีระเบียงไม้ที่ยื่นออกไปในหุบเขาให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศริมเขาด้วย ไหนจะต้นสนต้นเล็กต้นใหญ่เต็มไปหมด สมชื่อ สันป่าเกี๊ยะ จริงๆ (เกี๊ยะ เป็นคำเมืองน่ะครับ แปลว่าต้นสน) ยิ่งมาในช่วงหน้าหนาวแบบนี้แล้วด้วยเนี่ย เวลาลมพัดเข้ามาทีนี่ขอบอกเลยว่า ฟินสุดๆ

   “เป็นยังไงมั่งครับ กับที่นี่”
   แบงค์เดินเข้ามาถามผมที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับวิวทิวทัศน์รอบข้าง

   “สวยมากเลยว่ะ ถึงเส้นทางที่ขึ้นมาจะลำบากไปหน่อย แต่ก็คุ้มค่าจริงๆ ที่มาถึง”
   ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น คนถามเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะหันมองออกไปยังหุบเขาพร้อมกับโน้มตัวเอาข้อศอกพักที่ขอบระเบียงไม้

   “แบบนี้ล่ะครับ ดีแล้ว สิ่งใดที่มนุษย์เข้าถึงง่าย ไม่นานนักความสวยงามแบบธรรมชาติก็จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว”
   ผมหันไปมองแบงค์ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผม

   “อะไรที่เราได้มายากๆ มันมักจะมีคุณค่าเสมอ”
   ผมหันไปมองยังทิวทัศน์ข้างหน้าในตอนนี้ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ก็คงจะจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่านั่นล่ะ แสงอาทิตย์สีส้มที่กำลังจะลับขอบเขาไปอย่างช้าๆค่อยๆ เผยให้เห็นดวงดาวที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นทีละนิดๆ เป็นภาพบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

   และยิ่งได้อยู่กับ...เพื่อน...แบบนี้แล้วด้วยเนี่ย...
   ทันทีที่คิดแบบนั้น ผมก็หันค่อยๆ หันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังตรวจดูรูปในกล้องของตัวเองอยู่

   เพื่อน...อย่างนั้นเหรอ...

   “มึง”
   “ครับ”
   แบงค์หันมายิ้มให้ผมทันทีที่ได้ยินผมเรียก ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกับว่าบรรยากาศรอบตัวมันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เสียงกิ่งไม้ที่เสียดสีกันเพราะลมพัดราวกับกำลังสะกดให้ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ยังไงก็ไม่รู้
   “เปล่า เรียกไปงั้นล่ะ เอ้อ ไหน ก็ไหนๆ ละ ถ่ายรูปกูสักรูปเถอะ น่านะ นะ นะ นะ”

   ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องอ้อนวอนพร้อมกับเขย่าแขนแบงค์เบาๆ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเล่นแล้วจึงเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

   ชิ ใจแข็งจริงๆ เลยไอ้แว่นคนนี้เนี่ย

   “พี่นันท์คร้าบบบ พี่นันท์ เซลฟี่กัน เซลฟี่กันเถอะ”
   ไอ้น้องไนท์เดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทีกระตือรือร้น แต่ที่จริงเรียกว่าวิ่งเข้ามาน่าจะถูกมากกว่านะนั่น

   “เอาดิ”
   ผมพยักหน้าให้ ไอ้น้องไนท์ยิ้มตอบด้วยความดีใจก่อนที่จะเดินเข้ามายืนข้างๆ ผม พร้อมกับยกมือถือของตัวเองขึ้นมา
   แชะ!!!

   “เฮ้ย เดี๋ยวนะๆ ถ่ายย้อนแสงแบบนี้ หน้ามันจะบ่ดำเหรอวะ”
   ผมหันไปถามอีกฝ่ายทันทีที่นึกเอะใจขึ้นได้
   “บ่ดำครับ กล้องมือถือของผมสามารถถ่ายย้อนแสงได้น่ะครับ นี่ไงๆ”
   ไอ้น้องไนท์ยิ้มให้ผม พร้อมกับยื่นมือถือส่งมาให้ผมดู เออว่ะ ไม่ดำจริงๆ ด้วย กล้องมือถือมึงเทพมาก ไอ้น้องไนท์ ยิ่งเมื่อเทียบกับกล้องมือถือกากๆ กูแล้วนี่ คนละโลกเลยว่ะ สัส ฮ่าฮ่าฮ่า

   “โอเค เดี๋ยวผมแท็กไปนะครับ”
   ไอ้น้องไนท์หันมาบอกพร้อมกับก้มหน้าพิมพ์มือถือ ผมจึงหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเฟซบุ๊ก แหม่ะ แต่ละคนเช็กอินกันใหญ่เลยนะมึง รูปเริปนี่มาเต็ม ไม่ค่อยจะเห่อกันเล้ยยย อ๊ะ นี่ไง ไอ้น้องไนท์แท็กมาพอดี จัดไปหนึ่งไลค์ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ว่าแต่ทำไมบ่ถ่ายรูปหมู่แล้วแท็กให้ครบทุกคนวะ”
   ผมเอ่ยถามไอ้น้องไนท์ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอมือถือของตัวเอง
   “เอ่อ จะว่าไงดี...”
   ไอ้น้องไนท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย

   “ผมมีแค่พี่คนเดียวก็พอแล้วน่ะ”
   “......”
   ทันทีที่ไอ้น้องไนท์พูดจบ ผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มเขินอายเล็กน้อยอยู่

   “......”
   “......”
   ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

   “เอ่อ...มึงบ่ได้แอดเฟซบุ๊คพวกคนอื่นๆ เหรอวะ”
   ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปก่อนที่จะก้มหน้าห่อไหล่ตก
   “พี่นันท์เนี่ยน้าาา”
   อ้าว กูพูดอะไรผิดไปเหรอวะ

   “เฮ้ยๆ พวกเรามาถ่ายรูปหมู่กันหน่อยมา จะได้แท็กพร้อมกัน มาเร็วๆ”
   ไอ้เต้ยตะโกนเรียกพวกผมจากอีกฟากของระเบียง ผมหันไปพยักหน้าให้ไอ้น้องไนท์ก่อนที่จะเดินนำหน้าออกไป
   “แบงค์ รบกวนมาถ่ายรูปพวกเราให้ทีสิ”
   ไอ้เต้ยตะโกนเรียกอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการถ่ายรูปหญ้าหอมอยู่ แบงค์หันมามองยังพวกเราพร้อมกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มแล้วส่ายกลับมาเป็นคำตอบ

   “แบงค์มันถือคติบ่ถ่ายรูปคนน่ะ”
   ผมหันไปบอกไอ้เต้ยที่ตอนนี้กำลังทำหน้าสงสัย
   “มึงนี่รู้ดีจังนะ”
   ไอ้เต้ยหันมาถาม ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ด้วยสีหน้าเจื่อนทันที
   “ก็แหงล่ะ กูโดนมันปฏิเสธมาสามรอบแล้วนี่”
   ทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็หันไปกวักมือเรียกแบงค์ให้เดินเข้ามาหา

   “เฮ้ย มึง มาถ่ายรูปหมู่กันเถอะ เดี๋ยวให้ไอ้น้องไนท์กดเซลฟี่เอา”
   ผมตะโกนออกไป คนถูกเรียกหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปมองไอ้น้องไนท์ ที่ตอนนี้่กำลังบีบนวดไหล่ผมเบาๆ อยู่ข้างหลัง แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินออกไป พร้อมกับยกกล้องถ่ายภาพทิวทัศน์ต่อ

   “เอ้า อะหยังของมันวะเนี่ย”
   ผมขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

   “"เออๆ ช่างเถอะ มาๆ มาถ่ายรูปกัน เร็วๆ เดี๋ยวพระอาทิตย์จะลับเขาไปละ เดี๋ยวแสงจะหมด”
   ไอ้เต้ยตัดบทพร้อมกับตั้งท่าเตรียมถ่ายรูป โดยใช้กล้องมือถือของไอ้น้องไนท์ ซึ่งก็มีไอ้น้องไนท์รับอาสาหน้าที่เป็นตากล้องเซลฟี่จำเป็น เนื่องจากสูงที่สุดในกลุ่มตอนนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

   หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ ไอ้น้องไนท์ก็โพสท์ขึ้นเฟซบุ๊กทันที โดยที่แท็กแค่ผมกับไอ้เต้ย เพราะไอ้น้องไนท์ไม่ได้แอดเฟซบุ๊กคนที่เหลือ ไอ้เต้ยจึงรับหน้าที่แท็กไอ้ยีสต์และไอ้โอ๊ตต่อ ผมเองเมื่อเห็นโพสท์นี้ก็หันไปมองแบงค์ที่ยังคงวุ่นวายกับการถ่ายรูปอยู่คนเดียวก็เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา

มาเที่ยวกันหลายคนทั้งที แต่ทำตัวโดดเดี่ยวแบบนี้มันก็ดูจะแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   เอาวะ ไหนๆ ก็มาด้วยกันแล้วนี่นะ ถึงจะไม่มีอีกฝ่ายอยู่ในรูป แต่ยังไงก็ถือว่ามาด้วยกัน

   ผมกดแท็กแบงค์ทันทีทันทีที่คิดเช่นนั้นพร้อมกับกดไลค์ให้กับสเตตัสนี้ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองแบงค์อีกรอบ พร้อมกับฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปแบงค์ที่ตอนนี้กำลังถ่ายรูปว่านสี่ทิศอยู่ ทันทีที่ถ่ายเสร็จผมก็จัดการโพสท์ลงเฟซบุ๊กของอีกฝ่ายทันทีด้วยความรวดเร็ว

   ตากล้องทีเผลอ
   นั่นคือชื่อที่ผมตั้งขึ้นสำหรับรูปนี้ ผมกดไลค์ก่อนที่จะอมยิ้มอย่างมีความสุขให้กับรูปนั้น

   “ไปเหอะ กูหิวแล้วเนี่ย”
   ไอ้ยีสต์บ่นขึ้นมาพร้อมกับเอามือลูบท้องตัวเอง พวกเราทั้งหมดจึงเดินกลับไปยังที่พักเพื่อเตรียมก่อไฟไว้ย่างเนื้อที่เตรียมมาและไว้ผิงสำหรับคืนนี้ ในขณะที่ไอ้เต้ยและไอ้น้องไนท์รับอาสาเป็นพ่อครัวหัวป่าก์จำเป็นสำหรับมือเย็นนี้ แหม พอพูดแบบนี้ดูเหมือนจะอลังการยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ที่จริงแล้วก็แค่ย่างเนื้อบนเตาย่างบาร์บิคิวแค่นั้นล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “เอาล่ะ ทุกคน คืนนี้กูรับรองได้เลยว่าจะต้องสนุกแน่ๆ”
   ไอ้เต้ยหันมาพูดกับพวกผมในขณะที่เจ้าตัวกำลังใช้ตองคีบชิ้นเนื้อพลิกไปมา

   “อะหยังของมึงวะ”
   ไอ้ยีสต์หันไปถามกลับ ไอ้เต้ยเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่องด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์เล็กน้อยแล้วจึงมุดหายเข้าไปในเต็นท์ครู่หนึ่งก่อนที่จะออกมาพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ

   “อะหยังวะเนี่ย น้ำเปล่ากับเพียวริคุเนี่ยนะ”
   ไอ้ยีสต์ถามด้วยสีหน้าสงสัยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของไอ้เต้ย แต่ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ ทั้งสิ้นจากอีกฝ่าย นอกจากรอยยิ้มมุมปากเท่านั้น ทั้งผม ไอ้ยีสต์ ไอ้น้องไนท์ต่างพากันมองหน้าด้วยความงุนงงสงสัย จะมีก็แต่แบงค์ และไอ้โอ๊ตที่ดูจะไม่แปลกใจอะไรกับท่าทีที่ดูมีเลศนัยของไอ้เต้ยเลยสักนิด

   มันคืออะไรกัน
   แต่ดูแล้วคืนนี้ท่าจะไม่จบลงง่ายๆ แน่นอนยังไงก็ไม่รู้แฮะ

จบคาบเรียนที่ห้า

มุมแคปชั่นไร้สาระ

นันทการ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1039552480-member.jpg)

นันทการ : ยังกับในเกม Silent Hell เลยสัส

Oat Inwศาสตร์ : Silent Hill ครับ คุณเพื่อนนันท์ ไม่ใช่ Hell

นันทการ : เออ นั่นล่ะ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 สันป่าเกี๊ยะ (10-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-10-2018 10:51:20
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 สันป่าเกี๊ยะ (10-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 11-10-2018 15:07:06
ไนท์ก็น่ารักแฮะ เชียร์ไม่ถูกเลย  :hao3:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 6 คำสัญญา (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 13-10-2018 01:51:12
    คาบเรียนที่หก
   
   ค่ำคืนที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟ ไร้ซึ่งเสียงรบกวนวุ่นวายใดๆ ยิ่งบนยอดเขาสูงบวกกับฤดูหนาวแบบนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้อากาศในค่ำคืนนี้เหน็บหนาวมากขึ้นไปอีกจนแทบจะเข้ากระดูกดำเลยทีเดียวก็ว่าได้
   ทว่าผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

   อบอุ่น...นุ่มนวล...
   และหนักด้วย...

   หือ?
   หนัก?

   ผมรีบลืมตาตื่นขึ้นทันทีที่รู้สึกเช่นนั้น ซึ่งก็พบว่าตอนนี้ตัวผมเองกำลังนอนอยู่ในเต็นท์เสียแล้ว

   เอ นี่มันก็เต็นท์ไอ้น้องไนท์นี่หว่า ว่าแต่กูเข้ามาตอนไหนวะ แล้วเข้ามาได้ยังไงวะ
   ผมพยายามคิดทบทวนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา มันก็คงสืบเนื่องมาจากไอ้เจ้าขวดน้ำเปล่าปริศนากับเพียวริคุของไอ้เต้ยนั่นล่ะครับ

ไอ้เพียวริคุมันก็คือเพียวริคุตามชื่อขวดของมันนั่นล่ะ แต่ปัญหามันอยู่ที่ไอ้เจ้าขวดน้ำเปล่าที่ข้างในมันไม่ใช่น้ำเปล่านี่สิครับ แต่มันคือ เหล้าขาว ครับ ใช่ครับ เหล้าขาว สีมันใสมากครับ ใสจนเหมือนน้ำเปล่า แต่กลิ่นนี่สิแรงมาก

   ไอ้เต้ยมันเคยได้ยินเขาพูดกันว่าเหล้าขาวเชียงดาวจัดว่าเป็นอะไรที่เด็ด มาแล้วก็ต้องลองให้ได้ มันเลยอยากลอง จึงให้แบงค์เป็นธุระจัดการหาซื้อมาให้แต่เพราะด้วยกลิ่นและรสชาติที่ดูจะเกินวัยของพวกเราไปไม่หน่อยจึงต้องผสมเพียวริคุเข้าไปด้วย เพื่อลดกลิ่นและรสชาติที่บาดคอให้อ่อนนุ่มลงเพื่อให้กินได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ช่วยได้จริงๆ ครับ กินง่ายขึ้นมาก เพราะได้ความหวานของเพียวริคุช่วย

และก็เพราะกินง่ายนี่ล่ะ ภาพมันก็เลยตัดหายไปตอนไหนก็ไม่รู้เท่าที่พอจะจำได้ก็คือไอ้โอ๊ตลงไปนอนก่อนเป็นคนแรก ทั้งๆ ที่เป็นคนพูดเองก่อนกินแท้ๆว่า "อย่าดูถูกเด็กเชียงดาวสิครับ คุณเพื่อนๆ ทั้งหลาย" ดีแต่ปากจนแทบอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้ามันแรงๆ จริงๆ เลยแฮะ รายต่อมาก็น่าจะเป็นไอ้น้องไนท์ ไอ้นี่ปกติก็ชอบทำตัวเป็นเด็กสวนทางกับความสูงอยู่แล้วแท้ๆ แต่พอเมาแล้วยิ่งง๊องแง๊งปัญญาอ่อนเข้าไปใหญ่ "พี่นันท์ค้าบบบ พี่นันท์ค้าบบบ กอดหน่อยๆ" อยู่นั่นล่ะ น่ารำคาญจนต้องเอาตีนยันไว้ตลอด

   รายต่อมา ก็...น่าจะผมนี่ล่ะมั้ง เพราะหลังจากเอาตีนยันไอ้น้องไนท์ไว้ ก็เหมือนภาพจะตัดหายไปเลย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนนี้นี่ล่ะ

   โอย ปวดหัวตึ๊บๆ แฮะ ปวดมากราวกับจะระเบิดออกมาให้ได้ยังไงยังงั้น ไม่น่าแดกเข้าไปเลยกู ถ้ารู้ว่าจะมีผลกระทบขนาดนี้จะไม่แดกเด็ดขาด และจะไม่แดกอีกเป็นครั้งที่สองอีกด้วย แล้วไอ้ความรู้สึกหนักๆ ที่ตรงหน้าอกนี่มันอะไรกันน่ะ

   ผมพยายามยกหัวขึ้นเพื่อมองไปยังหน้าอกของตัวเอง ก็พบว่ามีแขนปริศนากำลังพาดกอดอยู่บนหน้าอกของผม
   ไอ้น้องไนท์ มึงอีกแล้ว ไอ้ห่า ไอ้สัส หนักฉิบหาย
   ผมสบถขึ้นในใจพร้อมกับพยายามจะเอาแขนนั้นออกจากหน้าอกของผม ก่อนที่จะหันไปมองหน้าไอ้น้อง...

   “......”
   แบงค์!!!
   “......”
   ห๊ะ แบงค์เนี่ยนะ

   ได้ยังไงวะ เดี๋ยวนะๆ นี่มันเต็นท์ของใครวะ ไม่ใช่เต็นท์ของไอ้น้องไนท์เหรอวะ ผมพยายามมองรอบเต็นท์ทันทีที่เกิดความสงสัย ก็ใช่นี่หว่า เป็นเต็นท์ของไอ้น้องไนท์ชัดๆ ว่าแต่เจ้าตัวมันหายไปไหนของมัน แล้วที่สำคัญแบงค์มาอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ

   ในขณะที่ผมกำลังตั้งคำถามสงสัยกับตัวเองอยู่นั่นเอง ผมก็เหลือบหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังหลับอยู่อีกรอบ
   “......”
   จะว่าไปแบงค์ตอนหลับนี่ก็ดูแปลกตาดีแฮะ ยังไงดีล่ะ ดูเหมือนเด็กๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ แห่ะๆๆๆ
   น่าเอาปากกาเมจิกมาเขียนแกล้งจังเลยว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “หัวเราะอะไรน่ะครับ”
   ผมรีบหุบยิ้มทันที เมื่อแบงค์เอ่ยปากถามพร้อมกับลืมตาขึ้นมาช้าๆ

   “"ปะ เปล่า บ่ได้หัวเราะอะหยังสักหน่อย”
   ผมรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

   “ว่าแต่กี่โมงแล้วครับเนี่ย”
   แบงค์เอ่ยถามพร้อมกับหลับตาลงอีกรอบ ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

   “ตีหนึ่งครึ่งน่ะ”
   ฉิบหาย กูหลับไปตั้งแต่ตอนไหนวะนั่น

   “อือ...”
   แบงค์ส่งเสียงครางในลำคอเป็นคำตอบกลับมา ก่อนที่จะยกแขนของตัวเองมาพาดกอดไว้บนหน้าอกของผมอีกรอบ
   “เดี๋ยวนะ อะหยังของมึงเนี่ย”
   “หือ อะไรเหรอครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยคำถามโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองผมเลยแม้แต่นิดเดียว

   “ยังจะมาอะหยังอีกล่ะ ก็ไอ้แขนหนักๆ ของมึงนี่ไง”
   ผมถามกลับไปพร้อมกับใช้นิ้วคีบแขนของแบงค์ออกไปจากหน้าอกของผมเอง
   
   “วิธีเพิ่มความอบอุ่นยังไงล่ะครับ ไม่เคยได้ยินเหรอครับว่าเวลาหนาวๆ การกอดกันจะช่วยทำให้เราอบอุ่นขึ้นได้”
   ทันทีที่แบงค์พูดจบ เจ้าตัวก็ยกแขนกลับมาพาดกอดไว้บนหน้าอกของผมอีกรอบ แถมคราวนี้ยังขยับตัวเข้ามาชิดมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ชิดเสียจนขนาดที่ลำคอของผมนั้นรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของแบงค์ หนำซ้ำยังได้กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ จากลมหายใจนั้นอีกด้วย

   แบงค์เมาเหรอเนี่ย ไอ้หน้าอ่อนนี่มันแดกเหล้าเป็นด้วยเหรอวะ ? ทำไมกูไม่ยักกะเห็นจังหวะที่มันกินเลยวะ

   ก็ยอมรับนะว่า มันก็ทำให้อบอุ่นขึ้นจริงๆ นั่นล่ะ แต่ค่อนข้างอึดอัดไปหน่อยแฮะ ผมจึงขยับพลิกตัวหันไปทางแบงค์เพื่อหวังให้แขนของอีกฝ่ายนั้นพาดที่ด้านข้างแทนที่จะเป็นอก ซึ่งก็ช่วยได้เยอะเพราะมันทำให้ผมหายใจคล่องมากขึ้นกว่าเดิม แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดเช่นนั้นเอง ผมก็ฉุกใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   เหมือนกูจะหันพลิกตัวผิดด้านยังไงก็ไม่รู้แฮะ ที่จริงกูต้องหันไปอีกด้านมากกว่าแทนที่จะเป็นด้านนี้ไม่ใช่เหรอวะนั่นก็เพราะตรงหน้าของผมในตอนนี้นั้นก็คือใบหน้าของแบงค์ในระยะประชิดยิ่งกว่าดูหนังสามมิติเสียอีก ไม่ได้การละ ต้องขยับพลิกตัวไปอีกด้าน

   ทว่าทันทีที่ผมพยายามจะพลิกตัว แบงค์กลับยิ่งกอดผมแน่นมากขึ้น จนผมไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
   เฮ้ย อะไรวะ แกล้งกันหรือเปล่าวะเนี่ย

   ด้วยอาการปวดหัวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์และความง่วงที่ถาโถมเข้ามา ผมจึงจำยอมที่จะต้องล้มเลิกความคิดที่จะพลิกตัวก่อนที่จะหลับไป ถึงแม้ในใจจะค่อนข้างรู้สึกอายไม่ใช่น้อย

   มันต้องมีอะไรตรงไหนผิดพลาดแน่ๆ
   

   ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
   เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือของผมดังขึ้น ผมสะดุ้งตื่นขึ้นทันทีด้วยความตกใจก่อนที่จะกดปิดมันอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามเพ่งสายตาเพื่อดูเวลาบนหน้าจอ

   ตีห้าแล้วเหรอเนี่ย อีกเดี๋ยวพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้วนี่หว่า อ้าว แล้วแบงค์หายไปไหนแล้ววะ

   ผมกลอกตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าตอนนี้มีเพียงผมอยู่ในเต็นท์คนเดียว ผมลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อย ในขณะที่อาการปวดหัวนั้นเริ่มลดลงไปบ้างแล้ว ผมจึงค่อยๆ คลานออกจากเต็นท์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดเสื้อผ้าตัวเองเล็กน้อย หันมองไปรอบๆ ทั้งซ้ายและขวา บรรยากาศรอบข้างมีแต่ความเงียบสงัด จะมีก็เพียงแต่เสียงกรนที่น่ารำคาญจากเต็นท์ไอ้เต้ยและไอ้ยีสต์ ซึ่งในตอนนี้ผมก็เข้าใจในคำพูดของไอ้โอ๊ตแล้วว่าทำไมมันถึงไม่อยากนอนร่วมกับไอ้สองตัวนี้

   ผมพยายามหรี่ตามองเข้าไปในความมืดข้างหน้า ก็สังเกตเห็นแบงค์กำลังนั่งดูรูปถ่ายในกล้องอยู่ตรงจุดชมวิว

   “อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา ผมยิ้มแห้งๆ เล็กน้อยเป็นคำตอบกลับไป ก่อนที่จะนั่งลงข้างๆ ทางด้านขวาของอีกฝ่าย

   “ตื่นนานรึยังวะ”
   ผมถามแบงค์กลับไป ก่อนที่จะอ้าปากหาวทีหนึ่ง

   “ก็พักนึงละครับ”
   เจ้าตัวตอบกลับมาโดยที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับรูปถ่ายในกล้อง

   “แล้วสรุปเมื่อคืน...เอ่อ...มึงเข้ามานอนในเต็นท์นี้ได้ไงวะ แล้วไอ้น้องไนท์ล่ะไปไหน”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

   “ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันครับ รู้ตัวอีกที ก็มาอยู่เต็นท์เดียวกับนันท์แล้วน่ะครับ”
   “จำไม่ได้เลยเหรอ แม้กระทั่งเรื่อง...”
   ผมถามย้ำกลับไปอีกรอบ แบงค์หันมามองหน้าผมที่กำลังทำหน้าเขินอายเล็กน้อยอยู่

   “เรื่อง?”
   แบงค์ถามกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มสงสัย เล่นเอาผมถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

   “บ่ๆ บ่มีอะหยังละ พอๆๆ”
   ผมตัดบทสนทนาไปทันทีด้วยความรวดเร็ว เพราะหากต้องพูดออกไปมากกว่านี้ ผมคงได้อายมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้แน่ๆ แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ ออกมาก่อนที่จะเอามือมายีหัวผมเล่น แล้วจึงหันกลับไปดูรูปถ่ายต่อ

   “ว่าแต่ฟังเพลงอะหยังอยู่วะ”
   ผมเปิดคำถามใหม่ เมื่อสังเกตเห็นว่าด้านซ้ายของแบงค์นั้นกำลังใส่หูฟังเอาไว้อยู่

   “ไม่บอกครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยท่าทีกวนเล็กน้อย ผมย่นจมูกขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น จึงเอื้อมมือไปหยิบหูฟังทีเหลืออีกข้างขึ้นมาฟัง

   บางทีก็ยังสงสัยลึกๆ ข้างใน บางคืนก็เหงาแทบทนไม่ไหว คนหนึ่งคนของฉัน คนนั้นเป็นใคร..
   อ๋อ เพลงนี้นี่เอง

   “นี่มึงชอบเพลงนี้เหรอวะ”
   “ก็ความหมายมันดีน่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาสั้นๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองดูบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมายที่กำลังส่องแสงประกายระยิบระยับ ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากจริงๆ โดยเฉพาะกับเด็กโตมาในเมืองตั้งแต่เกิดอย่างผมเนี่ย อ๊ะ นั่นกลุ่มดาวนายพรานนี่นา ก็อย่างที่เคยบอกไป ว่ามันเป็นกลุ่มดาวกลุ่มเดียวที่ผมพอจะรู้จักเพราะเป็นอะไรที่สังเกตได้ง่ายที่สุดแล้วล่ะ เมื่อเทียบกับบรรดากลุ่มดาวอื่นๆ เนี่ย

   “ขอบใจมึงมากนะเว้ย ที่ชวนมาน่ะ”
   ผมหันไปพูดกับแบงค์ก่อนที่จะเอนตัวเอาหัวไปพิงไว้กับไหล่ของแบงค์อันเนื่องมาจากความสั้นของสายหูฟัง อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองผมแต่ไม่พูดอะไรออกมา จะมีก็เพียงแต่ลมหายใจอุ่นๆ ของแบงค์เท่านั้นที่กระทบกับเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา

   “ขอบคุณนันท์เช่นเดียวกันครับ ที่มากับผม”
   แบงค์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมกับเอียงหัวของตัวเองมาพิงไว้กับหัวของผม

   “อ้าว นี่มึงฟังอยู่เพลงเดียวเหรอวะเนี่ย”
   ผมเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยเมื่อเพลง ใครคนนั้น วนกลับมาอีกรอบ

   “ก็ความหมายมันดีนี่ครับ”
   ขอเหตุผลอื่นมั่งได้มั้ย

   “......”
   “......”

   ค่ำคืนเหน็บหนาว จะกอดเอาไว้แนบกาย
   ผมหวนคิดกลับไปยังเหตุการณ์ที่สนามบาสในคืนนั้น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเต็นท์ของคืนนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ออกจะดูน่าอายไม่ใช่น้อยที่โดนกอดแบบนั้น และยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกันด้วยแล้วเนี่ย

   แต่ทำไมผมกลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเลยสักนิดกันนะ ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองเช่นเดียวกัน ว่าเพราะเหตุใดทั้งๆ ที่ผมรู้สึกดีขนาดนั้น แต่ผมยังรู้สึกลังเลที่จะกอดแบงค์กลับไปกันนะ

   ความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันนะ
   และผมกำลังลังเลอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ

   “นันท์ครับ”
   “อือ อะหยัง”

   “ขอบคุณมากนะครับ สำหรับรูปที่ถ่ายให้”
   แบงค์เอ่ยขอบคุณ ผมชำเลืองหางตาไปมอง ก็พบว่าแบงค์กำลังจ้องมองรูปตัวเองที่ผมถ่ายและโพสต์ลงหน้าเฟซบุ๊กของอีกฝ่ายเมื่อตอนเย็น

   “เออ กูอุตส่าห์ถ่ายให้มึงแล้ว มึงก็หัดถ่ายให้กูมั่งเหอะ สัส”
   แบงค์หัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองยังท้องฟ้า

   “อ๊ะนั่น ดูสิครับ ดาวตก”
   เสียงของแบงค์เอ่ยขึ้นด้วยความรวดเร็วพลางชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้ามืดที่เต็มไปด้วยดวงดาว ผมหันไปมองตามที่อีกฝ่ายชี้ แต่ด้วยความที่มันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมจึงมองเห็นแค่หางแสงของมันก่อนที่จะมันลับไปอย่างรวดเร็ว

   “อธิษฐานกันเถอะครับ”
   “ห๊ะ!?”
   “ไม่เคยได้ยินเหรอครับว่าถ้าเห็นดาวตก ให้อธิษฐานแล้วคำขอของเราจะเป็นจริง”
   แบงค์หันมากล่าวกับผมด้วยสีหน้าที่ดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

   “กูรู้ แต่กูบ่นึกว่าคนอย่างมึงจะเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยน่ะ”
   “เอาเถอะครับ นิดๆ หน่อยๆ ไม่เห็นจะเสียหาย แถมยังดูโรแมนติกอีกด้วย”

   “มานั่งอธิษฐานขอพรจากดาวตกกับผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ โรแมนติกตรงไหนวะ”
   แบงค์หัวเราะเบาๆ ในลำคอเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนั้น แต่เอาเถอะ ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจในคำพูดของผมเท่าไหร่นัก เพราะทันทีที่พูดจบ เจ้าตัวก็รีบหลับตาเหมือนกำลังจะอธิษฐานขอพรจากดาวตกยังไงยังงั้น

   เอาเถอะ ก็คงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้จริงๆ นั่นล่ะ นิดๆ หน่อยๆ ไม่น่าจะเสียหายเท่าไหร่หรอกแต่จะให้อธิษฐานอะไรดีล่ะ อยู่ๆ มาให้คิดตอนนี้ ก็คิดไม่ออกแฮะ เอ หรือจะอธิษฐานเรื่องคะแนนสอบดีวะ เออเข้าท่าดีแฮะ

   ในขณะที่ผมกำลังจะหลับตาเพื่ออธิษฐานนั้นเอง สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นแบงค์ที่กำลังหลับตาอธิษฐานอยู่ ซึ่งดูจะจริงจังและตั้งใจเอามากๆ ซึ่งดูขัดกับคำพูดที่ว่านิดๆ หน่อยๆ นั้นยังไงก็ไม่รู้

   แต่ทำไมกันนะ พอเห็นเช่นนั้นแล้วแทนที่ผมจะรู้สึกหัวเราะ ผมกลับรู้สึกอมยิ้มเอ็นดูในความตั้งใจนั้นกันนะ
   อธิษฐานขอพรกับดาวตกงั้นเหรอ ถ้าเช่นนั้น ขออธิษฐานแบบนี้ดีกว่า

   คุณดาวตกครับ ผมไม่รู้ว่าการอธิษฐานกับดาวตกมันช่วยทำให้คำขอเป็นจริงหรือไม่ แต่หากมันเป็นจริงล่ะก็ ผมก็ขออธิษฐานให้คำขอพรของแบงค์ที่กำลังนั่งอธิษฐานอยู่ข้างๆ ผมเป็นจริงด้วยเถอะครับ

   ผมค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ ทันทีที่อธิษฐานเสร็จ ภาพที่เห็นคือแบงค์ที่กำลังจ้องมองผมอยู่ด้วยรอยยิ้ม
   “อธิษฐานว่าอะไรเหรอครับ”

   คำถามบวกกับรอยยิ้มนั้น ทำเอาผมถึงรู้สึกอึกอักขึ้นมาเล็กน้อย
   “บ่บอกเว้ย มึงล่ะ อธิษฐานว่าอะหยัง”

   “ไม่บอกเช่นกันครับ”
   เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกึ่งหัวเราะเบาๆ ในขณะที่ผมเองในตอนนี้นั้นกลับรู้สึกเขินอายขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

   นี่กูกำลังเป็นเหี้ยอะไรอยู่ ทำไมถึงได้รู้สึกเขินอายกับอะไรแบบนี้ด้วยวะเนี่ย

   “อีกเดี๋ยวพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว ไปปลุกพวกเพื่อนๆ กันเถอะครับ”
   แบงค์เอ่ยทักขึ้นมา ทำให้ผมดึงสติของตัวเองกลับมาได้พร้อมกับถอดหูฟังออก แบงค์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดกางเกงตัวเองเล็กน้อยแล้วจึงยื่นมือมาให้ผม ผมจับมือนั้นเอาไว้พร้อมกับฉุดตัวเองให้ยืนขึ้นก่อนที่จะเดินตามหลังอีกฝ่ายไป

   โดยที่ยังคงทิ้งคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบนั้นได้เอาไว้ในใจเพียงลำพัง...
   
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 6 คำสัญญา (13-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 13-10-2018 01:51:38
   หลังจากที่ผมและแบงค์ไปปลุกเพื่อนๆ  ที่เหลือขึ้นมาด้วยความยากลำบาก พวกเราทั้งหมดก็พากันไปล้างหน้าล้างตากันที่ห้องน้ำรวม ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่พวกเราตั้งเต็นท์ไม่มากนัก ขอบอกตรงนี้ว่าน้ำเย็นสัสๆ เลยครับ นี่ขนาดแค่ล้างหน้านะ ยังสั่นสะท้านไปถึงทรวงเพราะงั้นเรื่องอาบน้ำนี่ไม่ต้องพูดถึง ขอสารภาพ ณ ที่นี้เลยครับว่าไม่มีใครหน้าไหนอาบกันสักคน ชีวิตมีค่าอย่าเอาไปเสี่ยงกับน้ำเย็นแม้เพียงขันเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า

   หลังจากที่ล้างหน้าล้างตากันอย่างทรมานเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น พวกเราก็ขอใช้ครัวของเรือนพักรับรองเพื่อต้มน้ำเอามาใส่มาม่าคัพเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย เป็นมือเช้าแบบง่ายๆ ของวันนี้ซึ่งพวกเราก็เอามานั่งกินกันที่จุดชมวิวเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งก็เป็นจุดเดียวกันกับที่ผมและแบงค์นั่งกันเมื่อครู่

   “ไอ้ไนท์ มึงเป็นเหี้ยอะหยังของมึงวะ ซึมกระทือเป็นหมาหงอยอยู่ได้ เห็นแล้วชวนให้หดหู่ชิบหาย”
   ไอ้เต้ยหันมาเอ่ยถามไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้่ได้แต่เอาส้อมพลาสติกกวนมาม่าในถ้วยไปมาด้วยสีหน้าที่ดูแล้วไม่สดชื่นเลยสักนิด

   “ผมเข้าไปนอนในเต็นท์ของพี่แบงค์ได้ไงอะ”
   ไอ้น้องไนท์ถามออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่

   “ยังมีหน้ามาถามอีก มึงเองนั่นล่ะที่เป็นคนคลานเข้าไปเองแท้ๆ พวกกูพยายามจะบอก พยายามจะปลุกมึง มึงก็บ่ยอมตื่น กูก็เลยปล่อยๆ ไป ไอ้เหี้ยโอ๊ต มึงก็อีกคน เมาฟุบไปเป็นคนแรก ลำบากพวกกูต้องลากมึงเข้าเต็นท์อีกเนี่ย”

   ไอ้น้องไนท์นิ่งเงียบไม่พูดจาอะไรต่อเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากไอ้เต้ย ส่วนไอ้โอ๊ตเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วขยับแว่นตาของตัวเองเบาๆ

   “ก็บอกแล้วไงครับ ว่าอย่าดูถูกเด็กเชียงดาว”
   กูอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้ามึงสักร้อยรอบจริงๆ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/2001186762-member.jpg)

   ท้องฟ้าในตอนนี้เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้แสงจากดวงดาวค่อยๆ เลือนหายไปเช่นเดียวกัน ไม่นานนักแสงแรกของวันจากดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆซึ่งก็ทำให้พวกเราเห็นทะเลหมอกยามเช้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พวกเราทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงันกันทุกคนเพราะภาพความสวยงามของธรรมชาติในยามเช้าบนสันป่าเกี๊ยะแห่งนี้นั้นสวยงามเกินกว่าที่พวกเราจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
 

   ผมลุกขึ้นเอาถ้วยมาม่าไปทิ้งยังถุงขยะที่เตรียมเอาไว้ที่จุดกางเต็นท์ก่อนที่จะเดินไปล้างมือ แล้วจึงกลับมายังจุดชมวิวอีกรอบ แต่ละคนในตอนนี้ดูจะสนุกสนานกับการถ่ายรูปกับบรรยากาศยามเช้าเช่นนี้เสียเหลือเกิน

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแบงค์ ดูเจ้าตัวจะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปบรรยากาศยามเช้าในตอนนี้เป็นอย่างมาก จนผมเองก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดจังหวะเท่าไหร่นักจึงได้แต่หันกลับไปมองบรรยากาศข้างหน้า ดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หมอกเริ่มจางลงทีละนิดๆ จนในที่สุดก็หายไปจนหมดและหากมองสังเกตลงไปให้ดีๆ จะเห็นตัวเมืองเชียงดาวจากบนนี้ไกลๆ ด้วย

   ในขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินอยู่กับบรรยากาศตรงหน้า จนทำให้ไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้แบงค์ได้มายืนอยู่ข้างๆ ผมแล้ว
   “อรุณสวัสดิ์ครับ นันท์”
   แบงค์เอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนทุกครั้ง ผมหันไปมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังมองไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น

   “เออ ‘รุณหวัด”
   ผมเอ่ยตอบกลับไปพร้อมกับหันไปมองข้างหน้าเช่นเดียวกับอีกฝ่าย

   “ปีหน้าถ้าผมชวนมาอีก จะมามั้ยครับ”
   “มาสิ มาแน่ อย่าลืมล่ะ”
   ผมรีบตอบตกลงกลับไปทันทีอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแบงค์ที่ยกนิ้วก้อยขึ้นมา

   “อะหยังน่ะ”
   “ก็เกี่ยวก้อยสัญญากัน ว่าปีหน้าเราจะมากันอีกยังไงล่ะครับ”
   แบงค์ยิ้มตอบกลับมา ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้มหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนที่จะยกนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยของแบงค์

   “ปีหน้านะครับ”
   แบงค์ทวนประโยคซ้ำ

   “เออ ปีหน้า”
   “แค่...เราสองคนนะครับ”
   “ห๊ะ อะหยังนะ”
   ผมถามกลับไปเพราะประโยคที่แบงค์พูดเมื่อครู่นั้นเบามากๆ แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาจากอีกฝ่ายนอกจากรอยยิ้มเท่านั้น

   รอยยิ้มที่ผมเห็นทีไร ก็รู้สึกมีความสุขจนอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้สักที
   “ไปเก็บสัมภาระกันเถอะครับ เดี๋ยวสายมากกว่านี้แดดจะแรงขึ้นนะครับ”
   ผมพยักหน้าตอบรับพร้อมกับเดินตามแบงค์ไปทันที ก่อนที่จะบอกกับทุกคนให้เก็บสัมภาระกัน
   

   “เฮ้ยๆ ไอ้นันท์ แม่คะนิ้งว่ะ มาดูเร็ว”
   เสียงของไอ้ยีสต์ตะโกนเรียกผมอย่างดังในขณะที่ผมกำลังช่วยไอ้น้องไนท์เก็บเต็นท์อยู่ ทำเอาผมถึงกับหันไปมองไอ้น้องไนท์ด้วยสีหน้าสงสัยทันที

   “ช่วงนี้มีแม่คะนิ้งด้วยเหรอวะ”
   ผมตะโกนถามกลับไปด้วยความแปลกใจ จริงอยู่ว่าตอนนี้เข้าสู่หน้าหนาวแล้วก็ตามทีเถอะ แต่มันก็ยังไม่หนาวมากพอที่จะทำให้เกิดแม่คะนิ้งได้นี่หว่า

   “เออ มี เชื่อกูดิ รีบๆ มาดู เร็ว เดี๋ยวมันจะละลายไปก่อนนะเฮ้ย”
   ไอ้ยีสต์ยังคงยืนยันในคำพูดของตัวเองด้วยความมั่นใจ จนผมต้องเดินไปดูให้เห็นกับตาเพราะเอาจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นแม่คะนิ้งของจริงเลยสักครั้ง จนบางทีก็รู้สึกละอายใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเป็นคนเหนือได้ยังไง เสียชาติเกิดจริงๆ เลยกูเนี่ย

   ผมเดินไปยังบริเวณเต็นท์ของไอยีสต์ พร้อมกับพยายามมองไปยังจุดที่มันชี้ ทันทีที่เห็นผมก็ถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

   เฮ้ย มีจริงด้วยแฮะ ไม่อยากจะเชื่อ
   คือจะว่ายังไงดีล่ะครับ คือมันสวยงามมากครับ

   กับแม่คะนิ้ง...

   น้ำแข็งหลอด!!!

   “......”
   ครับ น้ำแข็งหลอดธรรมดาๆ นี่ล่ะครับ แถมเป็นน้ำแข็งหลอดที่เหลือในกระติกจากเมื่อคืนซึ่งไอ้ยีสต์เพิ่งจะเททิ้งไปเมื่อกี้นี่เอง

   “แม่คะนิ้ง...พ่องงง”
   ผมหันกลับไปด่าไอ้ยีสต์พร้อมกับยกนิ้วกลางชูให้มันทันที ก่อนที่จะเดินกลับไปช่วยไอ้น้องไนท์เก็บเต็นท์ต่อ โดยมีไอ้ยีสต์กับไอ้เต้ยหัวเราะตามหลังมาด้วยความชอบใจ ไอ้พวกเหี้ย ทำกูเสียเวลาชีวิตฉิบหาย

   “พี่นันท์นี่ก็เชื่อคนง่ายดีนะครับ”
   ไอ้น้องไนท์ฝังกลบผมทันทีที่ผมเดินมาถึง

   “ใครๆ ก็ว่าแบบนี้ทั้งนั้น นี่กูคงโง่อย่างที่เขาว่าจริงๆ น่ะล่ะ”
   “เฮ้ยๆ บ่ใช่นะครับ ผมบ่ได้มีเจตนาแบบนั้นนะครับ พี่นันท์”
   ไอ้น้องไนท์พยายามอธิบายให้ผมฟังด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน

   “คือจะว่ายังไงดีล่ะ คือจะสื่อว่าพี่นันท์เป็นคนมองโลกในแง่ดีน่ะครับ และที่สำคัญ...”
   ไอ้น้องไนท์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งในขณะที่มือก็กำลังพับเต็นท์ไปด้วย
   “...ผมมองว่านั่นเป็นเสน่ห์อย่างนึงของพี่นันท์ในสายตาผมด้วย”
   ผมหันไปมองหน้าไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้กำลังดูยิ้มๆ อายๆ อยู่ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและพยายามครุ่นคิดกับคำพูดนั้นของไอ้น้องไนท์

   “ถ้าอยากได้ กูยกให้ได้นะ นิสัยนี้ กูยกให้ฟรีเลย”
   ไอ้น้องไนท์นิ่งเงียบไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาผมด้วยสีหน้าจริงจังต่างไปจากทุกที

   “ผมบ่ได้อยากได้แค่นิสัยของพี่ครับ”

   “......”
   “......”

   “แต่ผมอยากได้ตัวพี่มากกว่า!”

   “......”
   “......”

   “เอาไปเลย ความสูงของกูเนี่ย แลกกันได้ๆ กูจะได้สูงๆ กับเขาบ้าง”
   ผมรีบตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้นทันที คนอะไรสูงอยู่ดีๆ อยากเตี้ยซะงั้น พิลึกคนจริงๆ

   “พี่เนี่ยน้า...”
   ไอ้น้องไนท์เอามือกุมขมับตัวเองทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น คือ กูพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอวะ

   “"อ้าว ละอ่อนทั้งหลาย ถ้าเก็บข้าวเก็บของเสร็จแล้ว กะเอาขึ้นมาไว้ท้ายกระบะรถเลยเน่อ”
   พ่อของแบงค์ตะโกนเสียงดังมาจากทางเรือนพักรับรอง พวกเราทั้งหมดหันไปพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะช่วยกันขนสัมภาระขึ้นท้ายรถ

   “คุณเพื่อนๆ ครับ มาถ่ายรูปที่ระทึก...”
   “ระลึก!”
   นั่น มีชงมุกมาให้ตบด้วยนะมึง ไอ้เหี้ยโอ๊ต

   “ครับ ที่ระลึกกันหน่อย”
   ไอ้โอ๊ตหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วยื่นให้พ่อของแบงค์

   “เอ่อ สุมาเต๊อะพ่อครับ รบกวนถ่ายรูปหมู่ให้พวกผมทีนะครับ”
   “อ่อ ได้ๆ”
   อนึ่ง คำว่า “สุมาเต๊อะ” นั้นเป็นภาษาเหนือความหมายของมันก็คือ “ขอโทษ” น่ะครับ พ่อของแบงค์รับมือถือไป ก่อนที่จะหันไปมองหน้าแบงค์ครู่หนึ่ง

   “ยังเหมือนเดิมเลยนะเรา”
   อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มเบาๆ ให้กับคำพูดนั้นพลางขยับแว่นหนาของตัวเองเล็กน้อย
   พวกเรายืนเรียงหน้ากันโดยมียอดดอยหลวงที่อยู่อีกฟากเป็นฉากหลัง

   “ไอ้ไนท์ มายืนอะหยังข้างกูเนี่ย”
   ผมหันไปเอ็ดใส่ไอ้น้องไนท์ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย

   “อ้าว ทำไมล่ะพี่”
   ไอ้น้องไนท์ถามผมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมย้ายที่

   “เอ้า ทุกคน พร้อมเน่อ นับหนึ่ง...สอง...”
   “เดี๋ยวพ่อ!”
   อยู่ๆ แบงค์ก็เอ่ยแทรกขัดจังหวะขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนพ่อหันไปมองทันทีด้วยความสงสัย

   “มีอะหยังน่ะ”
   พ่อของแบงค์เอ่ยถามขึ้น แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจารอยยิ้มก่อนที่จะเดินก้าวเข้ามาหาพวกผม

   “โอ๊ต ขยับหน่อยครับ”
   แบงค์หันไปบอกพร้อมกับแทรกตัวเข้ามาระหว่างผมกับไอ้โอ๊ต

   “ถ่ายได้เลย พ่อ”
   แบงค์ตะโกนบอกพ่อที่กำลังตั้งท่าหยิบมือถือขึ้นมาโฟกัส

   “เอ้า คราวนี้พร้อมเน่อ นับหนึ่ง...สอง...”
   “เอ่อ เดี๋ยวนะๆ”
   “เฮ้ย อะหยังของมึงอีกเนี่ย ไอ้เหี้ยนันท์”
   ไอ้เต้ยตะโกนด่าผมด้วยอารมณ์หงุดหงิดเมื่อเห็นผมขัดจังหวะ ผมหันไปทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่มันทันที

   “โห ไอ้เหี้ย มึงก็ดูกูก่อนเนี่ย ซ้ายก็ไอ้ไนท์ขวาก็แบงค์ประกบขนาบข้างซ้ายขวาเลย กูแม่งจะกลายเป็นหลักกิโลข้างเสาไฟฟ้าอยู่แล้วเนี่ย”
   ผมบ่นโวยวายเล็กน้อย แต่กลายเป็นว่าเมื่อทุกคนได้ยินแทนที่จะเห็นใจผม กลับยิ่งหัวเราะชอบใจกันเสียอย่างนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อของแบงค์ก็เอากับเขาด้วย

ฮือๆๆๆ ไม่เตี้ย เอ้ย ไม่พกพาสะดวกอย่างกูใครมันจะมาเข้าใจวะ ฮือๆๆๆๆๆ

   “ผมบ่ย้ายนะ ผมจะยืนตรงนี้นี่ล่ะ”
   ไอ้น้องไนท์รีบออกตัวเป็นคนแรก

   “ผมก็ไม่ย้ายเช่นเดียวกันครับ”
   ตามด้วยแบงค์เป็นคนที่สองผมจึงได้แต่ทำหน้าเซ็งทันทีที่ได้ยินคำยืนกรานจากคนตัวสูงทั้งสอง

   “เออๆ งั้นกูย้ายที่เองก็ละกัน”
   ผมพูดด้วยน้ำเสียงระอาพร้อมกับก้าวเท้าจะย้ายที่ ทว่า...

   หมับ!
   “อยู่ตรงนี้ดีแล้วครับ นันท์"/"ยืนตรงนี้น่ะล่ะครับ พี่นันท์”
   ทั้งแบงค์และไอ้น้องไนท์พูดขึ้นมาพร้อมกับเอามือมาจับไหล่ผมไว้แน่นเพื่อไม่ให้ผมเดินหนีไปไหน ก่อนที่ทั้งสองจะยิ้มให้กัน

   “เอ้าอะหยังเนี่ยยย”
   ผมได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่ยอมทำใจยอมเป็นหลักกิโลให้เสาไฟฟ้าทั้งสองยืนขนาบข้างด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในความเตี้ย เอ้ย ความพกพาสะดวกของตัวเอง

   
   หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ พวกเราทั้งหมดก็เตรียมตัวจะขึ้นรถเพื่อกลับลงไปข้างล่าง พ่อของแบงค์ยื่นมือถือคืนให้ไอ้โอ๊ตก่อนที่จะหันไปมองแบงค์

   “ก็ถือว่ามีพัฒนาการขึ้นมาบ้างเหมือนกันนะ”
   พ่อของแบงค์พูดพร้อมกับยิ้มให้ ก่อนที่จะตบบ่าของลูกชายตัวเองเบาๆ

   “ก็แค่มีแรงจูงใจที่ดี ก็แค่นั้นล่ะครับ”
   แบงค์ยิ้มตอบกลับไป คนเป็นพ่อเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็หันมามองผมครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปมองยังลูกชายตัวเองที่กำลังอมยิ้มเล็กๆ มาทางผมอยู่

   “สงสัยพ่อคงแก่เกินกว่าที่จะเข้าใจเด็กยุคนี้แล้วแฮะ”
   พ่อของแบงค์หันมามองผมอีกรอบก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งยังที่นั่งคนขับ
   “เอ่อ คุยหยังกันน่ะ”
   ผมเงยหน้าขึ้นไปถามแบงค์ด้วยความสงสัย แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมานอกจากรอยยิ้มและการยีหัวเบาๆ เหมือนทุกครั้ง

   “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย”
   แบงค์บอกกับผม ก่อนที่จะเดินนำหน้าขึ้นกระทะท้ายรถไป โดยทิ้งให้ผมยืนงงสงสัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่คนเดียว
   

   เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรผมไม่อาจจะรู้ได้
   แต่สิ่งที่ผมรู้คือ ประสบการณ์การมาเที่ยวสันป่าเกี๊ยะครั้งนี้จะอยู่ในความทรงจำผม
   ตลอดไป...
   

จบคาบเรียนที่หก


   มุม Caption ไร้สาระ
   นันทการ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
   แม่คะนิ้งไอ้เหี้ยยีสต์
   
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/966797739-member.jpg)

   ยีสต์ เจ้าพ่อขนมปัง : 55555+

หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 5 สันป่าเกี๊ยะ (10-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 13-10-2018 01:53:11
คาบเรียนที่หกมาแล้วครับ
อัพไปยาวๆ เพราะเขียนไว้จนจบแล้ว เลยไม่อยากดองนาน 555+

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ขอบคุณครับ  :pig4:

ไนท์ก็น่ารักแฮะ เชียร์ไม่ถูกเลย  :hao3:

เหมารวบเลยดีมั้ย ? 555+
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 7 ละครหลังข่าว (14-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 14-10-2018 03:22:24
   คาบเรียนที่เจ็ด

   “เฮ้ย ไอ้ยีสต์ คืนนี้กูไปนอนบ้านมึงนะ”
   ไอ้เต้ยพูดขึ้นในขณะที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าหลังจากที่เรียนคาบสุดท้ายเสร็จ

   “เอ้า บ้านมึงก็มี อะหยังบ่นอนวะ”
   “ลุงกับป้ากูมาว่ะ กูบ่อยากฟังเสียงบ่นจู้จี้ของป้ากู”
   “มีงี้ด้วย แล้วชุดใส่นอนล่ะวะ”
   “มึงกับกูหุ่นไล่ๆ กัน กูยืมมึงใส่ได้ เอ้อรวมถึงชุดนักเรียนวันพรุ่งนี้ด้วย”
   ไอ้เต้ยตอบกลับไป

   “รวมถึงกางเกงในด้วยเหรอวะ”
   ไอ้ยีสต์หันกลับมาถามอีกรอบด้วยสีหน้าสะพรึง

   “เหี้ยมึงสิ อันนั้นเดี๋ยวกูซื้อใหม่เอาเว้ย กูบ่ใส่หรอกกางเกงในมึงอะ บ่อยากติดสังคังจากมึง”
   ไอ้ยีสต์อ้าปากค้างทำหน้าเหวอทันทีที่ไอ้เต้ยพูดเช่นนั้น ในขณะที่ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ

   “มึงจะมานอน กูบ่ได้ว่าอะหยังหรอก แต่..”
   “อ้อ มึงบ่ต้องห่วง เรื่องความเป็นส่วนตัว มึงชักว่าวหน้าคอมได้ตามสบายเลย กูบ่ดูหรอก หนอนชาเขียวของมึงน่ะ”
   ไอ้ยีสต์ชูนิ้วกลางใส่ทันทีเมื่อได้ยินไอ้เต้ยพูดตัดบทเช่นนั้น ส่วนไอ้เต้ยเองเมื่อพูดจบ ก็หยิบบัตรสมาร์ทเพิร์ทออกมาจากกระเป๋าเงินพร้อมกับยื่นมันมาให้ผมด้วยความรวดเร็ว

   “อ่ะหยังน่ะ”
   ผมถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
   “ก็บัตรสมาร์ทเพิร์ทของเซเว่นไงบ่รู้จักเหรอวะ”
   “เออ กูรู้ ถึงกูจะบ่ฉลาด แต่กูก็บ่ได้โง่ขนาดนั้น”
   ผมขมวดคิ้วตอบกลับไป โดยที่มีไอ้ยีสต์กับไอ้โอ๊ตหัวเราะสมทบ

   “ก็หน้าที่มึงไง มึงติวเสร็จก็แวะเซเว่นซื้อขนมมาให้พวกกูด้วย ในบัตรมีเท่าไหร่บ่รู้ ฝากเช็คด้วยละกัน”
   ไอ้เต้ยบอกกับผมแล้วก็เดินออกจากห้องไป โดยทิ้งผมไว้กับบัตรสมาร์ทเพิร์ทในมือ ชิส์ ไอ้ลูกคนรวย น่าหมั่นไส้จริงๆ นะชีวิตมึงเนี่ย

   “คุณเพื่อนนันท์ครับ ช่วงนี้ติวหนังสือกับคุณเพื่อนแบงค์เป็นยังไงมั่งครับ”
   ไอ้โอ๊ตเดินเข้ามาถามผม โดยที่สายตาของคนถามนั้นยังคงจ้องมองอยู่กับเกมในมือถือ

   “ก็ดี ทำไมวะ”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับถามด้วยความสงสัย ก่อนที่จะหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาสะพาย

   “ก็ดีแล้วครับ สู้ๆ นะครับ”
   ไอโอ๊ตเอามือมาตบบ่าผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมแม้แต่นิดเดียว

   “อะหยังของมันวะ”
   ผมตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ แล้วจึงเดินลงจากอาคารเรียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารเหมือนทุกเย็นที่ผ่านมา เพราะกลัวว่าคนที่อาสารับหน้าที่เป็นติวเตอร์ให้ผมจะรอนาน แต่ทันทีที่ผมไปถึง ผมก็ยืนนิ่งเงียบด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้นั้นต่างไปจากทุกวันที่ผ่านมา

   นั่นคือ ภาพของแบงค์ที่กำลังหลับอยู่ครับ หลับฟุบคาโต๊ะเลยด้วย โดยที่มีหูฟังเสียบคาหูอยู่ทั้งสองข้าง ผมเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ พร้อมกับนั่งลงข้างๆ อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่น

   คงจะเหนื่อยมากสินะ ก็แหงล่ะ เพิ่งลงจากสันป่าเกี๊ยะมาเมื่อวันก่อนเองนี่ แถมพอมาลองคิดๆ ดูถึงกิจวัตรในแต่ละวันของแบงค์แล้ว ก็พบว่าแทบจะไม่เหลือเวลาส่วนตัวให้ตัวเองเลยสักนิด จนผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันแฮะ

   แต่จะว่าไปแบงค์ในเวลาหลับแบบนี้ก็ดูน่าแกล้งอยู่เหมือนกันว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นแล้วอยากเอาปากกาเมจิกมาเขียนจังเลย แต่คิดอีกที ไม่เอาดีกว่า ปล่อยให้เจ้าตัวได้พักผ่อนไปนั่นล่ะดีแล้ว ไม่กวนจะดีที่สุด ทันทีที่คิดเช่นนั้นผมก็หยิบสมุดการบ้านจากในกระเป๋าขึ้นมาทำอย่างเงียบๆ

   เอ... ข้อนี้น่าจะอย่างนี้นะ เอาตรงนี้มาแทนค่าที่ตรงนี้ ก็น่าจะได้...แบบนี้ ถูกหรือเปล่าวะ น่าจะถูก...มั้ง เหมือนแบงค์จะเคยสอนวิธีคิดไปแล้ว

   ในขณะที่ผมกำลังเค้นสมองที่มีเพียงน้อยนิดอยู่นั่นเอง อยู่ๆ แบงค์ที่กำลังหลับอยู่ข้างๆ ก็มีอาการกระตุกเล็กน้อย ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งตามไปด้วย ผมหันไปมองด้วยสีหน้าตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเพ่งมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

   ฝันอย่างนั้นเหรอ ฝันอะไรวะ

   ผมตั้งคำถามกับตัวเองเล่นๆ พร้อมกับวางปากกาลงบนสมุดการบ้านก่อนที่จะเอามือมาเท้าคางตัวเองไว้กับโต๊ะแล้วจึงหันไปมองแบงค์ที่ยังคงหลับอยู่

   ไหนกูขอดูใกล้ๆ หน่อยซิ

   ผมค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่ภาพแบงค์ที่กำลังหลับอยู่ตรงหน้าทำเอาผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้แฮะ จะว่าไปแบงค์นี่ก็เป็นคนที่มีขนตาสวยเหมือนกัน และหากตั้งใจฟังดีๆ ก็จะได้ยินเสียงกรนเบาๆ ในลำคอด้วยเหมือนกันแฮะ ฟังแล้วคล้ายๆ เสียงกรนครืดๆ ในลำคอของเจ้าคุณท่าน แมวจรสีเหลืองอมส้มที่ผมถือวิสาสะตั้ง ชื่อให้เองแถวบ้านผมเลย และยิ่งเมื่อเข้าใกล้ไปอีกนิดผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวแบงค์อีกด้วย ซึ่งจะว่าไปผมก็เคยได้กลิ่นนี้มาหลายครั้งแล้วอยู่เหมือนกันแฮะ ว่าแต่ใช้กลิ่นอะไรหว่า หอมกำลังดีไม่มากไปไม่น้อยไป

   ในขณะที่ผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นเอง

   “อือ...หือ!”
   อยู่ๆ แบงค์ก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมามองหน้าผมด้วยความสงสัย ก่อนที่จะสะดุ้งส่งเสียง เฮ้ย เบาๆ แล้วจึงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมเองก็ดึงตัวกลับมาพร้อมกับมองด้วยสีหน้างงๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย

   “มานานแล้วรึยังครับ”
   แบงค์ถอดหูฟังออกพร้อมกับเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย

   “ก็สักราวๆยี่สิบนาทีได้ละมั้ง ทำไมวะ”
   ผมตอบกลับไป แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สะบัดหัวเบาๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผม

   “ไม่มีอะไรครับ เป็นยังไงมั่งครับ การบ้านวันนี้”
   แบงค์เอ่ยถามผม พร้อมกับหยิบสมุดของผมไปดูด้วยสีหน้านิ่งเรียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะส่งคืนให้ผม

   “เก่งขึ้นนี่ครับ”
   แบงค์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเบาๆ ผมรู้สึกดีใจกับคำชมนั้น จนเผลอยิ้มตามไปด้วย

   “ว่าแต่เมื่อกี๊มึงฝันอะหยังวะ เห็นมีสะดุ้งนิดๆ ด้วย”
   “ไม่บอกครับ”
   คราวนี้แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูกวนๆ เล็กน้อย ผมขมวดคิ้วกลับไปทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนั้นก่อนที่จะหยิบหูฟังของอีกฝ่ายขึ้นมาใส่

   อยากมีคนจับมือ คอยปลอบโยน เมื่อร้อนใจ

   “เพลงนี้อีกละ บ่เบื่อมั่งรึไงวะ”
   “ก็ความหมายมันดีนี่ครับ”
   แบงค์ยิ้มพร้อมกับตอบคำถามด้วยคำตอบเดิมเป็นครั้งที่สามนับตั้งแต่ตอนที่ไปเที่ยวที่สันป่าเกี๊ยะแล้วจึงหยิบหูฟังที่เหลืออีกข้างไปใส่ ก่อนที่จะเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ผม

   รอเพียงใครคนนั้นจะผ่านเข้ามา รอวันที่การค้นหาของฉันถึงจุดหมาย รอเธอคนสุดท้ายที่ฉันจะยอมมอบทั้งใจ รอใครคนนั้นที่ฉันจะรักตลอดไป...

   อืม... พอฟังไปเรื่อยๆ มันก็เพราะจริงๆ นั่นล่ะ เอ... นี่กูกำลังโดนเพลงนี้สะกดจิตไปด้วยอีกคนอยู่รึเปล่าวะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   
   “งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้เจอกันนะครับ”
   แบงค์บอกกับผมพร้อมกับเก็บของใส่กระเป๋าไปพลาง ผมพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะเก็บของต่างๆ ใส่กระเป๋าเช่นเดียวกัน

   “เฮ้ย มึง”
   ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่าย ในขณะที่เจ้าตัวเองกำลังจะเดินออกไป

   “ครับ?”
   แบงค์หันกลับมามอง ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

   “......”
   “......”

   “ป่ะ เปล่าๆ บ่มีอะหยัง กลับดีๆ นะเว้ย พรุ่งนี้เจอกัน”
   แบงค์ทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินกลับมาหาผม พร้อมกับเอามือยีหัวผมเบาๆ แล้วยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “ขอบคุณครับ”
   พูดจบ อีกฝ่ายก็เดินออกไป โดยที่ผมยังคงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
   อย่าถามเลยว่าเมื่อกี๊ผมเรียกแบงค์ทำไม เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน มันเหมือนเป็นสัญชาตญาณยังไงก็ไม่รู้แฮะ ยิ่งพูดก็ยิ่งงงในตัวเองว่ะ

   TRRR
   เสียงมือถือของผมดังขึ้นช่วยดึงสติของผมกลับมา ผมรีบหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงทันที ซึ่งคนที่โทรมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เต้ยนั่นเอง ซึ่งจะว่าไปก็รู้สึกอนาถตัวเองอยู่เหมือนกันแฮะ มีมือถือเป็นของตัวเอง แต่กลับไม่ค่อยมีใครโทรเข้าเลย บัดซบจริงๆ ชีวิตกูเนี่ย

   “โหล มึงอยูไหนละ”
   ไอ้เต้ยเอ่ยถามทันทีที่ผมรับสาย

   “เออๆ เพิ่งเลิกเนี่ย กำลังจะไป มีอะหยังวะ”
   ผมถามกลับไป พร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย

   “ซื้อกางเกงในจากเซเว่นมาให้กูด้วย”

   “......”
   “......”

   “ห๊ะ อะหยังนะ”
   ผมขมวดคิ้วถามกลับไปอีกรอบเพื่อความมั่นใจด้วยน้ำเสียงสงสัย

   “กาง...เกง...ใน!”
   ไอ้เต้ยทวนซ้ำอีกครั้งอย่างช้าๆ โอเค ชัดเจนเลยมึง

   “เหี้ย แล้วหยังมึงบ่ซื้อเองวะ”
   “กูบ่ว่าง ตอนแรกกูคิดว่าจะไปซื้อในกาดสวนแก้ว แต่ดูท่าคงจะบ่ทันละ ก็เลยฝากมึงซื้อให้กูหน่อย”

   “งั้นเดี๋ยวซ้อมเสร็จมึงก็ออกมาซื้อเองดิวะ”
   ผมพยายามโวยวายกลับไป อนึ่ง กาดสวนแก้วที่ไอ้เต้ยอ้างถึงเมื่อครู่ก็คือชื่อห้างเก่าแก่แห่งหนึ่งของเชียงใหม่น่ะครับ อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่พวกผมเรียนมากนัก ส่วนถ้าจะถามว่าเก่าแก่แค่ไหนนั้น ผมก็คงตอบได้ไม่เต็มปากนัก แต่บอกได้แค่ว่า บันไดเลื่อนน่ากลัวมากกก ฮ่าฮ่าฮ่า

   “บ่เอา กูขี้คร้าน กูกะว่าซ้อมเสร็จแล้วกูจะไปบ้านไอ้ยีสต์เลย กูบ่อยากแวะไหนละ ไซส์เอ็มนะเว้ย ยี่ห้อหยังก็ได้ กูใส่ได้หมด แค่นี้นะ”

   “เฮ้ย เดี๋ยว!”
   ไม่ทันละ ไอ้เต้ยวางสายไปเสียก่อน ผมมองมือถือตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบบัตรสมาร์ทเพิร์ทออกมาดู แล้วหันไปมองมือถืออีกครั้งสลับกันไปมา

เอ่อ จริงอยู่ว่ากูเป็น เจเนอรัลเบ๊ แต่ไอ้การใช้ให้ไปซื้อกางเกงในให้เนี่ย มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอว้าาาไอ้สัสเต้ยยย

   ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังเซเว่นอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เมื่อไปถึงผมเช็คยอดเงินในบัตรทันที ก็พบว่ามียอดเงินเหลืออยู่ห้าร้อยกว่าบาท หึหึหึ ซื้อแม่งให้หมดห้าร้อยนี่ล่ะวะ สาสสส

   
   หลังจากที่ผมซื้อของต่างๆ รวมไปถึง...กางเกงใน...ของไอเต้ยเสร็จเรียบร้อย ผมก็หอบหิ้วของทั้งหมดไปยังชมรมอย่างทุลักทุเล ซึ่งพอผมมาลองคิดดูดีๆ อีกที ก็มีความรู้สึกว่าตัวผมเองนี่ก็ทำอะไรบ้าๆ ปัญญาอ่อนเหมือนกันแฮะ ที่ประชดไอ้เต้ยด้วยการซื้อของจนเงินในบัตรหมด แล้วสุดท้ายก็เป็นตัวผมเองนี่ล่ะ ที่ต้องรับหน้าที่หิ้วของพะรุงพะรังทั้งหลายกลับไปยังชมรม

   “ช้านะมึง”
   ไอ้เต้ยบ่นทันทีที่ผมเปิดประตูชมรมเข้าไป ผมชูนิ้วกลางใส่มันก่อนที่จะวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบกล่องกางเกงในโยนไปให้ไอ้เต้ย เพื่อหวังจะให้มันเกิดความรู้สึกอับอายต่อหน้าคนอื่นภายในห้อง แต่ดูเหมือนว่าผมจะต้องผิดหวัง เพราะนอกจากไอ้เต้ยจะทำหน้านิ่งเฉยทันทีที่รับกล่องกางเกงในนั้นไปแล้ววางมันลงบนลำโพงอย่างไม่สะทกสะท้าน คนอื่นๆ ในห้องก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจอะไรนอกจากขนมที่ผมซื้อมา

   “มึงใช้เงินในบัตรหมดเลยใช่ปะวะ”
   ไอ้เต้ยถามพร้อมกับแบมือยื่นมาทางผม ผมพยักหน้า แล้วส่งบัตรคืนกลับไปด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะคาดหวังว่าคราวนี้อีกฝ่ายคงต้องโวยวายแน่ๆ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเป็นครั้งที่สอง เพราะไอ้เต้ยก็ยังคงทำหน้านิ่งเฉย ก่อนที่จะเก็บบัตรใส่กระเป๋าอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น

   และนั่นก็เป็นการตอกย้ำถึงการกระทำที่สุดแสนจะปัญญาอ่อนของผมได้เป็นอย่างดี

   ผมเดินกลับไปหยิบเจเล่ไลท์จากในถุงขึ้นมาก่อนที่จะไปนั่งลงตรงมุมห้องเพื่อไว้อาลัยให้กับการกระทำที่แสนจะปัญญาอ่อนตัวเอง

   “เป็นอะไรไปครับ ทำหน้าบูดเชียว”
   แบงค์เดินเข้ามา พร้อมกับเอ่ยถามผมด้วยความเป็นห่วง

   “ป่าว บ่มีอะหยังหรอก”
   ผมตอบปัดกลับไปเพราะเกรงว่าหากบอกความจริงไป คงไม่พ้นต้องถูกหัวเราะเป็นแน่แท้ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะยีหัวผมเบาๆ อีกรอบ ซึ่งก็เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันนี้ แต่ช่างมันเถอะ ผมขี้เกียจจะใส่ใจ แล้วจึงเดินกลับไปเข้ากลุ่ม

   ผมหยิบเจเล่ไลท์ขึ้นมาดูดซึ่งความเอร็ดอร่อยของมันก็พอจะทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้างก่อนที่จะฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   “......”
   แบงค์!

   “เดี๋ยวนะๆ มึงมาอยู่นี่ได้ไงวะ!?”
   ผมตะโกนถามด้วยความสงสัยทันทีที่สังเกตได้ ทุกคนในห้องหันมามองผมพร้อมกันก่อนที่จะหันกลับไปมองหน้ากันเอง

   “อ้าว นี่มึงยังบ่รู้เหรอวะ ว่าแบงค์เขายอมเป็นนักร้องนำให้วงเราแล้วน่ะ”
   ไอ้เต้ยหันกลับมาตอบคำถามผมด้วยสีหน้าเหนื่อยใจพอสมควร ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้แต่ยิ้มหัวเราะเบาๆ ให้กับความทึ่มของผม ในขณะที่ไอ้น้องไนท์ได้แต่ทำเสียงเดาะลิ้นเบาๆ

   ส่วนผมเองนั้นก็ได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก
   โดยที่มีแบงค์ยืนยิ้มแป้นแล้นกลับมา

หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 7 ละครหลังข่าว (14-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 14-10-2018 03:23:09
“มึงแน่ใจแล้วเหรอวะ ที่ตกลงจะเป็นนักร้องนำน่ะ”
   ผมเอ่ยถามแบงค์ด้วยน้ำเสียงวิตกเล็กน้อย พลางเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังชู้ตลูกบาสลงห่วงเล่น

   “ครับ ทำไมเหรอ”
   แบงค์หันมาถามผมกลับก่อนที่จะเดินไปก้มเก็บลูกบาสขึ้นมาเลี้ยงต่อ

   “ก็...มันจะบ่เป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของมึงมากเกินไปเหรอวะ”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนั้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่มืดสนิทก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

   “ก็ไม่นะครับ ก็ทบทวนบทเรียน ติวหนังสือให้นันท์เสร็จ ผมก็ค่อยมาซ้อมร้องเพลง”
   “แล้วเรื่องชมรมถ่ายภาพล่ะ ไหนบอกว่ารักชมรมถ่ายภาพบ่ใช่เหรอวะ”

   “ครับ ทำไมเหรอครับ”
   “ก็ถึงขั้นออกจากชมรมถ่ายภาพมาเพื่อช่วยชมรมดนตรีเนี่ยนะ”
   แบงค์ทำหน้างงๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะร้อง “อ๋อ” ออกมาเบาๆ แล้วจึงยิ้มให้ผม

   “ผมไม่ได้ลาออกจากชมรมถ่ายภาพนะครับ แต่แค่มาช่วยชมรมดนตรีเฉยๆ”
   “แต่ว่า...มึงบ่ต้องฝืนทำเพื่อคนอื่นให้มากก็ได้ ทำอะหยังเพื่อตัวเองบ้างเถอะว่ะ”

   ผมพยายามจะอธิบายให้แบงค์เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาจากอีกฝ่าย นอกจากเสียงเลี้ยงลูกบาสที่กำลังกระทบพื้นสนามอยู่

   “เอ้า รับนะครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมา ก่อนที่จะโยนลูกบาสมาทางผม ผมเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรับลูกบาสด้วยความตกใจเล็กน้อย

   “อะหยังน่ะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย แบงค์ยกนิ้วชี้ขึ้นมาเกาจมูกตัวเองพลางถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น

   “โยนลูกบาสให้ ยังจะหมายถึงอะไรได้อีกล่ะครับ มาครับ มาเล่นกัน เหลือเวลาอีกไม่มาก เดี๋ยวจะถึงเวลาปิดประตูโรงเรียนละด้วยครับ”
   คนตัวสูงเอ่ยชวนผมพร้อมกับทำท่ากวักมือเรียก ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมกับจ้องมองลูกบาสในมือ ก่อนที่จะเงยหน้ายิ้มมุมปากให้กับแบงค์ที่กำลังทำท่าตั้งรับอยู่ จริงอยู่ว่าตัวนั้นผมจะขนาดพกพาสะดวกกว่าอีกฝ่ายมากพอสมควร แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด

   
   “โห ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่านันท์จะเล่นบาสเก่งขนาดนี้”
   แบงค์เอ่ยชมผม หลังจากที่ผมสามารถฝ่าการตั้งรับของอีกฝ่ายและชู้ตลูกบาสลงห่วงได้ถึงห้าลูกติด

   “ก็แน่นอนล่ะ เมื่อก่อนกูเล่นกับพวกเพื่อนๆ ประจำนี่ เพราะอยากสูง เลยค่อนข้างจะมั่นใจในฝีมืออยู่พอสมควร อีกอย่างลูกบาสที่หยิบติดมาจากชมรมดนตรีลูกนี้ก็เป็นของกูเองนี่ล่ะ”

   “แต่ทำไมไม่เห็นจะ...”
   “พอเลยมึงถ้าบ่อยากปากแตก บ่ต้องพูดอะหยังต่อ”
   ผมดักคอแบงค์ทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวจะพูดถึงอะไร ก่อนที่ผมจะใช้ชายเสื้อนักเรียนเช็ดเหงื่อที่อาบเต็มอยู่บนใบหน้าของตัวเอง

   “เดี๋ยวเสื้อก็เลอะคราบหรอกครับ”
   แบงค์เอ็ดใส่ผมทันทีที่เห็นผมทำเช่นนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยก่อนที่จะก้มมองชายเสื้อตัวเองพร้อมกับร้อง “อ๋อ” เบาๆ แล้วจึงเงยหน้ายิ้มให้อีกฝ่าย

   “ช่างเถอะ เดี๋ยวก็ถอดซักแล้ว อีกอย่างกูก็เป็นคนซักเสื้อผ้าเองด้วยน่ะ”
   ผมตอบกลับไป พร้อมกับหัวเราะแห่ะๆ แบงค์ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ เมื่อได้ยินผมตอบเช่นนั้น แล้วจึงก้าวเดินเข้ามาหาผมก่อนที่จะล้วงหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนของตน

   “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะครับ ทีหลังใช้นี่ดีกว่าครับ”
   แบงค์ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่หยิบออกมาแล้วซับเหงื่อบริเวณหน้าผากของผม แล้วจึงเรื่อยลงมายังบริเวณแก้ม ก่อนที่จะหยุดนิ่งค้างไว้อย่างนั้น

   “ม่ะ...มึง...”
   ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับเงยขึ้นมองหน้าแบงค์ที่ตอนนี้เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา ยิ่งบวกกับสายตาที่ดูจริงจังนั้นแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่าอยู่พอสมควรผม ปล่อยลูกบาสก่อนที่จะยกมือตัวเองขึ้นมาจับมือของแบงค์เพื่อหวังจะดึงมือนั้นออกจากแก้มของผม แต่อีกฝ่ายก็เกร็งข้อมือไว้แน่นจนผมไม่สามารถดึงมันออกได้ ซ้ำแบงค์เองยังยกมืออีกข้างของตัวเองที่เหลือขึ้นมาจับแก้มอีกข้างของผมด้วย กลายเป็นว่าผมในตอนนี้ไม่สามารถขยับใบหน้าตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียว

   “อย่างที่ผมบอกไงครับ ว่าไม่มีใครสามารถมาบังคับให้ผมทำ หรือไม่ทำอะไรได้ทั้งนั้น หากผมไม่เต็มใจที่จะทำ”
   “......”

   “"อีกอย่าง สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้ ผมก็กำลังทำเพื่อตัวเองอยู่ด้วยน่ะครับ”
   “......”

   เหมือนบรรยากาศรอบตัวมันหยุดนิ่งไปหมด ยิ่งโรงเรียนยามค่ำคืนในฤดูหนาวที่เงียบสงัดแบบนี้แล้วด้วยนั้น...

   ค่ำคืนเหน็บหนาว จะกอดเอาไว้แนบกาย
   อยู่ๆ ภาพเหตุการณ์คืนวันที่แบงค์กอดผมบนสนามบาสแห่งนี้ก็หวนกลับมา และทันทีที่ผมนึกขึ้นได้ หัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นอย่างรวดเร็วทันที

   ตึกๆ
   ใบหน้าของแบงค์ค่อยๆ เลื่อนใกล้เข้ามาทีละนิดๆ

   ตึกๆ ตึกๆ
   สายตาของอีกฝ่ายที่มองผมผ่านแว่นหนานั้นช่างดูนิ่งแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง

   ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ
   ใบหน้าเนียนใสที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผมได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายเบาๆ และยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของคนที่อยู่ตรงหน้าอีกด้วย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้สติของผมยิ่งเตลิดเข้าไปอีก

   แบงค์กำลังจะทำอะไรวะนั่น
   ผมหลับตาปี๋ลงทันทีด้วยความตื่นเต้นปนกลัวเหมือนทุกอย่างรอบตัวมันหยุดนิ่ง รวมไปถึงเวลาที่ดูจะค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ จนราวเหมือนกับว่ามันกำลังหยุดนิ่ง

   ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ

   “......”
   “......”

   “ขนจมูกแพลมออกมานะครับ”
   “......”

   หือ ???

   ผมรีบลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ภาพที่เห็นตรงหน้าในตอนนี้คือใบหน้าของแบงค์ที่กำลังยิ้มทะเล้นให้กับผม ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงทำสีหน้าตะลึงงงสงสัย พร้อมกับยกมือที่เหลืออีกข้างขึ้นมาจับสำรวจจมูกตัวเองทันทีก่อนที่จะดึงเจ้าขนจมูกเจ้าปัญหาที่ว่านั้นออกอย่างรวดเร็ว ผมร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บจนน้ำตาไหล แบงค์อมยิ้มหัวเราะเบาๆ พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างออกจากแก้มของผม แล้วจึงยืดตัวขึ้นยืนตรงก่อนที่จะค่อยๆ หัวเราะเสียงดังขึ้นอย่างหยุดไม่ได้

   “มีอะหยังให้น่าขำ น่าหัวเราะตรงไหนวะเนี่ย”
   ผมถามกลับไปพร้อมย่นจมูกขมวดคิ้วด้วยความเขินอายก่อนที่จะกำหมัดชกใส่แบงค์เพื่อแก้เขิน

   “เอ้า อะไรครับเนี่ย”
   แบงค์ถามกลับมาพร้อมกับใช้มือพยายามปัดป้องวิชาพายุหมัดแก้เขินของผม พลางถอยหลังไปทีละนิดๆ ในขณะที่เจ้าตัวยังคงหัวเราะไม่ยอมหยุด

   “อยากปากแตกหรือไงวะ”
   ผมพูดแก้เขินออกไป ในขณะที่ยังคงรัวหมัดใส่ ส่วนแบงค์เองก็ได้แต่พยายามปัดป้อง และถอยหลังไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหัวเราะเลยสักนิด

   จนกระทั่ง

   “เฮ้ยยย” / “เอ้ยยย”

   พลั่ก!!!
   แบงค์สะดุดขาของตัวเองจนหงายหลังลงไป ส่งผลให้ผมเองก็ล้มลงไปเช่นเดียวกัน และภาพในตอนนี้คือตัวของผมกำลังนอนคว่ำทับลงบนตัวอีกฝ่ายที่กำลังนอนหงายอยู่กลางสนามบาส

   “......”
   “......”

   ผมกับแบงค์รีบลุกขึ้นยืนทันทีที่ตั้งสติได้ พลางปัดเสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อย

   “อ่ะ เอ่อ...รีบกลับกันเหอะว่ะ เดี๋ยวประตูโรงเรียนจะปิดแล้ว”
   ผมบอกกับแบงค์ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายตรงแป้นบาสโดยที่มีอีกฝ่ายเดินหลังมาติดๆ

   “ก่ะ...กลับบ้านดีๆ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
   แบงค์บอกกับผมพร้อมกับยีหัวผมเบาๆ ผมสะดุ้งเล็กน้อย เจ้าตัวยิ้มให้ผมอย่างเขินอายก่อนที่จะเดินจากไปด้วยความรวดเร็ว โดยทิ้งให้ผมที่กำลังยืนนิ่งเงียบมองฝ่ามือตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว

   คงจะคิดกันใช่มั้ยครับว่า ‘โคตรจะละครน้ำเน่าหลังข่าวเลย’ กับฉากสะดุดล้มตัวทับกันเนี่ย
ผมขอบอกเลยครับว่าถ้าให้มันเป็นแบบนั้น ผมว่ายังจะรู้สึกดีกว่าเสียอีก แต่เผอิญว่ามันไม่ใช่ละครน้ำเน่าหลังข่าวที่สะดุดล้มตัวทับกันแล้วจ้องตากันปิ๊งๆ แบบนั้นน่ะสิครับ

   ผมก้มมองฝ่ามือตัวเองอีกรอบก่อนที่จะย้อนคิดกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อครู่  และทันทีที่คิดเช่นนั้น ใบหน้าของผมก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

   เพราะเหตุการณ์ที่ล้มลงไปเมื่อครู่ มันทำให้ฝ่ามือของผมนั้น.......

   ไปสัมผัสกับ...

   เจ้าแบงค์น้อยเข้าอย่างเต็มๆ...!!!

   “......”

   อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
   แค่นั้นมันก็ว่าน่าอายแล้วนะ แต่มันยังมีเรื่องน่าอายมากกว่านั้นอีกเพราะผมรู้สึกสัมผัสได้ว่าเจ้าแบงค์น้อยเมื่อกี๊นั้น มันกำลังตื่นตัวโตเต็มที่อยู่ภายในกางเกงนักเรียนสีกรมท่าตัวนั้นอีกด้วย

   อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
   ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ มันเป็นอุบัติเหตุ และผมก็รู้สึกเขินอายจริงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

   ผมจ้องมองฝ่ามือตัวเองอีกครั้ง
   ขนาดของมัน.....

   นี่นอกจากฝีมือเล่นบาสแล้ว นอกนั้นกูแพ้หมดทุกอย่างเลยเหรอวะ

   อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
   พอ พอ พอเลยไอ้นันท์ มึงหยุดคิดเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย แล้วเฮ้ย ‘ไอ้นันท์น้อย’ มึงจะมาตื่นทำเหี้ยอะไรตอนนี้วะ ลงไปนอนเลยนะเฮ้ย ลงป๊ายยย

   ผมพยายามสู้รบกับความคิดที่กำลังเตลิดของตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่ายิ่งผมพยายามสู้รบเพื่อให้มันสงบมากเท่าไหร่ สติของผมก็ยิ่งเตลิดมากขึ้นเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้านันท์น้อยที่ดูว่ายังไม่มีท่าทีจะสงบลงได้ง่ายๆ ซ้ำร้ายกลับดูจะยิ่งตื่นตัวมากขึ้นกว่าเดิม

   เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย
   อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

จบคาบเรียนที่เจ็ด

มุมแคปชั่นไร้สาระ

นันทการ
ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
ไอ้คุณท่าน ชอบมาเนียนขอแดก แดกเสร็จแล้วชิ่งหนีไป
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/813971935-member.jpg)
Power Bank กดถูกใจสิ่งนี้
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 7 ละครหลังข่าว (14-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-10-2018 15:41:38
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 7 ละครหลังข่าว (14-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 15-10-2018 16:45:55
เกือบจะโรแมนติกแล้วจนกระทั่ง  :laugh:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 8 ถนนคนเดิน (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 17-10-2018 03:17:54
   คาบเรียนที่แปด
      
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/447727875-member.jpg)

   “สวัสดีค่ะ มินิคาเฟ่ยินดีต้อนรับค่า”
   เสียงทักทายของเจ๊บัวเอ่ยดังขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูร้านเข้าไป

   “อ้าว หนูนันท์น่ะเอง สบายดีมั้ยจ๊ะ”
   เจ๊บัวเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาในร้านเป็นผม ผมยกมือไหว้ทักทายพร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไปก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะข้างๆ เคาน์เตอร์เหมือนทุกครั้ง

   “มองหาแบงค์อยู่เหรอจ๊ะ”
   เจ๊บัวหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมทำท่าชะเง้อมองซ้ายมองขวา ผมยิ้มหัวเราะแห้งๆ กลับไปเป็นคำตอบ เจ๊บัวยิ้มก่อนที่จะรินน้ำเปล่าส่งมาให้ผม

   “แบงค์เขาออกไปเอาของให้เจ๊ที่คิวรถน่ะจ้ะ เดี๋ยวก็กลับมาละ มีธุระอะหยังพิเศษมั้ย เดี๋ยวเจ๊โทรตามให้”
   เจ๊บัวเอ่ยถามผมก่อนที่จะหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ผมรีบส่ายหน้าร้องห้ามอย่างรวดเร็วด้วยความเกรงใจทันที

   “บ่เป็นหยังครับ ผมรอได้ แค่มารอแบงค์เขาเลิกงานน่ะ ว่าจะชวนไปเป็นเพื่อนซื้อของที่ถนนคนเดินหน่อยน่ะครับ”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับสั่งสตรอว์เบอร์รี่ปั่นและบลูเบอร์รี่ชีสเค้กมานั่งทานเล่น

   “อ่อ จะชวนไปเดทนี่เอง”
   เจ๊บัวพูดด้วยน้ำเสียงมีเลสนัยกลับมา ผมยิ้มกลับไป ในขณะที่ในใจก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่า...

   เดท คืออะไรวะ

   แต่ผมก็ทำได้แค่นั่งนิ่งเงียบๆ ยิ้มตอบกลับไปโดยที่ไม่กล้าจะเอ่ยถาม เพราะเกรงว่าจะโดนหัวเราะ

   “ปกติแบงค์เขาเป็นคนหัวรั้นเหรอครับ”
   ผมเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เจ๊บัวนำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นกับบลูเบอร์รี่ชีสเค้กมาเสิร์ฟ

   “หืม? มีอะหยังอย่างงั้นเหรอ”
   เจ๊บัวเงยหน้าขึ้นมาถามผมกลับด้วยความสงสัยก่อนที่จะนั่งลงยังเก้าอี้ตัวข้างๆ ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่แบงค์ตอบตกลงเป็นนักร้องนำและเรื่องที่ผมกังวลใจว่านั่นอาจจะเป็นการรบกวนเวลาของอีกฝ่ายมากเกินไป ทันทีที่เจ๊บัวได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็ลากเสียง อืมมม ยาวในลำคอก่อนที่จะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

   “จะเรียกว่าหัวรั้น มันก็บ่ถูกเสียทีเดียวนะ”
   เจ๊บัวเอ่ยขึ้นมาก่อนที่จะหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งแล้วจึงหันมามองหน้าผม
   “จะว่ายังไงดีล่ะ แบงค์เขาเป็นพวกมุ่งมั่นเวลาตั้งใจจะทำอะหยังมากกว่าน่ะ แล้วทีนี้พอเขาตั้งใจที่จะลงมือทำแล้ว เขาก็จะบ่หยุดจนกว่าสิ่งนั้นจะสำเร็จ มันก็เลยดูเหมือนเป็นคนหัวรั้นไปกลายๆ น่ะล่ะ”

   แล้วเจ๊บัวก็ลุกขึ้นไปรับออเดอร์ลูกค้าก่อนที่จะกลับมานั่งลงข้างๆ ผมที่ยังคงขมวดคิ้วอยู่หลังจากที่เสิร์ฟเมนูนั้นเสร็จแล้ว

   “แต่เชื่อเถอะ ว่าสิ่งที่แบงค์เขากำลังทำอยู่ มันต้องมีเหตุผลอะหยังสักอย่างแน่ๆ”
   “......”

   “และเจ๊ก็คิดว่า เจ๊พอจะเดาๆ ได้ว่าเหตุผลที่ว่านั้นคืออะหยัง”
   “อะหยังเหรอครับ บอกผมหน่อยสิ”
   ผมรีบเงยหน้าขึ้นถามเจ๊บัวที่ตอนนี้กำลังทำหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัยด้วยความอยากรู้อยากเห็น

   “บอกไปก็บ่สนุกสิ”
   เจ๊บัวอมยิ้มตอบกลับมา ผมจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนที่จะตัดเค้กเข้าปาก

   “เจ๊คิดว่าแบงค์เขาคงมีเหตุผลส่วนตัวด้วยล่ะ เขาเลยยังบ่บอกใคร ถ้าขืนเจ๊บอกออกไป จะกลายเป็นว่าเจ๊ไปทำลายความตั้งใจของแบงค์เขาทางอ้อมด้วยน่ะ เพราะงั้นคงบ่โกรธเจ๊นะจ๊ะ ที่เจ๊บ่บอก”
   เจ๊บัวยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมจึงได้แต่นิ่งเงียบ

   “แล้วผมควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ”
   ผมเอ่ยถามด้วยสีหน้าวิตกเล็กน้อยพลางหยิบสตรอว์เบอร์รี่ปั่นขึ้นมาดูด เจ๊บัวอมยิ้มเล็กๆ ให้ผมหลังจากที่นิ่งเงียบครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง

   “เป็นตัวของตัวเองจ้ะ”
   “ว่ายังไงนะครับ”
   ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย ในขณะที่เจ๊บัวยังคงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “ก็อย่างที่บอก ว่าแบงค์เขาคงมีเหตุผลส่วนตัวของเขา เราคงทำอะหยังบ่ได้หรอก เพราะงั้นเราก็ทำตัวตามปกติไปน่ะล่ะ”
   “แต่ว่า...”
   “ถ้าอยากจะช่วยจริงๆ...”
   เจ๊บัวเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่จะหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มอีกรอบ

   “แค่คอยอยู่เคียงข้างเขา ดูถึงความตั้งใจในสิ่งที่เขาทำ ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายมันจะเป็นอย่างไร ก็ค่อยว่ากันอีกที”
   ทันทีที่เจ๊บัวพูดจบก็ลุกขึ้นไปคิดเงินให้ลูกค้า ปล่อยให้ผมนิ่งเงียบและพยายามทบทวนในสิ่งที่เจ๊บัวพูดเมื่อครู่

   เหตุผลอย่างนั้นเหรอ
   แต่เหตุผลอะไรวะ

   “บ่ต้องไปคิดมากอะหยังให้วุ่นวายหรอกจ้ะ”
   เจ๊บัวเอ่ยขึ้นหลังจากที่คิดเงินลูกค้าเสร็จแล้ว
   “เป็น ตัว ของ ตัว เอง แค่นั้น”
   เจ๊บัวพยายามพูดช้าๆ เน้นคำชัดๆ พร้อมกับกุมมือผมเอาไว้แน่น

   “กลับมาแล้วครับเจ๊ ได้ของมาละเน่อ อะ อ้าว นันท์ มาได้ไงน่ะครับ”
   แบงค์หันมาถามทันทีที่เห็นผม ผมยิ้มแห่ะๆ กลับไปแทนคำทักทาย

   “ก็มาชวนเราไปเป็นเพื่อนซื้อของที่ถนนคนเดินยังไงล่ะ เอาของวางไว้ตรงนั้นเลยนะ แล้วก็ไปเก็บของได้เลย อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราก็ออกงานแล้ว เพราะงั้นไปเลย เจ๊อนุมัติ เร็วๆ ด่วนๆๆๆ ด่วนเลย อย่าให้คนสวยอย่างเจ๊ต้องพูดมาก บ่อยากพูดเยอะ เจ็บคอ”
   เจ๊บัวออกคำสั่งใส่แบงค์ทันทีด้วยความรวดเร็ว ทำเอาคนถูกสั่งถึงกับออกอาการงงๆ ตั้งตัวไม่ทันพร้อมกับเอามือเกาหัวแกรกๆ ด้วยความสงสัยก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน ผมหยิบเงินออกมาจ่ายค่าขนม ไม่นานนักแบงค์ก็เดินออกมา

   “งั้นผมไปก่อนนะเจ๊ เสาร์หน้าเจอกัน”
   แบงค์หันไปบอกลาให้กับเจ๊บัว ก่อนที่จะหันมาทางผม

   “ไปกันครับ”
   แบงค์หันมาบอกพร้อมกับยื่นฝ่ามือหนามาทางผม ผมจับมือของแบงค์ไว้เพื่อฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

   “ผมไปก่อนนะครับเจ๊บัว”
   ผมกล่าวลาพร้อมกับยกมือไหว้ เจ๊บัวหันมารับไหว้และยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   
   “ว่าแต่จะไปซื้ออะไรเหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามผม

   “บ่รู้”
   “ห๊ะ?”
   อีกฝ่ายหันมาขมวดคิ้วใส่ผมทันทีที่ได้ยินผมตอบเช่นนั้น

   “ก็แค่กูบ่ได้ไปถนนคนเดินนานแล้วน่ะ ก็เลยอยากไปเดินเล่นเฉยๆ มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยได้ปะวะ”
   ผมยิ้มหัวเราะ แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเบาๆ

   “ไปก็ได้ครับ ถ้านันท์ชวน อีกอย่าง ผมก็กำลังอยากได้ต้นกระบองเพชรเพิ่มอยู่พอดี...”
   “แบงค์ หนูนันท์”
   เสียงของเจ๊บัวเอ่ยเรียก ในขณะที่พวกเราทั้งสองคนกำลังจะเปิดประตูร้านออกไป ผมกับแบงค์หันกลับไปมองด้วยความสงสัย

   “เดทให้สนุกนะจ๊ะ”
   “เจ๊!!!”
   แบงค์รีบเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้ยินเจ๊บัวพูดเช่นนั้นด้วยสีหน้าเขินอาย ในขณะที่เจ๊บัวก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ ให้กับพวกเราสองคนส่วนผมน่ะเหรอ ก็ได้แต่ทำหน้างงๆ เอ๋อๆ อยู่น่ะครับ ก่อนที่จะเดินตามแบงค์ออกจากร้านไป

   “ว่าแต่ มึงสะสมต้นกระบองเพชรด้วยเหรอวะ”
   “ก็พอจะมีอยู่บ้างน่ะครับ แต่อยากจะได้เพิ่มอีก ทำไมเหรอครับ”

   “บ่ๆ ก็แค่ถามดูเฉยๆ น่ะ”
   แบงค์เอามือมายีหัวผมเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของผม ก่อนที่จะหันกลับไปแล้วเดินนำผมต่อ
   หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงกำลังคิดสงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะครับ ว่าหลังจากเรื่องราวที่สนามบาสคืนนั้นแล้ว เกิดอะไรขึ้นต่อระหว่างผมกับแบงค์

   ก็ขอตอบตรงๆ เลยครับว่า
   ไม่มีเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้นครับ

   ยอมรับครับว่าผมยังมีอาการเขินอายอยู่บ้าง ตอนแรกคิดมากสุดๆ แต่กลายเป็นว่าแบงค์เองดูจะไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรยังไงไม่รู้ เพราะดูเจ้าตัวก็ยังคงทำตัวตามปกติเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา พอมาคิดดูอีกที มันก็น่าจะเป็นเรื่องปกติของผู้ชายล่ะมั้ง แหม ก็ยังหนุ่มยังแน่นอยู่นี่เนอะ เพราะงั้นจึงตัดจบไปอย่างง่ายๆ กร๊ากกก

   “......”

   เอ่อ... แต่ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว มันก็พอจะมีเรื่องให้พูดถึงอยู่นิดหน่อยนะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเลยคิดว่าถ้าเล่าตอนนี้คงยังไม่เหมาะเป็นแน่ เพราะงั้นถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะ

   แหม ก็อยากที่บอกไง ว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายใสๆ เพราะงั้น ก็เลยทำให้ยังเล่าตอนนี้ไม่ได้ วะฮ่าฮ่าฮ่า

   เอาล่ะตัดกลับมาเข้าสู่ภาคปกติกันดีกว่า ก่อนที่จะออกทะเลไปไกล
   เป็น ตัว ของ ตัว เอง
   คำพูดของเจ๊บัวผุดขึ้นมาในหัวผม ผมย้อนคิดกลับไปยังเหตุการณ์ที่ผมกับเจ๊บัวคุยกันเมื่อครู่ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองแบงค์ที่ตอนนี้ยังคงเดินนำหน้าผมไปยังลานจอดรถอยู่

   “มึง”
   “ครับ?”
   “เดทคืออะหยังวะ”
   ผมเอ่ยถามแบงค์ทันทีด้วยความสงสัย เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าด่าหรือหัวเราะผมแน่ๆ หากผมถาม แบงค์หันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะตกใจทำไม

   “ไม่รู้ความหมายจริงๆ เหรอครับ”
   “ไอ้ที่แปลว่าตายใช่ปะวะ”
   “นั่นมันเดธที่สะกดด้วยตัวดี อี เอ ที เอชครับ คนละความหมายกันเลย”
   “งั้นกูก็บ่รู้แม่งละ สรุปมันแปลว่าอะหยังวะ”
   ผมขมวดคิ้วพ่นลมหายใจออกทางจมูกเล็กน้อยด้วยท่าทีหงุดหงิด แบงค์ยกนิ้วชี้ขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ ทีหนึ่ง

   “เอ่อ...เดท...คือ...เอ่อ...”
   แบงค์ออกอาการอึกอักๆ เล็กน้อย ในขณะที่สายตาก็ดูเหมือนจะพยายามมองหลบไปทางอื่น

   “คือ ไปเที่ยว...แบบ...อ่า...ไปเที่ยวน่ะล่ะครับ ไม่มีไรมาก ไปเที่ยวน่ะ เจ๊แกหมายถึงให้เราไปเที่ยวให้สนุกๆ น่ะ”
   แล้วเจ้าตัวก็หันหลังกลับไปด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่ผมก็ได้แต่พยักหน้าให้กับความรู้ใหม่
   เดท คือ ไปเที่ยว โอเคๆ ความรู้ใหม่ อย่างนี้ต้องจด

   “มึง”
   “ครับ?”
   แบงค์หันมาอีกรอบทันทีที่ได้ยินผมเอ่ยเรียก ผมยิ้มมุมปากเล็กๆ กลับไปให้

   “งันวันนี้ มึงกับกูไปเดทกันให้สนุกเลยนะเว้ย”
   แบงค์นิ่งอึ้งเงียบไปครู่ ในขณะที่ผมยังคงยิ้มมุมปากด้วยความมั่นใจอยู่ จนอีกฝ่ายอมยิ้มหัวเราะเบาๆ ตามไปด้วยพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเล่น แล้วจึงเดินนำหน้าผมไป

   ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าเหตุผลของแบงค์นั้นคืออะไร แต่ก็คิดว่าหากนั่นเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายทำแล้วมีความสุข ผมก็ไม่สมควรที่จะไปคิดมากหรือไปขัดขวาง เพราะงั้นก็เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เจ๊บัวเอาไว้นั่นล่ะ น่าจะดีที่สุด
   

   ถนนคนเดิน
   “ว่าแต่มาถนนคนเดินเนี่ย แต่ไม่รู้จะซื้ออะไรจริงๆ เหรอครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถามผมอีกรอบหลังจากที่หาที่จอดรถได้แล้ว

   “ก็อย่างที่กูบอก กูแค่อยากมาเดินเล่นน่ะ อาจจะหาซื้ออะหยังกินด้วยล่ะมั้ง”
   ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอามือมายีหัวผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินนำหน้าผมไปยังถนนคนเดิน

   หากจะพูดถึงเชียงใหม่ อย่างหนึ่งที่ต้องพูดถึงนั่นคือ ‘ถนนคนเดิน’ ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับแรกๆ ที่นักท่องเที่ยวจะพูดถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนคนเดินท่าแพ ที่จะเปิดทุกๆ วันอาทิตย์ โดยทางเทศบาลเชียงใหม่จะทำการปิดบริเวณตั้งแต่ประตูเมืองท่าแพต่อไปยังถนนราชดำเนินและถนนพระปกเกล้าอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ชาวบ้านนำสินค้าหัตถกรรมของกินของใช้ต่างๆ มาวางขาย จึงเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หากใครมีโอกาสได้แวะมาเที่ยวเชียงใหม่ ผมขอแนะนำถนนคนเดินท่าแพเลยครับ รับรองว่าจะต้องติดใจอย่างแน่นอน ขอเอาหัวของไอ้เหี้ยเต้ยเป็นประกัน ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ว่าแต่เมื่อกี๊มึงบอกว่าจะซื้อต้นกระบองเพชรใช่ปะวะ”
   “ครับ”

   “แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ”
   ผมถามด้วยความสงสัยในขณะที่สายตาก็มองดูสินค้ามากมายที่เรียงรายอยู่ทั้งซ้ายและขวา แต่จะให้ความสนใจกับพวกของกินมากเป็นพิเศษ ฮ่าฮ่าฮ่า แหม ก็กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องสิ จริงมั้ยครับ

   “ก็ทางฝั่งเส้นที่จะไปท่าแพน่ะครับ ระวังหน่อยนะครับ คนเยอะ”
   แบงค์หันมาบอกผมในขณะที่เราทั้งสองกำลังจะเดินผ่านโซนรับจ้างวาดรูปเหมือนที่คนจะเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความที่ผมนั้นมีขนาดพกพาสะดวกแบงค์จึงเอาตัวกันผมไว้จากคลื่นฝูงชนนักท่องเที่ยว ซึ่งก็ทำให้ผมสามารถเดินผ่านไปได้โดยไม่ถูกเบียดหายหรือโดนเหยียบตายไปเสียก่อน ซึ่งพอพูดแบบนี้แล้วก็รู้สึกอนาถใจในความสะดวกพกพาของตัวเองยังไงก็ไม่รู้แฮะ เฮ้อออ

   “ขอบใจมึงมากนะ”
   แบงค์ยีหัวผมเบาๆ เมื่อได้ยินคำขอบคุณนั้นจากผม

   “เอ่อ...จับมือ...กันมั้ยล่ะครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือมาทางผม ผมหันไปมองทางข้างหน้า ก็พบว่าคนยังค่อนข้างเยอะและเบียดเป็นพิเศษ

   “ไอ้สัส อายเขา”
   ผมตอบกลับไปด้วยอาการเขินอายพอสมควร เพราะคิดๆ ดูแล้วการจะให้มาเดินจับมือกันท่ามกลางผู้คนมากมายแบบนี้มันก็เป็นอะไรที่น่าอายไม่ใช่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายด้วยกันแล้วเนี่ย คนอื่นเขาจะมองว่าประหลาดเอาได้น่ะสิ

   “แบบนี้ดีกว่า”
   พูดจบผมก็มือข้างหนึ่งของตัวเองไปคล้องแขนแบงค์เอาไว้ ส่วนอีกข้างก็จับแขนอีกฝ่ายเอาไว้เแน่น เจ้าตัวหันมามองผมพร้อมกับนิ่งเงียบไม่พูดอะไรครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอมยิ้มเล็กๆ แล้วจึงเดินนำเข้าไปในฝูงชนนั้นโดยมีผมเกาะแน่นตามไปติดๆ

   โครก~~~
   เสียงท้องร้องของผมดังขึ้นหลังจากที่ผ่านพ้นคลื่นมหาชนมาได้อีกรอบ แบงค์หันมามองหน้าผมพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในขณะที่ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลับไป

   “หาอะไรกินที่วัดพันอ้นก่อนมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้ม ผมพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไป
   

   หลังจากที่เราทั้งสองหาอะไรกินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แบงค์ก็พาผมไปยังวัดสำเภาซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดพันอ้น ก่อนที่จะตรงดิ่งไปยังแผงขายต้นกระบองเพชร แบงค์พยายามเลือกต้นกระบองเพชรที่มีอยู่มากมายด้วยความตั้งใจ ในขณะที่ผมเองยังคงสอดส่ายสายตามองไปยังร้านขายของกินที่ตั้งอยู่รายล้อม คือก็อิ่มแล้วนะ แต่ยังกินได้อีกว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ต้นกระบองเพชรนี่ต้องเลี้ยงยังไงถึงจะออกดอกวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปพร้อมกับก้มมองดูเจ้าต้นกระบองเพชรต้นน้อยๆ ที่มีรูปร่างแตกต่างกันในแต่ละกระถาง

   “ก็...หลักๆ ก็แสงแดดน่ะครับ ถ้าเลี้ยงให้โดนแสงก็จะออกดอกไวหน่อย แต่ทั้งนี้่ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ด้วย บางสายพันธุ์ก็จะออกดอกตามฤดูกาลของมันไม่เหมือนกัน”
   แบงค์พยายามอธิบายให้ผมฟังพร้อมกับหยิบต้นกระบองเพชรขึ้นมาพิจารณา ผมเองก็พยักหน้าพอจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบาย

   “ไม่ลองเลี้ยงดูมั่งเหรอครับ”
   แบงค์หันมาถาม ผมทำหน้านิ่งเลิกคิ้วขึ้นสูง

   “เอ่อ อย่าเลยจะดีกว่า กูเคยเลี้ยงเมื่อตอนเด็กๆ แบบแม่ซื้อมาให้น่ะ แต่ก็ทำมันตาย ก็เลยบ่กล้าเลี้ยงอีกว่ะ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเศร้า แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็วางต้นกระบองเพชรแล้วหันหน้ามาหาผม

   “งั้นเอาแบบนี้ก็ละกัน นันท์เลือกมาให้ผมหน่อยครับ สองต้น ต้นไหนก็ได้”
   ผมส่งเสียง “ห๊ะ” เบาๆ ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น

   "ก็ถ้านันท์ไม่กล้าเลี้ยง ผมก็เลยจะเลี้ยงให้ยังไงล่ะครับ นันท์เลือก ผมจ่ายเงินเอง แต่ถือว่าเป็นของนันท์"
   แบงค์พยายามอธิบายพร้อมกับยิ้มให้ผมด้วยสีหน้าที่ดูแล้วจะรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา ผมเองเมื่อได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันแฮะ จึงหันไปพิจารณาเจ้าต้นกระบองเพชรที่เรียงรายมากมายอยู่ในกระบะ

   ต้นนั้นก็สวย ต้นนี้ก็แปลก เอาต้นไหนดีหว่า
   ผมใช้เวลาเลือกนานพอสมควรโดยที่มีแบงค์ยืนคอยอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

   “อะ งั้นเอาอันนี้ก็ละกัน”
   ผมหยิบต้นกระบองเพชรขึ้นมาสองกระถางก่อนที่จะยื่นไปให้อีกฝ่าย แบงค์รับมันไปพร้อมกับยิ้มให้เจ้าต้นกระบองเพชรสองต้นนั้น

   “ไปอยู่กับไอ้แว่นหนาก็โตไวๆ นะ เจ้าคิริโตะ กับ อาสึนะ”
   “ห่ะห๊ะ?”
   แบงค์เงยหน้ามามองผมด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น

   “ก็ชื่อของมันไง”
   ผมชี้ไปยังเจ้าต้นกระบองเพชรน้อยๆ ทั้งสองต้นนั้น

   “ทางซ้ายนี่ชื่อคิริโตะ ทางขวานี่ก็อาสึนะ”
   “เอ่อ...ปกตินอกจากสัตว์เลี้ยงแล้วเนี่ย คนเราเขาตั้งชื่อให้ต้นไม้แบบนี้ด้วยเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยความสงสัยและลังเลพอสมควร ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

   “อ้าว เขาบ่ตั้งกันเหรอวะ”
   “ปกติก็คิดว่าไม่นะครับ”
   แบงค์ส่ายหัวเบาๆ พร้อมหันไปมองยังทางคนขาย

   “......”
   “......”
   “......”

   เงียบ ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาทั้งจากผมและแบงค์ รวมไปถึงคนขายด้วย...

   “บ่รู้ล่ะ ก็กูจะตั้งชื่อให้มันอะ ก็ไหนๆ มึงบอกว่าเป็นของกูนี่”
   ช่างเป็นการตัดบทที่เหี้ยและมักง่ายมากๆ

ผมยังคงพยายามยืนกรานในความคิดนั้น ถึงแม้ความจริงแล้วจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อยก็ตามที

   “ว่าไงก็ว่าตามกันครับ”
   แบงค์หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะส่งมันต่อไปยังคนขาย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ดูเหมือนจะแอบเห็นคนขายกำลังพยายามกลั้นหัวเราะด้วย

   “ว่าแต่ ไอเจ้าชื่อ...คิ...”
   “คิริโตะกับอาสึนะ”
   “เอ้อ นั่นล่ะครับ คิริโตะกับอาสึนะ มันมีที่มาจากไหนเหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามผมในขณะที่มือก็หยิบเงินจากกระเป๋าจ่ายให้กับคนขาย

   “ชื่อพระเอกนางเอกการ์ตูนที่ดูอยู่ตอนนี้น่ะ เรื่องซอร์ด อาร์ท ออนไลน์ บ่เคยดูเหรอวะ”
   แบงค์ส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง และคิดว่าหากอธิบายต่อคงยาวแน่ เพราะพอลองนึกดูดีๆ ก็คิดว่าแบงค์เองก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบอ่านการ์ตูน ดูอนิเมะหรือเล่นเกมเหมือนผมเท่าไหร่นัก

   “เออ ช่างเถอะว่ะ เอาเป็นว่าตามนี้นะ”
   ผมตัดบทพร้อมกับหยิบเจ้าต้นกระบองเพชรที่ห่อและใส่ถุงเรียบร้อยแล้วจากคนขาย ก่อนที่จะส่งมันให้แบงค์

   “ฝากด้วยนะเว้ย ดูแลมันดีๆ ล่ะ”
   ผมยิ้ม แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ก้มมองต้นกระบองเพชรทั้งสอง พร้อมกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผม

   “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะดูแลให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถที่ผมมีเลยครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสก่อนที่จะยกมือมายีหัวผมเบาๆ

   “จะไปไหนต่อมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมพลางหันมองไปยังรอบๆ บริเวณ

   “ก็บ่มีที่ไหนเป็นพิเศษนะ เอาเป็นว่าวันนี้เดินให้ทั่วทั้งสี่ทิศเลยดีมั้ย”
   “แล้วอย่าบ่นว่าปวดขานะครับ”

   แบงค์บอกผม ก่อนที่จะเดินนำหน้าออกไป ผมรีบสอดมือตัวเองเข้าไปคล้องแขนอีกฝ่ายเอาไว้ทันทีอย่างรวดเร็วเจ้าตัวก้มมามองผมครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรก่อนที่เราทั้งสองจะเดินฝ่าเข้าไปยังฝูงชนมากมายที่มาเดินเที่ยวถนนคนเดินในวันนี้

   แต่ผมก็ไม่กลัวว่าจะโดนเหยียบตายแต่อย่างใด

   เพราะผมเกาะแขนแบงค์ไว้แน่นแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า

จบคาบเรียนที่แปด

มุมแคปชั่นไร้สาระ


Power Bank ได้เพิ่มรูปภาพใหม่

โตไวๆ สูงไวๆ นะครับ
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1868218482-member.jpg)
นันทการ ถูกใจสิ่งนี้

นันทการ : มึงหมายถึงต้นกระบองเพชร หรือหมายถึงกูกันแน่วะ

Power Bank : ทั้งคู่เลยครับ
(Oat Inwศาสตร์ถูกใจสิ่งนี้)

นันทการ : ......
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 7 ละครหลังข่าว (14-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 17-10-2018 03:18:56
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ขอบคุณที่ติดตามมากครับ

เกือบจะโรแมนติกแล้วจนกระทั่ง  :laugh:

โรแมนติกจริงๆ น้าาา 555+
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 8 ถนนคนเดิน (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 17-10-2018 17:54:05
ต้นนันท์คงไม่โตแล้วล่ะ สูงได้แค่นี้ 5555  :laugh:

ปล. น่าอาย สะกดแบบนี้ครับไรท์
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 9 ค่ายอบรม (19-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 19-10-2018 14:07:01
   คาบเรียนที่เก้า

   “ถึงวันนี้ เรายังจะไม่รู้จักกันมากนัก แต่ต่อไปเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีและรู้จักกันมากกว่านี้ได้แน่นอนครับ”
   ไอ้เหี้ยเอ๊ย ทำไมผมถึงต้องมารู้สึกหงุดหงิดอะไรกับคำพูดของไอ้หน้าตี๋นั้นด้วยวะเนี่ย


   ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้

   “อาจจะกะทันหันไปนิด แต่ขอรบกวนเวลาพวกเธอสักครู่นะ”
   อาจารย์ประจำชั้นกล่าวขึ้นในชั่วโมงสุดท้ายของวันพลางแจกเอกสารที่ถือมาด้วยให้กับพวกเรา

   “พอดีกระทรวงเขาจะจัดค่ายอบรมต่อต้านยาเสพติดเพื่อเป็นการตระหนักถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติด ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์รวมไปถึงวันจันทร์อีกหนึ่งวันเป็นเวลาสามวันสองคืนใครสนใจก็สมัครมากันได้นะ แต่รีบหน่อย เขารับแค่โรงเรียนละยี่สิบคนเท่านั้น ซึ่งทางโรงเรียนจะคัดเลือกจากใบสมัครอีกที แต่อาจารย์ก็อยากให้พวกเธอเข้าร่วมนะ ยังไงก็เอารายละเอียดนี้ไปให้ผู้ปกครองพวกเธอดูละกัน ถ้าสนใจก็ให้ผู้ปกครองเซ็นอนุญาตมาด้วยนะ แล้วเอามาส่งพรุ่งนี้ด้วย”
   พูดจบอาจารย์ก็ปล่อยพวกเรากลับบ้านตามปกติ

   เหอะ ค่ายอบรมเหรอ ฝันไปเถอะว่าจะเข้าร่วม แถมยังจัดตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ นอนตีพุงอยู่บ้านยังจะสบายกว่า ทำไมต้องไปทำอะไรให้มันยุ่งยากลำบากชีวิตด้วยล่ะ

   ผมคิดพร้อมกับเก็บใบขออนุญาตใส่กระเป๋าโดยไม่คิดจะสนใจใยดีมันเท่าไหร่นักก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อลงไปยังโรงอาหาร

   “พี่นันท์ค้าบบบ พี่นันท์”
   เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อของผมดังมาแต่ไกล ผมหันกลับไปยังต้นเสียงนั้น

   “อ้าวว่าไง ไอ้น้องไนท์บ่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายวัน”
   ไอ้น้องไนท์พยักหน้ายิ้มกลับมาเป็นคำตอบ

   “พี่นันท์คิดถึงผมมั่งมั้ยครับ”
   ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

   “อะหยังกูต้องคิดถึงมึงด้วยวะ”
   คำตอบที่ผมตอบกลับไปทำเอาไอ้น้องไนท์ถึงกับหน้าถอดสีทันที แลดูน่าสงสารยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “เออๆ กูคิดถึงก็ได้วะ ว่าแต่มึงหายไปไหนมาวะ”
   “ก็มีธุระที่บ้านนิดหน่อยน่ะครับ เอ้า นี่ครับ ของฝาก”
   พูดจบ เจ้าตัวก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบของบางอย่างออกมาให้ผม

   “อะหยังเนี่ย”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางมองดูของฝากที่ว่าในมือ

   “ก็พวงกุญแจยังไงล่ะครับ พี่นันท์บ่รู้จักพวงกุญแจเหรอครับ”
   ผมเงยหน้าขมวดคิ้วหรี่ตามองไปยังอีกฝ่าย พร้อมกับคิดในใจว่าถ้าไอ้นี่ไม่ใช่รุ่นน้องล่ะก็ คงได้มีปากแตกกันบ้างแล้วล่ะ

   “ต่อให้กูโง่แค่ไหน แต่กูก็รู้จักว่ามันคือพวงกุญแจ แต่ที่กูสงสัยน่ะ คือมึงเอาของฝากมาให้กูทำไม”
   “พอดีเมื่อสุดสัปดาห์ผมไปเที่ยวกับที่บ้านมาน่ะครับ เห็นมันน่ารักดี ก็เลยซื้อมาฝาก หรือว่าพี่นันท์บ่ชอบเหรอครับ”
   เจ้าของพวงกุญแจเอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของผมที่มีต่อของฝาก

   ผมยกมันขึ้นมาเพื่อดูให้แน่ชัด มันเป็นพวงกุญแจรูปตุ๊กตาถักสองตัวคู่กัน โดยที่ตรงกลางหน้าอกของตุ๊กตาแต่ละตัวนั้นมีตัวอักษร น. ปักอยู่

   “......”
   สงสัยคงจะเป็นสัญลักษณ์ หรือชื่อย่อของร้านอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง

   “เออๆ กูชอบ ยังไงก็ชอบใจมึงมากนะเว้ย ที่ยังคิดถึงกัน แถมยังซื้อของฝากมาให้ด้วยเนี่ย”

   ผมเอ่ยคำขอบคุณพร้อมเก็บพวงกุญแจที่ว่าใส่กระเป๋าเสื้อ

   “อ๊ะๆๆๆ เดี๋ยวครับๆ เอามานี่ก่อนครับ”
   ไอ้น้องไนท์รีบส่งเสียงทักขึ้นทันที ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัย ในขณะที่เจ้าตัวก็เอามือล้วงมาหยิบพวงกุญแจจากในกระเป๋าเสื้อผมอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกจั๊กจี๋เล็กน้อย เพราะหลังมือของไอ้น้องไนท์นั้นโดนหัวนมผมเล็กน้อย แต่ผมก็พยายามตีหน้านิ่งเพื่อเก็บท่าทีนั้นไว้

   ทันทีที่ไอ้น้องไนท์หยิบพวงกุญแจออกจากกระเป๋าเสื้อผมไป เจ้าตัวก็เดินอ้อมไปข้างหลังผมทันทีพร้อมกับทำอะไรขยุกขยิกกับกระเป๋าของผม

   “ต้องแบบนี้ครับ”
   พูดจบ ผมก็ถอดกระเป๋าสะพายออกมาดู ก็พบว่าไอ้น้องไนท์เอาเจ้าพวงกุญแจของฝากคล้องติดไว้กับซิปกระเป๋านักเรียนผมแล้ว ผมยิ้มหัวเราะเล็กน้อยซึ่งก็ทำให้ไอ้น้องไนท์อมยิ้มตามไปด้วย

   “ไปดูหนังกันมั้ยครับ”
   ไอ้น้องไนท์เอ่ยชวนผม ผมเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่จะสะพายกระเป๋าไว้อย่างเดิม

   “วันนี้บ่ว่างว่ะ”
   คำตอบที่ผมตอบออกไป ทำเอาไอ้น้องไนท์ถึงกับทำหน้าจ๋อยสิ้นหวังทันที

   “อ่ะๆ แต่วันเสาร์กูว่าง ไปดูวันเสาร์กันมั้ย”
   จากสีหน้าที่แสดงถึงความสิ้นหวังก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสร่าเริงทันทีที่เมื่อได้ยินเช่นนั้นจากผม จนทำเอาผมถึงกับคิดถึงไอ้บ๊อบบี้ ไอ้หมาหน้ามึนที่อยู่แถวบ้านผมที่มักจะชอบวิ่งเข้ามาเล่นกับผมเวลาที่ผมออกไปหาอะไรกินขึ้นมาทันทีเลยแฮะ

   หลังจากที่แยกย้ายกับไอ้น้องไนท์แล้วนั้น ผมก็รีบวิ่งตรงไปยังโรงอาหารทันทีด้วยความเร่งรีบ

   “เฮ้ย โทษทีว่ะ ที่มาช้า”
   ผมเอ่ยขอโทษแบงค์ทันทีที่มาถึงโรงอาหารและเห็นอีกฝ่ายกำลังทบทวนบทเรียนอยู่

   “อ้าว นี่มึงก็ได้ด้วยเหรอเนี่ย”
   ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายเมื่อเห็นใบขออนุญาตอบรมค่ายยาเสพติดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แบงค์พยักหน้าเบาๆ กลับมาเป็นคำตอบพลางขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อย

   “สนใจจะไปเหรอครับ”
   ผมรีบเบ้ปากส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบทันทีด้วยความรวดเร็ว ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับท่าทีนั้นของผม

   “หืม พวงกุญแจใหม่เหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางเพ่งสายตาผ่านแว่นหนามายังเจ้าพวงกุญแจที่ว่านั้น

   “อ๋อ เป็นของฝากจากไอ้ไนท์ที่เจอกันเมื่อกี๊น่ะ”
   ทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากผม เจ้าตัวก็ยิ่งเพ่งพินิจมายังพวงกุญแจมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่จะขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงผ่อนคลายใบหน้ากลับมาเป็นปกติ ทำเอาผมถึงกับสงสัยไปกับท่าทีนั้นอยู่เหมือนกัน

   “เอ้า ว่าไงนันทการ ขยันจริงๆ นะเราช่วงนี้”
   เสียงเอ่ยทักทายจากอาจารย์ประจำชั้นของผมดังขึ้นเรียกความสนใจ ผมหันไปมองพร้อมยกมือไหว้

   “นิดหน่อยน่ะ’จารย์ ว่าแต่’จารย์เหอะ ยังบ่กลับอีกเหรอ เดี๋ยวโดนเมียตีเอานะ”
   ผมเอ่ยถามแซวไปตามประสาคนปากหมา จนอาจารย์ถึงกับเอากระเป๋าเอกสารตีหัวผมเล็กน้อยด้วยเอ็นดู

   “ก็กำลังจะกลับแล้วเนี่ย เออ จะว่าไปช่วงนี้ผลการเรียนเราดีขึ้นนะ อาจารย์เองก็กำลังสงสัยว่าเพราะอะหยัง ที่แท้ก็เพราะได้ติวเตอร์ดีนี่เอง”
   พูดจบ อาจารย์ก็หันไปมองยังแบงค์ที่กำลังยิ้มตอบรับด้วยความถ่อมตัวเล็กน้อย

   “แต่ถึงอย่างนั้น คะแนนก็ยังอยู่ในโซนที่น่าเป็นห่วงอยู่ดีนั่นล่ะ สนใจจะไปค่ายอบรมหน่อยมั้ย”
   “เดี๋ยวนะ’จารย์ คะแนนผมกับค่ายอบรมมันบ่ได้มีอะหยังเกี่ยวกันเลยนะนั่น เอามาโยงกันได้ไง”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

   “ก็เพราะมันบ่เกี่ยวกันยังไงล่ะถึงต้องโยงให้มันเกี่ยวกัน พอเป็นกิจกรรมอบรมทีไร มักจะบ่ค่อยมีคนสนใจจะเข้าร่วมกันสักคน เพราะงั้น ถ้าเธอยอมเข้าร่วม อาจารย์จะเพิ่มคะแนนจิตพิสัยให้ทุกวิชาที่ครูสอนเอามั้ยล่ะ แถมวันจันทร์เรายังได้หยุดอีกหนึ่งวันโดยที่ไม่ถูกเช็คขาดด้วยนะ”
   อาจารย์ยื่นข้อเสนอที่ฟังดูน่าสนใจให้กับผม แต่ประทานโทษเถอะ คิดเหรอว่าลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้จะมาหลอกล่อผมได้

   “โอเค’จารย์ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลายเซ็นแม่ผมจะประทับลงบนใบขออนุญาตแล้วไปวางลงบนโต๊ะ’จารย์ตั้งแต่เช้าเลย”
   ไอ้สัส ห้าคะแนนสิบคะแนนกูก็เอาละครับตอนนี้

   “ทำไมถึงได้โดนล่อลวงง่ายๆ แบบนี้ล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “พูดมากน่ะมึง มึงก็ด้วย ไปเป็นเพื่อนเข้าค่ายอบรมพร้อมกูเลยนะ”
   “อ้าว ไหงงั้นล่ะ”
   “บ่ต้องยึกยัก เอาใบอนุญาตมานี่ เดี๋ยวกูให้แม่กูเซ็นให้”
   พูดจบ ผมก็รีบดึงใบขออนุญาตของแบงค์เก็บใส่กระเป๋าตัวเองด้วยความรวดเร็ว

   เอาวะ ไปค่ายอบรมแค่สองสามวันแล้วได้คะแนนจิตพิสัย ก็น่าจะยังดีกว่าโดนส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ ล่ะวะ
   ก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่านะ
   

   และแล้ววันเสาร์ วันที่พวกผมต้องไปอบรมก็มาถึงอย่างรวดเร็วราวกับว่าจงใจยังไงยังงั้น

   พวกเราทั้งหมดที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้งยี่สิบคนต่างก็มารวมตัวกันที่โรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเช็คชื่อกับอาจารย์ฝ่ายกิจกรรม ก่อนที่จะส่งพวกเราทั้งหมดขึ้นรถบัสของทางโรงเรียนเพื่อส่งต่อไปยังค่ายทหารกาวิละ ซึ่งเป็นค่ายทหารที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมือง

   มีนักเรียนจากโรงเรียนอื่นเยอะพอสมควรแฮะ ที่ผมเห็นตอนนี้ก็น่าจะราวๆ ร้อยคนเห็นจะได้มั้งนะ พวกเราเดินไปยังจุดลงทะเบียนที่ตั้งอยู่ในเต็นท์ผ้าใบ ติดๆ กับทางเข้าค่ายทหาร ทันทีที่ลงทะเบียนยืนยันตัวเสร็จ พวกเราก็หาที่นั่งพักกัน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกรวมพลผ่านเครื่องโทรโข่งโดยให้พวกเรายืนเข้าแถวแยกกันตามโรงเรียนของแต่ละคน ก่อนที่จะพาเดินเข้าไปยังสถานที่จัดอบรมซึ่งอยู่ลึกเข้าไปข้างในอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร

   หลังจากที่มาถึงสถานที่จัดอบรมซึ่งเป็นหอประชุมใหญ่ของค่ายทหาร  เจ้าหน้าที่ให้พวกเราวางกระเป๋าไว้ข้างนอกหอประชุม ก่อนที่จะให้พวกเราเข้าไปข้างในเพื่อทำพิธีเปิดการอบรมอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลังจากจบพิธีเปิดการอบรมแล้วนั้น พวกพี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็พาพวกเราไปยังโรงอาหารเพื่อพักกินข้าวเที่ยงกันแล้วพาพวกเราไปยังโรงนอนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักเพื่อเอากระเป๋าไปไว้และเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองด้วย โดยที่นักเรียนหญิงจะนอนที่โรงนอนที่หนึ่ง ส่วนพวกผู้ชายจะนอนที่โรงนอนที่สาม ผมกับแบงค์จึงตกลงกันว่าจะนอนใกล้ๆ กัน เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยๆ กันได้

   หลังจากที่พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเรียบร้อย พวกพี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็พาพวกเรากลับไปยังหอประชุม เพื่อเริ่มการอบรมอย่างแท้จริง พวกเราโดนจับแยกกลุ่มกันรวมกับนักเรียนโรงเรียนอื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อให้นักเรียนแต่ละคนได้ทำความรู้จักกับนักเรียนที่มาจากต่างโรงเรียนกันซึ่งก็ไม่ได้ถามความสมัครใจของกูเลยสักนิด ว่ากูอยากจะทำความรู้จักกับนักเรียนโรงเรียนอื่นมั้ย

   กิจกรรมช่วงบ่ายก็ไม่ค่อยมีอะไรมากมายนัก ส่วนมากก็เป็นการนั่งฟังวิทยากรมาบรรยายเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับยาเสพติดเสียเป็นส่วนใหญ่ซึ่งก็คิดว่าดีแล้วล่ะ เพราะผมสังเกตเห็นหลายคนนั้นเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปเรียบร้อยแล้ว

   หลังจากจบการบรรยายตลอดช่วงบ่าย พวกเราก็พากันไปยังโรงอาหารเพื่อกินข้าวเย็นกัน
   “เมื่อยชิบหาย ให้นั่งฟังบ้าอะไรอยู่ได้ตั้งหลายชั่วโมง”
   ผมบ่นพลางบิดเอวไปมา

   “บ่นเป็นคนแก่เลยนะครับ”
   “มึงว่ากูแก่เรอะ เดี๋ยวเหอะ”
   ผมหรี่ตามองในขณะที่แบงค์ก็เอามือมาจับแถวๆ ต้นคอของผม พลางนวดเบาๆ ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอยู่ไม่ใช่น้อย

   “นันท์ เป็นไงบ้าง ได้เพื่อนใหม่มั่งมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

   “ก็ธรรมดา ก็มีคุยๆ กันมั่งนะ แต่อย่างว่าล่ะ เพิ่งจะวันแรก จะไปรู้จักอะหยังมาก อีกอย่างกิจกรรมแค่สามวันสองคืน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็แยกย้ายกันแล้ว จะไปทำความรู้จักทำไมให้เสียเวลา”
   อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ในลำคอทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นจากผม

   “กินข้าวกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นชืดไม่อร่อยนะ”
   แบงค์เอ่ยกับผมทันทีที่อาหารเย็นถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า

   “เออ โคตรหิวเลยว่ะ”
   “หืม เมื่อตอนเที่ยงก็เห็นกินไปตั้งเยอะไม่ใช่เหรอครับ ยังจะหิวอีกเหรอ ?”
   “เอ้า ก็คนกำลังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังโตนี่”
   “ยังคิดว่าจะโตไปได้มากกว่านี้อีกเหรอครับ”
   “พูดแบบนี้หมายความว่าไง อยากโดนต่อยเหรอวะ”
   ผมหรี่ตามองกลับไปยังอีกฝ่าย

   “ล้อเล่นน่ะครับ ก็แค่คิดว่านันท์ที่ตัวขนาดนี้ก็กำลังดีแล้วมากกว่าน่ะ อย่าโตไปมากกว่านี้เลย”
   “สูงอย่างมึงก็พูดได้ดิ”
   ผมตัดบทก่อนที่จะจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย

   หลังจากที่หาอะไรกินจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกพี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้พวกเราพักผ่อนตามสบายพวกเราจึงผลัดกันไปอาบน้ำเพราะคิดว่าอาบตอนนี้ น่าจะดีกว่าอาบตอนกลางคืนที่อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น

   “ไปไหนดีวะ”
   ผมหันไปเอ่ยถามอีกฝ่ายที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จและกำลังเช็ดแว่นหนาของตัวเองก่อนจะสวมมันเข้าที่

   “นั่นสิครับ ไปไหนกันดี”
   นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับกลับมาจากอีกฝ่าย

   เราสองคนยืนนิ่งกันอยู่หน้าโรงนอนพักใหญ่ เพราะไม่รู้จะไปไหนดี เนื่องจากพวกเราโดนจำกัดสถานที่ให้อยู่แต่ภายในหอประชุมกับบริเวณรอบๆ แค่นั้น

   “งั้นก็เดินเล่นแถวๆ นี้ไปเรื่อยๆ ละกัน”
   “ก็ดีครับ”
แบงค์ตอบรับคำชวนนั้น เราทั้งสองเดินไปรอบๆ บริเวณ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคนอื่นส่วนใหญ่จะทำความคุ้นเคยสนิทสนมกันได้แล้วนะ เห็นมีจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนานเชียว

แล้วผมล่ะ

ปกติผมเองก็เป็นคนไม่ค่อยคบหาสมาคมกับใครเสียด้วยสิ เพื่อนที่มีก็มีแค่กลุ่มเดิมๆ เล็กๆ กับเพื่อนในห้อง เอาจริงๆ ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพวกคนอื่นในห้องนักหรอก ก็ตามประสาคนห้องเดียวกันเสียมากกว่า ฉะนั้นการที่จะให้ผมไปทำความรู้จักกับคนอื่นในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้นี่ ออกจะขัดกับตัวผมเองยังไงไม่รู้แฮะ

   แล้วแบงค์ล่ะ

   แบงค์เขาจะเป็นเหมือนผมมั้ยนะ เขาจะมีเพื่อนสนิทในห้องของตัวเองเหมือนกลุ่มพวกผมรึเปล่า ที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยได้สังเกตด้วยสิ จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยเห็นแบงค์คุยกับคนอื่นเท่าไหร่นัก

   “หวัดดีแบงค์”
   เสียงของเด็กหนุ่มร่างสูงคนนึงเรียกทักแบงค์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   “หวัดดีครับ ป้อ แล้วคนอื่นๆ ในกลุ่มล่ะ”
   แบงค์ตอบกลับไปก่อนจะหันมองซ้ายขวาไปยังบริเวณรอบๆ

   “ก็ไปอยู่กับเพื่อนโรงเรียนเดียวของเขากันน่ะสิ”
   คนชื่อป้อตอบด้วยสีหน้ายิ้มแบบเจื่อนๆ

   “อ้าว แล้วเพื่อนโรงเรียนเดียวกับป้อล่ะครับ”
   “ก็มีนะ แต่คนละห้องกันน่ะ ห้องผม มีผมมาคนเดียวน่ะ แห่ะๆ นั่นเพื่อนแบงค์เหรอ”
   เด็กหนุ่มร่างสูงหันมาทางผม

   “ครับ นี่นันท์ เอ่อ เป็น เอ่อ เป็นเพื่อนผมเอง มาจากโรงเรียนเดียวกัน นันท์ครับ นี่ป้อ เพื่อนในกลุ่มของผมเองครับ”
   แบงค์เอ่ยแนะนำพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่าย ป้อหันมายิ้มให้กับผม ผมจึงยิ้มตอบกลับไปเป็นมารยาท

   “อืม...งั้นผมไม่กวนละ ไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันที่กลุ่มตอนค่ำละกันนะ”
   “ครับ ไว้เจอกัน”
   ป้อบอกลาพร้อมกับโบกมือให้กับแบงค์ ก่อนที่จะปลีกตัวเดินออกไป

   “ดูเป็นคนแปลกๆ ยังไงก็บ่รู้ว่ะ”
   “หือ ยังไงเหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามผมก่อนที่จะหันกลับไปมองป้อ ที่เดินขึ้นไปทางโรงนอนคนเดียว

   “บ่รู้ว่ะบอกบ่ถูก”
   “เอ้าไหงงั้น”


   หลังจากหมดช่วงเวลาพัก พวกเราก็กลับเข้าไปยังหอประชุมอีกรอบ กิจกรรมในช่วงเย็นก็ยังมีวิทยากรมาพูดให้ความรู้เหมือนเดิม แต่คนนี้ดีหน่อยที่พูดสนุก ตลกด้วย เลยทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่

   หลังจากจบการบรรยายให้ความรู้ ก็มีกิจกรรมนันทนาการเล็กน้อยโดยกลุ่มพี่ๆ อาสาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมง่ายๆ อย่างพวกร้องเล่นเพลงต่างๆ มีแกล้งกันบ้างให้นักเรียนที่มาร่วมกิจกรรมรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนจะปล่อยพวกเราให้กลับไปยังโรงนอนเพื่อพักผ่อนตอนสามทุ่ม

   “เดี๋ยวจะปิดไฟตอนสี่ทุ่มนะ ใครมีธุระอะหยังจะจัดการก็รีบๆ ทำเสียล่ะ ที่นี่ผีดุเน่อ”

   พี่ทหารเดินเข้ามาบอกพวกพร้อมกับขู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินหัวเราะออกไป เหล่านักเรียนที่เข้าอบรมทั้งหลายจึงรีบจัดแจงตัวเองด้วยความว่องไว ในขณะที่ฝั่งโรงนอนของผู้หญิงก็มีเสียงกรี๊ดลอยมาไกลๆ สงสัยคงเพราะคำขู่เรื่องผีของพี่ทหารแน่ๆ เลย

   ผมกับแบงค์จึงรีบไปยังโรงอาบน้ำที่ยังคงมีเหล่านักเรียนชายเข้ามาอาบน้ำอยู่บ้างประปรายเพื่อล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะกลับมายังโรงนอน

   “ครีมอะไรเยอะแยะครับเนี่ย”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นผมหยิบพวกครีมต่างๆ ออกมาจากกระเป๋า

   “ก็พวกยารักษาสิวน่ะ”
   ผมตอบกลับไปพลางบีบครีมพร้อมกับวอร์มมันที่ฝ่ามือแล้วค่อยๆ ทามันลงบนใบหน้า

   “ดูๆ แล้วนันท์ก็ไม่ได้สิวเยอะอะไรขนาดนั้นนี่ครับ”
   “บ่เยอะเหี้ยไรล่ะ กว่ากูจะมาถึงจุดนี้ได้ หน้ากูเคยเต็มไปด้วยสิวมาก่อนเนี่ย”
   ผมหยิบมือถือของตัวเองพร้อมกับเปิดรูปที่เคยถ่ายเก็บเอาไว้ตอน ม.ต้นให้แบงค์ดู อีกฝ่ายร้อง โห ในลำคอเบาๆ ก่อนจะยื่นมือถือคืนมาให้ผม

   “ลำบากแย่เลยนะครับเนี่ย”
   “เออดิ ถ้าวันไหนกูพลาดแม้แต่นิดเดียวสิวแม่งบุกละ ว่าแต่มึงเหอะ หน้าใสจัง ใช้ไรวะ บอกกูหน่อยดิ”
   ผมหันไปถามอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจัดเตรียมที่นอนของตัวเองอยู่เจ้าตัวขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อยพร้อมกับถอดแว่นหนาแล้วพับเก็บใส่กล่องแว่นตาวางไว้ที่หัวเตียง

   “ก็ไม่นะครับ ปกติผมล้างน้ำเปล่าธรรมดาน่ะครับ”
   “......”
   ก็คงจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะจะว่าไปเมื่อกี้ผมไม่เห็นว่าแบงค์จะใช้โฟมล้างหน้าอะไรจริงๆ นั่นล่ะ แถมไม่เห็นว่าจะทาครีมอะไรก่อนนอนด้วย

แล้วกูล่ะ แล้วกูล่ะเฮ้ยยย

   “น่าอิจฉาสัสๆ เลยว่ะ พวกกรรมพันธุ์หน้าใสเนี่ย”
   ผมบ่นอุบอิบพร้อมกับเก็บครีมต่างๆ ใส่กระเป๋าหลังจากที่ทาเสร็จ

   “นันท์ครับ”
   “อะหยัง”
   “ฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
   แบงค์ที่ตอนนี้กำลังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มกล่าวอวยพรด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนทุกที ผมยิ้ม หึ ในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอนตัวลงบนเตียงนอน

   “เออ ฝันดี ห้ามนอนกรนนะมึง”
   พูดจบ ผมก็หันหลังให้อีกฝ่าย แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มเช่นเดียวกันพร้อมกับหลับตาลง
   ผ่านพ้นคืนแรกไปอย่างน่าเบื่อจนรู้สึกอยากกลับบ้านแล้วแฮะ คิดถูกรึเปล่าวะเนี่ยที่มาเข้าอบรม

จบคาบเรียนที่เก้า


มุมแคปชั่นไร้สาระ

นันทการ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
ไอ้บ๊อบบี้หมาเฟรนด์ลี่ แต่บางทีก็เฟรนด์ลี่เกินไป ใครชวนไปไหนก็ไปกับเขาหมด สักวันมึงคงได้ถูกลักพาตัวแน่ๆ​
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1628128245-member.jpg)
Power Bank ได้กดถูกใจสิ่งนี้
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 8 ถนนคนเดิน (17-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 19-10-2018 14:08:34
ต้นนันท์คงไม่โตแล้วล่ะ สูงได้แค่นี้ 5555  :laugh:

ปล. น่าอาย สะกดแบบนี้ครับไรท์

ทั้งต้น ทั้งนันท์หรือเปล่า 555+


ย้อนกลับไปอ่าน อ๊ะ จริงๆ ด้วย พิมพ์ผิด

ขอบคุณที่ท้วงติงมากๆ ครับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 9 ค่ายอบรม (19-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 20-10-2018 02:02:20
ไนท์มีพวงกุญแจคู่แล้ว แบงค์จะยอมแพ้เขาเหรอ  :laugh:

ปล. ฮาภาพประกอบ 555
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 9 ค่ายอบรม (19-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 20-10-2018 23:12:54
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 10 เพื่อนสนิท (22-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 22-10-2018 02:13:40
คาบเรียนที่สิบ   

วันรุ่งขึ้น
   “กูเบื่อที่จะต้องมานั่งฟังตาแก่นี่พล่ามชิบหายเลยว่ะ จะหลับแล้วเนี่ย”
   ไอ้เด็กต่างโรงเรียนที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมซึ่งนั่งถัดไปข้างหน้าบ่นซุบซิบกัน   

   “เออ ทนๆ เอามึง เดี๋ยวก็เที่ยงแล้ว เนี่ยเดี๋ยวรอบบ่ายก็เป็นกิจกรรมภาคสนามแล้ว”
   เพื่อนในกลุ่มอีกคนตอบกลับไปพร้อมกับหยิบกำหนดการขึ้นมาดู

   “เออ รีบๆ ถึงละกัน ก่อนที่กูจะทนบ่ไหว”
   “บ่ไหว แล้วมึงจะทำอะหยังวะ”
   “หลับ”

   ถุย นึกว่าจะแน่ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมเองก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยเหมือนกัน เพราะวิทยากรคนนี้แม่งโคตรน่าเบื่อจริงๆ ครับ พูดจาได้ชวนหลับมากๆ ซึ่งผมเองก็คิดว่าหลายคนที่นั่งอยู่ในหอประชุมแห่งนี้ก็คงคิดเหมือนๆ กัน สังเกตได้จากท่าทีของแต่ละคนที่ดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก มีทั้งแอบเล่นมือถือบ้าง นั่งคุยซุบซิบกันบ้าง หรือหลับไปเลยก็มี จนบางทีผมก็คิดว่าไอ้พวกที่มาประชุมกันเนี่ย ถูกล่อลวงด้วยคะแนนจิตพิสัยเหมือนผมรึเปล่าวะ

   ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สายตาของผมก็หันไปเจอแบงค์พอดี อืม คงต้องขอเว้นไอ้คนนี้ไว้หนึ่งคน ผมลากมันมาก็จริง แต่ดูไอ้นี่จะตั้งใจฟัง ตั้งใจจดเป็นพิเศษ จนบางทีก็สงสัยนะว่าชีวิตนี้มึงจะซีเรียสจริงจังไปหมดทุกเรื่องเลยรึไงวะ

   และในจังหวะที่ผมกำลังอมยิ้มเพลินๆ อยู่กับความคิดของตัวเองนั้นเอง อยู่ๆ ไอ้ป้อก็โผล่เข้ามาขโมยซีนซะงั้น ด้วยการสะกิดแบงค์ไปคุยอะไรด้วยก็ไม่รู้และดูเจ้าตัวก็สนุกไปกับการคุยนั้นด้วย จนทำเอาผมถึงกับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

   ใจเย็นไว้มึง ไอ้นันท์ ก็แค่เพื่อนใหม่ธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอวะ แล้วการที่แบงค์มันจะมีเพื่อนคนอื่นมันแปลกตรงไหนวะ ทีตัวมึงเองก็ยังมีเพื่อนคนอื่นได้เลยนี่ไอ้นันท์

   ถึงแม้จะพยายามให้คิดแบบนั้น แต่ยังไงก็ยังรู้สึกขัดๆ ในใจอยู่ดี ราวกับว่าความรู้สึกที่ผมกำลังกังวลอยู่นั้นมันเป็นความรู้สึกอื่น


   หลังจากที่ต้องทนนั่งฟังการบรรยายอันแสนน่าเบื่อมาตลอดช่วงเช้า ในที่สุดก็ถึงกิจกรรมภาคสนามในช่วงบ่ายเสียที กิจกรรมก็เป็นพวกคล้ายๆ แรลลี่อะไรทำนองนั้น ตะลุยเก็บคะแนนตามฐานต่างๆ ซึ่งแต่ละฐานก็จะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้เรื่องยาเสพติดน่ะครับ

   จนกระทั่งมาถึงฐานสุดท้าย ที่ต้องรอให้ครบทุกกลุ่ม สำหรับฐานสุดท้ายนี้มีชื่อว่า ‘แข่งวิบาก’ ดูจากชื่อแล้วไม่ค่อยจะเกี่ยวกับยาเพติดเท่าไหร่แฮะ สงสัยคงจัดมาให้เล่นสนุกๆ กันล่ะมั้ง

   หลังจากที่มากับครบทุกกลุ่มแล้วนั้น การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น มันก็เหมือนการแข่งวิบากทั่วไปนั่นล่ะครับ ทุกคนในกลุ่มต้องแข่งให้ครบวนกันไปเรื่อยๆ กลุ่มไหนเสร็จก่อนก็ถือว่าชนะได้คะแนนเต็ม ส่วนทีมอื่นๆ ก็ได้คะแนนลดหลั่นกันไป

   ซึ่งกลุ่มผมนั้นแบ่งลำดับกันโดยการจับสลากครับ ซึ่งก็ฉีกเอากระดาษกำหนดการนั่นล่ะมาทำเป็นสลากแบบง่ายๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะเรียกว่าดวงดีหรือดวงซวยกันแน่ เพราะผมดันจับสลากได้เป็นลำดับที่หนึ่ง

   หลังจากที่เตรียมความพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น สัญญาณนกหวีดก็ดังขึ้น ผมรีบออกตัววิ่งทันทีด้วยความรวดเร็ว ถึงจะเห็นตัวขนาดพกพาสะดวกแบบนี้ แต่เรื่องความเร็ว ความคล่องตัวไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้วครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

   ด่านแรกก็ไม่มีอะไรมากนัก ก็แค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าธรรมดาเฉยๆ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะให้ล้างทำไมวะนั่น ก่อนที่ความคาใจนั้นจะได้รับคำตอบเมื่อมาถึงด่านที่สอง นั่นก็คือเป่าแป้งหาเหรียญที่อยู่ในจาน

   ผมเป่าแป้งเพื่อหาเหรียญที่อยู่ในจานด้วยความยากลำบากจนอดคิดสงสัยไม่ได้ว่าใครมันเป็นคนเทแป้งลงไปวะเนี่ย เยอะฉิบหาย อย่าให้กูเจอตัวนะมึง ซึ่งกว่าผมจะเป่าหาเหรียญเจอแป้งก็เต็มหน้าผมไปหมดแล้วเนี่ย แถมยังสำลักด้วย แล้วไอ้เหรียญเหี้ยเนี่ย กูขอถามหน่อยว่าไม่มีเหรียญห้าเหรียญสิบให้ใช้เหรอ ถึงได้ใส่เหรียญบาทลงไปในจานเนี่ย แต่พอคิดในอีกแง่ ก็ยังดีกว่าเอาเหรียญสลึงใส่ลงไปล่ะวะ ไม่งั้นคงใช้ปากคาบออกมายากกว่านี้แน่ๆ

   ด่านที่สามก็ง่ายๆ แค่เอาเหรียญที่ได้มาหยอดลงกระปุก ผมจึงรีบวิ่งไปยังด่านต่อไปทันทีด้วยความรวดเร็ว หากเทียบกับกลุ่มอื่นๆ แล้ว กลุ่มผมกำลังอยู่ในอันดับต้นๆ อยู่ด้วย

   ด่านที่สี่ กินกล้วยครับ แถมเป็นกล้วยหอมด้วย นี่ถ้าทีมงานมันหากล้วยใบใหญ่กว่านี้มาได้ก็คงหามาแล้วล่ะ สัส เกือบจุก ค่อยๆ เคี้ยวก็ได้วะ อ๊ะ ไม่ได้อีก เดี๋ยวกลุ่มอื่นแซงพอดี รีบยัดๆ มันไปนี่ล่ะ

   ด่านที่ห้า ต่อจากกล้วยก็เป็นขนมโก๋ครับ กูขอดูหน้าคนคิดกิจกรรมนี้หน่อยได้มั้ยวะ กล้วยกูยังไม่หมดเลยเนี่ย ต้องมาเจอขนมโก๋ต่อ หนักกว่ากล้วยอีกนะนั้น แห้งๆ สากๆ แถมยังชิ้นใหญ่ด้วย เกือบติดคอตาย

   ยังดีหน่อยที่ด่านที่หกเป็นน้ำอัดลม ยังพอช่วยแก้อาการติดคอได้บ้าง แต่ไอ้ครั้นจะให้รีบๆ ซัดเข้าไปมันก็สำลักได้เหมือนกันนะ เกือบพุ่งแล้วมั้ยล่ะ ไอ้คนเชียร์ก็เชียร์กันจัง เดี๋ยวถึงตามึงมั่งแล้วจะรู้สึก

   นับว่าเป็นความโชคดีสำหรับผม ที่ด่านที่หกซึ่งเป็นด่านสุดท้ายนั้นไม่ใช่ของกิน แต่เป็นกิจกรรมง่ายๆ แค่เอาลูกเทนนิสปาใส่ซองบุหรี่ที่วางอยู่ข้างหน้าให้ล้มแค่นั้น โชคดีที่ผมเป็นคนเล่นบาสเลยพอจะมีทักษะในการเล็งเป้าซึ่งก็อยู่ไม่ไกลมากนักผมจึงปาแค่ทีเดียวก็โดน

   จบสักที ผมทิ้งตัวลงนั่งอย่างรวดเร็ว ไอ้เรื่องเหนื่อยน่ะ ไม่เหนื่อยหรอก แต่เรื่องจุกนี่สิ เหมือนกับว่าที่กินลงไปเมื่อกี๊ลงยังไม่ถึงท้องดีเลย ทำเอารู้สึกไม่อยากกินข้าวเย็นเลยยังไงก็ไม่เหมือนกันแฮะ

   ตอนนี้กลุ่มของผมถือได้ว่ากำลังอยู่ในอันดับต้นๆ ที่เหลือคงต้องฝากความหวังไว้กับสมาชิกที่เหลือในกลุ่มแล้วล่ะผมหันไปมองยังกลุ่มเจ็ดที่ตอนนี้กำลังถึงคิวของแบงค์พอดี แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ค่อยสันทัดกับพวกกิจกรรมอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่แฮะซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก

   ผมนั่งมองอีกฝ่ายที่พยายามจะทำมันให้สำเร็จถึงแม้จะต้องทุลักทุเลแค่ไหนก็ตามที ช่างเป็นคนที่ทุ่มเทเต็มที่กับทุกเรื่องจริงๆ

   ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีที่ทำให้ผมรู้สึกชอบอีกฝ่ายยังไงล่ะ

   หือ ชอบงั้นเหรอ ?

   ก็ใช่ แต่ชอบในที่นี้คือความหมาย...

   “จุกชิบหายเลยว่ะ ใครเป็นคนคิดกิจกรรมวะเนี่ย”
   กลุ่มข้างๆ บ่นอุบขึ้นมาทันทีหลังจากที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมเพื่อรอคนในทีม

   “โดยเฉพาะไอ้กล้วยเหี้ยนั่นด้วย”
   ผมเอ่ยเสริมคำพูดของอีกฝ่ายก่อนที่จะหัวเราะในลำคอเบาๆ ออกมาพร้อมกัน เพราะแต่ละคนในตอนนี้สภาพดูไม่จืดเลย แป้งเต็มหน้าเต็มเสื้อไปหมด

   ในขณะที่ตัวผมเองรู้สึกเหมือนมีบางคำถามผุดขึ้นมาในใจ โดยที่ผมก็ไม่สามารถเรียบเรียงมันให้ชัดเจนได้


   ในที่สุดกิจกรรมการแข่งขันเก็บคะแนนทั้งหมดในรอบบ่ายก็จบลง โดยที่กลุ่มของผมนั้นได้ที่สาม และกลุ่มของแบงค์ได้ที่ห้า นอกนั้นผมจำไม่ได้เยอะเกิน ขี้เกียจจำ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีกิจกรรมนันทนาการต่ออีกเล็กน้อยเพื่อให้หายเหนื่อยกัน ก่อนที่จะปล่อยให้พวกเราไปพักผ่อน

   “จะไปกินข้าวก่อน หรือว่าจะไปอาบน้ำก่อนดีครับ”
   แบงค์เอ่ยถามพลางถอดแว่นออกมาเช็ด ก่อนจะปัดเสื้อที่เต็มไปด้วยแป้งออก

   “อาบน้ำก่อนดิวะ ใครจะไปกินข้าวทั้งๆ ที่แป้งกับเหงื่อเต็มตัวได้วะ เหม็นตายห่า”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับถอดเสื้อออกก่อนจะสะบัดมันเบาๆ เพื่อเอาเศษแป้งออก

   “ก็ไม่เห็นจะเหม็นอะไรเลยนี่ครับ”
   ไม่พูดเปล่า แต่แบงค์ยังเอาใบหน้าเข้ามาใกล้กับตัวผมโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

   “ทำเหี้ยอะหยังของมึงเนี่ย”
   ผมถามด้วยความตกใจ

   “เอ้าก็นันท์บอกว่าเหม็นกลิ่นเหงื่อไงล่ะครับ แต่ผมพิสูจน์แล้ว ไม่เห็นจะเหม็นเลย”
   “แล้วมันจำเป็นต้องดมใกล้ขนาดนี้ด้วยเหรอวะ”

   “อ้าว ถ้าไม่ดมใกล้ๆ แล้วจะรู้เหรอครับว่าเหม็นหรือไม่”
   อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเรียบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือจะว่ายังไงดีล่ะครับ ก็เข้าใจนะว่าถ้าจะพิสูจน์กลิ่นน่ะ ก็ต้องดม แต่มันจำเป็นต้องใกล้ขนาดว่าเข้ามาดมจนแทบจะไซ้ซอกคอผมด้วยอย่างนั้นเหรอ แถมยังเล่นทีเผลอชนิดที่ผมไม่ทันตั้งตัวจนเกือบเผลอไปหอมแก้มมันแล้วมั้ยล่ะ ดีนะที่ไม่ตกใจจนเผลอปล่อยหมัดใส่เข้าให้

   “แต่เอาจริงๆ กลิ่นตัวที่เปื้อนเหงื่อของนันท์ผมว่าก็หอมดีนะครับ ผมชอบ”
   พูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย
   

   “ไหนบอกว่าจุกจนไม่อยากกินข้าวเย็นแล้วยังไงล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมตักข้าวใส่ปากด้วยความรวดเร็ว
   “ไอ้ห่า กูก็พูดไปแบบนั้นน่ะล่ะ ออกภาคสนามเสียแรงไปขนาดนั้น ก็ยิ่งต้องใส่คืนเข้าไปเป็นเท่าตัวดิวะ”
   ผมตอบกลับไปก่อนจะยกจานข้าวไปขอเพิ่มเนื่องจากยังรู้สึกไม่อิ่ม แต่ในจังหวะที่กำลังจะเกินกลับมายังโต๊ะอาหารนั่นเอง

   “เฮ้ย!”
   “ว้าย!”
   “โอ๊ะ!”
   เด็กสาวต่างโรงเรียนก็เดินมาชนใส่หลังของผมเข้าอย่างจัง

   “เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะ เป็นอะไรมั้ยคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะที่เดินไม่ระวัง ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ”
   ทันทีที่ผมหันไป อีกฝ่ายก็รีบเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเพราะเธอรู้สึกผิดจริง หรือเพราะกลัวสีหน้าที่โหดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วของผมหรือเปล่า ถึงจะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอกนะ แค่ตกใจมากกว่า

   เพราะตอนนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนี่สิ

   “เอ่อ บ่เป็นหยังครับ ผมบ่ได้เป็นอะหยัง แต่เพื่อนผม...นี่...สิ...”
   ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยพร้อมกับมองจานข้าวในมือตัวเอง ที่ตอนนี้กลายเป็นจานเปล่าๆ อันเนื่องมาจากอาหารที่เคยอยู่ในจานเมื่อกี๊นั้นได้ย้ายสถานที่ไปอยู่บนตัวแบงค์แทนเสียแล้ว

   “ว้าย ขอโทษจริงๆ ค่ะ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ”
   เธอรีบเอ่ยคำขอโทษด้วยความรัวยิ่งกว่าปืนกล พร้อมกับหันรีหันขวางประหนึ่งว่ากำลังหาอะไรเพื่อมาเช็ดคราบเปื้อนเหล่านั้นบนเสื้อแบงค์

   “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ มันเป็นอุบัติเหตุ ผมเข้าใจ เดี๋ยวผมเองก็กำลังจะไปอาบน้ำอยู่พอดีเลย ไม่ต้องกังวลนะครับ”
แบงค์พยายามปลอบอีกฝ่ายที่ตอนนี้สีหน้าไม่สู้ดีนัก หลังจากที่พูดคุยขอโทษกันเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเดินออกไปด้วยความระมัดระวัง คงเพราะกลัวจะไปชนใส่อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

   “เดี๋ยว ผม กำ ลัง จะ ไป อาบ น้ำ อยู่ พอ ดี... แหม มึงน่ะ อาบมาแล้วบ่ใช่เหรอ ช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ เลยนะมึงเนี่ย”
   ผมหรี่ตายิ้มมุมปากเล็กน้อยเลียนแบบคำพูดของแบงค์เมื่อครู่ ก่อนจะใช้ศอกกระทุ้งไปที่สีข้างของอีกฝ่ายเบาๆ

   “เอาน่ะครับ ก็มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ นี่ โกรธไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาสักนิด”
   มันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดนั่นล่ะ แต่บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแบงค์จะสุภาพบุรุษไปถึงไหน จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายอารมณ์เสีย หรือโกรธใครเลยสักครั้งเหมือนกันนี่หว่า

   “เดี๋ยวผมไปอาบน้ำอีกรอบ ส่วนนันท์ถ้ายังไม่อิ่มก็นั่งกินต่อก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมมานะครับ”
   “บ่เอาอะ กูบ่มีอารมณ์กินละ มึงไปอาบก่อนเลยละกัน เดี๋ยวกูไปเดินเล่นรอแถวนี้ก็ได้”
   “เอางั้นเหรอครับ”
   “เออ รีบๆ ไป เดี๋ยวจะหมดเวลาพัก”
   ผมรีบสะบัดมือเพื่อไล่อีกฝ่าย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปโดยที่ไม่ลืมจะไปยืมอุปกรณ์มาจากแม่บ้านมาเช็ดทำความสะอาด
   

   หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง ผมก็เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอแบงค์ที่ไปอาบน้ำอีกรอบ ด้วยความที่โดนจำกัดบริเวณให้อยู่ภายในจุดที่กำหนดไว้ ผมจึงไปไหนไกลมากไม่ได้ก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่งใต้ต้นมะขามที่อยู่ไม่ไกลจากโรงนอนเท่าไหร่นัก

   ผมทอดตัวพิงไปยังต้นมะขามก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ หากจะถามว่าถอนหายใจเรื่องอะไรนั้น เอาจริงๆ ผมเองก็ยังตอบไม่ได้ แค่สัญชาตญาณมันสั่งให้ทำเช่นนั้นเฉยๆ ก็แค่นั้นเอง

   “เฮ้ย แก ไอ้สองคนที่อยู่กลุ่มเจ็ดข้างๆ กับเราน่ะ มันมีซัมติงอะไรแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ”
   เสียงของเด็กสาวต่างโรงเรียนที่นั่งอยู่ก่อนผมจะมาเอ่ยขึ้นกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน

   “คนที่ชื่อป้อกับคนที่ใส่แว่นหนาๆ ที่ชื่อแบงค์ใช่ป่ะ”
   ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ผมก็ให้ความสนใจกับสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดทันที

   “เออ นั่นล่ะ ฉันว่ามันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ แต่ดูแล้วชอบอะ ฟินมาก ให้อารมณ์คู่จิ้นยังไงก็ไม่รู้”
   ซัมติง? ฟิน? คู่จิ้น? พูดเหี้ยอะไรของพวกเธอเนี่ย

   “นี่พวกเธอสองคนเป็นสาววายอย่างนั้นเหรอ”
   เสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูแล้วคิดว่าน่าจะอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเธอเดินเข้ามานั่งร่วมวงแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

   “สาววายแล้วทำไมยะ”
   สาววาย ?

   หนึ่งในสองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
   “ก็เปล่า แต่แค่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้นไง แบบเราก็เป็นผู้ชายใช่ปะ พอเห็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกยังไงก็ไม่รู้แฮะ”
   ฝ่ายชายพยายามอธิบายในสิ่งที่ตัวเองคิด

   “มันเป็นโมเมนต์ย่ะ จริงไม่จริงไม่รู้ รู้แค่ว่าเวลาสองคนนั้นอยู่ใกล้กันแล้วฟีลมันใช่ ใช่ปะแก”
   “ใช่เลยแก”
   สองสาวหันไปคุยกันเองอย่างชอบอกชอบใจในขณะที่ฝ่ายชายได้แต่เกาหัวแกรกๆ อย่างไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ก่อนที่ทั้งสามจะลุกเดินออกไปพร้อมกัน โดยทิ้งให้ผมซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบทสนทนาเหล่านั้นนั่งงงกับเรื่องราวที่ได้ยิน

   ฟิน? คู่จิ้น? สาววาย? ฟีล? โมเมนท์?
   เหี้ยไรเนี่ย ศัพท์แสงจะเยอะไปไหนวะ พวกมึงจะพูดเหี้ยอะไรก็ช่วยพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายๆ ด้วยดิเฮ้ย

   จะถามว่ากูเผือกอย่างนั้นเหรอ เอาจริงๆ กูก็ไม่ได้อยากเผือกอะไรหรอก แต่ประเด็นคือกูได้ยินชื่อคนที่รู้จักกับคนที่กูรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าแบบหาสาเหตุไม่ได้ยังไงล่ะ

   ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ทำไมผมกลับรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่ได้ยินกันนะ

   TRRRRRRR
   เสียงมือถือของผมดังขึ้นช่วยดึงสติผมให้กลับมา
   “อยู่ไหนเหรอครับ”
   เสียงของแบงค์เอ่ยถามทันทีที่ผมกดรับสายผมเม้มปากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

   “แถวต้นมะขามใกล้ๆ โรงนอนน่ะ”
   “ครับ งั้นเดี๋ยวผมไปหานะครับ”
   ปลายสายกดวางไปด้วยความรวดเร็วในขณะที่ผมกำลังรู้สึกมึนงงกับความคิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

   “มานั่งหลบมุมอะไรอยู่แถวนี้ครับเนี่ย”
   แบงค์เอ่ยถามก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ผม ว่าจะไปไอ้นี่ก็มาเร็วเคลมเร็วยิ่งกว่าประกันอีกนะเนี่ย

   “เรื่องของกูเหอะ”
   ผมตอบปัดกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

   “เป็นอะไร สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่ารู้สึกห่วงใย

   “ป่าวนี่”
   “ถ้าเปล่า แล้วทำไมต้องมองไปทางอื่นด้วย โกหกกันเห็นๆ เลยนะครับ”
   อุก!

   “......”

   “สรุปว่าเป็นอะไรครับเนี่ย หรือว่ายังเครียดเรื่องข้าวเมื่อกี้อยู่”
   ไหงวกไปเรื่องข้าวได้วะ นี่กูดูเป็นคนตะกละตะกลามขนาดนั้นเลยรึไงวะเนี่ย

   “โอ๊ย ช่างแม่งเหอะ บ่มีหยัง กูแค่ง่วงเฉยๆ”
   พูดจบ ผมก็ล้มตัวลงนอนบนตักของอีกฝ่ายทันทีด้วยความรวดเร็วจนชนิดที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ทันตั้งตัว ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบกันทั้งคู่ สายลมที่พัดเอื่อยๆ ในช่วงเวลายามเย็นแบบนี้มันช่างชวนให้รู้สึกเคลิ้มได้ง่ายจริงๆ ผมค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ฟังเสียงกิ่งไม้ที่กำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลม กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของแบงค์นั้นช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมามากพอสมควร

   “มึง”
   “ครับ?”

   “นอกจากกูแล้ว มึงยังมีเพื่อนสนิทคนอื่นอีกมั่งมั้ยวะ”
   ผมลืมตาเอ่ยคำถามนั้นออกไป ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง

   “ทำไมเหรอครับ”
   “ก็เปล่า  ไงดีล่ะ ก็ปกติกูบ่ค่อยเห็นมึงคุยกับคนอื่นเลยไง บ่เคยเห็นใครเข้ามาทักทายพูดคุยกับมึงด้วย กูก็เลยสงสัยว่ามึงมีเพื่อนสนิทในห้อง หรือเพื่อนสนิทคนอื่นนอกจากกูมั่งรึเปล่าน่ะ”
   นี่กูกำลังพูดห่าอะไรออกไปเนี่ย

   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากผม ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ
   “ก็มีบ้างครับ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคุยไม่ค่อยเก่ง แต่ผมก็คุยได้ปกติกับทุกคนนะครับ แต่ถามว่าสนิทมั้ย อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแต่นึกยังไงถึงถามครับเนี่ย”
   คำถามนั้นของอีกฝ่ายทำเอาผมถึงกับนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง

   “บ่มีหยัง กูก็แค่อยากรู้เฉยๆ ทำไม กูถามบ่ได้รึไงวะ”
   ผมพาลใส่อีกฝ่ายเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ยังสงสัยและหาคำตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ขุ่นมัวอยู่นั้นคืออะไร

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ อีกอย่างผมรู้สึกดีใจมากๆ ด้วยซ้ำที่นันท์เรียกผมว่าเพื่อนสนิท ถึงแม้ว่า...”
   “ถึงแม้ว่า...?”
   ผมทวนคำด้วยความสงสัยเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปไม่ยอมพูดต่อ

   “ไม่มีอะไร ขอบคุณนะครับ สำหรับคำว่าเพื่อนสนิท  ผมจะพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับ”
   “จริงจังไปเสียทุกเรื่องเลยนะมึงเนี่ย”
   ผมยิ้มมุมปากหัวเราะหึในลำคอ ในขณะที่ยังคงหลับตานิ่งนอนหนุนตักของอีกฝ่ายที่ยังคงลูบหัวผมเบาๆ ไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข


   หลังจากหมดช่วงเวลาพักในตอนเย็น พวกผมก็กลับเข้าไปยังหอประชุมเหมือนเดิม กิจกรรมในคืนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก มีบรรยายให้ความรู้อีกนิดหน่อย ก่อนจะเป็นกิจกรรมนันทนาการอีกเล็กน้อยพร้อมทั้งประกาศผลการแข่งขันกิจกรรมเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผู้ชนะก็คือกลุ่มสี่โดยที่ของรางวัลสำหรับกลุ่มที่ชนะก็คือขนมปี๊บครับ  ซึ่งก็คิดว่าโชคดีแล้วที่กลุ่มผมไม่ได้เป็นผู้ชนะ ไม่งั้นได้ออกไปถ่ายรูปพิธีมอบขนมปี๊บก๊องแก๊งนั้นแน่ๆ

   ดูยังไงก็ไม่มีความเท่เลยสักนิด

พอพูดถึงขนมปี๊บ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเวลามีงานอะไรต่างๆ ทำไมของรางวัลต้องเป็นขนมปี๊บด้วย คิดอะไรกันอยู่ หรือเพราะไม่ได้คิดเหมือนกับเวลาไปกินข้าวแล้วต้องสั่งกะเพราไก่ไข่ดาวเพราะไม่รู้จะสั่งอะไรอย่างนั้นเหรอ

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทำไมกูต้องมาคิดอะไรมากมายให้ปวดหัวกับไอ้ขนมปี๊บนั่นด้วยวะ

   “เอาล่ะ นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้วนะคะ เป็นไงบ้าง ง่วงกันมั่งรึยัง”
   พี่ปั่นที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนันทนาการเอ่ยถามพวกเรา แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้ว เหมือนจะยังสนุกกันอยู่แฮะ

   “อืม... งั้นเอางี้ พี่คิดเกมได้เกมนึง ขอให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาทีมละสองคนด้วยนะคะ โดยมีข้อแม้ว่าสองคนที่ออกมานั้น จะต้องอยู่กันคนละโรงเรียน งานนี้ไม่มีเต้นท่าประหลาดๆ แน่นอนค่ะ พี่รับรอง สบายใจได้ค่ะ”

   ทันทีที่พี่ปั่นพูดจบ แต่ละกลุ่มก็ส่งตัวแทนออกไป ซึ่งก็รู้สึกโชคดีแฮะ ที่ผมไม่โดนคนในกลุ่มเลือกออกไป ผิดกับแบงค์ที่โดนเลือกเป็นตัวแทนของกลุ่มให้ออกไปข้างหน้า ดูเจ้าตัวจะสีหน้าตื่นๆ อยู่ไม่น้อย เห็นแล้วก็ตลกดี

   เพียงแต่ มันก็จะมีบางอย่างที่รู้สึกขัดหูขัดตาอยู่บ้างเล็กน้อย

   บางอย่างที่ว่าก็คือไอ้คนตัวสูงๆ ที่ชื่อป้อที่ได้ออกไปเป็นคู่กับนั่นล่ะครับ ถึงแม้มันจะไม่ได้สูงเท่าแบงค์ แต่เมื่อเทียบกับผม ก็นับว่าสูงอยู่ดีนั่นล่ะ แต่เอาเข้าจริงไม่ว่าใครเมื่อเทียบกับผมก็สูงกว่าทั้งนั้นล่ะ

   โอ๊ยยย ช่างแม่งเรื่องความสูงความพกพาสะดวกไปก่อนเหอะ เพราะสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกขัดหูขัดตาจริงๆ น่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น  แต่เป็นท่าทีของไอ้ป้อที่ดูจะพยายามจะตีสนิทแบงค์ยังไงก็ไม่รู้นั่นต่างหาก


   แล้วทำไมผมถึงต้องกระวนกระวายใจด้วยล่ะ


จบคาบเรียนที่สิบ

มุมแคปชั่นไร้สาระ

BourRai ได้แชร์ลิงก์
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่าง ที่มากกว่านั้น ...
ช่างไม่รู้เลย - Peacemaker (https://www.youtube.com/watch?v=tOKdQ0-2ky4)
Power Bank ได้กดถูกใจสิ่งนี้

Power Bank : อะไรของเจ๊ครับเนี่ย
BourRai : ก็แค่นึกครึ้ม อยากย้อนอดีตวัยหวานของเจ๊เฉยๆ น่ะ
Power Bank : คงนานมากสินะครับเนี่ย ผมเกิดไม่ทันแน่ๆ
BourRai : ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะยะ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 9 ค่ายอบรม (19-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 22-10-2018 02:15:54
ไนท์มีพวงกุญแจคู่แล้ว แบงค์จะยอมแพ้เขาเหรอ  :laugh:

ปล. ฮาภาพประกอบ 555

นั่นสิ แบงค์จะยอมแพ้เขาได้ไงเนี่ย 555+

ขอบคุณมากครับ มุมแคปชั่นนี้เป็นอะไรที่สนุกสำหรับผมจริงๆ ว่าจะใส่อะไรลงไปในแต่ละตอนดี 555+

:katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณมากครับ สำหรับการติดตาม  :mew1:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 11 ปากแข็ง (23-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 23-10-2018 20:58:04
   คาบเรียนที่สิบเอ็ด

   “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ก็ออกมากันครบทุกกลุ่มแล้วนะคะ”
   พี่ปั่นพูดก่อนที่จะจับแต่ละคู่ให้ยืนแยกกันคนละฝั่ง

   “เกมนี้ ก็ง่ายๆ ค่ะ พวกเรามาจากต่างโรงเรียนกันใช่มั้ย เพราะฉะนั้น นี่คือบททดสอบค่ะ ว่าพวกเราได้เพื่อนใหม่กันรึยัง เดี๋ยวพี่ๆ จะแจกกระดาษให้คนละใบนะคะ แล้วพี่จะถามคำถาม เพื่อพิสูจน์ว่าเรารู้จักเพื่อนของเรามากน้อยแค่ไหน เขียนทั้งของเรา และคู่ของเราด้วยนะคะ ทีมไหนทำคะแนนได้เยอะที่สุด ทีมนั้นจะเป็นผู้ชนะค่ะ ส่วนทีมที่ได้คะแนนน้อยที่สุด แน่นอนค่ะ เราเตรียมบทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ด้วยค่า”

   ทันทีที่พี่ปั่นพูดจบ พี่ๆ ในกลุ่มนันทนาการที่เหลือก็เอากระดาษและปากกาแจกให้แต่ละคนจากนั้นให้หันหลังเพื่อป้องกันการโกง เมื่อทุกอย่างพร้อม พี่ปั่นก็ถามคำถามไปเรื่อยๆ คำถามส่วนมากก็เป็นคำถามง่ายๆ เช่นว่าเพื่อนอีกคนชื่ออะไรมาจากโรงเรียนไหน โดยมากจะเกี่ยวกับความชอบของแต่ละคน

   ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานมากนัก พี่ปั่นก็ถามคำถามจนครบทั้งสิบข้อหลังจากที่ตรวจนับคะแนนจนครบ ผลปรากฏว่า ทีมของกลุ่มเจ็ดเป็นทีมที่ได้คะแนนน้อยที่สุด สีหน้าของแบงค์และไอ้ป้อดูเจื่อนๆ อยู่ไม่น้อยเพราะนั่นหมายถึงว่า คนที่เหลือในกลุ่มจะต้องโดนลงโทษด้วย

   แต่แทนที่ผมจะรู้สึกเห็นใจ ทำไมผมถึงกลับรู้สึกสะใจอยู่เล็กๆ ที่ได้เห็นสีหน้าผิดหวังของไอ้คนที่ชื่อป้อ หลังจากที่ต้องทนเห็นสีหน้าร่าเริงของมันมานาน

   ทว่าผมก็รู้สึกสะใจแบบนั้นได้ไม่นานนัก เพราะ...

   “เอาล่ะค่ะๆ เราได้ทีมที่แพ้แล้ว ขอเชิญคนที่เหลือในทีมออกมาด้วยค่ะ”
   ทันทีที่พี่ปั่นพูดจบ คนอื่นในกลุ่มเจ็ดก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างหน้า ตามด้วยเสียงโห่ร้องของทีมอื่น

   “ก่อนที่เราจะทำโทษ ขอสัมภาษณ์ตัวแทนทีมก่อน ชื่ออะไรกันมั่งคะทั้งสองคน”

   “แบงค์ครับ”
   “ป้อครับ”
   “ค่ะ ป้อกับแบงค์นะคะ สองหนุ่มหล่อของเรา มีอะไรจะพูดสักหน่อยมั้ยคะ”
   พี่ปั่นถาม ก่อนที่จะยื่นไมค์ไปให้แบงค์ แต่ไอ้ป้อกลับฉวยมันไปเสียก่อน

   “ถึงวันนี้ เรายังจะไม่รู้จักกันมากนัก แต่ต่อไปเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีและรู้จักกันมากกว่านี้ได้แน่นอนครับ”
   พูดจบ ไอ้ป้อส่งไมค์คืนให้พี่ปั่นพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ในขณะที่คนอื่นๆ ได้แต่โห่ร้องดังกระหึ่มห้องประชุม

   “แหม เป็นคำตอบที่ซึ้งกินใจดีนะคะเนี่ย พี่เกือบเผลอคิดไปไกลซะแล้ว งั้นแล้วคนอื่นๆ ล่ะคะ ชื่ออะไรกันมั่งเอ่ย”
   ผมในตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เพราะไอ้คนที่ชื่อป้อมันพยายามที่จะยืนชิดแบงค์อย่างเห็นได้ชัด แถมยังมองแบงค์อย่างไม่ละสายตาด้วย

   ผมกำหมัดแน่นพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนที่จะเดินออกจากแถวไปอย่างเงียบๆ ตรงไปยังห้องน้ำแล้วจึงถีบประตูห้องน้ำแรงๆ หนึ่งที

   ความรู้สึกกระวนกระวายใจนี่มันอะไรกัน แล้วกูกำลังเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย

   มันก็ดูไม่น่าจะแปลกอะไรนี่ ถ้าแบงค์จะไปรู้จักใครหรือใครจะมารู้จักแบงค์ จะว่าไปแบงค์เองก็น่าจะมีสังคมของเขาที่ผมยังไม่รู้จักอีกเยอะด้วยไม่ใช่เหรอ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมด้วยซ้ำ

   แต่ทำไม...
   ทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมากันล่ะ

   “ฮิ้วววววววววววววววววววววววว”
   เสียงโห่ร้องจากหอประชุมดังต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็เลือกที่จะไม่รับรู้จะดีกว่า หากมันทำให้ผมต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้

   ผมเดินไปมาอยู่รอบๆ บริเวณห้องน้ำ รอจนเสียงโห่ร้องนั้นเงียบลงจึงเดินกลับเข้าไปยังหอประชุมตามเดิม ซึ่งตอนนี้กำลังสวดมนต์หมู่กันอยู่ ผมพยายามเลาะตัวเข้าไปยังแถวของผม

   “ไปไหนมาเหรอเธอ”
   เด็กสาวต่างโรงเรียนที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมเอ่ยถามขึ้น

   “ไปห้องน้ำมาน่ะ”
   “ท้องเสียเหรอ ไหวมั้ย ดูสีหน้าไม่ดีเลยนะ ไปห้องพยาบาลมั้ย”
   เธอถามอีกรอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใย ผมฝืนยิ้มตอบปฏิเสธกลับไปอย่างเกรงใจ ก่อนจะหันกลับมาพนมมือท่องบทสวดตามคนอื่น

   
   หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วนั้น พี่ๆ กลุ่มนันทนาการก็ปล่อยพวกเรากลับไปยังโรงนอน ผมรีบเดินไปยังกลุ่มของแบงค์ทันที

   “อ้าว นันท์มาพอดีเลย ผมว่าจะเดินไปหาที่กลุ่มอยู่เหมือนกันครับ”
   แบงค์หันมาพูดทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา ผมยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกไป

   “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนะแบงค์ หลับฝันดีนะ”
   ไอ้คนชื่อป้อยิ้มให้กับแบงค์ก่อนจะหันมายิ้มให้กับผมอีกครั้ง แล้วจึงเดินออกจากหอประชุมไป
   ทั้งๆ ที่ดูๆ แล้วคนที่ชื่อป้อมันก็เหมือนคนทั่วๆ ไปแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกไม่ถูกชะตายังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “นันท์เป็นอะไรไปเหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามผม คงเพราะเห็นสีหน้าที่ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดของผมด้วยล่ะมั้ง

   “เมื่อกี้พวกมึง...”
   ผมทำท่าจะเอ่ยถาม แต่ก็นิ่งเงียบไปในทันที แบงค์เลิกคิ้วสูงยิ้มมุมปากเล็กน้อยประหนึ่งว่ากำลังรอให้ผมพูดจบ

   “ป่าว บ่มีหยัง ไปเหอะ ไปนอน กูง่วงแล้วเนี่ย”
   ผมรีบพูดกลบเกลื่อนก่อนที่จะเดินนำแบงค์ไปยังโรงนอน หลังจากที่ล้างแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยพวกผมก็กลับมาเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับในวันพรุ่งนี้

   “วันนี้ดูแปลกๆ ไปนะครับ ไม่สบายอะไรตรงไหนรึเปล่าครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงพลางเช็ดแว่นไปด้วย

   “......”
   ผมไม่ตอบอะไรกลับไปได้แต่ทาครีมไปอย่างเงียบๆ

   “เฮ้ย!”
   ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆ สัมผัสได้ถึงฝ่ามือของแบงค์ที่แตะลงบนหน้าผากของผมพร้อมกับใบหน้าของอีกฝ่ายที่ชะโงกเข้ามาดูใกล้ๆ จนผมแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายเลยก็ว่าได้

   มันจะใกล้ไปแล้วโว้ยยย

   “ไม่สบายหรือเปล่า เดี๋ยวผมไปขอยาพาราฯ ที่ห้องพยาบาลให้เอามั้ยครับ”
   “เหี้ย กูบ่ได้เป็นอะหยัง ไปๆ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก”
   ผมพยายามหลบหน้าหนีพลางเก็บครีมต่างๆ ใส่กระเป๋า แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ได้แต่นิ่งเงียบก่อนจะเดินกลับไปยังเตียงของตัวเองอย่างว่าง่าย

   นั่นสิ ผมกำลังเป็นเหี้ยอะไรอยู่วะเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

   “ถ้างั้นก็ฝันดีนะครับ อย่าลืมห่มผ้าด้วย ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย ราตรีสวัสดิ์ครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะซุกตัวลงในผ้าห่ม ผมตอบอือกลับไปเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดตัวเช่นเดียวกันพร้อมกับพยายามข่มตาลงเพื่อให้ตัวเองหลับ

   “ดึกๆ ถ้านันท์หนาว ก็ย้ายมานอนเตียงเดียวกับผมได้นะครับ ผมยินดี”
   ผมรีบลืมตาด้วยความรวดเร็วทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นพร้อมกับพลิกตัวไปยังฝั่งคนพูด ภาพที่เห็นคือแบงค์ที่กำลังหลับตานอนด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะมีความสุขเสียเหลือเกิน จนผมเองก็ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดอะไรต่อ จึงล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดตัวเหมือนเดิม

   ค่ำคืนเหน็บหนาวจะกอดเอาไว้แนบกาย
   “วิธีเพิ่มความอบอุ่นยังไงล่ะครับ ไม่เคยได้ยินเหรอครับว่าเวลาหนาวๆ การกอดกันจะช่วยทำให้เราอบอุ่นขึ้นได้”

   ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่พวกเราไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะก็หวนกลับเข้ามาในความทรงจำพร้อมกับผมที่อยู่ๆ ก็เกิดอาการร้อนวาบไปทั่วใบหน้า

   เหี้ย เป็นอะไรของกูวะเนี่ย อยู่ๆ ก็เสือกเขินขึ้นมาเสียได้ ไหนจะเรื่องงี่เง่าวันนี้อีกจนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าบทลงโทษของกลุ่มเจ็ดนั้นคืออะไร ถึงแม้ใจหนึ่งจะอยากรู้ แต่อีกใจก็กลับรู้สึกกลัว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะไอ้คนที่ชื่อป้อนั้นก็เป็นได้

   กูเป็นห่าอะไรของกูวะเนี่ย

   เฮ้ย หยุดคิด ไอ้สัส นอนๆ

   คืนนั้น ผมจำไม่ได้ว่าผมหลับไปตอนกี่ทุ่ม จำได้แค่ว่า กว่าผมจะหลับลงได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่นอนผิดที่ผิดเวลาด้วยหรือเปล่า

   หรือแท้จริงแล้วผมกำลังเป็นอะไรไปกันแน่อย่างนั้นเหรอ

   คำถามที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังตอบไม่ได้


   วันรุ่งขึ้น
   และแล้ววันสุดท้ายของการอบรมก็มาถึง สำหรับกิจกรรมในเช้านี้ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการสรุปข้อมูลความรู้ทั้งหมดและพิธีกล่าวปิดงาน ก่อนจะปล่อยผู้เข้าอบรมทั้งหมดแยกย้ายกันกลับ

   ผมออกมายืนรอแบงค์ที่หน้าหอประชุม เนื่องมาจากอีกฝ่ายกำลังโดนเพื่อนๆ ในกลุ่มเจ็ดล้อมรอบอยู่ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพื่อนๆ ในกลุ่มเขาขอพวกเบอร์โทร ไลน์ เฟซบุ๊กอะไรพวกนี้น่ะ ต่างจากผมที่ไม่มีใครเข้ามาขอสักคน ชีวิตแม่งโคตรอาภัพจริงๆ เลยกู

   “ขอโทษที่ให้รอนานครับ”
   “เออ รู้ตัวก็ดีแล้ว”
   ผมเหน็บแนมอีกฝ่ายไปเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา

   “เดี๋ยวเรากลับก่อนนะแบงค์ อย่าลืมรับแอดเราด้วยล่ะ”
   “อ้อ ได้ครับเมย์ เดินทางกลับบ้านดีๆ นะครับ”
   แบงค์เอ่ยล่ำลากับเพื่อนในกลุ่มด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสุภาพ ผมหรี่ตามองเจ้าตัวที่กำลังหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางขยับแว่นหนาให้เข้าที่

   “มึง”
   “ครับ”
   “เอามือถือมึงมานี่”
   “หา?”
   แบงค์เลิกคิ้วสูงหันมามองผมด้วยความสงสัย

   “กูบอกให้เอามือถือมึงมาให้กูไงล่ะ”
   พูดจบผมก็คว้ามือถือของอีกฝ่ายมาทันทีโดยไม่รอฟังคำอนุญาตใดๆ ผมเปิดเฟซบุ๊กและมองไปยังฟังชั่นคำขอเป็นเพื่อนที่มีการแจ้งเตือนด้วยความรวดเร็ว แล้วกดเข้าไปดูทันทีก็พบว่ามีคนส่งคำขอเข้ามาหลายคนซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนจากกลุ่มเจ็ดและกลุ่มอื่นข้างๆ อีกบ้างเล็กน้อย

   “หาอะไรอยู่เหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ผมหรี่ตาเลื่อนหน้าจอพินิจดูแต่ละคนที่ส่งคำขอเข้ามา

   ใช่ ผมกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ บางอย่างที่ว่านั่นคือใครสักคน และทันทีที่เจอ

   “คนอื่นรับได้ ยกเว้นไอ้เหี้ยนี่ห้ามรับนะเว้ย”
   พูดจบผมก็กดลบคำขอจากอีกฝ่ายทันทีพร้อมกับกดบล็อกซึ่งจะส่งผลให้อีกฝ่ายไม่สามารถส่งคำขอเป็นเพื่อนได้อีก มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องสงสัยนะครับ ว่าคนที่ผมกดลบไปนั้นคือใคร

   “เฮ้ย แต่...”
   “บ่มีตง บ่มีแต่ กูบอกว่าห้าม ก็ห้ามยังไงล่ะวะ”

   ผมส่งมือถือคืนพร้อมขู่กำชับเสียงแข็งอีกรอบ แบงค์รับมือถือคืนไปด้วยสีหน้าหงอยๆ เล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไรกลับมา

   แม่ง ทำเอาผมรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้แฮะ เวลาเห็นอีกฝ่ายทำหน้าหงอยๆ เศร้าๆ แบบนั้นเนี่ย นี่ผมทำแรงไป ผมเผือกมากไปหรือเปล่าวะ

   “นี่นันท์กำลังหึงผมอยู่เหรอครับ”
   “ห๊ะ!?”
   ผมหันกลับไปเบิกตากว้างมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหวอทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ภาพที่เห็นคือแบงค์ที่กำลังยืนนิ่งก้มมองหน้าจอมือถือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้ายิ้มเล็กยิ้มน้อย

   “หึงเหี้ยอะหยังของมึง กูแค่บ่ชอบขี้หน้าไอ้หน้าตี๋นั่นเฉยๆ เว้ย
   “ป้อน่ะเหรอ ทำไมนันท์ถึงไม่ชอบล่ะครับ เขาก็ดูเป็นคนดีคนนึงนะครับ”
   แบงค์เลิกคิ้วสูงถามผมกลับด้วยสีหน้าสงสัย

   “ก็...ก็...”   
   “ก็...?”
   ผมกระอึกกระอักอยู่พอสมควรเมื่อโดนถามจี้เช่นนั้น เพราะถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่ชื่อป้อนั้นไม่ดีตรงไหน

   รู้แต่ว่า ผมนั้น...

   “บ่รู้เว้ย รู้แค่ว่ากูบ่ชอบ และกูก็บ่อยากให้มึงรับมันเป็นเพื่อนในเฟซด้วย”
   “ก็นั่นล่ะครับ ที่เขาเรียกว่าอาการหึง”
   แบงค์ตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่าเริงผิดกับเมื่อครู่ราวกับว่าเป็นคนละคนอย่างเห็นได้ชัด

   “หึงห่าอะหยัง หึงเขาใช้กับคนที่เป็นแฟนกันเว้ย แต่มึงกับกูน่ะ เป็นเพื่อนเฉยๆ”
   “เพื่อนสนิทต่างหากล่ะครับ“
   “......”

   “ก็นันท์เป็นคนบอกเองนี่ครับว่าผมเป็นเพื่อนสนิทของนันท์”
   “......”
   สีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจังของอีกฝ่ายนั้นทำเอาผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยสักนิด

   “หรือว่าไม่ใช่แล้วอย่างนั้นเหรอ”
   ถามจบ เจ้าตัวก็ทำหน้าหงอยอีกรอบ

   “เออ ใช่ เพื่อนสนิทนั่นล่ะ เพราะเป็นเพื่อนสนิท กูเลยบ่อยากให้มึงรับมันเป็นเพื่อนยังไงล่ะ”
   “นันท์กลัวผมจะให้ความสำคัญกับป้อมากกว่านันท์เหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

   “ป่ะ เปล่า กูก็แค่...”
   “บางทีนันท์ก็เป็นคนปากแข็งมากกว่าที่ผมคิดนะครับเนี่ย”

   “หมายความว่าไง...”
   “โอเคครับ ถ้านันท์ไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รับก็ได้ ถ้ามันทำให้นันท์สบายใจ”

   พูดจบ แบงค์ก็เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงทันที ก่อนจะยิ้มกว้างให้ผมอย่างคนอารมณ์ดีทำเอาผมถึงกับตามอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็วไม่ทันเลยทีเดียว ผมขมวดคิ้วจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างหงุดหงิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยที่ไม่พูดอะไรต่อ เอาเถอะ ถ้าเจ้าตัวยอมทำตามที่ผมต้องการแล้ว ก็เงียบๆ ดีกว่า เดี๋ยวเกิดอีกฝ่ายเปลี่ยนใจขึ้นมาจะยุ่งอีก

   ผมกับแบงค์เดินออกมายังหน้าค่ายทหารเพื่อมาขึ้นรถบัสของโรงเรียนที่จอดรออยู่หน้าค่าย ผมรีบขึ้นรถแล้วเดินเข้าไปยังท้ายรถก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ออกมา

   จบสิ้นสักทีกับค่ายอบรมบ้าบอเนี่ย วุ่นวายจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าโดนล่อลวงด้วยคะแนนจิตพิสัยนี่ไม่มาเด็ดขาด

   “เหนื่อยเหรอครับ”
   แบงค์ที่เดินตามเข้ามาทีหลังเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

   “อือ นิดหน่อย เดี๋ยวว่าจะกลับไปนอนแล้วเนี่ย ไหนๆ ก็ได้หยุดฟรีๆ วันนึง”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับเอนหลังและหลับตาลงอย่างช้าๆ

   “น่าเสียดายจัง”
   “น่าเสียดายอะหยังของมึง”
   ผมเอ่ยถามโดยที่ยังคงหลับตาอยู่พร้อมกับรถที่ค่อยๆ ออกตัว

   “ก็ผมว่าจะชวนไปดูหนัง แล้วก็ไปกินสเวนเซ่นต่อน่ะครับ”
   “อือ...บ่เอาอะ ขี้เกียจไปไหนแล้ว กูอยากกลับบ้านไปนอนละเนี่ย”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ก่อนจะพลิกตัวไปทางหน้าต่างรถ

   “เหรอครับ กะว่าจะเลี้ยงฉลองอบรมเสร็จแท้ๆ นะเนี่ย”
   หือ ?
   ผมรีบลืมตาพร้อมกับหันกลับมามองหน้าคนพูดทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

   “มึงพูดว่าเลี้ยงเหรอ”
   “ครับ แต่เห็นว่านันท์...”
   “งั้นกูไป”
   “อ้าว ไม่นอนแล้วเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “ค่อยนอนหลังดูหนังกับกินสเวนเซ่นจบก็ได้”
   “ก็ยังคงเป็นนันท์ที่ถูกล่อลวงง่ายๆ ด้วยของกินเหมือนเดิมนะครับ”
   “พูดแบบนี้อยากถูกต่อยรึไงวะ”
   ผมถามแซวกลับไปพร้อมยิ้มหึที่มุมปาก ก่อนจะหลับตาลงแล้วเอนตัวไปทางหน้าต่างรถอีกรอบ ลมที่พัดโกรกเข้ามาเบาๆ ก็พอจะทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

   “ถ้าง่วงก็งีบหลับก่อนก็ได้นะครับ ถึงโรงเรียนเมื่อไหร่เดี๋ยวผมปลุกเอง”
   แบงค์เอ่ยบอกผมเบาๆ พร้อมกับลูบหัวผมช้าๆ ซึ่งต่อให้เจ้าตัวไม่บอกเช่นนั้น ผมก็คิดจะบอกให้ปลุกอยู่ดีนั่นล่ะ

   “มึงขยับออกไปหน่อยซิ”
   ผมลืมตาหันไปสั่งอีกฝ่ายที่กำลังทำหน้างงกับสิ่งที่ผมพูด

   “อึดอัดเหรอครับ”
   “ขยับไปเหอะ อย่าถามมาก”
   แบงค์รีบขยับออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงเข้มนั้นจากผมพร้อมกับทำหน้าหงอย ผมยิ้มหัวเราะเบาๆ ในลำคอเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวเหยียดกายบนเบาะนั่งพร้อมกับเอาหัวหนุนนอนบนตักของอีกฝ่าย

   “ห้ามลืมปลุกกูด้วยล่ะ”
   พูดจบผมก็หลับตาลงช้าๆ แบงค์หัวเราะเบาๆ ในลำคอเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “ครับ”
   คำตอบสั้นๆ ถูกตอบกลับมาพร้อมกับฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ลูบหัวผมไปด้วยเบาๆ ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้มากพอสมควร
   

   ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าความรู้สึกในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั้นมันคืออะไร

   ทำไมหลายๆ คำถามของแบงค์ผมเองก็กลับตอบไม่ได้ทั้งๆ ที่มันเป็นคำถามง่ายๆ แท้ๆ

   หรือผมจะปากแข็งอย่างที่แบงค์ว่าเอาไว้จริงๆ กันนะ

   เอาไว้ตื่นมาค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน

จบคาบเรียนที่สิบเอ็ด


มุมแคปชั่นไร้สาระ

Knight Night Nice : พี่นันท์ลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ
นันทการ : อะจ๊ากกก กูลืมไปเลยว่ะ ท่ดๆๆ ไว้คราวหน้าเน่อ ไอ้น้อง ถถถ
Knight Night Nice : แง~~~~~~~~~~
รูปหล่อ พ่อรวย : มึงนี่นิสัยบ่ดีเลยว่ะ แกล้งเด็กจนร้องไห้เนี่ย
นันทการ : หุบปากไปเลยมึง


********

สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน
ไม่มีอะไรมาก แค่บอกว่า กำลังวาดรูปอยู่
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1699523020-member.jpg)
แต่จะเสร็จเมื่อไหร่ ก็ค่อยว่ากันอีกที ถถถ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 11 ปากแข็ง (23-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-10-2018 19:55:26
ยังตามอยู่นะครับ  o18
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 12 ว้าวุ่น (27-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 27-10-2018 01:58:16
   คาบเรียนที่สิบสอง


   ช่วงนี้ชมรมดนตรีค่อนข้างจะซ้อมเยอะและหนักขึ้นเป็นพิเศษ เพราะวงของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของงานในคืนคริสต์มาสที่ห้างเมญ่าด้วย ถึงแม้จะเป็นแค่วงเปิดคั่นเวลาให้กับศิลปินใหญ่ก็เถอะ แต่นั่นก็ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของชมรมผมมากๆ ซึ่งทุกคนต่างก็ซ้อมกันหนักมากเพื่อให้งานที่จะมาถึงนั้นออกมาดีที่สุดเท่าที่พวกเราจะทำได้

คนอื่นๆ ในวงน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ จะหนักหน่อยก็แบงค์นี่ล่ะ ที่ดูแล้วคิวชีวิตค่อนข้างจะแน่นเอี๊ยดมากพอสมควร ทั้งไหนจะเรียน ไหนจะติวหนังสือให้ผม ทั้งชมถ่ายภาพของตัวเอง แล้วยังต้องมาเป็นนักร้องนำชายให้ชมรมดนตรีของผม แถมเสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปทำงานที่ร้านเจ๊บัวอีกด้วย

   เจ้าตัวเองก็ดูจะพยายามและทุ่มเทกับงานนี้มากๆ ทั้งพยายามฝึกร้องเพลง การออกเสียง โดยมีมายด์คอยเป็นผู้ดูแลฝึกสอน เธอบอกว่าโทนเสียงของแบงค์นั้นค่อนข้างทุ้มต่ำจึงทำให้มีปัญหาเวลาขึ้นเสียงสูงพอสมควรจึงนับว่าเป็นการบ้านที่หนักพอสมควรทั้งสำหรับแบงค์และมายด์

   และอีกปัญหาหนึ่งก็คือเรื่องท่าทางของแบงค์เมื่ออยู่ต่อหน้าคนดู เจ้าตัวยังมีท่าทีเก้ๆ กังๆ ตะกุกตะกักอยู่พอสมควร เล่นเอาผมถึงกับหัวเราะตามไปด้วยทุกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายฝึกหัดพูดกับตัวเองหน้ากระจก

   ผมเองก็ไม่อยากจะทำตัวเป็นภาระให้แบงค์มากนัก เพราะงั้นจึงพยายามที่จะตั้งใจทำการบ้านและทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด เอ่อ ถึงแม้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ก็ตามทีเถอะ


   แล้วคืนวันคริสต์มาสก็มาถึง

   ตรึ๊ง!
   เสียงข้อความของเมสเซนเจอร์ดังขึ้น ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูในขณะที่ตัวผมเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายตรงโซนด้านหน้าเวทีซึ่งตั้งอยู่บนลานจัดกิจกรรมบริเวณหน้าห้าง โดยที่มีไอ้โอ๊ตกับไอ้ยีสต์ยืนอยู่ข้างๆ

   Knight Night Nice : หลังจบการแสดงนี้ พี่นันท์พอจะมีเวลาว่างมั้ยครับ ?
   ไอ้น้องไนท์นั่นเอง แชทมาถาม ผมกำลังลังเลและคิดถึงกำหนดการคืนนี้อยู่ แต่ในจังหวะนั่นเอง

   ตรึ๊ง!
   Power Bank : รู้สึกตื่นเต้นจังเลยครับ
   แบงค์ก็ทักแชทแทรกเข้ามาดึงความสนใจผมจากไอ้น้องไนท์ไปในทันที

   นันทการ : สู้ๆ สูดหายใจลึกๆ กูเชื่อว่ามึงทำได้อยู่ละ (^๐^)v
   ผมตอบกลับไป พร้อมกับพยายามนึกถึงสีหน้าของอีกฝ่ายไปพลาง ตอนนี้เจ้าตัวจะเป็นยังไงมั่งนะ

   นันทการ : ว่าแต่มึงแต่งตัวเสร็จแล้วเหรอวะ ?
   Power Bank : ครับ อีกเดี๋ยวก็จะถึงคิวละครับ ส่วนคนอื่นๆ กำลังจะขึ้นไปเซ็ตเครื่องดนตรีอยู่ครับ
   แบงค์ตอบกลับมา ผมเงยหน้าขึ้นไปมองยังเวทีที่ตอนนี้มีพิธีกรชายหญิงสองคนกำลังพูดคุยกับคนดูอยู่ แสงไฟที่ฉายเน้นจ้าไปที่พิธีกรทั้งสอง ในขณะที่ไฟส่วนอื่นบนเวทีถูกปิดมืดไว้ ทำให้ผมมองไม่เห็นบรรยากาศด้านหลังมากนักจะเห็นก็แต่เงาลางๆ ซึ่งน่าจะเป็นพวกคนในชมรมกำลังวุ่นวะวุ่นวายอยู่กับเครื่องดนตรี

   นันทการ : ไหนๆ หล่อมั้ย ถ่ายรูปให้กูดูหน่อยดิ
   Power Bank : ไม่เอาครับ อาย
   นันทการ : จะมาอายห่าอะหยังตอนนี้ เดี๋ยวก็ขึ้นเวทีละเนี่ย
   Power Bank : งั้นก็รอดูบนเวทีละกันนะครับ
   นันทการ : ง่า งกว่ะ ( -3-)
   ผมพิมพ์แซวกลับไปทันที พร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

   “ยิ้มอะไรอยู่เหรอครับ คุณเพื่อนนันท์”
   ไอ้โอ๊ตหันมาถามเมื่อเห็นผมอมยิ้มหัวเราะอยู่คนเดียว ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

   “ป๊าวว เปล่านี่ บ่มีหยัง”
   ผมเลิกคิ้วสูงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอึกอักเล็กน้อย ก่อนที่จะเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความทุลักทุเล

   “ว่าแต่มึงเหอะ บ่เล่นเกมเหรอ เห็นทุกที ไปไหนมาไหน ก็เล่นแต่เกม”
   “คนเยอะ สัญญาณเน็ตไม่ดีครับ ก็เลยจำเป็นต้องงดเล่นชั่วคราว”
   เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ เล็กน้อย

   “ว่าแต่มึงก็อยู่ชมรมดนตรีบ่ใช่เหรอ แล้วอะหยังบ่เข้าไปด้านในกับเขาวะ”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยถามผมด้วยความสงสัย ในขณะที่สายตาก็กำลังสอดส่ายมองดูสาวๆ รอบๆ

   “ก็จริงอยู่ แต่งานนี้เขาให้เฉพาะคนในวงเข้าได้เท่านั้น กูก็เลยเข้าไปบ่ได้น่ะ”
   “น่าสงสารคุณเพื่อนนันท์นะครับ อยู่ชมรมดนตรีแท้ๆ แต่กลับโดนเฉดหัวออกมาไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใดราวกับว่าเป็นส่วนเกินยังไงยังงั้น”
   ไอ้โอ๊ตพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   “พูดซะกูรู้สึกตะเตือนไตเลย สัส”
   ผมตอบพร้อมกับชำเลืองมองไอ้โอ๊ตด้วยหางตา


   “เอาล่ะค่ะ เราทั้งสองคนก็พล่ามกันมามากเกินไปแล้ว เพื่อนๆ คงจะเบื่อกันแล้วเนอะ”
   เสียงของพิธีกรหญิงเริ่มพูดตัดบท ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณว่าวงของชมรมผมกำลังจะขึ้นแสดงแล้ว

   “นั่นสิครับ ก่อนที่เพื่อนๆ จะได้พบกับศิลปินหลักของเราในค่ำคืนนี้ เรามีวงดนตรีวงนึงอยากจะนำเสนอให้ทุกคนได้รู้จัก ถือเป็นวงเล็กๆ น้องใหม่เลยก็ว่าได้ อยากให้เพื่อนลองฟังกันดู เพราะฉะนั้นเราทั้งสองคนคงต้องส่งต่อความสุขในค่ำคืนนี้ให้กับวง Undefined แล้วล่ะครับ ขอเสียงต้อนรับดังๆ ให้กับวง Undefined ด้วยคร้าบบบ”

   สิ้นเสียงพิธีกร ตามด้วยเสียงกรี๊ดที่ดังขึ้นจากกลุ่มคนดู ไฟบนเวทีก็ดับสนิทลงทันที พร้อมกับสมาชิกในวงที่กำลังยืนประจำตำแหน่งตามเครื่องดนตรีของตัวเอง   

   จะยกเว้นก็แค่มายด์กับแบงค์เท่านั้นที่ยังไม่ขึ้นมา

   บรรยากาศบนเวทีเงียบสนิทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่พี่สาธิตซึ่งเป็นมือกลองจะตีไฮแฮทเพื่อเป็นสัญญาณให้จังหวะเริ่มเพลง ไอ้เต้ยดีดกีตาร์โปร่งขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณนั้น

เธอ - COCKTAIL (https://www.youtube.com/watch?v=nY9sHiZ4bTU)


อยู่ไกลจนสุดสายตา ไม่อาจเห็นว่าเราใกล้กัน
และทุกครั้งหัวใจฉันยังคงไหวหวั่น กับความทรงจำ
นึกถึงครั้งแรกเราพบกัน เธอและฉันไม่เคยต้องไกล
ในวันนี้ฉันต้องเผชิญ ความไหวสั่นอยู่ภายในใจ
กลัวการที่เราไกลกัน กลัวว่าใจจะเปลี่ยนผันไป...

   เสียงของมายด์ที่ขับร้องออกมานั้นฟังดูมีเสน่ห์นุ่มนวลมาก จนสะกดคนฟังให้หลงใหลไปกับเสียงใสๆ นั้นได้เป็นอย่างดีและไฟบนเวทีก็ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับตัวเธอที่เดินขึ้นมาบนเวทีอย่างช้าๆ
   ชุดที่เธอสวมใส่ในค่ำคืนนี้นั้นเป็นชุดราตรีเกาะอกสีขาวกระโปรงสั้นระดับเข่าฟูฟ่องด้วยระบายลูกไม้กำลังดี ทำให้เธอดูน่ารักและแอบเซ็กซี่เล็กน้อย

ฝนพรำ..เปรียบเหมือนครั้งฉันพบเธอ แววตาของเธอ ยังคงติดตรึงในใจไม่ลืม
รักเรา..ยังไม่เก่าลงใช่ไหม หรือกาลเวลาหมุนไป เปลี่ยนใจเธอเป็นอีกดวง
เธอ..เธอยังคิดถึงฉันไหม
เมื่อสองเรานั้นยังต้องห่างไกล เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน
รู้..บ้างไหม คนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา...

   เครื่องดนตรีต่างๆ บรรเลงไปตามจังหวะของตนเอง โดยที่มีไอ้เต้ยและไอ้น้องไนท์ทำหน้าที่คอรัสควบคู่ไปด้วย
   “แกๆ ดูมือเบสคนนั้นสิ สูงจังเลยเนอะ”
   เด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ซึ่งดูแล้วอายุน่าจะไล่เลี่ยพอๆ กับผม หันไปพูดกับเพื่อนของตัวเอง พร้อมกับชี้นิ้วไปยังไอ้น้องไนท์ซึ่งเป็นมือเบสที่ว่านั่นเอง

   “เออ จริงด้วยว่ะแก เท่เนอะ สูงเท่าไหร่เนี่ย”
   ร้อยเจ็ดสิบเก้าเองครับ
   ผมตอบคำถามของสองสาวนั้นอยู่เงียบๆ ในใจ พลางย้อนคิดกลับไปยังเหตุการณ์ในห้องซ้อมวันนั้น ก่อนที่จะหรี่ตามองไปยังไอ้น้องไนท์พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ที่มุมปากเล็กน้อย

   ชุดที่ไอ้น้องไนท์และพวกผู้ชายในวงใส่นั้นเป็นสูทสีดำโดยที่เสื้อด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตขาว แลดูคล้ายๆ ทักซิโด้ แต่ไม่ผูกโบว์ที่คอ ให้ความรู้สึกเป็นสุภาพบุรุษสุดๆ ซึ่งก็คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้ไอ้เต้ยเป็นคนเลือกเสื้อผ้า

   “นั่นสิเนอะ ยังไง ผู้ชายตัวสูงๆ ก็ย่อมดูดีกว่าจริงๆ เนอะ”
   อึก!

   ผมรู้สึกสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น จริงอยู่ถึงแม้ว่าเธอทั้งสองอาจจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่มันก็รู้สึกกระเทือนมาถึงผมมิใช่น้อย

   หากเรามีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว มันก็ย่อมดีกว่าน่ะล่ะ
   คำพูดของมายด์ที่เคยพูดเอาไว้แล่นเข้ามาในหัวผมทันที ก่อนที่ผมจะก้มมองสภาพตัวเองในตอนนี้

   “......”
   กูขนาดพกพาสะดวก กูขอโทษด้วย

   และอยู่ๆ เสียงกรี๊ดจากเหล่าสาวๆ ก็ดังขึ้นทันที ผมรีบหันไปมองบนเวที และก็ต้องอึ้งไปพอสมควรเมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า

หยาดน้ำค้างในยามเช้า กับลมหนาวจับใจ
สายลมโชยอ่อน พัดพาความรักฉันไปส่งถึงใจเธอที
เธอ..เธอยังคิดถึงฉันไหม
เมื่อสองเรานั้นยังต้องห่างไกล เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน
รู้..บ้างไหม คนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา
กาลเวลาอาจทำให้ใจคนเรา เปลี่ยนผันในวันต้องไกล
แต่ฉันยังคงมีแต่เธอ อยู่ในหัวใจเสมอ...

   ผมยืนนิ่งเงียบทันทีเมื่อเห็นแบงค์ที่ต่างไปจากปกติ ชุดที่แบงค์ใส่ก็เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในวง แต่ที่ทำให้เจ้าตัวดูต่างออกไปจากทุกครั้ง ก็คงเป็นการเซ็ตผมที่หวีให้ดูเรียบไปยังด้านหลังเฉกสุภาพบุรุษที่ผมเคยเห็นในหนังต่างประเทศและยังเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นตาหนาที่ใส่อยู่ประจำ ยอมรับเลยว่าอีกฝ่ายในตอนนี้นั้นดูหล่อขึ้นผิดหูผิดตาต่างจากยามปกติที่ค่อนข้างจะดูเป็นเด็กเรียนจริงๆ

   “แก คนนี้หล่อกว่าอะ”
   “ก็โอเคนะ คนนี้ให้อารมณ์ดูอบอุ่น แต่แฝงไว้ด้วยความเหงายังไงก็ไม่รู้ ชั้นชอบแนวทะเล้นๆ แบบมือเบสมากกว่าอะ”
   เสียงของสองสาวที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ผมเอ่ยคุยกัน ผมหันไปมองทั้งสองเล็กน้อยอย่างไม่ให้ดูจงใจก่อนจะหันกลับไปมองยังบนเวทีอีกรอบ

แบงค์เดินเข้าไปหามายด์พร้อมกับยื่นมือไปให้เธอ มายด์เองเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ยิ้มเล็กน้อยด้วยความเขินอาย พร้อมกับยื่นมือของตัวเองไปวางไว้บนมือของอีกฝ่าย ก่อนที่ทั้งคู่จะขยับตัวเข้าหาและมองตากันซึ่งก็เรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆ ได้ไม่น้อย


เธอ..เธอยังคิดถึงฉันไหม
เมื่อสองเรานั้นยังต้องห่างไกล เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน
รู้..บ้างไหม คนไกลยังคงหวั่นไหว
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหลออกมา
เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไร น้ำตามันยังไหล...

   ทันทีที่เพลงจบ เสียงปรบมือ และโห่ร้องชื่นชมก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

   “แก ชั้นอิจฉานักร้องนำหญิงคนนั้นจังเลยอะ”
   “นั่นดิ ดูเหมาะกันมากเลยอะ เป็นแฟนกันปะเนี่ย?”
   อึก!

   “......”
   จะว่าไปก็จริงอย่างที่พวกเธอว่าจริงๆ นั่นล่ะ มายด์ที่ดูสวยงามน่ารัก กับแบงค์ที่ดูเป็นสุภาพบุรุษมาดนิ่ง และยิ่งทั้งสองยืนใกล้กัน ร้องเพลงร่วมกันแบบนี้แล้วก็ให้อารมณ์เหมือนคู่รักที่ฝ่ายชายดูอบอุ่นและคอยปกป้องฝ่ายหญิงที่ดูน่ารัก บอบบาง น่าทะนุถนอมเหมือนเจ้าชายที่กำลังปกป้องเจ้าหญิงยังไงยังงั้น

   อึก!

   ความรู้สึกจุกอกนี่มันอะไรกัน ทำไมผมถึงได้รู้สึกว้าวุ่นด้วยล่ะ ?

   เพลงส่วนใหญ่ที่เลือกมาร้องในวันนี้ส่วนมากจะเน้นเพลงคู่ ซึ่งก็ได้แก่ ผ่านเลยไป ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง งานเต้นรำในคืนพระจันทร์เต็มดวง ที่ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจคนฟังได้มากเป็นพิเศษซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ทั้งคู่ดูเข้ากันและเหมาะสมกันมากขึ้น

   แต่ทำไม…

   ทั้งๆ ที่มันเป็นค่ำคืนที่บรรยากาศรอบข้างต่างก็มีแต่ความสุขทั้งนั้น แต่ทำไมผมกลับรู้สึกตรงกันข้ามกันล่ะ ?

   ทำไมเวลาที่ผมมองขึ้นไปบนเวที แล้วเห็นแบงค์กับมายด์ร้องเพลงได้เข้าคู่กันเป็นอย่างดี ผมถึงได้รู้สึกหงุดหงิด

   ทั้งๆ ที่ผ่านมาตอนอยู่ในห้องชมรม ตอนซ้อมผมก็เห็นอยู่ทุกวันแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงเพิ่งจะมารู้สึกว้าวุ่นเอาวันนี้ล่ะความรู้สึกกระวนกระวายที่เหมือนตอนเข้าค่ายอบรมนี้มันอะไรกัน

   เพราะคำพูดของเด็กผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมผมต้องไปให้ความสนใจในคำพูดเหล่านั้นด้วยล่ะ

   “ก่อนอื่น พวกเราวง Undefined ต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆ เลยจริงๆ ค่ะ สำหรับเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดให้กำลังใจกับวงน้องใหม่อย่างพวกเรา”
   เสียงของมายด์กล่าวขอบคุณคนดูหลังจากที่มาถึงโค้งสุดท้ายของการแสดงแล้ว

   “สำหรับเพลงสุดท้ายนี้ ก็คงขอปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนุ่มหล่อนักร้องนำของเราแล้วกัน หวังว่าคงจะถูกใจกันนะคะ”
   มายด์ส่งช่วงต่อให้แบงค์ เจ้าตัวหันไปมองมายด์ครู่หนึ่งด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย แต่ก็พยายามที่จะเก็บอาการเอาไว้ เธอเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจก่อนที่จะถอยตัวไปด้านหลัง เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับแบงค์

   แบงค์หันกลับมามองกลุ่มคนดู พร้อมกับอมยิ้มเล็กๆ ซึ่งก็เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้มากพอสมควร

   “เอ่อ สำหรับเพลงสุดท้ายนี้ ผมค่อนข้างตั้งใจเลือกเป็นพิเศษ เพราะคิดว่าน่าจะเข้ากับบรรยากาศของค่ำคืนคริสต์มาสนี้”
   แบงค์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะกวาดสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณคนดู ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าเจ้าตัวกำลังพยายามมองหาพวกผมอยู่ สังเกตได้จากรอยยิ้มดีใจเมื่อหันมาเจอผม ก่อนที่จะหันกลับไปยังกลุ่มคนดูอีกรอบ

   “สำหรับคนที่มีความรัก มีคนรักอยู่แล้ว ผมก็ขออวยพร ให้รักกันไปนานๆ เก็บรักษามันไว้ให้ดี ในขณะเดียวกัน สำหรับใครที่ยังคงโสดและโดดเดี่ยว ผมก็หวังว่าสักวันนึงคุณจะพบกับใครสักคนที่คุณพร้อมจะทำทุกอย่างให้คนๆ นั้น และหวังว่าคนๆ นั้นก็จะอยู่เคียงข้างคุณไม่ไปไหน...”

   ทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ อินโทรเพลงก็เริ่มต้นขึ้นทันที พร้อมกับแบงค์ที่หันมามองและยิ้มให้ผม
Michael Learns To Rock - Take Me To Your Heart (https://www.youtube.com/watch?v=TbLT12eg-lw)

Hiding from the rain and snow trying to forget but I won't let go
Looking at a crowded street listening to my own heart beat
So many people all around the world. Tell me where do I find someone like you girl
Take me to your heart take me to your soul. Give me your hand before I'm old
Show me what love is haven't got a clue. Show me that wonders can be true
They say nothing lasts forever We're only here today
Love is now or never bring me far away

Take me to your heart take me to your soul Give me your hand and hold me
Show me what love is be my guiding star It's easy take me to your heart

   บรรยากาศรอบข้างเหมือนตกอยู่ในความนิ่งเงียบ จะมีก็เพียงแต่เสียงดนตรีที่ยังคงเล่นบรรเลงอยู่
   หากเทียบกับเพลงที่ผ่านๆ มาแล้ว ก็คงบอกได้ว่าท่าทีของแบงค์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวดูจริงจัง สุขุม และทำได้ดีกว่าเพลงที่ผ่านๆ มา

Standing on a mountain high Looking at the moon through a clear blue sky
   I should go and see some friends But they don't really comprehend
   Don't need too much talking without saying anything
   All I need is someone who makes me wanna sing
   
   Take me to your heart take me to your soul Give me your hand before I'm old
   Show me what love is haven't got a clue Show me that wonders can be true
   
   Take me to your heart take me to your soul Give me your hand and hold me
   Show me what love is be my guiding star It's easy take me to your heart
   Take me to your heart take me to your soul Give me your hand and hold me
   Show me what love is be my guiding star It's easy take me to your heart

   ทันทีที่เพลงจบ ทุกคนต่างปรบมือกันอย่างพร้อมเพรียง ในขณะที่สาวๆ ต่างพากันกรี๊ดด้วยความชอบอกชอบใจ

   แบงค์และมายด์กล่าวอำลา ทุกคนในวงโค้งคำนับขอบคุณให้กับคนดูพร้อมกัน ก่อนที่ไฟบนเวทีจะค่อยๆ ดับลง พร้อมกับพิธีกรทั้งสองเดินกลับขึ้นมาดำเนินรายการต่อ

   พวกผมเดินฝ่าผู้คนที่แน่นขนัดออกไปก่อนที่จะเดินเข้าไปยังด้านในห้าง เพื่อรอคนในชมรมออกมา
   ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูข้อความที่ผมแชทกับแบงค์ พร้อมกับภาพเหตุการณ์บนเวทีเมื่อครู่ที่ค่อยๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวผม

   ทำไมผมถึงสลัดภาพพวกนั้นออกไปจากหัวไม่ได้สักทีนะ ภาพที่แบงค์และมายด์ร้องเพลงคู่กัน ช่างดูเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง

   อย่าบอกนะว่าเหตุผลที่แบงค์ยอมมาเป็นนักร้องนำให้ชมรม จะเป็นเพราะ...

   “เฮ้ย มึงเป็นอะหยังไปวะ ดูบ่สดชื่นเลยนะเฮ้ย”
   ไอ้ยีสต์หันมาถามผมที่ตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่

   “ป่ะ ป่าวๆ บ่ได้เป็นหยัง กูแค่...แค่หิวข้าวน่ะ”
   ผมตอบปัดกลับไปสั้นๆ ก่อนที่จะเก็บมือใส่กระเป๋ากางเกง ไอ้ยีสต์ส่ายหัวให้กับคำตอบนั้นของผม

   “"เฮ้ย เป็นไงมั่งวะ ที่พวกกูเล่นเมื่อกี๊”
   เสียงของไอ้เต้ยเอ่ยถามดังขึ้นมา พร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ ในชมรมรวมไปถึงแบงค์ที่กำลังยืนคุยอยู่กับ...มายด์

   “เจ๋งว่ะ สาวๆ แม่งกรี๊ดกันโคตรเยอะอะ กูย้ายมาอยู่ชมรมดนตรีมั่งดีมั้ยวะ”
   “ในหัวมีแต่เรื่องแบบนี้นะมึง”
   ไอ้เต้ยบ่นกลับไปทันทีที่ได้ยินไอ้ยีสต์ว่าเช่นนั้น

   “เอ้า ก็กูยังหนุ่มยังแน่นนี่หว่า ก็เป็นธรรมดา มึงน่ะล่ะที่แปลก”
   “แปลกไงวะ”
   ไอ้เต้ยถามกลับด้วยความสงสัย

   “ก็มึงอะ ออกจะเพียบพร้อม หน้าตาก็ดี ฐานะก็เรียกได้ว่าระดับไฮโซ สาวๆ ก็มีเข้ามาหามึงตลอด ซึ่งผิดกับกู แต่กูก็บ่เคยเห็นมึงจะเลือกคบกับใครสักคน เพราะอะหยังวะ”
   ไอ้ยีสต์ตอบกลับไป พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   “เรื่องของกูเหอะ อ้อ คืนนี้กูไปนอนบ้านมึงนะ”
   ไอเต้ยพูดพร้อมกับหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดู

   “อีกละ บ้านตัวเองมีบ่นอน ชอบมานอนบ้านกูตลอด อย่าบอกนะว่ามึง...”
   เพียะ!
   ไอ้ยีสต์ร้อง โอ๊ย ด้วยความเจ็บปวดทันทีหลังจากที่โดนไอ้เต้ยตบกะโหลกเข้าอย่างจัง

   “เพ้อเจ้อละมึง ไอ้ห่า รอนี่นะเฮ้ย เดี๋ยวกูไปเก็บของแป๊บ ไอ้ไนท์ มึงก็มาด้วย เร็วๆ”
   ไอ้เต้ยกำชับพร้อมกับหันไปสั่งไอ้น้องไนท์ที่ทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาหาผม แต่ก็ต้องหันหลังเดินตามไอ้เต้ยไปอย่างเสียไม่ได้ด้วยสีหน้าไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

   “แบงค์งั้นเดี๋ยวเรากลับก่อนนะ โชคดีล่ะ นันท์ด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะจ๊ะ บ๊ายบาย ไว้เจอกันนะ”
   มายด์เอ่ยคำอำลากับพวกผมพร้อมกับโบกมือและยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่จะเดินตามพี่สาธิตออกไป

   “เออ งั้นเดี๋ยวกูไปห้องน้ำแป๊บ ปวดเยี่ยวว่ะ”
   ไอ้ยีสต์หันมาบอกกับพวกผม ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับสะกิดไอ้โอ๊ตให้ไปเป็นเพื่อน

   “มึงรอนี่นะ เดี๋ยวไอ้เหี้ยเต้ยมาบ่เห็นจะเป็นเรื่อง งานเข้ากูอีก”
   ไอ้ยีสต์หันมากำชับผมก่อนที่จะเดินออกไป โดยทิ้งไว้ให้ผมยืนอยู่เพียงลำพัง ไม่สิ ต้องบอกว่าอยู่กับแบงค์กันสองคน ท่ามกลางผู้คนมากมายที่มาเที่ยวห้างในค่ำคืนคริสต์มาสนี้น่าจะถูกกว่า

   “......”
   “......”

   ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบราวกับโดนเสกคาถาใบ้ยังไงยังงั้น

   “เอ่อ ไปดูวิวชั้นดาดฟ้ากันมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย

   “บ่เอาว่ะ ไอ้ยีสต์บอกให้รอตรงนี้ เดี๋ยวมันด่าเอา”
   ผมขมวดคิ้วตอบปัดกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แบงค์ทำสีหน้างงๆ เมื่อได้ยินคำตอบนั้นจากผม

   “เอ่อ แต่อีกเดี๋ยวเขาก็จะจุดพลุแล้ว ไปดูข้างบนสวยกว่านะครับ”
   แบงค์ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะชวนผมขึ้นไปชั้นดาดฟ้าให้ได้ ผมเงยขึ้นมองหน้าของอีกฝ่าย

   “......”
   “นะ นะครับ”

   ให้ตายสิ รอยยิ้มแบบนี้อีกแล้ว

   แล้วทำไมผมถึงต้องยอมใจอ่อนให้กับรอยยิ้มนั้นทุกทีด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

จบคาบเรียนที่สิบสอง

มุมแคปชั่นไร้สาระ

นันทการ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
 (http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/255284116-member.jpg)
นันทการ : สาธุๆ ขอของขวัญวันคริสต์มาสด้วยนะครับ
ยีสต์ เทพเจ้าขนมปัง : ถุงเท้าเน่าๆ ซานต้าที่ไหนจะกล้าเอาของขวัญมาใส่ให้วะ
นันทการ : ก็ยังดีกว่ากางเกงในขึ้นราของมึงละกันเหอะ (รูปหล่อ พ่อรวย ได้กดถูกใจสิ่งนี้)
ยีสต์ เทพเจ้าขนมปัง : ......

***********************

มุมเมาท์มอยหอยสังข์
ตอนนี้เป็นตอนที่นำของเก่ากลับมาใช้งานน่ะครับ 555+
เพราะถือว่า มันยังโอเค แค่ปรับเปลี่ยนอะไรเล็กน้อย
ช่วงนี้วุ่นๆ นิดหน่อย ทั้งงานหลัก และงานรอง
แต่ยังลงได้เรื่อยๆ ครับ เพราะจริงๆ ก็เขียนเรื่องนี้จบไว้แล้ว
เพราะงั้นลงได้ยาวๆ ไม่มีดองครับ

ปล. ยังคงลงสีไม่เสร็จ แถมมีไฟดับตอนลงสีด้วยแล้วไม่ได้เซฟงานไว้ แง~~~~
เมาส์ปากกาก็เจ๊ง (คิดว่านะ)
เลยต้องใช้เมาส์ลูกหนูลงสีไปก่อน
เป็นการลงสีครั้งแรกในรอบ 10 ปีเลยก็ว่าได้ ถถถถถ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/25912970-member.jpg)
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 11 ปากแข็ง (23-10-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 27-10-2018 01:58:55
ยังตามอยู่นะครับ  o18
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13


ขอบคุณมากๆ ครับ  :-[
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 13 เพราะ ...? (2-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 02-11-2018 00:43:03
คาบเรียนที่สิบสาม

   “เชียงใหม่ตอนกลางคืนมันสวยขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย”
   ผมเผลอเอ่ยออกมาอย่างไม่ตั้งใจทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าของเมญ่า

   “อารมณ์ดีขึ้นมาแล้วเหรอครับ”
   ผมรีบหุบยิ้มทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถามเช่นนั้น

   “นี่กูทำหน้าเครียดอยู่อย่างนั้นเหรอ”
   เจ้าตัวพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ผมนิ่งอึ้งคิดทบทวนตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปยืนข้างๆ อีกฝ่ายที่กำลังจับราวกั้นมองวิวทิวทัศน์ด้านล่างอยู่

   “คืนคริสต์มาสที่แสนสนุกแบบนี้ มีเรื่องอะไรให้เครียดอย่างนั้นเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมพร้อมกับเอามือมาวางบนหัวผม ผมยิ้มหึที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อฝ่ามือใหญ่นั้นกำลังยีหัวผมเบาๆ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

   “นี่ล่ะครับ นันท์ที่ผมรู้จัก นันท์ที่ยิ้มกวนๆ แบบนี้นี่ล่ะ”
   “ว่าแต่ทำไมมึงบ่อาสาไปส่งมายด์ล่ะวะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าเพราะเหตุใดผมถึงได้ถามเช่นนั้นออกไป

   “หือ อะไรนะครับ”
   แบงค์ขมวดคิ้วทันทีด้วยความงุนงงเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น ผมหันตัวกลับเข้ามาพร้อมกับมองไปยังร้านเหล้ามากมายบนชั้นดาดฟ้าแห่งนี้ ร้านเหล้าที่พวกผมยังเข้าไม่ได้เนื่องจากอายุยังไม่ถึง

   “ก็...เห็นดูสนิทสนม พูดคุยกันสนุกสนานดีนี่หว่า....ก็เลย...”
   “เดี๋ยวนะครับ”
   แบงค์พูดแทรกตัดบทผมทันที

   “เรื่องดูเหมือนจะสนิทกันก็เรื่องนึง แต่ทำไมผมต้องอาสาไปส่งมายด์ด้วยล่ะครับ”
   แบงค์ตั้งคำถามกลับมา ผมอ้ำอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น นี่ผมกำลังทำบ้าอะไรของผมกันเนี่ย

   “ก็...ก็...”
   “ก็...?”
   เอาวะ ถามเป็นถาม จะได้ไม่คาใจ

   “ก็...มึงบ่ได้...บ่ได้แอบ...ชอบ... มายด์อยู่อย่างงั้นเหรอวะ”
   ผมตอบกลับไปด้วยคำถามอย่างตะกุกตะกัก อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป

   “"คือ...ทำไมนันท์ถึงคิดว่าผมแอบชอบมายด์ล่ะครับ”

   “เอ้า...ก็อย่างกูที่บอกไง ก็พวกมึงเห็นสนิทกันแบบนั้น กูก็เลยคิดว่าสาเหตุที่มึงเข้ามาช่วยชมรมดนตรี ก็เพราะมึงแอบชอบ....มายด์....ยังไงล่ะ”

   “......”
   “......”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับเอามือกุมขมับตัวเอง ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอเหมือนคนกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอยู่

   “มีอะหยังน่าขำตรงไหนวะ”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

   “นี่นันท์ไม่รู้จริงๆ เหรอครับ”
   “รู้อะหยัง”

   “ว่ามายด์น่ะ มีแฟนอยู่แล้วครับ”

   “......”
   “......”

   “เฮ้ย จริงดิ ใครวะ”
   ผมรู้สึกแปลกใจทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงพยายามกลั้นหัวเราะอยู่

   “ก็พี่สาธิตไงล่ะครับ นี่ไม่รู้เลยจริงๆ เหรอครับ เมื่อกี๊พี่สาธิตก็ไปส่งมายด์ที่บ้านแล้วด้วย”
   คนตัวสูงพยายามอธิบายเรื่องราวให้ผมฟัง ผมยอมรับว่าอึ้งพอสมควร เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนทั้งๆ ที่เป็นคนในชมรมแท้ๆด้วยความที่ทั้งพี่สาธิตและมายด์ต่างก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้เห็นในทำนองของคนเป็นแฟนกันเลยสักนิด

   เอ หรือเป็นที่ผมเองกันแน่ที่ไม่เคยสังเกตเองหว่า ?

   “อีกอย่างนะครับ เหตุผลที่ผมเข้ามาช่วยชมรมดนตรี ก็ไม่ใช่เพราะเพราะมายด์ด้วย”

   “......”

   “ผมไม่ได้แอบชอบมายด์น่ะครับ”

   “อ้าว งั้นแล้วมันเพราะอะหยังล่ะ เหตุผลที่มึงมาช่วยเนี่ย”
   ผมถามกลับไปอีกรอบด้วยความสงสัยจริงๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุด แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีใคร่รู้ใคร่เห็นของผม ก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะหันมามองผมพร้อมกับอมยิ้มด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย

   “"ที่ผมเข้ามาช่วยชมรมดนตรีก็เพราะ...”
   แบงค์ทิ้งช่วงจังหวะครู่หนึ่ง ผมรู้สึกลุ้นตามไปด้วยจนแทบจะกลั้นหายใจเลยทีเดียว

   “เพราะ...”
   “เพราะ...?”

   “เพราะ......”
   “เพราะ......?”

   “เพราะ.........”
   “เพราะ.........อะหยังล่ะวะ”
   ผมพูดพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามยึกยักไม่ยอมพูดสักที

   “เพราะ... ไม่บอกดีกว่า ปล่อยให้สงสัยต่อไปละกันครับ”
   “เอ้า ไหงงั้นล่ะวะ”
   ผมย่นจมูกด้วยความผิดหวังทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ในขณะที่แบงค์เองก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ

   “ว่าแต่วันนี้เป็นยังไงมั่ง ให้ผมกี่คะแนนดีครับ”
   แบงค์เอ่ยถามแทรกขึ้นมา ซึ่งต่อให้ผมโง่แค่ไหนก็ดูรู้ว่าเจ้าตัวกำลังพยายามจะเปลี่ยนประเด็นอยู่ แต่เอาเถอะ ถ้ายังไม่อยากบอก ผมก็คงทำอะไรไม่ได้สินะ ถามมากไป เดี๋ยวจะพาลทำให้เสียบรรยากาศค่ำคืนคริสต์มาสที่มีความสุขเปล่าๆ

   “เออ ก็ดี บ่น่าเชื่อว่าระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ มึงจะพัฒนาฝีมือมาได้มากถึงขนาดนี้”

   ผมตอบกลับไปด้วยความสัตย์จริง ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายในวันนี้นั้นดูหล่อกว่าทุกวันที่ผ่านๆ มาจริงๆ นั่นล่ะ สังเกตได้จากสายตาของบรรดาสาวๆ โดยรอบที่ต่างก็หันมามองเจ้าตัวอยู่ ทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ดูเหมือนแบงค์จะไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่ต่างก็จ้องมองมาที่ตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้เจ้าตัวเอาแต่มองขึ้นไปยังพระจันทร์ที่กำลังลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมหวนนึกถึงคำพูดของเด็กสาวข้างๆ ผมตอนที่อยู่หน้าเวทีเมื่อครู่ขึ้นมาทันที

   ให้อารมณ์ดูอบอุ่น แต่แฝงไว้ด้วยความเหงายังไงก็ไม่รู้
   ผมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ พลางนึกสังเกตอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง นั่นคือที่ผ่านมาบ่อยครั้งที่แบงค์มักจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าอยู่เสมอ อย่างตอนที่เจ้าตัวอยู่บนเวทีเมื่อกี้นั่นก็เช่นกัน

   
กลางงานเต้นรำในคืนจันทร์เต็มดวง ผู้คนรายล้อมเรา
ตราบนั้นราตรีกาลยังคงงันเงียบเหงา ไม่เป็นดั่งเช่นเคย
ฉันยืนอยู่ตรงนี้ แม้มีผู้คนรายล้อมนับพัน
ช่างมันเพราะฉันไม่คิดมองใครอื่นเลย

   น้ำเสียงของแบงค์ที่กำลังร้องท่อนนั้นคู่กับมายด์ในเพลงงานเต้นรำในคืนพระจันทร์เต็มดวงและสายตาที่ดูเหมือนจะเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งก้อนเมฆมาบดบังแสงของดวงจันทร์ราวกับว่าตนเองในตอนนั้นกำลังยืนอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่านั่นคือการแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ของเนื้อหาเพลงหรือแท้จริงแล้วนั่นคือความรู้สึกลึกๆ ในใจของเจ้าตัวกันแน่

   “แล้วเพลงสุดท้ายล่ะครับ เป็นยังไงมั่ง”
   แบงค์เอ่ยถามในขณะที่สายตายังคงจ้องมองไปยังดวงจันทร์ที่กำลังลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ผมเอี้ยวตัวแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าเช่นเดียวกับอีกฝ่าย

   “มึงทำได้ดีมากๆ สมกับที่พยายามซ้อมมาตลอด...”
   “นั่นล่ะครับ เพลงพิเศษ ฟังมันไว้ให้ดี....”
   แบงค์เอ่ยแทรกขึ้นมา

   “......”

   ผมนิ่งเงียบไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับพยายามใช้สมองอันน้อยนิดของตัวเองประมวลผล

   เพลงนั้นมัน...

   ฟุ่บ! ฟิ่ว!
   ปัง!!!
   เสียงของพลุดังขึ้นมา ดึงความสนใจทั้งของผมและแบงค์ รวมไปถึงผู้คนมากมายที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าแห่งนี้ให้หันไปยังต้นเสียงนั้นทันทีอย่างพร้อมเพรียง

   พลุมากมายถูกจุดขึ้น ทำให้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนนี้ถูกประดับประดาไปด้วยความสวยงามจากพลุหลากหลายสีทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบไปกับพลุเหล่านั้น

   TRRRRRR
   เสียงมือถือของผมที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่นและดังแทรกขึ้นมา ผมก้มลงไปมองและจะล้วงหยิบมันขึ้นมา
   ทว่า...

   “ดูพลุกันเถอะครับ”
   พูดจบ แบงค์ก็ยื่นมือมาจับข้อมือผมรั้งไว้ราวกับพยายามที่จะห้ามไม่ให้ผมรับสายที่กำลังโทรเข้ามา

   “แต่...”
   “นะครับ ขอแค่คืนนี้คืนเดียว”

   คำพูดและสายตาที่ดูพยายามจะอ้อนวอนนั้น ทำเอาผมถึงกับไปต่อไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้แฮะ ผมจึงได้แต่ปล่อยให้มือถือสั่นดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงโดยไม่ขัดขืนจนในที่สุดมันก็เงียบลง แบงค์จึงยอมปล่อยข้อมือผมก่อนจะหันกลับไปมองพลุที่ยังคงถูกจุดอย่างต่อเนื่อง

   “บางทีปล่อยให้มันเป็นไปในรูปแบบนี้อีกสักพักมันก็ดีเหมือนกันนะครับ...จนกว่าผมจะมีความกล้ามากกว่านี้ขึ้นมาอีกนิด”
   “หือ มึงว่าอะหยังนะ”
   ผมถามกลับด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดงึมงัมๆ ในลำคอจนผมไม่สามารถจับใจความได้

   “อ๋อ ไม่มีอะไร วิวสวยดีน่ะว่ามั้ยครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหันไปมองออกไปดูบรรยากาศตัวเมืองเชียงใหม่ในค่ำคืนนี้ ซึ่งก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่านั่นล่ะ

   “นั่นสิ”
   อนึ่ง ผมขอสารภาพตรงนี้เลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นบรรยากาศของตัวเมืองเชียงใหม่ในยามค่ำคืนจากที่สูงแบบนี้ จนบางทีก็สงสัยนะว่าเป็นคนเหนือได้ยังไง ขนาดแม่คะนิ้งยังไม่เคยเห็น

   “นันท์ครับ”
   “หือ?”
   “เมอร์รี่ คริสต์มาสนะครับ”
   แบงค์เอ่ยคำอวยพรนั้นออกมาโดยที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับพลุเหล่านั้น ผมยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “เออ เมอร์รี่ คริสต์มาสเช่นกัน”
   ผมอวยพรกลับไปก่อนที่จะหันกลับไปมองพลุต่อ

   ในค่ำคืนคริสต์มาสที่อากาศหนาวเย็นกำลังดีแบบนี้ ไม่ว่าที่ไหนก็ดูจะมีแต่ความสุขทั้งนั้น รวมถึงผมด้วยที่ตอนนี้รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่าแบงค์นั้นไม่ได้แอบชอบมายด์

   เดี๋ยวนะ แล้วทำไมกูถึงต้องรู้สึกมีความสุขกับเรื่องนั้นด้วยล่ะ ?

   “มึง”
   “ครับ?”

   “ปีใหม่วางแผนไปไหนรึยังวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไป คนถูกถามนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

   “ก็ยังไม่มีแพลนว่าจะไปไหนเป็นพิเศษนะ ทำไมเหรอครับ”
   “นับถอยหลังปีใหม่ด้วยกันกับกูมั้ย”

   ผมเอ่ยชวนแบงค์ออกไปซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดผมจึงเอ่ยชวนออกไปเช่นนั้น แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็อมยิ้มทันทีก่อนที่จะเอามือมายีหัวผมเบาๆ

   “ได้ครับ จะรอนะครับ”
   “สัญญานะเว้ย”
   “ครับ สัญญาแน่นอน”
   แบงค์ตอบตกลงกลับมา ผมยิ้มอย่างมีความสุขกับคำตอบที่ได้ยิน

   ความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจ ณ ตอนนี้มันคืออะไรกัน ผมเองก็ยังสงสัย แต่ที่ผมรู้แน่ๆ ในตอนนี้ก็คือ ผมมีความสุขกับมันมากๆ มากเสียจนอยากจะเก็บมันไว้คนเดียวไม่แบ่งให้ใคร และไม่ต้องการให้ใครมายืน ณ ตรงที่นี้แทนผมด้วย
   

   นั่นล่ะ คือความคิดและความรู้สึกของผมในตอนนี้


จบคาบเรียนที่สิบสาม
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 14 เซอร์ไพรส์ (2-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 02-11-2018 01:12:56
   คาบเรียนที่สิบสี่
   
   หลังผ่านพ้นคริสต์มาสไป พวกผมก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติกัน เอ หรือจะเรียกว่าไม่ปกติดีหว่า เพราะอีกไม่นานก็จะสอบเก็บคะแนนอีกแล้วนี่หว่า แต่ช่างแม่งมันก่อนเถอะ เพราะก่อนหน้านั้นขอสำราญกับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก่อนแล้วกัน

   “เฮ้ย สรุปพรุ่งนี้เราจะไปฉลองปีใหม่ที่ร้านมิสติกนะเว้ย”
   ไอ้เต้ยเอ่ยกำชับเพื่อนๆ ในกลุ่มหลังจากที่คาบเรียนสุดท้ายของปีนี้หมดลง

   ใช่แล้วครับ พรุ่งนี้ก็วันที่สามสิบเอ็ดธันวาคมซึ่งก็เป็นวันสุดท้ายของปีนี้แล้ว จะว่าไปปีๆ หนึ่งนี่ก็ผ่านไปไวจนน่าใจหายเหมือนกันแฮะ เหมือนจะยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยยังไงก็ไม่รู้

   “ไอ้ร้านที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าห้างเมญ่านั่นเหรอวะ”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยถามเพื่อความมั่นใจพลางเก็บหนังสือใส่กระเป๋าไปด้วย ไอ้เต้ยพยักหน้าเป็นคำตอบกลับมา

   “แต่อายุพวกเรายังไม่ถึงเลยไม่ใช่เหรอครับ คุณเพื่อนเต้ย”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางขยับแว่นหนาบนใบหน้าให้เข้าที่

   “มึงกับคุยกับใครอยู่ ให้มันรู้มั่ง”
   ไอ้เต้ยยิ้มมุมปากตอบกลับมาด้วยสีหน้ามั่นใจ ซึ่งก็ทำให้พวกผมเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นทันที ก่อนที่ทุกคนจะพยักตอบรับกับคำพูดนั้นของไอ้เต้ยแล้วจึงแยกย้ายกัน

   “ไอ้นันท์”
   “หือ?”
   ผมเลิกคิ้วสูงหันไปยังไอ้เต้ยที่เอ่ยเรียกชื่อผม

   “พรุ่งนี้มึงจะไปกับไอ้แบงค์ก็ได้นะ กูอนุญาต”
   พูดจบ ไอ้เต้ยก็ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
   “ทำไมต้องจำเพาะเจาะจงไอ้แบงค์มันด้วยวะ”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยก่อนจะสะพายกระเป๋าไว้กลางหลัง

   “เอ้า ก็เผื่อมึงอยากฉลองปีใหม่ด้วยกัน ตามประสาข้าวใหม่ปลามันยังไงล่ะ”
   ผมยิ่งหรี่ตาขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

   “พูดเหี้ยอะหยังของมึงเนี่ย ไอ้เต้ย”
   “เอ้า นี่มึงกับแบงค์ยังบ่ได้...”
   “บ่ได้อะหยังวะ”
   ผมถามแทรกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบทิ้งจังหวะไป

   “ก็เห็นไอ้แบงค์มันอุตส่าห์ร้องเพลงนั้นแล้วแท้ๆ กูก็นึกว่ามึง...”
   “เพลง? เพลงไหนวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความงุนงง เหมือนกับว่าแทนที่จะรู้เรื่องกลับกลายเป็นว่างงหนักมากขึ้นกว่าเดิม

   “เออ ช่างแม่งเหอะ สมเป็นมึงจริงๆ เลยว่ะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกันนะเว้ย ทุ่มนึง ห้ามเบี้ยวล่ะ กูไปละ”
   พูดจบไอ้เต้ยก็เดินจากไปโดยทิ้งปริศนาสายฟ้าผ่าเอาไว้ ให้ผมคาใจเล่นๆ ผมเดินออกจากห้องไปด้วยความมึนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ก่อนจะล้วงกุญแจรถในกระเป๋าออกมาแล้วเดินลงจากอาคารเรียนไปยังลานจอดรถ

อนึ่ง วันนี้ผมไม่มีนัดติวหนังสือกับแบงค์น่ะครับ ขอพักบ้างอะไรบ้างน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “อ้าว นันท์ จะกลับแล้วเหรอ”
   เสียงของมายด์เอ่ยทักผมทันทีที่เห็นผมเดินลงมาถึงชั้นล่างสุด

   “อื้ม แล้วนั่นจะหอบหนังสือไปไหนมากมายน่ะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายหอบกองหนังสือสูงซึ่งดูแล้วท่าทางจะหนักไม่ใช่น้อย

   “ก็เอาไปไว้ที่ห้องพักครูน่ะ”
   “มา งั้นเดี๋ยวช่วย”
   ผมแบ่งกองหนังสือนั้นมาจากมายด์ครึ่งหนึ่งก่อนจะเดินประกบคู่ตามเธอยังไปห้องพักครู

   “พรุ่งนี้นันท์จะไปฉลองปีใหม่ที่ไหนเหรอ”
   มายด์หันมาเอ่ยถามผม

   “ก็ตกลงกับพวกไอ้เต้ยว่าจะไปนั่งร้านมิสติกบนเมญ่าน่ะ”
   “อายุถึงเหรอ”
   “ไปกับพ่อเลี้ยงเต้ยกลัวอะหยัง”
   มายด์หัวเราะทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น

   “แล้วแบงค์ล่ะ บ่ไปฉลองกับแบงค์เขาเหรอ”
   “ก็คงไปด้วยกันน่ะล่ะ แต่เดี๋ยวนะ ทำไมต้องถามถึงแบงค์ด้วยน่ะ”

   “บ่ชอบให้ถามเหรอ”
   มายด์ทำสีหน้าแปลกใจเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น

   “เปล่าๆ บ่ใช่ๆ ก็แบบมีแต่คนถามถึงมันตลอดเวลาเจอหน้าเราไง ก็เลยงงๆ”
   “อ้าว นี่นันท์กับแบงค์ตกลงยังบ่ได้เป็น...”

   “เป็น?”
   ผมเอ่ยถามย้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายทิ้งช่วงไป
   “อ้อ เปล่าๆ บ่มีอะหยังจ้ะ แค่สงสัยน่ะ ก็เห็นแบงค์เขาร้องเพลงนั้นก็เลยคิดว่าจะมีอะหยังคืบหน้าไปแล้วเสียอีก”

   “คืบหน้า? คืบหน้าอะหยัง”
   ผมขมวดคิ้วงุนงงหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคที่แฝงไว้ด้วยคำพูดที่ชวนสงสัยก่อนจะวางกองหนังสือในมือลงบนโต๊ะทันทีที่มาถึงห้องพักครู

   “รู้สึกสงสารแบงค์ยังไงก็บ่รู้แฮะ ช่างมันเหอะ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะที่ช่วยยกหนังสือเนี่ย”
   ผมพยักหน้ายิ้มตอบกลับไปในขณะที่ในใจก็นึกสงสัยในสิ่งที่มายด์พูดถึงอยู่นั้นคืออะไร แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายนักจึงไม่ได้ถามต่อ

   “ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะ ไปละ”
   มายด์กล่าวอวยพรก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับผมที่โบกมือลาให้กับเธอเช่นกันก่อนที่จะหันหลังมุ่งไปยังลานจอดรถ


   และแล้ววันสุดท้ายของปีนี้ก็มาถึง

   หนึ่งในเทศกาลที่ใครต่อใครต่างก็ชื่นชอบและสนุกสนานไปกับมัน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ชื่นชอบเทศกาลนี้มากๆ รองจากวันสงกรานต์เลยก็ว่าได้ ผมชอบช่วงบรรยากาศที่ใครต่อใครต่างก็รื่นเริงและรอคอยวินาทีที่เปลี่ยนจากปีเก่าเป็นปีใหม่ มันชวนให้รู้สึกว่าชีวิตเรายังมีอะไรให้ต้องพบเจออีกเยอะ

   “เอ้า ชนแก้วแล้วแดกหน่อยเว้ย”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นพิเศษ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร้านเหล้าจากปกติที่ไม่เคยเข้าอันเนื่องมาจากอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ แต่ด้วยบารมีอันสูงส่งของไอ้เต้ย จึงทำให้อะไรๆ ก็ง่ายไปหมด พวกผมยกแก้วขึ้นชนตามคำชวนนั้นอย่างไม่รีรอก่อนจะจิบเจ้าน้ำสีทองที่มีฟองสีขาวด้านบนทันที

   เหี้ย ขมใช้ได้เลยเว้ยไอ้สิ่งที่เรียกว่าเบียร์เนี่ย ถึงจะรู้ว่ามันไม่ดี แต่นานๆ ทีก็ไม่น่าจะเป็นอะไรคงไม่ร้ายแรงเท่าเหล้าขาวเชียงดาวเหมือนคราวก่อนหรอก

   มั้งนะ

   ผมวางแก้วลงพร้อมปาดฟองที่ติดอยู่เหนือริมฝีปากออกพลางมองไปยังบริเวณรอบๆ บนชั้นดาดฟ้าของห้างเมญ่าซึ่งก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายที่มาร่วมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เฉกเช่นเดียวกับพวกผม ดูทุกคนต่างจะสนุกสนานไปกับค่ำคืนนี้กันเสียจริง

   แต่หากจะมีใครพลาดที่จะร่วมสนุกไปกับค่ำคืนนี้สักคน คนๆ นั้นก็น่าจะเป็น “แบงค์” นี่ล่ะ

   Power Bank : ขอโทษด้วยนะครับที่ตอบช้า เพิ่งตื่น พอดีไข้ขึ้น คงออกไปด้วยไม่ได้แล้วล่ะครับ
   ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้อ่านข้อความนั้นที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อครู่หลังจากที่ผมส่งข้อความไปถามหาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นแต่เพิ่งจะได้รับคำตอบ

   นันทการ : แล้วมึงไปหาหมอรึยังวะ
   ผมส่งข้อความกลับไป
   Power Bank : ยังเลยครับ แต่กินยาแล้ว นี่ก็ว่าจะนอนต่อ เผื่อไข้จะลดลง ถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นยังไงค่อยไปหาหมออีกทีน่ะครับ

   แบงค์ส่งข้อความกลับมา ผมเม้มปากเล็กน้อย
   นันทการ : เออๆ งั้นพักผ่อนเยอะๆ นะ หายไวๆ ล่ะมึง

   Power Bank : เป็นห่วงผมเหรอครับ
   นันทการ : หรือจะให้กูแช่ง

   Power Bank : ไม่เอาครับ ยังไงก็ขอบคุณมากครับ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้นับถอยหลังด้วยกัน ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะครับ

   ผมนิ่งเงียบเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อความนั้นถูกส่งมา
   "เฮ้ย ไอ้ยีสต์ คนนี้มึงไปนอนเป็นเพื่อนกู ที่บ้านกูนะเว้ย"
   ไอ้เต้ยหันไปบอกไอ้ยีสต์ที่กำลังมองดูสาวๆ อยู่ ก่อนที่จะหยิบเบียร์ขึ้นมาจิบ

   "อ่าว แล้วพ่อแม่มึงล่ะ"
   ไอ้ยีสต์หันกลับมาถาม พร้อมกับยกเบียร์ขึ้นมาจิบเช่นเดียวกันกับไอ้เต้ย

   "ไปฉลองปีใหม่บ้านญาติที่ต่างจังหวัด"
   ไอ้เต้ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งก่อนที่จะยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งเบียร์เพิ่ม   

   "แล้วอะหยังมึงบ่ไปกับเขาล่ะ"
   "กูขี้เกียจ มีแต่ญาติพี่น้องวุ่นวะวุ่นวาย คุยข่มทับกันไปกันมา กูรำคาญ"
   "อินดี้มากเลยมึง ว่าแต่อะหยังกูต้องไปนอนที่บ้านมึงด้วยวะ"
   ไอ้ยีสต์ถามด้วยความสงสัยในขณะที่สายตานั้นยังคงจ้องมองสาวสวยที่เดินผ่านไปมา

   "ก็บ่อะหยัง ก็แค่กูสั่ง"
   ไอ้เต้ยตอบกลับสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

   "อันนี้เผด็จการละ ไอ้สัส"
   ไอ้ยีสต์แขวะกลับไปพร้อมกับยกเบียร์ขึ้นมาจิบอีกรอบ

   "หรือมึงจะบ่ไป"
   ไอ้เต้ยถามด้วยน้ำเสียงขู่แกมบังคับ ไอ้ยีสต์ยกมือปัดเป็นเชิงปฏิเสธโดยที่ยังไม่ละสายตาจากสาวๆ ไอ้เต้ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นท่าทีแข็งข้อของไอ้ยีสต์

   "ถ้ามึงบ่ไป กูจะแฉเรื่องคืนคริสต์มาสของมึงนะ"
   ทันทีที่ไอ้เต้ยพูดจบ ทั้งผม ไอ้โอ๊ต รวมไปถึงไอ้ยีสต์ต่างหันไปมองไอ้เต้ยโดยพร้อมเพรียงกันทันที

   "วันก่อน? อะหยังวะ"
   ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เฉกเช่นเดียวกับไอ้โอ๊ตที่ยอมละสายตาจากหน้าจอเกมในมือถือ ส่วนไอ้ยีสต์ผู้ที่ถูกพาดพิงก็ทำหน้าเหวอตาโตอ้าปากค้างทันที ในขณะที่ไอ้เต้ยผู้เปิดประเด็นขึ้นมายังคงทำสีหน้าราบเรียบนิ่งเฉย พร้อมยกเบียร์ขึ้นมาจิบเล็กน้อยก่อนที่จะวางลงบนโต๊ะอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

   "คือ เมื่อคืนวันคริสต์มาสเว้ย ไอ้เหี้ยยีสต์มัน...."
   เพี้ยะ!!!

   “......”
   “......”
   “......”
   “......”

   เสียงตบหัวดังขึ้นทันทีโดยที่ไอ้เต้ยยังไม่ทันได้พูดให้จบประโยค ไอ้เต้ยนิ่งเงียบไปครู่พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวตัวเองตรงจุดที่ถูกไอ้ยีสต์ตบเข้าอย่างจังก่อนที่จะหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังทำสีหน้าซีดเผือดด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว

   "ไอ้เหี้ยยีสต์ นี่มึงกล้าตบหัวกูเหรอวะ!?"
   ไอ้เต้ยถามด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แฝงไว้ด้วยความดุดัน

   "เอ่อ...เฮ้ย เฮ้ย กะ...กูขอโทษ สุมาเต๊อะ กะ...ก็มึงอะ มึงจะแฉกูนี่หว่า..."
   ไอ้ยีสต์เอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าเจื่อนๆ พร้อมกับน้ำเสียงสั่นตะกุกตะกัก ไอ้เต้ยรีบคว้าคอไอ้ยีสต์มาล็อกเอาไว้ทันที

   "ไอ้เหี้ย มึงโดนนน!"
   ดูจะสนุกสนานกันจังนะพวกมึงทั้งสองคนเนี่ย แต่ก็ว่าไม่ได้ เห็นแดกไปแล้วหลายแก้วอยู่ ในขณะที่ตัวผมเองยังไม่หมดแก้วแรกเลย ส่วนหนึ่งคงเพราะยังฝังใจจากคืนสันป่าเกี๊ยะนั้นด้วยล่ะมั้ง

   “เป็นอะไรไปครับ คุณเพื่อนนันท์ดูเงียบๆ ไปนะครับ”
   ไอ้โอ๊ตหันมาถามผมด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางนิ่งเงียบไม่เข้ากับบรรยากาศแห่งความสุข

   “ก็ไอ้แบงค์น่ะดิมาบ่ได้แล้วว่ะ”
   ผมตอบกลับไปพลางขมวดคิ้วเม้มปากเล็กน้อย

   “อ้าว เพราะอะไรล่ะครับ”
   “เห็นว่าบ่สบาย ไข้ขึ้นว่ะ”

   “ไข่ขึ้น?”
   ไอ้ยีสต์ยิงมุกเสื่อมแทรกขึ้นมา ผมกับไอ้โอ๊ตหันไปหรี่ตามองด้วยความสมเพชพร้อมกับชูนิ้วกลางใส่มัน

   “คุณเพื่อนแบงค์มาไม่ได้ แล้วยังไงเหรอครับ ทำไมคุณเพื่อนนันท์ต้องดูผิดหวังด้วยล่ะครับ”
   “เอ่อ...ก็มัน...”
   ผมอึกอักเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปยังไงดี

   “อยากไปหาคุณเพื่อนแบงค์อย่างนั้นเหรอครับ”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามออกมาก่อนที่จะก้มหน้าลงไปเล่นเกมในมือถือต่อ ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “ก็...”
   “มึงเป็นห่วงไอ้แบงค์อย่างนั้นเหรอวะ”
   ไอ้เต้ยหันมาเอ่ยถามหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งจะซัดเบียร์ไปจนหมดแก้ว

   “บ่รู้ว่ะ แค่...”
   “ถ้ามึงอยากไปก็ไปดิวะ จะมานั่งทำหน้าหงอยเป็นกอลลั่มโดนเชือดทำเหี้ยอะหยังอยู่วะ”
   ไอ้ยีสต์ที่ตอนนี้ยังโดนไอ้เต้ยล็อกคออยู่หันมาบอกผม ผมเงยหน้าขึ้นมองพวกเพื่อนๆ ยอมรับครับว่าใจหนึ่งก็อยากไปหาแบงค์อยู่เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็...

   “กูเกรงใจพวกมึงว่ะ ถ้ากูไปพวกมึงจะบ่ว่าอะหยังกูเหรอวะ”
   “เกรงใจเหี้ยอะหยัง มึงอยากไปก็ไปดิวะ พวกกูจะว่าอะหยังมึง มึงกับพวกกูก็เจอหน้ากันทุกวันแท้ๆ คิดอะหยังนักวะ”
   ผมทำหน้าเหวอทันทีที่ไอ้เต้ยหันมาสบถใส่

   “กะอีแค่มึงบ่ได้อยู่ฉลองปีใหม่กับพวกกู พวกกูก็บ่ได้จะตัดขาดความเป็นเพื่อนกับมึงซะหน่อย ใช่มั้ยวะ”
   ไอ้เต้ยหันไปถามคนอื่นที่เหลือ ทั้งไอ้โอ๊ตและไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย

   “มึงทำตัวแปลกๆ นะเฮ้ย อยู่ๆ มานึกเกรงอก เกรงใจอะหยัง ไร้สาระว่ะ“
   ไอ้ยีสต์ด่าสมทบมาอีกคน กลายเป็นว่านี่ผมต้องรู้สึกผิดที่อยู่ๆ เสือกเกิดเกรงใจพวกมันเหรอเนี่ย

   “ถ้ามึงอยากจะไป ก็รีบๆ ไปเถอะ”
   “เออๆ งั้นกูไปแล้วนะเว้ย ไงก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าละกัน”
   ผมลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวลาทุกคน

   “เดี๋ยว ไอ้นันท์”
   “อะหยังของมึงอีกวะ ไอ้เต้ย”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย สรุปจะให้กูไปหรือไม่ให้ไปกันแน่วะ

   “สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าเหมือนกัน มีอะหยังก็รีบเคลียร์ให้มันจบๆ ซะ โอกาสดีๆ แบบนี้บ่ได้มีบ่อยๆ นะเว้ย”
   ไอ้เต้ยพูดอย่างมีเลศนัย ผมพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงรับรู้ถึงแม้จะงุนงงกับคำพูดที่ฟังดูแปลกๆ นั้นอยู่บ้างก่อนที่จะเดินไปยังลิฟท์แก้ว เพื่อลงไปยังชั้นบีหนึ่งซึ่งเป็นชั้นของลานจอดรถจักรยานยนต์ และทันทีที่มาถึงลานจอด ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

   หอแบงค์อยู่ไหนวะ ?

   จะว่าไป ไอ้เราก็ไม่เคยไปเลยสักครั้งนี่หว่า ทั้งๆ ที่ก็รู้จักกันมาก็หลายเดือนแล้วแท้ๆ ทันทีที่คิดเช่นนั้นผมก็หยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับกดเบอร์ไปยังอีกฝ่ายทันที

   “......”

   แต่เดี๋ยวนะ ถ้ากูโทรถาม มันก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ

   
   ทันทีที่คิดเช่นนั้นผมก็รีบกดวางสายแล้วทักแช็ตไปหาไอ้โอ๊ตด้วยความรวดเร็ว เพราะมันเป็นเพื่อนของแบงค์ก็น่าจะรู้จักหอของอีกฝ่ายแน่ๆ

ทว่า...

   Oat lnwศาสตร์ : ไม่ทราบครับ ไม่ถามคุณเพื่อนแบงค์เอาเองล่ะครับ แล้วอีกอย่างทักมาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้มันขัดจังหวะเล่นเกมของผมมากๆ เลยนะครับ คุณเพื่อนนันท์

   ไหงกลายเป็นกูเป็นฝ่ายผิดไปเสียงั้นละวะ แล้วแบบนี้กูจะรู้หอแบงค์ได้ยังไงล่ะเนี่ย

   เอ้อ ใช่ เจ๊บัวยังไงล่ะ เจ๊บัวน่าจะรู้แน่ๆ

   ทันทีที่คิดได้เช่นนั้นผมก็รีบเร่งฝีเท้าวิ่งออกจากห้างไปยังร้านมินิคาเฟ่ของเจ๊บัว โอ๊ยยย ทำไมการจะเซอร์ไพรส์มันยากเย็นอะไรแบบนี้วะเนี่ย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้ายังไงก็ไม่รู้แฮะ

   และทันทีที่ไปถึง

   “โอ้ พอดีเลย จะไปหาแบงค์เหรอจ๊ะ ดีเลยๆ ลูกค้าที่้ร้านเยอะมาก เจ๊คงไม่ได้ไปแล้วล่ะ งั้นยังไงเจ๊ฝากเยี่ยมไข้แบงค์แทนเจ๊ด้วยนะจ๊ะ ส่วนที่อยู่ เอ้านี่...นี่เลย อ้อ แล้วก็เอานี่ไปด้วย เป็นของเยี่ยมไข้ รบกวนด้วยนะ ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะจ๊ะ”

   เจ๊บัวพูดรวบรัดตัดบทด้วยความรวดเร็วทันทีที่ผมบอกเจตนารมณ์ของผมออกไปโดยที่ไม่เปิดจังหวะให้ผมได้เอ่ยแทรกเลยแม้แต่นิดเดียว ผมรับขนมเยี่ยมไข้และแผนที่หอของแบงค์ที่เจ๊บัวเพิ่งหันไปเขียนให้เมื่อครู่อย่างงงๆ ก่อนที่จะยกมือไหว้และกล่าวสวัสดีปีใหม่กลับไป เจ๊บัวหันมายิ้มรับไหว้อย่างมีความสุข ถึงแม้ลูกค้าจะค่อนข้างเยอะกว่าวันอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่เจ๊บัวกลับไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย

   ผมเดินกลับไปยังลานจอดรถแล้วจึงขี่รถออกจากห้างมุ่งไปยังหอของแบงค์ตามแผนที่ที่เจ๊บัวเขียนมาให้ด้วยใจที่รู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


   บรรยากาศสองข้างทางในตอนนี้มีผู้คนมากมายกำลังออกมาร่วมเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทำให้ตัวเมืองเชียงใหม่ในค่ำคืนนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ

   หลังจากที่ผมขี่รถฝ่าการจราจรที่ติดขัดเป็นพิเศษ ในที่สุดผมก็มาถึงหอของแบงค์เสียที ซึ่งก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก ใกล้ชนิดที่ว่าเดินไม่ถึงห้านาทีก็ถึงด้วยซ้ำมั้ง

   ก๊อก ก๊อก ก๊อก
   ผมเคาะประตูเบาๆ ก่อนที่จะยืนนิ่งเพื่อรอให้อีกฝ่ายออกมาเปิดประตู

   “ครับๆ รอแป๊บนึงนะครับ เจ๊”
   แบงค์ตอบกลับมา ผมกลั้นหัวเราะเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   แอ๊ดดด
   “เจ๊มาอย่างนี้ แล้วใครอยู่เฝ้าร้าน...ล่ะ...ครับ...”
   แบงค์เอ่ยถามหลังจากที่เปิดประตูออกมาช้าๆ ก่อนที่จะนิ่งเงียบทันทีที่เห็นว่าคู่สนทนาไม่ใช่คนที่ตนคิดเอาไว้


   “นันท์!”


จบคาบเรียนที่สิบสี่


หายไปหลายวัน อัปทีเดียวสองตอนเลยละกัน ฮ่าฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 14 เซอร์ไพรส์ (2-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-11-2018 17:12:30
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 14 เซอร์ไพรส์ (2-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-11-2018 22:49:01
คาบเรียนที่สิบห้า

   แบงค์เบิกตากว้างเอ่ยชื่อของผมออกมาด้วยความตกใจทันทีที่เรียกสติกลับมาได้

   “มาได้ยังไงน่ะครับ”
   “กูก็ถามเจ๊บัวยังไงล่ะ เอานี่ ของเยี่ยมไข้จากเจ๊บัว เจ๊แกมาบ่ได้เพราะลูกค้าเยอะ กูก็เลยมาแทน”
   ผมตอบกลับไป พร้อมกับชูถุงขนมในมือยื่นส่งไปให้แบงค์เจ้าตัวรับมันไปพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วทำท่าเหมือนฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้

   “เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ”
   แบงค์เอ่ยบอกผมสั้นๆ ก่อนที่จะปิดประตูโดยทิ้งให้ผมยืนงงข้างนอกคนเดียว ผมได้ยินเสียงกุกกักเล็กน้อยดังมาจากข้างใน แล้วตามด้วยเสียง โอ๊ย เบาๆ ก่อนที่จะเงียบไป ในขณะที่ผมกำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่นั่นเอง แบงค์ก็เปิดประตูออกมาพอดี

   “เข้ามาข้างในก่อนสิครับ”
   แบงค์พูดเชื้อเชิญผมด้วยน้ำเสียงหอบเล็กน้อยก่อนที่จะถอยหลังแล้วหันเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยท่าเดินกะเผลกๆ

   “เป็นอะหยังของมึงว่ะ เดินแปลกๆ”
   ผมถามพร้อมกับถอดรองเท้า แล้วเดินเข้าไปข้างในก่อนที่จะหันไปบิดประตู

   “นิดหน่อยครับ ไม่มีอะไรมาก ห้องรกไปหน่อยนะครับ”
   แบงค์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้น ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ช่างเถอะ ผมถือวิสาสะเดินไปหาจานเพื่อมาใส่ขนม พร้อมหันไปมองรอบห้องของอีกฝ่ายที่เจ้าตัวบอกว่ารก แต่ขอโทษทีเถอะครับ หากนี่เรียกว่ารก ห้องของผมคงต้องเรียกว่าถังขยะแล้วล่ะ

   ห้องของแบงค์ในมุมมองของผมนั้นเรียกได้ว่าสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบมากๆ ข้าวของถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ต่างจากห้องของผมอย่างเห็นได้ชัดและสิ่งที่ดึงดูดสายตาของผมได้เป็นอย่างดี ก็คงจะเป็นเหล่ารูปถ่ายทั้งหลายที่ถูกแปะติดเอาไว้ข้างฝาผนังทำให้ห้องดูเป็นศิลปะมากขึ้น และยังเป็นการยืนยันว่าแบงค์นั้นรักการถ่ายรูปมากจริงๆ

   และหนึ่งในบรรดารูปที่ถูกแปะอยู่นั้น ก็มีรูปหมู่ที่ถ่ายกันตอนไปสันป่าเกี๊ยะรวมอยู่ด้วย ซึ่งถือเป็นรูปเดียวที่ต่างออกไปจากรูปใบอื่นที่เป็นรูปธรรมชาติ สิ่งของทั่วไป

   “ไข้เป็นยังไงมั่งวะ”
   ผมเอ่ยถามพร้อมกับจัดขนมใส่จาน ก่อนที่จะเดินอ้อมโต๊ะไปนั่งลงบนโซฟา

   “ก็ยังพอมีไข้ต่ำๆ อยู่น่ะครับ แล้วก็มีปวดหัวบ้างนิดหน่อย”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นออกมารินใส่แก้วให้ผม

   “แล้วนี่นึกยังไง ถึงมาหาผมล่ะครับ พวกเพื่อนๆ เขาไม่ว่าเอาเหรอครับ”
   อีกฝ่ายถามผมก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาตัวข้างพร้อมกับกดรีโมทเปิดทีวีขึ้นมา ซึ่งเต็มไปด้วยข่าวคราวและรายการเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่

   “พวกนั้นมันบ่ได้คิดอะหยังมากหรอก ฉลองด้วยกันทุกปีอยู่แล้ว จะบ่ได้ฉลองด้วยกันสักปีคงบ่เป็นอะหยังหรอก อีกอย่างก็เจอกันอยู่ทุกวันด้วย”

   “อ้าว แล้วผมล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยแทรกถามขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

   “หือ ยังไงวะ”
   “ก็กับผม เราก็เจอหน้ากันเกือบทุกวันเหมือนกันนี่ครับ”
   แบงค์ถามผมด้วยความสงสัย ผมขมวดคิ้วงงนิดหน่อย ก่อนที่จะคิดทบทวนคำถามของอีกฝ่ายอีกรอบ แล้วจึงส่งเสียงร้อง อ๋อ ออกมาเบาๆ

   “นั่นมันคนละกรณี”
   “ยังไงล่ะครับ”
   แบงค์ยังคงพยายามที่จะถามต่อด้วยความสนใจใคร่รู้ทำเอาผมถึงกับรู้สึกอึกอักพอสมควร

   “เอ่อ...ก็...ก็...”
   “ก็...?”

   “ก็มึงกำลังป่วยบ่สบายอยู่ยังไงล่ะ”
   “มันเกี่ยวกันด้วยเหรอครับ”
   แบงค์ขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยพร้อมหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะส่งเสียงไอแค่กๆ เล็กน้อย

   “เอ้า ไอ้ห่า กูอุตส่าห์มาเยี่ยมไข้เพราะเป็นห่วง อีกอย่างมึงสัญญากับกูไว้จะนับถอยหลังรับปีใหม่ด้วยกันบ่ใช่เหรอวะ แล้วยังจะเสือกมากวนตีนกูอีก งั้นกูกลับแล้วนะเว้ย”
   ผมพูดด้วยน้่ำเสียงจริงพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นเชิงไม่พอใจเล็กน้อย แบงค์รีบคว้าข้อมือของผมเอาไว้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าผมมีทีท่าจะเดินออกไป

   “ขอโทษด้วยครับ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้รู้สึกไม่ดี”
   แบงค์เอ่ยขอโทษออกมาด้วยถ้อยคำชัดเจน อันที่จริงผมก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น ก็แค่...

   “สัญญานั้นผมไม่ได้ลืมหรอกครับ และผมก็ดีใจมากๆ ด้วยที่นันท์มาหาผมในคืนนี้”

   ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ
   แล้วกูจะใจเต้นทำแป๊ะอะไรวะเนี่ย

   “เดี๋ยวรอตรงนี้สักครู่นะครับ”
   พูดจบ แบงค์ก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในอีกห้องพร้อมกับปิดประตู ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอีกรอบ ก่อนที่สายตาของผมจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างซึ่งก็คือชั้นวางต้นกระบองเพชร

   ผมลุกขึ้นเดินไปดูยังชั้นวางนั้น ที่มีต้นกระบองเพชรมากมายหลากหลายสายพันธุ์เต็มไปหมด บางสายพันธุ์ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ

   เอ...ว่าแต่มันอยู่ตรงไหนวะ
   ผมพยายามสอดส่ายสายตามองหาบางอย่างในชั้นวาง
   อ๊ะนี่ไง มาอยู่อะไรตรงนี้เนี่ย

   ผมเงยหน้ายืนตัวตรงมองไปยังชั้นวางหนังสือที่ตั้งอยู่ข้างๆ ชั้นวางต้นกระบองเพชร เจ้า “คิริโตะ” กับ “อาสึนะ” ชื่อของกระบองเพชรคู่ที่ผมตั้งชื่อและเลือกให้กับแบงค์เมื่อตอนที่ไปเดินเที่ยวถนนคนเดินเมื่อคราวก่อนนู้น คือสิ่งที่ผมกำลังมองหาอยู่

   มันทั้งสองถูกนำออกมาตั้งแยกไว้ต่างหากจากกระบองเพชรต้นอื่นๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่านะ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าคิริโตะกับอาสึนะจะได้รับการดูแลที่ดีกว่าต้นอื่นๆ เป็นพิเศษ ผมอมยิ้มเล็กน้อยอย่างมีความสุขก่อนที่สายตาของผมจะไปสังเกตเห็นบางอย่างที่ตั้งอยู่ข้างหลังเจ้าคิริโตะกับอาสึนะ

   ดูเหมือนจะเป็นกรอบรูปแบบตั้งโต๊ะ แต่มันถูกคว่ำหน้าเอาไว้อยู่ ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู

   “......”

   “เรียบร้อยแล้วครับ ไปกันเถอะ”
   ในจังหวะที่ผมกำลังพยายามจะเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปนั้นเสียงของแบงค์เอ่ยดังขึ้นพร้อมกับเปิดประตูออกมา ผมจึงรีบหันตัวกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับแบงค์ที่ดูจะตกใจเช่นเดียวกันที่เห็นผมอยู่อยู่ตรงหน้าเจ้าคิริโตะกับอาสึนะ

   “ทำอะไรอยู่น่ะครับ”
   “เปล่าๆ กูก็แค่เห็นเจ้าคิริโตะกับอาสึนะแล้วคิดถึงมันเฉยๆ น่ะบ่ได้มีเจตนาจะสอดส่องอะหยังของมึงเลยสักนิด”
   เป็นการตอบที่ฆ่าตัวตายจริงๆ เลยกู

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ ว่าแต่เห็นอะไรรึเปล่าน่ะครับ”
   แบงค์เดินเข้ามาใกล้ๆ ด้วยสีหน้าวิตกเล็กน้อย

   “ก็เปล่านะ นั่นแน่ะ ซ่อนอะหยังไว้น่ะ หนังสือโป๊งั้นเหรอวะ”
   แบงค์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำแซวนั้น ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ ออกมา

   “ผมไม่มีของแบบนั้นหรอกครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมา ก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะทำงานแล้วจึงเอากรอบรูปนั้นใส่ลงในลิ้นชักอย่างรวดเร็ว

   “รูปอะหยังวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ หรือจะเรียกว่าเผือกก็คงได้

   “ไม่มีอะไรครับ”
   “นั่นแน่ะ ทำเขินนะมึง”
   ผมยังคงแซวต่อเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของอีกฝ่าย

   “เขินอะไรที่ไหนครับ ไม่มี๊ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันนับถอยหลังนะครับ”
   แบงค์ปฏิเสธที่จะตอบ ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความเสียดาย ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าชุดที่แบงค์ใส่อยู่ในตอนนี้นั้นเป็นคนละชุดกันกับเมื่อครู่

   “ไปไหนวะ”
   “ก็ไปสวัสดีปีใหม่กันยังไงล่ะครับ”

   “แต่มึงเป็นไข้อยู่บ่ใช่เหรอวะ”
   ผมแย้งกลับไปเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น

   “ไปแค่วัดเจดีย์หลวงใกล้ๆ แค่นี้เองครับ เดี๋ยวก็กลับแล้ว อีกอย่างผมกินยาแล้วก็ใส่เสื้อกันหนาวไว้แล้วด้วยครับ”
   เจ้าตัวพยายามที่จะโน้มน้าวผมให้ได้ ก่อนที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปที่ตั้งอยู่บนชั้นวางหนังสือขึ้นมาคล้องคอไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส
   ให้ตายสิ พอเห็นรอยยิ้มนั้นทีไร ทำไมต้องใจอ่อนทุกทีนะเรา


   ผมกับแบงค์ใช้เวลาไม่นานมากนักก็มาถึงวัดเจดีย์หลวง ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ในใจกลางเมืองเชียงใหม่ ยิ่งช่วงปีใหม่แบบนี้ ผู้คนทั้งในพื้นที่และนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะชาวไทยและต่างชาติก็ยิ่งมากเป็นพิเศษ

   “จะไปนั่งสวดมนต์ข้ามปีกันมั้ยครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถามผมก่อนจะหันกลับไปกลุ่มคนที่กำลังร่วมนั่งสวดมนต์ข้ามปีอยู่ ผมรีบส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหวนคิดถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก ความทรงจำที่ต้องนั่งสวดมนต์กว่าสามชั่วโมงกับแม่เมื่อตอนยังเป็นเด็กโดยที่ตัวเองไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก อาจจะเพราะด้วยยังเด็กด้วยล่ะมั้งตอนนั้น ยังอยากวิ่งเล่นสนุกสนานมากกว่า แต่ถึงตอนนี้จะโตแล้ว ก็คิดว่าคงไม่ดีกว่า

   “อ่า...งั้นเราไปไหว้พระทำบุญก็พอนะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาอย่างว่าง่ายเมื่อเห็นสีหน้าวิตกของผม เราทั้งคู่เดินเข้าไปสักการะพระพุทธรูปในโบสถ์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะออกมายังด้านนอกโบสถ์ เพื่อเดินดูบรรยากาศรอบๆ ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย

   “ลอยโคมกันมั้ย”
   ผมหันไปถามแบงค์ เมื่อเห็นผู้คนรอบข้างกำลังจุดโคมลอยกันอยู่ แบงค์ที่กำลังเพลินอยู่กับการถ่ายรูปก้มมองนาฬิกาข้อมือครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “เอาสิครับ อีกไม่ถึงยี่สิบนาที จะปีใหม่แล้วด้วย”
   แบงค์ตอบตกลงกลับมา เราทั้งสองจึงเดินไปยังจุดขายโคมลอยซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก

   ทันทีที่ซื้อมาเสร็จ เราทั้งสองก็จุดขี้ผึงซึ่งเป็นแกนกลางทำความร้อนทันทีอย่างไม่รอช้า เพื่อให้ทันก่อนเที่ยงคืน ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก โคมลอยก็เริ่มพองขึ้นพร้อมที่จะลอยแล้ว

   ผมกับแบงค์ช่วยกันประคองจับมันเอาไว้เพื่อรอเวลาเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในบริเวณนี้

   “เตรียมตัวนะครับอย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะ”
   ผมพยักหน้าตอบรับให้กับคำพูดนั้นของอีกฝ่าย

   “เหลือเวลาอีกไม่กี่วินาที ก็จะเข้าสู่ปีใหม่แล้ว ขอเชิญทุกท่านร่วมนับถอยหลังพร้อมกันด้วยครับ”
   เสียงโฆษกกล่าวประกาศผ่านลำโพง ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอนับถอยหลังพร้อมกัน พร้อมกับเสียงสวดมนต์ข้ามปีของเหล่าพุทธศาสนิกชนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ

   10
   9
   8
   7
   6
   5
   4
   3
   2
   1
   0...!!!

   หลังสิ้นสุดเสียงนับถอยหลัง พลุจากด้านข้างวัดก็ถูกจุดขึ้นทันที พร้อมกับเสียงสวัสดีปีใหม่ของผู้คนรอบข้างที่กล่าวให้แก่กันผมกับแบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ค่อยๆ ปล่อยมือจากโคมลอยอย่างช้าๆเผยให้เห็นใบหน้าของอีกฝั่ง

   “สวัสดีปีใหม่” / “สวัสดีปีใหม่ครับ”
   ทั้งผมและแบงค์ต่างก็กล่าวสวัสดีปีใหม่ก่อนที่จะหัวเราะเล็กน้อยให้แก่กัน


   หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงเวลาก้าวข้ามจากปีเก่ามาสู่ปีใหม่ เราทั้งสองก็แวะหาอะไรกินกันเล็กน้อยก่อนที่จะกลับ เพราะเกรงว่าหากอยู่นานเกินไปจะทำให้อาการไข้ของอีกฝ่ายกลับมา

   “เป้าหมายปีนี้ของนันท์คืออะไรเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมในขณะที่เราทั้งสองกำลังเดินกลับ ผมเม้มปากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งกับคำถามนั้นของอีกฝ่าย

   “นั่นสิ ตั้งเป้าหมายอะหยังดีวะ”
   แบงค์หัวเราะเบาๆ ในลำคอเมื่อได้ยินคำตอบนั้นจากผม

   “ก็คงจะพยายามทำคะแนนสอบให้ได้ดีๆ มากขึ้นกว่าเดิมล่ะมั้ง จะได้บ่โดนแม่ส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ แล้วมึงล่ะ”
   คราวนี้เป็นฝ่ายผมถามกลับไปบ้าง แบงค์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินผมถามกลับ

   “ก็คงตั้งใจกับทุกเรื่องๆ ที่ทำล่ะมั้งครับ”
   “จริงจังไปซะทุกเรื่องจริงๆ นะมึงเนี่ย”
   แบงค์หัวเราะร่วนเมื่อได้ยินผมแขวะเช่นนั้นก่อนที่จะหันมามองผม

   “แต่ก็อาจจะมีเรื่องนึงที่ผมคงต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้มีความกล้ามากขึ้นกว่านี้อีกสักนิดก็ยังดี”

   “เรื่องอะหยังวะ”
   ผมถามด้วยความสงสัยในคำพูดนั้น แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาจากเจ้าตัวนอกจากรอยยิ้ม
   รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและมีความสุข

   “เอาไว้วันนึงเดี๋ยวนันท์ก็รู้เองครับ...”
   “......”

   “คิดว่านะครับ”
   “อะหยังของมึงเนี่ย”
   แบงค์หัวเราะในลำคออีกรอบพลางยีผมเบาๆ ซึ่งก็สร้างความสงสัยให้กับผมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรมากนัก

   “ขอบคุณนะครับที่มาหาในวันนี้ กลับบ้านดีๆ นะครับ”
   แบงค์เอ่ยขอบคุณผมหลังจากที่เราทั้งคู่เดินมาถึงหน้าหอ

   “เออ ดูแลตัวเองดีๆ ละกัน รีบขึ้นไปนอนซะ เดี๋ยวไข้ก็แดกอีกรอบหรอก ถ้ามีอะหยังฉุกเฉินก็โทรมาหากูได้นะมึง”
   พูดจบ เจ้าตัวก็ยิ้มตอบรับให้กับผมจากนั้นจึงเดินขึ้นหอไปอย่างว่านอนสอนง่าย ในขณะที่ตัวผมเองก็ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังอีกฝ่ายที่ค่อยๆ เดินขึ้นหอไปอย่างช้าๆ พร้อมกับอมยิ้มอยู่คนเดียวแบบเงียบๆ จากนั้นจึงหันหลังกลับแล้วเดินไปยังรถจักรยานยนต์ของตัวเอง

   ถึงแม้จะเป็นปีใหม่ที่ดูเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวาเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นปีใหม่ที่ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


   สวัสดีปีใหม่ครับ ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

จบคาบเรียนที่สิบห้า


มุมแคปชั่นไร้สาระ

Oat Inwศาสตร์ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่

สวัสดีปีใหม่ครับ คุณเพื่อนๆ ทั้งหลาย
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/305499122-member.jpg)
นันทการ : นี่มึงเล่นตัวละครผู้หญิงเหรอเนี่ย ?
Oat Inwศาสตร์ :  ก็มันน่ารักดูแล้วกระชุ่มกระชวยต่อจิตใจดีนี่ครับ
นันทการ : เอ๊าะหราาา

มุมเมาท์มอยหอยสังข์

สวัสดีครับทุกท่าน
จริงๆ ตอนนี้นำเนื้อหาจากของเก่ามาใช้
แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะตอนจบดั้งเดิมของตอนนี้นั้นค่อนข้างเป็นจุกพลิกผันจุดนึง

แต่พอนำกลับมารีไรท์แล้ว รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลในตอนนั้นเสียเท่าไหร่
รอบนี้ก็เลยเปลี่ยนตอนจบของตอนนี้นิดหน่อย

ยังไงก็รบกวนติดตามต่อกันด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ

จิ๊บคุง

หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 16 สิบสามกุมภาพันธ์ (7-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 07-11-2018 21:36:07
   คาบเรียนที่สิบหก

   ถ้าหากวันสงกรานต์กับปีใหม่คือเทศกาลที่ผมชื่นชอบมากที่สุดแล้วล่ะก็ เทศกาลวันวาเลนไทน์ก็คงจะเป็นเทศกาลที่ผมเกลียดที่สุดเลยล่ะ

   ถามว่าเพราะอะไรน่ะเหรอ

   ก็เพราะช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน ก็มักจะเห็นแต่ความสดใส ความกระหนุงกระหนิง ความมุ้งมิ้งของเหล่าคู่รักทั้งหลายน่ะสิ เห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้พวกคู่รักที่ชอบทำตัวเห่อตามกระแส เห่อตามเทศกาลของฝรั่งมังค่าทั้งๆ ที่เราเกิดเป็นคนไทย อยู่บนแผ่นดินที่บรรพบุรุษเราอุตส่าห์ปกป้องเอาไว้ให้เราแท้ๆ แล้วเหตุใดใยเล่าถึงต้องไปดิ้นเร่าตามกระแสนอก นี่ถ้าวันใดวันหนึ่งผมได้เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมาล่ะก็ ผมคนนี้นี่ล่ะที่จะสั่งให้ยกเลิกเทศกาลวันวาเวนไทน์เป็นอันดับแรกเลย ถือให้เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติ ข้อหาทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทยเลยด้วย

   “......”

   หากอ่านมาถึงแล้ว และกำลังคิดว่าผมคนนี้กำลังอิจฉาเหล่าคนมีแฟนและกำลังพาลอย่างกับคนไม่มีเหตุผลแล้วล่ะก็ ผมก็ขอพูดอย่างหนักแน่นไว้ ณ ตรงนี้เลยครับว่า

   ถูกต้องแล้วครับ

   ผมกำลังพาล เคยได้ยินมั้ยครับ แฮชแท็ก #โสดแล้วพาล น่ะ นั่นล่ะคือผมในตอนนี้เลยถึงแม้ว่าผมจะเคยบอกไปว่าผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก ยังสนุกสนานกับการได้อยู่ร่วมวงกับเพื่อนๆ ก็ตามที แต่เอาเข้าจริงๆ พอถึงเทศกาลวันวาเลนไทน์วนมาทีไร ผมก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาพวกคนมีคู่ไม่ได้เหมือนกันแฮะ

   เฮ้อออ เมื่อไหร่ผมจะมีแฟนกับเขาบ้างเนี่ย โปรดส่งใครมารักฉันที อยู่อย่างนี้มันเหงาเกินไป
   เฮ้อ พอเถอะ ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้ายังไงก็ไม่รู้แฮะ เพราะฉะนั้นก็ขอตัดเข้าสู่ภาครายการปกติเลยดีกว่า


   “เฮ้ย แก วาเลนไทน์นี้แกคิดว่าฉันควรจะซื้ออะไรให้พี่ออยดีเนี่ย”
   “จะไปคิดอะไรให้มันวุ่นวายวะแก แกก็เอาตัวเองผูกโบว์ให้พี่เขาไปเลยก็ได้นี่”
   “อีนี่ ลามก ขืนทำแบบนั้นพ่อกับแม่ก็ได้ฆ่าฉันตายแน่ๆ น่ะสิ”

   ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ ว่าพอใกล้เทศกาลวันวาเลนไทน์ทีไร พวกคนมีคู่ก็มักจะพูดคุยแต่เรื่องแนวนี้ ยิ่งในเฟซบุ๊กยิ่งแล้วใหญ่ พวกกลอนเอย คำคมเห่ยๆ เอยจะถูกแชร์ ถูกโพสต์กันชนิดที่ว่าแทบจะฆ่าคนโสดกันให้ตายไปข้างหนึ่งกันเลยทีเดียว

   แต่ผมเองก็เตรียมรับมือไว้แล้วล่ะครับ คิดเอาไว้ว่าหากถึงวันวาเลนไทน์เมื่อไหร่ ใครโพสต์รูปคู่แล้วเด้งมาที่หน้าฟี้ดของผมล่ะก็ ผมจะกดรีพอร์ตเป็นสแปมให้หมดเลย คอยดู หึหึหึ

   #โสดแล้วพาล จริงๆ เลยกูเนี่ย

   “เป็นอะไรไปครับ ดูสีหน้าไม่ค่อยสดชื่นเลยนะครับ”
   แบงค์ที่กำลังนั่งทบทวนบทเรียนของตัวเองในช่วงหลังเลิกเรียนเหมือนทุกวันที่ผ่านมาเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นผมกำลังอยู่ในสภาพห่อเหี่ยวจนแทบจะกลายเป็นงูเลื้อยพาดอยู่บนโต๊ะอาหารของโรงเรียน

   “พรุ่งนี้วันวาเลนไทน์แล้ว...”
   “ครับ?”
   อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงตอบรับด้วยน้ำเสียงงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินผมตอบกลับไปอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก

   “กูเกลียดวันวาเลนไทน์...”
   “ทำไมล่ะครับ”

   “ก็กูยังโสด กูยังบ่ะมีแฟนยังไงล่ะ...”
   “ห๊ะ!?”
   แบงค์หัวเราะเบาๆ ในลำคอทันทีที่ได้ยินผมตอบออกไปเช่นนั้น ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรงพลางหันไปขมวดคิ้วมองเจ้าคนใส่แว่นหนาที่ยังคงไม่ยอมหยุดยิ้มหัวเราะ

   “มีอะหยังน่าขำตรงไหนวะ”
   “ก็...ปกติผมไม่เคยเห็นนันท์สนใจเรื่องพวกนี้เลยไม่ใช่เหรอครับ”

   “มันก็ใช่ แต่มึงเข้าใจปะวะ ว่านี่มันเทศกาลวันวาเลนไทน์นะเว้ย พอคิดว่าต้องมานั่งโสดโดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางพวกเหล่าคนมีคู่แล้วมันก็...”
   “นันท์ก็เลยอยากมีแฟนกับเขาบ้าง ว่างั้น ?”
   แบงค์ชิงถามตัดบทได้ตรงจุด ผมได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กลับไปเป็นคำตอบ

   “เรื่องของกูเหอะ แล้วมึงล่ะ บ่อยากมีแฟนแล้วเหรอวะ แต่จะว่าไปตั้งแต่มึงเลิกกับแฟนคนล่าสุด กูก็บ่เห็นมึงมีแฟนใหม่สักทีเลยนี่หว่า”
   ผมถามปนบ่นอุบอิบเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบสมุดการบ้านขึ้นมาทำแก้เซ็ง

   “ก็ยังอยากมี แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่แค่นั้นล่ะครับ”
   “เออ พ่อเทพบุตร”
   แบงค์หัวเราะเบาๆ ในลำคอเมื่อได้ยินผมแขวะเช่นนั้น

   เอาจริงๆ รูปร่างหน้าตาและมันสมองแบบแบงค์นี่ถ้าจะหาแฟนสักคน ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นักหรอก ยิ่งตั้งแต่เจ้าตัวมาเป็นนักร้องนำให้ชมรม เริ่มปรับลุค ปรับภาพลักษณ์ก็ยิ่งทำให้ดูหล่อมากขึ้นกว่าเดิมถึงแม้ว่าเดิมทีเจ้าตัวจะมีส่วนนั้นเป็นต้นทุนอยู่แล้วก็ตามที นี่ยังไม่นับตอนงานคืนคริสต์มาสนั่นอีกด้วยนะ ที่พวกเพจหนุ่มหล่อเชียงใหม่อะไรแนวนั้นเอาไปลง ก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูได้รับความนิยมขึ้นมาเยอะอยู่พอสมควรบางทีก็จะมีสาวๆ ทั้งแท้และเทียมแวะเวียนมาทักทายกรี๊ดกร๊าดอยู่บ้าง

   แต่ดูเจ้าตัวจะเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับกระแสนั้นเท่าไหร่นัก ยังคงทำตัวตามปกติติดดินเหมือนเดิม ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของอีกฝ่ายเลยก็ว่าได้ ทำให้ผมอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ

   “แล้วพรุ่งนี้มึงไปทำงานที่ร้านเจ๊บัวมั้ยวะ”
   ผมหันไปเอ่ยถามอีกฝ่าย เนื่องจากวันวาเลนไทน์ปีนี้นั้นตรงกับวันเสาร์ซึ่งปกติแล้วแบงค์เขาต้องไปทำงานที่ร้านเจ๊บัวทุกวันเสาร์และอาทิตย์น่ะครับ และการที่วาเลนไทน์ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ก็นับว่าเป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือผมจะได้ไม่ต้องทนเห็นพวกเหล่าคู่รักต่างๆ ในโรงเรียนให้หงุดหงิดหัวใจนั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ก็ไปทำนะครับ ทำไมเหรอ”
   แบงค์เลิกคิ้วสูงถาม

   “เปล่า ก็ว่าจะชวนมึงไปดูหนังตามประสาคนโสดกันสักหน่อยน่ะ”
   “นี่นันท์กำลังชวนผมเดตใช่มั้ยครับ”
   คู่สนทนาถามพร้อมอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำชวนนั้น

   เอ เดตงั้นเหรอ เดี๋ยวนะ มันแปลว่าอะไรนะ อ้อ ใช่แล้ว เดตคือไปเที่ยว จำได้ๆ แหมะ กูนี่ก็อัจฉริยะเหมือนกันนะเนี่ย

   “เออ ไปเดตนั่นล่ะ แต่ถ้ามึงติดงานก็บ่เป็นหยัง เดี๋ยวกูอยู่เล่นเกมที่บ้านก็ได้”
   ทันทีที่ผมพูดจบ แบงค์ก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับพิมพ์อะไรก็ไม่รู้ยุกยิกๆ อยู่พักหนึ่ง

   “อะ เรียบร้อยครับ พรุ่งนี้ผมไปเดตกับนันท์ได้แล้วครับ”
   “อ้าว แล้วงานมึงล่ะ”

   “ผมขออนุญาตเจ๊บัวแล้วครับ”
   “เฮ้ย ได้ไง เดี๋ยวเจ๊บัวก็ได้มาด่ากูพอดีน่ะสิ โทษฐานพามึงเสียงานเสียการเนี่ย...”
   ไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยค แบงค์ก็ยื่นมือถือของตัวเองมาให้ผม ผมรับมันมาแบบงงๆ ก่อนจะจ้องมองไปยังหน้าจอที่กำลังเปิดแชทไลน์ทิ้งเอาไว้

   Power Bank : เจ๊ พรุ่งนี้ผมขอลางานวันนึงนะ
   BourRai : ไปไหนยะ วาเลนไทน์ลูกค้าที่ร้านเยอะด้วย
   Power Bank : นันท์ชวนผมไปเดต   
   BourRai : โอเค อนุมัติ เดี๋ยวเจ๊เรียกคนอื่นมาช่วยเอง
   Power Bank : ขอบคุณครับเจ๊
   ผมเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของมือถือที่ตอนนี้กำลังยิ้มจนแก้มแทบปริก่อนจะก้มมองข้อความแชทเมื่อครู่อีกรอบ

   “......”
   ลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ก็พิลึกคนได้อีกวุ้ย


   “งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ ส่วนพรุ่งนี้กูจะโทรหามึงอีกที”
   “กี่โมงเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามพลางเก็บสัมภาระใส่กระเป๋า

   “ก็หลังจากกูตื่นน่ะ”
   “แล้วนันท์จะตื่นกี่โมงล่ะครับ”

   “แล้วแต่อารมณ์กู กูตื่นตอนไหน ก็ตอนนั้นนั่นล่ะ”
   “แบบนี้ก็ได้เหรอครับ”

   “เออ”
   ผมตอบปัดไปพลางเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะสะพายมันไว้กลางหลังพร้อมกับโบกมือลาให้อีกฝ่ายแล้วจึงเดินออกจากโรงอาหารเพื่อมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ แต่...

   “นี่มึงตามกูมาทำไมเนี่ย”
   ผมเอ่ยถามพร้อมหันไปหรี่ตามองแบงค์ที่เดินตามผมมายังลานจอดรถด้วย

   “ก็เดินมาส่งยังไงล่ะครับ”
   “จะมาส่งทำเหี้ยอะหยังน่ะ หอมึงอยู่ทางนู้น เดินมาส่งกูก็เสียเวลาเปล่าๆ”

   “ก็ผมอยากมาส่งนี่ครับ”
   ตอบได้หน้าซื่อตาใสมากๆ แต่พอเห็นแววตาที่จริงจังนั่นแล้วก็ไม่กล้าเถียงอะไรต่อเลยแฮะ

   “เออๆ ขอบใจมึงมาก กูไปละ”
   ผมเอ่ยคำร่ำลาพร้อมล้วงหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง และในจังหวะที่กำลังจะก้าวขาขึ้นควบรถนั้นเอง

   “เฮ้ย”
   ผมร้องเหวอด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้าสวมกอดโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวจนเกือบทรงตัวไม่อยู่

   “ทำเหี้ยอะหยังของมึงเนี่ย”
   ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัยปนไม่พอใจเล็กน้อย ในขณะที่ใบหน้าของผมในตอนนี้นั้นแทบจะแนบสนิทกับแผงอกของอีกฝ่ายก่อนที่จะยืนนิ่งอยู่ในท่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง

   ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ
   นี่เสียงใจของแบงค์หรือของผมเต้นรัวกันแน่นะ หรือจะทั้งสองฝ่ายเลย

   ในจังหวะที่ผมกำลังจะผลักตัวของอีกฝ่ายออกไป เจ้าตัวก็คลายกอดนั้นออกเสียก่อนพร้อมยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ และยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “ขี่รถกลับบ้านดีๆ แล้วก็พรุ่งนี้ถ้าตื่นปุ๊บให้โทรหาผมทันทีเลยนะครับ ไปละ”
   พูดจบ เจ้าตัวก็เดินจากไปโดยทิ้งผมไว้ให้ยืนงงกับการกระทำเมื่อครู่

   เป็นอะไรของแบงค์เขาวะเนี่ย พักหลังๆ มานี้ดูจะแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเจ้าตัวจะเป็นคนแปลกๆ อยู่แล้วก็ตามทีเถอะ

“......”
เอาเป็นว่ารีบกลับดีกว่า คิดมากไปเดี๋ยวก็ปวดหัวเปล่าๆ

   แต่จะว่าไปผมชอบกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวแบงค์เมื่อครู่อยู่เหมือนกันนะ ว่าจะถามหลายทีแล้วว่าเจ้าตัวใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรยี่ห้อไหนก็ลืมตลอด ไว้เจอหน้าครั้งต่อไปจะถามให้ได้เลย ถ้าไม่ลืมไปเสียก่อนนะ

   ผมค่อยๆ ขี่รถไปตามทางเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสภาพท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถมากมายด้วยล่ะมั้งที่ต่อให้อยากจะเร่งรีบแค่ไหนก็ทำไม่ได้ จำได้ว่าเมื่อก่อนรถมันก็ไม่ได้เยอะอะไรแบบนี้นี่หว่า อย่างว่าล่ะ เชียงใหม่ช่วงนี้เริ่มเจริญมากขึ้น ผู้คนก็มากขึ้นตาม รถก็เลยติดเป็นธรรมดา

   ในขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ต่างก็พากันจัดตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามให้เข้ากับบรรยากาศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ จะว่าไปผมก็อยากลงไปถ่ายรูปเพื่อเช็คอินลงเฟซบุ๊กเหมือนกันนะ แต่คิดอีกทีกูโสดนี่หว่า ถ่ายไปก็จะดูน่าสมเพชยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   ไม่นานนัก ผมก็ขี่มาถึงแยกรินคำและตอนนี้ก็กำลังรอสัญญาณไฟแดงอยู่ ผมหันไปมองห้างเมญ่าซึ่งจัดสถานที่ได้สวยงามไม่น้อยหน้าไปกว่าที่อื่นเช่นกัน อืม จะว่าไปผมก็ไม่ได้รีบกลับบ้านเท่าไหร่ แวะไปหาเจ๊บัวหน่อยดีกว่าแฮะ

   “มินิคาเฟ่สวัสดีค่า อ้าว หนูนันท์นี่เอง มาคนเดียวเหรอ แล้วแบงค์ล่ะ”
   เจ๊บัวเอ่ยถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ทันทีเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในร้านเพียงคนเดียว

   “กลับหอไปแล้วนู่น เพิ่งแยกกันเมื่อกี๊น่ะเจ๊”
   “อ้าว แล้วทำไมบ่พามาด้วยล่ะ”

   “โหเจ๊ หอแบงค์เขาอยู่แถวโรงเรียน จะให้พามาทำไมถึงนี่”
   เจ๊บัวหัวเราะร่วนทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น ในขณะที่ผมเองหลังจากที่สั่งเมนูประจำเสร็จก็หย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ข้างเคาน์เตอร์ก่อนจะเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้า

   “แล้วพรุ่งนี้จะไปเดตกันที่ไหนเหรอจ๊ะ”
   “ยังบ่รู้เลยเจ๊ อันที่จริงก็เกรงใจด้วยซ้ำนะ”

   “ช่างมันเถอะจ๊ะ เจ๊บ่ถือ นานๆ ทีก็ปล่อยให้แบงค์เขาได้ทำตามที่ใจเขาต้องการบ้างก็ดี จะว่าไปช่วงนี้ดูหนูนันท์เองก็มีความสุขจังเลยนะ”
   เจ๊บัวเอ่ยขึ้นพร้อมกับนำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นมาเสิร์ฟให้ผมที่โต๊ะ ผมเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยในคำพูดนั้นพลางหยิบสตรอว์เบอรร์รี่ปั่นขึ้นมาดูดดับกระหาย

   “มีความสุขอะหยังล่ะเจ๊ เดี๋ยวก็จะมีสอบเก็บคะแนนอีกแล้วเนี่ย โคตรเครียดเลย”
   พูดจบ ผมก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเบื่อ

   “เจ๊บ่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
   “อ้าว แล้วเรื่องอ่ะหยังล่ะครับ”
   ผมเอียงคอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   “ก็เรื่องเรากับแบงค์ยังไงล่ะ”
   “ผมกับแบงค์ ทำไมเหรอ”
   ผมถาม เจ๊บัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นยิ้มกลับมาให้ผมด้วยความเอ็นดู

   “บางทีหนูนันท์นี่ก็ซื่อเกินไปนะ ถึงแม้ปกติจะดูห่ามๆ โผงผางก็เถอะ จนบางทีเจ๊ก็ชักจะสงสารแบงค์ขึ้นมายังไงก็บ่รู้เหมือนกันแฮะ”
   “อะหยังล่ะเจ๊ แต่จะว่าไปช่วงนี้ทำไมรอบตัวผมมีแต่คนพูดจาแปลกๆ ยังไงก็บ่รู้ ไอ้แบงค์ก็ด้วย”

   “แบงค์เขาทำไมเหรอ”
   เจ๊บัวเอ่ยถามด้วยสีหน้าแววตาสนใจต่อสิ่งที่ผมกำลังพูด

   “บ่รู้ ผมเองก็อธิบายบ่ถูกเหมือนกัน”
   “อ้าว ไหงงั้น”
   “ก็ยังไงดีล่ะ ปกติ ตานั่นเขาก็ชอบทำตัวเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้วก็เถอะ แต่หลังๆ มานี้ดูเหมือนมันจะมากเกินไปยังไงก็บ่รู้แฮะ”
   ผมพยายามอธิบายไปตามความรู้สึกของตัวเอง

   “ก็แล้วบ่ดีหรือยังไงล่ะ”
   เจ๊บัวถามกลับมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำเอาผมถึงกับต้องกลับมาคิดทบทวนอีกที

   “มันก็...”
   ผมก้มหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในขณะที่มือก็ใช้หลอดคนสตรอว์เบอร์รี่ปั่นในแก้วไปพลาง

   “ปัญหามันบ่ได้อยู่ที่การกระทำของแบงค์เขาหรอก ถึงแม้จริงๆ มันก็มีส่วนอยู่ก็ตามที แต่ปัญหาจริงๆ น่ะ มันอยู่ที่ว่าหนูนันท์คิดอย่างไรกับการกระทำนั้นของแบงค์เขามากกว่าต่างหากล่ะ”
   เจ๊บัวตอบกลับก่อนที่จะลุกขึ้นไปรับออเดอร์ของลูกค้ารายใหม่ที่เดินเข้ามา โดยทิ้งผมไว้กับคำถามที่นั้น

   “......”
   คิดยังไงน่ะเหรอ ?

   หากจะบอกไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะโกหกแน่ๆ ก็ยอมรับนะว่าก็รู้สึกดีอยู่เหมือนกัน ก็แหงล่ะ มีคนมาทำดีด้วยมันก็ต้องย่อมดีกว่าอยู่แล้วล่ะ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอที่เราจะรู้สึกดีและมีความสุขเวลามีคนมาทำดีกับเราเนี่ย

   “......”
   เอ่อ ถึงแม้จะรู้สึกหงุดหงิดไปบ้างเพราะบางทีมันก็ดูล้นๆ มากเกินไปยังไงก็ไม่รู้ แต่มันจะรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเวลาที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้นกับคนอื่น

   อาการแบบนี้มัน...

   ก็นั่นล่ะครับ ที่เขาเรียกว่าอาการหึง

   หึงห่าอะไรล่ะ

   บางทีนันท์ก็เป็นคนปากแข็งกว่าที่คิดนะครับเนี่ย

   แล้วทำไมอยู่ๆ คำพูดของไอ้แบงค์เมื่อตอนเข้าค่ายอบรมต้องผุดขึ้นมาด้วยวะเนี่ย
   แล้วกูจะอมยิ้มทำแป๊ะอะไรวะ

   พอๆ หยุดๆ ชักจะเลอะเทอะเข้าไปใหญ่ละ กลับบ้านดีกว่า ขืนอยู่ต่อได้ประสาทกินแน่ๆ


จบคาบเรียนที่สิบหก
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 17 สิบสี่กุมภาพันธ์ (17-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 17-11-2018 21:03:51
คาบเรียนที่สิบเจ็ด

และแล้ววันเสาร์ วันวาเลนไทน์ที่แสนจะน่าหมั่นไส้ก็มาถึง

   TRRRRRRRR
   เสียงเรียกเข้าที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงช่วยปลุกผมที่ยังนอนแช่อยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้น ผมหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความงัวเงียบวกกับอาการปวดหัวเล็กน้อย อันเนื่องมาจากการนอนดึกเพราะเล่นเกมเมื่อคืนนั่นเอง

   ผมพยายามเปิดเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งมองไปยังหน้าจอมือถือ เมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใคร จึงกดรับสายอย่างช้าๆ ก่อนจะแนบมันไว้ข้างหู

   “นันท์ตื่นหรือยังครับ”
   “อือ ยังว่ะมีอะหยังวะ”
   ผมหลับตาถามกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย

   “ยังจะมาอะไรอีกล่ะครับ ก็วันนี้นันท์เป็นคนชวนผมไปเดตไม่ใช่เหรอครับ”
   อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นจนบางทีก็รู้สึกอยากจะขอแบ่งมันมาให้ผมบ้างสักนิดก็ยังดี

   “อย่าบอกนะครับว่านันท์ลืม”
   “กูจำได้ บ่ได้ลืม แต่ขอกูนอนต่ออีกนิดได้มั้ยวะ เพิ่งจะเช้าอยู่เลย”
   ผมตอบกลับไปพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาพร้อมขดตัวกลมเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย

   “เช้าอะไรล่ะครับ จะเที่ยงแล้วเนี่ย”
   หือ ?

   ผมหันไปมองยังหน้าจอมือถือทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น หน้าจอที่กำลังแสดงเวลาว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงแล้วเป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกผมแต่อย่างใด

   ฉิบหายละกู นึกว่ายังเพิ่งสักเจ็ดหรือแปดโมงเสียอีก โดนสภาพอากาศหลอกลวงเข้าให้แล้วมั้ยล่ะ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ยังอยู่ในช่วงหน้าหนาวอยู่นี่นะ ถึงแม้จะเป็นช่วงปลายๆ ฤดูแล้วก็ตามทีเถอะ

   “แล้วนี่มึงอยู่ไหนวะ”
   “อยู่ที่ร้านเจ๊บัวแล้วครับ”
   “เออๆ เดี๋ยวกูจะรีบไป แค่นี้นะ”
   ผมกดวางสายพร้อมกับขดตัวอยู่ในผ้าห่มอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากพลางโทษตัวเองว่าไม่น่าเล่นเกมจนดึกเลย ให้ตายสิ

   หลังจากที่ตั้งสติและปรับจูนร่างกายให้เข้าที่ได้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำทันที


   “สุขสันต์วันวาเลนไทน์จ้า”
   เสียงใสของเจ๊บัวเอ่ยทักขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้ามาภายในร้าน ผมยิ้มด้วยความเขินอายเล็กน้อยเพราะทุกคนในร้านต่างก็หันมองมาทางผมตามเสียงทักทายที่แสนดังของเจ๊บัวด้วยความงุนงงสงสัยว่าผมเป็นใครก่อนที่จะหันกลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “ตื่นสายจังเลยนะครับ”
   “ใช่ๆ ตื่นสายมากเลยนะจ๊ะ เนี่ยแบงค์เขาอุตส่าห์มารอตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแล้วนะเนี่ย”
   แบงค์รีบหันไปทำท่าจุ๊ปากใส่เจ๊บัวทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น เจ๊บัวหัวเราะเล็กน้อยด้วยความชอบใจก่อนจะเดินไปรับออเดอร์ลูกค้าที่เข้ามาใหม่

   “มึงมาตั้งแต่เจ็ดโมงจริงๆ เหรอวะ”
   ผมถามพลางลากเก้าอี้มานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของอีกฝ่าย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ได้แต่ยิ้มพยักหน้าด้วยท่าทีเก้ๆ   กังๆ กลับมาเป็นเป็นคำตอบ

   “มึงจะตื่นเช้าเอาโล่เกียรติยศหรือไงวะนั่น”
   “แล้วนันท์ล่ะครับ จะนอนตื่นสายเอาเหรียญทองโอลิมปิกเหรอครับ”
   อ๊ะ ไอ้นี่ มีย้อน เดี๋ยวนี้เริ่มต่อล้อต่อเถียงเว้ยเฮ้ย ถ้าไม่ติดว่าเป็นติวเตอร์คงได้มีวางมวยกันไปละแน่ๆ

   “เออ เรื่องของกูเหอะ ว่าแต่วันนี้จะไปไหนกันดีวะ”
   ผมเอ่ยถามพลางหยิบโกโก้ปั่นของอีกฝ่ายมากินโดยไม่ขออนุญาต

   “เอ่อ นันท์เป็นคนชวนผมเองไม่ใช่เหรอครับ”
   เออ ก็จริงของมันแฮะ ตอนแรกก็แค่กะว่าจะชวนไปเที่ยวประชดชีวิตตามประสาคนโสดก็เท่านั้นล่ะ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน จนกลายเป็นว่าตอนนี้เริ่มๆ จะขี้เกียจแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งพอหันไปดูบรรยากาศรอบๆ ที่เต็มไปด้วยเหล่าคู่รักทั้งหลาย ก็เริ่มรู้สึกอยากกลับไปนั่งเล่นเกมอยู่ที่บ้านเงียบๆ แล้วมากกว่า

   “งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยชวนออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบเห็นด้วยกับความคิดนั้น เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยอันเนื่องมาจากเพิ่งตื่นนอนมาเมื่อกี๊นี่เอง แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ลุกขึ้นพร้อมหยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจที่เจ้าตัวนำติดตัวมาด้วยขึ้นคล้องคอก่อนจะลุกเดินนำหน้าผมไปยังประตูร้าน

   และในจังหวะที่พวกผมกำลังจะเปิดประตูร้านออกไปนั่นเอง
   “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะจ๊ะนันท์ และก็ขอให้สุขสมหวังนะจ๊ะแบงค์”
   เจ๊บัวเอ่ยตามหลังมาด้วยน้ำเสียงดังลั่นร้านมากกว่ารอบแรก ทำเอาคนในร้านหันมามองผมกับแบงค์ตามเสียงนั้นของเจ๊บัวก่อนจะพากันหันไปอมยิ้มให้กับคู่สนทนาของตน

   ถามว่าผมในตอนนี้รู้สึกยังไงน่ะเหรอ แหม ก็อายน่ะสิครับ เล่นโดนคนในร้านหันมาจ้องมองโดยพร้อมเพรียงกันเลยเนี่ย แต่ก็ยังสู้แบงค์ไม่ได้หรอกครับ รายนั้นดูท่าจะอายมากกว่าผมเสียอีก เห็นเจ้าตัวหันไปขมวดคิ้วพร้อมทำท่าจุ๊ปากด้วยความเขินอายใส่เจ๊บัวที่กำลังหัวเราะอย่างชอบใจอยู่ภายในบริเวณเคาน์เตอร์

   เป็นคู่ลูกพี่ลูกน้องที่ดูสนิทสนมกันดีจริงๆ

   หลังจากที่เดินออกมาจากร้านมินิคาเฟ่ของเจ๊บัวแล้วนั้น เราทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังเคเอฟซีในห้างเมญ่าที่ตั้งอยู่ข้างๆ ทันที

   “เคเอฟซีสวัสดีค่ะ เชิญด้านในก่อนได้นะคะ”
   เสียงทักทายของพนักงานเอ่ยดังขึ้นด้วยความกระฉับกระเฉงทันทีที่เห็นผมกับแบงค์เดินเข้ามาภายในร้าน

   “สนใจเมนูไหนสอบถามได้นะคะ”
   เธอเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเมื่อผมกับแบงค์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เราทั้งสองเงยหน้ามองเมนูบอร์ดด้านบนด้วยความลังเลเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรกันดี

   “ขออนุญาตแนะนำโปรโมชั่นต้อนรับวันวาเลนไทน์นะคะ ขอแนะนำชุดบอกรักค่ะ”
   พนักงานสาวกล่าวพร้อมผายมือไปยังรูปเมนูที่ว่า ดูจากราคาและปริมาณสินค้าแล้วก็ถือว่ากำลังโอเค ถึงแม้จะแอบหวั่นๆ อยู่บ้างว่ากลัวจะกินไม่หมดก็ตามที

   ในขณะที่ผมกำลังลังเลอยู่นั่นเอง

   “เอาชุดนี้เลยครับ”
   แบงค์ก็รีบตอบตกลงให้กับการแนะนำนั้นทันทีโดยที่ไม่ปรึกษาผมเลยแม้แต่น้อย

   “ถามกูสักคำก่อนมั้ย”
   ผมรีบหันไปเขม่นคิ้วใส่อีกฝ่ายทันที

   “เอาน่า พี่เขาอุตส่าห์แนะนำ แถมชื่อชุดก็ยังเหมาะกับวันวาเลนไทน์อีกด้วย”
   แบงค์หันมาตอบพร้อมกับยิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงว่าตกลงให้กับพนักงาน

   “ไก่ในชุดรับเป็นไก่กรอบ ไก่นุ่ม หรือว่าคละกันทั้งสองสูตรดีคะ”
   “คละทั้งสองสูตรเลยครับ”

   “เพิ่มขนาดเป๊บซี่กับเฟรนช์ฟรายส์ด้วยมั้ยคะ”
   “เพิ่มเลยครับ”

   “สนใจรับทาร์ตไข่อินเลิฟเพิ่มด้วยมั้ยคะ ตอนนี้มีโปรโมชั่นรับวันวาเลนไทน์สองชิ้นเพียงสามสิบห้าบาทค่ะ”
   เธอถามพลางผายมือไปยังรูปสินค้าที่เป็นสติ๊กเกอร์ติดอยู่บนเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นรูปทาร์ตไข่ที่ถูกตกแต่งหน้าด้วยอะไรสักอย่างจนเป็นรูปหัวใจ

   “จัดมาเลยครับ”
   แบงค์ตอบรับทันทีอย่างไม่ลังเลด้วยรอยยิ้ม ผมหันไปเลิกคิ้วสูงเบิกตากว้างใส่อีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

   “เอาน่า ไหนๆ ก็วันวาเลนไทน์ทั้งที แถมยังได้ช่วยพี่เขาเพิ่มยอดขายด้วย”
   “ด้วยการลดยอดเงินในกระเป๋าตัวเองเนี่ยนะ”
   ผมแขวะกลับไป ทำเอาพนักงานถึงกับอมยิ้มกลั้นหัวเราะเล็กน้อย

   “เอาน่า ไหนบอกว่าจะมาเที่ยวประชดชีวิตตามประสาคนโสดในวันวาเลนไทน์ไม่ใช่เหรอครับ ก็นี่ไง ประชดด้วยการกินเข้าไปเยอะๆ เลยครับ”
   ตอนนี้ผมก็เริ่มจะสงสัยขึ้นมาแล้วล่ะ ว่าสรุปแล้วคนที่อยากเที่ยวจริงๆ น่ะ คือผมหรือแบงค์กันแน่

   หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย แบงค์ก็อาสาที่จะถือถาดอาหารไปยังโต๊ะให้ แถมยังรับหน้าที่ไปกดซอสให้ผมด้วยอีกต่างหาก จนกลายเป็นว่าหน้าที่ของผมตอนนี้มีแค่อย่างเดียวคือ กิน

   “มึงบ่กินเหรอวะ”
   ผมเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่ายที่กำลังนั่งจ้องมองผมผ่านแว่นหนา

   “แค่เห็นนันท์กินผมก็อิ่มแล้วครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

   “จะมาอิ่มเหี้ยอะหยัง ช่วยกูแดกเดี๋ยวนี้เลยนะ สั่งมาตั้งเยอะ จะให้กูแดกคนเดียวได้ไง สัส”
   ผมก่นด่าเล็กน้อยพร้อมกับใช้ส้อมจิ้มชิ้นไก่ยื่นไปให้คนตรงข้าม เจ้าตัวหัวเราะเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้มีดหั่นชิ้นไก่เข้าปาก

   “เดี๋ยวกินเสร็จแล้วเราไปดูหนังกันมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมในขณะที่สายตาของเจ้าตัวก็กำลังเพ่งมองอยู่ที่หน้าจอมือถือของตนเอง

   “มีเรื่องอะหยังน่าดู...”
   ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามให้จบประโยคแบงค์ก็หันหน้าจอมือถือของตัวเองมาทางผม ผมยื่นหน้าเข้าใกล้พร้อมเพ่งสายตามองไปยังหน้าจอนั้น

   “หนังรัก กูบ่ชอบ เอาเรื่องอื่นดีกว่าเหอะ”
   ผมรีบตอบปฏิเสธทันทีด้วยความรวดเร็วเมื่อเห็นชื่อหนัง

   “แต่วันนี้วันวาเลนไทน์นะครับ”
   “เออ แล้วไงวะ”
   “วันวาเลนไทน์ทั้งทีก็ต้องดูหนังรักสิครับ”
   “เออ มันก็จริง แต่นั่นมันสำหรับพวกคู่รักบ่ใช่เหรอวะ แต่นี่...”

   “ก็นันท์เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอครับ ว่าวันนี้จะประชดชีวิตคนโสด”

   “......”
   ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “การดูหนังรักในวันวาเลนไทน์ทั้งๆ ที่เรายังโสด ก็ถือเป็นการประชดชีวิตอย่างนึงเหมือนกันนะครับ”
   “แต่...”
   ผมพยายามจะอ้าปากเพื่อเถียงกลับไป แต่ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเว้าวอนด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเหตุผลพวกนั้นแล้ว

   “เออๆ เรื่องนี้ก็ได้”
   แบงค์ยิ้มกว้างทันทีที่ผมตอบตกลงอย่างว่าง่าย

   นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

   หลังจากที่จัดการกับเจ้าชุดบอกรักเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ทั้งผมและแบงค์ต่างก็พากันเดินขึ้นไปยังชั้นโรงหนังทันทีด้วยความรวดเร็ว

   “เอสเอฟเอ็กซ์ซีเนม่าเมญ่าเชียงใหม่สวัสดีค่ะ”
   พนักงานสาวหน้าตาสดใสกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรทันทีที่ผมกับแบงค์เดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์

   “ดูเรื่องนี้น่ะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมชี้นิ้วไปยังหน้าจอเมนูด้วยความรวดเร็ว

   “สองที่ใช่มั้ยคะ”
   แบงค์พยักหน้าให้กับคำถามนั้นของพนักงาน

   “เชิญเลือกที่นั่งเลยค่ะ สีฟ้าและเทาเป็นที่นั่งว่าง ด้านล่างเป็นหน้าจอภาพยนตร์ค่ะ”
   พนักงานอธิบายให้เราทั้งสองฟัง แบงค์ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเพ่งสายตาไปยังหน้าจอเมนู

   “ไม่ทราบว่าวันนี้มีโปรโมชั่นอะไรมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามพนักงานด้วยความสงสัย

   “มีค่ะ โปรโมชั่นต้อนรับวันวาเลนไนท์ที่นั่งคู่สวีทด้านบน ลดราคาสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
   “โอเค งั้นเอาตรงนี้เลยครับ”

   แบงค์ตอบตกลงอย่างว่าง่าย พลางชี้นิ้วไปยังที่นั่งโซฟาคู่ด้านบนสุดที่กำลังเหลือที่ว่างอยู่หนึ่งคู่พอดิบพอดี
   “สัส มึงถามกูสักคำก่อนมั้ย”
   “อ้าว ทำไมล่ะครับ ไม่ดีงั้นเหรอ”
   “มึงดูราคาก่อนเหอะ แพงตายห่า”
   ผมรีบเอ็ดใส่อีกฝ่ายทันทีเมื่อเห็นราคาตั๋วที่นั่งคู่ที่ว่านั้น

   “เอาน่าครับ วันนี้ลดตั้งสิบเปอร์เซ็นต์นะครับ”
   “เออ แต่ก็ยังแพงอยู่ดีน่ะล่ะ”

   “ก็นันท์เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าวันนี้จะเที่ยวประชดชีวิตวันวาเลนไทน์ตามประสาคนโสดน่ะครับ”
   “เออ มันก็ใช่ แต่ว่า...”
   ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พร้อมพยายามหาเหตุผลเพื่อโต้กลับอีกฝ่าย

   “ก็นี่ไงล่ะครับ ที่นั่งคู่รักตรงนี้กำลังว่าง เราก็ยึดที่ตรงนี้เสียเลย เพื่อไม่ให้พวกคู่รักคู่อื่นมานั่งได้ ถือเป็นการแก้แค้นเอาคืนทางอ้อมพวกคู่รักด้วยอีกทางนึงนะครับ”
   แต่ก็โดนเหตุผลของอีกฝ่ายโต้มาเช่นนั้น พนักงานสาวเองเมื่อได้ยินคำชี้แจงเช่นนั้นจากแบงค์ ก็ได้แต่อมยิ้มกลั้นหัวเราะเบาๆ เพื่อรักษาท่าทีเอาไว้

   ถึงแม้ผมจะยังงงๆ กับเหตุผลที่ฟังดูแปลกๆ ของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูจะคะยั้นคะยอนั้นแล้ว

   “เออๆ ก็ได้วะ”
   แบงค์ออกอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าทันทีที่ได้ยินผมตอบตกลงเช่นนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องยอมใจอ่อนให้อีกฝ่ายด้วย แต่พอเห็นรอยยิ้มที่ดูร่าเริงนั้นแล้ว มันก็ทำเอาผมอดที่จะอมยิ้มตามไปด้วยไม่ได้จริงๆ
   

   เอาวะ วันวาเลนไทน์ที่เคยแสนน่าเบื่อสำหรับผม อาจจะเป็นวันที่สนุกขึ้นมาก็เป็นได้
   ถึงแม้ผมจะเริ่มรู้สึกตั้งคำถามบางอย่างกับตัวเองขึ้นมาในใจก็ตามที

จบคาบเรียนที่สิบเจ็ด
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 18 สิบสี่กุมภาพันธ์ รอบบ่าย(25-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 25-11-2018 03:39:38
   คาบเรียนที่สิบแปด

   “เอ่อ เอาผ้าเช็ดหน้าหน่อยมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามทันทีที่เห็นผมกำลังสะอึกสะอื้นพร้อมด้วยน้ำตาที่อาบเต็มไปทั้งสองแก้มหลังจากที่เราทั้งสองเดินออกจากโรงหนัง

   “บ่ต้องมาแซวกูเลยนะมึง”
   ผมแหวใส่ไปยังอีกฝ่ายทันทีก่อนที่จะรีบใช้ชายเสื้อเช็ดคราบน้ำตานั้น ทว่า

   “ผมไม่ได้แซว แล้วก็อีกอย่าง ผมเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าอย่าเอาชายเสื้อเช็ด มันจะทำให้เสื้อเปื้อน แถมอาจจะทำให้สิวขึ้นอีกด้วยนะครับ”
   แบงค์จับข้อมือของผมที่กำลังจะใช้ชายเสื้อเช็ดคราบน้ำตาห้ามเอาไว้เสียก่อน พลางตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตนออกมา

   จะว่าไป แบงค์ก็เคยบอกเอาไว้นี่นะเรื่องไม่ให้ใช้ชายเสื้อเช็ดหน้าเนี่ย ซึ่งพอมาคิดดูดีๆ การเช็ดหน้าที่ไม่ถูกวิธีก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิวบนใบหน้าของผมไม่ยอมหายขาดสักทีก็เป็นไปได้แฮะ

   ในจังหวะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเอง พอรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าแบงค์กำลังค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของผมอย่างเบามือ ภาพการกระทำนั้นของเด็กหนุ่มตัวโตภายใต้แว่นหนาที่มีต่อไอ้เตี้ยขนาดพกพาสะดวกอย่างผมทำเอาผู้คนรอบข้างถึงกับหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน

   “สัส พอแล้ว มึงเห็นมั้ยเนี่ยว่าคนเขามองกันใหญ่เลย”
   “แล้วทำไมเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมพลางหันไปมองรอบข้าง ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่สายตารอบข้างต่างก็หันกลับไปยังทิศทางของตนพอดี ในขณะที่คำตอบนั้นของอีกฝ่าย ก็ทำเอาผมถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

   “หรือว่านันท์ไม่ชอบที่ผมทำแบบนี้”
   เจ้าตัวเอ่ยถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแววตาที่ดูเศร้าเล็กน้อย

   “ก็เปล่า บ่ใช่แบบนั้น แต่ว่า...”
   ผมอึกอักเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

   “งั้นเราไปหาไอติมกินกันมั้ยครับ”
   อยู่ๆ แบงค์ก็ถามพร้อมกับเปลี่ยนน้ำเสียงและสีหน้าอย่างรวดเร็วจนผมตามอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ทัน ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายจูงข้อมือลากไปแบบงงๆ

   แต่ในจังหวะนั้นเอง

   “อ้าว นั่นแบงค์นี่นา”
   เสียงปริศนาเอ่ยเรียกชื่อคนตัวสูงด้วยความคุ้นเคย ทั้งผมและเจ้าตัวที่ถูกเรียกชื่อต่างกันก็หันไปยังต้นทางของเสียงนั้น
   “อ้าว ป้อน่ะเอง นึกว่าเสียงใครคุ้นๆ”
   แบงค์เอ่ยทักทายกลับไปด้วยความสุภาพทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นเป็นใคร ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มด้วยสีหน้าร่าเริงกลับมา

   อยู่ๆ ภาพเหตุการณ์ช่วงที่ผมกับแบงค์ไปเข้าค่ายอบรมต่อต้านยาเสพติดเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วก็หวนกลับมา ภาพของเจ้าคนชื่อป้อที่ดูพยายามจะตีซี้ทำความสนิทสนมกับแบงค์จนออกนอกหน้านอกตา เมื่อรวมกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ณ ตอนนี้แล้วนั้น
   ช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “ว่าแต่แบงค์มากับใครน่ะ”
   อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนจะชะโงกหน้าหันมามองผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   “อ้อ นันท์นี่เอง สวัสดีครับ สบายดีมั้ย”
   ป้อเอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ในขณะที่ผมยังคงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่ก็พยายามจะเก็บอาการเอาไว้

   “มึงยังจำชื่อกูได้ด้วยเหรอวะ”
   ทั้งแบงค์และป้อต่างก็ทำหน้าเหวอทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นจากผม ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าเผลอพูดจาไม่ดีออกไป

   “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะครับ เพื่อนของแบงค์ ก็เหมือนเพื่อนของผมนั่นล่ะครับ”
   ใครเพื่อนมึง ?

   ไอ้นี้ชักจะลามปาม ตีซี้ทำสนิทสนมกับแบงค์ยังไม่พอยังจะมาทำตีสนิทกับผมอีก ชักจะไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วแฮะ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะเห็นแก่หน้าแบงค์ ผมจึงได้แต่ส่งเสียง ‘อือ’ ในลำคอเบาๆ กลับไปเป็นคำตอบ ในขณะที่เจ้าคนชื่อป้อยังคงยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร

   งหุดงหิดๆ เอ้ย หงุดหงิดๆ
   ดูสิ หงุดหงิดจนพิมพ์เพี้ยนเลยกูเนี่ย

   “ว่าแต่ป้อล่ะ มาดูหนังเหรอครับ”
   คราวนี้เจ้าคนสวมแว่นเป็นฝ่ายเอ่ยถามกลับไปบ้าง คนถูกถามเองเมื่อได้เช่นนั้นก็พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

   “มาคนเดียวเหรอครับเนี่ย”
   แบงค์ยังคงเอ่ยถามต่อพลางหันซ้ายหันขวามองไปยังรอบๆ บริเวณ ในขณะที่ผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีกับคำถามนั้นของแบงค์แล้วยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   แต่ในจังหวะที่อีกฝ่ายจะทันได้เอ่ยปากเพื่อตอบคำถามนั้น

   “ตัวเอง รอนานมั้ย เค้าขอโทษที่มาสายนะ”
   เสียงใสๆ ก็เอ่ยทักแทรกเข้ามาทันที พวกผมต่างหันไปมองยังต้นเสียงนั้น ภาพที่เห็นคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย ผมสีน้ำตาลทองยาวประบ่า ดูจากวัยแล้วน่าจะราวๆ มหาลัยได้ล่ะมั้งการแต่งตัวของเธอแม้จะไม่ได้โชว์เนื้อหนังมังสาอะไรมากนัก แต่ก็ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ไม่น้อยสังเกตได้จากสายตาของผู้คนรอบข้างที่ต่างก็หันมามองเธอ

   เธอเดินเข้ามาด้วยสีหน้าออดอ้อนเล็กน้อย ก่อนจะเข้าไปคล้องแขนของป้อด้วยท่าทีสนิทสนมเป็นกันเอง

   “ตัวเองซื้อตั๋วหรือยัง”
   หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ป้อก็ยิ้มพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

   “นี่ใครอะ เพื่อนตัวเองเหรอ”
   เธอเอ่ยถามเมื่อหันมาสังเกตเห็นพวกผมสองคนที่อยู่ตรงหน้า

   “คนตัวสูงที่ใส่แว่นนี่ชื่อแบงค์ ส่วนคน...เอ่อ คนนี้ชื่อนันท์ เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตอนไปเข้าค่าบอบรมเมื่อตอนปลายปีที่แล้วน่ะ”
   ป้อเอ่ยแนะนำพวกเราทั้งสองให้เธอได้รู้จัก

   อ๊ะ แต่กูรู้นะ ที่มึงชะงักไปเมื่อกี๊ เพราะมึงเผลอตัวจะพูดว่า ‘คนตัวเตี้ย’ ใช่มั้ยล่ะ

   “ส่วนนี่ พลอย เป็นแฟนของผมเอง”
   หือ?
   แบงค์ยิ้มทักทายกลับไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่ผมยังคงงุนงงกับคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่

   มีแฟนแล้วเหรอวะ จะว่าไปถ้าไม่มีก็ออกจะแปลกไปหน่อย เพราะถ้าว่ากันตามความจริงแบบไม่มีอคติ ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายหน้าตาดีอยู่พอสมควร หุ่นดี สูงโปร่งประมาณไอ้น้องไนท์กับไอ้เต้ยเห็นจะได้ซึ่งต่างจากแบงค์ที่รายนี้จะดูไปทางหุ่นสูงหนาเสียมากกว่า

   เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าแฟนของอีกฝ่ายจะ ...
   แต่เดี๋ยวนะ แล้วนี่กูจะไปชมมันทำหอกอะไรวะ

   “แล้วนี่ดูเรื่องอะไรกันเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยความสนใจ ป้อเองจึงหยิบตั๋วขึ้นมาให้ดู ทั้งผมและแบงค์เมื่อเห็นตั๋วหนังของอีกฝ่าย ต่างก็ร้องอ๋อพร้อมกันทันที

   “เรื่องนี้ผมกับนันท์เพิ่งดูรอบที่แล้วไปนี้เองครับ”
   “จริงดิ แล้วสนุกมั้ย”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งกับคำถามนั้น

   “สนุกมั้ย ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คนแถวนี้ร้องไห้จนตาบวมไปคนนึงแล้วครับ”
   พูดจบ แบงค์ก็หันมามองผมพร้อมกับอมยิ้มด้วยสีหน้ากวนๆ เล็กน้อย ผมจึงถวายหมัดเข้าไปยังสีข้างของเจ้าตัวเข้าไปหนึ่งที หากจะถามว่าหมัดนั้นแรงมั้ย ผมก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน แต่ที่รู้คือก็ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมาเบาๆ ได้อยู่เหมือนกัน

   “เรื่องของกูเหอะ ขืนพูดมาก เดี๋ยวปากมึงจะได้อาบไปด้วยเลือดหรอก”
   ผมพยายามขู่กลับไปเพื่อกลบความเขินอายที่มี ในขณะที่เจ้าคนแว่นหนาก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ ในลำคอโดยหาได้มีทีท่ากลัวให้กับคำพูดขู่นั้นของผมเลยแม้แต่น้อย

   จะว่ายังไงดีล่ะครับ ที่บอกว่าไม่ชอบหนังรักเนี่ย ก็คือไม่ชอบจริงๆ นั่นล่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่ารังเกียจหรอกนะ คือต่อให้หน้าตาของผมจะเถื่อนแค่ไหน ถึงแม้นิสัยจะดูโผงผางขวานผ่าซากยังไงก็ตาม แต่เอาจริงๆ ผมก็มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายเหมือนกันนะครับ ก็เลยเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยชอบดูหนังแนวนี้เท่าไหร่ นั่นเพราะดูทีไรความแมนอันน้อยนิดที่เพียรพยายามสั่งสมมานานต้องพังทลายหายวับไปในพริบตาทุกที

   “ว่าแต่วันวาเลนไทน์ทั้งทีไหงไม่ควงสาวๆ มาด้วยล่ะ”
   ป้อเอ่ยแซวด้วยสีหน้ากวนๆ เล็กน้อยก่อนจะใช้ข้อศอกกระทุ้งไปยังสีข้างอีกฝั่งของแบงค์เบาๆ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันมามองผมครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับไปยังคู่สนทนา

   “วันนี้พวกเรามาฉลองความโสดประชดวันวาเลนไทน์กันน่ะครับ”
   พูดจบ เจ้าตัวก็หัวเราะเบาๆ ในลำคออีกรอบ

   “เฮ้ย บ้าน่ะ อย่างแบงค์เนี่ยนะโสด เป็นไปได้ไง ไม่เชื่ออะ”
   ป้อเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจพอสมควร เช่นเดียวกันกับพลอยที่ก็ทำสีหน้าไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

   “โสดจริงๆ ครับ”
   “แล้วไม่คิดจะหาแฟนเหรอ อย่างตัวเองน่าจะหาได้ไม่ยากนะ”
   คราวนี้พลอยเป็นฝ่ายเสนอความเห็นขึ้นมาบ้าง แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก็นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะหันมามองพร้อมกับยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ ตามปกติอย่างที่เคยทำ

   “ก็รอแค่ว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะรู้ตัวสักทีมากกว่าน่ะครับ”
   พูดจบ ทั้งพลอยและป้อต่างก็นิ่งเงียบไป ทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วจึงหันกลับมามองพวกเราทั้งคู่ก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจในคำพูดนั้น

   “งั้นก็เอาใจช่วยแล้วกันนะ เอ้อ เดี๋ยวผมกับพลอยขอตัวก่อนนะ จะถึงเวลาหนังฉายแล้ว”
   ป้อพูดพลางตบบ่าของแบงค์เบาๆ ในขณะที่แบงค์ก็ได้แต่ยิ้มรับให้กับคำพูดนั้นอย่างเงียบๆก่อนที่อีกฝ่ายจะปลีกตัวออกไปกับแฟนสาวของตน

   พวกมึงคุยเหี้ยอะไรกันน่ะ ให้กูรู้เรื่องด้วยสักคนได้มั้ยวะ

   แล้วเดี๋ยวนะ ทำไมเมื่อกี๊ทุกคนถึงได้ตกใจแต่เรื่องแบงค์ไม่มีแฟนล่ะวะ แต่ไหงไม่มีใครตกใจเรื่องกูไม่แฟนเลยสักคน
   หมายความว่ายังไงวะ

   “อ้อ อีกเรื่อง”
   ป้อหันตัวกลับมา ทั้งผมและแบงค์ต่างก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

   “เฟซบุ๊กของแบงค์เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมผมหาไม่เจอ”
   อึก!
   ทั้งผมและแบงค์ต่างนิ่งอึ้งไปชั่วครู่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้น

   “เอ่อ... พอดีช่วงนี้มือถือผมเน็ตหมด สงสัยคงโดนบล็อกเพราะไม่ได้ไปจ่ายค่าเน็ตล่ะมั้ง แต่เดี๋ยวยังไงผมจะเข้าไปดูอีกทีนะครับ”
   แบงค์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินคำตอบนั้นก็ขมวดคิ้วยิ้มด้วยความงุนงงกับเหตุผลของคู่สนทนาพอสมควร แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ติดใจอะไรมากจึงได้แต่ยิ้มตอบกลับมาแล้วหันหลังกลับไปจูงมือแฟนสาวของตนเข้าไปยังบริเวณโรงหนัง

   “หัวเราะอะไรน่ะครับ”
   แบงค์ก้มหน้าลงมาถามทันทีเมื่อเห็นท่าทีกลั้นหัวเราะของผม

   “โดนบล็อกเฟซบุ๊กเพราะบ่ได้ไปจ่ายค่าเน็ตเนี่ยนะ”
   “ทำไมเหรอครับ”

   “เหตุผลโคตรแถเลยว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
   “หรือจะให้ผมบอกความจริงว่านันท์เป็นคนกดบล็อกป้อเขาอย่างนั้นเหรอครับ”
   อึก!
   ใบ้แดกสิกู เจอความจริงเข้าไป เถียงไม่ออกเลยแฮะ

   “งั้นเอามือถือมึงมานี่”
   พูดจบ ผมก็แบมือออกไป เจ้าตัวดูท่าจะยังงงกับคำพูดของผม ผมจึงถือวิสาสะล้วงหยิบมือถือของอีกฝ่ายที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาด้วยตัวเอง พร้อมกับยื่นมือถือเพื่อให้อีกฝ่ายปลดล็อกหน้าจอให้

   หลังจากที่เจ้าตัวปลดล็อกหน้าจอเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็คว้ามันมาด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับกดเข้าแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊กทันที ก่อนจะสไลด์หน้าจอนั้นไปมาอยู่เล็กน้อย พร้อมกับกดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งคืนมันกลับไปยังเจ้าของ

   “เอ้า เอาคืนไป”
   แบงค์ทำสีหน้างุนงงเล็กน้อย พลางก้มมองหน้าจอมือถือตัวเองที่ตอนนี้กำลังปรากฏให้เห็นว่าผมได้ยกเลิกการบล็อกเฟซบุ๊กของป้อพร้อมทั้งยังเป็นฝ่ายกดยื่นคำขอร้องเป็นเพื่อนกลับไปให้อีกด้วย

   “ไหงเคยบอกว่าไม่ให้กดรับยังไงล่ะครับ”
   “กูเปลี่ยนใจแล้ว”
   “ห๊ะ?”
   “เออ เรื่องของกูเหอะ พูดมาก จะไปกินสเวนเซ่นกันบ่ใช่เหรอวะ ไปเร็ว กูอยากกินแล้วเนี่ย”
   พูดจบผมก็เป็นฝ่ายเดินนำหน้าออกมาทันทีอย่างรวดเร็วพลางอมยิ้มให้กับตัวเองอย่างมีความสุข โดยที่ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร


   “สเวนเซ่นสวัสดีค่ะ”
   พนักงานสาวเอ่ยทักทายด้วยความกระตือรือร้นทันทีที่ผมกับแบงค์เดินเข้ามาภายในร้านหลังจากที่เราทั้งสองเลือกโต๊ะนั่งได้แล้ว เธอก็หยิบใบเมนูเดินมาที่โต๊ะทันทีด้วยความรวดเร็ว และทันทีที่เธอเดินมาถึง

   “ขออนุญาตแนะนำโปรโมชั่นต้อนรับวันวาเลนไทน์นะคะ จะเป็น...”
   “โอเค เอามาเลยครับ”
   แบงค์ตอบตกลงทันทีด้วยความรวดเร็วโดยที่พนักงานสาวยังไม่ทันจะได้พูดให้จบประโยค ทำเอาทั้งผมและเธอต่างกับเบิกตากว้าง งงเป็นไก่ตาแตกกันทั้งคู่

   “มึงบ่คิดฟังให้จบก่อนเหรอไงวะ”
   “ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ทั้งทีนี่ครับ ก็ต้องทำอะไรให้มันเข้ากับบรรยากาศยังไงละครับ”

   “แต่...”
   “ก็จะประชดชีวิตคนโสดไม่ใช่เหรอครับ”
   อึก!
   รู้สึกคิดผิดยังไงก็ไม่รู้แฮะ ที่ดันพูดคำนั้นออกไปเนี่ย จนชักรู้สึกอยากจะขอทวงคำนั้นคืนมาจริงๆ แต่พอเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขของอีกฝ่ายแล้ว ...

   “เออ แล้วแต่มึงละกัน ยังไงก็คำพูดกูเองนี่นะ”
   “เย่ งั้นก็เอาตามนี้เลยครับ”
   แบงค์ออกอาการดีใจอย่างออกนอกหน้านอกตาก่อนจะหันไปตกลงกับพนักงานสาว หลังจากที่เธอทวนรายการอาหารเสร็จเธอก็หยิบใบเมนูที่พวกผมไม่ได้เปิดดูเลยสักนิดกลับคืนไปแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์

   และก็ใช้เวลาไม่นานมากนัก รายการอาหารที่ผมสั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟด้วยความรวดเร็ว
   “รายการที่สั่งได้แล้วค่ะ ขอให้มีความสุขในวันวาเลนไทน์นะคะ”
   พนักงานเสิร์ฟกล่าวอวยพรทันทีด้วยน้ำเสียงร่าเริงหลังจากที่วางไอศกรีมลงบนโต๊ะ ผมหยิบช้อนขึ้นมาตักไอศกรีมเข้าปากอย่างช้าๆ

   “เป็นอะไรไปเหรอครับ ทำไมดูไม่สดชื่นเลย”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยสีหน้าสงสัย เหมือนเห็นท่าทีของผมที่ไม่ค่อยจะสดชื่นเท่าไหร่นัก ผมเองเมื่อถูกทักเช่นนั้นก็ถึงจะรู้สึกตัวได้เช่นกัน

   “นี่สีหน้ากูดูออกขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
   อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

   “ไม่สนุกเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใย ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางใช้ช้อนจิ้มลงบนไอศกรีมเล่นๆ
   “ก็สนุก...”
   ผมตอบกลับไปสั้นๆ แบงค์ก็นิ่งเงียบไปในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

   “......”
   “......”
   เดี๋ยวนะ ไหงอยู่ๆ เหมือนบรรยากาศรอบข้างมันมัวๆ ขึ้นมาได้วะเนี่ย

   “เฮ้ย กูบ่ได้เป็นเหี้ยอะหยัง มา แดกๆ”
   ผมรีบปั้นสีหน้ายิ้มเพื่อดึงบรรยากาศที่ดูอึมครึมได้ยังไงก็ไม่รู้ให้กลับมาสดชื่นก่อนจะใช้ช้อนตักไอศกรีมเข้าปาก คู่สนทนาเองเมื่อได้ยินก็ดูจะมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง ก่อนจะใช้ช้อนตักไอศกรีมเข้าปากตัวเองเช่นกัน

   ในช่วงที่ผมกับแบงค์กำลังจัดการเจ้าไอศกรีมตรงหน้า สายตาของผมก็เหลือบไปมองบรรยากาศรอบข้างภายในร้านที่เต็มไปด้วยเหล่าคู่รักมากมาย

   ผมว่านี่ล่ะ คือสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกไม่สดชื่นเท่าไหร่นัก ดูแต่ละคู่สิ ทำเป็นกระหนุงกระหนิงคุยหัวเราะคิกคักๆ ดูมีความสุขกันเสียเหลือเกิน ดูนั่นๆ มีการตักไอศกรีมป้อนให้แก่กันด้วย มันชักจะมากเกินไปแล้วนะเฮ้ย ทำอะไรก็ช่วยเกรงใจคนโสดหน่อยสิวะ เห็นแล้วมันงหุดงหิดจริงๆ

   นั่นไง หงุดหงิดจนพิมพ์ผิดอีกแล้วกู

   “แบงค์”
   “ครับ?”
   “อ้าปาก”
   “ห๊ะ?”
   แบงค์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงทันทีที่ได้ยินผมสั่งเช่นนั้น

   “เออ กูบอกให้อ้าปากก็อ้าดิวะ”
   ผมสั่งอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจ้าตัวจึงค่อยๆ อ้าปากอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
   “เอ้า แดกซะ”
   พูดจบ ผมก็ตักไอศกรีมจากในถ้วยใส่ปากแบงค์ทันทีด้วยความรวดเร็วทำเอาอีกฝ่ายถึงเกือบสำลักเพราะตั้งตัวไม่ทัน

   “อะไรครับเนี่ย”
   แบงค์เอ่ยถามหลังจากที่พยายามกลืนไอศกรีมลงไปด้วยความยากลำบากอันเนื่องมาจากปริมาณของไอศกรีมที่ผมตักให้เมื่อครู่นั้นค่อนข้างเยอะอยู่พอสมควร

   “ประชดชีวิตคนโสดในวันวาเลนไทน์ยังไงล่ะวะ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไอ้เจ้าคนที่ถูกยัดไอศกรีมก้อนโตเข้าปากกลับไม่รู้สึกโกรธอะไรเลยสักนิด หนำซ้ำยังทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูมีความสุขมากกว่าเดิมเสียอีก

   พิลึกคน

   “นันท์ครับ”
   “อะหยัง”
   “ขออีกคำได้มั้ยครับ”
   “ก็ตักเอาดิ มีในถ้วยอีกตั้งเยอะแยะ”
   ผมตอบกลับไปพลางตักไอศกรีมเข้าปาก

   “ไม่เอาครับ อยากให้นันท์ตักป้อนให้มากกว่า”
   “ห๊ะ?”
   ผมเงยหน้าเลิกคิ้วสูงมองคู่สนทนา

   “ก็อยากให้นันท์ป้อนไอศกรีมให้ผมแบบเมื่อกี๊อีกน่ะครับ”
   ไม่พูดเปล่า ดันทำสายตาเว้าวอนด้วยนี่สิ
   “บ่เอาเว้ย ทีเดียวพอ”
   พิลึกคนจริงๆ วุ้ย

   แล้วไหงผมต้องรู้สึกอายจนหน้าแดงด้วยวะเนี่ย   


   “ไปไหนกันต่อดีครับ”
   แบงค์เอ่ยถามหลังจากที่เราทั้งสองเดินออกจากร้านไอศกรีม ผมหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู เวลาบนหน้าจอกำลังบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงกว่าๆ เกือบหกโมงแล้ว

   “เย็นแล้วว่ะ กลับกันเลยดีมั้ย”
   ผมตอบพลางขมวดคิ้วเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะหย่อนมือถือเก็บลงกระเป๋ากางเกงดังเดิม

   “เพิ่งจะหกโมงเองนะครับ”
   “แล้ว?”

   “จะรีบกลับไปไหนเหรอครับ พรุ่งนี้ก็ยังเป็นวันอาทิตย์อีกด้วย”
   อีกฝ่ายพยายามพูดโน้มน้าวเหมือนต้องการให้ผมอยู่ต่อ ผมย่นจมูกเล็กน้อยก่อนจะเม้มปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

   จริงๆ ตอนนี้ผมอยากกลับไปเล่นเกมแล้วมากกว่าน่ะครับ แต่พอหันไปดูสีหน้าและสายตาของอีกฝ่ายแล้วนั้น...

   “......”
   “......”

   “แล้วมึงอยากจะไปไหนต่อล่ะ”
   แบงค์ออกอาการดีใจทันทีที่ผมพูดเช่นนั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากรอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากเสียเหลือเกิน จนผมเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าไหงสุดท้ายแล้ว ไอ้คนถูกชวนถึงได้ดูสนุกสนานกว่าคนชวนไปได้วะเนี่ย

   “ขอกุญแจรถด้วยครับ”
   แบงค์พูดพร้อมแบฝ่ามือหนายื่นมาทางผม ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจให้ผมพอสมควร แต่ก็ล้วงหยิบเจ้ากุญแจรถที่ว่าจากในกระเป๋ากางเกงส่งให้อีกฝ่ายอย่างว่าง่าย

   เอาเถอะ ต่อเวลาให้อีกสักหน่อยก็แล้วกัน ยังไงพรุ่งนี้ก็ยังเป็นวันอาทิตย์ตามที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้จริงๆ นั่นล่ะ
   และทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็เดินตามอีกฝ่ายที่กำลังเดินนำหน้าผมไปยังบันไดเลื่อนด้วยความรวดเร็ว

   ในขณะที่ในใจก็นึกสงสัยว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายต้องการจะไปนั้นคือที่ไหน

จบคาบเรียนที่สิบแปด
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 18 สิบสี่กุมภาพันธ์ รอบบ่าย(25-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-11-2018 07:27:58
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 19 สิบสี่กุมภาพันธ์ ตอนเย็น(29-11-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 29-11-2018 19:55:52
คาบเรียนที่สิบเก้า

   “นึกไงถึงพากูมาที่นี่เนี่ย”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อพบว่าสถานที่ที่แบงค์พาผมมานั้นคืออ่างแก้วในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั่นเอง ผมหันหน้าไปยังอ่างเก็บน้ำพลางสูดลมหายใจเข้าไปลึกจนเต็มปอดพร้อมกับเหยียดแขนบิดขี้เกียจไปด้วยจนได้เสียงกระดูกลั่นเบาๆ สายลมยามเย็นในช่วงปลายหน้าหนาวมันทำให้รู้สึกดีจริงๆ

   “ก็แค่อยากพามาเฉยๆ น่ะครับ”
   ผมหันไปขมวดคิ้วหรี่ตามองอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินคำตอบง่ายๆ เช่นนั้น

   “ก็มันเป็นสถานที่ที่ผมมีความทรงจำที่ดียังไงล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย ผมเองเมื่อได้ยินแบบนั้นก็กลอกตาไปมาพลางนึกย้อนความในหัวไปด้วย

   อ๋อ เออใช่ ผมเองนี่ล่ะที่เป็นคนทำให้แบงค์รู้จักสถานที่แห่งนี้ในวันที่อีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงอกหักจากแฟนเก่า จะว่าไปนับจากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ก็ผ่านมานานหลายเดือนแล้วเหมือนกันนะเนี่ย วันเวลานี่ก็ผ่านไปไวเหมือนกันแฮะ จนแทบจะไม่ทันได้สังเกต

   “เป็นความทรงจำที่ดีของมึง แต่สำหรับกูตอนนี้เริ่มจะเป็นความทรงจำที่เลวร้ายแล้วว่ะ”
   “อ้าว ทำไมล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจค่อนไปทางวิตกกังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของผม

   ผมยกมือชี้พลางหันมองไปยังรอบๆ บริเวณอ่างแก้วในช่วงเวลายามเย็นเช่นนี้ที่มีผู้คนประปราย ส่วนใหญ่ต่างก็มากันเป็นคู่ซึ่งดูยังไงก็รู้ว่าเป็นคู่รักกันแน่นอน และนั่นล่ะคือสาเหตุที่ผมกำลังพูดถึง แหม ก็เล่นจับมือถือแขนกันบ้างล่ะ โอบกอดกันบ้างล่ะ ถ่ายรูปคู่กันบ้างล่ะ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกหมั่นไส้เล็กน้อยยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   #โสดแล้วพาล จริงๆ เลยกูเนี่ย

   แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็เผลอปล่อยหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ผมย่นจมูกด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมายนักก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งยังริมทางเดินข้างอ่างแก้ว อีกฝ่ายเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของผม ก็เดินมานั่งลงข้างๆ ผมพลางถอดแว่นหนาออกมาเช็ดเล็กน้อยก่อนจะใส่มันคืนเข้าที่

   “......”
   “......”
   เงียบ

   ไม่มีถ้อยคำสนทนาใดๆ เอ่ยออกมาทั้งจากผมและแบงค์ จะมีก็เพียงสายลมยามเย็นที่กำลังพัดเอื่อยๆ และเสียงพูดคุยเบาๆ ของผู้คนรอบข้างที่แทรกเข้ามาก็เท่านั้น

   “เป็นยังไงมั่งครับ สำหรับวันวาเลนไทน์ปีนี้”
   แบงค์เอ่ยถามขึ้น ผมหันไปมองหน้าคนถามที่กำลังทำสีหน้าสนใจใคร่รู้ ผมขมวดคิ้วเม้มปากครุ่นคิดเล็กน้อย
   “ก็ดีอะ”
   ผมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะหยิบก้อนหินข้างตัวขึ้นมาแล้วขว้างมันออกไปยังอ่างเก็บน้ำตรงหน้า เจ้าตัวเองถึงกับหน้าถอดสีเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากผม

   “สรุปว่าไม่สนุกเหรอครับ”
   เมื่อได้ยินคำถามนั้น ผมก็เม้มปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

   “ก็บ่เชิง แต่จะว่ายังไงดีล่ะ ก็วันนี้มันวันวาเลนไทน์ ไปไหนมาไหน ก็เห็นแต่พวกคู่รักกระหนุงกระหนิงกัน แล้วมัน...”
   “รู้สึกอิจฉาว่างั้น”
   แบงค์ชิงพูดโดยที่ผมยังไม่ทันจะได้พูดให้จบประโยค ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางคิดทบทวน

   อิจฉาอย่างนั้นเหรอ อืม... จะว่ายังไงดีล่ะ ก็คงจะจริงอย่างที่เจ้าตัวบอกก็คงไม่ผิดล่ะมั้ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นริษยาอะไรขนาดนั้นนะ

   แต่คิดอีกที บางทีกูอาจจะกำลังริษยาด้วยก็เป็นได้แฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “เออ ช่างมันเหอะ ว่าแต่มึงเหอะ บ่รู้สึกรู้สาอะหยังเลยเหรอ”
   “ยังไงเหรอครับ”
   “ก็แบบ ต้องมาเป็นคนโสดท่ามกลางวันวาเลนไทน์ที่เต็มไปด้วยคู่รักมากมายเนี่ย”
   ผมตอบกลับไปพลางหันไปมองรอบข้างด้วยความริษยา ฮ่าฮ่าฮ่า

   “วันวาเลนไทน์แล้วยังไง สำหรับผมมันก็แค่วันธรรมดาๆ วันนึงเท่านั้นน่ะล่ะ”
   “อ้อเหรอออ”
   ผมลากเสียงเป็นเชิงเหน็บแนมกลับไป แบงค์หัวเราะในลำคอเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงนั้นของผม

   “แต่จะว่าไปมันก็เป็นวันที่ดีวันนึงสำหรับผมเหมือนกันนะครับ”
   “โสดในวันวาเลนไทน์เนี่ยนะดี”

   “อย่างน้อย มันก็ทำให้ผมกล้าทำอะไรหลายๆ อย่างในสิ่งที่วันธรรมดาผมไม่กล้าทำ”
   “หมายความว่าไงวะ”
   ผมหันไปเอียงคอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและมีความสุขเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

   ไม่สิ เหมือนจะมากกว่าปกติยังไงก็ไม่รู้แฮะ
   แต่ในจังหวะที่ผมจะทันได้ครุ่นคิดอะไรเพิ่มเติมนั้นเอง

   “ขอโทษนะคะ ว่างอยู่หรือเปล่าคะ”
   เสียงของหญิงสาวแปลกหน้าซึ่งดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าผมราวๆ สองถึงสามปีเดินเข้ามาทักถามด้วยท่าทีที่แฝงไปด้วยความเกรงใจอยู่พอสมควรดูจากลักษณะแล้วหากผมเดาไม่ผิด เธอน่าจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แห่งนี้นี่ล่ะ

   “ครับ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ”
   แบงค์ชิงผมตอบกลับไปด้วยความรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ซึ่งนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายดูผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง

   “รบกวนช่วยถ่ายรูปเราสองคนให้หน่อยได้มั้ยคะ”
   หญิงสาวเอ่ยคำขอร้องพร้อมยื่นมือถือในมือของเธอมายังแบงค์ เจ้าตัวเกิดอาการอ้ำอึ้งเล็กน้อยเมื่อถูกขอร้องเช่นนั้น ในขณะที่ตัวผมเองซึ่งโดนแบงค์ปฏิเสธการถ่ายรูปให้มาหลายครั้งจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับท่าทีนั้นของเจ้าตัวเสียเท่าไหร่นัก

   จะมีก็แต่หญิงสาวแปลกหน้าที่เป็นฝ่ายเอ่ยคำขอร้องซึ่งตอนนี้เริ่มทำสีหน้างุนงงในท่าทีขอแบงค์อยู่พอสมควร

   “มาครับ เดี๋ยวผมช่วยถ่ายให้เอง พอดีเพื่อนผมเขามีเหตุผลส่วนตัวเล็กน้อยน่ะครับ เลยทำให้บ่สามารถถ่ายรูปได้น่ะครับ”
   ผมเอ่ยพร้อมรีบยื่นมือไปรับมือถือนั้นมาจากหญิงสาวตรงหน้า เธอเองยังคงมีสีหน้าสงสัยอยู่พอสมควรพลางเหลือบหันไปมองกล้องถ่ายรูปที่คล้องไว้ที่คอของแบงค์ ก่อนจะหันกลับมายิ้มเพื่อปกปิดท่าทีสงสัยนั้นไว้พร้อมกับเดินไปยังชายหนุ่มที่ยืนรออยู่อีกฟากซึ่งจากการคาดเดาของผมแล้วน่าจะเป็นแฟนของเธออย่างแน่นอน

   อยู่ๆ อาการริษยาก็เหมือนจะกลับมากำเริบยังไงก็ไม่รู้แฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   ผมในตอนนี้ที่รับหน้าที่เป็นตากล้องอาสาชั่วคราว ก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่คู่รักแปลกหน้าทั้งสอง โดยถ่ายรูปตามความต้องการของอีกฝ่ายว่าต้องการให้แต่ละรูปออกมาแบบไหน ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นัก

   หลังจากที่เสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้วนั้น พวกเขาทั้งสองก็กล่าวคำขอบคุณแก่ผมก่อนจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งผมก็หวังว่ารูปที่ผมถ่ายให้นั้นคงจะพอถูกใจทั้งสองอยู่บ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะ

   อนึ่ง ระวังคำสาปที่ผมแอบใส่ลงไปในแต่ละรูปด้วยล่ะ
   หึหึหึ

   ก็ว่าไปนั่น ล้อเล่นครับ ใครมันจะบ้าไปทำจริง ถึงแม้ผมจะแอบอิจฉาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวถึงขั้นจะสาปแช่งให้ใครเขาเลิกกันหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า   

   “มึงนี่ก็นะ ยังคงเป็นคนบ่ยอมถ่ายรูปคนให้ใครง่ายๆ บ่ยอมเปลี่ยนเลยจริงๆ นะ”
   ผมพูดบ่นเล็กน้อยพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แบงค์ที่ตอนนี้กำลังทำท่าทีเหมือนกำลังตั้งค่ากล้องถ่ายรูปในมือตัวเองอยู่

   “ยังไม่ชินอีกเหรอครับ”
   นั่นคือคำตอบที่ดูแสนจะเรียบง่ายที่ผมได้รับกลับมาจากอีกฝ่าย ผมถอนหายใจเบาๆ ซึ่งหากจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้วล่ะก็ ผมก็คงชินกับเรื่องนั้นอย่างที่แบงค์ว่าไว้จริงๆ นั่นล่ะ   

   “เออ มันก็ใช่ กูชินแล้วล่ะ แต่บางที มันก็ต้องมีข้อยกเว้นบ้างบ่ใช่เหรอวะ ?”
   “ผมก็เคยบอกไปแล้วนี่ครับ ว่ามันขึ้นอยู่กับว่า เมื่อไหร่จะมีใครที่ทำให้ผมยอมยกเลิกข้อยกเว้นนั้นได้น่ะครับ”
   เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขกับคำตอบของตัวเองในขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับกล้องคู่ใจในมือนั้น จนบางทีก็ทำเอาผมรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้แฮะ

   คือเข้าใจว่าอาร์ท เข้าใจว่าติสท์ แต่บางทีมันก็ดูเยอะไปเหมือนกันนะเว้ย

   “ครับๆ พ่อโลกส่วนตัวสูง สูงซะจนกูอยากจะเห็นหน้าไอ้คนที่มันสามารถทำให้มึงยอมเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ เลยแฮะ”
   ผมแขวะกลับไปในขณะที่คนถูกแขวะได้แต่หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

   “จริงๆ ก็มีแล้วนะครับ คนที่ทำให้ผมยอมเปลี่ยนแปลงได้เนี่ย เพียงแต่ว่า...”
   แบงค์หยุดนิ่งไป โดยที่ยังคงจ้องมองหน้าจอกล้องถ่ายรูปโดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมามองผมสักนิด   

   “แหม พูดซะเหมือนมึงมีคนที่แอบชอบแล้วว่างั้น”
   ผมแซวอีกฝ่ายพลางใช้ศอกกระทุ้งไปยังสีข้างของอีกฝ่ายเบาๆ

   “ครับ ก็มีแล้ว”

   อึก!

   “อ่ะ เอ่อ เดี๋ยวนะ นี่มึงมีคนที่แอบชอบแล้วจริงๆ เหรอวะ...?”
   ผมถามแบงค์ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น

   ทำไมอยู่ๆ หัวใจของผมมันถึงได้เต้นรัวขึ้นมาได้กันนะ

   “ครับ แต่ผมก็ทำได้แค่แอบชอบคนๆ นั้นอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้นเองครับ”
   “พูดจริง?”
   “แล้วผมจะโกหกทำไมล่ะครับ”
   แบงค์ย้อนถามผมกลับ ผมกลืนน้ำลายในลำคออึกหนึ่งเบาๆ รู้สึกได้ถึงฝ่ามือของตัวเองที่เริ่มเย็นเฉียบ

   “เอ่อ...ใคร...ใครวะ”
   ตึกๆ ตึกๆ

   “นันท์อยากรู้จริงๆ เหรอครับ ?”
   “เปล่า กูก็ถามไปงั้นล่ะ”
   ผมพยายามตอบปัดทั้งๆ ที่ในใจเริ่มรู้สึกพะว้าพะวงอยู่พอสมควรแบงค์เองเมื่อได้ยินผมตอบกลับไปเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ ในลำคอโดยที่สายตาคงจดจ่ออยู่กับกล้องถ่ายรูปเช่นเดิม

   ทำไมอยู่ๆ ผมถึงได้รู้สึกบีบแน่นกลางหน้าอก ราวกับว่าจะหายใจไม่ออกกันนะ

   ก็เคยคิดเอาไว้นะว่าสักวัน แบงค์ก็คงจะเจอใครสักคนแล้วชอบขึ้นมาแน่ๆ แต่พอมาเจอคำตอบนั้นของเจ้าตัวเข้าจริงๆทำไมผมถึงรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมาพอสมควรทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องของผมเลยสักนิด

   จะให้อธิบายยังไงดีล่ะ มันรู้สึกเหมือนกับว่าหากวันใดวันหนึ่ง เกิดมีคนๆ นั้นขึ้นมาจริงๆก้าวเข้ามาในชีวิตของแบงค์ เปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างในตัวตนของแบงค์ได้

   แล้วที่ยืนของผมนั้นจะ ......

   ทำไมพอคิดแบบนั้นขึ้นมาแล้วมันรู้สึกบีบคั้น รู้สึกปวดใจยังไงก็ไม่รู้ ...

   แชะ!
   ในจังหวะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเองเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นจากกล้องของอีกฝ่าย ผมหันไปมองทันทีด้วยความสงสัย ภาพที่เห็นคือแบงค์ที่กำลังส่องกล้องถ่ายรูปมาทางผม

   “......”
   ในขณะที่สมองของผมกำลังคิดประมวลผลอยู่นั้น

   แชะ! แชะ! แชะ!
   เสียงชัตเตอร์จากกล้องก็ดังรัวขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวคนถ่ายจะละสายตาออกมาจากกล้องพร้อมกับยิ้มให้ผมครู่หนึ่งแล้วจึงก้มลงไปมองภาพที่ตนถ่ายไว้เมื่อสักครู่

   ผมชะโงกหน้าเพื่อดูภาพในกล้องของอีกฝ่าย สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอนั้นคือรูปใบหน้าของผมเมื่อสักครู่โดยมีดอยสุเทพเป็นฉากหลัง

   “......”
   “......”
   แบงค์กดเลื่อนภาพในกล้องไปเรื่อยๆ ซึ่งเผยให้เห็นรูปที่ถูกถ่ายเก็บเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คือภาพของผมในอิริยาบทต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้นั่นเอง

   “นี่มัน...”
   ในขณะที่ผมกำลังงุนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดอะไรออกมาได้ แบงค์ก็เงยหน้าขึ้นมาจากกล้องในมือขึ้นมามองหน้าผมพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่กำลังแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด

   รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง

   ไม่สิ ต้องเรียกว่ามากกว่าทุกครั้งจึงน่าจะถูกต้องเสียกว่า


   “ทีนี้รู้หรือยังครับ ว่าคนๆ นั้นสำหรับผมคือใคร ?”

จบคาบเรียนที่สิบเก้า

มุมแคปชั่นไร้สาระ

Oat Inwศาสตร์ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
วันวาเลนไทน์ของผม
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1709502375-member.jpg)
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 20 สับสน(2-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 02-12-2018 19:36:16
   คาบเรียนที่ยี่สิบ

   “เฮ้ย ไอ้นันท์ถ้ามึงติวหนังสือกับไอ้แบงค์เสร็จแล้ว ก็มาที่ชมรมด้วยนะเว้ย”
   เสียงห้าวของไอ้เต้ยเอ่ยแกมบังคับผมขึ้นทันทีที่ชั่วโมงเรียนคาบสุดท้ายจบลง ผมหันไปเลิกคิ้วสูงใส่อีกฝั่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “มึงบ่ต้องมาทำหน้าเป็นหมาสงสัยเลย มึงรู้ตัวมั่งมั้ย ว่ามึงโดดชมรมมากี่วันแล้ว หัดรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองหน่อยดิวะ โตจนหมาเลียตูดบ่ถึงแล้วแท้ๆ”
   “หน้าที่ห่าอะหยังล่ะ กูไปก็เป็นได้แค่เบ๊ซื้อของให้พวกมึงเนี่ยนะ”
   “เออ นั่นล่ะ เบ๊คือหน้าที่อันทรงเกียรติของมึง รู้ตัวไว้ด้วย”
   “สัส”
   ผมพูดพร้อมชูนิ้วกลางใส่มัน

   “หัดดูไอ้แบงค์เป็นตัวอย่างมั่งมึงน่ะ แม่ง ขนาดมันบใช่สมาชิกของชมรมแท้ๆ แต่ยังมาช่วยทุกวัน”
   “พูดมากน่ะมึง”

   “เออ ยังไงก็มาด้วยล่ะ กูไปก่อนนะ”
   พูดจบ ไอ้เต้ยก็หยิบกระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีสบายอารมณ์โดยไม่ได้สนใจคำพูดและสีหน้าท่าทางของผมเลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็เถียงอะไรกับมันมากไม่ได้ เพราะก็จริงอย่างที่มันว่านั่นล่ะครับ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมโดดชมรมจริงๆ

   ผมหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาสะพายไว้กลางหลังทันทีที่เก็บสัมภาระทั้งหมดเสร็จ ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่นัก

แต่สาเหตุไม่ได้มาจากคำสั่งของไอ้เต้ยหรอกนะ เพราะความรู้สึกที่ว่านี้นั้น มันเกาะกุมในใจผมมาหลายวันแล้วมากกว่า ซึ่งหากจะถามหาเหตุผลถึงความไม่สบอารมณ์ที่ว่านี้ล่ะก็ ...

   ก็คงจะเป็นเพราะ ...
   “......”

   ในขณะที่สมองของผมกำลังครุ่นคิดอะไรวุ่นวายอยู่ในหัวนั้นเอง พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเดินมาเกือบจะถึงบริเวณโรงอาหารเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงตัวผมเองนั้นกำลังคิดจะเดินไปยังลานจอดรถเพื่อกลับบ้านแท้ๆ ทว่าเหมือนสัญชาตญาณสั่งให้เท้ามันเดินมาทางนี้แทน

   “......”
   ผมชะเง้อหน้าไปมองยังบริเวณโรงอาหาร ภาพของเหล่านักเรียนทั้งหลายที่มาใช้สถานที่ในบริเวณโรงอาหารเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเวลายามเย็นหลังเลิกเรียน ถือเป็นภาพที่สามารถหาดูได้เหมือนทุกวันที่ผ่านมาอย่างไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด

   รวมไปถึงคนๆ นั้น ที่ใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อติวหนังสือให้กับคนสมองทึบเช่นผม

   คนๆ นั้นที่ว่า ก็คือแบงค์นั่นเอง ซึ่งเจ้าตัวยังคงนั่งทบทวนตำราเรียนภายใต้แว่นหนาหลังเลิกเรียนเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

   แต่หากจะถามหาถึงสิ่งที่แตกต่างไปจากทุกวันแล้วล่ะก็ คำตอบนั้นก็คงจะเป็นผมคนนี้แทนนี่ล่ะ ที่ดูจะเปลี่ยนไป

   “!!!!!!”
   ผมรีบหลบตัวทันทีด้วยความรวดเร็วเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายละสายตาจากหนังสือตรงหน้าแล้วเงยขึ้นมาหันมองซ้ายขวารอบตัวไปทั่วบริเวณเหมือนกำลังพยายามมองหาอะไรหรือใครสักคนหนึ่งอยู่

   ซึ่งตัวผมเองก็รู้ดีแก่ใจว่า ใครสักคนที่ว่านั้นก็คือผมเอง

   ผมยังคงยืนแอบมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวก้มหน้ากลับลงไปยังหนังสือบนโต๊ะต่อ ผมจึงค่อยๆ หันหลังกลับแล้วเดินออกจากบริเวณนั้นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับหยิบกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงเพื่อมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถจักรยานยนต์

   ผมก้าวเท้าขึ้นคร่อมรถทันทีที่เดินมาถึงลานจอดรถพร้อมนำกุญแจรถเสียบไปยังช่องกุญแจแล้วจึงใช้เท้าเกี่ยวขาตั้งของรถขึ้นมาและพยายามทรงตัวให้เข้าที่ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขี่กลับบ้านทันที

   ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมโดดชมรม หนำซ้ำผมยังไม่ไปติวหนังสือช่วงเย็นกับแบงค์อีกด้วย

   หากจะถามว่าผมกำลังทำอะไรอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ ผมเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน รู้แค่ว่าตัวเองในตอนนี้นั้นกำลังหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับใครบางคนอยู่

   ใครบางคนที่ว่า ก็คือแบงค์นั่นเอง

   และหากจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันกับอีกฝ่ายแล้วล่ะก็ ...
   คงต้องย้อนกลับไปยังเหตุการณ์วันนั้น ...

   
   ช่วงเย็นของวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา

   ทีนี้รู้หรือยังครับ ว่าคนๆ นั้นสำหรับผมคือใคร ?
   ผมนิ่งเงียบทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย พลางใช้สมองอันน้อยนิดของตัวเองคิดทบทวนกับเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า

   ไอ้แบงค์มันพูดเหี้ยอะไรของมันวะเนี่ย ?
   ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “เล่นมุกห่าอะหยังของมึงอีกเนี่ย”
   ผมถามกลับไปด้วยความงุนงง ด้วยคิดว่าตัวเองกำลังโดนอีกฝ่ายแกล้งอำเล่นอะไรอยู่แน่ๆ

   “ไม่ใช่มุกครับ ผมพูดจริง”
   ทว่าเจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนไปแต่อย่างใดหนำซ้ำยังดูจะมีท่าทีที่จริงจังมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

   “พูดจริง? มึงพูดจริงเรื่องเหี้ยอะหยังวะ”
   “ก็เรื่องที่นันท์อยากรู้ว่าผมกำลังแอบชอบใครบางคนอยู่ และคนๆ นั้นที่ว่าคือใครยังไงล่ะครับ...”
   แบงค์เว้นจังหวะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางก้มหน้าลงไปมองรูปภาพในกล้อง

   “และนี่ล่ะครับ คือคนที่ผมกำลังแอบชอบอยู่”
   พูดจบแบงค์ก็หันหน้าจอแสดงผลของกล้องมาให้ผมได้เห็นชัดๆ ซึ่งภาพที่ปรากฏตรงหน้า ก็ยังคงเป็นรูปของผมเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง

   “น่ะ นี่มึงกำลังล่อเล้นห่าอะหยังกูอยู่ใช่มั้ยเนี่ย”
   ผมถามกลับไปอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบไป จะมีก็เพียงแค่สายลมที่กำลังพัดผ่านต้นไม้ในละแวกนี้จนทำให้เกิดเสียงกิ่งไม้เสียดสีเบาๆ แทรกเข้ามา

   “ผมไม่ได้ล้อเล่นครับ รู้ตัวสักทีเถอะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งต่างๆ ที่ผมทำลงไปมันคืออะไร”
   พูดจบ แบงค์ก็ละฝ่ามือหนาของตัวเองจากกล้องที่กำลังถืออยู่เพื่อหมายจะลูบหัวผมเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

   “เฮ้ย!”
   ทว่าครั้งนี้ผมกลับใช้มือตัวเองสะบัดฝ่ามือนั้นออกไปทันที ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป

   “......”
   “เฮ้ย เอ่อ กู... กู...”
   แบงค์นิ่งเงียบไป ในขณะที่ผมพยายามเรียบเรียงความคิดและคำพูด แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า ในเวลาและสถานการณ์แบบนี้ ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ เหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก

   “กลับกันเถอะครับ เย็นมากแล้ว เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
   แบงค์ตัดบทพร้อมหยิบสายสะพายกล้องขึ้นคล้องคอก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือมาทางผมโดยหวังว่าผมจะจับฝ่ามือนั้นเพื่อดึงตัวเองให้ลุกขึ้นตาม

   แต่ผมกลับเลือกที่จะลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดที่จะจับฝ่ามือนั้นของอีกฝ่าย ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับหน้าถอดสีอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะรีบยิ้มกลับมาให้ผมเหมือนทุกครั้งอย่างรวดเร็ว

   ทว่ารอยยิ้มนั้นมันกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนและเหมือนพยายามจะเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้

   แบงค์หันหลังให้ผมก่อนจะเดินนำหน้าไปยังจุดจอดรถ โดยมีผมเดินตามไปอย่างเงียบๆ พร้อมความรู้สึกบางอย่างที่ยังคงคั่งค้างอยู่ภายในใจ


   หลังจากวันนั้นจนถึง ณ ตอนนี้ ทั้งผมและแบงค์ เราทั้งสองต่างก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย
   ไม่สิ หากจะเรียกให้ถูก คือผมเองต่างหากที่กำลังพยายามหลบเลี่ยงที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายเสียเองมากกว่า

   ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาผมพยายามกลับมาคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต ก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างได้มากขึ้น

   หากสิ่งที่แบงค์พูดนั้นเป็นความจริง ก็คงเป็นผมคนนี้เองนี่ล่ะ ที่โง่มาก มากเสียจนไม่เคยคิดจะสังเกตอะไรที่ผ่านมาเลยสักครั้งทั้งๆ ที่การกระทำทุกอย่างของอีกฝ่ายมันชัดเจนมาตลอดแท้ๆ แต่ผมกลับมองไม่เห็นถึงความรู้สึกนั้นเลยสักนิด

   แต่หากจะถามว่าผมคิดอย่างไรเมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นของแบงค์แล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ ?

   ผม...ผม...
   ผมกลับตอบไม่ได้ครับ

   ผมยอมรับครับ...ว่าผมรู้สึกดีกับแบงค์

   ผมยอมรับครับ...ว่าผมมีความสุขเวลาที่ได้อยู่กับแบงค์

   ผมยอมรับครับ...ว่าบางครั้งผมก็รู้สึกหงุดหงิดเวลาที่แบงค์มีทีท่าจะไปสนิทกับคนอื่นแทนที่จะเป็นผม

   และผมก็ยอมรับครับ...ว่าผมรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่พอสมควรเมื่อรู้ว่าแบงค์กำลังแอบชอบใครอยู่

   แต่นั่นมัน...
   มันก็เป็นความรู้สึกที่เพื่อนมีให้ต่อเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ?

   มันจะเป็นไปได้ยังไงกับความรู้สึกในรูปแบบที่มากกว่านั้น ในเมื่อทั้งผมและแบงค์ เราก็ต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ถึงแม้จะจริงอยู่ว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน และผมเองก็เคยเห็นเรื่องราวแบบนี้อยู่รอบตัวมาบ้างเหมือนกัน ทั้งจากในทีวี ซีรี่ส์ในเน็ตที่พวกเพื่อนผู้หญิงชอบแชร์กันมา หรือจะเพื่อนในห้องที่บางคนก็เป็นแบบนี้   ซึ่งถ้าว่ากันตามความจริงผมเองก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจกับเรื่องแบบนี้หรอก

   แต่พอเป็นเรื่องราวของตัวเองแล้วมันก็ ...
   ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกสับสน และเมื่อผมยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะหลบหน้า และเลี่ยงที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายเสียเองมากกว่า

   นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ แล้วมันถูกต้องหรือไม่
   ช่างเป็นคำถามที่ดูมืดมนเสียเหลือเกินสำหรับผมในเวลานี้

   
   “แม่ นมถั่วเหลืองในตู้เย็นหมดแล้วเหรอ”
   ผมหันไปเอ่ยถามคุณกมลชนกทันทีที่เปิดประตูตู้เย็นแล้วไม่เจอสิ่งที่กำลังค้นหา

   “แล้วเราเห็นมันมั้ยล่ะ”
   “ก็บ่เห็นไง ถึงได้ถามเนี่ย”

   “ก็ถ้าบ่เห็น ก็แสดงว่าบ่มี ถ้าบ่มี ก็แสดงว่าหมดยังไงล่ะ ถามอะหยังแปลกๆ ลูกคนนี้เนี่ย”
   เอ้า ก็ถามดีๆ แท้ๆ แล้วกลายเป็นกูโดนด่าได้ยังไงเนี่ย

   “เออๆ ไว้พรุ่งนี้แม่ไปจ่ายตลาดเดี๋ยวซื้อมาเพิ่มให้ มานี่เลย มาช่วยแม่ยกกับข้าวไปวางบนโต๊ะเลยมา”
   ผมปิดประตูตู้เย็นแล้วเดินไปช่วยคุณกมลชนกยกกับข้าวอย่างว่าง่าย พลางนึกสงสัยถึงเจ้านมถั่วเหลืองปริศนาว่ามันหายไปไหนกัน เพราะผมจำได้แม่นว่าเมื่อเช้ามันยังมีเหลืออยู่อีกสองกล่องในตู้เย็นแน่ๆ กะว่าจะเก็บไว้กินตอนเย็นแท้ๆ
 
   “เออ จะว่าไปช่วงนี้ผลการเรียนเราดีขึ้นนะ”
   “หืม แม่รู้ได้ไงน่ะ”
   “แม่ก็ส่งไลน์ไปถามอาจารย์ของแกน่ะสิ”
   อื้อหือ คุณกมลชนก เดี๋ยวนี้หัดทันสมัยกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย มีเล่นลงเล่นไลน์กับเขาด้วย ว่าแต่อาจารย์คงไม่ได้แอบฟ้องอะไรไม่ดีให้คุณกมลชนกฟังใช่มั้ย ชักระแวงๆ แฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “แล้วอาจารย์แกว่ายังไงมั่งน่ะ”
   ผมเลียบๆ เคียงๆ ถามเพื่อความแน่ใจ

   “อาจารย์เขาก็บอกมานะว่าดีขึ้นเยอะ ถึงจะบ่ได้ดีเลิศอะหยังมากมายก็เหอะ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
   “แค่นั้นเหรอ”
   “ก็แค่นั้น จะให้มีอะหยังมากกว่านั้นอีกเหรอไง”
   “ป่ะ เปล่า ก็แค่ถามดู”
   รู้สึกโล่งใจไปเปราะนึง

   “ถามแบบนี้ แสดงว่าไปก่อเรื่องอะหยังที่บ่ดีมารึเปล่าน่ะ”
   นั่นไง งานเข้ากูแล้วมั้ยล่ะ

   “เฮ้ย เปล่า บ่มี๊ บ่มีอะหยัง”
   “แน่นะ”
   “ก็แน่ดิ บ่มีจริงๆ หนูออกจะเป็นเด็กดีน่ารักซะขนาดนี้ จะไปก่อเรื่องก่อราวที่ไหนได้ยังไงกันล่ะ”
   ผมรีบตอบปัดกลับไปทันทีด้วยความรวดเร็ว รู้สึกเหมือนกับว่าหากยิ่งพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ก็จะยิ่งกลายเป็นกำลังหาเรื่องให้ตัวเองยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ไม่น่าไปพูดหาเหาใส่หัวเลยวุ้ย

   “เออ บ่มีก็ดีแล้ว บ่งั้นเราได้ถูกจับส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ แน่นอน”
   ผมรีบกลืนน้ำลายทันทีด้วยความยากลำบากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ช่างเป็นอะไรที่ฟังแล้วรู้สึกไม่รื่นหูเลยสักนิด ไม่เอาไม่พูดแบบนั้นนะ คุณกมลชนกสุดที่รัก


   หลังจากที่จัดการกับหน้าที่ประจำวันเสร็จเรียบร้อยดีแล้วนั้น ผมก็กลับเข้ามายังห้องนอนของตัวเองพร้อมเดินไปเปิดคอมพ์ฯ ด้วยความรวดเร็วก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ตรงฝาผนังมาพาดคอเอาไว้แล้วกลับมานั่งหน้าคอมพ์ฯ ทันที ผมลากเมาส์วนไปวนมาอยู่ครู่หนึ่งอย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะกดเข้าดูเว็บนั้นเว็บนี้อยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ ผมจึงปิดคอมพ์ฯ พร้อมลุกตัวขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปอาบน้ำ

   หลังอาบเสร็จ ผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนพยายามข่มตาลงถึงแม้ภายในหัวจะมีอะไรให้ครุ่นคิดอยู่มากมายก็ตามทีโดยไม่ลืมที่จะเสียบสายชาร์จมือถือพร้อมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วย
   เฮ้อออ
   

   เช้าวันต่อมา
   ผมตื่นขึ้นด้วยความงัวเงียอย่างคนนอนไม่เต็มอิ่ม เพราะกว่าผมจะข่มตาลงหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบๆ ตีสองเห็นจะได้ ส่งผลให้ผมลุกออกจากเตียงอย่างไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่นัก หลังจากจัดแจงตัวเองเสร็จเรียบร้อยผมก็ลงมากินข้าวเช้าตามปกติก่อนจะไปโรงเรียนเหมือนเช่นทุกวัน

   “สรุป เมื่อวานมึงก็ยังคงโดดชมรมเหมือนเดิม”
   ไอ้เต้ยเอ่ยทักทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในห้องเรียน

   “อืม”
   ผมตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับวางกระเป๋าไว้ข้างโต๊ะเรียน พลางคิดในใจว่าคงต้องโดนไอ้เต้ยเทศนาอะไรยาวเหยียดแน่ๆ ทว่าผิดคาด วันนี้ไอ้เต้ยกลับไม่ด่า ไม่แขวะอะไรผมเลยสักนิด ผิดวิสัยไอ้เต้ยยังไงชอบกลแฮะ แต่ช่างมันเถอะ ผมขี้เกียจจะไปสนใจเรื่องนั้น

   “ช่วงนี้คุณเพื่อนนันท์ดูไม่ค่อยสดชื่นเลยนะครับ”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นโดยที่สายตาของมันไม่ได้หันมามองผมเลยสักนิด นั่นเพราะมัวแต่จับจ้องอยู่กับเกมในมือถือของตน

   “เปล่า”
   “ทะเลาะอะไรกับคุณเพื่อนแบงค์อยู่รึเปล่าครับ”

   อึก!
   ผมนิ่งเงียบไปทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ในขณะที่ไอ้เต้ยเองก็ดูมีทีท่าสนใจในคำถามนั้นเช่นกัน

   “ปะ เปล่า”
   “แน่ใจนะครับ”
   ไอ้โอ๊ตถามย้ำด้วยเสียงเรียบโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือเช่นเดิม ผมรู้สึกวูบไหวขึ้นมาเล็กน้อยสัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่เหนอหนะไปด้วยเหงื่อ

   “ก็..เออดิวะ มีอะหยัง”
   ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพลางหันไปมองยังเจ้าตัวคนถามที่ยังคงก้มหน้าอยู่โดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นหันมามองคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย

   “ก็ไม่มีอะไรครับ ก็แค่เมื่อวานตอนเย็นผมมีธุระกับคุณเพื่อนแบงค์เลยเดินไปหาโรงอาหาร แต่ไม่เห็นคุณเพื่อนนันท์ ก็เลยลองถามคุณเพื่อนแบงค์เขาดูว่าคุณเพื่อนนันท์ไปไหน แต่กลายเป็นว่าคุณเพื่อนแบงค์เองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

   “......”
   “พอถามอีกที ก็กลายเป็นรู้ว่าคุณเพื่อนนันท์เองก็ไม่ได้ไปติวกับคุณเพื่อนแบงค์หลายวันแล้วเลยสงสัยขึ้นมาเฉยๆ น่ะครับว่าทะเลาะอะไรกันอยู่รึเปล่า ก็แค่นั้นล่ะครับ”
   พูดจบ ไอ้โอ๊ตก็เงยหน้าขึ้นหันมามองผมด้วยสายตานิ่งเฉยราวกับเหมือนจะไม่ได้สนใจใครรู่อะไรมากนักแต่ผมกลับรู้สึกว่าสายตาที่ดูนิ่งเฉยนั้นกำลังมองตัวผมเข้ามาข้างในได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

   “......”
   “......”

   ทั้งผมและไอ้โอ๊ตต่างก็นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่งจนกระทั่งเสียงกริ่งร้องดังขึ้นซึ่งก็เป็นอันที่ทราบกันดีว่าถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว เจ้าตัวใช้ปลายนิ้วขยับแว่นกลมหนาบนใบหน้าของตัวเองนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงของตน

   “เอาเถอะครับ ผมคงคิดไปเองถ้าคุณเพื่อนนันท์ว่าแบบนั้น ผมก็คงไม่มีอะไรสงสัยแล้ว ไปกันเถอะครับ ถึงเวลาเข้าแถวแล้ว”
   พูดจบเจ้าตัวก็ลุกเดินผ่านผมไปพร้อมกับใช้ฝ่ามือตบมายังบ่าของผมเบาๆ ในขณะที่ไอ้ยีสต์เองก็เดินตามออกไปติดๆ
   จะเหลือก็แต่ไอ้เต้ยที่ยังคงยืนพิงโต๊ะนักเรียนมองผมด้วยสายตาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว

   “อะหยังของมึง มองกูแบบนั้นมีอะหยังก็ว่ามาเลย”
   “กูบ่รู้นะว่าเกิดอะหยังกันขึ้น และที่จริงกูก็บ่ได้ซีเรียสอะหยังมากมายนักหรอกเรื่องที่มึงบ่มาชมรมน่ะ แต่กูอยากมึงช่วยแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมออกจากกันหน่อยเหอะ”
   พูดจบเจ้าตัวถอนหายใจยาวๆ ทีหนึ่งก่อนจะดันตัวเองให้ยืนขึ้นแล้วเดินผ่านผมไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “อะหยังวะ ทำไมถึงได้ทำเหมือนกูผิดอะหยังขนาดนั้นวะเนี่ย”
   ผมบ่นอุบกับตัวเองเบาๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนที่จะเตะเข้าไปที่กระเป๋านักเรียนของตัวเองที่วางอยู่ข้างโต๊ะอย่างเต็มแรงแต่พลาดเล็กน้อยเลยทำให้ปลายก้อยไปโดนเข้ากับขาโต๊ะด้วย ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันทีด้วยความเจ็บปวด

   “......”

   ทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้ความจริงถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแท้ๆ แต่ทำไมทุกคนถึงได้ต่างก็จ้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นกันนะ

   สายตาที่ราวกับยัดเยียดความผิดทุกอย่างให้กับผม

   “เหี้ยเอ้ย”
   ผมขมวดคิ้วกำหมัดแน่นพร้อมขบเขี้ยวสบถให้กับตัวเองเบาๆ

จบคาบเรียนที่ยี่สิบ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 21 Knight Night Nice (6-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 06-12-2018 01:26:25
คาบเรียนที่ยี่สิบเอ็ด

   “กูกลับก่อนนะ”
   ผมเอ่ยลากับทุกคนทันทีที่จบคาบเรียนสุดท้ายก่อนจะสะพายกระเป๋านักเรียนไว้กลางหลังแล้วเดินออกจากห้องเรียนด้วยความรวดเร็ว

   “พี่นันท์ครับ”
   เสียงที่คุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อของผมมาจากด้านหลังในจังหวะที่ผมกำลังจะสตาร์ทรถ

   “ว่าไง”
   ผมหันไปตอบรับให้กับเสียงนั้นเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงคือไอ้น้องไนท์นั่นเอง

   “พี่กำลังจะไปไหนน่ะครับ”
   “ก็กลับบ้านน่ะสิ ถามได้”
   “อ้าว แล้วพี่บ่ไปชมรมเหรอครับ”
   อึก!
   ผมนิ่งเงียบไปในทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

   “กูมีธุระด่วน ต้องรีบกลับ ว่าแต่มึงเหอะ มาทำอะหยังแถวนี้”
   “ผมมาเอาของใต้เบาะรถน่ะครับ เดี๋ยวก็จะกลับไปที่ชมรมแล้ว ว่าแต่พี่เหอะ ช่วงนี้บ่เห็นหน้าเห็นตากันเลยนะครับ”
   “กูบ่อยู่สักคน ชมรมก็บ่ได้เดือดร้อนอะหยังมากมายหรอก อย่างมากก็แค่บ่มีคนคอยซื้อขนมให้ก็แค่นั้นน่ะล่ะ”
   ผมตอบกลับเป็นเชิงตัดพ้อเล็กน้อย ในขณะที่ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไป

   “พี่นันท์ครับ”
   “หือ?”
   “ไปดูหนังกัน”
   “ห๊ะ!?”
   ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยมองอีกฝ่ายที่กำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่

   “ก็พอดีมีหนังใหม่เพิ่งเข้า และผมก็อยากดูอยู่พอดีน่ะครับ แต่บ่มีใครยอมไปเป็นเพื่อนกับผมสักคน ผมก็เลยมาชวนพี่นันท์นี่ยังไงล่ะครับ”
   ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังควงกุญแจรถด้วยปลายนิ้วอย่างสบายอารมณ์อีกด้วย

   “อ้าว แล้วชมรมล่ะ ไหนมึงบอกว่าแค่มาเอาของใต้เบาะรถเฉยๆ”
   ทันทีที่ผมถามคำถามนั้นออกไป ไอ้น้องไนท์ก็รีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะทำท่าเหมือนพิมพ์ข้อความหาใครสักคนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บมันใส่ไว้ที่เดิมด้วยความรวดเร็ว

   “ช่างมันครับ ตอนนี้ผมอยากดูหนังมากกว่า ไปกันเถอะครับ”
   “แต่กูบ่มีเงินนะเว้ย”
   “เออน่ะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
   พูดจบไอ้น้องไนท์ก็ดึงข้อมือผมเดินไปยังรถของตัวเองทันทีอย่างรวดเร็วจนผมเกือบจะหยิบกุญแจรถของตัวเองจากช่องเสียบออกมาแทบไม่ทัน เจ้าตัวหยิบหมวกกันน็อกขึ้นสวมทันทีที่มาถึงรถก่อนจะหยิบหมวกกันน็อกอีกใบที่เหลือยื่นมาให้ผม

   “พกหมวกอะหยังตั้งสองใบวะ”
   ผมถามด้วยความสงสัยก่อนจะรับมันมาอย่างงงๆ

   “ก็เพื่อความปลอดภัยของคนซ้อนยังไงล่ะ โดยเฉพาะพี่ ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ”
   “ไอ้สัส พูดซะเหมือนกูเป็นเด็กอนุบาลเลยนะมึง”

   “เปล่าครับ บ่ได้หมายความแบบนั้น ไปเถอะ รีบไปกัน เดี๋ยวบ่ทันรอบหนังฉาย”
   ไอ้น้องไนท์รีบสตาร์ทเครื่องรอด้วยความเร่งรีบ ผมจึงรีบก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายอย่างรวดเร็วด้วยความว่าง่ายอย่างงุนงง ก่อนที่ไอ้น้องไนท์จะรีบบิดรถออกจากลานจอดอย่างเร่งด่วนจนผมเกือบหงายหลังตัวปลิวเพราะตั้งตัวไม่ทัน

   ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนลักพาตัวยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่คิดอีกที คนถูกลักพาตัวที่ไหนมันจะสมยอมขึ้นซ้อนท้ายรถอย่างว่านอนสอนง่ายแบบนี้กันล่ะวะ

   เออ ช่างมันเหอะยังไงก็รู้สึกเบื่อๆ อยู่พอดี


   ณ ห้างเมญ่า

   “พี่นันท์อยากดูเรื่องอะหยังครับ”
   ไอ้น้องไนท์หันมาถามผมเมื่อเราทั้งสองเดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วหนัง

   “เอ้า ไหนมึงบอกว่ามีหนังที่อยากดูบ่ใช่เหรอวะ”
   “ก็จริงอยู่ แต่เผื่อเกิดพี่อยากมีหนังที่อยากดูยังไงล่ะครับ”

   “มึงนั่นล่ะ อยากดูเรื่องอะหยังกะบอกพนักงานเขาไป บ่ต้องมาถามกูเลย เร็ว พนักงานเขารออยู่ คิวข้างหลังเขาก็รอเหมือนกันเนี่ย”
   ผมพูดพลางชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวอยู่ด้านหลัง ในขณะที่พนักงานได้แต่อมยิ้มเล็กๆ ให้กับคำพูดของผม

   “งั้น เอาเรื่องนี้แถวบนสุดตรงกลางสองที่ครับ”
   ไอ้น้องไนท์หันไปคุยกับพนักงาน ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่สายตาของผมเหลือบไปสังเกตเห็นเข้าพอดีว่าหนังที่ไอ้น้องไนท์นั้นอยากดูคือเรื่องอะไร

   “อ๊ะ”
   ผมเผลอส่งเสียงออกมานิดหนึ่งก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากด้วยความรวดเร็ว

   “เป็นอะหยังพี่”
   ผมส่ายหน้าเล็กน้อยกลับไปเป็นคำตอบทันทีที่ไอ้น้องไนท์หันมาถามเมื่อเจ้าตัวเห็นท่าทีนั้นของผมก่อนจะหันไปจ่ายเงินแล้วรับตั๋วหนังมาจากพนักงาน

   “นี่มึงอยากดูหนังเรื่องนี้จริงๆ เหรอวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมเดินออกจากเคาน์เตอร์เพื่อตรงไปยังจุดตรวจตั๋ว

   “ครับ อยากดูมากๆ แต่บ่มีใครยอมมาดูเป็นเพื่อนผมเลยสักคน ผมก็เลยต้องลากพี่มาเป็นเพื่อนนี่ล่ะ”
   “อ๋อเหรอ”
   ผมตอบรับกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเดินตามคนตัวสูงที่เดินนำหน้าไป โดยไม่กล้าบอกอีกฝ่ายว่าหนังเรื่องที่เจ้าตัวอยากดูนั้น ผมเพิ่งดูไปเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมานี่เอง

   ใช่แล้ว หนังรักที่ผมเพิ่งดูกับแบงค์ไปนั่นเองยังไงล่ะครับ
   “......”

   ทำไมอยู่ๆ ถึงได้รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมากันนะ แต่เอาเถอะ ถือว่าเสียว่ามาดูเป็นเพื่อนไอ้น้องไนท์มันละกันอย่าไปคิดอะไรให้มันมากมาย

   เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็เดินตามไอ้น้องไนท์เข้าไปยังโรงหนังทันที


   “หนังสนุกปะครับ พี่นันท์”
   ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามหลังจากที่เราทั้งสองดูหนังจบ

   “อือ ก็ดี”
   ผมตอบกลับไปสั้นๆ

   “ตอบแบบนี้แสดงว่าบ่สนุกชัวร์”
   “เฮ้ย หนังสนุกจริงๆ”
   “แต่ดูสีหน้ากับท่าทางของพี่มันกำลังฟ้องอยู่นะครับว่าบ่สนุก”

   อึก!

   “น่ะ นี่สีหน้ากูดูออกขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
   “ก็เปล่าหรอกครับ ผมก็แค่เดาๆ เอา แต่ถ้าพี่ตอบกลับมาแบบนี้ก็แสดงว่าบ่สนุกชัวร์เลยล่ะ”
   เอ้า ไอ้เด็กเวรนี่ หลอกถามกูนี่หว่า แถมยังมาทำหน้ากวนตีนใส่อีก เดี๋ยวปั๊ดต่อยตาแตกเสียเลยนี่   

   แต่ก็อาจจะจริงอย่างที่เจ้าตัวว่าเอาไว้นั้นล่ะ


   น่าแปลก ทั้งๆ ที่เป็นหนังเรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่ตอนที่ผมดูครั้งแรกผมกลับร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแท้ๆ แต่ไหงรอบนี้ถึงได้รู้สึกเฉยๆ ไม่อิน ไม่ยินดียินร้ายอะไรด้วยมากนัก
   จะว่าเพราะรู้เรื่องมาก่อนแล้วก็ไม่น่าจะใช่ เพราะก็มีหนังหลายๆ เรื่องที่ผมมักจะหยิบมาดูซ้ำๆ แต่ก็ยังรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นไปกับมันทุกรอบแท้ๆ

   หรืออาจจะเป็นเพราะ ...

   “มีอะหยังบ่สบายใจรึเปล่า ถ้าบ่รังเกียจ พี่ปรึกษาผมก็ได้นะครับ”
   พูดจบไอ้น้องไนท์ก็เปลี่ยนสีหน้าจากกวนๆ มาเป็นสีหน้าจริงจังทันที ผมรู้สึกอ้ำอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีนั้นของอีกฝ่าย

   “ป่ะ เปล่า กูบ่ได้เป็นอะหยังหรอก แค่รู้สึกเบื่อๆ เท่านั้นล่ะ”
   “เรื่องที่ชมรมเหรอ”
   “ไหงถึงคิดงั้นล่ะวะ”
   ผมหันไปหรี่ตาขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

   “อ้าว ก็เห็นช่วงนี้พี่บ่มาที่ชมรมเลยยังไงล่ะครับ ผมก็เลยสงสัยว่าเพราะเรื่องนี้หรือเปล่าน่ะ”
   ไอ้น้องไนท์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย

   “ก็บ่เชิงซะทีเดียวหรอก ว่าแต่มีใครพูดอะหยังถึงกูมั่งรึเปล่าน่ะ”
   “บ่มีนะพี่ จะมีก็แต่พี่เต้ยน่ะครับ ที่ดูจะบ่นๆ อยู่บ้างตามประสา”
   “แล้ว...ไอ้แบงค์...ล่ะ ว่ะ...ว่าอะหยังมั่งมั้ย”
   ผมเลียบๆ เคียงๆ ถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไอ้น้องไนท์หันมาขมวดคิ้วใส่ผมทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

   “พี่จะอยากรู้ไปทำไมอะ”
   “ป่ะ เปล่าๆ กูก็แค่ถามไปงั้นล่ะ ไปๆ กลับๆ เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”
   ผมชิงตัดบทไปเพราะขี้เกียจจะพูดต่อความยาวสาวความยืด ซึ่งก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกที่ไอ้น้องไนท์จะไม่รู้เรื่องราวอะไร ก็จะให้ไปบอกใครได้เสียที่ไหนกันล่ะ เรื่องโดนผู้ชายด้วยกันสารภาพรักเนี่ย มีหวังได้โดนหัวเราะเยาะกันพอดี

   แต่ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้วล่ะก็ ถ้าจะมีใครหัวเราะเยาะเย้ยผมให้กับเรื่องนี้ล่ะก็ ผมก็คงไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรมากมายนักหรอก เพียงแต่ผมไม่ต้องการให้ใครหัวเราะเยาะเย้ยให้กับแบงค์มากกว่า เพราะถึงแม้ผมจะไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นของแบงค์ได้ แต่เมื่อพิจารณาจากเรื่องราวที่ผ่านมาของอีกฝ่ายผมก็ไม่อยากให้ใครมองว่าการกระทำของเขาเป็นเรื่องประหลาดหรือเรื่องไร้สาระน่าขบขันเลยสักนิด

   ผมจึงเลือกที่จะไม่บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้แก่ใครเลยสักคน และนั่นก็กลายเป็นว่าผมเก็บเงียบเอาไว้คนเดียว จนทำให้ต้องกลายเป็นปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนๆ เสียแทน

   “......”   
   สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้นั้นมันถูกต้องหรือเปล่านะ

   “พี่รู้สึกว่าตัวเองบ่มีคุณค่าอะหยังในชมรมหรือเปล่าน่ะครับ”
   “ห๊ะ”
   ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความงุนงงทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

   “ก็แบบผมเห็นว่า เวลาพี่ไปที่ชมรมทีไร พี่ก็โดนพี่เต้ยเขาจิกหัวใช้ให้ทำนั่น ทำนู่น ทำนี่ไปเรื่อยอยู่ตลอดน่ะครับ ผมก็เลยสงสัยว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่บ่อยากไปที่ชมรมหรือเปล่าน่ะครับ”
   ผมเกือบจะหลุดหัวเราะก๊ากออกไปทันทีที่ได้ยินไอ้น้องไนท์ใช้คำว่า ‘จิกหัว’ แต่ก็พยายามสงวนท่าทีเอาไว้

   “บ้ามึง ถึงไอ้เต้ยมันจะชอบจิกหัวใช้กูอย่างที่มึงว่า แต่นั่นก็บ่ใช่สาเหตุที่ทำให้กูบ่ไปชมรมนะเฮ้ย”
   “ก็แล้วมันเรื่องอะหยังล่ะครับพี่ พี่ก็บอกผมมาดิ”

   “แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำห่าอะหยังละวะ”
   “ก็พี่เป็น...”

   “เป็น?”
   “เป็น...พี่ของผมยังไงละวะ ผมก็ต้องห่วงเป็นธรรมดาดิเฮ้ย”

   เอ้า มีวะมีเฮ้ย เดี๋ยวนี้หัดขึ้นเสียงนะครับ ไอ้น้องไนท์
   “มึงเนี่ยนะ เป็นห่วงกู”
   “แล้วบ่ได้เหรอวะครับ”
   มีทั้งวะ มีทั้งครับในประโยคเดียวเลยทีนี้ มึงจะหยาบหรือสุภาพก็เลือกเอาสักอย่างได้มั้ยวะกูตามไม่ทัน

   “กูก็บ่ได้ว่าอะหยังนี่ กูแค่ประหลาดใจเฉยๆ”
   “แหม พี่ นานๆ ทีผมก็อยากทำตัวให้สมกับชื่อเล่นของผมมั่งน่ะครับ”
   ผมชะงักนิ่งเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้น้องไนท์ที่กำลังยิ้มกว้างให้ผม

   “ชื่อเล่นมึง?”
   “ครับ”

   “เกี่ยวเหี้ยอะหยังวะ”
   “ก็ตามชื่อเล่นผมยังไงล่ะครับ”
   “ก็นั่นล่ะ กลางคืนมันเกี่ยวเหี้ยอะหยังกับเรื่องนี้วะ”

   “......”
   “......”
   ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างก็นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง

   “นี่พี่อย่าบอกนะครับ ว่าพี่คิดว่าชื่อเล่นผมแปลว่ากลางคืนมาตลอด”
   “อ้าว ก็แล้วมันผิดตรงไหนล่ะวะ เฮ้ย ต่อให้กูจะโง่แค่ไหน แต่กูก็พอจะรู้ล่ะน่ะ ว่าไนท์แปลว่ากลางคืน”
   ทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้น้องไนท์ก็ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง
   กูพูดอะหยังผิดตรงไหนอีกวะเนี่ย คราวนี้กูออกจะมั่นใจแท้ๆ ว่ากูไม่พลาดแน่นอน

   “ก็บ่แปลกหรอก ที่พี่จะคิดแบบนั้น เพราะใครๆ ก็มักจะคิดเหมือนพี่กันทุกคน แถมชื่อเล่นผมมันก็ไปพ้องกับคำนั้นกลายๆ ด้วย แต่จริงๆ แล้วชื่อเล่นผมนั้นสะกดด้วยตัวอักษรเค เอ็น ไอ จี เอช ทีน่ะครับ”

   “แล้วแปลว่าอะหยังวะ”
   “อัศวินครับ”
   “อืม แล้ว?”
   ไอ้น้องไนท์ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งพลางเอามือกุมขมับไปด้วย

   “ก็ชื่อผมแปลว่าอัศวิน อัศวินคือผู้ปกป้อง ผมก็เลยอยากปกป้องพี่ตามชื่อเล่นของผมยังไงล่ะวะครับ”
   พูดจบไอ้น้องไนท์ก็ยื่นมือทั้งสองข้างของตัวเองมากุมไหล่ผมไว้แน่นพร้อมด้วยสายตาที่ดูจริงจัง ผมรู้สึกอึ้งเล็กน้อยจนเผลอกลืนน้ำลายอึกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

   “......”
   “......”

   “ไอ้น้องไนท์”
   “ครับ”

   “......”
   “......”

   “มุกเหี้ยอะหยังของมึงเนี่ย”
   ผมขมวดคิ้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าเหวอเล็กน้อย แต่ก็ยังมีคนที่เหวอกว่าซึ่งก็คือไอ้น้องไนท์เห็นทำหน้าเหวอไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ

   “พี่นี่นะ”
   สงสัยเจ้าตัวคงจะรู้สึกเสียใจที่เล่นมุกแป๊กอยู่ก็เป็นได้แฮะ
   “เออ ช่างกูเหอะ ไป รีบพากูไปส่งที่โรงเรียนเร็วเหอะ เย็นมากแล้วเนี่ย”
   ผมตัดบทไปอย่างง่ายๆ ก่อนที่จะออกตัวเดินนำหน้าอีกฝ่ายไปยังลานจอดรถ


   ไอ้น้องไนท์พาผมกลับมายังลานจอดรถของโรงเรียน ผมถอดหมวกกันน็อกพร้อมยื่นคืนให้กับเจ้าของซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะมีความสุขยังไงก็ไม่รู้ สังเกตได้จากรอยยิ้มบนใบหน้านั้น

   “เออ ยังไงก็ขอบใจมึงมากนะสำหรับตั๋วหนังวันนี้”
   “บ่เป็นหยังพี่ ผมเองต่างหากล่ะที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณพี่มากกว่าที่ยอมไปดูหนังเรื่องนี้เป็นเพื่อนผมน่ะ”

   “เออ งั้นกูกลับบ้านแล้วนะ เดี๋ยวถ้าดึกมากกว่านี้ กูได้โดนแม่ด่าแน่ๆ”
   “โตป่านนี้แล้วยังกลัวโดนแม่ดุอยู่อีกเหรอพี่”
   อ๊ะ ไอ้นี่ ลามปาม เดี๋ยวปั๊ดต่อยตาแตกเลยนี่ แต่ในจังหวะนั้นเอง

   TRRRRRR
   เสียงมือถือของไอ้น้องไนท์ก็ดังแทรกขึ้นมา เจ้าตัวรีบล้วงหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกดรับสายอย่างรวดเร็ว

   “ครับแม่ กำลังจะกลับแล้ว โอเคๆ ครับ แค่นี้ก่อนนะครับ ผมติดธุระสำคัญอยู่ ครับแม่”
   พูดจบ ไอ้น้องไนท์ก็กดวางสายพร้อมกับเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่กำลังกลั้นขำอยู่

   “อะหยังพี่”
   ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย

   “ไอ้ห่า ว่าแต่กู มึงเองก็เหมือนกันเหอะ”
   พูดจบ ผมก็ปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาทันที ทำเอาไอ้น้องไนท์ถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

   “เอ่อ พี่นันท์ครับ ผมมีอะหยังจะพูดกับพี่”
   พูดจบ ไอ้น้องไนท์ก็คว้าข้อมือผมเอาไว้แน่น


   จบคาบเรียนที่ยี่สิบเอ็ด

มุมสนทนานอกบท

Knight Night Nice : พี่มายด์ครับ พอดีผมมีธุระด่วนต้องไปทำน่ะครับ รบกวนฝากขอโทษพี่ๆ ในชมรมนะครับ
มายด์เอดะ : ห๊ะ!!!!? ธุระอะไร
Knight Night Nice : บอกไม่ได้ครับ ขอโทษด้วยนะพี่ ><
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 22 คนใจดี (11-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 11-12-2018 01:46:07
          คาบเรียนที่ยี่สิบสอง

 

   “คือ... ผม....”

   TRRRRRR
   เสียงมือถือดังแทรกขึ้นมาอีกรอบ แต่คราวนี้มาจากเครื่องของผม ไอ้น้องไนท์ปล่อยข้อมือของผมทันทีที่ได้ยินเสียงมือถือนั้น ผมจึงรีบล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบรับสายเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งที่โทรเข้ามาเป็นคุณกมลชนกนั่นเอง

   “ว่าใดแม่?”
   “จะกลับบ้านแล้วหรือยังน่ะเรา”

   “กำลังจะกลับเนี่ย มีอะหยังอะแม่”
   “ฝากซื้อน้ำปลาหน่อย
   “ห๊ะ!!!?”

   “น้ำปลาก็น้ำปลายังไงล่ะ บ่รู้จักน้ำปลาเรอะ
   “รู้จักๆ แค่สงสัยว่าฝากซื้อน้ำปลานี่มันถึงขั้นต้องโทรมาเลยเหรอ ไลน์มาก็ได้มั้งแม่”
   ผมเอ่ยแซวกลับไปพลางหัวเราะไปด้วยเบาๆ

   “นี่เราบ่รู้เหรอว่ามือถือเขาสร้างมาไว้ให้โทรหากัน
   อึก!!!

   “อีกอย่าง แม่ส่งไลน์ไปหาเราตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้ว แต่หมาบางตัวมันบ่ยอมกดอ่านสักทีน่ะสิ ก็เลยต้องโทรมาเนี่ย
   อึก!!!

   “โหย แค่นี้ต้องด่ากันด้วย”
   “ก็มันน่าด่ามั้ยล่ะ แค่นี้นะ อย่าลืมซื้อเข้ามาด้วยล่ะ
   “ครับๆ คุณหญิง แค่นี้นะครับ”
   หลังจากกดวางสาย ผมก็เปิดไลน์ขึ้นมาดูทันที ซึ่งก็พบว่ามีข้อความจากคุณกมลชนกส่งมาจริงๆ ด้วยแฮะ

   คนเรา อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องให้โดนด่าเสียอย่างนั้น

   “เอ่อ พี่นันท์...”
   “เฮ้ย เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ แม่โทรมาตามแล้วเนี่ย ไปละนะ บาย”
   พูดจบ ผมก็โบกมือลาพร้อมกับหันตัวเดินออกมาทันทีพร้อมกับเสียบกุญแจแล้วสตาร์ทรถขี่ออกมาอย่างรวดเร็วโดยทิ้งให้ไอ้น้องไนท์เอาไว้ข้างหลังคนเดียว

   ขอโทษด้วยนะเว้ยไอ้น้องไนท์ กูรีบจริงๆ พอดีว่าคำสั่งของคุณกมลชนกนั้นถือเป็นที่สิ้นสุด ขัดขืนไม่ได้ด้วย


   “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าแม่จะไปปายนะ”
   “ไปกี่วันน่ะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปเมื่อได้ยินคุณกมลชนกซึ่งกำลังล้างจานอยู่ในครัวพูดเช่นนั้น พลางตักข้าวเข้าปากคำโต

   “ก็น่าจะสองอาทิตย์ล่ะมั้ง เห็นยายว่าช่วงนี้ลูกค้าไปเที่ยวเยอะ ก็เลยว่าจะไปช่วยแกหน่อยน่ะ ส่วนเราน่ะ อยู่ทางนี้คนเดียว ก็ทำตัวดีๆ อย่าเถลไถลล่ะ”

   “โหย แม่ เถลไถลที่ไหน บ่มี๊ หนูออกจะเป็นเด็กดีซะขนาดนี้”
   “ให้มันจริงเถอะ เห็นป้าข้างบ้านเขาบอกว่าช่วงที่แม่บ่อยู่ เราน่ะชอบกลับบ้านค่ำตลอด”
   ผมหรี่ตาหันออกไปมองบ้านข้างๆ ผ่านหน้าต่างทันที

   “บ่ต้องหันไปมองเลย เขาบ่ได้มาฟ้อง แม่นี่ล่ะที่เป็นคนไปถามป้าเขาเอง“
   อึก โดนรู้ทันอีก ว่าแต่คุณกมลชนกรู้ได้ไงวะเนี่ย ว่ากำลังหันไปมองบ้านป้าข้างๆ


   หลังจากที่เสร็จกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็เดินกลับเข้ามาเปิดคอมพ์ฯ ในห้องแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพาดคอไว้ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งหน้าคอมพ์ฯ เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา

   ผมลากเมาส์วนไปมาก่อนจะกดเข้าเว็บเฟซบุ๊ก พร้อมเลื่อนสกรอเมาส์ขึ้นลงเพื่อดูข่าวสารความเป็นไปต่างๆ รวมไปถึงเรื่องราวของเหล่าเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก หรือจะเรียกว่า “เสือก” ก็คงจะไม่ผิด ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจเท่าไหร่นัก ผมเลื่อนเมาส์ไปยังมุมขวาบนของหน้าจอเพื่อกดปิดเว็บแล้วจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ

   ทว่า ...
   แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ ...

   สเตตัสสั้นๆ ประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าข่าวสารของผม ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้ผมเล็กน้อย เพราะสเตตัสที่ว่านั้นถูกโพสท์โดยคนๆ หนึ่งที่ปกติแล้วแทบจะไม่เคยโพสท์อะไรเลยสักนิด หากจะให้ผมพูดเพื่อให้นึกภาพออกน่ะเหรอ ก็เอาเป็นว่าตั้งแต่ผมเป็นเพื่อนกับคนๆ นี้ในเฟซบุ๊กผมเคยเห็นเขาโพสท์แค่ครั้งเดียวเมื่อหลายเดือนก่อนเห็นจะได้

   หากพูดมาถึงตรงนี้แล้วนั้น ก็น่าจะพอนึกออกแล้วใช่มั้ยครับว่าคนที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นคือใคร

   ใช่แล้วครับ คนๆ นั้นก็คือแบงค์นั่นเอง

   หากเป็นเวลาตามปกติแล้วนั้นผมเองก็คงไม่ได้สนใจอะไรมากมายนักกับสเตตัสนั้น คงจะเห็นเป็นแค่ประโยคธรรมดาๆ จากเพลงๆ หนึ่งที่เจ้าตัวฟังแล้วอาจจะรู้สึกชอบก็เลยโพสท์ลงไป

   แต่จากเหตุการณ์วันนั้น มันทำให้ตัวผมเองรู้ถึงความหมายในประโยคนั้นได้เป็นอย่างดี
   ผมเลื่อนสายตาไปยังด้านขวาของหน้าจอ ก็สังเกตเห็นจุดสีเขียวซึ่งกำลังแสดงให้เห็นถึงสถานะของอีกฝ่ายว่ากำลังออนไลน์อยู่

   “......”
   ทั้งๆ ที่เพียงแค่ผมกดคลิกไปยังรายชื่อนั้น ผมก็สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ทันทีแท้ๆ

   “......”
   แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ทำ

   ได้แต่นั่งนิ่งมองจุดสีเขียวนั้นอย่างเงียบๆ จนในที่สุดจุดสีเขียวนั้นก็หายไปซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายได้ออฟไลน์ไปแล้ว

   มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ

   ผมถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนจะกดปิดเว็บแล้วตามด้วยปิดคอมพ์ฯ จากนั้นจึงลุกตัวขึ้นไปอาบน้ำอย่างเชื่องช้า


   วันต่อมา
   ผมยังคงปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเหมือนเช่นเคย ไม่ยุ่งไม่สุงสิงใดๆ กับใครทั้งนั้น และดูเหมือนว่าแต่ละคนก็ไม่ได้คิดสนใจอะไรกับท่าทีนั้นของผมด้วย ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ เพราะผมในเวลานี้นั้นยังไม่อยากคุยกับใครจริงๆ

   “นี่ก็ใกล้จะสอบปลายภาคกันแล้วนะ อีกไม่นานพวกเธอก็จะขึ้นชั้น ม.หกกันแล้ว ยังไงก็ตั้งใจกันด้วยล่ะ เอาล่ะ แยกย้ายได้”
   ผมรีบลุกขึ้นสะพายกระเป๋านักเรียนแล้วเดินออกจากห้องทันทีเพื่อไปยังลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว

   “อ้าว นันท์ จะรีบไปไหนเหรอจ๊ะ”
   เสียงใสเอ่ยเรียกทักผมทันทีที่ผมเดินลงมาถึงชั้นล่างสุด ผมหันไปยังต้นเสียงนั้นก็พบว่าคนที่เอ่ยเรียกผมคือมายด์นั่นเอง

   “เอ่อ รีบกลับบ้านน่ะ พอดีมีธุระ”
   ผมพยายามตอบปัดพร้อมหลบสายตาคู่สนทนาเล็กน้อย

   “ช่วงนี้บ่ค่อยเห็นที่ชมรมเลยนะ”
   อึก!!!

   “ก็...ก็อย่างที่บอกน่ะล่ะ ช่วงนี้มีธุระที่บ้านนิดหน่อยน่ะเลยบ่ค่อยได้ไป ทำไม คิดถึงเหรอ”
   ผมพยายามแซวเพื่อเปลี่ยนเรื่อง คู่สนทนาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เผยยิ้มกลับมา

   “ก็คิดถึงนะ พอนันท์บ่อยู่แล้วบรรยากาศในชมรมมันดูเหงาๆ ยังไงก็บ่รู้น่ะ”
   นี่ชมหรือด่า

   “แต่...”
   มายด์ทิ้งช่วงไปครู่หนึ่งพร้อมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มพร้อมจ้องมองผมด้วยแววตาที่ดูสดใส

   “มีคนนึงที่ดูจะเหงาและคิดถึงนันท์มากกว่ามายด์อยู่เหมือนกันนะ”
   “ค่ะ ใครน่ะ...?”
   ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่สิ่งได้รับกลับมาก็มีแต่เพียงรอยยิ้มของอีกฝ่ายเท่านั้น

   “นันท์ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าใคร เอาเป็นว่ารีบๆ กลับมาที่ชมรมนะ มีคนเขารออยู่ ไปละ บายจ๊ะ”
   พูดจบ มายด์รีบหันหลังเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งผมให้ยืนนิ่งอยู่คนเดียว

   “......”
   ใช่ มายด์พูดถูก ผมรู้ดีว่าคนๆ นั้นที่มายด์พูดถึงนั้นหมายถึงใคร

   แต่จะว่าไปจากการพูดจาของเธอ ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องอะไรกลายๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ แบงค์ได้บอกอะไรกับเธอบ้างหรือเปล่านะ แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะคนที่ปกติเอาแต่นิ่งเงียบไม่ค่อยพูดจาอะไรกับใครมากนักอย่างแบงค์ไม่น่าจะพูดเรื่องนี้กับใครแน่ๆ

   หรือจะเป็นแค่การคาดเดาของเธอคนเดียวรึเปล่านะ
   ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สงสัยที่มีคนเคยพูดเอาไว้ว่าผู้หญิงมักจะมีสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไวก็อาจจะเป็นความจริงก็เป็นไปได้แฮะ

   ผมเดินทอดน่องพลางครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยอยู่ในหัว พอรู้ตัวอีกที ก็เผลอมาหยุดอยู่แถวบริเวณโรงอาหารเสียแล้ว
   ให้ตายสิ ทั้งๆ ที่คิดจะเดินไปยังลานจอดรถแท้ๆ แต่ไหงสัญชาตญาณมันถึงได้พามาตรงนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ ฉิบหายแล้ว เกิดเจอแบงค์ขึ้นมาจะทำหน้ายังไงวะเนี่ย

   ผมหันมองไปยังรอบบริเวณได้ใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายพร้อมด้วยคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวทันที ซึ่งคำถามนั้นก็คือ

   แบงค์ไปไหน ?
   ปกติเจ้าตัวจะมานั่งทบทวนตำราเรียนที่นี่ทุกเย็นไม่เคยขาดเลยสักครั้งนี่หว่า แล้ววันนี้หายไปไหนวะ

   “......”
   ว่าแต่กูจะอยากรู้ไปทำไมวะเนี่ย รีบเผ่นออกไปจากที่นี่ก่อนเจ้าตัวจะมาดีกว่า

   ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็รีบสาวเท้าด้วยความเร็วเพื่อเดินออกจากบริเวณโรงอาหารให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
   และในจังหวะที่กำลังหมุนตัวนั่นเอง
   !!!!

   “นายนันทการ มาทำอะหยังตรงนี้น่ะ บ่กลับบ้านกลับช่องเหรอ”
   เสียงของอาจารย์ประจำชั้นที่กำลังยืนดักผมไว้เอ่ยถามขึ้นโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงเล่นเอาหัวใจผมแทบจะหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยทีเดียว

   “ตกใจอะหยังน่ะ นายนันทการ ไปทำอะหยังผิดมาหรือเปล่าน่ะเรา”
   “ผิดเผิดอะหยัง บ่มี๊ ผมออกจะเป็นเด็กดีซะขนาดนี้ ‘จารย์น่ะล่ะ อยู่ๆ ก็โผล่มาข้างหลัง ผมก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาสิ”
   พูดจบ อาจารย์ก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นของผม

   “เออ บ่ได้ทำอะหยังผิดก็ดีแล้ว เพราะงั้นมานี่เลย มาช่วยครูขนของหน่อยนะ”
   “เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย”
   “บ่เกี่ยว แต่มาเถอะ”
   “ค้าบบบ แต่ขอคะแนนจิตพิสัยด้วยนะค้าบบบ”
   “เดี๋ยวตีหัวแตกเลยนี่”
   “ฮ่าฮ่าฮ่า”
   ว่าแล้ว ผมก็เดินตามหลังอาจารย์ไปด้วยความเฮฮาอย่างเด็กว่านอนสอนง่าย เห็นมั้ย บอกแล้ว ว่าเป็นเด็กดีจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า

   แต่ก็เฮฮาได้แค่แป๊บเดียวนั่นล่ะ เพราะทันทีที่อาจารย์เปิดประตูห้องพักครูเข้าไป ผมก็พบใครบางคนที่กำลังยืนอยู่ตรงบริเวณโต๊ะของอาจารย์ประจำชั้นของผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว

   ใช่ คนๆ นั้นที่ว่า ก็คือแบงค์นั่นเอง

   “......”
   “......”
   ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบด้วยความความตกใจเล็กน้อยกันทั้งคู่ ไม่มีเสียงใดๆ ภายในห้องนอกจากเสียงจัดเอกสารของอาจารย์ประจำชั้น

   “อะ เอาไปไว้ที่ห้องชมรมภาษาที่ชั้นสี่ให้หน่อยนะ เสร็จแล้วก็ไปเอาน้ำปั่นฟรีได้ที่ร้านค้าที่โรงอาหารได้เลย ครูบอกเขาไว้แล้ว ขอบใจมาก”
   พูดจบ อาจารย์ก็นั่งลงเช็คเอกสารอีกกองที่ตั้งอยู่ข้างๆ ทันทีโดยไม่ทันได้สังเกตถึงบรรยากาศที่ดูเงียบงันประหลาดๆ นี้

   “ไปกันเถอะครับ”
   แบงค์เอ่ยทักผมพร้อมกับยกกองเอกสารขึ้นมาก่อนจะเดินผ่านผมออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว ลมที่เกิดขึ้นจากการเดินผ่านตัวผมของแบงค์นั้นทำให้ผมได้กลิ่นหอมจากตัวของอีกฝ่าย

   กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี

   “......”
   “เอ้า ยืนนิ่งอะหยังอยู่ล่ะ รีบๆ ตามติวเตอร์เราไปสิ”
   อาจารย์เอ่ยเรียกสติของผมให้กลับมาด้วยสีหน้าสงสัยในท่าทีของผมเล็กน้อย แต่ก็ดูจะไม่ได้สนใจใคร่รู้อะไรมากนัก ผมจึงเดินเข้าไปยกกองเอกสารที่โต๊ะแล้วรีบเดินออกมาด้วยความรวดเร็ว

   และสิ่งที่เห็นทันทีที่เดินออกมาจากห้องพักครูก็คือภาพของแบงค์ที่กำลังยืนรอผมอยู่ตรงหัวบันได ก่อนที่จะเดินนำขึ้นไปทันทีเมื่อเห็นผมเดินออกมาจากห้องพักครู

   คนใจดี ...

   “......”
   “......”
   ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น

   “......”
   “......”
   จะมีก็เพียงเดินฝีเท้าของผมและแบงค์ที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ

   “......”
   “......”
   ผมได้แต่หลุบตาก้มลงมองพื้นเดินตามคนตัวสูงที่กำลังเดินนำหน้าผมขึ้นไปเรื่อยๆ

   “......”
   “......”
   จนในที่สุดก็มาถึงห้องชมรมภาษา

   แบงค์ใช้หัวไหล่ตัวเองดันประตูห้องชมรมซึ่งไม่ได้ล็อกไว้เข้าไปพร้อมเว้นช่องว่างไว้ประมาณหนึ่ง ซึ่งผมเองก็พอจะสังเกตได้ว่าการกระทำเช่นนั้นก็เพื่อเปิดทางให้ผมเดินเข้าไปก่อน ผมจึงรีบเดินเข้าไปพร้อมก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ

   คนใจดีเหมือนเดิม ...

   แบงค์พยายามใช้มือข้างหนึ่งพยุงกองเอกสารเอาไว้เพื่อเอื้อมมืออีกข้างไปกดสวิทช์ไฟเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับห้อง แล้วจึงเดินไปยังโต๊ะของอาจารย์ทันทีและวางกองเอกสารอันแสนหนักลงบนโต๊ะด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะขยับตัวหันหลังเพื่อหลีกทางให้ผมได้วางกองเอกสารบ้าง ผมรีบวางมันลงบนโต๊ะทันทีที่เดินเข้าไปถึง เพราะคิดว่าหากต้องอุ้มกองเอกสารที่แสนจะหนักอึ้งเหล่านี้อีกสักสองหรือสามนาที ผมคงได้หมดความอดทนแล้วโยนมันทิ้งลงข้างทางแน่ๆ

   “......”
   “......”
   บรรยากาศภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง จะมีก็แค่เพียงเสียงจากผู้คนภายนอกเล็ดลอดเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่ได้ดังอะไรมากมายนัก

   “......”
   “......”
   ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ณ ตอนนี้นั้น คือแผ่นหลังที่ดูใหญ่ของอีกฝ่าย

   แผ่นหลัง...ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี

   “......”
   “......”
   ในสถานการณ์แบบนี้ ผมควรจะพูดอะไรออกไปหรือควรจะทำตัวอย่างไรดีนะ

   “......”
   “......”
   ผมค่อยๆ ยกฝ่ามืออันหยาบกร้านของตัวเองขึ้นมาช้าๆ

   “......”
   “......”
   ซึ่งหากจะถามว่าผมกำลังคิดสิ่งใดอยู่ล่ะก็ ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ รู้แค่เพียงว่าลึกๆ ในใจนั้นเหมือนอยากจะสัมผัสแผ่นหลังนั้นอีกสักครั้งยังไงก็ไม่รู้

   “......”
   “......”
   ระยะห่างเพียงแค่นี้ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น

   ในจังหวะนั้นเอง
   “เดี๋ยวผมขอตัวไปก่อน ยังไงก็รบกวนฝากปิดไฟให้ด้วย ไปก่อนนะครับ”
   สิ้นประโยค แบงค์ก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดแม้แต่จะหันมามองผมเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ผมเองก็ได้แต่ยืนนิ่งพร้อมกับฝ่ามือที่ยังคงค้างเอาไว้เช่นนั้น

   ฝ่ามือที่เคยคิดจะคว้าบางสิ่งเอาไว้ ทว่าตอนนี้จะเหลือก็แต่เพียงความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

   “......”
   ความรู้สึกที่จุกแน่นอยู่ข้างใน
   ความรู้สึกที่ดูหม่นหมองแบบนี้
   ความรู้สึกมากมายที่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้นี่มันคืออะไรกัน

   “......”
   สมองผมในตอนนี้ไม่สามารถรับรู้หรือประมวลใดๆ ได้สักอย่าง จึงได้แต่เดินไปปิดสวิทช์ไฟแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

   ผมก้าวเดินลงบันไดไปอย่างช้าๆ อย่างคนไร้จุดหมายสิ่งเดียวที่รับรู้ในตอนนี้คือ “น้ำปั่น” ที่เป็นค่าแรงสำหรับขนกองเอกสารขึ้นมา

   และทันทีที่เดินมาถึงร้านน้ำปั่น
   “สตรอว์เบอร์รี่ปั่นใช่มั้ยคะ”
   “ครับ”
   “ได้แล้วค่ะ”
   ผมรับน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นนั้นมายังงงๆ ก่อนจะดูดมันขึ้นมาดับกระหาย พลางฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

   “พี่ ผมสั่งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นเหรอ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางชี้ไปยังสตรอว์เบอร์รี่ปั่นในมือ แม่ค้าเองก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “เปล่าค่ะ น้องบ่ชอบเหรอคะ เดี๋ยวพี่เปลี่ยนให้ใหม่มั้ยคะ”
   “เปล่าๆ ผมชอบๆ แต่ผมแค่สงสัยว่าถ้าผมบ่ได้สั่ง แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าผมจะสั่งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นน่ะ”
   ทันทีที่ถามจบ พี่เขาก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอเล็กน้อย ซึ่งก็สร้างความสงสัยให้กับผมมากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีกเมื่อเห็นท่าทีนั้น

   “ก็พอดีมีน้องผู้ชายตัวสูงๆ ใส่แว่น เขามาเอาน้ำปั่นไปก่อนหน้าน้อง แล้วเขาก็เลยสั่งเผื่อไว้ให้เพราะเห็นบอกว่าน้องชอบน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นน่ะค่ะ”
   “อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
   ผมพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำตอบนั้น

   ยังคงเป็นคนใจดีเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ...

   ผมเดินออกมาอย่างเงียบๆ พลางดูดน้ำปั่นในมือไปพลางพร้อมกับหันไปมองยังโต๊ะกินข้าวของโรงอาหารตัวที่ผมกับแบงค์เคยใช้ติวหนังสือร่วมกัน

   “......”
   ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในใจนี่มันคืออะไรกัน ...

   มันคือความรู้สึกโหยหาอย่างนั้นเหรอ ?

   ผมเดินไปยังลานจอดรถอย่างเชื่องช้าพร้อมทิ้งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นที่ยังไม่หมดในมือลงถังขยะทันที ทั้งๆ ที่ในเวลาปกติน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นคือสิ่งผมโปรดปรานมากแท้ๆ ทว่าคราวนี้ลิ้นของผมกลับไม่สามารถรับรสใดๆ ได้เลยสักนิด

   “......”
   แต่พอมาคิดอีกที เสียดายว่ะ ไม่น่าทิ้งแม่งเลย เป็นไงล่ะมึง ทำตัวติสท์เกิน คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเอ็มวีหรือไงวะ สมน้ำหน้าอดแดกไป
   

   “กลับมาแล้วค้าบบบ”
   ผมเอ่ยทักทายให้กับแม่ที่กำลังอยู่ในครัวเมื่อตัวเองกลับมาถึงบ้าน

   “น่าแปลกนะ วันนี้กลับเร็วได้”
   คุณกมลชนกเอ่ยทักกลับมาด้วยประโยคที่ฟังดูเหมือนเหน็บแนมเล็กน้อย แหม คุณกมลชนกล่ะก็ เดี๋ยวนี้พูดจาไม่เพราะเลยนะครับ

   “เออๆ รีบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป แล้วลงมากินข้าวเย็นกัน”
   “ค้าบบบ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่งเล็กน้อยพร้อมเปิดประตูห้องเข้าไปก่อนจะโยนกระเป๋าสะพายลงไปกองข้างๆ เตียงนอน
   หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็รีบเดินลงมายังชั้นล่างทันทีด้วยความรวดเร็วด้วยความกลัวว่าจะโดนคุณกมลชนกด่า ทันทีที่ลงมาถึงภาพของเหล่าสำรับอาหารเย็นทั้งหลายก็ถูกจัดตั้งวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับภาพของคุณกมลชนกที่กำลังตักข้าวใส่จานให้กับทั้งผมและตัวเอง

   ผมนั่งลงพร้อมรับจานข้าวนั้นมาจากคุณกมลชนก ก่อนจะค่อยๆ ตักกับข้าวมาใส่จานตัวเองและตักมันเข้าปากด้วยความหิว
   “จะว่าไปช่วงนี้ดูซึมๆ นะเรา เป็นอะหยังรึเปล่าน่ะ”
   แม่เอ่ยถามขึ้นพลางตักข้าวใส่ปาก

   “หืม ก็เปล่านะ บ่ได้เป็นอะหยังสักหน่อย”
   “เหรอ ก็นึกว่ามีปัญหาอะหยังที่โรงเรียนซะอีก ถ้าบ่มีอะหยังก็ดีแล้ว ยิ่งแม่บ่ค่อยได้อยู่บ้านก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ”

   “ค้าบค้าบบบ”
   ผมตอบรับแบบขอไปที พร้อมกับคิดในใจว่าสัมผัสของคุณกมลชนกแม่นอยู่เหมือนกันแฮะ น่าจะพาไปเปิดสำนักดูดวงทำนายทายทักยังไงไม่รู้ แต่ก็ได้เก็บเงียบเอาไว้ในใจ เพราะรู้ตัวดีว่าขืนพูดออกไปคงไม่มีชีวิตรอดแน่ๆ

   หลังจากที่ท้องอิ่มด้วยกับข้าวฝีมือของคุณกมลชนกแล้วนั้น ผมก็จัดเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อยทันทีก่อนจะหยิบกองจานใช้แล้วไปล้าง แล้วจึงเดินกลับขึ้นไปยังห้องตัวเองพร้อมเปิดคอมพ์ฯ เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา

   ทันทีที่คอมพ์ฯ ถูกเปิดเสร็จเรียบร้อย ผมก็กดเข้าเว็บเฟซบุ๊กทันทีด้วยความเคยชินก่อนจะเลื่อนสกรอเมาส์ขึ้นลงเพื่อดูเรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนและเพจต่างๆ ที่ผมได้กดถูกใจเอาไว้

   เฮ้ออออออออ
   เสียงถอนหายใจเบาๆ ถูกปล่อยออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ชีวิตที่ผ่านมาในช่วงสัปดาห์นี้ทำไมมันดูซ้ำๆ เดิมๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมเหลือบสายตาไปมองยังแถบด้านขวาเพื่อดูรายชื่อผู้ที่กำลังออนไลน์อยู่ แต่ก็ไม่มีรายชื่อของคนๆ นั้นปรากฏให้เห็นในหน้าจอ

   คนๆ นั้นที่มีชื่อแบงค์
   โอ๊ย อะไรวะเนี่ยทั้งๆ ที่ก่อนที่ผมจะรู้จักแบงค์ ผมก็เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อนแท้ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา

   แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้ ...

   ผมคิดทบทวนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องชมรมภาษาเมื่อตอนเย็น ภาพของอีกฝ่ายที่เดินจากผมไปโดยไม่คิดจะหันมามองผมเลยแม้แต่นิดเดียวมันยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมเป็นอย่างดี

   น่าแปลก ทั้งๆ ที่หลายวันที่ผ่านมา ผมเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าตัวแท้ๆ แต่ทำไมในเวลานี้ผมกลับรู้สึกโหยหาเสียเองนะ

   ผมจะปล่อยให้มันคาราคาซังอย่างนี้ จะเอาแต่คอยหนีต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเหรอ

   “......”
   หากผมยังคงหนีต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ มันคงจะไม่เป็นการดีแน่ๆ

   “......”
   ใช่แล้ว ผมต้องเคลียร์ทุกอย่างให้มันจบ ก่อนที่ผมจะเป็นบ้าไปมากกว่านี้

   “......”
   ทันทีที่คิดเช่นนั้นผมก็รีบกดไปยังช่องสนทนาไล่หาชื่อของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว และทันทีที่รายชื่อนั้นโผล่ขึ้นมา

   นันทการ: มึงอยู่ไหน ทำอะหยังอยู่วะ

   ผมพิมพ์ข้อความส่งไปทันทีอย่างไม่รอช้า ก่อนจะนั่งรอดูด้วยจิตใจกระวนกระวาย ทว่ากลับไม่มีการตอบรับใดๆ จากอีกฝ่ายกลับมาเลยสักนิด ไม่สิ ไม่ขึ้นว่าอีกฝ่ายกดอ่านเลยด้วยซ้ำ

   ซึ่งก็แหงล่ะ แบงค์จะกดอ่านได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ออนไลน์อยู่นี่หว่า กูนี่ก็โชว์โง่อีกแล้ว

   ด้วยความร้อนใจ ผมจึงหยิบมือถือที่ตั้งอยู่หน้าคอมพ์ฯ ขึ้นมาทันทีก่อนจะกดโทรออกไปยังหมายเลขของอีกฝ่ายด้วยความเร่งรีบ

   “ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ...”
   ติดต่อไม่ได้แฮะ เกิดอะไรขึ้นหว่า ไหนลองโทรดูอีกทีซิ

   “ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาฝาก...”
   โอ้ย อะไรวะเนี่ย อยู่ๆ ก็ติดต่อขึ้นมาไม่ได้ซะงั้นทำเอารู้สึกอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมายังไงชอบกล เดี๋ยวแม่งก็บุกไปหาที่หอให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวเสียเลยนี่

   “......”

   ล้อเล่นน่ะ
   ดึกขนาดนี้แล้วใครจะออกไปกันล่ะ เดี๋ยวก็ได้โดนวิชาก้านมะยมพิฆาตมารของคุณกมลชนกเข้าพอดีน่ะสิ ยิ่งช่วงนี้มีคดีติดตัวอยู่ ต้องทำตัวดีๆ หน่อย เอาเป็นว่าใจเย็นๆ ก่อนนะไอ้นันท์ ยังไงพรุ่งนี้ ค่อยไปเจอกันที่โรงเรียนก็ยังได้นี่หว่า

   ผมปิดคอมพ์ฯ ทันทีที่คิดเช่นนั้น โดยไม่ลืมที่จะหยิบมือถือไปชาร์จพร้อมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วย แล้วจึงลุกขึ้นไปปิดไฟก่อนจะกระโจนลงบนเตียงด้วยหวังว่าจะรีบนอนหลับไวๆ เพื่อให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ

   ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ต่อให้ร่างกายจะอ่อนเพลียแค่ไหน แต่สมองของผมในตอนนี้กลับมีแต่เรื่องราวต่างๆ มากมายวิ่งวุ่นวายเต็มไปหมด จนทำให้กว่าจะข่มตาหลับสนิทลงได้ก็ใช้เวลานานมากพอสมควรอยู่เหมือนกัน

   อนิจจาตัวกูจริงๆ


จบคาบเรียนที่ยี่สิบสอง


มุมแคปชั่นไร้สาระ


Knight Night Nice ได้แชร์โพสต์
นอกสายตา - Cover by. Calories blah blah (https://www.youtube.com/watch?v=at2cH9C_9RE)
จางกว่าหมอกก็กูเนี่ยล่ะ สัส

หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 22 คนใจดี (11-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-12-2018 14:41:16
 :L2:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 23 ตามหา (20-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 20-12-2018 01:00:51

คาบเรียนที่ยี่สิบสาม


            วันรุ่งขึ้น

            ทันทีที่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นผมก็รีบลุกขึ้นทันที ไม่ใช่ว่าเกิดขยันอะไรขึ้นมาหรอกครับ แต่เมื่อคืนนอนไม่หลับต่างหาก หลับๆ ตื่นๆ อยู่นั่นล่ะ

            ผมคว้ามือถือขึ้นมาพร้อมลองกดโทรออกไปยังหมายเลขของแบงค์ดูอีกครั้ง

            “ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณตอบ...”

          โอ๊ย อะไรวะเนี่ย ติดต่อไม่ได้อีกแล้ว รู้สึกหงุดหงิดแต่เช้าเลยว้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

            หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวและกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ผมก็รีบมุ่งหน้าไปโรงเรียนทันทีด้วยความรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้น ก็ค่อนข้างจะใช้เวลาพอสมควรอันเนื่องมาจากสภาพการจราจรยามเช้าที่ค่อนข้างจะไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก

            ทันทีที่มาถึงผมก็รีบเดินด้วยความเร็วเกือบๆ จะเทียบเท่ากับวิ่งไปยังห้องเรียนเพื่อเอากระเป๋าไปไว้ที่โต๊ะ ก่อนที่จะวิ่งออกไปยังห้องเรียนของแบงค์ต่อทันที

            “แบงค์ยังบ่มาน่ะ”

            นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับจากเด็กสาวห้องเดียวกันกับแบงค์ ผมพยักหน้าพร้อมขอบคุณอีกฝ่ายกลับไปก่อนที่คู่สนทนาจะเดินกลับเข้าไปในห้อง

            นี่กูมาเช้าไปรึยังไงนะ ก็ไม่น่าจะใช่นะ เอาวะ ไงก็นั่งรอหน่อยละกัน เดี๋ยวก็คงมา

            ผมเดินไปที่ระเบียงหน้าห้องเพื่อนั่งรออีกฝ่ายพลางหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมลองกดโทรออกดูอีกครั้ง

            “ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณ...”

            กูชักจะเริ่มเกลียดเสียงยัยคนนี้ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้แฮะ เช็คเฟซบุ๊กดูก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะออนไลน์เลยสักที

            ผมนั่งรอจนกระทั่งเสียงกริ่งโรงเรียนตอนเช้าดังขึ้น เป็นสัญญาณเรียกเข้าแถวเพื่อเคารพธงชาติ ทว่าแบงค์ที่ผมกำลังรออยู่นั้นก็ยังไม่มา ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้กับผมอยู่ไม่น้อยเพราะปกติเจ้าตัวจะมาโรงเรียนเช้าตลอด ไม่เคยมาสายเลยสักครั้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจเพราะต้องรีบลงไปเข้าแถวด้วยความรวดเร็ว

           

            หลังจากหมดชั่วโมงเรียนในช่วงเช้า ผมก็รีบวิ่งไปยังห้องเรียนของแบงค์อีกครั้งโดยทันทีด้วยความรวดเร็ว

            “วันนี้แบงค์มันบ่มาเรียนน่ะ”

            นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับกลับมาจากเพื่อนร่วมห้องของอีกฝ่าย ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจให้กับผมอยู่พอสมควรผมจึงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกไปยังหมายเลขของอีกฝ่าย

            “ขออภัยค่ะไม่มีสัญญาณตอบ...”

            ยังคงเป็นเสียงของยัยผู้หญิงคนเดิม เสียงที่ผมเริ่มจะรู้สึกรำคาญขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

            ทำไมวันนี้แบงค์ถึงไม่มาเรียนหว่า แถมยังติดต่อไม่ได้อีกด้วย ข้อความที่ผมส่งไปไม่ว่าจะทางเมสเซนเจอร์หรือไลน์ ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะอ่านเลยสักนิด

            อะไรวะเนี่ย พอตอนที่ต้องการจะเจอ ต้องการจะพูดคุยด้วย ก็ดันไม่เจอตัว แถมยังติดต่อไม่ได้อีก เดี๋ยวก็ปั๊ดบุกไปหาที่หอเสียเลยนี่

            “......”

            ล้อเล่นน่ะ ถึงหออีกฝ่ายจะอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก แต่ให้ไปตอนนี้ก็กระไรอยู่ ชั่วโมงพักเที่ยงก็เหลือน้อย แถมตอนนี้ก็เริ่มหิวขึ้นมาแล้วด้วยนี่สิ เอาไว้ตอนเย็นหลังเลิกเรียนแล้วค่อยไปหาที่หอก็ยังไม่สายหรอกมั้ง

            ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็เดินลงไปยังโรงอาหารทันทีด้วยทนเสียงเรียกร้องอาหารของกระเพาะไม่ไหว

 

            หลังจบคาบเรียนสุดท้ายของวันผมก็รีบเก็บข้าวของต่างใส่กระเป๋าสะพายทันทีก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนด้วยความรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอของแบงค์ ทว่าสิ่งที่ผมพบเมื่อไปถึงนั้นก็คือ

            ประตูห้องล็อก...!!!?

            ผมพยายามหมุนลูกบิดแต่ก็ไม่เป็นผล กุญแจห้องก็ไม่ได้คล้องไว้ ก็พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในห้อง

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            “แบงค์ มึงอยู่รึเปล่าวะ เปิดประตูให้กูหน่อยดิ กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

             ผมเคาะประตูพร้อมกับส่งเสียงเรียก ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ

            “แบงค์เปิดประตูให้ที ออกมาคุยกันก่อน"

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            ผมพยายามเคาะประตูส่งเสียงเรียกอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังมากเกินไป เนื่องด้วยเกรงใจห้องอื่นๆ แต่ก็ยังคงไร้วี่แววว่าแบงค์จะเปิดประตูออกมาแต่อย่างใดผมจึงหยิบมือถือออกมาแล้วกดโทรออกไปหาอีกฝ่าย

            “ขออภัยค่ะ ...”

          ผมรีบกดวางสายทันทีด้วยความรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ฟังซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ก่อนจะเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเคาะประตูดูอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบเช่นเดิม

            หรือจะออกไปซื้อของแถวนี้หรือเปล่าวะ เอาเป็นว่างั้นลองนั่งรอหน้าห้องสักแป๊บแล้วกัน

            เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็หย่อนตัวลงนั่งหน้าห้องอีกฝ่ายทันที พร้อมหยิบมือถืออกมาอีกรอบเพื่อเช็คข้อความทั้งเมสเซนเจอร์และไลน์ว่าเผื่ออีกฝ่ายจะกดอ่านข้อความที่ผมส่งไป แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังจึงเก็บมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

            ผมนั่งรอแบงค์อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ไม่พบว่าอีกฝ่ายจะกลับมาแต่อย่างใด หรือเจ้าตัวจะอยู่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนหรือเปล่านะ แต่ถ้าอยู่ในห้อง ทำไมจึงไม่ได้ยินเสียงผมเคาะประตูกันล่ะ

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            “ไอ้แบงค์ มึงอยู่หรือเปล่าวะ เปิดประตูให้กูหน่อย”

            ผมพยายามเรียกอีกฝ่าย แต่ก็ยังคงไร้วี่แววใดๆ ตอบกลับมา

            โอ๊ย นี่มันเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย ทำไมเวลาที่ต้องการจะเจอตัวมันถึงได้ยากเย็นแบบนี้วะ

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            “มาเคาะหาใครเหรอ หนู ?”

            ผมรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงของแม่บ้านประจำหอที่เพิ่งเดินขึ้นมาเอ่ยถาม

            “เอ่อ มาหาเพื่อนครับ พอดีวันนี้บ่เห็นมันไปเรียน ก็เลยแวะมาหาน่ะครับ”

            ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ แม่บ้านทำหน้างงๆ เล็กน้อยเมื่อได้ยินผมตอบเช่นนั้น

            “งั้นก็คงบ่เจอหรอก เพราะเจ้าของห้องนั้นเพิ่งย้ายออกไปเมื่อเช้านี้เองนะหนู”

            !!!?

            “เดี๋ยวๆ ว่าไงนะครับ ย้ายออกไปอย่างนั้นเหรอครับ”

            ผมเอ่ยถามกลับไปทันทีที่ตั้งสติได้ แม่บ้านพยักหน้าเป็นคำตอบกลับมา

            “แล้วเขาย้ายไปไหนทราบมั้ยครับ”

            คราวนี้แม่บ้านส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ ก่อนที่จะหันไปกวาดขยะตรงระเบียงทางเดิน ในขณะที่ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่

            ย้ายออกไปเนี่ยนะ ทำไมกูถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยวะ

            “......”

            เออ มานึกดูอีกที จะไปรู้เรื่องได้ยังไงล่ะ ในเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ผมนี่ล่ะที่เป็นคนหลบหน้าอีกฝ่ายแท้ๆ เพราะฉะนั้นการที่ผมจะไม่รู้เรื่องนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกเท่าไหร่หรอก แต่สิ่งที่ผมสงสัยในตอนนี้นั้นก็คือ แบงค์ย้ายหอไปไหนนี่สิ

            และคำถามนี้ผมจะสามารถหาคำตอบจากไหนได้มั่งนะ ในเมื่อผมไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้เลย

            เจ๊บัว! ใช่ๆ ยังมีเจ๊บัวอยู่นี่นา เจ๊น่าจะพอรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะน่ะ

            ทันทีที่คิดได้เช่นนั้น ผมจึงรีบวิ่งกลับไปยังโรงเรียนเพื่อไปเอารถจักรยานยนต์ของตัวเองแล้วรีบขี่มุ่งหน้าไปยังร้านมินิคาเฟ่ด้วยความเร่งรีบอันเนื่องมาจากผมไม่มีช่องทางในการติดต่อใดๆ กับเจ๊บัวได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเบอร์มือถือ เฟซบุ๊กหรือแม้กระทั่งไลน์

 

            หลังจากที่ที่ฝ่าสภาพการจราจรที่แสนจะติดขัดในช่วงยามเย็น ในที่สุดผมก็มาถึงบริเวณหน้าร้านมินิคาเฟ่จนได้

            ทว่า

เรียนท่านลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่าน

ร้านมินิคาเฟ่ขออนุญาตปิดให้บริการเป็นระยะเวลาสามวัน (ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์)

และจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันจันทร์

ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

            มินิคาเฟ่

            ป้ายประกาศที่ถูกติดเอาไว้หน้าร้านนั้น ทำให้หนทางเดียวที่ผมพอจะหาคำตอบที่ผมกำลังต้องการได้นั้น ดูเหมือนจะดับวูบลงไปในทันที

            “โอ๊ยยย ทำไมต้องมาปิดวันนี้ด้วยวะเนี่ย”

            ผมสบถกับตัวเองเบาๆ พลางเตะเท้าด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นป้ายประกาศนั้น ทำไมวันนี้ไม่ว่าจะอะไรก็ดูจะไม่เป็นใจให้กับผมเอาเสียเลย ผมรู้สึกหงุดหงิดพอสมควรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

            อันที่จริง ยังมีอีกทางหนึ่งที่น่าจะพอช่วยผมหาคำตอบนั้นได้ ซึ่งนั่นก็คือ ไอ้โอ๊ต แต่พอมาคิดดูอีกทีไอ้เจ้านี่จมูกมันไวยิ่งกว่าหมา เกิดไปถามอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า จะกลายเป็นว่าไปทำให้มันเอะใจขึ้นมาเสียเปล่าๆ ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องดีกับผมแน่ๆ ผมจึงเลือกที่จะตัดตัวเลือกนี้ทิ้งไป

            เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ ก็คงมีเพียงรอให้ถึงวันจันทร์เท่านั้น ซึ่งผมก็คิดว่าหากถึงวันนั้นแบงค์คงกลับมาเรียนตามปกติเป็นแน่

            เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงขี่รถกลับบ้านด้วยอารมณ์หดหู่อย่างไม่มีทางเลือก

           

            โดยปกติแล้วนั้นผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะชื่นชอบวันหยุดสุดสัปดาห์เอามากๆ แต่ด้วยเพราะมีบางสิ่งที่ยังรู้สึกคาใจจึงทำให้ผมกลับรู้สึกว่าวันเสาร์อาทิตย์ของสัปดาห์นี้นั้น ช่างเป็นเป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อหน่ายและยาวนานยังไงก็ไม่รู้

            และในที่สุดวันจันทร์ที่ผมเฝ้ารออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยสักครั้งก็มาถึง ผมรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและกินข้าวเช้าอย่างเร่งรีบก่อนจะออกไปโรงเรียนด้วยความรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็สร้างความประหลาดใจให้กับคุณกมลชนกอยู่พอสมควรที่เห็นผมกระฉับกระเฉงได้ขนาดนี้

            ทันทีที่มาถึงโรงเรียน ผมก็รีบนำกระเป๋าสะพายไปไว้ที่ห้องเรียนก่อนจะวิ่งตรงไปยังห้องเรียนของแบงค์ทันที

            “แบงค์มันยังบ่มาเลยน่ะ”

            ยังคงเป็นคำตอบเดิมกลับมาจากเพื่อนร่วมห้องของอีกฝ่าย ผมนึกสงสัยว่าตัวเองอาจจะมาเช้าเกินไป จึงได้แต่พยักหน้าให้กับคำตอบนั้น ก่อนที่จะนั่งลงที่ระเบียงหน้าห้องเรียนของอีกฝ่ายพลางหยิบมือถือขึ้นมาดู

            และก็เหมือนเดิม นั่นคือยังคงไม่มีการตอบกลับใดๆ มาจากอีกฝ่ายเลยสักนิด หนำซ้ำข้อความที่ผมส่งไปเมื่อวันก่อนยังไม่ถูกกดอ่านเลยอีกด้วย

            ผมนั่งรอจนกระทั่งเสียงกริ่งสัญญาณเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้าดังขึ้น ก็ยังไม่เห็นว่าคนที่ผมกำลังนั่งเฝ้ารออยู่นั้นจะโผล่มาสักที ผมจึงเดินลงไปเข้าแถวด้วยความรู้สึกประหลาดใจพอสมควร แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าอีกฝ่ายอาจจะมาสายก็เป็นได้ พลางคิดว่าไว้ตอนพักเที่ยงค่อยมาหาอีกรอบแล้วกัน

            และเมื่อถึงชั่วโมงพักเที่ยง ผมก็รีบวิ่งตรงมายังห้องเรียนห้องแบงค์อีกรอบ

            “วันนี้แบงค์มันลาน่ะ”

            ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจากเพื่อนร่วมห้องของอีกฝ่ายนั้นก็ยังคงเหมือนเดิมราวกับก็อปปี้กันมายังไงยังงั้น

            “แล้วแบงค์เขาลาไปไหนน่ะ พอจะรู้มั้ย แล้วจะกลับมาวันไหน”

            คราวนี้ผมลองเอ่ยถามเพิ่ม เผื่ออาจจะได้คำตอบอะไรเพิ่มเติมกลับมา

            “บ่รู้เหมือนกันอะ ขอโทษนะ”

            อีกผ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ ผมพยักหน้าขอบคุณกลับไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินกลับเข้าไปในห้องเรียน

            แบงค์มันไปไหนของมันวะเนี่ย อยู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ จะติดต่อก็ติดต่อไม่ได้อีก ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่ต้องการนั้นไม่เป็นดั่งใจนึก แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้นัก จึงได้แต่เดินลงไปยังโรงอาหารเพื่อหาอะไรกิน

           

            “วันนี้ว่างๆ ไปร้องคาราโอเกะกันมั้ยวะ”

            เสียงของไอ้ยีสต์เอ่ยถามขึ้นมาทันทีเมื่อคาบเรียนสุดท้ายของวันหมดลง

            “ก็ได้ ยังไงวันนี้ก็บ่ต้องไปชมรมอยู่แล้ว อีกอย่างจะว่าไป ก็บ่ได้ไปร้องคาราโอเกะกันนานแล้วเหมือนกันด้วย”

            ไอ้เต้ยตอบตกลงอย่างว่าง่าย ซึ่งบางทีผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเวลาไอ้ยีสต์ร้องขออะไร หรือเอ่ยชวนไปไหนมันถึงได้ตอบตกลงได้อย่างง่ายดายนัก

            “ผมยังไงก็ครับ”

            ไอ้โอ๊ตก็ตอบกลับมาในขณะที่เจ้าตัวกำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋า

            “มึงล่ะ ไปด้วยกันมั้ยไอ้นันท์”

            คราวนี้ไอ้ยีสต์หันมาเอ่ยถามผมเมื่อเห็นว่ายังเหลือผมคนเดียวที่ยังไม่ได้ให้คำตอบ ผมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงตกลงกลับไปเพราะคิดในใจว่ายังไงก็ต้องแวะไปร้านเจ๊บัวที่ตั้งอยู่ข้างๆ ห้างอยู่แล้ว จากนั้นจึงหันกลับมาเก็บหนังสือใส่กระเป๋าสะพาย แล้วก็ทยอยพากันมุ่งหน้าไปยังห้างเมญ่ากันทันที

           

            “เฮ้ย พวกมึงขึ้นไปที่ห้องคาราโอเกะกันก่อนเลยนะ เดี๋ยวกูขอตัวไปทำธุระแถวนี้แป๊บนึง”

            ผมบอกกับพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มทันทีที่พวกเรามาถึง ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากกลุ่มแล้วรีบวิ่งไปยังร้านมินิคาเฟ่ทันที ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่วันนี้ร้านเปิดตามปกติ

            “มินิคาเฟ่สวัสดีค่ะ อ้าว หนูนันท์นี่เอง นึกว่าใคร บ่เจอกันนานเลยนะ สบายดีมั้ย”

            เจ๊บัวรีบเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่ดูสดใสทันทีที่เห็นว่าเป็นผมเปิดประตูร้านเข้าไป ผมรีบยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อมก่อนจะหันมองไปทั่วรอบบริเวณร้าน

            “มองหาอะหยังอยู่เหรอจ๊ะ”

            เจ๊บัวเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทีที่ดูลุกลี้ลุกลนของผม

            “แบงค์น่ะครับ เขามาที่นี่หรือเปล่าครับ”

            ผมเอ่ยถามกลับไป เจ๊บัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ทำสีหน้างงๆ เล็กน้อยก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

            “ถ้ามาที่นี่ล่าสุดก็เมื่อวันศุกร์นะ ทำไมเหรอ”

            “พอดีที่โรงเรียนเห็นเขาลา แล้วผมก็มีธุระจะคุยกับแบงค์เลยกะว่าจะไปหาที่หอ แต่ป้าแม่บ้านเขาบอกว่าแบงค์ย้ายหอออกจากที่นั่นไปแล้ว แต่บ่รู้ว่าย้ายไปไหน แถมตอนนี้ผมก็ยังติดต่อเขาบ่ได้ด้วย ก็เลยกะว่าจะมาถามเจ๊บัวน่ะครับ บ่ทราบว่าเจ๊บัวพอจะรู้มั้ยว่าแบงค์เขาย้ายไปอยู่ที่หอไหนเหรอครับ”

            ผมเอ่ยถามอีกรอบด้วยความรวดเร็วทันที เจ๊บัวทำสีหน้างุนงงหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น

            “เดี๋ยวนะ ถามแบบนี้ อย่าบอกนะว่ายังบ่รู้เรื่องของแบงค์เขาทีน่ะ”

            “......”

            “......”

            “ระ รู้เรื่องอะหยังงั้นเหรอครับ”

            ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เจ๊บัวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทีที่ดูไม่สู้ดีของเจ๊บัวขึ้นมาได้นะ

            “แบงค์เค้า...ย้ายกลับไปเชียงดาวแล้วน่ะ”

            “......”

            “......”

            “ว่ะ ว่ายังไงนะครับ ย้ายกลับไปเชียงดาวเนี่ยนะ ได้ยังไงกันครับ”

            ผมพยายามเรียบเรียงสติและคำพูดของตัวเองที่ตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมดแล้วเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเจ๊บัว

            “เอ่อ เดี๋ยวก่อนนะหนูนันท์ ใจเย็นๆ ก่อนนะ มันเกิดอะหยังขึ้นอย่างนั้นเหรอ เจ๊ก็นึกว่าหนูนันท์รู้แล้วซะอีก”

            ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบ

            “พอดีทางบ้านของแบงค์เขามีปัญหามาสักพักแล้วน่ะ เลยจำเป็นต้องให้แบงค์กลับไป นี่เจ๊ก็เพิ่งไปช่วยขนของจนต้องปิดร้านเมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี่ไง มิน่าล่ะ ว่าทำไมแบงค์เขาถึงได้...”

            “ถึงได้อะหยังครับ”

            ผมรีบเอ่ยถามทันทีด้วยความอยากรู้เมื่อเห็นเจ๊บัวนิ่งเงียบทิ้งจังหวะไปครู่ ทว่าเจ๊บัวก็ไม่ตอบอะไรกลับมา นอกจากเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์พร้อมกับทำท่าหาอะไรบางอย่าง

            “เอ้า นี่จ้ะ แบงค์เขาฝากไว้ให้ก่อนจะกลับไปน่ะ”

            เจ๊บัวยื่นของในมือให้กับผม ซึ่งเป็นซองสีน้ำตาลเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน

            ของแบงค์อย่างนั้นเหรอ ฝากให้ผมด้วยเนี่ยนะ

            “อย่าเพิ่งวิตกไปเลยนะหนูนันท์ บางทีแบงค์เขาอาจจะมีเหตุผลอะหยังบางอย่างก็เป็นได้ เขาเลยบ่ได้บอกหนูนันท์น่ะ”

            “......”

            ผมนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป เพราะสมองของผมในตอนนี้นั้นกำลังรู้สึกมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนพูดอะไรไม่ออกเลยสักนิด

            “อย่าเพิ่งคิดมากนะ เจ๊เองก็บ่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราทั้งสอง แต่เอาเป็นว่า เดี๋ยวอีกบ่กี่วันแบงค์เขาก็จะเข้ามาในเมืองอีกรอบ มาจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนน่ะ ถึงตอนนั้นหนูนันท์ก็ถามเหตุผลจากแบงค์เขาอีกทีแล้วกันนะ”

            เจ๊บัวพยายามปลอบขวัญพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจกับผม ผมในตอนนี้ที่ทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่พยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

           

            พร้อมกับก้มมองเจ้าซองสีน้ำตาลในมืออย่างเงียบๆ

 

            จบคาบเรียนที่ยี่สิบสาม



หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 24 บันทึก (28-12-18)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 28-12-2018 22:57:36
   คาบเรียนที่ยี่สิบสี่

   “ไอ้นันท์ มึงบ่คิดที่จะร้องเพลงอะหยังสักเพลงเลยเหรอวะ”
   ไอ้ยีสต์หันมาเอ่ยถามผม หลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งจะร้องเพลงจบ ก่อนที่จะหันไปยื่นไมค์ส่งให้ไอ้เต้ยร้องต่อเป็นคิวถัดไป ผมส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคำตอบกลับไป ไอ้ยีสต์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งลงข้างไอ้เต้ย พร้อมกับหยิบสมุดรายชื่อเพลงขึ้นมาเลือกเพลงต่อ

   “เป็นอะไรไปเหรอครับ คุณเพื่อนนันท์ช่วงนี้ดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะครับ”
   อึก!!!
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ในขณะที่สายตาของเจ้าตัวยังคงจดจ้องอยู่กับเกมในมือถือ ผมรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “บ่ๆ กูบ่ได้เป็นอะหยัง ก็แค่...”
   “แค่ ?”
   “บ่มีอะหยัง ช่างมันเถอะ”
   ผมตอบตัดบทกลับไปทันที ไอ้นี่แม่งจมูกไวจริงๆ ให้ตายสิ แต่ก็คงจะจริงอย่างที่ไอ้โอ๊ตมันทักนั่นล่ะ ผมเองก็ยังรู้สึกได้เลยว่าตัวเองในตอนนี้นั้นไม่ร่าเริงสดชื่นเหมือนที่ผ่านๆ มา ซึ่งผมก็พอจะรู้ดีว่าสาเหตุมันมาจากอะไร

   ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันจะได้เคลียร์ปัญหาอะไรให้มันชัดเจน แบงค์ก็ดันมาย้ายโรงเรียนหนีกลับไปเชียงดาวเสียก่อน

   แบบนี้มันไม่แฟร์นะเว้ย

   ผมหยิบมือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋าทันทีด้วยความรวดเร็วพร้อมกดโทรออกไปยังหมายเลขของแบงค์โดยไม่รอช้า
   “ขออภัยค่ะ...”
   ผมรีบตัดสายทิ้งทันทีด้วยความรำคาญเมื่อได้ยินเสียงนั้น พลางนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมือถือของอีกฝ่ายกันแน่ถึงได้ติดต่อไม่ได้จนกระทั่งตอนนี้ หรือว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเบอร์มือถือใหม่อย่างนั้นเหรอ

   ในจังหวะที่ผมกำลังงุนงงสงสัยอยู่นั้นเอง
   “ยังจะรอความรักให้ผ่านเข้ามา ยังจะตามค้นหาครึ่งหนึ่งที่หล่นหาย...”
   เพลงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็ดังขึ้นโดยที่มีไอ้เต้ยเป็นคนร้อง

   “ค่ำคืนเหน็บหนาว จะกอดเอา....ไว้แนบกาย...”
   “ห๊ะ อะหยังนะ”
   “ก็นันท์บอกเองนี่ครับ ว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้ไม่ใช่เหรอครับ”
   “ก็ใช่ แต่ว่า...”
   “ขออยู่แบบนี้แป๊บนึงได้มั้ยครับ”


   ภาพความทรงจำของเหตุการณ์ที่สนามบาสในคืนวันนั้นหวนกลับมาทันที

   “......”
   ผมยังคงจำอ้อมกอดนั้นของแบงค์ได้เป็นอย่างดี อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น อ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้สึกสงบและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

จริงสิ จะว่าไปผมยังไม่ได้แกะดูของข้างในห่อที่เจ๊บัวให้มาเมื่อกี๊เลยนี่นา มัวแต่รีบขึ้นมาให้ทัน

   เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็รีบหยิบเจ้าห่อกระดาษสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าสะพายทันที พร้อมกับแกะซองแล้วล้วงหยิบของข้างในออกมาด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะพบว่าสิ่งที่ผมหยิบออกมานั้นคือสมุด

   ไม่สิ ดูจากลักษณะแล้วต้องเรียกว่าไดอารี่ถึงจะถูกมากกว่าแฮะ

   นี่คือสิ่งที่แบงค์มอบไว้ให้ผมก่อนจะกลับไปเชียงดาวอย่างนั้นเหรอ บางทีคำตอบอะไรหลายๆ อย่างมันอาจจะอยู่ในสมุดไดอารี่เล่มนี้ก็เป็นไปได้
   ผมค่อยๆ เปิดสมุดไดอารี่อย่างช้าๆ ทันทีที่คิดเช่นนั้น
   
   วันที่ X เดือน O
   สวัสดีเจ้าไดอารี่เล่มใหม่ เล่มที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวอีกเล่มนะ
   วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เหมือนทุกๆ วันนั่นล่ะ ไปเรียน เรียนเสร็จก็แวะไปชมรม แล้วก็มานั่งทบทวนบทเรียน แวะถ่ายรูปก่อนกลับห้องเล็กน้อย ทุกอย่างก็เดิมๆ
   อ้อ ลืมไป แวะซื้อนายด้วยไง เจ้าไดอารี่ ขอตัวไปนอนก่อนนะ วันนี้ไม่ไหวแล้ว
   ฝันดี

   วันที่ X เดือน O
   เรียน เรียน เรียน แล้วก็ตั้งใจเรียน พรุ่งนี้มีสอบย่อยด้วย
   ถามว่าเครียดมั้ย ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมายนัก ก็เป็นธรรมดาปกติแบบคนทั่วไป
   บ่นๆ ไปงั้น ยังไงก็ต้องตั้งใจเรียน ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องผิดหวัง ต้องตั้งใจ ให้คุ้มค่ากับที่พ่อและแม่เหนื่อยเพื่อเรามาตลอด
   สู้เว้ย แต่ตอนนี้ขอไปนอนก่อนนะ
   ฝันดี

   วันที่ X เดือน O
   บางทีก็ถามตัวเองนะว่าชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันโอเคแล้วหรือยัง   กับการทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ เนี่ยไปเรียน แวะไปชมรม ทบทวนบทเรียน มีถ่ายรูปบ้าง
   จะว่าไปมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะ เพียงแต่ บางทีก็รู้สึกเหมือนมันยังขาดๆ อะไรอยู่เหมือนกัน แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าสิ่งที่ขาดนั้นมันคืออะไร
   เพ้อเจ้อไปใหญ่ละ ไปนอนก่อนละ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปช่วยงานเจ๊บัว
   ฝันดี


   ผมเปิดอ่านไปเรื่อยๆ พบว่าก็เป็นไดอารี่ธรรมดาๆ ทั่วไปที่จดบันทึกเรื่องราวในแต่ละวัน ซึ่งอ่านแล้วค่อนข้างจะซ้ำๆ เดิมๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าน่าเบื่อพอสมควรก็ว่าได้

   วันที่ X เดือน O
   วันนี้มีคนมาสารภาพรักล่ะ เป็นเด็กต่างโรงเรียนด้วย ถามว่าสวยมั้ย ก็สวยเหมือนกันนะ น่ารักดี ไม่รู้ว่าชอบอะไรในตัวเรา นายพอจะรู้มั้ย ช่างเถอะเอาเป็นว่าตอบตกลงไปก่อนแล้ว ไหนๆ ก็โสดอยู่ ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
   สรุปว่า ตอนนี้เรามีแฟนแล้วนะ แฟนลำดับที่สี่ในชีวิต ส่วนก่อนหน้านั้นสามคน.....ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดถึงเลย
   
   วันที่ X เดือน O
   วันนี้ลองถามดู เธอบอกว่า เราดูเป็นสุภาพบุรุษ ดูขรึม มีเสน่ห์ดี
   เฮ้ย เราเป็นแบบนั้นเหรอ ? เราว่าไม่นะ เราว่าเราออกออกจะธรรมดาไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษอะไรสักนิด ที่ว่าขรึมๆ นี่จะว่ายังไงดีล่ะคือที่จริงเราเป็นคนไม่ค่อยกล้าพูดมากกว่า กับเพื่อนในห้องก็ยังไม่ค่อยกล้าคุยอะไรด้วยมากนักเลย ส่วนที่เห็นเงียบๆ นิ่งๆ อันที่จริงในหัวเรามีความคิดอะไรมากมายวิ่งเต็มไปหมดเลยนะ
   แต่เอาเถอะ ถ้าเธอคิดแบบนั้นแล้วสบายใจ ก็แล้วแต่เธอดีกว่า
   
   วันที่ X เดือน O
   ผู้หญิงนี่เป็นอะไรที่เข้าใจยากเหมือนกันแฮะ บางทีก็ไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่
   ก็เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องโทรหา พอเราไม่โทร ก็หาว่าเราไม่สนใจ งงแฮะ

   วันที่ X เดือน O
   วันนี้เจอคนประหลาด เป็นเพื่อนของโอ๊ต
(หือ เพื่อนไอ้โอ๊ต นี่หมายถึงกูรึเปล่าวะ) ต้องการคนติวคณิตศาสตร์ให้(ชัวร์ ชัดเลย กูแน่นอน นี่กูประหลาดขนาดนั้นเลยเหรอวะ) ก็เลยตอบตกลงไป
   ส่วนจะถามว่าประหลาดตรงไหนเหรอ ก็ตอนโทรคุยกับโอ๊ต บอกว่าให้สังเกตคนที่กำลังเอานิ้วถูเสาโรงอาหาร เดี๋ยวก็เจอเองปรากฏว่าเจอจริงๆ ไปยืนเอานิ้วถูเสาโรงอาหารเนี่ยนะ แปลกพอมั้ย ก็เข้าใจนะว่าโดนแกล้ง แต่ปกติคนเราจะซื่อถึงขนาดเชื่อคนได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ คนพิลึก แต่ก็แอบดูเถื่อนๆ น่ากลัวยังไงไม่รู้เหมือนกัน
(กูขอโทษที่ดูน่ากลัว)
   แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็ตกลงปากรับคำไปแล้วนี่

   ผมรู้สึกหน้าแดงด้วยความเขินอายทันทีที่อ่านถึงตรงนี้ พร้อมกับนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนั้น วันแรกที่ผมและแบงค์ได้พบกันนี่ ผมในสายตาอีกฝ่ายในตอนนั้น ดูเป็นคนประหลาดขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
   ไอ้เหี้ยโอ๊ตมึ๊งงงงงงง
   ผมหันไปมองไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมถูกมองเช่นนั้นทันทีที่อ่านถึงตรงนี้ พลางนึกก่นด่ามันในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก

   วันที่ X เดือน O
   โดนคำสั่งเด็ดขาดจากเจ๊บัวมาล่ะ ว่าห้ามพาแฟนไปที่ร้านอีก ก็เข้าใจเจ๊บัวนะ ว่าทำไม ก็เล่นมาตาม มาจี้จะให้พาไปเที่ยวให้ได้ทั้งๆ ที่เรากำลังทำงานอยู่แท้ๆ
   มีแฟนนี่มันก็เหนื่อยเหมือนกันแฮะ แต่เอาเถอะ จะพยายามทำหน้าที่แฟนให้ดีที่สุดละกัน

   วันที่ X เดือน O
   จะมีใครซื่อ สมองช้าได้เท่าคนเถื่อนพิลึกคนนี้อีกเนี่ย คำถามง่ายๆ ยังตอบไม่ได้ จนบางทีก็อยากจะถามนะว่า สอบเลื่อนชั้นผ่านมาจนถึง ม.5 ได้ยังไง
(อย่าว่าแต่มึงเลย กูก็ยังสงสัยในตัวกูเหมือนกัน) แต่เอาเถอะ ไม่ได้รังเกียจหรือมองในแง่ร้ายอะไรหรอกนะ เพราะเป็นฝ่ายตอบตกลงไปเองนี่คิดซะว่าเป็นการฝึกตัวเราเองไปในตัวด้วย ว่ามีความสามารถมากพอมั้ย
   อีกอย่างเจ้าเด็กเถื่อนนี่ก็เป็นคนที่ตลกดีด้วย ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิด อยู่ด้วยแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจยังไงไม่รู้
(นี่มึงกำลังชมหรือด่ากูอยู่น่ะ)

   วันที่ X เดือน O
   เจ้าไดอารี่มีอะไรจะบอกล่ะ วันนี้เราอกหักแล้ว เอ รึเปล่านะ เป็นฝ่ายโดนบอกเลิกนี่ต้องเรียกว่าอกหักใช่มั้ย คนที่สี่แล้วนะเนี่ยที่โดนบอกเลิก
   แต่ทำไมคราวนี้กลับไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรเลยนะ ต่างจากคนก่อนๆ อ้อ คงเพราะเจ้าเด็กเถื่อนด้วยล่ะมั้งที่พยายามจะปลอบใจ แถมยังพาไปเที่ยวอ่างแก้ว มช. อีกด้วย
   ก็นับว่าได้ผลดีเหมือนกัน เพราะเป็นสถานที่ที่สวยงาม จนรู้สึกสงบใจได้เยอะเลยทีเดียว
   ปล. เพิ่งจะมีเจ้าเด็กเถื่อนนี้คนแรกนี่ล่ะ ที่ตีความรูปเรา พร้อมกับถ่ายรูปตอบกลับรูปเราด้วย น่าสนใจดีแฮะ

   วันที่ X เดือน O
   วันนี้เจ้าเด็กเถื่อนมาหาที่ร้านด้วย บอกว่าจะมาชวนไปเที่ยว ทั้งๆ เจ้าตัวเป็นคนชวนแท้ๆ แต่กลับไม่รู้จะชวนไปไหน พิลึกได้อีก
   แต่ดูแล้วเจ้าเด็กเถื่อนนี่ดูท่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจเจ๊บัวยังไงไม่รู้ คุยกันถูกปากถูกคอกันดีเสียเหลือเกินอย่างว่าล่ะ คนเพี้ยนกับคนพิลึกก็ไม่แปลกที่จะเข้าขากันได้เป็นอย่างดี
   ปล. นอกจากจะอ่อนคณิตฯ แล้ว ยังจะอ่อนภาษาอังกฤษด้วย แค่คำว่า Bank ยังสะกดไม่ถูก เลื่อนชั้นมาถึง ม.5 ได้ยังไงกันเนี่ย เจ้าเด็กเถื่อนเอ้ย
(กูขอโทษ กูผิดไปแล้ว อย่าซ้ำเติมกูเยอะเลย กูอาย)
   
   วันที่ X เดือน O
   นี่เรากำลังเป็นอะไรไปนะเจ้าไดอารี่ อยู่ๆ วันนี้ก็ไปกอดเจ้าเด็กเถื่อนเข้า แต่น่าแปลกที่เรากลับรู้สึกสบายใจ รู้สึกสงบใจมีความสุขยังไงไม่รู้
   มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย เพ้อเจ้อใหญ่ละเรา ไปนอนดีกว่า
   ฝันดี
   ปล. วันนี้โดนคะยั้นคะยอจากเพื่อนๆ ของเจ้าเด็กเถื่อนให้ลองร้องเพลงล่ะ ก็สนุกดีนะ แถมยังโดนทาบทามให้เป็นนักร้องนำด้วย ร้ายเหมือนกันแฮะเราแต่ไม่เอาดีกว่า กลัวไปทำงานเขาล่ม
   ปล.2 เพื่อนของเจ้าเด็กเถื่อนก็พูดอีกละ ว่าเราดูเป็นสุภาพบุรุษ ดูสุขุม ดูอบอุ่นเป็นผู้ใหญ่ เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้นนะ
   ปล.3 เพลง ใครคนนั้นนี่เพราะดีแฮะ ชักชอบเสียแล้ว

   วันที่ X เดือน O
   ชักจะไปกันใหญ่ละ ตั้งแต่วันที่ไปกอดเจ้าเด็กเถื่อนนั้นเข้า ก็รู้สึกว้าวุ่นในใจยังไงไม่รุ้ ยิ่งอยู่ใกล้ๆ ยิ่งทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะงั้นทั้งๆ ที่ตอนแรกก็ไม่ได้นึกสนใจอะไรแท้ๆ แต่ทำไมพอเจอความเถื่อนแบบซื่อๆ นั้นเข้าไปทุกวันๆ กลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาได้เนี่ย
   จะว่าไป หลังๆ มานี้เราเขียนถึงแต่เจ้าเด็กเถื่อนนั่นเป็นส่วนใหญ่ด้วยนี่นา อย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วเรา...........
   เฮ้ย บ้าน่ะ เราอาจจะแค่กำลังสับสนอยู่ก็ได้ เพิ่งอกหักมา เราเลยอาจจะรู้สึกเคว้งคว้างก็ได้มั้ง

   วันที่ X เดือน O
   "บางทีแค่เราอาจจะยังไม่เจอความรักที่ใช่สำหรับเรา ก็แค่นั้นล่ะ"
   ใช่ วันก่อนเราพูดแบบนั้นกับเจ้าเด็กเถื่อน แต่กลายเป็นว่าวันนี้เราคงต้องกลับมาทบทวนตัวเองซะแล้ว
   ไม่ได้การละ ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเราเองให้ชัดเจนโดยเร็วแล้วแฮะ

   วันที่ X เดือน O
   ในที่สุดก็ชวนเจ้าเด็กเถื่อนไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะได้สำเร็จ ก็ดี ถือโอกาสนี้เป็นตัวพิสูจน์ไปเลยละกันว่าสรุปมันคืออะไรกันแน่กับความรู้สึกนี้
   แต่ดันมีส่วนเกินมาด้วยนี่สิ ช่างเถอะก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้วนี่นา คิดในแง่ดี ไปกันหลายๆ คนจะได้ครึกครื้น
   ว่าแต่การที่เรารู้สึกผิดหวังเล็กๆ กับการที่มีคนอื่นไปด้วยนี่มัน............เฮ้ย ไม่หรอกน่ะ คิดมาก

   วันที่ X เดือน O
   พรุ่งนี้แล้วสินะกับทริปสันป่าเกี๊ยะ เอาล่ะเจ้าไดอารี่ ขออนุญาตไปเที่ยวเพื่อพิสูจน์ตัวเองก่อนนะ คงไม่ได้เอานายไปด้วย เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรคืบหน้า จะกลับมาบอกนะ

   วันที่ X เดือน O
   กลับมาแล้ว คิดถึงมั่งมั้ย มีอะไรจะบอกล่ะ
   เราคิดว่าเราคงจะชอบเจ้าเด็กเถื่อนนี่เข้าจริงๆ แล้วล่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะอะไรมากมายขนาดนี้ แต่พอเห็นเจ้าบ๊องอยู่ใกล้ๆ กับไอ้หน่อมแน้มนั้นแล้วมันกลับรู้สึกหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้
(ใครวะ ไอ้หน่อมแน้ม)
   อะไรที่คิดเอาไว้ว่าจะทำหลายๆ อย่างอย่างก็พังหมด เพราะไอ้หน่อมแน้มนั้นแท้ๆ แต่ก็ดีหน่อย ที่สุดท้ายได้นอนเต็นท์เดียวกัน เพราะไอ้หน่อมแน้มนั้นเมาไปเข้าเต็นท์ผิดซะก่อน (หือ นี่หมายถึงไอ้น้องไนท์อย่างนั้นเหรอ) แต่เราเองก็เมาใช่ย่อยเหมือนกัน เผลอไปกอดเจ้าเด็กเถื่อนซะแน่นอีกต่างหาก มีความสุขดีแฮะ
   อ้อ ได้นั่งดูดาวกับเจ้าเด็กเถื่อนสองต่อสองกลางดึกด้วยล่ะ เห็นดาวตกด้วย ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กเถื่อนอธิษฐานอะไรไป แต่สำหรับเรา เราอธิษฐานไปว่าขอให้ได้อยู่กับเจ้าเด็กเถื่อนไปนานๆ ขอไปแบบนี้จะสมหวังได้มั้ยนะ
   แถมยังสัญญากันด้วยว่าปีหน้าจะไปเที่ยวกันอีก ตั้งหน้าตั้งตารอเลยเนี่ย คราวนี้่จะไปกันแค่สองคนให้ได้
   เพ้อมาเยอะแล้ว ไม่ไหวละ เพลียมาก ขอไปนอนก่อนนะ
   ปล. เหมือนพ่อจะรู้ๆ ยังไงไม่รู้แฮะ จะเป็นเรื่องมั้ยนะ ?
   ปล.สอง ไม่ได้ถ่ายรูปคนนานเท่าไหร่แล้วนะ
   ปล.สาม สวัสดีครับ ความรักครั้งใหม่ ความรักที่ใช่สำหรับตัวเรา

   วันที่ X เดือน O
   เกิดเรื่องน่าอายล่ะ เจ้าไดอารี่ ทำไงดีเนี่ย โดนเจ้าเด็กเถื่อนเอามือมาโดน......เออ นั่นล่ะ เข้าเต็มๆ เลยด้วย ประเด็นคือ มาโดนตอนที่กำลังตื่นเต็มตัวนี่สิโคตรอายเลย ก็ทำไงได้ล่ะ ใครใช้ให้เถื่อนซื่อๆ ให้น่ารักแบบนี้กันล่ะ เจ้าเด็กเถื่อน รู้มัยว่ามันเก็บอาการยากแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้กันเนี่ย
   ว่าแต่เตี้ยขนาดนั้น แต่ไหงเล่นบาสเก่งจัง
(ชมแบบนี้ด่ากูเหอะ)
   ปล. ตกลงเป็นนักร้องนำชั่วคราวช่วยชมรมดนตรีไปแล้วล่ะ เป็นการตัดสินใจที่บ้าระห่ำมากตั้งแต่เกิดมา คนที่เข้าสังคมไม่เก่ง ไม่ชอบพูดคุยกับใครแบบเราเนี่ยนะจะเป็นนักร้องนำจะไหวมั้ยเนี่ย เอาน่ะ ลองดูสักตั้ง

   วันที่ X เดือน O
   ช่วงนี้ชีวิตดูวุ่นๆ ยังไงไม่รู้ ไหนจะเรียน ไหนจะติว ไหนจะชมรม ไหนจะซ้อมร้องเพลง ไหนจะงานที่ร้านเจ๊บัวอีก แต่ทำไมเรากลับรู้สึกสนุกกับมันนะ ถึงจะเหนื่อยบ้างก็เถอะ
   
   วันที่ X เดือน O
   ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าชวนเจ้าเด็กเถื่อนไปลอยกระทงในวันสุดท้ายได้สักที ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีและมีความสุขมากๆ เลยก็ว่าได้
   ว่าแต่เจ้าเด็กเถื่อนจะรู้มั้ยนะว่าเราใช้ไฟเย็นแกว่งเป็นคำว่าเลิฟเนี่ย พอมาตอนนี้แล้วรู้สึกอายเหมือนกันแฮะ ก็ทำไปได้นะเรา
   ปล. ได้ไปส่งเจ้าเด็กเถื่อนที่บ้านด้วย ในที่สุดก็ได้รู้สักทีว่าอยู่ที่ไหน

   วันที่ X เดือน O
   อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้วสินะ ตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ กลัวจะทำงานล่มจัง เอาน่ะ มีเจ้าเด็กเถื่อนเป็นกำลังใจ ต้องทำให้ได้

   วันที่ X เดือน O
   วันนี้ไปเดินถนนคนเดินกับเจ้าเด็กเถื่อนมาล่ะ ได้ต้นกระบองเพชรมาเพิ่มอีกสองต้น ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าเด็กเถื่อนเป็นคนเลือกให้
   ยินดีต้อนรับนะครับ คิริโตะ กับ อาสึนะ จะดูแลให้ดีเลย
   ว่าแต่ปกติคนเราเขาตั้งชื่อให้ต้นไม้แบบพวกหมา แมว อะไรพวกนี้ด้วยเหรอ พิลึกคนสมเป็นเจ้าเด็กเถื่อนจริงๆ ขนาดให้จับมือบอกว่าอาย แต่กลับไม่อายที่จะควงแขนเนี่ยนะ
   เอาเถอะ ยังไงคนที่ได้กำไรก็คือเราอยู่ดี
   ปล. ว่าแต่คิริโตะ กับ อาสึนะ นี่มันใครกันน่ะ เห็นเจ้าเด็กเถื่อนบอกว่ามาจากการ์ตูน สงสัยต้องไปหามาดูเสียหน่อยแล้วมั้ง ถ้ามีเวลาว่างนะ

วันที่ X เดือน O
   โดนเจ้าเด็กเถื่อนลากไปเข้าค่ายอบรมต้านยาเสพติด จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกันนะ จะมีข้อเสียอย่างเดียวก็ตรงที่ได้อยู่กันคนละกลุ่มกับเจ้าเด็กเถื่อนนี่สิ แต่ก็ได้เจอเพื่อนต่างโรงเรียน ซึ่งจะว่าไปตั้งแต่ได้มาเป็นนักร้องนำให้ชมรมดนตรี ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มกล้าคุยกับคนอื่นมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
   นี่เจ้าไดอารี่ อาการแบบที่เจ้าเด็กเถื่อนกำลังเป็นนี่เขาเรียกว่าหึงได้รึเปล่านะ ก็เล่นหยิบมือถือเราไปบล็อกเฟซบุ๊กเพื่อนใหม่ต่างโรงเรียนที่เพิ่งแอดมา ดูยังไงๆ ก็หึงชัดๆ
   หรือเราจะคิดเข้าข้างตัวเองไปรึเปล่านะ

   วันที่ X เดือน O
   เจ้าเด็กเถื่อนคิดยังไงกับเรานะ อยากรู้เหมือนกันแฮะ จะชอบเราเหมือนที่เราชอบรึเปล่านะจะลองสารภาพดูดีมั้ยนะ แต่เห็นเถื่อนๆ แบบนั้น ถ้าเกิดเจ้าเด็กเถื่อนไม่ได้คิดแบบที่เราคิดล่ะ จะทำยังไงดี
   พอคิดแบบนั้นขึ้นมาแล้ว ก็ชวนจิตตกเหมือนกันแฮะ แต่จะให้เก็บมันเอาไว้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็อึดอัดนะ

วันที่ X เดือน O
   โอ๊ยยย ตื่นเต่นมากๆ เลย สำหรับงานคริสต์มาสคืนนี้ แต่ที่ตื่นเต้นกว่าคือช่วงเวลาที่ได้อยู่กันสองต่อสองท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะเป็นใจแบบนั้น เกือบจะได้สารภาพรักออกไปแล้ว แต่ดีนะที่ห้ามใจไว้ทัน กลัวๆ ยังไงไม่รู้แฮะ หรือจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดี
   ปล. เจ้าเด็กเถื่อนจะรู้มั้ยนะ ว่าเพลงสุดท้ายที่ร้องไปนั่น เราตั้งใจร้องให้เจ้าเด็กเถื่อนคนเดียวเลย
(หือ? เพลงอะไรวะ กูลืมไปแล้ว)
   ปล.สอง งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ถึงแม้จะตื่นเต้นขาสั่นไปบ้างก็ตามที จะว่าไป ก็สนุกดีเหมือนกันนะ

   วันที่ X เดือน O
   บ้าที่สุด อุตส่าห์ตกลงกับเจ้าเด็กเถื่อนเสียดิบดีว่าจะนับถอยหลังปีใหม่ด้วยกัน ดันมาเป็นไข้เสียนี่ เซ็งจัง
   งั้นวันนี้นอนเร็วหน่อยดีกว่า
   ฝันดี
   เพิ่มเติม อยู่ๆ เจ้าเด็กเถื่อนก็บุกมาที่ห้องโดยไม่บอกล่วงหน้า ทำเอาตื่นเต้นใจแทบจะตกลงไปอยู่ตาตุ่มเลยแน่ะ เจ้าเด็กเถื่อนบอกว่าอยากนับถอยหลังปีใหม่ด้วยตามที่สัญญากันไว้ โอ้ย น่ารักอะไรแบบนี้ก็เลยชวนออกไปไหว้พระขอพรปีใหม่ที่วัดเจดีย์หลวง เพราะถ้าขืนยังปล่อยให้เจ้าเด็กเถื่อนอยู่ต่อในห้อง คงยั้งใจต่อไปไว้ไม่ไหวแน่ๆ
   ปีใหม่นี้ ก็ขอให้เป็นปีที่ดีที่สุขสมหวังในทุกๆ เรื่องเถอะนะโดยเฉพาะเรื่องเจ้าเด็กเถื่อน สาธุ

   วันที่ X เดือน O
   วันนี้เปิดยูทูปหาเพลงฟังไปเรื่อย ก็ไปเจอกับเพลงๆ นึง ชื่อเพลงอยากรู้แต่ไม่อยากถาม รู้สึกว่ามันตรงกับความรู้สึกเราในตอนนี้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
   เธอจะมีใจหรือเปล่า เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า ที่เราเป็นอยู่นั้น คืออะไร
   เธอจะมีใจหรือเปล่า มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ ติดอยู่ในใจ แต่ไม่อยากถาม กลัวรับมันไม่ไหว
   นั่นสิ อยากรู้จริงๆ แต่ก็กลัวว่าจะรับมันไม่ไหวหากคำตอบที่ได้กลับมานั้นไม่เป็นอย่างที่คิด

   วันที่ X เดือน O
   นับวันความรู้สึกที่มีให้เจ้าเด็กเถื่อนก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะเก็บอาการไว้ไม่ไหว
   ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ มันมีทั้งความสุข และความทุกข์ในเวลาเดียวกัน จะว่าไปกับเหล่าบรรดาแฟนเก่าไม่เคยเป็นมากขนาดนี้เลยแท้ๆ

   วันที่ X เดือน O
   เจ้าเด็กเถื่อนชวนไปเที่ยววันวาเลนไทน์ล่ะ แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันนะ ถึงแม้เจ้าเด็กเถื่อนจะบอกว่าไปเที่ยวประชดตามประสาคนโสดก็เถอะ แต่มันก็อดที่จะแอบคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ยังไงก็ไม่รู้
   จะถือโอกาสนี้บอกความในใจออกไปดีมั้ยนะ

   วันที่ X เดือน O
   วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันที่ใครๆ หลายคนต่างก็มีความสุข เราเองก็เช่นกัน มีความสุขมากๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มากเสียจนสุดท้ายก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกที่มีภายในใจเอาไว้ได้อีกต่อไป
   แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คาดหวังเอาไว้ ที่ผ่านมาแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเจ้าบ๊องก็แอบมีใจให้เรา สุดท้ายก็ได้รู้ว่าคิดไปเองฝ่ายเดียวมาตลอด ภาพที่เจ้าเด็กเถื่อนปัดมือเราที่กำลังจะลูบหัวออกยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ
   ความรู้สึกเหมือนกำลังจะปีนถึงยอดเขา แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่และสุดท้ายก็ถูกผลักลงไปข้างล่าง
   ทำไมมันถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้นะ นี่เราตัดสินใจผิดพลาดไปใช่มั้ย แล้วต่อจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ เราจะโดนเจ้าเด็กเถื่อนรังเกียจหรือไม่นะ
   ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย

   วันที่ X เดือน O
   ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้เจอเจ้าเด็กเถื่อนอีกเลย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่ากำลังโดนหลบหน้า เพราะเจ้าเด็กเถื่อนไม่มาติวหนังสือ แถมยังไม่มาที่ชมรมดนตรีอีก
   คงโดนรังเกียจแล้วจริงๆ นั่นล่ะ คงไม่มีอีกแล้วล่ะมั้งที่จะเป็นเหมือนวันวาน ไม่น่าพูดออกไปเลย

   วันที่ X เดือน O
   วันนี้ก็เหมือนทุกๆ วันที่เคยผ่านมา ตื่นเช้าไปเรียน เลิกเรียนก็มานั่งทบทวนสิ่งที่เรียนมา แล้วก็แวะไปชมรมนิดหน่อย แล้วก็กลับมายังห้อง
   นี่ชีวิตเรากำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างนั้นเหรอ ชีวิตที่ราบเรียบน่าเบื่อ แต่ก็สมควรแล้วล่ะกับการทำอะไรลงโดยไม่คิด

   วันที่ X เดือน O
   ในที่สุดก็ได้เจอกับเจ้าเด็กเถื่อนสักที แต่เป็นการเจอโดยบังเอิญเพราะไปช่วยอาจารย์ขนเอกสาร
   ใจนึงก็รู้สึกดีใจมีความสุขที่ได้เห็นหน้า แต่อีกใจนึงนั้น...
   ในใจอยากจะทัก อยากจะคุยด้วย แต่รู้สึกและสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เจ้าเด็กเถื่อนดูเหมือนจะอึดอัดที่ต้องมาช่วยขนเอกสารกับเรา อาจจะเป็นเพราะรู้สึกรังเกียจเราก็เป็นได้
   ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในภายในใจนี้มันอะไรกัน
   หรือมันถึงเวลาที่จะต้องยอมแพ้และยอมรับให้กับผลการกระทำของตัวเราเองสักที …

   ถึงเวลาที่ควรตัดใจ แล้วถอยกลับไปอยู่ที่จุดเดิม ...



จบคาบเรียนที่ยี่สิบสี่
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 25 เพื่อน... (5-1-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 05-01-2019 22:55:20
        คาบเรียนที่ยี่สิบห้า

        “......”
   จบแล้ว

   นั่นคือบันทึกไดอารี่วันสุดท้าย หลังจากนั้นก็เป็นหน้ากระดาษว่างเปล่าไม่มีอะไรเขียนบันทึกต่อ

   “......”
   จนสุดท้ายแล้ว ในไดอารี่ก็ไม่มีการกล่าวถึงการย้ายโรงเรียนหรือปัญหาทางบ้านอะไรเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงแต่ความรู้สึก ความในใจที่ผ่านมาของแบงค์ที่มีต่อผม

   ความรู้สึกที่ผมไม่เคยสังเกตเลยสักนิด ไม่เคยแม้แต่จะสนใจที่จะมองเห็น
   ถึงแม้ผมจะยอมรับว่าผมเองก็รู้สึกดีกับสิ่งต่างๆ ที่อีกฝ่ายทำให้ผมมาตลอด

   แต่ความรู้สึกนั้นมัน...

   “......”
   “อ้าวเฮ้ย ไอ้เหี้ยนันท์เป็นอะหยังของมึงเนี่ย อยู่ๆ ก็ร้องไห้น้ำตาแตก”
   ไอยีสต์ตะโกนถามด้วยความตกใจทันทีที่เห็นผมกำลังสะอึกสะอื้น

   “บ่ๆ กูบ่ได้เป็นหยัง”
   ผมพยายามปฏิเสธ พลางปาดเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มอยู่อย่างไม่ขาดสาย

   “บ่เป็นหยังได้ไง มึงร้องไห้เป็นเผาเต่าน้ำตาแตกซะขนาดนั้น มึงมีปัญหาอะหยังรึเปล่าวะ”
   ไอเต้ยพยายามเค้นถามผมด้วยอีกคน ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบ

   “มีอะไรปรึกษาพวกผมได้นะครับ คุณเพื่อนนันท์ อย่าเก็บไว้คนเดียวสิครับ”
   คราวนี้ไอ้โอ๊ต เป็นฝ่ายสมทบขึ้นมาบ้าง ทว่าผมก็ยังคงส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบโดยที่น้ำตายังคงไหลออกมาไม่ยอมหยุด

   “ทะเลาะอะไรกับคุณเพื่อนแบงค์มาอย่างนั้นเหรอครับ”
   อึก!!!
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามออกมาตรงๆ ทำเอาผมถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง

   “นิ่งเงียบแบบนี้แสดงว่าจริงสินะครับ”
   ไอ้โอ๊ตสรุปด้วยตัวเองทันทีที่เห็นท่าทีนิ่งเงียบนั้นของผม

   “จริงเหรอวะ ไอ้นันท์”
   ไอ้เต้ยหันมาถามผมซ้ำ

   “แบงค์ ใครวะ กูรู้จักมั้ย โอ๊ย!!!”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย ก่อนที่จะโดนไอ้เต้ยตบหัวเข้าอย่างจัง

   “ไอ้เหี้ย ก็คนตัวสูงๆ ที่พามึงไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะไงวะ ไอ้คนที่เป็นนักร้องนำให้วงกูตอนคริสต์มาสนั่นน่ะ”
   ไอ้เต้ยอธิบายให้ไอ้ยีสต์ฟัง ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจในทันที

   “สรุป มึงสองคนทะเลาะกันจริงใช่มั้ยวะ”
   ไอ้เต้ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่ผมยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกไป

   “ไอ้นันท์ พวกกูบ่รู้หรอกนะว่าเรื่องอะหยัง เรื่องไอ้แบงค์อะหยังนั่นจริงหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องอื่น แต่ที่พวกกูสังเกตเห็นก็คือช่วงนี้มึงดูบ่ค่อยร่าเริง และพยายามจะปลีกตัวออกจากพวกกู เหมือนตัวมึงเองกำลังมีปัญหาอะหยังบางอย่างที่กำลังเก็บเอาไว้กับตัวอยู่คนเดียว แต่กูอยากบอกมึงว่า ถ้ามีอะหยัง มึงปรึกษาพวกกูได้นะเฮ้ย”
   ไอ้ยีสต์พยายามปลอบผม ในขณะที่ผมยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร แต่ได้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างเดียว

   “......”
   “มึงยังคิดว่าพวกกูเป็นเพื่อนของมึงอยู่รึป่าววะ ไอ้เหี้ยนันท์”
   ไอ้เต้ยเอ่ยถามผมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุดันเมื่อเห็นผมเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดจาอะไร และทันทีที่ผมได้ยินเช่นนั้น ผมก็ยิ่งปล่อยโฮร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิม

   “อ้าว คุณเพื่อนเต้ยทำคุณเพื่อนนันท์ร้องไห้หนักกว่าเดิมอีกนะครับเนี่ย”
   “มึงนี่มันเลว ชั่วช้าจริงๆ ไอ้สัสเต้ย”
   “ไอ้สัสยีสต์ มึงบ่ต้องมาเนียนด่ากูเลย”
   ไอ้เต้ยหันไปด่าไอ้ยีสต์กลับ ผมนิ่งเงียบจ้องมองสมุดไดอารี่ในมืออยู่ก่อนที่จะเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองทั้งสามที่กำลังจ้องมองผมอยู่

   “ไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ ไอ้โอ๊ต กู....กู....กูเป็นอะหยังกันแน่วะ”
   

   หลังจากที่ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปทั้งไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ และไอ้โอ๊ต ต่างก็พากันนิ่งเงียบไป บรรยากาศในห้องคาราโอเกะแห่งนี้ดูเงียบงันในทันที จะมีก็เพียงแต่เสียงดังมาจากข้างนอกที่เล็ดลอดเข้ามาเท่านั้นที่พอจะช่วยกลบความเงียบภายในห้องได้

   ผมไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่าที่พูดออกไป แต่จะให้เก็บเงียบเอาไว้คนเดียวอีกต่อไปก็คงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ

   “สรุป...”
   ไอ้เต้ยเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ก่อน ที่จะนิ่งเงียบทิ้งช่วงจังหวะไปอีกครู่หนึ่ง

   “คือไอ้แบงค์สารภาพรักกับมึงเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา แต่มึงก็มีท่าทีปฏิเสธไปเพราะบ่ทันได้ตั้งตัวและบ่คิดมาก่อนว่าแบงค์จะชอบมึงในลักษณะนั้น แต่ตอนนี้มึงต้องการจะปรับความเข้าใจกัน ไอ้แบงค์ก็ดันมาย้ายโรงเรียน ไม่สิย้ายที่อยู่กลับไปเชียงดาวเสียก่อนอย่างนั้นสินะ”
   ไอ้เต้ยพยายามสรุปใจความที่ผมเล่าไปทั้งหมด ผมพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไป

   “เรื่องคุณเพื่อนนันท์มีปัญหาอะไรสักอย่างกับคุณเพื่อนแบงค์นี่ผมพอจะดูออกมาสักพักแล้วนะครับ แต่เรื่องคุณเพื่อนแบงค์ย้ายกลับไปเชียงดาวนี่สิ ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่จะว่าไปช่วงนี้ผมเองติดต่อคุณเพื่อนแบงค์ไม่ได้เลยเหมือนกัน”
   ไอ้โอ๊ตพยายามตั้งข้อสังเกต

   “มึงก็บ่รู้เรื่องอะหยังเหมือนกันเหรอวะ”
   ผมหันไปถามไอ้โอ๊ตซ้ำอีกรอบ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ

   “เอาล่ะ ก่อนที่จะไปแก้ปัญหาอื่นๆ คำถามแรกที่มึงต้องตอบ และเคลียร์ให้ได้ก่อน นั่นคือ...”
   ไอเต้ยนิ่งเงียบทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง

   “สรุปว่ามึงคิดยังไงกับไอ้แบงค์กันแน่”
   อึก!!!
   ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “กู...กูบ่รู้ แต่กูยอมรับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเวลากูอยู่กับไอ้แบงค์ กูมีความสุขว่ะ กูมีรอยยิ้ม กูหัวเราะได้ มันเหมือน...เหมือนกูได้เป็นตัวของตัวเอง”
   ผมค่อยๆ ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างในออกมาทีละเล็กทีละน้อย

   “กูยอมรับว่าบางครั้งกูก็รู้สึกกระวนกระวายใจจนเหมือนจะเสียความเป็นตัวของตัวเองเวลาที่เห็นมันไปสนิทกับคนอื่นที่บ่ใช่กู มันเหมือนว่ากูกำลังจะโดนคนอื่นแย่งพื้นที่ข้างๆ นั้นไป”
   ทั้งสามยังคงนิ่งเงียบไม่พูดแทรกอะไรขึ้นมา ปล่อยให้ผมได้พูดระบายความรู้สึกต่อไป

   “กู...กูยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาที่บ่ได้เจอกับมันกูก็รู้สึกเหมือนชีวิตมันขาดอะหยังบางอย่างไป พอกูรู้ว่ามันย้ายกลับไปเชียงดาวกูรู้สึกใจหายมาก ยิ่งพอกูได้อ่านไดอารี่ที่มันเขียนอะหยังต่างๆ เกี่ยวกับกูเอาไว้ ก็ยิ่งทำให้กูอยากเจอมันมากๆ เลยว่ะ”
   ผมนิ่งเงียบไปก่อนจะก้มลงมองสมุดไดอารี่ในมือ

   “งั้นมึงเองก็รักไอ้แบงค์เหมือนกันใช่มั้ย”
   อึก!!!
   ผมรู้สึกเหมือนโดนแทงใจดำทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นจากไอ้เต้ย

   “ความรู้สึกพวกนี้มันเรียกว่ารักอย่างนั้นเหรอวะ”
   “......”

   “ถ้าความรู้สึกเหล่านี้ มันเรียกว่าความรัก แล้วทำไม กูถึงได้รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเสียใจอย่างนี้ล่ะวะ ไอ้เต้ย”
   “แต่มึงก็ยอมรับด้วยนี่ ว่ามึงเองก็มีความสุขกับมันเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”
   ไอ้เต้ยเอ่ยถาม ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ก่อนที่จะพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

   “นั่นล่ะ คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก มันมีพลังอำนาจที่ทำให้เราทั้งยิ้มได้ หัวเราะได้ มีความสุขกับมันได้ ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ เศร้า และร้องไห้ได้เช่นเดียวกัน”
   ไอ้เต้ยพยายามปลอบใจผม ซึ่งแตกต่างไปจากทุกทีที่ปกติมันจะชอบด่าว่าผม

   “แหม คุณเพื่อนเต้ย คารมคมคายมากนะครับ พูดเสียเหมือนตัวคุณเพื่อนเต้ยเองก็กำลังมีความรักเหมือนกันเลยเลยนะครับ”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยแซวเล่นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ไอ้เต้ยเองเหมือนได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปก่อนที่จะหันไปมองไอ้ยีสต์แล้วจึงหันกลับไปมองไอ้โอ๊ตอีกที

   “เออ เรื่องของกูน่ะ”
   ไอ้เต้ยตอบตัดบทอย่างสั้นๆ

   “งั้นกูว่า มันก็บ่น่าจะมีปัญหาอะหยังแล้วนี่หว่า ไอ้แบงค์ชอบมึง ส่วนมึงเองก็ถือว่าชอบไอ้แบงค์แล้ว ก็แฮปปี้เอ็นดิ้งดีแล้วนี่หว่า”
   ไอ้ยีสต์พยายามสรุปเรื่องราวตามความเข้าใจของตัวเอง ผมก้มหน้านิ่งเงียบพักหนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้ามองไอ้ยีสต์ที่กำลังทำสีหน้าสงสัย

   “ไอ้แบงค์มันก็เป็นผู้ชายเหมือนกู เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้เหรอวะ แล้วพวกมึงจะบ่รู้สึกรังเกียจเหรอวะ ถ้าความรู้สึกเหล่านั้นมันคือความรัก...”
   ผมเอ่ยถามทั้งสามที่กำลังจ้องมองผมอยู่ ผมยอมรับนะครับว่าเคยพูดเอาไว้นี่มันยุคสมัยใหม่แล้ว ตัวผมเองก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจกับเรื่องพวกนี้ แต่พอเป็นตัวเองที่จะต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้เสียเอง ก็อดที่จะนึกหวาดกลัวต่อสายตาคนรอบข้างไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกมันทั้งสาม ที่ผมถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของผม

   “โห ไอ้เหี้ย มึงนี่มันโง่สมเป็นมึงจริงๆ เลยว่ะไอ้นันท์”
   ไอ้ยีสต์ด่าพร้อมกับยิ้มกวนตีนให้ผม

   “ต่อให้มึงจะเป็นอะหยัง จะชอบใคร รักใครแบบไหน แต่ยังไงแล้ว สุดท้าย มึงก็ยังเป็นตัวมึง เป็นไอ้นันท์คนเดิมอยู่ดีน่ะล่ะ”
   ทันทีที่ไอ้ยีสต์พูดจบ ก็หันไปมองหน้าไอ้เต้ยกับไอ้โอ๊ต ทั้งสองเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมายิ้มให้กับผม

   “และที่สำคัญบ่ว่าจะยังไงมึงก็จะยังเป็นเพื่อนพวกกูตลอดไปบ่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน กูสัญญา”
   “ใช่ครับ คุณเพื่อนนันท์”
   ไอ้เต้ยกับไอ้โอ๊ตต่างก็ตอบเสริมให้กับคำพูดของไอ้ยีสต์ น้ำตาที่กำลังจะแห้งไปแล้วก็กลับมาไหลอีกครั้งเมื่อตัวผมเองเมื่อได้ยินคำพูดของพวกมัน
   “ถ้าอย่างนั้น...กูก็คงตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปสินะ...สำหรับเรื่องวันนั้น”
   ผมเอ่ยถามกับตัวเองออกมาลอยๆ

   “เรื่องนั้นพวกกูก็บ่รู้ว่ะ แต่ก็เป็นปกติของมนุษย์เราปะวะ ที่จะมีลังเล บ่มั่นใจ หรือตัดสินใจอะหยังผิดพลาดไปบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งที่ผิดพลาด เราได้เรียนรู้อะไรจากมันมั่งหรือเปล่า นั่นล่ะคือสิ่งสำคัญ”

   “ตามที่คำโบราณว่าไว้ว่าสี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พังค์สินะ”
   “รู้พลั้งครับ คุณเพื่อนเต้ย”
   ไอ้โอ๊ตรีบตบมุกไอ้เต้ยอย่างรวดเร็ว แต่มันใช่เวลามาเล่นเป็นคณะตลกกันมั้ยวะพวกมึงเนี่ย


   พวกเราต่างก็นิ่งเงียบกันไปชั่วขณะพลางหันมองหน้าซึ่งกันและกันแล้วจึงหัวเราะให้แก่กันเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสามจะตบบ่าผมเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   ถึงแม้บางเวลาพวกมันจะเหี้ยบ้าง กวนตีนบ้าง แต่สำหรับผมแล้วทั้งสามถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับผมจริงๆ และการมีเพื่อนที่ดีมันก็ช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นปัญหาที่ในบางเวลาเราอาจจะมองหาทางออกไม่เจอ

   เพียงแค่เรากล้าที่จะเปิดใจพูดคุยกัน


   หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน จะยกเว้นก็เพียงผมที่ยังคงเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้อีกเล็กน้อย พอรู้ตัวอีกที ก็มาหยุดอยู่แถวบริเวณหน้าประตูห้างฝั่งเส้นถนนห้วยแก้วเสียแล้ว ซึ่งหากผมเดินออกไปอีกนิด ก็จะสามารถไปยังร้านมินิคาเฟ่ของเจ๊บัวที่ตั้งอยู่ข้างๆ ได้ แต่ตัวผมในตอนนี้นั้นก็รู้ดีว่าถึงไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะแบงค์ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

   จริงอยู่ที่เจ๊บัวบอกว่าแบงค์จะยังกลับมาทำเรื่องขอย้ายโรงเรียน แต่ผมกลับรู้สึกอดทนรอเวลานั้นไม่ไหวแล้ว ภาพความทรงจำเมื่อครั้งที่ผมกับแบงค์ช่วยกันอุ้มกองเอกสารเมื่อวันนั้นหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง

   ภาพของแบงค์ที่หันหลังแล้วเดินออกไป โดยทิ้งผมเอาไว้กับจิตใจที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ในตอนนั้น

   “......”

   ผมก้มมองฝ่ามือของตัวเองก่อนจะกำมันเอาไว้จนแน่น

   ผมน่าจะคว้าอีกฝ่ายเอาไว้ หากรู้ว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน

   และพอยิ่งคิดแบบนั้น อยู่ๆ น้ำตาของผม มันก็ทำท่าว่าจะไหลออกมาอีกครั้ง ผมพยายามก้มหน้าเพื่อหลบสายตาจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา

   บางที "ความซื่อ" ของผม มันก็อาจจะทำร้ายใครต่อใคร โดยที่ผมไม่เคยรู้ตัวเลย ถ้านี่คือผลกรรมและบทลงโทษสำหรับผมแล้วล่ะก็ ผมก็อยากจะขอโทษในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปเช่นเดียวกัน และอยากจะขอโอกาสแก้ตัวเพื่อแก้ไขในสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไป

   แต่โอกาสนั้นมันจะมีได้สักกี่ครั้งสำหรับคนๆ หนึ่งกันเชียว

   หรือบางทีโอกาสนั้น อาจจะไม่ได้มีไว้ให้สำหรับผมอีกแล้ว ก็เป็นไปได้

จบคาบเรียนที่ยี่สิบห้า
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 26 โอกาส (8-1-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 08-01-2019 03:46:13
   คาบเรียนที่ยี่สิบหก

   สิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้ก็มีเพียงแค่โอกาส
   โอกาสที่จะได้แก้ไขในสิ่งที่ผมได้ทำผิดพลาดไป
   แต่โอกาสที่ผมต้องการนั้น บางทีมันอาจจะไม่ได้มีไว้ให้สำหรับคนโง่เขลาเช่นผมก็เป็นไปได้


   ฮึก ฮึก
   ดราม่าบ้าบออะไรของมึงเนี่ยไอ้นันท์ เป็นนักกวีรึไงวะ ดูดิ คนเขามองกันใหญ่แล้วโตเป็นควายแล้วยังมายืนร้องห่มร้องไห้เป็นเด็กอนุบาลอยู่นั่นล่ะ พอๆ เลิกๆ เลิกร้องไห้ได้แล้วมึง กลับบ้านกลับช่องได้แล้ว ก่อนที่จะโดนวิชาก้านมะยมพิฆาตมารของคุณกมลชนกเข้า

   ฮึก ฮึก ฮึก
   ทว่าถึงแม้จะพยายามคิดเช่นนั้น แต่ผมก็ยังไม่ยอมหยุดสะอื้นลงง่ายๆ ผมพยายามปาดน้ำตาตัวเองก่อนที่จะหันหลังเดินเข้าไปในตัวห้างอีกรอบ เพื่อลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน

   ทันใดนั้นเอง

   “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ นันท์”
   นั่นคือคำถามแรกที่ผมได้ยินทันทีที่ผมหันหลังไปพร้อมกับเจ้าของเสียงของคำถามนั้นที่กำลังยืนมองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงปนงุนงงสงสัยอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ในมือ

   “บะ แบงค์!!!”
   ผมเอ่ยอุทานชื่อนั้นออกมาทันทีด้วยความงุนงงเล็กน้อยพร้อมกับขยี้ตาตัวเองไปด้วย

   “ครับ”
   อีกฝ่ายตอบรับกลับมาสั้นๆ

   “แบงค์”
   “ครับ”
   ผมเอ่ยชื่อนั้นออกไปอีกรอบ อีกฝ่ายขานรับด้วยสีหน้าที่ดูงุนงง

   เฮ้ย นี่กูไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย
   ผมตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่าย

   “อะไรครับเนี่ย เดี๋ยวเสื้อผมก็ยืดหมดหรอก”
   เจ้าตัวเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมกับยิ้มหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นผมเดินเข้าใกล้แล้วใช้มือดึงชายแขนเสื้อของตนเบาๆ

   “ตัวจริงมั้ยวะเนี่ย”
   แบงค์ขมวดคิ้วส่งเสียง ห๊ะ ออกมาทันทีพร้อมกับทำสีหน้างุนงงหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำถามนั้นของผม

   “ก็ตัวจริงสิครับ จะเป็นใครที่ไหนได้อีกล่ะ ว่าแต่เป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมถึงมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้ล่ะครับ อะ อ้าวๆ เดี๋ยวๆ”
   ไม่ทันที่แบงค์จะได้พูดจบประโยค ผมก็ปล่อยโฮร้องไห้หนักกว่าเดิมอีกครั้ง พร้อมกับโผเข้ากอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าภาพที่เห็นตรงหน้าจะไม่ใช่ความจริงและกลัวว่ามันเลื่อนหายไปอีกรอบ

   นาทีนี้ใครจะมองยังไงก็ช่างแม่ง กูไม่สนใจแล้ว ฮือออ
   

   “เอ้านี่ครับ”
   แบงค์ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้หลังจากที่พาผมเข้ามานั่งที่ม้านั่งข้างบันไดเลื่อนในตัวห้าง

   “"เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ”
   เจ้าตัวเอ่ยถามอีกรอบด้วยความสงสัยก่อนที่จะนั่งลงข้างๆ ผม พร้อมกับวางถุงพลาสติกไว้ข้างม้านั่ง

   “ยังจะมีหน้ามาถามกูอีก ก็มึงนั่นล่ะ ฮือ...”
   แบงค์ส่งเสียง เอ้า พร้อมกับเกาจมูกตัวเองเบาๆ ทันทีที่ได้ยินผมตอบเช่นนั้น

   “ผม? ผมทำไมเหรอครับ”
   ดูท่าทีนั่นสิ ดูเจ้าตัวจะไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับสิ่งที่ตัวเองทำเลยแม้แต่น้อย

   “ก็มึงเล่นมาสารภาพรักกับกู แล้วอยู่ๆ มาหายตัวไปโดยบ่บอกบ่กล่าวกันยังไงล่ะวะ”
   ทันทีที่ผมพูดจยพูดจบ แบงค์ก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสงสัย

   “เอ่อ เดี๋ยวนะครับ เรื่องสารภาพรักน่ะ ผมยอมรับครับ แต่ฝ่ายที่หายตัวไปเนี่ยคือนันท์ไม่ใช่เหรอครับ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่านันท์เป็นฝ่ายปฏิเสธผมไปแล้วนี่ครับ แล้วจะมาร้องไห้ทำไม ผมต่างหากสิสมควรจะเป็นฝ่ายร้องไห้”
   คราวนี้แบงค์เป็นฝ่ายทำเสียงตัดพ้อห่อเหี่ยวกลับมา พร้อมกับก้มหน้าเศร้า ซึ่งพอมาคิดดูอีกที ก็จริงอย่างเจ้าตัวว่าเอาไว้จริงๆ ด้วยแฮะ

   “แต่มึงเล่นย้ายโรงเรียนกลับไปเชียงดาวโดยที่บ่บอกบ่กล่าวกันเลยสักนิดมันจะบ่เกินไปหน่อยเหรอวะ”
   แบงค์ส่งเสียง หือ ในลำคอพร้อมกับหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงงทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากผม

   “เอ่อ ย้ายโรงเรียนเหรอครับ”
   “เออ”

   “ย้ายกลับเชียงดาวเนี่ยนะครับ”
   “เออ!!!”

   “......”
   “......”

   “ผมเนี่ยนะครับ?”
   “ก็แหงสิ คุยกันอยู่สองคน บ่ใช่มึงแล้วจะเป็นหมาที่ไหนได้อีกวะ”

   “นั่นสิครับ”
   แบงค์เม้มปากพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของผม

   “......”
   “......”
   ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบ

   “เดี๋ยวนะ ขอคั่นเวลาแป๊บนึงนะครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น

   “ไปเอามาจากไหนเหรอครับว่าผมจะย้ายโรงเรียน ย้ายกลับเชียงดาวเนี่ย”
   แบงค์ถามผมด้วยสีหน้าสงสัยอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับผมเองที่งงเหมือนกันเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น

   “ก็กูอยากจะเคลียร์ปัญหากับมึง เลยไปหามึงที่หอแล้วป้าที่หอบอกว่ามึงย้ายออกไปแล้ว กูก็เลยมาหาเจ๊บัว เจ๊บัวก็บอกว่ามึงย้ายโรงเรียนกลับเชียงดาวไปแล้ว”
   ผมตอบกลับไปตามที่ตัวเองเข้าใจ แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างพลางขยับแว่นหนาบนในหน้าเล็กน้อย

   “เจ๊บัวเนี่ยนะบอกแบบนั้น”
   ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

   “เนี่ย แถมยังบอกอีกว่ามึงฝากอันนี้ไว้ให้กูอีกด้วย”
   ผมพยายามอธิบายเสริมพร้อมกับเปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเองออก

   “เฮ้ยยย อยู่นี่เอง”
   แบงค์ตะโกนเสียงดังทันทีที่เห็นผมหยิบสมุดไดอารี่ออกมาจากกระเป๋า ก่อนที่จะรีบหยุดเสียงลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าคนรอบข้างหันมามอง จากนั้นจึงคว้ามันไปจากมือผมโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

   “อะหยังของมึง”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทีนั้นของอีกฝ่าย

   “ก็นี่มันสมุดไดอารี่ของผมยังไงล่ะครับ”
   “ก็ใช่ไง”

   “ผมก็หาแทบตายว่าหายไปไหน มาอยู่ที่นันท์ได้ไงครับเนี่ย”
   “เอ้า ก็มึงเองบ่ใช่เหรอวะที่ฝากไว้ให้กู”
   “ห๊ะ? ใครเป็นคนฝากนะครับ”
   แบงค์หันมาถามด้วยความสงสัย

   “ก็มึงนั่นล่ะ”
   “ใครเป็นคนบอกแบบนั้นครับ”
   แบงค์เอ่ยถามอีกครั้ง

   “ก็เจ๊บัวไง เนี่ยเจ๊บัวเอาให้กู พร้อมกับบอกว่ามึงฝากไว้ให้กู”
   แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พร้อมกับก้มหน้าก้มตาเม้มปากเล็กน้อย ก่อนที่จะอมยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

   “เจ๊บัว นะเจ๊บัว แสบจริงๆ เจ๊เนี่ย ฮะฮะฮ่าาา”
   แบงค์เอ่ยอุทานออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยหัวเราะออกมาดังลั่น

   “อะหยังอีกวะเนี่ย”
   ผมขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยในเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้

   “ผมว่านะ นันท์โดนเจ๊บัวอำเล่นครั้งใหญ่แล้วล่ะครับ”

   “......”
   “......”
   ทั้งผมและแบงค์ต่างนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ผมพยายามใช้สมองเมล็ดถั่วอันน้อยนิดคิดทบทวนคำพูดของแบงค์อีกรอบ

   “อำเล่น?”
   “ครับ”

   “อำเล่นเรื่องอะหยังวะ”
   ผมพยายามเค้นถามความจริง แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็อมยิ้มหัวเราะเบาๆ ในลำคอเล็กน้อย ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

   “ดีจัง ที่คราวนี้นันท์ไม่ปัดมือของผม”
   แบงค์พูดพร้อมยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูดีใจและมีความสุข

   “มึงอย่าเพิ่งนอกเรื่อง”
   ผมตัดบทพลางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง

   “ก็ทั้งเรื่องย้ายโรงเรียน กับ ย้ายกลับไปเชียงดาวนั่นล่ะครับ”

   “......”
   “......”

   “ห๊ะ!?”
   “ครับ”
   ผมอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจทันทีที่สมองอันน้อยๆ ของผมประมวลผลนั้นได้

   “ดะ ดะ ได้ไงวะ?”
   “เอ่อ ผมไม่รู้นะว่าเจ๊แกอำอะไรไปบ้าง เอาเป็นว่าถ้านันท์อยากรู้อะไรก็ถามผมตอนนี้เลยดีกว่า ผมจะได้ตอบความจริงให้”
   แบงค์เอ่ยตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ผมเองก็ยังคงงงๆ อยู่บ้าง ถึงแม้จะพอรู้ตัวแล้วก็ตามที

   “สรุปมึงย้ายโรงเรียนจริงเหรอวะ?”
   นั่นคือคำถามแรกที่ผมเอ่ยถามออกไป

   “ไม่จริงครับ”
   แบงค์รีบตอบกลับมาทันทีอย่างรวดเร็ว

   “แล้วมึงหายไปไหนมาตั้งหลายวัน?”
   “เอ่อ อันนี้ผมกลับบ้านที่เชียงดาวจริงครับ แต่แค่มีธุระนิดหน่อยน่ะครับ”
   “ธุระอะหยัง เห็นเจ๊บัวบอกว่าที่บ้านของมึงมีปัญหา เลยให้ย้ายกลับไป”
   ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง ทว่าเมื่ออีกฝ่ายได้ยินคำถามนั้นก็เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ ออกมา

   “บ้า เจ๊บัวเนี่ย อำอะไรของเจ๊แกเนี่ย เปล่าครับ ครอบครัวผมไม่ได้มีปัญหาอะไร จริงอยู่ว่าบ้านผมไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ขัดสนอะไรขนาดนั้น พอดีคุณน้าของผมเขาทำงานเป็นช่างภาพให้กับนิตยสารท่องเที่ยวต่างประเทศแล้วก็เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาเยี่ยมบ้านน่ะครับ ผมก็เลยกลับไป ก็แค่นั้นเองครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูสดใสบางทีที่แบงค์ชอบถ่ายรูป อาจจะมีคุณน้าเป็นแรงบันดาลใจก็ได้ล่ะมั้ง

   “แล้วทำไมกูถึงติดต่อมึงบ่ได้เลยวะ มือถือโทรไปก็บ่มีสัญญาณ ทักไปก็บ่ตอบกลับ บ่สิ บ่ขึ้นว่าอ่านเลยด้วยซ้ำ”
   ผมรัวคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป แบงค์เองถึงกับยิ้มหัวเราะในท่าทีของผมอยู่ไม่น้อย

   “มือถือผมเสียน่ะครับ เอาไปฝากซ่อมไว้ที่ร้าน ยังไม่ได้ไปเอาเลยครับ”

   “......”
   “......”

   “จริง?”
   “จริงครับ เนี่ย ใบเสร็จ”
   แบงค์หันไปหยิบใบที่ว่านั่นออกมาจากกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาให้ผมดูเป็นหลักฐานยืนยัน

   “แล้วเรื่องหอล่ะ?”
   “อ๋อ ผมแค่ย้ายหอนิดหน่อยน่ะครับ พอดีหอใหม่ทำเลมันดีกว่า แถมถูกกว่าด้วย”
   แบงค์ตอบกลับมาอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรแม้แต่น้อย จนผมเองเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย

   “ก็แล้วทำไมบ่บอกกันก่อนล่ะวะ ว่าจะไปไหน หรือทำอะหยัง ปล่อยให้...”
   “แล้วนันท์อยู่ให้ผมบอกหรือเปล่าล่ะครับ”
   ผมรู้สึกสะอึกขึ้นมาทันทีที่อีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนั้น ซึ่งก็จริงของมันแฮะ

   “มันเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนด้วยน่ะครับเพราะหอใหม่ห้องว่างพอดี ส่วนหอเก่าถ้าย้ายออกช้าก็จะเกินกำหนดอีก ไหนจะเรื่องคุณน้าของผมที่กลับมาแบบไม่บอกไม่กล่าว แถมยังมาแค่ไม่กี่วันด้วย ผมก็เลยต้องรีบกลับไป อีกอย่างบ้านที่เชียงดาวก็มีแค่พ่อกับแม่ ท่านก็ไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ตอยู่แล้วเลยไม่ได้ติดเอาไว้ แถวบ้านผมก็ไม่มีร้านอินเตอร์เน็ตด้วย ส่วนมือถือของพ่อแม่ผมก็เป็นมือถือธรรมดาๆ ได้แค่รับสายกับโทรออกแค่นั้น เพราะงั้นหลายวันมานี้ผมเลยไม่ได้แตะโลกโซเชี่ยลเลยสักนิด ยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ”
   แบงค์พยายามกล่าวอธิบายถึงเรื่องราวและสาเหตุต่างๆ พร้อมกับก้มหัวขอโทษผม

   “ช่างมันเถอะ ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็บ่ใช่ความผิดมึงหรอก”
   น้ำเสียงและท่าทีของผมอ่อนลงทันทีเมื่อเห็นท่าทีนั้นของอีกฝ่าย

   “ว่าแต่เมื่อกี้นันท์ยังพูดไม่จบนะครับ ที่บอกว่า ผมไปโดยไม่บอก ปล่อยให้...หมายความว่ายังไงครับ ปล่อยให้อะไร?”
   คราวนี้แบงค์เป็นฝ่ายเอ่ยถามผมกลับมาบ้าง ซึ่งก็ทำให้ผมเกิดอาการอึ้งหน้าแดงเขินอายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากอีกฝ่าย

   “เอ่อ...เอ่อ...บ่...บ่...บ่มีอะหยัง”
   ผมพยายามตอบปัดกลับไป แต่ดูแบงค์จะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก สังเกตได้จากสีหน้าที่ดูจะยิ้มมีความสุขนั่น ชวนให้น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก

   “ไม่มีอะไร แต่ก็ไปยืนร้องไห้เป็นเด็กอนุบาลอยู่คนเดียวเนี่ยนะครับ”
   “พอได้แล้ว อย่าไปพูดถึง กูอายเว้ย”
   ผมพยายามโวยวายกลบเกลื่อน ในขณะที่ใบหน้าผมในตอนนี้ยิ่งแดงก่ำมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

   “ว่าแต่ นันท์ เอ่อ...อ่าน...ไดอารี่ของผมหมดแล้วเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พลางก้มมองดูสมุดไดอารี่ในมือของตัวเอง

   ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

   “อ๊ากก”
   แบงค์ส่งเสียงร้องพร้อมกับเอาสมุดไดอารี่ขึ้นมาปิดหน้าตัวเองทันที

   “เป็นอะหยังของมึง”
   “อายครับ”
   “ห๊ะ?”
   “ก็อะไรต่างๆ ที่ผมเขียนเอาไว้ ถูกเห็นหมดแล้วยังไงล่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเขินอายพอสมควร ทำเอาผมถึงกับอดที่จะอมยิ้มตามไปด้วยไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีนั้นของอีกฝ่ายที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

   “เห็นเงียบๆ บ่ค่อยพูดบ่ค่อยจา แต่ในไดอารี่นี่พล่ามซะเยอะเลยนะมึง ดูแทบบ่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน”
   ผมหัวเราะแซวกลับไป แบงค์ได้แต่ยิ้มเขินอายไม่ตอบอะไรกลับมา ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากจริงๆ

   “......”
   ผมเอียงหัวของตัวเองไปพิงไว้บนไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่จะหลับตาลง

   “เป็นอะไรไปครับ ?”
   แบงค์หันมาถาม ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่กระทบกับเส้นผมของผม

   “บ่ได้เป็นหยัง แค่รู้สึกดีใจน่ะ ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เจ๊บัวบอกมันบ่เป็นเรื่องจริง”
   ผมเอ่ยออกไปพร้อมกับอมยิ้มให้ตัวเอง

   “อ้าว นึกว่าจะโกรธเจ๊บัวเสียอีก ที่ไปอำเล่นเสียขนาดนั้น”
   “ก็มีบ้าง แต่ช่างเถอะ บ่ได้โกรธอะหยังมากมายขนาดนั้นแล้ว แค่ทุกอย่างมันยังอยู่เหมือนเดิมกูก็พอใจละ”

   “งั้นก็แสดงว่านันท์ตกลงเป็นแฟนกับผมแล้วสินะครับ”

   “......”
   “......”

   “ใครบอกว่ากูจะตกลงเป็นแฟนมึง”
   ผมเอ่ยตอบกลับไปพร้อมกับดึงตัวกลับขึ้นมา แบงค์ส่งเสียง อ้าว ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินผมตอบเช่นนั้น

   “แต่กูยอมรับนะว่า กูรู้สึกดีกับมึงมากกว่าคนอื่นๆ และมากกว่าเพื่อนทั่วๆ ไป”

   “มากกว่าคำว่าเพื่อนสนิทด้วยมั้ยครับ”
   “......”
   ผมนิ่งเงียบไปครู่กับคำถามนั้น

   “อืม มากกว่าคำว่าเพื่อนสนิทด้วย”
   “ก็นั่นล่ะครับ ที่เขาเรียกว่าแฟน”
   “บ่ใช่เว้ย”

   “นันท์นี่ก็เป็นคนปากไม่ตรงใจมากกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ”
   พูดจบแบงค์ก็ยกมือตัวเองขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกมีความสุขมากกว่าครั้งไหน อะไรกันเนี่ยกับความรู้สึกพวกนี้ ทั้งๆ ที่เขินฉิบหาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่ารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

   “กูถามอะหยังมึงอีกอย่างนึงได้มั้ยวะ”
   “ได้สิครับ จะอีกกี่คำถามผมก็ยินดีจะตอบให้หมด”
   “ทำไมมึงถึงชอบกูวะ”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่เมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม

   “ก็อย่างที่เขียนบอกไว้ในไดอารี่นั่นล่ะครับ ว่าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจดี”
   “แค่นี้เนี่ยนะ”

   “จะว่ายังไงดีล่ะ เอาเป็นว่านันท์ที่เป็นตัวนันท์แบบนี้นี่ล่ะครับ คือทุกสิ่งที่ทำให้ผมชอบ ทำให้ผมหลงรัก”
   “......”

   “จริงอยู่ว่าผมเคยผ่านการอกหักมา แต่ส่วนนึงคงเพราะผมอาจจะไม่ได้คิดที่จะรักษามันเอาไว้ด้วยมากกว่า ตอนแรกผมเองก็คิดจะจะยอมแพ้เรื่องนันท์เหมือนกัน”
   แบงค์นิ่งเงียบไป ซึ่งผมเองก็จำได้ว่าไดอารี่วันสุดท้ายของอีกฝ่ายก็เขียนเอาไว้ประมาณนั้น

   “แต่พอผมตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน ผมก็ลองมาคิดทบทวนอีกที ว่าผมจะยอมแพ้ให้กับความทรงจำแย่ๆ วันนั้นแค่วันเดียวอย่างนั้นเหรอ ในเมื่อความทรงจำดีๆ ที่ผ่านมามันมีมากกว่าแท้ๆ ซึ่งผมก็ได้คำตอบว่าครั้งนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าความรักที่ใช่สำหรับผมนั้นคืออะไร และใครคือใครคนนั้นสำหรับผม”
   แบงค์ทิ้งช่วงครู่หนึ่ง

   “ผมคิดว่าครั้งนี้ต่อให้นันท์จะปฏิเสธผมยังไง ผมก็จะพยายามต่อไป เพื่อให้นันท์รักผมให้ได้”
   เหี้ยยย เลี่ยนว่ะ อยากอ้วก
   แล้วทำไมกูถึงได้รู้สึกเขินหน้าแดงด้วยวะเนี่ย โอ๊ยยย

   “เออ ว่าแต่นั่นถุงอะไรวะ”
   ผมเบี่ยงประเด็นโดยการหันไปถามพร้อมกับชี้ไปยังถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างม้านั่งฝั่งแบงค์

   “อ๋อ ของใช้ที่ร้านน่ะครับ พอดีมันหมดกะทันหัน เจ๊แกเลยให้ผมมาซื้อที่มินิมาร์ทริมปิงที่ชั้นใต้ดินน่ะครับ”
   ผมพยักหน้าตอบรับทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

   “เดี๋ยวผมเอาไปให้เจ๊บัวก่อนนะครับ ใช่ๆ ต้องโวยแกสักหน่อยกับเรื่องนี้ จะเข้าไปโวยด้วยกันมั้ยครับ”
   แบงค์หันมาถามผมพร้อมกับหยิบถุงพลาสติกนั้นขึ้นมาก่อนที่จะลุกตัวขึ้นยืน ผมจึงลุกขึ้นยืนตามพร้อมส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบ เพราะยังรู้สึกอายกับเรื่องที่เกิดขึ้น เกรงว่าถ้าเจอหน้าเจ๊บัวในตอนนี้ ผมคงทำหน้าไม่ถูกแน่ๆ แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้ากลับมาอย่างงงๆ เล็กน้อย

   “งั้นรอตรงนี้หน้านะครับ เดี๋ยวผมมา”
   ผมพยักหน้าตอบรับกลับไป และในจังหวะนั้นเอง
   หมับ!!!

   “เฮ้ย...อะหยังเนี่ย!!!”
   ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจทันที เพราะอยู่ๆ แบงค์ก็เดินเข้ามากอดผมเสียแน่นจนผมหายใจแทบไม่ออก

   “แค่อยากกอดน่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาสั้นๆ ผมพยายามขยับตัวด้วยความอายพอสมควร เพราะตอนนี้สายตาคนรอบข้างเริ่มหันมามองแล้ว ทว่ายิ่งผมขยับตัวมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งกอดผมแน่นมากขึ้นเท่านั้น

   เออ อยากทำไรก็ทำ ช่างมึงแล้ว

   “เดี๋ยวมานะครับ รอตรงนี้อย่าไปไหนนะครับ”
   พูดจบ แบงค์ก็หอมแก้มผมฟอดใหญ่ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งผมไว้ให้ยืนตกใจในการกระทำเมื่อครู่ของอีกฝ่ายอยู่คนเดียวท่ามกลางสายตาคนรอบข้างที่หันมามองด้วยความตกใจเช่นเดียวกับผม

   ทันทีที่ตั้งสติได้ผมก็รีบเดินออกมายังบริเวณหน้าประตูห้างทันที เพราะถ้าขืนยังยืนรออยู่ตรงนั้นต่อไป ผมคงต้องตายห่าเพราะตกเป็นเป้าสายตาและคำซุบซิบของคนบริเวณนั้นแน่ๆ

   นั่นล่ะ คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก มันมีพลังอำนาจที่ทำให้เราทั้งยิ้มได้ หัวเราะได้ มีความสุขกับมันได้ ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ เศร้า และร้องไห้ได้เช่นเดียวกัน
   ผมหวนนึกถึงคำของไอ้เต้ยที่พูดให้กำลังใจผมเอาไว้

   แต่ก็เป็นปกติของมนุษย์เราปะวะ ที่จะมีลังเล บ่มั่นใจ หรือตัดสินใจอะหยังผิดพลาดไปบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งที่ผิดพลาด เราได้เรียนรู้อะไรจากมันมั่งหรือเปล่า นั่นล่ะคือสิ่งสำคัญ
   ผมอมยิ้มขึ้นมาทันทีที่หวนคิดถึงคำพูดเหล่านั้นโอกาสที่ผมเคยร้องขอ เมื่อมันมีให้กับผมอีกครั้ง ผมจะต้องไม่ปล่อยให้มันหลุดลอยไปอีก

   คงถึงเวลาที่ผมจะยอมรับมันแล้วจริงๆ สินะกับความรู้สึกนี้ ถึงเวลาที่ผมจะต้องเปิดโอกาสให้กับตัวเอง เปิดโอกาสให้กับแบงค์ เปิดโอกาสให้กับเราทั้งคู่ได้เรียนรู้ และพิสูจน์มัน

   ลองดูสักตั้งก็แล้วกันนะ

   สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก

   “ความรัก”

   “......”
   เหี้ย พูดเอง อายเองว่ะ ฮะฮะฮ่า
   

   แต่ก่อนที่เรื่องราวระหว่างผมกับแบงค์จะได้เริ่มต้นขึ้น ยังมีปราการด่านหนึ่งที่ผมต้องผ่านมันไปให้ได้เสียก่อนนี่สิ ซึ่งปราการที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นก็คือ คุณกมลชนกนั่นเอง

จบคาบเรียนที่ยี่สิบหก


มุมแคปชั่นไร้สาระ

นันทการได้เพิ่มรูปภาพใหม่
ก็บอกแล้ววว ว่านี่มันเรื่องรักตลก (รู้สึกชิว)
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/376473424-member.jpg)
Power Bank ได้กดถูกใจสิ่งนี้


หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 26 โอกาส (8-1-19)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-01-2019 12:02:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 27 อนาคต (19-1-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 19-01-2019 00:04:49
คาบเรียนที่ยี่สิบเจ็ด


   “พ่อกับแม่เจอกันได้ยังไงอะ”
   ผมเอ่ยถามคุณกมลชนกที่กำลังนั่งดูละครทีวีหลังข่าวอยู่ในขณะที่ผมเองนั้นก็กำลังนั่งเปิดดูอัลบั้มภาพเก่าๆ ที่ผมไปค้นมาจากห้องเก็บของ ซึ่งก็เป็นรูปสมัยที่คุณกมลชนกกับพ่อของผมยังเป็นวัยรุ่นและอยู่ในสถานะแฟน

   “ก็เป็นเพื่อนในคณะเดียวกันยังไงล่ะ”
   “แล้วแม่กับพ่อคบกันได้ยังไงเหรอ”
   ผมเอ่ยถามออกไปอีก

   “ก็มีวิชานึงที่แม่บ่ค่อยสันทัดเท่าไหร่นัก พ่อแกก็เลยอาสามาติวให้ ก็ติวไปติวมาก็ปิ๊งปั๊งกันยังไงล่ะ”
   คุณกมลชนกตอบกลับมาในขณะที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีโดยไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย

   แต่เดี๋ยวนะ ทำไมฟังแล้วมันรู้สึกคุ้นๆ ฟังดูคล้ายๆ กับเรื่องราวของใครบางคนแถวๆ นี้วะ

   “แล้วเพราะอะหยังถึงเลิกกันล่ะ”
   “......”
   คุณกมลชนกนิ่งเงียบไปในทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นของผมคำถามที่ผมไม่เคยคิดจะเอ่ยถามเลยสักครั้งในชีวิตตั้งแต่ผมจำความได้และรับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านั้น

   “นึกอะหยังถึงถามน่ะ”
   คุณกมลชนกหันมาตอบกลับด้วยคำถาม ผมนิ่งเงียบไปชั่วครู่

   “ก็บ่อะหยัง แค่อยากรู้เฉยๆ แต่ถ้าแม่บ่อยากตอบ ก็บ่เป็นหยัง บ่ต้องตอบก็ได้”
   ผมตอบกลับไปด้วยความเกรงใจเล็กน้อย ไม่สิ ต้องเรียกว่ามากเลยก็ว่าได้เมื่อเห็นคุณกมลชนกนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมามากๆ จนรู้สึกผิดที่ถามคำถามนั้นออกไปโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของคนถูกถาม

   “ก็บ่มีอะหยังมาก ก็แค่ความคิดเห็นบ่ตรงกันในหลายๆ เรื่องน่ะ”
   คุณกมลชนกผมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะหันกลับไปยังหน้าจอทีวีเหมือนเดิม

   “บ่ตรงกันยังไง”
   ผมรีบเอ่ยถามต่อทันทีเมื่อเห็นว่าคุณกมลชนกยอมตอบกลับมา

   “ก็เยอะ พูดไป คนบ่มีแฟนอย่างเราก็บ่เข้าใจหรอก อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วขี้เกียจพูดถึงด้วย”
   เอ้ามีงี้ด้วย ตัดจบง่ายไปมั้ยคุณกมลชนก !!?

   “ว่าแต่นึกครึ้มยังไงถึงถามเนี่ย”
   คุณกมลชนกเอ่ยถามขึ้นมาอีกรอบ ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยกับคำถามนั้น

   “ถามแบบนี้ แสดงว่ามีแฟนแล้วใช่มั้ย”
   “แม่!!!”
   ผมเอ่ยเสียงดังออกไปทันทีที่ได้ยินคุณกมลชนกพูดเช่นนั้น

   “ฮั่นแน่ะ ทำเสียงสูงแบบนี้ แสดงว่าใช่ชัวร์”
   “แม่ บ่ใช่เน่อ”
   ผมพยายามปฏิเสธด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพอสมควร จนรู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองแดงขึ้นมายังไงไม่รู้

   “ว่าแต่เป็นใครน่ะ แม่รู้จักมั้ยหน้าตาเป็นยังไง สวยรึเปล่า แต่น้ำหน้าอย่างเรา บ่น่าจะมีแฟนสวยกับเขาได้หรอก”
   อึก!!!

   ผมรู้สึกจุกในลำคอขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแม่พูดเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องโดนปรามาสว่าหน้าตาไม่ดี เพราะอันนั้นรู้ตัวดี
   แต่...

   “แม่”
   “อะหยังอีกล่ะ เราเนี่ย”
   “แม่รู้สึกอายคนอื่นเขามั่งมั้ย ที่มีลูกอย่างหนูเนี่ย”
   ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความรู้สึกหวั่นๆ เล็กน้อย คุณกมลชนกเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงง

   “ถ้าเรื่องเราโง่น่ะ แม่ชินแล้ว”
   อุก!!!

   คุณกมลชนกครับ ถ้าคุณกมลชนกจะพูดแบบนี้ กระผมว่าคุณกมลชนกเอาก้านมะยมแช่เยี่ยวมาฟาดผมยังจะเจ็บน้อยกว่าอีกนะขอรับ

   “แต่แล้วยังไงล่ะ เราโง่แล้วไง แม่บ่ได้เลี้ยงเรามาเพื่อเอาไว้แข่งกับใครที่ไหนเสียหน่อย”
   “......”

   “แต่ที่แม่เที่ยวเคี่ยวเข็ญเราน่ะ เพราะแม่คงบ่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอดชีวิตหรอก แม่บ่ได้ต้องการให้เราเก่งเหมือนอย่างคนอื่นเขา แต่แค่เราเอาตัวเองรอด ดูแลตัวเองได้ บ่เป็นภาระของคนอื่นแค่นั้นแม่ก็พอใจแล้ว”
   พูดจบ คุณกมลชนกก็หันกลับไปยังหน้าจอทีวีเช่นเดิม

   ส่วนผมเองก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับก้มหน้าลงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วจึงลุกขึ้นไปยืนข้างหลังคุณกมลชก

   “รักแม่ที่สุดในโลกเลยนะ หนูสัญญานะ ถึงหนูจะโง่ แต่หนูก็จะเป็นเด็กดีของแม่นะ และหนูจะบ่ทำตัวเป็นภาระของใครด้วย”   
   ผมพูดพร้อมกับโอบกอดคุณกมลชนกจากด้านหลัง เพื่อหวังจะสร้างบรรยากาศซึ้งๆ ระหว่างแม่ลูกเหมือนที่เคยเห็นตามละครหลังข่าว

   “มากอดอะหยังเนี่ย ร้อน แถมยังคำพูดชวนขนลุกขยะแขยงนั่นอีก”
   ครับ ท่านผู้ชม นั่นล่ะครับ คุณกมลชนกของผม โอเคนะครับ

   “ว่าแต่ เรามีแฟนแล้วใช่มั้ย”
   “แม่!!!”
   คุณกมลชนกถามย้ำ ผมผละตัวออกมาด้วยความเขินอาย ก่อนที่จะกลับมานั่งลงที่เดิม แล้วจึงก้มหน้ามองดูรูปภาพต่างๆ ในอัลบั้มพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

   จะลองพูดออกไปดีมั้ยนะ

   “เอ่อ...แม่...”
   “เอ้อ อีกอย่าง วันนึงที่เรารียนจบไป เราก็ต้องทำงาน แล้วก็มีแฟน แต่งงาน มีลูก แม่ก็อยากให้เราเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เลี้ยงดูพวกเขาได้”
   อึก!

   “ถ้ามีโอกาส แม่เอง ก็อยากจะเห็นวันนั้นของเรานะ แม่เองก็อยากอุ้มหลานกับเขาเหมือนกัน”
   อึก!!

   “สรุปยังไงเนี่ย มีแฟนหรือยังบ่มีน่ะ แม่ก็บ่ได้จะว่าอะหยังหรอกนะ ถ้าเราจะมีแฟนน่ะ”
   อึก!!!

   ผมได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป

   “บ่บอกก็บ่เป็นหยัง แค่อย่าไปทำเขาท้องก็พอ ถึงแม่จะอยากอุ้มหลาน แต่ก็บ่ได้หมายความว่าจะเป็นตอนนี้นะ”
   พร่วดดด
   

   “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเพื่อนนันท์”
   เสียงของไอ้โอ๊ตเอ่ยทักทายผมขึ้นมาทันทีที่ผมเดินเข้ามาในห้องเรียน ผมพยักหน้าตอบรับกลับไปพร้อมกับเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะนักเรียนของตัวเองก่อนที่จะนั่งถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ

   “เป็นอะไรเหรอครับ คุณเพื่อนนันท์”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจนั้นผมหันไปมองเจ้าตัวคนถามที่กำลังจดจ่ออยู่กับเกมในมือถือเหมือนเช่นทุกครั้ง

   “กูว่ากูเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วว่ะ”
   เอาวะ ลองปรึกษาไอ้พวกนี้ดูหน่อยดีกว่า ไหนๆ พวกมันก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว

   “ปัญหาอะหยังวะ อย่าบอกนะว่ามึงทะเลาะกับไอ้แบงค์มันอีกแล้ว”
   ไอ้เต้ยเอ่ยถามขึ้นมาทันทีที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น ผมชูนิ้วกลางกลับไปเป็นคำตอบให้กับมัน

   อ้อ ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งครับ หลังจากที่เรื่องราวระหว่างผมและแบงค์คลี่คลายลง ผมก็ทักแชทไปบอกกับพวกมันทุกคนในคืนนั้นทันที ซึ่งก็แน่นอนล่ะ ว่าผมโดนพวกมันหัวเราะใส่อย่างห้ามไม่ได้

   “ปัญหาที่ว่าคือแม่กูต่างหาก เมื่อคืนกูลองพยายามลองเลียบๆ เคียงๆ ถามแม่ดู แต่กูบ่ได้เล่ารายละเอียดอะหยังหรอกนะ แต่กูก็พอจะรู้ว่านี่อาจจะบ่ใช่สิ่งที่แม่กูต้องการก็เป็นได้ว่ะ”
   “ยังไงวะ”
   คราวนี้เป็นไอ้ยีสต์ที่เอ่ยถามย้ำขึ้นมา

   “ก็แม่กูเอ่ยขึ้นมาว่า วันนึง กูก็ต้องแต่งงาน มีเมีย มีลูก กูต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวเลี้ยงดูพวกเขา...”
   ผมหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ ไอ้โอ๊ตก็ต่างหันมองหน้ากันเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้นจากผม

   “แม่กูยังบอกอีกว่า แม่กูก็อยากอุ้มหลานกับเขาเหมือนกัน”
   ทันทีที่ผมพูดจบประโยค ทั้งสามก็ต่างก็หัวเราะเสียงดังลั่นออกมาพร้อมกันทันที จนคนอื่นๆ ในห้องต่างก็หันมามองด้วยความงุนงง

   “หัวเราะเหี้ยอะหยังของพวกมึงวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

   “เฮ้ยๆ กู...กู สุมาเต๊อะว่ะ กูบ่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะเย้ย แต่มันอดบ่ได้จริงๆ ว่ะ”
   ไอ้เต้ยพยายามที่จะกลั้นหัวเราะ พร้อมกับปาดน้ำตาตัวเอง

   “คือ...กูบ่ได้หัวเราะที่แม่มึงคิดแบบนั้นหรอกนะ กูเข้าใจนะว่านั่นคือความคิดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพียงแต่...”
   “แต่ ?”
   “พวกกูนึกภาพมึงมีเมีย มีลูก และเป็นหัวหน้าครอบครัวบ่ออกจริงๆ ว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าาา”
   ไอ้เต้ยหัวเราะดังลั่นอีกรอบพร้อมกับคนอื่น ผมรู้สึกอึ้งพอสมควรที่ได้ยินเช่นนั้น แต่พอนึกตามที่ไอ้เต้ยมันว่าไว้ ก็พบว่าตัวผมเองก็นึกภาพนั้นไม่ออกเหมือนกันจริงๆ

   แต่เดี๋ยวนะ นี่มันไม่ใช่เวลามาตลกนะเฮ้ย กูกำลังดราม่าอยู่ ไอ้สัส

   “เออๆ กูสุมาเต๊อะ เอาแบบนี้นะ”
   ไอ้เต้ยพยายามตัดบทพร้อมกับปั้นสีหน้าจริงจังเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะอ้าปากเพื่อด่า หลังจากที่เห็นพวกมันหัวเราะเป็นคนบ้ากันมาพักหนึ่ง

   “นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคตว่ะ มึงยังมีเวลาอีกตั้งเยอะกว่าจะถึงวันนั้น ซึ่งระหว่างนั้น มึงก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปดีกว่า จนวันนึง แม่มึงก็น่าจะเข้าใจเรื่องของมึง...เอ หรือจะบ่เข้าใจหว่า...”

   “เอ้า คุณเพื่อนเต้ยไหงงั้นล่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตเงยหน้าขึ้นมาถามแซวอย่างติดตลก เมื่อเห็นว่าไอ้เต้ยที่กำลังจริงจังเกิดอาการลังเลขึ้นมาเสียอย่างนั้น

   “กูแค่คิดถึงอนาคตตัวกูเองน่ะ”
   “อนาคตทำไมเหรอครับ”
   ไอ้โอ๊ตถามด้วยสีหน้างุนงง

   “กูเป็นลูกหลานเชื้อสายคนจีน มึงก็รู้น่าจะรู้ว่าเป็นยังไง ยิ่งบ้านกูธุรกิจเยอะ เรื่องเส้นสายกิจการก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก มึงเคยได้ยินแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจมั้ยวะ”
   พวกผมพยักหน้ากลับไป เมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “ก็นั่นล่ะ วันนึงกูเองก็อาจจะโดนจับแต่งงานกับลูกหลานใครสักคนเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว และธุรกิจแน่ๆ”
   “แล้วคุณเพื่อนเต้ยจะทำยังไงล่ะครับ ถ้าถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ”
   ไอ้เต้ยนิ่งเงียบ พร้อมกับหันไปมองไอ้ยีสต์ที่กำลังอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ ก่อนที่จะหันกลับมา

   “กูขอเป็นตัวของตัวเองแบบนี้นี่ล่ะ ชีวิตกูก็ต้องเป็นของกู กูเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ก็ขอให้กูได้มีโอกาสตัดสินใจเพื่อชีวิตกูบ้างเถอะ”
   “แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่ของคุณเพื่อนเต้ยไม่ยอมล่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยคำถามชวนเครียดออกมา ทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลายไม่ลงเลยทีเดียว

   “ถ้าถึงวันนั้นจริง แล้วกูยังบ่สามารถเปลี่ยนความคิดพวกเขาได้ กูก็คงต้องยอมโดนตัดออกจากกองมรดก อย่างที่บอก ชีวิตกู ก็ต้องเป็นของกู อย่างน้อยก็เรื่องความรัก กูอยากจะอยู่กับคนที่กูอยากอยู่ด้วย บ่ใช่ใครที่ไหนที่กูบ่ได้รัก”

   “เหยดดด โรแมนติกสัสๆ เลยว่ะมึง”
   ไอ้ยีสต์แซวแหย่ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

   “หุบปากไปเลยมึง กูก็แค่ขอมีความสุขกับวันนี้ที่กูยังมีอยู่ ก็เท่านั้นล่ะ”
   ไอ้เต้ยด่ากลับไปก่อนที่จะเอามือตบหัวไอ้ยีสต์เบาๆ

   “เอาเหอะ คิดถึงเรื่องอนาคตเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็อย่างที่กูบอกนั่นล่ะ มึงก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อย่าเพิ่งไปคิดมาก มีความสุขกับปัจจุบันที่เป็นอยู่น่าจะดีกว่า”
   ไอ้เต้ยเอ่ยย้ำกับผมอีกรอบพร้อมกับเสียงกริ่งสัญญาณเรียกเข้าแถวตอนเช้าของโรงเรียนที่ดังขึ้น พวกผมจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องเพื่อลงไปยังสนามหน้าเสาธง

   ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดว่าอนาคตของผมจะเป็นอย่างไรหากแม่รู้เรื่องนี้เข้า สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นแบงค์ที่กำลังเดินเข้ามาผมพอดี

   “เย็นนี้ไปกินสเวนเซ่นกันมั้ยครับ ผมอยากกินไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วงมากๆ”
   แบงค์เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด ผมเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่

   “เอาสิ กูก็กำลังอยากกินอยู่พอดี งั้นเจอกันที่ชมรมหลังเลิกเรียนนะ”
   ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายเองก็ดูจะดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำตอบนั้นจากผม ก่อนที่จะเดินกลับไปยังแถวของห้องเรียนตัวเอง

   “......”
   รอยยิ้มของแบงค์เมื่อครู่ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

   ก็คงจะจริงอย่างที่ไอ้เต้ยว่าเอาไว้จริงนั่นล่ะ คิดถึงเรื่องอนาคตมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามากไป เราก็จะไม่อยู่กับปัจจุบัน และสุดท้ายก็เป็นตัวเราเองนั่นล่ะที่จะไม่มีความสุข
   

   เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมสมควรคิดถึงมากที่สุดในเวลานี้นั่นก็คือ การเฝ้ารอให้ถึงเวลาตอนเย็นเร็วๆ ด้วยใจจดจ่อ อยากกินไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วงไวๆ แล้วแฮะ
   ฮ่าฮ่าฮ่า


จบคาบเรียนที่ยี่สิบเจ็ด
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 27 อนาคต (19-1-19)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 19-01-2019 04:13:19
เรื่องของอนาคตทิ้งไว้ก่อนเอาปัจจุบันให้ดีที่สุด
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 28 สักวัน... (25-1-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 25-01-2019 03:32:58
          คาบเรียนที่ยี่สิบแปด

 

          “เหี้ย สิวขึ้น!”

            ผมเอ่ยอุทานกับตัวเองออกเบาๆ หลังจากสังเกตเห็นมันในขณะที่กำลังแปรงฟันอยู่ในตอนเช้า

            เข้าใจนะว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาหน้าใสปิ๊งแบบคนอื่นเขา ก็พอจะมีสิวขึ้นมาบ้างถึงแม้จะไม่ได้มากเหมือนตอนสมัย ม.ต้นก็ตามทีเถอะ แต่นี่มึงเล่นมาขึ้นเอาตรงปลายจมูกแบบนี้มันจะไม่น่าเกลียดไปหน่อยเหรอวะ ขืนไปโรงเรียนทั้งแบบนี้มีหวังได้โดนไอ้พวกเพื่อนเหี้ยหัวเราะเอาแน่ๆ

            ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็ยื่นหน้าตัวเองเข้าใกล้กระจกพร้อมกับพยายามใช้ปลายนิ้วชี้บีบมันออกมา

            “โอ๊ย!”

            ผมเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันทีที่เริ่มบีบมันไปได้เพียงแค่นิดเดียว

            “แม่ง นี่ต้องรอให้สุกก่อนเหรอวะเนี่ย ไอ้สิวบ้า”

            “นันท์ เสร็จรึยังน่ะเรา เดี๋ยวจะสายนะ แบงค์เขามารอตั้งนานแล้วเน่อ”

            “แป๊บนึงแม่ ใกล้เสร็จแล้ว”

            ผมรีบตะโกนตอบกลับไปทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณกมลชนกตะโกนเรียกขึ้นมา ก่อนที่จะรีบกุลีกุจอล้างหน้าแปรงฟัน และอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วแสงชนิดที่ควิกซิลเว่อร์ในหนังเรื่องอเวนเจอร์ยังต้องยอมแพ้

            “ตื่นเช้าจังนะมึง”

            ผมเอ่ยทักทายแบงค์ที่กำลังนั่งยิ้มปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรอผมอยู่ที่โต๊ะกินข้าว

            “นันท์ต่างหากล่ะครับ ที่ตื่นสาย ใช่มั้ยครับ แม่”

            “ถูกแล้ว หัดเอาตัวอย่างจากแบงค์เขาบ้างนะเราน่ะ”

            คุณกมลชนกรีบเอ่ยเห็นดีเห็นงามด้วยกับเจ้าคนใส่แว่นหนาอย่างรวดเร็ว

            “ค้าบๆ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ”

            ผมหรี่ตามองทั้งคู่ด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ ก่อนที่จะเดินไปหยิบนมถั่วเหลืองในตู้เย็นออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วจึงนั่งลงข้างๆ แบงค์ที่กำลังถอดแว่นออกมาเช็ดรอยสกปรก

            “เออ นันท์ เดี๋ยววันนี้แม่จะไปบ้านยายที่ปายเน่อ อีกสองสามวันจะกลับมา ดูแลบ้านดีๆ อย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ”

            “ค้าบๆ”

            ผมเอ่ยตอบรับกลับไปสั้นๆ พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาจัดการอาหารเช้าฝีมือของคุณกมลชนกที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

            “ยังไงแม่ก็ฝากแบงค์ช่วยดูๆ นันท์ด้วยนะจ้ะ”

            “ได้เลยครับแม่ จะดูแลให้เป็นอย่างดีเลย ไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวังแน่นอนครับ”

            พร่วด!!!

            ผมรู้สึกสำลักจนข้าวแทบจะติดคอขึ้นมาทันทีที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น

            “แม่ หนูโตแล้วนะ ดูแลตัวเองได้น่ะ”

            ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเขินอาย แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอเล็กน้อย จนผมต้องรีบเอาข้อศอกกระทุ้งไปยังไปสีข้างของอีกฝ่ายเบาๆ ทันทีที่เห็นท่าทีที่ชวนหมั่นไส้นั้น

            “แล้วมึงบ่กินเหรอวะ”

            “กินเสร็จแล้วครับ”

            ผมพยักหน้าอือๆ กลับไปเมื่อได้ยินคำตอบนั้น

            เอ่อ หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะนึกสงสัยอยู่ใช่ไหมครับว่าทำไมอยู่ๆ แบงค์ถึงเข้ามานั่งเสนอหน้าในบ้านผมได้ แถมยังเสวนากับแม่ผมได้อย่างสนิทชิดเชื้อจนแทบจะเป็นแม่ลูกกันจริงๆ แทนผมคนนี้ไปแล้ว

            ยังจำเรื่องที่แบงค์เคยบอกว่าย้ายหอได้ไหมครับ นั่นล่ะครับคือคำตอบ แบงค์เขาย้ายหอมาอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของผมน่ะครับ ซึ่งหากจะถามว่าใกล้ขนาดไหนนั่นน่ะเหรอ ก็คงใกล้ชนิดที่ว่าหอที่แบงค์อยู่ในตอนนี้นั้นติดกับบ้านของผมเลยยังไงล่ะครับ

            “คนบ้าอะหยังย้ายหอออกมาอยู่ไกลจากโรงเรียนมากกว่าเดิมอีกเนี่ย

          นั่นคือประโยคแรกที่หลุดออกจากปากผมทันทีที่ได้รู้ว่าหอใหม่ที่แบงค์ย้ายไปคือที่ไหน ก็มันสมควรจะถามไหมล่ะครับ ในเมื่อหอเดิมของอีกฝ่ายนั้นอยู่ใกล้โรงเรียนมากๆ ชนิดที่ว่าใช้เวลาเดินไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น แต่หอใหม่ที่ย้ายมาเนี่ย ขนาดขี่รถจักรยานยนต์ยังใช้เวลาสิบห้าถึงยี่สิบนาทีเลยแน่ะ

            ”ก็มันถูก แถมทำเลดี และที่สำคัญยังอยู่ใกล้ๆ กับนันท์ด้วยยังไงล่ะครับ

          และนั่นก็คือคำตอบที่ผมได้รับกลับมาจากเจ้าตัว

            “......”

            ก็แล้วแต่มึงเถอะ

            พอย้ายมาปุ๊บ ก็ดูแบงค์จะรีบทำคะแนนกับคุณกมลชนกใหญ่เลย จนตอนนี้กลายเป็นว่าคุณกมลชนกดูจะถูกอกถูกใจแบงค์มากกว่าผมที่เป็นลูกแท้ๆ คนนี้เสียแล้วนี่สิ

            แต่จะว่าไปการที่อีกฝ่ายย้ายมาอยู่ใกล้ๆ นี่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่งเหมือนกันนั่นคือ แบงค์จะคอยทำหน้าที่รับส่งผมไปกลับโรงเรียนทุกวันด้วยรถจักรยานยนต์ของผมโดยที่ผมไม่ต้องขี่มันเอง สบายแบบนี้หาได้ที่ไหนอีก ฮ่าฮ่าฮ่า

           

            “พรุ่งนี้ว่างมั้ยครับ”

            แบงค์เอ่ยถามผมทันทีที่เราทั้งคู่มาถึงโรงเรียน ผมครุ่นคิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น

            “ไม่รู้ล่ะ จะว่างไม่ว่างไม่สนละ ยังไงก็ต้องว่าง โอเคนะครับ”

            “เอ้า อะหยังเนี่ย”

            ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าเหวอเล็กน้อยเมื่อโดนแบงค์มัดมือชก

            “สรุป พรุ่งนี้มีอะหยังวะ”

            ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็อมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ

            “ไม่บอกครับ ไปเถอะ จะถึงเวลาเข้าแถวแล้ว รีบไปกัน เดี๋ยวสายนะ”

            แบงค์ปัดที่จะตอบพร้อมกับดึงเข้าเรื่องอื่น ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมันมากนัก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปยังห้องเรียนของตัวเองอย่างเร่งรีบ

           

            “กูอยากไปเที่ยวทะเลว่ะ”

            ไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งกินข้าวเที่ยงกันอยู่

            “......”

            “ช่วงนี้อากาศกำลังดี อยากไปเที่ยวทะเลชิบหายเลยว่ะ”

            “......”

            ทั้งผม ไอ้เต้ยและไอ้โอ๊ตต่างก็ยังคงนิ่งเงียบประหนึ่งว่าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นของไอ้ยีสต์

            “"กูอยากไปเที่ยวทะเลว้อยยย เกิดมาก็เห็นแต่ภูเขา อยากไปทะเลกับเขาสักครั้งจัง ถ้ามีใครพากูไปนะ กูจะ...”

            “เออๆ ปิดเทอมเดี๋ยวกูพาไป”

            ในที่สุดไอ้เต้ยก็เป็นคนแรกที่ทนรำคาญไม่ไหว รีบเอ่ยตัดบทขึ้นมาทีด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย

            “จริงดิ”

            “เออ แล้วก็หุบปากไปเลยนะมึง กูรำคาญญญ”

            “ได้เลยครัช เฮียว่าไง ผมก็ว่าตามนั้นล่ะครัช แผล่บๆๆ”

            ไอยีสต์รีบทำท่าพินอบพิเทาอีกฝ่ายทันที ไอ้เต้ยเองก็รีบยกข้อศอกขึ้นมาตั้งกันไอ้ยีสต์ด้วยความรำคาญแต่ก็แอบแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

            “ว่าแต่นึกยังไงถึงอยากไปเที่ยวทะเลขึ้นมาล่ะครับ คุณเพื่อนยีสต์”

            ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นมา ก่อนที่จะคีบลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก

            “ก็พอดีเมื่อคืนกูดูเรื่องปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นน่ะ กูเลยอยากไปบ้าง เผื่อได้จะมีประสบการณ์แบบไอเหิรมั่งยังไงล่ะวะ”

            “ยังไงวะ”

            ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะตัวผมเองนั้นยังไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้เลยสักครั้ง ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อย

            “ก็เผื่อจะได้เจอสาวๆ น่ารักๆ แบบอาโออิมั่งยังไงล่ะวะ”

            “โอเคงั้นกูบ่พามึงไปละ ไอ้สัส”

            ไอ้เต้ยรีบกลับคำตัวเองทันทีที่รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย

            “อ้าวเฮีย ไหงพูดแมวๆ แบบนี้ล่ะครับ เฮียรับปากแล้วห้ามคืนคำสิครับ บ่รู้ล่ะ ยังไงมึงก็ต้องพากูไป รับปากกูแล้ว กูบ่ยอมเว้ย”

            “พากูไปด้วยดิ กูก็อยากไปเหมือนกัน”

            ผมรีบเอ่ยกับไอ้เต้ยทันทีที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น

            “คุณเพื่อนนันท์ ก็ไปขอให้คุณเพื่อนแบงค์เขาพาไปสิครับ”

            ไอ้โอ๊ตเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง

            “เออ มึงก็ให้ไอ้แบงค์มันพาไปดิ เห็นหวานแหววมาด้วยกันทุกเช้าเลยนะมึง”

            ไอ้เต้ยรีบหันมาร่วมสมทบแซวผมทันที พร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

            “หวานเหวินเหี้ยอะหยังของพวกมึง บ่มีเว้ย”

            ผมรีบตอบปัดกลับไปทันทีด้วยความอายเล็กน้อย ทั้งไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ ไอ้โอ๊ตเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็หัวเราะกันอย่างชอบอกชอบใจกันใหญ่

 

            “เฮ้ย ไอ้นันท์ ยังไงถ้ามึงติวเสร็จแล้ว ก็ไปที่ชมรมด้วยนะเว้ย”

            ไอ้เต้ยหันมาบอกผมหลังจากที่คาบเรียนสุดท้ายหมดลง ในขณะที่เจ้าตัวกำลังเก็บของใส่กระเป๋า

            “มึงกับกูก็ไปพร้อมกันเลยก็ได้นี่”

            ผมหันไปบอกพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย

            “อ้าว แล้วมึงบ่ไปติวกับไอ้แบงค์เหรอวะ”

            “ก็ติว แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปติวที่ห้องไอ้แบงค์มันแล้วน่ะ”

            “อ๋อออ”

            “อ๋อเหี้ยอะหยังของมึง หยุดคิดต่อเลยนะมึง บ่มีอะหยังเว้ย แค่ติวเฉยๆ”

            ผมรีบพูดตัดบทขึ้นมาทันที่ได้ยินเสียงลากยาวนั้น

            “กูก็ยังบ่ได้ว่าอะหยังเลย มึงนั่นล่ะ ร้อนตัวไปเองรึป่าววะ”

            ไอ้เต้ยตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมเองเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูแล้วสุดแสนจะกวนตีนนั้นก็รีบยกเท้าขึ้นมาหมายจะถีบอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ทันเพราะมันไวกว่าผม

            “เออๆ งั้นก็ไปกันเถอะ เฮ้ย ไอ้ยีสต์ มึงกลับไปก่อนเลยนะเว้ย”

            ไอ้เต้ยหันไปตะโกนบอกไอ้ยีสต์ที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋า เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่ทั้งผมและไอ้เต้ยจะเดินออกจากห้องไป

           

            “แล้วกับไอ้ไนท์ มึงจะทำยังไงต่อวะ”

            ไอ้เต้ยหันมาถามผม ในขณะที่เราทั้งสองกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์รอสมาชิกคนอื่นกันอยู่ผมนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าคนถาม

            “ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ ทำตัวตามปกติ ยังไงกูก็บ่ได้คิดอะหยังกับมันอยู่แล้ว”

            “เป็นคำตอบที่โหดสัสๆ เลยว่ะ ทั้งๆ ที่น้องเขาพยายามตามจีบมึงมาตลอดเนี่ยนะ”

            ไอ้เต้ยแซวผมทำเอาผมสะอึกเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปมองหน้ามันอีกรอบ

            “ที่ผ่านมานั่นเรียกว่าจีบเหรอวะ”

            ไอ้เต้ยพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น

            “แล้วที่ผ่านมาอะหยังมึงบ่บอกกูเลยวะ”

            “อ้าว ก็บ่ใช่เรื่องของกูนี่หว่า อีกอย่างกูว่ามันก็สนุกดีจะตาย เวลาเห็นไอ้ไนท์มันพยายามจะจีบมึง รวมถึงไอ้แบงค์ด้วย ในขณะที่มึงเอง ก็ซื่อเสียจนบ่รู้เรื่องห่าอะหยังเลยสักนิด”

            “กูขอโทษนะที่กูเป็นพวกความรู้สึกช้า กูเลยบ่รู้ว่านั่นคือการจีบ”

            ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงอยๆ เล็กน้อย

            “เออๆ ช่างเถอะ ยังไงมันก็บ่ใช่ความผิดของมึงหรอก”

            พูดจบ ทั้งผมและไอ้เต้ยต่างคนต่างก็หันไปเตรียมของกันอย่างเงียบๆ กันทั้งคู่

            ครับ ก็อย่างที่ว่า ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกันว่าที่ผ่านมาไอ้น้องไนท์มันก็แอบชอบผมอยู่เหมือนกัน ซึ่งผมก็รู้สึกตะหงิดๆ ใจอยู่ก่อนแล้วตอนที่ได้อ่านไดอารี่ของแบงค์ที่พูดถึงไอ้หน่อมแน้มว่าเป็นใคร ซึ่งก็คือไอ้น้องไนท์นั่นเอง

            หากถามว่าผมรู้สึกยังไงน่ะเหรอครับ ยอมรับว่าตอนแรกก็อึ้งไปพอสมควรเหมือนกันครับ ที่อยู่ๆ ก็มีผู้ชายมาชอบผมในเวลาไล่ๆ กันถึงสองคน แต่พอคิดทบทวนเอาจริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับไอ้น้องไนท์ไปมากกว่าคำว่า 'พี่น้อง' เลยครับ ซึ่งมันอาจจะฟังดูโหดร้ายกับไอ้น้องไนท์อยู่พอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นคือความจริง

            พอพูดแบบนี้รู้สึกเหมือนตัวเองฮอตฮิตยังไงก็ไม่รู้ว่ะ เหี้ยเอ้ย เกิดมาบนโลกใบนี้สิบเจ็ดปีไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีสาวหันมอง พอบทจะป๊อปปูล่า ก็เสือกป๊อปปูล่ากับผู้ชายด้วยกันเองเสียอย่างนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า

            “สุมาเต๊อะด้วยนะ ที่มาช้า พอดีติดคุยเรื่องงานวันปิดภาคเรียนกับอาจารย์อยู่น่ะ”

            เสียงคำขอโทษของมายด์เอ่ยดังขึ้นทันทีที่เจ้าตัวเปิดประตูห้องเข้ามา โดยมีพี่สาธิต ไอ้น้องไนท์และไอ้เกมส์เดินตามหลังมาติดๆ ส่วนแบงค์นั้นยังไม่เสร็จธุระที่ชมรมถ่ายรูป จึงขอตามมาทีหลัง

            “เออ ไอ้นันท์ เดี๋ยวก็ตามหน้าที่มึงเลยนะ”

            ไอ้เต้ยหันมาพูดกับผมพร้อมกับหยิบบัตรสมาร์ตเพิร์สออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วหันมายื่นให้ผมที่เพิ่งจะจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เสร็จ ผมหรี่ตามองกลับไปพร้อมรับบัตรนั้นมาด้วยอารมณ์เซ็งนิดๆ แต่ก็ขัดขืนอะไรไม่ได้

            “ไอ้ไนท์ เดี๋ยวมึงไปช่วยไอ้นันท์ถือของด้วยนะเว้ย”

            “ครับพี่เต้ย”

            ไอ้น้องไนท์เองก็รีบตอบรับคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ผมก็รีบหันไปมองเขม่นไอ้เต้ยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

            ไอ้เหี้ยเต้ย มึงงง

            “พี่นันท์จะเอาอะหยังอีกมั้ยครับ”

            ไอ้น้องไนท์ชะโงกหน้าถามจากอีกฝั่งของชั้นสินค้า

            “บ่ๆ บ่เอาอะหยังละ รีบๆ ไปจ่ายเงินเหอะ”

            ไอ้น้องไนท์พยักหน้าให้กับคำพูดของผมพร้อมกับเดินตามหลังมาอย่างว่านอนสอนง่าย ก่อนที่จะช่วยกันหิ้วของทั้งหมดกลับไปยังชมรมหลังจากที่จ่ายเงินกันเสร็จเรียบร้อย

            “......”

            “......”

            ในขณะที่เราทั้งสองกำลังเดินกลับไปยังชมรม ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างก็เงียบไม่พูดอะไรกันทั้งคู่ ทำเอาผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

            “นี่สรุปว่าผมอกหักแล้วจริงๆ ใช่มั้ยครับเนี่ย”

            อยู่ๆ ไอ้น้องไนท์ก็เอ่ยถามขึ้นมา ทำเอาผมถึงกับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดี

            “"เอาเถอะครับ ถือว่ารอบนี้ผมแพ้พี่แบงค์เขาไป แต่ยังไงผมก็...”

            “พอเถอะมึง กูขอโทษว่ะ แต่ต่อให้บ่มีไอ้แบงค์ กูก็บ่ได้คิดอะหยังกับมึงแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

            ผมพยายามอธิบายออกไปตามความคิดของตัวเอง ส่วนไอ้น้องไนท์เองถึงกับก้มหน้านิ่งเงียบไปในทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของผม

            “ก็พอจะทำใจไว้ก่อนแล้วนะ แต่พอได้ยินกับหูตัวเองจากปากของพี่แล้วมันก็เจ็บจี๊ดเหมือนกันแฮะ”

            “เอาน่ะ แต่ยังไงมึงก็ยังเป็นน้องกูเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นล่ะ โอเคมั้ยวะ”

            ผมพยายามพูดปลอบใจไอ้น้องไนท์ พร้อมกับตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อครู่นั้นมันสมควรหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนั่นก็คือความจริงจากใจผม

            “เอาเถอะ ถ้านั่นเป็นสิ่งที่พี่นันท์ตัดสินใจไปแล้ว ผมก็ทำอะหยังบ่ได้หรอก แต่สักวันผมจะพิสูจน์ให้เห็น ว่าพี่นันท์ได้มองข้ามผู้ชายดีๆ อย่างผมไป คอยดู”

            “มั่นใจเสียเหลือเกินนะมึง”

            ผมหรี่ตามองกลับไปด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ซึ่งดูจากคำพูดและท่าทางนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าไอ้น้องไนท์จะยังตัดใจไม่ได้ แต่เอาเถอะ ตอนนี้ถึงผมจะพูดอะไรไปก็เท่านั้น ปล่อยๆ ไปก่อนแล้วกัน สักวันเดี๋ยวน้องเขาก็คงเจอกับคนที่ใช่สำหรับน้องเขามากกว่าผมเองนั่นล่ะ

            สักวัน... ผมเชื่อเช่นนั้น


จบคาบเรียนที่ยี่สิบแปด


มุมแคปชั่นไร้สาระ


เมื่อไหร่เจ้าคิริโตะกับอาสึนะจะออกดอกกันนะ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/629669900-member.jpg)

หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 29 คู่ชีวิต (3-2-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 03-02-2019 02:10:31
คาบเรียนที่ยี่สิบเก้า

   เย็นวันนั้น
   “คืนนี้นอนค้างที่ห้องของผมมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ

   “บ่เอาว่ะ กูจะกลับไปนอนที่บ้าน”
   ผมตอบกลับทันทีอย่างรวดเร็วในขณะที่ตัวผมเองนั้นกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างคนขี้เกียจอยู่บนเตียงของอีกฝ่าย โดยที่ตัวผมเองนั้นยังคงอยู่ในชุดนักเรียนอันเนื่องมาจากเมื่อกลับมาถึงก็ตรงขึ้นมายังห้องของแบงค์ทันที จึงทำให้ยังไม่ได้กลับเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

   อ๊ะๆๆ ห้ามด่าว่าผมเป็นคนสกปรกนะครับ แค่ขี้เกียจเฉยๆ น่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

   “กลัวผมทำอะไรอย่างนั้นเหรอครับ”
   ผมรีบหันไปมองอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ภาพที่เห็นตอนนี้คือแบงค์ที่เกือบจะเปลือยเปล่า หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือใส่เพียงแค่บอกเซอร์ตัวเดียวเท่านั้นกำลังยืนยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ให้กับผม

   “สัส กลัวอะหยัง แค่จะกลับไปนอนเฝ้าบ้านแค่นั้นล่ะ เดี๋ยวแม่จะด่า”
   ผมรีบตอบปฏิเสธกลับไป ก่อนที่จะหันหลังกลับมาด้วยความรู้สึกเขินอายพอสมควร จริงอยู่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอีกฝ่ายมันจะมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ก็มันยังไม่ชินกับภาพแบบนี้อยู่ดีแฮะ

   “งั้น...ให้ผมไปนอนเป็นเพื่อนที่บ้านของนันท์ดีมั้ยครับ”
   เฮือก!
   เสียงกระซิบข้างหูผมที่แผ่วเบาของแบงค์ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งทันที พร้อมกับหันตัวกลับไปด้วยความตกใจ

   ทว่า
   “เฮ้ย อะหวังวะเนี่ย”
   อยู่ๆ แบงค์ก็จับข้อมือของผมทั้งสองข้างกดเอาไว้แน่นกับเตียงพร้อมกับคร่อมตัวผมเอาไว้ใบหน้าของผมกับอีกฝ่ายที่ปราศจากแว่นหนาบนใบหน้าในตอนนี้นั้นใกล้มาก ใกล้ชนิดที่ผมสามารถได้ยินเสียงลมหายใจแถมยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของอีกฝ่ายอีกด้วย

   “เฮ้ย ปล่อยดิ”
   “ไม่ปล่อยครับ”
   แบงค์ตอบปฏิเสธผมพร้อมกับทำสีหน้านิ่งที่แฝงไว้ด้วยความจริงจังและพยายามจะดิ้นขัดขืน
ซึ่งขอพูดตามความเป็นจริงเลยนะครับ ว่าหากคาดหวังจะได้เห็นภาพแบบละครหลังข่าวที่นางเอกไม่สามารถสู้แรงของพระเอกได้ แล้วสุดท้ายก็ตกเป็นของพระเอกพร้อมกับภาพตัดไปที่ไฟบนหัวเตียงแล้วล่ะก็

   ผมก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง เพราะเอาเข้าจริงๆ ดูจะเป็นแบงค์ต่างหากที่เป็นฝ่ายสู้แรงผมไม่ได้และดูจะเหนื่อยมากกว่าที่ต้องสู้กับแรงดิ้นของผม แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมลดละความพยายามที่จะกดผมเอาไว้กับเตียงให้ได้ กลายเป็นว่าทั้งผมและแบงค์ในตอนนี้ต่างก็หอบกันทั้งคู่เลยทีเดียว ชนิดที่หากได้ยินแต่เสียง ใครหลายๆ คนก็คงจินตนาการถึงอะไรที่มันเป็นสิบแปดบวกอย่างเป็นแน่แท้

   แต่ผมขอสาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสำรอง ณ ที่นี้เลยว่า มันไม่ใช่แบบนั้นเด็ดขาด ยังไงผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ แต่ก็คิดว่าหากผมยังคงถูกขึงพืดโดยที่มีอีกฝ่ายคร่อมอยู่ข้างบนต่อไปแบบนี้อีกสักนิดผมก็คงจะไม่รอดแล้วเหมือนกันล่ะ เพราะว่าผมเองก็เริ่มจะหมดแรงแล้วด้วย

   เจ้าตัวพยายามยื่นหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมรู้สึกเกร็งทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่ทำตัวนิ่งพร้อมหลับตาปี๋ ลมหายใจของแบงค์กระทบกับแก้มของผมเบาๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ

   “......”
   “......”

   “กลัวเหรอ”
   แบงค์กระซิบถามผมข้างหูผมเบาๆ ผมนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป ได้แต่หลับตานอนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น

   “......”
   “......”
   ความเงียบเข้าครอบงำ ผมไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากเสียงลมหายใจของแบงค์และเสียงหัวใจของผมเองที่ตอนนี้มันกำลังเต้นรัวเหมือนที่กลองถูกตีอย่างไม่เป็นจังหวะแล้ว

   “ล้อเล่นน่ะครับ ไปครับ ติวหนังสือกันเถอะ เดี๋ยวจะดึก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับปล่อยมือผม ก่อนที่จะลุกขึ้นออกจากตัวผมไป

   “......”
   ผมยังคงนอนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งแล้วจึงลืมตาขึ้นมา แสงไฟของห้องที่เปิดจ้าอยู่ทำเอาผมถึงกับปวดตาเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังเลือกชุดในตู้เสื้อผ้าอยู่

   ทันทีที่แบงค์แต่งตัวเสร็จ เจ้าตัวก็เดินไปหยิบแว่นที่วางเอาไว้บนชั้นหนังสือมาใส่ แล้วจึงไปนั่งลงกับพื้นที่โต๊ะญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ข้างโต๊ะคอมพ์ฯ ทันทีก่อนที่จะเปิดหนังสือขึ้นมาทบทวน ผมดึงตัวเองขึ้นมาอยู่ในท่านั่งพร้อมกับก้มหน้านิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปมองแบงค์อีกรอบ

   “......”
   ผมลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังแบงค์ ผมจ้องมองแผ่นหลังหนานั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคุกเข่าแล้วสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง

   “หือ เป็นอะไรน่ะครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “กูขอโทษนะ”
   “ขอโทษเรื่องอะไรครับ”

   “ก็เรื่องเมื่อกี้ไง ขอโทษนะ คือ กูกลัวจริงๆ นั่นล่ะ คือยังไงดีล่ะ กู...”

   “......”
   “......”
   ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบ

   “ก็กูทำตัวบ่ถูกนี่วะ”
   “......”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมพูดออกไปเช่นนั้น ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับเอื้อมมือมายีหัวผมเบาๆ แล้วจึงดึงตัวผมให้ย้ายมานั่งข้างๆ ตัวเอง

   “ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธ ผมเองต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษ ที่ทำให้นันท์รู้สึกไม่ดี ขอโทษนะครับ สัญญาครับ ว่าจะไม่ทำอีก”
   แบงค์พูดพร้อมกับยิ้ม ก่อนที่จะก้มหัวขอโทษให้ผม ผมรีบดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวทันที

   “บ่ๆ กูบ่ได้รู้สึกบ่ดี แต่แค่...กูยังบ่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อนนี่วะ...”
   ผมพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะหลุดขำออกมา

   “หัวเราะอะหยังวะ”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
   ทำไมต้องหัวเราะกูด้วยวะ มันผิดตรงไหนวะ ที่กูยังเก็บซิงไว้ชิงโชคมาจนถึงทุกวันนี้เนี่ย

   “เปล่าครับ แค่รู้สึกว่านันท์นี่ถึงภายนอกจะดูเถื่อนๆ ห่ามๆ ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วก็ซื่อมากๆ เลยน่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับพยายามที่จะกลั้นหัวเราะ

   “ว่าแต่คนอื่น มึงเองนั่นล่ะ เคยทำรึเปล่าเหอะ”
   “อยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยคำถามพร้อมกับยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้เสียเหลือเกิน เดี๋ยวนี้หัดทำสีหน้านี้กับเขาเป็นแล้วเหรอวะเนี่ย

   “ก็บ่ได้อยากรู้อะหยังขนาดนั้นหรอก พอๆ เลิกๆ มาติวหนังสือเหอะ”
   ผมรีบปัดเรื่องพร้อมกับหันมาให้ความสนใจกับกองหนังสือตรงหน้า แบงค์หัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับยีหัวของผมเบาๆ

   “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับเรื่องอดีตของผมน่ะ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยีหัวของผมเบาๆ อีกรอบ ก่อนที่จะเอาหน้าผากของตัวเองมาชนกับหน้าผากของผมซึ่งนั้นก็ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายกับผมในตอนนี้นั้นใกล้กันมาก ใกล้จนผมรู้สึกใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

   ให้ตายสิวะ ยังไม่ชินจริงๆ วุ้ย กับสถานการณ์แบบนี้เนี่ย

   “เรื่องแบบนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรมากหรอกครับ”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนที่จะขมวดคิ้วนิดหนึ่ง

   “เอ่อ จริงๆ ก็มีสนใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ”
   “อ้าว”

   “แต่ว่าความรู้สึกที่ผมมีให้กับนันท์นั้น มันเป็นความรักมากกว่าความใคร่ วันนี้ผมรู้ตัวแล้วว่านันท์คือใครคนนั้นของผม ซึ่งถ้าหากนันท์ยังไม่พร้อมจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ ผมรอได้”
   พูดจบ เจ้าตัวก็หอมแก้มผมฟอดหนึ่งทำเอาผมถึงกับรู้สึกเขินอายหน้าแดงขึ้นมาทันทีพร้อมกับรู้สึกว่าตัวเองที่ผ่านมานี่ช่างอ่อนต่อโลกยิ่งนัก

   ตั้งใจเรียน ไอ้นันท์ ตั้งใจเรียนว้อย อย่าให้เขาว่าเอาได้ว่าพอมีแฟนแล้วผลการเรียนตก ถึงแม้เดิมทีผลการเรียนของมึงมันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วก็ตามทีเถอะ

   “อ้อ อีกอย่าง ไหนๆ เราก็เป็นแฟนกันแล้ว ผมขออนุญาตเรื่องนึงได้มั้ยครับ”
   ผมหันกลับไปมองด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินประโยคนั้น ในขณะที่แบงค์พยายามเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายของผมที่ตั้งอยู่ข้างเตียงเข้ามาพร้อมกับพยายามที่จะแกะพวงกุญแจตุ๊กตาถักของฝากจากไอ้น้องไนท์ออกจากกระเป๋าสะพายของผม

   “เฮ้ย ไปแกะมันออกทำไมวะ”
   ผมเอ่ยถามขึ้นมาทันที่เห็นเช่นนั้น

   “ผมหึงครับ”
   “ห๊ะ แต่นี่มันของฝากนะมึง”
   ผมพยายามอธิบาย แต่ไม่ว่าจะยังไงอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ยอมฟังอยู่ดี

   “ของฝาก ก็เอาไปแขวนไว้ที่ข้างฝาผนังก็พอครับ ไม่ต้องเอามาใช้แบบนี้”
   “แต่ว่า...”
   “ไม่รู้ล่ะ ถือว่าผมขอนะครับ”
   อึก!

   ไม่พูดเปล่าแถมยังพยายามทำสีหน้าและสายตาอ้อนวอนผมอีกด้วย รู้สึกว่าหลังๆ มานี้ลูกเล่นจะเยอะขึ้นนะมึงเนี่ย

   “ถ้าอยากได้พวงกุญแจไว้แขวนกระเป๋า ก็ใช้อันนี้แทนนะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋านักเรียนของตัวเองที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะญี่ปุ่นเข้ามา จากนั้นจึงแกะพวงกุญแจรูปกลักฟิล์มที่ห้อยติดอยู่กับกระเป๋านั้นออกมาก่อนที่จะคล้องมันไว้กับกระเป๋าสะพายของผมแทนพวงกุญแจตุ๊กตาถักของไอ้น้องไนท์ แล้วหันมายิ้มให้กับผมด้วยสีหน้าราวกับว่าตัวเองคือผู้ชนะยังไงยังงั้น

   มาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ผมทำอะไรต่อได้ล่ะครับ ก็คงมีแต่ต้องยอมเขาแล้วล่ะ ใช่ไหมครับ ผมจึงได้แต่ยิ้มหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ ในความดื้อรั้นเล็กๆ ของแบงค์


   “พรุ่งนี้รีบตื่นเช้าๆ นะครับ”
   แบงค์เอ่ยเตือนขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

   “เออ สรุปว่าพรุ่งนี้มีอะหยังกันแน่น่ะ เมื่อเช้าก็บ่ยอมบอกกู”
   “......”
   ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา นอกจากรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเฉกเช่นทุกครั้ง

   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวจะตื่นสาย”
   พูดจบ เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ ก่อนจะหันหลังเพื่อเดินกลับไปยังหอตัวเอง

   “มึง”
   “ครับ”
   แบงค์หันตัวกลับมาด้วยความรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงผมร้องทัก

   “......”
   ผมนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกไป ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มกลับมาด้วยความสงสัย

   “มึงมั่นใจแล้วจริงๆ เหรอวะ ว่ากูคือใครคนนั้นสำหรับมึง”
   ผมเอ่ยถามออกไปเบาๆ พร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความวิตกเล็กน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาเช่นเดียวกันกับคำถามเมื่อครู่ นอกจากฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นมาเพื่อยีหัวผมเบาๆ อีกรอบ

   “ไปนอนเถอะครับ ดึกแล้ว ฝันดีนะครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้ผมก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังหอตัวเอง โดยท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ตอบคำถามอะไรของผมเลยสักคำถาม

   ผมมองแผ่นหลังใหญ่ที่เดินขึ้นหอไปพลางยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่ายที่จางหายไปแล้วแต่ในความรู้สึกของผมยังคงรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือนั้นได้อยู่ ฝามือใหญ่ที่แสนอบอุ่น ฝ่ามือทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่ถูกสัมผัส ถึงแม้ว่าภายในใจลึกๆ จะยังคงกังวลอยู่กับคำถามนั้นอยู่บ้างก็ตามที

   หลังจากที่ผมจัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็ขึ้นเตียงนอนทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมาชาร์จและตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วยเหมือนเช่นทุกคืน

   และในขณะที่ผมกำลังจะกดตั้งนาฬิกาปลุกอยู่นั่นเอง ข้อความในเมสเซนเจอร์จากแบงค์ก็เด้งขึ้นมา ผมกดเข้าไปอ่านด้วยความรวดเร็วก็พบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายส่งมานั้นเป็นลิงค์จากเว็บยูทูบ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้กดเข้าไปยังลิงค์นั้น

   Power Bank : คำตอบของคำถามเมื่อครู่ครับ

   ข้อความอีกข้อความก็ถูกส่งมาทันที ซึ่งก็ยิ่งสร้างความอยากรู้อยากเห็นของผมให้มีมากขึ้น ผมจึงรีบกดเข้าไปยังลิงค์นั้นทันทีด้วยความรวดเร็วก่อนที่หน้าจอมือถือจะสลับไปยังเว็บยูทูบพร้อมเสียงดนตรีที่ค่อยๆ บรรเลงขึ้นอย่างช้าๆ
   
คู่ชีวิต - COCKTAIL (https://www.youtube.com/watch?v=3mYVyVY-lU4)
เธอ...คือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ
เธอเป็นนิทานที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน
เธอคือหัวใจ ไม่ว่าใครไม่อาจเทียมเทียบเท่าเธอ
ช่างโชคดีที่เจอ ได้ตกหลุมรักเธอ ได้มีเธอเคียงข้างกัน

คงจะมีเพียงเธอทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน
คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว

เธอคือรักจริง ฉันยอมทิ้งทุกทุกอย่างเพียงเพื่อเธอ
ดั่งฟ้าให้มาเจอให้เธอคู่กับฉัน ให้เราได้เดินเคียงข้างกันนับจากนี้
คงจะมีเพียงเธอทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน
คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียง........
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่เฝ้ารอ ฉันจะขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว

จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี
ฉันอยู่ตรงนี้และจะมีเพียงเธอทุกวินาที จะอยู่ใกล้ไม่ห่างไกล จะเคียงชิดไม่ห่างไป ไม่ไปไหน...

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียง........
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอ เพียงเธอที่รอ ฉันขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด เกิดชาติไหนฉันมีเธอ มีเธอเพียง..........คนเดียว

   “......”
   พูดไม่ออกครับ

พูดไม่ออกจริงๆ จะว่าไปมันก็เป็นคำถามที่ผมไม่น่าจะถามออกไปจริงๆ นั่นล่ะ ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็ได้อ่านไดอารี่ของแบงค์มาแล้วแท้ๆ ถึงแม้จะด้วยความเจ้าเล่ห์ของเจ๊บัวก็ตามทีเถอะ

   คำถามที่หากผมลองใส่ใจและสังเกตมันดูอีกสักนิด ผมก็น่าจะได้คำตอบแล้วแท้ๆ

   นันทการ : ขอบคุณนะ ขอบคุณมากจริงๆ ฝันดีนะมึง พรุ่งนี้เช้าเจอกัน
   Power Bank : เช่นกันครับ

   ให้ตายสิ ความรู้สึกพวกนี้มันคือความรักอย่างนั้นเหรอ หากใช่ ก็แสดงว่าผมกำลังรู้สึกตกหลุมรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วอย่างนั้นสิ

   คนเรามักจะบอกว่าความรักนั้นหายาก คำพูดนั้นมันก็มีส่วนถูก
   แต่ก็แค่เพียงครึ่งเดียว

   เพราะสิ่งที่ยากกว่าการตามหามาให้ได้ซึ่งความรัก ก็คือการเก็บรักษาความรักนั้นให้อยู่กับเราไปตลอดชั่วนิรันดร์ต่างหากล่ะ จริงอยู่ว่าวันข้างหน้ามันไม่มีอะไรที่แน่นอนเส้นทางหลังจากนี้ทั้งผมและแบงค์คงจะต้องพบเจออะไรอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เราทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกันซึ่งก็ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่อีกเรื่องหนึ่งด้วย

   แต่แล้วยังไงล่ะขึ้นชื่อว่าความรัก ทำไมเราต้องให้คนอื่นมาตัดสิน มาจำกัด มานิยามมันด้วย หากมองในแง่ดี นั่นก็จะเป็นบททดสอบด้วยว่าผมกับแบงค์ เราทั้งสองนั้นเกิดมาเป็นคู่ชีวิตกันจริงหรือไม่

   แต่ก่อนที่จะกังวลไปกับอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถรับรู้ได้ในตอนนี้นั้นก็คือ


ความรัก ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว


จบคาบเรียนที่ยี่สิบเก้า
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 29 คู่ชีวิต (3-2-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 07-02-2019 14:06:11
 :L1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 30 ปัจจุบัน (7-2-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 07-02-2019 17:48:38
   คาบเรียนที่สามสิบ

   ปุจฉา สถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ อยู่ ณ แห่งหนใดกันนะ

   “ยังเหลือสอบคาบบ่ายอีกสองวิชาแล้วสินะ จะได้จบสิ้นกันสักทีว้อยยย”
   เสียงของไอ้ยีสต์เอ่ยตะโกนออกมาทันทีด้วยความดีใจหลังจากที่สอบช่วงเช้าเสร็จ ในขณะที่ตัวผมเองนั้นกำลังปาดเหงื่อที่กำลังไหลย้อยลงมาอันเนื่องมาจากอากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าวราวกับว่าเชียงใหม่นั้นมีพระอาทิตย์เป็นของตัวเองยังไงยังงั้น

   จะว่าไปวันเวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันแฮะ เผลอแป๊บๆ ก็จะจบชั้น ม.ห้ากันแล้ว เทอมหน้าพวกเราทั้งหมดก็จะเป็นนักเรียนชั้น ม.หก ซึ่งเป็นปีการศึกษาสุดท้ายแล้วที่พวกเราจะได้ใส่ชุดนักเรียนขาสั้นกันก่อนที่จะเข้าสู่รั้วมหาลัย

   มหาลัยอย่างนั้นเหรอ

   หนทางข้างหน้าช่างดูสาหัสเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนระดับมันสมองเมล็ดถั่วแบบผมแล้วด้วย จะรอดมั้ยเนี่ยกู แต่ก่อนจะไปวิตกกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง สิ่งที่รอเราอยู่ตรงหน้า ณ ตอนนี้นั่นก็คือ

   ปิดเทอมมม ฮิ้ววว ขอสนุกกับช่วงปิดเทอมให้สนุกก่อนละกัน ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอะไรอย่างนี้วะกูเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า

   “มึงจัดกระเป๋าที่จะไปเกาะพะงันเสร็จหรือยังวะ”
   ผมเอ่ยถามแบงค์กลางโต๊ะอาหารในช่วงพักเที่ยงของวันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทอมนี้

   “ไปอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอครับ จะรีบจัดไปไหน”
   “เออ นั่นดิ ไปอาทิตย์หน้า นี่อย่าบอกนะว่ามึง...”
   ไอ้เต้ยเงยหน้าขึ้นมาถามทันทีที่ได้ยินบทสนทนานั้น ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแห้งๆ กลับไป

   “แห่ะๆ กูจัดเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่ะ”
   “ไม่ค่อยจะเห่อเลยนะครับ คุณเพื่อนนันท์”
   คราวนี้เป็นเสียงของไอ้โอ๊ตเอ่ยแซวผมขึ้นมาทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะตักข้าวเข้าปากอย่างช้าๆ เพราะสายตาของมันมัวแต่จดจ้องอยู่กับเกมในหน้าจอมือถือ

   “ว่าแต่กู พวกมึงเหอะ โดยเฉพาะไอ้ยีสต์ ได้ข่าวว่าจัดเสร็จตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วบ่ใช่เหรอวะ”
   “ก็แหงสิ งานนี้บ่ได้ไปกันง่ายๆ นะเว้ย อุตส่าห์มีป้อเลี้ยงใจดีอย่างป้อเลี้ยงเต้ยเป็นผู้อุปการะทริปเที่ยวสุดหรูครั้งนี้เนี่ย”
   นอกจะไม่สะทกสะท้านให้กับคำแขวะของผม เจ้าตัวเองยังยิ้มกลับมาด้วยสีหน้าร่าเริงอย่างมีความสุขอีกด้วยพลางยกนิ้วชี้ไปยังไอ้เต้ยที่กำลังนั่งกินข้าวหมูแดงอย่างสบายอารมณ์

   “ถุย ป้อเลี้ยงเหี้ยมึงสิ แค่ครอบครัวกูมีคนรู้จักทำรีสอร์ตอยู่ที่นู่นเฉยๆ เว้ย เลยได้ส่วนลดราคาโคตรจะพิเศษจนเหมือนได้ฟรีเท่านั้นล่ะ แต่ยังไงค่ารถ ค่ากิน ค่าเที่ยวพวกมึงก็ยังต้องจ่ายเองอยู่ดีนั่นล่ะ กูบ่จ่ายให้เว้ย”
   พวกผมหัวเราะครืนทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยรีบตัดมุกของไอ้ยีสต์ ทำเอาไอ้ยีสต์ถึงกับทำปากบ่นอุบอิบๆ เลยทีเดียว

   ครับ เกาะพะงัน ตามนั้นครับ

   มันสืบเนื่องมาจากที่ไอ้ยีสต์มันเคยบ่นเอาไว้เมื่อคราวนู้นนนน่ะครับ หลังจากที่มันได้ดูหนังเรื่องปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่นก็ดูเจ้าตัวจะเกิดอาการอยากไปเสียให้ได้ ถึงแม้ไอ้เต้ยจะเคยตกปากรับคำไปแล้วก็ตามที แต่ในเมื่อไม่ได้ระบุวันเวลาที่แน่ชัด ไอ้ยีสต์จึงพยายามรบเร้าไอ้เต้ยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนไอ้เต้ยคงจะเกิดความรำคาญเลยจัดทริปนี้ขึ้นมาให้เพื่อสนองกิเลสของไอ้ยีสต์ให้สมใจอยาก

   ก็ถือเสียว่าเป็นการเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจฉลองปิดเทอมแล้วกัน ก่อนที่จะต้องกลับมาเจอโลกความจริงอันโหดร้ายเมื่อขึ้นชั้น ม.หก

   “เออ ว่าแต่ไอ้เต้ย คืนนี้มึงจะมานอนบ้านกูรึเปล่าน่ะ”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยถามพร้อมกับตักข้าวเข้าปากอย่างเร่งรีบ อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปหาคนถาม

   “ยังบ่แน่ใจว่ะ อะหยังวะมึง อยากให้กูไปนอนด้วยเหรอวะ”
   “พ่อมึงสิ มึงนั่นล่ะที่ชอบเป็นฝ่ายมาขอนอนบ้านกูตลอด อีกอย่างกูแค่จะบอกว่าถ้ามึงจะมา ก็เอากุญแจกูไปก่อนเลย”
   “อ้าว แล้วมึงจะไปไหนวะ”
   ไอ้เต้ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

   “ไปงานแต่งงานกับพ่อแม่กูน่ะ แต่คงกลับมาบ่ดึกหรอก บ่น่าเกินเที่ยงคืน”
   “แล้วพ่อแม่มึงจะบ่ด่ากูเอาเหรอวะ ที่ถือวิสาสะเข้าบ้านมึงโดยพลการ”
   “จะไปว่าอะหยังล่ะ มึงก็มาบ้านกูออกบ่อย จนพ่อแม่กูก็รู้จักมึงดี”
   ไอ้ยีสต์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไอ้เต้ยเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนที่จะก้มลงไปตักข้าวหมูแดงขึ้นมากินต่อ

   “ว่าแต่ตกลงพวกเราจะไปด้วยรถไฟจริงๆ เหรอครับคุณเพื่อนเต้ย”
   เสียงของไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบโดยที่ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือเลยแม้แต่น้อย

   “แน่นอน เราจะเดินทางจาก กรุงเทพฯ ไปยังสุราษฎร์ฯ ด้วยรถไฟ ส่วนจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ เราจะไปรถทัวร์กันน่ะ”
   “อะหยังต้องทำให้มันยุ่งยากแบบนั้นด้วยวะ แทนที่จะไปเครื่องบินทีเดียวจบ”
   ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินแผนการเดินทางที่ดูแปลกประหลาดนั้น ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก็หันกลับมามองผมด้วยสีหน้ายิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

   “ไปเที่ยวแบบนี้เราก็ต้องไปแบบแอดเวนเจอร์เว้ย ซึมซับบรรยากาศการเดินทางให้เต็มที่ จะมาสบงสบายได้ยังไงวะ”
   “แล้วถ้าแบบนั้นทำไมไม่ไปรถไฟตั้งแต่เชียงใหม่เลยล่ะครับ คุณเพื่อนยีสต์”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยถาม ก่อนที่จะยอมเงยหน้าขึ้นมามองไอ้ยีสต์เล็กน้อย ในขณะที่ผมเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามนั้น

   “แม่กูบอกว่ารถไฟเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ แม่งโคตรจะเลทเลยว่ะ เลยแนะนำให้ขึ้นรถทัวร์แทน”
   “แล้วถ้ายังงั้นอะหยังบ่นั่งรถทัวร์ทั้งเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ กับ กรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ฯ ทั้งสองต่อเลยล่ะวะ”
   ผมขมวดคิ้วหรี่ตาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายเมื่อถูกถามเช่นนั้นก็ยักคิ้วพร้อมกับยิ้มให้ผมอย่างภาคภูมิใจ

   “ก็กูบอกแล้วไงว่าเราต้องไปแบบแอดเวนเจอร์ อีกอย่างเผื่อโชคดีจะได้เจอสาวๆ สวยๆ แบบอาโออิในปิดเทอมใหญ่ฯ ยังไงล่ะวะ”

   “......”
   “......”
   เกิดความเงียบงันเข้าปกคลุมทันทีที่ไอ้ยีสต์อธิบายถึงเหตุผลของแผนการเดินทางไม่ว่าจะฟังยังไงก็ยังดูแปลกประหลาดอย่างไม่มีเหตุผลอยู่ดี

   “ชีวิตมึงนี่ก็ดูยุ่งยากดีเนอะ”
   ผมเอ่ยขึ้นมาเพื่อปิดบทสนทนาไปอย่างเหนื่อยใจ


   ตกเย็นวันนั้นทันทีที่กลับมาถึงบ้าน แบงค์ก็ชวนผมออกไปยังเซเว่นฯ ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณบ้านของผมเท่าไหร่นัก เพื่อไปซื้อของใช้จำเป็นอย่างพวกสบู่ ยาสีฟันอะไรทำนองนี้เพื่อเตรียมตัวเดินทางอาทิตย์หน้า โดยไม่ทันให้ผมได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ

   “ตื่นเต้นว่ะ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยไปเที่ยวเกาะเที่ยวทะเลแบบนี้เป็นครั้งแรก”
   “นันท์ไม่เคยไปเที่ยวทะเลเลยเหรอครับ”
   “บ่ะเคยเลย เคยไปไกลสุดก็แค่กรุงเทพฯ ตอนไปเยี่ยมพ่อที่เอาจริงๆ ก็บ่ค่อยอยากจะไปเยี่ยมเท่าไหร่นัก”
   “อ้าว ทำไมล่ะครับ มีปัญหาอะไรกันเหรอครับ”
   แบงค์หันมาถามพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จะว่าไปผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังเลยนี้นะ

   “ก็บ่ได้รังเกียจอะหยังหรอก ต้องเรียกว่าบ่ถูกโรคกับพ่อมากกว่า ก็แบบพ่อกูอ่ะ เป็นคนที่โคตรจะเจ้ากี้เจ้าการเจ้าระเบียบเลยล่ะ ในขณะที่กู...”
   “อ้อ พอเข้าใจละครับ แต่มีลูกชายอย่างนันท์ก็สมควรจะเจ้ากี้เจ้าการจริงๆ นั่นล่ะ”
   แบงค์รีบตอบตัดบทขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นโดยไม่รอให้ผมพูดจบประโยค ผมขมวดคิ้วหรี่ตามองกลับไปก่อนที่จะยกกำปั้นต่อยเข้าไปที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง จนเจ้าตัวถึงกับร้องโอ้ยออกมาเบาๆ แล้วหันมามองผมพร้อมกับยกมือลูบๆ บริเวณหัวไหล่ตัวเอง

   “ล้อเล่นน่ะครับ งั้นก็หมายความว่า นอกจากแม่ของนันท์แล้ว ก็ยังมีพ่อของนันท์ด้วยสินะครับที่ผมต้องเอาชนะใจให้ได้”
   “มึงด้วยอีกคน อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อให้มันมากนัก ขืนความแตกเดี๋ยวกูก็ได้ถูกแม่กูฆ่าตายเอาพอดี”
   ผมเอ็ดใส่ทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

   “ไม่ต้องห่วงครับ ผมเข้าใจ แต่เชื่อใจผมเถอะครับว่าสักวันผมจะพิสูจน์ให้พ่อกับแม่ของนันท์ได้เห็นว่าความรักในรูปแบบนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร”
   พูดจบเจ้าตัวก็หันมายิ้มให้ผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ

   เหี้ยเอ้ย ทำไมถึงได้รู้สึกเขินขึ้นมาได้วะเนี่ย
   “ว่าแต่คนอื่นเหอะ มึงล่ะ เคยไปทะเลมาแล้วเหรอ”
   ผมถามตัดบทเปลี่ยนเรื่องด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยพร้อมกับเดินตามแบงค์ที่กำลังหยิบของใส่ตะกร้าถือ

   “ก็เคยสองครั้งแต่ก็นานแล้ว ช่วงปิดเทอมสมัยประถม คุณน้าผมที่เป็นช่างภาพเขาพาไปน่ะครับ”
   “ดูมึงจะสนิทกับน้าจังเลยนะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ทว่าแบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสายตาจริงจัง จนผมรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันทีที่เห็นสายตานั้นพลางนึกสงสัยว่ากูเผลอพูดอะไรผิดออกไปหรือเปล่าวะเนี่ย

   “หึงเหรอครับ”
   แบงค์ฉีกยิ้มให้ผมทันทีที่พูดจบ ผมเลิกคิ้วเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “หึงเหี้ยอะหยัง ใครจะไปหึงน้ากันวะ วู้ววววว”
   แบงค์หัวเราะออกมาอย่างชอบใจทันทีที่เห็นสีหน้าท่าทางนั้นของผมก่อนที่จะเดินนำออกไป

   “ก็ไม่เชิงว่าสนิทกันครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกเป็นแรงบันดาลใจเรื่องการถ่ายภาพให้กับผมน่ะครับ”
   นั่นไง จริงอย่างที่เคยคิดเอาไว้ ว่าแบงค์ต้องมีน้าเป็นแรงบันดาลใจแน่ๆ

   “งั้นก็แสดงว่ามึงอยากเป็นตากล้องจริงๆ งั้นสิ”
   “ก็ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเป็นเหมือนกันนะครับ แต่...พอคิดอีกที มันจะดีจริงๆ หรือเปล่านะ”
   “ดีสิ อย่างมึงต้องเป็นได้อยู่แล้วล่ะ ออกจะมีแววมีพรสวรรค์ ถ้าได้เรียนเพิ่ม ได้ฝึกเพิ่มอีกหน่อย ต้องได้เป็นตากล้องมืออาชีพแน่ๆ”
   จริงอยู่ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นปากหมาพูดจาไม่ชวนให้น่าฟัง แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อครู่นั้นคือความสัตย์จริงที่ออกมาจากข้างใจ หาใช่การกล่าวเยินยอสรรเสริญเพื่อเอาใจ

   แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ และยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
   “ขอบคุณนะครับ ไปจ่ายเงินกันเถอะครับ หิวแล้ว จะได้ไปหาอะไรกินด้วย”
   พูดจบ เจ้าตัวก็เดินนำหน้าผมไปยังแคชเชียร์ทันที

   ระหว่างที่พนักงานกำลังคิดเงินอยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าแคชเชียร์ผมยืนจ้องมองดูมันอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเงียบ

   “ยืนจ้องแบบนั้น อยากให้ผมซื้อไปใช้เหรอครับ”
   ผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจทันทีที่เสียงของแบงค์กระซิบเข้าที่ข้างหูของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์นิดๆ

   “บ่ๆ บ่ได้คิดอะหยัง”
   “ไม่ได้คิดอะไร แล้วมองทำไมล่ะครับ แถมจ้องตาเป็นมันอีกต่างหาก”
   อีกฝ่ายยังคงพยายามต้อนผมด้วยคำพูด ผมชำเลืองหันไปมองพนักงานคิดเงินที่ดูจะอมยิ้มกับบทสนทนาระหว่างผมกับแบงค์ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาทันทีด้วยความอาย ก็จะไม่ให้อายได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อไอ้เจ้าสิ่งที่ผมกับแบงค์กำลังพูดถึงกันอยู่นั่นคือ

   ถุงยางอนามัย!

   ครับ ถุงยางอนามัยนั่นล่ะ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไม่ใช่ผ้าอนามัย ไม่ใช่ถุงมืออนามัย เพราะผมไม่ได้พิมพ์ผิดแต่อย่างใด แต่เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้คิดลามกอะไรจริงๆ นะแค่สายตามันเผลอไปมองเห็นก็แค่นั้นล่ะ

   จริงๆ นะ เชื่อผมเถ้ออออออออออออ

   “จ้องห่าอะหยัง พอๆ มึงรีบจ่ายเงินเหอะ กูหิวข้าวแล้วเนี่ย”
   “รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเลยนะครับ อยากให้ผมซื้อไปใช้ก็บอกมาตรงๆ เถอะ”
   ยังๆ ยังไม่ยอมจบอีก ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วยังไม่ยอมฟัง ผมจึงแจกหมัดตรงเข้าใส่หน้าท้องของแบงค์ไปเต็มๆ หนึ่งทีจนอีกฝ่ายถึงกับร้องโอ๊ยพร้อมกับเอามือกุมหน้าท้องตัวเอง ก่อนที่จะหันไปจ่ายเงินแล้วจึงเดินตามผมที่เดินนำหน้าออกมาก่อนอย่างรวดเร็ว

   “เดี๋ยวนี้ นันท์ชักจะโหดขึ้นทุกวันๆ เลยนะครับ”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย

   “กูยังโหดได้มากกว่านี้อีก”
   “แฟนผมทำไมน่ากลัวอย่างนี้เนี่ย”
   “ก็มึงนั่นล่ะ เดี๋ยวนี้ชักจะลามกขึ้นทุกวันๆ เลยนะ”
   “ก็นันท์นั่นล่ะครับ ที่ยืนจ้องเสียขนาดนั้น ผมก็นึกว่าอยากให้ผมซื้อไปเสียอีก”
   ยังๆ ยังไม่จบ สงสัยคราวนี้อยากเจอเข่าพิฆาต

   “เอาแต่พูดเรื่องนี้ มึงต้องการมากนักเหรอไงวะ”
   ผมหันไปขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

   “ผมก็แค่อยากแซวเล่นสนุกๆ เฉยๆ น่ะครับ แต่ถ้านันท์ไม่ชอบ ก็ขอโทษด้วยครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยแสดงอาการสำนึกผิด

   “......”
   “......”

   “ก็ป่าวววบ่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น กูแค่สงสัยเฉยๆ”
   ให้ตายสิ แล้วทำไมผมต้องรู้สึกใจอ่อนด้วยวะเนี่ย

   “ก็แหม มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายนี่ครับ ยิ่งเราเป็นแฟนกันแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ฮอร์โมนพลุ่งพล่านมากขึ้นกว่าเดิมด้วย เพียงแต่ถ้านันท์ยังไม่พร้อม ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ ผมรอได้”
   ให้ตายสิผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้แบบไม่สะทกสะท้านได้วะเนี่ย ทั้งๆ ที่ในเวลาปกติก็ดูเป็นผู้ชายสุภาพเรียบร้อยบุรุษสุดๆ แท้ๆ แถมกลายเป็นผมเสียเองที่กลับรู้สึกอายแทน อายเสียจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด

   จะว่าไปตั้งแต่ผมกับแบงค์ตกลงเป็นแฟนกันอะไรๆ หลายอย่างก็ค่อนข้างเปลี่ยนไปพอสมควร จากที่เคยเป็นเพื่อน พอเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟน ก็มีบางเรื่องที่ต้องปรับตัวเข้าหากันบ้างแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอกครับ

   จะยกเว้นก็เรื่อง... เรื่อง... เรื่องนั้นนั่นล่ะครับ

   กำลังคิดว่าผมหวงเนื้อหวงตัว ทำเป็นเล่นเนื้อเล่นตัวอย่างนั้นเหรอมันก็ไม่เชิงนะ เพราะยังไงผมก็ยังเป็นผู้ชาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตคนโสด เวลาที่ผมอยู่ตัวคนเดียวแล้วเกิดอารมณ์มันก็ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ง่ายในการที่จะจัดการกับอารมณ์นั้น แต่นี่มันคนละกรณีกัน ซึ่งก็อย่างที่ผมเคยบอกนั่นล่ะครับผมว่าไม่เคยกับกรณีแบบนี้มาก่อน เลยค่อนข้างที่จะทำตัวไม่ถูกจนทำให้รู้สึกตื่นเต้น และพยายามที่จะเลี่ยงมันไปเสียทุกครั้ง

   ขนาดแค่เห็นแบงค์ในชุดกางเกงบอกเซอร์ตัวเดียว หรือในชุดผ้าขนหนู ผมก็ยังรู้สึกหน้าแดงเลยทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา เวลาแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนๆ เวลาออกค่ายผมก็ไม่เคยอายหรือตื่นเต้นอะไรแบบนี้เลยสักครั้งแท้ๆจนบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองนี่ดูจะดัดจริตยังไงไม่รู้

   “พูดแบบนี้แสดงว่ากับบรรดาสาวๆ แฟนเก่าของมึงคงบ่เหลือแล้วใช่มั้ยล่ะ”
   ผมแซวแหย่กลับไปพร้อมกับเอาข้อศอกกระทุ้งไปยังเอวของแบงค์เบาๆ

   “จะให้ผมตอบตามความจริงมั้ยล่ะครับ”
   อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย

   “บ่เอาดีกว่า บ่อยากฟัง บ่ต้องตอบนะเว้ย”
   ผมรีบปฏิเสธกลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับรู้สึกว้าวุ่นกระวนกระวายใจขึ้นมาทันทีอย่างบอกไม่ถูกเมื่อลองนึกภาพแบงค์กับบรรดาแฟนเก่า

   ให้ตายสิ นี่อาการแบบนี้นี่คือผมกำลังหึงอยู่ใช่มั้ยเนี่ย

   “โอ๋ๆ ไม่ต้องคิดมากนะครับนันท์ ถึงผมจะเคยมีแฟนมาก่อน ถึงจะเคยผ่านอะไรมา แต่อดีตมันคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย”
   แบงค์เอ่ยขึ้นมา พร้อมกับยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเงียบของผม

   “ขอให้รู้แค่ว่า ผมในตอนนี้เป็นของนันท์คนเดียว ทั้งตัวและหัวใจ ก็พอแล้วครับ”

   “......”
   “......”

   “น้ำเน่ามากเลยว่ะมึง ดูละครหลังข่าวมากไปป่ะเนี่ย”
   “โหนันท์ อะไรเนี่ย ผมอุตส่าห์พูดซึ้งๆ กะจะทำให้โรแมนติกเสียหน่อย”
   ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคตัดพ้อนั้นของแบงค์

   “พอๆ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ ไปหาอะไรกินกันเถอะ กูหิวมากๆ แล้วเนี่ย”
   ถึงแม้ปากของผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วในใจของผม มันกลับรู้สึกอิ่มเอมมีความสุขมากๆ

   นั่นสิ คนทุกคนย่อมต้องมีอดีตกันทั้งนั้น แล้วเราจะไปสนใจมันทำไมล่ะ มองวันนี้ที่เรามีอยู่ดีกว่า
หากไอ้เต้ยเคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าเรามัวแต่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เราก็จะไม่มีความสุขกับปัจจุบัน

วันนี้ผมก็ได้เรียนรู้เพิ่มอีกข้อหนึ่งนั่นก็คือ

หากเรามัวแต่คิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านเลยมาแล้วเราจะมีความสุขกับปัจจุบันได้อย่างไรกัน

   และทันทีที่คิดได้เช่นนั้น ผมก็เอื้อมมือตัวเองไปคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้พร้อมกับหันไปยิ้มให้ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของผมก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เราทั้งสองจะเดินออกไปยังเส้นทางที่รออยู่ข้างหน้า

   เพื่อหาอะไรกิน

   “ว่าแต่ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผมนะครับ ผมจะรอ โอ้ย!”

จบคาบเรียนที่สามสิบ
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 31 เกาะพะงัน (17-2-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 17-02-2019 01:42:07
          คาบเรียนที่สามสิบเอ็ด

 

          ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าที่ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาได้ไม่นานนักเช่นเดียวความร้อนระอุที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องคอยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับสายตาที่กำลังจ้องมองบุคคลเบื้องหน้าด้วยความงุนงงสงสัย

            “สวัสดีครับ พี่นันท์ บ่เจอหน้ากันตั้งหลายวันนะครับ สบายดีมั้ยพี่”

            เด็กหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาเอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงทันทีที่ผมมาถึงสถานีขนส่งอาเขต

            “ไอ้ไนท์ มึงมาได้ไงวะ”

            ผมขมวดคิ้วหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ก่อนที่จะหันไปมองไอ้เต้ยที่ดูจะนิ่งเฉยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเหมือนอย่างผมเลยสักนิด

            “กูเป็นคนชวนมันมาเองน่ะเวลาเปิดห้องพักจะได้ครบคู่”

            ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย

            “ทำไมเหรอครับ หรือพี่นันท์รังเกียจผมแล้ว เลยบ่อยากให้ผมไปด้วย”

            ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าสร้อย

            “เฮ้ยๆ บ่ๆ บ่ใช่อย่างนั้น อย่าเพิ่งเข้าใจผิด”

            ผมรีบตอบกลับไปเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของไอ้น้องไนท์อย่างรวดเร็ว ซึ่งอันที่จริงการที่ไอ้น้องไนท์จะมาเที่ยวกับพวกผมด้วยเนี่ย ผมก็ไม่ได้มีปัญหาหรือรู้สึกรังเกียจอะไรหรอกกลับกันผมยังคิดว่าไปกันหลายๆ คนยิ่งจะทำให้สนุกสนานมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

            ถ้านั่นยังเป็นสมัยที่ผมยังโสดอยู่น่ะนะ

            “ตั้งแต่พี่นันท์มีแฟนแล้วเนี่ย ดูพี่นันท์จะทำตัวห่างเหินกับผมจังเลยนะครับ”

            หือ?

            “ก็แหงสิครับ นันท์เขามีแฟนแล้ว เขาก็ต้องให้เวลากับแฟนมากกว่าคนนอก เอ้ย คนอื่น มันก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ”

            นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำเลย สงครามเย็นก็เริ่มต้นขึ้นเสียแล้ว

            “ดูท่าว่าทริปนี้จะสนุกกว่าที่คิดนะครับ คุณเพื่อนเต้ย”

            “กูก็ว่างั้นล่ะ คิดถูกจริงๆ ที่ชวนมันมา ฮ่าฮ่าฮ่า”

            F*ck you ไอ้เพื่อนเหี้ย หุบปากไปเลย

            “ว่าแต่ไอ้ยีสต์ล่ะ ไปไหน หรือว่ายังมาบ่ถึงวะ”

            ผมพยายามรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อเลี่ยงสงครามเย็นที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับมองไปยังรอบๆ เพื่อหาไอ้ยีสต์

            “มันไปซื้อยาแก้เมารถที่เซเว่นฯ น่ะ นั่นไงมาพอดี”

            ไอ้เต้ยตอบพร้อมกับชี้ไปยังคนที่ถูกถามถึงซึ่งกำลังเดินเข้ามา

            “ไหวมั้ยเนี่ยมึง ดูหน้ามึงซิ ซีดเป็นไก่ต้มเลย นี่ขนาดยังบ่ได้ขึ้นรถทีนะมึง”

            ผมเอ่ยถามไอ้ยีสต์ที่ตอนนี้ดูสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นักด้วยความเป็นห่วง

            “ไหวๆ แต่แค่เมื่อคืนกูนอนดึกไปหน่อยน่ะ”

            “กูก็บอกให้นอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วก็บ่ฟังกู มัวแต่ดูหนังโป๊อยู่นั่นล่ะ เป็นไงล่ะมึง”

            ไอ้เต้ยแขวะใส่เล็กน้อย

            “อ้าว เมื่อคืนมึงไปนอนบ้านไอ้ยีสต์เหรอวะ ไอ้เต้ย”

            ผมหันไปถามไอ้เต้ยด้วยความสงสัย

            “บ่ ไอ้ยีสต์มันมานอนบ้านกูน่ะแม่งนอนกินที่กินเตียงกูฉิบหาย”

            “ก็กูบอกแล้วว่ากูจะนอนบ้านกู มึงก็บ่ฟังกูเองนี่หว่า”

            คราวนี้ไอ้เต้ยเป็นฝ่ายเถียงกลับไปบ้าง

            “เหรออออถ้ากูบ่ให้มึงมานอนบ้านกู ป่านนี้มึงก็ยังบ่ตื่นหรอก ไอ้เหี้ย สำนึกบุญคุณกูไว้ซะ เอ้า รีบแดกยาแก้เมารถซะ จะถึงเวลารถออกละ มึงจะได้หลับๆ ไป”

            ไอ้เต้ยบ่นอย่างยืดยาว พร้อมกับยื่นขวดน้ำให้ ไอ้ยีสต์รับขวดน้ำนั้นไปอย่างว่าง่ายก่อนที่จะกินยาแก้เมารถเข้าไป

            “ไปเครื่องบินตั้งแต่แรกก็จบแล้วแท้ๆ เป็นไง แอดเวนเจอร์มั้ยล่ะมึง”

            ผมกล่าวปิดบทการสนทนาไปอย่างเหนื่อยใจ

 

            พวกเราใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่ไปยังกรุงเทพฯ เกือบๆ สิบชั่วโมงด้วยรถของสมบัติทัวร์ ทันทีที่ถึงสำนักงานของสมบัติทัวร์ที่กรุงเทพฯ พวกเราก็ไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานีพหลโยธินซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักเพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานีบางซื่อ

            ผมเองซึ่งก็เคยมากรุงเทพฯ อยู่บ้าง เฉกเช่นเดียวกันกับไอ้เต้ย จึงไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไรกับที่นี่มากนัก ออกจะเบื่อๆ มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่ามันดูวุ่นวายแตกต่างจากที่เชียงใหม่ในขณะที่ไอ้โอ๊ตเองก็ดูจะสนใจอยู่แต่กับเกมในมือถือจนไม่ได้สนใจอะไรรอบข้างมากนัก ส่วนแบงค์นั้นให้ความสนใจกับการถ่ายภาพไปเรื่อยอย่างเงียบๆ

            จะมีก็เพียงไอ้ยีสต์ที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสภาพบ้านเมืองและผู้คนรอบข้างเป็นพิเศษจนลืมอาการเมารถไปเสียอย่างนั้น ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพบ้านนอกเข้ากรุงของไอ้ยีสต์ได้เป็นอย่างดี

            “ไอ้เต้ย กูอยากไปเที่ยวสยามว่ะ”

            ไอ้ยีสต์เปรยขึ้นมาเบาๆ แต่แฝงไว้ด้วยอาการเหมือนคนกำลังเรียกร้องความสนใจ

            “อย่าเยอะ ไอ้เหี้ย เราต้องรีบไปสุราษฎร์ฯ ต่อนะเว้ย”

            ไอ้เต้ยหันไปบ่นใส่ ทำเอาไอ้ยีสต์ถึงกับบุ้ยปากบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่นั่งนิ่งไป เจ้าตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีที่ดูผิดหวังของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

            “เออๆ ไว้ขากลับค่อยมาแวะ โอเคมั้ยวะมึง”

            ไอ้ยีสต์เปลี่ยนสีหน้ากลับมาสดชื่นราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยพูดเช่นนั้น

           


            อันเนื่องมาจาก อำเภอเมืองของสุราษฎร์ฯ นั้นไม่มีสถานีรถไฟ พวกเราจึงต้องลงที่ สถานีอำเภอพุนพิน ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ใกล้อำเภอเมืองสุราษฎร์ฯ มากที่สุดก่อนที่จะนั่งรถเมล์เข้าไปยังตัวเมืองอีกทอด ซึ่งก็ต้องขอบคุณคุณป้าผู้แสนจะใจดีที่นั่งข้างๆ พวกเรามากๆ ที่ให้ข้อมูลมา ไม่เช่นนั้นพวกเราคงได้นั่งเลยสถานีกันแน่ๆฮ่าฮ่าฮ่า

            “นี่ไง สาวสายแบบที่มึงใฝ่ฝันว่าจะได้เจอบนขบวนรถไฟแบบปิดเทอมใหญ่ไง”

            ประโยคสั้นๆ ของไอ้เต้ยที่แซวไอ้ยีสต์ทำเอาพวกเราถึงกับหัวเราะลั่นกันจนน้ำตาไหลออกมาทันทีที่ได้ยิน อนึ่ง ต้องขอโทษป้าด้วยนะครับ พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะป้านะ แค่หัวเราะเพื่อนผมเท่านั้นน่ะฮ่าฮ่าฮ่า

            ทันทีที่เข้ามาถึงในตัวเมืองพวกเราก็ซื้อตั๋วรถและเรือเพื่อไปยังเกาะพะงันต่อทันทีโดยไม่คิดที่จะพักกันเลยสักนิด ซึ่งการซื้อตั๋วนั้นเราจะต้องมาซื้อรอบต่อรอบ อันเนื่องมาจากการเดินเรือนั้นจะเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศด้วย จึงไม่มีการจองตั๋วล่วงหน้า และก็นับว่าโชคดีที่ช่วงที่พวกเราเดินทางกันมานั้นสภาพอากาศดีจึงมีรอบเดินเรือตามปกติ

            หลังจากซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็นั่งรอกันครู่หนึ่ง รถทัวร์ก็มารับพวกเราไปยังท่าเรือดอนสักเพื่อรอขึ้นเรือเป็นลำดับต่อไป มาถึงตรงนี้ก็เพิ่งจะสังเกตได้อย่างหนึ่ง ว่าตัวเมืองสุราษฎร์ฯ นั้นรถไม่ค่อยติดเหมือนเชียงใหม่แฮะ


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/2107660773-member.jpg)
            จากตัวเมืองสุราษฎร์ฯ มายังท่าเรือซึ่งอยู่ในอำเภอดอนสักนั้นใช้เวลาไม่มากนัก ประมาณชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น และเมื่อมาถึงท่าเรือ ผมก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันทีครับ

            ทะเล!

            ใช่ครับ ทะเลของจริง!!

            อยากที่บอกไปครับว่าตั้งแต่เกิดมา ชีวิตผมก็เห็นแต่ภูเขา ยังไม่เคยเห็นทะเลของจริงกับเขาเลยสักครั้ง จะเคยเห็นก็แค่จากในหนังสือหรือในทีวีในอินเตอร์เน็ตแค่นั้นถึงขั้นที่ว่าตอนเด็กๆ ยังเคยมีความคิดเลยว่า ทะเลไม่มีอยู่จริงเป็นเรื่องแต่งเรื่องสมมติขึ้นมาทั้งนั้นจนวันนี้ข้อสงสัยนั้นก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทะเลมีอยู่จริง

            อนึ่ง เรื่องนี้ห้ามเอาไปบอกใครเด็ดขาดนะครับ ผมอาย โดยเฉพาะกับไอ้พวกเพื่อนเหี้ยนี้แล้วด้วยเนี่ย ขืนพวกมันรู้มันได้เอาไปล้อยันลูกบวชแน่ๆ

            พวกเราทั้งหมดจัดแจงขนกระเป๋าสัมภาระต่างๆ ขึ้นเรือทันที ซึ่งจะว่าไปผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆ เหมือนกันแฮะ กับการนั่งเรือใหญ่ๆ แบบนี้ครั้งแรกในชีวิต

            “กลัวเหรอครับ”

            ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าตัวเองนั้นกำลังเกาะแขนของแบงค์เอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว

            “นิดหน่อย บ่คิดว่าทะเลมันจะกว้างขนาดนี้นี่วะ”

            ผมตอบพร้อมกับหันมองออกไปยังทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ในขณะที่เรือก็ค่อยๆ เริ่มแล่นออกห่างจากฝั่งไปเรื่อยๆ

            “นันท์นี่ก็ซื่อดีนะครับ”

            แบงค์พูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน

            “ตลกอะหยัง ก็คนมันว่ายน้ำบ่เป็น มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดานี่วะ"

            “อ้าว นี่นันท์ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอครับ”

            แบงค์เลิกคิ้วสูงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

            “ไม่เห็นจะยากเลย เดี๋ยวผมสอนให้เอามั้ยครับ”

            ผมพยักหน้าตอบรับให้กับข้อเสนอนั้นทันทีอย่างรวดเร็ว แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็จูงมือเดินไปยังด้านข้างของเรือในขณะที่ผมเองก็กำลังนึกสงสัยว่าบนเรือแห่งนี้มันจะมีจุดไหนให้สอนหัดว่ายน้ำได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ

            เสียงซ่าของคลื่นที่สาดกระเซ็นเข้ากระทบกับตัวเรืออย่างรุนแรงจนเป็นฟองสีขาวทำเอาผมถึงกับเกาะรั้วเรือไว้แน่น จนแบงค์เผลอหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นท่าทีนั้นของผม

            “เอาล่ะ วิธีการว่ายน้ำนะครับ ง่ายมากๆ หลักๆ ก็จะอยู่ที่มือ ดูให้ดีนะครับ”

            แบงค์อธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจัง

            “เอาฝ่ามือทั้งสองกระกบกันไว้ที่หน้าอกนะครับ”

            ผมพยักหน้าตอบรับอย่างตั้งใจ

            “หลังจากที่ประกบมือทั้งสองเข้าหากันแล้ว เราก็ค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างช้าๆ”

            แบงค์อธิบายต่อ ก่อนจะค่อยๆ ยกมือที่ประกบกันอยู่ทั้งสองข้างขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยจนกระทั่งนิ้วโป้งสัมผัสกับหว่างคิ้ว

            “......”

            “......”

            “มึง”

            “ครับ”

            “มีใครเคยบอกมึงมั้ยวะ ว่ามึงบ่เหมาะที่จะเล่นมุกสามบาทห้าบาทอะหยังแบบนี้เลยสักนิด”

            ผมเอ่ยถามพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

            “ก็ไม่นะครับ”

            “งั้นกูก็จะเป็นคนแรกนี่ล่ะที่จะบอกมึงเอง”

            ผมปิดการสนทนาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเอือมระอา

 

            จากท่าเรือดอนสักใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็มาถึงเกาะพะงันสักทีโดยสวัสดิภาพ ซึ่งก็ยอมรับเลยครับว่าตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากเชียงใหม่ มากรุงเทพฯ แล้วตามด้วยสุราษฎร์ฯ จนกระทั่งมาถึงเกาะพะงันแห่งนี้โดยแทบจะไม่ได้พักกันเลยสักนิด เล่นเอาพวกเราถึงกับเพลียกันพอสมควรอยู่เหมือนกัน

            แต่ทันทีที่เห็นความงามของเกาะ หาดทรายที่ดูทอดยาวออกไป ต้นมะพร้าวที่ขึ้นอยู่ริมหาด สายลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะ เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งที่ดังต่อเนื่องกันอย่างเป็นจังหวะ มันช่างเป็นเสียงที่ฟังดูไพเราะจริงๆ ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้พวกเรารู้สึกสดชื่นหายเหนื่อยขึ้นมาได้บ้าง

            เอ่อ ขอยกเว้นไอ้เหี้ยยีสต์เอาไว้คนหนึ่งนะครับ รายนั้นเมาเรือมาตลอดทาง ดูสิ ยังอ้วกไม่ยอมหยุดเลยเนี่ยเป็นไง ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นสมใจมึงแล้วมั้ยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

            สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะสังเกตได้ตั้งแต่บนเรือจนกระทั่งมาถึงที่นี่นั่นก็คือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะมากกกกกกก มองไปทางไหนก็เห็นแต่ฝรั่งเต็มไปหมด ต่างจากเชียงใหม่ที่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนเสียมากกว่าจนแทบจะทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในเมืองไทยเลยก็ว่าได้

            พวกเรายืนรออยู่ที่ท่าเรือกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนมารับพวกเราไปยังที่พัก ซึ่งตอนแรกก็ตกลงกันไว้ว่าจะไปพักที่รีสอร์ตของญาติไอ้เต้ยซึ่งตั้งอยู่ที่หาดริ้นแต่ติดปัญหาไม่คาดฝันเล็กน้อยเนื่องจากว่าช่วงนี้มีชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวเยอะ อันเนื่องมาจากใกล้จะถึงงานฟูลมูนปาร์ตี้ที่จะจัดขึ้นที่หาดริ้นซึ่งถือเป็นงานปาร์ตี้ที่ขึ้นชื่อติดอันดับของเกาะพะงันเลยก็ว่าได้จนทำให้ห้องพักเต็มทุกห้อง รวมไปถึงรีสอร์ตใกล้เคียง เลยต้องย้ายมาพักที่รีสอร์ตของเพื่อนญาติไอ้เต้ยอีกที ซึ่งอยู่ที่ท้องศาลา ห่างจากท่าเรือไม่ไกลนัก ราวๆ สองกิโลเมตรเห็นจะได้

            แม้จะไกลจากหาดริ้นตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกไปมาก แต่มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่งนั่นก็คือตรงที่ท้องศาลานี้มีอะไรสะดวกๆ สำหรับคนไทย มากกว่าหาดริ้นที่ค่อนข้างจะเน้นและให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียมากกว่า

            หลังจากที่เช็คอินที่รีสอร์ตเสร็จเรียบร้อย พวกเราทั้งหมดก็จัดแจงเอาสัมภาระทั้งหมดเข้าไปไว้ในห้องพักทันทีโดยที่ผมพักกับแบงค์ ไอ้โอ๊ตพักกับไอ้น้องไนท์ และไอ้เต้ยพักกับไอ้ยีสต์

            “ห้าโมงเจอกันที่หน้าแผนกต้อนรับนะเว้ย อย่าลืมล่ะ”

            “โห บ่คิดจะพักกันเลยเหรอไงวะ”

            ผมบ่นอุบอิบเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยพูดขึ้นมา

            “อย่าบ่นๆ กูจะพาพวกมึงไปกินของดีๆ”

            “ที่ไหนวะ”

            “เออ เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองล่ะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะเว้ย”

            พวกเราทั้งหมดพยักหน้าตอบตกลงให้กับคำพูดของไอ้เต้ย หัวเรือใหญ่ของทริปท่องเที่ยวทริปนี้


จบคาบเรียนที่สามสิบเอ็ด


มุมแคปชั่นไร้สาระ


นันทการ ได้เพิ่มรูปภาพใหม่

ทะเลโว้ยยยยยยยยยยย
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/561586290-member.jpg)


หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 32 ความลับในกระเป๋าเดินทาง (3-3-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 03-03-2019 20:10:12
คาบเรียนที่สามสิบสอง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/516553332-member.jpg)

   “เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ เลย ในที่สุดก็ถึงสักทีเว้ย”
   ผมเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างรวดเร็วยิ่งการเดินทางที่แสนจะทรหดเกือบสองวันที่ผ่านมา ทั้งรถทัวร์ รถไฟ และเรือ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเตียงที่ผมกำลังล้มตัวลงนอนอยู่ตอนนี้นั้นเหมือนกับสวรรค์ที่แสนจะนุ่มและรู้สึกมีความสุขมากๆ

   “อ้าว จะนอนเลยเหรอครับ ไม่ลุกขึ้นมาจัดข้าวของก่อนเหรอครับ นันท์”
   แบงค์หันมาถามผมในขณะที่เจ้าตัวนั้นกำลังจัดแจงกับสัมภาระของตัวเองอยู่

   “เอาไว้อย่างงั้นก่อนนั่นล่ะ เดี๋ยวค่อยจัด ตอนนี้ม่ายหวาย..ยย....แล้ววว อ่า.....ขอนอน...ก่อน..........คร่อก...”
   “เอ้า เฮ้ย เดี๋ยวๆ...”
   ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดให้จบประโยค ผมก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วเสียก่อนอันเนื่องมาจากความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดการเดินทาง

   อา...เตียงนุ่มๆ แบบนี้ไม่อยากลุกไปไหนแล้วอบอุ่นเหลือเกิน สัมผัสที่อ่อนโยนแบบนี้
   รู้สึกดีจัง


   TRRRRR
   เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ที่แสนจะสบาย ผมดันตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่ตรงหัวโต๊ะข้างเตียงนอน ก่อนที่จะยกมืออีกข้างขึ้นมาปาดน้ำลายตัวเองเบาๆ ก่อนจะเพ่งสายตามองไปยังหน้าจอมือถือซึ่งก็พบว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณกมลชนกนั่นเอง แต่ไม่ทันที่ผมจะได้กดรับ อีกฝั่งก็ตัดสายทิ้งไปเสียก่อน ผมขมวดคิ้วหรี่ตาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ทันที

   คุณกมลนี่ล่ะก็ จะรีบตัดสายทิ้งไปไหนเนี่ย ทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้

   ในขณะที่ผมกำลังจะกดเบอร์ของคุณกมลชนกเพื่อโทรกลับไป ผมก็รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นั่นก็คือแบงค์หายไปไหนหว่าแถมกระเป๋าและสัมภาระของผมก็ถูกจัดเข้าที่ไว้อย่างเป็นระเบียบแล้วด้วย   ผมหันมองไปยังรอบห้องก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปดูในห้องน้ำ แต่ก็ไม่พบใครสงสัยจะออกไปข้างนอกแฮะ ออกไปดูหน่อยดีกว่า

   พลั่ก!
   โอ้ย!!
   ไม่ทันที่ผมจะได้เอื้อมมือไปจับลูกบิด ประตูเจ้ากรรมก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันจนกระแทกเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของผมอย่างจัง เล่นเอาผมถึงกับลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเลยทีเดียว

   “อ้าว นันท์ มานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

   “ก็จะเปิดประตูน่ะสิวะ แต่มึงนั่นล่ะดันชิงเปิดเข้ามาซะก่อน ประตูมันก็เลยกระแทกเข้ากับหน้ากูเลยเนี่ย เจ็บชะมัดเลยว่ะ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแบงค์นั่งลงพร้อมกับวางถุงลงไว้กับพื้น แล้วจึงยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าผมเบาๆ

   “โดนตรงไหนเหรอครับ”
   “ตรงจมูกเนี่ย”
   อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ในขณะที่สายตาก็จ้องมองหน้าผมผ่านแว่นหนานั้นเข้ามาในระยะประชิดด้วยสีหน้าจริงจัง

   “......”
   “......”
   ตึกๆ ตึกๆ

   ตึกๆ พ่องสิ มันใช่เวลาใจเต้นมั้ยวะ

   “นันท์ครับ”
   “อะ...อะหยัง”

   “คงกระแทกแรงมากเลยสินะ ดูสิ ดั้งยุบหายไปแล้ว...โอ๊ย!”
   ไม่ทันที่แบงค์จะได้พูดให้จบประโยค ผมก็เอาหัวตัวเองโขกใส่หน้าผากของอีกฝ่ายเข้าอย่างจังจนเจ้าตัวถึงกับปล่อยมือออกจากใบหน้าของผมอย่างรวดเร็ว

   “มึงออกไปไหนมาวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไป ก่อนที่สายตาจะหันไปเห็นถุงพลาสติก   ที่มีโลโก้เซเว่นฯ ตั้งอยู่ข้างๆ ตัวแบงค์ซึ่งก็ถือว่าเป็นคำตอบได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ

   “เออ กูเห็นข้าวของของกูถูกจัดเป็นระเบียบ นี่ฝีมือมึงใช่มั้ย”
   “ครับ ก็เห็นนันท์กำลังเหนื่อยหลับไปไง ผมก็เลยจัดการให้ ทำไมเหรอ”

   “บ่ๆ บ่มีอะหยัง”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับส่ายหัว แบงค์ลุกขึ้นเอาถุงไปวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ในขณะที่ผมยังคงนั่งนิ่งครุ่นคิดวิตกอะไรเล็กน้อย

   แบงค์จะเห็นสิ่งนั้นในกระเป๋าของผมหรือเปล่าวะ

   สิ่งนั้นที่ผมไม่อยากให้เห็นมากที่สุด เพราะถ้าแบงค์เห็นสิ่งนั้นแล้วล่ะก็ ผมกลัวว่าแบงค์จะ...

   TRRRRRRR
   ในขณะที่ผมกำลังสติเตลิด เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นอีกรอบ เมื่อเห็นว่าเป็นคุณกมลชนกโทรมา ผมก็รีบกดรับทันทีเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะรีบตัดสายทิ้งไปด้วยความใจร้อน

   “ว่าใดแม่”
   “บ่ต้องมาว่าดง ว่าใดเลย อยู่ไหนละนั่น ถึงรึยังน่ะ”
   คุณกมลชนกเอ่ยถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะดุด่าแต่จริงๆ แล้วก็แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

   “ถึงละแม่ บ่ต้องเป็นห่วงอะหยังนัก มากันหลายคนกับเพื่อนๆ ในห้องน่ะแบงค์ก็มาด้วยเนี่ย”
   “งั้นให้แม่คุยกับแบงค์หน่อย”
   ผมหรี่ตาเหลือบมองไปยังโทรศัพท์ของตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปยื่นโทรศัพท์ส่งให้แบงค์

   “อ่ะ แม่กูจะคุยด้วย”
   เจ้าตัวรับโทรศัพท์จากผมด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะแนบมันเข้ากับหูตัวเองอย่างช้าๆ

   “ครับแม่ มีอะไรเหรอครับ”
   แบงค์ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพแล้วจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ

   “ครับๆ ได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ แม่สบายใจได้เลยนะครับ ครับๆ สวัสดีครับแม่ ขอบคุณครับ”
   แบงค์กดวางสายทันทีที่สนทนากับปลายสายจบก่อนที่จะยื่นมือถือส่งคืนมาให้ผม
   “แม่คงบอกให้แบงค์ช่วยดูกูสินะ”
   ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าเอือมระอาเล็กน้อย แบงค์พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบพร้อมกับอมยิ้มแก้มแทบจะปริ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้ในรอยยิ้มนั้นอยู่เล็กน้อย

   “ฮู้ววววว แม่เนี่ยนะ ตลอดเลย ทำอย่างกับกูเป็นเด็กเล็กๆ อย่างนั้นล่ะ”
   “เอาน่ะๆ แม่เขาก็แค่เป็นห่วงตามประสาแม่นั่นล่ะครับ ถึงเราจะโตแค่ไหน แต่ในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เขาก็ยังเห็นเราเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ”
   แบงค์พูดพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ ซึ่งอันที่จริงผมก็รู้อยู่แล้วนั่นล่ะในสิ่งที่แบงค์พูดเนี่ย เพียงแต่มันก็อดที่จะรู้สึกอายอยู่เหมือนกันที่ต้องถูกฝากให้คนวัยเดียวกันมาดูแลเนี่ย

   “ใกล้จะห้าโมงแล้ว ไปที่หน้าแผนกต้อนรับกันเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรอ”
   แบงค์เอ่ยชวนพร้อมกับยื่นมือมา ผมจับมือนั้นไว้ก่อนที่จะฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

   “ว่าแต่ซื้ออะหยังมาบ้างวะ”
   ผมเอ่ยถามพร้อมกับเดินยังถุงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วจึงรื้อของในถุงออกมาดูโดยคาดหวังเอาไว้เล็กๆ ว่าอาจจะมีขนมอยู่ข้างใน

   “......”
   ก่อนที่จะนิ่งเงียบไปในทันทีที่เห็นของในถุง

   นี่มัน...

   “อ๋อ พอดีผมซื้อกางเกงในตัวใหม่มาให้นันท์น่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความพยายามที่จะกลั้นหัวเราะเอาไว้อยู่เล็กน้อย

   “......”
   ในขณะที่ผมเองนั้นกลับรู้สึกชาไปทั่วทั้งใบหน้าจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว พร้อมกับจ้องมองกล่องกางเกงในยี่ห้อรอซโซ่ที่อยู่ในมือ

   “นันท์นี่ก็นะ กางเกงในเก่าเสียจนยางยืดย้วยขนาดนั้นแถมยังมีจุดดำๆ ขึ้นแล้วด้วย ทำไมถึงไม่ทิ้งไปแล้วซื้อตัวใหม่สักทีล่ะครับ”

   อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

นั่นไง ว่าแล้วว่าแบงค์ต้องเห็นแล้วแน่ๆ เลย กับเหล่ากางเกงในของผมที่ผมไม่อยากให้เห็น

   เรื่องกางเกงในพวกนี้ ผมอธิบายได้ครับ คือผมแค่ต้องการที่จะประหยัดเฉยๆ ในเมื่อมันก็ยังใส่ได้ แถมมันยังเป็นแค่กางเกงในที่เราก็ใส่เอาไว้ด้านใน ไม่ได้เอาไปโชว์ใครเสียหน่อยนี่มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ได้ซื้อตัวใหม่สักทีอย่าเพิ่งหาว่าผมสกปรกโสโครกนะ

   “มันน่าหัวเราะอะหยังขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
   ผมหันไปตวาดใส่แบงค์ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนกับพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

   แม่งเอ้ยเพิ่งจะมาถึงเกาะพะงันวันแรก ก็มีเรื่องให้อับอายเสียแล้วนี่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความทรงจำที่สุดแสนจะอัปยศอดสูเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้


   หยุดหัวเราะสักทีได้มั้ยวะ กูอายว้อยยยยยย ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จบคาบเรียนที่สามสิบสอง
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 33 รองเท้าแตะ (10-3-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 10-03-2019 00:58:03
   คาบเรียนที่สามสิบสาม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1728181360-member.jpg)


สถานที่ที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงมั้ย
หากมันมีอยู่จริง มันจะคุ้มค่าที่เราจะยอมแลกทุกอย่างที่มีเพื่อไปให้ถึงที่แห่งนั้นมั้ยนะ

   เผลอแป๊บๆ ทริปการท่องเที่ยวของพวกผมก็เดินทางมาถึงวันที่สี่แล้วอย่างรวดเร็ว
   “นันท์ครับ ตื่นได้แล้ว เพื่อนๆ รออยู่นะครับ”
   เสียงของแบงค์ปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ในยามเช้า ผมลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ในขณะที่สมองดูเหมือนจะยังไม่ได้ตื่นตามขึ้นมาด้วย จึงเกิดอาการเบลอเล็กน้อย

   “อือ...ขออีกนิดบ่ได้เหรอวะ”
   “ไม่ได้ครับ ตื่นเดี๋ยวนี้เลย อะไรกัน อุตส่าห์ได้มาเที่ยวทะเลทั้งที ยังจะมานอนตื่นสายอีก”
   “ก็มันเหนื่อยนี่หว่า...”
   ผมบ่นอุบอิบๆ เล็กน้อยพร้อมกับดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ แล้วจึงขยี้ตาเบาๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่พร้อมแล้ว ซึ่งสวนทางกับผมที่ยังคงสะลืมสะลืองัวเงียอยู่พอสมควรและเมื่อหันไปมองตัวเองในกระจกข้างฝาก็พบว่าสภาพตัวเองในตอนนี้ช่างดูอนาถจิตยิ่งนัก

   เปลือกตาที่ยังลืมได้ไม่เต็มที่ ขอบตาที่ดำและบวมแถมยังมีขี้ตาเล็กน้อยอีก ทรงผมที่ฟูไม่เป็นทรง ยังดีที่ไม่มีคราบน้ำลายติดเลอะที่มุมปาก ทำเอาผมถึงกับสงสัยว่าพวกนางเอกละครหลังข่าวแม่งมันทำยังไงวะ ถึงได้ตื่นขึ้นมาแล้วสวยพริ้งยิ่งกว่าใช้กล้องฟรุ๊งฟริ๊งได้เนี่ย

   หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมกับแบงค์ก็ลงไปหาคนอื่นๆ ที่เหลือยังบริเวณร้านอาหารของรีสอร์ตเพื่อหาอะไรรองท้องกัน

   “แล้วนี่วันนี้เราจะไปไหนกันวะ”
   ผมหันไปถามไอ้เต้ย แกนนำหลักของการเที่ยวในครั้งนี้ที่กำลังใช้ช้อนตัดไข่ดาวในจานข้าวของมันเข้าปาก

   “เอ้า ไอ้นี่ ถามแปลกๆ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงไง มึงจำบ่ได้เหรอวะ”
   “ทำไมวะ พระจันทร์เต็มดวงแล้วมันเกี่ยวเหี้ยอะหยังกับสถานที่ที่จะไปเที่ยววันนี้นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะพากูไปเหยียบดวงจันทร์แบบเซอร์ไอแซกนิวตัน รึไงวะ”
   ไอ้เต้ยถอนหายใจทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

   “นั่นมัน นีล อาร์มสตรองครับคุณเพื่อนนันท์ ส่วนเซอร์ไอแซกนิวตัน มันทฤษฎีแรงโน้มถ่วงครับ”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยแทรกขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือโดยไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมแม้แต่น้อยผมขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อยในขณะที่คนอื่นในกลุ่มหัวเราะกันลั่นกับสิ่งที่ผมพูดออกไป

   คนเหยียบดวงจันทร์คนแรกคือนีลอาร์มสตรองหรอกเหรอ ไม่ใช่ เซอร์ไอแซกนิวตัวเหรอวะ

   “เออๆ สรุปวันนี้จะไปเที่ยวไหนกันแน่วะ”
   ผมเอ่ยถามอีกรอบโดยเก็บความความสงสัยเรื่องเซอร์ไอแซกนิวตันนั้นเอาไว้ไม่คิดจะถามหรือเถียงอะไรต่อทั้งสิ้น เพราะคิดว่าถ้าถามออกไป คงได้โดนหัวเราะเยาะต่ออีกเป็นแน่แท้ ไอ้เต้ยเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับถอนหายใจอีกรอบ

   “ก็หาดริ้นไงล่ะวะ เพราะคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ที่นั่นเขาเลยจัดฟูลมูนปาร์ตี้”
   เอออออออออออ จริงด้วย ลืมไปได้ยังไงวะ นี่มันจุดประสงค์หลักของการมาเที่ยวเกาะพะงันเลยนี่หว่ามิน่าล่ะ ดูไอ้ยีสต์จะระริกระรี้เป็นพิเศษ ต่างจากไอ้เต้ยที่ดูจะออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปส่วนไอ้โอ๊ตดูจะเฉยๆ สังเกตได้จากสายตาที่ไม่ละออกจากหน้าจอมือถือเลยแม้แต่น้อย ซึ่งบางทีผมก็สงสัยนะว่ามันรู้สึกสนุกกับการมาเที่ยวครั้งนี้จริงหรือเปล่าวะ

   ในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็ดูจะให้ความสนใจเกมที่ไอ้โอ๊ตมันเล่นอยู่พอสมควร ถึงขั้นโหลดมาเล่นตามเลยทีเดียวซึ่งไอ้โอ๊ตเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแถมยังให้คำแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ


   หลังจากที่กินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปยังหาดริ้นในทันทีด้วยรถจักรยานยนต์ที่เช่ามาในราคามิตรภาพด้วยอานิสงส์ญาติของไอเต้ย ส่วนสาเหตุที่พวกเราเลือกที่จะเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์แทนที่จะเป็นรถยนต์คันเดียวนั้นมันก็มาจากความเรื่องมากของไอ้ยีสต์นี่ล่ะครับ

   ด้วยสภาพพื้นที่ของเกาะพะงันนั้นมีลักษณะเป็นของภูเขาเสียมากถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าภูเขาที่เชียงใหม่แต่ก็นับว่ามีมากพอสมควร ถนนจึงคดเคี้ยวและมีความลาดชันซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นของแสลงสำหรับไอ้ยีสต์เพราะมันเป็นพวกเมารถเมาเรือง่าย ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกันจากตอนที่ไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะน่ะครับ ก็เลยคิดว่าการขี่จักรยานยนต์กันไปน่าจะโอเคกว่าสำหรับไอ้ยีสต์ แต่ถึงกระนั้นดูเจ้าตัวก็จะยังคงกลัวๆ เส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันของเกาะพะงันอยู่พอสมควรสังเกตได้จากการที่มันกอดเอวไอ้เต้ยเอาไว้แน่นตลอดเส้นทางเลย ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้ไอ้เต้ยหัวเราะขึ้นมาได้บ้างกับท่าทีที่ดูตลกของอีกฝ่าย


   หลังจากที่ทรหดกับเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ในที่สุดพวกเราก็มาถึงหาดริ้นเสียที
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/2061752617-member.jpg)
   หากจะพูดถึงเกาะพะงันแล้วนั้น หาดริ้นก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อติดอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวมุ่งหมายจะมาถึงให้ได้ ซึ่งหาดริ้นนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งนั่นก็คือหาดริ้นในและหาดริ้นนอก โดยบริเวณที่ผมพวกกำลังยืนอยู่นั้นคือหาดริ้นนอกซึ่งเป็นสถานที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้นั่นเอง เสน่ห์ของที่นี่คือหาดทรายสีขาวเนื้อเนียนละเอียดที่ทอดยาวกว่าสองกิโลเมตร ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้แล้วด้วย แสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบกับน้ำทะเลที่ใสสะอาดก็ยิ่งทำให้บรรยากาศดูสวยงามมากๆ

   ทันทีที่มาถึงไอ้ยีสต์ก็ดูกระปรี้กระเปร่าผิดจากเมื่อกี้อย่างลิบลับนั่นก็เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะพบนักท่องเที่ยวหญิงชาวต่างชาติในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเต็มไปทั่วชายหาด จึงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่เจริญตาเจริญใจสำหรับไอ้ยีสต์อยู่พอสมควรในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็ดูจะชอบอกชอบใจจนวิ่งลงทะเลไปอย่างรวดเร็วราวกับเด็กอนุบาลเจอของเล่นถูกใจโดยไม่รอใครทั้งสิ้น

   ส่วนไอ้โอ๊ตน่ะเหรอครับ ก็ดูมีทีท่าจะสนใจกับบรรยากาศความงดงามของชายหาดแห่งนี้ขึ้นมาบ้างอยู่เหมือนกันนะ สังเกตได้จากการที่ยอมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วไปเดินลงไปริมหาดเอาเท้าไปแตะน้ำทะเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินกลับมาหลบอยู่ในที่ร่มแล้วหยิบมือถือออกมาเล่นต่อ

   อืม ก็ถือว่านานสุดเท่าที่ไอ้โอ๊ตมันจะทำได้แล้วล่ะ

   “อ้าว คุณเพื่อนเต้ย ไม่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณเพื่อนยีสต์เหรอครับ”
   ไอ้โอ๊ตเงยหน้าขึ้นถามไอ้เต้ยที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังทำสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ซึ่งคนถูกถามก็หันไปมองไอ้ยีสต์ที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะหันกลับมา

   “ปล่อยมันไปเหอะ โตๆ แล้ว ดูแลตัวเองได้ละ มันอยากไปไหน อยากทำอะหยัง ก็เรื่องของมัน บ่ะเกี่ยวกับกู”
   ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะสดชื่นเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับทอดสายตามองออกไปยังทะเลอย่างเลื่อนลอย

   “นี่มึงสองคนทะเลาะอะหยังกันอยู่รึเปล่าวะ”
   ไอ้เต้ยหันมาเบิกตาโพลงมองผมอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากผม

   “บ่ กูเนี่ยนะ จะไปทะเลาะเหี้ยอะหยังกับมัน ไร้สาระ”
   “เอ้า ก็วันนี้ดูมึงบ่ค่อยจะสดชื่นเลยนี่หว่า แถมคำพูดแปลกๆ เมื่อกี้อีก กูก็นึกว่าพวกมึงสองคนทะเลาะกันอยู่ กูเลยอดเป็นห่วงบ่ได้ไง”
   ทันทีที่ผมพูดจบไอ้เต้ยก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเอียงคอเล็กน้อย ก่อนที่จะกลั้วหัวเราะแห้งๆ กลับมา

   “น่าแปลกนะ ปกติมึงจะดูเอ๋อๆ บ่ค่อยรู้เรื่องอะหยังกับเขา แต่มึงกลับสังเกตเห็นเรื่องนี้”
   “เอ้า นี่กูเป็นห่วง คือกูผิดเหรอวะ”
   ผมถามกลับพร้อมกับพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา

   “กูบ่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เออ ช่างเถอะ ยังไงก็ขอบใจมึงเว้ยที่เป็นห่วง แต่กูแค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ มึงเหอะ ถ้ามัวชักช้าจะตามไอ้แบงค์ไปบ่ทันนะเว้ย”
   ไอ้เต้ยพูดพร้อมกับยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะชี้ไปยังด้านหลังของผม ผมจึงหันหลังไปมองและภาพที่เห็นก็คือแบงค์ที่กำลังสนุกสนานกับการถ่ายรูปจนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แล้ว ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามออกไปทันทีโดยทิ้งไอ้เต้ยกับไอ้โอ๊ตเอาไว้ข้างหลัง

   “พอเจอวิวทิวทัศน์สวยๆ เข้าหน่อย ก็บ่รอกันเลยนะมึง”
   ผมเอ่ยเหน็บเล็กๆ ออกไป แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ผละสายตาออกจากกล้องหันมามองผม พร้อมกับยิ้มกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะก้มหน้าถ่ายรูปต่อไป ซึ่งเอาเข้าจริงผมเองก็ไม่ได้งอนอะไรหรอกที่อีกฝ่ายจะให้ความสนใจกับการถ่ายรูปในตอนนี้จนดูเหมือนจะลืมผมไป

   กลับกัน ผมกลับรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำที่ได้เห็นแบงค์ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ช่วงเวลาที่เจ้าตัวให้ความสำคัญกับการค้นหามุมมองและใส่ใจในการลั่นชัตเตอร์แต่ละครั้ง นั่นล่ะคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของอีกฝ่ายในสายตาผม ผมจึงเลือกที่จะเดินตามแบงค์ที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปไปอย่างเงียบๆ โดยไม่คิดที่จะกวนสมาธิแต่อย่างใด

   แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลากลางวันอยู่ซึ่งยังไม่ถึงช่วงเวลาของฟูลมูนปาร์ตี้ก็ตามที แต่นักท่องเที่ยวก็เริ่มหลั่งไหลกันมามั่งแล้วสมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ ส่วนร้านรวงต่างๆ รวมไปถึงตามผับ บาร์ที่ตั้งอยู่ริมหาดเริ่มมีการนำเสื่อและโต๊ะญี่ปุ่นมาตั้งตามหน้าร้านของตัวเอง ในขณะที่บางร้านก็มีการนำเครื่องเสียงขนาดใหญ่มาวางกันแล้ว ดูๆ ไปก็เริ่มชักจะสนุกขึ้นมาเสียแล้วสิ

   “เหนื่อยรึยังครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถาม ผมยิ้มพร้อมกับส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ แล้วจึงเดินไปหาที่นั่งใต้ต้นหูกวางริมหาดเพื่อหลบแดด

   “นั่งรอนี่นะ เดี๋ยวผมมา ไปซื้อน้ำแป๊บนึงครับ”
   แบงค์บอกกับผมก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปซื้อน้ำที่แผงขายซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรานั่งมากนัก

   “อ่ะ นี่ครับน้ำ แก้คอแห้ง เดี๋ยวจะเป็นลมแดดเอา”
   แบงค์ยื่นขวดน้ำให้กับผมก่อนที่จะลงนั่งข้างๆ

   “ครึกครื้นดีนะ หาดริ้นเนี่ย”
   “นั่นสิครับ”

   “เทอมหน้าพวกเราก็ม.หกกันแล้วนะ”
   “ใช่ครับ”

   “คงต้องพบเจออะหยังอีกมากเลยนะ”
   “นั่นสินะครับ”
   แบงค์ตอบรับกลับมาสั้นๆ ผมเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเบาๆ

   “ยังไง กูก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับมึงอีกปีนึงด้วยนะเว้ย”
   “ขอปฏิเสธครับ!”
   ผมรู้สึกเหวอทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธอย่างรวดเร็วของแบงค์

   “ท่ะ...ทำไมวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยพร้อมหันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังมองออกไปยังขอบฟ้าอย่างเงียบๆ ไม่ยอมพูดจาอะไร ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไหร่นักก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้ามองมายังผมด้วยสายตาที่ดูจริงจัง

   “นันท์บอกว่าขอฝากเนื้อฝากตัวกับผมอีกปีนึงใช่มั้ยล่ะครับ”
   “เออดิวะ”

   “......”
   “......”

   “แต่ผมอยากให้นันท์ฝากเนื้อฝากตัวกับผมไปตลอดทั้งชีวิตเลยมากกว่านะครับ”
   “......”

   “......”
   “มึง”
   “ครับ”
   “มุกแป๊กว่ะ”
   “อ้าวไหงงั้นล่ะครับ ผมกำลังหยอดคำหวานชวนซึ้งอยู่นะครับเนี่ย ไม่ได้มุกอะไรเลยสักนิด”
   “นั่นล่ะ ยิ่งแป๊กเข้าไปใหญ่ว่ะ”
   ถึงแม้ปากของผมมันจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วในใจลึกๆ ของผมมันกลับรู้สึกอบอุ่นมีความสุขมากๆ ที่ได้ยินคำพูดนั้นจากอีกฝ่าย ผมค่อยๆ เอนหัวไปพิงบนไหล่ของแบงค์พร้อมกับหลับตาลงอย่างช้าๆ  สายลมเย็นที่พัดจากทะเลเข้าหาฝั่ง แสงแดดอุ่น ที่สาดส่องลงมา เสียงคลื่นกระทบเข้าหาฝั่งอย่างเป็นจังหวะ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นานๆ เหลือเกิน

   “มึง”
   “ครับ”
   “น้าของมึงเป็นตากล้องของหนังสือท่องเที่ยวต่างประเทศใช่มั้ย”
   “ใช่ครับ ทำไมเหรอ”
   แบงค์ถามกลับด้วยความสงสัย ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป

   “งั้นก็คงจะเห็นสถานทีที่สวยงามมามากมายเลยล่ะสิ”
   “อืม... ก็น่าจะประมาณนั้นนะครับ”
   “แล้วพอจะรู้ปะว่าที่ไหนสวยงามมากที่สุด”
   ผมดันหัวตัวเองกลับขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองคนถูกถามด้วยความสนใจใคร่รู้ในคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ

   “ไม่รู้เหมือนกันสิครับ ความชอบของแต่ละคนมันต่างกัน คนนึงว่าที่นั่น แต่อีกคนอาจจะว่าที่นี่ นานาจิตตังน่ะครับ”
   “แล้วสำหรับมึงมึงคิดว่าที่ไหนสวยงามมากที่สุดวะ”
   ผมถามกลับไปอีกครั้ง แบงค์เลิกคิ้วสูงก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมครุ่นคิดอีกรอบ

   “นั่นสิครับ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันแฮะ ก็ชอบหมดทุกที่ๆ ไปนะครับ มันสวยกันไปคนละแบบ”
   แบงค์ตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบเท่าไหร่นัก ผมจึงได้แต่พยักหน้ากลับไปให้กับคำตอบนั้น

   “ว่าแต่ไม่ลงไปเล่นน้ำทะเลหน่อยเหรอครับ”
   คราวนี้แบงค์หันมาเป็นฝ่ายเอ่ยถามผมบ้าง

   “โหย ตั้งแต่มาถึงนี่ก็เล่นมันทุกวันแล้วนะเว้ยมึงดูสิเนี่ย ผิวกูดำหมดแล้วว่ะ”
   ผมบ่นพร้อมกับถกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นถึงสีผิวที่ตัดกันเพราะโดนแดด แบงค์กลั้วหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น

   ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็แทบจะไม่ได้พักกันเลยวันแรกที่มาถึง ไอ้เต้ยก็พาพวกเราไปพายเรือคายัคกันทันทีขอบอกว่าเมื่อยแขนมาก พายเรือคายัคข้ามไปยังเกาะม้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาพะงันมากนัก ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ยอมรับว่าสนุกมากครับ ทะเลสวย น้ำใสจนมองเห็นพื้นทรายข้างล่างเลยล่ะ ใสจนชนิดที่ไอ้โอ๊ตถึงขั้นต้องลงไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่อะไรหรอกครับ พอดีไอ้โอ๊ตมันพายเรือแบบเก้ๆ กังๆ น่ะครับ ก็เลยตกทะเลไป ซึ่งก็นับว่าโชคดีอย่างหนึ่งที่แว่นของมันไม่หล่นหายลงไปในทะเล สุดท้ายความซวยก็ต้องมาตกที่ไอ้น้องไนท์คู่พายเรือ ที่ต้องรับหน้าที่พายเรือคนเดียวไปในที่สุด ฮ่าฮ่าฮ่า

   วันที่สอง ไอ้เต้ยก็ยังไม่ยอมให้พวกเราได้หยุดพัก พาไปเดินป่าขึ้นเขากันที่อุทยานแห่งชาติธารเสด็จขอบอกว่า เหนื่อยยิ่งกว่าพายเรือคาพัคอีก แดดร้อนสุดๆ แถมยังต้องเดินขึ้นเขาที่เส้นทางก็โคตรจะสมบุกสมบันเอามากๆ แต่เมื่อไปถึงจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นท้องทะเลที่กว้างไกลได้จากด้านบน ก็ยอมรับว่าคุ้มค่าที่เดินขึ้นมาถึงจริงๆ

   ส่วนวันที่สาม วันนี้ดีหน่อยที่เป็นวันแห่งการกิน กินแม่งทั้งวันจริงๆ ครับ กินจนแทบจะอ๊วกออกมากันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า

   “จะว่าไป มึงนี่ก็ชอบถ่ายรูปจริงๆ นะ เพราะอะหยังวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย แบงค์นิ่งเงียบพร้อมกับมองกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยยิ้มเล็กๆ ออกมา

   “เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลงลืมง่ายยังไงล่ะครับ ภาพถ่ายจึงเปรียบเสมือนตัวแทนความทรงจำของเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ ว่าเรารู้สึกยังไงกับมัน”

   “เหมือนรูปนี้เหรอวะ”
   ผมเอ่ยถามพร้อมกับชี้ไปยังรูปที่กำลังโชว์อยู่ที่หน้าจอแสดงผลของกล้อง มันเป็นรูปรองเท้าแตะของผมกับแบงค์ที่วางเคียงข้างกันอยู่บนชายหาด

   “แล้วคิดว่ายังไงล่ะครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยคำถาม ผมเพ่งมองดูรูปนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

   “เหมือนมึงกับกูในตอนนี้ยังไงล่ะ ที่ได้อยู่ข้างๆ กัน ถือเป็นความทรงจำที่ดีมากๆ เลยล่ะ”
   แบงค์กลั้วหัวเราะในลำคอพร้อมยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “ว่าแต่มึงบ่ไปถ่ายรูปต่อเหรอวะ”
   “ก็อยากถ่ายต่อนะ แต่กลัวจะโดนด่าหาว่าไม่สนใจแฟนของตัวเองเอาน่ะครับ”
   “เลอะเทอะกูบ่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น มึงอยากถ่ายก็ถ่ายไปเหอะ นานๆ จะได้มาที่สวยๆ แบบนี้ ก็ต้องถ่ายให้คุ้มสิ ไปเหอะ เดี๋ยวกูจะรอแถวนี้ละกัน”
   ผมตอบกลับไปพร้อมกับยกน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อแก้กระหายเล็กน้อย

   “อ้าว ไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”
   “บ่เอาดีกว่ากูไปด้วย เดี๋ยวจะเกะกะมึงเปล่าๆ แล้วจะพาลทำให้มึงถ่ายรูปบ่สนุก บ่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวกูจะไปรวมกลุ่มกับพวกไอ้เต้ยเอาน่ะ”
   “อ่า ครับ งั้นก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ มีอะไรก็โทรหาผมนะครับ”
   แบงค์พูดพร้อมกับลุกขึ้นปัดทรายที่กางเกงเล็กน้อย ผมพยักหน้ายิ้มตกลงกลับไปพร้อมกับยกมือโบกลาให้อีกฝ่าย ก่อนที่จะนั่งมองทะเลอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นถือรองเท้าแตะเอาไว้ในมือพร้อมกับเดินลงไปยังริมหาดเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว

   ผมชอบช่วงจังหวะที่คลื่นตีกระทบฝั่งเข้ามาแล้วไหลย้อนกลับลงไป พาเอาเหล่าเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ลู่ตามลงไปด้วย มันทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ใต้ฝ่าเท้าจนอดไม่ได้ที่จะต้องอมยิ้มหัวเราะคิกคักเบาๆ เหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว

   สถานที่ที่สวยงามเอ๋ย
   นี่คือความจริง หรือ ความฝันกันนะ
   หากแม้นมันคือความจริง ก็ขอให้ความจริงนี้อยู่กับผมตลอดไป
   แต่หากแม้นมันคือความฝัน ก็ขอจงปล่อยให้ผมอยู่ในความฝันนี้ไปตลอดกาล...ด้วยเทอญ

   “......”

   ไงล่ะๆ สำบัดสำนวนของผมเจ๋งป่ะล่า ฮะฮ่าฮ่าฮ่าเอาล่ะ เพ้อมากเกินไปละ กลับไปหาพวกเพื่อนเหี้ยดีกว่า

   แต่เมื่อผมเดินกลับมา สิ่งที่พบก็มีแต่เพียงความว่างเปล่า อืม...ว่างเปล่าในที่นี้ ก็คือพวกเพื่อนๆ ผมน่ะครับ ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลยสักคนหันไปมองในทะเล ก็ไม่เห็นไอ้น้องไนท์แล้วด้วย ผมพยายามสอดส่ายสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย แต่ก็ไม่พบเหล่าเพื่อนๆ ทั้งหลายของผม

   เหี้ย เอาไงดีล่ะทีนี้ ถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเสียแล้วสิแล้วเมื่อกี้ก็ดันไปปากดีทำตัวเป็นพ่อพระผู้ใจบุญกับแบงค์ไปแล้วด้วย จะโทรไปตอนนี้มีหวังได้อับอายแน่ๆ

   เอาวะ เดินเที่ยวคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ดูท้าทายน่าตื่นเต้นดีออก
   เมื่อคิดได้เช่นนั้น การออกผจญภัยในโลกกว้างก็ได้เริ่มต้นขึ้น วะฮะฮ่าฮ่าฮ่า

   ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงท่าเรือที่หาดริ้นในซึ่งอยู่ตรงข้ามกันกับฝั่งหาดริ้นนอกโดยที่ฝั่งนี้จะเอาไว้ขนส่งสิ่งของและผู้โดยสารมาจากเกาะสมุย ส่วนใหญ่ฝั่งนี้จะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึกทั่วไป และบริการต่างๆ ทั้งโรงแรม อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ นวดแผนโบราณ ทัวร์ ธนาคาร ฯลฯ ซึ่งจะต่างจากฝั่งหาดริ้นนอกที่จะเน้นไปทางด้านความบันเทิง เช่นพวกผับบาร์ต่างๆ เสียมากกว่า

   ผมเดินมาหยุดยังร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านขายของต่างๆ ที่ทำมาจากหินสวยงามหลากหลายรูปแบบและสีสัน ซึ่งผมก็เดินดูของในร้านไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งมาหยุดตรงที่เหล่าบรรดาสร้อยข้อมือต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่ ผมดูมันไปเรื่อยๆ ทีละอัน โดยไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก

   แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดตาตรงสร้อยข้อมือสองเส้น ที่ดูภายนอกอาจจะธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก แต่จริงๆ แล้วมันมีความพิเศษนิดหน่อยนั่นคือเส้นหนึ่งจะสลักตัวอักษร Iเอาไว้ แล้วถัดลงมาจะเป็นหินรูปหัวใจครึ่งซีกซ้าย ในขณะที่อีกเส้นจะเป็นรูปหัวใจครึ่งซีกขวา แล้วถัดลงมาเป็นตัวสลักคำว่า You ซึ่งถ้าเอาทั้งสองเส้นมาประกบกันก็จะได้คำว่าไอเลิฟยู อืม... คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะ ก็มันเป็นรูปหัวใจนี่นา จะว่าไปก็ดูโรแมนติกดีแฮะ ถ้าผมกับแบงค์ใส่กันคนละอันเนี่ย ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ

   จะซื้อดีมั้ยวะ แต่รู้สึกเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “......”
   ในขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะซื้อมันดีหรือไม่นั้น

   “......”
   สายตาของผมก็พลันไปเห็นราคาที่แปะติดอยู่ตรงสร้อยเข้าพอดี ผมจึงตัดสินใจวางมันลงคืนที่เดิมทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายนัก

   ไอ้สัส แพงฉิบหาย ราคานี้ปล้นกูเลยเหอะ

   “พี่นันท์อยากได้เหรอครับ”
   เสียงกระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูนั้นทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนที่จะหันกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น

   “ไอ้สัสไนท์มึงเข้ามามะใดเนี่ย”
   “ก็เห็นพี่เดินเข้ามาในร้านนี้อะครับ ผมก็เลยเดินตามเข้ามา เพราะคนอื่นบ่รู้หายไปไหนกันหมด”
   ไอ้น้องไนท์ตอบกลับมาพร้อมกับหันมองออกไปนอกร้าน ก่อนที่จะหันกลับมายิ้มกว้างให้ผม

   “ว่าไง พี่อยากได้สร้อยเส้นนี้เหรอครับ”
   “กูก็แค่มองๆ ไปแค่นั้นล่ะ”
   ผมตอบปัดกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินออกจากร้านอย่างช้าๆ เพื่อรักษาท่าทีไม่ให้ดูน่ารังเกียจ แล้วเดินเข้าเซเว่นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากนักเพื่อหาอะไรรองท้องเล็กน้อย และเมื่อผมเดินออกมาจากเซเว่นก็เห็นไอ้น้องไนท์ที่กำลังยืนเงอะๆ งะๆ อยู่หน้าร้านขายของที่ระลึก

   “พี่นันท์อยู่นี่นี่เอง”
   ไอ้น้องไนท์เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าโล่งใจทันที่เห็นผม

   “ว่าแต่มึงจะอยู่ในชุดเปียกๆ แบบนี้ไปตลอดเรอะ บ่กลัวเหม็นกลิ่นเกลือรึไงวะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปพลางกัดแซนวิชในมือไปด้วย
   “แดดแรงๆ แบบนี้ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็แห้งครับ อีกอย่าง ผมไปล้างตัวที่ห้องน้ำแถวนี้มาแล้วด้วยน่ะ บ่เหม็นกลิ่นเกลือแน่นอน”
   ไอ้น้องไนท์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูมั่นใจในคำพูดตัวเองสุดๆ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ทันทีที่เห็นท่าทีนั้น

   “แล้วพี่แบงค์ไปไหนล่ะครับ ถึงได้ทิ้งให้พี่นันท์มาเดินเที่ยวคนเดียวเนี่ย”
   “ทิ้งเหี้ยอะหยัง กูเป็นคนบอกเขาเองล่ะว่าให้ไปถ่ายรูปตามที่ต้องการ กูบ่อยากรบกวน เลยมาเดินเล่น กะว่าจะมารวมกลุ่มกับพวกไอ้เต้ย แต่ก็กลายเป็นว่าบ่เจอใครสักคนเลยเนี่ย”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเซ็งนิดๆ ก่อนที่จะหันไปมองรอบๆ ด้วยหวังว่าจะเจอใครสักคน แต่ก็ต้องผิดหวัง

   “งั้นตอนนี้ก็ทางสะดวกสำหรับผมสินะครับ”
   “หมายความว่าไงวะ”
   ผมหันไปขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็เอาแต่ยิ้มกว้างไม่ตอบอะไรกลับมา ผมรู้สึกรำคาญเล็กน้อยกับท่าทีนั้นจึงพยายามที่จะเดินปลีกตัวออกมาเพื่อหาเพื่อนๆ ต่อ

   “เฮ้ย!”
   แต่ก็โดนไอ้น้องไนท์คว้าข้อมือเอาไว้ ผมหันกลับไปหมายจะเอ็ดใส่นิดหน่อย ทว่าก็ต้องชะงักทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน

   “ผมให้พี่ รักษามันเอาไว้ดีๆ นะครับ”
   ไอ้น้องไนท์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับพยายามที่จะยื่นสิ่งนั้นใส่เอาไว้ในมือของผม

   “นี่มัน...”
   ผมเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มมองสร้อยข้อมือซึ่งสลักคำว่า I Love You ที่ผมเพิ่งหยิบขึ้นมาดูในร้านขายของที่ระลึกเมื่อครู่นี้

   “พี่นันท์เก็บไว้ให้ดีนะครับ มันคือของแทนใจจากผมให้พี่”
   น้องไนท์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจัง


จบคาบเรียนที่สามสิบสาม


มุมแคปชั่นไร้สาระ


Power Bank ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/678783606-member.jpg)
นันทการ และ Bour Rai ได้ถูกใจสิ่งนี้
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 34 หึงหวง (22-3-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 22-03-2019 21:57:46
คาบเรียนที่สามสิบสี่

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/1948948073-member.jpg)

   “...”
   สายตาและสีหน้าของไอ้น้องไนท์ที่ดูจริงจังนั้น ทำเอาผมถึงกับนิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มมองสร้อยข้อมือเส้นนั้นในฝ่ามือของตัวเองอย่างเงียบๆ

   “รับมันไว้เถอะครับ ผมอยากให้พี่นันท์เก็บมันไว้จริงๆ”
   ไอ้น้องไนท์ยังคงยืนกรานในความต้องการของตัวเองและพยายามคะยั้นคะยอผมให้ได้ ผมเงยขึ้นมองหน้าไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้กำลังส่งสายตาเว้าวอนอย่างน่าเอ็นดู จนผมเองเริ่มจะรู้สึกใจอ่อนอยู่เหมือนกัน

   แต่...

   “ขอโทษว่ะ ไนท์ กูคงรับมันไว้บ่ได้จริงๆ”
   ผมตอบปฎิเสธพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือเส้นนั้นส่งคืนกลับไปก่อนที่จะก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ

   “ผมบ่รับคืน ผมถือว่าผมให้ไปแล้ว และผมจะบ่เปลี่ยนใจด้วย”
   “แต่ว่า...”

   “ก็ผมชอบพี่นันท์จริงๆ นี่ครับ”
   “แต่...”

   “ถึงแม้ตอนนี้พี่นันท์จะเป็นแฟนพี่แบงค์อยู่ก็ตามที”
   “เฮ้ย มึงฟัง...”

   “ยังไงผมก็จะรอ”
   พลั่ก!!!

   หมัดขวาของผมพุ่งชกเข้าใส่แก้มซ้ายของไอ้น้องไนท์เข้าอย่างจังด้วยความรุนแรงจนอีกฝ่ายถึงกับลงไปนั่งกองกับพื้นก่อนที่จะใช้ฝ่ามือยกขึ้นมากุมแก้มใสของตนเอาไว้ด้วยสีหน้างุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“มึงจะหุบปากแล้วฟังกูก่อนได้มั้ยวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยหลังจากที่ต้องทนฟังไอ้น้องไนท์พยายามรัวคำพูดออกมาโดยไม่เปิดช่องให้ผมได้แทรกเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

“ไอ้ไนท์”
“ครับ”
“ถ้าเกิดสมมติ ว่าตอนนี้กูเป็นแฟนกับมึงจริงๆ มึงจะรู้สึกยังไง”

   ผมเอ่ยถามออกไปสั้นๆ ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
   “ดีใจสิครับ ดีใจมากๆ ด้วย”
   เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดีใจราวกับคนมีความหวัง

   “แล้วถ้าไอ้แบงค์มันมาทำแบบนี้กับกู เหมือนที่มึงกำลังทำอยู่ตอนนี้ มึงจะชอบและยอมรับมันได้มั้ยวะ”
   “......”
   คราวนี้ไอ้น้องไนท์ทำหน้านิ่งครุ่นคิดโดยไม่ตอบอะไรกลับมา

   “นี่ผมจะบ่มีความหวังเลยเหรอครับ กับเรื่องนี้”
   เจ้าตัวลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้า ผมเม้มปากขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

   จริงอยู่ว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยสังเกตหรือรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นของไอ้น้องไนท์เลย มันอาจจะดูโหดร้ายสำหรับเจ้าตัวอยู่ไม่ใช่น้อย ที่ที่ผ่านมาผมได้มองข้ามและไม่เคยสังเกตหรือรับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นของอีกฝ่ายเลยสักนิด

   เพียงแต่...

   “กูขอโทษนะ แต่...”
   “แต่ผมก็ยังอยากให้พี่เก็บสร้อยเส้นนี้ไว้จริงๆ นะครับ”
   ไอ้น้องไนท์ยังคงไม่ยอมลดละความพยายาม แต่ผมก็ยังยืนกรานปฎิเสธที่จะรับมันไว้ จนเจ้าตัวถึงกับมองผมด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความผิดหวัง

   “กลัวพี่แบงค์เขาจะโกรธเหรอครับ”
   ไอ้น้องไนท์ชิงถามขึ้นมา ผมก้มหน้านิ่งเงียบพลางมองสร้อยข้อมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าแล้วยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

   “มันบ่ใช่ความกลัวหรอก แต่มันคือการสร้างความไว้ใจให้แก่กันมากกว่า ลองคิดดู ถ้ามึงมีแฟน มึงก็คงบ่ชอบให้แฟนตัวเองไปทำแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกันใช่มั้ยล่ะวะ”
   “ถึงแม้ว่าวันใดวันนึงอาจจะเป็นพี่แบงค์ที่ทำแบบนั้นเสียเองก็ตามทีเหรอครับ”

   อึก!!!
   ผมรู้สึกสะอึกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของไอ้น้องไนท์ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังสดใสแล้วจึงหันไปยิ้มให้เจ้าตัวอีกรอบ

   “นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตว่ะ เพียงแต่วันนี้ที่กูกับมันเป็นแฟนกัน กูก็จะขอทำให้มันดีที่สุด เท่าที่คนป้ำๆ เป๋อๆ อย่างกูจะทำได้ล่ะนะ”
   ทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้น้องไนท์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

   “เฮ้ออออออ ผมล่ะอิจฉาพี่แบงค์จริงๆ ที่ได้เป็นแฟนพี่นันท์เนี่ย รู้งี้ผมชิงสารภาพกับพี่นันท์ก่อนเสียก็ดี มัวแต่ลังเลๆ กล้าๆ กลัวๆ เป็นไงล่ะ โดนตัดหน้าไปซะงั้น โอ๊ยยยย สร้อยนี่ก็อีก สุดท้ายก็เป็นหมันอีกละ เฮ้ออออออ”

   “เอาน่ะๆ เก็บมันไว้เหอะ กูเชื่อว่าสักวันคนที่คู่ควรกับมึง คนที่คู่ควรกับสร้อยเส้นนี้มากกว่ากูจะต้องมีแน่ๆ”
   น้องไนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบ ก่อนที่เก็บสร้อยเส้นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ

   “อ้อ อีกอย่าง คราวนี้ถ้ามึงเจอใครที่ใช่ล่ะก็ บอกเขาไปเลยนะ บ่ต้องกลัว อย่างน้อย มันก็ยังมีโอกาสมากกว่าที่จะเก็บมันเอาไว้”
   ผมพยายามที่จะพูดปลอบใจไอ้น้องไนท์ที่ยังอยู่ในอาการเศร้าอยู่ ถึงแม้จะคิดได้ว่ามันอาจจะดูเหมือนคำพูดผลักไสไล่ส่งอยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพูดจาให้ความหวังทั้งๆ ที่ไม่มีความหวังมากกว่า

   “พี่นันท์รู้ตัวมั้ยครับ ว่าตั้งแต่พี่นันท์มีแฟนนี่ พี่ดูน่ารักมากขึ้นเลยนะครับ”
   “น่ารักห่าอะหยัง อย่ามาชมอย่างกับกูเป็นผู้หญิงนะเฮ้ย ว่าแต่คนอื่นๆ เขาไปอยู่ไหนกันหมดวะเนี่ย”
   ผมรู้สึกหน้าแดงด้วยความเขินอายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็พยายามจะกลบมันเอาไว้ พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องและหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า ก่อนที่จะกดโทรออกไปหาไอ้เต้ย

   ขออภัยค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
   อ้าว เวรกรรม ติดต่อไม่ได้ซะงั้น ไหนลองโทรหาไอ้ยีสต์ดูหน่อยละกัน

   “......”
   ไม่รับสายอีก อะไรวะเนี่ย

   จะเหลือก็แต่ไอ้โอ๊ต......แต่คิดอีกที ไม่โทรหามันดีกว่า ไอ้นี่โลกส่วนตัวสูง ยิ่งถ้าโทรไปหามันตอนจังหวะมันกำลังเล่นเกม ได้โดนมันด่าแน่ๆ

   TRRRRRRRR
   ในจังหวะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เสียงเรียกสายมือถือของผมก็ดังขึ้น ผมรีบรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือไอ้ยีสต์

   “ว่าไงไอ้นันท์ มีอะหยัง”
   “มึงอยู่ไหนวะ”
   “กูอยู่ร้านข้าวกับไอ้เต้ย ไอ้โอ๊ต แถวๆ หาดน่ะ”
   “เออ งั้นรอกูด้วย เดี๋ยวกูไปหา หิวข้าวเหมือนกันเนี่ย”
   หลังจากที่วางสายไป ผมก็ชวนไอ้น้องไนท์ไปยังร้านข้าวที่พวกไอ้ยีสต์มันนั่งอยู่ พวกเราหาอะไรกินไว้ก่อนเพื่อเตรียมรับศึกหนักสำหรับคืนนี้ ซึ่งนั่นก็คือ ฟูลมูนปาร์ตี้ ที่จะจัดขึ้นทุกเดือนในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงนั่นเอง

   จากการที่ผมค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลถึงจุดเริ่มต้นของปาร์ตี้ ก็พอจะจับใจความได้ว่ามันเริ่มมาจากการจัดงานปาร์ตี้เพื่อเลี้ยงส่งให้กับนักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งตรงกับคืนที่พระจันทร์เต็มดวงพอดี หลังจากนั้นจึงเกิดกระแสปากต่อปากบอกเล่าถึงความสวยงามของดวงจันทร์ที่เต็มดวงเมื่อมองจากหาดแห่งนี้ จึงกลายเป็นที่นิยมขึ้นมามากมายจนถึงทุกวันนี้

   ผมเองก็เคยพอจะเห็นบรรยากาศงานจากในหนังเรื่องปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นและในกูเกิ้ลมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ที่คืนนี้จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของจริงนั้นกับเขาเสียที และยิ่งตกเย็นมากขึ้นเท่าไหร่ เหล่านักท่องเที่ยวก็เริ่มเดินทางมามากขึ้นเท่านั้น เสียงเพลงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความสนุกสนานของค่ำคืนนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

   พวกเราเลือกที่จะนั่งบริเวณหน้าร้านแห่งหนึ่งที่นำเสื่อมาปูเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งหลาย

   “รู้สึกว่ากลายเป็นพวกเราเสียเอง ที่ดูแปลกแยกจากคนอื่นไปเลยนะเนี่ย”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหันมองไปรอบๆ บริเวณก่อนที่จะยกเหล้าบัคเก็ตขึ้นมาดื่ม ซึ่งก็จริงตามที่ไอ้ยีสต์มันว่าเอาไว้จริงๆ นั่นล่ะครับ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียมากกว่า ยิ่งบางคนนำสีสะท้อนแสงมาทาตัว เพนท์เป็นรูปต่างๆ ซึ่งก็ดูแปลกตาอยู่ไม่น้อย

   “ไอ้ยีสต์ มึงแดกเพลาๆ หน่อยดิวะ เดี๋ยวแม่งก็เมาหรอก”
   ไอ้เต้ยเอ็ดใส่ไอ้ยีสต์ที่ยกเหล้าบัคเก็ตขึ้นซดราวกับว่าตัวเองกำลังดื่มน้ำเปล่ายังไงยังงั้น

   “เฮ้ย นานๆ จะได้มาแอ่วม่วนๆ แบบนี้ ก็ต้องเต็มที่กันหน่อยดิวะ อย่าซีเรียสนักดิ”
   “เอ้า ไอ้ห่า กูซีเรียสก็เพราะเป็นห่วงมึงนั่นล่ะ ยิ่งทางกลับก็บ่ใช่ว่าจะสบายๆ เกิดมึงเมาพลัดตกรถเอากลางทางขึ้นมาจะทำยังไงวะ”
   ไอ้เต้ยขึ้นเสียงกลับไปเมื่อได้ยินไอ้ยีสต์ตอบกลับมาเช่นนั้น แต่ไอ้ยีสต์ก็หาได้จะใส่ใจกับคำพูดนั้นของไอ้เต้ยไม่ ยังคงซดเหล้าบักเก็ตราวกับคนกระหายน้ำ ไอ้เต้ยเองเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ไม่ยี่หระต่อคำพูดของตัวเอง ก็ดูจะออกอาการหัวเสียอยู่ไม่ใช่น้อย จึงลุกขึ้นใส่รองเท้าแตะที่ตั้งอยู่ข้างๆ เสื่อ

   “อ้าว ไอ้เต้ย มึงจะไปไหนวะ”
   ผมหันไปถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป ก่อนที่จะหยิบสปายรสคลาสสิคขึ้นมาดื่ม

   อนึ่ง หลังจากที่เจอเหล้าขาวเชียงดาวเมื่อคราวที่ไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะ ผมก็เลยค่อนข้างเข็ดไปพอสมควร รอบนี้เลยเลือกกินอะไรที่มันเบาๆ ก็พอดีกว่า แห่ะๆ

   “กูจะไปเยี่ยว มึงจะไปกับกูมั้ยล่ะ”
   ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความดุดันเล็กน้อย ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่ไอ้เต้ยจะเดินออกไปเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม

   “......”
   “......”

   อยู่ๆ บรรยากาศภายในกลุ่มก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งดูขัดแย้งกับบรรยากาศรอบข้างที่แสนจะสนุกสนานอย่างเห็นได้ชัด

   “นี่สรุปว่ากูผิดใช่มั้ยวะเนี่ย”
   ไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นมานิดๆ เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแอลกอฮอล์ที่เจ้าตัวกินเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์บ้างแล้ว

   “......”

   แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ จากคนอื่นภายในกลุ่ม ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในกลุ่มยิ่งดูอึดอัดมากขึ้นไปอีก ไอ้ยีสต์เอง เมื่อเห็นท่าทีเหล่านั้นของพวกผม ก็ทำเสียงจิ๊ปากเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นใส่รองเท้าแตะอย่างเก้ๆ กังๆ อันเนื่องมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

   “เฮ้ย มึงจะไปไหนวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีนั้นของอีกฝ่าย

   “กูจะไปเยี่ยว มึงนั่งอยู่นี่นั่นล่ะ บ่ต้องลุกไปไหน”
   “ใครบอกว่ากูจะไป กูแค่ถามไปงั้นล่ะ”
   ผมบ่นอุบอิบเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงดุดันนั้นตอบกลับมา ไอ้ยีสต์หันมามองผมอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อก่อนที่จะสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

   “เอ่อ ปล่อยไปแบบนั้นจะดีเหรอวะ ไอ้โอ๊ต”
   ผมหันไปถามไอ้โอ๊ตที่กำลังยกน้ำส้มปั่นขึ้นดื่มอย่างช้าๆ โดยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย

   “ปล่อยไปเหอะครับ เรื่องปกติตามประสาคนหึงหวงกันน่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น

   “หึงหวง? ใครวะ”
   ผมเอียงคอถามด้วยสงสัย

   “ก็วันก่อน คุณน้องจูนเด็กชั้นมอสี่ที่อยู่ชมรมเดียวกันกับคุณเพื่อนยีสต์เขาขอไลน์คุณเพื่อนยีสต์น่ะครับ แล้วดูเหมือนคุณเพื่อนยีสต์จะสนใจคุณน้องจูนอยู่เหมือนกัน คุณเพื่อนเต้ยเขาก็เลยออกอาการไม่พอใจน่ะครับ”
   ไอ้โอ๊ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ก่อนที่จะขยับแว่นของตัวเองให้เข้าที่ ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วใช้สมองอันน้อยนิดของตัวเองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

   “นี่มึงอย่าบอกนะว่า...”
   ไอ้โอ๊ตพยักหน้าเบาๆ ทันทีที่ได้ยินผมเกริ่นเช่นนั้น

   “ไอ้ยีสต์กับไอ้เต้ยมัน...”
   “ครับ ก็ตามนั้นล่ะครับ”

   “มันจีบไอ้น้องจูนอะหยังนั่นเหมือนกัน ก็เลยบ่พอใจกันยังงั้นใช่ปะวะ”
   “หา!?”
   ไอ้โอ๊ตหันมาขมวดคิ้วใส่ผมทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น ผมเลิกคิ้วสูงกลับไปประหนึ่งว่าตัวเองพูดอะไรผิดออกไปรึเปล่า

   “บางที ผมเองก็สงสัยนะครับ ว่าสมองของคุณเพื่อนนันท์นี่มีอะไรอยู่ข้างในบ้าง ถึงได้ประมวลผลอะไรออกมาได้แบบนี้เนี่ย”
   “อ้าว แล้วกูพูดอะหยังผิดตรงไหนล่ะวะ มึงก็บอกกูมาดิ”
   ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย ไอ้โอ๊ตถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะหยิบน้ำส้มปั่นขึ้นมาจิบอีกเล็กน้อย

   “เอ่อ นันท์ครับ อย่าบอกนะครับว่าที่ผ่านมานันท์ไม่เคยสังเกตเรื่องของสองคนนั้นเลย”
   เสียงของแบงค์เอ่ยแทรกขึ้นมา ผมหันกลับไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังยิ้มอย่างเหนื่อยๆ อยู่ ผมเลิกคิ้วสูงพร้อมกับส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็ได้แต่ยกนิ้วขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ แต่ไม่ตอบอะไรออกมา

   “อะๆ ผมตอบให้ก็แล้วกัน จะได้จบๆ กันไป”
   คราวนี้เป็นไอ้น้องไนท์ที่เอ่ยแทรกขึ้นมาบ้าง ผมจึงหันไปมองด้วยความสงสัย

   “พี่นันท์ครับ พี่เต้ยกับพี่ยีสต์เขากำลังกิ๊กกันอยู่น่ะครับ โอเคนะครับพี่นันท์”

   “......”
   “......”
   “......”

   “ห๊า!!!!!!!!!!”


จบคาบเรียนที่สามสิบสี่
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 34 ทะเลาะ (1-4-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 01-04-2019 23:44:46
คาบเรียนที่สามสิบห้า

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/125236/405392539-member.jpg)

   “ห๊า!!!!!!!!!!”
   เสียงร้องตกใจของผมดังขึ้นจนคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะรอบข้างต่างก็หันมามอง จนผมต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองทันทีที่รู้สึกตัวได้

   “เฮ้ย ตอนไหนวะ แล้วได้ยังไง ก็ไอ้ยีสต์มันออกจะบ้าผู้หญิงเสียขนาดนั้นบ่ใช่เหรอวะ”
   ผมถามด้วยความสงสัยโดยลดเสียงลงมาให้เบาลง

   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่รู้อีกทีเขาก็กิ๊กกันแล้ว นี่อย่าบอกนะครับว่าที่ผ่านมาคุณเพื่อนนันท์ไม่เคยสังเกตเลย”
   ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบด้วยสีหน้าตกใจทันทีที่ได้ยินไอ้โอ๊ตถามเช่นนั้น ก่อนที่จะหันไปมองน้องไนท์กับแบงค์ที่ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

   “นี่มีกูคนเดียวอีกแล้วสินะ ที่บ่รู้เรื่องเหี้ยอะหยังกับเขาเลย”
   ผมบ่นตัดพ้อกับตัวเอง ก่อนที่จะหยิบสปายขึ้นมาดื่มย้อมใจ

   “แล้วอะหยังไอ้สองคนนั้นมันถึงบ่บอกกันวะ จะเก็บเงียบไว้ทำเหี้ยอะหยัง ทีตอนกูล่ะพูดดิบพูดดี ละทีพอตัวเองล่ะ”
   ผมบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจอยู่พอสมควร แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

   “เอาน่ะครับ แต่ละคนเขาก็อาจจะมีเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน เต้ยกับยีสต์เขาคงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผย ใช่มั้ยโอ๊ต”
   ไอ้โอ๊ตพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของแบงค์

   “ครับ ก็ตามนั้น ที่พวกผมรู้เรื่องนี้ ก็เพราะสังเกตกันเองน่ะครับ คุณเพื่อนทั้งสองไม่ได้บอกอะไรเลยเหมือนกัน”
   ผมหันไปมองน้องไนท์กับแบงค์ ทั้งสองต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ไอ้โอ๊ตพูด ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้ผมรู้สึกเย็นลงได้บ้าง

   “แต่เดี๋ยวนะ ถ้าไอ้สองคนนั้นมันกิ๊กกัน แล้วอะหยังไอ้ยีสต์มันยังชอบผู้หญิงอยู่ล่ะวะ”
   ผมเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยทันทีที่ฉุกใจคิดได้

   “ก็คงเป็นประเภทเสือไบอะไรทำนองนี้ล่ะมั้งครับ”
   “หือ เสือไบ คืออะหยังวะ”
   ผมทวนคำพูดของไอ้น้องไนท์ที่เอ่ยแทรกขึ้นมา

   “ก็พวกที่ชอบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงน่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยเสริมให้กับคำตอบของอีกฝั่ง

   “แบบมึงน่ะเหรอ”
   ผมถามกลับไปอย่างงุนงง แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วสูงด้วยความตกใจเล็กน้อย

   “เอ่อ ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ อย่างผมนี่ต้องเรียกว่าเพิ่งค้นพบตัวเองมากกว่าล่ะมั้ง ไม่รู้สิ”
   แบงค์ตอบกลับมาด้วยความเขินอายพลางขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อย

   “งั้นก็แสดงว่าตอนนี้มึงบ่ได้ชอบผู้หญิงแล้วอย่างนั้นเหรอวะ”
   ผมแหย่ถามกลับไปทันทีที่เห็นท่าทีเขินอายนั้นของแบงค์
   “แล้วอยากให้ผมกลับไปชอบมั้ยล่ะครับ ถ้านันท์ต้องการแบบนั้น”
   “ง่า ขอโทษๆ กูล้อเล่น กูบ่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”
   คราวนี้กลายเป็นผมเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายง้อแบงค์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีที่ดูเริ่มจะเสียความมั่นใจนั่นก็ปล่อยหัวเราะออกมาเบาๆ

   “ผมก็ล้อเล่นครับ แต่แค่อยากให้รู้ไว้ว่าคนที่ผมชอบและคนที่เป็นแฟนผมในตอนนี้นั้นคือนันท์คนนี้เท่านั้น และผมก็ไม่คิดจะมองใครอีกด้วย”
   พูดจบ เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ทำเอาผมรู้สึกเขินอายขึ้นยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   “เอ่อ พวกพี่สองคนจะหวานกัน ก็ช่วยเกรงใจคนโสดที่เพิ่งโดนหักอกมาแบบผมบ้างก็ดีนะครับ”
   ไอ้น้องไนท์กระแอมแทรกขึ้นมาเบาๆ ทันทีที่เห็นผมกับแบงค์ง้องอนใส่กัน

   “ก็นี่ไง มึงก็จีบไอ้โอ๊ตเลยไง ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ได้ครบๆ คู่กันไป”
   ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลกเล็กๆ แต่ไอ้โอ๊ตเองได้ยินเช่นนั้น เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาดุดันทันที

   “ผมก็ไม่ได้รังเกียจเรื่องอะไรพวกนี้หรอกนะครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความผมจะชอบผู้ชายนะครับ คุณเพื่อนนันท์”
   ไอ้โอ๊ตเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง จนผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีในเรื่องที่ตัวเองพูดออกไปอย่างไม่คิด

   “เอ่อ กูขอโทษ กูก็แค่...”
   “เอาเถอะครับ ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนักหรอก แต่แค่ไม่อยากให้ใครเข้าใจผมผิด ยังไงผมก็ยังชอบผู้หญิงอยู่ดีน่ะครับ”
   “แล้วทำไมมึงบ่หาแฟนสักทีล่ะวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไอ้โอ๊ตเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับขยับแว่นของตัวเองเบาๆ

   “ก็ถ้าไม่มีใครที่ดีและน่ารักเท่ากับคุณพระอาทิตย์แล้วล่ะก็ ผมก็ไม่เอาเด็ดขาดครับ”
   “ใครคือคุณพระอาทิตย์วะ”
   ผมขมวดคิ้วทันทีด้วยความสงสัย ไอ้โอ๊ตเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หยิบมือถือของตัวเองออกมาปลดล็อคหน้าจอก่อนที่จะหันมันมาให้ผมดู

   ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผมคือภาพของเด็กสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด ดูจากชุดที่เธอใส่แล้วนั้น คุ้นๆ ว่าเธอน่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มไอด้อลอะไรสักอย่างที่กำลังเป็นที่โด่งดังอยู่ในตอนนี้นี่ล่ะ

“เออ น้องเขาก็น่ารักดี แต่ถ้ากูจำบ่ผิด มึงเคยบอกบ่ใช่เหรอวะ ว่ามึงชอบสาวสองมิติมากกว่าสาวในชีวิตจริง”
“นั่นมันก่อนที่ผมจะโดนคุณพระอาทิตย์ตกเมื่อตอนที่ผมไปงานจับมือครับ”

ตก? งานจับมือ? ศัพท์อะไรของมึงอีกวะนั่น ไอ้เหี้ยโอ๊ต กูงง แล้วคนอะไรชื่อคุณพระอาทิตย์เนี่ย

ผมได้แต่พยักหน้ากลับไปโดยไม่คิดจะถามอะไรต่อเพราะเกรงว่าจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืด แต่ก็นับว่าการที่ไอ้โอ๊ตสามารถหันกลับมามองสาวในชีวิตจริงได้หลังจากที่ชอบแต่สาวสองมิติจากพวกการ์ตูนต่างๆ ได้นี่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีอย่างหนึ่งก็ได้ล่ะมั้งนะ

“เอ่อ แล้วสรุปพวกเราจะเอายังไงกันต่อดีครับ”
ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามขึ้นมา พวกผมหันมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองบรรยากาศรอบตัวแล้วจึงหันกลับมามองหน้ายิ้มให้กันอีกรอบ
“ก็สนุกไปกับปาร์ตี้สิวะ”
พูดจบ ผมดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วใส่รองเท้าแตะ พลางหันไปมองรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังสนุกสนานกับเทศกาลในค่ำคืนนี้ ในขณะที่ทั้งแบงค์ ไอ้น้องไนท์ รวมไปถึงไอ้โอ๊ตเองเมื่อได้ยินคำตอบนั้นก็ต่างหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นตามผมออกมา

ฟูลมูนปาร์ตี้จ๋า พี่มาแล้วว้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


และก็คงจะจริงอย่างที่ใครๆ ต่างก็เคยพูดเอาไว้ว่า เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ เพราะเผลอแค่แป๊บเดียวก็พบว่าเวลาในตอนนี้นั้นเลยเที่ยงคืนมากว่าสองชั่วโมงเศษๆ ได้แล้ว ซึ่งก็คิดว่าเป็นเวลาที่พวกผมสมควรจะกลับที่พักกันได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกสนุกสนานอยู่กับเทศกาลบนหาดริ้นที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลักหมื่นก็ตามที

แต่ว่าพวกเราก็ยังกลับกันไม่ได้ เพราะทั้งไอ้เต้ยและไอ้ยีสต์ต่างก็ยังไม่กลับมา และการที่จะกลับที่พักโดยทิ้งเพื่อนทิ้งสองเอาไว้ก็คงดูจะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก ผมจึงพยายามที่จะโทรหาเพื่อติดต่อทั้งสองซึ่งก็ใช้เวลาอยู่นานมากพอสมควรกว่าที่ไอ้ยีสต์จะรับสายจากผม โดยที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นั่งอยู่แถวๆ นี้กับไอ้เต้ยไม่ต้องตามหา พวกผมเมื่อลงความเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้จึงปล่อยไปตามนั้นแล้วพากันกลับที่พัก โดยที่ไอ้โอ๊ตและแบงค์รับหน้าที่เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์เพราะทั้งสองไม่ได้แตะต้องแอลกอฮอล์เลยสักหยด ในขณะที่ผมและไอ้น้องไนท์นั้นซัดไปเต็มที่ ถึงแม้แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปจะไม่ได้แรงมากมายอะไรนักเพราะยังขยาดจากตอนไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะ แต่ก็ถือว่าทำเอามึนๆ ได้อยู่เหมือนกัน
แต่ถึงกระนั้นภาพของพระจันทร์เต็มดวงที่มองจากชายหาดแห่งนี้ก็ยังคงดูชัดเจน และจะคงอยู่ในความทรงจำของผมไปอีกนานแสนนาน

“กูอาบน้ำเสร็จแล้วนะ จะอาบต่อเลยปะ อ้าว เขียนไดอารี่อยู่เหรอวะ”
ผมเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นแบงค์กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างขยุกขยิกอยู่ที่โต๊ะมุมห้อง

“ครับ ใกล้เสร็จละ นันท์ง่วงหรือยังครับ”
ผมพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไปเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากแบงค์ ก่อนที่จะเดินเข้าไปโอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง พร้อมกับเอาคางเกยไว้ที่ไหล่ของเจ้าตัวเบาๆ

“เมารึเปล่าครับเนี่ย”
“แค่มึนๆ บ่ถึงขั้นเมา”
“งั้นจะอ้อนอะไรอีกล่ะครับเนี่ย”
แบงค์หันมาถามพร้อมกับยกมือมาลูบหัวผมเบาๆ ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอนหัวไปพิงกับหัวของแบงค์

   “สักวันนึงมึงกับกูจะมีทะเลาะกันแบบนั้นมั่งรึเปล่าวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจอยู่พอสมควร แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะดึงตัวผมออกจากไหล่ แล้วหมุนเก้าอี้หันหน้ามายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นพร้อมกับจับมือผมเอาไว้แน่น

   “ตอบตามความเป็นจริงเลยนะครับ มีแน่นอนครับ”
   “อ้าว ไอ้สัส ไหงงั้นวะ”
   ผมเลิกคิ้วสูงสบถถามกลับไป แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะอมยิ้มแล้วจึงยกมือมาลูบหัวของผมอีกรอบ

   “คนเป็นแฟนกัน มันก็เหมือนลิ้นกับฟันนั่นล่ะครับ มันก็อาจจะมีเรื่องที่จะต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง”
   “ก็กูกลัวนี่หว่า”
   ผมยังคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่สบายใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น

   “กลัวอะไรครับ”
   “ก็การทะเลาะกัน มันอาจจะเป็นต้นเหตุให้เราต้องเลิกกันยังไงล่ะวะ ยิ่งกูเห็นหลายคู่พอเลิกกันแล้วเสือกกลับมาเป็นเพื่อนกันบ่ได้ พอคิดแบบนั้นแล้วมัน...”
   “โอ๊ย คิดมากน่ะครับ ลองมองดูรอบๆ ตัวสิครับ อ่ะ ไม่ต้องไปไหนไกล พ่อแม่ของนันท์นั่นยังไงล่ะครับ”
   แบงค์พยายามที่จะอธิบายให้ผมเข้าใจ

   “ขนาดท่านเป็นผู้ชายจริงผู้หญิงแท้มีลูกน่ารักๆ อย่างนันท์แล้วแท้ๆ แต่เขายังเลิกกันได้เลย”
   “พูดแบบนี้แสดงว่ามึงบ่รู้สึกอะหยังเลยเหรอวะ ถ้าวันนึงมึงกับกูต้องเลิกกัน”
   เหี้ยเอ้ย นี่กูกำลังพูดอะไรออกไปวะ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเปล่าเนี่ย ถึงทำให้ผมรู้สึกเดือดดาลให้กับคำพูดที่ดูไม่สะทกสะท้านของอีกฝ่าย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดูจะไม่พอใจของผมก็ก้มหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

   แม่งเอ้ย ไม่ทันไรก็ทำท่าจะทะเลาะกันเสียแล้วรึเปล่าวะเนี่ย

   ในจังหวะที่ผมกำลังจะเข้าสู่อาการจิตตกนั้นเอง ...

   “แล้ววันนี้เรายังคบกันอยู่รึเปล่าล่ะครับ”
   แบงค์ก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามออกมาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูนุ่มนวลพลางใช้ฝ่ามือหนาของตนปัดเส้นผมที่ปิดหน้าผากของผมอยู่ให้ขึ้นไปด้านบน

   “มันก็ใช่ แต่...”
   “ทำวันนี้ที่เรายังรักกันให้ดีที่สุดดีกว่าเถอะครับ อนาคตมันจะเป็นยังไง มันก็อยู่ที่วันนี้เราปฏิบัติต่อกันอย่างไรไม่ใช่เหรอครับ”
   นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตว่ะ เพียงแต่วันนี้ที่กูกับมันเป็นแฟนกัน กูก็จะขอทำให้มันดีที่สุด เท่าที่คนป้ำๆ เป๋อๆ อย่างกูจะทำได้ล่ะนะ

   “......”
   คำพูดนั้นของแบงค์ทำเอาผมหวนคิดถึงคำพูดของตัวผมเองที่เพิ่งบอกกับไอ้น้องไนท์ไปเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้

   “......”
   “มึง”
   “ครับ”
   “กูขอโทษว่ะ ที่กูพูดอะหยังงี่เง่าเมื่อกี๊ออกไป”
   ผมเอ่ยขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า แบงค์หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือมาบีบจมูกของผมเล่น

   “คิดมากน่ะครับ มองในแง่ดี บางทีการที่เราทะเลาะกันบ้าง ผิดใจกันบ้าง แต่นั่นมันก็เพราะว่าเรายังรักกันอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
   “......”

   “ความรักมันก็คือการเรียนรู้ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ นี่เราก็เพิ่งเริ่มคบกันได้ไม่นาน ยังมีอีกหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เราต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยังมีสิ่งที่ผมต้องยอมปรับตัวเพื่อนันท์ สิ่งที่นันท์ต้องยอมปรับตัวเพื่อผม สิ่งที่ผมต้องยอมรับในตัวนันท์ สิ่งที่นันท์ต้องยอมรับในตัวผม เราอาจจะทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วเราจะเรียนรู้และผ่านมันไปด้วยกันให้ได้”

   “......”
“โอเคมั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบโต้อะไรกลับไป

“มึง”
“ครับ”
“ขอบคุณนะ รักมึงที่สุดเลยว่ะ”
“รักนันท์เหมือนกันครับ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ จะได้เข้านอนกันสักที พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าด้วย”
   ผมมองแผ่นหลังของแบงค์ที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับหันมามองสมุดไดอารี่ของแบงค์ที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่านแต่อย่างใด เพราะคำพูดและรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของแบงค์นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

   อนาคตอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะดี จะร้าย จะสุข จะเศร้าเพียงใด

   แต่สิ่งที่ผมทำได้ในวันนี้ คือเชื่อมั่นในวันนี้ที่เรายังมีกัน และทำมันให้ดีที่สุด

   เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้ไม่เสียใจ หากมันเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นก็ตามที


จบคาบเรียนที่สามสิบห้า
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 35 ทะเลาะ (1-4-19)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-04-2019 15:00:23
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 35 ทะเลาะ (1-4-19)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-04-2019 16:24:13
 :L2:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 36 การเดินทาง (11-5-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 11-05-2019 01:07:07
คาบเรียนที่สามสิบหก

    เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า “เวลาคู่รักเขาทะเลาะกัน อย่าได้คิดเข้าไปยุ่งเป็นอันเด็ดขาด เพราะไม่นานเดี๋ยวเขาก็ดีกัน แล้วเราจะกลายเป็นหมาหัวเน่า”

บางทีคำพูดนั้นมันก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่เขากล่าวเอาไว้จริงๆ ก็เป็นได้แฮะ

“ไอ้เต้ย กูอยากไปเที่ยวเกาะนางยวนว่ะ”
“มาบอกอะหยังตอนนี้วะ จะกลับเชียงใหม่กันอยู่แล้วเนี่ย”
นั่นคือบทสนทนาแรกที่ผมได้ยินทันทีที่ผมกับแบงค์ขนสัมภาระมาถึงบริเวณแผนกต้อนรับ พร้อมกับภาพไอ้ยีสต์ที่กำลังนอนหนุนตักไอ้เต้ยและเล่นเกมในมือถือไปพลาง ในขณะที่ไอ้เต้ยเองก็กำลังจ้องมองไอ้ยีสต์ด้วยสีหน้าที่อมยิ้มเล็กน้อยอย่างมีความสุขพร้อมกับใช้ฝ่ามือของตัวเองลูบเส้นผมของไอ้ยีสต์เบาๆ

“เออๆ เดี๋ยวไว้รอบหน้า กูค่อยพามึงมาอีกรอบละกัน”
“สัญญากับกูแล้ว ห้ามโกหกกูนะเฮ้ย”
“เออ ถ้ามึงบ่ทำตัวเหี้ยๆ อีก กูก็บ่โกหกมึงหรอก”
เหี้ย ช่างเป็นภาพและบทสนทนาที่ชวนให้ขนลุกรับอรุณยามเช้าฉิบหาย

“พวกมึงสองตัวนี่ก็คืนดีกันเร็วจังนะ ทีเมื่อคืนยังทะเลาะกันเย้วๆ อยู่เลยแท้ๆ”
ผมเอ่ยแซวออกไป พร้อมกับวางกระเป๋าสะพายไว้ข้างๆ โซฟาที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ ไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินผมเอ่ยเช่นนั้นก็ต่างนิ่งเงียบพร้อมกับมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสีหน้าสงสัย

“พวกกูสองคนเนี่ยนะทะเลาะกัน”
ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยคำถาม ทำเอาผมถึงกับเลิกคิ้วสูงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“เอ้า ก็เมื่อคืนพวกมึง...”
“ก็กูปวดเยี่ยวไง ก็แค่นั้น”
ไอ้เต้ยชิงตอบกลับมาโดยไม่เปิดจังหวะให้ผมได้พูดจบ

“แต่...”
“เออ กูก็ปวดเยี่ยวเหมือนกัน ก็เลยตามไอ้เต้ยไปด้วย ก็แค่นั้น ใช่ปะวะ”
ทั้งไอ้ยีสต์และไอ้เต้ยต่างพยักหน้าสนับสนุนคำพูดให้กันและกัน ผมเองถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกและพยายามคิดหาคำเพื่อที่จะเถียงต่อ แต่ก็โดนแบงค์จับไหล่เบาๆ ปรามเอาไว้

“ว่าแต่มึงเหอะ มาเที่ยวเกาะพะงันนี่ ถึงสวรรค์กันรึยังวะ”
“สวรรค์ ? สวรรค์เหี้ยอะหยังวะ”
ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงให้กับคำถามนั้นของไอ้เต้ย

“ไอ้เต้ยมันหมายถึง มึงกับไอ้แบงค์ได้เสียกันรึยังน่ะ”
พร่วดดดดดดดดดดดดดดดดด
ผมถึงกับสำลักนำลายในคอทันทีที่ได้ยินไอ้ยีสต์มันพูดเช่นนั้น

“เมื่อเช้าก็เกือบแล้วล่ะครับ แต่นันท์เขา...โอ๊ย!!!”
ผมรีบเอาข้อศอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงของแบงค์ด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับหันไปขมวดคิ้วทำหน้าดุใส่แบงค์

“ว่าแต่ไอ้โอ๊ตกับไอ้น้องไนท์มันยังบ่ลงมาอีกเหรอวะ”
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเอ่ยถามถึงทั้งสองพร้อมกับหันไปมองรอบๆ บริเวณ

“กำลังจะลงมา เห็นว่าไอ้ไนท์มันตื่นสายน่ะ”
ไอ้เต้ยตอบคำถามผมด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะก้มลงไปลูบหัวไอ้ยีสต์ที่กำลังเล่นมือถือต่อด้วยความสบายใจ

หลังจากที่พวกเราทั้งหมดเช็คเอาท์กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องเดินทางกลับกันเสียที

เฮ้อ นี่สินะ ที่เขาเรียกว่า เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านพ้นไปไวเสมอ ยังรู้สึกอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยยังไงไม่รู้ แต่เมื่อดูเงินในกระเป๋าแล้ว คงถึงเวลาต้องกลับจริงๆ แล้วล่ะ

ลาก่อนนะ เกาะพะงัน สัญญาว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาเที่ยวอีก


หลังจากที่เดินทางกลับมาถึงเชียงใหม่ พวกเราทั้งสี่ก็แยกย้ายกลับกันบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย

ครับ ทั้งสี่ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ซึ่งได้แก่ ผม แบงค์ ไอ้โอ๊ต แล้วก็ไอ้น้องไนท์ ส่วนอีกสองตัวที่เหลือ ซึ่งก็คือไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์ มันขอแยกตัวออกไปตั้งแต่ที่กรุงเทพฯ แล้วล่ะครับ เห็นไอ้เต้ยบอกว่าจะพาไอ้ยีสต์ไปเที่ยวสยามตามความต้องการของไอ้ยีสต์มันน่ะครับ

ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ...!!!

“อ้าว แม่บ่อยู่อีกแล้วเหรอวะเนี่ย”
ผมเอ่ยกับตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นประตูรั้วถูกล็อกเอาไว้ ซึ่งเอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากหรอกครับ ถือเป็นเรื่องปกติเสียด้วยซ้ำ ดีนะที่พกกุญแจสำรองเอาไว้ด้วย ไม่งั้นมีหวังได้ไปนอนห้องแบงค์แน่ๆ

“นันท์ครับ เดี๋ยวผมจะเอาของฝากไปให้เจ๊บัว แล้วหลังจากนั้นก็จะไปอ่างแก้วด้วยน่ะครับ จะไปด้วยกันมั้ยหรือจะพักผ่อนก่อน”
แบงค์เอ่ยถามผมที่กำลังล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋าสะพายออกมา

“ไปอ่างแก้วทำไมวะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัยก่อนที่จะไขกุญแจประตูรั้วกั้นออก แต่ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ กลับมานอกจากรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นแต่แฝงไว้ด้วยความกวนเล็กๆ

“งั้นเดี๋ยวกูเอาของเข้าไปไว้ก่อนละกัน”
“ครับ เช่นเดียวกัน”
เฮ้อ ให้ตายสิ แพ้รอยยิ้มนั้นทุกทีสิกูเนี่ย


“มินิคาเฟ่ สวัสดีค่า....อ่ะอ้าว นันท์กับแบงค์นี่เอง”
เจ๊บัวเอ่ยทักทายด้วยความรวดเร็วทันทีที่พวกเราทั้งสองเดินเข้ามาในร้าน ผมยกมือขึ้นไหว้ทักทายเจ๊บัวที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่กลับไป

“เอานี่ ของฝากของเจ๊”
แบงค์หยิบถุงใบใหญ่ขึ้นวางบนเคาเตอร์ก่อนที่จะเดินเข้าไปหยิบแก้วน้ำตรงบริเวณด้านใน

“อ๊ะ ขอบใจมากๆ นะแบงค์ น่ารักที่สุดเลย อยากกินมานานแล้ว แต่หาที่เชียงใหม่ไม่ได้เลย”
“มันคืออะหยังเหรอครับ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่เห็นท่าทีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ของเจ๊บัว

“ลูกเนียงจ๊ะ เคยกินมั้ย”
ผมส่ายหัวทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นของเจ๊บัว
ลูกเนียง? อย่าว่าแต่กินเลย แค่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนแท้ๆ

“เอ้อ ว่าแต่ลูกค้าเยอะมั้ยอ่ะเจ๊”
แบงค์เอ่ยถามพร้อมกับรินน้ำใส่แก้วก่อนที่จะตั้งลงบนโต๊ะยื่นมาทางผม

“ก็เรื่อยๆ นะ ทำไมเหรอ เป็นห่วงเจ๊งั้นอ่ะดิ”
“ถึกอย่างเจ๊เนี่ยนะ มีอะไรต้องให้ผมเป็นห่วงด้วย”
เจ๊บัวขมวดคิ้วหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินแบงค์ตอบเช่นนั้น

“พูดมากน่ะ ว่าแต่นันท์ล่ะ เป็นยังไงมั่ง ไปเที่ยวมาสนุกมั้ย”
เจ๊บัวหันมาถามผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมอมยิ้มพร้อมกับพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบก่อนที่จะยกแก้วน้ำขึ้นมาทำท่าจะดื่ม

“โดนแบงค์เขาทำอะไรบ้างรึเปล่าน่ะ”
พร่วด!!!!!!
ผมเกิดอาการสำลักน้ำขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเจ๊บัวถามเช่นนั้น

“หือ อาการแบบนี้อย่าบอกนะว่า...”
“ก็แค่เกือบๆ อ่ะเจ๊ แต่นันท์เขา...โอ๊ย!!!”
ผมรีบปล่อยหมัดตรงใส่แขนของแบงค์เข้าอย่างจัง เจ๊บัวเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของพวกผมก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะอมยิ้มหัวเราะออกมาเบาๆ

ให้ตายสิ แต่ละคนเนี่ย

หลังจากที่เอาของฝากมาให้เจ๊บัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งผมและแบงค์ก็มุ่งหน้าไปยังอ่างแก้วซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อทันที

“จะว่าไปก็บ่ได้มานานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่มึงจะมาทำอะหยังที่นี่วะ”
ผมเอ่ยถามออกไปพร้อมกับหันกลับไปมองดอยสุเทพที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก่อนจะสูดอากาศยามเย็นให้เต็มปอด

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่นึกครึ้มอยากมาก็แค่นั้นเองน่ะครับ”
“ห๊ะ”
ผมหันกลับไปหรี่ตามองแบงค์ทันทีด้วยความงุนงง แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็อมยิ้มหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ

“ก็มันเป็นที่ๆ นันท์เคยพาผมมาตอนที่ผมอกหักครั้งนั้นยังไงล่ะครับ”
แบงค์หันมองทอดยาวไปยังดอยสุเทพซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่างแก้วทันทีที่พูดจบ

นั่นสิ จะว่าไปไอ้คำว่า ไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานแล้ว มันก็คงตั้งแต่วันนั้นนั่นล่ะ วันที่แบงค์อกหักจากแฟนเก่า ผมจึงพาเขามาที่นี่เพราะคิดว่ามันน่าจะพอช่วยให้แบงค์ในตอนนั้นรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง และนั่นก็นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างเราทั้งสองเลยก็ว่าได้

“นึกถึงแฟนเก่าขึ้นมาอย่างงั้นเหรอวะ”
ประโยคคำถามนั้นของผม ทำเอาแบงค์ถึงกับหันมาเลิกคิ้วสูงมองผมด้วยสีหน้าสงสัยทันที

“ใครบอกล่ะครับ ผมอยากมาเพราะมันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเราสองคนต่างหากครับ”
พูดจบแบงค์ก็หยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาพร้อมกับถ่ายรูปดอยสุเทพยามเย็นที่อยู่เบื้องหน้า ผมเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปมองรอบๆ บริเวณที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน

ความทรงจำอย่างนั้นเหรอ

จริงสิ นอกจากสถานที่แห่งนี้จะเป็นความทรงจำของใครหลายๆ คนแล้ว ก็ยังนับได้ว่าเป็นสถานที่ในความทรงจำของเราสองคนอีกด้วย ผมยังจำแสงแดดที่ส่องลอดก้อนเมฆลงมาและสายลมยามเย็นที่พัดผ่านของช่วงฤดูร้อนที่กำลังคาบเกี่ยวเปลี่ยนไปยังฤดูฝนในวันนั้นของเมื่อปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี

“ยังจำได้ใช่มั้ยครับ เมื่อวันก่อนที่นันท์ถามผมว่าต่อไปเราจะมีเรื่องให้ทะเลาะกันรึเปล่า”
ผมพยักหน้าทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ก้มลงไปมองหน้าจอมือถือเพื่อสไลด์เหมือนหาอะไรบางอย่างในนั้น

“ยังจำรูปนี้ได้ใช่มั้ยครับ”
แบงค์ถามพร้อมกับยื่นมือถือของตัวเองมาให้ ผมรับมันมาพร้อมกับก้มมองยังหน้าจอมือถืออย่างรวดเร็ว
 
“จำได้สิ ก็กูเป็นคนถ่ายรูปนี้ให้มึงเอง ทำไมจะจำบ่ได้”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับยื่นมือถือส่งคืนให้แบงค์

“คำตอบสำหรับคำถามนั้นก็ยังคงเดิมครับ”
“อ้าว แล้วมึงจะถามเพื่อ...?”
ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แบงค์หัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าไปมองยังดอยสุเทพอีกครั้ง

“นั่นล่ะครับ อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่อาจจะรู้ได้ แต่สิ่งนึงที่ผมอยากให้นันท์คิดเอาไว้เสมอนะครับ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยากให้นันท์คิดถึงสถานที่แห่งนี้ คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นของเราให้ดีๆ”
แบงค์หันมายิ้มให้ผมทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ

“อีกอย่างนึงยังจำคำถามที่นันท์เคยถามผมเอาไว้ว่าสถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกนี้อยู่ที่ไหนได้ใช่มั้ยครับ”
ผมพยักหน้าให้กับคำถามนั้นของอีกฝ่าย

“จำได้สิ อย่าบอกนะว่ามึงจะตอบว่าอ่างแก้ว”
“เปล่าครับ ไม่ใช่”

“อ้าว ไหงงั้น อะหยังของมึงเนี่ย”
ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่ แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็อมยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เหมือนทุกครั้ง

“สำหรับผมไม่ว่าที่ไหน ก็สวยงามทั้งนั้นล่ะครับ ขอเพียงแค่มีนันท์อยู่ด้วยข้างๆ ...”

“......”
“......”
ทั้งผมและแบงค์ต่างก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จนได้ยินเสียงกิ่งไม้ที่โดนสายลมยามเย็นพัดไหวและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนรอบข้างกำลังเดินผ่านไปมา

“มึง”
“ครับ”

“ถ้ากูจะบอกว่า...”
“ก็คิดไว้อยู่ก่อนแล้วน่ะครับ ว่าต้องโดนด่าว่ามุกแป๊กแน่ๆ”
แบงค์ชิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเจื่อนๆ เล็กน้อย ผมเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เปล่า กูจะบอกว่ามุกนี้ให้ผ่านว่ะ เฮ้ย เดี๋ยวๆ”
ทันทีที่ผมเอ่ยออกไปเช่นนั้น แบงค์ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีพร้อมกับกอดผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเอาไว้แน่นโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างที่กำลังหันมาจ้องมองด้วยความสงสัย

“รักนันท์มากๆ นะครับ”
แบงค์เอ่ยออกมาเบาๆ ข้างใบหูของผม ถึงแม้จะรู้สึกอายอยู่บ้าง ทว่ามันกลับทำให้หัวใจของผมรู้สึกพองโตอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกมากกว่า

ก็อาจจะจริงอย่างที่แบงค์บอกเอาไว้จริงๆ ก็เป็นได้ ว่าสถานที่ที่สวยงามในโลกนี้อาจจะมีมากมาย ซึ่งคงยากที่จะตอบว่าที่ใดสวยงามที่สุด

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้สถานที่แห่งนั้นสวยงามมากแค่ไหน แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดล่ะหากเราไปถึงแต่ไร้ซึ่งคนสำคัญอยู่เคียงข้าง

หากแบงค์บอกว่าทุกที่ๆ มีผมอยู่เคียงข้าง คือสถานที่ที่สวยงามที่สุด ผมเองก็คงจะตอบเช่นนั้นเหมือนกัน

หากหินก้อนนั้นคือแบงค์ที่เดียวดาย ผมเองก็พร้อมที่จะเป็นหินอีกก้อนที่จะอยู่เคียงข้างเขา

มีคนเคยเปรียบเปรยเอาไว้ว่า ความรักของคนสองคน มันก็เปรียบเสมือนการเดินทาง ที่ทั้งสองต่างก็ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากแค่ไหน จะต้องพบเจออุปสรรคปัญหาหนักสักเพียงใด

แต่หากคนเคียงข้างผมคือแบงค์คนนี้ ชายที่กำลังโอบกอดผมเอาไว้ด้วยความรักที่แสนจะอบอุ่น ผมเองก็พร้อมที่จะร่วมทางไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน

“มึง”
“ครับ”

“รักมึงนะ รักเสมอ และจะรักตลอดไป...”


จบคาบเรียนที่ 36
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบที่ 36 การเดินทาง (11-5-19)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 13-05-2019 12:56:36
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบพิเศษ1 ลอยกระทง (10-8-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 10-08-2019 22:11:29
   คาบพิเศษ 1

   “แถวนี้ทำเลดีนะครับ”
   ใช่ แบงค์เคยพูดเอาไว้อย่างนั้น แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า อีกฝ่ายจะถึงขั้นย้ายหอที่เคยอยู่ใกล้โรงเรียนชนิดที่เดินไปกลับก็ยังใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีแท้ๆ มาอยู่ใกล้บ้านของผมที่อยู่ห่างจากโรงเรียน ที่ถึงแม้จะขี่รถจักรยานยนต์แล้วก็ยังใช้เวลาเกือบๆ ยี่สิบนาทีเลยก็ตามทีเถอะ

   เพียงเพื่อให้ได้มาอยู่ใกล้ๆ ผม

   เรื่องของเรื่อง จุดเริ่มต้นของคำพูดนั้น มันก็มาจากเทศกาลยี่เป็ง หรือเทศกาลลอยกระทง ซึ่งก็เป็นช่วงที่เราสองคนยังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยนั่นล่ะครับ

   เหี้ย พอพูดคำว่าแฟนแล้วไหงเขินขึ้นมาเองวะเนี่ย


   ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ช่วงนั้น

   หากจะพูดถึงเทศกาลลอยกระทงแล้ว เพื่อนๆ นึกถึงอะไรกันครับ ก็คิดว่าคงจะมีคำตอบที่หลากหลายอยู่ในใจใช่มั้ยครับ สำหรับผมน่ะเหรอ ก็จะว่ายังไงดีล่ะ เรียกว่ายังไงก็ได้ล่ะมั้ง ไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไรกับเทศกาลนี้มากนักหรอก ปีไหนมีคนชวนไปลอยก็ไป ปีไหนไม่มีก็นอนอยู่บ้านไม่ก็นั่งเล่นเกมอยู่กับบ้านตามปกติ ซึ่งถ้าจะพูดกับตามความเป็นจริงแล้ว ผมค่อนข้างที่จะชอบสงกรานต์กับปีใหม่มากกว่าแฮะ

   ส่วนปีนี้นั้นตอนแรกก็คิดว่าคงจะนั่งโง่ๆ เล่นเกมอยู่บ้านเหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมานั่นล่ะ เพราะกลุ่มเพื่อนๆ ของผมก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจอะไรกับเทศกาลนี้มากนักอยู่แล้ว ต่างฝ่ายจึงต่างไม่ชวนกันซะงั้น

   จนกระทั่ง...

   “วันนี้ลอยกระทงวันสุดท้าย เราไปลอยกระทงด้วยกันมั้ยครับ”
   ดูเหมือนว่าคงจะต้องเปลี่ยนแผนเสียแล้วแฮะ พอได้ยินคำเอ่ยชวนของคนตัวสูงที่กำลังขยับแว่นหนาแบบนี้เนี่ย

   
   “จะไปลอยกระทงกันเหรอจ๊ะ”
   เจ๊บัวเอ่ยถามผมในขณะที่ผมกำลังนั่งรอแบงค์ที่ร้านของเจ๊บัวซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมกับแบงค์ตกลงนัดเจอกัน ผมยิ้มพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ เจ๊บัวยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมพร้อมกับนำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นของโปรดมาเสิร์ฟให้ผม บรรยากาศรอบตัวในค่ำคืนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากวันอื่นๆ อยู่พอสมควร มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนมากันเป็นคู่ดูมีความสุขจนบางทีก็รู้สึกหมั่นไส้ยังไงก็ไม่รู้ ดูสวีทหวานแหวว แล้วกูล่ะ น่าหมั่นไส้จนอยากจะสาปแช่งเสียเหลือเกิน

   อืมมม กูนี่ชักจะเป็นตัวโกงขึ้นทุกวันๆ แล้วแฮะ นอกจากจะไม่หล่อ ไม่สูง หัวสมองทึบแล้วยังเสือกจิตใจเลวทรามอีก ฮ่าฮ่าฮ่า

   ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือที่กำลังบอกเวลาว่าอีกไม่นานก็จะสามทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่ผมกับแบงค์นัดเจอกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่เคยมาผิดเวลาจริงๆ

   “มึงนี่แต่งตัวธรรมดามากเลยว่ะ”
   ผมเอ่ยแซวแบงค์ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูร้านมินิคาเฟ่ของเจ๊บัวเข้ามา โดยที่ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าการแต่งตัวของตัวเองนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะแบงค์นั้นใส่เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีดำและรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ ในขณะที่ผมนั้นใส่เสื้อกีฬาสีส้มที่มีตราโรงเรียนตัวโตเต็มหลังชนิดที่ว่าใครเห็นก็จะรู้ได้ทันทีว่าคนใส่นั้นเรียนอยู่โรงเรียนอะไรโดยที่ไม่ต้องป่าวประกาศกับกางเกงบอลสีดำและรองเท้าแตะหนีบช้างดาวอย่างง่ายๆ

   แบงค์ยิ้มหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำแซวนั้นพร้อมกับเดินเข้ามายีหัวผมเบาๆ

   “แบงค์กินอะหยังมารึยังน่ะเรา”
   เจ๊บัวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่คนถูกถามก็ส่ายหัวพร้อมยิ้มกลับไปเป็นคำตอบ

   “รีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะดึกมากกว่านี้”
   “แหมๆ รีบพาหนูนันท์ออกไปแบบนี้ มีเป้าหมายอะหยังสำหรับคืนนี้รึเปล่าจ๊ะ”
   “บ้าน่ะ เจ๊พูดอะหยังของเจ๊เนี่ย ไปกันเถอะครับนันท์ อย่าไปฟังคนเพี้ยนๆ แถวนี้เลย”
   คนถูกแซวเอ่ยชวนผมด้วยท่าทีเร่งรีบ ผมเองจึงรีบจัดการสตรอว์เบอร์รี่ปั่นด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะหยิบเงินยื่นจ่าย เจ๊บัวรับเงินจำนวนนั้นไปพลางมองผมด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กน้อยซึ่งก็สร้างความสงสัยให้กับผมอยู่พอสมควร

   “คืนนี้ระวังให้ดีนะจ๊ะ”
   “ระวังอะหยังเหรอครับ เจ๊”
   ผมเลิกคิ้วสูงถามกลับไปด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดกระซิบนั้นของเจ๊บัว

   “ระวังแบงค์เขาจะทำอะหยังบ่ดีบ่ร้ายเอาน่ะ”
   ผมหันหลังกลับไปมองยังคนถูกพาดพิงที่ตอนนี้กำลังเซ็ตกล้องถ่ายรูปตัวโปรดของตัวเองอยู่หน้าร้านก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าเจ๊บัวด้วยความสงสัย

   “ยังไงอะเจ๊”
   ผมเลิกคิ้วสูงกว่าเดิมถามกลับไปด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่รอยยิ้มอย่างมีเลศนัยจากเจ๊บัว   

   สงสัยจะเพี้ยนอย่างที่แบงค์บอกจริงๆ แฮะ
   

   “คุยอะไรกันน่ะครับ”
   อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่ผมเปิดประตูร้านออกมา

   “นิดหน่อยน่ะ ช่างเถอะ บ่มีหยัง”
   “งั้นเอาเป็นว่ารีบๆ ไปกันดีกว่าเดี๋ยวจะดึกมากกว่านี้น่ะครับ”
   เจ้าตัวยีหัวผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินนำหน้าผมไปยังลานจอดรถโดยที่มีผมเดินตามหลังด้วยความสงสัย กูว่าไม่ใช่แค่เจ๊บัวคนเดียวแล้วล่ะที่แปลก แต่ช่างแม่งเหอะ คิดมากเดี๋ยวสมองจะฝ่อ

   “ว่าแต่จะไปไหนก่อนดีครับ”
   แบงค์หันมาเอ่ยถาม ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เออ นั่นสิ ไปไหนดีวะ ปกติก็มีแต่ติดสอยห้อยท้ายเขาไปตลอดนี่หว่า

   “ไปที่สามกษัตริย์ก่อนดีมั้ยวะ”
   “อ๋อ โอเค ได้ครับ”
   อีกฝ่ายตอบตกลงพร้อมกับส่งหมวกกันน็อกมาให้

   
   พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ หรือที่มักเรียกกันว่า อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทยสามพระองค์ ผู้สร้างเวียงเชียงใหม่ คือ พญามังราย พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงมหาราชตั้งอยู่กลางเวียงเชียงใหม่ บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ด้านหน้าติดกับถนนพระปกเกล้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของถนนคนเดินท่าแพที่จะจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ บริเวณนี้เองถือเป็นศูนย์กลางของตัวเมืองเชียงใหม่ หน้าอนุสาวรีย์มีลานกว้างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดรวมตัวกันทำกิจกรรมมากมายของผู้คน โดยเฉพาะช่วงนี้เกมโปเกม่อนโกกำลังดัง เลยมักจะเห็นผู้คนมากมายมาไล่ตามจับโปเกม่อนเยอะเป็นพิเศษ

   และในทุกๆ ปีเทศกาลลอยกระทงของเชียงใหม่นั้นจะจัดขึ้นเป็นระยะเวลาสามวัน ซึ่งในแต่ละวันและแต่ละสถานที่ก็จะจัดกิจกรรมที่แตกต่างกันไปเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากชาวไทยและต่างชาติให้มาเยี่ยมเยียนกัน อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ก็จะมีเทศกาล “งานมหัศจรรย์โคมไฟแสงสีแห่งรัตติกาลยี่เป็ง”  ซึ่งจะเป็นการนำโคมไฟยี่เป็งสีสันสวยงามต่างๆ มาจัดเรียงกัน ถือได้ว่าเป็นแลนมาร์คอย่างหนึ่งของเชียงใหม่ในเทศกาลลอยกระทงที่ใครมาถึงเชียงใหม่ต้องแวะมาถ่ายรูป ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกที่จะมายังที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรกซึ่งก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกมาที่นี่ เพราะดูว่าคนตัวสูงในแว่นหนาจะถูกอกถูกใจเป็นพิเศษ

   “สวยจริงๆ เลยนะครับเนี่ย”
   ผมหันไปมองยังเจ้าของคำพูดนั้นที่ตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด

   “ได้ข่าวว่าหอมึงอยู่แถวนี้บ่ใช่เหรอ บ่เคยเห็นเหรอวะ”
   อีกฝ่ายส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ

   “เคยเห็นแค่ตอนกลางวันน่ะครับ อีกอย่างปกติถ้าค่ำแล้วผมก็ไม่ค่อยออกไปไหนแล้วด้วย”
   เป็นเด็กดีมากเลยนะมึง เมื่อเทียบกับกูเนี่ย

   “อ้าว ถ้างั้นวันนี้มึงนึกไงถึงชวนออกกูมาล่ะ”
   ผมเอ่ยถามกลับไปในขณะที่มือก็ซุกอยู่ในเสื้อกีฬาเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นกว่าที่คิดเอาไว้ แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “ไม่บอกครับ”
   นั่นคือคำตอบที่ออกมาจากปากของอีกฝั่ง เป็นคำตอบที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดต่อสมองของผมเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจะว่าไปพอลองมาคิดดูดีๆ เหมือนไอ้โอ๊ตจะเคยบอกว่าแบงค์เป็นคนแปลกๆ ผมก็คิดว่าพอจะเข้าใจคำพูดนั้นของไอ้โอ๊ตขึ้นมาบ้างละ

   “หนาวเหรอครับ”
   ผมพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากอีกฝั่ง

   “งั้นรอตรงนี้แป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมมา”
   ทันทีที่พูดจบ แบงค์ก็เร่งฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งผมไว้คนเดียวท่ามกลางฝูงชนนักท่องเที่ยวมากมายโดยที่ผมไม่ทันจะได้เอ่ยถามอะไรเลยแม้แต่น้อย

   โดดเดี่ยวสิกู...

   ว่าแต่ไปไหนของเขาหว่า แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงมา รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน
   ผมเดินไปหาที่นั่งยังบริเวณใกล้ๆ ก่อนที่จะหยิบมือถือของตัวเองออกมาถ่ายรูปต่างๆ ทั้งโคมลอย บรรยากาศโดยรอบ รวมไปถึงรูปตัวเองเอาไว้เผื่อเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในเฟซบุ๊ก ฮ่าฮ่าฮ่า

   โครก~~~~~~~~~~~~~~~
   หิวอีกแล้ว อะไรเนี่ย เพิ่งจะกินข้าวเย็นไปเมื่อตอนหัวค่ำแท้ๆ เดินไปหาอะไรกินเล่นระหว่างรอแบงค์ดีกว่า อ๊ะ ทาโกยากิร้านนั้นดูน่าจะอร่อยดีแฮะ จัดไปสักหน่อยก็แล้วกัน

   “ป้าครับ ขอทาโกยากิชุดนึงครับ”
   “ซาวบาทเจ้า”
   อนึ่งคำว่า ซาว ในภาษาเหนือนั้นแปลว่า ยี่สิบ ผมจึงล้วงหยิบเงินจากกระเป๋ากางเกงยื่นจ่ายให้กับป้าเจ้าของร้านแล้วจึงเดินกลับมายังที่เดิมด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวจะคลาดสายตากันกับแบงค์ ทาโกยากิถูกจิ้มเข้าปากและด้วยความร้อนของมันก็ทำเอาผมถึงกับต้องเป่าปากฟู่ๆ ทันที อยากจะลุกขึ้นไปซื้อน้ำมาดับร้อนเหมือนกันนะ แต่ขี้เกียจแล้วว่ะ ขี้เกียจได้ทุกเรื่องจริงๆ เลยกูเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า

   พอมาลองสังเกตบรรยากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาดูดีๆ แล้ว ก็เริ่มชักจะรู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองนั้นคิดพลาดไปเหมือนกันแฮะ ที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเทศกาลนี้ อาจจะเพราะตอนเด็กๆ เกลียดเสียงประทัดที่ดังจนแสบแก้วหูก็เป็นได้ นี่ถ้าพวกไอ้โอ๊ต ไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์มาด้วยน่าจะสนุกกว่านี้นะ

   หือ? นั่นมัน ...
   ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั่นเอง สายตาก็พลันไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่คุ้นตา เอ ไม่สิ ต้องเรียกว่าบางคนน่าจะเหมาะกว่านะ และไอ้บางคนที่คุ้นตานั่นก็คือ ...

   ไอ้เหี้ยเต้ย กับ ไอ้สัสยีสต์...!!!

   ทั้งสองกำลังยืนไหว้อนุสาวรีย์สามกษัตริย์อยู่ ถึงแม้จะห่างจากจุดที่ผมกำลังนั่งอยู่พอสมควร แต่ผมก็คิดว่าสายตาของผมมองไม่พลาดแน่ๆ ต้องเป็นไอ้สองคนนั้นแน่นอน ฟันธง หนอย ไหนบอกว่าไม่ได้สนใจเทศกาลลอยกระทงยังไงล่ะวะ ที่ไอ้ที่ออกมาลันล้ากันอยู่นั่นมันอะไรกัน เหี้ยว่ะ แถมออกมายังไม่ชวนกูอีก ไอ้เลววว

   อ๊ะ ถ้าด่ามันก็เหมือนด่าตัวกูเองด้วยนี่สิ สัส ด่าต่อไม่ออกเลยกู เออช่างแม่งเหอะ

   ผมลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วเพื่อจะเดินเข้าไปทักทายไอ้เพื่อนทั้งสอง

   “ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานนะครับ”
   เสียงของแบงค์เอ่ยเรียกดึงความสนใจของผมให้หันกลับไปมอง

   “เอ้านี่ครับ ใส่ซะจะได้ไม่หนาว”
   แบงค์ยื่นเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลส่งมาให้ผม

   “อย่าบอกนะว่าที่มึงหายไปนี่คือไปเอาเสื้อกันหนาวมาให้กู”
   อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีนั้น

   “บ่ลงทุนไปหน่อยเหรอวะ”
   “ไม่หรอกครับ หอผมก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง แถมอีกอย่าง...”

   เจ้าตัวนิ่งเงียบไปก่อนที่จะก้มหน้าพร้อมกับเอามือเกาหัวตัวเองเบาๆ

   “ผมเป็น...เป็นห่วงด้วย...น่ะครับ กลัวนันท์...จะ...ไม่สบายน่ะครับ”
   พูดจบเจ้าตัวก็อมยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยายามที่จะยัดเยียดเสื้อกันหนาวตัวนั้นให้ผม

   “ข่ะ ขอบใจมึงนะ”
   ผมรับเสื้อกันหนาวตัวนั้นมาใส่ แต่เสื้อนี่ก็ใหญ่ฉิบหายตามขนาดของเจ้าของ พอผมใส่แล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กอนุบาลใส่เสื้อกันฝนที่ใหญ่เกินตัวด้วยความคิดที่ว่าซื้อเผื่อโตของแม่ยังไงยังงั้น

   ใจหนึ่งก็อยากจะถอดนะ เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้หนาวอะไรมากมายขนาดนั้น แต่พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายแล้วก็ถอดไม่ลงยังไงก็ไม่รู้แฮะ ก็เลยจำเป็นต้องใส่ต่อไป

   “เออ เมื่อกี้กูเห็นไอ้ยีสต์ กับไอ้เต้ยด้วยว่ะแม่ง แอบมาเที่ยวกันแบบบ่บอกบ่กล่าวกันเลย”
   “เหรอครับ อยู่ไหนล่ะครับ”
   อีกฝ่ายถามกลับมา ผมจึงหันไปชี้ยังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ทว่า...

   “อ่ะ อ้าว หายไปไหนซะแล้ววะ”
   ไม่อยู่แล้วครับ ไอ้สองตัวนั้นหายไปแล้ว หายไปไหนก็ไม่รู้

   “งั้นเดี๋ยวแป๊บนะ กูลองทักแชทไปหาพวกมันแป๊บ”
   “ไม่ต้องหรอกครับ”
   ผมหยิบมือถือออกมาด้วยความรวดเร็วแต่ทว่าก็โดนแบงค์จับข้อมือห้ามเอาไว้เสียก่อน ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

   “เขาอาจจะมีเหตุผลบางอย่างก็เป็นได้ก็เลยไม่ได้บอก...”
   แบงค์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะยกมืออีกข้างขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเบาๆ

   “เหมือนผมที่ก็มีเหตุผลของผมเหมือนกัน...”
   “ห๊ะ?”
   ผมย่นจมูกถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย

   “ช่างมันเถอะครับ ผมก็พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ เอาเป็นว่าเราไปลอยกระทงกันเลยดีกว่ามั้ย เดี๋ยวจะดึก พรุ่งนี้จะตื่นไปโรงเรียนสายนะครับ”
   แล้วแบงค์ก็หันหลังเดินนำผมไปยังที่จอดรถโดยที่สมองของผมยังคงมึนงงอยู่กับคำพูดและเรื่องราวเมื่อครู่ อะไรของแบงค์เขาวะ งงวุ้ย

จบคาบพิเศษ 1
หัวข้อ: Re: Undefined Love รัก...ไร้คำจำกัดความ คาบพิเศษ1 ลอยกระทง (10-8-19)
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 05-11-2019 01:44:07
คาบเรียนพิเศษที่สอง

   หลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายรูปที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์แล้วนั้น ผมกับแบงค์ก็ย้ายสถานที่ไปยังเจดีย์ขาวต่อทันที

   สำหรับเจดีย์ขาวนั้น เป็นเจดีย์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในวัด แต่กลับไปตั้งอยู่กลางถนน ใช่ครับ อ่านไม่ผิด กลางถนนเลยครับ เป็นวงเวียนให้รถวนรอบ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าเทศบาลนครเชียงใหม่ติดกับสถานกงสุลอเมริกา โดยอีกด้านหนึ่งจะอยู่ติดกับแม่น้ำปิงซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเชียงใหม่ ส่วนเจดีย์ขาวนั้นสร้างในสมัยไหนไม่มีใครทราบแน่ชัดรวมไปถึงความเป็นมาของมันด้วย แต่ที่ได้รับการเล่าขานกันมากที่สุดก็น่าจะเรื่องของปู่เปียงที่ยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องบ้านเมืองด้วยการอาสาเป็นตัวแทนแข่งดำน้ำอึดตามคำท้าของแม่ทัพฝ่ายข้าศึก ซึ่งปู่เปียงใช้วิธีนำผ้าขาวม้าผูกตัวเองไว้กับเสาหลักใต้น้ำ ด้วยความดีที่ยอมแลกชีวิตของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะเพื่อปกป้องบ้านเมืองจึงทำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่สร้างเจดีย์ขาวไว้ตรงนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ปู่เปียงมาจนถึงทุกวันนี้

   เอาล่ะผ่านพ้นช่วงสาระจากกูเกิ้ลโดยน้องนันท์ไปแล้ว ก็ขอตัดกลับเข้ามาสู่เทศกาลลอยกระทงกันต่อ ฮ่าฮ่าฮ่า

   อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ว่าแม่น้ำปิงนั้นถือได้ว่าเป็นแม่น้ำสายหลักของเชียงใหม่ จึงไม่แปลกที่จะมีคนมากมายมารวมตัวกันในช่วงเทศกาลลอยกระทงแบบนี้

   ฟิ้วววววว
   ปัง!!!
   “เหี้ย!”

   เสียงอุทานด้วยความตกใจของผมดังขึ้นหลังจากที่เสียงพลุและประทัดดังขึ้นอย่างที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว
   “กลัวเสียงประทัดเหรอครับ”
   “นิดหน่อยว่ะ”
   “งั้นย้ายที่กันมั้ยครับ”
   แบงค์เอ่ยถามผมด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีตกใจนั้นของผม

   “ช่างเหอะ เทศกาลแบบนี้ หนีไปที่ไหนก็เจออยู่ดีนั่นล่ะ เอาจริงๆ ก็บ่เชิงว่ากลัวหรอก แค่บ่ชอบมากกว่า”
   ผมหันมองไปยังรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศ ก่อนที่จะถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ เทศกาลแบบนี้คงต้องทำใจยอมรับสินะกับพวกพลุประทัดแบบนี้ คือจะเรียกว่ากลัวก็ไม่ถูกหรอกครับ แต่ที่ไม่ชอบเพราะมันไม่ทันได้ตั้งตัวมากกว่า อยู่ๆ ก็ปัง มันก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาใช่มั้ยครับ ต่างจากพลุตามงานใหญ่ๆ ที่มีกำหนดการชัดเจน ถ้าเป็นพลุแบบนั้น ผมชอบนะ มันสวยดี แต่เอาเถอะ อย่าไปใส่ใจมันดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สนุก

   ผมกับแบงค์เดินเลือกหากระทงจากแผงขายที่มีอยู่เรียงรายเต็มสองข้างถนนจนในที่สุดก็ได้อันที่ถูกใจมาซึ่งก็แลกมาด้วยราคาที่แพงบรรลัย แต่เอาน่ะ เทศกาลทั้งที อย่าคิดเยอะ คือตอนแรกผมกะว่าจะซื้อกันคนละกระทง แต่แบงค์บอกว่าเพื่อความประหยัดซื้อกระทงเดียวแล้วลอยด้วยกันดีกว่า

   แล้วเป็นไงล่ะ เจอราคาเข้าไป กระเป๋าฉีกไปเลยสิมึง ฮ่าฮ่าฮ่า

   “อย่าลืมอธิษฐานก่อนลอยด้วยล่ะ”
   “ห๊ะ?”
   แบงค์เสียงหลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของผม

   “เอ้า ก็มาลอยกระทง ก็ต้องมีอธิษฐานด้วยบ่ใช่เหรอวะ”
   ผมหันไปถามอีกฝ่ายกลับด้วยสีหน้าสงสัยก่อนที่หันไปมองยังผู้คนรอบข้างซึ่งบางคนก็กำลังทำท่ายกกระทงไหว้เหนือหัวเหมือนกำลังอธิษฐานอะไรบางอย่าง

   “เอ จริงๆ แล้วเรามาลอยกระทงกันเพื่อขอขมาพระแม่คงคาไม่ใช่เหรอครับ”
   พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่าง เออว่ะ เหมือนตอนเด็กๆ จะเคยได้ยินคุณครูสอนเอาไว้เหมือนกันนี่หว่า ว่าเทศกาลลอยกระทงนั้นจัดขึ้นเพื่อเป็นกุศโลบายให้ผู้คนได้มาขมาที่ปล่อยสิ่งของเน่าเสียต่างๆ ลงในแม่น้ำเพื่อให้รู้จักคุณค่าของทรัพยากร แล้วมันเปลี่ยนมาเป็นอธิษฐานขอพรเพื่อตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

   แล้วไอ้ลอยกระทงนี่อีก บอกว่าลอยเพื่อขอขมาที่ทิ้งสิ่งตางๆ ลงในแม่น้ำ แต่ขอขมาด้วยการเอาของมาลอยลงแม่น้ำเนี่ยนะ ถ้าผมเป็นพระแม่คงคาคงจะดีใจมากเลยล่ะ ลองนึกภาพพระแม่คงคาออกไปแดนซ์ในคืนเทศกาลแบบนี้สิ แล้วพอกลับมาเจอขยะกองโตขวางทางเข้าวังบาดาลสิ ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้สัส ยิ่งคิดยิ่งกวนตีนไปกันใหญ่ละกู พอๆ เดี๋ยวจะโดนยำตีนโทษฐานเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาล้อเลียน

   หลังจากที่จุดเทียนและธูปด้วยไฟแช็คที่ยืมมาจากคนข้างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ผมกับแบงค์ก็ช่วยกันยกกระทงขึ้นไว้เหนือหัว

   อืมมม ต้องขอขมาสินะ เอ่อ พระแม่คงคาครับ กระผมนายนันทการ บ้านอยู่แถวเจ็ดยอด ที่ลูกมาวันนี้ก็เพื่อมาขอขมาในสิ่งต่างๆ ที่ลูกทำไว้ ที่ลูกเคยทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง แต่เอ... เดี๋ยวนะ กูไม่เคยทิ้งขยะลงแม่น้ำเลยสักครั้งนี่หว่า เออนั่นล่ะ เอาเป็นว่าลูกขอขมาแทนผู้คนทั้งหลายด้วยแล้วกันครับ ขอบคุณพระแม่คงคาสำหรับน้ำท่าที่สมบูรณ์ และลูกขอขมาที่ลูกปากพล่อยความคิดอกุศลที่เอาพระแม่คงคามาล้อเลียนเมื่อกี้ด้วย หวังว่าพระแม่คงคาจะไม่ถือสาคนสมองกลวงๆ อย่างผมเลยนะครับ

   ขอบคุณมากๆ ครับ พระแม่คงคา

   หลังจากที่ขอขมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับแบงค์ก็ค่อยๆ ปล่อยกระทงให้ลอยไปตามกระแสน้ำ แสงสว่างจากเทียนไขดวงน้อยๆ แต่พอมาอยู่รวมกันมากๆ ก็ก่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงาม แบงค์หยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นมาเก็บภาพต่างๆ โดยรอบเอาไว้ ใจจริงก็อยากจะขอให้แบงค์ถ่ายรูปให้เหมือนกันนะ แต่คิดว่าคงโดนเจ้าตัวปฏิเสธแน่ๆ เพราะงั้นไม่ขอดีกว่า

   ผมหันไปมองยังรอบบริเวณ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยโคมลอย ซึ่งการลอยโคมถือได้ว่าเป็นอะไรที่ขาดกันไม่ได้จริงๆ สำหรับเทศกาลลอยกระทงแบบนี้ ช่างเป็นภาพที่สวยงามจับใจจริงๆ ครับ ถ้าไม่นับเรื่องประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับภัยจากโคมลอยที่ไปตกตามบ้านเรือนนะครับ

   “เดี๋ยวนั่งรอตรงนี้แป๊บนึงนะครับ”
   พูดจบ แบงค์ก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันจะได้ถามอะไร ผมขมวดคิ้วงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะบรรยากาศรอบข้างนั้นดึงดูดความสนใจได้มากกว่า

   “อ้าว นันท์นี่เอง ก็ว่าใครคุ้นๆ ที่ไหนเสียอีก”
   เสียงใสๆ ที่คุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อผมอย่างคุ้นเคย ผมหันกลับไปยังต้นเสียงนั้นก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น มายด์ นักร้องประจำชมรมดนตรีที่ผมอยู่นั่นเอง

   “อ้าว มายด์มากับใครเหรอ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมกับมองไปยังรอบด้าน

   “มากับพี่สาธิต แต่พี่เขากลับไปเอากระเป๋าตังค์ที่รถน่ะ ว่าแต่นันท์เถอะ มาลอยกระทงกับสาวที่ไหนเนี่ย”
   “บ้า สาวเสิวที่ไหน บ่มี๊ ถ้ามีก็ดีดิ”
   “อ้าว งั้นก็มาลอยคนเดียวงั้นเหรอ”
   มายด์เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย

   “ป่าว ชีวิตยังบ่ถึงขั้นตกทุกข์ได้ยากถึงขนาดต้องมาลอยกระทงคนเดียวหรอก แต่มากับแบงค์เขาต่างหากล่ะ”
   “แล้วเจ้าตัวไปไหนล่ะ”
   “บ่รู้”
   “ห๊ะ?”
   “ก็อยู่ๆ มันบอกว่าให้นั่งรอตรงนี้แล้วก็ลุกหายไปเลยอะดิ”
   มายด์หัวเราะทันทีที่ได้ยินผมตอบเช่นนั้น

   “โดนแบงค์ทิ้งกลับบ้านไปแล้วมั้งนั่น”
   มายด์เอ่ยแซวในขณะที่ผมเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งว่า กุญแจรถของผมอยู่ที่แบงค์เสียด้วยสิ ฉิบหายแล้วกูงานนี้
   ในจังหวะที่ผมกำลังคิดอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่นั่นเอง ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกทันทีที่มีอะไรบางอย่างเย็นๆ สัมผัสเข้าที่ต้นคอของผม จนผมต้องรีบเอามือปัดไปที่ต้นคออย่างรวดเร็วพร้อมกับหันไปมองว่ามันคืออะไร

   “ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ เอ้านี่ ผมซื้อมาให้”
   แบงค์เอ่ยพร้อมกับยื่นชาเขียวในมือซึ่งเป็นต้นเหตุที่ว่ามาให้ ผมงุนงงเล็กน้อยแต่เนื่องด้วยเป็นของกินผมจึงรับมันมาอย่างว่าง่ายก่อนจะเปิดขวดแล้วยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว

   “หายไปตั้งนาน มึงได้มาแค่ชาเขียวขวดเดียวเนี่ยนะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังจากที่ดื่มชาเขียวในมือไปได้อึกหนึ่ง

   “ใครบอกว่าขวดเดียวครับ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับชูขวดชาเขียวอีกขวดที่ถูกเปิดดื่มไปได้ครึ่งให้ผมดู ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อย เออ กูพูดผิดสินะ กูขอโทษ

   “ล้อเล่นครับ ผมซื้ออันนี้มาด้วยน่ะ”
   แบงค์เอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง ผมเพ่งมองดูด้วยความสงสัย มันคืออะไรหว่า เป็นกล่องยาวๆ แบบนั้น หรือว่าจะเป็น ...

   “ธูป?”
   “ใครบอกล่ะครับ ไฟเย็นต่างหากล่ะ”
   แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับแกะกล่องเจ้าไฟเย็นที่ว่าแล้วจึงหยิบเอามันออกมาจากกล่อง ก่อนที่จะยื่นมาให้ผมหนึ่งดอก

   “ก็เห็นว่านันท์กลัวพลุใช่มั้ยล่ะครับ แต่ไหนๆ ก็เป็นเทศกาลทั้งที ก็อยากให้นันท์ได้สนุกบ้าง เลยคิดว่าไฟเย็นน่าจะเหมาะที่สุดแล้วล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นพลางขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยในขณะที่มืออีกข้างก็ยีหัวผมเบาๆ ก่อนจะหยิบไฟแช็คที่ดูแล้วน่าจะซื้อมาพร้อมกับไฟเย็นออกมาจากกระเป๋ากางเกง

   “เอ่อ อะแฮ่มอะแฮ่ม”
   เสียงกระแอมเบาๆ จากข้างๆ ช่วยเตือนสติผมให้นึกขึ้นได้ว่าผมหลงลืมใครบางคนไป
   “อ้าว มายด์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”
   แบงค์หันไปเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่หันไปเห็นอีกฝ่าย

   “มาพักนึงแล้วเจ้าค่ะ แบงค์นั่นล่ะ ที่มัวแต่สนใจนันท์จนบ่สนใจมายด์เลย เสียใจนะเนี่ย”
   “ขอโทษด้วยครับ ที่ไม่ทันสังเกตเห็น ขอโทษจริงๆ ครับ”
   แบงค์รีบเอ่ยขอโทษพลางก้มหัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินมายด์ตัดพ้อเช่นนั้น ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมายด์เองก็แค่แซวเล่นเท่านั้นล่ะ สังเกตได้จากการที่เธอหัวเราะทันทีที่แบงค์รีบขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว

   “ว่าแต่มายด์มากับใครเหรอครับ”
   “พี่สาธิตน่ะ แต่พี่เขา...”
   TRRRRRR
   เสียงมือถือของมายด์ดังแทรกขึ้นจนเจ้าตัวต้องรีบหยิบมันขึ้นมารับสายด้วยความรวดเร็ว ซึ่งฟังจากบทสนทนาแล้วคิดว่าคนที่โทรมาไม่น่าจะใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่สาธิตนั่นเอง

   “งั้นเดี๋ยวมายด์ขอตัวก่อนนะ สุขสันต์วันลอยกระทงนะจ๊ะ”
   มายด์เอ่ยอวยพรหลังจากที่วางสายไปพร้อมโบกมือล่ำลาให้พวกเราทั้งสองก่อนจะหันไปยิ้มมุมปากให้แบงค์
   “แบงค์เองก็สู้ๆ นะ”

   สิ้นเสียงมายด์ก็หันหลังเดินจากไปทิ้งผมกับแบงค์ไว้สองคนตามเดิม ว่าแต่ไอ้ประโยคอวยพรอันแรกน่ะพอเข้าใจ แต่อันที่พูดกับแบงค์นี่มันหมายถึงอะไรน่ะ แล้วไหงแบงค์จะต้องทำหน้าตาเขินแบบนั้นด้วยล่ะ

   “แย่แล้วแฮะ สงสัยมายด์จะดูออกแล้วแน่ๆ เลย”
   แบงค์เอ่ยคำพูดนั้นออกมาเบาๆ พลางยกนิ้วขึ้นมาเกาจมูกตัวเองเล็กน้อยซึ่งนั่นก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้ผมมากขึ้นกว่าเดิมอีก

   “เกิดอะหยังขึ้นเหรอวะ”
   ผมเอ่ยถามออกไปพลางดึงชายเสื้อของแบงค์เบาๆ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรจะดึงจึงรีบปล่อยมือของตัวเองออกจากชายเสื้อของแบงค์อย่างรวดเร็ว แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็นิ่งเงียบไปครู่ก่อนที่จะอมยิ้มหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับยีหัวผมเล่นอีกครั้ง

   “ไม่บอกครับ บอกไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลา”
   รอยยิ้มมุมปากที่แฝงไว้ด้วยเล่ห์เล็กน้อยนั้นช่างชวนให้รู้สึกน่าหมั่นไส้อย่างบอกไม่บอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากย่นจมูกแสดงอาการไม่พอใจล็กน้อย จริงอยู่ว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องของผมแต่มันก็อดคาใจสงสัยไม่ได้จริงๆ นี่ ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะอยากรู้ไปทำไม

   “เอาน่ะครับ เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง แต่ตอนนี้เป็นเวลาเล่นไฟเย็นกันครับ มาเถอะ”
   ไฟเย็นในมือของแบงค์ที่แกว่งกวัดไปมาช่วยดึงสติของผมกลับคืนมาได้เล็กน้อย ถึงแม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกสงสัยในตัวเองอยู่พอสมควรว่าเหมือนช่วงนี้ตัวเองจะแปลกๆ ไป แต่ก็บอกไม่ได้ว่าอาการแปลกที่ว่านั้นคืออะไร แต่ช่างมันเถอะ คิดมากไปก็ปวดหัว มาเล่นไฟเย็นดีกว่า อิอิ

   ผมยื่นก้านไฟเย็นให้กับแบงค์เพื่อให้เจ้าตัวจุดให้ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ประกายสีจากไฟเย็นช่างเป็นอะไรที่ดูสวยงามและชวนให้รู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อย ภาพของเด็ก ม.ห้าหน้าเถื่อนที่กำลังแกว่งกวัดไฟเย็นไปมาราวกับว่าตัวเองเป็นพ่อมดให้นิยายแฟนตาซี จะเรียกว่าเป็นภาพที่น่ารักหรือเป็นภาพที่ชวนให้ดูสยดสยองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ผมก็หาได้สนใจไม่ ก็มันสนุกจริงๆ นี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า

   “ชอบใช่มั้ยล่ะครับ”
   แบงค์เอ่ยถาม ผมยิ้มกว้างพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

   “คิดถูกจริงๆ ที่ซื้อมา”
   แบงค์เอ่ยยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะจุดไฟเย็นในมือของตัวเองบ้างแล้วจึงแกว่งกวัดมันไปมาอย่างเป็นระเบียบเมื่อเทียบกับการแกว่งกวัดที่ดูไร้ทิศทางแบบผม

   “เอ้อ จะว่าไปนะ กูเคยเห็นรูปในเว็บต่างๆ ที่เขาถ่ายรูปไฟเย็นที่โบกไปมาจนเป็นรูปตัวอักษรน่ะ มึงถ่ายรูปแบบนั้นได้ปะวะ”
   แบงค์ขมวดคิ้วก้มมองไฟเย็นที่อยู่ในมือของตัวเองทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นของผม
   “จะว่าได้ มันก็คงได้ล่ะมั้งครับ ไม่รู้สิ ผมไม่เคยถ่ายแฮะ อีกอย่างกล้องของผมก็แค่กล้องธรรมดาคงถ่ายไม่ได้ถึงขนาดนั้นด้วย”

   คำตอบนั้นของแบงค์ทำเอาผมถึงกับผิดหวังอยู่พอสมควร เพราะคิดเอาไว้ในใจว่าอยากจะเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใหม่อยู่พอดีและอุตส่าห์ได้ไอเดียดีๆ แล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ดันแห้ว แต่พอมาลองนึกดูอีกทีดีๆ ต่อให้กล้องของแบงค์ถ่ายได้ ก็คงไม่มีทางถ่ายให้ผมอยู่ดีนั่นะล่ะ หลักฐานก็คือรูปโปรไฟล์ปัจจุบันที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ

   “แต่ก็ไอเดียที่ดีนะครับ น่าลองดูเหมือนกัน ผมเองก็อยากลองทำเป็นคำๆ นึงอยู่เหมือนกัน”
   “คำว่าอะหยังวะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่แบงค์ให้ความสนใจกับความคิดเล่นๆ ของผม แต่ก็ไม่มีคำตอบๆ ใดออกมาจากปากของอีกฝ่ายนอกจากรอยยิ้มภายใต้แว่นหนานั้น ก่อนที่จะยื่นไฟเย็นในมือชี้มาทางผม จากนั้นก็ค่อยๆ ลากมือสะบัดไปมาช้าๆ ราวกับกำลังเขียนตัวอักษรอยู่ในอากาศ แต่กว่าผมจะฉุกใจคิดได้แบงค์ก็กวาดมือเขียนเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ผมจึงทันสังเกตเห็นแค่ตัวสุดท้ายที่ดูแล้วน่าจะเป็นตัวอีในภาษาอังกฤษ ในขณะที่ตัวอื่นๆ ก่อนหน้านั้นผมไม่ทันได้สังเกตจริงๆ

   “เดี๋ยวๆ เขียนคำว่าอะหยังวะ กูบ่ทันได้ดูว่ะ”
   “ไม่บอกครับ ของดีมีแค่ครั้งเดียว”
   “เฮ้ย ได้ไงวะ บ่เอาดิ ขออีกรอบดิ น่านะ นะ”
   ผมพยายามอ้อนวอนพร้อมกับดึงชายเสื้อของแบงค์เบาๆ โดยไม่สนใจแล้วว่าจะโดนอีกฝ่ายดุเอาหรือเปล่า

   “ไม่เอาครับ พอแล้ว ผมอาย แค่นี้ก็ถือว่ามากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ”
   แต่ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นกลับใบหน้าที่ดูเขินอาย ซึ่งก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้ผมมากกว่าเดิม อะไรของเขาวะเนี่ย เขียนอะไรพิเรนท์ๆ ไปหรือเปล่าวะนั่น นึกแล้วก็เจ็บใจตัวเองวุ้ยที่ไม่ทันสังเกตดูให้ดี
   

   หลังจากที่เล่นไฟเย็นจนหมดแล้ว ทั้งผมและแบงค์ก็แวะไปครูบาศรีวิชัยกันต่อ ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดศีโสดาตรงทางขึ้นไปยังดอยสุเทพโดยจะเลยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสวนสัตว์เชียงใหม่มาไม่ไกลมากนัก

   ใจจริงผมก็อยากจะเล่าประวัติของครูบาศรีวิชัยอยู่เหมือนกันนะครับ แต่เกรงว่าหากเล่าแล้วจะยาวจนกลายเป็นวิทยานิพนธ์ไปแทน เพราะประวัติของท่านนั้นยาวจริงๆ เอาเป็นขอรวบรัดตัดตอนว่าท่านเป็นพระนักพัฒนาและท่านยังเป็นผู้สร้างถนนทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่จนได้รับการขนานนามว่านักบุญแห่งล้านนา ชาวเชียงใหม่จึงได้ร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย” ขึ้นบริเวณเชิงดอยสุเทพเพื่อเป็นที่เคารพสักการะขอพรมาจนถึงทุกวันนี้

   ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่เป็นที่รู้จักอันดับต้นๆ ของทั้งคนเชียงใหม่ และนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ซึ่งส่วนมากก็มักจะมากราบไหว้ขอพรเพื่อนเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับผมในตอนนี้ที่ก็กราบไหว้เพื่อขอพรให้กับตัวเอง ซึ่งคงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะครับว่าผมมาขอพรในเรื่องอะไร

   อย่างว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล อ่านหนังสือตั้งใจเรียนแล้ว ก็มาขอพรนิดๆ หน่อยๆ เสริมกำลังใจให้กับตัวเองอีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มมั่นใจในการสอบคราวหน้า

   “มึงขอพรอะหยังไปน่ะ”
   ผมหันไปเอ่ยถามคนตัวสูงที่กำลังเช็ดแว่นหนาของตัวเองที่เปื้อนควันธูปอยู่ เจ้าตัวหันมาเลิกคิ้วสูงใส่ผมด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

   “ของแบบนี้เขาไม่ควรถามกันนะครับ”
   “เฮ้ย จริงดิ”
   ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นพลางหันไปมองยังกลุ่มคนที่กำลังกราบไหว้ขอพรกันอยู่

   “ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันครับ แต่เคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่เขาว่ามาอย่างนั้นน่ะ”
   แบงค์ขมวดคิ้วด้วยความไม่มั่นใจนิดหน่อยก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ

   “อีกอย่างผมก็ไม่ได้ขอพรอะไรให้กับตัวเองหรอกครับ”
   “อ้าวไหงงั้น”
   ผมถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายอมยิ้มเล็กน้อยกลับมาก่อนที่จะยกมือเกาท้ายทอยตัวเองเบาๆ

   “ก็เห็นเขาว่ากันว่าประเด็นที่ผมอยากจะขอพรนั้นครูบาฯ ท่านไม่ช่วยน่ะครับ แห่ะๆ”
   แบงค์หัวเราะแห้งๆ เหมือนพยายามกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเองอยู่ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับผมมากขึ้นกว่าเดิม แต่เอาเถอะ ถ้าคนเฒ่าคนแก่เขาบอกมาแบบนั้น ผมก็คงไม่อาจจะทำอะไรได้
   “แต่จะว่าไปสิ่งที่ผมต้องการในคืนนี้ก็สำเร็จไปแล้วเรื่องนึงด้วย แค่นี้ผมก็สบายใจมีความสุขแล้วล่ะครับ”

   แบงค์หันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มอ่อนโยน
   “เรื่องอะหยังวะ”
   ผมหันไปถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขของแบงค์ คงเป็นเรื่องดีสินะถึงได้ยิ้มออกมาได้แบบนั้นเนี่ย

   “ไม่บอกครับ”
   “ง่ะ”
   “กลับกันเถอะครับ เดี๋ยวจะดึกมากกว่านี้”
   แบงค์กล่าวตัดบทพร้อมแกว่งกุญแจรถของผมไปมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินไปยังรถอย่างรวดเร็ว

   อะไรเนี่ย วันนี้ดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ เป็นอะไรของเขาหว่า แต่จะว่าไปแบงค์ที่ทำสีหน้าเขินอายแบบนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

   คิดบ้าอะไรของกูวะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า
   “บ้านของนันท์อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
   แบงค์เอ่ยถามทันทีที่เราทั้งสองเดินมาถึงจุดจอดรถ

   “ก็แถวๆ เจ็ดยอดหลังห้างเมญ่าน่ะล่ะ”
   ผมตอบกลับไปพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อยจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเบาๆ

   “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งละกันนะครับ”
   “ส่งกูที่บ้านของกูด้วยรถของกูเนี่ยนะ”
   ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

   “ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ครับ ผมไปส่งนันท์ที่บ้านของนันท์ด้วยรถของนันท์”
   “แล้วมึงจะกลับยังไง”
   ผมขมวดคิ้วเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนกรานความต้องการนั้น

   “ก็ค่อยเดินกลับมาเอารถร้านเจ๊บัวยังไงล่ะครับ”
   “เพื่อ???”
   ผมขมวดคิ้วหนักมากขึ้นกว่าเดิมจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้แล้วในตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดที่แสนจะแปลกประหลาดนั่นจากอีกฝ่าย

“เพื่อความสบายใจของผมยังไงล่ะครับ”
   “แต่...”
   “เอาเถอะน่า น่านะ นะครับ”
   แบงค์พยายามรบเร้ายืนกรานในความต้องการของตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการกระทำเช่นนั้นมันจะก่อให้เกิดผลประโยชน์อะไร จะมีก็แต่เสียเวลาเปล่าๆ แต่... พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูจะต้องการที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ แล้ว มันก็...

   “เออๆ ก็แล้วแต่มึงละกัน”
   “เย่!”
   แบงค์ออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมตอบตกลง พิลึกคนจริงๆ เชียว แล้วทำไมผมต้องใจอ่อนยิ้มตามให้กับการกระทำบ้าๆ แบบนั้นด้วยเนี่ย พิลึกคนจริงๆ กู

   “เออ จะว่าไป กูบ่เคยเห็นรถของมึงเลยแฮะ มึงขี่รถอะหยังมาน่ะ”
   ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยในระหว่างจอดรอสัญญาณไฟจราจรที่ค่ำคืนนี้รถค่อนข้างจะติดขัดมากเป็นพิเศษ
   “ผมปั่นจักรยานมาครับ”
   ผมร้อง ห๊ะ ทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากอีกฝ่าย

   “ก็ปกติหอผมอยู่ใกล้โรงเรียนยังไงล่ะครับ จะมีก็แค่เสาร์อาทิตย์ที่มาทำงานที่ร้านเจ๊บัว ผมก็เลยไม่ได้เอารถจากที่บ้านมา จะใช้ก็แค่จักรยานเท่านั้นล่ะครับ”
   “แล้วมึงก็ยังจะบ้าไปส่งกูที่บ้านของกูด้วยรถของกูแล้วเดินกลับมาเอาจักรยานที่ร้านเจ๊บัวเพื่อปั่นกลับไปหอมึงเนี่ยนะ”
   “ครับ”
   เจ้าตัวตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใส

   “มึงนี่ก็แปลกคนจริงๆ”
   “ห่ะห่ะ ใครๆ ก็มักจะบอกแบบนั้นเหมือนกันครับ”
   ยังๆ ยังไม่รู้ตัวอีกว่ากูกำลังประชด
   

   หลังจากที่ฟันฝ่าการจราจรที่แสนจะทุลักทุเล ในที่สุดแบงค์ก็มาส่งผมถึงบ้านของผมด้วยรถของผมเป็นที่เรียบร้อย อืม แล้วกูจะย้ำคิดย้ำทำย้ำคำทำแป๊ะอะไรหลายรอบวะเนี่ย

   “แถวนี้ทำเลดีนะครับ”
   แบงค์เอ่ยชมพลางหันมองไปยังรอบๆ บริเวณ ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้นออกมา เพราะบ้านของผมและหอพักบริเวณนี้นั้นอยู่เข้ามาในซอยลึกจึงทำให้ห่างไกลจากเสียงรบกวนจากชุมชนในย่านนี้ได้ดีพอสมควร ซึ่งก็เหมาะสำหรับผู้พักอาศัยที่ต้องการความเงียบสงบ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลาเดินกลับออกไปยังร้านเจ๊บัวอยู่พอสมควรเหมือนกัน

   “มึงแน่ใจแล้วเหรอวะ ว่าจะบ่ให้กูไปส่งมึงที่ร้านเจ๊บัว”
   ผมถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าภายใต้แว่นหนานั้น

   “แค่นันท์ยอมออกมาลอยกระทงเป็นเพื่อนผม ผมก็ดีใจมากพอแล้ว เพราะฉะนั้นไปพักผ่อนเถอะครับ แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะครับ”
   พูดจบเจ้าตัวก็ใช้ฝ่ามือหนายีหัวผมเบาๆ พลางหันไปมองยังหอพักที่ตั้งอยู่ข้างๆ กับบ้านของผมครู่หนึ่งจากนั้นจึงหันมายิ้มให้ผมอีกรอบก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปอย่างคนมีความสุข

   ผมในตอนนั้นถึงแม้จะรู้สึกงุนงงสงสัยในการกระทำนั้นของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลยแม้แต่น้อย

   แต่ก็ยอมรับว่าคืนลอยกระทงคืนนั้นเป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมรู้สึกสนุกกับมันจริงๆ จากคนที่เคยรู้สึกเฉยๆ กับเทศกาลลอยกระทง กลับรู้สึกสนุกสนานอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน


   ผมอมยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะไขประตูบ้านเข้าไปโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าในใจของผม ณ ตอนนั้น มันมีบางสิ่งค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย


จบคาบเรียนพิเศษที่สอง
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก (31-1-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 31-01-2020 22:05:29
Once Love story ณ กาลครั้ง รัก   


ผมยังจำได้เมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทุกค่ำคืนแม่จะชอบเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน
   ทุกเรื่องมักจะจบลงอย่างมีความสุขอยู่เสมอ เจ้าหญิงเจ้าชายได้ครองรักในดินแดนอมตะนิรันดร์กาล
   แต่เมื่อผมโตขึ้น พบเห็นอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัยว่า “ชีวิตจริง มันจะมีตอนจบที่สุขสมหวังเหมือนในนิทานหรือเปล่านะ”
   ก็ได้แต่เก็บคำถามนั้นเอาไว้ในใจลึกๆ เรื่อยมา


คาบเรียนที่หนึ่ง

   เชียงใหม่  นครแห่งศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมผสานเข้ากับความทันสมัยได้อย่างตัว ผมเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่

   “นันท์ เก็บของเสร็จหรือยังน่ะ ลุงเขามารอนานละเน่อ”
   เสียงของคุณกมลชนกหรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือแม่ของผม ตะโกนจากชั้นล่างดังขึ้นมาถึงข้างบน

   “ใกล้เสร็จแล้วแม่”
   ผมตะโกนกลับลงไปเป็นคำตอบ พร้อมกับเร่งจัดการเก็บข้าวของที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยใส่ลังกระดาษ ก่อนที่จะใช้เทปกาวปิดมันเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นจึงยกลงมายังชั้นล่างด้วยความระมัดระวัง ผมวางกล่องลังลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนที่จะหันไปยกมือไหว้ลุงแม้น พี่ชายแท้ๆ ของคุณกมลชนกด้วยความเคารพ

   “บ่ได้เจอกันนานเลยเน่อ โตเป็นหนุ่มเป็นแน่นขนาดนี้แล้วกะเนี่ย”
   ลุงแม้นเอ่ยชมผมด้วยความเอ็นดู จะว่าไปก็ไม่ได้เจอลุงแกหลายปีแล้วจริงๆ แล้วเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่เจอก็น่าจะตอนผมขึ้นชั้น ม.สี่ เห็นจะได้

   “ลุงก็เหมือนกัน ยังดูแข็งแรงอยู่เลยเน่อ”
   ผมเอ่ยชมกลับไป พร้อมกับเดินไปหยิบขวดน้ำบนโต๊ะอาหารขึ้นมาดื่ม

   “เสร็จกันหรือยังน่ะ ไปเถอะ จะสิบโมงแล้ว เดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน”
   คุณกมลชนกเอ่ยถาม ในขณะที่เจ้าตัวก็หิ้วกระเป๋าผ้าใบใหญ่ออกมาจากห้องของตัวเอง ผมกับลุงแม้นพยักหน้าตอบกลับไปพร้อมช่วยกันขนของใส่ท้ายกระบะรถยนต์

   “เดี๋ยวพวกของชิ้นใหญ่ อย่างโต๊ะ ตู้เตียงอะหยังพวกนี้ อ้ายจะให้ลูกน้องของอ้ายเอารถหกล้อมาขนทีหลังเน่อ”
   ลุงแม้นหันไปกล่าวกับคุณกมลชนกหลังจากที่ล็อกกระบะท้ายรถเสร็จ คุณกมลชนกพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับเดินไปเปิดประตูรถ

   “บ่ลืมอะหยังแล้วใช่มั้ยนันท์”
   คุณกมลชนกหันมาเอ่ยถามย้ำผมอีกรอบ ผมส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบ พร้อมกับหันหลังกลับไปมองบ้าน แล้วจึงหันไปมองหอพักที่ตั้งอยู่ด้านข้างติดกันกับบ้านของผม ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นสี่ก่อนที่จะอมยิ้มให้กับตัวเองเงียบๆ

   ผมหันกลับมามองแผ่นป้ายประกาศขายบ้านแขวนติดอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ก่อนที่จะแทรกตัวขึ้นรถไปนั่งยังเบาะหลังโดยปล่อยให้คุณกมลชนกนั่งข้างหน้าคู่กับลุงแม้นซึ่งเป็นคนขับ ทันทีที่รถออกตัวผมก็หันกลับไปมองอีกรอบ ภาพที่เห็นคือบ้านที่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย

   นั่นเพราะผมเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ จึงทำให้มีความทรงจำมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวหมด ความทรงจำที่ทำให้ผมอมยิ้มและมีความสุขทุกครั้งที่ผมหวนคิดถึงมัน


   “ยังไงอยู่ทางนี้คนเดียว ก็ดูแลตัวเอง มีอะหยังก็โทรมาหาแม่ได้เสมอเน่อ”
   คุณกมลชนกเอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยหลังจากที่ลังสัมภาระต่างๆ ถูกขนขึ้นมาไว้ในห้องของคอนโดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเชียงใหม่

   “ครับแม่ บ่ต้องเป็นห่วงอะหยังหนูนักหรอกแม่ ยังไงเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอนก็ห่างกันแค่บ่กี่ชั่วโมงเอง แม่คิดถึงผม แม่ก็แวะมาแอ่วหาได้ตลอดนะ”
   ผมตอบกลับไปพลางเปิดกล่องสัมภาระออกมาดูทีละกล่องเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนที่จะหันไปมองคุณกมลชนกที่ยังคงทำสีหน้าเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

   “แหม แม่ หนูก็บ่ใช่เด็กละหนา ปีนี้ก็จะซาวสี่แล้ว ถ้าแม่คิดถึงหาหนูแต่บ่ว่างมา งั้นแม่ก็โทรหาหนูก็ได้ เดี๋ยวหนูจะไปหาแม่เอง โอเคปะ มาๆ มาให้หอมแก้มทีนึงซิ”
   ผมเดินอ้อมเข้าไปโอบกอดคุณกมลชนกจากด้านหลังทันทีที่พูดจบพร้อมกับหอมแก้มของคุณกมลชนกเข้าฟอดใหญ่ ซึ่งมันก็พอจะทำให้คุณกมลชนกของผมดูเบาใจและยิ้มออกมาได้ไม่ใช่น้อยอยู่เหมือนกัน

   อนึ่ง คำว่า ซาว เป็นภาษาเหนือครับ แปลว่ายี่สิบ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าปีนี้ผมจะมีอายุยี่สิบสี่ปีนั่นเองครับ

   หลังจากที่คุณกมลชนกและลุงแม้นกลับไป ห้องก็เข้าสู่ความเงียบงันในทันที ผมหันกลับมาดูสภาพห้องในตอนนี้ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะรกอยู่พอสมควร เพราะเพิ่งขนของเข้ามายังไม่ทันได้จัดอะไรให้เข้าที่เลยสักอย่าง

   “งานช้างเลยนะเฮ้ย เอาวะ ลงมือเลยดีกว่า เดี๋ยวจะบ่เสร็จ”
   ผมเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปยังกล่องสัมภาระที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

   เหมือนจะลืมอะไรไปบางอย่าง ใช่แล้ว ลืมแนะนำตัวนั่นเอง
สวัสดีครับ ผมชื่อนันทการ ชื่อเล่นนันท์ ปีนี้อายุอานามก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ซึ่งก็คือย่างเข้ายี่สิบสี่แล้ว เป็นผู้จัดการฝึกหัดอยู่ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งซึ่งไม่ขอเอ่ยนามนะครับ และก็ด้วยหน้าที่การงานนี่ล่ะครับ จึงทำให้ผมไม่สามารถย้ายบ้านตามไปอยู่กับแม่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ แต่ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ผมเองก็ค่อนข้างจะชินกับการอยู่คนเดียวแล้วเหมือนกัน เพราะปกติแม่ของผมก็มักจะไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านที่เชียงใหม่กับบ้านยายที่แม่ฮ่องสอนซึ่งเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว

แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมายายของผมท่านก็มาด่วนจากไปด้วยโรคมะเร็ง แม่ของผมจึงตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่ที่แม่ฮ่องสอนเป็นการถาวรเนื่องจากต้องดูแลกิจการต่อจากยาย ท่านก็เลยประกาศขายบ้านที่เชียงใหม่ไปเสีย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องระเห็จออกมาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้ยังไงล่ะครับ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อาจจะสงสัยกันใช่ไหมครับว่าทำไมถึงไม่อยู่บ้านของตัวเองต่อล่ะ จะขายทำไมให้ยุ่งยาก แห่ะๆ ขอสารภาพตามความเป็นจริงเลยนะครับ ว่าขี้เกียจ ฮ่าฮ่าฮ่า ขี้เกียจในที่นี้คือขี้เกียจดูแลน่ะครับ บ้านไม้สองชั้นถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็ถือว่าใหญ่พอสมควรถ้าต้องอยู่คนเดียว และยิ่งด้วยหน้าที่การงานแล้วด้วยนั้น ผมคงไม่มีเวลาดูแลแน่ๆ แม่ของผมจึงตัดสินใจขายบ้านแล้วให้ผมมาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้แทน ซึ่งก็เป็นห้องที่ซื้อต่อมาจากเพื่อนของแม่อีกทีหนึ่ง จึงได้มาในราคาที่ไม่แพงมากนัก

พล่ามมามากแล้ว ขอตัวจัดห้องก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่เสร็จ

TRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมที่ตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าวดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังนั่งจัดของอยู่ ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบขึ้นมาดู ก่อนที่จะรีบกดรับสายด้วยความรวดเร็วเมื่อเห็นชื่อผู้ที่โทรเข้ามาบนหน้าจอ

“ฮัลโหล ว่าไง ไอ้เต้ย”
“มึงอยู่ไหนละน่ะ”
เสียงของเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้นเอ่ยถามขึ้นทันทีที่ผมรับสาย

“อยู่คอนโด มีอะหยัง”
ผมเอ่ยถามพร้อมกับเดินกลับไปยังลังสัมภาระทั้งหลาย

“จะมาอะยง อะหยังเหี้ยไรล่ะ อย่าบอกนะว่ามึงลืมนัด”
ผมก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองทันทีที่ได้ยินไอ้เต้ยพูดเช่นนั้น ตัวเลขบนนาฬิกาบอกว่ากำลังจะบ่ายสามโมงในอีกไม่ช้า

“เออ กูบ่ได้ลืม แต่เรานัดกันตอนหนึ่งทุ่มบ่ใช่เหรอวะ แล้วจะรีบโทรมาเร่งอะหยังตอนนี้เนี่ย”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัย พร้อมกับหยิบของในกล่องลังที่อยู่ตรงหน้าออกมาก่อนที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง

“กูก็แค่จะโทรมาย้ำ กลัวมึงลืมไง มึงแม่งขี้ลืมอยู่ด้วย”
“......”
“ฮัลโหล ฮัลโหล ไอ้นันท์ มึงยังอยู่ปะวะ”
“ยังอยู่ๆ ว่าแต่ไอ้ยีสต์กับไอ้โอ๊ตล่ะ”
ผมเอ่ยถามถึงเพื่อนสนิทอีกสองคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ต้นเฉกเช่นเดียวกับไอ้เต้ยทันทีที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้

“บ่ต้องห่วง กูโทรไปยืนยันกับไอ้โอ๊ตแล้ว ส่วนไอ้ยีสต์มันอยู่กับกู มึงก็รู้นี่”
“เออๆ กูลืม โทษทีๆ”
“งั้นยังไงหนึ่งทุ่มเจอกันที่ร้านมิสติกนะเว้ย ห้ามมาสายล่ะ”
“เออๆ บ่สายๆ แค่นี้น่ะเว้ย กูจะจัดห้องต่อ”
หลังจากที่ตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็กดวางสายทันทีก่อนที่จะหันมามองสิ่งของที่อยู่ในมือของตัวเอง

สมุดไดอารี่ …

คือตัวการที่ทำให้ผมชะงักไปเมื่อครู่ ผมหันกลับมามองกล่องลังอีกรอบ ก็พบว่ากล่องลังใบนี้นั้นเป็นกล่องที่ถูกเก็บเอาไว้หลายปีแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ชะงักเมื่อเห็นของที่อยู่ในกล่อง

ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนว่า BANK อยู่บนหน้าปกสมุดไดอารี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงชื่อของเจ้าของที่แท้จริงของมัน ผมก้มลงกลับไปมองในกล่องลังอีกรอบ พร้อมกับพยายามควานหาอะไรบางอย่างในกล่อง ก่อนที่จะค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาทันทีที่หาเจอ
พวงกุญแจที่ทำมาจากกลักฟิล์ม

ถึงแม้สภาพของมันจะดูเก่าไปบ้างตามกาลเวลาและมีรอยถลอกอยู่เล็กน้อยก็ตามที แต่มันยังสามารถเอามาใช้ทำพวงกุญแจตามหน้าที่ของมันได้อยู่

“......”

กี่ปีมาแล้วนะ นับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ...
ภาพความทรงจำในอดีตค่อยๆ ย้อนกลับมาทีละเล็กทีละน้อย ผมหยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับเปิดแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊กทันที ก่อนที่จะกดปุ่มค้นหาแล้วใช้นิ้วโป้งของตัวเองพิมพ์ค้นหาอะไรบางอย่างด้วยความรวดเร็ว

Power Bank
ผมกดเข้าไปทันทีที่ชื่อนั้นโผล่ขึ้นมา

นันทการ > Power Bank
รักนะ รักเสมอ และจะรักตลอดไป ...

นั่นคือข้อความสุดท้ายที่อยู่บนหน้าเฟซบุ๊กของอีกฝั่งก่อนที่ฟังชั่นการโพสต์จากผู้อื่นจะถูกปิดไป และก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ของเฟซบุ๊กนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้ และเจ้าของข้อความนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผมคนนี้นี่เอง

ผมยังคงจดจำทุกความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดี

แว่นสายตาที่ดูหนาเตอะกับทรงผมที่อีกนิดก็จะเรียกว่ารกรุงรังได้แล้ว ซึ่งทำให้บดบังความหล่อเหลาที่หลบซ่อนอยู่ภายในของอีกฝ่าย กับรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยชวนให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้เห็นและฝามือหนาที่ครั้งหนึ่งเคยยีหัวผมเล่นอยู่บ่อยๆ

“นันท์ครับ ... ”
และทุกครั้งที่ผมหลับตา ผมก็จะได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั้นเรียกชื่อของผมอยู่เสมอ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่เสียงนั้นก็ยังคงชัดเจนราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นและผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานมานี้เอง




“นันท์ครับ นันท์ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอกครับ”
เสียงของแบงค์ปลุกเรียกผมให้ตื่นขึ้น แต่ขอโทษเถอะ บรรยากาศเย็นๆ ยามเช้าวันจันทร์ของเชียงใหม่ที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกไปเมื่อไม่นาน มันไม่ชวนให้น่าลุกออกจากเตียงเท่าไหร่เลยนี่สิ

“อือออ เดี๋ยวก่อนนน ขออีกแป๊บนึงนะ น้า...”
ผมพยายามปฏิเสธพร้อมกับขดตัวกลมคุดคู้อยู่ภายใต้ผ้าห่มหนา ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากลุกนะ แต่เตียงมันมีอำนาจดึงดูดทำให้ผมลุกไม่ได้จริงๆ ซึ่งผมก็เชื่อว่าใครหลายๆ คนก็คงจะเคยคิดเหมือนผมแน่ๆ แบงค์เองเมื่อเห็นท่าที่เช่นนั้นของผมก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ถ้าไม่ลุกดีๆ เห็นทีคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกันเสียแล้วนะครับ”
หือ หมายความว่าไงวะ

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้คิด ผมก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดของแบงค์ เมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของอีกฝ่ายที่กำลังรุกล้ำเข้ามาภายในเสื้อนอนของผม ความเย็นเฉียบของฝ่ามือที่ลูบไล้หน้าท้องที่ไร้ซึ่งซิกแพคเรื่อยขึ้นมาถึงแผงอกทำเอาผมถึงกับสะดุ้งโหยงทันที

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ กูตื่นแล้วๆ อ๊ากกก”
ผมเอ่ยปรามแบงค์พร้อมกับพยายามที่จะดิ้นหนี แต่ด้วยความแตกต่างทางด้านกายภาพของแบงค์ที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามเซนติเมตร กับผมที่สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบสี่เซนติเมตร ส่วนต่างที่มากเกือบยี่สิบเซนติเมตรมันก็มากพอที่จะทำให้ผมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่พอสมควร (ไหนใครบอกว่าส่วนสูงไม่มีผลในแนวนอนไงวะ โกหกชัดๆ)

แต่ด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติของลูกเสือสำรอง (???) ที่พอจะมีอยู่น้อยนิด การที่ผมจะยินยอมง่ายๆ ก็คงดูจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่แท้
“”ก็กูบอกให้หยุดยังไงวะ ถ้าเกิดแม่ขึ้นมาเห็นจะว่ายังไง เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดีหรอก สัส”

“......”
ได้ผลเว้ยเฮ้ย แบงค์ชะงักทันทีที่ได้ยินคำขู่นั้นของผม

แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นล่ะ

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นครับ ตอนเข้ามาผมล็อกประตูห้องไว้เรียบร้อยแล้ว ทางสะดวก เพราะงั้นเรามาต่อกันเลยนะครับ”
เดี๋ยวนะ หมายความว่าไงวะ
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยถามอะไรออกไป ใบหน้าของแบงค์ก็ซุกเข้ามายังซอกคอของผมทันที ไอ้ริมฝีปากที่ไซร้ไปตามลำคอน่ะยังพอทน แต่ไอลิ้นสากๆ ที่กำลังโลมเลียอยู่นี่สิ มันอะไรก๊านนน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ จะทำอะหยังเนี่ย”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกพร้อมกับพยายามดิ้นขัดขืน แต่แบงค์ยังคงพยายามที่จะรุกล้ำหนักเข้ามาเรื่อยๆ ขอสารภาพตามตรงและตามความเป็นจริงเลยนะครับ หากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วกำลังคิดว่าผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับการกระทำนั้นของแบงค์อยู่แล้วล่ะก็

ขอความกรุณาเปลี่ยนความคิดนั้นโดยด่วนด้วยนะครับ
เพราะกูหนาวว้อยยย

ทั้งฝ่ามือของแบงค์ที่เย็นเฉียบ ไหนจะสัมผัสที่แสนจะเฉอะแฉะจากลิ้นสากๆ นั้นอีก บวกกับอารมณ์หงุดหงิดเพราะยังอยากนอนต่อแต่กลับโดนปลุกก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่พอสมควร ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้จักฟังกัน เห็นทีต้องใช้กำลังกลับไปเสียแล้ว

“โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ยยย”
เสียงร้องของแบงค์ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดทันทีที่ผมอ้าปากใช้ฟันของตัวเองกัดเข้าที่เนินไหล่ของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ซึ่งก็ได้ผล แบงค์ผละตัวออกจากผมทันทีพร้อมกับผมที่รีบลุกขึ้นจากที่นอนไปยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความรวดเร็วโดยที่มีผ้าห่มคลุมตัวไปด้วย

“โหยยย โหดร้ายจังเลยนะครับ ดูสิ เป็นรอยแดงแล้วเนี่ย”
แบงค์โอดครวญพร้อมกับเปิดคอเสื้อโชว์เนินไหล่ให้ผมดู ยิ่งผิวที่ขาวเนียนของแบงค์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้รอยกัดของผมชัดเจนมากขึ้นจนสังเกตเห็นได้ชัด

“สมน้ำหน้า ก็อยากเล่นอะไรแผลงๆ เองนี่หว่า ช่วบ่ได้ ว่าแต่มึงเข้ามาในห้องของกูได้ยังไงวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย แบงค์ละสายตาจากรอยแผลของตัวเองหันมามองผมอย่างงุนงง

“ก็เปิดประตูเข้ามาน่ะสิครับ”
ตอบได้ศรีธนนชัยมากๆ

“บ่ใช่ กูหมายถึงใครเป็นคนเปิดประตูให้มึงเข้ามาต่างหากล่ะ”
แบงค์ขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เข้าที่

“ไม่ได้มีใครเปิดให้เข้ามาครับ เพราะประตูมันก็ไม่ได้ล็อกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
อึก...!!!

เถียงไม่ออกเลยกู ลืมไปเลยว่าปกติตัวเองเป็นพวกไม่ค่อยล็อกประตูห้องอยู่แล้วน่ะครับ ก็แบบขี้เกียจอะ บ้านตัวเองแท้ๆ ไม่รู้จะล็อกไปทำไมให้ยุ่งยาก

“อีกอย่างผมก็ไม่ได้ถือวิสาสะขึ้นมาเองนะครับ แต่คุณแม่ของนันท์นั่นล่ะครับ ใช้ให้ผมขึ้นมาปลุกนันท์เพราะว่านี่มันก็สายมากแล้ว เดี๋ยวจะไปโรงเรียนไม่ทันเอานะครับ”

ทันทีที่แบงค์พูดจบ ผมก็หันไปมองนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ซึ่งในความเป็นจริงมันส่งเสียงดังปลุกผมไปแล้วสองหรือสามรอบเห็นจะได้

“ชิบหายแล้ววว”
ผมอุทานเสียงดังทันทีที่เห็นเวลาพร้อมกับคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ข้างฝาผนัง ก่อนที่จะวิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว


“แม่ ทีหลังอย่าให้ใครที่ไหนเข้าห้องหนูง่ายๆ แบบนี้อีกนะ”
ผมโวยวายทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะอาหาร ก่อนที่จะนั่งลงด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย

“ห้องตัวเองก็หัดล็อกด้วยตัวเองสิ ถ้าบ่อยากให้ใครเข้า นี่ถ้าเกิดมีโจรมีขโมยอะไรเข้ามา เราคงโดนปล้น โดนฆ่าตายไปแล้วล่ะ”
ไอ้เรื่องเสียทรัพย์เสียชีวิตหรือไม่นี่ไม่รู้นะคุณกมลชนก แต่ถ้าเรื่องเสียตัวเสียพรหมจรรย์ล่ะก็คงอาจจะได้มีเร็วๆ นี้แน่ถ้าขืนยังเป็น
แบบนี้อยู่อีกล่ะก็ สงสัยหลังจากนี้คงต้องล็อกประตูห้องก่อนเข้านอนเสียแล้วแฮะ เพื่อสวัสดิภาพของร่างกายตัวเอง

“แล้วก็อีกอย่างนะ นาฬิกาปลุกดังตั้งกี่รอบ แม่ตะโกนเรียกตั้งกี่ครั้งแล้ว เราก็บ่ยอมตื่นสักทีน่ะสิ นอนกินบ้านกินเมืองจริงๆ เลยลูกคนนี้เนี่ย โตไปจะมีความรับผิดชอบได้ยังไง หัดเอาตัวอย่างดีๆ จากแบงค์เขามาบ้างสิเรา”

นั่น พูดไปหนึ่งโดนสวนกลับมาสิบเลยกู

คุณกมลชนกบ่นไปพร้อมกับนำสำรับอาหารเช้าขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ แบงค์หันมาอมยิ้มให้ผมทันทีที่คุณกมลชนกบ่นจบ รอยยิ้มนั้นช่างชวนให้รู้สึกน่าหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย

“ถ้าจะอวยกันซะขนาดนี้ ก็รับเป็นลูกบุญธรรมเลยมั้ยแม่”
“ก็ดีนะ แม่จะได้เอาเราไปปล่อยทิ้งที่วัด”
มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมา (หัวเน่า) ขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว ไม่น่าเปิดช่องเลยกู


หลังจากที่ผมและแบงค์กินข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราทั้งสองก็รีบไปโรงเรียนทันที โดยที่ผมไม่ลืมที่จะกอดและหอมแก้มของคุณกมลชนกเหมือนทุกครั้ง

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าเด็กหนุ่มที่มีนามว่าแบงค์คนนี้คือใคร ผมก็ขอตอบตามตรงแบบไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาเลยละกันนะครับว่า “แบงค์เป็นแฟนของผมน่ะครับ” อาศัยอยู่ที่หอพักข้างๆ บ้านผมนี่เอง

แห่ะๆ เขินนิดหน่อยเหมือนกันแฮะพอพูดกันตรงๆ เนี่ย เราทั้งสองเป็นแฟนกันมาได้ราวๆ ครึ่งปีเห็นจะได้แล้วน่ะครับ จุดเริ่มต้นมันก็มาจากตอนที่ผมโดนคำขู่พิฆาตจากแม่นั่นล่ะครับว่าถ้าผลการเรียนของผมยังไม่ดีขึ้น จะโดนส่งไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ ซึ่งถือได้ว่าเป็นฝันร้ายที่สุดสำหรับผมเลยก็ว่าได้ ผมจึงต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ และก็โชคดีที่ได้ไอ้โอ๊ตเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งช่วยแนะนำให้ได้รู้จักกับแบงค์

ตอนแรกๆ ก็แค่ติวหนังสือกันธรรมดาๆ นี่ล่ะครับ แต่ไหงไปๆ มาๆ ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ดันกลายมาเป็นแฟนกันได้เสียงั้น แต่ก็นั่นล่ะ คนมันรักไปแล้วนี่ จะต้องมีเหตุผลอะไรรองรับให้มากมายด้วยล่ะ

ฮิ้ววว พูดเองอายเองเว้ย

“มึง วันนี้ถ้าติวหนังสือเสร็จแล้ว เราไปหาหนังดูกันดีมั้ยวะ”
ผมเอ่ยถามขึ้นมาทันทีที่เราทั้งสองมาถึงโรงเรียน

“ก็ดีนะครับ ไม่ได้ไปดูหนังในโรงนานแล้วเหมือนกัน ว่าแต่จะดูเรื่องอะไรกันดีครับ”
แบงค์เอ่ยถามกลับมาพร้อมกับยื่นกุญแจรถจักรยานยนต์คืนให้ผม ผมย่นจมูกครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนที่จะเก็บกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนของตัวเอง

“ยังบ่รู้ว่ะ รู้แค่ว่าอยากไปดู”
แบงค์ขมวดคิ้วหรี่ตาลงด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น ในขณะที่ผมเองก็ได้แต่ฉีกยิ้มกลับไป ก็แหม คนเป็นแฟนกันมันก็ต้องมีเติมความหวานกันบ้างสิ ใช่ปะ แต่บอกแบงค์ไม่ได้หรอก เดี๋ยวแม่งจะได้ใจเกินไป

“เออน่ะ สรุปว่าตามนั้นนะเว้ย”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่นันท์ว่าละกัน ยังไงก็เจอกันหลังเลิกเรียนนะครับ”
เย่ สำเร็จ แบงค์ยกมือขึ้นมายีหัวของผมเบาๆ ก่อนที่จะเดินถอยหลังช้าๆ พร้อมกับส่งยิ้มเล็กๆ ให้ผม แล้วจึงหันหลังเดินจากไปด้วยความเร่งรีบ ในขณะที่ผมยังคงยืนอมยิ้มอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว ก่อนที่ระฆังซึ่งเป็นสัญญาณเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติจะช่วยเรียกสติผมให้กลับมา ผมจึงเร่งฝีเท้าด้วยความรวดเร็วทันที


“เฮ้อ เผลอแป๊บๆ ก็มอหกแล้วเหรอวะเนี่ย เวลาแม่งผ่านไปไวชิบหาย ปีหน้าก็เข้ามหาลัยแล้ว พอคิดถึงสาวๆ ในชุดมหาลัยรัดรูปแล้วก็....”
ไอ้ยีสต์เพื่อนสนิทคนนึงของผมเอ่ยขึ้นมาทันทีแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยในขณะที่พวกเรากำลังเข้าแถวรอสั่งอาหารเที่ยง

“นั่นสิครับ ไหนจะต้องอ่านหนังสือ เข้าคอร์สติวกวดวิชาเพิ่ม สอบเก็บคะแนนนั่นนี่นู่น พอคิดแบบนี้แล้วมันก็....”
อาการร่าเริงประหนึ่งปลากระดี่ได้น้ำของไอ้ยีสต์ต้องชะงักลงทันทีที่ได้ยินไอ้โอ๊ตเอ่ยแทรกขึ้นมา เจ้าตัวหันหลังกลับมาเขม่นคิ้วใส่ไอ้โอ๊ตที่กำลังจดจ่อสายตาอยู่กับเกมในมือถืออย่างรวดเร็ว

“ไอ้เหี้ยโอ๊ต มึงอย่าเพิ่งมาดับความฝันของกูได้ป่ะวะ”
ไอ้โอ๊ตนิ่งเงียบไปครู่นึงก่อนที่จะปิดเกมและเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมกับขยับแว่นตาทรงกลมอันหนาเตอะของตัวเองเบาๆ

“ก่อนจะฝันไปถึงเรื่องสาวๆ รบกวนคุณเพื่อนยีสต์หันหลังกลับไปดูสีหน้าของคุณเพื่อนเต้ยก่อนก็จะเป็นการดีนะครับ”
ไอ้โอ๊ตพูดพร้อมกับชีนิ้วไปยังไอ้เต้ยที่กำลังทำสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินไอ้ยีสต์เอ่ยถึงสาวๆ ทำเอาไอ้ยีสต์ถึงกับยิ้มแห้งหัวเราะแห่ะๆ กันเลยทีเดียว

สำหรับคนที่สงสัยว่าทำไมไอ้เต้ยถึงต้องทำสีหน้าไม่พอใจเวลาที่ได้ยินไอ้ยีสต์เอ่ยถึงสาวๆ แล้วล่ะก็ อืม จะว่ายังไงดีล่ะครับ คือสองคนนี้เขามีซัมติงกันอยู่น่ะ แต่ดูเหมือนด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ทั้งสองเลือกที่จะปิดเอาไว้เป็นความลับ ซึ่งจะว่าไปผมเองถึงจะโง่แบบนี้แต่ก็พอจะเดาได้อยู่เหมือนกัน เพราะจะว่าไปเรื่องที่ผมกับแบงค์เป็นแฟนกันก็ถือว่ายังเป็นความลับอยู่เหมือนกัน จะมีรู้กันก็แค่ไม่กี่คน เพราะฉะนั้นไอ้เต้ยที่เป็นถึงทายาทเจ้าของธุรกิจใหญ่โตที่มีกิจการหลากหลายทั่วภาคเหนือและยังถูกวางตัวให้รับช่วงต่อกิจการ กับไอ้ยีสต์ที่เป็นลูกชายคนเดียวของกิจการร้านขนมปังที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่ เมื่อมองดูถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่แปลกใจที่ทั้งสองเลือกจะเก็บเรื่องราวทั้งหมดไว้เป็นความลับ

พอคิดอย่างนั้นแล้ว มันก็ทำเอาผมถึงกับวิตกอยู่พอสมควรกับเรื่องราวของตัวเอง เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าวันใดวันนึงเกิดความแตกขึ้นมาผมจะทำยังไงดี ซึ่งคนที่ผมกลัวและไม่อยากให้รู้มากที่สุดก็เห็นทีจะเป็นพ่อของผมเองนี่ล่ะ จริงอยู่ว่าพ่อกับแม่ของผมจะหย่าขาดจากกันไปตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก แต่ยังไงเขาก็ยังมีสิทธิ์ของความเป็นพ่ออยู่ดี
ถามว่าพ่อของผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี เอาเป็นว่าแค่พูดถึงผมก็รู้สึกสยองขวัญขนลุกขนชันเสียววาบไปทั่วแผ่นหลังทันทีเลยล่ะ

“เฮ้ยไอ้นันท์ เดี๋ยวเย็นนี้มึงไปที่ชมรมด้วยนะเว้ย”
ไอ้เต้ยหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความดุดันเล็กน้อย

“แต่เย็นนี้กูมีธุระว่ะ”
“ธุระอะหยังวะ”
เจ้าตัวหันมาเขม่นคิ้วใส่ผมทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น

“ก็กูชวนแบงค์เขาไปดูหนังเย็นนี้อ่ะ”
“เออ งั้นก็ดีเลย ลากแบงค์มาด้วยละกัน กูมีเรื่องจะประชุม”
ไอ้เต้ยยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูดออกไป หรือจงใจทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่รู้เหมือนกัน

”เฮ้ย ก็กูบอกละไง ว่าเย็นนี้กูมีนัดกับแบงค์...”
“นี่บ่ใช่ประโยคขอร้อง แต่เป็นประโยคคำสั่งจากหัวหน้าชมรม โอเคมั้ย”
เช็ดเขร้ ตั้งแต่ได้เป็นหัวหน้าชมรมคนใหม่แทนพี่สาธิตที่เรียนจบออกไป ดูมึงจะเผด็จการมากเลยนะมึง แต่พูดออกไปไม่ได้หรอก กลัวมันต่อยเอา ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่คนชอบใช้กำลังแบบนั้นก็เหอะ แต่ก็อดที่กลัวๆ มันอยู่ไม่ได้เหมือนกันแฮะ

หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก (31-1-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 31-01-2020 22:06:14
“เข้าใจมั้ย!”
ไอ้เต้ยถามย้ำอีกรอบเมื่อเห็นท่าทีนิ่งเงียบของผม
“เออๆ รู้แล้วน่ะ”
ผมตอบตกลงกลับไปพร้อมกับขมวดคิ้วย่นจมูกเล็กน้อย ซึ่งก็ถือว่าเป็นท่าทีต่อต้านมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้วล่ะ



“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ไว้ค่อยไปดูหนังกันหลังเสร็จจากชมรมก็ได้นี่ครับ”
แบงค์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทันทีที่ได้ยินผมบ่นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“มันก็จริง แต่มันจะบ่ดึกไปหน่อยเหรอะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปพร้อมกับหยิบสมุดการบ้านออกมาจากกระเป๋าก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แบงค์

“ดึกแล้วยังไงเหรอครับ บ้านเราก็อยู่ใกล้ห้างนิดเดียวเอง”
ช่างกล้าใช้คำว่า “บ้านเรา” ได้อย่างหน้าตาเฉยเลยนะ แต่เอาเถอะขี้เกียจแย้ง เดี๋ยวจะยาว

“ก็กลัวจะไปกระทบเวลาส่วนตัวของมึงนี่นา แล้วไอ้เรื่องชมก็เหมือนกัน จริงๆ มึงบ่จำเป็นต้องไปทำตามคำสั่งของไอ้เต้ยมันให้มากนักก็ได้นะ”

ผมพยายามอธิบายกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะอันที่จริงแล้วแบงค์เองก็ไม่ใช่สมาชิกชมรมดนตรีหรอกครับ

แบงค์เขาเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพนู่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างก็เลยทำให้แบงค์ได้มาช่วยชมรมดนตรีของพวกผมน่ะครับ

เห็นแบงค์แบบนี้ก็เถอะ แต่ก็มีดีกรีเป็นถึงนักร้องนำของวงเลยนะครับ ถึงแม้รูปลักษณ์ตอนนี้จะขัดๆ กันดูไม่เหมือนนักร้องนำก็ตามทีเถอะ แรกๆ มันก็โอเคอยู่หรอกครับ แต่ตั้งแต่ไอ้เต้ยได้ขึ้นเป็นหัวหน้าชมรมคนใหม่ก็ดูจะไม่ค่อยเกรงใจแบงค์เท่าไหร่ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่ด้วยสถานะของตัวเองในชมรมก็ทำให้ผมไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มากนัก

“เอาน่ะครับ อย่าเครียดไปเลย มันก็ไม่ได้รบกวนเวลาส่วนตัวของผมเท่าไหร่หรอกครับ”
“แต่...”
“ผมเคยบอกแล้วนี่ครับว่าไม่มีใครบังคับหรือสั่งให้ผมต้องทำหรือไม่ทำอะไรได้หรอก หากผมไม่มีความต้องการตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นนันท์ก็อย่าคิดมากกับเรื่องนี้เลยนะครับ”
แบงค์เอยแทรกขึ้นมาทันทีโดยไม่รีรอให้ผมได้พูดอะไรต่อ พร้อมกับยื่นมือของตัวเองมากุมมือของผมเอาไว้แน่น

“เอาน่า ไม่ต้องคิดมาก ยิ้มหน่อยสิ นะ นะ ทำหน้าบูดแบบนี้มันดูไม่น่ารักไม่สมกับเป็นนันท์ของผมเลยนะครับ”
เดี๋ยวนะ ไอ้ลูกอ้อนพวกนี้มันอะไรกัน

“ยิ้มหน่อยสิ ยิ้มๆ ยิ้มนะ นั่นล่ะอย่างนั้นสิ นันท์ที่น่ารักของผม”
โอ้ยยยย ให้ตายสิ พอเจอลูกอ้อนกับรอยยิ้มนี้ทีไร อารมณ์หงุดหงิดที่มีก็พลันหายไปจนเผลอยิ้มตามไปด้วยทุกที

“ว่าแต่สรุปเราจะไปดูหนังเรื่องอะไรกันดีครับ”
แบงค์เอ่ยถามคำถามเดิมอีกรอบหลังจากที่ถามไปแล้วครั้งนึงแต่ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากผมไปเมื่อตอนเช้า

“ยังบ่รู้ เอาเป็นว่าไปถึงหน้าโรงแล้วมีเรื่องอะไรก็ดูเรื่องนั้นละกัน”
เป็นคำตอบที่โคตรจะเป็นนามธรรมและไร้ความรับผิดชอบมากเลยกู

“หือ แบบนี้ก็ได้เหรอครับ”
ผมยิ้มแห่ะๆ กลับไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับฝ่ามือของแบงค์จะสัมผัสลงบนหัวของผมเบาๆ ก่อนที่จะขยี้เล็กน้อยแต่ก็มากพอที่จะทำให้ทรงผมของผมนั้นเสียทรง ทว่าผมไม่ได้รู้สึกโมโหอะไรเลยแม้แต่น้อย กลับกันผมยิ่งมีความสุขมากขึ้นทุกครั้งที่แบงค์ยีหัวผมเล่น


ความสุขที่หาได้จากความธรรมดาง่ายๆ ใกล้ตัว
ความสุขที่ต่อให้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
ความสุขที่ผมจะไม่มีวันยอมเสียมันไปอย่างเด็ดขาด





ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เรียกสติของผมให้กลับมาสู่ความเป็นจริง ผมหันไปมองยังประตูห้องตัวเองด้วยความสงสัยก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นอีกรอบ

“โทษนะครับ บ่ทราบว่ามีคนอยู่หรือเปล่าครับ”
เสียงทุ้มแน่นเอ่ยถามลอดผ่านประตูเข้ามา เป็นสิ่งยืนยันว่าผมไม่ได้หูแว่วไปเอง ผมค่อยๆ ลุกตัวขึ้นเดินไปยังประตูก่อนที่จะเปิดมันออกอย่างช้าๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือชายหนุ่มหน้าตาดี วัยน่าจะไล่เลี่ยกับผม ความสูงน่าจะราวๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรกว่าๆ ร่างกายกำยำสมส่วนที่สื่อให้เห็นว่าต้องมีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสูง ยิ่งเมื่อรวมกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ กับเนคไทและสแลคสีดำเรียบ ก็ยิ่งเสริมบุคลิกภาพของอีกฝ่ายให้ดูดีมากยิ่งขึ้น

“สวัสดีครับ ...”
ผมเอ่ยทักทายอีกฝ่ายกลับไปอย่างไว้ท่าทีเล็กน้อย เจ้าตัวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบเผยยิ้มกว้างออกมาทันที

“สวัสดีครับ ขอโทษที่มารบกวนเวลาส่วนตัวนะครับ บ่ทราบว่าคุณ...เอ่อ...”
“นันท์ครับ”
ผมตอบกลับไปสั้นๆ

“ครับ นันท์นะครับ เพิ่งย้ายมาอยู่ใช่มั้ยครับ”
ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

“ผมชื่อภูนะครับ อยู่ห้องข้างๆ นี่เอง พอดีเห็นว่าย้ายเข้ามาใหม่ก็เลยจะมาแนะนำตัวทำความรู้จักกันไว้น่ะครับ ส่วนนี่ ถือว่าเป็นของแนะนำตัวเล็กๆ น้อยๆ ละกัน เป็นขนมที่คุณแม่ของผมท่านทำเองน่ะครับ พอดีท่านทำมาเยอะ ก็เลยเอามาแบ่ง ลองทานดูนะครับ อร่อยบ่อร่อยยังไงก็แนะนำติชมได้นะครับ ยินดีรับฟัง”
คนชื่อภูพูดด้วยความคล่องแคล่วพร้อมกับยื่นกล่องขนมที่ว่ามาให้ผม ทำเอาผมถึงกับรู้สึกเกร็ง เก้ๆ กังๆ อยู่พอสมควร แต่ด้วยท่าทีและรอยยิ้มของอีกฝ่ายจึงทำให้ผมไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ ผมรับมันมาพร้อมกับยิ้มและกล่าวขอบคุณกลับไป

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้นะครับ ยินดีช่วยบ่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวยังไงผมขอตัวก่อนนะครับบ่กวนแล้ว ไว้เจอกันนะครับ”
ภูกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีสุภาพพร้อมกับก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ผมโค้งตัวยิ้มขอบคุณกลับไปอีกรอบ อีกฝ่ายยิ้มกว้างด้วยความดีใจทันทีที่เห็นท่าทีนั้นของผมก่อนที่จะเดินกลับไปยังห้องตัวเอง ผมมองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายปิดประตูห้อง ผมจึงปิดประตูกลับเข้ามาในห้องตัวเอง

ผมยืนมองกระปุกพลาสติกในมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ เปิดมันออกอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวังเพราะกลัวว่าขนมข้างในจะกระเด็นหรือเสียรูปทรง เนื่องด้วยตัวผมเองนั้นค่อนข้างจะเป็นคนที่ค่อนข้างซุ่มซ่ามอยู่พอสมควร

คุกกี้รูปดาวและหัวใจคือขนมที่ถูกบรรจุเอาไว้ในกระปุกที่ว่า ผมนิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาลองชิมดูชิ้นหนึ่ง รสหวานแผ่กระจายไปทั่วลิ้นทันทีที่คุกกี้ถูกเคี้ยว แต่ถึงแม้มันจะมีรสชาติที่หวานไปหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารสชาติของมันก็อร่อยไม่ใช่น้อย ยิ่งถ้าได้กินคู่กับชาร้อนๆ สักถ้วยก็คงจะยิ่งเสริมความอร่อยอยู่พอสมควร

ผมหวนนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่ายที่เป็นเจ้าของขนมคุกกี้กล่องนี้

ชื่ออะไรนะ เอ้อใช่ ภู นั่นเอง เห็นครั้งแรกก็นึกว่าเซลล์ขายของมาหลอกขายอะไรให้เสียอีก เสียมารยาทมากเลยนะกูเนี่ยที่ไปมองเขาในแง่ไม่ดี

เอาเถอะ รู้จักกันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ อย่างที่ภูว่าไว้น่ะล่ะ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้
ผมปิดฝากระปุกให้เข้าที่ก่อนที่จะเอามันไปเก็บไว้ในตู้เย็น โดยคิดเอาไว้ในใจว่าหากพรุ่งนี้ไม่ลืมก็จะแวะหาซื้อชาในซุปเปอร์มาเกตมาไว้ทานคู่กับคุกกี้นี่เสียหน่อย
ผมรีบจัดแจ้งข้าวของที่เหลือเท่าที่พอจะจัดได้ด้วยความเร่งรีบเพราะอีกไม่มากนักก็จะถึงเวลาที่นัดกับพวกเพื่อนๆ ไว้แล้ว


เอาล่ะ คอนโดใหม่ งานใหม่ เพื่อนร่วมคอนโดใหม่ อะไรๆ ก็ใหม่หมด
รวมไปถึงชีวิตบทใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วด้วย
สู้ๆ นะ ไอ้นันท์


จบคาบเรียนที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก (31-1-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-05-2020 03:07:56
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 2 (12-6-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 12-06-2020 04:38:30
คาบเรียนที่สอง

ณ ร้าน Mysticร้านเหล้าแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของห้างเมญ่า
“เอ้า ชนแก้วหน่อยเว้ย แด่มิตรภาพ”

เสียงร่าเริงของไอ้ยีสต์เอ่ยขึ้นทันทีที่เบียร์ถูกนำมาเสิร์ฟยังโต๊ะ ตามด้วยเสียงแก้วที่ภายในเต็มไปด้วยน้ำสีทองใสราวกับอำพันกระทบกันดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่พวกเราทั้งสี่จะยกแก้วขึ้นจิบจนฟองเบียร์สีขาวที่เคยเกาะติดอยู่ที่ขอบปากแก้วได้ย้ายมาอยู่ที่ริมฝีปากเสียแล้ว

“นานเท่าไหร่แล้วครับ ที่พวกเราไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามขึ้นในขณะที่สายตามันยังคงจดจ้องอยู่กับเกมในมือถือ ซึ่งเป็นภาพปกติที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“นั่นสิ น่าจะราวๆ ปีกว่าเกือบสองปีได้แล้วมั้ง”
ผมพยายามย้อนภาพความหลังเท่าที่จำได้ เพราะหลังจากจบชั้นมัธยมปลายพวกเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปเรียนต่อกันคนละที่คนละทาง ไกลสุดก็คงเป็นไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์ที่ไปเรียนต่อถึงกรุงเทพฯ ในขณะที่ผมกับไอ้โอ๊ตเลือกเรียนต่อที่เชียงใหม่
ซึ่งพอลองนึกย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนั้นตัวเองจบมัธยมปลายเข้ามหาลัยได้ยังไง ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ส่วนหนึ่งก็คงต้องขอบคุณคนๆ หนึ่งด้วยล่ะ

ใช่แล้ว คนๆ นั้นก็คือแบงค์นั่นเอง คนที่ช่วยติวให้ผมมาตลอดในช่วงเวลาวิกฤติทางการเรียนของผม ณ ตอนนั้น
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ตามที

“แล้วคุณเพื่อนเต้ย กับคุณเพื่อนยีสต์เป็นยังไงมั่งครับ ชีวิตเด็กกรุงเทพฯ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบ ไอ้เต้ยเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบทีหนึ่งก่อนที่จะใช้ปลายลิ้นเลียฟองเบียร์ที่เลอะอยู่แล้วจึงยิ้มมุมปาก

“ก็ดีนะ ไกลหูไกลตาป๊ากูดี ได้ทำอะหยังอิสระมากขึ้น”
ไอ้เต้ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางหันไปมองไอ้ยีสต์ที่กำลังเหล่มองสาวโต๊ะข้างๆ อย่างไม่ละสายตา

“แต่ก็คงอิสระได้บ่ตลอดชีวิตหรอก เพราะยังไงสุดท้ายกูก็ต้องย้ายปิ๊กมาเชียงใหม่อยู่ดี”
“แล้วมึงจะย้ายกลับมาเมื่อไหร่วะ”

ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น
“ก็จนกว่าไอ้เหี้ยยีสต์มันจะเรียนจบนั่นล่ะ”

ไม่พูดเปล่า ไอ้เต้ยยังเอามือโบกใส่หัวไอ้ยีสต์อีกด้วย ทำเอาอีกฝ่ายเผลอส่งเสียง ‘โอ๊ย’ จนสาวๆ โต๊ะข้างๆ เหลียวมามอง ซึ่งก็เข้าทางไอ้ยีสต์พอดีจนเจ้าตัวถึงกับส่งสายตายิ้มหวานให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ไอ้เต้ยอยู่นิ่งเฉยไม่ได้จึงเอาแขนคล้องคอไอ้ยีสต์ไว้แน่นก่อนที่จะเอนหัวเข้าซบไหล่อีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด จนสาวๆ โต๊ะข้างๆ ต่างมองแล้วอมยิ้มหันไปซุบซิบกันในกลุ่ม

“โห่ อะหยังของมึงเนี่ย ไอ้เต้ย ดูดิพวกสาวๆ เขามองแปลกๆ เลยเห็นปะวะ”
“ก็ดีแล้วนี่”

“ดีเหี้ยอะหยังล่ะ มึงนี่คอยขัดแข้งขัดขากูตลอด กะจะให้กูเป็นโสดไปตลอดชาติเลยรึไงวะ”
“อืม โสดเป็นเพื่อนกูไปทั้งชาตินี่ล่ะ คือสิ่งที่กูต้องการ บ่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวกูรับผิดชอบดูแลชีวิตมึงเอง”
“ตลอดไปด้วยมั้ย”

ไอ้ยีสต์ถามย้ำ
ไอ้เต้ยพยักเพยิดหน้าตอบอือในลำคอกลับไปเบาๆ พลางหยิบเบียร์ขึ้นมาจิบอีกหนึ่งอึกด้วยท่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะเว้ย”
“เออ กูเคยผิดสัญญาปะเหอะ มีแต่มึงน่ะล่ะ พี่ผิดคำพูดตลอดเลย สัส”
ไอ้เต้ยกับไอ้ยีสต์ปะทะคารมกันเล็กน้อยพอเป็นกระษัย ซึ่งถ้าคนที่ไม่รู้จักสองคนนี้มาก่อน อาจจะคิดว่าไอ้สองคนนี้มันมีอะไรแปลกๆ กัน แต่ด้วยความที่พวกผมรู้จักกันมานานก็เลยรู้สึกชินชากับลักษณะเหตุการณ์แบบนี้ไปเสียแล้ว

 “ว่าแต่คุณเพื่อนยีสต์ยังเรียนไม่จบอีกเหรอครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามพลางขยับแว่นของตัวเองให้เข้าที่

“มีเวลาให้เรียนตั้งแปดปี ก็ใช้ให้คุ้มดิ จะรีบไปไหนวะ อีกอย่างถ้าจบเร็วก็ต้องปิ๊กมาเชียงใหม่เร็ว”
“มึงบ่อยากปิ๊กมาเชียงใหม่กันเหรอวะ”
คราวนี้เป็นผมที่เอ่ยถามบ้าง ไอ้ยีสต์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เม้มปากขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งแล้วเอนหลังไปพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์

“ก็อยากปิ๊กมานั่นล่ะ แต่ยังบ่ใช่ตอนนี้ ก็อย่างที่ไอ้เต้ยมันว่าน่ะล่ะ อยู่นู่นก็อิสระดี ก็เลยขออิสระอีกสักหน่อย แต่เอาจริงๆ ที่กูยังบ่จบ บ่ใช่เพราะกูบ่ยอมจบหรอก แต่กูยังบ่จบจริงๆ นั่นล่ะ ยังเหลือแก้นั่นนี่นู่นอีกหลายอย่างเลยเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไอ้ยีสต์พูดพลางหัวเราะ ในขณะที่ไอ้เต้ยก็ยังคงเอนหัวพิงไหล่ไอ้ยีสต์อยู่พร้อมกับสไลด์มือถือเล่นไปด้วย

“มึง พรุ่งนี้ไปแอ่วม่อนอิงดาวกันปะ ก่อนกลับกรุงเทพฯ กูอยากไปว่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นหน้าจอมือถือให้ไอ้ยีสต์ดู เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รับมือถือจากไอ้เต้ยมาดูพร้อมกับหรี่ตามองหน้าจอแล้วสไลด์หน้าจอขึ้นลงอยู่พักหนึ่ง

“เอาดิ สวยดี ถ้ามึงอยากไป กูก็ไป”
“โอเค งั้นเดี๋ยวกูจองที่พักเลยละกัน”
ไอ้เต้ยดันตัวขึ้นมาพร้อมกับหยิบมือถือคืนมาจากไอ้ยีสต์ ก่อนจะหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มแล้วจัดการจองที่พักตามที่ทั้งสองตกลงกัน

เฮ้อออ ก็ไม่เข้าใจพวกมันสองคนเหมือนกันว่าทำไมไม่ยอมรับแล้วก็เปิดตัวไปสักทีให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ว่าไม่ได้ เอาเข้าจริงๆ ก็พอจะรู้เหตุผลลึกๆ นั้นอยู่เหมือนกันน่ะล่ะ เพราะงั้นที่ผ่านมาสิ่งที่ผมเห็นมาตลอดก็คือมักจะเห็นพวกมันสองคนถ่ายรูปเช็กอินไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอด้วยสีหน้าที่ยิ้มแป้น แต่วันดีคืนดีก็จะเห็นไอ้ยีสต์โพสต์เวิ่นเว้อถึงความรักราวกับคนโสด ในขณะที่ไอ้เต้ยก็โพสต์เพลงโพสต์กลอนเกี่ยวกับความรักไปเรื่อยอย่างคนมีความสุข

ถึงกระนั้นพวกมันสองคนก็อยู่กันมาแบบนี้ได้หลายปีแล้วเหมือนกันนะเนี่ย
ก็เป็นคู่ที่แปลกดีเหมือนกันแฮะ
ในขณะที่ความรักของผม...

ณ ห้องชมรมดนตรี
“เอาล่ะ ที่เรียกมาประชุมในวันนี้ ก็น่าจะพอทราบกันอยู่บ้างแล้วนะ เกี่ยวกับปัญหาของชมรมเราในตอนนี้”
ไอ้เต้ยเริ่มต้นเอ่ยขึ้นทันทีที่องค์ประชุมมากันครบ

แต่แหม ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เหอะ ไอ้คำว่าองค์ประชุมที่ว่าเนี่ย เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้นหรอก เพราะชมรมดนตรีแห่งนี้ก็มีสมาชิกอยู่ไม่กี่คนเอง ประกอบด้วย ไอ้เต้ย หัวหน้าชมรมคนใหม่และยังเป็นมือกีตาร์ไปด้วยในตัว ไอ้น้องไนท์ มือเบสฝีมือฉมัง มายด์ หญิงสาวคนเดียวในชมรมผู้ซึ่งเป็นนักร้องนำหญิง กอล์ฟ มือคีย์บอร์ด ไอ้นี่บทจืดจางไม่ต้องไปสนใจมันหรอก แบงค์ สุดที่รักของผม (พูดเองอายเองว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า) นักร้องนำชาย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วแบงค์ก็ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมนี้แบบเป็นทางการด้วยซ้ำ เพราะเจ้าตัวนั้นเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพต่างหาก แต่แค่มีเหตุบางอย่างเลยทำให้เจ้าตัวเลือกที่จะมาช่วยชมรมดนตรีบ้างตามโอกาส และสมาชิกคนสุดท้ายของชมรมแห่งนี้ก็คือผมนั่นเอง

“จนถึงตอนนี้ เราก็ยังบ่สามารถหามือกลองคนใหม่มาแทนพี่สาธิตที่จบออกไปแล้วได้เลย”
“อันที่จริงมันก็มีมาสมัครอยู่ตลอดนะล่ะ แต่มึงบ่เอาเขาเองมากกว่า”
ผมเอ่ยแทรกขึ้นไปเบาๆ ก่อนที่จะรีบหุบปากพาซวยของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอำมหิตจากสายตาของไอ้เต้ย

“นี่ก็ใกล้จะถึงงานนอกสถานที่ที่อาจารย์แกไปรับเอาไว้แล้วด้วยใครพอจะมีข้อเสนออะหยังบ้างมั้ย”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่กำลังตกอยู่ในบรรยากาศเงียบงันจนชวนให้รู้สึกวังเวงอยู่ไม่ใช่น้อย

“อันที่จริง มึงก็แค่เลือกๆ เอาใครสักคนจากพวกที่เคยๆ มาสมัครมันก็จบเรื่องไปนานแล้วแท้ๆ”
ผมเอ่ยแทรกขึ้นไปอีกรอบด้วยความลืมตัว ทำเอาไอ้เต้ยถึงกับหันมามองด้วยสีหน้านิ่งเฉย พร้อมกับล้วงหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนของตัวเอง บัตรสมาร์ตเพิร์ตสีดำขลับถูกหยิบขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะยื่นมันมาให้ผม

“ในบัตรน่าจะมีอยู่ประมาณสี่ร้อยกว่าๆ มึงอยากแดกอะหยังก็ไปซื้อมา มันอาจจะช่วยทำให้ปากของมึงหุบลงได้บ้าง”
ผมมองเจ้าบัตรสมาร์ตเพิร์ตที่อยู่ในมือของอีกฝั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะไหวข้อมือสองสามครั้งเพื่อย้ำเตือนให้ผมทราบถึงหน้าที่และบทบาทของตัวเองในชมรมดนตรีแห่งนี้

ใช่ครับ หน้าที่หลักของผมในชมรมดนตรีแห่งนี้ก็คือ เจเนรัลเบ๊ ด้วยความที่เล่นดนตรีเหี้ยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ขนาดเป่าขลุ่ยในวิชาดนตรียังเพี้ยนเลยคิดดู แต่ยังเสือกสะเออะมาอยู่ชมรมดนตรี เพราะงั้นหน้าที่เจเนรัลเบ๊ก็คงจะเหมาะสมกับผมมากที่สุดในชมรมดนตรีแห่งนี้แล้วล่ะ

ผมรับบัตรนั้นมาด้วยสีหน้าระอาเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักก่อนที่จะลุกตัวขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความเอื่อยเฉื่อย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องชมรมดังขึ้นดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปมองพร้อมกัน

“สุมาเต๊อะครับ มีใครอยู่มั้ยครับ”
เสียงทุ้มฟังดูห้าวๆ เอ่ยแทรกถามเข้ามา ผมหันไปมองหน้าไอ้เต้ยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสำเหนียกตัวเองได้ว่าคนที่สมควรจะไปเปิดประตูไม่ใช่ใครที่ไหน

ก็ตัวกูเองนี่ล่ะ

อนึ่ง คำว่าสุมาเต๊อะคือภาษาเหนือครับ แปลเป็นภาษากลางได้ว่า ขอโทษ อะไรประมาณนั้นครับ

ผมค่อยๆ แง้มประตูช้าๆ แล้วชะโงกหัวออกไปดู ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนขาสั้นสองคนกำลังยืนอยู่หน้าประตู คนหนึ่งตัดผมสั้นเกรียนทั้งหัว ตัวสูงใหญ่กว่าผม ผิวสีแทน รูปร่างสมส่วน คิวเข้มหนาคือจุดเด่นที่สุดบนใบหน้าที่ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่นัก ในขณะที่อีกคนกลับดูสวนทางอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ร่างกายจะดูสูง (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ใครๆ แม่งก็สูงกว่าผมทั้งนั้นล่ะ ซึ่งกูเกลียดความจริงข้อนี้โว้ยยย) แต่กลับดูผอมแห้งไม่มีน้ำไม่มีนวล จนพาลทำให้คิดว่าเป็นโรคขาดสารอาหารหรือเปล่านะ ยิ่งสีหน้าที่ดูขาดความมั่นใจภายใต้แว่นตาหนาทรงสี่เหลี่ยมบวกกับการที่เอาแต่ยืนหลบอยู่ข้างหลังอีกคนจนไม่รู้จะเรียกว่าจืดจางหรือกลายเป็นจุดเด่นดี

“มีธุระอะหยังครับ”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเพราะกลัวว่าหากพูดอะไรไม่เข้าหูอาจจะโดนอีกฝ่ายประเคนหมัดเข้าที่เบ้าตาเอาได้ จริงอยู่ว่าหน้าตาผมอาจจะดูเถื่อนๆ โผงผางบ้าง แต่ในความเป็นจริงผมนั้นเป็นคนไม่สู้คนเท่าไหร่นัก

เด็กหนุ่มหัวเกรียนมองผมด้วยสายตาราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่างในหัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเอนตัวไปมองใบประกาศที่แปะอยู่หน้าห้องครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมาหรี่ตามองผมอีกรอบด้วยความสงสัย

“เอ่อ ที่นี่ใช่ห้องของชมรมดนตรีแม่นก่อครับ”
เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามขึ้น ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบอย่างรวดเร็ว

“จะมาสมัครเข้าชมรมเหรอ”
ผมเอ่ยถามกลับไป อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมาแทนคำตอบ ผมจึงค่อยๆ เปิดประตูออก เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา

“เอ่อ สองคนนี่เขา...”
“เออ กูได้ยินแล้ว บ่ได้หูตึง”
ผมขมวดคิ้ว ย่นจมูกทันทีที่โดนไอ้เต้ยตัดบทอย่างไร้ความปรานี

“จะมาสมัครตำแหน่งอะหยังน่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามพร้อมกับกอดอกวางมาด ซึ่งทำไมผมดูแล้วรู้สึกหมั่นไส้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“ก็พี่ประกาศรับสมัครตำแหน่งอะหยังล่ะครับ ผมก็มาสมัครอันนั้นน่ะล่ะ”
เอ้า ไอ้น้องนี้กวนตีนใช้ได้เว้ย งั้นงานนี้กูเชียร์มึงละกันไอ้น้อง ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่ดูเหมือนว่าไอ้เต้ยจะคงไม่ชอบใจในคำตอบนั้นของอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก จนเกือบจะถลาตัวเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับกำหมัดแน่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่โชคดีที่มายด์กุมแขนของไอ้เต้ยรั้งเอาไว้ทัน ไม่งั้นได้มีเฮแน่ เพราะดูเหมือนว่าไอ้น้องคนนี้ก็จะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

“เออๆ แล้วมึงจะเล่นเพลงอะหยังให้พวกกูฟังวะ”
“เต้ย พูดกับเขาเพราะๆ หน่อยสิ”
มายด์พยายามที่จะเตือนสติไอ้เต้ย ก่อนที่จะหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสอง

“บ่ทราบว่าทั้งสองอยู่ชั้นมอไหนเหรอคะ”
“มอสี่ครับ”
คนตัวโตตอบกลับไปด้วยท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นพวกดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายกลับอย่างนั้นเรอะ

“งั้นก็เป็นรุ่นน้องสินะคะ เอ่อ แล้ววันนี้จะมาออดิชั่นด้วยเพลงไหนเหรอคะ”
“ผมขอยืมคอมพ์ฯ ตรงนั้นใช้หน่อยได้มั้ยครับ”
เด็กหนุ่มหัวเกรียนเอ่ยถามพลางชี้นิ้วไปยังคอมพ์ฯ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง มายด์หันไปมองตามก่อนที่จะหันไปหาเต้ย เจ้าตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของมายด์ก็พยักหน้าเป็นคำตอบแทนเธอ เด็กหนุ่มหัวเกรียนซึ่งถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรเดินตรงไปยังคอมพร้อมกับหยิบเปิดเว็บยูทูบขึ้นมา

“ไอ้นันท์ เมื่อไหร่มึงจะไปซื้อของสักทีวะ”
ไอ้เต้ยหันมาถามผมด้วยสายตากดดันเล็กน้อย

“เอ้า ก็กูกะว่าจะรอฟังน้องเขาออดิชั่นก่อนไง”
ผมเอ่ยตอบกลับไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า ออดิชั่น นั้นมันแปลว่าอะไร แค่เห็นมายด์พูดแล้วมันเท่ดีก็เลยอยากพูดตาม รู้แค่ว่าชื่อของมันเหมือนชื่อเกมออนไลน์เกมหนึ่งซึ่งเป็นเกมแนวเต้น แต่ชมรมเรามันชมรมดนตรีนี่หว่า ไม่ใช่ชมรมเต้น แล้วมันเกี่ยวข้องกันยัง...

“เรื่องนั้นบ่เกี่ยวกับมึง เดี๋ยวพวกกูจัดการเอง ส่วนมึงน่ะรีบๆ ไปซื้อขนมมาอุดปากมึงเดี๋ยวนี้”
ไอ้เต้ยรีบพูดตัดบทตัดความคิดของผมพร้อมกับสะบัดมือไล่ผมด้วยสีหน้าเอือมระอา ผมย่นจมูกด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก่อนที่จะหันไปมองแบงค์ที่นั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ สมาชิก แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพร้อมกับชูสองนิ้วเป็นกำลังใจให้ผมซึ่งมันก็พอจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

ผมจึงรีบมุ่งหน้าไปยังเซเว่นและเลือกซื้อของด้วยความรวดเร็วแต่ด้วยเพราะช่วงเวลายามเย็นเช่นนี้ ลูกค้าของเซเว่นมักจะเยอะเป็นปกติ จึงทำให้คิวค่อนข้างจะยาวอยู่พอสมควร ซึ่งทันทีที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบกลับมายังห้องชมรมทันที เพราะอยากจะรีบกลับมาฟังไอ้กวนตีนนั่นมันตีกลองว่าจะเก่งแค่ไหน

ทว่า ...


จบคาบเรียนที่สอง
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 3 (4-7-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-07-2020 02:39:38
คาบเรียนที่สาม

“เอาล่ะ เอาเป็นว่าก็ตามมติเสียงข้างมากอย่างเป็นเอกฉันท์ ตอนนี้เราก็ได้มือกลองคนใหม่แล้ว ส่วนวันนี้ก็เย็นมากแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้อีกทีละกัน แล้วเราค่อยมาประชุมอีกรอบ โอเค แยกย้ายได้”

หือ ???????????????????????????????????????????????

ทุกคนลุกขึ้นเก็บข้าวของเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมได้แต่ยืนนิ่งตะลึง งงกับเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมกับถุงขนมที่ถืออยู่ในมือทั้งสองข้าง

“บัตรกูล่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับยื่นมือมาทางผม ผมวางถุงขนมลงกับพื้นก่อนจะล้วงหยิบบัตรสมาร์ตเพิร์ตในกระเป๋ากางเกงคืนให้อีกฝ่าย ทันทีที่ไอ้เต้ยได้บัตรคืนก็เดินแทรกตัวผ่านผมกับแบงค์ไปทันทีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดี๋ยว แล้วขนมพวกนี้ล่ะ”

“ก็เก็บไว้อุดปากมึงนั่นล่ะ ล็อกห้องชมรมให้ด้วย เอ้อ แล้วพรุ่งนี้ก็มาชมรมด้วยล่ะ กูไปละ”
ไอ้เต้ยตอบพร้อมกับโยนกุญแจมายังผม ผมรีบรับมันอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะทำกุญแจตกลงพื้น ผมหันไปมองแบงค์ที่กำลังอมยิ้มกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนหมาสงสัยของผม


ณ ห้างเมญ่า
“สรุปมันอะหยังยังไงกันน่ะ”
ผมเอ่ยถามแบงค์ทันทีที่ซื้อตั๋วหนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“หืม เรื่องอะไรครับ หนังเหรอ ก็....”
“บ่ใช่เว้ย บ่ใช่เรื่องหนัง เรื่องชมรมต่างหาก”
ผมรีบตัดบทแบงค์ทันทีด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวจะออกทะเลไปกันใหญ่

“อ๋อ ก็ตามที่เต้ยเขาว่านั่นล่ะ ตอนนี้ชมรมเราได้มือกลองคนใหม่แล้วไงครับ”
“ขอรายละเอียดให้มันมากกว่านั้นหน่อยได้มั้ย”
ผมถามย้ำอีกรอบ จนบางทีก็มีความคิดในหัวว่าหลังๆ มานี้แบงค์ดูจะพยายามกวนตีนผมยังไงก็ไม่รู้แฮะ แบงค์หัวเราะในลำคอเล็กน้อยพร้อมกับยีหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผมที่ตอนนี้คิ้วกำลังขมวดจนแทบจะผูกโบว์กันได้แล้ว

“อะ ไม่กวนแล้วก็ได้ครับ”
นั่นไง กำลังกวนตีนกูอยู่จริงๆ ด้วย

“ก็น้องเขาเลือกเพลงไร้หัวใจของวงค็อกเทลมาทดสอบน่ะครับ รู้จักเพลงนี้มั้ยครับ”
ผมส่ายหัวทันทีที่ได้ยินชื่อเพลง คือวงนี้น่ะรู้จัก แต่เพลงนี้ไม่เคยได้ยินแฮะ แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ล้วงหยิบมือถือตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับหูฟังจากกระเป๋านักเรียน แล้วจึงกดค้นหาเพลงจากยูทูบ ก่อนที่จะยื่นมือถือและหูฟังมาให้ผม

“อ่ะ ลองฟังเพลงนี้ให้จบก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าต่อ”
ผมรับมือถือและหูฟังนั้นมา เมื่อใส่หูฟังเข้าที่เรียบร้อยแล้วผมก็กดเพลงไร้หัวใจที่ว่านั้นทันที


ไร้หัวใจ Heartless – Cocktail

https://www.youtube.com/watch?v=0qWxTq_MPSY (https://www.youtube.com/watch?v=0qWxTq_MPSY)


ไร้หัวใจ เธอไม่เคยรับรู้เธอไม่ยอมเข้าใจเธอมองปัญหาของเธอ ว่าเป็นเรื่องใหญ่
เธอไม่เคยมองใจของคน
ไม่รู้สึก ข้างในส่วนลึกของเธอทำด้วยอะไรมันถึงได้ด้านชา ไร้น้ำตาข้างใน
เธอไม่เคยสะเทือน

พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

ไร้หัวใจเธอ เธอมองความรักของฉันว่าเป็นเช่นไรเธอจึงได้ขว้างปา ไร้น้ำตาหัวใจ
เธอมันคงไม่ใช่ของคน
   ไม่รู้สึก ข้างในส่วนลึกของเธอทำด้วยอะไรเธอถึงโหดร้าย เธอฆ่าฉันตายข้างใน
เธอไม่เคยมองเห็น

พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

   เพราะฉันอ่อนแอเกินจะทนไหวหัวใจอ่อนแรงเกินกว่าใคร
   เพราะฉันอ่อนแอเกินจะทนไหวหัวใจอ่อนแรงเกินกว่าใคร
ไร้หัวใจ ไร้หัวใจ ไร้หัวใจ

   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง
   พูดอีกคำก็แรง พูดอีกคำก็แทงโลหิตเป็นสีแดง ไหลออกมาเป็นทาง

“จบแล้ว”
“คิดว่ายังไงมั่งครับ”
แบงค์เอ่ยถามทันทีที่ผมยื่นมือถือกลับคืนไป ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าโรงหนัง

“ก็เพราะดี แต่ฟังยากไปหน่อย หลอนๆ ยังไงบ่รู้ว่ะ”
แบงค์หัวเราะทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นจากผมก่อนที่จะเก็บหูฟังใส่กระเป๋านักเรียน

“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันที่น้องเขาเปิดให้ฟังรอบแรก แต่พอรอบสองที่น้องเขาตีกลองตามไปด้วย ผมกลับคิดว่าน้องเขาเลือกเพลงมาทดสอบได้ดีเหมือนกันแฮะ”
“ยังไงวะ”
“อันนี้เป็นความเห็นจากคนอื่นๆ ในชมรมนะครับ เพราะผมเองก็ไม่สันทัดเรื่องดนตรีเท่าไหร่ พวกเขาบอกว่า เพลงนี้จังหวะกลองดี มีตั้งแต่เบาในตอนต้น พอดีในช่วงกลาง และหนักหน่วงโชว์จังหวะในตอนท้ายได้อย่างลงตัว”
แบงค์ทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตดูสีหน้าของผม เมื่อเห็นว่าผมเข้าใจในสิ่งที่พูดแบงค์ก็เอ่ยต่อทันที

“เต้ยบอกว่า ในบรรดาคนที่เข้ามาทดสอบนั้นทุกคนมักจะเล่นใหญ่ เล่นอลังการมากเกินไปเหมือนกะจะโชว์ตัวเองเด่นเต็มที่ ซึ่งมันไม่ใช่”
“อ้าว บ่ใช่ยังไงล่ะ”
“ก็เพลงๆ นึงมันประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดใช่มั้ยล่ะครับ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“ก็นั่นล่ะครับ ก็เพราะเพลงนึงประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลายชนิด เพราะงั้นจึงจำเป็นอย่างนึงที่จะต้องคุมจังหวะของแต่ละคนให้ดี รู้หน้าที่ว่าช่วงไหนสมควรจะเป็นของใครที่เด่นกว่า ลองนึกภาพวงที่ต่างคนต่างเอาแต่จะแย่งบทเด่นดูสิครับ กลองจะเอาแต่ตีตึงๆๆๆ กีตาร์ได้ยินเสียงกลองกลบตัวเองก็เร่งของตัวเองให้เด่นบ้าง เบสเห็น เอ้า เอาด้วยเดี๋ยวไม่เด่น นักร้องได้ยิน ก็แหกปากร้องสุดเสียงเพราะกลัวคนฟังไม่ได้ยิน สุดท้ายมันก็ล่ม คนฟังฟังไม่รู้เรื่อง แต่น้องคนนี้เขาคงจะรู้ถึงจุดนี้ ก็เลยรู้จังหวะว่าตรงไหนควรหลบ ตรงไหนคือจังหวะโชว์ของตัวเองน่ะครับ”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เข้าใจละ ดีๆ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันสักทีกับการหามือกลองเนี่ย ไอ้เต้ยนะไอ้เต้ย ทำอย่างกับเดอะ สตาร์ ค้นฟ้าคว้ามือกลองไปได้”
“เอาน่ะครับ เขาเป็นหัวหน้าชมรมนี่ครับ ความรับผิดชอบเขาก็ต้องมี เขาก็เลยต้องคัดเพื่อคุณภาพของชมรมยังไงล่ะ”
แบงค์พยายามอธิบายให้ผมมองในอีกมุมมองที่ผมไม่เคยสังเกต ซึ่งพอมาลองคิดตามที่แบงค์พูด มันก็จริงเหมือนกันแฮะ

“แต่ก็หวิดเกือบจะไม่ได้แล้วเหมือนกันแฮะ ตอนนั้นเนี่ย”
แบงค์พูดพร้อมกับเกาจมูกตัวเองเบาๆ

“ทำไมอีกล่ะ”
“ก็น้องอีกคนที่ตัวผอม ๆ ที่มาด้วยกันน่ะครับ”
“อื้ม ทำไมวะ”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แบงค์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ก็พอเต้ยถามว่าเล่นอะไรได้มั้ย น้องมือกลอง...”
“เดี๋ยว ๆ กูขอคั่นเวลาแป๊บ”

“อะไรครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง

“ตั้งแต่เมื่อกี้ละ มึงเรียกน้องมือกลองบ้างล่ะ น้องผอมๆ บ้างล่ะ สรุปน้องมันบ่มีชื่อเหรอ”
เออ นั่นล่ะ สมควรจะเป็นคำถามที่กูควรจะเอ่ยถามตั้งนานแล้ว

“เออใช่ น้องมือกลองชื่อพล ส่วนคนผอมๆ ชื่อตี๋เอ๋อครับ”
เอาล่ะ หายคาใจแล้วกู แต่เดี๋ยวนะ

“ตี๋เอ๋อ”
“ครับ”
“ชื่อตี๋เอ๋อเนี่ยนะ”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”
“คนบ้าอะหยังชื่อตี๋เอ๋อวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยปนหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้น

“ผมก็สงสัยเหมือนกันนั่นล่ะครับ ตอนได้ยินครั้งแรกทุกคนก็ยังตะลึงเหมือนกัน แต่น้องพลก็ยืนยันว่าน้องเขาชื่อตี๋เอ๋อจริงๆ ทุกคนก็เลยปล่อยผ่านไม่ถามอะไรต่อ”
ผมกุมขมับทันทีที่ได้ยินแบงค์พูดเช่นนั้น ในขณะที่สมองอันน้อยนิดก็กำลังคิดสงสัยว่าอะไรดลใจให้พ่อแม่ต้องชื่อเล่นลูกตัวเองว่า ‘ตี๋เอ๋อ’ กันนะ
ตั้งเพราะดูน่ารักงั้นเรอะ ฟังยังไงก็ไม่น่ารักว่ะ

ตั้งแก้เคล็ดเหรอ เคล็ดขัดยอกอ่ะสิ

หรือตั้งเอาฮา เออ อันนี้ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย แต่ตั้งชื่อเล่นลูกเอาฮาเนี่ยนะ

พอคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกโชคดียังไงไม่รู้แฮะ ที่พ่อแม่ตัวเองไม่ตั้งชื่อเล่นลูกแปลกๆ
“เอ่อ กลับเข้าสู่ประเด็นต่อได้รึยังครับ”
“เออใช่ ลืมไปเลย ต่อๆ”
ไอ้ชื่อตี๋เอ๋อบ้า แม่งทำกูเกือบหลงประเด็นออกทะเลแล้วมั้ยล่ะ สัส

“พอเต้ยถามว่าน้องตี๋เอ๋อเล่นอะไรได้บ้างมั้ย เจ้าตัวก็เอาแต่ส่ายหัว น้องพลก็เลยบอกว่าตี๋เอ๋อเล่นอะไรไม่ได้เต้ยก็เลยจะไม่รับน้องตี๋เอ๋อเข้าชมรม”
“ก็สมควร เล่นอะหยังบ่ได้แล้วยังจะมาเข้าชมรมดน...”
ผมหุบปากตัวเองทันทีที่ฉุกใจได้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมดนตรีที่เล่นเหี้ยอะไรไม่ได้สักอย่าง แบงค์หัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม

“แล้วไงต่อ พอไอ้เต้ยมันจะบ่เอาแล้วไง ไอ้น้องพลมันก็เลยจะบ่เข้าชมรมเลยว่างั้น”
แบงค์พยักหน้าทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น ผมถอนหายใจเบาๆ ด้วยความระอาทันทีเพราะไม่คิดว่าการคาดเดาเพี้ยนๆ แบบนั้นจะถูก

“แต่สุดท้ายด้วยความที่น้องพลเป็นคนที่มีฝีมือ เต้ยก็เลยให้ทุกคนลงประชามติกัน ว่าจะเอาไง ซึ่งผลก็ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าให้รับน้องตี๋เอ๋อเข้าชมรมได้ ด้วยเหตุผลที่เหมือนๆ กัน”
“เหตุผลอะหยังวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยและรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

“เอ่อ อยากจะรู้จริงๆ เหรอครับ”
ผมพยักหน้าพร้อมขมวดคิ้วทำหน้าเข้ม ถึงแม้พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วก็ตาม แต่ยังไงก็อยากจะฟังความจริงให้มันหายคาใจ
“ก็เขาบอกกันว่า มีนันท์อยู่แล้ว จะมีน้องตี๋เอ๋อเพิ่มมาอีกสักคนก็คงไม่เป็นไรหรอก”

นั่นไง กูว่าแล้ว ขอบใจเพื่อนๆ ทุกคนมากนะ ขอบใจจริงๆ ซึ้งใจสุดๆ เลย ฮือออ
“โอ๋ๆ ไม่ต้องน้อยใจไปนะ ถึงคนอื่นเขาจะคิดแบบนั้น แต่ผมไม่คิดนะ สำหรับผม ผมมีนันท์คนเดียว ก็ไม่ต้องการใครที่ไหนอีกแล้วล่ะครับ”

พูดจบ แบงค์ก็ตรงเข้าหอมแก้มผมฟอดใหญ่โดยไม่คิดจะแคร์สายตาคนรอบข้างที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักนิด
เหี้ย อายฉิบหาย แต่ไหงอีกใจถึงรู้สึกดีวะ นี่ ไอ้น้องผู้หญิงกลุ่มนั้นน่ะ ไม่ต้องแอบกรี๊ดกร๊าดกระซิบกระซาบกันเลยนะเว้ย
“พอๆ เล่นไรเนี่ย อายคนอื่นเขาบ้างเหอะ ไปๆ ถึงเวลาหนังฉายแล้ว วู้ววว”

ผมกำหมัดชกไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่จะหยิบตั๋วหนังแล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่แดงราวกับลูกตำลึงที่กำลังสุกใหม่ๆ แบงค์หัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจก่อนที่จะลุกขึ้นตามผม
“นันท์ครับ”
“อะหยัง”
“จับมือกันครับ”
พูดจบ แบงค์ก็ยื่นมือมาทางผม ผมเลิกคิ้วสูงมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะหันกลับไปมองหน้าเจ้าคนตัวสูงสวมแว่นหนาที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข
“บ้าเหรอ คนเยอะแยะ อายเขา”
ผมพยายามตอบปัด
“น่านะ นะครับ ผมอยากจูงมือด้วยอะ”
ไม่พูดเปล่า ซ้ำยังขมวดคิ้วทำสีหน้าส่งสายตาอ้อนวอนกลับมาด้วยอีกต่างหาก โอ้ย ให้ตายสิ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยเนี่ย เอาวะ จับก็จับ

ผมกุมมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาไว้แน่น ถึงแม้จะรู้สึกอายจนหน้าแดงอยู่เมื่อถูกสายตาจากคนรอบข้างจ้องมอง ในขณะที่อีกคนที่กำลังโดนผมจับมือกลับยิ้มอย่างมีความสุขจนออกนอกหน้านอกตา

ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้น มันก็ทำให้ผมลองกลับมาคิดดูอีกที ว่าเรากำลังเลือกแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า จนลืมความสุขของตัวเองเราซึ่งเราไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยนี่ คนรักกันเป็นแฟนกัน มันก็มีจับมือกันบ้างสิ ใช่มั้ย
พอคิดได้แบบนี้ ผมก็รู้สึกอมยิ้มกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้เอามากๆ เลยแฮะ ใครจะมองยังไงก็ช่างเขาสิ

“เออ ผมลืมบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับน้องใหม่สองคนนั้นไปอย่างนึงครับ”
แบงค์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ยื่นตั๋วหนังให้พนักงานตรวจ

“อะหยังวะ”
ผมเอ่ยถามกลับด้วยความสงสัยในขณะที่เราทั้งสองกำลังเดินไปยังโรงหนัง แบงค์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย
“คือสองคนนั้นเขาเป็นฝาแฝดกันด้วยน่ะครับ”
“ห๊ะ???”

จบคาบเรียนที่สาม
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 4 (1-9-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 01-09-2020 01:34:13
คาบเรียนที่ 4

สิ่งใดเหมาะ

สิ่งใดไม่สมควร

สิ่งใดเหมาะกับสิ่งใด

แล้วสิ่งใดไม่สมควรกับสิ่งใด ???

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าที่นี่รับจองนิยายเรื่องนี้รึเปล่าคะ”
เสียงใสๆ เอ่ยเรียก จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นเสียงนั้น ภาพที่เห็นคือเด็กสาววัยน่าจะมัธยมปลายในชุดไปรเวทน่ารักกำลังเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยพลางยื่นหน้าจอมือถือให้ผมดู ผมชะเง้อคอเพื่อดูภาพบนหน้าจอมือถือนั้นก็พบว่าเป็นบ๊อกเซ็ทนิยายแปลเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อมดซึ่งกำลังเป็นที่โด่งดัง และตอนนี้ก็มีการจัดพิมพ์เป็นบ๊อกเซ็ทสำหรับนักสะสมด้วย

“รับครับผม ไม่ทราบว่าสนใจจะจองเลยมั้ย”
ผมเอ่ยถามกลับไปพร้อมกับก้มไปหยิบใบสั่งจองขึ้นมาจากลิ้นชัก เด็กสาวพยักหน้าด้วยความดีใจทันทีที่เห็นใบสั่งจอง

“ต้องวางมัดจำเท่าไหร่เหรอคะ”
เด็กสาวผมยาวเอ่ยถาม ผมจึงคลิกดูรายละเอียดในอีเมล์จากคอมที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อวันก่อน

“ขั้นต่ำหนึ่งพันบาทน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสะดวกมั้ย”
เด็กสาวพยักหน้าก่อนที่จะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งจอง หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็ยื่นใบสั่งจองคืนมา ผมตรวจสอบรายละเอียดทุกอย่างและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก็เงยหน้าส่งยิ้มให้กับเธอ

“เรียบร้อยแล้วครับ สินค้าน่าจะเข้าในอีกสองอาทิตย์ ถ้ายังไงทางเราจะติดต่อกลับไปอีกทีนะครับ”
เด็กสาวยิ้มตอบรับกลับมาก่อนที่จะเดินออกไปด้วยท่าทีร่าเริงพร้อมกับข้าวของในมือที่ดูแล้วน่าจะคาดเดาได้ว่ามาเรียนพิเศษที่ห้างเมญ่าแห่งนี้

ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ ว่าผมในตอนนี้นั้นกำลังเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือที่นี่ ในแต่ละวันก็พบผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ส่วนใหญ่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ

ทุกคนรักหนังสือและการอ่าน
ผมเองก็รักการอ่านเหมือนกัน แต่จะเป็นไปในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนมากกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่ก็จะมีบ้างบางครั้งที่ผู้คนที่เข้ามาจะมาด้วยจุดประสงค์อื่น

“โทษนะครับ บ่ทราบว่าว่างหรือเปล่าครับ”
เสียงทุ้มแน่นในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ภู เพื่อนข้างห้องร่วมคอนโดที่ผมอาศัยอยู่นั่นเอง

“อ้าว ภู มาได้ไงเนี่ย”
ผมยิ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“บอกไปจะเชื่อมั้ยเอ่ย ว่าผมทำงานที่นี่น่ะครับ”
“เฮ้ย จริงดิ”
ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่จะสังเกตเห็นเข็มกลัดบนหน้าอกของอีกฝ่ายซึ่งดูแล้วก็พบว่าเป็นของคลีนิกเกี่ยวกับความสวยความงามซึ่งอยู่ชั้นถัดไปนั่นเองจะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะดูแล้วอีกฝ่ายจัดได้ว่าหน้าตาและบุคลิกภาพดีมากๆ เหมือนกัน

“ว่าแต่จะมาซื้อหนังสือเรื่องอะไรล่ะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปอีกรอบ พร้อมกับตรวจสอบดูอีเมล์ในคอมไปด้วย

“เปล่าครับ บ่ได้มาซื้อหนังสือ แต่พอดีผมอยู่ในช่วงพักน่ะ ก็เลยกะว่าจะมาชวนนันท์ไปหาอะหยังทานน่ะครับ บ่ทราบว่าสะดวกมั้ย”
ภูเอ่ยถามด้วยความเกรงใจผมก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองครู่นึงก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้อีกฝ่าย

“รออีกประมาณสิบนาทีได้มั้ย พอดีผมให้น้องเขาไปพักอยู่น่ะ แต่ใกล้จะถึงเวลาเข้างานเขาละ”
อีกฝ่ายรีบพยักหน้าด้วยความดีใจก่อนจะไปนั่งรอที่ม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ร้าน


และก็ไม่นานนักน้องคนที่ผมว่าก็กลับมาถึงพอดี เอาเป็นว่าขอแนะนำตัวไว้ก่อนแล้วกัน น้องเขาชื่อ ซัน ครับ แต่พวกผมชอบเรียกว่า ซันด๋อย อย่าถามถึงที่มาของชื่อนะครับ เพราะหาที่มาไม่ได้เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า รู้อีกทีก็เรียก ซันด๋อย กันแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
หลังจากที่ซันด๋อยกลับมา ก็เป็นเวลาพักของผมเหมือนกัน ผมจึงเดินออกไปหาภูที่กำลังนั่งเล่นมือถือรอผมอยู่

“ว่าแต่จะกินอะหยังกันดีน่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“นันท์อยากกินอะหยังล่ะครับ”
นั่นไง ตอบคำถามด้วยคำถามกลับมาอีกที ช่างเป็นอะไรที่รับมือยากจริงๆ

“เอ้า ตัวเองเป็นคนชวนจะมาถามคนถูกชวนได้ไง”
ผมขมวดคิ้วตอบกลับไป ทำเอาภูถึงกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

“เฮ้ย”
แต่ทว่าผมก็รีบปัดมือนั้นเองทันทีด้วยความรวดเร็ว ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับทำสีหน้าเหวอทันที
“เฮ้ย ขอโทษๆ บ่ได้ตั้งใจจะปัดมือ แต่ว่า...”
“บ่อๆ ครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ดันไปเผลอทำตัวเสียมารยาทแบบนั้น พอดีมันติดเป็นนิสัยอ่ะครับ เวลาคุยกับคน...เอ่อ...ตัวเล็กกว่าผมอ่ะ”
อีกฝ่ายพยายามเลี่ยงบาลี แต่เอาเถอะเรื่องแบบนี้ผมชินแล้ว เกิดมาเตี้ยเองนี่

“ช่างเถอะ แต่แค่รู้สึกบ่ะดีน่ะ เวลาโดนลูบหัว มันยังไงก็บ่ะรู้อ่ะ”
“งั้นผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ คราวหลังผมจะบะทำอีกแล้ว ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
ภูพยายามเอ่ยคำขอโทษพร้อมกับยกมือไหว้ผมปลกๆ

“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่ารีบไปหาอะหยังกินกันเถอะ หิวแล้วเนี่ย”
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อคลายบรรยากาศ

“งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ วันนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นนันท์แล้วกันนะครับ”
“เฮ้ย บ่ะต้องถึงขนาดนั้นก็ได้”

ผมรีบเอ่ยปฏิเสธภูทันทีด้วยความเกรงใจ แต่ดูจากสีหน้าอ้อนวอนของอีกฝ่ายที่ดูมีความมุ่งมั่นตั้งใจจะที่ขอโทษผมให้ได้ ก็ทำเอาผมถึงกับใจอ่อนขึ้นมาทันที

“โอเคๆงั้นเดี๋ยวจะกินให้หมดกระเป๋าเลยคอยดูสิ”
“เอาสิครับ ผมยินดี”
ภูยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับกดเรียกลิฟท์ ในขณะที่ผมเองนั้นก็นึกย้อนทบทวนตัวเองอยู่
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เรารู้สึกไม่ดีกับการถูกลูบหัว
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเคยชอบมันมากแท้ๆ


“เกลียดชีวิตเด็กมอหกจังเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“อ้าว ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินผมบ่นเช่นนั้นออกไป

“เปล่า ไม่มีอะไรก็แค่บ่นไปงั้นล่ะ”
“อย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอครับ”
แบงค์หัวเราะในลำคอทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ จะว่ายังไงดีล่ะ ไม่เชิงเกลียดหรอก แต่รู้สึกมันดูวุ่นวายยังไงก็ไม่รู้ ไหนจะเรียนในคาบ ไหนจะสอบเก็บคะแนนนั่นนี่นู่น ยังไม่รวมกวดวิชาวันอาทิตย์อีก

...แม่ว่าระดับมันสมองอย่างเราต้องลงกวดวิชาเพิ่มแล้วล่ะ บ่งั้นเดี๋ยวจะเข้ามหาลัยที่ไหนบ่ได้แหงๆ...

นั่นคือคำพูดของคุณกมลชนก ก่อนที่จะจับผมยัดเข้าโรงเรียนกวดวิชาโดยไม่ถงไม่ถามสุขภาพของผมสักคำ ซึ่งก็กลายเป็นว่ายิ่งทำให้ชีวิตเด็ก ม.หกของผมดูวุ่นวายเข้าไปอีก ซึ่งก็เข้าใจอะนะว่าคุณกมลชนกนั้นหวังดีต่ออนาคตที่ยังดูเลือนรางของผม
แต่คุณกมลชนกจ๋า หนูก็อยากผ่อนคลายเครียดมั่งอะ ฮือๆๆ

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะถึงเวลาเรียนแล้ว”
แบงค์เอ่ยบอกผมก่อนที่จะหยิบเงินออกจากกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าข้าวเที่ยง ผมลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งคนหมดอาลัยตายอยากยังไงยังงั้น

“สดชื่นหน่อยสิครับ”
“ใครมันจะไปฉลาดสดใสเหมือนมึงกันล่ะ”
ผมเริ่มรู้สึกพาลเล็กน้อยก่อนที่จะสำนึกตัวเองได้

“ขอโทษ”
พูดจบ ผมก็เดินเข้าไปพร้อมกับกอดอีกฝ่ายอย่างแน่น

“ทำอะไรน่ะครับ”
“ขอดูดพลังงานหน่อย”
แบงค์หัวเราะในลำคอทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ อีกรอบ

“งั้นเดี๋ยวเลิกกวดวิชาเสร็จแล้วเราไปหาน้ำแข็งไสกินแก้ร้อนกันมั้ย เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง นันท์จะได้สดชื่นไง”
แบงค์เอ่ยชวนผมด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็นับว่าได้ผล ผมรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แบงค์เองเมื่อเห็นผมยิ้มได้ ก็ยิ้มตามด้วยความดีใจก่อนจะเดินนำผมไปยังสถาบันกวดวิชาซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ

จริงๆ แม่ผมส่งผมมาเข้ากวดวิชาคนเดียว แต่แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เลยมาลงกวดวิชาตามผมด้วย เห็นเจ้าตัวบอกว่าก็อยากจะลองมาหาความรู้เพิ่มเติมด้วย

หึ ช่างเป็นผู้ชายที่ตรงข้ามกับกูยิ่งนัก ละอายแก่ใจมั่งมั้ยล่ะ ไอ้นันท์

แต่เหมือนจะโชคร้ายอย่างนึงตรงที่ห้องที่ผมกวดวิชานั้นเป็นคนละห้องกับแบงค์ เพราะงั้นไอ้ความคิดที่ว่าจะมุ้งมิ้งๆ ช่วยกันติวช่วยกันสอนเหมือนตอนหลังเลิกเรียนน่ะ ล้มเลิกไปได้เลย แต่ในความโชคร้าย ก็ยังพอมีความโชคดีอย่างนึง

“จะถึงเวลาเรียนแล้วมึงก็ยังจะนั่งเล่นเกมอยู่เนอะ”
นั่นก็คือ ไอ้โอ๊ตก็มาลงกวดวิชาที่สถาบันแห่งนี้ด้วย และได้อยู่ห้องเดียวกับผม เอาวะ อย่างน้อยกูก็ไม่ได้เหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายในสถาบันกวดวิชาแห่งนี้

“ใกล้จะจบเกมแล้วครับคุณเพื่อนนันท์ ว่าแต่ไปกินข้าวที่ไหนมาเหรอครับ”
เจ้าตัวเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงจ้องอยู่กับเกมในมือถือ

“ก็ร้านป้าข้างๆ นี่น่ะล่ะ ว่าแต่มึงถามแบบนี้ อย่าบอกนะว่ามึงบ่ะได้ลงไปกินข้าวเที่ยง”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนจะหยิบสมุดออกมาจากกระเป๋าสะพาย

“ผมเพิ่งกินมาน่ะครับ เลยยังไม่หิว”
ผมพยักหน้าให้กับคำตอบนั้นพร้อมกับเปิดสมุดไปยังหน้าล่าสุดที่จดเอาไว้

“เฮ้ย ตัวเองเล่นเกมนี้ด้วยเหรอ”
เสียงใสเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาทั้งผมและไอ้โอ๊ตต่างก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียงนั้น ภาพที่เห็นคือเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งผมประบ่าที่กำลังยิ้มและให้ความสนใจกับเกมที่ไอ้โอ๊ตกำลังเล่นอยู่

“เอ่อ ครับ ทำไมเหรอครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยถามกลับไปอย่างสุภาพด้วยความสงสัย

“พอดีเราก็เล่นอยู่เหมือนกันน่ะเอ้อ เราชื่อแพตตี้นะ นายล่ะชื่อหยัง”
“เอ่อ โอ๊ตครับ”
ไอ้โอ๊ตตอบกลับด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย ซึ่งก็สมควรอยู่หรอก เนื่องจากปกติไม่ค่อยมีสาวที่ไหนเข้ามาคุยกับมันเท่าไหร่นัก คงเพราะด้วยอุปนิสัยโลกส่วนตัวสูงและบ้าเกมของมันนี่ล่ะ

“ชื่อโอ๊ตงั้นเหรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ นี่เราขอไลน์ของโอ๊ตหน่อยได้ป่ะ จะได้ส่งของส่งอะไรในเกมให้กันน่ะ”
เด็กสาวที่ชื่อแพตตี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มทำเอาไอ้โอ๊ตถึงกับเกร็งขึ้นมาทันทีก่อนจะหันมามองผมราวกับต้องการตัวช่วย

“มันคุยบ่ะค่อยเก่งน่ะครับ ส่วนไลน์มันก็นี่เลยครับ เดี๋ยวผมจดให้”
ผมรีบฉีกกระดาษจากหน้าท้ายๆ ของสมุดพร้อมกับเขียนไลน์ของไอ้โอ๊ตยื่นให้แพตตี้ด้วยความรวดเร็ว ทำเอาไอ้โอ๊ตถึงกับตกใจทำตาโตทันที

“ขอบใจมากนะ นายเอ่อ...”
“นันท์ครับ เพื่อนซี้ของไอ้โอ๊ตมันน่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ผมยิ้มพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น

“แพตตี้ทำอะหยังอยู่น่ะ”
เสียงนึงเอ่ยถาม เมื่อผมหันไปมองยังต้นเสียงนั้นก็พบว่าเป็นเสียงของเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวใสมาก มากเสียจนรู้ว่าสึกตัวเองดำขึ้นมาทันทีเลย

“พอดีเจอเพื่อนเล่นเกมเดียวกันน่ะ ก็เลยมาทำความรู้จักเอาไว้ นี่โอ๊ตกับนันท์ ส่วนนี่ไฮเปอร์ เพื่อนจากโรงเรียนเดียวกับเราเอง”
แพตตี้พยายามแนะนำให้พวกผมรู้จักกัน ผมยิ้มพยักหน้ากลับไปในขณะที่ไอ้โอ๊ตดูพยายามที่จะไม่สนใจเท่าไหร่นัก ไม่รู้เพราะอายหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่าไฮเปอร์หันมามองผมกับไอ้โอ๊ตครู่นึงด้วยสีหน้านิ่งเรียบก่อนจะไปหันไปทางแพตตี้

“เธอนี่ก็บ้าเกมจริงๆ เลยนะเนี่ย ระวังเถอะจะหาแฟนบ่ได้ยัยผู้หญิงติดเกม”
คนที่ชื่อไฮเปอร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่านะ แต่ภาพลักษณ์ของไฮเปอร์ดูเป็นลูกคุณหนู ดูวางท่าวางมาดยังไงก็ไม่รู้แฮะ ต่างจากแพตตี้ที่ดูจะอัธยาศัยดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ช่างมันสิ โลกที่บ่มีแฟนยังบ่น่าเศร้าเท่าโลกที่บ่มีเกมเลยสักนิด ชีวิตฉันมีแค่เกมก็พอละ”
ไอ้โอ๊ตรีบเงยหน้าทันทีที่ได้ยินแพตตี้พูดเช่นนั้นแต่ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรก่อนที่จะก้มหน้าลงไปมองเกมในมือถือต่อ

“ตามใจเธอแล้วกัน เบื่อที่จะคุยกับเธอแล้ว ว่าแต่เธอเอาปากกามากี่แท่งน่ะ ฉันเพิ่งทำหายเมื่อกี้ ขอยืมหน่อยสิ”
“ลองไปดูในกระเป๋าบนโต๊ะดูละกัน น่าจะมีอยู่นะ”
แพตตี้ตอบกลับไปพลางกดบางอย่างบนหน้าจอมือถือของตัวเอง ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นการแอดไลน์ไอ้โอ๊ตอยู่ สังเกตได้จากการที่เธอมองหน้าจอมือถือสลับกับกระดาษที่ผมจดให้เมื่อครู่นั่นเอง

“เออ แพตตี้ เมื่อกี้ฉันเจอผู้ชายคนนึงหล่อดีอะ”
“สเป๊คแกเลยอะดิ”
แพตตี้เอ่ยถามกลับไปเมื่อได้ยินเพื่อนของตัวเองพูดเช่นนั้น ซึ่งก็ทำเอาผมถึงกับตกใจเล็กน้อยเหมือนกัน แต่ก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะเมื่อหันย้อนมองตัวเองแล้วก็ ... ฮ่าฮ่าฮ่า

“ก็ดีนะ สูง หล่อ คิ้วเข้ม ดูเด่นมากๆ เลยล่ะ”
ไฮเปอร์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งวางมาด แต่แววตาดูจะชวนเพ้อฝันยังไงก็ไม่รู้

“แกก็ไปขอไลน์เขาเลยดิ แกก็บ่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่สักหน่อย”
แพตตี้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ผมเองก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้นของแพตตี้อยู่พอสมควร ไม่ต้องไปเทียบที่ไหนไกล เทียบกับผมนี่ก็ได้ บอกตามตรงเลยถ้าเอาผมไปยืนข้างกับคนที่ชื่อไฮเปอร์นี่ล่ะ ผมดับสนิทแน่ๆ

“เธอจะบ้าเหรอ เขาจะเป็นรึเปล่าก็บ่ะรู้ เกิดไปขอสุ่มสี่สุ่มห้าแทนที่จะได้ไลน์ กลัวจะได้ตีนแทนน่ะสิ”
ผมเกือบจะหลุดขำก๊ากออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็พยายามนิ่งไว้เพื่อรักษาท่าทีไม่ให้เสียมารยาทต่ออีกฝ่าย

“มัวแต่ลีลาแบบนี้ คนที่จะหาแฟนบ่ได้ น่าจะเป็นแกมากกว่านะ”
“พูดมากน่ะ ไปๆ กลับไปที่นั่งได้แล้ว จะถึงเวลาแล้วเนี่ย”
ไฮเปอร์เอ่ยเตือนอีกฝ่ายก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสายตานิ่งเฉยครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับไปยังที่นั่งตัวเองซึ่งอยู่อีกฟากของห้อง

“โอ๊ต เราแอดไลน์ไปแล้ว ยังไงก็รับแอดด้วยล่ะ ไปก่อนนะ”
แพตตี้พูดกับโอ๊ตก่อนที่จะหันมาส่งยิ้มให้กับผมแล้วจึงเดินตามไฮเปอร์กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

“เหยดดด เสน่ห์แรงนะมึง มีสาวขอไลน์ด้วย”
ผมรีบแซวไอ้โอ๊ตทันทีที่สบโอกาส แต่ดูเจ้าตัวจะพยายามเก็บอาการอยู่พอสมควร แหม ก็อย่างว่านั่นล่ะ นานๆ จะเจอสาวเจ้าเข้ามาคุยด้วย เข้ามาขอไลน์กันแบบนี้มันก็ต้องเขินกันบ้างน่ะล่ะ

“อ๊ะ”
ไอ้โอ๊ตอุทานขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่ยังคงรักษาสีหน้าและท่าทีเอาไว้
“อะหยังของมึงน่ะ”
“ผมคิดว่าผมน่าจะเจอคู่แข่งมากกว่านะครับ คุณเพื่อนนันท์”

พูดจบ ไอ้โอ๊ตก็ยื่นมือถือของตัวเองมาให้ ผมรับมันมาดู ภาพที่เห็นคือ รายชื่อตัวละครของแพตตี้ที่อยู่เหนือรายชื่อตัวละครของไอ้โอ๊ตขึ้นไปประมาณสามลำดับ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตัวละครของแพตตี้นั้นมีความสามารถและสถิติที่ดีกว่าตัวละครของไอ้โอ๊ตอยู่พอสมควร นับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผมอยู่ไม่น้อย เพราะโดยปกติแล้วในบรรดาพวกผมนั้น ไอ้โอ๊ตนับว่าเป็นคนที่เล่นเกมได้เก่งที่สุดแล้วไม่ว่าจะไปเกมไหนก็ตาม และการที่เจอคนที่เก่งกว่าไอ้โอ๊ตแถมยังเป็นผู้หญิงด้วยนั้น ก็นับว่าเป็นอะไรที่แปลกตาน่าติดตามต่อไปอยู่เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า

จบคาบเรียนที่ 4
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 4 (1-9-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-09-2020 07:50:48
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 5 (11-24-20) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 24-11-2020 22:50:46
คาบเรียนที่ห้า



 

“พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะครับ คุณเพื่อนนันท์”

ไอ้โอ๊ตกล่าวคำอำลากับผมทันทีหลังจากที่กวดวิชาเสร็จก่อนที่จะรีบลุกออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็วประหนึ่งว่ากำลังจะหนีอะไรบางอย่างอยู่ ผมมองตามด้วยความงุนงงเพราะไม่ทันจะได้กล่าวร่ำลาอะไรเลยสักนิดก่อนที่จะหันกลับมาเก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพาย

“อ้าว โอ๊ตไปไหนแล้วล่ะ”

เสียงใสของแพตตี้เอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางหันมองซ้ายไปรอบบริเวณห้อง ซึ่งมันก็ช่วยทำให้ผมเข้าใจขึ้นมาในทันทีถึงความเร่งรีบของไอ้โอ๊ตเมื่อครู่

“อ๋อ เห็นเมื่อกี้มันบอกมีธุระด่วนแม่โทรตามเลยต้องรีบกลับน่ะ”

ลำบากกูต้องมาช่วยโกหกให้มึงอีกนะเนี่ยไอ้เหี้ยโอ๊ต

แพตตี้ทำสีหน้าเสียดายทันทีที่ได้คำตอบนั้นจากผมก่อนที่จะก้มมองมือถือของตัวเอง ผมแอบสังเกตเห็นว่าหน้าจอมือถือของเธอในตอนนี้นั้นกำลังเปิดเกมค้างไว้อยู่ ซึ่งก็เป็นเกมเดียวกันกับที่ไอ้โอ๊ตเล่น

“เสียดายจัง กะว่าจะชวนคุยเรื่องเกมต่อเสียหน่อย บ่เป็นหยัง เดี๋ยวค่อยทักไปคุยในไลน์ก็แล้วกัน”

พูดจบ แพตตี้ก็ยิ้มให้กับผมก่อนจะหันหลังเดินกลับไปหาไฮเปอร์ที่กำลังยืนรออยู่ที่หน้าห้องด้วยสายตากดดันเล็กน้อย

เอาแล้วไงล่ะมึงไอ้โอ๊ต งานนี้มึงเจอของจริงเข้าให้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า

หลังจากที่เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็รีบเดินออกไปยังหน้าห้องทันทีเพื่อรอแบงค์ และในจังหวะนั้นเอง

“นี่แก คนนั้นที่ฉันเล่าให้ฟังน่ะ”

เสียงของไฮเปอร์ที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องพูดกับแพตตี้ที่กำลังก้มหน้ามองหน้าจอเกมในมือถืออยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปตามที่เพื่อนชี้นิ้วให้ดู

“เออ ก็โอเคนะ แกนี่ตาถึงจริงๆ เข้าไปขอไลน์เลยดิ อย่าช้า เดี๋ยวจะโดนหมาคาบไปแดกนะแก”

ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมเลยสักนิดแท้ๆ แต่บทสนทนาของทั้งสองกลับกระตุ้นต่อมสอดรู้สอดเห็นของผมให้ทำงานทันที ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าสเป๊คของไฮเปอร์ที่ดูเป็นลูกคุณหนูจะหน้าตาดีแค่ไหน ผมจึงรีบเดินออกมานอกห้องแล้วหันไปมองอย่างไม่ให้มีพิรุธ

เหี้ย !!!

ผมอุทานสั้นๆ ในใจทันทีที่เห็นผู้ชายคนดังกล่าว ถามว่าหล่อมั้ย ยืนยันได้เลยว่าหล่อจริงๆ ครับ สูงด้วย ขาวด้วย หน้าใสด้วย

แต่ขอถอนคำพูดเมื่อกี้ที่ว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมอย่างรวดเร็วเลยครับ

เพราะไอ้คนที่ไฮเปอร์กำลังหมายตาอยู่นั่นน่ะ มันแบงค์แฟนผมนั่นเอง ...!!!

ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ คนนี้ให้ไม่ได้ หวงเว้ย

แต่ถึงในใจจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็ไม่สามารถแสดงท่าทีอะไรออกมาได้มากนัก จึงได้ยืนนิ่งเงียบอยู่ที่หน้าห้องคนเดียว

“นันท์รอนานมั้ยครับ”

แบงค์เอ่ยทักทายพร้อมกับเดินเข้ามาหาทันทีที่เห็นผม ซึ่งก็สร้างความตกใจให้แพตตี้และไฮเปอร์ที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พอสมควร

“บ่นาน ก็เลิกพร้อมกันบ่ใช่เหรอวะ”

“นั่นสิ”

แบงค์หัวเราะเบาๆ พลางลูบหัวของผมอย่างเช่นเคย ซึ่งโดยปกติแล้วผมจะรู้สึกดีทุกครั้งที่โดนแบงค์ลูบหัว แต่ทว่าคราวนี้ ผมกลับรู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิตกำลังแผ่มาทางผมยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“งั้นเดี๋ยวเราไปหาน้ำแข็งไสกินกันตามที่ตกลงเอาไว้นะครับ อ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวผมมานะ ผมลืมกระเป๋าใส่ปากกาไว้ในห้องน่ะ รอตรงนี้แป๊บนึงนะครับ”

พูดจบ แบงค์ก็รีบหันหลังเดินกลับไปยังห้องกวดวิชาของตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนเผชิญกับรังสีอำมหิตนั่นอยู่คนเดียว

“นันท์รู้จักคนตัวสูงๆ นั้นด้วยเหรอ”

นั่นไง แพตตี้รีบเดินเข้ามาถามเปิดประเด็นทันที ซึ่งก็เป็นคำถามที่ไม่น่าถามเลยสักนิด เพราะการที่เห็นผมยืนคุยกับอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วแท้ๆ ผมยิ้มแหยพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ

“แล้วพอรู้มั้ย ว่าเขามีแฟนแล้วหรือยังอะ”

ผมนิ่งเงียบให้กับคำถามนั้นอยู่เล็กน้อย ซึ่งก็เข้าใจว่าเธอต้องการทำตัวเป็นแม่สื่อให้กับเพื่อนของตัวเอง เพียงแต่ว่าผมไม่รู้ว่าสมควรจะตอบยังไงออกไปดีนี่สิ

“แฟนเขาก็คนที่เธอกำลังถามอยู่นั่นไงล่ะ ยัยแพตตี้”

ไฮเปอร์รีบเอ่ยขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เล็กน้อย แพตตี้หันกลับไปมองยังเพื่อนตัวเองก่อนจะหันกลับมามองผมที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มแหยอยู่ เพราะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงดี แพตตี้เองเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของผมก็เลิกคิ้วสูงนิ่งเงียบเหมือนกำลังประมวลอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนจะยิ้มแห้งให้กับผม

ขอโทษนะที่คาบแบงค์ไปแดกก่อนเพื่อนของเธอน่ะ

“อุ่ย ขอโทษนะ งั้นเรื่องเมื่อกี้ ถือว่าเราบ่ได้พูด เราบ่ได้ถามอะหยังละกัน ไว้เจอกันนะนันท์ บาย ส่วนแก อีไฮเปอร์ เรื่องนี้ฉันขอบายละกันบ่ยุ่งด้วยแล้ว ไปละ”

พูดจบแพตตี้ก็รีบเดินออกไปด้วยเร็วแสง เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเธอหรอกนะ เข้าใจว่าเธอไม่รู้เรื่องและหวังดีกับเพื่อนของตัวเอง เพราะงั้นการที่เธอจะตกใจเมื่อรู้ความจริงแล้วรีบเดินหนีออกไป มันก็เป็นอะไรที่พอจะเข้าใจได้อยู่

จะมีก็แต่สายตาของคนที่ชื่อไฮเปอร์นี่ล่ะ

สายตาที่จ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเย็นชา เหมือนกับพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะเดินตามแพตตี้ออกไปโดยไม่พูดอะไรเลยสักนิด

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นไปมากกว่านี้”

แบงค์เดินเข้ามาทักช่วยเรียกสติของผมให้กลับมา ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แบงค์เองเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของผมก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ

“แล้วจะไปกินที่ไหนกันดีล่ะ”

ผมเงยหน้าขึ้นไปถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เม้มปากครุ่นคิดอยู่ครู่นึง

“ถ้าจำไม่ผิด เหมือนเมื่อตอนพักเที่ยงผมเห็นมีร้านน้ำแข็งไสอยู่ตรงหัวมุมอยู่ร้านนึงนะครับ เดี๋ยวเราลองไปดูก่อนแล้วกันว่าใช่มั้ย ถ้าไม่ใช่ก็ค่อยว่ากันอีกที ตกลงมั้ยครับ”

ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ ก่อนจะที่เดินตามแบงค์ออกไป ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกต หรือไม่ได้ให้ความสนใจก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างนึงว่าแบงค์เองเวลาอยู่ในชุดไปรเวทมักจะเป็นที่สนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมา ต่างจากตอนอยู่ในชุดนักเรียนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะว่าไปผมเองก็เริ่มชินแล้วล่ะกับสายตาเหล่านั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงอาจจะไม่รู้สึกอะไรหรอก

แต่ทว่าในตอนนี้นั้น ...

“แบงค์”

“ครับ”

แบงค์หันมามองหน้าผมด้วยความสงสัยเหมือนได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองจากผม

“กูอยากจับมือว่ะ”

ผมพูดเสียงเบาพร้อมกับยื่นมือของตัวเองออกไป แบงค์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ได้สิครับ”

พูดจบ แบงค์ก็ยื่นมือของตัวเองมากุมมือของผมเอาไว้ ผมเองก็กุมมือนั้นของแบงค์เอาไว้แน่นเช่นเดียวกัน

“รู้สึกดีใจมากๆ ที่คราวนี้นันท์เป็นฝ่ายขอจับมือผมก่อน เพราะผมเองก็กำลังอยากจับมือของนันท์อยู่พอดีเหมือนกัน”

“ก็แล้วทำไมบ่ขอล่ะ”

ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“ก็ปกติเวลาผมขอ นันท์ก็มักจะทำหน้าแบบเกร็ง อายสายตาคนอื่นตลอดยังไงล่ะ ผมก็เลยไม่กล้าขอน่ะครับ”

พอได้ยินคำตอบนั้น ผมก็ลองกลับมานึกย้อนทบทวนตัวเองดู จะว่าไปมันก็อาจจะจริงอย่างที่แบงค์ว่าอยู่เหมือนกันแฮะ ที่ผ่านมาผมมักจะแคร์สายตาคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของคนใกล้ตัว เลยดูเหมือนว่าผมเป็นฝ่ายพยายามหนีมาตลอด

แต่ไหงวันนี้ผมกลับเป็นฝ่ายเข้าหาเองเสียงั้นล่ะ

เพราะหึงอย่างนั้นเหรอ

หวงอย่างนั้นเหรอ

หรือมันอาจจะมีจุดเริ่มต้นมาจากสายตาของไฮเปอร์ที่จ้องมองผมเมื่อกี้ก็เป็นได้

นี่ผมกำลังพยายามแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ใช่มั้ย พยายามประกาศให้คนรอบข้างเห็นว่าพื้นที่ตรงนี้นั้นมีผมเป็นเจ้าของอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ

พอคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกปวดหัวยังไงก็ไม่รู้แฮะ ความรักมันทำให้ผมเป็นไปได้มากขนาดนี้เลยอย่างนั้นเหรอ จากไอ้นันท์ที่วันๆ ใช้ชีวิตไปอย่างไร้สาระเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนไปเรื่อย จนกระทั่งตัวเองยังเคยนึกสงสัยเหล่าคนที่มีแฟนเลยว่าทำไมถึงได้ทำอะไรแปลกๆ พอวันนี้มาเจอเข้ากับตัวเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเหมือนกันแฮะ

ยิ่งพอหันมองแบงค์แล้วมาเทียบกับตัวเองดูแล้วก็รู้สึกต่างกันยังไงก็ไม่รู้ ทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ หัวสมองที่แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย จนบางทีก็กลัวว่ามันจะเกิดอะไรหากวันใดวันนึงแบงค์เจอคนที่ดีกว่าผมคนที่พร้อมและคู่ควรกับเขามากกว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

หากวันนั้นมีจริงผมควรทำเช่นไร

“เป็นอะไรไปครับ เห็นเงียบๆ ซึมๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ยังเครียดเรื่องกวดวิชาอยู่อีกเหรอ”

คำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยของแบงค์นั้นช่วยเรียกสติของที่กำลังฟุ้งซ่านให้กลับมา ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มด้วยความเป็นห่วง

“หิว”

“ห๊ะ”

“หิวแล้วว่ะ”

ผมตอบกลับออกไปสั้นๆ พลางขมวดคิ้วพร้อมกับเอามืออีกข้างที่เหลือลูบท้องตัวเองเบาๆ แบงค์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“งั้นเรารีบเดินไปกันเถอะครับ”

ผมพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น ก่อนที่จะเร่งฝีเท้าตามอีกฝ่ายไป พร้อมกับครุ่นคิดอะไรอีกเล็กน้อย

“มึง”

“ครับ”

“ถ้ามีของชิ้นนึงที่มึงอยากได้มากๆ และคนอื่นก็อยากได้เหมือนเราเช่นกัน เป็นมึง มึงจะทำยังไงวะ”

แบงค์หยุดนิ่งทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นก่อนจะหันขมวดคิ้วมองผมด้วยสีหน้างุนงง

“อะไรครับเนี่ย อยู่ๆ มาคำถามปรัชญาอะไรใส่ผมแบบนี้”

“เออน่ะ ตอบกูมาเถอะ”

ผมพยายามรบเร้าอีกฝ่ายพลางเขย่าแขนไปด้วย

“ไม่เห็นจะยากเลย ก็ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมายังไงล่ะครับ”

“ถึงแม้มึงอาจจะบ่เหมาะสมกับสิ่งนั้นก็ตามอย่างนั้นเหรอ”

ผมพยายามถามเสริม แบงค์เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

“คือยังไงครับ ผมไม่เข้าใจคำถาม”

ซะงั้น นี่กูยังตั้งคำถามไม่ดีสินะ

“ก็แบบ ของชิ้นนั้นน่ะ มันน่าจะเหมาะกับคนอื่นมากกว่ามึงไง”

“แล้วนันท์อยากได้ของชิ้นนั้นมากหรือเปล่าล่ะครับ”

แบงค์สวนคำถามกลับ ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบอย่างรวดเร็วแบงค์ขมวดคิ้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางขยับแว่นหนาไปด้วย

“ถ้าของชิ้นนั้นมันเหมาะกับคนอื่นมากกว่า แต่ผมรู้สึกอยากได้มากๆ วิธีก็คือ ผมก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองเหมาะกับของชิ้นนั้นมากกว่าคนอื่นให้ได้ยังไงล่ะครับ”

“หือ”

“ก็ถ้าผมมัวแต่มอง แต่ไม่คิดจะทำอะไร มันก็เท่านั้นล่ะครับ เว้นเสียแต่ว่าผมพยายามที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองเหมาะกับของชิ้นนั้น ผมว่ามันก็ดูจะมีโอกาสมากกว่าที่จะยืนมองเฉยๆ นะ”

“จริงสินะ ...”

ผมตอบกลับไปสั้นๆ พลางคิดตามไปด้วย

จริงสิ ถ้าผมเอาแต่มอง เอาแต่กลัว มันก็ไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด รังแต่จะทำให้ผมสูญเสียความมั่นใจไปเปล่าๆ หากมีคนที่ดีกว่าผม แต่ผมไม่ต้องการที่จะเสียแบงค์ไป ทางออกก็คือ ผมต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้คู่ควรกับแบงค์มากกว่านี้

ยิ่งตอนนี้ผมอยู่ในสถานะเป็นแฟนกับแบงค์แล้วด้วย ก็เท่ากับว่าผมมีแต้มต่อมากกว่าคนอื่น

แต่ผมจะต้องไม่ยืนเฉย ไม่หยุดนิ่ง เพื่อไม่ให้คนอื่นทำคะแนนแซงผมไปได้

พอคิดแบบนี้แล้วรู้สึกมีแรงผลักดันมีความมั่นใจขึ้นมายังไงก็ไม่รู้แฮะ

สู้ๆ เว้ย ไอ้นันท์ฮ่าฮ่าฮ่า

“มึง”

“ครับ”

“......”

“......”

“ขอบคุณมึงมากนะ กูรักมึงมากๆ เลยล่ะ”

“มาอารมณ์ไหนอีกครับเนี่ย ตามไม่ทันจริงๆ ว่าแต่พูดมาแบบนี้กำลังอยากได้อะไรอยู่อย่างนั้นเหรอครับ”

แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปบอกกันได้ล่ะ

“บ่บอก เอาเป็นว่าถึงเวลา เดี๋ยวมึงก็รู้เองน่ะล่ะ ไปกันเถอะ กูหิวแล้วเนี่ย”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเดินจูงมือนำหน้าแบงค์ไป เจ้าตัวเองเมื่อเห็นผมกลับมาสดชื่นได้อีกครั้ง ก็ยิ้มตามด้วยความดีใจก่อนจะเดินตามผมมาอย่างรวดเร็ว

 

จะไฮเปอร์หรือใครก็ตามเถอะ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก



จบคาบเรียนที่ห้า
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 6 คนป่วย (8-1-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 08-01-2021 21:54:05
คาบเรียนที่หก



จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะอยู่ตัวคนเดียว ดูแลตัวเองได้ในทุกสถานการณ์โดยไม่ต้องมีใคร

“ฮัดเช้ยยยย”
เหมือนจะเคยได้ยินว่าโบราณหรือใครสักคนกันแน่นะกล่าวเอาไว้ว่าคนบ้าไม่มีทางเป็นหวัด สงสัยคำพูดนั้นจะไม่จริงเสียแล้วล่ะ เมื่อคนบ้าอย่างผมกำลังป่วยไข้ขึ้นอยู่ในตอนนี้

“อย่าลืมกิ๋นยาแล้วพักผ่อนนักๆ เน่อถ้าบ่ไหวยังไงก็ไปหาหมอซะนะ”
เสียงที่แสดงถึงความห่วงใยจากปลายสายของแม่ผมเอ่ยขึ้นเมื่อทราบว่าผมกำลังไม่สบาย

“บ่เป็นหยังนักหรอกแม่ นี่ก็เพิ่งกิ๋นยาพาราฯ ไป เดี๋ยวว่าจะไปนอนพักผ่อนละ”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะอาหาร ในขณะที่มืออีกข้างก็บีบจมูกตัวเองเบาๆ เพื่อไล่น้ำมูกโดยหวังว่ามันจะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น

หลังจากที่วางสายจากคุณกมลชนกเสร็จเรียบร้อย ผมก็หอบร่างตัวเองไปยังเตียงนอนอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เกลียดช่วงเวลาไม่สบายแบบนี้จังเลย ทำอะไรไม่สะดวก ขยับตัวก็ลำบาก อยากหายไวๆ จัง อยากกลับไปทำงานแล้วอ่ะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ในขณะที่ตัวผมเองกำลังจะล้มตัวลงบนที่นอน ใครกันนะมาเคาะห้องกันตอนนี้ ช่างไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย ลำบากผมต้องหอบร่างตัวเองไปเปิดประตูด้วยความยากลำบากอีก

“เป็นยังไงมั่งครับ เห็นได้ข่าวว่าบ่สบาย”
นึกว่าใครที่ไหน ภู นี่เอง ว่าแต่รู้ได้ไงวะนั่น

“พอดีผมไปแวะหาที่ร้านหนังสือมาน่ะครับ เลยทราบว่านันท์บ่สบาย ผมก็เลยแวะซื้อของมาเยี่ยม นี่ครับส้ม ดีต่อคนป่วย”
อ๊ะ อ่านใจกูได้รึเปล่าวะเนี่ย
ผมรับส้มนั้นมาอย่างไม่เกรงใจ เพราะคิดว่าต่อให้ปฏิเสธไปเจ้าตัวก็ต้องคะยั้นคะยอให้ผมรับอยู่ดีนั่นเอง

“ขอบใจมากนะ ว่าแต่นี่บ่ทำงานเหรอ”
ผมเอ่ยถามกลับไปพลางหันไปมองดูนาฬิกาที่ฝาผนังซึ่งกำลังบอกเวลาว่ากำลังบ่ายโมงอยู่

“ทำครับ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงพักน่ะครับ”
“อย่าบอกนะว่านี่มาเพื่อเอาส้มมาให้”
“ป่ะ เปล่าครับ พอดีผมลืมเอกสารสำคัญน่ะครับ เลยต้องแวะมาเอา ก็เลยถือโอกาสซื้อส้มมาเยี่ยมไข้น่ะครับ”
ภูรีบออกตัวปฏิเสธทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นทำเอาผมถึงกับรู้สึกหน้าแตกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะจะว่าไปการถามแบบนั้นก็ดูเหมือนผมกำลังสำคัญตัวเองอยู่ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“แล้วบ่ทราบว่าไปหาหมอรึยังน่ะครับ”
“ยัง บ่ได้ป่วยมากขนาดนั้นน่ะ เลยคิดว่ากินยาแล้วนอนก็น่าจะหายแล้วล่ะ”
ผมยิ้มตอบกลับไป

“ก็ดีครับ พักผ่อนเยอะๆ แต่ถ้าเกิดบ่ไหวยังไงขึ้นมาก็บอกผมได้นะครับ ถ้าไม่รังเกียจผมขอเบอร์นันท์ไว้ได้มั้ย เผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้”
ภูเอ่ยบอกกับผมด้วยท่าทีที่ดูเป็นห่วงเป็นใย ผมเองก็กำลังคิดว่าน่าจะดีเหมือนกันเผื่อตัวเองเป็นอะไรขึ้นมาก็จะได้มีคนช่วยเหลือ ผมจึงบอกเบอร์ตัวเองให้กับภู เจ้าตัวเองเมื่อได้เบอร์ของผมไปก็รีบยิ้มด้วยสีหน้าดีใจทันที

“เดี๋ยวผมยิงเบอร์ผมเข้าเครื่องของนันท์นะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลับไปทำงานบ่ทัน ถ้ามีอะไรยังไงก็โทรเข้ามาเบอร์ผมได้ตลอดเวลานะครับ”
ผมยิ้มพยักหน้าให้กับคำพูดนั้นของภูก่อนที่จะปิดประตูเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไป ผมก้มมองถุงส้มที่อยู่ในมือพร้อมกับยิ้มให้กับตัวเอง รู้สึกโชคดียังไงไม่รู้เหมือนกันแฮะที่ได้เพื่อนร่วมคอนโดที่ดีแบบภูเนี่ย ผู้ชายดีๆ แบบนี้ สาวที่ไหนได้เป็นแฟนนี่ถือว่าโชคดีมากๆ เลยนะนั่น

ผมรู้สึกง่วงมากๆ จึงวางถุงส้มไว้บนโต๊ะอาหารด้วยความคิดที่ว่าหากตื่นมาค่อยกินทีหลัง ก่อนที่จะพาร่างตัวเองไปยังเตียงนอนอีกรอบ พร้อมกับภาวนาในใจว่ารอบนี้คงไม่มีใครที่ไหนมาขัดจังหวะการนอนของผมอีกนะ

ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกเคลิ้มกำลังจะหลับนั้นเอง ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าป่วยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ซึ่งก็เป็นคำถามที่ผมเองก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะคิดว่ามันน่าจะนานมาก นานจนผมเองก็ยังจำไม่ได้

จำได้แค่ว่าเคยดูแลคนป่วยเท่านั้นเอง

คนป่วยที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นคนสำคัญสำหรับผม


“ตัวก็ออกจะใหญ่โต แต่ไหงป่วยง่ายจังน่ะ”
ผมเอ่ยถามแบงค์ที่กำลังคุยกับผมผ่านมือถืออยู่ในขณะพักเที่ยง

“นั่นสิครับ ผมว่าสงสัยผมต้องเป็นโรคหัวใจแน่ๆ เลย”
ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนก่อนจะไอผ่านมือถือสองสามครั้ง

“เฮ้ยจริงดิ ทำไมคิดว่างั้นอ่ะ หมอบอกมาเหรอ”
ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง จนคิดว่าอยากจะขอลาครึ่งวันกลับไปดูอาการของอีกฝ่ายทันที

“......”
ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาจากปลายสาย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

“เฮ้ย มึง เป็นอะหยังเปล่าวะ ตอบหน่อยดิ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เป็น...โรค.....หัวใจกำเริบ....”
“เฮ้ยจริงดิ เฮ้ยเดี๋ยวกูกลับไปหานะ อย่าเพิ่งเป็นอะหยังไปล่ะ”
ผมรีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายความกระวนกระวายใจ ทำเอาไอ้โอ๊ต ไอ้ยีสต์ ไอ้เต้ยที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจด้วยความสงสัย

“โรค...หัวใจ...กำเริบ.....เลิฟ ละ ละ เลิฟ เลิฟ เลิฟ ดูสิมันกำเริบ เลิฟ ละ ละ เลิฟ ยู เห็นแล้วใจมันอ่อนอ๊อน อยากจะอ้อนเธอน่าดูช่วยมาดูแลรักษากันหน่อยเหอะ”

“......”
“......”

“มึง”
“ครับ”
ผมนิ่งเงียบทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง

“ไปหาหมอเช็คสมองมั่งก็ดีนะ”
“ไหงงั้นล่ะครับ ผมอุตส่าห์คิดว่ามุกนี้ต้องตลกแน่ๆ เลยแท้ๆ”

แบงค์เอ่ยถามกลับมาด้วยความสงสัยและน้ำเสียงที่ดูสดชื่นกว่าเมื่อครู่ ผมถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันใช่เวลามาเล่นรึเปล่าน่ะ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงจนแทบอยากจะลากลับไปดูแลแล้วเนี่ย”

ผมเอ่ยกลับไปสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ปลายสายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ขอโทษด้วยครับ ขอโทษที่เล่นไม่ดูสถานการณ์ ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เป็นห่วง ทีหลังจะไม่เล่นอะไรแบบนี้อีกแล้ว อย่าโกรธผมนะครับ”

แบงค์เอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วสัมผัสได้ว่ารู้สึกผิดจริงๆ ยอมรับว่ารู้สึกโกรธอยู่เหมือนกัน แต่นั่นก็เพราะเป็นห่วง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็เลยทำให้รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง

“แล้วนั่นกินยาแล้วรึยังน่ะ”
“กินแล้วครับ เพิ่งกินหลังมื้อเที่ยงไปเมื่อกี้นี่เอง”
อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างว่าง่าย

“ดีแล้วๆ แต่ถ้าอาการบ่ดีขึ้น หรือแย่ลงยังไงก็รีบโทรมาหาเลยนะ จะได้รีบพาไปหาหมอ”
ผมเอ่ยกำชับด้วยความเป็นห่วง เพราะแบงค์เองไม่มีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง ที่ผ่านมาเวลามาโรงเรียนก็มาด้วยกันกับผมตลอด จะมีก็แต่จักรยานเสือภูเขาหนึ่งคันที่เจ้าตัวไว้ใช้ปั่นจากหอเก่ามาร้านเจ๊บัวในช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ก็แค่นั้น ซึ่งผมคิดว่าแบงค์ในสภาพนี้คงปั่นจักรยานไปหาหมอไม่ไหวแน่ๆ

“ขอบคุณมากครับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตอนนี้ผมได้พยาบาลฝีมือดีคอยดูแลอยู่แล้วน่ะครับ”
ใครหว่า แต่พูดแบบนี้ สงสัยต้องเป็นเจ๊บัวแน่ๆ เลย
หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จแล้ว ผมก็กดวางสายพร้อมกับรีบจัดการข้าวเที่ยงตรงหน้าตัวเองด้วยความรวดเร็ว

“เป็นห่วงกันจังเลยนะผัวเมียคู่นี้เนี่ย กูล่ะอิจฉาจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงไอ้เต้ยเอ่ยแซวผมอย่างชอบใจ ผมชูนิ้วกลางกลับไปให้อีกฝั่งแทนคำตอบ

“ว่าแต่มึงสองคนถึงขั้นไหนกันแล้ววะ”

พรวดดด

คราวนี้เป็นไอ้ยีสต์เอ่ยถามบ้าง ซึ่งก็เป็นคำถามที่ทำเอาผมถึงกับเกือบสำลักข้าวเลยทีเดียว
“ถึงขั้นไหน นี่หมายความว่าไงวะ”
ผมตอบกลับด้วยคำถาม

“ก็หมายถึงว่า คุณเพื่อนนันท์กับคุณเพื่อนแบงค์ได้เสียกันเป็นคู่สามีภรรยารึยังยังไงล่ะครับ”
คราวนี้เป็นไอ้โอ๊ตที่ช่วยขยี้มุกของไอ้ยีสต์ ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้ยีสต์มันหมายถึงเรื่องอะไรโดยไม่ต้องรอให้ไอ้โอ๊ตช่วยขยายความเลยสักนิด

“ว่าแต่ใครผัวใครเมีย ใครรุกใครรับวะ กูอยากรู้ว่ะ”
ไอ้เต้ยเอ่ยถามรอบด้วยน้ำเสียงที่ดูพยายามจะกลั้นหัวเราะแต่ก็ปิดไม่มิด

“โอ้ย ถามเหี้ยอะหยังของพวกมึงเนี่ยกูบ่คุยกับพวกมึงแล้ว สัส”
“ตอบแบบนี้แสดงว่ายังบ่ได้เสียกันชัวร์”
ไอ้สัสเต้ย มึงไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี ถึงแม้คำพูดของมึงจะถูกต้องก็ตามทีเถอะ แล้วพวกมึงอีกสองตัวไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะชอบใจเลยนะเว้ย

ไอ้พวกเพื่อนเหี้ย ฮือๆ


หลังจากที่เลิกเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบตรงดิ่งกลับมายังบ้านทันทีโดยไม่ไปที่ชมรมซึ่งไอ้เต้ยก็เข้าใจในเหตุผลจึงไม่ได้ว่าอะไรผมมากนัก ทันทีที่ผมกลับมาถึงบ้านก็พบว่าประตูรั้วบ้านไม่ได้ล็อคไว้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคุณกมลชนกกลับมาจากอำเภอปายแล้วนั่นเอง

“อะหยังกลับมาไวจัง แล้วนั่นจะไปไหนน่ะ”
แม่เอ่ยถามทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาวางกระเป๋าสะพายไว้บนโซฟาแล้วทำท่าจะเปิดประตูออกไปด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยวมานะแม่ พอดีแบงค์บ่สบาย จะไปดูอาการแบงค์เขาหน่อยน่ะ”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับหันไปทางคุณกมลชนกที่ตอนนี้กำลังยกหม้อเล็กๆ ออกมาจากครัววางไว้บนโต๊ะอาหาร ควันที่ลอยกรุ่นออกมาจากหม้อเล็กๆ นั้นแสดงให้เห็นว่าเพิ่งจะทำสำรับข้าวเย็นเสร็จ

“ถ้าแบงค์เขาล่ะก็ ตอนนี้แม่ให้นอนอยู่บนเตียงในห้องของแกเรียบร้อยแล้วล่ะ”
พูดจบคุณกมลชนกก็เดินกลับเข้าไปในครัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่ผมกำลังใช้สมองอันน้อยนิดประมวลผลกับคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่อยู่

หืม ????????????????????????????????


ภาพของชายหนุ่มร่างสูงตัวโตที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของผมคือสิ่งที่ผมเห็นเป็นอย่างแรกทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา ผมรู้สึกตะลึงตกใจอยู่พอควรที่อีกฝ่ายเข้ามานอนอยู่บนเตียงในห้องของผม โดยปกติแล้วผมมักจะไม่ค่อยให้ใครเข้ามาให้ของผมง่ายๆ นัก ขนาดพวกไอ้เต้ย ไอ้ยีสต์ ไอ้โอ๊ตผมยังแทบไม่ให้เข้ามาเลย ซึ่งสาเหตุมันก็มีอยู่ข้อเดียวจริงๆ นั่นก็คือ

ห้องผมรกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

รกชนิดที่ว่าผมขออนุญาตไม่บรรยายจะดีกว่า เพราะเกรงว่ามันจะทำให้ภาพลักษณ์น้องนันท์ผู้น่ารักของผมนั้นเสียแน่ๆ
“นันท์ เดี๋ยวเอากะละมังข้างเตียงลงมาเปลี่ยนน้ำด้วยเน่อ”

คุณกมลชนกตะโกนขึ้นมา ผมหันไปมองยังข้างเตียงก็พบกะละมังที่ว่าวางไว้อยู่ ผมจึงค่อยๆ เดินเข้าหยิบอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินลงมายังครัว

“แม่ทำข้าวต้มปลาของโปรดแกไว้นะ เดี๋ยวถ้าแบงค์เขาตื่นก็ให้เขากินแล้วกินยาตามด้วยเน่อ”
ผมพยักหน้าตอบกลับไปด้วยความงุนงงในเรื่องราวที่เกิดขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับหันกลับมาเปลี่ยนน้ำในกะละมังและซักผ้าขนหนูผืนเล็กที่แช่อยู่ในนั้นเมื่อครู่ด้วย

“อ้อ อีกอย่าง...”
คุณกมลชนกทิ้งช่วงไปครู่หนึ่ง ผมหันไปมองด้วยความสงสัย

“ห้องหับน่ะ หัดจัดซะมั่งเน่อ จะรกเป็นถังขยะไปไหนนักหนา แขกไปใครมาอายเขารู้มั้ย”
นั่นไงกูว่าแล้วว่าต้องโดนด่าเรื่องนี้แน่ๆ

หลังจากที่เปลี่ยนน้ำและซักผ้าขนหนูเสร็จเรียบร้อย ผมก็นำมันกลับขึ้นไปยังห้องของตัวเองพร้อมวางมันลงข้างเตียง ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เตียงอย่างช้าๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนทำให้แบงค์ตื่น

ผมจ้องมองแบงค์ที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของผม ด้วยความอยากรู้ผมจึงยกมือของตัวเองไปแตะลงบนแก้มและหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าแบงค์ยังมีไข้อ่อนๆ อยู่ เจ้าตัวเผลอไอออกมานิดๆ ผมจึงรีบดึงมือของตัวเองคืนมา แล้วจึงจ้องมองอีกฝ่ายให้แน่ใจว่ายังไม่ตื่น ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

ภาพแบงค์ที่กำลังหลับสนิทอยู่ตอนนี้ช่างเป็นภาพที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก จนผมแทบจะอดใจไม่ไหว จึงค่อยชะโงกหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ๆ ทีละนิดอย่างช้าๆ จนในที่สุดริมฝีปากของผมก็ประทับสัมผัสลงบนแก้มของแบงค์

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ผมกับแบงค์คบกันในฐานะคนรัก ผมก็เคยหอมแก้มแบงค์หลายครั้งแล้วแท้ๆ แต่ทว่าครั้งนี้ผมกลับรู้สึกต่างไปจากทุกครั้ง สัมผัสนุ่มและความอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก

“แอบหอมแก้มลูกชายคนอื่นแบบนี้ ผมเสียหายนะครับ”
เสียงเอ่ยเบาๆ ของแบงค์นั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจจนต้องดึงตัวเองกลับมา

“เฮ้ย ตื่นอยู่เหรอเนี่ย”
ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“ก็สักพักตั้งแต่นันท์เดินขึ้นมารอบแรกแล้วล่ะครับ”
แบงค์ตอบกลับมาพร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองผมอย่างช้าๆ

“แล้วทำไมบ่บอกล่ะว่าตื่นอยู่”
“ถ้าบอก ผมก็อดโดนนันท์แอบหอมแก้มสิครับ”
ดูเขาตอบสิ ป่วยอยู่แท้ๆ ยังจะมีหน้ามาหยอดคำหวานอีก แล้วไหงกูต้องหน้าแดงด้วยเนี่ยยยยย

“แล้วนี่มาอยู่ในห้องเราได้ไงอ่ะ”
ผมเอ่ยถามเพื่อเบี่ยงประเด็นก่อนที่หน้าของผมจะแดงไปมากกว่านี้

“ก็ช่วงสายๆ ผมกะว่าจะเดินออกมาซื้อยาน่ะครับ แล้วก็เจอกับแม่นันท์ที่กลับมาพอดี แม่เลยให้ผมมานอนในห้องของนันท์ยังไงล่ะครับ”
นั่นไง แม่กูอีกแล้ว ตลอดเลยนะคุณผู้หญิงคนนี้เนี่ย

“ตอนแรกผมก็เกรงใจเหมือนกันครับ เพราะกลัวว่าจะทำให้นันท์ติดหวัดไปแล้ว แต่แม่ของนันท์บอกไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องกลัว โบราณเขาว่าไว้ว่าคนบ้าไม่มีทางเป็นไข้หวัดหรอก”
ผมหันไปยังประตูห้องพร้อมกับหรี่ตามองทันที แม่นะแม่ นี่ลูกแม่แท้ๆ นะ มาว่ากันอย่างนี้ได้ไง

“แล้วเรียนวันนี้เป็นยังไงมั่งครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มจากถึงลำคอ

“ก็รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่งตามประสานั่นล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ในขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ก็เป็นห่วงคนบางคนที่ตัวโตเสียเปล่า แต่ป่วยง่ายเหลือเกิน”
แบงค์อมยิ้มทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น ในขณะที่ผมกลับรู้สึกเขินอายในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเสียเอง แต่จะว่าไปแบงค์ก็ป่วยง่ายเหมือนกันแฮะ จำได้ว่าเมื่อปลายปีที่แล้วตอนช่วงปีใหม่ก็ป่วยไปรอบหนึ่งนี่นา

“ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง ว่าแต่มีการบ้านอะไรมั้ย เดี๋ยวผมจะช่วยติวให้เป็นการตอบแทน”
แบงค์เอ่ยถามพลางมองหาแว่นตาตัวเอง ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบจากบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา ก่อนที่จะนึกเอะใจอะไรได้บ้างอย่าง
“แบงค์สายตาสั้นขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมเอ่ยถามพลางมองแว่นตาของอีกฝ่ายที่มีความหนามากผมลองหยิบมันขึ้นมาสวมดูก่อนจะรีบถอดออกด้วยความรวดเร็วเพราะรู้สึกมึนหัว

“ล่าสุดที่ไปวัดมาก็สี่ร้อยห้าสิบอ่ะครับ”
แบงค์ขมวดคิ้วตอบกลับมา จะว่าไปแบงค์ในตอนที่ไม่ได้ใส่แว่นก็ดูแปลกตาอยู่เหมือนกันแฮะพอลองนึกๆ ดูแบงค์ก็เคยใส่คอนแทคเลนส์ครั้งนึงนี่นาตอนงานคริสมาต์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งยอมรับว่าลุคตอนนั้นดูหล่อจริงๆ

“แล้วมันสั้นแค่ไหนวะ อย่างตรงนี้มองชัดมั้ย”
ผมถามพลางโบกมือกะระยะให้อีกฝ่าย แบงค์เพ่งสายตามาทางผม

“ไม่ชัดครับ ต้องเข้ามาใกล้ๆ อีก”
เจ้าตัวตอบ ผมจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ ก่อนที่จะ เฮ้ยยย

“ถ้าแบบนี้อะ ชัดมากครับ”
แบงค์เอ่ยบอกผมด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ผมกำลังตกใจอยู่ ก็จะไม่ชัดได้ไงล่ะ เล่นคว้าตัวผมไปกอดแน่นเสียขนาดนั้น หน้าของแบงค์ในตอนนี้นั้นใกล้ชิดกับหน้าของผมมากๆ ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายของแบงค์ที่ยังมีความร้อนจากฤทธิ์ไข้อยู่

“ขอเอาคืนเมื่อกี้หน่อยนะครับ”
พูดจบ แบงค์ก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่อย่างรวดเร็ว ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย

“ไม่ขัดขืนหน่อยเหรอครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ซึ่งจะว่าไปถ้าเป็นผมเมื่อก่อนอาจจะมีขัดขืนอยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าหลังๆ มานี้ค่อนข้างจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวพอสมควร จนบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองดูใจง่ายยังไงไม่รู้ ฮ่าฮ่าฮ่า

“ก็ถ้าแค่หอมแก้ม ก็ไม่รู้จะขัดขืนไปทำไมอ่ะ แต่ถ้ามากกว่านั้น ยังกลัวอยู่อ่ะ”
“กลัวอะไร กลัวเจ็บงั้นเหรอครับ”
“ถ้าขืนยังพูดแบบนี้อีกจะต่อยเอาจริงๆ ด้วยนะ”
ผมพูดขู่ออกไป ซึ่งก็ได้ผลอยู่บ้าง แบงค์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มให้กับผม

“แค่นันท์ไม่ขัดขืนเวลาผมหอมแก้มผมก็ดีใจมากแล้วครับ ที่เหลือหลังจากนี้ผมจะอดใจรอก็แล้วกัน”
พูดจบ แบงค์ก็หอมแก้มผมอีกฟอดพร้อมหยิบแว่นจากมือของผมไปใส่

“มาครับ มาติวการบ้านกันเถอะ”
แบงค์ลุกขึ้นจากเตียงพลางมองซ้ายขวาเหมือนพยายามจะหาพื้นที่ว่างในห้องรกๆ แห่งนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกอายยังไงก็ไม่รู้แฮะ ผมลุกขึ้นตามอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะญี่ปุ่นที่ถูกพับเก็บไว้ระหว่างตู้เสื้อผ้าและโต๊ะคอมพ์ฯ ออกมากางลงข้างเตียง หลังจากนั้นจึงหยิบสมุดการบ้านออกมาเพื่อให้แบงค์ช่วยติวให้


จบคาบเรียนที่หก
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 6 คนป่วย (8-1-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-01-2021 23:04:28
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 7 เรื่องระทึกขวัญ (24-2-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 24-02-2021 04:47:17
คาบเรียนที่เจ็ด

แบงค์ลุกขึ้นจากเตียงพลางมองซ้ายขวาเหมือนพยายามจะหาพื้นที่ว่างในห้องรกๆ แห่งนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกอายยังไงก็ไม่รู้แฮะ ผมลุกขึ้นตามอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะญี่ปุ่นที่ถูกพับเก็บไว้ระหว่างตู้เสื้อผ้าและโต๊ะคอมพ์ฯ ออกมากางลงข้างเตียง หลังจากนั้นจึงหยิบสมุดการบ้านออกมาเพื่อให้แบงค์ช่วยติวให้

ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ผมก็ทำการบ้านเสร็จซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่มีแฟนฉลาดๆ แบบแบงค์นั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า
“นี่ก็ค่ำแล้ว ถ้างั้นผมขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ”

แบงค์ลุกขึ้นยืนทันทีหลังจากที่พูดจบ
“แบงค์จะนอนนี่ก็ได้นะ เผื่อไข้ขึ้นจะได้ดูแลทัน”
“จะดีเหรอครับ”
แบงค์หันกลับมาถามผมด้วยสีหน้าสงสัย ผมขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่กำลังใช้ชายเสื้อเช็ดแว่นของตัวเองอยู่

“ก็ถ้าบ่ทำอะหยังแผลงๆ ก็นอนได้อยู่หรอก”
แบงค์หัวเราะเบาๆ ทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น พลางลูบหัวผมเบาๆ

“เป็นเกียรติมากเลยครับที่ได้นอนค้างที่ห้องนันท์เนี่ย”
“เว่อร์ นั่งรออยู่ตรงนี้เลยนะ เดี๋ยวกูจะลงไปเอาข้าวต้มมาให้กิน แล้วจะได้กินยา วันนี้มึงห้ามดื้อล่ะ ต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังกูทุกคำ เข้าใจมั้ย”
ผมยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปยังแบงค์ เจ้าตัวอมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม

“คร้าบบบ คุณหมอ”
“เยี่ยมมาก ไอ้น้องชาย”
พูดจบผมก็เดินลงไปยังชั้นล่างทันที

“แบงค์เขาเป็นยังไงมั่ง อาการดีขึ้นรึยัง”
คุณกมลชนกเอ่ยถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา

“ก็ดีขึ้นแล้ว พูดมากได้เหมือนเดิมแล้วล่ะ”
“ไปพูดแบบนั้นกับแบงค์เขาได้ยังไงน่ะ เสียมารยาทมากเลยนะเราเนี่ย”
ผมหรี่ตามองกลับไปยังคุณกมลชนกที่ยังคงให้ความสนใจกับละครในทีวีอยู่ ตอนนี้บางทีก็เริ่มๆ คิดแล้วนะว่าใครเป็นลูกของคุณกมลชนกกันแน่เนี่ย ดูจะโอ๋เอาอกเอาใจแบงค์เสียเหลือเกิน

แต่จะว่าไปเรื่องที่ผมกำลังคบกับแบงค์ในสถานะคนรักอยู่นั้น ผมเองก็ยังไม่ได้บอกคุณกมลชนกที่นี่นา ซึ่งคิดอีกที ผมเองก็ยังไม่กล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับคุณกมลชนกเหมือนกันแฮะ เพราะไม่รู้ว่าคุณกมลชนกจะรับได้หรือเปล่ากับสิ่งที่ผมเป็นและความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้

ในขณะที่ผมกำลังมีความสุข อีกด้านหนึ่งผมก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันที่ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ เคยคิดเอาไว้ว่าสักวันหากผมมีความกล้ามากพอ ผมคงจะพูดเรื่องนี้กับคุณกมลชนก
แต่คำถามคือ เมื่อไหร่กันล่ะ

เพราะงั้นสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียง ขอโทษคุณกมลชนกในใจ และหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะมีความกล้ามากพอที่จะพูดเรื่องนี้
ขอโทษนะครับ คุณกมลชนก


“อร่อยมากเลยครับ ข้าวต้มปลาฝีมือของแม่นันท์เนี่ย”
แบงค์เอ่ยชมหลังจากที่กินข้าวต้มปลาจนหมดถ้วยในขณะที่ผมยังเหลืออีกตั้งครึ่ง

“อิ่มมั้ย เอาเพิ่มอีกป่ะ มีเยอะเลย”
ผมหันไปเอ่ยถาม แบงค์พยักหน้าด้วยความดีใจ ผมจึงเดินลงไปตักขึ้นมาให้อีกถ้วย หลังจากที่แบงค์กินหมดเรียบร้อยแล้ว ผมก็นำยาพาราฯ มาให้แบงค์กินต่อ

“จะอาบน้ำก่อนนอนมั้ย”
ผมหันไปถามแบงพร้อมกับเดินไปหยิบผ้าขนหนู

“ครับ แต่นันท์อาบก่อนเลยครับ ผมค่อยอาบทีหลัง”
ได้ยินเช่นนั้น ผมก็นุ่งผ้าขนหนูแล้วถอดเสื้อตัวเองออกทันที เพราะเริ่มรู้สึกได้กลิ่นเหม็นเหงื่อของตัวเองแล้ว

“อ้วนขึ้นรึเปล่าครับ”
แบงค์เอ่ยถามขึ้นทันทีที่ผมถอดเสื้อเสร็จ ผมเลิกคิ้วสูงก่อนจะหันไปมองยังกระจกที่ติดอยู่ข้างฝาผนัง

“เฮ้ย จริงดิ”
ผมหันซ้ายหันขวาพร้อมกับเอ่ยถามกลับไปด้วยความวิตกเล็กน้อย แบงค์พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

“สงสัยช่วงนี้กินเยอะไปหน่อยแฮะ ไม่น่าเลย ฮือ”
ผมบ่นพร้อมกับใช้นิ้วจับหน้าท้องตัวเองที่สมควรจะเรียกว่า พุง มากกว่า ซึ่งตอนนี้เหมือนมันกำลังย้วยนิดๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกอนาถใจในตัวเองยังไงก็ไม่รู้แฮะ ขนาดพกพาสะดวกไม่พอ เสือกอ้วนออกข้างอีก แทนที่จะไปเพิ่มในส่วนสูง ไอ้อาหารบ้า ว๊ากกกกกกกกกก

“ไม่ได้การ สงสัยต้องลดความอ้วนละ”
“ไม่ต้องหรอกครับ นันท์ที่เป็นแบบนี้ก็น่ารักดีอยู่แล้ว”
แบงค์บอกพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น

“น่ารักตรงไหนเนี่ย”
“ก็ตรงที่เนื้อๆ นี่ล่ะครับ ดูมีน้ำมีนวล ผมชอบ เวลากอดแล้วมันรู้สึกอบอุ่นดี แถมอีกอย่าง....”

แบงค์นิ่งเงียบทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง ผมขมวดคิ้วหรี่ตามองด้วยความสงสัย
“อีกอย่างอะหยัง”

“......”
“......”
“นันท์ที่เป็นแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์อย่างบอกไม่ถูกด้วยน่ะครับ”

พูดจบแบงค์ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย พลางเกาคางเบาๆ ไปด้วย
“พูดบ้าอะหยังวะเนี่ย”

ผมปาผ้าขนหนูอีกฝืนใส่อีกฝ่ายทันทีก่อนที่จะรีบเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
แรกๆ ก็ดูออกจะเป็นสุภาพบุรุษเรียบร้อยดีๆ แท้ๆ แต่ไหงหลังๆ ถึงได้ดูโรคจิตหื่นกามขึ้นทุกวันๆ นะ กับแฟนเก่าเป็นแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย

จะว่าไป ก็เคยถามแบงค์เหมือนกันนี่หว่ากับเคยอะไรๆ กับแฟนเก่าหรือเปล่า เจ้าตัวก็เอาแต่ยิ้มมุมปาก ไม่ยอมตอบอะไร นี่แสดงว่ายังมีอีกหลายมุมของแบงค์สินะที่ผมยังไม่รู้จัก

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ผมก็รีบแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างรวดเร็วทันที เพราะคิดว่าหากยิ่งเปลือยกายนานเท่าไหร่ สวัสดิภาพความปลอดภัยของผมก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น เพราะสายตาของอีกฝ่ายตอนนี้กำลังจ้องมองผมตาเป็นมันเชียว และเมื่อแต่งตัวเสร็จ ผมก็ไล่อีกฝ่ายให้ไปอาบน้ำทันที

แบงค์ลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่าง่าย พร้อมกับถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นท่อนบนที่ขาวเนียนมากๆ เนียนจนหน้าอิจฉาสุดๆ

“จ้องมองผมแบบนี้หมายความว่ายังไงน่ะครับ”
แบงค์หันมาเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มมุมปากทันทีที่เห็นสายตาของผมจ้องมอง

“แบงค์น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือเปล่าน่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองตัวเองในกระจกข้างฝาผนัง

“ก็คิดว่าน่าจะขึ้นนะครับ ทำไมเหรอครับ ผมดูอ้วนเหรอ”
“เปล่า แค่รู้สึกดูจะล่ำขึ้น บึกขึ้นยังไงก็ไม่รู้น่ะ”

ผมตอบออกไปตามที่คิด แต่ทว่าแบงค์กลับยิ้มอย่างมีเลศนัยกลับมาแทนเสียงั้น
“เห็นแล้วมีอารมณ์ล่ะสิครับ”

“อารมณ์บ้าอะไร ไปๆ ไปอาบน้ำเลย จะนอนแล้ว”
แบงค์หัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก่อนที่จะถอดกางเกงขาสั้นของตัวเองลงกองกับพื้นโดยไม่คิดจะแคร์สายตาของผมเลยสักนิด

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ”
ผมเอ่ยทักเสียงดังเมื่อเห็นการกระทำนั้นของอีกฝ่าย ก่อนที่จะรีบเอามือปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้

“อ้าว ก็ไปอาบน้ำน่ะสิครับ”

แบงค์ตอบกลับมาอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ผมกลับเป็นฝ่ายรู้สึกเขินหน้าแดงแทนเสียเอง
“ก็แล้วทำไมไม่นุ่งผ้าขนหนูด้วยล่ะ”

ผมรีบโวยพร้อมกับชี้ไปยังผ้าขนหนูที่กำลังพาดอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมฯ เมื่อเห็นแบงค์ที่ตอนนี้มีแค่กางเกงในสีขาวตัวเดียวปกปิดร่างกายอยู่ เจ้าตัวหันไปมองผ้าขนหนูผืนนั้น ก่อนจะก้มลงมองเรือนร่างของตัวเอง แล้วจึงหันมามองผมอีกรอบ

“จะอายอะไรกันครับ เราเป็นแฟนกันแท้ๆ ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลยสักนิด หรือจะให้ผมถอดอีกชิ้นออกด้วย”
ไม่พูดเปล่า แบงค์ยังทำท่าจะถอดเจ้ากางเกงในซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ปกปิดตัวเองเอาไว้อีกด้วย จนผมต้องรีบลุกขึ้นไปจับข้อมือนั้นห้ามเอาไว้

“ปกติก็เคยเห็นผมในชุดบอกเซอร์ตัวเดียวมาก่อนแล้วแท้ๆ แล้วจะมาเขินอะไรกันตอนนี้ครับ”
แบงค์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาอะไร ซึ่งจะว่าไปมันก็มีส่วนถูกอยู่บ้างหากจะพูดเช่นนั้น แต่เข้าใจป่ะ บอกเซอร์กับกางเกงในมันไม่เหมือนกันอ่ะ พื้นที่ในการปกปิดมันต่างกัน บอกเซอร์อย่างน้อยมันก็ดูเหมือนกางเกงขาสั้นไง ในขณะที่กางเกงในมันเป็นคนละแบบกันอ่ะ แต่คิดว่าอธิบายไปเจ้าตัวก็คงไม่สนใจหรอก ผมจึงรีบหยิบผ้าขนหนูมานุ่งให้ทันทีก่อนจะผลักอีกฝ่ายเข้าห้องน้ำแล้วรีบปิดประตูด้วยความรวดเร็ว

คนอะไรเนี่ย กับเรื่องอื่นออกจะฉลาดแท้ๆ แต่ไหงเรื่องแบบนี้ถึงได้ ...
“นันท์ครับ”
“อะไร”

ผมตอบกลับอย่างคนมีน้ำโหเล็กน้อย
“ผมไม่มีกางเกงในเปลี่ยนอ่ะครับ เสื้อผ้าด้วย”

“อาบไปก่อน เดี๋ยวหามาให้”
“ขอบคุณครับ”
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย คิดถูกป่ะเนี่ยที่ให้แบงค์นอนด้วยคืนนี้


“บ้านนันท์มีคนตัวใหญ่แบบนี้ด้วยเหรอครับ”
แบงค์เอ่ยถามก่อนจะก้มมองดูเสื้อผ้าที่ตนกำลังสวมใส่อยู่

“ของพ่อน่ะเอ้อ อย่าลืมกินยาก่อนนอนด้วยล่ะ”
“อ้อ ครับ”
เจ้าตัวตอบกลับมาสั้นๆ โดยไม่ถามอะไรต่อ นั่นเพราะพ่อกับแม่ของผมนั้นหย่ากันตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ซึ่งแบงค์เองก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวนิ่งเงียบไม่ซักไซ้อะไรมากนัก แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องตั้งแต่ผมยังเด็กๆ จนแทบจะจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับมันมากมายนักแล้วด้วย

“จะนอนเลยมั้ย”
ผมเอ่ยถามแบงค์พลางหันไปมองนาฬิกาในมือถือที่กำลังบอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะห้าทุ่มแล้ว แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็พยักหน้าตกลงก่อนจะเดินขึ้นเตียงอย่างว่าง่าย ผมจึงเดินไปปิดไฟห้องแล้วกลับมายังเตียงนอนตามอีกฝ่าย

“......”
“......”

“......”
“......”

เงียบ......
ทำไมรู้สึกแปลกๆ วะ ทั้งๆ ที่จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่นอนร่วมเตียงเดียวกับแบงค์ ที่จำได้ก็มีตอนไปสันป่าเกี๊ยะ แต่นั่นมันก็ในเต้นท์ แถมตอนนั้นยังไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย แล้วก็ตอนไปเกาะพะงันเมื่อช่วงต้นปี รอบนั้นก็นอนด้วยกันสองคนตั้งหลายวันด้วยแท้ๆอาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยให้ใครมานอนร่วมเตียงเดียวกันในห้องตัวเองก็เป็นได้แฮะ

“นันท์ครับ”
แบงค์ทำลายความเงียบนั้นด้วยการเอ่ยเรียกชื่อผมเบาๆ

“ว่าไง”
ผมตอบกลับไปสั้นๆ

“ขอบคุณนะครับ สำหรับการดูแลวันนี้”
พูดจบแบงค์ก็เข้าสวมกอดผมทันที จนผมนึกสงสัยว่าจะมาอารมณ์ไหนอีกละเนี่ย แต่พอลองนึกดูดีๆ เจ๊บัวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของแบงค์ก็เคยพูดเอาไว้นี่นา ว่าถึงแบงค์จะดูเป็นคนเข้มแข็งพึ่งพาได้ แต่ลึกๆ แล้วเขาเองก็เป็นคนขี้เหงามากๆ แต่พยายามจะปกปิดไว้ เพราะไม่อยากจะเป็นภาระของใคร

“อยากฟังเพลงมั้ย”
ผมเอ่ยถามกลับไปสั้นๆ แบงค์ส่งเสียง หือ ในลำคอด้วยความสงสัย ผมจับมือของแบงค์ที่กำลังกอดผมอยู่ออกไปแล้วจึงลุกขึ้นนั่งข้างตัวของอีกฝ่าย แสงไฟจากลอดผ่านจากข้างนอกเข้ามาทางมุ้งลวดที่หน้าต่างมันก็พอจะทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของแบงค์อยู่บ้าง

“หลับตาซะ”
ผมออกคำสั่งกับอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังทำหน้างง ผมขมวดคิ้วเข้มแบงค์จึงรีบหลับตาตามคำสั่งนั้นอย่างรวดเร็ว ความเงียบงันของค่ำคืนที่เข้าครอบคลุมจะมีก็เพียงเสียงจิ้งหรีดที่กำลังส่งเสียงร้องมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ ซึ่งก็ช่วยสร้างบรรยากาศให้ค่ำคืนนี้ได้พอสมควร

ผมเอื้อมมือไปลูบยังหัวของอีกฝ่ายที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างเบามือ

...ขอบคุณนะครับ สำหรับการดูแลวันนี้...

คำพูดสั้นๆ ของแบงค์ที่เอ่ยกับผมเมื่อกี้มันทำให้ผมรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะที่ผ่านมาผมมักจะเป็นฝ่ายได้รับการดูแลจากแบงค์มาตลอด ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น แบงค์ก็มักจะอยู่เคียงข้างและช่วยให้ผมผ่านพ้นมันไปได้ทุกครั้ง จนผมเองไม่รู้จะเอ่ยคำขอบคุณอย่างไรกลับไปดี

การได้รับการดูแล และการได้ดูแลใครสักคนมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่าจริงๆ หลังจากที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน ได้แต่ใช้ชีวิตสนุกๆ ไปวันๆ อย่างไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งแบงค์ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของผม

ถึงแม้สิ่งที่ผมทำในวันนี้มันอาจจะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะช่วยกลบความเหงาในจิตใจของแบงค์ได้บางส่วน

และสักวันผมจะเติมเต็มส่วนนั้นจนไม่หลงเหลือพื้นที่ว่างให้กับความเหงานั้นให้ได้

หลับตาลงนะ นะคนดีขอให้เวลานี้ เธอหลับและพักผ่อน
กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอนแค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง
   ผมค่อยๆ ร้องเพลงๆ หนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ เบาๆ เพลงที่ครั้งหนึ่งผมเคยเปิดเจอในยูทูปแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับรู้สึกชอบมันในทันทีที่ได้ฟังในครั้งแรกและเป็นเพลงที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดในช่วงเวลานี้แล้ว

หลับตาลงนะ นะคนดีไม่มีอะไรที่ต้องห่วง แม้ซักอย่าง
สิ่งที่เคยแบกไว้ ให้เธอวางให้โลกผ่านดั่งเพียงฝันไป

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน
หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด
เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรนไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจหาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคนที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้
   ผมกุมมือแบงค์ไว้แน่น แบงค์ที่ตอนนี้ยังคงหลับตาอยู่ แต่ก็อมยิ้มที่มุมปากเล็กๆ แลดูเหมือนเด็กน้อย ซึ่งมันก็ทำให้ผมอมยิ้มตามไปด้วย

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน
หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด
เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรนไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจหาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคนที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้

หลับตาลงนะ นะคนดีสิ้นสุดลงตรงนี้ หนทางที่แสนไกล
แค่เธอจับมือฉัน และเชื่อใจรักยิ่งใหญ่จะไปถึงเธอ

   ผมค่อยๆ    โน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากของแบงค์อย่างช้าๆ ก่อนจะเอาหัวหนุนนอนบนหน้าอกของอีกฝ่าย แบงค์ยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ อย่างทุกครั้งที่เคยทำซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกมีความสุขมากๆ
   อยู่ด้วยกันนานๆ แบบนี้ตลอดไปนะครับ


   จบคาบเรียนที่ 4


   ซะเมื่อไหร่ล่ะ ....
   มีเรื่องจะขอเล่าต่ออีกนิด เกี่ยวกับเรื่องราวชวนหวาดเสียวเล็กน้อยในเช้าวันต่อมา

   เช้าวันเสาร์
   “เป็นยังไงมั่ง หายดีแล้วหรือยัง”
   แม่ของผมเอ่ยถามแบงค์หลังจากที่เราทั้งสองเดินลงมายังชั้นล่าง

   “หายดีแล้วครับ ก็มีทั้งพยาบาลและคุณหมอที่ดีคอยดูแลนี่ครับ”
   แบงค์ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำเอาแม่ของผมยิ้มตามทันที เรื่องปากหวานนี่ต้องยกให้เขาจริงๆ

   “มาๆ มากินข้าวเช้ากันก่อนเร็ว เอ้อนันท์ เดี๋ยวถ้ากินเสร็จแล้ว ก็เอายาให้แบงค์เขากินอีกรอบด้วยเน่อ กันไว้ก่อน ถึงจะหายแล้วก็เถอะ”
   ผมพยักหน้าให้กับคำพูดนั้นของแม่ที่กำลังยกสำรับอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะโดยที่มีแบงค์ช่วยอีกแรง

   “แล้วหนูล่ะ ต้องกินยาดักไว้ด้วยมั้ย”
   ผมหันไปถามในขณะที่กำลังเดินไปหยิบน้ำจากตู้เย็น

   “กินไว้ก็ดีเน่อ แต่คนบ้าอย่างแกคงบ่ะเป็นไข้หรอก”
   ผมหรี่ตามองไปยังคนพูดที่กำลังตักข้าวจากหม้อใส่จาน

   “กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยนะครับเนี่ย”
   “ลองกินดู แล้วจะติดใจในฝีมือแม่นะ”
   แม่รีบอวยตัวเองทันทีที่ได้ยินแบงค์พูดเช่นนั้น แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะฝีมือการทำอาหารของแม่ผมนั้นอร่อยไม่เป็นสองรองใครจริงๆ แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็จัดการตักอาหารที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเข้าปากทันทีด้วยความรวดเร็ว

   “อร่อยมากครับ”
   “ใช่มั้ยล่ะ บอกแล้ว”
   “อร่อยจนผมอยากจะมาสมัครเป็นลูกเขยแล้วเนี่ย...”
   !!!!!

   “......”
   “......”
   “......”
   อยู่ๆ ก็เกิดบรรยากาศเงียบขึ้นมาทันที ผมรู้สึกอึ้งตาโตก่อนจะกลอกตาไปมองแบงค์แล้วกลอกตากลับมามองแม่ที่กำลังนิ่งเงียบอยู่

   “เอ่อ ผมหมายถึงว่าถ้าแม่มีลูกสาว ผมคงจะมาขอสมัครเป็นลูกเขยเพื่อที่จะได้กินอาหารฝีมือแม่ทุกวันน่ะครับแห่ะๆ”
   แบงค์พยายามพูดแก้ด้วยน้ำเสียงกระตุกกระตัก ในขณะที่ใจของผมนั้นหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว

   “ก็ชมเกินไป แต่ถึงจะบ่ะได้เป็นลูกเขย ก็มากินได้ตลอดนะ ถ้าวันไหนแม่อยู่ก็มาได้นะ แม่บ่ะได้ถือ ดีเสียอีก แม่จะได้มีลูกชายเพิ่ม ทดแทนลูกชายที่บ่ะเต็มคนนี้เนี่ย”
   นั่นไง กูโดนพาดพิงอีกจนได้

   ผมพยายามชำเลืองมองสีหน้าของแม่ผม ซึ่งดูแล้วน่าจะไม่ได้เอะใจอะไรหรอกมั้ง ซึ่งก็พอจะทำให้ผมเบาใจไปได้นิดนึง ผมหันไปขมวดคิ้วเข้มใส่แบงค์แว๊บนึง เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ เป็นเชิงขอโทษกลับมาให้ผม
   
   เฮ้อ ชีวิตกู จะปิดบังไปได้ถึงเมื่อไหร่เนี่ยยยยยยยย ฮืออออออ

   จบคาบเรียนที่ 7 จริงๆ ละ จบเหอะ ก่อนชีวิตกูจะไม่รอด ...
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 7 เรื่องระทึกขวัญ (24-2-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-03-2021 23:13:31
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 7 เรื่องระทึกขวัญ (24-2-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 04-09-2021 01:40:12
คาบเรียนที่แปด

 

“พี่ ได้ฟังเพลงใหม่ของวง Undefined แล้วรึยัง”

เสียงของซันด๋อยซึ่งกำลังวุ่นอยู่กับการจัดหนังสือที่เพิ่งเข้ามาใหม่เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาภายในร้านในช่วงเวลายามบ่ายของฤดูร้อนที่ร้อนราวกับว่าตกอยู่ในทะเลทรายก็ไม่ปาน ผมส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในคำถามนั้น ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจเบาๆ ออกมาทันทีก่อนจะลุกขึ้นหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมเปิดยูทูปแล้วยื่นมาให้ ผมรับมันมาแล้วก้มลงมองดูเอ็มวีเพลงที่ว่า ซึ่งขับร้องโดยนักร้องสาวที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

“เนี่ย เพิ่งจะอัพลงเมื่อบ่กี่ชั่วโมงที่แล้วเลยนะพี่”

ซันด๋อยพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย คงเพราะเจ้าตัวเป็นแฟนคลับตัวยงอยู่ด้วยนั่นเอง ซึ่งก็ทำให้ผมถึงกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยทันทีที่ได้เห็นท่าทีนั้นของซันด๋อย

จะว่าไปวันเวลานี่ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน จากวงดนตรีเล็กๆ ในชมรมดนตรีที่ผมเคยอยู่ กลายมาเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งของประเทศ สมาชิกในวงต่างก็ผลัดเปลี่ยนเข้ามาอยู่เรื่อยๆและจนถึงตอนนี้คนที่ผมรู้จักซึ่งยังเหลือในวงก็มีแค่มายด์นักร้องนำหญิง ไอ้น้องไนท์มือเบสที่นับวันก็ยิ่งดูเท่ขึ้นเรื่อยๆ และพี่สาธิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยออกจากวงไปเพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้

“เออ เพราะดีแฮะ สงสัยต้องโหลดของแท้สนับสนุนหน่อยแล้ว”

พูดจบผมก็ส่งมือถือคืนไปยังเจ้าของ ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองออกมาเพื่อดาวน์โหลดเพลงที่ว่า

“พี่นี่ก็นะ เคยเป็นถึงอดีตสมาชิกวงนี้แท้ๆ แต่กลับบ่รู้เรื่องอะหยังเกี่ยวกับวงเลยเหรอเนี่ย”

ผมหรี่ตามองไปยังคนพูดซึ่งกำลังยิ้มหยันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“เคยอยู่ชมรมเดียวกันแค่นั้นล่ะ แต่บ่ได้ถือว่าเป็นสมาชิกของวงอะหยังหรอก”

ใช่ สำหรับเบ๊จิปาถะของชมรมอย่างผม ไม่น่าจะนับเป็นสมาชิกของวงได้หรอก เพราะเล่นอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง ขนาดเป่าขลุ่ยยังเสียงเพี้ยนจนอาจารย์ยังต้องรีบห้ามผมอย่างรวดเร็ว ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจอะไรในคำตอบนั้นของผมมากนัก เนื่องจากกำลังวุ่นวายอยู่กับกองหนังสือที่เข้ามาใหม่นั่นเอง

จะว่าไปก็คิดถึงช่วงเวลานั้นแฮะ สำหรับชมรมดนตรี ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากๆ ช่วงหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้จะมีเรื่องราวให้ปวดหัวจนเกือบจะเป็นปัญหาใหญ่โตบ้างก็ตามทีเถอะ

 

“มีใครติดต่อไอ้เหี้ยพละได้บ้างมั้ย”

เสียงที่ฟังดูไม่สบอารมณ์ของไอ้เต้ยเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศในห้องชมรมที่กำลังอึมครึมอยู่ อันสืบเนื่องมาจากการหายตัวไปหลายวันของไอ้น้องพละ มือกลองหน้าใหม่และหน้าโหดของชมรม ทุกคนต่างส่ายหัวเป็นคำตอบ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ไอ้เต้ยดูจะหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

“ไอ้นันท์ มึงลองดูในใบสมัครของมันหน่อยซิ ว่ามีเบอร์โทรของมันมั้ย ถ้ามีก็ลองโทรหามันดู”

ผมรีบลุกขึ้นไปยังโต๊ะคอมพ์ฯ ที่มุมห้องทันทีอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำสั่งนั้นพร้อมกับค้นหาเอกสารการสมัครเข้าชมรมของไอ้น้องพละ

นายพลวัฒน์ ไม่ใช่ๆ นี่มันไอ้ตี๋เอ๋อ อ๊ะ นี่ไง นายพลภัทร เออ นามสกุลเหมือนกันจริงๆ ด้วยแฮะ แสดงว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นแฝดกันยังไงก็ดูไม่น่าเชื่อแฮะ ไหนขอดูวันเดือนปีเกิดหน่อยละกัน

หือ นี่มัน ...

“เจอยังวะ”

เสียงเข้มของไอ้เต้ยดึงสติของผมให้กลับมาสู่คำสั่งที่เจ้าตัวสั่งไว้ ผมจึงรีบเพ่งสายตาไปยังข้อมูลในใบสมัคร ทันทีที่เห็นเบอร์มือถือของไอ้น้องพละ ผมก็รีบหยิบมือถือของตัวเองออกมากดตัวเลขพร้อมโทรออกอย่างรวดเร็ว

สัญญาณติด ทว่าไร้การตอบรับ ผมจึงกดวางสายก่อนจะกดเบอร์นั้นซ้ำอีกครั้ง ซึ่งก็ได้ผลเหมือนเดิม คือไม่มีคนรับสาย

“บ่มีคนรับสายว่ะ”

“แล้วเบอร์ไอ้ตี๋เอ๋อล่ะ”

“ก็คงบ่มีคนรับสายเหมือนเดิมน่ะล่ะ เพราะดันเขียนเบอร์เดียวกันกับของไอ้พละเลย”

ผมเอ่ยตอบไปหลังจากที่ดูข้อมูลในใบสมัครของไอ้ตี๋เอ๋อ ไอ้เต้ยส่ายหัวด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ก็ดูเจ้าตัวพยายามจะเก็บอารมณ์เอาไว้อยู่

และในขณะที่บรรยากาศภายในห้องเริ่มจะตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม อยู่ๆ ไอ้น้องพละ บุคคลที่พวกเรากำลังตามหากันอยู่นั้นก็เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ อย่างไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น และยังรวมไปถึงไร้ซึ่งคำทักทายจากเจ้าตัวอีกด้วย

ไอ้น้องพละหยิบไม้กลองประจำออกมาจากกระเป๋าสะพาย ก่อนจะวางมันลงยังมุมห้องแล้วเดินมานั่งประจำตำแหน่งของตัวเองยังกลองชุด

“มึงหายไปไหนมาหลายวันวะ!”

ไอ้เต้ยเอ่ยถาม ไม่สิ เอาจริงๆ เรียกว่าตะคอกถามน่าจะถูกกว่า สังเกตได้จากอาการสะดุ้งเล็กน้อยของมายด์ ในขณะที่คนถูกถามกลับยังคงนิ่งเฉยไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ แม้แต่นิดเดียว

“ตี๋เอ๋อบ่สบาย เลยต้องอยู่ดูแล”

คนถูกถามตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองไปยังคนถาม เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำราวกับคนไปมีเรื่องทะเลาะกับใครมายังไงยังงั้น

“แล้วไงวะ มึงก็เลยขาดชมรมไปแบบง่ายๆ บ่บอกบ่กล่าวเลยงั้นเหรอ ความรับผิดชอบต่อคนอื่นมึงมีมั่งมั้ยวะ”

“ก็มาแล้วนี่ไง จะเอาอะหยังอีกวะ”

คำตอบที่ฟังดูเหมือนการท้าทายนั้นยิ่งทำให้ไอ้เต้ยรู้สึกเดือดดาลมากยิ่งขึ้นสังเกตได้จากการที่ไอ้เต้ยกำลังกำหมัดแน่นอยู่นั่นเอง

“ไอ้ห่าเอ้ย นึกว่าตัวเองฝีมือดีหน่อยแล้วจะทำอะหยังก็ได้เหรอวะ ไอ้เหี้ยตี๋เอ๋อก็อีกคน เป็นสมาชิกก็เหมือนตัวถ่วงไร้ค่า ทำอะหยังก็บ่ได้สักอย่าง”

ผมรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสบถนั้นของไอเต้ย เพราะมีความรู้สึกว่าเหมือนกำลังโดนด่ากระทบกลายๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“เฮ้ย พี่จะด่าผม ว่าอะหยังยังไงก็ได้ แต่อย่าไปด่าไปว่าอะหยังตี๋เอ๋อมันดิวะ”

ไอ้น้องพละโต้กลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมและจริงจัง ยิ่งด้วยสีหน้าที่โหดเป็นทุนเดิมของเจ้าตัวอยู่แล้วด้วยนั้น ก็ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

“อะหยังจะด่าบ่ได้วะ ก็มันจริงนี่หว่า โตเป็นควายแล้ว ยังต้องคอยให้คนอื่นคอยประคบประหงมอยู่นั่นแหละ ทำตัวเป็นลูกแหง่ติดแม่ไปได้”

ปึง!!!

เสียงไม้กลองของไอ้พลที่ถูกซัดลงบนกลองอย่างสุดแรงดังขึ้นทำเอาหลายคนที่นั่งอยู่สะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นตรงเข้าหาไอ้เต้ยด้วยความรวดเร็วพร้อมกับง้างหมัดที่กำแน่นหมายจะชกเข้าที่ใบหน้าของไอ้เต้ย ในขณะที่ไอ้เต้ยก็หาได้เกรงกลัวไม่ เจ้าตัวเองก็กำหมัดแน่นจะพุ่งเข้าหาสมาชิกรุ่นน้องด้วยอารมณ์เดือดเช่นกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่ทั้งแบงค์ ไอ้กอล์ฟ และไอ้น้องไนท์ต่างก็ตั้งสติได้ทันจึงพุ่งเข้ารั้งตัวของทั้งสองได้ทันท่วงทีด้วยความรวดเร็ว แต่ด้วยพละกำลังของทั้งคู่ที่ยังคงอยู่ในอารมณ์โมโห จึงทำให้ทั้งแบงค์ ไอ้กอล์ฟและไอ้น้องไนท์ดูจะต้องเสียแรงมากพอสมควร

“แน่จริงมึงเข้ามาดิวะ ไอ้แบงค์ มึงปล่อยกู กูจะต่อยไอ้ห่านี่ให้ปากแตกสักที”

ไอ้เต้ยท้าอีกฝ่ายพร้อมพยายามที่จะสลัดให้หลุด

“เอาดิวะ คิดว่ากูกลัวมึงเหรอวะ ไอ้สัส แก่กว่ากูแค่ปีสองปี อย่าคิดว่ากูจะเคารพมึงนะไอ้เหี้ย”

ไอ้น้องพละก็ใช่ย่อย ทำเอาไอ้น้องไนท์เกือบจะรั้งไว้ไม่ไหวเพราะดูไอ้น้องพละจะแรงเยอะกว่าไอ้น้องไนท์อยู่พอสมควร ก็แหงล่ะ ไอ้น้องพละออกจะล่ำเสียขนาดนั้น ในขณะที่ไอ้น้องไนท์นั้นรูปร่างสูงโปร่ง ยังดีที่มีไอ้กอล์ฟคอยกั้นกลางห้ามทัพเอาไว้

“ถ้ามึงบ่สามารถร่วมงานเป็นทีมได้ มึงก็ออกไปจากชมรมเลยไป๊”

“เออ กูออกแน่ ด่ากูอ่ะ กูยังพอรับได้ แต่มึงเล่นลามปามด่าไปถึงไอ้ตี๋เอ๋อ กูรับบ่ได้ กูบ่อยู่หรอก ชมรมเหี้ยๆ แบบนี้น่ะ ปล่อยกูดิเว้ย กูจะกลับแล้ว”

ไอ้น้องพละตะคอกพร้อมกับพยายามจะสลัดให้หลุด ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินและเห็นท่าทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะออกจากชมรมและคงไม่มีท่าทีจะเข้าหาเรื่องไอ้เต้ยจึงค่อยๆ คลายแขนออกอย่างช้าๆ ทันทีที่เป็นอิสระไอ้น้องพละก็รีบสะบัดไหล่เล็กน้อยเพื่อให้เสื้อเข้าที่ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องและไม้กลองส่วนตัวที่ตกอยู่ตรงพื้นแล้วเดินออกจากชมรมไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แบงค์เองเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินออกไปแล้วจึงค่อยๆ คลายล็อคจากไอ้เต้ยทันที

“งานนี้ต้องหามือกลองใหม่อีกแล้วสินะ”

ผมเอ่ยออกมาพร้อมถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันทีด้วยความรวดเร็วเมื่อโดนสายตาพิฆาตของไอ้เต้ยหันมาจ้องมอง

“ปล่อยให้แม่งลาออกไปนั่นล่ะดีแล้ว อยู่ไปก็เป็นภาระชมรม เป็นตัวถ่วงคนอื่นเปล่าๆ”

ไอ้เต้ยบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพลางจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่

“เต้ย ใจเย็นๆ ก่อนนะ เข้าใจว่าน้องเขาก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน แต่เราเป็นหัวหน้าชมรมก็ต้องใจเย็นด้วยสิ”

มายด์พยายามพูดเพื่อดึงสติของไอ้เต้ยคืนมา แต่ดูเจ้าตัวยังไม่คิดจะรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น

“จะให้ใจเย็นได้ยังไงวะ เราขึ้นเป็นหัวหน้าชมรมแทนพี่สาธิต ถ้าเราคุมคน คุมชมรมบ่ได้ ทำให้เกิดผลกระทบกับงาน เรายอมบ่ได้ว่ะ”

“ก่อนจะไปควบคุมใคร เต้ยต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนสิ อำนาจเขามีไว้เพื่อจัดการกับปัญหา บ่ได้มีไว้ใส่อารมณ์กับปัญหานะ ยังจำตอนที่พี่โตยังเป็นหัวหน้าชมรมได้มั้ย เวลาเกิดปัญหาอะไรร้ายแรงขึ้น พี่เขาจะพยายามหาทางเพื่อแก้ปัญหานั้นให้ผ่านไปได้ด้วยดีแทนที่จะใส่อารมณ์นะ”

มายด์พยายามยกพี่สาธิตซึ่งเป็นหัวหน้าชมรมคนเก่าขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งก็ดูจะได้ผลเล็กน้อย ไอ้เต้ยดูมีทีท่าสงบขึ้นมานิดหนึ่ง

จะว่าไปก็จริงอย่างที่มายด์ว่าจริงๆ นั่นล่ะเรื่องพี่สาธิตเนี่ย เพราะเมื่อก่อนตอนที่ผมเข้าชมรมนี้มาใหม่ๆ ผมเองที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เล่นดนตรีก็ไม่ได้ ร้องเพลงก็เสียงเหมือนควายโดนเชือด ที่เข้าชมรมนี้มาเพราะตามคำชวนของไอ้เต้ยเท่านั้นล่ะ เพราะไม่รู้จะไปอยู่ชมรมไหนดี

ตอนนั้นก็เครียดนะ แต่พี่สาธิตกลับไม่ได้มองเช่นนั้น พี่เขาไม่เคยหงุดหงิดหรือลงอารมณ์ใส่ผมเลยสักครั้ง กลับกันพี่เขายังให้กำลังใจผมอีกต่างหากพอคิดแบบนี้แล้วก็คิดถึงพี่สาธิตอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่พี่เขาเข้ามหาลัยไปแล้วก็ไม่ได้เจอกันเท่าไหร่เลยแฮะ

“จะเลือกหัวหน้าชมรมใหม่ก็ได้นะ เราคงเป็นหัวหน้าชมรมที่ดีแบบพี่สาธิตบ่ได้หรอก”

ไอ้เต้ยถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับตัดพ้อก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างๆ มายด์เองเมื่อเห็นท่าทีนั้นก็หยิบเก้าอี้ของตนไปวางพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ไอ้เต้ยทันทีก่อนจะยกมือขึ้นตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

“มายด์บ่ได้จะพูดตัดกำลังใจเต้ยนะ ไม่มีใครทำถูกตั้งแต่ครั้งแรกหรอก แต่แค่อยากให้ใช้สติให้มากกว่านี้ ยังไงเราก็ชมรมเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันสิ พวกเราเองก็บ่ได้คิดอยากจะได้หัวหน้าชมรมคนใหม่หรอก แต่ที่พวกเราอยากได้คือหัวหน้าชมรมที่ใจเย็นและมีเหตุผลมากกว่านี้ ซึ่งพวกเราทุกคนก็จะพยายามช่วยส่งเสริมและผลักดันเต้ยนะ จริงมั้ย”

มายด์หันมาถามพวกเราที่เหลืออยู่ ทุกคนรวมถึงผมต่างพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ ไอ้เต้ยเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ดูมีท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ มือกลองมาลาออกกะทันหันแบบนี้ นี่ก็ยิ่งจะใกล้งานที่รับเอาไว้แล้วด้วย”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ทุกคนต่างนิ่งเงียบคงเพราะยังนึกอะไรกันไม่ออกส่วนหนึ่งอาจจะด้วยเพิ่งผ่านเหตุระทึกขวัญมาก็เป็นไปได้

ในขณะที่ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ผมเองก็พยายามครุ่นคิดว่าพอจะมีสิ่งใดที่ตัวผมเองสามารถทำได้บ้างในเวลานี้

มันต้องมีสักอย่างหนึ่งสิ

“เฮ้ย เดี๋ยวกูมานะ”

ผมรีบเอ่ยพร้อมกับวิ่งออกจากห้องชมรมไปด้วยความรวดเร็ว โดยปล่อยให้คนเหลือในห้องงุนงงกับการกระทำของผม

ทันทีที่ผมเดินออกมาจากห้องชมรม ผมก็หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมพยายามมองซ้ายขวา ใช่ครับ สิ่งที่ผมกำลังพยายามทำอยู่ในตอนนี้คือการตามหาตัวไอ้น้องพละนั่นเองครับ ผมกดโทรออกไปยังเบอร์ของอีกฝ่าย ซึ่งก็เหมือนเดิมนั่นคือสัญญาณติดแต่ไม่มีคนรับสาย แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ยังคงพยายามที่จะติดต่อให้ได้จึงกระหน่ำโทรเข้าหาเบอร์นั้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับกวาดสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะยังไปไหนไม่ไกลมากนัก

สิ่งที่ผมพอจะทำได้ สิ่งที่ผมพอจะทำได้ สิ่งที่ผมพอจะทำได้

“ฮัลโหล ใครวะ โทรมาทำเหี้ยอะหยังนักหนาวะ”

สำเร็จ ในที่สุดอีกฝ่ายก็กดรับเสียทีหลังจากที่ผมพยายามโทรเข้าหาไปมากกว่าสิบครั้ง

“พละ นี่กูเองนะ นันท์น่ะ อย่าเพิ่งวางสายนะ”

“โทรมาอะหยังอะพี่ ถ้าจะโทรมาเพื่อด่าผมอีก ก็บ่ต้องเน่อ”

อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเมื่อรู้ว่าเป็นผมพร้อมตัดพ้อกลับมาเล็กน้อย

“บ่ๆ กูบ่ได้จะโทรมาด่าอะหยังหรอก แต่ตอนนี้มึงอยู่ไหนวะ บอกได้มั้ย”

“พี่จะอยากรู้ไปเพื่ออะหยังอะ”

โอ้ยยย ตอบๆ มาเถอะไอ้น้อง อย่าลีลาให้มากนักสิวะ

“เอาน่ะ พอดีพี่อยากจะคุยอะหยังด้วยนิดหน่อยน่ะ นะ ขอร้องล่ะ”

ผมพยายามจะใจเย็นให้ได้มากที่สุด

“......”

“......”

ทั้งผมและไอ้น้องพละต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ใจของผมในตอนนี้นั้นภาวนาเหลือเกินหวังให้อีกฝ่ายใจอ่อน

“อยู่ที่ลานจอดมอไซต์อะพี่”

เยส สำเร็จ ผมจะต้องทำภาระกิจนี้ให้สำเร็จให้จงได้




จบคาบเรียนที่แปด
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 พละ (4-9-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-09-2021 17:55:17
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 พละ (4-9-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 08-09-2021 01:44:33
คาบเรียนที่เก้า

“พี่มีธุระอะหยังกับผม”
ไอ้น้องพละเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพต่างจากตอนที่อยู่ในชมรมเมื่อกี้อย่างลิบลับราวกับคนละคนยังไงยังงั้น

“ก็...บ่มีอะหยังนัก แค่อยากรู้ว่าจะลาออก...จากชมรมจริงๆ เหรอ”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเพราะยังกลัวในท่าทีและสีหน้าของอีกฝ่ายที่แม้จะดูอารมณ์เย็นลงมากกว่าเมื่อกี้แล้วก็ตามที ไอ้น้องพละมองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“โดนไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาซะขนาดนั้นก็บ่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะหยังอะ”
“เฮ้ย อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลย ไอ้เต้ยมันเพิ่งขึ้นเป็นหัวหน้าชมรมได้บ่นาน มันเลยยังทำตัวบ่ถูกน่ะ ถึงแม้เดิมทีมันจะค่อนข้างเป็นคนใจร้อนอยู่แล้วก็ตามทีเถอะ ยังไงพี่ก็ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะ อย่าเพิ่งลาออกจากชมรมเลย”
ผมพยายามจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจเมื่อได้ยินถ้อยคำตัดพ้อนั้น

“พี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ แล้วเพื่อนพี่ล่ะเขารู้สึกสำนึกผิดด้วยรึเปล่า”
นั่น มีย้อนใส่กูอีกแต่ที่มันพูดก็มีส่วนถูกของมันจริงๆ นั่นล่ะ

“ผมยอมรับนะ ว่าผมก็ผิดที่อยู่ๆ ก็หายจากการซ้อมไปหลายวันโดยบ่บอกบ่กล่าวพวกพี่ๆ แต่ที่ผมรับบ่ได้คือการที่พี่เขาด่าลามไปถึงตี๋เอ๋อนี่ล่ะ”
ไอ้น้องพละตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจังที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำนั้นก็ยิ่งทำให้ผมเกิดความสงสัยอะไรขึ้นมาบางอย่างไม่สิ ต้องเรียกว่าหลายอย่างเลยล่ะ

“เอ่อ พี่ขอถามอะหยังหน่อยได้มั้ย”
ผมถามด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ไอ้น้องพลหันมามองผมพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“จะถามอะหยังก็ถามมาครับ”
“หน้าไปโดนอะหยังมาน่ะ ถึงมีแต่รอยฟกช้ำซะขนาดนั่น”

“มีเรื่องกับคนแถวบ้านน่ะ ไอ้พวกเหี้ยนั่นชอบมาแกล้งตี๋เอ๋อ ผมก็เลยจัดพวกแม่งให้สำนึก”
ไอ้น้องพละตอบกลับมาพลางยกมือมาแตะๆ รอยช้ำที่มุมปาก
“อย่าบอกนะว่าที่หายไปหลายวันเพราะเรื่องนี้”
อีกฝ่ายกลั้วหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ซึ่งผมก็อนุมานเอาเองว่าน่าจะเป็นความจริงตามที่ผมถาม

“งั้นขอถามอีกข้อได้มั้ย”
“พี่ก็ถามมาดิ”
“สัญญาก่อนได้ป่ะ ว่าถ้าถามแล้วจะบ่โกรธ”
ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจในสวัสดิภาพความปลอดภัยของตัวเอง ไอ้น้องพลพยักพเยิดหน้าเป็นคำตอบกลับมาแบบเสียไม่ได้

“เอ่อ ที่เราบอกว่าเป็นฝาแฝดกับตี๋เอ๋อน่ะ เป็นความจริงเหรอ”
ไอ้น้องพละนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้นก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับยิ้มมุมปากด้วยสีหน้ากวน ๆ เล็กน้อย

“ถ้าผมบอกว่าเป็นความจริง พี่จะเชื่อหรือเปล่าล่ะ”
ผมรีบส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาทั้งของไอ้น้องพละกับตี๋เอ๋อนั้นไม่ได้มีความใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าอาจจะเป็นแฝดคนละฝากัน แต่พอดูในใบสมัครเมื่อกี้ก็พบว่าวันเกิดของทั้งสองนั้นห่างกันเกือบๆ สองอาทิตย์ ซึ่งต่อให้เป็นแฝดกันยังไงก็ไม่น่าจะเกิดห่างกันได้นานขนาดนั้น ผมเลยคิดว่าไม่น่าจะใช่แฝดกันแล้วล่ะ ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง

“จริง ๆ ผมกับตี๋เอ๋อก็บ่ใช่แฝดกันจริง ๆ หรอก”
นั่นไง กูว่าแล้วมั้ยล่ะ

“ผมกับตี๋เอ๋อก็ต่างก็มีพ่อคนเดียวกัน”
ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่หว่า พี่น้องก็ต้องมีพ่อเดียวกันอยู่แล้วนี่

“แต่คนละแม่น่ะครับ”

หือ ???

“เดี๋ยวนะ คนละแม่นี่คือ...”
“ก็คนละแม่ ก็ความหมายก็ตามนั้นนั่นล่ะ จะมีอะหยังให้ต้องสงสัยอีกเนี่ย”
ไอ้น้องพละย้ำคำพูดของตัวเองอีกรอบก่อนจะหยิบบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดเพื่อสูบ
จะว่าไป ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตามที่เจ้าตัวว่าล่ะมั้ง เพราะการที่เกิดห่างกันเพียงแค่สองอาทิตย์ถึงแม้จะนานเกินไปสำหรับการเป็นแฝดแต่ดูยังไงก็ไม่มีทางจะเกิดจากแม่เดียวกันได้แน่ ๆ

เพียงแต่มันก็ยังรู้สึกมีอะไรบางอย่างติดค้างชวนสงสัยอยู่อีกพอสมควร แต่หากดูจากรูปการแล้ว ขืนผมยังถามไปมากกว่านี้คงได้มีรอยฟกช้ำปรากฏอยู่บนใบหน้าของผมเฉกเช่นเดียวกับไอ้น้องพละก็เป็นได้แฮะ

TRRRRRRR

เสียงโทรศัพท์มือถือของไอ้น้องพลดังขึ้น เจ้าตัวหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะรีบรับสายอย่างรวดเร็วซึ่งก็สร้างความสงสัยให้ผมอยู่ไม่น้อยว่าใครเป็นโทรมา ไอ้น้องพละถึงได้รีบรับสายเสียขนาดนั้นซึ่งต่างจากตอนที่ผมโทรหาอย่างเห็นได้ชัด
“เออ ว่าไงมึง ไอ้ตี๋เอ๋อ มีหยังวะ”
โอเค กูได้คำตอบละ

“อืม ๆ บอกแม่ใหญ่ด้วยว่ากูกำลังจะกลับ อะหยังนะ อยากกินน้ำเต้าหู้ เออ ๆ เจ้าประจำใช่ปะ เออ เดี๋ยวกูซื้อเข้าไปให้ เออ รักมึง แค่นี้นะ”
ไอ้น้องพละวางสายทันทีที่คุยเสร็จก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่กำลังทำสีหน้าตกใจในสิ่งที่ได้ยินอยู่

“เป็นเหี้ยอะหยังของพี่น่ะ ถึงทำหน้าอย่างนั้นเนี่ย”
เอ้า โดนด่าเฉยเลยกู

“เอ่อ แค่ตกใจน่ะ แบบ...มีบอกรักกันด้วย”
ผมเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นท่าทางนั้นของผมก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

“แปลกตรงไหน ก็พี่น้องบอกรักกัน ก็เป็นปกติธรรมดาปะพี่ พี่บ่เคยทำเหรอ”

“บ่เคยอะ พอดีพี่เป็นลูกคนเดียวน่ะ”
ผมตอบพร้อมส่ายหัวกลับไปในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มหึเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะ อาจจะเพราะผมเป็นลูกคนเดียวด้วยล่ะมั้ง ก็เลยอาจจะรู้สึกแปลกใจก็เป็นได้ แต่จะว่ายังไงดี บรรยากาศเมื่อครู่มันชวนให้จินตนาการยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ไม่พูดออกไปดีกว่า กลัวโดนต่อย ฮ่าฮ่าฮ่า

“ว่าแต่พี่เถอะ พี่กับพี่แบงค์เป็นแฟนกันเหรอ”
อึก! โดนถามจี้จุดกลับมาจนได้

“ดูออกด้วยเหรอ”
ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าสงสัย ไอ้น้องพละเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับยิ้มที่มุมปากอีกรอบ

“ดูบ่ะออกก็บ้าแล้วพี่ ถึงพวกพี่จะบ่ะได้เปิดเผยขนาดนั้น แต่เวลาพี่สองคนอยู่ใกล้กัน บรรยากาศแม่งโคตรฟุ้งเลยว่ะ”
“ฟุ้ง? ฟุ้งยังไงวะ”
ผมขมวดคิ้วสงสัยในคำพูดนั้นของอีกฝ่าย

“ฟุ้ง ๆ ก็ฟุ้ง ๆ ไง แบบฟุ้ง ๆ อ่ะบ่รู้จักเหรอพี่”
อะไรของมึงเนี่ยไอ้สัส นอกจากจะไม่อธิบายเหี้ยอะไรเพิ่มแล้ว ยังพากูงงหนักขึ้นไปมากกว่าเดิมอีก แต่เอาเถอะ ขี้เกียจจะถามต่อแล้ว

“แล้วยังไง รังเกียจพวกพี่เหรอ”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความหวั่นเล็กน้อย จะว่ายังไงดีล่ะครับ คือที่ผ่านมาตั้งแต่ผมกับแบงค์ตกลงเป็นแฟนกัน คนในชมรมเองก็รู้ เวลาไปไหนมาไหนก็ทำตัวตามปกติ คือก็ไม่ได้ปิดบังอะไรหรอกนะ (ยกเว้นกับแม่) เพียงแต่บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนอื่นจะคิดหรือมองยังไงกับเรื่องแบบนี้

ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นสีหน้าหวั่นๆ นั้นของผมก็เลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะดูดบุหรี่ในมือที่กำลังจะหมดมวน
“รังเกียจงั้นเหรอ โอยพี่ นี่มันยุคไหน เรื่องแบบนี้ปกติกันแล้ว มีแต่พวกหัวโบราณเท่านั้นล่ะที่ยังรังเกียจเรื่องแบบนี้อีกอย่างคนที่กล้าจะเป็นตัวของตัวเอง ผมว่าเจ๋งดีออก”
อีกฝ่ายเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มที่ดูกวนๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวคิดเช่นนั้นจริงๆ

“แล้วสรุปเรื่องชมรมล่ะ ว่ายังไง”
ผมวกกลับมายังประเด็นเดิมหลังจากที่พากันออกทะเลไปอยู่พักใหญ่ ไอ้น้องพละขมวดคิ้วเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบเพื่อให้มันดับ

“ผมว่าผมคงบ่เหมาะกับชมรมของพวกพี่หรอก ขืนผมยังอยู่ต่อ พาลแต่จะทำให้ชมรมของพี่วุ่นวายเปล่าๆ ยังไงผมก็ขอโทษพวกพี่ด้วยละกันนะ อ้อ แต่ยกเว้นไอ้เหี้ยนั่นนะ”
พูดจบ เจ้าตัวก็หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้าวขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซต์

“แต่...”
“บ่ตงบ่แต่แล้ว ขืนพี่ยังพูดมากกว่านี้ผมต่อยปากแตกจริงๆ ด้วยเอ้า”
ผมรีบเอามือขึ้นปิดปากตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงขู่ด้วยสีหน้าจริงจังนั่น
แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะอยู่ ๆ ไอ้น้องพลก็รีบปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาทันที

“หัวเราะอะหยังน่ะ”
ผมขมวดถามด้วยความสงสัย

“เชื่อคนง่ายนะเนี่ย พี่แม่งจี้ดีว่ะ มิน่าล่ะว่าอะหยังพี่แบงค์ถึงชอบพี่ พอๆ ไปละๆ เสียเวลา ผมต้องรีบกลับแล้ว ยังไงก็ฝากขอโทษคนอื่น ๆ ยกเว้นไอ้เหี้ยนั่นด้วยละกันนะ บาย”
พูดจบ เจ้าตัวก็รีบสตาร์ทรถแล้วขี่ออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

“อะหยังของมันวะเนี่ย”
ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางเกาหัวตัวเองไปด้วยก่อนจะก้มลงมองก้นบุหรี่ที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ ผมค่อย ๆ ก้มตัวลงไปหยิบก้นบุหรี่นั้นแล้วเอาไปทิ้งยังถังขยะที่ตั้งห่างออกไปไม่ไกลนัก แล้วจึงหันหลังเพื่อเดินกลับไปยังชมรมด้วยความเหนื่อยใจ

“หายไปไหนมาครับ”
เสียงเอ่ยถามด้วยความสงสัยของแบงค์พูดขึ้นในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งรอผมอยู่ที่หน้าห้องชมรม

“นิดหน่อยน่ะ ว่าแต่แล้วคนอื่นล่ะ กลับกันไปหมดแล้วเหรอ”
ผมตอบปัดพลางถามกลับไปเมื่อเห็นประตูห้องชมรมถูกล็อกเอาไว้ แบงค์พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบพร้อมกับส่งกระเป๋าสะพายของผมมาให้ก่อนที่จะลุกตัวขึ้นยืนเมื่อผมรับมันมา

“ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านดีมั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถามพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่สบายใจอย่างชัดเจนของผม ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบด้วยความคิดที่ว่าถึงจะมีปัญหาใหญ่โตยังไงแค่ไหน แต่เรื่องปากท้องยังไงก็ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ อยู่ดี

“แล้วสรุปเมื่อกี้หายไปไหนมาน่ะครับ”
แบงค์เอ่ยถามคำถามนั้นอีกรอบหลังจากที่เราทั้งสองสั่งอาหารไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกมา

“ออกไปตามหาพละเขาน่ะ”
“นั่นไง ว่าแล้ว แล้วเจอตัวมั้ยครับ”
“เจอ แต่...ยังไงเจ้าตัวก็บ่ยอมกลับมาน่ะ”
ผมถอนหายใจอีกรอบ แบงค์เองเมื่อเห็นสีหน้านั้นของผมก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ อีกรอบ

“เอาน่า เรื่องมันเพิ่งจะเกิดไป น้องเขาอาจจะยังโกรธอยู่ก็ได้ครับ ให้เวลาน้องเขาหน่อยก็น่าจะดีกว่านะครับ”
เมื่อได้ยินแบงค์เอ่ยเช่นนั้น ผมก็ได้แต่พยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบพลางใช้หลอดในมือกวนน้ำในแก้วไปเรื่อย ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
“อย่าทำสีหน้าจ๋อยแบบนั้นสิครับ ยิ้ม ๆ หน่อย”

แบงค์พยายามพูดเพื่อให้ผมรู้สึกดี ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนในแว่นหนานั้นที่กำลังฉีกยิ้มให้กับผม ซึ่งมันก็พอที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอยู่พอสมควร

“ไปดูหนังกันป่ะ”
ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังรับจานอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ แบงค์หันมามองหน้าผมพร้อมส่งข้าวผัดปูซึ่งเป็นเมนูที่ผมสั่งมาทางผม

“ก็ดีครับ นาน ๆ ทีไปพักสมองกันบ้าง”
แบงค์ตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอื้อมไปหยิบช้อนจากในกล่องใส่ที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆ
ถึงจะบอกว่านานๆ ทีก็ตามเถอะ แต่เอาเข้าจริง หลังๆ มานี้ผมกับแบงค์ก็ไปดูหนังในโรงหนังบ่อยอยู่พอสมควร แทบจะทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ไอ้ตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะปกติเป็นคนดูหนังในโรงบ่อยอยู่แล้ว แต่แบงค์นี่สิ เพิ่งจะมาดูหนังในโรงหนังก็ตอนที่รู้จักกับผมนี่ล่ะ เจ้าตัวบอกว่าปกติดูแต่ในโทรทัศน์เสียมากกว่า ซึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่า คนที่ไม่เคยเข้าโรงหนังแบบแบงค์ก็มีด้วยเหรอ
“รีบกินกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นไปมากกว่านี้”
แบงค์เอ่ยบอกกับผมพร้อมยื่นช้อนมาให้ ผมรับมันมาก่อนจะยิ้มกลับไปให้อีกฝั่ง
ถึงแม้จะรู้สึกค้างคาใจอยู่ก็ตามที แต่หากยังทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยวางไปก่อนจริงๆ น่ะล่ะกับปัญหาชมรมในตอนนี้

“พี่นันท์ เดี๋ยวเลิกงานเราไปหาอะไรกินที่ร้านข้าวควายกันมั้ย”
เสียงของซันด๋อยเอ่ยถามขึ้นในขณะที่กำลังย้ายแผงหนังสือที่ตั้งอยู่หน้าร้านกลับเข้ามา
“ก็เอาดิ กำลังหิวๆ อยู่พอดีเลย ว่าแต่ถามหน่อย ใครมันเป็นคนตั้งชื่อร้านข้าวร้านนั้นว่า ‘ข้าวควาย’ วะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยในชื่อร้านข้าวร้านประจำของพวกผมซันด๋อยนิ่งเงียบพร้อมขมวดคิ้วเบ้ปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ
“เออ ว่าแต่พรุงนี้ซันด๋อยเข้ากะเช้าใช่ป่ะ”
ผมเอ่ยถามในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับคอมพ์ฯ ที่หน้าเคาน์เตอร์
“แม่นแล้ว ก็เข้าพร้อมกับพี่นั่นล่ะ ทำไมเหรอ”
“ก็กำลังคิดว่าอาจจะมาช้าหน่อยน่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็พี่ชาติอ่ะดิ แกให้พี่ลองทำรีพอร์ตเรื่องสินค้าหายเดือนนี้ดูน่ะ คืนนี้ก็เลยว่าอาจจะต้องลุยงานจนดึกนิดนึง”
“อ้าว แล้วอ่ะหยังพี่เขาบ่ะทำเองล่ะ หน้าที่เขาบ่ะใช่เหรอ”
ซันด๋อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางดึงประตูเหล็กหน้าร้านลงมาครึ่งนึง
“มันก็แม่นแต่ทำไงได้ ในเมื่อพี่เขาสั่งมาก็ต้องทำ คิดในอีกแง่ ก็เพื่อจะฝึกและดันพี่ขึ้นเป็นผู้จัดการร้านยังไงล่ะ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มองโลกในแง่ดีจังนะพี่”
ทั้งผมและซันด๋อยต่างหัวเราะ หึ เบา ๆ ในลำคอเป็นการจบบทสนทนาไปอย่างเงียบๆ

“งั้นเดี๋ยวต่างคนต่างไปเจอที่ร้านข้าวเลยละกันนะพี่”
ผมพยักหน้าตอบตกลงให้กับคำพูดนั้นของซันด๋อย เนื่องจากเราต่างก็จอดรถกันคนละที่ อีกฝ่ายเองเมื่อเห็นผมตกลงเช่นนั้นก็ดึงประตูเหล็กลงจนสุดพร้อมกับล็อกกุญแจ
ในจังหวะนั้นเอง
“สุมาเต๊อะครับ ร้านปิดแล้วเหรอครับ”
“ปิดแล้วครับ ขอโทษด้วย ยังไงรบกวนลูกค้ามาอีกทีวันพรุ่งนี้นะครั.....อ้าว”
ผมต้องร้องอุทานด้วยความประหลาดใจทันทีเมื่อหันไปยังเจ้าของเสียงคำถามเมื่อครู่
“บ่ได้เจอกันนาน สบายดีมั้ยครับ พี่นันท์”
“ไอ้น้องไนท์”
ผมเอ่ยชื่อนั้นเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยทักทายผมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ในขณะที่ซันด๋อยซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ผมนั้นได้แต่ยืนนิ่งตาค้างด้วยความตกใจกับบุคคลที่เห็นตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ

จบคาบเรียนที่เก้า
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 9 พละ 2 (8-9-21) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 20-09-2021 23:11:39
คาบเรียนที่ห้า
 
“โห ห้องน่าอยู่มากเลยนะครับเนี่ย”
ไอ้น้องไนท์เอ่ยชมทันที่เจ้าตัวเดินตามผมเข้ามายังห้องของผม ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชมด้วยความจริงใจ หรือชมด้วยความประชดกันแน่ เพราะในความเป็นจริงแล้วห้องของผม ณ ตอนนี้จัดได้ว่าค่อนข้างรกพอสมควร

“แล้วนี่ปิ๊กมาเจียงใหม่ บ่มีใครว่าเหรอไงน่ะ เห็นช่วงนี้งานเยอะบ่ใช่เหรอ”
ผมเอ่ยถามพร้อมใช้เท้าเขี่ย ๆ กองสัมภารก (อ่านไม่ผิดครับสัมภารก ไม่ใช่สัมภาระ) แล้วเดินเข้าไปด้านใน

“อ้าว นี่พี่บ่รู้เหรอ ว่าวงพวกผมตอนนี้มีงานที่เจียงใหม่เนี่ย”
ผมหันไปเลิกคิ้วสูงใส่ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

“อ้าว แล้วถ้าอย่างนั้นคนอื่นในวงล่ะ ไปไหนกันหมด ?”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่สิ่งที่ได้กลับมาเพียงความเงียบและรอยยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะกวาดสายตาไปรอบห้อง ซึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกอับอายขึ้นมาพอสมควร

“นี่พี่นันท์ยังลืมพี่แบงค์เขาไม่ได้อีกเหรอ”
ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามพลางเดินไปยังชั้นหนังสือพร้อมหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมาดู แต่ไม่ได้เปิดดูแต่อย่างใด คงเพราะรู้ตัวดีว่าหากทำเช่นนั้นคงไม่แคล้วโดนผมด่าเอาแน่ ๆ

ผมถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนจะก้มตัวลงไปหยิบข้าวของบนพื้นขึ้นมาจัดให้เข้าที่เข้าทางแล้วจึงมองออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง

“ไม่มีหรอกเรื่องลืมน่ะ จะมีก็แต่ลืมช้า หรือลืมเร็วแค่นั้นน่ะล่ะ”
“เป็นนางเอกจากเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาวเหรอพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไอ้น้องไนท์หัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะวางสมุดไดอารี่วางคืนบนชั้น ทำเอาผมถึงกับต้องเขม่นคิ้วใส่เล็กน้อยเพราะโดนรู้ทัน

“นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแท้ ๆ นะ ผมว่าพี่นันท์ควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้วมั้ง”
“ไอ้ห่า วัน ๆ ทำแต่งาน จะเอาเวลาไหนไปหาแฟนกันวะ”
ผมบ่นอุบอิบเบา ๆ กับตัวเองโดยที่มือยังคงเก็บกวาดข้าวของไปด้วย ไอ้น้องไนท์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาช่วย ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากเสื้อผ้าของอีกฝ่าย

“ก็มีอยู่คนนึงแถว ๆ นี้แท้ ๆ แต่พี่ก็ชอบมองข้ามมาตลอดเลยนะ”
ผมชำเลืองตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจ้องมองผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ซึ่งหากจะพิจารณาด้วยความเป็นแล้วนั้นก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ เลยล่ะครับว่าไอ้น้องไนท์ ณ ตอนนี้นั้นหน้าตาผิวพรรณดีกว่าเมื่อสมัยยังเป็นเด็กมัธยมมากนัก และยิ่งด้วยสายตาที่ดูกะลิ้มกะเหลี่ยนั่นอีก ก็ทำเอาผมถึงกับเกิดอาการใจเต้นขึ้นมาพอสมควร

ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ

ตึก ๆ หาพ่อมึงเหรอไอ้นันท์ นั่นอดีตรุ่นน้องนะเว้ย

ก๊อก ๆ ๆ

ในจังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นซึ่งก็ช่วยดึงสติผมกลับมาได้ ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างหันไปมองก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

“สวัสดีครับ นันท์พอดีผมเพิ่งเลิกงานเลยแวะมา...อะ อ้าว มีแขกอยู่เหรอครับ”
ภูเอ่ยทักทายทันทีที่ผมเปิดประตูต้อนรับก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังผม

“อ๋อ นี่เป็น...”
“แฟนน่ะครับ อุ๊ก!!!”
ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งไปยังชายโครงของไอ้น้องไนท์ทันทีที่เจ้าตัวพูดเช่นนั้นจนเจ้าตัวถึงกับงอตัวด้วยความเจ็บปวด

“อดีตรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยมน่ะ แค่มาแวะมาออกงานที่เจียงใหม่เท่านั้นน่ะ”
“อ้อออ นี่มัน ไนท์แห่งวง Undefined นี่เอง ก็ว่าล่ะ ว่าทำไมหน้าตาคุ้น ๆ โอโห ผมนี่เป็นแฟนคลับวงนี้เลยนะครับเนี่ย”

ภูออกอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นเป็นใคร ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินคำชมเช่นนั้นก็แอบยิ้มแต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

“ว่าแต่ภูมีธุระอะไรเหรอ ถึงมาซะดึกเลยเนี่ย”
ผมชิงตัดบทเข้าเรื่องเพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้จะไม่จบประเด็นสักที

“อ้อ เออใช่ ๆ พอดีผมซื้อขนมมาฝากน่ะครับ ยังไงก็แบ่งทานกันทั้งคู่นะครับ ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับพรุ่งนี้มีงานเช้า เอ้อ ถ้าบ่รังเกียจ ผมขอถ่ายรูปคู่คุณไนท์ได้มั้ยครับ อุตส่าห์ได้เจอตัวจริงทั้งที”

ภูยื่นขนมให้ผมก่อนจะล้วงมือเข้าไปยังกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบมือถือออกมา ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนนั้นก็เกิดอาการลังเลเล็กน้อย จนผมต้องกระทุ้งข้อศอกเข้าไปที่ชายโครงอีกรอบเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าตัวรู้ว่าควรทำอย่างไร

ภูเปิดกล้องมือถือด้วยความรวดเร็วก่อนจะโยกตัวมาเข้ามาใกล้ ๆ ไอ้น้องไนท์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้กล้องก่อนที่ภูจะกดชัตเตอร์ถ่ายรูปคู่เก็บเอาไว้

“ขอบคุณมากครับ คุณไนท์ บ่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอตัวจริง หล่อกว่าในรูปจริง ๆ เอ้อ ยังไงผมขอตัวก่อน บ่รบกวนแล้ว ไปละครับ”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินกลับไปยังห้องตัวเองด้วยสีหน้าอย่างคนมีความสุข ทิ้งให้ไอ้น้องไนท์ยืนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“เดี๋ยวมึงจะโดนกูบ่ใช่น้อย ไอ้เด็กเวร ไปบอกเขาได้ไงวะ ว่ามึงเป็นแฟนกู”

ผมหันไปเอ็ดใส่เจ้าตัวทันทีที่นึกขึ้นได้ ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการกระอึกกระอัก พอสมควร

“อ้าว ก็บ่รู้นี่พี่ ก็นึกว่าไอ้เจ้านั่นมันจะมาจีบพี่เสียยอีก ผมก็เลยเกิดอาการหึงขึ้นมาน่ะสิ”
ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประหลาด ๆ นั้น

“จีบห่าอะหยังล่ะ เพื่อร่วมคอนโดกูเว้ย ไอ้ห่านี่ แล้วที่สำคัญ มึงบ่ใช่แฟนกู จะมาหึงกูทำเหี้ยอะหยังวะ”

“เอ้า งั้นก็เป็นแฟนผมสักทีสิ ผมจะได้หึงได้เต็มที่สักที”

“หยุดเลยมึง ขืนยังพูดมากอีกกูจะให้มึงนอนหน้าประตูห้องจริง ๆ ด้วย ไป ๆ ไปเอาน้ำผลไม้ในตู้เย็นออกมา จะได้กินกับขนมนี่”
ผมเอ็ดใส่ พร้อมยื่นถุงขนมในมือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบทำตามคำสั่งอย่างเร่งรีบ

“ว่าแต่ไอ้รุ่นพี่ที่มึงเคยคบด้วยตอนช่วง ม.ปลาย น่ะ ไปไหนแล้ววะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อไอ้น้องไนท์นำขนมและน้ำผลไม้มาเสิร์ฟพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม

“โอย เลิกกันไปตั้งนานแล้วพี่นันท์”
“อ้าว เลิกกันได้ไงวะ”

“ก็หลายเรื่องอะ แรก ๆ ก็หวานดีอยู่หรอก แต่หลัง ๆ เริ่มบ่ใช่ละ ก็เลยเลิกกันดีกว่า คบไปก็ยิ่งทำให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิม”
ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“เออ ช่างมันเหอะพี่ พี่เองเหอะ ยังบ่ตอบคำถามผมตรง ๆ เลย”
“เรื่องอะหยังวะ”

“ก็เรื่องพี่แบงค์ไงล่ะ”
อึก!

“เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว มึงจะอยากรู้ไปเพื่ออะหยังวะ”
“ก็ถ้านานแล้วจริง พี่จะเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นไว้เพื่ออะหยังล่ะ”

“ก็แค่เจอตอนจัดห้องปะวะ กูก็เลยเก็บ ๆ ไว้ บ่ได้มีอะหยังสักหน่อย”
ผมตอบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ สงวนท่าทีเล็กน้อย

“งั้น...ถ้าบ่มีอะหยังจริง ๆ ผมเอาสมุดไดอารี่ไปทิ้งนะ”
ไอ้น้องไนท์พูดพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นไปยังชั้นหนังสือ

“ไอ้สัส มึงหยุดนะ ถ้ามึงทำ นอกจากมึงจะได้นอนนอกห้องแล้วมึงยังได้มีรอยฟกช้ำบนใบหน้าหล่อ ๆ ของมึงไปโชว์วันงานจริง ๆ ด้วยเอ้า”

ผมรีบปรามอีกฝ่ายทันทีด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงที่เดิม

“พี่นันท์นี่ก็ยังคงเป็นพี่นันท์คนเดิมจริง ๆ”
“หมายความว่าไงวะ”

ผมถามกลับ ไอ้น้องไนท์เองหยิบขนมในจานขึ้นมากินสองสามชิ้น ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมามองผม
“ผมว่าคำถามนี้ คนที่จะตอบได้ น่าจะเป็นตัวพี่นันท์เองมากกว่านะ”
พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าก่อนจะเปิดมันออกเพื่อหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบนบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยทิ้งผม
เอาไว้กับคำถามนั้น

“......”

ผมหยิบขนมในจานขึ้นมากินก่อนจะหันมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอยพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย
 

“มึง เสาร์นี้ไปทำงานที่ร้านเจ๊บัวปะวะ”
ผมเอ่ยถามแบงค์ด้วยความสงสัยในขณะที่เจ้าตัวเองนั้นกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นอยู่ แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยแล้วจึงหันมามองผมที่กำลังนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียง

“ก็ไปนะครับ ทำไมเหรอ”
“เปล่า ก็ถามไปงั้น บ่มีหยัง”

ผมตอบกลับไปแบบเสียไม่ได้โดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่การ์ตูนในมือก่อนจะรู้สึกหนักจนต้องร้อง ‘อัก’ ออกมาเพราะอยู่ ๆ ก็โดนเจ้าหมีอ้วนกระโดดเข้าใส่แบบไม่ทันให้ตั้งตัว

“อะหยังของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็กระโจนเข้ามาแบบบ่ให้สุ้มให้เสียง ห่า ตัวก็บ่ใช่เล็ก ๆ หลังกูเกือบหักแล้วมั้ยล่ะ”
ผมเอ็ดใส่อีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะลุกขึ้นออกไปแต่อย่างใด

“ก็นึกว่าคิดถึงผมน่ะสิ ผมก็เลยมาหาไงล่ะ”
เจ้าตัวพูดพร้อมถอดแว่นหนาออกวางไว้ที่บนหัวเตียงก่อนจะหอมแก้มผมทั้งซ้ายและขวาฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

“มึงนี่น้า... เคยมีใครบอกมั้ยเนี่ยว่าเป็นคนหลงตัวเอง”
“ไม่มีครับ”

“งั้นกูคนนี้นี่ล่ะ จะเป็นคนบอกมึงเอง”
ผมพูดพลางขยับตัวเพื่อหวังให้อีกฝ่ายลุกออกจากตัวผม แต่ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ อยู่ ๆ กลายเป็นว่าสภาพในตอนนี้นั้นเป็นผมนอนหงายโดยมีแบงค์คร่อมอยู่เสียอย่างนั้น ช่างเป็นสภาพที่ดูสุ่มเสี่ยงต่อพรหมจรรย์ของผมมาก ๆ

“ลุก”
“ไม่ลุก”

“กูบอกให้ลุกออกไป”
“ก็แล้วถ้าผมไม่ออกไปล่ะครับ”

แน่ะ เดี๋ยวนี้มียอกย้อนนะมึง

“ก็ถ้ามึงบ่ลุก มึงได้จุกที่ไข่มึงแน่”
พูดจบ ผมก็หมายจะใช้หัวเข่ากระแทกเข้าไปที่เป้าของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะเดาทางผมได้เสียก่อนจึงรีบกดหน้าขาผมไว้ได้ทัน

“สัส”
ผมสบถเบา ๆ แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจกับคำสบถนั้นแม้แต่น้อย ยังคงยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี

“ขอหอมแก้มอีกทีนะครับ”
พูดจบเจ้าตัวก็พรมหอมแก้มผมฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย ไอ้เรื่องหอมแก้มน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้สิ่งที่อยู่ภายในกางเกงของอีกฝ่ายซึ่งกำลังโตเต็มที่และตอนนี้กำลังแนบชิดอยู่กับหน้าขาของผมอยู่นี่สิคือประเด็นหลักมากกว่า

“นี่มึงไปตายอดตายอยากมาจากไหนเนี่ย”
ผมเอ่ยถามในขณะที่มือทั้งสองข้างของผมกำลังโดนล็อกเอาไว้แน่น

“ก็แหม ผมก็เป็นผู้ชายตามปกติทั่วไปนี่ครับ ก็ต้องมีอารมณ์กับเรื่องอย่างว่าเป็นธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนเสียหน่อย นันท์เองนั่นล่ะ อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับเขา”

อึก!
สัส เล่นจี้จุดเอาซะผมไปต่อไม่ถูกเลยเว้ย

ก็อย่างที่เคยบอก ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ใช่ว่าผมเองจะไม่เคย แต่ก็นั่นล่ะ ผมน่ะเก่งแค่ในทางทฤษฎีตัวคนเดียวเท่านั้น แต่พอเข้าสู่โหมดปฏิบัติออกงานจริง กลับรู้สึกเคอะเขินอย่างบอกไม่ถูก

เฮ้อออ อนิจจาตัวกูจริง ๆ

“วันนี้ขอเพิ่มระดับหน่อยได้มั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถาม พร้อมจ้องมองหน้าผมด้วยสายตาเว้าวอน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในขณะที่หัวใจของผมในตอนนี้นั้นเต้นระส่ำ
อย่างไม่เป็นจังหวะ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นทีท่าไม่ขัดขืนของผม ก็ค่อย ๆ พรมจูบเบา ๆ ที่แก้มขวาของผมอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะไล่ไปตามลำคอ

ร่างกายของผมเริ่มตอบสนองต่อการกระทำของแบงค์จนมันตื่นตัวเต็มที่เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย แบงค์ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อนักเรียนของผมทีละเม็ดทีละเม็ดออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงลากลิ้นมายังบริเวณแผงอก

ผมกำหมัดแน่นหลับตาปี๋ ได้แต่ครางอือเบา ๆ ในลำคอ แบงค์หยุดแล้วเงยขึ้นมาจ้องมองผม สายตาคมเข้มที่ดูมีอารมณ์ของอีกฝ่ายในตอนนี้นั้น มันปลุกเร้าอารมณ์ผมเสียเหลือเกิน ผมเอามือทั้งสองข้างจับแก้มของแบงค์ แล้วโน้มแก้มลงมาประกบปาก ซึ่ง
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้าไปบ้าง เราทั้งสองแลกลิ้นไปมากันครู่หนึ่ง ร่างกายกำยำของแบงค์ที่ในตอนนี้กำลังทับลงบนตัวผม แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันหนักเลยสักนิด
“เป็นไงมั่งครับ”

แบงค์ถอนปากออกก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ผมได้แต่หลับตาครางอือเบา ๆ กลับไปเป็นคำตอบ ซึ่งก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายได้ใจมากขึ้นไปอีก จึงก้มหัวลงไปลากลิ้นบนแผงอกทำเอาผมถึงขั้นต้องต้องจิกเส้นผมของอีกฝ่ายไว้แน่น
เมื่อเจ้าตัวเห็นท่าทีของผมที่ดูจะไม่ขัดขืนเสียเท่าไหร่นัก ก็ลากลิ้นต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าท้องที่ เอ่อ ที่ ที่อะไรดี ที่ดูนุ่มนิ่ม
ละกัน เพราะถ้าใช้คำว่าแบนราบ ก็เกรงจะโดนครหาว่าหลอกลวงผู้บริโภคเอาได้

“เอ มีอะไรอยู่ข้างในนี้กันนะ”

แบงค์เอ่ยถามเบา ๆ ก่อนจะพยายามปลดหัวเข็มขัดของผมออก แต่ผมมือไวกว่าจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่นพลางชะโงกหัวขึ้น
มาดู
“ไม่ได้เหรอครับ”

เจ้าตัวเอ่ยถามด้วยสีหน้าออดอ้อน ทำเอาผมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“แต่...”

ผมพยายามจะหาคำอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดไหนดีในเวลาแบบนี้ หรือว่าวันนี้ จะเป็นที่ผมจะโดนเผด็จศึกกันแน่นะ
ไม่นะ ม่ายยย

ในขณะที่สมองอันน้อยนิดกำลังคิดไปไกลจนกู่ไม่กลับนั่นเอง
TRRR

เสียงโทรศัพท์มือของผมก็ดังขึ้นกะทันหัน จนทำให้ทั้งผมและแบงค์สะดุ้งเล็กน้อย แบงค์ผละตัวออกจากผมทันทีด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมก็ลนลานคว้ามือถือของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความรวดเร็ว ซึ่งก็พบว่า คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณกมลชนกสุดที่รักของผมนั่นเอง

“ว่าใด”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่กเล็กน้อย

“จะมาว่าดงว่าใดกันล่ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วหา อะหยังยังบ่ปิ๊กบ้านสักเตื้อ”
เสียงของคุณกลมชนกบ่นผ่านเข้ามาจนผมแทบจะตั้งตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

“เอ่อ กำลังติวหนังสือกับแบงค์อยู่น่ะ แห่ะ ๆ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเล็กน้อย

“แต้ก่ะ”
คุณกมลเอ่ยถามกลับมาด้วยความสงสัย อนึ่ง ‘แต้ก่ะ’ ในภาษาเหนือนั้นมีความหมายว่า ‘จริงหรือ’ น่ะครับ

“แต้กะแม่ บ่เชื่อก็ถามไอ้แบงค์มันดูได้”
ผมตอบกลับไปก่อนจะยื่นมือถือให้แบงค์พลางเขม่นคิ้วใส่เป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายรู้ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของผมก็รีบรับมือถือของผมไปด้วยท่าทีหวั่นเกรงเล็กน้อย

“เอ่อ สวัสดีครับ แม่”

จบคาบเรียนที่หก
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 10 ความหลังวันวาน (20-9-21) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-09-2021 16:58:48
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 10 ความหลังวันวาน (20-9-21) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 19-12-2021 07:57:42
คาบเรียนที่เจ็ด




แบงค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกร็งนิด ๆ ก่อนจะยิ้มแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาจนแก้มแทบจะปริ ซึ่งก็สร้างความงุนงงให้กับผมพอสมควร

“ไม่เลยครับ นันท์เป็นเด็กดีมากครับ ไม่ได้กวนอะไรผมเลยแม้แต่นิดเดียวครับ”

โอเค แค่ประโยคนี้ ผมก็พออนุมานได้แล้วล่ะ ว่าคุณกมลชนกพูดอะไรกับอีกฝ่าย จริง ๆ เลย คุณผู้หญิงคนนี้เนี่ย

หลังจากที่แบงค์และคุณกมลชนกพูดคุยกันเสร็จ เจ้าตัวก็กดวางสาย โน้มตัวเพื่อวางมือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะกลับมาคร่อมผมอีกรอบ

เดี๋ยวนะ นี่กูยังไม่หลุดพ้นจากสถานการณ์หมิ่นเหม่แบบนี้อีกเหรอเนี่ย

“จะหม่ำละนะค้าบบบ”

“เฮ้ย เดี๋ยววว”

ไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว แบงค์ก็ใช้ริมฝีปากงับไปที่ ... ที่ ... เออนั่นล่ะ ที่ยังคงอยู่ภายใต้กางเกงนักเรียนขาสั้นซึ่งตอนนี้มันกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ ร่างกายของผมตอนนี้มันรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่งรู้สึกปฏิเสธ ในขณะที่อีกใจรู้สึกโอนอ่อนผ่อนตามไปกับการกระทำนั้น ซึ่งสังเกตได้จากการที่ฝ่ามือของผมพยายามจะดันตัวของแบงค์ออกไป แต่ก็เป็นไปด้วยเรี่ยวแรงที่อ่อนระทวยจนแทบจะไม่สามารถเรียกว่าผลักได้เลยแม้แต่นิดเดียว

และเมื่ออีกฝ่ายเห็นท่าทีเช่นนั้น ก็ดูจะยิ่งได้ใจใหญ่ ปลดเข็มขัดนักเรียนของผมออกด้วยความรวดเร็วชนิดที่ผมเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งก็เผยให้เห็นกางเกงในที่ผมขออนุญาตไม่เอ่ยสีแล้วกัน แต่บอกได้แค่ว่ายังเป็นกางเกงในขอบยางยืดย้วยพวกนั้นตั้งแต่สมัยที่ไปเกาะพะงันนั้นล่ะ

ก็แหม มันยังใส่ได้อยู่มั้ยล่ะ จะซื้อของใหม่ทำไมให้มันเปลืองเงินเปลืองทอง อะไรที่ประหยัดได้ เราก็ต้องประหยัดสิ

แต่เฮ้ย เดี๋ยว ๆ ๆ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นโว้ยยย มันอยู่ที่ตอนนี้แบงค์กำลังรุกล้ำเขตหวงห้ามใต้ร่มผ้าของผมอยู่ต่างหากเล่า

“กลิ่นเย้ายวนใจผมเสียจริง ๆ นะครับ”

เย้ายวนใจก็เหี้ยแล้วครับ น้ำท่ายังไม่ได้อาบเลยเนี่ย มีแต่กลิ่นอับเหม็นเหงื่อสิไม่ว่า นับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายชักจะโรคจิตและหื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วแฮะ

ในขณะที่ผมกำลังเตลิดไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเอง อีกฝ่ายก็ใช้จังหวะทีเผลอนั้นดึงเจ้ากางเกงในขอบย้วย (จะย้ำเพื่อ?) นั้นลงด้วยความรวดเร็วทำเอาผมถึงกับร้องเฮ้ยด้วยความตกใจทันที

ผมหมายที่จะใช้ฝ่ามือปิดเจ้านันท์น้อย แต่ก็โดนแบงค์เอาฝ่ามือหนาปัดด้วยความรวดเร็วพร้อมกับใช้ฝ่ามืออีกข้างจับมันเอาไว้ด้วยความรวดเร็วทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเฮือกเลยทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โดนบุคคลอื่นจับของสงวนของตัวเองแบบนี้

โอ้ยยย ตายแล้วกู ฉิบหายแน่ ๆ เลยคืนนี้เนี่ย

เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมจึงใช้ฝ่ามืออันน้อยนิดของผมปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ด้วยความเขินอายอย่างหาที่สุดไม่ได้ พลางคิดในใจว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดสินะ

และผมก็ต้องรู้สึกสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มที่กำลังครอบเจ้านันท์น้อยเอาไว้ทำเอาผมถึงกับจิกผมแบงค์ไว้แน่น

“อือ...”

ผมส่งเสียงครางเล็กน้อยในลำคอ ซึ่งก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายได้ใจมากขึ้นไปอีก ลิ้นสากที่กำลังแตะต้องโดนเจ้านันท์น้อยนั้นทำเอาผมถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว ผมเกร็งตัวจนอารมณ์ฟุ่งซ่านจนกู่ไม่กลับ ในขณะที่แบงค์ก็เร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

“อึก... อ๊ะ...”

ผมเผลอส่งเสียงออกมาจากลำคอเล็กน้อยเมื่อเจ้านันท์น้อยถึงฝั่งฝันภายในปากของอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าตัวยังคงครอบมันเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะดูดแล้วค่อย ๆ ถอนปากออกแล้วลุกขึ้นไปห้องน้ำเพื่อป้วนของขุ่นเหลวที่เพิ่งออกมาจากเจ้านันท์น้อยของผมออกไปพร้อมกลั้วปากสองสามที แล้วเดินกลับมายังเตียง ซึ่งผมเองในตอนนี้นั้นยังคงใช้ฝ่ามือปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้แน่นด้วยความเขินอาย ถึงแม้ว่าความเป็นจริงมันไม่น่าจะมีอะไรเหลือให้อายแล้วก็ตามทีเถอะ

“เป็นไงมั่งครับ”

เสียงกระซิบพร้อมลมหายใจอุ่นที่ข้างใบหูทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเฮือก ผมแหวกนิ้วตัวเองออกเล็กน้อย ก็พบสายตาที่ดูยิ้มอย่างมีความสุขของแบงค์กำลังจ้องมองผมภายใต้แว่นหนา

“อือ”

ผมตอบกลับไปสั้น ๆ ห้วน ๆ ก่อนจะปิดหน้าตัวเองอีกรอบพลางรีบดึงเจ้ากางเกงขอบย้วย (โว้ยยย) ขึ้นมาใส่เพื่อปกปิดเจ้านันท์น้อยของตัวเอง

เอาล่ะ หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงนึกสงสัยใช่มั้ยล่ะครับ ว่าประสบการณ์ครั้งแรกของผม ทำไมมันดูห้วน ๆ ไม่เหมือนประสบการณ์ของคนอื่นเลยสักนิด ที่ดูละมุน ดูยืดเยื้อชวนฝัน ชวนให้ฟินเคลิบเคลิ้มสามบ้านแปดบ้าน จิกหมอนกันสิบห้าตลบ

ผมก็ขอสารภาพ ณ ตรงนี้เลยละกันครับว่า

กู อาย โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ก็เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน จะให้มาพิรี้พิไร บรรยายสวยหรูชมนกชมไม้อะไรให้มันงดงามเสียเวลากันนักล่ะ

แค่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้กับผม ผมก็แทบไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้วเนี่ย

“ละ ละ แล้วมึงบ่ทำอ่อวะ”

นั่น ยังมีหน้าไปถามมันอีก ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เอ่ยถามเช่นนั้นออกไป เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หัวเราะหึเบา ๆ ในลำคอ

“จะช่วยผมเหรอครับ”

อีกฝ่ายหอมแก้มผมพลางกระซิบที่ข้างใบหูผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความต้องการ

“แล้วจะให้กูช่วยมึงยังไง จะให้กูทำแบบที่มึงทำให้กูเมื่อกี้เหรอวะ กะ กะ กูยังบ่เคยเลย กู กู...”

ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพอสมควร ซึ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาได้พอสมควร

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการของผมเองได้ แค่เอามือออกก่อนได้มั้ยครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมก็นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ คลายฝ่ามือที่กำลังปิดบังใบหน้าตัวเองออกพร้อมกับค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และภาพที่เห็นตรงหน้านั้นก็คือใบหน้าของแบงค์ที่ไร้ซึ่งแว่นหนา เผยให้เห็นดวงตาคมภายใต้คิ้วดำเข้ม

เอ่อ จะเรียกว่าคมก็คงไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก เพราะมันสายตาสั้น เพราะฉะนั้นเวลาถอดแว่นเลยต้องเพ่งมองมากกว่าปกติ

“......”

บัดซบจริง ๆ อุตส่าห์จะโรแมนติกสักหน่อย ดันเผลอบรรยายติดตลกไปได้ไงวะเนี่ย โว้ยยย

ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังคิดฟุ่งซ่านอยู่นั่นเอง แบงค์ก็โน้มตัวมาหอมแก้มผมพร้อมกับโอบกอดผมด้วยแขนข้างหนึ่งไว้แน่นก่อนจะใช้ริมฝีปากอ่อนนุ่มหอมแก้มผมดังฟอด แล้วประกบเข้ากับปากผมด้วยความรวดเร็วพร้อมกับสอดลิ้นสากเข้ามา ในขณะที่มือของอีกฝ่าย ก็กำลังลูบไล้หน้าท้องของผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผละมันออกไปซึ่งก็สร้างความสงสัยให้กับผมพอสมควรว่าอีกฝายกำลังคิดจะทำอะไร ผมจึงยกมือของตัวเองควานหาจนในที่สุดก็พบคำตอบ เมื่อไปสัมผัสเข้ากับฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายที่กำลัง ... เอ่อ... กำลัง ... กระทำอะไรบางอย่างกับเจ้าแบงค์น้อยอย่างขะมักขะเม้น หนำซ้ำมือของผมยังเผลอไปสัมผัสโดนเจ้าแบงค์น้อยโดยไม่ตั้งใจอีกต่างหาก จนต้องรีบชักมือกลับออกมาอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าตัวก็คว้ามือผมไว้ทันพร้อมกับลากกลับไปยังเจ้าแบงค์น้อยที่ตอนนี้กำลังโตเต็มที่

“ช่วยผม...หน่อย...สิครับ”

แบงค์ถอนปากออกพลางกระซิบที่ข้างหูผมด้วยเสียงกระเส่าอย่างแผ่วเบา ทำเอาใจของผมเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ แต่เอาวะ ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ไปต่อมากกว่านี้ก็คงไม่มีอะไรจะเสียหายแล้วล่ะ

ไหน ๆ คนเป็นแฟนกันนี่นะ เรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่สักวันเราก็ต้องไปถึง

ท่องเข้าไว้ในใจ ท่องเข้าใจ ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ เพศศึกษาที่ที่เคยร่ำเรียนมา งัดมันออกมาใช้ให้หมด

ท่องไว้ ๆ มันคือฮอร์โมน มันเป็นไปตามธรรมชาติของวัยรุ่น

ท่องไว้ ๆ เพศศึกษา เพศศึกษา เพศศึกษา

“......”

ว่าแต่วิชาเพศศึกษา สอนเหี้ยอะไรกูมาบ้างวะ

“......”

โว้ยยย นี่มันฉากเข้าพระเข้านายนะเว้ย คนอ่านเขารอลุ้นฉากที่มันชวนจิ้น อ่านแล้วรู้สึกโรแมนติกฟินจิกหมอน มึงก็ยังมีหน้าจะพาออกรกออกพงออกทะเลชวนฮาอยู่ได้ ไอ้เหี้ยนันท์ ไอ้ควายยย

เอาล่ะ รวบรวมสติ แล้วกลับมานับหนึ่งกันใหม่

ผมใช้ฝ่ามือสัมผัสเข้ากับเจ้าแบงค์น้อยที่กำลังโตเต็มที่พร้อมกับจับมันเอาไว้แน่น ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับส่งเสียงอือเบา ๆ ในลำคอ แม่งเอ้ย ช่างเป็นเสียงที่ชวนให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมโคตร ๆ ทำเอาเจ้านันท์น้อยของผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเลยแฮะ

“อือ...เร็ว...ขึ้นอีกนิด...ก็ได้ครับ”

แบงค์กระซิบด้วยเสียงหอบเล็กน้อยพร้อมกับกอดผมเอาไว้แน่น ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้รับไออุ่นจากอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดผมเอาไว้ พล่างเร่งจังหวะตามคำขอของอีกฝ่าย

โอ้ยยย เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจริง ๆ ที่ได้ทำอะไรแบบนี้ ปกติเคยแต่ช่วยตัวเองตามปกติหน้าคอมพ์ฯ ก็ได้จับแต่ของตัวเอง แต่พอได้ลองจับของคนอื่น ไม่สิ ต้องเรียกว่าแฟนแล้วเหอะ แล้วมันก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันแฮะ มันรู้สึกอุ่นร้อน แถมด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าที่เคยคิดเอาไว้อีก เพราะถ้าจำไม่ผิด ผมเองก็เคยเผลอไปจับของเจ้าตัวครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เล่นบาสสมัยที่เราทั้งสองยังเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ จำได้ตอนนั้นก็เคยประมาณการณ์เอาไว้คร่าว ๆ แล้วแท้ ๆ ว่าขนาดคงใหญ่พอสมควร แต่พอได้ลองจับของจริงโดยไม่มีอะไรขวางกั้นแล้วมันยิ่งทำให้รู้สึกเลยว่าของผมนั้นช่างเล็กกระจ้อยร่อยสู้อีกฝ่ายไม่ได้จริง ๆ ถ้าต้องโดนไปมากกว่าคงได้มีตายกันไปข้างหนึ่งแน่

แต่เฮ้ย เดี๋ยวนะ นี่กูกับมันตกลงบทบาทกันแล้วเหรอวะ ว่าใครเป็นแบบไหนอะไรยังไงเนี่ย เออว่ะ จะว่าไปที่ผ่านมาตั้งแต่คบกันก็ไม่เคยคุยถึงเรื่องนี้เลยแฮะ

“อือ...อ่ะ...”

เสียงกระเส่าของแบงค์ดึงสติให้กลับมา เจ้าตัวใช้ริมฝีปากขบเข้าที่ใบหูของผมเบา ๆ ลมหายใจอุ่นร้อนที่รดเข้ามาก็ยิ่งทำให้ผมเกิดอารมณ์เตลิดจนเผลอเร่งจังหวะมือเร็วขึ้นจนอีกฝ่ายเกร็งตัวและโอบกอดผมแน่นมากขึ้น และยิ่งทำให้ผมเร่งจังหวะเร็วขึ้นไปอีก จนในที่สุด ...

“อ๊ะ... อึก...”

อีกฝ่ายเกร็งตัวส่งเสียงครางในลำคอเบา ๆ พร้อมกับปล่อยของเหลวที่แสนจะเหนียวเหนอะออกมาจากเจ้าแบงค์น้อย เอ่อ อันที่จริงก็ไม่น้อยหรอก หากเทียบกับขนาดของผม (โว้ยยย) จนเลอะต้นขาของผม จนสัมผัสได้ถึงความอุ่นของมัน ผมรีบผละมือออกจากเจ้าแบงค์น้อยมาเพื่อรีบปาดเจ้าของอุ่นเหลวนั้นไม่ให้ไหลลงจากต้นขาไปเปื้อนเตียงนอน

“รอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปหยิบกระดาษทิชชู่มาให้”

แบงค์เอ่ยกระซิบด้วยเสียงหอบเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบมวนกระดาษทิชชู่ที่ตั้งอยู่ตรงชั้นหนังสือมาเช็ดเจ้าคราบของเหลวที่ต้นขาผม พร้อมกับผมที่ลืมตาขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาของผมพลันไปสบเข้ากับเจ้าแบงค์น้อยนั่นพอดี

โอ้ววว มาย ก้อดดด ว่าตอนจับด้วยมือก็ว่าสุด ๆ แล้ว พอได้เห็นของจริงเข้าไปนี่ อื้อหือออ ยิ่งกว่าที่เคยจินตนาการไว้เอาไว้อีกนะเนี่ย ทำเอาถึงกับสงสัยจริง ๆ ว่าคนที่ดูออกจะเกือบจะเพอร์เฟคแบบนี้จะโดนทิ้งมาหลายครั้งหลายคราจนหลุดรอดมาถึงคนอย่างผมได้อย่างไรกันนะ

แต่จะว่าไป ที่ผ่านมาเอาแต่เรียกเจ้าแบงค์น้อย แต่พอเจอของจริงเข้าไป ขอเรียกใหม่อีกทีว่าเจ้าแบงค์ใหญ่น่าจะดีกว่าแฮะ เออนั่นล่ะ

“......”

แล้วมันเป็นบ้าอะไรวะ ที่ต้องมากระวนกระวายใจกับการเรียกเจ้าของสงวนของอีกฝ่ายว่าจะเรียกอะไรดี โว้ยยย ทำไมฉากติดเรทของคนอื่นมันดูดี ดูน่าคล้อยตาม แล้วพอของกู ไหงมันกลายเป็นฉากตลกไปได้วะเนี่ย

“ไปล้างตัวกันเถอะครับ”

แบงค์เอ่ยบอกพลางยื่นฝ่ามือหนามาให้ผมจับ เราทั้งสองต่างพากันไปยังห้องน้ำก่อนจะเปิดฝักบัวอย่างช้า ๆ เพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าผมนั้นไม่ถูกโฉลกกับน้ำเย็น จึงต้องรอให้อุณหภูมิน้ำอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงค่อยเร่งความแรงขึ้น

“เป็นยังไงมั่งครับ สำหรับการติวหนังสือวันนี้”

แบงค์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายสุด ๆ

“ไอ้ลามก”

ผมก่นด่าเบา ๆ ด้วยความเขินอายเล็กน้อย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หาได้รู้สึกสลดไม่ หนำซ้ำยังดูเริงร่าอย่างกับปลากระดี่ได้น้ำสุด ๆ อีกต่างหาก

“มาครับ เดี๋ยวผมล้างตัวให้”

พูดจบ เจ้าตัวก็หยิบฝักบัวมามาล้างตัวให้ผม บอกตามตรงเลยว่าฝ่ามือหนาที่ค่อย ๆ ลูบไล้ไปทั่วตัวผมอย่างช้า ๆ นั้นทำเอาผมรู้สึกดีไม่น้อยจนเจ้านันท์น้อยถึงกับตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลอีกครั้ง

“นั่นแน่ะ มีอารมณ์อีกแล้วเหรอครับ มาครับ เดี๋ยวผมช่วย”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวก็คว้าหมับเข้าให้ด้วยความรวดเร็วชนิดที่ผมเองก็ยังตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำ

“ไอ้สัส หยุดก่อน เดี๋ยวจะดึกไปกันใหญ่ แม่กูได้ตามมาฆ่ากูถึงห้องมึงพอดีหรอก”

ผมเอ่ยปรามเล็กน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเล็ก ๆ เท่าที่พอจะทำได้ อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าหงอยไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือออกแล้วหอมแก้มผมฟอดหนึ่ง

“งั้นไว้วันหลังก็ได้ครับ ถ้ามีโอกาส”

“ยังคิดจะมีวันหลังอีกเรอะ ไอ้ลามก”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ก็คนเป็นแฟนกันเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะเสียหายนี่ครับ”

“แต่มึงกับกูยังอยู่ในวัยเรียนนะเว้ย”

ผมเอ็ดกลับไปเล็กน้อย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินแบบนั้นก็นิ่งเงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัว

“โอเค งั้นเดี๋ยวผมทำพิธีหมั้นไว้ก่อนได้มั้ยครับ เป็นเครื่องการันตีว่าผมจริงจังกับนันท์”

โอ๊ยยย กูอยากจะรู้จริง ๆ ว่าในสมองของไอ้ผู้ชายคนนี้มันมีอะไรอยู่ข้างในกันนะ ดูมันพูดออกมาแต่ละอย่างสิครับ

“ไอ้สัส เว่อร์แล้วมึง กูบ่ใช่ผู้หญิง บ่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก”

เจ้าตัวหัวเราะร่าทันทีเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น

หลังจากที่เราทั้งสองล้างเนื้อตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ก็พากันออกมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนจะใส่เสื้อผ้า

“ไอ้ห่า ชุดกูยับแบบนี้แม่กูต้องสงสัยแน่ ๆ”

“จะรีดก่อนมั้ยล่ะครับ ผมมีเตารีดอยู่”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินไปข้างเตียงเพื่อหมายจะหยิบเจ้าเตารีดมาให้ผม

“บ่ต้อง เสียเวลา เดี๋ยวถ้าแม่กูถามกูก็ค่อยบอกว่าไปฟัดกับหมีตัวโตแถว ๆ นี้มาเอาละกัน”

ผมตอบกลับไปกึ่งประชดเล็กน้อย ซึ่งไม่รู้ว่าแบงค์จะรู้หรือไม่ว่าหมีที่ผมหมายถึงนั้นคือเจ้าตัวเองนั่นล่ะ แต่เมื่อดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายที่พยักหน้ากลับมาอย่างว่านอนสอนง่าย ก็ดูท่าจะไม่รู้แฮะ ... รึเปล่าวะ เดาใจมันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ผมก็หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาด้วยความรวดเร็วก่อนจะเดินไปยังประตูห้องเพื่อกลับบ้านของตัวเอง

“เดี๋ยวครับ”

“อะหยังของมึงอี...”

ไม่ทันที่ผมจะได้บ่นให้จบ เจ้าตัวก็เดินมาโอบกอดผมจากด้านหลังเอาไว้แน่น จนผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย

“ขอบคุณสำหรับวันนี้มาก ๆ ถ้าถึงบ้านแล้วก็ทักหาผมอีกทีด้วยนะครับ”

“...อะ...อืม...”

ผมตอบกลับไปสั้น ๆ ห้วน ๆ ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกแย่อะไรหรอกนะ ตรงกันข้ามเลยต่างหากล่ะ ผมรู้สึกดีมาก ๆ แต่ปากเจ้ากรรมดันกลับตอบไปได้แค่นั้นจริง ๆ

ผมลงจากหอของแบงค์มาด้วยความรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูรั้วหน้าบ้านแล้วจึงเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านอย่างช้า ๆ โดยหวังในใจว่าคุณกมลชนกสุดที่รักของผมนั้นจะหลับไปแล้ว แต่ก็ต้องกับความผิดหวังเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้านั้นคือ คุณกมลชนกกำลังนั่งจ้องมองผมอยู่บนโซฟาโดยมีละครหลังข่าวอยู่เป็นเพื่อน

“ก็นึกว่าหายสาบสูญไปเสียแล้ว ไอ้ลูกคนนี้นี่”

นั่นไง โดนด่าจนได้กู

“แล้วนั่นไปทำอะหยังมาน่ะ เสื้อผ้าถึงได้ยับยู่ยี่แบบนี้เนี่ย”

นั่นไง ว่าแล้วว่าต้องโดนถามแน่ ๆ

“เอ่อ ไปฟัดกับหมีตัวโตที่ขั้วโลกเหนือมาน่ะ”

คุณกมลชนกถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันทีที่ผมตอบกลับไปเช่นนั้น เอาน่ะ ก็ไม่ได้โกหกสักหน่อย ก็หมีตัวโตจริง ๆ นี่ เล่นเอากูเกือบตายห่าแล้วมั้ยล่ะ

“เออ ๆ กินอะหยังมารึยังน่ะ แม่ทำกับข้าวเอาไว้ ถ้าหิวก็เอาไปอุ่นก่อนล่ะ แล้วก็รีบ ๆ ไปอาบน้ำซะ นี่ก็ดึกมากแล้ว จะได้เข้านอน”

“แล้วแม่ล่ะ อะหยังยังบ่นอน”

“ก็บ่เห็นเหรอ ว่ากำลังดูละครเนี่ย เอ๊ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ ถามอะหยังแปลก ๆ นี่ส่งให้ไปเรียนเพราะหวังว่าจะได้ฉลาด ๆ ขึ้นมาบ้าง ไหงบ่เห็นผลเลยเนี่ย”

เอ้า กูผิดไปอีก แต่เอาเถอะ นั่นล่ะ คุณกมลชนกของผมถึงจะปากร้ายไปนิด แต่จริง ๆ ก็ใจดีนะ แต่แค่ไม่แสดงออก

มั้งนะ ฮ่าฮ่าฮ่า


หลังจากที่ผมกินข้าวเสร็จ ผมก็อาบน้ำอีกรอบเพื่อไม่ให้คุณกมลชนกเกิดความสงสัย หลังจากที่ใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็นั่งลงหน้าคอมพ์ฯ อยู่ครู่หนึ่งพลางนึกลังเลว่าจะเปิดคอมพ์ฯ ดีหรือไม่ แต่เมื่อหันมองเวลาจากหน้าจอมือถือซึ่งตอนนี้กำลังบอกว่าใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเตียงนอนทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมาด้วยก่อนจะเปิดเมสเซนเจอร์ขึ้นมา

นันทการ : กูถึงบ้านแล้วนะ กำลังจะนอนละ

Power Bank : ครับ แล้วพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวผมไปรับที่บ้าน ฝันดีนะครับ สุดที่รักของผม

“......”

โอ้ยยย ให้ตายสิ ทำไมกูต้องมานั่งเขินตัวเองกับประโยคสั้น ๆ แค่นั้นด้วยวะเนี่ย บ้าบอจริง ๆ พอ ๆ แค่นี้ก่อน นอนเหอะ เดี๋ยวจะดึกไปกันใหญ่

ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็หยิบมือถือเสียบสายชาร์จทันที โดยไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วย แล้วจึงล้มตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าผืนหนาด้วยรอยยิ้มพลางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ

“......”

พอ ๆ นอนเหอะ อย่าฟุ้งซ่าน เดี๋ยวจะเตลิดไปไกลอีก ไอ้นันท์ ฮ่าฮ่าฮ่า


“อาบน้ำนานจริง ๆ เลยนะมึงเนี่ย”

ผมบ่นอุบทันทีเมื่อได้ยินเสียงไอ้น้องไนท์เดินออกมาจากห้องน้ำพลางหันไปด้วยสัญชาตญาณก่อนจะต้องตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สุดแสนจะโดดเด่นของไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้เกือบจะเปลือยเปล่า ไหนจะทั้งแผงอกอันขาวเนียน หัวนมสีชมพู ...

และ ... อะไรบางอย่างที่กำลังนูนเด่นจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้ผ้าขนหนูผืนน้อยซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปกปิดร่างกายนั้นเอาไว้นั้นด้วย

“พี่นันท์กำลังมองอะหยังของผมอยู่รึเปล่าน่ะ”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยเลศนัยพอสมควร ทำเอาผมถึงกับต้องรีบหันหน้าหนีกลับไปยังวิวด้านนอกคอนโดทันทีด้วยความรวดเร็ว

“ปะ เปล่า ไอสัส รีบ ๆ ไปใส่เสื้อผ้าเลยนะมึง เห็นแล้วอุจาดตา เร็ว เดี๋ยวกูจะได้ไปอาบมั่ง ง่วงแล้วเนี่ย พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้าอีก”

“ครับ ๆ สุดแท้แล้วแต่พี่นันท์จะบัญชาเลยครับ แต่... ถ้าพี่นันท์เห็นรูปร่างผมแล้วจะเปลี่ยนใจมาชอบผม ก็ยังบ่สายนะครับ เดี๋ยวผมจัดให้เต็มที่เลย”

“ถ้ามึงยังบ่หยุดพูดมาก กูจะไล่ให้มึงไปนอนโรงแรมแล้วนะเว้ย เร็ว ๆ รำคาญ!”

ผมเอ็ดกลับไปจนเจ้าตัวต้องรีบวิ่งไปใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว

“......”

ห่าเอ้ย อะไรของกูวะเนี่ย ก็แค่รุ่นน้องตอนสมัยเรียนชั้นมัธยมธรรมดา ๆ คนหนึ่งแท้ ๆ แต่ไหงพอเห็นช็อตเมื่อกี้เข้าไป ถึงทำให้ใจเต้นขึ้นมาได้กันนะ

หรืออยู่ในช่วงของขาดหรือเปล่าวะ ร่างกายเลยโหยหาขึ้นมา

“......”

ไอ้สัส หยุดเลยนะมึง ไอ้ความคิดด้านนั้นเนี่ย แล้วมึงก็ด้วยไอ้นันท์น้อย มึงไม่ต้องตื่นขึ้นมาเลย นั่นรุ่นน้องนะ มึงอย่าไปคิดเกินเลยกับมันเด็ดขาดนะเฮ้ย เดี๋ยวจะเสียอำนาจการปกครองเปล่า ๆ

ทันทีที่คิดได้เช่นนั้นผมก็รีบหอบร่างกายที่แสนจะเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวันไปยังราวแขวนผ้าเพื่อหยิบผ้าขนหนูมาพาดไว้ที่บาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งอย่างนั้น เพราะคิดว่าหากถอดเสื้อผ้าก่อนเข้าห้องน้ำคงไม่แคล้วได้ตกเป็นเป้าสายตาที่ดูแสนจะอันตรายของไอ้น้องไนท์เป็นแน่แท้

“......”

ในจังหวะที่ผมกำลังรู้สึกผ่อนคลายไปกับน้ำอุ่นที่พุ่งออกมาจากผักบัวอยู่นั่นเอง

“......”

ภาพร่างกายอันเกือบจะเปลือยเปล่าของไอ้น้องไนท์เมื่อครู่ก็หวนเข้ามาในสมองผมเสียอย่างนั้น ทำเอาไอ้เจ้านันท์น้อยถึงกับตื่นขึ้นจากการหลับไหลขึ้นมาอีกครั้ง

เหี้ยแล้วกู ไม่น่าไปเห็น ไม่น่าไปนึกถึงมันเลย เอาไงล่ะทีนี้ จะว่าไปก็ไม่ได้จัดการตัวเองมาหลายวันแล้วเหมือนกันแฮะ อันเนื่องมาจากมัวแต่โหมงานหนักมากเกินไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

“......”

แต่จะให้มาจัดการตัวเองโดยมีไอ้น้องไนท์เป็นภาพในจินตนาการเนี่ยนะ เกรงว่าคงไม่เป็นการดีแน่ ๆ

“......”

และ ... อะไรบางอย่างที่กำลังนูนเด่นจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้ผ้าขนหนูผืนน้อยซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปกปิดร่างกายนั้นเอาไว้นั้นด้วย

“......”

บ้าเอ้ย แล้วไหงถึงสลัดภาพพวกนั้นออกไปจากหัวไม่ได้กันวะ

พี่นันท์ครับ

อยู่ ๆ เสียงของไอ้น้องไนท์ที่เรียกชื่อผมเป็นประจำก็หวนเข้ามาในโสตประสาทของผมพร้อมกับมือข้างหนึ่งของผมกำลังจับเจ้านันท์น้อยโดยที่มืออีกข้างก็พิงกำแพงห้องน้ำเพื่อทรงตัวเอาไว้

“อือ...”

ผมส่งเสียงครางเบา ๆ ในลำคอเล็กน้อยพลางปลดปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ที่ยากจะหยุดเอาไว้ได้ในเวลานี้

พี่นันท์กำลังมองอะหยังของผมอยู่รึเปล่าน่ะ

“อา...”

บ้าจริง หยุดไม่ได้เสียแล้วสิ

แต่... ถ้าพี่นันท์เห็นรูปร่างผมแล้วจะเปลี่ยนใจมาชอบผม ก็ยังบ่สายนะครับ เดี๋ยวผมจัดให้เต็มที่เลย

“อะ... อือ...”

ผมเร่งจังหวะมือให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อคำพูดนั้นหวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

“อะ...อึก...!”

จนในที่สุด ......


ผมเดินออกจากห้องน้ำด้วยความรวดเร็วเพื่อไปยังตู้เสื้อผ้าโดยหวังไม่ให้ไอ้น้องไนท์ได้เห็นผมในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว แต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดลงทันทีเมื่อหันไปเห็นเจ้าตัวนอนหลับอยู่บนโซฟารับแขกไปเสียแล้ว ผมจึงเบาใจขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง

หลังจากที่ผมใส่ชุดนอนเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปยังเตียงนอนทันที แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงก็พลันนึกเอะใจอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

“......”

ใช่แล้ว ไอ้น้องไนท์ไม่มีผ้าห่มนี่หว่า เมื่อกี้เหมือนเห็นเจ้าตัวนอนกอดอกโดยไม่มีอะไรปิดตัวเลยสักนิด ไม่หนาวเหรอวะนั่น จะปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นเดี๋ยวหวัดกินไปออกงานไม่ได้แล้วจะพาลมาโทษกูอีก

ทันทีที่ผมคิดได้เช่นนั้นก็เดินไปยังตู้เสื้อผ้าอีกรอบพร้อมก้มตัวลงควานหาผ้าห่มสำรองที่จำได้ว่าเคยยัด ๆ เอาไว้เมื่อตอนย้ายเข้ามาใหม่ ๆ ผมหยิบมันออกมาคลี่ดูเพื่อเช็กความสะอาด เมื่อเห็นว่ายังคงใช้งานได้ดีก็เดินตรงไปยังโซฟารับแขก

“......”

ผมยืนนิ่งกอดผ้าห่มไว้ในอ้อมอกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เพ่งพินิจไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้หลับไปแล้ว

“ไอ้เด็กน้อยเอ้ย...”

ผมบ่นพลางอมยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะนำผ้าห่มที่เตรียมมาห่มให้กับอีกฝ่ายแล้วจึงดันตัวให้ลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังเตียงนอนของตัวเอง

“......”

ก็ถ้านานแล้วจริง พี่จะเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นไว้เพื่ออะหยังล่ะ

“......”

นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแท้ ๆ นะ ผมว่าพี่นันท์ควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้วมั้ง

“......”

อยู่ ๆ คำพูดของไอ้น้องไนท์ก็โผล่กลับเข้ามาในหัวอีกจนได้ เล่นเอาสลัดออกจากหัวไม่หลุดจริง ๆ

ผมหันไปยังไอ้น้องไนท์อีกรอบ ยืนมองอยู่ครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเดินกลับไปยังโซฟาอีกรอบ

“......”

มีอยู่คนนึงแถว ๆ นี้แท้ ๆ แต่พี่ก็ชอบมองข้ามมาตลอดเลยนะ

“......”

ผมโน้มตัวลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เจ้าตัวได้ทันรู้สึกก่อนจะรีบเดินกลับมายังเตียงนอน ปิดไฟในห้องพร้อมกับหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเองเอาไว้ ซึ่งปกติผมจะห่มถึงแค่หน้าอกเท่านั้น ทว่าวันนี้ผมกลับคลุมโปงจนมิดหัวพร้อมนอนตะแคงครุ่นคิดกับการกระทำของตัวเองเมื่อครู่

“......”

ไอ้ตายสิ ไอ้เด็กบ้า จะกี่ปี ๆ ก็ยังกวนประสาทได้เหมือนเดิมไม่มีผิดจริง ๆ

แล้วคืนนี้ผมจะนอนหลับไหมเนี่ย พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้าด้วย ขืนไปสาย ไม่แคล้วได้โดนพี่ชาติด่าเอาแน่ ๆ


เฮ้อออ



จบคาบเรียนที่เจ็ด



มุมเมาท์มอยหอยสังข์


สวีดัด สวัสดีมิตรสหายนักอ่านทุกท่าน หายไปนานมากเลยแฮะ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ งาน งาน และก็งานล้วน ๆ ที่สำคัญสมองตื้อตีบตัน เค้นมันออกมาจากหัวไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่มีไอเดียมากมายในหัวแท้ ๆ

แต่ก็มีนิยายเรื่อง แล้วเคยขึ้นเท่าไหร่ครับ ให้ได้อ่านคั่นเวลาไปพลาง ๆ ก่อน หวังว่าคงไม่โกรธกันน้าาา

เอาล่ะ เข้าเรื่อง สำหรับตอนนี้ คิดว่า คงสมใจกันบ้าง (มั้ง?) แห่ะ ๆ ก็แบบ ก็นันท์อะเนอะ จะไปอะไรกับน้องนันท์มาก ฮ่าฮ่าฮ่า

ส่วนตอนต่อไปนั้น.... มาแน่ ช้า แต่ชัวร์ อิอิ



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: จิบุ_จิบุ ที่ 01-01-2022 08:08:45
คาบเรียนที่แปด


“โห ห้องน่าอยู่มากเลยนะครับเนี่ย”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยชมทันที่เจ้าตัวเดินตามผมเข้ามายังห้องของผม ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชมด้วยความจริงใจ หรือชมด้วยความประชดกันแน่ เพราะในความเป็นจริงแล้วห้องของผม ณ ตอนนี้จัดได้ว่าค่อนข้างรกพอสมควร

“แล้วนี่ปิ๊กมาเจียงใหม่ บ่มีใครว่าเหรอไงน่ะ เห็นช่วงนี้งานเยอะบ่ใช่เหรอ”

ผมเอ่ยถามพร้อมใช้เท้าเขี่ย ๆ กองสัมภารก (อ่านไม่ผิดครับสัมภารก ไม่ใช่สัมภาระ) แล้วเดินเข้าไปด้านใน

“อ้าว นี่พี่บ่รู้เหรอ ว่าวงพวกผมตอนนี้มีงานที่เจียงใหม่เนี่ย”

ผมหันไปเลิกคิ้วสูงใส่ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

“อ้าว แล้วถ้าอย่างนั้นคนอื่นในวงล่ะ ไปไหนกันหมด?”

ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่สิ่งที่ได้กลับมาเพียงความเงียบและรอยยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะกวาดสายตาไปรอบห้อง ซึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกอับอายขึ้นมาพอสมควร

“นี่พี่นันท์ยังลืมพี่แบงค์เขาไม่ได้อีกเหรอ”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามพลางเดินไปยังชั้นหนังสือพร้อมหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมาดู แต่ไม่ได้เปิดดูแต่อย่างใด คงเพราะรู้ตัวดีว่าหากทำเช่นนั้นคงไม่แคล้วโดนผมด่าเอาแน่ ๆ

ผมถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนจะก้มตัวลงไปหยิบข้าวของบนพื้นขึ้นมาจัดให้เข้าที่เข้าทางแล้วจึงมองออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง

“ไม่มีหรอกเรื่องลืมน่ะ จะมีก็แต่ลืมช้า หรือลืมเร็วแค่นั้นน่ะล่ะ”

“เป็นนางเอกจากเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาวเหรอพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า”

ไอ้น้องไนท์หัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะวางสมุดไดอารี่วางคืนบนชั้น ทำเอาผมถึงกับต้องเขม่นคิ้วใส่เล็กน้อยเพราะโดนรู้ทัน

“นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแท้ ๆ นะ ผมว่าพี่นันท์ควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้วมั้ง”

“ไอ้ห่า วัน ๆ ทำแต่งาน จะเอาเวลาไหนไปหาแฟนกันวะ”

ผมบ่นอุบอิบเบา ๆ กับตัวเองโดยที่มือยังคงเก็บกวาดข้าวของไปด้วย ไอ้น้องไนท์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาช่วย ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากเสื้อผ้าของอีกฝ่าย

“ก็มีอยู่คนนึงแถว ๆ นี้แท้ ๆ แต่พี่ก็ชอบมองข้ามมาตลอดเลยนะ”

ผมชำเลืองตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจ้องมองผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ซึ่งหากจะพิจารณาด้วยความเป็นแล้วนั้นก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ เลยล่ะครับว่าไอ้น้องไนท์ ณ ตอนนี้นั้นหน้าตาผิวพรรณดีกว่าเมื่อสมัยยังเป็นเด็กมัธยมมากนัก และยิ่งด้วยสายตาที่ดูกะลิ้มกะเหลี่ยนั่นอีก ก็ทำเอาผมถึงกับเกิดอาการใจเต้นขึ้นมาพอสมควร

ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ

ตึก ๆ หาพ่อมึงเหรอไอ้นันท์ นั่นอดีตรุ่นน้องนะเว้ย

ก๊อก ๆ ๆ

ในจังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นซึ่งก็ช่วยดึงสติผมกลับมาได้ ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างหันไปมองก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

“สวัสดีครับ นันท์พอดีผมเพิ่งเลิกงานเลยแวะมา...อะ อ้าว มีแขกอยู่เหรอครับ”

ภูเอ่ยทักทายทันทีที่ผมเปิดประตูต้อนรับก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังผม

“อ๋อ นี่เป็น...”

“แฟนน่ะครับ อุ๊ก!!!”

ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งไปยังชายโครงของไอ้น้องไนท์ทันทีที่เจ้าตัวพูดเช่นนั้นจนเจ้าตัวถึงกับงอตัวด้วยความเจ็บปวด

“อดีตรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยมน่ะ แค่มาแวะมาออกงานที่เจียงใหม่เท่านั้นน่ะ”

“อ้อออ นี่มัน ไนท์แห่งวง Undefined นี่เอง ก็ว่าล่ะ ว่าทำไมหน้าตาคุ้น ๆ โอโห ผมนี่เป็นแฟนคลับวงนี้เลยนะครับเนี่ย”

ภูออกอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นเป็นใคร ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินคำชมเช่นนั้นก็แอบยิ้มแต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

“ว่าแต่ภูมีธุระอะไรเหรอ ถึงมาซะดึกเลยเนี่ย”

ผมชิงตัดบทเข้าเรื่องเพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้จะไม่จบประเด็นสักที

“อ้อ เออใช่ ๆ พอดีผมซื้อขนมมาฝากน่ะครับ ยังไงก็แบ่งทานกันทั้งคู่นะครับ ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับพรุ่งนี้มีงานเช้า เอ้อ ถ้าบ่รังเกียจ ผมขอถ่ายรูปคู่คุณไนท์ได้มั้ยครับ อุตส่าห์ได้เจอตัวจริงทั้งที”

ภูยื่นขนมให้ผมก่อนจะล้วงมือเข้าไปยังกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบมือถือออกมา ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนนั้นก็เกิดอาการลังเลเล็กน้อย จนผมต้องกระทุ้งข้อศอกเข้าไปที่ชายโครงอีกรอบเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าตัวรู้ว่าควรทำอย่างไร

ภูเปิดกล้องมือถือด้วยความรวดเร็วก่อนจะโยกตัวมาเข้ามาใกล้ ๆ ไอ้น้องไนท์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้กล้องก่อนที่ภูจะกดชัตเตอร์ถ่ายรูปคู่เก็บเอาไว้

“ขอบคุณมากครับ คุณไนท์ บ่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอตัวจริง หล่อกว่าในรูปจริง ๆ เอ้อ ยังไงผมขอตัวก่อน บ่รบกวนแล้ว ไปละครับ”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินกลับไปยังห้องตัวเองด้วยสีหน้าอย่างคนมีความสุข ทิ้งให้ไอ้น้องไนท์ยืนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“เดี๋ยวมึงจะโดนกูบ่ใช่น้อย ไอ้เด็กเวร ไปบอกเขาได้ไงวะ ว่ามึงเป็นแฟนกู”

ผมหันไปเอ็ดใส่เจ้าตัวทันทีที่นึกขึ้นได้ ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการกระอึกกระอัก พอสมควร

“อ้าว ก็บ่รู้นี่พี่ ก็นึกว่าไอ้เจ้านั่นมันจะมาจีบพี่เสียยอีก ผมก็เลยเกิดอาการหึงขึ้นมาน่ะสิ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประหลาด ๆ นั้น

“จีบห่าอะหยังล่ะ เพื่อร่วมคอนโดกูเว้ย ไอ้ห่านี่ แล้วที่สำคัญ มึงบ่ใช่แฟนกู จะมาหึงกูทำเหี้ยอะหยังวะ”

“เอ้า งั้นก็เป็นแฟนผมสักทีสิ ผมจะได้หึงได้เต็มที่สักที”

“หยุดเลยมึง ขืนยังพูดมากอีกกูจะให้มึงนอนหน้าประตูห้องจริง ๆ ด้วย ไป ๆ ไปเอาน้ำผลไม้ในตู้เย็นออกมา จะได้กับขนมนี่”

ผมเอ็ดใส่ พร้อมยื่นถุงขนมในมือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบทำตามคำสั่งอย่างเร่งรีบ

“ว่าแต่ไอ้รุ่นพี่ที่มึงเคยคบด้วยตอนช่วง ม.ปลาย น่ะ ไปไหนแล้ววะ”

ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อไอ้น้องไนท์นำขนมและน้ำผลไม้มาเสิร์ฟพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม

“โอย เลิกกันไปตั้งนานแล้วพี่นันท์”

“อ้าว เลิกกันได้ไงวะ”

“ก็หลายเรื่องอะ แรก ๆ ก็หวานดีอยู่หรอก แต่หลัง ๆ เริ่มบ่ใช่ละ ก็เลยเลิกกันดีกว่า คบไปก็ยิ่งทำให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิม”

ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“เออ ช่างมันเหอะพี่ พี่เองเหอะ ยังบ่ตอบคำถามผมตรง ๆ เลย”

“เรื่องอะหยังวะ”

“ก็เรื่องพี่แบงค์ไงล่ะ”

อึก!

“เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว มึงจะอยากรู้ไปเพื่ออะหยังวะ”

“ก็ถ้านานแล้วจริง พี่จะเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นไว้เพื่ออะหยังล่ะ”

“ก็แค่เจอตอนจัดห้องปะวะ กูก็เลยเก็บ ๆ ไว้ บ่ได้มีอะหยังสักหน่อย”

ผมตอบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ สงวนท่าทีเล็กน้อย

“งั้น...ถ้าบ่มีอะหยังจริง ๆ ผมเอาสมุดไดอารี่ไปทิ้งนะ”

ไอ้น้องไนท์พูดพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นไปยังชั้นหนังสือ

“ไอ้สัส มึงหยุดนะ ถ้ามึงทำ นอกจากมึงจะได้นอนนอกห้องแล้วมึงยังได้มีรอยฟกช้ำบนใบหน้าหล่อ ๆ ของมึงไปโชว์วันงานจริง ๆ ด้วยเอ้า”

ผมรีบปรามอีกฝ่ายทันทีด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงที่เดิม

“พี่นันท์นี่ก็ยังคงเป็นพี่นันท์คนเดิมจริง ๆ”

“หมายความว่าไงวะ”

ผมถามกลับ ไอ้น้องไนท์เองหยิบขนมในจานขึ้นมากินสองสามชิ้น ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมามองผม

“ผมว่าคำถามนี้ คนที่จะตอบได้ น่าจะเป็นตัวพี่นันท์เองมากกว่านะ”

พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าก่อนจะเปิดมันออกเพื่อหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบนบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยทิ้งผมเอาไว้กับคำถามนั้น

“......”

ผมหยิบขนมในจานขึ้นมากินก่อนจะหันมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอยพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย


“มึง เสาร์นี้ไปทำงานที่ร้านเจ๊บัวปะวะ”

ผมเอ่ยถามแบงค์ด้วยความสงสัยในขณะที่เจ้าตัวเองนั้นกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นอยู่ แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยแล้วจึงหันมามองผมที่กำลังนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียง

“ก็ไปนะครับ ทำไมเหรอ”

“เปล่า ก็ถามไปงั้น บ่มีหยัง”

ผมตอบกลับไปแบบเสียไม่ได้โดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่การ์ตูนในมือก่อนจะรู้สึกหนักจนต้องร้อง ‘อัก’ ออกมาเพราะอยู่ ๆ ก็โดนเจ้าหมีอ้วนกระโดดเข้าใส่แบบไม่ทันให้ตั้งตัว

“อะหยังของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็กระโจนเข้ามาแบบบ่ให้สุ้มให้เสียง ห่า ตัวก็บ่ใช่เล็ก ๆ หลังกูเกือบหักแล้วมั้ยล่ะ”

ผมเอ็ดใส่อีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะลุกขึ้นออกไปแต่อย่างใด

“ก็นึกว่าคิดถึงผมน่ะสิ ผมก็เลยมาหาไงล่ะ”

เจ้าตัวพูดพร้อมถอดแว่นหนาออกวางไว้ที่บนหัวเตียงก่อนจะหอมแก้มผมทั้งซ้ายและขวาฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

“มึงนี่น้า... เคยมีใครบอกมั้ยเนี่ยว่าเป็นคนหลงตัวเอง”

“ไม่มีครับ”

“งั้นกูคนนี้นี่ล่ะ จะเป็นคนบอกมึงเอง”

ผมพูดพลางขยับตัวเพื่อหวังให้อีกฝ่ายลุกออกจากตัวผม แต่ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ อยู่ ๆ กลายเป็นว่าสภาพในตอนนี้นั้นเป็นผมนอนหงายโดยมีแบงค์คร่อมอยู่เสียอย่างนั้น ช่างเป็นสภาพที่ดูสุ่มเสี่ยงต่อพรหมจรรย์ของผมมาก ๆ

“ลุก”

“ไม่ลุก”

“กูบอกให้ลุกออกไป”

“ก็แล้วถ้าผมไม่ออกไปล่ะครับ”

แน่ะ เดี๋ยวนี้มียอกย้อนนะมึง

“ก็ถ้ามึงบ่ลุก มึงได้จุกที่ไข่มึงแน่”

พูดจบ ผมก็หมายจะใช้หัวเข่ากระแทกเข้าไปที่เป้าของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะเดาทางผมได้เสียก่อนจึงรีบกดหน้าขาผมไว้ได้ทัน

“สัส”

ผมสบถเบา ๆ แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจกับคำสบถนั้นแม้แต่น้อย ยังคงยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี

“ขอหอมแก้มอีกทีนะครับ”

พูดจบเจ้าตัวก็พรมหอมแก้มผมฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย ไอ้เรื่องหอมแก้มน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้สิ่งที่อยู่ภายในกางเกงของอีกฝ่ายซึ่งกำลังโตเต็มที่และตอนนี้กำลังแนบชิดอยู่กับหน้าขาของผมอยู่นี่สิคือประเด็นหลักมากกว่า

“นี่มึงไปตายอดตายอยากมาจากไหนเนี่ย”

ผมเอ่ยถามในขณะที่มือทั้งสองข้างของผมกำลังโดนล็อกเอาไว้แน่น

“ก็แหม ผมก็เป็นผู้ชายตามปกติทั่วไปนี่ครับ ก็ต้องมีอารมณ์กับเรื่องอย่างว่าเป็นธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนเสียหน่อย นันท์เองนั่นล่ะ อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับเขา”

อึก!

สัส เล่นจี้จุดเอาซะผมไปต่อไม่ถูกเลยเว้ย

ก็อย่างที่เคยบอก ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ใช่ว่าผมเองจะไม่เคย แต่ก็นั่นล่ะ ผมน่ะเก่งแค่ในทางทฤษฎีตัวคนเดียวเท่านั้น แต่พอเข้าสู่โหมดปฏิบัติออกงานจริง กลับรู้สึกเคอะเขินอย่างบอกไม่ถูก

เฮ้อออ อนิจจาตัวกูจริง ๆ

“วันนี้ขอเพิ่มระดับหน่อยได้มั้ยครับ”

แบงค์เอ่ยถาม พร้อมจ้องมองหน้าผมด้วยสายตาเว้าวอน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในขณะที่หัวใจของผมในตอนนี้นั้นเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นทีท่าไม่ขัดขืนของผม ก็ค่อย ๆ พรมจูบเบา ๆ ที่แก้มขวาของผมอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะไล่ไปตามลำคอ

ร่างกายของผมเริ่มตอบสนองต่อการกระทำของแบงค์จนมันตื่นตัวเต็มที่เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย แบงค์ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อนักเรียนของผมทีละเม็ดทีละเม็ดออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงลากลิ้นมายังบริเวณแผงอก

ผมกำหมัดแน่นหลับตาปี๋ ได้แต่ครางอือเบา ๆ ในลำคอ แบงค์หยุดแล้วเงยขึ้นมาจ้องมองผม สายตาคมเข้มที่ดูมีอารมณ์ของอีกฝ่ายในตอนนี้นั้น มันปลุกเร้าอารมณ์ผมเสียเหลือเกิน ผมเอามือทั้งสองข้างจับแก้มของแบงค์ แล้วโน้มแก้มลงมาประกบปาก ซึ่งคราวนี้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้าไปบ้าง เราทั้งสองแลกลิ้นไปมากันครู่หนึ่ง ร่างกายกำยำของแบงค์ที่ในตอนนี้กำลังทับลงบนตัวผม แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันหนักเลยสักนิด

“เป็นไงมั่งครับ”

แบงค์ถอนปากออกก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ผมได้แต่หลับตาครางอือเบา ๆ กลับไปเป็นคำตอบ ซึ่งก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายได้ใจมากขึ้นไปอีก จึงก้มหัวลงไปลากลิ้นบนแผงอกทำเอาผมถึงขั้นต้องต้องจิกเส้นผมของอีกฝ่ายไว้แน่น

เมื่อเจ้าตัวเห็นท่าทีของผมที่ดูจะไม่ขัดขืนเสียเท่าไหร่นัก ก็ลากลิ้นต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าท้องที่ เอ่อ ที่ ที่อะไรดี ที่ดูนุ่มนิ่มละกัน เพราะถ้าใช้คำว่าแบนราบ ก็เกรงจะโดนครหาว่าหลอกลวงผู้บริโภคเอาได้

“เอ มีอะไรอยู่ข้างในนี้กันนะ”

แบงค์เอ่ยถามเบา ๆ ก่อนจะพยายามปลดหัวเข็มขัดของผมออก แต่ผมมือไวกว่าจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่นพลางชะโงกหัวขึ้นมาดู

“ไม่ได้เหรอครับ”

เจ้าตัวเอ่ยถามด้วยสีหน้าออดอ้อน ทำเอาผมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว

“แต่...”

ผมพยายามจะหาคำอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดไหนดีในเวลาแบบนี้ หรือว่าวันนี้ จะเป็นที่ผมจะโดนเผด็จศึกกันแน่นะ

ไม่นะ ม่ายยย

ในขณะที่สมองอันน้อยนิดกำลังคิดไปไกลจนกู่ไม่กลับนั่นเอง

TRRR

เสียงโทรศัพท์มือของผมก็ดังขึ้นกะทันหัน จนทำให้ทั้งผมและแบงค์สะดุ้งเล็กน้อย แบงค์ผละตัวออกจากผมทันทีด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมก็ลนลานคว้ามือถือของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความรวดเร็ว ซึ่งก็พบว่า คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณกมลชนกสุดที่รักของผมนั่นเอง

“ว่าใด”

ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่กเล็กน้อย

“จะมาว่าดงว่าใดกันล่ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วหา อะหยังยังบ่ปิ๊กบ้านสักเตื้อ”

เสียงของคุณกลมชนกบ่นผ่านเข้ามาจนผมแทบจะตั้งตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

“เอ่อ กำลังติวหนังสือกับแบงค์อยู่น่ะ แห่ะ ๆ”

ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเล็กน้อย

“แต้ก่ะ”

คุณกมลเอ่ยถามกลับมาด้วยความสงสัย อนึ่ง ‘แต้ก่ะ’ ในภาษาเหนือนั้นมีความหมายว่า ‘จริงหรือ’ น่ะครับ

“แต้กะแม่ บ่เชื่อก็ถามไอ้แบงค์มันดูได้”

ผมตอบกลับไปก่อนจะยื่นมือถือให้แบงค์พลางเขม่นคิ้วใส่เป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายรู้ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของผมก็รีบรับมือถือของผมไปด้วยท่าทีหวั่นเกรงเล็กน้อย

“เอ่อ สวัสดีครับ แม่”



จบคาบเรียนที่แปด


มุมเมาท์มอยหอยสังข์


สวัสดีค้าบบบ

หายไปนานสำหรับภาคสอง

จริง ๆ ก็อยากที่บอกไปน่ะล่ะ วัยทำงานอะเนอะ เฮ้อออ

ไอเดียมีเป็นล้าน แต่ขี้เกียจ เอ้ย ไม่มีเวลาน่ะ

แต่ก็ไม่ทิ้งไปไหนจ้าาาา

ตอนนี้ แอบมีสะใภ้ (เซอไพรซ์) นิโหน่ย คือมีตัวละครจากภาคแรกนั้คือ นุ้งไนท์โผล่เข้ามา

ซึ่งจะมีบทบาทกลับเข้ามาอย่างไร ก็รบกวนติดตามกันต่อไปนะครับ

อิอิ


จิ๊บคุง

1-1-22
หัวข้อ: Re: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2022 09:29:58
 :pig4:
 :3123: