◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣ บทส่งท้าย [END] | แจ้งข่าวหน้า 4 [07/07/2019]  (อ่าน 37948 ครั้ง)

ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
วัส กำลังถูกใครบางคนยืมมือจัดการกับกูร โดยไม่รู้ตัวใช่ไหมเนี่ย ปองภพ มีส่วนด้วยแน่ๆ อันนี้เรามั่นใจ เพราะตอนจะออกจากบ้านไป สน ภพให้วัสถือหลักฐานทุกอย่างไปรถของวัสหมด ทั้งที่ตัวเองถือออกไปเองก็ได้ ของไม่ได้มากมายอะไร

เดาเหตุผลไม่ออกจริงๆว่าภพทำไปทำไม

แต่...เหลือบดูชื่อคนแต่ง คิดอีกมุม วัส อาจอยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุครั้งนี้ เพราะตอนวิเคราะห์หลักฐานกันเสร็จเรียบร้อย วัส ถามภพว่า ได้บอกใครเรื่องนี้แล้วบ้าง มันสื่อได้หลายความหมายเลย โอ้ยยยยยย

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :m15:  :m15:
ทำไมภพต้องตายด้วย
สงสารง่าาาาาาาาาา

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 13 ฝนสาดซ่านกระเซ็น

“มีอุบัติเหตุน่าสลดใจเกิดขึ้นเมื่อช่วงยี่สิบนาฬิกาที่ผ่านมานะคะ เกิดเหตุรถฮอนด้าซีวิคพุ่งชนแบริเออร์ระหว่างจุดเบี่ยงขึ้นสะพานข้ามแยกย่านทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ตัวรถพลิกตะแคงจนตัวถังไถลไปกับกับพื้นถนนและเกิดระเบิดขึ้นทันที ผู้ขับรถคันดังกล่าวติดอยู่ภายในและคาดว่าเสียชีวิตเนื่องจากไฟลุกไหม้ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตในภายหลังคือร้อยตำรวจเอกปองภพ ภราหัส”

“เป็นอุบัติเหตุที่น่าสยดสยองนะครับ มีพยานหลายปากยืนยันว่าผู้ตายยังคงมีสติในช่วงเวลาที่ไฟกำลังลุกโหมขึ้นมา แต่ต้องยอมรับว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยเกินกว่าทุกคนจะช่วยเหลือได้ทัน ทางสำนักข่าวของเราต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วยครับ”


ข่าวการเสียชีวิตของปองภพคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีปรีดาสักเท่าไหร่ ในทางกลับกันมันเป็นข่าวที่คนฟังทุกคนต่างจุกรื้นขึ้นมาในอก นายตำรวจหนุ่มที่มีเวลาชีวิตอีกยาวไกลกลับต้องมาจบชีวิตลงพร้อมกับร่างกายที่ถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก ผลงานทุกสิ่งที่สร้างมาถูกลบล้างด้วยข่าวการจากไปแบบผิดธรรมชาติ ช่างน่าสลดหดหู่ และสะท้อนอกสะท้อนใจเสียเหลือเกิน

“เสียดายที่เราได้คุยกันแค่ไม่กี่ครั้งเองนะครับผู้กอง” ดวงตากลมมนกะพริบถี่เมื่อภาพข่าวรอบดึกในจอสมาร์ทโฟนทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะรับข่าวสารจากสื่อไหน ๆ หรือช่องทางไหน ข่าวการตายของปองภพก็ยึดครองพื้นที่ไปเสียหมด ประวัติน่าชื่นชมของเขาถูกขุดขึ้นมาสรรเสริญเยินยอไม่ต่างอะไรกับคำกล่าวที่ว่า ‘คนดีสี่โมงเย็น’

“ร้อยตำรวจเอกปองภพ ภราหัส นับว่าเป็นนายตำรวจมากความสามารถและมีผลงานเด่นชัดมากมาย...”

แบบนี้แหละที่เรียกกันว่าคนดีสี่โมงเย็น มีใครบ้างล่ะที่ไม่เคยไปงานศพ เวลาสิบหกนาฬิกาก่อนที่ร่างกายผู้วายชนม์จะมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่าน ประวัติความดีมากมายจะถูกขนออกมาบอกกล่าวยาวเหยียดเป็นหางว่าว กว่าจะเห็นความดีกัน กว่าจะเห็นความสำคัญว่าทำประโยชน์อะไรตอนมีชีวิตอยู่บ้าง กว่าจะเห็นทุกสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นตอนที่จิตวิญญาณแหลกสลายจากโลกนี้ไปแล้ว

“ด้านพันตำรวจตรีวัสสะ อิสระบริรักษ์ ผู้ขับรถนำมาก่อนเกิดอุบัติเหตุยังอยู่ในอาการตกใจค่ะ เจ้าตัวปฏิเสธการให้สัมภาษณ์และกล่าวเพียงว่ายังทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น” ใบหน้าเรียบเฉยของธารางกูรพยายามจดจ้องไปยังจอภาพที่มีวัสสะเด่นชัดอยู่ในนั้น เขายกเครื่องโทรศัพท์ขึ้นมาใกล้สายตา ร่างสูงดูมีท่าทีไม่ดีนัก กรอบใบหน้าโศกเศร้าเสียใจระคนไปด้วยความรู้สึกผิดไม่ทราบที่มา คนที่เคยเข้มแข็งกำลังดูอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องตัวเองหรือปกป้องใครสักคน ยิ่งมองธารางกูรยิ่งอยากสัมผัส ยิ่งมอง เขายิ่งอยากอยู่ใกล้ ๆ วัสสะตรงนั้น ร่างกายสง่างามนั่นไม่เหมาะกับความอ่อนแอเลยสักนิด

Rrrr เสียงโทรศัพท์แทรกเข้ามาจนทำให้หน้าจอที่ธารางกูรกำลังจดจ้องเปลี่ยนไป เรียวมือสวยบีบเกร็งทันทีเมื่อเห็นหมายเลขที่ไม่ได้ถูกเมมโมรี่บนหน้าจอ หมายเลขที่เรียงต่อกันสวยดูก็รู้ว่าเป็นหมายเลขราคาแพงหาตัวจับยาก แต่เพราะเหตุใดกันนะความตื่นเต้นของการกดรับสายมันถึงได้มากมายเช่นนี้ เป็นเพราะมันดูไม่ใช่หมายเลขธรรมดา หรือเป็นเพราะธารางกูรรู้อยู่แก่ใจว่าต้นสายที่โทรเข้ามาเป็นใคร

“...ส...สวัสดีครับ”

“สวัสดี วันนี้เป็นยังไงบ้างกูร”

“ครับ? ” ธารางกูรเกร็งริมฝีปากขณะที่เอ่ยน้ำเสียงสงสัยออกไป คำถามจากต้นสายสนทนาเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง และแน่นอน ร่างโปร่งบางรู้ดีว่าสายโทรศัพท์สายนี้ไม่ได้โทรหาเขาเพราะความห่วงใยใด ๆ

“วันนี้นายเป็นยังไง สบายดีมั้ย ขาดเหลืออะไรรึเปล่า”

“ผมสบายดีครับท่าน” ธารางกูรปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่งขณะที่ตอบคำถามออกไป ‘ท่าน’ เป็นคำที่เขาใช้เรียกคนผู้นี้มาเป็นระยะเวลานาน มันเป็นคำแทนตัวบุคคลที่แฝงไปด้วยความเคารพยำเกรงและหวาดกลัว ยิ่งได้ฟังเสียงของชายกลางคน ปลายเท้าปลายมือของคนฟังยิ่งบิดเกร็งผิดสภาพไปตามความรู้สึก ธารางกูรจิกปลายมืออีกข้างลงกับหน้าขาของตน เขาไม่อยากพูดคุย ไม่อยากได้ยินเสียง แต่สุดท้ายก็เลี่ยงมันไปไม่ได้อยู่ดี





ไม่ว่าจะหลีกหนีเท่าไหร่ เขาไม่เคยหนีพ้น ไม่เลย





“หึ ตำรวจคนเก่งตายทั้งคน นายคงสบายดีอยู่แล้ว ฉันก็ถามแปลกเนอะ แบบนี้เรื่องที่นายฆ่าดารัณก็ลอยตัวแล้วสิ”

“ท...ท่านต้องการอะไรครับ”

“ใจเย็นสิกูร อย่าเพิ่งเสียงสั่น ฉันแค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง” ธารางกูรเม้มริมฝีปากลงแน่นเมื่ออีกฝ่ายกำลังใช้น้ำเสียงล้อเลียนเมื่อรู้ทันความประหม่าพรั่นกลัวของเขา

“ผม…”

“เอาล่ะ ถ้ากลัวมากนักนายก็หุบปากไป แล้วรอฟังคำชมเชยจากฉันอย่างเดียว ดีมั้ย”

“...” ธารางกูรไม่ได้เงียบเสียงเพราะคำสั่ง แต่เป็นเพราะหัวใจเขากำลังหวาดกลัวเกินกว่าจะต่อสู้กับสิ่งใด ทุกเสียงที่ได้ยินขณะลมหายใจเข้าออกทำให้ร่างกายของเขาเย็บเฉียบราวกับทุกคำที่ฟังเป็นคำขู่เอาชีวิตที่อันโหดร้าย

“เก่งมาก นายเก่งจริง ๆ ที่ทำให้ปองภพหายไปได้ นั่นนายตำรวจฝีมือดีเลยนะ เสียดายเขากำลังจะเปิดโปงนายได้อยู่แล้วเชียว อีกนิดเดียวเท่านั้น ฉันนึกว่าจะได้ดูเกมที่สนุกกว่านี้เสียอีก”

“...” กลุ่มน้ำตาร้อนไหลมากองรวมที่ขอบตา แม้ธารางกูรจะพยายามเงยหน้าขึ้นมองเพดานเบื้องบน แต่ทว่าหยดน้ำตาก็ไหลออกมาทันทีเมื่อเขาได้ยินประโยคถัดมา น้ำใสอุ่นร้อนเคลื่อนผ่านกรอบใบหน้าเย็นเฉียบจนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บแสบร้าวราน บางทีที่เจ็บปวดอยู่ตอนนี้มันอาจจะไม่ได้เป็นเพราะน้ำตา แต่เป็นเพราะที่มาของน้ำตาเหล่านี้ต่างหาก

“จะเป็นยังไงนะ ถ้าสารวัตรวัสสะต้องมาด่วนจากไปอีกคนในสภาพศพที่ไม่ต่างกัน วงการตำรวจจะระส่ำระสายขนาดไหน”

“ท...ท่านครับ ผ...ผมขอร้อง...”

“ฉันไม่รับฟังคำขอร้องอะไรทั้งนั้น เวลามันเดินอยู่เรื่อย ๆ นะกูร ลองคิดดูให้ดี ๆ เดินต่อหรือถอยกลับ”

“ท่านครับ…”

“นายก็รู้ว่าไม่มีอะไรที่ฉันคิดและทำไม่ได้ เขารอนายอยู่ วัสสะกำลังรอให้นายจบเรื่องนี้ลงอย่างสวยงาม”

“...”

“ว่าไงกูร”

“ผม...ผมจะจบเรื่องนี้เอง… อย่ายุ่งกับคุณวัส ผมจะทำเอง” คนพูดกดแผงฟันลงกับริมฝีปากจนเลือดแทบจะซึมเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะกำชัยน่าหวาดผวาแนบอยู่กับหู สายโทรศัพท์ถูกตัดไปในที่สุด เหลือเอาไว้เพียงเสียงหัวใจเต้นแผ่วของธารางกูรและเสียงสายลมหนาวกระทบกับผืนม่านเหมือนเช่นทุกคืน ความหนาวเย็นที่กำลังวนเวียนอยู่รอบตัวเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกที หากทนรอสายฝนตกลงมาชโลมจิตใจไม่ไหว สุดท้ายแล้วธารางกูรคงต้องยอมรับสภาพความทรมานราวกับไร้ซึ่งชีวิต





ฤดูหนาวไม่คิดจะให้โอกาสกันเลยสินะ





ฤดูเหมันต์เย็นจัดนั้นเป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ สภาพอากาศแสนดีที่ไม่ก่อให้เกิดกลิ่นเหงื่อกวนใจ ไปไหนมาไหนคล่องตัวสะดวกสบาย ซ้ำธรรมชาติยังรังสรรค์ความสวยงามให้ฤดูนี้มีแต่ความสุข ทั้งกลุ่มดาว พื้นที่ดอย ภูหินงดงามสะกดทุกสายตา แน่นอนว่าควรส่วนใหญ่มักจะสุขใจกับฤดูกาลที่วนมาเพียงปีละครั้ง ทว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่แม้จะชื่นชอบความหนาวสุดใจ แต่กลับรู้สึกทรมานกับมันมากเกินบรรยาย





วัสสะเองคงจะเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเช่นนั้น





เวลายาวนานของคืนนี้ล่วงเลยไปจนเกือบตีสี่ วัสสะยกนาฬิกาข้อมือตนเองขึ้นมองเมื่อเจอกับลมระลอกใหญ่จนเสื้อแจ็กเก็ตไม่สามารถป้องกันเอาไว้ได้ ความหนาวในช่วงเช้ามืดคือความทารุณแท้จริงที่เขาไม่อาจหลบหลีกได้พ้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คงจะเป็นเพียงการกอดตัวเองเอาไว้ไม่ให้สิ้นสติไปกับความหนาวเย็นที่เจอ

“คุณกูรครับ”

เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงเข้ามารบกวนห้องของธารางกูรยามวิกาล หากจะใช้คำว่าครั้งนี้มันเกิดจากการไร้ซึ่งที่พึ่งทางจิตใจก็คงไม่ผิดนัก วัสสะเคาะประตูห้องคุ้นเคยเพียงไม่กี่ครั้งประตูก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏกายของเจ้าของห้อง ธารางกูรผู้ซึ่งมีดวงตาเลื่อนลอยคล้ายไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นกัน

“คุณวัส...”

“ขอโทษที่มารบกวนในเวลานี้นะครับ แต่ผมไม่รู้จะไปที่ไหนแล้วจริง ๆ ”

“เข้ามาเถอะครับคุณวัส” ธารางกูรหลบเลี่ยงการสบตาวัสสะคล้ายมีบางอย่างซ่อนลึกอยู่ในจิตใจ ร่างบางมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของวัสสะในตอนนี้ก็สะท้อนใจไปเสียหมด เนื้อตัวเสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าดำ รอบดวงตาที่ช้ำแดงมาก็พอจะเดาได้ว่าผ่านการร้องไห้มาไม่มากก็น้อย

“คุณยังไม่ได้นอนเหรอ” วัสสะปรายตามองเตียงที่ยังคงเรียบตึงแล้วเอ่ยคำถามขึ้นทันที เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงนุ่ม ทิ้งไหล่ห่อหลังเหมือนคนที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ความสิ้นหวังเซื่องซึมแสดงออกผ่านดวงตาคมคู่นี้ออกมาจนหมด มันเป็นเรื่องอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันหนักหนาเกินกว่าที่ใครบางคนจะคาดเดา

“ผมนอนไม่หลับน่ะครับ เลยไปนั่งเล่นที่ระเบียง”

“ไม่หนาวเหรอ”

“หนาวครับ แต่ผมชอบ”

“แต่น่าเสียดายนะ ที่ฝนไม่ตก” วัสสะยื่นมือของตนเองออกไปตรงหน้าก่อนที่มือเรียวจะวางทาบทับลงมาให้สัมผัสเย็นยะเยือกตามอุณหภูมิรอบกาย วัสสะออกแรงดึงเพียงนิด ร่างกายของธารางกูรก็เข้ามานั่งพาดทับบนสองขาของเขา เขาใช้แขนข้างหนึ่งประคองแผ่นหลังที่เล็กกว่าเอาไว้ ก่อนจะกดปลายจมูกลงกับไหล่เพื่อสูดกลิ่นกายที่อาจทำให้ความรู้สึกของตนดีขึ้น

“ใช่ครับ...น่าเสียดาย” ธารางกูรทิ้งสองมือไว้กับตัก เขาปล่อยให้วัสสะโอบทั้งร่างเอาไว้แบบนั้นพร้อมอาการเหม่อลอยของตนเองที่ไม่อาจให้อีกฝ่ายรู้

“ตัวคุณเย็นมาก ตากลมหนาวบ่อย ๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาอีกนะ”

“ตัวคุณวัสก็เย็นเหมือนกันนี่ครับ” ธารางกูรใช้มือข้างหนึ่งเชยกรอบคางของวัสสะขึ้น เขาใช้นิ้วโป้งไล้รอยเปื้อนคราบเขม่าให้ค่อย ๆ จางไป

“คุณไปทำอะไรมา ทำไมปากเลือดซิบแบบนี้”

“ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยน่ะ” วัสสะมองสายตาเหม่อของธารางกูรสลับกับริมฝีปากแดงช้ำจากด้านใน เขาใช้นิ้วโป้งกดลงซ้ำตรงรอยแดงจนร่างบางยู่หน้า ก่อนที่จะบรรจงจุมพิตลงไปที่ด้านข้างริมฝีปาก สัมผัสเชื่องช้ายืดยาดค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปจนครอบครองรสชาติหอมหวานไว้เพียงผู้เดียว

จูบละเมียดละไมใช้เวลาหยอกล้อกับความรู้สึกอยู่นาน เรียวลิ้นดุดันตวัดทั่วเก็บเกี่ยวทุกสิ่งที่ต้องการสุดใจ ฝ่ามือของวัสสะก็หาได้อยู่นิ่งมั้ย เขาค่อย ๆ เคลื่อนทั่วไปบนผิวกายเนียนเรียบ กดปลายนิ้วลึกลงไปในทุกช่วงสันกระดูกจนเจ้าของร่างหลับตาลงอย่างพริ้มเพรา หากแต่ค่ำคืนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการปลอบโยน ทุกสิ่งจึงต้องหยุดลงกลางคันพร้อมรสชาติความรู้สึกที่ยังคงติดอยู่ที่ปลายริมฝีปาก

“ดูคุณมีเรื่องให้คิดเยอะนะครับ”

“ไม่ต่างกันหรอกครับคุณวัส ผมเห็นความคิดมากมายจากสายตาของคุณเหมือนกัน”

“คุณเห็นข่าวแล้วใช่มั้ย เรื่องภพ”

“ครับ ผมเห็นแล้ว”

“มันรุนแรงเกินไป เกินไปจริง ๆ ” วัสสะออกแรงโอบร่างธารางกูรให้แนบชิดกับตนยิ่งกว่าเดิม ร่างกายเย็นเฉียบของกันและกันเริ่มเปลี่ยนเป็นไออุ่นน่าค้นหา ธารางกูรกระตุกวูบไปทั้งร่างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาทิ้งศีรษะพิงอีกฝ่ายเพื่อแสดงออกให้รู้ว่ายังอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าตอนนี้วัสสะจะรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานะใด ธารางกูรจะยังอยู่กับวัสสะจนกว่าจะถึงเวลา

“ผมเสียใจด้วยนะครับ”

“ผมกับภพเป็นเพื่อนกันมานาน ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ ถ้าผมทำได้ดีกว่านี้…”

“คุณไม่ต้องคิดถึงมันหรอก ผมเชื่อว่าคุณทำดีที่สุดแล้ว”

“คนแบบเขาไม่ควรต้องมาตายทรมาน ไม่สมควรเลยจริง ๆ ”

“คุณวัส...” สิ้นเสียงของวัสสะดวงตากลมของธารางกูรก็ฉายแววความสั่นไหวขึ้นมา ร่างบางบีบสองมือเข้าหากันเพื่อระบายความรู้สึกภายใน และเมื่อสบตากับวัสสะ เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าดวงตาคู่คมนั้นมีอารมณ์เสียใจมากมายซ่อนอยู่

“ทั้งที่ยืนอยู่ตรงนั้นแต่ผมกลับปกป้องเพื่อนตัวเองไม่ได้ หึ ตลกชะมัด” วัสสะแค่นยิ้มออกมาราวกับคนเสียสติก็ไม่ปาน แม้ลึกสุดใจตอนนี้จะอยากร้องไห้ แต่เขาไม่สามารถร้องออกมาตามใจอยาก วันนี้วัสสะอ่อนแอจนเกินขีดจำกัดที่มีให้กับปองภพเพื่อนสนิท ความรู้สึกของเขามันล้มครืนตั้งแต่วินาทีที่เห็นกองไฟลุกโชนอยู่ตรงหน้า





ยากเหลือเกิน การพยุงความรู้สึก ช่างยากเหลือเกิน





“มันผ่านไปแล้วครับคุณวัส มันผ่านไปแล้ว”

“ถ้าผมตัดสินใจที่จะช่วย ผมอาจจะช่วยเขาได้ แต่ผมไม่ได้ทำ ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะผ่านคืนนี้ไปโดยไม่รู้สึกอะไรเลยได้ยังไง ผมจะทำยังไงดีกูร”

“เลิกโทษตัวเองเถอะครับ ผมรู้ว่าการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างมันยากแค่ไหน...” ว่าแล้วธารางกูรก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเอง คำถามและคำพูดมากมายพากันจุกขึ้นมาที่โคนลิ้น เขารู้ดีว่าการตัดสินใจมันยาก เช่นเดียวกับเรื่องที่อยู่ในหัวและหัวใจของเขาตอนนี้ มันยากมากเสียจนน้ำเสียงและคำพูดของวัสสะอาจจะทำให้ไขว้เขว

“นั่นสินะ ผมคงทำดีที่สุดแล้ว”

“ครับคุณวัส คุณทำดีที่สุดแล้ว… และหลังจากนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” ธารางกูรใช้สองมือโอบล้อมร่างของวัสสะเอาไว้ ลำแขนแกร่งโอบกอดกลับไปด้วยหัวใจที่มีความเชื่อว่าพรุ่งนี้ฟ้าจะงดงามหลังฝนตก ทว่าเรื่องหนึ่งที่น่าเสียใจคือธารางกูรกลับมีความเชื่ออีกอย่างที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

“ขอบคุณนะกูร… ในฐานะของสารวัตรวัสสะ ผมอาจจะเจอคุณเพียงไม่กี่วัน พูดคุยไม่ประโยค สัมผัสร่างกายคุณเพียงไม่กี่ครั้ง หลงใหลคุณอย่างกับถูกป้ายยา แต่ความจริงแล้ว...”

“ขอบคุณเหมือนกันครับสารวัตร ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง” เมื่อเอ่ยขึ้นมาขัดคำพูดของวัสสะเอาไว้กลางคัน สีหน้าของธารางกูรก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความเรียบเฉยนิ่งงัน ร่างบางปัดอ้อมกอดออก ผุดตัวลุกออกจากตักของวัสสะทันที ในวินาทีนั้นร่างสูงได้แต่เบิกตาโพลงมองอาวุธสีดำขลับของตนในมือคนที่กำลังถอยกายให้ห่างออกไป

“ก...กูร”

“มันหมดเวลาแล้วสนุกแล้วครับสารวัตรวัสสะ” เรียวมือของธารางกูรดึงลำกล้องขึ้นสุดในคราวเดียว เสียงกระสุนถูกโหลดขึ้นบรรจุดังก้องอยู่ในหูของเจ้าของปืน วัสสะลุกขึ้นยืนมองตามปลายกระบอกตาไม่กะพริบ เขาเดินเข้าไปใกล้ธารางกูรมากขึ้นเรื่อย ๆ และหยุดยืนในระยะห่างเพียงน้อยนิด หัวใจดวงเดิมเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก เมื่อเห็นมือของธารางกูรเคลื่อนตัวพร้อมอาวุธสังหาร ความทรมานในใจจึงรุนแรงราวกับเรื่องตลกร้าย แค่มองอยู่ แค่มองว่าใครเป็นคนถือปืนอยู่ ความรู้สึกมันก็บีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก

“ท...ทำไม ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่ากูร”

“อย่าพูดอะไรอีกเลยครับ ผมไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก” ธารางกูรข่มใจกดปลายปืนแนบสนิทลงไปบริเวณสันกรามที่เกร็งจนเห็นเส้นเลือด วินาทีนี้ร่างกายของวัสสะชาดิกจนแทบจะขยับไม่ได้ ความเจ็บปวดคล้ายตกลงมาจากยอดตึกบีบคั้นให้น้ำตาไหลผ่านดวงตาคม อาการเสียดแน่นที่หัวใจเลวร้ายเสียจนอยากจะชิงตายตัดหน้า ธารางกูรมีเพียงสายตามุ่งมั่นเย็นชา ระหว่างที่คนที่เคยมีสายตาเช่นนั้นกลับแสดงออกได้เพียงแววตาหม่นเศร้าหวาดกังวลเคล้าน้ำตา





วัสสะกำลังกลัวอย่างสุดหัวใจ

เมื่อไหร่ที่เรียวนิ้วสัมผัสลั่นไก เมื่อนั้นหัวใจของวัสสะคงจะแหลกเหลวรวดเร็วกว่าสิ่งใด





“แล้วผมไม่ใช่ทางเลือกของคุณเหรอกูร”

“เพราะคุณเป็นทางเลือกของผมไงครับคุณวัส”





ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน

แต่เสียใจด้วยนะ

ตอนนี้เดินทางมาไกลมากพอจนเรื่องไม่น่าสนุกอีกต่อไปแล้ว




Talk

คงไม่ต้องบอกว่าให้รอติดตามตอนต่อไปหรือไม่ ฝากด้วยนะคะ

เคยทวิตไว้ว่าจริง ๆ อยากลงเรื่องนี้ทีเดียวครึ่งเรื่อง ค่อนเรื่อง หรือจบก่อนแล้วค่อยลง นั่นเป็นเพราะกว่าเรื่องจะเข้ารูปเข้ารอยมันต้องใช้จำนวนตอนอยู่พอสมควร ในอีก 1-2 ตอนต่อจากนี้ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอย ทุกอย่างจะถูกเฉลยจนแทบหมดสิ้น ณ ตอนนี้ที่ 13 นี้ฝากให้กำลังใจตัวละครก่อนนะคะ แล้วหวังว่าจะอยู่เป็นกำลังใจกันไปเรื่อย ๆ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกไลค์ ทุกวิว และทุก ๆ คนที่ติดตามกันอยู่ค่า ขอบคุณมากจริง ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2018 21:10:10 โดย be-silent »

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
กูรอย่างยิงวัสสสสสสสสสสสส :ling1:  :ling1:

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 14 หนาวทรมานดั่งใกล้ตาย

No matter how much I love you.

We still can’t reach our final day.

There must be one person who gets hurt and the other who gets their heart broken.

I must live, live without anyone left.*






ถอยกลับหรือเดินหน้าแล้วตายจาก ทางไหนน่าสนุกกว่ากัน







“อย่าพูดอะไรอีกเลยครับ ผมไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก”





ใช่แล้ว เพราะทางเลือกสุดท้ายของธารางกูรหมดไปตั้งแต่วินาทีที่รับสายเบอร์สวยนั่น ทุกอย่างบีบบังคับให้เขาต้องฉวยหยิบปืนของรักของหวงของวัสสะเอามาไว้ในมือ ร่างสูงพูดอยู่เสมอว่าคนอย่างธารางกูรไม่เหมาะสมกับอาวุธร้ายแรงชนิดนี้ แต่ชีวิตของคนเราไม่อาจดำเนินต่อไปได้ด้วยความพึงใจเท่านั้น มันเต็มไปด้วยองค์ประกอบมากมายที่สามารถยัดเยียดทางเลือกสุดท้ายให้โดยไม่เต็มใจ

ร่างกายของธารางกูรเย็นยะเยือกทั้งที่เป็นฝ่ายครอบครองหนึ่งชีวิตเอาไว้ในกำมือ ปลายกระบอกปืนถูกกดลงแนบสนิทบริเวณใต้โครงหน้าที่เกร็งจนเห็นเส้นเลือด ขณะเดียวกันร่างกายของวัสสะก็ชาดิกจนแทบเคลื่อนไหวไม่ได้ ความเจ็บปวดคล้ายตกลงมาจากที่สูงบีบคั้นให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด อาการเสียดแน่นที่หัวใจเลวร้ายเสียจนอยากจะชิงตายตัดหน้า ธารางกูรมีเพียงสายตามุ่งมั่นเย็นชา ระหว่างที่คนเคยมีสายตาเช่นนั้นกลับแสดงออกได้เพียงแววตาหม่นเศร้าหวาดกังวลเคล้าน้ำตา





เมื่อไหร่ที่เรียวนิ้วสัมผัสลั่นไก เมื่อนั้นหัวใจของวัสสะคงจะแหลกเหลวรวดเร็วกว่าสิ่งใด

และตอนนี้วัสสะกำลังกลัวสุดหัวใจ





“แล้วผมไม่ใช่ทางเลือกของคุณเหรอกูร”

“เพราะคุณเป็นทางเลือกของผมไงครับคุณวัส” แม้ว่าธารางกูรอยากจะจบเรื่องนี้ แต่นิ้วที่มีอำนาจสั่งการชี้เป็นชี้ตายกลับไร้แรงจะเหนี่ยวไกปืน เม็ดเหงื่อซึมออกมาตามผิวมือและเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเผลอสบตากับคนตรงหน้า น้ำตาของวัสสะเป็นเหมือนกรดฤทธิ์แรงกร่อนหัวใจของเขา เหตุใดน้ำตาของคนเข้มแข็งจึงทำร้ายคนอ่อนแอจนแทบจะใจอ่อน ธารางกูรไม่อยากทำแบบนี้และไม่อยากจะถอยหลังกลับไปให้เรื่องมันยืดเยื้อเช่นกัน





ทุกสิ่งที่ดำเนินมาไกลควรจบลงเสียที





“ผมขอร้องได้มั้ย… ได้มั้ยคุณ” วัสสะหลุดจากการควบคุมตัวเอง.ปล่อยกลุ่มน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ความรู้สึกที่ประสบอารมณ์อย่างแรงกล้าไม่ได้ใกล้เคียงกับการถูกหักหลัง เพราะว่าเขาคิดว่ามันเลวร้ายมากมายกว่านั้นหลายเท่าตัวนัก ทรมานหัวใจจนเกินจากคำว่าโกรธ เกินกว่าเสียใจ และเกินกว่าคำนิยามความหวาดกลัวใด ๆ

“มันหมดเวลาแล้วครับคุณวัส”

“อย่าทำแบบนี้กับผม ได้โปรด” วัสสะเคลื่อนฝ่ามือที่เริ่มสั่นของตนจับต้องข้อมือของธารางกูรข้างที่ถือปืนเอาไว้ แม้จะหวาดกลัวเท่าไหร่แต่เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เรื่องราวดีขึ้นจากเดิม ข้อมือของธารางกูรเกร็งจนเส้นเอ็นที่แขนเต้นระริก แม้วัสสะอยากจะปัดป่ายปลายกระบอกปืนให้หลุดออกไปจากช่วงสันกราม แต่ปลายนิ้วมือของธารางกูรที่เกือบจะรั้งไกทำให้เขาไม่อาจหาญพอที่จะทำเช่นนั้น

“หยุดร้องไห้แล้วหลับตาลงเถอะ คนเข้มแข็งอย่างคุณไม่ควรจะต้องมาร้องไห้อ้อนวอนผม”

“ทำไมคุณถึงทรยศต่อความรู้สึกของผมแบบนี้… ฮึก… ผมขอร้อง จะให้ผมกราบคุณตรงนี้เลยก็ได้คุณกูร อย่าทำกับผมแบบนี้”

“ผมทำเพื่อคุณได้ดีที่สุดเท่านี้ ผมทำดีที่สุดแล้ว” ธารางกูรฝืนมือออกจากการเกาะกุมของวัสสะ เขาถอยตัวออกมาเล็กน้อยพลางเคลื่อนปลายกระบอกปืนหันเข้าช่วงกลางลำตัว แม้ดวงตากลมมนจะเริ่มสั่นไหวระคนด้วยความเสียใจที่มีอยู่เต็มอก แต่ลึกโดยนัยแล้วนั้นยังคงเต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่กับการตัดสินใจของตัวเอง

“ผมไม่สามารถร้องขออะไรได้เลยเหรอ หัวใจผมมันไม่มีประโยชน์เลยใช่มั้ยคุณกูร ที่ผมทำไปทั้งหมด ที่ผมพยายามทำเพื่อคุณ ที่ผมทำกับปองภพมันไม่มีค่าอะไรเลยเหรอกูร” ร่างสูงทรุดเข่าลงกับพื้นเพราะไม่มีแม้แต่แรงจะยืน ดวงตาคู่คมมองอาวุธที่กำลังจะคร่าหนึ่งชีวิตสลับกับใบหน้าที่เริ่มไม่นิ่งเฉยของธารางกูร ใครจะไปคิดว่านายตำรวจผู้แข็งแกร่งจะมีมุมอ่อนแอร้องไห้จนแทบสะอึกสะอื้น อย่างว่าสินะ มีใครบ้างล่ะที่ไม่เกรงกลัวความตาย





แม้แต่ปองภพยังดิ้นทุรนทุรายหลีกหนีมันทั้งที่แทบไม่มีสติ





“ผมเสียใจเรื่องผู้กองภพ ผมไม่คิดว่าคุณจะตัดสินใจแบบนั้น”

“ผมต้องทำเพื่อรักษาคุณไว้ไงกูร คดีดารัณจะต้องจบ ทุกอย่างจะต้องจบไงกูร”

“คุณวัสอย่าทำให้ผมรู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลยครับ ผมขอร้อง” วัสสะละล่ำละลักออกมาเสียจนธารางกูรเกิดความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ความจริงบางประการจากปากนายตำรวจหนุ่มอาจทำให้คุณมองเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าใจหาย แต่เชื่อเถอะว่าทุกอย่างที่วัสสะกระทำผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ตัวยาที่ใส่ไว้ในแก้วกาแฟ การเร่งความเร็วในการเคลื่อนที่ให้คนที่สมองถูกตีด้วยสารกล่อมประสาทสูญเสียการควบคุมร่างกาย หรือแม้แต่หลักฐานทั้งหมดที่เขาหิ้วขึ้นรถของตนมา





มีเพียงแต่กองเพลิงเท่านั้นที่นอกเหนือไปจากความคิด

ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ ไม่คิดเลยว่าเพื่อนรักของเขาจะต้องมาเจ็บปวดในวาระสุดท้ายเช่นนี้





และต่อจากนี้

ไม่มีอีกแล้วข้อสงสัยใด ๆ ที่จะเชื่อมโยงถึงธารางกูร

มีเพียงธารางกูรที่จะทำให้เขาเป็นสุขใจเท่านั้น





ทว่าธารางกูรคนนั้นกำลังทำให้ความสุขในใจของเขาติดลบจนแทบสิ้นใจ





“ผมรักคุณกูร… เพราะว่าผมรักคุณ”

“คุณวัสครับ”

“ฮึก… ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณแล้วกูร อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย ฮึก… ผมกลัว”

“ค...คุณวัส” น้ำตาหยดแรกไหลลงมาอาบแก้มของธารางกูร ความเจ็บปวดที่ถูกกักเก็บไว้ในตอนแรกทะลุกำแพงออกมาจนได้ หมดแล้วความอดทนและความเข้มแข็งที่มี เพียงแค่เห็นว่าวัสสะกำลังร้องไห้หอบจนตัวโยนทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปในทันที เรียวมือที่จับปืนไว้ยิ่งทวีคูณความสั่นเทาราวกับร่างกายเริ่มคล้อยตามเสียงจากหัวใจ ทุกอย่างมันดูยากไปเสียหมด ยากแม้กระทั่งบังคับสายตาให้ละออกจากร่างสูงที่ทรุดอยู่แทบเท้า

“เรา...ฮึก...เราต้องมีทางออกที่ดีกว่านี้ วางปืนลงก่อนเถอะนะกูร”

“ทำไมคุณไม่คิดว่านี่เป็นทางออกที่เรามีอยู่แล้วล่ะครับ...ฮึก...ความตายมันไม่น่ากลัวหรอก” ได้ยินเช่นนี้หัวใจของวัสสะก็เจ็บจี๊ดราวกับกระสุนปืนทะลุเข้ามากลางอก คำพูดของธารางกูรเสียดแทงทุกความรู้สึกจนอยากจะตะโกนร้องลั่นออกมาดัง ๆ คนไร้หนทางอย่างวัสสะค่อย ๆ ขยับเข่าตัวเองเพื่อเคลื่อนร่างกายเข้าไปใกล้ ก่อนที่เขาจะคว้ากอดช่วงขาของธารางกูรเอาไว้อย่างไม่อาย แม้สัมผัสทุกอย่างจะเย็นเฉียบ แต่แรงสั่นสะท้านจากร่างกายนั้นช่วยยืนยันว่าคนทั้งคู่ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่

“ผมไม่เคยกลัวมันเลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ”

“อดทนอีกนิดนะครับคุณวัส มันกำลังจะจบแล้ว” ลำกล้องปืนหยุดนิ่งยังตำแหน่งที่ธารางกูรคิดว่าเหมาะสมที่สุด เรียวนิ้วชี้สั่นชาเคลื่อนเข้าใกล้ไกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพราะความหวาดกลัวที่มีไม่แพ้วัสสะ ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ธารางกูรค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงเพื่อรอรับฟังเสียงดังปังใหญ่พร้อมชีวิตที่จะดับสูญไปตลอดกาล





คนเราจะไม่เคยเห็นความสำคัญกับชีวิต จนกว่าชีวิตนั้นจะสำคัญกับหัวใจเรา





“ผมจะอดทนได้ยังไง! สิบกว่าปีที่ผมรักคุณ คุณคิดได้ยังไงกูร…. ฮึก… คิดได้ยังไงว่าผมจะทนไหวถ้าต้องเสียคุณไป ฮือออ อย่านะกูร ผมขอร้อง อย่าทิ้งผมไป ฮือออ” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของวัสสะกังวานไปทั่วโสตประสาทของคนฟัง ธารางกูรปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอาบแก้มระหว่างที่ร่างกายแทบจะหมดแรง กระบอกปืนที่เคยหันเข้าสู้ร่างตนเองตกพล่อยตามมือลงข้างตัว เขาก้มมองเจ้าของกอดแล้วจึงยกมืออุดปากตนเพื่อไม่ให้หลุดเสียงสะอื้นตามออกมา สองแขนของวัสสะกอดรัดธารางกูรเอาไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ ทำไมชีวิตคนสองคนมันถึงเลวร้ายขนาดนี้ ไม่ว่าทางเลือกไหน ไม่ว่าเส้นทางใด ทำไมมันถึงทรมานไปเสียหมด





แม้แต่กอดจากความรัก ยังรัดแน่นจึงเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ





“ฮึก...ผมก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้ ผมพยายามรักษาสัญญาแล้วครับคุณวัส ไม่ว่ายังไงผมจะอยู่กับคุณ… อยู่กับคุณจนวินาทีสุดท้าย”

“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ไงกูร ฮึก ไม่ใช่แบบนี้!! ” วัสสะตวาดลั่นทั้งที่เสียงสั่น เขาออกแรงกอดธารางกูรไว้ในแน่นกว่าเดิม ใครเล่าจะรู้ว่าหัวใจมันแหลกสลายได้มากแค่ไหนในวินาทีที่เห็นว่าธารางกูรตัดสินใจฆ่าตัวตาย ปลายกระบอกปืนหันเข้าช่วงกรามของคนถือ หรือแม้แต่ตอนที่มันหันเข้าหาร่างกายพร้อมจะปลิดชีวิต ใจเขามันจะขาด หวิวหวาดจนแทบจะหยุดเต้น ร้องไห้เพราะกลัวจนไม่เหลือความเป็นตัวตน หัวใจของวัสสะ ความรักเดียวของวัสสะ เขาจะทนได้ยังไงถ้าต้องเสียความรักซึ่งเป็นหัวใจเดียวของเขาไป

“ผมไม่มีทางเลือก ฮึก” วัสสะใช้โอกาสที่อีกฝ่ายกำลังเสียหลักทางความรู้สึก หมายจะคว้าปืนในมือเอาไว้ให้อยู่ในระยะปลอดภัย แต่ธารางกูรกลับฝืนแรงมือ แกะตัวออกจากพันธนาการและถอยตัวออกไปให้ห่างจากเดิม ราวกับอ้อมกอดใด ๆ ก็ไม่สามารถรั้งการตัดสินใจครั้งนี้เอาไว้ได้

“กูร… คุณไม่รักผมแล้วเหรอ ไม่รักผมเหรอกูร”

“เพราะผมรักคุณไงครับคุณวัส เพราะผมรักคุณที่สุด ผมถึงยอมให้ท่านทำอะไรคุณไม่ได้ แค่แลกกับชีวิตของตัวเอง ฮึก ผมทำได้ ผมทำเพื่อคุณได้”

“มันโทรมาขู่คุณอีกแล้วใช่มั้ย ผมเคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรับสาย!! ”

“คุณวัส”

“คุณก็รู้ว่ามันไม่ทางทำอะไรผม มันทำอะไรผมไม่ได้ จะไปฟังคำขู่จากมันทำไม!! ” วัสสะตวาดลั่นผุดตัวขึ้นยืนพร้อมสีหน้าโมโหเดือดดาล สองมือกำแน่นจนปลายเล็บจิกผ่านชั้นผิวหนังเป็นรอยลึก อารมณ์ของคนเคยหวาดกลัวเปลี่ยนไปชั่วพริบตา แม้ลึก ๆ จะรู้ว่าธารางกูรทำแบบนี้เพราะอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าตัวกระตุ้นจะเริ่มออกฤทธิ์เดชอีกครั้ง

“ฮึก ฮือออ”

“ถ้าจะกลัวมัน เชื่อมันมากกว่าผม คุณก็เลิกรักผมเถอะกูร ฮึก รักตัวเองบ้าง ไม่ต้องพูดว่ารักผมแล้ว! เข้าใจมั้ย! ” วัสสะขึ้นเสียงใส่ธารางกูรไม่หยุด ต่างฝ่ายต่างร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ สองขาของทั้งคู่อ่อนแรงจะยืนไม่แพ้กัน ความรู้สึกที่มีต่อกันมันไม่ต่างอะไรกับฤดูหนาว ไม่ต่างอะไรกับอากาศอุณหภูมิต่ำตอนนี้ อากาศที่ใคร ๆ ก็ว่าเย็นสบาย ชื่นใจ สบายจิต แต่สำหรับวัสสะและธารางกูรมันเป็นความทรมานที่ไม่อาจเลี่ยงได้





รัก แต่ไม่อาจโอบกอดกันเอาไว้

หนาวเหน็บ เจ็บปวดทรมานจะขาดใจ





“คุณวัส… ผมขอโทษ แต่ผมเหนื่อย ผมทรมานที่ต้องห่วงคุณ ผมกลัวกับทุกคำขู่ของเขา ฮึก ผมทนไม่ได้ ผมทนไม่ได้ ฮือออ” ธารางกูรถอยหลังไปชิดผนังร้องไห้หนักจนตัวโยกตัวโยน ศีรษะหนักอึ้งคลอนกระแทกกำแพงห้องเบื้องหลังดังปักซ้ำ ๆ โดยที่เจ้าของร่างไม่รู้สึกเจ็บ ทั้งยังกำด้ามปืนเอาไว้แน่นในฝ่ามือชื้นเปียกเหงื่อ การตัดสินใจสละชีวิตตนไม่ใช่การคิดเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ธารางกูรคิดมันมามากพอ มากพอ ๆ กับความรักใคร่ห่วงหาที่มีอยู่เต็มอก วัสสะเปรียบเหมือนชีวิต เปรียบเหมือนหัวใจทั้งดวง ไม่ว่าทางไหนที่ทำให้วัสสะอยู่ต่อไปอย่างเป็นสุข เขาจะทำ





แม้ว่าจะต้องแลกกับชีวิตตัวเอง เขาจะทำ





“แล้วผมล่ะ ผมเจ็บแค่ไหนที่ต้องคอยระแวงว่าคุณจะทิ้งผมไป คุณกูร ต่อให้คุณตายจากผมไป ผมก็จะตามคุณไปอยู่ดี… ได้โปรดเถอะอย่าทำให้ผมทรมานมากไปกว่านี้เลย” น้ำเสียงที่อ่อนลงยิ่งทำให้ธารางกูรร้องไห้ออกมา วัสสะยื่นมือของตนออกมาตรงหน้าคล้ายขอบางสิ่งจากร่างบาง และคงไม่ใช่สิ่งของอื่นใดนอกจากปืนพกสีดำขลับที่พร้อมจะลั่นกระสุนพร้อมเขม่าควันออกมาทุกเมื่อ

“คุณห้ามทำแบบนั้น คุณต้องอยู่ ต้องใช้ชีวิตในแบบที่ควรจะเป็น อนาคตคุณจะไปได้อีกไกล ฮึก ไปได้อีกไกลหากไม่มีผม”

“ผมอยู่ไม่ได้หรอกกูร ไม่มีคุณแล้วผมจะอยู่ยังไง ขอปืนให้ผมนะครับ เอามันคืนมาให้ผม แล้วเรามาสู้ไปพร้อม ๆ กัน เราต้องสู้กับเขาได้ เราต้องทำได้ เราต้องออกไปจากนรกขุมนี้ให้ได้ เราทำได้ ได้ยินมั้ยกูร”

“ค... คุณก็รู้ว่ามันไม่มีทาง”

“ตราบใดที่เรายังรักกัน มันมีหนทางเสมอ แต่ตอนนี้ ถ้าคุณคิดจะลั่นไกปืนนั่น ก็เท่ากับคุณคร่าชีวิตผมด้วย ถ้าคุณพร้อม… ไม่ว่าที่ไหน ผมจะไปกับคุณ”

“ฮึก ไม่เอา ผมไม่เอาแบบนั้น” เพราะอ่อนแรงจนมากไปธารางกูรจึงเริ่มไร้แรงล่วงลงไปกับพื้น วัสสะพุ่งเข้ากอดอีกฝ่ายเอาไว้ทันที ก่อนที่สองร่างจะกอดกันแน่นขณะที่ทรุดตัวลงไปกับพื้นกระเบื้องเย็น อาวุธในมือหล่นลงข้างตัวอย่างไร้ค่า วัสสะใช้ปลายเท้าเขี่ยมันออกให้พ้นระยะ สองร่างโอบกอดกันไว้แนบแน่นเพราะต่างฝ่ายต่างกลัวการสูญเสีย เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นสะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่คั่งค้างอยู่เต็มอก

“ผมรักคุณนะกูร ฮึก อย่าทำแบบนี้ อย่าทำอีก”

“ผมขอโทษ ผมขอโทษ” อ้อมกอดอบอุ่นท่ามกลางความเย็นเลวร้ายยังพอมีข้อดีอยู่บ้าง ธารางกูรกดใบหน้าซุกลงกับไหล่กว้าง ขณะที่วัสสะใช้มือสั่นเทาลูบที่ช่วงหลังหวังจะปลอบประโลมทั้งที่กำลังร้องไห้ใจเสียไม่แพ้กัน คงไม่มีใครเข้าใจหัวใจสองดวงนี้ เท่าตัวของพวกเขาเอง





ใครเล่าจะรู้ถึงตัวตนที่ถูกปิดบัง

ใครเล่าจะเข้าใจความรักที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ

ใครเล่าจะรู้

ใครเล่าจะเข้าใจ










Talk 

สวัสดีคืนวันศุกร์ค่ะ เชื่อว่าจบตอนนี้หลายคนคงจะงงอยู่พอสมควร เอาเป็นว่าตอนหน้าจะมีการเฉลยทีละจุดว่าในเรื่องที่ผ่านมาว่ามีการใส่เงื่อนงำอะไรเอาไว้บ้าง จริงรึเปล่าที่ตัวละครสองตัวมีความสัมพันธ์กันมาก่อน หลายคนน่าจะจับสังเกตเห็น ตรงนี้ใครสงสัยลองกลับไปอ่านตอนเก่า ๆ และจับจุดดูค่ะ จากคอมเมนต์ที่ผ่าน ๆ มามีบางคนจับจุดได้แล้ว อิอิ

พูดคุยกันได้ที่ #กลิ่นฝนฤดูหนาว นะคร้าบบบ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวค่ะ และทุกคนค่ะ

ขอบคุณคร้าาาาาา

*อยู่โดยไม่เหลือใคร TranEng deungdutjai

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อ้ากกกกกกกกกกส์ !!!
วัส วัสฆ่าภพเหรอ นี่ภพไง ภพเพื่อนวัสนะ  :ling1:

คู่รักแสนโหด รักกันมาเป็นสิบปีละเหรอ
เดาทางไม่ได้เลยเรา  :katai5:

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลุ้นให้จัดการกับไอ้ท่านให้ได้นะ

ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เรื่องภายในครอบครัวสินะ พ่อแฟน กับแฟนของลูกชาย ผู้ชาย2คนรักกัน คนหนึ่งเป็นคนธรรมดาสามัญชน อีกคนเป็นทายาท(นักการเมือง)(ข้าราชการยศสูงๆๆ) "ท่าน" สั่งลูกชายให้ทำตามใจตัวเองไม่ได้ เลยหันไปเล่นงานแฟนลูกชายแทน  หลักฐานที่ภพได้มา ก็ไม่ต้องสืบหาที่มาที่ไปแล้วล่ะ...เดาไว้ว่าแบบนี้นะ รอเฉลยว่าจะเดาถูกสักกี่ข้อ

หักมุมสุดๆก็ วัส ฆ่าภพนี่แหละ สงสัยตั้งแต่ วัสถามภพว่าได้บอกใครเรื่องเบาะแสเกี่ยวกับคดีที่ชี้ว่า กูร เป็นคนฆ่าดารัณไปบ้างแล้ว นี่คิดแค่ว่า วัส คงหาทางทำลายหลักฐาน ไม่คิดว่าจะถึงกับฆ่าทิ้งเลย นี่ก็สงสัยต่อว่า วัส ฆ่ามาแล้วกี่คน กูร ฆ่ามาแล้วกี่คน

ในเรื่องความสัมพันธ์ของวัสกับกูร ก็สงสัยอยู่ว่าเจอกันไม่กี่ครั้ง ทำไมวัสดูเป็นห่วงกูรมากขนาดนั้น และกูรรู้เบอร์โทรวัสได้ไง.....แล้วมันจะลงเอยยังไงนะเรื่องนี้ กลัวใจคนเขียนมากกกกก

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
พลิกล็อคกันน่าดู ถล่มทลาย ฮือออออ

หลังอ่านตอนนี่เสร้จเรานี่แบบ  :a5:

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 15 กลิ่นเรื่องราวทรมานใจ


“สัญญานะกูรว่าจะไม่แอบทิ้งผมไป สัญญานะว่าเราจะอยู่ด้วยกันจนถึงวินาทีสุดท้าย”

“ผมสัญญา”





สำหรับคนสองคนที่ใช้หัวใจผูกกันไว้คำสัญญาย่อมไม่ใช่เพียงลมปาก นั่นคงเป็นที่มาของฉากความรักรั้งชีวิตน่าสะเทือนใจ เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะกำหนดวินาทีสุดท้ายของตนเอง ร่างบางจึงจำเป็นต้องรักษาสัญญาด้วยวิธีที่ดีที่สุด ไม่ได้อยากใจร้ายใจดำตายให้คนที่รักเห็น เพียงแต่อยากจะใช้ชีวิตในวินาทีสุดท้ายกับหัวใจดวงเดียวดังคำมั่นที่เคยพูดไว้เท่านั้น

“คุณวัส”

“ครับ ผมอยู่นี่” วัสสะกระชับอ้อมกอดที่มีให้คนบนเตียง เสียงอู้อี้จากอาการละเมอเงียบไปเมื่อถูกร่างสูงกดช่วงใบหน้าให้จมลงไปกับอก ค่ำคืนที่แสนเหนื่อยล้าผ่านไปจนพระอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า แต่ทว่ายังมีหนึ่งชีวิตลืมตาตื่นอยู่เพราะไม่สามารถสะกดจิตตนให้หลับลง วัสสะเฝ้ามองกลุ่มผมของคนในอกผ่านแสงสว่างเพียงนิดภายในห้อง เกือบไปแล้ว เขาเกือบจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปอย่างไม่มีวันได้คืน เขาเกือบจะเสียหนึ่งเดียวของหัวใจพร้อมได้มาซึ่งความรู้สึกเลวร้ายชั่วชีวิต





นานแค่ไหนแล้วที่มีกัน นานแค่ไหนแล้วที่ธารางกูรและวัสสะมีกันและกันอยู่เสมอ









“นั่นใครคะท่าน”

“ชื่อชยางกูร ลูกชายประวิทย์ลูกน้องเก่าฉัน ฝากดูด้วย คงต้องอยู่กับเราไปสักพัก”

“โธ่ลูก มาหาน้าเร็ว”

ภาพเด็กวัยไม่เกินห้าขวบเดินดุ่ม ๆ เข้าหาผู้หญิงที่วัสสะเรียกว่าแม่ยังคงติดตาติดสมองอยู่เสมอ ในค่ำคืนนี้เองก็เช่นกัน เขาอดจะคิดถึงภาพจำภาพนั้นไม่ได้ เด็กชายชยางกูรเนื้อตัวมอมแมมผอมแห้งน่าสงสาร ใบหน้าเด็กน้อยหม่นเศร้าแต่ไม่ยักร้องไห้ทั้งที่เสียพ่อและแม่บังเกิดเกล้าไปในคราวเดียวกัน ตอนนั้นเด็กชายวัสสะผู้โตกว่าได้แต่ดูแลน้องชายคนใหม่ตามคำสั่งของแม่ ทุกวัน ทุกคืน จนกระทั่งเป็นความเคยชินในที่สุด

“คุณวัสครับ ฝนตกแล้ว คุณวัสดูสิ”

“กูร เดี๋ยวเป็นหวัดแล้วท่านว่าเอา” ความสดใสในวัยเด็กเป็นเรื่องที่น่ามอง ชยางกูรวัยเจ็ดขวบจับมือวัสสะวิ่งวนรับเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำลงมาผิดฤดู เด็กตัวเล็กถอดเสื้อกันหนาวไหมพรมชุ่มน้ำออก ก่อนจะกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข โดยข้าง ๆ ตัวเขามีวัสสะคอยห้ามปรามเพราะกลัวจะโดนดุ แรกเริ่มเดิมทีคนโตกว่าคอยแต่จะห้ามปราม จนกระทั่งหลายปีผ่านไปวัสสะก็ได้รู้ว่าความเย็นชื้นจากฝนในฤดูหนาวเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เด็กคนนี้มีรอยยิ้มต่อไป

“ท่านครับ ท่านจะพากูรไปไหน”

“กูรจะไปอยู่เชียงใหม่”

“ทำไมกูรต้องไป”

“ไม่มีแม่แกแล้ว แกมีปัญหาเลี้ยงมันเองรึไง! ” เสียงตวาดลั่นจากคนมีอายุทำให้วัสสะในวัยสิบห้าปีโกรธจนหน้าชา จู่ ๆ คนที่เคยเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังเล็กก็ถูกพรากไปให้หลังการตายของแม่บังเกิดเกล้าไม่กี่วัน ภายในใจของเด็กวัยรุ่นเพิ่งโตแทบจะเหลวไม่มีชิ้นดี แต่ทว่าไม่นานนักชยางกูรของเขาก็กลับมาพร้อมชื่อเสียงเรียงนามใหม่ และสายตาคู่ใหม่ที่วัสสะไม่อาจเข้าถึงได้เช่นเดิม แม้กูรที่สดใสหายไปจากชีวิต แต่สำหรับวัสสะ ‘กูร’ ของเขาเป็นคนเดิมเสมอ

“ทำไมกูรต้องเปลี่ยนชื่อ”

“ท่านให้ผมเปลี่ยน”

“กูรมองตาวัสสิ จะก้มหน้าหนีทำไม”

“ค...คุณวัส ...อย่ามายุ่งกับผม” อากัปกิริยาหวาดกลัวและคราบน้ำตาหนักหน่วงบนใบหน้าของ ‘ธารางกูร’ เป็นอีกสิ่งที่วัสสะจำได้ไม่เคยลืม แม้คำพูดจะเอ่ยไล่ให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไป แต่ธารางกูรวัยสิบสามปีก็โผเข้ากอดวัสสะอย่างโหยหาความอบอุ่น เขารู้ว่าธารางกูรของเขากำลังอ่อนแอ เขารู้ว่าธารางกูรคงไปเจอเรื่องใดมาจนฝังใจ แต่ที่เขาไม่เคยรู้เลย คือเรื่องฝังใจเรื่องนั้นมันเป็นจุดเริ่มต้นของความทรมานตลอดชีวิตที่เหลือ





“จำไว้ชื่อแกคือธารางกูร ไม่มีตัวตน ไม่มีความจริง ชีวิตแกขึ้นอยู่กับการขีดเส้นตัดสินใจของฉัน ฉันสั่งให้ทำอะไรต้องทำ แม้แต่ฆ่าคน จะกี่ศพ จะใครหน้าใคร แกก็ต้องทำ”





ไม่ใช่เพียงความทรมานของธารางกูร แต่เป็นความทรมานของตัววัสสะเองด้วยเช่นกัน





“ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้แกยุ่งกับมัน! แกจะตามมันไปทำไม! ”

“แล้วท่านสั่งให้กูรไปทำเรื่องแบบนั้นทำไม ท่านสั่งให้กูรไปฆ่าคน! ท่านรู้มั้ยว่ากูรกลัวแค่ไหน มันเกี่ยวกับตอนที่ท่านส่งกูรไปเชียงใหม่ด้วยใช่มั้ย! ตอนนั้นก็สั่งให้กูรไปฆ่าคนใช่มั้ย! ”

“ไอ้เด็กบัดซบ! นั่นมันเป็นเรื่องที่ฉันสั่งไอ้กูร แกไม่เกี่ยว หุบปากแล้วไสหัวของแกไปซะ”

“มันไม่ใช่เรื่องของกูรคนเดียวแล้วล่ะ เพราะว่าผมเพิ่งจะช่วยกูรมากับมือ ต่อไปนี้ถ้าท่านคิดจะสั่งกูรไปทำอะไรนั่นเท่ากับท่านสั่งผมด้วย ถ้าได้ยินชัดแล้ว… ขอบคุณนะครับท่าน ผมจะทำหน้าที่สนองคำสั่งท่านเป็นอย่างดี”





นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาเดินตามเส้นทางที่ใครอีกคนขีดเส้น

นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไม่เคยเกรงกลัวความตาย

นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่เคยคิดละอายต่อบาปกรรม

นานแค่ไหนแล้วที่การปลิดชีวิตคนง่ายดายราวกับหยิบจับผักปลา





ใช่ ข้อสงสัยของปองภพถูกต้องเกือบทั้งหมด





ธารางกูร ประสิทธิจามร คือเด็กชยางกูรคนนั้น ตัวตนของเด็กชายชยางกูรอันตรธานหายไปจากโลกใบนี้โดยไม่มีใครรับรู้ ที่ยังเหลืออยู่ก็แค่ชีวิตที่มีเพียงร่างกายและจิตใจบอบช้ำ ธารางกูรจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร เรียนจบอะไร ประวัติเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับท่านเป็นผู้ขีดเขียนกำหนดให้แตกต่างกันไปตามต้องการ และแน่นอนทุกครั้งที่ตัวตนของธารางกูรถูกเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้นย่อมมีการตาย





ยี่สิบเอ็ดรายชื่อผู้วายชนม์ ปองภพเข้าใจไม่ผิด

แต่ที่ปองภพไม่เคยรู้ คือนอกจากสองรายชื่อแรกนั้น วัสสะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายทั้งหมด





22.ร้อยตำรวจเอกปองภพ ภราหัส 2561









วัสสะหลับตาลงและเปิดเปลือกตาขึ้นอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถึงเรื่องเก่า ๆ มากจนเกินพอดี หัวใจที่วูบโหวงคล้ายกลับไปในอดีตถูกเรียกตัวกลับมาพร้อมการกระชับกอดแน่นจากคนข้าง ๆ ต่อให้ความหนาวถูกใจมากแต่ไหน สุดท้ายแล้วคนเราก็ยังต้องการเพียงความอบอุ่นจากคนที่รัก คนที่คอยตระกองกอดตลอดมา จนถึงวินาทีนี้วัสสะยังคิดภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าหากธารางกูรตายจากเขาไป ความเสียใจที่หลงเหลืออยู่จะร้ายแรงขนาดไหน





“จบเรื่องดารัณแล้ว ผมอยากจะขอให้ท่านปล่อยผมกับกูรไปตามทางของเรา เราสองคนจะไม่ทำงานให้ท่านอีก”

“ฟังนะวัสสะ ธารางกูร ขึ้นหลังเสือจะได้ลงก็ต่อเมื่อตาย ยิ่งที่ผ่านมาพวกแกทำงานได้ดี นั่นหมายความว่าฉันไม่มีทางปล่อยแกสองคนไป ไม่มีทาง”

“ผมขอร้องล่ะครับท่าน ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับอิสระของเราสองคน”

“เคยได้ยินเรื่องกฎแห่งการคัดเลือกมั้ย… ผู้ที่อ่อนแอและไร้ประโยชน์ย่อมถูกกำจัด ทางเดียวที่ฉันจะปล่อยแกไป คือวินาทีที่แกฆ่ากูรซะ หรือว่าจะฆ่าตัวตายหนีไปเลยดีล่ะกูร ว่าไง… ยังอยากเป็นอิสระกันอยู่รึเปล่า”





สิ้นคำสั่งนาย ณ วินาทีนั้น อาการหนักอึ้งในสมองก็ทำให้ทั้งคู่ต้องบีบมือกันเอาไว้แน่น ความหวังที่จะเป็นอิสระกับวาระกรรมที่ผูกพันสูญสิ้นไปพร้อมกับประโยคประกาศิต ท่านผู้คุ้มกะลาหัวมาตลอดชีวิตมีอำนาจมากพอที่จะควบคุมทุกอย่าง เหตุผลง่าย ๆ อาจเป็นเพราะกลัวความลับก้อนใหญ่ห่างไกลออกไปจากตัว หรือไม่ก็อาจจะแค่อยากสร้างเรื่องสนุกในชีวิต โดยมีหัวใจของคนสองคนเป็นหมากสำคัญ ทางเลือกเดียวที่จะเป็นอิสระคือธารางกูรผู้ไร้ซึ่งความเป็นจริงในชีวิตตั้งแต่ต้นต้องจบชีวิตลง ไม่มีหนทาง ไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่มีแม้แต่ชีวิตที่เป็นของตัวเอง





“ถ้าไม่ยอมถอย ไม่ยอมเลิกคิดจะหนีไปจากฉัน ฉันจะกรุณามอบอิสระให้เองแล้วกัน”





“อือ คุณวัส ผมเจ็บ”

“ขอโทษทีครับ” วัสสะกระซิบข้างหูคนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะแรงบีบรัดจากลำแขนแกร่ง เมื่อครู่ประโยคข่มขู่เอาแต่ใจของนายท่านผู้ไม่สนใครทำให้เขาเผลอกอดธารางกูรจนสองร่างแทบจะหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว คนที่เพิ่งตื่นลืมตามองดวงตาคมที่วาววับสะท้อนแสงอ่อน ๆ ในห้อง ร่างบางกอดวัสสะกลับไปในระดับความแนบแน่นที่ไม่ต่างกัน ลึกสุดใจแล้วต่างฝ่ายต่างกลัวการสูญเสีย และหวงแหนชีวิตในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“คุณวัสนอนไม่หลับเหรอ”

“ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“ผมขอโทษนะครับ” ธารางกูรซุกใบหน้าลงกับแผงอกแน่น กลิ่นกายคุ้นเคยทำให้รู้สึกอุ่นใจและรู้สึกผิดขึ้นมาพร้อมกัน ใช่ว่าอยากจะทำให้วัสสะเสียใจ เขาเพียงอยากให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ อยากให้คนที่เขารักมีชีวิตดี ๆ ต่อไป นานมาแล้วที่เขาดึงชีวิตวัสสะลงมาสู่เหว นานมาแล้วที่วัสสะเข้ามาพยุงชีวิตของคนไม่สำคัญอย่างเขา เพราะแบบนี้ต่อให้แลกทั้งชีวิต ธารางกูรก็ยอมรับได้

“คำขอโทษไม่จำเป็นหรอก รับปากกับผมก็พอว่าจะไม่คิดทำแบบวันนี้อีก”

“ครับ ผมจะไม่ทำอีก”

“จำไว้ เราจะอยู่ด้วยกัน เราจะไม่ทิ้งกัน และผมรักคุณที่สุด จำไว้กูร” วัสสะบรรจงจูบลงไปกลางกลุ่มผม ตอนนี้แสงสว่างยามเช้าเริ่มสะท้อนเข้าม่านตา ทว่าวัสสะนั้นกลับปิดเปลือกตาลงราวกับอยากจะหลับใหลไม่ยอมตื่น เขาไม่อยากพบความเป็นจริงหลายประการที่รออยู่ ไม่อยากอยู่กับฉากหน้าแสนจอมปลอม ไม่อยากทำเป็นไม่รู้จักไม่รู้สึกทั้งที่รับรู้อยู่เต็มอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านไปแต่ละวันมันไม่ได้ง่ายดาย โดยเฉพาะการปล่อยให้เรื่องราวผิดแปลกเป็นไปตามวิถีทางที่ถูกปรุงแต่ง และแน่นอน...





ไม่มีสิ่งปรุงแต่งใดผ่านไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย





“ผมกับคุณรัณไม่เคยมีอะไรเกินเลยมากกว่าการเป็นเจ้านายกับลูกน้อง”

“อืม ครับ”

“คุณไม่เชื่อผม คุณคิดว่าผมโกหก”

“อะไรกัน ผมยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

“สายตาคุณมันแสดงออกแบบนั้นไงครับคุณสารวัตร”

“อย่าพูดเหมือนคุณรู้จักผมดีเลยครับคุณธารางกูร พูดเป็นเล่น แค่มองตาผม คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรอยู่”

ใช่… ธารางกูรไม่อาจสรุปเรื่องราวจากสายตาของคนที่เพิ่งจะเจอกันอย่างวัสสะได้ แต่ทุกอย่างเป็นเพียงเกมที่ธารางกูรจำต้องรับบทให้สมบทบาท ธารางกูรนั่นแหละที่รู้จักวัสสะดีกว่าใคร และวัสสะเองก็รู้จักตัวธารางกูรมากกว่าที่เจ้าตัวรู้จักตัวเองเสียอีก





“ผมชื่อวัสสะ เรียกวัสเฉย ๆ ก็ได้”

“ผมสามารถเรียกตำรวจด้วยชื่อคำเดียวสั้น ๆ ได้ด้วยเหรอครับ หึหึ”

ใช่… นี่ไม่ใช่การแนะนำตัว แต่เป็นการผูกมิตรกับพยานบุคคลคนสำคัญในที่สาธารณะโดยไม่ให้ผิดสังเกตเท่านั้น ที่ใดเล่าจะไว้ใจได้ยากเท่าสถานีตำรวจ ที่ใดเล่าจะเหมาะสมในการสร้างความสัมพันธ์ห่างเหินได้เท่าที่นี่





“นี่คุณไม่ได้คิดจะสอบสวนผมใช่มั้ย”

“เปล่านะครับ ผมแค่ถามในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไง ไม่ได้คิดจะสอบสวนอะไรทั้งนั้น คุณพูดอย่างกับว่าเรื่องฟ้าฝนจะใช้ในคดีได้อย่างนั้นแหละ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ผมโดนสอบมาทั้งวันจนแทบจะพูดคุยเรื่องอื่นไม่ได้อยู่แล้วนี่นา”

“ขอแค่คุณยืนหยัดให้ไหว ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีครับคุณกูร”

ใช่… ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี วัสสะจะหาทุกความเป็นไปได้ และจะทำทุกอย่างเพื่อให้พีรพลเป็นบุคคลที่น่าสงสัยที่สุดในกรณีที่คดีฆ่าตัวตายเหลือบ่ากว่าแรงจะรับไหว





“ไม่เห็นนายเคยเล่าให้ฟังว่าไปส่งนายกูรนั่นมา”

“ไม่ได้ตั้งใจน่ะ วันนั้นมันดึก แล้วเขาก็ไม่มีรถกลับ เลยถือโอกาสสังเกตแล้วก็สอบถามเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้วย”

ใช่… วัสสะพูดความจริงกับปองภพ เพียงแต่ไม่ได้บอกทั้งหมดว่าเรื่องเป็นประโยชน์ที่ว่าหมายถึงทางหนีทีไล่และแผนการปัดเปลี่ยนความจริงที่เป็นไปได้





“คิดจะทำอะไรกันแน่”

ใช่… คำถามกวนใจมากมายวิ่งเข้าหาวัสสะไม่หยุด และเขาพยายามที่จะนิ่งเฉยกับความร้อนรนในใจ สิ่งที่ดึงความสนใจไม่ใช่กล่องปืนสีดำซึ่งมีเขาเป็นเจ้าของ แต่เป็นเพราะกล่องปืนนั่นเปิดเผยอขึ้นมาต่างหาก ความวิตกพุ่งสูงขึ้นขณะที่ความไม่ไว้ใจเริ่มก่อตัว วัสสะเริ่มกังวลว่าธารางกูรอาจจะคิดทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมา





“คุณกับปืนไม่คู่ควรต่อกันหรอก”

“คุณวัส คุณโกรธผมเหรอครับ”

“เปล่า ผมไม่รู้ว่าจะโกรธคุณเรื่องอะไร”

ใช่… ความโกรธเคืองที่รู้สึกเจ็บปวดจุกอก ความโกรธเคืองที่ทำให้สับสนในจิตใจจนใบหน้าชาดิก วัสสะไม่อาจเรียกความรู้สึกเหล่านี้ว่าความโกรธเคือง มันเป็นแค่ความหวาดกลัวและกังวลใจอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าธารางกูรไม่คู่ควรกับปืน ร่างบางไม่เหมาะสมที่จะสัมผัสมัน และไม่เหมาะสมแม้แต่จะคิดทำร้ายตัวเอง





“กูรจะส่งรูปตัวเองมาให้ตำรวจเพื่ออะไรกัน ไม่มีประโยชน์”

“แล้วใครจะมีรูปกูรเยอะขนาดนี้”

“อาจจะเป็นใครสักคนที่อยู่กับกูรมาตลอดล่ะมั้ง”

ใช่… เสียงเคาะหนักแน่นลงกับพื้นโต๊ะพร้องไปกับเสียงของหัวใจของวัสสะ ใบหน้าเรียบเฉยปกติมองไปยังรูปภาพหลากหลายวัยของธารางกูรด้วยสมองหนัก ๆ สิ่งที่เขากำลังเจอไม่ใช่เรื่องท้าทาย ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนึกสนุก ปองภพเดาได้ถูก และวัสสะก็รู้ดีว่าใครจงใจส่งรูปภาพพวกนี้มาทดแทนคำขู่ เขาเริ่มเดาเกมของผู้มีพระคุณออกลาง ๆ ทั้งชายสวมฮู้ด ทั้งรายชื่อคนตายที่อาจทำลายชีวิตของธารางกูรต่อจากนี้ ไม่ว่าจะฝืนตนเองอย่างไร วัสสะก็ไม่อาจหยุดคิดได้ ไม่เลย





“เปิดประตูให้ผมที คุณยังโอเคใช่มั้ย”

“ผ...ผม...โอเค”

“ถ้างั้นคุณเปิดประตูให้ผมนะครับ ผมมาหาตามที่พูดเอาไว้แล้วนะ”

ใช่… คงแปลกดีถ้าไม่มีคนสงสัยว่าธารางกูรได้เบอร์วัสสะมาได้ยัง และคงแปลกกว่านั้นถ้าวัสสะขึ้นไปบนตัวตึกในยามวิกาลได้โดยไม่ต้องรอจังหวะสวมรอยใคร ไม่ต้องอ้างความเป็นตำรวจเช่นครั้งที่มากับปองภพ คำตอบเดียวที่มีก็คือพวกเขาจำเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันได้ขึ้นใจ ที่สำคัญคีย์การ์ดอีกใบนั้นอยู่ในมือนายตำรวจตำแหน่งสารวัตรมาตั้งแต่ต้น





‘ได้เรื่องแล้วล่ะวัส’

‘ระวังกูรไว้ให้ดีวัส ถ้าห่างได้ให้ห่าง ใครที่อยู่ใกล้หมอนี่ไม่ได้ตายดีสักคน’

ใช่… เหตุที่ดวงตาคมกระตุกวูบไหวเมื่อละสายตาจากจอโทรศัพท์ คงเป็นเพราะความคิดเลวร้ายผุดขึ้นในหัว หากปองภพเข้าใกล้ความจริง หากมือมืดบอกความจริงกับปองภพได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าท่านผู้นั้นตั้งใจแว้งกัดพวกเขาโดยไม่คิดปล่อยไป วัสสะสารวัตรหนุ่มอนาคตไกลกำลังเจอกับปัญหาที่เป็นจุดอ่อน ปัญหาที่มาจากการปกป้องใครสักคน





“ผมจะไปทำงานแล้ว คุณนอนไปเถอะ”

“ครับ แล้ว...”

“ผมจะส่งทีมมาเฝ้าที่นี่จากทางเข้าออกตัวตึกทั้งหมด ไม่ต้องเป็นห่วง”

ใช่… แต่ไม่เป็นห่วงคงไม่ได้ วัสสะเกรงว่าท่านจะเล่นตุกติก เขาจึงอาศัยหน้าที่การงานจอมปลอมในการสั่งคนมาสังเกตการณ์ที่นี่ อย่างน้อยการกันเอาไว้ก็ย่อมดีกว่าการตามแก้ทีหลัง ไอ้เรื่องที่เขาทำลายกลไกของปืนก็เช่นกัน เขาไม่ได้ห่วงอันตรายที่จะเกิดกับตัวเองหรือใคร หากแต่มีเพียงความห่วงใยต่อธารางกูรเท่านั้น ออ เกือบลืม ไม่มีใครเอะใจบ้างเลยหรือว่าเหตุใดวัสสะจึงหยิบเสื้อได้พอดีตัวและไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยปากขอเจ้าของห้อง ช่างเถอะ มันคงเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีค่าให้สนใจอะไร





‘ระวังตัวไว้ให้ดี’

ใช่… นั่นไม่ใช่ประโยคแจ้งเตือนอันตรายจากธารางกูร หากแต่เป็นสัญญาณส่งไปยังปองภพว่าควรหยุดไฟการทำงานอันแรงกล้าของตนก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินไป ผู้กองคนนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็นหมากเบี้ยตัวเล็ก ๆ ในเกมอันตราย ยิ่งตัวเขารุกคืบเข้าไปมากเท่าไหร่ เกมสนุกสนานก็ยิ่งเข้มข้น ยิ่งตัวเขามั่นอกมั่นใจ ชีวิตของเขาก็ยิ่งไม่เหลือความมั่นคงใดเลย





“ขอบคุณนะวัส”

“ขอบคุณ ขอบคุณอะไร”

“ขอบคุณที่นายเชื่อใจฉันไง ขอบคุณมาก”

“เราเป็นเพื่อนกัน ยังไงฉันก็ต้องเชื่อนายมากที่สุดอยู่แล้ว”

ใช่… วัสสะไม่ใช่คนไร้หัวใจ ความรู้สึกของวูบไหวในวินาทีที่ตัดสินใจ ปองภพเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา เป็นเพื่อนที่ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนที่รู้ใจแค่เพียงสบตา แต่ทว่า… ไม่ว่ายังไงธารางกูรก็ยังสำคัญที่สุด ไอ้หลักฐานเลวร้ายพวกนั้นมันทำร้ายหัวใจของเขาจนแทบจะแหลกลงไป แบบนี้ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่าความรู้สึก ความรู้สึกที่อยากจะรักษาธารางกูรเอาไว้ให้ปลอดภัยใจจะขาด ไม่ว่าจะแลกกับสิ่งใด เขาก็ยอม





“ในฐานะของสารวัตรวัสสะ ผมอาจจะเจอคุยเพียงไม่กี่วัน พูดคุยไม่ประโยค สัมผัสร่างกายคุณเพียงไม่กี่ครั้ง หลงใหลคุณราวกับถูกป้ายยา แต่ความจริงแล้ว...”

ใช่… ในความจริงแล้ว เขาคือวัสสะ ผู้ชายธรรมดาที่หลงรักธารางกูรมาครึ่งชีวิต สัมผัสร่างกายที่รักมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และความหลงใหลทั้งหมดที่มีมันมากกว่าการโดนป้ายยาเสียอีก









“กูร”

“ครับ” วัสสะพูดขึ้นทั้งที่ยังหลับตาพร้อมไออุ่นรอบวงแขน ธารางกูรตอบรับออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยคำถามที่ถูกวนลูปซ้ำ ๆ ขึ้นมาเพื่อเตือนหัวใจรักของตนอีกครั้ง

“ทำไมคุณถึงชอบให้ฝนตกฤดูหนาว”

“คุณถามผมมาทั้งชีวิตแล้วนะครับ”

“ผมอยากได้คำตอบเดิม ๆ ในทุก ๆ ครั้งที่นึกขึ้นมาได้… คุณก็รู้นี่นา”

“เพราะว่าผมอยากให้ฝนคืนความสดใสให้เราอีกครั้ง… จะหนาวกว่านี้ก็ได้ แต่ขอแค่ชีวิตของเรา ขอชีวิตของเรากลับคืนมา”





หากวัสสะมีความหมายเปรียบดั่งฤดูฝน ธารางกูรก็คงเป็นดั่งเช่นหยาดฝนที่ตกลงมาให้ชุ่มช่ำใจ แม้ฤดูหนาวนี้ฝนจะยังไม่ทิ้งเม็ดลงมาให้ทั้งคู่พบเจอต่อหน้าจนพอใจ แต่ทว่าใต้อ้อมกอด ไออุ่น และความรักสุดใจ ไม่ได้ต่างอะไรกับสายฝนสดใสที่กำลังชโลมจิตใจซึ่งกันและกันเลย





ใช่… ฝนก็แค่หลอกเราเหมือนทุกที



Talk

สวัสดีวันอาทิตย์ค่าาาา ไม่รู้ว่ามีใครรออ่านอยู่บ้างมั้ย สำหรับพาร์ทอดีตหรือเหตุการณ์ก่อนหน้าบางส่วนจะมีการขยายความในบทต่อ ๆ ไป สำหรับบทนี้คงจะทำให้หายสงสัยกันได้ไม่มากก็น้อย (เอ๊ะ หรืองงกว่าเก่า) เอาเป็นว่าในแทบทุกบทที่ผ่านมาแตงใส่จุดชวนสงสัยไว้ค่อนข้างเยอะ จริง ๆ มีจุดเฉลยตั้งแต่บทนำด้วยซ้ำ จะชัดสุดเลยก็คือเรื่องอาการเป็นห่วงเป็นใยของวัสที่มีมากทั้งที่เจอกันเพียงไม่กี่วัน ถ้าใครสงสัยลองกลับไปอ่านตอนเก่า ๆ ดูนะคะ มีมากกว่าที่ยกมาเฉลยในตอนนี้แน่นอน

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิวนะคะ กว่าจะเดินไปถึงตอนจบไม่รู้จะเหลือคนอ่านอีกเท่าไหร่ 555555 โจทย์ของเรื่องนี้ค่อนข้างต่างจากเรื่องดราม่าที่เคยเขียนมา อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วมุมที่เราเสนอไป คนอ่านจะรู้สึกกับกูรและวัสแบบไหน ฝากติดตามด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ท่าน ใช่พ่อของวัสไหม อันนี้ยังไม่ชัดเนอะ แต่ท่านเลี้ยงเด็กได้อินดี้มาก เลี้ยงให้เป็นนักฆ่าเป็นมือสังหารเฮ้ออออออ

 ทางเดียวที่2คนจะเป็นอิสระจากท่าน คือสิ้นสุดลมหายใจ อยู่ที่ว่าลมหายใจของใคร ของทั้งคู่ หรือ ของท่าน


เรื่องเสื้อนี่คิดไม่ถึงจริงๆ พอๆกับเรื่องที่ทั้งคู่รักกันมาตั้งแต่แรกนั่นแหละค่ะ เพราะตอนนั้นโฟกัสแค่ ใครฆ่าดารัณ ตอนนี้สำหรับเราไม่พีคเท่าตอนที่เฉลยว่าใครฆ่าปองภพ

มาลุ้นกันว่าจะมีหมายเลข 23,24 หรือ จบแค่ 23 เอ๊ะ หรือ "ท่าน" จะไม่ได้มีแค่ "ท่าน เดียว"

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อ่านละสงสารปองภพมากๆ
ไม่น่ามาตายเพราะเพื่อนเลย  :ling3:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
มารอดูจุดจบของวัสสะกับธารางกูรค่ะ

หลังจากเรื่องปองภพ เราก็แบบเอาล่ะะะ สองคนนี้จะทำอะไรเป็นอะไรต่อ

เขียนดีมากเลยค่ะ ดีจนเราไม่รู้สึกว่าเราจะเสียใจถ้าสองคนนี้ตาย ฮืออออ การตายของปองภพยังติดในสมองเราเลย ทรมานด้วย อินมากจนอยากให้วัสสะถูกเปิดโปง แต่อีกใจก็แค้นท่าน รวมตัวกันฆ่าท่านได้ไหม จะได้จบๆ  :katai1:

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 16 ฝนจางดั่งไร้หวัง

บรรยากาศรอบศาลาเก้าภายในวัดอารามหลวงชื่อดังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เจ้าพนักงานงานในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบจับกลุ่มพูดคุยด้วยท่าทีที่แตกต่าง บ้างมีอารมณ์นิ่งเฉย บ้างเผยรอยยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สาสิ่งใด บ้างเศร้าสลดแต่พยายามไม่ร้องไห้ออกมาให้เสียเกียรติชุดที่สวมอยู่ แน่นอนว่าคนเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะนิ่งงันได้ไม่เท่าญาติคนตายและเพื่อนสนิท

วัสสะมาถึงบริเวณงานด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจทว่าอ่านความรู้สึกลึกภายในได้ยาก ร่างสูงเดินถือพวงหรีดดอกลิลลี่สีขาวสะอาดเดินผ่านกลุ่มลมหนาวโดยไม่สะทกสะท้าน เส้นผมดำสนิทไม่เป็นทรงถูกลมแรงพัดผ่านจนลู่ไปกับช่วงศีรษะ คงพูดได้ว่าวันนี้วัสสะโทรมกว่าทุกวัน และมันคงไม่แปลกอะไรสำหรับคนที่สูญเสียเพื่อนสนิทไปต่อหน้าต่อตา

“สวัสดีครับท่านผู้การ” ร่างสูงก้มโค้งทักทายให้กับทุกคนที่รู้จักตามมารยาท ระหว่างที่สายตาเอาแต่มองโลงเย็นสีขาวสลับเงิน ความงามสุดท้ายในชีวิตถูกประดับด้วยดอกไม้ใบพืชสีเขียวชอุ่ม และหลอดไฟกะพริบนับร้อยดวง ทุกอย่างสามารถเตือนใจคนที่ยังอยู่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะดอกไม้สดเหล่านั้น งดงามราวกับมีชีวิต แต่ไม่เลย ชีวิตของมันถูกพรากจากไปนานแล้ว

“วันนี้เป็นไงบ้างสารวัตร ข่าวว่าเมื่อวานคุณแย่เลย ผมเสียใจด้วยนะ ผมรู้ว่าพวกคุณสนิทกันมาก”

“ก็พอทำใจได้บ้างครับ แต่ยังไม่ดีเท่าไหร่” วัสสะเม้มปากรับคำแสดงความเสียใจจากผู้บังคับบัญชา ก่อนที่เขาจะเข้าไปทักทายพี่สาวคนเดียวของปองภพและยื่นพวงหรีดอันน่าสะเทือนใจให้เธอ บางทีดอกไม้ก็ไม่ใช่ตัวแทนของความสวยงามเสมอไป

‘ด้วยรักและอาลัย เพื่อนรัก …วัสสะ’

กลิ่นควันกำยานฉุนขึ้นจมูกระหว่างที่ร่างสูงพนมมือถือธูปดอกเดียวไว้ในนั้น ในสมองของเขาโล่งโปร่งไร้คำพูดใด ไม่มีแม้แต่บทสวดใดที่จะส่งผ่านให้ผู้ตาย ดวงตาคมเข้มจ้องมองไปยังรูปหน้าศพพร้อมหยดน้ำตาเอ่อล้น วัสสะก้มลงกราบไม่แบมือพร้อมลมหายใจติดขัดในอก ภายในกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่มีชีวิตหนึ่งเคยเป็นคู่หูของเขา และชีวิตนั้นต้องดับสูญไปทั้งที่ไม่จำเป็น มันช่างน่าเศร้าจริง ๆ

“สวัสดีครับสารวัตร”

“คุณพอล” วัสสะหันไปมองคนที่นั่งพนมถือธูปอยู่ข้างตัว ดาราดังนั่งอยู่ข้างเขาโดยไม่มีการพรางตัวใด ๆ เมื่อถอยออกมาจากตรงนั้นวัสสะจึงกลายเป็นเพื่อนคุยของดาราคนดังกล่าวไปโดยปริยาย

“ผมเสียใจด้วยนะครับ เรื่องผู้กอง”

“ครับ ผมไม่คิดว่าคุณจะมา” วัสสะพูดออกไปตามที่ใจคิด เขาทั้งคู่นั่งอยู่บนเก้าอี้แถวหลังสุด อันที่จริงวัสสะควรจะไปต้อนรับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เบื้องหน้า แต่ความเบื่อหน่ายตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าการคุยกับพีรพลมันก็ไม่ได้แย่อะไร





ถ้าตัดประเด็นสนทนาแสนจี้ใจออกไป





“ผู้กองช่วยผมไว้หลายเรื่อง ทั้งช่วยปิดบัง ทั้งช่วยเตือนสติ เหลือแค่เรื่องเดียว เรื่องคดีดารัณที่ผู้กองรับปากเอาไว้”

“...” วัสสะนิ่งเงียบทอดสายตาไปเบื้องหน้า แน่นอนว่าในสมองเขา ปองภพไม่อาจทำเรื่องที่รับปากพีรพลเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ยินจากพีรพลตอนนี้มันจึงเป็นเพียงเสียงลมแผ่วเบาที่พัดผ่านไปเท่านั้น

“แต่ช่างเถอะ เพราะยังไงผมก็เชื่อมือสารวัตร เหมือนที่ผู้กองปองภพเชื่อ”

“อะไรนะครับ”

“ผู้กองบอกให้ผมเชื่อมือคุณ เขาบอกว่าคุณเป็นสารวัตรสืบสวนที่เก่งที่สุด สุดท้ายแล้วความยุติธรรมจะกลับสู่ดารัณได้เพราะคุณ”

“บางทีผมอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่ภพบอกคุณก็ได้นะครับ” วัสสะแค่นยิ้มออกมาทั้งที่ภายในลำคอแห้งผาก ปองภพเพื่อนเขามักจะพูดจาอะไรแบบนี้อยู่เสมอ พอได้นึกถึง คนยังอยู่ก็จุกอกจนอยากจะร้องไห้โฮเสียงดัง แต่เพราะหลายเรื่องในใจจึงทำให้วัสสะไม่อาจแสดงความเสียใจหรือความรู้สึกผิดกับเรื่องใดออกมา

“ที่เหลือผมฝากด้วยนะครับสารวัตร ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริง ๆ แค่หลับตาก็นึกถึงรัณ มันทรมานไปหมด ผมคงมีความสุขไม่ได้ ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ชัดเจนเสียที ผม...”

“พอเถอะครับคุณพอล ผมเข้าใจคุณดี”

“เข้าใจ? เข้าใจผมว่ายังไงครับ”

“ผมรู้ว่าการสูญเสียหัวใจไปมันคงทรมานมาก ลำพังแค่ผมจินตนาการยังทนแทบไม่ไหว ...ผมคิดว่าผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณรู้สึกแบบไหน เจ็บปวดยังไง” วัสสะมองลึกลงไปในดวงตาที่เศร้าไม่เลิกของพีรพล ไม่ว่าจะผ่านมากี่วันคนคนนี้ยังคงตกอยู่ในอาการทุกข์โศก ตอนนี้วัสสะรู้ซึ้งดีแล้ว เขารู้แล้วว่าบางเรื่องกว่าจะเข้าใจก็สายเกินไป อย่างเรื่องที่วัสสะหรือธารางกูรไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจมาก่อนก็เช่นกัน





ความรู้สึกของดารัณและพีรพล

ความรู้สึกที่ถูกโอนย้ายมาราวกับบาปกรรม





9 ธันวาคม 2561

วันที่คาดว่าดารัณเสียชีวิต





เซ็กส์ คำสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่แสดงถึงความสัมพันธ์วาบหวิวของคนสองคน โดยส่วนใหญ่แล้วมักเต็มไปด้วยความสุข ความใคร่ ความรัก ความเสน่หา รสชาติสัมผัสชิดใกล้มักดึงดูดให้สองร่างเข้าหากันไม่ห่าง แต่สำหรับบางคนเซ็กส์กลับเป็นเพียงผลประโยชน์แลกเปลี่ยนที่ไม่มีวันคุ้มค่า





ไม่มีผลประโยชน์ใดคุ้มค่ากับสิ่งที่ดารัณแลกไป





“แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ กลัวจะไม่ได้ตายนักรึไง” เรียวมือที่มีร่องริ้วรอยตามวัยตบเบา ๆ เข้าที่แก้มของดารัณ ดวงตาคู่สวยไม่คิดแม้แต่จะสบมองคนที่เพิ่งจะเสร็จกิจกามทิ้งไว้ในช่องทางหลังของเขา ไร้รู้สึก ตอนนี้ดารัณคงจะเป็นเช่นท่อนไม้ดังคำที่เขาว่า ไม่ว่าจะถูกปลุกเร้าเท่าไหร่ คงไม่มีความรู้สึกส่วนไหนตอบสนองขึ้นมาได้ นอกเสียจากหัวใจที่เต้นแผ่วเบาคล้ายจะตายเต็มที





นั่นสินะ ที่ยังหายใจอยู่ตอนนี้ ก็เพียงแค่รอความตายเท่านั้น





“...”

“ดารัณ ฉันถามไม่ได้ยินรึไง! ” ชายกลางคนฟาดหน้ามือลงไปที่เตียงจนเกิดเสียง ตอนนี้ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายขาวสะอาดให้เป็นรอย ความสวยงามของเรือนร่างดาราหนุ่มสมควรแก่การเก็บรักษาไว้จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

“ได้ยินครับ”

“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะรัณ… รักมันขนาดย่อมแลกชีวิตได้จริง ๆ เหรอ หืม… ที่รักของฉัน” ดารัณเอียงใบหน้าหลบมือและดวงตาหื่นกระหายที่รบกวนรอบกรอบหน้า เขาดึงผืนผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมเรือนร่างเปลือยเปล่าของตนก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงคล้ายไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีก

“ครับท่าน… ผมรักพอล ผมรักเขา”

“เยี่ยม! ฉันชอบคนที่ภักดีต่อความรักแบบนี้จัง”

“...”

“แต่ฉันเกลียดคนที่ทรยศฉัน! ” มือขึ้นเส้นเลือดคว้าหมอนขนเป็ดกดลงไปบนใบหน้าดารัณจนช่วงศีรษะจมกับผืนผ้า ทว่าแม้ไร้อากาศแต่ดารัณกลับไม่แสดงอาการดิ้นรนร้องขอชีวิต เขารู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์ เขารู้ดีว่าเขาไม่อาจต้านทานกำหนดการจากความตายที่มารออยู่ตรงหน้า

“อึก”

“จำเสียงของฉันใส่สมองของแกไว้ ทุก ๆ วินาทีที่ใกล้จะตายจงจำภาพของไอ้พอลนั่นให้ขึ้นใจ ภาพที่แกพามันเข้ามาในบ้านที่ฉันซื้อให้ พาขึ้นมาบนเตียงที่ฉันไม่เคยได้แตะ ภาพที่แกใช้ชีวิตมีความสุขกับมันด้วยเงินที่ฉันจ่าย ภาพที่แกนอนครางใต้ร่างมันโดยลืมไปว่าทรยศคนที่ชุบเลี้ยงมา มันจะไม่มีวันนี้เลยรัณถ้านายคิดถึงฉันสักนิด” หมอนใบเดิมถูกยกออกและปาเข้าใบหน้าของดารัณทันที ร่างกายดารัณกระตุกเฮือกพร้อมหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอดตามกลไกร่างกาย ชายหัวเสียลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาใส่ระหว่างที่ยังพ่นความอัดอั้นตันใจออกมาไม่หยุด

“...”

“ความไว้ใจที่มีไม่มีประโยชน์ นายบอกให้ฉันไม่ต้องมาที่บ้านหลังนี้เพราะกลัวเป็นข่าวฉันก็ไม่มา ขนาดส่งกูรมาคอยดูแลยังทรยศกันได้ต่อหน้าต่อตา แค่ซื่อตรงกับผัวที่ทำให้ได้เป็นพระเอกแค่นี้ทำไม่ได้เลยรึไง หรือว่าการที่พบกันเดือนละครั้งสองครั้งมันตอบสนองความอยากของนายไม่พอ เสียดายความน่ารักที่นายเคยมีจริง ๆ ฉันเสียดายนายจริง ๆ ดารัณ” กระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกติดบนสาบเสื้อระหว่างที่ดารัณยังคงเหม่อลอยท่ามกลางความเงียบ ร่างสูงใหญ่ที่มีเส้นผมสีขาวแซมบนศีรษะชะโงกดูใบหน้าไร้รู้สึกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ดารัณอยากตอบที่สุดออกมา

“อยากจะขอร้องอะไรฉันรึเปล่า บางทีฉันอาจจะให้โอกาสนายก็ได้นะ”

“ครับ ผมอยากจะขอคุณข้อนึง”

“ว่าไงล่ะ อยากจะร้องขอชีวิตบ้างมั้ยดารัณที่รัก”

“ขอแค่คุณรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมก็พอ อย่ายุ่งกับพอล”

“หึ ฉันมันคนพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” ชายกลางคนกัดฟันส่งเสียงลอดไรฟันออกมา ก่อนจะแบกความโมโหเดินออกจากห้องพร้อมความสะใจที่มีมากกว่า ใบหน้าที่มีริ้วรอยยกยิ้มขึ้นอย่างพออกพอใจ ชะตาชีวิตของคนเราไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับเขา กลับกันมันเป็นผลตอบแทนการกระทำของเพื่อนมนุษย์ด้วยวิธีที่เลวร้ายที่สุดต่างหาก





ไม่มีอะไรตลกเลยสักนิด





ร่างโปร่งบางสวมฮู้ดสีดำเดินสวนหนุ่มใหญ่ผู้ที่เขาเรียกติดปากว่าท่านโดยไม่คิดแม้แต่จะสบตา ท่านผู้ไร้จิตใจแวะคุยกับวัสสะชายผู้สวมฮู้ดอีกคนเพียงครู่ ก่อนจะเดินออกไปจากตัวบ้านผ่านประตูด้านหลังพร้อมลูกน้องคนสนิทอีกคน เมื่อร่างบางย่างกรายเข้าไปในห้องนอนแสนสุขของดารัณ สีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดของเขาจึงเปลี่ยนเป็นความอึดอัดมากมายที่ไม่อาจปลดปล่อยมันออกมาได้ เขาวางขวดไวน์แดงชั้นดีและแก้วไวน์ทรงสูงลงกับโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะกระชับถุงมือหนังที่มือทั้งสองข้างให้ลูบไปกับผิวมือมากกว่าเดิม

“กูร...” น้ำเสียงแหบพร่าระคนสั่นทำให้ดวงตาใต้ฮู้ดวูบไหวไปไม่น้อย มือเรียวค่อย ๆ เปิดฮู้ดที่สวมเอาไว้ออกด้วยความรู้สึกลำบากใจ อนึ่งธารางกูรไม่เคยอยู่กับ ‘เหยื่อ’ มานานขนาดนี้ ไม่สิ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนที่ท่านให้มาตามดูแลจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะในเกมกำหนดชะตาชีวิตคน

“ผมเตือนคุณรัณหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่คุณรัณพาเขามาที่บ้านด้วยซ้ำ พูดแม้กระทั่งให้คุณเลิกรากับท่านซะก่อนที่ความสัมพันธ์ของคุณรัณและคุณพอลจะบานปลาย แต่ในเมื่อคุณรัณพลาดให้ท่านรู้เอง ผมก็จนปัญญาที่จะช่วย ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้วจริง ๆ เข้าใจผมด้วยนะครับ” ธารางกูรเคลื่อนอาร์มแชร์มาที่ข้างเตียง ก่อนจะนั่งเอนหลังลงไปราวกับนี่เป็นบทสนทนาแสนปกติ ดารัณเคลื่อนกายขึ้นพิงช่วงหัวเตียง เจ้าตัวสบตาธารางกูรราวกับรู้สึกผิดอยู่เต็มอก และนั่นก็ยิ่งทำให้ธารางกูรใจแกว่งไกวราวกับไม่แน่ใจว่าจะทำร้ายดารัณได้ลง

“ฉันเข้าใจ… เข้าใจ...” ดารัณไม่ได้ร้องไห้แต่คนมองก็รู้ว่าดารัณน้ำตาตกในสักเพียงไหน มีใครบ้างล่ะที่ไม่กลัวความตาย ต่อให้เข้มแข็งปากกล้า หรือมีศรัทธาในความรัก แต่ในยามที่วาระสุดท้ายยื่นมือเข้ามาเชื้อเชิญ คนเหล่านั้นก็ต้องพบเจอกับการหวาดผวาอยู่ดี แน่นอนว่าดารัณเองก็เช่นกัน

“อยากเขียนอะไรทิ้งไว้รึเปล่าครับคุณรัณ” ธารางกูรยื่นแผ่นกระดาษสีขาวแสนธรรมดาและปากกาแท่งหนึ่งให้กับดารัณ ดารัณรับมันไว้ด้วยมือไม้สั่น เขาจ้องมองหน้าโล่ง ๆ ของกระดาษพร้อมกับปิดเปลือกตาลงเบา ๆ ไม่นานนักจึงก็เริ่มบรรจงเขียนทุกสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจด้วยลายมือตัวเอง แม้ว่าเส้นที่ถูกขีดเขียนจะไร้ความมั่นคง แม้ว่ามันจะดูไม่มีระเบียบอะไร ทว่านั่นเป็นความต้องการสุดท้ายทั้งหมดที่มี

“ฉันยังมีเวลาเหลืออีกแค่ไหน” ดารัณวางแผ่นกระดาษยับย่นพร้อมปากกาลงข้างตัว ธารางกูรไม่ได้ให้คำตอบในทันที เจ้าตัวดันนิ้วเปิดขวดไวน์พลางรินมันลงไปในแก้ว สีแดงกำมะหยี่เข้มข้นไหลเคลือบทั่วผิวแก้วใสก่อนจะแน่นิ่งอยู่ในระดับพอเหมาะพอควรสำหรับการลิ้มรส

“มากเท่าที่ยาจะออกฤทธิ์ครับ”

“ฉันดื่มมาทั้งวันแล้ว นี่ยังต้องดื่มอีกแก้วเหรอ… ออ นี่แก้วสุดท้ายแล้วสินะ” ดารัณเอี้ยวตัวมองแก้วไวน์สีแดงก่ำที่ ณ ตอนนี้กำลังมีผงปริศนาสีขาวใสโปรยลงไปเคลือบเป็นผิวด้านบน ดวงตาคนมองสั่นระริก ระหว่างที่มือของธารางกูรก็กำลังเทยาลงไปในแก้วด้วยมือไม้ที่สั่นไม่แพ้กัน

“คุณรัณครับ ผมช่วยคุณรัณได้เท่านี้ ยานี่จะทำให้คุณไม่เจ็บปวด มันจะค่อย ๆ คลายกล้ามเนื้อและสติคุณลง จนกว่า...”

“จนกว่าฉันจะตายจากไป” ดารัณพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับน้ำตาหยดแรงที่ร่วงหล่นลงมา ในจังหวะนั้นวัสสะที่เข้ามายืนมองอยู่นานจึงคว้าแผ่นกระดาษลายมือของดารัณขึ้นมาพินิจเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อความใดเป็นอันตรายต่อเขาและธารางกูร

“ตามนี้นะครับคุณรัณ”

“เดี๋ยวคุณ” ดารัณมองตามกระดาษแผ่นนั้นและฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ในวินาทีหนึ่ง เขารั้งมือของวัสสะเอาไว้พร้อมสีหน้าที่เศร้าสลดเตรียมตัวตายมากกว่าเดิม ใช่ช่วงแรกเขาเขียนถึงครอบครัวที่รัก และในช่วงท้ายเขาพร่ำเขียนถึงเพียงแต่ชายคนที่รักเท่านั้น

“อยากเขียนอะไรเพิ่มเหรอ”

“ป...เปล่า ฉีกมันทิ้งไปเลยครับ” ธารางกูรและวัสสะเลิกคิ้วมองกันในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากเจ้าของจดหมายสั่งเสีย ดารัณซึมลงเมื่อรู้ว่าส่วนท้ายของจดหมายที่เขียนถึงพีรพลเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเปิดเผยออกไป เขาไม่ควรทำร้ายพีรพลด้วยข้อความจากภายในจิตใจนั่น ไม่เลย

“อยากเขียนใหม่รึเปล่าครับคุณรัณ” ธารางกูรเอ่ยถามด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือเขาไม่อยากให้ดารัณต้องค้างคาใจ สองคือการฆ่าตัวตายจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีจดหมายสั่งเสียเป็นเครื่องยืนยัน ทว่าดารัณกลับส่ายหน้าเพราะมือไม้ของเขามันแทบไม่มีแรงจับปากกาเขียนข้อความใดอีกต่อไปแล้ว

“แล้วแต่คุณนะ เพราะผมไม่จำเป็นต้องใช้จดหมายของคุณก็ได้” วัสสะตอบเสียงเรียบขณะที่พับแผ่นกระดาษยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงตน เขาหมายความตามที่ว่าจริง ๆ พื้นที่บ้านดารัณตั้งอยู่ในเขตการดูแลของหน่วยเขา เพราะฉะนั้นการจัดการจึงไม่น่าใช่เรื่องยากอะไร จดหมายนี่ก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น

“อยากโทรหาคุณพอลมั้ยครับ”

“กูร” วัสสะส่งเสียงเข้มขึ้นมาคล้ายจะห้ามปราม แต่ทว่าธารางกูรผู้อยู่ใกล้ชิดดารัณมานานนับปีกลับเต็มไปด้วยสีหน้าร้องขอ เขารู้ว่าตอนนี้ดารัณกำลังแย่ เขาไม่อยากให้วินาทีสุดท้ายของดารัณเต็มไปด้วยความรักสีเทาที่ไม่อาจเปิดเผยได้

“นะครับคุณวัส ผมคิดว่าคุณรัณคงไม่สร้างปัญหาอะไร ใช่มั้ยครับคุณรัณ” ดารัณไม่ตอบอะไร เขาพยักหน้าขึ้นลงพลางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มของตน ธารางกูรเดินไปหยิบเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวยื่นให้ดารัณ เจ้าตัวลุกขึ้นมาสวมมันเอาไว้โดยไม่อิดออด ร่างเปลือยมีผิวขาวเนียนผ่องสมกับที่ดูแลมาเป็นอย่างดี ผืนผ้าสีขาวค่อย ๆ เคลื่อนปกคลุมอย่างเชื่องช้า ไม่มีความเขินอาย ไม่มีความรู้สึกใด ไม่เลย ดารัณไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วทั้งนั้น

“ขอบคุณนะกูร ขอบคุณที่พยายามเตือนมาโดยตลอดแต่ว่าฉันไม่เคยเชื่อนายเลย”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ถ้าไม่อยากให้ผมลำบากใจ”

“ฉันขอฝากอะไรนายอย่างได้มั้ย”

“อะไรเหรอครับ”

“ฝากมองพอลให้ที เฝ้าดูให้ฉันทีว่าเขาจะปลอดภัย”

“คุณแค่บอกให้เขาอยู่ให้ห่างกูรหรือใครก็พอ เขาจะปลอดภัยเสมอถ้าไม่เข้ามายุ่มย่ามอะไร” วัสสะเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนที่ดารัณจะพยักหน้าคล้ายเข้าใจ ดาราหนุ่มไม่มีทางเลือกอะไรทั้งนั้น ไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งที่เป็นเรื่องชอบธรรม

“ขอโทษนะครับคุณรัณ” ธารางกูรยื่นแก้วไวน์ที่ถูกเคลือบผงอันตรายและเครื่องโทรศัพท์ของดารัณออกไปด้วยสองมือ ดารัณหยิบโทรศัพท์ไปก่อนเป็นอันดับแรก เขาโทรออกหาคนรักและกดเปิดลำโพงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยไม่ต้องรอให้ถูกสั่ง ก่อนที่มือซ้ายของเขาจะคว้าแก้วไวน์ไปถือเอาไว้ เรียวมือสวยแกว่งแก้วเป็นรอบวงกลมหลายครั้งระหว่างที่รออีกฝ่ายรับสาย ผลึกสีขาวใสละลายหายไปเหลือเพียงเครื่องดื่มกลิ่นเย้ายวนน่าลิ้มลองสักครั้ง





สักครั้งหนึ่งในชีวิต

สักครั้งที่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย





Talk 

มาแล้วค่า แน่นอนว่าพาร์ทการจากไปของดารัณยังไม่จบ เจอกันต่อบทหน้า

ใครที่กำลัง 'รู้สึก' กับบทนี้ บทต่อไปรบกวนเตรียมยาดมมาด้วยนะคะ เพราะเป็นบทที่เขียนยากและเราหฤหรรษ์กับมันมากที่สุด 55555 ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงเด้อ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ล่วงหน้าจ้า




ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
วัส น่ากลัวกว่ากูร ที่ถูกฝึกมาให้ทำเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะเสียอีก

ดารัณ เป็นอะไรกับท่านและไต่เต้าวิธีไหนมาเป็นพระเอกชื่อเสียงโด่งดัง ทำเราตกใจพอๆกับวัสฆ่าปองภพเลย ตอนแรกคิดว่าท่านอยากได้ดารัณ เลยส่งกูรไปทำด้วย เพื่อเปิดทาง ที่ไหนได้ ส่งกูรไปดูแลเมีย...

ถึงตอนนี้ข้อสงสัยต่างๆเหมือนจะได้คำตอบหมดแล้ว
ทำไมกล้องวงจรปิดถูกถอดออกหมด
อสุจิในช่องทางดารัณเป็นของใคร
ยากล่อมประสาทในร่างกายมาจากไหน
ดารัณเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด.....

สุดท้ายยังยืนยันคำเดิม วัสสะ ตำรวจนายนี้ไม่ธรรมดา สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวให้ยังพอมีความรู้สึก รัก ห่วงใย คนๆเดียวที่แคร์มากที่สุดในชีวิต ธารางกูร ไม่อยากคิดภาพคนที่คิดจะแตะต้องให้กูรระคายเคือง ว่าจะโดนความเย็นชา ความเด็ดขาด ของวัส เล่นงานม่กแค่ไหน

 ตอนต่อไปหฤหรรษ์ยังไง รออ่านเนอะ ไม่เดาละ ไม่ไหวจะคว่ำ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :m25: โหดทั้งหลัวทั้งเมียเลยวัสกูร
เลือดเย็นเธอเลือดเย็น เธอไม่มีหัวใจ !!

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 17 ฤดูกาลดับสูญ

You’re too high and too far for me to reach.

Even though in reality you’re physically not that far away from me.

My heart is starting to feel depressed and alone.

Our love that came from heaven became like the sleeping wind.*





สองขาที่ยังมีแรงเดินไปเรื่อย ๆ รอบบริเวณห้อง ดารัณจ้องมองหน้าจอด้วยหัวใจที่บีบรัดแทบจะขาดวิ่น ทุกวินาทีที่สัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นหัวใจเขาก็เต้นแรงเป็นทวีคูณ เป็นครั้งแรกที่เขาอยากให้พีรพลรับสาย เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะพูดคุยใจจะขาด ที่ผ่านมาความสนุกในชีวิตไม่เคยบอกให้เขาเตรียมใจยอมรับชะตากรรมเลวร้ายของตนเอง





ดารัณไม่มีทางเลือก ไม่สิ เขาไม่มีแม้แต่หนทางเสียด้วยซ้ำ





“ฮัลโหลรัณ”

“...”

“รัณครับ”

“...”

“รัณ”

“พอลอยู่ไหนเนี่ย” ดารัณบีบน้ำเสียงสดใสออกไปทั้งที่ใจมันหวิวคล้ายยืนอยู่บนยอดเขาสูงชันซึ่งไม่มีทางลง ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเล็กบริเวณห้องแต่งตัว เขามองเครื่องดื่มสีทับทิมเข้มในมืออย่างไร้ความหวัง ภาพของตัวเองที่มองเห็นผ่านเงาสะท้อนแก้วมันสะท้อนใจไปเสียหมด ความสัมพันธ์ของเขากับพีรพลมันผิดตั้งแต่ต้น ผิดที่เขาทั้งคู่เป็นคนดัง ผิดที่ดารัณเป็นเพียงดาราธรรมดาที่ไต่เต้ามาจากโมเดลลิงและการช่วยเหลือจากคนคนหนึ่ง ผิดที่พีรพลเป็นลูกหลานไฮโซสูงศักดิ์มีหน้าตาทางสังคม ผิดที่เขาเทียบอะไรกับพีรพลไม่ได้เลย ผิดที่เขาไม่อาจโหนพีรพลลงมาตกต่ำข้างตัว ผิดที่เขาเป็นเด็กเลี้ยงของใครอีกคนแต่กลับรักพีรพลจนหมดใจ





“ฉันนึกว่านายจะรู้จักฉันดีพอเสียอีกรัณ กล้าทำกับฉันแบบนี้ คิดว่าฉันจะปล่อยให้พวกนายไปเสวยสุขแบบในนิยายรึไง… ไหนพูดสิว่าฉันควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง สารเลว! ”

“ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมขอนะครับท่าน ผมสละได้ทุกอย่าง แต่ท่านอย่ายุ่งกับพอล เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาไม่รู้อะไรเลย”

“รู้อะไรมั้ยว่าฉันเกลียดการโดนหยามแบบนี้มากที่สุด เลือกเอา… จะให้มันตาย หรือจะตายเอง เห็นรักกันมากนักนี่ ไหนขอฉันฟังคำตอบให้ชื่นใจสักทีสิรัณ”






ดารัณรู้ว่าท่านของเขาสามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ใจคิด สิ่งที่คนคนนี้พูดไม่ใช่เพียงคำขู่หรือคำกดดันที่จะทำให้เขาสับสนตัดใจ เมื่อไหร่ที่มีทางเลือกเป็นสองชีวิต แน่นอนว่าชีวิตหนึ่งจะต้องถูกแขวนเอาไว้บนเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่พร้อมจะขาดผึงลงมาอย่างไร้ทางหนี ดารัณไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาคงเลือกที่จะรักพีรพลอยู่เพียงในใจเท่านั้น

นานมาแล้วที่ชีวิตดารัณมีคนอุปถัมภ์ค้ำชู ชีวิตดั่งเทพนิยายทำให้เขาหลงระเริงไปกับก้อนเงินที่ได้มาง่ายดาย ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงตัวประกอบไร้ราคา จนกระทั่งท่านคนนี้ช่วยเหลือทุกวิธีให้เป็นดาราดังสมใจ ดารัณมีทั้งชื่อเสียงเงินทองคนรักใคร่เอ็นดู แต่เขาไม่ได้มีความสุขใจอย่างที่คนคนหนึ่งควรจะเป็น สุดท้ายแล้วเขาก็ยังโหยหาความรัก และความรักนั้นมันก็เข้ามาพร้อมกับเพื่อนสนิทคนเดียวในวงการ ‘พอล พีรพล’

ราวหนึ่งเดือนก่อนความสัมพันธ์ชู้สาวของดาราหนุ่มทั้งคู่เข้าถึงสายตาของท่านเข้าจนได้ ความตายคืบคลานเข้ามาช้า ๆ โดยที่ดารัณเองก็ไม่รู้ตัว เขากำลังหลงระเริงกับกลิ่นความสุขจนลืมไปเสียว่าเขาไม่มีสิทธิ์ใดในชีวิต แม้แต่ธารางกูรที่ช่วยปกปิดมานับปียังไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใด และจำใจต้องตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่การเอาคืนอันโหดร้ายจะเริ่มต้นขึ้น





ดารัณมีเวลาคิดเพียงไม่กี่ชั่วโมง

แต่มันเป็นไม่กี่ชั่วโมงที่เขาแสนแน่ใจว่ารักพีรพลเหลือเกิน





“ผมอยู่กองถ่าย รัณมีอะไรรึเปล่า”

“เปล่า พอลคุยได้มั้ย ผมไม่ได้โทรมากวนคุณเนอะ” ดารัณจับก้านแก้วขึ้นในเพื่อให้ของเหลวอยู่ในระดับสายตา เขาชิมรสชาติของเครื่องดื่มชนิดนี้มาแล้วนักต่อนัก แต่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ารสชาติไวน์แดงแก้วสุดท้ายจะลึกล้ำน่าจดจำแค่ไหน

“ไม่กวนครับ ผมพักอยู่พอดี ยังไม่ถึงคิวถ่าย แปบนะรัณ ผมหาที่ทำเลดี ๆ ก่อน”

“อือหึ” ดารัณเดาได้ง่ายดายว่าพีรพลคงหาที่เงียบ ๆ สักทีสำหรับนั่งคุยการผ่านเครื่องโทรศัพท์ ระหว่างนั้นปลายจมูกของเขายกเชิดขึ้นสูดดมกลิ่นแบล็คเคอร์แรนท์และเครื่องเทศอบที่ขอบปากแก้ว ความรุนแรงที่ถูกรังสรรค์ฉุนกึกจนแสบจมูก ทว่าเจ้าตัวหาได้เบือนหน้าหนีไม่ คงไม่มีอะไรทำร้ายตัวเขาได้เท่าความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว





ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดไปมากกว่านี้





“วันนี้เป็นไง รัณไม่มีงานนี่ ได้นอนเต็มอิ่มรึเปล่า”

“ไม่ค่อยได้นอนน่ะสิ มัวแต่ทำนู่นนี่ไปเรื่อย แต่ไม่เป็นไร วางสายจากพอลแล้วว่าจะนอนยาวเลย”

“พักผ่อนเยอะ ๆ นะรัณ ทำเพื่อตัวเองบ้าง”

“เข้าใจแล้ว บ่นจังเลยนะ”

“ก็รัณชอบละเลยตัวเองนี่นา”

เสียงเจื้อยแจ้วของดารัณตัดสลับกับเสียงที่ไม่รู้สิ่งใดของพีรพล ความสุขสดใสสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ มวลอากาศถูกเคลือบทุกอณูจนอบอวลไปด้วยความรัก เสียงสะท้อนนั้นไม่เพียงทำร้ายจิตใจคนใกล้ความตายอย่างดารัณ ทว่ามันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของคนอีกสองคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ธารางกูรมีท่าทางเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าสองมือจะยังกระทำการทุกอย่างตามหน้าที่ของตน วัสสะยืนพิงกรอบประตูจ้องมองการกระทำของดารัณสลับกับร่างโปร่งบางอันเป็นที่รักของเขา แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทั้งคู่ต้องกระทำการเช่นนี้ แต่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกว่าธารางกูรลำบากใจอย่างถึงที่สุด มือเล็กที่พยายามเปลี่ยนผ้าปูเตียงนั่นแทบไม่มีเรี่ยวแรง ธารางกูรอยู่กับดารัณนานเกินไป นานเสียจนไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งคนของนายจะกลายเป็นเหยื่อที่ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือตนเอง

“ไม่ต้องเป็นห่วง ผมสัญญาว่าต่อจากนี้จะดูแลตัวเอง”

“ดีมากครับ แล้วนี่กินอะไรรึยัง เย็นมากแล้วนะ ผมสั่งให้ร้านไปส่งให้เอามั้ย”

“ไม่ต้องหรอก พอลทำงานไปเถอะ”

“เออรัณ วันเกิดผมศุกร์นี้รัณว่างมั้ย ผมว่าจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่บ้าน มีรัณ มีผม แล้วก็ครอบครัว”

“ครอบครัวเหรอ” ดวงตาคู่สวยไหวสั่นและมีหยดน้ำตาไหลออกมาในเวลาไม่นาน ดารัณจรดริมฝีปากตนลงกับขอบแก้วบางเฉียบ กลิ่นไวน์ฉุนขึ้นมากกว่าเดิม มือสั่นเทาค่อย ๆ เอียงก้านแก้วจนของเหลวบอดี้หนักแน่นสัมผัสกับเรียวปาก เครื่องดื่มชั้นดีเคลือบรสทั่วโพรงปากแม้เพียงจิบแรก ความหวานแรกพบเจอเปลี่ยนเป็นขมฝาดในที่สุด ลำคอประหม่าเกร็งร้อนผ่าวเมื่อความแสบร้อนไหลผ่านลงไป





ไร้หนทางแก้ไข ไร้หนทางย้อนกลับ





“รัณยังไม่เคยไปที่บ้านผมเลย มากินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ผมนะ ท่านจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนที่ผมรักมาก ๆ ไง”

“ผมไปไม่ได้หรอกพอล…” ดารัณกลั้นสะอื้นเอาไว้ มีเพียงหยดน้ำตาเท่านั้นที่ไหลผ่านขอบตาร้อนผ่าวออกมา ยิ่งรู้สึกว่าพีรพลมีความสุขมากแค่ไหนกับรูปประโยคนั่น เขายิ่งรู้สึกผิด ยิ่งรู้สึกโทษตัวเอง ยิ่งรู้สึกว่าการที่ดึงพีรพลลงมาในเกมนี้มันร้ายแรงเหลือเกิน เขาไม่สมควรทำให้คนแสนดีต้องมาเกลือกกลั้วกับคนที่แสนสกปรกอย่างเขา ดารัณไม่อาจโทษใครได้เลย นอกจากความเห็นแก่ตัวภายในหัวใจตัวเอง

“ทำไมล่ะ รัณติดงานเหรอ”

“ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึกว่าไม่น่าจะไปได้”

“แต่มันเป็นวันเกิดผมเลยนะ ไม่ได้จริง ๆ เหรอครับ หืม” น้ำเสียงออดอ้อนของพีรพลยิ่งทำให้ดารัณปวดใจ น้ำตาจากห้วงความรู้สึกยิ่งไหลออกมามากขึ้น เรียวมือสั่นเย็นเฉียบยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มพรวดเดียวจนเกือบจะหมดแก้ว ดารัณไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมานอกจากความเสียใจทั้งหมดที่มี รสชาติหอมเข้มหวานฝาดกลมกล่อมติดอยู่ที่ปลายลิ้นไม่ได้จาง ไม่ต่างอะไรกับรสชาติสุดท้ายของความรู้สึก ที่จะติดจิตวิญญาณของเขาไปไม่มีวันหายไป

“ผมคงต้องถามกูรก่อนว่าผมจะไปได้รึเปล่า” เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถึงกระตุกชาไปทั้งตัว ธารางกูรเดินมายืนเคียงข้างวัสสะเพื่อมองร่างกายที่กำลังลุกเดินอย่างโอนเอน ไวน์จิบแรกกำลังออกฤทธิ์และอีกไม่นานไวน์อึกสุดท้ายคงจะไหลซึมไปทั่วร่างกายและเริ่มทำหน้าที่ของมัน

“ทำไม รัณไม่มีงานไม่ใช่เหรอ ผมไม่เข้าใจรัณจริง ๆ ว่าทำไมรัณถึงต้องเกรงใจมันขนาดนั้น”

“เปล่าหรอก พอลอย่าไปยุ่งกับกูรเลย ผมขอนะ”

“รัณ…”

“ผมพูดจริง ๆ ”

“นี่คุณมีอะไรปิดบังผมรึเปล่า”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ แต่ผมอยากให้ระวังกูรไว้บ้างก็ดีนะพอล ผมว่าเขากำลังสนใจเรื่องของเรา ผมไม่อยากให้คุณต้องเสี่ยงเสียชื่อ แค่นั้นจริง ๆ ” จุดประสงค์ของประโยคนี้มีเพียงความตั้งการให้พีรพลออกห่างความไร้จิตใจของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เมื่อเขาไม่อยู่ เมื่อเขาไร้อำนาจแรงกาย เมื่อนั้นเขาจะได้สบายใจว่าพีรพลจะยังมีชีวิตที่ดีต่อไป

“แล้วยังไงล่ะ...แปบนะรัณ พี่จูนเรียก”

“โอเค” พีรพลที่เริ่มโมโหยังพูดได้ไม่จบประโยค เสียงเรียกชื่อที่แทรกเข้ามาในโทรศัพท์ก็ทำให้เขาต้องหันไปสนใจเสียก่อน คนที่ยังรออย่างดารัณพาตัวเองเดินไปอย่างไม่มีทิศ ปลายเท้าชาไร้รู้สึกทำให้เขาทรุดตัวลงเกาะขอบอ่างอาบน้ำเอาไว้อย่างคนไม่มีแรง แม้ประสาทการรับรู้จะยังชัดเจนแต่แขนขากลับมีความสามารถลดลงไปมากกว่าครึ่ง มื้อไม้ของเขาสั่นไหวจนแทบจะจับโทรศัพท์เอาไว้ไม่ได้ แต่เพื่ออยู่รอพูดคุยกับคนที่รักดารัณจึงต้องทำทุกวิถีทางในการประคองเครื่องโทรศัพท์ เรียวมือซ้ายคว้าจับข้อมือขวาเอาไว้แน่น แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงเท่าไหร่มันยิ่งไร้ความรู้สึกและสั่นเทิ้มยิ่งกว่าคนเป็นไข้ ปลายมือปลายเล็บด้านชาราวกับมีของหนักกดทับ ดารัณหยุดน้ำตาและเสียงสะอื้นของตัวเองแทบไม่ได้ จริงอย่างที่ธารางกูรว่า ฤทธิ์ยาทำให้เขาไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึก แต่นั่นมันเป็นเพียงความรู้สึกทางกายเท่านั้น หัวใจของดารัณยังคงรู้สึกและเริ่มหวาดกลัวความตายเมื่อมันเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัว

“รัณ ผมคงต้องวางก่อน พอดีมีแก้คิวนิดหน่อย ไว้เราค่อยคุยกันนะ”

“อึก…” ดารัณอยากจะตอบกลับไปในทันที แต่ริมฝีปากของเขาดันเคลื่อนไหวเชื่องช้าไร้แรง กว่าลมและเสียงจะพ่นออกจากริมฝีปากได้สีหน้าของดารัณก็เต็มไปด้วยกลุ่มเลือดสีแดงเข้มน่าสะเทือนใจ

“รัณ ได้ยินรึเปล่า วันสองวันนี้คิวงานผมจะยุ่งหน่อย เดี๋ยวเสร็จงานแล้วผมไปหานะครับ”

“พ...พอล”

“หืม”

“อย่าลืม… อย่าลืมมารับผมนะ” ดารัณพยายามออกเสียงให้ปกติที่สุด มือที่หมดแรงปล่อยเครื่องโทรศัพท์ร่วงลงกับพื้น ยังโชคดีที่ปลายสายไม่ได้ติดใจสงสัยเสียงปั๊กจากแรงกระทบ ร่างกายที่ถูกเล่นงานพังพาบลงทั้งที่ยังอยากจะพูดกับพีรพลอีกสักประโยค ประโยคสุดท้ายที่สำคัญกับหัวใจของเขาที่สุด

“หืม รัณหมายถึงงานวันเกิดผมใช่มั้ย ได้ครับ เดี๋ยวผมไปรับ รอผมนะรัณ”

“อึก…พอล...ผม…”

“แค่นี้ก่อนนะครับ พี่จูนตามแล้ว ผมรักรัณนะ ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วเจอกันครับ” อาจจะเพราะเฮือกเสียงสุดท้ายของดารัณนั้นเบาบางเกินกว่าจะส่งไปถึง ลมหายใจของเขาไม่อาจรั้งพีรพลให้อยู่ฟังจนจบ หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบขึ้นเมื่อสายถูกตัดไป หยดน้ำตาไหลอาบทั่วใบหน้าของดารัณจนแทบไม่มีที่เหลือ ชายหนุ่มผู้งดงามพยายามจะเปล่งเสียงถ้อยคำสุดท้ายของชีวิตทั้งที่ลำคอแห้งผาก ภายในร้อนวาบเป็นระลอกราวกับถูกสุมไฟ ร่างกายของเขาบิดเกร็งตามปฏิกิริยาของร่างกายที่ไม่อาจห้ามได้ ใช่ นอกจากอาการร้อนจนลำคอแห้ง ดารัณไม่รู้สึกเจ็บปวดอื่นใดอีก แต่การไร้รู้สึกทั้งที่สติความคิดยังดำเนินอยู่มันทรมานยิ่งกว่าโดนมีดแทงสักร้อยเล่มเสียอีก





อย่าลืมมารับผม

อย่าลืมมารับหัวใจของผมกลับไปอยู่กับคุณ





“ผมรักคุณ” คนที่ดารัณรักหมดใจคงไม่อาจได้ยินประโยคบอกรักที่จะทำให้โลกทั้งโลกเป็นสีดำ มีเพียงคนสองคนที่ยืนสุดความสูงเป็นพยานให้ได้เท่านั้น ทั้งธารางกูรและวัสสะนิ่งงันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จริงอยู่ที่ผ่านมาพวกเขาเห็นคนตายต่อหน้าต่อตามามาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เหตุผลของการสูญสิ้นจะเป็นเรื่องรักน่าสะเทือนใจ วัสสะหันไปมองร่างบางที่กำลังปล่อยน้ำตาอาบแก้ม นานแล้วที่ธารางกูรไม่ได้ร้องไห้ให้กับ ’เหยื่อและงาน’ ครั้งสุดท้ายก็คงจะเป็นตอนที่วัสสะยื่นมือเข้าไปช่วยจนมือสะอาดต้องเปื้อนเลือด จากวันนั้นจนวันนี้เวลาก็ผ่านไปสิบกว่าปี สิบกว่าปีแล้วที่เขาไม่ได้ร้องไห้ให้กับคนที่ตายด้วยมือตัวเอง

“กูรไหวรึเปล่า เดี๋ยวผมทำเอง”

“ผมไหวครับ” ธารางกูรยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเรียบตึงไร้รู้สึกในเสี้ยววินาที นี่เป็นงานที่เขาต้องทำ งานที่เขาต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก ภาระหน้าที่แสนสกปรกเป็นดั่งภาระผูกพันต่อเนื่อง ศพแล้วศพเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แผนการแยบยลถูกหยิบขึ้นมาใช้ อุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย หรือแม้แต่ภาวะหัวใจวาย ฟังดูช่างเป็นเรื่องโหดร้ายเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะยอมรับได้ไหว แต่นี่เป็นชีวิตแท้จริงอันน่าเศร้าของคนสองคน





หากคนเรามีหน้าที่เรียนหนังสือและทำงานหาเลี้ยงชีวิต

ธารางกูรก็จำต้องปลิดชีพผู้อื่นเพื่อหาที่ทางยืนให้ชีวิตตัวเอง

หากคนเราควรมีจิตใจโอบอ้อมอารีและมีใจรักเพื่อนมนุษย์

วัสสะก็มีน้ำใจอารีต่อธารางกูรและมีใจรักคนคนนี้อย่างสูงที่สุด





หน้าที่และความรักผูกพันสองคนนี้ไว้กับงานบาปกรรมโดยไม่รู้จุดสิ้นสุด





ร่างกายดารัณลอยขึ้นจากพื้นเพราะแรงอุ้มจากวัสสะ ร่างสูงค่อย ๆ วางร่างนั้นลงกับอ่างน้ำวนกลางห้อง เสื้อคลุมที่ถูกปกปิดร่างกายถูกถอดออกก่อนที่ธารางกูรจะรับไปแขวนที่ราวให้ดูเหมือนตั้งใจ อ่างอะครีลิกสีขาวสะท้อนกับผิวขาวเนียนเรียบของดารัณ วัสสะจัดท่าทางดาราหนุ่มให้อยู่ในท่านั่งกึ่งนอน ดวงตางามประณีตยังคงกะพริบและมีน้ำใสเอ่อคลอ แน่นอนว่าดารัณยังไม่สิ้นลมหายใจ ร่างกายของเขาแน่นิ่งไปเพียงเพราะฤทธิ์ยาที่กดประสาทเอาไว้ แม้ไม่อาจบังคับริมฝีปากให้พูด แม้ไม่อาจขยับแขนขยับขาได้ดั่งใจ แต่สายตาและสองหูของดารัณยังใช้การได้อย่างดีเยี่ยม

“อึก...” เมื่อครั้งสุดท้ายของชีวิตใกล้เข้ามาถึง มีใครบ้างล่ะที่ไม่หวาดกลัวความตาย แม้ว่าดารัณจะแสดงออกว่าเต็มใจละทิ้งชีวิตตัวเอง ทว่าเมื่อร่างกายเรื่องไร้หนทางคงอยู่ เสียงสะอึกอยากมีชีวิตรอดจึงดังขึ้นมาเป็นระลอก ความทรมานที่นอกเหนือการคาดคิดทำให้เขาพยายามกลอกดวงตาเป็นวงรอบ ดวงตาสีนิลจ้องมองไปยังธารางกูรที่เข้ามาใกล้เพียงคืบ ร่างบางคว้าข้อมือขวาของดารัณไว้และดึงมันออกไปให้พ้นรัศมีขอบอ่าง เพื่อไม่ให้ดูฝืนท่าทางธรรมชาติ วัสสะจึงจำเป็นต้องจับทั้งร่างของดารัณให้เอียงขวาตามกันมา ดวงตาคนที่แน่นิ่งเริ่มแสดงอาการรับรู้มากขึ้น หัวตาบีบเข้าหากันด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย





อึดอัด หวาดกลัว รอคอยความตายอย่างเจ็บปวดที่สุด





“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับคุณรัณ” ธารางกูรปิดเปลือกตาลงคล้ายกับทำสมาธิ ระหว่างนั้นวัสสะเริ่มเดินจัดห้องให้เป็นดั่งฉากที่ควรเป็น ขอบแก้วไวน์ใบใหม่ถูกประทับริมฝีปากของดารัณลงไป ก่อนจะวางมันเอาไว้ที่เคาน์เตอร์ห้องน้ำคู่กันกับขวดไวน์ โทรศัพท์เครื่องเมื่อครู่ถูกปิดลงและวางเอาไว้บนเคาน์เตอร์เช่นกัน ทุกอย่างถูกตระเตรียมราวกับฉากหนึ่งในละคร ทว่าละครเรื่องสุดท้ายของดารัณนั้นเขารับหน้าที่เพียงหยุดหายใจเมื่อถึงเวลา

“ผมทำให้ดีกว่ากูร”

“ไม่เป็นไรครับ ให้ความผิดติดตัวผมไปคนเดียวก็พอ” วัสสะทำท่าจะดึงคัตเตอร์ในมือของธารางกูร แต่ร่างบางกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจับของมีคมยัดเข้าเอาไปในมือซ้ายของดารัณ ก่อนจะทาบทับลงไปบนหลังมือนั้นเพื่อบังคับให้เคลื่อนไหวไปตามที่ใจต้องการ ปลายคมถูกกดลงที่ข้อมือขาว รอยลึกกรีดลงผิวชั้นในและหลอดเลือดสำคัญในทิศทางความลึกเข้าหาตัวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ธารางกูรปล่อยมือของเขาออกทำให้คัตเตอร์นั้นร่วงหล่นออกจากมือของดารัณทันที เลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลหยดลงมาราวกับต้องการให้เจ้าของร่างตายลงไปช้า ๆ แต่เปล่าเลย ต่อให้ดารัณไม่มีบาดแผลเขาก็ต้องตายเพราะฤทธิ์ยาอยู่ดี

“คุณไปนั่งพักเถอะ” วัสสะเข้าไปดึงข้อมือธารางกูรและจูงอีกฝ่ายให้ไปนั่งรอที่โซฟาเล็กใกล้ ๆ ธารางกูรยอมทำตามโดยไม่งอแง แต่ทว่าโซฟาตัวนั้นกลับทำให้เขาเห็นแววตาของดารัณที่มองมาอย่างชัดเจน สายตาคู่นั้นยังมีนัยน์ตาใสวาว ซ้ำยังมีน้ำตาซึมไหลเป็นสาย ธารางกูรนั่งกัดริมฝีปากจนได้ลิ้มรสเลือดของตนที่ซึมออกมาตามรอยฟัน ร่างกายเขาเย็นยะเยือกขนลุกซู่กับความโหดร้ายของตัวเองและภาพที่กำลังมอง ปลายนิ้วปลายมือของคนใกล้ตายกระตุกชักเป็นจังหวะอยู่หลายครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นระบบทำงานภายในยังกระตุกสั่นจนเป็นผลกับทั้งร่างกาย โดยเฉพาะในส่วนของหัวใจ ยิ่งวาระสุดท้ายเดินเข้ามาใกล้ภาพของพีรพลยิ่งชัดเจนขึ้นมาในสมอง ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ

วัสสะเดินเก็บรายละเอียดในห้องให้มากพอเท่าที่จะทำได้ เมื่อดารัณตายเพราะฤทธิ์ยา เลือดที่ไหลออกมาก็คงจะพาสารพิษออกมาด้วยจนแทบหมด ถ้าโชคดีไม่มีข้อสงสัยหลงเหลือ นิติเวชคงไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ แต่ถ้าไม่ การระบายเลือดออกบ้างคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากถามว่าทำไมถึงไม่กรีดข้อมืออย่างเดียวหรือจับแขวนคอไปให้รู้แล้วรู้รอด นัยหนึ่งน่ะมันเป็นเรื่องมนุษยธรรมในเบื้องลึกที่ไม่อยากให้ดารัณเจ็บปวด แต่อีกนัยหนึ่งเป็นเพราะสุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องขวนขวายหาทางเอาชีวิตรอด





ดารัณเองก็เช่นกัน จิตใจของเขากำลังหวาดกลัวความตายอย่างถึงที่สุด





“คุณวัสครับ...” ธารางกูรเอ่ยปากเรียกคนที่กำลังทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ วัสสะจัดการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อย จะขาดก็แต่จดหมายลาของดารัณที่เขาพับเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ในเมื่อเจ้าตัวไม่เต็มใจมันจึงกลายเป็นเพียงแผนสองที่อาจเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในภายหลัง

“หืม ว่าไง” คนทั้งคู่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าโดยมีดวงตาอีกคู่จ้องมองกลับมา มือหนาคว้าศีรษะของธารางกูรเข้ามาซบกับไหล่ตนและสัมผัสเกลี่ยมันอย่างแผ่วเบา

“ผมเหนื่อยจังครับ” วัสสะหันปลายจมูกกดหอมลงที่ช่วงหน้าผากของธารางกูรด้วยความนุ่มนวลอบอุ่น เขารู้ว่าธารางกูรไม่ได้หมายถึงความเหนื่อยล้าทางร่างกาย แต่มันเป็นความล้าอ่อนแรงที่หัวใจเพราะเรื่องที่ต้องทำ ธารางกูรไม่ใช่คนเข้มแข็ง เป็นเพียงคนที่เปราะบางดั่งแก้วใสที่พร้อมจะตกลงแตกได้ทุกเมื่อ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพราะวัสสะยังประคองให้อีกฝ่ายไม่ร่วงหล่นลงไปเท่านั้น

“ผมรู้”

“เมื่อไหร่เราจะหลุดจากวังวนนี้สักที”

“...”

“ผมกลัวจังว่าวันนึงผมจะต้องเลือกทางเดินเหมือนคุณรัณ”

“กูร”

“ความรักมันน่ากลัวจังนะครับคุณวัส” วัสสะไม่รอช้า เมื่อเขาได้ยินเสียงตัดพ้อเพราะความหวาดกลัวจึงหันตัวคว้าริมฝีปากของธารางกูรเข้ามาลิ้มชิมรสทันที น้ำลายเหนียวหนืดในโพรงปากร่างบางถูกแทนที่ด้วยรสชาติหวานขมตามความรู้สึก ธารางกูรกำลังกลัว กลัวว่าความรักของเขาจะต้องมาถึงทางตันเฉกเช่นเดียวกับดารัณ และหากวันนั้นมาถึงการตัดสินใจของเขาคงจะไม่แตกต่างไปจากดารัณสักเท่าไหร่นัก

ดวงตาคู่สวยมองทุกการกระทำอ่อนโยนของคนสองคนตรงนั้น ใบหน้าและร่างกายที่ถูกบังคับให้เอนไปทางขวาต้องจ้องมองความรักของคนอีกสองคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดารัณรับรู้ทุกอย่าง ทุกประโยคที่วัสสะและธารางกูรพูดคุย ทุกภาพที่คนสองคนกระทำต่อกัน คนที่หัวใจกำลังเต้นเบาลงถูกบังคับให้เป็นพยานทั้งที่ไม่ต้องการ ที่เห็นอยู่ตอนนี้มันทำให้เขานึกถึงพีรพลอันเป็นที่รัก ทุกอย่างกำลังตอกย้ำอย่างไม่มีทางหลีกหนี





ความทรมานระหว่างรอความตายช่างยืดเยื้อไม่รู้จักจบสิ้น







ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
“จบงานนี้เราไปจากท่านกันนะกูร”

“คุณวัส”

“เราจะบอกเขาว่าเราพอแล้ว ไปจากขุมนรกนี่กันเถอะ”

“แล้วถ้าท่านไม่ยอม จุดจบของเรา...”

“เชื่อผมสิ ผมสัญญา เราสองคนจะต้องเป็นอิสระ” รสจูบหนักหน่วงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง วัสสะโถมตัวเข้าไปจนธารางกูรแทบจะหยัดตัวเอาไว้ไม่ได้ น้ำตาจากความรู้สึกไหลออกมาผ่านแก้มเนียนขาว ทั้งที่วัสสะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ง่ายดั่งคำพูด แต่ก็ยังให้คำสัตย์สัญญาราวกับมั่นใจ ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องของดารัณ มันเป็นเพราะเขารู้สึกจึงอยากจะจับมือธารางกูรหลีกหนีไปให้พ้น

“ผมกลัว… ฮึก… ผมกลัว ฮืออออ” ความอ่อนแอถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นทันทีที่วัสสะถอนริมฝีปากออก ลำแขนแกร่งคว้าร่างบางยกซ้อนขึ้นมานั่งบนตัก แผ่นหลังที่บางกว่าซบแนบลงกับอกราวกับหาที่พักพิง ความรู้สึกทั้งหมดที่มีในวันนี้ถูกถ่ายทอดออกมาจนร่างกายไหวโยน วัสสะโอบกอดความรักของเขาเอาไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้งไม่แพ้กัน

“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่”

“แต่ว่า...”

“เรื่องที่เกิดกับดารัณจะต้องไม่เกิดกับเรา ความรักของเราไม่มีทางจบแบบนั้น เราจะไปจากท่านได้ เราจะหนีจากเขาได้ เข้าใจมั้ยครับคุณกูร” วัสสะประคองกรอบหน้าธารางกูรให้เงยเชิดขึ้นจากเดิม เรียวปากนุ่มจูบซับหยดน้ำตาทั่วพวงแก้มอย่างไม่รังเกียจ ทั้งยังใช้ปลายนิ้วโป้งลากไปตามเส้นริมฝีปาก และเคลื่อนสัมผัสเรียวลิ้นเชื่องช้ามายังเรียวปากบางที่ขณะนี้เป็นสีแดงระเรื่อ ทั้งคู่ตอบรับกันด้วยพฤติการณ์เชื่องช้าอ้อยอิ่ง ลิ้นหนาดุนดันเข้าไปก่อนจะค่อย ๆ ตวัดเรียกความรู้สึกวาบหวามเป็นจังหวะต่อเนื่อง

“คุณวัสครับ” ธารางกูรดึงริมฝีปากออกเมื่อเริ่มรู้สึกว่าวัสสะใช้มือลุกล้ำเข้ามาใต้กางเกง ทั้งยังดึงร่างของเขาเข้าไปขนาบกับช่วงล่างของตนมากกว่าเดิม ความสุ่มเสี่ยงและสัมผัสหยาบจากถุงมือทำให้ร่างกายของธารางกูรร้อนขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

“ให้ผมปลอบคุณนะกูร ยังไงซะรู้สึกอย่างอื่นก็ย่อมดีกว่าการรู้สึกกลัว จริงมั้ยครับ” วัสสะกระซิบที่ข้างหูของเขาพลางคลี่ยิ้มออกมา

“แต่นี่มันที่เกิดเหตุ”

“ก็ถือซะว่ายังไงเราก็ต้องรอ ต้องเก็บกวาดรอบสุดท้ายอยู่ดีแล้วกัน” วินาทีนั้นร่างสูงไม่อาจรอช้า เขาพลิกตัวธารางกูรให้นอนแนบไปกับโซฟา ปลดเปลื้องกางเกงของทั้งคู่ออกอย่างระมัดระวัง มันไม่ได้มีเพียงแค่ความหื่นกระหาย แต่มันมีความรักเต็มอกที่รู้ว่าทำยังไงธารางกูรถึงจะหายจากความประหวั่นในใจ วัสสะรุกโถมลงจูบช่วงคอและไหล่ ทั้งรั้งชายเสื้อขึ้นเพื่อขบเม้มจุดสำคัญที่ช่วงอกจนร่างบางแอ่นอกรับไม่ได้หยุด และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เบื้องล่างของทั้งคู่ถูกปลุกขึ้นมาจนตื่น

“ทำไมถึงชอบปลอบผมด้วยวิธีแบบนี้นัก”

“เพราะผมรู้ว่ามันได้ผล” วัสสะกดจูบหนัก ๆ ลงไปที่ช่วงท้องน้อยของธารางกูร ก่อนที่เขาจะผละออกและลุกไปหาบางอย่างบริเวณห้องนอน จังหวะนั้นธารางกูรที่กำลังหายใจหอบร้อนเผลอเอียงหน้าไปในทิศทางที่อีกหนึ่งชีวิตกำลังมองมา ดวงตาของดารัณกะพริบถี่สองครั้งติดเป็นสัญญาณว่าเขายังรับรู้ทุกสิ่ง เลือดสีแดงสดจากข้อมือหยดลงมากองที่พื้นและไกลย้อนกลับไปที่ตัวอ่างจนเกิดเป็นร่องรอยชีวิตสีเข้มแตกแขนงไปทั่วราวกับรากไม้

“ฮึก” ธารางกูรปล่อยหยดน้ำตาออกมาอีกครั้งเมื่อลมหายใจหนัก ๆ ของเขาเผลอสูดกลิ่นคาวเลือดเข้าไปเต็มปอด และที่เลวร้ายที่สุดคงเป็นวินาทีที่เขาและดารัณสบตากัน ดวงตาคู่นั้นไม่มีความเคียดแค้น ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกโกรธเคือง มันมีเพียงความจำยอมทรมานและร้องขอชีวิตหากยังเป็นไปได้ ดารัณกำลังหวาดกลัวความตายสุดหัวใจ





ธรรมชาติของมนุษย์ทำให้ธารางกูรหวาดกลัวเกินกว่าจะทนรับไหว





วัสสะเดินเข้ามาเห็นภาพนั้นเต็มสองตา และรู้สึกถึงความเลวร้ายไม่ต่างจากร่างบางนัก ร่างสูงสาวเท้าเข้าหาธารางกูรทันที เขาประคองใบหน้าของธารางกูรให้หันกลับมามองเพียงดวงตาคู่คม

“กูร มองผมสิ มองผมกูร”

ธรรมชาติของมนุษย์ทำให้ธารางกูรหวาดกลัวเกินกว่าจะทนรับไหว

“อยู่กับผม ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล อยู่กับผมนะกูร” วัสสะพรมจูบลงไปปิดเสียงร้องสะอื้นทั้งที่ตัวเองกำลังจะร้องไห้ตามอยู่รอมร่อ เขาบังคับตัวเองไม่ให้หวั่นไหว ใช้เรียวมือหยาบกร้านจากถุงมือลากผ่านผิวกายเนียนละเอียดอีกครั้ง รสจูบที่วัสสะมอบให้หนักหน่วงเสียจนธารางกูรต้องเผยอปากรับสัมผัส การปลุกเร้าอารมณ์เริ่มต้นอีกครั้ง คนขวัญเสียตอบรับกลับไปอย่างว่าง่าย ไม่ว่าวัสสะจะสัมผัสตรงไหน ส่วนนั้นของธารางกูรก็จะมีปฏิกิริยาตอบรับเสมอ เรือนร่างน่าหลงใหลเย้ายวนอย่างที่สุดเมื่ออารมณ์ขึ้นสูง วัสสะปลุกทุกสัดส่วนของธารางกูรให้ตื่นขึ้นเต็มตา ทั้งเบื้องบน เบื้องหน้า เบื้องล่าง เบื้องหลัง การเล้าโลมครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านเวลาเนิ่นนานโดยที่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจเจ้าของลมหายใจรวยรินที่กำลังจ้องมองอยู่





ลมหายใจดารัณขาดห้วง ใกล้จะขาดใจเต็มที





“อือ.. คุณวัสครับ ฮึก ผมรักคุณ”

“รักเหมือนกันนะครับ เด็กดี อยู่กับผม มองผม เชื่อใจผม เราจะออกจากนรกขุมนี้ด้วยกัน ปีนี้ฝนจะตกฤดูหนาวอย่างที่คุณชอบ ผมสัญญา” วัสสะถอยตัวออกมาสวมถุงยางให้กับเขาทั้งคู่ นี่ไม่ใช่การป้องกันเรื่องทางเพศ แต่เป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งใดหลงเหลืออยู่ที่นี่ ช่วงขาของธารางกูรถูกกระชับเข้ากับเอวแกร่ง ใจกลางวัสสะถูกผสานกับร่างกายของธารางกูรเป็นหนึ่งเดียว ร่างบางโหยหาการปลอบใจไขว่คว้าหารสจูบจนวัสสะต้องโน้มริมฝีปากลงมา

การปลอบโยนของวัสสะใช้ได้ดีอยู่เสมอ แม้จะชั่วครู่ชั่วคราวแต่ก็ทำให้พยุงหัวใจของกันและกันผ่านไปได้อีกวัน ไม่นานนักเสียงสะอึกสะอื้นได้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องครางเมื่ออยู่ในช่วงเวลาแสนดี ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เสียงหวานลั่นออกมาสลับเสียงหอบเหนื่อยของคนบนร่าง





กลิ่นความรักหวานขมตัดกับกลิ่นคาวคลุ้งของกองเลือดจนบรรยากาศช่างน่าหดหู่ใจ

สัมผัสสองร่างที่เชื่อมถึงกันย่อมดีกว่าสัมผัสสุดท้ายที่ไม่มีแม้แต่แรงเอื้อมคว้า

เสียงพร่ำบอกรักก้องดังชัดเจนกว่าเสียงแผ่วเบาของคนจะขาดใจตาย

กว่าช่วงเวลาสุขสมจะจบลง ลมหายใจของใครอีกคนก็ดับมอดไปชั่วนิรันดร์





ภาพสุดท้ายในสายตามืดมิดของดารัณมีเพียงความรักของคนสองคนที่ยังดำเนินไป โชคร้ายเหลือเกินที่ความรักของเขากับพีรพลต้องดับสูญไปโดยไม่อาจหวนคืน





‘อย่าลืมมารับผมนะพอล’














*Where the Wind Sleeps OST. Blade & Soul

Talk

สวัสดีเช่นเคยค่ะ ตอนที่ 17 ได้พาทุกคนย้อนกลับไปยังเรื่องราวของ 'ผู้ตาย' อย่างสั้น ๆ และพยายามให้ชัดเจนที่สุด ไม่รู้จะพูดอะไรให้มากความนอกจากขอบคุณทุกคนที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้จริง ๆ ค่ะ

ขอบคุณนร้าาาาาาา เจอกันตอนต่อไปค่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2018 18:11:30 โดย be-silent »

ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
วัสสะธารางกูร เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก คนหนึ่งร้อนคนหนึ่งเย็น คนหนึ่งนุ่มนวลอ่อนไหวอีกคนเด็ดขาดเย็นชา เข้ากะนได้ดีทั้งในเรื่องความรักและในหน้าที่

พอล เป็นคนที่โชคร้ายมาก ความรักนำพาเข้ามาโดยไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางอะไรตั้งแต่แรกเริ่มจนจบเรื่อง น่าสงสารจริงๆ

ดารัณ อาจจะมองดูว่าน่าสงสารในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่แรกเริ่มก็ต้องยอมรับว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวเองล้วนๆ

ถามหาว่าใครเลือดเย็นที่สุดเรื่องนี้ เราขอตอบว่า 'คนเขียน'.....ค่ะ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
:ling3:
เรารู้สึกหดหู่อ่าาาาาาา
เมื่อความตายมาเยือนแล้วต้องจากคนที่รักชั่วนิรันดร์...เศร้า !!!  :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 18 หนาวจนใจอยากหนี

“เบนโซไดอะซีปีนเป็นกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กดการทำงานของสมอง คนทั่วไปใช้ในอาการนอนไม่หลับหรือเครียดจนวิตกกังวล ส่วนการที่ไม่อาจระบุชนิดของยา นิติเวชได้ให้ข้อมูลว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ซึ่งอาจเกิดจากปฏิกิริยาของเลือดหรือกลไกร่างกายตามปกติ ผมมองว่าการพบยากลุ่มนี้ในร่างกายของดารัณมันเป็นการชี้ชัดแล้วว่าดารัณอาจมีอาการเครียดจนต้องพึ่งยาและตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด”

ร่างสูงอธิบายผลการวิเคราะห์คดีด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาสบตากับผู้บังคับบัญชาสลับกับลูกน้องด้วยความมั่นอกมั่นใจเหมือนเช่นเคย เจ้าพนักงานนับสิบชีวิตกำลังจ้องมองนายตำรวจมากความสามารถและพยายามคิดวิเคราะห์ตามคำที่เขาพูด น่าเสียดายที่วันนี้วัสสะไม่มีปองภพเป็นลูกคู่ ไม่เช่นนั้น ทุกคนคงจะคล้อยตามง่ายดายเพราะคำสนับสนุนของผู้กองคู่หูเหมือนอย่างเคย





เสียดายที่แม้จะรู้สึกจุกอยู่ในอก แต่วัสสะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตนได้





“แล้วเรื่องหลักฐานวงจรปิดที่ทีมพิสูจน์หลักฐานตั้งข้อสังเกตล่ะสารวัตรวัสสะ คุณไม่คิดว่ามันผิดปกติเหรอ” ‘สุทธิ’ สารวัตรสอบสวนวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้นพลางเหลือบมองท่านผู้การที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ วันนี้เป็นการประชุมสรุปผลคดีใหญ่ ย่อมมีข้าราชการตำรวจระดับท็อปเข้าร่วมฟังอย่างเลี่ยงไม่ได้ วัสสะยกมุมปากยิ้มทันที เพราะมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าคู่ปรับข้ามกองงานคนนี้กำลังชงคำถามเอาใจนาย และหาจุดผิดพลาดของเขาในคราวเดียวกัน

“เรื่องนั้น ผมคงต้องขอให้หมวดก้องช่วยอธิบายแล้วล่ะครับ เราจะได้เข้าตรงกัน” วัสสะผายมือไปยังนายตำรวจชุดพิสูจน์หลักฐานท่านหนึ่ง ลมหายใจถูกถอนทิ้งออกมาเป็นลมก้อนใหญ่ ก่อนที่เขาจะตีสีหน้าให้ปกติที่สุด แม้จะยังกังวล แต่ร่างสูงค่อนข้างแน่ใจว่าหลักฐานที่มีตอนนี้ไม่สามารถโยงไปยังธารางกูรได้อีก ทุกอย่างถูกเขาเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นใหม่และตระเตรียมทิศทางเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ เว้นเสียแต่ว่านายท่านคนนั้นจะเดินเกมอันตรายต่อโดยไม่พักหายใจ





วัสสะรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็ว เหยื่อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นปองภพต้องถูกดึงลงมาในเกมอีกครั้ง





“ครับ ผมคงต้องขออธิบายเพิ่มเติมตามไฟล์วงจรปิดที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้าทุกท่าน ทีมสืบสวนได้รับไฟล์วงจรปิดในส่วนอื่น ๆ ของสถานที่เกิดเหตุและส่งมอบให้เราตรวจสอบ ทางทีมพบว่าในไฟล์ไม่มีเหตุการณ์ใดน่าสงสัยและน่าจะเป็นช่วงเวลาราวหนึ่งเดือนก่อนเกิดเหตุ ที่สำคัญคือภาพหลายส่วนมีการกระตุกไม่ต่อเนื่องกัน และมีความคลาดเคลื่อนของเวลาเช่นเดียวกับไฟล์ที่เราตั้งข้อสงสัยก่อนหน้า นั่นทำให้เราตีความได้ทันทีว่ามันเป็นปัญหาที่กล้องวงจรปิด”

“ขอบคุณครับผู้กอง ทุกท่านมีความเห็นอะไรมั้ยครับ” วัสสะคลี่ยิ้มบางเมื่อผู้หมวดพูดจบ การจัดการกับวิดีโอไม่ใช่เรื่องยากอะไร ตราบใดที่ไม่มีพิรุธจนต้องนำไฟล์ไปตรวจสอบทางเทคนิค สุดท้ายความเป็นจริงก็จะลอยผ่านไปราวกับฝุ่นละอองในชั้นอากาศ ใช่ วัสสะหวังให้เป็นแบบนั้น

“แล้วที่สารวัตรส่งคนไปเฝ้า… ชื่ออะไรนะ เลขาผู้ตายน่ะ”

“ธารางกูรครับ”

“เออ นั่นแหละ คุณส่งคนไปเฝ้าทำไม ได้อะไรมารึเปล่า” วัสสะพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์อื่นใดออกมานอกจากการนิ่งเฉย สารวัตรสอบสวนคนเดิมยิงคำถามเข้ามาได้ตรงจุด และใช่ว่าวัสสะจะไม่มีคำตอบที่ดีพอเตรียมเอาไว้ในหัว

“เพราะข้อสงสัยน่ะครับ อย่างที่ทุกท่านเคยดูเทปคำให้การ ธารางกูรและพีรพลให้การไม่ตรงกันหลายจุด ผมกับผู้กองภพสังเกตเห็นพิรุธในจุดนี้เลยตัดสินใจส่งคนของเราไปสังเกตการณ์จำนวนสองวันเผื่อว่าจะได้อะไร แต่คงผิดคาดไปหน่อย เลยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา ไว้ผมจะเขียนรายงานให้นะครับ พอดีติดงานศพผู้กองภพ ผมเลยยังไม่ได้ทำ ขอโทษด้วยครับ” คำขอโทษของวัสสะสร้างบรรยากาศอึมครึมไปทั่วทั้งห้อง สีหน้าสลดหดหู่คลอน้ำตาที่ทุกคนได้เห็นเป็นของจริง ยิ่งพูดถึง ยิ่งแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร วัสสะยิ่งรู้สึกผิดอยู่เต็มอก ทั้งหมดมันเป็นความผิดเขา เรื่องของปองภพมันเป็นความผิดเขาทั้งหมด





ถ้าเขาไม่เดินตามเกม ปองภพคงจะยืนพูดคุยและออกรับหน้าแทนเขาอยู่ตรงนี้





ท่านรู้ดีว่าปองภพเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตวัสสะ จึงเลือกปองภพเป็นหมากตัวสำคัญในเกม หมากตัวนี้มีสถานะไม่ต่างอะไรกันกับเหยื่อ ปองภพที่หิวโหยหลักฐานและสนุกกับการทำคดีไม่เคยเอะใจถึงที่มาที่ไปของมันเลย เขามัวแต่สนใจผลลัพธ์ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งไม่หยุดยั้ง ส่วนวัสสะเองก็ชะล่าใจว่าเรื่องของธารางกูรไม่ใช่เรื่องที่ปะติดปะต่อง่ายนัก สุดท้ายคนโดนหลอกใช้จึงต้องพบจุดจบอย่างที่ไม่สมควรจะเป็น





วัสสะที่โง่เขลา ขึ้นหลังเสือเดินตามเกมอย่างไม่มีทางลง





“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ คุณค่อยทำรายงานตามหลังมาก็แล้วกัน สารวัตรสุทธิ คุณรับเรื่องต่อจากทีมสืบสวนสรุปสำนวนคดีได้เลย”

“เดี๋ยวครับท่านผู้การ ผมยังมีข้อคาใจอยู่อีกหลายจุด ขอเวลาผมสักครู่นะครับสารวัตรวัสสะ เรามาดูสำนวนทั้งหมดที่มีพร้อมกันดีกว่า”

“เชิญครับ” วัสสะร่างกายกระตุกไปเล็กน้อยเมื่อสารวัตรสุทธิไม่รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย ร่างสูงทิ้งตัวลงเก้าอี้ที่เป็นของตนและมองตำรวจอีกท่านนำแฟลชไดรฟ์เข้าไปเสียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หน้าเอกสารรายงานถูกเปิดขึ้นมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะร่ายเรียงสำนวนทั้งหมดตั้งแต่เริ่มคดี

“รายงานการสอบปากคำนายธารางกูร…” สารวัตรท่านนี้เริ่มการพูดคุยด้วยการชี้พอยน์เตอร์ไปยังสำนวนทีละจุด วัสสะตั้งใจฟังมันทุกคำทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าธารางกูรพูดอะไรออกไปบ้าง ร่างสูงวางมือลงบนหน้าขาที่กำลังยกขึ้นไขว่ห้าง เรียวนิ้วของเขาเริ่มต้นสลับจังหวะสัมผัสในยามใช้ความคิดอีกครั้ง จนกระทั่งสติของเขากระเจิงไปเมื่อมีแรงสั่นครืดจากโทรศัพท์ใต้กระเป๋ากางเกง

“ตรงนี้น่าสนใจนะครับ นายธารางกูรให้การว่านายพีรพลอาจมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายดารัณผู้ตาย...” นายตำรวจตรงหน้ายังคงกล่าวถึงสำนวนในคดีต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด ระหว่างที่วัสสะเริ่มมีเม็ดเหงื่อไหลซึมรอบกรอบหน้าทั้งที่อากาศภายในห้องเย็นเฉียบ มือขวาของเขาจับเครื่องโทรศัพท์แน่นจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ขณะที่มือซ้ายจิกเข้าหน้าขาของตนอย่างคนสูญสิ้นการควบคุมอารมณ์

‘จะไปต่อไม่ถอยกลับแน่นะวัสสะ’

ประโยคแสนธรรมดาจากโปรแกรมแชทคงจะทำอะไรวัสสะได้ไม่มาก ถ้าหากไม่ได้มีภาพถ่ายจากเบื้องล่างตึกสักแห่งแนบติดมาด้วย ภาพถ่ายภาพเดียวเร่งความรู้สึกและความคิดจนสมองปวดหนึบ แสงที่ย้อนเลนส์กล้องเข้ามาทำให้เห็นตัวตึกเป็นเงาดำ ทว่าห้องที่ถูกโฟกัสกลับปรากฏภาพคนคนหนึ่งยืนพิงประตูระเบียงให้เห็นอย่างชัดเจน





ไม่ว่าภาพจะมืดสักแค่ไหน วัสสะก็ยังจำธารางกูรได้ดี





‘ท่านจะทำอะไร’

‘เปล่านี่ ฉันรู้ว่าแกห่วงกูร เลยส่งคนไปเฝ้าเอาไว้ให้’ วัสสะกัดฟันกรอดแม้ว่าจะเห็นเพียงตัวอักษร ร่างสูงเคลื่อนมือลงไปเบื้องล่างเพื่อให้โต๊ะบดบังเครื่องโทรศัพท์เอาไว้ขณะที่พิมพ์ตอบกลับไป

‘อย่ายุ่งกับกูร’ วัสสะยิ่งร้อนใจเมื่อปลายทางกดอ่านและไม่ได้ตอบกลับมา เขามองไปทั่วห้องอย่างชั่งใจ อยากจะโทรหาธารางกูรตอนนี้ อยากพูดคุยตอนนี้เพื่อให้แน่ใจว่าธารางกูรยังปลอดภัย อันที่จริงเขาอยากจะไปหาคนที่รักในวินาทีนี้เลยด้วยซ้ำ

“และในการสอบสวนพีรพลครั้งที่สี่นะครับ”

“ครั้งที่สี่งั้นเหรอ...” วัสสะพึมพำเสียงเบาตามประโยค ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องกลับได้ยินราวกับอ่านปากเขาอยู่ตลอด เท่าที่วัสสะจำได้ พีรพลเข้าให้การเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมีครั้งที่สี่โผล่เข้ามาในร่างสำนวนคดี หรือว่ามีอะไรบางอย่างที่เขาพลาดไปกันนะ

“ครับ ครั้งที่สี่ ผมเห็นสารวัตรยุ่ง ๆ ก็เลยไม่ได้แจ้งว่าทางทีมสอบสวนเชิญนายพีรพลมาให้ปากคำเพิ่มเติมเมื่อวานนี้”

“ช่างเถอะครับ เชิญสารวัตรพูดต่อเลย” วัสสะรับคำไปทั้งที่ในใจเริ่มโมโห สารวัตรสุทธิทำงานข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปหน่อย การหาสำนวนเพิ่มเติมจากการให้ปากคำควรกระทำเมื่อทีมสืบสวนได้หลักฐานใหม่ หรือมีประเด็นเชื่อมโยงอื่น ๆ

“นายพีรพลให้การเพิ่มเติมว่า ในคืนที่คาดว่านายดารัณเสียชีวิต นายดารัณได้โทรหาเขาและได้เอ่ยเตือนให้ระมัดระวังนายธารางกูร บวกกับคำให้การก่อนหน้า ผมจึงสงสัยนายธารางกูรเป็นอย่างยิ่ง และคิดว่าเราควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน สารวัตรวัสสะเห็นตรงกับผมมั้ยครับ” สารวัตรสุทธิจดจ้องมายังวัสสะทันที ท่ายืนกอดอกปล่อยยิ้มที่มุมปากทำให้วัสสะเกิดอาการมึนตึงไปทั่วทั้งร่าง ประกอบกับวินาทีนั้นโปรแกรมแชทของเขาได้แจ้งเตือนขึ้นมาอีกสองครั้งติด





‘ถ้าไม่อยากให้ยุ่ง ก็ถอยกลับมา’





หากตอนนี้มีใครเอาหูมาแนบอกก็คงจะได้ยินเสียงตึกตักไม่เป็นจังหวะของหัวใจ ท่านส่งภาพวัสสะที่ถูกถ่ายจากมุมที่นั่งของสารวัตรสุทธิเมื่อครู่ ดวงตาสองคู่ของสารวัตรสองท่านฟาดฟันใส่กันทันทีในวินาทีนั้น อารมณ์คุกรุ่นในอกของวัสสะก่อตัวรวมกันอย่างกับสุมไฟ วัสสะคิดไว้เพียงว่าเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อธารางกูร ทำทุกทางเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง และทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องคำสัญญาของตนจนกว่าพวกเขาจะเป็นอิสระเสียที





“เราจะบอกเขาว่าเราพอแล้ว ไปจากขุมนรกนี่กันเถอะ”

“แล้วถ้าท่านไม่ยอม จุดจบของเรา...”

“เชื่อผมสิ ผมสัญญา เราสองคนจะต้องเป็นอิสระ”






ไม่ เขาจะไม่ถอยเด็ดขาด





“ครับ แต่คำให้การปากเดียวไม่มีน้ำหนัก…”

“จริงอยู่ แต่อย่าลืมนะครับ เรายังหามูลเหตุในการฆ่าตัวตายไม่ได้ ยาที่พบในเลือดก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นยาอะไร ความเป็นไปได้ที่สุดตอนนี้ที่จะให้คำตอบเราก็คือคนที่พบศพคนแรกและคนที่คุยกับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย ผมเห็นควรว่าอย่างน้อยเราควรควบคุมตัวธารางกูรและพีรพลไว้ก่อน”

“ผมไม่เห็นด้วย” วัสสะส่งเสียงดังขึ้นมาทันที ร่างสูงยืนค้ำโต๊ะมองสุทธิด้วยดวงตาถมึงทึง วินาทีนี้เขาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เริ่มกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ นัยหนึ่งวัสสะก็โกรธตัวเองเหลือเกินที่ใจอ่อนยอมไม่ทิ้งจดหมายของดารัณเอาไว้ในที่เกิดเหตุ ใครจะไปคิดว่าเรื่องมันจะยุ่งเหยิงมากมายขนาดนี้ ที่ผ่านมาเขาสามารถเคลียร์ทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วเพราะอำนาจคุ้มกะลาหัวจากท่าน และในเวลานี้ท่านก็กำลังบีบให้เขาตายได้เพียงปลายนิ้วเช่นกัน

“ผมเห็นด้วยกับสารวัตรสุทธินะวัสสะ” เสียงท่านผู้การที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทำให้วัสสะหันขวับไปมองตาขวางทันที อำนาจบางประการทำให้สถานะเจ้านายลูกน้องเปลี่ยนตำแหน่ง ดูเหมือนจะมีความเกรงใจสั่งผ่านออกมาจากคงที่ยศตำแหน่งสูงกว่า

“ไม่ครับท่านผู้การ ผมไม่เห็นด้วย สารวัตรสุทธิทำงานมานานกว่าผมนับสิบปีคงจะทราบดีว่าประเด็นนี้ยังอ่อนไปมาก ถ้าจะเอาให้แน่ใจจริง ๆ ผมอยากจะขอเวลาสักสองสามวันในการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมก่อนสรุปสำนวนคดี”

“ว่าไงสุทธิ”

“แล้วแต่ท่านผู้การอนุมัติเลยครับ ถ้าสารวัตรวัสสะคิดว่ามีเวลามากพอ” สุทธิปลายสายตายิ้มเยาะวัสสะระหว่างพูด วัสสะรู้ในทันทีว่า ‘เวลา’ ที่ชายกลางคนเอ่ยไม่ได้หมายถึงระยะเวลาในการทำคดีแน่นอน

“งั้นก็แล้วแต่คุณแล้วกัน วัสสะ”

“ขอบคุณครับ ผมขอเวลาแค่สามวันเท่านั้น”

“ถ้าอยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกผมได้นะวัสสะ” วัสสะไม่ได้ตอบสุทธิด้วยคำใด มีเพียงสายตาเดือดดาลตอบกลับไปเท่านั้น เขาลุกออกจากที่นั่งทันที ก้มโค้งตัวทำความเคารพนายตามหน้าที่ก่อนจะเดินออกมาด้วยอารามโมโห ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสารวัตรสุทธิจะตกเป็นเหยื่อของท่านเข้าอีกคน ท่านเป็นคนที่ไว้ใจคนยาก ด้วยธุรกิจมืด อำนาจ หน้าที่การงาน หน้าตาในสังคม เรื่องพวกนี้ทำให้วัสสะเชื่อว่าสารวัตรสุทธิคงเป็นเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่เห็นแก่เงินและยศศักดิ์โดยที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย





จะว่าน่าสงสาร คงใช่ แต่ถ้าถามว่าสงสารมั้ย คงไม่





“ท่านคิดจะทำอะไรอีก ทำแบบนี้กับผมทำไม” น้ำเสียงแข็งกร้าวรอดผ่านสายโทรศัพท์ไปอย่างเต็มความโกรธ วัสสะออกจากห้องประชุมใหญ่และเดินดุ่ม ๆ มาขึ้นรถตัวเองทันที ภายในห้องโดยสารร้อนอ้าวยิ่งขับให้วัสสะร้อนใจจนเกินจะทน

“ก็เผื่อว่าแกจะคิดได้ว่าควรจะทำยังไง”

“ผมไม่คิดอะไรอีกแล้วทั้งนั้น เลิกยุ่งกับผมกับกูรสักที ผมสองคนไม่มีทางพูดเรื่องของท่านอยู่แล้ว ท่านก็รู้ ปล่อยเราไปเถอะ”

“วัสสะ แกรู้ว่าฉันปล่อยใครไปไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าไม่ยอมแยกกันตายก็เลิกคิดที่จะไปจากฉันสักที บนหลังเสือมีแต่เรื่องอันตราย แกเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าไม่กลัว”

“จะอะไรกันนักกันหนาวะ! ” วัสสะสบถเสียงดัง ปัดมือตบพวงมาลัยจนส้นมือช้ำเป็นรอยแดง ดวงหน้าโกรธแค้นเกลียดชังทำหน้าวัสสะดูน่ากลัวไปเสียหมด ร่างกายของเขาเกร็งจนเส้นเลือดขึ้นเต็มมัดกล้าม ยิ่งได้ฟัง เขายิ่งอยากพาธารางกูรออกไปให้ไกลจากความเลวร้ายที่มีลมหายใจ

“พูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้ได้ยังไง ไม่ดีเลยนะวัสสะ”

“ผมจะบอกให้นะ ท่านควบคุมผมไม่ได้ทุกเกมหรอก ผู้มีพระคุณอย่างท่านจะเอาชนะผมกับกูรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! ”

“งั้นเหรอ แล้วที่ฉันควบคุมทุกอย่างจนแกต้องฆ่าเพื่อนสนิทปิดปากนั่นเรียกว่าทำไม่ได้เหรอ หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอทำให้วัสสะเจ็บลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ เพื่อนรักของเขา เพื่อนคนเดียวที่ไว้ใจเขามากกว่าสิ่งใด แต่เพราะความจำเป็นไร้ทางเลือก วัสสะจึงต้องทำลายความเชื่อใจทั้งหมดภายในพริบตา

“ท่านบีบให้ผมทำแบบนั้น ตอนนี้สมใจท่านแล้ว จะเอาอะไรอีก อยากให้สารวัตรสุทธิตายอีกสักคนรึไง! ” เสียงของวัสสะขึ้นลงตามจังหวะเข้าออกของลมหายใจ เม็ดเหงื่อมากมายไหลล้อมรอบกรอบหน้า แม้ภายในตัวรถร้อนระอุ แต่ก็ร้อนได้ไม่เท่าในหัวใจของเขา

“เปล่านี่ ฉันแค่อยากให้แกได้รู้ว่าไม่มีทางหนีฉันพ้น จะใคร จะตำรวจหน้าไหน ไม่มีใครช่วยแกได้ มันไม่มีความยุติธรรมให้คนอย่างพวกเราหรอกวัสสะ ถอยกลับมาเถอะ ลองคิดดูเล่น ๆ สิ ต่อให้กูรไม่ตายเพราะน้ำมือแก ต่อให้มันไม่ฆ่าตัวตาย สุดท้ายก็ต้องถูกจับ แล้วคนแบบนั้นก็จะยอมรับความผิดไว้เพียงคนเดียว กูรจะเจออะไรบ้างเมื่อกลายเป็นนักโทษ หรือบางทีอาจจะโดนใบสั่งปิดปากและตายอย่างไม่มีเกียรติ เด็กนั่นช่างน่าสงสารจริง ๆ แกคิดแบบนั้นมั้ย”

“...” เม็ดเหงื่อไหลผ่านดวงตาของวัสสะจนดวงตาคมแสบแปลบขึ้นมา เขากะพริบตาเพียงครั้งเพื่อไล่ความเจ็บปวด ความจริงทำให้คำพูดจุกอยู่ที่ลำคอ ใช่ ไม่มีความยุติธรรมที่ไหนช่วยเหลือคนบาปอย่างเขาและธารางกูรได้ ความกว้างขวางและอำนาจเหนือกฎหมายของท่านสามารถทำให้ชีวิตของพวกเขาพลิกไปมาราวกับปลาใกล้ตายตัวหนึ่ง

“ถ้าคิดอยากเป็นอิสระ อยากใช้ชีวิตที่เป็นของตัวเอง ฆ่าธารางกูรซะวัสสะ”

“ไม่มีวัน! ผมไม่มีทางทำแบบนั้น”

“จงรักภักดีกับกูรมากกว่าฉันจริง ๆ ด้วยสินะ”

“ใช่ และผมจะไม่มีวันผิดสัญญากับกูร! ”

“แล้วแต่แกเถอะ แต่จำไว้นะ ฉันยังสร้างคนที่จงรักภักดีได้อีกหลายคน ฉันเสียแกไปไม่ได้ แต่ฉันไม่ได้เสียดายคนคิดทรยศอย่างธารางกูร แล้วการตัดสินชีวิตคนทรยศมันสนุกมากเลยล่ะ” เรียวมือทั้งสองข้างของวัสสะบีบแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ตอนนี้ท่านต้องการเพียงเอาชนะวัสสะให้ได้ เอาชนะด้วยการใช้หัวใจของเขาเป็นเดิมพัน

“งั้นท่านก็ต้องจำเอาไว้เหมือนกัน ต่อให้ตัวตายผมจะพากูรออกไปจากนรกให้ได้! ”

“หนีเลยมั้ยล่ะ ฉันยังให้เวลา พากันหนีไปให้ไกลเลยนะ”

“ไม่ต้องมาสั่งสอน! ”

“ฉันพูดจริง ๆ รีบไปหากัน เก็บข้าวของแล้วพากันหนี… แต่หนีให้สุดหล้าฟ้าเขียวนะวัสสะ เพราะถ้าแกและกูรหนีไม่พ้น ฉันจะอาสามอบอิสระให้นายเอง หมดเวลาเล่นเกมแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการล่าเหยื่อ… และเหยื่อของฉันชื่อธารางกูร” เสียงหัวเราะร่าที่ดังอยู่ในหูจนกระทั่งอีกฝ่ายวางสายทำให้คนฟังหมดความอดทน วัสสะขว้างเครื่องโทรศัพท์ลงกับเบาะข้างตัว ก่อนที่มันจะกระดอนชนคอนโซลจนหน้าจอแตกไปครึ่งซีก รอยร้าวลึกรุนแรงไม่แพ้สภาพจิตใจของร่างสูง วัสสะทุบมือลงไปที่แตรรถซ้ำ ๆ จนเสียงดังระงมทั่วบริเวณ ไม่นานนักรถคันหรูได้เคลื่อนตัวออกจากซองจอดอย่างฉวัดเฉวียน ทุก ๆ ครั้งที่เหยียบคันเร่ง เสียงหัวเราะของท่านยิ่งกัดลงเข้าไปในจิตใจ ความกลัวและความกังวลทำให้วัสสะไม่อาจหาทางเลือกเดินให้ตนเอง แม้จะเป็นการเดินตามเกม แต่หากทำให้ธารางกูรปลอดภัย วัสสะยินดีที่จะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง





หมากเกมนี้ ชัยชนะต้องไม่เป็นของผู้ควบคุม





“ต้องทำได้ ต้องหนีมันให้ได้! เข้าใจมั้ยวัสสะ! ”









Talk

สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ จบไปแล้วกับตอนที่ 18 หลังจากตอนนี้เรากลับมาสู่สถานการณ์ความเป็นจริงกันนะคะ มาลุ้นกันว่าวัสกับกูรจะเป็นยังไงต่อ ^^

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ทุกวิวเอาไว้ ณ ที่นี้ค่า

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อีท่านมันโรคจิตชัดๆ  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอยยยยยนี่เราหนีไปนอนนาเต็มพลังเพื่อมาเจออะไรแบบนี้เหร๊อออออ คนอย่าง 'ท่าน' ฆ่าหมกนาจะกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นข้าว หรือจะทำให้ดินเป็นพิษจนปลูกอะไรไม่ขึ้นกันแน่นะ

วัสกับท่าน มีความเกี่ยวข้องกันยังไงก็ไม่ชัดเจน แต่พอเดาๆได้จากการที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้ความเกรงใจ และ ท่านบอกไม่อาจเสียวัสไปแต่สามารถฆ่ากูรได้โดยง่าย

ท้ายที่สุดเราอาจจะเสียทั้งสองคนไปก็ได้สินะ เฮ้ออออออออ ไปโดดสะพานสารสินกันเถอะ วัสกูร

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 19 กลิ่นคำขู่อาละวาด

“คุณวัสยังไม่ได้บอกผมเลยนะครับ ว่าจะเก็บของไปไหน”

“เราคงต้องไปสักที่ ที่ไหนก็ได้ ไปใช้ชีวิตของเราสองคน”

“เราต้องหนีใช่มั้ย...” วัสสะที่พยายามยัดเสื้อผ้าลงในกระเป๋าเดินทางหยุดการกระทำและหันไปสบตากับธารางกูร ร่างสูงขับรถมาถึงที่นี่เมื่อราวสิบนาทีก่อน และแน่นอนว่าเขาไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงใด ๆ คว้ากระเป๋ามาเก็บข้าวของเพียงเล็กน้อยสำหรับคนสองคนทันที ระยะทางบนท้องถนนช่วยให้วัสสะคิดถี่ถ้วนมากพอแล้ว เขาไม่อาจเลือกทางอื่น และไม่มีทางเลือกไหนที่จะใช้ปกป้องธารางกูรได้ดีกว่านี้

“ผมไม่ได้กลับไปที่บ้าน เราเอาเสื้อผ้าไปแค่คนละสองชุดก็คงพอ ค่อยไปหาซื้อข้างหน้า” วัสสะเลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็นคำถามของธารางกูร ดวงตาคมวูบไหวเพราะกลัวว่าคนรักจะตีความว่าตนเองขี้ขลาด ใช่ เขากำลังคิดหนี คิดหนีเพราะคำขู่ คิดหนีเพราะในใจขลาดกลัวไปหมด หมดแล้วความกล้าหาญทั้งหมดที่วัสสะเคยมีในชีวิต ณ วินาทีนี้ต่อให้ต้องลดศักดิ์ศรีของตนลงมาเดินตามเกมหน้าซื่อ ๆ เขาก็ยินดี

“คุณวัสครับ คุณต้องตอบผมก่อน” ธารางกูรคว้ามือหนามารั้งเอาไว้ ร่างบางใช้สองมือบีบเบา ๆ ที่มือข้างนั้นของวัสสะ คนตัดสินใจมองลึกลงไปในดวงตาคู่กลมอย่างรู้สึกผิด เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่อยากคิดถึงภาพที่ต้องพากันหนีหัวซุกหัวซุน แต่คำพูดของท่านมันบีบบังคับให้ทำอะไรสักอย่าง ทำสักทางที่ดีกว่าการยืนรออันตราย มันหมดเวลาแล้วจริง ๆ





“หนีให้สุดหล้าฟ้าเขียวนะวัสสะ เพราะถ้าแกและกูรหนีไม่พ้น ฉันจะอาสามอบอิสระให้แกเอง หมดเวลาเล่นเกมแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการล่าเหยื่อ… และเหยื่อของฉันชื่อธารางกูร”





หมดเวลายืนรอฝนตกฤดูหนาวอย่างไร้ความหวัง





“เรามีทางเลือกน้อยลงทุกทีแล้วกูร”

“หมายความว่ายังไงครับ”

“สารวัตรสอบสวนที่ทำคดีดารัณเป็นคนของมัน ผมปิดคดีลงไม่ได้ ครั้งนี้คดีหลุดจากการควบคุมของผมไปแน่” ธารางกูรอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาไร้ความหวังในชีวิตชัดเจนขึ้นมาคล้ายกับความปรารถนาที่มีเลือนรางลงไปทุกที

“จะเป็นยังไงต่อครับ...”

“ท่านกำลังทำทุกอย่างให้เราสองคนไม่มีที่ยืน มันต้องทำทุกทางเพื่อทำลายเรา”

“ไม่ใช่เราหรอกครับ… แค่ผมคนเดียว”

“กูร”

“แล้วถ้าเราตัดสินใจถอยกลับไปยืนจุดเดิมล่ะครับคุณวัส” กลุ่มน้ำใสไหลออกจากนัยน์ตาคนที่กำลังหวาดกลัวสิ้นหวัง ธารางกูรหาได้กลัวอันตรายหรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตน หากแต่เขากำลังนึกเป็นห่วงคนข้างกายสุดใจ วัสสะไม่ควรต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ยิ่งรับรู้ ยิ่งรู้สึก ยิ่งได้ความรักมาครอบครอง ธารางกูรยิ่งรู้สึกผิดอยู่เต็มอก

“ฟังนะกูร ผมเชื่อว่าตอนนี้ต่อให้เรากลับไป มันก็ไม่ปล่อยเราไว้แน่ ผมมีทางเลือกแค่สองทาง ถ้าไม่หนี ผมก็ต้องฆ่ามัน”

“คุณวัสจะฆ่าท่านไม่ได้นะครับ”

“ผมทำได้คุณก็รู้”

“แต่คุณวัสจะทำแบบนั้นไม่ได้! ” ธารางกูรเหวขึ้นมาเสียงดัง ร่างสูงชะงักไปพลางเม้มเรียวปากอย่างคนคิดหนัก อันที่จริงถ้าร่างสูงตัดสินใจจบทุกอย่างที่ตัวต้นเหตุ แค่ลั่นปืนสักครั้งหรือผสมไวน์ให้กินสักแก้วเรื่องก็คงจบ แต่ในความเป็นจริง บางเรื่องมันค้ำคอจนไม่อาจกระทำได้ในการตัดสินใจเพียงครั้งเดียว

“รู้อะไรมั้ยกูร ถ้าคุณไม่เคยขอผมไว้ ผมฆ่ามันตายไปนานแล้ว”

“ผม...”

“เพราะงั้นอย่าตั้งคำถามกับผมอีกเลยนะ ผมกำลังหาทางที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน ผมจะทำเพื่อคุณ เพื่อคุณทั้งหมดเลย”

“แต่ว่า...”

“ผมสัญญาแล้วว่าจะพาคุณออกไปจากนรก ผมจะทำให้ได้ ผมสัญญา” ธารางกูรพยักหน้ารับคำสัญญาจากวัสสะ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาเป็นสายเพราะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เด็กกำพร้าคนหนึ่งจะต้องการอะไรมากมายในชีวิตเมื่อครั้งเติบโตขึ้น ชื่อเสียง เงินทอง หรือว่าบ้านหลังใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งที่ธารางกูรต้องการไม่ได้ใกล้เคียงสิ่งลวงพวกนั้น ที่เขาต้องการนั้นมีเพียงตัวตนและคนที่เขารัก

“ไม่คิดเลยว่าเวรกรรมจะตามตัวกันเจอเร็วขนาดนี้”

“ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะอยู่กับคุณเสมอ ไม่ว่าเวรกรรมหรือใครหน้าไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ทั้งนั้น” วัสสะออกแรงบีบมือกลับไป ก่อนจะใช้มืออีกข้างปาดเช็ดคราบน้ำตาอย่างรักใคร่เอ็นดู ใบหน้าวิตกกังวลเคล้าความเศร้าไม่เหมาะกับร่างบางสักเท่าไหร่ ที่วัสสะต้องทำตอนนี้คือรีบลบร่องรอยสะท้อนใจให้จางลงไปเสียที

“ผม… ผมไม่อยากให้คุณวัสทิ้งทุกอย่างไป”

“ผมรู้ แต่คุณสำคัญที่สุด” วัสสะดึงมือที่จับกันไว้แน่นเข้าหาตัว ทั้งสองกอดเคลื่อนกายกอดกันเพื่อสร้างแรงกำลังใจที่ดีที่สุด วัสสะตบลงเบา ๆ ที่แผ่นหลังเล็กนั่น ระหว่างที่ธารางกูรโอบกอดช่วงเอวของเขาเอาไว้พลางจิกปลายมือจนเกิดรอยยับตึงไปทั่วตัวเสื้อ ความอบอุ่นในช่วงเวลานี้เป็นเพียงฉากหน้าของความรู้สึกเท่านั้น อย่างไรภายในใจทั้งคู่ก็ยังหนาวเย็นและรอคอยเม็ดฝนที่จะมอบชีวิตเช่นเดิม

“เราจะหนีไปได้จริง ๆ ใช่มั้ยครับ”

“ได้สิ เราสองคนจะทำได้” ริมฝีปากหนาก็ซับจูบลงที่หน้าผากขาวเนียน ธารางกูรปิดเปลือกตาลงกอดวัสสะเอาไว้แน่น เรียวมือเกร็งกดลงกับผืนเสื้อด้วยอาการสั่นกลัวจนร่างสูงรับรู้ได้ทั้งหมด ลมแรงพัดผ่านผืนม่านเปิดโล่งเข้ามาเป็นระลอกสุดท้าย ความหนาวมอบกลิ่นฝนโชยคลุ้งชัดเจนราวกับให้ความหวัง เมื่อไหร่ที่ฝนตกผิดฤดูกาล เมื่อนั้นชีวิตของพวกเขาคงหวนกลับคืนสู่ตัวตนอีกครั้ง





ตกลงมาสักทีเถิดฝน อย่าหยอกล้อกันนานนักเลย





ของทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นถูกเก็บลงในกระเป๋าเพียงหนึ่งใบ สำหรับธารางกูรการย้ายที่อยู่หรือการเดินทางไปเรื่อย ๆ เป็นเรื่องแสนปกติธรรมดาในชีวิต ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เคยทำเช่นนี้เพื่อตอบสนองคำสั่งของนายท่านคนเดิม ปรุงแต่งตัวตน เข้าใกล้ใครสักคนเพื่อหวังผล และจบตัวตนนั้นลงตัวการคร่าอย่างน้อยหนึ่งชีวิต แต่สำหรับครั้งนี้ มันเป็นครั้งแรกที่การเดินทางของเขาจะหลุดออกจากกรงเหล็กที่ขังอิสรภาพเอาไว้เสียที

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนดึกสงัด แต่แสงไฟของห้องหมายเลขห้าศูนย์หนึ่งศูนย์ยังคงสว่างชัดท่ามกลางความเงียบงันและกลิ่นไอฝนซึ่งเข้มรุนแรงขึ้นทุกที หลังจากที่ปล่อยเวลาให้ไหลไปในทิศทางที่เหมาะสม คนทั้งคู่ก็เริ่มเดินวนไปมารอบบริเวณห้องเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง โดยเฉพาะวัสสะที่ไม่เพียงวิตกเรื่องตรงหน้าเท่านั้น แต่ในสมองของเขากำลังวางแผนในการใช้ชีวิตเป็นฉาก ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

“เก็บติดตัวไว้” วัสสะดึงปืนของตนออกจากช่วงใต้ราวนมด้านขวา ซองปืนพกคาดอกทำให้เห็นว่าเขายังมีปืนติดตัวอยู่อีกหนึ่งกระบอก อาวุธอันตรายถูกยื่นช่วงตัวด้ามไปตรงหน้าธารางกูร ทว่าร่างบางกลับส่ายหน้าปฏิเสธและดันมือของวัสสะคืนมาทันที

“ไม่เอาครับ”

“ผมไม่ว่าหรอก พกไว้เถอะกูร เผื่อว่าเราจะคลาดกัน”

“ไม่ครับ เราจะไม่คลาดกัน” มือเรียวเล็กใส่ปืนลงซองที่เดิมด้วยตนเอง วัสสะพยักหน้าเข้าใจและยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นจากธารางกูร แค่ได้ยินแบบนี้ แค่รู้สึกว่าธารางกูรไว้ใจที่จะอยู่กับเขาแบบนี้ หัวใจมันก็ฟูขึ้นมาจนคับอก

“โอเคครับ ใส่เสื้อซะข้างนอกหนาว” วัสสะเอื้อมมือไปลูบช่วงศีรษะของธารางกูรด้วยความรัก ก่อนที่เขาจะยื่นเสื้อกันหนาวสีเทาให้ธารางกูรสวมเอาไว้ป้องกันร่างกายจากสภาพอากาศภายนอก ขณะที่ตัวเขาเองเลือกเสื้อโค้ตสีดำตัวยาวสวมทับลงไปปกปิดอาวุธที่ขนาบอยู่บนตัว

“ตกลงเราจะไปที่ไหนกันครับคุณวัส”

“ผมคิดว่าควรจะเป็นชานเมืองใกล้ ๆ ก่อน ผมไม่อยากไปไกลนัก รอติดต่อคนที่พอจะช่วยเราได้สักคนแล้วค่อยเดินทางต่อ กลุ่มเส้นสายของท่านจะยิ่งทำงานง่ายถ้าเราเดินทางยาวครั้งเดียว รอสบโอกาสเหมาะ ๆ แล้วเราค่อยหาทางออกนอกประเทศกัน” วัสสะสะพายกระเป๋าเดินทางใบเดียวเอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง กระเป๋าสีดำทรงกระบอกใบนี้มีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ เอกสารเท่าที่จำเป็น ที่ขาดไปไม่ได้คือเครื่องกระสุนปืน และขวดยาผลึกขาวไร้กลิ่นสีที่ธารางกูรและวัสสะเคยใช้จนชินมือ

“ครับ...” ธารางกูรตอบรับด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก ที่ทุกอย่างยุ่งยากส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขา ชีวิตจริงนามชยางกูรถูกตัดหายไปจากโลกไปนี้ร่วมสิบกว่าปี ส่วนตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นอย่างธารางกูรก็เป็นเพียงชีวิตที่ล่องลอยไร้หลักฐาน เอกสารที่บ่งชี้การมีอยู่ของธารางกูรทุกวันนี้ ท่านเป็นคนเสกสรรให้ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นมาทั้งหมด นั่นหมายความว่าหากธารางกูรคิดจะหลบหนีไปในทางทิศใด ท่านก็จะสามารถสกัดกั้นและเสกให้ตัวตนของเขาหายไปได้ในทันที





มีชีวิต มีตัวตน แต่เหมือนไม่มี



“อย่าทำหน้าแบบนั้น ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี” วัสสะสร้างกำลังใจด้วยการโน้มใบหน้าลงจูบที่ริมฝีปากของธารางกูรอย่างแผ่วเบา สัมผัสเพียงด้านนอกร้อนผ่าวขัดกับสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้นจริง ทั้งคู่ยิ้มกว้างให้กันทั้งที่ขัดกับอารมณ์ในแววตา แสงสว่างในห้องถูกปิดลงระหว่างที่ผ้าม่านผืนเดิมยังคงพัดไหวรับลมหนาวต่อเนื่องไม่ได้หยุด





นี่ไม่ใช่จุดจบแสนระทึก ไม่ใช่การเริ่มต้นน่าตื่นเต้น

แต่มันเป็นเพียงช่วงใจกลางที่ผูกเรื่องราวเอาไว้กับหัวใจ





ห้องห้องเดิมถูกปิดลงเมื่อคนสองคนเดินตามกันมา ธารางกูรเดินนำไปเบื้องหน้าระหว่างที่วัสสะสอดส่ายสายตามองอยู่เบื้องหลัง ช่วงเวลานี้คนส่วนใหญ่คงจะนอนหลับและคิดถึงเรื่องราวดี ๆ ในความฝัน แต่สำหรับสองชีวิตตรงนี้มีเพียงความเป็นจริงเท่านั้นที่จะทำให้หลับฝันได้อย่างคนทั่วไป

“กูร อย่ามอง” วัสสะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบขณะที่เดินออกนอกตัวตึก เขาเห็นชัดเต็มสองตาว่ามีชายสวมฮู้ดสีดำมองมาแต่ไกล และที่สำคัญ รอยยิ้มที่มุมปากใต้เงามืดนั่นไม่ต่างอะไรกับการเย้ยหยันให้รู้ไว้ว่าไม่มีทางหนีพ้นได้ดั่งใจ

“เขาตามเราไปแน่ ๆ ”

“ช่างสิ ถ้าคิดว่าตามได้ตลอดก็ลองดู” วัสสะหันกลับไปมองชายคนเดิมด้วยดวงหน้าที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ชายคนนั้นค่อย ๆ ถอยตัวออกไปจนลับตา แต่ทว่านั่นไม่ได้ทำให้วัสสะรู้สึกสบายใจขึ้นได้เลยสักนิด ร่างสูงเริ่มกังวลว่าทุกอย่างจะติดขัดตั้งแต่ค่ำคืนแรก เมื่อถึงรถคันเก่งสิ่งแรกที่เขาทำคือการยื่นกุญแจให้ธารางกูรและเดินสำรวจรอบคัน ไม่เว้นแม้แต่การก้มมองหาสิ่งผิดปกติใต้ตัวรถท่ามกลางแสงสว่างอันน้อยนิด

“โอเคมั้ยครับคุณวัส”

“โอเค คุณขับไปก่อน เราค่อยไปหาทางเปลี่ยนรถเอาข้างหน้า” ธารางกูรพยักหน้ารับและเริ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ทันที ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เบาะข้างคนขับ กดปิดระบบจีพีเอสที่ฝังมากับรถหรูบนหน้าจอควบคุม และปรับกระจกมองหลังให้อยู่ในระดับสายตาของตนแทนที่จะเป็นคนขับ

วัสสะจ้องกระจกมองหลังไม่วางตา ทุกอย่างตึงเครียดขึ้นเพราะความไว้วางใจในสถานการณ์แทบจะเป็นศูนย์ และแน่นอน สัญชาตญาณของเขาไม่เคยผิดไป รถซีดานสองคันขับทิ้งระยะห่างกันสม่ำเสมอ และใช้เส้นทางตามพวกเขามาอย่างผิดปกติ ช่วงเวลาเช่นนี้คงไม่มีใครคิดจะออกนอกเมืองพร้อมกันเป็นแน่

“มีคนตามเรา”

“ผมรู้ คุณใจเย็น ๆ ขับตามเส้นทางของเราไปก่อน” วัสสะว่าขณะที่ธารางกูรเพิ่มความเร็วมากขึ้นเพราะไม่อาจทำใจให้เย็นตามที่ร่างสูงพูดได้

“คุณวัสจะทำอะไรครับ”

“เผื่อต้องใช้ คุณขับไปเถอะ อย่าตื่นเต้น” วัสสะเอื้อมมือสัมผัสช่วงศีรษะคนขับรถเพื่อให้กำลังใจ ขณะที่อีกมือกำด้ามปืนเอาไว้แน่น อันที่จริงวัสสะไม่อยากจะให้ความรุนแรงใดเกิดขึ้นในที่สาธารณะนักหรอก แต่ไอ้การที่รถสองคันนั่นขับตามราวกับไม่มีเส้นทางเป็นของตัวเอง มันทำให้เขาไม่สบายใจที่จะมีเพื่อนร่วมทาง

“คุณวัสครับ โทรศัพท์ผม” ธารางกูรใช้มือหนึ่งดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้กับวัสสะ ก่อนที่เขาจะหันมาสนใจการขับรถต่อและมองดูสถานการณ์เบื้องหลังผ่านกระจกมองข้าง วัสสะรับเครื่องโทรศัพท์มาไว้ในมือ และเห็นอยู่เต็มตาว่าสายที่โทรเข้ามาจนเครื่องส่งเสียงเป็นใคร

“หึ ไอ้สารเลว”

“คุณวัสจะไม่รับเหรอครับ”

“ไม่ ผมยังไม่เห็นความจำเป็นใดที่เราจะรับสายเขา” วัสสะมองหาอุปกรณ์เท่าที่มีในรถ คว้าคลิปหนีบกระดาษมากดช่องซิมการ์ดออกมา และกระทำการเช่นเดียวกับโทรศัพท์ตัวเอง ซิมการ์ดขนาดเล็กปลิวไปตามแรงลมทันทีที่ร่างสูงลดกระจกลง อุปกรณ์สื่อสารสองเครื่องถูกโยนไปยังเบาะหลังอย่างไร้ค่า

“เฮ้ย! ” ธารางกูรร้องเสียงหลงเพราะเมื่อครู่พวกเขามัวแต่สนใจเครื่องโทรศัพท์ รถซีดานสีเทาที่ขับตามมาเร่งความเร็วปาดหน้าในชั่วพริบตา ธารางกูรเหยียบเบรกสุดกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ตัวรถหมุนเคว้งระยะหนึ่งก่อนที่เสียงล้อเสียดสีกับพื้นถนนจะดังก้องไปทั่วบริเวณ วินาทีนั้นวัสสะตั้งสติได้รวดเร็วกว่าสิ่งใด เขาเอื้อมมือขวากดอกของธารางกูรให้ร่างกายแนบไปกันเบาะหนัง ความเป็นห่วงที่มีมากเกินไปทำให้เขาลืมคิดถึงตัวเองที่ไม่มีแม้แต่เข็มขัดนิรภัยรั้งร่างเอาไว้

“เป็นอะไรรึเปล่ากูร”

“ป...เปล่าครับ” หัวใจของธารางกูรเต้นทะลุผ่านมายังมือของวัสสะเมื่อรถนิ่งสนิท รถแลนด์โรเวอร์จอดเอียงขวางถนนไปทั้งเลน คนทั้งคู่สบมองกันเมื่อรถซีดานสองคันขับเข้ามาขนาบหน้าหลังโดยไม่ลืมที่จะลดความเร็วลงราวกับจะแวะทักทาย วัสสะดึงมือกลับมาชักลำกล้องปืนให้อยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมทันที แต่ทว่าความเร็วของเขานั้นไม่อาจสู้คนที่คิดมาแล้วแต่ไกล





ปั้ง!





“กูร! ” เสียงปืนสนั่นหวั่นไหวรวดเร็วรุนแรงเกินกว่าคาด วัสสะทิ้งปืนในมือพุ่งตัวเข้าโอบกอดธารางกูรเอาไว้โดยไม่ต้องหยุดคิด รถสองคนเร่งความเร็วออกไปทันทีเมื่อคำขู่แรกสัมฤทธิผล แรงกระสุนกระทบตัวรถทำให้ธารางกูรสั่นขึ้นมาเพราะหวาดกลัว ดวงตากลมเลิ่กลั่กมองใบหน้าและร่างกายของวัสสะเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใด ๆ

“ค..คุณวัสไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”

“ไม่ ผมไม่เป็นอะไร” แม้จะเป็นท่าทางการโอบกอดที่ยากเย็น แต่ทั้งคู่ก็ยังโหยหาที่จะเอื้อมสุดแขนเพื่อรั้งกันและกันเอาไว้ หัวใจสองดวงเต้นแข่งกันไม่เป็นระส่ำ ความรู้สึกเป็นห่วงใจจะขาดวิ่งแล่นไปทั่วร่าง วัสสะรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะหนีไปให้ไกล แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะยากเย็นกับหัวใจถึงเพียงนี้





หากนี่เป็นคำขู่

มันคงเป็นคำขู่ที่แผลงฤทธิ์อาละวาดจนคนเข้มแข็งเริ่มหวาดกลัว






Talk

สวัสดีค่า กำลังจะเข้าสู่ช่วงท้ายของเรื่องแล้ว อย่าลืมให้กำลังใจทั้งตัวคนเขียน และตัวละครด้วยนะคะ ลองคาดเดากันดูเล่น ๆ ว่าเรื่องจะไปทางไหนดี มีความเห็นติชมกันได้นะคะ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกยอดวิว ทุกกำลังใจเช่นเคยค่ะ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อิท่านมันเป็นพ่อของวัสใช่รึเปล่าคะ
เพราะดูแล้วกูรพยายามพูดไม่ให้วัสฆ่าอิท่านเลย
นี่ก็ตามจองล้างกูรมันอยู่นั่นแหละ
กูรมันไปทำไรให้ถึงเลือกเอามันมาเป็นทาสแบบนี้

โอ้ยยยย !!! รวมพลังกันฆ่าอิท่านเถอะ
ไม่งั้นก็หนีไม่พ้นหรอก หรือจะหนีพ้นก็ต้องไปแต่วิญญาณละ
 :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดูเหมือนกูรจะไม่มีทางให้เลือกเลยสินะ ชีวิตต้องเดินตามเส้นที่ถูกขีดไว้แล้ว นั่นมันในความคิดของ ท่าน ฝ่ายเดียวค่ะ เราเชื่อในตัววัส วัสเองก็คงร้ายไม่น้อยไปกว่า ท่าน หรอก เราเชื่อแบบนั้น แต่ถ้าไม่ ก็ ไปวัดดวงเอาชาติหน้าเนอะ อาวุธครบมือขนาดนั้น งานถนัดของทั้งสองคนอยู่แล้วด้วย กับคนอื่นยังจัดการได้ง่ายๆ แค่กับตัวเองมันจะยากอะไร

ออฟไลน์ be-silent

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
บทที่ 20 ฝนนั้นคอยปลอบใจ

“ถ้าพี่เข้าห้องตอนนี้ ผมคิดสองวันนะ” คนตอบรับไม่พูดอะไร วัสสะดึงแบงค์พันจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ชายวัยรุ่นท่าทางไม่สนใจโลกรับเงินมาทั้งที่มืออีกข้างหนึ่งยังคีบบุหรี่ควันฉุย วัสสะรีบหยิบกุญแจห้องหนึ่งศูนย์เจ็ดด้วยกิริยาไม่สนใจใครไม่แพ้กัน เขากระชับประสานมือของธารางกูรด้วยมืออีกข้างให้แน่นกว่าเดิม ทั้งคู่พากันเดินเข้าที่พักสวนทางกับแสงสว่างที่เพิ่งจะโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า

บรรยากาศโรงแรมโนเนมขนาดเล็กแถบชานเมืองก็เป็นเช่นนี้ เล็ก แคบ ไม่สะอาดสะอ้านเท่าที่ควร และเหมาะกับลูกค้าที่ต้องการทำกิจกรรมรายชั่วโมงมากกว่า แต่นับว่ายังโชคดีที่ภายในห้องยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอพักอาศัยให้ผ่านวันเวลาไปได้

“คุณนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะลองติดต่อคนที่พอจะช่วยเราได้” วัสสะว่าขณะที่เดินมาล็อกประตูห้องให้แน่นหนา ธารางกูรนั่งลงกับเตียงพร้อมกับการสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ทดแทนอาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นมาทั้งคืน

“ผมรอนอนพร้อมคุณวัสดีกว่าครับ” วัสสะหันมามองคนตอบขณะจัดการกับเครื่องโทรศัพท์และซิมการ์ดใหม่ที่ได้มาจากร้านสะดวกซื้อ ธารางกูรยังคงดูกังวลและไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย นั่นสินะ เจอเรื่องแบบนั้นมาหมาด ๆ แถมยังไม่รู้ว่าจะต้องเยอะอีกเท่าไหร่ ใครจะไปสบายใจหลับตาได้ลง

“งั้นระหว่างรอ คุณไปอาบน้ำดีมั้ย เผื่อจะสดชื่นขึ้น”

“ครับ” ธารางกูรรับคำอย่างว่าง่ายเพราะอยากจะให้สมองโล่งอยู่เหมือนกัน ร่างบางเปิดกระเป๋าคว้าหยิบของใช้เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่สนใจเสื้อผ้า วัสสะมองภาพการเคลื่อนไหวเชื่องช้าแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจอยู่ลึก ๆ ไม่คิดเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเขาจะเดินจูงมือธารางกูรมาในทิศทางนี้ ทิศทางที่ไม่ต่างอะไรกับคำว่าอาชญากรที่พวกเขาปฏิเสธอยู่ในใจว่าไม่ได้เป็น

ย้อนกลับไปหลายชั่วโมงก่อน รถแลนด์โรเวอร์ถูกยิงเข้าที่ใต้ซุ้มล้อหน้าด้านขวา วัสสะตัดสินใจขับมันต่อด้วยตัวเอง และจอดทิ้งไว้ริมทางก่อนจะถึงท่ารถออกนอกเมืองไม่กี่ร้อยเมตร ร้านสะดวกซื้อมีข้าวของมากมายเพียงพอที่จะทำให้สะดวกขึ้น ทั้งของใช้ ของกิน เครื่องดื่ม หรือแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ใหม่ที่พอจะทำให้ติดต่อคนที่ไว้ใจได้

วัสสะเปิดเบอร์ใหม่และปิดระบบจีพีเอสหรือระบบอื่นใดที่จะระบุตำแหน่งได้ทั้งหมด ส่วนเครื่องโทรศัพท์ของธารางกูรถูกทิ้งไว้ในรถอย่างตั้งใจแต่แรก ไม่นานนักร่างสูงก็โทรหาญาติผู้ใหญ่ของผู้เป็นแม่หรือข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่พอจะเคยรักใคร่กันเพื่อหาทางรอดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ทว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายราวกับเทพนิยายปรัมปรา

“ผมแค่อยากให้ช่วยพาออกไปตรงด่านชายแดนเท่านั้นเองครับ… เปล่าครับ ท่านไม่ทราบเรื่อง” แม้วัสสะจะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด แต่สายแล้วสายเล่าก็ยังปฏิเสธการช่วยเหลือ ไม่มีใครยินดียื่นมือเข้ามาเมื่อมีชื่อของท่านเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือที่เลวร้ายที่สุด แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยถึงท่าน คนเหล่านั้นก็ยังจะย้อนถามกลับมาด้วยความกังวลอยู่ดี

“ครับคุณลุง ไม่เป็นไรครับ” สายสุดท้ายปฏิเสธความเดือดร้อนของเขาอย่างไร้เยื่อใย วัสสะทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ยกสองมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองอย่างคนอับจนหนทาง อาการวิตกเริ่มเปลี่ยนเป็นความเครียดจนเส้นเลือดบริเวณขมับปูดโปนขึ้นมา ร่างสูงก้มมองมือตัวเองพร้อมตั้งคำถามในใจว่าทำไมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมแม้แต่จะคิดหนียังไม่มีแม้แต่ทางไป

ขณะเดียวกันธารางกูรก็ปล่อยสายน้ำเบาไหลผ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในสมองโล่ง ๆ ของเขาตอนนี้มันคิดอะไรอยู่ แปลกดีนะที่รู้สึกอยากจะร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นวัสสะทุ่มเททั้งชีวิตเพราะรักเขาเหลือเกิน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องรู้สึกกับความรัก รักของวัสสะที่ไม่รู้จะสรรหาวิธีใดมาตอบแทน

.

.

.



“ค...คุณวัส”

“กูรมาทำอะไรที่นี่ ทำไมสภาพเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี จับตัวธารางกูรพลิกซ้ายขวาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาแอบตามธารางกูรออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงค่ำ หัวใจกระวนกระวายบอกให้เขาตามมาเพราะทุกอย่างดูผิดสังเกตนับตั้งแต่ที่ธารางกูรเข้าพบท่านเมื่อวันก่อน และภาพที่เห็นตอนนี้ยิ่งทำให้หัวใจเขากระวนกระวายยิ่งกว่าเก่า เสื้อผ้าของธารางกูรยับยู่ยี่ ใบหน้าเปียกชื้นผ่านการร้องไห้มาไม่มากก็น้อย ทั้งร่างกายยังชุ่มไปด้วยเหงื่อและน้ำเสียงแหบพร่าเกินกว่าจะอยู่ในสถานการณ์ปกติ

“ผม…” ธารางกูรมีท่าทีกังวลเกี่ยวกับภายในห้องพักที่เพิ่งจะโซซัดโซเซออกมา วัสสะหัวเสียรุนแรงราวกับคนผิดหวัง เขากระชากแขนคนอายุน้อยกว่าและพยายามคาดคั้นให้ได้คำตอบ ภายในใจอยากจะเข้าไปดูเหลือเกินว่าธารางกูรมาที่ห้องพักชั่วคราวนี่กับใคร แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาอยู่ในสถานที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้

“วัสถามอยู่ ไม่ได้ยินเหรอ! ”

“โอ๊ย! คุณวัสครับผมเจ็บ” ธารางกูรเซตามแรงมือของวัสสะทันที ร่างบางนิ่วหน้างอตัวทั้งที่โดนบีบแค่บริเวณแขน วัสสะรีบปล่อยมือเพราะความสงสัยที่มีมากขึ้น เขาเลิกปลายแขนเสื้อของธารางกูรขึ้นก่อนจะเห็นรอยช้ำแดงเป็นแนวยาวคล้ายถูกทุบตีด้วยของแข็ง ความไม่เข้าใจทำให้ดวงตาคมทวีความหงุดหงิด วัสสะกระชากชายเสื้อของธารางกูรขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายพยายามฝืนแรงปิดบัง

“ไปโดนอะไรมา! ” ธารางกูรหน้าเสียไปจนหยดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม แผงฟันขาวกัดริมฝีปากตัวเองจนแน่น ร่างสูงจึงต้องสรุปที่มาที่ไปของร่องรอยที่เห็นด้วยตนเอง รอยขบเม้มบนผิวกายขาวปรากฏชัดเป็นรอยใหม่นับสิบรอย รอยเดียวกับที่แขนโผล่ให้เห็นแทบจะเต็มพื้นที่หลัง สีข้างเอวช้ำแดงและพร้อมจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งวัสสะสังเกตให้ดี เขายิ่งเห็นว่าที่ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างของธารางกูรผ่านการดิ้นรนมาจนกระทั่งเล็บเปิดเลือดช้ำ ทั้งที่โดนกระทำมาขนาดนี้ ธารางกูรยังเลือกที่จะปิดปากเงียบ แล้วจะไม่ให้วัสสะโมโหมากขึ้นได้ยังไงกัน

“ผม...”

“ท่านให้กูรมาทำอะไร กับใคร มันทำอะไรกูรใช่มั้ย! ”

“คุณ...คุณวัสอย่าเข้าไปครับ”

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะกูร” ธารางกูรกลับพยายามรั้งวัสสะเอาไว้ และกึ่งลากกึ่งจูงให้เขาออกห่างจากตรงนั้น วัสสะผู้ไม่เข้าใจมองตามสายตาสั่นกลัวของธารางกูรไปในทิศทางเดียวกัน ร่างกายข้าง ๆ ตัวสั่นเทิ้มเกินกว่าจะยอมรับไหว วัสสะออกแรงสะบัดแขนแบบไม่คิดชีวิต เขาพุ่งตรงเข้าไปใต้ม่านผ้าใบทันที ทว่าภาพที่เห็นภายในกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วราวกับจับต้นชนปลายไม่ถูก

“คุณวัสครับ อ... ออกไปเถอะครับ”

“นั่นใคร” วัสสะหันไปสบตาธารางกูรที่วิ่งเข้ามาเกาะแขน มือเรียวเล็กจิกเข้าลำแขนของคนที่โตกว่าโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสับสนไม่กล้าแม้แต่จะมองภาพตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ ประตูห้องพักถูกเปิดทิ้งไว้เผยให้เห็นความยับเยินภายใน ชายคนดังกล่าวยังคงดูเหมือนมีสติดี เขาพยายามเดินออกมาเปิดประตูรถหรูของตัวเอง พลางมองกดสายตามาที่ธารางกูรด้วยความเกลียดแค้นชิงชัง

“มึงเอาอะไรให้กูกิน! ” เสียงตวาดลั่นดังขึ้นก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะคว้าปืนขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ วัสสะตื่นตระหนกระหว่างที่ธารางกูรผวาตัวออกมาพยายามกันร่างสูงให้อยู่เบื้องหลัง

“กูรทำอะไร”

“ค...คุณวัสระวังครับ” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่ธารางกูรกลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะป้องกันอีกฝ่ายไว้ อาการร้อนพิลึกในกายทำให้ร่างบางกลายเป็นคนอ่อนเปลี้ย สุดท้ายธารางกูรจึงแพ้แรงของวัสสะและกลายเป็นคนที่หลบภัยอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายแทน

“มันเกิดอะไรขึ้น”

“ฮึก...”

“กูร! กูรต้องบอกวัส! ”

“ผม...” ธารางกูรไม่สามารถบังคับตัวเองให้ตอบออกไปได้อย่างปกติ อีกทั้งความจริงที่อึดอัดใจยังจุกตันอยู่ที่ลำคอ เขาจะพูดได้ยังไง จะพูดได้ยังไงว่าถูกส่งมาที่นี่เพื่อวางยาฆ่าคน จะพูดได้ยังไงว่าร่างกายของเขาเกือบจะมีตราบาปแสนสกปรก กูรจะบอกคุณวัสของเขาได้ยังไงว่าตัวเขามันอันตรายและน่าขยะแขยงเสียยิ่งกว่ายาพิษนั่น

“โธ่เว้ย! ” วัสสะหันไปตวาดใส่ธารางกูรเต็มเสียงขณะที่ชายตรงหน้ากำลังล้มลุกคลุกคลานราวกับควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ วัสสะไม่อาจรอให้ได้คำตอบที่พอใจ เขาพุ่งเข้าไปหาคนที่พยายามบังคับสองมือเล็งปืนมายังคนทั้งคู่ แต่ก่อนที่จะหาทางล็อกตัวเอาไว้อย่างตั้งใจ ประโยคเฮือกสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะทรุดตัวลงไปกับพื้นก็ทำให้วัสสะชาไปทั้งตัวเหมือนคนที่เพิ่งพบเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน

“ก...แกไม่ใช่เด็กข...ขาย ท่านวรพจน์ส่งแกมาปิดปากฉันใช่มั้ย!! มันส่งแกมาวางยาฆ่าฉันใช่มั้ย!! ”

“เด็กขาย ท่านส่งมางั้นเหรอ...”

“ย...อย่าให้ฉันรอดไปได้ ฉันไม่เอาแกไว้แน่! ” คำขู่สุดท้ายดังขึ้นก่อนที่ร่างกายจะนิ่งสนิท วัสสะไม่อาจเข้าใจตัวเอง สายตาเขาเอาแต่จดจ้องร่างกายที่โหยหาอากาศ สลับกับร่างบางที่นั่งงอตัวสั่นกลัวกดปลายนิ้วจิกลงไปที่พื้นซีเมนต์จนเล็บที่เปิดอยู่เดิมห้อเลือดซ้ำแล้วซ้ำอีก

“กูร”

“ฮืออออ คุณวัส ท่านบังคับผม ท่านบังคับผม ผมไม่ได้ตั้งใจ ฮึก ผมเปล่า คุณวัสอย่าเกลียดผม อย่าเกลียดผม” ธารางกูรพูดจาแทบไม่เป็นประโยค ความกลัวของเขาไม่ใช่เพียงกลัววัสสะเกลียด หรือกลัวความผิดติดตัวที่ไม่มีวันลบล้างได้ แต่มันรวมไปถึงการกลัวความตายด้วยน้ำมือตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า สายตาของผู้ชายคนนั้นกำลังพุ่งตรงมาที่เขาไม่ผิดแน่ เด็กชายวัยสิบสี่ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะจัดการตัวเอง หรือแม้แต่เด็กหนุ่มวัยสิบหกอย่างวัสสะ เขาก็ไม่ได้มีระบบการคิดไตร่ตรองที่ดีไปกว่ากัน





เขารู้เพียงว่ากำลังโกรธร่องรอยที่อยู่บนตัวธารางกูร

เขารู้เพียงว่าเกลียดความกลัวและน้ำตาของธารางกูร





“กูรไม่ต้องกลัวนะ… ไม่ต้องกลัว วัสไม่โกรธ ไม่เกลียดอะไรกูรทั้งนั้น” วัสสะพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะก้าวเดินอย่างมั่นคงไปนั่งคร่อมร่างกายของชายที่ไม่รู้จัก ดวงตาที่ยังกลอกไปมาแสดงออกชัดเจนว่าชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออาการของธารางกูรบีบไม่ให้มีเวลาคิดไตร่ตรอง เรียวมือที่เพิ่งจะหัดหยาบกร้านจึงกดแนบสนิทลงไปที่ช่วงจมูกและริมฝีปากของคนที่ใกล้ตายทันที

ใช่ นี่เป็นความผิดพลาดครั้งที่รุนแรงที่สุดตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเด็กหนุ่มอย่างวัสสะ เขาเติบโตมาในที่ที่มีแต่ความรุนแรงจนชินชาไปเสียหมด นายท่านที่แข็งกร้าว ผู้เป็นแม่ที่เหมือนไม่มีหัวใจ บ้านหลังใหญ่ที่ไม่เคยมีพื้นที่สำหรับเด็ก หัวใจที่เต็มไปด้วยความเมตตาตามประสาจึงค่อย ๆ ถูกลดทอนลงทีละเล็กละน้อยจนแทบไม่มีเหลือ ความรักและความรู้สึกที่มี นอกจากจะมีให้แม่ผู้จากไป ก็คงจะมีเพียงธารางกูรที่ขโมยมันไว้กับตัวจนเสียหมด





และเพื่อหัวใจของเขา ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร วัสสะย่อมยอมได้





3.รศ.ดร.ตรียุทธ พนาวรรณ 2548

.

.

.



“คุณวัสไม่อาบน้ำเหรอครับ”

“ไม่ล่ะ ผมว่าจะนอนก่อน” ธารางกูรเอ่ยถามวัสสะเมื่อออกจากห้องน้ำ ร่างบางอยู่ในเสื้อยืดตัวเดิมและกางเกงชั้นในตัวเดียว เจ้าตัวเหลือบมองวัสสะที่ละอาวุธและเสื้อทิ้งไปเหลือเพียงแต่แผงอกที่เปลือยเปล่า วัสสะนั่งพิงหัวเตียงและมองไปเบื้องหน้าเหมือนคนที่เอาแต่คิดถึงเรื่องร้ายอยู่ในหัว

“เป็นยังไงบ้างครับ” ธารางกูรพาดผ้าคนหนูที่เปียกเพราะเส้นผมลงกับเก้าอี้ อันที่จริงเขาพอจะเดาได้โดยไม่ต้องรอคำตอบจากร่างสูงเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่มองซิมการ์ดที่ถูกถอดออกมาวางอย่างไร้ค่าก็พอจะรู้แล้วว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบไหน

“ยากกว่าที่คิด แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมเชื่อว่ายังไงเราก็พอมีทาง” คำพูดของวัสสะนั้นเป็นดั่งการปลอบใจตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางที่ว่านั้นมีจริงหรือไม่ ธารางกูรเองก็อดแสดงสีหน้ากังวลออกมาไม่ได้ ริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่นสนิท แผงฟันขบกัดเยื่อบุด้านในอย่างไม่รู้สึกเจ็บ วัสสะไม่อาจทนมองร่างบางที่แสดงอาการเช่นนั้นออกมาได้ เขายื่นฝ่ามือออกไปด้านหน้าตรง ๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายนำความรู้สึกเลวร้ายทั้งหมดมาทิ้งไว้ที่เขา

“เหนื่อยมั้ยครับคุณวัส” เมื่อเห็นเช่นนั้นธารางกูรจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ สัมผัสมือลงที่มือของวัสสะตามคำเชิญอย่างแผ่วเบา วัสสะออกแรงดึงจนธารางกูรต้องทิ้งตัวลงนั่งไปบนหน้าขาของอีกฝ่าย

“ไม่เหนื่อยหรอก แค่มีคุณ แค่ทำฝันของเราให้เป็นจริง จะหนักหนาแค่ไหนผมก็ทน” วัสสะขยับขาที่เหยียดตรงให้มาอยู่ในท่าขัดสมาธิ คนบนร่างจึงจำเป็นต้องหันตัวตามไปด้วย ธารางกูรหันหน้าเข้าหาวัสสะที่เป็นเสมือนเบาะรองนั่ง มือหนาประคองช่วงเอวขนาดเหมาะมือเอาไว้ทั้งที่ยังกดปลายนิ้วเข้าออกอยู่ไม่ขาด

“แต่ผมเหนื่อยจังเลยครับ” ธารางกูรปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านออกมาเสียง่าย ๆ เขาซบศีรษะลงกับไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมกับคล้องแขนเข้าที่คอราวกับโอบกอดเอาไว้ เหนื่อยเหลือเกินกับการอดทนกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนตลอดชีวิต ยิ่งเติบโต ยิ่งมีจิตใจนึกคิด เขายิ่งรู้ว่าเรื่องที่ทำลงไปมันเลวร้ายสักแค่ไหน ไม่มีวันไหนเลยที่ธารางกูรจะหลับได้ลงโดยไม่คิดถึงดวงตาหลายคู่ที่สบมองเขาก่อนจะหมดลมหายใจ สำหรับวัสสะเองก็เช่นกัน เขาโอบกอดรั้งตัวธารางกูรเอาไว้แนบอกโดยไม่คิดเอ่ยให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ เขารู้ดีว่าชีวิตที่เหมือนไม่มีและการตกนรกทั้งเป็นมันเป็นยังไง





รู้ดีว่าเรื่องเลวทรามนั้นไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้

ที่พยายามทำอยู่ตอนนี้ก็แค่พาจิตใจที่ยังพอมีเหลือออกมาโลดแล่นได้ตามที่ควรจะเป็นเท่านั้น





“สู้ด้วยกันก่อนนะกูร เราจะผ่านเรื่องร้ายไปด้วยกัน”

“คนที่เขากำลังจะตาย เขาคงรู้สึกเหมือนที่เราเพิ่งเจอมาสินะครับ” คำพูดของธารางกูรทำให้วัสสะต้องออกแรงกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าตัวคิดแบบนี้ และไม่ใช่ครั้งแรกที่วัสสะเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แค่เสียงปืนไม่รู้ทิศทางยังทำให้ใจสั่นหวาดหวั่นไปหมด นี่มันเทียบอะไรไม่ได้กับคนที่รู้เวลาตายอยู่ตรงหน้า ไม่ได้ใกล้เคียงกับการตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ไม่เลย

“งอแงจังเลย จับปลอบขวัญสักทีดีมั้ย หืม” วัสสะกดปลายจมูกลงกับซอกคอเย็นชื้น กลิ่นตัวคุ้นเคยทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าธารางกูรสำคัญกับชีวิตมากสักแค่ไหน

“ไม่ต้องเลยครับ”

“ถ้าแค่จูบปลอบธรรมดาได้ใช่มั้ยครับ” ธารางกูรไม่ได้เอ่ยตอบ เขาทำเพียงเงยหน้าขึ้นจากช่วงไหล่และรับสัมผัสหนักหน่วงทางริมฝีปาก ชายผู้เป็นจูบแรกและจูบเดียวยังคงเป็นผู้มอบรสจูบหอมหวานที่ถูกใจอยู่เสมอ นานมาแล้วที่พวกเขาเรียนรู้กันและกันผ่านการมอบสัมผัส นานมาแล้วที่วิธีการปลอบโยนแสนพิเศษถูกหยิบมาใช้โดยไม่ตั้งใจ

.

.

.



“ท่านเรียกพบคุณวัสกับกูรด่วนเลยนะครับ”

“บอกท่านว่าผมยังไม่พร้อม ถ้าพร้อมแล้วจะไปหาเอง” วัสสะสะบัดเสียงใส่ลูกน้องคนสนิทของท่านทันทีที่กลับมาถึงบ้าน แน่นอนว่ากูรไม่ได้ไปที่นั่นด้วยตัวเอง ลูกน้องคนนี้เป็นดังราชรถและเทศกิจคอยเก็บกวาดรายละเอียดงานให้ได้ตามตั้งใจ ถึงแม้ว่าวันนี้ทุกอย่างจะผิดแผนไปเล็กน้อยเมื่อวัสสะแอบตามไปจนเจอเรื่องที่ไม่ควรเจอเข้า

ร่างสูงไม่สนใจอะไรอีก เขาจับคนอายุน้อยกว่าขึ้นขี่หลังและกลับไปที่ห้องพักของตนทันที ธารางกูรมีท่าทางไม่ดีขึ้นเลยนับตั้งแต่ที่เขาเจอตัว อาการหวาดกลัวทวีคูณออกมาไม่หยุด แถมยังผสมปนเปไปกับอาการร้อนรนพิลึกคล้ายมีความต้องการบางอย่าง





เด็กชายตัวเล็กบิดเร่ากอดตัวเองราวกับร้อนไปทั้งตัวตั้งแต่อยู่บนรถ





“กูร ตั้งสติก่อนกูร” ธารางกูรดิ้นพล่านเมื่อถูกวางลงกับเตียง วัสสะพยายามตบเข้าไปที่ใบหน้าของธารางกูรซ้ำ ๆ เพื่อหวังเรียกสติของร่างบางกลับมา แต่ทว่าร่างกายผิดปกตินั่นกลับยิ่งแสดงอาการแห่งความต้องการที่วัสสะพอจะเดาออก แต่ไม่รู้ว่าทำไม

“คุณวัส...คุณวัสช่วยผมที ฮืออออ ผมกลัว ผมไม่อยากฆ่าคน ฮึก” วัสสะใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเบา ๆ ก่อนใช้สองมือล็อกกรอบหน้าของธารางกูรเอาไว้พร้อมกับมองลึกลงไปให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนอยู่ตรงนี้เสมอ

“ไม่เป็นไร กูรไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ”

“ฮึก อือ” ระหว่างที่ยังคงสะอื้นไห้ ช่วงล่างของร่างกายธารางกูรก็บิดเร่าขดงอเพราะอึดอัดเกินจะทน มีเรื่องไม่ปกติแน่ ในใจของวัสสะคิดเอาไว้แบบนั้น ยังไงซะอาการแบบนี้มันไม่ใช่แค่อาการของคนที่หวาดกลัวธรรมดาแน่นอน

“กูรเป็นอะไร ไหนบอกวัสสิ”

“ผ… ฮึก ผมไม่รู้… ผมอึดอัด” หยดน้ำตาของธารางกูรไกลออกมาอีกครั้ง ร่างบางร้อนผ่าวเอื้อมมือเกาะหลังของวัสสะเอาไว้ ปลายนิ้วเรียวเล็กจิกลงอย่างเน้นย้ำจนวัสสะสะดุ้งเพราะเจ็บ แม้จะอายุเพียงสิบหกปีแต่เขากลับพยายามตั้งสติดั่งคนโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อไม่ให้เรื่องราวเลวร้ายมากไปกว่าเดิม

“มีใครให้กูรกินอะไรรึเปล่า”

“.....” ธารางกูรพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ ก่อนจะกัดเม้มริมฝีปากปากพลางเผยอเข้าออกคล้ายคนที่แสดงกิริยายั่วเย้าโดยไม่รู้ตัว

“ตั้งสติ กูรตั้งสติแล้วเล่าให้วัสฟังก่อน”

“ท่านให้ผมกินยา...กินก่อนออกจากบ้าน...แต่ผมลืม...ก็เลยเพิ่งไปกินที่นั่น อึก ผม...”

“ไอ้บ้านั่นมันจะทำอะไรกูรใช่มั้ย”

“ฮึก ผมกลัว ท่านไม่ได้บอก… ผมหนี ผมหนีแล้วคุณวัส…” ธารางกูรพยายามจะอธิบายต่อทั้งที่ร่างกายไม่ได้เชื่อฟังคำสั่ง มือที่อยู่บนหลังวัสสะกดน้ำหนักลงไปแรงขึ้นและลากเป็นทางยาวจนกระทั่งผิวพรรณใต้ผืนผ้าขึ้นสี วัสสะไม่รู้จะทำยังไง ในสมองของเขากำลังโกรธจัดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ในขณะเดียวกันความหวาดกลัวในแววตาคนตรงหน้าก็เรียกพื้นที่ในหัวใจไปจนหมด

จะเป็นยังไงถ้าธารางกูรกินยาตั้งแต่ออกจากบ้าน จะเป็นยังไงถ้ามันออกฤทธิ์ได้ทันกรอบเวลาที่ท่านวางไว้ จะเป็นยังไงถ้ากูรหนีออกมาไม่ทัน จะเป็นยังไงถ้าตาแก่ตัณหากลับไม่สิ้นฤทธิ์ไปเสียก่อน ต้องเลวขนาดไหน ต้องชั่วช้าขนาดไหน ถึงได้คิดมอมยาปลุกอารมณ์เด็กอายุสิบสี่ปีและยืมมือไปฆ่าคนในคราวเดียวกัน แค่คำว่าโกรธมันอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ ตอนนี้ลึกสุดใจของวัสสะนึกเกลียดท่านจนอยากเห็นว่าตายตกไปต่อหน้าต่อตา

“พอ พอแล้ว” วัสสะปิดน้ำเสียงทรมานด้วยการประกบริมฝีปากทาบทับลงไป คนใต้ร่างไม่ได้ปฏิเสธซ้ำยังตอบรับกลับมาคล้ายร้องหาการปลดปล่อย เรียวลิ้นไร้ประสบการณ์ทั้งคู่ตวัดเกี่ยวพันไม่ได้ลดละ เพราะสารแปลกปลอมในร่างกายผสมกับความรู้สึกดีทำให้ธารางกูรไม่คิดหยุด ระหว่างที่วัสสะเองก็ไม่อาจต่อสู้กับความต้องการที่เดินตามความรู้สึกพิเศษมาติด ๆ

“อือ… ฮึก”

“วัสขอโทษ” เมื่อถอนจูบ ดวงหน้าของธารางกูรยังคงติดความกลัวเอาไว้อย่างเด่นชัด วัสสะเข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะการกระทำของตน แต่เปล่าเลย มันเป็นเพราะภาพคนตายที่ติดตาและฝังใจร่างบางมาต่างหาก

“คุณวัส ผมกลัว ผมไม่อยากฆ่าคน ฮือออ ผมไม่อยากทำ” ธารางกูรผวาดึงวัสสะลงมากอดทันทีที่ร่างกายแทบจะทนไม่ไหว ทั้งความกลัว ทั้งอาการร้อนในร่างกาย ทุกอย่างบีบรวมกันจนแทบทนความทรมานไม่ไหว

“รู้แล้ว วัสรู้แล้วกูร” ไม่ว่าวัสสะจะพยายามปลอบโยนเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถทำให้ธารางกูรสงบลงได้ ร่างบางเริ่มสอดมือเข้าใต้เสื้อผ้าตนเอง ร่องรอยแผลที่ยิ่งนานยิ่งชัดโผล่พ้นชายผ้าให้เห็นอีกครั้ง วัสสะจุกไปทั้งอก เขาอยากลบร่องรอยพวกนั้น อยากให้ธารางกูรลืมความเลวร้ายทุกอย่างไปซะ

ทางเลือกสุดท้ายของวัสสะเข้ามาในสมองเมื่อเขาจ้องมองริมฝีปากแดงช้ำใกล้ ๆ อีกครั้ง เพราะยังเด็ก เพราะไร้ประสบการณ์ เพราะทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม การตัดสินใจในทางเลือกนั้นจึงเต็มไปด้วยความลังเล จนกระทั่งธารางกูรเริ่มร้องขอด้วยใบหน้าชื้นเปียกเหงื่อ ดวงหน้าเล็กที่เพิ่งจะเริ่มโตเป็นหนุ่มเต็มไปด้วยสีแดงจัดจากความทรมานภายใน ทั้งความหวาดกลัวทั้งหมดในใจยังบดบังไม่ให้เขาเห็นอันตรายอื่นใดนอกจากความปลอดภัยที่ได้จากวัสสะ

“คุณวัส ฮึก ผม ผมไม่ไหวแล้ว”

“ก...กูรจะให้วัสทำยังไง”

“ผมกลัว คุณวัสปลอบผมที” ธารางกูรเคลื่อนเรียวมือเข้าใต้ร่มผ้าของวัสสะโดยไม่รู้ตัว สัมผัสที่ปลุกเร้าอารมณ์ว่องไวของเด็กหนุ่มทำให้ความร้อนฉีดขึ้นทั่วร่าง ดวงตาคมมองลึกลงไปยังคนร้องไห้คล้ายเอ่ยขออนุญาต ใช่ ที่ผ่านมาวัสสะรู้ตัวดีว่าชีวิตของเขามีเพียงธารางกูรคอยพยุงหัวใจ และตอนนี้เขามั่นใจมากกว่าสิ่งใดว่าสิ่งที่เขารู้สึกมันเกินกว่าเด็กที่โตมาด้วยกันควรรู้สึก

“ไม่เป็นนะ ไม่เป็นไร กูรไม่ต้องกลัว” วัสสะยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงมอบรสจูบ สัมผัสเชื่องช้าฝึกหัดค่อย ๆ เพิ่มจังหวะตามแรงเรียกร้องของอีกฝ่าย ใช่ว่าธารางกูรไม่มีสติ แต่สติที่มีไม่มากพอให้ยั้งความรู้สึกเอาไว้ คุณวัสของเขามีค่ามากกว่าสิ่งใด ธารางกูรไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว ไม่มีใคร และมีเพียงวัสสะที่เป็นทุกอย่าง แม้อายุจะน้อยนิดแต่ที่รู้สึกอยู่เต็มอกคือถึงอะไรจะเกิด มันจะเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองยินยอมและรู้สึกดีที่สุด

สัดส่วนของคนสองคนเคลื่อนไหวสอดรับราวกับคลื่นลมผสานกับพื้นมหาสมุทร ลมหนาวเย็นรุนแรงพัดพาผืนน้ำเคลื่อนไหวนูนสูงกว่าระดับปกติจนกลายเป็นเกลียวคลื่น เรียวมือ เรียวขา ริมฝีปาก ก้อนเนื้อหัวใจ ทุกสิ่งอย่างผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว คำปลอบโยนนี้มีค่ามากกว่าความสัมพันธ์ทางกายใด ๆ แม้ลึกลงไปในต้นเรื่องจะไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก จุดเริ่มต้นของบางความรักก็สมควรแก่การหลงลืมมากกว่าระลึกเอาไว้ในใจ





หวาดกลัว แต่ทนทุกข์

เจ็บแค้น แต่อดกลั้น

ไร้ชีวิต แต่ยังคงอยู่

รู้ผิดบาป แต่ต้องไร้รู้สึก



อยากอยู่เคียงคู่ แต่ไร้หนทาง






Talk

สวัสดีค่า ช่วงนี้งด Talk ยืดยาวเพราะเดี๋ยวจะสปอยเรื่องที่เหลือไม่มากแล้ว 55555

เอาเป็นว่าขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิว ทุกไลค์ ทุกการแชร์เหมือนเช่นเคยค่ะ

ใครเล่นทวิตตามไปพูดคุยกันได้ที่ #กลิ่นฝนฤดูหนาว นะคะ ขอบคุณคร้าบบบบ

ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
วัสกูรนี่สมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยเนอะ ท่านวรพจน์นี่จิตใจทำด้วยอะไร

ขึ้นหลังเสือแล้วทางเดียวที่จะลงจากหลังเสือได้โดยไม่ถูกแว้งกัดก็ต้องฆ่าเสือให้ตาย หรือไม่ก็เสี่ยงหันหน้าสู้

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ยังยืนยันคำเดิมว่าฆ่าอิท่านเสียแล้วจะรอด :sad11:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด