ตอนที่ 27
[/size]
วันสุดท้ายของปีเวียนมาถึงอีกครั้ง หลายคนอาจจะมีอะไรพิเศษอย่างออกเดินทางไปเที่ยวกับครอบครัว เดินทางไกลออกต่างจังหวัดกลับภูมิลำเนา หรือบางคนอาศัยช่วงเวลาหยุดยาวจูงมือคนรักไปสัมผัสอากาศหนาวบนภูเขามองพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก
วันสุดท้ายของปีรถบนถนนเส้นหลักยังคงคับคั่งไปด้วยรถที่ทยอยเดินทางออกต่างจากจังหวัด ถนนในเมืองหลวงจึงได้ดูโล่งกว่าปกติ แต่อย่างเมืองหลวงใช่ว่าจะเงียบเหงา ยังคงดูคึกคักไม่ต่างจากทุกวัน เมื่อหลายหน่วยงานร่วมมือกันมอบความสุขผ่านไฟประดับหลากสีสันรอบเมือง ให้คนที่ไม่มีโอกาสกลับบ้านต่างจังหวัด ให้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง หรือคนที่ยังทำงานในช่วงปีใหม่ ได้ชมความสวยงามและถ่ายรูปเก็บความประทับใจ ไม่พอห้างสรรพสินค้าชื่อดังยังได้จัดตั้งเวที เชิญเหล่าศิลปินและนักแสดงเวียนขึ้นเวทีมอบเสียงเพลงให้คนที่มาร่วมงาน และมีกิจกรรมนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ด้วย
ปฐวีร์นั่งมองภาพข่าวในจอโทรทัศน์ทางช่องดิจิตอลร้อยกว่าที่อยู่นอกห้อง มีพยาบาลหลายคนยืนดูข่าว นักข่าวกำลังเชิญชวนคนออกไปร่วมงานคืนนี้ ชายหนุ่มกำลังคิดถึงช่วงเวลาที่เขาได้ออกไปดูไฟกับเพื่อน ๆ นับถอยหลังเข้าปีใหม่ยืนมองพลุหลายร้อยลูกกระจายเต็มท้องฟ้าจนสว่างไสวอยู่นานหลายนาที เขาหันกลับมามองคนที่นอนไม่ได้สติบนเตียงเป็นปีใหม่ที่แปลกอีกปีที่ต้องมานั่งเห็นคนสำคัญป่วย ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจเแล้วพูดขึ้นว่า
“พ่อปีนี้วีร์ไม่กลับบ้านนะ วีร์จะไปบ้านพี่เทวา ไม่มีพ่ออยู่ก็ไม่รู้จะกลับไปทำไม” ชายหนุ่มบ่นให้คนป่วยฟัง เป็นคำแนะนำของคุณหมอบอกให้พูดหรือสัมผัสผู้ป่วยบ่อย ๆ เป็นการกระตุ้นให้คนป่วยรับรู้และสัมผัสถึงความอบอุ่น เขาลูบมือหนาและกร้านเล็กน้อยแล้วนวดคลึงเบา ๆ เพื่อให้เลือดไหลเวียน จากนั้นเปลี่ยนไปนวดบริเวณแขน
“ไม่ต้องสงสัย ไม่บอกหรอกว่าพี่เทวาเป็นใคร ไม่เล่าให้ฟังด้วย ถ้าอยากรู้ตื่นขึ้นมาจะเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่ห้ามไม่ชอบพี่เทวานะ” เหมือนเขากำลังพยายามหลอกล่อให้คนป่วยตื่นขึ้นมา ปฐวีร์เปลี่ยนเรื่อง พูดเรื่อยเปื่อย บ่นเรื่องเรียนเรื่องสอบที่เพิ่งผ่านไม่กี่วัน ที่อดหลับอดนอนถ่างตาอ่านหนังสือ ยังมีเรื่องที่ไปกินเหล้ากับเพื่อนแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อจำได้ว่ากินวอดก้าไปแค่ขวดเล็กขวดเดียว ก็เดินเซแล้วแต่ก็โชคดีที่ยังไม่ถึงขนาดไปนั่งคุยกับชักโครก และสุดท้ายบ่นเรื่องไม่อยากไปทำงานที่บริษัท
“เมื่อไหร่พ่อจะฟื้นซะที” คนพูดทำน่าเศร้า แล้วโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่น เขารีบเดินออกจากห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีเมื่อออกมาข้างนอก เห็นหน้าจอปรากฏชื่อใครก็รีบรับ
”ครับ จะมารับเหรอ มาถึงแล้ว กำลังขึ้นมา ได้ แล้วเจอกัน” วางสายไปแล้วกวาดสายมองไปรอบ ๆ เห็น คุณนายรองกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุม ใกล้กันยังมี พิมพ์รตา อีกด้านมีคุณนายสามและลูก ๆ ดูแล้ววันนี้เหมือนเป็นวันรวมญาติ แต่เป็นการรวมที่โรงพยาบาล สิบนาทีสำหรับเวียนเข้าเยี่ยมเข้าพบพ่อ ต่อจากนี้เปลี่ยนให้คนอื่นเข้าไป เขามองเข้าไปในห้องผู้ป่วยอีกครั้งแล้วเดินไปรอเทวาที่โทรมาบอกว่ามาถึงแล้ว
เทวาและธนาถือกระเช้ามาเยี่ยมคนป่วย ถึงทางโรงพยาบาลจะห้ามเยี่ยมแต่ก็แค่อยากแสดงน้ำใจเหมือนคนอื่นที่ส่งกระเช้ามาเรื่อย ๆ สอบถามกับทางโรงพยาบาล ก็มาถึงหน้าห้องผู้ป่วยมีกระเช้าหลายขนาดวางไว้บนโต๊ะ พิมพ์รตาเห็นคนมาเยี่ยมเป็นใครเธอก็รีบเข้าไปทัก “พี่เทวามาเยี่ยมคุณพ่อหรือคะ”
คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยกับคำทักทายที่ดูเหมือนสนิทสนมกว่าปกติ ”ครับ ผมกับพี่ชายเอากระเช้ามาเยี่ยม” ธนาเห็นท่าทางน้องชายไม่ค่อยเป็นมิตรและไม่อยากจะสนิทกับหญิงสาวตรงหน้าเท่าไหร่ เขาก็รีบเข้ามาเข้ามาแทรก “นี่เป็นกระเช้าเยี่ยมจากสุรัตนธรรมวรธิเบศณ์”
“อ้อ ขอบคุณนะคะ” ทั้งสองยังคุยกัน ส่วนเทวามองหาคนรักไม่รู้อยู่ไหน
“ไปนั่งตรงโน้นก่อนไหมคะ” ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันเหมือนกำลังปรึกษา เอาไงดี ถ้าจะกลับเลยก็ดูเสียมารยาท ยังไงไหว้ผู้ใหญ่ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เทวาพยักหน้าเห็นด้วย แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขาคิดผิด เมื่อหญิงสาวชวนคุยไม่หยุดจนน่ารำคาญ เล่าในไม่เรื่องที่เขาไม่สนใจอยากรู้ พูดในเรื่องที่เขาไม่ได้ถาม ธนาเป็นคนมีความอดทนต่ำรู้ว่าหญิงสาวพยายามเข้าใกล้น้องชาย แต่เสียดายเธอไม่ใช่แบบที่น้องชายเขาชอบ เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีจึงได้ขอตัวเข้าห้องน้ำ เทวาตวัดสายตาไปมองพี่ชาย คนอย่าง ธนาหรือจะกลัวเขายิ่งรีบเดินออกจากตรงนั้น
ปฐวีร์เดินจะรอบทั้งชั้นยังไม่เห็นคนที่บอกจะมารับ จึงเดินกลับมาที่หน้าห้องเห็นชายหนุ่มกำลังคุยอยู่กับพิมพพ์รตา เขายืนฟังคำพูดที่ดูสนิทสนมจนรู้สึกระคายหู พอดีกับที่เทวาหันหน้ามาเห็นเขาแล้วยิ้มให้ พิมพ์รตาเห็นรอยยิ้มชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าเขายิ้มให้เธอ แต่ก็ต้องฝันสลายเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้น “พี่เทวามานานรึยัง ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”
“ไม่นานพี่เพิ่งจะมาถึง พอดีพี่ธนาไปเข้าห้องน้ำ” เทวารีบพูดแก้ตัวทันทีที่เห็นสายตาของอีกฝ่าย พิมพ์รตามองเทวาสลับปฐวีร์ ฟังน้ำเสียงและคำพูดเหมือนทั้งสองจะสนิทสนมกว่าที่คิด แต่แล้วไง
“พี่เทวารู้จักพี่วีร์หรือคะ” เธอถามไปอย่างนั้น
“วีร์เป็นคนรักของผม”
พิมพ์รตาเงียบกำลังคิดว่าตัวเองหูฟาดหรือฟังอะไรตกหล่นไป “แหม พี่เทวานี่ชอบพูดเล่นนะคะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นเธอก็หัวเราะไม่ออก
“ผมไม่ได้พูดเล่น” ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหาปฐวีร์แล้วจูบลงริมฝีปากบางเพื่อเป็นการยืนยัน พิมพ์รตาตกใจอ้าปากกว้าง ปฐวีร์ยิ่งตกใจไม่นึกว่าจะถูกจู่โจมในที่สาธารณะ แต่คิดได้ว่าพิมพ์รตากำลังมองอยู่ เขาก็ให้ความร่วมมือ ธนาแอบดูทุกอย่างเงียบ ๆ ก็ตกใจไม่แพ้กันไม่นึกว่าน้องชายจะเด็ดขาดอย่างนี้
“ขอตัวก่อนนะคะ” พิมพ์รตาได้สติเธอรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่อยากเห็นภาพบาดตา ในใจทั้งโกรธทั้งเกลียดที่ถูกผู้ชายปฏิเสธ ไม่พอยังไปเลือกผู้ชายอีกคน แถมยังเป็นคนที่เธอเกลียดอีก “ไอ้วีร์ แกแย่งเขาไปจากฉันอย่างหวังว่าจะได้มีความสุขเลย” ใบหน้าสวยหวานกลายเป็นน่าเกลียดขึ้นมาทันที
ธนาเห็นทางสะดวกแล้ว รีบเข้าไปห้ามน้องชาย “กลับได้แล้ว คุณแม่ให้มารับน้องกลับบ้าน ถึงบ้านแล้วค่อยทำต่อ” เทวาค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกเห็นแก้มอีกฝ่ายแดง “กลับบ้านแล้วทำต่อ” ปฐวีร์แทบเสยหมัดใส่คางคนพูด แต่จะโทษเทวาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เพราะเขาก็ให้ความร่วมมือ ตอนนี้เขาทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็รู้สึกสะใจที่เห็นใบหน้าซีดเผือดของพิมพ์รตา เห็นได้ว่าการลงทุนครั้งนี้ได้ผลกำไรกว่าที่คิด เทวาจูงมือปฐวีร์ออกจากที่นั่น เขาไม่คิดเหมือนกันจะทำอะไรอย่างนั้น แต่เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม บางทีการอธิบายด้วยคำพูดอาจจะไม่เข้าใจ แสดงให้เห็นอาจจะเข้าใจได้มากกว่า เขากุมมือขาวแน่นมองคนที่ไม่กล้าสบตา
ตั้งแต่ขึ้นรถมา ปฐวีร์นั่งเงียบไม่กล้าพูดกับใคร ส่วนเทวาอารมณ์ดีจนธนาหมั่นไส้ อยากจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ให้แม่ดุ แต่ก็นึกได้ว่าแม่กำลังเห่อลูกชายคนใหม่ ขนาดให้ไปรับมาค้างที่บ้านช่วงปีใหม่ พี่สะใภ้เข้ามาบ้านแรก ๆ คุณแม่ยังไม่แสดงท่าทางว่าชอบขนาดนี้เลย
ไม่นานก็มาถึง ธนาเลี้ยวรถเข้าจอดในบ้าน เด็กชายทั้งสองได้ยินเสียงรถรีบวิ่งออกมารับ เห็นปฐวีร์ลงมาจากรถ เด็ก ๆ รีบเข้าไปจูงมือเข้าบ้าน เด็ก ๆ หอบเอาของเล่นใหม่ออกมาโชว์ เป็นตัวต่อเพิ่งได้มาไม่กี่วัน จริญญาได้ยินเสียงรถเสียงหลาน ๆ ก็รู้ว่าปฐวีร์มาถึงแล้ว เธอเข้าไปในห้องนั่งเล่นเห็นเด็กชายตัวเล็กนั่งบนตักปฐวีร์ พยายามต่อตัวต่อในมือ “น้องวีร์มาแล้วเหรอลูก”
”สวัสดีครับคุณแม่”
“ไหว้พระลูก วันนี้แม่ทำของอร่อยไว้เยอะเลย”
ได้ยินว่าของอร่อยตาลุกวาวขึ้นมาทันที “ให้ผมช่วยไหมครับ”
“ไม่ต้องลูก มาเหนื่อย ๆ เล่นกับหลานดีกว่า” พูดคุยถามอาการคนป่วยสองสามคำเห็นสีหน้าท่าทางอีกฝ่ายขณะพูด ดูสดชื่นและมีรอยยิ้มบาง ๆ ให้เห็น เท่านี้เธอก็เบาใจ จากนั้นปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันต่อ ส่วนเธอกลับเข้าไปในครัว
พระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ แสงสีแดงบนท้องฟ้าค่อย ๆ จางหายกลายเป็นสีดำมาแทน อากาศเย็นลง พระอาทิตย์เลยรีบหลบไปพักผ่อนเร็วกว่าปกติ และก็เป็นเวลาเดียวกับงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ในสวน บรรยากาศอบอุ่นได้เริ่มขึ้น กับข้าวหลายอย่างทยอยนำวางบนโต๊ะ ทุกคนนั่งพร้อมหน้ามื้อเย็นก็เริ่มขึ้น เด็ก ๆ นั่งประจำที่กำลังกินไก่ทอดของโปรดอย่างอร่อยโดยมีธรรมและภรรยาขนาบซ้ายขวา ถัดมาเป็นธักศนัยและ จริญญา ปฐวีร์กับเทวานั่งกินได้สักพักก็ลุกไปช่วยกันปิ้งกุ้งตัวโต ปลาหมึก และบาร์บีคิว ส่วนธนาช่วยทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มให้ทุกคน
“น้องวีร์กินบ้างนะลูกยิ่งตัวเล็กอยู่ด้วย เดี๋ยวหลานก็โตทันแล้ว”
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าเทวามันไม่ปล่อยให้น้องอดหรอก อืม บาร์บีคิวฝีมือแม่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลย”
“ลองแกพูดไม่อร่อยดูสิรับรองแกอดข้าวไปหลายวันเลย”
“โห พ่อใครจะกล้า”
“ตาธนาหมายความว่ายังไงว่าไม่กล้า”
“ไม่ใช่อย่างนั้น นั่นกุ้งของโปรดของคุณแม่ใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวผมไปช่วยน้องวีร์ปิ้งดีกว่า ปะน้องวีร์” ธนารีบลากปฐวีร์ไปที่เตา ทุกคนเห็นอย่างนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ ปาร์ตี้เล็ก ๆ ดำเนินไปด้วย รอยยิ้ม เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะ สุดท้ายก็จบลงด้วยความสุข ก่อนจะแยกย้ายขึ้นห้องไปพักผ่อน
ปฐวีร์อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยกำลังนอนแผ่บนเตียงมองเพดานคิดเรื่องราวที่ผ่านทั้งวัน เป็นวันส่งท้ายปีที่แปลกกว่าทุกปี ที่แปลกที่สุดก็คือปาร์ตี้บรรยากาศอบอุ่นนั่น เทวาเดินออกมาจากห้องน้ำเห็นคนนอนบนเตียงกำลังยิ้มไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาปีนขึ้นเตียงใช้นิ้วบีบแก้มใสแล้วถาม “ยิ้มอะไรคนเดียว”
“เปล่า พี่เทวาอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”
“แบบไหน”
“ก็เรื่องจูบที่โรงพยาบาล”
“อืม ทำไมพี่แค่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนรักกัน อีกอย่างท่าทางของเธอแค่พูดก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง อธิบายไปก็เท่านั้นสู้ให้เห็นกับตาเลยง่ายกว่า”
“อื้อ” ปฐวีร์เข้าใจ คนพวกนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ “แต่บางคนก็ไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ คนอื่นจะมองไม่ดี อีกอย่างคนอย่างพิมพ์รตาเธอไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่าย ๆ”
เทวาขมวดคิ้วไม่อยากให้อีกฝ่ายเก็บเรื่องพวกนี้มาคิดมาก “พี่กับเธอเจอกันไม่กี่ครั้ง พูดกันไม่กี่คำ เธอคงไม่ได้คิดอะไรหรอกมั้ง” อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ชอบเธอ
หึ ปฐวีร์ทำเสียงขึ้นจมูก รู้จักพิมพ์รตาน้อยไปแล้ว ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเจออะไรบ้าง ช่างเถอะตอนนี้ขอให้มีความสุขกับปัจจุบันก็พอไม่อยากกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เสียงพลุแว่วดังมาแต่ไกลนั่นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเข้าสู่ปีใหม่แล้ว
“สวัสดีปีใหม่ครับ”
“สวัสดีปีใหม่ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ทุกปีนะ” เทวากดจมูกลงหน้าผากอีกฝ่าย แล้วทั้งสองก็หลับไปพร้อมกัน
คืนก่อนปีใหม่หลายคนออกมาเที่ยวเพื่อฉลองเข้าสู่วันแรกของปี ปิ่นอนงค์กับคณิตาร์ก็เหมือนกัน ทั้งสองออกมาสนุกที่ผับแห่งหนึ่งคืนนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ เนืองแน่นไปด้วยนักเที่ยว คณิตตาร์ทั้งกินทั้งดื่มทั้งจากแก้วของเพื่อน ทั้งโต๊ะข้าง ๆ มาขอชนแก้ว จนจำไม่ได้ว่าดื่มอะไรลงไปบ้าง ทำให้เธอรู้สึกมึนหัวห้องกำลังหมุนติ้วจนยืนไม่อยู่ เธอไม่เคยดื่มเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่เธอกลับมีความสุข ฮ่า ฮ่า เธอหัวเราะออกมา เสียงนับถอยหลังดังขึ้น 9 8 7... เธอขยับริมฝีปากนับตาม มองภาพทุกคนกำลังยิ้มหัวเราะชนแก้วกันอย่างสนุก แล้วภาพตรงหน้าก็ค่อย ๆ พร่าเลือนและดับวูบลง
วันแรกของปีเป็นเช้าที่มาพร้อมอากาศเย็น หลายคนยังหลับสบายไม่อยากลุกจากเตียง ขนาดพระอาทิตย์ยังตื่นสายกว่าปกติ ผิดกับปฐวีร์และเทวาออกมายืนอยู่หน้าบ้านทั้งสองกำลังรอใส่บาตร “หนาวไหม” ปฐวีร์ส่ายหน้า เทวากอดเอวอีกฝ่ายไว้กลัวจะหนาว ธนาเห็นท่าทางคู่รักแล้วรู้สึกอิจฉาหันไปอีกทางก็เห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้กำลังยิ้มให้กัน อีกทางก็เห็นพ่อกับแม่ สรุปแล้วมีแต่เขาที่ยังไม่มีคู่ ทำไมถึงรู้สึกหดหู่ตั้งแต่เช้าวันแรกของปีอย่างนี้
“นิมนต์เจ้าค่ะ” จริญญานิมนต์พระ ทุกคนใส่อาหารคาวหวานลงบาตร จากนั้นพระท่านก็ให้พร
“โยม” พระรูปหนึ่งพูดขึ้นมองไปที่ปฐวีร์ “โยมนั่นแหละ คิดจะทำอะไรให้ใช้สติมากกว่าอารมณ์แล้วเรื่องร้าย ๆ จะผ่านไป”
“ครับ” ปฐวีร์ตอบรับมองตามหลังพระท่านเดินค่อย ๆ เดินไกลออกไป หมายความว่ายังไง ใช้สติมากกว่าอารมณ์ คงไม่ได้หมายความว่าเขากำลังจะมีเคราะห์หรอกนะ เพราะเมื่อคืนก็ฝันแปลก ๆ อีกแล้วทุกอย่างในฝันมันดูไม่ชัดเจน เหมือนทุกครั้งจนอดนึกกังวลไม่ได้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น และยิ่งมาได้ยินพระท่านทักขึ้นมาแบบนี้ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอก” เทวากุมมือขาวไว้ คำพูดธรรมดาแต่ก็ทำให้เขาลืมความรู้สึกแย่ไปชั่วคราว
วันแรกของปีผ่านไป วันที่สองเป็นวันหยุดอีกวันตอนเช้าปฐวีร์ไปทำบุญที่วัดกับทุกคน นั่งฟังพระสวดมนต์ และไปให้อาหารปลา ทำให้จิตใจรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
ในตอนสายปฐวีร์ไปกราบแม่ เขายืนอยู่หน้าเจดีย์สีขาวใส่กระดูกด้านหน้ามีรูปผู้หญิงสวยคนหนึ่งกำลังยิ้มอยู่ รอบ ๆ มีฝุ่นเกาะ เขาปัดกวาดเปลี่ยนดอกไม้จุดธูปที่เตรียมมา และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาฝันเห็นความตายของตัวเอง แล้วยังถามรูปถ่ายแม่ว่าทุกอย่างที่เขาเห็นเป็นเพราะแม่ใช่ไหม เงียบอยู่นานก็ไม่มีคำตอบที่ต้องการ ทำให้เปลี่ยนมาพูดโกหกบอกว่า พ่อสบายดีแต่ช่วงนี้งานยุ่งไม่มีเวลามาเยี่ยม และไม่ลืมแนะนำเทวาให้รู้จัก
“แม่ นี่เทวาคนรักของวีร์” เทวาเลิกคิ้วขึ้นไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดออกมา เทวากราบทักทายและให้สัญญาว่าจะดูปฐวีร์ให้ดี ปฐวีร์ทำเป็นไม่ได้ยินไม่สนใจ อากาศเริ่มร้อนแสงพระอาทิตย์คล้อยมาตรงหัว ทั้งคู่ก็ออกจากที่นั่น
“ไปกินก๊วยเตี๋ยวเรือกัน อยากกินมาหลายวันแล้ว”
“แถวนี้มีร้านไหนอร่อย”
“แปบ เดี๋ยวหาข้อมูลทางเน็ต” ปฐวีร์จิ้มกดเลื่อนหน้าจอดโทรศัพท์สักพักก็เงยหน้าขึ้น “นี่ไง เจอแล้วร้านนี้ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่ คนที่ไปกินยังบอกอีกว่ามีที่จอดรถด้วย”
“โอเค งั้นก็ไปกัน”
หลังจากกินก๊วยเตี๋ยวเรือคนละถ้วยสองถ้วย ทั้งสองก็เดินอิ่มพุงกางออกมาจากร้าน
ในตอนบ่ายปฐวีร์แวะไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล ไปเล่าเรื่องงานปาร์ตี้ที่บ้านเทวาว่าสนุกยังไง มีของอร่อย ๆ อะไรให้กินบ้าง และไม่ลืมเล่าเรื่องที่ไปเยี่ยมแม่มาด้วย
ออกมาจากโรงพยาบาลท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีแล้ว ท้องก็ส่งเสียงร้อง ร้านอาหารแถวที่พักก็ไม่มีร้านไหนเปิด เลยต้องเพิ่งบริการอาหารส่งถึงที่ “อาหารญี่ปุ่นไหม สเต๊กก็อยากกิน ไก่ทอดก็อร่อย พิซซ่าก็น่าจะดีไม่ได้กินานแล้ว” ทั้งสองกำลังช่วยคิดว่าจะกินอะไรกันดี
“อากาศเย็น ๆ กินสุกี้กัน”
“แต่ไม่มีหม้อสุกี้หรือเตาไฟฟ้านะ”
“อืม” เทวากำลังใช้ความคิด
ออด ออด เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น ทั้งสองมองหน้ากันสงสัยว่าใครมา ปฐวีร์ส่ายหน้าไม่รู้ เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง ปฐวีร์ลุกไปเปิด
“เซอร์ไพรส์” เมื่อเปิดประตูออกเขาถูกนภาภรณ์กอดแน่นแล้วยังมีภฤดล กฤติกรณ์ ยุทธจักร ตติวัฒน์และคฑาวุธยืนยิ้มหวานให้
“อ้าว พวกแกมาได้ไง ไหนว่าไม่ว่างไปเที่ยวต่างจังหวัด เมื่อคืนไอ้ยุทธยังเอาภาพลงอยู่เลย”
“อืม สามคนนี้ก็บอกไม่ว่างสักคน แล้วอยู่ ๆ ก็โผล่มา”
“ถ้าบอกจะเรียกว่า เซอร์ไพรส์ เหรอ เป็นไง เซอร์ไพรส์ไหม”
“อื้อ เซอร์ไพรส์ ยิ่งกว่าที่นี่ไม่มีอะไรกิน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นพวกพี่ซื้อของกินมาหมดแล้ว ปีใหม่อย่างนี้ต้องสุกี้”
“แต่ห้องผมไม่มีเตาไฟฟ้า” ทุกคนเงียบลงทันที นี่สิถึงเรียกว่าเซอร์ไพรส์จริง “ไอ้ยุทธแกไปซื้อดิ”
“ทำไมต้องเป็นฉันวะ” ยุทธจักรถามอย่างไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นเขา
“เพราะแกเป็นคนบอกให้มา เซอร์ไพรส์ไง” ทุกคนเห็นด้วย ยุทธจักรเลยต้องเป็นคนไป ปฐวีร์ดูแล้วกลัวจะไม่ได้เรื่องเขาเลยไปด้วยและถือโอกาสของกินมาเพิ่ม
เกือบสองชั่วโมงปฐวีร์และยุทธจักรก็กลับมาพร้อมเตาไฟฟ้า ของสด ขนมและน้ำอัดลม เทวาและเพื่อนช่วยกันเตรียมของทุกอย่างไว้แล้ว ระหว่างนั้นก็กินขนมรองท้อง เมื่อเตามาถึงทุกคนก็รีบช่วยกัน ยกหม้อน้ำซุปที่ยังร้อนมาวางบนเตา เท่านี้ปาร์ตี้สุกี้ก็เริ่มขึ้น ปฐวีร์เริ่มตักของสดอย่าง เนื้อหมูสไลน์ เนื้อไก่หมัก สามชั้นสไลน์ เบคอน กุ้ง ปลาหมึก ลูกชิ้น จากนั้นตามด้วยผักและเห็ดหลายอย่างลงไปในหม้อ ในระหว่างที่รอทุกคนนั่งดูหนังไปด้วย “สุกแล้ว” ปฐวีร์เปิดฝาออกควันฟุ้ง น้ำในหม้อเดือนปุดปุด ทุกคนก็รีบลงมือตักของกินที่ตัวเองชอบใส่จาน
แย่งกันตักของอร่อยในหม้อกินจนอิ่ม ของสดที่ซื้อมาก็หมดไม่มีเหลือ ปฐวีร์กับนภาภรณ์ช่วยกันเก็บกวาด ที่เหลือก็เปลี่ยนไปนั่งย่อยหน้าโทรทัศน์ ห้องที่เมื่อครู่คลุ้งไปด้วยกลิ่นอาหารก็กลับมีกลิ่นดีขึ้นด้วยสเปร์ปรับอากาศ
เช้าวันที่สามของปีทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ร้านค้ากลับมาเปิดทำการ รถบนท้องถนนกลับมาติดเหมือนทุกวัน ผู้คนรีบเร่งเดินสวนไปมา และยังดูวุ่นวาย กว่าเมื่อคืนทุกคนจะกลับไปก็เที่ยงคืนไปแล้ว
*********************************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป
ถ้านักอ่านท่านไหนชื่นชอบ อย่าลืมจองหนังสือนะคะ
ยังสามารถจองได้ถึง 20 ตุลาคม 61
สอบถามรายละเอียดที่เพจได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/