พิมพ์หน้านี้ - รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: half_moon ที่ 21-09-2018 23:56:31

หัวข้อ: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 21-09-2018 23:56:31
**************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

***************************************************************************                                                                  

                                                                                                                                                                                                       




รักดอกจึงหลอกจิ้น  #คู่จิ้น1990




EP00…


     “แกก!! นี่ไงๆ พี่ม.4 ที่ย้ายมากลางเทอม”

     “หล่อมากอ่ะแก  หล่ออะไรเบอร์นั้น”

     “เห็นมั้ยชั้นบอกแล้วว่าออร่ากระแทกตาเว่อร์”

     “หล่อจนอยากจะกรี๊ดให้ดังไปถึงปากซอย  ชื่ออะไรอ่ะแก”

     “ชื่อเท็น  ทินกฤต  เอื้อการย์  ไงหล่อยันชื่อมั้ยล่ะ  ก็คนนี้แหละที่ชั้นเพิ่งเปิดรูปในเพจวายให้แกดูเมื่อวานไง  ที่มีคนจิ้นกับ’พี่นายน์นัน’ น่ะ”

     “โอ๊ยยยยตัวจริงดูดีกว่าในรูปล้านเท่า  หล่อมากเวอร์  เป็นดาราได้เลยอ่ะแกกกก”

     มือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบหนังสือประวัติสงครามโลกครั้งที่สองถึงกับชะงัก  ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนต้องรีบหันขวับมองตามสายตาของสองสาวที่ยืนหวีดอยู่ตรงชั้นหนังสือถัดจากเขาไปหนึ่งล็อคด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่จู่โจมเข้ามาแบบงงๆ  ก็ถ้าในบทสนทนานั้นไม่มีชื่อเขาเข้าไปผสมโรงก็คงจะปล่อยเสียงหวีดบ้าบอผ่านหูไปแบบรำคาญใจนิดๆ ล่ะนะ แต่นี่มันอะไรกันวะ  คุยอะไรกันบ้างช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจฟังเสียด้วย มาสะดุดหูอีกทีก็ตอนได้ยินชื่อตัวเองนี่แหละ  ละอะไรคือจิ้นๆ ดิ้นๆ วะ  นี่มันภาษาคนหรือภาษาไส้เดือน

     เห็นสองสาวพยักพเยิดไปทางใครคนหนึ่งก็ดันบ้าจี้มองตามไปด้วย  แต่น่าเสียดายได้เห็นแค่หลังไวไวพ้นออกไปจากประตูห้องสมุดแบบหวุดหวิด  แล้วมันคือใครกันวะ! 

      “เสียดายอ่ะแกไปซะละ” 

      “ไม่ต้องเสียดาย  เดี๋ยวชั้นไปสืบเองว่าพี่เท็นชอบไปอยู่ที่ไหน”

     “ดีงามม ไปสืบมานะแก จะได้ไปตามส่องกัน  เผื่อจะมีโมเมนท์ได้สบตาบ้างไรงิ  อรั๊ยยย”

     “มโนนะยะ!  สบตาชั้นไม่อยาก  อยากได้โมเมนต์กับพี่นายน์นันมากกว่า  คิดภาพดูดี๊  อีกคนก็โคตรหล่อ  ส่วนอีกคนก็ตัลล้าคคค  โอ๊ยยยยยยโคตรรดีโคตรรรรฟินโคตรรรรรรรแฟนอ้ะ”

     ถึงจะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็เหมือนจะได้กลิ่นอะไรแปลกๆ จนเผลอทำหน้าเหย  เอ่อ  ทำไมมีโคตรแฟนด้วยวะ  แบบนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องดี 

     หรือว่า?!!  เท็นอะไรนั่นที่สองสาวปรอทแตกพูดถึงจะหมายถึงนักเรียนที่เพิ่งย้ายมา  จะว่าไปอันที่จริงก็แอบได้ยินเพื่อนผู้หญิงในห้องกรี๊ดกร้าดนักเรียนใหม่ย้ายมากลางเทอมอะไรซักอย่างอยู่เหมือนกัน  แต่พอดีว่าระดับความน่าสนใจยังไม่มากพอจะให้เขาเข้าไปร่วมวงเผือกก็เลยไม่ได้ใส่ใจฟัง

     “นี่แก!  ไม่ใช่แค่ชั้นนะที่คิดว่าพี่สองคนเหมาะกันอ่ะ  นี่ๆๆๆ มีบ้านคู่แล้วด้วยเหอะ  ชั้นเพิ่งไปฟอลบ้านคู่มาเมื่อวานเอง  แกนึกออกปะ ฟอลปุ๊บได้เจอปั๊บอ่ะ  ฮรือออออ  ความแต้มบุญนี้”

     “ไหนๆ บ้านคู่ไหน  ชั้นฟอลมั่ง”

     “นี่ไง  แอดมินบ้านก็รุ่นพี่เรานี่แหละ  แกฟอลเลย  จะได้มาหวีดเป็นเพื่อนชั้น  ช่วยชั้นตีซี้พี่บุตรแอดมินด้วยนะ  เผื่อมีอะไรเอ็กคลูซีฟเราจะได้ไม่ตกข่าว”

     “โอเคแก!  จะว่าไปพี่นายน์ก็โคตรของโคตรความน่ารักเนอะ  ตั้งแต่ม.ต้นยันม.ปลายทำไมไม่เคยเห็นพี่แกมีแฟนซักคน  มีแต่ข่าวว่าคบคนนั้นคนนี้  ตกลงใครเป็นตัวจริงวะแก”

     “ไม่รู้เหมือนกัน  แต่คนที่มีเปอร์เซ็นสุดน่าจะเป็นพี่เคนตะมั้ง  เห็นชอบกลับบ้านด้วยกันสองคนบ่อยๆ  กลุ่มพี่บุตรที่เป็นแฟนคลับพี่นายน์มาตั้งแต่ก่อนพี่เค้าจะมาเรียนที่นี่บอกเองเลยนะว่าพี่เคนอ่ะตามจีบพี่นายน์อยู่  ไปรับไปส่งพี่นายน์แทบทุกวันเลยเหอะ”

     “โหยยย แบบนี้พี่เท็นก็แห้วอ่ะดิ” 

     “ก็ยังไม่แน่หรอก  พี่เคนตะอาจจะแค่เพื่อนก็ได้  เพื่อนสาวไรงิอ่ะ”

     เดี๋ยว!!!! เพื่อนสาวพ่อง!!!! ละอะไรคือบ้านคู่  อะไรคือไอ้เหี้ยเคนตามจีบกูวะ  โอ๊ยยยยยแล้วไอ้ศัพท์พวกนั้นอีก  แล้วทำไมต้องลากเขาเข้าไปเกี่ยวอะไรกับไอ้นักเรียนใหม่ที่ไม่รู้จักแม้แต่หน้า  ชื่ออะไรยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำ  เด็กผู้หญิงพวกนี้นี่ท่าจะว่างจัดจนเพี้ยนไปหมดแล้ว  ไอ้เหี้ยยยยยยยย!! 

      เมื่อก่อนเขาไม่เคยนึกสนใจเสียงนินทา  พอรู้อยู่หรอกว่าตัวเองถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ  แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องที่ถูกพูดถึงมันจะพิสดารบ้าบอคอหอยพอกได้เบอร์นี้ 

     บอกกงๆ ว่า....ขนลุกสัสสสสสส!!






♥To.Be.Continue.Jaa♥





Note ::  ตอนแรกตั้งใจว่าจะแต่งให้จบแล้วค่อยลง แต่มันก็จะเหงาๆหน่อย แต่งเองอ่านเอง55555
            ไหนๆ ก็ได้หลายตอนแล้วก็ลงเลยละกัน  ถ้าชอบก็บอกกันบ้างหนาเจ้า  #คู่จิ้น1990
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 22-09-2018 00:10:49
EP1…

     “มึง!” 

     “นั่งกันอยู่ตั้งหลายมึง  ช่วยระบุด้วยครับคุณนายน์นัน” 

     จากที่กำลังนอนฟุบโต๊ะอย่างใช้ความคิดเขาจำต้องเด้งตัวขึ้นมาเพราะสรรพนามที่ได้ยินกี่ครั้งก็ไม่สบอารมณ์มันทุกครั้ง  ร่างเล็กยกเท้าถีบไปยังเก้าอี้ของไอ้เพื่อนตัวดีอย่างแรงหนึ่งที  ทว่าแทนที่ไอ้เคนตะกละ(จริงๆมันชื่อเคนตะ  แม่เป็นคนเชียงใหม่ขาวจั๊วะสวยพริ้ง  ส่วนพ่อเป็นคนญี่ปุ่น  หน้ามันก็เลยกึ่งๆ ไม่ไทยไม่ญี่ปุ่นไม่อะไรซักอย่าง  ตาก็มีแค่พอให้มองโลกเห็นแบบลางๆ) จะตกใจมันกลบหัวเราะใส่เขาไปเสียฉิบ  กวนทรีนนนนนนนน! 

      “นายน์เฉยๆ โว้ย  ต้องให้กูเขียนโปรแกรมแล้วฝังชิปลงในหัวมึงเลยมะ”  ชื่อเล่นของเขาคือนายน์  ชื่อจริงนันทนัช  ด้วยเหตุผลที่ว่าในโรงเรียนมีนายน์อยู่หลายคน(จริงรึเปล่าอันนี้เขาก็ไม่รู้หรอก)  แม้จะสะกดคนละแบบแต่ก็ออกเสียงเหมือนกัน  เพราะฉะนั้นเขาก็เลยถูกเติมชื่อให้เพื่อจะได้ชี้ตัวได้ถูกคนด้วยไอ้ชื่อที่ว่านั่นแหละ  มันก็มีเหตุมีผลพอเข้าใจได้อยู่หรอก  ถ้าไม่ติดที่ว่าบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเพื่อนทั้งหลายชอบเอาเขาไปเม้าเรื่องแปลกๆ ด้วยชื่อนั้นล่ะนะ  โดยเฉพาะไอ้เรื่องที่เพิ่งได้ยินกับหูตัวเองสดๆ ร้อนๆ เมื่อวาน!

     “แหมมมมมึงก็ซีเรียสจัง  เค้าก็แค่กลัวเรียกผิดคนแค่นั้นแหละ”

     “มึงคบกับกูอยู่แค่นี้จะเรียกผิดคนหาเตี่ยมึงรึไง”
 
     “มึงต้องบอกว่าหาโอโต้ซังเว้ย  ด่ากูหาเตี่ยกูไม่รับ”

     “เออ  หาโอโต้ซังพ่องมึงเหอะสัส”

     “โอ้โหมาเป็นชุด  สงสัยจะยั๊วะจริง  เออกูไม่เล่นแล้วก็ได้  มีอะไรว่ามาครับคุณนายน์เฉยๆ”

     ขอกรอกตาให้กับความกวนประสาทของมันหนึ่งที  นายน์ถอนหายใจพลางส่ายหน้าระอาก่อนจะกวักมือเรียกไอ้สองหน่อที่เอาแต่นั่งหัวเราะเป็นลิ่วล้อให้ขยับเก้าอี้มาใกล้ๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน  ซึ่งพวกมันก็ทำตามอย่างแสนเชื่อง  “คืองี้นะ...”

     “ทำไมต้องกระซิบด้วยวะ”  ไอ้เกมส์ที่ก้มตัวลงตามเขาขมวดคิ้วถาม 

     “กูไม่อยากให้คนอื่นได้ยินไงไอ้โง่”

     “เออๆ  มึงอย่าสอดได้มั้ย  ให้ไอ้นายน์พูดไป  กูเมื่อย” 

     “คืองี้  วันก่อนกูไปได้ยินรุ่นน้องกำลังนินทากูอยู่พอดี  แล้วแม่งกูพยายามแกะรหัสลับที่เค้าคุยกัน  แต่กูก็ยังไม่เข้าใจว่ะ”

     “น้องเค้าพูดว่าไรเหลามา” 

     ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้สกิลเผือกไอ้เคนตะกละที่เคยทำหน้ายุ่งเพราะไอ้ท่าสุมหัวที่ต้องย่อตัวมากระจุกกันก็ทำให้มันเปลี่ยนสีหน้าทันที  เห็นแล้วอยากจะยันให้หงายซักโครม  “จิ้นๆ ฟินๆ วาย บ้านคู่ อะไรซักอย่างนี่ล่ะ  คืองี้  ตอนกูไปได้ยินเนี่ยน้องเค้ากรี๊ดไอ้เด็กเข้าใหม่ที่ชื่อเท็นอยู่  แล้วจู่ๆ ก็มีชื่อกูเข้าไปเกี่ยวเฉย  แม่งงงมาก  กูยังไม่เคยเจอมันเลยด้วยซ้ำ  พวกผู้หญิงนี่เข้าใจยากชิบหายเลยว่ะ”  ขอเว้นเรื่องไอ้เคนตามจีบเอาไว้ก่อน  แค่คิดก็ขมคอละแม่ง

     “อ๋ออออออออ!!!” 

     เสียงนั้นดังประสานขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายจากคุณชายเคน  คุณชายเกมส์  และไอ้ตี๋ซ้ง  หน้าตาเหมือนเพิ่งบรรลุโสดาบันของพวกมันยิ่งทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก  “อ๋ออะไรของพวกมึงวะ!!!”

     “เอาจริงๆ ไอ้นายน์  นอกจากพวกกูมึงคบคนอื่นบ้างปะ”

     “นั่นดิ  หัดมีเพื่อนต่างห้องบ้างเหอะจะได้ทันโลกกับเค้าบ้าง”

     “เมิงจะไปเอาอะไรกับมัน  หน้าอย่างมันลองไปคบเพื่อนใหม่ดิ  ได้ทำเค้าช็อคกันหมดแน่”

     “ทำไมวะ”

     “ก็หน้าตากับนิสัยมันนี่ไง”

     “เออจริง  ตอนแรกกูก็ตกใจ  แต่ทำไงได้ยอมตกหลุมพรางหน้าตารับมันเป็นเพื่อนไปแล้วจะสลัดทิ้งตอนนี้ก็น่าสงสาร”

     “ใช่ไง  นอกจากพวกเราสามคนก็ไม่มีใครเอามันละ”

     นายน์ได้แต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยจนจำประโยคเหล่านั้นได้ขึ้นใจก็ได้แต่เบะปากพยักหน้าให้กับความเพ้อเจ้อหมู่ของพวกมัน  ไอ้ประเด็นว่าหน้าตาเขามันคิ้วท์ๆ แต่นิสัยไม่ตรงปกนี่เขาชินชาเสียแล้ว  “มึงจะบอกกูมาได้ยังว่ามึงไปเสือกรู้อะไรมา”

     “มึงดูๆๆ  ปากคอมันเล่นๆ ที่ไหน  ใครจะเชื่อว่าน้องนายน์นั่น  พี่นายน์นี่ที่น่ารักของสาวๆ จะนิสัยแบบนี้”

     “ไอ้เคนมึงก็เลิกเล่นเหอะ  สงสารไอ้นายน์มัน”  ซ้งเอื้อมมือไปตบไหล่นายน์ปุๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้กลับไปประจำที่ตัวเองตามเดิม  มึงไม่ต้องเล่นบทคนดีเนียนมากก็ได้ไอ้ซ้งไอ้งูพิษ  เมื่อกี้มึงยังหัวเราะเป็นลูกคู่ให้ไอ้เคนกับไอ้เกมส์อยู่เลย!

     “เออๆ บอกให้เอาบุญก็ได้  มึงก็หัดเล่นโซเชียลซะมั่งเหอะ  ไม่คบเพื่อนนอกกลุ่มก็จะได้ไม่ตกข่าว  คืองี้...ไอ้เท็นที่มึงว่าน่ะ  มันคือเด็กใหม่ที่ย้ายมากลางเทอม  เห็นว่าเป็นเด็กเส้นมั้ง  พ่อมันเป็นพวกเศรษฐีอสังหาฯ หรือลูกนักการเมืองท้องถิ่นอะไรซักอย่างนี่แหละ  แต่ที่สาวๆ แตกฮือกันทั้งโรงเรียนไม่ใช่เพราะมันเป็นเด็กเส้นพ่อรวยชิบหายอะไรหรอก  เค้ากรี๊ดที่มันโคตรหล่อต่างหาก  กูไปส่องมาละ  แม่งหล่อจริงว่ะอันนี้กูยอมเลย  หล่อกว่ากลุ่มไอ้พี่กายรวมกันทั้งแก๊งเลยเหอะ”

     ฟังไอ้เคนตะกละร่ายยาวเขาก็ได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงความจะเป็นไปได้  คือกลุ่มไอ้พี่กายเนี่ยมีแต่ตัวเป้งทั้งนั้น  แก๊งหล่อประจำโรงเรียน  เดินไปไหนสาวๆ นี่เหลียวจนเคล็ดขัดยอกกันเป็นแถบ  ถ้าไอ้เท็นที่ว่าหล่อกว่าทั้งกลุ่มรวมกันตามคำโฆษณาชวนเชื่อของไอ้เคนนี่มันจะหน้าตายังไงวะ  บอกตามตรงว่าเกินจะจินตนาการ

     “แล้วไอ้วายที่ว่าเนี่ย ก็ประมาณว่า...  คือ... มันก็แบบ... กูจะอธิบายยังไงดีวะ!  ไอ้ซ้งมึงจัดการดิ!”

     “ผู้ชายชอบกัน”

     “เออๆ นั่นแหละ ก็ประมาณว่าสาวๆ เค้าชอบให้ผู้ชายชอบกัน  ประมาณนั้นมั้ง”

     “เดี๋ยว!  ไอ้ชอบให้ชอบกันที่ว่าเนี่ยมันต้องชอบกันจริงๆ ด้วยมั้ยวะถึงจะเรียกว่าชอบกัน”  ยิ่งฟังคิ้วเขาก็ยิ่งพาลจะขมวดเข้าหากันจนตอนนี้แทบจะแกะไม่ออก

     “โอ้ยไอ้นายน์ครับ  พวกสาวๆ เค้าก็อยากแหละ แต่จะชอบจริงไม่จริงมึงต้องไปสานต่อเอาเองไงครับ  มึงนี่มัน....”

     นายน์ยกมือปรางห้ามญาติเพราะกำลังประมวลผลข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับฟัง  “ชิบหาย!!”

     “อะไรของมึง”

     ไอ้เคนที่ถูกเขาห้ามพูดเลยได้แต่จ้องเขม็งพอเขาสบถมันเลยสะดุ้งตัวโยน  “งี้ก็  คือ  ยังไงวะ  กูกับไอ้เท็นอะไรนั่น  แล้วยังมีพวก...” 

     "ไอ้นายน์เฉยๆ ถ้ามึงยังนึกไม่ออกนะ  มาดูนี่” 

     เกมส์ที่นั่งงมมือถือตัวเองเงียบๆ อยู่นานกวักมือเรียกเขาไหวๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้  และเขาก็รับไว้อย่างงงๆ พอพลิกหน้าจอมาสำรวจเท่านั้นแหละ งงหนักยิ่งกว่าเดิม  เพิ่มเติมคือได้เห็นว่าหน้าค่าตาของไอ้นักเรียนย้ายมากลางเทอมมันเป็นเยี่ยงไร  โดยรวมก็...โอเคมั้ง  เออๆ ยอมรับก็ได้มันโคตรหล่อจริงสมคำล่ำลือ  แต่ไอ้ที่ว่าหล่อกว่าแก๊งไอ้พี่กายรวมกันก็ออกจะเกินจริงไปนิด  นั่งมองรูปนักเรียนย้ายมาใหม่ผู้โด่งดังสลับกับรูปตัวเองที่อยู่ถัดไปพร้อมกับคำบรรยายที่เกินกว่าจะเข้าใจว่ามันมายังไง เกี่ยวอะไรกันวะเห้ย 

     ‘เค้าว่ากันว่าคนน่ารักมักใจร้าย ไม่รู้จริงป่าว แต่ถ้าคนชื่อนายน์น่ารักอย่างกับตุ๊กตาบลายทั้งโลกรวมกันบอกเลยว่าเรื่องจริง  ฮิ้ววววว” กรี๊ดดดดดดดดดด อยากเห็นนายน์โดนพี่เท็นคนกากจีบจุงเลยข่ะ #คู่จิ้น1990

     มุกกากมากไม่พอ แกทเชื่อมโยงยังป่วงอีก  แม่งไม่มีอะไรเข้ากันเลยซักอย่าง แล้วผู้หญิงพวกนั้นกรี๊ดอะไรกันวะ งงในงงมีอยู่จริง!

     “นี่มึงให้กูดูอะไรอยู่วะ  ไอ้เท็นเป็นขี้กากเหี้ยไร”

     “ขี้กากกับเตี่ยมึงดิ!  ที่มึงดูอยู่น่ะเค้าเรียกว่าบ้านคู่  คู่มึงกับไอ้เท็นนั่นแหละ  รู้สึกว่ารุ่นพี่โรงเรียนเราจะเป็นคนสร้างแอคฯ  มึงดูยอดฟอลซะก่อนเถอะค่อยพูดจาสามหาว  คนตามจะสามพันละ  มาแรงแซงทุกคู่ก็ต้องคู่สิบเก้าเก้าสิบนี่แหละครับคุณกิตติ”

     “ก็เหี้ยละ!”

     “โถ่ๆๆ ดูทำหน้าเข้า  อย่างมึงนี่ต้องเรียกว่าพรุนละครับเพื่อน  ก่อนหน้านี้มึงก็มีอีกพันกว่าคู่  ทั้งแก๊งนี่วนกันจนครบหมดละ  ไหนจะแก๊งหล่อลากไส้ของไอ้พี่กายอีก  เรียกว่ามึงเดินเฉียดใครคนนั้นไม่รอดยังไม่รู้ตัวอีกนะน้องนายน์หน้ามนคนน่ารักของพี่” 

     ไอ้เคนยื่นมือมาเชยคางเขาพร้อมกับกัดปากทำหน้าตายั่วบาทาชวนขนลุกมาให้  ไอ้เวรนี่!  “มึงแกล้งกูปะวะ  เชื่อพวกมึงได้ปะเนี่ย”

     “ไอ้คุณนายน์ครับ  มึงคิดว่าพวกกูว่างมากมั้ง  ใครมันจะไปนั่งทำแอคเค้าน์กับรูปบ้าๆ บอๆ พวกนั้นวะครับ  อีกอย่างนะ  กูก็ไม่ได้อยากเอาตัวเองไปเป็นคู่จงคู่จิ้นอะไรกับใครทั้งนั้น  ถึงหน้าตามึงจะบาร์บี้แค่ไหนแต่กูก็ชอบผู้หญิงเว้ย  ประวัติคาสโนว่าอย่างกูด่างพร้อยหมด”

     “ถุย!  คาสโนวงคาสโนว่า  หล่อมากมั้งไอ้ซ้ง”

     “ถ้าพวกสาวๆ เค้าไม่เห็นมึงเล่นกับไอ้นายน์แบบตะมุตะมิป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้จักมึงมั่งเหอะ”

     “อ้าวไอ้สัสเกมส์”

     “ทำไมๆ  อย่าให้กูต้องเอาไปบอกพวกสาวๆ ว่ามึงพยายามเข้าไปเล่นกับไอ้นายน์เผื่อมีคนแอบถ่ายไปลงอีก  อยากโดนพวกสาววายลากไปตบกลางสี่แยกก็ลองดู”

     “โอ้ยไอ้เหี้ย  มึงก็ทำเป็นโง่บ้างได้ปะ  กูก็อยากมีคนมากรี๊ดแบบพวกมึงบ้างไม่ได้เลยไงวะ”

     เสียงทะเลาะที่ไม่จริงจังอะไรของไอ้สามลิงไม่ได้แทรกเข้ามาในหูเขาเลยแม้แต่น้อย  เพราะในหัวของเขามีแต่คำถามและคำถามเต็มไปหมด  นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันวะ  โอเค  ถึงเขาจะช็อคช้าไปสองชาติเพราะไม่ชอบเล่นโซเชียลก็เถอะ  แต่เป็นแบบนี้สู้ไม่รู้ตลอดไปเลยยังดีเสียกว่า   

     นี่เขาโดนหาว่าเป็นเกย์หรอวะ  แถมยังมีแฟนเยอะเป็นพันๆ คนอีก(ถ้าที่ไอ้สามลิงพูดเป็นเรื่องจริงอ่ะนะ)  จะบ้าตาย!  แฟนซักคนเขาก็ยังไม่เคยมีเลยด้วยซ้ำ(ถึงพูดไปก็ไม่มีใครยอมเชื่อก็เถอะ)  เออยอมรับว่าหน้าตาเขามันถอดแบบแม่มาทุกกระเบียดนิ้ว  เวลามีคนชมว่าน่ารักอย่างนู้นอย่างนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรือปลาบปลื้มอะไรมากมาย  จะให้ปฏิเสธยังไงก็ส่องกระจกเห็นหนังหน้าตัวเองอยู่ทุกวัน  เลยเข้าใจปฏิกิริยาของคนอื่น  แต่ไอ้ที่พากันจับเขาใส่ตะกร้าให้เป็นแฟน(ปลอมๆ)ของผู้ชายคนนั้นคนนี้นี่มันออกจะเกินไปหน่อยมั้ยวะ

     อีกอย่างนะ  เขาก็ไม่ได้รู้จักกันคนพวกนั้นเป็นการส่วนตัวด้วย  ถ้าเกิดวันข้างหน้ามีเหตุให้ต้องเสวนากันขึ้นมาจริงๆ จะต้องทำหน้ายังไงวะเนี่ย

     เดี๋ยวๆ เมื่อกี้ไอ้เคนบอกว่าเคยมีคนจับเขาจิ้น(เรียกแบบนี้ใช่มะ)กับพวกไอ้พี่กายด้วยหรอ  ชิบหาย!!  เขากับไอ้พี่กายนี่เจอกันบ่อยมากเถอะ มีงานโรงเรียนอะไรทีก็ต้องได้เห็นหน้าหล่อๆ ของมันทุกครั้ง  นี่มันจะรู้เรื่องแบบนี้กับเขาด้วยมั้ยวะ 
โอ้ยยยยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะวิ่งไปตะโกนให้หายงงที่หน้าผา!!  เขาก็อยู่ของเขามาตั้งหลายปีเรื่องพวกนี้ไม่เห็นจะเข้าหูเข้าตาให้ระคายเคืองความรู้สึกเลย  เพราะไอ้นักเรียนใหม่นั่นคนเดียว  พอไอ้หล่อนั่นโผล่มาทำชีวิตที่เคยสงบสุขของเขาวายวอดหมด  ไอ้หล่อ!  ไอ้เฬว  ไอ้เวฬ!



          *******************************************************




     เป็นอีกหนึ่งวันที่ค่อนข้างเซ็ง  นอกจากจะโดนอาจารย์เพ็ญศรีคนงามอร่ามตาเบียดเบียนเวลาพักกลางวันด้วยการเรียกไปคุยเรื่องงานนิทรรศการบ้าบออะไรนั่นแล้ว(เขาถูกใช้ให้เป็นตัวแทนชั้นปีขึ้นไปรำเปิดงาน...อเกน)  เป็นความซวยที่ตอนม.ต้นดันหัวอ่อนเชื่อคำล่อลวงของอาจารย์หัวหน้าชมรมนาฏศิลป์ตบปากรับคำแกไปแบบงงๆ จนทุกวันนี้เลยต้องถูกใช้งานไม่หยุด  มันก็ดีล่ะนะที่ได้มีความสามารถพิเศษติดตัว  แต่บางทีมันก็เหนื่อยบ้างไรบ้าง  อันที่จริงนักเรียนในชมรมก็มีออกเยอะแยะ  ทำไมแจ็คพ็อตถึงมาลงที่เขาทุกทีก็ไม่รู้  นี่ขึ้นโชว์จนคนเขาเบื่อหน้าไม่อยากจะดูแล้วอาจารย์ก็ยังไม่ยอมใช้งานคนอื่นบ้างเลย 
เหร้อมมมม บ่นไปก็เท่านั้น!
     แถมวันนี้เพื่อนตัวดีแม่งก็มาทิ้งกันไปหมด  ต้องกลับบ้านคนเดียวแบบไม่มีคนคอยโม้ให้ฟังนี่มันก็ไม่หนวกหูดีอยู่หรอก  แต่เขาดันเป็นพวกชอบดูลิงกัดกันมากกว่าน่ะสิ  แถมยังไม่มีคนช่วยหารคารถตุ๊กตุ๊กอีก  เซ็งดอกที่สอง  เหร้อมมม

    โป๊กกกก!!

     พลั่กกก! 

     โครมมม!!


     เคยเดินๆ อยู่แล้วก็วูบไปเลยมั้ย  นั่นแหละสิ่งที่เขากำลังเป็น... 

     ความมึนและเจ็บจนเข้าขั้นปวดตุบๆ ที่จู่โจมเข้ามาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวนี่มันคืออะไรวะ  เขายังไม่สามารถประมวลผล  อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย  แค่จะลืมตายังลืมไม่ขึ้น  ทั้งมึนทั้งปวดหนึบๆ ไปทั้งหัว 

     “เป็นอะไรมากมั้ย  ขอโทษจริงๆ ไม่ทันมองว่ามีคนเดินอยู่ตรงนี้  ลุกไหวมั้ย”

     เสียงห้วนๆ ที่ฟังดูขัดกับประโยคห่วงใยเหลือแสนนั้นทำเอาเขายิ่งขมวดคิ้วหนัก  และเพิ่งเอะใจว่าตัวเองเหมือนจะลงมานั่งวัดพื้นอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  พอพยายามฝืนความมึนลืมตาขึ้นก็เป็นจริงอย่างว่า  เขานั่งหมดสภาพอยู่บนพื้นจริงๆ แถมตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกเจ็บเพิ่มขึ้นมาอีกสามตำแหน่งคือฝ่ามือ  ข้อศอก  และก้น  ดูว่าตอนลงท่าคงจะไม่สวยเท่าไหร่ 

     ยกฝ่ามือขึ้นมากะจะสำรวจความเสียหายแต่สายตากลับพล่าเบลอเกินกว่าจะบอกได้ว่ามีเลือดตกยางออกตรงไหนบ้าง  แต่สิ่งที่ชัดเจนจนรู้สึกได้ก็คือมือที่กำลังสั่นพั่บๆ อย่างควบคุมไม่อยู่  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแม่งเจ็บจริงไม่มีแสตนอิน  พอลองเอาอีกมือมาสัมผัสกันถึงได้รู้ว่ามันเหมือนจะมีก้อนอิฐหินดินทรายอะไรก็ไม่รู้แทรกอยู่ในอุ้งมือเขาด้วย
ไอ้เหี้ยยยย นี่กูต้องโดนเย็บแผลไหมวะ!

     กำลังพยายามจะควบคุมมือไม่ให้สั่นเพื่อจะหยิบก้อนกรวดออกแต่เหมือนเขาจะช้ากว่าอีกหนึ่งชีวิต(ที่แทบจะลืมไปแล้วเพราะมัวแต่ตกใจกับสภาพตัวเอง)  มือของเขาถูกคว้าไปกุมไว้  ก่อนบรรดาสิ่งสกปรกจะถูกปัดออกให้อย่างเบามือจนอดจะประหลาดใจไม่ได้  นั่นทำให้เขาฝืนสายตาพร่าๆ จากมือตัวเองไปยังใบหน้าของอีกคนที่เห็นเป็นภาพเบลออยู่ตรงหน้าเขา
กระพริบตาหนักๆ หวังจะไล่อาการที่ไม่ปกติทิ้งไป  แต่เสียงตุบๆ ที่หัวก็ไม่ยอมหายไปสักที  คนตรงหน้าก็ยังเป็นแค่ภาพลางๆ  กับเสียงห้วนๆ ที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง

     “แค่ถลอกน่ะ  ขอดูที่ข้อศอกหน่อย” 

     ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากอนุญาต  มือของอีกฝ่ายก็ถือวิสาสะจับพลิกสำรวจข้อศอกเขาหน้าตาเฉย

     “แดงๆ นิดหน่อย  แต่ไม่มีรอยแผลอะไร  เมื่อกี้โดนตรงนี้ใช่มั้ย”

     ไอ้ตรงนี้ใช่มั้ยที่ว่ามาพร้อมกับมือกร้านๆ ที่วางแหมะลงบนหน้าผากของเขา  เขี่ยๆ คลำๆ อยู่ซักพักก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพรำที่จับใจความไม่ได้ 

     “ต้องไปหาหมอมั้ย  เดี๋ยวพาไป”

     เขาพยายามเพ่งมองอีกฝ่าย  ภาพมันดูชัดขึ้นมานิดหน่อย(ถ้านึกไม่ออกว่าอาการมันเป็นยังไงให้นึกถึงการ์ตูนที่เคยดูตอนเด็กๆ เวลามีอะไรมากระแทกหัวหรือวิ่งชนกำแพงแล้วมันจะมีดาววิ่งๆ ลอยหวือๆ อยู่รอบหัว  นั่นแหละ ใช่เลย!!)  แต่ก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่าคนตรงหน้าคือใคร  ท่าทางกับน้ำเสียงบอกชัดว่าไม่ใช่คนที่เขารู้จักอย่างแน่นอน  ช่างเถอะ! 

     “ไม่ต้อง” 

    “แน่ใจนะ”

     “อืม”

     “แล้วนี่...ลุกไหวรึเปล่า”

     “ไม่รู้อ่ะ  ลองดูก่อน”  ถึงเขาจะไม่ใช่ประเภทบึกบึนเหมือนนักกีฬาแต่ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอแน่นอน  เรื่องแค่นี้ไกลหัวใจ  เขาดึงมือที่ถูกอีกคนดึงไปสำรวจ(แล้วไม่ยอมคืน)กลับคืนแล้วพยายามพยุงตัวและหัวที่ทั้งมึนทั้งปวดยันพื้นเอาไว้  ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลโดยมีอีกคนช่วยประคองแม้เขาจะไม่ได้ร้องขอก็ตาม  อาการปวดศีรษะที่ยังไม่หายไปทำเอาเขาอยากจะยกมือขึ้นมาทุบหัวแรงๆ เผื่อว่ามันจะดีขึ้น  ได้แต่กัดฟันกรอดอดทนเอาไว้ 

     “โอเคปะ”

     “ก็...โอเคมั้ง”  เอ่ยเพียงเท่านั้นก็หมุนตัวเตรียมจะลุกเดินออกไปเรียกรถแท็กซี่หน้าโรงเรียน  แต่เดินไปได้สามสี่ก้าวก็จำต้องหยุดอีกครั้ง  ก่อนจะหมุนกลับไปหาอีกคนที่ยังคงอยู่ที่เดิม

     เหมือนเขาจะมองเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดขึ้นอีกนิดแล้ว  แต่ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นอีกต่อไป  “เมื่อกี้มึงเอาอะไรมาทุบหัวกูวะ”

     “ทุบ?!”

      อีกฝ่ายสบถเสียงดังลั่น  ดูเหมือนคำพูดของเขาจะไปสร้างความประหลาดใจให้ล่ะมั้ง  ไอ้นี่  ทำร้ายร่างกายคนจนเดี้ยงขนาดนี้ยังจะมาทำเป็นแอ๊บตกใจอีก!  อยากจะบอกว่าคำว่า ‘ทุบ’ ยังฟังดูซอฟต์ไปด้วยซ้ำสำหรับอาการทั้งเจ็บทั้งมึนที่เล่นงานเขาอยู่ตอนนี้ เกิดมาก็เพิ่งเคยโดนคนลอบฟาดหัวก็วันนี้แหละ

     “คืองี้นะ  จะพูดยังไงดี  คือ...ที่โดนหัวนายจนล้มกลิ้งน่ะมันคือลูกบาสฯ  แล้วกเราก็ไม่ได้ทุบหัวนายด้วย  ขอโทษอีกทีที่ทำให้เจ็บ  ไม่ทันมองจริงๆ ว่ามีคนเดินอยู่  พอดีแรงเยอะไปหน่อย  อีกอย่างลูกบาสฯเพิ่งไปเติมลมมาน่ะ  มันก็เลย...”

     “ลูกบาสฯ?”

     “ให้เราพาไปหาหมอดีกว่านะ ท่าทางอาการหนัก”

     “บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรดิ”  ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเขาก็ก้าวฉับๆ เดินออกจากโรงเรียนไปทันที  โคตรจะไม่ชอบเลยเวลาใครต่อใครทำเหมือนเขาใจเสาะเนี่ย






♥To.Be.Continue.Jaa♥
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 22-09-2018 01:41:33
 o13 น่ารักค่ะ ... ตามค่ะ  o13  :hao3:
FYI: รบกวนอย่าลืมแปะกฎของเล้านะค่ะ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ......EP2
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 22-09-2018 23:53:03
EP2…



    โป๊กกก!!

     ของแข็งที่ลอยหวือไปหล่นลงบนหัวไอ้เคนตะพอดิบพอดีเล่นเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหน้าแทบคะมำ เสียงโอยดังลั่นก่อนมันจะหันขวับมาทางเขา 

    “ไอ้เหี้ยนายน์  มึงเล่นบ้าไรวะเนี่ย”

     “เจ็บปะ”

    “มากดิ  หัวกูแตกแล้วมั้งเนี่ย”  กุมหัวตัวเองไปพลางมองหาอาวุธที่ทำเขาเจ็บก่อนจะเจอกระเป๋าเป้คู่ใจของไอ้เพื่อนใจโหดนอนกองอยู่กับพื้น  “มึงกะจะฆ่ากูรึไงวะ  ไอ้คนมีดีแต่หน้าไอ้ตุ๊กตาเถื่อน!”

     “สม!  อยากหนีกูกลับบ้าน”

     “เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?!”

     คนถูกย้อนถามเดินหน้าตึงไปเก็บซากกระเป๋าขึ้นจากพื้นก่อนจะปึงปังกลับไปนั่งยังที่ประจำ  ซึ่งก็อยู่ถัดจากไอ้คนที่เขาเพิ่งขว้างกระเป๋าใส่นั่นแหละ

     “อ๋ออออกูนึกออกละ!!  ไม่ใช่เรื่องที่กูหนีมึงกลับบ้านหรอกม้างที่ทำมึงอารมรณ์บูดแต่เช้าเนี่ย  เอ๊ะๆๆ  หรือจริงๆ มึงอารมณ์ดีแต่ทำเป็นมูดดี้กลบเกลื่อน”

     เขากรอกตาใส่ไอ้เคนที่ทำหน้าแผงเลศนัยแถมยังหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด  เห็นแล้วอยากขว้างกระเป๋าใส่หน้ามันอีกซักรอบ  เกลียดมันจริงๆ!  “อะไรของมึง”

     “แหนะๆๆๆ  ทำเป็นมาตีหน้าแบ๊ว  ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่จ้ะน้องนายน์”

     “แบ๊วพ่อง”

     “สารภาพมาซะดีๆ ว่าไปแอบจีบกันตอนไหน  แหมมม พอพวกกูไม่อยู่นี่รีบสร้างโมเมนต์เอาใจแฟนคลับเลยนะ”

     “จีบกันอะไรของมึง!”

     “ยัง!  ยังอีก!  ยังไม่เลิกตีหน้าซื่ออีก” 

     ไม่พูดป่าว  นิ้วเรียวๆ ของไอ้เคนเกลี่ยคางเขาเล่นด้วยท่าทางกวนประสาทอย่างที่มันชอบทำ  เขาถลึงตาตอบโต้ไปทันทีพลางว่าปัดมือนั่นทิ้ง  “ถ้ามึงยังไม่เลิกกวนตีน  กูจะไปบอกแม่ว่ามึงบอกว่าขนมที่เค้าทำให้โคตรไม่อร่อย  แดกไม่ลง  แล้วก็ไม่ต้องทำมาให้อีกเลยตลอดชีวิต”

     “แรงงงง!  กูขอถอนคำพูด  ยอมแล้วครับเพื่อนนายน์ที่น่ารักของไอ้เคน”

     “กูว่าไอ้นายน์ไม่ได้แอ๊บว่ะ  คนไม่เล่นโซเชียลอย่างมันน่าจะยังไม่เห็น”  ไอ้ซ้งว่าพลางก้มงุดกับโทรศัพท์ในมือและดูท่าว่ามันจะยังไม่ยอมเงยหน้ามาสบตากับชาวโลกต่อไป

     “เออ  ดูหน้าแม่งดิ  คิ้วขมวดจนจะกลายเป็นแอนตี้แอนละ” ไอ้เกมส์เสริม

     “พวกมึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรกันอยู่วะ”

     “เอางี้นะไอ้เพื่อนนายน์  มึงเล่ามาดีๆ ดีกว่าว่าเมื่อวานตอนเย็นตอนที่พวกกูไม่อยู่มึงไปทำอะไรมา”

     “ใช่  ให้ไว”

     “เร็วๆ ให้ว่อง”

     อะไรคือการที่เขาเตรียมตัวจะมาโวยที่โดนพวกมันทิ้งจนโดนคนลอบตีหัวเมื่อวานแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ถูกพวกมันรุม  ร่างเล็กมองไปยังดวงตาสวมคู่(ในที่สุดในซ้งก็ยอมเงยหน้ามามองโลกกว้างเสียที)ที่กำลังมองมาอย่างกดดัน   ถอนหายเฮือกใหญ่เพราะรู้สึกถึงเคล้ารางของหายนะที่เขาจะต้องเผชิญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  “กูต้องสวดมนต์ก่อนปะวะ” 

     “มึงมาทำหน้าสยองตอนนี้ก็ช้าไปสิบชาติละเหอะ  เล่ามาก่อนเดี๋ยวกูอธิบายทีหลัง  เร็วๆ!!”

     จ้องหน้าไอ้สามลิงอย่างเคืองๆ เพราะแม่งก็จ้องมาที่เขาแบบเอาจริงเอาจังไม่แพ้กัน  สรุปกูต้องเล่าก่อนถูกมะ!!  “เหี้ยไรวะเนี่ย!!  จำไว้เลยพวกมึง!  ......นึกแป๊บ!  ก็…พอกูคุยกับจารย์เพ็ญศรีเสร็จ  กูก็กำลังบ่นพวกมึงไปด้วยจะเดินออกไปนั่งพี่วินด้วย  แล้วอยู่ดีๆ ก็โดนไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้เอาลูกบาสมาฟาดหัวจนกูลงไปกองกับพื้น  มึนสัดอ่ะ  ทั้งมึนทั้งปวดหัวโคตร”

     “...........”/“...........”/“...........”

     “พวกมึงคิดดูดิว่ากูมึนจนลืมโมโหแม่งเลย  พูดแล้วขึ้น!!  เมื่อวานกูน่าจะต่อยมันคืนไปซักหมัด  ไม่ก็เรียกค่ารักษาพยาบาลแม่งซักสี่ห้าพัน  แต่กูมัวแต่มึนไง  แม่งดันเอ๋อไม่ว่าอะไรมันซักคำ แถมต้องเสียค่าแท็กซี่กลับบ้านเองอีก เงินค่าขนมอาทิตย์นี้ก็ปลิวไปละ  เหี้ยเอ๊ยยิ่งพูดยิ่งเคือง!” 

     “...........”/“...........”/“...........”

     “แต่เซ็งที่สุดคืออะไรรู้มะ  กูแม่งดันไม่รู้ว่าแม่งเป็นใครนี่แหละ  ตากูพร่าค้างไปเป็นครึ่งชั่วโมงได้มั้ง!  นึกว่าสมองจะกระทบกระเทือนจนตาบอดละเนี่ย”

     “...........”/“...........”/“...........”

     “จอบอจบ”

     “เดี๋ยวนะ  ไอ้สัดกูพูดไม่ออก”

     “เออ จุกเหมือนโดนลูกบาสฯฟาดหัว”

     “มึงเข้าใจกูใช่ปะไอ้ซ้ง ไอ้เกมส์”

     “เออ/เออ!”

     “นายน์กูพูดเลยนะ  ว่ามึงนี่มัน...ถุ้ยยยย!”

     “เหี้ยไรอีกละ!!  พวกมึงเป็นห่าไรกันนักหนาเนี่ย  จะบอกอะไรก็รีบๆ บอกมา  ทำเป็นเล่นพวกกันอยู่ได้”  จากตอนแรกที่รู้สึกหวั่นๆ หวาดๆ ขอเปลี่ยนเข้าโหมดโมโหไอ้สามลิงแทนแล้วกัน  เรื่องลีล่าเล่นตัวนี่ขอให้บอกเลย!

     “ไอ้ซ้ง  มึงสงเคราะห์ทำให้มันตาสว่างดิ  กูทนมองหน้าแม่งต่อไปไม่ไหวแล้วว่ะ”  เคนเอ่ยกลั้วหัวเราะ  พยักพเยิดให้ไอ้ซ้งที่ก้มๆ งุดๆ อยู่กับโทรศัพท์ในมืออยู่เป็นระยะๆ จัดการต่อ

     “ทำใจดีๆ ไว้นะมึง”

     ไอ้ซ้งลุกจากโต๊ะแล้วยัดโทรศัพท์ของมันใส่มือเขา  ก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่ตัวเองพร้อมกับทำหน้าปุเลี่ยนๆ เหมือนคนหมดคำจะพูด

     “กูบอกเลยนะว่าคราวนี้มึงดังขึ้นอีกสิบกะโหลก  แฟนคลับผุดขึ้นอีกสามแสนไอ้นายน์”

      ไอ้เกมส์ไม่น้อยหน้าพูดไปหัวเราะชอบใจไปด้วยท่าทางชวนให้บาทาลอยไปฟาดหน้ามันสุดๆ 

     “แต่ละรูปพูดเลยว่าซีรีส์เกาหลีก็ไม่สู้  ออทั่มอินมายฮาร์ทยังต้องหลีกทางให้ความหวานของคู่มึง”  ไอ้เคนเสริมอย่างไม่รอช้าก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นนั่งคร่อมเก้าอี้แบบกลับด้าน เกยคางไว้บนพนัก  สองตาแฝงความกรุ่มกริ่มมองมาที่เขาชวนให้ขนลุกพาลให้เขายิ่งจะไม่อยากดูไอ้รูปที่ว่านั่นขึ้นมาตงิดๆ 

     “พวกมึงแม่งเหี้ย!!”  ถึงจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรแต่บอกเลยว่าตอนนี้ขวัญหนีดีฟ่อไปหมดแล้ว  ก็ดูคำโปรยแต่ละคำของพวกมันดิ

     “ดูซะๆ  ไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก  เชื่อพี่” 

     เคนพยักพเยิดมาที่โทรศัพท์ในมือเขาอีกครั้ง  นายน์กวาดตามองไปยังทั้งสามหน่ออย่างพยายามมองหาพิรุธเผื่อว่าจะถูกพวกมันแกล้งอำอย่างทุกที  แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่  บอกตามตรงว่าตอนนี้ยอมให้ถูกพวกมันอำซะยังจะดีกว่าโดนเซอร์ไพรส์ด้วยเรื่องที่รับไม่ได้  นายน์ก้มลงมองมือถือของเพื่อนที่หน้าจอดับไปแล้ว  กดปุ่มโฮมอีกครั้งและใส่รหัสลงไปอย่างคล่องแคล่ว(ความขี้แกล้งแอบส่องรหัสของกันละกันเพื่อจะได้ย่องเข้าไปโพสอะไรแปลกๆ ให้ขายขี้หน้าทาระกำนัลเล่นเป็นเรื่องที่กลุ่มเขาแกล้งกันไปมาประจำ  ใครเผลอวางมือถือทิ้งไว้เป็นโดน) 

     และเมื่อหน้าจอกลับมาสว่างวาบกระแทกตา  สิ่งแรกหลังจากปลดล็อคสำเร็จก็คือภาพของหนึ่งคนที่นั่งจุ้มปุกอยู่บนพื้นและอีกคนที่นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าพร้อมกับกุมมือของอีกคนเอาไว้  สายตามองจ้องอีกคนอย่างเป็นกังวล  ด้วยความชัดระดับฟูลเอ็ชดีของภาพและมุมที่ถ่ายก็เห็นหน้าหล่อๆ ของบุคคลผู้ถูกพูดถึง(น่าจะมากที่สุดในโรงเรียนนับตั้งแต่เจ้าตัวย้ายเข้ามา)ได้อย่างชัดเจน  ถึงภาพแรกจะมองเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่บนพื้นไม่ชัดนักแต่นายน์ก็รู้ทันทีว่าคนคนนั้นเป็นใคร  ร่างเล็กเบิกตากว้างพร้อมกับร้องลั่น  “เห้ยยยย!!!”

     “ไง  กุ๊กกิ๊กปะ  เลื่อนดูได้ตามสบาย  ถ้ายังไม่พอเดี๋ยวกูหาให้อีก”

     ไม่ได้จะทำตามคำแนะนำของไอ้ซ้งหรอกนะแต่ด้วยความอยากรู้ก็เลื่อนดูจนหมดอัลบัม  มีทั้งภาพที่ประคองแขน  เสยผมตรงหน้าผากแบบโคตรใกล้  ภาพที่ไอ้หน้าหล่อกุมมือเขาเอาไว้มองด้วยสายตาเป็นกังวล  จริงๆ สายตาไอ้หล่อนั่นก็เป็นกังวลทุกรูปอ่ะแหละ  แหงล่ะ!!!  บอกตรงๆ ว่าคนเข้าใจสถานการณ์โคตรดีอย่างเขาเห็นแล้วยังรูสึกว่าอิบรรดาภาพที่โดนถ่ายออกมามันดูพิ้งคุพิ้งคุเกินเนื้อเรื่องไปเยอะ  ทั้งที่ใจเต้นตุบตับจนแทบจะกระโจนออกมาเต้นนอกอกด้วยความตกใจปนเคืองโคตรๆ แต่ก็ยังไม่วายกวาดสายตาอ่านคำบรรยายของเจ้าของเฟสฯที่ลงรูปเจ้าปัญหา 

    ‘กำลังเดินกลับบ้านกับเพื่อนดันเจอพี่สองคนพอดี  คือแกรรรรรร โมเมนต์นั้นอยากกรี๊ดให้ดังไปถึงสามโลกแต่ไม่กล้าเว้ย  แบบนึกออกปะ  สนามบาสฯโล่งๆ ตอนเย็นเกือบค่ำอ่ะ ละพี่เค้าสองคนกำลังง้อกันเว้ย  เหมือนพี่นายน์จะงอนอะไรพี่เท็นไม่รู้เห็นพี่เท็นจับมือแล้วก็ทำหน้าง้อๆ คือหน้าพี่เท็นโคตรจริงจัง+หล่อมากเว่อร์(อย่างที่เห็นในรูปอ่ะ)  เกร้ดดดดดดดดดดด  สาบานว่าถ่ายไปมือสั่นไป  เรากดชัตเตอร์แบบรัวมากกกกก ฟินจนเกือบจะวูบละโอ้ยยยยย
 
     ปล1. จะบอกว่าเพื่อนอีกคนถ่ายวีดีโอไว้ด้วย  อิเห้ฟินกว่าภาพนิ่งล้านเท่า  ไว้เดี๋ยวจะให้เพื่อนส่งคลิปให้บ้านคู่1990ลงให้ดูนะ 

     ปล2. แต่ก็แอบกังวลนิดนึงว่าตอนนี้พี่นายน์หายโกรธพี่เท็นยังอ่ะฮรือๆๆ  แต่แกรรรรรรรร #คู่จิ้น1990 มันมีอยู่จริงว่ะ เนี่ยไม่ใช่แค่บังเอิญแล้วแหละที่ชื่อมาพร้องต่อกันแบบนี้  สงสัยพรหมลิขิตชัวร์ๆ  คือตอนนี้อยากกราบคนแรกที่เห็นว่าเคมีสองคนนี้ตรงกันมากโคตร  พี่มีญาณทิพย์ชิมะคระ ถ้ามีวานมาเม้นบอกหน่อยว่าพี่เค้าคบกันอยู่รึเปล่า โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยิ่งพูดยิ่งฟินนนนนนนนนนนนนน หืดหาดดดดดดดดดดดด

     ปลสุดท้ายละ. มีความสงสัยส่วนตัวว่าพี่สองคนน่าจะคบกันอยู่แล้วมั้ย พี่เท็นเลยตามมาเรียนกลางเทอมถึงที่นี่ เพราะว่าถ้าเพิ่งมากิ๊กกันจริง คือสปารค์กันไวเวอร์อ่ะ หรือจะแบบรักแรกพบปิ๊งแล้วคบเลยตามประสาคนหน้าตาดีที่เหมาะกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกก็เป็นได้แหละโน๊ะ ส่วนทางเรายังไงก็ได้ เกร้ดดดดดดดดดดดดดดด’


     สาบานว่านั่นคือแคปชั่นไม่ใช่การเขียนเรียงความส่งอาจารย์วิชาวรรณกรรมแต่อย่างใด  น้องครับ!!!  น้องเพ้อเจ้อไปไกลมากครับน้อง ‘นิชา แฟนแจ็คสันหวัง’  (ชื่อเฟสฯน้องเขา)  ที่สำคัญคือมีคนมากดไลค์ไปแล้ว 8 ร้อยกว่าและคอมเมนต์ปาไปอีกประมาณเกือบพันเท่านั้นเอง

     ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย  กูอยากตาย!!!! 

     “ไอ้นายน์มึงจะทำอะไร”

     “กูจะเม้นไปบอกน้องเค้าว่าเข้าใจผิด”

     “ไอ้เหี้ยนั่นเฟสกูมั่งเหอะ!”

     ยังไม่ทันที่นายน์จะได้พิมพ์อะไรลงไป  โทรศัพท์ในมือก็ถูกฉกบินหวือโดยเจ้าของมันเสียก่อน  นายน์มองตามไอ้เพื่อนใจดำไปอย่างงงๆ ก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดแรง  บอกตรงๆ ว่าช็อคและเหวอรับประทานมากตอนนี้  “พวกมึงเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่!!  ทำไมไม่แก้ข่าวให้กูวะ!”  ทำอะไรไม่ได้ก็ก็ลุกขึ้นมาพาลใส่ไอ้สามลิงแม่มเลย  ฮรืออออออออออออออ

     “แก้ข่าวบ้าไร  กูก็เพิ่งเห็นเมื่อเช้าก่อนมึงมาไม่กี่สิบนาทีเนี่ย  อีกอย่างนะ  บอกตรงๆ ว่ากูที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ลูกบาสฯสื่อรักของพวกมึง  เห็นจากรูปกูยังแอบเชื่อตามน้องเค้าไปนิดนึงเลย  ก็ดูแต่ละรูปดิกุ๊กกิ๊กเวอร์”

     “ลูกบาสฯสื่อรักโอโต้ซังมึงดิ  กูเจ็บจะตายห่า”

     “เออๆๆ นั่นแหละ  แต่กูว่านะ  ถึงต่อให้มึงไปเม้นอธิบายสาวๆ พวกนั้นก็ไม่เชื่อมึงหรอก  เค้าจะหาว่ามึงแก้ตัวเพื่อปิดข่าว  ถ้ามึงไม่เชื่อนะลองไปไล่อ่านคอมเมนต์แต่ละอันดิ  มึงจะได้บรรลุเลยว่ามึงจะไปทำลายความเชื่อและศรัทธาของพวกนางไม่ได้แน่นวลล้านเปอร์เซ็น”

     “แล้วมึงจะให้กูนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรอวะ  อีกอย่างนะกู....”

     “นายน์มีคนมาหา!!”

     ยังไม่ทันได้โวยวายเสร็จเสียงตะโกนของศิตาหัวหน้าห้องก็ดังขัดเสียก่อน  พอหันไปสบตากับสาวห้าวคนเก่งประจำห้องคุณเธอก็พยักพเยิดบอกเป็นสัญญาณว่าไอ้คนที่มาหารออยู่ตรงประตูหน้าห้อง 

     “ใครวะ!”  อารามหัวเสียยังไม่ทันได้เคลียร์อะไรสักเรื่องแถมยังมาโดนขัดทำเขาหน้าบูดบึ้งอย่างเสียไม่ได้  นายน์ลุกขึ้นเดินไปยังหน้าห้องอย่างเซ็งๆ  โผล่หน้าพ้นประตูออกไปมองซ้ายมองขวาแล้วสายตาก็ปะทะเข้ากับใครบางคนที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเข้าอย่างจัง

     ไอ้เหี้ยเท็น!!

     จากทีแรกที่จำหน้าได้รางๆ แต่ตอนนี้บอกเลยว่าไอ้หน้าหล่อๆ นั่นแทบจะกลายเป็นภาพหลอนที่ติดอยู่ในหัวเขาจนแกะไม่ออก  นายน์จ้องอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรเพราะกำลังชั่งใจว่าจะเดินออกไปหรือเผ่นกลับเข้าห้องดี  แต่ทว่ายังไม่ทันได้ตัดสินใจคนมาเยือนก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาเสียเอง 

     “เป็นไงมั่ง  หายเจ็บรึยัง”

     เขาที่ได้แต่ยืนงงอยู่ตรงประตูเบือนหน้าหนีทันทีเพราะไม่อยากแม้แต่จะเสวนากับอีกฝ่าย  แต่สายตาดันไปเจอะเข้ากับเงาตะคุ้มๆ ตรงเสาที่อยู่ห่างออกไปเยื้องกับประตูด้านหลัง เห็นกระโปรงนักเรียนโผล่ออกมาแพลมๆ 
อย่าบอกนะว่ามีวิญญาณตามติดไอ้หล่อนี่มาด้วย!!  ชิบหายละ!!

     “แค่จะแวะมาถามแล้วก็ขอโทษอีกรอบน่ะ  เมื่อวานนายดูมึนๆ”

     “อืม!”

     “ตกลงไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย  ถ้าอยากไปหาหมอเช็คดูอีกทีก็บอกได้นะ  จะพาไป”

     “ไม่ต้อง”

     “ตามใจ  แต่ถ้า...”

     “พูดเสร็จแล้วใช่ปะ!”  ตอบกลับห้วนๆ สายตาก็คอยจ้องไปทางปาปารัสซี่มุมเสา  กลัวใจพวกนางจะมาตามเก็บภาพเอาไปมโนเป็นวรรคเป็นเวรอีก  นี่ไม่ใช่เหยื่อทางวรรณกรรมสยองขวัญของใครนะเว้ย

     “คอเคล็ดด้วยเหรอ”

     “ห๊ะ?!”  คำถามที่ลอยมากระแทกโสตประสาทแบบหาแกทเชื่อมโยงไม่ได้ทำเอานายน์สบถพร้อมกับหันไปหาคู่กรณีเป็นครั้งแรก  แล้วก็เพิ่งได้รู้ตัวว่าอีกคนย่องเข้ามายืนใกล้เขาขนาดไหน  ไอ้บ้านี่มันสายตาไม่ดีรึไงวะทำไมต้องยืนใกล้ขนาดนี้  นายน์ขมวดคิ้วหน้านิ่วแสดงออกชัดเจนว่าโคตรจะไม่พอใจ  จ้องตาคนที่สูงกว่า(เกือบๆ 10เซ็นเห็นจะได้)อย่างมีนัยยะ  แต่ทว่าไอ้หล่อตรงหน้ายังคงตีหน้านิ่งหน้ามึนเหมือนเดิมเป๊ะ  เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่มีทีท่าจะขยับเขาเลยต้องเป็นฝ่ายถอยไปตั้งหลักเสียเอง 

     “ถามว่าคอเคล็ดด้วยรึเปล่า  เห็นยืนหันข้างตลอด”

      มีหวังได้มีรูปหลุดออกมาอีกรอบแน่ๆ  อะไรมันจะซวยได้ซวยดีแบบนี้วะ! 

     ในหัวก็เอาแต่กังวลเรื่องจะถูกแอบถ่ายเลยตอบออกไปแบบขอไปที  “เปล่า”  ร่างเล็กเดินเลี่ยงไปอีกทางพยายามจะอยู่ให้ห่างมากที่สุดและเผื่อจะไปบดบังมุมกล้องของช่างภาพนิรนามด้วยก็จะเป็นการดี  ทว่าดูเหมือนอีกคนจะไม่เข้าใจภาษากายที่เขาแสดงออก  ยังคงหันตามและทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้อีกรอบ  “หยุด!  มึงหยุดอยู่ตรงนั้นเลย!”

     เท็นขมวดคิ้วมุ่นมองท่าทางอีกฝ่ายที่กำลังชี้นิ้วสั่งแถมยังถอยหลังไปอีกสองก้าวอย่างกับกลัวเขาหนักนา  พิลึกคน!  แค่โดนลูกบาสฯ อัดหัวนี่สมองถึงขั้นกระทบกระเทือนกันได้เลยหรอวะ!  แต่ในเมื่อเจ้าตัวแสดงชัดเจนว่าหวาดระแวงเขาขนาดนั้นทั้งๆ ที่เขาก็มาตัวเปล่าไม่ได้พกลูกบาสฯ มาด้วยเสียหน่อย  ร่างสูงยอมหยุดอยู่กับที่  ก่อนจะถอยหลังแถมให้อีกหนึ่งก้าวเผื่อว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจมากขึ้น  “คืองี้...จะถามอีกเป็นครั้งสุดท้าย  นายโอเคแล้วจริงๆ ใช่มั้ย  ถ้าอยากไปตรวจที่โรงพยาบาลให้แน่ใจก็บอกมาได้เลย เรื่องค่าใช้จ่ายม…”

     “แล้วทำไมกูต้องไปตรวจ!”

     คนถูกถามสวนแบบไม่ปล่อยให้พูดอย่างที่ตั้งใจขมวดคิ้วฉับอีกครั้ง  อย่าบอกนะว่าลืมไปว่าตัวเองโดนลูกบาสฯฟาดหัวจนล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อวาน  “ก็เมื่อวานเราทำลูกบาสฯโดนหัวนาย  อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว”

     “ใครแม่งจะลืมลง!  ไม่ต้องย้ำ!  มึงคิดว่าลูกบาสฯแค่นั้นจะทำอะไรคนอย่างกูได้รึไง  หมดธุระแล้วใช่มั้ย  งั้นกูไปละ”

     เท็นไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกยังไงเพราะอีกฝ่ายเล่นพูดเองสรุปเองเสร็จสรรพจนเขางงว่าเขามาทำอะไรตรงนี้กันแน่  กำลังมองตามแผ่นหลังของคนประหลาดในสายตาเขาไปเกือบจะหายเข้าประตู้ห้องอยู่รอมร่อแต่แล้วจู่ๆ เจ้าตัวก็หยุดกึกเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง  เขาสบตากับอีกฝ่ายพร้อมกับเลิกคิ้วส่งสัญญาณแทนคำถาม  จากประสบการณ์เมื่อครู่บอกเขาว่าไม่พูดเสียยังจะดีกว่า 

     ทว่าผ่านไปหลายวินาทีอีกฝ่ายก็เอาแต่จ้องเขม็งแถมยังทำหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด  เป็นครั้งแรกที่เท็นได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ  อันที่จริงควรใช้คำว่าอย่างพิจารณาจะถูกกว่า  เพราะเขารู้ตั้งแต่เจอกันเมื่อวานแล้วว่าเจ้าตัวเป็นคนหน้าตาดีแบบที่เรียกได้ว่ามีใบหน้าชวนสะดุดตา  เห็นครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้  แต่พอพิจารณาดีๆ เขาถึงได้รู้ว่าคนพิลึกนี่มีใบหน้าที่เรียกได้เต็มปากว่า ‘น่ารัก’  แต่เป็นความน่ารักแบบเดียวกับเวลาที่เขามองตุ๊กตาอะไรเทือกนั้น  เท็นจุดยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงท่าทางพิลึกพิลั่นของอีกฝ่าย  แบบนี้ต้องบอกว่าเสียของ  หน้าตาออกจะดีแต่ท่าทางกับการแสดงออกติดลบเสียอย่างนั้น  ดีที่ไม่ใช่สเป็คของเขา  เพราะถ้าถามว่าคนตรงหน้าน่าสนใจไหมก็บอกได้เลยว่ามาก 

     “ยิ้มเหี้ยไร”

      เท็นยังคงยิ้มพลางส่ายหัว 

     “ถ้ามึงรู้สึกผิดที่ทำกูเจ็บ  แล้วก็อยากชดใช้ล่ะก็  มึงต้องทำอย่างนึงให้กู”

     “อะไร”

     “ตอบมาก่อนว่าจะทำ”

     “คิดดูก่อน”

     “เหี้ยนี่!!  มึงแสดงความรับผิดชอบหน่อยดิวะ!!”

     “งั้นก็ลองพูดมาดิ”

     อีกฝ่ายมีท่าทางฮึดฮัดดูขัดใจเต็มที่  นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างประหลาดที่มักจะแสดงสีหน้าและท่าทางออกมาอย่างเปิดเผย...จนเกินไปเสียด้วยซ้ำ  หรือถ้าจะให้นิยามแบบเข้าใจง่ายก็คงเป็น ‘เล่นใหญ่’  สงสัยดูละครเยอะเกิน

     “มึงต้องห้ามเข้าใกล้กูเกินห้าร้อยเมตร”

     เท็นฟังคำสั่งนั้นแล้วก็ได้แต่งง  ตกลงว่าเขากลายเป็นตัวเชื้อโรคไปแล้วหรือไงอีกฝ่ายถึงได้เอาแต่ทำท่าทางรังเกียจ  แถมยังมาสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้อีก  “แค่นี้?”

     “เออ”

      ร่างสูงหัวเราะหึให้กับความไร้สาระนั้นก่อนจะเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย  “ไว้มีโอกาสจะเลี้ยงขนมเป็นการขอโทษอีกทีก็แล้วกัน  พอดีไม่ชอบติดค้างอะไรใคร”  ที่ทำแบบนี้ก็เพราะไม่อยากรู้สึกผิดที่ยังไม่ได้แม้แต่จะแสดงความรับผิดชอบอะไร  แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าเขาจะเสนออะไรให้ก็คงจะโดนคงตรงหน้าปฏิเสธอยู่ดี

      “เห้ยเดี๋ยว!!”  นายน์เรียกอีกคนที่พูดจบแล้วก็ทำท่าจะเดินไปเสียอย่างนั้นเอาไว้  ไอ้บ้านี่มันพูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ!

     “อะไร”

     “แล้วเรื่องที่กูขอเมื่อกี้ล่ะ”

     เท็นขมวดคิ้วมุ่น  มองใบหน้าน่ารักที่ดูจริงจังยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ  “ยุ่งยาก  ไม่รับปากละกัน  ไปนะ”

     “ไอ้!!!”  นายน์ที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อถึงกลับอ้าปากค้างเพราะคำตอบที่ไม่คาดคิดนั้น  อยากจะด่าไล่หลังให้หายแค้นที่เมื่อวานไม่ได้ทำแล้ววันนี้ก็ยังโดนไอ้บ้านี่ปฏิเสธใส่อย่างไร้จิตสำนึกแต่ไอ้ขายาวๆ นั่นก็ก้าวฉับๆ ไม่ทันให้เวลาเขาได้คิดคำด่าร่างสูงๆ ก็พ้นไปจากบริเวณเสียแล้ว

     เจ็บใจโว้ยยยย!!!






♥To.Be.Continue.Jaa♥



TALK ::  ไม่เคยลงนิยายในนี้เลยก็จะยังงงๆ หน่อบ ขอบคุณที่บอกเรื่องแปะกฎนะคะ
             จะมาลงให้ถี่แค่ช่วงนี้แหละ5555555555555 เพราะว่าแต่งเอาไว้แล้วประมาณนึง
             ถ้าเกลาแล้วเอามาลงหมดก็จะเข้าโหมดหายไปปั่นต่อ หวังว่าจะชอบนะแจ้ะ  ฝาก #คู่จิ้น1990  ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP2
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 23-09-2018 01:48:12
 o13 น่ารักดีค่ะ ...
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-09-2018 06:19:13
ตาม  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP3
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 23-09-2018 21:48:31


EP3…



   
     “จารย์ปู่แม่งชอบปล่อยช้า  เหลืออะไรให้กินบ้างวะเนี่ย” 

      “มึงก็ยังไม่ชินอีกเนาะ  ดูไอ้เท็นดิแม่งยังไม่เคยบ่นเลย” 

     คนถูกพาดพิงไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระพลางว่า  “กูไปร้านน้ำนะ  เอาไรปะ”

     “ฝากแป็บซี่ขวด”

     “เอาเหมือนมัน”

     “เค”  เท็นเดินแยกกับเพื่อนไปยังร้านน้ำเพราะเขายังคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี  กำลังจะเดินผ่านโต๊ะๆ หนึ่งที่ยังมีกลุ่มนักเรียนนั่งจัดการกับมื้อเที่ยงของตัวเองอยู่  แต่มีใครบางคนในนั้นพยักหน้าให้เขาเป็นการทักทาย  ร่างสูงพยักหน้าเป็นการตอบรับอย่างงงๆ ทั้งที่ยังนึกไม่ออก 

    ใครวะ!

     เดินคิดไปตลอดทางกระทั่งถึงจุดหมายพร้อมกับบางอ้อที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวพอดี  เท็นมองกลับไปยังกลุ่มของคนที่ทักเขาเมื่อครู่  แม้ว่าอีกไม่นานออดเตือนหมดเวลาพักก็จะดังขึ้นแล้วแต่ปริมาณนักเรียนที่ยังคงปักหลักอยู่ที่นี่ก็มีมากพอควร  บ้างก็นั่งคุยกัน  บ้างก็ยังทานข้าวอยู่  เขากวาดตามองไปยังคนที่คิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น  แล้วก็เจอจนได้ 

     คนตัวเล็กกำลังใช้หลอดที่อยู่ในแก้วน้ำสะบัดไปยังผู้ชายคนที่ทักเขาเมื่อครู่  ทั้งคู่แกล้งกันไปมาพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน 

      เท็นพอจำหน้าเพื่อนของนายน์ได้เพียงแต่เขาไม่รู้จักชื่อก็เท่านั้น  จากเหตุการณ์วันนั้นก็ผ่านมาครึ่งเทอมแล้วแต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับอีกฝ่ายอีกเลย  เคยเดินสวนกันในโรงเรียนหลายครั้ง  แน่นอนว่านายน์แสร้งทำเป็นไม่เห็นเขาทุกครั้ง  จะมีก็แต่เพื่อนของเจ้าตัวนี่แหละที่ดูมีอัธยาศัยทักทายเขาทุกครั้งทั้งๆ ที่ไม่แม้แต่จะเคยพูดคุยทำความรู้จักกัน  ก็เดาได้ไม่ยากนักหรอกว่าทำไมเพื่อนของคนน่ารักนั่นถึงได้ดูเหมือนรู้จักมักคุ้นกับเขานัก  ไม่พ้นว่าเจ้าตัวคงจะไปบ่นหรือไม่ก็ด่าเขาให้ฟังนั่นแหละ
ไหนๆ ก็เจอแล้ว  งั้นก็ถึงเวลาสะสางเสียที  ถึงแม้ว่าอาจจะถูกปฏิเสธกลับมาอีกก็เถอะ   

     เขาเปลี่ยนเป้าหมายไปยังร้านขนมที่อยู่ติดกัน  หยิบทุกอย่างที่ขวางหน้าส่งให้แม่ค้าแบบไม่ได้คิดเสียจนเต็มถุง  จ่ายเงินเสร็จก็หิ้วถุงบรรจุขนมมากมายตรงไปยังโต๊ะของเป้าหมาย  หยุดยืนอยู่เบื้องหลังเจ้าตัวก่อนจะยกมือขึ้นมาจ่อปากส่งสัญญาณให้เพื่อนทั้งสองของคนตัวเล็ก  และทั้งสองคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี  เขาวางถุงใบใหญ่ลงตรงหน้าอีกฝ่ายจากด้านหลัง  เจ้าตัวที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขี่ยน้ำแข็งในแก้วเล่นสะดุ้งเฮือกทันทีก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเขา

     “มึง!”

     “ไม่รู้ว่านายชอบอะไร  แต่หวังว่าจะชอบนะ”  ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องเสียทีเพราะอีกคนเอาแต่พูดจาเลอะเทอะเขาก็เลยต้องหาทางชดใช้ให้ด้วยวิธีนี้  จะได้ไม่รู้สึกติดค้างในใจอะไรต่อกันอีก  บอกตามตรงว่าเวลาบังเอิญเดินสวนกันหรือเจอกันตามที่ต่างๆ แล้วเจ้าตัวพยายามทำเป็นมองไม่เห็นเขาอย่างชัดเจนมันรู้สึกทั้งหงุดหงิดขนาดไหน  แม้จะพยายามไม่สนใจแล้วก็เถอะ
   
     “กูไม่รับ  เอาของมึงคืนไป!”

     “ทำไม”  หลังจากที่รู้ว่าเจ้าของถุงขนมตรงหน้าเป็นใครเจ้าตัวก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้ากันอีกเลย  ทว่าถึงจะไม่ได้เห็นสีหน้าแต่น้ำเสียงนั้นก็บอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจขนาดไหน

     “ก็ไม่ทำไม  กูไม่อยากรับ!”

      คนฟังได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ  ตั้งแต่เกิดมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาถูกแสดงออกถึงความจงเกลียดจงชังได้ชัดเจนขนาดนี้  ขนาดที่แม้แต่คำขอโทษก็ไม่อยากรับเลยหรือ  หน้าตาก็ออกจะน่ารัก  ทำไมถึงได้ไร้เหตุผลขนาดนี้

     “งั้นก็ตามใจ  ไม่รับก็ฝากเอาไปทิ้งด้วยแล้วกัน”  เขาเอ่ยออกไปโดยไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ  ในเมื่อเขาได้ทำตามอย่างที่พูดและตั้งใจไปแล้วก็ถือว่าแล้วกัน  และต่อไปนี้เขาจะได้เลิกสนใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำใส่เขาเสียที 

     สงสัยจะคุยกับคนๆ นี้ไม่รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละ!

     “แรงไปปะวะนายน์”  เคนมองตามไอ้หน้าหล่อที่โดนเพื่อนตัวเองแหกจนหน้าเหวอเดินลับไปจากโรงอาหาร 

     “ก็มันอยากพูดไม่รู้เรื่องเอง  กูบอกแล้วว่าอย่ามาเข้าใกล้กู”

     “แล้วมึงไปสั่งคนอื่นแบบไม่มีเหตุผลได้หรอวะ  อีกอย่างมึงก็บอกเองไม่ใช่หรอว่ามันไม่ยอมรับปาก”

      “ก็ใช่”

     “กูว่าครั้งนี้มึงเล่นแรงไปนะ  อย่าเอาความไม่พอใจของมึงจากการที่คนอื่นก่อไปลงที่มันคนเดียว  มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย  อย่าลืมว่ามันก็เป็นคนที่ถูกเอาไปพูดถึงเหมือนกันกับมึงนะ”

     “ไม่รู้อ่ะ  ก็มันทำกูเจ็บก่อน  กูขออะไรมันก็ต้องทำให้แบบไม่มีข้อโต้แย้งดิ”

     เคนถอนหายใจอย่างปลงไม่ตก  หันไปสบตากับอีกสองชีวิตที่พอได้เห็นสีหน้าก็รู้ทันทีว่าไอ้ซ้งกับไอ้เกมส์ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน  เวลานายน์มันปักใจกับอะไรสักอย่างจะกลายร่างเป็นเด็กหัวดื้อไปโดยปริยาย  ลองเป็นอิหรอบนี้ต่อให้ยกเหตุผลมาทั้งโลกมันก็คงไม่ฟัง  “กูว่าดูมันเป็นคนน่าคบออกนะ  หล่อชิบหายขนาดนั้น  แต่แม่งไม่มีรังสีความหยิ่งเลยซักนิด  ดีๆ กันไว้ไม่ดีกว่าหรอวะ”

     “มึงชอบมันมากก็ไปขอมันเป็นแฟนเลยปะ”

     “มึงพาลอ่ะนายน์  ทีกับคนอื่นทำไมมึงไม่เห็นจงเกลียดจงชังขนาดนี้เลย  ทำไมวะ  หรือเพราะมันหล่อกว่ามึง  อิจฉามันหรอ”

     “อิจฉาก็เหี้ยละ  พวกมึงแม่งไม่เข้าใจกู!”  นายน์ลุกออกจากโต๊ะเดินหนีเพื่อนสนิทที่เอาแต่รุมว่าเขาไปทันที 

     แทนที่จะเข้าข้างเพื่อน  แต่กลับไปเข้าข้างคนอื่น!!




                         *******************************************************




      “ไงมึง” เคนเอ่ยทักคนที่เพิ่งวิ่งเหงื่อโชกออกมาจากสนามและกำลังคว้าเอาขวดน้ำขึ้นมาเตรียมจะดื่ม

     ร่างสูงหันไปตามเสียงเรียก  เป็นเพื่อนในกลุ่มของนายน์ที่มักจะทักทายเขาทุกครั้งที่บังเอิญเจอกัน  “ไง”
 
     เคนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินไปหาอีกคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล  “กูขอคุณด้วยหน่อยได้มั้ย”  ถึงแม้เจ้าตัวจะทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้ารับในที่สุด  เขาจึงเดินนำไปยังประตูทางออกโรงยิม  พอลองหันไปมองข้างหลังก็เห็นไอ้คนตัวสูงเดินตามมาติดๆ
เคนหยุดฝีเท้าเมื่อพากันมายังม้านั่งใกล้ๆ กับโรงยิม  ก่อนจะเริ่มบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง  “ได้คุยกันซะที  กูชื่อเคนนะ”

     “กู…”

     “ระดับมึงไม่ต้องแนะนำตัวแล้วมั้ง”

     “ไม่ขนาดนั้นมั้ย”

     “อันที่จริงกูอยากคุยกับมึงมานานแล้ว  แต่ไม่มีโอกาสเลยว่ะ”  จะบอกว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่กว้างก็ไม่เชิง  อันที่จริงก็มีโอกาสพบปะกันตามที่ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง  แต่ส่วนใหญ่เขาก็อยู่กับกลุ่มเพื่อนแน่นอนว่ารวมไปถึงนายน์ด้วยแทบทุกครั้ง  และฝั่งของเท็นก็ไม่ต่างกัน  เลยไม่มีจังหวะเหมาะๆ ให้คุยเรื่องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเสียที

     “มึงลงแข่งด้วยหรอ”

     “ป่าว  แต่ไอ้เกมส์ดันติดตัวจริง  มันก็วิ่งๆ อยู่ในสนามคนละฝั่งกับมึงเมื่อกี้แหละ  วันนี้กูมีเวรทำความสะอาดห้องพอดีเลยแวะมาดูมันซ้อมหน่อย”

     “อ๋อ”

     “……เรื่องไอ้นายน์”

     “ว่าละ”

     เหมือนว่าเจ้าตัวก็คงจะนึกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วถึงได้สบถออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเนือยๆ  “จริงๆ มันเป็นคนน่ารักนะเว้ย  กูไม่อยากให้มึงเข้าใจมันผิด  อย่างน้อยๆ ก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน  เผื่อจบไปบังเอิญเจอกันข้างนอกจะได้มองหน้ากันติด”

     “เพื่อนมึงไม่น่าจะอยากมองหน้ากูหรอกมั้ง”

     “กูพูดจริงๆ นะมึง  จริงๆ มันเป็นเพื่อนที่โคตรดีเลย  แต่เรื่องมึงทำมันเจออะไรเซ็งๆ หลายดอก  มันเลยเคืองๆ น่ะ  จริงๆ มันไม่ได้เกลียดอะไรมึงหรอก”

     “เซ็ง?!”

     “มึงก็รู้ใช่ปะว่ามีคนจิ้นมึงกับมันอยู่…แบบโคตรจริงจังมากด้วย”

     “ก็พอรู้”  สมัยนี้ก็แบบนี้ทั้งนั้น  เขาออกจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะตอนที่อยู่โรงเรียนเก่าทั้งบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องหรือรุ่นเดียวกันก็ไม่ต่างจากที่นี่เท่าไหร่  ที่ต้องทำก็คือใช้ชีวิตของตัวเองไป  ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปทุกข์ร้อนอะไรขนาดนั้นเลย  จริงจังเกินไปหรือเปล่า!

     “เออนั่นแหละ  แต่ไอ้นานย์มันแอบชอบรุ่นพี่คนนึงอยู่ไง  ตั้งแต่ม.ต้นแล้ว  กูแม่งก็เพิ่งรู้ไม่นานเนี่ย  ตอนแรกกูก็ไม่เข้าใจว่ามันจะหงุดหงิดอะไรนักหนา  เลยเค้นถามจนมันยอมบอก”

     “ก็เลยกลัวเค้าเข้าใจผิด?”

     “ก็ด้วย  แต่มันพีคกว่านั้นอีก  มันดันไปรู้มาว่ารุ่นพี่คนนั้นก็จิ้นมันกับมึงด้วยไง  เลยโมโหใหญ่  เก็ทปะ”

     “ก็…มั้ง”

     “นั่นแหละ”

     “แต่ถ้าชอบเค้าจริงๆ ก็เดินเข้าไปอธิบายเลยดิ  กูว่ามันเม้งผิดจุดนะ”

     เคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อแก้ตัว  ยอมรับว่าไอ้นายน์มันออกจะพาลอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ นั่นแหละ  “มันขี้อายจะตายห่า  เรื่องจีบคนนี่มันโคตรห่วย”

     “สรุปก็คือ…กูก็แค่ดันซวยเอง?”

     “ประมาณนั้น  มึงก็อย่าไปถือสามันเลย”

     “กูว่ามันก็ไม่แฟร์อยู่ดีนั่นแหละ  แต่ช่างเหอะ  ขอบใจนะที่มาบอก”

     “……….”

     จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอาแต่เงียบขึ้นมาเสียดื้อๆ เล่นเอาเขาเริ่มทำสีหน้าไม่ถูก  เท็นขมวดคิ้วมุ่นไม่รู้ว่าเขาดันพูดอะไรไม่เข้าหูหรือเปล่า  คนแก๊งค์นี้ยิ่งไม่ค่อยน่าไว้ใจอยู่ด้วย  “มีอะไรวะ”

     “มึงแม่งหล่อชิบหายเลยว่ะ  แบ่งความหล่อมาให้กูมั่ง”

     “เหี้ย!  ตกใจหมด”


 


                                          *******************************************************





วันงานกีฬาสีประจำปีโรงเรียน 




     เสียงสัญญาณแจ้งเตือนหมดเวลาดังขึ้นทำให้เหล่านักกีฬาที่วิ่งกันมาตลอดสิบนาทีกำลังหยุดหายใจหอบกันอยู่กลางสนาม  และแน่นอนว่าทีมสีน้ำเงินของเขาเอาชนะทีมสีแดงไปได้อย่างสวยงาม  นักกีฬาต่างจับมือกันแม้จะอยู่คนละทีม  เท็นเองก็เช่นกันเขาจับมือกับเกมส์เป็นคนสุดท้าย  อีกฝ่ายยื่นมือมาตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะวิ่งไปยังริมสนามที่กลุ่มเพื่อนของเจ้าตัวนั่งเชียร์อยู่  เขาที่บังเอิญมองตามไปสายตาดันสบเขากับใครอีกคนโดยไม่ตั้งใจ  คนตัวเล็กกรอกตาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทันที

     จากรู้สึกดีที่คว้าชัยชนะมาได้พาลให้เซ็งขึ้นมาเสียฉิบ  ไม่รู้ทำไมเจ้าตัวถึงขยันทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาขนาดนี้! 

     ถึงจะได้รู้เหตุผลของอีกฝ่ายแล้วแต่บอกตามตรงว่ามันไม่ได้ช่วยให้คนที่ถูกแสดงออกว่าเหม็นขี้หน้ารู้สึกดีขึ้นมาเท่าไหร่นัก 

     “พี่เท็นๆๆ  ไปถ่ายรูปกัน”

     เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง  หันไปก็เจอน้องไหมแอดมินเพจ ‘คนรักเท็นทินกฤต’ แฟนคลับที่เขาสนิทด้วยคนหนึ่งกำลังกวักมือเรียก  เท็นเดินเข้าไปหาทันทีก่อนเอ่ย  “เอาดิ”

     “มุมโน้นค่ะ  ไหมรวมน้องๆ ไว้แล้ว”

     “โอเค”

     “มาแล้วๆๆ  ใจเย็นๆ กันนะทุกคน  พี่เท็นยังเหนื่อยๆ อยู่เลย” 

     ช่วงเวลาการถ่ายรูปกับน้องๆ แฟนคลับรวมถึงรับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่สาวๆ ทำมาให้ดำเนินไปจนกระทั่งถ่ายรูปรวมเสร็จสรรพ  น้องไหมคนเดิมกับน้องอีกสองคนก็เดินเข้ามาหาเขาอีกครั้ง 

     “พี่เท็น  เดี๋ยวไหมขอถ่ายรูปลงบ้านหน่อยนะคะ  นิดหน่อยเอาผ้ามาเร็ว”

     เขามองดูน้องๆ ควานหาอะไรบางอย่างในถุงผ้าก่อนจะยื่นบางสิ่งมาให้เขา  มันเป็นผ้าขนหนูสีขาวขนาดประมาณฝ่ามือ  เท็นยิ้มเล็กๆ พร้อมกับรับไว้ 

     “พี่เท็นยืนตรงนี้นะคะ  กางผ้าออกด้วยค่ะ”

     ร่างสูงทำตามอย่างว่าง่าย  และทันทีที่เขากางออกผ้าขนาดเท่าฝ่ามือกลับมีความยาวราวๆ ห้าสิบเซนติเมตรกับข้อความในผ้า 'อยากได้คนนี้เป็นแฟน❤’  “เห้ยอันนี้ดี”

     “จริงปะ”

     “ซื้อเลยอ่ะ”

     “ดีใจ  พี่เท็นชอบ”

     คุยเล่นกันไปพลางยืนเป็นนายแบบให้น้องกดชัตเตอร์อยู่ได้สักพักจู่ๆ เขาก็ถูกชนเข้าจากด้านหลังจนเซไปอีกด้าน  ร่างสูงเบี่ยงตัวเพื่อมองหาคู่กรณีทันที  และเมื่อเห็นว่าอีกคนเป็นใครฝ่ายนั้นก็ดูจะผงะไปเช่นกัน  ริมฝีปากอิ่มสวยที่ดูเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่างทว่าท้ายที่สุดเจ้าตัวก็เปลี่ยนใจ  และก็เหมือนทุกที  คนตัวเล็กเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง   

     “ขอโทษค่ะพี่เท็น  หนูเป็นคนชนพี่นายน์เองค่ะ  พี่เท็นเจ็บตรงไหนมั้ยคะ”

     “ไม่ครับ”  เอ่ยตอบไปตามมารยาททว่าสายตายังไม่หลุดไปจากแผ่นหลังของใครบางคน  ร่างสูงจมอยู่ในภวังค์ความคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ย  “ไหมพี่ขอไอ้นี่ได้มั้ย”

     “เอาสิพี่เท็น  ไหมตั้งใจทำมาให้พี่อยู่แล้วค่ะ”

     “ขอบใจนะ”  เท็นยิ้มรับก่อนจะหันกลับไปหาคนตัวเล็กอีกครั้ง  เขาเดินฝ่าแฟนคลับที่กำลังถ่ายรูปนายน์อยู่ไปจนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย  แน่นอนว่าเจ้าตัวขมวดคิ้วฉับใส่เขาทันที  สีหน้านั้นแสดงอาการไม่พอใจอย่างเปิดเผยเช่นทุกครั้ง  แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะไม่สนใจและยื่นผ้าที่เขาตั้งใจพับมันไว้ไปยังอีกฝ่าย  “ให้”  เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีพร้อมกับที่สายตาหลายคู่ของทั้งกลุ่มแฟนคลับของเขาและของอีกคน

     “อะไร!”

     นำเสียงของคนที่กำลังมองของในมือเขาดูหงุดหงิดอย่างเปิดเผยและนั่นยิ่งทำให้ความอยากเอาชนะของเขาลุกโชนขึ้น  อยากจะรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะทำหน้ายังไง  “รับไปดิ”

     “ไม่!”

     “ถ้านายไม่รับไปก็จะยืนอยู่แบบนี้แหละ  ไม่อยากอยู่ใกล้เราไม่ใช่หรอ”  เท็นมองไปรอบๆ อย่างตั้งใจจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าแค่เขาเข้ามายืนใกล้ๆ อีกฝ่ายโดยไม่ต้องทำอะไรบรรดาแฟนคลับที่ตั้งกล้องรออยู่แล้วก็เก็บภาพเอาไปจิตนาการต่อกันได้อีกเป็นเดือนๆ แล้ว  เพราะงั้นถ้าไม่อยากอยู่ใกล้ๆ เขานานๆ ก็จงทำตามที่เขาบอกเสีย  และดูจากท่าทางบวกสีหน้าของอีกฝ่ายก็ดูจะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี  “ถ้าอยากให้หมดเรื่องเร็วๆ ก็รับๆ ไป”

     “อะไรวะนายน์”  เคนที่ยืนมองอยู่นานเดินเข้ามาสมทบพลางมองสองคนที่กำลังจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมลดลาวาศอก 

     “มึงก็ถามไอ้นี่ดูดิ”  ร่างเล็กกัดฟันกรอดพลางเบือนหน้าไปอีกทาง 

     “มึงเอาอะไรมาวะน่ะ”

     “ก็แค่ผ้าน่ะ  อยากขอโทษนายน์แต่มันไม่ค่อยเต็มใจรับดีๆ ซักที”

     “แค่เนี่ยะ!  นายน์มึงก็รับๆ ไปเหอะจะได้จบๆ  เหี้ยเอ้ยกูตกใจหมดนึกว่าพวกมึงจะลงหมัดกัน  เร็วดินายน์กูหิวข้าวจะตายห่าละ”

     คนถูกกดดันทั้งสองทางหงุดหงิดกว่าเดิมเป็นสองเท่าเพราะทั้งเพื่อนทั้งไอ้คนกวนประสาทตรงหน้าเอาแต่บีบบังคับเขาไม่หยุด  ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกตวัดสายตากลับมายังคนตัวสูงที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ตรงหน้าเขา  “ถ้ากูรับไอ้นี่แล้วมึงสัญญาได้มั้ยล่ะว่าจะเลิกยุ่งกับกูจริงๆ ซักที”

     “ได้  สัญญา  แต่มีข้อแม้ว่ามึงต้องกางมันออกตรงนี้ก่อน  แล้วกูจะอยู่คนละซีกโลกกับมึงนับตั้งแต่ตอนนี้เลย”

     ข้อเสนอน่าดึงดูแถมน้ำเสียงและแววตาของอีกฝ่ายยังดูจริงจังจนเขาอดไม่ได้ที่จะตะครุบเอาไว้  แม้เขาจะซ่อนทุกอย่างเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยก็เถอะ  ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าคำพูดนั้นน่าเชื่อถือทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พฤติกรรมของมันก็ไม่เคยทำให้เขาสบายใจเลยสักครั้ง  เดินผ่านกันทีไรก็ชอบมองมาที่เขาเหมือนจงใจให้พวกแฟนคลับถ่ายรูปไปลงทุกที  ดวงตาคู่สวยมองผ้าที่ดูไร้พิษภัยในมืออีกฝ่ายก่อนจะเงยหน้ามองไปรอบๆ  พวกขาจิ้นทั้งหลายกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาเป็นประกาย  เห็นแบบนั้นก็ยิ่งต้องถอนใจอีกระรอกเพราะว่าวันนี้ก็คงโดนอีกอย่างไม่ต้องสืบ  นายน์ถอนหายใจอีกเฮือก  ก่อนจะรับผ้านั้นมาจากอีกคน  จ้องไอ้คนหน้าหล่ออย่างจับผิด  เผื่ออีกฝ่ายจงใจจะแกล้งซ่อนตุ๊กแกเอาไว้ในผ้า  พอเขาเปิดผ่างจะได้เสียลุคให้มันหัวเราะเยาะอะไรเทือกนั้น  แต่จ้องแล้วจ้องอีกก็ยังไม่ส่อพิรุธเลยยอมกางผ้านั้นออกอย่างจำยอม   

     และทันทีที่เห็นข้อความ  'อยากได้คนนี้เป็นแฟน❤’ ก็ราวกับเรี่ยวแรงของเขาถูกสูบไปทันที  ร่างเล็กทั้งอึ้งทั้งตกใจจนได้แต่อ้าปากค้างมองคนตัวสูงที่อยู่ตรงหน้าที่กำลังมองมายังเขาด้วยรอบยิ้ม  ใช่!  เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยได้รับจากอีกฝ่ายมาก่อน  และนั่นก็ราวกับเชื้อเพลิงที่ลาดลงในกองไฟให้คนที่สติถูกสูบหายอย่างเขาเริ่มจะดึงมันกลับคืนมาได้สำเร็จ 

     “เห้ยยยย  พี่เท็นขอพี่นายน์เป็นแฟน!!”

     “เค้าขอกันเป็นแฟนอ่ะแก  กรี๊ดดดดดดด”

     “แก  ถ่ายไว้เร็วๆ”

     “พี่นายน์รับเลยๆๆๆๆ”

     “นั่นไงบอกแล้วว่าพี่เท็นอ่ะจีบพี่นายน์อยู่จริงๆ ด้วย  โอ้ยยยยยยยยอยากจะเป็นลม”

     เสียงจากคนรอบข้างดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายจนแทบฟังไม่ได้สรรพ  นายน์ที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้าขย้ำผ้าผืนนั้นจนมือสั่นไปหมด  เขาไม่น่าโง่หลงเชื่อมันเลยจริงๆ!  ไม่น่าเลย!!   
   “มึงเล่นเหี้ยอะไรเนี่ย!”  ตวาดจนสุดเสียงพลางปาผ้าใส่อีกคนก่อนจะวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปจากตรงนั้นทันที





♥To.Be.Continue.Jaa♥



Talk ::  อันนี้สุดท้ายแล้วจีจี  เกือยจะหมดกุที่ปั่นไว้แล้ว ฮ่าๆๆๆ
           ขอจำศีลไปปั่นต่อก่อนน้า :katai4: 
           ใครเล่นทวิตฝาก #คู่จิ้น1990  ด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP3
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-09-2018 22:51:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP3
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 24-09-2018 05:57:54
 o13 จะรอค่ะ... อย่าจำศิลนานนะค่ะ... เรารออยู่...  :katai5:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-09-2018 06:41:02

ฝากใส่วันที่ที่อัพตอนล่าสุดบนหัวเรื่องให้ด้วยทุกครั้งนะครับ จะได้เข้ามาอ่านได้ถูกครับ :hao5:
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP4 [Update 28-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 28-09-2018 17:24:18


EP4…
   


     เฮ้อออ...

     เสียงถอนหายใจดังขึ้นภายในห้องนอนที่เงียบเชียบอีกครั้งและอีกครั้ง  ภาพใบหน้าโกรธจัดจนดวงตาสวยคู่นั้นรื้นขึ้นมาภายในเสี้ยววินาทียังคงติดอยู่ในหัวของเขาไม่ต่างจากความรู้สึกผิดระคนกังขาว่าเขาควรรู้สึกแบบนั้นไหม  ความรู้สึกต่างขั้วเหล่านั้นตีกันให้วุ่นและเล่นงานจนเขาคิดไม่ตกได้แต่นอนก่ายหน้าผากถอนหายใจทิ้งอยู่อย่างนี้

     หากจะถามว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น  ก็ตอบเลยว่าเป็นเพราะความหงุดหงิดสะสมและอารมณ์อยากเอาชนะอีกฝ่ายล้วนๆ  อีกอย่างที่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยก็คือทำไมนายน์จะต้องปล่อยให้ความคิดของคนอื่นมีอิทธิพลกับชีวิตตัวเองมากมายถึงขนาดนั้น  แบบนี้ก็เท่ากับว่าเอาชีวิตตัวเองไปแขวนไว้กับลมปากของคนอื่นไม่ใช่หรือไง 

     ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ!

     ที่สำคัญเหมือนอีกฝ่ายจะตั้งแง่กับเขามากกว่าใครๆ  ทั้งที่เขาไม่ใช่คนเดียวที่ถูกจับคู่ให้  ทีกับเพื่อนในกลุ่มไหนจะพวกรุ่นพี่อีกตั้งหลายคน  ก็ไม่เห็นว่าเจ้าตัวจะมีท่าทีรังเกียจอะไร  ท่าทางและสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนเหล่านั้นทำให้เขาพยายามคิดหาเหตุผลมาตลอด  และเขาตอบตัวเองได้เพียงเหตุผลเดียวคือ ‘เหม็นขี้หน้าเขาแน่นอน’ 

     เฮ้ออออ...

     “ช่างเหอะ!”  สบถเพียงเท่านั้นก่อนจะเอื้อมไปปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วพลิกตัวนอนตะแคง  ทว่าดวงตาคู่คมก็ยังคงปิดไม่ลงอยู่ดี 

     ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงหยุดคิดเรื่องของคนๆ นั้นไม่ได้! 




                       *****************************************************************
 



    “อีกแล้วหรอวะ  ถามจริง?!”  หญิงสาวในชุดพละมองของที่อยู่ในมือของคนตรงหน้าพลางสบถอย่างหน่ายๆ  คนตัวสูงลิ่วจนทำให้เขาจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะต้องวกสายตากลับมายังถุงใบเดิมอีกครั้งเพราะเจ้าตัวกำลังเขย่ามันเพื่อบอกกลายๆ ว่าให้เขารีบรับไปเสียที 

     “เลิกบ่นซักทีเถอะ” 

     “ไม่ให้บ่นได้ไงวะ  มึงทำกูเข้าเรียนสายมาสองวันติดแล้วปะ”

     “เออน่า  รับๆ ไปซะ  เร็ว”

     “แบบนี้มันชักจะแปลกๆ แล้วมั้ยวะ”

     “อะไร!”

     “ยังจะถามอีกเนาะ”  เฟิร์นยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะยอมรับถุงกระดาษเจ้าปัญหาเอาไว้

     “กูต้องถามมึงรึเปล่าวะ  เมื่อไหร่จะเลิกสงสัย?!” 

     คนโดนย้อนเบะปากอย่างไม่ใส่ใจคำพูดนั้น  “ถ้าแกชอบนายน์มันขนาดนี้ทำไมไม่เดินหน้าจีบไปเลย  เหลือเวลาอยู่โรงเรียนเดียวกันอีกไม่เท่าไหร่แล้วนะ  ทำแบบนี้เสียเวลาเปล่า  เดี๋ยวเสียใจภายหลังไม่รู้ด้วยนะ”

     เท็นยิ้มเนือยๆ พลางส่ายหัวให้กับความคิดแบบฝังหัวนั้นของเฟิร์น  เขากับเฟิร์นรู้จักกันโดยบังเอิญตอนงานกีฬาสี  และเฟิร์นก็บังเอิญเป็นเพื่อนร่วมห้องของนายน์  เขาที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ทำไปนั้นเล่นแรงเกินไปหรือไม่จึงเริ่มคุยกับเฟิร์นด้วยหัวข้อนี้  และก็ได้รู้ว่านายน์ดูเหมือนจะไม่สดใสเหมือนอย่างเคยนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น  ทำเอาคำถามที่เขาเอาแต่เถียงกับตัวเองเป็นอันให้แตกโพล๊ะและจบลงด้วยข้อยุติที่ว่า  ‘เขาคิดสั้นเล่นสนุกเกินเหตุไปจริงๆ’ 

    แต่ทว่าความรู้สึกผิดก็อยู่ห่างไกลจากคำว่าชอบไปมากโขอยู่ดี  และเรื่องวันนั้นก็ผ่านมานานแล้ว  ถ้าเขาจะเกิดชอบอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ มันก็คงต้องมีสัญญาณอะไรเตือนให้ตัวเขาได้รู้บ้างสิ  แต่นี่นอกจากความรู้สึกปวดใจแปลบๆ เล็กน้อยที่เห็นเจ้าตัวไม่ร่าเริงเหมือนอย่างเคยหรือเวลาที่โดนเมินใส่เหมือนเป็นอากาศธาตุเขาก็ไม่ได้รู้สึกอย่างอื่น  “ไม่ได้ชอบ  จะให้บอกอีกกี่ครั้งถึงจะเชื่อวะ”

     “แค่รู้สึกผิดว่างั้น  เพิ่งรู้ว่าเวลาคนรู้สึกผิดเค้าจำเป็นต้องซื้อของมาให้กันทุกอาทิตย์แบบนี้เนาะ  ไม่ดิ  อาทิตย์นี้สองรอบละ”
 
     “กูมีเหตุผลของกู”  อาจจะฟังดูเป็นเหตุผลและการกระทำตื้นๆ แต่บอกตามตรงว่าให้คิดหาวิธีที่ดี กว่านี้เขาก็คิดไม่ออกแล้วจริงๆ  ในเมื่อเฟิร์นบอกเองว่าดูเหมือนนายน์จะเซ็งตรงที่ทุกคนเข้าใจว่าเจ้าตัวเป็นเก้งไปหมดเลยไม่มีใครส่งดอกไม้  จดหมายสารภาพรัก  ขนม  หรือของกระจุกกระจิกอะไรมาให้อีกเลย  หมายถึงส่งมาในเชิงแอบชอบแอบปลื้มน่ะนะ  แต่ที่ได้รับแบบไม่ขาดสายกลับกลายเป็นการให้กำลังใจและซัพพอร์ตให้ลงเอ่ยกับเขาไปเสียฉิบ  เพราะงั้นเขาก็จะขอเป็นคนสร้างความสุขเล็กๆ ให้อีกฝ่ายเป็นการทดแทนเองก็แล้วกัน  ถึงมันจะเป็นการสร้างสถานการณ์หรือพูดกันตามตรงก็คือการโกหกก็เถอะ

     “เออ  ปากแข็งไปเถอะ!  เดี๋ยวเอาไว้อีกสองเดือนจะมาถามใหม่  ดูดิว่าจะปากแข็งไปได้ถึงเมื่อไหร่”

     “ถามอีกกี่รอบก็ตอบเหมือนเดิมนั่นแหละ” 

     “จ้า  แล้วจะคอยดู  อย่าลืมที่สัญญาก็แล้วกัน”

     “เออรู้แล้ว!”  เท็นส่ายหัวอย่างเซ็งๆ  เพราะทุกครั้งที่เขาฝากของให้นายน์เจ้าตัวก็จะทวงค่าจ้างกับเขาแบบนี้ทุกที  ซึ่งไอ้ค่าจ้างที่ว่าเนี่ยก็ไม่ใช่เงินหรือของมีค่าอะไรมากมายหรอก  เขาแค่ต้องช่วยอีกฝ่ายเวลามีรายงานหรือการบ้านล้นมือก็เท่านั้น




                                            ************************************************



3 ปีต่อมา


     “อย่าเพิ่งไป”  ร่างสูงสาวเท้ายาวๆ มายืนขวางอีกฝ่ายเอาไว้และก็ถูกคนตรงหน้าตวัดสายตาขุ่นๆ มองมาเป็นการตอบรับทันที  ทว่าเขาเลือกที่จะมองตอบและส่งยิ้มกลับไปให้  ยังไงวันนี้เขาก็ต้องได้พูดในสิ่งที่อยากพูด  หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ได้ให้ในสิ่งที่อยากให้ให้ได้

     “............”

     “ไม่ต้องห่วง  ไม่มีใครตามมาหรอก  ให้เพื่อนคอยกันไว้ให้แล้ว”  คนตัวเล็กตรงหน้าเบือนสายตาจากเขาทันทีที่เอ่ยจบ  เจ้าตัวเอาแต่หันไปมองทางอื่นและดูท่าคงจะไม่ยอมหันกลับมาสบตาเขาง่ายๆ อีกเป็นครั้งที่สอง 

     “มีอะไรก็รีบๆ ว่ามา!”

     น้ำเสียงที่แข็งกร้าวกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจนนั้นไม่เกินไปจากความคาดหมายอะไร  แต่ถึงรู้อย่างนั้นหัวใจของคนมองอย่างเขาก็อดจะรู้สึกไม่ได้อยู่ดี  “มีของอยากให้  ช่วยรับไปหน่อยได้มั้ย”

     คนตัวเล็กเหลือบตามายังกล่องใบใหญ่ที่เขาถือไว้  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ  “ไหนมึงบอกว่าจะอยู่คนละโลกกับกูไง  แล้วนี่มันอะไร”

     “ขอโทษที่ผิดคำพูด  ตอนนั้น...ตั้งใจแบบนั้นจริงๆ  แต่ว่า...”

     “ถามจริง!  กูไปทำอะไรให้มึงนักหนาวะ!”

     “...........”

     “..........”

     ต่างฝ่ายต่างเงียบและจ้องมองกันอยู่อย่างนั้นราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาของอีกฝ่าย  และก็เป็นเขาเองที่ทนมองดวงตาคู่สวยที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าระคนไม่พอใจอยู่ในทีไม่ได้  เท็นระบายลมหายใจก่อนจะส่งยิ้มไปให้อีกครั้งพร้อมกับยื่นกล่องไปยังคนตัวเล็กพลางว่า  “รู้มาว่านายน์อยากได้  ถ้าเกลียดเราก็อย่าไปโยนมันทิ้งซะล่ะ  ยิ่งเกลียดก็ยิ่งต้องใช้  ถือว่าเราชดเชยให้”

     “..........”

     “.....แล้วก็  ข้างในมีการ์ดอยู่  อ่านด้วยนะ”

     “แค่นี้ใช่มั้ย”

     “อืม”

     นายน์มองมาที่กล่องในมือเขาพลางเอาแต่จมอยู่ในความเงียบราวกับกำลังตัดสินใจ  ทำเอาคนที่ได้แค่มองและลุ้นอย่างเขาถึงกับต้องกลั้นหายใจ 

     และแล้วมือเล็กๆ คู่นั้นก็ยื่นออกมารับมันเอาไว้จากอ้อมกอดของเขา  ภาพตรงหน้าราวกับความฝัน  เขาไม่คิดว่าเจ้าตัวจะยอมรับไปง่ายๆ เลยไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ 

     ทว่าไม่เพียงแต่รับกล่องไปเท่านั้นแต่นายน์กลับยอมเปิดกล่องออกดูของภายใน  เจ้าตัวดูจะตกใจเมื่อได้เห็นกล่องอีกใบข้างใจถึงขนาดเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาราวกับไม่อยากเชื่อสายตา
   
     ข้างในกล่องใบใหญ่นั้นเขาบรรจุกล้องฟิล์มรุ่นที่ให้เฟิร์นไปสืบจนรู้ว่านายน์ชอบถ่ายภาพมากๆ และมีกล้องที่อยากได้อยู่หนึ่งตัวมานานแล้ว  นอกจากนี้ข้างๆ กันยังมีการ์ดสีขาวอยู่อีกใบหนึ่ง 

     นายน์หยิบการ์ดใบเล็กขึ้นมาเปิดออก  ทว่าก่อนที่เจ้าตัวจะได้อ่านมันดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาชั่วครู่  การกระทำนั้นล้วนแล้วแต่อยู่เหนือความคาดหมายของทั้งสิ้น  ไม่ได้หวังว่านายจะยอมรับไว้แต่โดยดีด้วยซ้ำ  เตรียมใจเอาไว้ว่าต้องโดนเจ้าตัวด่าเละและคงต้องใช้เวลากล่อมเพื่อให้ของที่ตั้งใจหามาไม่เสียเปล่า  แต่นี่นายน์กลับหยิบการ์ดออกมาอ่านต่อหน้าเขาเสียอย่างนั้นทำให้เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก 

     
มี 3 เรื่องที่อยากจะพูดต่อหน้าแต่ก็ไม่มีโอกาส  จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงด้วยนั่นแหละ
     อย่างแรก  ‘ขอโทษ’ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะหายโกรธ  อยากให้รู้ไว้ว่าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
     อย่างที่สอง  อยากทำความรู้จักกันจริงๆ  ไม่อยากรู้ผ่านคำพูดของคนอื่น  อยากคุยด้วย  อยากเข้าใจ  แต่ก็คงไม่มีโอกาสแล้ว
     สุดท้าย  เรื่องวันงานกีฬาสียอมรับว่าเกิดจากความสิ้นคิดของเรา  ขอโทษนะ  แต่รู้อะไรมั้ย...เหมือนว่าตลกร้ายมันกำลังย้อนมาเล่นงานเราแล้วแหละ  เพราะเราดัน…เกิดชอบนายน์ขึ้นมาจริงๆ
     แค่อยากบอกให้นายน์ได้รู้  ไม่หวังให้เข้าใจหรือให้อภัย
     เท็น…ชอบนายน์นะ


     “มึงเล่นเหี้ยอะไรอีกเนี่ย!”

     “เปล่านะ!...”

     “มึงคิดว่ากูจะโง่เชื่อมึงอีกเป็นครั้งที่สองรึไง!!” 

     สิ้นคำนั้นการ์ดใบเล็กก็ถูกขยำแล้วปาลงพื้นอย่างแรง  ตามมาด้วยกล่องใบเขื่องที่ลอยเข้ามาปะทะหน้าอกของเขาก่อนที่ข้าวของทั้งหมดจะกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น  ไม่ต่างจากหัวใจของคนถูกกระทำที่แตกออกเป็นเสี่ยง  ร่างสูงละสายตาจากของที่เขาตั้งใจหามาให้ทว่าตอนนี้มันกลับดูไร้ค่าเสียเหลือเกิน

     “เรื่องเดียวที่กูอยากได้จากมึงก็คือ  ไม่ต้องเจอกันอีกเลยตลอดชีวิต”
     “..........”
     “มึงเข้าใจมั้ย!”
     “นายน์!  อย่าเพิ่งไป  นายน์!!”
     “นายน์!!”
ิ     ดวงตาคมลืมขึ้นท่ามกลางความมืดพร้อมกับอกที่กระเพิ่มขึ้นลงอย่างหนักหน่วงเมื่อเขาพยายามกักลมหายใจเข้าปอด  พลันความรู้สึกที่เกิดขึ้นและยังไม่ยอมจางไปราวกับเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง  แม้ว่าบางช่วงบางตอนจะไม่เหมือนกับในวันนั้นก็ตาม  ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง  มือกร้านลูบไปบนใบหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติพลางทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝัน

     ทุกอย่างดูเหมือนกับวันนั้นทั้งเรื่องที่เกิด  บรรยากาศ  ขึ้นรวมไปถึงบทสนทนาระหว่างเขากับอีกฝ่าย  แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือนายน์ในความฝันยอมเปิดการ์ดออกอ่าน  ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าตัวแค่รับมันไปและทิ้งประโยคกัดกร่อนหัวใจเอาไว้เป็นของขวัญสั่งลามาจนถึงทุกวันนี้  เขายังจำมันได้ดีราวกับมันพร้อมจะดังก้องขึ้นมาในหูได้ทุกเมื่อที่คิดถึงคนๆ นั้น 
‘เรื่องเดียวที่กูอยากได้จากมึงก็คือ  ไม่ต้องเจอกันอีกเลยตลอดชีวิต’

     ประโยคเรียบๆ ไม่มีแม้แต่คำด่าทอนั้นเป็นประโยคสุดท้ายในวันสุดท้ายของชีวิตมัธยมปลายของเขา  และราวกับมันได้กลายเป็นใบมีดคอยที่กรีดลงในใจของเขาทุกทีที่มีโอกาส 

     “จู่ๆ ทำไมฝันแบบนี้วะ”  ส่ายหัวให้กับตัวเองพลางขยี้หัวอย่างแรง  สงสัยจิตใต้สำนึกของเขายังคงติดใจอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าตัวจะได้อ่านมันไหม

     หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเขาหวังว่าจะได้เจอกับคนน่ารักคนนั้นเร็วๆ นี้อีกครั้งล่ะมั้ง...


 

                   ********************************************************************




TBC.




TALK ::  พาร์ทนี้ก็จะสั้นๆ หน่อย 
             มีคนอ่านบ้างมั้ยหนอ  ใครอ่านอยู่ส่งเสียงบอกกันบ้างนะคะ
             ขอตัวไปจำศีลอเกน  ใครเล่นทวิตฝาก #คู่จิ้น1990 ด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP4 [Update 28-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 28-09-2018 21:02:56
 ยังตามอ่านอยู่น้า :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP4 [Update 28-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 28-09-2018 21:21:20
 :hao7:  :hao7:  :hao7: ตามอ่านค่าาาาาา  o13 ถ้ากลับมาเจอกันอีก... ขอให้เท็นยังคงชอบอยู่เหมือนเดิมนะค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP4 [Update 28-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 29-09-2018 21:48:55
EP5…
   




     “แกกกกกกก น้องเท็นๆๆๆๆๆ น้องเท็นมา”

     “เท็นไหน?!”

     “ก็น้องเท็นศิลฯกรรมที่หล่อๆ ไง"

     “อย่ามาหลอก  อย่างน้องเท็นน่าจะไปพวกชมรมกีฬาปะ  ได้ยินมาว่าเป็นนักกีฬาเก่าไม่ใช่หรอ?”

     “ไม่หลอก  ไม่เชื่อแกไปดูดิ  ยืนคุยอยู่กับพี่ว่องตรงบูธโน่นอ่ะ”

     “จริงดิ  เดี๋ยว!  ยัยแก้วขวัญ  ถ้าหลอกชั้นล่ะก็แกเจอดีแน่!”

     “เออ  หลอกไม่หลอกเดี๋ยวรู้”

     ร่างเล็กที่ลงชื่อเข้าชมรมเสร็จเรียบร้อยแล้วและดันเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้กับรุ่นพี่สองคนนั้นเลยบังเอิญได้ยินที่สองสาวคุยกันแบบเต็มสองหู  คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นไม่ต่างจากใบหน้าเพราะชื่อของบุคคลที่สามทำเอาเส้นบนหัวกระตุกเขาพาลนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อในอดีตไม่ได้

     ตกลงชีวิตนี้จะหนีไม่พ้นไอ้คนชื่อนี้จริงๆ ใช่มั้ย!  ขนาดมาเรียนมาหาลัยฯแล้วยังจะตามมาหลอกมาหลอนกันอีก 
หวังว่าจะเป็นแค่คนชื่อเหมือนก็แล้วกัน!


     “น้องเท็นนั่งนี่ก่อนนะ  นี่จ้ะแบบสอบถาม  ช่วยกรอกให้พี่ทีน้า  เสร็จแล้วเรียกพี่ได้เลยจ้ะ”

     “ขอบคุณครับ”

     เสียงที่ดังขึ้นทางซ้ายมือของเขาเรียกความสนใจให้ต้องหันไปมอง  และทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับนักศึกษาที่กำลังนั่งลงกับพื้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขาก็ราวกับถูกลูกบาสฯสักร้อยลูกฟาดลงมากบาลอย่างไรอย่างนั้น  ริมฝีปากอิ่มอ้าค้างอย่างไม่เชื่อสายตา  และทันใดนั้นเองก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวที่ถูกมองเลยหันมาทางเขา  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาทีเกินกว่าที่เขาจะสั่งสมองให้หันหน้าหนีได้ทัน  กลายเป็นว่าเราทั้งคู่เลยได้สบตากันอย่างไม่อาจเลี่ยง

    ไอ้เหี้ยเท็น!!! 

     ทว่า  สิ่งที่น่าตกใจกว่าบุคคลอันเป็นฝันร้ายมานั่งอยู่ตรงหน้าก็คือไอ้คนบ้านั่นทำเป็นมองไม่เห็นเขา  เพราะเพียงเราสบตากันแม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับไปสนใจกระดาษที่อยู่ในมือแทน  ท่าทาและสีหน้าที่ดูเฉยชาเมยเหล่านั้น  ไม่สิจะพูดแบบนั้นก็คงไม่ถูก  เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายทำมันราวกับปาดสายตาผ่านคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วก็หันกลับไปก็เท่านั้น   

     ถ้าไอ้คนบ้านั่นทำแบบเพราะต้องการให้เขาเหวอล่ะก็  ขอบอกเลยว่ามันทำสำเร็จ 

     “เท็นรู้จักกับพี่ว่องหรอจ้ะ”

     “ครับ  พอดีแม่ผมกับแม่พี่ว่องเป็นเพื่อนกันน่ะครับ”

     “บังเอิญจังเลยเนอะ”

     “นั่นสิครับ”

     “อย่าบอกนะว่าเท็นมาเข้าชมรมนี้เพราะพี่ว่อง”

     “เปล่าหรอกครับ  ผมมาก็เพราะว่า…”

     “โอ้ยยย  ยัยแก้วขวัญ  กวนน้องเค้าอยู่ได้  ปล่อยให้น้องทำแบบสอบถามก่อนได้ปะ”

     ใบหน้าที่เจือรอยยิ้มบางอยู่ตลอดและท่าทางสบายๆ ยังคงเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของอีกฝ่ายไม่เปลี่ยน  เพราะงั้นจะบอกว่าเป็นแฝดหรือคนหน้าเหมือนเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน  และขนาดเขาจ้องอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหันมาทางเขาเลยสักนิด  นั่นทำให้เขาออกจะมั่นใจว่าไอ้บ้านั่นจงใจทำเป็นไม่รู้จักและมองไม่เห็นกัน!!  สรุปได้ดังนั้นสติที่กระเจิดกระเจิงก็คืนกลับมาในที่สุด นายน์ละสายตาจากไอ้คนที่ทำเป็นไม่รู้จักเขา  ขบกรามแน่นพลางกำกระดาษที่อยู่ในมือแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินไปหารุ่นพี่ในชมรมที่อยู่ใกล้ที่สุด 




                                         ******************************************************

     ปัง!! 

     กระเป๋าถูกเหวี่ยงลงบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิด  บอกตาตรงว่าตั้งแต่เจอไอ้ตัวซวยนั่นเขาก็อารมณ์บูดยาวมาจนถึงตอนนี้  พยายามจะเลิกคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่ทำยังไงก็ไม่ยอมหลุดไปจากหัวเสียที  นายน์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาที่ระบาย  ไม่งั้นวันนี้เขาได้หัวร้อนยาวไปจนเข้านอนแน่  เสียงสัญญาณดังต่อเนื่องไม่นานปลาสายก็กดรับ

     ‘ไงมึง’

     “มึงรู้ปะวันนี้กูเจอที่ใคร”

     ‘เคนธีรเดช’

     “พ่อมึงสิ!”

     ‘งั้นก็…ไอ้เท็น’

     “มึงรู้ได้ไงวะ!”  คำตอบนั้นทำเอาคนที่กำลังเอนหลังสบายอยู่บนเตียงถึงกับกระเด้งขึ้นมานั่งหน้านิ่ว

     ‘เสียงมึงเหมือนจะกินคนได้ขนาดนี้ก็ต้องเป็นนัมเบอร์วันสุดที่รักตลอดกาลของมึงดิวะ’

     “ไอ้เพื่อนเหี้ย”

     ‘อ้าวๆๆๆเหี้ยนี่  เดี่ยวกูวางสายแม่งเลย’

     นายน์ไม่สนใจคำขู่นั้นเพราะให้หัวของเขากำลังฉายภาพเหตุการณ์เมื่อบ่ายขึ้นมาอีกรอบ  ยิ่งนึกยิ่งเห็นรายละเอียดแล้วก็ยิ่งพาลให้หงุดหงิด  เขาหรือเปล่าที่ต้องเป็นฝ่ายทำแบบนั้น  คนที่ทำชีวิตคนอื่นเค้าวุ่นวายมีสิทธิ์อะไรมาเมินใส่!!  “แล้วมึงรู้ปะว่ามันทำยังไงตอนเจอกู”

     ‘วิ่งเข้ามาดูดปากมึง’

     “ไอ้เคน  สาบานว่าถ้ามึงโผล่มาขอข้าวแม่กูกินอีกทีกูจะวางยาพิษให้มึงตายไปพร้อมกับความตะกละ!!”

     ‘เออๆๆ  แล้วมันทำไงอ่ะ  เล่าต่อดิๆๆๆ’

     ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่ไอ้เหี้ย!  นายน์ถอนหายใจให้กับความเพลียที่ไอ้เคนเป็นคนก่อ  ตอนนี้บอกเลยว่าอารมณ์ของเขาพุ่งพล่านพร้อมที่จะกินกบาลทุกคนบนโลก  “แม่งทำเป็นไม่รู้จักกู  คือมึงเข้าใจปะว่าใครกันแน่ที่ไม่อยากรู้จัก  แม่งเหี้ยอ่ะ”

     ‘……….’

     “คือแม่งหันมามองกูเว้ย  แล้วก็หันกลับไปเฉย”

     ‘……….’

     “กูมั่นใจล้านเปอร์เซ็นว่ามันเห็นกู  แต่แม่งทำเหมือนกูเป็นอากาศธาตุ”

     ‘………..’

     “มันคิดว่ามันเป็นใครวะ  พอสาวๆ กรี๊ดใส่หน่อยทำเป็นหว่านเสน่ห์  หล่อตายละ  โคตรเหม็นแม่งเลย!”

     “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ  มันจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับมึง”

     คำถามนั้นทำเอาคนที่กำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้าถึงกับสะอึก  ปากที่เตรียมจะด่าคนที่คุณก็รู้ว่าใครพาลให้ชะงักไปชั่วครู่  “มึงเป็นเพื่อนใครกันแน่วะ”  มันก็จริง  แต่มันต้องเป็นเขาที่ทำแบบนั้น  ไม่ใช่มัน! 

     “อ้าว  มึงอย่าพาล  กูก็แค่มองอีกมุม  มันอาจจะแบบว่ากลัวมึงเมินใส่หรือเปล่าเลยทำเป็นไม่รู้จักดีกว่า  มันแคร์มึงจะตายห่า”

     ไอ้คำว่า ‘มันแคร์มึงจะตาย’  ของไอ้เคนเขาฟังมาเกือบสามปีจนหูชาแต่ไม่เคยเชื่อ  และยืนยันที่จะไม่เชื่อต่อไป  จากตอนแรกที่คิดว่าถ้าได้ระบายกับเพื่อนแล้วเขาคงจะรู้สึกดีขึ้น  แต่เขาคิดผิด!  “กูไม่คุยกับมึงละ!”  เอ่ยจบก็ตัดสายใส่อีกฝ่ายทันที  คิดผิดจริงๆ ที่โทรหาไอ้นกสองหัว  แต่ด้วยความเคยชินเพราะมันคือเพื่อนที่สนิทที่สุดมือก็เลยดันกดโทรไปหามันเองทุกที 
คืนนี้เขาคงได้โกรธจนจุกอกตายแน่ๆ!!




                                   *****************************************************



     “น้องๆ คะ  เดี๋ยววันนี้เรามาจับคู่บัดดี้กันดีกว่า  แต่ก่อนอื่น  พี่ขอดูจำนวนน้องๆ ที่มีความรู้เรื่องกล้องหน่อย  ไหนยกมือให้พี่ดูสิ  โอเค  ยกไว้ก่อนน้า”

     นายน์ยกมือไปพลางมองไปรอบๆ ห้องเพื่อสแกนหาคนที่คุณก็รู้ว่าใคร  อุตส่าห์จงใจเข้าชมรมสายเพื่อจะได้หาที่นั่งให้ห่างกับไอ้บ้านั่น  แต่กวาดสายตามองไปจนรอบห้องแล้วก็ไร้เงาคนที่ไม่อยากเจอ  ทีแรกเขาคิดอยากจะย้ายชมรมเลยด้วยซ้ำ  ถกเถียงกับความคิดในหัวของตัวเองอยู่นานสุดท้ายก็สรุปได้ว่าในเมื่อการถ่ายภาพคือความชอบของเขาแล้วทำไมเขาจะต้องทิ้งมันไปเพราะคนที่เกลียดด้วย  นี่มันเป็นที่ของเขาเพราะฉะนั้นเขาจะไม่ยอมเป็นฝ่ายแพ้และละทิ้งความเป็นตัวเองไปง่ายๆ เหมือนในอดีตอีกแล้ว
 
     “ทำไมปีนี้ดีจัง  มีน้องเล่นกล้องเป็นเยอะเลย  งั้นน้องที่ไม่ได้ยกมือก็ลองหาบัดดี้ที่อยากคู่ด้วยกกันตามอัธยาศัลเลยนะ  พี่ให้เวลาห้านาที”

     สิ้นเสียงนั้นเขาก็หยุดกวาดสายตาหาคนที่ไม่พึงประสงทันทีเพราะภายในห้องกำลังเกิดความชุลมุนเล็กๆ ขึ้น  และเขาที่ไม่ทันได้ทำความรู้จักกับใครเลยเพราะเข้าสายกลายเป็นเคว้งคว้างได้แต่ยืนมองเพื่อนๆ จับคู่กันอย่างสนุกสนาน
 
     “นี่ๆ  มีคู่ยัง” 

     เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับนิ้วเรียวของใครบางคนที่สะกิดลงบนไหล่เขา  พอหันไปก็เจอเข้ากับสาวหมวยหน้าตาน่ารักกำลังส่งยิ้มมาให้  “ย…ยัง”

     “งั้นคู่กับเราปะ”

    “เอาสิ”

     “เราชื่อน้ำฝนนะ  เรียกฝนเฉยๆ ก็ได้  เธอชื่ออะไร”

     เขายิ้มตอบกลับไปอย่างเกร็งๆ "เราชื่อนายน์"

     “ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ  ฝากตัวด้วยนะ  เราอ่ะชอบถ่ายรูปมาก  แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องกล้องเท่าไหร่หรอก  มีเทคนิคอะไรเจ๋งๆ ฝากสอนเราด้วยนะ”

     “เราก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอก  แต่ถ้าสงสัยอะไรก็ถามได้ตลอดนะ”

     “ขอบใจจ้ะ”

     “อ้าวน้องเท็น  มาพอดีเลย  ยังไม่มีคู่สิเนาะ  ยังไงดี  เข้าคู่กันหมดแล้วด้วย  งั้นเอางี้  น้องเท็นอยากไปแจมกลุ่มไหนก็เลือกเอาเลยจ้ะ”

     กำลังทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่เพลินๆ ชื่อที่ไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้นกลางห้องขัดบทสนทนาของเขาและฝน  และก่อนที่เขาจะได้หันไปสำรวจว่าเจ้าของชื่ออยู่ตรงไหน  แรงสะกิดจากด้านหลังก็ทำให้เขาต้องหันไปมองเสียก่อน

     “ขออยู่ด้วยคนนะ”

     “โอเค  ได้เพื่อนแล้วเนาะ  งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”

     นายน์ที่เหมือนถูกมัดมือชกได้แต่มองบุคคลอันไม่พึงประสงค์และพี่ชมรมที่กำลังพูดอยู่หน้าห้องสลับกันไปมาอย่างงงๆ
 
     นี่มันเหี้ยอะไรอีกวะ!!

     “หวัดดี”

     “สวัสดีครับ”

     “เราชื่อน้ำฝนนะ  ส่วนนี่ก็นายน์  ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”

     “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

     นายน์เอาแต่เงียบอยู่นานเพราะเขาไม่อยากให้ความสนใจใดๆ กับอีกคนที่เข้ามาเป็นเศษโดยที่ยังไม่แน่ใจในเจตนา  แต่เพราะประโยคเมื่อครู่ที่เจ้าตัวเอ่ยกับฝนทว่าสายตาคมคู่นั้นกลับจ้องมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากอย่างจงใจ  ขนาดที่ว่าถลึงตาใส่ก็ยังไม่เลิกมองจนเขาต้องเป็นฝ่ายขบกรามแน่นแล้วเบือนหน้าไปเสียเอง

     จะมาไม้ไหนกันแน่!!  แต่ที่แน่ๆ ชีวิตเขาต้องโดนไอ้บ้านี่ป่วนอีกรอบแน่นอน!!




                                *****************************************************




     วันนี้พี่ที่ชมรมให้ออกมาทำกิจกรรมรอบๆ มหาลัย  โดยให้โจทย์แรกมาเพื่อทดสอบทักษะ  มุมมอง และความสามารถของแต่ละคนซึ่งโจทย์ที่ว่านั่นก็คือรูปที่สื่อความเป็นตัวตน  โดยเน้นย้ำเหลือเกินว่าต้องช่วยเหลือกันระหว่างบัดดี้  และก็อย่างที่รู้ๆ กัน  บัดดี้เขาไม่ใช่หนึ่งแต่มีถึงสอง  และมันกำลังสร้างความหงุดหงิดใจให้เขาไม่เลิก  โดยเฉพาะเวลาที่อีกสองชีวิตคุยกันอย่างออกรส  หัวเราะกันไม่หยุดมาตลอดทาง  ส่วนเขาทำได้แค่ปั้นหน้านิ่งและอยู่ให้ห่างเข้าไว้ 

     “เท็นรู้จักกับพี่ว่องไวหรอ”

     “อืม”

     “งั้นที่เค้าเม้ากันว่าเท็นเข้าชมรมเพราะพี่แกก็ใช่น่ะสิ”

     “สาบานว่ามองหน้าไอ้พี่ว่องชัดแล้วใช่มั้ย”

     “ทำไมล่ะ  พี่ว่องออกจะติส”

     “เข้าเพราะมันก็แย่แล้ว  ไม่ใช่หรอก”

     “อ้าวหรอ  ก็เห็นพวกพี่ๆ เค้าพูดกัน”

     “มั่วน่ะสิ” 

     “แล้วชอบถ่ายรูปมานานรึยัง”

     “ไม่ได้ชอบถ่ายรูปอะไรหรอก”

     “อ้าว”

     “แต่ชอบคนที่ชอบถ่ายรูปน่ะ”

     “พูดแบบนี้แปลว่าตามคนที่ชอบมาหรอ”

     “ประมาณนั้น” 

     “ใครอ่ะ  ใบ้ให้ได้ป่าว  เผื่อเรารู้จักจะได้ช่วยทำคะแนนให้ไง”

     “ก็…คนแถวๆ นี้ล่ะมั้ง”

     เกิดความเงียบขึ้นแทนที่เสียงพูดคุยจนเขาที่เอาแต่มองหามุมน่าสนใจยังต้องหันไปมอง  แล้วก็ต้องสบกับสายตาของคนตัวสูงเข้าจังเบ้อเร้อ  นายน์ที่ไม่ทันได้สนใจฟังว่าอีกสองชีวิตคุยอะไรกันบ้างเพราะเขาไม่อยากสนใจเลยไม่รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหนหรือเปล่า  แต่ที่แน่ๆ ทำไมไอ้บ้านั่นเอาแต่จ้องเขาตาไม่กระพริบแบบนั้น  ร่างเล็กแกล้งกระแอมเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางน้ำฝนแทน  เลยทันได้เห็นหญิงสาวกำลังยิ้มน้อยๆ พร้อมกับใบหน้าที่แดงจัดจนเขาอดที่จะงงปนประหลายใจไม่ได้  เธอเม้มปากก่อนจะยกมือขึ้นทัดผมด้วยท่าทีเขินอายก่อนเอ่ยด้วยนำเสียงอารมณ์ดีตามสไตล์อีกครั้ง

     “เราคอแห้งอ่ะ  เท็นกับนายน์อยากได้อะไรมั้ย”

     “ไม่ดีกว่า  ขอบใจ”

     “แล้วนายน์ล่ะ”

     “ไม่ล่ะ  ขอบใจนะ”  เป็นครั้งแรกที่เขายอมเปิดปากร่วมวงสนทนา  และพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่หันไปทางที่อีกคนยืนอยู่  แต่ไม่วายไอ้บ้านั่นก็ชอบเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในรัศมีการมองเห็นของเขาเสียเหลือเกิน

     กวนตีน!

     “งั้นรออยู่แถวนี้นะ  อย่าไปไหนล่ะ”

     พอฝนเดินจากไปทิ้งเขาไว้กับบุคคลผู้ไม่พึ่งประสงค์  ดังนั้นทางเลือกเดียวที่เขามีคือทำเป็นยกกล้องขึ้นมาแอ๊บเป็นส่องนู่นถ่ายนี่ไปเรื่อย 

     “กล้องสวยดี”

     “………..”

     “เหมาะกับคนใช้”

     “……….”

     “นึกว่าโยนทิ้งไปแล้วซะอีก”

     “……….”

     อันที่จริงเขาก็เกือบทำแบบนั้นไปแล้วถ้าไม่ได้ไอ้เคนเตือนสติเอาไว้เสียก่อน  ในเมื่อชีวิตเขาหมดความสงบสุขไปกว่าครึ่งก็เพราะมัน  ทำไมเขาต้องประชดประชัดด้วยการไปลงกับกล้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยล่ะ 

     เอ่อ…ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือ ‘งก’ นั่นแหละ 
 
     “ดีใจที่มึงชอบนะ”

     “………..” 

     นายน์พยายามทำหูทวนลม  ทว่าคำพูดเหล่านั้นก็คอยแต่จะรังควานให้อารมณ์ที่ติดลบอยู่เป็นทุนเดิมพาลดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ  ไหนจะต้องทำเป็นไม่สนใจ  แล้วยังต้องคอยข่มอารมณ์ไม่ให้ไหลไปตามคำพูดยียวนของอีกฝ่าย  ซ้ำยังต้องคอยทำหน้านิ่งราวกับไม่รู้สึกรู้สา  พอรำคาญหนักๆ เข้า เขาก็เลือกที่จะเดินหนี 

     แต่!!  แม่งก็ยังจะเดินตามมาอยู่ได้  เป็นเหาฉลามรึไงวะ!!

     “ได้อ่านการ์ดรึยัง”

     อุตส่าห์พยายามทำเป็นไม่สนใจแต่ไอ้บ้านี่ก็เตรียมตัวมาเพื่อป่วนเขาโดยเฉพาะจริงๆ  ร่างเล็กขบกรามแน่นพลางปลายสายตามองคนตัวสูงกว่าอย่างเคืองๆ ก่อนจะกลับมาสนใจกล้องที่อยู่ในมือต่อ
 
     “อ่านแล้วสินะ”

     ประโยคนั้นกระชากความอดทนทั้งหมดของเขาหายเข้ากลีบเมฆไปทันที  นายน์ตวัดสายตามองคนตัวสูงอีกครั้ง  “มึงโรคจิตปะ!  ถามเองตอบเองอยู่ได้!”   
   
     “จะให้ทำไง  ก็คนที่อยากคุยด้วยเค้าไม่ยอมคุยด้วย”

     ยิ่งส่งสายตาโกรธจัดไปเท่าไหร่ไอ้คนกวนประสาทกลับเอาแต่ยิ้มมุมปากส่งกลับมาราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว  กลายเป็นเขาเสียเองที่ยิ่งทวีความขุ่นเคืองจนอดที่จะต่อปากต่อคำกลับไปไม่ได้  “มึงเลิกยุ่งกับกูซะทีได้ปะ!!” 

     “ไม่น่าได้”

     “ไอ้!!...”

     “ดีใจนะ”

     “……….”

     “ดีใจที่ได้เจอ”

     “แต่กูโคตรเซ็งรู้ไว้ด้วย”  พยายามข่มปากข่มใจไม่ให้ตอบโต้อะไรออกไปอีกเพราะมันโคตรจะไร้สาระและรังแต่จะทำให้หงุดหงิดก็เท่านั้น  แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ให้ตาย! 

     “รู้อยู่แล้ว  แต่ก็ดีใจอยู่ดี”

     “……….”  เรื่องของมึงดิ  ใครอยากรู้!!

     “…..กูยังรู้สึกเหมือนในการ์ดใบนั้นอยู่นะ”

     “……….”

     “ถ้ามึงคิดว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นล่ะก็  ตามใจ”

     “……….”

     “เดี๋ยวกูจะพิสูจน์ให้เห็นเอง” 

     เอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นเจ้าตัวก็เดินจากไปทันทีโดยไม่ต้องรอให้เขาไล่  ดวงตาคู่สวยมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่ไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้  จะบอกว่าโมโหก็ไม่เชิง  จะบอกว่ารำคาญก็ตอบเลยว่ามาก  แต่เขาไม่ได้รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว  อาจเป็นเพราะเขาเคยโกรธมามากและนานจนเกินพอ  และได้เรียนรู้แล้วว่ามันโคตรจะไม่มีประโยชน์ที่เอาแต่แบกความรู้สึกนั้นเอาไว้  เขารู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นมากในด้านของความรู้สึกก็เพราะมีไอ้บ้านั่นเป็นครู่คนหนึ่งนี่แหละ   

     แต่ถ้าถามว่าเชื่อคำพูดของไอ้คนไม่น่าไว้ใจนั่นไหม  บอกเลยว่าไม่!!

     “ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ  เท็นไปไหนหรอ”

     “ไม่รู้เหมือนกัน”

     “อ้าว  ฝนอุตส่าห์ซื้อขนมมาฝาก”

     “……….”

     “แล้วเท็นจะกลับมามั้ย”

     นายน์ไหวไหล่และได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ปลอบใจท่าทางผิดหวังของเธอ  มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าฝนคงจะชอบไอ้บ้านั่นเข้าให้ซะแล้ว  บอกตามตรงว่าได้มองน้ำฝนที่ทำหน้าผิดหวังแบบนี้แล้วเขารู้สึกสงสารขึ้นมาตงิดๆ  หน้าตาก็ออกจะน่ารักแถมยังดูเป็นคนดีมากๆ ด้วย  ไม่น่าจะไปตกหลุมพรางไอ้คนพรรค์นั้นเลย  เขาควรบอกดีไหมนะว่าไอ้เท็นเคยมีแฟนเป็นผู้ชาย  ไม่เอาดีกว่า  เดี๋ยวได้หาว่าเขาโกหกเพราะอิจฉาเหมือนบรรดาเพื่อนมัธยมปลายของเขานั่นแหละ





                              **************************************************



     นายน์นั่งเอาหลอดจิ้มน้ำแข็งในแก้วเล่นอย่างเซ็งๆ ก่อนจะมองเหม่อออกไปข้างนอก  มองดูคนเดินผ่านไปผ่านมาค่าเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว  และเขาก็ยังต้องนั่งจ่อมอยู่ที่ร้านบิงซูอันเป็นที่นัดหมายกับฝนไม่ได้กระดิกตัวไปไหนต่อไป  แถมเขายังไม่ได้แตะอะไรเลยตั้งแต่เช้าเพราะตื่นสายและกลัวว่าจะมาไม่ทัน  หิวไส้กิ่วจนซดน้ำหมดไปแล้วสามแก้ว  แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวเสียที
 
     เอี๊ยดด

     มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเซ็งกับตัวเองอยู่นานสะดุ้งอีกทีก็ตอนที่มีคนมาเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างๆ ออกนี่แหละ  พอเงยหน้าถึงได้เห็นว่าเป็นใคร

   กูว่าละ!  ทำไมซื้อหวยไม่ถูกงี้บ้างวะ!!

     “มานานยัง”

     “...........” 

     ให้ตายเถอะ!  ตอนฝนโทรมาชวนก็เอะใจแล้วว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล  ถึงได้ทั้งขยั้นคะยอทั้งอ้อนวอน  ขนาดว่าเขาปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีกฝนก็ยังตื้อไม่เลิก

     เพราะไอ้ขี้เก็กนี่เองสินะ!

     คนถามที่ไม่ได้รับคำตอบแต่ก็ยังเอาแต่ยิ้มมุมปากอย่างไม่อาทรร้อนใจและกำลังนั่งมองหน้าเขาอย่างที่เรียกได้ว่า ‘ตาไม่กระพริบ’ เลยกรอกตาใส่เป็นการตอบโต้ไปหนึ่งดอก  แต่โดนมันหัวเราะกลับมาราวกับชอบใจเสียมากมาย  เห็นแบบนั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเปล่าประโยชน์ที่จะไปถลึงตาหรือโวยวายใส่ไอ้คนดื้อด้านพรรคนั้น  อย่างดีที่สุดก็คงทำได้แค่ไม่สนใจก็เท่านั้น!!

     “อ้วนขึ้นปะ”

     “..........”

     “แต่ดีกว่าผอมนะ”

     “..........”

     “แบบนี้น่ารักกว่า”

     “............”

     “หิวมั้ย”

     “..........”

     “ฝนบอกว่าจะมาสายหน่อย  แถวบ้านมีซ่อมถนนอะไรซักอย่างก็เลยรถติด”

     “...........”

     “สั่งอะไรมากินกันก่อนดีมั้ย”

     “..........”

     “ใจแข็งเสมอต้นเสมอปลายดีเนาะ  ตกลงจะไม่ยอมคุยด้วยจริงดิ”

     “............”

     “งั้น...เรามาทำข้อตกลงกันมั้ย”

     “มึงจะมาไม้ไหนอีก!!”  ได้ยินคำว่าข้อตกลง สัญญา อะไรเทือกๆ นั้นบอกเลยว่าอารมณ์มันขึ้น!

     “...ก็ถ้ามึงยังไม่อยากมีแฟน  คบกันเป็นเพื่อนไปก่อนก็ได้  กูไม่รีบ” 

     อุตส่าห์ขบกรามท่องยุบหนอพองหนอในใจมาตั้งนาน  เจอประโยคเมื่อครู่เข้าไปเขาถึงกับห้ามสายตาไม่ให้ตวัดไปมองไอ้คนหลงตัวเองไม่ได้  “ถามจริง  ชีวิตมึงเคยจริงจังกับอะไรเท่ากับการแกล้งกูอีกปะ”

     เท็นยิ้มเนือยพลางส่ายหัวอย่างปลงๆ  ขยับเก้าอี้ไปใกล้กับคนตัวเล็กอีกนิด  ยื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้อีกหน่อยเผื่อว่าคนใจแข็งจะมองเห็นดวงตาเขาได้ชัดขึ้น  “จะให้จูบตรงนี้เลยปะถึงจะยอมเชื่อ” 

     “ไอ้เหี้ย!!”  สบถดังลั่นอย่างลืมตัวพร้อมกับมือที่ดันไหล่อีกฝ่ายอย่างแรง  แต่มันกลับเปล่าประโยชน์  ร่างเล็กฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนลุกขึ้นไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับไอ้คนกวนประสาทแทน 

     “กลัวขนาดนั้นเลย”

     “ไม่ได้กลัว!  รังเกียจ!”

     เท็นพยักหน้ารับคำอย่างไม่คิดจะถือสากับคำพูดของคนปากแข็งแถมยังขี้โมโห  “ถ้าเปลี่ยนใจยอมเชื่อกันเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”

   “ฝันไปเถอะ!”  บอกตามตรงว่าเขาเชื่อคำพูดมันไม่ลง  เพราะการกระทำที่ราวกับไม่จริงจังกับอะไรเลยสักอย่าง  ไหนจะไอ้รอยยิ้มยียวนนั่นอีก  ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าเขากำลังถูกจีบเลยสักนิด  หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเคยพูดกับปากและไอ้เคนก็ได้ยินมากับหูว่าเขาไม่ใช่ไทป์ของมัน  ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะงั้นใครเชื่อลงก็บ้าละ!

     “คุยอะไรกันอยู่หรอสองหนุ่ม”


**************************************************


หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [50% Update 29-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 29-09-2018 22:54:52
 :L1:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [50% Update 29-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 30-09-2018 02:33:02
โอ๊ะโอ...ทำไททำเป็นไม่รู้จักอะ...  :a5:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [50% Update 29-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 30-09-2018 07:55:22
 :pig4: :pig4:





หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [50% Update 29-09-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ksoleef ที่ 30-09-2018 08:29:42
เท็นคิดจะทำอะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [100% Update 04-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 04-10-2018 21:28:11
 มาอัพ 100% ให้แล้วน้าาาาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [100% Update 04-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 04-10-2018 22:15:45
สู้ๆน้าาาา .....  :hao3:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [100% Update 04-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 04-10-2018 23:10:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [100% Update 04-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 05-10-2018 01:41:05
ชอบๆ มาต่อเร็ว :hao7:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP5 [100% Update 04-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 25-10-2018 17:28:50
EP6…
   
     “ขอโทษนะ  เป็นคนนัดแท้ๆ ดันมาสายซะเอง”

     “ม...”

     “ไม่เป็นไร”

     นายน์กำลังจะเอ่ยปากตอบคนมาใหม่แต่ดัดถูกไอ้คนกวนประสาทที่กำลังยิ้มมุมปากส่งสายตาท้าทายมาให้ตัดบทไปเสียก่อน  ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจสอดปากและทำเสียงดังกลบให้เขาหงุดหงิดเล่น  นายน์กรอกตาให้กับความปัญญาอ่อนนั้นก่อนจะหันไปคว้าแก้วน้ำมาดื่มแก้เซ็ง

     “งั้นสั่งอะไรก่อนดีมั้ย  หรือว่าจะไปเลย  ฝนยังไงก็ได้จ้ะ”

     บอกตามตรงว่าคนที่รับคำชวนเพราะรู้ว่าคนน่ารักจะมาด้วยไม่มีความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น  เท็นไม่ตอบในทันที  มือเรียวทำเป็นหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดูส่งๆ พลางมองไปยังคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม  ทันได้เห็นเจ้าตัวทำเป็นเสมองไปทางอื่นแบบพอดิบพอดี  เขาหลุดยิ้มให้กับความเกือบเนียนของใครบางคน  ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังขวดน้ำที่ว่างเปล่าทั้งสามขวดบนโต๊ะแล้วก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะมีคนบางคนรู้สึกหิวอยู่ไม่มากก็น้อย  “หิวนิดๆ เหมือนกัน  งั้นขอสั่งอะไรมากินรองท้องก่อนนะ”

     “ได้สิ  จริงๆ เราก็กำลังอยากกินอยู่พอดี”

     ฝนฉีกยิ้มสดใสตามสไตล์พลางหยิบเมนูอีกเล่มขึ้นมาเปิดแล้วก็ครางอืออย่างคนกำลังครุ่นคิด  ส่วนตัวเขาที่ไม่สันทัดในของหวานเลยทำได้แค่พลิกหน้าเมนูไปมาก่อนจะตัดสินใจส่งไปให้อีกคนที่ทำเป็นนั่งมองออกไปนอกร้านแทน  “สั่งดิ  เผื่อกูด้วย”

     “อะไร!”

     “สั่งให้หน่อย  ไม่รู้ว่าอันไหนอร่อย”

     “เกี่ยวอะไรกับกู”

     “เออน่า”  ในเมื่อยื่นให้แล้วไม่ยอมรับเสียทีเขาเลยถือวิสาสะวางมันลงตรงหน้าเจ้าตัวเสียเลย  เป็นเวลาเดียวกับที่น้ำฝนยกมือเรียกพนักงานในร้านมารับออเดอร์พอดี  ฝนสั่งเมนูที่เจ้าตัวอยากทานกับเครื่องดื่มอย่างคล่องแคล่ว  ก่อนจะหันมาถามเขาว่าอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม

     “เอาเหมือนนายน์ก็ได้”

     คนตัวเล็กที่กำลังจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อเลี่ยงการทำตามคำสั่งของไอ้คนกวนประสาท(ที่กำลังมองมาอย่างกดดันพร้อมกับร้อยยิ้มมุมปากอีกแล้ว)ถึงกับสะดุ้งเมื่อฝนหันมามองที่เขาตรงๆ เป็นครั้งแรก  “เราสั่งไอ้นี่ไปแล้ว  เอาอย่างอื่นมั้ย  จะได้มาแชร์กันได้ด้วยไง”

     “เอ่อ  ขอดูแป๊บนะ”  มือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เป็นอันให้ต้องวกกลับมาหยิบเมนูตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้  พอเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ได้เห็นสีหน้าพอใจอย่างที่เดาเอาไว้ไม่ผิด  ฝากไว้ก่อนเถอะ!  “งั้น...เอาไอ้นี่  กับไอ้นี่ก็ได้”  จิ้มนิ้วส่งๆ แบบให้มันจบๆ เรื่องก่อนจะปิดเมนูฉับ

     “เท็นโอเคนะ”

      “ได้หมด”

     ฝนหันไปถามอีกคนทันทีอย่างใส่ใจ  เห็นแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่น่าโง่ยอมตกปากรับคำชวนเลยจริงๆ  แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับไม้กันหมาชัดๆ!

     นั่งเซ็งๆ พยายามทำหูทวนลมไม่ฟังคนจีบกันอยู่ได้ไม่นานขนมกับเครื่องดื่มที่สั่งก็ถูกวางลงบนโต๊ะ  และนั่นก็ทำให้เขายิ้มออกเป็นครั้งแรกของวัน  อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องกินน้ำกลั้วท้องแล้ว  ร่างเล็กหยิบมีดและซ้อมขึ้นมาจัดการแพนเค้กตรงหน้าทันที

     “ปกติวันหยุดเท็นทำอะไรหรอ”

     “เล่นเกม  ดูหนัง  แล้วแต่อารมณ์”

     “เหมือนฝนเลย  ฝนก็ชอบดูหนัง  ไว้วันหลังเราไปดูหนังด้วยกันดีมั้ย”

     “ถ้ามีเรื่องน่าสนุกนะ  ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าดู”

     “โอเค  แล้วเท็นมีกล้องรุ่นไหนแนะนำเป็นพิเศษมั้ย”

     “ไม่รู้เลย  ...หิวขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

     แน่นอนว่าประโยคหลังมันไม่ได้พูดกับฝนแต่หันมาถามเขาที่กำลังจ้วงของหวานเข้าปาก  และแน่นอนว่าเขาไม่คิดที่จะตอบกลับไปเหมือนอย่างเช่นทุกที

     “กินช้าๆ หน่อย  เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก”

     “...........”  นายน์ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาเขาตักไอศครีมในจานที่ละลายไปกว่าครึ่งขึ้นมากินอย่างมีความสุข  อันที่จริงเขาไม่ใช่สายของหวานอะไรขนาดนั้นแต่เพราะตอนนี้หิวจนสามารถกินหมีได้ทั้งตัวเพราะงั้นไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พร้อมจะเสกให้มันหายเข้าปากได้ทุกเมื่อ

     “อ่ะน้ำ” 

     ไม่ว่าเปล่าแต่เจ้าตัวยกโกโก้ปั่นที่ยังไม่ได้ดื่มของตัวเองมาให้เขาแทน  นายน์ยอมละสายตาจากของกินตรงหน้าเพื่อส่งสายตาที่อ่านค่าได้ว่า ‘รำคาญ’ ไปให้  แถมด้วยการถอนหายใจอีกเฮือกใส่คนช่างตื้อก่อนจะหันกลับไปตักไอศครีมเข้าปากต่อ
 
     ทว่า!

     “เหี้ยยย!!

     “ก็บอกแล้วว่าค่อยๆ กิน”  ร่างสูงบ่นพลางคว้าทิชชู่ที่อยู่ใกล้ตัวแล้วขยับไปนั่งเก้าอี้ตัวว่างข้างคนซุ่มซ่าม  ลงมือซับทิชชู่เข้ากับเสื้อของเจ้าตัวที่กำลังพยายามใช้มือปาดคราบไอศครีมออกด้วยใบหน้าเซ็งๆ 

      “ไม่ต้อง!”

     “อยู่เฉยๆ เถอะน่า”

     “กูบอกว่าไม่ต้องมึงหูแตกรึไง!”

     “อย่าขยับดิ  มันเลอะหมดแล้วเนี่ย”

     “มึงนั่นแหละอย่ามายุ่ง!”

     ยิ่งด่ายิ่งผลักก็เหมือนยิ่งยุ  เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุดกลับเอาแต่ยิ้มและผลักมือเขาพร้อมกับซับทิชชู่ลงบนเสื้อยิ่งกว่าเดิม  อยากมอบโล่บุคคลน่ารำคาญแห่งปีให้มันจริงๆ!!   

     “ก็แค่นี้  อยู่เฉยๆ แต่แรกก็เสร็จแล้วปะ”

      “เราว่าไปเดินดูกล้องกันเลยดีมั้ย!”

     เสียงนั้นหยุดปากของเขาที่เตรียมจะด่ากลับไอ้คนตัวสูงทันที  และตอนนี้ไอ้เท็นก็กำลังล้ำเส้นอีกขั้นด้วยการหยิบส้อมของเขาขึ้นมาตักเศษแพนเค้กในจานกินอย่างหน้าตาเฉย  ไม่ได้รู้เลยว่าอีกหนึ่งชีวิตกำลังทำหน้าอย่างไร  ใบหน้าของฝนไม่ได้เปื้อนรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย  เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่ไม่ได้ร่วงวงสนทนาด้วย(แม้ว่าอันที่จริงมันจะเป็นสงครามน้ำลายก็เถอะ) 

     “รอเดี๋ยวนะ  นายน์มันยังไม่อิ่มเลย”

     “กูบอกเมื่อไหร่”

     “ไม่ต้องบอกก็รู้มั้ย  กินอย่างกับอดตายมาสิบชาติขนาดนั้น  อะ..ยกของกูให้เลย”

     “เสือก!”

     ไอ้บ้าเท็นยิ้มรับคำด่านั้นราวกับมันเป็นเรื่องน่าขำ  แต่อีกคนคงจะไม่ขำตามไปด้วยเพราะจู่ๆ ฝนก็ลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

     “งั้นฝนไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ!”

      “เค”

     คำตอบที่โคตรชิลไหนจะเอาแต่ห่วงกินไม่ยอมเงยหน้าไปดูอารมณ์อีกคนของไอ้เท็นทำเอาเขาอยากจะฟาดมันด้วยเก้าอี้สักที  เลยต้องเป็นหน้าที่เขาที่ต้องเงยหน้าส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้สาวเจ้าพลางว่า  “เราอิ่มพอดี  เดี๋ยวเช็คบิลเลย  เจอกันที่หน้าร้านนะ”

     “อืม”

   



                                ********************************************************


     เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งหลังพาตัวเองมายืนอยู่หน้าร้านกาแฟอันเป็นที่นัดหมายกับใครอีกคน  และก็เป็นอีกครั้งที่เขาใจอ่อนยอมรับนัดน้ำฝนทั้งๆ ที่รู้ว่าการอยากพบเขาครั้งนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องของไอ้บ้าเท็นอยู่ดี  แต่ให้ตายเถอะการจะปฏิเสธผู้หญิงน่ารักแถมยังพูดเพราะมากๆ สักคนมันเป็นอะไรที่ทำได้ยากเย็นแสนเข็นจริงๆ  เขาที่ไม่ถนัดเรื่องการปฏิเสธคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยต้องมาถอนหายใจเฮือกๆ อยู่อย่างนี้

     มือเล็กผลักบานประตูคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ กับตึกเรียนของเขาเข้าไปภายในพลางกวาดสายตามองหา  แล้วสายตาก็ปะทะเข้ากับรอยยิ้มสดใสของใครบางคนที่กำลังโบกมือให้เขาพอดี  นายน์ยิ้มรับก่อนจะลอบถอนหายใจเฮือกอย่างทำใจยอมรับกับสิ่งที่จะต้องเจอ  เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว  “รอนานมั้ย”

     “ไม่เลย”

     “ฝนมีธุระอะไรกับเราหรอ”

     “นั่งก่อนสิ”

     “เอ่อ...นานมั้ย  พอดีวันนี้เรามีธุระต้องไปทำให้แม่ต่อน่ะ”  อันที่จริงเขาไม่ได้มีธุระอะไรทีไหนหรอก  ก็แค่อยากบีบเวลาให้มันสั้นลงเพื่อเขาจะได้หาช่องทางเผ่นได้ง่ายขึ้นก็เท่านั้น

     “เราขอ 10 นาที  ไม่นานหรอก”

     “โอเค”  นายน์ยอมนั่งลงอย่างจำยอมในที่สุด

     “นายน์...เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับเท็นหรอ”

     นั่นไง!  คิดไว้ไม่มีผิด  “รู้ได้ไง”  สาวเจ้าไม่ตอบแต่กลับยักคิ้วด้วยท่าทางขี้เล่นส่งมาให้เขาแทน  “อันที่จริงก็…ใช่”
 
     “มิน่าล่ะวันนั้นเท็นถึงมาขอเข้ากลุ่มด้วย…”

     “………..”

     จู่ๆ ฝนก็เอาแต่เงียบไป  และเขาเองที่เริ่มจะวางตัวไม่ถูกก็ทำได้แค่เงียบเช่นกัน

     “คือ...เราขอพูดตรงๆ เลยนะ”

     “..........”

     “เราชอบเท็น  นายน์พอจะรู้มั้ยว่าเท็นชอบผู้หญิงแบบไหน  แล้วตอนนี้เท็นมีแฟนรึยัง”

     คำถามนั้นทำเอาคนถูกจ้องอย่างมีความหวังถึงกับต้องยิ้มเจื่อน  น้ำฝนในสายตาของเขาดูเป็นสาวหวาน  อาจจะด้วยเพราะหน้าตาและบุคลิกของเจ้าตัว  แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายอยู่สักหน่อยคือนิสัยตรงไปตรงมาขัดกับบุคลิกนุ่มนวลนี่แหละ  นายน์ได้แต่ครางอือในลำคออย่างคนควานหาคำพูดไม่เจอ  จะให้บอกยังไงว่าเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าไอ้คนที่ถูกชอบมันชอบผู้หญิงหรือผู้ชายเลยด้วยซ้ำ  เพราะเท่าที่รู้มา(จากการบอกเล่าของไอ้เคนซึ่งก็ไปฟังจากคนอื่นมาอีกที)ตอนอยู่โรงเรียนเก่าไอ้หล่อนั่นเคยคบมาแล้วทั้งผู้หญิงและผู้ชาย  แต่ก็นั่นแหละ  เขาไม่สามารถฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ว่าเรื่องนินทาสนุกปากนั้นเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน   

     “คำถามเรายากไปหรอ”

     “เอ่อ…ก็ไม่เชิง  แต่เราไม่ได้สนิทกับมัน  เอ้ย!  กับเท็นขนาดนั้น  เลยไม่รู้จะตอบยังไง”

     “ไม่จริงมั้ง”

     “จริงๆ!” 

     “แต่เท่าที่เราเห็นคือเท็นดูแคร์นายน์มากเลยนะ”

     คำที่คอยตามหลอกตามหลอนคำนี้มันมาอีกแล้ว!  “เราว่าฝนโดนมันหลอกแล้วแหละ”  ได้แต่ยิ้มแหยๆ ส่งกลับไปและหวังว่าสาวเจ้าจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด   

     “ก็เราเห็นเท็นชวนนายน์คุยตลอดเลยนี่  ขนาดนายน์ไม่ค่อยยอมตอบเท็นก็ไม่เห็นจะเคืองอะไร  แปลว่าก็ต้องสนิทกันมากสิ”
“มันก็ใช่  แต่ความจริงแล้วคือ...”  แค่คิดว่าจะเริ่มอธิบายจากตรงไหนดีเขาก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว  ก็ถ้าให้พูดกันตามประวัติความเป็นมาระหว่างเขากับมันนี่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘สนิท’ หรือแม้กระทั่ง ‘เพื่อน’  เลยด้วยซ้ำ “จริงๆ แล้วเรากับมันไม่ถูกกัน...มากๆ ด้วย”

     “..........”

     “เรียกว่าเหม็นขี้หน้ากันเลยด้วยซ้ำ  แล้วที่ฝนเห็นว่ามันชวนเราคุย  ความจริงคือมันกำลังกวนตีนเราอยู่  แค่นั้นแหละ”  จะบอกว่าเกลียดก็เดี๋ยวจะไม่เชื่ออีก  งั้นเอาคำที่ซอฟต์ลงมาหน่อยก็แล้วกันนะ

     “ไม่จริงอ่ะ  ไม่เห็นจะเหมือนเลย  นายน์อำเราปะเนี่ย”

     “เราพูดจริงนะ!”

     “..........”

     ดูเหมือนฝนจะทั้งอึ้งทั้งผิดหวังหรือไม่ก็ทำใจเชื่อคำพูดเขาไม่ลง  แต่สรุปแล้วคือคนอย่างเขาไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลย  และนั่นอาจจะทำให้เจ้าตัวเซ็งจนพูดไม่ออกถึงได้เงียบไปอย่างนั้น 

     “...ขอโทษนะ  เราคงช่วยอะไรฝนไม่ได้จริงๆ” 

     “แต่ว่า...” 

     “หืม?”

     เราจ้องตากันอย่างอัตโนมัติทว่าแตกต่างที่เขากำลังรอคำตอบ  แต่ฝนกำลังจมอยู่ในความคิด  ทว่าจู่ๆ ใบหน้าครุ่นคิดนั้นกลับหายลับไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มสดใสตามสไตล์  ก่อนฝนจะหยิบกาแฟเย็นบนโต๊ะขึ้นดื่มด้วยท่าทางผ่อนคลายราวกับคนละคนกับเมื่อครู่  “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ  นายน์มีธุระต่อไม่ใช่หรอ  งั้นเรากวนนายน์แค่นี้แหละ  ขอบใจมากนะ”

     “ม...ไม่เป็นไร”  บทสนทนาจบลงเร็งกว่าที่คิดทำเอาเขาตั้งหลับแทบไม่ทัน  แถมยังทิ้งความรู้สึกกระอักกระอ่วนเอาไว้ให้เขาเป็นของแถมเสียฉิบ  ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกได้ว่าลึกๆ แล้วเหมือนน้ำฝนจะไม่เชื่อคำพูดของเขา  แต่ก็ช่างเถอะ  ในเมื่อเขาบอกความจริงทั้งหมดไปแล้วนี่นะ  นายน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาตามมารยาท  “งั้น...เจอกันที่ชมรมนะ” 

     “เจอกันจ้ะ”




                          ********************************************************************


 
     “แม่  นายน์ไปก่อนนะ”

     “ไม่กินอะไรก่อนเหรอลูก”

     “ไม่ทันแล้วแม่  พี่ที่ชมรมนัด 7 โมง” 

     “แล้วลูกจะกลับกี่โมง”

     “น่าจะค่ำๆ”

     “ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ  อย่าไปซุ่มซ่ามจนได้เรื่องล่ะ”

     “โธ่แม่!  นี่ลูกเอง  ไปแล้วนะเดี๋ยวไม่ทัน” 

      “จ้า”

     นายน์คว้าสัมภาระที่เตรียมไว้ก่อนจะวิ่งไปหาผู้เป็นแม่ที่อยู่ในครัวพร้อมกับฉกแซนวิซในจานขึ้นมากัดแล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านไปด้วยความรีบร้อนพลันได้ยินเสียงแม่ร้องเตือนมาตามหลัง  วันนี้เขาออกทริปแรกกลับชมรม  เป็นทริปถ่ายภาพแบบไปเช้าเย็นกลับ  จุดมุ่งหมายคือจังหวัดกาญจนบุรี  อันที่จริงเขาเคยไปที่นั่นมาแล้วสองครั้งสมัยมัธยม  แต่ไม่เคยไปโดยรถไฟเลยสักครั้ง  ตอนนี้เลยออกอาการตื่นเต้นอยู่หน่อยๆ ที่จะได้นั่งรถไฟแถมยังได้ถ่ายรูปอีกด้วย

     นายน์พาตัวเองมาถึงที่นัดหมายทันเวลาพอดิบพอดีแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเพราะพี่แก้วขวัญกำลังเช็คชื่อเพื่อทยอยพาน้องๆ ขึ้นรถ 

     “นึกว่าจะเบี้ยวซะแล้วน้องนายน์”

     “มาช้ายังดีกว่าไม่มาไงพี่แก้ว”

     “จ้า  ไปขึ้นรถได้แล้วไป”

     “ครับ”

     นายน์เดินทักทายเพื่อนบางคนที่เคยคุยด้วยเวลาอยู่ที่ชมรมขณะกำลังเดินหาที่นั่ง  อันที่จริงเขาก็ยังติดนิสัยเดิมๆ อยู่นิดหน่อยคือสนิทกับคนยากและค่อนข้างจะเงียบเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางเพื่อนใหม่หรือคนแปลกหน้า  ขนาดแยกย้ายกันเข้าเรียนมหาฯลัยแล้วทุกวันนี้ก็ยังต้องโทรคุยกับบรรดาเดอะแก๊งอยู่เลย(โดยเฉพาะไอ้เคน)  แต่จริงๆ เขาก็อยากมีเพื่อนใหม่  อยากเรียนรู้คนหลายๆ ประเภทเหมือนกันนะ  รู้ว่ามันค่อนข้างย้อนแย้ง  แต่ก็นั่นแหละเขาเลย!

     นายน์เลือกที่นั่งริมหน้าต่างที่ห่างออกมาจากกลุ่มเพื่อนเล็กน้อยเพื่อจะได้มองวิวเงียบๆ และหามุมถ่ายรูป  นั่งมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยพลางฟังเพลงในโทรศัพท์กระทั่งรถไฟค่อยๆ เคลื่อนตัวเขาจึงหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพข้างทาง  จดจ่ออยู่กับการกดชัตเตอร์อยู่ได้สักพักก็ต้องสะดุ้งจนเกือบจะเผลอปล่อยกล้องในมือเพราะความเย็นตรงแก้มที่ถูกจู่โจมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว  ร่างเล็กหันขวับไปมองทันทีแล้วก็ต้องผงะเพราะวัตถุบางอย่างที่ขวางอยู่ตรงหน้า  ไม่!  อันที่จริงต้องบอกว่ามันอยู่ประชิดปลายจมูกเขาเลยต่างหาก  นายน์ผละถอยหลังแล้วก็ได้เห็นไอ้วัตถุต้องสงสัยนั่น  มันคือกระป๋องน้ำอัดลมที่อยู่ในมือของ…ไอ้บ้าเท็น!
คนตัวเล็กถอนหายใจทันทีและเตรียมจะคว้ากระเป๋าเป้เพื่อไปหาที่นั่งใหม่  แต่!  เขาช้ากว่ามือของใครบางคน  “เอามา!”

     “ไม่”

     “เอาคืนมา!!”

     “เอาล่ะน้องๆ ที่น่ารักทุกคน”
 
     “เอาของ....” 

     “ชู่วว!!”

     “อ้าวน้องเท็นยังหาที่นั่งได้อีกหรอ”

     “ป่าวครั้บพี่แก้ว  ได้แล้วครับ  ต่อเลยครับ”

     “เดี๋ยวพี่จะอธิบายกำหนดการคร่าวๆ ให้ฟังนะ” 

     ไอ้บ้าเท็นหันมาทำหน้าดุและขู่ให้เงียบราวกับเขาเป็นเด็กสองขวบแถมยังถือวิสาสะนั่งลงข้างเขาทันทีเมื่อพี่ชมรมเข้ามาอธิบายแผนของทริปนี้  ซ้ำยังเอาเป้ของเขาไปสะพายไว้ที่ไหล่อีกข้างกันเขาแย่งกลับอีก  นายน์ขบกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์ก่อนจะหันออกไปมองนอกหน้าต่างแทน

     “ตอนลงชื่อไม่เห็นชื่อกูเลยคิดว่ากูไม่มาอ่ะดิ”

     “……….”

     “โทษที  กูมันเด็กเส้น”

     “..........”

      “ไม่ว่ากันนะ”

      รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวตลกโง่ๆ ขึ้นมาทันที  ใช่!  เขาทำอย่างที่มันพูดไม่มีผิดสักคำ  และเหตุผลหลักๆ ที่ตัดสินใจมาวันนี้ก็เพราะคิดว่ามันไม่มานั่นแหละ  พอถูกพูดใส่แบบนี้แล้วยิ่งพาลให้ข่มอารมณ์ไม่อยู่จนต้องขบฟันแน่นยิ่งกว่าเคย  หันกลับไปจ้องหน้าไอ้คนที่เพิ่งพูดจาเจาะเย้ยเขาด้วยใบหน้าที่พยายามข่มให้เฉยชาอย่างที่สุดพลางว่า  “คิดว่าชนะแล้วงั้นดิ”

     “ยัง”

     “……….”

     “จะให้ชนะจริงต้องรอมึงยอมเป็นแฟนกูก่อน”

       “……….”  นายน์กรอกตาใส่เจ้าของคำพูดนั้นเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับมันอีกแล้วแต่ในใจเขากำลังตะโกนคำว่าชาติหน้าก็ไม่มีวัน!  และก็เกือบจะเผลอออกปากไล่ให้มันไปนั่งไกลๆ อยู่หลายครั้งแต่รู้ว่าไล่ให้ตายยังไงมันก็คงไม่ไปแน่นอน  และถึงต่อให้เขาลุกไปนั่งที่อื่นมันก็คงจะตามไปรังควาญอยู่ดี  เพราะว่ามันจงใจมาเพื่อ ‘กวนทรีน!’ เขาโดยเฉพาะ

     “มาอยู่นี่กันนี่เอง  ฝนเดินตามหาแทบแย่”

     เสียงของบุคคลที่สามดึงความสนใจจากเขา  ฝนกำลังส่งยิ้มให้เท็นไม่มีเผื่อแผ่มาให้เขาแม้แต่นิด  ในมือของเธอมีถุงขนมใบโตแถมยังสะพายกล้องที่เราไปช่วยกันเลือกซื้อวันนั้นเอาไว้ด้วย  ทว่าเจ้าตัวกลับยังไม่ยอมนั่งลงเสียทีราวกับกำลังรออะไรหรือชั่งใจอะไรบางอย่าง  ทว่าสุดท้ายสาวเจ้าก็ยอมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา  หยิบขนมออกมาจากถุงส่งให้คนที่นั่งข้างๆ เขา  และเท็นก็รับไว้แถมยังแกะกินหน้าตาเฉยโดยไม่มีแม้แต่คำขอบคุณอย่างกับซื้อมาเอง  ไร้มารยาทจริงๆ ไอ้บ้านี่!

     “ทำไมเท็นมีกระเป๋าสองใบล่ะ  เมื่อกี้ยังเห็นใบเดียวอยู่เลย”

     “อ๋อ  อันนี้นายน์ฝากไว้  มันเอากล้องมาสองตัวก็เลยขี้เกียจสะพายเป้  เนอะนายน์เนอะ”

     “พ่อมึงสิ!”

     “เกรี้ยวกราดอีกละ  อะกิน!” 

     ไม่พูดเปล่าแต่มันยัดขนมใส่ปากเขาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว  นายน์เม้มปากแน่นอย่างอัตโนมัติเลยทำให้มันฝรั่งทอดกระแทกปากเขาเข้าอย่างจัง  แถมเศษของมันยังร่วงใส่เสื้อเขาอีก
 
     “ขอโทษ”
 
     นายน์จ้องกลับอย่างเคืองๆ ปัดมือของอีกฝ่ายที่กำลังจะเอื้อมมาก่อนปัดเศษมันฝรั่งบนตัวทิ้ง  ตวัดสายตาใบหน้าที่ติดจะเหวออยู่ในทีของอีกฝ่ายแล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่างแทน  ยังดีที่ไอ้บ้าเท็นไม่ได้ตามมากวนประสาทอะไรเขาต่อ  ถึงแม้ว่ามันออกจะเสียมารยาทกับฝนไปสักหน่อย  แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ   

     “นายน์กับเท็นนี่ดูสนิทกันดีเนาะ”

     “แต่สงสัยคราวนี้จะโดนงอนจริงๆ แล้วมั้ง”

     “ไม่หรอก  นายน์ใจดีออก  …..ขอชิมของเท็นหน่อยสิ”

     “เอาดิ” 






     นั่งเล่นเกมในมือถือแก้เซ็งไปพลางคอยเหลือบมองคนข้างๆ อยู่เป็นระยะ  แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ตะแคงข้างมองออกไปนอกหน้าต่างแถมยังเงียบสนิท  และดูเหมือนว่าฝนที่คอยชวนเขาคุยอยู่เรื่อยๆ จะหมดหัวข้อสนทนาไปเหมือนกันเจ้าตัวถึงเลือกที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายนู่นถ่ายนี่  นานๆ ทีก็จะหันกล้องเพื่ออวดรูปให้เขาดู
 
     และตอนนี้ตัวเขาเองก็เริ่มที่จะเบื่อการเล่นเกมขึ้นมาตงิดๆ  เท็นยัดโทรศัพท์ใส่เป้ของใครอีกคนอย่างตั้งใจ  แต่เขาไม่ได้ละลาบละล้วงสัมภาระในกระเป๋าของเจ้าตัวหรอกนะ  เพราะถ้าเกิดโดนจับได้ขึ้นมามีหวังถูกโกรธเพิ่มเป็นสองเท่าแล้วจะยิ่งเข้าหายากกว่าเดิมไปก็เท่านั้น

     ตุ๊บ!

     เสียงเบาๆ นั้นดังขึ้นบนไหล่ขวาของเขาพร้อมกับน้ำหนักจากอะไรบางอย่าง  พอหันไปดูก็เห็นหัวกลมๆ ของใครบางคนที่กำลังหลับคอพับคออ่อนจนสุดท้ายก็มาจบที่ปลายไหล่ของเขา  เท็นหยุดยิ้มให้กับภาพนั้น  ก่อนจะก้มลงเพื่อพยายามจะมองให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย  ทว่าผมที่บดบังอยู่ทำให้เขาไม่อาจทำได้อย่างใจ  เท็นชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปเกลี่ยเส้นผมนั้นออกอย่างเบามือ 

     “ท…เท็น”

     “ชู่ววว!”

     “คือ...เราจะให้เท็นช่วยดูอันนี้ให้หน่อยได้มั้ย”

     “เอาไว้ก่อนนะ  นายน์หลับอยู่  กลัวทำมันตื่น”  เขาพยายามเอ่ยด้วยเสียงที่เบาที่สุดก่อนจะหันกลับไปสำรวจคนข้างๆ อีกครั้ง  ไม่กล้าจะขยับตัวแม้เพียงนิดเดียวเพราะกลัวว่าจะไปทำให้เจ้าตัวตื่นแล้วโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้ๆ นายน์แบบนี้ก็คงจะบินหายไป  แน่นอนว่าถ้าเป็นนายน์ตอนตื่นที่สติยังอยู่ดีคงไม่มีทางยอมให้เขาอยู่ใกล้จนชิดแบบนี้แน่
 
     “แต่มันสำคัญมากนะ”

     “เอาไปถามคนอื่นก่อนได้มั้ย  เรายังไม่ว่าง”

     “..........”

     “..........”

     “ก็ได้!  ...เดี๋ยวเรามานะ!”

     “อืม”  เท็นตอบไปโดยไม่ได้หันไปมองหรือถามอะไรอีกฝ่ายต่อ  จะเรียกว่าตอบแบบขอไปทีก็คงไม่ผิดเพราะเขามัวแต่ตกใจที่คนตัวเล็กสัปหงกจนศีรษะเล็กๆ นั่นที่เกือบจะหล่นจากไหล่เขา  ยงดีที่รับไว้ได้ทันและพากลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมอย่างเบามือ  แต่ก็รับรู้ได้ว่าฝนยังคงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้ลุกไปไหนอย่างที่เจ้าตัวบอก  ทว่าเขาเลือกที่จะไม่สนใจ  และไม่นานฝนที่เอาแต่นั่งเงียบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

     เขารู้ดีว่าฝนคิดยังไงกับเขา  รู้มาตลอด   





                  *****************************************************************




TALK ::  ช่วงนี้งานที่บริษัทหนักหน่วงมากจริงๆ แว๊บมาลงแล้วก็คงจะหายยาวๆอีกเช่นเคย
             ชอบก็บ๊อกไม่ชอบก็บ๊อกกันบ้างนะจ้ะะะ  ไปแล้ว ฟิ้ววววววว

     
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP6 [Update 25-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 25-10-2018 21:03:36
 o13 สู้ๆนะค่ะ... รออ่านอยู่ค่ะ   :ruready
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP6 [Update 25-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-10-2018 21:49:48
สนุกมากกกก ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP6 [Update 25-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 25-10-2018 22:32:13
นายเก้วกร้าดเกินไปแล้วนะ​ สงสาร​เท็นอ่าาาา
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP6 [Update 25-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 30-10-2018 22:07:13


EP7…

     ความรู้สึกหนักตรงศีรษะที่กำลังก่อกวนการนอนหลับแสนสบายซ้ำยังค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  ชัดเจนเสียจนจำต้องสลัดการนอนทิ้งไปและลืมตาตื่นขึ้นอย่างเสียไม่ได้  ภาพแรกหลังจากปรับม่านตาจนชินกับแสงดูจะอยู่ในองศาที่ไม่ปกติอย่างที่ควรจะเป็นทำเอาเขางุนงงอยู่ชั่วครู่  ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวในที่สุดเมื่ออะไรบางอย่างที่เกยอยู่บนหัวเขาเริ่มขยับ  และนั่นทำให้เข้าใจได้ในที่สุดว่ากำลังนอนหนุนไหล่ใครบางคน
 
     แล้วไอ้ใครบางคนที่ว่า  มันจะเป็นใครไปไม่ได้อีกในเมื่อก่อนที่จะเผลอหลับไปเขานั่งข้าง.....ไอ้บ้าเท็น!!

     นายน์พยายามผละตัวออกจากไหล่ของอีกฝ่ายอย่างยากเย็นด้วยอารมตกใจระคนร้อนรนอยู่ในที  ทว่าหัวของไอ้คนตัวโตกว่าดันมาทับอยู่บนหัวของเขาอีกต่อเลยจำเป็นต้องผลักมันออกไปให้พ้นทางเสียก่อน  นายน์ออกแรงดันศีรษะหนักๆ นั้นอย่างเบาที่สุดเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาและรู้ว่าเขาเผลอหลับแถมยังไปซบไหล่เจ้าตัว  ขืนถ้ามันรู้มีหวังเขาโดนมันล้อสนุกปากไปอีกสามวันแปดวันแน่! 

     ทุลักทุเลอยู่นานกว่าจะผลักคนตัวหนักให้หลุดจากตัวเขาไปได้  นายน์รีบขยับหนีจนชิดริมหน้าต่างขณะที่อีกคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่องกำลังจะเอนมาซบเขาอีกครั้ง  และเพราะเขาหลบได้ทันเจ้าตัวเลยสัปหงกไปในอากาศอันว่างเปล่าจนเกือบจะหน้าทิ่ม  นายน์รีบหันหน้าเข้าหน้าต่างทันทีเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมตาขึ้นมาและเห็นว่าเขาเป็นคนทำ  รอฟังเสียงความเคลื่อนไหวอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของความผิดปกติใดๆ เขาจึงขยับตัวกลับมานั่งตัวตรงอย่างเนียนๆ อีกครั้ง  แอบชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่กำลังหลับคอพับคออ่อนไปอีกด้านแล้วก็พาลให้รู้สึกโล่งอก 

     ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังไหล่กว้างที่เขาคงจะเผลอซบตอนที่หลับไป  ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังไหล่อีกข้างที่มีสายเป้คล้องอยู่  และมือของคนที่กำลังหลับก็ยังกอดมันไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไป  แน่นอนว่ากระเป๋าเป้ที่เจ้าตัวกอดไว้เป็นของเขาเอง  นายน์มองเป้ที่เจ้าตัวกอดไว้แน่นสลับกับหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ  ชั่วขณะหนึ่งจู่ๆ เขาก็เกิดความสงสัยในเรื่องที่ไม่ควรขึ้นมาเสียดื้อๆ  ทว่าก็เพียงแค่เสี้ยวนาทีก่อนที่เขาจะสลัดคำถามบ้าๆ นั้นทิ้งไปแล้วกลับไปจับกล้องขึ้นมาถ่ายวิวนอกหน้าต่าง

     เสียงที่เงียบไปนานราวกับไม่มีความคลื่นไหวใดๆ จากคนตัวเล็กทำให้เขาค่อยๆ ลืมตาข้างขวาขึ้นสำรวจ  เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวกำลังกลับไปจดจ่อกับการถ่ายรูปอีกครั้งจึงได้ลืมเต็มสองตา  เท็นมองแผ่นหลังของคนที่คิดว่าเขายังคงหลับอยู่แล้วก็ได้แต่หลุดยิ้มออกมาเพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้หลับเลยแม้แต่วินาทีเดียว  เขารับรู้ทุกการเคลื่อนไหว





     พวกเรามาถึงจุดหมายแรกซึ่งก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควนั่นเอง  ถูกเรียกให้มารวมกลุ่มพร้อมกับฟังรุ่นพี่อธิบายเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปหามุมถ่ายรูป  ซึ่งเรามีเวลาแวะจุดนี้กันไม่นานนักเขาจึงเริ่มมองหามุมโปรดทันที  นายน์มองคนที่ยึดเป้เขาไปสะพายอย่างถาวรแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินแยกไปอีกทางพลางยกกล้องขึ้นมาจับภาพอยู่เป็นระยะ 
พอได้รับอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถหาได้ในชีวิตเมืองก็พาลให้รูสึกสดชื่นจนเผลอยิ้มออกมา  เขาหยุดและมองดูกลุ่มเพื่อนที่กระจายกันอยู่ตามมุมต่างๆ ของสะพานและบริเวณใกล้เคียง  ก่อนจะยกกล้องขึ้นมาจับภาพอีกครั้ง  นายน์พยายามจะจับภาพแม่น้ำให้ได้มุมที่คิดว่าชอบที่สุดพลางขยับเท้าหาตำแหน่งไปเรื่อยๆ  แต่เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวในวันหยุดแบบนี้ค่อนข้างหนาตา  บางครั้งก็จะมีคนเดินผ่านหน้ากล้องจนทำให้เขาต้องหยุดรอหรือเดินหามุมอื่นอยู่เป็นระยะ ทว่า…

     ตุ๊บ!

     เพราะมัวแต่มองหามุมจนไม่ได้มองทางเลยทำให้ก้าวพลาดจนเท้าเข้าไปขัดกับความเหลื่อมล้ำที่ไม่เสมอกันของพื้นสะพานทำให้เขาล้มลงก้นกระแทกพื้นเข้าจังเบ้อเร้ออย่างน่าอาย  ยังดีที่สายคล้องกล้องอยู่ที่คอไม่งั้นมีหวังได้หล่นลงพื้นไปแล้ว  นายน์พยายามรวบรวมกำลังเพื่อลุกขึ้นให้เร็วที่สุด  แต่แค่ขยับนิดเดียวความเจ็บตรงก้นและข้อเท้าก็แล่นปรื้ดเข้าเล่นงานจนเผลอร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     “โอ๊ยย!”  นายน์ทิ้งตัวลงแหมะกับพื้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้  ก่อนจะใช้มือยันพื้นแล้วหยัดตัวขึ้นอีกครั้ง  ทว่าความปวดแปร๊บก็ยังไม่ปราณีเขาเหมือนเคยจนต้องยอมแพ้และปล่อยให้ตัวเองนั่งจ่อมอยู่กับพื้นสะพานร้อนๆ อย่างอับจนหนทาง 

     “เจ็บตรงไหน!”

     เสียงนั้นดังขึ้นจากคนที่โผล่มานั่งยองๆ อยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ซ้ำสีหน้าเจ้าตัวยังดูเป็นกังวลแบบจริงจังเสียจนเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร  ได้แต่ปัดเศษฝุ่นที่ฝ่ามือตัวเองไปพลางพยายามมองหาหนทางจะพาตัวเองไปจากตรงนี้

     “ไม่ไหวแล้วยังจะฝืนอีก!  มึงนี่นะ!”

     “.........”

     “เท้าหรอ  หรือว่าเข่า” 

     เจ้าตัวถามพร้อมกับขยับมาตรงหน้าเขาแทน  ระหว่างนั้นพี่แก้วกับเพื่อนอีกหลายคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงและเพิ่งจะสังเกตเห็นเหตุการณ์ก็เริ่มจะมามุงดูเขา  บอกตามตรงว่าอายมากจนอยากจะกระโดนสะพานให้รู้แล้วรู้รอด!

     “น้องนายน์โอเคมั้ย  ...น้องนายน์เจ็บตรงไหนหรอน้องเท็น”

     “ยังไม่รู้เหมือนกันครับ  ...กูขอดูหน่อยนะ” 

     สิ้นคำขออนุญาตนั้นเจ้าตัวก็ยกเท้าข้างที่เขากุมไว้ไปวางลงบนตักอย่างไม่ทันให้เขาตั้งตัว  “เห้ยมึงจะทำอะไร!  ปล่อยกู!!”  ทำได้แค่ร้องโวยวายจนเสียงหลงพร้อมกับพยายามจะดึงเท้าตัวเองกลับมา  แต่ก็นั่นแหละ  ถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายล็อคเป็นตัวประกันไว้แล้วเรียบร้อย 

     “อย่าดิ้น  เดี๋ยวก็ยิ่งเจ็บหรอก”

     “กู...กูไม่เป็นไรแล้ว  ปล่อยดิวะ!”

     เหมือนว่าเสียงห้ามนั้นจะไม่ผ่านเข้าโสตประสาทอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย  เพราะไอ้บ้าเท็นกำลังถลกขากางเกงของเขาอยู่  และตามด้วยรองเท้ากับถุงเท้าที่กำลังจะโดนแบบเดียวกันในอีกไม่ช้า 

     “ปล่อยกู!”

     “น้องนายน์อย่าดิ้นสิ  ให้เท็นดูให้ก่อน  เผื่อมีแผลตรงไหนจะได้จัดการถูก”

     “แต่....”

     ยังไม่ทันจะได้ร้องประท้วงอะไรออกไปข้อเท้าเข้าก็ถูกสำรวจจากอีกฝ่าย  พลิกซ้ายตะแคงขวาดูแล้วดูอีกเสียจนเขากลัวใจว่าคนตรงหน้าจะสิงเข้าไปในเท้าของเขาอยู่รอมล่อ  เมื่อเจ้าตัวไม่เห็นความผิดปกติใดๆ ถึงได้ยอมปล่อยเท้าเขาลงกับพื้นอีกครั้ง
 
     “ไม่ถลอก  มีแค่ลอยแดงหน่อยๆ ตรงข้อเท้า”

     “……….”

     “เดี๋ยวกูจะช่วยพยุง  มึงลองยืนดูนะ”

     และก็เหมือนเดิมเขายังไม่ทันได้ตกปากรับคำใดๆ ไอ้บ้าเท็นก็เข้ามาหิวปีกเขาพาดบ่าเอาไว้เสียแล้ว  นายน์เกือบจะหลุดปากโวยวายออกไปอีกครั้งถ้าไม่ติดว่าหันไปเห็นสายตาของพี่แก้วและบรรดาเพื่อนอีกหลายคนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ล่ะก็นะ  ร่างเล็กยอมเก็บปากและปล่อยให้อีกคนพยุงให้ลุกขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

     “โอเค  มึงลองวางเท้าแล้วลงน้ำหนักเบาๆ ดูนะ” 

     นายน์ไม่ทำตามคำแนะนำนั้นในทันที  ดวงตาคู่สวยตวัดมองอย่างไม่ค่อยพอใจนักไปยังคนตัวสูงกว่าแต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจจะมองมาที่หน้าเขาเลย  เอาแต่ทำหน้าเครียดมองลงไปที่เท้าข้างที่เจ็บของเขาท่าเดียว  เห็นแบบนั้นเขาเลยหมดทางจะปฏิเสธหรือถ้าจะดันทุรังต่อไปก็มีแต่จะถูกพี่แก้วดุซ้ำเข้าให้อีกเปล่าๆ  นายน์ลองลงน้ำหนักที่ปลายเท้าเบาๆ  ผ่อนแรงเอาไว้กระทั่งวางเท้าลงพื้นจนเต็มฝ่าเท้าก่อนจะค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักลงไปทีละนิด

     “โอ๊ยยย!”

     “เท้าแพลงชัวร์เลย  สงสัยจะเดินไม่ไหวแล้วแหละพี่แก้ว”

     “เอาไงดี  อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปขึ้นรถไฟแล้ว  นายน์เดินไม่ไหวเลยใช่มั้ย”

     คิดสะระตะและประมวลจากความรู้สึกและความจะเป็นไปได้ในตอนนี้แล้วมีแต่คงต้องตอบไปตามตรงก็เท่านั้น  “ก็น่าจะไม่ไหวมั้งพี่แก้ว”

     “เอาไงดี”

     “นายน์ขอโทษนะ  ซุ่มซ่ามจนได้เรื่องเลย”

     “ไม่หรอก  มันเป็นอุบัติเหตุ  เดี๋ยวพี่ขอไปปรึกษาพี่ว่องก่อนนะ”

     “ไม่เป็นไรพี่แก้ว  เดี๋ยวผมดูนายน์เอง  พวกพี่ไปกันต่อเถอะ”

     “ยังไงล่ะน้องเท็น”

     “เดี๋ยวผมพานายน์ไปหาที่นั่งร่มๆ  แล้วเดี๋ยวค่อยคิดต่อว่าจะเอาไงดี  ไม่แน่อาจจะหารถกลับเลยครับ”

     “จะดีหรอ  พี่เป็นห่วงน่ะสิ  ให้พี่ตามไปด้วยดีกว่ามั้ย  เกิดมีอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยกัน  พี่เป็นห่วงกลัวผู้ปกครองน้องๆ เข้าใจผิดด้วย”

     “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมดูแลมันเอง  เดี๋ยวจะรายงานพี่แก้วกับพี่ว่องทุกๆ 10 นาทีเลย  อีกอย่างก็ใกล้เวลาต้องรวมตัวแล้วด้วย  เดี๋ยวคนอื่นจะหมดสนุกกันเปล่าๆ ครับ” 

     “เอางั้นหรอ”

     “ตามนี้แหละพี่  พี่ยังต้องดูน้องๆ อีกตั้งหลายคน  เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

     “งั้นก็...พี่ขอบอกพี่ว่องแป๊บนึงนะ  เท็นพาน้องนายน์ไปหาที่นั่งก่อนเถอะ  อยู่ตรงนี้มันอันตราย”

     “ได้ครับ  ได้เรื่องยังไงพี่แก้วโทรมาบอกผมด้วยนะ”

     “จ้ะ”

     นายน์ได้แต่มองสองคนที่ช่วยกันหาทางออกให้กับสถานการณ์ของเขาโดยไม่แม้แต่จะหันมาถามความคิดเห็นกันแม้แต่น้อยแล้วก็ได้แต่ร้องเห้ยในใจจนนับครั้งไม่ถ้วน  ยังไม่ทันจะตกลงกับตัวเองว่าควรต้องทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี  อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยแขนเขาให้เป็นอิสละและทรุดตัวนั่งยองๆ หันหลังให้กับเขา  นายน์มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ  ทว่าก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไปคนตรงหน้าก็หันกลับมาเอ่ยขึ้นเสียก่อน

     “มาดิ”

     “………..”

     “ถ้ามึงยังลังเลกูอุ้มนะ”

     “ก็เหี้ยละ!”

     “งั้นก็ขึ้นมาเร็วๆ  เกะกะชาวบ้านเค้าจะแย่”

      “..........”

     “เห็นปะเนี่ยคนมองกันใหญ่  มึงไม่อายแต่กูอายนะ”

     “………..”

     “กูเกรงใจนักท่องเที่ยว  เร็วดิ!”

     “อ…เออๆ  ก็ได้!!”  ตอบแบบขอไปทีก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงไปเกาะหลังอีกฝ่ายไว้อย่างจำใจและโคตรจะอาย  แต่จะให้เถียงกับมันอยู่ตรงนี้มีหวังได้อายหนักยิ่งกว่าเดิมเพราะคนอย่างไอ้เท็นไม่มีทางยอมลามือง่ายๆ แน่  นายน์ที่ไม่เคยขี่หลังใครมาก่อนแม้แต่ขี่หลังบรรดาเดอะแก๊งเล่นก็ไม่เคย  รู้สึกวางมือไม้ไม่ถูกเลยได้แต่เกาะเบาๆ บนไหล่กว้างนั้นโดยไม่แม้แต่จะวางน้ำหนัก(เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ใจ)  ทว่าทันทีที่คนตัวสูงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นโดยไม่บอกกล่าวทำเอาเขาเกือบจะหงายหลังจนเผลอคว้าหมับเข้าที่คออีกคนเอาไว้ด้วยอารามตกใจ

     “มึงแกล้งกูปะเนี่ย!”

     “ใครแกล้งใครกันแน่  มึงกำลังใช้แรงงานกูอยู่นะ”

     “งั้นก็วางกูลงเลย  กูจะเดินเอง!”

     “ขึ้นมาแล้วคิดหรอว่าจะให้ลงไปง่ายๆ”

     “ไอ้!”

     แล้วเขาก็ถูกมันแบกกลับไปยังสถานีรถไฟอย่างไม่มีทางเลือก  พอเจอที่นั่งว่างไอ้คนกวนประสาทก็ยอมวางเขาลงอย่างว่าง่าย  ก่อนจะลงไปนั่งยองๆ ตรงหน้าเขาอีกแล้ว  นายน์จ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะถือโอกาสมัดมือชกตอนสภาพเขาไม่สมประกอบทำอะไรอีกหรือเปล่า

     “กูว่ามึงเปลี่ยนใส่รองเท้าแตะดีกว่านะ  หรือไม่ก็ถอดรองเท้าไปเลย  ใส่ผ้าใบแบบนี้เผื่อมึงเจ็บตรงเท้าด้วยมันจะยิ่งบวม”

     พูดเสร็จเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา  นายน์รีบหลบสายตาที่ดูเคร่งเครียดและเป็นกังวลเสียยิ่งกว่าตัวเขาเองที่เป็นคนเจ็บเสียอีก  บอกตามตรงว่าไอ้เท็นเวอร์ชั่นนี้ทำเอาเขาไม่รู้ว่ารับมือยังไง  เลยได้แต่นั่งเงียบ

     “งั้นรอตรงนี้ก่อนนะ  กูจะไปเดินดูเผื่อมีร้านขายรองเท้า”

     “ไม่ต้อง!  นั่งพักซักเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”  เขาเอ่ยตอบกลับไปโดยไม่หันไปมองคนตรงหน้าอีก  ไม่อยากแม้แต่จะสบสายตาคู่นั้น  เพราะมันดูจริงใจจนเกินกว่าเขาจะรับมือได้  จะให้พูดกันตามตรงก็คืออีกฝ่ายดูห่วงใยเขาอย่างชัดเจน  ยอมแม้กระทั่งจับเท้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่นึกรังเกียจ  การกระทำเหล่านั้นเกินกว่าที่เขาจะยัดข้อหาหลอกตาเพื่อหวังจะก่อกวนให้มันได้จริงๆ  ความรู้สึกขัดแย้งกำลังปั่นป่วนเขาจนรู้สึกไม่เป็นตัวเอง  และเขาก็ไม่ชอบเลยที่รับมือกับอีกฝ่ายไม่ได้เลยแบบนี้ 

     “เดี้ยงแล้วก็อย่าดื้อได้มั้ย  อย่าลืมว่ากูเป็นนักกีฬากูรู้ดีว่ามันเป็นยังไง”

     “……….”

     “รออยู่นี่ก่อนนะ  ห้ามดื้อ  แล้วก็ห้ามลุกไปไหนเด็ดขาด  เข้าใจมั้ย”

     “……….”

     “นายน์!  เข้าใจมั้ย!”

     “เออ!!  เท้าเจ็บขนาดนี้มึงคิดว่ากูจะมีปัญญาเดินไปไหนได้อีกรึไงล่ะ!”

     “ก็ดี  แต่บอกให้รู้ไว้ก่อนเลยนะว่ากระเป๋ามึงอยู่กับกู  ถึงมึงอยากไปก็ไปไม่ได้หรอก”

      นายน์หันขวับกลับไปมองคนตัวสูงตรงหน้าทันที  รอยยิ้มยียวนบนใบหน้าของไอ้บ้าเท็นทำเอาความรู้สึกกระอักกระอ่วนจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอีกฝ่ายเมื่อครู่หายเข้ากลีบเมฆไปในบัดดล  ริมฝีปากสวยเม้มแน่นก่อนจะสบถออกไปอย่างเหลืออด  “กวนตีน!”

     “ยังด่าได้แปลว่าโอเค  เดี๋ยวกูมา”



 

     หายไปร่วมครึ่งชั่วโมงจนเขานึกว่าคงถูกอีกฝ่ายใช้ท่าทีหวังนี้นั้นเพื่อหลอกทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่คนเดียวเสียแล้ว  แต่ในที่สุดเจ้าตัวก็โผล่มาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด 

     “อะ  ดื่มน้ำรองท้องก่อน  กูซื้อของกินไว้ให้แล้วในรถ”

      “รถ?”  คนตัวเล็กไม่ยอมรับขวดน้ำตรงหน้าแต่กลับถามกลับด้วยใบหน้างุนงง

     “กูไปเช่ารถมา  ไม่อยากพามึงขึ้นรถไฟ  เพราะเดี๋ยวก็ต้องต่อรถอยู่ดี  อยากพามึงไปหาหมอก่อนด้วย”

     “.....เว่อร์ไปปะ”  ถึงจะต่อว่าออกไปแบบนั้นแต่เขากลับเอาแต่หลบสายตาอีกฝ่าย  ใจดีเกินเรื่องอีกแล้ว  นี่มันต้องการให้เขาติดหนี้บุญคุณหนักๆ แบบชดใช้ยังไงก็ไม่หมดเลยหรือยังไงกัน!  “เห้ยยย!”  มัวแต่จมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิดรู้ตัวอีกทีเท้าข้างที่เจ็บของเขาก็ถูกอีกฝ่ายยกไปวางแหมะลงบนตักของเจ้าตัวอีกแล้ว 

     “บวมขึ้นแบบนี้มึงยังว่ากูเวอร์อยู่มั้ยล่ะ”

     “..........”  นายน์ที่เอาแต่นั่งกังวลกลัวว่าจะถูกทิ้งให้นั่งเหวออยู่ที่สถาณีรถไฟ  กระเป๋าก็ไม่มี  เงินก็ไม่ได้เอาติดตัวไว้ซักแดงเลยไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของเท้าตัวเองเลย  พอลองมองดูก็เป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไม่มีผิด  แล้วก็พาลให้รู้สึกปวดตุบๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ถอดรองเท้าดีกว่านะ  ยังไงมึงก็ยังเดินไม่ได้อยู่แล้ว  ไม่เป็นไรหรอก” 
เจ้าตัวเอ่ยปุ๊บลงมือจัดการถอดรองเท้ากับถุงเท้าของเขาไปถือไว้เองเสร็จสรรพทันที  ก่อนจะขยับตัวหันหลังมาให้เขาอีกครั้ง  นายน์จ้องแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างชั่งใจ  เป็นความหนักใจเดิมที่กลับมากดดันเขาอีกครั้ง  แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพาตัวเองไปอยู่บนหลังอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือกอยู่ดี   






     นายน์ถูกพามาขึ้นรถยนต์สีดำที่จอดห่างจากตำแหน่งที่เขานั่งรอเมื่อครู่ไม่ไกลมากนัก  พอเข้าไปนั่งในรถอีกฝ่ายก็เอื้อมไปหยิบถุงก๊อบแก๊บบรรจุขนมและน้ำอีกหลากหลายยี่ห้อมาวางลงบนตักเขา  “กินรองท้องไปก่อนนะ  เดี๋ยวกูจะพามึงไปหาคลินิกแถวๆ นี้ดูก่อน  แล้วค่อนกลับกรุงเทพกัน”
   
      “แล้วรถล่ะ  ใครจะเอามาคืน  มึงเช่ามาไม่ใช่หรอ”

     “ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นหรอกน่า  กูจัดการเอง”

     “..........”

     หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก  แถมสีหน้าของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยก็เอาแต่เคร่งเครียดเสียจนเขาไม่กล้าชวนคุย  พอคิดมาถึงจุดที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองอยากชวนอีกฝ่ายคุยก็พาลให้รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอีกระรอก  นายน์เม้มปากแน่นบอกตัวเองในใจว่าเป็นเพราะเขารู้สึกติดค้างเลยไม่อยากทำให้บรรยากาศระหว่างนี้มันชวนอึดอัดจนเกินไปก็เท่านั้นแหละ 

     คิดได้ดังนั้นเลยเลือกที่จะหยิบแซนวิซแฮมชีสขึ้นมากินรองท้อง  ก่อนจะค้นหาน้ำในถุงแล้วก็พบว่าในนั้นมีแผงยาแก้ปวดอยู่ด้วย  นายน์เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งข้างกันด้วยความรู้สึกเกินความคาดหมาย  ถ้านี่คือความจริงใจของอีกฝ่ายมันก็ออกจะดีเกินจินตนาการของเขาไปไกลสักหน่อย  และเขาคงจะเผลอใจลอยมองอีกฝ่ายนานไปถึงได้โดนเจ้าตัวแขวะเข้าให้

     “กูหล่อขนาดนั้น?”

     “.....แหวะ!”  กว่าจะเข้าใจสถานการณ์รีแอคชั่นของเขาก็ดีเลย์ไปหลายวินาที  นายน์แกะยาแก้ปวดขึ้นใส่ปากแล้วตามด้วยน้ำ  ก่อนจะทิ้งตัวเอนไปกับเบาะแล้วปิดเปลือกตาลง  เขาไม่ได้ง่วงหรอกแค่ค่อนข้างทำตัวไม่ถูกที่ต้องอยู่กับคนที่เกลียดขี้หน้ากันแบบสองต่อสองต่างหาก 

     “ปวดมากหรอ”

     “.....ก็นิดนึง”

     “เดี๋ยวกูขอจอดรถแปร๊บนะ  จะเสิร์ชหาเผื่อมีคลินิกใกล้ๆ แถวนี้”

     “กลับบ้านเลยก็ได้นะ  กินยาไปแล้วเดี๋ยวคงดีขึ้น”

     “ไม่ได้หรอก  ขอพามึงไปให้หมอดูให้แน่ใจก่อน”

     “..........”

     “มึงนอนพักไปก่อนแล้วกัน  ถ้าหาเจอแล้วกูจะปลุก”

     “..........”

     “..........”

     “.....มึง”

     “ว่า?”

     “มึงเห็นฝนบ้างปะ  ตั้งแต่ตอนรวมกลุ่นกูก็ไม่เห็นเค้าอีกเลย”

     “ไม่รู้ดิ”

     “..........”  ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาก็เกิดนึกถึงฝนขึ้นมา  อาจเป็นเพราะฝนมักจะทำตัวติดกับเท็นอยู่ตลอดล่ะมั้ง  ก็น่าแปลกที่ตั้งแต่เกิดเรื่องเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าตัวอีกเลย  แถมตอนรวมกลุ่มฝนก็แยกไปยืนกับกลุ่มอื่นเสียไกล  ไม่ยอมมองมาที่เขาหรือกระทั่งไอ้เท็นเลยแม้แต่นิดเดียว

     “มึงชอบฝนหรอวะ”

     “หา?!”  คำถามนั้นทำให้เขาต้องหันกลับมามองคนที่อยู่หลังพวงมาลัยอีกครั้ง 

     “เห็นมึงมองหาเค้าตลอด”

     “ตลก!  มองหาตลอดแปลว่าต้องชอบรึไง  ตรรกะอะไรของมึง  อีกอย่างกูไม่ได้มองหาเค้าตลอดซะหน่อย”

     “ไม่รู้  ไม่ชอบก็แล้วไป  กูจะได้โล่งใจ”

     ประโยคนั้นสะกิดความคิดบางอย่างขึ้นในหัวและปากของเขาก็ไวเกินกว่าจะหยุดได้ทัน  “ถ้ามึงชอบเค้าล่ะก็  บอกเลยว่าสบายใจได้  ฝนไม่ได้ชอบกู  แล้วกูก็ไม่ได้ชอบเค้าด้วย”

     “มึงนี่ทั้งซื่อทั้งยึดติดเนอะ  กูว่าบางทีมึงน่าจะเกิดผิดยุค”

     “อะไรของมึง!”  ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่รู้สึกว่าพอเริ่มมีการถกเถียงเข้ามาก็ทำให้เขาต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้ลื่นไหลขึ้น
 
     “มึงยังคิดว่าที่กูทำเพราะอยากแกล้งมึงอยู่...กูพูดถูกมั้ยล่ะ”

     “..........”  พอโดนจี้จุดเข้าอย่างจังติดจะออกแนวขวานผ่าซากแสกกลางหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ  ในเมื่อไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรเขาก็เลือกวิธีเงียบเข้าสู้อีกครั้ง 

     “ช่างเถอะ!  ถ้ามึงไม่เหนื่อยที่โดนกูตามจีบแบบนี้กูก็โอเค”

     “..........” 

     “รู้ไว้แค่ว่ากูจีบมึงอยู่ก็พอ”

     “.........”  สิ้นคำนั้นเขาเลือกที่จะเก็บปากและทิ้งตัวนอนตะแคงข้างหนีอีกฝ่ายทันที  จู่ๆ หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นโครมครามขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งเนื้อตั้งตัว  เลยทำได้แค่นอนเงียบๆ และพยายามข่มสติให้นิ่งไว้  อย่าเผลอไปเชื่ออะไรก็ตามที่อาจจะถูกอีกฝ่ายจงใจปั่น  ทว่ายิ่งข่มตัวเองไม่ให้ไหวไปตามคำพูดนั้นเท่าไหร่อีกเศษเสี้ยวในความรู้สึกกลับกำลังประท้วงเล็กๆ ไม่ยอมหยุด

     แล้วถ้ามันจริงล่ะ!

      เขาสะบัดหัวเพื่อไล่เสียงเล็กๆ ที่น่ารำคาญใจนั้นให้หลุดออกไปเสียทีก่อนจะพยายามข่มตัวเองให้หลับ  เผื่อว่าตื่นขึ้นมาแล้วอะไรๆ มันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ 







     “จอดตรงนี้แหละ”  นายน์ร้องบอกเมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวมาจนถึงประตูบ้านสีน้ำเงินที่แสนคุ้นตา  อันที่จริงเขาหลับมาแทบจะตลอดทาง  ไม่นับที่ถูกปลุกตอนไปถึงคลินิกแห่งหนึ่งในตัวเมืองกาญฯ  หลังจากได้รับการตรวจเช็คและพันผ้ายืดเพื่อซัพพอร์ตเอาไว้  ได้ยาติดมือมานิดหน่อย  พอกลับขึ้นรถมาเขาก็หลับยาวจนกระทั่งถูกอีกฝ่ายปลุกเพื่อให้บอกทางนี่แหละ

     นายน์ปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยก่อนทำท่าจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเป้ที่เบาะหลังแต่ถูกอีกฝ่ายชิงหยิบไปเสียก่อน  คิ้วเรียวขมวดมุ่นทันทีเพราะนึกว่าจะถูกอีกฝ่ายป่วนอะไรเข้าให้อีกแล้ว  แต่ผิดถนัดเมื่อคนหลังพวงมาลัยส่งเป้คืนให้เขาแต่โดยดี

     “ตอนนอนอย่าลืมเอาหมอนรองเท้าให้สูงจากพื้นด้วยล่ะ”

     “อืม”

     “ให้ลงไปส่งมั้ย”

     “ไม่!  กูมีไม้เท้า”  เขาซื้อไม้เท้ามาจากร้านขายยาข้างๆ คลินิกนั่นแหละ  เพราะยังไงช่วงนี้ก็คงต้องพึ่งมันไปก่อนซักระยะ  รอให้ขาหายบวมแล้วทุกอย่างก็คงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ 

      “นายน์!”

     เสียงนั้นดังขึ้นหลังจากเขาพยายามหมุนตัวและวางเท้าลงกับพื้นถนนได้สำเร็จ  นายน์ชั่งใจอยู่กับตัวเองชั่วครู่  ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปโดยไม่หันหลังกลับ  “อะไร”

     “กูพูดจริงนะ”

     “..........”

     “ถึงเมื่อก่อนอาจจะเป็นแค่การแกล้งกันก็จริง  แต่มันคนละเรื่องกับตอนนี้”

     “..........”

     “มึงไม่ต้องคิดเรื่องตอบรับความรู้สึกกูเลยก็ได้  ขอแค่เข้าใจว่าที่กูทำไปเพราะกูชอบมึงจริงๆ แค่นั้นก็พอ”

     “..........”

     “ได้มั้ยวะ”

     “..........” 
 




********************************************************************




Talk :: มาเร็วผิดปกติเพราะเคลียร์งานเสร็จเร็ว ฮิฮิ
          ฝากให้กำลังใจเราโต้ยเน้อ  อยากแต่งให้จบ ฮ่าๆๆ


หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP7 [Update 30-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 31-10-2018 08:33:25
ขอบคุณค่ะ  ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP7 [Update 30-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: _tosssalad ที่ 31-10-2018 10:59:10
 o13 o13 ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP7 [Update 30-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 09-11-2018 20:34:26
EP8…





     นายน์นอนก่ายหน้าผากถอนหายใจเฮือกเป็นครั้งที่ร้อยของวัน  ในหัวยังคงมีเรื่องเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ หมุนวนอยู่อย่างนั้นราวกับแผ่นเสียงตกร่อง  ยิ่งพยายามไม่นึกถึงคำพูดของใครบางคนก่อนที่เขาจะลงรถเมื่อวานเท่าไหร่  มันกลับยิ่งติดหนึบอยู่ในหัวและรังแต่จะแทรกเข้ามาในความคิดทุกครั้งที่มีโอกาส 

     ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงหยุดคิดถึงคำพูดเหล่านั้นไม่ได้เสียที  ทั้งๆ ที่มันโคตรจะเป็นเรื่องไร้สาระและชวนให้หงุดหงิด  แล้วรู้ไหมสิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นคืออะไร  ก็พอเกิดเรื่องแบบนี้เขากลับไม่ได้โมโหที่ถูกอีกฝ่ายเข้ามาป่วนหนักเสียยิ่งกว่าเมื่อก่อนน่ะสิ  เคยไหมเวลาโกรธกับเพื่อนสมัยเด็ก(ถึงมันจะไม่ใช่เพื่อนเขาก็เถอะ)ไม่ว่าเรื่องจะขี้ปะติ๋วสักแค่ไหนก็ดูโคตรจะใหญ่เลยในตอนนั้น  แต่พอลองมองย้อนกลับไปกลับรู้สึกว่ามันงี่เง่าสิ้นดี  นั่นแหละคือสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้  สรุปง่ายๆ เลยก็คือเขากำลังเอาเรื่องเก่า  เรื่องใหม่  และเรื่องที่ยังไม่เกิดมายำรวมกันแล้วก็เอาแต่คิดฟุ้งซ่านไม่ยอมหยุด  บ้าบอชะมัด! 
 
     วันนี้เขาไม่ได้ไปเรียนเพราะดันเผลอซุ่มซ่ามพาขาข้างที่เจ็บไปวัดกับขอบตู้เสื้อผ้าเข้าให้  เล่นเอาเท้าบวมเป่งขึ้นมาอีกรอบแถมยังปวดตุบๆ จนต้องนอนเดี้ยงอยู่บนเตียงแบบนี้  พาลให้แม่ต้องหยุดงานเพื่อคอยมาดูแลเขาไปอีก  คนจะซวยช่วยไม่ได้จริงๆ  และนั่นยิ่งทำให้เขาว่างจัดจนปล่อยให้ความฟุ้งซ่านเข้าครอบงำอยู่แบบนี้

     “โอ้ยยยยย!”

     พอยิ่งพยายามหยุดกลับกลายเป็นยิ่งเลยเถิด  สุดท้ายเลยต้องตะโกนออกมาให้หายอึดอัด  เขาเคยเจอเรื่องบ้าบอมาพอสมควร  แต่การต้องมาถูกเรื่องของคนที่ไม่ชอบขี้หน้าก่อกวนจนเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้บอกเลยว่าเป็นอะไรที่รับมือได้ยากจริงๆ  อยากจะระบายหรือถามใครสักคนว่าเขาควรจัดการกับมันยังไง  แต่จะโทรไปปรึกษาไอ้เคนก็ไม่ได้  เกิดมันรู้ว่าเขาดันเผลอไปคิดเรื่องไอ้หน้าหล่อนั่นมีหวังได้โดนล้อยันลูกบวชน่ะสิ  ยิ่งชอบเข้าข้างกันอยู่ด้วย
   
     นอนมองเพดาลพลางหายใจทิ้งอยู่บนเตียงต่อไปอย่างไม่มีอะไรให้ทำ  จู่ๆ เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  มือเล็กรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างกระตือรือร้นเพราะเขากำลังเบื่อได้ที่  หน้าจอโชว์หลาเป็นข้อความแจ้งเตือนค่าบริการรายเดือนโทรศัพท์ถูกตัดผ่านบัตรเครดิตแล้วเรียบร้อย  อุตส่าห์นึกว่าจะมีเรื่องให้ทำแก้เซ็งเสียอีก  แต่ไหนๆ หยิบขึ้นมาแล้วก็ท่องโลกโซเชียลให้หายเบื่อเสียหน่อยแล้วกัน  เดี๋ยวนี้เค้าไม่ใช่เด็กหลังเขาแล้วนะ  แอพไหนที่เขาฮิตๆ กันนี่สมัครไว้หมดแล้วนะ  ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าไปอัพเดทอะไรก็เถอะ  นานๆ ครั้งจะย่องเข้าไปดูเพื่อนๆ คุยนั่นคุยนี่แล้วก็แจกไลค์บ้าง  ลงรูปที่ตัวเองถ่ายเล่นเก็บไว้ดูเองบ้าง 

     ทว่า!  ตัวเลขในวงกลมสีแดงเล็กๆ ตรงหัวมุมบนขวาของแอพเฟสบุ๊คก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วฉับ  เขาปิดแจ้งเตือนเอาไว้เพราะรำคาญเวลาเพื่อนเม้นต์คุยกัน  อีกอย่างนานๆ ทีถึงจะมีอะไรเชื่อมโยงมาถึงเขาบ้าง  ยอดแจ้งเตือนอย่างมากก็แค่หลักสิบ  แต่นี่ปาเข้าไปหลายร้อย  เกิดอะไรขึ้นกับเฟสบุ๊คของเขากันเนี่ย  หรือระบบมันเกิดเอ๋อรันเลขแจ้งเตือนผิดวะ!

     ไวเท่าความคิดนายน์รีบเปิดเข้าไปเช็คทันทีจึงได้เห็นว่ามีทั้งคนกดไลค์  คอมเมนต์อีกมากมาย  และบรรดาคนไม่รู้จักที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนมาอีกเป็นพรวน  ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยต้องกดเข้าไปสำรวจหน้าไทม์ไลน์ของตัวเองไปพลางพยายามทบทวนว่าเขาเผลอไปโพสต์อะไรแปลกๆ ไว้หรือเปล่า  และทันทีที่เลื่อนลงไปที่โพสต์ล่าสุดเท่านั้นแหละ   

     “เหี้ย!!

     เล็กร้องลั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  มือไม้อ่อนจนเกือบจะทำโทรศัพท์หล่นใส่หน้าตัวเอง  ก่อนจะผุดลุกขึ้นมานั่งหน้าตื่น  ตัวการที่ทำให้แจ้งเตือนของเขาแทบแตกมาจากเพจของชมรมนี่เอง!  คงเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมที่ทางชมรมจะลงภาพประมวลกิจกรรมที่ได้ทำไปเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ผลงานไปด้วยในตัว 

     แต่!!  มันต้องไม่ใช่ภาพแบบนี้สิ!! 

     นายน์ยังคงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น  คำถามคือแล้วใครเป็นคนถ่ายเอาไว้  แล้วรูปมีตั้งมากมายทำไมถึงได้เลือกรูปนี้มาลง  แถมยังแท็กเขากับไอ้บ้านั่นเพื่อเป็นการชี้เป้าให้ชาวโลกไปอีก
 
     โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย!!

     ไอ้รูปเจ้าปัญหาที่กำลังทำให้คนตัวเล็กตกใจจนขวัญหนีดีฟ่ออยู่ตอนนี้คือรูปที่เขากำลังหลับพลางซบไหล่คนที่คุณก็รู้ว่าใครพร้อมกับที่อีกฝ่ายก็กำลังหลับและซบอยู่บนหัวเขาเช่นกัน  แม้จะไม่มีคำบรรยายใต้ภาพแต่อย่างใด  แต่บอกได้เลยว่ายอดคอมเมนต์กับยอดไลค์พุ่งรัวๆ อย่างกับถ้ากดไลค์กดแชร์แล้วจะได้ของแจกฟรีอะไรเทือกนั้น  แม้ว่าเขาจะทั้งอึ้งทั้งเคืองทั้งสับสนแต่เพราะความอยากรู้ที่อยู่เหนือทุกสิ่งทำให้นายน์ไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้กดเข้าไปดูบรรดาคอมเมนต์เหล่านั้นได้

    ‘งานดีย์มากเว่อร์’

    ‘กดติดตามแบบไม่ต้องคิด  นัลลั้คคคคคคอ่ะ’

      ‘เกร้ดดดดดดด คู่จิ้นในตำนานของช้านนน’ 

     ‘มีภาพอื่นของสองคนนี้อีกมั้ยคะ  ขอหน่อยค่ะ  พลีสสสส’

     ‘พี่โรงเรียนเก่าเราเอง  จีบกันมาตั้งแสมัยมัธยมแล้ว  โอ๊ยยยยยฟิน’

     ‘ในรูปมีน้ำตาลซ่อนอยู่  ฮรืออออออเขิลจัง’

     ‘น้องเท็นหล่อมากกก  ขนาดหลับยังหล่อเลยอ่ะ’

     ‘พี่นายน์พี่เท็น  โอ้ยยยยยยนิพพานแล้ว’

     ‘คนไหนชื่อเท็นคน  คนไหนชื่อนายน์อ่ะ??  ใครก็ได้บอกบุญที’

     ‘ได้ยินข่าววงในบอกมาว่าพี่เท็นตามไปเรียนที่เดียวกับพี่นายน์  ไม่คิดว่าจะจริง  โอ้ยยยยขนาดนี้แล้ว แฟนมะ’

     ‘โลกเอียงทั้งคู่เลย  หวานอะไรเบอร์นั้นนนนนนน’

     ‘พี่เท็นสุดยอด  จีบมาราธอนมาตั้งนาน  ยอมใจเลยอ่ะ  หนูอยากได้ผู้ชายแบบนี้อ่ะค่ะแม่!’

     ‘พี่นายน์คนตะมุตะมิของน้องงงงงงง  ไม่เห็นหน้าตั้งนาน  น่ารักขึ้นเป็นกองเลย’

     ‘โอ้ยยยยหล่อน่ารักเหมาะกันเวอร์’

     ‘พี่เค้าเล่นไอจีกันมั้ย  ขอเวาร์ปหน่อยค่า’

     ‘พวกเค้าเป็นใครอ่ะ  เป็นแฟนกันจริงมั้ย’

     ‘โอ้ยยยยยยยย  ชั้นจะจิ้นคู่นี้’

      ‘เค้าไม่ได้เพิ่งมาหวานกันนะคะ  มีโมเมนต์มาตั้งนานแล้ว  ไม่เชื่อลองเข้าไปดูในเพจ ‘9TO10-4EVER ชมรมคนรัก1990’ ได้เลย  ฝากกดไลค์เพจให้เราด้วยเด้อ  งานขายของก็มา  อิอิ’

     และอีกมากมายเกินกว่าที่เขาจะทำใจอ่านได้หมด  รู้สึกเหมือนภาพเหตุการณ์ในอดีตกำลังย้อนกลับมาอย่างไรอย่างนั้น  นายน์ทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างตัวอย่างหมดแรง  นึกว่าจะหนีเรื่องพวกนี้พ้นแล้วเสียอีก  ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้  ฮืออออออ!
ขณะที่เขากำลังตกใจจนเบลอไปหมดจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกระรอก  นายน์หยิบมันขึ้นมาอย่างหวาดระแวง  ทว่ากลับเป็นข้อความจากไลน์และคนที่ส่งมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน  ไอ้เคนเพื่อนยากผู้หูไวตาไวเสียยิ่งกว่าสัปปะรดนั่นเอง

      ‘คืออะไร!!!’

     ‘มึงไปญาติดีกับมันตอนไหน’

     ‘ทำไมมีอะไรอัพเดทแล้วไม่ยอมบอกเพื่อนวะ  มึงแม่ง’

      ‘เหลามาด่วนเลยมึง’

      ‘ถ้ามึงไม่ยอมเล่ากูจะบุกบ้านมึง’

      ‘ไอ้นายน์!!!’

     ‘พูดมาเดี๋ยวนี้  พูดดดดด!’

     ก่อนหน้าข้อความอันยาวเหยียดของไอ้เพื่อนรักมันส่งรูปที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อกี้มาย้ำให้ประสาทกินเล่นๆ  ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะไวเชียวนะเอ็ง!  นายน์มองคำถามที่ยาวเป็นหางว่าวแล้วพาลให้รู้สึกมึนหนักยิ่งกว่าเก่าเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามไหนก่อนดีเลยได้แค่ส่งสลิ๊กเกอร์กระต่ายโคนี่นอนเดี้ยงวิญญาณออกจากร่างไปให้มันแทน

    ‘ไม่ต้องมาแกล้งตาย  บอกกูมาว่ามึงกับไอ้เท็นไปตกล่องปล่องชิ้นกันตอนไหน’

     “ตกล่องโอโต้ซังมึงสิ”

     ‘กูยอมให้มึงด่าได้ตามใจชอบวันนึง  แต่มึงต้องเล่ามาให้ละเอียด  เข้าใจ๊’

     “ไม่!!!   กูไม่มีอารมณ์คุยกับมึงตอนนี้”

    ‘อย่ามาแถ  จะเล่าดีๆ หรือจะเล่าทั้งน้ำตา’

     “เคน  กูพูดจริงนะ  พร้อมเมื่อไหร่กูจะเล่าให้มึงฟังละกัน”

    ‘งั้นมึงอธิบายมาแบบรวดรัดได้ใจความด่วนๆ  ถ้ามึงไม่บอกวันนี้กูนอนไม่หลับแน่’

     นายน์กรอกตาให้กับความขี้เผือกของไอ้เพื่อนบ้าก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปแบบส่งๆ  “กูก็แค่หลับแล้วดันไปซบไหล่มัน  เพราะมันดันมานั่งข้างกู  จบ”

    ‘อย่ามาสตอกับเพื่อน  ไม่เนียน!’

     ‘คนอย่างมึงไม่มีทางยอมให้มันเข้าใกล้เกิน5พันเมตร  ไอ้นายน์!!’

     นั่นไง!  ไหนมึงบอกขอแบบรวดรัดได้ใจความไงเคน  พอกูบอกแล้วมึงยอมเชื่อที่ไหน!! 

     นายน์กลอกตาอย่างเอือมระอาอีกครั้ง  ก่อนจะกดล็อคโทรศัพท์แล้วโยนมันไปยังปลายเตียงราวกับเป็นของร้อน  ทิ้งตัวลงนอนก่ายหน้าผากท่าเดิมพลางปล่อยให้ความคิดทั้งหลายรุมทึ้งได้ตามอัธยาศัย  สารภาพเลยว่าต่อให้คิดให้ตายยังไงก็คงหาทางออกดีๆ ให้ตัวเองไม่ได้หรอก  ก็เรื่องเก่ายังคิดไม่ตกเรื่องใหม่ก็กระโจนเข้าใส่แบบนี้ใครมันจะไปตั้งรับได้ทัน  สงสัยชีวิตมหาลัยของเขาคงจะลงเอยอิหรอบเดียวกับตอนมัธยมเสียแล้วล่ะมั้ง

     เห้ออออ! 






                           **************************************************************



     “มาถึงนี่ทั้งทีจะไม่กินจริงๆ หรอน้องนายน์”

     “ยังไม่หิวเลยอ่ะพี่แก้ว”

     “โอเค  ไม่หิวก็ไม่หิว  งั้นกินนี่ลองท้องไปก่อนนะ  พี่เอามาเผื่อ”

     พี่แก้วว่าพลางเลื่อนถ้วยเจลลี่มาให้เขาแทน  “ขอบคุณครับ”  ขานรับแบบขอไปทีแล้วก็แอบชะโงกมองออกไปยังทางเข้าร้านอีกหน  เขาไม่ได้กำลังรอใครอยู่หรอก  กลับกันกำลังลุ้นว่าคนที่ไม่อยากเจอจะโผล่มาเมื่อไหร่ต่างหาก 

     นายน์สับเจลลี่ในถ้วยจนเละตุ้มเป๊ะแต่ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะตักมันเข้าปากเสียที  จะให้กินอะไรลงได้ยังไง  ในเมื่ออุตส่าห์หลบหน้าคนที่คุณก็รู้ว่าใครมาได้ทั้งอาทิตย์แต่ดันมาตกม้าตายเพราะโดนพี่แก้วลากมาปาร์ตี้หมูกระทะของชมรมจนได้เนี่ยแหละ  แน่นอนว่าเส้นใหญ่อย่างไอ้เท็นคงจะมีนกรู้คาบข่าวไปบอกอยู่แล้วว่าเขามาด้วย  เผลอๆ มันอาจจะรู้ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าจะถูกอ้อนวอนแกลมบังคับให้มาที่นี่เสียด้วยซ้ำ 
 
     “น้องเท็น!  ทางนี้ๆๆ” 

     น่านไง!! 

     บอกแล้วว่าต้องมีนกรู้คอยแจ้งข่าว  และนกรู้ตัวนั้นเผลอๆ ก็พี่แก้วที่กำลังโบกไม้โบกมือเรียกคนมาใหม่อยู่ข้างๆ เขานี่แหละ  อยากจะบ้าตาย!

     “นั่งๆ อะนี่พี่เตรียมอาวุธไว้เผื่อละ  จัดการโซ้ดได้เลย”
 
     ไม่ผิดตัวเป็นแน่แท้เมื่อพี่แก้วผู้น่ารักยอมเสียสละที่นั่งข้างเขาให้คนมาใหม่อย่างเต็มอกเต็มใจ  พร้อมจัดแจงย้ายบรรดาถ้วยชามทั้งหลายในการจกหมูกระทะติดมือไปด้วยเสร็จสรรพ  ร่างเล็กถึงกับต้องรีบเสมองไปทางอื่นทันทีราวกับไม่ได้รับรู้ถึงการมาของอีกคน  ก็เตรียมใจมาแล้วว่าต้องเจอ  แต่พอเจอเข้าจริงๆ ก็ยังทำตัวไม่ถูกอยู่ดีไม่รู้ทำไม  อันที่จริงควรเป็นมันหรือเปล่าที่ต้องทำตัวไม่ถูก  แล้วไหงกลายเป็นเขาที่ต้องมาปั้นหน้าไม่เป็นอยู่แบบนี้!

     บรรยากาศโดยรอบดำเนินไปอย่างปกติ  ทุกคนล้วนคุยเล่นกันไปกินไป  บ้างก็ลุกไปตักของมาเพิ่ม  บ้างก็พักยกด้วยการหยิบผลไม้มากิน  ไม่มีใครพูดถึงรูปที่แท็กมา  ไม่มีใครถามถึงบรรดาคอมเมนต์ล้านแปดที่โดนถล่มอยู่ใต้รูปนั้น  ไม่มีคนเอ่ยแซว  ไม่มีอะไรเลยสักอย่างที่เขาเอาแต่จิตนาการและสยองไปเอง  ทุกคนล้วนตั้งหน้าตั้งตากินและพูดคุยกันอย่างออกรส  และหนึ่งในบรรดาผู้คนที่ปฏิบัติตัวตามธรรมเนียมโคตรจะปกติของคนกินหมูกระทะก็คือไอ้เท็นที่นั่งอยู่ข้างเขานี่แหละ  ตั้งแต่มามันยังไม่หันมาทักเขาเลยสักคำด้วยซ้ำ 

     ก็ดี!  จะได้...

     “ไม่กินอะไรหน่อยหรอวะ”

     ยังนึกในใจไม่ทันขาดคำมันก็ดันหันมาพูดกับเขาเสียอย่างนั้น  ทำเอาคนที่กำลังเหม่อได้ที่ถึงกับสะดุ้ง  นายน์เผลอมองอีกฝ่ายอย่างงงๆ  ก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ

     “เอาน้ำแข็งใสมั้ย  เดี๋ยวกูไปเอาให้”

     คำถามโคตรจะทั่วไปแต่ส่งผลกับจังหวะหัวใจเขาโดยตรงทำเอานายน์ปั้นหน้าไม่ถูกอีกระรอก  เขาคว้าแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาดื่มแก้เก้อก่อนตอบ  “ไม่อ่ะ  อิ่มแล้ว”

     “อิ่มทิพย์หรอ  กูยังไม่เห็นมึงแตะอะไรซักคำ”

     “เรื่องของกู”

     “งั้นเดี๋ยวกูเอาผลไม้มาเผื่อแล้วกัน  ชอบกินอะไร”

     “ก็บอกว่าอิ่มไง  ไม่ต้อง”

     “แตงโมละกัน  เด็กๆ ชอบกินแตงโม”

     “ใครเด็ก!”  ไอ้คนกวนประสาทไม่ยอมตอบเอาแต่ยิ้มกริ่มแถมยังยักคิ้วส่งมาให้อีก  “มึง...” 

     “เท็น  ฝนขอคุยด้วยหน่อยสิ”

     เสียงที่ดังขึ้นขัดจากด้านหลังเรียกให้เขาหันไปมอง  และรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงคือใคร  เขารู้ว่าฝนก็มาด้วย  แล้วก็รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจงใจเลือกที่นั่งให้ห่างจากเขา  ไม่รู้ว่าทำไม  ตั้งแต่กลับจากทริปนั้นฝนก็ดูเปลี่ยนไปมาก  เขาทักก็ไม่ยอมตอบ  ตอนแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายไม่ทันเห็นหรือไม่ได้ยิน  แต่พอเป็นอิหรอบเดิมเข้าครั้งที่สามถึงได้มั่นใจว่าถูกอีกฝ่ายเมินเข้าให้จริงๆ

     “ได้สิ”

     “ไปคุยตรงโน้นได้มั้ย”

     “...โอเค”

     นายน์ไม่รู้ว่าทั้งสองคนหายไปคุยกันที่ไหนเพราะเขาไม่กล้าหันไปมอง  เลยได้แต่นั่งมองเพื่อนๆ พี่ๆ ร่วมโต๊ะที่กำลังมองตามทั้งสองคนไปพลางซุบซิบกันอย่างออกรส  ในหัวของเขาเผลอคิดไปว่ามันอาจจะมีเรื่องของเขาปะปนอยู่ในการสนทนาของทั้งสองคนบ้างหรือเปล่า




   

     เท็นเดินตามอีกฝ่ายมาจนกระทั่งมาหยุดอยู่มุมหนึ่งเยื้องจากหน้าร้านเล็กน้อย  เป็นมุมที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่านมากนัก  ทว่ายืนเงียบๆ กันอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าที่ฝนจะยอมเอ่ยปากเสียที 

     “ฝน”  เท็นตัดสินใจเรียกออกไปเพราะดูท่าว่าถ้าปล่อยไปอย่างนี้คนตรงหน้าเขาก็คงจะเอาแต่เหม่อต่อไปเรื่อยๆ
 
     “โทษที  .....คือ  หลายวันมานี้ฝนรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่”

     “..........”

     “ยิ่งหลังจากเมื่อวานที่เราไปทานข้าวด้วยกัน  ฝนก็เอาแต่หยุดคิดเรื่องเท็นไม่ได้”

     “..........”  ร่างสูงหยุดยิ้มมุมปากทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น  ไม่ใช่ว่าเพราะเขาเห็นด้วยหรือรู้สึกร่วมไปกับอีกฝ่าย  เขาก็แค่ยิ้มให้กับเหตุผลที่ตัวเองยอมออกไปเจอทั้งที่เป็นการโทรมาชวนแบบกะทันหัน  นั่นก็เพราะเขาอยากจะเคลียร์อะไรบางอย่าง  แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำต่างหาก

     เมื่อวานหลังจากหมดคลาสเขาก็นั่งเล่นเรื่อยเปื่อยกับกลุ่มเพื่อนแล้วจู่ๆ ฝนก็โทรมา  เจ้าตัวบอกว่าวันนี้รถเสียต้องนั่งแท็กซี่กลับเอง  แต่ยังไม่อยากกลับก็เลยอยากหาเพื่อนทานข้าว  เหตุผลยืดยาวนั้นเขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่  แต่ที่ยอมออกไปเจอก็เพราะเขาเพิ่งรู้จากเฟิร์น(เพื่อนร่วมห้องของนายน์สมัยมัธยมที่คอยส่งของส่งข่าวให้เขานั่นแหละ)ว่าฝนทักไอจีเฟิร์นไปเพื่อถามเรื่องของเขา  คงเพราะเห็นว่าเฟิร์นมักจะลงรูปลึกลับแต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นเขา(รูปที่ถ่ายให้เห็นแค่ไหล่บ้าง  เห็นเสี้ยวหน้าบ้างอะไรเทือกๆ นั้น)บ่อยๆ ล่ะมั้ง  แถมเขายังกดติดตามเฟิร์นอยู่ด้วยก็เลยยิ่งน่าสงสัย  และถึงแม้ว่าเฟิร์นจะเป็นเพื่อนร่วมห้องของนายน์  แต่สำหรับเขาแล้วเฟิร์นถือเป็นเพื่อนสนิทคนนึงเลยด้วยซ้ำ  ความสนิทนั้นถึงขั้นทำให้เฟิร์นเคยถูกเม้าว่าเป็นตัวจริงของของมาแล้ว  และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝนทักไปตะล่อมถามข้อมูลเอาจากเฟิร์น 

     เขาเข้าใจกระทำเหล่านั้นของอีกฝ่าย  คนเราเวลาตกหลุมรักใครสักคนก็มักจะเป็นแบบนี้  เขาเข้าใจดี  ถ้าไม่บังเอิญว่ามีบางคำถามที่เลยเถิดไปถึงนายน์ด้วยล่ะนะ  แถมยังเป็นคำถามที่ออกจะไม่ให้เกียรติกันอยู่สักหน่อย  เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยแฮปปี้  เลยยอมออกไปเจอเพราะอยากรู้ว่าฝนกำลังพยายามทำอะไรก็แค่นั้น 

     แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะตีค่าการกระทำของเขาไปอีกแบบสินะ!   

     “ฝนไม่รู้นะว่าเท็นคิดยังไง  แต่สำหรับฝน  ฝนรู้สึกว่าเราสองคนมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน...”

      “..........”

      “เท็นก็พอจะดูออกใช่มั้ย...ว่าฝนรู้สึกยังไงกับเท็น”

      “…..ก็  พอรู้”

     “เท็นมีคนที่ชอบหรือยัง”

     “..........”

     “มันจะเป็นไปได้มั้ยที่เราจะลองศึกษากันดู” 

      “..........”

     “ถ้าเท็น...”

     “อันที่จริงเรามีคนที่ชอบแล้ว”

     “……….”

     “อีกอย่าง  เราคิดกับฝนแค่เพื่อนจริงๆ”  สีหน้าและท่าทางที่ดูไม่ค่อยมั่นใจเป็นทุนเดิมของอีกฝ่ายเจื่อนลงทันตา  แววตาคู่นั้นฉายความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน  แต่ในเมื่อกล้าถามออกมาตรงๆ เขาก็คิดว่าการบอกความจริงคือทางเลือกที่ดีที่สุด 

    “..........”

     “..........”
 
     ฝนยังคงเอาแต่เงียบราวกับจมลงไปให้ห้วงความคิดของตัวเอง  ส่วนเขาก็ทำได้เพียงแค่รอว่าเธอยังมีอะไรอยากจะเคลียร์กับเขาอีกหรือเปล่า  ใจจริงเขาอยากถามเรื่องที่ฝนถามเฟิร์นเกี่ยวกับนายน์  แต่ในเมื่อออกมาอิหรอบนี้เขาก็ไม่ใจร้ายพอจะไปทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีไปกว่านี้   
 
     “บอกไดมั้ยว่าใคร”

     หลังจากเงียบอยู่นาน  อีกฝ่ายก็ยอมเหสายตากลับมาที่เขาอีกครั้งพร้อมกับคำถามนั้น  เท็นไม่ตอบในทันที  เขาเม้นปากอย่างใช้ความคิดก่อนเอ่ยด้วยความลำบากใจอยู่ในที  “ขอโทษนะ  ยังบอกไม่ได้  เพราะคนที่เราชอบเค้าไม่ค่อยเต็มใจให้ชอบเท่าไหร่”

     “.....งั้นหรอ”

     “..........”

     “.....พูดตรงๆ แบบนี้ก็ดี  เราจะได้ไม่เสียเวลา”

     “ขอโทษนะ”





                                    *************************************************




หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP7 [Update 30-10-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 09-11-2018 20:35:18


      *ต่อ*




    นายน์มองหารถคันสีขาวตามตำแหน่งที่อีกคนไลน์มาบอกอยู่ชั่วครู่  ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเมื่อเจอในที่สุด  เขาเคาะกระจกฝั่งตรงข้ามคนขับเบาๆ ก่อนบานกระจกจะเลื่อนลง  ร่างเล็กส่งยิ้มให้กับคนที่ไม่ได้คุยกันนานอย่างเป็นมิตร  ทว่าอีกฝ่ายทำเพียงเอ่ยตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     “ขึ้นมาก่อนสิ”

     “เอ่อ...คุยตรงนี้เลยได้มั้ย  พอดีเรามีธุระต่อน่ะ” 

     “เราหิวน่ะ  ทานข้าวไปคุยกันไปดีกว่านะ  รบกวนนายน์ไม่นานหรอก”

     นายน์หลุบตาอย่างชั่งใจเพราะจากท่าทีของฝนดูเหมือนคนไม่สบอารมณ์อยู่พอสมควร  ทว่าเขาก็ยอมเข้าไปนั่งในรถตามที่อีกฝ่ายต้องการในที่สุด 

     อันที่จริงตอนแรกที่ฝนไลน์มานัดเจอเขาก็แอบชั่งใจอยู่ว่าควรตอบรับดีไหม  เพราะตั้งแต่วันนั้นเราก็แทบจะไม่ได้คุยกันอีกเลย  แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องการจะคุยเขาก็ปฏิเสธไม่ลง  อีกอย่างเขาก็อยากจะถามเจ้าตัวเหมือนกันว่าทำไมถึงมีท่าทีเปลี่ยนไป(ถ้าโอกาสอำนวย)  เผื่อว่าการคุยกันครั้งนี้อาจทำให้ไม่ต้องรู้สึกอัดเวลาที่ต้องเจอหน้ากัน

     ทว่า!  ขับผ่านร้านอาหารแถวหน้ามหาฯลัยมาได้สักระยะ  แต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าจะแวะร้านไหนเลย  แถมตั้งแต่เขาขึ้นรถมาอีกฝ่ายก็เอาแต่เงียบจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากถาม  กระทั่งห่างออกมาจากมหาฯลัยได้ไกลพอสมควรเขาจึงทนเงียบต่อไปอีกไม่ไหว

     “เอ่อ  ฝนมีอะไรจะคุยกับเราหรอ  แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกัน”  ถึงจะถามออกไปอย่างนั้น  แต่ความจริงเขาคิดว่าเขารู้  ฝนคงไม่ได้มาเพื่อจะคุยเรื่องของเขาหรอก  ก็คงเป็นเรื่องของไอ้เท็นอีกตามเคยนั่นแหละ  ทว่าถามไปแล้วอีกฝ่ายกลับเอาแต่เงียบ
และความเงียบนั้นกินเวลานานกว่าที่คิดจนแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัด  นายน์มองออกไปนอกหน้าต่างเพราะเส้นทางที่อีกคนมุ่งไปดูจะไม่ใช่สถานที่ที่ใกล้เคียงกับอะไรที่เขานึกออก  พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่รู้ว่าฝนกำลังจะพาเขาไปไหน

     “ฝน...”

     “..........”

     “ตกลงว่าฝนกำลังจะทำอะไรกันแน่”

     “..........”

     ยิ่งขับออกนอกเส้นทางไปไกลเท่าไหร่  เขาก็ยิ่งรู้สึกตระหนกขึ้นเท่านั้น  แถมวันศุกร์ยังเป็นวันที่เขามีตารางเรียนยาวที่สุดในสัปดาห์บวกกับที่อีกฝ่ายพาขับฝ่าการจราจรออกมาไกลขนาดนี้จึงกินเวลาไปอีกมากโข  ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นมืดลงเรื่อยๆ  ไม่ต่างจากบรรยากาศภายในรถที่ทั้งตึงเครียดและชวนให้อึดอัดจนพาลให้รู้สึกใจคอไม่ดี 

     นายน์รีบกดเข้าโปรแกรมไลน์  คนสุดท้ายที่เขาทิ้งข้อความไว้ให้ก็คือผู้เป็นแม่  เขาไลน์ไปบอกก่อนจะออกมาเจอฝนว่าวันนี้จะกลับค่ำไม่ต้องรอทานข้าว  ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะบอกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้แม่รู้ดีไหม  คิดสะระตะกับตัวเองก่อนจะเปลี่ยนใจกดเข้าแชทกลุ่มของเดอะแก๊งแทน  กำลังจะทิ้งข้อความขอความช่วยเหลือไปทว่าจู่ๆ คนที่เอาแต่เงียบอยู่หลังพวงมาลัยมาร่วมชั่วโมงก็ยอมเอ่ยปากเสียที 

      “ทำไมไม่บอกเราตั้งแต่แรก!”

      “...........”  ประโยคที่อีกฝ่ายโพล่งออกมาอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกทำให้เขางงหนักยิ่งกว่าเก่า  นายน์ทำได้แค่หันไปมองอีกฝ่ายเพื่อรอฟังว่าเจ้าตัวต้องการจะสื่ออะไรกับเขากันแน่  ทว่าใบหน้านั้นก็ยังคงเฉยชาไม่บ่งบอกถึงห้วงอารมณ์ใดๆ 
   
      “เราอุตส่าห์ไว้ใจบอกเรื่องนี้กับนายน์เป็นคนแรกด้วยซ้ำ”

      “..........”
 
      “แล้วดูสิ่งที่นายน์ทำกับเรา!”

      “...........”

      “หรือจงใจให้เราหน้าแตก  จะได้เอาไปหัวเราะเยาะกับคนอื่นสินะ”

      “..........”

      “สะใจมากงั้นสิ!”

      “ฝนพูดเรื่องอะไร  เราไม่เข้าใจ” 

      “ก่อนจะโกหกอะไรก็หัดทำให้มันเนียนซะบ้าง  เราไม่ได้โง่!”

      “เราไม่เคยโกหกอะไรฝนเลยนะ”

       “เหรอ!  รวมถึงเรื่องที่เท็นมีคนที่ชอบอยู่แล้ว  แล้วนายน์ก็รู้ดีที่สุด  เพราะว่านายน์ก็ชอบเท็นเหมือนกัน  ด้วยรึเปล่าล่ะ!”
 
       “ไปกันใหญ่แล้ว!  ฝนไปเอามาจากไหน!”

      “มีคนเตือนเราหลายคนเรื่องที่เท็นอาจจะเป็นเกย์  แต่เราไม่เชื่อ  ถ้าบอกว่านายน์เป็นยังน่าเชื่อกว่า”

      “ฝน!!”

      “คิดว่าเราไม่เห็นหรอ!  เวลาเรากับเท็นคุยกัน  นานย์ทำหน้าซังกะตายใส่เราตลอด  จริงๆ ก็ไม่ชอบเราตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย!”

      “เราว่าเอาไว้ให้ฝนอารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า  จอดให้เราลงเถอะ!”

      “ดีแต่ทำตัวเรียกร้องความสนใจ  บอกตามตรงว่าเวลาอยู่กับนายน์มันโคตรน่ารำคาญ  ถามคำตอบคำอยู่ได้  เป็นคนน่าเบื่อมากรู้ตัวปะ!” 

      “..........” 

       ประโยคนั้นราวกับกระชากความทรงจำเดิมตอนที่เขาอยู่ม.5 ให้ย้อนกลับมาพาลให้รู้สึกเจ็บยอกในอก  เขาเคยคบกับผู้หญิงที่เรียนพิเศษด้วยกัน  เธอชื่อนาว  เป็นผู้หญิงยิ้มเก่งอัธยาศัยดีมากคนหนึ่ง  เขามักจะเผลอมองเธอทุกครั้งที่ทำได้  รู้ตัวอีกทีเขาก็ชอบนาวไปแล้ว  เราคุยกันได้ประมาณ 3 เดือน  จนวันหนึ่งหลังเลิกเรียนนาวก็มาขอเลิกกับเขาโดยให้เหตุฝนว่า  ‘เขานิ่งเกินไป  แถมยังน่าเบื่อ  อยู่ด้วยแล้วอึดอัด’  แล้วหลังจากนั้นนาวก็ไม่มาเรียนอีกเลย
   
       แต่การที่ฝนมาตัดสินเขาอย่างไม่มีมูลแบบนี้  แถมยังไม่ยอมฟังที่เขาอธิบายอะไรเลยมันออกจะใจร้ายไปหน่อยไหม  นายน์จ้องมองใบหน้าของคนที่เขาเคยคิดว่ารู้จัก  แต่ตอนนี้กลับรู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่กับคนแปลกหน้า  เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปรู้อะไรหรือไปฟังใครพูดมา  แต่ฝนในเวลานี้ดูน่ากลัวและเดาใจไม่ได้เลยสักนิด   

      รถยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย  ภายใต้แรงกดดันชวนอึดอัดเพราะเจ้าของรถดูมีท่าทีไม่พอใจหนักยิ่งกว่าเก่า  เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ  รถทั้งคันตกอยู่ภายใต้ความเงียบ  เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นรัวด้วยหวาดหวั่น  เพราะหลังจากที่ฝนพลั่งพรูเรื่องที่เขาไม่เข้าใจออกมาแล้วก็ไม่ยอมปริปากอีกเลย  ซ้ำยังเอาแต่ขับรถด้วยความเร็วสูงเสียจนเขารู้สึกเกร็งไปหมด  วิวข้างทางค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ ซ้ำยังไม่คุ้นตาพาลให้ร้อนรนจนแทบจะนั่งไม่ติด  นายน์ละสายตาจากข้างทาง  พยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติและไม่ตื่นตระหนกก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน

      “มึง!  กูอยู่บนรถกับฝน  เค้าพากูขับออกมานอกเมือง  กูไม่รู้ว่าเค้ากำลังจะไปไหน  ทำไงดีวะ!”

      กดส่องไปแล้วก็รอดูว่าจะมีใครอ่านหรือว่าตอบอะไรกลับมาหรือไม่แต่ก็ยังว่างเปล่า  เขาเลยตัดสินใจกดโทรออกเบอร์ของไอ้เคนก่อนเป็นคนแรก  รอสัญญาณดังต่อเนื่องอยู่นานก็ไม่มีคนกดรับเสียที

      “ทำไม  กลัวเราขนาดนั้นเลยเหรอ”

      “..........”

      “ปอดแหกกว่าที่คิดอีกนะ!”

      “..........” 

      “คิดว่าเราโง่ขนาดจะทำร้ายตัวเองด้วยเรื่องสิ้นคิดเพราะนายน์น่ะหรอ  สำคัญตัวเองเกินไปรึเปล่า!”

      “.........” 

      นายน์ไม่ตอบโต้ใดๆ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าฝนในตอนนี้มีแต่ใช้อารมณ์  ต่อให้เขาพูดความจริงหรือเอาเหตุผลเข้าสู้อีกฝ่ายก็คงไม่รับฟังอยู่ดี  มือเล็กกดเปลี่ยนจากเบอร์ของเคนเป็นเบอร์ของซ้งแทน  แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม  เหลือตัวช่วยสุดท้ายคือไอ้เกมส์  เขากดเลือกเบอร์เพื่อนสนิทอีกคนอย่างไม่รอช้าเพราะโทรศัพท์มือถือของเขาแบตใกล้จะหมดเต็มที  อย่างน้อยขอให้ได้บอกใครสักคนให้รู้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์นี้ไว้ก่อนก็ยังดี  นายน์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางบอกให้แม่รู้เรื่องนี้เป็นอันขาด  เขาไม่อยากทำให้แม่ตกใจ  และก็อย่างที่ฝนพูด  เจ้าตัวคงไม่ทำเรื่องร้ายแรงอะไรให้มีผลเสียไปถึงตัวเองหรอก  แต่แค่ที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็มากพอจะทำให้เขาคิดไม่ตกแล้วว่าควรจะหาทางออกให้ตัวเองอย่างไรดี   

      หายหัวไปอยู่ไหนกันหมดวะ! 

      สบถในใจพลางกดตัดสายหลังจากสัญญาณดังอยู่นานก่อนจะเข้าระบบฝากข้อความ  เป็นอันให้ความหวังสุดท้ายของเขาหายลับไปอีกครั้ง  ดวงตาคู่สวยมองข้างทางอย่างเลื่อนลอย   จากวิวที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องทว่าตอนนี้บรรดาตึกเหล่านั้นค่อยๆ ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ  บ่งบอกว่าเราออกมานอกเมืองไกลมากแค่ไหน  เขาสลัดความกังวลทิ้งไปแล้วดึงตัวเองกลับมาอีกครั้ง  มองไปบนท้องถนนเพื่อพยายามจดจำจุดสังเกตต่างๆ และดูว่าพอจะมีแท็กซี่ผ่านมาบ้างไหม  ทว่ายิ่งอีกฝ่ายขับออกไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกลจากความหวังของเขามากขึ้นเท่านั้น 

      ร่างเล็กถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก  มองเปอร์เซ็นแบตฯบนหน้าจอโทรศัพท์ก็ยิ่งพาลให้ใจเสีย  และก่อนที่อะไรจะสายเกิดไปเขารีบกดเข้าไปยังรายชื่อที่บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของใครบางคน  แถมยังเคยบล็อกไลน์เอาไว้เมื่อนานมาแล้วและเขาก็ใจร้อนเกิดกว่าจะไปเสียเวลาค้นหาเลยเลือกที่กดส่งSMSไปให้แทน

      “นี่กูนายน์นะ  ตอนนี้กูอยู่กับฝน  เขากำลังขับรถพากูไปไหนไม่รู้  มึงช่วย...

      กดพิพม์แล้วก็ลบออกอย่างชั่งใจ  เพราะรู้สึกว่ามันออกจะตรงประเด็นเกินไปหน่อย  แต่เขาไม่มีเวลากลั่นกรองถ้อยคำมากนักจึงเริ่มพิมพ์อีกครั้ง 

     ‘’นี่กูเอง  กูอยู่กับฝน  ฝนกำลังพากูขับรถไปไหนไม่รู้”

      นายน์สลัดความคิดเล็กคิดน้อยทิ้งแล้วกดส่งไปทันที  ทั้งทีได้เบอร์อีกฝ่ายมาเพื่อจะบันทึกเอาไว้เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายเกิดโทรมาเขาจะได้รู้ว่าเป็นใครแล้วก็จะได้ไม่ต้องรับ  ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเสียเอง  แถมยังเป็นการขอความช่วยเหลือไปเสียฉิบ

     ‘มึงอยู่ไหน’

      รอเพียงไม่นานเสียงข้อความเข้าก็ทำเอาเขาสะดุ้ง  นายน์รีบพิมพ์ตอบกลับไปอีกครั้ง  หัวใจของเขาพองโตขึ้นเรากับต้นไม้ขาดน้ำที่ได้รับการช่วยเหลือในที่สุด  “กูไม่รู้  แต่เหมือนจะออกมานอกเมือง”

      ‘มึงมีไลน์กูใช่มั้ย  ส่งโลเคชั่นมา  คุยในนั้นสะดวกกว่า’

      “โอเค”

      เขารีบทำตามที่อีกฝ่ายบอกทันทีก่อนที่แบต20เปอร์เซ็นของเขาจะลาโลกไปเสียก่อน  แต่ติดตรงที่รถยังคงวิ่งไม่หยุดอยู่แบบนี้  อีกฝ่ายจะหาเขาเจอไหมนี่สิ




      นายน์มองออกไปนอกรถด้วยความกระวนกระวายที่พยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย  นับตั้งแต่ฝนพาเขาเลี้ยวเข้าข้างทางและวิ่งต่อไปบนถนนรกร้างราวสิบนาทีเขายังไม่เห็นบ้านคนเลยสักหลัง  ตลอดสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ขึ้นห่างๆ แถมยังมืดสนิทพาลให้หัวใจของเขาหล่นวูบ  และในที่สุดสิ่งที่อยากให้มันเกิดขึ้นก็มาถึงเสียที  ฝนยอมหยุดรถในที่สุด  ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย

      “ลงไปสิ”

       “.....ทำแบบนี้ทำไม”

      “ลงไป”

      เสียงแข็งๆ นั้นบอกชัดเจนว่าฝนไม่เปลี่ยนใจแน่  ดวงตาคู่สวยที่ถูกความหวั่นใจกัดกินมองใบหน้าด้านของของอีกฝ่ายอย่างเข้าใจในที่สุด  จากสิ่งที่ฝนพูด  บอกชัดเจนว่าฝนมองเขาเป็นเพื่อนที่ไม่ดีไปแล้ว  ไม่สิ  ฝนไม่ได้มองเขาเป็นเพื่อนเลยด้วยซ้ำ  และนี่คือการเอาคืนอย่างไม่ต้องสงสัย  นายน์ยอมเปิดประตูรถลงไปอย่างจำยอม  และทันทีที่เขาปิดประตูลงอีกฝ่ายก็ออกรถไปอย่างไม่รอแม้แต่วินาทีเดียว

      ร่างเล็กทำได้เพียงมองแสงไฟท้ายรถถอยห่างออกไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งลับสายตา  ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเขาเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืด  พลันความกลัวก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา  เขากดดูหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง  และมันยังคงนิ่งสนิทนับตั้งแต่ส่งโลเคชั่นครั้งสุดท้ายไปให้อีกคน  บางทีเขาอาจจะถูกปล่อยทิ้งไว้ที่นี่โดยไมมีใครสนใจเลยก็ได้  ความคิดในแง่ร้ายและความกลัวเกาะกินเสียจนเกือบจะเผลอร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ  เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง  พยายามไม่ให้ความหวั่นกลัวเกาะกินเสียจนสติหลุดไปมากกว่านี้ 

      คิดได้ดังนั้นสองเท้าของเขาก็ออกเดินไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย  ความตั้งใจของเขาคือเดินออกไปปากทางก่อนที่ฝนจะพาเลี้ยวเข้ามา  เพราะอย่างน้อยก็ยังมีแสงสว่างและรถขับผ่านบ้าง 

      เขาสาวเท้าอย่างเร่งรีบร่วมสิบนาทีกว่าจะพาตัวเองมาถึงถนนใหญ่  เดินเท้าต่อไปยังไหล่ทางที่มีเสาไฟฟ้าทิ้งห่างแต่ยังพอให้ความสว่างได้บ้าง  เขาเดินไม่หยุดจนกระทั่งมองเห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีแสงสว่างและตึกคล้ายๆ ว่าอาจจะเป็นโรงงานหรือสำนักงานอะไรสักอย่างอยู่ห่างออกไป  สาวเท้าเดินต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะหยุดลงยังเสาไฟฟ้าริมฟุดบาท  ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นอย่างคนหมดแรงและหิวจนแสบไส้  ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ออกมาแล้วกดส่งโลเคชั่นไปให้อีกครั้งด้วยความหวังสุดท้ายพร้อมกับข้อความที่บอกว่าฝนทิ้งเขาเอาไว้แล้วจากไปแล้ว  ตอนนี้เหลือแค่เขาคนเดียว  นายน์ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องถนนแล้วก็จมหายเข้าไปในความคิด

   ติ๊ง!

     เสียงนั้นดึงเขาออกจากภวังค์แล้วรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาสำรวจอีกครั้ง

      ‘รอหน่อยนะ  กูกำลังหามึงอยู่’

       ‘ถ่ายรูปตรงที่มึงอยู่มาให้หน่อย’

      เขามองข้อความเหล่านั้นแล้วจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เริ่มพล่าเลือน  รู้สึกถึงความแสบร้อยของโพลงจมูกขึ้นมาเสียดื้อๆ  บอกไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหน  รู้แต่เพียงว่าตอนนี้มือของเขาสั่นเทาจนแทบจะควบคุมไม่อยู่  เขากดเลือกกล้องแล้วรีบถ่ายส่งไปให้อีกฝ่ายแม้ว่าโทรศัพท์จะร้องเตือนว่าในไม้ช้าเครื่องของเขาก็คงจะดับลงในที่สุด 

     ‘โอเค’

      ’อย่าไปไหนนะ  กูกำลังไป’

      นิ้วเรียวตั้งใจจะพิมพ์ตอบกลับไปทว่าโทรศัพท์เจ้ากรรมดันมาเดี้ยงไปเสียก่อน  หน้าจอที่ดับวูบไม่ต่างความหวังลิบหลี่ของเขาที่พากันเหือดแห้งลงไปไม่ต่างกัน  นายน์เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง  ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่รื้นขึ้นมาทั้งที่ไม่ต้องการทิ้งไป  จ้องมองไปยังท้องถนนข้างหน้า  ในใจหวังอยากให้อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้เลย  เพราะเขาในตอนนี้ทั้งหิวทั้งกลัวทั้งสับสนไปหมด  ในหนึ่งเขาอยากจะเดินต่อเผื่อว่าจะเจอใครให้ขอความช่วยเหลือ  หรือโชคดีกว่านั้นอาจจะเจอปั๊มน้ำมัน  แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าเขาเดินไปจากตรงนี้แล้วถ้าอีกฝ่ายมาก็อาจจะคลาดกัน  สุดท้ายเลยทำได้เพียงนั่งข่มตัวเองไม่ให้ตื่นกลัวและมองไปยังถนนตรงหน้าอย่างมีความหวัง




                                      **************************************************
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP8 [Update 09-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 10-11-2018 00:59:26
สนุกดี 1 นายน์ เท็น 1990  คิดได้ไง ชอบๆ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP8 [Update 09-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 10-11-2018 04:45:56
ฝนน่ากลัวมากกกก
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP8 [Update 09-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2018 20:22:58
 o22

น่ากลัวนะฝน คิดเองเออเองอีก
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP8 [Update 09-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 11-11-2018 07:34:03
ฝนแย่มากที่ทำแบบนี้ รู้จักนายน์ยังไม่ดีพอเลย มีสิทธิ์อะไรไปว่าเขาแบบนั้น ไหนจะการกระทำนี้อีกถึงเท็นจะชอบนายน์ แต่ตอนโดนปฏิเสธก็รู้แล้วหนิว่านายน์ไม่ได้อยากให้ชอบ แล้วฝนมีสิทธิ์อะไรมาทำกับเท็นแบบนี้ แจ้งความงี้ต้องแจ้งความ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP8 [Update 09-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 11-11-2018 11:33:52
เกินไปอ่ะแบบนี้ พาไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้ได้ไง อย่างนี้ควรจะเอาเรื่องฝนไม่ควรปล่อยอ่ะ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP8 [Update 09-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 14-11-2018 10:54:09


EP9… 



     ร่างเล็กนั่งรอต่อไปอย่างเลื่อนลอย  แม้ว่าสายตาจะอ่อนล้าแค่ไหนแต่เขาก็หยุดมองไปยังท้องถนนไม่ได้อยู่ดี  ความเงียบบวกกับความมืดที่รายล้อมรอบกายทำให้ความคิดด้านลบมักจะผุดขึ้นมาในหัวทุกเมื่อที่มีโอกาส  ถ้าคนที่จะมารับเกิดเปลี่ยนใจล่ะ  ถ้าต้องนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้าล่ะ  แล้วถ้าเกิดมีคนไม่ดีผ่านมาเจอเข้าจะทำยังไง  ความหวาดกลัวเหล่านั้นแทรกเช้ามาอย่างง่ายด้วยเพราะเขากำลังอยู่ในสภาวะอ่อนแอ  แต่อีกใจหนึ่งกลับต่อต้านว่าอย่างไรเท็นก็ต้องมา 

     เขายังอยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องทำอย่างที่บอก  เพราะมันคือความหวังสุดท้ายของเขา

    นายน์จมจ่อมอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้  ทว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น  ซ้ำความอ่อนล้าที่กำลังรุมเร้าทำให้เขาฝืนลืมตาต่อไปไม่ไหว  นายน์ต้องคอยสะบัดหัวไล่ความง่วงระคนอ่อนเพลียทิ้งไปอยู่เป็นระยะ  ไม่อย่างนั้นมีหวังเขาคงได้หลับไปทั้งอย่างนี้แน่   

     ทันใดนั้นเองรถยนต์คันหนึ่งก็มาหยุดลงตรงหน้า  เขาเงยหน้าขึ้นมองทันทีด้วยอารามตกใจ  เขาชั่งใจว่าควรจะดีใจหรือว่าควรจะเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะได้ไหวตัวทันดี  ร่างเล็กหยัดมือไว้กับพื้นเตรียมจะพยุงตัวลุกขึ้น  ทว่าจะกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับก็ค่อยๆ ลดลงเผยให้เห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเสียก่อน 

     “กูเอง”

     “..........”  เขาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว  ได้แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอยู่อย่างนั้นราวกับถูกสายตาคู่นั้นตรึงเอาไว้ 

     “มึงโอเคมั้ย”

     “..........”  ไม่รู้ทำไม  เพียงแค่คำถามแสนธรรมดานั้นกลับทำให้น้ำตาเกิดรื้นขึ้นมาเสียดื้อๆ  นายน์เม้มริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองพลางกลืนก้อนสะอื้น  หลับตาลงเพื่อไล่ความอ่อนแอทิ้งไป  ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก  ความหิวและความอ่อนล้าทำให้เขาอ่อนไหวง่ายกว่าปกติจริงๆ

     ปัง!

     ทันทีที่พาตัวเองเข้ามาภายในรถเขาก็ทิ้งตัวลงกับเบาะนั่งอย่างอ่อนแรง  ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะดึงเข็มขัดมาคาด  และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นถึงได้เอ่ยขอโทษแผ่วเบาก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วจัดการคาดเข็มขัดให้เขา  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและใกล้เสียจนเขาทำได้เพียงสะดุ้งน้อยๆ พลันเสสายตาไปทางอื่นเท่านั้น 

     “น้ำมั้ย  ขอโทษนะบนรถกูไม่มีอะไรให้มึงกินรองท้องเลย  หิวรึเปล่า”

     ความเป็นจริงคือเขาหิวจนเบลอไปหมด  แต่สิ่งที่ทำกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง  นายน์เลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธ  นั่นเป็นเพราะเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำอะไรทั้งนั้น  อีกอย่างน้ำเสียงที่ดูห่วงใยของอีกฝ่ายกำลังก่อกวนให้เขารู้สึกปั่นป่วนจนไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตา   

     “ขอโทษที่ให้รอนาน”

     นายน์ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังหันกลับไปออกรถอีกครั้ง  ก่อนจะทำทีเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพล่า  “ก็ยังดีกว่าไม่มา” 

     “อยากเล่ามั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”

     “..........”

     “ฝนพามึงมาทิ้ง  กูพูดถูกมั้ย”

     “รู้ได้ไง”

     “…เดา”

     “..........”

     “เป็นเพราะกูรึเปล่า”

     “……….”

     “ขอโทษนะ”

     “……….”

     “…กูคิดมาตลอดทางว่าถ้าหามึงไม่เจอจะทำยังไง  ขอโทษที่ทำให้มึงเดือนร้อน”

     “..........”

     “กูไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้”

    “……….”

     “ถ้าฝนพูดอะไรแย่ๆ กับมึง  ไม่ต้องเก็บมาคิดหรอกนะ  เขาก็แค่...ผิดหวังล่ะมั้ง”

     “..........”

     “โทษที  กูปลอบใจใครไม่ได้เรื่อง”

     “.....รู้ตัวนี่”

     “……….”

     “แล้วมึงจะเอายังไงต่อ”

     “ไม่รู้เหมือนกัน”

     “แต่กูว่าฝนทำเกินไป  ถ้าเกิดกูหามึงไม่เจอจะเกิดอะไรขึ้น”

     “……….”

     “โอเค  เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง  มึงคงจะเหนื่อย  นอนพักไปก่อน  ถึงบ้านแล้วกูจะปลุก”

     “อืม” 

     ตลอดการสนทนานายน์เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร  การต้องมาอยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสองด้วยสถานการณ์แบบนี้เป็นอะไรที่เขาไม่สามารถจินตนาการถึงเลยจริงๆ  ไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรจะต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ  แน่นอนว่าเขาสามารถเอาฝนเรื่องได้  และฝนคงจะได้รับบทเรียนราคาแพงไม่น้อยหากเขาตัดสินใจทำแบบนั้น  แต่ตอนนี้หัวสมองและร่างกายที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงของเขามันด้านชาไปหมด  ซ้ำความห่วงใยของอีกคนก็รังแต่จะทำให้เขาอ่อนแอลงทุกที 

     ไม่รู้ทำไม…     





     เครื่องยนต์ถูกดับและจอดลงที่หน้าบ้านของเขาในเวลาที่บรรยากาศโดยรอบทั้งเงียบและมืดสนิท  มีเพียงไฟฟ้าข้างทางเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่าง  ร่างเล็กมองไปยังตัวบ้าน  ที่ชั้นล่างถูกเปิดไฟสว่างโล่ทิ้งไว้เป็นอันเข้าใจได้ว่าแม่เปิดไว้รอเขา  เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขากลับบ้านดึก  ก่อนจะหันไปหาคนขับเป็นครั้งแรก  และเจ้าตัวก็กำลังมองมาที่เขาอยู่เช่นกัน  นายน์พยายามไม่หลบสายตาคู่นั้น  ทว่าสุดท้ายก็พ่ายแพ้และเสมองไปทางอื่นอีกจนได้  ในใจอยากเอ่ยขอบคุณและขอโทษที่รบกวนออกไปตรงๆ  แต่ติดที่ปากหนักๆ มันไม่ยอมทำให้ง่ายอย่างใจคิดสักที

     “ดึกแล้ว  มึงไปพักผ่อนเถอะ”

     เสียงนั้นเรียกให้เขาหันกลับไปสนใจคนพูดอีกครั้ง  ทว่าครั้งนี้เท็นไม่ได้มองมาที่เขาเหมือนอย่างเคย  เจ้าตัวกำลังมองไปยังทางข้างหน้าราวกับรู้ว่าเขารู้สึกอึดอัด  ทำให้เขาสามารถมองอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องคอยหลบสายตาและก็ทำให้เขาเห็นว่าเจ้าตัวมีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด 

     “ขอโทษ”

     “เรื่อง?”

     “ที่จู่ๆ ก็โทรไปกวน”

     “ไม่เป็นไร  เต็มใจให้กวน  กูสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษมึง”

     “..........”

    “ดีแล้วที่มึงโทรมา  กูคิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีใครไปรับมึงจะเป็นยังไง”

     “..........”

     “ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินเหมือนวันนี้อีกมึงห้ามลังเลนะ  โทรหากูได้ตลอด”

     “เป็นหน่วยกู้ภัยหรอ”  ดูเหมือนว่าประโยคนั้นจะเรียกร้อยยิ้มเล็กๆ ที่เขาไม่ได้เห็นมันเลยนับตั้งแต่เจอหน้ากันวันนี้  สีหน้าของเจ้าของรถดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย  ทว่าก็เพียงเสี้ยวนาทีก่อนที่จะกลับเข้าสภาวะเคร่งขรึมอีกครั้ง

     “หน่วยกู้ภัยก็ต้องรับเรื่องทุกคนดิ  แต่ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่ทำให้หรอก”

     “..........”

     ปกติแค่คำพูดอย่างเดียวก็ทำให้เขาปั้นหน้าไม่ถูกอยู่แล้วนี่เล่นหันมาจ้องกันเต็มๆ แบบไม่ทันให้ตั้งตัวยิ่งพาลให้เขาทำตัวไม่ถูก  นายน์เม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะทำราวกับไม่ได้ยินที่เจ้าตัวพูดเมื่อครู่แล้วหันกลับไปมองที่บ้านอีกครั้ง  ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนถูกหมัดหนักๆ เสยเข้าปลายคาง  และมันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาที่อีกฝ่ายพูดอะไรตรงไปตรงมาจนรับมือได้ยาก  เขาไม่รู้ว่าควรต้องตอบโต้กลับไปอย่างไร   

     “จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องฉุกเฉินก็ได้  มึงโทรหากูได้ทุกเมื่อที่มึงต้องการ...รู้ใช่มั้ย”

     “..........”  นายน์เลือกที่จะพยักหน้าโดยไม่หันไปมอง  แต่ก็รับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่กำลังมองมาอยู่ตลอด  และเขาเดาว่าสายตาคู่นั้นก็คงจะเต็มไปด้วยความจริงจังเหมือนเช่นทุกครั้ง

     “เข้าบ้านเถอะ”

     “.....ก่อนหน้าที่กูจะโทรไป  มึงทำอะไรอยู่”  กลั้นใจเอ่ยออกไปแล้วก็พาลให้รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าสิ้นดี  มีคำถามอีกตั้งมากมายแต่เขากลับเอ่ยเรื่องโง่ๆ ออกไปเสียได้  อันที่จริงเขาก็แค่กำลังหาจังหวะขอบคุณอีกฝ่ายก็เท่านั้น  ไม่เข้าใจว่าเรื่องง่ายๆ เพียงแค่คำขอบคุณแต่กลับทำให้เขารู้สึกหืดขึ้นคอ

     “หืม?  ...ก็  เล่นเกมอยู่”

     “อ่อ....”

     “ถามหน่อยได้มั้ย”

     “ว่า?”

     “...ทำไมไม่โทรหาเพื่อนมึงล่ะ  ทำไมถึงเป็นกู”

     “..........”

     “ถ้ามึงเงียบกูจะคิดคำตอบเองนะ”

     ประโยคนั้นทำให้เขาต้องหันขวับกลับไปมองเจ้าของคำพูดด้วยความตกใจ  เพราะน้ำเสียงอีกฝ่ายดูจริงจังบอกเป็นนัยๆ ว่าคงไม่ได้พูดเล่น  นายน์หลบสายตาดาดคั้นในทีที่กำลังจับจ้องมาพลางว่า  “ก็...โทรไปแล้ว แต่พวกมันไม่ยอมรับสาย  ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนกันหมด”  นี่ก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมการตอบออกไปตามความเป็นจริงว่าเขาไล่โทรเรียงตัวแล้วก่อนที่จะตัดสินใจโทรหาอีกฝ่ายถึงได้กลายเป็นเรื่องที่พูดออกไปได้ยากเย็นไปเสียฉิบ  ราวกับว่าเขากำลังทำร้ายน้ำใจของคนที่ยอมสละเวลาและแรงกายขับรถตามหาตั้งครึ่งค่อนคืนอย่างไรอย่างนั้น 
 
     “อ้อ”

     เท็นขานรับเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไปเสียเฉยๆ  ซ้ำยังเอาแต่หันหน้ามองออกไปนอกรถราวกับคนกำลังใช้ความคิด  เป็นการตอบรับที่อยู่เหนือความคาดหมายสำหรับเขาไปมาก  และกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องแบกรับภาระกดดันจากความเงียบที่ปัจจุบันทันด่วนและไม่น่าพึ่งประสงค์เสียเอง 

     ทำไมเขาต้องถึงรู้สึกราบกับกำลังถูกอีกฝ่ายน้อยใจ  ผิดหวัง  หรืออะไรเทือกนั้นอย่างไรชอบกล  นายน์มองใบหน้าด้านข้างที่ยังคงนิ่งเงียบ  และคิดว่าคงจะทู่ซี้เงียบต่อไปเรื่อยๆ ถึงต่อให้เขาลงจากรถไปทั้งอย่างนี้ก็คงไม่มีเสียงดังไล่หลังมาอย่างแน่นอน 
หรือเขาควรชิงหนีไปทั้งอย่างนี้เลย? 

     ร่างเล็กเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเงียบที่กดดันเขาหรือเป็นความต้องการลึกๆ ของตัวเองที่อยากจะแสดงน้ำใจกับอีกฝ่ายกันแน่  แต่ทีแน่ๆ เขาเลือกที่จะบอกออกไปตามตรง  “....ความจริงกูอยากโทรหามึง  แต่ไม่กล้า  ก็เลย...”  กลั้นใจเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา  เรียกได้ว่าเบาเสียจนไม่แน่ใจว่าอีกคนจะได้ยินไหม  เพราะก็ไม่เห็นว่าเจ้าตัวจะมีท่าทีต่างไปจากเดิมเลยสักนิด   

     “..........”

     “พอโดนทิ้งให้อยู่ตรงนั้น  คนเดียวที่กูพอจะนึกออกก็คือมึง”

     “..........”

     “เพราะกูคิดว่า  มึงน่าจะมา”

     “……….”

     หลังจากกลั้นใจพูดออกไปตามความจริงและตรงกับความรู้สึกที่สุด  ทว่าก็ยังมีแต่ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น  ผ่านไปหลายนาทีกว่าที่ไอ้คนพูดน้อยต่อยหนักจะยอมหันกลับมาหาเขาพร้อมกับใบหน้าที่ดูก่ำกึ่งว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มหรือแค่ยกมุมปากขึ้นนิดๆ ตามประสาคนหล่อหน้านิ่งแต่เป็นมิตรกันแน่   
 
     “มึงคิดถูกแล้วล่ะ”

     “...........”

     “กูดีใจนะที่มึงโทรมา”

     “……….”

     “นึกว่ามึงลบเบอร์กูทิ้ง  ไม่ก็บล็อกกูไปแล้วซะอีก”

     “..........”

     ฉึก! 

     นายน์รู้สึกเหมือนโดนหมัดหนักๆ น็อคเข้ากลางหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง  เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง  แต่ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจแล้วนิดหน่อยว่าไอ้นิสัยพูดตรงน่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องถนัดของเจ้าตัว  มั้งนะ  เขาหมายถึงถ้าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดจริงๆ
 
     จากตอนแรกที่คิดว่าถูกแกล้งป่วนให้โมโหเล่นเหมือนเมื่อก่อน  เขาคิดมาตลอดว่าอีกฝ่ายแค่ชอบสร้างกระแสเพราะอยากดังเลยลากเขาไปเอี่ยวด้วย  บวกกับคงหมั่นไส้เขาเป็นการส่วนตัวถึงได้หาเรื่องให้เขาปวดหัวเล่น  ทว่าสายตาและสีหน้าที่ส่งมากลับทำให้เขาไขว้เขวและเกิดความสงสัยทุกครั้ง  อดจะสับสนไม่ได้ว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาหรือว่าของจริง   
 
     “.....มึงบอกว่ากูกวนมึงได้ตลอดใช่มั้ย”  จู่ๆ ความรู้สึกว่าอยากพิสูจน์คำพูดตรงๆ เหล่านั้นของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้าใส่จนไม่สามารถยั้งปากของตัวเองเอาไว้ได้  เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวจะทำอย่างที่พูดได้จริงไหม  หรืออันที่จริงก็เป็นเพียงลมปากที่พูดเพื่อซื้อใจเขากันแน่!

     “อืม”

     “แล้วถ้ากูบอกว่า...”

     “ได้”

     “กูยังพูดไม่จบ”

     “อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

     “ทุกอย่าง?”

     “อืม”

     “ดี!”  เขาเงียบไปอย่างใช้กำลังคิดพลางหลบสายตาอีกคนที่มองมาอย่างรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร  “ช่วงนี้รถกูเข้าอู่...  ไหนๆ มึงก็รู้จักบ้านกูแล้ว  ก็คงจะสะดวกดีถ้ามึงมารับกูไปเรียน  เพราะยังไงเราก็เรียนที่เดียวกัน”  ตั้งใจจะพูดให้มันสั้นๆ ได้ใจความแล้วก็จบบทสนทนาให้รวดเร็วที่สุด  แต่พอถูกอีกฝ่ายจ้องกลับมาตรงๆ แบบนั้นก็พาลให้เผลอใส่เหตุผลเข้าไปเสียเยอะแยะ 

     “ได้”

     “โอเค”  เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบหยิบสัมภาระตัวเองพลางปลดเข็มขัดนิรภัย  เอี้ยวตัวเปิดประตูเตรียมพร้อมจะลงจากรถทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังกลับทำให้เขาสะดุดเสียก่อน

     “เจอกันวันจันทร์นะ”

     นายน์นิ่งเงียบอย่างชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรดี  ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเงียบและลงจากรถไปทั้งอย่างนั้น  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนอยู่เหนือเหตุผลและความเป็นตัวตนของเขาอย่างที่สุด  จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเอาแต่ถามตัวเองว่าทำอะไรลงไป!  ตอบตัวเองไม่ได้แถมยังรู้สึกราวกับพลาดที่ปล่อยให้ความคิดอยากหาคำตอบบ้าๆ นั้นเอาชนะความมีเหตุผลได้อย่างง่ายดาย

ก็คงเป็นเพราะความเหนื่อยปนอ่อนไหวล่ะมั้ง  ในเวลาที่เปราะบางที่สุดแล้วมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเป็นใครก็คงอ่อนไหวกันทั้งนั้น  ใช่ไหม! 




                                         *************************************************




     “ไม่ทานอีกล่ะลูก  ไม่ต้องเกรงใจนะ แม่ทำไว้อีกเยอะเลย”

     “ผมอิ่มจนพุงกางแล้วครับ  ขอบคุณมากครับ”

     “งั้นเอาน้ำผมไม้มั้ยจ้ะ”

     “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมากครับ”

     เสียงบทสนทนานั้นทำเอานายน์ที่กำลังเดินลงบันไดถึงกับต้องขมวดคิ้ว  เขาหยุดฝีเท้าลงพลางเงี่ยหูฟัง  หรือจะเป็นไอ้เคนมาขอส่วนบุญกินข้าวฟรีฝีมือแม่เขาอีกแล้ว แต่ปกติมันไม่มาเช้าขนาดนี้  แถมวันธรรมดามันก็มีเรียนทุกวันนี่นา 

     นายน์เก็บความสงสัยแล้วก้าวเร็วๆ ลงบันได  และทันที่ที่เขาพาตัวเองมาถึงห้องครัว เท้าที่เดินกึ่งวิ่งก็เป็นอันให้ต้องหยุดชะงัก  เพราะคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารกับแม่ของเขาไม่ใช่ไอ้เคน  แต่เป็นคนที่เขาไม่คิดและไม่ได้เตรียมใจไว้ว่าจะได้เจอหน้ากันอีกในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้  และคนๆ นั้นก็กำลังมองมาที่เขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     ฉิบหาย!  นี่เขาลืมไปเสียสนิทได้ยังไงว่าตัวเองเผลอพูดอะไรเอาไว้!  นี่แหละเขาถึงเตือนว่าอย่าตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ตอนที่สติไม่สมบูรณ์พอ! 

     และไอ้เขาที่ว่าก็ตัวเขาเองนี่แหละ  ฮืออออออ! 

     “ลงมาได้ซะทีนะเจ้าตัวดี  นี่แม่กำลังจะถามเท็นอยู่พอดีว่าเรามีเรียนกี่โมงทำไมถึงยังไม่ลงมากินข้าว”

     นายน์มองแม่ตัวเองกับแขกที่ไม่คิดว่าจะมานั่งตัวเขืองอยู่ในบ้านอย่างยังไม่อยากเชื่อสายตา  ด้วยความเคยชินที่ต้องนั่งพี่วินออกไปเรียนเองทุกวัน(เพราะช่วงนี้รถเข้าอู่)และก็ดันลืมคำพูดตัวเองไปแล้วทำให้เขาเก็บอาการหน้าเหวอเอาไว้ไม่อยู่   

     “จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ยลูก  รีบมากินข้าวจะได้รีบไปเรียน  เท็นมารอเป็นชั่วโมงแล้ว  เรานี่แย่จริงๆ  ให้เพื่อนมารับแล้วยังจะตื่นสายอีก”

     นายน์ขมวดคิ้วมุ่นอยากจะโต้กลับคนเป็นแม่  แต่ติดที่ว่ามีอีกคนนั่งอยู่ด้วยนี่แหละ  ร่างเล็กเม้มปากข่มสติตัวเองให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยพลางเดินมานั่งยังที่ว่างฝั่งตรงข้ามอีกคน  ตรงหน้ามีโจ๊กไก่ของโปรดของเขาตั้งรออยู่แล้ว 

     “อุ่นมั้ยลูก  จะได้กินร้อนๆ”

     “ไม่ครับ  แม่ไปทำงานเถอะ  เดี๋ยวนายน์จัดการเอง”

     “แม่ทำแซนวิซไว้ให้ด้วย เผื่อนายน์ไม่อิ่ม  อย่าลืมหยิบไปด้วยนะลูก”

     “ครับ”

     “แบ่งให้เท็นด้วยล่ะ  แม่ไปก่อนนะเท็น  …ขอบใจน๊ะจ้ะ  อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามารับเด็กขี้เกียจ  หล่อแล้วยังใจดีอีกนะเนี่ย”

     “แม่!” 

     “จะเสียงดังทำไมเนี่ยลูกคนนี้”  หญิงวัยกลางคนที่ยังดูอ่อนกว่าอายุจริงโยกหัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเล่นเหมือนอย่างที่ชอบทำ  “แม่ไปจริงๆ ละ  เจอกันตอนเย็นจ้ะ  อยากกินอะไรก็ไลน์มาบอกนะ  เดี๋ยวจะทำไว้ให้”

     “ครับ”

     พอไม่มีแม่คอยชวนคุยบ้านทั้งหลังก็พาลถูกความเงียบเข้าครอบงำ  เงียบเสียจนชวนให้อึดอัด  นายน์คนโจ๊กในชามพลางเอาแต่ก้มงุดหลบสายตาคนฝั่งตรงข้าม  ในหัวมีก้อนความคิดขนาดมหึมากำลังตีกันให้วุ่น  เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโผล่มานั่งอยู่กลางบ้านแบบนี้  แถมยังมารอเขาตั้งชั่วโมงกว่าแล้วด้วย  น่าอายชะมัด!

     “รู้แล้วว่ามึงเหมือนใคร”

     เสียงนั้นดึงเขาออกจากภวังค์  นายน์คนโจ๊กเล่นอย่างไม่รีบร้อนพลางเอ่ย  “ใครใช้ให้มึงเข้ามาในบ้านกูไม่ทราบ”

     เท็นหัวเราะหึในลำคอเพราะน้ำเสียงประชดประชันที่ถูกเอ่ยจากปากของคนที่เอาแต่ก้มหน้าหนีเขาเสียจนคางแทบจะชนอกอยู่รอมร่อ  “ก็มึงบอกให้มารับ  หรือว่ามึงลืมแล้ว?”

     ประโยคนั้นกวนใจคนที่พยายามหลบสายตาจนต้องเหลือบมองคนช่างยอกย้อนอย่างเคืองๆ  แต่ถ้าให้พูดกันตามจริงก็คือ  ลืมเสียสนิทอย่างที่มันว่านั่นล่ะ!  “แต่กูไม่ได้หมายความว่าให้มึงเข้ามาในบ้านกู”  พอเรี่ยวแรงกลับมาเป็นนายน์คนเดิมไม่ได้ป้อแป้เหมือนเมื่อครั้งก่อน  ก็พาลให้ลืมวิธีคุยกันแบบสงบศึกกับอีกฝ่ายไปด้วย  ก็คนมันเคยพูดกันดีๆ ที่ไหน! 

     เท็นยักคิ้วตอบรับตาชั้นเดียวทว่าดูกลมสวยที่ยอมมองมาที่เขาเสียทีอย่างจงใจ  และก็ได้ผลเมื่อใบหน้าน่ารักนั้นดูไม่สบอารมณ์ขึ้นทันควัน  เขาเอนตัวไปกับพนักเก้าอี้พลางกอดอก  “ก็แม่มึงเปิดประตูให้เอง  กูเป็นพวกไม่กล้าเสียมารยาทกับผู้ใหญ่ซะด้วย”

     “..........”

     “ขอโทษแล้วกันที่ไม่ได้ขออนุญาตมึงก่อน”

     “หึ!”  สบถเพียงเท่านั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตาตักโจ๊กเข้าปากทำราวกับว่าไม่มีอีกคนอยู่ในบ้าน  ทั้งที่ความเป็นจริงในอกของเขากำลังเต้นรัวจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่  ไม่รู้ทำไมต้องตกใจขนาดนี้ด้วย  โคตรจะไม่เข้าใจตัวเองเลย!

     “มีเรียนกี่โมง”

    “เก้า” 

     “นี่มันแปดโมงกว่าแล้วนะ  ไม่รีบหรอ”

     จะให้บอกยังไงว่าตอนแรกเขากะจะนั่งพี่วินแล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปเองก็เลยตื่นเอาป่านนี้ด้วยความตั้งใจล้วนๆ  แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นนั่งรถส่วนตัวอย่างนี้ก็มีแต่สายแบบไม่ต้องสืบ  “ไม่อ่ะ  กูไม่ชอบวิชานี้”

     คนฟังได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร  ก็ในเมื่อเขาเต็มใจมาเองก็มีแต่ต้องรออีกฝ่ายก็เท่านั้น  “งั้นก็...ตามสบาย”  เพราะตัวเขาเองที่มีเรียนแปดโมงครึ่ง  เลยทำใจไว้ตั้งแต่บึ่งรถมาที่บ้านหลังนี้แล้วว่ายังไงก็คงสายแบบไม่ต้องสืบ 

     “ไปได้ยัง”

     เท็นเลิกคิ้วเป็นเชิงถามด้วยอารามประหลาดใจระคนตามอีกฝ่ายไม่ทัน  เมื่อครู่ยังเอาแต่คนโจ๊กเล่นเป็นเด็กเบื่ออาหารอยู่เลย  อีกอย่างเขาเห็นนายน์ตักโจ๊กเข้าปากไม่ถึงห้าคำด้วยซ้ำ  “อิ่มแล้วหรอ”

     “อืม”

     “ถ้ากูเป็นแม่มึงคงน้อยใจตาย”

     “ยุ่ง!” 

     “โอเค  งั้นไปรอที่รถก็แล้วกัน”  เท็นลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าเอากุญแจรถบนโต๊ะ  ก้าวเดินออกจากห้องครัวตรงไปยังรถของตัวเองที่จอดไว้ตรงหน้าบ้านตามที่บอกอีกฝ่ายเอาไว้  กลัวว่าชักช้าเดี๋ยวจะทำคุณคนน่ารักไม่สบอารมณ์เข้าให้อีก






     รถคันหรูจอดลงยังหน้าตึกเรียนรวมในเวลาที่คลาสเรียนของนายน์เริ่มไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง  เขาละสายตาจากตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือก่อนจะหันไปหาเจ้าของรถ  “ขอบใจ”

     “ยินดี”  เขาก็แค่ตอบไปตามความรู้สึกก็เท่านั้น  ทว่าเหมือนจะไปสะกิดต่อมอะไรของคนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถเข้าให้กระมังเจ้าตัวถึงทำหน้าเหมือนโดนบังคับให้กินยาขมแบบนั้น 

     “ไม่ต้องโปรยเสน่ห์ใส่กูให้เหนื่อยหรอก  กูไม่ใช่พวกสาวๆ แฟนคลับมึง”  ใครก็ได้ช่วยเอาไอ้หน้าหล่อๆ ที่กำลังยิ้มจนตาเป็นประกายนี่ไปทิ้งให้ที!

     “กูทำตอนไหน”

     “มึงควรถามว่าตอนไหนไม่บ้างทำดีกว่า”

     ร่างสูงหลุดหัวเราะเพราะประโยคนั้นในที่สุด  อุตส่าห์ข่มตัวเองไม่ให้ยิ้มมากไปแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเพราะเขากำลังมีความสุขจนแทบจะติดปีกบินอยู่รอมล่อ  “โทษที  กูไม่รู้ตัว”

     ไอ้แววตาวิ้งวับกับรอยยิ้มกรุ่มกริ่มเล็กๆ ของคนตรงหน้าเขานี่บอกตามตรงว่าอมโบสถ์มาพูดก็ไม่เชื่อ  เปิดโอกาสให้หน่อยทำเป็นเหลิง  คอยดูเถอะจะแกล้งปั่นหัวซะให้เข็ด! 

     “แล้วมึงเลิกเรียนกี่โมง”

     “ไม่บอก”

     “แล้วจะกลับยังไง”

     “เรื่องของกู”

     “งั้นเดี๋ยวมารับ”

     “มึงฟังภาษาคนรู้เรื่องปะเนี่ย!”

     “ก็กูว่าง  ไหนๆ ก็มารับแล้ว  ไปส่งแถมให้ด้วยดีกว่า”

     “มึงพูดเองนะ”

     “อืม”

     “เลิกเรียนบ่ายสอง  ห้ามเลท!”  ตัดบทเพียงเท่านั้นแล้วคว้ากระเป๋าเตรียมจะเผ่นออกจากรถ
 
     แต่ดูเหมือนจะยังเร็วไม่พอ!

     “รับทราบ!”

     อุตสาห์กะจะทิ้งระเบิดไว้ให้คนโดนออกคำสั่งอึ้งเล่นๆ แล้วรีบเผ่นออกจากรถ  ยังต้องมาโดนกวนใส่อีกรอบจนได้  นายน์ตวัดสายตามองไอ้หน้าหล่อที่มองมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วก็ต้องกรอกตาด้วยความเซ็งอีกรอบ 

     นี่เขาคิดผิดหรือคิดถูกที่เกิดอยากพิสูจน์บ้าๆ บอๆ อะไรนั่นขึ้นมา!  หาเรื่องเอาตัวเองมาเป็นเหยื่อให้ไอ้บ้านี่ป่วนเล่นแท้ๆ! 





                                      *************************************************


หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP9 [Update 14-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-11-2018 08:42:40
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP9 [Update 14-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-11-2018 12:24:45
 :L2: :pig4:

รอวันที่นายน่ารัก
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP10 [Update 18-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 18-11-2018 16:26:34
EP10…





     เท็นขับรถมาถึงหน้าตึกเรียนรวมที่เขามาส่งใครบางคนเมื่อเช้าในเวลาบ่ายโมงห้าสิบนาทีไม่ขาดไม่เกิน  ดับเครื่องยนต์จอดเทียบตรงที่ที่จะมองเห็นได้ง่าย  ทว่ารออยู่นานเกือบยี่สิบนาทีก็ยังไร้แววอีกฝ่าย  แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตันสินใจจะรอจนกว่าอีกฝ่ายจะมา 

     ผ่านไปอีกสิบนาที...
 
     ล่วงเลยไปอีกครึ่งชั่วโมง...

     และเข็มนาฬิกาก็หมุนวนอยู่อย่างนั้นโดยไร้ซึ่งวี่แววของคนที่รอ...

     กระทั่งเริ่มจะเคาน์ดาวน์เข้าสู่ชั่วโมงใหม่เสียงเคาะข้างกระจกก็ดังขึ้นพร้อมกับคนน่ารักที่กำลังก้มลงมองมายังเขา  เท็นรีบลดกระจกลงทันที  เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามคนตัวเล็กที่ดูมีใบหน้ายุ่งยากใจอย่างไรชอบกล  อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้วว่าเขาจะมารับ

     “ยังรออยู่อีกหรอวะ!” 

     “ต้องรอสิ  ก็บอกแล้วว่าจะมารับ”

     ประโยคเรียบๆ กับใบหน้าที่เจือไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูแตกต่างไปจากทุกครั้ง  แน่นอนว่าไม่เพียงเขาไม่ถูกอีกฝ่ายโวยใส่  แต่ท่าทางที่ดูใจเย็นราวกับว่าเพิ่งรอเขาไม่ถึงห้านาทีของเท็นก็ทำให้เขาประหลาดใจจนกลายเป็นฝ่ายที่ต้องปั้นหน้าไม่ถูกเสียเอง  “ขอโทษ  อาจารย์สั่งงานท้ายคาบน่ะ  ให้แบ่งหัวข้อบ้าบออะไรก็ไม่รู้  ตกลงกันไม่ได้ซักทีก็เลย...”  โกหกทั้งเพ  ไม่มีงานที่อาจารย์สั่ง  ไม่มีการแบ่งหัวข้อ  มีแต่เขาที่นั่งเล่นเกมส์ค่าเวลาเพื่อจะลองใจคนก็เท่านั้น

     “กลับเลยมั้ย  ต้องไปไหนก่อนรึเปล่า”

     “เอ่อ...ก็มีอ่ะ  แต่กูว่ามึงกลับไปก่อนดีกว่า  เดี๋ยวกูไปเอง”

     “รอจนขนาดนี้แล้ว  ขึ้นรถ  เดี๋ยวกูไปส่ง”

     “จะดีหรอวะ”

     “ดี”  เจ้าตัวเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับเป็นสัญญาณบอกว่าให้เขาขึ้นรถเสียที  เห็นแล้วก็ได้แต่ยอมใจในความแขนขายาวของพ่ออดีตนักกีฬาบาสเก็ตบอล
 
     นายน์ยืนจ้องตากับคนในรถอย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่  จริงๆ ต้องเรียกว่าทำเป็นช่างใจถึงจะถูก  ความจริงเขาพนันกับตัวเองเอาไว้ว่าเท็นจะรอได้นานแค่ไหน  แน่นอนเขาคิดว่าเจ้าตัวคงจะหมดความอดทนตั้งแต่สิบนาทีแรกแล้วก็คงจะเผ่นกลับบ้านอย่างหัวเสียพร้อมกับตรัสรู้ในที่สุดว่าถูกเขาป่วนเข้าให้ 

     ทว่าผิดถนัด!  ไม่เพียงแต่เจ้าตัวยังรออยู่และดูท่าว่าจะยังรอต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่แม้แต่จะโทรตาม  หรือหงุดหงิดใส่เขาเลยด้วยซ้ำ  ทำเอาความตั้งใจของนายน์แทบจะพังไม่เป็นท่า  แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด  นายน์ยัดตัวเองเข้าไปนั่งยังเบาะข้างคนขับ  ลอบมองอีกคนที่เพิ่งจะรู้เอาวินาทีนี้เองว่าเจ้าตัวก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกันพลางพยายามข่มตัวเองให้สู้สายตา  “งั้น...ไปร้านหนังสือก่อน  กูจะหาข้อมูลทำรายงาน”

     “โอเค  แล้วต้องไปที่ไหนต่ออีกมั้ย”

     “ไม่  แค่ร้านหนังสือ”

     “ตามนั้น”

     ท่าทางเหมือนต้นไม้ใกล้เฉาตายในตอนแรกหายเข้ากลีบเมฆ  ทิ้งไว้เพียงคุณชายเท็นมาดคูลที่มักจะยิ้มมุมปากนิดๆ ให้กับทุกสิ่งบนโลกได้กลับมาอีกครั้ง  นายน์ถอนหายใจอย่างปลงๆ กับท่าทางเหล่านั้น  บอกตามตรงว่าลังเลมากจนไม่อยากพิสูจน์อะไรแล้ว  ยิ่งเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดปนกดดันอย่างบอกไม่ถูก  แต่อีกใจเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าขีดความอดทนของนายทินกฤตอยู่ที่ตรงไหน  ไอ้ที่บอกว่าชอบกัน  ลองได้เจอมุมที่ไม่สวยหรู  งี่เง่า  เอาแต่ใจ  แถมยังมีลูปชีวิตที่โคตรจะจำเจของเขาเป็นได้เตลิดไปสักวัน

     ก็คงไม่ต่างกับคนอื่นๆ เท่าไหร่หรอก...   




     หลังจากฝ่าการจราจรมาจนถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง  กว่าจะวนหาที่จอดรถได้ก็เล่นกินเวลาไปเกือบสิบนาที  เราทั้งคู่เดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามาภายในตัวห้างฯ  อันที่จริงเขายืนกรานหนักแน่นว่าจะลงไปซื้อหนังสือสองสามเล่มแล้วก็จะกลับมาในเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีอย่างแน่นอนเพราะงั้นรออยู่ที่รถก็ได้  แต่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปหาอะไรดื่มสักหน่อยเขาเลยไม่อยากขัด 

     “งั้น  เดี๋ยวมาเจอกันตรงนี้นะ  ขอเวลา 15 นาที”

     “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้  กูแถมให้อีก5นาที”

     พอลองเหลือบมองหน้าคนใจป๋าแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียตรงนั้น  เขากรอกตาเป็นการรับมือกับไอ้คนตัวสูงที่เพิ่งยักคิ้วส่งมาให้  “เออ...ตามนั้น!”  นายน์เอ่ยเพียงเท่านั้นก็หันหลังแล้วยิ้มกริ่มเดินแยกไปอีกทาง  ความตั้งใจของเขาคือเดินชิลๆ ดูหนังสือ เลือกซื้อซีดีเพลงใหม่ๆ ซักชั่วโมงสองชั่วโมง  อุตส่าห์ให้โอกาสหนีแล้วแท้ๆ ยังจะทู่ซี้ตามมาเองก็ต้องจัดให้อย่างสมน้ำสมเนื้อเสียหน่อย  มารอดูกันว่าคนที่ถูกปล่อยให้รอถึงสองครั้งในวันเดียวจะมีปฏิกิริยายังไง
 
     เสร็จกูแน่ไอ้หล่อ!





     เวลาผ่านไปเกือบ 20 นาที เขามารอตามนัดตรงประตูทางออกไปลาดจอดรถ  แต่อีกฝ่ายยังไม่มา  ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีเพราะเขาตั้งใจอยากให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว  ทว่าเข็มนาฬิกาหมุนไปรอบแล้วรอบเล่าก็ยังไม่มีแม้เงาของคนที่มาด้วยกัน  เท็นตัดสินใจกดหมายเลขที่เขาบันทึกไว้ในเครื่องแต่กลับไม่มีความกล้าแม้แต่จะกดโทรออกเลยสักครั้ง  นี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้ทำมันเสียที  ยืนฟังเสียงสัญญาณดังต่อเนื่องจนตัดเข้าเสียงอัตโนมัติให้ฝากข้อความ  เขาตัดสินใจโทรอีกครั้ง  และอีกครั้ง  แต่ก็ยังเหมือนเดิม  จากกังวลเปลี่ยนเป็นสังหรณ์ใจไม่ดีจนต้องเดินไปดูตรงบันไดเลื่อนว่าใช่ชั้นที่เขานัดกับอีกคนไว้หรือเปล่า  ตัวเลขระบุชั้นตรงหน้าบันไดบอกเขาว่าไม่ผิดแน่  แต่อีกคนนี่สิ  ไม่ใช่ว่าจำผิดแล้วไปรออยู่ชั้นอื่นหรอกนะ  คิดได้ดังนั้นเขาจึงเดินลงบันไดเลื่อนไปทีละชั้น  จากตอนแรกที่เริ่มมองหาแค่ตรงประตูทางออกไปลานจอดรถก็เริ่มลามไปตามช็อปต่างๆ  เดินไล่หาจนทั่วจากชั้นที่เขาอยู่ซึ่งคือชั้น 5 วิ่งไปทั่วห้างฯ กระทั่งมาถึงยังชั้นได้ดินที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดแต่ก็อยากจะเช็คดูให้แน่ใจ  สุดท้ายก็ยังไร้เงาของนายน์อยู่ดี

     “อยู่ไหนของเค้าวะ!”  เท็นสำรวจเวลาบนข้อมือตัวเองอีกครั้ง  นี่เขาใช้เวลาวิ่งวุ่นไปทั่วห้างเกือบชั่วโมงเลยหรอ!  ตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรอีกครั้งทว่ามันกลับส่งเสียงดังขึ้นเสียก่อน  เท็นไม่ทันได้มองว่าเจ้าของสายเป็นใครเพราะกำลังหัวเสียที่ถูกขัดจังหวะอารามเป็นห่วงอีกคนยิ่งพาลให้รู้สึกหงุดหงิด  “ครับ!” 

     “อยู่ไหน  กูรออยู่ที่เดิมนะ”

     “นายน์!”

     “ขอโทษ  คือว....”

     “รออยู่ตรงนั้นนะ  อย่าไปไหนล่ะ”

     “อ...โอเค”

     ร่างสูงออกวิ่งทันทีที่วางสาย  เขากลัวจะคลาดกันหรือว่าอีกคนจะเดินไปที่ไหนอีก เมื่อมาถึงก็พบว่าคนที่เขาแทบจะพังกำแพงห้างควานหากำลังยืนดูดชานมไข่มุกพร้อมกับตรงพื้นข้างตัวเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย 

     “อะ”

     เจ้าตัวส่งแก้วชานมที่เขาไม่ทันสังเกตจากมืออีกข้างส่งมาตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสดใส  เขายื่นมือไปรับเอาไว้อย่างงงๆ  พลันคำพูดที่เตรียมไว้พาลให้บินหายไปหมด  เลยได้แต่ยืนหอบมองคนตรงหน้ายิ้มให้ตัวเองเป็นครั้งแรกอยู่อย่างนั้น
 
     “ขอโทษนะ  คือ...พอดีแม่โทรมา บอกว่าอยากได้ของในซุปเปอร์มาเก็ต  พอเจอแม่สั่งรัวๆ กูก็ลืมไปเลยว่ากูมากับมึง…”

     “อ่อ…”  เท็นได้ยินเหตุผลนั้นแล้วก็ได้แต่อึ้งไป  เพราะที่เดียวที่เขาไม่ได้เข้าไปดูให้ละเอียดก็คือไอ้ซุปเปอร์มาเก็ตที่อีกฝ่ายว่านี่แหละ ด้วยเพราะคิดว่ายังไงนายน์ก็ไม่น่าจะไปอยู่ในที่แบบนั้นอย่างแน่นอน

     “มึงโกรธกูเหรอ”  พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบแถมยังหน้าตึงสุดๆ เลยเข้าใจว่าสงสัยที่พยายามแหย่ให้เคืองมาทั้งวันคงจะเป็นผลแล้วกระมัง

      “เปล่าๆ  กูแค่…ช่างมันเถอะ”  จะให้บอกได้ยังไงว่าเผลอคิดบ้าบอไปต่างๆ นาๆ จนวิ่งพล่านเป็นหนูติดจั่นไปทั่วห้างฯ

     “มึงโอเคแน่นะ”

     “อืม  แล้วนี่...ได้ของครบรึยัง”

     “..........”

     “ยังหรอ  ไปซื้อสิ  ไม่ต้องรีบหรอก  กูไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว”

     “……….”

     “เดี๋ยวกูเฝ้าของให้เอง”

     “ป...เปล่า  ครบแล้ว  กลับกันเถอะ”  พอถูกอีกฝ่ายถามอย่างนี้เลยรู้สึกผิดขึ้นมาตงิดๆ ซ้ำพอมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาถึงได้เห็นว่าเจ้าตัวมีเหงื่อไหลซึมตรงไรผมและกรอบหน้าเต็มไปหมด  อย่าบอกนะว่าเที่ยวไปตามหาเขามาน่ะ

     เท็นพยักหน้ารับก่อนจะแกะหลอดที่อยู่ในถุงชานมขึ้นมาเจาะ  ดูรวดเดียวจนพร่องไปกว่าครึ่งแล้วก็ต้องประหลาดใจจนต้องยกแก้วขึ้นมามองอย่างงงๆ  “ปกติกูไม่ชอบกินอะไรพวกนี้เพราะมันหวานเกิน  แต่ยี่ห้อนี้ดีนะ  ไม่หวานจนแสบคอ”

     “กูว่าจริงๆ มันก็หวานแหละ  แต่กูซื้อมารอมึงนานแล้ว  น้ำแข็งมันละลายเลยจืด”

      “อ้าวหรอ” 

     เท็นสบถพลางยิ้มขำๆ เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะเผลอปล่อยไก่ต่อหน้าเขาก่อนจะเดินมาฉวยเอาถุงมากมายที่อยู่บนพื้น(ซึ่งก็คือข้าวของเครื่องใช้ในบ้านทั้งครีมอาบน้ำ ยาสระผม น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันควรเลือกยี่ห้อไหนสูตรอะไรเพราะเขาแค่ต้องการจะหยิบมาเป็นของประกอบฉากก็เท่านั้น)ไปช่วยถือโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ  เดินนำหน้าไปยังประตูทางออกโดยปราศจากการก่นด่าหรือต่อว่าใดๆ ทั้งนั้น  ไม่เพียงแต่เท็นจะไม่โกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด ฉุน หรืออะไรก็ตามแต่  เจ้าตัวกลับดูเหมือนจะอารมณ์ดีกว่าตอนขามาเสียอีกด้วยซ้ำ

     พิลึกคนจริงๆ!
 




                                                   **************************************



     เช้าวันต่อมาเขาก็ยังคงทำหน้าที่สารถีของตัวเองอย่างดีโดยการไปรอนายน์ที่บ้านแต่เช้าเหมือนเดิม  ทั้งที่ความจริงเขาแอบมีตารางเรียนเทอมนี้ของเจ้าตัวแล้ว(เพิ่งได้มาหมาดๆ เมื่อคืน)  แต่ในเมื่อนายน์ไม่ยอมบอกเอง เขาก็จะทำเนียนเป็นไม่รู้เพื่อจะได้มาที่บ้านอีกฝ่ายแต่เช้าต่อไป  มาให้ผู้ใหญ่เห็นหน้าบ่อยๆ ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้วจริงไหม  อีกอย่างแม่ของนายน์ก็ดูเหมือนจะถูกชะตาเขาอยู่ไม่น้อย 

     “นั่งเลยลูก  แม่ทำอาหารเสร็จพอดีเลย”

     “น่าทานจังเลยครับ”  เท็นแวะเข้าไปทักทายเจ้าของบ้านถึงในครัวพลางยืนดูเชฟมือโปรจัดจานอย่างคล่องแคล่ว 

      “เท็นชอบไส้กรอกแบบไหนจ้ะ  หมูหรือว่าไก่”

     “อะไรก็ได้ครับ  ผมทานได้หมดครับ”

     “ดีจริง  ทานง่ายแบบนี้อยู่ที่ไหนก็รอด  ลองเอาเจ้านายน์ไปปล่อยเกาะสิ  ได้อดตายแน่  ไม่ชอบกินเนื้อหมู  เอะอะก็จะกินแต่ไก่อย่างเดียวเลย  ไม่ชอบผักชี  แต่ถ้าเป็นผักชีในน้ำชุปกินได้  ความเรื่องเยอะนี่ต้องยกให้เลย  งั้นเท็นทานไส้กรอกไก่เหมือนนายน์ได้มั้ยลูก” 

     “ได้ครับ”  ว่าพลางรับจานอาหารที่คุณน้าส่งให้  ก่อนจะเดินตามเจ้าของบ้านไปยังโต๊ะทานข้าวที่อยู่ไม่ไกล 

     “นายน์น่ะกินยากตั้งแต่เด็ก  ดีที่แม่ชอบทำอาหาร  ไม่งั้นปวดหัวแย่เลย  ทานเลยลูกไม่ต้องรอนายน์หรอก  รายนั้นคงสายอีกตามเคย”

     “ครับ”  เท็นยิ้มรับหญิงวัยกลางคนที่บ่นลูกชายไปจัดแจงอาหารลงบนโต๊ะไว้รอคนที่ถูกพาดพิงไป  ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าคุณน้าไม่ได้จริงจังกับความเรื่องเยอะของลูกชายอย่างปากว่า  ออกจะติดไปทางเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ

     “ห้ามเหลือนะลูก”

     เท็นยิ้มรับคุณน้าคนสวย(ที่ไม่ยอมให้เขาเรียกคุณน้า)อีกครั้งพลางพับแขนเสื้อเตรียมพร้อมจะจัดการกับอาหารตรงหน้าเต็มที่  “จะทานให้เกลี้ยงเลยครับ”
 
     “ดีมากจ้ะ  อ้าว…มาซะทีคุณนายน์ตื่นสายของแม่”

     “แม่!!  บอกแล้วว่าไม่ให้เรียกแบบนี้”

     “แล้วแม่พูดผิดตรงไหน  ลูกแม่ชื่อนายน์แม่ก็เรียกถูกแล้วนี่  เนอะเท็นเนอะ”

     ร่างสูงมองแม่ลูกหยอกล้อกันแล้วก็ได้แต่ยิ้มรับเพราะสีหน้าและแววตาของนายน์บอกชัดเจนว่าเจ้าตัวไม่สู้จะสบอารมณ์เท่าไหร่  ดวงตาคู่คมมองสบอีกฝ่ายชั่วครู่ก่อนจะเลือกทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าแทน  ไม่แน่ใจว่านายน์อายที่ถูกแม่ล้อแบบนั้นต่อหน้าเขาหรืออะไร  แต่ที่แน่ๆ เขารับรู้ได้ว่าเจ้าตัวดูอารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด

     “จะไปได้ยัง!”

     “ยังไงกันลูกคนนี้  ตัวเองเป็นคนลงมาช้าแท้ๆ  ทำไมไปเร่งเพื่อนแบบนั้นล่ะ”

     แน่นอนว่านายน์พูดกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรกลับไปแม่ของอีกฝ่ายก็โต้กลับเสียก่อน  ร่างสูงที่ต้องวางช้อนกับส้อมในมือลงอย่างเงียบเชียบเลยทำได้แค่ลอบมองแม่กับลูกสลับกันอย่างเสียไม่ได้

     “ก็นายน์จะสายแล้วนี่”

     “วันหลังก็รู้จักตื่นให้มันเช้ากว่านี้หน่อยสิลูก  รบกวนให้เพื่อนมารับแล้วยังจะมาทำนิสัยไม่ดีใส่เพื่อนได้ยังไง”

     “วันนี้อาจารย์ดุมาก  นายน์ต้องไปแล้วจริงๆ!”

     “แม่ถึงได้บอกไงว่าให้บริการเวลาดีๆ”

     “…ลุกดิ!  จะนั่งอีกนานมั้ย!”

     ดูเหมือนว่าพอเจ้าตัวสู้เหตุผลของแม่ไม่ได้เลยกลายเป็นหันมาแหวใส่เขาแทน  ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทั้งที่ยังไม่ได้แตะอาหารแสนอร่อยตรงหน้าเลยสักคำ  “ขอโทษนะครับแม่  ผมขอตัว…”  ยังไม่ทันที่เขาจะได้บอกลากับคุณน้าผู้ใจดีนายน์ก็เดินออกจากบ้านไปเสียอย่างนั้น  ทำเอาเขาหน้าเหวอจนต้องหันกลับมายกมือไหว้เป็นการลาเพราะกลัวว่านายน์จะไปโดยไม่ยอมรอ

     “สงสัยไปโดนใครทำอะไรมาแน่ๆ  ปกตินายน์ไม่เคยเป็นแบบนี้  แม่ขอโทษแทนนายน์ด้วยนะลูก”

     “ไม่เป็นไรครับ  ผมไปก่อนนะครับ”  ยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งออกจากบ้านไปทันที

     โชคยังดีที่นายน์ยังยืนรอเขาอยู่ที่รถ  นึกว่าจะหนีกันไปนั่งแท็กซี่แล้วเสียอีก  และทันทีที่เจ้าตัวได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้าบูดๆ มากดดันให้เขาต้องรีบปลดล็อครถจนเกือบจะเรียกได้ว่ารน  บอกตามตรงว่านายน์เวอร์ชั่นนี้ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ 

     ปัง!

     เสียงประตูฝั่งข้างคนขับถูกกระชากปิดดังลั่นทำเอาหัวใจคนฟังหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม  เท็นพยายามทบทวนว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้เจ้าตัวไม่พอใจตอนไหนหรือเปล่าพลางยัดตัวเองเข้าไปนั่งประจำที่อย่างไม่อิดออด 

      เมื่อวานตอนซื้อของเสร็จเขาก็มาส่งเจ้าตัวที่บ้าน  เอ่ยถามเรื่องฝนนิดหน่อยว่าจะเอายังไง  แต่พอเจ้าตัวบอกว่ายังคิดไม่ออกเขาก็ไม่ได้เซาซี้อะไรต่อ  หลังจากนั้นก็ช่วยนายน์ยกของไปเก็บ  ยังได้รับคำขอบคุณให้ใจชื้นก่อนกลับอยู่เลย  คิดยังไงก็ไม่เจอจุดที่จะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์บูดอยู่ดี

     เขาออกรถไปพลางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างเกรงๆ  นายน์กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการเสวนากับเขา  ทำให้บรรยากาศโดยรอบถูกความเงียบเข้าครอบงำไปโดยปริยาย

     และเราก็นั่งเงียบกริบโดยไม่ปริปากพูดกันเลยแม้แต่คำเดียวจนกระทั่งถึงที่หมาย  ร่างสูงหยุดรถบริเวณใกล้เคียงกับเมื่อวาน  สายตายังคงจับจ้องไปยังอีกคนที่เขาดูไม่ออกว่าอารมณ์ไม่ดีเพราะคนอื่นหรือไม่พอใจอะไรเขากันแน่  กำลังจะหาจังหวะพูดกับเจ้าตัวที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยและคงจะออกไปในไม่กี่วินาทีข้างหน้า  ทว่านายน์กลับเป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาเสียก่อน

     “ตอนเย็นไม่ต้องมารับ”

     “ทำไม…” ยังไม่ทันทีที่เขาจะได้เอ่ยถามอีกฝ่ายก็ชิงเปิดประตูลงไปจากรถเสียก่อน  เท็นมองตามร่างเล็กที่กำลังก้าวฉับๆ ไปยังตึกสูงตรงหน้าด้วยหัวใจที่วูบโหวง  ในหัวมีคำถามมากมายที่พร้อมจะกดให้เขาจมลงไปในความกังวล

     นายน์ต้องโกรธอะไรเขาแน่ๆ  แต่มันเรื่องอะไรกันล่ะ!





     เห้อออ…

     เสียงถอนหายใจรอบที่ล้านของวันดังขึ้นจากตัวเขาเองที่ไม่สามารถหยุดคิดถึงใบหน้าของคนน่ารักที่แทบจะไม่หันสายตามาแลเขาเลยเมื่อเช้า  ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว  บอกตามตรงว่าเขากลัวยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองดันไปตกหลุมรักคนที่เผลอไปแกล้งจนเขาเกลียดขี้หน้าเมื่อหลายปีก่อนเสียอีก  นายน์อาจไม่รู้ว่าการหยิบยื่นความหวังมาให้คนที่หวังจนเลิกหวังไปแล้วมันมีอานุภาพมากขนาดไหน  นายน์คงไม่รู้ว่าเขาที่ทำเป็นนิ่งและเอาแต่กวนประสาทอีกฝ่ายราวกับไม่ยี่หระเหล่านั้นคือภาพลวงตา  นายน์คงไม่รู้ว่าเขาต้องข่มใจให้นิ่งแค่ไหนถึงจะอยู่ใกล้อีกฝ่ายโดยไม่เผลอแสดงความดีใจออกมาให้จับได้
 
     เห้ออออ…

     เพียงแค่วันเดียวเขาก็ทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่าแล้วหรอวะ  แถมยังเป็นการพังครืนที่ไม่รู้แม้กระทั่งสาเหตุ  แล้วแบบนี้เขาจะเริ่มแก้ไขมันจากตรงไหน   ร่างสูงที่นอนก่ายหน้าผากอย่างหมดอาลัยตายอยากนับตั้งแต่กลับถึงบ้านโดยไม่กระดุกกระดิกไปไหนอีกเลยเหลือบมองตารางเรียนของใครบางคนที่อุตส่าห์ได้มาแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไรดี
 
     เห้อออ…

     ติ๊ง!

     ติ๊ง!  ติ๊ง!  ติ๊ง!  ติ๊ง!  ติ๊ง!

      เสียงข้อความเข้ารัวจนเขาต้องขมวดคิ้วมุ่น  ลองส่งมาแบบไร้มารยาทแบบนี้ก็คงไม่พ้นไอ้เพื่อนเวรเป็นแน่!  เท็นเมินเฉยและไร้ซึ่งความอยากรู้ว่ามันส่งอะไรมาเพราะเขาในตอนนี้ไม่พร้อมจะสนทนากับใครทั้งสิ้น

     Rrrrrr…..

     ทว่าผ่านไปไม่ถึงสิบวินาทีเสียงโทรศัพท์ก็ร้องลั่นขึ้นมาอีกรอบ  เท็นถอนหายใจข่มอารมณ์ไว้ก่อนจะฉวยโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับและกรอกเสียงใส่ปลายสายทันที  “อะไรของมึงวะไอ้เหี้ยวิน!”

     ‘มึงยังไม่เลิกแดกรังแดนอีกหรอวะ  อารมณ์บูดทั้งวันเลยนะมึง’

     “เสือก!”

     ‘ด่ากูไปก็เท่านั้น  กูไม่สะทกสะท้านหรอก ฮ่าๆๆๆ’

     เท็นขมกรามแน่น  กะจะระบายอารมณ์ใส่มันแต่กลับโดนมันย้อนกลับเสียได้  ลืมไปว่าไอ้วินมันด้านยิ่งกว่าถนนคอนกรีต  “มึงมีอะไรก็รีบๆ ว่ามา!”

     ‘เห็นยังวะ’

     “เห็นอะไร!”

     ‘รีบเปิดดูรูปที่กูส่งไปให้ด่วนๆ  แล้วมึงจะเก็ทว่าทำไมถึงโดนว่าที่แฟนเหวี่ยงใส่แต่เช้า’

     ประโยคกระตุ้นต่อมอยากรู้จี้เข้าตรงจุดอย่างจัง  นี่น่าจะเป็นพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวของไอ้วินที่เขาต้องยอมรับ  มือเรียวกดเข้าห้องแชทของเขากับไอ้คนปลายสายทันที 

     ทันทีที่เห็นว่าเป็นรูปอะไรเขาก็ที่เอาแต่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงก็ราวกบถูกกระชากให้ลุกขึ้นมานั่งหน้าตื่น  ปากที่เตรียมจะด่ากลับคนปลายสายก็เป็นอันให้ค้างไปทันที  “มึง!!”

     ‘ไงล่ะ  เซเลปมากมั้ง  ฮ่าๆๆ’ 

     “เหี้ย!!!”  เขาแทบไม่ได้ยินว่าไอ้วินพูดอะไร  เรียกได้ว่าดับทั้งหูดับทั้งชีวิตก็คงจะไม่ผิด  พอจะเรียกสติกลับมาได้บางส่วนปากของเขาก็เอาแต่สบถพลางขยายรูปเพื่อมองให้ชัดอีกนิด  และไอ้เพื่อนที่แสนดีก็ช่วยปลอบใจเขาด้วยการหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจแทนการปลอบโยน  เท็นเลื่อนดูรูปไปพร้อมกับสบถคำเดิมซ้ำๆ  มือเรียวกดปิดโหมดสปีคเกอร์โฟนแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง “กูว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไร  ถึงว่านายน์ถึงดูโกรธกูขนาดนั้น  เหี้ยเอ้ย!”  ครั้งก่อนที่โดนไอ้พี่ว่องแกล้งเอารูปไปลงเพจก็ทีนึงแล้ว  นานย์ล่องหนหายไปเลยเป็นอาทิตย์  แล้วนี่เล่นแอบถ่ายมาลงกันขนาดนี้ไม่อยากจะคิดเลยว่านายน์จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดไหน 

     ‘ใจเย็นมึง’

     “เย็นกับผีน่ะสิ  ทำไมมึงไม่ตามลบให้กู!”

     ‘เดี๋ยวๆ นี่เพื่อนเองครับ  ไม่ใช่นักสืบจิ๋วโคนัน  ทำไม่ได้โว้ยยย  อีกอย่างนะ  รูปพวกนี้ก็โพสต์ไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วด้วย  กูว่าที่เค้าตึงๆ ใส่มึงก็เพราะไอ้รูปพวกนี้แน่นอน  กูฟันธง!’

     “แล้วทำไมมึงเพิ่งมาบอกกูตอนนี้!!”

     ‘กูก็ต้องมีเรื่องอื่นให้ทำบ้างดิวะ  จะให้กูคอยเฝ้าความเคลื่อนไหวว่าที่แฟนมึงตลอด24ชั่วโมงรึไง  ไอ้เจตมันเพิ่งส่งมาให้กู  กูก็เลยส่งต่อมาให้มึงเนี่ย’

     ราวกับภาพเหตุการณ์ตั้งแต่นายน์เดินลงมาจากห้องจนกระทั่งนายน์เดินออกจากรถไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ากันฉายชัดขึ้นในหัว  เท็นได้แต่ขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสียพลางเดินวนไปเวียนมาอย่างคนคิดไม่ตก  “มึงว่ากูควรทำยังไงดีวะ”

     ‘เสียงอ่อยเป็นหมาหงอยเลยนะมึง  พอเป็นเรื่องเค้าทีไรมึงกลายร่างเป็นไอ้ป๊อดทุกที  กูล่ะขำ’

     “ไอ้วิน!!”

     ‘เออๆๆ  กูล้อเล่น  รู้ว่ามึงเครียด  เอางี้ดิ  มึงลองไล่ทักพวกน้องๆ ที่เอารูปไปลงมั้ยล่ะ  ถ้าเป็นมึงไปบอกให้เค้าช่วยลบกูว่าพวกน้องเค้าคงจะโคตรเต็มใจล่ะมั้ง  มึงรู้แหล่งไม่ใช่หรอ’

     ข้อเสนอนั้นหยุดฝีเท้าที่เอาแต่เดินวนเหมือนหนูติดจั่นของเขาให้หยุดชะงักทันที  ถึงมันอาจจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุสุดๆ แต่ก็เหมือนจะเป็นเพียงหนทางเดียวที่เขาพอจะทำได้ในตอนนี้  “เออ  งั้นแค่นี้นะ”  เอ่ยเพียงเท่านั้นก็ตัดสายทิ้งทันที

     เท็นทั้งหงุดหงิดทั้งกลัวทั้งวิตกจนมือที่กำลังกดเข้าแอพปริเคชั่นสีน้ำเงินสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่  ดูท่าว่าหากวันนี้เขาสะสางเรื่องนี้ไม่ได้คงจะนอนไม่หลับเป็นแน่  อุตส่าห์ได้โอกาสมาแล้วแต่กลับมีความสุขกับมันได้เพียงแค่วันเดียวก็ถูกบรรดาขาจิ้นกระชากให้ตกจากฝันแล้วเนี่ยนะ

     เจ็บใจชิบหาย! 

     บอกตามตรงว่าเขาลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วเสียสนิท  พอนายน์หยิบยื่นโอกาสให้(ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในเจตนาของเจ้าตัวก็ตามที)เขาก็กระโจนเข้าไปคว้าเอาไว้โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง  เพราะในหัวเขามีแต่อยากจะเอาชนะใจนายน์เท่านั้น

     ใครจะไปนึกว่าแค่เดินไปไหนมาไหนด้วยกันจะโดนแอบถ่ายไปลงแบบนี้! 

     ถ้าเป็นเขาเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าวันนึงจะดันสะดุดตกหลุมที่ขุดเอาไว้เองเขาอาจจะกำลังนึกสนุกอยู่ก็ได้  หรือไม่แน่อาจจะกำลังสะใจด้วยซ้ำที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย  แต่เขาในตอนนี้ต้องมานั่งเจ็บใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องพวกนั้นบอกตามตรงว่ามันคือที่สุดของความกลัว  เพราะเขารู้ดีว่านายน์ไม่ชอบถูกเอาไปพูดถึงในแง่นั้นแบบผิดๆ  เข้าขั้นเกลียดเลยก็ว่าได้ 

     นี่เขาจะตกม้าตายเพราะสิ่งที่ตัวเองเติมเชื้อเพลิงเอาไว้เมื่อในอดีตเหรอเนี่ย! 

     เขาพิมพ์ชื่อเพจๆ หนึ่งที่จำได้ขึ้นใจ  ‘9TO10-4EVER ชมรมคนรัก1990’ เข้าไปที่หน้าเพจเพื่อดูโพสล่าสุด  และพบว่ามันไม่ได้มีแค่ห้าหกรูป  แต่มีการสร้างไว้เป็นอัลบั้ม ‘โมเม้นนนนนนนน’  ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่เก็ทว่ามันหมายความว่าอะไร  แต่เพราะเขาอยู่กับมันมาหลายปีเลยเข้าใจความหมายได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาถอดรหัส 

     เท็นกดเข้าไปดูรูปทั้ง ‘37’ รูปในอัลบัม  ย้ำสามสิบเจ็ดรูป!  แล้วก็ได้แต่หน้าถอดสี  บอกเลยว่ารูปที่ไอ้วินส่งมากลายเป็นน้ำจิ้มไปเลยเมื่อเทียบกับพลังซูมทำลายล้างของสาวๆ (และอาจจะไม่สาว)ของสมาชิกในเพจนี้ 

     หมด!  หมดกันไอ้เท็น!!
 
     เขาจ้องรูปพวกนั้นอยู่นานสองนานก่อนจะตัดสินใจกดส่งข้อความไปยังเพจต้นเรื่อง  เมื่อก่อนเขาไม่เคยปกป้องความรู้สึกของนายน์เลยสักครั้ง  นั่นเพราะเขาไม่มีโอกาส  เลยไม่รู้ว่าจะแสดงตัวเพื่อถนอมความรู้สึกอีกฝ่ายด้วยฐานะอะไร  ถ้าให้พูดกันตามตรง  แม้แต่ความเป็นเพื่อนนายน์ยังไม่เคยหยิบยื่นให้เขาเลยสักครั้ง  ต่อให้ครั้งนี้ทำไปแล้วจะไม่เกิดผลอะไรตามมาก็เถอะ  อย่างน้อยอาจจะทำให้นายน์ไม่เสียความรู้สึกเพราะเขาไปมากกว่านี้

     ‘น้องแอดมินครับ  พี่มีเรื่องอยากขอร้อง  พี่ไม่สบายใจที่น้องแอบถ่ายรูปพี่กับนายน์มาลงโดยไม่ได้ขออนุญาต  พี่อยากให้น้องช่วยลบรูปทั้งหมดได้มั้ยครับ  พี่ไม่สะดวกใจให้รูปพวกนี้กับข้อความที่มาจากความเข้าใจอย่างผิดๆ ของทุกคนแพร่กระจายไปแบบนั้นครับ  ช่วยเข้าใจพี่ด้วยนะครับ  ถือว่าพี่ขอร้องนะครับ  ถ้าน้องแอดมินจะช่วยบอกต่อๆ กันด้วยก็จะขอบคุณมากๆ ครับ’
เขาอ่านทวนข้อความเหล่านั้นซ้ำอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกดส่ง  หวังว่าคนรับสารจะไม่ตีความไปในแง่ลบและเข้าใจที่เขาต้องการสื่อด้วยเถอะนะ

     เท็นโยนโทรศัพท์แบบส่งๆ ไปบนเตียง  ทิ้งตัวลงนอนพลางถอนหายใจอีกเฮือก  ตาคมมองเหม่อไปบนเพดาลอย่างเหนื่อยใจ



 

                                         **************************************




TALK :  ช่วงนี้มาบ่อยเพราะเขียนมาถึงตรงที่เขียนตุนไว้  แต่ก็มีอะไรต้องเกลาอีกเยอะ 
            ดีใจมีคนอ่านด้วยอ่ะ555555555

หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP10 [Update 18-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-11-2018 23:27:03
นายน์ต้องคิดถึงเท็นบ้าง
ถ้าเปรียบเราเป็นคนนอกที่มองเรื่องนี้ นายน์เอาแต่ใจและไม่ยอมคุยอย่างคนโตโตกันแล้ว
แต่ทั้งนายน์และเท็นก็ต้องปรับกันไปจนกว่าจะจูนกันได้
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP11 [Update 21-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 21-11-2018 13:59:20
EP11… 




      “นายน์ลงมาพอดีเลย  มาช่วยแม่กล่อมเท็นหน่อยสิ”

     “กล่อม?  กล่อมทำไมแม่”

     “ก็กล่อมให้กินยาน่ะสิ”

     “หา?!”

     “เท็นไม่สบาย  ดูสิหน้าซีดขนาดนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีก”

     นายน์มองไปยังผู้ชายตัวเขื่องที่แม่เพิ่งบอกให้เขาช่วยกล่อมทันที  และก็เป็นจริงตามที่แม่ว่า  เพราะเท็นไม่ใช่คนผิวขาวจัดอะไรนักทำให้ดูออกชัดเจนว่าเจ้าตัวหน้าซีดขนาดหนัก   

     “นายน์ดูเท็นให้กินยาให้ได้นะลูก  เดี๋ยวจะยิ่งเป็นหนัก  วันนี้แม่มีสอนเช้า  ต้องไปแล้วจ้ะ”

     “แม่ไปเถอะ  เดี๋ยวนายน์จัดการเอง”

     ประโยคนั้นทำเอาคนที่ทำทีเป็นมองไปทางอื่นอยู่นานอย่างเขาถึงกับหันขวับมองตามคุณน้าผู้ใจดีอันเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว  เขามองตามไปตั้งแต่คุณน้าเดินไปหยิบกระเป๋ากระทั่งอีกฝ่ายพ้นไปจากประตูบ้าน  บอกตามตรงว่าก่อนจะมาที่นี่เขาชั่งใจและลังเลจนเกือบจะล้มเลิกความตั้งไปแล้วหลายหน  พอรู้ถึงสาเหตุที่นายน์ไม่แม้แต่จะพูดกับเขาเมื่อวานก็ยิ่งทำให้กลัว  ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเขาพร้อมจะกลายเป็นคนขี้ขลาดกับเรื่องของอีกฝ่ายเสมอ  และพอที่พึ่งไม่อยู่เขาจึงทำได้เพียงนั่งมองอาหารเช้าที่คุณน้าทำไว้ให้อย่างเกร็งๆ

     “ทำไมสภาพมึงเหมือนคนไม่ได้นอนมาชาตินึงแบบนี้วะ”

     น้ำเสียงที่ปราศจากแววขุ่นเคืองเหมือนเมื่อวานทำเอาคนที่กำลังหลุดลอยไปกับภวังค์เงยหน้าขึ้นมองทันควัน  นายน์กำลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา  ใบหน้าน่ารักนั้นดูเป็นปกติจนน่าประหลาดใจ  ร่างสูงหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างรอคำตอบพลางว่า  “ก็…พอดีมีงานที่ต้องส่งวันนี้  เลยต้องรีบทำให้เสร็จ”  จะให้บอกได้ยังไงว่าเอาแต่คิดมากจนนอนไม่หลับทั้งคืนก็เพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะไม่ยอมให้เข้าใกล้ 

     “กูเพิ่งรู้ว่ามึงเนิร์ด  ตั้งใจเรียนขนาดนั้นเลย?”

     “..........”  รอยยิ้มเล็กๆ นั้นทำให้เขาพูดไม่ออกราวกับตัวเองกำลังตาฝาดเห็นภาพหลอน  แม้รอยยิ้มนั้นจะเกิดจากการเหน็บเขาก็ตามที  อุตส่าห์เตรียมใจมาแล้วว่าอาจจะถูกนายน์ไล่หรืออย่างดีที่สุดก็อาจจะยอมให้เขาไปส่งแต่ก็คงจะไม่ยอมพูดอะไรด้วยเหมือนเมื่อวาน

    “งั้นก็กินให้หมด  จะได้กินยา” 

    นายน์พยักพเยิดมายังซุปข้าวโพดโรยขนมปังกรอบที่เขาเอาแต่คนอย่างเหม่อลอยโดยไม่มีทีท่าว่าจะตักเข้าปากเสียที  พาลให้คนที่ปรับอารมณ์ตามไม่ทันได้แต่พยักหน้ารับอย่างงงๆ 
 
     “ถ้ามึงกินไม่หมดกูจะฟ้องแม่  รับรองมึงโดนบ่นจนหูชาแน่  โทษฐานที่ไปดูถูกอาหารของเชฟใหญ่เขา”  ขู่สำทับไปตามจริง  เพราะแม่เขาเป็นครูสอนทำอาหารที่ซีเรียสเรื่องการกินเหลือยิ่งกว่าอะไรในโลก 

    สายตาของเขาเผลอจ้องคนที่กำลังตักซุปเข้าปากด้วยท่าทางอารมณ์ดีอย่างลืมตัวพลันคำถามในหัวก็ตีกันมั่วไปหมด  ทำไมนายน์ไม่โกรธเขาแล้ว  หรือว่าจริงๆ แล้วนายน์ยังไม่เห็นรูปพวกนั้น  ไม่น่าเป็นไปได้เพราะในเมื่อเดอะแก๊งค์จอมเผือกของนายน์คอยรายงานทุกฝีก้าวขนาดนั้น  ขนาดไม่ได้เรียนที่เดียวกันยังตามหลอกหลอนเขามาจนทุกวันนี้เลย  แถมพวกนั้นยังรวดเร็วเสียยิ่งกว่าซีเอ็นเอ็น  เพราะงั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่นายน์จะยังไม่เห็น  เขามั่นใจ 

       แล้วทำไมนายน์ถึงดูร่าเริงผิดกับเมื่อวานขนาดนี้... 

     “จะจ้องกูอีกนานมะ  รีบกินดิ!”

     คนโดนท้วงพยักหน้ารับอย่างงงๆ อีกครั้งก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักซุปเข้าปากพลางยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก  จะอะไรก็ช่างเถอะ  ไม่ถูกนายน์ไล่แถมยังดูอารมณ์ดีขนาดนี้ก็ถือการอดหลับอดนอนไล่ทักไปขอร้องเหล่าชิปเปอร์ให้ช่วยลบรูปให้ทั้งคืนไม่เสียเปล่าละนะ

     “กินให้หมดแล้วก็กินนี่เข้าไปด้วย”

     คนน่ารักตรงหน้ากำลังเปิดกระปุกยาลดไข้ที่แม่เจ้าตัววางเตรียมไว้ใส่ลงไปยังฝาขวดหนึ่งเม็ด  แล้วก็เปิดอีกขวดที่เขาไม่แน่ใจนักว่ามันคือยาอะไรหย่อนลงไปอีกหนึ่งเม็ด
 
     “อันที่จริง....”

     “อย่าเรื่องเยอะ  บอกให้กินก็กิน”

     หมดคำโต้แย้งมือเรียวรีบรับฝายาลดไข้ที่บรรจุเม็ดสีขาวและสีส้มเอาไว้แล้วลงมือจัดการกับซุปที่เหลือจนหมด  ต่อด้วยยาที่คุณหมอนายน์จัดมาให้อย่างว่าง่ายแม้ว่าจะไม่ได้ป่วยอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจก็ตาม





     “เอากุญแจมา  เดี๋ยวกูขับเอง”

     “ไม่เป็น…”

     “เอามา!”

     เท็นยื่นกุญแจให้คนตัวเล็กอย่างจำใจเพราะดูท่าว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ  อยากบอกเหลือเกินว่าอันที่จริงเขาไม่ได้ป่วย  อาจจะมีอาการปวดหัวนิดหน่อยเพราะแทบจะไม่ได้นอน  นอกนั้นก็มีเพียงแค่ความอ่อนเพลียและง่วงจนตาแทบปิดเท่านั้น

     ทว่าพอขึ้นรถปุ๊บ  เจอแอร์เย็นๆ แถมเพิ่งจะรู้เอาตอนนี้เองว่านายก์ขับรถนิ่มมาก  มากเสียจนหนังตาของคนที่อัดซุปข้าวโพดมาจนเต็มท้องเริ่มจะต่อสู้กับความง่วงไม่ไหว  เขาพยายามฝืนหนังตาหนักๆ อยู่หลายต่อหลายครั้งทว่าในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานได้

     เครื่องยนต์ถูกดับลงเมื่อขับฝ่าการจราจรมาถึงคณะของคนที่หลับอยู่  หันไปมองเจ้าของรถก็พาลให้รู้สึกหนักใจที่ต้องปลุก  สภาพดูไม่จืดเลยจริงๆ  ทว่าท้ายที่สุดเขาก็เอื้อมมือไปเขย่าแขนคนป่วยเบาๆ  เรียกอยู่สักพักเจ้าตัวถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองเขาด้วยอาการมึนงง 

     “ถึงแล้ว”

      เท็นมองไปรอบๆ พยายามปรับม่านตาที่พล่าเบลอให้โฟกัสเสียทีก่อนจะมองออกไปนอกกระจกและพบว่ามันไม่ใช่คณะของนายน์อย่างที่ควรจะเป็น  ทำเอาตาสว่างขึ้นมาทันที  “ทำไมมาที่นี่ล่ะ”

     “เห็นสภาพมึงแล้วก็ไม่อยากให้ขับรถไง  ไปละ”

     “เดี๋ยว!  กูโอเคแล้ว  ให้กูไปส่งดีกว่า”

     “ไม่ต้อง  ส่งกันไปกันมาไม่ต้องเรียนกันพอดี  เออ!  แล้วตอนเย็นก็ไม่ต้องมารับนะ  กูจะกลับเอง”

     “กูไปรับได้!”  พอได้ยินคำว่าไม่ต้องมารับคนที่หลงดีใจได้ไม่ถึงครึ่งวันอย่างเขาถึงกับหน้าเสีย  แถมตอนนี้นายน์ยังทำหน้าเหม็นเบื่อสุดๆ ที่เขาเอาแต่ถามไม่เลิก

     ร่างเล็กมองคนหน้าซีดตาแดงก่ำแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างปลงไม่ตก  “ดูสภาพมึงดิ  อีกนิดนึงก็ซอมบี้แล้วมั้ย”

     “..........”

    “ไปเรียนให้ไหวก่อนเถอะค่อยมาห่วงคนอื่น”

     “..........”

     คำตอบนั้นราวกับภูเขาที่ถูกยกออกจากอก  ไม่เพียงรู้สึกโล่งที่ไม่เป็นตามอย่างที่กลัว  หัวใจยังพองโตขึ้นมาอีกสิบระดับเพราะนั่นแปลว่าอีกคนกำลังเป็นห่วงเขาอยู่  ใช่ไหม?  “กูไม่เป็นไร  กินยาที่มึงให้แล้วเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”  อันที่จริงเขาตั้งใจจะโดดเรียนไปนอนตายที่คอนโดฯไอ้ดิมแล้วค่อยตื่นไปรับนายน์กลับบ้าน  ไม่งั้นมีหวังคงได้หลับในกลางทางแน่ 

     “บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องดิ”

     “4 โมงเจอกันที่หน้าตึกเหมือนเดิมนะ”

     “ป่วยแล้วดื้อหรอวะ”

     “……….”

    “ไม่ต้องกลัวกูหายขนาดนั้นก็ได้  บ้านก็รู้แล้ว เบอร์โทรศัพท์ก็มีปะ”

     “..........”

     “เรียนเสร็จก็กลับไปนอนพักเหอะ  กูไม่อยากทรมานคนป่วย”

    “..........”

     “เกิดเป็นหนักขึ้นมาจะมาโทษกูไม่ได้นะ”

    “..........”

     “เข้าใจที่กูพูดป่ะเนี่ย”

     คำพูดที่ราวกับจะต่อว่าแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอยู่ในทีทำเขาได้แต่เงียบเพราะกำลังพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้ม  ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวพูดไปเพราะแสดงน้ำใจตามประสาเพื่อนมนุษย์หรือกำลังเป็นห่วงเขาจริงๆ กันแน่  แต่ขอคิดเป็นอย่างแรกละกัน  เท็นพยายามเก็บรอยยิ้มให้มิดชิดที่สุดขณะสายตายังเอาแต่จับจ้องไปยังคนที่พอต่อว่าเขาเสร็จก็ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ
 
     มีใครเคยบอกไหมว่าเวลานายน์ทำตัวเกรี้ยวกราดแต่มันกลับยิ่งดู...น่ารัก
 
     “แปลว่าถ้าตามตัวไม่เจอ  กูบุกบ้านมึงได้เลยใช่ปะ”

     คนถูกถามขมวดคิ้วก่อนจะเสมองไปทางอื่น  เจ้าตัวไม่ยอมตอบคำถามในทันทีแต่เลือกจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่เบาะหลังโดยทำเป็นไม่สนใจสายตาของเขาที่จ้องมองอยู่ตลอดเวลา  ทุกอากัปกิริยาล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
 
     “.....ถ้ามึงไม่กล้วกูแจ้งตำรวจก็เอาดิ” 

     คนเกรี้ยวกราดที่โคตรจะน่ารักของเขาทิ้งทายไว้เพียงเท่านั้นก็ลงจากรถไปทันที  ปล่อยเขาทิ้งไว้กับความรู้สึกดีๆ แล้วก็ได้แต่ยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า





     ร่างสูงนอนหลับเป็นตายอยู่บนโซฟาตัวเขื่องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าห้องทั้งห้องมีเพียงความมืด  บิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบก่อนจะเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องห้วยความเคยชิน  มือเรียวควานหาสวิตซ์ไฟเพียงไม่กี่วินาทีถัดมาห้องก็กลับมาสว่างอีกครั้ง  สาวเท้ากลับไปยังโซฟาตัวเดิม  ทิ้งตัวลงนอนอย่างเกียจคร้านก่อนจะคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาเช็คดูความเคลื่อนไหวเสียหน่อย 

     เขาไม่ได้เข้าเรียน  หลังจากที่นายน์ไปแล้วเขาก็โทรจิกไอ้ดิมให้เอากุญแจคอนโดมาให้  พอพาตัวเองมาถึงที่นี่ได้ก็หลับเป็นตายอยู่ที่โซฟาไม่ได้กระดุกกระดิกไปไหนอีกเลย  ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาหาอะไรใส่ท้อง  นิ้วเรียวกดรหัสปลดล็อคโทรศัพท์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปฏิบัติการล่ารูปเมื่อคืนเขาก็ยังไม่ได้แตะมันอีกเลย   แล้วก็เป็นไปตามคาด  นึกอยู่แล้วว่าต้องโดนไอ้พวกชอบก่อนกวนความสงบโทรมาจิก  ดีที่เขาปิดเสียงเอาไว้ไม่งั้นมีหวังคงไม่ได้นอน 

     มิสคอลสองสายจากไอ้มาวินและไอ้ดิม  อีกสามสายจากไอ้นนท์และไอ้เจต  สงสัยพวกมันจะช่วยกันโทร  ไหนจะข้อความไลน์อีกเพรียบ 

     เขาข้ามพวกมันไปก่อนอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด  ก่อนจะมาสะดุดกับข้อความตอบกลับจากแอพสีน้ำเงินเพจที่คุณก็รู้ว่าใคร  นิ้วเรียวกดเข้าไปอ่านทันทีด้วยความอยากรู้ 

     ‘พี่เท็น!!!!  หนูขออนุญาตกรี๊ดนะคะ  อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  ในที่สุดพี่ก็รับรู้ว่ามี19ชิปเปอร์อย่างพวกหนูอยู่บนโลกใบนี้  ฮรือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
 
     โอเคค่ะพี่  หนูเข้าใจพี่เท็นกับพี่นายน์นะคะ ขอโทษทีหนูมาช้าค่ะ  พอดีช่วงนี้แก๊งแอดมินติดภารกิจกันหมดเลย  หนูจัดการลบรูปในเพจแล้วเรียบร้อยค่ะ  แล้วก็บอกพวกลูกเพจให้ช่วยกันดูแล้วคอยแจ้งลบให้แล้วนะคะ  พวกหนูเข้าใจเรื่องที่พี่อยากเป็นส่วนตัวกัน  แล้วก็จะไปเตือนคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในเพจให้ด้วยค่ะ  พี่ไม่ต้องกลัวนะคะ  เดี๋ยวพวกหนูสแกนหาให้แล้วจะสั่งลบให้เองค่ะ  คราวนี้พี่สองคนก็จีบกันได้ตามสบายแล้วค่ะ  พวกหนูจะคอยเชียร์อยู่ห่างๆ นะคะ แต่ว่าขออนุญาตแคปข้อความที่พี่เท็นส่งมาลงเพจนะคะ จะได้แจ้งลูกบ้านอย่างเป็นทางการไปเลยค่ะ 

     ปล.ช่วงนี้เหมือนพี่เท็นหล่อขึ้นรึเปล่าคะ มีลูกเพจฝากถามค่ะ คนมีความรักมักจะดูหล่อขึ้นอีกนิดนึงใช่มั้ยคะ อิอิ

    ปล.2 ถ้าพี่เท็นกับพี่นายน์สะดวกให้ลงรูปได้เมื่อไหร่แจ้งหนูหน่อยได้มั้ยคะ ในระหว่างนี้หนูจะเก็บเข้าอัลบั้มลับแล้วกรี๊ดกันเองเงียบๆ รอพวกพี่ไปก่อนค่ะ

     ปล.3 วันก่อนหนูเจอพี่นายน์ที่โรงอาหารคณะด้วยค่ะ  คือน่ารักมากจนอยากอุ้มกลับบ้านเลยฮรือออออ  แต่อย่าบอกี่นายน์นะคะว่าหนูแอบไปส่องมา  แหะๆ 

     ปล.4  หนูชื่อสลิมนะคะ เป็นแอดมิน19รุ่น4ค่ะ รักพวกพี่ที่สุดเลยนะคะ’

     เท็นอ่านแล้วก็ได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยนๆ ไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือร้องไห้ดี  แต่ก็ถือว่าการสื่อสารของเขาประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่งล่ะนะที่ทำให้น้องเขาลบรูปได้  แค่สงสัยอยู่อย่างนึงว่าน้องมาเจอนายน์ที่โรงอาหารคณะได้ยังไง  คารวะในความชอบของพวกน้องๆ เขาจริงๆ ให้ตาย 

     ว่าแต่....  จะยอมลบกันง่ายๆ ขนาดนั้นจริงหรือ  คิดได้ดังนั้นเท็นก็เข้าไปที่หน้าเพจทันที  ฟีตล่าสุดเป็นข้อความยาวเหยียดที่มีลูกสมุนกดถูกใจไปแล้วสองพันกว่าและคอมเมนต์อีกเกือบพัน  สมาชิกเยอะแยะกันขนาดนี้เลยหรอเนี่ย

     *ปุกาศ!  ปุกาศ!*  เนื่องจากการลงรูป‘โมเม้นนนนนนนน’ เมื่อวาน(ตามที่ทุกคนได้เห็นและฟินไปถึงดาวเสาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น) และทุกคนคงจะงงหรือบางคนอาจจะไม่งงเพราะน้องๆ ในนี้บางส่วนคงโดนพี่เท็นทักให้ลบรูปไปแล้วเนาะ  ส่วนของทางเพจเองจึงขอลบอัลบั้มนั้นออกด้วยเช่นกัน

      เนื่องจากท่านกัปตันของเราได้ส่งข้อความมา(ตามภาพ)  กัปตันตัวจริงเสียงจริงไม่มีติงนังนะคะ  อย่างที่รู้กันว่าเฟสฯจริงของพี่เท็นมีแค่อันเดียว  แอคเดียวแอคเดิมเท่านั้น  และแอดมินได้ทำการขออนุญาตเอาข้อความที่พี่เท็นส่งมาเผยแพร่แล้วเรียบร้อย  กรุณาอ่านสารจากท่านกัปตันและขอความกรุณาเข้าใจพี่ทั้งสองคนด้วยนะคะ  มีเพื่อนบอกเพื่อนมีหลานบอกหลานช่วยกันสอดส่องรูปตามที่ต่างๆ แล้วแจ้งให้คนที่โพสต์ทำการลบด้วยนะคะ

     ตอนนี้พี่ทั้งสองคนขอคืนพื้นที่เพื่อความเป็นส่วนตัวก่อนค่ะ สะดวกใจจะให้เผยแพร่รูปได้เมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกทีนะคะ  ในระหว่างนี้ขอความกรุณาทุกคนที่มีรูปไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่  รบกวนให้ฟินอยู่ในพื้นที่ของตัวเองไปก่อน(แต่ถ้าจะส่งมาให้แอดฟินด้วยก็จะเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง55555555555) 

     สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของพี่ๆ ด้วยนะคะ ถ้าไม่สำคัญจริงๆ พี่เท็นคงไม่ส่งข้อความมาขอร้องแบบนี้เนาะ  เชื่อว่า19ชิปเปอร์ทุกคนน่ารักมากๆ อยู่แล้ว  ยังไงก็ฝากทุกคนรักษาความรู้สึกของคู่จิ้น(คู่จริง อริอริ)ของเรากันให้มากๆ นะคะ  เผื่อมีข่าวอะไรดีๆ พี่เขาจะได้อยากมาแชร์กับเราในอนาคตเนาะ 

     ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ  รัก (แอดนุ่มนิ่ม)

     เท็นไล่อ่านข้อความในคอมเมนต์ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เข้าใจและยอมทำตามแต่โดยดี  จะมีบ้างที่งอแงและดูท่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องห้าม 
   
     หวังว่าต่อไปนี้เขาจะเดินกับนายน์โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนแอบถ่ายรูปไปโพสต์ที่ไหนอีกเลยนะ  ขอร้องล่ะ!





                                             **************************************


 
     เท็นขับรถมารอนายน์หลังเลิกเรียนเหมือนอย่างทุกวัน  บางวันที่ตารางเรียนของเขาเสร็จก่อนอีกคนก็ถือว่าโชคเข้าข้างไป  แต่วันไหนที่เลิกหลังนี่ต้องย่องออกมาจากห้องก่อนทุกที  ทุกวันนี้เพื่อนเห็นหน้าเขาก็เอาแต่ด่าว่าจะหมดอนาคตเพราะมัวแต่ตามจีบนายน์นี่แหละ  ทำไงได้  ก็คนมันอยากทุ่มเทดูสักตั้ง  ต่อให้สุดท้ายแล้วต้องรับประทานแห้วก็ถือว่าได้พยายามแล้วล่ะนะ  อย่างน้อยหลังๆ มาเวลาอยู่ด้วยกันนายน์ก็ดูผ่อนคลายขึ้น  พูดคุยกับเขามาขึ้นกว่าเมื่อก่อน  เหมือนว่าเจ้าตัวกำลังเปิดใจรับเขาทีละน้อย  ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี 

     มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นระหว่างรอ  เขายังคงไม่ดับเครื่องเพราะคิดว่าอีกไม่นานคนที่รอก็คงจะลงมา  ปกติเขาก็เป็นฝ่ายมารอนายน์ตลอดอยู่แล้ว  ต่อให้อีกฝ่ายช้าเป็นชั่วโมงเขาก็สามารถรอได้ด้วยความเต็มใจ  อานุภาพของความรักมันก็เป็นแบบนี้แหละ  แค่ได้อยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายเขาก็แฮปปี้แล้ว  ยอมรับว่าออกจะเกินไปนิด  แต่เขามันคนที่ได้แต่แอบรักแถมยังเลิกหวังไปแล้วด้วยซ้ำ  บอกตามตรงก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าเขาจะชอบนายน์ได้มากขนาดนี้

     Rrrrrrr  Rrrrrrr…

     เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเปลี่ยนจากหน้าฟีตในอินสตาแกรมเป็นชื่อของใครบางคนที่ทำให้เขายิ้มออกอย่างง่ายดาย  เท็นกดรับและกรอกเสียงกลับไปทันที  “ครับ”

     “อยู่ไหน”

     “ใกล้ๆ กับเมื่อวาน”

     “ถึงแล้วหรอ  โทษทีว่ะ  กูต้องคุยงานกับเพื่อนต่อ  น่าจะอีกซักชั่วโมงสองชั่วโมง  มึงกลับไปก่อนเลย  เดี๋ยววันนี้กูกลับเอง”

     “ไม่เป็นไร  รอได้”

     “มันนานนะ”

      “อืม”

     “แล้วจะไปรอที่ไหน”

     “แถวๆ นี้แหละ”

     “อย่าบอกนะว่าจะติดเครื่องรอตรงที่จอดรถไปเรื่อยๆ น่ะ”

     “เดาเก่ง”

       "งั้น...มานั่งกับกูมั้ย  มีน้ำกับขนมด้วย  เผื่อมึงหิว”

     “ได้หรอ”

     “ถ้าไม่ได้จะชวนมั้ย”

     “โอเค  งั้นเดี๋ยวเดินไปหา  มึงอยู่ตรงไหน”

     “ใต้ตึกแหละ  กลุ่มใหญ่ๆ เสียงดังๆ อ่ะ  เดินมาเดี๋ยวก็เห็นเอง”

     “โอเค”






     นายน์ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการเลือกหัวข้อรายงานต้องยอมละสายตาจากชีทในมือเพราะแรงกระทุ้งตรงสีข้างจากมิ้นต์เพื่อนคนสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ  “อะไรของมึง”

     “โน่นๆ  เดินหล่อมาโน่นแล้ว”

     คนถูกก่อกวนมองตามสายตาของเพื่อนไปจนเห็นว่าคนตัวสูงกำลังเดินตรงมาทางเขาด้วยท่าทางสบายๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว 

     “พักนี้ตัวติดกันดีจังเนาะ  ตกลงยังไงเนี่ย  มึงไม่เหม็นขี้หน้าเค้าแล้วจริงดิ”

     “ก็เคยตอบไปแล้วปะ  จะถามอะไรเยอะแยะ”  นายน์ขมวดคิ้วมุ่นใส่เพื่อนตัวดีก่อนจะทำทีเป็นสนใจชีทในมือต่อ 

     มิ้นต์เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเขา  และก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่เขาบ่นเรื่องไอ้หน้าหล่อให้ฟังอยู่บ่อยๆ(หมายถึงเมื่อก่อนน่ะนะ)  ตอนแรกก็ยังไม่ได้บอกใครหรอกว่าอีกฝ่ายคอยมารับมาส่ง  แต่ดันโป๊ะแตกเข้าให้เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนจะลงจากรถ  เขาบังเอิญจ๊ะเอ๋เข้ากับมินต์อย่างจังเพราะเพื่อนตัวดีดันมาจอดรถข้างกันกับเท็น  แถมยังมาพร้อมกันเป๊ะอย่างกับนัดเวลาไว้  ก็เลยโดนจับซักจนซีดเลยต้องยอมตอบไปแบบส่งๆ ว่าบังเอิญมีโอกาสได้เคลียร์กัน  ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย

     “ก็มันแปลกนี่หว่า  ใครที่ไหนเค้าจะยอมมานั่งรอรับรอส่งขนาดนี้วะ  แบบนี้มันจีบอยู่ชัดๆ”

     “เพ้อเจ้อ!”

     “มึงนั่นแหละที่ไม่ยอมรับความจริงไอ้นายน์!  แล้วกูก็...”

     “หวัดดี  ขอนั่งด้วยคนนะ”

     เสียงของคนมาใหม่หยุดเจ้าหนูจำไมได้ชะงัด  มิ้นต์หันไปส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้คนตรงหน้า  ก่อนจะพยักเพยิดบอกอีกฝ่ายกลายๆ  “ตามสบายเลย”

     “มาขัดจังหวะรึเปล่า”

     “ไม่เลย  กำลังคุยเล่นกันเฉยๆ  ยังไม่เริ่มทำอะไรเลยเนาะนายน์เนาะ”

     ร่างเล็กเหลือบตามองคนตีเนียนแล้วก็ได้แต่กรอกตาอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นดวงตาวิบวับของเพื่อนตัวดี  นี่เขาตัดสินใจผิดใช่มั้ยที่เรียกอีกฝ่ายมานั่งด้วยกัน  ก่อนจะโทรไปก็มัวแต่คิดว่าอีกนานกว่าเขาจะเสร็จธุระ  กลัวอีกฝ่ายจะรอจนเฉาตายไปซะก่อน  ไม่ทันคิดว่าแทนที่จะได้นั่งคิดงานอย่างสงบสุขกลับกลายเป็นเปิดศาลไคฟงให้ยัยมิ้นต์สอบสวนเขากับเท็นไปเสียฉิบ  เฮ้อออ! 

     “เอ้อ!  ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย  ...เราชื่อมิ้นต์นะ  ส่วนไอ้นี่ชื่อเต็ม  บอด์น  สกาย  จีน  แล้วก็น้ำมนต์  พวกมึงนี่เท็น  เพื่อนไอ้นายน์มัน”

     “หวัดดี/หวัดดี”

     “เจอตัวก็ดีละ  วันนั้นไม่ทันได้มีเวลาคุย  ถามหน่อยดิ  ทำไมเมื่อก่อนสองคนถึงไม่ถูกกันอ่ะ?”

     คำถามของมิ้นต์ทำเอาเขาที่พยายามจะตั้งใจกับรายงานตรงหน้าเป็นอันสะดุด  นายน์เงยหน้าขึ้นสบตากับคนฝั่งตรงข้ามเป็นครั้งแรก  และอีกฝ่ายก็กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มมุมปาก  พาลให้คนที่คิดอะไรช้าเป็นทุนเดิมอย่างเขาถึงกับไปไม่เป็น  เลยเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายชิงตอบไปเสียก่อน 

     “อุบัติเหตุน่ะ  บังเอิญไปทำนายน์เจ็บตัวเลยโดนเกลียดขี้หน้ามาตั้งแต่ตอนนั้น”

     “แค่เนี๊ยะ?!”

     “เรื่องอื่นให้นายตอบดีกว่า”

     “ยังไงมึง!”

     คนที่จู่ๆ ก็โดนโยนบ่วงใส่กันดื้อๆ ถึงกับหน้าเหวอ  พอโดนทั้งเพื่อนทั้งอีกคนคาดคั้นทางสายตาหนักเข้าเขาเลยทำทีเป็นขมวดคิ้วมุ่นกลบเกลื่อน  “ไร้สาระว่ะมิ้นต์”

     มิ้นต์เปะปากใส่คนช่างแถทันที  “ดูมันดิ  ปากแข็งอย่างกับอะไรดี”

     “มึงอย่าพูดมากได้มั้ย  มาช่วยกูคิดงานเนี่ย  จะได้เสร็จเร็วๆ”

     “ก็กูยังคุยกับเท็นไม่เสร็จ  .....จริงๆ ช่วงนี้ก็มารับไอ้นี่ทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรอ  ไม่ต้องไปรอในรถหรอก  มานั่งรถใต้ตึกก็ได้นะ  ลมเย็นดีออก”

     “ไม่ใช่เรื่องของมึงมะ”

     “ไม่ใช่เรื่องของกูแต่กูสงสารเท็นไง  มึงก็ชอบโอ้เอ้ลงมาช้าทุกวัน”

      “โอ้เอ้อะไร  ก็อาจารย์ชอบปล่อยเลท”

     “อย่าๆๆ นายน์  จารย์ไม่ได้โหดขนาดนั้น  บางวันกูเห็นมึงนั่งเล่นมือถือสบายใจเฉิบเหมือนคนไร้บ้านเถอะ”

     เขาเหลือบมองคนฝั่งตรงข้ามทันทีที่ยัยเพื่อนจอมเผาพูดประโยคนั้น  แต่เท็นก็ยังคงเอาแต่ยิ้มนิดๆ เหมือนเดิมอย่างไม่ทุกข์ร้อน  ไม่แน่ใจว่าฟังที่คนสวยแต่เพี้ยนแบบยัยมิ้นต์พูดรู้เรื่องไหม  นายน์หันกลับมายัดชีทในมือตัวเองใส่มือมิ้นต์แล้วตามด้วยสมุดกับปากกา  “หยุดพูด  แล้วก็ทำนี่ซะ” 

     “ดูไว้เลยนะเท็น  เนี่ย  เวลามันทำอะไรผิดมันจะเป็นแบบนี้”

     เสียงหัวเราะดังขึ้นทันทีและยิ่งทำให้เขาต้องปั้นหน้าบูดส่งสายตาไปยังเพื่อนคนสวยอีกรอบ  มือเล็กเลื่อนชาเขียวขวดของตัวเองที่ดื่มไปแค่ครั้งเดียวไปให้เท็นอย่างไม่ทันได้คิดอะไรเพราะอยากจะดึงความสนใจออกจากเรื่องที่เขาชอบดึงเวลาเพื่ออีกคนจะได้รอนานๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งอีกฝ่ายหรอกนะ ก็แค่อยากจะทดสอบอะไรบางอย่างก็เท่านั้น

     “ของใคร”

     คนถูกถามเพิ่งคืนสติในวินาทีนั้นสีหน้าเลยหลุดอาการเก้อๆ ไปเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมไปคว้าหลอดในถุงขนมที่เพื่อนไปหอบมาจากเซเว่นส่งให้คนตรงหน้าแทน  มองก็ทีก็เอาแต่ยิ้มแบบนี้ทุกที  ไม่รู้หรือยังไงว่ามันทำให้คนอื่นทำตัวไม่ถูก!  “ถ้ามึงรังเกียจก็เอานี่ไป”

     “เปล่า  ไม่ได้หมายความแบบนั้น” 

     เท็นไม่ยอมรับหลอดในมือเขาแต่เลือกจะหยิบหลอดที่อยู่ในขวดขึ้นมาดูดแทน  แถมยังจะยักคิ้วส่งมาให้กันอีก  ไอ้คนกวงทิงนี่!
 
     “แหนะๆๆ  มีจ้องจงจ้องตากันด้วยอ่ะ”

     “หยุดเลย!”

     “เขินหรอ”

     “มิ้นต์!”





                                             ***********************************
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP11 [Update 21-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-11-2018 15:41:51
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP12 [Update 22-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 22-11-2018 23:04:05
EP12… 




     นายน์มองไปรอบๆ ร้านด้วยความสนใจก่อนจะสะดุดเมื่อหันมาเจอเข้ากับสายตาของไอ้เพื่อนตัวดีที่ไปลากเขาถึงบ้านเพียงเพราะมันอยากเมา  เคนมองเขาตาไม่กระพริบ  พอลองเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเพราะไอ้คนจ้องมันไม่ยอมหลบสายตาแถมเอาแต่จ้องเขม็งอย่างกับตำรวจสอบปากคำผู้ร้าย  แต่ไม่วายก็ยังไม่ยอมหือยอมอืออยู่ดี  “เพิ่งกินไปไม่กี่แก้วมึงเมาแล้วเหรอวะ”

     “มึงนั่นแหละ”

     “กูเนี่ยนะ  ยังไม่ได้แตะซักคำจะไปเมาได้ยังไง”

     “บอกความจริงมา!”

     “อะไรของมึง”

     "มึงคบกับมันใช่มั้ย”

     “สตงสติไปหมดละ”

     “มึงชอบมันแล้วใช่มั้ยกูดูออก”

     ยิ่งมันพูดก็ยิ่งรู้สึกถึงเคล้าลางไม่ดี  นายน์เลยดีเนียนไม่สนใจโดยการยกแก้วเหล้าที่ไอ้ซ้งชงให้ขึ้นดื่มก่อนจะหันไปมองวงดนตรีที่เล่นอยู่บนเวที  ร้านนี้เป็นร้านรุ่นพี่คนสนิทของไอ้ซ้งมัน  เขาก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าไอ้วันที่เกิดเรื่องพวกมันมาเมาหัวลาน้ำตั้งแต่หัววันอยู่ที่นี่เลยไม่มีใครยอมรับโทรศัพท์เขาสักคน  ให้มันได้อย่างนี้สิ! 

     “นั่นไง  มึงมีพิรุธจริงๆ ด้วย”

     อุตส่าห์ทำเป็นไม่สนใจและเห็นว่ามันเงียบไปนาน  สรุปคือมันยังเอาแต่จ้องเขาตาไม่กระพริบเหมือนเดิม  ขนาดเหล้าเข้าปากแบบนี้ยังไม่วายจะเผือกอีกนะมึง!  นายน์ส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนจะสะกิดเรียกไอ้เกมส์ที่นั่งอยู่ข้างๆ  “มึงดูมัน  กูว่าหนักละ”

     “เออ  ปล่อยแม่งเหอะ  มันเพิ่งโดนหักอกมาก็เลยบ้าๆ บอๆ อย่างที่มึงเห็นนี่แหละ”

     “ใครอีกแล้ววะ”

     “จอยอักษร”

     “ไม่เคยได้ยินว่ะ  ก่อนหน้านี้มันตามจีบคนที่ชื่อข้าวฟ่างอะไรซักอย่างไม่ใช่หรอ”

     “ข้าวฟ่างอ่ะนะ  ก็โดนเค้าปาแห้วใส่ไปแล้วไง  โชคดีของมึงที่บ้านไม่ได้อยู่ใกล้มัน  รำคาญชิบหาย”

     นายน์ฟังเกมส์บ่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะ  ไม่รู้จะสงสารใครดีระหว่างคนอกหัก(ถี่)กับคนที่ต้องคอยฟังคนอกหักเพ้อเจ้อใส่ 

     “เออๆ  มึงก็ฟังๆ มันไปเถอะ  ถือว่าทำบุญ” 

     “เออ  แล้วมึงเป็นไงบ้างวะ”

     “ก็เรื่อยๆ”

     “ดีละ  มา!  ชนหน่อย  หมดแก้วนะเว้ย”

     “หมดแก้วเลยหรอวะ”

     “เออ  นานๆ เจอกัน  ไม่ต้องกลัว  ถ้ามึงหลับคาโต๊ะอีกเดี๋ยวกูพาไปส่งบ้านเอง”

     “พูดแล้วนะ”

     “เออ”

     “กูจะบอกแม่ว่าโดนพวกมึงเอาเหล้ากรอกปากด้วยนะ”

     “ตามสบาย  แม่มึงใจดีจะตาย  กูไม่กลัวหรอก”

     “ฮ่าๆๆ”

   



     “กูง่วงจะตายห่าละ  มันไม่มาแล้วมั้ง  มึงเตรียมตัวจ่ายค่าเหล้าวันนี้ได้เลยไอ้เคน”

     “ยังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่งโมง  พวกมึงสองตัวนั่นแหละเตรียมนับเงินเลยดีกว่า”

     “มั่นมากมั้ง  กูจะคอยดูตอนมึงยืมเงินค่ารถพวกกูกลับบ้าน”

     “ชาติหน้าก็อย่าหวัง  มันมาโน้นแล้ว”  เคนยักคิ้วกวนอารมณ์เพื่อนอีกสองชีวิตที่กำลังหันขวับมองไปยังทางเข้าร้านเป็นตาเดียว  ก่อนจะหันไปโบกมือให้คนมาใหม่ที่มาทั้งกางเกงวอร์มเสื้อยืด  ดูก็รู้ว่าคงแทบจะบึ่งออกมาทันทีที่เขาส่งรูปไอ้นายน์เมาหลับคอพับคออ่อนไปให้  หึ!

     “แม่งมาจริงๆ ด้วยว่ะ”

     “กูไม่น่าเชื่อมึงเลยไอ้เกมส์  ซวยกระเป๋าเงินกูแล้วมั้ยล่ะ!”

     “ไงมึง  ไม่เจอตั้งนานหล่อชิบหายเหมือนเดิม”  เคนเอ่ยทักคนมาใหม่ทันทีที่เจ้าตัวเดินมาถึงโต๊ะของพวกเขา

     “ทำไมมันเป็นแบบนั้นวะ”

     ไม่เพียงไอ้หล่อจะไม่ทักกลับแต่สองตามันไม่ยอมแลกันเลยด้วยซ้ำ  เอาแต่จ้องเพื่อนนายน์ของเขาด้วยหน้าตื่นๆ  อาการหนักเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ไอ้นี่!  “ใจเย็นๆ  มันแค่เมา”

     “อย่าบอกนะว่าพวกมึงแกล้งมอมเหล้ามันน่ะ”

     “รู้ทันตลอด”

     “งั้นกูพามันกลับเลยนะ  แล้วนี่พวกมึงโทรไปบอกแม่นายน์รึยัง  เดี๋ยวเค้าเป็นห่วง”

     “เรียบร้อย”

     ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะก้มลงเพื่อมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่อง  แก้มด้านข้างที่หนุนอยู่ขนแขนของเจ้าตัวแดงก่ำบอกชัดเจนว่าคงจะดื่มเข้าไปไม่น้อย  ก่อนจะเอื้อมมือลองเขย่าเบาๆ  “นายน์  นายน์”  ทั้งเรียกทั้งเขย่าก็ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล  เท็นเงยหน้าขึ้นมาขอความเห็นจากเคนอีกรอบ  “ถ้ากูอุ้มจะโดนมันต่อยมั้ยวะ”

     “แค่พยุงก็พอมั้งมึง” 

     เท็นยิ้มรับคำตอบนั้น  เขารู้นิสัยเพื่อนนายน์ดี  ก็ดูเหมือนจะเปิดทางให้แต่ก็โพเทคเพื่อนสุดๆ ในเวลาเดียวกัน  “ถามไปงั้น”  ว่าพลางก้มลงไปหิ้วปีกคนเมาขึ้นมาอย่างเบามือที่สุด   ได้ยินเสียงเจ้าตัวเหมือนจะงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์  เท็นล้วงกระเป๋าหากุญแจเตรียมไว้เสร็จสรรพ  “งั้นกูไปก่อนนะ  เจอกัน”

      “เฮ้ยๆ  อย่าเพิ่ง”

     เท้าที่ทำทีจะก้าวเดินเป็นอันให้ชะงัก  ร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเคนที่กำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ  สงสัยจะไม่ไว้ใจเขาเลยอยากช่วยพยุงอีกแรงล่ะมั้ง

     “วันนี้กูนอนบ้านมัน  เพราะงั้น…กูไปด้วย”

     “………”  ก็ในเมื่อว่ามาอย่างนั้นแล้วเขาจะไปขัดอะไรได้  ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะรู้สึกตะขิดตะขวงก็เถอะ  แต่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับนายน์สักนิดมีสิทธิ์อะไรจะไปหวงหรือห้ามเจ้าตัวได้  อีกอย่างเคนก็เป็นเพื่อนสนิท  ก็คงจะไปนอนค้างบ้านกันแบบนี้อยู่บ่อยๆ ล่ะมั้ง! 

     “ทำไมทำหน้างั้นวะ”

     “เปล่า”

     เท็นไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากนั้น  เขาเดินพาคนเมานำเคนที่ขอคุยกับเกมส์และซ้งอีกนิดหน่อยกระทั่งถึงรถที่จอดไว้ไม่ไกลจากร้านมากนัก  แขนแกร่งกระชับโอยเอวอีกคนเอาไว้ให้มั่นยิ่งกว่าเดิมเพื่อจะเปิดประตูรถ  ทว่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลังเสียก่อน

     “เดี๋ยวกูเปิดให้”

      เท็นหันไปก็เจอเคนที่กำลังเดินกึ่งวิ่งมาเพื่อจะเปิดประตูให้  เขาเลยก้มสำรวจคนในอ้อมแขนแทน  นายน์ปรือตาเหมือนพยายามจะลืมขึ้นอยู่สองสามครั้งแต่ก็ดูไม่มีสติพอขนาดจะเข้าใจสถานการณ์  พอเคนเปิดประตูด้านข้างคนขับให้  เขาก็จัดการพาคนตัวเล็กเข้าไปนั่งข้างในทันที  เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นตอนที่เขายกเท้าอีกฝ่ายเข้าไปในรถ  งัวเงียขึ้นมาผลักหน้าเขาสองสามหนตอนที่พยายามจะคาดเข็มขัดให้  ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันก็ชิงหนีไปนอนหลับสบายที่หลังรถเรียบร้อย  เท็นละสายตาจากคนเบาะหลังกลับมาหาคนตรงหน้าอีกครั้ง  นิ้วเรียวเกลี่ยปรอยผมที่ตกลงมาบดบังดวงตาออกให้อย่างเบามือพลางยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     เวลาหลับแล้วดูเหมือนเด็กยิ่งกว่าเดิมอีก






     ของเขาจอดรถลงยังหน้าบ้านหลังเดิมที่พักนี้มาทั้งเช้าทั้งเย็นจนแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว  เขามองผ่านกระจกมองหลังไปยังคนที่ส่งข้อความให้เขาไปรับนายน์ก่อนเป็นอย่างแรก  และเจ้าตัวก็ยังหลับเป็นตายไม่รู้เลยว่าพามาถึงที่หมายแล้วเรียบร้อย  ก่อนจะละสายตากลับมายังอีกคน  ชั่งใจว่าควรจะปลุกอย่างไรดี  หรือว่าควรจะพยุงเข้าบ้านไปทั้งอย่างนี้เลย  คิดอยู่สักพักก็ยังตัดสินใจไม่ได้เลยเลือกที่จะลงจากรถไปก่อน  เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ  ก้มลงไปสำรวจใกล้ๆ พอเห็นว่าเจ้าตัวกำลังหลับสบายก็เกิดลังเลขึ้นมาอีกรอบ  เลยตัดสินใจเอื้อมไปปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนเป็นอย่างแรก 

     ทว่าระว่างที่โน้มตัวคร่อมอีกฝ่ายและกำลังเอื้อมมือเพื่อทำอย่างใจคิด  คนที่หลับอยู่ก็เกิดไอขึ้นมาเสียดื้อๆ  ทำเอาเขาผงะไปเล็กน้อย  และจังหวะที่เปลี่ยนใจกำลังจะดึงตัวกลับจู่ๆ คนตัวเล็กที่เคยนอนนิ่งอยู่บนเบาะก็ผละตัวขึ้นมาอย่างไม่ทันให้เขาตั้งตัว

     อาการคอแห้งที่คอยรังควาญไม่หยุดหย่อนจนในที่สุดก็ต้องยอมถูกกระชากออกมาจากห้วงนิทราอย่างจำยอม  นายน์ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านและก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  เขากระพริบตาขับไล่ความมึนงงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ช่วยให้เขาเข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้าขึ้นมาเลยสักนิด  กว่าจะกระตุ้นสมองเฉื่อยๆ ให้ประมวลผลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นฝ่ายผละออกไปเสียก่อน 

     และพอได้เห็นเต็มตาว่าสิ่งที่เขาเอาทั้งปากทั้งจมูกเข้าไปชนจังเบ้อเร้อเมื่อครู่ว่ามันคืออะไรอาการเมาที่มีก็ราวกับหายเป็นปิดทิ้ง  ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  “ม…มึง!  มึงมาอยู่ตรงนี้ได้ไง  แล้ว...แล้วเมื่อกี้มึงจะทำอะไรกู”

     “เปล่า!  คือกู…กูจะปลดเข็มขัดให้  แล้วก็…กำลังจะปลุกมึง  แต่ว่า…”

     ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายจบก็โดนอีกคนผลักเข้าให้อย่างแรง  หัวของเขาโขกเข้ากับขอบประตูรถดังโป๊กแต่ก็ยังไม่ทันได้เจ็บก็ต้องผละตัวขึ้นยืนเต็มความสูงพลางขยับให้พ้นทางของอีกฝ่าย  เขาไม่ทันได้เห็นสีหน้าของนายน์เพราะเจ้าตัวเอาแต่ก้มงุดแล้วก็ผุดลงจากรถ  เดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว  ทิ้งให้เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปจนกระทั่งลับสายตา

     “ถึงแล้วหรอวะ” 

     เสียงนั้นดังจากคนที่อยู่เบาะหลัง  เคนงัวเงียตื่นก่อนจะเปิดประตูลงมาอีกคน 

     “แล้วไอ้นานย์ล่ะ”

     ใบหน้างงๆ เหมือนคนยังไม่อยากตื่นที่จ้องมองมาไม่ได้อยู่ในสายตาเขาสักนิด  ในหัวของเท็นยังวนเวียนอยู่กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วเสียจนตามไม่ทันเมื่อครู่  ความรู้สึกก็พาลให้ตีกันมั่วไปหมด  ไม่รู้ว่านายน์จะเชื่ออย่างที่เขาบอกไหม
 
     “งั้นกูไปนะ  ขอบใจที่มาส่ง”

     เท็นก้มมองไหล่ตัวเองที่เพิ่งถูกคนมือหนักฟาดลงมาสองสามทีพลางพยักหน้าตอบรับอีกคนอย่างเลื่อนลอย  ก่อนจะดึงสายตากลับไปยังชั้นสองของตัวบ้านอีกครั้ง  ไฟที่สว่างวาบขึ้นส่องให้เห็นแค่เพียงม่านลางๆ ผ่านกรอบหน้าต่างบ่งบอกว่าใครบางคนได้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ  ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ แต่ที่แน่ชัดคือหัวใจของเขากำลังพองโตจนกู่ไม่กลับ  มือเรียวยกขึ้นมาลูบแก้มตัวเองตรงตำแหน่งที่อีกคนทิ้งสัมผัสเอาไว้พลางยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     ถ้าคราวนี้จะถูกโกรธก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว




 
     
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP12 [Update 22-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 22-11-2018 23:05:50
ต่อ
.
.
.



นายน์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างหลังจากยืนงงๆ อยู่กับตัวเองอยู่สองสามนาที  ก่อนจะยกมือขึ้นบีบขมับพลางหลับตาลง  อาการปวดหัวจากการดื่มแอลกอฮอล์ยังไม่น่ารำคาญเท่ากับหัวใจของเขาที่ยังเอาแต่เต้นรัวไม่ยอมหยุด  ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงติดหนึบอยู่ในหัวแถมยังเกาะแน่นอยู่ในความรู้สึกแบบที่แกะยังไงก็คงไม่ออก  อับอายขายขี้หน้าชะมัด!

     “หนีมาไม่ยอมเรียกกูเลยนะ!”

     คนตัวเล็กบนเตียงสะดุ้งเฮือกเพราะไอ้เพื่อนตัวดีที่จู่ๆ ก็โผล่มาแถมยังโพล่งซะเสียงดัง  คิ้วสวยขมวดมุ่นทันทีที่มันทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอย่างถือวิสาสะ  เอาจริงๆ ก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันขอมาค้างด้วย  แถมตอนเกิดเรื่องเมื่อครู่เขาไม่ทันได้รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่  “แล้วทำไมกูต้องหนี”  พูดแบบนี้หวังว่าแค่บังเอิญเพราะความปากดีของมัน  ไม่ใช่ว่าดันเห็นอะไรเข้าหรอกนะ!

     “นั่นดิ  ทำไมมึงต้องหนีด้วย”

     นายน์เปะปากใส่คนช่างยอกย้อนแถมยังยักคิ้วส่งยิ้มมีเลศนัยมองมาที่เขา  เห็นแล้วยิ่งพาลให้รู้สึกเสียวสันหลังแต่ยังต้องตีหน้านิ่งเข้าสู่ต่อ  “อะไรของมึง  แล้วนี่มึงสร่างเมาแล้วรึไง?” 

     “ก็คงเหมือนมึงมั้ง” 

      “กวนตีน!”

      จู่ๆ เราทั้งคู่ก็เงียบกันไปเสียดื้อๆ  ทว่าพอยิ่งเงียบก็ยิ่งรู้สึกถึงชะงักที่ปักอยู่กลางหลังชัดขึ้นเท่านั้น  ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกรนรานขึ้นมา  กลัวว่าไอ้เคนอาจจะเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในรถจนต้องหาเรื่องพูดเพื่อทำลายความเงียบ  “มึงใช่มั้ย”  หรือความจริงแล้ว
 
     เขากำลังกลัวหัวใจตัวเองที่มันเอาแต่ดันทุรังเต้นรัวไม่ยอมหยุดกันแน่ 

      “อะไร”

     “มึงเป็นคนเรียกมันมาใช่มั้ย!”  อย่าบอกนะว่าไอ้วาระเกิดอยากเมาของมึงนี่เพื่อต้องการจะแกล้งเขาตั้งแต่แรก!

     “จริงๆ กูแค่พนันกันเล่นๆ  ใครจะไปคิดว่ามันจะมาจริง”

     “ทำไมพวกมึงชั่วอย่างงี้วะ!”
 
     “ก็บอกแล้วว่าไม่คิดว่ามันจะมา”

      “ก็ชั่วอยู่ดีนั่นแหละ!  กูเพื่อนมึงนะ!”  นายน์ตวัดสายตาไปมองไอ้เพื่อนตัวดีที่กำลังแย่งหมอนข้างของเขาไปก่ายเล่นหน้าตาเฉย  แถมยังทำหน้าระรื่นไม่ได้มีแววสำนึกผิดเลยแม้แต่นิด  ไอ้เพื่อนเฬว!  มึงรู้มั้ยว่าทำให้กูต้องอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีขนาดไหน!
 
     “นายน์”  เอ่ยเรียกก่อนจะหยัดตัวนอนตะแคงหนุนฝ่ามือตัวเองเพื่อให้มองหน้าอีกคนได้ชัดขึ้น  จริงๆ ต้องบอกว่าเพื่อจะได้มองเห็นหน้าบูดๆ ของไอ้คนน่ารักได้ชัดขึ้นถึงจะถูก

     “อะไร”

     “มึงรู้ตัวปะ...ว่ามึงเปลี่ยนไปเวลาพูดถึงมัน”

      “อะไรของมึงอีก!”

      เขาจุดยิ้มเมื่ออีกคนตั้งท่าจะอารมณ์เสียหนักยิ่งกว่าเดิม  แต่เขาดูออกว่าอีกฝ่ายก็แค่ทำเพื่อกลบเกลื่อนเท่านั้น  คบกันมานานมีหรือที่เขาจะอ่านสายตามันไม่ขาด  “ก็ถ้าเป็นเมื่อก่อน  มึงต้องด่ามันก่อนแน่นอน  ถึงพวกกูจะเป็นคนวางแผนก็เถอะ”

     “..........”  ความจริงที่เขาไม่ทันได้นึกถึงเล่นเอาพูดอะไรไม่ออก  ใจจริงอยากจะเถียงกลับแต่คิดว่าคงไม่มีทางชนะคนอย่างไอ้เคนแน่นอน  นายน์หลบสายตา  มองไปยังเพดาลอย่างเลื่อนลอยพลางยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากเพื่อจะได้ซ่อนสีหน้าจากไอ้คนขี้จับผิด 

      “มันเป็นคนดีจริงๆ นะ  ถ้ามึงไม่ชอบมันแบบนั้น  บอกมันไปตามตรงเลยก็ได้  กูว่ามันเข้าใจ”

     “..........”

     “บางทีมึงอาจจะได้เพื่อนโคตรรดีเพิ่มขึ้นอีกคนเลยก็ได้  หมายถึง…ถ้ามันโอเคที่จะเป็นแค่เพื่อนมึงน่ะนะ”

     “……….”

     “อย่างน้อย  มึงจะได้ไม่ต้องไปทำบาปใคร  กูไม่รู้หรอกนะ  ว่าทำไมมึงถึงยอมให้มันไปรับไปส่งแบบนี้  แต่ที่แน่ๆ ล้อเล่นกับความรู้สึกคนมันไม่ดีนะเว้ย”

     “………”

      “แต่มึงรู้อะไรมั้ย  แค่กูลองส่งรูปตอนมึงเมาไปให้มันเล่นๆ  มันแม่งโทรกลับมาหากูทันที  กูว่าเผลอๆ แม่งพุ่งมาทั้งชุดนอนเลยมั้ง”

     “..........”

     “ตอนขับรถมาส่งอีก  ตลอดทางมันคอยหันไปมองมึงทุกสิบวิได้มั้ง  เห็นแล้วกูยังปวดคอแทน”

      “..........”

     สิ่งที่มันพูดใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิด  คนอย่างเคนตะพูดทีก็จี้เข้าตรงกลางใจดำเขาทุกทีนั่นแหละ  ไม่ใช่ว่าเขาอยากล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น  เขารู้ดีว่ามันเป็นยังไง  เพราะเขาก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว  แต่ติดอยู่ที่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้มันหมายความว่าอะไร  นายน์มองเหม่อไปยังความว่างเปล่า  ภายในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบให้มันไม่ได้ 

     หรือบางที...เขาอาจจะไม่มีความกล้าพอที่จะตอบ 

      “มึงรู้จักกูดีที่สุด  มึงว่าตอนนี้...กูเป็นยังไงวะ”  หรือบางที  เขาอาจอยากฟังจากปากคนอื่นเพื่อจะได้ย้ำว่าที่เขารู้สึกเป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่อ่อนไหวไปเองหรือแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบฉาบฉวย

     เสียงแผ่วๆ นั้นดังขึ้นจากคนที่เงียบไปนานจนนึกว่าหลับไปแล้วทำเอาคนฟังต้องขมวดคิ้วมุ่น  “อะไรคือเป็นยังไง  ถามให้ชัด”

     “มึงว่ากู...คิดยังไงกับมัน”

     อุตส่าห์ตะล่อมให้หลุดออกมาเป็นครึ่งค่อนคืนในที่สุดคนปากแข็งก็ยอมคายก้อนหินออกมาเสียที  ไม่รู้จะปากหนักไปถึงไหน  เคนไม่ตอบในทันที  เขาส่งเสียงอืมในลำคอราวกับใช้ความคิด  ทั้งที่มีคำตอบเตรียมไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว  “นี่มึงถามตัวเองหรือถามกู”  คนอย่างไอ้นายน์เล่นตรงๆ คงต้องรออีกสิบชาติ  ต้องเจอคนเหลี่ยมจัดแบบเขานี่แหละ  หึ!

     “..........”

     “ที่แน่ๆ คือมึงโคตรคิดมาก  รู้ตัวปะ”

     “.........”

     “รู้สึกยังไงก็ปล่อยไปเลยดิวะ  นี่มันยุคไหนแล้ว  ไม่มีใครเค้ามัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้หรอก”

     “กูรู้  แต่มึงเข้าใจมั้ย  เมื่อก่อนกูโคตรไม่ชอบมัน  เกลียดขี้หน้าโคตรๆ เลยด้วยซ้ำ...”

   “เมื่อก่อนก็เมื่อก่อนดิ  เกี่ยวอะไรกับตอนนี้วะ”

      “..........”

     “งั้นกูถามมึงบ้าง  มันดีกับมึงมั้ย”

     เขาหันกลับไปสบตากับเพื่อนเป็นครั้งแรก  สาบานว่าตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นไอ้เคนทำหน้าจริงจังได้เท่านี้มาก่อน  นายน์ถอนหายใจอย่างยอมจำนนก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด 

     “เห็นมะ”

     “จริงๆ มันดีเกินไปด้วยซ้ำ  ขนาดกูแกล้งมันสารพัดแต่มันก็ไม่เคยว่าอะไรกูเลย  กูรู้ว่ามันรู้  แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้  ...แล้วอีกอย่าง  มันก็...หน้าตาดีมาก  บางทีอยู่กับมันมากๆ กูก็รู้สึกแปลกๆ ว่ะ”

     ท้ายประโยคเสียงนั้นค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ แถมยังพูดไปหลบสายตาเขาไป  นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนซี้ที่รู้ไส้รู้พุงกันจนหมดเขาคงตกหลุมความน่ารักของมันอีกคน  แต่บังเอิญว่าคนอย่างไอ้เคนตะไม่ชอบอะไรยากๆ  เอ่อ  ไม่ได้หมายความว่าชอบคนง่ายๆ นะ  แต่แบบไอ้นายน์ก็ยากเกินลิมิตไปนิด  เคนเอื้อมมือไปขยี้ผมเพื่อนตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวพลางว่า  “นี่อย่าบอกนะว่ามึงเริ่มแพ้ความหล่อของมันอีกคน”

     “กูไม่ใช่มึงนะ!  กูหมายถึง  ทุกอย่างที่เป็นมันคอยก่อกวนความรู้สึกกูตลอด  ไม่รู้ดิ  กูว่าเหมือนมันรู้จุดอ่อนกู”  เขาเป็นประเภทแพ้คนใจดี  คนใจเย็น  แล้วก็มีความเป็นผู้ใหญ่  พูดง่ายๆ คือเขาแพ้ทางคนที่มีอะไรตรงข้ามกับตัวเองนั่นแหละ

     “แต่กูว่าไม่  มันก็แค่เป็นมัน  มึงเก็บอาการเก่งจะตายห่า  ใครที่ไหนจะไปรู้จุดอ่อนมึงวะ”

     “ขนาดนั้น?!”

     “เออดิ  ถ้าลองกูไม่ได้เป็นเพื่อนมึงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยนะ  กูบอกเลยว่าดูมึงไม่ออก  คนอะไรใจแข็งชิบหาย”

     “มึงอย่าเวอร์”

     “น้อยไปดิ”

     “..........”

     “มัวแต่ฟอร์มจัดเดี๋ยวก็พลาดของสำคัญหรอก  กูไม่อยากเห็นมึงมานั่งเสียใจทีหลังนะ”

     “ถามจริง  มันจ้างมึงมาเท่าไหร่”

     “จ้างก็ดีดิวะ  ที่กูทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเข้าข้างมันอะไรหรอกนะ  กูแค่รู้สึกว่า  มึงควรได้เจอคนดีๆ  จะได้ไม่ต้องอกหักซ้ำๆ แบบกู”

     “กูไม่ได้ใจง่าย  จะได้อกหักถี่ๆ แบบมึง”

     “ถุยยย!  อยากให้กูนับมั้ยนายน์!”

     “ก็นั่นมันเมื่อก่อนปะ!”

     “ครับพ่อคนใจแข็งอย่างกับหิน!  .....แต่กูพูดจริงๆ นะ  มีคนมาจริงใจด้วยขนาดนี้  รอนานเป็นปีๆ ไม่เคยได้อะไรตอบแทนความรู้สึกเลยแต่มันก็ยังชอบมึง  หาที่ไหนได้อีกวะ”

     “..........”

     ฟังมันเทศนามาถึงตรงนี้ก็เหมือนจะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น  แต่ก็ยังอดที่จะตะขิดตะขวงใจไม่ได้อยู่ดี  พูดตรงๆ เลยคือเขาฟอร์มจัดใส่เท็นมาตลอด  แล้วจู่ๆ จะให้เปลี่ยนท่าทีกันดื้อๆ มันต้องทำยังไง  ต้องขนาดไหนถึงจะไม่มากหรือน้อยไป  บอกตรงๆ ว่าแค่ลองจินตนาการเล่นๆ ก็ยังทำไม่ได้เลย  เห้อ!  นายน์หันกลับไปมองเพื่อนอีกครั้ง  และมันก็ยังคงมองมาที่เขาอย่างกับรู้ใจว่าเขายังมีเรื่องที่อยากจะพูดอีก  “แล้ว…ทำไมเป็นกูวะ”

      “เอ๊าไอ้นี่!  อยากรู้ก็ไปถามมันเองดิ”

      “มึงชอบแว๊บไปคุยกับมันไม่ใช่หรอ  มันไม่เคยบอกมึงรึไง”

      “บอก”

      “ว่า”

      “มึงปัญญาอ่อน  ขี้โมโหไปนิด  แต่ยังดีที่เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว  แล้วก็…น่ารัก”

     “ไม่ใช่ละ!”

     “จริง  ไม่เชื่อมึงลองไปถามมันดู”

     “มึงพูดเองเหอะเคน  กูไม่ได้โง่”

      “ฮ่าๆๆๆ”





                                               ***********************************


     เท็นรีบยัดหนังสือและกวาดปากกากับบรรดาเครื่องเขียนอีกสองสามอย่างที่เอาออกมาใช้ทำการบ้านเมื่อคืนลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน  ก่อนจะวิ่งไปคว้ากุญแจรถที่แขวนอยู่หน้าประตูพร้อมกับพยายามดึงถุงเท้าอีกข้างที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยไปด้วย  เขารีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพราะกลัวว่าถ้ารถติดแล้วจะพาลให้ไปสาย  อดเจอแม่นายน์เพื่อทำคะแนนล่ะเสียดายโอกาสแย่

     Rrrrrr.....  Rrrrrr.....

     โทรศัพท์ที่อยู่ในมือดังขึ้นเมื่อเขาพาตัวเองลงมาชั้นล่างแบบพอดิบพอดี  เท็นกดรับแบบไม่ทันได้มองว่าใครเป็นเจ้าของสายเพราะสายตาของเขากำลังควานหารองเท้าคู่ใจที่จำได้ว่าถอดเอาไว้ตรงชั้นล่างของชั้นวางรองเท้าแต่กลับหาไม่เจอ

     “ครับ”  กรอกเสียงไปแบบส่งๆ พลางเปิดตู้รองเท้าอีกใบและก็พบว่าไอ้เพื่อนยากของเขานอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น 

     “มึงอยู่ไหนแล้ว”

     ทว่าเสียงแผ่วเบาราวกับคนไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดของคนปลายสายก็ทำให้มือของเขาที่เตรียมจะเอื้อมไปหยิบรองเท้าออกมาสวมต้องชะงัก  “กำลังจะออกจากบ้าน” 

     “วันนี้มึงไม่ต้องมารับกูนะ”

     “ทำ…”

     “วันนี้กูไม่ไปเรียน แค่นี้นะ”

     เขากำลังจะอ้าปากถามต่อแต่อีกคนกลับตัดสายไปเสียก่อน  เท็นยืนจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วพลางในหัวยังคงคาใจกับเสียงอ่อนแรงของอีกฝ่าย  ไม่สบายหรือเปล่า  หรือว่านายน์แกล้งให้เขาเข้าใจผิดเพื่อจะหลบหน้ากันเพราะเหตุในรถวันนั้น  แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันฟังดูจริงเกินกว่าจะเป็นการแสร้งทำ  ถึงแม้จะเป็นแค่น้ำเสียงผ่านโทรศัพท์แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ  หรือจะลองเสี่ยงขับไปดูที่บ้านดี   

    Rrrrrr.....  Rrrrrr.....

     ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าควรไปดูให้เห็นกับตาหรือว่าจะยอมทำตามที่บอก  ชื่อของคนที่เพิ่งโทรมาเมื่อครู่ก็ชิงโทรเข้ามาอีกรอบเสียก่อน

     “ว่าไง”   

      “เท็น  นี่แม่เองนะลูก”

      “ครับแม่”

     “เท็นจะสะดวกมั้ยถ้าแม่มีมีเรื่องจะรบกวนเท็นหน่อยน่ะลูก”

     “สะดวกครับ”  น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความร้อนรนของผู้หญิงที่มักจะใจดีและสดใสอยู่เสมอยิ่งพาลให้เขาไม่สบายใจแปลกๆ
 
      “นายน์ไม่สบายมากเลยลูก  ไม่รู้เมื่อวานไปทายอะไรผิดสำแดงมา  เมื่อคืนนายน์อาเจียนทั้งคืนเลย นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่นี่  แม่จะพาไปหาหมอก็ดื้อไม่ยอมไปท่าเดียว”

     “งั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ”





      ทันทีที่ขับรถมาถึงที่หมายประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดไว้รออยู่แล้ว  เขาสังเกตเห็นรถของคุณน้าที่ถูกจอดเลยหน้าบ้านไปนิดหน่อยเหมือนกับเตรียมพร้อมจะออกไปทำงานแล้วก็คงจะสลับที่ให้เขาได้ขับเข้าไปจอดในโรงรถได้สะดวกขึ้น  ฟังจากน้ำเสียงของคุณน้าตอนโทรมาก็ดูร้อนใจอยู่ไม่น้อย  สงสัยว่านานย์จะเป็นหนักเอาการ  ร่างสูงดับเครื่องยนต์เมื่อพารถเข้ามาจอดภายในก่อนจะรีบตรงเข้าไปในบ้าน  เขายกมือไหวเจ้าของบ้านทันทีที่อีกฝ่ายหันมาเห็น  “นายน์เป็นยังไงบ้างครับ”

      “หลับอยู่จ้ะ  อาเจียนจนหมดแรง  เมื่อคืนนายน์แทบไม่ได้นอนเลย”

      “พาไปหาหมอดีกว่ามั้ยครับ”

      “ดื้อจะตาย  บอกว่าไหวๆ ท่าเดียว  ตอนนี้เค้านอนพักอยู่แม่เลยไม่อยากกวน”

      “งั้นผมต้องทำยังไงบ้างครับ”

     “ขอโทษเท็นจริงๆ นะลูก  แม่ไม่รู้จะวานใครจริงๆ  วันนี้แม่มีคลาสสำคัญ  พยายามโทรหาคนมาสอนแทนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่มีใครว่างเลย”

     “ไม่เป็นไรครับ  ผมเต็มใจ”

     “ขอบคุณมากจริงๆ ลูก  …แต่ตอนนี้นายน์หยุดอาเจียนแล้วล่ะจ้ะ  มีแค่ไข้อ่อนๆ  เท็นคอยเช็คให้หน่อยนะ  ถ้าไข้ขึ้นสูงต้องรีบปลุกให้ทานยาลดไข้”

     “ได้ครับ”

      “ตรงโต๊ะหัวเตียงแม่เตรียมเกลือแร่กับน้ำอุ่นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว  ต้องชงเกลือแร่กับน้ำต้มสุกเท่านั้นนะลูก  ให้นายน์ดื่มแทนน้ำไปเลยนะ”

      “ครับ”

      “ถ้าเท็นหิว  แม่ทำแซนวิซไว้ให้อยู่ในตู้เย็นนะจ้ะ  ส่วนข้าวต้มของนายน์แม่ตั้งไว้บนเตา”

     “ครับ”

     “อ้อ!  ห้องนายน์อยู่ซ้ายมือนะลูก  ขึ้นไปก็เจอเลย”

     “ครับแม่”

     “ส่วนนี่เบอร์แม่  ถ้าเท็นมีอะไรโทรหาแม่ได้เลยนะลูก”

     “โอเคครับ”

     “ฝากนายน์ด้วยนะจ้ะ”

     “ไม่ต้องห่วงครับ” 

     “ถ้าไม่ได้เท็นแม่ต้องแย่แน่ๆ เลย  ขอบคุณเท็นมากนะ  แม่ต้องรีบไปก่อนแล้วจ้ะ”
 
     “สวัสดีครับ”

      เท็นมองตามหญิงวัยกลางคนที่มักจะมีรอยยิ้มให้เขาเสมอแต่วันนี้ใบหน้าสวยนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตา  เขาหันกลับไปมองยังบันไดทางขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน  ภาพคุ้นตาคือนายน์ที่มักจะเดินกึ่งวิ่งลงมาอย่างรีบร้อนและมักจะทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกผู้เป็นแม่ตำหนิที่ต้องให้เขาเป็นฝ่ายรออยู่ทุกวัน  แม้มันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ภาพเหล่านั้นคงจะเป็นภาพที่ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง  เขายิ้มให้กับใบหน้าในความคิดนั้นก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสอง

     ฝ่ามือหนาเลื่อนบานประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้อย่างเบามือ  ก้าวเท้าไปยังเตียงกว้างที่มีใครคนหนึ่งนอนคู้ตัวอยู่  ยืนมองอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงตรงที่ว่างข้างเตียง  สายตาจับจ้องไปยังตำแหน่งเดียวคือใบหน้าซีดเซียวนั้น  แม้เจ้าตัวจะกำลังพักผ่อนแต่กลับไม่ได้ดูผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็น  เท็นเอื้อมมือไปอังยังหน้าผากมนแผ่วเบา  รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่มากกว่าระดับปกติอยู่เล็กน้อย 

     เขากวาดสายตาไปยังโต๊ะข้างเตียงเห็นแก้วน้ำ  ขวดแก้วขนาดกลางบรรจุน้ำสีส้มที่เดาว่าแม่ของนายน์คงจะชงน้ำเกลือแร่เตรียมไว้ให้คนป่วย  กระปุกยาลดไข้  ซองยาอีกสองสามชนิด  และแผ่นแปะลดไข้  เขาหยิบมันทั้งหมดขึ้นมาอ่านสลากอย่างละเอียด  ลำดับขั้นตอนในใจว่าควรจะทำอะไรก่อนหลังหากนายน์ตื่น  สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบแผ่นลดไข้ออกมาแกะ  ก่อนจะเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกแล้วบรรจงแปะลงบนหน้าผากให้คนป่วยอย่างเบามือที่สุด 

     ตาคมทอดมองคนบนเตียงที่แม้จะป่วยจนหน้าซีดเซียวขนาดนี้แต่กลับยังคงดูน่ารักและเปราะบางยิ่งกว่าเดิมในความรู้สึกของเขา  ฟังจากที่แม่เล่าว่านายน์อาเจียนทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน  ตอนนี้เจ้าตัวคงจะเพลียมาก  ไม่แปลกใจเลยที่เสียงตอนโทรมาจะฟังดูอ่อนแรงขนาดนั้น  มือหนาลูบเส้นผมนุ่มแผ่วเบาก่อนจะเกลี่ยกลุ่มผมที่บดบังใบหน้าออก  ไล้หลังฝ่ามือไปบนเปลือกตาคูสวยที่มักจะฉายแววสดใสอยู่เสมอเลื่อยไปยังแก้มเนียนของคนที่ได้แต่แอบชอบมานาน  จะว่าไปนี่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายขนาดนี้โดยไม่ถูกเจ้าตัวชกเอาเสียก่อน  เท็นหลุดยิ้มพลางส่ายหัวเบาๆ ให้กับความคิดตัวเอง   

     แม้แต่ตัวเขาเองจนตอนนี้ก็ยังอดที่จะประหลาดใจในความมั่นคงกับความรู้สึกที่มีกับอีกฝ่ายไม่ได้....

จะว่าไปแม้แต่การชอบใครสักคนอย่างจริงจังก็ยังเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายสำหรับตัวเขาเลยด้วยซ้ำ  ที่ผ่านมาเขาเคยคบหาใครมาไม่น้อย  และในบรรดาคนที่คบมาทั้งหมดก็เป็นฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาหาเขาเอง  ถึงจะคบเพราะรู้สึกถูกใจ  แต่ก็ไม่มีสักคนที่จะทำให้รู้สึกฝังใจได้เหมือนอย่างที่เขารู้สึกกับคนตรงหน้า  แถมยังเป็นการชอบใครสักคนที่เล่นเอาสะบักสะบอมเอาเรื่องอีกต่างหาก

     แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น  ต่อให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้  เขาก็ยังเลือกที่จะรักนายน์อยู่ดี...

     เขาจะเก็บความรู้สึกที่ได้รักใครอย่างจริงจังสักครั้งนี้ไว้เป็นสมบัติล้ำค่าตลอดไป  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะไม่สมหวังก็ตาม  เท็นถอนหายใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้  เขายังเอาแต่ทอดมองไปยังคนบนเตียงอย่างไม่ละสายตา  ก่อนจะแนบฝ่ามือไปบนแก้วเนียนเพื่อวัดอุณหภูมิอีกครั้ง  เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  โน้มตัวไปหยิบผ้าห่มที่คงจะถูกอีกคนผลักออกไปตกอยู่ตรงปลายเท้าอีกฟากขึ้นมา  ขยับผ้าห่มจนถึงระดับอกให้คนป่วย 

     ร่างสูงละสายตาจากคนตรงหน้าเพื่อมองหาเก้าอี้  ก่อนจะหันไปเจอเข้ากับโต๊ะเขียนหนังสือ  เขาเดินไปเลื่อนเก้าอี้ตัวนั้นมาวางลงข้างเตียง  ทิ้งตัวนั่งลงอีกครั้งและคอยสังเกตอาการคนบนเตียงอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนว่าเวลาจะล่วงเลยไปเท่าไหร่  กระทั่งสายตาดันเหลือบไปเห็นตัวเลขบนนาฬิกาปลุกข้างเตียงถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมทำอะไรไปบางอย่าง  เท็นหยิบมือถือขึ้นมาทันทีแล้วกดไปยังห้องแชทของเพื่อนสนิทเพื่อส่งข้อความไปบอกว่าวันนี้เขาจะไม่เข้าเรียน  โดนมันซักจนซีดให้ระคายอารมณ์จนต้องตอบไปตามตรงด้วยความรำคาญว่าจะอยู่เฝ้าคนป่วย  แล้วก็ถูกมันทั้งแซวทั้งแขวะจนสาแก่ใจตามระเบียบถึงยอมรับปากว่าจะเก็บชีทและเลคเชอร์ไว้ให้

     ไอ้เพื่อนเวร!





                                                   ***********************************



TALK : ใกล้จะหมดสต๊อกแล้วนะแจะ เดี๋ยวมหกรรมดองก็จะมาในไม่ช้า  :katai5:


หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP12 [Update 22-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-11-2018 10:05:20
 :hao7:

ผู้ชายที่แสนดี

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP13 [Update 28-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 28-11-2018 15:13:39
EP13…
 



 
     อาการปวดร้าวตรงขมับที่รามมาถึงเบ้าตารังควาญการพักผ่อนจนในที่สุดเขาก็ทนความปวดนั้นไม่ไหว  ร่างเล็กนิ่วหน้าทันทีเมื่อพยายามจะลืมตาแต่โดนแสงและอาการร้าวไปทั้งหัวเล่นงานหนักกว่าเก่า  มือเล็กบีบลงตรงขมับอย่างแรงหวังจะคลายอาการเหล่านั้น  ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

     เขานอนมองเพดาลสีขาวแสนคุ้นตาอยู่อย่างนั้นกระทั่งความเลือนรางหายไปและถูกแทนที่ด้วยภาพที่ชัดเจนขึ้น  สิ่งแรกที่เขาคิดจะทำในตอนนี้ก็คือ ‘ดื่มน้ำ’  อาการกระหายจนน้ำลายฝืดเฝื่อนไปหมดเล่นงานจนเขาแทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ  นายน์กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องเพื่อจะมองหาผู้เป็นแม่หวังจะขอความช่วยเหลือ

     ทว่า!  ภาพผู้ชายตัวโตที่ไม่ควรจะมาอยู่ในห้องของเขาดึงสติบางเบายิ่งกว่าปุยนุ่นให้ตื่นตัวขึ้นมาในเสี้ยววินาที  นายน์ขยี้ตาตัวเองอย่างแรงเพื่อจะให้ภาพตรงหน้าหายไป   
   
     สงสัยเพราะโทรหาอีกฝ่ายเป็นคนสุดท้ายก่อนจะสลบเหมือดไปถึงได้เก็บเอามาฝันบ้าๆ แบบนี้!  ทว่ายิ่งเพ่งมองเพื่อให้หายไปเท่าไหร่ภาพนั้นกลับยิ่งชัดเจน  ร่างเล็กที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพยายามจะหยัดตัวขึ้นนั่ง  แต่ก็ทำได้เพียงยันศอกไว้กับเตียงนุ่มเท่านั้น  เขามองดูร่างสูงที่กำลังกอดอกหลับเพลินจนคอพับคออ่อนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา  มองซ้ายขวากวาดสายตาไปจนทั่งห้องก็ไม่พบแม้แต่เงาของผู้เป็นแม่  เกิดความสงสัยและรู้สึกถึงเคล้าลางบางอย่างอยู่ลางๆ  เหลือก็คงจะต้องถามเอาจากคนหลับนี่ล่ะ!

     “เท็น”
   
     “…………”

     “เท็น”

     “ห…หือ?!”

     “โอ๊ยยย!”

     “อย่าเพิ่งลุกสิ!”  คนถูกปลุกตื่นเต็มตาแทบจะในทันทีที่ลืมตาขึ้นมาเห็นคนบนเตียงกำลังพยายามจะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลมือข้างหนึ่งกุมหน้าผากด้วยสีหน้าที่บอกว่าเจ้าตัวคงจะปวดหัวเอามากๆ  เขารีบเข้าไปพยุงให้คนป่วยลุกขึ้นนั่งพิงหมอน  “ปวดหัวหรอ”

     “อืม”

     “ดื่มน้ำมั้ย”  คนป่วยพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเขาจึงรีบรินน้ำเกลือแร่ให้ทันที  แต่ก็ต้องขยับแก้วหนีเมื่อฝ่ามือที่ดูอ่อนแรงของอีกฝ่ายที่ทำท่าจะเอื้อมมารับ  เขาหยิบหลอดขึ้นจ่อริมฝีปากซีดเผือดให้เจ้าตัวแทน  นายน์ดูงุนงง  ดวงตาเรียวสวยคู่นั้นเอาแต่จับจ้องเขาไม่วางตา  ทว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่ก่อนเจ้าตัวจะหลุบตาต่ำ  แต่ก็ยอมดื่มน้ำจากหลอดที่เขาส่งให้แต่โดยดี

     “ขอยาแก้ปวดหน่อย”

     “ยังกินตอนนี้ไม่ได้  ท้องว่างๆ แบบนี้กินเข้าไปก็ปวดท้องกันพอดี”

     “.....แม่ล่ะ”

     “ไปทำงานแล้ว  ....กินข้าวเลยมั้ย”

     “อืม”

    เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหลังจากนั้น  เขาเองก็ดันเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในห้องนอนของอีกฝ่ายแถมยังอยู่บนเตียงเดียวกันแบบสองต่อสอง  แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตามที  อาการไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วพาลให้ไม่กล้าสบตาเล่นงานเขาจนต้องทำทีเป็นมองไปที่อื่น

     “แล้ว...ทำไมมึงมาอยู่นี่”

     เสียงแหบพล่าของคนป่วยดึงเขากลับมาจากอาการทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง  เท็นระบายยิ้มพลางว่า  “ก็สงสัยว่าน่าจะมีบางคนป่วยแต่ไม่ยอมบอก  เลยต้องมาดูให้แน่ใจ”

     “เป็นหมอเหรอ”

    คนถูกย้อนหลุดหัวเราะทันที  อารมณ์ขันเล็กๆ แต่หน้านิ่งสุดๆ ของคนป่วยพลันทำให้บรรยากาศผ่อนคลายทันตา  รู้สึกเหมือนนายน์คนเดิมกลับมาแม้ว่าเจ้าตัวจะดูอ่อนแรงผิดจากในยามปกติ  “เดี๋ยวไปเอาข้ามต้มมาให้  จะได้กินยา  ทนปวดหน่อยนะ”

     “ไม่ไปเรียนหรอ”

     “ไม่”

     “โดดเรียนหรือไม่มีเรียนอยู่แล้ว”

     “..........”

     “มึงนี่นะ”

     “ถึงไล่ก็ไม่ไปหรอก  เพราะต่อให้ไปก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี”

     “ก็ไม่ได้จะไล่ซะหน่อย”

     “งั้นก็ดี….  ดื่มนี่รอไปก่อนนะ  จะลงไปอุ่นข้ามต้มให้”  ว่าพลางส่งแก้วที่น้ำพร่องไปกว่าครึ่งให้คนป่วยถือไว้  ผละตัวลุกมายืนอยู่ข้างเตียง  ฉวยเอาเหยือกน้ำขึ้นมาถือไว้ในมือ  คงต้องไปเติมน้ำต้มสุกมาตุนไว้เผื่อให้นายน์กินยาด้วย 
   
     “กินแล้วกูจะไม่อ้วกซ้ำใช่มั้ย”

     “ไม่มั้ง  เพราะกูไม่ได้ทำเอง”

     “แม่ทำไว้ให้เหรอ”

     “อืม  ทำไว้ให้เพราะกลัวคนไม่ยอมไปหาหมอจะหิว”

     “โล่งอก”

     คำพูดขี้เล่นเหล่านั้นแม้ว่าเจ้าตัวจะเอ่ยมันออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย  แต่กลับสร้างความประหลาดใจให้เขาไม่น้อย  ถ้าป่วยแล้วจะกลายเป็นคนน่ารักไร้พิษภัยแบบนี้  ถ้าอยากให้ป่วยต่ออีกสักสองสามวันจะผิดไหม  เท็นลอบยิ้มอยู่กับตัวเองก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
 



 
     ร่างสูงกลับเข้ามาในห้องที่เริ่มจะคุ้นเคยอีกครั้งพร้อมกับข้าวต้มชามใหญ่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนให้เขารู้สึกหิวขึ้นมาตงิดๆ  เขานั่งลงยังที่นั่งประจำตำแหน่งของตนอีกครั้ง  มือเรียวคนข้าวต้มในชามเพื่อระบายความร้อนพลางลอบมองคนตัวเล็กบนเตียง  แล้วจู่ๆ นายน์ก็ยื่นมือมาหาเขา  “อะไร”

     “เอามาดิ”

     “ไม่ดีมั้ง”

     “อะไรไม่ดี”

     “ให้มึงถือเองมีหวังหกเลอะเตียงแน่ๆ”  เรียวแรงจะถือแก้วน้ำยังดูไม่มั่นคงเลยด้วยซ้ำ

     “เว่อร์  กูถือเองได้”

     “นั่งเป็นคนป่วยไปเถอะน่า  เดี๋ยวป้อน”

     “กูแค่อาหารเป็นพิษไม่ได้เป็นง้อย”

      “..........”

     “ส่งมาดิ”

     ร่างสูงระบายยิ้มมุมปากให้กับคนเกรี้ยวกราดที่น้ำเสียงโรยแรงที่สุดเท่าที่เคยเจอ  ก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าจนแน่ใจว่ามันอุ่นกำลังดีแล้วจึงส่งให้อีกฝ่าย  แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ยอมง่ายๆ เอาแต่จ้องช้อนตรงหน้าอยู่อย่างนั้นจนเขาต้องเลื่อนมันไปจรดริมฝีปากเสียเอง  พอเริ่มจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมานิดหน่อยก็เตรียมจะพยศอีกแล้ว  “ถ้าไม่ยอมกินดีๆ ก็อยู่มันอย่างนี้แหละ  กูไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”

     “ไอ้...”

     “เร็ว  เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย”

     “……….”

     “หรือถ้าอยากอยู่แบบนี้นานๆ ก็ตามใจ  ยังไงคนที่ได้กำไรก็เป็นกูอยู่แล้ว”

     ได้ผลชะงัดเมื่อสุดท้ายคนป่วยหัวดื้อก็ยอมอ้าปากรับเอาข้าวต้มที่เขาป้อนให้อย่างเสียไม่ได้  ใบหน้าน่ารักที่งอง้ำบอกอารมณ์ทำให้เขาไม่สามารถกลั้นยิ้มได้อีกต่อไป

     “ถ้ามึงยังไม่หยุดยิ้มกูจะไม่กินแล้ว!”

     “โอเค!”  เขาทำเป็นตีหน้านิ่งทันทีตามที่อีกฝ่ายต้องการแม้ว่ามันจะไม่เนียนเลยก็ตาม

     “กวนตีน!”

     “ยอมกูซักวันไม่ได้รึไง  ถือว่าเป็นค่าจ้างก็ได้  นี่ยอมโดดเรียนเลยนะ”  เท็นยักคิ้วกวนๆ ส่งไปให้คนที่กำลังเบ้ปากมองมา  ทว่าก่อนที่จะทำให้คนป่วยหมั่นไส้จนพาลไม่ยอมกินข้าวไปเสียก่อนเขาก็ถือจังหวะที่เจ้าตัวกำลังเผลอตักข้าวต้มแสนอร่อยป้อนเจ้าตัวอีกคำ

     เพิ่งรู้ว่าการดูแลคนป่วยมันดีอย่างนี้...

     เท็นป้อนไปโดนอีกฝ่ายทำตาเขียวใส่ทุกครั้งที่เผลอจ้องเจ้าตัวมากไปกระทั่งหมดไปค่อนถ้วย  ก่อนจะถูกเจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธท่าเดียวจนเขาต้องยอมแพ้  แต่ก็ถือว่านายน์กินได้เยอะกว่าที่คาดไว้   

     “ถ้างั้นก็กินยาซะ  จะได้นอนพักต่อ”

     นายน์ยอมรับยามาทานอย่างว่าง่าย  เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดคือรีบๆ กิน  จะได้รีบๆ นอนเสียที  ขืนให้สู้กับสายตาคมที่เอาแต่มองมาอยู่อย่างนี้มีหวังเขาได้ไข้กลับอีกแน่ๆ

     มองกันแทบจะตลอดเวลาไม่คิดว่าเขาจะทำตัวไม่ถูกบ้างหรือไง…

     นายน์ส่งแก้วน้ำคืนอีกฝ่ายที่ยื่นมือรอรับอยู่ก่อนแล้ว  ทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง  ถึงจะรู้สึกดีกว่าเมื่อวานแต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าหายดีอยู่มาก  เขาในตอนนี้แค่หายใจยังรู้สึกว่ามันเหนื่อยเหลือเกินเลย  กำลังจะหลับตาทว่าสายตาอีกคู่ที่จ้องมองมาราวกับมีอะไรจะพูดระคนลังเลอยู่ในทีทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น  “อะไร”

     “โทษนะ”

     เจ้าตัวเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ยื่นมือมาแนบแก้มเขาไว้อย่างแผ่วเบา  สัมผัสอ่อนโยนทำเขาตกใจจนกลืนคำที่กำลังจะพูดลงคอไปจนหมด  นายน์เผลอสายตาจ้องมองไปยังเจ้าของฝ่ามืออย่างลืมตัว  และดวงตาคมที่มองกลับมาอย่างอ่อนโยนคู่นั้นกลับยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก  เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเผลอหลุดสีหน้าอย่างไรออกไป  รู้เพียงว่าจังหวะหัวใจเจ้ากรรมกำลังเต้นโครมครามขึ้นมาอีกระรอก  ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะหลุบตาอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกระทั่งฝ่ามือเรียวนั้นละไปจากแก้มของเขา

     “ตัวยังอุ่นๆ อยู่เลย  แต่กินยาลดไข้ไปแล้ว  เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

     “..........”

     “หนาวมั้ย”

     คำถามนั้นมาพร้อมกับฝ่ามือของอีกฝ่ายกระชับผ้าห่มให้เขา  ทุกการกระทำล้วนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน  อ่อนโยนเกินไปจนทำให้หัวใจของเขาเกิดอาการประหลาดจู่โจมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว  “ม...ไม่”

     “งั้น...ขอเปลี่ยนแผ่นลดไข้หน่อยได้มั้ย”

     “ไม่ต้อง  กู…ง่วงแล้ว”  เอ่ยเพียงเท่านั้นก็พลิกตัวนอนตะแคงหนีอีกฝ่ายทันที  ร่างเล็กเม้มริมฝีปากแน่น  พยายามข่มจังหวะหัวใจที่เอาแต่เต้นรัวให้สงบลงอย่างยากเย็น   

     “.....ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกนะ”

     “..........”

     “กูจะลงไปข้างล่างซักพัก”

     “.........”

     ถึงจะเอ่ยออกไปแบบนั้นแต่เท็นกลับยังเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสัมผัสตัวโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจหรือเปล่าเจ้าตัวถึงได้ดูแปลกไป  เท็นถอนหายใจพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  รู้สึกถึงความอึกอัดจากอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก  มันคงจะดีกว่าหากเขาปล่อยให้นายน์ได้อยู่คนเดียวสักพัก

     จากที่เคยกลั้นยิ้มจนแก้มแทบปริเพียงเสี้ยววินาทีนายน์กลับทำให้ใจของเขาห่อเหี่ยวจนอยากจะชกหน้าตัวเองให้สาสมกับความคิดน้อย  รู้อย่างนี้เขาน่าจะรอให้เจ้าตัวหลับไปก่อน  ไม่น่าทำให้นายน์อึดอัดใจเลย

     แค่เขาทำให้มีความสุขเข้าหน่อยก็ถึงกับเหลิงเลยหรือไงวะไอ้เท็น!

     “เท็น”

     เท้าที่กำลังจะพาร่างสูงพ้นจากประตูจำต้องหยุดชะงัก  ไม่ต่างกับความคิดของเขาที่ถูกทำลายลงเพราะเสียงของคนที่เขานึกว่าเจ้าตัวคงหลับไปแล้ว

     “อย่าเพิ่งกลับนะ”

     หัวใจที่เหี่ยวแห้งราวกับต้นไม้ใกล้ตายเมื่อครู่กลับฟื้นคืนอีกครั้งเพียงเพราะประโยคนั้น  เขาหันกลับไปมองคนบนเตียงที่ตอนนี้เจ้าตัวนอนตะแคงหนีเขาไปอีกฟากราวกับจะบอกเป็นนัยว่ายังไม่ต้องการจะเห็นหน้ากัน  แม้ภาพนั้นจะสะกิดแผลในใจให้เจ็บๆ คันๆ ขึ้นมาอีกรอบแต่เพียงแค่นายน์ไม่ไล่เขาไปก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว

     นี่คงจะเป็นความสามารถพิเศษของนายน์  ที่สามารถทำให้เขาทุกข์ใจและเป็นสุขสลับกันไปมาด้วยเวลาเพียงเสี้ยวนาทีแบบนี้  ร่างสูงระบายยิ้มอย่างอ่อนแรงกับตัวเองก่อนจะเอ่ยตอบคนป่วย

     “บอกแล้วไงว่าถึงไล่ก็ไม่ไป”

 
 


     เหมือนภาพเดิมถูกฉายซ้ำเมื่อนายน์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งและสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือเท็นที่กำลังนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม  เขานอนมองคนที่เห็นกันมานาน  นานจนอาจเรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกันก็คงไม่ผิด  แต่เอาเข้าจริงกลับเหมือนยังไม่รู้จักกันดีพอ  สาเหตุก็มาจากตัวเขาทั้งนั้นที่มัวแต่อคติกับอีกฝ่ายจนแทบไมเคยจะพูดคุยกันดีๆ เลยด้วยซ้ำ

     ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เขาได้ลองเปิดใจ  ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดและสิ่งที่เคยยึดติดแทบทั้งหมด  เพราะไม่ว่าเขาจะทั้งลองใจทั้งแกล้งสารพัด  แต่เท็นก็ยังใจเย็นและดีกับเขาเสมอ  ราวกับว่าไม่ว่าเขาจะร้ายใส่แค่ไหนหรือต่อให้หลอกใช้อย่างไรก็ไม่มีผลต่อความรู้สึกของฝ่ายนั้น  อันที่จริงที่ผ่านๆ มาเขาก็ไม่เคยจะทำดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้วล่ะนะ  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมยังทู่ซี้ชอบเขาเข้าไปได้ยังไง   
 
     เท็นเป็นคนที่น่าคบหามากๆ คนหนึ่ง...ไม่ว่าจะในฐานะใด

     เป็นคำนิยามที่เขาตั้งให้เจ้าตัว(ในใจ)  คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจกับตัวเอง  ความจริงแล้วหลายวันมานี้เขารู้สึกว่าตัวเองแปลกไปเมื่อต้องอยู่ใกล้กับอีกฝ่าย  โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ในรถวันนั้น  แค่คิดก็รู้สึกหน้าร้าวผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ   
นายน์สะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อเหล่านั้นทิ้งไปก่อนจะหยัดตัวขึ้นจากที่นอนนั่งพิงหัวเตียงมองดูคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต่ออีกชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเรียก

     “เท็น”  เสียงที่เอ่ยออกไปช่างแผ่วเบาเพราะเขายังรู้สึกอ่อนแรงอยู่มาก  ทว่าเพียงเท่านั้นกลับทำให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ

     “ตื่นแล้วเหรอ”

     “……….”

     “น้ำมั้ย”

     คนถูกถามพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย  เท็นรีบรินน้ำเกลือแร่ที่เขาเพิ่งชงใหม่ก่อนที่จะเผลอหลับไปให้คนบนเตียง  สีหน้าที่ดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อยนั้นทำให้เขาใจชื้นตามไปด้วย  เขายอมให้คนป่วยถือแก้วเองแต่โดยดี  เพราะสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่เผลอทำเสียเรื่องซ้ำสองเป็นอันขาด  “หายปวดหัวรึยัง”

     “ก็ยังปวดอยู่นิดหน่อย”

     “หิวมั้ย”

     “อืม....  แต่ไม่อยากกินข้าวต้มแล้ว”


.
.
.
.
.
ต่อ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP13 [Update 28-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 28-11-2018 15:24:29
     


     “อยากกินอะไรล่ะ”

     คนถูกถามนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัว  เขาไม่ได้จะกวนประสาทหรือหาเรื่องแกล้งอีกฝ่ายเหมือนทุกครั้ง  เขาในตอนนี้สมองตื้อไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ  แถมยังรู้สึกขมปากไปหมดแม้ท้องจะร้องหาอาหารอยู่ก็ตาม  “ไม่รู้เหมือนกัน”

     “ก๊วยเตี๋ยวมั้ย”

     “ไม่เอา”

     “งั้นอะไรดีล่ะ  แม่กูเคยบอกว่าเวลาไม่สบายให้กินอะไรอ่อนๆ ไปก่อน  ห้ามกินอาหารรสจัด”  ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เคยป่วยจนนอนซมให้คนดูแลอยู่ไม่กี่ครั้ง  แถมเขายังเป็นพวกกินง่ายอยู่ง่าย  แม่กับยายนอมทำอะไรให้กินเขาก็กินได้ทั้งนั้น  ไอ้เรื่องประสบการณ์การดูแลคนป่วยยิ่งแล้วใหญ่  เพราะนี่คือครั้งแรกสำหรับเขาจริงๆ บอกตามตรงว่าถึงอยากจะช่วยคิดยังไงสมองของเขาก็ไม่ยอมประมวลผลเลยแม้แต่นิดเดียว

     “ผลไม้แล้วกัน”

     “จะไม่กินข้าวก่อนเหรอ  เดี๋ยวผลไม้ไว้กินทีหลัง  กินข้าวก่อนดีกว่านะ”  เชื่อแล้วว่านายน์เป็นคนเลือกกินอย่างที่แม่นายน์บอกจริงๆ  เวลาสบายดีคงรับมือไม่ยากเท่าไหร่  แต่นายน์ในเวลานี้ที่เอ่ยแต่ละทำด้วยท่าทางโรยแรงแถมยังหน้าซีดเซียวแบบนี้  บอกตามตรงว่าเขาอยากจะตามใจอีกฝ่ายทุกอย่างแต่ก็ยังต้องทำใจแข็ง

     “ไข่เจียว”

     “โอเค  เดี๋ยวกูทำให้  กูพอทำเป็น”

     “อืม”

     “ส่วนผลไม้กูขอโทรหาแม่มึงก่อนนะ  ไม่แน่ใจว่ากินอะไรได้บ้าง”  เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเบอร์ที่เพิ่งบันทึกไว้หมาดๆ ทันที  เสียงสัญญาณดังเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ

     ‘ว่าไงลูก  นายน์เป็นอะไรรึเปล่า!’

     “เปล่าครับแม่  นายน์ดูดีขึ้นมากแล้วครับ  แต่ว่านายน์อยากกินผลไม้  เท็นไม่รู้ว่าให้กินได้รึเปล่า”

     ‘ถ้าเป็นพวกกล้วยก็น่าจะพอได้นะลูก  แต่แม่ไม่ได้ซื้อติดบ้านไว้เลยน่ะสิ’

     “ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวเท็นออกไปซื้อเองครับ”

     ‘รบกวนเท็นแย่เลย  เดี๋ยวอีกประมาณ 3 ชั่วโมงแม่น่าจะกลับนะลูก’

     “แม่ไม่ต้องรีบนะครับ  ผมดูแลนายน์ได้สบายมากครับ”

     ‘ขอบใจมากจ้ะ’’

     “ครับ”

     เท็นวางสายพลางหันกลับไปหาคนที่นอนหลังพิงหัวเตียงมองเขาอยู่ก่อนแล้ว  ทว่าทันทีที่เขาสบตาเจ้าตัวกลับเสมองไปทางอื่นเสียอย่างนั้น  และเท็นก็ตามน้ำเหมือนอย่างทุกที  “เดี๋ยวจะลงไปเจียวไข่ให้ก่อน  แล้วจะออกไปซื้อผลไม้มาให้นะ”
ร่างสูงเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าของห้องซึ่งเป็นที่ที่เขาวางสัมภาระเอาไว้  หยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ก่อนจะเดินออกจากห้องไปทำอย่างที่บอก
 
     หลังจากที่เขาทำไข่เจียวให้คนป่วยอย่างค่อนข้างเงอะงะเพราะครั้งล่าสุดที่เข้าครัวก็คือตอนที่ยายนอมขอลากลับบ้านเมื่อต้นปีที่แล้ว  ซึ่งก็ผ่านมาเกือบๆ หนึ่งปีแล้วเท่านั้นเอง  แต่ก่อนที่จะลงมือทำให้อีกฝ่าย  เขาลองปรุงรส  ทอด และชิมเองก่อนแล้วหนึ่งใบ  รสชาติมันไม่ได้น่าเกลียด  แม้ว่ารูปลักษณ์มันจะเกินทนไปหน่อยก็ตาม  แต่ก็ถือว่าน่าจะโอเคสำหรับคนป่วยล่ะนะ  เขาเอาข้าวกับไข่เจียวร้อนๆ ขึ้นไปเสิร์ฟให้ถึงที่ก่อนจะขอตัวออกมาซื้อผลไม้ตามที่เจ้าตัวร้องขอ

     โชคดีที่แถวบ้านนายน์มีวิลล่าอยู่เขาจึงได้ผลไม้กลับมาให้อีกฝ่ายภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  ร่างสูงพับแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นจนถึงข้อศอก  ก่อนจะลงมือหยิบมีดขึ้นมาจัดการหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างเก้กังๆ เพราะอยากให้อีกฝ่ายทานได้อย่างสะดวกๆ  ร่างสูงยิ้มปลงๆ ให้กับผลงานของตัวเองก่อนจะหยิบจานแล้วรีบตรงไปยังห้องของคนป่วย

     ประตูที่ถูกเปิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนเขาออกไปทำให้มองเห็นคนตัวเล็กบนเตียงได้ในทันที  นายน์กำลังหลับอยู่อย่างที่คาดไว้  เขากวาดสายตามองไปยังจานข้าวบนโต๊ะข้างเตียงก่อนเป็นอันดับแรก  ข้าวเหลืออยู่นิดหน่อย  แต่ไข่เละๆ ของเขาหมดเกลี้ยง  เพียงแค่นั้นก็ทำให้ยิ้มออก  เท็นวางจานผลไม้ลงแทนที่จานข้าวที่ย้ายไปวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ  ทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่แทบจะกลายเป็นที่ประจำตำแหน่งของเขาไปแล้วพลางทอดสายตาไปยังใบหน้าซีดเซียวทว่ากลับยิ่งดูน่าทะนุถนอมในสายตาเขาพลางจุดยิ้ม

     นายน์ในเวลานี้เหมือนแมวน้อยแสนเชื่อง  ทั้งน่ารักและน่าจับมาฟัดในเวลาเดียวกัน...

     ก็ยังย้ำความคิดเดิมว่าผิดไหมถ้าเขาอยากให้นายน์ป่วยต่ออีกสักสองสามวัน  เขาชอบสายตาที่ดูอ่อนลงของอีกฝ่าย  ในบางครั้งดวงตาสวยคู่นั้นเหมือนกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง  บางอย่างที่แตกต่างออกไปจากทุกที  เท็นไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองแต่ต้องยอมรับว่าแววตาแบบนั้นจุดความหวังขึ้นมาในใจของเขาอย่างห้ามไม่อยู่

     “จะมองอีกนานมั้ย!”

     เสียงนั้นทำเอาคนที่เหม่อไปไกลถึงกับสะดุ้งพลันเสสายตาไปทางอื่นพัลวัน  พอลองหันกลับไปมองอีกทีก็พบว่าเจ้าตัวลืมตาจ้องแป๋วมาที่เขาแล้ว  ใบหน้าน่ารักนั้นเรียบเฉยแถมยังไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาอีกเลยจนเกือบจะทำให้ผู้ชายตัวโตๆ อย่างเขาหลุดฟอร์ม  ยังดีที่สายตาเหลือบไปเห็นตัวช่วยเข้าเสียก่อน  เขาฉวยจานใบเล็กขึ้นมาแก้เก้อพลางว่า  “ตื่นก็ดีแล้ว  กูไม่รู้ว่ามึงชอบกินกล้วยแบบไหน  เลยซื้อมาทั้งกล้วยหอมแล้วก็กล้วยน้ำหว้า”

     “ไม่อยากกินแล้ว”

     “อ้าว...”

     “ขอโทษที่ทำให้วุ่นวาย”

     “ไม่หรอก  กูเข้าใจ  เวลาป่วยกูก็กินอะไรไม่ค่อยลงเหมือนกัน”

     “ยังจะแก้ตัวให้อีกเนาะ”

     “...........”  อาจจะฟังดูตลกแต่ก็เหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ  เท็นได้แต่ยิ้มเพราะคำพูดของอีกฝ่าย  ทว่าประโยคถัดมากลับกระชากรอยยิ้มนั้นกลับไปแทบจะในวินาทีเดียวกัน

     “มึงกลับไปเถอะ  เหนื่อยกับกูมาพอแล้ว”

     “รอแม่มึงกลับมาก่อน”

     “ไม่ต้องรอหรอก  กูอยู่ได้  อีกอย่างกูไม่อยากตื่นมาแล้วเห็นมึงนั่งหลับคอหักอีก  บอกตรงๆ ว่าสงสาร”  ผู้ชายตัวโตๆ กับเก้าอี้เล็กๆ และห้องเงียบๆ ที่ไม่มีอะไรให้ทำนอกไปจากเฝ้าคนป่วยอย่างเขา  ฟังอย่างไรก็น่าเบื่อพิลึก

     “..........”

     “ไปเหอะ  กูอยู่ได้จริงๆ  รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”

     “ขยันไล่จังวะ  อีกไม่กี่ชั่วโมงเดี๋ยวแม่มึงก็กลับมาแล้ว  ทนเห็นหน้ากูไปก่อนแล้วกัน”  ถ้าเป็นเวลาอื่นเขาคงยอมตามใจ  แต่ตอนนี้อาการภายนอกของนายน์ยังไม่ทำให้เขาสบายใจมากพอจะปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้คนเดียว

     “ยังไงก็จะไม่กลับว่างั้น”

     “อืม”

     “..........”

     “..........”

     จู่ๆ เขาทั้งคู่ก็พากันเงียบเอาเสียดื้อๆ  ซ้ำยังเป็นความเงียบที่ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าสบตากันไปเสียได้  ไม่รู้ทำไมแต่อาการนั้นมันเริ่มมาจากคนป่วย  อาจเป็นเพราะเวลาอ่อนแรงคงทำให้เจ้าตัวอ่อนไหวง่ายตามไปด้วย  และอาการเหล่านั้นก็ส่งต่อมาที่เขาราวกับโรคติดต่อ  อาจฟังดูเหมือนเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  แต่เขารู้สึกลึกๆ ว่าเหมือนนายน์กำลังเขินเขาอย่างไรชอบกล

     “.....ชอบกูมากขนาดนั้นเลยหรอ”

     “..........”

     คำถามที่ถูกจู่โจมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวและไม่คิดว่าจะได้ยินมันในเวลาอย่างนี้ทำเอาเขาปรับสีหน้าไม่ทัน  เท็นตกใจจนเผลอจ้องไปยังเจ้าของคำถาม  ทว่านายน์กลับเอาแต่ก้มหน้าหลุบตาต่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามาให้เขาได้ค้นหาบางอย่างจากดวงตาคู่นั้นเลยแม้แต่นิด

     และเขาก็รู้คำตอบในทันทีว่านายน์เพียงต้องการถามและไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ

     ร่างสูงเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด  เขาไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยากรู้จริงๆ  หรือแค่ถามไปอย่างนั้น  เท็นยังคงปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไป  เขาจ้องมองไปยังท่าทางที่ดูราวกำกำลังอึดอัดของคนตรงหน้า  เพราะเจ้าตัวเองแต่กำผ้าห่มแน่น  เขาประเมินท่าทีเหล่านั้นอยู่นานแต่ก็ยังไม่เข้าใจ  จนสุดท้ายก็ต้องถอนหายใจระบายความกดดันออกมาในที่สุด   
 
      รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ในตอนนี้คงจะดูน่าสมเพชจนทนมองไม่ได้  แถมคงจะเป็นตัวน่ารำคาญที่เอาแต่หวังลมๆ แล้งๆ ในสายตาอีกฝ่าย...

      “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากรู้”

     “ตอบมาก่อน”

     เท็นขบกรามพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้งพลางประมวลคำตอบในหัว  ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตอบออกไปตามความรู้สึก  “ก็มากเท่าที่จะชอบคนๆ นึงได้ล่ะมั้ง”

     “..........”

     “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมากขนาดไหน  อธิบายไม่ถูก”

     “.........”

     “แต่ก็ไม่เคยรู้สึกกับใครขนาดนี้มาก่อน”

     “ทั้งๆ ที่กูทั้งแกล้งทั้งลองใจมึงสารพัดน่ะหรอ”

     “..........”

     “มึงจำวันแรกที่เรากลับบ้านด้วยกันได้มั้ย  ที่กูหายไปเป็นชั่วโมง  อันที่จริงแม่ไม่ได้โทรมาฝากให้ซื้อของอะไรหรอก  กูแค่อยากแกล้งให้มึงรอ”

     “..........”

     “แล้วทุกวันที่มึงไปรอรับกูที่คณะ  กูก็แกล้งลงมาช้าบอกว่าอาจารย์สั่งงานบ้าง  คุยงานกับเพื่อนบ้าง  แต่ความจริงคือ  กูก็แค่นั่งเล่นเกมส์ถ่วงเวลาเพื่อจะให้มึงรอนานๆ”

     “..........”

     “กูอยากรู้ว่ามึงจะทำหน้ายังไง  จะอารมณ์เสียใส่กูมั้ย  จะโวยวายเวลาที่กูลงไปช้าหรือเปล่า  แต่มึงกลับเอาแต่ยิ้ม  ไม่เคยแม้แต่จะถามกูด้วยซ้ำว่าทำไมถึงทำให้มึงรอทุกครั้ง”

     “..........”

     “มึงไม่เหนื่อยบ้างหรอวะ”

     สิ้นคำถามนั้นมีแค่ความเงียบที่คั่นกลางระหว่างเราทั้งคู่อีกครั้ง  ใช่ว่าเขาจะไม่รู้  เขาไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก  แต่ที่ยอมก็เพราะพร้อมจะรับทุกอย่างไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำให้เขาเจ็บแค่ไหนก็ตาม  ในเมื่อเลือกแล้วเขาก็ไม่นึกลังเลหรือเสียใจ  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดระหว่างเรามันจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม

     “กูมองมึงมานาน  ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงเป็นคนยังไง  ที่มึงทำแบบนั้นก็เพราะเป็นกู...ใช่มั้ยล่ะ”

     “..........”

     “กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น”

     เท็นระบายยิ้มบางเบา  เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งทว่าในเวลาเดียวกันมันกลับดูอ่อนล้าอยู่ในที  นายน์รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากดวงตาคู่นั้น  แม้อีกฝ่ายจะพยายามทำเหมือนว่าไม่เป็นไร  แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย  การรักใครข้างเดียวมันทรมานแค่ไหนทำไมเขาจะไม่เข้าใจ

     เราทั้งคู่ต่างจ้องมองกันและกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก  ภายในห้องถูกกลืนไว้ด้วยความเงียบงันชวนอึดอัด  และในเวลานั้นเองเสียงประตูบ้านที่ถูกเปิดและเสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาก็ราวกับระฆังที่ช่วยฉุดเขาทั้งคู่ออกจากภวังค์

     “แม่คงมาแล้ว  ถ้างั้น...กูกลับก่อนนะ”

     “...........”

     เท็นมองนายน์ที่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรแต่กลับทิ้งตัวลงนอนตะแคงหนีไปอีกด้านบอกเป็นนัยว่าเจ้าตัวไม่อยากเปิดการสนนาใดๆ กับเขาอีก   

     เท็นลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  ทอดสายตามองร่างบนเตียงอยู่อย่างนั้น  เป็นอีกวันที่เขารู้สึกมีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาร่วมกับอีกฝ่าย  และก็เป็นอีกวันที่ทำให้บาดแผลในใจของเขาถูกกรีดลึกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

     ถ้าจะถามหาคนที่ทั้งโง่และบ้าที่สุดในโลก  ก็คงจะเป็นเขานี่แหละ...

  “หายเร็วๆ นะ”  เอ่ยออกไปแบบนั้นแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากได้ยิน  ระบายยิ้มอ่อนแรงให้กับคนตรงหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

     ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวพ้นจากประตู  เสียงของคนที่อยู่บนเตียงก็หยุดเขาไว้เสียก่อน

     “ลองคบกันดูมั้ย”

       “...........”

      ประโยคที่ไม่แม้แต่จะกล้าฝันว่าจะได้ยินราวกับหอบเอาพายุน้ำแข็งโถมเข้าใส่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว  ขาที่กำลังจะก้าวเดินหยุดชะงัก  จังหวะหัวใจที่เคยเหนื่อยล้ากลับเต้นรัวขึ้นจนกลัวว่ามันอาจจะทำให้เขาช็อคตายไปเสียก่อน  เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!

     “มึงกับกู  บางทีมันอาจจะเวิร์คก็ได้”

     “..........”

      “กูก็อยากจะลองคบกับคนที่รักกูมากๆ สักครั้งเหมือนกัน”

 


 
                                ***********************************
 
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP13 [Update 28-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-11-2018 18:58:19
 :L2: :pig4:

 :-[

ตะลึงไปเลย
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP13 [Update 28-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 11-12-2018 08:20:15
โอ้ยยยยยย นายน์นี่ใจร้ายมากกกกก

น่าให้เท็นยอมแพ้กับความนายน์ดูซิว่าจะเป็นยังไง

แต่พอมาตัดจบตอนขอคบนี่ หื้ออออ~ รอนะค้าาาา
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP13 [Update 28-11-18]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 11-12-2018 13:14:19
น้องใจร้ายกับเท็นมากเลย ต่อจากนี้ขอหวานๆน้ำตาลขึ้นตาเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP14 [Update 15-12-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 15-12-2018 21:26:58
EP14… 




     บรรยากาศภายในบ้านวันนี้ดูเงียบเชียบกว่าทุกวัน  คงเพราะพอเขามาถึงคุณน้าก็ออกไปทำงานพอดีก็เลยไม่มีคนคอยชวนคุยเหมือนเช่นทุกวัน   

     แต่ที่ทำให้ประหลายใจยิ่งกว่านั้นก็คือ...นายน์ที่นั่งทานอาหารเช้ารอเขาอยู่ก่อนแล้ว
 
     เท็นมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่ยังไม่รู้ถึงการมาของเขาอยู่อย่างนั้น  แล้วจู่ๆ ก็เกิดกลัวการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายขึ้นมาเสียดื้อๆ! 

     วันนี้เขายังคงทำหน้าที่สารถีที่ดีมารับนายน์ตามปกติ  หลังจากที่เมื่อวานแม่ของนายน์ไลน์มาบอกว่าคงต้องให้นายน์หยุดเรียนต่ออีกหนึ่งวันเพราะยังมีไข้แล้วก็ทานอะไรไม่ค่อยลง  ส่วนเขาที่สติกระเจิงไปตั้งแต่เจออีกคนทิ้งระเบิดไว้ให้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะโทรไปกวน  เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจแล้วบอกเขาว่า ‘ลืมที่กูพูดไปซะ’ ‘กูแค่พูดเล่น  อย่าบอกนะว่ามึงคิดว่ากูหมายความแบบนั้นจริงๆ’ หรืออะไรเลวร้ายเทือกนั้นที่สมองเบลอๆ ของเขาพอจะจินตนาการออก  เลยได้แค่ส่งไลน์ไปถามว่าดีขึ้นหรือยัง  เจ้าตัวตอบมาเพียงสั้นๆ ว่า ‘ดีขึ้นแล้ว’ แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย

     และนี่ก็คือการต้องเจอหน้ากันครั้งแรก  เท็นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเดินไปนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย  เจ้าตัวดูจะสะดุ้งเล็กน้อยที่เห็นเขา  ทว่าร่างสูงก็ยังทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มไปให้เมื่อเราสบตากัน  แต่นายน์กลับหันหน้าหนีเขาแทบจะในทันที  เล่นเอาคนที่อุตส่าห์ข่มใจไม่ให้หลุดแสดงอาการอะไรออกไปถึงกับหน้าเจื่อน
ร่างสูงกระแอมแก้เก้อก่อนจะกวาดสายตาไปบนโต๊ะ  ตรงหน้าเขามีแซนวิซแบบเดียวกับกับในจานที่คนตัวเล็กกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง  ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงสายตาจากคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเลยมองกลับไปยังคนน่ารักที่ทำให้นอนไม่หลับมาสองคืนติดอีกครั้ง  และก็ทันได้เห็นว่าเจ้าตัวหลุบตาต่ำหนีสายตาเขาอีกแล้ว  แต่คราวนี้เขาทันได้เห็นสีหน้าและแววตาที่ดูแตกต่างไปจากทุกทีของอีกฝ่าย 

     ท่าทีเหล่านั้นไม่ได้ดูเป็นอะไรที่ทำให้เขาต้องคิดไปในแง่ลบเหมือนอย่างที่กลัว 

     แต่ดูราวกับว่าเจ้าตัวกำลังเก้อเขินอยู่ในทีหรืออะไรก็ตามที่คล้ายๆ ว่าจะวางตัวไม่ถูก  เรียกจังหวะหัวใจที่เกือบจะเฉาตายไปแล้วของเขาให้กระเตื้องขึ้นมาอีกครั้ง  และทำให้ความกังวลที่แบกไว้บางเบาลงในพริบตา  เท็นจุดยิ้มมุมปากพลางคว้าแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มก่อนจะเป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบ 

     “ไม่มีไข้แล้วใช่มั้ย”

     “อืม"

     “แล้วยังต้องกินยาอยู่รึเปล่า”

     “แม่บอกว่าไม่ต้องแล้ว”

     “กูเพิ่งรู้จากแม่ว่ามึงแพ้ไข่ปลาหมึกกับกุ้ง”

     “อืม”

     “แล้วมีอย่างอื่นอีกมั้ย”

     “ก็น่าจะมีมั้ง  คงต้องลองไปทำเทสที่โรงพยาบาลดู”

     “ก็ดีนะ  แล้วจะไปเมื่อไหร่”

     “ยังไม่รู้เลย  ไว้ก่อน”

     เท็นพยักหน้ารับคำก่อนจะหยิบแซนวิซของตัวเองขึ้นมาจัดการบ้าง  กินไปมองหน้าอีกคนไปอย่างพยายามจะเมินสถานการณ์  สาบานว่าตั้งแต่เขามาถึงนายน์ยังไม่ยอมจ้องตากันตรงๆ เลยสักครั้ง  ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นทันทีเมื่อเจ้าตัวเหลือบมองเขาอีก  แล้วแล้วก็หลบสายตาอย่างรวดเร็วอีกตามเคย  รู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนทว่ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิดไว้  เขาส่งแซนวิซแสนอร่อยคำสุดท้ายเข้าปาก  ยกน้ำส้มขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด  วางแก้วเปล่าลงกับจานก่อนจะลุกขึ้นเอามันไปเก็บไว้ในห้องครัวเหมือนที่เขาทำทุกวัน  พอกลับมายังโต๊ะทานข้าวอีกคนก็ยังอยู่ในอากัปกิริยาเดิมไม่เปลี่ยน  ก้มหน้าก้มตาจนคางจะชิดอกอยู่แล้วไอ้เปี๊ยกเอ้ย!  เขาได้แค่คิดแบบนั้นในใจพลางซ่อนรอยยิ้มเอาไว้อย่างมิดชิดพลางว่า  “ปกติเสาร์อาทิตย์มึงทำอะไร”

      “...เรื่อยเปื่อย  ดูหนัง  นอน  บางทีก็ไปค้างบ้านไอ้เคน”

     “ไปบ่อยหรอ”

     “ก็ไม่บ่อย”

     “แล้วอาทิตย์นี้จะทำอะไร”

     “ถามทำไม”

     “จะชวนไปดูกูแข่งบาสฯ” 

     “..........”

     “ไม่ใช่แมตช์สำคัญอะไรหรอก  แข่งเล่นๆ กับพวกเพื่อนๆ น่ะ”

     “..........”

     “แต่ถ้ามึงไปดู..."

     "..........”

      “.....กูก็อยากชนะนะ”

      ที่เอาแต่เงียบไม่ยอมตอบไม่ใช่ว่ากำลังตัดสินใจอะไรอยู่หรอกนะ  ก็แค่จังหวะหัวใจมันสะดุดแล้วหลังจากนั้นมันก็เอาแต่เต้นโครมครามไม่หยุดนับตั้งแต่อีกคนชวนไปดูแข่งบาสฯอะไรนั่นแล้วต่างหาก  นายน์พยายามควบคุมสีหน้าให้ดูนิ่งที่สุดแม้ว่ามันจะทำได้ยากเย็นมากก็ตาม  สมาธิของเขาในตอนนี้ไม่ยอมอยู่กับร่องกับรอยเลย  เผลอเป็นหลุดสายตาไปมองอีกคนทุกที  เขาเงียบอยู่นานก่อนจะหยิบแซนวิซที่เหลือขึ้นมากัดอีกครั้ง  เคี้ยวอย่างไม่รีบร้อนพลางยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม  ข่มใจตัวเองให้หนักแน่นเข้าไว้ก่อนจะปลายสายตามองคู่สนทนา  “คิดดูก่อน”

      “ถ้าชนะเดี๋ยวพาไปเลี้ยง  มึงเลือกร้านมาเลย”

      รอยยิ้มมุมปากตามสไตล์ของอีกฝ่ายไม่ได้เป็นปัญหาเท่ากับสายตาที่ดูราวกับยิ้มได้คู่นั้น  ก่อนหน้านี้เขาว่ามันรับมือได้ยากแล้วแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ารับมืออะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย  เขาควรต้องทำยังไงถึงจะได้ไม่เผลอทำอะไรให้ตัวเองขายหน้าออกไปเนี่ย!  นายน์ทำทีเป็นขมวดคิ้วก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเมื่อเขาเพิ่งส่งแซนวิซคำสุดท้ายเข้าปาก  “แล้วมึงชนะทำไมถึงต้องเลี้ยงกูด้วยไม่ทราบ”

     “ก็ถ้ากูชนะ  คงเพราะได้กำลังใจดีไง”

     “แหวะ!”

   



     นายน์เอื้อมไปหยิบกล่องเจแปนนิสชีสเค้กที่ยัยมิ้นต์คะยั้นคะยอให้แม่เขาทำให้ทันทีที่รถยนต์ถูกพามาถึงหน้าคณะ  ยิ่งอยู่กับอีกฝ่ายนานก็ยิ่งพาลให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง  สงสัยคงต้องปรับตัวอีกซักพักกว่าจะชินเวลาโดนอีกฝ่ายจู่โจมด้วยคำพูดและสายตาวิบวับแบบนั้น 

     แต่ก็ไม่รู้ว่าระหว่างชินกับหัวใจวายตายไปซะก่อนอะไรจะมาก่อนกัน! 

      ทว่าพอหันกลับมาอีกทีก็ถูกอีกคนเอามือถือมาจ่ออยู่ตรงหน้าเสียอย่างนั้น  คิ้วสวยขมวดมุ่นมองการกระทำเพี้ยนๆ ของอีกคนอย่างไม่เข้าใจ  จะมาไม้ไหนอีกแล้วเนี่ย!  “อะไรของมึง!”

     “พูดแบบวันนั้นให้ฟังอีกทีดิ”

      จังหวะหัวใจที่เฝ้าอุตส่าห์พยายามควบคุมให้มันอยู่กับล่องกับลอยอย่างยากเย็นเป็นอันให้รัวเป็นกลองชุดขึ้นมาอีกระรอก  กำลังจะได้ลงจากรถอยู่แล้วเชียวยังไม่วายจะหาเรื่องมาก่อกวนกันอีกจนได้  นายน์ตีหน้าราวกับไม่เข้าใจความหมายนั้น  เขาเอื้อมมือไปผลักโทรศัพท์ออกพลางเบี่ยงตัวหลบ  แต่อีกคนกลับเอาแต่ตั้งป้อมจ่อมาที่เขาราวกับนักข่าวกระหายบทสัมภาษณ์จากดาราดังอย่างไรอย่างนั้น  “อะไร!”

     เท็นมองใบหน้ามุ่ยๆ ของคนน่ารักผ่านกล้องพลางยิ้มออกมา  เขาเลื่อนใบหน้าออกจากโทรศัพท์ที่ถืออยู่เพื่อให้อีกคนเห็นเขาชัดๆ พลางว่า  “ก็...แบบวันนั้นน่ะ  ตอนที่กูกำลังจะกลับ  แล้วมึงก็พูดขึ้นมา  กูได้ยินไม่ชัด” 

     “ไม่!” ตอนนี้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าวจนรามไปถึงหูแบบกู่ไม่กลับ  ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน 

     “แค่ประโยคนั้นประโยคเดียวก็ได้”

     “ไม่!”

     “นะ”

      ทำไมแค่คำว่า ‘นะ’  สั้นๆ เพียงคำเดียวกลับทำให้คนฟังเสียหลักไปได้อย่างง่ายดาย  นายน์เม้มริมฝีปากเพื่อข่มอาการเอาไว้อย่างพยายามให้มิดชิดที่สุด  แต่ก็ไม่วายเกือบจะหยุดยิ้มจนต้องเบือนหน้าไปทางอื่น  “แล้วทำไมมึงต้องเอาโทรศัพท์มาจ่อหน้ากูด้วยเนี่ย!”

     “หลักฐานไง  ถ้าเกิดมึงเปลี่ยนใจกูจะได้เอาไปแจ้งความ”

      “...........”

      เขานิ่งไปอย่างหมดคำจะพูด  ขบริมฝีปากแน่นยิ่งกว้าดิมไม่ใช่เพราะโกรธแต่กำลังข่มไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้มออกมาต่างหาก  นี่คือตัวตนที่แท้จริงของมึงใช้มั้ยไอ้คุณทินกฤต!  ข่มใจเล่นเกมจ้องตาสู้กับเจ้าของโทรศัพท์ได้ไม่เท่าไหร่เขาก็ต้องเป็นฝ่ายยอมยกธงขาวอีกรอบ  “ปัญญาอ่อน!”  ว่าพลางแลบลิ้นใส่โทรศัพท์ก่อนจะหอบสัมภาระเอาไว้แล้วรีบเผ่นออกจากรถไปทันที 
ขืนอยู่นานกว่านี้เขาได้เป็นบ้าตายก่อนแน่ๆ! 



                                                        ***********************************





     ร่างเล็กคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหนังสือหลังจากที่เป่าผมจนหมาดได้ที่  เขาทิ้งตัวลงนอน  ใช้เท้าเกี่ยวเอาหมอนข้างคู่ใจขึ้นมาก่ายอย่างสบายอารมณ์  ก่อนจะกดไปที่ไลน์เป็นอย่างแรก  เข้าไปตอบข้อความยัยมินต์ที่มากำชับให้เขาบอกแม่เรื่องเค้กวันเกิดของเพื่อนที่ชื่อไอซ์ของเจ้าหลอน  ก่อนจะไปตอบข้อความของไอ้เพื่อนเคนที่มันไลน์มาตั้งแต่บ่ายแล้วแต่เขาขี้เกียจตอบ 

     เดาออกมั้ยว่าเพราะอะไร  หึ! 

     ก็เพราะคำถามเหมือนรู้ดีเหลือเกินนี่แหละที่ทำให้เขาไม่อยากจะตอบมันเสียที  อันที่จริงจะบอกว่าเป็นการติดตามผลงานของมันก็คงไม่ผิด  วุ่นวายได้โล่จริงๆ  แต่ถึงมันจะยุ่งไม่เข้าเรื่องไปนิดแต่ครั้งนี้ก็ต้องขอบคุณไอ้เคนจริงๆ ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก  ไม่ต้องมานอนก่ายหน้าผากถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

     พอได้พูดออกไปแล้วมันก็โล่งดี  ถึงจะมีเรื่องอื่นมาให้หนักใจแทนก็เถอะ! 

     นายน์เปิดรูปที่มันแคปส่งมาให้ก่อนเป็นอย่างแรก  เป็นสเตตัสในเฟซบุ๊คของเท็นที่ดูจากวันที่และเวลาแล้วก็น่าจะหลังจากที่มาส่งเขาที่คณะเมื่อเช้านี้นี่แหละ  ‘วันที่ดี  .....ขอบคุณนะ’  แม้ว่าข้อความจะไม่ได้สื่อถึงอะไรเลยแต่ระดับความขี้เผือกบวกกับว่าค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ดีอย่างไอ้เคนทำไมมันจะเดาไม่ออก!

     ‘ตั้งแต่กูเป็นเพื่อนกับมันในเฟซยังไม่เคยเห็นมันโพสต์อะไรประมาณนี้เลยนะเว้ย’

     ‘ไอ้หล่ออารมณ์ดีโคตรในรอบปีขนาดนี้แปลว่ามึงเซย์เยสอ่ะดิ’

     ‘เคลียร์กับมันไปซะก็ดีละ’

     ‘แล้วก็ไม่ต้องมัวไปคิดเรื่องเมื่อก่อนอีกล่ะ  ผู้ชายเค้าไม่มัวคิดเล็กคิดน้อยหรอก’

     ‘แล้วก็เพลาๆ เรื่องใจแข็ง  ฟอร์มจัดกับมันบ้างเหอะ  เดี๋ยวมันเหนื่อยใจตายไปก่อนจะหาว่าไม่เตือน’

     ‘แต่ก็อย่าทำตัวง่ายเกินนะ  กูหวง’

     ‘555555555555555555555555555555555’

     อ่านข้อความที่มันทิ้งไว้ให้แล้วก็ได้แต่กลอกตาล้านตลบ  ตกลงนี่เพื่อนหรือว่าพ่อกันแน่วะ  แล้วไอ้หัวเราะยาวเหยียดตบท้ายนี่มันหมายความว่ายังไงไม่ทราบ  นายน์ถือโทรศัพท์ค้างไว้ที่หน้านั้นพลางคิดว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี  ก่อนจะรัวนิ้วไปบนแป้นพลางเปะปากใส่ไอ้คนช่างสั่งไปด้วย 

     “เรื่องมากขนาดนี้  มึงไปคบกับมันเองเลยมั้ย  จะได้จบๆ”

     ไวปานวอกที่แท้ทรูเพราะทันทีที่เขาตอบกลับไม่นานก็ขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วเรียบร้อย  นายน์รอเพียงอึดใจข้อความจากอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมา 

     ‘กูคบกับมึงอยู่  ให้คบกับมันด้วยก็กลายเป็นคนซ้อนอ่ะดิ  กูไม่อยากเป็นคนเลว’

     ‘อิอิ’

     “เกลียดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”

      “นอนละ”  นายนพิมพ์ไปเพียงเท่านั้นพลางย่นจมูกใส่ไอ้เพื่อนบ้าก่อนจะวางโทรศัพท์ลง  คุยกับมันนี่เปลืองเวลานอนจริงๆ  ว่าแล้วก็เอื้อมไปปิดไฟตรงหัวเตียง  คลานไปหยิบผ้าห่มที่พับอยู่ตรงปลายเท้าก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง  วันนี้อากาศร้อนมาก  เล่นเอาไมเกรนกินหัวเขาตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้ยังรู้สึกร้าวเบ้าตาอยู่เลย 

     Rrrrrr.....  Rrrrrr..... 

     ทว่าเสียงโทรศัพท์นั้นก็ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกจนได้  นายน์ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์เจ้าปัญหาที่อยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับ  “อะไรของมึง!  ก็บอกแล้วไงว่ากูจะนอน!”

     ‘จะนอนแล้วหรอ’ 

     น้ำเสียงทุ่มตามสไตล์นั้นกระชากเขาที่กำลังนอนหน้าตึงอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้นมานั่งท่ามกลางความมืดในทันที  “นึกว่าไอ้เคน  โทษที” 

      “ปกตินอนเวลานี้หรอ”

     “เปล่า  พอดีไม่มีอะไรทำน่ะ  มีอะไรรึเปล่า”  ไม่อยากบอกว่าปวดหัวเดี๋ยวไอ้คนขี้เกรงใจรู้เข้าจะไม่ยอมพูดธุระแล้วชิงวางสายไปก่อนเปล่าๆ

     “ก็ไม่มีอะไรหรอก  แค่จะโทรมาบอกว่ามึงลืมชีทไว้ในรถ  กลัวหาไม่เจอเลยโทรมาบอกก่อน  เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปให้นะ”

     “อ้าวหรอ  ...ขอบใจ”

     “งั้น...ไม่กวนแล้วดีกว่า  .....ฝันดี”

      ฟังจากน้ำเสียงอ้อยอิ่งนั้นก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเหมือนมีบางอย่างอยากจะคุยแต่คงไม่อยากรบกวนเวลานอนของเขา  “มีอะไรจะพูดก็ว่ามาเลย  กูตาสว่างตั้งแต่กดรับสายแล้วแหละ”  ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ลอดมาจากคนฝั่งนั้น  อุตส่าห์ใจดีขนาดนี้แล้ว  เขาพูดอะไรผิดไม่ทราบ!  “ขำอะไร”

     “เปล่า  ก็แค่...เหมือนจะโดนรู้ทัน”

       “งั้นวางสายล่ะนะ”

     “เห้ย!  อย่าเพิ่งดิ  คุยกันก่อน”

     “..........”  แค่แกล้งขู่ไปเล่นๆ แต่น้ำเสียงตกใจของอีกคนกลับฟังดูจริงจังจนเขาต้องหลุดยิ้ม  เมื่อเช้าเล่นงานเขาจนไปไม่เป็นเพราะงั้นตอนนี้ขอเอาคืนบ้างแล้วกัน  หึ!     

     “…..นายน์  ถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

      “อืม”  น้ำเสียงที่จู่ๆ ก็จริงจังขึ้นมาพาลให้เขารู้สึกเกร็งตามไปอย่างอัตโนมัติ  นายน์คว้าหมอนมากอดพลางรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร  ดวงตาคู่สวยจ้องไปในความมืด  ไม่รู้ว่าสายตาเขาชินแล้วหรือเพราะแสงจากโทรศัพท์ช่วยส่องถึงทำให้รู้สึกว่ามองเห็นข้าวของในห้องได้ชัดกว่าเคย

      “ที่พูดวันนั้น  หมายความตามนั้นจริงๆ รึเปล่า”

      “..........”

      “กู...ไม่อยากคิดไปเอง”

      “..........”

     “กลัวว่าถ้ามันไม่ใช่แล้วจะยิ่งเจ็บกว่าเดิม”

     ประโยคเหล่านั้นเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจแต่ดันแทงเข้ากลางใจดำเขาจังเบ้อเร้อ  นายน์ปล่อยให้ความเงียบคั่นกลางระหว่างบทสนทนาอยู่นาน  สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ตอบและถามกลับไปแทนเพราะเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่  “แล้วทำไมถึงคิดว่าจะไม่จริงล่ะ”

     “ไม่รู้ดิ  .....ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นว่ามึงจะใจอ่อนลงเลย  ก็เลยคิดว่า...บางทีมึงอาจจะแค่เพ้อไข้หรือเปล่าน่ะ”

     “เพ้อไข้เนี่ยนะ!”  ทั้งๆ ที่กำลังคุยเรื่องจริงจังกันอยู่แต่คำพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาหลุดขำออกมาเสียอย่างนั้น  มันมีคนที่เพ้อเรื่องสำคัญขนาดนั้นด้วยหรอ  แล้วที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาดูไม่ใจอ่อนลงเลยก็เพราะเขาพยายามทำให้เจ้าตัวเข้าใจแบบนั้นต่างหาก  และก็คงจะเป็นอย่างที่ไอ้เคนว่า  ‘เขามันพวกฟอร์มจัด  แถมยังอ่านยาก’ สินะ

      “ก็ถึงบอกไงว่าไม่อยากคิดไปเอง  เลยต้องถามมึง”

      นายน์ยังคงไม่สามารถห้ามกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้หุบยิ้มได้  เพราะเขาพาลไปคิดถึงเหตุการณ์ในรถเมื่อเช้าที่อีกฝ่ายพยายามจะให้เขาพูดมันออกมาอีกครั้งไปเสียได้  ถึงจะทำเป็นเล่นๆ แบบนั้นแต่ความจริงคงกำลังกังวลอยู่สินะ  จู่ๆ เขาก็นึกอยากแกล้งคนขึ้นมาเลยพูดเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ  “เออลืมบอกไปเลย  พรุ่งนี้ไม่ต้องมารับแล้วนะ  รถเสร็จแล้ว  มึงจะได้ไม่ต้องตื่นเช้าด้วย”

     “.....แต่กูอยากไปรับ”

      “ได้นอนตื่นสายไม่ชอบรึไง  กูจะขับรถไปเอง  เอาตามนี้แหละ”  เห็นอาการหาววอดๆ ของอีกฝ่ายทุกเช้าแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจร้ายใจดำอย่างที่ไอ้เคนว่าจริงๆ  ถึงต่อให้รถเขาจะยังไม่เสร็จก็ตั้งใจจะบอกอีกฝ่ายเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

    “งั้นขอไปกินข้าวกลางวันด้วยได้มั้ย”

     “ไม่ดีกว่ามั้ง”

     “............”

     “แต่ถ้าไปกินข้างนอกก็...ได้ล่ะมั้ง”  ประเด็นคือยังไม่อยากให้เพื่อนรู้จนกว่าจะแน่ใจ  ถึงจะลองเปิดใจศึกษาอีกฝ่ายก็จริง  แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจนักหรอกว่าจะเข้ากันได้ไหม  อีกอย่าง  ยังไม่อยากถูกยัยมิ้นต์จับซักฟอกจนซีดอีก  และเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะถูกใครแซวอะไรทั้งนั้นในเวลานี้ด้วย 

     “โอเค  งั้นเดี๋ยวตอนเที่ยงไปรับนะ”

      “อืม”

      จู่ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป  และเขาเองก็เลือกที่จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น  นายน์รอฟังว่าคนปลายสายจะพูดอะไรอีกหรือไม่  แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจจากอีกฟากหนึ่งเท่านั้น  ผ่านไปหลายนาทีในที่สุดเจ้าตัวก็ยอมเอ่ยขึ้นจนได้

     “ตกลงจะไม่ยอมตอบกันจริงๆ ดิ”

     ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเพราะเขากำลังพยายามกลั้นยิ้มและให้แน่ใจว่าจะไม่มีเสียงหัวเราะหลุดลอดออกไป  นึกว่าจะยอมแพ้แล้วก็ปล่อยให้เขาทำเบลอไปเหมือนทุกครั้งเสียอีก  “แล้วได้ยินว่าอะไรล่ะ”

      “..........”

     “ได้ยินแบบไหนก็ตามนั้นแหละ  นอนแล้วนะ”

     “นายน์!”

      “..........”

      “งั้นต่อไปนี้...จะจีบจริงๆ แล้วนะ”

       “..........”  จังหวะหัวใจพลันเต้นโครมครามขึ้นมาแทบจะวินาทีเดียวกับที่ได้ยินประโยคจากน้ำเสียงตื่นๆ อย่างคนดีใจจนปิดไม่มิดของคนปลายสาย  สาบานว่าที่ผ่านมานี่คือยังไม่ได้จีบใช่มั้ย! 

      “งั้น…ฝันดีนะ”

      “อืม”

      “บาย”

      มือเรียวเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหูโดยไม่ได้ตอบอะไรอีก  และปลายสายก็ดูจะไม่ยอมวางถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายวางไปก่อน  เลยตัดสินใจกดตัดสายไปทั้งอย่างนั้น  นายน์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม  ดวงตาคู่สวยยังคงมองไปยังความมืดพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ทำยังไงก็ไม่ยอมหายไปเสียที  มือเล็กวางลงบนตำแหน่งหัวใจ  สาบานว่าเขาสามารถรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของมันจริงๆ  ที่เขาว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกจากอก  ไอ้อาการที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้น่าจะใกล้เคียงใช่ไหม 

      แล้วอย่างนี้เขาจะข่มตาหลับลงได้ยังไง! 


 



                                                           ***********************************

หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP14 [Update 15-12-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 15-12-2018 21:40:57



      วันนี้เขาเรียนเสร็จก่อนนายน์เลยตั้งใจว่าจะขับรถมารอ  แต่ดันถูกอีกฝ่ายไลน์มาบอกว่าอย่าเพิ่งออกมาจนกว่าเจ้าตัวจะบอก  แถมยังย้ำอีกว่าถ้ามาถึงแล้วให้รออยู่ในรถเดี๋ยวนายน์จะเป็นฝ่ายเดินมาหาเอง  และเขาที่ขัดไม่ได้ก็เลยต้องทำตามอย่างที่อีกฝ่ายบอกอย่างเคร่งครัด  ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นเพราะไม่อยากให้เพื่อนเห็นหรือไม่ก็ขี้เกียจตอบคำถามเพื่อนล่ะมั้ง

     เขาจอดรถยังจุดที่นัดกับอีกคนไว้ก่อนจะกวาดสายตามองออกไปข้างนอก  ด้วยความที่เจ้าตัวค่อนข้างจะเด่นเพราะผิวขาวๆ นั้น(อย่างน้อยก็สำหรับเขาล่ะนะ)เลยทำให้หาเจอได้ไม่ยาก  เท็นโน้มตัววางแขนเท้าไว้กับพวงมาลัยพลางมองไปยังอีกคน  นายน์ไม่ได้อยู่คนเดียว  แต่มีเพื่อนสาวคนสนิทที่คุยเก่งๆ คนนั้นตามติดมาด้วย  ถ้าจำไม่ผิดอีกฝ่ายน่าจะชื่อมิ้นต์ 

     เหมือนว่าทั้งคู่จะกำลังคุย  หรือบางทีอาจจะเถียงอะไรกันบางอย่าง  เพราะใบหน้าของคนน่ารักดูบูดบึ้งและท่าทางก็เหมือนคนที่พร้อมจะวิ่งหนีไปได้ทุกเมื่อ  ติดที่ว่าถูกเพื่อนคนสวยคล้องแขนเอาไว้แถมยังดูเหมือนว่าจะถูกบังคับให้เดินด้วยซ้ำ  เท็นหัวเราะในลำคอพลางส่ายหัวให้กับท่าทางที่ดูพิลึกอยู่ในทีของอีกฝ่าย  ยิ่งทั้งคู่ใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่นายน์ก็ดูจะไม่อยากเดินมากขึ้นเท่านั้น  ท่าทางเหล่านั้นของทั้งสองคนทำไห้เขานึกขันก็จริงแต่มันก็ดูน่ารักอยู่ในที  และทันทีที่ประดูฝั่งข้างคนขับถูกเปิดเสียงแรกที่ดังลอดเข้ามาก็คือเสียงของมิ้นต์

     “มึงนี่ท่ามากจริงๆ  เข้าไปได้แล้วกูร้อน”

     คนตัวเล็กของเขาไม่ได้ต่อปากต่อคำแต่เจ้าตัวส่งเสียงจิ๊อย่างขัดใจก่อนจะยอมเข้ามานั่งในรถข้างกัน  เท็นส่งยิ้มให้เมื่อใบหน้าบูดๆ นั้นหันมามองกันเป็นครั้งแรก 

      “มิ้นต์มันขอติดรถไปด้วย  มึงโอเคปะ”

      “โอเคดิ”

      “เห็นมะ  เท็นไม่เห็นจะว่าอะไ  มีแต่มึงนั่นแหละเยอะไม่เข้าเรื่อง”

      “มึงก็ควรมีมารยาทมั้ย”

      “เถียงเก่ง”

      “……….”

      “ช่วยไม่ได้  มึงอยากทำตัวลึกลับก่อนเอง  กูก็เลยต้องอยู่ดูให้เห็นกับตาไงว่ามึงออกนอกลู่นอกทางรึเปล่า”

      นายน์อุตส่าห์เงียบอยู่ได้ครู่หนึ่งแต่เหมือนหมัดนี้ดูจะทำให้เจ้าตัวฉุดหนักอยู่พอสมควรถึงได้ตวัดสายตาไปมองคนที่เพิ่งเข้ามานั่งยังเบาะหลัง 

     “ใครกันแน่ที่เยอะ”

     “เท็น!  ออกรถเลยดีกว่า  ขี้เกียจเถียงกับคนแคระ”

      “กูสูงกว่ามึงแล้วกัน” 

      “สองเซ็นไม่นับเว้ย”

       นายน์จ้องยัยเพื่อนตัวดีโดยไม่โต้ตอบอะไรอีก  ยิ่งเถียงก็ยิ่งโมโห  จะไม่ให้เขาเคืองได้ยังไง  อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะขอแยกตัวออกมาเงียบๆ แต่คุณเธอก็ยังจะตามมารอเป็นเพื่อน  ปฏิเสธเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง  แล้วพอเห็นรถของเท็นวิ่งเข้ามาเท่านั้นแหละก็หันมาบอกเขาหน้าตาเฉยว่าจะไปด้วย  คนอะไรก็ไม่รู้ตื้อเก่งแถมยังเกาะหนึบยิ่งกว่าตุ๊กแกอีก!

      จากตอนแรกที่คิดว่าจะปิดไว้ไม่ให้ใครรู้แต่ดูท่าว่าคงจะหลอกยัยมินต์ไม่ได้ง่ายๆ แล้วล่ะมั้ง!  เจ็บใจชะมัด!

      เท็นเห็นอาการฮึดฮัดของคนสู้เพื่อนไม่ได้แล้วนึกอยากจะส่งมือไปลูบแก้มคนหน้ามุ่ยจริงๆ  แต่คิดว่าถ้าเขาทำแบบนั้นจริงมีหวังได้ถูกเจ้าตัวโกรธให้อีกคน  เลยได้แค่ส่งยิ้มบางๆ ไปให้แทน



      ขับรถจากมหาฯลัยมาถึงห้างฯที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีดีที่วันนี้การจราจรเป็นใจ  และทันทีที่ดับเครื่องยนต์เขาก็หันไปเอ่ยถามคนที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง  “กินอะไรดี”

     “ไม่รู้อ่ะ  ไปเดินดูก่อนแล้วกัน”

      “โอเค  .....แล้วมิ้นต์ล่ะ  ไปทานข้าวด้วยกันมั้ย”

      “ไม่ต้องพูดกับเราเพราะขนาดนั้นก็ได้  คนกันเอง  ...ไม่ล่ะ  เดี๋ยวคนบางคนจะงอนข้ามวันข้ามคืน  แต่ขอติดรถกลับด้วยนะ”

      “ได้สิ”

      “มึงเสร็จแล้วก็โทรหากูด้วยล่ะ”

      ประโยคหลังเจ้าตัวหันไปพูดกับเพื่อนตัวเองแถมท้ายด้วยการตบหัวเบาๆ  และได้ตาเขียวๆ จากคนตัวเล็กที่ตวัดมองแทบจะในทันทีเป็นรางวัล  แต่มิ้นต์กลับหัวเราะชอบใจเสียอย่างนั้น  ดูท่าว่าสองคนนี้จะชอบแกล้งแหย่ให้โกรธเล่นจนเป็นเรื่องปกติเสียล่ะมั้ง

      “กินกันให้อร่อยนะ”

      นายน์อ้าปากเตรียมจะด่ากลับแต่ยังช้ากว่ามิ้นต์ที่ชิงเปิดประตูลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว  เท็นได้แต่ยิ้มขำขณะมองสงครามเล็กๆ ระหว่างเพื่อนซี้  และก็ต้องหุบปากฉับเมื่ออีกคนตวัดตาดุๆ มาที่เขาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

      “ไปกัน”  เนียนเปลี่ยนเรื่องก่อนจะพยักหน้าสำทับ  เปิดประตูรถชิ่งหนีออกไปยืนรออีกคนข้างนอก 






     นายน์หยุดหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขาไม่เคยลองทานมาก่อนเพื่อดูเมนู  ไล่สายตาอ่านไปทีละหน้าอย่างสนใจ  ตั้งใจอ่านส่วนผสมเป็นพิเศษเพราะจะดูว่าเมนูไหนที่เขากินได้บ้างแล้วเมนูไหนต้องขอผ่าน  พลิกไปพลิกมาพลางตัดสินใจอยู่ได้สักพักก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เข้ามาใกล้จนเกินเหตุ  พอลองหันกลับไปดูจึงได้เห็นว่าคนตัวสูงกำลังยืนซ้อนหลังเขาแบบที่เรียกได้ว่าอกอีกฝายประชิดไหล่เขา  ดวงตาของเจ้าตัวกำลังจับจ้องไปยังเมนูตรงหน้าอย่างไม่อาทรร้อนใจต่อสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย 

      “ใกล้ไปปะ!”

      “กูสายตาสั้นอ่ะ  อ่านไม่ค่อยถนัด”

      “หรอ!”

      ใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้นั้นดูแนบเนียนแต่ก็ยังไม่มากพอ  และเมื่อความหมั่นไส้เกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้สงบลงถ้าไม่ได้หาที่ระบาย  นายน์กระทุ้งข้อศอกเข้ากลางลำตัวของอีกคนอย่างไม่หนักไม่เบา  และคนตัวสูงก็ขดตัวเป็นกุ้งร้องโอยราวกับเจ็บปวดเสียมากมาย   

       “เว่อร์!”  สาบานได้ว่าแรงที่เขาส่งไปไม่มีทางถึงครึ่งนึงของแอคติ้งอีกฝ่ายแน่นอน
 
      คนโดนต่อว่ายกยิ้มมุมปากแต่ก็ยอมถอยออกแต่โดยดี  ทว่าดูจะยังไม่มากพอเพราะมือเล็กๆ ของอีกคนกำลังผลักมาที่อกเขาพลางจ้องหน้ากันอย่างคาดโทษ  เท็นหัวเราะในลำคอก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นราวกับผู้ร้ายถูกตำรวจรวบตัวพลางถอยอีกหนึ่งก้าวก่อนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง  “จะกินร้านนี้หรอ”

      “มึงโอเคปะ”

     “ได้หมด”     

      ตกลงกันได้ดังนั้นเลยเดินเข้าไปข้างในร้าน  พนักงานที่รอต้อนรับอยู่แล้วเข้ามาหาที่นั่งให้ทันที  โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาเลยไม่มีลูกค้าแน่นร้านเท่าไหร่  ที่นั่งที่พวกเราได้จึงอยู่ติดกระจกที่สามารถมองออกไปข้างนอกได้  เขารับเมนูจากพนักงานก่อนจะเปิดดูชื่อเมนูที่เลือกเอาไว้ให้แน่ใจซักพักก็เงยหน้าขึ้นมาสั่งกับพนักงานที่รอรับออเดอร์อยู่แล้ว 

      “แล้วก็ชาร้อนครับ”  เขาเป็นประเภทไม่ค่อยชอบดื่มน้ำเย็นเท่าไหร่  ยกเว้นแต่เป็นพวกชานมหรือไม่ก็น้ำผลไม้ไปเลย  สั่งเสร็จแล้วก็มองไปยังอีกคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดเมนูเลยด้วยซ้ำ  พอถูกเขามองเจ้าตัวก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

      “สั่งให้หน่อย  เอาเหมือนมึงก็ได้”

      “เหมือนกู?  แล้วมึงจะชอบหรอ”  เขาสั่งเพราะอยากลอง  แถมยังไม่เคยทานร้านนี้มาก่อน  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอร่อยถูกปากตัวเองไหม  จะฝากความหวังไว้กับเขาแบบนี้เกิดกินไม่ได้ขึ้นมาจะมาโทษกันไม่ได้นะ 

      “ไม่รู้  แต่อยากรู้ว่ามึงชอบกินอะไร”

      คำตอบนั้นทำเอาคนที่กำลังคิดเยอะอยากจะปาเมนูตรงหน้าใส่สักที  หมั่นไส้คนได้ทีหยอดเอาหยอดเอาจนเขาที่ต้องตั้งรับทำได้แค่พยายามไม่หลุดอาการให้ใครบางคนได้ใจ  “แล้วถ้ามันไม่อร่อยล่ะ”

      “ก็ไม่เป็นไร”

      “อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน  พี่ครับ  เอาแบบที่ผมสั่งอีกหนึ่งที่ครับ  …แล้วน้ำล่ะ”

      “เอาเหมือนมึง”

      “ชาร้อนก็เพิ่มเป็นสองนะครับ”

      “ได้ค่ะ  ขอทวนรายการอาหารที่สั่งนะคะ”

      เขาฟังพนักงานทวนรายการไปพร้อมกับพยักหน้ารับไป  เสร็จเรียบร้อยแล้วพนักงานก็ขออนุญาตเก็บเมนูคืนแล้วก็หายไปทำหน้าที่ของตัวเอง  ดวงตาคู่สวยจึงกลับมายังคนฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง  “ยิ้มอะไร”  นอกจากจะนั่งเอนหลังสบายอย่างกับอยู่บ้านแล้วยังเอาแต่จ้องมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ นั่นอยู่ตลอดเวลา 

      “เปล่า”

     ถึงจะปฏิเสธแบบนั้นแต่เจ้าตัวก็ยังเอาแต่มองมาไม่เลิก  จนต้องเป็นเขาเองที่ต้องแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นทั้งที่ความจริงสมาธิไม่ได้จดจ่ออยู่กับมันเลยสักนิด  นิ้วเรียวกดเข้าไปดูรูปในอินสตราแกรมไปเรื่อยๆ อย่างพยายามไม่สนใจคนที่อยู่อีกฟาก  ทว่าจู่ๆ เจ้าตัวก็ถามคำถามที่ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

     “ขอลงรูปในไอจีได้มั้ย  แค่รูปอาหารก็ได้”

      คำถามนั้นทำเอาคนฟังถึงกับต้องขมวดคิ้วฉับ  “จะลงก็ลงดิ  ทำไมต้องถามกูด้วย”

     “กลัวมึงไม่โอเค”

     “อย่าแท็กมาแล้วกัน”

      “…ได้” 

      รอยยิ้มนั้นดูจะจางลงเล็กน้อยแต่ก็เป็นเพียงแว๊บเดียวเท่านั้นใบหน้าของอีกฝ่ายก็กลับคืนสู่อาการปกติ  เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคงจะกำลังรู้สึก  แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะยอมตกลง  ยังไงก็ยังอยากมั่นใจกว่านี้อยู่ดี  หมายถึงมั่นใจในความรู้สึกตัวเองนะไม่ใช่ของอีกคน 

      ไม่นานพนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ  เท็นหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะถ่ายภาพเก็บเอาไว้แต่เสียงข้อความจากไลน์ก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน  เป็นไอ้มาวินตัวดีที่ไม่รู้ว่าส่งรูปอะไรมา  นิ้วเรียวกดเข้าไปดูทันทีให้หายสงสัย  และรูปนั้นก็ทำให้ต้องตกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกร้าน  ท่าทางเหล่านั้นของเขาคงจะทำให้อีกคนเกิดความสงสัยจนต้องเอ่ยถามออกมา

      “หาอะไร”

      “คนบ้าน่ะ”  เอ่ยตอบทั้งที่สายตายังกวาดไปทั่วบริเวณ  ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อมองออกไปนอกร้าน  ยังไงก็ต้องหาให้เจอ  กลัวใจพวกมันจะยกโขยงกันมาป่วนถึงในร้านน่ะสิ!  บอกเลยว่าถ้าเป็นอย่างนั้นมีหวังนานย์ได้เคืองเขาแน่ๆ  ก็ไอ้พวกนั้นมันกวนตีนน้อยเสียเมื่อไหร่  มองซ้ายมองขวาอยู่ไม่นานก็เห็นเพื่อนทั้งแก๊งของตัวเองที่กำลังยืนโบกไม้โบกมืออยู่ห่างออกไปจากหน้าร้านไม่ไกล  เท็นขบกรามชี้นิ้วเป็นการคาดโทษไอ้พวกเพื่อนเวร  และพวกมันก็หัวเราะกันสนุกสนานตอบรับมาให้อย่างอบอุ่น  แถมไอ้ดิมกับไอ้เจตยังกวนประสาททำเป็นเล่นบทคู่รักกอดกันกลม  ทำท่าจะจูบกันด้วยแอคติ้งเกินๆ เพื่อล้อเลียนเขา  ทุเลศลูกกระตาจริงๆ! 

      เท็นก้มลงพิมพ์ข้อความกลับไปด่าพวกมันให้หายแค้นและรีบๆ ไปให้พ้นตาเสียที  ก่อนที่เขาจะเป็นคนออกไปไล่เตะพวกมันเรียงตัว  กระหน่ำด่าไปจนพวกมันเผ่นหนีนั่นแหละถึงได้ยอมนั่งลงอีกครั้ง 

      “มึงโอเคปะเนี่ย”

      เสียงนั้นฉุดเขาออกจากสงครามในไลน์  นายน์ไม่ได้ดูหงุดหงิดแต่ดูงงกับท่าทางประหลาดๆ ของเขามากกว่า  มือเรียววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะพลางคิดว่าควรจะบอกยังไงดี  “คือ…เพื่อนมันทักมาน่ะ  ถามว่าอยู่ร้านนี้มั้ย  พอดีพวกมันเดินผ่านแล้วเห็นเรานั่งกันอยู่”  ถึงจะมีการแต่งเติมนิดหน่อยเพื่อให้ฟังรื่นหูก็เถอะ  แต่ก็ถือว่าเขาพูดไปตามความจริง(ถึงจะไม่ทันหมดก็ตาม)ล่ะนะ

      “อ้อ”

      ขานรับเพียงเท่านั้นแล้วนายน์ก็กลับไปสนใจอาหารตรงหน้า  เท็นเลยถือโอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายข้าวหน้าปลาดิบของตัวเองบ้าง  ทำเนียนถ่ายอาหารอยู่สองสามรูปแล้วก็แพลนกล้องไปถ่ายคนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยพลางกรอกตาราวกับกำลังพิจารณารสชาติ  เท็นกลั้นยิ้มเมื่อคนน่ารักของเขากำลังมองไปยังอาหารตรงหน้าอย่างสังเกต  ท่าทางธรรมดาแต่เป็นธรรมชาติเหล่านั้นดูน่ารักเสียจนเผลอกดถ่ายไปหลายรูป  ก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วลงมือทานบ้าง

      “ก็อร่อยดีนะ  มึงชอบกินปลาดิบหรอ”

      “อืม  เป็นอาหารดิบอย่างเดียวที่กูกินได้  ตอนแรกก็แหยะๆ แหละ  แต่กินไปกินมาก็อร่อยดี”

      “แล้วชอบกินอะไรอีก”

      “...ถ้าเป็นอาหารที่แม่ทำก็ชอบหมด”

      แน่นอนแหละ  ก็แม่เลือกทำแต่ของโปรดนายน์ทั้งนั้น  “หมายถึงเวลาต้องกินข้าวนอกบ้านน่ะ”

      “ก็กินได้หมด  ยกเว้นพวกอาหารที่ออกหวาน”

      “พะโล้  ไข่ลูกเขยอะไรแบบนี้น่ะหรอ”

      “อืม  ผัดเปรี้ยวหวาน  กุลเชียงอะไรประมาณนั้นแหละ  กูรู้สึกว่าของคาวไม่ควรหวาน”

      ไม่รู้ว่ามันตลกตรงไหนแต่เขาฟังอีกฝ่ายพูดแบบนั้นแล้วถึงกับขำพรวดอย่างห้ามไม่อยู่  จนอีกคนต้องขมวดคิ้วถาม 

      “ขำอะไร”

      “เปล่า  แค่เพิ่งเคยได้ยินคนพูดแบบนี้”

      “..........”

      “งั้นกูจะจำไว้แล้วกัน  วันหลังไปกินข้าวด้วยกันจะได้สั่งถูก”  ว่าพลางยักคิ้วใส่อีกคนที่กำลังจ้องตากันอยู่  และไม่นานคนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนอีกตามเคย  เจ้าตัวส่ายหัวสองสามทีก่อนจะคีบอาหารตรงหน้าเข้าปาก  สงสัยจะเอือมที่โดนเขาหยอดบ่อยๆ

      “นายน์”

      “หืม”

      “ถ้าเกิดว่า  มีคนถ่ายรูปเราไปลงเหมือน…เมื่อก่อน  มึงจะว่ายังไง”  พอถูกเพื่อนแกล้งแอบถ่ายแบบนั้นก็พาลให้คิดถึงเรื่องของบรรดาขาจิ้นขึ้นมาไม่ได้  นายน์วางตะเกียบลงแล้วหยิบแก้วชาร้อนขึ้นมาจิบ  ดวงตาคู่สวยดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ในที

      “ไม่ทำ  เพราะคงไปห้ามอะไรไม่ได้”  โลกอินเตอร์เน็ตเหมือนจะกว้างแต่ก็เหมือนจะแคบในเวลาเดียวกัน  และเขาเองก็ไม่ใช่คนดังอะไร  ถึงจะถูกทำอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ ก็คงจะทำอะไรไม่ได้  แม้ว่าคนโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงอย่างเขาจะไม่ได้แฮปปี้กับมันก็ตาม  แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเขาว่าอยู่เฉยๆ เป็นดีที่สุด  เพราะเขาเคยทำมาหมดแล้วทั้งตีอดชกลมกับตัวเอง  ส่งข้อความไปขอร้องให้ลบ  พยายามแก้ไขความเข้าใจผิด  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ  ถูกหาว่าเรื่องเยอะ  หยิ่ง  ไม่ได้น่ารักอัธยาศัยดีอย่างที่คิด  บลาๆๆๆ  เพราะงั้นก็คงทำได้แค่ปล่อยเบลอไปก็เท่านั่นแหละ 

      “แล้วมึงจะโอเคหรอ”

      “ก็ไม่  แต่ก็แค่ไม่ต้องไปสนใจ”

      “.....มึงโตขึ้นนะ”

      “เดี๋ยว!  คำพูดแบบนี้ต้องให้แม่กูพูดรึเปล่า”

      คนฟังหลุดหัวเราะอีกครั้ง  “กูหมายความแบบนั้นจริงๆ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนมึงคงโวยวายก่อนเป็นอย่างแรก”

      “ก็คงโวยวายเหมือนเดิมแหละ  แต่แค่โวยวายกับตัวเอง”

      “งั้น...ต่อไปนี้  มึงมาโวยวายใส่กูได้นะ” 

      “แล้วทำไมกูต้องทำงั้นด้วย”

      “เพราะกูเป็นผู้ร่วมชะตากรรมไง  กูเข้าใจมึงดีที่สุด”

      “อ๋อเหรอ”

      “อืม  เดี๋ยวกูปลอบใจมึงเอง”

      “หึ”






                                                      ***********************************

หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP15 - 40% [Update 14-01-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 14-01-2019 21:31:15
EP15… 




     “เห้ยมึง!” 

     เท็นที่กำลังก้มผูกเชือกรองเท้าต้องเงยหน้าขึ้นมาเพราะแรงสะกิด(ด้วยเท้า)ที่ไม่เบาของไอ้เจต  “อะไรของมึง!”

     “โน่น!” 

     มันตอบเพียงสั้นๆ พร้อมกับพยักพเยิดแถมยังยิ้มกริ่มจนเขาต้องขมวดคิ้ว  พอหันไปตามสายตาเลยได้เห็นว่าใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างสนาม  แถมยังเป็นคนที่ไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ได้เสียด้วย!  “นายน์!”  คนตัวเล็กของเขากำลังกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่างด้วยท่าทางที่ติดจะประหม่าอยู่ในที  ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายและทำเขาประหลาดใจไม่น้อย  ก่อนหน้านี้พยายามชวนตั้งหลายครั้งแต่เจ้าตัวก็บ่ายเบี่ยงแล้วก็ทำเนียนเบี้ยวกันทุกที  และครั้งนี้เขาก็ลองชวนเผื่อฟลุ๊คไปอย่างนั้น  ไม่คิดว่าจู่ๆ จะยอมโผล่มาเซอร์ไพรส์กันแบบนี้     

     เท็นเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาทันที  และอีกฝ่ายก็หันมาเห็นกันทันทีที่เจ้าตัวได้ยินเสียงฝีเท้า  ใบหน้าน่ารักที่มองมาดูชัดเจนว่านายน์กำลังทำตัวไม่ถูกอยู่ไม่น้อย  อาการเก้อเขินเล็กๆ ที่ดูท่าว่าคงจะพยายามปิดแล้วแต่คงไม่มิดนั้นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักขึ้นเป็นเท่าตัวในสายตาเขา  “ทำไมมาไม่บอกกันก่อน  จะได้ไปรับ”

     “เอ่อ  พอดี…ต้องออกมาทำธุระเป็นเพื่อนแม่ก่อนน่ะ  ไม่คิดว่าจะเสร็จเร็วเลยไม่ได้บอก”  ให้ตายเถอะ  ตั้งแต่รู้จักกันมานี่เขาเริ่มจะกลายเป็นคนขี้โกหกไปแล้ว  ความจริงคือเขาเป็นฝ่ายขอติดรถแม่ออกมาเอง  แล้วก็นั่งแท็กซี่ต่อมาที่นี่เนี่ยแหละ  แต่จะให้บอกออกไปตรงๆ ปากมันก็ไม่ยอมตรงกับใจซะที  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นแถมยังรู้สึกว่าโคตรจะไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย  มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ออกตัวไว้ซะเยอะแยะขนาดนั้นน่ะนะ 

     การจับพลัดจับผลูมาคบกับคนที่เคยเกลียดขี้หน้านี่มันทำตัวยากจริงๆ นั่นแหละ! 
 
     “หรอ  ...แล้วหลังจากนี้ต้องไปทำธุระที่ไหนอีกรึเปล่า”  นายน์ไม่ได้ตอบในทันที  เจ้าตัวเม้มปากราวกับกำลังใช้ความคิดก่อนจะส่ายหน้าด้วยอาการลังเลนิดๆ  “งั้น!  ถ้ากูชนะไปหาอะไรกินกันนะ  เดี๋ยวเลี้ยงเอง”

     พอเห็นคนตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างเป็นปลากระดี่ได้น้ำแล้วก็อยากจะเปลี่ยนจากรู้สึกประหม่าเป็นหมั่นไส้แทนขึ้นมาตงิดๆ  แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขารู้สึกเกร็งน้อยลงได้เหมือนอย่างทุกครั้ง  ไม่รู้ทำไม  “ย้ำเก่ง!  อยากเสียเงินมากว่างั้น”

     “มาก”

     “เดี๋ยวจะถล่มให้กระเป๋าฉีกเลย”

     “ยอม”

     นายน์เบะปากใส่คนที่เพิ่งยักคิ้วใส่เขาอย่างน่าหมั่นไส้พลางว่า  “ชนะให้ได้ก่อนเถอะ!”

     “ไม่อยากโม้  รอดูเองแล้วกัน”

     “หึ”

     “เฮ้ย!  ตกลงจะมาแข่งบาสฯ  หรือจะมาจีบเด็กนิเทศวะ”

     “ฮิ้ววววววววววว!!”

     เสียงที่ดังขึ้นจากอีกฟากของสนามดึงความสนใจของเขาไปจากคนตรงหน้า  ร่างสูงหันกลับไปพร้อมกับชูนิ้วกลางให้บรรดาขาแซวแทนคำตอบ  และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นแทบจะทันทีบ่งบอกว่าพวกมันไม่เคยสะทกสะท้านกับอะไรในโลก  เท็นส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมาหาคนตัวเล็กอีกครั้ง  “ไปกัน  เดี๋ยวแนะนำเพื่อนให้รู้จัก”

     “เอ่อ...ไม่ดีกว่า  กูอยากนั่งตรงนี้”  แค่รวบรวมความกล้ามาที่นี่คนเดียวก็โคตรอยากจะมอบเหรียญกล้าหาญให้ตัวเองแล้ว  ถ้าจะต้องรับมือกับเพื่อน(ที่ดูจะขี้แซวใช่ย่อย)ของอีกฝ่ายอีกเขาต้องตายคาที่แน่ๆ  ทีแรกก็ว่าจะชวนไอ้เคนมาด้วยกันอยู่หรอก  แต่คิดไปคิดมาก็กลัวจะกลายเป็นว่าโดนแซวทั้งจากเพื่อนของเท็นแถมไอ้เคนอีกคนน่ะสิ! 

     “ตรงนี้แดดร้อนนะ  ไปนั่งตรงโน้นดีกว่า”

     “เอ่อ.....”

     “พวกมันแค่กวน…นิดหน่อยน่ะ  ไม่น่ากลัวขนาดนั้น  เชื่อกูดิ” 

     “แต่ว่า...”

     “ไปเถอะ  มาถึงนี่แล้ว  ถ้าไม่แนะนำให้รู้จักกันไว้น่าเกลียดตายเลย”

     “……….”

      “เชื่อเถอะ  ไม่มีใครน่ากลัวเท่ามิ้นต์แล้ว”

     “……….”  เรื่องนี้ก็คงจะไม่กล้าเถียง!  ยัยมิ้นต์ทั้งขี้แซว  จมูกไว  จอมเผือก  แถมยังโคตรตื้อจริงๆ นั่นแหละ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เขาสบายใจขึ้นเมื่อไหร่! 

     “ถ้าพวกมันแซวเดี๋ยวจัดการให้เอง” 

     “คือ…”

     เท็นฉวยจังหวะที่อีกคนยังชั่งใจอยู่คว้าข้อมือแล้วพาเดินไปยังอีกฟากของสนาม  ถึงแม้ว่านายน์จะดูไม่เต็มใจเท่าที่ควรแต่ก็ยอมเดินตามอย่างเสียไม่ได้  ถ้าวันนี้จะถูกนายน์งอนก็คงต้องยอม  ใครจะไปยอมปล่อยให้นั่งเก้อตากแดดอยู่คนเดียวแบบนั้น!  “พวกมึงนี่นายน์  นายน์นี่ไอ้วิน  ดิม  เจต  แล้วก็นนท์  ส่วนอีกทีมเป็นพวกรุ่นพี่ที่คณะน่ะ” 

     “หวัดดี!!” 

      “วะ…หวัดดี”  นายน์ทักกลับเสียงทักทายแบบพร้อมเพรียงแถมยังร่าเริงเกินเรื่องของเพื่อนใหม่  ถ้าให้เดาจากระดับสายตาแก๊งค์นี้น่าจะมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่180เซนติเมตรเป็นอย่างต่ำ  เวลาอยู่กับเท็นก็รู้สึกว่าเขากลายเป็นคนแคระมากพอแล้ว  แต่พอมาเจอบรรดาเพื่อนๆ ของอีกฝ่ายกลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเตี้ยลงไปถนัดตา 

     สงสัยแก๊งนี้จะคัดคนเข้ากลุ่มจากความสูงเสียล่ะมั้ง   
 
     “ได้เจอกันซะทีนะ” 

     เป็นวินที่เอ่ยขึ้น  เจ้าตัวเป็นหนุ่มตี๋ที่ขยันแจกยิ้มจนตาหยีแทบจะตลอดเวลา  และยังเป็นคนที่มีความสูงดรอปที่สุดในกลุ่ม  แต่ก็ดูล่ำที่สุดในกลุ่มเช่นกัน  อารมณ์ประมาณพวกเทรนเนอร์ตามฟิตเนสอะไรทำนองนั้น 

     “ตัวจริงไม่เห็นจะเหมือนคนขี้วีนตรงไหนเลยวะ”

     ทว่าประโยคถัดมาของวินก็ทำให้เขาต้องเบิกตาโตหันขวับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกันอย่างอัตโนมัติ  และสิ่งที่เท็นทำคือส่ายหน้ารัวให้กันก่อนจะหันไปโวยวายใส่เพื่อนแทน

     “กวนตีนละมึง  กูไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น!”

     “หรอ  มึงจะให้กูเล่ามั้ย…”

     “ไอ้เหี้ยนี่เงียบปากดิ!” 

     นายน์มองเท็นที่พุ่งเข้าไปล็อคคอเพื่อนกล้ามโตพร้อมกับใช้มือปิดปากจนอีกคนได้แต่พูดอู้อี้พร้อมดิ้นเป็นคิงคองพาต้าพยายามจะดึงตัวให้หลุด  ดูจากท่าทางเกินๆ ก็รู้แล้วว่าวินแค่ทำเป็นเล่นตามน้ำไปอย่างนั้นเพราะถ้าให้ออกแรงจริงคงหลุดออกมาตั้งแต่สองวิแรกแล้วมั้ง 

     ติงต๊องกันจริงๆ!

     เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเขาอย่างไรบ้าง  แต่ที่แน่ๆ คือเท็นที่อยู่ตรงหน้าเป็นเท็นในแบบที่ต่างออกไปจากเวลาที่อยู่กับเขา  แสดงว่าเวลาอยู่กับเพื่อนก็แอบเอาเรื่องเขามาเม้าท์ใช่มั้ย! 
     
    “ถามอะไรหน่อยดิ”

     เสียงนั้นดึงเขาออกจากภวังค์เล็กๆ และก็เป็นคนที่สูงที่สุดในกลุ่มอย่างเจตที่สะกิดไหล่เขาพลางเอ่ยถาม  และเขาก็เลือกที่จะพยักหน้าแทนคำตอบ   

     “นายน์ชอบเลขอะไร”

     “หา?”  คำถามที่ดูเหมือนจะไม่ได้เข้ากับสถานการณ์ทำเอาคนถูกถามอย่างเขาถึงกับไปไม่เป็น  นายน์หันไปมองหน้าเท็น(ที่ยอมปล่อยวินให้เป็นอิสระแล้ว)อย่างขอความเห็นเพราะเขากำลังโดนเพื่อนอีกฝ่ายจู่โจมด้วยคำถามประหลาด  แต่คนที่เอ่ยปากเองแท้ๆ ว่าเดี๋ยวจะจัดการให้กลับเอาแต่อมยิ้มใส่กันเสียอย่างนั้น 

     นี่เขาควรตอบหรือแกล้งเป็นใบ้ดี?!

     “เลขนำโชคอะไรงี้น่ะ”

     “ถามทำไม”  นายน์ถามกลับอย่างไม่ไว้วางใจ  รู้สึกตัวเองเหมือนชิ้นเนื้อที่อยู่ท่ามกลางเสืออย่างไรชอบกล

     “ขำๆ น่ะ  ตอบมาเถอะ”

     ยิ่งอีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ แถมหัวเราะตบท้ายแบบนั้นก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้นกว่าเก่า  แต่จะให้คิดต่อว่าคำถามนี้จะพาไปเจออะไรก็คิดไม่ออกอยู่ดีเลยเลือกที่จะตอบออกไปแบบงงๆ  “เก้า”  ที่ชอบก็เพราะมันเป็นเลขวันเกิดของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย 

     แล้วมันสำคัญยังไงนี่สิ!   

     “เห็นมั้ย!”

     “อย่า!  ชื่อเค้าก็บอกซะขนาดนั้น!”

     “เออ  ถ้าไม่เกิดวันที่เก้าก็ต้องเดือนกันยานั่นแหละ  เด็กสองขวบยังเดาได้เถอะ”

     “วันที่เก้า”  เท็นตอบ

     “มึงนั่นแหละขี้โกงไอ้เท็น  กูเล็งไว้ก่อนแล้วแม่งมาแย่งกู  แปลว่ามันต้องเป็นกูเว้ย”

      “ใจเย็นมึง  นั่นของเพื่อน”

     “ใช่!  มึงแพ้แล้วก็จ่ายมา  ไม่ต้องมาโวยวายกลบเกลื่อน”

     “แต่คนนี้น่ารักจริงว่ะ  กูยอมให้ก็ได้”

    “เออ  ตัวเล็กตัวน้อยกว่าที่คิดอีกอ่ะ”

     “ยืมไปตั้งโชว์ที่บ้านวันนึงดิ”

     “สัส!” 

     “นายน์  มีเพื่อนน่ารักๆ แนะนำบ้างปะ  ถ้ามีฝากบอกเพื่อนว่าเราโสดจีบได้”

     “ถุยย!!  ไอ้เจตกูจะฟ้องแบมว่ามึงแรด!”

     “หุบปากไปเลยพวกมึง!  ไปวอร์มได้ละ!  ถ้าวันนี้กูแพ้พวกมึงเจอดีแน่!”

     “จะชนะโชว์ว่าที่แฟนว่างั้น”

     “เสือก!”     

     นายน์ที่ได้แต่มองคนนั่นคนนี้ตอบโต้กันแต่ไม่เข้าใจเลยสักนิด  รู้แค่ว่าดูเหมือนเท็นจะโดนเพื่อนรุม  แถมยังอุตส่าห์จำวันเกิดเขาได้อีกต่างหาก  นอกจากนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าจะเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ยินให้เป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไง  เลยทำได้แค่ยืนทำหน้าปุเลี่ยนๆ ขมวดคิ้วมองเท็นที่กำลังไล่เตะเพื่อนลงสนาม  แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่  เพราะยังมีบางคนที่แม้จะโดนทั้งผลักทั้งดันทั้งฟาดด้วยลูกบาสฯแต่ก็ยังจะโบกไม้โบกมือมาให้เขาไม่หยุด

     ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นตัวเลขบนเสื้อด้านหลังของอีกฝ่าย  แล้วจิ๊กซอเล็กๆ ที่เคยผ่านหูไปก็เริ่มประติดประต่อจนทำให้เขาพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ  พลันให้อาการร้อนผ่าวๆ กำเริบขึ้นบนหน้าอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว 

     นี่เขาพลาดอีกแล้วใช่มั้ย!

     นายน์หลับตาเม้มริมฝีปากข่มความอายที่ดูจะดีเลย์ไปมากก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไหล่  พอลืมตาก็ถึงกับต้องผงะเพราะเท็นที่เขาเข้าใจว่าอยู่กับกลุ่มเพื่อนในสนามกลับมายืนอยู่ตรงหน้ากันเสียอย่างนั้น 

     “ฝากหน่อย”

     “………”

     “...เชียร์กูด้วยนะ”

     เขาไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ  เพราะพูดไม่ออกและไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร  ทำเพียงแค่ยืนนิ่งแกล้งเป็นเสมองไปทางอื่นเพราะสายตาที่เอาแต่จับจ้องมาคู่นั้น  แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ตามสไตล์ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกึ่งวิ่งลงสนามไป  ร่างเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที  พอก้มลงมองที่ไหล่ตัวเองก็ได้เห็นว่าผ้าขนหนูผืนที่อีกฝ่ายพาดไว้บนบ่าตั้งแต่เขามากำลังแหมะอยู่บนไหล่เขาแทนเรียบร้อย  นายน์หยิบผ้านั้นขึ้นมาอย่างงงๆ ก่อนจะเม้มปากแน่นเพราะจู่ๆ มันก็พาลให้รู้สึกอยากจะยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล! 

     หมั่นไส้คนขี้หยอดจริงๆ  ให้ตาย! 

     เบะปากใส่ผ้าในมือก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงยังม้านั่งที่เต็มไปด้วยสัมภาระของพวกนักกีฬาวางเกลื่อนอยู่  พอเงยหน้ามองไปยังกลางสนามอีกทีก็ต้องสะดุ้งอีกระรอก  เมื่อเพื่อนทั้งกลุ่มของเท็นกำลังโบกไม้โบกมือมาที่เขา(อีกแล้ว)  ทำเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องยกมือขึ้นมาโบกกลับไปอย่างงงๆ  จะมีก็แต่เท็นที่กำลังยืดกล้ามเนื้ออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลด้วยใบหน้าบึ้งตึงอยู่ในที  นายน์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้บรรดาตัวแสบในสนามแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะเลิกสนใจเขาแล้วกลับไปตั้งใจกับลูกกลมๆ ในสนามเสียที  จนต้องเป็นฝ่ายเขาเสียเองที่ต้องแกล้งหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นแก้เก้อ 

     ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือคิดผิดกันแน่ที่ตัดสินใจมา  เห้อออ!




     ดูเหมือนว่าวันนี้ทีมของเท็นจะพกดวงมาเต็มๆ  เป็นฝ่ายถูกนำไปก่อนตั้งหลายนาทีแต่ก็กลับมาตีตื้นจนเอาชนะทีมรุ่นพี่ไปได้แบบหวุดหวิด  แถมยังเริ่มทำแต้มได้ติดๆ เอาไม่กี่นาทีสุดท้ายอีกต่างหาก  ส่วนเขาที่รู้กติกาแบบงูๆ ปลาๆ แต่ก็ยังอดลุ้นตามไปด้วยไม่ได้  อันที่จริงต้องบอกว่าลุ้นเพลินจนเกือบลืมเก็บอาการเผลอเชียร์ออกนอกหน้าจนถูกใครบางคนเห็นเข้าทำเอาหุบยิ้มแทบไม่ทันไปตั้งหลายหน  จะไม่เห็นได้ยังไงในเมื่อเอะอะก็จ้องแต่จะมองมาที่เขาแบบจงใจเสียขนาดนั้น  อย่างที่บอกว่าคงจะพกดวงมาเยอะถึงได้ชนะเพราะดูว่าคนบางคนจะไม่ค่อยมีสมาธิกับเกมสักเท่าไหร่ 

     จบเกมส์นักกีฬาทั้งสองทีมที่คงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกำลังพูดคุยกัน(ส่วนมากจะหนักไปทางแซว)อยู่สักพัก  และเท็นก็เป็นคนแรกที่เดินออกมาจากวงสนทนา  เจ้าตัวฉีกยิ้มกว้างมาแต่ไกลดูไม่ออกเลยว่ามีความสุขขนาดไหนที่คว้าชัยชนะมาได้  เห็นแล้วก็ได้แต่ดึงหน้าเอาไว้ตั้งรับความขี้อวดของคนบางคน 

     “เก่งปะ”

     “ก็...มั้ง”  ตอบสั้นๆ พร้อมกับเบ้ปากให้เป็นรางวัลไปอีกหนึ่งที  และเจ้าตัวก็หัวเราะรับหน้าตาเฉยอีกตามเคย 
 
     “หิวมั้ย”

     “นิดหน่อย”

     “รอแป๊บนึงนะ  ขอเก็บของก่อน”

      “อืม”

      “นายน์  ขอถ่ายรูปหน่อยดิ”

      “เอ่อ...” 

     “อะไรของมึงไอ้วิน!”

     ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไรออกไป  เท็นที่ทำท่าจะผละไปเก็บสัมภาระก็เกิดเปลี่ยนใจเดินกลับมาขวางวินไว้เสียอย่างนั้น  แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนนักกล้ามของเท็นจะไม่ได้ให้ความสนใจกับประโยคดักคอและก้างตัวเขื่องที่ขวางอยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย 
 
     “นะ  รูปนึงก็ได้”

     เจ้าตัวพยายามชะโงกหน้าผ่านเท็นที่ตัวสูงกว่าอยู่พักหนึ่ง  ก่อนจะออกแรงผลักคนหน้ายักษ์ออกให้พ้นทางแล้วเดินตรงมาหาเขาพร้อมรอยยิ้มจนตาหยีแถมยังต่อรองกันด้วยท่าทางน่ารัก(ที่โคตรจะขัดกับร่าง)ด้วยการชูหนึ่งนิ้วพร้อมกับหน้าอ้อนๆ ที่เขาเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งกลับไปให้แทนคำตอบ

     “พอกูแนะนำให้รู้จักแล้วก็มาวุ่นวายกับเขาแบบนี้ไง!  ไปไกลๆ เดี๋ยวนายน์รำคาญ!” 

     “กูจะถ่ายกับนายน์  ไม่ได้จะถ่ายกับมึง!”

     “ดูหน้านายน์ก่อน  เค้าไม่เต็มใจ  เก็ทปะ!”

     “ไม่เต็มใจตรงไหน  ก็เห็นทำหน้าน่ารักใส่กูอยู่นี่  มึงไม่กล้าขอก็อย่ามาขัดคนอื่นเค้า  ไอ้ป๊อด!”

      “ไอ้หมาวิน!”

      “หรือกูพูดไม่....”

     “ได้!”  นายน์โพล่งขึ้นกลางวงสงครามประสาทของสองเพื่อนซี้ที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมลดราวาศอกให้กันง่ายๆ  เลยตัดสินใจเป็นฝ่ายเลือกให้เสียเองจะได้สงบศึกกันเสียที  ตัวก็อออกจะโตมัวมาเถียงกันเป็นเด็กๆ ไปได้ 

     “เห็นมั้ย!” 

     แน่นอนว่าเจ้าของประโยคต้องไม่ใช่เท็น  วินยักคิ้วกวนโมโหใส่เพื่อนซี้ก่อนจะเดินชูโทรศัพท์ในมือแถมยังผิวปากด้วยท่าทางกวนประสาทสุดๆ ตรงมาที่เขา  ส่วนเท็นที่ยังอ้าปากค้างเพราะคงจะกำลังด่ากลับเพื่อนตัวเองเลยได้แต่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวดมองมาที่เขาเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน 

     ก็ใครใช้ให้ทะเลาะกันไม่หยุดเองทำไมล่ะ! 

     แต่ก็ต้องยอมรับว่าสีหน้าที่ดูก้ำกึ่งว่าไม่พอใจเขาหรือไม่พอใจเพื่อนตัวเองกันแน่ของอีกฝ่ายจะแอบบั่นทอนความรู้สึกกันแบบงงๆ อยู่นิดหน่อย  ทีเวลาอยากให้ช่วยกันดันนิ่งใส่  แล้วพอเขาเล่นตามน้ำกลับมาทำหน้าตึงอย่างกับเขาทำอะไรผิดอย่างนั้นแหละ!
 
     นายน์ละสายตาจากคนตัวสูงเพราะวินที่เข้ามายืนอยู่ข้างกันพร้อมกับถือโทรศัพท์เอาไว้ข้างหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เขาก็เลยต้องฉีกยิ้มให้กับกล้องตรงหน้าไปตามระเบียบ  แอบเห็นตรงปลายสายตาว่าเท็นเดินไปที่อื่นแล้ว  แต่จะหันไปมองก็ไม่ได้เพราะวินที่ยังอยู่ข้างกัน(อันที่จริงต้องเรียกว่ายืนเบียดมากกว่า)ยังกำกับให้มองกล้องพร้อมกับฉีกยิ้มให้กว้างยิ่งกว่าเดิมอีกนิด 

     “ถ่ายกับนายน์แล้ววินหน้าบานไปเลยอ่ะ  หน้าเล็กไปนะเรา”

     “..........”  คนถูกต่อว่าแบบไม่จริงจังได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ ตามมารยาท  เขาก็ยังเป็นเขาที่เข้ากับเพื่อนใหม่ได้ห่วยแตกที่สุดในสามโลกอยู่ดีนั่นแหละ  แต่ว่าพูดตามความจริงการยอมถ่ายรูปกับวินก็ออกจะเรียกว่าจำยอมปนตัดรำคาญอยู่นิดๆ นั่นล่ะนะ 

     “ขอลงไอจีได้ป่าว”

     “เอ่อ....”

     “ไม่แท็กหรอก”

     “แต่...”

     “วินมีเพื่อนน้อยเท่าหยิบมือ  ไม่ต้องกลัวใครเห็น”

     “..........” 

      “จริงจริ๊ง”

     อุตส่าห์ใช้ความเงียบเข้าข่มแล้วแต่คนตรงหน้าก็ยังตื้อไม่เลิก  ปกติเขาก็เป็นจำพวกปฏิเสธคนไม่เก่งพอตัวอยู่แล้วมาเจอความตื้อแบบคุขิไม่เข้ากับกล้ามสุดพลังอย่างวินแล้วบอกเลยว่า ‘ไปไม่เป็น’  นายน์คิดสะระตะอยู่สักพักแต่ในที่สุดก็ต้องยอมพยักหน้าเพราะทนแรงกดดันจากสายตาของอีกคนไม่ไหว 

     บอกเลยว่าตื้อเก่งยิ่งกว่าพนักงานขายประกันก็มาวินเพื่อนคุณชายเท็นนี่แหละ!

      “น่ารักแถมยังใจดี”

      “.........”  คำชมแบบมุ้งมิ้งมาวินสไตล์ที่เขารับมือได้แค่การเลิกคิ้วแล้วพยักหน้าหงึกๆ เท่านั้น  แต่มาวินก็ยังเป็นมาวิน  ยิ้มตาหยีให้กันก่อนจะตบลงบนไหล่เขาเบาๆ พลางว่า

     “ดีใจที่ได้เจอ  ไว้เจอกันนะ”

      “อื้ม”

      “ไปกันได้ยัง!”

      เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งด้วยความตกใจ  พอหันกลับไปก็เห็นว่าคนตัวสูงยืนสะพายเป้เอาไว้บนบ่าข้างหนึ่งรอเขาอยู่เรียบร้อยแล้ว  และหน้าก็ยังตึงใส่กันอยู่นิดๆ

     ถึงจะน้อยกว่าเมื่อครู่(นิดนึง)ก็เถอะ 

     ทว่ายังไม่ทันที่นายน์จะตอบอะไรออกไปอีกคนก็สาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วหยิบผ้าขนหนูบนไหล่เขาไปถือไว้เสียเอง  ทำเอาคนที่ลืมไปแล้วว่าเผลอพาดมันไว้บนบ่าเกือบจะเสียอาการเพราะจู่ๆ อีกคนก็เดินเขามาใกล้จนแทบจะประชิดแบบไม่ให้ทันตั้งตัว

     “หิวไม่ใช่หรอ”

     คำถามจากน้ำเสียงที่ดูเหมือนห่วงใยขัดกับสีหน้านั้นทำเขาทำตัวไม่ถูก  ตกลงอารมณ์ไหนกันแน่  นายน์ขยับถอยหลังก่อนจะทำทีเป็นเดินเลี่ยงไปหยิบขวดน้ำที่เท็นเป็นคนเอามาให้ตอนพักครึ่งเอาไว้ก่อนเอ่ย  “ก็ไปดิ”




     นับตั้งแต่เดินตามเจ้าของรถมากระทั่งเข้ามานั่งในรถ  ซึ่งเจ้าของมันไม่รู้ว่ามัวไปทำอะไรอยู่ที่ท้ายรถตั้งนานสองนาน  กว่าจะโผล่มาและเปิดประตูเข้ามานั่งข้างกันก็ผ่านไปแล้วหลายนาที  และจนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับเขาเลยสักคำ  นายน์เอนตัวแนบลงกับเบาะอย่างเนียยๆ เพื่อจะได้ลอบมองสีหน้าของอีกคน  บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดอะไรเลยด้วยซ้ำ  ถ้าสาเหตุเป็นเพราะไม่พอใจที่เขายอมถ่ายรูปกับวินก็แลดูจะไร้สาระเกินไปหน่อยไหม 

     แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ!

     เถียงบ้าบอกับตัวเองในหัวพลางจ้องค้างอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของอีกคนจนลืมตัว  แล้วจู่ๆ เจ้าตัวที่กำลังวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์ในมือก็เกิดอยากจะหันมามองกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น  ทำเอาเขากรอกตามองไปทางอื่นแทบไม่ทัน 

     “ขออาบน้ำก่อนนะ  เหนียวตัว”

      เอาแต่เงียบกดดันคนอื่นไม่ยอมพูดยอมจา  แต่พอพูดออกมาก็ทำให้เขางงจนเกือบจะตอบกลับไม่ถูก  อยากอาบน้ำแล้วมาบอกเขาทำไมไม่ทราบ!  “อืม  งั้น...เดี๋ยวกูไปรอที่ห้างฯแถวๆ นี้แล้วกัน”  เพราะบรรยากาศยังไม่ดีเท่าที่ควรเขาเลยเลือกที่จะตามน้ำไปแบบเสียไม่ได้  อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายได้ใช้เวลากับตัวเองสักพักอาจจะอารมณ์ดีขึ้นกว่านี้ก็ได้...มั้ง!

     “ไปด้วยกันก่อนดิ” 

     ทว่าประโยคต่อมาก็ยิ่งทำให้งงหนักยิ่งกว่าเก่า!  คนที่ทำทีเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างถึงกับหันขวับกลับมามองเจ้าของรถอย่างไม่อยากจะเชื่อหู  พยายามคิดตามสิ่งที่ได้ยินแล้วแต่ก็ยังไม่เกทอยู่ดี  ตัวเองจะไปอาบน้ำก็อาบไปดิ  แล้วทำไมจะต้องให้เขาตามไปด้วย!

     “ไปบ้านกูก่อน  อยากไปพร้อมกัน”   

ได้รับการเฉลยจากเจ้าตัวแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกโล่งอกขึ้นเลยแม้แต่น้อย  นายน์มองใบหน้าที่ยังคงเคร่งขรึมเหมือนยังเคืองๆ กันอยู่ในทีของคนที่กำลังขับรถอยู่แล้วก็ได้แต่ร้องในใจว่าไม่มีทาง!!  ถึงจะตกใจจนอยากจะสบถแต่จำเป็นต้องทำหน้านิ่งสุดๆ เหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ  “กูอยากไปรอที่ห้างฯมากกว่า  พอดีมีของอยาก…”

      “กลัวหรอ”

     ไม่ใช่แค่เอ่ยขัดแต่คนหลังพวงมาลัยกำลังยิ้มมุมปากเหมือนกับจงใจจะท้าทายกันอย่างไรชอบกล!  “ทำไมต้องกลัว!”  แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวอย่างที่ปากว่า  แค่รู้สึกว่ามันเร็วไปแล้วก็ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ต่างหาก  เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องกลัวตรงไหน!

      “ไม่กลัวก็ดี” 

     เจ้าของรถเอ่ยปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มอีกครั้งก่อนจะเงียบกริบไปตลอดทาง  และเขาที่เอ่ยปากออกไปแล้วก็ไม่กล้ากลืนน้ำลายตัวเอง  เลยได้แต่นั่งก่นด่าความบ้าบอปากไวไม่เข้าเรื่องของตัวเองในใจมาตลอดทาง

     พลาดอีกแล้ว!  เจ็บใจชะมัด!









หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP15 - 40% [Update 14-01-18]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 14-01-2019 21:32:33


     จากสนามบาสฯมาจนถึงบ้านของเท็นเป็นระยะทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน  ดีตรงที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ถนนเลยค่อยข้างโล่ง  นั่งมองข้างทางไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่ถึงยี่สิบนาทีก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง  นายน์มองไล่มาตั้งแต่ที่อีกคนชะลอความเร็ว  กำแพงบ้านสูงจนเห็นแค่ต้นไม้โผล่พ้นออกมารำไร  ประตูหน้าบ้านที่ทำด้วยไม้สีน้ำตาลเข้มก็สูงลิบและบานใหญ่กว่าครึ่งเมื่อเทียบกับบ้านของเขา  เจ้าของบ้านกดรีโมท  จอดรอให้ประตูเลื่อนเปิดจนสุดก่อนจะพารถทะยายเข้าไปจอดตรงหน้าประตูบ้านแล้วหันมาพูดกับเขาเป็นครั้งแรก

     “ลงก่อนมั้ย  เดี๋ยวกูเอารถไปจอด”

     นายน์พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายด้วยอารมตกใจเพราะมัวแต่สนใจมองไปรอบๆ เลยไม่ทันได้ตั้งตัว  เขาปลดเข็มขัดนิรภัยเปิดประตูออกไปยืนรออยู่ตรงบันไดทางขึ้น  มองตามรถยนต์สีดำที่เลี้ยวออกไปทางขวามือของตัวบ้าน  ไม่นานคนในรถก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับเป้ใบเดิม  พอเห็นว่าอีกคนกำลังเดินตรงเข้ามาเขาก็ทำทีเป็นหันไปมองรอบๆ บ้านแทน 

     ดูจากขนาดของตัวบ้าน(ถึงจะไม่ได้ใหญ่เท่าวังเหมือนที่อย่างมีคนชอบเอาไปเม้า)และการตกแต่งบวกกับจำนวนรถที่จอดอยู่ก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าสิ่งที่เคยได้ยินผ่านหูมาก็คงมีความจริงอยู่บ้าง 

     อย่างน้อยก็เรื่องฐานะล่ะนะ

       “บ้านเงียบใช่มั้ย  ไม่มีใครอยู่น่ะ”

     นายน์ทำเป็นไม่ใส่ใจฟังคำบอกเล่าที่ราวกับอ่านใจกันได้นั้น  พลางเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปข้างใน  สักพักก็มีพี่สาวคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนที่ทำงานที่นี่เดินออกมาพร้อมกับยกมือไหว้เขา  ทำเอานายน์ที่ดูยังไงก็อ่อนกว่ายกมือไหว้รับแทบไม่ทัน
   
       “ฝากพี่นาเอาน้ำกับขนมมาให้เพื่อนเท็นหน่อยนะครับ”

      “ได้ค่ะ  แล้วน้องเท็นจะทานมื้อเที่ยงเลยมั้ยคะ”

      “ไม่ครับ  เดี๋ยวเท็นจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกกับเพื่อน  แล้วนี่เจ้าหนึ่งไปไหน”

     “ไปบ้านคุณทีมตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”

     เท็นพยักหน้ารับก่อนจะหันมาหาเขา  “ไปห้องกูมั้ย”

     คำถามนั้นทำเอาคนที่ยืนเป็นตัวประกอบอยู่นานอย่างเขาถึงกับต้องอ้าปากร้อง ‘หา!’ ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ  แอบเห็นว่าพี่นาหลุดขำก่อนจะผละขอตัวออกไปทำหน้าที่ตัวเอง  ส่วนอีกคนที่เล่นโพล่งประโยคนั้นออกมากำลังยืนยิ้มมุมปากใส่กันราวกับสนุกที่ได้แกล้ง 

     ได้ทีเป็นเจ้าถิ่นแล้วเอาใหญ่เลยนะ! 

     ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ตามสไตล์ลอยเข้าหูมาเป็นของแถมให้เขาต้องจิ๊ปากอย่างขัดอารมณ์ใส่คนตัวสูง  แต่เจ้าตัวกลับเลิกคิ้วราวกับจะถามกันว่าพูดอะไรผิด 

     “หรือว่ากลัวอีกแล้ว”

     นายน์กรอกตาใส่คนที่เล่นมุกเดิมเป็นนัยว่าเขาไม่ได้เบลอเอ๋อขนาดจะตกหลุมพรางสองครั้งติดในวันเดียวหรอกนะ  “กรุณารีบไปอาบน้ำเถอะครับ  ผมหิวจนไส้บิดละ”

      แน่นอนว่าเขาจงใจพูดสุภาพเพื่อประชดแต่อีกคนกลับหัวเราะชอบใจใส่กันเสียอย่างนั้น   

     “ขอ 10 นาที  ว่าแต่...ไม่อยากไปห้องกูจริงดิ”

     “กูกลับละ!”  ว่าพลางหมุนตัวทำทีจะเดินออกจากบ้าน  ทว่าอีกคนก็เร็วพอจะคว้าข้อมือเขาเอาไว้ได้ทัน

      “เห้ย!  ล้อเล่น”

      พอเห็นสีหน้าที่ดูเจื่อนลงถนัดตาของอีกคนแล้วก็ได้แต่ขำกร๊ากในใจ  อยากกวนประสาทเขาก่อนทำไม!  ให้มันรู้เสียบ้างว่าถ้าเล่นเกินจนล้ำเส้นแล้วจะต้องเจอกับอะไร  หึ!  แม้ในใจจะลิงโลดที่เอาคืนได้สำเร็จแต่สีหน้าก็ต้องข่มให้นิ่งที่สุด  นายน์ปลายตามองข้อมือตัวเองที่ยังคงถูกอีกคนกุมไว้  แค่เพียงเท่านั้นเท็นก็รีบปล่อยกันทันทีราวกับข้อมือเขาเป็นของร้อน 

     “พี่นาเอาขนมมาให้พอดี  มึงจะดูทีวีก็ได้นะ”

      “..........”  เขาไม่ตอบอะไรแต่เลือกที่จะเดินตามพี่นาที่เพิ่งเดินผ่านไปยังห้องที่น่าจะเป็นห้องนั่งเล่น  รู้สึกถึงสายตาของอีกคนที่มองตามมาแต่เขายังคงทำเป็นไม่สนใจ  พอคล้อยหลังอีกฝ่ายไปแล้วเท่านั้นแหละถึงได้หลุดยิ้มออกมา 

      ทีใครทีมันแล้วกันนะ! 




       หลังจากโดนเจ้าของบ้านและพี่เลี้ยงปล่อยทิ้งไว้กับน้ำและคุกกี้ตรงหน้า  แขกที่ไม่คิดว่าจะได้รับเชิญมาอย่างเขาก็เอาแต่นั่งจุ้มปุกอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน  ทว่าความเงียบบวกกับไม่มีอะไรให้ทำพอผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็พาลให้รู้สึกเบื่อจนต้องมองซ้ายแลขวาเพื่อเช็คให้แน่ใจ  พอเห็นว่าทางสะดวกก็เลยตัดสินใจลุกจากโซฟาตรงไปสำรวจบรรดารูปถ่ายที่ตั้งโชว์อยู่ทั้งบนชั้นและตู้กระจก  กวาดสายตาผ่านๆ ไม่เพียงแค่รูปถ่ายแต่มีทั้งเหรียญรางวัล(ที่ส่วนใหญ่จะมาจากด้านกีฬาเสียมากกว่าวิชาการ)และประกาศนียบัตรต่างๆ  ก่อนสายตาจะมาหยุดอยู่ที่รูปเด็กชายในชุดเทควันโด้คาดเอวด้วยสายสีดำกำลังยืนยิ้มเล็กๆ เป็นรอยยิ้มที่เห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าใคร 

      คีพลุคผู้ชายมาดนุ่มมาแต่เด็กเลยสินะ

      เขาเลื่อนสายตาไปยังกรอบรูปขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างฝาผนังด้านบน  เป็นรูปครอบครัวแบบที่บ้านคนมีฐานะมักจะถ่ายกันในสตูดิโอหรูๆ อะไรเทือกนั้น  นายน์มองสมาชิกทั้งสี่คนในรูปอย่างพิจารณา  เท็นยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของคนเป็นพ่อ  ถ้าจะให้เดาจากทรงผม  ความอ่อนเยาว์ของใบหน้า  และส่วนสูงน่าก็จะถ่ายช่วงราวๆ มัธยมปลาย  และชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานสุดๆ แถมยังหน้าตาดีแม้จะดูมีอายุแล้วก็ตามที่ยืนอยู่ข้างๆ กันนั้นก็มีมาดราวกับผู้บริหารใหญ่อะไรเทือกนั้น  ไม่เพียงแค่หน้าตาแต่รวมถึงลักษณะก็ดูเหมือนว่าเท็นคงจะมีต้นแบบมาจากพ่อของเขานี่ล่ะมั้ง 

       เดาอนาคตได้ไม่ยากว่าเท็นตอนมีอายุก็คงจะไม่ต่างจากคนเป็นพ่อสักเท่าไหร่ 

      ส่วนเด็กชายอีกคนที่กำลังกอดแขนของหญิงวันกลางคนที่ฉีกยิ้มจนตาหยีก็น่าจะเป็นน้องชาย  ขอเดาว่าสองพี่น้องน่าจะอายุห่างกันราวๆ 3-4 ปี  แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เด็กชายตัวเล็กแลดูผอมเพรียว  สูงแต่เพียงไหล่ของคนเป็นพี่  ผิวขาวจัด  และไม่มีสักเสี้ยวที่เหมือนคนเป็นพ่อ  เรียกได้ว่าถอดแบบผู้เป็นแม่มาราวกับก็อปปี้วางอย่างไรอย่างนั้น  ส่วนหญิงวัยกลางคนในรูปก็ดูสวยปนน่ารักตามแบบฉบับหญิงไทยเชื่อสายจีน  แม้จะดูมีอายุพอสมควรแต่ก็ยังฉายแววความสวยของสมัยสาวๆ อยู่ไม่สร่าง  จะให้พูดกันตามตรงก็คือบ้านนี้หน้าตาดีกันทั้งบ้านนั่นแหละ! 

       เห็นแล้วรู้สึกอิจฉาความต้นทุนสูงขึ้นมาตงิดๆ!

      นอกจากจะต้องประหลาดใจที่อีกฝ่ายมีน้องชายแล้ว  ยังต้องมาเซอไพรส์ที่น้องชายอีกฝ่ายดูน่ารักน่าทะนุถนอมต่างจากคนเป็นพี่ราวฟ้ากับเหวขนาดนี้  เท็นดูมีบรรยากาศของผู้ชายแบบที่ราวกับเกิดมาพร้อมสกิลความเชียวชาญทางด้านกีฬาเหมือนที่เจ้าตัวเป็นอยู่นั่นแหละ  แต่กับน้องชาย(ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจผิดไปเองน่ะนะ)มีบรรยากาศแบบเด็กที่น่าจะไปทางด้านดนตรีหรือศิลปะอะไรเทือกนั้น  แปลกใจทำไมเขาไม่ยักจะเคยได้ยินบรรดาแมงเม้าพูดถึงน้องชายของเท็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว  หน้าตาดีขนาดนี้ไม่น่าเล็ดรอดสายตาไปได้ 

       ว่าแล้วก็กวาดสายตากลับมายังกรอบรูปที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง  นายน์หยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ เด็กผิวขาวจัดในรูปกำลังถือเค้กวันเกิด  ที่แก้มทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนไปด้วยครีม  ทว่าใบหน้าที่ดูน่ารักนั้นกลับฉีกยิ้มอวดเหล็กดัดฟันอย่างมีความสุข  จ้องคนในรูปนานๆ แล้วก็พาลให้อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

      “รูปนี้ก็เป็นคนถ่ายเอง”

      เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งเฮือกจนเกือบจะเผลอทำกรอบรูปในมือหล่น  และด้วยอารามตกใจนายน์รีบวางมันกลับเข้าที่ราวกับคนที่แอบทำความผิดอย่างไรอย่างนั้น  ก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อจะเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้าน  ทว่าสิ่งที่เขาต้องเจอคือคนตัวสูงที่ยืนประชิดกันเสียจนจมูกของเขาเฉียดเข้ากับหน้าอกของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ  อาการร้อนผ่าวๆ บนใบหน้าเล่นงานเขาทันที  คนตัวเล็กไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย  รีบก้าวถอยหลังด้วยความรนรานแล้วก็ชนเข้ากับชั้นตั้งโชว์ด้านหลังเข้าจังเบ้อเร้อ

      “เจ็บมั้ย”

     คำถามนั้นมาพร้อมฝ่ามือที่คว้าข้อศอกเขาเอาไว้ได้รวดเร็วพอๆ กัน  แต่นอกจากจะไม่ทำให้เขาขวัญหนีดีฟ่อน้อยลงแล้วยังเล่นงานจังหวะหัวใจให้เต้นโครมครามขึ้นมาอย่างกะทันหันเพราะมันยิ่งทำให้เราใกล้กันยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก  นายน์ส่ายหน้ารัวก่อนจะเผลอเงยหน้าขึ้นมองอีกคนด้วยความตกใจ  ทว่าสบตาคู่ที่กำลังมองมาด้วยความห่วงใยได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเสมองไปทางอื่นพัลวันพร้อมกับมือที่เลื่อนไปผลักคนตัวสูงอย่างไม่ตั้งใจ  และเจ้าตัวก็ยอมถอยห่างจากเขาอย่างว่าง่ายทันที  พอได้รักษาระยะห่างสติที่กระเจิดกระเจิงก็ดูจะค่อยๆ กลับเข้าที่  เขาเม้มริมฝีปากด้วยความเคยชินก่อนจะแสร้งถามอีกฝ่ายแก้เก้อ  “เสร็จแล้วหรอ”

      “อืม”

      “..........”  ยังไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรแต่ข่มสายตาให้มองตอบอีกฝ่ายได้แล้วก็รู้สึกมั่นคงขึ้นมานิดหน่อย  แม้ความจริงข้างในจะกำลังสั่นเหมือนเจ้าเข้าก็ตามที  ยืนเกร็งทำเป็นมองเลี่ยงไปที่อื่นได้สักพัก(เพราะอีกคนก็ยังเอาแต่เงียบ)ก็ต้องข่มตัวเองให้ดึงสายตากลับมายังตรงหน้าอีกหน  และเพิ่งจะสังเกตว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดใหม่  เป็นเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป  ในมือมีกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถบ่งบอกว่าพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ  ทว่าเมื่อเลื่อนสายตากลับไปยังศีรษะ  เส้นผมอีกฝ่ายกลับยังดูเปียกชื้นแถมยังไม่ผ่านกันจัดทรงใดๆ  และผิวหน้าก็บอกชัดเจนว่าเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาแบบหมาดๆ 

     ไม่บอกก็รู้ว่าคงจะรีบสุดๆ เลยไม่ได้พิถีพิถันกับการแต่งตัวสักเท่าไหร่

      “น้องชายกู  ชื่อหนึ่ง  แต่วันนี้มันไม่อยู่บ้านน่ะ”

      “ไม่เหมือนมึงเลย  แต่น้องมึงน่ารักดี”  เอ่ยชมไปตามเรื่อง(แต่น้องหนึ่งก็น่ารักมากจริงๆนั่นแหละ)เพราะไม่อยากให้บรรยากาศเงียบจนเกินไปพลางพยายามกู้ตัวเองจากอาการหน้าร้อนผ่าวๆ และใจเต้นรัวอย่างยากเย็น

      “แล้วกูล่ะ?”

      แต่ดูเหมือนว่าคุณเจ้าของบ้านจะไม่ยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ ทำเขาตกใจซ้ำๆ ไม่พอยังแกล้งให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะแล้วยังจะมีหน้ามาหยอดกันซึงๆ หน้าอีก  นายน์มองคนตัวสูงผมชื้นแถมยังหน้าสดสุดๆ ที่กำลังยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามชั่วครู่  ก่อนจะแกล้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง  “ไปได้ยัง  กูหิวแล้ว”  เอ่ยจบแล้วก็หมุนตัวเดินนำออกไปทั้งอย่างนั้น  เพราะถ้าจะให้เขาเล่นเกมจ้องตากับอีกฝ่ายต่ออีกแค่นาทีเดียวมีหวังได้เสียอาการต่อหน้าเจ้าตัวอีกแน่ๆ!




      ถามมาตั้งแต่ตอนอยู่ในรถจนมาถึงห้างฯ(ใกล้บ้านเท็นนั่นแหละ)  แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่าคนอยากเลี้ยงจะกินร้านไหน  สุดท้ายก็โบ้ยให้เขาเป็นคนเลือกเสียดื้อๆ  เพราะความหิวเลยเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เจอร้านแรกด้วยความคุ้นเคยปนคิดไม่ออก  แต่คงปล่อยให้หิวมากไปพอถึงเวลาต้องกินเข้าจริงๆ กลับรู้สึกกลืนไม่ลงขึ้นมาเสียดื้อๆ  ทำเอาคนอยากกระเป๋าฉีกต้องคอยถามแล้วถามอีกว่าอยากได้อะไรเพิ่มไหม  ใจจริงก็อยากจะถล่มให้ยับอยู่หรอก  แต่ติดที่ยัดยังไงก็ไม่ลงนี่สิ!

      เสร็จจากร้านอาหารคนตัวสูงก็ชวนเขาเข้าร้านหนังสือ  เจ้าตัวบอกว่ากำลังดูๆ อยู่ว่าจะซื้อแมวมาเลี้ยง  แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อพันธุ์ไหนเลยอยากศึกษาข้อมูลดูก่อน  ส่วนเขาที่ชอบทั้งแมวและหมาแต่ไม่เคยเลี้ยงจริงๆ สักอย่างเลยช่วยออกความเห็นไม่ได้  ทำได้แค่ยืนเปิดหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ค่าเวลาไปพลางขณะที่อีกฝ่ายกำลังอ่านหนังสือสายพันธุ์น้องเหมียวอย่างตั้งใจ  เห็นแล้วก็อดรู้สึกประหลาดใจในความจริงจังของเจ้าตัวไม่ได้  อีกอย่างเขาไม่คิดว่าผู้ชายตัวโตอย่างกับตึกจะชอบแมว  มองจากบุคลิกยังไงก็เหมาะกับหมาพันธุ์ใหญ่ประมาณว่าไซบีเลียน โกลเด้นอะไรเทือกนั้นมากกว่า

     เดินวนไปวนมาอยู่ในร้านหนังสือได้สักพักก็พากันออกมาแบบตัวเปล่าทั้งคู่เพราะยังไม่เจอเล่มถูกใจ  เดินเล่นเรื่อยเปื่อยได้สักพักก็บังเอิญเจอร้านชานมเจ้าโปรดพอดี  และคงเพราะเมื่อครู่เขากินไปแค่นิดหน่อยเลยเหมือนจะรู้สึกหิวปนอยากขึ้นมาตงิดๆ เลยทำให้เขาเดินเลี้ยวไปยืนอยู่หน้าร้านอย่างไม่ลังเล  แต่ดูท่าว่าคนที่จ้ำอ้าวตามเขาแทบไม่ทันจะไม่เข้าใจอยู่หน่อยๆ   

     "จะกินหรอ”

      “อืม  อยากกินอะไรหวานๆ”

      “ทีเมื่อกี้ถามว่าจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยก็ไม่ยอม  ไอดิมในร้านก็ดูน่ากินออก”

      นายน์หันกลับไปมองคนที่ไม่ช่างพูดแต่กลับบ่นเขาเสียยาวเหยียดพลางกรอกตาใส่แบบตั้งใจให้เห็น  แน่นอนว่าคนตัวสูงเปลี่ยนจากหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นหยุดยิ้มออกมาทันที  ดี  จะได้เลิกบ่น  เข้าใจหรอกว่าอยากเลี้ยง  แต่คนมันกินไม่ลงจะให้ทำยังเล่า

      “ระวังอ้วนนะ”

      “อ้วนแล้วจะทำไม”

      “ก็ไม่ทำไม  อ้วนก็น่ารักอยู่ดี” 

      “หึ!” 

      “เท็น”

       เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เขาต้องหันกลับไปมองตามเจ้าของชื่ออย่างอัตโนมัติ  แน่นอนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก  ทว่าตั้งแต่แว๊บแรกที่เห็นก็ย้ำความสงสัยที่ว่าคนตัวสูงข้างๆ เขานี่จะรู้จักแต่คนหน้าตาดีๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหม!     

      “อ้าวมีน” 
 
      “บังเอิญอีกละเนอะ  แล้ว…..”

       “อ๋อ  นายน์นี่มีน  เพื่อนไอ้เจตน่ะ  เรียนอักษร  มีนนี่นายน์”

      “สวัสดี”

      “สวัสดี  …เออ!  ช่วงนี้เราไม่ได้เจอเจตเลย  ว่าจะแวะไปหามันที่คณะก็ไม่มีเวลาเหมาะๆ ซักที”

       เจ้าตัวเอ่ยทักทายเขาเพียงเท่านั้นก็หันกลับไปคุยกับเท็นต่อ  แม้อีกฝ่ายจะมีบุคลิกที่มองจากภายนอกดูสดใสน่าเข้าหา  โดยเฉพาะเวลาที่อีกฝ่ายคุยกับเท็น  อาจเป็นเพราะคงจะสนิทกัน  เพราะดูจากท่าทางทั้งสองคนดูคุ้นเคยกันดี  มีนมีใบหน้าที่พูดได้ว่าทั้งดูหล่อและน่ารัก  รูปร่างก็ดี  น่าจะสูงกว่าเขาประมาณสี่หรือห้าเซ็นฯเห็นจะได้  การแต่งตัวก็ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า  แถมเวลาพูดเสียงยังน่าฟังอีกต่างหาก  เรียกได้ว่าเป็นคนที่ดูสะดุดตามากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว

       แต่ไม่รู้ทำไม  เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังงานลบที่อีกฝ่ายส่งมาตอนที่มองเขา  อธิบายไม่ถูก  แต่รู้สึกลึกๆ ว่าเหมือนจะถูกคนที่เพิ่งเจอกันไม่ชอบขี้หน้าเข้าให้อะไรทำนองนั้น  แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่แปลก  สมัยอยู่โรงเรียนเก่าเขาก็มักโดนเขม่นจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอยู่เป็นประจำ

      หรือไม่เขาก็อาจจะคิดมากไปเอง 

      “เรียนหนักหรอ”

      “ก็นิดนึง  แล้วเท็นล่ะ”

       “เอาเรื่องอยู่  ไว้ว่างๆ แวะมาดิ  ไปกินข้าวกัน”

      “เท็นชวนขนาดนี้  สงสัยต้องหาเวลาให้ได้แล้วแหละ”

      “รอเลย”

       “ฝากบอกเจตด้วยนะว่าแม่มีนบ่นคิดถึง  ถ้ามันว่างให้แวะมากินข้าวที่บ้านหน่อย”

       “ได้”

       “งั้น  มีนไปก่อนนะ  เจอกัน”

       “เจอกัน”

      ตอนแรกเขาแค่คิดว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่น่าจะถูกอีกฝ่ายไม่ถูกชะตาเข้าให้  แต่พอเมื่อครู่ที่เจ้าตัวโบกมือลาเท็นด้วยรอยยิ้ม  แต่จังหวะที่อีกฝ่ายเลื่อนสายตามาที่เขา(แม้จะเป็นเพียงแว๊บเดียว)มันดูค่อนข้างชัดเจนว่าเจ้าตัวน่าจะไม่ปลื้มกันเท่าไหร่  ยังดีที่มีนไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มของเท็นโดยตรง  ไม่อย่างนั้นเปอร์เซ็นที่เขาอาจจะต้องเจออีกฝ่ายอีกก็คงจะมีสูง

      “นายน์  ชานมได้แล้วนะ  พี่เค้าน่าจะเรียกนานแล้วมั้งน่ะ”

       “...........”

       แต่ให้พูดตามความรู้สึกจริงๆ บอกเลยว่าพอโตขึ้นแล้วแทนที่ภูมิต้านทานความ ‘ช่างมัน’ จะสูงขึ้นตามไปด้วย  แต่เปล่าเลย
     เหมือนว่ามันจะสวนทางด้วยซ้ำ  ตอนนี้เลยอดแอบรู้สึกแย่นิดๆ ไม่ได้

       “นายน์”

       “..........”

       แต่ก็ช่างเถอะ  เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อยนี่นา  อีกอย่างจะไปห้ามหรือบังคับให้คนมาชอบหรือไม่ชอบก็คงไม่ได้

       “นายน์”

       “ห...ห๊ะ”  เสียงเรียกพร้อมกับสัมผัสตรงหัวไหล่ทำเอาคนที่มัวแต่คิดในใจถึงกับสะดุ้ง  พอหันไปมองก็เจอเข้ากับสายตาของคนตัวสูงพอดี   

       “เป็นอะไรรึเปล่า”

        “เอ่อ…  แค่กำลังพยายามนึกว่าแม่ฝากซื้ออะไรน่ะ  อยู่ๆ ก็ลืมเฉยเลย”

       “ขี้ลืมนะเรา  โทรไปถามเลยดิ”

       “นั่นดิเนอะ”

       “แต่ก่อนอื่น  ไปเอาชานมก่อนมั้ย  พี่เค้าเรียกตั้งนานแล้ว”

       “อ้าว!  แล้วทำไมไม่บอก!”

        “บอกแล้วมั่งเหอะ  นายน์นั่นแหละมัวแต่เหม่อ”

        “ตอนไหน  ไม่เห็นจะได้ยิน”

       “โอเค  ไม่ได้บอกก็ไม่ได้บอก  ขอโทษครับคุณนายน์”

      “อยากตายเหรอ!” 

       “โหดจัง” 



                                                   ***********************************
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16 - 15% [Update 03-02-19]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 03-02-2019 15:31:53

EP16… 





       “ไอ้ซ้งมึงแม่งขี้โกงว่ะ  ไอ้เหี้ย  เอาตีนมึงไปไกลๆ กูดิ!”

       “โกงห่าไร  มึงอ่อนเองอย่ามาโวยวาย”

       “ไอ้เคนมึงดูมันดิ  มาช่วยกูเร็วๆ”

       “มึงสองตัวเงียบๆ หน่อยดิ  หนวกหูชิบหาย”

       นายน์เหลือบมองไอ้สองลิงที่นั่งอยู่บนพื้นหน้าโซฟาที่เขานอนกลิ้งอยู่และมันกำลังห้ำหั่นกัน(ทั้งในเกมส์และนอกเกมส์)อย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึ  การทะเลาะกันของพวกมันโคตรจะไร้สาระ  แต่ก็เป็นความไร้สาระที่อดขำไม่ได้ทุกที  ผ่านมากี่ปีๆ ก็ไม่รู้จักโตเหมือนเดิมอย่างไรก็อย่างนั้น

       วันนี้เขามาสุมหัวกันที่บ้านไอ้เคน  พวกเรานัดรวมตัวกันบ้างตามปกติ  แต่ครั้งนี้ที่ไม่ปกติเพราะไอ้คุณเจ้าของบ้านมันเป็นคนรบเร้าแกมบังคับให้พวกเราต้องมามีชะตากรรมนอนกองรวมกันอยู่ที่บ้านมันด้วยเหตุผลที่ว่า  ‘โอโต้ซังกับแม่มันไปเที่ยวต่างประเทศ’  และลูกอย่างมันที่ยังไม่ปิดเทอมแถมยังมีเทสเลยโดนทิ้งให้โดดเดี่ยวและหิวโซอยู่ในบ้านตามลำพัง
 
      พูดง่ายๆ ก็คือ  มันถูกทิ้งและพาลมาก!

      เลยมาเรียกร้องความสนใจเอาจากเพื่อนตาดำๆ อย่างพวกเขา  แต่ก็นะ  ถือว่าทำบุญ 

      นายน์ละสายตาจากลิงสองตัวตรงหน้าที่ก็ยังคงไม่ยอมลดราวาศอกให้กันเพราะเสียงข้อความจากโทรศัพท์ที่เขาถือค้างไว้  หน้าจอสว่างวาบพร้อมกับโชว์ข้อความจากแอพสีเขียวซึ่งมาจากใครบางคน  นายน์เหลือบไปมองเพื่อนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟาข้างๆ กันอย่างไอ้เคนก่อนเป็นอันดับแรก  เมื่อเห็นว่ามันกำลังไถอินสตาแกรมและแจกไลค์อย่างเมามันอยู่เลยหันกลับมากดเข้าโปรแกรมแชททันที  แต่ก็ไม่ลืมที่จะเบี่ยงตัวหนีไอ้คนขี้เสือกออกมาอย่างเนียนๆ เป็นการป้องกันไว้ก่อน

      ‘ตื่นยัง’

      ‘ทำไรอยู่’

      ข้อความทำนองนั้นถือเป็นเรื่องปกติประจำวันที่เขาต้องเจอ  เท็นเป็นคนสม่ำเสมอมาก(ไม่ค่อยแน่ใจว่านี่คือกลยุทธ์ของช่วงโปรโมชั่นอะไรหรือเปล่า)  เหมือนกับว่าสิ่งแรกที่อีกฝ่ายทำคือการไลน์มาหาเขาเพื่อถามว่าตื่นแล้วหรือยัง ทำอะไรอยู่ ประมาณนี้ทุกวัน  ย้ำว่าทุกวัน  จนมันกลายเป็นความเคยชินสำหรับเขาไปแล้วเช่นกัน

      “ตื่นแล้ว  อยู่บ้านเพื่อนน่ะ”

       ‘เหรอ’

     ‘แล้ววันนี้จะไปไหนมั้ย’

      “คงไม่  อยู่เล่นบ้านเพื่อนอีกซักพัก  บ่ายๆ ก็คงกลับบ้านเลย”

      ‘จะกลับเมื่อไหร่บอกหน่อยนะ’

       ‘พอดีเพื่อนแม่เอาผลไม้จากญี่ปุ่นมาฝากน่ะ  อร่อยดี  อยากเอาไปให้แม่กับนายน์ชิม’

       เนี่ย!  นอกจากจะสม่ำเสมอกับเขาแล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงแม่เขาด้วย  วันไหนที่เขาใจอ่อนยอมให้อีกฝ่ายมารับก็มักจะหอบหิ้วของอร่อยจากทั่วราชอาณาจักรมาฝากแม่บ่อยๆ  จนตอนนี้เขากลายเป็นลูกหัวเน่าไปแล้ว  แค่ไม่เจอเท็นโผล่หน้ามาที่บ้านสักสองสามวันก็เป็นต้องถามถึงกันทุกที  นานย์เบะปากใส่คนในโทรศัพท์ก่อนจะรัวนิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์อีกครั้ง  “แต่กูยังอยู่บ้านเพื่อนอีกพักใหญ่เลยอ่ะดิ  ไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ”

      ‘ได้ๆ’

      Rrrrrr…  Rrrrrr…

     “หื้อ!  ไอ้นี่มันคนหรือหมากันแน่วะ  จมูกไวชิบหาย!”

       เสียงโทรศัพท์และตามมาด้วยการบ่นงึมงำดังมาจากคนที่นอนเลื้อยอยู่ข้างๆ เขา  มันทำหน้าปุเลี่ยนมองหน้าจอก่อนจะกดรับ  ไม่รู้ว่าเป็นสายของใคร  แต่ที่แน่ๆ มันดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อย 

      “…ว่าไงมึง  อยู่  รู้ได้ไงวะ อ๋อ!  ลืมไปว่าพวกมึงกิ๊กกันอยู่  ได้น่ะได้  แต่ถ้าจะมาก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย  อืม...บ้านกูไม่มีอะไรกิน  เพราะตอนพวกมันจะมามันแม่งไม่ยอมซื้ออะไรมาให้กูเลย  แล้วแต่มึงละกันนะ  กูแค่พูดลอยๆ...  เยส!  เฮ้ยไอ้ซ้งไอ้เกมส์มึงจะเอาอะไรในเซเว่นปะ?”

      “เอาๆๆ  จีบกุ้ง”

       “จีบกุ้ง”

      “เลย์โนริห่อใหญ่  ชาเขียว”

     “มึงได้ยินที่มันพูดใช่ปะ  เออๆ นั่นแหละ  ตามนั้น  แล้วมึงอ่ะไอ้ซ้ง”

     “กูเอาฟุตลองซอสพริก  ชีโตส  แล้วก็แป๊บซี่”

      “ตามนั้นมึง  แล้วมึงอ่ะนายน์”

      “มึงคุยกับใครวะ”  ที่ถามก็เพราะกลัวว่าจะเป็นเพื่อนที่มหาลัยฯของไอ้เคนมัน  ก็ถ้าเป็นอย่างนั้นใครที่ไหนมันจะไปกล้าเสียมารยาทสั่งแหลกเหมือนพวกมัน  แต่ไอ้เคนไม่เพียงไม่ตอบ  มันยังถอนหายใจเฮือกใส่หน้าเขาแล้วว่า

      “อย่านอกเรื่อง  กูถามว่าจะเอาไรมั้ย”

      “ไม่!” 

      “ก็ตามที่มึงได้ยินนั่นแหละ  ส่วนของกู  กูเอาเกี๊ยวซ่า  โบโลน่าพริกไม่เวฟ  แล้วก็คาลพีสโซดากระป๋องนึง  เค  เออ  เดี๋ยวกูบอกทางให้ในไลน์  ได้  รีบมานะมึงกูหิว”

      นายน์มองเคนที่เพิ่งวางสายจากการสั่งซื้อของมาราธอนแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว  ไอ้หิวมันก็หิวนิดๆ อยู่หรอกนะ  ก่อนจะมาที่นี่เขายัดข้าวผัดของแม่ไปได้แค่นิดเดียวไอ้บ้าเคนก็เอาแต่โทรจิกรัวๆ เลยต้องยอมตัดรังควาญเลิกกินแล้วออกมาหามันเนี่ย! 

      “ตกลงจะบอกไม่บอกว่าคุยกับใคร”  ลองแย๊บถามอีกรอบเผื่อมันจะบอก  และเผื่อว่าเป็นคนที่เขาพอจะรู้จักจะได้ให้มันโทรกลับไปสั่งเพิ่มให้หน่อย

     แต่!!!

     “ทีมึงยังแอบไปคุยจิ๊จ๊ะกับใครยังไม่ยอมบอกกูเลย  เรื่องไรจะบอก!” 

     มันโวยเสร็จแล้วก็ยักคิ้วรัวๆ มาให้หงุดหงิดเล่นเป็นของแถม  นายน์อยากจะด่ากลับแต่คิดคำพูดไม่ทัน  ซ้ำตอนนี้ไอ้เคนมันก็หันกลับไปไถอินสตาแกรมแจกไลค์เหมือนเดิมแล้ว  เป็นอันปิดโอกาสให้เขาได้เอาคืน!  แต่มีหรือที่คนอย่างนันทนัชจะยอมแพ้ง่ายๆ  เขาขยับไปใกล้ๆ เหยื่ออย่างรวดเร็วก่อนจะตะโกนใส่หูมันด้วยเสียงอันดังระดับสิบ  “ไม่บอกก็ไม่บอกดิ  อยากรู้ตายห่าแหละ!”

     “ไอ้เหี้ยนายน์!  มึงโรคจิตปะเนี่ย!!”

      “เออดิ  ทำมะ”

      “ไอ้เตี้ยเอ๊ย”

      “มึงสูงตายละ”




      เสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้านเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผู้มาเยือนปริศนาได้มาถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  และเขาตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่า ‘ผู้มาเยือน’ จะเป็นใครก็ตาม  เขาจะแย่งไอ้สามลิงกินให้เรียบไม่ยอมอดอยากปากแห้งทนดูพวกมันอิ่มหนำสำราญฝ่ายเดียวเป็นอันขาด  คอยดู! 

      “ไอ้ซ้งมึงไปเปิด!”

      “เหี้ยไรวะ  นี่บ้านมึงนะ”

      “ก็ใช่ไง  บ้านกู  แต่มึงมาเล่นเกมส์เปลืองค่าไฟก็รู้จักทำอะไรตอบแทนเจ้าของบ้านบ้างดิ”

      “แล้วทีไอ้เกมส์กับไอ้นายน์อ่ะ!”

       “มึงมาสายสุด  มึงเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าเพื่อน  ไปเปิดอย่าพูดมาก!”

       “ตรรกะมึงนี่แม่ง  เออ  ไปก็ได้วะ”

      สุดท้ายซ้งก็ยอมเป็นเบ้ไปแบบยอมจำนน  เห็นมันทำหน้าบูดเป็นตูดลิงแสมแล้วก็อดขำไม่ได้  ทว่าคล้อยหลังมันไปไม่ถึงสิบวิฯเสียงเอะอะไม่ได้ศัพท์จากหน้าบ้านก็ลอยเข้ามาถึงข้างใน  นายน์ส่ายหัวระอากับความขี้โวยของเพื่อนก่อนจะไถลตัวนั่งกึ่งนอนหนุนไหล่ไอ้เคนที่กำลังนั่งเอาขาข้างหนึ่งพาดเข่ากระดิกเล่นพลางเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยเปื่อยเหมือนคนจับจดไม่มีอะไรทำมากกว่าจะตั้งใจหาอะไรดูจนเขาต้องบ่นออกไปอย่างเสียไม่ได้

      “ถ้ามึงไม่ดูก็ปิดไปเลยไป  เวียนหัว”

      “ก็หาอยู่นี่ไง”

      แน่นอนว่ามันเถียงกลับทันทีอย่างไม่ยอมลดราวาศอก  บอกตามตรงบางทีก็สงสัยว่าพวกเราสนิทกันไปทำไม  อยู่ด้วยกันทีไรก็มีแต่เถียงกันตลอด  นายน์เลิกสนใจเจ้าของบ้านที่ยังหาช่องถูกใจไม่ได้เสียทีแล้วกลับมาหาเกมส์ในโทรศัพท์ที่เล่นค้างไว้ 

       “พวกมึง  มาช่วยก็ถือดิ  ไอ้เท็นแม่งเหมามาทั้งเซเว่นเลยมั้ง”

       ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะทำให้ใครบางคนที่กำลังนอนหนุนไหล่เพื่อนสบายอยู่บนโซฟาสนใจถึงขนาดหันขวับมามองทางเขาหน้าตาตื่น  ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและจ้องกันอย่างกับเห็นผี  ทีแรกเขากะจะทำเซอร์ไพรส์ยิ้มทักกวนๆ กลับไป  แต่พอดีว่าไอ้ภาพนอนอิงหัวแหมะกันเมื่อครู่ดันมาสกัดอารมณ์กัเสียก่อน 

     ก็เข้าใจหรอกนะว่าเพื่อนสนิท  แต่พอเจอความสนิทแบบที่เขาไม่ทำกับไอ้พวกเพื่อนกากๆ ทั้งหลายจังๆ แบบนี้แล้วมันก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี!

      “มาไงอ่ะ”

      นายน์ยังคงยืนงงอยู่ที่โซฟาไม่ขยับไปไหน  หน้ามึนๆ แถมผมยังยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งที่ในใจยังแอบเคืองอยู่หน่อยๆ  “มาหาเพื่อนบ้างไม่ได้หรอ”

      “เดี๋ยวนะ  ใครเพื่อนใคร”

      “อ้าว  แล้วกูไม่ได้เป็นเพื่อนมึงหรอ  หรือว่า…เลื่อนตำแหน่งให้แล้ว”

      “……….”
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16 - 15% [Update 03-02-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-02-2019 22:00:01
 :L2: :pig4:

คนปากแข็งเอ้ย ท่าเยอะจริง
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16 - 15% [Update 03-02-19]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 04-02-2019 02:54:15
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16 - 15% [Update 03-02-19]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 03-03-2019 16:11:56
     นายน์ดูจะอึ้งไปเพราะเจ้าตัวกำลังอ้าปากค้างเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ว่าพูดไม่ออกแถมยังหน้าแดงขึ้นมาอย่างกับมีสวิตซ์ปิดเปิดอย่างไรอย่างนั้น  และเขารู้ดีว่าถ้าเกิดเผลอหลุดยิ้มออกมาในสถานการณ์แบบนี้มีหวังได้โดนเขวี้ยงค้อนวงใหญ่กลับมาเป็นรางวัลแน่  เลยทำได้แค่ยืนปั้นหน้าเหมือนว่างงจริงตามที่พูด

     “จะจีบกันก็ตามสบายเลยนะ  แต่ขอของกินกูก่อน  หิว!”

     ก้างตัวเขื่องลุกจากโซฟามาถึงตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  แต่ที่แน่ๆ คุณเจ้าของบ้านกำลังกระตุกถุงหูหิ้วที่บรรจุของกินมากมายจากมือเขายิกๆ  เท็นยอมยกของในมือให้แต่โดยแต่  ทว่ายังเหลือถุงอีกใบเอาไว้  ก่อนเดินไปหาอีกคนที่ทิ้งตัวนั่งกึ่งนอนมุดหน้าอยู่กับโทรศัพท์ในมือหนีกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  “อะ”

     “…..อะไร”

     ปากตอบแต่ตายังอยู่ที่โทรศัพท์แบบตั้งใจจนดูออกว่าฝืน  เท็นส่ายหัวเบาๆ พลางยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงที่ว่างข้างกัน  “ที่ไม่ยอมสั่งเพราะเกรงใจอ่ะดิ”  ว่าพลางมือก็ยังยื่นถุงไปตรงหน้าเจ้าตัวค้างไว้อย่างนั้น

     “รู้ดีไปหมดเลยเนาะ”

     “แล้วพูดถูกมั้ยล่ะ”

     “…..ของกูใช่ปะ  งั้นขอนะ”

     ตาคมมองคนเนียนที่ฉกถุงจากมือเขาไปแถมยังหันมามองกันแล้วตาตำโตใส่ราวกับจะถามว่าทำไมอีกต่างหาก  เท็นหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งพลางเอนหลังไปกับโซฟามองคนตัวเล็กที่กำลังค้นข้าวของภายในถุงนั้นพลางทำหน้านิ่วคิ้วผูกโบก่อนจะหันมาถามเขา

     “รู้ได้ไงว่ากูชอบกินไอ้พวกนี้”

     ไอ้พวกนี้ที่เจ้าตัวถืออยู่ในมือก็คือสาหร่ายทอดรสพริก  โอลิโอ้  ลูกอิมริโคร่ารสเลม่อนมิ้นท์  และชาเขียวฟูจิรสต้นตำหรับ  ก็เห็นเข้าเซเว่นด้วยกันทีไรก็กินอยู่ไม่กี่อย่าง  “เดาเอา”

     “เชื่อก็บ้าละ”

     “เห็นกินแต่แบบนี้ตลอด”

     “ก็จริง”

      หลังจากอีกฝ่ายเปิดขวดชาเขียวขึ้นดื่มรวดเดียวพร่องไปกว่าครึ่งราวกับกระหายน้ำมานานแรมปีก็เงียบไปเสียดื้อๆ  นายน์ค่อยๆ เอนหลังลงกับโซฟา  เจ้าตัวหยิบมือถือขึ้นมาอีกรอบแต่ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะยังเหม่อลอยราวกับกำลังคิดบางอย่าง  เขามองใบหน้าด้านข้างที่ไม่ว่าผมจะยุ่งเหยิงสักแค่ไหนแต่ก็ยังดูน่ารักเสมอสำหรับเขาโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน 

     เขาชอบยรรยากาศรอบตัวนายน์  ยิ่งเวลาที่เจ้าตัวแต่งตัวสบายๆ ยิ่งรู้สึกว่า…น่ารัก 
 
     “ตกลงจะไม่บอกใช่มั้ยว่ามาทำไม”  ถ้าจะให้พูดตามความรู้สึกเขาค่อนข้างตกใจที่อีกฝ่ายโผล่มาบ้านเพื่อนของเขาโดยไม่ได้บอกกันก่อนแบบนี้  แต่ก็นั่นแหละ  ในเมื่อเท็นก็ค่อนข้างสนิทกับเคนจริงๆ ก็เลยไม่กล้าคิดเองเออเอง 

     จู่ๆ คนที่เงียบไปพักใหญ่ก็หันตาเล็กๆ แต่กลมโตคู่นั้นมามองที่เขาอย่างจริงจัง  สงสัยจะคามจจริงๆ ถึงยังสลัดไม่หยุด  เท็นกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้หน้านิ่งและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันนิดๆ ราวกับใช้ความคิด  ทั้งที่จริงๆ ในหัวเขาโล่งเสียยิ่งกว่าโล่ง  เพราะเหตุผลเดียวที่ถ่อมาถึงที่นี่ก็เพราะอยากเจอ  อาทิตย์นี้นายน์เรียนค่อนข้างหนัก  เลยมีเวลาเจอกันที่มหาลัยฯแค่นิดหน่อย  อีกอย่างเขาไม่อยากกวนเจ้าตัวด้วย  ก็เลยได้แค่ทักไลน์ไปคุยกับโทรหาบ้างนิดหน่อย  “อยากเอาผลไม้มาให้ชิมไง  ทิ้งไว้หลายวันเดียวมันเสียรสชาติ  กูว่างอยู่ด้วย”

     “………..”

     “เคนบอกมึงนั่งแท็กซี่มา  ขากลับจะได้ไปส่งมึงด้วย”

     “ว่างจัดว่างั้น”

     “อยากเจอด้วย”

     “หึ!”

     “โกรธเหรอ”  ถามออกไปตรงๆ เพราะก็แอบหวั่นอยู่นิดๆ เหมือนกันว่าจะถูกเจ้าตัวเคืองเข้าให้  นายน์ไม่ตอบในทันทีแต่เลือกจะหยิบถุงสาหร่ายออกมาฉีกแล้วยัดมันเข้าปากเคียวตุ้ยอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ  เบาเสียจนคนที่นั่งห่างกันแต่คืบอย่างเขายังเกือบจะไม่ได้ยิน

      “ทำไมต้องโกรธ  .....แค่ตกใจนิดนึง”

     “นิดนึงเองหรอ”  พอเห็นเจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองอะไรเลยแกล้งแหย่กลับไปพลางล้วงขนมในมืออีกฝ่ายมากินอย่างถือวิสาสะ  นายน์หันมาถลึงตาใส่กันอย่างไม่จริงจังนักแต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายยื่นมาให้เขาทั้งถุงเสียเอง  บอกแล้วว่านายน์น่ะเหมือนจะดุ  แต่จริงๆ ใจดีจะตาย   

     “แต่คราวหลังบอกกันก่อนก็ดีนะ”

     “ถ้าบอกก็โดนห้ามอ่ะดิ”

     “……….”

     “เงียบแปลว่าใช่?”

     “คิดดูก่อน”

     “สองคนนั้นอ่ะ  มึงลืมไปรึเปล่าว่ายังมีพวกกูสามคนอยู่  เสียงดังขนาดนี้ยังสร้างโลกกันได้อีกเนาะ  กูยอมเลย”

     “เอออ  กูอุตส่าห์จะแอบฟังว่าพวกมันคุยอะไรกัน  แม่งงุ้งงิ้งๆๆ คุยหรือกระซิบกันแน่วะ”

     “เสือก!” 

     “ดูปากมัน  มึงดูเลยไอ้เท็น  นี่ยังน้อยนะ  มึงชอบลงไปได้ไงวะ”

     “เออ  บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่มีมึงมันก็ไม่มีใครเอาละเหอะ”

     “หน้าตาออกจะดี  คำพูดคำจาแม่งฟังไม่ได้  เป็นกูกูเลิกอ่ะ” 
 



     ตาคู่สวยกวาดมองไปทั่วพื้นที่เพื่อหาโทรศัพท์คู่ใจ  แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเสียที  เหมือนว่ายิ่งรีบก็จะยิ่งรนและก็ยิ่งเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เรื่อยๆ  ทีแรกกะว่าจะอยู่แค่แปร๊บเดียวก็จะขอตัวกลับเพราะเกรงใจเท็นที่ต้องมาเจอความป่วงของเพื่อนลิงของเขา  แต่ทำไมทำมากลายเป็นว่าเท็นนั่นแหละที่ดันไปร่วมวงดวลเกมส์กับพวกมันเฉย  กว่าจะเลิกเล่นกันอีกทีก็ตอนที่เข็มนาฬิกาบนฝาผนังชี้ไปที่เลขแปดแล้ว  นายน์เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ที่ที่พวกเรานั่งเล่นกันอีกเป็นรอบที่ห้า  ขนาดรื้อหมอนทุกใบบนโซฟา ก้มหาบนพื้นทุกซอกทุกหลืบแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังว่างเปล่า 

     ก็ถ้าจะล่องหนได้ขนาดนี้ก็มีแต่โดนฉกไปเท่านั้นแหละ!
 
      คิดได้ดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกพลางขบกรามอย่างใช้ความคิด  ก่อนจะกวาดสายตามองสามลิงที่นอนเลียงรายอยู่บนโซฟาและเอาแต่กดโทรศัพท์กันอย่างมีพิรุธ  “เอาโทรศัพท์กูมา!”  ดีที่เขาบอกให้เท็นออกไปที่รถก่อน  ไม่งั้นต้องให้อีกฝ่ายมาทาดูสงครามน้ำลายระหว่างเขากับไอ้สามลิงอีกเป็นแน่

     “โทรศัพท์ของมึงก็ต้องอยู่กับมึงดิ  จะอยู่กับพวกกูได้ไง”

     นายน์กรอกตาใส่เพื่อนเคนที่กำลังนั่งกระดิกเท้าสบายใจเฉิบ  “ไม่เนียน  เอามา!”  อยากถามว่าทำไมถึงเกิดมากวนบาทาได้ขนาดนี้  แล้วไอ้ยิ้มมุมปากกันทั้งสามตัวนี่เรียกว่าเนียนแล้วว่างั้น?

     “ถ้าอยากได้คืนก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

     เนี่ยไง!  ปฏิเสธได้ไม่ทันเท่าไหร่ความไม่สามัคคีของพวกมันก็ทำให้หางโผล่ออกมาจนได้  นายน์ตวัดสายตามายังไอ้เพื่อนเกมส์เจ้าของประโยคเมื่อครู่  ทันได้เห็นมันยักคิ้วใส่เขาอย่างน่ายันให้โครมซักที  แต่ก็ต้องฮึบไว้ก่อน  “เอาคืนมาเหอะ  กูจะกลับบ้าน”  ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่รอดก็ต้องลองขอกันดีๆ เผื่อว่าพวกมันจะยังมีความเป็นคนเหลืออยู่บ้าง

     “แหม  ที่รีบนี่กลัวคนไปส่งจะรอนานหรืออะไรกันแน่วะ”

     “น่านดิ”

     “ตกลงคบกันแล้วหรอวะ”

     “ยังไง  ไหนเล่ามา”

     “มีตามมาหากันถึงที่ขนาดนี้กูว่าชัวร์”

     “ใครที่ไหนจะไปทนความหล่อ ใจดี สป็อต และเอาใจเก่งมากของไอ้เท็นได้ว้า”

     “จริงจัง  เป็นกูกูก็เป๋”

     นายน์ถอนหายใจเฮือกพลางมองลิงสามตัวที่นอนกองอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันอย่างระอา  ไม่บอกก็รู้ว่าซุ่มวางแผนกันเอา  ได้ทีเลยพากันรุมทึ้งเขาใหญ่!  “ได้  จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย  งั้นกูจะไปบอกให้มันกลับไปก่อน  เดี๋ยวจะอยู่เล่นเกมร้อยแปดคำถามกับพวกมึงต่อ”

     “โหหหหหห  บอกกันบ้างไม่ได้เหรอวะ”

     “พวกกูก็ไม่ได้อยากรู้อะไรหรอกนะ  แค่เป็นห่วงมึงนั่นแหละ  เผื่อมันมาหลอกอะไรมึง  พวกกูจะได้ช่วยระวังให้ไง”

     “เออใช่ๆๆ  หล่อลากขนาดนั้นมึงคิดหรอว่าจะไม่มีคนมาจีบมัน  เผลอๆ มันอาจจะคุยกับคนอื่นอยู่ด้วยก็ได้นะเว้ย  เรื่องแบบนี้มีแต่เพื่อนอย่างพวกกูเท่านั้นที่จะช่วยมึงได้”

      “เสือก!”

      “พวกกูพูดจริงนะนายน์  มึงไม่ได้คบใครจริงจังมานานแล้ว  พวกกูเป็นห่วงมึงนะเว้ย”

     “มึงเป็นห่วงตัวเองเหอะ  จะคืนไม่คืน!”  ขืนทนฟังพวกมันไหลไปเรื่อยๆ มีหวังเขาคงได้ค้างที่นี่  นายน์ยื่นมือไปตรงหน้าไอ้เคนที่จะต้องเป็นตัวต้นคิดเรื่องนี้แน่ๆ  คนโดนกดดันด้วยสายตาทำท่าจิ๊จ๊ะขัดใจอยู่ได้ซักพักก็ยอมเอาโทรศัพท์ออกมาจากก้น  ย้ำว่าก้น  ไอ้เพื่อนเวรแม่งนั่งทับโทรศัพท์เขาเอาไว้เฉย  ดูความทุเรศของพวกมันเอาเถอะ

     อยากจะบ้าตาย!

     ฉวยโทรศัพท์คืนมาได้ก็รีบเผ่นออกมาก่อนที่พวกมันจะหาเรื่องมาป่วนเขาได้อีกรอบ  แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงโฮ่ฮิ้วกริ๊วกร๊าวเหมือนพวกนักเลงปากซอยขี้แซวลอยตามหลังมา  ประสาทแดกจริงๆ ไอ้พวกนี้!

     เดินมาถึงรถที่ติดเครื่องรออยู่แล้วก็เลยแอบส่องเข้าไปข้างในดูว่าคนที่ถูกให้รอกำลังทำอะไรอยู่  แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ฉายให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่ยังคงเรียบเฉยไม่บ่งบอกห้วงอารมณ์อย่างที่เจ้าตัวเป็นมาตลอด  แต่ในหัวของเขาพาลไปคิดถึงคำพูดของไอ้สามลิงขึ้นมาเสียได้! 

     ความจริงเขาก็เคยคิดเหมือนกันว่าคนที่ดูดีไปเสียหมดอย่างเท็นจะไม่มีคนที่คบอยู่จริงๆ หรือ  แล้วที่กำลังคุยกับเขาอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่อีกฝ่ายเจียดเวลาให้เสียหน่อย  ทว่าความคิดเหล่านั้นก็มักจะถูกหักล้างด้วยความสม่ำเสมอของอีกฝ่าย  แถมเท็นยังเป็นฝ่ายต้องมานั่งรอเขานานๆ แบบนี้แทบจะตลอด  และทุกครั้งเจ้าตัวก็ไม่เคยมีท่าทีหงุดหงิดหรือไม่พอใจที่โดนทิ้งให้รอเลยสักครั้ง 

     ถ้าเป็นคนที่คุยกับคนอื่นอยู่ด้วยจริงๆ เขาจะสามารถใจเย็นอยู่แบบนี้ได้ไหมนะ

     นายน์สลัดความคิดนั้นทิ้งไป  เปิดประตูเข้าไปนั่งที่ประจำของตัวเอง  และเท็นก็หันมายิ้มละมุนตามสไตล์ให้กันทันทีเหมือนอย่างทุกครั้ง  “โทษนะ  หาโทรศัพท์ไม่เจอน่ะ”

     “ไม่เป็นไร”
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16 [Update 03-03-19]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 03-03-2019 16:19:35



     
     ขับออกมาจากบ้านเคนได้สักพักพลางฟังเท็นเล่าเรื่องผลไม้รูปร่างแปลกๆ ที่เพื่อนแม่ของเท็นเอาฝากกับเรื่องร้านอาหารที่เจ้าตัวไปทานกับที่บ้านมาแบบเพลินๆ  และสรุปได้ว่าเท็นเป็นคนที่ค่อนข้างใส่ใจเรื่องอาหารการกินและเรื่องสุขภาพพอสมควร  ไม่แปลกใจที่เจ้าตัวหุ่นดีขนาดนี้  และก็ไม่แปลกใจเลยที่จะชอบบ่นเวลาเขากินชานมบ่อยๆ  แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ของเท็นก็ดังขึ้นขัดบทสนทนาเสียก่อน  เจ้าตัวหยิบขึ้นมาดูชื่อคนโทรชั่วครู่ก่อนจะกดรับ

     “ว่าไงมีน”

      มีน...ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน  นายน์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอัตโนมัติพลางพยายามนึกว่าตัวเองไปรู้จักคนชื่อนี้มาจากที่ไหนหรือเปล่า  ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแอบฟังอะไรหรอกนะ  เพราะถึงอยากจะแอบฟังจริงๆ ก็ไม่ได้ยินเลยสักนิดว่าอีกฟากหนึ่งของสายกำลังพูดอะไร  เพียงแต่ว่าชื่อที่เท็นเอ่ยออกมามันคุ้นหูมากจริงๆ 

      “เหรอ  เอาไงดี  เท็นไม่อยู่บ้านน่ะสิ  ...ต้องรออีกนานเลยใช่มั้ย  ...เดี๋ยวขอลองถามเพื่อนก่อนนะ”

     จู่ๆ เท็นก็หันมาหากันทั้งที่ยังมีโทรศัพท์แนบหูอยู่ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง 

     “นายน์จำมีนได้มั้ย  มีนเพื่อนเจตที่เราเจอที่ห้างฯเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ”

      นึกตั้งนานก็มาถึงบางอ้อเอาอิตอนที่เท็นถามนี่แหละ  เขาเลือกที่จะพยักหน้าแทนคำตอบ  และกำลังประมวลผลว่าอีกฝ่ายจะถามเขาเรื่องนี้ในเวลาแบบนี้ทำไม  แถมคนถามยังทำหน้ายุ่งยากใจราวกับเจอเรื่องที่ต้องคิดหนักอะไรทำนองนั้น 

     “ตอนนี้มีนรถเสียอยู่ตรงถนนแถวๆ บ้านกู  แถวนั้นเปลี่ยวอยู่เหมือนกัน  คือมีนกับกูอยู่หมู่บ้านเดียวกันน่ะ  แต่ว่าที่บ้านเค้าไม่มีคนอยู่เลย  โทรตามให้เพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อนแต่ไม่มีใครสะดวก”

     “แล้ว?”

     “ไปกับกูหน่อยได้มั้ย  เสร็จแล้วเดี๋ยวจะรีบไปส่งบ้านเลย”

      ใจจริงอยากจะถามว่าทำไมเขาต้องไปแต่ก็ยั้งปากเอาไว้เสียก่อน  “ถ้างั้น...”  บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เพิ่งถูกร้องขอ  แต่ที่แน่ๆ เขางงและมึนจนเกือบจะนึกคำพูดไม่ออก  “ถ้างั้น...กูกลับเองก็ได้  มึงไปอยู่เป็นเพื่อนเค้าเถอะ”  เขาไม่แน่ใจว่าที่เท็นพูดมาทั้งหมดเพียงเพราะเกรงใจไม่กล้าบอกให้เขากลับเองหรือเปล่า  ถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงง่ายกว่าถ้าเขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง 

     “ไม่ได้ดิ  ไปด้วยกันก่อน  กูอยากให้มึงไปด้วย”

     เท็นมองทางสลับกับมองมาที่เขาอย่างขอคำตอบ  และเขาเองที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรก็เลยได้แต่เงียบ  จนในที่สุดก็ต้องเอ่ยถามอย่างที่ใจสงสัยออกไป  “กูต้องไปหรอ”

     “อืม”

      และเท็นก็ตอบมาเพียงแค่นั้นโดยไม่ได้ให้เหตุผลอะไรเพิ่มเติมกับเขาเลยแม้แต่น้อย  ทว่าสีหน้ากับสายตาที่มองมาบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวต้องการอย่างที่ขอจริงๆ  “งั้น...ไปก็ได้”

      “โอเค  ช่างกำลังมาแล้ว  กูคิดว่าคงไม่นาน  เดี๋ยวจะรีบบึ่งไปส่งมึงเลย”

     สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่หายลับราวกับไม่เคยเกิดขึ้นและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างที่เจ้าตัวเป็นเสมอ  เท็นกลับไปคุยกับคนปลายสายอีกครั้ง  ทิ้งให้เขานั่งหน้านิ่วคิ้วผูกโบเพราะไม่เข้าใจเลยสักนิดแถมยังรู้สึกหวั่นๆ ที่จะต้องเจอหน้าคนที่เหมือนจะไม่ชอบขี้หน้าตัวเองแบบเร็วเกินกว่าจะทันได้ตั้งตัว 

     อย่างแย่ที่สุดก็อาจจะต้องยืนเป็นอากาศธาตุดูเขาคุยกันอย่างออกรสก็เท่านั้นแหละ...มั้ง!





     คิดมาตลอดทางกระทั่งรถชะลอความเร็วลงและจอดตรงไหล่ทางต่อจากรถอีกคันที่ขึ้นไฟกระพริบบอกเป็นสัญญาณว่ารถเสียอยู่  ทว่าในหัวของเขาก็ยังไม่หยุดทำงานเสียที  เขามันเป็นพวกความรู้สึกช้า  ตอนฟังยังไม่ทันได้คิดตามอะไรมากมายแต่พอมานั่งเรียงเรียงดูดีๆ ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมานิดหน่อย 

     ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองคิดมันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นไหมรึเปล่าก็เถออะนะ

     เท็นพยักหน้าให้เขาแทนการบอกว่าให้ลงจากรถแล้วเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายลงไปก่อน  นายน์มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปกระทั่งเจ้าตัวไปหยุดอยู่ตรงประตูฝั่งคนขับก่อนจะเคาะสองสามครั้ง  แล้วคนในรถก็เปิดประตูออกมาทันที  ทั้งสองคนกำลังพูดคุยและยิ้มให้กันอย่างคนคุ้นเคย  มันก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่สนิทสนมกัน  เพียงแต่ว่าเขาในนี้ดันเกิดความรู้สึกว่าที่มีนดูไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไหร่อาจเป็นเพราะเจ้าตัวอาจจะชอบเท็นอยู่หรือเปล่า  ไม่รู้ทำไมแต่พอคิดมาถึงตรงนี้บวกกับมองภาพสองคนตรงหน้าแล้วจู่ๆ หัวใจมันก็พาลให้วูบโหวงขึ้นมาแปลกๆ

      จ้องมองอยู่อย่างนั้นโดยลืมไปแล้วว่าเขาควรจะต้องลงจากรถกระทั่งเท็นที่กำลังคุยอยู่กับอีกคนหันมาทางเขาอย่างไม่ให้ตั้งตัวนั่นแหละนายน์ถึงได้สะดุ้งเฮือกก่อนจะทำทีเป็นมองไปทางอื่น  มือก็เลื่อนไปปลดเข็มขัดนิรภัยพลันเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเสียมารยาทขนาดไหน   

     ทว่า!

      เสียงเคาะตรงกระจกที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้ง  มัวแต่ก้มงุดหามือถือเพื่อจะได้ลงไปทักทายอีกคนแบบที่คนมีมารยาทควรจะทำกันเสียที  แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเท็นก็มาอยู่ข้างรถเสียแล้ว  นายน์ลดกระจกลงเพราะดูเหมือนว่าเท็นมีอะไรจะพูดกับเขา

     “รออยู่ในรถก็ได้นะ  อากาศร้อนมากอ่ะ  เดี๋ยวรถของอู่ก็มาแล้ว  น่าจะไม่เกินห้านาที”

     ได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็ทำได้แค่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

      “เป็นอะไรหรือเปล่า”

     และก็เป็นอีกครั้งที่เขาเลือกใช้ภาษากายมากกว่าจะพูดออกไป  นายน์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเสมองไปทางอื่น  เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนทำไมเท็นถึงได้ถามแบบนั้น  แต่ที่แน่ๆ หัวใจของเขาตอนนี้มันว้าวุ่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  และเขาก็ไม่ชอบเอาเสียเลยที่ต้องมารู้สึกแย่เพราะการคิดเองเออเองแบบนี้  แต่พอมันได้เริ่มคิดแล้วหัวมันก็หยุดไม่ได้เนี่ยสิ! 

     ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่กำลังยิ้มให้กันอยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขารู้สึกแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน  สุดท้ายเขาก็กลืนน้ำลายตัวเองเผลอให้ใจคนที่เคยหยีแบบที่ถอนตัวตอนนี้ก็ไม่น่าจะทัน  พาลให้รู้สึกเข่าอ่อนหมดแรงยังไงชอบกลที่สุดท้ายเขาก็เป็นเหมือนที่ไอ้พวกสามลิงพูดไม่มีผิด ‘เป๋จนหมดท่า!’  น่าจะบ่งบอกอาการเขาในตอนนี้ได้ดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง  เฮ้อ! 

     “รถอู่มาพอดีเลย  เดี๋ยวขอแวะไปส่งมีนที่บ้านแป๊บนึงนะ”

      “..........”  เขามองตามสายตาอีกฝ่ายไปก็เห็นรถของอู่กำลังมาถึงพอดีจริงๆ  แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ บนศีรษะ  พอหันกลับมายังคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ต้องประหลาดใจกับฝ่ามือที่กำลังลูบผมของเขาเบาๆ  ความตกใจทำให้เขาเผลอเงยหน้ามองขึ้นไปยังแขนแกร่งก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย  เท็นยังคงลูบผมของเขาพร้อมกับยิ้มมุมปาก 

     “กะว่าจะปล่อยกลับบ้านทั้งแบบนี้แล้วนะ  แต่เห็นแล้วอดไม่ได้”

     “อะไร”

     “ผมยุ่งตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านเคนแล้ว  ไม่รู้ตัวเหรอ”

     คำพูดนั้นทำเอาเขาสะดุ้งปัดมืออีกคนออกพลางลูบผมตัวเองป้อยๆ ก่อนจะขมวดคิ้วฉับมองคนที่รู้ตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมบอกกันสักคำ!  “แล้วทำไมไม่บอกอ่ะ!”

     “ก็.....น่ารักดี  เลยว่าจะเก็บไว้ดูนานๆ”

     บอกตามตรงว่าอึ้งจนพูดไม่ออก  ได้แต่มองไอ้คนหน้าหล่อที่กำลังยิ้มกรุ่มกริ่มและเก่งเหลือเกินเรื่องสับสวิตซ์อารมณ์ของเขา!  นายน์พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่หลุดอาการอะไรออกไปแต่ไอ้อาการร้อนผ่าวๆ บนหน้านี่ก็ดูว่าจะไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย  ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่โดนไอ้คนหน้าตาดี(ถึงบางทีจะกวนประสาทไปนิดก็เถอะ)ขายขนมจีบใส่กันโต้งๆ แบบนี้ก็อดรู้สึกใจแกว่งเป็นเข็มนาฬิกาเสียหลักอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ  “หึ!”  สุดท้ายเขาก็เล่นไม้ตายไม้เดิมที่เวลาจนหนทางทีไรก็ดึงออกมาใช้ทุกทีก่อนจะปิดกระจกหนีกันเสียดื้อๆ แบบนั้นแหละ!





     ได้แต่นั่งมองความวุ่นวายตรงหน้าอยู่ในรถคนเดียวโดยไม่ได้ช่วยอะไรเลยมันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะ  แต่จะให้ลงไปเสนอหน้าตอนนี้ก็คงจะช้าเกินไป(มาก)  เพราะเท็นกับมีนกำลังเดินกลับมาที่รถแล้ว  ไม่รู้ว่ามีนเป็นคนคุยสนุกหรือว่าอะไรถึงทำให้อีกคนยิ้มและดูพูดเยอะกว่าปกติได้ตลอดเวลาขนาดนั้น  เห็นแล้วก็ยิ่งย้ำความรู้สึกว่า ‘ไม่น่ามาเลย!’ ให้ชัดขึ้นไปอีก

      ปัง!!

      เสียงประตูถูกเปิดและปิดลงแทบจะพร้อมๆ กันทั้งสองฝั่งบ่งบอกว่าเขามีสมาชิกนั่งรถเป็นเพื่อนเพิ่มมาอีกสอง  และเสียงจากด้านหลังก็ดังทักขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้หันไปหาคนมาใหม่เสียอีก

     “หวัดดีนายน์  โทษทีนะ  เลยต้องกลับบ้านดึกเพราะเราเลย”

     “ไม่เป็นไร”  เขายิ้มตอบกลับไปและอีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับมาให้ก่อนจะขยับไปนั่งที่ด้านหลังเบาะของเท็นก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

     “เออเท็น  วันก่อนหนึ่งได้บอกมั้ยว่ามีนไปหาที่บ้าน”

     “อาทิตย์นี้เท็นยังไม่เห็นหน้ามันเลย  สุมหัวอยู่บ้านเพื่อนกลับบ้านดึกทุกวันแหละเจ้าหนึ่ง”

     “มิน่าล่ะ”

     “มีอะไรหรอ”

     “อ๋อ  คือมีนว่าจะลองทำขนมขายในไอจีแหละ  เพิ่งไปเรียนมา  กำลังร้อนวิชา  เลยจะเอาไปให้เท็นช่วยชิมหน่อย”

     “เราไม่ค่อยชอบกินขนมเท่าไหร่น่ะสิ  กินขนมเก่งต้องคนนี้เลย”

     แล้วไอ้คนนี้เลยที่พ่อสารถีใจดีพูดถึงจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเขาที่กำลังนั่งหน้าเหวอหันไปมองคนที่ชี้มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง  แถมพอเขาขมวดคิ้วเพื่อถามว่ามันคืออะไรก็ยังจะมีหน้ามายักคิ้วใส่กันอีก!

     “เท็นกับนายน์ดูสนิทกันดีเนาะ”

     “นายน์สนิทกับเท็นรึเปล่าไม่รู้  แต่เท็นอ่ะอยากสนิทกับนายน์มาก” 

     แล้วประโยคที่ไม่คาดว่าจะได้ยินก็ลอยมากระแทกโสตประสาทให้คนถูกพาลพิง(อีกรอบ)อย่างเขาถึงกับตาโต  นายน์ขมวดคิ้วมองคนที่นั่งข้างกันอย่างพยายามที่สุดที่จะไม่ให้อีกคนเห็นสีหน้าของเขา  แต่ก็ดับเผลอเหลือบไปเห็นจนได้  ทว่ามีนก็ยังดูมีสีหน้าปกติกว่าที่เขาคิดไว้  แถมยังหัวเราะรับมุกเท็นอีกต่างหาก

     หรือบางทีเขานั่นแหละที่คิดเลอะเทอะไปเอง

     “งั้นเอาไว้วันหลังเราทำไปให้ชิมที่มหาลัยดีกว่า  ให้พวกเจตช่วยชิมด้วยเผื่อจะได้ไอเดียดีๆ”

     “เอาดิ  แต่จริงๆ แม่นายน์ก็เป็นเชฟนะ  ถ้าให้ลูกเชฟช่วยชิมก็น่าจะได้คำแนะนำดีๆ”

     “แต่ลูกเชฟทำอาหารไม่เป็นเลยนะ  จะส่งอะไรมาก็ช่วยถามกูก่อนด้วย”  สุดท้ายก็อดกลั้นกับความกวนประสาทของบางคนไม่ไหวจนต้องสอดปากย้อนกลับไปพลางส่งสายตาให้คนหลังพวงมาลัยเลิกเล่นเสียที

     “อ้าวหรอ”

     ทว่าเจ้าตัวกลับตอบเสียงดังราวกับตกใจเสียมากมาย  ดูก็รู้ว่าเล่นเกินบท!  ไม่รู้ว่าเท็นไปโดนตัวไหนมาหรือไปอารมณ์ดีมาจากไหนนักหนา  ถึงได้หาเรื่องแกล้งเขาต่อหน้าคนอื่นไม่หยุดแบบนี้  ขนาดดูเหมือนว่ามีนอุตส่าห์ชวนคุยเรื่องอื่นแล้วแต่เท็นก็ยังจะดันทุลังดึงเขาไปเอี่ยวด้วยอีกจนได้อย่างไรอย่างนั้น   

     “แม่นายน์เป็นเชฟจริงเหรอ”

     “จริงๆ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นครู่สอนแทนแล้วล่ะ  แต่ก็ยังรับทำอาหารตามงานเลี้ยงอยู่บ้าง”

     “อาชีพในฝันเราเลยนะ  สงสัยต้องขอคำแนะนำบ้างแล้ว”

     “เอาดิ  อยากรู้อะไรถามมาได้เลย  เดี๋ยวไปถามแม่ให้”

     “ขอบใจล่วงหน้าเลย  .....เท็น  เสาร์หน้าว่างมั้ย”

     “ยังไม่รู้เหมือนกัน”

      “งั้นเดี๋ยวเอาไว้ใกล้ๆ วันหยุดค่อยถามใหม่ก็ได้”

      “มีอะไรหรอ”

      “อยากชวนไปคอนเสิร์ตน่ะ  มีวงที่เท็นชอบหลายวงเลยนะ  ไม่ได้ไปฟังเพลงนานแล้ว  ไปกัน”

      “อืม....ต้องถามนายน์ก่อน  เสาร์หน้าอยากไปไหนมั้ย”

      นั่นไง!  เขาบอกแล้วว่าเหมือนมีนอุตส่าห์พยายามหนีออกจากบทสนทนาที่มีเขาอยู่  และเท็นก็เป็นคนกระชากกลับเข้ามาทุกครั้ง  และทุกครั้งก็พาลให้เขารู้สึกเกร็งขึ้นมาทุกที  นิสัยสนิทคนยากเป็นทุนเดิมของเขาก็ทำให้การเข้ากับเพื่อนใหม่เป็นปัญหาพอตัวอยู่แล้ว  แล้วดันต้องมารับมือกับคนที่มักจะมีบทสนทนาแปลกๆ กับคนที่เราคุยอยู่ด้วยแบบนี้อีกมันก็ยิ่งอึดอัดไปใหญ่  คนถูกถามและกดดันด้วยการมองมาเป็นระยะทำเอาสมองตื้อไปหมด  สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะส่ายหน้าแทนคำตอบ 

     “งั้นเอาไว้ใกล้ๆ จะบอกอีกทีแล้วกันนะ  ...แล้วทำไมมีนไม่ชวนแฟนไปล่ะ  ไปกับเพื่อนอย่างเราจะสนุกเหรอ”

     “เจตยังไม่ได้บอกอ่ะดิ”

     “หือ?  เรื่องไรเหรอ”

     “เลิกกับแทนได้เดือนนึงแล้ว”

     เหมือนโดนฟ้าฝ่าเข้ากลางกบาลอย่างไรอย่างนั้น  นายน์ไม่รู้ว่ามีนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแบบไหนแต่ที่แน่ๆ มันทำให้ห้องโดยสารเงียบกริบไปชั่วขณะหนึ่ง  และมันก็ทำให้สิ่งที่เขาสงสัยประติดประต่อทีละนิดจนตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่คิดก็คงไม่ห่างไกลจากความจริงสักเท่าไหร่

     แล้วเขาควรต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้!     

หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 03-03-2019 16:30:20
EP17… 




     “นานย์!  ยังไงเนี่ยมึง!”

     “อะไรยังไง?”

     “มึงต้องยังไม่เห็นแน่!  ดูดิ!”

     “แป๊บ”

     “นายน์!”

     เสียงเรียกและแรงสะกิดยิกๆ ที่แขนทำให้เขาต้องยอมละสายตาจากหนังสือการ์ตูนเล่มต่อล่าสุดที่เพิ่งซื้อมาอย่างเซ็งๆ  “อะไรของมึงนักหนาเนี่ย!”

     เจ้าตัวไม่ยอมตอบแต่ยื่นโทรศัพท์มาจ่อติดหน้าผากเขาจนแทบผงะ  ดูมันทำ!  เพื่อนแต่ละคนสติสตังไม่สมประกอบทั้งนั้น  เฮ้อ!  นายน์เอี้ยวตัวหลบก่อนจะฉวยโทรศัพท์มาถือไว้เอง  และต้องจำใจดูตามคำสั่งของยัยเพื่อนตัวดีอย่างเสียไม่ได้  ทว่าทันทีที่เขาก้มลงมองหน้าจอก็ทำเอาตาเล็กๆ ของเขาโตขึ้นมาทันที  ก็ไอ้ที่กำลังโชว์หราอยู่บนหน้าจอนี่สิ  ไม่ใช่อะไรที่ไหนแต่เป็นรูปเขาที่ยืนยิ้มเกร็งๆ อยู่ข้างเพื่อนกล้ามปูนามว่ามาวินของคุณชายเท็นเขานั่นแหละ!  “กูว่าละ!”  สบถพลางหลับตาแน่น  ก็มีแอบคิดไว้อยู่เหมือนกันว่าอาจจะออกมาอิหรอบนี้  แต่ที่คิดไม่ถึงคือสิ่งที่พวกขาจิ้นทั้งหลายพากันโยงบวกมโนไปไกลจนเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ 

     แถมสิ่งที่เพ้อกันไปใหญ่ดันแอบมีเคล้าความจริงจนทำเขาเผลอสะดุ้งไปหลายฮือกอยู่ด้วยเนี่ยสิ! 

     “มาวินนี่เพื่อนเท็นหรอวะ”

     “อืม”

     “หน้าตาดีนะ  แต่หุ่นหมีไปไหน”

     “เออ”

     “แล้วไปไงมาไงไปถ่ายรูปกับเค้าวะ”

     “ก็เค้าขอถ่าย”

     “มึงไปหาเท็นมาหรอถึงได้เจอเพื่อนเท็น  เมื่อไหร่  ยังไง”

     “กูต้องเช็คอินรายงานมึงตลอดเลยมั้ยล่ะ”

     “ได้ก็ดี  เออ!  แล้วมึงเคยเห็นเพจที่เอารูปมาลงปะ  พวกน้องเค้า…น้องป่าววะ  เออนั่นแหละ  พวกเค้าชอบมึงกับเท็นมากนะเว้ย  มีรูปสมัยเรียนม.ต้น-ม.ปลายโคตรเยอะ  มึงตอนม.ต้นโคตรน่ารักอ่ะ  ไม่น่าโตเลย”

     เดี๋ยวนะ!  นี่ชมใช่มั้ย?! 

     ประโยคนั้นกระชากเขาออกจากกองทัพคอมเมนต์ที่กำลังไล่สายตาอ่านอยู่กลับไปยังเพื่อนคนสวยที่นั่งทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอีกครั้ง  “พวกน้องเค้าตามกูมานานกูไม่สงสัยหรอก  แต่มึงเนี่ย  ว่างเนอะ!”

     “ก็มึงไม่ยอมเล่าไงนายน์  ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ  กูอยากรู้ก็ต้องหาเองดิ”

     “หาเก่ง!”

     “แน่นอน!”

     “เออ!  แล้วนี่ทำไมพวกมันยังไม่มากันอีกวะ  อีกสิบนาทีคลาสจะเริ่มแล้วนะ”  ยื่นมือถือคืนเจ้าของไปพลางชวนเปลี่ยนเรื่องเพื่อดึงมิ้นต์ออกจากวังวนเผือก  ใจจริงก็อยากจะอ่านต่ออยู่หรอก(อยากรู้ว่าโดนเม้าว่าไงมั่ง)  แต่จะทำเป็นสนใจต่อหน้าคุณเพื่อนคนสวยมากไม่ได้  เดี๋ยวได้ทีถามเขาไม่หยุดกันพอดี!  ขอติดเรื่องรูปไว้ก่อน  เอาไว้ทบต้นทบดอกไปถามคุณชายอีกทีละกัน! 

     “มันออกไปกินข้าวนอกมอฯไง  บอกแล้วว่ารถติดก็ไม่เชื่อ”

     “งั้นไปรอในห้องเหอะ  ร้อน”

     “ไปดิ”





      หลังจากเลิกคลาสเขาก็มานั่งรอมิ้นต์กับเพื่อนอีกคนไปซีร็อกซ์ชีสเพื่อใช้อ่านสอบของอาทิตย์หน้าอยู่ที่ใต้ดึก  ได้จังหวะทางสะดวกเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปดูเพจที่จำชื่อได้ขึ้นใจ(ทั้งที่ไม่ได้พยายามจะจำเลยสักนิด)  ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
และรูปเจ้าปัญหาก็ยังคงเป็นประเด็นร้อนอยู่บนสุดของไทมไลน์ให้พี่ๆ น้องๆ ในเพจเข้ามาคอมเมนต์ต่อๆ กันไม่หยุดหย่อน  ดูเหมือนว่ายอดเมนต์กับกดไลค์จะเพิ่มขึ้นจากตอนที่มิ้นต์เอาให้เขาดูอีกนะเนี่ย  เฮ้อออ!  โลกโซเชี่ยลนี่ไปไวจนเบรคไม่อยู่จริงๆ นั่นแหละ

     นายน์กดดูที่รูปอีกครั้งเพื่อจดจำชื่อไอจีของคนโพสต์  ‘catainmarwin’  ขออนุญาตหมั่นไส้ชื่อไอจีของวินก่อนเลยละกัน  คนตัวเล็กส่ายหัวอย่างหน่ายๆ นิ้วเรียวก็สลับไปยังแอพต้นทางแล้วเสิร์ตหาชื่อแอคเคาน์  ทันทีที่เขาพิมพ์ตามที่ท่องไว้ไอจีของหนุ่มตี๋กล้ามโตก็เด้งขึ้นมา  พอกดเข้าไปดูเท่านั้นแหละ  เข่าแทบทรุด 

     ยอดฟอลฯสองหมื่นแปด!!!

     ใครที่ไหนบอกว่าคนฟอลไม่เยอะไง  ต่อไปเขาจะไม่เชื่อคำพูดคนแปลกหน้าอีกแล้ว  ให้ตาย!

     พยายามปลงแล้วกดไปยังภาพล่าสุดที่เจ้าตัวโพสต์  พอได้เห็นแคปชั่นใต้ภาพอีกรอบก็อยากจะกรอกตาอีกสักล้านรอบให้หายเซ็ง  ‘ถ่ายกับคนน่ารักให้เด็กมันดู อิอิ’  ไม่บอกก็รู้ว่าแขวะใคร  และยอดกดไลค์ก็ไม่ยอมน้อยหน้ายอดในเพจนั้นเลยจริงๆ  มาเต็มทั้งจำนวนหัวใจและยอดคอมเมนต์เลยทีเดียว  กำลังจะกดเข้าไปส่องต่อว่าชาวไอจีเขาว่ายังไงกันบ้างแต่สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับชื่อแอคเคาน์ของท็อปคอมเม้นต์ที่โชว์หราอยู่เข้าเสียก่อน  เห็นปุ๊บก็จำได้ทันทีว่าเป็นไอจีของใครเพราะเคยเข้าไปส่องดูความเคลื่อนไหวว่าแอบลงอะไรที่เขาไม่โอเคหรือเปล่าอยู่สองสามครั้ง(อันที่จริงก็…มากกว่าสองสามครั้งล่ะนะ)

      thinnakitt_ten : ลบเหอะ  กูไหว้! 

      บอกตามตรงว่านึกสีหน้าเจ้าของคอมเมนต์ออกเลย  แต่คิดว่าคุณกัปตันมาวินคงจะไม่ยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ แน่  ดูจากเวลาที่โพสต์(ซึ่งก็คือเมื่อเช้า)จนป่านนี้ก็ยังคงโชว์หราอยู่แบบนี้  นิ้วเรียวกดเข้าไปดูคอมเมนต์ต่อจากนั้นซึ่งก็มีคนมาตอบอีกยาวเป็นพรวน  เขาไล่อ่านทันทีด้วยความอยากรู้

     dimduriya007 : @thinnakitt_ten แค่ไหว้น่าจะไม่พอว่ะ มึงต้องเลี้ยงเหล้ามันแล้วแหละ

     tobthan_non : @thinnakitt_ten @captainmarwin มึงไปถ่ายตอนไหนวะ ทำไมไม่ชวนกู!

     aj_saharat : @thinnakitt_ten ขนาดนายน์ดูไม่เต็มใจถ่ายยังน่ารักเลยว่ะ

     captainmarwin : @aj_saharat แฟนกูก็ต้องน่ารักดิว่ะเพื่อนเจต  งุ้ยยย  คิดถึงแล้วอ่ะ

     thinnakitt_ten : @aj_saharat @captainmarwin สัด!!

     captainmarwin : @thinnakitt_ten @aj_saharat @dimduriya07 @tobthan_nonth ไม่ต้องชมกันขนาดนั้นก็ได้  อิอิ๊

     thinnakitt_ten : @captainmarwin สัด!!  กูด่ามึงไอ้เหี้ย!

     เท็นก็ยังเป็นเท็นอยู่วันยันค่ำ  ขนาดในโลกโซเชียลยังพูดน้อยต่อยหนัก  แต่เอาจริงๆ เขาก็ทำใจไว้ตั้งแต่วันที่ยอมถ่ายด้วยแล้วแหละ  และในเมื่อเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะลองเปิดใจกับอีกฝ่ายดูก็คงเลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี  อีกอย่างช่วงนี้เขาก็มีเรื่องอื่นให้คิดหนักมากพออยู่แล้ว  เพราะงั้นเรื่องแบบนี้บอกเลยว่าจิ๊บๆ  เฮ้อ!

     “สวัสดี  ไม่เจอกันนานเลยนะ”

     “……….”  เสียงคุ้นหูดึงเขาจากหน้าจอโทรศัพท์  และทันทีที่สบตากับคนที่อยู่ตรงหน้าหัวใจเจ้ากรรมก็พากันร่วงลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

     “…..ขอนั่งด้วยคนได้มั้ย”

     “……….”  การต้องเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้เราต้องเจอกับสถานการณ์แย่ๆ อย่างไม่คาดฝันเล่นงานเขาจนทำได้แค่พยักหน้า  ฝนระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา  เธอดูซูบผอมกว่าตอนที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายอยู่เล็กน้อย  แต่โดยรวมก็ยังดูน่ารักเหมือนเคย  จะต่างออกไปก็คงเป็นบรรยากาศรอบตัวของอีกฝ่ายกระมัง

     “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ  เรียนหนักหรอ”

     “อืม”

     “เรา…ก็เรียนหนักเหมือนกัน  เลยไม่ค่อยได้เข้าชมรม”

     “……….”

     พอไม่มีอีกฝ่ายชวนคุยก็ราวกับว่าบรรยากาศโดยรอบดูชวนอึดอัดขึ้นเป็นเท่าตัว  เขาที่ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรต้องทำสีหน้าอย่างไรก็เลยทำได้แค่เสมองไปทางอื่นบ้าง  ก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายบ้างอยู่อย่างนั้น  เขาไม่ได้โกรธแล้ว  แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าไม่รู้สึกอะไรเลยกับเหตุการณ์นั้น 

     ก็แค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายอีกถ้าเป็นไปได้

     “ขอโทษนะ  เรื่องวันนั้น...”

     “..........”  นายน์เผลอกลั้นลมหายใจทันทีเมื่อในที่สุดก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการพูดจริงๆ กำลังจะเริ่มขึ้น  และมันก็ยังเป็นสิ่งที่เพียงแค่เขาจินตนาการถึงก็ยังอดรู้สึกแย่ไม่ได้ 

     “มาคิดย้อนกลับไป  ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องโกรธมากมายขนาดนั้น  คิดแต่ว่าตัวเองถูกหลอกถูกปั่นหัว  บ้าบอเนอะ”

     “..........”

     “หลังจากวันนั้นเราก็กลัวมาตลอดเลยนะ  กลัวว่านายน์อาจจะไปแจ้งความ  แล้วมันก็อาจจะทำให้เราไม่ได้เรียนที่นี่เลยก็ได้  เพราะถ้าเป็นเรา  เราคงทำแน่”

     “..........”

      “แต่พอเห็นว่าทุกอย่างยังเงียบมานานขนาดนี้  ก็เลยมั่นใจว่านายน์คงไม่เอาเรื่องเราแล้ว”

     “.........”

     “ขอบใจนะ  แล้วก็…ขอโทษจริงๆ  เรามัน...นิสัยไม่ดีเองนั่นแหละ”

     “..........”

     “ที่มาวันนี้ก็เพราะอยากมาขอโทษ  เรารู้สึกติดค้างในใจอยู่ตลอดเลยนะ  นายน์จะไม่ให้อภัยเราก็ได้  เราเข้าใจ”

     ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเขาสัมผัสได้ว่าฝนรู้สึกตามอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงๆ  นายน์ผ่อนลมหายใจและความรู้สึกอึดอัดที่ทนเก็บไว้ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายปรากฏตัวทิ้งไปพลางขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่  “ลืมมันไปเถอะ…..”

     “……….”

     “…..เราก็จะลืมเหมือนกัน”

     “ขอบใจนะ  เรา…เสียใจจริงๆ  ถ้าวันนั้นนายน์เป็นอะไรไป  หรือโดนใครทำร้าย  เราคงเสียใจไปตลอดชีวิตแน่”

      “……….”

     “…..พอลองมาย้อนคิดดีๆ  เท็นไม่เคยสนใจเราเลยด้วยซ้ำ  คนที่เท็นมองเป็นนายน์มาตลอด”

     “……….”

     “เท็นชอบนายน์มากจริงๆ นะ  สายตาเท็นชัดเจนมาก  แต่ตอนนั้นเราดันโง่คิดเข้าข้างตัวเองไปได้ยังไงไม่รู้”

ฝนพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่สีหน้าของเธอดูขื่นขมขัดกับสิ่งที่พยายามแสดงออกโดยสิ้นเชิง  นายน์ก้มหน้ามองฝ่ามือของตัวเองเพื่อหลบสายตาอีกครั้ง  เราทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่  แล้วจู่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาก็ลุกขึ้นยืน  นายน์เงยหน้ามองไปยังสาวสวยตรงหน้า  เขาอยากจะส่งยิ้มให้เธอสักครั้งเพื่อบอกว่าเขาไม่ได้ติดใจอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามอย่างที่พูดออกไปจริงๆ 

     ทว่า!  เอาเข้าจริงมันกลับทำได้ยากกว่าที่คิด

     “ขอบใจมากเลยนะที่ยอมคุยกับฝน”

     “……….”

     “……….”

     “แต่ว่า...เราคงกลับไปเป็นเพื่อนกับฝนไม่ได้แล้วจริงๆ  ขอโทษนะ”  ทันทีที่เขากลั้นใจพูดในสิ่งที่รู้สึกออกไปเพราะไม่อยากให้การบังเอิญเจอกันอีกในอนาคตจะได้ไม่อึดอัดต่อกันแบบนี้อีก  เขาอาจจะยิ้มทักทายอีกฝ่ายได้หากเราต้องเจอกัน  แต่ก็อย่างที่พูดไป  เขาคงกลับไปเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายไม่ได้อีกแล้ว  ฝนพยักหน้ารับพร้อมร้อยยิ้มในตาเศร้าให้เขาอีกครั้ง 
 
     “เราเข้าใจ  …โชคดีนะ”

     “ฝนก็ด้วยนะ”  ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น  ก่อนที่คนตรงหน้าจะเป็นฝ่ายพยักหน้าให้เขาและหมุนตัวจะเดินจากไป  เขามองตามอีกฝ่ายไปจนกระทั่งลับสายตาพลางรู้สึกว่าปมที่เคยมัดแน่นอยู่ในใจมาตลอดถูกตัดให้ขาดออกไปเรื่องหนึ่ง  อย่างน้อยเขาก็โล่งใจกับเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องคอยปวดใจเวลามันเผลอเลยขึ้นมาในห้วงความคิดอีกแล้ว 

      มันก็คงไม่ง่ายสำหรับฝนเหมือนกันที่จะตัดสินใจเดินเข้ามาและพูดกับเขาอย่างเปิดอก  เพราะงั้นเขาก็ควรจะปล่อยให้เรื่องนี้หายไปได้เสียทีเหมือนกัน





     “เจอกันพรุ่งนี้”
     “เจอกัน  อย่าลืมคุกกี้ที่สั่งล่ะ”
     “เออน่า  ขับรถดีดีนะ  บาย”
     “บาย”
     โบกมือลาเพื่อนเรียบร้อยก็เดินแยกกันไปคนละทาง  จุดมุ่งหมายของเขาคือรถสีดำที่จอดติดเครื่องรออยู่แล้ว  ทว่าทันทีที่กำลังจะเปิดประตูรถเสียงที่ดังไล่หลังมาก็ทำเอาสะดุ้ง
     “เท็น!  ฝากส่งไอ้นายน์ให้ถึงบ้านด้วยนะ!”
     พอหันกลับไปมองทางเพื่อนแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว  ขนาดเดินไปถึงรถตัวเองแล้วแท้ๆ แต่ยัยมิ้นต์ตัวดีก็ยังมัวแต่โบกมือไหวๆ แถมยังตะโกนเสียงดังอย่างกับใช้โทรโข่งเสียอีก  แล้วไอ้คนในรถก็ดันบ้าจี้เปิดกระจกฝั่งข้างคนขับโบกมือตอบเพื่อนเขาไปอีก  คนตัวเล็กส่ายหน้าระอาก่อนจะกระชากประตูรถออกแล้วเข้าไปนั่งประจำที่  และหน้าเปื้อนยิ้มละมุนของคุณชายเท็นก็ดูจะดรอปลงทันทีที่เห็นสีหน้าของเขา  นี่เป็นวันแรกที่เราได้เจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์  ซึ่งก็ผ่านมาสี่วันเต็มๆ และก็เป็นสี่วันเต็มๆ ที่เขาเอาแต่คิดไม่ตกเพราะเอาแต่ทะเลาะกับตัวเองในหัวว่าควรจะถามอีกฝ่ายออกไปเลยดีไหมเรื่องของมีน  จะได้เลิกคิดเองเออเองแล้วก็หายคาใจเสียที

     แต่ประเด็ดคือ  จะให้เริ่มถามยังไงให้ดูเป็นเรื่องธรรมชาติและไม่ถูกอีกคนจับผิดไดเนี่ยสิ!   
     “หิวมั้ย”
     ร่างเล็กส่ายหน้าแทนคำตอบ  ไม่รู้ช่วงนี้เขาเป็นบ้าอะไร  ถึงต่อให้อารมณ์ดีมาจากไหนแต่พอเจอหน้าอีกฝ่ายก็พาลเข้าโหมดไม่อยากพูดไปทันที  ไม่ได้อยากทำให้บรรยากาศเสียหรอกนะ  และการเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็ควรเป็นอะไรที่ดีมากกว่าจะมีแต่เรื่องให้ถอนหายใจใส่กัน  เขารู้  แต่มันยังสลัดเรื่องวันนั้นทิ้งไปไม่ได้เสียที!  ทั้งที่ความจริงแล้วเท็นอาจจะไม่ได้ผิดอะไรเลยก็ได้

     “อยากพาไปร้านนึง  ไว้อาทิตย์นี้ไปกันมั้ย”
     “มึงไม่ไปดูคอนเสิร์ตล่ะ”  จู่ๆ ปากก็ไวกว่าความคิดโพล่งออกไปแบบนั้นเสียได้  ถึงจะมารู้สึกตัวเอาตอนนี้ก็เรียกกลับคืนไม่ทันแล้ว  นายน์รีบหลบสายตาหันหน้าหนีไปมองทางอื่นทันที 
     และมันก็ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะมีผลกับอีกคนจริงๆ ถึงได้เงียบไปพักใหญ่  จนเขาเองต้องเป็นฝ่ายหันกลับไปสำรงจคนที่นั่งข้างกัน  เท็นกำลังมองไปยังทางข้างหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนอย่างที่เจ้าตัวมักจะเป็นก่อนจะหันมาหากันอีกครั้ง 
      “มึงอยากดูเหรอ”
      นายน์หันขวับมองออกไปนอกหน้าต่างพัลวัลก่อนเอ่ย  “เปล่า”
      “กูก็ไม่อยากดู  ช่วงนี้ขี้เกียจไปที่คนเยอะๆ”
      “……….”
     “งั้นไปดูหนังกันมั้ย  อาทิตย์นี้มีหนังของผู้กำกับที่มึงชอบเข้าด้วยนะ  น่าจะสนุก”
      ไหนว่าไม่อยากไปที่ที่มีคนเยอะๆ ไง!  “.....ไว้ก่อน  มีสอบ” 
      “………”
     รถทั้งคันกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง  เงียบแบบที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง  แล้วจู่ๆ บางอย่างก็ลอยเข้าปะทะโสตประสาทให้ต้องขมวดคิ้วมุ่นเพราะเสียงนั้นมันคล้ายๆ ว่าจะเป็นเสียงคนกำลังหัวเราะในลำคอ  นายน์มองไปยังคนขับทันทีและก็ได้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่จริงเป็นอันหมดข้อสงสัยว่าเมื่อครู่เขาหูฝาดไปเองหรือเปล่า  “ยิ้มอะไร”
     “กูยิ้มหรอ”
หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 03-03-2019 16:41:20
     



     “อืม!”

     “สงสัยกูคงประสาทขึ้นเรื่อยๆ แล้วมั้ง”

     “……….”  ได้ยินคำตอบแบบนั้นแล้วก็พาลให้ต้องขมวดคิ้วหนักยิ่งกว่าเก่า  ดวงตาคู่สวยตวัดมองใบหน้าด้านข้างของอีกคนที่ก็ยังคงยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างกับมีความสุขเสียมากมายอย่างเคืองๆ  ภาพตรงหน้ายิ่งเหมือนเชื่อเพลิงที่เติมลงบนกองเพลิงความหงุดหงิดของเขาให้ยิ่งโหมหนักขึ้นกว่าเก่า  ขณะที่เขากำลังหงุดหงิดตัวเองทุกทีที่ต้องอยู่ด้วยกันแต่อีกคนกลับเอาแต่ยิ้มกริ่มอยู่แบบนี้ 

      ไม่ใช่ประสาทอะไรหรอก  แต่ว่ากวนประสาทต่างหาก!

      “งั้นอาทิตย์นี้จะอ่านหนังสือหรอ”

      “อืม” 

      “ขอไปนั่งอ่านหนังสือด้วยได้มั้ย”

      “มีคนอื่นอยู่กูไม่มีสมาธิ”

      “แต่กูไม่ใช่คนอื่นอะดิ”

      “ขำตาย”

      “สัญญาว่าจะไม่พูดซักคำจนกว่ามึงจะอนุญาต”

      “แล้วจะมาทรมานตัวเองเพื่อ?”

      “ก็อยากอยู่ด้วย…ไม่ได้เหรอ”

      “……….”  ใครมีรางวัลหยอดเก่งแห่งปีวานมอบให้มันที!

      “เผื่อมึงไม่เข้าใจกูจะได้ติวให้ด้วยไง”

      นี่อาจจะถือเป็นข้อดีในข้อเสียข้อหนึ่งของเท็นเลยก็ว่าได้  เพราะความเปลี่ยนเรื่องและตีมึนเก่งของอีกฝ่ายบางครั้งเหมือนจะช่วยเตะโด่งอารมณ์บูดๆ ของเขาให้กระเด็นออกไปได้อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน(แม้ว่าบางครั้งมันจะยิ่งทำให้เราหงุดหงิดหนักยิ่งกว่าเดิมก็เถอะ)  นายน์ส่ายหัวใส่คนที่เพิ่งยักคิ้วให้ก่อนจะแกล้งหัวเราะแบบไร้อารมณ์  “ฮ่าๆๆ  ตลกมากมั้ง” 

      “ตลกแล้วตกลงด้วยปะ”

       “..........”

       “แป้กว่ะ”

       “..........”

       “โทษที  กูเล่นเป็นแต่มุกฝืดๆ”

       “..........”

       “แต่ก็ยังอยากให้ตกลงนะ  อังคารกูก็สอบเหมือนกัน  มีเพื่อนอ่านหนังสือก็คงจะดี”

       “..........”

      “ที่แน่ๆ คือ...ดีกับใจ”

       โอเค!  ถ้าที่ผ่านมาคือการพยายามทำให้เขายิ้มก็ถือว่าครั้งนี้ทำสำเร็จ  และก็ทำให้เขาได้รู้อีกอย่างว่าเท็นเป็นคนตลกในความไม่ตลก(เอาซะเลย)แต่ก็ยังจะดันทุรังเล่นอยู่ได้!  นายน์หันออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งพลางพยายามเม้มริมฝีปากเอาไว้เพื่อไม่ให้เผลอหลุดยิ้มออกไป  “ตามใจละกัน”





      ก๊อก! ก๊อก!
     “เข้ามาได้เลยแม่  นายน์ไม่ได้ล็อค”  ตะโกนบอกพลางนั่งแหมะอยู่บนพื้นก้มๆ เงยๆ อยู่ที่หน้าชั้นหนังสือ  เขาหาหนังสือเล่มที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวันจันทร์อยู่ร่วมชั่วโมงจนแทบจะรื้อผนังห้องอยู่แล้ว  แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเสียที  ต้องใช้อ่านประกอบที่ต้องสอบอังคารนี้ด้วยสิ! 

     “แม่!  มีอะไรป่าว”  ได้ยินเสียงบานประตูถูกเปิดและฝีเท้าที่เดินเข้ามาภายในห้องแล้ว  แต่ประหลาดใจที่แม่ของเขายังเอาแต่เงียบจนต้องเรียกหาอีกรอบ

      “……….”

      “แม่!”

     “คือ....”

      เพียงคำเดียวสั้นๆ แต่ทำเอาคนที่ง่วนอยู่กับการหาหนังสือถึงกับตาโตเป็นไข่ห่านก่อนจะหันไปทางต้นเสียง  “เท็น!” 

      ร่างสูงมองคนตัวเล็กในชุดนอนสีฟ้าอ่อนแถมผมยังยุ่งเหยิงราวกับคนเพิ่งลุกจากเตียงตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา  ก่อนจะพยายามห้ามตัวเองไม่ให้แสดงออกมากไปเพราะเดี๋ยวจะโดนงอนเข้าให้เลยชี้กลับไปทางประตูก่อนเอ่ย  “คือแม่ให้มาตาม  เห็นบอกว่าจะลงไปตั้งนานแล้วแต่ก็ยังเงียบอยู่  ก็เลย...”

      “เอ่อ  กู...หาของอยู่”

       “โอเค  งั้นเดี๋ยว…”

      “มึงมาได้ไง!”  เขามองคนตัวสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แสนธรรมดาแต่เพราะว่าคนมันเกิดมาดูดีเลยดันหล่อชิบหายอย่างกะคนจะไปห้างฯที่กำลังยืนอยู่กลางห้องเล็กๆ เท่ารังหนูของเขาแล้วพาลให้รู้สึกว่ามันผิดที่ผิดทางอย่างไรชอบกล  ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายบุกเข้ามาในห้องของเขาก็เหอะ  แต่การที่อีกฝ่ายต้องมาเห็นเขาอยู่ในสภาพชุดนอนแถมหัวฟูอย่างกับรังนกซ้ำสองแบบนี้ก็อดรู้สึกอายขึ้นมานิดๆ ไม่ได้เหมือนกัน

     “มาอ่านหนังสือไง”

     เออใช่!  เมื่อคืนยังคุยกันอยู่เลยนี่หว่า  “ตั้งแต่เช้าเนี่ยนะ”

     คนถูกถามด้วยหน้าตื่นๆ หัวเราะหึในทีก่อนจะชี้ไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนัง  มันกำลังชี้บอกเวลาจวนเจียนจะบ่ายโมงในอีกสามสิบนาทีข้างหน้า  และสีหน้าของคนที่เห็นมันก็เปลี่ยนไปทันตา  เท็นหัวเราะให้กับใบหน้าเหยเกที่บอกไม่ถูกว่าเจ้าตัวตกใจหรือกำลังอายจนทำตัวไม่ถูกกันแน่  “งั้นกูลงไปรอข้างล่างนะ”

     “.....ฝากบอกแม่ด้วยแล้วกันว่าขออีก 10 นาที”

      “ได้  เดี๋ยวโทรไปบอกให้”

      นายน์มองคนพูดด้วยใบหน้าคิ้วผูกโบว์  ไม่เข้าใจว่าจะโทรทำไมหรือแค่พูดเพื่อจะกวนประสาทกัน  คนตัวสูงตรงหน้าเลิกคิ้วเหมือนจะถามกลับเขากลายๆ  แต่คนที่ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรอย่างเขาทำได้แค่ยืนเงียบจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น  กระทั้งเจ้าตัวระบายยิ้มออกมาในที่สุด

      “แม่ออกไปทำงานแล้ว”

     “เออว่ะ!”  วันเสาร์แม่เขามีสอนช่วงบ่ายนี่หว่า!  คนตื่นสายแถมยังปล่อยไก่ตัวเบ้อเร้อรู้สึกทำหน้าไม่ถูกเลยได้แต่เกาหัวแกรกๆ  “งั้น...เดี๋ยวกูลงไป”

      “ไม่ต้องรีบ  เดี๋ยวอ่านหนังสือรอ”

     “เค”  ยืนมองกระทั่งผู้มาเยือนลับออกไปจากห้องแล้วก็หลับตาแน่นเพื่อข่มความอาย  ก็คือว่าเขาเพิ่งโชว์สภาพกระเซอะกระเซิงขั้นสุดให้คนที่มีผลต่อความรู้สึกดูแบบเต็มสองตามาหมาดๆ  แถมไม่ได้ตั้งหลักอีกต่างหาก  ลองก้มลงส่องสภาพตัวเองผ่านกระจกที่อยู่อีกฟากนึงของห้องแล้วก็ได้แต่กรีดร้องให้ใจ  หัวก็ฟูหน้าก็มัน  แถมชุดนอนที่ใส่วันนี้ยังเป็นตัวที่โคตรจะเก่า(แต่รักสุดๆ)ไปอีก  หมดกัน!





     อาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว(จากปกติที่เร็วปานวอกอยู่แล้ว)  และไม่ลืมเอาน้ำลูบผมชี้โด่งชี้เด่ให้กลับเข้าที่ก่อนจะวิ่งไปหอบกองหนังสือและถุงเครื่องเขียนลงไปยังชั้นล่าง  เขาเดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่นทันทีทั้งที่ความเป็นจริงแล้วถ้าอยู่คนเดียวเขาจะวิ่งแจ้นเข้าห้องครัวก่อนเป็นอย่างแรก  แล้วก็ได้เห็นว่าไอ้คนที่บอกจะอ่านหนังสือรอแต่ตอนนี้กำลังหนีบโทรศัพท์แนบหูคุยอยู่กับใครบางคนอยู่เสียอย่างนั้น  พอเดินเข้าไปใกล้ด้วยระดับฝีเท้าแบบปกติที่สุดแต่ดูว่าอีกคนกลับไม่ทันได้รู้สึกถึงการมาของเขาแม้แต่น้อย 

     “ขอโทษจริงๆ มีน  มีนเอาให้เจ้าหนึ่งชิมแทนก็ได้นะ  วันนี้หนึ่งอยู่บ้านทั้งวัน”

     ชื่อนี้อีกแล้ว! 

     จากอารมณ์รื่นเริงปนตื่นเต้นเล็กๆ เมื่อครู่กลับกลายเป็นดิ่งลงเหวเพียงเสี้ยวนาที  แบบนี้ก็หมายความว่าถ้าเท็นไม่ได้มาบ้านเขาก็คงจะได้เจอกับอีกฝ่ายไปแล้วสินะ  งั้นแปลว่าอาทิตย์ไหนหรือช่วงเวลาไหนที่ไม่ได้เจอเขาอีกฝ่ายก็อาจจะอยู่ด้วยกันก็ได้งั้นสิ! 

     “ใช่  วันนี้เราคงอยู่บ้านนายน์ทั้งวัน  อืม  ไว้วันหลังนะ  เค”

      เขาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายวางสายไป  ก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาแล้วเดินตรงเข้าไปนั่งลงยังโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกคนอย่างพยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุด  นายน์วางหนังสือทิ้งไว้บนโต๊ะ  แล้วเลือกหยิบซีทที่ซีร็อกซ์จากเพื่อนขึ้นมาถือไว้แต่ในหัวกลับมีแต่เรื่องอื่นจนไม่มีสมาธิแม้แต่จะมองตัวหนังสือสักตัวตรงหน้าด้วยซ้ำ

     “ไม่กินอะไรก่อนเหรอ  แม่ฝากบอกว่าวันนี้มีไก่ผัดขิง  แกงจืดเต้าหู้หมูสับ  แล้วก็…หมูกระเทียมนะ”

     “ไม่หิว”  ความจริงคือก่อนหน้านี้เขาหิวจนท้องร้อง  แต่จะให้กินตอนนี้คงกลืนไม่ลง

     ใบหน้าน่ารักที่เคยดูสดใสแต่ตอนนี้กลับหม่นลงเหมือนคนกำลังคิดมากทำเอาเขาตามไม่ทัน  พักนี้นายน์มักจะมีอาการแบบนี้บ่อยๆ  จู่ๆ ก็พูดน้อยแถมยังหน้าบึ้งใส่กันดื้อๆ  เขาต้องเป็นฝ่ายชวนคุยแกล้งป่วนอยู่นานกว่าจะยอมยิ้มให้กันสักที  เท็นพยายามคิดว่าเขาเผลอไปทำอะไรพลาดตรงไหนหรือเปล่า  แล้วก็ต้องร้องอ๋อในใจเมื่อเจอตอเข้าให้  ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะหยิบสัมภาระของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินอ้อมไปนั่งลงข้างกันกับเจ้าของบ้าน  นายน์ก็เงยหน้ามองมาที่เขาอย่างงุนงงปนหงุดหงิดทันที  และเขาก็เลือกที่จะส่งยิ้มกลับไปให้อีกฝ่ายก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาทำท่าเตรียมพร้อมจะอ่าน 

      “กลับไปนั่งที่เดิม!”

      “อยากนั่งตรงนี้”

      “จะไปไม่ไป”

      “ไม่ไป”

      “ไหนมึงบอกว่าจะไม่พูดจนกว่ากูจะอนุญาตไง”

      “ก็มึงยังไม่เริ่มอ่าน”

      “กูอ่านอยู่”

      “ไม่  มึงเหม่อ”  ว่าพลางเอนหลังลงกับโซฟาแล้วยกหนังสือขึ้นมาบดบังใบหน้าตัวเองจากสายตาที่เหมือนกำลังก่นด่ากันอยู่ของอีกฝ่ายเสียดื้อๆ  ให้เดานะ  เขาคิดว่านายน์น่าจะได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับมีน  พูดถึงเรื่องนี้แล้วใจจริงก็อยากเปิดประเด็นคุยกับอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน  เพราะเห็นท่าทีของเจ้าตัวตั้งแต่วันนั้นก็พอจะเดาออก  แต่พอดีว่าอยากให้บางคนยอมรับให้ได้ก่อนว่าหึง  เลยขอดูปฏิกิริยาต่ออีกหน่อย 

      จะเล่นกับคนฟอร์มจัดบางครั้งก็ต้องทำใจแข็ง(และก็ต้องใจร้ายบ้างในบางที)กันหน่อย 

      เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบจงใจให้ได้ยินดังขึ้น  ก่อนจะตามมาด้วยน้ำหนักที่ทิ้งลงบนโซฟาไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขา  ทำให้ร่างสูงลตาคมมองผ่านหนังสือลงเพื่อสำรวจอีกคน  นายน์กำลังเอนหลังอยู่ในตำแหน่งเดิม  เป็นสัญญาบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเข้าใจดีว่าถึงต่อให้หนี  เขาก็จะตามไปแน่ๆ เลยจำใจนั่งอยู่แบบนี้  จ้องอยู่ได้สักพักอีกฝ่ายก็ทำท่าจะหันมาเขาเลยรีบยกหนังสือขึ้นทำทีเป็นอ่านเหมือนเดิม

     “นี่อะไร”

      เสียงขุ่นๆ นั้นดังขึ้นและทันทีที่เขาลดระดับหนังสือลงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็จ่ออยู่ตรงหน้ากันแล้ว  ตาคมเหลือบมองชั่วครู่  เขาเห็นแล้วว่ามันคือรูปที่ไอ้วินโพสต์ลงไอจีเมื่อหลายวันก่อนแต่แกล้งทำเป็นมองไม่ถนัดแล้วคว้าหมับเข้าที่มือเล็กๆ ของอีกฝ่ายพลางเคลื่อนหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ

     “เห้ย!  อะไรของมึงเนี่ย”

     “อย่าดิ้นดิ  มองไม่ชัด”  นายน์ดูไม่เต็มใจแต่ก็ยอมหยุดและปล่อยโทรศัพท์ให้เขาเป็นฝ่ายถือไว้เองแล้วรีบหันไปมองทางอื่น  แต่ดูเหมือนว่าจะช้าไปนิด  เพราะเขาเห็นเรียบร้อยแล้วว่าอีกฝ่ายหน้าแดงแจ๋จนรามไปถึงหู  เท็นพยายามกลั่นรอยยิ้มเอาไว้ตีเนียนทำเป็นมองภาพในโทรศัพท์ก่อนจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับไม่พอใจเสียมากมาย  “มันยังไม่ลบอีกเหรอ!  ไอ้นี่แม่งกวนประสาท!”

      “..........”

     “ถ้ามึงไม่โอเค  เดี๋ยวกูไปจัดการมันให้เอง”

     “จริงๆ ก็...ช่างเหอะ!” 

     เจ้าตัวเอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วก็กลับไปหยิบชีทขึ้นมาอ่านหน้าตาเฉย  เหมือนใจจริงไม่ได้อยากจะเม้งเขาเรื่องนี้แต่อยากเม้งเรื่องอื่นมากกว่า  “งั้น...ถ้ากูลงบ้าง  ได้ปะ”

     “ไม่”

      “ทำไมอ่ะ”

      “ก็ไม่ทำไม”

      “มันต้องมีเหตุผลบ้างดิ”

      “ไม่ใช่พวกขี้อวด  โอเคปะ?”

      “มึงก็ไม่ต้องอวดไง  เดี๋ยวกูอวดเอง”

      ได้ยินเสียงถอนหายใจลอยมาอีกครั้ง  และก็เป็นอีกครั้งที่นายน์กรอกตาแล้วทำหน้าซังกะตายใส่เขา 

      “แล้วจะอวดในฐานะอะไรไม่ทราบ”

      “นั่นดิ  ในฐานะอะไร  มึงบอกกูดิ” 

      “………..”

       ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกมา  พอเจอเขาย้อนถามเลยได้แต่อ้าปากเหมือนจะเถียงกลับแต่นึกคำพูดไม่ออกเลยได้แต่เงียบอยู่แบบนั้น  เท็นยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอื้อมมือไปวางลงบนศีรษะเล็กๆ นั่นพลางขยี้เบาๆ ด้วยความเอ็นดู  เถียงคำต่อคำแบบนี้แต่นายน์คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำหน้าอึดอัดจนเหมือนคนอยากจะร้องไห้อยู่ตลอด  ชอบเขามากขนาดนั้นเลย?  คำถามที่ลอยเข้ามาในหัวตลอดแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกไป  ไม่ได้กลัวโดนงอนหรอกนะ(เพราะโดนแทบจะตลอดอยู่แล้ว)  แต่กลัวโดนแมวข่วนมากกว่า  เท็นมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ยังเจือแววหม่นหมองอยู่ในทีพลางว่า  “คิดออกแล้วบอกกูด้วยนะ  รูปมึงอ่ะกูมีให้อวดได้เป็นปีก็ไม่หมด”  ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะยักคิ้วส่งไปให้เป็นการปิดท้าย 

       จากที่ทำหน้างงๆ และอ้าปากเตรียมจะด่าที่เขาถือวิสาสะขยี้หัวอีกฝ่ายกลายเป็นว่าเจ้าตัวอึ้งจนพูดไม่ออกไปอีกรอบ  ได้ทีเขาเลยยกโทรศัพท์ของนายน์ขึ้นมาแล้วรัวถ่ายหน้าเอ๋อๆ แต่น่ารักสุดๆ เอาไว้ไปหลายช็อต 

       “เล่นหี้ยไรเนี่ย!  เอามา!”

      “แป๊บดิ  กำลังโหดได้ที่เลย  ฮ่าๆ”

      “ไอ้เหี้ยเท็น!  เอามา!”

      “โหหขึ้นเหี้ยเลยเหรอ”

      “ไม่เล่น!”

       “อะๆ  คืนก็ได้”  พูดไปอย่างนั้นเพราะมือเขาที่ทำท่าจะส่งให้แต่เปลี่ยนใจดึงกลับแทน  เรียกเสียงจิ๊อย่างขัดใจจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

       “แล้วที่มึงพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง!  ไปเอารูปกูมาจากไหน!”

       “ถ่ายเองสิครับ”

       “ตอนไหน!”

       “ตอนที่มึงไม่รู้ตัว”

        “ไอ้!.....  เอามาลบให้หมดเลยนะ”

       “ไม่ได้  สมบัติล้ำค่า”

       “ไอ้!.....”

       “อ่านหนังสือมั้ย  นี่บ่ายกว่าแล้วนะ  สอบตกขึ้นมาเดี๋ยวกูซวยอีก”  แกล้งเปลี่ยนเรื่องพลางยกหนังสือขึ้นมาทำราวกับตั้งใจอ่าน  ได้ยินเสียงอีกคนลุกจากโซฟาและฝีเท่าที่ห่างออกไปเลยลดหนังสือลงอีกครั้ง  ทันได้เห็นหลังไวๆ ของคนตัวเล็กที่หายไปทางห้องครัว 

      จากประสอบการณ์บอกได้เลยว่าโดนโกรธร้อยเปอร์เซ็น!

       แต่นายน์เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว  พอโดนเขาตื้อชวนคุยหนักๆ เข้าหน่อยก็ยอมคุยกับเขาอยู่ดีนั่นแหละ  ร่างสูงชะเง้อมองอีกคนผ่านโต๊ะกินข้าวไป  เห็นเจ้าตัวกำลังเปิดตู้เย็นก้มๆ เงยๆ อยู่  คาดว่าคงกำลังหาอะไรกินเพื่อดับอารมณ์  ดีเหมือนกัน!  ถือว่าเป็นการบีบบังคับทางอ้อมให้ไปกินข้าวได้สำเร็จ  เขาก้มมองโทรศัพท์ที่คอยกดเอาไว้เพื่อให้เครื่องยังทำงานอยู่และสายตาคมก็คอยมองไปยังอีกคนที่ตอนนี้เปลี่ยนตำแหน่งจากตู้เย็นเป็นไมโครเวฟแล้ว  นิ้วเรียวกดส่งรูปที่เพิ่งถ่ายเมื่อครู่หาตัวเอง  จัดการเซฟ  และลบข้อความที่กดส่งทั้งหมดทิ้งก่อนจะวางโทรศัพท์คู่ใจของอีกฝ่ายไว้บนโซฟาตรงตำแหน่งที่เจ้าตัวเคยนั่งอย่างเนียนๆ

หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]
เริ่มหัวข้อโดย: half_moon ที่ 03-03-2019 16:53:49





       นายน์กลับมาจากห้องครัวแล้ว  แต่เจ้าตัวเดินหน้าตึงเข้ามาหอบกองหนังสือแล้ววกกลับไปทิ้งตัวนั่งลงยังโซฟาอีกด้านโดยไม่เหลือบมองมาที่เขาเลยแม้แต่นิด  ตาคมจ้องอีกฝ่ายที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่างในกองเครื่องเขียนแล้วก็หยิบปากกาไฮไลท์มาถือเอาไว้ในมือ  จากนั้นก็เหมือนว่าเจ้าตัวจะเข้าโหมดตั้งใจจนจมหายเข้าไปในชีทตรงหน้า  หรือจริงๆ แล้วแค่แกล้งทำเพื่อตัดโอกาสให้เขาได้ป่วนก็ไม่รู้  เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ปล่อยอีกฝ่ายไปเพราะรู้ว่าถ้าเล่นเกินลิมิตมีหวังได้เจอของจริงแน่!  สุดท้ายเขาก็ต้องก้มหน้าอ่านในส่วนของตัวเองไปอย่างเสียไม่ได้

     ป้องกันการโดนกล่าวหาว่าใช้เรื่องอ่านหนังสือมาเป็นข้ออ้าง(อีกถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ!)

     ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่ในโลกของตัวเองอยู่นานเป็นชั่วโมง  รู้สึกเมื่อยขบจนต้องบิดตัวอยู่หลายครั้งและในที่สุดเขาก็อ่านทำความเข้าใจแบบยังไม่ได้ช็อตโน็ตจบไปหนึ่งรอบถ้วน  พอลองเงยหน้าขึ้นมองคนอีกฟากก็เห็นว่าเจ้าตัวยังคงก้มงุดอยู่กับชีทกองเดิมไม่เปลี่ยน  มือเรียวพับหนังสือฉับแล้ววางกลับไปยังโต๊ะ

     เขาเป็นพวกไม่ชอบกดดันตัวเองอะไรมากมาย  เพราะงั้นอ่านแค่รอบเดียวก็ถือว่าเกินพอ 

     ร่างสูงลุกขึ้นยืน  สายตาจับจ้องอยู่ที่คนตัวเล็กพลางเดินเข้าไปใกล้อย่างพยายามเงียบเชียบที่สุด  เพิ่งรู้ว่านายน์เป็นคนตั้งใจอ่านหนังสือขนาดนี้  จากการลอบมองอยู่เป็นระยะ  อีกฝ่ายสามารถอยู่ในอิริยาบถเดิมๆ ได้เป็นเวลานาน  เห็นแล้วอดเมื่อยแทนไม่ได้  ก็เลยตั้งใจว่าจะช่วยหาวิธีทำให้คนตัวเล็กของเขาผ่อนคลายเสียหน่อย

     ตุ๊บ!

      “เห้ย!  เหี้ยไรเนี่ย!”

      เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด  ทันทีที่ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนใช้ตักบางคนหนุนต่างหมอนเจ้าตัวก็สะดุ้งโหยงแล้วโวยวายใส่กันทันที  เท็นยกยิ้มมุมปากยกแขนขึ้นกอดอก  สองขาไขว้กันอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางแสนสบายพลางว่า  “เมื่อยอ่ะ  ขอสิบนาทีนะ” 

      เจอประโยคเมือครู่เข้าไปพาลให้หมดคำจะพูด  นายน์มองคนตัวโตที่กำลังนอนยาวเหยียดจนเท้าเลยโซฟาอีกด้านแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง  พอตั้งสติได้มือเล็กที่ยังคงถือชีทกับปากกาค้างอยู่เลยระดมออกแรงทั้งผลักทั้งดันคนที่ถือวิสาสะมานอนหนุนตักกันอย่างสุดแรงเกิด  แต่ยิ่งพยายามไล่เท่าไหร่กลับดูเหมือนว่าตัวเขายิ่งถูกพันธนาการแน่นขึ้นไปอีก  เพราะตอนนี้ไม่เพียงแค่ตักที่โดนยึดแต่มือข้างหนึ่งของเขากำลังถูกอีกฝ่ายฉวยไปกุมไว้หน้าตาเฉยเช่นกัน  “ปล่อย!”

      “..........”

      “มึงก็ไปนอนตรงโน้นดิ  หมอนก็มี!”

      “อยากหนุนใบนี้”

       “กูไม่ใช่หมอน!”

       “ถือว่ากูช่วยนวดขาให้ไง”

       “เท็น!”  มีแต่จะยิ่งเมื่อยหนักกว่าเดิมล่ะไม่ว่า  มือเล็กยังคงไม่ลดละความพยายาม  ออกแรงดันสุดชีวิตทว่าคนตัวโตก็เอาแต่ขืนแรงไว้เล่นเอาหอบฮัก  ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าที่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหวเพราะขนาดตัวที่ต่างกันหรือเป็นเพราะหัวใจเจ้ากรรมของเขาเอาแต่เต้นรัวจนมือไม้อ่อนไปหมดกันแน่  นายน์หยุดดิ้นรนในที่สุด  จ้องอีกฝ่ายอย่างพยายามไม่หลุดอาการใดๆ ออกไป  และสายตาอีกคู่ที่มองตอบมาก็บอกชัดเจนว่าไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระง่ายๆ แน่  เฮ้ออออ! 

       “เหนื่อยป่าว  เชื่อกู”

      “มึงนี่ชักจะเอาใหญ่ละนะ!”

      “กูทำอะไรหรอ”

      “ไม่ต้องมาเนียนทำเป็นไม่รู้เรื่อง!”

      “ก็ไม่รู้จริงๆ” 

      “……….”

     “แต่ตักมึงนอนสบายดีนะ  อยากยืมไปนอนต่อที่บ้านเลย”

      “.........”

      โดนคนตัวเล็กจ้องเขม็งราวกับจะขย้ำคอกันให้ขาดเป็นรอบที่ล้าน  บอกเลยว่าถ้าเป็นเขาเมื่อก่อนคงใจล่วงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มนานแล้ว  แต่พอดีว่าตอนนี้เขารู้จักอีกฝ่ายดีพอแถมยังผ่านการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาอย่างช่ำชองเพราะงั้นก็เลยจ้องตอบตาคู่สวยไปแบบชิลๆ  “อ่านไปดิ  กูไม่กวน”  ว่าพลางขยับตัวนอนตะแคงแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ  นานๆ ทีจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนี้เสียที  เรื่องอะไรจะยอมปล่อยให้เปล่าประโยชน์!

       ไม่แน่ใจว่าคนน่ารักของเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนแต่ที่แน่ๆ เสียงถอนหายใจดังเอาการ  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสบถที่ราวกับเจ้าตัวกำลังบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า

      “กวนตีนนักนะมึง!”

       ถึงจะด่ากันออกมาแบบนั้นแต่แมวพยศของเขาก็เลิกดิ้นเสียที  และเหมือนว่านายน์จะกลับไปอ่านหนังสืออีกรอบ  เพราะเห็นจากหางตาว่าเจ้าตัวยกชีทอันเก่ามันขึ้นมาอยู่เหนือศีรษะเขา  หรือจริงๆ อาจจะแค่ไม่อยากมองหน้าเขาก็ไม่รู้  แต่ที่แน่ๆ มันทำให้อดแอบมองเจ้าตัวไปโดยปริยาย 

      แต่เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้หลับฝันดีไปอีกหลายคืนแล้ว…   

      นอนหนุนตักคนน่ารักสบายจนเกือบจะเผลอหลับอยู่รอมล่อ  จู่ๆ เสียงจากคนที่เงียบไปพักใหญ่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
   
      “มึง”

      “หืม?”

      “..........”

       แถมยังเป็นการเรียกกันแล้วก็เงียบไปเสียดื้อๆ อีกต่างหาก  เท็นขยับกลับมานอนหงายก่อนจะฉวยชีทที่ปิดกั้นระหว่างกันมาถือไว้เสียเอง  นายน์ไม่ได้กำลังก้มมองมาที่เขาอย่างคนที่กำลังจะคุยกันควรทำ  ทั้งดวงตาและใบหน้านั้นเหม่อลอยราวกับคนที่ตกอยู่ในวังวนความคิด  ทำเอาคนที่เมื่อครู่ยังยิ้มกริ่มมีความสุขเพราะได้แต๊ะอั๋งและกวนประสาทอีกฝ่ายต้องสลดลงอย่างเสียไม่ได้  “มีอะไรรึเปล่า” 

      เจ้าตัวไม่ตอบในทันที  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเอาแต่มองเหม่อไปยังเบื้องหน้า  ดูก็รู้ว่ากำลังพยายามเลี่ยงที่จะไม่สบสายตากับเขา  เท็นปล่อยให้เจ้าตัวได้ใช้เวลาตัดสินใจโดยไม่เร่งเร้าอะไร  เขายังคงเงียบและเฝ้ารออีกฝ่ายอย่างใจเย็น  ถ้านี่เป็นโอกาสที่ทำให้ได้พูดในสิ่งที่ค้างคาเขาก็จะฉวยมันไว้ไม่ยอมให้เสียเวลาอีกแล้วแน่นอน

       “ถ้ากูถามอะไร  มึงช่วยตอบแบบจริงจังได้มั้ย”

       “ได้สิ”  พยักหน้าสำทับแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้หันมามองก็ตาม  หลายวันที่ผ่านมาที่เขาทำเป็นมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนคนกำลังครุ่นคิด  แถมยังหน้าตึงใส่กันแทบจะตลอดก็เพื่อรอให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเองนี่แหละ

       “กูหมายถึงจริงจัง...จริงๆ น่ะ  มึงเข้าใจที่กูพูดรึเปล่า”

      “เข้าใจ”

      “..........”   

       เขาตอบกลับไปนานแล้ว  แต่เจ้าตัวยังเอาแต่นิ่งและปล่อยให้คนรอนอนมองเสี้ยวหน้าอยู่อย่างนี้  เวลาเลื่อนผ่านไปนานหลายนาทีจนในที่สุดนายน์ก็ยอมก้มลงมามองสบสายตากับเขาเป็นครั้งแรก  ดวงตาที่เคยสดใสอยู่เสมอคู่นั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

       “มึง...ชอบกูจริงๆ หรอวะ”

       “หา?!”  คำถามนั้นอยู่เหนือความคาดหมายไปไกลโข  เขาคาดหวังว่าจะได้ยินอย่างอื่น  เลยตกใจจนเผลอสบถออกไป

      “ช่างมันเถอะ!”

       “เห้ยเดี๋ยวก่อน!  ไม่ใช่แบบนั้น  กูแค่…คิดว่ามึงจะถามเรื่องอื่น”  รีบรั้งข้อมืออีกฝ่ายไว้เพราะเจ้าตัวทำท่าจะลุกหนี  ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง  ไม่ลืมที่จะรวบมือเล็กมากุมไว้เพราะกลัวว่าเกิดเขาเผลอพูดอะไรให้เข้าใจผิดเดี๋ยวจะหนีกันไปอีก  ยังดีที่นายน์ไม่ได้พยายามจะรั้งมือกลับแต่ก็ยังไม่ยอมสบตาเขาตรงๆ อยู่ดี  เท็นถอนหายใจอย่างแผ่วเบาพลางเรียบเรียงสิ่งที่จะพูดอยู่ครู่ใหญ่

        “ตอบมาก่อนว่าทำไมมึงถามกูแบบนั้น”

       “..........”

      นายน์ไม่ยอมตอบ  และเขาคิดว่าถึงอย่างไรนายน์ก็คงจะไม่ยอมตอบ  เลยได้แต่ถอนหายใจอีกระลอกก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา  “กูรักมึงเลยด้วยซ้ำ” 

       ถ้าอีกฝ่ายยอมเงยหน้ามามองกันสักนิดก็คงจะได้เห็นว่าเขาเอ่ยมันออกมาด้วยสีหน้าแบบไหน  ความรู้สึกทั้งหมดที่ให้ไป  ถ้าครั้งนี้นายน์ยังไม่ยอมรับมันไว้ก็คงจะกลายเป็นคนเสียหลักหมดแรงยิ่งกว่าเท็นในอดีตเป็นร้อยเท่าพันเท่า 

      แค่คิดว่าสุดท้ายถ้าต้องเจอชะตากรรมนั้นจริงๆ ก็หมดแรงแล้ว

      “..........”

      “ตั้งแต่วันที่มึงบอกว่าให้ลองคบกัน  กูรู้ว่ามึงอาจจะไม่ได้คิดให้ดีก่อนที่จะพูด  แต่กูก็ดีใจอยู่ดี  ถึงจะไม่มั่นใจว่าจะทำให้มึงชอบกูได้จริงหรือเปล่าก็เถอะ”

      “...........” 

      “มึงจะสงสัยความรู้สึกตัวเองก็ไม่แปลกหรอก  แต่มึงอย่าสงสัยความรู้สึกที่กูมีให้มึงก็พอ”

      “...........”

      “อันที่จริง  กูเป็นพวกชอบทำให้เห็นมากกว่าพูด  แต่บางที…ที่กูทำอาจจะยังไม่พอ”

     “……….”

      เขาไม่อยากปั้นแต่งคำพูดให้สวยหรูเกินจริง  แค่อยากบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็นและรู้สึกก็เท่านั้น  และในที่สุดนายน์ที่เอาแต่เงียบอยู่นานก็ยอมเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า  อาการเม้มปากแน่นพลางถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าละล้าละลังราวกับคนตัดสินใจไม่ได้ยิ่งพาลให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำระ  อยากจะดึงอีกฝ่ายมากอดแต่ก็ไม่กล้า  นายน์ในตอนนี้ดูเปราะบางเสียยิ่งกว่านายน์ที่นอนป่วยในวันนั้นเสียอีก 

      “ไม่ใช่มึงทำไม่พอ  กู....ก็แค่คิดว่า  ทำไมเป็นกู  คนอื่นที่ดูดีกว่า  นิสัยดีกว่ากูก็มีตั้งเยอะ” 

      “ก็คงมีจริงอย่างที่มึงว่า  แต่กูไม่ได้ชอบคนพวกนั้นไง”

      “.........”   

      “จะบอกอะไรให้  กูน่ะเป็นพวกชอบคนยาก  รักคนยากกว่า  แต่จะให้เลิกรักยิ่งโคตรยาก”

       “..........” 

      “ก็เลย...ตัดใจจากมึงไม่ได้ซักที”

        “แต่กูไม่มีอะไรดีเลยนะ ขนาดตัวเองยังคิดเลยว่าธรรมดาจนน่าเบื่อ”  เวลาสมองมันเริ่มคิดถึงแต่เรื่องลบๆ บางครั้งเขายังแอบคิดเลยว่าเท็นแค่แกล้งจีบเพื่อจะแก้แค้นกันหรือเปล่า  บ้าบอไหมล่ะ!

       “แล้วการจะชอบหรือรักใครซักคนจำเป็นต้องเลือกคนพิเศษตลอดเลยหรอวะ  อีกอย่าง  มึงไม่ได้ธรรมดาสำหรับกู”

       “.....จริงหรอวะ”  ยิ่งฟังก็ยิ่งมีแต่คำถามไม่สิ้นสุด  เขารู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวโคตรจะงี่เง่า  และเขาก็ไม่ชอบที่ต้องปล่อยให้ตัวเองเป็นอยู่แบบนี้เลยตัดสินใจพูดออกไปทั้งที่อายแสนอายจนอยากจะมุดลงดินให้รู้แล้วรู้รอด  ส่องกระจกอยู่ทุกวันก็พอรู้อยู่หรอกว่าเขาเองก็หน้าตาดี(ในสไตล์ของเขา)  แต่อย่างคนตรงหน้าเนี่ย  หาได้ดีกว่านี้อีกเป็นโขยงแน่นอน!

      เท็นทิ้งตัวพิงโซฟาอย่างคนหมดแรง  เหลือบสายตามองคนตัวเล็กที่กำลังจ้องกันด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะย่นจมูกราวกับคิดหนัก  ยอมปล่อยมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ  แล้วฉวยมือข้างซ้ายของนายน์เอาไว้  ดึงเข้ามากอดไว้กับอกจนอกอีกคนถลามาชนไหล่  สีหน้าเจ้าตัวดูตื่นๆ และมองมาอย่างจะถามกันว่ากำลังทำอะไร  แต่เขาเลือกที่จะตีเนียนและเงียบพลางก่นเสียงอือในลำคออย่างใช้ความคิด  “โอเค!  ฟังนะ”

       “..........”

       “มึงขี้งอน  มึงคิดมาก  มึงปากแข็ง”

       “..........”

       “แต่ไม่เคยโกรธใครนาน  มึงไม่คิดร้ายกับคนอื่น  อ่อ!  กูรู้เรื่องที่ฝนมาหามึงที่คณะแล้วนะ  เขาไลน์มาขอโทษกูเหมือนกัน”

       “..........”

       “แล้วก็…มึงน่ารัก  ยิ้มสวย  กูชอบเวลามึงทำหน้าบึ้ง...น่ารักดี  มึงปากร้ายใจดี  อีกอย่าง...กูชอบคนตัวเล็ก”
 
       “..........”

       “แล้วมึงก็น่าจะเป็นคนที่เมินกูได้โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ละ  เมินได้แบบใจร้ายขั้นสุด  กูเฮิร์ทมากนะขอบอก”

       “……….”

       “.....พิเศษพอยัง”

       “นี่มึงหลอกด่ากูหรอ!”  ถึงจะถามออกไปแบบนั้นแต่อาการร้อนผ่าวบนใบน้าและหัวใจที่เต้นคร่อมจังหวะไม่หยุดก็จู่โจมเขาอย่างหนักเพราะไอ้คำพูดที่กึ่งชมกึ่งด่าเหล่านั้น  ดวงตาคู่สวยพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่เผลอไปสบตาคมที่กำลังจ้องกันแบบตาไม่กระพริบพลางพยายามดึงมือที่ถูกอีกคนหนีบเอาไว้กลับแต่ก็ไม่เป็นผลเสียที  สภาพของเขาในตอนนี้เลยเหมือนกำลังนั่งเอาคางเกยไหล่อีกฝ่ายอยู่อย่างไรชอบกล
 
       “ใช่ที่ไหน  นี่มึงตั้งใจฟังที่กูพูดรึเปล่า”
 
        “……….” 

       “งั้นกูขอถามบ้างได้มั้ย”

       “ถ…ถามอะไร”

      “กู…ดีพอจะเป็นแฟนมึงได้หรือยัง” 

       คำถามนั้นเล่นงานคนที่แก้มแดงเป็นทุนเดิมให้อาการหนักขึ้นไปอีก  เจ้าตัวอึกอักและหลบสายตากันพัลวัน  พอเขาส่งเสียง ‘หืม?’ เป็นการถามย้ำเจ้าตัวก็ถึงกับสะดุ้งแล้วพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่ติดที่มือของอีกฝ่ายยังถูกเขาหนีบไว้แนบอก  บอกแล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปโดยไม่มีอะไรชัดเจนอีกแล้ว  ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดประเด็นมาเองเพราะงั้นเขาก็จะเป็นคนจัดการให้มันจบและเคลียร์ให้หมดเรื่องคาใจกันเสียที 

       “คำถามกูยากไปหรอ”   

       “……….”

       “กูไม่รู้ว่าคบกันของมึงหมายความว่ายังไง  หรือจริงๆ กูเป็นได้แค่เพื่อน  จะได้ทำตัวถูก”

      “ม…มึงพิสูจน์มาให้ได้ก่อนว่าคุยกับกูคนเดียว  แล้วกูจะคิดดูอีกที”

      เสียงงึมงำจนเกือบฟังไม่ได้ศัพท์จนเขาต้องเอียงหูเข้าไปใกล้ทำเอาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ  เท็นขบกรามพลางคิดหาคำพูดเพราะหมัดเมื่อครู่ของนายน์ทำเอาเขาไปไม่เป็นจริงๆ  “เดี๋ยวนะ!  กูดูเหมือนคนว่างไปจีบคนอื่นหรอ”  วันๆ ก็ตามตื้ออยู่คนเดียวจนเพื่อนจะไล่ให้ไปดรอปอยู่แล้วเนี่ยนะ!   

       “ใครจะไปรู้!”

      “กูชอบมึงมาตั้งแต่ม.ปลายเลยนะ”

       “แล้วไง”

       “ก็หมายความว่าหนักแน่นไง  มึงอย่าทำเป็นไม่เข้าใจดิ  กูบอกแล้วว่ากูไม่ใช่คนที่จะชอบใครง่ายๆ”

      “……….”

       ใจจริงอยากเอ่ยชื่อมีนออกไปให้รู้แล้วรู้รอดอยู่เหมือนกัน!  แต่ติดตรงที่เขารู้นิสัยนายน์ดี  ลองเขาได้พูดออกไปสิ  อีกฝ่ายได้หาว่ากินปูนร้อนท้องไปเสียฉิบ  เท็นถอนหายใจเฮือก  ขยับขึ้นมานั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาคนน่ารักที่กำลังจะทำให้เขาหัวระเบิดอยู่รอมล่อ  จ้องใบหน้าด้านข้างของคนตีมึนใส่กันแล้วอยากกระชากมากอดแน่นๆ ให้โวยวายเล่นเสียให้รู้แล้วรู้รอดก่อนเอ่ย  “งั้นบอกมาว่าต้องทำไงถึงจะเชื่อ”

      “ไม่รู้”  ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้  เพราะงั้นเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน!

       “โอเค… งั้นมึงยอมให้กูบอกคนอื่นมั้ยล่ะว่ามึงเป็นแฟนกู  เดี๋ยวกูส่งไลน์บอกทุกคนเดี๋ยวนี้เลย  ลงไอจี  เฟซบุ๊ค  ทวิตเตอร์ด้วย  เอามั้ยล่ะ”  จากตอนแรกเป็นการคุยกันแบบจริงจังสุดๆ จนตอนนี้มันชักจะกลับเข้าโหมดกิจกรรมปะทะคารมประจำวันของพวกเราไปอีกแล้ว  เท็นยักคิ้วให้นายน์ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าตั้งหลักอิท่าไหนแต่เจ้าตัวกลับมาจ้องตาเขาได้สำเร็จอีกครั้ง  แถมยังเป็นการจ้องตากันแบบจ้องจับผิดอีกต่างหาก 

       “ไม่มีวิธีอื่นรึไง!”

       “ไม่มี  อันนี้ชัดเจน  เด็ดขาด  ประกาศทีรู้กันทั้งโลก  จะได้รู้กันไปเลยไง” 

      “…งั้นก็ช่างเหอะ”

       “แปลว่า…มึงไม่เคยรู้สึกอะไรกับกูเลยใช่มั้ย”

       “ไม่ใช่แบบนั้น!”

      “แต่มึงอายที่จะบอกคนอื่นว่าเป็นแฟนกู”

      “คือ…  คือมัน...”

       สีหน้ายุ่งยากใจของคนตัวเล็กตรงหน้าทำให้เขาได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ  เท็นอาศัยจังหวะที่อีกคนยังได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ตีหน้าเครียดยิ่งกว่าเก่าแล้วจี้ถามกลับไปอีกรอบ  “กูคิดไปเองคนเดียวมาตลอด?…”

       “ไม่ใช่!!”

      “แล้วยังไง”

      “ก็...  คือมัน...”

      “นั่นไง  มึงก็ตอบไม่ได้อยู่ดี”

       “โอเค!!  อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ!”

       “หมายความว่า?”

       “ฉลาดนักไม่ใช่ไง  คิดเอาเองดิ”

      แล้วสงครามจ้องตาก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ  ถึงปากอีกฝ่ายจะบอกปัดแบบนั้นแต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าสีหน้ากับสายตาเป็นกังวลกำลังบอกชัดเจนว่ากลัวเขาไม่เข้าใจที่เจ้าตัวต้องการสื่อขนาดไหน 

     เฮ้ออ!  ยอมใจความเสมอต้นเสมอปลายของนายน์จริงๆ! 

       เท็นเบือนหน้าไปมองทางอื่น  ยกมือขึ้นมาเสยผมพลางขมวดคิ้วมุ่นราวกับคิดหนักก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่  ทุกการกระทำเขายังคงรับรู้ได้ถึงสายตาอีกคู่ที่มองตามกันแบบไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตาสักวินาที  ก้มหน้านิ่งอยู่สักพักก็เคลื่อนไปมองยังตำแหน่งเดิม  สีหน้าของนายน์ในตอนนี้ดูเหมือนเด็กที่รอผู้ปกครองพิจารณาคดีอย่างไรชอบกล  ถึงแม้ความน่ารักของอีกฝ่ายจะเล่นงานกันจนเกือบหลุดฟอร์มขนาดไหนแต่เขาก็ยังต้องทำทีเป็นขบกรามแน่นราวกับเครียดจัดก่อนเอ่ย  “อยู่เฉยๆ นะ”

      “ห๊ะ?!”

       ถือโอกาสที่เหยื่อยังงุนงงจิ้มปลายนิ้วลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายพลางกดเบาๆ  “ก็ไม่แข็งนี่หว่า”

       “………..”

       “อ๋อ!”  ร้องลั่นสัมผัสไปที่ริมฝีปากบางสวยอีกครั้งแล้วเลื่อนฝ่ามือไปยังอกข้างซ้าย  กดนิ้วชี้ลงไปเบาๆ แล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งจะตรัสรู้อะไรขึ้นมาได้  “มันไม่ตรงกับใจนี่เองเนาะ”

       “อ...ไอ้!!”

        หลังจากจำเป็นต้องเล่นบทหน้านิ่วคิ้วขมวดมายาวนานเขาก็สามารถยิ้มออกไปได้เสียที  เท็นหัวเราะในลำคอพลางเอี้ยวหลบกำปั้นของอีกคนที่ทำท่าจะเหวี่ยงมาใส่กันแล้วจัดการรวบเอาไว้เสียเลย  “มึงพูดแล้วนะ  หลังจากนี้ทำใจได้เลย  กูจัดหนักแน่”

        “มึงก็เป็นซะแบบนี้ไง!  น่าเชื่อตายละว่าจีบกูคนเดียว”  ระดับความแพรวพราวขั้นที่ขนาดคนใจแข็งอย่างเขายังเหลวเป็นน้ำแข็งละลาย  แถมหน้าตาแบบนี้ไม่ใช่ว่าซุกแฟนไว้เป็นโหลเหมือนที่ไอ้พวกสามลิงมันชอบพูดกันหรอ!

       “ถ้ากูไม่เป็นแบบนี้แล้วจะจีบคนใจแข็งอย่างมึงติดหรอ”

       “หึ!”

       “ตกลงยอมเป็นแฟนกูแล้วใช่ปะ”

       “..........”

       “ใช่มั้ย”

       “...อืม”

       “ว่าไงนะ”

      “...อื้ม!”

       “ไม่ค่อยได้ยินเลยอ่ะ”

       “มึงกลับบ้านไปเลยไป!”

       “โห  ชัดเลย”

      “กวนตีน!”


หัวข้อ: Re: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-11-2019 22:18:40
 :pig4:
 :3123: