ต่อ
.
.
.นายน์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างหลังจากยืนงงๆ อยู่กับตัวเองอยู่สองสามนาที ก่อนจะยกมือขึ้นบีบขมับพลางหลับตาลง อาการปวดหัวจากการดื่มแอลกอฮอล์ยังไม่น่ารำคาญเท่ากับหัวใจของเขาที่ยังเอาแต่เต้นรัวไม่ยอมหยุด ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงติดหนึบอยู่ในหัวแถมยังเกาะแน่นอยู่ในความรู้สึกแบบที่แกะยังไงก็คงไม่ออก อับอายขายขี้หน้าชะมัด!
“หนีมาไม่ยอมเรียกกูเลยนะ!”
คนตัวเล็กบนเตียงสะดุ้งเฮือกเพราะไอ้เพื่อนตัวดีที่จู่ๆ ก็โผล่มาแถมยังโพล่งซะเสียงดัง คิ้วสวยขมวดมุ่นทันทีที่มันทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอย่างถือวิสาสะ เอาจริงๆ ก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันขอมาค้างด้วย แถมตอนเกิดเรื่องเมื่อครู่เขาไม่ทันได้รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่ “แล้วทำไมกูต้องหนี” พูดแบบนี้หวังว่าแค่บังเอิญเพราะความปากดีของมัน ไม่ใช่ว่าดันเห็นอะไรเข้าหรอกนะ!
“นั่นดิ ทำไมมึงต้องหนีด้วย”
นายน์เปะปากใส่คนช่างยอกย้อนแถมยังยักคิ้วส่งยิ้มมีเลศนัยมองมาที่เขา เห็นแล้วยิ่งพาลให้รู้สึกเสียวสันหลังแต่ยังต้องตีหน้านิ่งเข้าสู่ต่อ “อะไรของมึง แล้วนี่มึงสร่างเมาแล้วรึไง?”
“ก็คงเหมือนมึงมั้ง”
“กวนตีน!”
จู่ๆ เราทั้งคู่ก็เงียบกันไปเสียดื้อๆ ทว่าพอยิ่งเงียบก็ยิ่งรู้สึกถึงชะงักที่ปักอยู่กลางหลังชัดขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกรนรานขึ้นมา กลัวว่าไอ้เคนอาจจะเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในรถจนต้องหาเรื่องพูดเพื่อทำลายความเงียบ “มึงใช่มั้ย” หรือความจริงแล้ว
เขากำลังกลัวหัวใจตัวเองที่มันเอาแต่ดันทุรังเต้นรัวไม่ยอมหยุดกันแน่
“อะไร”
“มึงเป็นคนเรียกมันมาใช่มั้ย!” อย่าบอกนะว่าไอ้วาระเกิดอยากเมาของมึงนี่เพื่อต้องการจะแกล้งเขาตั้งแต่แรก!
“จริงๆ กูแค่พนันกันเล่นๆ ใครจะไปคิดว่ามันจะมาจริง”
“ทำไมพวกมึงชั่วอย่างงี้วะ!”
“ก็บอกแล้วว่าไม่คิดว่ามันจะมา”
“ก็ชั่วอยู่ดีนั่นแหละ! กูเพื่อนมึงนะ!” นายน์ตวัดสายตาไปมองไอ้เพื่อนตัวดีที่กำลังแย่งหมอนข้างของเขาไปก่ายเล่นหน้าตาเฉย แถมยังทำหน้าระรื่นไม่ได้มีแววสำนึกผิดเลยแม้แต่นิด ไอ้เพื่อนเฬว! มึงรู้มั้ยว่าทำให้กูต้องอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีขนาดไหน!
“นายน์” เอ่ยเรียกก่อนจะหยัดตัวนอนตะแคงหนุนฝ่ามือตัวเองเพื่อให้มองหน้าอีกคนได้ชัดขึ้น จริงๆ ต้องบอกว่าเพื่อจะได้มองเห็นหน้าบูดๆ ของไอ้คนน่ารักได้ชัดขึ้นถึงจะถูก
“อะไร”
“มึงรู้ตัวปะ...ว่ามึงเปลี่ยนไปเวลาพูดถึงมัน”
“อะไรของมึงอีก!”
เขาจุดยิ้มเมื่ออีกคนตั้งท่าจะอารมณ์เสียหนักยิ่งกว่าเดิม แต่เขาดูออกว่าอีกฝ่ายก็แค่ทำเพื่อกลบเกลื่อนเท่านั้น คบกันมานานมีหรือที่เขาจะอ่านสายตามันไม่ขาด “ก็ถ้าเป็นเมื่อก่อน มึงต้องด่ามันก่อนแน่นอน ถึงพวกกูจะเป็นคนวางแผนก็เถอะ”
“..........” ความจริงที่เขาไม่ทันได้นึกถึงเล่นเอาพูดอะไรไม่ออก ใจจริงอยากจะเถียงกลับแต่คิดว่าคงไม่มีทางชนะคนอย่างไอ้เคนแน่นอน นายน์หลบสายตา มองไปยังเพดาลอย่างเลื่อนลอยพลางยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากเพื่อจะได้ซ่อนสีหน้าจากไอ้คนขี้จับผิด
“มันเป็นคนดีจริงๆ นะ ถ้ามึงไม่ชอบมันแบบนั้น บอกมันไปตามตรงเลยก็ได้ กูว่ามันเข้าใจ”
“..........”
“บางทีมึงอาจจะได้เพื่อนโคตรรดีเพิ่มขึ้นอีกคนเลยก็ได้ หมายถึง…ถ้ามันโอเคที่จะเป็นแค่เพื่อนมึงน่ะนะ”
“……….”
“อย่างน้อย มึงจะได้ไม่ต้องไปทำบาปใคร กูไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไมมึงถึงยอมให้มันไปรับไปส่งแบบนี้ แต่ที่แน่ๆ ล้อเล่นกับความรู้สึกคนมันไม่ดีนะเว้ย”
“………”
“แต่มึงรู้อะไรมั้ย แค่กูลองส่งรูปตอนมึงเมาไปให้มันเล่นๆ มันแม่งโทรกลับมาหากูทันที กูว่าเผลอๆ แม่งพุ่งมาทั้งชุดนอนเลยมั้ง”
“..........”
“ตอนขับรถมาส่งอีก ตลอดทางมันคอยหันไปมองมึงทุกสิบวิได้มั้ง เห็นแล้วกูยังปวดคอแทน”
“..........”
สิ่งที่มันพูดใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิด คนอย่างเคนตะพูดทีก็จี้เข้าตรงกลางใจดำเขาทุกทีนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเขาอยากล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น เขารู้ดีว่ามันเป็นยังไง เพราะเขาก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่ติดอยู่ที่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้มันหมายความว่าอะไร นายน์มองเหม่อไปยังความว่างเปล่า ภายในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบให้มันไม่ได้
หรือบางที...เขาอาจจะไม่มีความกล้าพอที่จะตอบ
“มึงรู้จักกูดีที่สุด มึงว่าตอนนี้...กูเป็นยังไงวะ” หรือบางที เขาอาจอยากฟังจากปากคนอื่นเพื่อจะได้ย้ำว่าที่เขารู้สึกเป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่อ่อนไหวไปเองหรือแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบฉาบฉวย
เสียงแผ่วๆ นั้นดังขึ้นจากคนที่เงียบไปนานจนนึกว่าหลับไปแล้วทำเอาคนฟังต้องขมวดคิ้วมุ่น “อะไรคือเป็นยังไง ถามให้ชัด”
“มึงว่ากู...คิดยังไงกับมัน”
อุตส่าห์ตะล่อมให้หลุดออกมาเป็นครึ่งค่อนคืนในที่สุดคนปากแข็งก็ยอมคายก้อนหินออกมาเสียที ไม่รู้จะปากหนักไปถึงไหน เคนไม่ตอบในทันที เขาส่งเสียงอืมในลำคอราวกับใช้ความคิด ทั้งที่มีคำตอบเตรียมไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว “นี่มึงถามตัวเองหรือถามกู” คนอย่างไอ้นายน์เล่นตรงๆ คงต้องรออีกสิบชาติ ต้องเจอคนเหลี่ยมจัดแบบเขานี่แหละ หึ!
“..........”
“ที่แน่ๆ คือมึงโคตรคิดมาก รู้ตัวปะ”
“.........”
“รู้สึกยังไงก็ปล่อยไปเลยดิวะ นี่มันยุคไหนแล้ว ไม่มีใครเค้ามัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้หรอก”
“กูรู้ แต่มึงเข้าใจมั้ย เมื่อก่อนกูโคตรไม่ชอบมัน เกลียดขี้หน้าโคตรๆ เลยด้วยซ้ำ...”
“เมื่อก่อนก็เมื่อก่อนดิ เกี่ยวอะไรกับตอนนี้วะ”
“..........”
“งั้นกูถามมึงบ้าง มันดีกับมึงมั้ย”
เขาหันกลับไปสบตากับเพื่อนเป็นครั้งแรก สาบานว่าตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นไอ้เคนทำหน้าจริงจังได้เท่านี้มาก่อน นายน์ถอนหายใจอย่างยอมจำนนก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด
“เห็นมะ”
“จริงๆ มันดีเกินไปด้วยซ้ำ ขนาดกูแกล้งมันสารพัดแต่มันก็ไม่เคยว่าอะไรกูเลย กูรู้ว่ามันรู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ ...แล้วอีกอย่าง มันก็...หน้าตาดีมาก บางทีอยู่กับมันมากๆ กูก็รู้สึกแปลกๆ ว่ะ”
ท้ายประโยคเสียงนั้นค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ แถมยังพูดไปหลบสายตาเขาไป นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนซี้ที่รู้ไส้รู้พุงกันจนหมดเขาคงตกหลุมความน่ารักของมันอีกคน แต่บังเอิญว่าคนอย่างไอ้เคนตะไม่ชอบอะไรยากๆ เอ่อ ไม่ได้หมายความว่าชอบคนง่ายๆ นะ แต่แบบไอ้นายน์ก็ยากเกินลิมิตไปนิด เคนเอื้อมมือไปขยี้ผมเพื่อนตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวพลางว่า “นี่อย่าบอกนะว่ามึงเริ่มแพ้ความหล่อของมันอีกคน”
“กูไม่ใช่มึงนะ! กูหมายถึง ทุกอย่างที่เป็นมันคอยก่อกวนความรู้สึกกูตลอด ไม่รู้ดิ กูว่าเหมือนมันรู้จุดอ่อนกู” เขาเป็นประเภทแพ้คนใจดี คนใจเย็น แล้วก็มีความเป็นผู้ใหญ่ พูดง่ายๆ คือเขาแพ้ทางคนที่มีอะไรตรงข้ามกับตัวเองนั่นแหละ
“แต่กูว่าไม่ มันก็แค่เป็นมัน มึงเก็บอาการเก่งจะตายห่า ใครที่ไหนจะไปรู้จุดอ่อนมึงวะ”
“ขนาดนั้น?!”
“เออดิ ถ้าลองกูไม่ได้เป็นเพื่อนมึงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยนะ กูบอกเลยว่าดูมึงไม่ออก คนอะไรใจแข็งชิบหาย”
“มึงอย่าเวอร์”
“น้อยไปดิ”
“..........”
“มัวแต่ฟอร์มจัดเดี๋ยวก็พลาดของสำคัญหรอก กูไม่อยากเห็นมึงมานั่งเสียใจทีหลังนะ”
“ถามจริง มันจ้างมึงมาเท่าไหร่”
“จ้างก็ดีดิวะ ที่กูทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเข้าข้างมันอะไรหรอกนะ กูแค่รู้สึกว่า มึงควรได้เจอคนดีๆ จะได้ไม่ต้องอกหักซ้ำๆ แบบกู”
“กูไม่ได้ใจง่าย จะได้อกหักถี่ๆ แบบมึง”
“ถุยยย! อยากให้กูนับมั้ยนายน์!”
“ก็นั่นมันเมื่อก่อนปะ!”
“ครับพ่อคนใจแข็งอย่างกับหิน! .....แต่กูพูดจริงๆ นะ มีคนมาจริงใจด้วยขนาดนี้ รอนานเป็นปีๆ ไม่เคยได้อะไรตอบแทนความรู้สึกเลยแต่มันก็ยังชอบมึง หาที่ไหนได้อีกวะ”
“..........”
ฟังมันเทศนามาถึงตรงนี้ก็เหมือนจะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังอดที่จะตะขิดตะขวงใจไม่ได้อยู่ดี พูดตรงๆ เลยคือเขาฟอร์มจัดใส่เท็นมาตลอด แล้วจู่ๆ จะให้เปลี่ยนท่าทีกันดื้อๆ มันต้องทำยังไง ต้องขนาดไหนถึงจะไม่มากหรือน้อยไป บอกตรงๆ ว่าแค่ลองจินตนาการเล่นๆ ก็ยังทำไม่ได้เลย เห้อ! นายน์หันกลับไปมองเพื่อนอีกครั้ง และมันก็ยังคงมองมาที่เขาอย่างกับรู้ใจว่าเขายังมีเรื่องที่อยากจะพูดอีก “แล้ว…ทำไมเป็นกูวะ”
“เอ๊าไอ้นี่! อยากรู้ก็ไปถามมันเองดิ”
“มึงชอบแว๊บไปคุยกับมันไม่ใช่หรอ มันไม่เคยบอกมึงรึไง”
“บอก”
“ว่า”
“มึงปัญญาอ่อน ขี้โมโหไปนิด แต่ยังดีที่เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว แล้วก็…น่ารัก”
“ไม่ใช่ละ!”
“จริง ไม่เชื่อมึงลองไปถามมันดู”
“มึงพูดเองเหอะเคน กูไม่ได้โง่”
“ฮ่าๆๆๆ”
***********************************
เท็นรีบยัดหนังสือและกวาดปากกากับบรรดาเครื่องเขียนอีกสองสามอย่างที่เอาออกมาใช้ทำการบ้านเมื่อคืนลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน ก่อนจะวิ่งไปคว้ากุญแจรถที่แขวนอยู่หน้าประตูพร้อมกับพยายามดึงถุงเท้าอีกข้างที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยไปด้วย เขารีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพราะกลัวว่าถ้ารถติดแล้วจะพาลให้ไปสาย อดเจอแม่นายน์เพื่อทำคะแนนล่ะเสียดายโอกาสแย่
Rrrrrr..... Rrrrrr..... โทรศัพท์ที่อยู่ในมือดังขึ้นเมื่อเขาพาตัวเองลงมาชั้นล่างแบบพอดิบพอดี เท็นกดรับแบบไม่ทันได้มองว่าใครเป็นเจ้าของสายเพราะสายตาของเขากำลังควานหารองเท้าคู่ใจที่จำได้ว่าถอดเอาไว้ตรงชั้นล่างของชั้นวางรองเท้าแต่กลับหาไม่เจอ
“ครับ” กรอกเสียงไปแบบส่งๆ พลางเปิดตู้รองเท้าอีกใบและก็พบว่าไอ้เพื่อนยากของเขานอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น
“มึงอยู่ไหนแล้ว”
ทว่าเสียงแผ่วเบาราวกับคนไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดของคนปลายสายก็ทำให้มือของเขาที่เตรียมจะเอื้อมไปหยิบรองเท้าออกมาสวมต้องชะงัก “กำลังจะออกจากบ้าน”
“วันนี้มึงไม่ต้องมารับกูนะ”
“ทำ…”
“วันนี้กูไม่ไปเรียน แค่นี้นะ”
เขากำลังจะอ้าปากถามต่อแต่อีกคนกลับตัดสายไปเสียก่อน เท็นยืนจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วพลางในหัวยังคงคาใจกับเสียงอ่อนแรงของอีกฝ่าย ไม่สบายหรือเปล่า หรือว่านายน์แกล้งให้เขาเข้าใจผิดเพื่อจะหลบหน้ากันเพราะเหตุในรถวันนั้น แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันฟังดูจริงเกินกว่าจะเป็นการแสร้งทำ ถึงแม้จะเป็นแค่น้ำเสียงผ่านโทรศัพท์แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ หรือจะลองเสี่ยงขับไปดูที่บ้านดี
Rrrrrr..... Rrrrrr..... ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าควรไปดูให้เห็นกับตาหรือว่าจะยอมทำตามที่บอก ชื่อของคนที่เพิ่งโทรมาเมื่อครู่ก็ชิงโทรเข้ามาอีกรอบเสียก่อน
“ว่าไง”
“เท็น นี่แม่เองนะลูก”
“ครับแม่”
“เท็นจะสะดวกมั้ยถ้าแม่มีมีเรื่องจะรบกวนเท็นหน่อยน่ะลูก”
“สะดวกครับ” น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความร้อนรนของผู้หญิงที่มักจะใจดีและสดใสอยู่เสมอยิ่งพาลให้เขาไม่สบายใจแปลกๆ
“นายน์ไม่สบายมากเลยลูก ไม่รู้เมื่อวานไปทายอะไรผิดสำแดงมา เมื่อคืนนายน์อาเจียนทั้งคืนเลย นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่นี่ แม่จะพาไปหาหมอก็ดื้อไม่ยอมไปท่าเดียว”
“งั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ”
ทันทีที่ขับรถมาถึงที่หมายประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดไว้รออยู่แล้ว เขาสังเกตเห็นรถของคุณน้าที่ถูกจอดเลยหน้าบ้านไปนิดหน่อยเหมือนกับเตรียมพร้อมจะออกไปทำงานแล้วก็คงจะสลับที่ให้เขาได้ขับเข้าไปจอดในโรงรถได้สะดวกขึ้น ฟังจากน้ำเสียงของคุณน้าตอนโทรมาก็ดูร้อนใจอยู่ไม่น้อย สงสัยว่านานย์จะเป็นหนักเอาการ ร่างสูงดับเครื่องยนต์เมื่อพารถเข้ามาจอดภายในก่อนจะรีบตรงเข้าไปในบ้าน เขายกมือไหวเจ้าของบ้านทันทีที่อีกฝ่ายหันมาเห็น “นายน์เป็นยังไงบ้างครับ”
“หลับอยู่จ้ะ อาเจียนจนหมดแรง เมื่อคืนนายน์แทบไม่ได้นอนเลย”
“พาไปหาหมอดีกว่ามั้ยครับ”
“ดื้อจะตาย บอกว่าไหวๆ ท่าเดียว ตอนนี้เค้านอนพักอยู่แม่เลยไม่อยากกวน”
“งั้นผมต้องทำยังไงบ้างครับ”
“ขอโทษเท็นจริงๆ นะลูก แม่ไม่รู้จะวานใครจริงๆ วันนี้แม่มีคลาสสำคัญ พยายามโทรหาคนมาสอนแทนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่มีใครว่างเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”
“ขอบคุณมากจริงๆ ลูก …แต่ตอนนี้นายน์หยุดอาเจียนแล้วล่ะจ้ะ มีแค่ไข้อ่อนๆ เท็นคอยเช็คให้หน่อยนะ ถ้าไข้ขึ้นสูงต้องรีบปลุกให้ทานยาลดไข้”
“ได้ครับ”
“ตรงโต๊ะหัวเตียงแม่เตรียมเกลือแร่กับน้ำอุ่นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ต้องชงเกลือแร่กับน้ำต้มสุกเท่านั้นนะลูก ให้นายน์ดื่มแทนน้ำไปเลยนะ”
“ครับ”
“ถ้าเท็นหิว แม่ทำแซนวิซไว้ให้อยู่ในตู้เย็นนะจ้ะ ส่วนข้าวต้มของนายน์แม่ตั้งไว้บนเตา”
“ครับ”
“อ้อ! ห้องนายน์อยู่ซ้ายมือนะลูก ขึ้นไปก็เจอเลย”
“ครับแม่”
“ส่วนนี่เบอร์แม่ ถ้าเท็นมีอะไรโทรหาแม่ได้เลยนะลูก”
“โอเคครับ”
“ฝากนายน์ด้วยนะจ้ะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ”
“ถ้าไม่ได้เท็นแม่ต้องแย่แน่ๆ เลย ขอบคุณเท็นมากนะ แม่ต้องรีบไปก่อนแล้วจ้ะ”
“สวัสดีครับ”
เท็นมองตามหญิงวัยกลางคนที่มักจะมีรอยยิ้มให้เขาเสมอแต่วันนี้ใบหน้าสวยนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตา เขาหันกลับไปมองยังบันไดทางขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ภาพคุ้นตาคือนายน์ที่มักจะเดินกึ่งวิ่งลงมาอย่างรีบร้อนและมักจะทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกผู้เป็นแม่ตำหนิที่ต้องให้เขาเป็นฝ่ายรออยู่ทุกวัน แม้มันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ภาพเหล่านั้นคงจะเป็นภาพที่ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง เขายิ้มให้กับใบหน้าในความคิดนั้นก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสอง
ฝ่ามือหนาเลื่อนบานประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้อย่างเบามือ ก้าวเท้าไปยังเตียงกว้างที่มีใครคนหนึ่งนอนคู้ตัวอยู่ ยืนมองอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงตรงที่ว่างข้างเตียง สายตาจับจ้องไปยังตำแหน่งเดียวคือใบหน้าซีดเซียวนั้น แม้เจ้าตัวจะกำลังพักผ่อนแต่กลับไม่ได้ดูผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็น เท็นเอื้อมมือไปอังยังหน้าผากมนแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่มากกว่าระดับปกติอยู่เล็กน้อย
เขากวาดสายตาไปยังโต๊ะข้างเตียงเห็นแก้วน้ำ ขวดแก้วขนาดกลางบรรจุน้ำสีส้มที่เดาว่าแม่ของนายน์คงจะชงน้ำเกลือแร่เตรียมไว้ให้คนป่วย กระปุกยาลดไข้ ซองยาอีกสองสามชนิด และแผ่นแปะลดไข้ เขาหยิบมันทั้งหมดขึ้นมาอ่านสลากอย่างละเอียด ลำดับขั้นตอนในใจว่าควรจะทำอะไรก่อนหลังหากนายน์ตื่น สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบแผ่นลดไข้ออกมาแกะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกแล้วบรรจงแปะลงบนหน้าผากให้คนป่วยอย่างเบามือที่สุด
ตาคมทอดมองคนบนเตียงที่แม้จะป่วยจนหน้าซีดเซียวขนาดนี้แต่กลับยังคงดูน่ารักและเปราะบางยิ่งกว่าเดิมในความรู้สึกของเขา ฟังจากที่แม่เล่าว่านายน์อาเจียนทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน ตอนนี้เจ้าตัวคงจะเพลียมาก ไม่แปลกใจเลยที่เสียงตอนโทรมาจะฟังดูอ่อนแรงขนาดนั้น มือหนาลูบเส้นผมนุ่มแผ่วเบาก่อนจะเกลี่ยกลุ่มผมที่บดบังใบหน้าออก ไล้หลังฝ่ามือไปบนเปลือกตาคูสวยที่มักจะฉายแววสดใสอยู่เสมอเลื่อยไปยังแก้มเนียนของคนที่ได้แต่แอบชอบมานาน จะว่าไปนี่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายขนาดนี้โดยไม่ถูกเจ้าตัวชกเอาเสียก่อน เท็นหลุดยิ้มพลางส่ายหัวเบาๆ ให้กับความคิดตัวเอง
แม้แต่ตัวเขาเองจนตอนนี้ก็ยังอดที่จะประหลาดใจในความมั่นคงกับความรู้สึกที่มีกับอีกฝ่ายไม่ได้....
จะว่าไปแม้แต่การชอบใครสักคนอย่างจริงจังก็ยังเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายสำหรับตัวเขาเลยด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาเขาเคยคบหาใครมาไม่น้อย และในบรรดาคนที่คบมาทั้งหมดก็เป็นฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาหาเขาเอง ถึงจะคบเพราะรู้สึกถูกใจ แต่ก็ไม่มีสักคนที่จะทำให้รู้สึกฝังใจได้เหมือนอย่างที่เขารู้สึกกับคนตรงหน้า แถมยังเป็นการชอบใครสักคนที่เล่นเอาสะบักสะบอมเอาเรื่องอีกต่างหาก
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ต่อให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ยังเลือกที่จะรักนายน์อยู่ดี...
เขาจะเก็บความรู้สึกที่ได้รักใครอย่างจริงจังสักครั้งนี้ไว้เป็นสมบัติล้ำค่าตลอดไป ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะไม่สมหวังก็ตาม เท็นถอนหายใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขายังเอาแต่ทอดมองไปยังคนบนเตียงอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะแนบฝ่ามือไปบนแก้วเนียนเพื่อวัดอุณหภูมิอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง โน้มตัวไปหยิบผ้าห่มที่คงจะถูกอีกคนผลักออกไปตกอยู่ตรงปลายเท้าอีกฟากขึ้นมา ขยับผ้าห่มจนถึงระดับอกให้คนป่วย
ร่างสูงละสายตาจากคนตรงหน้าเพื่อมองหาเก้าอี้ ก่อนจะหันไปเจอเข้ากับโต๊ะเขียนหนังสือ เขาเดินไปเลื่อนเก้าอี้ตัวนั้นมาวางลงข้างเตียง ทิ้งตัวนั่งลงอีกครั้งและคอยสังเกตอาการคนบนเตียงอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนว่าเวลาจะล่วงเลยไปเท่าไหร่ กระทั่งสายตาดันเหลือบไปเห็นตัวเลขบนนาฬิกาปลุกข้างเตียงถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมทำอะไรไปบางอย่าง เท็นหยิบมือถือขึ้นมาทันทีแล้วกดไปยังห้องแชทของเพื่อนสนิทเพื่อส่งข้อความไปบอกว่าวันนี้เขาจะไม่เข้าเรียน โดนมันซักจนซีดให้ระคายอารมณ์จนต้องตอบไปตามตรงด้วยความรำคาญว่าจะอยู่เฝ้าคนป่วย แล้วก็ถูกมันทั้งแซวทั้งแขวะจนสาแก่ใจตามระเบียบถึงยอมรับปากว่าจะเก็บชีทและเลคเชอร์ไว้ให้
ไอ้เพื่อนเวร!
***********************************
TALK : ใกล้จะหมดสต๊อกแล้วนะแจะ เดี๋ยวมหกรรมดองก็จะมาในไม่ช้า