โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 14 ; (25/12/61)  (อ่าน 22971 ครั้ง)

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
«ตอบ #30 เมื่อ08-10-2018 21:40:06 »

พี่สีครามจะฮอตขนาดนี้ไม่ได้ป่ะ555555

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
«ตอบ #31 เมื่อ08-10-2018 22:32:05 »

เชียร์พี่ปัถย์ให้เข้ามารุกพู่ อยากเห็นอีพี่ครามเป็นบ้า อยากเห็นคนหึงงง

ออฟไลน์ pornwicha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
«ตอบ #32 เมื่อ09-10-2018 19:53:08 »

จบสวยใช่ไหมคะ :sad4:   ตามมาจากเรื่ององศาสีน้ำเงิน ชอบพี่ครามและพู่มาอัพปล่อยๆนะคะ รออ่านค่าา :L1:

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #33 เมื่อ12-10-2018 20:19:56 »

06
can't deny

//


“ตกลงพี่ไปมอพร้อมผมเหรอ” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากคนที่กำลังแปรงฟันอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เขามองครามผ่านทางกระจกห้องน้ำ คนตัวใหญ่ยืนกอดอกพิงประตูด้วยสีหน้านิ่ง

ครามมาบุกรุกตั้งแต่เช้า ปลุกเขาที่นอนขี้เซาด้วยการโทรเข้ามาหลายๆ สายจนรำคาญ แถมยังบอกให้รีบไปเปิดประตูไม่งั้นจะปีนเข้ามา พู่กันก็เออออไปงั้นเพราะคิดว่าคงทำไม่จริง แต่สุดท้ายคนพี่กลับเข้ามาปลุกถึงในห้องนอนเนื่องจากได้รับอานิสงส์ที่แม่มอบให้ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องแหกตาตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนเวลาที่กำหนด

“แปรงให้เสร็จก่อนค่อยพูดก็ได้ มึงนี่”

“ก็เห็นมายืนมอง นึกว่าอยากได้เพื่อนคุย” พู่กันบ้วนปาก ล้างหน้าล้างตาก่อนคว้าเอาผ้าที่แขวนอยู่ไม่ไกลมาเช็ดให้แห้ง “แล้วนี่คือยังไง จะยืนตรงนี้เหรอ”

“เออ ทำไม”

“ผมจะอาบน้ำไง” เขาหรี่ตาแล้วเดินไปผลักให้ครามขยับถอยหลังออกไป “จะนั่งรอในห้องหรือจะไปหาแม่ก็ไป”

“รอในห้องน้ำได้ปะล่ะ”

“ไม่ต้องมายุ่งกับผมเลย ไปชิ่ว”

“ไปช่วยแม่ทำข้าวก็ได้วะ” พู่กันเบ้ปากก่อนไล่ให้พี่ครามออกไปจากห้อง เมื่อวานพอแม่กลับมาถึงบ้านก็รีบสั่งให้โทรบอกไอ้มนุษย์ที่มาสิงบ้านเขาแทนบ้านตัวเองให้มาหาเพราะจะเอาของฝากให้ แต่เขาเห็นว่ามันดึกแล้วก็เลยไม่โทรและคิดว่าจะฝากไปกับน้ำเงินทีเดียว

แต่ไหงดันมาโผล่ที่บ้านแต่เช้า และหากเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นคุณวาดนั่นแหละที่โทรไปเรียกให้มา

พู่กันใช้เวลาแต่งองค์ทรงโฉมอยู่นานพอสมควรเพราะต้องนั่งใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอยจางๆ ที่พี่ครามเผลอฝากเอาไว้ตามแนวต้นคอ พอลงไปก็เจอลูกชายอันดับสองของคุณวาดช่วยจัดอาหารเช้าอยู่

“ก็แบบนี้ฟ้าฝนมันถึงได้ตก” เขาแซวก่อนเดินไปคว้าเอาขนมปังบนจานขึ้นมาถือแต่ยังไม่ทันที่จะได้งับเข้าปากครามก็เป็นฝ่ายดึงออกไปแล้ววางมันลงที่เดิม “เอ้า”

“รอแม่ก่อน สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินก่อนผู้ใหญ่ ” ครามดุเสียงเบาจนไอ้เด็กตัวยุ่งหน้างอ นี่ถ้าไม่ใช่พี่ชายก็จะนึกว่าเป็นพ่ออีกคน เห็นแบบนี้ครามก็มีมารยาทกับผู้ใหญ่มากถึงมากที่สุด

“เย็นนี้จะกลับมาทานข้าวกับแม่ไหมคะ” น้ำเสียงหวานถามขึ้นมาขณะที่วางอาหารเช้าเมนูสุดท้ายอย่างไข่ดาวลงบนโต๊ะ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ถามใครที่ไหน ก็ลูกชายอันดับสองไงล่ะ พอพี่ครามมาหาทีไรแม่เขาก็เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีจนแทบจะลืมลูกชายอย่างเขาไปเลย

พู่กันกำลังจะหันไปตอบแทนแต่ก็ต้องชะงักและปล่อยให้พี่ครามคุยกับแม่ไปก่อน เพราะแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาทำให้หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ เผลอยิ้มตอนเห็นว่าเป็นข้อความของพี่ปัถย์ รายนั้นส่งข้อความมาบอกฝันดีตั้งแต่เมื่อคืน นับจากวันที่อีกฝ่ายบอกว่าโทรผิดเข้ามา แอพพลิเคชั่นแชทส่วนตัวของเขาก็ปรากฏรายชื่อของพี่ปัถย์ทันที เขาก็แกล้งทักไปถามแล้วว่าแอดผิดหรือเปล่า คราวนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่าตั้งใจแล้วก็ขอโทษที่แอดมาแบบไม่ได้ขอ เพราะตอนเมมเบอร์เสร็จแล้วไอดีมันไปขึ้นก็เลยถือวิสาสะแอดไว้ แต่พู่กันก็ไม่ได้ว่าอะไร

wanitsiri p. :
อรุณสวัสดิ์นะครับ
ตื่นหรือยัง

It’s paint :
วันนี้ตื่นแล้วครับ ไม่นอนแล้ว เก่งสุด
พี่ทำงานเหรอ

wanitsiri p. :
ทำครับ
ทำไมตื่นเร็ว?

It’s paint :
มีหมามากวนครับเลยตื่น

wanitsiri p. :
พี่ว่าจะถามหลายรอบแล้ว แต่จะเสียมารยาทหรือเปล่าครับ

It’s paint :
โหยพี่ คุยกับผมชิลๆ ได้เลย
ถามได้ครับ ผมไม่ว่าหรอก

wanitsiri p. :
เราเลี้ยงหมาด้วยเหรอครับ
คราวก่อนพี่ก็เห็นพูดถึง

เขาหลุดขำทันทีหลังอ่านจบจะว่าไปพอนึกๆ ดูแล้วก็พูดถึงพี่ครามในนามหมาบ่อยเช่นกัน ก็ไม่แปลกถ้าพี่ปัถย์จะสงสัย

“น้องพู่ แม่เคยบอกว่ายังไงคะ” ผู้เป็นแม่ถามเสียงดุตอนเห็นลูกชายนั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ ปกติเธอก็ไม่เคยว่าเรื่องการใช้อยู่แล้ว แต่พู่กันควรจะใช้ให้ถูกเวลา

“ไม่ให้เล่นก่อนจะกินข้าว เดี๋ยวพู่วาง ขอตอบแชทแป๊บนึงนะครับ” เขาฉีกยิ้มแม้ว่าแม่จะถอนหายใจให้ก็ตาม


It’s paint :
อ้อ ไม่เชิงอะพี่ 5555
พี่ปัถย์เดี๋ยวผมกินข้าวก่อนนะครับ
แม่ดุ 555555

ที่จริงพู่กันตั้งใจจะวางโทรศัพท์ตั้งแต่ที่แม่ถอนหายใจแล้วแต่ครามกลับเป็นอัศวินขี่ม้าขาวที่หันไปชวนคุณวาดคุย เขาจึงรีบพิมพ์ตอบแล้ววางมันลงได้ แต่หากว่ามองไม่ผิดเหมือนแขกของบ้านจะไม่ค่อยพอใจที่เขาตอบแชทถึงอย่างนั้นก็ยังยอมช่วยไม่ให้โดนดุ

ซึ่งการกระทำเมื่อครู่เป็นอีกมุมหนึ่งที่พู่กันมองว่าครามก็น่ารักดี


*

สุดท้ายครามก็มามหา’ลัยพร้อมกับเขาตามแบบที่พูด การเข้ามอวันนี้ก็คงจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่เพราะคนพี่ไม่ยอมขับรถใหญ่แถมยังสั่งให้พู่กันกลายเป็นคนนั่งซ้อนท้าย

ไอ้ที่รู้แน่ชัดคือครามขี่มอเตอร์ไซค์ไม่แข็งเท่าที่ควร ระหว่างทางนี่เหมือนจะตายให้ได้ ไม่เคยนั่งซ้อนรถใครแล้วกลัวตายเท่าพี่ครามมาก่อน ไม่ว่าจะรถใหญ่รถเล็กก็แทบจะไม่เบรกจนเขาต้องหยิกเอวคนขี่เพื่อเตือนสติให้รู้ว่าเขายังไม่อยากตายก่อนกำหนด

“คราวหน้าไม่เอาแล้วนะเว้ยพี่ ซ้อนมอไซพี่แล้วใจคอไม่ดีเลยว่ะ” พู่กันบ่นอุบอิบขณะลงจากรถแล้วแกะหมวกกันน็อคที่สวมหัวอยู่ออก คนขี่ได้แต่หัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางตระหนกของเขา “ตลกมากมั้ง”

“กูขี่ได้” ครามว่าพลางเอาขาตั้งลง เขาลุกจากรถก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวลีบๆ ของพู่กันที่ผ่านการกดทับจากหมวกกันน็อค

“รู้ว่าขี่ได้ แต่พี่ไม่ขี่จะดีกว่า” เด็กตัวจ้อยตวัดตามองก่อนเอาหมวกกันน็อคแขวนไปตรงตะขอเกี่ยวของ “เออพี่ เย็นนี้ผมเลิกช้านะ พี่เอากุญแจรถไว้เลยไหมอะ”

“ถ้ากูเอาไว้แล้วมึงจะกลับคณะยังไง ไหนจะตอนเย็นอีก”

“ตอนนี้ก็เดินกลับคณะดิ ส่วนตอนเย็นก็ให้เพื่อนไปส่ง” ครามกอดอกพลางใช้ความคิด พู่กันแวะมาส่งเขาที่คณะก่อนแล้วค่อยกลับไปคณะตัวเองเพราะไม่อยากให้เพื่อนในกลุ่มแคลงใจว่าทำไมเขาถึงได้มาด้วยกัน “แต่ผมไม่อยากให้พี่ขี่รถเลยว่ะ”

“ห่วงกูหรือรถ”

“พี่คิดว่าไงล่ะ” พู่กันหรี่ตาขณะขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันโปรด เพราะแน่ใจว่าครามคงไม่ปล่อยให้เขาเดินกลับคณะ เห็นแบบนี้คนพี่ก็เทคแคร์เขาอย่างดีเช่นกัน “หรือพี่จะให้เพื่อนไปส่งบ้านผมก็ได้ เอากุญแจบ้านไป”

“ไม่กลัวกูขโมยของเหรอวะ” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะหลังจากได้ฟังข้อเสนอ “ถ้ากูเอากุญแจบ้านไว้ มึงจะเข้าบ้านยังไง”

“ไปเอาที่แม่ดิ”

“ไม่ต้อง”

“แล้ว...”

“จบไม่ต้องหาทางเลือกให้กู เดี๋ยวเย็นนี้รอ กลับพร้อมกัน …ทำไมมึงต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น กูแค่บอกจะรอ”

“มันนานนะเว้ย” ไอ้เด็กตัวจ้อยพูดออกมาอย่างกังวล วันนี้เขามีประชุมกับกลุ่มเพื่อนกว่าจะเลิกก็หกโมงแล้วไอ้คนพี่ที่เรียนเลิกตั้งแต่บ่ายสามจะไปซุกหัวรออยู่ที่ไหน “จะรอไหวเหรอ”

“นานคือกี่โมง น้ำอยู่ด้วยไหม”

“ก็อยู่” น้ำที่อีกฝ่ายว่าก็หมายถึงน้องชายตัวเอง แต่ก่อนครามมักจะเรียกน้ำเงินว่าหนู แต่พอน้องคบกับองศาก็เลยเปลี่ยนมาเรียกว่าน้ำสั้นๆ เหมือนกับที่พี่นับเรียก

“ไอ้ศามันต้องรออยู่แล้ว เดี๋ยวกูอยู่กับมัน ตามนั้นนะ” ไม่ปล่อยให้พู่กันได้ท้วงอะไร ครามขยี้หัวที่น้องมันเพิ่งจะจัดทรงให้เข้าที่ด้วยความมันเขี้ยว “เย็นเจอกันครับ”

ร่างสูงรีบวิ่งขึ้นตึกก่อนจะหันหลังไปมองเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป เขาถอนหายใจเบาๆ กับคำถามที่อยู่ในหัวมาตั้งแต่ตอนกินข้าว เดี๋ยวนี้น้องตอบแชทบ่อยซึ่งเขาเห็นและคิดจะถามหลายครั้งว่าคุยกับใคร แต่พออยู่ต่อหน้าก็ไม่กล้าที่จะถามทุกที ปกติครามไม่ใช่คนแบบนี้ เขาอยากรู้อะไรก็ถามตลอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นพู่กันแล้วก็ไม่กล้าถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ไอ้ศายังไม่มาเหรอวะ” ครามถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนับนั่งอยู่เพียงคนเดียว จากเรื่องคราวก่อนพวกเขาก็คุยกันแบบปกติ แม้ว่าจะไม่ได้ไปไหนมาไหนบ่อยด้วยกันเหมือนแต่ก่อนก็ยังคงรู้สึกว่าชอบอยู่ดี

“ยัง มึงไม่ได้เอารถมาหรือไง” นับปิดหนังสือเล่มหนาแต่ก็ยังใช้มือของตัวเองคั่นหน้าเอาไว้ เขามองเพื่อนสนิททีเพิ่งทิ้งตัวลงนั่งตรงข้าม ครามมองหน้าเขาคล้ายจะถามว่าทำไม “ถ้าเอารถมาก็ต้องเห็นว่าศามันยังไม่ได้เอารถมาจอด”

“กูไม่ได้เอารถมา”

“แล้วมึงมายังไง” คนถามยกแขนขึ้นนั่งเท้าคาง “คนขี้ร้อนอย่างมึงคงไม่โบกแท็กหรือนั่งเมล์มา”

“มากับน้อง” ครามไม่ได้เอ่ยชื่อใดๆ เพราะอยากจะรู้ว่านับมีท่าทีแบบไหน ถ้าเกิดเขาบอกว่ามากับคนอื่น แต่ความคาดหวังก็มีมากเกินไปเพราะเพื่อนสนิทกลับไม่ถามอะไรสักคำแถมยังนิ่งใส่จนเขาใจเสีย ความสัมพันธ์ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ไม่รู้ว่าทำไมพักหลังเวลาอยู่กับนับแล้วกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเสียดื้อๆ

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมเพราะไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาแบบใด ภายในใจก็ได้แต่คิดไอ้ยิ้มหรือไอ้ศาใครสักคนควรจะมาสักที แต่อยู่ดีๆ คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้าก็โพล่งถามออกมาแบบที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

“ใช่น้องคนที่ทำรอยบนคอมึงบ่อยๆ หรือเปล่า” นิ้วหัวแม่มือที่กำลังกดบนหน้าจอระรัวหยุดชะงัก ครามวางโทรศัพท์ลงและคว่ำหน้าจอไว้ เขาเอื้อมไปดึงหนังสือเล่มใหญ่ในมือของเพื่อนตรงหน้าออก ซึ่งนั่นทำให้นับเงยหน้าขึ้นมามองโดยอัตโนมัติ มันก็จริงที่พู่กันทำรอยบนคอเขาบ่อยทั้งที่ตัวเองห้าม แต่แน่นอนว่าครามไม่เคยว่าอะไรเลยสักหน เรื่องมันก็เกิดเพราะตัวเขาจะให้ไปว่าน้องก็ไม่ถูก คนมีอารมณ์บางทีก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรลงไปและเขาแน่ใจว่าพู่กันแค่เผลอไม่ได้ตั้งใจจะทำ

“ถ้าใช่แล้วมึงจะหวงกูไหมล่ะ”

“แค่ถามเฉยๆ” ระหว่างเรามันเกินกว่าคำว่าอึดอัด น้ำเสียงของนับเป็นปกติไม่ได้แสดงอาการว่าหึงหวงแบบที่เขาต้องการแต่อย่างใด “เราควรคุยกันแบบจริงจังได้แล้ว คิดแบบนั้นไหม”

“เรื่อง”

“เรื่องของเรา”

“กูว่ามึงพูดผิด” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนวางหนังสือที่ยึดมาจากเพื่อนลงบนโต๊ะ ดวงตาคมสบเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อน นับเงินเม้มปากทีละนิดและเขารู้ว่าท่าทางอย่างนั้นหมายความอะไร “พูดใหม่ไหมนับ”

“ผิดตรงไหน”

“มันเป็นแค่เรื่องของกู”

“ทำไมมึงพูดแบบนั้น”

“กูชอบมึงอยู่ฝ่ายเดียว”

“…”

“คนเดียวนี่เป็นคำว่าเราได้ด้วยเหรอวะ”


*


“ก็สรุปว่าคุยกับพี่เขามาหลายวันแล้วเหรอ” เสียงของน้ำเงินเอ่ยถามอย่างอยากรู้หลังจากที่เขายื่นแชทในโทรศัพท์ให้อ่าน ทั้งโต๊ะเหลือแค่เราสองคนเพราะหมิงเหมยเพลิงลากกันไปเข้าห้องน้ำ “เราว่าพี่ปัถย์จีบพู่แน่ๆ”

“มึงเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้นวะ” พู่กันหัวเราะก่อนเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์คืนมาจากน้ำเงิน “ก็ทักมาคุยเล่นปกติ เหมือนฝ้ายอะแหละ”

“ฝ้ายชอบพู่ พี่ปัถย์ก็ชอบพู่” เพื่อนสนิทว่าด้วยสีหน้าจริงจังจนเขาหลุดหัวเราะ “อ้าว เราไม่ได้พูดให้ขำนะ นี่เราจริงจังมากๆ”

“เพ้อเจ้อว่ะเงิน มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วเพ้อใหญ่” เขาสลัดความคิดที่น้ำเงินยัดเยียดเข้ามาให้ออกไป จริงๆ ก็ไม่ได้มีแค่เงินคนเดียว เพื่อนสนิทอีกสามคนในกลุ่มก็พยายามสาดความคิดว่าคนนั้นคนนี้ชอบเขามาให้บ่อยๆ ยิ่งเล่าว่าฝ้ายกับพี่ปัถย์ทักมาก็ยิ่งยัดความคิดนั้นใส่สมองของเขา “ตอนเย็นพี่ศารอมึงไหมอะ”

“เห็นบอกว่าจะรอนะ”

“ไม่ต้องเห็น กูว่าเขารออยู่แล้ว ไม่ปล่อยมึงห่างตัวเลยเนี่ย” พู่กันแซวด้วยรอยยิ้มก่อนจะนึกถามออกไป “ช่วงนี้มึงก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านใช่ปะ”

“อื้อ เราอยู่ช่วยพี่ศาออกแบบเสื้อ ถ้าเรากลับไปนอนบ้านพี่ศาก็ไปด้วย” คนฟังพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่ายังฟังอยู่ “แต่ก็พากลับบ้านทุกอาทิตย์นะ เพราะเฮียบ่นคิดถึงอะ”

“พี่มึงคิดถึงคนอื่นนอกจากพี่นับเป็นด้วยเหรอวะ” ครามเป็นพวกหวงน้อง ตอนก่อนที่น้ำเงินจะมีแฟนก็หวงแบบแทบจะไม่ให้ไปไหน พอน้องได้คบกับเพื่อนตัวเอง รายนั้นก็ค่อนข้างปล่อยจนเขาคิดว่าอาจจะเลิกหวงไปแล้ว ไม่ยักรู้ว่ามีช่วงบ่นคิดถึงน้องด้วย นึกว่าจะเอาเวลาไปคิดถึงแต่เรื่องพี่นับเสียอีก

“ต้องเป็นสิ ...แต่นี่พู่ เราว่าไม่สมหวังหรอก” น้ำเสียงเจือความกังวลของน้ำเงินทำให้เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“อะไรไม่สมหวังวะ ช่วยเกริ่น ลากชื่อกูยำกับความคิดมึงแบบนี้ กูตามไม่ทัน”

“เรื่องพี่ครามกับพี่นับ”

“ทำไม” พอเป็นเรื่องของคนที่แซะอยู่ในหัวเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นว่าพู่กันตั้งใจฟังโดยอัตโนมัติ

“เราว่าพี่นับยังไม่ลืมพี่เข็ม แถมช่วงนี้ก็อยู่ด้วยกันบ่อย”

“แล้ว?”

“เฮียก็ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับพี่นับแล้วด้วย เราคิดว่าพี่นับคงไม่ชอบเฮีย แอบถามพี่ศาก็บอกว่าพี่นับกับเฮียแปลกๆ ไปช่วงนี้”

“กูเคยบอกแล้วนะเงิน มึงไม่ใช่เขา อย่าไปคิดแทนใคร” พอถูกเขาดุเข้าหน่อยเจ้าตัวก็ทำหน้ายู่ “พอดุก็แบบนี้ ลองย้อนกลับไปก่อนมึงจะคบพี่ศาดิ เป็นไง เขาไม่ชอบเราหรอก เขานู่นนี่นั่น สุดท้ายพี่ศารอเปิดร้านเสื้อขอเป็นแฟนซะงั้น”

“อ้าว ทำไมย้อนกลับมาที่เราได้เล่า” พู่กันหัวเราะก่อนคว้าแก้วน้ำตรงหน้าน้ำเงินมาดื่ม ดวงตายังคงมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำปากยู่ “เมื่อไหร่พู่จะมีแฟน”

“ทำไมกับกูอีกครับ”

“เปล่าทำไมสักหน่อย เราแค่คิดว่า...” น้ำเงินยกยิ้มกว้างจนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ คงจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เขามีความรู้สึกว่าอยากจะเลี้ยง

“ฟังอยู่ ไม่พูดเดี๋ยวกูตีปากแตก”

“ดุตลอดเลย”

“ยังอีก”

“โธ่ เราแค่คิดว่าถ้าใครได้พู่กันเป็นแฟนก็คงจะโชคดี” แปลกใจไม่น้อยที่น้ำเงินพูดออกมาอย่างนั้น ได้เขาเป็นแฟนนี่โชคดีเหรอวะ เอาอะไรมาโชคดี พอเพื่อนตรงหน้าเห็นเขาทำหน้างงก็รีบพูดต่อ “ไม่เห็นต้องสงสัยเลย”

“ก็รู้ว่ากูสงสัยมึงยังไม่พูดให้เข้าใจอีก” เป็นอีกครั้งที่เขาหัวเราะให้กับความซื่อผสมกวนตีนแบบไม่รู้ตัวของน้ำเงิน แถมพอเขาพูดออกไปแบบนั้นเพื่อนตรงหน้ากลับทำท่ารูดซิปปาก “เงิน มึงกวนตีนกูแล้ว”

“ใจร้าย ก็ตอนเป็นเรื่องของเรา พู่ให้คำปรึกษาดีมากๆ”

“บอกให้มึงเลิกชอบพี่ศานี่ดีเหรอวะ”

“เนี่ย พอเราจะจริงจังพู่ก็เล่น”

“เอ้า” คนโดนดุด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งหัวเราะก๊ากก่อนพู่กันยกมือขึ้นปัดๆ เป็นเชิงบอกว่าจะไม่ขัดแล้ว

“เราจะสรุปสั้นๆ”

“ว่า”

“คนเป็นแฟนพู่คือคนโชคดี” น้ำเงินพูดออกไปตามที่คิดและจะไม่ขยายความใดๆ เพราะนิสัยของพู่กัน สำหรับเขาแล้วคือความน่ารัก ไม่ว่าใครที่ได้รับความรักจากพู่กันก็คิดว่าโชคดี แถมเฮียเขาก็เคยพูดแบบนี้ให้ได้ยินด้วยก็เลยยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ เพราะปกติพี่ครามไม่ชมใครให้ฟังหรอก “จริงๆ นะ”

“เออ กูจะพยายามเข้าใจแล้วกันว่าทำไม”

“ถ้าพู่อยากรู้ว่าทำไมก็รีบๆ มีแฟน”

“มีแฟนแล้วมึงจะบอกกูหรือไง” คนถูกถามส่ายหน้าเล็กน้อย นั่นสร้างความไม่เข้าใจให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก “งงแล้ว กูเนี่ยงง”

น้ำเงินยังไม่ทันจะได้ตอบ เขาก็ต้องเบรกบทสนทนาไว้ก่อนเนื่องจากมีสายเรียกเข้า นิ้วเรียวกดรับเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือพี่ปัถย์

(เรียนอยู่หรือเปล่าครับ) ปลายสายถามทันทีที่เขากดรับ

“เปล่าครับ พี่ปัถย์มีอะไรหรือเปล่า” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอาคว้าโทรศัพท์ของน้ำเงินขึ้นมาดูเวลาและเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เพื่อนอีกสามคนกลับมาพอดี

พู่กันตวัดสายตามองตัวแสบประจำกลุ่มอย่างหมิงที่สะกิดน้ำเงินแล้วถามแบบไม่ออกเสียงว่าเขาคุยกับใคร พอเพื่อนตัวยุ่งตอบไปว่าพี่ปัถย์ หมิงก็ทำหน้าล่อตีนแซวเขาทันที ส่วนแฝดพี่ชายอย่างเหมยก็ได้แต่กระตุกยิ้ม  และที่ขาดไม่ได้คือลิ่วล้ออย่างไอ้เพลิงที่ทำท่าปรบมือช้าๆ เสมือนจะบอกว่าเขาทำดีแล้ว กวนตีนกันชัดๆ

(พอดีเย็นนี้พี่จะไปแถวร้านเรา เลยจะโทรมาถามว่าเรามีธุระที่ไหนหรือเปล่าครับ พี่อยากชวนไปหาอะไรกิน)

“เอาของกินมาหลอกผมเหรอครับ” พู่กันแซวก่อนจะลุกขึ้นเพื่อหลีกหนีไอ้หมิงที่ยังไม่หยุดทำหน้าทำตาล้อเลียน ไอ้ความเป็นพี่ชายน้องชายของแฝดนี่มันแทบจะได้เรียกว่านรกกับสวรรค์

(หลอกได้หรือเปล่าล่ะครับ)

“หลอกไม่ได้ครับ ผมโตแล้ว ...วันนี้อาจจะไม่ได้อะพี่ ผมเลิกช้า มีประชุมงานกับเพื่อนครับ” ร่างเล็กยืนเตะลมไปมาขณะที่รออีกฝ่ายตอบกลับ พอโดนชวนไปกินข้าวแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนโดนจีบอยู่หน่อยๆ เอาเข้าจริงก็เริ่มหยิบเอาคำพูดของเหมยกับน้ำเงินเข้ามาคิดแล้ว

(อ่า พี่ถามได้หรือเปล่าว่ากี่โมง)

“น่าจะหกโมงนะครับ”

(ถ้าพี่ไปรับที่มอแล้วเราจะมาด้วยกันไหม)

“ลงทุนจังล่ะครับ เกิดเลทขึ้นมากว่าผมจะเสร็จก็เกรงใจพี่ตายเลยถ้าต้องมารอ”

(พี่อยากเจอก็ต้องรอได้สิครับ) พู่กันเม้มปากเล็กน้อย จะว่าเขินมันก็เขินแต่ไม่ได้เขินเพราะรู้สึกชอบหรืออะไร และด้วยความอยากรู้จึงถามออกไปตรงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่เหมยพนันไว้จะเป็นไปทางไหน

“พี่ปัถย์จีบผมเหรอครับ” พอถามปลายสายก็เงียบไป เราต่างคนต่างเงียบจนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที

(ถ้าพี่บอกใช่ เราจะโอเคหรือเปล่า) แค่ประโยคแรกก็พาลให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว มันก็แค่รู้สึกประหลาดที่มีผู้ชายเข้ามาจีบ เพราะปกติแล้วคนที่เข้าหาเขาก็มีแต่ผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น อีกอย่างไม่ได้คิดว่าพี่ปัถย์จะชอบเขาน่ะนะ (พูดตรงๆ คือพี่ชอบผู้ชาย แล้วเราจะ...)

“อย่าคิดมากครับพี่ปัถย์ ผมถามเพราะจะได้รู้ว่าควรจะวางตัวแบบไหนเท่านั้นเองครับ” พู่กันจำต้องถามเพราะเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเข้ามาคุยด้วย แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นชอบก็กลายเป็นว่าการพูดคุยของเขาเผลอไปทำร้ายหรือทำให้อีกคนคิดไกล เพราะงั้นก็กันไว้ดีกว่าแก้

(พี่ไม่คิดว่าเราจะถามตรงขนาดนี้)

“ผมสงสัยก็เลยลองถามดู ...แต่ว่าพี่ปัถย์ครับ ผมจีบยากนะ”

(พี่ไม่ได้คาดหวังว่าจะจีบเราติดหรอก)

“...”

(ถ้าพี่ไม่ใช่ ก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้วครับ)

“ทำไมใจดีจังล่ะครับเนี่ย” เขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันคนที่เข้ามาจีบแต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะติด พี่ปัถย์อาจจะเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้ว่าบนโลกยังมีคนอีกหลายแบบที่ยังไม่เคยพบ

(จะใจดีกว่านี้ถ้าเราอนุญาตให้พี่จีบ)

“ผมอนุญาตครับ” พู่กันตัดสินใจบอกออกไปอย่างนั้นตามความคิดและส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่พนันไว้กับเหมย หากมีคนเข้ามาจีบก็ไม่อยากจะปิดกั้นตัวเองแต่คนที่เข้าหาก็ควรจะได้รู้ด้วยว่าเขาเป็นคนแบบไหน “แต่จีบผมก็ทำใจหน่อยนะครับพี่ปัถย์ ผมชอบคนยาก”

(ไม่กลัวครับ ขอแค่ได้จีบ ติดไม่ติดค่อยว่ากัน แต่ถ้าเปอร์เซ็นต์ไม่ติดมีมากกว่า)

“...”

(ขอให้คงความเป็นพี่น้องไว้ได้ไหมครับ ไม่อยากเป็นคนไม่รู้จัก)

“ถ้าเป็นอย่างหลังแล้วพี่ยังอยากมีน้องชายอยู่”

(...)

“ผมก็ตามใจพี่ครับ”

 
ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #34 เมื่อ12-10-2018 20:20:32 »

*


“รอนานปะ” พู่กันถามเสียงติดตลกเมื่อเห็นครามนั่งหน้ายุ่ง กว่าจะเลิกประชุมก็ปาเข้าไปหกโมงกว่า เลทจากที่กำหนดเกือบครึ่งชั่วโมง

“นาน ยุงจะหามกูไปแดกแล้ว” ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ทันทีว่าหงุดหงิดแค่ไหน เพราะเรื่องของเราเป็นความลับทำให้พี่องศาพาครามมาปล่อยไว้แถวๆ สวนใกล้ตึกคณะ “กูขี่ให้ปะ”

“เหอะ ไม่เอาอะ ตอนเย็นคนเยอะ ยังไม่อยากตาย” เขารีบปฏิเสธทันควันถ้าให้พี่ครามขี่มีหวังพรุ่งนี้ได้ไปหยอดข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่ “ขึ้นมาดิ”

“หมวกกันน็อคไม่ใส่เหรอวะ”

“ร้อน”

“ใส่ไป” ไม่ว่าเปล่าครามยังก้มไปหยิบหมวกกันน็อคหูแมวขึ้นสวมลงมาที่เขา ก่อนเอ่ยปากสั่งเสมือนพู่กันเป็นวินมอเตอร์ไซค์ประจำตัว “กลับบ้าน”

“ขึ้นมาดิครับคุณชาย”

ครามผลักหัวไอ้เด็กแสบไปหนึ่งทีเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ใช้เวลาไม่กี่นาทีพู่กันก็ขี่รถเข้ามาในหมู่บ้านที่เขามาอย่างเป็นประจำจนคุณลุงยามจำหน้าได้

“แม่มึงยังไม่กลับ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาหลังจากที่รถมอเตอร์ไซค์จอดหน้าบ้าน ระหว่างทางเข้ามาเขาก็เห็นว่าร้านคาเฟ่ยังเปิดอยู่

“คนเยอะมั้ง นี่พี่จะกลับเลยปะ”

“มึงอยากให้กูอยู่ก่อนไหมล่ะ” ครามยื่นหน้าไปใกล้จนลมหายใจเราผสานกัน ไม่ได้เกรงกลัวว่าตรงนี้เป็นที่โล่งแจ้งแต่อย่างใด และเพราะความแสบพู่กันถึงได้ขยับเข้ามาใกล้แล้วงับริมฝีปากล่างเขาเบาๆ แล้วรีบผละออกอย่างรวดเร็ว “มึงนี่แม่ง”

“ถ้ามีธุระก็กลับ แต่ถ้าไม่มีก็รอกินข้าว แค่นั้น”

“ไม่เห็นชวนกูนอนบ้าน” ครามทำเสียงกึ่งงอนขณะเดินตามเจ้าของบ้านเข้ามาภายใน พู่กันเป็นพวกหิวน้ำง่ายก็เลยไม่แปลกหากกลับมาแล้วจะตรงไปยังห้องครัว

“ชวนเพื่อ ปกติพี่อยากนอนห้ามไปพี่ก็จะนอนอยู่ดีปะวะ” เขาหัวเราะเมื่อเด็กช่างเถียงหันมาสวน ครามยืนมองพู่กันหยิบน้ำออกมาเทใส่แก้ว “มีไรก็พูด”

“มึงไปทะเลกับกูไหม” คนที่กำลังกินน้ำอยู่แทบสำลัก หัวใจที่เต้นเป็นปกติกลับทำหน้าที่ผิดพลาดเพียงเพราะได้ยินอีกฝ่ายชวนไปเที่ยว “ถามแค่นี้ ทำไมมึงต้องสำลัก”

“ไปเอาผีที่ไหนห้อยตามมาด้วยเหรอ”

“ผีที่ไหนล่ะ ผีกูเนี่ย”

“คิดไงมาชวนผมวะ” 

“วันนี้กูคุยกับนับ” พออีกฝ่ายเกริ่นมาอย่างนั้น พู่กันจึงจำต้องละสายตาจากการหาของกินในตู้เย็นแล้วหันกลับไปมอง “มันบอกกูกับมันควรคุยเรื่องของเราได้แล้ว”

“ก็คุยดิ”

“เรื่องของเราเหี้ยไรล่ะ แม่งเรื่องของกูทั้งนั้น”

“เพราะพี่ชอบพี่นับคนเดียว ถูกปะ” ครามพยักหน้าส่งๆ ก่อนแบมือเพื่อขอแก้วน้ำจากเด็กที่ยืนอยู่ พู่กันจึงกระดกน้ำจนหมดแล้วส่งแก้วเปล่าให้เพราะรู้ว่าครามไม่ดื่มน้ำเปล่า “เอาใบบัวบกไหม ยังไงดี”

“ขยันซ้ำกู” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะก่อนจะรอน้องมันหยิบน้ำอัดลมในตู้เย็นมาเทใส่แก้ว “กูแค่อยากลองชวนนับไปทะเล”

คนที่กำลังรินน้ำชะงักไปครู่หนึ่ง สรุปที่ชวนเขาไปด้วยก็แค่ไม้กันหมาเหรอวะ แล้วไอ้ที่รู้สึกดีใจเมื่อกี้ก็เก้อเลยสินะ แม่งเอ๊ย เขากำลังคาดหวังอะไรจากพี่คราม พักหลังแทบจะทุกครั้งที่ครามจะไปหาพี่นับแล้วชวนเขาไปด้วยจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่

ตอนนี้ความรู้สึกของเขามันเองก็เริ่มชัดเจน พู่กันคงไม่ได้โง่เกินกว่าที่จะไม่รู้ มันแทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวเองเริ่มชอบครามเข้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เกิดความรู้สึกหน่วงอย่างนี้

“ชวนพี่นับแล้วจะเอาผมไปทำไม บ้าปะ” ครามนั่งมองน้ำอัดลมในแก้วโดยที่ไม่พูดอะไรหลังจากที่น้องถามออกมาอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงชวนพู่กัน เพียงแค่รู้สึกว่าอยากให้ไปด้วยกัน

“กูอยากให้มึงไปด้วยจริงๆ”

“ไม่ไป” พู่กันตอบเสียงหนักแน่นจนครามหน้าจ๋อย “ชวนพี่นับยัง”

“ชวนแล้ว”

“แล้วเขาว่าไง”

“มันบอกขอคิดดูก่อน ที่กูอยากไปเพราะอยากลองอยู่กันด้วยสองคนอีกสักรอบ” จบประโยคนั้นคนพูดก็ถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียดเสมือนใช้ความคิดอย่างหนัก “กูแค่อยากรู้ว่ามันไม่รู้สึกอะไรกับกูจริงๆ ใช่ไหม มึงว่ากูดื้อดึงปะวะ”

“ก็นิดนึง แต่ถ้าพี่อยากรู้มันก็ไม่ผิด บางทีพี่อาจจะได้คำตอบจากการกระทำของพี่นับเขาก็ได้”

“ความหวังกูแม่งริบหรี่สัด” ครามแค่นหัวเราะกับความน่าสมเพชของตัวเอง “ช่วงนี้ก็เป็นเหี้ยไรไม่รู้ อยู่กับมันโคตรอึดอัด”

“ผมว่าพี่เคลียร์ตัวเองไม่ได้แล้วงี้” พู่กันนั่งลงตรงหน้าเพราะดูท่าแล้วปัญหาของวันนี้น่าจะยาว “ลองกลับไปคิดใหม่ไหม”

“คิดใหม่เรื่องอะไรวะ”

“ที่บอกว่าความหวังริบหรี่อะ”

“...”

“พี่รู้สึกว่ามีความหวังจริงๆ หรือแค่หลอกตัวเอง”



*


(ถอย) เหมยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยหลังจากพู่กันเล่าเรื่องความรู้สึกของตัวเองให้กับเพื่อนฟัง และเป็นรอบสามที่เขาได้ยินเหมยบอกให้ถอย เขารู้สึกดีตอนครามชวนไปเที่ยว แต่ไอ้ความรู้สึกนั้นกลับถูกกลบไปตอนอีกฝ่ายบอกว่าชวนพี่นับไปด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาถูกชวนทีหลัง

พู่กันรู้ตัวแล้วว่าชอบครามแต่แค่อยากให้เพื่อนช่วยยืนยันให้แน่ชัดว่ามันใช่จริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง เอาง่ายๆ ก็เรียกว่าตอกย้ำว่าตัวเองไม่มีความหวังนั่นแหละ

“ไม่มีคำอื่นนอกจากคำนี้แล้วใช่ไหมมึงเนี่ย”

(มี)

“คำว่า?”

(เลิกยุ่ง) คนฟังเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเพราะคิดอะไรไม่ออก ดวงตากลมนั่งมองโมเดลกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือที่เขากับครามเคยมานั่งต่อด้วยกัน (มึงก้าวเข้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว)

“...”

(อย่าเป็นเหมือนกู) เขาเข้าใจความหมายดี เพราะการเป็นแบบเหมยคือรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้แต่ก็ยังปล่อยให้ตัวเองถลำเข้าไปจนถอนตัวลำบาก

“อือ แต่... กูคิดว่าถ้าพี่นับไม่ได้ตอบตกลงไปก็จะปล่อยให้มันเป็นเหมือนเดิม” ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมในความคิดถึงเป็นอย่างนี้ แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้ครามอยู่คนเดียวได้ถ้าตรงนั้นไม่มีพี่นับอยู่ และมันยังเป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก

พู่กันวาดโซ่เส้นนี้ขึ้นมาด้วยมือตัวเอง สถานะเริ่มแรกของโซ่มันเปราะบางจนคิดว่าสามารถขาดสะบั้นลงได้ง่ายๆ แต่เพราะความวางใจจนเกินไปทำให้เขาไม่รู้ตัวว่าเผลอวาดซ้ำลงไปจนความแข็งแรงของโซ่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จำนวนข้อต่อก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งห่วงเป็นสองและสามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ไม่รู้ว่ามันยาวถึงเพียงไหนแล้ว

โซ่เพิ่มความยาวขึ้นในแบบที่ไม่รู้ตัวและเขาไม่เคยเคลื่อนไหวทำให้มันยังหย่อน หากคิดจะตัดจริงๆ ก็คงทำได้เพียงวิ่งไปให้ไกลจนมันตึง เมื่อไปถึงจุดนั้นสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงการพยายามสะบัดอย่างแรง ดื้อดึงจนมันขาดออกจากกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเขาจะสามารถทำลายโซ่ที่สร้างขึ้นมาได้จริงๆ หรือไม่ เพราะโซ่ที่คล้องเอาไว้นั้นเป็นสีคราม

สีครามไม่ได้หมายถึงสีที่อยู่กึ่งกลางระหว่างน้ำเงินกับม่วง

แต่หมายถึงกันตวิชญ์คนนั้น

(ถ้าพี่นับตอบตกลง)

“...”

(มึงแน่ใจไหมล่ะว่าจะถอย)

“ไว้ถ้ามันเป็นแบบนั้นกูค่อยบอกได้ไหมว่าจะทำยังไง” เขาชั่งใจอยู่พักหนึ่งกว่าจะตอบออกไปแต่ความเป็นจริงคือพู่กันรู้ว่าจะทำอย่างไร

ใจของเขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับโซ่ หากเป็นอย่างนั้นก็ต้องเลือกวิ่งออกไปให้สุดแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากโซ่ให้ขาดสะบั้น แม้มันจะเสียดสีจนทำให้เกิดเป็นแผลเหวอะหวะ ต่อให้ต้องเจ็บมากแค่ไหน

เขาก็จะทำเพื่อรักษาใจตัวเอง

(ได้ ...มึง ป๊ากูเรียก แค่นี้ก่อน)

“เออๆ ขอบคุณนะ” เขากดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ไปบนเตียง พู่กันนั่งมองไอ้เครื่องสี่เหลี่ยมนิ่งๆ และลังเลว่าจะตัดสินใจโทรไปถามครามดีไหมว่าสรุปแล้วพี่นับตกลงไปหรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าพี่นับตัดสินใจว่าจะไป ในความคิดของพู่กันคืออาจจะมีรู้สึกกันบ้าง ไม่อย่างนั้นจะตกลงไปทำไม เพราะแค่ตกลงเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์คนชวนก็ต้องคิดว่ามีความหวังเข้าไปแล้ว

ตึ้ง

พู่กันพุ่งตัวไปบนเตียงทันทีเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือน แต่แอบผิดหวังเล็กน้อยตอนเห็นว่าไม่ใช่ครามที่ทักเข้ามา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลังเลที่จะกดอ่านเพราะคนส่งมาคือพี่ปัถย์

wanitsiri p. :
ส่งรูปภาพถึงคุณ
เห็นแล้วนึกถึงเรา

เขาพบว่าพี่ปัถย์ส่งรูปแก้วมัคลายเจ้าแพนด้าแดงมาให้แถมยังบอกว่านึกถึงเขาอีก นี่มันหมายความว่าอะไร


It’s paint :
เห็นแล้วนึกถึงผมนี่คือยังไงครับ
หน้าผมโง่ หรือว่ามันยังไงเนี่ย 55555

wanitsiri p. :
เปล่าครับ
แค่น่ารักดี

ก็ยังไม่ชินสักเท่าไหร่ที่โดนชม แต่ไม่ปฏิเสธว่าคำหยอดของอีกฝ่ายผ่านตัวอักษรสามารถทำให้เขายิ้มได้

It’s paint :
ชมผมผ่านแก้วก็ได้เหรอ
อยู่ร้านไหนครับ

เขากดออกจากห้องแชทเมื่อรออยู่ครู่หนึ่งแล้วอีกฝ่ายยังไม่เปิดอ่าน พี่ปัถย์คงจะเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่ทักมาเสร็จก็โยนโทรศัพท์ออกนอกโลกไป ในจังหวะที่เขากำลังจะกดเข้าเฟซบุ๊กเพื่อไปตอบแชทของฝ้ายที่ดองไว้เมื่อคืนก่อน แจ้งเตือนแชทแอพพลิเคชั่นสีเขียวจากคนที่รออยู่ก็แทรกขึ้นมา

หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะรีบกดเข้าไปตอบอย่างไม่ลังเล แต่คราวนี้พู่กันกลับทำเพียงแค่กวาดสายตาอ่านข้อความนั้นคร่าวๆ ผ่านป๊อปอัพ

indigo_c :
มึง นับบอกกูว่าไปว่ะ กูไม่นึกว่ามันจะยอม แล้วตกลงมึงจะไปด้วยกันกับ...

ไม่ต้องอ่านจนจบประโยคก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร และอีกสิ่งหนึ่งที่สีครามทำให้ได้รู้คือ ตัวเลือกของเขาไม่ใช่การหยุดอยู่กับที่แต่เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม

เพราะเขาควรจะเริ่มวิ่งออกไปได้แล้ว


tbc
ก็คือในตอนนี้... อยากให้รู้ที่มาของชื่อเรื่องว่ามาจากไหนโดยผ่านความคิดของตัวละคร
ซึ่งเราแต่งๆ ลบๆ อยู่หลายทีเพราะไม่ได้ดั่งใจ กลัวอธิบายออกมาแล้วทำให้หลายๆ คนไม่เข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อ
แต่ก็พยายามจะสื่อสารออกมาอย่างดีที่สุดแล้ว ถ้างงๆ ก็ขอโทษด้วยนะคะ T____T ฮืออออออ
ส่วนพี่ครามนั้น... //จับใส่กระสอบแล้วรุมเตะ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ด้วยค่า #โซ่สีคราม

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #35 เมื่อ12-10-2018 20:31:42 »

relationship is no relationship ความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกนี้น่ากลัวเสมอ
เราชอบพี่ครามนะ จากเรื่องที่แล้ว หรือจากเรื่องนี้ แต่ไม่ชอบการกระทำของพี่ครามที่แสดงออกแบบนี้
มันจะดีกว่านี้ ถ้าพู่กันจะไม่คิดอะไรจริงๆ แล้วใช้ ความสัมพันธ์แบบไม่มีสถานะไปเรื่อยๆ

ส่วนพี่ปัถย์ พี่นุ่มไปอะ พี่ดูเป็นตัวละครที่เกิดมาเพื่อเจ็บปวดเลยอะ ยกเว้นพี่จะดีแตก ในภายหลัง
อันนั้นคงต้องลุ้นต่อไป และยังเชียร์ ถ้าพี่เป็นคนดี

พู่กัน ถ้าพี่เขาดี แม่ก็โอเคนะลูกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #36 เมื่อ12-10-2018 20:32:22 »

อิพี่ครามเมิ๊ง :katai1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 05 ; (08/10/61)
«ตอบ #37 เมื่อ12-10-2018 20:59:52 »

โอ้ยยยยยยยย

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #38 เมื่อ13-10-2018 16:24:02 »

ตามมาจากเรื่ององศาสีน้ำเงินคะ ชอบมาก และกำลังจะเริ่มอ่านเรื่องนี้ จะเป็นยังไงแล้วจะมาเม้นบอกอีกทีนะคะ เลิฟไรท์ ขอบคุณที่เขียนงานดีๆมาให้เสพคะ

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #39 เมื่อ13-10-2018 17:07:39 »

ชอบนิสัยพู่กันอะ เป็นนายเอกที่นิสัยตรงใจเรามาก ส่วนอิพี่ครามรู้สึกตัวบ้างก่อนที่น้องจะเดินต่อไม่รอแล้วน้าาา4555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
« ตอบ #39 เมื่อ: 13-10-2018 17:07:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #40 เมื่อ13-10-2018 19:47:29 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #41 เมื่อ13-10-2018 20:05:40 »

เส้าจัง อย่าเอาความเหงามาลงที่พู่ :katai1:

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 06 ; (12/10/61)
«ตอบ #42 เมื่อ13-10-2018 22:59:34 »

คือชอบนะ เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนน่าติดตามมากๆ อ่านแล้วใจมันหน่วงๆได้ทุกตอนเลย สงสารเฮีย สงสารนับ สงสารน้องพู่ และสงสารน้องเหมย หลังจากนี้คาดว่าน่าจะมีหน่วงหนักๆตามมาอีกช้ะ....เลิฟไรท์นะ

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
«ตอบ #43 เมื่อ16-10-2018 19:42:31 »

07
stupid butterflies

//


“มาหากู?” พู่กันกรอกเสียงลงไปขณะหนีบโทรศัพท์ไว้กับต้นคอ เขาล้วงกระเป๋าเงินออกมาแต่ยังไม่ทันจะได้ควักเงินให้ เพื่อนสนิทก็ชิงบอกปัดแล้วจ่ายให้แทน เพราะงั้นจึงต้องพูดว่า ‘แป๊บๆ เดี๋ยวคืน’ แบบที่ไม่ออกเสียงเพราะกำลังคุยโทรศัพท์กับหว้าอยู่

(ค่ะ มึงฟังไม่ผิด ไม่ต้องให้กูย้ำ เพื่อนกูอยากเจอมึงอะ)

“อยากเจอกูทำไมวะ มึงกลับวันไหน”

(วันนี้ ตอนนี้ กูกำลังจะขึ้นรถตู้)

“เดี๋ยว” เขาค้านด้วยน้ำเสียงตกใจ “กะไม่ให้กูตั้งตัวเลยงี้”

(ใช่ ถ้ากูบอกล่วงหน้า มึงก็หนีอะดิ)

“แล้วนี่มึงคิดว่ากูหนีมึงไม่ได้หรือไง” เจ้าของร่างเล็กขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะเดินตามหลังกลุ่มเพื่อนไปติดๆ

(ไม่ได้ นะพี่พู่น้า ถือว่ากูขอ ครั้งเดียว นะๆ เพื่อนกูอยากเจอมึงจริงๆ อะ) เขาลอบถอนหายใจก่อนจะตอบตกลงแล้วกดวางสาย ท่ามกลางสายตาของเพื่อนที่มองมาทางเขาเพียงคนเดียว

“เล่า” เพลิงเปิดประเด็นด้วยคำพูดสั้นๆ

“หว้าบอกฝ้ายอยากเจอกู” ก็ไม่ได้คิดจะปิดอะไรอยู่แล้ว ทุกคนรู้ว่าตอนนี้มีใครที่เข้าหาเขาบ้าง “แต่มึงก็รู้ว่ากู...”

“ไม่ได้ชอบฝ้าย” หมิงตอบแทนเพราะฟังจากที่พู่กันเล่าส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางพี่ปัถย์มากกว่า “หรือจริงๆ แล้วคือมึงไม่ชอบผู้หญิงเลยวะ”

สิ้นสุดคำถามทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบและมองหน้าเขาเสมือนอยากรู้ว่าคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า มันก็อาจจะมีส่วนเป็นไปในทางนั้น เพราะไม่ว่าจะมีผู้หญิงเข้ามาจีบกี่คนเขาก็ไม่สนใจ มันไม่ได้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น หรือประหม่าใดๆ ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะเขาคลุกคลีอยู่กับหว้ามากเกินไปหรือเปล่า แม้ลักษณะส่วนใหญ่จะห้าวแต่ผู้หญิงก็คือผู้หญิง อีกอย่างหนึ่งพู่กันคิดว่าการดูแลใครสักคนเป็นเรื่องน่ารำคาญ

แต่ก็มีข้อยกเว้นกับบางคน และสีครามเป็นหนึ่งในนั้น

ไม่ปฏิเสธว่าพอเขาได้รู้จักกับพี่ปัถย์ก็แทบจะกลายเป็นคนละคน จากที่ต้องดูแลคนอื่นกลายเป็นถูกดูแลแทน พี่ปัถย์ดูแลเขาดีทุกอย่างจนบางทีก็ให้ความรู้สึกว่าดีเกินกว่าที่จะมาชอบคนอย่างเขา

“พู่ เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเงินสังเกตเห็นความผิดปกติจึงถามออกไป แต่คนถูกถามก็ยังคงนิ่งไม่ตอบใดๆ “พู่กัน”

“หือ” เขาส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดเมื่อครู่ให้ออกไปจากหัว ดวงตากลมไล่มองหน้าเพื่อนทีละคนตั้งแต่น้ำเงิน เหมย หมิง และเพลิง “กูสับสนเฉยๆ”

“สับสนไรวะ” หมิงถามด้วยความเป็นห่วง ปกติแล้วกลุ่มเขาเวลามีอะไรก็จะเล่าให้กันฟัง แต่บางเรื่องถ้าเพื่อนไม่สะดวกใจก็ไม่เคยตื๊อหรือเซ้าซี้ “มีอะไรคุยได้นะเว้ย พวกกูเป็นห่วง”

“มึงห่วงหรืออยากเสือก” เพลิงแขวะก่อนจะโดนหมิงงับเข้าที่แขนจนสบถออกมาเสียงดัง “สัด กัดเป็นหมาบ้า”

“ก็มึงกวนส้นตีนอะ แม่ง กูก็อยากมีฟีลคูลๆ เท่ๆ บ้างปะวะ”

“ขอบคุณมากมึง แต่ตอนนี้กูก็เรื่อยๆ อะ” พู่กันพูดแทรกเพื่อตัดจบบทสงครามกลางโต๊ะที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ หากว่าไม่ห้าม นอกจากต้องคอยห้ามสองแฝดที่กัดกันบ่อยๆ แล้วยังต้องคอยห้ามมวยเพลิงหมิงอีกต่างหาก

ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยได้คุยกับครามเท่าไหร่นัก หมายถึงไม่ได้คุยทั้งวัน หรือมาเจอหน้ากันบ่อยๆ เหมือนก่อน แม้จะเขาจะพยายามปลีกตัวให้ห่างกันแต่ก็ยังทำไม่ค่อยได้ ตอนแรกคิดว่าถ้าห่างกันก็อาจจะทำให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเขายังอดตอบแชทครามไม่ได้

คนพี่รายงานความเป็นไปในแต่ละวันของตัวเองให้เขาฟังผ่านตัวอักษรหรือวิดีโอคอล ที่ห่างกันเพราะครามปันเวลาส่วนหนึ่งไปทุ่มกับชิ้นงานสำคัญซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ชวนพี่นับไปทะเลให้เขาแคลงใจ พู่กันไม่รู้กำหนดการ ไม่รู้ความคืบหน้าว่าเป็นแบบไหนเพราะไม่ถามและไม่อยากรู้ด้วย

“แล้วกับพี่ปัถย์นี่ยังไง ตกลงคือจีบมึงแน่ๆ ใช่ไหม กูเห็นมึงคุยกันเป็นอาทิตย์ละ” เพลิงถามออกมาด้วยความสงสัย จริงๆ ก็ฟังจากเหมยมาบ้างแล้วว่าจีบชัวร์ แต่ก็อยากได้ยินจากปากเพื่อนชัดๆ มันก็ดีถ้าพู่กันมีแฟนสักคน เพราะจากที่รู้จักกันมานานก็ใช่ว่าเป็นคนไม่น่ารัก ยอมรับว่าไอ้ก่อนหน้ายังเคยแอบคิดว่ามันกับน้ำเงินมีซัมติงเพราะเห็นว่าดูแลเทคแคร์แบบสุดตัว แต่ก็มาเข้าใจทีหลังว่าพู่กันก็ดูแลทุกคน

“อือ เขาว่างั้นนะ” สิ่งที่สับสนมากที่สุดในตอนนี้คือ เขาจะจัดการกับนัดตอนเย็นอย่างไร พี่ปัถย์ชวนไปกินข้าว หว้าก็จะให้เขาไปเจอเพื่อน มันเป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจอะไรไม่ถูก หรือจะนัดให้ไปที่ร้านแม่เขาด้วยกันทั้งหมดนี่ดี แต่มันก็จะให้ความรู้สึกประหลาดเกินไปหน่อยล่ะมั้ง “มึงเดี๋ยวกูไปคุยธุระแป๊บ”

พู่กันไม่รอให้เพื่อนให้ท้วง เขาลุกขึ้นมาพร้อมกับการกดโทรออกไปยังรายชื่อที่โทรเข้าล่าสุดเมื่อสองวันก่อน รอฟังสัญญาณอยู่ครู่หนึ่งปลายสายก็กดรับ

(ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า)

“ผมจะถามว่าช่วงบ่ายสองพี่ว่างไหม” เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือก่อนพบว่าอีกประมาณสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานั้น “คือตอนเย็นผมอาจจะไม่ว่างอะ เพื่อนผมเพิ่งกลับมาแล้วก็เลย...”

(ไม่อยากผิดนัดพี่)

“เก่งนะเนี่ย” พู่กันหัวเราะร่วนเมื่ออีกฝ่ายรู้ดีว่าเขาคิดอะไร จะว่าไปเขาก็ผิดนัดพี่ปัถย์บ่อยเช่นกัน แต่ก็ทดแทนด้วยการเลื่อนเวลาหรือเปลี่ยนเป็นวันถัดไป

(ที่จริงพี่ก็อยากบอกให้เลื่อนนัดอยู่หรอก) เขายืนฟังนิ่งๆ เพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร (แต่พี่อยากเจอ เดี๋ยวบ่ายสองไปรับนะครับ)

“ครับ ขอบคุณนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ผมเลื่อนพี่บ่อยๆ ด้วย”

(อย่าคิดมากครับ เดี๋ยวเจอกันนะ)

“ตั้งใจทำงานนะพี่ปัถย์”

(ตั้งใจเรียนเหมือนกันครับ)

พู่กันกดวางสายหลังจากพี่ปัถย์พูดจบ แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานแต่อีกฝ่ายกลับใจดีมากๆ การเปิดใจให้พี่ปัถย์แบบเต็มที่คือทางเลือกหนึ่งที่เขาทำ

เพราะคิดว่าพี่ปัถย์อาจจะทำให้เขาชอบได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม


*

“รอผมนานไหมอะ” พู่กันถามทันทีทีชะโงกหน้าเข้าไปให้เจ้าของรถสีขาวป้ายทะเบียนประมูลเห็น ปัถย์ส่ายหน้าก่อนเจ้าเด็กตัวจ้อยจะพาตัวเองขึ้นมานั่งบนรถ “ปะ พี่จะไปไหน”

“ตามใจเราเลย” เขาไม่ตอบแต่กลับหันไปมองหน้าคนขับ พี่ปัถย์เป็นคนที่ดูดีทุกอย่าง ตั้งแต่หน้าผม การแต่งตัว คำพูด รวมไปถึงทัศนคติความคิด อาจเพราะแอบมองนานไปหน่อยคนพี่ก็เลยหันหน้ามามองพู่กันจึงยกยิ้มเล็กๆ ให้ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มกลับมาเช่นเดียวกัน

“ถ้าตามใจผม หารครึ่งนะ เคปะ”

“ไม่ครับ ตามใจแต่พี่เลี้ยง” ปัถย์ตอบกลับแบบไม่ต้องคิด เขาตบไฟเลี้ยวเพื่อเตรียมจะออกจากมหา’ลัย โดยที่ยังไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหน “พี่ทำงานแล้วจะให้เราเลี้ยงได้ยังไง”

“คราวก่อนพี่ก็เลี้ยงผมอะ” เขาย่นจมูกเพราะไม่อยากรบกวนมากเกินไป เท่าที่คุยกันมาพี่ปัถย์เป็นผู้บริหารของบริษัทอะไรสักอย่างที่ชื่อเรียกยากจนเขาจำไม่ได้ “ผมก็เกรงใจนะ”

“จะคราวก่อน คราวหน้า คราวไหน พี่ก็จะเลี้ยงครับ” ด้วยความไม่อยากเถียงจึงเอ่ยบอกร้านที่เด็กแถวมหา’ลัยชอบไปเวลาที่นึกอะไรไม่ออก เป็นเพียงร้านอาหารตามสั่งธรรมดาๆ ที่เลือก หลังจากสั่งอาหารกับป้าคนขายเรียบร้อยแล้วมุมในสุดของร้านเป็นที่นั่งของเรา

“พี่ลืมนาฬิกาเหรอ” พู่กันเอ่ยถามหลังจากกวาดสายตาไปทั่วร้านแล้วไม่รู้จะไปมองอะไรจึงมาจบลงตรงมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ครับ เมื่อเช้ารีบ” ปัถย์ยิ้มก่อนชูข้อมือข้างซ้ายที่มักมีนาฬิกาแบรนด์ดังติดอยู่ตลอดเวลาแต่ในวันนี้มันกลับว่างเปล่า “สังเกตเก่งนะเรา”

“ผมอะจำโคตรเก่ง พูดเลย” ได้ทีก็ยกบอปอปั้นตัวเองสักหน่อย แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น “พี่เส้นตื้นอะ”

“ไม่เรียกเส้นตื้นครับ”

“แล้ว...”

“เรียกเอ็นดู”

บทสนทนาของเราจบลงเพียงแค่นั้นเพราะเมนูข้าวผัดทั้งสองจานวางลงบนโต๊ะ ในจังหวะที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบช้อนจากในกล่องเขาก็ต้องชะงักแล้วได้แต่นั่งมองเฉยๆ เพราะพี่ปัถย์เป็นฝ่ายหยิบแถมยังเช็ดให้ก่อนจะวางมันลงบนจาน รวมไปถึงรินน้ำใส่แก้วให้อย่างเรียบร้อย

พี่ปัถย์เทคแคร์เก่งทุกอย่างจนทำให้เขาคิดว่าถ้ามีคนแบบนี้อยู่ในชีวิตก็ดีเช่นกัน แต่เขาก็คงนิสัยเสียอยู่ไม่น้อยหากได้รับการดูแลแบบนี้บ่อยๆ ถึงจะพูดอย่างนั้นตัวเขาก็ดูเหมือนจะเสพติดการถูกดูแลไปแล้ว

ถึงอย่างนั้นในความเทคแคร์ของพี่ปัถย์กลับมีภาพซ้อนของสีครามแทรกขึ้นมาเป็นภาพซ่าๆ ทุกครั้ง เหมือนทุกอย่างมันวนลูปเพียงแค่เปลี่ยนคน แม้ว่าครามจะไม่ได้เทคแคร์เก่งมากเท่า แต่ทุกครั้งที่ไปไหนด้วยกัน เขาก็ไม่เคยจะได้ออกเงินเลยสักบาท รวมไปถึงการหยิบช้อนมาวางให้หรือแม้แต่การรินน้ำนั่นครามก็ทำให้หมดทุกอย่าง

พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้เขาคิดว่าแท้จริงแล้วเขาเสพติดการถูกดูแลหรือเสพติดสีครามกันแน่

“อร่อยหรือเปล่าอะพี่”

“ก็ไม่แย่ครับ” จากการรู้จักกันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนพูดตรงและกินยากพอสมควรคล้ายกับเขา แต่พักหลังพู่กันก็กินง่ายขึ้น อาจเพราะติดครามมาบ้างบางส่วน เพราะรายนั้นขอแค่หิวก็แวะได้ทุกร้าน

ครืด... ครืด...

ในตอนที่พู่กันกำลังจะตักข้าวเข้าปากสายตาก็เหลือบไปมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะ เขามักชอบวางไว้ใกล้ๆ มือมากกว่าการเก็บใส่กระเป๋า เจ้าของโทรศัพท์มีท่าทีชั่งใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือสีคราม ก่อนจะปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งดับไป

indigo_c :
พู่กัน
ทำไมไม่รับวะ
อยู่ไหนของมึง

นี่แหละสีครามพอโทรเข้ามาแล้วไม่รับก็จะรัวข้อความมาหลายๆ อัน และถ้ายังไม่ตอบข้อความอีกก็จะโทรเข้ามาอีกครั้งอย่างเช่นในตอนนี้

สุดท้ายพู่กันเลือกที่จะปิดเสียงและคว่ำหน้าจอไว้เพราะไม่อยากเสียมารยาทกับคนตรงหน้า แม้รู้ทั้งรู้ว่าจะได้เห็นมิสคอลของครามอีกประมาณสามสี่สายก็ตาม


*

จากความคิดที่ว่าครามจะโทรเข้ามาอีกสามสี่สายนั้นก็คิดผิด เขาเปิดโทรศัพท์เช็กดูอีกทีตอนที่พี่ปัถย์ส่งหน้าตึกคณะ แจ้งเตือนสีแดงขึ้นว่ามีแปดสายที่ไม่ได้รับและข้อความอีกเกือบสี่สิบอัน ก็ไม่รู้ว่าจะรัวอะไรนักหนา เสมือนมีเรื่องคอขาดบาดตาย แน่นอนว่าเขาโทรกลับไปแล้วแต่เหมือนครามจะเอาคืนด้วยการไม่รับสายและไม่ตอบข้อความเช่นกัน

เขาก็เลยได้แต่ปล่อยเพราะหากคิดในแง่ดีอีกฝ่ายก็อาจจะไม่สะดวกรับในตอนที่โทรกลับไป

พู่กันจอดรถมอเตอร์ไซค์เทียบหน้าคาเฟ่ของตัวเอง ป้ายร้านชื่อเพ้นท์ไทม์เด่นชัดจนใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็รู้จัก ดวงตากลมสะดุดเข้ากับรถยนต์คันคุ้นตาที่จอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าร้านเท่าไหร่นัก ขาทั้งสองก้าวไปข้างหน้าทีละนิดเพราะอยากจะมองให้แน่ชัดว่าป้ายทะเบียนของรถคันนั้นใช่ตัวอักษรและตัวเลขที่เขาจำได้จนขึ้นใจหรือไม่ ร่างบางรีบวิ่งกลับเข้าไปที่ร้านเมื่อรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่ารถคันนั้นเป็นของคราม

“น้องพู่ แม่โทรหาตั้งหลายสายแล้วไม่ยอมรับ” เสียงของผู้เป็นมารดาดังขึ้นทันทีที่เขาไปหยุดยืนตรงหน้า

“โทรมาตอนไหนครับ พู่ไม่เห็นอะ”

“สักพักแล้วจ้ะ แล้วนี่น้องครามมารอตั้งแต่บ่ายแล้ว” เป๊ะเลย จะบอกตาฝาดก็คงไม่ใช่ คุณวาดพูดซะขนาดนี้แล้วดูเขามาถึงร้านตอนสี่โมงครึ่ง ไอ้ที่บอกมาตั้งแต่บ่ายนี่มันบ่ายกี่โมง คือพี่ครามไม่มีอะไรทำแล้วใช่ไหมถึงมานั่งรอเขาได้หลายชั่วโมงขนาดนี้

“แล้วนี่พี่ครามไปไหนครับ”

“หลังร้านจ้ะ น้องพู่เอาเค้กไปเสิร์ฟโต๊ะตรงกระจกให้แม่ก่อน” พู่กันพยักหน้าก่อนเอื้อมไปรับจานเค้กมาถือเอาไว้ ก่อนจะพูดถึงหว้าตอนที่นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนตัวเล็กจะมาหา

“เอ้อ เดี๋ยวหว้าจะพาเพื่อนมาที่ร้านนะ แม่หาขนมไว้ให้หน่อยนะครับ”

“น้องหว้าโทรมาบอกแม่แล้ว เดี๋ยวแม่เตรียมให้นะคะ”

พู่กันรอจนแม่ยิ้มให้แล้วค่อยเดินมาเสิร์ฟเค้ก พอทำหน้าที่ตามคำสั่งเสร็จเรียบร้อยเขาจึงเดินออกไปหลังร้าน และพบกับเจ้าของรถยนต์ทะเบียนคุ้นตานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ เขาไม่ได้ส่งเสียงทักทายใดๆ เพียงแต่เดินไปใกล้จนคนที่นั่งหันหลังอยู่รู้ตัว

“ทำไมมึงไม่รับสาย” ครามถามออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งแถมยังไม่หันมามองหน้าเขาอีก แค่นี้ก็รู้แล้วว่าน่าจะงอนพอตัว

“ไม่ว่าง โทรกลับแล้ว พี่ก็ประชดไม่รับนี่”

“อืม” อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว ไอ้อาการเมนส์มาเนี่ยจะจัดการยังไง “เหม็นบุหรี่ก็เข้าไป”

“เมนส์มาอีกแล้วเหรอ”

“คงงั้น” คนโตว่าพลางทิ้งบุหรี่ในมือลงกับพื้นแล้วใช้เท้าขยี้เมื่อน้องมีท่าทีว่าจะไม่ยอมเดินกลับเข้าร้านตามคำบอก เขาพ่นควันสีหม่นครั้งสุดท้ายออกมาจนมันลอยฟุ้งแล้วก็จางหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน “กูมีเรื่องจะถามมึง”

“ถามไรอะ” พู่กันประหม่าเล็กน้อยตอนที่ครามลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขา แววตาดุดันและใบหน้านิ่งเฉยนั่นทำให้ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ “ไปโกรธใครมาเนี่ย”

“มึงนั่นแหละ”

“เอ้า” เขายกมือขึ้นเกาหัวด้วยความงุนงง ก็พอจะรู้ว่างอนที่ไม่รับสายแต่ต้องเป็นมากขนาดทำเสียงดุทำหน้างอแบบนี้เลยเหรอวะ “เรื่องไม่รับสายอ่อ”

“ส่วนนึง”

“งั้นแปลว่ามีอีก”

“เออ”

“เรื่องไรอะ”

“ค่อยคุย กูอารมณ์ไม่ดี” พู่กันเบ้ปากเพราะครามเป็นแบบนี้เสมอ ถามว่าดีไหมก็ดีที่อีกฝ่ายจะไม่คุยกับเขาเวลาตัวเองอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าเรื่องนั้นเขาจะทำให้โกรธมากแค่ไหนก็ไม่เคยตะคอกเขาเลยสักครั้ง แถมยังหลีกเลี่ยงที่จะปะทะอีกต่างหาก “มึงรอเพื่อนใช่ไหม”

“รู้ได้ไง” คนตัวเล็กกว่าเลิกคิ้วเพราะเขายังไม่ได้บอกครามว่าเพื่อนจะมาหาที่นี่ แต่หากเดาไม่ผิดก็คงไม่พ้นคนที่ใส่เอี๊ยมลายกระต่ายในร้านนั่นหรอก

“แม่บอก”

“ว่าละ”

“กูไปรอบ้านนะ” ไม่รอให้เขาได้ท้วงอะไรครามก็เดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว ถ้ากลับไปรอบ้านแล้วจะคุยกันยังไง แทนที่จะคุยกันตรงนี้ให้จบจะได้ไม่รู้สึกคาใจ แต่นี่อะไรของเขาวะ

ตามไม่ทันโว้ย!


*


พู่กันไม่ค่อยมีสติตั้งแต่ครามกลับไป ยังหาคำตอบอยู่ว่านอกจากเรื่องไม่รับโทรศัพท์แล้วมีอะไรที่ทำให้ไม่พอใจอีก แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ก็เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า แล้วไอ้คนพี่มันไปแดงเดือดมาจากไหนวะ

“ไอ้พู่” เสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนสนิทดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้ หว้ากระทุ้งศอกเข้าที่เอวเบาๆ จนเขาสะดุ้งเฮือก “เป็นไรเนี่ย”

“หือ เปล่า” เขาส่ายหน้าแล้วกวาดสายตามองหาเพื่อนใหม่อีกคนที่ตอนนี้ไม่อยู่ตรงหน้าแล้ว “ฝ้ายไปไหนอะ”

“ลุกไปห้องน้ำเมื่อกี้” ยอมรับว่าไม่รู้ตัวเลยว่าฝ้ายลุกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อยากจะขอโทษที่ไม่มีค่อยมีสติ วันนี้ที่ได้เจอก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนน่ารักมากจริงๆ ไม่ว่าจะหน้าตาหรือนิสัย ฝ้ายไม่ใช่คนสวย แต่น่ารัก และที่สำคัญไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดเลยสักนิด ทั้งตอนคุยผ่านตัวอักษรหรือต่อหน้า

“ตกลงกับเพื่อนกูว่าไง ผ่านปะ” หว้ายังคงกระซิบอยู่ใกล้ๆ เพราะเกรงว่าเพื่อนที่เดินไปเข้าห้องน้ำจะกลับมาได้ยิน

“มึงหมายถึงอะไร” พู่กันเท้าคางก่อนตวัดสายตามองจนเพื่อนสนิทตัวเล็กนั่นทำหน้าคิดพินิจ “ถ้าเรื่องนิสัยก็ผ่าน”

“ให้มันได้แบบนี้สิ! มึงชอบปะ” ไม่ใช่ครั้งแรกที่หว้าหูตาลุกวาวเวลาเขาบอกว่าใครผ่าน “ไอ้พู่”

“ก็ชอบ” เขาพูดออกไปตามที่ใจคิดแต่ก็ไม่ได้ชอบในเชิงชู้สาว พอเห็นว่าคนข้างๆ เริ่มจะเก็บอาการไม่อยู่จึงต้องพูดต่ออย่างเร็วเพื่อไม่ให้เข้าใจผิด “หยุด อย่าเพิ่งกรี๊ด ชอบแบบเพื่อนเฉยๆ”

“อีเหี้ย” หว้าสบถเสียงเบาก่อนจะหันมาบีบคอเขาแล้วเขย่าๆ เหมือนระบายอารมณ์ “มึงหักอกเพื่อนทุกคนเลยนะ!”

“ก็กูไม่ได้ชอบแบบนั้น”

“งอนมึงอะ เชอะ”

เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เอื้อมไปผลักหัวสาวเจ้าเบาๆ เข้าใจว่าหว้าเป็นห่วงและหวังดี แม้จะทำทีเหมือนไม่สบอารมณ์แต่เดี๋ยวก็หาย เพราะพู่กันรู้ว่าหว้ารักเขามากกว่าอะไรทั้งสิ้น งอนได้ไม่นานหรอก

อีกอย่างเรื่องของใจจะบังคับกันได้ไง


*

ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
«ตอบ #44 เมื่อ16-10-2018 19:42:55 »



“เอ้า มีคนอยู่บ้านมึงอ่อ” เสียงของหว้าถามออกมาความสงสัยเมื่อเห็นรถยนต์คันใหญ่จอดอยู่ในรั้วบ้าน เธอมั่นใจแบบเต็มร้อยว่าไม่ใช่รถของพ่อพู่กันแน่ๆ เพราะคุณอานานทีถึงจะกลับมาบ้านเนื่องจากตระเวนรับงานไปแทบทุกจังหวัด

“เออ ...กูไม่รู้ว่าพี่มันมา” คนถูกถามแทบอยากจะเอาหัวโขลกกับประตูรั้วเพราะรถที่จอดอยู่ด้านในคือรถของพี่คราม ไอ้ที่บอกว่าจะมารอบ้านคือบ้านเขาเหรอวะ

“ถ้าพู่มีแขกก็นอนบ้านหว้าเหมือนเดิมก็ได้นะ เราไม่อยากรบกวนอ่า” บุคคลที่สามในวงสนทนาเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ ตอนแรกก็ตกลงว่านอนบ้านเพื่อนสาว แต่อยู่ดีๆ หว้าก็บอกขอเปลี่ยนมานอนบ้านพู่กันแทนเพราะจะเล่นเกม

“หว้า มึงกลับไปนอนบ้านได้ไหม” พูดกันตามตรงว่าเขาเองก็ค่อนข้างลำบากใจตอนที่หว้าบอกจะมานอนค้างที่บ้าน ซึ่งเอาจริงหากเป็นลูกหว้าคนเดียวก็คงไม่เท่าไหร่ แต่นี่เพิ่มเพื่อนเข้ามาอีกคน ถ้าใครรู้ว่าคืนนี้บ้านกิตติปรัชญ์มีผู้หญิงมานอนค้างถึงสองคนเขาเกรงว่ามันจะดูไม่ดีต่อตัวผู้หญิงน่ะนะ “กูกลัวว่ามันจะไม่ดีกับมึงแล้วก็ฝ้าย”

ก็รู้ที่หว้ามาขอมานอนก็คงไม่ได้คิดอะไรเพราะสนิทกันอยู่แล้ว แต่คนอื่นที่ไม่รู้ก็อาจจะทำให้มันดูแย่ เขาเป็นผู้ชายมันไม่เสียหายหรอก แต่ตัวผู้หญิงนี่สิ ยิ่งวันนี้มีครามมาอยู่ด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่ เผลอๆ อาจจะกลายเป็นว่าสองหญิงสองชายไปเสียอย่างนั้น

“ได้ค่ะพี่พู่ น้องเข้าใจว่าพี่คิดเยอะ” หว้าหัวเราะร่วนก่อนที่พู่กันจะยิ้มให้ฝ้ายแล้วเดินไปส่งทั้งสองคนที่หน้าประตูบ้าน แม้จะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวก็ตาม “ขอโทษด้วยนะครับฝ้าย”

“เอ้ย ไม่เป็นไรเลย เราสบายๆ อยู่แล้ว” ฝ้ายว่าพลางยิ้มให้จนเห็นเขี้ยว “เอ้อ เราลืมบอกเลยอะ เค้กร้านพู่อร่อยมาก”

“ถ้าอร่อยไว้พรุ่งนี้ก่อนกลับแวะไปก็ได้ เดี๋ยวเราบอกให้แม่เตรียมไว้ให้”

“บ้า ไม่เป็นไร เราเกรงใจ แค่บอกเฉยๆ ว่าอร่อย”

“โอเคครับ ขอบคุณนะ” เขาตอบเพื่อนใหม่ก่อนจะหันไปหาลูกหว้าที่ยืนทำหน้ายู่ยี่อยู่ข้างๆ “พรุ่งนี้พาฝ้ายไปเอาขนมกับแม่กูด้วยนะ”

“จ้าพ่อคุณ” ก็เพราะบอกฝ้ายแล้วอีกฝ่ายเกรงใจ คนรับหน้าที่ก็เลยเป็นลูกหว้าแทน “งั้นกูเข้าบ้านแล้วนะ”

“อือ ล็อคบ้านด้วย” เขายืนรอจนกว่าหว้าจะล็อคประตูรั้วเสร็จ โบกมือบ๊ายบายให้กับฝ้าย ที่ต้องบอกให้แวะไปเอาขนมกับแม่เพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาทันเจอทั้งสองคนหรือเปล่า

ร่างเล็กเดินเข้ามาในบ้านพลางกดตอบข้อความของพี่ปัถย์ที่ส่งมาหาตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนรวมไปถึงส่งข้อความไปย้ำกับเพื่อนสนิทอีกครั้งว่า ‘อย่าลืมล็อคประตูด้านในให้หมด’ เพราะบ้านข้างๆ ก็มีแต่ผู้หญิง ส่วนบ้านเขาก็คงเหลือแต่ผู้ชายเนื่องจากวันนี้แม่ก็นอนค้างที่คาเฟ่ พู่กันปิดประตูและลงกลอนอย่างเรียบร้อย เจ้าของบ้านเดินสำรวจหาคนที่ชิงหนีมาเมื่อช่วงเย็น ตั้งแต่ห้องรับแขก ห้องนอนแขก จนเดินไปถึงในครัวแต่ก็ไม่พบคราม เพราะงั้นก็เลยจำต้องเดินขึ้นไปบนห้องเนื่องจากเป็นที่สุดท้าย

เรียกได้ว่าเราสนิทกันมากพอที่จะมีกุญแจบ้านของกันและกัน จากวันนั้นที่ไปมหา’ลัยด้วยกันแล้วสั่งให้ครามกลับมาก่อนแต่คนพี่ไม่ยอมเพราะกลัวเขาลำบาก ซึ่งพู่กันเองก็ไม่อยากให้ต้องมารอหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกจึงตัดสินใจปั๊มพวงกุญแจบ้านและห้องไว้ให้ แน่นอนว่าของบ้านครามพู่กันก็มีเก็บไว้ แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะได้ใช้ เพราะส่วนมากคนพี่จะชิงมาหาที่บ้านเสียมากกว่า

เท่าที่เคยได้ยินบ่อยๆ จนเขาจำได้คือครามไม่ค่อยชอบพกกุญแจบ้าน ทั้งที่โดนน้ำเงินสั่งให้ใส่ไว้กับพวงกุญแจรถแต่ก็ไม่เคยทำ แต่มันกลายเป็นเรื่องแปลกเพราะครามเอาทั้งกุญแจบ้านและห้องเขาไปใส่อยู่กับพวงกุญแจรถตัวเอง

พู่กันเปิดประตูห้องอย่างเบามือตอนแง้มไปแล้วพบกับความมืดมิด เป็นอันรู้แน่ชัดว่าครามไม่ได้อยู่ในห้องน้ำเพราะไฟไม่ได้เปิดอยู่ ฉะนั้นก็คงไม่มีที่ไหนให้สิงนอกจากเตียงของเขา พอคิดได้แบบนั้นพู่กันก็เลือกที่จะเดินเข้ามาเงียบๆ และไม่เปิดไฟในห้องสักดวง เป็นไปอย่างที่คิดโคมไฟข้างเตียงเปิดค้างเอาไว้กับคนตัวใหญ่ที่ซ่อนร่างกายไว้ภายใต้ผ้าห่ม เหลือไว้ให้รับรู้ว่าเป็นใครจากใบหน้าที่โผล่ออกมาเพียงครึ่งหนึ่ง

เขาย่อตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับสายตา เผลอโน้มเข้าไปใกล้ด้วยความเคยชินก่อนจะรีบผละออกมา กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ทำให้เริ่มสงสัยว่าไปดื่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีหลายคำที่อยากด่าแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ทำได้เพียงนั่งมองใบหน้าคมคายผ่านแสงไฟสีวอร์มจนไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น

เขาเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเข้ากล้องแล้วสลับไปทางคนที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องราว ตั้งใจจะถ่ายไว้ขู่ให้รู้ว่าถ้าหลับในห้องคนอื่นแล้วจะเป็นอย่างไร

แชะ

“ไม่ให้ถ่าย” เด็กขี้ขโมยสะดุ้งเฮือกตอนได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยออกมา เวรเอ๊ย ลืมไปว่าเปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ ครามลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนคว้าเอาโทรศัพท์เจ้าปัญหาที่ส่งเสียงดังมาถือไว้ในมือตัวเอง “มองพอใจยัง”

“ห... หมายถึงอะไร”

“หน้ากู” ดวงตาคมจ้องมาทางเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “มึงนั่งมองกูนานแล้ว”

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่มึงหายใจอยู่ตรงหน้า” ครามยังคงตีหน้านิ่งใส่เด็กที่เริ่มทำตัวไม่ถูก “ไปอาบน้ำ”

“พี่มีอะไรจะคุยกับผม” ด้วยความที่ไม่อยากให้ค้างคา เขาจึงโพล่งถามออกไปแต่เจ้าของร่างยักษ์ที่นอนอยู่บนเตียงทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด “พี่คราม”

แม้จะเรียกย้ำอีกคนแต่ขี้งอนกลับพลิกตัวหนีไปอีกฝั่ง งานยากเลยงอนอะไรจริงจังวะ เพราะมันติดอยู่ในใจเขาจึงไม่สามารถปล่อยไว้ได้อีก พู่กันกระโจนขึ้นไปทับโดยที่คนพี่ไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักคำ แถมยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองด้วย เขาพยายามให้สองมือและแรงที่มีจับตัวครามให้พลิกกลับมานอนหงายจะให้ได้เห็นหน้ากันชัดๆ

“ไปอาบน้ำ”

“ผมไปทำอะไรให้พี่งอนนักหนาเนี่ย งงโว้ย” ครามถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะมองหน้าพู่กันนิ่งๆ แล้วยกแขนขึ้นมาทาบไว้บนดวงตาตัวเองเพื่อไม่ให้เห็นเขา “เอ้า เล่นตัวอ่อ”

“ทำไมมึงไม่รับสาย” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาแผ่วเบาจนคนฟังรู้สึกใจหวิว ไม่เข้าใจว่าแค่ไม่รับสายทำไมต้องนอยด์อะไรขนาดนี้อะ

“ก็ผมไม่ว่าง ...”

“วันนี้มึงไปกับใครมา” เป็นคำถามที่ติดอยู่ในหัวและลังเลอยู่นานว่าจะถามดีไหม แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ เขาอยากจะรู้ว่าน้องมันจะพูดเมื่อไหร่ หรือจะเล่าให้ฟังไหม

“เห็นเหรอ”

“อืม” ทำไมต้องให้ความรู้สึกเหมือนพู่กันหนีไปมีชู้ด้วยวะ “แฟนมึงหรือไง”

“ไม่ใช่ เขาแค่มาจีบ” คนอายุน้อยกว่าตอบกลับไปตามความจริง ฝ่ามือเล็กวางค่อยๆ เลื่อนไปจับท่อนแขนที่พาดทับอยู่ระดับสายตาของคนพี่ให้ออกไป “นอยด์เรื่องนี้อ่อ”

“กูเป็นส้นตีนไรไม่รู้” ครามว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาหงุดหงิดตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาไม่ได้เจอกันน้องมาหลายวันแล้ววันนี้ก็เลยทำเนียนจะไปหาน้ำเงินเพราะอยากเจอหน้าพู่กัน แต่พอไปถึงเขาเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เห็นว่าน้องมันกำลังขึ้นรถไปกับคนอื่น ครามไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็เลยรอจนรถขับออกไปแล้วรออยู่สักพักก่อนโทรเข้าไปถาม แต่พู่กันกลับไม่รับสายนั่นทำให้ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว

“แล้วผม...”

“กูหวงมึงได้ไหม” ครามถามเสียงนิ่งและมันเป็นความรู้สึกหลักที่เกิดขึ้น ตั้งใจจะเก็บเอาไว้แต่สุดท้ายปากก็ไวกว่าความคิด แถมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะมางอนเหมือนเด็กเพราะตกลงกันแล้วว่าจะไม่ล้ำเส้น แต่มันเป็นไปแล้วจะให้ทำอย่างไร

“ด... เดี๋ยวดิ” พู่กันใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พยายามจะขยับไปนั่งบนเตียงเพราะไม่อยากให้ครามรู้ว่าใจเขาเต้นแรงแค่ไหนกับไอ้แค่คำว่าหวงที่หลุดออกมาจากปาก แต่ก็ทำได้เพียงคิดเพราะอีกฝ่ายกลับหยัดกายขึ้นนั่งแล้วกอดเอวก่อนกระชับไว้แน่น “บ...บ้าอะไรของพี่วะ”

“หงุดหงิด”

“เออ ...ก็รู้แล้ว”

“หงุดหงิดที่มึงไปกับคนอื่นแล้วไม่ยอมรับสายกู” เขาได้แต่เงียบแล้วปล่อยให้ครามกอดอยู่อย่างนั้น กระทั่งอีกฝ่ายซุกใบหน้าลงตรงซอกคอ ไอความร้อนกระทบแผ่วเบาจนขนลุกซู่ “เป็นเหี้ยไรวะ”

“เป็นบ้า ...อื้อ” ครามกดจูบลงบนกลีบปากนุ่ม ความรุนแรงทวีคูณเป็นเท่าตัวตอนภาพในหัวย้อนกลับไปเมื่อตอนช่วงบ่ายของวัน มันเหมือนเขาระบายทุกอารมณ์บนกลีบปาก อยากบอกให้รู้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะมันรู้สึกหวงมากแค่ไหน และหงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง “พี่ จ... ใจเย็นดิ”

ไม่ฟังคำค้านมือใหญ่ชิงปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาจนครบทุกเม็ด แหวกออกจนเห็นผิวขาวที่มีสีแดงจางๆ แต่งแต้ม ลิ้นร้อนชื้นแตะลงตรงยอดอกแผ่วเบาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นการกระหวัดเย้าถะถี่จนได้ยินเสียงครางหวาน

“คิดจะเล่าให้ฟังเมื่อไหร่” คำถามหนึ่งกระซิบข้างใบหู พู่กันยังคงหอบถี่จากการถูกปรนเปรอจนอารมณ์พุ่งขึ้นแทบทะลุเพดานความต้องการ “กูจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ใช่ไหม”

“คนสุดท้ายอะไร ...ยังไม่ได้เป็นแฟนเขาเว้ย” ครามจรดจมูกลงบนแก้มใส กดย้ำอย่างเอาแต่ใจจนพู่กันต้องผละออกแล้วจ้องหน้า “เป็นไรเนี่ย”

“มันเรียกหวงได้ไหม”

“…”

“ถ้าได้”

“…”

“พี่ก็หวงพู่กัน” พู่กันเพิ่งรู้วันนี้ว่าบางทีคำตอบที่ตัวเองอยากรู้ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีมากนัก หัวใจเขาสั่นระรัวยิ่งกว่าโดนเขย่า กลายเป็นว่าความรู้สึกทุกอย่างผสมกันจนมั่วไปหมด “โคตรหวงเลยว่ะ”

“พ... พี่แม่งบ้าบอ”

ครามทำให้พู่กันรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนโลเลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้ใจเขาสับสน ไม่กี่วันก่อนยังพยายามวิ่งออกมาเรื่อยๆ แต่กลับต้องชะงักลงเพราะมีกำแพงของสีครามโผล่ขึ้นมากักกันเอาไว้ไม่ให้ไปไหน เมื่อตอนบ่ายยังคิดว่าตัวเองสามารถชอบพี่ปัถย์ได้โดยไม่ต้องพยายามแต่ตอนนี้เขากลับคิดว่าคนที่ทำได้คงไม่ใช่พี่ปัถย์ แต่เป็นคนที่สามารถสร้างผีเสื้อโง่ๆ มาทำให้เขาปั่นป่วนได้บ่อยๆ อย่างสีคราม

เขาชอบครามจริงๆ ชอบในแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ชอบทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องเจ็บ แต่มันก็ยังห้ามไม่ให้ไปชอบไม่ได้อยู่ดี และครามเก่ง... เก่งมากพอเพราะทำให้เขาหยุดอยู่กับที่ได้และไปไหนไม่ได้เพียงเพราะคำๆ เดียว

“หูมึงแดง” น้ำเสียงยั่วหยอกเอ่ยติดหัวเราะตอนเห็นว่าเด็กบนตักหูแดงไปหมด “ร้อนหรือเขิน”

“เพ้อเจ้อเหอะ ...อ๊ะ!” พู่กันสะดุ้งเฮือกตอนอีกฝ่ายแตะฝ่ามือลงที่ตรงนั้น “ขอตั้งตัวก่อนดิ”

“เรื่อง” เขาไปไม่ถูกตอนที่โดนถาม เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะต้องตั้งตัวเรื่องไหนก่อน เรื่องที่ครามบอกว่าหวงหรือเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ “มีอารมณ์ยัง”

“โอ๊ย พี่แม่ง ไม่ต้องถามตรงๆ ก็ได้ไหมวะ”

“ถามไปแล้ว” พู่กันเริ่มหายใจติดขัดเมื่อโดนครามแกล้งทุกทาง ตั้งแต่หยอกตรงใบหู ลำคอ หรือแม้แต่การลากฝ่ามือผ่านกางเกงนักศึกษา “อยากได้คำตอบด้วย”

“ไม่บอก”

“แปลว่ายัง” ครามกระตุกยิ้ม ก่อนจับเด็กบนตักให้พลิกลงไปนอนที่เตียง แผ่นหลังบางแนบชิดกับที่นอนอย่างง่ายดาย ความมือไวของคนพี่ยังคงเป็นที่หนึ่ง เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถสลัดกางเกงของเขาให้ออกไปจากตัว

“อารมณ์ไม่ดีไม่ใช่?”

“หายแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบข้างหู “จูบเมื่อกี้ก็หายแล้ว”

“ทำ... อะไรของพี่” เสียงหวานถามกระท่อนกระแท่นยามที่ครามลากลิ้นร้อนผ่านลำคอลงมาจนถึงแนวไหปลาร้าอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือใหญ่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของเขาจนรับรู้ได้ว่ามันเริ่มจะขยายตัว เจ้าของร่างสูงไม่ตอบคำถามแต่กลับลากปลายลิ้นลงมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงหน้าท้องขาว พรมจูบแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนไปตีตราตามจุดที่ได้ลากผ่านจนรอยสีแดงระเรื่อเกิดขึ้นอีกหน

“ปลุกอารมณ์”

“ปลุกเพื่อ... อะ อา พี่คราม”

เพียงเสี้ยววินาทีเสียงหวานก็กลืนหายจากความหนักหน่วงและร้อนผ่าวที่อีกฝ่ายมอบให้ตรงจุดที่ไวต่อสัมผัส ครามทำให้เขาดิ้นพล่านได้เพียงแค่ใช้ริมฝีปากแตะและครอบคลุมในส่วนนั้น มือเล็กจิกลงบนเรือนผมหนา ริมฝีปากสีเชอร์รี่ขบเข้าหากันจากการถูกปรนเปรอแบบไม่ทันตั้งตัว เสียงน่าอายเกิดขึ้นทุกครั้งที่คนพี่กลืนกินและปลดปล่อยเขา หน้าท้องบางหดเกร็งเมื่อรู้สึกว่าทนต่อสัมผัสหนักๆ นั่นไม่ไหว

“พี่ถามอีกที” จังหวะที่น้องหอบถี่ครามเงยหน้าขึ้นถามก่อนพาตัวเองขึ้นมาโถมเอาไว้โดยที่ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงไป พู่กันหลับตาแน่นเพราะอีกฝ่ายยังคงสาละวนกับส่วนนั้นด้วยฝ่ามือ “มีอารมณ์ยัง”

“ทำไม... ต้องถามอีก ฮะ... อื้อ พอ... ก่อน พี่แม่ง” ยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ มือใหญ่เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ใช้ปลายนิ้วเน้นย้ำตรงจุดสำคัญและครามรู้ว่าต้องสัมผัสแบบไหนพู่กันถึงจะพอใจ ชายหนุ่มกดจูบเบาๆ ตรงข้างแก้ม กลิ่นหอมของแป้งเด็กที่เขาคุ้นชินตรึงติดอยู่ที่ปลายจมูก “พี่...”

“พูดเพราะๆ สิครับ เดี๋ยวจะหยุด” พู่กันจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่แต่คนที่เห็นอย่างนั้นกลับอารมณ์ดี ที่แน่ๆ คือเขาคงหยุดไม่ได้แม้ว่าเด็กใต้การบังคับบัญชาจะพูดเพราะแค่ไหนก็ตาม

เขาฟังเสียงหอบหายใจของพู่กันด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ยิ่งเห็นน้องเลียริมฝีปากก็ยิ่งรู้สึกประหม่า หัวใจกำลังเต้นถี่และมันไม่เหมือนกับทุกครั้ง ครามรู้ว่าตัวเองใจสั่นกับภาพตรงหน้าแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่โน้มตัวลงไปหาแล้วแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มนั่นอีกครั้ง

“มันจะ อา...” เสียงหวานเอ่ยผะแผ่วยามที่ผละออกหลังจากโดนครามบดจูบแบบไม่ให้พัก แถมยังไม่มีท่าทีว่าจะยั้งความเร็วของฝ่ามือที่กอบกุมส่วนนั้นของเขาลงเลยสักนิด “พี่คราม ไหนจะหยุด ...ให้พู่ไง”

“ไม่มีสัจจะในหมู่โจร เคยได้ยินไหม”

“พี่แม่งเจ้าเล่ห์” ร่างบางบิดเร่าและพยายามจะจับมือคนพี่ให้หยุดการกระทำแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่พู่กันสู้แรงของอีกฝ่ายไหว อาจเพราะแรงทั้งหมดของเขากำลังจะหมดไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนผ่อนแรงลงแต่ยังกดปลายนิ้วย้ำๆ ตรงส่วนปลาย “อ๊ะ พี่คราม ... พอแล้ว ...นะ ...นะครับ”

ยิ่งสั่งให้หยุดก็ยิ่งเพิ่มความเร็วจนเผลอจิกไหล่เขาอย่างแรงก่อนเขาจะค่อยๆ ผ่อนแรงลงทีนิด แต่ที่ยอมใช่เพราะน้องพูดเพราะตามที่บอก แต่เจ้าเด็กแสบปลดปล่อยแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังคงกุมส่วนอ่อนไหวที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำขุ่นอย่างเชื่องช้า

“จะไปอาบน้ำได้ยัง”

“เหนื่อยแล้ว จะนอน” ไม่ว่าเปล่าพู่กันยังคว้าเอาหมอนที่หนุนอยู่ขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้โดยยังปล่อยให้ครามซุกซนอยู่ตรงส่วนกลางลำตัว พู่กันผ่อนลมหายใจออกเบาๆ เพราะความเขินห่าเหวพาลทำให้หน้าร้อนไปหมด

“เลอะเทอะ”

“เพราะใครล่ะวะ … อา” พู่กันบ่นอู้อี้ก่อนจะครางหวานเมื่อคนพี่แกล้งรูดรั้งอีกหน “พอ ฮะ... แล้ว”

“ก็ลุกสิครับ” ครามพยายามซุกหน้าลงใกล้เพื่อให้อยู่ใต้หมอนใบเดียวกัน แถมยังลากมือที่เลอะหยาดน้ำขุ่นขึ้นมาแถวหน้าท้องจนพู่กันต้องโผล่หน้าออกมาแล้วมองอย่างคาดโทษ “พู่กัน”

“พี่รู้ว่าเลอะแล้วจะลากทำไม” คนถูกถามยียวนไม่ตอบก่อนจะยอมละมือออกจากหน้าท้องหลังจากที่ทำให้ตัวเนื้อเขาเลอะเทอะไปหมด และสิ่งที่ครามกำลังจะทำต่อจากนั้นทำเอาพู่กันต้องคว้าข้อมือไว้ก่อนชิงขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัก “พี่ครามอย่าแกล้งดิ”

“แกล้งอะไร”

“ก็พี่...” เขาสะดุดไปเพราะไม่รู้จะตอบแบบไหน เมื่อครู่ครามทำทีจะเลียมือของตัวเองที่มันเลอะหยาดน้ำจากตัวเขา “ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”

“เขินอะไร ปกติพี่ก็...”

“พอเลย แม่งๆ!” ครามหัวเราะร่วนก่อนจะจับสะโพกมนไว้ด้วยสองมือ คนบนตัวตอนนี้จะลืมไปว่าตัวเองไม่มีอาภรณ์ปกปิดในส่วนล่าง ชายหนุ่มกอดเด็กตัวเล็กไว้แน่นเสมือนว่ากลัวจะหนีหาย “ปล่อยผมสิเฮ้ย”

“พู่กัน”

“ไรอีก” เจ้าของชื่อชักสีหน้าใส่ “หนึ่งนาที พูดมา พู่จะไปอาบน้ำแล้ว”

คนพี่กระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิมก่อนกดศีรษะของน้องให้ซุกลงมาตรงอก โน้มไปกระซิบข้างใบหูเพราะอยากให้น้องได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้ให้ชัดๆ และมันออกมาจากความรู้สึกของเขาจริงๆ

“ที่พี่บอกว่าหวง”

“…”

“คือหวงจริงๆ”

tbc
บทจะแน่ก็แน่ เอ๊ แม่ๆ น้องพู่ย้ายทีมกลับมาไหมคะ ฮรึก /ตั้งโครงการพาแม่ๆ กลับทีมพี่คราม
ขอบคุณค่า #โซ่สีคราม นะงับ ♥

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
«ตอบ #45 เมื่อ16-10-2018 19:59:12 »

แงงงง เรือเราล่มมมม ลืมไปว่าชื่อเรื่องก็บอกแล้วว่าคู่ใครเป็นใคร
พี่คราม พี่จะมางอแง หวงไปหมดไม่ได้ พี่ต้องเคลียร์เรื่องนับให้ได้ก่อนจะมาหวงน้อง

เราก็หวงพู่กันอะ  :katai1:

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
«ตอบ #46 เมื่อ16-10-2018 20:13:00 »

เอาว้อยยยยย คราวรีบรุกเร้วววว

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
«ตอบ #47 เมื่อ16-10-2018 21:13:13 »

พี่รักพู่กัน สะกดแบบนี้ มาหงมาหวงอะไร รักแล้วก็บอกว่ารักกกกกก :katai1:

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
«ตอบ #48 เมื่อ16-10-2018 22:55:03 »

คนแบบพี่คราม ไม่ควรได้พู่กันไป
 :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
«ตอบ #49 เมื่อ17-10-2018 00:00:26 »

เมื่อไหร่พี่ครามจะชัดเจน ฮื่อออ สงสารน้องงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 07 ; (16/10/61)
« ตอบ #49 เมื่อ: 17-10-2018 00:00:26 »





ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
«ตอบ #50 เมื่อ20-10-2018 21:58:59 »

08
my heartbeat

//


“ถ้าเธอไม่สะดวกไปก็ไม่ต้อง” เสียงของเข็มทิศดังขึ้นขัดจังหวะคนที่กำลังเดินออกมาจากห้องรับแขก แม่ของเขากำลังธุระคุยอยู่กับน้ารัศมีคุณนายของตระกูลเตชวิรุฬห์วัชรโชติทำให้เขาต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเอง

นับเงินหมุนตัวกลับไปหาคนที่เดินตามหลังออกมา วันนี้เข็มทิศอยู่ในชุดเสื้อผ้าสบายๆ อย่างเสื้อยืดและกางเกงขาสามส่วน เพราะอีกฝ่ายก็โดนเรียกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว

“เธอคิดว่าปฏิเสธได้เหรอ” พักนี้แม่ให้เขาโคงานกับพี่เข็มทิศบ่อยขึ้น โดยยกคำอ้างมาว่าถ้าเรียนจบเมื่อไหร่จะได้ช่วยที่บ้านบริหารงานได้แบบไม่ติดขัด แม้จะรู้ว่าเขากับพี่เข็มไม่ลงรอยกันเหมือนก่อนแล้วก็ตาม “คราวก่อนนับก็ต้องไป”

“เธอทำหน้างอ”

“ก็นับมีนัด” ใช่ว่าจำไม่ได้ว่านัดไปไหนกับครามไว้ ที่เขาตอบตกลงไปเพราะอยากจะใช้ช่วงเวลานั้นเคลียร์ความสัมพันธ์ของตัวเอง ไม่ได้อยากให้ความหวังหรือต้องการให้ครามมารักในสถานะแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว รู้ดีว่าที่ผ่านมาเห็นแก่ตัวมากเพียงไหน และเพราะรู้จึงไม่อยากให้ครามต้องมาเสียใจเพราะคนอย่างเขาอีก

“กับคราม?”

“ใช่”

“ตกลงเธอชอบเด็กนั่นเหรอ” เข็มทิศถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย เป็นเพียงความสงสัยที่ไม่ได้คาดหวังว่าแฟนเก่าจะตอบ อารมณ์ประมาณเหมือนเสี่ยงโชค ถ้าได้รับก็ดีไป

“มันไม่ใช่แบบที่เธอคิดหรอก”

“พี่ยังไม่ได้คิดอะไร”

“สาบาน” คนตัวสูงกว่าเลิกคิ้วก่อนแค่นหัวเราะออกมากับคำพูดติดปากของนับเงินที่มักจะหยิบยกเวลาที่อยากจะให้เขาพูดความจริง “เธอแม่ง”

“หงุดหงิดอะไร พี่แค่ถาม”

“เธอจะถามทำไม”

“ก็อยากรู้” เข็มทิศยกแขนขึ้นกอดอกขณะสายตาจ้องไปยังคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้ายุ่งๆ กับคำพูดตรงไปตรงมา ช่างเถียงและหงุดหงิดเสมอเวลาเจอหน้าเขา “ถ้าเธอไม่ได้ชอบ แล้วจะไปกับเขาทำไม”

“ก็เพราะไม่ได้ชอบไง ถึงต้องไปบอกให้เขารู้”

“เธอก็ให้ความหวัง”

“ตรงไหน” นับเงินมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันดีที่สุดแล้วและแน่ใจว่ามันไม่ใช่การให้ความหวัง

“แค่บอกไม่ไป เขาก็รู้แล้วว่าเธอไม่ชอบ” คนฟังชะงักได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นตอนเข็มทิศเดินเข้ามาใกล้และวางมือลงบนหัว “เมื่อไหร่เธอจะโตสักที”

ฝ่ามือใหญ่ละออกจากศีรษะพร้อมกับเสียงของเข็มทิศที่แผ่วจนน่าใจหาย ถึงอย่างนั้นนับเงินกลับจับใจความได้ทุกประโยค อีกฝ่ายเดินออกไปแล้วทิ้งเขาไว้กับคำพูดเดิมๆ ที่เคยได้ยินไม่รู้กี่พันครั้งก่อนจะเลิกกัน เจ้าของร่างเล็กทรุดลงนั่งกับพื้น พยายามผ่อนปรนความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นเสี้ยววินาทีด้วยการขบริมฝีปากเข้าหากันทีละนิด

นับเงินร้องไห้ออกมาแบบที่ไม่แน่ใจในสาเหตุ ไม่รู้ว่าที่กำลังร้องไห้อยู่ในตอนนี้เป็นเพราะเขากำลังทำผิดกับครามอีกหน หรือเป็นเพราะน้ำเสียงที่เวียนซ้ำจนทำให้เขาไม่สามารถลืมได้ลงกันแน่

ไม่ว่าโลกจะหมุนไปสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยโตขึ้นเลยในสายตาของเข็มทิศ


*


“เฮียดูดียัง” เสียงทุ้มต่ำของคนอารมณ์ดีดังขึ้นขัดจังหวะน้องชายที่กำลังนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ น้ำเงินละสายตาจากหนังแฟนตาซีที่กำลังเสพติด สองสามวันนี้ครามไม่ค่อยสบายเขาเลยกลับมานอนที่บ้านเพื่อคอยดูอาการของคนเป็นพี่ชาย

“ดีแล้วครับ เฮียมีนัดกับใครเนี่ย” น้ำเงินยิ้มตาหยีก่อนจะวางหมอนโตโตโร่ลงบนโซฟาแล้วลุกมาหา ดวงตากลมสำรวจความเรียบร้อยแถมยังเดินวนรอบเขาเสมือนเป็นลูกแมว “ไปไหวเหรอ”

“ไหวสิครับ ไปหานับแค่นี้เอง”

“จริงอะ” น้ำเงินถามย้ำอีกครั้งพลางส่งสายตามองอย่างจับผิด เขาค่อนข้างเป็นห่วงเพราะครามชอบทำอะไรเกินตัวเสมอ บางทีรู้ว่าร่างกายไม่ไหวก็ยังฝืนทำ

“จริงสิครับ”

“ถ้าไม่ไหวต้องจอดพักเลยนะ แล้วเฮียห้ามกินเหล้านะครับ งดเลย” เขาพยักหน้าตอบรับคำ ก่อนลูบหัวน้องชายเบาๆ น้ำเงินห่วงเขามาก แม้ว่าจะบอกไปหลายหนแล้วว่าสามารถดูแลตัวเองได้ แต่เจ้าตัวดื้อก็ไม่ยอมแล้วก็มาเฝ้าทุกทีที่เขามีอาการไม่ค่อยดี

“นี่ไอ้ศาจะมารับตอนไหน”

“น่าจะอีกสักพักครับ”

“ทำไมมันช้า”

“ก็เฮียหายกะทันหัน พี่ศาก็มารับเราไม่ทันสิ” ครามหัวเราะเบาๆ เมื่อโดนเอ็ดเข้า พอน้ำเงินเป็นแฟนกับเพื่อนก็เรียกได้ว่าแตะไม่ได้เลยทีเดียว หมายถึงแตะองศาน่ะ แต่จริงๆ ก็ถือว่าเป็นความผิดเขานั่นแหละ เขาคิดว่าคืนนี้อาจจะกลับดึกหรือไม่กลับเลยให้องศามารับน้องเขาไปอยู่ในความดูแลเหมือนเดิม

พูดตรงๆ ว่าถ้าน้ำเงินอยู่กับองศาแล้วเขาก็หมดห่วง ครามหวงน้องจนเคยแอบคิดว่าถ้ามีแฟนก็คงไม่ปล่อยให้ไปไหนไกลสายตา รวมไปถึงหวงเด็กคนนั้นเรื่องที่บอกกับพู่กันเมื่อวันก่อนว่าหวง เขารู้สึกจริงๆ และมันไม่ใช่ความหวงแบบพี่ชายหวงน้องชาย ครามพยายามเข้าใจอยู่และวันนี้คิดว่าตัวเองอาจจะเข้าใจมากกว่าเดิม

ชายหนุ่มขึ้นมานั่งบนรถก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอพแชทเพื่อส่งข้อความบอกพู่กัน เพราะทีแรกเขาตั้งใจจะไปหาน้องแบบไม่บอก แต่พอนับทักมาให้ออกไปเจอเพราะมีเรื่องจะคุยด้วยก็เลยตัดสินใจไปหานับก่อน ที่บอกว่าอาจจะเข้าใจมากกว่าเดิมเพราะหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะตกลงแบบไม่ลังเล

แต่วันนี้เขากลับใช้เวลาพักใหญ่กับการตัดสินใจว่าจะไปหานับหรือพู่กัน และที่เลือกไปหานับเพราะเป็นตัวแปรสำคัญกับความรู้สึกที่ทำให้ครามสับสน

indigo_c
กูไปหานับนะ
ได้ทะเลาะกันอีกแน่เลยว่ะ


เขาส่งข้อความหาน้องเพราะเวลาจะออกไปเจอนับเมื่อก่อนก็รายงานทุกครั้ง หลังจากนั้นก็จะได้รับข้อความตอบกลับมาให้กำลังใจผสมคำด่าที่แฝงไว้  หากแต่วันนี้ครามนั่งรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะเปิดอ่าน เขาจึงเลือกวางโทรศัพท์ไว้ตรงเบาะข้างๆ

ก็หวังว่าน้องมันจะตอบมาก่อนที่เขาจะไปเจอนับน่ะนะ

*


ครามมาสายไปประมาณสิบนาทีเพราะมัวแต่นั่งรอข้อความจากไอ้เด็กคนนั้นจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ พอเขามาถึงร้านก็เห็นนับนั่งหน้างอรออยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไปหัวเสียมาจากไหน ความจริงนับเป็นคนน่ารักไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ใจพี่เข็มทิศหรอก แต่เพราะช่วงหลังความสัมพันธ์ของเราแปลกประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจก็เลยทำให้อีกฝ่ายแสดงออกอย่างนั้น

“จะกินก็กิน” ครามว่าก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อเพื่อนสนิทช้อนสายตาขึ้นมอง ก็เห็นว่าหิวแต่พออาหารมาถึงกลับนั่งเขี่ยไปเขี่ยมาเหมือนคนเบื่ออาหาร

“มึงจะนั่งมองทำไม ของตัวเองมีก็กินเข้าไป” นับดุออกมาแบบหงุดหงิด แม้พักนี้จะทะเลาะกับครามบ่อยแต่มากสุดก็ไม่เกินสองวัน สุดท้ายก็ดีกันเหมือนเดิม แต่แน่นอนว่าในทุกครั้งมันเพิ่มความอึดอัดเข้ามาเสมอจนทำให้เขาคิดว่าเราคงไม่เหมาะที่จะคบกันในสถานะแบบนั้น

นับเงินย่นจมูกก่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ หากไม่มีเรื่องจำเป็นเขาจะไม่เรียกครามออกมาด้วยกันแบบสองคนเลย แต่เป็นเพราะไอ้เรื่องที่ตัดสินใจไปทะเลกับครามเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้ต้องเรียกออกมาคุยกันอีกครั้ง เหตุผลหนึ่งที่ทำให้นับเปลี่ยนใจก็มาจากคำว่าเมื่อไหร่เขาจะโตจากพี่เข็มทิศ

“มึงเรียกกูออกมาหาเพราะจะมากินข้าวเฉยๆ เนี่ยเหรอวะ” ครามเปิดประเด็นคำถาม ใจลึกๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง เพราะนับไม่ไปไหนมาไหนกับเขาสองคนเหมือนก่อนมานานแล้ว

“เปล่า” เขารู้ว่าถ้าพูดออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้บรรยากาศมันเสีย ตั้งแต่ที่ทะเลาะกันบ่อยๆ ก็ทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าที่เคยคุยกันไว้ว่าจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมหากว่ามันไม่ใช่จริงๆ จะเป็นไปได้ไหม “มึงกินข้าวก่อนไหม ค่อยถาม”

“ทำไม เรื่องที่มึงจะคุยกับกูนี่มันจะทำให้กินอะไรไม่ลงหรือไง” พอเพื่อนสนิทเงียบไปก็ทำให้เขาได้รู้ว่ามื้ออาหารของวันนี้ก็คงไม่สนุกเหมือนเคย “มีอะไรก็พูดมาเหอะ ไม่มีอะไรที่กูจะ...”

“กูไม่ได้ไปทะเลกับมึงแล้วนะ” คนฟังชะงักเมื่อไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกเหมือนใจโดนกรีดแล้วเหยียบซ้ำจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ตอนนี้มันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างนั้น แต่ก็ยังมีความแปลบๆ อยู่บ้างให้อารมณ์เหมือนโดนเข็มสะกิดเสียมากกว่า “แม่กูจะให้ไปสิงคโปร์กับ...”

“พี่เข็ม” คราวนี้กลายเป็นนับเงินที่นิ่งเพราะน้ำเสียงของครามฟังดูเย็นชาและมันค่อนข้างผิดปกติ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอีกฝ่ายจะโวยวายแล้วก็พูดจาชวนทะเลาะ “มึงมีเรื่องจะบอกกูแค่นี้ใช่ไหม”

“เดี๋ยว มึงจะไปไหน” เขาท้วงเมื่อเพื่อนตรงหน้าลุกขึ้นโดยไม่แสดงท่าทีใดให้เห็นมากไปกว่าสายตาเย็นชาและใบหน้านิ่งเฉยนั่น “คราม”

“กูรู้แล้วนับว่ากูเป็นได้แค่เพื่อนมึง” น่าแปลกที่ในคราวนี้ครามรู้สึกว่าตัวเองยังไหวอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะมันกลายเป็นความเคยชินเสียแล้ว “กูไม่เคยได้ความรักจากมึงมากไปกว่าคำว่าเพื่อนเลย”

“แล้วเรา...”

“เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม นี่หรือเปล่าที่มึงอยากจะถาม” เขามองหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ “ถ้าไม่เป็นเพื่อนมึงกูมีตัวเลือกอื่นด้วยเหรอ”

“...ไม่มี” น้ำเสียงแผ่วทำให้ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นอีกครั้ง ครามหรี่ตาลงก่อนผ่อนลมหายใจออก โดนปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนโดนอีกครั้งจะเป็นอะไรไป

“ถ้าเกิดกูเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิมไม่ได้” เป็นสิ่งที่ครามอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบแบบไหน “มึงจะว่ายังไง”

“ทำไมมึงถึงจะทำไม่ได้ กูพยายามห่างมึงมาตลอดเพื่อไม่ให้มึงคิดไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ กูขอโทษคราม ...แต่กูให้มึงแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”

“มึงอย่าคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันง่ายแค่ปากพูดได้ไหม” ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายเลย กว่าครามจะเก่งได้อย่างวันนี้ได้ก็ผ่านมาแทบตายเหมือนกัน “ตัดใจมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนับ”

“ขอโทษ” แม้จะนับจะไม่ได้ทำให้เจ็บเจียนตายเหมือนก่อน แต่ก็ยังมีความรู้สึกที่บ่งบอกว่าเขาเสียใจที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง ถึงอย่างนั้นก็จะไม่พยายามดิ้นหรือพยายามจะรักอีกต่อไป แล้วไอ้ที่เขาบอกว่าตัดใจมันไม่ง่ายขนาดนั้นก็พูดให้นับได้คิดถึงใจตัวเองที่มีให้กับพี่เข็มทิศด้วย “มึงอย่ามาชอบคนอย่างกูเลยนะ ...”

“กูเลิกชอบมึงได้แน่ๆ” ครามยืนยันเสียงนิ่ง “ขอเวลากูหน่อย”

“มึง...”

“นับ มึงลองถามตัวเองบ้างยัง”

“...”

“ว่าทำไมมึงเลิกรักพี่เข็มไม่ได้ ทั้งๆ ที่มึงก็พยายามห่างเขาเหมือนกัน”

*

ครามนั่งอยู่บนรถมาพักหนึ่งแล้วและยังคงจอดอยู่ที่เดิมคือหน้าบ้านของตัวเองหลังจากขับกลับมาจากร้านอาหารที่ไปเจอนับเงิน พูดตรงๆ ว่ายังสับสนกับความรู้สึกตอนนี้

ตัวแปรที่หนึ่งอย่างนับตัดจบความสัมพันธ์ของเขาด้วยคำว่าเพื่อน และหากว่ามีเพียงแค่นับเขาคงจะไม่เป็นอย่างนี้ แต่เพราะการมีตัวแปรที่สองอย่างพู่กันเข้ามาทำให้ครามไม่แน่ใจว่าที่ไม่เจ็บเท่าเมื่อก่อนเป็นเพราะน้องมันหรือไม่

จากการที่ได้รักอยู่ฝ่ายเดียวมานานทำให้เขารู้ว่ามันเจ็บเพียงใด ตอนคนที่รักทำเหมือนเรามีตัวตนในชีวิตมันให้ความรู้สึกเหมือนได้รับเชือกให้ปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนบอลลูน สวยงาม รู้สึกดีแต่มีความเสี่ยงสูงเพราะไม่รู้ว่ามันจะตกลงมาเมื่อไหร่ และจะได้ไปถึงจุดหมายก่อนตกลงมาหรือไม่

แต่สิ่งที่รู้อย่างแน่ชัดคือไม่ควรเอาชีวิตขึ้นไปเสี่ยงอยู่บนนั้น เพราะถ้าตกลงมาก็ตาย

ถึงอย่างนั้นครามคงเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตรอดหลังจากตกลงมา อาจจะเป็นความโชคดีที่เขาไม่ได้ตกลงไปผิดที่เลยทำให้มีใครบางคนสามารถช่วยเอาไว้ได้

นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปมาในหน้าจอแชท เขานั่งมองข้อความที่ไร้การเปิดอ่าน ไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความซ้ำไปอีกครั้ง ครามได้แต่จ้องดูเพื่อรอว่าเมื่อไหร่ถึงจะขึ้นโชว์ว่ามันถูกอ่านแล้ว นานเข้าก็ทำให้รู้ว่าไม่ควรที่จะมานั่งรออะไรแบบนี้ พู่กันอาจจะไม่ว่าง แต่อีกหนึ่งความคิดด้านลบก็พาลไปคิดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า จึงเลือกที่จะขับเคลื่อนรถคันโปรดของตัวเองออกจากหน้าบ้านไป

เขาใช้เวลาขับรถไม่นาน เพียงแค่เลี้ยวเข้าซอยตรงนี้ไปก็จะผ่านร้านคาเฟ่ของน้อง และขับตรงไปอีกเล็กน้อยก็จะเข้าไปถึงบ้านได้ ดวงตาคมเหลือบไปมองร้านคาเฟ่เพื่อเช็กว่าคนน้องอยู่ร้านหรือบ้านในตอนนี้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้เขาหงุดหงิดจนทิ้งเรื่องของนับเงินไว้ข้างหลัง

ครามไม่ได้โทรบอกพู่กันล่วงหน้าว่าจะมาหา และเพราะแบบนั้นก็เลยรู้ว่าตัวเองมาผิดเวลา เขาขับเลยร้านคาเฟ่ไปเพราะน้องกำลังอยู่กับใครอีกคน เขาเคยบอกเอาไว้ว่าถ้ามีแฟนเมื่อไหร่จะให้ไปแบบที่ไม่ต้องมาสนใจ แต่ในตอนนี้กลับคิดว่าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าตอนโดนนับปฏิเสธอีกวะ

โคตรบ้าเลยจริงๆ

*

“สรุปตามนี้นะครับ” พู่กันพยักหน้าก่อนยิ้มให้กับพี่ปัถย์อีกครั้ง คนพี่เพิ่งมาถึงหน้าร้านเขาเมื่อครู่เนื่องจากต้องการสั่งเค้กไปเลี้ยงที่บริษัท พวกเขาเลือกที่จะยืนคุยกันหน้าร้านเพราะอีกฝ่ายมีธุระต่อจึงอาจจะไม่ได้ใช้เวลามากนัก “เดี๋ยวถ้ามีอะไรเปลี่ยนพี่จะโทรหาเราอีกที”

“ได้ครับ นี่พี่ไปธุระต่อเลยใช่ไหม”

“ครับ พี่ลืมบอกว่ามีบินไปคุยกับลูกค้าที่เชียงใหม่”

“อ้าว ไปกี่วันครับ”

“เกือบอาทิตย์” ปัถย์ยิ้มตอบตอนเห็นหน้าดื้อๆ นั่นขมวดคิ้ว “ทำหน้าแบบนี้คือกลัวคิดถึงเหรอ”

“คิดถึงของฝากได้ไหม”

“คิดถึงคนซื้อดีกว่าครับ”

“ไม่เอา เดี๋ยวพี่คิดไกล” พู่กันหัวเราะเบาๆ ก่อนเบือนหน้าหนีออกไปทางถนน เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่รถคุ้นตาแล่นผ่านหน้าไป “...ทำไมมาอยู่แถวนี้วะ”

“หืม ใครเหรอครับ” ร่างสูงถามอย่างสงสัยก่อนหันไปมองทางถนนตามสายตาของพู่กัน เท่าที่คุยกันมาก็พอจะรู้แล้วว่าน้องมีคนในใจ ถ้าการคาดเดาของเขาไม่ผิดพลาดจากวันที่ไปกินข้าวแล้วพู่กันเลือกไม่รับโทรศัพท์ สาบานได้ว่าไม่ได้คิดจะเสียมารยาท แต่รายชื่อที่โทรเข้ามานั่นตัวใหญ่มากพอที่จะทำให้เขาเห็นว่าน้องเมมเอาไว้ว่า ‘puppy’ ที่ให้ความหมายถึงลูกสุนัข และเป็นคนที่พู่กันพูดถึงบ่อยๆ ทำให้เขาแน่ใจว่าคงจีบไม่ติด

“เปล่าหรอกครับ นี่พี่จะไปเลยหรือเปล่า เดี๋ยวสายนะ”

“ครับ เดี๋ยวพี่ซื้อขนมมาฝาก แต่ถ้าอยากได้อะไรก็ทักไปบอกไว้ได้นะ”

“แค่พี่ปัถย์นึกถึงผมก็ดีใจแล้ว” พู่กันยกยิ้ม “เดินทางดีๆ ด้วยนะครับ”

“ถ้าเกิดพี่จะขึ้นเครื่องแล้วทักมาได้ไหม” เจ้าของร่างสูงร้อยแปดสิบเจ็ดเซ็นถามอย่างประหม่า มันก็แค่อยากเห็นคำว่าเดินทางปลอดภัยอีกครั้งเป็นข้อความก็เท่านั้น

“ได้สิครับ ถึงเชียงใหม่แล้วจะทักมาผมก็ไม่ว่าหรอก”

“ครับ งั้นเราเข้าร้านได้แล้ว แดดร้อน”

“อือฮึ ขับรถดีๆ นะครับพี่ปัถย์” พู่กันฉีกยิ้มจนตาหยี ยกมือขึ้นสวัสดีคนอายุมากกว่าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไหนจะโบกมือลาตอนที่อีกฝ่ายขับรถออกไปไกลแล้วนั่นด้วย พอรถของพี่ปัถย์ขับไปไกลจนลับสายตา เขาจึงเดินเข้าไปในร้านแล้วรีบปรี่ไปหาโทรศัพท์ที่เสียบชาร์จแบตไว้นานแล้วแถมวันนี้แทบไม่ได้จับเนื่องจากลูกค้าเยอะ

พู่กันเม้มปากตอนเห็นข้อความของครามที่ส่งเข้ามาเมื่อสองชั่วโมงก่อนว่าจะออกไปหาพี่นับ ถ้าไปหาพี่นับแล้วมาอยู่ทำไมแถวนี้วะ เขามั่นใจว่าจำได้ไม่ผิดแน่ๆ เพราะตอนที่รถขับผ่านหน้าไปก็มองป้ายทะเบียนอยู่

เขากดโทรออกไปยังเบอร์ของคนที่เมมเอาไว้ว่าลูกหมา แต่กลับมีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาด้วยคำว่า ‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ นั่นน่ะ คนตัวเล็กเริ่มหงุดหงิด ไม่ว่าจะโทรไปซ้ำๆ อีกสามหรือสี่หนก็ยังคงได้รับการตอบกลับแบบเดิม พอโทรไม่รับจึงต้องทักแชททิ้งเอาไว้

it’s paint :
พี่ขับรถผ่านหน้าร้านผมปะวะ ทำไมไม่แวะอะ
ไปหาพี่นับมาเป็นไงบ้างอะ วันนี้ลูกค้าเยอะเพิ่งได้จับ
แล้วปิดเครื่องหรือแบตหมด
พี่เป็นไรปะเนี่ย

และอีกหลายข้อความที่เขากดส่งไปตามความคิดจนมันน่าจะเกินยี่สิบไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เปิดอ่านนั่นทำให้เขาลองโทรกลับไปอีกครั้ง แต่ก็ยังพบว่าปิดเครื่องอยู่เช่นเดิม

แล้วแบบนี้จะไปติดต่อได้จากใครล่ะวะ


*

ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
«ตอบ #51 เมื่อ20-10-2018 21:59:41 »


“มึงโอเคปะเนี่ย” เสียงของเพื่อนสนิทดังเข้ามาในโสตแข่งกับเสียงดนตรีที่บรรเลงเพลงเศร้าตอกย้ำคนอกหักแล้วมากินเหล้าได้อย่างดิบดี “เชี่ยคราม มึงไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอแดกขนาดนี้เดี๋ยวก็น็อคหรอก”

แม้จะได้ยินคำก่นด่าแต่ก็ไม่เป็นผล ครามยังคงรินน้ำสีอำพันลงในแก้วที่น้ำแข็งเริ่มละลาย หากชงเพิ่มอีกสักครั้งสองครั้งก็คงจะได้กินเหล้าเพียวๆ ตั้งแต่ยิ้มมาถึงที่นี่ก็เห็นว่ามันนั่งกินอยู่แล้ว แถมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไปเจออะไรมา เมื่อก่อนครามเป็นแบบนี้บ่อยจนเขาชินแต่พักหลังก็เริ่มเพลาๆ ลงไปแล้วก็เลยไม่รู้ว่าวันนี้ผีห่าซาตานที่ไหนลงถึงได้กลับมาซัดแบบไม่ยั้งมือ

“ยิ้ม” คนมีอาการมึนเมาเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงกระด้าง เพื่อนผิวแทนที่กำลังจะกระดกเหล้าได้แต่ชะงักแล้วมองด้วยความสงสัย “ไอ้ที่บอกว่ารัก ...รักจริงๆ มันเป็นยังไงวะ”

“ถามห่าไร แล้วกับไอ้นับมันไม่ใช่รักหรือไง” ยิ้มวางแก้วลงโดยที่ไม่คิดจะดื่มอีกต่อไป เพราะถ้าเปิดประเด็นมาอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าคงจะยาว ถ้าเขากินมีหวังได้คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเวลาเขาเมาก็เรียกได้ว่าหมาข้างทางยังพูดรู้เรื่องกว่า “มึงเป็นไรวะ”

“กูไม่รู้”

“อ้าว เชี่ยเลยกู”

ยิ้มไม่แน่ใจว่าที่ครามกำลังเป็นอยู่ตอนนี้เพราะใครกันแน่ระหว่างนับที่เพิ่งไปเจอมากับเด็กที่โพสสเตตัสเฟซติดกันถี่ยิบแบบน่าสงสัย เช่น ‘หายไปไหนวะ’ หรือ ‘เป็นห่าอะไรเนี่ย’ และอีกหลายข้อความที่แสดงออกถึงการตามตัวใครบางคน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าหมายถึงครามหรือไม่ เพราะส่วนตัวก็พอจะรู้มาบ้างว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์บางอย่างตั้งแต่ตอนไปเที่ยวด้วยกันครั้งก่อน อย่าหาว่าขี้เสือกแต่เขาแอบเห็นตอนที่มันทะเลาะกันในช่วงนั้น

เอาจริงๆ คือเขาเคยแอบคิดว่าชอบพู่กันเข้าให้เหมือนกันเพราะเด็กนั่นเป็นคนน่ารัก ใครอยู่ใกล้ก็อดหัวเราะไม่ได้ อีกอย่างดูเป็นเด็กขี้อ้อนไม่หยอก สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าความชอบตัวของเองก็แค่รู้สึกรัก ห่วง และเอ็นดูในฐานะน้องชายเท่านั้น

“นับไม่ชอบกู” เสียงแผ่วดังออกมาจากปากของคนที่เพิ่งวางแก้วเหล้าลง “กูเจ็บ ...แต่ไหว ไม่ตาย”

“เจ็บแต่ไหว แล้วนี่ห่าเหวอะไร ซัดไม่ยั้งขนาดนี้” ยิ้มถอนหายใจเพราะพอเขาถามแล้วแม่งก็เงียบ วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหมวะ “ไอ้คราม กูว่ามึงพอก่อนไหม ไม่งั้นกูจะโทรไปฟ้องเงินแล้วนะเว้ย”

“อย่า”

“อีกหนึ่งตัวเลือก คือมึงเล่ามาว่าเป็นเหี้ยอะไร มาแดกแบบนี้กูไม่รู้จะช่วยยังไง”

“สัดเอ๊ย” ครามสบถด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ยกมือขึ้นลูบใบหน้าและผ่อนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า เขาเริ่มรับรู้ได้ถึงไอความร้อนที่กระจายออกมาจากภายใน

สับสนเป็นคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ซีกหนึ่งของความคิดคือเขารู้ตัวแล้วว่าหวงพู่กันเอาเสียมากๆ ภาพตอนที่น้องยิ้มให้กับคนนั้นยังติดอยู่ในหัว ตั้งใจจะเมาเพราะอยากสลัดภาพนั้นออกไป แต่ดูเหมือนยิ่งแอลกอฮอล์เข้าสู่เส้นเลือดมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น ครามเห็นแก่ตัวและใจแคบเกินกว่าที่คนอื่นจะเข้าใจ อยากจะสั่งห้ามไม่ให้พู่กันยิ้มให้คนอื่นนอกจากเขา แต่สิ่งที่จะได้รับกลับมาคือคำถาม

เขาหวงพู่กันในฐานะอะไร

ทุกคำพูดขององศาเริ่มกลับมาตอกย้ำและชวนให้คิดอีกหนว่าจะทำอย่างไรหากเผลอไปชอบพู่กัน จะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่มันไปต่อไม่ได้ เพราะแค่ตอบตัวเองว่าชอบน้องไหมยังสับสนเพราะงั้นตัวช่วยของเขาก็เลยต้องกลายเป็นยิ้ม 

“คราม แค่มึงเล่า กูจะไม่เอาไปบอกใครเลยจริงๆ มึงอย่าแดกเยอะขนาดนี้ น็อคไปมันไม่คุ้มกัน” ยิ้มสวนขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่สามารถทนเห็นได้คนป่วยยัดแอลกอฮอล์เข้าร่างกายในปริมาณมากขนาดนี้ได้ ถ้าน้ำเงินรู้เรื่องมีหวังได้โกรธจนพองลมออกแก้มแน่ๆ “ถ้ามึงไม่หยุด กูต้องยื่นคำขาด”

“อะไร”

“มึงจะเล่าให้กูฟังคนเดียว หรือมึงจะให้น้องมึงรู้ด้วย” ไม่ว่าเปล่ายิ้มยังควักโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาโชว์ให้รู้ว่าไม่ได้แค่คิดจะขู่ หน้าจอโทรศัพท์มีเบอร์ของน้ำเงินเด่นหราเพียงแค่ปลายนิ้วแตะลงไปน้องก็จะรู้เรื่องทั้งหมดทันที “จะเอาไง”

“คนเหี้ย” ครามแค่นหัวเราะกับความเจ้าเล่ห์ของเพื่อนแต่ก็รู้ว่ายิ้มเป็นห่วง เขาในตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าที่จะแบกหน้าไปหาองศาแถมยังไม่อยากให้น้ำเงินต้องมาเป็นห่วงกับปัญหาที่ตัวเขาสร้างขึ้นมา “อะไรที่มึงเรียกว่าความรักวะ”

“กว้างเกิน จะให้กูตอบแบบไหน ปรัชญาเหรอ” ยิ้มขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะถอนหายใจ ขืนเป็นแบบนี้ต่อให้มีอีกร้อยชั่วโมงก็ไม่ได้เรื่อง เขาจึงต้องตัดสินใจถามตรงๆ “มึงเป็นแบบนี้เพราะนับหรือพู่กันวะ”

คนถูกถามชะงักและส่งสายตากลับมาเสมือนจะถามว่ารู้ด้วยเหรอประมาณนี้ แต่ยิ้มก็ทำได้เพียงโบกมือปัดๆ เพราะตอนนี้มันไม่สำคัญหรอกว่ารู้ได้ยังไง ถ้าจะมานั่งเล่าสาธยายก็กลัวจะเป็นเรื่องของเขาแทน

“ถ้ากูหงุดหงิดตอนเห็นมันไปกับคนอื่น...” คนเมาตั้งสติและเอ่ยถามแต่ก็ยังไม่บอกว่าคนที่เขาพูดคือใคร แม้จะตกใจที่เพื่อนพูดชื่อพู่กันขึ้นมาแต่หากเขาไม่เอ่ยปากถึงอาจจะทำให้มันไม่ถามซ้ำก็ได้ “มึงว่ากู...”

“มึงหึงหรือหวง อะไรก็ว่าไป แต่มันจะเป็นความรู้สึกนี้แน่ๆ” ยิ้มพูดแทรกโดยที่เขายังถามไม่ทันจบ “แต่กูขอถามอีกที ถึงจะตอบได้ชัด”

“จะถามอะไร”

“มันที่มึงว่า คือพู่กันหรือนับ”

“พู่กัน” ถ้าเป็นเมื่อก่อนครามก็อาจจะยั้งคิดว่าเป็นเพราะใคร แต่ในวันนี้เขาสามารถตอบได้โดยที่สมองประมวลคำตอบออกมาเป็นชื่อของน้องมันเลย

“ใช่จริงด้วยสินะ”

“มึงรู้ได้ไง”

“หยุด มึงหยุดก่อน ตอนนี้คนถามต้องเป็นกู มึงบอกมาก่อนความสัมพันธ์มึงกับน้องนี่ยังไง แบบถึงขั้นไหนแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วย” อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้คาดเดาได้อย่างไม่ยากเลยคือ เวลาครามไปไหนมาไหนชอบอัพรูปสถานที่ลงอินสตาแกรมซึ่งพู่กันก็จะลงถัดมาหลังจากนั้นหรือบางทีก็พู่กันลงก่อนแล้วเพื่อนเขาก็ตาม แม้จะไม่มีรูปคู่กัน ลงคนละเวลา หรือลงเพียงแค่พร็อบของสถานที่นั้นซึ่งแตกต่างกัน แต่มีหรือที่สายสืบแสนเสือกอย่างเขาจะปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้

“เซ็กส์ ตั้งแต่ตอนไปเที่ยว” สิ้นสุดเสียงของเขายิ้มได้แต่ร้องเชี่ยลากยาว “ตอนแรกมันแค่ผิดพลาด แล้วกูกับน้องเลิกยุ่งกันไปแต่มึงเข้าใจไหมยิ้ม กูทนให้มันเป็นคนแปลกหน้าไม่ได้”

“ช่วงที่มึงเมาเละๆ คราวนั้นด้วยปะวะ ที่ไอ้นับยังงงว่ามึงเป็นเหี้ยไร” ยิ้มเริ่มรื้อฟื้นเหตุการณ์เก่าๆ เพราะมีช่วงหนึ่งที่ครามก็กินแบบไม่บันยะบันยังโดยที่สาเหตุหลักปกติอย่างนับยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “กับน้องมันออกแนว friends with benefits ปะ”

“คงงั้น”

“แล้วกับน้องมึงตั้งกฏอะไรกันไว้”

“ห้ามบอกใคร” ครามนึกย้อนกฏที่น้องตั้งแล้วเขาก็จำมันได้จนขึ้นใจและกฎอีกข้อกำลังจะทำให้เขาหงุดหงิดจนบ้าตาย “ถ้าใครมีแฟนก่อนก็ต้องเลิกยุ่งกัน”

“คนที่มึงเห็นว่าน้องอยู่ด้วยเป็นใครอะ”

“ไม่รู้ แต่น้องบอกเขามาจีบ” พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็หัวเสียขึ้นมาอีกแล้ว “กูไม่มีสิทธิ์ไปห้ามแต่กูหวงว่ะยิ้ม กูไม่อยากให้น้องมันมีแฟน แล้วแม่งแบบ กูทำเหี้ยอะไรไม่ได้ มึงเข้าใจไหม”

“เข้าใจแต่ไม่หมด เพราะกูไม่ใช่มึง”

“กูบอกน้องไปว่าหวง พูดจริงๆ กูโคตรหวง ไม่อยากให้ใครมายุ่ง”

“ตัดพ้อขนาดนี้”

“...”

“มึงชอบน้องแล้ว รู้ตัวยัง” เสมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว พอจบประโยคของยิ้มมันเหมือนเขากลับไปเป็นเด็กหัดมีความรัก หัวใจมันเต้นแรงกับไอ้คำว่าชอบ นานแล้วที่ครามไม่ได้รู้สึกใจเต้นแรงขนาดนี้ “ไง อึ้งแดก ประมวลผล จะปฏิเสธไหม”

“คงไม่” ครามเอนหลังพิงโซฟากำมะหยี่ ยกมือขึ้นยีหัวตัวเองจนมันฟูยุ่ง สมองพร่าเบลอเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องของตัวเอง “มึงว่าน้องจะชอบกูไหม”

“อย่ามาถาม กูไม่ใช่น้อง ถ้ามึงอยากรู้ข้อนี้ให้ไปถามเอง”

“กูกลัวคำตอบ”

“ไอ้สัด อยากบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์” ยิ้มอึ้งไม่น้อยกับคำที่ครามพูดออกมา คนอย่างมันเคยกลัวอะไรที่ไหน ตอนเรื่องของนับหากจำไม่ผิดมันเคยพูดเพียงแค่ 'จะกลัวเหี้ยอะไร ถ้าไม่ชอบก็กลับมาเป็นเพื่อนกัน' แล้วดูตอนนี้กลับกลายเป็นคนละคนเลยด้วยซ้ำ

“กูชอบน้องจริงๆ ใช่ไหมวะ”

“ตอนอยู่กับน้องแล้วเป็นไง ...หยุด มึงไม่ต้องตอบกู แค่ตอบตัวเองให้ได้ ตอนมึงชอบนับเหมือนกับตอนนี้ไหม ถ้าเหมือนก็คือใช่”

“ทำไมกูถึงชอบน้องได้ ทั้งๆ ที่กูยังรู้สึกว่ายังชอบนับอยู่” มันเป็นเพียงความสงสัยที่ตัวเองอยากรู้ เพราะเขาปักหลักปักใจว่าชอบนับมาตลอด จะให้มาเปลี่ยนก็เลยกลัวว่าตัวเองอาจจะแค่เผลอหวั่นไหวไปกับความใจดีของพู่กัน

“กับไอ้นับกูว่ามึงลองคิดให้ดีก่อนไหมว่ามึงยังชอบอยู่จริงๆ หรือแค่ยึดติด” ครามมองหน้าเพื่อนนิ่งๆ และกำลังใช้ความคิดตาม “วันนี้มึงเจอมันมาเป็นไง”

“ก็ยังเจ็บที่โดนมันปฏิเสธ แต่ไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน”

“ก็เนี่ย ที่มึงไม่เจ็บเท่าเมื่อก่อนเพราะใจมึงมันไม่ได้อยู่กับไอ้นับแล้วไง แม่งก็แค่นี้ไหมวะ แต่ไอ้ที่มึงยังรู้สึกเจ็บอยู่นิดๆ เพราะมึงแค่รู้สึกผิดหวังหรือเปล่าที่มันไม่เป็นไปตามที่มึงคิด” ยิ้มว่าพลางยื่นนิ้วมาจิ้มลงตรงหัวใจเขาแรงๆ สามสี่ครั้ง “ภารกิจพิชิตใจไอ้นับมึงทำมันล้มเหลวไปนานแล้วนะเว้ย ตัวมึงเองรู้ดีว่ามันลืมพี่เข็มไม่ได้ มึงอาจจะเลิกรักมันแบบนั้นได้นานแล้วด้วยซ้ำ”

“...”

“ถ้ามึงยังคิดสับสน มึงแค่ตอบตัวเองให้ได้ระหว่างมึงโดนนับปฏิเสธกับเห็นพู่กันอยู่กับคนอื่น” เขาเว้นช่วงเพื่อให้เพื่อนได้คิดตามไปทีละขั้น พอมั่นใจว่าครามตามทันแล้วจึงพูดต่อ “ใครทำให้ใจมึงเจ็บมากกว่ากันในตอนนี้ ...กูย้ำนะว่าในตอนนี้”

“พู่กัน” ชื่อของรุ่นน้องดังแผ่วจากน้ำเสียงแหบแห้ง ไม่รู้ว่าครามรู้ตัวไหมว่าพูดออกมาหรือรู้ตัวแต่ตั้งใจพูดเสียงเบาเพราะกลัวว่าเขาจะได้ยิน แต่ไม่ว่าจะเป็นไปในทางไหนเขาก็ต้องพูดต่อไปเพื่อบอกให้เพื่อนได้รู้ตัวสักทีว่าคนที่มันชอบได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้ว

“ถ้าพู่กันทำให้ใจมึงเจ็บมากกว่า”

“...”

“ใจมึงก็อยู่ที่น้องแล้วไงวะ”

“...”

“มึงคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าต้องทำไงนะ”


*

พู่กันนั่งมองโทรศัพท์ที่มีแบตเหลือเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เนื่องจากไม่ได้ชาร์จตั้งแต่เมื่อคืน ได้แต่นั่งอ่านข้อความที่ตัวเองส่งไปหาครามซ้ำๆ จนไม่รู้ว่าเป็นข้อความเท่าที่ไหร่แล้ว รวมไปถึงประวัติการโทรออกไปหาเบอร์ที่เมมเอาไว้ว่า ‘puppy’  เพราะครามชอบทำตัวเป็นลูกหมาวุ่นวายแต่ก็เฝ้าบ้านได้ และเขาโทรไปเกือบร้อยสาย

“ยังติดต่อไม่ได้หรือไง” เหมยถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง จากเมื่อคืนที่พู่กันโทรมาปรึกษาว่าควรทำอย่างไรเพราะติดต่อครามไม่ได้ เขาก็อยากจะช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยแบบไหน จะให้โทรไปถามน้ำเงินว่าครามไปไหนก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่ได้สนิทกับรุ่นพี่ถึงขั้นที่จะถามไถ่

“อือดิ เป็นห่าอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้” พู่กันเป็นกังวลอย่างมากเพราะไปหาที่บ้านก็เจอเพียงแค่ความเงียบ แถมยังไม่กล้าบอกเหมยว่าไปหาครามที่บ้านมาเมื่อคืน “กูมั่นใจว่าใช่พี่มันจริงๆ นะเว้ย”

“อาจจะแบตหมด” ไม่รู้ว่าควรจะพูดแบบไหนไม่ให้คิดมาก แต่สิ่งที่เขามองออกคือความรู้สึกของเพื่อนที่ก้าวเข้าไปมากกว่าเดิมจนคิดว่าอาจจะถอนตัวไม่ทันแล้ว “พู่กัน”

“ว่า”

“มึงถอยไม่ได้แล้วใช่ไหม” คนที่นั่งจ้องแต่โทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมองทันที พู่กันถอนหายใจเบาๆ และวางเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมในมือลงบนโต๊ะ ยังคงลังเลว่าควรจะเล่าให้เหมยฟังดีไหมเรื่องที่ครามบอกว่าหวงเขาในวันก่อน มันเป็นคำพูดเดียวที่พาลให้ใจเขาถลำลึกลงไปมากกว่าเดิม “มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”

“…”

“ไม่บังคับ”

“พี่มันบอกหวงกู” เหมยอึ้งไปเล็กน้อยตอนที่เขาพูดจบ สองมือเล็กยกขึ้นมาปิดหูเพราะรู้ว่าสิ่งที่จะตามมาคือคำด่า พู่กันนั่งมองเพื่อนตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ “อ้าว มึงไม่ด่ากูอ่อ”

“ด่าแล้วได้อะไร”

“...”

“ด่าไปมึงก็ชอบเขาอยู่ดี”

บทสนทนาของเราจบลงตอนที่น้ำเงินเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่พู่กันมีเรื่องมากมายอยากจะถามเพื่อนสนิท แต่ติดตรงสิ่งที่อยากรู้มันเป็นความลับ หากถามออกไปก็มีแต่ทำให้เพื่อนแคลงใจ เนื่องจากน้ำเงินรู้เพียงแค่ว่าเขาไม่ถูกกับคราม แม้จะไกล่เกลี่ยให้กลับมาคุยกันแล้ว แต่เวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขาก็พูดกันแบบนับประโยคได้

“เหมย! กูจะฆ่ามึ้งงง” เสียงตะโกนที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังจนเจ้าของชื่อต้องหันไปมอง แฝดคนน้องวิ่งมาแบบสี่คูณร้อยก่อนจะใช้แขนรัดคอคล้ายโกรธเคืองกันมาสิบชาติ ถัดมาจากนั้นไม่ถึงนาทีเพลิงก็ตามมาสบทบติดๆ “มึงทำแบบนี้ได้ไง ห๊า!”

“หมิงปล่อยเหมยก่อน เดี๋ยวหายใจไม่ออก” น้ำเงินที่นั่งอยู่เอ่ยห้ามด้วยสีหน้าตระหนก แม้จะเคยชินกับการทะเลาะกันของสองแฝด แต่ถ้าไม่ห้ามมีหวังเหมยได้ขาดอากาศหายใจตายแน่

“มึงไปตกมันที่ไหนมาวะ” พู่กันถามเสียงติดหัวเราะเมื่อหมิงรัดคอแฝดพี่ชายอย่างเอาเป็นเอาตายจนเพลิงต้องมาจับให้แยกออก


“แค่ก—” เหมยสำลักก่อนตวัดสายตาไปถามด้วยสายตาว่าไปทำอะไรให้

“มึงทำลายเวลานอนกู ไอ้เชี่ยๆๆๆๆ”

“ทำอะไร”

“ทำไมมึงไม่รับสายเพ่ย น้องโทรมาจิกกูตั้งแต่เช้า” หมิงบ่นอุบก่อนจะควักโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาโชว์ว่าเพราะเหมยไม่รับสาย ทำให้เขาต้องคุยกับเพ่ยเพ่ยตั้งหนึ่งนาที แต่การกระทำของหมิงกลับทำให้พี่ชายฝาแฝดถอนหายใจออกมาดังเฮือก “มึงจะถอนหายใจใส่กูไม่ได้สิเหมย”

“หมิงน่ารำคาญ”

“ไอ้เหม๊ยยยยยย!” พอโดนว่าเข้าแบบนั้นหมิงก็ทำทีจะกระโจนเข้ามาบีบคอแต่คนพี่รู้ทันจึงหันไปดันหน้าผากไว้ “นั่นคู่หมั้นมึงนะโว้ยยยย”

“เดี๋ยว หมั้นเหรอวะ ไอ้เหี้ย” เพลิงท้วงขึ้นมาอย่างสงสัย ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าเพ่ยเพ่ยเป็นคนที่ป๊าไอ้แฝดดูตัวไว้ให้เพราะอยากให้มีครอบครัว เคยถามหมิงก็บอกว่ายังไม่รู้รายละเอียดมากเพราะเหมยตั้งใจว่าจะคุยเรื่องงานแต่งหลังเรียนจบ “ไหนมึงว่าเรียนจบไง”

“ป๊ากูจะให้หมั้นไว้ก่อนอะดิ กลัวไอ้เหมยชิ่ง”

“แล้วไอ้เหมยมึง...”

“เฮ้ย เงินเป็นไร” พู่กันจำต้องท้วงขึ้นมาขัดจังหวะเพลิงด้วยน้ำเสียงตระหนกตอนเห็นเพื่อนสนิทนั่งนิ่งหลังจากปล่อยโทรศัพท์ที่อยู่ในมือตกลงบนโต๊ะ และมันน่าตกใจมากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้นเมื่อเจ้าของเรือนผมสีดำร้องไห้ออกมา “น้ำเงิน เฮ้ย ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร บอกพู่”

เพื่อนอีกสามคนทำอะไรไม่ถูก ไอ้ที่บอกว่าให้ตั้งสติควรจะเป็นพวกเขามากกว่าที่ลนลาน สุดท้ายแล้วคนที่มีสติที่สุดในกลุ่มคือเหมย รายนั้นคว้าเอาโทรศัพท์ในมือของน้ำเงินขึ้นมาดูว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เพื่อนตัวจ้อยร้องไห้ออกมาขนาดนี้

(หนู ฟังพี่อยู่ไหม ...น้ำเงินครับ)

“พี่” เหมยเพียงแค่พูดออกไปสั้นๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าคนที่ฟังอยู่ไม่ใช่น้ำเงิน

(เหมย ฝากดูน้ำเงินหน่อยครับ พี่กำลังวนรถกลับไปรับ) น้ำเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ดูตระหนกไม่แพ้กัน คนฟังขมวดคิ้วยุ่งขณะหันไปมองเจ้าของโทรศัพท์ที่ตอนนี้ร้องไห้จนเหมือนคนขาดสติ

“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ”

(ครามอยู่โรง’บาลครับ ฝากดูน้ำเงินให้พี่หน่อย อย่าให้น้องไปไหนนะ)

“ตกลงมีอะไรวะ” เพลิงถามก่อนที่หมิงและพู่กันจะหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว เพราะอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เหมยวางโทรศัพท์ลงแล้ว “ไอ้เหมย”

“พี่ครามอยู่โรงบาล” สิ้นสุดคำพูดของเหมยไม่ได้คงไม่ได้มีเพียงน้ำเงินที่เป็นห่วง ดวงตาเรียวรีตวัดมองเพื่อนอีกคนที่โทรหาและส่งข้อความหาครามทั้งคืน และเป็นอย่างที่คิดพู่กันในตอนนี้นั่งนิ่งไปเสียแล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็คงต้องรอจนกว่าองศาจะมาถึงที่นี่

และหวังเพียงว่าพู่กันจะไม่สติแตกไปอีกคน

*

tbc
พี่เขารู้ตัวแล้วค่ะแม่ๆ อย่าด่าเย้อะะะะ 55555 อยากบอกว่ารัก เดี๋ยวพาไปเล่นในสวนสนุก ไวกิ้งๆๆ
ส่งคอมเมนต์ให้กำลังใจหรือแปะแท็กได้ที่ #โซ่สีคราม นะงับ ขอบคุณทุกๆ คนมากนะคะ T____T

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
«ตอบ #52 เมื่อ20-10-2018 22:49:13 »


……

เกิดอะไรขึ้นกับคราม????

ทั้งพู่กันและครามต่างก้อเริ่มรู้ใจตัวเองละ แต่จะได้คุยกันไหม

หรือต้องให้มีตัวช่วยนะ


 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:



ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
«ตอบ #53 เมื่อ21-10-2018 01:49:58 »

ว้ากกกกกก ค้างสุดๆๆครามเป็นไรอีกงะะ

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
«ตอบ #54 เมื่อ21-10-2018 06:08:37 »

เรื่องเหมือนจะชัดเจนขึ้นนะ ถ้าไรท์ไม่แกล้งคนอ่านให้ปวดจิตอีก

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
«ตอบ #55 เมื่อ21-10-2018 07:45:47 »

พี่ครามมมมมมม อิพี่นี่แม่งทำน้องพู้เป็นห่วง พี่เมาแล้วขับใช่มั้ย

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 08 ; (20/10/61)
«ตอบ #56 เมื่อ25-10-2018 01:11:40 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
«ตอบ #57 เมื่อ25-10-2018 20:33:16 »

09
worst battle


//


“เราบอกเฮียแล้วใช่ไหมว่าอย่าหักโหม” เสียงของน้ำเงินดังขึ้นทำลายความเงียบ ภายในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งอยู่ กลุ่มเพื่อนของเขาบอกว่าจะตามมาทีหลังเพราะจำเป็นต้องเข้าคลาสไปเลคเชอร์วิชาสำคัญ องศากับนับยังคุยอยู่กับหมอพัต ส่วนคนที่แบกครามมาโรงพยาบาลอย่างพี่ยิ้มพอเจอหน้าองศาก็รีบถ่อกลับไปบ้านเพื่อจัดเสื้อผ้าเตรียมบินไปญี่ปุ่นกะทันหันเนื่องจากลูกพี่ลูกน้องป่วยหนัก

ความจริงคือหมอพัตสั่งให้แอดมิทเพราะอยากดูอาการก่อน แต่คนป่วยตั้งท่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านอย่างเดียวด้วยความที่น้ำเงินเป็นห่วงจึงขอให้อยู่ สุดท้ายครามก็ต้องยอมแพ้และไม่ขัดใจเนื่องจากรู้สึกผิดที่ทำให้น้องชายต้องร้องไห้จนตาบวม

“เฮียก็...”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนะ” คนเป็นพี่ชายทำหน้าหงอยเมื่อโดนดุ ปกติน้ำเงินจะไม่งอแงใส่ขนาดนี้แต่ครามรู้ว่าน้องเป็นห่วงแค่ไหน “เราโกรธเฮียจริงๆ ด้วย”

“เฮียขอโทษครับ”

“เราบอกเฮียแล้วว่าถ้าไม่ไหวก็พัก เราตกใจมากๆ ตอนพี่ศาโทรมาบอก” น้ำเงินบ่นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปใกล้ๆ เตียงคนป่วย เขามองหลังฝ่ามือของครามที่มีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ ไหนจะผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมที่ปิดแผลตรงศีรษะ ครามวูบแล้วล้มแถมยังโชคร้ายเพราะหัวดันไปกระแทกกับขอบโต๊ะ “ตอนล้มลงไป... เฮียเจ็บหรือเปล่า”

“ไม่เจ็บครับ เฮียไม่รู้สึกตัวเลย ...ไม่ร้องไห้สิ ไม่เป็นอะไร...”

“เดี๋ยวพี่พัตจะมาดู” เสียงของผู้มาใหม่อย่างนับเงินดังขัดจังหวะ อีกฝ่ายเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครได้สังเกต อาจเพราะเสียงประตูนั้นเบาเกินกว่าที่จะได้ยินเวลาที่มีคนเปิดเข้าออก หมอพัตเป็นเพื่อนของเข็มทิศนั่นเลยทำให้นับมีความสนิทใจมากพอที่จะเรียกแทนตัวหมอว่าพี่ “น้ำไม่ต้องห่วงนะ ไม่เป็นอะไรแล้ว มันตายยาก”

“ขอบคุณนะครับพี่นับ” น้ำเงินยิ้มก่อนจะโดนพี่นับโยกหัวไปมาด้วยความเอ็นดู “แล้วพี่ศาล่ะครับ”

“ไปมินิมาร์ทครับ เห็นบอกจะไปหาอะไรให้น้ำกิน นี่มันทำตัวไม่ถูกเลยตอนน้ำร้องไห้ บ่นมาตลอดทาง” คนฟังได้แต่เม้มปากเพราะเขาทำให้องศาเป็นห่วง ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่ชายที่นั่งอยู่บนเตียง โดยที่ครามเองก็รู้ว่าน้องจะพูดอะไร

“ไปหาศาก็ได้ครับ เฮียอยู่ได้ แต่หนูต้องขึ้นมาหาเฮียนะ”

“อื้อ เราก็ต้องขึ้นมาอยู่แล้ว คืนนี้เราจะนอนเฝ้า” น้องชายแตะฝ่ามือลงบนหน้าผาก ไอความร้อนยังคงกระจายอยู่ทั่วเพราะพิษไข้ยังคงอยู่ “เดี๋ยวเรามาคิดบัญชีเฮียแน่”

“หยิบที่อุดหูรอแล้วครับ ...อย่าขยี้ตานะ” คนพี่พูดเสียงติดหัวเราะก่อนยกมือไปเกลี่ยแก้มให้กับเด็กดื้อเบาๆ เขามองน้องชายเดินออกไปจากห้องทำให้เหลือเพียงแค่นับที่นั่งอยู่แทน “ถ้ามึงมีธุระก็ไปทำ กูอยู่คนเดียวได้”

“ป่วยแล้วงอแงอะไรของมึงอีก” เจ้าของร่างบางเอนหลังพิงโซฟาขณะที่สายตายังคงจ้องไปที่คนบนเตียงที่ถอนหายใจหนัก

“เปล่า”

“กูมากกว่าไหมที่ต้องโกรธมึง กูไม่บอกน้ำว่ามึงสัปดนไปกินเหล้าทั้งที่รู้ว่าป่วยก็บุญแค่ไหนแล้ว นี่ถ้าไอ้ยิ้มไม่อยู่ด้วยมึงได้นอนแหมะอยู่ที่บ้านคนเดียวแน่ กว่าจะรู้ก็น็อคตายแล้วมั้ง” นับตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หมอพัตบอกอาการวูบของครามเกิดจากหลายสาเหตุทั้งป่วยทั้งดื่มแอลกอฮอล์ ไหนจะพักผ่อนน้อยอีก ก็จะไม่ว่าอะไรเลยสักคำหากเมื่อวานหลังจากเจอเขาแล้วครามกลับไปนอนพักอยู่ที่บ้านไม่ออกไปร่อนไหน แต่มันดันทุรังแบกร่างตัวเองไปผับแล้วกลับตอนตีสามแถมยังคิดจะหิ้วสารร่างตัวเองเข้ามหา'ลัยอีก โชคดีที่ยิ้มไปนอนค้างที่บ้านด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้ตามตัวกันวุ่นเพราะมันปิดเครื่องจนติดต่อไม่ได้

“ขอบคุณแล้วกัน” ครามว่าพลางเอนตัวลงบนที่นอนบ้าง เขาคงพูดอะไรมากกว่าคำขอบคุณไม่ได้ ไอ้เมื่อคืนที่หนีไปกินเหล้ามันแน่ชัดแล้วว่าเป็นเพราะพู่กัน

“โทรศัพท์มึงไปไหน”

“อยู่บ้าน”

“ปิดเครื่อง?”

“เออ”

“มึงนี่แม่ง” นับลุกขึ้นไปหาแล้วถอนหายใจเบาๆ ระหว่างเขากับครามมันตึงมาตั้งแต่ที่อีกฝ่ายชวนไปทะเล ซึ่งเขาก็ตอบตกลงไปง่ายๆ เพราะอยากจะใช้เวลานั้นบอกครามให้ตัดใจอย่างจริงจังสักที แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเขาที่เบี้ยวนัดเพราะต้องบินไปสิงคโปร์เพื่อเปิดตัวแบรนด์ของที่บ้านกับครอบครัวและพี่เข็ม ก็เลยคิดว่าตัวเขาอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพื่อนสนิทพาตัวเองไปเมาทั้งที่สภาพร่างกายไม่เต็มร้อย แต่ความคิดก็ไม่ถูกต้องหลังได้ฟังเรื่องราวจากยิ้มคร่าวๆ “หันมา”

“กูจะนอน” คนที่นอนหันหลังอยู่ขานออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แม้จะรู้ว่าไม่ได้ชอบนับแล้วแต่มันก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี

“หันหน้ามา”

“อะไร”

“กูสั่งให้หันมา” ด้วยความที่ไม่อยากมีปัญหาเจ้าของใบหน้าซีดจากพิษไข้จึงหันมาตามคำสั่ง ก่อนสองแก้มจะโดนประกบด้วยฝ่ามือเรียวสวย “มึงไปกินเหล้าเพราะกูปฏิเสธมึงเหรอ”

“ไม่”

“แต่เป็นเพราะน้องพู่ใช่ไหม” ครามชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เพราะไม่อยากปฏิเสธสิ่งที่รู้สึก “ตั้งแต่ตอนไหนวะ”

“กูไม่รู้”

“มึงชอบน้องจริงๆ ใช่ไหม” นับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเพียงแค่เป็นห่วงเพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทอาจจะแค่หวั่นไหว และมันคงไม่ดีนักหากไปรู้ตัวเอาทีหลังว่าไม่ได้ชอบจริงๆ เพราะถ้าเกิดน้องพู่ชอบครามขึ้นมามันคงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย เขาไม่ได้คิดอยากจะกั๊กหรืออะไร ถ้าครามชอบน้องพู่จริงๆ ก็จะดีใจด้วยเพราะน้องเป็นเด็กที่น่ารักมากๆ คนหนึ่งจากตอนที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งนั้น “มึงไม่ได้แค่...”

“นับ ความรู้สึกกูมันจริงทุกอย่าง กูแน่ใจว่าไม่ได้แค่เหงาหรือชอบเพราะน้องมันใจดี กูทบทวนมาทั้งคืนแล้ว” เสียงทุ้มพูดออกมานิ่งเรียบ มือใหญ่จับมือเพื่อนให้ออกจากไปจากใบหน้า “ที่กูชอบมึงมันก็จริง”

“…”

“ที่กูชอบน้องมันก็จริงเหมือนกัน กูไม่ได้พูดพล่อยๆ ว่าชอบน้องเพราะมึงไม่รักกู อีกอย่างกูคงเลิกรักมึงแบบนั้นได้นานแล้ว” จากที่นับพยายามบอกให้เราคุยกัน ครามคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วจริงๆ ไม่ต้องฝืนหรือพยายามต่อไปอีกแล้ว “กูพูดตรงๆ ว่ากูเจ็บตอนที่มึงบอกไม่รัก กูเจ็บทุกครั้งเลยนับ”

“กูขอโทษ”

“มึงไม่ต้องขอโทษ เพราะวันนี้กูไม่ได้เจ็บเหมือนก่อนกับมึงกูคงด้านไปนานแล้วว่ะ แล้วกูก็เพิ่งรู้ว่าจริงๆ แค่ผิดหวังเพราะเหมือนเล่นเกมผ่านทุกด่านแต่ไปตายเอาด่านบอส เล่นกี่รอบก็ตายแล้วกูคาดหวังว่าจะผ่าน แต่ไม่ กูผ่านไปไม่ได้ มันก็เลยรู้สึกเจ็บ” เขาหัวเราะเบาๆ “กูบังคับให้มึงมารักกูไม่ได้หรอก”

“แล้วมึงกับกู...”

“เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม” ครามพูดเสียงนิ่งเรียบ หากแต่นับกำลังจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เพราะตอนแรกสิ่งที่กลัวมากๆ คืออีกฝ่ายไม่อยากจะเป็นเพื่อนกันต่อไป “กูขอโทษที่ทำให้มึงอึดอัดมาตลอด แต่กูไม่รั้นแล้วว่ะนับ”

“กูขอโทษทุกอย่างเลย ขอโทษ ... ฮึก ที่ทำเหมือนให้ความหวังมึงด้วย...” นับร้องไห้ออกมาได้อย่างไม่อาย ความรู้สึกทุกอย่างมันเหมือนถูกปลดล็อค “ขอโทษจริงๆ”

“ไม่ได้ผิดที่มึงคนเดียวหรอก กูรู้มาตลอดว่ามึงลืมพี่เข็มไม่ได้แต่ก็ยังคาดหวัง” เขาไม่อยากโทษว่ามันเป็นความผิดของนับคนเดียว ถ้าจะผิดก็คงจะเป็นเราทั้งคู่ที่เล่นตลกกับความรู้สึกของตัวเองมาตลอด “ไม่ต้องห่วงใจกูแล้วนับ มึงห่วงใจมึงเหอะ”

“แล้วน้อง...”

“ไม่รู้ กูไม่รู้ว่าน้องชอบกูไหม” ครามแทรกขึ้นมาเพราะคำถามของนับก็คงไม่พ้นว่าพู่กันชอบเขาหรือเปล่า “กูอาจจะผิดหวังเหมือนตอนที่รักมึงก็ได้”

“…”

“แต่กูชอบน้อง” เขายืนยันอีกครั้ง สิ่งที่เขาจะพูดถัดจากนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอยากประชดแต่อย่างใด แต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ที่เขาอยากจะบอกให้นับได้รับรู้ว่าไม่ต้องคิดอะไรอีกต่อไปแล้วในเรื่องของเรา “แล้วกูคงชอบมากกว่าตอนที่ชอบมึง”

เพราะหลังจากนี้มันจะมีแค่เรื่องของครามกับพู่กัน

*

 “ลงไปก่อนไหม” พู่กันเบ้ปากตอนได้ยินเพื่อนสนิทเอ่ยปากไล่ เขากวาดสายตามองหาที่จอดรถบนลานโดยไม่ตอบคำถามจนเหมยต้องพูดออกมาอีกครั้ง “เดี๋ยวหาที่จอดแล้วตามไป”

“ไปพร้อมกันก็ได้ กูไม่ได้...”

“ห่วงเขาก็ไปดู” ไม่รอให้พู่กันได้พูดจบเหมยก็แทรกขึ้นอีกครั้งขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนถนน ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้รถถึงได้เยอะเป็นพิเศษเพราะวนหาที่จอดมาประมาณสามรอบได้แล้ว

กว่าจะเลิกคลาสก็ใช้เวลานานพอสมควร เขารู้ว่าตอนนั่งเรียนในคลาสพู่กันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเนื่องจากห่วงคนที่นอนอยู่โรงพยาบาลแถมยังแทบไม่ได้จดในสิ่งที่อาจารย์พูด พอเลิกก็เลยต้องรีบขับรถพามาก่อน ซึ่งทีแรกเขาโดนป๊าโทรตามกลับไปที่บ้านเรื่องเพ่ยเพ่ย แต่ด้วยความห่วงพู่กันก็เลยสั่งให้หมิงไปรับหน้าแทนก่อนและเพลิงก็กลายเป็นองครักษ์ห้อยตามไปด้วย เวลาที่เพื่อนเขาไปบ้านป๊ามักจะไม่ค่อยกล้าดุอะไรมากนัก

โชคดีที่แฝดน้องไม่ได้ท้วงหรืองอแงอะไรแถมยังฝากให้ดูน้ำเงินด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เหมยไปรับพู่กันที่บ้านเพราะเจ้าตัวเอามอเตอร์ไซค์ไปเก็บ เพื่อนตัวจ้อยขับรถใหญ่ไม่เป็นและมันคงอันตรายเกินไปหากให้ขี่มาที่โรงพยาบาลทั้งที่จิตใจมีแต่ความกังวล อีกอย่างหนึ่งที่เขาอาสามาส่งก็เพราะเป็นห่วงเพื่อนอีกคนที่ร้องไห้จนเหมือนจะขาดใจตอนรู้ว่าครามอยู่โรงพยาบาลนั่นด้วย แม้จะรู้ดีว่าน้ำเงินมีองศาดูแลอยู่แล้วก็ตาม

“กูรอไปพร้อมมึงดีกว่า”

“ลงไป” พู่กันร้องอ้าวทันทีที่โดนเอ่ยปากไล่อีกครั้ง “สามวิ”

“มึงไล่กูอ่อ”

“อืม อย่าลีลา” น้ำเสียงดุๆ นั่นทำให้เพื่อนข้างกายต้องปลดเข็มขัดนิรภัยออก “เดี๋ยวตามไป”

“ขอบคุณมากนะมึง”

พู่กันรอจนเหมยขานตอบก่อนรีบลงมาจากรถ อย่าหาว่าเวอร์เกินไปแต่ใจเขาตอนนี้มันพาเดินไปหาครามแล้ว ยอมรับว่าเขาไม่มีสติเลยตอนรู้เรื่องแต่ก็ต้องพยายามไม่แสดงอาการอะไรมากนัก ความรู้สึกเป็นห่วงมันโถมเข้ามาหมด อยากรู้หลายๆ เรื่อง อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงปิดโทรศัพท์ ไปทำยังไงถึงได้ล้มจนหัวฟาดโต๊ะและเจ็บมากหรือเปล่า

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนกดโทรหาน้ำเงินเพราะไม่รู้ว่าครามอยู่ห้องไหนชั้นไหน ยังดีที่พวกเพื่อนบอกเอาไว้ว่าเลิกคลาสแล้วจะเข้ามาเยี่ยม ไม่อย่างนั้นมันคงผิดสังเกตหากเขาเป็นคนเดียวที่มาหาคราม

“เงิน พี่มึงอยู่ชั้นไหนนะ” กรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับ ร่างบางเดินจ้ำๆ ไปหน้าลิฟต์และรอให้เจ้าตู้สี่เหลี่ยมนั่นลงมาจากชั้นเก้า ดวงตาไล่มองตัวเลขที่กำลังลดลงเรื่อยๆ “ห้องด้วย”

(ชั้นเจ็ด ห้องห้า พู่มาถึงแล้วเหรอ)

“เออ มึงอยู่ห้องปะ”

(ไม่ๆ เราอยู่มินิมาร์ทกับพี่ศา แต่พู่ขึ้นไปได้เลย เรารอจ่ายเงินเดี๋ยวก็ขึ้นไปแล้ว ...เอ้อ แล้วพู่จะเอาอะไรไหมเราจะซื้อไปให้)

“ไม่เอา มึงซื้อเสร็จก็ขึ้นมาเหอะ” เขากดวางสายเมื่อเพื่อนสนิทขานตอบก่อนจะก้าวขาเข้าไปภายในลิฟต์ทันที นิ้วเรียวกดไปยังชั้นเจ็ด ถ้าขึ้นลิฟต์ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่พู่กันก็ร้อนใจเลยมีความรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน เขาตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าเจอหน้าครามจะด่าเอาสักทีโทษฐานที่ทำให้เขาเป็นห่วงและเรียนไม่รู้เรื่อง

พอเสียงแจ้งเตือนของลิฟต์ดังขึ้นในชั้นที่กำหนด ร่างบางรีบก้าวขาฉับๆ ก่อนเดินตรงไปหาห้องเจ็ดศูนย์ห้าด้วยความเร่งรีบ พอหยุดอยู่หน้าประตูก็เปิดเข้าไปโดยที่ไม่ทันได้เคาะเพราะคิดว่าครามอยู่คนเดียว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาผิดเวลาเกินไปหน่อย

พู่กันถอยหลังออกมาทีละก้าวและกลับมายืนอยู่หน้าห้องด้วยเวลาที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งนาที ความรู้สึกชาเกิดขึ้นชั่วขณะ แม้จะเห็นเพียงแค่ด้านหลังก็พอจะมองออกว่าท่าทางอย่างนั้นคืออะไร ใบหน้าที่อยู่ในระดับเดียวกันและสองมือที่ประคองไว้ ...พี่ครามกับพี่นับน่ะ

ก็จูบกันไม่ใช่เหรอ

พอกลับมายืนอยู่หน้าห้องก็ลังเลว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์เมื่อครู่และเขาก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ลิฟต์โดยที่ไม่เปิดเข้าไปให้คนป่วยเจอหน้าอีก เพราะความรู้สึกมันบอกว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป ครามเคยบอกเขาว่ากับนับเคยเพียงแค่กอดและจับมือ ไม่เคยมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น แต่ที่เห็นเมื่อกี้นั่นก็หมายถึงว่าทั้งสองคนตกลงกันได้แล้วใช่หรือเปล่า

เมื่อคืนครามไปไหนมาเขาก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่ที่ถามไปในแชทว่าคุยกับพี่นับแล้วว่ายังไงบ้างตอนนี้ก็รู้คำตอบแล้ว ภาพที่เห็นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว และที่ครามปิดโทรศัพท์ก็คงเพราะอยู่กับพี่นับคงไม่อยากให้เขารบกวน มีค่าเวลาเหงาสัดๆ สองขาพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าลิฟต์โดยที่เฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่สำหรับคราม

ริมฝีปากเล็กขบกัดเข้าหากันทีละนิด ทำไมต้องรู้สึกใจสั่นเหมือนจะขาดเสียให้ได้ และมันคงเป็นความโชคร้ายซ้ำสองที่ทำให้เขาเจอน้ำเงินกับพี่องศาตอนประตูลิฟต์เปิดออก หากรู้ว่าลิฟต์ตัวที่กำลังรอมีเพื่อนเขาอยู่พู่กันก็คงจะไม่ยืนอยู่ตรงนี้ แม้จะเป็นชั้นเจ็ดแต่เขาก็จะวิ่งลงไป

“อ้าว พู่จะไปไหน ไม่เข้าไปหาเฮียเหรอ”

“กูมีธุระด่วนว่ะ ...เดี๋ยวไว้กูมาใหม่นะ ค่อยคุยกันนะมึง”

เพิ่งจะรู้ว่าวันนี้เขาโกหกได้ไม่เนียนสุดๆ พู่กันรีบวิ่งเข้ามาก่อนปิดประตูลิฟต์เพราะเกรงว่าเพื่อนสนิทจะซักอะไรมากกว่านั้น และเขาก็คงทนไม่ไหวหากจะพูดในสิ่งที่เห็นแบบไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้หัวใจมันรู้สึกเจ็บไปหมด พู่กันผ่อนลมหายใจออกเพื่อพยายามปรับสติของตัวเองให้เป็นปกติ แต่ภาพที่เห็นก็ยังคงชัดเจนอยู่ภายในสมอง กัดริมฝีปากแน่นและก้มหน้าลงตอนที่ลิฟต์จอดเพื่อรับคนอื่นเข้ามาด้วย

ที่เขาเป็นอยู่มันเรียกว่าอกหักใช่ไหมนะ ถ้าใช่ ...ก็เพิ่งเข้าใจว่าอาการของคนอกหักมันเจ็บเหมือนจะขาดใจก็วันนี้

มือไม้มันสั่นจนเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ขอบตาร้อนผ่าวแบบน่ารำคาญ แถมยังรู้สึกเหมือนมีเข็มเป็นร้อยมาทิ่มอยู่ตรงหัวใจ ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยจริงๆ ไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องเก็บความอึดอัดทุกอย่างเอาไว้ก่อน ทั้งที่ใจเขามันร้องไห้ออกมาตั้งแต่ตอนออกมายืนอยู่หน้าห้องแล้ว เขาหยิบเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดโทรออกไปที่เบอร์ของเหมยเมื่อลิฟต์หยุดลงที่ชั้นหนึ่ง

พู่กันเดินออกมาระหว่างรอให้ปลายสายกดรับ สองขาเสมือนไม่มีแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ แรงโน้มถ่วงเป็นห่าเป็นเหวอะไรกับไอ้แค่อกหักวะ รออยู่ไม่นานนักเหมยก็กดรับสายโดยที่เขาไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เพราะมันติดอยู่ที่ปาก

(ว่า) เขานิ่งไปตอนที่ได้ยินเสียงเหมยจนอีกฝ่ายต้องพูดซ้ำ (พู่กัน)

“มึง... อยู่ไหนวะ” ทำไมมันถึงได้อ่อนแอไปหมดเพียงแค่ได้ยินชื่อตัวเองจากปากเพื่อนสนิทอกหักก็เจ็บแค่ที่ใจไปดิทำไมต้องมาพาลให้ใจสั่น เสียงสั่นไปหมดด้วยวะ แม่ง

(ร้องไห้?)

“เหมยกู ...” ไม่ทันที่จะปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติคนในโทรศัพท์ก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

(อยู่ไหน)

“หน้าตึก”

(รอตรงนั้น เดี๋ยววนไป) เขาขานตอบไปเบาๆ ก่อนจะกดวางสายเพื่อรอให้เหมยมารับ

พู่กันไม่ใช่คนเข้มแข็งมากพอที่จะเก็บความเจ็บปวดทุกอย่างเอาไว้ได้โดยไม่แสดงออกมา เขามันวางใจเกินไปจนปล่อยให้ตัวเองรู้สึกได้มากมายขนาดนี้ ถ้าเชื่อเหมยตั้งแต่แรกมันก็คงจะไม่เกินขึ้น ไม่น่ารั้น ไม่ควรปล่อยให้ชอบ และไม่ควรเพ้อฝันไปกับคำว่าหวงของครามเลยจริงๆ

รออยู่ไม่ถึงสิบนาทีรถของเหมยก็วนมาเทียบหน้าตึก พู่กันรีบเดินอ้อมไปขึ้นรถด้วยความรวดเร็วเสมือนว่าพื้นที่ที่ยืนอยู่ไม่ใช่ที่ปลอดภัยของตัวเองอีกแล้ว

“ยังไม่ต้องเล่า” เหมยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเมื่อเห็นว่าพู่กันจ้องหน้าเขาเสมือนมีอะไรอยากจะบอก “ถ้าไม่ไหวก็ร้องมา”

เจ้าคนตัวเล็กที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ตั้งแต่ที่เห็นภาพนั้นไม่สามารถกักเก็บไว้ได้อีกต่อไป เหมยกระทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไปวางบนหัวไหล่แล้วบีบเบาๆ ที่ทำได้แค่นี้เพราะกำลังขับรถอยู่ คนที่ได้รับการปลอบโยนจากคนปลอบคนไม่เป็นก็พาลสะอื้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหัวใจก่อตัวขึ้นซ้ำๆ จนใจมันพรุนไปหมดแล้ว

พู่กันเอนตัวพิงกับเบาะรถก่อนยกมือขึ้นมาปิดหน้าเพราะไม่อยากให้เหมยกังวลใจมากนัก เขารู้ดีว่าเหมยไม่ชอบคนร้องไห้เพราะปลอบคนไม่เก่ง แต่เสียงสะอื้นของเขาก็ยังทรยศจนได้รับรู้ว่าบางเรื่องมันก็มากเกินกว่าที่จะแบกมันเอาไว้

เหมยได้แต่นั่งฟังเสียงสะอื้นของเพื่อนตัวเล็กแทนการเปิดเพลง ปล่อยให้เพื่อนร้องไห้อยู่อย่างนั้นเพราะขืนพูดหรือถามอะไรไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ แต่ถามว่ารู้สึกดีไหมที่เห็น ก็ไม่ แต่คนเรามีวิธีจัดการกับตัวเองไม่เหมือนกัน แต่ก็ใจเสียใช่เล่นเพราะพู่กันสะอื้นไห้จนตัวโยน เขาไม่ชอบเห็นใครร้องไห้เพราะเป็นพวกแพ้น้ำตาแถมยังปลอบคนไม่เก่ง แต่ถ้าเป็นเพื่อนอย่างพู่กันหรือเป็นคนที่เขารักอย่างน้ำเงิน

เขาก็ยินดีที่จะปลอบแม้มันจะดูทุลักทุเลมากก็ตาม

*

ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ stuff.lilac

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
«ตอบ #58 เมื่อ25-10-2018 20:33:33 »

เจ้าของห้องยังคงซุกอยู่กับผ้าห่มบนเตียงใหญ่ มีเพียงแสงสว่างจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง พู่กันนอนอยู่ที่เดิมมาพักใหญ่แล้ว ถอนหายใจจนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน ดวงตากลมค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ ตอนหยิบโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาดูก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลับลงแน่นเมื่อความสว่างของหน้าจอนั้นพาลให้แสบตา

เขากดเข้าแอพพลิเคชั่นแชทสีเขียวที่มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาประมาณสิบกว่าอัน แอบคาดหวังว่าคงจะมีสักอันที่เป็นของคนที่ทำให้ใจบอบช้ำได้มากถึงเพียงนี้และความคาดหวังพังทลายลงเมื่อแชทของคนที่ปักหมุดเอาไว้ยังไม่มีแจ้งเตือนใด ข้อความสุดท้ายยังคงเป็นของเขาที่ส่งทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายตอนกำลังจะออกไปหาครามที่โรงพยาบาล ส่วนที่โทรศัพท์สั่นเมื่อครู่นั่นไม่ใช่ของใครที่ไหนไกล wanitsiri p. ชื่อของพี่ปัถย์ส่งมาหาเขาซ้ำอีกครั้งด้วยคำว่าที่ว่า ‘หายไปเลย เป็นอะไรหรือเปล่า’ 

มือเล็กคว่ำโทรศัพท์ลงบนอก คงเป็นครั้งแรกที่พู่กันเลือกเมินแชทของทุกคน ยังคงเฝ้าถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับครามคืออะไร ความจริงหรือความฝัน สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่ามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวและใจไม่หนักแน่นพอของตัวเอง

สิ่งที่ติดอยู่ในหัวมาตลอดคือคำว่าหวงที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาในวันก่อนเป็นการหวงในรูปแบบไหน น้องชายหรือให้เป็นมากกว่านั้นจนวันนี้เขาเองได้คำตอบแล้ว ภาพที่ครามจูบกับนับตอกย้ำว่าฐานะที่เขาได้รับไม่ใช่แม้กระทั่งน้องชาย แต่คงเป็นได้เพียงคนที่ทำให้ครามสบายใจก็เท่านั้น

ทั้งที่เขาควรจะดีใจที่เห็นครามกับนับอยู่ด้วยกันเพราะจะได้ไม่ต้องคอยมาเป็นห่วงเวลาที่ทะเลาะ มันก็ดีแล้วที่อีกฝ่ายสมหวังเพราะเขาจะได้ไม่ต้องมาเป็นคนคอยปลอบอีกต่อไป มันดีแล้วที่ทั้งสองคนได้อยู่ใกล้กันเพราะเขาจะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่อีกฝ่ายผูกพันแค่ทางกาย มันดีที่สุดแล้วถ้าทั้งคู่ได้เป็นแฟนกัน

และไอ้คำว่ามันดีแล้ว... พู่กันก็โกหกเพื่อปลอบใจตัวเอง

ครืด... ครืด...

มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองตาหยีเพราะปรับโฟกัสสายตาไม่ทัน พู่กันเผลอจิ๊ปากเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของหว้า เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคงไปทำตัวให้เพื่อนเป็นห่วงเข้าเสียแล้วแต่ก็กดรับสายอย่างไม่ลังเล

(มึงเป็นอะไร) หว้าคงเห็นที่เขาไปเพ้ออยู่ในแอพสีฟ้าที่เป็นแอคเคาท์ลับ (มีอะไรไม่บอกกูเหรอพู่)

“ขอโทษ” เขาตอบเสียงแผ่ว ไม่รู้ว่าทำไมพอโดนถามแบบนี้แล้วเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้งให้ได้ ทั้งที่เพิ่งจะหยุดร้องเมื่อชั่วโมงก่อน หากต้องร้องซ้ำอีกมีหวังพรุ่งนี้คงได้ตาบวมเป็นลูกมะนาวจนเพื่อนถามแน่ๆ

(กูเพิ่งทำงานกับเพื่อนเสร็จ พอเห็นก็โทรหามึง) เพียงแค่ฟังเสียงก็รู้ว่าหว้าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน (เล่าให้กูฟังได้ไหมพู่ กูมีเวลาให้มึงทั้งคืนเลย)

คงจะมีอยู่ไม่กี่คนที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้งเพราะเสียงปลอบโยน พู่กันคนเก่งในตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ไอ้ความรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวนั่นทำให้ต้องหายใจเข้าลึกๆ รับรู้ได้เพียงหยาดน้ำใสที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาจนสองข้างแก้มเปียกไปหมด

“กูเจ็บ... เจ็บไปหมดเลยหว้า”

(หายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ เล่าให้กูฟัง ทีละเรื่อง) หว้าเป็นกังวลและหากอยู่ใกล้ก็คงจะคว้าเข้ามากอดไปแล้ว

“ฮึก...”

(ชอบเขามากเลยเหรอ)

“...”

(ถึงร้องไห้หนักขนาดนี้)

“ไม่อยากชอบแล้ว เขามีคนของเขาอยู่แล้ว” พู่กันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้แห้งเพราะเริ่มรู้สึกรำคาญที่ตัวเองอ่อนแอแบบนี้ เสียงสะอื้นดังพอให้เพื่อนสนิทในสายใจหาย

(พี่คนนั้นใช่ไหม)

“อือ”

เขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ลูกหว้าฟัง ตั้งแต่การเริ่มความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจนกระทั่งถึงตอนนี้ ...ตอนที่ความรู้สึกของเขามันชัดเจน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองก้าวเข้ามาจนปลายเท้าเฉียดขอบเหว มั่นใจว่าอย่างไรก็คงไม่มีทางตกลงไปแต่มันก็ผิดพลาด เพราะเขา ...ตกลงมาแล้ว

(มันยังไม่สายหรอกนะถ้าจะตัดใจตอนนี้)

“ทำไมกูถึงชอบเขาได้วะ”

(มึงไม่ควรถามว่าทำไมถึงไปชอบเขาได้) พู่กันเม้มปากตอนที่ได้ฟังเสียงแหลมๆ นั่นแหวออกมา (มึงอยู่กับเขาบ่อย ไหนจะลงลึกจนถึงขั้นนั้นอีก มึงไม่ใช่พวกชอบวันไนท์นะถึงจะได้ไม่รู้สึกอะไร)

“กูคิดว่าตัวเองเก่ง รับมือได้ แต่กูไม่รู้ ...ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้”

(กูไม่รู้นะว่าเขาคิดอะไรกับมึง แต่ถ้าถามกู ...ยังไงดี กูก็คิดว่าเขาต้องการมึงนะ เฮ้อ ยังไงดีวะ ไม่รู้ดิ บอกไม่ถูก)

“เขาจะต้องการกูในฐานะอะไร”

(มันเหมือนมึงเป็นต้นไม้ให้เขาอะพู่ แรกๆ เขามาหยุดพักที่มึงหลบร้อนแล้วก็ไปที่อื่นแล้วช่วงหลังเขามาหยุดที่มึงนาน... นานจนเหมือนว่าเขาจะไม่ไปไหนแล้ว แต่มึงคงลืมไปอะพู่)

“...”

(เขาไม่ได้ตั้งใจมาหยุดอยู่ตรงหน้ามึงตั้งแต่แรก)

“เจ็บว่ะ” มันก็จริงแบบที่หว้าพูดทุกอย่าง ครามไม่ได้ตั้งใจจะมาหยุดอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราก็เป็นเพราะความไม่ตั้งใจ

(คืนนี้คาสายกับกูไหม)

“ได้เหรอ” เขาถามเสียงอ่อนเพราะตอนนี้แทบจะหมดแรงอยู่แล้ว ไม่อยากคิดอะไรเลยสักอย่าง

(ได้ดิ วันนี้กูจะเฝ้ามึงเอง เคปะพี่พู่)

“กู...”

(อย่าคิดมาก เพราะถ้าตอนนี้กูอยู่ใกล้ก็คงจะปีนหน้าต่างขึ้นไปโอ๋แล้ว)

“แมนไป”

(กูก็แมนเฉพาะตอนมึงอ่อนแอนี่แหละ เดี๋ยวปลอบให้หาย แล้วก็กลับมาโอ๋กูเหมือนเดิมด้วย โอปะ)

“โอเค ขอบคุณนะครับ”

(อี๋ อย่ามาพูดเพราะ ไม่ชิน!) หว้าแหวเสียงออกมาจนเขาหลุดหัวเราะ (รักมึงนะ อกหักมันเจ็บกูรู้)

“อือ แม่งโคตรเจ็บเลย”

(ก็น่าจะโคตรเจ็บอยู่หรอก)

“...”

(เขาเป็นรักแรกของมึงเลยนี่)

รักแรกก็เจ็บเหมือนจะตาย สิ่งที่ครามเคยพูดกับเขามันย้อนกลับมาในหัวว่าถ้ารู้ว่ารักแล้วเจ็บขนาดนี้ก็จะไม่รักเลยจริงๆ มันเหมือนเป็นสงครามที่เหี้ยที่สุดในชีวิต เพราะไอ้สิ่งที่รู้กับสิ่งที่รู้สึกมันไปด้วยกันไม่ได้

รักเขาแต่เขารักคนอื่นมันจะบรรจบกันได้ยังไง


*

“เป็นอะไรของมึง” องศาถามด้วยน้ำเสียงสงสัยเมื่อเห็นเจ้าของร่างยักษ์บนเตียงคนไข้ทำหน้าหงุดหงิด แถมยังถอนหายใจเสียงดังจนเขาอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง

ด้วยความที่น้ำเงินติดเรียน นับเงินไปคุยเรื่องงานกับพี่เข็ม ไอ้ยิ้มก็มีเหตุต้องรีบบินไปญี่ปุ่นด่วนเมื่อคืนวันที่ครามโดนหิ้วมาโรงพยาบาลเพราะลูกพี่ลูกน้องไม่ป่วยหนัก ก็เลยเหลือเขามานั่งเฝ้าคนป่วยที่อยากถีบให้กระเด็นตอนหมอพัตบอกว่าเกือบน็อคเพราะได้รับปริมาณแอลกอฮอล์มากเกินไปแถมยังเป็นช่วงร่างกายไม่เต็มร้อยอีกต่างหาก

“มึงได้เจอพู่บ้างปะวะ” คนถูกถามเลิกคิ้วก่อนจะปิดหนังสือแล้ววางลงบนโต๊ะ “ไหนน้ำบอกจะมาเยี่ยมกู สามวันแล้วนะ”

“ทำอะไรให้โกรธหรือเปล่า”

“กูปิดเครื่องไปวันที่กูไปกินเหล้าอะ วันนั้นกูหงุดหงิด” องศาพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่าฟังอยู่ “แล้วน้องมันทั้งโทรทั้งส่งข้อความมา พอกูให้มึงไปเอาโทรศัพท์มาเมื่อวาน กูทักไปก็ไม่ตอบ โทรก็ไม่รับ”

ครามหงุดหงิดตั้งแต่ได้โทรศัพท์ เขาตกใจเช่นกันตอนเห็นข้อความที่น้องทักหลายข้อความรวมกับสายที่ไม่ได้รับระหว่างปิดเครื่องอีกเกือบร้อยสายและเขาไม่โกรธที่น้องไม่ตอบเพราะถ้าเป็นตัวเองก็คงจะโมโหหนักกว่านี้

“ก็นี่ไงสาเหตุ” เขามองครามที่ขมวดคิ้วยุ่งก่อนก้มลงไปกดโทรศัพท์ยิกๆ วันที่เจอพู่กันหน้าลิฟต์ก็ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะมีธุระจริงๆ เขาเคยคุยกับน้องอยู่บ้างตอนที่ขอให้ช่วยเรื่องน้ำเงิน แต่พักหลังก็ไม่ได้เจอกันเท่าไหร่นัก วันนั้นน้ำเงินก็มาบอกครามแค่ว่าพู่กันจะมา แต่มีเรื่องต้องไปทำกะทันหันเลยจะมาวันอื่น แต่นี่ก็สามวันแล้วเขายังไม่มีวี่แววว่าน้องจะโผล่หน้ามาให้เห็นหรือฝากน้ำเงินมาบอกอะไรเลยสักนิด

“ศา”

“อะไร”

“กูชอบพู่กันว่ะ” เพื่อนสนิทไม่ได้มีท่าทีตกใจตอนที่ได้ยินแบบนั้นเพราะได้ยินเรื่องทั้งหมดมาจากยิ้มแล้ว แต่คนที่ยังไม่รู้คือน้ำเงินและพู่กัน องศาได้แต่ยกแขนขึ้นกอดอกแล้วมองหน้าครามนิ่งๆ “ที่มึงเคยถามว่ากูจะทำยังไงถ้าเกิดชอบพู่กันขึ้นมา ตอนนี้กูรู้แล้ว”

“รู้ว่า”

“จีบดิ”

“ก่อนจีบ ง้อก่อนดีไหม” ครามหัวเราะตอนโดนสวนออกมาแบบนั้น

“มึงไปหมอพี่หมอพัตให้กูดิ ไม่เป็นอะไรแล้วเนี่ย กลับบ้านได้”

“ถามน้ำเงิน” พอคบกันแล้วก็แบบนี้ องศาหงอและกลัวน้องเขาแทบทุกทาง เรื่องไหนที่ต้องใช้ความเห็นร่วมต้องถามน้ำเงินก่อนเสมอ แต่เหมือนมันจะลืมไปว่าคนที่ป่วยคือเขาไม่ใช่น้อง “กูโดนสั่งไว้”

“กูคนป่วย หายแล้ว”

“ถามน้ำเงินก่อน”

“ไอ้สัดศา” ถ้าไม่ติดว่ามีสายน้ำเกลือปักอยู่ที่แขนแล้วเวลาลุกขึ้นไปไหนมาไหนมันลากลำบากจะเดินไปกระชากคอแล้วบอกให้พากลับบ้าน “อยากกลับบ้าน”

“บ่นไรเป็นเด็ก”

“อยากเจอพู่กัน”

“ส่งข้อความไปบอก”

“ส่งแล้ว ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่รับ เหมือนตัดกูออกจากวงโคจรไปแล้ว” ครามถอนหายใจอีกหน “หรือโทรศัพท์น้องมันไม่โชว์ว่ากูทักกูโทรไปวะ”

“ก็เห็นเล่นเฟซอยู่”

“อาจจะเล่นในคอม”

“ไอจีก็อัพ”

“องศาหน้าเหี้ย” คนถูกด่าไหวไหล่เบาๆ ความจริงคือเขาไม่ได้ตั้งใจจะขัดคราม แต่การกระทำของน้องที่ฟังมาก็เหมือนโกรธอะไรสักอย่าง หรือถ้าจากประสบการณ์ที่เขาเคยเจอคือหลบหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากพูดอะไรมากเพราะไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร “ทำไงดีวะ”

“รอออกจากโรง’บาล”

“มึงก็ไปบอกหมอพัตให้กู”

“ถาม...”

“คนป่วยบ่นอะไรครับเนี่ย พี่อยู่หน้าประตูยังได้ยินเลย” เสียงของผู้มาใหม่อย่างหมอพัตเตอร์เป็นผลให้ครามและองศาหันไปมองพร้อมกัน

“สวัสดีครับ” องศาเป็นฝ่ายทักทายก่อนเพราะเป็นเพื่อนของพี่ชาย “ทำไมมาเร็ว”

“มาตรวจคนไข้อื่นก็เลยแวะเข้ามา” หมอพัตตอบก่อนเดินไปหาคนป่วยที่เตียง “เป็นไงบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง”

“ดียิ่งกว่าดีอีกครับพี่พัต แล้วนี่ผมว่าประตูห้องมันเงียบไปไหม ใครเดินเข้าเดินออกไม่รู้เรื่องเลย” ครามไม่มีปัญหาอะไรกับการที่อีกฝ่ายเป็นหมอประจำไข้ของเขา แม้จะเป็นเพื่อนสนิทของศัตรูหัวใจแต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว “เออ พี่พัต ผมอยากกลับบ้านอะ”

“เดี๋ยวพี่ขอเช็กก่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็อาจจะพรุ่งนี้หรือมะรืนเนอะ”

“กลับวันนี้ไม่ได้เหรอ”

“อยู่อีกสักวันสองวันดีไหมครับ ตอนเรามานี่ก็ฉุกเฉินแล้วนะ ไข้ก็สูงหัวก็แตก” หมอพัตหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินไปดูน้ำเกลือที่ให้ไว้ “ดีขึ้นเยอะแล้วนี่นา”

“ก็ใช่สิครับ พี่หลอกให้ผมอยู่ช่วยกินข้าวโรง’บาลอะดิ”

“หลอกอะไรครับ พี่รู้ว่าครามกินข้าวที่ศาซื้อ” หมอหรี่ตามองคล้ายจะดุแต่ก็ไม่ “พรุ่งนี้น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”

“พูดขนาดนี้จะเถียงอะไรได้” ครามบ่นเล็กน้อยจนคนเป็นหมอหัวเราะเพราะดูคนบนเตียงไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด ตอนครามมาทีแรกไข้ขึ้นสูง ไหนจะหัวแตกมาจนต้องเย็บไปสามเข็มอีก “แล้วหัวผมนี่ ตัดไหมวันไหนอะ”

“น้ำเงินจำได้” องศาพูดแทรกขึ้นมาก่อนเพราะกลัวว่าบทสนทนาจะยาวจนกินเวลางานของหมอพัต “ค่อยไปถามน้อง”

“ขอบคุณนะครับพี่” ทั้งที่องศาเป็นคนตอบแต่ครามกลับหันไปขอบคุณหมอในชุดกาวน์ข้างเตียงแทน

“ถ้างั้นพี่ขอไปทำงานต่อก่อนนะครับ” ครามพยักหน้าให้แทนคำตอบ ตามด้วยเสียงขององศาที่ขานบอกขอบคุณอีกครั้ง คนตัวใหญ่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยสายตาอ้อนวอน

“ศา...”

“ไม่”

“กู ยัง ไม่ ได้ พูด อะ ไร เลย” เสียงทุ้มเน้นหนักทุกพยางค์องศาจึงหัวเราะแล้วเอนกายลงบนโซฟา “อย่านอนดิ”

“แล้วจะให้กูทำอะไร อ่านหนังสือมึงก็ถอนหายใจจนกูไม่รู้เรื่อง”

“ช่วยกูคิดเรื่องพู่ก่อน” ชายหนุ่มทำเสียงอ่อนตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคืออยากเจอหน้าพู่กัน อยากได้ยินเสียง อยากคุยด้วย และอยากบอกว่าเขาคิดอะไร คิดไปไกลแค่ไหน ถึงแม้จะกลัวคำตอบแต่ก็อยากที่จะบอกออกไปอยู่ดี

“ออกจากโรง’บาลก็ไปง้อ”

“มีคำแนะนำที่ดีกว่านี้ไหม”

“ไม่”

ครามถอนหายใจอีกครั้งก่อนคว้าโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมากดไปยังเบอร์ของคนที่เมมเอาไว้ว่า ‘baby’ และอีโมจิรูปลิงเพราะเวลานึกถึงก็หลุดยิ้มให้กับความซนเหมือนลิงทุกที เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองเปลี่ยนชื่อของพู่กันมาเป็นคำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากจำไม่ผิดตอนนั้นเขาคิดว่าพู่กันเป็นเด็กซนๆ คนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความหมายมันเป็นไปแล้ว นิ้วเรียวกดแก้ไขรายชื่อก่อนพิมพ์คำว่า my เพิ่มลงไป

จนกลายเป็นคำว่า my baby โดยสมบูรณ์

และคาดหวังว่าน้องจะอยากเป็นคนของเขาเช่นกัน

*

tbc
ขณะที่ทุกท่านกำลังอยู่บนไวกิ้ง เหวี่ยงให้สุดแล้วหยุดที่คำว่า ....! คนนึงกำลังจะเดินเข้าไปใกล้ แต่อีกคนกำลังจะวิ่งออกไป
ตอนนี้ขอโทษที่ไม่ได้มีบทของพี่ครามกับน้องแต่ตอนหน้ามีแน่นอน ถ้าเกิดอะไรขึ้น... ก็จับมือกันไว้แน่นๆ นะคะ 5555555555
ฝากคอมเมนต์ให้กำลังใจกันได้ หรือแปะแท็ก #โซ่สีคราม พูดคุยกันได้นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-10-2018 21:15:07 โดย stuff.lilac »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: โซ่สีคราม ` ✎ | ตอนที่ 09 ; (25/10/61)
«ตอบ #59 เมื่อ25-10-2018 21:16:30 »

 :L2: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด