EP7… ความรู้สึกหนักตรงศีรษะที่กำลังก่อกวนการนอนหลับแสนสบายซ้ำยังค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนเสียจนจำต้องสลัดการนอนทิ้งไปและลืมตาตื่นขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ภาพแรกหลังจากปรับม่านตาจนชินกับแสงดูจะอยู่ในองศาที่ไม่ปกติอย่างที่ควรจะเป็นทำเอาเขางุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวในที่สุดเมื่ออะไรบางอย่างที่เกยอยู่บนหัวเขาเริ่มขยับ และนั่นทำให้เข้าใจได้ในที่สุดว่ากำลังนอนหนุนไหล่ใครบางคน
แล้วไอ้ใครบางคนที่ว่า มันจะเป็นใครไปไม่ได้อีกในเมื่อก่อนที่จะเผลอหลับไปเขานั่งข้าง.....ไอ้บ้าเท็น!!
นายน์พยายามผละตัวออกจากไหล่ของอีกฝ่ายอย่างยากเย็นด้วยอารมตกใจระคนร้อนรนอยู่ในที ทว่าหัวของไอ้คนตัวโตกว่าดันมาทับอยู่บนหัวของเขาอีกต่อเลยจำเป็นต้องผลักมันออกไปให้พ้นทางเสียก่อน นายน์ออกแรงดันศีรษะหนักๆ นั้นอย่างเบาที่สุดเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาและรู้ว่าเขาเผลอหลับแถมยังไปซบไหล่เจ้าตัว ขืนถ้ามันรู้มีหวังเขาโดนมันล้อสนุกปากไปอีกสามวันแปดวันแน่!
ทุลักทุเลอยู่นานกว่าจะผลักคนตัวหนักให้หลุดจากตัวเขาไปได้ นายน์รีบขยับหนีจนชิดริมหน้าต่างขณะที่อีกคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่องกำลังจะเอนมาซบเขาอีกครั้ง และเพราะเขาหลบได้ทันเจ้าตัวเลยสัปหงกไปในอากาศอันว่างเปล่าจนเกือบจะหน้าทิ่ม นายน์รีบหันหน้าเข้าหน้าต่างทันทีเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมตาขึ้นมาและเห็นว่าเขาเป็นคนทำ รอฟังเสียงความเคลื่อนไหวอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของความผิดปกติใดๆ เขาจึงขยับตัวกลับมานั่งตัวตรงอย่างเนียนๆ อีกครั้ง แอบชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่กำลังหลับคอพับคออ่อนไปอีกด้านแล้วก็พาลให้รู้สึกโล่งอก
ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังไหล่กว้างที่เขาคงจะเผลอซบตอนที่หลับไป ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังไหล่อีกข้างที่มีสายเป้คล้องอยู่ และมือของคนที่กำลังหลับก็ยังกอดมันไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไป แน่นอนว่ากระเป๋าเป้ที่เจ้าตัวกอดไว้เป็นของเขาเอง นายน์มองเป้ที่เจ้าตัวกอดไว้แน่นสลับกับหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ชั่วขณะหนึ่งจู่ๆ เขาก็เกิดความสงสัยในเรื่องที่ไม่ควรขึ้นมาเสียดื้อๆ ทว่าก็เพียงแค่เสี้ยวนาทีก่อนที่เขาจะสลัดคำถามบ้าๆ นั้นทิ้งไปแล้วกลับไปจับกล้องขึ้นมาถ่ายวิวนอกหน้าต่าง
เสียงที่เงียบไปนานราวกับไม่มีความคลื่นไหวใดๆ จากคนตัวเล็กทำให้เขาค่อยๆ ลืมตาข้างขวาขึ้นสำรวจ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวกำลังกลับไปจดจ่อกับการถ่ายรูปอีกครั้งจึงได้ลืมเต็มสองตา เท็นมองแผ่นหลังของคนที่คิดว่าเขายังคงหลับอยู่แล้วก็ได้แต่หลุดยิ้มออกมาเพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้หลับเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขารับรู้ทุกการเคลื่อนไหว
พวกเรามาถึงจุดหมายแรกซึ่งก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควนั่นเอง ถูกเรียกให้มารวมกลุ่มพร้อมกับฟังรุ่นพี่อธิบายเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปหามุมถ่ายรูป ซึ่งเรามีเวลาแวะจุดนี้กันไม่นานนักเขาจึงเริ่มมองหามุมโปรดทันที นายน์มองคนที่ยึดเป้เขาไปสะพายอย่างถาวรแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินแยกไปอีกทางพลางยกกล้องขึ้นมาจับภาพอยู่เป็นระยะ
พอได้รับอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถหาได้ในชีวิตเมืองก็พาลให้รูสึกสดชื่นจนเผลอยิ้มออกมา เขาหยุดและมองดูกลุ่มเพื่อนที่กระจายกันอยู่ตามมุมต่างๆ ของสะพานและบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะยกกล้องขึ้นมาจับภาพอีกครั้ง นายน์พยายามจะจับภาพแม่น้ำให้ได้มุมที่คิดว่าชอบที่สุดพลางขยับเท้าหาตำแหน่งไปเรื่อยๆ แต่เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวในวันหยุดแบบนี้ค่อนข้างหนาตา บางครั้งก็จะมีคนเดินผ่านหน้ากล้องจนทำให้เขาต้องหยุดรอหรือเดินหามุมอื่นอยู่เป็นระยะ ทว่า…
ตุ๊บ! เพราะมัวแต่มองหามุมจนไม่ได้มองทางเลยทำให้ก้าวพลาดจนเท้าเข้าไปขัดกับความเหลื่อมล้ำที่ไม่เสมอกันของพื้นสะพานทำให้เขาล้มลงก้นกระแทกพื้นเข้าจังเบ้อเร้ออย่างน่าอาย ยังดีที่สายคล้องกล้องอยู่ที่คอไม่งั้นมีหวังได้หล่นลงพื้นไปแล้ว นายน์พยายามรวบรวมกำลังเพื่อลุกขึ้นให้เร็วที่สุด แต่แค่ขยับนิดเดียวความเจ็บตรงก้นและข้อเท้าก็แล่นปรื้ดเข้าเล่นงานจนเผลอร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“โอ๊ยย!” นายน์ทิ้งตัวลงแหมะกับพื้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะใช้มือยันพื้นแล้วหยัดตัวขึ้นอีกครั้ง ทว่าความปวดแปร๊บก็ยังไม่ปราณีเขาเหมือนเคยจนต้องยอมแพ้และปล่อยให้ตัวเองนั่งจ่อมอยู่กับพื้นสะพานร้อนๆ อย่างอับจนหนทาง
“เจ็บตรงไหน!”
เสียงนั้นดังขึ้นจากคนที่โผล่มานั่งยองๆ อยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ซ้ำสีหน้าเจ้าตัวยังดูเป็นกังวลแบบจริงจังเสียจนเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่ปัดเศษฝุ่นที่ฝ่ามือตัวเองไปพลางพยายามมองหาหนทางจะพาตัวเองไปจากตรงนี้
“ไม่ไหวแล้วยังจะฝืนอีก! มึงนี่นะ!”
“.........”
“เท้าหรอ หรือว่าเข่า”
เจ้าตัวถามพร้อมกับขยับมาตรงหน้าเขาแทน ระหว่างนั้นพี่แก้วกับเพื่อนอีกหลายคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงและเพิ่งจะสังเกตเห็นเหตุการณ์ก็เริ่มจะมามุงดูเขา บอกตามตรงว่าอายมากจนอยากจะกระโดนสะพานให้รู้แล้วรู้รอด!
“น้องนายน์โอเคมั้ย ...น้องนายน์เจ็บตรงไหนหรอน้องเท็น”
“ยังไม่รู้เหมือนกันครับ ...กูขอดูหน่อยนะ”
สิ้นคำขออนุญาตนั้นเจ้าตัวก็ยกเท้าข้างที่เขากุมไว้ไปวางลงบนตักอย่างไม่ทันให้เขาตั้งตัว “เห้ยมึงจะทำอะไร! ปล่อยกู!!” ทำได้แค่ร้องโวยวายจนเสียงหลงพร้อมกับพยายามจะดึงเท้าตัวเองกลับมา แต่ก็นั่นแหละ ถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายล็อคเป็นตัวประกันไว้แล้วเรียบร้อย
“อย่าดิ้น เดี๋ยวก็ยิ่งเจ็บหรอก”
“กู...กูไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยดิวะ!”
เหมือนว่าเสียงห้ามนั้นจะไม่ผ่านเข้าโสตประสาทอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะไอ้บ้าเท็นกำลังถลกขากางเกงของเขาอยู่ และตามด้วยรองเท้ากับถุงเท้าที่กำลังจะโดนแบบเดียวกันในอีกไม่ช้า
“ปล่อยกู!”
“น้องนายน์อย่าดิ้นสิ ให้เท็นดูให้ก่อน เผื่อมีแผลตรงไหนจะได้จัดการถูก”
“แต่....”
ยังไม่ทันจะได้ร้องประท้วงอะไรออกไปข้อเท้าเข้าก็ถูกสำรวจจากอีกฝ่าย พลิกซ้ายตะแคงขวาดูแล้วดูอีกเสียจนเขากลัวใจว่าคนตรงหน้าจะสิงเข้าไปในเท้าของเขาอยู่รอมล่อ เมื่อเจ้าตัวไม่เห็นความผิดปกติใดๆ ถึงได้ยอมปล่อยเท้าเขาลงกับพื้นอีกครั้ง
“ไม่ถลอก มีแค่ลอยแดงหน่อยๆ ตรงข้อเท้า”
“……….”
“เดี๋ยวกูจะช่วยพยุง มึงลองยืนดูนะ”
และก็เหมือนเดิมเขายังไม่ทันได้ตกปากรับคำใดๆ ไอ้บ้าเท็นก็เข้ามาหิวปีกเขาพาดบ่าเอาไว้เสียแล้ว นายน์เกือบจะหลุดปากโวยวายออกไปอีกครั้งถ้าไม่ติดว่าหันไปเห็นสายตาของพี่แก้วและบรรดาเพื่อนอีกหลายคนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ล่ะก็นะ ร่างเล็กยอมเก็บปากและปล่อยให้อีกคนพยุงให้ลุกขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
“โอเค มึงลองวางเท้าแล้วลงน้ำหนักเบาๆ ดูนะ”
นายน์ไม่ทำตามคำแนะนำนั้นในทันที ดวงตาคู่สวยตวัดมองอย่างไม่ค่อยพอใจนักไปยังคนตัวสูงกว่าแต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจจะมองมาที่หน้าเขาเลย เอาแต่ทำหน้าเครียดมองลงไปที่เท้าข้างที่เจ็บของเขาท่าเดียว เห็นแบบนั้นเขาเลยหมดทางจะปฏิเสธหรือถ้าจะดันทุรังต่อไปก็มีแต่จะถูกพี่แก้วดุซ้ำเข้าให้อีกเปล่าๆ นายน์ลองลงน้ำหนักที่ปลายเท้าเบาๆ ผ่อนแรงเอาไว้กระทั่งวางเท้าลงพื้นจนเต็มฝ่าเท้าก่อนจะค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักลงไปทีละนิด
“โอ๊ยยย!”
“เท้าแพลงชัวร์เลย สงสัยจะเดินไม่ไหวแล้วแหละพี่แก้ว”
“เอาไงดี อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปขึ้นรถไฟแล้ว นายน์เดินไม่ไหวเลยใช่มั้ย”
คิดสะระตะและประมวลจากความรู้สึกและความจะเป็นไปได้ในตอนนี้แล้วมีแต่คงต้องตอบไปตามตรงก็เท่านั้น “ก็น่าจะไม่ไหวมั้งพี่แก้ว”
“เอาไงดี”
“นายน์ขอโทษนะ ซุ่มซ่ามจนได้เรื่องเลย”
“ไม่หรอก มันเป็นอุบัติเหตุ เดี๋ยวพี่ขอไปปรึกษาพี่ว่องก่อนนะ”
“ไม่เป็นไรพี่แก้ว เดี๋ยวผมดูนายน์เอง พวกพี่ไปกันต่อเถอะ”
“ยังไงล่ะน้องเท็น”
“เดี๋ยวผมพานายน์ไปหาที่นั่งร่มๆ แล้วเดี๋ยวค่อยคิดต่อว่าจะเอาไงดี ไม่แน่อาจจะหารถกลับเลยครับ”
“จะดีหรอ พี่เป็นห่วงน่ะสิ ให้พี่ตามไปด้วยดีกว่ามั้ย เกิดมีอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยกัน พี่เป็นห่วงกลัวผู้ปกครองน้องๆ เข้าใจผิดด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมดูแลมันเอง เดี๋ยวจะรายงานพี่แก้วกับพี่ว่องทุกๆ 10 นาทีเลย อีกอย่างก็ใกล้เวลาต้องรวมตัวแล้วด้วย เดี๋ยวคนอื่นจะหมดสนุกกันเปล่าๆ ครับ”
“เอางั้นหรอ”
“ตามนี้แหละพี่ พี่ยังต้องดูน้องๆ อีกตั้งหลายคน เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
“งั้นก็...พี่ขอบอกพี่ว่องแป๊บนึงนะ เท็นพาน้องนายน์ไปหาที่นั่งก่อนเถอะ อยู่ตรงนี้มันอันตราย”
“ได้ครับ ได้เรื่องยังไงพี่แก้วโทรมาบอกผมด้วยนะ”
“จ้ะ”
นายน์ได้แต่มองสองคนที่ช่วยกันหาทางออกให้กับสถานการณ์ของเขาโดยไม่แม้แต่จะหันมาถามความคิดเห็นกันแม้แต่น้อยแล้วก็ได้แต่ร้องเห้ยในใจจนนับครั้งไม่ถ้วน ยังไม่ทันจะตกลงกับตัวเองว่าควรต้องทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยแขนเขาให้เป็นอิสละและทรุดตัวนั่งยองๆ หันหลังให้กับเขา นายน์มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ ทว่าก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไปคนตรงหน้าก็หันกลับมาเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“มาดิ”
“………..”
“ถ้ามึงยังลังเลกูอุ้มนะ”
“ก็เหี้ยละ!”
“งั้นก็ขึ้นมาเร็วๆ เกะกะชาวบ้านเค้าจะแย่”
“..........”
“เห็นปะเนี่ยคนมองกันใหญ่ มึงไม่อายแต่กูอายนะ”
“………..”
“กูเกรงใจนักท่องเที่ยว เร็วดิ!”
“อ…เออๆ ก็ได้!!” ตอบแบบขอไปทีก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงไปเกาะหลังอีกฝ่ายไว้อย่างจำใจและโคตรจะอาย แต่จะให้เถียงกับมันอยู่ตรงนี้มีหวังได้อายหนักยิ่งกว่าเดิมเพราะคนอย่างไอ้เท็นไม่มีทางยอมลามือง่ายๆ แน่ นายน์ที่ไม่เคยขี่หลังใครมาก่อนแม้แต่ขี่หลังบรรดาเดอะแก๊งเล่นก็ไม่เคย รู้สึกวางมือไม้ไม่ถูกเลยได้แต่เกาะเบาๆ บนไหล่กว้างนั้นโดยไม่แม้แต่จะวางน้ำหนัก(เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ใจ) ทว่าทันทีที่คนตัวสูงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นโดยไม่บอกกล่าวทำเอาเขาเกือบจะหงายหลังจนเผลอคว้าหมับเข้าที่คออีกคนเอาไว้ด้วยอารามตกใจ
“มึงแกล้งกูปะเนี่ย!”
“ใครแกล้งใครกันแน่ มึงกำลังใช้แรงงานกูอยู่นะ”
“งั้นก็วางกูลงเลย กูจะเดินเอง!”
“ขึ้นมาแล้วคิดหรอว่าจะให้ลงไปง่ายๆ”
“ไอ้!”
แล้วเขาก็ถูกมันแบกกลับไปยังสถานีรถไฟอย่างไม่มีทางเลือก พอเจอที่นั่งว่างไอ้คนกวนประสาทก็ยอมวางเขาลงอย่างว่าง่าย ก่อนจะลงไปนั่งยองๆ ตรงหน้าเขาอีกแล้ว นายน์จ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะถือโอกาสมัดมือชกตอนสภาพเขาไม่สมประกอบทำอะไรอีกหรือเปล่า
“กูว่ามึงเปลี่ยนใส่รองเท้าแตะดีกว่านะ หรือไม่ก็ถอดรองเท้าไปเลย ใส่ผ้าใบแบบนี้เผื่อมึงเจ็บตรงเท้าด้วยมันจะยิ่งบวม”
พูดเสร็จเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา นายน์รีบหลบสายตาที่ดูเคร่งเครียดและเป็นกังวลเสียยิ่งกว่าตัวเขาเองที่เป็นคนเจ็บเสียอีก บอกตามตรงว่าไอ้เท็นเวอร์ชั่นนี้ทำเอาเขาไม่รู้ว่ารับมือยังไง เลยได้แต่นั่งเงียบ
“งั้นรอตรงนี้ก่อนนะ กูจะไปเดินดูเผื่อมีร้านขายรองเท้า”
“ไม่ต้อง! นั่งพักซักเดี๋ยวก็คงดีขึ้น” เขาเอ่ยตอบกลับไปโดยไม่หันไปมองคนตรงหน้าอีก ไม่อยากแม้แต่จะสบสายตาคู่นั้น เพราะมันดูจริงใจจนเกินกว่าเขาจะรับมือได้ จะให้พูดกันตามตรงก็คืออีกฝ่ายดูห่วงใยเขาอย่างชัดเจน ยอมแม้กระทั่งจับเท้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่นึกรังเกียจ การกระทำเหล่านั้นเกินกว่าที่เขาจะยัดข้อหาหลอกตาเพื่อหวังจะก่อกวนให้มันได้จริงๆ ความรู้สึกขัดแย้งกำลังปั่นป่วนเขาจนรู้สึกไม่เป็นตัวเอง และเขาก็ไม่ชอบเลยที่รับมือกับอีกฝ่ายไม่ได้เลยแบบนี้
“เดี้ยงแล้วก็อย่าดื้อได้มั้ย อย่าลืมว่ากูเป็นนักกีฬากูรู้ดีว่ามันเป็นยังไง”
“……….”
“รออยู่นี่ก่อนนะ ห้ามดื้อ แล้วก็ห้ามลุกไปไหนเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“……….”
“นายน์! เข้าใจมั้ย!”
“เออ!! เท้าเจ็บขนาดนี้มึงคิดว่ากูจะมีปัญญาเดินไปไหนได้อีกรึไงล่ะ!”
“ก็ดี แต่บอกให้รู้ไว้ก่อนเลยนะว่ากระเป๋ามึงอยู่กับกู ถึงมึงอยากไปก็ไปไม่ได้หรอก”
นายน์หันขวับกลับไปมองคนตัวสูงตรงหน้าทันที รอยยิ้มยียวนบนใบหน้าของไอ้บ้าเท็นทำเอาความรู้สึกกระอักกระอ่วนจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอีกฝ่ายเมื่อครู่หายเข้ากลีบเมฆไปในบัดดล ริมฝีปากสวยเม้มแน่นก่อนจะสบถออกไปอย่างเหลืออด “กวนตีน!”
“ยังด่าได้แปลว่าโอเค เดี๋ยวกูมา”
หายไปร่วมครึ่งชั่วโมงจนเขานึกว่าคงถูกอีกฝ่ายใช้ท่าทีหวังนี้นั้นเพื่อหลอกทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่คนเดียวเสียแล้ว แต่ในที่สุดเจ้าตัวก็โผล่มาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด
“อะ ดื่มน้ำรองท้องก่อน กูซื้อของกินไว้ให้แล้วในรถ”
“รถ?” คนตัวเล็กไม่ยอมรับขวดน้ำตรงหน้าแต่กลับถามกลับด้วยใบหน้างุนงง
“กูไปเช่ารถมา ไม่อยากพามึงขึ้นรถไฟ เพราะเดี๋ยวก็ต้องต่อรถอยู่ดี อยากพามึงไปหาหมอก่อนด้วย”
“.....เว่อร์ไปปะ” ถึงจะต่อว่าออกไปแบบนั้นแต่เขากลับเอาแต่หลบสายตาอีกฝ่าย ใจดีเกินเรื่องอีกแล้ว นี่มันต้องการให้เขาติดหนี้บุญคุณหนักๆ แบบชดใช้ยังไงก็ไม่หมดเลยหรือยังไงกัน! “เห้ยยย!” มัวแต่จมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิดรู้ตัวอีกทีเท้าข้างที่เจ็บของเขาก็ถูกอีกฝ่ายยกไปวางแหมะลงบนตักของเจ้าตัวอีกแล้ว
“บวมขึ้นแบบนี้มึงยังว่ากูเวอร์อยู่มั้ยล่ะ”
“..........” นายน์ที่เอาแต่นั่งกังวลกลัวว่าจะถูกทิ้งให้นั่งเหวออยู่ที่สถาณีรถไฟ กระเป๋าก็ไม่มี เงินก็ไม่ได้เอาติดตัวไว้ซักแดงเลยไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของเท้าตัวเองเลย พอลองมองดูก็เป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไม่มีผิด แล้วก็พาลให้รู้สึกปวดตุบๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ถอดรองเท้าดีกว่านะ ยังไงมึงก็ยังเดินไม่ได้อยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
เจ้าตัวเอ่ยปุ๊บลงมือจัดการถอดรองเท้ากับถุงเท้าของเขาไปถือไว้เองเสร็จสรรพทันที ก่อนจะขยับตัวหันหลังมาให้เขาอีกครั้ง นายน์จ้องแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างชั่งใจ เป็นความหนักใจเดิมที่กลับมากดดันเขาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพาตัวเองไปอยู่บนหลังอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือกอยู่ดี
นายน์ถูกพามาขึ้นรถยนต์สีดำที่จอดห่างจากตำแหน่งที่เขานั่งรอเมื่อครู่ไม่ไกลมากนัก พอเข้าไปนั่งในรถอีกฝ่ายก็เอื้อมไปหยิบถุงก๊อบแก๊บบรรจุขนมและน้ำอีกหลากหลายยี่ห้อมาวางลงบนตักเขา “กินรองท้องไปก่อนนะ เดี๋ยวกูจะพามึงไปหาคลินิกแถวๆ นี้ดูก่อน แล้วค่อนกลับกรุงเทพกัน”
“แล้วรถล่ะ ใครจะเอามาคืน มึงเช่ามาไม่ใช่หรอ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นหรอกน่า กูจัดการเอง”
“..........”
หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก แถมสีหน้าของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยก็เอาแต่เคร่งเครียดเสียจนเขาไม่กล้าชวนคุย พอคิดมาถึงจุดที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองอยากชวนอีกฝ่ายคุยก็พาลให้รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอีกระรอก นายน์เม้มปากแน่นบอกตัวเองในใจว่าเป็นเพราะเขารู้สึกติดค้างเลยไม่อยากทำให้บรรยากาศระหว่างนี้มันชวนอึดอัดจนเกินไปก็เท่านั้นแหละ
คิดได้ดังนั้นเลยเลือกที่จะหยิบแซนวิซแฮมชีสขึ้นมากินรองท้อง ก่อนจะค้นหาน้ำในถุงแล้วก็พบว่าในนั้นมีแผงยาแก้ปวดอยู่ด้วย นายน์เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งข้างกันด้วยความรู้สึกเกินความคาดหมาย ถ้านี่คือความจริงใจของอีกฝ่ายมันก็ออกจะดีเกินจินตนาการของเขาไปไกลสักหน่อย และเขาคงจะเผลอใจลอยมองอีกฝ่ายนานไปถึงได้โดนเจ้าตัวแขวะเข้าให้
“กูหล่อขนาดนั้น?”
“.....แหวะ!” กว่าจะเข้าใจสถานการณ์รีแอคชั่นของเขาก็ดีเลย์ไปหลายวินาที นายน์แกะยาแก้ปวดขึ้นใส่ปากแล้วตามด้วยน้ำ ก่อนจะทิ้งตัวเอนไปกับเบาะแล้วปิดเปลือกตาลง เขาไม่ได้ง่วงหรอกแค่ค่อนข้างทำตัวไม่ถูกที่ต้องอยู่กับคนที่เกลียดขี้หน้ากันแบบสองต่อสองต่างหาก
“ปวดมากหรอ”
“.....ก็นิดนึง”
“เดี๋ยวกูขอจอดรถแปร๊บนะ จะเสิร์ชหาเผื่อมีคลินิกใกล้ๆ แถวนี้”
“กลับบ้านเลยก็ได้นะ กินยาไปแล้วเดี๋ยวคงดีขึ้น”
“ไม่ได้หรอก ขอพามึงไปให้หมอดูให้แน่ใจก่อน”
“..........”
“มึงนอนพักไปก่อนแล้วกัน ถ้าหาเจอแล้วกูจะปลุก”
“..........”
“..........”
“.....มึง”
“ว่า?”
“มึงเห็นฝนบ้างปะ ตั้งแต่ตอนรวมกลุ่นกูก็ไม่เห็นเค้าอีกเลย”
“ไม่รู้ดิ”
“..........” ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาก็เกิดนึกถึงฝนขึ้นมา อาจเป็นเพราะฝนมักจะทำตัวติดกับเท็นอยู่ตลอดล่ะมั้ง ก็น่าแปลกที่ตั้งแต่เกิดเรื่องเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าตัวอีกเลย แถมตอนรวมกลุ่มฝนก็แยกไปยืนกับกลุ่มอื่นเสียไกล ไม่ยอมมองมาที่เขาหรือกระทั่งไอ้เท็นเลยแม้แต่นิดเดียว
“มึงชอบฝนหรอวะ”
“หา?!” คำถามนั้นทำให้เขาต้องหันกลับมามองคนที่อยู่หลังพวงมาลัยอีกครั้ง
“เห็นมึงมองหาเค้าตลอด”
“ตลก! มองหาตลอดแปลว่าต้องชอบรึไง ตรรกะอะไรของมึง อีกอย่างกูไม่ได้มองหาเค้าตลอดซะหน่อย”
“ไม่รู้ ไม่ชอบก็แล้วไป กูจะได้โล่งใจ”
ประโยคนั้นสะกิดความคิดบางอย่างขึ้นในหัวและปากของเขาก็ไวเกินกว่าจะหยุดได้ทัน “ถ้ามึงชอบเค้าล่ะก็ บอกเลยว่าสบายใจได้ ฝนไม่ได้ชอบกู แล้วกูก็ไม่ได้ชอบเค้าด้วย”
“มึงนี่ทั้งซื่อทั้งยึดติดเนอะ กูว่าบางทีมึงน่าจะเกิดผิดยุค”
“อะไรของมึง!” ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่รู้สึกว่าพอเริ่มมีการถกเถียงเข้ามาก็ทำให้เขาต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้ลื่นไหลขึ้น
“มึงยังคิดว่าที่กูทำเพราะอยากแกล้งมึงอยู่...กูพูดถูกมั้ยล่ะ”
“..........” พอโดนจี้จุดเข้าอย่างจังติดจะออกแนวขวานผ่าซากแสกกลางหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรเขาก็เลือกวิธีเงียบเข้าสู้อีกครั้ง
“ช่างเถอะ! ถ้ามึงไม่เหนื่อยที่โดนกูตามจีบแบบนี้กูก็โอเค”
“..........”
“รู้ไว้แค่ว่ากูจีบมึงอยู่ก็พอ”
“.........” สิ้นคำนั้นเขาเลือกที่จะเก็บปากและทิ้งตัวนอนตะแคงข้างหนีอีกฝ่ายทันที จู่ๆ หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นโครมครามขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งเนื้อตั้งตัว เลยทำได้แค่นอนเงียบๆ และพยายามข่มสติให้นิ่งไว้ อย่าเผลอไปเชื่ออะไรก็ตามที่อาจจะถูกอีกฝ่ายจงใจปั่น ทว่ายิ่งข่มตัวเองไม่ให้ไหวไปตามคำพูดนั้นเท่าไหร่อีกเศษเสี้ยวในความรู้สึกกลับกำลังประท้วงเล็กๆ ไม่ยอมหยุด
แล้วถ้ามันจริงล่ะ! เขาสะบัดหัวเพื่อไล่เสียงเล็กๆ ที่น่ารำคาญใจนั้นให้หลุดออกไปเสียทีก่อนจะพยายามข่มตัวเองให้หลับ เผื่อว่าตื่นขึ้นมาแล้วอะไรๆ มันอาจจะดีขึ้นกว่านี้
“จอดตรงนี้แหละ” นายน์ร้องบอกเมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวมาจนถึงประตูบ้านสีน้ำเงินที่แสนคุ้นตา อันที่จริงเขาหลับมาแทบจะตลอดทาง ไม่นับที่ถูกปลุกตอนไปถึงคลินิกแห่งหนึ่งในตัวเมืองกาญฯ หลังจากได้รับการตรวจเช็คและพันผ้ายืดเพื่อซัพพอร์ตเอาไว้ ได้ยาติดมือมานิดหน่อย พอกลับขึ้นรถมาเขาก็หลับยาวจนกระทั่งถูกอีกฝ่ายปลุกเพื่อให้บอกทางนี่แหละ
นายน์ปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยก่อนทำท่าจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเป้ที่เบาะหลังแต่ถูกอีกฝ่ายชิงหยิบไปเสียก่อน คิ้วเรียวขมวดมุ่นทันทีเพราะนึกว่าจะถูกอีกฝ่ายป่วนอะไรเข้าให้อีกแล้ว แต่ผิดถนัดเมื่อคนหลังพวงมาลัยส่งเป้คืนให้เขาแต่โดยดี
“ตอนนอนอย่าลืมเอาหมอนรองเท้าให้สูงจากพื้นด้วยล่ะ”
“อืม”
“ให้ลงไปส่งมั้ย”
“ไม่! กูมีไม้เท้า” เขาซื้อไม้เท้ามาจากร้านขายยาข้างๆ คลินิกนั่นแหละ เพราะยังไงช่วงนี้ก็คงต้องพึ่งมันไปก่อนซักระยะ รอให้ขาหายบวมแล้วทุกอย่างก็คงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“นายน์!”
เสียงนั้นดังขึ้นหลังจากเขาพยายามหมุนตัวและวางเท้าลงกับพื้นถนนได้สำเร็จ นายน์ชั่งใจอยู่กับตัวเองชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปโดยไม่หันหลังกลับ “อะไร”
“กูพูดจริงนะ”
“..........”
“ถึงเมื่อก่อนอาจจะเป็นแค่การแกล้งกันก็จริง แต่มันคนละเรื่องกับตอนนี้”
“..........”
“มึงไม่ต้องคิดเรื่องตอบรับความรู้สึกกูเลยก็ได้ ขอแค่เข้าใจว่าที่กูทำไปเพราะกูชอบมึงจริงๆ แค่นั้นก็พอ”
“..........”
“ได้มั้ยวะ”
“..........”
********************************************************************
Talk :: มาเร็วผิดปกติเพราะเคลียร์งานเสร็จเร็ว ฮิฮิ
ฝากให้กำลังใจเราโต้ยเน้อ อยากแต่งให้จบ ฮ่าๆๆ