บทที่ 11
วันนี้เป็นวันว่างๆ เนื่องจากโฬมติดงานและผมก็ไม่มีคิวอะไรพอดี ผมเลยกะจะออกไปเดินเตร่กินแอร์ฟรีในห้างใกล้คอนโด ผลาญเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ หลังจากไม่ได้ช้อปมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีแพลนจะไปหาหนังสือจิตวิทยามาอ่านเล่นๆ สักเล่ม ชีวิตที่เวลาว่างไม่ตรงกับคนอื่นทำให้ตัดพวกตัวเลือกชวนเพื่อนไปดูหนังหรือกินข้าวด้วยได้เลย ผมชินแล้วที่จะต้องไปไหนมาไหนคนเดียว จริงๆ ก็ชอบด้วยเพราะผมเป็นพวกอยากแวะก็แวะ อยากไปก็ไปเลย ขี้เกียจมาคอยรอคนอื่น
วันนี้ผมจึงตื่นตั้งแต่สิบโมงเช้า อันที่จริงอาจไม่เรียกว่าเช้าได้ แต่เพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับอีกแล้ว กว่าจะได้พักผ่อนจริงๆ ก็ปาไปตีสามตีสี่ และขนาดหลับแล้วยังฝันเรื่องบ้าๆ อีก
ถ้าโฬมรู้ผมคงโดนตั้งแง่ว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ
ก็ผมเล่นปู้ยี้ปู้ยำเขาในฝันไว้เสียเยอะเลย ให้ตาย
ผมสะบัดหัวเบาๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่นพร้อมตั้งเวลาปลุกไว้ตอนบ่ายโมง กะว่ารอให้หายขี้เกียจค่อยออกไปเดินห้าง โฬมส่งไลน์มาบอกว่าจะเสร็จงานประมาณห้าโมงกว่า ผมเลยคิดว่าน่าจะชวนหาอะไรกินในห้างไปเลย ง่ายดี
ก็นอนเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเป็นเวลาอันสมควรที่จะออกไปได้แล้ว ผมเลยลากร่างแสนขี้เกียจของตัวเองเข้าห้องน้ำแล้วออกมาหลังจากนั้นประมาณสิบนาที เป็นการวิ่งผ่านน้ำที่แท้จริง แต่ตัวผมก็หอมกลิ่นสบู่ยี่ห้อประจำแบบสุดๆ เพราะผมชอบถูแล้วแช่ไว้นานๆ
เสื้อผ้าในตู้ถูกรื้ออีกครั้งเมื่อผมกำลังคิดว่าวันนี้จะใส่อะไรดี กางเกงยีนส์สีซีดที่มีลายหนังสือพิมพ์แปะเป็นแถบอยู่ข้างๆ เป็นตัวที่ผมเลือกออกมาสวม พร้อมกับสอดตัวเองเข้าไปในเสื้อสีขาวที่ทั้งตัวใหญ่ทั้งแขนกว้างพร้อมกับยัดชายเสื้อเข้าในกางเกง ผมมองตัวเองที่ดูพองๆ ขึ้นมาหน่อยในกระจกอย่างพอใจ มีสร้อยสีเงินคล้องแหวนแทจี้ห้อยประดับเอาไว้บนคอ และหยิบรองเท้าคู่ใจสีกรมท่ามาเป็นสิ่งสุดท้าย
ผมฉีดน้ำหอมกลิ่นประจำ หยิบกระเป๋าคาดอกมาสะพายก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วเดินดุ่มๆ ออกมาจากห้อง แดดประเทศไทยแรงมากจนหน้าผมแทบไหม้ ทั้งๆ ที่มันเป็นหน้าฝนแท้ๆ
ผมที่รีบวิ่งมาขึ้นรถหวังจะตากแอร์ให้สบายกลับต้องหัวเสียหนักกว่าเก่า เพราะไม่ว่าจะหมุนบิดกุญแจรถสักกี่ครั้ง เครื่องยนต์ก็เพียงส่งเสียงหึ่มๆ เล็กน้อยก่อนจะดับลง ผมไม่สามารถสตาร์ทรถได้ และตอนนี้ห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยไอร้อนจากแสงแดดก็กำลังจะเผาผมให้ตายทั้งเป็น ผมเบ้หน้า ตัดสินใจปลอ่ยรถยนต์คู่ใจที่น่าจะตายไปแล้วทิ้งไว้ที่เดิม เดินดุ่มๆ ออกไปที่ถนนใหญ่และคอยชะเง้อมองหารถแท็กซี่สักคัน
ซวยตั้งแต่หัววันเลย ให้ตายเถอะ
“ไปห้าง D ครับ” ผมโบกแท็กซี่สีชมพูที่ขับผ่านมา ก่อนจะรีบยัดตัวเองเข้าห้องโดยสารทันทีที่คนขับพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปกดมิเตอร์ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นหน่อย เหงื่อที่ไหลพรากค่อยๆ แห้งลงทีละนิด ผมเอนหลังพิงเบาะนุ่ม มองวิวนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
ดีจังที่เขาไม่ชวนคุย
ห้าง D อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของผมเท่าไหร่ มิเตอร์เงินจึงวิ่งมาได้แค่ 71 บาทผมก็ได้ลงจากรถแล้ว ผมควักเงินในกระเป๋าออกมาเท่าจำนวนที่ต้องจ่าย เอ่ยขอบคุณเขาตามมารยาทแล้วพาตัวเองออกมายืนมองประตูเลื่อนของห้างสรรพสินค้า พลางคิดกับตัวเองว่าจะไปไหนก่อนดี
เวลานี้เป็นช่วงเกือบๆ บ่ายสองของวันธรรมดา คนในห้างจึงยังบางตาอยู่มาก ผมเดินล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วตรงไปยังฟู๊ดคอร์ทเพื่อหาอะไรง่ายๆ กิน
ระหว่างทางก็มีคนจำได้และเข้ามาทักบ้าง ขอถ่ายรูปบ้าง ไม่ได้เยอะมากแต่แค่นี้ผมก็อมยิ้มแก้มแตกไปทั้งวันแล้ว ดีใจด้วยซ้ำที่มีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายมาสนใจ ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองหน่อยๆ
“พี่สกายเมื่อไหร่จะออกเพลงใหม่คะ” เด็กสาวน่าจะวัยมัธยมปลายถามผมหลังจากถ่ายรูปไปแล้วสองสามรูป เพื่อนๆ ของเขาก็มองจ้องมาเหมือนกำลังเฝ้ารอคำตอบของผมอยู่
“กำลังทำอยู่เลยครับ เร็วๆ นี้แหละ รอติดตามได้เลย” ผมบอกด้วยรอยยิ้ม
“หนูเพิ่งซื้อนิตยสารที่พี่ถ่ายแบบมา สุดยอดเลยค่ะ!”
อันไหนหว่า
ผมขมวดคิ้วเพราะนึกไม่ออก เด็กคนนั้นเลยควานหาถุงหนังสือในกระเป๋าเป้ออกมาโชว์ให้ผมดู เป็นนิตยสารที่ผมไปถ่ายไปสักพักแล้วแต่เพิ่งได้ออกวางแผง นานจนผมลืมไปแล้วเหมือนกัน
ผมหัวเราะเขินๆ เพราะรูปปกมันออกจะ... นิดนึง แต่ก็ยอมรับปากกามาเซ็นชื่อตัวเองที่หน้าปกให้อย่างเต็มใจ ยืนคุยกันอีกสองสามคำผมก็ขอตัวออกมาเพื่อจะได้ไปหาอะไรกินตามที่ตั้งใจสักที
กว่าสามชั่วโมงกับการนั่งกินข้าวแล้วเดินเข้าออกร้านเสื้อผ้าเป็นว่าเล่น ผมเหมือนคนที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายแล้วเพิ่งได้เจอโอเอซิสแล้วกระเดือกน้ำลงคอจนพุงป่อง เพราะถุงกระดาษเต็มทั้งสองแขนจนที่แทบจะใช้ยกแทนเวทได้อยู่แล้ว ผมถอนหายใจมองของในมือตัวเอง
พอไม่มีเก่งกาจมาคอยห้าม ผมก็เลยตามเลยแล้วก็เป็นแบบนี้
ซื้อเยอะจนได้ของสัมนาคุณมาหนึ่งกล่องเลยครับ ผมหาม้านั่งข้างเสาในห้างก่อนจะกองๆ ถุงไว้ข้างตัว หยิบกล่องสีดำขนาดเท่าฝ่ามือที่มีโบว์สีเดียวกับผูกไว้ด้านบน ข้างกล่องสลักคำว่า ‘Thank you’ ด้วยตัวอักษรสีทองเงาวับ ผมดึงฝากล่องออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจผมเต้นรัว
ต่างหูแบบห่วงสีดำสองคู่ถูกวางสอดไว้ในผ้ากำมะหยีอย่างดี คู่หนึ่งมีจี้กางเขนห้อยออกมา ส่วนอีกคู่เป็นห่วงธรรมดา ผมแตะนิ้วลงลูบผิวสัมผัสเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบติ่งหูที่ไร้รอยเจาะของตัวเอง
ผมอยากเจาะหูมาตั้งแต่เด็กๆ ยายก็ขยั้นขยอให้ไปเจาะเพราะมีต่างหูทองจะยัดให้ใส่เต็มไป แต่ความกลัวในใจทำให้ผมไม่ไปเจาะสักทีทั้งๆ ที่เพื่อนก็บอกว่าไม่เจ็บไม่ปวดเลยสักนิด
ทำไงได้ ตอนประถมผมเคยอยากเจาะหูจนซื้อต่างหูคู่ละสามบาทจากร้านขายของชำใกล้โรงเรียน เอามาตัดปลายด้วยกรรไกรตัดเล็บให้แหลม แล้วให้เพื่อนเจาะเข้าไปให้ ด้วยความที่ใช้มือดันและเป็นเด็ก เพื่อนผมมันทั้งดันทั้งคว้านให้เป็นรู ผมเจ็บจนน้ำตาไหล ติ่งหูทะลุก็จริงแต่ผมทนใส่ต่อไม่ได้ เลยต้องถอดทิ้งแล้วเข็ดขยาดกับการเจาะหูมาตลอด
แต่พอชอบแต่งตัว การได้ใส่ต่างหูเป็นสิ่งที่น่าสนุกมาก ผมเคยทำใจเดินวนอยู่หน้าร้านที่รับเจาะหูอยู่ราวๆ สิบรอบ เคยพาเพื่อนไปเจาะและมาดหมายว่าจะเจาะด้วย แต่พอเห็นปืนยิงเท่านั้นแหละ ใจผมฝ่อขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น หูผมไม่มีรูใดๆ เลยสักนิด
แต่ไหนๆ ก็ได้ต่างหูมาแล้ว แถมยังเป็นแบบที่ผมอยากใส่ ผมกัดปากมองกล่องเล็กๆ ในมือด้วยความชั่งใจ นึกถกเถียงกับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียวว่าจะเอายังไงดี
Rrrrrrrrrrrrr
และก่อนที่จะทันได้คำตอบ โทรศัพท์ผมก็ดังขัดขึ้นมาก่อน
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร เพราะตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าๆ แล้ว ได้เวลาเลิกงานของโฬมพอดี
“ฮัลโหล” ผมกดรับหลังจากเห็นว่าเป็นคนที่คิดเอาไว้
[ฟ้าครับ ผมอยู่บนทางด่วนแล้ว อีกประมาณสิบนาทีน่าจะถึง]
“ผมอยู่ห้าง D นะครับ โฬมมาถูกไหม”
[เอ๋ ฟ้าออกไปห้างเหรอครับ]
“ออกมาสักพักแล้วครับ”
[งั้นเดี๋ยวผมไปหาที่ห้างนะครับ]
“ได้ครับ”
[แล้วเจอกันนะครับ]
ผมรับคำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกลับมาสนใจต่างหูในมือต่อ เพราะห้างนี้มีร้านที่เคยพาเพื่อนมาเจาะ ผมเลยรู้สึกสองใจสุดๆ ระหว่างไปทำให้มันจบๆ กับล้มเลิกแล้วเอาต่างหูไปให้คนอื่นซะ
เป็นความสับสนในใจที่หาคำตอบไม่ได้จนกระทั่งโฬมมาถึง
เขาบอกสิบนาทีก็สิบนาทีจริงๆ โฬมในชุดเต็มยศทั้งเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนกับกางเกงแสลคเข้ารูปวิ่งกระหืดกระหอบมาหาทันทีที่เห็นผม วันนี้โฬมเซ็ทผมขึ้นเรียบร้อย ทั้งยังแต่งหน้าบางๆ อย่างทีต้องทำเป็นปกติเวลาออกงาน ผมยอมรับเลยว่าเผลอมองหน้าหล่อๆ ของเขาค้างอีกแล้ว
เพิ่งเคยเห็นโฬมในลุคจัดเต็มแบบนี้ ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถามอีกครั้ง
คนเราจะหล่อขึ้นกว่าเดิมได้อีกมากแค่ไหนกัน
ผมสงสัยเอามากๆ เพราะปกติผมก็มองว่าโฬมดูดีมากๆ แบบมากจนผมยังชอบลอบมองใบหน้าของเขาบ่อยๆ แต่พอมาเจอวันนี้ เขากลับทำลายล้างสิ่งที่ผมเคยเชื่อว่าเมื่อก่อนเขาหล่อสุดๆ แล้วทิ้งไป
โฬมยังดูดีได้มากกว่านี้
และยิ่งตอนที่เขาส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ ผมก็ได้รู้ว่าความหน้าตาดีของเขามันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
“ฟ้าครับ”
“คะ ครับ”
“ซื้อของเยอะจังเลยนะครับ” เขาเหลือบตาไปมองถุงกระดาษสี่ห้าอันที่ผมวางไว้ข้างตัว ผมทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ รวบของพวกนั้นมาถือไว้ในมือแล้วเอ่ยชวนเขาไปหาอะไรกิน
โฬมพยักหน้า ทำท่าจะเข้ามาช่วยถือของแต่ผมเบี่ยงหลบและส่งยิ้มปฏิเสธไปให้ คนตัวสูงเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตัวปลิวเคียงข้างกันมา
“โฬมอยากทานอะไรครับ” ผมเอ่ยปากถาม เมื่อเราเดินมาถึงชั้นที่มีร้านอาหารนานาชนิดเรียงราย
“ผมแล้วแต่ฟ้า” เขาตอบ ซึ่งนั้นทำให้หัวคิ้วของผมขมวดยุ่ง
ปัญหาโลกแตกอีกแล้วกับคำถามที่ว่า
วันนี้กินอะไรดี
ผมกวาดตามอง เพ่งไปจนสุดสายตาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ เลยหันไปส่งยิ้มขอความช่วยเหลือจากผู้ชายที่ยืนสะบัดคอเสื้อเชิ้ตเพื่อคลายร้อนอยู่ข้างๆ
“อาหารญี่ปุ่นไหมครับ” โฬมเสมอขึ้นมาหลังจากเห็นอาการหนักใจของผม ผมเลยรีบพยักหน้าตกลงแล้วบอกให้เขาเดินนำไปเลย
น่าแปลกเหมือนกันที่บรรยากาศระหว่างเราไม่มีความอึดอัดเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ผมทำใจอยู่นานเหมือนกัน คิดไม่ตกว่าจะทำตัวยังไงดีหลังจากที่ตัวเองพุ่งไปจูบโฬมแล้วเขาบอกว่าจะขอจีบ
ผมนึกว่าทุกอย่างมันจะแย่ลง แต่เพราะรอยยิ้มของโฬมก็คล้ายจะกู้สถาณการณ์ทุกอย่างมาอย่างง่ายๆ บรรยากาศรอบตัวเขาชวนให้อบอุ่นและวางใจ ผมไม่ได้เกร็งเหมือนที่ตัวเองเคยคิดไว้ สามารถวางตัวได้แบบที่เคย แม้จะยังแอบเหลือบๆ มองริมฝีปากของโฬมอยู่บ้างก็ตาม
นับว่าไม่เลว
ผมคลี่ยิ้มพึงพอใจ ก้าวเท้าตามคนที่ตัวสูงกว่ากันไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้ๆ เริ่มมีคนเดินในห้างมากขึ้น ภายในร้านจึงมีหลายโต๊ะที่ถูกจับจองไว้แล้ว โฬมเลือกที่นั่งชิดมุมผนังเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ ก่อนที่แต่ละคนจะเริ่มดูเมนูและสั่งอาหารกันคนละอย่าง
ผมสั่งหมูย่างผัดซอส ส่วนโฬมสั่งข้าวกล่องเบนโตะ
หลังจากพยักงานรับเมนูได้จากไปแล้ว ก็เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วคราว ผมกระดิกเท้า พยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อรักษาบรรยากาศดีๆ นี้ไว้ ไม่อยากให้ความอึดอัดเข้ามาแทนที่เท่าไหร่เพราะผมไม่ชอบความรู้สึกพวกนั้นเอาเสียเลย
“ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเลือกที่จะถามด้วยหัวข้อเบสิค โฬมที่จ้องผมอยู่ตั้งแต่แรกแล้วคลี่ยิ้มส่งมาให้เหมือนเคย ผมอยากจะถามเขาจริงๆ ว่าไม่เมื่อยแก้มบ้างเหรอ
เขาไม่เคยหยุดยิ้มเลยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม
เป็นผู้ชายที่แผ่ความสดใสออกมาได้แม้ในวันที่แถลงข่าวยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ ผมนับถือในความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้มาก แต่เพราะแบบนั้นเขาก็เลยน่าสงสารที่สุดในสายตาผม
“สนุกดีครับ แต่คนเยอะมากกว่าจะออกมาได้”
“มีคนไปดูเยอะๆ ก็ดีออกนะครับ” ผมตอบเขาขณะเอื้อมมือไปช่วยรับอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟ
“ดีสิครับ แต่จริงๆ ถ้าฟ้าไปดูด้วยคงจะดีกว่านี้” โฬมพูดด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม เขาเท้าศอกลงบนโต๊ะ วางคางไว้บนมือแล้วทอดสายตาสื่อความหมายมาให้อย่างโจ่งแจ้ง
ผมรีบหยิบช้อนขึ้นมาพร้อมก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากทันที ไม่ยอมเงยหน้ามองคนที่แม้ข้าวกล่องจะตั้งอยู่ตรงหน้าก็ยังเอาแต่เท้าคางมองหน้าผม สัมผัสได้เลยว่ามีไอความลอยอบอวลอยู่รอบกาย ผมหลุบตาลงต่ำ เมินสายตาพราวระยิบระยับกับเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูของคนตรงข้าม
ให้ตายๆๆ
ตลอดเวลาที่ทานอาหารผมไม่ปริปากพูดออกมาสักคำเดียว โฬมก็เอาแต่ยิ้มแล้วตักข้าวช้าๆ ปล่อยให้ผมที่จ้วงเอาๆ ตั้งแต่แรกอยู่กับความเคว้งคว้างหลังข้าวในชามหมดลง
ผมวางช้อนไว้ที่ถาดรอง หยิบน้ำชาเขียวเย็นขึ้นมาดื่มก่อนจะลอบมองคนตรงหน้าด้วยหางตา โฬมเหมือนจะรู้เพราะเขายกมุมปากให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกลับไปกินข้าวในกล่องเบนโตะต่อ
“ฟ้าจะทำอะไรต่อเหรอครับ”
ผมนิ่งคิด พอดีกับที่โฬมหันข้างไปหยิบทิชชู่เลยทำให้เห็นติ่งหูข้างซ้ายของเขาที่มีจิวหูสีใสเสียบอยู่ ถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น ผมขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปเมื่อตัดสินใจได้
“โฬมเจาะหูด้วยเหรอครับ”
“อ๋อ ครับ หลายปีแล้ว” โฬมว่าพร้อมกับยกนิ้วไปแตะๆ บริเวณรอยเจาะประกอบคำพูด
“ทำไมไม่ใส่ต่างหูล่ะครับ” ผมถามด้วยความสงสัย คนเจาะหูกลับใส่สีใสเหมือนไม่อยากจะใส่ ในขณะที่ผมนี่กระตือรือร้นในการเลือกต่างหูมากทั้งๆ ที่ยังไม่กล้าแม้จะเจาะ
“คือจริงๆ แล้ว ผมเจาะใส่คู่กับแฟนเก่า” อีกฝ่ายบอกเสียงเบา เขายังคงใช้ปลายนิ้วไร้ติ่งหูข้างนั้นเบาๆ ดวงตาคล้ายจมเข้าไปกับอดีตเก่าๆ “พอเลิกกันก็ทิ้งต่างหูไปแล้วครับ แต่ก็เสียดายเพราะตอนนั้นไปเจาะร้านในห้าง ราคาก็ค่อนข้างแพง เลยใส่จิวใสแทนจะได้ไม่ตัน”
ประโยคหลังเขาพูดยาวมาก เหมือนพยายามเปลี่ยนประเด็นจากช่วงแรกออกมา
ผมพยักหน้าเข้าใจ คลี่ยิ้มจางๆ ให้เขาแล้วเบี่ยงหัวข้อสนทนาออกมาเช่นกัน อดีตที่มันไม่ดีผมก็ไม่อยากจะรู้หรอกถ้าเจ้าของเขาไม่อยากเล่า
บางอย่างก็ควรปล่อยให้มันจางไปกับกาลเวลา
“จริงๆ แล้วผมอยากเจาะหูแต่ไม่กล้าสักที” ผมบอก พยายามทำเสียงสดใสเพื่อดึงรอยยิ้มเศร้าๆ ให้หลุดหายออกไปจากคนฝั่งตรงข้าม “ผมได้ต่างหูมาฟรีพอดี ตอนโฬมเจาะหู มันเจ็บมากไหมครับ”
“ฟ้าอยากเจาะหูเหรอครับ?”
ผมพยักหน้ารัวๆ เป็นการตอบรับ
“ไม่เจ็บหรอกครับ เหมือนมดกัดเอง”
“โกหกชัดๆ เลยนะครับ” ผมหัวเราะ เพราะคำพูดกับสีหน้าที่เหยเกของเขามันโคตรจะขัดกัน
แต่ดูก็รู้ว่าเขาแค่แกล้งเล่น
“ไม่เจ็บจริงๆ ครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนนะถ้าฟ้าจะไปเจาะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมตอบไปอย่างเกรงใจ
“ให้ผมไปเถอะนะครับ อยากเป็นกำลังใจให้ฟ้า”
น้ำเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา กับอากัปเท้าคางมองอย่างอ่อนโยน
ผมว่าผมได้ยินเสียงฉ่าดังออกมาจากหน้าตัวเอง
“นะครับ”
“กะ ก็ได้ครับ” ผมก้มหน้ามองมือตัวเองบนตัก หยักหน้าเบาๆ แล้วตอบรับด้วยเสียงในลำคอ
มันเป็นอาการเขินอายแบบแปลกๆ ที่ผมไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต ผมรับมือกับมันไม่ได้ ไม่รู้จะวางตัวยังไง มือไม้ก็เก้ๆ กังๆ เหมือนนี่ไม่ใช่ร่างกายของตัวเอง โดยเฉพาะหัวใจที่เต้นแรงยิ่งกว่าบีทแรปของ Eminem เสียอีก
นะครับนี่มันอะไรกัน!
ผมเม้มปาก ขยุ้มกางเกงยีนส์จนเริ่มเจ็บที่ข้อนิ้ว ปล่อยให้โฬมเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วจัดการค่าใช้จ่ายโดยที่ผมลืมไปเลยว่าต้องออกเงินในส่วนค่าอาหารของตัวเองด้วย
“ไปเจาะหูเลยไหมครับ” โฬมที่รับเงินทอนจากพนักงานเรียบร้อยแล้วหันมายิงคำถามใส่ผม
ไอ้ผมก็ยังไม่ได้สติ เลยพยักหน้าหงึกหงักไปโดยไม่คิดอะไร
โฬมคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะมาถือ ผมก็ทำตามแม้ใจจะลอยๆ แปลกๆ พวกเราก้าวออกมาจากร้านท่ามกลางเสียงเอ่ยขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นของพนักงาน ผมยังคงเม้มปากเดินมองพื้นห้าง โดยมีโฬมที่ก้าวช้าๆ เคียงข้างกันไปตามทางที่ทอดยาว ฝ่ามือของเขาสอดเข้ามากอบกุมมือผมตอนไหนไม่รู้ เพราะพอได้สติอีกทีก็พบว่าผมถูกจูงมือให้เดินตามอีกฝ่ายไปซะแล้ว
“ร้านนี้ผมเคยไปเจาะ แต่คนละสาขากัน” โฬมหันมาบอกเมื่อเรามาถึงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งที่ตกแต่งสไตล์มินิมอล
ผมสอดสายตามองเข้าไปในร้าน ในตู้กระจกและด้านบนประกอบไปด้วยต่างหูมากมายเรียงราย มีพนักงานผู้หญิงสองคนนั่งอยู่หลังเคาท์เตอร์และชะโงกหน้ามามองก่อนจะหันไปสะกิดกันยิกๆ
“เอ่อ... เจาะเลยเหรอครับ”
“แปบเดียวครับ สองวิก็เสร็จแล้ว” รอยยิ้มของโฬมเปรียบเสมือนน้ำที่รดลงมาในวันที่แห้งผาก อยู่ๆ ผมก็มีกำลังใจฮึดสู้ อาจจะเพราะนิ้วอุ่นร้อนที่ลูบเบาๆ บนหลังมือของผมด้วยละมั้งที่ช่วยให้ความกลัวมลายหายไป
อ้ะ... นี่พวกเรายังจับมือกันอยู่เหรอ
ผมก้มลงมองมือข้างขวาของผมที่ถูกกุมประสาน เงยหน้าขึ้นไปสบตาก็พบเพียงรอยยิ้มใสซื่อที่อีกคนส่งมาให้ ผมสูดลมหายใจ ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมาจากฝ่ามือที่ใหญ่กว่ากันพอสมควร
“เข้าไปกันเถอะครับ”
มือผมยังไม่ทันหลุด โฬมก็กระชับกลับเข้ามาให้แน่นเหมือนเดิมแล้วออกแรงดึงกระชากผมเข้าไปในร้าน
“สวัสดีค่า” พนักงานทั้งสองคนประสานเสียงทันทีที่พวกเราผลักประตูกระจกเข้ามา
โฬมยิ้มทักทายกลับไป ต่างจากผมที่ยังจ้องมือตัวเองไม่วางตา
ผมว่ามันแปลกๆ อยู่นะ
“ฟ้าจะเจาะกี่ข้างครับ” เสียงทุ้มนุ่มเรียกสายตาผมให้หลุดออกมาจากสัมผัสที่เริ่มชื้นด้วยเหงื่อของผม เขายิ้มเหมือนไม่รู้ว่าผมกำลังพยายามจะดึงมือตัวเองออกมา เขายิ้มเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กระชับมือผมให้แน่นกว่าเดิมทุกครั้งที่ผมเริ่มขยับมัน
“สองครับ” ผมตอบ แต่พอจะกลับไปสนใจสิ่งเดิมต่อ พนักงานก็ดันเรียกให้ผมเข้าไปเลือกจิวแทน
“ผมมีต่างหูแล้ว” ผมบอกและพยายามจะใช้มือที่เหลือข้างเดียวหยิบๆ หากล่องต่างหูในถุงเสื้อผ้า แต่มันคงทุลักทุเลจนเกินไปโฬมถึงได้ขยับตัวมายืนปิดด้านหน้าของผม ก่อนจะล้วงมือเข้าไปควานหาให้แทน
ให้ตายเถอะ จมูกผมแทบจะชนคางของเขาอยู่แล้วนะ
“อันนี้รึเปล่าครับ” โฬมชูกล่องเล็กๆ สีดำให้ดู ผมก็พยักหน้าหงึกหงัก
แต่เมื่อพนักงานเปิดฝากล่องออกมาก็รีบร้องห้ามทันที
“เจาะครั้งแรกต้องใส่จิวก่อนนะคะ”
“เอ๋?” ผมเลิกคิ้ว ร้องเสียงหลง
“ยังใส่ห่วงไม่ได้ค่ะ ต้องรอให้แผลแห้งก่อน”
ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าแล้วเข้าไปหยิบๆ จับๆ เลือกจิวแทน
หน้าผมคงหงอยน่าดู โฬมถึงได้ใช้มืออีกข้างลูบหัวปลอบเบาๆ
“จิวก็มีลายเท่ๆ นะครับ” เขาหยิบพวกลายไม้กางเขน ดาวและพระจันทร์มาให้ผมดู ผมก็มองแล้วส่ายหน้าทันที ก่อนจะเลื่อนจิวกลมๆ สีดำให้พนักงานแทน
“อันนี้ครับ”
“อันนี้นะคะ” พนักงานถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ผมก็พยักหน้าให้หนึ่งทีแทนคำพูด
เกิดช่วงเวลารอคอยขึ้นมาครู่หนึ่งเมื่อพนักงานทั้งสองกำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับเจาะ ผมเลยยืนมองต่างหูลายอื่นๆ ไปเพลินๆ ในขณะที่โฬมยังจ้องกล่องสีดำที่วางอยู่บนตู้กระจก ซึ่งเป็นต่างหูที่ผมได้แถมมาฟรีจากร้านเสื้อผ้าร้านประจำ
“ฟ้าครับ”
“ครับ?” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบว่าโฬมชี้นิ้วมือไปที่ต่างหูห่วงห้อยกางเขนของผม
“ผมขอได้ไหมครับ”
“โฬมอยากได้เหรอครับ”
“ครับ” โฬมตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เอาเลยครับ เหลือไว้ให้ผมคู่หนึ่งนะ” ผมยิ้ม ยกให้อย่างใจกว้างเพราะยังไงก็คงไม่ได้ใส่มันในเร็ววัน กว่าแผลจะแห้ง พนักงานบอกว่าประมาณสองเดือน
ถึงตอนนั้นผมอาจจะหาต่างหูฟรีที่เพิ่งได้มานี้ไม่เจอแล้วก็ได้ ยิ่งเป็นพวกเก็บของจนลืมอยู่ด้วย
“ผมขออย่างละข้างนะครับ”
“...?” ผมไม่เข้าใจ แต่โฬมก็ไม่ยอมอธิบายอะไรมากกว่านี้
“มานั่งตรงนี้เลยค่ะ” เสียงพนักงานเรียกดังขัดขึ้นมาก่อน ผมเลยหันไปตอบรับแล้วเดินดุ่มๆ ไปยังเก้าอี้หัวโล้นที่อยู่มุมหนึ่งของร้าน โฬมก็ตามมาติดๆ เพราะมือพวกเรายังจับกันไว้อย่างเหนียวแน่น
ผมเห็นพนักงานทั้งสองลอบยิ้มใส่กันด้วย!
โฬมยอมปล่อยมือผมในที่สุดเมื่อพนักงานบอกว่าจะเจาะสองข้างพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่ไปไหนไกล ยังยืนส่งยิ้มอบอุ่นอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ผมใจเสียไปแล้วตอนเห็นปืนยิงสองอันที่อยู่ในมือของพี่สาวทั้งสองคน
ไม่เจาะแล้วได้ไหมครับ!
ผมตัวเกร็ง ยิ่งตอนที่ดินสอมาร์คจุดแตะลงบนติ่งหู หลังของผมก็ตรงดิ่งขึ้นมาทันที
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคงสังเกตเห็น ร่างสูงเลยขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม วางมือลงบนหัวผมแล้วบีบนวดเบาๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย
“กลั้นหายใจแปบเดียวก็เสร็จแล้วครับ”
ผมส่ายหน้า
“ไม่เจาะแล้วได้ไหม” ผมว่าเสียงสั่น เผลอสะดุ้งสุดตัวตอนสำลีชุ่มแอลกอฮอลล์แตะลงบนติ่งหูทั้งสองข้าง ผมคว้าชายเสื้อของโฬมไว้ เงยหน้ามองเขาอย่างอ่อนวอน
ไอ้ความเจ็บปวดตอนเด็กที่ฝังใจกำลังเผาความกล้าของผมจนไม่เหลือหลอแล้ว
ผมเหมือนเห็นภาพตัวเองที่พยายามเข้าร้านเจาะหูมาตลอดตั้งแต่มอปลายซ้อนทับเข้ามา ทุกๆ ครั้งจะมีเพื่อนมาด้วย และเพื่อนไม่เคยบังคับให้ผมนั่งลงรับเข็มได้สักครั้ง โดยเฉพาะไอ้เก่งกาจที่แม้จะชอบทำร้ายร่างกาย แต่ก็แพ้ทางสายตาลูกหมาของผมทุกที
หูของเก่งกาจที่ต้องเจาะแทนผมนั้น มีมากกว่าสองรูแน่นอน!
“มันเจ็บ” ผมเบ้ปาก ไม่ค่อยกล้างอแงกับโฬมเท่าไหร่เพราะไม่ใช่คนสนิทแบบทุกครั้ง
โฬมแค่ยิ้ม ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานสอดรูปืนเข้ามาที่หูผมทั้งสองข้างได้เลย
ให้ตายเถอะ!
ผมหลับตาปี๋ กำเสื้อราคาแพงของโฬมจนน่ากลัวว่ามันจะขาด ความเจ็บแล่นจี๊ดเข้ามาพร้อมกันทีเดียว ผมกลั้นหายใจอยู่สักพักจนโฬมสะกิดบอกว่าเสร็จตั้งนานแล้ว
ผมเหวอเลย
มันไม่ได้เจ็บเหมือนที่ผมคิด
คงเพราะปืนยิงจิวหูสีดำนั่นเข้ามาทีเดียว ต่างจากตอนเด็กๆ ที่เพื่อนผมค่อยๆ กดเข้ามาช้าๆ จนกว่าจะทะลุ ผมมองตัวเองในกระจกถือที่พนักงานยื่นมาให้
น้ำตาจะไหล เหมือนบรรลุภารกิจระดับ A ที่ไม่เคยผ่านมาหลายปี
ผมสำรวจหูตัวเองด้วยการหันซ้ายหันขวา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีลงให้โฬมที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ผมเห็นร่างสูงชะงักอีกแล้ว เหมือนวันแรกที่เจอกันเลย แต่ไม่นานโฬมก็กลับมายิ้มให้ผมพร้อมกับชวนไปชำระค่าใช้จ่าย
หลายร้อยเหมือนกันเมื่อรวมค่าต่างหูไปด้วย
ผมได้ยาทาแก้อาการบวมกับอักเสบมาหลอดนึง พร้อมคำแนะนำว่าห้ามว่ายน้ำหรือรุนแรงกับหูตัวเองเป็นเวลาสามเดือน ผมก็พยักหน้ารับคำอย่างดี เก็บขงเก็บของลงถุงให้เรียบร้อยก่อนจะเดินผิวปากออกมาจากร้าน โดยมีโฬมที่ช่วยหยิบถุงกระดาษของผมไปช่วยถือสองถุง
“ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“โห ผมอยากเจาะมาตั้งนาน ก็ต้องดีใจอยู่แล้วครับ” ผมบอก ยังคงยิ้มไม่หุบ นี่ถ่ายรูปตัวเองอัพลงทวิตเตอร์พร้อมไอจีเรียบร้อย ไม่สนว่าติ่งหูตัวเองจะยังแดงแจ๋อยู่ก็ตาม
“น่ารักจังครับ”
“เอ๋?” ผมหันไปส่งเสียงถามเมื่อไม่ได้ยินที่โฬมพูด เพราะเขาพูดในลำคอด้วยเสียงที่เบาเว่อร์ๆ แต่โฬมกลับส่ายหน้าแล้วสอดมือเข้ามาจับมือข้างเดิมของผมแทน
“กลับกันครับ ฟ้าเอารถมาหรือเปล่า”
“เปล่าครับ” ผมตอบไปพลางมองมือข้างนั้นไป
จับมืออีกแล้ว
นี่เรียกว่าทำเนียนหรือเปล่า?
“งั้นผมไปส่งที่คอนโดนะครับ”
“รบกวนด้วยนะครับ” ผมยืดอกรับความสบายเต็มที่ ของรุงรังขนาดนี้ แถมยังแอบปวดๆ ตึงๆ หูทั้งสองข้าง ขอนั่งรถสบายๆ กลับบ้านดีกว่า
ยังไงคนจีบกันไปส่งกันก็คงไม่แปลกหรอก
ให้ตายเถอะ ทำไมพูดเองแล้วผมต้องเขินเองด้วยเนี่ย!

ต่อข้างล่างงงงงงงง