รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักดอกจึงหลอกจิ้น #คู่จิ้น1990 ....EP16-17 [Update 03-03-19]  (อ่าน 8358 ครั้ง)

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0


      *ต่อ*




    นายน์มองหารถคันสีขาวตามตำแหน่งที่อีกคนไลน์มาบอกอยู่ชั่วครู่  ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเมื่อเจอในที่สุด  เขาเคาะกระจกฝั่งตรงข้ามคนขับเบาๆ ก่อนบานกระจกจะเลื่อนลง  ร่างเล็กส่งยิ้มให้กับคนที่ไม่ได้คุยกันนานอย่างเป็นมิตร  ทว่าอีกฝ่ายทำเพียงเอ่ยตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     “ขึ้นมาก่อนสิ”

     “เอ่อ...คุยตรงนี้เลยได้มั้ย  พอดีเรามีธุระต่อน่ะ” 

     “เราหิวน่ะ  ทานข้าวไปคุยกันไปดีกว่านะ  รบกวนนายน์ไม่นานหรอก”

     นายน์หลุบตาอย่างชั่งใจเพราะจากท่าทีของฝนดูเหมือนคนไม่สบอารมณ์อยู่พอสมควร  ทว่าเขาก็ยอมเข้าไปนั่งในรถตามที่อีกฝ่ายต้องการในที่สุด 

     อันที่จริงตอนแรกที่ฝนไลน์มานัดเจอเขาก็แอบชั่งใจอยู่ว่าควรตอบรับดีไหม  เพราะตั้งแต่วันนั้นเราก็แทบจะไม่ได้คุยกันอีกเลย  แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องการจะคุยเขาก็ปฏิเสธไม่ลง  อีกอย่างเขาก็อยากจะถามเจ้าตัวเหมือนกันว่าทำไมถึงมีท่าทีเปลี่ยนไป(ถ้าโอกาสอำนวย)  เผื่อว่าการคุยกันครั้งนี้อาจทำให้ไม่ต้องรู้สึกอัดเวลาที่ต้องเจอหน้ากัน

     ทว่า!  ขับผ่านร้านอาหารแถวหน้ามหาฯลัยมาได้สักระยะ  แต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าจะแวะร้านไหนเลย  แถมตั้งแต่เขาขึ้นรถมาอีกฝ่ายก็เอาแต่เงียบจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากถาม  กระทั่งห่างออกมาจากมหาฯลัยได้ไกลพอสมควรเขาจึงทนเงียบต่อไปอีกไม่ไหว

     “เอ่อ  ฝนมีอะไรจะคุยกับเราหรอ  แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกัน”  ถึงจะถามออกไปอย่างนั้น  แต่ความจริงเขาคิดว่าเขารู้  ฝนคงไม่ได้มาเพื่อจะคุยเรื่องของเขาหรอก  ก็คงเป็นเรื่องของไอ้เท็นอีกตามเคยนั่นแหละ  ทว่าถามไปแล้วอีกฝ่ายกลับเอาแต่เงียบ
และความเงียบนั้นกินเวลานานกว่าที่คิดจนแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัด  นายน์มองออกไปนอกหน้าต่างเพราะเส้นทางที่อีกคนมุ่งไปดูจะไม่ใช่สถานที่ที่ใกล้เคียงกับอะไรที่เขานึกออก  พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่รู้ว่าฝนกำลังจะพาเขาไปไหน

     “ฝน...”

     “..........”

     “ตกลงว่าฝนกำลังจะทำอะไรกันแน่”

     “..........”

     ยิ่งขับออกนอกเส้นทางไปไกลเท่าไหร่  เขาก็ยิ่งรู้สึกตระหนกขึ้นเท่านั้น  แถมวันศุกร์ยังเป็นวันที่เขามีตารางเรียนยาวที่สุดในสัปดาห์บวกกับที่อีกฝ่ายพาขับฝ่าการจราจรออกมาไกลขนาดนี้จึงกินเวลาไปอีกมากโข  ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นมืดลงเรื่อยๆ  ไม่ต่างจากบรรยากาศภายในรถที่ทั้งตึงเครียดและชวนให้อึดอัดจนพาลให้รู้สึกใจคอไม่ดี 

     นายน์รีบกดเข้าโปรแกรมไลน์  คนสุดท้ายที่เขาทิ้งข้อความไว้ให้ก็คือผู้เป็นแม่  เขาไลน์ไปบอกก่อนจะออกมาเจอฝนว่าวันนี้จะกลับค่ำไม่ต้องรอทานข้าว  ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะบอกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้แม่รู้ดีไหม  คิดสะระตะกับตัวเองก่อนจะเปลี่ยนใจกดเข้าแชทกลุ่มของเดอะแก๊งแทน  กำลังจะทิ้งข้อความขอความช่วยเหลือไปทว่าจู่ๆ คนที่เอาแต่เงียบอยู่หลังพวงมาลัยมาร่วมชั่วโมงก็ยอมเอ่ยปากเสียที 

      “ทำไมไม่บอกเราตั้งแต่แรก!”

      “...........”  ประโยคที่อีกฝ่ายโพล่งออกมาอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกทำให้เขางงหนักยิ่งกว่าเก่า  นายน์ทำได้แค่หันไปมองอีกฝ่ายเพื่อรอฟังว่าเจ้าตัวต้องการจะสื่ออะไรกับเขากันแน่  ทว่าใบหน้านั้นก็ยังคงเฉยชาไม่บ่งบอกถึงห้วงอารมณ์ใดๆ 
   
      “เราอุตส่าห์ไว้ใจบอกเรื่องนี้กับนายน์เป็นคนแรกด้วยซ้ำ”

      “..........”
 
      “แล้วดูสิ่งที่นายน์ทำกับเรา!”

      “...........”

      “หรือจงใจให้เราหน้าแตก  จะได้เอาไปหัวเราะเยาะกับคนอื่นสินะ”

      “..........”

      “สะใจมากงั้นสิ!”

      “ฝนพูดเรื่องอะไร  เราไม่เข้าใจ” 

      “ก่อนจะโกหกอะไรก็หัดทำให้มันเนียนซะบ้าง  เราไม่ได้โง่!”

      “เราไม่เคยโกหกอะไรฝนเลยนะ”

       “เหรอ!  รวมถึงเรื่องที่เท็นมีคนที่ชอบอยู่แล้ว  แล้วนายน์ก็รู้ดีที่สุด  เพราะว่านายน์ก็ชอบเท็นเหมือนกัน  ด้วยรึเปล่าล่ะ!”
 
       “ไปกันใหญ่แล้ว!  ฝนไปเอามาจากไหน!”

      “มีคนเตือนเราหลายคนเรื่องที่เท็นอาจจะเป็นเกย์  แต่เราไม่เชื่อ  ถ้าบอกว่านายน์เป็นยังน่าเชื่อกว่า”

      “ฝน!!”

      “คิดว่าเราไม่เห็นหรอ!  เวลาเรากับเท็นคุยกัน  นานย์ทำหน้าซังกะตายใส่เราตลอด  จริงๆ ก็ไม่ชอบเราตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย!”

      “เราว่าเอาไว้ให้ฝนอารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า  จอดให้เราลงเถอะ!”

      “ดีแต่ทำตัวเรียกร้องความสนใจ  บอกตามตรงว่าเวลาอยู่กับนายน์มันโคตรน่ารำคาญ  ถามคำตอบคำอยู่ได้  เป็นคนน่าเบื่อมากรู้ตัวปะ!” 

      “..........” 

       ประโยคนั้นราวกับกระชากความทรงจำเดิมตอนที่เขาอยู่ม.5 ให้ย้อนกลับมาพาลให้รู้สึกเจ็บยอกในอก  เขาเคยคบกับผู้หญิงที่เรียนพิเศษด้วยกัน  เธอชื่อนาว  เป็นผู้หญิงยิ้มเก่งอัธยาศัยดีมากคนหนึ่ง  เขามักจะเผลอมองเธอทุกครั้งที่ทำได้  รู้ตัวอีกทีเขาก็ชอบนาวไปแล้ว  เราคุยกันได้ประมาณ 3 เดือน  จนวันหนึ่งหลังเลิกเรียนนาวก็มาขอเลิกกับเขาโดยให้เหตุฝนว่า  ‘เขานิ่งเกินไป  แถมยังน่าเบื่อ  อยู่ด้วยแล้วอึดอัด’  แล้วหลังจากนั้นนาวก็ไม่มาเรียนอีกเลย
   
       แต่การที่ฝนมาตัดสินเขาอย่างไม่มีมูลแบบนี้  แถมยังไม่ยอมฟังที่เขาอธิบายอะไรเลยมันออกจะใจร้ายไปหน่อยไหม  นายน์จ้องมองใบหน้าของคนที่เขาเคยคิดว่ารู้จัก  แต่ตอนนี้กลับรู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่กับคนแปลกหน้า  เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปรู้อะไรหรือไปฟังใครพูดมา  แต่ฝนในเวลานี้ดูน่ากลัวและเดาใจไม่ได้เลยสักนิด   

      รถยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย  ภายใต้แรงกดดันชวนอึดอัดเพราะเจ้าของรถดูมีท่าทีไม่พอใจหนักยิ่งกว่าเก่า  เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ  รถทั้งคันตกอยู่ภายใต้ความเงียบ  เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นรัวด้วยหวาดหวั่น  เพราะหลังจากที่ฝนพลั่งพรูเรื่องที่เขาไม่เข้าใจออกมาแล้วก็ไม่ยอมปริปากอีกเลย  ซ้ำยังเอาแต่ขับรถด้วยความเร็วสูงเสียจนเขารู้สึกเกร็งไปหมด  วิวข้างทางค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ ซ้ำยังไม่คุ้นตาพาลให้ร้อนรนจนแทบจะนั่งไม่ติด  นายน์ละสายตาจากข้างทาง  พยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติและไม่ตื่นตระหนกก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน

      “มึง!  กูอยู่บนรถกับฝน  เค้าพากูขับออกมานอกเมือง  กูไม่รู้ว่าเค้ากำลังจะไปไหน  ทำไงดีวะ!”

      กดส่องไปแล้วก็รอดูว่าจะมีใครอ่านหรือว่าตอบอะไรกลับมาหรือไม่แต่ก็ยังว่างเปล่า  เขาเลยตัดสินใจกดโทรออกเบอร์ของไอ้เคนก่อนเป็นคนแรก  รอสัญญาณดังต่อเนื่องอยู่นานก็ไม่มีคนกดรับเสียที

      “ทำไม  กลัวเราขนาดนั้นเลยเหรอ”

      “..........”

      “ปอดแหกกว่าที่คิดอีกนะ!”

      “..........” 

      “คิดว่าเราโง่ขนาดจะทำร้ายตัวเองด้วยเรื่องสิ้นคิดเพราะนายน์น่ะหรอ  สำคัญตัวเองเกินไปรึเปล่า!”

      “.........” 

      นายน์ไม่ตอบโต้ใดๆ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าฝนในตอนนี้มีแต่ใช้อารมณ์  ต่อให้เขาพูดความจริงหรือเอาเหตุผลเข้าสู้อีกฝ่ายก็คงไม่รับฟังอยู่ดี  มือเล็กกดเปลี่ยนจากเบอร์ของเคนเป็นเบอร์ของซ้งแทน  แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม  เหลือตัวช่วยสุดท้ายคือไอ้เกมส์  เขากดเลือกเบอร์เพื่อนสนิทอีกคนอย่างไม่รอช้าเพราะโทรศัพท์มือถือของเขาแบตใกล้จะหมดเต็มที  อย่างน้อยขอให้ได้บอกใครสักคนให้รู้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์นี้ไว้ก่อนก็ยังดี  นายน์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางบอกให้แม่รู้เรื่องนี้เป็นอันขาด  เขาไม่อยากทำให้แม่ตกใจ  และก็อย่างที่ฝนพูด  เจ้าตัวคงไม่ทำเรื่องร้ายแรงอะไรให้มีผลเสียไปถึงตัวเองหรอก  แต่แค่ที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็มากพอจะทำให้เขาคิดไม่ตกแล้วว่าควรจะหาทางออกให้ตัวเองอย่างไรดี   

      หายหัวไปอยู่ไหนกันหมดวะ! 

      สบถในใจพลางกดตัดสายหลังจากสัญญาณดังอยู่นานก่อนจะเข้าระบบฝากข้อความ  เป็นอันให้ความหวังสุดท้ายของเขาหายลับไปอีกครั้ง  ดวงตาคู่สวยมองข้างทางอย่างเลื่อนลอย   จากวิวที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องทว่าตอนนี้บรรดาตึกเหล่านั้นค่อยๆ ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ  บ่งบอกว่าเราออกมานอกเมืองไกลมากแค่ไหน  เขาสลัดความกังวลทิ้งไปแล้วดึงตัวเองกลับมาอีกครั้ง  มองไปบนท้องถนนเพื่อพยายามจดจำจุดสังเกตต่างๆ และดูว่าพอจะมีแท็กซี่ผ่านมาบ้างไหม  ทว่ายิ่งอีกฝ่ายขับออกไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกลจากความหวังของเขามากขึ้นเท่านั้น 

      ร่างเล็กถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก  มองเปอร์เซ็นแบตฯบนหน้าจอโทรศัพท์ก็ยิ่งพาลให้ใจเสีย  และก่อนที่อะไรจะสายเกิดไปเขารีบกดเข้าไปยังรายชื่อที่บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของใครบางคน  แถมยังเคยบล็อกไลน์เอาไว้เมื่อนานมาแล้วและเขาก็ใจร้อนเกิดกว่าจะไปเสียเวลาค้นหาเลยเลือกที่กดส่งSMSไปให้แทน

      “นี่กูนายน์นะ  ตอนนี้กูอยู่กับฝน  เขากำลังขับรถพากูไปไหนไม่รู้  มึงช่วย...

      กดพิพม์แล้วก็ลบออกอย่างชั่งใจ  เพราะรู้สึกว่ามันออกจะตรงประเด็นเกินไปหน่อย  แต่เขาไม่มีเวลากลั่นกรองถ้อยคำมากนักจึงเริ่มพิมพ์อีกครั้ง 

     ‘’นี่กูเอง  กูอยู่กับฝน  ฝนกำลังพากูขับรถไปไหนไม่รู้”

      นายน์สลัดความคิดเล็กคิดน้อยทิ้งแล้วกดส่งไปทันที  ทั้งทีได้เบอร์อีกฝ่ายมาเพื่อจะบันทึกเอาไว้เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายเกิดโทรมาเขาจะได้รู้ว่าเป็นใครแล้วก็จะได้ไม่ต้องรับ  ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเสียเอง  แถมยังเป็นการขอความช่วยเหลือไปเสียฉิบ

     ‘มึงอยู่ไหน’

      รอเพียงไม่นานเสียงข้อความเข้าก็ทำเอาเขาสะดุ้ง  นายน์รีบพิมพ์ตอบกลับไปอีกครั้ง  หัวใจของเขาพองโตขึ้นเรากับต้นไม้ขาดน้ำที่ได้รับการช่วยเหลือในที่สุด  “กูไม่รู้  แต่เหมือนจะออกมานอกเมือง”

      ‘มึงมีไลน์กูใช่มั้ย  ส่งโลเคชั่นมา  คุยในนั้นสะดวกกว่า’

      “โอเค”

      เขารีบทำตามที่อีกฝ่ายบอกทันทีก่อนที่แบต20เปอร์เซ็นของเขาจะลาโลกไปเสียก่อน  แต่ติดตรงที่รถยังคงวิ่งไม่หยุดอยู่แบบนี้  อีกฝ่ายจะหาเขาเจอไหมนี่สิ




      นายน์มองออกไปนอกรถด้วยความกระวนกระวายที่พยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย  นับตั้งแต่ฝนพาเขาเลี้ยวเข้าข้างทางและวิ่งต่อไปบนถนนรกร้างราวสิบนาทีเขายังไม่เห็นบ้านคนเลยสักหลัง  ตลอดสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ขึ้นห่างๆ แถมยังมืดสนิทพาลให้หัวใจของเขาหล่นวูบ  และในที่สุดสิ่งที่อยากให้มันเกิดขึ้นก็มาถึงเสียที  ฝนยอมหยุดรถในที่สุด  ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย

      “ลงไปสิ”

       “.....ทำแบบนี้ทำไม”

      “ลงไป”

      เสียงแข็งๆ นั้นบอกชัดเจนว่าฝนไม่เปลี่ยนใจแน่  ดวงตาคู่สวยที่ถูกความหวั่นใจกัดกินมองใบหน้าด้านของของอีกฝ่ายอย่างเข้าใจในที่สุด  จากสิ่งที่ฝนพูด  บอกชัดเจนว่าฝนมองเขาเป็นเพื่อนที่ไม่ดีไปแล้ว  ไม่สิ  ฝนไม่ได้มองเขาเป็นเพื่อนเลยด้วยซ้ำ  และนี่คือการเอาคืนอย่างไม่ต้องสงสัย  นายน์ยอมเปิดประตูรถลงไปอย่างจำยอม  และทันทีที่เขาปิดประตูลงอีกฝ่ายก็ออกรถไปอย่างไม่รอแม้แต่วินาทีเดียว

      ร่างเล็กทำได้เพียงมองแสงไฟท้ายรถถอยห่างออกไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งลับสายตา  ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเขาเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืด  พลันความกลัวก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา  เขากดดูหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง  และมันยังคงนิ่งสนิทนับตั้งแต่ส่งโลเคชั่นครั้งสุดท้ายไปให้อีกคน  บางทีเขาอาจจะถูกปล่อยทิ้งไว้ที่นี่โดยไมมีใครสนใจเลยก็ได้  ความคิดในแง่ร้ายและความกลัวเกาะกินเสียจนเกือบจะเผลอร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ  เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง  พยายามไม่ให้ความหวั่นกลัวเกาะกินเสียจนสติหลุดไปมากกว่านี้ 

      คิดได้ดังนั้นสองเท้าของเขาก็ออกเดินไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย  ความตั้งใจของเขาคือเดินออกไปปากทางก่อนที่ฝนจะพาเลี้ยวเข้ามา  เพราะอย่างน้อยก็ยังมีแสงสว่างและรถขับผ่านบ้าง 

      เขาสาวเท้าอย่างเร่งรีบร่วมสิบนาทีกว่าจะพาตัวเองมาถึงถนนใหญ่  เดินเท้าต่อไปยังไหล่ทางที่มีเสาไฟฟ้าทิ้งห่างแต่ยังพอให้ความสว่างได้บ้าง  เขาเดินไม่หยุดจนกระทั่งมองเห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีแสงสว่างและตึกคล้ายๆ ว่าอาจจะเป็นโรงงานหรือสำนักงานอะไรสักอย่างอยู่ห่างออกไป  สาวเท้าเดินต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะหยุดลงยังเสาไฟฟ้าริมฟุดบาท  ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นอย่างคนหมดแรงและหิวจนแสบไส้  ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ออกมาแล้วกดส่งโลเคชั่นไปให้อีกครั้งด้วยความหวังสุดท้ายพร้อมกับข้อความที่บอกว่าฝนทิ้งเขาเอาไว้แล้วจากไปแล้ว  ตอนนี้เหลือแค่เขาคนเดียว  นายน์ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องถนนแล้วก็จมหายเข้าไปในความคิด

   ติ๊ง!

     เสียงนั้นดึงเขาออกจากภวังค์แล้วรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาสำรวจอีกครั้ง

      ‘รอหน่อยนะ  กูกำลังหามึงอยู่’

       ‘ถ่ายรูปตรงที่มึงอยู่มาให้หน่อย’

      เขามองข้อความเหล่านั้นแล้วจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เริ่มพล่าเลือน  รู้สึกถึงความแสบร้อยของโพลงจมูกขึ้นมาเสียดื้อๆ  บอกไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหน  รู้แต่เพียงว่าตอนนี้มือของเขาสั่นเทาจนแทบจะควบคุมไม่อยู่  เขากดเลือกกล้องแล้วรีบถ่ายส่งไปให้อีกฝ่ายแม้ว่าโทรศัพท์จะร้องเตือนว่าในไม้ช้าเครื่องของเขาก็คงจะดับลงในที่สุด 

     ‘โอเค’

      ’อย่าไปไหนนะ  กูกำลังไป’

      นิ้วเรียวตั้งใจจะพิมพ์ตอบกลับไปทว่าโทรศัพท์เจ้ากรรมดันมาเดี้ยงไปเสียก่อน  หน้าจอที่ดับวูบไม่ต่างความหวังลิบหลี่ของเขาที่พากันเหือดแห้งลงไปไม่ต่างกัน  นายน์เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง  ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่รื้นขึ้นมาทั้งที่ไม่ต้องการทิ้งไป  จ้องมองไปยังท้องถนนข้างหน้า  ในใจหวังอยากให้อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้เลย  เพราะเขาในตอนนี้ทั้งหิวทั้งกลัวทั้งสับสนไปหมด  ในหนึ่งเขาอยากจะเดินต่อเผื่อว่าจะเจอใครให้ขอความช่วยเหลือ  หรือโชคดีกว่านั้นอาจจะเจอปั๊มน้ำมัน  แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าเขาเดินไปจากตรงนี้แล้วถ้าอีกฝ่ายมาก็อาจจะคลาดกัน  สุดท้ายเลยทำได้เพียงนั่งข่มตัวเองไม่ให้ตื่นกลัวและมองไปยังถนนตรงหน้าอย่างมีความหวัง




                                      **************************************************

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
สนุกดี 1 นายน์ เท็น 1990  คิดได้ไง ชอบๆ

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ฝนน่ากลัวมากกกก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 o22

น่ากลัวนะฝน คิดเองเออเองอีก

ออฟไลน์ fahsida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ฝนแย่มากที่ทำแบบนี้ รู้จักนายน์ยังไม่ดีพอเลย มีสิทธิ์อะไรไปว่าเขาแบบนั้น ไหนจะการกระทำนี้อีกถึงเท็นจะชอบนายน์ แต่ตอนโดนปฏิเสธก็รู้แล้วหนิว่านายน์ไม่ได้อยากให้ชอบ แล้วฝนมีสิทธิ์อะไรมาทำกับเท็นแบบนี้ แจ้งความงี้ต้องแจ้งความ

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เกินไปอ่ะแบบนี้ พาไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้ได้ไง อย่างนี้ควรจะเอาเรื่องฝนไม่ควรปล่อยอ่ะ

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0


EP9… 



     ร่างเล็กนั่งรอต่อไปอย่างเลื่อนลอย  แม้ว่าสายตาจะอ่อนล้าแค่ไหนแต่เขาก็หยุดมองไปยังท้องถนนไม่ได้อยู่ดี  ความเงียบบวกกับความมืดที่รายล้อมรอบกายทำให้ความคิดด้านลบมักจะผุดขึ้นมาในหัวทุกเมื่อที่มีโอกาส  ถ้าคนที่จะมารับเกิดเปลี่ยนใจล่ะ  ถ้าต้องนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้าล่ะ  แล้วถ้าเกิดมีคนไม่ดีผ่านมาเจอเข้าจะทำยังไง  ความหวาดกลัวเหล่านั้นแทรกเช้ามาอย่างง่ายด้วยเพราะเขากำลังอยู่ในสภาวะอ่อนแอ  แต่อีกใจหนึ่งกลับต่อต้านว่าอย่างไรเท็นก็ต้องมา 

     เขายังอยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องทำอย่างที่บอก  เพราะมันคือความหวังสุดท้ายของเขา

    นายน์จมจ่อมอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้  ทว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น  ซ้ำความอ่อนล้าที่กำลังรุมเร้าทำให้เขาฝืนลืมตาต่อไปไม่ไหว  นายน์ต้องคอยสะบัดหัวไล่ความง่วงระคนอ่อนเพลียทิ้งไปอยู่เป็นระยะ  ไม่อย่างนั้นมีหวังเขาคงได้หลับไปทั้งอย่างนี้แน่   

     ทันใดนั้นเองรถยนต์คันหนึ่งก็มาหยุดลงตรงหน้า  เขาเงยหน้าขึ้นมองทันทีด้วยอารามตกใจ  เขาชั่งใจว่าควรจะดีใจหรือว่าควรจะเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะได้ไหวตัวทันดี  ร่างเล็กหยัดมือไว้กับพื้นเตรียมจะพยุงตัวลุกขึ้น  ทว่าจะกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับก็ค่อยๆ ลดลงเผยให้เห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเสียก่อน 

     “กูเอง”

     “..........”  เขาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว  ได้แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอยู่อย่างนั้นราวกับถูกสายตาคู่นั้นตรึงเอาไว้ 

     “มึงโอเคมั้ย”

     “..........”  ไม่รู้ทำไม  เพียงแค่คำถามแสนธรรมดานั้นกลับทำให้น้ำตาเกิดรื้นขึ้นมาเสียดื้อๆ  นายน์เม้มริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองพลางกลืนก้อนสะอื้น  หลับตาลงเพื่อไล่ความอ่อนแอทิ้งไป  ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก  ความหิวและความอ่อนล้าทำให้เขาอ่อนไหวง่ายกว่าปกติจริงๆ

     ปัง!

     ทันทีที่พาตัวเองเข้ามาภายในรถเขาก็ทิ้งตัวลงกับเบาะนั่งอย่างอ่อนแรง  ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะดึงเข็มขัดมาคาด  และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นถึงได้เอ่ยขอโทษแผ่วเบาก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วจัดการคาดเข็มขัดให้เขา  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและใกล้เสียจนเขาทำได้เพียงสะดุ้งน้อยๆ พลันเสสายตาไปทางอื่นเท่านั้น 

     “น้ำมั้ย  ขอโทษนะบนรถกูไม่มีอะไรให้มึงกินรองท้องเลย  หิวรึเปล่า”

     ความเป็นจริงคือเขาหิวจนเบลอไปหมด  แต่สิ่งที่ทำกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง  นายน์เลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธ  นั่นเป็นเพราะเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำอะไรทั้งนั้น  อีกอย่างน้ำเสียงที่ดูห่วงใยของอีกฝ่ายกำลังก่อกวนให้เขารู้สึกปั่นป่วนจนไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตา   

     “ขอโทษที่ให้รอนาน”

     นายน์ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังหันกลับไปออกรถอีกครั้ง  ก่อนจะทำทีเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพล่า  “ก็ยังดีกว่าไม่มา” 

     “อยากเล่ามั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”

     “..........”

     “ฝนพามึงมาทิ้ง  กูพูดถูกมั้ย”

     “รู้ได้ไง”

     “…เดา”

     “..........”

     “เป็นเพราะกูรึเปล่า”

     “……….”

     “ขอโทษนะ”

     “……….”

     “…กูคิดมาตลอดทางว่าถ้าหามึงไม่เจอจะทำยังไง  ขอโทษที่ทำให้มึงเดือนร้อน”

     “..........”

     “กูไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้”

    “……….”

     “ถ้าฝนพูดอะไรแย่ๆ กับมึง  ไม่ต้องเก็บมาคิดหรอกนะ  เขาก็แค่...ผิดหวังล่ะมั้ง”

     “..........”

     “โทษที  กูปลอบใจใครไม่ได้เรื่อง”

     “.....รู้ตัวนี่”

     “……….”

     “แล้วมึงจะเอายังไงต่อ”

     “ไม่รู้เหมือนกัน”

     “แต่กูว่าฝนทำเกินไป  ถ้าเกิดกูหามึงไม่เจอจะเกิดอะไรขึ้น”

     “……….”

     “โอเค  เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง  มึงคงจะเหนื่อย  นอนพักไปก่อน  ถึงบ้านแล้วกูจะปลุก”

     “อืม” 

     ตลอดการสนทนานายน์เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร  การต้องมาอยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสองด้วยสถานการณ์แบบนี้เป็นอะไรที่เขาไม่สามารถจินตนาการถึงเลยจริงๆ  ไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรจะต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ  แน่นอนว่าเขาสามารถเอาฝนเรื่องได้  และฝนคงจะได้รับบทเรียนราคาแพงไม่น้อยหากเขาตัดสินใจทำแบบนั้น  แต่ตอนนี้หัวสมองและร่างกายที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงของเขามันด้านชาไปหมด  ซ้ำความห่วงใยของอีกคนก็รังแต่จะทำให้เขาอ่อนแอลงทุกที 

     ไม่รู้ทำไม…     





     เครื่องยนต์ถูกดับและจอดลงที่หน้าบ้านของเขาในเวลาที่บรรยากาศโดยรอบทั้งเงียบและมืดสนิท  มีเพียงไฟฟ้าข้างทางเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่าง  ร่างเล็กมองไปยังตัวบ้าน  ที่ชั้นล่างถูกเปิดไฟสว่างโล่ทิ้งไว้เป็นอันเข้าใจได้ว่าแม่เปิดไว้รอเขา  เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขากลับบ้านดึก  ก่อนจะหันไปหาคนขับเป็นครั้งแรก  และเจ้าตัวก็กำลังมองมาที่เขาอยู่เช่นกัน  นายน์พยายามไม่หลบสายตาคู่นั้น  ทว่าสุดท้ายก็พ่ายแพ้และเสมองไปทางอื่นอีกจนได้  ในใจอยากเอ่ยขอบคุณและขอโทษที่รบกวนออกไปตรงๆ  แต่ติดที่ปากหนักๆ มันไม่ยอมทำให้ง่ายอย่างใจคิดสักที

     “ดึกแล้ว  มึงไปพักผ่อนเถอะ”

     เสียงนั้นเรียกให้เขาหันกลับไปสนใจคนพูดอีกครั้ง  ทว่าครั้งนี้เท็นไม่ได้มองมาที่เขาเหมือนอย่างเคย  เจ้าตัวกำลังมองไปยังทางข้างหน้าราวกับรู้ว่าเขารู้สึกอึดอัด  ทำให้เขาสามารถมองอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องคอยหลบสายตาและก็ทำให้เขาเห็นว่าเจ้าตัวมีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด 

     “ขอโทษ”

     “เรื่อง?”

     “ที่จู่ๆ ก็โทรไปกวน”

     “ไม่เป็นไร  เต็มใจให้กวน  กูสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษมึง”

     “..........”

    “ดีแล้วที่มึงโทรมา  กูคิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีใครไปรับมึงจะเป็นยังไง”

     “..........”

     “ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินเหมือนวันนี้อีกมึงห้ามลังเลนะ  โทรหากูได้ตลอด”

     “เป็นหน่วยกู้ภัยหรอ”  ดูเหมือนว่าประโยคนั้นจะเรียกร้อยยิ้มเล็กๆ ที่เขาไม่ได้เห็นมันเลยนับตั้งแต่เจอหน้ากันวันนี้  สีหน้าของเจ้าของรถดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย  ทว่าก็เพียงเสี้ยวนาทีก่อนที่จะกลับเข้าสภาวะเคร่งขรึมอีกครั้ง

     “หน่วยกู้ภัยก็ต้องรับเรื่องทุกคนดิ  แต่ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่ทำให้หรอก”

     “..........”

     ปกติแค่คำพูดอย่างเดียวก็ทำให้เขาปั้นหน้าไม่ถูกอยู่แล้วนี่เล่นหันมาจ้องกันเต็มๆ แบบไม่ทันให้ตั้งตัวยิ่งพาลให้เขาทำตัวไม่ถูก  นายน์เม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะทำราวกับไม่ได้ยินที่เจ้าตัวพูดเมื่อครู่แล้วหันกลับไปมองที่บ้านอีกครั้ง  ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนถูกหมัดหนักๆ เสยเข้าปลายคาง  และมันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาที่อีกฝ่ายพูดอะไรตรงไปตรงมาจนรับมือได้ยาก  เขาไม่รู้ว่าควรต้องตอบโต้กลับไปอย่างไร   

     “จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องฉุกเฉินก็ได้  มึงโทรหากูได้ทุกเมื่อที่มึงต้องการ...รู้ใช่มั้ย”

     “..........”  นายน์เลือกที่จะพยักหน้าโดยไม่หันไปมอง  แต่ก็รับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่กำลังมองมาอยู่ตลอด  และเขาเดาว่าสายตาคู่นั้นก็คงจะเต็มไปด้วยความจริงจังเหมือนเช่นทุกครั้ง

     “เข้าบ้านเถอะ”

     “.....ก่อนหน้าที่กูจะโทรไป  มึงทำอะไรอยู่”  กลั้นใจเอ่ยออกไปแล้วก็พาลให้รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าสิ้นดี  มีคำถามอีกตั้งมากมายแต่เขากลับเอ่ยเรื่องโง่ๆ ออกไปเสียได้  อันที่จริงเขาก็แค่กำลังหาจังหวะขอบคุณอีกฝ่ายก็เท่านั้น  ไม่เข้าใจว่าเรื่องง่ายๆ เพียงแค่คำขอบคุณแต่กลับทำให้เขารู้สึกหืดขึ้นคอ

     “หืม?  ...ก็  เล่นเกมอยู่”

     “อ่อ....”

     “ถามหน่อยได้มั้ย”

     “ว่า?”

     “...ทำไมไม่โทรหาเพื่อนมึงล่ะ  ทำไมถึงเป็นกู”

     “..........”

     “ถ้ามึงเงียบกูจะคิดคำตอบเองนะ”

     ประโยคนั้นทำให้เขาต้องหันขวับกลับไปมองเจ้าของคำพูดด้วยความตกใจ  เพราะน้ำเสียงอีกฝ่ายดูจริงจังบอกเป็นนัยๆ ว่าคงไม่ได้พูดเล่น  นายน์หลบสายตาดาดคั้นในทีที่กำลังจับจ้องมาพลางว่า  “ก็...โทรไปแล้ว แต่พวกมันไม่ยอมรับสาย  ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนกันหมด”  นี่ก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมการตอบออกไปตามความเป็นจริงว่าเขาไล่โทรเรียงตัวแล้วก่อนที่จะตัดสินใจโทรหาอีกฝ่ายถึงได้กลายเป็นเรื่องที่พูดออกไปได้ยากเย็นไปเสียฉิบ  ราวกับว่าเขากำลังทำร้ายน้ำใจของคนที่ยอมสละเวลาและแรงกายขับรถตามหาตั้งครึ่งค่อนคืนอย่างไรอย่างนั้น 
 
     “อ้อ”

     เท็นขานรับเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไปเสียเฉยๆ  ซ้ำยังเอาแต่หันหน้ามองออกไปนอกรถราวกับคนกำลังใช้ความคิด  เป็นการตอบรับที่อยู่เหนือความคาดหมายสำหรับเขาไปมาก  และกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องแบกรับภาระกดดันจากความเงียบที่ปัจจุบันทันด่วนและไม่น่าพึ่งประสงค์เสียเอง 

     ทำไมเขาต้องถึงรู้สึกราบกับกำลังถูกอีกฝ่ายน้อยใจ  ผิดหวัง  หรืออะไรเทือกนั้นอย่างไรชอบกล  นายน์มองใบหน้าด้านข้างที่ยังคงนิ่งเงียบ  และคิดว่าคงจะทู่ซี้เงียบต่อไปเรื่อยๆ ถึงต่อให้เขาลงจากรถไปทั้งอย่างนี้ก็คงไม่มีเสียงดังไล่หลังมาอย่างแน่นอน 
หรือเขาควรชิงหนีไปทั้งอย่างนี้เลย? 

     ร่างเล็กเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเงียบที่กดดันเขาหรือเป็นความต้องการลึกๆ ของตัวเองที่อยากจะแสดงน้ำใจกับอีกฝ่ายกันแน่  แต่ทีแน่ๆ เขาเลือกที่จะบอกออกไปตามตรง  “....ความจริงกูอยากโทรหามึง  แต่ไม่กล้า  ก็เลย...”  กลั้นใจเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา  เรียกได้ว่าเบาเสียจนไม่แน่ใจว่าอีกคนจะได้ยินไหม  เพราะก็ไม่เห็นว่าเจ้าตัวจะมีท่าทีต่างไปจากเดิมเลยสักนิด   

     “..........”

     “พอโดนทิ้งให้อยู่ตรงนั้น  คนเดียวที่กูพอจะนึกออกก็คือมึง”

     “..........”

     “เพราะกูคิดว่า  มึงน่าจะมา”

     “……….”

     หลังจากกลั้นใจพูดออกไปตามความจริงและตรงกับความรู้สึกที่สุด  ทว่าก็ยังมีแต่ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น  ผ่านไปหลายนาทีกว่าที่ไอ้คนพูดน้อยต่อยหนักจะยอมหันกลับมาหาเขาพร้อมกับใบหน้าที่ดูก่ำกึ่งว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มหรือแค่ยกมุมปากขึ้นนิดๆ ตามประสาคนหล่อหน้านิ่งแต่เป็นมิตรกันแน่   
 
     “มึงคิดถูกแล้วล่ะ”

     “...........”

     “กูดีใจนะที่มึงโทรมา”

     “……….”

     “นึกว่ามึงลบเบอร์กูทิ้ง  ไม่ก็บล็อกกูไปแล้วซะอีก”

     “..........”

     ฉึก! 

     นายน์รู้สึกเหมือนโดนหมัดหนักๆ น็อคเข้ากลางหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง  เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง  แต่ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจแล้วนิดหน่อยว่าไอ้นิสัยพูดตรงน่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องถนัดของเจ้าตัว  มั้งนะ  เขาหมายถึงถ้าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดจริงๆ
 
     จากตอนแรกที่คิดว่าถูกแกล้งป่วนให้โมโหเล่นเหมือนเมื่อก่อน  เขาคิดมาตลอดว่าอีกฝ่ายแค่ชอบสร้างกระแสเพราะอยากดังเลยลากเขาไปเอี่ยวด้วย  บวกกับคงหมั่นไส้เขาเป็นการส่วนตัวถึงได้หาเรื่องให้เขาปวดหัวเล่น  ทว่าสายตาและสีหน้าที่ส่งมากลับทำให้เขาไขว้เขวและเกิดความสงสัยทุกครั้ง  อดจะสับสนไม่ได้ว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาหรือว่าของจริง   
 
     “.....มึงบอกว่ากูกวนมึงได้ตลอดใช่มั้ย”  จู่ๆ ความรู้สึกว่าอยากพิสูจน์คำพูดตรงๆ เหล่านั้นของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้าใส่จนไม่สามารถยั้งปากของตัวเองเอาไว้ได้  เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวจะทำอย่างที่พูดได้จริงไหม  หรืออันที่จริงก็เป็นเพียงลมปากที่พูดเพื่อซื้อใจเขากันแน่!

     “อืม”

     “แล้วถ้ากูบอกว่า...”

     “ได้”

     “กูยังพูดไม่จบ”

     “อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

     “ทุกอย่าง?”

     “อืม”

     “ดี!”  เขาเงียบไปอย่างใช้กำลังคิดพลางหลบสายตาอีกคนที่มองมาอย่างรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร  “ช่วงนี้รถกูเข้าอู่...  ไหนๆ มึงก็รู้จักบ้านกูแล้ว  ก็คงจะสะดวกดีถ้ามึงมารับกูไปเรียน  เพราะยังไงเราก็เรียนที่เดียวกัน”  ตั้งใจจะพูดให้มันสั้นๆ ได้ใจความแล้วก็จบบทสนทนาให้รวดเร็วที่สุด  แต่พอถูกอีกฝ่ายจ้องกลับมาตรงๆ แบบนั้นก็พาลให้เผลอใส่เหตุผลเข้าไปเสียเยอะแยะ 

     “ได้”

     “โอเค”  เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบหยิบสัมภาระตัวเองพลางปลดเข็มขัดนิรภัย  เอี้ยวตัวเปิดประตูเตรียมพร้อมจะลงจากรถทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังกลับทำให้เขาสะดุดเสียก่อน

     “เจอกันวันจันทร์นะ”

     นายน์นิ่งเงียบอย่างชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรดี  ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเงียบและลงจากรถไปทั้งอย่างนั้น  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนอยู่เหนือเหตุผลและความเป็นตัวตนของเขาอย่างที่สุด  จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเอาแต่ถามตัวเองว่าทำอะไรลงไป!  ตอบตัวเองไม่ได้แถมยังรู้สึกราวกับพลาดที่ปล่อยให้ความคิดอยากหาคำตอบบ้าๆ นั้นเอาชนะความมีเหตุผลได้อย่างง่ายดาย

ก็คงเป็นเพราะความเหนื่อยปนอ่อนไหวล่ะมั้ง  ในเวลาที่เปราะบางที่สุดแล้วมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเป็นใครก็คงอ่อนไหวกันทั้งนั้น  ใช่ไหม! 




                                         *************************************************




     “ไม่ทานอีกล่ะลูก  ไม่ต้องเกรงใจนะ แม่ทำไว้อีกเยอะเลย”

     “ผมอิ่มจนพุงกางแล้วครับ  ขอบคุณมากครับ”

     “งั้นเอาน้ำผมไม้มั้ยจ้ะ”

     “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมากครับ”

     เสียงบทสนทนานั้นทำเอานายน์ที่กำลังเดินลงบันไดถึงกับต้องขมวดคิ้ว  เขาหยุดฝีเท้าลงพลางเงี่ยหูฟัง  หรือจะเป็นไอ้เคนมาขอส่วนบุญกินข้าวฟรีฝีมือแม่เขาอีกแล้ว แต่ปกติมันไม่มาเช้าขนาดนี้  แถมวันธรรมดามันก็มีเรียนทุกวันนี่นา 

     นายน์เก็บความสงสัยแล้วก้าวเร็วๆ ลงบันได  และทันที่ที่เขาพาตัวเองมาถึงห้องครัว เท้าที่เดินกึ่งวิ่งก็เป็นอันให้ต้องหยุดชะงัก  เพราะคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารกับแม่ของเขาไม่ใช่ไอ้เคน  แต่เป็นคนที่เขาไม่คิดและไม่ได้เตรียมใจไว้ว่าจะได้เจอหน้ากันอีกในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้  และคนๆ นั้นก็กำลังมองมาที่เขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     ฉิบหาย!  นี่เขาลืมไปเสียสนิทได้ยังไงว่าตัวเองเผลอพูดอะไรเอาไว้!  นี่แหละเขาถึงเตือนว่าอย่าตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ตอนที่สติไม่สมบูรณ์พอ! 

     และไอ้เขาที่ว่าก็ตัวเขาเองนี่แหละ  ฮืออออออ! 

     “ลงมาได้ซะทีนะเจ้าตัวดี  นี่แม่กำลังจะถามเท็นอยู่พอดีว่าเรามีเรียนกี่โมงทำไมถึงยังไม่ลงมากินข้าว”

     นายน์มองแม่ตัวเองกับแขกที่ไม่คิดว่าจะมานั่งตัวเขืองอยู่ในบ้านอย่างยังไม่อยากเชื่อสายตา  ด้วยความเคยชินที่ต้องนั่งพี่วินออกไปเรียนเองทุกวัน(เพราะช่วงนี้รถเข้าอู่)และก็ดันลืมคำพูดตัวเองไปแล้วทำให้เขาเก็บอาการหน้าเหวอเอาไว้ไม่อยู่   

     “จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ยลูก  รีบมากินข้าวจะได้รีบไปเรียน  เท็นมารอเป็นชั่วโมงแล้ว  เรานี่แย่จริงๆ  ให้เพื่อนมารับแล้วยังจะตื่นสายอีก”

     นายน์ขมวดคิ้วมุ่นอยากจะโต้กลับคนเป็นแม่  แต่ติดที่ว่ามีอีกคนนั่งอยู่ด้วยนี่แหละ  ร่างเล็กเม้มปากข่มสติตัวเองให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยพลางเดินมานั่งยังที่ว่างฝั่งตรงข้ามอีกคน  ตรงหน้ามีโจ๊กไก่ของโปรดของเขาตั้งรออยู่แล้ว 

     “อุ่นมั้ยลูก  จะได้กินร้อนๆ”

     “ไม่ครับ  แม่ไปทำงานเถอะ  เดี๋ยวนายน์จัดการเอง”

     “แม่ทำแซนวิซไว้ให้ด้วย เผื่อนายน์ไม่อิ่ม  อย่าลืมหยิบไปด้วยนะลูก”

     “ครับ”

     “แบ่งให้เท็นด้วยล่ะ  แม่ไปก่อนนะเท็น  …ขอบใจน๊ะจ้ะ  อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามารับเด็กขี้เกียจ  หล่อแล้วยังใจดีอีกนะเนี่ย”

     “แม่!” 

     “จะเสียงดังทำไมเนี่ยลูกคนนี้”  หญิงวัยกลางคนที่ยังดูอ่อนกว่าอายุจริงโยกหัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเล่นเหมือนอย่างที่ชอบทำ  “แม่ไปจริงๆ ละ  เจอกันตอนเย็นจ้ะ  อยากกินอะไรก็ไลน์มาบอกนะ  เดี๋ยวจะทำไว้ให้”

     “ครับ”

     พอไม่มีแม่คอยชวนคุยบ้านทั้งหลังก็พาลถูกความเงียบเข้าครอบงำ  เงียบเสียจนชวนให้อึดอัด  นายน์คนโจ๊กในชามพลางเอาแต่ก้มงุดหลบสายตาคนฝั่งตรงข้าม  ในหัวมีก้อนความคิดขนาดมหึมากำลังตีกันให้วุ่น  เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโผล่มานั่งอยู่กลางบ้านแบบนี้  แถมยังมารอเขาตั้งชั่วโมงกว่าแล้วด้วย  น่าอายชะมัด!

     “รู้แล้วว่ามึงเหมือนใคร”

     เสียงนั้นดึงเขาออกจากภวังค์  นายน์คนโจ๊กเล่นอย่างไม่รีบร้อนพลางเอ่ย  “ใครใช้ให้มึงเข้ามาในบ้านกูไม่ทราบ”

     เท็นหัวเราะหึในลำคอเพราะน้ำเสียงประชดประชันที่ถูกเอ่ยจากปากของคนที่เอาแต่ก้มหน้าหนีเขาเสียจนคางแทบจะชนอกอยู่รอมร่อ  “ก็มึงบอกให้มารับ  หรือว่ามึงลืมแล้ว?”

     ประโยคนั้นกวนใจคนที่พยายามหลบสายตาจนต้องเหลือบมองคนช่างยอกย้อนอย่างเคืองๆ  แต่ถ้าให้พูดกันตามจริงก็คือ  ลืมเสียสนิทอย่างที่มันว่านั่นล่ะ!  “แต่กูไม่ได้หมายความว่าให้มึงเข้ามาในบ้านกู”  พอเรี่ยวแรงกลับมาเป็นนายน์คนเดิมไม่ได้ป้อแป้เหมือนเมื่อครั้งก่อน  ก็พาลให้ลืมวิธีคุยกันแบบสงบศึกกับอีกฝ่ายไปด้วย  ก็คนมันเคยพูดกันดีๆ ที่ไหน! 

     เท็นยักคิ้วตอบรับตาชั้นเดียวทว่าดูกลมสวยที่ยอมมองมาที่เขาเสียทีอย่างจงใจ  และก็ได้ผลเมื่อใบหน้าน่ารักนั้นดูไม่สบอารมณ์ขึ้นทันควัน  เขาเอนตัวไปกับพนักเก้าอี้พลางกอดอก  “ก็แม่มึงเปิดประตูให้เอง  กูเป็นพวกไม่กล้าเสียมารยาทกับผู้ใหญ่ซะด้วย”

     “..........”

     “ขอโทษแล้วกันที่ไม่ได้ขออนุญาตมึงก่อน”

     “หึ!”  สบถเพียงเท่านั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตาตักโจ๊กเข้าปากทำราวกับว่าไม่มีอีกคนอยู่ในบ้าน  ทั้งที่ความเป็นจริงในอกของเขากำลังเต้นรัวจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่  ไม่รู้ทำไมต้องตกใจขนาดนี้ด้วย  โคตรจะไม่เข้าใจตัวเองเลย!

     “มีเรียนกี่โมง”

    “เก้า” 

     “นี่มันแปดโมงกว่าแล้วนะ  ไม่รีบหรอ”

     จะให้บอกยังไงว่าตอนแรกเขากะจะนั่งพี่วินแล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปเองก็เลยตื่นเอาป่านนี้ด้วยความตั้งใจล้วนๆ  แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นนั่งรถส่วนตัวอย่างนี้ก็มีแต่สายแบบไม่ต้องสืบ  “ไม่อ่ะ  กูไม่ชอบวิชานี้”

     คนฟังได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร  ก็ในเมื่อเขาเต็มใจมาเองก็มีแต่ต้องรออีกฝ่ายก็เท่านั้น  “งั้นก็...ตามสบาย”  เพราะตัวเขาเองที่มีเรียนแปดโมงครึ่ง  เลยทำใจไว้ตั้งแต่บึ่งรถมาที่บ้านหลังนี้แล้วว่ายังไงก็คงสายแบบไม่ต้องสืบ 

     “ไปได้ยัง”

     เท็นเลิกคิ้วเป็นเชิงถามด้วยอารามประหลาดใจระคนตามอีกฝ่ายไม่ทัน  เมื่อครู่ยังเอาแต่คนโจ๊กเล่นเป็นเด็กเบื่ออาหารอยู่เลย  อีกอย่างเขาเห็นนายน์ตักโจ๊กเข้าปากไม่ถึงห้าคำด้วยซ้ำ  “อิ่มแล้วหรอ”

     “อืม”

     “ถ้ากูเป็นแม่มึงคงน้อยใจตาย”

     “ยุ่ง!” 

     “โอเค  งั้นไปรอที่รถก็แล้วกัน”  เท็นลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าเอากุญแจรถบนโต๊ะ  ก้าวเดินออกจากห้องครัวตรงไปยังรถของตัวเองที่จอดไว้ตรงหน้าบ้านตามที่บอกอีกฝ่ายเอาไว้  กลัวว่าชักช้าเดี๋ยวจะทำคุณคนน่ารักไม่สบอารมณ์เข้าให้อีก






     รถคันหรูจอดลงยังหน้าตึกเรียนรวมในเวลาที่คลาสเรียนของนายน์เริ่มไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง  เขาละสายตาจากตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือก่อนจะหันไปหาเจ้าของรถ  “ขอบใจ”

     “ยินดี”  เขาก็แค่ตอบไปตามความรู้สึกก็เท่านั้น  ทว่าเหมือนจะไปสะกิดต่อมอะไรของคนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถเข้าให้กระมังเจ้าตัวถึงทำหน้าเหมือนโดนบังคับให้กินยาขมแบบนั้น 

     “ไม่ต้องโปรยเสน่ห์ใส่กูให้เหนื่อยหรอก  กูไม่ใช่พวกสาวๆ แฟนคลับมึง”  ใครก็ได้ช่วยเอาไอ้หน้าหล่อๆ ที่กำลังยิ้มจนตาเป็นประกายนี่ไปทิ้งให้ที!

     “กูทำตอนไหน”

     “มึงควรถามว่าตอนไหนไม่บ้างทำดีกว่า”

     ร่างสูงหลุดหัวเราะเพราะประโยคนั้นในที่สุด  อุตส่าห์ข่มตัวเองไม่ให้ยิ้มมากไปแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเพราะเขากำลังมีความสุขจนแทบจะติดปีกบินอยู่รอมล่อ  “โทษที  กูไม่รู้ตัว”

     ไอ้แววตาวิ้งวับกับรอยยิ้มกรุ่มกริ่มเล็กๆ ของคนตรงหน้าเขานี่บอกตามตรงว่าอมโบสถ์มาพูดก็ไม่เชื่อ  เปิดโอกาสให้หน่อยทำเป็นเหลิง  คอยดูเถอะจะแกล้งปั่นหัวซะให้เข็ด! 

     “แล้วมึงเลิกเรียนกี่โมง”

     “ไม่บอก”

     “แล้วจะกลับยังไง”

     “เรื่องของกู”

     “งั้นเดี๋ยวมารับ”

     “มึงฟังภาษาคนรู้เรื่องปะเนี่ย!”

     “ก็กูว่าง  ไหนๆ ก็มารับแล้ว  ไปส่งแถมให้ด้วยดีกว่า”

     “มึงพูดเองนะ”

     “อืม”

     “เลิกเรียนบ่ายสอง  ห้ามเลท!”  ตัดบทเพียงเท่านั้นแล้วคว้ากระเป๋าเตรียมจะเผ่นออกจากรถ
 
     แต่ดูเหมือนจะยังเร็วไม่พอ!

     “รับทราบ!”

     อุตสาห์กะจะทิ้งระเบิดไว้ให้คนโดนออกคำสั่งอึ้งเล่นๆ แล้วรีบเผ่นออกจากรถ  ยังต้องมาโดนกวนใส่อีกรอบจนได้  นายน์ตวัดสายตามองไอ้หน้าหล่อที่มองมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วก็ต้องกรอกตาด้วยความเซ็งอีกรอบ 

     นี่เขาคิดผิดหรือคิดถูกที่เกิดอยากพิสูจน์บ้าๆ บอๆ อะไรนั่นขึ้นมา!  หาเรื่องเอาตัวเองมาเป็นเหยื่อให้ไอ้บ้านี่ป่วนเล่นแท้ๆ! 





                                      *************************************************



ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

รอวันที่นายน่ารัก

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
EP10…





     เท็นขับรถมาถึงหน้าตึกเรียนรวมที่เขามาส่งใครบางคนเมื่อเช้าในเวลาบ่ายโมงห้าสิบนาทีไม่ขาดไม่เกิน  ดับเครื่องยนต์จอดเทียบตรงที่ที่จะมองเห็นได้ง่าย  ทว่ารออยู่นานเกือบยี่สิบนาทีก็ยังไร้แววอีกฝ่าย  แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตันสินใจจะรอจนกว่าอีกฝ่ายจะมา 

     ผ่านไปอีกสิบนาที...
 
     ล่วงเลยไปอีกครึ่งชั่วโมง...

     และเข็มนาฬิกาก็หมุนวนอยู่อย่างนั้นโดยไร้ซึ่งวี่แววของคนที่รอ...

     กระทั่งเริ่มจะเคาน์ดาวน์เข้าสู่ชั่วโมงใหม่เสียงเคาะข้างกระจกก็ดังขึ้นพร้อมกับคนน่ารักที่กำลังก้มลงมองมายังเขา  เท็นรีบลดกระจกลงทันที  เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามคนตัวเล็กที่ดูมีใบหน้ายุ่งยากใจอย่างไรชอบกล  อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้วว่าเขาจะมารับ

     “ยังรออยู่อีกหรอวะ!” 

     “ต้องรอสิ  ก็บอกแล้วว่าจะมารับ”

     ประโยคเรียบๆ กับใบหน้าที่เจือไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูแตกต่างไปจากทุกครั้ง  แน่นอนว่าไม่เพียงเขาไม่ถูกอีกฝ่ายโวยใส่  แต่ท่าทางที่ดูใจเย็นราวกับว่าเพิ่งรอเขาไม่ถึงห้านาทีของเท็นก็ทำให้เขาประหลาดใจจนกลายเป็นฝ่ายที่ต้องปั้นหน้าไม่ถูกเสียเอง  “ขอโทษ  อาจารย์สั่งงานท้ายคาบน่ะ  ให้แบ่งหัวข้อบ้าบออะไรก็ไม่รู้  ตกลงกันไม่ได้ซักทีก็เลย...”  โกหกทั้งเพ  ไม่มีงานที่อาจารย์สั่ง  ไม่มีการแบ่งหัวข้อ  มีแต่เขาที่นั่งเล่นเกมส์ค่าเวลาเพื่อจะลองใจคนก็เท่านั้น

     “กลับเลยมั้ย  ต้องไปไหนก่อนรึเปล่า”

     “เอ่อ...ก็มีอ่ะ  แต่กูว่ามึงกลับไปก่อนดีกว่า  เดี๋ยวกูไปเอง”

     “รอจนขนาดนี้แล้ว  ขึ้นรถ  เดี๋ยวกูไปส่ง”

     “จะดีหรอวะ”

     “ดี”  เจ้าตัวเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับเป็นสัญญาณบอกว่าให้เขาขึ้นรถเสียที  เห็นแล้วก็ได้แต่ยอมใจในความแขนขายาวของพ่ออดีตนักกีฬาบาสเก็ตบอล
 
     นายน์ยืนจ้องตากับคนในรถอย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่  จริงๆ ต้องเรียกว่าทำเป็นช่างใจถึงจะถูก  ความจริงเขาพนันกับตัวเองเอาไว้ว่าเท็นจะรอได้นานแค่ไหน  แน่นอนเขาคิดว่าเจ้าตัวคงจะหมดความอดทนตั้งแต่สิบนาทีแรกแล้วก็คงจะเผ่นกลับบ้านอย่างหัวเสียพร้อมกับตรัสรู้ในที่สุดว่าถูกเขาป่วนเข้าให้ 

     ทว่าผิดถนัด!  ไม่เพียงแต่เจ้าตัวยังรออยู่และดูท่าว่าจะยังรอต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่แม้แต่จะโทรตาม  หรือหงุดหงิดใส่เขาเลยด้วยซ้ำ  ทำเอาความตั้งใจของนายน์แทบจะพังไม่เป็นท่า  แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด  นายน์ยัดตัวเองเข้าไปนั่งยังเบาะข้างคนขับ  ลอบมองอีกคนที่เพิ่งจะรู้เอาวินาทีนี้เองว่าเจ้าตัวก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกันพลางพยายามข่มตัวเองให้สู้สายตา  “งั้น...ไปร้านหนังสือก่อน  กูจะหาข้อมูลทำรายงาน”

     “โอเค  แล้วต้องไปที่ไหนต่ออีกมั้ย”

     “ไม่  แค่ร้านหนังสือ”

     “ตามนั้น”

     ท่าทางเหมือนต้นไม้ใกล้เฉาตายในตอนแรกหายเข้ากลีบเมฆ  ทิ้งไว้เพียงคุณชายเท็นมาดคูลที่มักจะยิ้มมุมปากนิดๆ ให้กับทุกสิ่งบนโลกได้กลับมาอีกครั้ง  นายน์ถอนหายใจอย่างปลงๆ กับท่าทางเหล่านั้น  บอกตามตรงว่าลังเลมากจนไม่อยากพิสูจน์อะไรแล้ว  ยิ่งเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดปนกดดันอย่างบอกไม่ถูก  แต่อีกใจเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าขีดความอดทนของนายทินกฤตอยู่ที่ตรงไหน  ไอ้ที่บอกว่าชอบกัน  ลองได้เจอมุมที่ไม่สวยหรู  งี่เง่า  เอาแต่ใจ  แถมยังมีลูปชีวิตที่โคตรจะจำเจของเขาเป็นได้เตลิดไปสักวัน

     ก็คงไม่ต่างกับคนอื่นๆ เท่าไหร่หรอก...   




     หลังจากฝ่าการจราจรมาจนถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง  กว่าจะวนหาที่จอดรถได้ก็เล่นกินเวลาไปเกือบสิบนาที  เราทั้งคู่เดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามาภายในตัวห้างฯ  อันที่จริงเขายืนกรานหนักแน่นว่าจะลงไปซื้อหนังสือสองสามเล่มแล้วก็จะกลับมาในเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีอย่างแน่นอนเพราะงั้นรออยู่ที่รถก็ได้  แต่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปหาอะไรดื่มสักหน่อยเขาเลยไม่อยากขัด 

     “งั้น  เดี๋ยวมาเจอกันตรงนี้นะ  ขอเวลา 15 นาที”

     “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้  กูแถมให้อีก5นาที”

     พอลองเหลือบมองหน้าคนใจป๋าแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียตรงนั้น  เขากรอกตาเป็นการรับมือกับไอ้คนตัวสูงที่เพิ่งยักคิ้วส่งมาให้  “เออ...ตามนั้น!”  นายน์เอ่ยเพียงเท่านั้นก็หันหลังแล้วยิ้มกริ่มเดินแยกไปอีกทาง  ความตั้งใจของเขาคือเดินชิลๆ ดูหนังสือ เลือกซื้อซีดีเพลงใหม่ๆ ซักชั่วโมงสองชั่วโมง  อุตส่าห์ให้โอกาสหนีแล้วแท้ๆ ยังจะทู่ซี้ตามมาเองก็ต้องจัดให้อย่างสมน้ำสมเนื้อเสียหน่อย  มารอดูกันว่าคนที่ถูกปล่อยให้รอถึงสองครั้งในวันเดียวจะมีปฏิกิริยายังไง
 
     เสร็จกูแน่ไอ้หล่อ!





     เวลาผ่านไปเกือบ 20 นาที เขามารอตามนัดตรงประตูทางออกไปลาดจอดรถ  แต่อีกฝ่ายยังไม่มา  ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีเพราะเขาตั้งใจอยากให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว  ทว่าเข็มนาฬิกาหมุนไปรอบแล้วรอบเล่าก็ยังไม่มีแม้เงาของคนที่มาด้วยกัน  เท็นตัดสินใจกดหมายเลขที่เขาบันทึกไว้ในเครื่องแต่กลับไม่มีความกล้าแม้แต่จะกดโทรออกเลยสักครั้ง  นี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้ทำมันเสียที  ยืนฟังเสียงสัญญาณดังต่อเนื่องจนตัดเข้าเสียงอัตโนมัติให้ฝากข้อความ  เขาตัดสินใจโทรอีกครั้ง  และอีกครั้ง  แต่ก็ยังเหมือนเดิม  จากกังวลเปลี่ยนเป็นสังหรณ์ใจไม่ดีจนต้องเดินไปดูตรงบันไดเลื่อนว่าใช่ชั้นที่เขานัดกับอีกคนไว้หรือเปล่า  ตัวเลขระบุชั้นตรงหน้าบันไดบอกเขาว่าไม่ผิดแน่  แต่อีกคนนี่สิ  ไม่ใช่ว่าจำผิดแล้วไปรออยู่ชั้นอื่นหรอกนะ  คิดได้ดังนั้นเขาจึงเดินลงบันไดเลื่อนไปทีละชั้น  จากตอนแรกที่เริ่มมองหาแค่ตรงประตูทางออกไปลานจอดรถก็เริ่มลามไปตามช็อปต่างๆ  เดินไล่หาจนทั่วจากชั้นที่เขาอยู่ซึ่งคือชั้น 5 วิ่งไปทั่วห้างฯ กระทั่งมาถึงยังชั้นได้ดินที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดแต่ก็อยากจะเช็คดูให้แน่ใจ  สุดท้ายก็ยังไร้เงาของนายน์อยู่ดี

     “อยู่ไหนของเค้าวะ!”  เท็นสำรวจเวลาบนข้อมือตัวเองอีกครั้ง  นี่เขาใช้เวลาวิ่งวุ่นไปทั่วห้างเกือบชั่วโมงเลยหรอ!  ตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรอีกครั้งทว่ามันกลับส่งเสียงดังขึ้นเสียก่อน  เท็นไม่ทันได้มองว่าเจ้าของสายเป็นใครเพราะกำลังหัวเสียที่ถูกขัดจังหวะอารามเป็นห่วงอีกคนยิ่งพาลให้รู้สึกหงุดหงิด  “ครับ!” 

     “อยู่ไหน  กูรออยู่ที่เดิมนะ”

     “นายน์!”

     “ขอโทษ  คือว....”

     “รออยู่ตรงนั้นนะ  อย่าไปไหนล่ะ”

     “อ...โอเค”

     ร่างสูงออกวิ่งทันทีที่วางสาย  เขากลัวจะคลาดกันหรือว่าอีกคนจะเดินไปที่ไหนอีก เมื่อมาถึงก็พบว่าคนที่เขาแทบจะพังกำแพงห้างควานหากำลังยืนดูดชานมไข่มุกพร้อมกับตรงพื้นข้างตัวเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย 

     “อะ”

     เจ้าตัวส่งแก้วชานมที่เขาไม่ทันสังเกตจากมืออีกข้างส่งมาตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสดใส  เขายื่นมือไปรับเอาไว้อย่างงงๆ  พลันคำพูดที่เตรียมไว้พาลให้บินหายไปหมด  เลยได้แต่ยืนหอบมองคนตรงหน้ายิ้มให้ตัวเองเป็นครั้งแรกอยู่อย่างนั้น
 
     “ขอโทษนะ  คือ...พอดีแม่โทรมา บอกว่าอยากได้ของในซุปเปอร์มาเก็ต  พอเจอแม่สั่งรัวๆ กูก็ลืมไปเลยว่ากูมากับมึง…”

     “อ่อ…”  เท็นได้ยินเหตุผลนั้นแล้วก็ได้แต่อึ้งไป  เพราะที่เดียวที่เขาไม่ได้เข้าไปดูให้ละเอียดก็คือไอ้ซุปเปอร์มาเก็ตที่อีกฝ่ายว่านี่แหละ ด้วยเพราะคิดว่ายังไงนายน์ก็ไม่น่าจะไปอยู่ในที่แบบนั้นอย่างแน่นอน

     “มึงโกรธกูเหรอ”  พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบแถมยังหน้าตึงสุดๆ เลยเข้าใจว่าสงสัยที่พยายามแหย่ให้เคืองมาทั้งวันคงจะเป็นผลแล้วกระมัง

      “เปล่าๆ  กูแค่…ช่างมันเถอะ”  จะให้บอกได้ยังไงว่าเผลอคิดบ้าบอไปต่างๆ นาๆ จนวิ่งพล่านเป็นหนูติดจั่นไปทั่วห้างฯ

     “มึงโอเคแน่นะ”

     “อืม  แล้วนี่...ได้ของครบรึยัง”

     “..........”

     “ยังหรอ  ไปซื้อสิ  ไม่ต้องรีบหรอก  กูไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว”

     “……….”

     “เดี๋ยวกูเฝ้าของให้เอง”

     “ป...เปล่า  ครบแล้ว  กลับกันเถอะ”  พอถูกอีกฝ่ายถามอย่างนี้เลยรู้สึกผิดขึ้นมาตงิดๆ ซ้ำพอมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาถึงได้เห็นว่าเจ้าตัวมีเหงื่อไหลซึมตรงไรผมและกรอบหน้าเต็มไปหมด  อย่าบอกนะว่าเที่ยวไปตามหาเขามาน่ะ

     เท็นพยักหน้ารับก่อนจะแกะหลอดที่อยู่ในถุงชานมขึ้นมาเจาะ  ดูรวดเดียวจนพร่องไปกว่าครึ่งแล้วก็ต้องประหลาดใจจนต้องยกแก้วขึ้นมามองอย่างงงๆ  “ปกติกูไม่ชอบกินอะไรพวกนี้เพราะมันหวานเกิน  แต่ยี่ห้อนี้ดีนะ  ไม่หวานจนแสบคอ”

     “กูว่าจริงๆ มันก็หวานแหละ  แต่กูซื้อมารอมึงนานแล้ว  น้ำแข็งมันละลายเลยจืด”

      “อ้าวหรอ” 

     เท็นสบถพลางยิ้มขำๆ เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะเผลอปล่อยไก่ต่อหน้าเขาก่อนจะเดินมาฉวยเอาถุงมากมายที่อยู่บนพื้น(ซึ่งก็คือข้าวของเครื่องใช้ในบ้านทั้งครีมอาบน้ำ ยาสระผม น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันควรเลือกยี่ห้อไหนสูตรอะไรเพราะเขาแค่ต้องการจะหยิบมาเป็นของประกอบฉากก็เท่านั้น)ไปช่วยถือโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ  เดินนำหน้าไปยังประตูทางออกโดยปราศจากการก่นด่าหรือต่อว่าใดๆ ทั้งนั้น  ไม่เพียงแต่เท็นจะไม่โกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด ฉุน หรืออะไรก็ตามแต่  เจ้าตัวกลับดูเหมือนจะอารมณ์ดีกว่าตอนขามาเสียอีกด้วยซ้ำ

     พิลึกคนจริงๆ!
 




                                                   **************************************



     เช้าวันต่อมาเขาก็ยังคงทำหน้าที่สารถีของตัวเองอย่างดีโดยการไปรอนายน์ที่บ้านแต่เช้าเหมือนเดิม  ทั้งที่ความจริงเขาแอบมีตารางเรียนเทอมนี้ของเจ้าตัวแล้ว(เพิ่งได้มาหมาดๆ เมื่อคืน)  แต่ในเมื่อนายน์ไม่ยอมบอกเอง เขาก็จะทำเนียนเป็นไม่รู้เพื่อจะได้มาที่บ้านอีกฝ่ายแต่เช้าต่อไป  มาให้ผู้ใหญ่เห็นหน้าบ่อยๆ ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้วจริงไหม  อีกอย่างแม่ของนายน์ก็ดูเหมือนจะถูกชะตาเขาอยู่ไม่น้อย 

     “นั่งเลยลูก  แม่ทำอาหารเสร็จพอดีเลย”

     “น่าทานจังเลยครับ”  เท็นแวะเข้าไปทักทายเจ้าของบ้านถึงในครัวพลางยืนดูเชฟมือโปรจัดจานอย่างคล่องแคล่ว 

      “เท็นชอบไส้กรอกแบบไหนจ้ะ  หมูหรือว่าไก่”

     “อะไรก็ได้ครับ  ผมทานได้หมดครับ”

     “ดีจริง  ทานง่ายแบบนี้อยู่ที่ไหนก็รอด  ลองเอาเจ้านายน์ไปปล่อยเกาะสิ  ได้อดตายแน่  ไม่ชอบกินเนื้อหมู  เอะอะก็จะกินแต่ไก่อย่างเดียวเลย  ไม่ชอบผักชี  แต่ถ้าเป็นผักชีในน้ำชุปกินได้  ความเรื่องเยอะนี่ต้องยกให้เลย  งั้นเท็นทานไส้กรอกไก่เหมือนนายน์ได้มั้ยลูก” 

     “ได้ครับ”  ว่าพลางรับจานอาหารที่คุณน้าส่งให้  ก่อนจะเดินตามเจ้าของบ้านไปยังโต๊ะทานข้าวที่อยู่ไม่ไกล 

     “นายน์น่ะกินยากตั้งแต่เด็ก  ดีที่แม่ชอบทำอาหาร  ไม่งั้นปวดหัวแย่เลย  ทานเลยลูกไม่ต้องรอนายน์หรอก  รายนั้นคงสายอีกตามเคย”

     “ครับ”  เท็นยิ้มรับหญิงวัยกลางคนที่บ่นลูกชายไปจัดแจงอาหารลงบนโต๊ะไว้รอคนที่ถูกพาดพิงไป  ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าคุณน้าไม่ได้จริงจังกับความเรื่องเยอะของลูกชายอย่างปากว่า  ออกจะติดไปทางเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ

     “ห้ามเหลือนะลูก”

     เท็นยิ้มรับคุณน้าคนสวย(ที่ไม่ยอมให้เขาเรียกคุณน้า)อีกครั้งพลางพับแขนเสื้อเตรียมพร้อมจะจัดการกับอาหารตรงหน้าเต็มที่  “จะทานให้เกลี้ยงเลยครับ”
 
     “ดีมากจ้ะ  อ้าว…มาซะทีคุณนายน์ตื่นสายของแม่”

     “แม่!!  บอกแล้วว่าไม่ให้เรียกแบบนี้”

     “แล้วแม่พูดผิดตรงไหน  ลูกแม่ชื่อนายน์แม่ก็เรียกถูกแล้วนี่  เนอะเท็นเนอะ”

     ร่างสูงมองแม่ลูกหยอกล้อกันแล้วก็ได้แต่ยิ้มรับเพราะสีหน้าและแววตาของนายน์บอกชัดเจนว่าเจ้าตัวไม่สู้จะสบอารมณ์เท่าไหร่  ดวงตาคู่คมมองสบอีกฝ่ายชั่วครู่ก่อนจะเลือกทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าแทน  ไม่แน่ใจว่านายน์อายที่ถูกแม่ล้อแบบนั้นต่อหน้าเขาหรืออะไร  แต่ที่แน่ๆ เขารับรู้ได้ว่าเจ้าตัวดูอารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด

     “จะไปได้ยัง!”

     “ยังไงกันลูกคนนี้  ตัวเองเป็นคนลงมาช้าแท้ๆ  ทำไมไปเร่งเพื่อนแบบนั้นล่ะ”

     แน่นอนว่านายน์พูดกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรกลับไปแม่ของอีกฝ่ายก็โต้กลับเสียก่อน  ร่างสูงที่ต้องวางช้อนกับส้อมในมือลงอย่างเงียบเชียบเลยทำได้แค่ลอบมองแม่กับลูกสลับกันอย่างเสียไม่ได้

     “ก็นายน์จะสายแล้วนี่”

     “วันหลังก็รู้จักตื่นให้มันเช้ากว่านี้หน่อยสิลูก  รบกวนให้เพื่อนมารับแล้วยังจะมาทำนิสัยไม่ดีใส่เพื่อนได้ยังไง”

     “วันนี้อาจารย์ดุมาก  นายน์ต้องไปแล้วจริงๆ!”

     “แม่ถึงได้บอกไงว่าให้บริการเวลาดีๆ”

     “…ลุกดิ!  จะนั่งอีกนานมั้ย!”

     ดูเหมือนว่าพอเจ้าตัวสู้เหตุผลของแม่ไม่ได้เลยกลายเป็นหันมาแหวใส่เขาแทน  ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทั้งที่ยังไม่ได้แตะอาหารแสนอร่อยตรงหน้าเลยสักคำ  “ขอโทษนะครับแม่  ผมขอตัว…”  ยังไม่ทันที่เขาจะได้บอกลากับคุณน้าผู้ใจดีนายน์ก็เดินออกจากบ้านไปเสียอย่างนั้น  ทำเอาเขาหน้าเหวอจนต้องหันกลับมายกมือไหว้เป็นการลาเพราะกลัวว่านายน์จะไปโดยไม่ยอมรอ

     “สงสัยไปโดนใครทำอะไรมาแน่ๆ  ปกตินายน์ไม่เคยเป็นแบบนี้  แม่ขอโทษแทนนายน์ด้วยนะลูก”

     “ไม่เป็นไรครับ  ผมไปก่อนนะครับ”  ยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งออกจากบ้านไปทันที

     โชคยังดีที่นายน์ยังยืนรอเขาอยู่ที่รถ  นึกว่าจะหนีกันไปนั่งแท็กซี่แล้วเสียอีก  และทันทีที่เจ้าตัวได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้าบูดๆ มากดดันให้เขาต้องรีบปลดล็อครถจนเกือบจะเรียกได้ว่ารน  บอกตามตรงว่านายน์เวอร์ชั่นนี้ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ 

     ปัง!

     เสียงประตูฝั่งข้างคนขับถูกกระชากปิดดังลั่นทำเอาหัวใจคนฟังหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม  เท็นพยายามทบทวนว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้เจ้าตัวไม่พอใจตอนไหนหรือเปล่าพลางยัดตัวเองเข้าไปนั่งประจำที่อย่างไม่อิดออด 

      เมื่อวานตอนซื้อของเสร็จเขาก็มาส่งเจ้าตัวที่บ้าน  เอ่ยถามเรื่องฝนนิดหน่อยว่าจะเอายังไง  แต่พอเจ้าตัวบอกว่ายังคิดไม่ออกเขาก็ไม่ได้เซาซี้อะไรต่อ  หลังจากนั้นก็ช่วยนายน์ยกของไปเก็บ  ยังได้รับคำขอบคุณให้ใจชื้นก่อนกลับอยู่เลย  คิดยังไงก็ไม่เจอจุดที่จะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์บูดอยู่ดี

     เขาออกรถไปพลางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างเกรงๆ  นายน์กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการเสวนากับเขา  ทำให้บรรยากาศโดยรอบถูกความเงียบเข้าครอบงำไปโดยปริยาย

     และเราก็นั่งเงียบกริบโดยไม่ปริปากพูดกันเลยแม้แต่คำเดียวจนกระทั่งถึงที่หมาย  ร่างสูงหยุดรถบริเวณใกล้เคียงกับเมื่อวาน  สายตายังคงจับจ้องไปยังอีกคนที่เขาดูไม่ออกว่าอารมณ์ไม่ดีเพราะคนอื่นหรือไม่พอใจอะไรเขากันแน่  กำลังจะหาจังหวะพูดกับเจ้าตัวที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยและคงจะออกไปในไม่กี่วินาทีข้างหน้า  ทว่านายน์กลับเป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาเสียก่อน

     “ตอนเย็นไม่ต้องมารับ”

     “ทำไม…” ยังไม่ทันทีที่เขาจะได้เอ่ยถามอีกฝ่ายก็ชิงเปิดประตูลงไปจากรถเสียก่อน  เท็นมองตามร่างเล็กที่กำลังก้าวฉับๆ ไปยังตึกสูงตรงหน้าด้วยหัวใจที่วูบโหวง  ในหัวมีคำถามมากมายที่พร้อมจะกดให้เขาจมลงไปในความกังวล

     นายน์ต้องโกรธอะไรเขาแน่ๆ  แต่มันเรื่องอะไรกันล่ะ!





     เห้อออ…

     เสียงถอนหายใจรอบที่ล้านของวันดังขึ้นจากตัวเขาเองที่ไม่สามารถหยุดคิดถึงใบหน้าของคนน่ารักที่แทบจะไม่หันสายตามาแลเขาเลยเมื่อเช้า  ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว  บอกตามตรงว่าเขากลัวยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองดันไปตกหลุมรักคนที่เผลอไปแกล้งจนเขาเกลียดขี้หน้าเมื่อหลายปีก่อนเสียอีก  นายน์อาจไม่รู้ว่าการหยิบยื่นความหวังมาให้คนที่หวังจนเลิกหวังไปแล้วมันมีอานุภาพมากขนาดไหน  นายน์คงไม่รู้ว่าเขาที่ทำเป็นนิ่งและเอาแต่กวนประสาทอีกฝ่ายราวกับไม่ยี่หระเหล่านั้นคือภาพลวงตา  นายน์คงไม่รู้ว่าเขาต้องข่มใจให้นิ่งแค่ไหนถึงจะอยู่ใกล้อีกฝ่ายโดยไม่เผลอแสดงความดีใจออกมาให้จับได้
 
     เห้ออออ…

     เพียงแค่วันเดียวเขาก็ทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่าแล้วหรอวะ  แถมยังเป็นการพังครืนที่ไม่รู้แม้กระทั่งสาเหตุ  แล้วแบบนี้เขาจะเริ่มแก้ไขมันจากตรงไหน   ร่างสูงที่นอนก่ายหน้าผากอย่างหมดอาลัยตายอยากนับตั้งแต่กลับถึงบ้านโดยไม่กระดุกกระดิกไปไหนอีกเลยเหลือบมองตารางเรียนของใครบางคนที่อุตส่าห์ได้มาแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไรดี
 
     เห้อออ…

     ติ๊ง!

     ติ๊ง!  ติ๊ง!  ติ๊ง!  ติ๊ง!  ติ๊ง!

      เสียงข้อความเข้ารัวจนเขาต้องขมวดคิ้วมุ่น  ลองส่งมาแบบไร้มารยาทแบบนี้ก็คงไม่พ้นไอ้เพื่อนเวรเป็นแน่!  เท็นเมินเฉยและไร้ซึ่งความอยากรู้ว่ามันส่งอะไรมาเพราะเขาในตอนนี้ไม่พร้อมจะสนทนากับใครทั้งสิ้น

     Rrrrrr…..

     ทว่าผ่านไปไม่ถึงสิบวินาทีเสียงโทรศัพท์ก็ร้องลั่นขึ้นมาอีกรอบ  เท็นถอนหายใจข่มอารมณ์ไว้ก่อนจะฉวยโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับและกรอกเสียงใส่ปลายสายทันที  “อะไรของมึงวะไอ้เหี้ยวิน!”

     ‘มึงยังไม่เลิกแดกรังแดนอีกหรอวะ  อารมณ์บูดทั้งวันเลยนะมึง’

     “เสือก!”

     ‘ด่ากูไปก็เท่านั้น  กูไม่สะทกสะท้านหรอก ฮ่าๆๆๆ’

     เท็นขมกรามแน่น  กะจะระบายอารมณ์ใส่มันแต่กลับโดนมันย้อนกลับเสียได้  ลืมไปว่าไอ้วินมันด้านยิ่งกว่าถนนคอนกรีต  “มึงมีอะไรก็รีบๆ ว่ามา!”

     ‘เห็นยังวะ’

     “เห็นอะไร!”

     ‘รีบเปิดดูรูปที่กูส่งไปให้ด่วนๆ  แล้วมึงจะเก็ทว่าทำไมถึงโดนว่าที่แฟนเหวี่ยงใส่แต่เช้า’

     ประโยคกระตุ้นต่อมอยากรู้จี้เข้าตรงจุดอย่างจัง  นี่น่าจะเป็นพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวของไอ้วินที่เขาต้องยอมรับ  มือเรียวกดเข้าห้องแชทของเขากับไอ้คนปลายสายทันที 

     ทันทีที่เห็นว่าเป็นรูปอะไรเขาก็ที่เอาแต่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงก็ราวกบถูกกระชากให้ลุกขึ้นมานั่งหน้าตื่น  ปากที่เตรียมจะด่ากลับคนปลายสายก็เป็นอันให้ค้างไปทันที  “มึง!!”

     ‘ไงล่ะ  เซเลปมากมั้ง  ฮ่าๆๆ’ 

     “เหี้ย!!!”  เขาแทบไม่ได้ยินว่าไอ้วินพูดอะไร  เรียกได้ว่าดับทั้งหูดับทั้งชีวิตก็คงจะไม่ผิด  พอจะเรียกสติกลับมาได้บางส่วนปากของเขาก็เอาแต่สบถพลางขยายรูปเพื่อมองให้ชัดอีกนิด  และไอ้เพื่อนที่แสนดีก็ช่วยปลอบใจเขาด้วยการหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจแทนการปลอบโยน  เท็นเลื่อนดูรูปไปพร้อมกับสบถคำเดิมซ้ำๆ  มือเรียวกดปิดโหมดสปีคเกอร์โฟนแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง “กูว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไร  ถึงว่านายน์ถึงดูโกรธกูขนาดนั้น  เหี้ยเอ้ย!”  ครั้งก่อนที่โดนไอ้พี่ว่องแกล้งเอารูปไปลงเพจก็ทีนึงแล้ว  นานย์ล่องหนหายไปเลยเป็นอาทิตย์  แล้วนี่เล่นแอบถ่ายมาลงกันขนาดนี้ไม่อยากจะคิดเลยว่านายน์จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดไหน 

     ‘ใจเย็นมึง’

     “เย็นกับผีน่ะสิ  ทำไมมึงไม่ตามลบให้กู!”

     ‘เดี๋ยวๆ นี่เพื่อนเองครับ  ไม่ใช่นักสืบจิ๋วโคนัน  ทำไม่ได้โว้ยยย  อีกอย่างนะ  รูปพวกนี้ก็โพสต์ไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วด้วย  กูว่าที่เค้าตึงๆ ใส่มึงก็เพราะไอ้รูปพวกนี้แน่นอน  กูฟันธง!’

     “แล้วทำไมมึงเพิ่งมาบอกกูตอนนี้!!”

     ‘กูก็ต้องมีเรื่องอื่นให้ทำบ้างดิวะ  จะให้กูคอยเฝ้าความเคลื่อนไหวว่าที่แฟนมึงตลอด24ชั่วโมงรึไง  ไอ้เจตมันเพิ่งส่งมาให้กู  กูก็เลยส่งต่อมาให้มึงเนี่ย’

     ราวกับภาพเหตุการณ์ตั้งแต่นายน์เดินลงมาจากห้องจนกระทั่งนายน์เดินออกจากรถไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ากันฉายชัดขึ้นในหัว  เท็นได้แต่ขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสียพลางเดินวนไปเวียนมาอย่างคนคิดไม่ตก  “มึงว่ากูควรทำยังไงดีวะ”

     ‘เสียงอ่อยเป็นหมาหงอยเลยนะมึง  พอเป็นเรื่องเค้าทีไรมึงกลายร่างเป็นไอ้ป๊อดทุกที  กูล่ะขำ’

     “ไอ้วิน!!”

     ‘เออๆๆ  กูล้อเล่น  รู้ว่ามึงเครียด  เอางี้ดิ  มึงลองไล่ทักพวกน้องๆ ที่เอารูปไปลงมั้ยล่ะ  ถ้าเป็นมึงไปบอกให้เค้าช่วยลบกูว่าพวกน้องเค้าคงจะโคตรเต็มใจล่ะมั้ง  มึงรู้แหล่งไม่ใช่หรอ’

     ข้อเสนอนั้นหยุดฝีเท้าที่เอาแต่เดินวนเหมือนหนูติดจั่นของเขาให้หยุดชะงักทันที  ถึงมันอาจจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุสุดๆ แต่ก็เหมือนจะเป็นเพียงหนทางเดียวที่เขาพอจะทำได้ในตอนนี้  “เออ  งั้นแค่นี้นะ”  เอ่ยเพียงเท่านั้นก็ตัดสายทิ้งทันที

     เท็นทั้งหงุดหงิดทั้งกลัวทั้งวิตกจนมือที่กำลังกดเข้าแอพปริเคชั่นสีน้ำเงินสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่  ดูท่าว่าหากวันนี้เขาสะสางเรื่องนี้ไม่ได้คงจะนอนไม่หลับเป็นแน่  อุตส่าห์ได้โอกาสมาแล้วแต่กลับมีความสุขกับมันได้เพียงแค่วันเดียวก็ถูกบรรดาขาจิ้นกระชากให้ตกจากฝันแล้วเนี่ยนะ

     เจ็บใจชิบหาย! 

     บอกตามตรงว่าเขาลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วเสียสนิท  พอนายน์หยิบยื่นโอกาสให้(ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในเจตนาของเจ้าตัวก็ตามที)เขาก็กระโจนเข้าไปคว้าเอาไว้โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง  เพราะในหัวเขามีแต่อยากจะเอาชนะใจนายน์เท่านั้น

     ใครจะไปนึกว่าแค่เดินไปไหนมาไหนด้วยกันจะโดนแอบถ่ายไปลงแบบนี้! 

     ถ้าเป็นเขาเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าวันนึงจะดันสะดุดตกหลุมที่ขุดเอาไว้เองเขาอาจจะกำลังนึกสนุกอยู่ก็ได้  หรือไม่แน่อาจจะกำลังสะใจด้วยซ้ำที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย  แต่เขาในตอนนี้ต้องมานั่งเจ็บใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องพวกนั้นบอกตามตรงว่ามันคือที่สุดของความกลัว  เพราะเขารู้ดีว่านายน์ไม่ชอบถูกเอาไปพูดถึงในแง่นั้นแบบผิดๆ  เข้าขั้นเกลียดเลยก็ว่าได้ 

     นี่เขาจะตกม้าตายเพราะสิ่งที่ตัวเองเติมเชื้อเพลิงเอาไว้เมื่อในอดีตเหรอเนี่ย! 

     เขาพิมพ์ชื่อเพจๆ หนึ่งที่จำได้ขึ้นใจ  ‘9TO10-4EVER ชมรมคนรัก1990’ เข้าไปที่หน้าเพจเพื่อดูโพสล่าสุด  และพบว่ามันไม่ได้มีแค่ห้าหกรูป  แต่มีการสร้างไว้เป็นอัลบั้ม ‘โมเม้นนนนนนนน’  ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่เก็ทว่ามันหมายความว่าอะไร  แต่เพราะเขาอยู่กับมันมาหลายปีเลยเข้าใจความหมายได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาถอดรหัส 

     เท็นกดเข้าไปดูรูปทั้ง ‘37’ รูปในอัลบัม  ย้ำสามสิบเจ็ดรูป!  แล้วก็ได้แต่หน้าถอดสี  บอกเลยว่ารูปที่ไอ้วินส่งมากลายเป็นน้ำจิ้มไปเลยเมื่อเทียบกับพลังซูมทำลายล้างของสาวๆ (และอาจจะไม่สาว)ของสมาชิกในเพจนี้ 

     หมด!  หมดกันไอ้เท็น!!
 
     เขาจ้องรูปพวกนั้นอยู่นานสองนานก่อนจะตัดสินใจกดส่งข้อความไปยังเพจต้นเรื่อง  เมื่อก่อนเขาไม่เคยปกป้องความรู้สึกของนายน์เลยสักครั้ง  นั่นเพราะเขาไม่มีโอกาส  เลยไม่รู้ว่าจะแสดงตัวเพื่อถนอมความรู้สึกอีกฝ่ายด้วยฐานะอะไร  ถ้าให้พูดกันตามตรง  แม้แต่ความเป็นเพื่อนนายน์ยังไม่เคยหยิบยื่นให้เขาเลยสักครั้ง  ต่อให้ครั้งนี้ทำไปแล้วจะไม่เกิดผลอะไรตามมาก็เถอะ  อย่างน้อยอาจจะทำให้นายน์ไม่เสียความรู้สึกเพราะเขาไปมากกว่านี้

     ‘น้องแอดมินครับ  พี่มีเรื่องอยากขอร้อง  พี่ไม่สบายใจที่น้องแอบถ่ายรูปพี่กับนายน์มาลงโดยไม่ได้ขออนุญาต  พี่อยากให้น้องช่วยลบรูปทั้งหมดได้มั้ยครับ  พี่ไม่สะดวกใจให้รูปพวกนี้กับข้อความที่มาจากความเข้าใจอย่างผิดๆ ของทุกคนแพร่กระจายไปแบบนั้นครับ  ช่วยเข้าใจพี่ด้วยนะครับ  ถือว่าพี่ขอร้องนะครับ  ถ้าน้องแอดมินจะช่วยบอกต่อๆ กันด้วยก็จะขอบคุณมากๆ ครับ’
เขาอ่านทวนข้อความเหล่านั้นซ้ำอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกดส่ง  หวังว่าคนรับสารจะไม่ตีความไปในแง่ลบและเข้าใจที่เขาต้องการสื่อด้วยเถอะนะ

     เท็นโยนโทรศัพท์แบบส่งๆ ไปบนเตียง  ทิ้งตัวลงนอนพลางถอนหายใจอีกเฮือก  ตาคมมองเหม่อไปบนเพดาลอย่างเหนื่อยใจ



 

                                         **************************************




TALK :  ช่วงนี้มาบ่อยเพราะเขียนมาถึงตรงที่เขียนตุนไว้  แต่ก็มีอะไรต้องเกลาอีกเยอะ 
            ดีใจมีคนอ่านด้วยอ่ะ555555555


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
นายน์ต้องคิดถึงเท็นบ้าง
ถ้าเปรียบเราเป็นคนนอกที่มองเรื่องนี้ นายน์เอาแต่ใจและไม่ยอมคุยอย่างคนโตโตกันแล้ว
แต่ทั้งนายน์และเท็นก็ต้องปรับกันไปจนกว่าจะจูนกันได้

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
EP11… 




      “นายน์ลงมาพอดีเลย  มาช่วยแม่กล่อมเท็นหน่อยสิ”

     “กล่อม?  กล่อมทำไมแม่”

     “ก็กล่อมให้กินยาน่ะสิ”

     “หา?!”

     “เท็นไม่สบาย  ดูสิหน้าซีดขนาดนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีก”

     นายน์มองไปยังผู้ชายตัวเขื่องที่แม่เพิ่งบอกให้เขาช่วยกล่อมทันที  และก็เป็นจริงตามที่แม่ว่า  เพราะเท็นไม่ใช่คนผิวขาวจัดอะไรนักทำให้ดูออกชัดเจนว่าเจ้าตัวหน้าซีดขนาดหนัก   

     “นายน์ดูเท็นให้กินยาให้ได้นะลูก  เดี๋ยวจะยิ่งเป็นหนัก  วันนี้แม่มีสอนเช้า  ต้องไปแล้วจ้ะ”

     “แม่ไปเถอะ  เดี๋ยวนายน์จัดการเอง”

     ประโยคนั้นทำเอาคนที่ทำทีเป็นมองไปทางอื่นอยู่นานอย่างเขาถึงกับหันขวับมองตามคุณน้าผู้ใจดีอันเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว  เขามองตามไปตั้งแต่คุณน้าเดินไปหยิบกระเป๋ากระทั่งอีกฝ่ายพ้นไปจากประตูบ้าน  บอกตามตรงว่าก่อนจะมาที่นี่เขาชั่งใจและลังเลจนเกือบจะล้มเลิกความตั้งไปแล้วหลายหน  พอรู้ถึงสาเหตุที่นายน์ไม่แม้แต่จะพูดกับเขาเมื่อวานก็ยิ่งทำให้กลัว  ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเขาพร้อมจะกลายเป็นคนขี้ขลาดกับเรื่องของอีกฝ่ายเสมอ  และพอที่พึ่งไม่อยู่เขาจึงทำได้เพียงนั่งมองอาหารเช้าที่คุณน้าทำไว้ให้อย่างเกร็งๆ

     “ทำไมสภาพมึงเหมือนคนไม่ได้นอนมาชาตินึงแบบนี้วะ”

     น้ำเสียงที่ปราศจากแววขุ่นเคืองเหมือนเมื่อวานทำเอาคนที่กำลังหลุดลอยไปกับภวังค์เงยหน้าขึ้นมองทันควัน  นายน์กำลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา  ใบหน้าน่ารักนั้นดูเป็นปกติจนน่าประหลาดใจ  ร่างสูงหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างรอคำตอบพลางว่า  “ก็…พอดีมีงานที่ต้องส่งวันนี้  เลยต้องรีบทำให้เสร็จ”  จะให้บอกได้ยังไงว่าเอาแต่คิดมากจนนอนไม่หลับทั้งคืนก็เพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะไม่ยอมให้เข้าใกล้ 

     “กูเพิ่งรู้ว่ามึงเนิร์ด  ตั้งใจเรียนขนาดนั้นเลย?”

     “..........”  รอยยิ้มเล็กๆ นั้นทำให้เขาพูดไม่ออกราวกับตัวเองกำลังตาฝาดเห็นภาพหลอน  แม้รอยยิ้มนั้นจะเกิดจากการเหน็บเขาก็ตามที  อุตส่าห์เตรียมใจมาแล้วว่าอาจจะถูกนายน์ไล่หรืออย่างดีที่สุดก็อาจจะยอมให้เขาไปส่งแต่ก็คงจะไม่ยอมพูดอะไรด้วยเหมือนเมื่อวาน

    “งั้นก็กินให้หมด  จะได้กินยา” 

    นายน์พยักพเยิดมายังซุปข้าวโพดโรยขนมปังกรอบที่เขาเอาแต่คนอย่างเหม่อลอยโดยไม่มีทีท่าว่าจะตักเข้าปากเสียที  พาลให้คนที่ปรับอารมณ์ตามไม่ทันได้แต่พยักหน้ารับอย่างงงๆ 
 
     “ถ้ามึงกินไม่หมดกูจะฟ้องแม่  รับรองมึงโดนบ่นจนหูชาแน่  โทษฐานที่ไปดูถูกอาหารของเชฟใหญ่เขา”  ขู่สำทับไปตามจริง  เพราะแม่เขาเป็นครูสอนทำอาหารที่ซีเรียสเรื่องการกินเหลือยิ่งกว่าอะไรในโลก 

    สายตาของเขาเผลอจ้องคนที่กำลังตักซุปเข้าปากด้วยท่าทางอารมณ์ดีอย่างลืมตัวพลันคำถามในหัวก็ตีกันมั่วไปหมด  ทำไมนายน์ไม่โกรธเขาแล้ว  หรือว่าจริงๆ แล้วนายน์ยังไม่เห็นรูปพวกนั้น  ไม่น่าเป็นไปได้เพราะในเมื่อเดอะแก๊งค์จอมเผือกของนายน์คอยรายงานทุกฝีก้าวขนาดนั้น  ขนาดไม่ได้เรียนที่เดียวกันยังตามหลอกหลอนเขามาจนทุกวันนี้เลย  แถมพวกนั้นยังรวดเร็วเสียยิ่งกว่าซีเอ็นเอ็น  เพราะงั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่นายน์จะยังไม่เห็น  เขามั่นใจ 

       แล้วทำไมนายน์ถึงดูร่าเริงผิดกับเมื่อวานขนาดนี้... 

     “จะจ้องกูอีกนานมะ  รีบกินดิ!”

     คนโดนท้วงพยักหน้ารับอย่างงงๆ อีกครั้งก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักซุปเข้าปากพลางยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก  จะอะไรก็ช่างเถอะ  ไม่ถูกนายน์ไล่แถมยังดูอารมณ์ดีขนาดนี้ก็ถือการอดหลับอดนอนไล่ทักไปขอร้องเหล่าชิปเปอร์ให้ช่วยลบรูปให้ทั้งคืนไม่เสียเปล่าละนะ

     “กินให้หมดแล้วก็กินนี่เข้าไปด้วย”

     คนน่ารักตรงหน้ากำลังเปิดกระปุกยาลดไข้ที่แม่เจ้าตัววางเตรียมไว้ใส่ลงไปยังฝาขวดหนึ่งเม็ด  แล้วก็เปิดอีกขวดที่เขาไม่แน่ใจนักว่ามันคือยาอะไรหย่อนลงไปอีกหนึ่งเม็ด
 
     “อันที่จริง....”

     “อย่าเรื่องเยอะ  บอกให้กินก็กิน”

     หมดคำโต้แย้งมือเรียวรีบรับฝายาลดไข้ที่บรรจุเม็ดสีขาวและสีส้มเอาไว้แล้วลงมือจัดการกับซุปที่เหลือจนหมด  ต่อด้วยยาที่คุณหมอนายน์จัดมาให้อย่างว่าง่ายแม้ว่าจะไม่ได้ป่วยอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจก็ตาม





     “เอากุญแจมา  เดี๋ยวกูขับเอง”

     “ไม่เป็น…”

     “เอามา!”

     เท็นยื่นกุญแจให้คนตัวเล็กอย่างจำใจเพราะดูท่าว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ  อยากบอกเหลือเกินว่าอันที่จริงเขาไม่ได้ป่วย  อาจจะมีอาการปวดหัวนิดหน่อยเพราะแทบจะไม่ได้นอน  นอกนั้นก็มีเพียงแค่ความอ่อนเพลียและง่วงจนตาแทบปิดเท่านั้น

     ทว่าพอขึ้นรถปุ๊บ  เจอแอร์เย็นๆ แถมเพิ่งจะรู้เอาตอนนี้เองว่านายก์ขับรถนิ่มมาก  มากเสียจนหนังตาของคนที่อัดซุปข้าวโพดมาจนเต็มท้องเริ่มจะต่อสู้กับความง่วงไม่ไหว  เขาพยายามฝืนหนังตาหนักๆ อยู่หลายต่อหลายครั้งทว่าในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานได้

     เครื่องยนต์ถูกดับลงเมื่อขับฝ่าการจราจรมาถึงคณะของคนที่หลับอยู่  หันไปมองเจ้าของรถก็พาลให้รู้สึกหนักใจที่ต้องปลุก  สภาพดูไม่จืดเลยจริงๆ  ทว่าท้ายที่สุดเขาก็เอื้อมมือไปเขย่าแขนคนป่วยเบาๆ  เรียกอยู่สักพักเจ้าตัวถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองเขาด้วยอาการมึนงง 

     “ถึงแล้ว”

      เท็นมองไปรอบๆ พยายามปรับม่านตาที่พล่าเบลอให้โฟกัสเสียทีก่อนจะมองออกไปนอกกระจกและพบว่ามันไม่ใช่คณะของนายน์อย่างที่ควรจะเป็น  ทำเอาตาสว่างขึ้นมาทันที  “ทำไมมาที่นี่ล่ะ”

     “เห็นสภาพมึงแล้วก็ไม่อยากให้ขับรถไง  ไปละ”

     “เดี๋ยว!  กูโอเคแล้ว  ให้กูไปส่งดีกว่า”

     “ไม่ต้อง  ส่งกันไปกันมาไม่ต้องเรียนกันพอดี  เออ!  แล้วตอนเย็นก็ไม่ต้องมารับนะ  กูจะกลับเอง”

     “กูไปรับได้!”  พอได้ยินคำว่าไม่ต้องมารับคนที่หลงดีใจได้ไม่ถึงครึ่งวันอย่างเขาถึงกับหน้าเสีย  แถมตอนนี้นายน์ยังทำหน้าเหม็นเบื่อสุดๆ ที่เขาเอาแต่ถามไม่เลิก

     ร่างเล็กมองคนหน้าซีดตาแดงก่ำแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างปลงไม่ตก  “ดูสภาพมึงดิ  อีกนิดนึงก็ซอมบี้แล้วมั้ย”

     “..........”

    “ไปเรียนให้ไหวก่อนเถอะค่อยมาห่วงคนอื่น”

     “..........”

     คำตอบนั้นราวกับภูเขาที่ถูกยกออกจากอก  ไม่เพียงรู้สึกโล่งที่ไม่เป็นตามอย่างที่กลัว  หัวใจยังพองโตขึ้นมาอีกสิบระดับเพราะนั่นแปลว่าอีกคนกำลังเป็นห่วงเขาอยู่  ใช่ไหม?  “กูไม่เป็นไร  กินยาที่มึงให้แล้วเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”  อันที่จริงเขาตั้งใจจะโดดเรียนไปนอนตายที่คอนโดฯไอ้ดิมแล้วค่อยตื่นไปรับนายน์กลับบ้าน  ไม่งั้นมีหวังคงได้หลับในกลางทางแน่ 

     “บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องดิ”

     “4 โมงเจอกันที่หน้าตึกเหมือนเดิมนะ”

     “ป่วยแล้วดื้อหรอวะ”

     “……….”

    “ไม่ต้องกลัวกูหายขนาดนั้นก็ได้  บ้านก็รู้แล้ว เบอร์โทรศัพท์ก็มีปะ”

     “..........”

     “เรียนเสร็จก็กลับไปนอนพักเหอะ  กูไม่อยากทรมานคนป่วย”

    “..........”

     “เกิดเป็นหนักขึ้นมาจะมาโทษกูไม่ได้นะ”

    “..........”

     “เข้าใจที่กูพูดป่ะเนี่ย”

     คำพูดที่ราวกับจะต่อว่าแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอยู่ในทีทำเขาได้แต่เงียบเพราะกำลังพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้ม  ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวพูดไปเพราะแสดงน้ำใจตามประสาเพื่อนมนุษย์หรือกำลังเป็นห่วงเขาจริงๆ กันแน่  แต่ขอคิดเป็นอย่างแรกละกัน  เท็นพยายามเก็บรอยยิ้มให้มิดชิดที่สุดขณะสายตายังเอาแต่จับจ้องไปยังคนที่พอต่อว่าเขาเสร็จก็ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ
 
     มีใครเคยบอกไหมว่าเวลานายน์ทำตัวเกรี้ยวกราดแต่มันกลับยิ่งดู...น่ารัก
 
     “แปลว่าถ้าตามตัวไม่เจอ  กูบุกบ้านมึงได้เลยใช่ปะ”

     คนถูกถามขมวดคิ้วก่อนจะเสมองไปทางอื่น  เจ้าตัวไม่ยอมตอบคำถามในทันทีแต่เลือกจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่เบาะหลังโดยทำเป็นไม่สนใจสายตาของเขาที่จ้องมองอยู่ตลอดเวลา  ทุกอากัปกิริยาล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
 
     “.....ถ้ามึงไม่กล้วกูแจ้งตำรวจก็เอาดิ” 

     คนเกรี้ยวกราดที่โคตรจะน่ารักของเขาทิ้งทายไว้เพียงเท่านั้นก็ลงจากรถไปทันที  ปล่อยเขาทิ้งไว้กับความรู้สึกดีๆ แล้วก็ได้แต่ยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า





     ร่างสูงนอนหลับเป็นตายอยู่บนโซฟาตัวเขื่องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าห้องทั้งห้องมีเพียงความมืด  บิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบก่อนจะเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องห้วยความเคยชิน  มือเรียวควานหาสวิตซ์ไฟเพียงไม่กี่วินาทีถัดมาห้องก็กลับมาสว่างอีกครั้ง  สาวเท้ากลับไปยังโซฟาตัวเดิม  ทิ้งตัวลงนอนอย่างเกียจคร้านก่อนจะคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาเช็คดูความเคลื่อนไหวเสียหน่อย 

     เขาไม่ได้เข้าเรียน  หลังจากที่นายน์ไปแล้วเขาก็โทรจิกไอ้ดิมให้เอากุญแจคอนโดมาให้  พอพาตัวเองมาถึงที่นี่ได้ก็หลับเป็นตายอยู่ที่โซฟาไม่ได้กระดุกกระดิกไปไหนอีกเลย  ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาหาอะไรใส่ท้อง  นิ้วเรียวกดรหัสปลดล็อคโทรศัพท์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปฏิบัติการล่ารูปเมื่อคืนเขาก็ยังไม่ได้แตะมันอีกเลย   แล้วก็เป็นไปตามคาด  นึกอยู่แล้วว่าต้องโดนไอ้พวกชอบก่อนกวนความสงบโทรมาจิก  ดีที่เขาปิดเสียงเอาไว้ไม่งั้นมีหวังคงไม่ได้นอน 

     มิสคอลสองสายจากไอ้มาวินและไอ้ดิม  อีกสามสายจากไอ้นนท์และไอ้เจต  สงสัยพวกมันจะช่วยกันโทร  ไหนจะข้อความไลน์อีกเพรียบ 

     เขาข้ามพวกมันไปก่อนอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด  ก่อนจะมาสะดุดกับข้อความตอบกลับจากแอพสีน้ำเงินเพจที่คุณก็รู้ว่าใคร  นิ้วเรียวกดเข้าไปอ่านทันทีด้วยความอยากรู้ 

     ‘พี่เท็น!!!!  หนูขออนุญาตกรี๊ดนะคะ  อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  ในที่สุดพี่ก็รับรู้ว่ามี19ชิปเปอร์อย่างพวกหนูอยู่บนโลกใบนี้  ฮรือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
 
     โอเคค่ะพี่  หนูเข้าใจพี่เท็นกับพี่นายน์นะคะ ขอโทษทีหนูมาช้าค่ะ  พอดีช่วงนี้แก๊งแอดมินติดภารกิจกันหมดเลย  หนูจัดการลบรูปในเพจแล้วเรียบร้อยค่ะ  แล้วก็บอกพวกลูกเพจให้ช่วยกันดูแล้วคอยแจ้งลบให้แล้วนะคะ  พวกหนูเข้าใจเรื่องที่พี่อยากเป็นส่วนตัวกัน  แล้วก็จะไปเตือนคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในเพจให้ด้วยค่ะ  พี่ไม่ต้องกลัวนะคะ  เดี๋ยวพวกหนูสแกนหาให้แล้วจะสั่งลบให้เองค่ะ  คราวนี้พี่สองคนก็จีบกันได้ตามสบายแล้วค่ะ  พวกหนูจะคอยเชียร์อยู่ห่างๆ นะคะ แต่ว่าขออนุญาตแคปข้อความที่พี่เท็นส่งมาลงเพจนะคะ จะได้แจ้งลูกบ้านอย่างเป็นทางการไปเลยค่ะ 

     ปล.ช่วงนี้เหมือนพี่เท็นหล่อขึ้นรึเปล่าคะ มีลูกเพจฝากถามค่ะ คนมีความรักมักจะดูหล่อขึ้นอีกนิดนึงใช่มั้ยคะ อิอิ

    ปล.2 ถ้าพี่เท็นกับพี่นายน์สะดวกให้ลงรูปได้เมื่อไหร่แจ้งหนูหน่อยได้มั้ยคะ ในระหว่างนี้หนูจะเก็บเข้าอัลบั้มลับแล้วกรี๊ดกันเองเงียบๆ รอพวกพี่ไปก่อนค่ะ

     ปล.3 วันก่อนหนูเจอพี่นายน์ที่โรงอาหารคณะด้วยค่ะ  คือน่ารักมากจนอยากอุ้มกลับบ้านเลยฮรือออออ  แต่อย่าบอกี่นายน์นะคะว่าหนูแอบไปส่องมา  แหะๆ 

     ปล.4  หนูชื่อสลิมนะคะ เป็นแอดมิน19รุ่น4ค่ะ รักพวกพี่ที่สุดเลยนะคะ’

     เท็นอ่านแล้วก็ได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยนๆ ไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือร้องไห้ดี  แต่ก็ถือว่าการสื่อสารของเขาประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่งล่ะนะที่ทำให้น้องเขาลบรูปได้  แค่สงสัยอยู่อย่างนึงว่าน้องมาเจอนายน์ที่โรงอาหารคณะได้ยังไง  คารวะในความชอบของพวกน้องๆ เขาจริงๆ ให้ตาย 

     ว่าแต่....  จะยอมลบกันง่ายๆ ขนาดนั้นจริงหรือ  คิดได้ดังนั้นเท็นก็เข้าไปที่หน้าเพจทันที  ฟีตล่าสุดเป็นข้อความยาวเหยียดที่มีลูกสมุนกดถูกใจไปแล้วสองพันกว่าและคอมเมนต์อีกเกือบพัน  สมาชิกเยอะแยะกันขนาดนี้เลยหรอเนี่ย

     *ปุกาศ!  ปุกาศ!*  เนื่องจากการลงรูป‘โมเม้นนนนนนนน’ เมื่อวาน(ตามที่ทุกคนได้เห็นและฟินไปถึงดาวเสาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น) และทุกคนคงจะงงหรือบางคนอาจจะไม่งงเพราะน้องๆ ในนี้บางส่วนคงโดนพี่เท็นทักให้ลบรูปไปแล้วเนาะ  ส่วนของทางเพจเองจึงขอลบอัลบั้มนั้นออกด้วยเช่นกัน

      เนื่องจากท่านกัปตันของเราได้ส่งข้อความมา(ตามภาพ)  กัปตันตัวจริงเสียงจริงไม่มีติงนังนะคะ  อย่างที่รู้กันว่าเฟสฯจริงของพี่เท็นมีแค่อันเดียว  แอคเดียวแอคเดิมเท่านั้น  และแอดมินได้ทำการขออนุญาตเอาข้อความที่พี่เท็นส่งมาเผยแพร่แล้วเรียบร้อย  กรุณาอ่านสารจากท่านกัปตันและขอความกรุณาเข้าใจพี่ทั้งสองคนด้วยนะคะ  มีเพื่อนบอกเพื่อนมีหลานบอกหลานช่วยกันสอดส่องรูปตามที่ต่างๆ แล้วแจ้งให้คนที่โพสต์ทำการลบด้วยนะคะ

     ตอนนี้พี่ทั้งสองคนขอคืนพื้นที่เพื่อความเป็นส่วนตัวก่อนค่ะ สะดวกใจจะให้เผยแพร่รูปได้เมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกทีนะคะ  ในระหว่างนี้ขอความกรุณาทุกคนที่มีรูปไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่  รบกวนให้ฟินอยู่ในพื้นที่ของตัวเองไปก่อน(แต่ถ้าจะส่งมาให้แอดฟินด้วยก็จะเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง55555555555) 

     สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของพี่ๆ ด้วยนะคะ ถ้าไม่สำคัญจริงๆ พี่เท็นคงไม่ส่งข้อความมาขอร้องแบบนี้เนาะ  เชื่อว่า19ชิปเปอร์ทุกคนน่ารักมากๆ อยู่แล้ว  ยังไงก็ฝากทุกคนรักษาความรู้สึกของคู่จิ้น(คู่จริง อริอริ)ของเรากันให้มากๆ นะคะ  เผื่อมีข่าวอะไรดีๆ พี่เขาจะได้อยากมาแชร์กับเราในอนาคตเนาะ 

     ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ  รัก (แอดนุ่มนิ่ม)

     เท็นไล่อ่านข้อความในคอมเมนต์ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เข้าใจและยอมทำตามแต่โดยดี  จะมีบ้างที่งอแงและดูท่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องห้าม 
   
     หวังว่าต่อไปนี้เขาจะเดินกับนายน์โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนแอบถ่ายรูปไปโพสต์ที่ไหนอีกเลยนะ  ขอร้องล่ะ!





                                             **************************************


 
     เท็นขับรถมารอนายน์หลังเลิกเรียนเหมือนอย่างทุกวัน  บางวันที่ตารางเรียนของเขาเสร็จก่อนอีกคนก็ถือว่าโชคเข้าข้างไป  แต่วันไหนที่เลิกหลังนี่ต้องย่องออกมาจากห้องก่อนทุกที  ทุกวันนี้เพื่อนเห็นหน้าเขาก็เอาแต่ด่าว่าจะหมดอนาคตเพราะมัวแต่ตามจีบนายน์นี่แหละ  ทำไงได้  ก็คนมันอยากทุ่มเทดูสักตั้ง  ต่อให้สุดท้ายแล้วต้องรับประทานแห้วก็ถือว่าได้พยายามแล้วล่ะนะ  อย่างน้อยหลังๆ มาเวลาอยู่ด้วยกันนายน์ก็ดูผ่อนคลายขึ้น  พูดคุยกับเขามาขึ้นกว่าเมื่อก่อน  เหมือนว่าเจ้าตัวกำลังเปิดใจรับเขาทีละน้อย  ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี 

     มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นระหว่างรอ  เขายังคงไม่ดับเครื่องเพราะคิดว่าอีกไม่นานคนที่รอก็คงจะลงมา  ปกติเขาก็เป็นฝ่ายมารอนายน์ตลอดอยู่แล้ว  ต่อให้อีกฝ่ายช้าเป็นชั่วโมงเขาก็สามารถรอได้ด้วยความเต็มใจ  อานุภาพของความรักมันก็เป็นแบบนี้แหละ  แค่ได้อยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายเขาก็แฮปปี้แล้ว  ยอมรับว่าออกจะเกินไปนิด  แต่เขามันคนที่ได้แต่แอบรักแถมยังเลิกหวังไปแล้วด้วยซ้ำ  บอกตามตรงก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าเขาจะชอบนายน์ได้มากขนาดนี้

     Rrrrrrr  Rrrrrrr…

     เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเปลี่ยนจากหน้าฟีตในอินสตาแกรมเป็นชื่อของใครบางคนที่ทำให้เขายิ้มออกอย่างง่ายดาย  เท็นกดรับและกรอกเสียงกลับไปทันที  “ครับ”

     “อยู่ไหน”

     “ใกล้ๆ กับเมื่อวาน”

     “ถึงแล้วหรอ  โทษทีว่ะ  กูต้องคุยงานกับเพื่อนต่อ  น่าจะอีกซักชั่วโมงสองชั่วโมง  มึงกลับไปก่อนเลย  เดี๋ยววันนี้กูกลับเอง”

     “ไม่เป็นไร  รอได้”

     “มันนานนะ”

      “อืม”

     “แล้วจะไปรอที่ไหน”

     “แถวๆ นี้แหละ”

     “อย่าบอกนะว่าจะติดเครื่องรอตรงที่จอดรถไปเรื่อยๆ น่ะ”

     “เดาเก่ง”

       "งั้น...มานั่งกับกูมั้ย  มีน้ำกับขนมด้วย  เผื่อมึงหิว”

     “ได้หรอ”

     “ถ้าไม่ได้จะชวนมั้ย”

     “โอเค  งั้นเดี๋ยวเดินไปหา  มึงอยู่ตรงไหน”

     “ใต้ตึกแหละ  กลุ่มใหญ่ๆ เสียงดังๆ อ่ะ  เดินมาเดี๋ยวก็เห็นเอง”

     “โอเค”






     นายน์ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการเลือกหัวข้อรายงานต้องยอมละสายตาจากชีทในมือเพราะแรงกระทุ้งตรงสีข้างจากมิ้นต์เพื่อนคนสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ  “อะไรของมึง”

     “โน่นๆ  เดินหล่อมาโน่นแล้ว”

     คนถูกก่อกวนมองตามสายตาของเพื่อนไปจนเห็นว่าคนตัวสูงกำลังเดินตรงมาทางเขาด้วยท่าทางสบายๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว 

     “พักนี้ตัวติดกันดีจังเนาะ  ตกลงยังไงเนี่ย  มึงไม่เหม็นขี้หน้าเค้าแล้วจริงดิ”

     “ก็เคยตอบไปแล้วปะ  จะถามอะไรเยอะแยะ”  นายน์ขมวดคิ้วมุ่นใส่เพื่อนตัวดีก่อนจะทำทีเป็นสนใจชีทในมือต่อ 

     มิ้นต์เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเขา  และก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่เขาบ่นเรื่องไอ้หน้าหล่อให้ฟังอยู่บ่อยๆ(หมายถึงเมื่อก่อนน่ะนะ)  ตอนแรกก็ยังไม่ได้บอกใครหรอกว่าอีกฝ่ายคอยมารับมาส่ง  แต่ดันโป๊ะแตกเข้าให้เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนจะลงจากรถ  เขาบังเอิญจ๊ะเอ๋เข้ากับมินต์อย่างจังเพราะเพื่อนตัวดีดันมาจอดรถข้างกันกับเท็น  แถมยังมาพร้อมกันเป๊ะอย่างกับนัดเวลาไว้  ก็เลยโดนจับซักจนซีดเลยต้องยอมตอบไปแบบส่งๆ ว่าบังเอิญมีโอกาสได้เคลียร์กัน  ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย

     “ก็มันแปลกนี่หว่า  ใครที่ไหนเค้าจะยอมมานั่งรอรับรอส่งขนาดนี้วะ  แบบนี้มันจีบอยู่ชัดๆ”

     “เพ้อเจ้อ!”

     “มึงนั่นแหละที่ไม่ยอมรับความจริงไอ้นายน์!  แล้วกูก็...”

     “หวัดดี  ขอนั่งด้วยคนนะ”

     เสียงของคนมาใหม่หยุดเจ้าหนูจำไมได้ชะงัด  มิ้นต์หันไปส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้คนตรงหน้า  ก่อนจะพยักเพยิดบอกอีกฝ่ายกลายๆ  “ตามสบายเลย”

     “มาขัดจังหวะรึเปล่า”

     “ไม่เลย  กำลังคุยเล่นกันเฉยๆ  ยังไม่เริ่มทำอะไรเลยเนาะนายน์เนาะ”

     ร่างเล็กเหลือบตามองคนตีเนียนแล้วก็ได้แต่กรอกตาอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นดวงตาวิบวับของเพื่อนตัวดี  นี่เขาตัดสินใจผิดใช่มั้ยที่เรียกอีกฝ่ายมานั่งด้วยกัน  ก่อนจะโทรไปก็มัวแต่คิดว่าอีกนานกว่าเขาจะเสร็จธุระ  กลัวอีกฝ่ายจะรอจนเฉาตายไปซะก่อน  ไม่ทันคิดว่าแทนที่จะได้นั่งคิดงานอย่างสงบสุขกลับกลายเป็นเปิดศาลไคฟงให้ยัยมิ้นต์สอบสวนเขากับเท็นไปเสียฉิบ  เฮ้อออ! 

     “เอ้อ!  ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย  ...เราชื่อมิ้นต์นะ  ส่วนไอ้นี่ชื่อเต็ม  บอด์น  สกาย  จีน  แล้วก็น้ำมนต์  พวกมึงนี่เท็น  เพื่อนไอ้นายน์มัน”

     “หวัดดี/หวัดดี”

     “เจอตัวก็ดีละ  วันนั้นไม่ทันได้มีเวลาคุย  ถามหน่อยดิ  ทำไมเมื่อก่อนสองคนถึงไม่ถูกกันอ่ะ?”

     คำถามของมิ้นต์ทำเอาเขาที่พยายามจะตั้งใจกับรายงานตรงหน้าเป็นอันสะดุด  นายน์เงยหน้าขึ้นสบตากับคนฝั่งตรงข้ามเป็นครั้งแรก  และอีกฝ่ายก็กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มมุมปาก  พาลให้คนที่คิดอะไรช้าเป็นทุนเดิมอย่างเขาถึงกับไปไม่เป็น  เลยเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายชิงตอบไปเสียก่อน 

     “อุบัติเหตุน่ะ  บังเอิญไปทำนายน์เจ็บตัวเลยโดนเกลียดขี้หน้ามาตั้งแต่ตอนนั้น”

     “แค่เนี๊ยะ?!”

     “เรื่องอื่นให้นายตอบดีกว่า”

     “ยังไงมึง!”

     คนที่จู่ๆ ก็โดนโยนบ่วงใส่กันดื้อๆ ถึงกับหน้าเหวอ  พอโดนทั้งเพื่อนทั้งอีกคนคาดคั้นทางสายตาหนักเข้าเขาเลยทำทีเป็นขมวดคิ้วมุ่นกลบเกลื่อน  “ไร้สาระว่ะมิ้นต์”

     มิ้นต์เปะปากใส่คนช่างแถทันที  “ดูมันดิ  ปากแข็งอย่างกับอะไรดี”

     “มึงอย่าพูดมากได้มั้ย  มาช่วยกูคิดงานเนี่ย  จะได้เสร็จเร็วๆ”

     “ก็กูยังคุยกับเท็นไม่เสร็จ  .....จริงๆ ช่วงนี้ก็มารับไอ้นี่ทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรอ  ไม่ต้องไปรอในรถหรอก  มานั่งรถใต้ตึกก็ได้นะ  ลมเย็นดีออก”

     “ไม่ใช่เรื่องของมึงมะ”

     “ไม่ใช่เรื่องของกูแต่กูสงสารเท็นไง  มึงก็ชอบโอ้เอ้ลงมาช้าทุกวัน”

      “โอ้เอ้อะไร  ก็อาจารย์ชอบปล่อยเลท”

     “อย่าๆๆ นายน์  จารย์ไม่ได้โหดขนาดนั้น  บางวันกูเห็นมึงนั่งเล่นมือถือสบายใจเฉิบเหมือนคนไร้บ้านเถอะ”

     เขาเหลือบมองคนฝั่งตรงข้ามทันทีที่ยัยเพื่อนจอมเผาพูดประโยคนั้น  แต่เท็นก็ยังคงเอาแต่ยิ้มนิดๆ เหมือนเดิมอย่างไม่ทุกข์ร้อน  ไม่แน่ใจว่าฟังที่คนสวยแต่เพี้ยนแบบยัยมิ้นต์พูดรู้เรื่องไหม  นายน์หันกลับมายัดชีทในมือตัวเองใส่มือมิ้นต์แล้วตามด้วยสมุดกับปากกา  “หยุดพูด  แล้วก็ทำนี่ซะ” 

     “ดูไว้เลยนะเท็น  เนี่ย  เวลามันทำอะไรผิดมันจะเป็นแบบนี้”

     เสียงหัวเราะดังขึ้นทันทีและยิ่งทำให้เขาต้องปั้นหน้าบูดส่งสายตาไปยังเพื่อนคนสวยอีกรอบ  มือเล็กเลื่อนชาเขียวขวดของตัวเองที่ดื่มไปแค่ครั้งเดียวไปให้เท็นอย่างไม่ทันได้คิดอะไรเพราะอยากจะดึงความสนใจออกจากเรื่องที่เขาชอบดึงเวลาเพื่ออีกคนจะได้รอนานๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งอีกฝ่ายหรอกนะ ก็แค่อยากจะทดสอบอะไรบางอย่างก็เท่านั้น

     “ของใคร”

     คนถูกถามเพิ่งคืนสติในวินาทีนั้นสีหน้าเลยหลุดอาการเก้อๆ ไปเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมไปคว้าหลอดในถุงขนมที่เพื่อนไปหอบมาจากเซเว่นส่งให้คนตรงหน้าแทน  มองก็ทีก็เอาแต่ยิ้มแบบนี้ทุกที  ไม่รู้หรือยังไงว่ามันทำให้คนอื่นทำตัวไม่ถูก!  “ถ้ามึงรังเกียจก็เอานี่ไป”

     “เปล่า  ไม่ได้หมายความแบบนั้น” 

     เท็นไม่ยอมรับหลอดในมือเขาแต่เลือกจะหยิบหลอดที่อยู่ในขวดขึ้นมาดูดแทน  แถมยังจะยักคิ้วส่งมาให้กันอีก  ไอ้คนกวงทิงนี่!
 
     “แหนะๆๆ  มีจ้องจงจ้องตากันด้วยอ่ะ”

     “หยุดเลย!”

     “เขินหรอ”

     “มิ้นต์!”





                                             ***********************************

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
EP12… 




     นายน์มองไปรอบๆ ร้านด้วยความสนใจก่อนจะสะดุดเมื่อหันมาเจอเข้ากับสายตาของไอ้เพื่อนตัวดีที่ไปลากเขาถึงบ้านเพียงเพราะมันอยากเมา  เคนมองเขาตาไม่กระพริบ  พอลองเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเพราะไอ้คนจ้องมันไม่ยอมหลบสายตาแถมเอาแต่จ้องเขม็งอย่างกับตำรวจสอบปากคำผู้ร้าย  แต่ไม่วายก็ยังไม่ยอมหือยอมอืออยู่ดี  “เพิ่งกินไปไม่กี่แก้วมึงเมาแล้วเหรอวะ”

     “มึงนั่นแหละ”

     “กูเนี่ยนะ  ยังไม่ได้แตะซักคำจะไปเมาได้ยังไง”

     “บอกความจริงมา!”

     “อะไรของมึง”

     "มึงคบกับมันใช่มั้ย”

     “สตงสติไปหมดละ”

     “มึงชอบมันแล้วใช่มั้ยกูดูออก”

     ยิ่งมันพูดก็ยิ่งรู้สึกถึงเคล้าลางไม่ดี  นายน์เลยดีเนียนไม่สนใจโดยการยกแก้วเหล้าที่ไอ้ซ้งชงให้ขึ้นดื่มก่อนจะหันไปมองวงดนตรีที่เล่นอยู่บนเวที  ร้านนี้เป็นร้านรุ่นพี่คนสนิทของไอ้ซ้งมัน  เขาก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าไอ้วันที่เกิดเรื่องพวกมันมาเมาหัวลาน้ำตั้งแต่หัววันอยู่ที่นี่เลยไม่มีใครยอมรับโทรศัพท์เขาสักคน  ให้มันได้อย่างนี้สิ! 

     “นั่นไง  มึงมีพิรุธจริงๆ ด้วย”

     อุตส่าห์ทำเป็นไม่สนใจและเห็นว่ามันเงียบไปนาน  สรุปคือมันยังเอาแต่จ้องเขาตาไม่กระพริบเหมือนเดิม  ขนาดเหล้าเข้าปากแบบนี้ยังไม่วายจะเผือกอีกนะมึง!  นายน์ส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนจะสะกิดเรียกไอ้เกมส์ที่นั่งอยู่ข้างๆ  “มึงดูมัน  กูว่าหนักละ”

     “เออ  ปล่อยแม่งเหอะ  มันเพิ่งโดนหักอกมาก็เลยบ้าๆ บอๆ อย่างที่มึงเห็นนี่แหละ”

     “ใครอีกแล้ววะ”

     “จอยอักษร”

     “ไม่เคยได้ยินว่ะ  ก่อนหน้านี้มันตามจีบคนที่ชื่อข้าวฟ่างอะไรซักอย่างไม่ใช่หรอ”

     “ข้าวฟ่างอ่ะนะ  ก็โดนเค้าปาแห้วใส่ไปแล้วไง  โชคดีของมึงที่บ้านไม่ได้อยู่ใกล้มัน  รำคาญชิบหาย”

     นายน์ฟังเกมส์บ่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะ  ไม่รู้จะสงสารใครดีระหว่างคนอกหัก(ถี่)กับคนที่ต้องคอยฟังคนอกหักเพ้อเจ้อใส่ 

     “เออๆ  มึงก็ฟังๆ มันไปเถอะ  ถือว่าทำบุญ” 

     “เออ  แล้วมึงเป็นไงบ้างวะ”

     “ก็เรื่อยๆ”

     “ดีละ  มา!  ชนหน่อย  หมดแก้วนะเว้ย”

     “หมดแก้วเลยหรอวะ”

     “เออ  นานๆ เจอกัน  ไม่ต้องกลัว  ถ้ามึงหลับคาโต๊ะอีกเดี๋ยวกูพาไปส่งบ้านเอง”

     “พูดแล้วนะ”

     “เออ”

     “กูจะบอกแม่ว่าโดนพวกมึงเอาเหล้ากรอกปากด้วยนะ”

     “ตามสบาย  แม่มึงใจดีจะตาย  กูไม่กลัวหรอก”

     “ฮ่าๆๆ”

   



     “กูง่วงจะตายห่าละ  มันไม่มาแล้วมั้ง  มึงเตรียมตัวจ่ายค่าเหล้าวันนี้ได้เลยไอ้เคน”

     “ยังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่งโมง  พวกมึงสองตัวนั่นแหละเตรียมนับเงินเลยดีกว่า”

     “มั่นมากมั้ง  กูจะคอยดูตอนมึงยืมเงินค่ารถพวกกูกลับบ้าน”

     “ชาติหน้าก็อย่าหวัง  มันมาโน้นแล้ว”  เคนยักคิ้วกวนอารมณ์เพื่อนอีกสองชีวิตที่กำลังหันขวับมองไปยังทางเข้าร้านเป็นตาเดียว  ก่อนจะหันไปโบกมือให้คนมาใหม่ที่มาทั้งกางเกงวอร์มเสื้อยืด  ดูก็รู้ว่าคงแทบจะบึ่งออกมาทันทีที่เขาส่งรูปไอ้นายน์เมาหลับคอพับคออ่อนไปให้  หึ!

     “แม่งมาจริงๆ ด้วยว่ะ”

     “กูไม่น่าเชื่อมึงเลยไอ้เกมส์  ซวยกระเป๋าเงินกูแล้วมั้ยล่ะ!”

     “ไงมึง  ไม่เจอตั้งนานหล่อชิบหายเหมือนเดิม”  เคนเอ่ยทักคนมาใหม่ทันทีที่เจ้าตัวเดินมาถึงโต๊ะของพวกเขา

     “ทำไมมันเป็นแบบนั้นวะ”

     ไม่เพียงไอ้หล่อจะไม่ทักกลับแต่สองตามันไม่ยอมแลกันเลยด้วยซ้ำ  เอาแต่จ้องเพื่อนนายน์ของเขาด้วยหน้าตื่นๆ  อาการหนักเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ไอ้นี่!  “ใจเย็นๆ  มันแค่เมา”

     “อย่าบอกนะว่าพวกมึงแกล้งมอมเหล้ามันน่ะ”

     “รู้ทันตลอด”

     “งั้นกูพามันกลับเลยนะ  แล้วนี่พวกมึงโทรไปบอกแม่นายน์รึยัง  เดี๋ยวเค้าเป็นห่วง”

     “เรียบร้อย”

     ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะก้มลงเพื่อมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่อง  แก้มด้านข้างที่หนุนอยู่ขนแขนของเจ้าตัวแดงก่ำบอกชัดเจนว่าคงจะดื่มเข้าไปไม่น้อย  ก่อนจะเอื้อมมือลองเขย่าเบาๆ  “นายน์  นายน์”  ทั้งเรียกทั้งเขย่าก็ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล  เท็นเงยหน้าขึ้นมาขอความเห็นจากเคนอีกรอบ  “ถ้ากูอุ้มจะโดนมันต่อยมั้ยวะ”

     “แค่พยุงก็พอมั้งมึง” 

     เท็นยิ้มรับคำตอบนั้น  เขารู้นิสัยเพื่อนนายน์ดี  ก็ดูเหมือนจะเปิดทางให้แต่ก็โพเทคเพื่อนสุดๆ ในเวลาเดียวกัน  “ถามไปงั้น”  ว่าพลางก้มลงไปหิ้วปีกคนเมาขึ้นมาอย่างเบามือที่สุด   ได้ยินเสียงเจ้าตัวเหมือนจะงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์  เท็นล้วงกระเป๋าหากุญแจเตรียมไว้เสร็จสรรพ  “งั้นกูไปก่อนนะ  เจอกัน”

      “เฮ้ยๆ  อย่าเพิ่ง”

     เท้าที่ทำทีจะก้าวเดินเป็นอันให้ชะงัก  ร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเคนที่กำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ  สงสัยจะไม่ไว้ใจเขาเลยอยากช่วยพยุงอีกแรงล่ะมั้ง

     “วันนี้กูนอนบ้านมัน  เพราะงั้น…กูไปด้วย”

     “………”  ก็ในเมื่อว่ามาอย่างนั้นแล้วเขาจะไปขัดอะไรได้  ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะรู้สึกตะขิดตะขวงก็เถอะ  แต่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับนายน์สักนิดมีสิทธิ์อะไรจะไปหวงหรือห้ามเจ้าตัวได้  อีกอย่างเคนก็เป็นเพื่อนสนิท  ก็คงจะไปนอนค้างบ้านกันแบบนี้อยู่บ่อยๆ ล่ะมั้ง! 

     “ทำไมทำหน้างั้นวะ”

     “เปล่า”

     เท็นไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากนั้น  เขาเดินพาคนเมานำเคนที่ขอคุยกับเกมส์และซ้งอีกนิดหน่อยกระทั่งถึงรถที่จอดไว้ไม่ไกลจากร้านมากนัก  แขนแกร่งกระชับโอยเอวอีกคนเอาไว้ให้มั่นยิ่งกว่าเดิมเพื่อจะเปิดประตูรถ  ทว่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลังเสียก่อน

     “เดี๋ยวกูเปิดให้”

      เท็นหันไปก็เจอเคนที่กำลังเดินกึ่งวิ่งมาเพื่อจะเปิดประตูให้  เขาเลยก้มสำรวจคนในอ้อมแขนแทน  นายน์ปรือตาเหมือนพยายามจะลืมขึ้นอยู่สองสามครั้งแต่ก็ดูไม่มีสติพอขนาดจะเข้าใจสถานการณ์  พอเคนเปิดประตูด้านข้างคนขับให้  เขาก็จัดการพาคนตัวเล็กเข้าไปนั่งข้างในทันที  เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นตอนที่เขายกเท้าอีกฝ่ายเข้าไปในรถ  งัวเงียขึ้นมาผลักหน้าเขาสองสามหนตอนที่พยายามจะคาดเข็มขัดให้  ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันก็ชิงหนีไปนอนหลับสบายที่หลังรถเรียบร้อย  เท็นละสายตาจากคนเบาะหลังกลับมาหาคนตรงหน้าอีกครั้ง  นิ้วเรียวเกลี่ยปรอยผมที่ตกลงมาบดบังดวงตาออกให้อย่างเบามือพลางยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     เวลาหลับแล้วดูเหมือนเด็กยิ่งกว่าเดิมอีก






     ของเขาจอดรถลงยังหน้าบ้านหลังเดิมที่พักนี้มาทั้งเช้าทั้งเย็นจนแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว  เขามองผ่านกระจกมองหลังไปยังคนที่ส่งข้อความให้เขาไปรับนายน์ก่อนเป็นอย่างแรก  และเจ้าตัวก็ยังหลับเป็นตายไม่รู้เลยว่าพามาถึงที่หมายแล้วเรียบร้อย  ก่อนจะละสายตากลับมายังอีกคน  ชั่งใจว่าควรจะปลุกอย่างไรดี  หรือว่าควรจะพยุงเข้าบ้านไปทั้งอย่างนี้เลย  คิดอยู่สักพักก็ยังตัดสินใจไม่ได้เลยเลือกที่จะลงจากรถไปก่อน  เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ  ก้มลงไปสำรวจใกล้ๆ พอเห็นว่าเจ้าตัวกำลังหลับสบายก็เกิดลังเลขึ้นมาอีกรอบ  เลยตัดสินใจเอื้อมไปปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนเป็นอย่างแรก 

     ทว่าระว่างที่โน้มตัวคร่อมอีกฝ่ายและกำลังเอื้อมมือเพื่อทำอย่างใจคิด  คนที่หลับอยู่ก็เกิดไอขึ้นมาเสียดื้อๆ  ทำเอาเขาผงะไปเล็กน้อย  และจังหวะที่เปลี่ยนใจกำลังจะดึงตัวกลับจู่ๆ คนตัวเล็กที่เคยนอนนิ่งอยู่บนเบาะก็ผละตัวขึ้นมาอย่างไม่ทันให้เขาตั้งตัว

     อาการคอแห้งที่คอยรังควาญไม่หยุดหย่อนจนในที่สุดก็ต้องยอมถูกกระชากออกมาจากห้วงนิทราอย่างจำยอม  นายน์ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านและก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  เขากระพริบตาขับไล่ความมึนงงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ช่วยให้เขาเข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้าขึ้นมาเลยสักนิด  กว่าจะกระตุ้นสมองเฉื่อยๆ ให้ประมวลผลสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นฝ่ายผละออกไปเสียก่อน 

     และพอได้เห็นเต็มตาว่าสิ่งที่เขาเอาทั้งปากทั้งจมูกเข้าไปชนจังเบ้อเร้อเมื่อครู่ว่ามันคืออะไรอาการเมาที่มีก็ราวกับหายเป็นปิดทิ้ง  ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  “ม…มึง!  มึงมาอยู่ตรงนี้ได้ไง  แล้ว...แล้วเมื่อกี้มึงจะทำอะไรกู”

     “เปล่า!  คือกู…กูจะปลดเข็มขัดให้  แล้วก็…กำลังจะปลุกมึง  แต่ว่า…”

     ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายจบก็โดนอีกคนผลักเข้าให้อย่างแรง  หัวของเขาโขกเข้ากับขอบประตูรถดังโป๊กแต่ก็ยังไม่ทันได้เจ็บก็ต้องผละตัวขึ้นยืนเต็มความสูงพลางขยับให้พ้นทางของอีกฝ่าย  เขาไม่ทันได้เห็นสีหน้าของนายน์เพราะเจ้าตัวเอาแต่ก้มงุดแล้วก็ผุดลงจากรถ  เดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว  ทิ้งให้เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปจนกระทั่งลับสายตา

     “ถึงแล้วหรอวะ” 

     เสียงนั้นดังจากคนที่อยู่เบาะหลัง  เคนงัวเงียตื่นก่อนจะเปิดประตูลงมาอีกคน 

     “แล้วไอ้นานย์ล่ะ”

     ใบหน้างงๆ เหมือนคนยังไม่อยากตื่นที่จ้องมองมาไม่ได้อยู่ในสายตาเขาสักนิด  ในหัวของเท็นยังวนเวียนอยู่กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วเสียจนตามไม่ทันเมื่อครู่  ความรู้สึกก็พาลให้ตีกันมั่วไปหมด  ไม่รู้ว่านายน์จะเชื่ออย่างที่เขาบอกไหม
 
     “งั้นกูไปนะ  ขอบใจที่มาส่ง”

     เท็นก้มมองไหล่ตัวเองที่เพิ่งถูกคนมือหนักฟาดลงมาสองสามทีพลางพยักหน้าตอบรับอีกคนอย่างเลื่อนลอย  ก่อนจะดึงสายตากลับไปยังชั้นสองของตัวบ้านอีกครั้ง  ไฟที่สว่างวาบขึ้นส่องให้เห็นแค่เพียงม่านลางๆ ผ่านกรอบหน้าต่างบ่งบอกว่าใครบางคนได้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ  ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ แต่ที่แน่ชัดคือหัวใจของเขากำลังพองโตจนกู่ไม่กลับ  มือเรียวยกขึ้นมาลูบแก้มตัวเองตรงตำแหน่งที่อีกคนทิ้งสัมผัสเอาไว้พลางยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     ถ้าคราวนี้จะถูกโกรธก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว




 
     

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ต่อ
.
.
.



นายน์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างหลังจากยืนงงๆ อยู่กับตัวเองอยู่สองสามนาที  ก่อนจะยกมือขึ้นบีบขมับพลางหลับตาลง  อาการปวดหัวจากการดื่มแอลกอฮอล์ยังไม่น่ารำคาญเท่ากับหัวใจของเขาที่ยังเอาแต่เต้นรัวไม่ยอมหยุด  ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงติดหนึบอยู่ในหัวแถมยังเกาะแน่นอยู่ในความรู้สึกแบบที่แกะยังไงก็คงไม่ออก  อับอายขายขี้หน้าชะมัด!

     “หนีมาไม่ยอมเรียกกูเลยนะ!”

     คนตัวเล็กบนเตียงสะดุ้งเฮือกเพราะไอ้เพื่อนตัวดีที่จู่ๆ ก็โผล่มาแถมยังโพล่งซะเสียงดัง  คิ้วสวยขมวดมุ่นทันทีที่มันทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอย่างถือวิสาสะ  เอาจริงๆ ก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันขอมาค้างด้วย  แถมตอนเกิดเรื่องเมื่อครู่เขาไม่ทันได้รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่  “แล้วทำไมกูต้องหนี”  พูดแบบนี้หวังว่าแค่บังเอิญเพราะความปากดีของมัน  ไม่ใช่ว่าดันเห็นอะไรเข้าหรอกนะ!

     “นั่นดิ  ทำไมมึงต้องหนีด้วย”

     นายน์เปะปากใส่คนช่างยอกย้อนแถมยังยักคิ้วส่งยิ้มมีเลศนัยมองมาที่เขา  เห็นแล้วยิ่งพาลให้รู้สึกเสียวสันหลังแต่ยังต้องตีหน้านิ่งเข้าสู่ต่อ  “อะไรของมึง  แล้วนี่มึงสร่างเมาแล้วรึไง?” 

     “ก็คงเหมือนมึงมั้ง” 

      “กวนตีน!”

      จู่ๆ เราทั้งคู่ก็เงียบกันไปเสียดื้อๆ  ทว่าพอยิ่งเงียบก็ยิ่งรู้สึกถึงชะงักที่ปักอยู่กลางหลังชัดขึ้นเท่านั้น  ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกรนรานขึ้นมา  กลัวว่าไอ้เคนอาจจะเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในรถจนต้องหาเรื่องพูดเพื่อทำลายความเงียบ  “มึงใช่มั้ย”  หรือความจริงแล้ว
 
     เขากำลังกลัวหัวใจตัวเองที่มันเอาแต่ดันทุรังเต้นรัวไม่ยอมหยุดกันแน่ 

      “อะไร”

     “มึงเป็นคนเรียกมันมาใช่มั้ย!”  อย่าบอกนะว่าไอ้วาระเกิดอยากเมาของมึงนี่เพื่อต้องการจะแกล้งเขาตั้งแต่แรก!

     “จริงๆ กูแค่พนันกันเล่นๆ  ใครจะไปคิดว่ามันจะมาจริง”

     “ทำไมพวกมึงชั่วอย่างงี้วะ!”
 
     “ก็บอกแล้วว่าไม่คิดว่ามันจะมา”

      “ก็ชั่วอยู่ดีนั่นแหละ!  กูเพื่อนมึงนะ!”  นายน์ตวัดสายตาไปมองไอ้เพื่อนตัวดีที่กำลังแย่งหมอนข้างของเขาไปก่ายเล่นหน้าตาเฉย  แถมยังทำหน้าระรื่นไม่ได้มีแววสำนึกผิดเลยแม้แต่นิด  ไอ้เพื่อนเฬว!  มึงรู้มั้ยว่าทำให้กูต้องอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีขนาดไหน!
 
     “นายน์”  เอ่ยเรียกก่อนจะหยัดตัวนอนตะแคงหนุนฝ่ามือตัวเองเพื่อให้มองหน้าอีกคนได้ชัดขึ้น  จริงๆ ต้องบอกว่าเพื่อจะได้มองเห็นหน้าบูดๆ ของไอ้คนน่ารักได้ชัดขึ้นถึงจะถูก

     “อะไร”

     “มึงรู้ตัวปะ...ว่ามึงเปลี่ยนไปเวลาพูดถึงมัน”

      “อะไรของมึงอีก!”

      เขาจุดยิ้มเมื่ออีกคนตั้งท่าจะอารมณ์เสียหนักยิ่งกว่าเดิม  แต่เขาดูออกว่าอีกฝ่ายก็แค่ทำเพื่อกลบเกลื่อนเท่านั้น  คบกันมานานมีหรือที่เขาจะอ่านสายตามันไม่ขาด  “ก็ถ้าเป็นเมื่อก่อน  มึงต้องด่ามันก่อนแน่นอน  ถึงพวกกูจะเป็นคนวางแผนก็เถอะ”

     “..........”  ความจริงที่เขาไม่ทันได้นึกถึงเล่นเอาพูดอะไรไม่ออก  ใจจริงอยากจะเถียงกลับแต่คิดว่าคงไม่มีทางชนะคนอย่างไอ้เคนแน่นอน  นายน์หลบสายตา  มองไปยังเพดาลอย่างเลื่อนลอยพลางยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากเพื่อจะได้ซ่อนสีหน้าจากไอ้คนขี้จับผิด 

      “มันเป็นคนดีจริงๆ นะ  ถ้ามึงไม่ชอบมันแบบนั้น  บอกมันไปตามตรงเลยก็ได้  กูว่ามันเข้าใจ”

     “..........”

     “บางทีมึงอาจจะได้เพื่อนโคตรรดีเพิ่มขึ้นอีกคนเลยก็ได้  หมายถึง…ถ้ามันโอเคที่จะเป็นแค่เพื่อนมึงน่ะนะ”

     “……….”

     “อย่างน้อย  มึงจะได้ไม่ต้องไปทำบาปใคร  กูไม่รู้หรอกนะ  ว่าทำไมมึงถึงยอมให้มันไปรับไปส่งแบบนี้  แต่ที่แน่ๆ ล้อเล่นกับความรู้สึกคนมันไม่ดีนะเว้ย”

     “………”

      “แต่มึงรู้อะไรมั้ย  แค่กูลองส่งรูปตอนมึงเมาไปให้มันเล่นๆ  มันแม่งโทรกลับมาหากูทันที  กูว่าเผลอๆ แม่งพุ่งมาทั้งชุดนอนเลยมั้ง”

     “..........”

     “ตอนขับรถมาส่งอีก  ตลอดทางมันคอยหันไปมองมึงทุกสิบวิได้มั้ง  เห็นแล้วกูยังปวดคอแทน”

      “..........”

     สิ่งที่มันพูดใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิด  คนอย่างเคนตะพูดทีก็จี้เข้าตรงกลางใจดำเขาทุกทีนั่นแหละ  ไม่ใช่ว่าเขาอยากล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น  เขารู้ดีว่ามันเป็นยังไง  เพราะเขาก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว  แต่ติดอยู่ที่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้มันหมายความว่าอะไร  นายน์มองเหม่อไปยังความว่างเปล่า  ภายในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบให้มันไม่ได้ 

     หรือบางที...เขาอาจจะไม่มีความกล้าพอที่จะตอบ 

      “มึงรู้จักกูดีที่สุด  มึงว่าตอนนี้...กูเป็นยังไงวะ”  หรือบางที  เขาอาจอยากฟังจากปากคนอื่นเพื่อจะได้ย้ำว่าที่เขารู้สึกเป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่อ่อนไหวไปเองหรือแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบฉาบฉวย

     เสียงแผ่วๆ นั้นดังขึ้นจากคนที่เงียบไปนานจนนึกว่าหลับไปแล้วทำเอาคนฟังต้องขมวดคิ้วมุ่น  “อะไรคือเป็นยังไง  ถามให้ชัด”

     “มึงว่ากู...คิดยังไงกับมัน”

     อุตส่าห์ตะล่อมให้หลุดออกมาเป็นครึ่งค่อนคืนในที่สุดคนปากแข็งก็ยอมคายก้อนหินออกมาเสียที  ไม่รู้จะปากหนักไปถึงไหน  เคนไม่ตอบในทันที  เขาส่งเสียงอืมในลำคอราวกับใช้ความคิด  ทั้งที่มีคำตอบเตรียมไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว  “นี่มึงถามตัวเองหรือถามกู”  คนอย่างไอ้นายน์เล่นตรงๆ คงต้องรออีกสิบชาติ  ต้องเจอคนเหลี่ยมจัดแบบเขานี่แหละ  หึ!

     “..........”

     “ที่แน่ๆ คือมึงโคตรคิดมาก  รู้ตัวปะ”

     “.........”

     “รู้สึกยังไงก็ปล่อยไปเลยดิวะ  นี่มันยุคไหนแล้ว  ไม่มีใครเค้ามัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้หรอก”

     “กูรู้  แต่มึงเข้าใจมั้ย  เมื่อก่อนกูโคตรไม่ชอบมัน  เกลียดขี้หน้าโคตรๆ เลยด้วยซ้ำ...”

   “เมื่อก่อนก็เมื่อก่อนดิ  เกี่ยวอะไรกับตอนนี้วะ”

      “..........”

     “งั้นกูถามมึงบ้าง  มันดีกับมึงมั้ย”

     เขาหันกลับไปสบตากับเพื่อนเป็นครั้งแรก  สาบานว่าตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นไอ้เคนทำหน้าจริงจังได้เท่านี้มาก่อน  นายน์ถอนหายใจอย่างยอมจำนนก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด 

     “เห็นมะ”

     “จริงๆ มันดีเกินไปด้วยซ้ำ  ขนาดกูแกล้งมันสารพัดแต่มันก็ไม่เคยว่าอะไรกูเลย  กูรู้ว่ามันรู้  แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้  ...แล้วอีกอย่าง  มันก็...หน้าตาดีมาก  บางทีอยู่กับมันมากๆ กูก็รู้สึกแปลกๆ ว่ะ”

     ท้ายประโยคเสียงนั้นค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ แถมยังพูดไปหลบสายตาเขาไป  นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนซี้ที่รู้ไส้รู้พุงกันจนหมดเขาคงตกหลุมความน่ารักของมันอีกคน  แต่บังเอิญว่าคนอย่างไอ้เคนตะไม่ชอบอะไรยากๆ  เอ่อ  ไม่ได้หมายความว่าชอบคนง่ายๆ นะ  แต่แบบไอ้นายน์ก็ยากเกินลิมิตไปนิด  เคนเอื้อมมือไปขยี้ผมเพื่อนตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวพลางว่า  “นี่อย่าบอกนะว่ามึงเริ่มแพ้ความหล่อของมันอีกคน”

     “กูไม่ใช่มึงนะ!  กูหมายถึง  ทุกอย่างที่เป็นมันคอยก่อกวนความรู้สึกกูตลอด  ไม่รู้ดิ  กูว่าเหมือนมันรู้จุดอ่อนกู”  เขาเป็นประเภทแพ้คนใจดี  คนใจเย็น  แล้วก็มีความเป็นผู้ใหญ่  พูดง่ายๆ คือเขาแพ้ทางคนที่มีอะไรตรงข้ามกับตัวเองนั่นแหละ

     “แต่กูว่าไม่  มันก็แค่เป็นมัน  มึงเก็บอาการเก่งจะตายห่า  ใครที่ไหนจะไปรู้จุดอ่อนมึงวะ”

     “ขนาดนั้น?!”

     “เออดิ  ถ้าลองกูไม่ได้เป็นเพื่อนมึงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยนะ  กูบอกเลยว่าดูมึงไม่ออก  คนอะไรใจแข็งชิบหาย”

     “มึงอย่าเวอร์”

     “น้อยไปดิ”

     “..........”

     “มัวแต่ฟอร์มจัดเดี๋ยวก็พลาดของสำคัญหรอก  กูไม่อยากเห็นมึงมานั่งเสียใจทีหลังนะ”

     “ถามจริง  มันจ้างมึงมาเท่าไหร่”

     “จ้างก็ดีดิวะ  ที่กูทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเข้าข้างมันอะไรหรอกนะ  กูแค่รู้สึกว่า  มึงควรได้เจอคนดีๆ  จะได้ไม่ต้องอกหักซ้ำๆ แบบกู”

     “กูไม่ได้ใจง่าย  จะได้อกหักถี่ๆ แบบมึง”

     “ถุยยย!  อยากให้กูนับมั้ยนายน์!”

     “ก็นั่นมันเมื่อก่อนปะ!”

     “ครับพ่อคนใจแข็งอย่างกับหิน!  .....แต่กูพูดจริงๆ นะ  มีคนมาจริงใจด้วยขนาดนี้  รอนานเป็นปีๆ ไม่เคยได้อะไรตอบแทนความรู้สึกเลยแต่มันก็ยังชอบมึง  หาที่ไหนได้อีกวะ”

     “..........”

     ฟังมันเทศนามาถึงตรงนี้ก็เหมือนจะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น  แต่ก็ยังอดที่จะตะขิดตะขวงใจไม่ได้อยู่ดี  พูดตรงๆ เลยคือเขาฟอร์มจัดใส่เท็นมาตลอด  แล้วจู่ๆ จะให้เปลี่ยนท่าทีกันดื้อๆ มันต้องทำยังไง  ต้องขนาดไหนถึงจะไม่มากหรือน้อยไป  บอกตรงๆ ว่าแค่ลองจินตนาการเล่นๆ ก็ยังทำไม่ได้เลย  เห้อ!  นายน์หันกลับไปมองเพื่อนอีกครั้ง  และมันก็ยังคงมองมาที่เขาอย่างกับรู้ใจว่าเขายังมีเรื่องที่อยากจะพูดอีก  “แล้ว…ทำไมเป็นกูวะ”

      “เอ๊าไอ้นี่!  อยากรู้ก็ไปถามมันเองดิ”

      “มึงชอบแว๊บไปคุยกับมันไม่ใช่หรอ  มันไม่เคยบอกมึงรึไง”

      “บอก”

      “ว่า”

      “มึงปัญญาอ่อน  ขี้โมโหไปนิด  แต่ยังดีที่เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว  แล้วก็…น่ารัก”

     “ไม่ใช่ละ!”

     “จริง  ไม่เชื่อมึงลองไปถามมันดู”

     “มึงพูดเองเหอะเคน  กูไม่ได้โง่”

      “ฮ่าๆๆๆ”





                                               ***********************************


     เท็นรีบยัดหนังสือและกวาดปากกากับบรรดาเครื่องเขียนอีกสองสามอย่างที่เอาออกมาใช้ทำการบ้านเมื่อคืนลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน  ก่อนจะวิ่งไปคว้ากุญแจรถที่แขวนอยู่หน้าประตูพร้อมกับพยายามดึงถุงเท้าอีกข้างที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยไปด้วย  เขารีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพราะกลัวว่าถ้ารถติดแล้วจะพาลให้ไปสาย  อดเจอแม่นายน์เพื่อทำคะแนนล่ะเสียดายโอกาสแย่

     Rrrrrr.....  Rrrrrr.....

     โทรศัพท์ที่อยู่ในมือดังขึ้นเมื่อเขาพาตัวเองลงมาชั้นล่างแบบพอดิบพอดี  เท็นกดรับแบบไม่ทันได้มองว่าใครเป็นเจ้าของสายเพราะสายตาของเขากำลังควานหารองเท้าคู่ใจที่จำได้ว่าถอดเอาไว้ตรงชั้นล่างของชั้นวางรองเท้าแต่กลับหาไม่เจอ

     “ครับ”  กรอกเสียงไปแบบส่งๆ พลางเปิดตู้รองเท้าอีกใบและก็พบว่าไอ้เพื่อนยากของเขานอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น 

     “มึงอยู่ไหนแล้ว”

     ทว่าเสียงแผ่วเบาราวกับคนไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดของคนปลายสายก็ทำให้มือของเขาที่เตรียมจะเอื้อมไปหยิบรองเท้าออกมาสวมต้องชะงัก  “กำลังจะออกจากบ้าน” 

     “วันนี้มึงไม่ต้องมารับกูนะ”

     “ทำ…”

     “วันนี้กูไม่ไปเรียน แค่นี้นะ”

     เขากำลังจะอ้าปากถามต่อแต่อีกคนกลับตัดสายไปเสียก่อน  เท็นยืนจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วพลางในหัวยังคงคาใจกับเสียงอ่อนแรงของอีกฝ่าย  ไม่สบายหรือเปล่า  หรือว่านายน์แกล้งให้เขาเข้าใจผิดเพื่อจะหลบหน้ากันเพราะเหตุในรถวันนั้น  แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันฟังดูจริงเกินกว่าจะเป็นการแสร้งทำ  ถึงแม้จะเป็นแค่น้ำเสียงผ่านโทรศัพท์แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ  หรือจะลองเสี่ยงขับไปดูที่บ้านดี   

    Rrrrrr.....  Rrrrrr.....

     ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าควรไปดูให้เห็นกับตาหรือว่าจะยอมทำตามที่บอก  ชื่อของคนที่เพิ่งโทรมาเมื่อครู่ก็ชิงโทรเข้ามาอีกรอบเสียก่อน

     “ว่าไง”   

      “เท็น  นี่แม่เองนะลูก”

      “ครับแม่”

     “เท็นจะสะดวกมั้ยถ้าแม่มีมีเรื่องจะรบกวนเท็นหน่อยน่ะลูก”

     “สะดวกครับ”  น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความร้อนรนของผู้หญิงที่มักจะใจดีและสดใสอยู่เสมอยิ่งพาลให้เขาไม่สบายใจแปลกๆ
 
      “นายน์ไม่สบายมากเลยลูก  ไม่รู้เมื่อวานไปทายอะไรผิดสำแดงมา  เมื่อคืนนายน์อาเจียนทั้งคืนเลย นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่นี่  แม่จะพาไปหาหมอก็ดื้อไม่ยอมไปท่าเดียว”

     “งั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ”





      ทันทีที่ขับรถมาถึงที่หมายประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดไว้รออยู่แล้ว  เขาสังเกตเห็นรถของคุณน้าที่ถูกจอดเลยหน้าบ้านไปนิดหน่อยเหมือนกับเตรียมพร้อมจะออกไปทำงานแล้วก็คงจะสลับที่ให้เขาได้ขับเข้าไปจอดในโรงรถได้สะดวกขึ้น  ฟังจากน้ำเสียงของคุณน้าตอนโทรมาก็ดูร้อนใจอยู่ไม่น้อย  สงสัยว่านานย์จะเป็นหนักเอาการ  ร่างสูงดับเครื่องยนต์เมื่อพารถเข้ามาจอดภายในก่อนจะรีบตรงเข้าไปในบ้าน  เขายกมือไหวเจ้าของบ้านทันทีที่อีกฝ่ายหันมาเห็น  “นายน์เป็นยังไงบ้างครับ”

      “หลับอยู่จ้ะ  อาเจียนจนหมดแรง  เมื่อคืนนายน์แทบไม่ได้นอนเลย”

      “พาไปหาหมอดีกว่ามั้ยครับ”

      “ดื้อจะตาย  บอกว่าไหวๆ ท่าเดียว  ตอนนี้เค้านอนพักอยู่แม่เลยไม่อยากกวน”

      “งั้นผมต้องทำยังไงบ้างครับ”

     “ขอโทษเท็นจริงๆ นะลูก  แม่ไม่รู้จะวานใครจริงๆ  วันนี้แม่มีคลาสสำคัญ  พยายามโทรหาคนมาสอนแทนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่มีใครว่างเลย”

     “ไม่เป็นไรครับ  ผมเต็มใจ”

     “ขอบคุณมากจริงๆ ลูก  …แต่ตอนนี้นายน์หยุดอาเจียนแล้วล่ะจ้ะ  มีแค่ไข้อ่อนๆ  เท็นคอยเช็คให้หน่อยนะ  ถ้าไข้ขึ้นสูงต้องรีบปลุกให้ทานยาลดไข้”

     “ได้ครับ”

      “ตรงโต๊ะหัวเตียงแม่เตรียมเกลือแร่กับน้ำอุ่นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว  ต้องชงเกลือแร่กับน้ำต้มสุกเท่านั้นนะลูก  ให้นายน์ดื่มแทนน้ำไปเลยนะ”

      “ครับ”

      “ถ้าเท็นหิว  แม่ทำแซนวิซไว้ให้อยู่ในตู้เย็นนะจ้ะ  ส่วนข้าวต้มของนายน์แม่ตั้งไว้บนเตา”

     “ครับ”

     “อ้อ!  ห้องนายน์อยู่ซ้ายมือนะลูก  ขึ้นไปก็เจอเลย”

     “ครับแม่”

     “ส่วนนี่เบอร์แม่  ถ้าเท็นมีอะไรโทรหาแม่ได้เลยนะลูก”

     “โอเคครับ”

     “ฝากนายน์ด้วยนะจ้ะ”

     “ไม่ต้องห่วงครับ” 

     “ถ้าไม่ได้เท็นแม่ต้องแย่แน่ๆ เลย  ขอบคุณเท็นมากนะ  แม่ต้องรีบไปก่อนแล้วจ้ะ”
 
     “สวัสดีครับ”

      เท็นมองตามหญิงวัยกลางคนที่มักจะมีรอยยิ้มให้เขาเสมอแต่วันนี้ใบหน้าสวยนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตา  เขาหันกลับไปมองยังบันไดทางขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน  ภาพคุ้นตาคือนายน์ที่มักจะเดินกึ่งวิ่งลงมาอย่างรีบร้อนและมักจะทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกผู้เป็นแม่ตำหนิที่ต้องให้เขาเป็นฝ่ายรออยู่ทุกวัน  แม้มันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ภาพเหล่านั้นคงจะเป็นภาพที่ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง  เขายิ้มให้กับใบหน้าในความคิดนั้นก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสอง

     ฝ่ามือหนาเลื่อนบานประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้อย่างเบามือ  ก้าวเท้าไปยังเตียงกว้างที่มีใครคนหนึ่งนอนคู้ตัวอยู่  ยืนมองอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงตรงที่ว่างข้างเตียง  สายตาจับจ้องไปยังตำแหน่งเดียวคือใบหน้าซีดเซียวนั้น  แม้เจ้าตัวจะกำลังพักผ่อนแต่กลับไม่ได้ดูผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็น  เท็นเอื้อมมือไปอังยังหน้าผากมนแผ่วเบา  รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่มากกว่าระดับปกติอยู่เล็กน้อย 

     เขากวาดสายตาไปยังโต๊ะข้างเตียงเห็นแก้วน้ำ  ขวดแก้วขนาดกลางบรรจุน้ำสีส้มที่เดาว่าแม่ของนายน์คงจะชงน้ำเกลือแร่เตรียมไว้ให้คนป่วย  กระปุกยาลดไข้  ซองยาอีกสองสามชนิด  และแผ่นแปะลดไข้  เขาหยิบมันทั้งหมดขึ้นมาอ่านสลากอย่างละเอียด  ลำดับขั้นตอนในใจว่าควรจะทำอะไรก่อนหลังหากนายน์ตื่น  สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบแผ่นลดไข้ออกมาแกะ  ก่อนจะเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกแล้วบรรจงแปะลงบนหน้าผากให้คนป่วยอย่างเบามือที่สุด 

     ตาคมทอดมองคนบนเตียงที่แม้จะป่วยจนหน้าซีดเซียวขนาดนี้แต่กลับยังคงดูน่ารักและเปราะบางยิ่งกว่าเดิมในความรู้สึกของเขา  ฟังจากที่แม่เล่าว่านายน์อาเจียนทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน  ตอนนี้เจ้าตัวคงจะเพลียมาก  ไม่แปลกใจเลยที่เสียงตอนโทรมาจะฟังดูอ่อนแรงขนาดนั้น  มือหนาลูบเส้นผมนุ่มแผ่วเบาก่อนจะเกลี่ยกลุ่มผมที่บดบังใบหน้าออก  ไล้หลังฝ่ามือไปบนเปลือกตาคูสวยที่มักจะฉายแววสดใสอยู่เสมอเลื่อยไปยังแก้มเนียนของคนที่ได้แต่แอบชอบมานาน  จะว่าไปนี่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายขนาดนี้โดยไม่ถูกเจ้าตัวชกเอาเสียก่อน  เท็นหลุดยิ้มพลางส่ายหัวเบาๆ ให้กับความคิดตัวเอง   

     แม้แต่ตัวเขาเองจนตอนนี้ก็ยังอดที่จะประหลาดใจในความมั่นคงกับความรู้สึกที่มีกับอีกฝ่ายไม่ได้....

จะว่าไปแม้แต่การชอบใครสักคนอย่างจริงจังก็ยังเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายสำหรับตัวเขาเลยด้วยซ้ำ  ที่ผ่านมาเขาเคยคบหาใครมาไม่น้อย  และในบรรดาคนที่คบมาทั้งหมดก็เป็นฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาหาเขาเอง  ถึงจะคบเพราะรู้สึกถูกใจ  แต่ก็ไม่มีสักคนที่จะทำให้รู้สึกฝังใจได้เหมือนอย่างที่เขารู้สึกกับคนตรงหน้า  แถมยังเป็นการชอบใครสักคนที่เล่นเอาสะบักสะบอมเอาเรื่องอีกต่างหาก

     แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น  ต่อให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้  เขาก็ยังเลือกที่จะรักนายน์อยู่ดี...

     เขาจะเก็บความรู้สึกที่ได้รักใครอย่างจริงจังสักครั้งนี้ไว้เป็นสมบัติล้ำค่าตลอดไป  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะไม่สมหวังก็ตาม  เท็นถอนหายใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้  เขายังเอาแต่ทอดมองไปยังคนบนเตียงอย่างไม่ละสายตา  ก่อนจะแนบฝ่ามือไปบนแก้วเนียนเพื่อวัดอุณหภูมิอีกครั้ง  เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  โน้มตัวไปหยิบผ้าห่มที่คงจะถูกอีกคนผลักออกไปตกอยู่ตรงปลายเท้าอีกฟากขึ้นมา  ขยับผ้าห่มจนถึงระดับอกให้คนป่วย 

     ร่างสูงละสายตาจากคนตรงหน้าเพื่อมองหาเก้าอี้  ก่อนจะหันไปเจอเข้ากับโต๊ะเขียนหนังสือ  เขาเดินไปเลื่อนเก้าอี้ตัวนั้นมาวางลงข้างเตียง  ทิ้งตัวนั่งลงอีกครั้งและคอยสังเกตอาการคนบนเตียงอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนว่าเวลาจะล่วงเลยไปเท่าไหร่  กระทั่งสายตาดันเหลือบไปเห็นตัวเลขบนนาฬิกาปลุกข้างเตียงถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมทำอะไรไปบางอย่าง  เท็นหยิบมือถือขึ้นมาทันทีแล้วกดไปยังห้องแชทของเพื่อนสนิทเพื่อส่งข้อความไปบอกว่าวันนี้เขาจะไม่เข้าเรียน  โดนมันซักจนซีดให้ระคายอารมณ์จนต้องตอบไปตามตรงด้วยความรำคาญว่าจะอยู่เฝ้าคนป่วย  แล้วก็ถูกมันทั้งแซวทั้งแขวะจนสาแก่ใจตามระเบียบถึงยอมรับปากว่าจะเก็บชีทและเลคเชอร์ไว้ให้

     ไอ้เพื่อนเวร!





                                                   ***********************************



TALK : ใกล้จะหมดสต๊อกแล้วนะแจะ เดี๋ยวมหกรรมดองก็จะมาในไม่ช้า  :katai5:



ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :hao7:

ผู้ชายที่แสนดี

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
EP13…
 



 
     อาการปวดร้าวตรงขมับที่รามมาถึงเบ้าตารังควาญการพักผ่อนจนในที่สุดเขาก็ทนความปวดนั้นไม่ไหว  ร่างเล็กนิ่วหน้าทันทีเมื่อพยายามจะลืมตาแต่โดนแสงและอาการร้าวไปทั้งหัวเล่นงานหนักกว่าเก่า  มือเล็กบีบลงตรงขมับอย่างแรงหวังจะคลายอาการเหล่านั้น  ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

     เขานอนมองเพดาลสีขาวแสนคุ้นตาอยู่อย่างนั้นกระทั่งความเลือนรางหายไปและถูกแทนที่ด้วยภาพที่ชัดเจนขึ้น  สิ่งแรกที่เขาคิดจะทำในตอนนี้ก็คือ ‘ดื่มน้ำ’  อาการกระหายจนน้ำลายฝืดเฝื่อนไปหมดเล่นงานจนเขาแทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ  นายน์กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องเพื่อจะมองหาผู้เป็นแม่หวังจะขอความช่วยเหลือ

     ทว่า!  ภาพผู้ชายตัวโตที่ไม่ควรจะมาอยู่ในห้องของเขาดึงสติบางเบายิ่งกว่าปุยนุ่นให้ตื่นตัวขึ้นมาในเสี้ยววินาที  นายน์ขยี้ตาตัวเองอย่างแรงเพื่อจะให้ภาพตรงหน้าหายไป   
   
     สงสัยเพราะโทรหาอีกฝ่ายเป็นคนสุดท้ายก่อนจะสลบเหมือดไปถึงได้เก็บเอามาฝันบ้าๆ แบบนี้!  ทว่ายิ่งเพ่งมองเพื่อให้หายไปเท่าไหร่ภาพนั้นกลับยิ่งชัดเจน  ร่างเล็กที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพยายามจะหยัดตัวขึ้นนั่ง  แต่ก็ทำได้เพียงยันศอกไว้กับเตียงนุ่มเท่านั้น  เขามองดูร่างสูงที่กำลังกอดอกหลับเพลินจนคอพับคออ่อนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา  มองซ้ายขวากวาดสายตาไปจนทั่งห้องก็ไม่พบแม้แต่เงาของผู้เป็นแม่  เกิดความสงสัยและรู้สึกถึงเคล้าลางบางอย่างอยู่ลางๆ  เหลือก็คงจะต้องถามเอาจากคนหลับนี่ล่ะ!

     “เท็น”
   
     “…………”

     “เท็น”

     “ห…หือ?!”

     “โอ๊ยยย!”

     “อย่าเพิ่งลุกสิ!”  คนถูกปลุกตื่นเต็มตาแทบจะในทันทีที่ลืมตาขึ้นมาเห็นคนบนเตียงกำลังพยายามจะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลมือข้างหนึ่งกุมหน้าผากด้วยสีหน้าที่บอกว่าเจ้าตัวคงจะปวดหัวเอามากๆ  เขารีบเข้าไปพยุงให้คนป่วยลุกขึ้นนั่งพิงหมอน  “ปวดหัวหรอ”

     “อืม”

     “ดื่มน้ำมั้ย”  คนป่วยพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเขาจึงรีบรินน้ำเกลือแร่ให้ทันที  แต่ก็ต้องขยับแก้วหนีเมื่อฝ่ามือที่ดูอ่อนแรงของอีกฝ่ายที่ทำท่าจะเอื้อมมารับ  เขาหยิบหลอดขึ้นจ่อริมฝีปากซีดเผือดให้เจ้าตัวแทน  นายน์ดูงุนงง  ดวงตาเรียวสวยคู่นั้นเอาแต่จับจ้องเขาไม่วางตา  ทว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่ก่อนเจ้าตัวจะหลุบตาต่ำ  แต่ก็ยอมดื่มน้ำจากหลอดที่เขาส่งให้แต่โดยดี

     “ขอยาแก้ปวดหน่อย”

     “ยังกินตอนนี้ไม่ได้  ท้องว่างๆ แบบนี้กินเข้าไปก็ปวดท้องกันพอดี”

     “.....แม่ล่ะ”

     “ไปทำงานแล้ว  ....กินข้าวเลยมั้ย”

     “อืม”

    เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหลังจากนั้น  เขาเองก็ดันเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในห้องนอนของอีกฝ่ายแถมยังอยู่บนเตียงเดียวกันแบบสองต่อสอง  แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตามที  อาการไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วพาลให้ไม่กล้าสบตาเล่นงานเขาจนต้องทำทีเป็นมองไปที่อื่น

     “แล้ว...ทำไมมึงมาอยู่นี่”

     เสียงแหบพล่าของคนป่วยดึงเขากลับมาจากอาการทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง  เท็นระบายยิ้มพลางว่า  “ก็สงสัยว่าน่าจะมีบางคนป่วยแต่ไม่ยอมบอก  เลยต้องมาดูให้แน่ใจ”

     “เป็นหมอเหรอ”

    คนถูกย้อนหลุดหัวเราะทันที  อารมณ์ขันเล็กๆ แต่หน้านิ่งสุดๆ ของคนป่วยพลันทำให้บรรยากาศผ่อนคลายทันตา  รู้สึกเหมือนนายน์คนเดิมกลับมาแม้ว่าเจ้าตัวจะดูอ่อนแรงผิดจากในยามปกติ  “เดี๋ยวไปเอาข้ามต้มมาให้  จะได้กินยา  ทนปวดหน่อยนะ”

     “ไม่ไปเรียนหรอ”

     “ไม่”

     “โดดเรียนหรือไม่มีเรียนอยู่แล้ว”

     “..........”

     “มึงนี่นะ”

     “ถึงไล่ก็ไม่ไปหรอก  เพราะต่อให้ไปก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี”

     “ก็ไม่ได้จะไล่ซะหน่อย”

     “งั้นก็ดี….  ดื่มนี่รอไปก่อนนะ  จะลงไปอุ่นข้ามต้มให้”  ว่าพลางส่งแก้วที่น้ำพร่องไปกว่าครึ่งให้คนป่วยถือไว้  ผละตัวลุกมายืนอยู่ข้างเตียง  ฉวยเอาเหยือกน้ำขึ้นมาถือไว้ในมือ  คงต้องไปเติมน้ำต้มสุกมาตุนไว้เผื่อให้นายน์กินยาด้วย 
   
     “กินแล้วกูจะไม่อ้วกซ้ำใช่มั้ย”

     “ไม่มั้ง  เพราะกูไม่ได้ทำเอง”

     “แม่ทำไว้ให้เหรอ”

     “อืม  ทำไว้ให้เพราะกลัวคนไม่ยอมไปหาหมอจะหิว”

     “โล่งอก”

     คำพูดขี้เล่นเหล่านั้นแม้ว่าเจ้าตัวจะเอ่ยมันออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย  แต่กลับสร้างความประหลาดใจให้เขาไม่น้อย  ถ้าป่วยแล้วจะกลายเป็นคนน่ารักไร้พิษภัยแบบนี้  ถ้าอยากให้ป่วยต่ออีกสักสองสามวันจะผิดไหม  เท็นลอบยิ้มอยู่กับตัวเองก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
 



 
     ร่างสูงกลับเข้ามาในห้องที่เริ่มจะคุ้นเคยอีกครั้งพร้อมกับข้าวต้มชามใหญ่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนให้เขารู้สึกหิวขึ้นมาตงิดๆ  เขานั่งลงยังที่นั่งประจำตำแหน่งของตนอีกครั้ง  มือเรียวคนข้าวต้มในชามเพื่อระบายความร้อนพลางลอบมองคนตัวเล็กบนเตียง  แล้วจู่ๆ นายน์ก็ยื่นมือมาหาเขา  “อะไร”

     “เอามาดิ”

     “ไม่ดีมั้ง”

     “อะไรไม่ดี”

     “ให้มึงถือเองมีหวังหกเลอะเตียงแน่ๆ”  เรียวแรงจะถือแก้วน้ำยังดูไม่มั่นคงเลยด้วยซ้ำ

     “เว่อร์  กูถือเองได้”

     “นั่งเป็นคนป่วยไปเถอะน่า  เดี๋ยวป้อน”

     “กูแค่อาหารเป็นพิษไม่ได้เป็นง้อย”

      “..........”

     “ส่งมาดิ”

     ร่างสูงระบายยิ้มมุมปากให้กับคนเกรี้ยวกราดที่น้ำเสียงโรยแรงที่สุดเท่าที่เคยเจอ  ก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าจนแน่ใจว่ามันอุ่นกำลังดีแล้วจึงส่งให้อีกฝ่าย  แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ยอมง่ายๆ เอาแต่จ้องช้อนตรงหน้าอยู่อย่างนั้นจนเขาต้องเลื่อนมันไปจรดริมฝีปากเสียเอง  พอเริ่มจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมานิดหน่อยก็เตรียมจะพยศอีกแล้ว  “ถ้าไม่ยอมกินดีๆ ก็อยู่มันอย่างนี้แหละ  กูไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”

     “ไอ้...”

     “เร็ว  เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย”

     “……….”

     “หรือถ้าอยากอยู่แบบนี้นานๆ ก็ตามใจ  ยังไงคนที่ได้กำไรก็เป็นกูอยู่แล้ว”

     ได้ผลชะงัดเมื่อสุดท้ายคนป่วยหัวดื้อก็ยอมอ้าปากรับเอาข้าวต้มที่เขาป้อนให้อย่างเสียไม่ได้  ใบหน้าน่ารักที่งอง้ำบอกอารมณ์ทำให้เขาไม่สามารถกลั้นยิ้มได้อีกต่อไป

     “ถ้ามึงยังไม่หยุดยิ้มกูจะไม่กินแล้ว!”

     “โอเค!”  เขาทำเป็นตีหน้านิ่งทันทีตามที่อีกฝ่ายต้องการแม้ว่ามันจะไม่เนียนเลยก็ตาม

     “กวนตีน!”

     “ยอมกูซักวันไม่ได้รึไง  ถือว่าเป็นค่าจ้างก็ได้  นี่ยอมโดดเรียนเลยนะ”  เท็นยักคิ้วกวนๆ ส่งไปให้คนที่กำลังเบ้ปากมองมา  ทว่าก่อนที่จะทำให้คนป่วยหมั่นไส้จนพาลไม่ยอมกินข้าวไปเสียก่อนเขาก็ถือจังหวะที่เจ้าตัวกำลังเผลอตักข้าวต้มแสนอร่อยป้อนเจ้าตัวอีกคำ

     เพิ่งรู้ว่าการดูแลคนป่วยมันดีอย่างนี้...

     เท็นป้อนไปโดนอีกฝ่ายทำตาเขียวใส่ทุกครั้งที่เผลอจ้องเจ้าตัวมากไปกระทั่งหมดไปค่อนถ้วย  ก่อนจะถูกเจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธท่าเดียวจนเขาต้องยอมแพ้  แต่ก็ถือว่านายน์กินได้เยอะกว่าที่คาดไว้   

     “ถ้างั้นก็กินยาซะ  จะได้นอนพักต่อ”

     นายน์ยอมรับยามาทานอย่างว่าง่าย  เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดคือรีบๆ กิน  จะได้รีบๆ นอนเสียที  ขืนให้สู้กับสายตาคมที่เอาแต่มองมาอยู่อย่างนี้มีหวังเขาได้ไข้กลับอีกแน่ๆ

     มองกันแทบจะตลอดเวลาไม่คิดว่าเขาจะทำตัวไม่ถูกบ้างหรือไง…

     นายน์ส่งแก้วน้ำคืนอีกฝ่ายที่ยื่นมือรอรับอยู่ก่อนแล้ว  ทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง  ถึงจะรู้สึกดีกว่าเมื่อวานแต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าหายดีอยู่มาก  เขาในตอนนี้แค่หายใจยังรู้สึกว่ามันเหนื่อยเหลือเกินเลย  กำลังจะหลับตาทว่าสายตาอีกคู่ที่จ้องมองมาราวกับมีอะไรจะพูดระคนลังเลอยู่ในทีทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น  “อะไร”

     “โทษนะ”

     เจ้าตัวเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ยื่นมือมาแนบแก้มเขาไว้อย่างแผ่วเบา  สัมผัสอ่อนโยนทำเขาตกใจจนกลืนคำที่กำลังจะพูดลงคอไปจนหมด  นายน์เผลอสายตาจ้องมองไปยังเจ้าของฝ่ามืออย่างลืมตัว  และดวงตาคมที่มองกลับมาอย่างอ่อนโยนคู่นั้นกลับยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก  เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเผลอหลุดสีหน้าอย่างไรออกไป  รู้เพียงว่าจังหวะหัวใจเจ้ากรรมกำลังเต้นโครมครามขึ้นมาอีกระรอก  ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะหลุบตาอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกระทั่งฝ่ามือเรียวนั้นละไปจากแก้มของเขา

     “ตัวยังอุ่นๆ อยู่เลย  แต่กินยาลดไข้ไปแล้ว  เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

     “..........”

     “หนาวมั้ย”

     คำถามนั้นมาพร้อมกับฝ่ามือของอีกฝ่ายกระชับผ้าห่มให้เขา  ทุกการกระทำล้วนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน  อ่อนโยนเกินไปจนทำให้หัวใจของเขาเกิดอาการประหลาดจู่โจมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว  “ม...ไม่”

     “งั้น...ขอเปลี่ยนแผ่นลดไข้หน่อยได้มั้ย”

     “ไม่ต้อง  กู…ง่วงแล้ว”  เอ่ยเพียงเท่านั้นก็พลิกตัวนอนตะแคงหนีอีกฝ่ายทันที  ร่างเล็กเม้มริมฝีปากแน่น  พยายามข่มจังหวะหัวใจที่เอาแต่เต้นรัวให้สงบลงอย่างยากเย็น   

     “.....ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกนะ”

     “..........”

     “กูจะลงไปข้างล่างซักพัก”

     “.........”

     ถึงจะเอ่ยออกไปแบบนั้นแต่เท็นกลับยังเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสัมผัสตัวโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจหรือเปล่าเจ้าตัวถึงได้ดูแปลกไป  เท็นถอนหายใจพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  รู้สึกถึงความอึกอัดจากอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก  มันคงจะดีกว่าหากเขาปล่อยให้นายน์ได้อยู่คนเดียวสักพัก

     จากที่เคยกลั้นยิ้มจนแก้มแทบปริเพียงเสี้ยววินาทีนายน์กลับทำให้ใจของเขาห่อเหี่ยวจนอยากจะชกหน้าตัวเองให้สาสมกับความคิดน้อย  รู้อย่างนี้เขาน่าจะรอให้เจ้าตัวหลับไปก่อน  ไม่น่าทำให้นายน์อึดอัดใจเลย

     แค่เขาทำให้มีความสุขเข้าหน่อยก็ถึงกับเหลิงเลยหรือไงวะไอ้เท็น!

     “เท็น”

     เท้าที่กำลังจะพาร่างสูงพ้นจากประตูจำต้องหยุดชะงัก  ไม่ต่างกับความคิดของเขาที่ถูกทำลายลงเพราะเสียงของคนที่เขานึกว่าเจ้าตัวคงหลับไปแล้ว

     “อย่าเพิ่งกลับนะ”

     หัวใจที่เหี่ยวแห้งราวกับต้นไม้ใกล้ตายเมื่อครู่กลับฟื้นคืนอีกครั้งเพียงเพราะประโยคนั้น  เขาหันกลับไปมองคนบนเตียงที่ตอนนี้เจ้าตัวนอนตะแคงหนีเขาไปอีกฟากราวกับจะบอกเป็นนัยว่ายังไม่ต้องการจะเห็นหน้ากัน  แม้ภาพนั้นจะสะกิดแผลในใจให้เจ็บๆ คันๆ ขึ้นมาอีกรอบแต่เพียงแค่นายน์ไม่ไล่เขาไปก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว

     นี่คงจะเป็นความสามารถพิเศษของนายน์  ที่สามารถทำให้เขาทุกข์ใจและเป็นสุขสลับกันไปมาด้วยเวลาเพียงเสี้ยวนาทีแบบนี้  ร่างสูงระบายยิ้มอย่างอ่อนแรงกับตัวเองก่อนจะเอ่ยตอบคนป่วย

     “บอกแล้วไงว่าถึงไล่ก็ไม่ไป”

 
 


     เหมือนภาพเดิมถูกฉายซ้ำเมื่อนายน์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งและสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือเท็นที่กำลังนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม  เขานอนมองคนที่เห็นกันมานาน  นานจนอาจเรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกันก็คงไม่ผิด  แต่เอาเข้าจริงกลับเหมือนยังไม่รู้จักกันดีพอ  สาเหตุก็มาจากตัวเขาทั้งนั้นที่มัวแต่อคติกับอีกฝ่ายจนแทบไมเคยจะพูดคุยกันดีๆ เลยด้วยซ้ำ

     ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เขาได้ลองเปิดใจ  ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดและสิ่งที่เคยยึดติดแทบทั้งหมด  เพราะไม่ว่าเขาจะทั้งลองใจทั้งแกล้งสารพัด  แต่เท็นก็ยังใจเย็นและดีกับเขาเสมอ  ราวกับว่าไม่ว่าเขาจะร้ายใส่แค่ไหนหรือต่อให้หลอกใช้อย่างไรก็ไม่มีผลต่อความรู้สึกของฝ่ายนั้น  อันที่จริงที่ผ่านๆ มาเขาก็ไม่เคยจะทำดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้วล่ะนะ  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมยังทู่ซี้ชอบเขาเข้าไปได้ยังไง   
 
     เท็นเป็นคนที่น่าคบหามากๆ คนหนึ่ง...ไม่ว่าจะในฐานะใด

     เป็นคำนิยามที่เขาตั้งให้เจ้าตัว(ในใจ)  คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจกับตัวเอง  ความจริงแล้วหลายวันมานี้เขารู้สึกว่าตัวเองแปลกไปเมื่อต้องอยู่ใกล้กับอีกฝ่าย  โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ในรถวันนั้น  แค่คิดก็รู้สึกหน้าร้าวผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ   
นายน์สะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อเหล่านั้นทิ้งไปก่อนจะหยัดตัวขึ้นจากที่นอนนั่งพิงหัวเตียงมองดูคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราต่ออีกชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเรียก

     “เท็น”  เสียงที่เอ่ยออกไปช่างแผ่วเบาเพราะเขายังรู้สึกอ่อนแรงอยู่มาก  ทว่าเพียงเท่านั้นกลับทำให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ

     “ตื่นแล้วเหรอ”

     “……….”

     “น้ำมั้ย”

     คนถูกถามพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย  เท็นรีบรินน้ำเกลือแร่ที่เขาเพิ่งชงใหม่ก่อนที่จะเผลอหลับไปให้คนบนเตียง  สีหน้าที่ดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อยนั้นทำให้เขาใจชื้นตามไปด้วย  เขายอมให้คนป่วยถือแก้วเองแต่โดยดี  เพราะสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่เผลอทำเสียเรื่องซ้ำสองเป็นอันขาด  “หายปวดหัวรึยัง”

     “ก็ยังปวดอยู่นิดหน่อย”

     “หิวมั้ย”

     “อืม....  แต่ไม่อยากกินข้าวต้มแล้ว”


.
.
.
.
.
ต่อ

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
     


     “อยากกินอะไรล่ะ”

     คนถูกถามนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัว  เขาไม่ได้จะกวนประสาทหรือหาเรื่องแกล้งอีกฝ่ายเหมือนทุกครั้ง  เขาในตอนนี้สมองตื้อไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ  แถมยังรู้สึกขมปากไปหมดแม้ท้องจะร้องหาอาหารอยู่ก็ตาม  “ไม่รู้เหมือนกัน”

     “ก๊วยเตี๋ยวมั้ย”

     “ไม่เอา”

     “งั้นอะไรดีล่ะ  แม่กูเคยบอกว่าเวลาไม่สบายให้กินอะไรอ่อนๆ ไปก่อน  ห้ามกินอาหารรสจัด”  ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เคยป่วยจนนอนซมให้คนดูแลอยู่ไม่กี่ครั้ง  แถมเขายังเป็นพวกกินง่ายอยู่ง่าย  แม่กับยายนอมทำอะไรให้กินเขาก็กินได้ทั้งนั้น  ไอ้เรื่องประสบการณ์การดูแลคนป่วยยิ่งแล้วใหญ่  เพราะนี่คือครั้งแรกสำหรับเขาจริงๆ บอกตามตรงว่าถึงอยากจะช่วยคิดยังไงสมองของเขาก็ไม่ยอมประมวลผลเลยแม้แต่นิดเดียว

     “ผลไม้แล้วกัน”

     “จะไม่กินข้าวก่อนเหรอ  เดี๋ยวผลไม้ไว้กินทีหลัง  กินข้าวก่อนดีกว่านะ”  เชื่อแล้วว่านายน์เป็นคนเลือกกินอย่างที่แม่นายน์บอกจริงๆ  เวลาสบายดีคงรับมือไม่ยากเท่าไหร่  แต่นายน์ในเวลานี้ที่เอ่ยแต่ละทำด้วยท่าทางโรยแรงแถมยังหน้าซีดเซียวแบบนี้  บอกตามตรงว่าเขาอยากจะตามใจอีกฝ่ายทุกอย่างแต่ก็ยังต้องทำใจแข็ง

     “ไข่เจียว”

     “โอเค  เดี๋ยวกูทำให้  กูพอทำเป็น”

     “อืม”

     “ส่วนผลไม้กูขอโทรหาแม่มึงก่อนนะ  ไม่แน่ใจว่ากินอะไรได้บ้าง”  เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเบอร์ที่เพิ่งบันทึกไว้หมาดๆ ทันที  เสียงสัญญาณดังเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ

     ‘ว่าไงลูก  นายน์เป็นอะไรรึเปล่า!’

     “เปล่าครับแม่  นายน์ดูดีขึ้นมากแล้วครับ  แต่ว่านายน์อยากกินผลไม้  เท็นไม่รู้ว่าให้กินได้รึเปล่า”

     ‘ถ้าเป็นพวกกล้วยก็น่าจะพอได้นะลูก  แต่แม่ไม่ได้ซื้อติดบ้านไว้เลยน่ะสิ’

     “ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวเท็นออกไปซื้อเองครับ”

     ‘รบกวนเท็นแย่เลย  เดี๋ยวอีกประมาณ 3 ชั่วโมงแม่น่าจะกลับนะลูก’

     “แม่ไม่ต้องรีบนะครับ  ผมดูแลนายน์ได้สบายมากครับ”

     ‘ขอบใจมากจ้ะ’’

     “ครับ”

     เท็นวางสายพลางหันกลับไปหาคนที่นอนหลังพิงหัวเตียงมองเขาอยู่ก่อนแล้ว  ทว่าทันทีที่เขาสบตาเจ้าตัวกลับเสมองไปทางอื่นเสียอย่างนั้น  และเท็นก็ตามน้ำเหมือนอย่างทุกที  “เดี๋ยวจะลงไปเจียวไข่ให้ก่อน  แล้วจะออกไปซื้อผลไม้มาให้นะ”
ร่างสูงเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าของห้องซึ่งเป็นที่ที่เขาวางสัมภาระเอาไว้  หยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ก่อนจะเดินออกจากห้องไปทำอย่างที่บอก
 
     หลังจากที่เขาทำไข่เจียวให้คนป่วยอย่างค่อนข้างเงอะงะเพราะครั้งล่าสุดที่เข้าครัวก็คือตอนที่ยายนอมขอลากลับบ้านเมื่อต้นปีที่แล้ว  ซึ่งก็ผ่านมาเกือบๆ หนึ่งปีแล้วเท่านั้นเอง  แต่ก่อนที่จะลงมือทำให้อีกฝ่าย  เขาลองปรุงรส  ทอด และชิมเองก่อนแล้วหนึ่งใบ  รสชาติมันไม่ได้น่าเกลียด  แม้ว่ารูปลักษณ์มันจะเกินทนไปหน่อยก็ตาม  แต่ก็ถือว่าน่าจะโอเคสำหรับคนป่วยล่ะนะ  เขาเอาข้าวกับไข่เจียวร้อนๆ ขึ้นไปเสิร์ฟให้ถึงที่ก่อนจะขอตัวออกมาซื้อผลไม้ตามที่เจ้าตัวร้องขอ

     โชคดีที่แถวบ้านนายน์มีวิลล่าอยู่เขาจึงได้ผลไม้กลับมาให้อีกฝ่ายภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  ร่างสูงพับแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นจนถึงข้อศอก  ก่อนจะลงมือหยิบมีดขึ้นมาจัดการหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างเก้กังๆ เพราะอยากให้อีกฝ่ายทานได้อย่างสะดวกๆ  ร่างสูงยิ้มปลงๆ ให้กับผลงานของตัวเองก่อนจะหยิบจานแล้วรีบตรงไปยังห้องของคนป่วย

     ประตูที่ถูกเปิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนเขาออกไปทำให้มองเห็นคนตัวเล็กบนเตียงได้ในทันที  นายน์กำลังหลับอยู่อย่างที่คาดไว้  เขากวาดสายตามองไปยังจานข้าวบนโต๊ะข้างเตียงก่อนเป็นอันดับแรก  ข้าวเหลืออยู่นิดหน่อย  แต่ไข่เละๆ ของเขาหมดเกลี้ยง  เพียงแค่นั้นก็ทำให้ยิ้มออก  เท็นวางจานผลไม้ลงแทนที่จานข้าวที่ย้ายไปวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ  ทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่แทบจะกลายเป็นที่ประจำตำแหน่งของเขาไปแล้วพลางทอดสายตาไปยังใบหน้าซีดเซียวทว่ากลับยิ่งดูน่าทะนุถนอมในสายตาเขาพลางจุดยิ้ม

     นายน์ในเวลานี้เหมือนแมวน้อยแสนเชื่อง  ทั้งน่ารักและน่าจับมาฟัดในเวลาเดียวกัน...

     ก็ยังย้ำความคิดเดิมว่าผิดไหมถ้าเขาอยากให้นายน์ป่วยต่ออีกสักสองสามวัน  เขาชอบสายตาที่ดูอ่อนลงของอีกฝ่าย  ในบางครั้งดวงตาสวยคู่นั้นเหมือนกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง  บางอย่างที่แตกต่างออกไปจากทุกที  เท็นไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองแต่ต้องยอมรับว่าแววตาแบบนั้นจุดความหวังขึ้นมาในใจของเขาอย่างห้ามไม่อยู่

     “จะมองอีกนานมั้ย!”

     เสียงนั้นทำเอาคนที่เหม่อไปไกลถึงกับสะดุ้งพลันเสสายตาไปทางอื่นพัลวัน  พอลองหันกลับไปมองอีกทีก็พบว่าเจ้าตัวลืมตาจ้องแป๋วมาที่เขาแล้ว  ใบหน้าน่ารักนั้นเรียบเฉยแถมยังไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาอีกเลยจนเกือบจะทำให้ผู้ชายตัวโตๆ อย่างเขาหลุดฟอร์ม  ยังดีที่สายตาเหลือบไปเห็นตัวช่วยเข้าเสียก่อน  เขาฉวยจานใบเล็กขึ้นมาแก้เก้อพลางว่า  “ตื่นก็ดีแล้ว  กูไม่รู้ว่ามึงชอบกินกล้วยแบบไหน  เลยซื้อมาทั้งกล้วยหอมแล้วก็กล้วยน้ำหว้า”

     “ไม่อยากกินแล้ว”

     “อ้าว...”

     “ขอโทษที่ทำให้วุ่นวาย”

     “ไม่หรอก  กูเข้าใจ  เวลาป่วยกูก็กินอะไรไม่ค่อยลงเหมือนกัน”

     “ยังจะแก้ตัวให้อีกเนาะ”

     “...........”  อาจจะฟังดูตลกแต่ก็เหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ  เท็นได้แต่ยิ้มเพราะคำพูดของอีกฝ่าย  ทว่าประโยคถัดมากลับกระชากรอยยิ้มนั้นกลับไปแทบจะในวินาทีเดียวกัน

     “มึงกลับไปเถอะ  เหนื่อยกับกูมาพอแล้ว”

     “รอแม่มึงกลับมาก่อน”

     “ไม่ต้องรอหรอก  กูอยู่ได้  อีกอย่างกูไม่อยากตื่นมาแล้วเห็นมึงนั่งหลับคอหักอีก  บอกตรงๆ ว่าสงสาร”  ผู้ชายตัวโตๆ กับเก้าอี้เล็กๆ และห้องเงียบๆ ที่ไม่มีอะไรให้ทำนอกไปจากเฝ้าคนป่วยอย่างเขา  ฟังอย่างไรก็น่าเบื่อพิลึก

     “..........”

     “ไปเหอะ  กูอยู่ได้จริงๆ  รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”

     “ขยันไล่จังวะ  อีกไม่กี่ชั่วโมงเดี๋ยวแม่มึงก็กลับมาแล้ว  ทนเห็นหน้ากูไปก่อนแล้วกัน”  ถ้าเป็นเวลาอื่นเขาคงยอมตามใจ  แต่ตอนนี้อาการภายนอกของนายน์ยังไม่ทำให้เขาสบายใจมากพอจะปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้คนเดียว

     “ยังไงก็จะไม่กลับว่างั้น”

     “อืม”

     “..........”

     “..........”

     จู่ๆ เขาทั้งคู่ก็พากันเงียบเอาเสียดื้อๆ  ซ้ำยังเป็นความเงียบที่ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าสบตากันไปเสียได้  ไม่รู้ทำไมแต่อาการนั้นมันเริ่มมาจากคนป่วย  อาจเป็นเพราะเวลาอ่อนแรงคงทำให้เจ้าตัวอ่อนไหวง่ายตามไปด้วย  และอาการเหล่านั้นก็ส่งต่อมาที่เขาราวกับโรคติดต่อ  อาจฟังดูเหมือนเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  แต่เขารู้สึกลึกๆ ว่าเหมือนนายน์กำลังเขินเขาอย่างไรชอบกล

     “.....ชอบกูมากขนาดนั้นเลยหรอ”

     “..........”

     คำถามที่ถูกจู่โจมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวและไม่คิดว่าจะได้ยินมันในเวลาอย่างนี้ทำเอาเขาปรับสีหน้าไม่ทัน  เท็นตกใจจนเผลอจ้องไปยังเจ้าของคำถาม  ทว่านายน์กลับเอาแต่ก้มหน้าหลุบตาต่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามาให้เขาได้ค้นหาบางอย่างจากดวงตาคู่นั้นเลยแม้แต่นิด

     และเขาก็รู้คำตอบในทันทีว่านายน์เพียงต้องการถามและไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ

     ร่างสูงเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด  เขาไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยากรู้จริงๆ  หรือแค่ถามไปอย่างนั้น  เท็นยังคงปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไป  เขาจ้องมองไปยังท่าทางที่ดูราวกำกำลังอึดอัดของคนตรงหน้า  เพราะเจ้าตัวเองแต่กำผ้าห่มแน่น  เขาประเมินท่าทีเหล่านั้นอยู่นานแต่ก็ยังไม่เข้าใจ  จนสุดท้ายก็ต้องถอนหายใจระบายความกดดันออกมาในที่สุด   
 
      รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ในตอนนี้คงจะดูน่าสมเพชจนทนมองไม่ได้  แถมคงจะเป็นตัวน่ารำคาญที่เอาแต่หวังลมๆ แล้งๆ ในสายตาอีกฝ่าย...

      “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากรู้”

     “ตอบมาก่อน”

     เท็นขบกรามพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้งพลางประมวลคำตอบในหัว  ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตอบออกไปตามความรู้สึก  “ก็มากเท่าที่จะชอบคนๆ นึงได้ล่ะมั้ง”

     “..........”

     “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมากขนาดไหน  อธิบายไม่ถูก”

     “.........”

     “แต่ก็ไม่เคยรู้สึกกับใครขนาดนี้มาก่อน”

     “ทั้งๆ ที่กูทั้งแกล้งทั้งลองใจมึงสารพัดน่ะหรอ”

     “..........”

     “มึงจำวันแรกที่เรากลับบ้านด้วยกันได้มั้ย  ที่กูหายไปเป็นชั่วโมง  อันที่จริงแม่ไม่ได้โทรมาฝากให้ซื้อของอะไรหรอก  กูแค่อยากแกล้งให้มึงรอ”

     “..........”

     “แล้วทุกวันที่มึงไปรอรับกูที่คณะ  กูก็แกล้งลงมาช้าบอกว่าอาจารย์สั่งงานบ้าง  คุยงานกับเพื่อนบ้าง  แต่ความจริงคือ  กูก็แค่นั่งเล่นเกมส์ถ่วงเวลาเพื่อจะให้มึงรอนานๆ”

     “..........”

     “กูอยากรู้ว่ามึงจะทำหน้ายังไง  จะอารมณ์เสียใส่กูมั้ย  จะโวยวายเวลาที่กูลงไปช้าหรือเปล่า  แต่มึงกลับเอาแต่ยิ้ม  ไม่เคยแม้แต่จะถามกูด้วยซ้ำว่าทำไมถึงทำให้มึงรอทุกครั้ง”

     “..........”

     “มึงไม่เหนื่อยบ้างหรอวะ”

     สิ้นคำถามนั้นมีแค่ความเงียบที่คั่นกลางระหว่างเราทั้งคู่อีกครั้ง  ใช่ว่าเขาจะไม่รู้  เขาไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก  แต่ที่ยอมก็เพราะพร้อมจะรับทุกอย่างไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำให้เขาเจ็บแค่ไหนก็ตาม  ในเมื่อเลือกแล้วเขาก็ไม่นึกลังเลหรือเสียใจ  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดระหว่างเรามันจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม

     “กูมองมึงมานาน  ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงเป็นคนยังไง  ที่มึงทำแบบนั้นก็เพราะเป็นกู...ใช่มั้ยล่ะ”

     “..........”

     “กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น”

     เท็นระบายยิ้มบางเบา  เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งทว่าในเวลาเดียวกันมันกลับดูอ่อนล้าอยู่ในที  นายน์รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากดวงตาคู่นั้น  แม้อีกฝ่ายจะพยายามทำเหมือนว่าไม่เป็นไร  แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย  การรักใครข้างเดียวมันทรมานแค่ไหนทำไมเขาจะไม่เข้าใจ

     เราทั้งคู่ต่างจ้องมองกันและกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก  ภายในห้องถูกกลืนไว้ด้วยความเงียบงันชวนอึดอัด  และในเวลานั้นเองเสียงประตูบ้านที่ถูกเปิดและเสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาก็ราวกับระฆังที่ช่วยฉุดเขาทั้งคู่ออกจากภวังค์

     “แม่คงมาแล้ว  ถ้างั้น...กูกลับก่อนนะ”

     “...........”

     เท็นมองนายน์ที่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรแต่กลับทิ้งตัวลงนอนตะแคงหนีไปอีกด้านบอกเป็นนัยว่าเจ้าตัวไม่อยากเปิดการสนนาใดๆ กับเขาอีก   

     เท็นลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  ทอดสายตามองร่างบนเตียงอยู่อย่างนั้น  เป็นอีกวันที่เขารู้สึกมีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาร่วมกับอีกฝ่าย  และก็เป็นอีกวันที่ทำให้บาดแผลในใจของเขาถูกกรีดลึกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

     ถ้าจะถามหาคนที่ทั้งโง่และบ้าที่สุดในโลก  ก็คงจะเป็นเขานี่แหละ...

  “หายเร็วๆ นะ”  เอ่ยออกไปแบบนั้นแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากได้ยิน  ระบายยิ้มอ่อนแรงให้กับคนตรงหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

     ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวพ้นจากประตู  เสียงของคนที่อยู่บนเตียงก็หยุดเขาไว้เสียก่อน

     “ลองคบกันดูมั้ย”

       “...........”

      ประโยคที่ไม่แม้แต่จะกล้าฝันว่าจะได้ยินราวกับหอบเอาพายุน้ำแข็งโถมเข้าใส่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว  ขาที่กำลังจะก้าวเดินหยุดชะงัก  จังหวะหัวใจที่เคยเหนื่อยล้ากลับเต้นรัวขึ้นจนกลัวว่ามันอาจจะทำให้เขาช็อคตายไปเสียก่อน  เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!

     “มึงกับกู  บางทีมันอาจจะเวิร์คก็ได้”

     “..........”

      “กูก็อยากจะลองคบกับคนที่รักกูมากๆ สักครั้งเหมือนกัน”

 


 
                                ***********************************
 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

 :-[

ตะลึงไปเลย

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โอ้ยยยยยย นายน์นี่ใจร้ายมากกกกก

น่าให้เท็นยอมแพ้กับความนายน์ดูซิว่าจะเป็นยังไง

แต่พอมาตัดจบตอนขอคบนี่ หื้ออออ~ รอนะค้าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
น้องใจร้ายกับเท็นมากเลย ต่อจากนี้ขอหวานๆน้ำตาลขึ้นตาเลยนะคะ

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
EP14… 




     บรรยากาศภายในบ้านวันนี้ดูเงียบเชียบกว่าทุกวัน  คงเพราะพอเขามาถึงคุณน้าก็ออกไปทำงานพอดีก็เลยไม่มีคนคอยชวนคุยเหมือนเช่นทุกวัน   

     แต่ที่ทำให้ประหลายใจยิ่งกว่านั้นก็คือ...นายน์ที่นั่งทานอาหารเช้ารอเขาอยู่ก่อนแล้ว
 
     เท็นมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่ยังไม่รู้ถึงการมาของเขาอยู่อย่างนั้น  แล้วจู่ๆ ก็เกิดกลัวการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายขึ้นมาเสียดื้อๆ! 

     วันนี้เขายังคงทำหน้าที่สารถีที่ดีมารับนายน์ตามปกติ  หลังจากที่เมื่อวานแม่ของนายน์ไลน์มาบอกว่าคงต้องให้นายน์หยุดเรียนต่ออีกหนึ่งวันเพราะยังมีไข้แล้วก็ทานอะไรไม่ค่อยลง  ส่วนเขาที่สติกระเจิงไปตั้งแต่เจออีกคนทิ้งระเบิดไว้ให้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะโทรไปกวน  เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจแล้วบอกเขาว่า ‘ลืมที่กูพูดไปซะ’ ‘กูแค่พูดเล่น  อย่าบอกนะว่ามึงคิดว่ากูหมายความแบบนั้นจริงๆ’ หรืออะไรเลวร้ายเทือกนั้นที่สมองเบลอๆ ของเขาพอจะจินตนาการออก  เลยได้แค่ส่งไลน์ไปถามว่าดีขึ้นหรือยัง  เจ้าตัวตอบมาเพียงสั้นๆ ว่า ‘ดีขึ้นแล้ว’ แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย

     และนี่ก็คือการต้องเจอหน้ากันครั้งแรก  เท็นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเดินไปนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย  เจ้าตัวดูจะสะดุ้งเล็กน้อยที่เห็นเขา  ทว่าร่างสูงก็ยังทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มไปให้เมื่อเราสบตากัน  แต่นายน์กลับหันหน้าหนีเขาแทบจะในทันที  เล่นเอาคนที่อุตส่าห์ข่มใจไม่ให้หลุดแสดงอาการอะไรออกไปถึงกับหน้าเจื่อน
ร่างสูงกระแอมแก้เก้อก่อนจะกวาดสายตาไปบนโต๊ะ  ตรงหน้าเขามีแซนวิซแบบเดียวกับกับในจานที่คนตัวเล็กกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง  ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงสายตาจากคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเลยมองกลับไปยังคนน่ารักที่ทำให้นอนไม่หลับมาสองคืนติดอีกครั้ง  และก็ทันได้เห็นว่าเจ้าตัวหลุบตาต่ำหนีสายตาเขาอีกแล้ว  แต่คราวนี้เขาทันได้เห็นสีหน้าและแววตาที่ดูแตกต่างไปจากทุกทีของอีกฝ่าย 

     ท่าทีเหล่านั้นไม่ได้ดูเป็นอะไรที่ทำให้เขาต้องคิดไปในแง่ลบเหมือนอย่างที่กลัว 

     แต่ดูราวกับว่าเจ้าตัวกำลังเก้อเขินอยู่ในทีหรืออะไรก็ตามที่คล้ายๆ ว่าจะวางตัวไม่ถูก  เรียกจังหวะหัวใจที่เกือบจะเฉาตายไปแล้วของเขาให้กระเตื้องขึ้นมาอีกครั้ง  และทำให้ความกังวลที่แบกไว้บางเบาลงในพริบตา  เท็นจุดยิ้มมุมปากพลางคว้าแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มก่อนจะเป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบ 

     “ไม่มีไข้แล้วใช่มั้ย”

     “อืม"

     “แล้วยังต้องกินยาอยู่รึเปล่า”

     “แม่บอกว่าไม่ต้องแล้ว”

     “กูเพิ่งรู้จากแม่ว่ามึงแพ้ไข่ปลาหมึกกับกุ้ง”

     “อืม”

     “แล้วมีอย่างอื่นอีกมั้ย”

     “ก็น่าจะมีมั้ง  คงต้องลองไปทำเทสที่โรงพยาบาลดู”

     “ก็ดีนะ  แล้วจะไปเมื่อไหร่”

     “ยังไม่รู้เลย  ไว้ก่อน”

     เท็นพยักหน้ารับคำก่อนจะหยิบแซนวิซของตัวเองขึ้นมาจัดการบ้าง  กินไปมองหน้าอีกคนไปอย่างพยายามจะเมินสถานการณ์  สาบานว่าตั้งแต่เขามาถึงนายน์ยังไม่ยอมจ้องตากันตรงๆ เลยสักครั้ง  ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นทันทีเมื่อเจ้าตัวเหลือบมองเขาอีก  แล้วแล้วก็หลบสายตาอย่างรวดเร็วอีกตามเคย  รู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนทว่ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิดไว้  เขาส่งแซนวิซแสนอร่อยคำสุดท้ายเข้าปาก  ยกน้ำส้มขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด  วางแก้วเปล่าลงกับจานก่อนจะลุกขึ้นเอามันไปเก็บไว้ในห้องครัวเหมือนที่เขาทำทุกวัน  พอกลับมายังโต๊ะทานข้าวอีกคนก็ยังอยู่ในอากัปกิริยาเดิมไม่เปลี่ยน  ก้มหน้าก้มตาจนคางจะชิดอกอยู่แล้วไอ้เปี๊ยกเอ้ย!  เขาได้แค่คิดแบบนั้นในใจพลางซ่อนรอยยิ้มเอาไว้อย่างมิดชิดพลางว่า  “ปกติเสาร์อาทิตย์มึงทำอะไร”

      “...เรื่อยเปื่อย  ดูหนัง  นอน  บางทีก็ไปค้างบ้านไอ้เคน”

     “ไปบ่อยหรอ”

     “ก็ไม่บ่อย”

     “แล้วอาทิตย์นี้จะทำอะไร”

     “ถามทำไม”

     “จะชวนไปดูกูแข่งบาสฯ” 

     “..........”

     “ไม่ใช่แมตช์สำคัญอะไรหรอก  แข่งเล่นๆ กับพวกเพื่อนๆ น่ะ”

     “..........”

     “แต่ถ้ามึงไปดู..."

     "..........”

      “.....กูก็อยากชนะนะ”

      ที่เอาแต่เงียบไม่ยอมตอบไม่ใช่ว่ากำลังตัดสินใจอะไรอยู่หรอกนะ  ก็แค่จังหวะหัวใจมันสะดุดแล้วหลังจากนั้นมันก็เอาแต่เต้นโครมครามไม่หยุดนับตั้งแต่อีกคนชวนไปดูแข่งบาสฯอะไรนั่นแล้วต่างหาก  นายน์พยายามควบคุมสีหน้าให้ดูนิ่งที่สุดแม้ว่ามันจะทำได้ยากเย็นมากก็ตาม  สมาธิของเขาในตอนนี้ไม่ยอมอยู่กับร่องกับรอยเลย  เผลอเป็นหลุดสายตาไปมองอีกคนทุกที  เขาเงียบอยู่นานก่อนจะหยิบแซนวิซที่เหลือขึ้นมากัดอีกครั้ง  เคี้ยวอย่างไม่รีบร้อนพลางยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม  ข่มใจตัวเองให้หนักแน่นเข้าไว้ก่อนจะปลายสายตามองคู่สนทนา  “คิดดูก่อน”

      “ถ้าชนะเดี๋ยวพาไปเลี้ยง  มึงเลือกร้านมาเลย”

      รอยยิ้มมุมปากตามสไตล์ของอีกฝ่ายไม่ได้เป็นปัญหาเท่ากับสายตาที่ดูราวกับยิ้มได้คู่นั้น  ก่อนหน้านี้เขาว่ามันรับมือได้ยากแล้วแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ารับมืออะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย  เขาควรต้องทำยังไงถึงจะได้ไม่เผลอทำอะไรให้ตัวเองขายหน้าออกไปเนี่ย!  นายน์ทำทีเป็นขมวดคิ้วก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเมื่อเขาเพิ่งส่งแซนวิซคำสุดท้ายเข้าปาก  “แล้วมึงชนะทำไมถึงต้องเลี้ยงกูด้วยไม่ทราบ”

     “ก็ถ้ากูชนะ  คงเพราะได้กำลังใจดีไง”

     “แหวะ!”

   



     นายน์เอื้อมไปหยิบกล่องเจแปนนิสชีสเค้กที่ยัยมิ้นต์คะยั้นคะยอให้แม่เขาทำให้ทันทีที่รถยนต์ถูกพามาถึงหน้าคณะ  ยิ่งอยู่กับอีกฝ่ายนานก็ยิ่งพาลให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง  สงสัยคงต้องปรับตัวอีกซักพักกว่าจะชินเวลาโดนอีกฝ่ายจู่โจมด้วยคำพูดและสายตาวิบวับแบบนั้น 

     แต่ก็ไม่รู้ว่าระหว่างชินกับหัวใจวายตายไปซะก่อนอะไรจะมาก่อนกัน! 

      ทว่าพอหันกลับมาอีกทีก็ถูกอีกคนเอามือถือมาจ่ออยู่ตรงหน้าเสียอย่างนั้น  คิ้วสวยขมวดมุ่นมองการกระทำเพี้ยนๆ ของอีกคนอย่างไม่เข้าใจ  จะมาไม้ไหนอีกแล้วเนี่ย!  “อะไรของมึง!”

     “พูดแบบวันนั้นให้ฟังอีกทีดิ”

      จังหวะหัวใจที่เฝ้าอุตส่าห์พยายามควบคุมให้มันอยู่กับล่องกับลอยอย่างยากเย็นเป็นอันให้รัวเป็นกลองชุดขึ้นมาอีกระรอก  กำลังจะได้ลงจากรถอยู่แล้วเชียวยังไม่วายจะหาเรื่องมาก่อกวนกันอีกจนได้  นายน์ตีหน้าราวกับไม่เข้าใจความหมายนั้น  เขาเอื้อมมือไปผลักโทรศัพท์ออกพลางเบี่ยงตัวหลบ  แต่อีกคนกลับเอาแต่ตั้งป้อมจ่อมาที่เขาราวกับนักข่าวกระหายบทสัมภาษณ์จากดาราดังอย่างไรอย่างนั้น  “อะไร!”

     เท็นมองใบหน้ามุ่ยๆ ของคนน่ารักผ่านกล้องพลางยิ้มออกมา  เขาเลื่อนใบหน้าออกจากโทรศัพท์ที่ถืออยู่เพื่อให้อีกคนเห็นเขาชัดๆ พลางว่า  “ก็...แบบวันนั้นน่ะ  ตอนที่กูกำลังจะกลับ  แล้วมึงก็พูดขึ้นมา  กูได้ยินไม่ชัด” 

     “ไม่!” ตอนนี้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าวจนรามไปถึงหูแบบกู่ไม่กลับ  ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน 

     “แค่ประโยคนั้นประโยคเดียวก็ได้”

     “ไม่!”

     “นะ”

      ทำไมแค่คำว่า ‘นะ’  สั้นๆ เพียงคำเดียวกลับทำให้คนฟังเสียหลักไปได้อย่างง่ายดาย  นายน์เม้มริมฝีปากเพื่อข่มอาการเอาไว้อย่างพยายามให้มิดชิดที่สุด  แต่ก็ไม่วายเกือบจะหยุดยิ้มจนต้องเบือนหน้าไปทางอื่น  “แล้วทำไมมึงต้องเอาโทรศัพท์มาจ่อหน้ากูด้วยเนี่ย!”

     “หลักฐานไง  ถ้าเกิดมึงเปลี่ยนใจกูจะได้เอาไปแจ้งความ”

      “...........”

      เขานิ่งไปอย่างหมดคำจะพูด  ขบริมฝีปากแน่นยิ่งกว้าดิมไม่ใช่เพราะโกรธแต่กำลังข่มไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้มออกมาต่างหาก  นี่คือตัวตนที่แท้จริงของมึงใช้มั้ยไอ้คุณทินกฤต!  ข่มใจเล่นเกมจ้องตาสู้กับเจ้าของโทรศัพท์ได้ไม่เท่าไหร่เขาก็ต้องเป็นฝ่ายยอมยกธงขาวอีกรอบ  “ปัญญาอ่อน!”  ว่าพลางแลบลิ้นใส่โทรศัพท์ก่อนจะหอบสัมภาระเอาไว้แล้วรีบเผ่นออกจากรถไปทันที 
ขืนอยู่นานกว่านี้เขาได้เป็นบ้าตายก่อนแน่ๆ! 



                                                        ***********************************





     ร่างเล็กคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหนังสือหลังจากที่เป่าผมจนหมาดได้ที่  เขาทิ้งตัวลงนอน  ใช้เท้าเกี่ยวเอาหมอนข้างคู่ใจขึ้นมาก่ายอย่างสบายอารมณ์  ก่อนจะกดไปที่ไลน์เป็นอย่างแรก  เข้าไปตอบข้อความยัยมินต์ที่มากำชับให้เขาบอกแม่เรื่องเค้กวันเกิดของเพื่อนที่ชื่อไอซ์ของเจ้าหลอน  ก่อนจะไปตอบข้อความของไอ้เพื่อนเคนที่มันไลน์มาตั้งแต่บ่ายแล้วแต่เขาขี้เกียจตอบ 

     เดาออกมั้ยว่าเพราะอะไร  หึ! 

     ก็เพราะคำถามเหมือนรู้ดีเหลือเกินนี่แหละที่ทำให้เขาไม่อยากจะตอบมันเสียที  อันที่จริงจะบอกว่าเป็นการติดตามผลงานของมันก็คงไม่ผิด  วุ่นวายได้โล่จริงๆ  แต่ถึงมันจะยุ่งไม่เข้าเรื่องไปนิดแต่ครั้งนี้ก็ต้องขอบคุณไอ้เคนจริงๆ ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก  ไม่ต้องมานอนก่ายหน้าผากถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

     พอได้พูดออกไปแล้วมันก็โล่งดี  ถึงจะมีเรื่องอื่นมาให้หนักใจแทนก็เถอะ! 

     นายน์เปิดรูปที่มันแคปส่งมาให้ก่อนเป็นอย่างแรก  เป็นสเตตัสในเฟซบุ๊คของเท็นที่ดูจากวันที่และเวลาแล้วก็น่าจะหลังจากที่มาส่งเขาที่คณะเมื่อเช้านี้นี่แหละ  ‘วันที่ดี  .....ขอบคุณนะ’  แม้ว่าข้อความจะไม่ได้สื่อถึงอะไรเลยแต่ระดับความขี้เผือกบวกกับว่าค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ดีอย่างไอ้เคนทำไมมันจะเดาไม่ออก!

     ‘ตั้งแต่กูเป็นเพื่อนกับมันในเฟซยังไม่เคยเห็นมันโพสต์อะไรประมาณนี้เลยนะเว้ย’

     ‘ไอ้หล่ออารมณ์ดีโคตรในรอบปีขนาดนี้แปลว่ามึงเซย์เยสอ่ะดิ’

     ‘เคลียร์กับมันไปซะก็ดีละ’

     ‘แล้วก็ไม่ต้องมัวไปคิดเรื่องเมื่อก่อนอีกล่ะ  ผู้ชายเค้าไม่มัวคิดเล็กคิดน้อยหรอก’

     ‘แล้วก็เพลาๆ เรื่องใจแข็ง  ฟอร์มจัดกับมันบ้างเหอะ  เดี๋ยวมันเหนื่อยใจตายไปก่อนจะหาว่าไม่เตือน’

     ‘แต่ก็อย่าทำตัวง่ายเกินนะ  กูหวง’

     ‘555555555555555555555555555555555’

     อ่านข้อความที่มันทิ้งไว้ให้แล้วก็ได้แต่กลอกตาล้านตลบ  ตกลงนี่เพื่อนหรือว่าพ่อกันแน่วะ  แล้วไอ้หัวเราะยาวเหยียดตบท้ายนี่มันหมายความว่ายังไงไม่ทราบ  นายน์ถือโทรศัพท์ค้างไว้ที่หน้านั้นพลางคิดว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี  ก่อนจะรัวนิ้วไปบนแป้นพลางเปะปากใส่ไอ้คนช่างสั่งไปด้วย 

     “เรื่องมากขนาดนี้  มึงไปคบกับมันเองเลยมั้ย  จะได้จบๆ”

     ไวปานวอกที่แท้ทรูเพราะทันทีที่เขาตอบกลับไม่นานก็ขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วเรียบร้อย  นายน์รอเพียงอึดใจข้อความจากอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมา 

     ‘กูคบกับมึงอยู่  ให้คบกับมันด้วยก็กลายเป็นคนซ้อนอ่ะดิ  กูไม่อยากเป็นคนเลว’

     ‘อิอิ’

     “เกลียดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”

      “นอนละ”  นายนพิมพ์ไปเพียงเท่านั้นพลางย่นจมูกใส่ไอ้เพื่อนบ้าก่อนจะวางโทรศัพท์ลง  คุยกับมันนี่เปลืองเวลานอนจริงๆ  ว่าแล้วก็เอื้อมไปปิดไฟตรงหัวเตียง  คลานไปหยิบผ้าห่มที่พับอยู่ตรงปลายเท้าก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง  วันนี้อากาศร้อนมาก  เล่นเอาไมเกรนกินหัวเขาตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้ยังรู้สึกร้าวเบ้าตาอยู่เลย 

     Rrrrrr.....  Rrrrrr..... 

     ทว่าเสียงโทรศัพท์นั้นก็ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาอีกจนได้  นายน์ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์เจ้าปัญหาที่อยู่ข้างตัวขึ้นมากดรับ  “อะไรของมึง!  ก็บอกแล้วไงว่ากูจะนอน!”

     ‘จะนอนแล้วหรอ’ 

     น้ำเสียงทุ่มตามสไตล์นั้นกระชากเขาที่กำลังนอนหน้าตึงอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้นมานั่งท่ามกลางความมืดในทันที  “นึกว่าไอ้เคน  โทษที” 

      “ปกตินอนเวลานี้หรอ”

     “เปล่า  พอดีไม่มีอะไรทำน่ะ  มีอะไรรึเปล่า”  ไม่อยากบอกว่าปวดหัวเดี๋ยวไอ้คนขี้เกรงใจรู้เข้าจะไม่ยอมพูดธุระแล้วชิงวางสายไปก่อนเปล่าๆ

     “ก็ไม่มีอะไรหรอก  แค่จะโทรมาบอกว่ามึงลืมชีทไว้ในรถ  กลัวหาไม่เจอเลยโทรมาบอกก่อน  เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปให้นะ”

     “อ้าวหรอ  ...ขอบใจ”

     “งั้น...ไม่กวนแล้วดีกว่า  .....ฝันดี”

      ฟังจากน้ำเสียงอ้อยอิ่งนั้นก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเหมือนมีบางอย่างอยากจะคุยแต่คงไม่อยากรบกวนเวลานอนของเขา  “มีอะไรจะพูดก็ว่ามาเลย  กูตาสว่างตั้งแต่กดรับสายแล้วแหละ”  ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ลอดมาจากคนฝั่งนั้น  อุตส่าห์ใจดีขนาดนี้แล้ว  เขาพูดอะไรผิดไม่ทราบ!  “ขำอะไร”

     “เปล่า  ก็แค่...เหมือนจะโดนรู้ทัน”

       “งั้นวางสายล่ะนะ”

     “เห้ย!  อย่าเพิ่งดิ  คุยกันก่อน”

     “..........”  แค่แกล้งขู่ไปเล่นๆ แต่น้ำเสียงตกใจของอีกคนกลับฟังดูจริงจังจนเขาต้องหลุดยิ้ม  เมื่อเช้าเล่นงานเขาจนไปไม่เป็นเพราะงั้นตอนนี้ขอเอาคืนบ้างแล้วกัน  หึ!     

     “…..นายน์  ถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

      “อืม”  น้ำเสียงที่จู่ๆ ก็จริงจังขึ้นมาพาลให้เขารู้สึกเกร็งตามไปอย่างอัตโนมัติ  นายน์คว้าหมอนมากอดพลางรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร  ดวงตาคู่สวยจ้องไปในความมืด  ไม่รู้ว่าสายตาเขาชินแล้วหรือเพราะแสงจากโทรศัพท์ช่วยส่องถึงทำให้รู้สึกว่ามองเห็นข้าวของในห้องได้ชัดกว่าเคย

      “ที่พูดวันนั้น  หมายความตามนั้นจริงๆ รึเปล่า”

      “..........”

      “กู...ไม่อยากคิดไปเอง”

      “..........”

     “กลัวว่าถ้ามันไม่ใช่แล้วจะยิ่งเจ็บกว่าเดิม”

     ประโยคเหล่านั้นเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจแต่ดันแทงเข้ากลางใจดำเขาจังเบ้อเร้อ  นายน์ปล่อยให้ความเงียบคั่นกลางระหว่างบทสนทนาอยู่นาน  สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ตอบและถามกลับไปแทนเพราะเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่  “แล้วทำไมถึงคิดว่าจะไม่จริงล่ะ”

     “ไม่รู้ดิ  .....ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นว่ามึงจะใจอ่อนลงเลย  ก็เลยคิดว่า...บางทีมึงอาจจะแค่เพ้อไข้หรือเปล่าน่ะ”

     “เพ้อไข้เนี่ยนะ!”  ทั้งๆ ที่กำลังคุยเรื่องจริงจังกันอยู่แต่คำพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาหลุดขำออกมาเสียอย่างนั้น  มันมีคนที่เพ้อเรื่องสำคัญขนาดนั้นด้วยหรอ  แล้วที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาดูไม่ใจอ่อนลงเลยก็เพราะเขาพยายามทำให้เจ้าตัวเข้าใจแบบนั้นต่างหาก  และก็คงจะเป็นอย่างที่ไอ้เคนว่า  ‘เขามันพวกฟอร์มจัด  แถมยังอ่านยาก’ สินะ

      “ก็ถึงบอกไงว่าไม่อยากคิดไปเอง  เลยต้องถามมึง”

      นายน์ยังคงไม่สามารถห้ามกล้ามเนื้อบนใบหน้าให้หุบยิ้มได้  เพราะเขาพาลไปคิดถึงเหตุการณ์ในรถเมื่อเช้าที่อีกฝ่ายพยายามจะให้เขาพูดมันออกมาอีกครั้งไปเสียได้  ถึงจะทำเป็นเล่นๆ แบบนั้นแต่ความจริงคงกำลังกังวลอยู่สินะ  จู่ๆ เขาก็นึกอยากแกล้งคนขึ้นมาเลยพูดเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ  “เออลืมบอกไปเลย  พรุ่งนี้ไม่ต้องมารับแล้วนะ  รถเสร็จแล้ว  มึงจะได้ไม่ต้องตื่นเช้าด้วย”

     “.....แต่กูอยากไปรับ”

      “ได้นอนตื่นสายไม่ชอบรึไง  กูจะขับรถไปเอง  เอาตามนี้แหละ”  เห็นอาการหาววอดๆ ของอีกฝ่ายทุกเช้าแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจร้ายใจดำอย่างที่ไอ้เคนว่าจริงๆ  ถึงต่อให้รถเขาจะยังไม่เสร็จก็ตั้งใจจะบอกอีกฝ่ายเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

    “งั้นขอไปกินข้าวกลางวันด้วยได้มั้ย”

     “ไม่ดีกว่ามั้ง”

     “............”

     “แต่ถ้าไปกินข้างนอกก็...ได้ล่ะมั้ง”  ประเด็นคือยังไม่อยากให้เพื่อนรู้จนกว่าจะแน่ใจ  ถึงจะลองเปิดใจศึกษาอีกฝ่ายก็จริง  แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจนักหรอกว่าจะเข้ากันได้ไหม  อีกอย่าง  ยังไม่อยากถูกยัยมิ้นต์จับซักฟอกจนซีดอีก  และเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะถูกใครแซวอะไรทั้งนั้นในเวลานี้ด้วย 

     “โอเค  งั้นเดี๋ยวตอนเที่ยงไปรับนะ”

      “อืม”

      จู่ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป  และเขาเองก็เลือกที่จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น  นายน์รอฟังว่าคนปลายสายจะพูดอะไรอีกหรือไม่  แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจจากอีกฟากหนึ่งเท่านั้น  ผ่านไปหลายนาทีในที่สุดเจ้าตัวก็ยอมเอ่ยขึ้นจนได้

     “ตกลงจะไม่ยอมตอบกันจริงๆ ดิ”

     ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเพราะเขากำลังพยายามกลั้นยิ้มและให้แน่ใจว่าจะไม่มีเสียงหัวเราะหลุดลอดออกไป  นึกว่าจะยอมแพ้แล้วก็ปล่อยให้เขาทำเบลอไปเหมือนทุกครั้งเสียอีก  “แล้วได้ยินว่าอะไรล่ะ”

      “..........”

     “ได้ยินแบบไหนก็ตามนั้นแหละ  นอนแล้วนะ”

     “นายน์!”

      “..........”

      “งั้นต่อไปนี้...จะจีบจริงๆ แล้วนะ”

       “..........”  จังหวะหัวใจพลันเต้นโครมครามขึ้นมาแทบจะวินาทีเดียวกับที่ได้ยินประโยคจากน้ำเสียงตื่นๆ อย่างคนดีใจจนปิดไม่มิดของคนปลายสาย  สาบานว่าที่ผ่านมานี่คือยังไม่ได้จีบใช่มั้ย! 

      “งั้น…ฝันดีนะ”

      “อืม”

      “บาย”

      มือเรียวเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหูโดยไม่ได้ตอบอะไรอีก  และปลายสายก็ดูจะไม่ยอมวางถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายวางไปก่อน  เลยตัดสินใจกดตัดสายไปทั้งอย่างนั้น  นายน์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม  ดวงตาคู่สวยยังคงมองไปยังความมืดพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ทำยังไงก็ไม่ยอมหายไปเสียที  มือเล็กวางลงบนตำแหน่งหัวใจ  สาบานว่าเขาสามารถรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของมันจริงๆ  ที่เขาว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกจากอก  ไอ้อาการที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้น่าจะใกล้เคียงใช่ไหม 

      แล้วอย่างนี้เขาจะข่มตาหลับลงได้ยังไง! 


 



                                                           ***********************************


ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0



      วันนี้เขาเรียนเสร็จก่อนนายน์เลยตั้งใจว่าจะขับรถมารอ  แต่ดันถูกอีกฝ่ายไลน์มาบอกว่าอย่าเพิ่งออกมาจนกว่าเจ้าตัวจะบอก  แถมยังย้ำอีกว่าถ้ามาถึงแล้วให้รออยู่ในรถเดี๋ยวนายน์จะเป็นฝ่ายเดินมาหาเอง  และเขาที่ขัดไม่ได้ก็เลยต้องทำตามอย่างที่อีกฝ่ายบอกอย่างเคร่งครัด  ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นเพราะไม่อยากให้เพื่อนเห็นหรือไม่ก็ขี้เกียจตอบคำถามเพื่อนล่ะมั้ง

     เขาจอดรถยังจุดที่นัดกับอีกคนไว้ก่อนจะกวาดสายตามองออกไปข้างนอก  ด้วยความที่เจ้าตัวค่อนข้างจะเด่นเพราะผิวขาวๆ นั้น(อย่างน้อยก็สำหรับเขาล่ะนะ)เลยทำให้หาเจอได้ไม่ยาก  เท็นโน้มตัววางแขนเท้าไว้กับพวงมาลัยพลางมองไปยังอีกคน  นายน์ไม่ได้อยู่คนเดียว  แต่มีเพื่อนสาวคนสนิทที่คุยเก่งๆ คนนั้นตามติดมาด้วย  ถ้าจำไม่ผิดอีกฝ่ายน่าจะชื่อมิ้นต์ 

     เหมือนว่าทั้งคู่จะกำลังคุย  หรือบางทีอาจจะเถียงอะไรกันบางอย่าง  เพราะใบหน้าของคนน่ารักดูบูดบึ้งและท่าทางก็เหมือนคนที่พร้อมจะวิ่งหนีไปได้ทุกเมื่อ  ติดที่ว่าถูกเพื่อนคนสวยคล้องแขนเอาไว้แถมยังดูเหมือนว่าจะถูกบังคับให้เดินด้วยซ้ำ  เท็นหัวเราะในลำคอพลางส่ายหัวให้กับท่าทางที่ดูพิลึกอยู่ในทีของอีกฝ่าย  ยิ่งทั้งคู่ใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่นายน์ก็ดูจะไม่อยากเดินมากขึ้นเท่านั้น  ท่าทางเหล่านั้นของทั้งสองคนทำไห้เขานึกขันก็จริงแต่มันก็ดูน่ารักอยู่ในที  และทันทีที่ประดูฝั่งข้างคนขับถูกเปิดเสียงแรกที่ดังลอดเข้ามาก็คือเสียงของมิ้นต์

     “มึงนี่ท่ามากจริงๆ  เข้าไปได้แล้วกูร้อน”

     คนตัวเล็กของเขาไม่ได้ต่อปากต่อคำแต่เจ้าตัวส่งเสียงจิ๊อย่างขัดใจก่อนจะยอมเข้ามานั่งในรถข้างกัน  เท็นส่งยิ้มให้เมื่อใบหน้าบูดๆ นั้นหันมามองกันเป็นครั้งแรก 

      “มิ้นต์มันขอติดรถไปด้วย  มึงโอเคปะ”

      “โอเคดิ”

      “เห็นมะ  เท็นไม่เห็นจะว่าอะไ  มีแต่มึงนั่นแหละเยอะไม่เข้าเรื่อง”

      “มึงก็ควรมีมารยาทมั้ย”

      “เถียงเก่ง”

      “……….”

      “ช่วยไม่ได้  มึงอยากทำตัวลึกลับก่อนเอง  กูก็เลยต้องอยู่ดูให้เห็นกับตาไงว่ามึงออกนอกลู่นอกทางรึเปล่า”

      นายน์อุตส่าห์เงียบอยู่ได้ครู่หนึ่งแต่เหมือนหมัดนี้ดูจะทำให้เจ้าตัวฉุดหนักอยู่พอสมควรถึงได้ตวัดสายตาไปมองคนที่เพิ่งเข้ามานั่งยังเบาะหลัง 

     “ใครกันแน่ที่เยอะ”

     “เท็น!  ออกรถเลยดีกว่า  ขี้เกียจเถียงกับคนแคระ”

      “กูสูงกว่ามึงแล้วกัน” 

      “สองเซ็นไม่นับเว้ย”

       นายน์จ้องยัยเพื่อนตัวดีโดยไม่โต้ตอบอะไรอีก  ยิ่งเถียงก็ยิ่งโมโห  จะไม่ให้เขาเคืองได้ยังไง  อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะขอแยกตัวออกมาเงียบๆ แต่คุณเธอก็ยังจะตามมารอเป็นเพื่อน  ปฏิเสธเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง  แล้วพอเห็นรถของเท็นวิ่งเข้ามาเท่านั้นแหละก็หันมาบอกเขาหน้าตาเฉยว่าจะไปด้วย  คนอะไรก็ไม่รู้ตื้อเก่งแถมยังเกาะหนึบยิ่งกว่าตุ๊กแกอีก!

      จากตอนแรกที่คิดว่าจะปิดไว้ไม่ให้ใครรู้แต่ดูท่าว่าคงจะหลอกยัยมินต์ไม่ได้ง่ายๆ แล้วล่ะมั้ง!  เจ็บใจชะมัด!

      เท็นเห็นอาการฮึดฮัดของคนสู้เพื่อนไม่ได้แล้วนึกอยากจะส่งมือไปลูบแก้มคนหน้ามุ่ยจริงๆ  แต่คิดว่าถ้าเขาทำแบบนั้นจริงมีหวังได้ถูกเจ้าตัวโกรธให้อีกคน  เลยได้แค่ส่งยิ้มบางๆ ไปให้แทน



      ขับรถจากมหาฯลัยมาถึงห้างฯที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีดีที่วันนี้การจราจรเป็นใจ  และทันทีที่ดับเครื่องยนต์เขาก็หันไปเอ่ยถามคนที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง  “กินอะไรดี”

     “ไม่รู้อ่ะ  ไปเดินดูก่อนแล้วกัน”

      “โอเค  .....แล้วมิ้นต์ล่ะ  ไปทานข้าวด้วยกันมั้ย”

      “ไม่ต้องพูดกับเราเพราะขนาดนั้นก็ได้  คนกันเอง  ...ไม่ล่ะ  เดี๋ยวคนบางคนจะงอนข้ามวันข้ามคืน  แต่ขอติดรถกลับด้วยนะ”

      “ได้สิ”

      “มึงเสร็จแล้วก็โทรหากูด้วยล่ะ”

      ประโยคหลังเจ้าตัวหันไปพูดกับเพื่อนตัวเองแถมท้ายด้วยการตบหัวเบาๆ  และได้ตาเขียวๆ จากคนตัวเล็กที่ตวัดมองแทบจะในทันทีเป็นรางวัล  แต่มิ้นต์กลับหัวเราะชอบใจเสียอย่างนั้น  ดูท่าว่าสองคนนี้จะชอบแกล้งแหย่ให้โกรธเล่นจนเป็นเรื่องปกติเสียล่ะมั้ง

      “กินกันให้อร่อยนะ”

      นายน์อ้าปากเตรียมจะด่ากลับแต่ยังช้ากว่ามิ้นต์ที่ชิงเปิดประตูลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว  เท็นได้แต่ยิ้มขำขณะมองสงครามเล็กๆ ระหว่างเพื่อนซี้  และก็ต้องหุบปากฉับเมื่ออีกคนตวัดตาดุๆ มาที่เขาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

      “ไปกัน”  เนียนเปลี่ยนเรื่องก่อนจะพยักหน้าสำทับ  เปิดประตูรถชิ่งหนีออกไปยืนรออีกคนข้างนอก 






     นายน์หยุดหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขาไม่เคยลองทานมาก่อนเพื่อดูเมนู  ไล่สายตาอ่านไปทีละหน้าอย่างสนใจ  ตั้งใจอ่านส่วนผสมเป็นพิเศษเพราะจะดูว่าเมนูไหนที่เขากินได้บ้างแล้วเมนูไหนต้องขอผ่าน  พลิกไปพลิกมาพลางตัดสินใจอยู่ได้สักพักก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เข้ามาใกล้จนเกินเหตุ  พอลองหันกลับไปดูจึงได้เห็นว่าคนตัวสูงกำลังยืนซ้อนหลังเขาแบบที่เรียกได้ว่าอกอีกฝายประชิดไหล่เขา  ดวงตาของเจ้าตัวกำลังจับจ้องไปยังเมนูตรงหน้าอย่างไม่อาทรร้อนใจต่อสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย 

      “ใกล้ไปปะ!”

      “กูสายตาสั้นอ่ะ  อ่านไม่ค่อยถนัด”

      “หรอ!”

      ใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้นั้นดูแนบเนียนแต่ก็ยังไม่มากพอ  และเมื่อความหมั่นไส้เกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้สงบลงถ้าไม่ได้หาที่ระบาย  นายน์กระทุ้งข้อศอกเข้ากลางลำตัวของอีกคนอย่างไม่หนักไม่เบา  และคนตัวสูงก็ขดตัวเป็นกุ้งร้องโอยราวกับเจ็บปวดเสียมากมาย   

       “เว่อร์!”  สาบานได้ว่าแรงที่เขาส่งไปไม่มีทางถึงครึ่งนึงของแอคติ้งอีกฝ่ายแน่นอน
 
      คนโดนต่อว่ายกยิ้มมุมปากแต่ก็ยอมถอยออกแต่โดยดี  ทว่าดูจะยังไม่มากพอเพราะมือเล็กๆ ของอีกคนกำลังผลักมาที่อกเขาพลางจ้องหน้ากันอย่างคาดโทษ  เท็นหัวเราะในลำคอก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นราวกับผู้ร้ายถูกตำรวจรวบตัวพลางถอยอีกหนึ่งก้าวก่อนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง  “จะกินร้านนี้หรอ”

      “มึงโอเคปะ”

     “ได้หมด”     

      ตกลงกันได้ดังนั้นเลยเดินเข้าไปข้างในร้าน  พนักงานที่รอต้อนรับอยู่แล้วเข้ามาหาที่นั่งให้ทันที  โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาเลยไม่มีลูกค้าแน่นร้านเท่าไหร่  ที่นั่งที่พวกเราได้จึงอยู่ติดกระจกที่สามารถมองออกไปข้างนอกได้  เขารับเมนูจากพนักงานก่อนจะเปิดดูชื่อเมนูที่เลือกเอาไว้ให้แน่ใจซักพักก็เงยหน้าขึ้นมาสั่งกับพนักงานที่รอรับออเดอร์อยู่แล้ว 

      “แล้วก็ชาร้อนครับ”  เขาเป็นประเภทไม่ค่อยชอบดื่มน้ำเย็นเท่าไหร่  ยกเว้นแต่เป็นพวกชานมหรือไม่ก็น้ำผลไม้ไปเลย  สั่งเสร็จแล้วก็มองไปยังอีกคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดเมนูเลยด้วยซ้ำ  พอถูกเขามองเจ้าตัวก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

      “สั่งให้หน่อย  เอาเหมือนมึงก็ได้”

      “เหมือนกู?  แล้วมึงจะชอบหรอ”  เขาสั่งเพราะอยากลอง  แถมยังไม่เคยทานร้านนี้มาก่อน  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอร่อยถูกปากตัวเองไหม  จะฝากความหวังไว้กับเขาแบบนี้เกิดกินไม่ได้ขึ้นมาจะมาโทษกันไม่ได้นะ 

      “ไม่รู้  แต่อยากรู้ว่ามึงชอบกินอะไร”

      คำตอบนั้นทำเอาคนที่กำลังคิดเยอะอยากจะปาเมนูตรงหน้าใส่สักที  หมั่นไส้คนได้ทีหยอดเอาหยอดเอาจนเขาที่ต้องตั้งรับทำได้แค่พยายามไม่หลุดอาการให้ใครบางคนได้ใจ  “แล้วถ้ามันไม่อร่อยล่ะ”

      “ก็ไม่เป็นไร”

      “อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน  พี่ครับ  เอาแบบที่ผมสั่งอีกหนึ่งที่ครับ  …แล้วน้ำล่ะ”

      “เอาเหมือนมึง”

      “ชาร้อนก็เพิ่มเป็นสองนะครับ”

      “ได้ค่ะ  ขอทวนรายการอาหารที่สั่งนะคะ”

      เขาฟังพนักงานทวนรายการไปพร้อมกับพยักหน้ารับไป  เสร็จเรียบร้อยแล้วพนักงานก็ขออนุญาตเก็บเมนูคืนแล้วก็หายไปทำหน้าที่ของตัวเอง  ดวงตาคู่สวยจึงกลับมายังคนฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง  “ยิ้มอะไร”  นอกจากจะนั่งเอนหลังสบายอย่างกับอยู่บ้านแล้วยังเอาแต่จ้องมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ นั่นอยู่ตลอดเวลา 

      “เปล่า”

     ถึงจะปฏิเสธแบบนั้นแต่เจ้าตัวก็ยังเอาแต่มองมาไม่เลิก  จนต้องเป็นเขาเองที่ต้องแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นทั้งที่ความจริงสมาธิไม่ได้จดจ่ออยู่กับมันเลยสักนิด  นิ้วเรียวกดเข้าไปดูรูปในอินสตราแกรมไปเรื่อยๆ อย่างพยายามไม่สนใจคนที่อยู่อีกฟาก  ทว่าจู่ๆ เจ้าตัวก็ถามคำถามที่ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

     “ขอลงรูปในไอจีได้มั้ย  แค่รูปอาหารก็ได้”

      คำถามนั้นทำเอาคนฟังถึงกับต้องขมวดคิ้วฉับ  “จะลงก็ลงดิ  ทำไมต้องถามกูด้วย”

     “กลัวมึงไม่โอเค”

     “อย่าแท็กมาแล้วกัน”

      “…ได้” 

      รอยยิ้มนั้นดูจะจางลงเล็กน้อยแต่ก็เป็นเพียงแว๊บเดียวเท่านั้นใบหน้าของอีกฝ่ายก็กลับคืนสู่อาการปกติ  เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคงจะกำลังรู้สึก  แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะยอมตกลง  ยังไงก็ยังอยากมั่นใจกว่านี้อยู่ดี  หมายถึงมั่นใจในความรู้สึกตัวเองนะไม่ใช่ของอีกคน 

      ไม่นานพนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ  เท็นหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะถ่ายภาพเก็บเอาไว้แต่เสียงข้อความจากไลน์ก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน  เป็นไอ้มาวินตัวดีที่ไม่รู้ว่าส่งรูปอะไรมา  นิ้วเรียวกดเข้าไปดูทันทีให้หายสงสัย  และรูปนั้นก็ทำให้ต้องตกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกร้าน  ท่าทางเหล่านั้นของเขาคงจะทำให้อีกคนเกิดความสงสัยจนต้องเอ่ยถามออกมา

      “หาอะไร”

      “คนบ้าน่ะ”  เอ่ยตอบทั้งที่สายตายังกวาดไปทั่วบริเวณ  ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อมองออกไปนอกร้าน  ยังไงก็ต้องหาให้เจอ  กลัวใจพวกมันจะยกโขยงกันมาป่วนถึงในร้านน่ะสิ!  บอกเลยว่าถ้าเป็นอย่างนั้นมีหวังนานย์ได้เคืองเขาแน่ๆ  ก็ไอ้พวกนั้นมันกวนตีนน้อยเสียเมื่อไหร่  มองซ้ายมองขวาอยู่ไม่นานก็เห็นเพื่อนทั้งแก๊งของตัวเองที่กำลังยืนโบกไม้โบกมืออยู่ห่างออกไปจากหน้าร้านไม่ไกล  เท็นขบกรามชี้นิ้วเป็นการคาดโทษไอ้พวกเพื่อนเวร  และพวกมันก็หัวเราะกันสนุกสนานตอบรับมาให้อย่างอบอุ่น  แถมไอ้ดิมกับไอ้เจตยังกวนประสาททำเป็นเล่นบทคู่รักกอดกันกลม  ทำท่าจะจูบกันด้วยแอคติ้งเกินๆ เพื่อล้อเลียนเขา  ทุเลศลูกกระตาจริงๆ! 

      เท็นก้มลงพิมพ์ข้อความกลับไปด่าพวกมันให้หายแค้นและรีบๆ ไปให้พ้นตาเสียที  ก่อนที่เขาจะเป็นคนออกไปไล่เตะพวกมันเรียงตัว  กระหน่ำด่าไปจนพวกมันเผ่นหนีนั่นแหละถึงได้ยอมนั่งลงอีกครั้ง 

      “มึงโอเคปะเนี่ย”

      เสียงนั้นฉุดเขาออกจากสงครามในไลน์  นายน์ไม่ได้ดูหงุดหงิดแต่ดูงงกับท่าทางประหลาดๆ ของเขามากกว่า  มือเรียววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะพลางคิดว่าควรจะบอกยังไงดี  “คือ…เพื่อนมันทักมาน่ะ  ถามว่าอยู่ร้านนี้มั้ย  พอดีพวกมันเดินผ่านแล้วเห็นเรานั่งกันอยู่”  ถึงจะมีการแต่งเติมนิดหน่อยเพื่อให้ฟังรื่นหูก็เถอะ  แต่ก็ถือว่าเขาพูดไปตามความจริง(ถึงจะไม่ทันหมดก็ตาม)ล่ะนะ

      “อ้อ”

      ขานรับเพียงเท่านั้นแล้วนายน์ก็กลับไปสนใจอาหารตรงหน้า  เท็นเลยถือโอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายข้าวหน้าปลาดิบของตัวเองบ้าง  ทำเนียนถ่ายอาหารอยู่สองสามรูปแล้วก็แพลนกล้องไปถ่ายคนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยพลางกรอกตาราวกับกำลังพิจารณารสชาติ  เท็นกลั้นยิ้มเมื่อคนน่ารักของเขากำลังมองไปยังอาหารตรงหน้าอย่างสังเกต  ท่าทางธรรมดาแต่เป็นธรรมชาติเหล่านั้นดูน่ารักเสียจนเผลอกดถ่ายไปหลายรูป  ก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วลงมือทานบ้าง

      “ก็อร่อยดีนะ  มึงชอบกินปลาดิบหรอ”

      “อืม  เป็นอาหารดิบอย่างเดียวที่กูกินได้  ตอนแรกก็แหยะๆ แหละ  แต่กินไปกินมาก็อร่อยดี”

      “แล้วชอบกินอะไรอีก”

      “...ถ้าเป็นอาหารที่แม่ทำก็ชอบหมด”

      แน่นอนแหละ  ก็แม่เลือกทำแต่ของโปรดนายน์ทั้งนั้น  “หมายถึงเวลาต้องกินข้าวนอกบ้านน่ะ”

      “ก็กินได้หมด  ยกเว้นพวกอาหารที่ออกหวาน”

      “พะโล้  ไข่ลูกเขยอะไรแบบนี้น่ะหรอ”

      “อืม  ผัดเปรี้ยวหวาน  กุลเชียงอะไรประมาณนั้นแหละ  กูรู้สึกว่าของคาวไม่ควรหวาน”

      ไม่รู้ว่ามันตลกตรงไหนแต่เขาฟังอีกฝ่ายพูดแบบนั้นแล้วถึงกับขำพรวดอย่างห้ามไม่อยู่  จนอีกคนต้องขมวดคิ้วถาม 

      “ขำอะไร”

      “เปล่า  แค่เพิ่งเคยได้ยินคนพูดแบบนี้”

      “..........”

      “งั้นกูจะจำไว้แล้วกัน  วันหลังไปกินข้าวด้วยกันจะได้สั่งถูก”  ว่าพลางยักคิ้วใส่อีกคนที่กำลังจ้องตากันอยู่  และไม่นานคนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนอีกตามเคย  เจ้าตัวส่ายหัวสองสามทีก่อนจะคีบอาหารตรงหน้าเข้าปาก  สงสัยจะเอือมที่โดนเขาหยอดบ่อยๆ

      “นายน์”

      “หืม”

      “ถ้าเกิดว่า  มีคนถ่ายรูปเราไปลงเหมือน…เมื่อก่อน  มึงจะว่ายังไง”  พอถูกเพื่อนแกล้งแอบถ่ายแบบนั้นก็พาลให้คิดถึงเรื่องของบรรดาขาจิ้นขึ้นมาไม่ได้  นายน์วางตะเกียบลงแล้วหยิบแก้วชาร้อนขึ้นมาจิบ  ดวงตาคู่สวยดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ในที

      “ไม่ทำ  เพราะคงไปห้ามอะไรไม่ได้”  โลกอินเตอร์เน็ตเหมือนจะกว้างแต่ก็เหมือนจะแคบในเวลาเดียวกัน  และเขาเองก็ไม่ใช่คนดังอะไร  ถึงจะถูกทำอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ ก็คงจะทำอะไรไม่ได้  แม้ว่าคนโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงอย่างเขาจะไม่ได้แฮปปี้กับมันก็ตาม  แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเขาว่าอยู่เฉยๆ เป็นดีที่สุด  เพราะเขาเคยทำมาหมดแล้วทั้งตีอดชกลมกับตัวเอง  ส่งข้อความไปขอร้องให้ลบ  พยายามแก้ไขความเข้าใจผิด  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ  ถูกหาว่าเรื่องเยอะ  หยิ่ง  ไม่ได้น่ารักอัธยาศัยดีอย่างที่คิด  บลาๆๆๆ  เพราะงั้นก็คงทำได้แค่ปล่อยเบลอไปก็เท่านั่นแหละ 

      “แล้วมึงจะโอเคหรอ”

      “ก็ไม่  แต่ก็แค่ไม่ต้องไปสนใจ”

      “.....มึงโตขึ้นนะ”

      “เดี๋ยว!  คำพูดแบบนี้ต้องให้แม่กูพูดรึเปล่า”

      คนฟังหลุดหัวเราะอีกครั้ง  “กูหมายความแบบนั้นจริงๆ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนมึงคงโวยวายก่อนเป็นอย่างแรก”

      “ก็คงโวยวายเหมือนเดิมแหละ  แต่แค่โวยวายกับตัวเอง”

      “งั้น...ต่อไปนี้  มึงมาโวยวายใส่กูได้นะ” 

      “แล้วทำไมกูต้องทำงั้นด้วย”

      “เพราะกูเป็นผู้ร่วมชะตากรรมไง  กูเข้าใจมึงดีที่สุด”

      “อ๋อเหรอ”

      “อืม  เดี๋ยวกูปลอบใจมึงเอง”

      “หึ”






                                                      ***********************************


ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
EP15… 




     “เห้ยมึง!” 

     เท็นที่กำลังก้มผูกเชือกรองเท้าต้องเงยหน้าขึ้นมาเพราะแรงสะกิด(ด้วยเท้า)ที่ไม่เบาของไอ้เจต  “อะไรของมึง!”

     “โน่น!” 

     มันตอบเพียงสั้นๆ พร้อมกับพยักพเยิดแถมยังยิ้มกริ่มจนเขาต้องขมวดคิ้ว  พอหันไปตามสายตาเลยได้เห็นว่าใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างสนาม  แถมยังเป็นคนที่ไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ได้เสียด้วย!  “นายน์!”  คนตัวเล็กของเขากำลังกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่างด้วยท่าทางที่ติดจะประหม่าอยู่ในที  ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายและทำเขาประหลาดใจไม่น้อย  ก่อนหน้านี้พยายามชวนตั้งหลายครั้งแต่เจ้าตัวก็บ่ายเบี่ยงแล้วก็ทำเนียนเบี้ยวกันทุกที  และครั้งนี้เขาก็ลองชวนเผื่อฟลุ๊คไปอย่างนั้น  ไม่คิดว่าจู่ๆ จะยอมโผล่มาเซอร์ไพรส์กันแบบนี้     

     เท็นเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาทันที  และอีกฝ่ายก็หันมาเห็นกันทันทีที่เจ้าตัวได้ยินเสียงฝีเท้า  ใบหน้าน่ารักที่มองมาดูชัดเจนว่านายน์กำลังทำตัวไม่ถูกอยู่ไม่น้อย  อาการเก้อเขินเล็กๆ ที่ดูท่าว่าคงจะพยายามปิดแล้วแต่คงไม่มิดนั้นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักขึ้นเป็นเท่าตัวในสายตาเขา  “ทำไมมาไม่บอกกันก่อน  จะได้ไปรับ”

     “เอ่อ  พอดี…ต้องออกมาทำธุระเป็นเพื่อนแม่ก่อนน่ะ  ไม่คิดว่าจะเสร็จเร็วเลยไม่ได้บอก”  ให้ตายเถอะ  ตั้งแต่รู้จักกันมานี่เขาเริ่มจะกลายเป็นคนขี้โกหกไปแล้ว  ความจริงคือเขาเป็นฝ่ายขอติดรถแม่ออกมาเอง  แล้วก็นั่งแท็กซี่ต่อมาที่นี่เนี่ยแหละ  แต่จะให้บอกออกไปตรงๆ ปากมันก็ไม่ยอมตรงกับใจซะที  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นแถมยังรู้สึกว่าโคตรจะไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย  มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ออกตัวไว้ซะเยอะแยะขนาดนั้นน่ะนะ 

     การจับพลัดจับผลูมาคบกับคนที่เคยเกลียดขี้หน้านี่มันทำตัวยากจริงๆ นั่นแหละ! 
 
     “หรอ  ...แล้วหลังจากนี้ต้องไปทำธุระที่ไหนอีกรึเปล่า”  นายน์ไม่ได้ตอบในทันที  เจ้าตัวเม้มปากราวกับกำลังใช้ความคิดก่อนจะส่ายหน้าด้วยอาการลังเลนิดๆ  “งั้น!  ถ้ากูชนะไปหาอะไรกินกันนะ  เดี๋ยวเลี้ยงเอง”

     พอเห็นคนตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างเป็นปลากระดี่ได้น้ำแล้วก็อยากจะเปลี่ยนจากรู้สึกประหม่าเป็นหมั่นไส้แทนขึ้นมาตงิดๆ  แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขารู้สึกเกร็งน้อยลงได้เหมือนอย่างทุกครั้ง  ไม่รู้ทำไม  “ย้ำเก่ง!  อยากเสียเงินมากว่างั้น”

     “มาก”

     “เดี๋ยวจะถล่มให้กระเป๋าฉีกเลย”

     “ยอม”

     นายน์เบะปากใส่คนที่เพิ่งยักคิ้วใส่เขาอย่างน่าหมั่นไส้พลางว่า  “ชนะให้ได้ก่อนเถอะ!”

     “ไม่อยากโม้  รอดูเองแล้วกัน”

     “หึ”

     “เฮ้ย!  ตกลงจะมาแข่งบาสฯ  หรือจะมาจีบเด็กนิเทศวะ”

     “ฮิ้ววววววววววว!!”

     เสียงที่ดังขึ้นจากอีกฟากของสนามดึงความสนใจของเขาไปจากคนตรงหน้า  ร่างสูงหันกลับไปพร้อมกับชูนิ้วกลางให้บรรดาขาแซวแทนคำตอบ  และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นแทบจะทันทีบ่งบอกว่าพวกมันไม่เคยสะทกสะท้านกับอะไรในโลก  เท็นส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมาหาคนตัวเล็กอีกครั้ง  “ไปกัน  เดี๋ยวแนะนำเพื่อนให้รู้จัก”

     “เอ่อ...ไม่ดีกว่า  กูอยากนั่งตรงนี้”  แค่รวบรวมความกล้ามาที่นี่คนเดียวก็โคตรอยากจะมอบเหรียญกล้าหาญให้ตัวเองแล้ว  ถ้าจะต้องรับมือกับเพื่อน(ที่ดูจะขี้แซวใช่ย่อย)ของอีกฝ่ายอีกเขาต้องตายคาที่แน่ๆ  ทีแรกก็ว่าจะชวนไอ้เคนมาด้วยกันอยู่หรอก  แต่คิดไปคิดมาก็กลัวจะกลายเป็นว่าโดนแซวทั้งจากเพื่อนของเท็นแถมไอ้เคนอีกคนน่ะสิ! 

     “ตรงนี้แดดร้อนนะ  ไปนั่งตรงโน้นดีกว่า”

     “เอ่อ.....”

     “พวกมันแค่กวน…นิดหน่อยน่ะ  ไม่น่ากลัวขนาดนั้น  เชื่อกูดิ” 

     “แต่ว่า...”

     “ไปเถอะ  มาถึงนี่แล้ว  ถ้าไม่แนะนำให้รู้จักกันไว้น่าเกลียดตายเลย”

     “……….”

      “เชื่อเถอะ  ไม่มีใครน่ากลัวเท่ามิ้นต์แล้ว”

     “……….”  เรื่องนี้ก็คงจะไม่กล้าเถียง!  ยัยมิ้นต์ทั้งขี้แซว  จมูกไว  จอมเผือก  แถมยังโคตรตื้อจริงๆ นั่นแหละ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เขาสบายใจขึ้นเมื่อไหร่! 

     “ถ้าพวกมันแซวเดี๋ยวจัดการให้เอง” 

     “คือ…”

     เท็นฉวยจังหวะที่อีกคนยังชั่งใจอยู่คว้าข้อมือแล้วพาเดินไปยังอีกฟากของสนาม  ถึงแม้ว่านายน์จะดูไม่เต็มใจเท่าที่ควรแต่ก็ยอมเดินตามอย่างเสียไม่ได้  ถ้าวันนี้จะถูกนายน์งอนก็คงต้องยอม  ใครจะไปยอมปล่อยให้นั่งเก้อตากแดดอยู่คนเดียวแบบนั้น!  “พวกมึงนี่นายน์  นายน์นี่ไอ้วิน  ดิม  เจต  แล้วก็นนท์  ส่วนอีกทีมเป็นพวกรุ่นพี่ที่คณะน่ะ” 

     “หวัดดี!!” 

      “วะ…หวัดดี”  นายน์ทักกลับเสียงทักทายแบบพร้อมเพรียงแถมยังร่าเริงเกินเรื่องของเพื่อนใหม่  ถ้าให้เดาจากระดับสายตาแก๊งค์นี้น่าจะมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่180เซนติเมตรเป็นอย่างต่ำ  เวลาอยู่กับเท็นก็รู้สึกว่าเขากลายเป็นคนแคระมากพอแล้ว  แต่พอมาเจอบรรดาเพื่อนๆ ของอีกฝ่ายกลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเตี้ยลงไปถนัดตา 

     สงสัยแก๊งนี้จะคัดคนเข้ากลุ่มจากความสูงเสียล่ะมั้ง   
 
     “ได้เจอกันซะทีนะ” 

     เป็นวินที่เอ่ยขึ้น  เจ้าตัวเป็นหนุ่มตี๋ที่ขยันแจกยิ้มจนตาหยีแทบจะตลอดเวลา  และยังเป็นคนที่มีความสูงดรอปที่สุดในกลุ่ม  แต่ก็ดูล่ำที่สุดในกลุ่มเช่นกัน  อารมณ์ประมาณพวกเทรนเนอร์ตามฟิตเนสอะไรทำนองนั้น 

     “ตัวจริงไม่เห็นจะเหมือนคนขี้วีนตรงไหนเลยวะ”

     ทว่าประโยคถัดมาของวินก็ทำให้เขาต้องเบิกตาโตหันขวับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกันอย่างอัตโนมัติ  และสิ่งที่เท็นทำคือส่ายหน้ารัวให้กันก่อนจะหันไปโวยวายใส่เพื่อนแทน

     “กวนตีนละมึง  กูไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น!”

     “หรอ  มึงจะให้กูเล่ามั้ย…”

     “ไอ้เหี้ยนี่เงียบปากดิ!” 

     นายน์มองเท็นที่พุ่งเข้าไปล็อคคอเพื่อนกล้ามโตพร้อมกับใช้มือปิดปากจนอีกคนได้แต่พูดอู้อี้พร้อมดิ้นเป็นคิงคองพาต้าพยายามจะดึงตัวให้หลุด  ดูจากท่าทางเกินๆ ก็รู้แล้วว่าวินแค่ทำเป็นเล่นตามน้ำไปอย่างนั้นเพราะถ้าให้ออกแรงจริงคงหลุดออกมาตั้งแต่สองวิแรกแล้วมั้ง 

     ติงต๊องกันจริงๆ!

     เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเขาอย่างไรบ้าง  แต่ที่แน่ๆ คือเท็นที่อยู่ตรงหน้าเป็นเท็นในแบบที่ต่างออกไปจากเวลาที่อยู่กับเขา  แสดงว่าเวลาอยู่กับเพื่อนก็แอบเอาเรื่องเขามาเม้าท์ใช่มั้ย! 
     
    “ถามอะไรหน่อยดิ”

     เสียงนั้นดึงเขาออกจากภวังค์เล็กๆ และก็เป็นคนที่สูงที่สุดในกลุ่มอย่างเจตที่สะกิดไหล่เขาพลางเอ่ยถาม  และเขาก็เลือกที่จะพยักหน้าแทนคำตอบ   

     “นายน์ชอบเลขอะไร”

     “หา?”  คำถามที่ดูเหมือนจะไม่ได้เข้ากับสถานการณ์ทำเอาคนถูกถามอย่างเขาถึงกับไปไม่เป็น  นายน์หันไปมองหน้าเท็น(ที่ยอมปล่อยวินให้เป็นอิสระแล้ว)อย่างขอความเห็นเพราะเขากำลังโดนเพื่อนอีกฝ่ายจู่โจมด้วยคำถามประหลาด  แต่คนที่เอ่ยปากเองแท้ๆ ว่าเดี๋ยวจะจัดการให้กลับเอาแต่อมยิ้มใส่กันเสียอย่างนั้น 

     นี่เขาควรตอบหรือแกล้งเป็นใบ้ดี?!

     “เลขนำโชคอะไรงี้น่ะ”

     “ถามทำไม”  นายน์ถามกลับอย่างไม่ไว้วางใจ  รู้สึกตัวเองเหมือนชิ้นเนื้อที่อยู่ท่ามกลางเสืออย่างไรชอบกล

     “ขำๆ น่ะ  ตอบมาเถอะ”

     ยิ่งอีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ แถมหัวเราะตบท้ายแบบนั้นก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้นกว่าเก่า  แต่จะให้คิดต่อว่าคำถามนี้จะพาไปเจออะไรก็คิดไม่ออกอยู่ดีเลยเลือกที่จะตอบออกไปแบบงงๆ  “เก้า”  ที่ชอบก็เพราะมันเป็นเลขวันเกิดของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย 

     แล้วมันสำคัญยังไงนี่สิ!   

     “เห็นมั้ย!”

     “อย่า!  ชื่อเค้าก็บอกซะขนาดนั้น!”

     “เออ  ถ้าไม่เกิดวันที่เก้าก็ต้องเดือนกันยานั่นแหละ  เด็กสองขวบยังเดาได้เถอะ”

     “วันที่เก้า”  เท็นตอบ

     “มึงนั่นแหละขี้โกงไอ้เท็น  กูเล็งไว้ก่อนแล้วแม่งมาแย่งกู  แปลว่ามันต้องเป็นกูเว้ย”

      “ใจเย็นมึง  นั่นของเพื่อน”

     “ใช่!  มึงแพ้แล้วก็จ่ายมา  ไม่ต้องมาโวยวายกลบเกลื่อน”

     “แต่คนนี้น่ารักจริงว่ะ  กูยอมให้ก็ได้”

    “เออ  ตัวเล็กตัวน้อยกว่าที่คิดอีกอ่ะ”

     “ยืมไปตั้งโชว์ที่บ้านวันนึงดิ”

     “สัส!” 

     “นายน์  มีเพื่อนน่ารักๆ แนะนำบ้างปะ  ถ้ามีฝากบอกเพื่อนว่าเราโสดจีบได้”

     “ถุยย!!  ไอ้เจตกูจะฟ้องแบมว่ามึงแรด!”

     “หุบปากไปเลยพวกมึง!  ไปวอร์มได้ละ!  ถ้าวันนี้กูแพ้พวกมึงเจอดีแน่!”

     “จะชนะโชว์ว่าที่แฟนว่างั้น”

     “เสือก!”     

     นายน์ที่ได้แต่มองคนนั่นคนนี้ตอบโต้กันแต่ไม่เข้าใจเลยสักนิด  รู้แค่ว่าดูเหมือนเท็นจะโดนเพื่อนรุม  แถมยังอุตส่าห์จำวันเกิดเขาได้อีกต่างหาก  นอกจากนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าจะเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ยินให้เป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไง  เลยทำได้แค่ยืนทำหน้าปุเลี่ยนๆ ขมวดคิ้วมองเท็นที่กำลังไล่เตะเพื่อนลงสนาม  แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่  เพราะยังมีบางคนที่แม้จะโดนทั้งผลักทั้งดันทั้งฟาดด้วยลูกบาสฯแต่ก็ยังจะโบกไม้โบกมือมาให้เขาไม่หยุด

     ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นตัวเลขบนเสื้อด้านหลังของอีกฝ่าย  แล้วจิ๊กซอเล็กๆ ที่เคยผ่านหูไปก็เริ่มประติดประต่อจนทำให้เขาพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ  พลันให้อาการร้อนผ่าวๆ กำเริบขึ้นบนหน้าอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว 

     นี่เขาพลาดอีกแล้วใช่มั้ย!

     นายน์หลับตาเม้มริมฝีปากข่มความอายที่ดูจะดีเลย์ไปมากก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไหล่  พอลืมตาก็ถึงกับต้องผงะเพราะเท็นที่เขาเข้าใจว่าอยู่กับกลุ่มเพื่อนในสนามกลับมายืนอยู่ตรงหน้ากันเสียอย่างนั้น 

     “ฝากหน่อย”

     “………”

     “...เชียร์กูด้วยนะ”

     เขาไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ  เพราะพูดไม่ออกและไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร  ทำเพียงแค่ยืนนิ่งแกล้งเป็นเสมองไปทางอื่นเพราะสายตาที่เอาแต่จับจ้องมาคู่นั้น  แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ตามสไตล์ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกึ่งวิ่งลงสนามไป  ร่างเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที  พอก้มลงมองที่ไหล่ตัวเองก็ได้เห็นว่าผ้าขนหนูผืนที่อีกฝ่ายพาดไว้บนบ่าตั้งแต่เขามากำลังแหมะอยู่บนไหล่เขาแทนเรียบร้อย  นายน์หยิบผ้านั้นขึ้นมาอย่างงงๆ ก่อนจะเม้มปากแน่นเพราะจู่ๆ มันก็พาลให้รู้สึกอยากจะยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล! 

     หมั่นไส้คนขี้หยอดจริงๆ  ให้ตาย! 

     เบะปากใส่ผ้าในมือก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงยังม้านั่งที่เต็มไปด้วยสัมภาระของพวกนักกีฬาวางเกลื่อนอยู่  พอเงยหน้ามองไปยังกลางสนามอีกทีก็ต้องสะดุ้งอีกระรอก  เมื่อเพื่อนทั้งกลุ่มของเท็นกำลังโบกไม้โบกมือมาที่เขา(อีกแล้ว)  ทำเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องยกมือขึ้นมาโบกกลับไปอย่างงงๆ  จะมีก็แต่เท็นที่กำลังยืดกล้ามเนื้ออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลด้วยใบหน้าบึ้งตึงอยู่ในที  นายน์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้บรรดาตัวแสบในสนามแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะเลิกสนใจเขาแล้วกลับไปตั้งใจกับลูกกลมๆ ในสนามเสียที  จนต้องเป็นฝ่ายเขาเสียเองที่ต้องแกล้งหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นแก้เก้อ 

     ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือคิดผิดกันแน่ที่ตัดสินใจมา  เห้อออ!




     ดูเหมือนว่าวันนี้ทีมของเท็นจะพกดวงมาเต็มๆ  เป็นฝ่ายถูกนำไปก่อนตั้งหลายนาทีแต่ก็กลับมาตีตื้นจนเอาชนะทีมรุ่นพี่ไปได้แบบหวุดหวิด  แถมยังเริ่มทำแต้มได้ติดๆ เอาไม่กี่นาทีสุดท้ายอีกต่างหาก  ส่วนเขาที่รู้กติกาแบบงูๆ ปลาๆ แต่ก็ยังอดลุ้นตามไปด้วยไม่ได้  อันที่จริงต้องบอกว่าลุ้นเพลินจนเกือบลืมเก็บอาการเผลอเชียร์ออกนอกหน้าจนถูกใครบางคนเห็นเข้าทำเอาหุบยิ้มแทบไม่ทันไปตั้งหลายหน  จะไม่เห็นได้ยังไงในเมื่อเอะอะก็จ้องแต่จะมองมาที่เขาแบบจงใจเสียขนาดนั้น  อย่างที่บอกว่าคงจะพกดวงมาเยอะถึงได้ชนะเพราะดูว่าคนบางคนจะไม่ค่อยมีสมาธิกับเกมสักเท่าไหร่ 

     จบเกมส์นักกีฬาทั้งสองทีมที่คงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกำลังพูดคุยกัน(ส่วนมากจะหนักไปทางแซว)อยู่สักพัก  และเท็นก็เป็นคนแรกที่เดินออกมาจากวงสนทนา  เจ้าตัวฉีกยิ้มกว้างมาแต่ไกลดูไม่ออกเลยว่ามีความสุขขนาดไหนที่คว้าชัยชนะมาได้  เห็นแล้วก็ได้แต่ดึงหน้าเอาไว้ตั้งรับความขี้อวดของคนบางคน 

     “เก่งปะ”

     “ก็...มั้ง”  ตอบสั้นๆ พร้อมกับเบ้ปากให้เป็นรางวัลไปอีกหนึ่งที  และเจ้าตัวก็หัวเราะรับหน้าตาเฉยอีกตามเคย 
 
     “หิวมั้ย”

     “นิดหน่อย”

     “รอแป๊บนึงนะ  ขอเก็บของก่อน”

      “อืม”

      “นายน์  ขอถ่ายรูปหน่อยดิ”

      “เอ่อ...” 

     “อะไรของมึงไอ้วิน!”

     ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไรออกไป  เท็นที่ทำท่าจะผละไปเก็บสัมภาระก็เกิดเปลี่ยนใจเดินกลับมาขวางวินไว้เสียอย่างนั้น  แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนนักกล้ามของเท็นจะไม่ได้ให้ความสนใจกับประโยคดักคอและก้างตัวเขื่องที่ขวางอยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย 
 
     “นะ  รูปนึงก็ได้”

     เจ้าตัวพยายามชะโงกหน้าผ่านเท็นที่ตัวสูงกว่าอยู่พักหนึ่ง  ก่อนจะออกแรงผลักคนหน้ายักษ์ออกให้พ้นทางแล้วเดินตรงมาหาเขาพร้อมรอยยิ้มจนตาหยีแถมยังต่อรองกันด้วยท่าทางน่ารัก(ที่โคตรจะขัดกับร่าง)ด้วยการชูหนึ่งนิ้วพร้อมกับหน้าอ้อนๆ ที่เขาเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งกลับไปให้แทนคำตอบ

     “พอกูแนะนำให้รู้จักแล้วก็มาวุ่นวายกับเขาแบบนี้ไง!  ไปไกลๆ เดี๋ยวนายน์รำคาญ!” 

     “กูจะถ่ายกับนายน์  ไม่ได้จะถ่ายกับมึง!”

     “ดูหน้านายน์ก่อน  เค้าไม่เต็มใจ  เก็ทปะ!”

     “ไม่เต็มใจตรงไหน  ก็เห็นทำหน้าน่ารักใส่กูอยู่นี่  มึงไม่กล้าขอก็อย่ามาขัดคนอื่นเค้า  ไอ้ป๊อด!”

      “ไอ้หมาวิน!”

      “หรือกูพูดไม่....”

     “ได้!”  นายน์โพล่งขึ้นกลางวงสงครามประสาทของสองเพื่อนซี้ที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมลดราวาศอกให้กันง่ายๆ  เลยตัดสินใจเป็นฝ่ายเลือกให้เสียเองจะได้สงบศึกกันเสียที  ตัวก็อออกจะโตมัวมาเถียงกันเป็นเด็กๆ ไปได้ 

     “เห็นมั้ย!” 

     แน่นอนว่าเจ้าของประโยคต้องไม่ใช่เท็น  วินยักคิ้วกวนโมโหใส่เพื่อนซี้ก่อนจะเดินชูโทรศัพท์ในมือแถมยังผิวปากด้วยท่าทางกวนประสาทสุดๆ ตรงมาที่เขา  ส่วนเท็นที่ยังอ้าปากค้างเพราะคงจะกำลังด่ากลับเพื่อนตัวเองเลยได้แต่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวดมองมาที่เขาเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน 

     ก็ใครใช้ให้ทะเลาะกันไม่หยุดเองทำไมล่ะ! 

     แต่ก็ต้องยอมรับว่าสีหน้าที่ดูก้ำกึ่งว่าไม่พอใจเขาหรือไม่พอใจเพื่อนตัวเองกันแน่ของอีกฝ่ายจะแอบบั่นทอนความรู้สึกกันแบบงงๆ อยู่นิดหน่อย  ทีเวลาอยากให้ช่วยกันดันนิ่งใส่  แล้วพอเขาเล่นตามน้ำกลับมาทำหน้าตึงอย่างกับเขาทำอะไรผิดอย่างนั้นแหละ!
 
     นายน์ละสายตาจากคนตัวสูงเพราะวินที่เข้ามายืนอยู่ข้างกันพร้อมกับถือโทรศัพท์เอาไว้ข้างหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เขาก็เลยต้องฉีกยิ้มให้กับกล้องตรงหน้าไปตามระเบียบ  แอบเห็นตรงปลายสายตาว่าเท็นเดินไปที่อื่นแล้ว  แต่จะหันไปมองก็ไม่ได้เพราะวินที่ยังอยู่ข้างกัน(อันที่จริงต้องเรียกว่ายืนเบียดมากกว่า)ยังกำกับให้มองกล้องพร้อมกับฉีกยิ้มให้กว้างยิ่งกว่าเดิมอีกนิด 

     “ถ่ายกับนายน์แล้ววินหน้าบานไปเลยอ่ะ  หน้าเล็กไปนะเรา”

     “..........”  คนถูกต่อว่าแบบไม่จริงจังได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ ตามมารยาท  เขาก็ยังเป็นเขาที่เข้ากับเพื่อนใหม่ได้ห่วยแตกที่สุดในสามโลกอยู่ดีนั่นแหละ  แต่ว่าพูดตามความจริงการยอมถ่ายรูปกับวินก็ออกจะเรียกว่าจำยอมปนตัดรำคาญอยู่นิดๆ นั่นล่ะนะ 

     “ขอลงไอจีได้ป่าว”

     “เอ่อ....”

     “ไม่แท็กหรอก”

     “แต่...”

     “วินมีเพื่อนน้อยเท่าหยิบมือ  ไม่ต้องกลัวใครเห็น”

     “..........” 

      “จริงจริ๊ง”

     อุตส่าห์ใช้ความเงียบเข้าข่มแล้วแต่คนตรงหน้าก็ยังตื้อไม่เลิก  ปกติเขาก็เป็นจำพวกปฏิเสธคนไม่เก่งพอตัวอยู่แล้วมาเจอความตื้อแบบคุขิไม่เข้ากับกล้ามสุดพลังอย่างวินแล้วบอกเลยว่า ‘ไปไม่เป็น’  นายน์คิดสะระตะอยู่สักพักแต่ในที่สุดก็ต้องยอมพยักหน้าเพราะทนแรงกดดันจากสายตาของอีกคนไม่ไหว 

     บอกเลยว่าตื้อเก่งยิ่งกว่าพนักงานขายประกันก็มาวินเพื่อนคุณชายเท็นนี่แหละ!

      “น่ารักแถมยังใจดี”

      “.........”  คำชมแบบมุ้งมิ้งมาวินสไตล์ที่เขารับมือได้แค่การเลิกคิ้วแล้วพยักหน้าหงึกๆ เท่านั้น  แต่มาวินก็ยังเป็นมาวิน  ยิ้มตาหยีให้กันก่อนจะตบลงบนไหล่เขาเบาๆ พลางว่า

     “ดีใจที่ได้เจอ  ไว้เจอกันนะ”

      “อื้ม”

      “ไปกันได้ยัง!”

      เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งด้วยความตกใจ  พอหันกลับไปก็เห็นว่าคนตัวสูงยืนสะพายเป้เอาไว้บนบ่าข้างหนึ่งรอเขาอยู่เรียบร้อยแล้ว  และหน้าก็ยังตึงใส่กันอยู่นิดๆ

     ถึงจะน้อยกว่าเมื่อครู่(นิดนึง)ก็เถอะ 

     ทว่ายังไม่ทันที่นายน์จะตอบอะไรออกไปอีกคนก็สาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วหยิบผ้าขนหนูบนไหล่เขาไปถือไว้เสียเอง  ทำเอาคนที่ลืมไปแล้วว่าเผลอพาดมันไว้บนบ่าเกือบจะเสียอาการเพราะจู่ๆ อีกคนก็เดินเขามาใกล้จนแทบจะประชิดแบบไม่ให้ทันตั้งตัว

     “หิวไม่ใช่หรอ”

     คำถามจากน้ำเสียงที่ดูเหมือนห่วงใยขัดกับสีหน้านั้นทำเขาทำตัวไม่ถูก  ตกลงอารมณ์ไหนกันแน่  นายน์ขยับถอยหลังก่อนจะทำทีเป็นเดินเลี่ยงไปหยิบขวดน้ำที่เท็นเป็นคนเอามาให้ตอนพักครึ่งเอาไว้ก่อนเอ่ย  “ก็ไปดิ”




     นับตั้งแต่เดินตามเจ้าของรถมากระทั่งเข้ามานั่งในรถ  ซึ่งเจ้าของมันไม่รู้ว่ามัวไปทำอะไรอยู่ที่ท้ายรถตั้งนานสองนาน  กว่าจะโผล่มาและเปิดประตูเข้ามานั่งข้างกันก็ผ่านไปแล้วหลายนาที  และจนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับเขาเลยสักคำ  นายน์เอนตัวแนบลงกับเบาะอย่างเนียยๆ เพื่อจะได้ลอบมองสีหน้าของอีกคน  บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดอะไรเลยด้วยซ้ำ  ถ้าสาเหตุเป็นเพราะไม่พอใจที่เขายอมถ่ายรูปกับวินก็แลดูจะไร้สาระเกินไปหน่อยไหม 

     แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ!

     เถียงบ้าบอกับตัวเองในหัวพลางจ้องค้างอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของอีกคนจนลืมตัว  แล้วจู่ๆ เจ้าตัวที่กำลังวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์ในมือก็เกิดอยากจะหันมามองกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น  ทำเอาเขากรอกตามองไปทางอื่นแทบไม่ทัน 

     “ขออาบน้ำก่อนนะ  เหนียวตัว”

      เอาแต่เงียบกดดันคนอื่นไม่ยอมพูดยอมจา  แต่พอพูดออกมาก็ทำให้เขางงจนเกือบจะตอบกลับไม่ถูก  อยากอาบน้ำแล้วมาบอกเขาทำไมไม่ทราบ!  “อืม  งั้น...เดี๋ยวกูไปรอที่ห้างฯแถวๆ นี้แล้วกัน”  เพราะบรรยากาศยังไม่ดีเท่าที่ควรเขาเลยเลือกที่จะตามน้ำไปแบบเสียไม่ได้  อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายได้ใช้เวลากับตัวเองสักพักอาจจะอารมณ์ดีขึ้นกว่านี้ก็ได้...มั้ง!

     “ไปด้วยกันก่อนดิ” 

     ทว่าประโยคต่อมาก็ยิ่งทำให้งงหนักยิ่งกว่าเก่า!  คนที่ทำทีเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างถึงกับหันขวับกลับมามองเจ้าของรถอย่างไม่อยากจะเชื่อหู  พยายามคิดตามสิ่งที่ได้ยินแล้วแต่ก็ยังไม่เกทอยู่ดี  ตัวเองจะไปอาบน้ำก็อาบไปดิ  แล้วทำไมจะต้องให้เขาตามไปด้วย!

     “ไปบ้านกูก่อน  อยากไปพร้อมกัน”   

ได้รับการเฉลยจากเจ้าตัวแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกโล่งอกขึ้นเลยแม้แต่น้อย  นายน์มองใบหน้าที่ยังคงเคร่งขรึมเหมือนยังเคืองๆ กันอยู่ในทีของคนที่กำลังขับรถอยู่แล้วก็ได้แต่ร้องในใจว่าไม่มีทาง!!  ถึงจะตกใจจนอยากจะสบถแต่จำเป็นต้องทำหน้านิ่งสุดๆ เหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ  “กูอยากไปรอที่ห้างฯมากกว่า  พอดีมีของอยาก…”

      “กลัวหรอ”

     ไม่ใช่แค่เอ่ยขัดแต่คนหลังพวงมาลัยกำลังยิ้มมุมปากเหมือนกับจงใจจะท้าทายกันอย่างไรชอบกล!  “ทำไมต้องกลัว!”  แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวอย่างที่ปากว่า  แค่รู้สึกว่ามันเร็วไปแล้วก็ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ต่างหาก  เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องกลัวตรงไหน!

      “ไม่กลัวก็ดี” 

     เจ้าของรถเอ่ยปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มอีกครั้งก่อนจะเงียบกริบไปตลอดทาง  และเขาที่เอ่ยปากออกไปแล้วก็ไม่กล้ากลืนน้ำลายตัวเอง  เลยได้แต่นั่งก่นด่าความบ้าบอปากไวไม่เข้าเรื่องของตัวเองในใจมาตลอดทาง

     พลาดอีกแล้ว!  เจ็บใจชะมัด!









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2019 15:09:39 โดย half_moon »

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0


     จากสนามบาสฯมาจนถึงบ้านของเท็นเป็นระยะทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน  ดีตรงที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ถนนเลยค่อยข้างโล่ง  นั่งมองข้างทางไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่ถึงยี่สิบนาทีก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง  นายน์มองไล่มาตั้งแต่ที่อีกคนชะลอความเร็ว  กำแพงบ้านสูงจนเห็นแค่ต้นไม้โผล่พ้นออกมารำไร  ประตูหน้าบ้านที่ทำด้วยไม้สีน้ำตาลเข้มก็สูงลิบและบานใหญ่กว่าครึ่งเมื่อเทียบกับบ้านของเขา  เจ้าของบ้านกดรีโมท  จอดรอให้ประตูเลื่อนเปิดจนสุดก่อนจะพารถทะยายเข้าไปจอดตรงหน้าประตูบ้านแล้วหันมาพูดกับเขาเป็นครั้งแรก

     “ลงก่อนมั้ย  เดี๋ยวกูเอารถไปจอด”

     นายน์พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายด้วยอารมตกใจเพราะมัวแต่สนใจมองไปรอบๆ เลยไม่ทันได้ตั้งตัว  เขาปลดเข็มขัดนิรภัยเปิดประตูออกไปยืนรออยู่ตรงบันไดทางขึ้น  มองตามรถยนต์สีดำที่เลี้ยวออกไปทางขวามือของตัวบ้าน  ไม่นานคนในรถก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับเป้ใบเดิม  พอเห็นว่าอีกคนกำลังเดินตรงเข้ามาเขาก็ทำทีเป็นหันไปมองรอบๆ บ้านแทน 

     ดูจากขนาดของตัวบ้าน(ถึงจะไม่ได้ใหญ่เท่าวังเหมือนที่อย่างมีคนชอบเอาไปเม้า)และการตกแต่งบวกกับจำนวนรถที่จอดอยู่ก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าสิ่งที่เคยได้ยินผ่านหูมาก็คงมีความจริงอยู่บ้าง 

     อย่างน้อยก็เรื่องฐานะล่ะนะ

       “บ้านเงียบใช่มั้ย  ไม่มีใครอยู่น่ะ”

     นายน์ทำเป็นไม่ใส่ใจฟังคำบอกเล่าที่ราวกับอ่านใจกันได้นั้น  พลางเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปข้างใน  สักพักก็มีพี่สาวคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนที่ทำงานที่นี่เดินออกมาพร้อมกับยกมือไหว้เขา  ทำเอานายน์ที่ดูยังไงก็อ่อนกว่ายกมือไหว้รับแทบไม่ทัน
   
       “ฝากพี่นาเอาน้ำกับขนมมาให้เพื่อนเท็นหน่อยนะครับ”

      “ได้ค่ะ  แล้วน้องเท็นจะทานมื้อเที่ยงเลยมั้ยคะ”

      “ไม่ครับ  เดี๋ยวเท็นจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกกับเพื่อน  แล้วนี่เจ้าหนึ่งไปไหน”

     “ไปบ้านคุณทีมตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”

     เท็นพยักหน้ารับก่อนจะหันมาหาเขา  “ไปห้องกูมั้ย”

     คำถามนั้นทำเอาคนที่ยืนเป็นตัวประกอบอยู่นานอย่างเขาถึงกับต้องอ้าปากร้อง ‘หา!’ ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ  แอบเห็นว่าพี่นาหลุดขำก่อนจะผละขอตัวออกไปทำหน้าที่ตัวเอง  ส่วนอีกคนที่เล่นโพล่งประโยคนั้นออกมากำลังยืนยิ้มมุมปากใส่กันราวกับสนุกที่ได้แกล้ง 

     ได้ทีเป็นเจ้าถิ่นแล้วเอาใหญ่เลยนะ! 

     ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ตามสไตล์ลอยเข้าหูมาเป็นของแถมให้เขาต้องจิ๊ปากอย่างขัดอารมณ์ใส่คนตัวสูง  แต่เจ้าตัวกลับเลิกคิ้วราวกับจะถามกันว่าพูดอะไรผิด 

     “หรือว่ากลัวอีกแล้ว”

     นายน์กรอกตาใส่คนที่เล่นมุกเดิมเป็นนัยว่าเขาไม่ได้เบลอเอ๋อขนาดจะตกหลุมพรางสองครั้งติดในวันเดียวหรอกนะ  “กรุณารีบไปอาบน้ำเถอะครับ  ผมหิวจนไส้บิดละ”

      แน่นอนว่าเขาจงใจพูดสุภาพเพื่อประชดแต่อีกคนกลับหัวเราะชอบใจใส่กันเสียอย่างนั้น   

     “ขอ 10 นาที  ว่าแต่...ไม่อยากไปห้องกูจริงดิ”

     “กูกลับละ!”  ว่าพลางหมุนตัวทำทีจะเดินออกจากบ้าน  ทว่าอีกคนก็เร็วพอจะคว้าข้อมือเขาเอาไว้ได้ทัน

      “เห้ย!  ล้อเล่น”

      พอเห็นสีหน้าที่ดูเจื่อนลงถนัดตาของอีกคนแล้วก็ได้แต่ขำกร๊ากในใจ  อยากกวนประสาทเขาก่อนทำไม!  ให้มันรู้เสียบ้างว่าถ้าเล่นเกินจนล้ำเส้นแล้วจะต้องเจอกับอะไร  หึ!  แม้ในใจจะลิงโลดที่เอาคืนได้สำเร็จแต่สีหน้าก็ต้องข่มให้นิ่งที่สุด  นายน์ปลายตามองข้อมือตัวเองที่ยังคงถูกอีกคนกุมไว้  แค่เพียงเท่านั้นเท็นก็รีบปล่อยกันทันทีราวกับข้อมือเขาเป็นของร้อน 

     “พี่นาเอาขนมมาให้พอดี  มึงจะดูทีวีก็ได้นะ”

      “..........”  เขาไม่ตอบอะไรแต่เลือกที่จะเดินตามพี่นาที่เพิ่งเดินผ่านไปยังห้องที่น่าจะเป็นห้องนั่งเล่น  รู้สึกถึงสายตาของอีกคนที่มองตามมาแต่เขายังคงทำเป็นไม่สนใจ  พอคล้อยหลังอีกฝ่ายไปแล้วเท่านั้นแหละถึงได้หลุดยิ้มออกมา 

      ทีใครทีมันแล้วกันนะ! 




       หลังจากโดนเจ้าของบ้านและพี่เลี้ยงปล่อยทิ้งไว้กับน้ำและคุกกี้ตรงหน้า  แขกที่ไม่คิดว่าจะได้รับเชิญมาอย่างเขาก็เอาแต่นั่งจุ้มปุกอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน  ทว่าความเงียบบวกกับไม่มีอะไรให้ทำพอผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็พาลให้รู้สึกเบื่อจนต้องมองซ้ายแลขวาเพื่อเช็คให้แน่ใจ  พอเห็นว่าทางสะดวกก็เลยตัดสินใจลุกจากโซฟาตรงไปสำรวจบรรดารูปถ่ายที่ตั้งโชว์อยู่ทั้งบนชั้นและตู้กระจก  กวาดสายตาผ่านๆ ไม่เพียงแค่รูปถ่ายแต่มีทั้งเหรียญรางวัล(ที่ส่วนใหญ่จะมาจากด้านกีฬาเสียมากกว่าวิชาการ)และประกาศนียบัตรต่างๆ  ก่อนสายตาจะมาหยุดอยู่ที่รูปเด็กชายในชุดเทควันโด้คาดเอวด้วยสายสีดำกำลังยืนยิ้มเล็กๆ เป็นรอยยิ้มที่เห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าใคร 

      คีพลุคผู้ชายมาดนุ่มมาแต่เด็กเลยสินะ

      เขาเลื่อนสายตาไปยังกรอบรูปขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างฝาผนังด้านบน  เป็นรูปครอบครัวแบบที่บ้านคนมีฐานะมักจะถ่ายกันในสตูดิโอหรูๆ อะไรเทือกนั้น  นายน์มองสมาชิกทั้งสี่คนในรูปอย่างพิจารณา  เท็นยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของคนเป็นพ่อ  ถ้าจะให้เดาจากทรงผม  ความอ่อนเยาว์ของใบหน้า  และส่วนสูงน่าก็จะถ่ายช่วงราวๆ มัธยมปลาย  และชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานสุดๆ แถมยังหน้าตาดีแม้จะดูมีอายุแล้วก็ตามที่ยืนอยู่ข้างๆ กันนั้นก็มีมาดราวกับผู้บริหารใหญ่อะไรเทือกนั้น  ไม่เพียงแค่หน้าตาแต่รวมถึงลักษณะก็ดูเหมือนว่าเท็นคงจะมีต้นแบบมาจากพ่อของเขานี่ล่ะมั้ง 

       เดาอนาคตได้ไม่ยากว่าเท็นตอนมีอายุก็คงจะไม่ต่างจากคนเป็นพ่อสักเท่าไหร่ 

      ส่วนเด็กชายอีกคนที่กำลังกอดแขนของหญิงวันกลางคนที่ฉีกยิ้มจนตาหยีก็น่าจะเป็นน้องชาย  ขอเดาว่าสองพี่น้องน่าจะอายุห่างกันราวๆ 3-4 ปี  แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เด็กชายตัวเล็กแลดูผอมเพรียว  สูงแต่เพียงไหล่ของคนเป็นพี่  ผิวขาวจัด  และไม่มีสักเสี้ยวที่เหมือนคนเป็นพ่อ  เรียกได้ว่าถอดแบบผู้เป็นแม่มาราวกับก็อปปี้วางอย่างไรอย่างนั้น  ส่วนหญิงวัยกลางคนในรูปก็ดูสวยปนน่ารักตามแบบฉบับหญิงไทยเชื่อสายจีน  แม้จะดูมีอายุพอสมควรแต่ก็ยังฉายแววความสวยของสมัยสาวๆ อยู่ไม่สร่าง  จะให้พูดกันตามตรงก็คือบ้านนี้หน้าตาดีกันทั้งบ้านนั่นแหละ! 

       เห็นแล้วรู้สึกอิจฉาความต้นทุนสูงขึ้นมาตงิดๆ!

      นอกจากจะต้องประหลาดใจที่อีกฝ่ายมีน้องชายแล้ว  ยังต้องมาเซอไพรส์ที่น้องชายอีกฝ่ายดูน่ารักน่าทะนุถนอมต่างจากคนเป็นพี่ราวฟ้ากับเหวขนาดนี้  เท็นดูมีบรรยากาศของผู้ชายแบบที่ราวกับเกิดมาพร้อมสกิลความเชียวชาญทางด้านกีฬาเหมือนที่เจ้าตัวเป็นอยู่นั่นแหละ  แต่กับน้องชาย(ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจผิดไปเองน่ะนะ)มีบรรยากาศแบบเด็กที่น่าจะไปทางด้านดนตรีหรือศิลปะอะไรเทือกนั้น  แปลกใจทำไมเขาไม่ยักจะเคยได้ยินบรรดาแมงเม้าพูดถึงน้องชายของเท็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว  หน้าตาดีขนาดนี้ไม่น่าเล็ดรอดสายตาไปได้ 

       ว่าแล้วก็กวาดสายตากลับมายังกรอบรูปที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง  นายน์หยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ เด็กผิวขาวจัดในรูปกำลังถือเค้กวันเกิด  ที่แก้มทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนไปด้วยครีม  ทว่าใบหน้าที่ดูน่ารักนั้นกลับฉีกยิ้มอวดเหล็กดัดฟันอย่างมีความสุข  จ้องคนในรูปนานๆ แล้วก็พาลให้อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

      “รูปนี้ก็เป็นคนถ่ายเอง”

      เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งเฮือกจนเกือบจะเผลอทำกรอบรูปในมือหล่น  และด้วยอารามตกใจนายน์รีบวางมันกลับเข้าที่ราวกับคนที่แอบทำความผิดอย่างไรอย่างนั้น  ก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อจะเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้าน  ทว่าสิ่งที่เขาต้องเจอคือคนตัวสูงที่ยืนประชิดกันเสียจนจมูกของเขาเฉียดเข้ากับหน้าอกของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ  อาการร้อนผ่าวๆ บนใบหน้าเล่นงานเขาทันที  คนตัวเล็กไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย  รีบก้าวถอยหลังด้วยความรนรานแล้วก็ชนเข้ากับชั้นตั้งโชว์ด้านหลังเข้าจังเบ้อเร้อ

      “เจ็บมั้ย”

     คำถามนั้นมาพร้อมฝ่ามือที่คว้าข้อศอกเขาเอาไว้ได้รวดเร็วพอๆ กัน  แต่นอกจากจะไม่ทำให้เขาขวัญหนีดีฟ่อน้อยลงแล้วยังเล่นงานจังหวะหัวใจให้เต้นโครมครามขึ้นมาอย่างกะทันหันเพราะมันยิ่งทำให้เราใกล้กันยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก  นายน์ส่ายหน้ารัวก่อนจะเผลอเงยหน้าขึ้นมองอีกคนด้วยความตกใจ  ทว่าสบตาคู่ที่กำลังมองมาด้วยความห่วงใยได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเสมองไปทางอื่นพัลวันพร้อมกับมือที่เลื่อนไปผลักคนตัวสูงอย่างไม่ตั้งใจ  และเจ้าตัวก็ยอมถอยห่างจากเขาอย่างว่าง่ายทันที  พอได้รักษาระยะห่างสติที่กระเจิดกระเจิงก็ดูจะค่อยๆ กลับเข้าที่  เขาเม้มริมฝีปากด้วยความเคยชินก่อนจะแสร้งถามอีกฝ่ายแก้เก้อ  “เสร็จแล้วหรอ”

      “อืม”

      “..........”  ยังไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรแต่ข่มสายตาให้มองตอบอีกฝ่ายได้แล้วก็รู้สึกมั่นคงขึ้นมานิดหน่อย  แม้ความจริงข้างในจะกำลังสั่นเหมือนเจ้าเข้าก็ตามที  ยืนเกร็งทำเป็นมองเลี่ยงไปที่อื่นได้สักพัก(เพราะอีกคนก็ยังเอาแต่เงียบ)ก็ต้องข่มตัวเองให้ดึงสายตากลับมายังตรงหน้าอีกหน  และเพิ่งจะสังเกตว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดใหม่  เป็นเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป  ในมือมีกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถบ่งบอกว่าพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ  ทว่าเมื่อเลื่อนสายตากลับไปยังศีรษะ  เส้นผมอีกฝ่ายกลับยังดูเปียกชื้นแถมยังไม่ผ่านกันจัดทรงใดๆ  และผิวหน้าก็บอกชัดเจนว่าเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาแบบหมาดๆ 

     ไม่บอกก็รู้ว่าคงจะรีบสุดๆ เลยไม่ได้พิถีพิถันกับการแต่งตัวสักเท่าไหร่

      “น้องชายกู  ชื่อหนึ่ง  แต่วันนี้มันไม่อยู่บ้านน่ะ”

      “ไม่เหมือนมึงเลย  แต่น้องมึงน่ารักดี”  เอ่ยชมไปตามเรื่อง(แต่น้องหนึ่งก็น่ารักมากจริงๆนั่นแหละ)เพราะไม่อยากให้บรรยากาศเงียบจนเกินไปพลางพยายามกู้ตัวเองจากอาการหน้าร้อนผ่าวๆ และใจเต้นรัวอย่างยากเย็น

      “แล้วกูล่ะ?”

      แต่ดูเหมือนว่าคุณเจ้าของบ้านจะไม่ยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ ทำเขาตกใจซ้ำๆ ไม่พอยังแกล้งให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะแล้วยังจะมีหน้ามาหยอดกันซึงๆ หน้าอีก  นายน์มองคนตัวสูงผมชื้นแถมยังหน้าสดสุดๆ ที่กำลังยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามชั่วครู่  ก่อนจะแกล้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง  “ไปได้ยัง  กูหิวแล้ว”  เอ่ยจบแล้วก็หมุนตัวเดินนำออกไปทั้งอย่างนั้น  เพราะถ้าจะให้เขาเล่นเกมจ้องตากับอีกฝ่ายต่ออีกแค่นาทีเดียวมีหวังได้เสียอาการต่อหน้าเจ้าตัวอีกแน่ๆ!




      ถามมาตั้งแต่ตอนอยู่ในรถจนมาถึงห้างฯ(ใกล้บ้านเท็นนั่นแหละ)  แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่าคนอยากเลี้ยงจะกินร้านไหน  สุดท้ายก็โบ้ยให้เขาเป็นคนเลือกเสียดื้อๆ  เพราะความหิวเลยเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เจอร้านแรกด้วยความคุ้นเคยปนคิดไม่ออก  แต่คงปล่อยให้หิวมากไปพอถึงเวลาต้องกินเข้าจริงๆ กลับรู้สึกกลืนไม่ลงขึ้นมาเสียดื้อๆ  ทำเอาคนอยากกระเป๋าฉีกต้องคอยถามแล้วถามอีกว่าอยากได้อะไรเพิ่มไหม  ใจจริงก็อยากจะถล่มให้ยับอยู่หรอก  แต่ติดที่ยัดยังไงก็ไม่ลงนี่สิ!

      เสร็จจากร้านอาหารคนตัวสูงก็ชวนเขาเข้าร้านหนังสือ  เจ้าตัวบอกว่ากำลังดูๆ อยู่ว่าจะซื้อแมวมาเลี้ยง  แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อพันธุ์ไหนเลยอยากศึกษาข้อมูลดูก่อน  ส่วนเขาที่ชอบทั้งแมวและหมาแต่ไม่เคยเลี้ยงจริงๆ สักอย่างเลยช่วยออกความเห็นไม่ได้  ทำได้แค่ยืนเปิดหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ค่าเวลาไปพลางขณะที่อีกฝ่ายกำลังอ่านหนังสือสายพันธุ์น้องเหมียวอย่างตั้งใจ  เห็นแล้วก็อดรู้สึกประหลาดใจในความจริงจังของเจ้าตัวไม่ได้  อีกอย่างเขาไม่คิดว่าผู้ชายตัวโตอย่างกับตึกจะชอบแมว  มองจากบุคลิกยังไงก็เหมาะกับหมาพันธุ์ใหญ่ประมาณว่าไซบีเลียน โกลเด้นอะไรเทือกนั้นมากกว่า

     เดินวนไปวนมาอยู่ในร้านหนังสือได้สักพักก็พากันออกมาแบบตัวเปล่าทั้งคู่เพราะยังไม่เจอเล่มถูกใจ  เดินเล่นเรื่อยเปื่อยได้สักพักก็บังเอิญเจอร้านชานมเจ้าโปรดพอดี  และคงเพราะเมื่อครู่เขากินไปแค่นิดหน่อยเลยเหมือนจะรู้สึกหิวปนอยากขึ้นมาตงิดๆ เลยทำให้เขาเดินเลี้ยวไปยืนอยู่หน้าร้านอย่างไม่ลังเล  แต่ดูท่าว่าคนที่จ้ำอ้าวตามเขาแทบไม่ทันจะไม่เข้าใจอยู่หน่อยๆ   

     "จะกินหรอ”

      “อืม  อยากกินอะไรหวานๆ”

      “ทีเมื่อกี้ถามว่าจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยก็ไม่ยอม  ไอดิมในร้านก็ดูน่ากินออก”

      นายน์หันกลับไปมองคนที่ไม่ช่างพูดแต่กลับบ่นเขาเสียยาวเหยียดพลางกรอกตาใส่แบบตั้งใจให้เห็น  แน่นอนว่าคนตัวสูงเปลี่ยนจากหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นหยุดยิ้มออกมาทันที  ดี  จะได้เลิกบ่น  เข้าใจหรอกว่าอยากเลี้ยง  แต่คนมันกินไม่ลงจะให้ทำยังเล่า

      “ระวังอ้วนนะ”

      “อ้วนแล้วจะทำไม”

      “ก็ไม่ทำไม  อ้วนก็น่ารักอยู่ดี” 

      “หึ!” 

      “เท็น”

       เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เขาต้องหันกลับไปมองตามเจ้าของชื่ออย่างอัตโนมัติ  แน่นอนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก  ทว่าตั้งแต่แว๊บแรกที่เห็นก็ย้ำความสงสัยที่ว่าคนตัวสูงข้างๆ เขานี่จะรู้จักแต่คนหน้าตาดีๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหม!     

      “อ้าวมีน” 
 
      “บังเอิญอีกละเนอะ  แล้ว…..”

       “อ๋อ  นายน์นี่มีน  เพื่อนไอ้เจตน่ะ  เรียนอักษร  มีนนี่นายน์”

      “สวัสดี”

      “สวัสดี  …เออ!  ช่วงนี้เราไม่ได้เจอเจตเลย  ว่าจะแวะไปหามันที่คณะก็ไม่มีเวลาเหมาะๆ ซักที”

       เจ้าตัวเอ่ยทักทายเขาเพียงเท่านั้นก็หันกลับไปคุยกับเท็นต่อ  แม้อีกฝ่ายจะมีบุคลิกที่มองจากภายนอกดูสดใสน่าเข้าหา  โดยเฉพาะเวลาที่อีกฝ่ายคุยกับเท็น  อาจเป็นเพราะคงจะสนิทกัน  เพราะดูจากท่าทางทั้งสองคนดูคุ้นเคยกันดี  มีนมีใบหน้าที่พูดได้ว่าทั้งดูหล่อและน่ารัก  รูปร่างก็ดี  น่าจะสูงกว่าเขาประมาณสี่หรือห้าเซ็นฯเห็นจะได้  การแต่งตัวก็ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า  แถมเวลาพูดเสียงยังน่าฟังอีกต่างหาก  เรียกได้ว่าเป็นคนที่ดูสะดุดตามากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว

       แต่ไม่รู้ทำไม  เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังงานลบที่อีกฝ่ายส่งมาตอนที่มองเขา  อธิบายไม่ถูก  แต่รู้สึกลึกๆ ว่าเหมือนจะถูกคนที่เพิ่งเจอกันไม่ชอบขี้หน้าเข้าให้อะไรทำนองนั้น  แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่แปลก  สมัยอยู่โรงเรียนเก่าเขาก็มักโดนเขม่นจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอยู่เป็นประจำ

      หรือไม่เขาก็อาจจะคิดมากไปเอง 

      “เรียนหนักหรอ”

      “ก็นิดนึง  แล้วเท็นล่ะ”

       “เอาเรื่องอยู่  ไว้ว่างๆ แวะมาดิ  ไปกินข้าวกัน”

      “เท็นชวนขนาดนี้  สงสัยต้องหาเวลาให้ได้แล้วแหละ”

      “รอเลย”

       “ฝากบอกเจตด้วยนะว่าแม่มีนบ่นคิดถึง  ถ้ามันว่างให้แวะมากินข้าวที่บ้านหน่อย”

       “ได้”

       “งั้น  มีนไปก่อนนะ  เจอกัน”

       “เจอกัน”

      ตอนแรกเขาแค่คิดว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่น่าจะถูกอีกฝ่ายไม่ถูกชะตาเข้าให้  แต่พอเมื่อครู่ที่เจ้าตัวโบกมือลาเท็นด้วยรอยยิ้ม  แต่จังหวะที่อีกฝ่ายเลื่อนสายตามาที่เขา(แม้จะเป็นเพียงแว๊บเดียว)มันดูค่อนข้างชัดเจนว่าเจ้าตัวน่าจะไม่ปลื้มกันเท่าไหร่  ยังดีที่มีนไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มของเท็นโดยตรง  ไม่อย่างนั้นเปอร์เซ็นที่เขาอาจจะต้องเจออีกฝ่ายอีกก็คงจะมีสูง

      “นายน์  ชานมได้แล้วนะ  พี่เค้าน่าจะเรียกนานแล้วมั้งน่ะ”

       “...........”

       แต่ให้พูดตามความรู้สึกจริงๆ บอกเลยว่าพอโตขึ้นแล้วแทนที่ภูมิต้านทานความ ‘ช่างมัน’ จะสูงขึ้นตามไปด้วย  แต่เปล่าเลย
     เหมือนว่ามันจะสวนทางด้วยซ้ำ  ตอนนี้เลยอดแอบรู้สึกแย่นิดๆ ไม่ได้

       “นายน์”

       “..........”

       แต่ก็ช่างเถอะ  เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อยนี่นา  อีกอย่างจะไปห้ามหรือบังคับให้คนมาชอบหรือไม่ชอบก็คงไม่ได้

       “นายน์”

       “ห...ห๊ะ”  เสียงเรียกพร้อมกับสัมผัสตรงหัวไหล่ทำเอาคนที่มัวแต่คิดในใจถึงกับสะดุ้ง  พอหันไปมองก็เจอเข้ากับสายตาของคนตัวสูงพอดี   

       “เป็นอะไรรึเปล่า”

        “เอ่อ…  แค่กำลังพยายามนึกว่าแม่ฝากซื้ออะไรน่ะ  อยู่ๆ ก็ลืมเฉยเลย”

       “ขี้ลืมนะเรา  โทรไปถามเลยดิ”

       “นั่นดิเนอะ”

       “แต่ก่อนอื่น  ไปเอาชานมก่อนมั้ย  พี่เค้าเรียกตั้งนานแล้ว”

       “อ้าว!  แล้วทำไมไม่บอก!”

        “บอกแล้วมั่งเหอะ  นายน์นั่นแหละมัวแต่เหม่อ”

        “ตอนไหน  ไม่เห็นจะได้ยิน”

       “โอเค  ไม่ได้บอกก็ไม่ได้บอก  ขอโทษครับคุณนายน์”

      “อยากตายเหรอ!” 

       “โหดจัง” 



                                                   ***********************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2019 15:22:43 โดย half_moon »

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

EP16… 





       “ไอ้ซ้งมึงแม่งขี้โกงว่ะ  ไอ้เหี้ย  เอาตีนมึงไปไกลๆ กูดิ!”

       “โกงห่าไร  มึงอ่อนเองอย่ามาโวยวาย”

       “ไอ้เคนมึงดูมันดิ  มาช่วยกูเร็วๆ”

       “มึงสองตัวเงียบๆ หน่อยดิ  หนวกหูชิบหาย”

       นายน์เหลือบมองไอ้สองลิงที่นั่งอยู่บนพื้นหน้าโซฟาที่เขานอนกลิ้งอยู่และมันกำลังห้ำหั่นกัน(ทั้งในเกมส์และนอกเกมส์)อย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึ  การทะเลาะกันของพวกมันโคตรจะไร้สาระ  แต่ก็เป็นความไร้สาระที่อดขำไม่ได้ทุกที  ผ่านมากี่ปีๆ ก็ไม่รู้จักโตเหมือนเดิมอย่างไรก็อย่างนั้น

       วันนี้เขามาสุมหัวกันที่บ้านไอ้เคน  พวกเรานัดรวมตัวกันบ้างตามปกติ  แต่ครั้งนี้ที่ไม่ปกติเพราะไอ้คุณเจ้าของบ้านมันเป็นคนรบเร้าแกมบังคับให้พวกเราต้องมามีชะตากรรมนอนกองรวมกันอยู่ที่บ้านมันด้วยเหตุผลที่ว่า  ‘โอโต้ซังกับแม่มันไปเที่ยวต่างประเทศ’  และลูกอย่างมันที่ยังไม่ปิดเทอมแถมยังมีเทสเลยโดนทิ้งให้โดดเดี่ยวและหิวโซอยู่ในบ้านตามลำพัง
 
      พูดง่ายๆ ก็คือ  มันถูกทิ้งและพาลมาก!

      เลยมาเรียกร้องความสนใจเอาจากเพื่อนตาดำๆ อย่างพวกเขา  แต่ก็นะ  ถือว่าทำบุญ 

      นายน์ละสายตาจากลิงสองตัวตรงหน้าที่ก็ยังคงไม่ยอมลดราวาศอกให้กันเพราะเสียงข้อความจากโทรศัพท์ที่เขาถือค้างไว้  หน้าจอสว่างวาบพร้อมกับโชว์ข้อความจากแอพสีเขียวซึ่งมาจากใครบางคน  นายน์เหลือบไปมองเพื่อนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟาข้างๆ กันอย่างไอ้เคนก่อนเป็นอันดับแรก  เมื่อเห็นว่ามันกำลังไถอินสตาแกรมและแจกไลค์อย่างเมามันอยู่เลยหันกลับมากดเข้าโปรแกรมแชททันที  แต่ก็ไม่ลืมที่จะเบี่ยงตัวหนีไอ้คนขี้เสือกออกมาอย่างเนียนๆ เป็นการป้องกันไว้ก่อน

      ‘ตื่นยัง’

      ‘ทำไรอยู่’

      ข้อความทำนองนั้นถือเป็นเรื่องปกติประจำวันที่เขาต้องเจอ  เท็นเป็นคนสม่ำเสมอมาก(ไม่ค่อยแน่ใจว่านี่คือกลยุทธ์ของช่วงโปรโมชั่นอะไรหรือเปล่า)  เหมือนกับว่าสิ่งแรกที่อีกฝ่ายทำคือการไลน์มาหาเขาเพื่อถามว่าตื่นแล้วหรือยัง ทำอะไรอยู่ ประมาณนี้ทุกวัน  ย้ำว่าทุกวัน  จนมันกลายเป็นความเคยชินสำหรับเขาไปแล้วเช่นกัน

      “ตื่นแล้ว  อยู่บ้านเพื่อนน่ะ”

       ‘เหรอ’

     ‘แล้ววันนี้จะไปไหนมั้ย’

      “คงไม่  อยู่เล่นบ้านเพื่อนอีกซักพัก  บ่ายๆ ก็คงกลับบ้านเลย”

      ‘จะกลับเมื่อไหร่บอกหน่อยนะ’

       ‘พอดีเพื่อนแม่เอาผลไม้จากญี่ปุ่นมาฝากน่ะ  อร่อยดี  อยากเอาไปให้แม่กับนายน์ชิม’

       เนี่ย!  นอกจากจะสม่ำเสมอกับเขาแล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงแม่เขาด้วย  วันไหนที่เขาใจอ่อนยอมให้อีกฝ่ายมารับก็มักจะหอบหิ้วของอร่อยจากทั่วราชอาณาจักรมาฝากแม่บ่อยๆ  จนตอนนี้เขากลายเป็นลูกหัวเน่าไปแล้ว  แค่ไม่เจอเท็นโผล่หน้ามาที่บ้านสักสองสามวันก็เป็นต้องถามถึงกันทุกที  นานย์เบะปากใส่คนในโทรศัพท์ก่อนจะรัวนิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์อีกครั้ง  “แต่กูยังอยู่บ้านเพื่อนอีกพักใหญ่เลยอ่ะดิ  ไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ”

      ‘ได้ๆ’

      Rrrrrr…  Rrrrrr…

     “หื้อ!  ไอ้นี่มันคนหรือหมากันแน่วะ  จมูกไวชิบหาย!”

       เสียงโทรศัพท์และตามมาด้วยการบ่นงึมงำดังมาจากคนที่นอนเลื้อยอยู่ข้างๆ เขา  มันทำหน้าปุเลี่ยนมองหน้าจอก่อนจะกดรับ  ไม่รู้ว่าเป็นสายของใคร  แต่ที่แน่ๆ มันดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อย 

      “…ว่าไงมึง  อยู่  รู้ได้ไงวะ อ๋อ!  ลืมไปว่าพวกมึงกิ๊กกันอยู่  ได้น่ะได้  แต่ถ้าจะมาก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย  อืม...บ้านกูไม่มีอะไรกิน  เพราะตอนพวกมันจะมามันแม่งไม่ยอมซื้ออะไรมาให้กูเลย  แล้วแต่มึงละกันนะ  กูแค่พูดลอยๆ...  เยส!  เฮ้ยไอ้ซ้งไอ้เกมส์มึงจะเอาอะไรในเซเว่นปะ?”

      “เอาๆๆ  จีบกุ้ง”

       “จีบกุ้ง”

      “เลย์โนริห่อใหญ่  ชาเขียว”

     “มึงได้ยินที่มันพูดใช่ปะ  เออๆ นั่นแหละ  ตามนั้น  แล้วมึงอ่ะไอ้ซ้ง”

     “กูเอาฟุตลองซอสพริก  ชีโตส  แล้วก็แป๊บซี่”

      “ตามนั้นมึง  แล้วมึงอ่ะนายน์”

      “มึงคุยกับใครวะ”  ที่ถามก็เพราะกลัวว่าจะเป็นเพื่อนที่มหาลัยฯของไอ้เคนมัน  ก็ถ้าเป็นอย่างนั้นใครที่ไหนมันจะไปกล้าเสียมารยาทสั่งแหลกเหมือนพวกมัน  แต่ไอ้เคนไม่เพียงไม่ตอบ  มันยังถอนหายใจเฮือกใส่หน้าเขาแล้วว่า

      “อย่านอกเรื่อง  กูถามว่าจะเอาไรมั้ย”

      “ไม่!” 

      “ก็ตามที่มึงได้ยินนั่นแหละ  ส่วนของกู  กูเอาเกี๊ยวซ่า  โบโลน่าพริกไม่เวฟ  แล้วก็คาลพีสโซดากระป๋องนึง  เค  เออ  เดี๋ยวกูบอกทางให้ในไลน์  ได้  รีบมานะมึงกูหิว”

      นายน์มองเคนที่เพิ่งวางสายจากการสั่งซื้อของมาราธอนแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว  ไอ้หิวมันก็หิวนิดๆ อยู่หรอกนะ  ก่อนจะมาที่นี่เขายัดข้าวผัดของแม่ไปได้แค่นิดเดียวไอ้บ้าเคนก็เอาแต่โทรจิกรัวๆ เลยต้องยอมตัดรังควาญเลิกกินแล้วออกมาหามันเนี่ย! 

      “ตกลงจะบอกไม่บอกว่าคุยกับใคร”  ลองแย๊บถามอีกรอบเผื่อมันจะบอก  และเผื่อว่าเป็นคนที่เขาพอจะรู้จักจะได้ให้มันโทรกลับไปสั่งเพิ่มให้หน่อย

     แต่!!!

     “ทีมึงยังแอบไปคุยจิ๊จ๊ะกับใครยังไม่ยอมบอกกูเลย  เรื่องไรจะบอก!” 

     มันโวยเสร็จแล้วก็ยักคิ้วรัวๆ มาให้หงุดหงิดเล่นเป็นของแถม  นายน์อยากจะด่ากลับแต่คิดคำพูดไม่ทัน  ซ้ำตอนนี้ไอ้เคนมันก็หันกลับไปไถอินสตาแกรมแจกไลค์เหมือนเดิมแล้ว  เป็นอันปิดโอกาสให้เขาได้เอาคืน!  แต่มีหรือที่คนอย่างนันทนัชจะยอมแพ้ง่ายๆ  เขาขยับไปใกล้ๆ เหยื่ออย่างรวดเร็วก่อนจะตะโกนใส่หูมันด้วยเสียงอันดังระดับสิบ  “ไม่บอกก็ไม่บอกดิ  อยากรู้ตายห่าแหละ!”

     “ไอ้เหี้ยนายน์!  มึงโรคจิตปะเนี่ย!!”

      “เออดิ  ทำมะ”

      “ไอ้เตี้ยเอ๊ย”

      “มึงสูงตายละ”




      เสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้านเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผู้มาเยือนปริศนาได้มาถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  และเขาตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่า ‘ผู้มาเยือน’ จะเป็นใครก็ตาม  เขาจะแย่งไอ้สามลิงกินให้เรียบไม่ยอมอดอยากปากแห้งทนดูพวกมันอิ่มหนำสำราญฝ่ายเดียวเป็นอันขาด  คอยดู! 

      “ไอ้ซ้งมึงไปเปิด!”

      “เหี้ยไรวะ  นี่บ้านมึงนะ”

      “ก็ใช่ไง  บ้านกู  แต่มึงมาเล่นเกมส์เปลืองค่าไฟก็รู้จักทำอะไรตอบแทนเจ้าของบ้านบ้างดิ”

      “แล้วทีไอ้เกมส์กับไอ้นายน์อ่ะ!”

       “มึงมาสายสุด  มึงเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าเพื่อน  ไปเปิดอย่าพูดมาก!”

       “ตรรกะมึงนี่แม่ง  เออ  ไปก็ได้วะ”

      สุดท้ายซ้งก็ยอมเป็นเบ้ไปแบบยอมจำนน  เห็นมันทำหน้าบูดเป็นตูดลิงแสมแล้วก็อดขำไม่ได้  ทว่าคล้อยหลังมันไปไม่ถึงสิบวิฯเสียงเอะอะไม่ได้ศัพท์จากหน้าบ้านก็ลอยเข้ามาถึงข้างใน  นายน์ส่ายหัวระอากับความขี้โวยของเพื่อนก่อนจะไถลตัวนั่งกึ่งนอนหนุนไหล่ไอ้เคนที่กำลังนั่งเอาขาข้างหนึ่งพาดเข่ากระดิกเล่นพลางเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยเปื่อยเหมือนคนจับจดไม่มีอะไรทำมากกว่าจะตั้งใจหาอะไรดูจนเขาต้องบ่นออกไปอย่างเสียไม่ได้

      “ถ้ามึงไม่ดูก็ปิดไปเลยไป  เวียนหัว”

      “ก็หาอยู่นี่ไง”

      แน่นอนว่ามันเถียงกลับทันทีอย่างไม่ยอมลดราวาศอก  บอกตามตรงบางทีก็สงสัยว่าพวกเราสนิทกันไปทำไม  อยู่ด้วยกันทีไรก็มีแต่เถียงกันตลอด  นายน์เลิกสนใจเจ้าของบ้านที่ยังหาช่องถูกใจไม่ได้เสียทีแล้วกลับมาหาเกมส์ในโทรศัพท์ที่เล่นค้างไว้ 

       “พวกมึง  มาช่วยก็ถือดิ  ไอ้เท็นแม่งเหมามาทั้งเซเว่นเลยมั้ง”

       ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะทำให้ใครบางคนที่กำลังนอนหนุนไหล่เพื่อนสบายอยู่บนโซฟาสนใจถึงขนาดหันขวับมามองทางเขาหน้าตาตื่น  ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและจ้องกันอย่างกับเห็นผี  ทีแรกเขากะจะทำเซอร์ไพรส์ยิ้มทักกวนๆ กลับไป  แต่พอดีว่าไอ้ภาพนอนอิงหัวแหมะกันเมื่อครู่ดันมาสกัดอารมณ์กัเสียก่อน 

     ก็เข้าใจหรอกนะว่าเพื่อนสนิท  แต่พอเจอความสนิทแบบที่เขาไม่ทำกับไอ้พวกเพื่อนกากๆ ทั้งหลายจังๆ แบบนี้แล้วมันก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี!

      “มาไงอ่ะ”

      นายน์ยังคงยืนงงอยู่ที่โซฟาไม่ขยับไปไหน  หน้ามึนๆ แถมผมยังยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งที่ในใจยังแอบเคืองอยู่หน่อยๆ  “มาหาเพื่อนบ้างไม่ได้หรอ”

      “เดี๋ยวนะ  ใครเพื่อนใคร”

      “อ้าว  แล้วกูไม่ได้เป็นเพื่อนมึงหรอ  หรือว่า…เลื่อนตำแหน่งให้แล้ว”

      “……….”

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

คนปากแข็งเอ้ย ท่าเยอะจริง

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามจ้า

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
     นายน์ดูจะอึ้งไปเพราะเจ้าตัวกำลังอ้าปากค้างเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ว่าพูดไม่ออกแถมยังหน้าแดงขึ้นมาอย่างกับมีสวิตซ์ปิดเปิดอย่างไรอย่างนั้น  และเขารู้ดีว่าถ้าเกิดเผลอหลุดยิ้มออกมาในสถานการณ์แบบนี้มีหวังได้โดนเขวี้ยงค้อนวงใหญ่กลับมาเป็นรางวัลแน่  เลยทำได้แค่ยืนปั้นหน้าเหมือนว่างงจริงตามที่พูด

     “จะจีบกันก็ตามสบายเลยนะ  แต่ขอของกินกูก่อน  หิว!”

     ก้างตัวเขื่องลุกจากโซฟามาถึงตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  แต่ที่แน่ๆ คุณเจ้าของบ้านกำลังกระตุกถุงหูหิ้วที่บรรจุของกินมากมายจากมือเขายิกๆ  เท็นยอมยกของในมือให้แต่โดยแต่  ทว่ายังเหลือถุงอีกใบเอาไว้  ก่อนเดินไปหาอีกคนที่ทิ้งตัวนั่งกึ่งนอนมุดหน้าอยู่กับโทรศัพท์ในมือหนีกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  “อะ”

     “…..อะไร”

     ปากตอบแต่ตายังอยู่ที่โทรศัพท์แบบตั้งใจจนดูออกว่าฝืน  เท็นส่ายหัวเบาๆ พลางยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงที่ว่างข้างกัน  “ที่ไม่ยอมสั่งเพราะเกรงใจอ่ะดิ”  ว่าพลางมือก็ยังยื่นถุงไปตรงหน้าเจ้าตัวค้างไว้อย่างนั้น

     “รู้ดีไปหมดเลยเนาะ”

     “แล้วพูดถูกมั้ยล่ะ”

     “…..ของกูใช่ปะ  งั้นขอนะ”

     ตาคมมองคนเนียนที่ฉกถุงจากมือเขาไปแถมยังหันมามองกันแล้วตาตำโตใส่ราวกับจะถามว่าทำไมอีกต่างหาก  เท็นหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งพลางเอนหลังไปกับโซฟามองคนตัวเล็กที่กำลังค้นข้าวของภายในถุงนั้นพลางทำหน้านิ่วคิ้วผูกโบก่อนจะหันมาถามเขา

     “รู้ได้ไงว่ากูชอบกินไอ้พวกนี้”

     ไอ้พวกนี้ที่เจ้าตัวถืออยู่ในมือก็คือสาหร่ายทอดรสพริก  โอลิโอ้  ลูกอิมริโคร่ารสเลม่อนมิ้นท์  และชาเขียวฟูจิรสต้นตำหรับ  ก็เห็นเข้าเซเว่นด้วยกันทีไรก็กินอยู่ไม่กี่อย่าง  “เดาเอา”

     “เชื่อก็บ้าละ”

     “เห็นกินแต่แบบนี้ตลอด”

     “ก็จริง”

      หลังจากอีกฝ่ายเปิดขวดชาเขียวขึ้นดื่มรวดเดียวพร่องไปกว่าครึ่งราวกับกระหายน้ำมานานแรมปีก็เงียบไปเสียดื้อๆ  นายน์ค่อยๆ เอนหลังลงกับโซฟา  เจ้าตัวหยิบมือถือขึ้นมาอีกรอบแต่ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะยังเหม่อลอยราวกับกำลังคิดบางอย่าง  เขามองใบหน้าด้านข้างที่ไม่ว่าผมจะยุ่งเหยิงสักแค่ไหนแต่ก็ยังดูน่ารักเสมอสำหรับเขาโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน 

     เขาชอบยรรยากาศรอบตัวนายน์  ยิ่งเวลาที่เจ้าตัวแต่งตัวสบายๆ ยิ่งรู้สึกว่า…น่ารัก 
 
     “ตกลงจะไม่บอกใช่มั้ยว่ามาทำไม”  ถ้าจะให้พูดตามความรู้สึกเขาค่อนข้างตกใจที่อีกฝ่ายโผล่มาบ้านเพื่อนของเขาโดยไม่ได้บอกกันก่อนแบบนี้  แต่ก็นั่นแหละ  ในเมื่อเท็นก็ค่อนข้างสนิทกับเคนจริงๆ ก็เลยไม่กล้าคิดเองเออเอง 

     จู่ๆ คนที่เงียบไปพักใหญ่ก็หันตาเล็กๆ แต่กลมโตคู่นั้นมามองที่เขาอย่างจริงจัง  สงสัยจะคามจจริงๆ ถึงยังสลัดไม่หยุด  เท็นกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้หน้านิ่งและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันนิดๆ ราวกับใช้ความคิด  ทั้งที่จริงๆ ในหัวเขาโล่งเสียยิ่งกว่าโล่ง  เพราะเหตุผลเดียวที่ถ่อมาถึงที่นี่ก็เพราะอยากเจอ  อาทิตย์นี้นายน์เรียนค่อนข้างหนัก  เลยมีเวลาเจอกันที่มหาลัยฯแค่นิดหน่อย  อีกอย่างเขาไม่อยากกวนเจ้าตัวด้วย  ก็เลยได้แค่ทักไลน์ไปคุยกับโทรหาบ้างนิดหน่อย  “อยากเอาผลไม้มาให้ชิมไง  ทิ้งไว้หลายวันเดียวมันเสียรสชาติ  กูว่างอยู่ด้วย”

     “………..”

     “เคนบอกมึงนั่งแท็กซี่มา  ขากลับจะได้ไปส่งมึงด้วย”

     “ว่างจัดว่างั้น”

     “อยากเจอด้วย”

     “หึ!”

     “โกรธเหรอ”  ถามออกไปตรงๆ เพราะก็แอบหวั่นอยู่นิดๆ เหมือนกันว่าจะถูกเจ้าตัวเคืองเข้าให้  นายน์ไม่ตอบในทันทีแต่เลือกจะหยิบถุงสาหร่ายออกมาฉีกแล้วยัดมันเข้าปากเคียวตุ้ยอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ  เบาเสียจนคนที่นั่งห่างกันแต่คืบอย่างเขายังเกือบจะไม่ได้ยิน

      “ทำไมต้องโกรธ  .....แค่ตกใจนิดนึง”

     “นิดนึงเองหรอ”  พอเห็นเจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองอะไรเลยแกล้งแหย่กลับไปพลางล้วงขนมในมืออีกฝ่ายมากินอย่างถือวิสาสะ  นายน์หันมาถลึงตาใส่กันอย่างไม่จริงจังนักแต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายยื่นมาให้เขาทั้งถุงเสียเอง  บอกแล้วว่านายน์น่ะเหมือนจะดุ  แต่จริงๆ ใจดีจะตาย   

     “แต่คราวหลังบอกกันก่อนก็ดีนะ”

     “ถ้าบอกก็โดนห้ามอ่ะดิ”

     “……….”

     “เงียบแปลว่าใช่?”

     “คิดดูก่อน”

     “สองคนนั้นอ่ะ  มึงลืมไปรึเปล่าว่ายังมีพวกกูสามคนอยู่  เสียงดังขนาดนี้ยังสร้างโลกกันได้อีกเนาะ  กูยอมเลย”

     “เอออ  กูอุตส่าห์จะแอบฟังว่าพวกมันคุยอะไรกัน  แม่งงุ้งงิ้งๆๆ คุยหรือกระซิบกันแน่วะ”

     “เสือก!” 

     “ดูปากมัน  มึงดูเลยไอ้เท็น  นี่ยังน้อยนะ  มึงชอบลงไปได้ไงวะ”

     “เออ  บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่มีมึงมันก็ไม่มีใครเอาละเหอะ”

     “หน้าตาออกจะดี  คำพูดคำจาแม่งฟังไม่ได้  เป็นกูกูเลิกอ่ะ” 
 



     ตาคู่สวยกวาดมองไปทั่วพื้นที่เพื่อหาโทรศัพท์คู่ใจ  แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเสียที  เหมือนว่ายิ่งรีบก็จะยิ่งรนและก็ยิ่งเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เรื่อยๆ  ทีแรกกะว่าจะอยู่แค่แปร๊บเดียวก็จะขอตัวกลับเพราะเกรงใจเท็นที่ต้องมาเจอความป่วงของเพื่อนลิงของเขา  แต่ทำไมทำมากลายเป็นว่าเท็นนั่นแหละที่ดันไปร่วมวงดวลเกมส์กับพวกมันเฉย  กว่าจะเลิกเล่นกันอีกทีก็ตอนที่เข็มนาฬิกาบนฝาผนังชี้ไปที่เลขแปดแล้ว  นายน์เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ที่ที่พวกเรานั่งเล่นกันอีกเป็นรอบที่ห้า  ขนาดรื้อหมอนทุกใบบนโซฟา ก้มหาบนพื้นทุกซอกทุกหลืบแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังว่างเปล่า 

     ก็ถ้าจะล่องหนได้ขนาดนี้ก็มีแต่โดนฉกไปเท่านั้นแหละ!
 
      คิดได้ดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกพลางขบกรามอย่างใช้ความคิด  ก่อนจะกวาดสายตามองสามลิงที่นอนเลียงรายอยู่บนโซฟาและเอาแต่กดโทรศัพท์กันอย่างมีพิรุธ  “เอาโทรศัพท์กูมา!”  ดีที่เขาบอกให้เท็นออกไปที่รถก่อน  ไม่งั้นต้องให้อีกฝ่ายมาทาดูสงครามน้ำลายระหว่างเขากับไอ้สามลิงอีกเป็นแน่

     “โทรศัพท์ของมึงก็ต้องอยู่กับมึงดิ  จะอยู่กับพวกกูได้ไง”

     นายน์กรอกตาใส่เพื่อนเคนที่กำลังนั่งกระดิกเท้าสบายใจเฉิบ  “ไม่เนียน  เอามา!”  อยากถามว่าทำไมถึงเกิดมากวนบาทาได้ขนาดนี้  แล้วไอ้ยิ้มมุมปากกันทั้งสามตัวนี่เรียกว่าเนียนแล้วว่างั้น?

     “ถ้าอยากได้คืนก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

     เนี่ยไง!  ปฏิเสธได้ไม่ทันเท่าไหร่ความไม่สามัคคีของพวกมันก็ทำให้หางโผล่ออกมาจนได้  นายน์ตวัดสายตามายังไอ้เพื่อนเกมส์เจ้าของประโยคเมื่อครู่  ทันได้เห็นมันยักคิ้วใส่เขาอย่างน่ายันให้โครมซักที  แต่ก็ต้องฮึบไว้ก่อน  “เอาคืนมาเหอะ  กูจะกลับบ้าน”  ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่รอดก็ต้องลองขอกันดีๆ เผื่อว่าพวกมันจะยังมีความเป็นคนเหลืออยู่บ้าง

     “แหม  ที่รีบนี่กลัวคนไปส่งจะรอนานหรืออะไรกันแน่วะ”

     “น่านดิ”

     “ตกลงคบกันแล้วหรอวะ”

     “ยังไง  ไหนเล่ามา”

     “มีตามมาหากันถึงที่ขนาดนี้กูว่าชัวร์”

     “ใครที่ไหนจะไปทนความหล่อ ใจดี สป็อต และเอาใจเก่งมากของไอ้เท็นได้ว้า”

     “จริงจัง  เป็นกูกูก็เป๋”

     นายน์ถอนหายใจเฮือกพลางมองลิงสามตัวที่นอนกองอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันอย่างระอา  ไม่บอกก็รู้ว่าซุ่มวางแผนกันเอา  ได้ทีเลยพากันรุมทึ้งเขาใหญ่!  “ได้  จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย  งั้นกูจะไปบอกให้มันกลับไปก่อน  เดี๋ยวจะอยู่เล่นเกมร้อยแปดคำถามกับพวกมึงต่อ”

     “โหหหหหห  บอกกันบ้างไม่ได้เหรอวะ”

     “พวกกูก็ไม่ได้อยากรู้อะไรหรอกนะ  แค่เป็นห่วงมึงนั่นแหละ  เผื่อมันมาหลอกอะไรมึง  พวกกูจะได้ช่วยระวังให้ไง”

     “เออใช่ๆๆ  หล่อลากขนาดนั้นมึงคิดหรอว่าจะไม่มีคนมาจีบมัน  เผลอๆ มันอาจจะคุยกับคนอื่นอยู่ด้วยก็ได้นะเว้ย  เรื่องแบบนี้มีแต่เพื่อนอย่างพวกกูเท่านั้นที่จะช่วยมึงได้”

      “เสือก!”

      “พวกกูพูดจริงนะนายน์  มึงไม่ได้คบใครจริงจังมานานแล้ว  พวกกูเป็นห่วงมึงนะเว้ย”

     “มึงเป็นห่วงตัวเองเหอะ  จะคืนไม่คืน!”  ขืนทนฟังพวกมันไหลไปเรื่อยๆ มีหวังเขาคงได้ค้างที่นี่  นายน์ยื่นมือไปตรงหน้าไอ้เคนที่จะต้องเป็นตัวต้นคิดเรื่องนี้แน่ๆ  คนโดนกดดันด้วยสายตาทำท่าจิ๊จ๊ะขัดใจอยู่ได้ซักพักก็ยอมเอาโทรศัพท์ออกมาจากก้น  ย้ำว่าก้น  ไอ้เพื่อนเวรแม่งนั่งทับโทรศัพท์เขาเอาไว้เฉย  ดูความทุเรศของพวกมันเอาเถอะ

     อยากจะบ้าตาย!

     ฉวยโทรศัพท์คืนมาได้ก็รีบเผ่นออกมาก่อนที่พวกมันจะหาเรื่องมาป่วนเขาได้อีกรอบ  แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงโฮ่ฮิ้วกริ๊วกร๊าวเหมือนพวกนักเลงปากซอยขี้แซวลอยตามหลังมา  ประสาทแดกจริงๆ ไอ้พวกนี้!

     เดินมาถึงรถที่ติดเครื่องรออยู่แล้วก็เลยแอบส่องเข้าไปข้างในดูว่าคนที่ถูกให้รอกำลังทำอะไรอยู่  แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ฉายให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่ยังคงเรียบเฉยไม่บ่งบอกห้วงอารมณ์อย่างที่เจ้าตัวเป็นมาตลอด  แต่ในหัวของเขาพาลไปคิดถึงคำพูดของไอ้สามลิงขึ้นมาเสียได้! 

     ความจริงเขาก็เคยคิดเหมือนกันว่าคนที่ดูดีไปเสียหมดอย่างเท็นจะไม่มีคนที่คบอยู่จริงๆ หรือ  แล้วที่กำลังคุยกับเขาอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่อีกฝ่ายเจียดเวลาให้เสียหน่อย  ทว่าความคิดเหล่านั้นก็มักจะถูกหักล้างด้วยความสม่ำเสมอของอีกฝ่าย  แถมเท็นยังเป็นฝ่ายต้องมานั่งรอเขานานๆ แบบนี้แทบจะตลอด  และทุกครั้งเจ้าตัวก็ไม่เคยมีท่าทีหงุดหงิดหรือไม่พอใจที่โดนทิ้งให้รอเลยสักครั้ง 

     ถ้าเป็นคนที่คุยกับคนอื่นอยู่ด้วยจริงๆ เขาจะสามารถใจเย็นอยู่แบบนี้ได้ไหมนะ

     นายน์สลัดความคิดนั้นทิ้งไป  เปิดประตูเข้าไปนั่งที่ประจำของตัวเอง  และเท็นก็หันมายิ้มละมุนตามสไตล์ให้กันทันทีเหมือนอย่างทุกครั้ง  “โทษนะ  หาโทรศัพท์ไม่เจอน่ะ”

     “ไม่เป็นไร”

ออฟไลน์ half_moon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0



     
     ขับออกมาจากบ้านเคนได้สักพักพลางฟังเท็นเล่าเรื่องผลไม้รูปร่างแปลกๆ ที่เพื่อนแม่ของเท็นเอาฝากกับเรื่องร้านอาหารที่เจ้าตัวไปทานกับที่บ้านมาแบบเพลินๆ  และสรุปได้ว่าเท็นเป็นคนที่ค่อนข้างใส่ใจเรื่องอาหารการกินและเรื่องสุขภาพพอสมควร  ไม่แปลกใจที่เจ้าตัวหุ่นดีขนาดนี้  และก็ไม่แปลกใจเลยที่จะชอบบ่นเวลาเขากินชานมบ่อยๆ  แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ของเท็นก็ดังขึ้นขัดบทสนทนาเสียก่อน  เจ้าตัวหยิบขึ้นมาดูชื่อคนโทรชั่วครู่ก่อนจะกดรับ

     “ว่าไงมีน”

      มีน...ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน  นายน์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอัตโนมัติพลางพยายามนึกว่าตัวเองไปรู้จักคนชื่อนี้มาจากที่ไหนหรือเปล่า  ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแอบฟังอะไรหรอกนะ  เพราะถึงอยากจะแอบฟังจริงๆ ก็ไม่ได้ยินเลยสักนิดว่าอีกฟากหนึ่งของสายกำลังพูดอะไร  เพียงแต่ว่าชื่อที่เท็นเอ่ยออกมามันคุ้นหูมากจริงๆ 

      “เหรอ  เอาไงดี  เท็นไม่อยู่บ้านน่ะสิ  ...ต้องรออีกนานเลยใช่มั้ย  ...เดี๋ยวขอลองถามเพื่อนก่อนนะ”

     จู่ๆ เท็นก็หันมาหากันทั้งที่ยังมีโทรศัพท์แนบหูอยู่ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง 

     “นายน์จำมีนได้มั้ย  มีนเพื่อนเจตที่เราเจอที่ห้างฯเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ”

      นึกตั้งนานก็มาถึงบางอ้อเอาอิตอนที่เท็นถามนี่แหละ  เขาเลือกที่จะพยักหน้าแทนคำตอบ  และกำลังประมวลผลว่าอีกฝ่ายจะถามเขาเรื่องนี้ในเวลาแบบนี้ทำไม  แถมคนถามยังทำหน้ายุ่งยากใจราวกับเจอเรื่องที่ต้องคิดหนักอะไรทำนองนั้น 

     “ตอนนี้มีนรถเสียอยู่ตรงถนนแถวๆ บ้านกู  แถวนั้นเปลี่ยวอยู่เหมือนกัน  คือมีนกับกูอยู่หมู่บ้านเดียวกันน่ะ  แต่ว่าที่บ้านเค้าไม่มีคนอยู่เลย  โทรตามให้เพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อนแต่ไม่มีใครสะดวก”

     “แล้ว?”

     “ไปกับกูหน่อยได้มั้ย  เสร็จแล้วเดี๋ยวจะรีบไปส่งบ้านเลย”

      ใจจริงอยากจะถามว่าทำไมเขาต้องไปแต่ก็ยั้งปากเอาไว้เสียก่อน  “ถ้างั้น...”  บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เพิ่งถูกร้องขอ  แต่ที่แน่ๆ เขางงและมึนจนเกือบจะนึกคำพูดไม่ออก  “ถ้างั้น...กูกลับเองก็ได้  มึงไปอยู่เป็นเพื่อนเค้าเถอะ”  เขาไม่แน่ใจว่าที่เท็นพูดมาทั้งหมดเพียงเพราะเกรงใจไม่กล้าบอกให้เขากลับเองหรือเปล่า  ถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงง่ายกว่าถ้าเขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง 

     “ไม่ได้ดิ  ไปด้วยกันก่อน  กูอยากให้มึงไปด้วย”

     เท็นมองทางสลับกับมองมาที่เขาอย่างขอคำตอบ  และเขาเองที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรก็เลยได้แต่เงียบ  จนในที่สุดก็ต้องเอ่ยถามอย่างที่ใจสงสัยออกไป  “กูต้องไปหรอ”

     “อืม”

      และเท็นก็ตอบมาเพียงแค่นั้นโดยไม่ได้ให้เหตุผลอะไรเพิ่มเติมกับเขาเลยแม้แต่น้อย  ทว่าสีหน้ากับสายตาที่มองมาบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวต้องการอย่างที่ขอจริงๆ  “งั้น...ไปก็ได้”

      “โอเค  ช่างกำลังมาแล้ว  กูคิดว่าคงไม่นาน  เดี๋ยวจะรีบบึ่งไปส่งมึงเลย”

     สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่หายลับราวกับไม่เคยเกิดขึ้นและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างที่เจ้าตัวเป็นเสมอ  เท็นกลับไปคุยกับคนปลายสายอีกครั้ง  ทิ้งให้เขานั่งหน้านิ่วคิ้วผูกโบเพราะไม่เข้าใจเลยสักนิดแถมยังรู้สึกหวั่นๆ ที่จะต้องเจอหน้าคนที่เหมือนจะไม่ชอบขี้หน้าตัวเองแบบเร็วเกินกว่าจะทันได้ตั้งตัว 

     อย่างแย่ที่สุดก็อาจจะต้องยืนเป็นอากาศธาตุดูเขาคุยกันอย่างออกรสก็เท่านั้นแหละ...มั้ง!





     คิดมาตลอดทางกระทั่งรถชะลอความเร็วลงและจอดตรงไหล่ทางต่อจากรถอีกคันที่ขึ้นไฟกระพริบบอกเป็นสัญญาณว่ารถเสียอยู่  ทว่าในหัวของเขาก็ยังไม่หยุดทำงานเสียที  เขามันเป็นพวกความรู้สึกช้า  ตอนฟังยังไม่ทันได้คิดตามอะไรมากมายแต่พอมานั่งเรียงเรียงดูดีๆ ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมานิดหน่อย 

     ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองคิดมันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นไหมรึเปล่าก็เถออะนะ

     เท็นพยักหน้าให้เขาแทนการบอกว่าให้ลงจากรถแล้วเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายลงไปก่อน  นายน์มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปกระทั่งเจ้าตัวไปหยุดอยู่ตรงประตูฝั่งคนขับก่อนจะเคาะสองสามครั้ง  แล้วคนในรถก็เปิดประตูออกมาทันที  ทั้งสองคนกำลังพูดคุยและยิ้มให้กันอย่างคนคุ้นเคย  มันก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่สนิทสนมกัน  เพียงแต่ว่าเขาในนี้ดันเกิดความรู้สึกว่าที่มีนดูไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไหร่อาจเป็นเพราะเจ้าตัวอาจจะชอบเท็นอยู่หรือเปล่า  ไม่รู้ทำไมแต่พอคิดมาถึงตรงนี้บวกกับมองภาพสองคนตรงหน้าแล้วจู่ๆ หัวใจมันก็พาลให้วูบโหวงขึ้นมาแปลกๆ

      จ้องมองอยู่อย่างนั้นโดยลืมไปแล้วว่าเขาควรจะต้องลงจากรถกระทั่งเท็นที่กำลังคุยอยู่กับอีกคนหันมาทางเขาอย่างไม่ให้ตั้งตัวนั่นแหละนายน์ถึงได้สะดุ้งเฮือกก่อนจะทำทีเป็นมองไปทางอื่น  มือก็เลื่อนไปปลดเข็มขัดนิรภัยพลันเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเสียมารยาทขนาดไหน   

     ทว่า!

      เสียงเคาะตรงกระจกที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้ง  มัวแต่ก้มงุดหามือถือเพื่อจะได้ลงไปทักทายอีกคนแบบที่คนมีมารยาทควรจะทำกันเสียที  แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเท็นก็มาอยู่ข้างรถเสียแล้ว  นายน์ลดกระจกลงเพราะดูเหมือนว่าเท็นมีอะไรจะพูดกับเขา

     “รออยู่ในรถก็ได้นะ  อากาศร้อนมากอ่ะ  เดี๋ยวรถของอู่ก็มาแล้ว  น่าจะไม่เกินห้านาที”

     ได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็ทำได้แค่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

      “เป็นอะไรหรือเปล่า”

     และก็เป็นอีกครั้งที่เขาเลือกใช้ภาษากายมากกว่าจะพูดออกไป  นายน์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเสมองไปทางอื่น  เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนทำไมเท็นถึงได้ถามแบบนั้น  แต่ที่แน่ๆ หัวใจของเขาตอนนี้มันว้าวุ่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  และเขาก็ไม่ชอบเอาเสียเลยที่ต้องมารู้สึกแย่เพราะการคิดเองเออเองแบบนี้  แต่พอมันได้เริ่มคิดแล้วหัวมันก็หยุดไม่ได้เนี่ยสิ! 

     ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่กำลังยิ้มให้กันอยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขารู้สึกแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน  สุดท้ายเขาก็กลืนน้ำลายตัวเองเผลอให้ใจคนที่เคยหยีแบบที่ถอนตัวตอนนี้ก็ไม่น่าจะทัน  พาลให้รู้สึกเข่าอ่อนหมดแรงยังไงชอบกลที่สุดท้ายเขาก็เป็นเหมือนที่ไอ้พวกสามลิงพูดไม่มีผิด ‘เป๋จนหมดท่า!’  น่าจะบ่งบอกอาการเขาในตอนนี้ได้ดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง  เฮ้อ! 

     “รถอู่มาพอดีเลย  เดี๋ยวขอแวะไปส่งมีนที่บ้านแป๊บนึงนะ”

      “..........”  เขามองตามสายตาอีกฝ่ายไปก็เห็นรถของอู่กำลังมาถึงพอดีจริงๆ  แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ บนศีรษะ  พอหันกลับมายังคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ต้องประหลาดใจกับฝ่ามือที่กำลังลูบผมของเขาเบาๆ  ความตกใจทำให้เขาเผลอเงยหน้ามองขึ้นไปยังแขนแกร่งก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย  เท็นยังคงลูบผมของเขาพร้อมกับยิ้มมุมปาก 

     “กะว่าจะปล่อยกลับบ้านทั้งแบบนี้แล้วนะ  แต่เห็นแล้วอดไม่ได้”

     “อะไร”

     “ผมยุ่งตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านเคนแล้ว  ไม่รู้ตัวเหรอ”

     คำพูดนั้นทำเอาเขาสะดุ้งปัดมืออีกคนออกพลางลูบผมตัวเองป้อยๆ ก่อนจะขมวดคิ้วฉับมองคนที่รู้ตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมบอกกันสักคำ!  “แล้วทำไมไม่บอกอ่ะ!”

     “ก็.....น่ารักดี  เลยว่าจะเก็บไว้ดูนานๆ”

     บอกตามตรงว่าอึ้งจนพูดไม่ออก  ได้แต่มองไอ้คนหน้าหล่อที่กำลังยิ้มกรุ่มกริ่มและเก่งเหลือเกินเรื่องสับสวิตซ์อารมณ์ของเขา!  นายน์พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่หลุดอาการอะไรออกไปแต่ไอ้อาการร้อนผ่าวๆ บนหน้านี่ก็ดูว่าจะไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย  ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่โดนไอ้คนหน้าตาดี(ถึงบางทีจะกวนประสาทไปนิดก็เถอะ)ขายขนมจีบใส่กันโต้งๆ แบบนี้ก็อดรู้สึกใจแกว่งเป็นเข็มนาฬิกาเสียหลักอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ  “หึ!”  สุดท้ายเขาก็เล่นไม้ตายไม้เดิมที่เวลาจนหนทางทีไรก็ดึงออกมาใช้ทุกทีก่อนจะปิดกระจกหนีกันเสียดื้อๆ แบบนั้นแหละ!





     ได้แต่นั่งมองความวุ่นวายตรงหน้าอยู่ในรถคนเดียวโดยไม่ได้ช่วยอะไรเลยมันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะ  แต่จะให้ลงไปเสนอหน้าตอนนี้ก็คงจะช้าเกินไป(มาก)  เพราะเท็นกับมีนกำลังเดินกลับมาที่รถแล้ว  ไม่รู้ว่ามีนเป็นคนคุยสนุกหรือว่าอะไรถึงทำให้อีกคนยิ้มและดูพูดเยอะกว่าปกติได้ตลอดเวลาขนาดนั้น  เห็นแล้วก็ยิ่งย้ำความรู้สึกว่า ‘ไม่น่ามาเลย!’ ให้ชัดขึ้นไปอีก

      ปัง!!

      เสียงประตูถูกเปิดและปิดลงแทบจะพร้อมๆ กันทั้งสองฝั่งบ่งบอกว่าเขามีสมาชิกนั่งรถเป็นเพื่อนเพิ่มมาอีกสอง  และเสียงจากด้านหลังก็ดังทักขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้หันไปหาคนมาใหม่เสียอีก

     “หวัดดีนายน์  โทษทีนะ  เลยต้องกลับบ้านดึกเพราะเราเลย”

     “ไม่เป็นไร”  เขายิ้มตอบกลับไปและอีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับมาให้ก่อนจะขยับไปนั่งที่ด้านหลังเบาะของเท็นก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

     “เออเท็น  วันก่อนหนึ่งได้บอกมั้ยว่ามีนไปหาที่บ้าน”

     “อาทิตย์นี้เท็นยังไม่เห็นหน้ามันเลย  สุมหัวอยู่บ้านเพื่อนกลับบ้านดึกทุกวันแหละเจ้าหนึ่ง”

     “มิน่าล่ะ”

     “มีอะไรหรอ”

     “อ๋อ  คือมีนว่าจะลองทำขนมขายในไอจีแหละ  เพิ่งไปเรียนมา  กำลังร้อนวิชา  เลยจะเอาไปให้เท็นช่วยชิมหน่อย”

     “เราไม่ค่อยชอบกินขนมเท่าไหร่น่ะสิ  กินขนมเก่งต้องคนนี้เลย”

     แล้วไอ้คนนี้เลยที่พ่อสารถีใจดีพูดถึงจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเขาที่กำลังนั่งหน้าเหวอหันไปมองคนที่ชี้มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง  แถมพอเขาขมวดคิ้วเพื่อถามว่ามันคืออะไรก็ยังจะมีหน้ามายักคิ้วใส่กันอีก!

     “เท็นกับนายน์ดูสนิทกันดีเนาะ”

     “นายน์สนิทกับเท็นรึเปล่าไม่รู้  แต่เท็นอ่ะอยากสนิทกับนายน์มาก” 

     แล้วประโยคที่ไม่คาดว่าจะได้ยินก็ลอยมากระแทกโสตประสาทให้คนถูกพาลพิง(อีกรอบ)อย่างเขาถึงกับตาโต  นายน์ขมวดคิ้วมองคนที่นั่งข้างกันอย่างพยายามที่สุดที่จะไม่ให้อีกคนเห็นสีหน้าของเขา  แต่ก็ดับเผลอเหลือบไปเห็นจนได้  ทว่ามีนก็ยังดูมีสีหน้าปกติกว่าที่เขาคิดไว้  แถมยังหัวเราะรับมุกเท็นอีกต่างหาก

     หรือบางทีเขานั่นแหละที่คิดเลอะเทอะไปเอง

     “งั้นเอาไว้วันหลังเราทำไปให้ชิมที่มหาลัยดีกว่า  ให้พวกเจตช่วยชิมด้วยเผื่อจะได้ไอเดียดีๆ”

     “เอาดิ  แต่จริงๆ แม่นายน์ก็เป็นเชฟนะ  ถ้าให้ลูกเชฟช่วยชิมก็น่าจะได้คำแนะนำดีๆ”

     “แต่ลูกเชฟทำอาหารไม่เป็นเลยนะ  จะส่งอะไรมาก็ช่วยถามกูก่อนด้วย”  สุดท้ายก็อดกลั้นกับความกวนประสาทของบางคนไม่ไหวจนต้องสอดปากย้อนกลับไปพลางส่งสายตาให้คนหลังพวงมาลัยเลิกเล่นเสียที

     “อ้าวหรอ”

     ทว่าเจ้าตัวกลับตอบเสียงดังราวกับตกใจเสียมากมาย  ดูก็รู้ว่าเล่นเกินบท!  ไม่รู้ว่าเท็นไปโดนตัวไหนมาหรือไปอารมณ์ดีมาจากไหนนักหนา  ถึงได้หาเรื่องแกล้งเขาต่อหน้าคนอื่นไม่หยุดแบบนี้  ขนาดดูเหมือนว่ามีนอุตส่าห์ชวนคุยเรื่องอื่นแล้วแต่เท็นก็ยังจะดันทุลังดึงเขาไปเอี่ยวด้วยอีกจนได้อย่างไรอย่างนั้น   

     “แม่นายน์เป็นเชฟจริงเหรอ”

     “จริงๆ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นครู่สอนแทนแล้วล่ะ  แต่ก็ยังรับทำอาหารตามงานเลี้ยงอยู่บ้าง”

     “อาชีพในฝันเราเลยนะ  สงสัยต้องขอคำแนะนำบ้างแล้ว”

     “เอาดิ  อยากรู้อะไรถามมาได้เลย  เดี๋ยวไปถามแม่ให้”

     “ขอบใจล่วงหน้าเลย  .....เท็น  เสาร์หน้าว่างมั้ย”

     “ยังไม่รู้เหมือนกัน”

      “งั้นเดี๋ยวเอาไว้ใกล้ๆ วันหยุดค่อยถามใหม่ก็ได้”

      “มีอะไรหรอ”

      “อยากชวนไปคอนเสิร์ตน่ะ  มีวงที่เท็นชอบหลายวงเลยนะ  ไม่ได้ไปฟังเพลงนานแล้ว  ไปกัน”

      “อืม....ต้องถามนายน์ก่อน  เสาร์หน้าอยากไปไหนมั้ย”

      นั่นไง!  เขาบอกแล้วว่าเหมือนมีนอุตส่าห์พยายามหนีออกจากบทสนทนาที่มีเขาอยู่  และเท็นก็เป็นคนกระชากกลับเข้ามาทุกครั้ง  และทุกครั้งก็พาลให้เขารู้สึกเกร็งขึ้นมาทุกที  นิสัยสนิทคนยากเป็นทุนเดิมของเขาก็ทำให้การเข้ากับเพื่อนใหม่เป็นปัญหาพอตัวอยู่แล้ว  แล้วดันต้องมารับมือกับคนที่มักจะมีบทสนทนาแปลกๆ กับคนที่เราคุยอยู่ด้วยแบบนี้อีกมันก็ยิ่งอึดอัดไปใหญ่  คนถูกถามและกดดันด้วยการมองมาเป็นระยะทำเอาสมองตื้อไปหมด  สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะส่ายหน้าแทนคำตอบ 

     “งั้นเอาไว้ใกล้ๆ จะบอกอีกทีแล้วกันนะ  ...แล้วทำไมมีนไม่ชวนแฟนไปล่ะ  ไปกับเพื่อนอย่างเราจะสนุกเหรอ”

     “เจตยังไม่ได้บอกอ่ะดิ”

     “หือ?  เรื่องไรเหรอ”

     “เลิกกับแทนได้เดือนนึงแล้ว”

     เหมือนโดนฟ้าฝ่าเข้ากลางกบาลอย่างไรอย่างนั้น  นายน์ไม่รู้ว่ามีนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแบบไหนแต่ที่แน่ๆ มันทำให้ห้องโดยสารเงียบกริบไปชั่วขณะหนึ่ง  และมันก็ทำให้สิ่งที่เขาสงสัยประติดประต่อทีละนิดจนตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่คิดก็คงไม่ห่างไกลจากความจริงสักเท่าไหร่

     แล้วเขาควรต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้!     


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด