THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]  (อ่าน 59689 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
«ตอบ #270 เมื่อ08-06-2019 21:09:42 »

 :laugh: :laugh:ประโยคสุดท้ายของคุณพ่อทำไมอ่อนโยนอย่างนี้ :pigha2: :pigha2:กินดอกไม้เป็นอาหารมาแน่เลย

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
«ตอบ #271 เมื่อ08-06-2019 21:52:17 »

ดีใจกับเบย์ที่มีคนรักจริง ตอนพีเทอร์คุยกับแด๊ด อ่านไปเครียดไป แต่ไหง...หักมุมโดยไม่รู้ตัว
 :hao7:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
«ตอบ #272 เมื่อ09-06-2019 22:36:26 »

น้องเบย์ เหน่แร๊ง พ่อผัวตกหลุมความน่ารัก ก๊าก

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0



38
ก่อนม่านจะปิด

     
             
อเล็กซ์เพิ่งปิดคดีตัวเองเสร็จ แต่ถ้าจะให้ถูกต้องเรียกปิดดีล
             
เขาเคลียร์กับเจ้าของร้านคอมพิวเตอร์คู่กรณี โดยจ่ายเงินค่าแม็คบุ้คเต็มจำนวน บวกกับค่าปรับข้อหาลักทรัพย์ยามวิกาลหนึ่งหมื่นบาท และค่าทำขวัญที่เจ้าของร้านเรียกร้องเพิ่มอีกห้าพันบาท แล้วก็ออกจากโรงพักมาสวยๆ
               
ส่วนคดีแฮ็คเกอร์ที่เกี่ยวกับโจรอู๋ ไม่มีใครรู้ และก็คงไม่รู้ต่อไป อเล็กซ์จะปล่อยให้มันตายไปอย่างลึกลับเหมือนกับการหายไปของแม่ จากนี้ก็จะใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ทำงานร้านหนังสือ และเรียนวันเสาร์อาทิตย์ 
               
เขาลงเรียนสถาบันเอกชนแห่งหนึ่ง สาขาอินทีเรียดีไซน์ เพื่อจะได้มีงานทำอย่างมนุษย์ทั่วไป แต่เบื้องหลังก็ยังคงรับงานแฮ็กเกอร์เหมือนเดิม
               
นับว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยแท้...แต่อเล็กซ์กลับรู้สึกใจหาย       แก๊งโจรแตกสลายแล้ว ทุกคนเป็นอิสระ แต่โจรอู๋ยังถูกขังอยู่เลย แล้วลูกน้องอย่างเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีเพียงความหวังจากทิวาที่ก็ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แบบนี้จะให้ก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างสดใสได้อย่างไร
             
ไหนจะเรื่องเด็กเพชรที่จบแบบค้างคาอีก อเล็กซ์พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะติดต่อเด็กชาย ทั้งโทร แชท (เขาลงทุนสมัครโซเชียลทุกทางเพื่อจะคุยกับเด็ก) แต่เพชรไม่เคยตอบรับ แสดงว่าโกรธแค้นฝังใจ และคงไม่มีทางให้อภัยแน่ๆ
               
ก็สมควรอยู่หรอก...หลอกพ่อเขาสูญเงินตั้งกี่ล้าน แม้ว่าเจ้าเคฟจะส่งคืนครบหมดแล้วก็ตาม แต่ความเชื่อใจที่พังทลายใช่ว่าจะกอบกู้ได้
               
เหลืออยู่ทางเดียวคือแบกหน้าไปหาที่บ้าน แต่อเล็กซ์ไม่ใจกล้าหน้าด้านขนาดนั้น คงต้องปล่อยให้กลายเป็นความทรงจำ เลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่แน่วันหนึ่งข้างหน้าหากพบกันโดยบังเอิญ เด็กเพชรอาจลืมความโกรธแค้นทั้งหมดและทักทายเขาเช่นทุกที
             
“พี่ชาย!”
   
เช่นทุกที..
   
อเล็กซ์ตัวเย็นวาบ หูฝาดรึเปล่า? คิดถึงมันจนหลอนใช่มั้ย?
 
“พี่อเล็กซ์ นั่นพี่ใช่มั้ย ผมจำได้นะ”

เสียงนั้นฟังดูเหนื่อยหอบ เหมือนเพิ่งวิ่งมา และตอกย้ำว่าเขาไม่ได้มโน หนุ่มลูกครึ่งเก็บอาการ ปรับสีหน้าท่าทางเป็นปกติสุดๆ ก่อนจะหันไปข้างหลัง แต่ก็ยังหลุดเสียงสั่นนิดๆ
     
“นายเพชร มาทำอะไรที่นี่”
               
“ผมมา... หาพี่ไง” เพชรพูดสลับหอบเหมือนลูกหมา “ตอนแรกไปหาที่ร้านหนังสือ แต่เจ้าของร้านบอกพี่มาเรียนที่นี่ ผมเลยตามมา...แฮ่ก ยินดีกับนักศึกษาใหม่ด้วยนะครับ”
               
เด็กว่าแล้วหยิบกุหลาบแดงหนึ่งดอกออกจากกระเป๋าเป้ส่งให้คนตรงหน้า แต่สีของมันแดงไม่เท่าครึ่งหนึ่งของหน้าอเล็กซ์ตอนนี้ด้วยซ้ำ
               
“จะบ้ารึไง ผู้ชายที่ไหนเขาให้ดอกไม้กัน!” เผลอตะโกนดังด้วยความเขินขั้นสุด
               
“แปลกตรงไหนอ่ะ งานแสดงความยินดีที่ไหนก็ให้ดอกไม้ทั้งนั้นนี่นา”
             
เด็กกล่าวด้วยใบหน้าใสซื่อ ยื่นกุหลาบให้จนปลายแตะจมูกรุ่นพี่ อเล็กซ์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้าที่ร้อนจนเหมือนจะระเบิด รับมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าสะพายเร็วๆ เพราะไม่อยากให้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นแล้วเข้าใจผิดว่ากำลังสารภาพรักกัน

“พี่ติดต่อนายแทบตาย ทั้งโทรทั้งแชท ไม่คิดจะตอบ แต่อยากโผล่ก็โผล่มาง่ายๆ พร้อมดอกไม้เนี่ยนะ แย่จริงๆ”

เขาหักล้างความเขินด้วยความโกรธ ทำหน้าบึ้งใส่เด็ก แต่แทนที่จะสลด เพชรกลับยิ้มกว้าง

“อะไรนะ พี่ตามหาผมเหรอ?”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”

“เฮ้ย! ผมติดสอบทั้งอาทิตย์ ป๊ายึดมือถือ มัวแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว เพิ่งได้พักวันเนี้ย ไม่รู้เรื่องไรเลย”

“อ้าว” สรุปกูนอยด์เหี้ยอะไรตั้งนานวะ...

เพชรเห็นหน้าเหวอของอเล็กซ์ก็ยิ้มกว้างไปอีก แต่แววตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง

“เอ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าคิดถึงผม ชอบผมอ่ะดี้ บอกมาตรงๆ เถอะ”

“เพ้อเจ้อ” อเล็กซ์หมุนตัวเดินหนี เพชรเดินตาม

“แคร์ผมขนาดนี้เลยเหรอ ดีใจอ่ะ แล้วทำไมไม่มาหาที่บ้านล่ะ คิดเองเออเองนอยด์เองไปได้”

“โอ๊ย ไร้สาระ ใครแคร์นายไม่ทราบ”

“งั้นแสดงว่าพี่กลัวผมแจ้งความจับ”

“เปล่า” อเล็กซ์หยุดเดิน “พี่กลัวนายเกลียดพี่ต่างหาก”

“....”

สีหน้าทะเล้นของเพชรเลือนหาย กลายเป็นจริงจัง เดินมายืนข้างหน้าอเล็กซ์เพื่อมองหน้ากันตรงๆ ก่อนจะพูดแบบชัดถ้อยชัดคำ

“เกลียดที่ไหน ผมชอบพี่จะตาย”

“....ฮะ?”

“ผมพูดว่า ผมชอบพี่ ชอบแบบอยากได้เป็นแฟนน่ะ ชัดมะ”

“ไอ้เด็กเวร”

“จริงๆ นะ พี่ไม่โง่ก็น่าจะรู้”

เออ ก็รู้แหละ แต่ไม่คิดว่าแกจะเป็นเอามากขนาดนี้ไง

“แต่พี่เป็นโจร”

“เคยเป็น” เพชรแก้ “จริงอยู่ที่ตอนรู้ความจริง ผมโกรธพี่มาก...มากแบบมากๆ แต่พอป๊าอธิบายให้ฟัง เรื่องพี่เคฟน่ะ ผมก็เข้าใจ พวกพี่ทำไปเพราะความจำเป็น แถมยังเอาของมาคืนด้วย โจรที่ไหนในโลกเค้าทำกัน...ผมก็เลยไม่โกรธพวกพี่แล้วล่ะ”

“....” ยังคงอึ้งอยู่

“เรื่องผ่านไปแล้วช่างมันเถอะครับ มาเริ่มใหม่กัน”

“เริ่มไร อย่าคิดเองเออเองดิ”

“อ้าว พี่ไม่ชอบผมอ่อ” เด็กดูงงๆ แต่รุ่นพี่หน้าแดง

“ก็ไม่ได้เกลียด แต่ยังไม่ได้ชอบถึงขั้นนั้น”

“เสียใจอ่า... แต่ไม่เป็นไร ผมจะจีบพี่ทุกวันจนกว่าพี่จะรักผม” พูดด้วยสีหน้าแววตามุ่งมัน จนอเล็กซ์อดขำไม่ได้

“นายนี่มันเด็กแก่แดดชะมัด”

“เดือนหน้าผมก็สิบห้า เป็นนาย ไม่ใช่เด็กชายแล้ว!” เพชรเถียง

“หึ เหรอ” อเล็กซ์หัวเราะเย้ย “แต่พี่ยังไม่อยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์หรอกนะ”

“ไม่ๆ ผู้เยาว์ต่างหากจะพรากพี่”

“นายเพชร!!!”

“เขินเสียงดังจังครับ”

“ฝันไปเหอะ เสือที่ไหนจะยอมให้เสือตัวอื่นอยู่เหนือตัวเอง”

“ก็ไม่แน่น้า...พี่หยุดโตแล้ว แต่ผมน่ะยังโตได้อีกเยอะ แค่ปีสองปีผมก็สูงแซงพี่แล้ว คอยดูดิ”

“ส่วนสูงไม่สำคัญเท่าพละกำลัง สูงแต่อ่อนแอก็จบ”

“ผมจะเล่นกีฬาทุกชนิด ฟิตหุ่นให้แข็งแรง” กล่าวอย่างมุ่งมั่น

“อืม งั้นเริ่มวันนี้เลย อีกสามปีถ้านายแข็งแรงกว่าพี่...”

“พี่จะยอมเป็นแฟน?”

“เปล่า จะให้จีบ”

“หา! สามปี! ผมใจเหี่ยวตายพอดี”

“งั้นก็ตัดสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้เลย ขี้แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

“ไม่นะ! ผมสู้ได้ ผมจะสู้”

อเล็กซ์ยิ้มอย่างเอ็นดู รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ถึงสามปีหรอก ก็น่ารักซะขนาดนี้ ใครจะไปใจแข็งได้นานปานนั้น

“งั้นเริ่มเลยแล้วกัน วิ่งจากนี่ถึงบ้านนาย ถ้าชนะเลื่อนมาหนึ่งเดือน ถ้าแพ้ยืดเวลาไปอีกหนึ่งปี”

“ใจร้าย!”

“สตาร์ท!”

พูดจบอเล็กซ์ก็ออกตัววิ่งไปก่อนด้วยความเร็วชนิดที่เพชรอ้าปากค้าง เด็กชายวิ่งตามหลังห่างๆ พร้อมกับแหกปากเรียกให้รอ แต่อเล็กซ์มีหรือจะอ่อนข้อให้ มีแต่หันไปแลบลิ้นใส่

ก็แค่เอกมัยไปรัชดา...แค่นี้เอ๊ง

 

อีกด้าน

เคฟคิดว่าตัวเองควรถึงเวลาตัดใจ เลิกคิดถึงความสัมพันธ์ครั้งล่าสุดและใช้ชีวิตตามที่ควรเป็น เลิกเป็นมิจฉาชีพ ก้มหน้าตั้งใจเรียน ทำงานพิเศษต่อไป ป๊าที่วันๆ เครียดกับการล้างกุ้งจนหลังขดหลังแข็งจะได้สบายซักที เขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่หันกลับไปทำอาชีพทุจริตอีก เป็นโจรในคราบคนดีนั้นเหนื่อยกว่าเป็นคนดีหรือโจรเพียงอย่างเดียว และการตอแหลตลอดเวลาก็ทำเขาเหนื่อย เขาเข็ดหลาบกับเรื่องยุ่งยากพวกนี้เต็มที

แต่เหมือนบางคนจะไม่เข็ด

“เชี่ยเคฟ มีคนมาหามึงแน่ะ”

เพื่อนร่วมเอกเดินมาตบไหล่ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านหนังสือใต้อาคารเรียน เคฟสงสัยว่าใครกันจะมาหาเขาถึงมหา’ลัย ตอนบ่ายสามนี่  ป๊ารึก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้ามีธุระอะไรก็คงโทรบอกก่อน เว้นแต่เป็นเรื่องเร่งด่วนมากๆ

“ใครวะ” เขาถามเพื่อน

“ไม่รู้ แต่ขับออดี้สีขาว หล่อด้วย ออร่าเจิดจ้ายิ่งกว่าแดด” เพื่อนบอกสีหน้าตื่นเต้น “แฟนมึงหรอ หรือว่าเสี่ยเลี้ยง ไม่เบานะมึงอ่ะ ขายพิซซ่าหรือขายไข่วะเนี่ย”

“สัด” เคฟชกอกเพื่อนเบาๆ “เขาอยู่ไหน”

เพื่อนชี้ไปทางลานจอดรถ เคฟเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเดินออกไป เห็นรถสีขาวกับเจ้าของที่ขาวพอๆ กันยืนอยู่ไม่ไกล ความสว่างดั่งหลอดไฟฟลูออเรสเซนส์นั้นทำให้คนที่เดินผ่านไปมาถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดตาป้องกันอาการตาพร่า

เคฟมองผู้มาเยือนด้วยสายตาสงสัย และไม่ยินดียินร้าย

“หวัดดีครับ มีธุระอะไร”

“ว่างมั้ย ไปดูหนังกัน”

อดีตโจรอึ้งเล็กน้อย “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ก็จีบคุณไง”

“ฮะ?”

“ผมรู้แล้วว่าเงินซื้อความรักของคุณไม่ได้ แต่หวังว่าความจริงใจจะซื้อได้นะ”

“แล้วมันจะต่างกันตรงไหน ถ้าคุณเอาแต่เปย์ผม”

“ใครบอก เราจะแชร์กัน คุณคิดว่าผมไม่รู้รึไงว่าต้องทำยังไงเวลามีแฟน”

“ผมก็นึกว่าคุณข้ามขั้นไปเป็นสามีเลยซะอีก”

พัชรหน้าแดง ยกมือขึ้นเกาหู “ก็จริงอยู่... แต่นั่นมันอดีต ผมอยากเริ่มต้นใหม่ แล้วก็เรียนรู้ไปพร้อมกับคุณ”

อีกฝ่ายยิ้มขำ “คุณนี่มันดื้อและตื๊อมากจริงๆ”

“ก็คงเหมือนที่อเล็กซ์บ่นให้คุณฟังเรื่องน้องเพชรนั่นแหละ”

“คุณ...รู้?” เคฟงงๆ เพราะจำได้ว่าไม่เคยเผยเรื่องความเชื่อมโยงของตนกับอเล็กซ์ให้อีกฝ่ายรู้

“ง่ายจะตาย อเล็กซ์อยู่แก๊งเดียวกับอติศร พี่ชายคุณ ก็ต้องรู้จักคุณแน่นอนสิ”

“งั้นคุณก็ยิ่งต้องตระหนักว่าผมอันตรายมากๆ”

“เรื่องนั้นผมรู้ ถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ไง” พัชรพูดยิ้มๆ แต่แววตาหนักแน่นจริงจัง

“ผมไม่อยากโดนผีเมียเก่าคุณหลอกอีก”

“ไม่ต้องห่วง เธอไปดีแล้ว”

“นี่กะดักผมทุกทางเลยใช่มั้ยเนี่ย”

“ใช่ ผมสู้แน่ ไม่ยอมให้สาวหน้าไหนได้คุณไปหรอก”

เคฟหัวเราะ จะด้วยความขบขันหรือสิ้นหวังก็ไม่รู้ได้

“โอเค โอเค คุณพัชร ผมอนุญาต แต่คุณไม่จำเป็นต้องรุนแรงขั้นนั้น ถึงผมหล่อแต่สาวๆ ก็ไม่ได้ชอบซักเท่าไหร่”

“ทำไม”

“ผมขี่แต่มอเตอร์ไซค์”

คราวนี้พัชรหัวเราะ ยื่นกุญแจรถให้อีกฝ่าย

“งั้นก็ถึงเวลาที่สาวๆ ทั้งมอจะมองคุณจนเหลียวหลังแล้วล่ะ”

 

               
ใช้เวลาสองชั่วโมงถ้วน อเล็กซ์และเพชรวิ่งมาถึงร้านเพชรในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยเพชรวิ่งตามหลังและร้องไห้กระซิกๆ เพราะพ่ายแพ้หนุ่มรุ่นพี่ ต้องรออีกสามปีกว่าเขาจะยอมให้จีบ

“เฮ้ย วันนี้ทำไมร้านปิดไวจัง” อเล็กซ์ถาม ทั้งที่เพิ่งห้าโมง ปกติร้านจะปิดเกือบสองทุ่ม

“ไม่รู้สิ สงสัยป๊าไม่อยู่มั้ง เราเข้าข้างหลังก็ได้” เพชรบอกก่อนจะเดินนำไปหลังบ้าน “อ้าว รถก็อยู่นี่นา ป๊าครับ เพชรกลับมา...!!”

“ชู่ว์!”

อเล็กซ์เอามือปิดปากเด็กไว้ทัน เพราะเขาได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างใน ทั้งสองแอบมองผ่านผ้าม่านหน้าต่างที่แง้มอยู่ก็พบภาพเด็ดที่ทำเอาตาเบิกโต... มีเงาสองเงาพาดทับกันในท่าล่อแหลมและเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงที่โซฟา

“พี่ฮะ ผมว่าเราไปที่อื่นกันเถอะ”             

เพชรแนะนำ อเล็กซ์พยักหน้า

“...พี่ก็ว่างั้น”





//

ฮายยยย

ขอโทษค่ะที่หายไปนานตั้งสองอาทิตย์

ไม่ใช่ว่าเขียนไม่เสร็จ แต่คิดว่ามันยังดีไม่พอ ก็เลยยังลังเลว่าจะลงดีมั้ย

แต่ไหนๆ ก็จะจบแล้ว ลงเลยละกัน

เดี๋ยวมาต่ออีกตอน ปิดคดีให้เสร็จสิ้นไปเลย รอแป๊บนะคะ ><

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0



39
เทวดา & มาเฟีย



ทิวาคิดว่าตัวเองอาจไม่รอดคืนนี้

เขาไม่คิดว่าจะโชคดีแบบคราวก่อนที่หลุดจากเงื้อมมือเฉินเชว่มาได้หลังจากเข้าไปจับเสือมือเปล่าถึงถิ่น ถ้าครั้งก่อนผู้หญิงที่มันเลี้ยงไว้ไม่เมายาคลุ้มคลั่งจะกระโดดตึกตายจนมันต้องออกไปจัดการ เขาคงไม่ได้กลับออกมาอย่างปลอดภัยแน่

โทรหามันแล้ว นัดเจอกันที่ปักกิ่งบ้านเกิด แต่เฉินเชว่บอกว่าอยู่ทองหล่อ ยังไม่กลับ ทำเอานักสืบงงตาแตก แต่ยังไม่ได้ถามต่อก็ถูกตัดสายทิ้ง บอกสั้นๆ แค่ให้มาเจอกันที่โรงแรม

มาถึงโรงแรม แจ้งรีเซปชั่นว่ามาพบแขก (แน่นอนว่าเฉินเชว่ใช้ชื่อปลอม) พนักงานโทรเข้าห้องเพื่อแจ้ง พอบอกว่าอนุญาต ทิวาก็ขึ้นลิฟต์ไป ระหว่างชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขากลับรู้สึกตกต่ำหดหู่ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าแผนที่เตรียมมาจะได้ผลแค่ไหน

เขากลัว...ไม่ใช่กลัวตาย

แต่กลัวอย่างอื่น

“มาไวจัง”

เจ้าของห้องเปิดประตูโผล่หน้าเสี้ยวหนึ่งให้เห็นเมื่อได้ยินเสียงกดออดหน้าห้อง ทิวาถอยไปข้างหลังครึ่งก้าวโดยอัตโนมัติตามสัญชาติญาณไม่ไว้ใจ

“ไม่ต้องกลัว ที่นี่เขตปลอดอาวุธ”

ผู้อยู่หลังประตูยิ้มยียวน เปิดประตูกว้างขึ้นพร้อมกับการผายมือเชิญ ทิวาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวเข้าไป สำหรับเขามันคือห้องเชือดชัดๆ แต่ก็ข่มใจตัวเองว่าไม่เป็นไร เขาสั่ง (เสีย) แสงเทียนไว้แล้วว่าถ้าไม่ติดต่อกลับภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้โทรเรียกตำรวจได้เลย คงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่

ไม่อยากเชื่อว่าจะต้องพึ่งพาคนที่ได้ชื่อว่ามือที่สาม คนที่แย่งความรักของเขาไป แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากแสงเทียนว่าทำอะไรเพื่อช่วยโจรอู๋ไปบ้าง นักสืบก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเขาไม่มีทางใจกล้าบ้าบิ่นสิ้นคิดทำแบบเดียวกันได้ แสงเทียนทุ่มเทสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงิน คือชีวิตและหัวใจ ทิวาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมโจรอู๋ถึงเลือกคนๆ นี้...ถึงจะทำใจยอมรับยากก็เถอะ

เฉินเชว่ใส่แค่กางเกงนอนขายาวตัวเดียว หัวยุ่งฟู แลดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน แต่กลิ่นโลชั่นกับอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆ ทำให้นักสืบรู้ว่ามันอาบน้ำแล้ว แต่เพิ่งเอากับใครมาสดๆ ร้อนๆ จนยับยุ่งรุงรังต่างหาก

“ถ้ามาขัดจังหวะก็น่าจะบอกกันก่อน จะได้ไม่กวน” ผู้มาเยือนเอ่ย

“ไม่ๆ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าวาทั้งนั้น”

เอาละ...มันเอาละ

“นึกว่ากลับจีนแล้วซะอีก” นักสืบว่า

“เปล่า นั่นลูกน้อง ให้สวมรอยแทน เผื่อตำรวจเปลี่ยนใจออกหมายจับ เฮียจะได้ไม่ซวย กะรอเรื่องเงียบแล้วค่อยกลับ”

“เลวจริง” ทิวาส่ายหน้าเพลียๆ “งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ไม่อยากเสียเวลา กูอยากให้มึง...”

“อ๊ะๆๆ ไม่เอาสิ กูมึงอะไรไม่น่ารักเลย” เจ้าของห้องยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากแบบกวนๆ ทำเอาทิวาควันออกหู

“อย่ามากวนตีนได้มั้ย เวลามีน้อย”

“แหม เห็นเฮียเป็นบ่อขยะรึไง อยู่ด้วยแป๊บเดียวทำเป็นรังเกียจอยากหนี ทีกับไอ้คนที่ทำหนูเจ็บช้ำปางตายนี่มีเวลาให้ทั้งชีวิตเลยนะ”

“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!” ทิวาตวาด ทั้งโกรธและอาย

อีกฝ่ายยิ้มไม่รู้สึกรู้สา เหมือนคำด่าคือคำชม

“เฮียเสียใจที่วาเปลี่ยนไปขนาดนี้ จากที่เมื่อก่อนเรียกเฮียจ๋าๆ วิ่งตามแจ ตอนนี้กลายเป็นคนเกรี้ยวกราดหยาบคาย คิดแล้วก็เศร้า เพราะไอ้มี่คนเดียวเลย”

“หุบปากซะที พล่ามอะไรอยู่ได้น่ารำคาญ ถ้าไม่เข้าเรื่องจะกลับแล้วนะ” ทิวายื่นคำขาด เฉินเชว่จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง

“แหม แค่อยากย้อนความหลังนิดหน่อยเอง”

“กูไม่อยาก”

“กูมันระคายหูอ่ะ หนูเหมือนเดิมได้มั้ย”

“ไปตายซะ”

“โอเคๆ เข้าเรื่องครับ”

ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ ความหลังที่ไม่ต้องการรื้อฟื้น ก็คืออดีตของเขากับมัน (และโจรอู๋) ที่เติบโตมาด้วยกัน เคยเป็นความทรงจำที่ดี

เฉินเชว่แก่กว่าเขากับโจรหลายเดือนและได้เลื่อนชั้นก่อน เขาเลยนับถือมันเป็นพี่ เรียกเฮียทุกคำ แต่โจรอู๋ไม่เคยเรียกเพราะคิดว่าเกิดปีเดียวกัน ตัวโตเท่ากัน และคนเป็นน้องก็ต้องยอมอยู่ใต้คำสั่งพี่ ถูกเอาเปรียบเสมอ เลยเรียกแค่ชื่อเฉยๆ

ทิวายอมรับว่าเมื่อก่อนเขาติดเฉินเชว่มากกว่าโจรอู๋จริง เพราะเฉินเชว่ตามใจ ในขณะที่โจรอู๋ไม่ เฉินเชว่ชอบแบ่งขนมกับของเล่นให้เขา แต่โจรอู๋ชอบแย่ง โตถึงขั้นประถม-มัธยม เฉินเชว่ก็ยังโอ๋ไม่เลิก ตามติดชีวิตเขาประหนึ่งบอดี้การ์ด เพราะเขาเป็นเด็กเรียน บุคลิกเรียบร้อย พูดน้อย เข้ากับใครไม่เก่ง เลยถูกแกล้งบ่อยๆ แต่เฉินเชว่ก็ต่อยเจ้าพวกนั้นยับ ตรงข้ามกับโจรอู๋ที่คบแต่เพื่อนนักเลง เที่ยวหาเรื่องคนโน้นคนนี้ เข้าห้องปกครองบ่อยกว่าห้องเรียน เหมือนอยู่กันคนละกาแล็กซี่

แต่ความรักมันมักผีเข้าผีออก... คนดีใช่ว่าจะถูกรักเสมอไป เขารักโจรอู๋มาตลอด ทว่าโจรอู๋กลับเมิน

เหมือนที่เฉินเชว่รักเขา แต่ถูกเขาเมินนั่นแหละ

ทิวารู้สึกเศร้าและรู้สึกผิดตอนที่ตัดสินใจย้ายตามโจรอู๋มาอยู่ไทย เพราะมันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เฮียคนนี้ใจสลายและทำลายตัวเอง พอไม่มีทิวาให้คอยดูแล ก็ไม่มีเหตุผลต้องเป็นคนดีอีกต่อไป มันเริ่มกินเหล้าสูบบุหรี่เที่ยวโสเภณีจนสุดท้ายเข้าสู่วงจรมืดของพ่อเต็มตัว ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยสัญญาว่าจะไม่ยุ่ง และจะทำให้พ่อเลิกให้ได้ด้วยซ้ำ

ทิวาเสียใจ... แต่ทำไงได้ เขาห่วงโจรอู๋มากกว่า รายนั้นอยู่ในช่วงติดเพื่อนเลวสุ่มเสี่ยงจะเสียคนไม่ก็เสียชีวิต คนในครอบครัวก็เอาไม่อยู่ คงมีแต่ทิวาเท่านั้นที่โจรอู๋เชื่อฟัง นับว่าโชคดีเหลือเกินที่เป็นการตัดสินใจถูก เขาพาโจรผ่านพ้นช่วงวิกฤติวัยรุ่นมาได้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทิวาไม่ได้ติดต่อเฉินเชว่เลย แต่รู้ข่าวคราวเป็นระยะ แต่ละครั้งก็สร้างความหดหู่ให้ทุกที เฉินเชว่กลายเป็นปีศาจร้ายขายมนุษย์ที่คงไม่มีทางหันหลังกลับได้

ทิวาคิดว่าเฉินเชว่คงลืมเรื่องตนไปหมดแล้ว กระทั่งครั้งล่าสุดเมื่อหกเดือนก่อนตอนไปเจรจาให้ปล่อยตัวแม่โจรอู๋ ทิวาจึงรู้ว่ามันไม่เคยลืม สายตาที่มองเขาแทบไม่ต่างจากเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน

สายตาที่อ่อนโยน...เหมือนกับตอนนี้

“เฮียรู้ว่าหนูมาเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นหนูไม่จำเป็นต้องพูด”

“......”

“ทำไมวา เฮียไม่เข้าใจ ทั้งที่มันไม่แคร์หนูแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว หนูก็ยังทุ่มเทให้มันอยู่ได้ ตอนนี้แม่งก็มีเมียใหม่ไปแล้วด้วย เด็กกระจอกที่ไม่มีอะไรสู้วาของเฮียได้ซักนิด ทำไมยังไม่เลิกงมงายกับมันซักที”

“กูเลิกช่วยมันตั้งนานแล้ว ที่มาก็เพราะแสงเทียนขอร้อง เด็กนั่นไม่กระจอกนะ มึงไม่รู้ล่ะสิว่ามันทำคดีปลิวเพราะไปแบล็กเมล์เบื้องบนให้ยกฟ้อง”

“.....” เหวอนิดหน่อย “แล้วทำไมวาถึงต้องช่วยมัน มันก็แค่อยากให้ผัวรอดคุก ไม่เกี่ยวกับวาเลย”

“เพราะกูอยากให้เรื่องห่าเหวนี่มันจบซักทีไง” ทิวาเน้นชัดถ้อยชัดคำทุกพยางค์ราวกับจะกระแทกหน้าเฉินเชว่ให้หงาย “กูไม่สนหรอกว่ามันสองคนจะลงเอยกันยังไง คืนดีหรือแยกย้ายไปคนละทาง มันไม่ใช่เรื่องของกูอยู่แล้ว แต่ในฐานะที่กูเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้มาแต่แรก เป็นคนกลางระหว่างมึงกับไอ้มี่ ไม่มีใครจะจบเรื่องของมึงสองคนได้อีกแล้วถ้าไม่ใช่กู มึงเก็ทมั้ย”

คนฟังได้แต่นิ่งฟัง ตาเรียวแทบไม่กะพริบ

“เรื่องที่อาเจ็กสองคนตาย มึงก็รู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดไอ้มี่ มีแต่ผีพวกเค้าเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง มึงกับไอ้มี่ก็ได้บทเรียนกันทั้งคู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสี่ยงตายในโกดังมาด้วยกันนั่นน่ะ มันไม่พาดพิงถึงมึงตอนสารภาพผิดสักคำ ทั้งที่จริงมันจะพูดก็ได้ มึงจะได้ถูกจับแล้วก็โดนสาวไส้ให้ตายไปซะ แต่มันก็ไม่พูด มันยอมรับผิดคนเดียว ยังจะเอาอะไรจากมันอีก”

เฉินเชว่หน้าชา ทว่าไม่อยากยอมง่ายๆ

“วารักมัน ก็พูดเข้าข้างมันได้สิ”

“เปล่า ตอนนี้ไม่ได้รักแล้ว”

“งั้นก็มารักกับเฮีย แล้วเฮียจะรีเซ็ททุกอย่างให้เป็นศูนย์”

“เดี๋ยว มันเกี่ยวกันตรงไหน”

“วาก็รู้ดีว่าเฮียคิดยังไง”

“.....”

นักสืบถึงกับสะอึก เสียววูบวาบในช่องท้องเหมือนกระแสไฟเคลื่อนที่ เขาคิดว่ามันจะไม่แตะต้องเรื่องนี้แล้วซะอีก ก็ผ่านมาแล้วตั้งเจ็ดปี อีกอย่างมันก็ฟันชะนีมาแล้วนับไม่ถ้วน...

“งงใช่มั้ย ความจริงเฮียไม่เคยลืมวา เป็นไปได้ก็อยากย้อนเวลา ไปเป็นคนดีคนเดิมของวาเสมอแหละ แต่ก็อย่างที่เห็น เฮียมาไกลมาก มันละอายใจที่จะเจอหน้าวาในสถานะนี้”

นักสืบรู้สึกมึนงง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดว่าจะได้ยิน

“มึงแคร์ความรู้สึกกูด้วยเหรอ”

“แคร์สิ แต่มันเลี่ยงไม่ได้ วงการนี้ก็เหมือนบ่อโคลนดูด พลาดก้าวลงไปเมื่อไหร่ก็มีแต่จะถูกดูดจมลึก หรือต่อให้ขึ้นมาได้ก็แต่คราบสกปรก”

“ก็รู้ตัวนี่ แล้วจะทำตั้งแต่แรกทำไมล่ะ”

“วาก็ลองถามตัวเองดู ว่าทำไมทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแย่ แต่ก็ยังฝืนทำ...ทำอยู่ได้ตั้งนานหลายปี วาหน้ามืดตามัวกับไอ้เหี้ยมี่แบบไหน เฮียก็หน้ามืดตามัวแบบเดียวกันนั่นแหละ”

“อย่ามาเทียบกับกู กูไม่เคยบอกให้มึงทำเรื่องชั่วๆ พรรค์นั้น” นักสืบตอกกลับฉุนเฉียว ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าด้วยโทสะและละอาย เกลียดคำพูดแรงๆ ของมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแทงใจดำที่สุด

“ความน่ากลัวของบาปคืออะไรรู้ไหม? คือมันทำให้เรารู้สึกดี จนเราเสพติด กลายเป็นความเคยชิน และไม่คิดว่ามันคือบาปไง เฮียเป็นพ่อเล้า วาก็เป็นชู้ชาวบ้าน เราตกนรกด้วยกันทั้งคู่”

“พอได้แล้ว!”

ทิวาตวาดลั่น ตัวสั่นหน้าแดงก่ำและร้อนรุ่ม รู้สึกราวกับโดนจับแก้ผ้าเผาประจานกลางสี่แยก ทั้งโกรธทั้งอาย เขาคิดผิดแล้วที่มาหามัน ไม่มีประโยชน์แถมยังมีแต่เสียหาย

“ขอโทษที่ต้องพูดแรงๆ แต่เฮียไม่อยากให้วาชี้หน้าด่าอย่างเดียว เราทั้งคู่ต่างมีเหตุผล ทุกคนมีเหตุผล เฮียเข้าใจวา วาก็ต้องเข้าใจเฮีย”

“กูว่าธุระเราจบแค่นี้” นักสืบตัดบทและหันหลังให้ ก่อนที่เขาจะเสียน้ำตาและเสียฟอร์มต่อหน้ามัน

แต่เฉินเชว่จับแขนไว้

“ถ้าวารับรักเฮีย เฮียจะปล่อยแม่ไอ้มี่”

“...”

ทิวาเบิกตากว้าง ตกใจมากกว่าดีใจ คราวก่อนที่มันยังดื้อด้านหัวชนฝาจะเอาชีวิตโจรอู๋กับแม่ให้ได้อยู่เลยแท้ๆ หรือมันจะเสียสติไปแล้ว?

“ทำไม?”

“วาคิดว่าคนในวงการนี้จะอายุยืนแค่ไหนกัน? ส่วนใหญ่ตายก่อนแก่ทั้งนั้น เฮียโคตรเหนื่อยที่ต้องหายใจบนความเป็นความตายตลอดเวลา เหนื่อยที่จะต้องสู้กับตำรวจกับมาเฟียด้วยกันเอง เหนื่อยที่ต้องคิดอุบายเอาตัวรอดสารพัด เหนื่อยกับทุกอย่าง”

“....ตอแหลป้ะ” ไม่วายจับผิด

“เฮียจะได้อะไรจากการตอแหล ในเมื่อทุกอย่างที่เฮียต้องการอยู่ในกำมืออยู่แล้ว”

“ไม่รู้สิ มึงเปลี่ยนใจง่ายเกินไป จนเชื่อยาก”

มาเฟียถอนหายใจ สีหน้าทั้งขำและหน่าย “สั้นๆ ก็คือเฮียหมดสนุกที่จะทรมานไอ้มี่เล่นแล้วไง”

“นั่นแหละยิ่งไม่น่าเชื่อใหญ่เลย” ทิวานิ่วหน้า “มึงไล่ฆ่ามันตั้งกี่ครั้งๆ วันนี้มาบอกจะหยุด ใครจะเชื่อ”

“วานี่...เห็นเฮียเป็นคนไร้หัวใจรึไง”

“เออ”

“จริงๆ คิดมาพักใหญ่แล้วล่ะ ยิ่งพอได้ผ่านเหตุการณ์เวรตะไลในโกดังมากับไอ้มี่ก็ยิ่งคิดได้”

“สำนึกบุญคุณใครเป็นด้วยเหรอ”

“วา...” ลากเสียงยาวอย่างละเหี่ยใจ “เฮียแค่อยากใช้ชีวิตสงบๆ แบบไม่ต้องวิ่งหลบกระสุนปืนทุกวัน อยากรักใครสักคนเหมือนที่ไอ้มี่รักแฟนมัน แล้วก็มาถามตัวเองว่าที่ผ่านมา ทำไมเฮียไม่เคยมีความรักจริงๆ จังๆ สักที...เพราะอะไร เพราะเงาของวาไม่เคยหายไปจากเฮียเลยไง”

“.....”

“เฮียเป็นคนเลว ใช่ ไม่ปฏิเสธ แต่เชื่อสิ แม้แต่คนเลวที่สุดก็อยากเป็นคนดีขึ้นเพื่อคนที่เขารัก การที่วาติดต่อมา ทำให้เฮียเปลี่ยนใจ เพราะวาคนเดียวเลย ทั้งหมดนี่คือความจริง ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

ทิวาไม่เข้าใจว่าทำไมรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวกะทันหัน

“โอเค เข้าใจแล้ว”

นักสืบว่าแล้วถอดแจ็คเก็ตพาดเก้าอี้ ตามด้วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เฉินเชว่เบิกตาโต มองดูเนินอกขาวๆ ค่อยๆ เปิดเผยต่อหน้าอย่างตื่นตะลึง กระทั่งเรือนร่างท่อนบนเป็นอิสระจากเสื้ออย่างสมบูรณ์

แต่ก่อนที่ทิวาจะเปิดเผยส่วนต่อไป มาเฟียหนุ่มก็ก้มหยิบเสื้อที่หล่นมาคลุมตัวเจ้าของพร้อมกับหัวเราะ

“เฮียว่าวากำลังเข้าใจผิด”

“ไม่อยากได้แบบนี้เหรอ” ออกจะเหวอหน่อยๆ

เฉินเชว่หัวเราะอีก “อยากสิ แต่ยังไม่ถึงเวลา”

“จะเอาไงแน่ พูดตรงๆ เลยดีกว่า”

“ดี ฟังนะ” สีหน้าทะเล้นทะลึ่งกลายเป็นขึงขัง “เฮียอยากได้วา แต่ถ้าเฮียทำตอนนี้ ก็จะกลายเป็นว่าวาใช้เรือนร่างของตัวเองแลกกับการช่วยไอ้มี่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่...ไร้เกียรติ...ทั้งเฮีย ไอ้มี่ และตัววาเองคงจะรังเกียจมากๆ”

“....”

“และถึงเฮียจะได้วา ก็ได้แค่ตัว ไม่มีอะไรน่าดีใจ เฮียไม่อยากทำกับวาเหมือนแค่โสเภณีคนหนึ่ง วาพิเศษกว่านั้น”

“.....”

นักสืบรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกะทันหัน สิ่งต่างๆ ที่ทำหัวสมองหนักอึ้งมานานราวกับถูกกระชากออกจนเหลือแต่ความเบาหวิว เป็นความเหลือเชื่อ เหนือความคาดหมาย จนทำอะไรต่อไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจกับสิ่งนี้

“บัดซบเอ๊ย...”

ทิวายกมือขึ้นปิดหน้า

เฉินเชว่จับไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

“มานั่งทบทวนความหลังกันซักหน่อยมั้ย”

“อย่ามารุ่มร่ามนะ” ทิวาดึงมือออก มองด้วยสายตาเฉี่ยวๆ เหมือนแมวโกรธ “จะคุยอีกแค่เรื่องเดียว คือเรื่องน้าเหมย ถ้าไม่ได้ข้อสรุปจะกลับแล้ว”

“โอเค โอเค” เจ้าของห้องชูสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ถ้าเฮียปล่อยเค้า วาจะรับรักเฮียใช่มั้ย”

ทิวาหน้าบึ้ง เบนสายตาไปทางอื่น “บังคับกันแบบนี้ไม่ใช่ความรักหรอก”

“ทำไมจะไม่ ไอ้มี่กับเมียมันยังรักกันได้เลย”

“เลิกพาดพิงถึงมันซักที”

“งั้นก็ถือว่าเฮียขอโอกาส วาคิดดู ถ้าวารับรักเฮีย วาก็ได้ช่วยฉุดเฮียขึ้นจากนรก ช่วยแม่ไอ้มี่ แล้วก็ไถ่บาปของวาเองด้วยนะ มีแต่ข้อดีทั้งนั้น จะปฏิเสธเหรอ?”

“โยงมั่วซั่ว”

“ตกลงเอาไง เฮียไม่ใจดีแบบนี้บ่อยๆ หรอกนะ”

ทิวาหน้าบึ้ง คิ้วขมวดมุ่นยุ่งยากใจ จริงๆ ถ้ามันจะปล่อยน้าเหมย ก็แค่โทรสั่งลูกน้องแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงเงื่อนไขที่เกี่ยวกับเขาเลย ขี้โกงแท้ๆ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เอาไว้ค่อยหาทางเลิกกับมันทีหลังก็ได้ ยังไงเป้าหมายที่จะช่วยแม่ของเพื่อนก็สำคัญที่สุด

“อืม ตกลง” ทิวาเอ่ย

มาเฟียยิ้มมุมปาก ควักโทรศัพท์ออกมากดโทร แล้วยังเปิดลำโพงให้เพื่อนร่วมห้องฟังด้วยอีกต่างหาก

“พวกมึง ปล่อยนางแล้วส่งไปที่บ้านเฮียฟง”

[ฮะ! ว่าไงนะครับเจ้านาย!?]

“กูบอกให้ปล่อยนาง

[นางนี่น้องๆ หรือป้าคนนั้นครับ]

“ป้าสิโว้ย โง่จริง ถ้ามึงถามอีกรอบกูจะบินไปยิงหูมึงทิ้ง!”

[รับคราบครับ!]

บทสนทนาจบลงภายในไม่ถึงนาที ทิวาอ้าปากหวอมองหน้าเฉินเชว่เหมือนไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่เขาร้องขอนักหนาในตอนนั้น ตอนนี้มันกลับทำได้ง่ายๆ แค่นี้เนี้ยนะ? คงไม่แปลกถ้าเขารู้สึก ‘ขาดทุน’ กับสิ่งที่ทุ่มเทไปมากมาย ทั้งเงินทอง สมอง แรงกายแรงใจ มาวันนี้เจ้าหนี้กลับยกเลิกง่ายๆ เหมือนแค่กดปุ่มฟอร์แมต

“หรือจริงๆ มึงไม่ได้อยากฆ่าน้าเหมยอยู่แล้ว” นักสืบสงสัย

มาเฟียยักไหล่ “ก็ไม่รู้สินะ”

สิบห้านาทีต่อมา ฝ่ายโน้นโทรกลับมาอัพเดต เฉินเชว่คุยสั้นๆ แล้วส่งมือถือให้ทิวา “ทักทายเค้าหน่อยสิ”

นักสืบงงไปหมด แต่ก็รับมา “ฮัลโหล”

[วา...วาเหรอลูก]

“...น้าเหมย”

เขาขนลุกซู่ไปทั้งร่าง ตัวเย็นเฉียบเหมือนจมลงผืนน้ำใต้แผ่นน้ำแข็ง มือไม้สั่นแทบทำโทรศัพท์หล่น ริมฝีปากชะงักค้างกรามแข็ง ค้างอยู่อย่างนั้นหลายวินาที ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนพูด

“วาสบายดีไหมลูก เจอมี่บ้างไหม”

“....” นักสืบตอบไม่ได้ เพราะลำคอตีบตัน กำลังจะร้องไห้

[ได้ยินว่าหนูช่วยมี่สุดตัวเลย น้าดีใจมาก มี่โชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนแบบหนู ที่มาวันนี้ก็ด้วยใช่มั้ย? ขอบคุณมากนะลูก ชาตินี้น้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณหนูยังไงถึงจะพอ]

“ไม่เป็นไรครับ” ทิวากลั่นเสียงอันสั่นไหวออกมา “ทุกอย่างจบแล้ว ไม่มีความแค้น ไม่มีบุญคุณ ทุกคนเป็นอิสระแล้วครับ”

[จ้ะ] ปลายสายเอ่ยสั้นๆ หากน้ำเสียงมีแต่ความปลาบปลื้มเอ่อล้น [แล้วเจอกันนะจ๊ะ น้าถึงบ้านเฮียแล้วล่ะ]

“...ครับ”

วางสายปุ๊บ ก็เข่าทรุดลงกับพื้น ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนเฉินเชว่ต้องลงมากอดปลอบ

“อะไรวา ร้องไห้ทำไม เฮียก็ทำตามที่พูดแล้วไง”

ทิวาส่ายหัวไม่ตอบ แต่กอดเฉินเชว่แน่นและร้องไห้เหมือนไม่เคยร้องมาก่อนในชีวิต ที่จริงคือเขาดีใจ...ดีใจจนพูดอะไรไม่ออก และก็โล่งใจมากๆ ถึงขนาดถ้าตายก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว หน้าที่ของเขาเสร็จสิ้นเพียงเท่านี้ โซ่ตรวนที่ผูกล่ามน้าเหมยหลุด โซ่ตรวนที่พันธนาการเขาไว้กับอาร์มี่ก็เช่นกัน จากนี้ไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป

ทุกคนเป็นอิสระ

“ไหวมั้ยเนี่ย”

เฉินเชว่เริ่มไม่สบายใจเมื่อทิวาร้องไห้ไม่หยุด กระทั่งหลายนาทีผ่านไปอาการจึงค่อยผ่อนคลายลง เงยหน้ามองเฉินเชว่ด้วยดวงตาบวมเป่งเปียกชื้น พูดด้วยเสียงแหบพร่า

“ขอบคุณนะ”

คนฟังยิ้ม “เปลี่ยนเป็นหอมแก้มแทนได้มั้ย”

“....”

“....”

แทนที่จะโดนต่อยหรือมองค้อนอย่างที่คิด กลับถูกจู่โจมด้วยจุมพิตนุ่มนวลแทน ทีแรกคนโดนจูบอึ้ง ตัวแข็งทื่อกลายเป็นเสาหิน แต่พอถูกเร้าด้วยจูบซ้ำพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างเบาๆ สติสัมปชัญญะและความอดทนก็ขาดผึงทันใด จับท้ายทอยอีกฝ่ายแล้วกดริมฝีปากบด้วยอย่างร้อนแรง ทำเอาทิวาอ่อนระทวยละลายราบลงกับพื้น อีกคนได้ทีขึ้นคร่อม สองมือล้วงรุกล้ำสัมผัสผิวขาวเนียนอย่างห้ามใจไม่ไหว

เหมือนจะเป็นรอง แต่ทิวาผลักอีกฝ่ายออกแล้วพลิกตัวมาอยู่เหนือ ดึงกางเกงทั้งนอกและในของรุ่นพี่ลงพร้อมกัน เห็นอย่างนั้นเฉินเชว่ก็ตาลุกวาว ตามด้วยทิวาโน้มตัวลงมานอนทับ จูบหูและซอกคออย่างยั่วยวนยั่วเย้าจนเขาสยิวไปทั่งร่าง บีบบั้นท้ายแน่นตึงของคนข้างบนขณะที่ส่วนกลางของร่างกายแข็งตั้งสั่นระริกเต็มที่

ทั้งคู่จูบแลกลิ้นเร่าร้อนพร้อมกับทิวาที่ลูบไล้ตามจุดไวต่อสัมผัสของอีกฝ่าย ทำเอาเฉินเชว่เกือบเสียการควบคุมตัวเอง รู้สึกอายหน่อยๆ ที่เสือผู้ผ่านเหยื่อร้อยเอ็ดเจ็ดมณฑลกลับสู้แมวแสนกลตัวนี้ไม่ได้...แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้ที่เขาสมยอมเองนั่นแหละ

เล้าโลมจนได้ที่ก็ถอยร่นลงไปอมก่อนที่อีกฝ่ายจะมีปากมีเสียง มาเฟียหนุ่มครางยาว กลายเป็นผู้ถูกกระทำโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็พอใจ สมเป็นทิวาจริงๆ รู้ว่าเขายอมก็เล่นซะไม่ปราณีเลย

“โอ้ ที่รัก ดีมากเลยครับ”

ส่งถึงฝั่งภายในสามนาที วิเศษเหลือเกิน... แต่ฝันที่จะร่วมรักก็ต้องสลายกลางอากาศ เมื่อทิวาผละริมฝีปากและเรือนร่างออกไป

“มีอะไรเหรอ?” ถามเหวอๆ

นักสืบลุกขึ้นยืนและถุยน้ำสีขาวขุ่นทิ้ง เอาแขนเสื้อเช็ดปาก

“ไปปิดโรงงานค้ามนุษย์กับซ่องก่อนค่อยว่ากัน”   

“.....”

“ไม่อยากเป็นเมียโจร”

“.......”

พูดแค่นั้นแล้วก็เลียขนให้เข้าที่เข้าทาง สะบัดหางเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้เฉินเชว่นอนมองเพดานอยู่นานสองนาน






///

จริงๆ อยากเขียนพาร์ทอดีตมากเลย

เพราะมาตัดจบให้คู่กันแบบนี้ดูง่ายไปหน่อย 555

แต่เดี๋ยวมันจะยาว และอาจออกนอกเรื่องไป

ขอเก็บไว้ใส่ตอนรีไรท์ ไม่ก็ในสเปเชียลแทนละกันนะคะ


ปล. ตอนหน้าจบแล้ววววว

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ว๊าว ต่างคนมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ฝังใจกันมา วาตอนที่โจรอู๋ทิ้ง เราก็สงสารเหมือนกันนะ
ว่าทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนรัก แต่ก็ไม่ได้สมใจ พอมารู้ว่าอีกคนก็มาตามรัก แต่ทิวาไม่สนใจของอย่างนี้ห้ามไม่ได้นะ
สับสน สับสน แต่ก็ดีใจที่เรื่องผ่านไปด้วยดีนะ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
จบที่ยังไม่จบช่ายม้ายยย

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ทิวาร้ายกว่ามาเฟีย สมหวังทุกคู่

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทิวานี่มันแมวเจ้าเล่ห์ชัดๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0


40
เมียโจร forever



ขณะนี้เวลายี่สิบนาฬิกา
   
ผมรู้สึกเหมือนมีสารพิษก่อตัวในร่างกายเมื่อกลับมาเหยียบสถานที่นี้อีกครั้ง พิษที่ว่ามันตกค้างอยู่นานแล้ว นับแต่ที่เรามีปากเสียงกัน
   
ไม่ได้จะมาคืนดี แต่มาเพื่อทำให้เรื่องจบสมบูรณ์ ผมจะขนข้าวของทุกอย่างไปอยู่หอใหม่ มากับรถกระบะรับจ้างพร้อมผู้ช่วยขนของสองคน รวมคนขับ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง เผื่อเฟลมเล่นไม่ซื่อ ยื้อผมไว้ หรือทำร้ายร่างกาย หรืออื่นๆ ก็อนุญาตให้พี่ๆ ทั้งสองรุมเขาได้

แหะ...พูดเว่อร์ไปงั้น คงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าที่ผ่านมาหรอก
   
ผมเข้ามาในหอด้วยกุญแจสำรอง พี่ยามดูตกใจผสมงงๆ คงเพราะเห็นข่าวผม และไม่คิดว่าจะกลับมาแล้วมั้ง ก็ถือว่าคิดถูกเพราะนี่คือครั้งสุดท้าย
   
ขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกับพี่หน้าโหดสองคนที่ประกบหลังฝั่งซ้ายขวาประหนึ่งบอดี้การ์ด ตรงไปยังห้องที่คุ้นเคย
   
ถามว่าทำไมต้องมาขนของออกดึกๆ ดื่นๆ ดูมีลับลมคมใน คำตอบก็คือวันนี้เฟลมมีทำงานกะดึก เข้าตั้งแต่ห้าโมง เลิกเที่ยงคืน ส่วนวันอื่นๆ ผมไม่ว่างจะมา เพราะก็ต้องกลับไปเรียนเต็มตัวเหมือนกัน

แปลว่าเวลานี้เขาจะไม่อยู่ห้อง เป็นโอกาสดีที่ผมจะมาเก็บกวาดข้าวของและจบเรื่องของเราโดยสมบูรณ์... เว้นแต่ว่าเขาไม่ไปทำงานอ่ะนะ

โชคร้ายที่เป็นเช่นนั้น

ประตูหน้าห้องมีรองเท้าสองคู่เคียงกัน คู่หนึ่งนั้นเป็นรองเท้าเธอ ฉันจำได้ดี (กรุณาอย่าใส่ทำนอง) อีกคู่เป็นรองเท้าหนังสไตล์ทางการที่ไม่ใช่เฟลมเลยสักนิด ผมหยิบขึ้นมาดู ใหญ่กว่าเขาหนึ่งไซส์
   
จ้า...พาแฟนใหม่เข้าห้องจ้า

สงสารตุ๊กตาหมีพูห์ลูกกูจริงๆ ที่ต้องนั่งดูฉากอย่างว่าของมันสองคน ให้กูขนของออกก่อนก็ไม่ได้!
   
“ทำไมไม่เคาะอ่ะน้อง” พี่หน้าโหดคนหนึ่งถาม
   
“ไม่อยากเจอหน้าแฟนเก่าอ่ะพี่” ผมบอก
   
“โห่ ปัญญาอ่อน ให้พวกพี่เข้าแทนเลยมะ” อีกคนบอก
   
“โน้ววว์ เดี๋ยวเขาแจ้งตำรวจพอดี” เพราะพวกพี่แม่งหน้าเหมือนโจรมากกว่าโจรแท้ๆ อีก “เอางี้นะครับ พี่ๆ ออกไปรอตรงระเบียงก่อน ถ้าผมเข้าไปแล้วไม่มีปัญหา เราค่อยขน แต่ถ้าไม่เวิร์ค เราจะกลับ”
   
“โอเค” พวกเขาตอบรับและเดินไปที่ระเบียงอย่างไม่ซีเรียส เพราะไงๆ ผมก็จ่ายเงินไปแล้ว
   
เอาล่ะ ทีนี้ก็อยู่ที่เรา... ผมเอาหูแนบประตู รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโจรเลยอ่ะ พี่ยามข้างล่างเค้าจะดูกล้องอยู่แล้วคิดว่าผมมาปล้นห้องตัวเองเอาของไปให้ผัวโจรคนใหม่ป่ะวะ? เป็นผมๆ คิดนะเนี่ย
   
ได้ยินเสียงบานเลื่อนประตูดังครืดต่ำๆ แสดงว่าเลื่อนปิด (ถ้าเลื่อนเปิดจะดังแหลม) แปลว่าเฟลมอยู่ฝั่งในห้องนอน ถ้าผมเปิดประตูเข้าไปเขาก็คงไม่รับรู้
   
ผมเลยเปิด
   
ห้องมืดสลัว มีแสงจากถนนส่องลอดมูลี่เข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผมมองสภาพห้องได้ลางๆ ทุกอย่างแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงกับตอนที่ผมอยู่ ถ้าไม่เพราะเฟลมเปลี่ยนมาขยันทำความสะอาด ก็คือเขาไม่ทำ ไม่ใช้ ไม่ยุ่งกับของเหี้ยไรเลย
   
มุมที่รกมีแต่โต๊ะทำงานที่หนังสือกับชีทเรียนกองสุม เหนื่อยหน่อยนะหนุ่ม ต้องไล่ตามเพื่อนให้ทันอ่ะ แล้วก็ตะกร้าเสื้อผ้าที่สูงซะจนนึกว่ากองผ้าตลาดโรงเกลือ ดูท่าจุดไฟเผาไปเลยน่าจะง่ายกว่าซัก
   
แต่เอ๊ะ เดี๋ยวนะ
   
เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลนั่นมันอะไรเอ่ย
   
ดูเผินๆ ไม่มีสิ่งแปลกปลอม แต่เสื้อตัวนี้ที่มันดันมีเครื่องหมายติดอยู่เนี่ยสิมันกระแทกตาผม หยิบขึ้นมาส่องไฟมือถือดู ก็บอกไม่ถูกว่าอึ้ง โกรธ เสียใจ หรือโล่งใจดี
   

‘ร้อยตำรวจโท หริรักษ์ ป้องปกเกียรติ’   

   
โอเค รับทราบ ขอบคุณนะครับหมวดที่ทำหน้าที่แทนผมเป็นอย่างดี ซาบซึ้งจริงๆ
   
ผมปล่อยเสื้อสีกากีในมือลงเมื่อได้ยินเสียงเตียงอังเอี๊ยดอ๊าดมาจากโซนห้องนอนที่ปิดประตูอยู่ ลองแง้มม่านติดประตูออกนิดๆ แค่พอให้มองเห็น แต่ก็ลำบากเพราะข้างในไม่เปิดไฟเลย อืม...ปกติเฟลมชอบอยู่ที่มืดๆ นี่นะ ผมเห็นแค่เงาสองเงาซ้อนทับกันในท่านั่งกอด และก็จูบ ยากที่จะชี้ชัดว่าใครเป็นใครเพราะขนาดตัวใกล้เคียงกัน
   
โอเค
   
ผมว่าพอแค่นี้ดีกว่า ของอะไรค่อยฝากหมวดรักษ์เอาให้ก็ได้ ไหนๆ เขาก็กึ่งย้ายมาอยู่แล้วนี่
   
“ตกลงเอาไงน้อง” พี่หน้าโหดถาม เมื่อผมออกจากห้องและปิดประตูลงตามหลัง
   
“ผมเปลี่ยนใจ ไว้วันหลังละกันครับ”
   
พี่สองคนยักไหล่เหมือนคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมรู้พวกเขาไม่เดือดร้อนหรอก ดีซะอีกที่ไม่ต้องเหนื่อยขนของ แต่ได้เงินเต็มราคา เราเลยกดลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ตอนนี้เองที่มือถือผมสั่น ชื่อที่ปรากฏทำให้ผมสะดุ้งยิ่งกว่าเห็นฉากวาบหวิวเมื่อครู่ซะอีก แล้วก็ทำให้หวาดหวั่นพอกัน
   
“สวัสดีครับ”
   
[คุณแสงเทียน ผมจะบอกว่าภารกิจสำเร็จแล้วนะ ผมเคลียร์กับเฉินเชว่ได้ มันยอมปล่อยตัวแม่ไอ้มี่แล้ว]
   
“จริงเหรอ! ดีจังเลย ขอบคุณมากนะครับ เพราะคุณแท้ๆ เรื่องถึงจบลงได้ ไว้เรานัดเจอกันนะ ผมอยากตอบแทนคุณ”
   
[ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นความต้องการของผมเหมือนกัน] เสียงนักสืบฟังดูโล่งใจ แต่ก็กลายเป็นหม่นเศร้าลง [ผมมีอีกเรื่องจะบอกด้วย]
   
“ครับ”
   
[ไอ้มี่ถูกปล่อยตัวแล้ว ตอนนี้มันกำลังจะกลับจีน]
   
“เดี๋ยว กลับทำไม แม่มันก็ปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ หรือมันอยากไปเยี่ยม?”
   
[ไม่ มันจะกลับไปอยู่ถาวร]
   
“........”
   
บัดซบ เอารถสิบล้อมาชนกูให้ตายๆ ไปเถอะ

“ทำไมทิวา มันหนีอะไร”

[ไม่รู้สิ ผมยังไม่ได้คุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกัน ทุกอย่างฉุกละหุกไปหมด ตอนนี้มันก็กำลังเดินทางไปสนามบิน]

“เฮ้ย รีบไปไหนอ่ะ”

[ครับ ต้องรีบ มันจะบินสี่ทุ่ม]

อีกสองชั่วโมง

“สนามบินไหนคุณ”

[สุวรรณภูมิ]

เหี้ย...เดินทางจากพระรามเก้าไปสุวรรณภูมิก็ใช้เวลาสามชาติเศษ ต่อให้เหาะไปก็ไม่ทัน ไอ้โจรอู๋ไอ้คนบัดซบ มึงกะไม่ให้กูได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเลยใช่มั้ย คนใจหมา

“อ้าว เป็นไรน้อง ร้องไห้”

ผมขอไฟลท์ กล่าวขอบคุณทิวา วางสาย แล้วหันไปบอกพี่เถื่อน

“ผมจ้างพี่เพิ่ม พาผมไปสนามบินที”



....

BKK – BEI 10.00 PM : DEPARTED

ตัวหนังสือสีแดงที่บอร์ดทำเอาผมใจสลาย วิ่งไปเกาะผนังกระจก เห็นเครื่องบินลำดังกล่าวเทคออฟและพุ่งทะยานขึ้นฟ้าอย่างสวยงาม ก็ถึงกับเข่าอ่อน แม้จะทำใจแล้วว่าคงไม่ทัน แต่อย่างน้อยขอแค่เห็นหน้าซักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี

โกรธว่ะ โกรธมาก มึงไม่ใช่นักโทษประหารซักหน่อยอ่ะ จะรีบหนีทำไมวะ!

ให้ตาย ผมผิดหวังมากกว่าเสียใจอีก ไม่คิดว่ามันจะใจร้ายใจดำถึงขั้นนี้ ถ้าไม่อยากเจอตัวๆ โทรมาลาซักคำก็ได้ แต่นี่แม่งไม่มีอะไรเลย ผมสงสัยจังว่าที่ผ่านมามันแค่การแสดงใช่มั้ย บอกว่ารักผมนักหนา จะไม่มีวันทิ้งกัน แต่พอผมช่วยมันพ้นคุก ช่วยแม่มันเป็นอิสระได้ แม่งก็ถีบหัวส่ง ทิ้งกันดื้อๆ

ทุเรศ! ทุเรศที่สุด! สรุปว่าผมโดนหลอกมาตลอดเลย!

“มึงรอกูก่อนไอ้เหี้ยอู๋ ไอ้สันขวาน กูจะบินไปตามหามึงถึงจีน! กูจะพาผัวใหม่ไปเย้ยมึง แล้วก็ให้เขากระทืบมึงด้วย! มึงคอยดู! ฮือออ”

ผมระเบิดน้ำตากับคำด่าที่ไม่มีวันไปถึง แต่ขอสักครั้งเถอะ ขอผมร้องไห้ให้สมกับความรักจอมปลอมบัดซบให้มันสุดๆ แล้วผมสาบาน ผมจะไม่เสียน้ำตาให้มันอีกเลยแม้แต่เศษเสี้ยว!

“ไอ้คนใจหมา! มึงไปเลย! ไปแล้วไม่ต้องกลับ! ไปตายที่ไหนก็ไป กูเกลียดมึง! เกลียดมึงงงง”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าด่าผัวเป็นบาป”

“..............!!”

“สอนไม่เคยจำเลย เอ็งนี่นะ”

“.............”

เชี่ย เสียงนี่!? ไม่จริง เป็นไปได้ไง

ผมหันขวับไปมองข้างหลัง แล้วก็แทบหงายหลังล้มเมื่อเห็นหน้ามัน ไอ้โจรเหี้ยจริงๆ ด้วย มันตัดผมโกนหนวดสลัดคราบโจรกลายเป็นนายแบบโคตรพ่อโคตรแม่หล่อ จนแอร์โฮสเตสสาวๆ หลายคนที่เดินผ่านมองตามจนขาแทบขวิดคอแทบเคล็ด มันแต่งตัวด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ปราศจากสัมภาระใดๆ แบบที่คนเดินทางควรเป็น

“ทำไมมึงไม่ไป” ผมถามเสียงสั่น

“ไม่ได้จะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” มันยิ้มให้ พร้อมกับอ้าแขนออก “คิดถึงจัง มากอดเร็ว”

ผมจึงวิ่งเข้าไปหาและชูมือขึ้น

ผัวะ!!!

ชกแม่งปากแตก

“โอ๊ย!!! ทำบ้าไรเนี่ย ชกกันทำไม!” มันร้องโวยวาย กุมหน้าอันหล่อเหลาอย่างเจ็บปวด

“แกล้งกูหรอ! สนุกมากใช่ป้ะ!”

น้ำตาผมไหลมากขึ้นอีก เอาจริงก็ดีใจที่มันยังอยู่ แต่ความโกรธเยอะกว่าจนบดบังมิดเลย เล่นอะไรโคตรไม่เข้าท่า!

โจรรวบตัวผมไปกอด จูบซ้ำๆ อย่างหนักแน่นทั่วหน้า ส่วนผมทุบๆๆๆ หลังมันเหมือนคนบ้า จนกระทั่งเหนื่อยและปล่อยตัวนิ่งๆ แต่ยังคงร้องไห้อยู่

“ขอโทษ ไม่คิดว่าจะเป็นเอามากขนาดนี้” มันว่า

“กูรักมึงนะ อยากให้มึงอยู่ด้วยกัน แต่มึงบอกจะไป ใครจะไม่เสียใจบ้าง”

มันยิ้มชอบใจ “จริงๆ ต้องโทษวาต่างหาก เขาเป็นคนคิด”

“ถามจริง?”

“อือ แก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ ที่โดนเอ็งแย่งข้า”

ผมเลยสบถคำด่าหยาบลั่น ทำกันแสบมากนักสืบ!

โจรคลายกอด มองหน้าผม สีหน้าเปลี่ยนจากกวนตีนเป็นจริงจัง

“ขอบคุณมากที่เอ็งช่วยข้าจนพ้นคุก คิดไม่ถึงเลยว่าน่ารักเหมือนลูกหมาแบบนี้จะใจเด็ดเป็นบ้า ตอนฟังวาเล่าวีรกรรมของเอ็ง ข้าทึ่งมาก แล้วก็เป็นห่วงมาก ถ้าโดนพวกคุณหญิงคุณนายหรือไอ้ลุงเล่นงานแทนจะเป็นยังไงเนี่ย”

“กูไม่กลัวหรอก” ผมจับมือมัน “กูห่วงแค่มึงคนเดียว”

แววตามันสั่นระริก ก่อนจะสวมกอดผมอีกครั้ง คราวนี้แนบแน่นกว่าเดิม ผมรับรู้ได้ถึงพลังเชิงบวกที่มันถ่ายทอดมาให้อย่างเต็มล้น ทั้งความรัก ความขอบคุณ ความปลาบปลื้ม หลั่งไหลเข้าสู่ตัวผมจนหัวใจที่รุ่มร้อนก่อนหน้านี้นิ่งสงบ ผมรักที่จะอยู่แบบนี้ ปรารถนาที่จะอยู่นานๆ และจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะขาดมันไปได้ยังไง

“ขอบคุณนะ...ขอบคุณมาก จากนี้ไปถึงเวลาที่ข้าจะทำเพื่อเอ็งบ้างแล้ว มาเริ่มใหม่ด้วยกันนะ”

“อื้อ”

“ข้ารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้ามีเอ็ง ข้าก็ไม่กลัว”

“อื้อ”

“ย้ายไปอยู่สลัมกัน”

“เห้ย!!!”

“ล้อเล่น อยู่บ้านสิ”
   
โจรเช็ดน้ำตาให้ผม ผมเช็ดเลือดให้มัน ก่อนจะจับมือกันเดินผ่านฝูงชนมหาศาลแห่งสุวรรณภูมิ ไปสู่บ้านเก่าย่านเยาวราช ที่ซึ่งชีวิตใหม่ของเราจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้
   
แม้เรื่องราวของผมกับมันจะเริ่มต้นด้วยความผิดพลาด ระหว่างทางก็เจอแต่ความขรุขระ ทุลักทุเล เกือบล่มกลางคันหลายต่อหลายรอบ แต่ผมก็ดีใจที่เราผ่านมาได้ และรู้แก่ใจว่ามันคงไม่ยากเท่าบททดสอบที่รออยู่ข้างหน้า
   
แต่ไม่ว่ายังไง ผมจะไม่ถอดใจเด็ดขาด
   
ไม่มีทาง
   
สาบานด้วยเกียรติของเมียโจรเลย




THE END




////

จบแล้นนนนนนน

ที่มาลงช้า คือใจหายค่ะ ยังไม่อยากให้จบ 555

อาจจะสั้นไปหน่อย เดี๋ยวมาลงสเปเชียลตอนหน้าให้อีก 1 ตอนนะคะ

เผื่อใครค้าง ทั้งคู่พระนาย แล้วก็คู่อื่นๆ (นิดหน่อย) แฮร่

ขอบคุณมากๆ นะคะที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้

เพิ่งลงที่นี่ครั้งแรก ได้ผลตอบรับเท่านี้ก็ดีใจมากแล้วค่ะ

มันอาจไม่ใช่นิยายที่สมบูรณ์ แต่เราก็ดีใจค่ะที่ได้เขียนออกมาจนจบ

ขอบคุณที่ร่วมเดินทางอย่างทุลักทุเลมาด้วยกันค่ะ 555

รักนะ <3 <3


แบล็กแมมบ้า

2/7/19
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2019 17:31:20 โดย Blackmamba »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เริ่มต้นใหม่กีนสักที

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

คู่เฟลมกับหมวดรักษอยากรู้ใครผัวใครเมียหรือสลับบทบาทบางเวลา

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
จบแล้ว มีความสุข ถึงจะบ้าๆ บวมๆ แต่พระนาย น่าตาดีมาก ทั้งคู่ ส่วนหมวดกะเฟลม ผลัดกันเนอะ และคู่อื่นๆ ก็ขอให้มีความสุขมากๆ

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ทำไมเรื่องนี้ถึงทำเราชอบเรื่องทั้งหมดเลยก็ไม่รู้ถึงจะมีฉากแบบนอกใจก็ไม่ตะขิดตะขวงใจให้รู้สึกเฟลเพราะว่าเนื้อเรื่องมันสนุกมาก ชอบทุกคู่เลยด้วย รอตอนพิเศษนะคนเขียน ขอบคุณมากที่แต่งนิยายเรื่องนี้

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
จบแล้ววววววววว
สนุกมากเลย ลงเอยด้วยดีทุกคู่
ชอบทุกคู่ น่ารักทุกคู่เลย

ออฟไลน์ RiyaKwon

  • Riya Kwon*Kwon Riya
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1021
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
แหมมมมมมมมมมมมมมมม อิโจรซึน!!!!

ออฟไลน์ RiyaKwon

  • Riya Kwon*Kwon Riya
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1021
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ชอบทุกคู่เลยอะ 555555

ออฟไลน์ RiyaKwon

  • Riya Kwon*Kwon Riya
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1021
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
แอบสงสารคุณพัชรนะ เคฟต้องชดเชยให้ด้วยเน้อ
 o18 o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
555 ขำหลายตอนเลย
ชอบเทียนนะ สู้คนดี ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
เบย์ก็น่าร้ากกก^^

บวกจ้า

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ลุ้นจ่น สนุกมาก ขอบคุณผู้แต่ง ^^

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
น่ารักดี สนุกแล้วก็ตลกด้วย
55555 พระเอกฉลาดดี
นายเอกหัวไว ใจไว ตัวก็ไวด้วย
ชอบทุกคู่เลย  :hao7:

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รออ่านสเปเชียลจ้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ tong_pub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-5
ตามอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ สนุกมาก นานๆๆทีจะเจอนิยายถูกใจ ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ

ออฟไลน์ bankbadboy609

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค้างคู่หมวดกะเฟลม แล้วว คุ่เพชรกับอเล็ก มาต่ออีกสักนิด โดยเฉพาะคู่แรก อยากอ่านฉาก 18+ มากๆๆๆ :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0

SPECIAL
หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน

PART I


   
ชีวิตหลังจากวันนั้น...ไม่ง่าย
   
หลังจากเหตุการณ์วายป่วงที่สนามบิน ตอนนี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว วันนั้นโจรอู๋...ไม่ใช่สิ อาร์มี่ พาผมกลับบ้านเก่าของมันที่เยาวราช แต่จะพูดให้ถูกก็คือบ้านเจ้าเคฟนั่นแหละ เพราะบ้านจริงๆ ของมันโดนขายใช้หนี้ตั้งแต่พ่อตายแล้ว มาทักทายญาติพี่น้องและเปิดตัวแฟน ทุกคนช็อกมากที่อดีตโจรกับผู้เคราะห์ร้ายกลายเป็นคนรัก แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ยุ่งอะไรเรา (ถึงมีก็ไม่แคร์)

จากนั้นมันก็พักอยู่กับอาช่วงหนึ่ง ช่วยงานที่ร้านเสมือนลูกจ้าง  มันบอกรู้สึกผิดที่เมื่อก่อนเป็นเด็กมีปัญหา ทำให้ที่บ้านเดือดร้อน และรู้สึกผิดแทนพ่อที่เอาเงินครอบครัวไปผลาญกับอบายมุข ทำให้อาลำบากถึงปัจจุบัน จากนี้จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพาครอบครัวกลับไปอยู่จุดที่สบายดังเดิม ผมล่ะภูมิใจจริงๆ ที่มันคิดได้ แต่คิดว่าอา แม่ กับวิญญาณพ่อของมันคงภูมิใจกว่าล้านเท่า
   
แต่ไม่ถึงเดือน ความตั้งใจของนายอติศรก็ล่ม

ไม่ใช่ว่าไร้หนทางหาเงินนะครับ ตรงกันข้ามเลยแหละ

อานิสงส์จากการที่เคฟได้แฟนรวย ป๋าเค้าส่งเสียมันเดือนละหกหลักเน้นๆ (เหยดเข้!) สภาพความเป็นอยู่ของนักศึกษาผู้นี้จึงดีขึ้น แต่ก็ยังดื้อทำพาร์ทไทม์อยู่แหละ มันส่งให้ที่บ้านใช้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งของตัวเอง อีกส่วนยกให้พี่ชายฟรีๆ เพราะเห็นว่าพี่ยังลำบาก แถมบอกไม่ต้องทำงานให้ที่บ้านแล้ว ไปเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองดีกว่า โคตรประเสริฐเลยพ่อคู๊ณณณ
   
ด้านอดีตหัวหน้าแก๊งนั้น ละอายใจที่จะเกาะน้องกินเฉยๆ คุณเค้าเลยเอาประสบการณ์มิจฉาชีพกว่าครึ่งปีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการก่อตั้งบริษัทด้านนิรภัย (เรียกให้หรูไว้ก่อน จึงๆ ยังมีแค่ห้อง 1 พนักงาน 1 กับคอมพ์ 1 เท่านั้น) ทำเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ป้องกันการโจรกรรมครบวงจร โดยให้อเล็กซ์ช่วยดูแลด้านไอที เคฟช่วยหาลูกค้ากับโฆษณา ส่วนผมก็ช่วยเป็นกำลังใจ...แฮร่ เสียดายเพื่อนเบย์ของเราโกอินเตอร์ตามแฟนไปอเมริกาแล้ว ไม่งั้นคงเป็นทีมสมบูรณ์
   
ทุกวันมี่มันจะโทรมาเล่าความเคลื่อนไหวให้ฟังตลอด แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะตัวเองก็เรียนเยอะจนเบลอ ยิ่งปีสุดท้ายต้องฝึกงานด้วยแล้ว เรียกว่ายุ่งยังน้อยไป ใกล้ตายจะใกล้เคียงกว่า
   
เราเจอกันเฉพาะวันหยุด มันจะมานอนค้างกับผมตั้งแต่คืนวันศุกร์ กลับเย็นวันอาทิตย์ ใจจริงอยากมาหาทุกวันนั่นแหละ แต่ระยะทางที่ห่างกันคนละฟากเมือง เดินทางทีนึงสามชั่วโมงก็ไม่ไหว

มันงอแงอยากย้ายมาอยู่ด้วย แต่ผมไม่เอา เดี๋ยวเบื่อขี้หน้ากันก่อน ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ถ้าเราเกิดมาเพื่อคู่กันจริง จะช้าจะเร็วก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี แถมอยู่ยันตาย เพราะงั้นไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนหรอก อีกอย่างผมก็เรียนหนัก มันก็ทำงานหนัก เครียดกับเครียดมาอยู่ด้วยกันคงจะพากันเครียดมากกว่า แยกกันอยู่แหละดีแล้ว 

เรื่องเพื่อนฝูง อาจารย์ สังคมรอบข้าง แรกๆ ก็เป็นห่วงผม ระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำที่เกรงจะทำให้ผมกระทบกระเทือน แต่ผมก็บอกทุกคนว่าผมสบายดี ไม่มีอะไรต้องห่วง และก็ทำตัวปกติ เหมือนช่วงเวลาที่หายตัวไปไม่เคยมีอยู่จริง ทุกคนก็ค่อยๆ ปรับตัว และทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม

แต่จะว่าเหมือนเดิมก็ไม่เชิง มันมีอยู่แล้วพวกขี้เม้าท์ ชอบนินทาชาวบ้าน ผมได้ยินคนพูดกันแว่วเข้าหูประจำเรื่องเอาโจรทำผัว บางคนถึงกับแสดงออกชัดเจนด้วยซ้ำว่ารังเกียจ... แล้วไง ผมไม่ให้ค่าคนพวกนั้นอยู่แล้ว ฟังไปก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับชีวิต

ที่น่าหนักใจกว่าพวกปากปลาร้า ก็คนใกล้ตัว

ครอบครัวนี่แหละ   

จนป่านนี้ผมยังไม่ได้บอกที่บ้านตรงๆ เลยว่าแฟนคือโจรที่เป็นข่าวด้วยกัน มีแต่คนพูดให้พวกท่านฟัง พ่อแม่ก็ถามผมหลายครั้ง แต่ผมก็เลือกที่จะตอบเลี่ยง เพราะถ้าบอกเมื่อไหร่ บ้านแตกแน่นอน ยิ่งตอนนี้มี่มันกำลังตั้งตัว ชีวิตยังไม่มั่นคง พ่อแม่คงยิ่งไม่ชอบ อย่างน้อยถ้ามันจดทะเบียนบริษัทสำเร็จ มีบ้านหลังใหญ่ รถสวยๆ กับเงินเยอะๆ ในบัญชีไปโชว์ พวกท่านอาจลดอคติลง

น่าเกลียดเนอะ แต่ mindset พ่อแม่ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ สำหรับชาวบ้าน (นอก) ทรัพย์สินเป็นชิ้นเป็นอัน คือหลักฐานบ่งชี้ความสำเร็จ ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นของเราจริงหรือเป็นหนี้เพื่อให้ได้มา ขอโชว์ได้หน้าไว้ก่อนเป็นกิน เมื่อก่อนตอนคบเฟลมโชคดีหน่อยเพราะเราทั้งคู่เป็นแค่นักศึกษา แต่ตอนนี้มี่ทำงานแล้ว ผมก็ฝึกงาน เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สมควรมีทรัพย์สินได้

พวกเขาคิดอย่างนี้แหละ แม้ว่าเราจะอายุแค่ยี่สิบสองก็ตาม

ข่าวร้ายฮะ...สิ้นปีนี้พ่อแม่บอกให้ผมกลับบ้าน และมันก็คืออาทิตย์หน้านี้เองจ้าาาา ตายห่ามั้ยล่ะ

วันนี้วันศุกร์ แฟนผมมานอนด้วย ก็ว่าจะคุยเรื่องนี้กับมัน เพราะมันเองก็เปรยๆ ว่าอยากเจอพ่อแม่ผมเหมือนกัน อยากขอโทษเรื่องในอดีตแล้วก็ฝากตัวเป็นเรื่องเป็นราว แต่ผมลังเลสุดๆ เนื่องจากรู้จักพ่อแม่ตัวเองดี หัวแข็งเหมือนหินยุคโบราณขนาดนั้น ผมกับมันหืดขึ้นคอแน่

“โอ๊ย...เมื่อไหร่จะรวยซักทีโว้ย อยากแต่งเมีย!”

ไอ้บ้าเปิดประตูเข้าห้องมาพร้อมกับพูดเพ้อเจ้อ ถอดรองเท้า ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต แล้วเข้ามาซ้อนหลังผมที่กำลังนั่งพิมพ์งานในคอมพ์ หอมแก้มดังฟืดเหมือนคนหื่นกาม

“ฝันไปก่อนนะ”

“ยืมเงินไอ้พวกนั้นก่อนแล้วผ่อนทีหลังดีมั้ย รักมากอยากได้ ห้าวันเจอกันที จะขาดใจตายอยู่แล้วอ่ะ” มันพูดขณะเอาหน้านัวเนียซอกคอผม มือก็ล้วงไปเรื่อย

“ตลกละ”

“มาทำกัน”

“แป๊บ ขออีกย่อหน้า”

“เทียน...อย่าใจร้ายกับมี่ ห้าวันกับระยะทางยี่สิบกิโลจากเยาวราชถึงรังสิตไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”

“เอาน่า คิดซะว่าฝึกความอดทน”

“ความอดทนที่แท้จริงคือต้องชักว่าวทุกคืนเพราะคิดถึงเธอต่างหาก”

“มี่!” ผมเอาศอกกระแทกมันจนร้องอั้ก แต่ก็ไม่ยอมคลายกอดหรอก นี่ถ้ามันสอดใส่ทะลุเบาะได้ก็คงทำไปแล้ว

ไอ้เวรกดเซฟงานก่อนชัตดาวน์ให้ผมเสร็จสรรพโดยไม่ถามกันซักคำ แล้วก็หมุนเก้าอี้ให้ผมหันหน้าไปหามัน ก่อนจะดึงตัวเข้าไปจูบเหมือนหิวกระหายหนัก แล้วก็อุ้มกันออกไป เป็นอันว่าผมหมดทางขัดขืน

เซ็กส์ของเรายังดีอยู่ และความที่ห้าวันเจอกันที ก็ทำให้ความถี่ต่อหนึ่งคืนพุ่งสูงทะลุเพดาน บางวันต่อมาแทบไม่ต้องออกไปไหน นอนตายระบมอยู่บนเตียงสถานเดียว ทำเหมือนชาตินี้จะไม่ได้ทำอีก ถึงขั้นข้างห้องเคยมาเคาะประตูด่าเพราะเอากันหนักหน่วงจนเค้านอนไม่หลับ เป็นเอามากขนาดไหนคิดดู...

จากบทเรียนและการร้องเรียน เราเลยเปลี่ยนไปทำที่อื่นแทน บนโซฟาบ้าง บนพื้นบ้าง นอกจากไม่มีเสียงเตียงกระแทกผนัง ที่นอนก็ยังไม่เปื้อนและเปียกอีกต่างหาก ทำเสร็จค่อยอาบน้ำนอนทีเดียว

คนหื่นจับผมแก้ผ้าแล้ววางลงกับพรมขนแกะนุ่มฟูบนพื้น ปกติผมก็ชอบนอนกลิ้งเล่นบนนี้อยู่แล้ว มันฟินดี เหมือนนอนบนก้อนเมฆ แล้วมันก็ทาบทับร่างลงมาโลมเล้าเคล้าคลอ ฟัดตรงซอกคอนัวเนีย

“ขาวไปหมด น่ารักมากเลย”

“อือ...”

“คนสวยของมี่ เธอน่ะนุ่มนิ่มกว่าขนแกะร้อยเท่า”

“ไอ้บ้า”

ผมแทบอยากระเบิดตัวตายด้วยความเขิน ตั้งแต่เป็นแฟนกัน ‘อย่างเป็นทางการ’ มันก็ทิ้งตัวตนเก่าไปหมดเลย ความป่าเถื่อนสมัยเป็นโจรอู๋ไม่หลงเหลือ คำหยาบรึแทบไม่หลุดจากปาก แม้แต่ข้า-เอ็งที่ใช้จนชินก็เปลี่ยนเป็นชื่อเฉยๆ หรือบางทีก็หวานจ๋าชวนจั๊กจี้ จนบางทีผมก็อยากได้โจรอู๋คนเดิมกลับมา...มันน่ารักเกินไปอ่ะ ให้ตายก็ไม่ชิน

แลกเปลี่ยนความคิดถึงกันไปเต็มที่กี่รอบนับไม่ถ้วน นายอติศรก็อุ้มผมเข้าห้องน้ำล้างตัว ก่อนจะมานอนกอดกันต่อบนเตียง แล้วก็คุยเล่นกันระหว่างรอง่วง

“ผู้ชายน่าจะท้องได้เนอะ อยากมีลูกสาว ต้องสวยเหมือนเธอแน่เลย”

“เพ้อเจ้ออีกแล้ว” ผมยิ้มขำ

“ย้ายไปแคนาดากันเถอะ จดทะเบียนสมรส แล้วทำเรื่องอุ้มบุญ”

“จริงจัง?”

“ไอ้เบย์กับผู้พันวางแผนแล้ว เราก็ทำได้ แต่คงต้องใช้เวลาหน่อย”

“ก่อนคิดเรื่องนั้น ผ่านด่านพ่อแม่เค้าให้ได้ก่อนมั้ย”

สีหน้าเพ้อฝันแสนสุขของมันกลายเป็นห่อเหี่ยวทันที สอดแขนใต้ร่างดึงผมไปกอดแนบอก จูบหน้าผากนุ่มนวล และค้างอยู่อย่างนั้น

“แหงอยู่แล้ว...ต้องผ่านได้แน่นอน”

ผมไม่พูดอะไรนอกจากหอมแก้มมันหนึ่งที

เอาจริงพ่อแม่ หรือลูกในมโนของมัน ไม่ใช่เรื่องสำคัญในความสัมพันธ์ของเราเลย จริงอยู่ที่พ่อแม่ลูกตัดกันไม่ขาด แต่วันหนึ่งวันใดเราก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง ถูกมั้ย? สักวันเราต้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมควรเลือกทางเดินได้เองไม่ว่าจะเรื่องงานหรือคู่ครอง

เอาจริงการมีพ่อแม่เนี่ยแหละ คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากมีลูก 

“ป่านนี้เธอรู้ยังว่าหมวดกับแฟนเก่าเธอ ใครเป็นผัวใครเป็นเมีย”

“มี่! ถามบ้าไรเนี่ย” อยู่ดีๆ ก็หักมุมอารมณ์สุดขั้วเฉย

“ก็อยากรู้”

“ไม่รู้ หมวดผัวมั้ง” ผมว่า

“แต่มี่ว่าหมวดเมีย ดูเค้ามีความยั่วแปลกๆ”

“เรื่องของเค้ามั้ยล่ะ ไม่ได้คุยกันแล้ว” ผมออกจะหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะมันช่างเลือกหัวข้อได้ผิดที่ผิดเวลาจริงๆ เสียอารมณ์หมดเลย

“เธอน่าจะอยู่ดูต่อจนจบ”

“ทะลึ่ง” ผมตีแขนมัน “พูดถึงแต่แฟนเก่าเรา ไม่เห็นเคยเล่าเรื่องแฟนเก่าของตัวเองบ้าง เป็นใครที่ไหนถึงขั้นยอมแตกหักกับครอบครัว แล้วก็เอาเงินไปเปย์เค้าจนหมดตัว จนต้องเดือดร้อนทิวาน่ะ”

“หูย แรงอ่า... เรื่องในอดีตไม่น่าจดจำ อย่าพูดถึงเลย” มันทำหน้ามุ่ย แต่ผมก็รุกต่อ

“ใครๆ ก็มีอดีตกันทั้งนั้น บอกมาเหอะ ไม่ว่าไรหรอก”   

มันถอนหายใจ “คนนิสัยไม่ดีน่ะ ไม่อยากพูดถึง”

“ไม่ดียังไง”

“ก็... เป็นกะเทยแรดๆ”

“เฮ้ย”

“เราเปย์เขา เขาก็เอาไปเปย์ผู้ชายคนอื่นอีกที โคตรน่าเจ็บใจ วาก็เคยเตือนว่านางอันตราย แต่ก็ดื้อไม่เชื่อ สุดท้ายพอแตกกับพ่อก็โดนเขาทิ้ง ด่าควายยังสงสารควายเลย แต่ไม่เคยได้กันนะ ตอนนั้นยังเด็กอยู่”

“แสดงว่าสวยมาก หลงหัวปักหัวปำ”   

“ไม่เลย” มันเอาหน้าซุกนมผมใหญ่ “สวยสู้ติ่งหูเธอไม่ได้สักนิด”

“จ้า”

โดนกอดออดอ้อน คุยกระหนุงกระหนิงต่ออีกพักใหญ่ มันก็หลับไป ผมเลยลุกขึ้นไปปิดไฟและนอนกอดมันจนหลับตาม

จริงๆ มีกันแค่สองคนก็ดีที่สุดแล้วนะ



V
V
มาต่อให้แล้วเด้อค่ะ หายตัวนานไปหน่อย
เพราะยิ่งเขียนยิ่งยาว ไม่จบซะที 555555
มีหลายพาร์ทนะคะ จะทยอยลง ><

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0


PART II



เวลคัมโฮม

เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมกลับบ้าน และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่รู้สึกกดดันแทนที่จะผ่อนคลายเหมือนทุกที

เราเลือกกลับเครื่องบินเพราะอยากเซฟเวลา ไม่ต้องขับรถตั้งสิบสองชั่วโมง แถมหนทางก็อันตราย โค้งเยอะเหวแยะ ยิ่งมี่ไม่เคยมา ผมก็ขับรถไม่แข็ง เลยไม่อยากเสี่ยง แม้จะอยากให้พ่อแม่เห็นว่าเราก็มีรถสวยๆ ขับก็เหอะ

พ่อกับแม่มารอรับที่สนามบิน แต่กว่าจะหากันเจอก็นาน เพราะคนล้มหลามตามประสาช่วงเทศกาล พอเจอหน้ากันปุ๊บ แม่ก็โผเข้ามากอดหอมอย่างปลาบปลื้มดีใจ ส่วนพ่อยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

“คนดีของแม่ คิดถึงที่สุดเลย แล้วนั่นพาใครมาด้วยน่ะลูก เพื่อนเหรอ หล่อเชียว” แม่คลายกอดแล้วถามถึงคนที่อยู่ข้างหลังผม

ไม่แปลกที่แม่จะจำไม่ได้ว่าหมอนี่คือคนที่เคยเป็นข่าวกับผม เพราะมันย้อมผมกลับเป็นสีดำแล้ว ไม่ใช่หัวทองแบบตอนนั้น แล้วก็แต่งตัวดีเนี้ยบกริบหัวจรดเท้า เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนรองเท้าหนัง ทั้งยังใส่แว่นสายตากรอบบาง ดูภูมิฐานมีชาติตระกูล ขัดกับลุคเก่าที่โคตรโจร

ผมหันไปสบตาแฟน มันพยักหน้าหน่อยๆ เป็นอันเข้าใจตรงกัน

“แฟนเทียนเองแม่”

แม่ร้อง ‘โอ้’ เบาๆ พร้อมกับยกมือป้องปาก ท่าทางประหลาดใจ ส่วนพ่ออมยิ้ม

“ลูกแม่นี่แน่จริงๆ นายแบบอีกแล้วใช่มั้ย”

ผมขำคิก “ไม่ใช่ฮะ คนธรรมดา”

“หน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” พ่อพูด

ใจผมสั่นวูบ คิดว่ามี่เองก็เช่นกัน มันแอบจับปลายนิ้วผมและถูเบาๆ เหมือนจะบอกว่าโอเค เป็นไงเป็นกัน ผมเลยสูดลมหายใจเข้าออกแล้วบอกพ่อไปตรงๆ

“ก็คนที่เคยเป็นข่าวกับเทียนไง”

“.....”

“.....”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคำว่า ‘เดดแอร์’ แต่คงไม่ใช่แค่เดดแล้วล่ะ คือนรกเลย สีหน้าแม่เปลี่ยนจากยิ้มเป็นบึ้งกะทันหัน ปากเหยียดคว่ำ สายตาอาฆาตมาดร้ายจนเกือบแทงคนตายได้ ส่วนพ่อก็หน้าตึง ดวงตาโกรธขึ้งแบบขัดกับบุคลิกสบายๆ อย่างชัดเจน ผมมั่นใจว่าหากเราไม่ได้อยู่ในสนามบิน ไม่พ่อก็แม่ต้องพุ่งเข้ามาตบหน้าอาร์มี่ชัวร์

แม่ไม่พูดอะไรต่อ แต่มองเราสองคนด้วยหางตาแล้วเดินหนี เป็นพ่อที่เอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นฟันกระทบ บอกเราถึงสิ่งที่ควรทำ

“พ่อว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันตอนถึงบ้าน”

ผมพยักหน้า แล้วพ่อก็เดินตามแม่ไป

“เค้ากลับแท็กซี่ก็ได้นะ” แฟนกระซิบบอกผม

“ไม่ต้อง ยังไงก็เจอกันที่บ้านอยู่ดี กลับพร้อมกันนี่แหละ”

ยิ่งขึ้นรถบรรยากาศก็ยิ่งแย่ ไม่มีใครพูดกันเลย เงียบยิ่งกว่าป่าช้าจนพ่อต้องเปิดวิทยุให้เสียงเพลงมาถมเต็มความว่างเปล่าที่แสนอึดอัด ซึ่งก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีก็ถึงบ้าน

ผมดีใจที่เห็นลูกหยอง เจ้าโกลเด้นท์แสนรักมานั่งกระดิกหางรอหน้าประตูรั้ว มันกระโจนเข้าใส่จนผมล้ม แล้วเราก็ปล้ำกันกลางสนามหญ้าอย่างบ้าคลั่งจนเสื้อผ้าผมเลอะไปหมด มันคิดถึงผมมากพอๆ กับที่ผมคิดถึงมัน พ่อกับแม่แม้จะเครียดแต่ก็ยังแอบเห็นอมยิ้ม มองเราอย่างเอ็นดู

อาร์มี่ทำหน้าที่เด็กยกกระเป๋าลงจากรถด้วยอาการสงบเสงี่ยมเจียมตัวจนผมสงสาร รู้สึกไม่ดีเลยเวลาเห็นมันไม่เป็นตัวของตัวเอง และไม่อยากให้มันรู้สึกแย่กับครอบครัวผมด้วย ทางที่ดีเราควรคุยให้จบเร็วๆ ถ้าพ่อแม่หัวชนฝาไม่เอามัน เราจะได้แยกตัวไปพักกันสองคน ยังไงซะผมก็ตั้งใจจะอยู่แค่สามวัน จะค้างบ้านหรือค้างข้างนอกก็ไม่ต่างกัน

“หิวรึยัง? แม่ทำกับข้าวไว้รอเทียนหลายอย่างเลยจ้ะ แต่...ไม่ได้ทำเผื่อคนอื่นนะ”

เหมือนจะดี ถ้าตอนท้ายไม่พูดประชดแล้วมองอาร์มี่ด้วยหางตา ผมล่ะอายแทนท่านจริงๆ ที่ทำกิริยาแบบนั้นออกมา หน้าร้อนหน้าชาไปหมด...แย่ ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้มี่ต้องโดนค่อนแคะอีกเยอะแน่ และผมนี่แหละจะทนไม่ไหวระเบิดก่อนมัน

“เทียนยังไม่หิว เรามาคุยกันเลยดีกว่าฮะ”

แม่ถอนหายใจ พ่อกอดอก ก่อนทั้งสองจะเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นและนั่งลงที่โซฟา ผมกับอาร์มี่นั่งฝั่งตรงข้าม เป็นการเผชิญหน้ากันตรงๆ ครั้งแรก พวกท่านไม่มองหน้าอาร์มี่เลย เอาแต่จ้องมาที่ผม ส่วนผมก็หน้านิ่งสงบสยบหัวใจที่ร้อนระอุ

“ไหนบอกพ่อซิ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

“ก็เหมือนที่เทียนบอกทุกคน เราวางแผนกันเอาคืนเฟลมที่เขานอกใจ แต่ไม่คิดว่ามันจะบานปลาย กลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น...พอคดีจบเราก็คบกันเป็นแฟนจริงๆ จนถึงตอนนี้”

คำพูดของผมทำให้คิ้วของพ่อย่นเข้าหากันยิ่งขึ้นอีก อาร์มี่จับมือผมใต้โต๊ะ ฝ่ามือทั้งเย็นและมีเหงื่อ ผมบีบกลับเบาๆ แทนการบอกว่าไม่ต้องกลัว พ่อไม่มีปืน

“ลูกไม่ได้ถูกลักพาตัว แต่คดีอื่นๆ ก็ยังเป็นความจริง ยังไงมันก็คือโจรวันยังค่ำ”

แม่พูดกระแทกเสียงพร้อมกับมองตาเขียวเกรี้ยวกราด วินาทีนั้น ผมเหมือนไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อนเลย นี่ใช่คนที่เลี้ยงดูผมด้วยความรักมาทั้งชีวิต คนที่ผมคิดว่าเข้าใจผมที่สุดจริงหรือ? ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจรังชังนั่น...เหมือนกับคนแปลกหน้า

ผมเสียใจ พูดแทบไม่ออก แต่ก็ตอบอย่างใจเย็น

“คนเราทำผิดพลาดได้ แต่เทียนสาบานได้เลยว่าตอนนี้อาร์มี่เป็นคนใหม่แล้ว เขาตั้งใจทำงานมาก แล้วก็รักเทียน ดูแลเทียนดีมากแม่”

“แต่แม่ไม่ยอมรับ”

“เทียนก็ไม่ได้ขอให้ยอมรับ แค่จะให้รับรู้”

“ยังไงแม่ก็ไม่เอามัน แม่เลี้ยงลูกมาดียิ่งกว่าไข่ในหิน จะยกให้โจรอย่างมันได้ยังไง ข้ามศพไปก่อนเถอะ”

“แม่ครับ ขอร้อง คุยกันดีๆ เทียนไม่อยากทะเลาะ”

“เลิกกันซะ ถ้าไม่เลิกก็ไม่ต้องเรียกแม่ว่าแม่อีก!”

ผมเกือบร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เพราะผิดหวัง สิ่งที่แม่ทำแย่กว่าที่ผมเตรียมใจว่าจะเจอประมาณสิบเท่า ที่ผ่านมาเวลาเรามีปัญหากัน หนักแค่ไหนก็ไม่เคยเอาความสัมพันธ์มาเดิมพัน ผมเข้าใจว่าเรื่องราวของผมกับอาร์มี่ค่อนข้างเลวร้าย แต่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็ใช้ชีวิตใหม่ พวกเราก็เช่นกัน

โอเค มันอาจกะทันหันเกินไป ทำให้แม่ช็อก แต่ยังไงผมว่าแม่ก็ไม่น่าแสดงออกมาแบบนี้อยู่ดี อย่างน้อยก็เห็นแก่ความเป็นครูบาอาจารย์กับ ตำแหน่งศต.ดร. ที่นำหน้าชื่อบ้าง

“ใจเย็นก่อนแม่ คุยกันด้วยเหตุผล” พ่อปราม แม้ว่าตัวเองก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไม่แพ้กัน

“แม่เสียใจมากรู้มั้ย คนดีๆ มีตั้งเยอะ ทำไมลูกถึงเลือกมัน! ไอ้โจรสารเลวนี่! หนอย...ทำเป็นแต่งตัวดูดี ที่แท้ข้างในก็ขยะ!”

คราวนี้แม่ร้องไห้และลุกขึ้นยืนชี้หน้าอาร์มี่แล้ว ผมกลัวว่าอีกสักพักท่านจะเข้ามาทำร้าย จึงเอาตัวบังแฟนไว้ข้างหลัง

“นั่นมันแค่ภาพที่สื่อรายงาน ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเขา เทียนกล้าสาบานได้ว่ามี่กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่แล้ว และที่สำคัญเรารักกันฮะแม่”

ทั้งน้ำเสียงและแววตาผมแสดงออกให้แม่รู้ว่าผมหนักแน่นมากแค่ไหน คิดว่าแม่คงเห็นว่าผมเอาจริง แล้วก็ยอมรับการตัดสินใจของผมได้เหมือนทุกครั้ง

ทว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมา ทำให้ผมแทบเข่าทรุด

“เฮอะ ไปตายไหนก็ไป ไอ้ขี้คุก!”

ผมรู้ทันที การเจรจาดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคำใดต่อ

“เทียนเสียใจที่แม่ด่วนตัดสิน ทั้งที่แม่ไม่รู้จักมี่จริงๆ ด้วยซ้ำ”

ผมบีบมือคนข้างหลังแล้วพามันเดินออกมาจากห้อง แต่มันรั้งไว้ เช่นเดียวกับแม่ที่ร้อง

“ลูกจะไปไหน!”

“ไปอยู่ที่อื่น ถึงเราคุยกันต่อไปก็ไม่รู้เรื่อง ไว้แม่ใจเย็นลงค่อยคุยกันอีกทีนะฮะ”

“นี่เทียนเลือกมันมากกว่าพ่อแม่เหรอ” พ่อเอ่ยออกมาพร้อมกับแววตาร้าวราน

“เปล่าครับ เทียนไม่ได้เลือกใคร แต่เลือกความจริง สักวันเวลาจะพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นเอง”

พูดจบก็ลากอาร์มี่ออกมาโดยไม่พูดอะไรอีกเลย แฟนเห็นผมไม่ไหวแล้วก็เดินตามมาโดยดี ผมคว้ากุญแจรถอีกคัน บอกให้ขนกระเป๋าที่มันเพิ่งขนลงขึ้นไป ก่อนจะขับออกจากบ้านทั้งน้ำตา

อยากคิดว่าตัวเองหูฝาดไปจริงๆ เกิดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้ยินแม่ด่าใครแรงเท่านี้มาก่อน พูดออกมาได้ยังไงไม่เข้าใจ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า จะยังมีใครนับถือยกมือไหว้แม่เหมือนเดิมอีกไหม ผมอยากรู้

ผมไม่เถียงว่าอาร์มี่เคยติดคุก แม้จะแค่ฝากขังอาทิตย์เดียว มันเป็นคนมีมลทินจริง แต่ก็ไม่สมควรที่มัน (รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เคยถูกขัง) จะถูกตราหน้าไปตลอดชีวิตไหม? คนที่ออกมาแล้วได้รับโอกาสแก้ตัว ตั้งใจทำแต่สิ่งดี ไม่กลับไปทำชั่วอีก การตอกย้ำเขาด้วยอคติว่า 'ไอ้ขี้คุก’ นั้นไม่ยุติธรรมเลย ยิ่งทำให้เขาเสียความเคารพในตัวเอง และที่ร้ายที่สุดอาจกลับไปสู่วงจรชั่วร้ายเดิมๆ ก็ได้ เพราะเป็นคนดีไปก็เท่านั้น ไม่มีใครยอมรับอยู่ดี

“เธอโอเคนะ” มันถามหลังจากขับมาไกลพอสมควร

“ไม่เลย”

“จริงๆ เราควรอยู่ต่อ อธิบายให้พวกท่านเข้าใจ”

“มี่...แม่ด่ามี่ขนาดนั้น ไม่ฟังเทียนด้วยซ้ำ ขืนอยู่ต่อก็เหมือนราดน้ำมันใส่ไฟ มีแต่แย่กับแย่”

“....”

“เตรียมใจไว้แล้วแหละว่าพวกเขาอาจไม่ยอมรับ แต่ไม่คิดว่าจะเหยียดกันแรงขนาดนี้ เชื่อป่ะตอนที่เราสารภาพว่าชอบผู้ชาย กับตอนพาเฟลมมาเปิดตัว ยังไม่โดนโกรธถึงกับขู่ตัดแม่ตัดลูกแบบนี้เลย”

พูดแล้วก็ร้องไห้ อาร์มี่ยื่นมือมาจับบีบ

“อย่าคิดมากที่รัก พวกท่านคงช็อกน่ะ เค้าเข้าใจ ไม่โกรธด้วย”

“แต่เราไม่ชอบให้ใครว่าเธอเสียๆ หายๆ”

“ช่วยไม่ได้ ทำตัวเอง นี่แหละเวรกรรม” อาร์มี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย หรือไม่ก็ปลง “เราต้องพิสูจน์ตัวเอง แล้วก็ให้เวลาพวกท่าน บางทีอะไรๆ อาจดีขึ้น”

“ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ”

“มี่ไม่ใช่คนขี้แพ้นี่ครับ กว่าจะได้รักกับเทียนก็สู้มาตลอด หนักกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว แค่นี้จะยอมแพ้ได้ไง”

ผมค่อยยิ้มออก

ทันใดนั้นก็ขึ้นได้... เราไม่มีแผนสำรองว่าจะไปนอนที่ไหน

“มี่ ดูห้องพักในเว็บเร็ว ถ้าว่างก็จองสามคืนเลย”

“ใช้ของเทียนได้มั้ย ของมี่แบตหมด”

“เอาเลย”

มันเข้าเว็บ เลื่อนดูด้วยใบหน้าเครียดเคร่ง ซึ่งคุณก็คงจะเดาออก วันที่สามสิบธันวา – โรงแรม – ภาคเหนือ คีย์เวิร์ดแห่งความสิ้นหวังชัดๆ ก่อนหน้านี้เราไม่ได้จองล่วงหน้า เพราะผมดันมั่นหน้าว่าพ่อแม่น่าจะโอเค แถมราคาที่พักก็สูงที่สุดของปีด้วย เลยไม่อยากเสี่ยง

“ไม่มีเลย เต็มหมด” อาร์มี่บอก ผมไม่แปลกใจ

“งั้นคงต้องไปขอนอนบ้านเพื่อน”

“เอาจริง?”

“ดีกว่าพักบ้านญาติ อึดอัดใจไม่ต่างกัน”

ความสัมพันธ์ของผมกับญาติๆ ไม่ค่อยราบรื่นนักหรอก ปู่ย่าตายายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นเกย์ เพราะพ่อแม่ไม่ยอมบอก กลัวอาย ลุงป้าน้าอาก็ออกจะยี้อีกต่างหาก ให้ไปค้างด้วยคงแย่ยิ่งกว่านอนข้างถนนอีก

ผมคิดดูว่ามีเพื่อนคนไหนที่น่าจะช่วยได้ ก็นึกออกคนหนึ่ง บอกให้มี่ไล่หาในบัญชีรายชื่อ แล้วก็โทรหา เปิดลำโพงคุย

[ฮัลโหล]

“นิวเหรอ กูเทียนเองนะ”

[เทียนไหน]

“ทั้งตำบลก็มีอยู่เทียนเดียวมั้ยล่ะ”

[อี่แสงเทียนเหรอ? อี่พาย มึงเปลี่ยนเบอร์ก๊ะ หายหัวไปไหนเมินใบ้เมินง่าว เข้ากรุงเทพไปบะเกยโทรหากูสักเตื้อ นึกว่าต๋ายไปแล้วอิ!]

“กูยังมีชีวิตอยู่จ้า แค่ไม่ได้แอคทีฟโซเชียล”

[อี่งัวลืมตี๋น สลิดอู้ไทยหาป้อมึงหยัง]

“ผัวกูฟังไม่รู้เรื่อง”

[อ๊าย! พาผัวปิ๊กบ้านตวยอี้ แฮ่นแด๊ะ เอามาหื้อกูผ่อหน้าบ่าเดี๋ยวนี้]

“ไปแน่ แต่กูขอถามมึงก่อน ที่บ้านมึงยังพอมีห้องว่างบ้างมั้ย”

คือบ้านอีนิว เพื่อนสนิทสมัยประถมของผมนางเป็นรีสอร์ตครับ อารมณ์แบบกระท่อมหลังเล็กๆ บนเนินเขา มีประมาณยี่สิบหลัง เอาแค่รายได้ช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ วันหยุดยาว ก็อยู่ได้ทั้งปีแล้ว

[เต๋มหมดละมึง หน้าปี๋ใหม่ก็จะเอี้ย ละยะหยังมึงบะนอนบ้าน]

“กูทะเลาะกับพ่อแม่”

[อ้าว ไยอั้น เรื่องผัวมึงนะก๋า]

“อือ ถ้าไม่มีกูนอนดาดฟ้าบ้านมึงก็ได้ นะๆๆ ขอแค่มีที่ว่าง”

[เปื้อนกูตี้มอมากั๋นเป๋นซาว เต๋มบ้านหมดละอิ ดาดฟ้ายิ่งของชอบพวกมัน ย่างหมูกะทะกิ๋นตอนเค้าท์ดาวน์ ถ้ามึงจะนอนแต้ๆ กะมีแต่สนามหญ้าหน้าบ้านกูล่ะ เหลือตี้ว่างหื้อก๋างเต้นท์อยู่น้อย]

“โอยยย หนาวตายสิมึง มึงก็รู้กูขี้หนาว”

[หนาวกะหื้อผัวกอดแหน่อิ อั้นจะมีผัวไว้หยัง!]

“เชี่ย เออๆ เอาก็ได้ จองที่ให้กูด้วยละกัน ขอเช่าเต้นท์ด้วย”
   
[จ้าาา แล้วจะเข้ามาเมื่อใด]
   
“เดี๋ยวนี้เลย”
   
[เคมึง]
   
ปิดดีลเสร็จผมก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอนล่ะวะ ถึงจะหัวเปียกเพราะน้ำค้างตอนเช้าก็เถอะ
 


นังนิวต้อนรับเราสองคนดีมาก เข้ามากอดผมแล้วหมุนเป็นวงกลม รัดแน่นจนหน้าผมแทบจมนมมัน แล้วก็เต๊าะอาร์มี่หนักซะจนเขิน แวะไปไหว้พ่อแม่มัน ตามด้วยขนเต้นท์ออกมากางบนสนามหญ้า ที่ซึ่งมีนักท่องเที่ยวกางไว้แล้วจนแน่นขนัด ประมาณด้วยสายตาไม่น่าต่ำกว่าห้าสิบ ด้วยความที่ทำเลดีด้วยแหละ ตั้งอยู่บนเนินเขา มองลงไปเห็นวิวข้างล่างอย่างสวย ยิ่งตอนเช้าแดดขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก หลายคนคงฟินน่าดู (ส่วนผมไม่ตื่นเต้นหรอก ชินแล้ว)

ตอนแรกมันจะลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ผมว่าก็หนักอยู่สำหรับสามคืน เลยบีบน้ำตากอดขาอ้อนวอน มันก็ยอมลดให้ครึ่งราคา

“เห็นแก่ผัวหล่อของมึงหรอกนะ!”

เราจึงได้พักอย่างสบายใจสบายตัวซักที

เอาจริงๆ ผมเกลียดหน้าหนาวมากกก...เข้ากระดูกดำ เพราะ ตั้งแต่เด็กจนโตต้องแหกขี้ตาลุกจากที่นอนตอนตีห้า มาอาบน้ำแปรงฟันด้วยน้ำที่เย็นระดับเยือกแข็ง เดินขาแข็งไปโรงเรียน ยืนเข้าแถวหน้าเสาธงกลางหมอก สู้กับหวัดน้ำมูกไหล ผิวแตกลายแสบคัน ไหนจะตรงกับช่วงเข้าค่ายลูกเสือเนตรนารี ต้องแบกสัมภาระหนักๆ ไปนอนกลางป่า ผ่าฝืนก่อไฟหุงหาอาหารกันเอง นอนเบียดกันเต้นท์ละสิบชีวิต เหม็นคนไม่อาบน้ำบ้าง แล้วก็เข้าฐานต่างๆ อย่างลำบากลำบน แถมโดนผีป่าหลอกอีก เรียกว่าฝันร้ายชัดๆ เดี๋ยวนี้นึกย้อนกลับไปยังสงสัยเลยว่ากูผ่านมาได้ยังง้ายย...

แต่คนต่างจังหวัดจะชอบมาก เช่นแฟนผมเป็นต้น ตื่นเต้นดี๊ด๊ายิ่งกว่าเมืองจีนที่มีหิมะของตัวเองอีกมั้ง

เราอาบน้ำด้วยกันตอนสี่โมงเย็น เพราะถ้าอาบหลังจากนี้อากาศจะต่ำลงจนไข่แข็ง เกือบโดนโจรปล้ำในอ่าง แต่ผมห้ามก่อนเพราะมันหนาวสัดๆ ไม่อยากเปลือยนาน เก็บแรงไว้ตอนกลางคืนดีกว่า จะยอมให้ปล้ำข้ามปีเลย

เสร็จจากอาบน้ำก็ออกไปเที่ยวตลาด ซื้อของกินมาเตรียมเค้านท์ดาวน์ นังนิวก็ใจดีให้ยืมกระทะปิ้งย่าง เราเลยซื้อแค่อาหารสด เครื่องดื่ม กับขนมกินเล่น แวะดูตะวันตกดินที่แม่น้ำ ค่ำก็กลับ

ภายในรีสอร์ทไม่มีการเปิดเครื่องเสียง แต่พื้นที่ข้างเคียงขอบอกว่าจัดเต็ม เพลงจากงานวัดดังกระหึ่มไปทั่วหมู่บ้าน เสียงตีกับหลายบ้านที่เปิดเพลงตั้งวงเหล้ากันเอง ครื้นเครงเฮฮากันเหลือเกิน

เมื่อก่อนตอนยังไม่โต ผมน่ะรำคาญช่วงเทศกาลมากเลย คงเพราะไม่เคยได้ออกมาเที่ยวเล่นเปิดหูเปิดตาด้วยแหละ เป็นเด็กโลกแคบ กินเลี้ยงกันแค่ในครอบครัว วันรวมญาติสำหรับผมคือวันรวมคนน่าเบื่อระดับชาติ ขี้โม้ขี้แซะแข่งกันอยู่นั่น บางทีก็โดนปู่ย่าตายายหิ้วไปสวดมนต์ข้ามปีที่วัด เพิ่งได้เที่ยวกับเพื่อนก็ตอนเข้ามหา’ลัย ไปเค้าน์ดาวน์ตามหน้าลานห้างดังๆ ต่อด้วยตระเวนปาร์ตี้กันจนโต้รุ่ง... แต่พูดตรงๆ ผมไม่เคยสนุกเลยสักครั้ง

เพิ่งค้นพบตอนอยู่กับอาร์มี่นี่แหละว่า จะเที่ยวไหน บรรยากาศเป็นยังไง ก็ไม่สำคัญเท่ากับคนที่เราอยู่ด้วย... มันคือคนที่ทำให้ดนตรีน่าหนวกหูกลายเป็นสนุก เพราะผมเห็นมันสนุก และทำให้หน้าหนาวที่แสนน่าเบื่อของผมกลายเป็นฤดูที่มีความสุข เพราะผมเห็นมันมีความสุข แค่ได้นั่งข้างกันเฉยๆ ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว

นี่ล่ะมั้งความรัก

เราตั้งกระทะกันหน้าเต้นท์เช่นเดียวกับเต้นท์อื่นๆ ที่พิเศษคือมีกองไฟกลางสนามสำหรับคนที่ไม่มีกะทะ แต่อยากปิ้งของกินด้วยล่ะ แน่นอนที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวเหนือก็คือข้าวหลาม งานนี้บ้านนังนิวเซอร์วิสแขกอย่างดี แจกข้าวหลามหลังละกระบอกไปเลย เลิฟสุด

ระหว่างปิ้งหมู ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย ผมชอบให้มี่เล่าประสบการณ์ตอนเป็นวัยรุ่นนักเลงให้ฟัง เพราะชีวิตมันโลดโผนมีสีสัน ต่างกับผมที่จืดสนิท ฟังไปก็เหมือนเปิดโลกใหม่ สนุกดี

“หมูกระทะอร่อยสู้หมูเทียนมั้ยคะมี่”

อีนิวเดินมาแซว ผมยกขาถีบ

“เทียนอร่อยกว่าครับ”

“อ๊าย!”

“มี่!”

“อิจฉาคนวาสนาดี สามีทั้งหล่อทั้งรักทั้งหลง มี่มีเพื่อนอีกมั้ยคะ ขาวๆ หล่อๆ แบบมี่อ่ะ แนะนำให้นินิวรู้จักหน่อย” นังเพื่อนจอมแรดแซวต่อ

“มีครับ” แฟนผมก็เล่นด้วย

“หมายถึงมีผัวหมดแล้ว เพื่อนหล่อๆ อ่ะ” ผมตบเข้าให้

“เนี่ย! ก็เป็นกันซะอย่างเงี้ยะ ชะนีอย่างพวกกูเลยไม่มีใครเอา!” นางทำเสียงวีนแบบขำๆ แล้วก็สะบัดหน้าจากไป ทิ้งผมกับมี่ขำกันสองคน

แฟนอยากรู้เรื่องวัยเด็ก ผมก็เล่าให้ฟัง คือเมื่อก่อนห้องเรามีนักเรียนแค่สิบเจ็ดคน กลุ่มผู้ชายกับผู้หญิงเลยไม่ได้แยกกันชัดเจน ส่วนใหญ่ก็อยู่กันเป็นก้อนเดียว จะแบ่งย่อยเป็นเด็กเรียน เด็กเล่น แบบนี้มากกว่า ผมกับนังนิวคือกลุ่มเด็กเล่น เน้นกิจกรรมนอกห้อง เป็นพวกแสบๆ เหมือนกัน

แล้วที่ตลกก็คือมันเคยชอบผมด้วย (ธรรมดาของคนหน้าตาดี อิๆ) แต่ผมไม่ชอบตอบ และไม่ชอบใคร ไม่สนใจ ไม่รู้จักความรัก กว่าจะมีแฟนคนแรกก็มอสาม เพราะเพิ่งค้นพบตัวเอง... แต่กว่าที่บ้านจะรู้ก็โน่น มอหก สอบติดมหา’ลัย แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทางหลังเรียนจบ

ตอนมีแฟนผมเก็บเงียบสนิทปิดทุกคน แต่มีนังนิวคนเดียวที่ผมเล่าให้ฟัง ทำเอามันร้องไห้ บอกเสียเวลาชอบตั้งนาน แล้วก็ไม่กลับไปเรียกผมว่าไอ้เทียนอีกเลย... อีทุกคำเน้นๆ

“งั้นแสดงว่าแฟนเก่าก็อยู่แถวนี้ดิ”

ตะกี้ผมเล่าว่าเรียนมัธยมประจำจังหวัด อยู่ห่างจากที่นี่ไปสิบกิโล

“ไม่รู้สิ ไม่ได้ติดต่อแล้ว”

“เป็นคนยังไง หล่อมั้ย”

“จะอยากรู้ไปทำไมเนี่ย” ผมแอบขำ ก็ดูมันทำหน้าเข้า อย่างกับเด็กขี้หวงไปได้

“อยากรู้ว่าคนแบบไหนถึงทำเธอหวั่นไหว จนยอมจีบก่อน”

“ไม่หล่อหรอก หน้าเป็นสิว ดำๆ ล่ำๆ เหมือนกระทิง”

“ถามจริ๊ง!”

“อื้อ เทียบขี้เล็บตีนมี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ไม่หล่อ แล้วทำไมเธอจีบ”

“เขาเล่นกีฬาเก่ง ตอนนั้นคิดว่าเท่ดี”

“เคย...?” มันทิ้งประโยคทั้งหมด แต่ผมก็เข้าใจ

“ไม่เคย มากสุดแค่หอมแก้ม”

มันอมยิ้มน่าหมั่นไส้สุด แต่ผมโกหกจ้ะ จะบอกให้ว่าชายคนนั้นเป็นถึงแอมบาสเดอร์โรงเรียนเชียวแหละ หล่อระดับขึ้นป้ายไวนิล หล่อระดับคทากรไม้หนึ่ง แต่เนื่องจากชมรมของเรา (ดุริงยางค์) ต้องทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มเสมอ เลยไม่มีใครรู้ แม้แต่เพื่อนในชมรมก็เถอะ ปิดเนียนแค่ไหนคิดดู... อ้อ เรื่องแค่หอมแก้มไม่เป็นความจริง มันมากกว่านั้น แต่ไม่มีประโยชน์ที่ต้องเล่าเนอะ



v
v

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด