ตอนที่ 1
แสงตะวันค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา ทุกชีวิตต่างรีบเร่งตื่นแต่เช้า เพื่อแข่งขันกับเวลา ท้องถนนขวักไขว่ไปด้วยรถ แต่ใน
ห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย กลับมีคนกำลังนั่งเหม่อมองจ้องตัวเองในกระจกเงา ตั้งแต่เมื่อวาน ในกระจกเงาบานใหญ่ มี
ชายหนุ่มอายุประมาณ 17-18 ปี ผอม ผิวขาวซีด หัวฟู หน้าตาอิดโรย ริมฝีปากสีชมพูอ่อนแห้งแตกปรากฏอยู่ เขาคือปฐวีร์ วีร
วัฒฑณกุลธรรมไพศาลทรัพย์ เขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนี้เมื่อวันก่อน
ปฐวีร์รู้สึกตื่นเต้น กังวลเล็กน้อยกับการออกมาอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เขาหยิบเอาของที่ต้องใช้มาด้วยไม่กี่อย่าง และซื้อข้าวของ
จำเป็นเพิ่ม ก่อนหน้านั้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตว่ามีอะไรบ้างที่ต้องใช้ เมื่อต้องออกมาอยู่ข้างนอก ถึงวันที่ย้ายเข้ามา ของทุก
อย่างถูกส่งมาที่ห้องเรียบร้อย เขาเริ่มเดินสำรวจห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่กว้างนัก เริ่มจากห้องนั่งเล่นผสมกับรับแขกมีโซฟาหนึ่งชุด
โทรทัศน์จอใหญ่ ใกล้ ๆ กันเป็นโต๊ะกินข้าว มีบาร์และห้องครัว จากนั้นเข้าไปสำรวจห้องนอนมีห้องน้ำในตัว อีกห้องเป็นห้องว่าง
และยังมีระเบียงเล็กให้เดินออกไปรับลม ทุกอย่างดูเหมือนบ้านขนาดย่อ และมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่
ในตอนสายเขาเริ่มจัดของทุกอย่างให้เข้าที่ ยังดีที่ที่นี่เป็นคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ทุกอย่างตกแต่งไว้แล้วเรียบร้อย แขวนเสื้อผ้า
ไม่กี่ชุดเข้าตู้ จัดโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นไปที่ห้องครัว ไล่เปิดดูตู้แขวน ข้างในว่างเปล่า ตู้เย็นก็ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาลืมคิดว่า
ต้องซื้อของกิน เขาเริ่มเขียนว่าจะต้องซื้ออะไรใส่กระดาษเพราะกลัวว่าจะลืม เขียนได้สองสามอย่างรู้สึกสมองไม่แล่น เขาเดินไป
เลื่อนผ้าม่านออกเห็นแสงพระอาทิตย์อ่อนแสงลง บอกให้รู้ว่าใกล้จะค่ำแล้ว วันนี้ทั้งวันเขามัวแต่ยุ่งจนลืมเวลา ข้าวก็ยังไม่ได้กิน
แล้วเสียงท้องก็ร้องเตือน เขาหยิบกระเป๋าเงิน โทรศัพท์และกุญแจลงจากห้อง
จากที่สอบถามพนักงานทำให้รู้แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ ด้านหน้าคอนโดมิเนียมมีร้านอาหาร มื้อเย็นเขาตัดสินใจฝาก
ท้องกับร้านอาหารตามสั่งหน้าคอนโดมิเนียม สั่งข้าวกะเพรากับต้มยำ ไม่รู้เพราะหิวหรือกับข้าวอร่อย กับข้าวทั้งสองอย่างหมด
เกลี้ยง กินอิ่มแล้วปฐวีร์เดินตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อ เลือกหยิบของกินของใช้ใส่จนเต็มตะกร้า กลับขึ้นห้องท้องฟ้าก็มืดแล้ว
เหนื่อยมาทั้งวันเขาอยากพักผ่อนรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมานั่งเปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อน นั่งดูสักพักก็ต้องกลับเข้าห้อง และ
หลับไป ใครจะคิดว่าคืนนั้นจะฝันร้าย ฝันเห็นความตายของตัวเอง ฝันเห็นคนรัก ฝันเห็นน้องสาว ฝันเห็นแม่ และนั่นทำให้เขา
สะดุ้งตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายร่างกายของปฐวีร์ยังสั่นไม่หาย เขานั่งสำรวจตัวเองว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป และเปลี่ยนมานั่ง
มองตัวเองในกระจก บางครั้งก็ต้องยิ้มหัวเราะเหมือนคนบ้าเพราะลึก ๆ รู้สึกดีใจที่มันเป็นแค่เพียงความฝัน เมื่อตื่นมันก็หายไป แต่
มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เขาก็ข่มตานอนไม่หลับ หลับตาลงทีไรภาพตัวเองนอนจมกองเลือด ยิ่งชัดเจน
จนรู้สึกกลัว เครียดจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอาเจียนอยู่หลายครั้ง
เขาหันไปมองแสงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมา เลื่อนผ้าม่านปิดกั้นแสง ตัดสินใจปีนขึ้นเตียงอีกครั้ง นอนมองเพดานพยายามใช้สมองคิด
ทบทวนความฝันอีกครั้ง เขาจำได้เพียงบางส่วนและทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นกับเขาทั้งนั้น เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อคิดว่าถ้า
ทุกอย่างกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาจริง เขาคงจะบ้าใครมันจะรู้เรื่องอนาคตกัน บางทีอาจเหนื่อยหรือเพราะแปลกที่ ทำให้เขาฝ้ายร้าย
ก็ได้ ถ้าได้นอนหลับสักตื่นความรู้สึกแย่และฝันร้ายอาจจะหายไปก็ได้ เขายิ้มให้กับความคิดมองโลกในแง่ของตัวเองที่ช่วยให้
รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก อารมณ์ตึงเครียดที่ขมวดเป็นปมมาหลายชั่วโมงคลายออก บวกกับร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนจนรู้สึกเพลีย
ร่างกายค่อย ๆ จมลงสู่ความเงียบ หนังตาหนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้นเสียงหายใจเป็นจังหวะแล้วเขาก็หลับไป
เวลาผ่านไปช้า ๆ พระอาทิตย์จากลอยสูง จนคล้อยต่ำและลาลับขอบฟ้าไป ปฐวีร์หลับไปหลายชั่วโมงก็ตื่นขึ้นมา หลังจากได้
นอนพักทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เขาลุกจากเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัว แต่งตัวเรียบร้อยออกมา ท้องฟ้า
เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว รู้สึกปวดท้องขึ้นมาคงเป็นเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้อง นึกถึงโจ๊กสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ เดิน
เข้าไปในครัวเปิดตู้ แล้วหยิบโจ๊กสำเร็จออกมา พลิกด้านหลังซองโจ๊กอ่านวิธีทำ และนึกขึ้นได้ว่าซื้อไข่ไก่กับไส้กรอกมินิมาด้วย
เปิดตู้เย็นหยิบทั้งสองอย่างออกมา จากนั้นหยิบหม้อออกมาเทน้ำใส่ลงไปพอประมาณ เปิดเตา รอจนน้ำเดือดฉีกซองแล้วเทโจ๊ก
ลงไปในหม้อ ตอกไข่ใส่ตามด้วยไส้กรอกมินิลงไป ใช้ทัพพีคน คิดว่าทุกอย่างสุกได้ที่แล้วเขารีบปิดไฟตักโจ๊กที่กำลังส่งกลิ่น
หอมใส่ถ้วย ท่าทางการทำอาหารของชายหนุ่มดูเหมือนคุ้นเคยกับการเข้าครัวบ่อยครั้ง คงเป็นเพราะพอรู้ว่าต้องมาอยู่ข้างนอก
เขาก็ถูกเพื่อนสนิทอย่างนภาภรณ์บังคับเปิดดูพวกวิดีโอสอนทำอาหารบ่อย ๆ
“ทำไมต้องดูอะไรพวกนี้ด้วย ไปซื้อกินหรือเข้าร้านอาหารจะไม่ดีกว่าเหรอ ยุ่งยากจะตาย”
“มันก็ใช่ แต่ไม่รู้เขาใส่อะไรลงไปบ้าง”
“ภรณ์คิดมากไปรึเปล่า” เขาพูดเหมือนไม่เห็นด้วย ทำให้นภาภรณ์พยายามหาเหตุผล “งั้นคิดง่าย ๆ ถ้าร้านปิด ร้านเดลิเวอรี่ไม่ส่ง ฝนตกหนัก..”
เหตุผลร้อยแปดที่เธอยกมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ เขาจึงได้ยอมแพ้
“พอ พอ เราเข้าใจแล้วเรียนรู้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไร จริงไหม”
ฟังแล้วทำให้เขาคิดได้ว่าจุดประสงค์การที่ออกมาอาศัยอยู่คนเดียวคือต้องพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด และเรียนรู้ที่จะทำทุกอย่าง
ด้วยตนเอง ตั้งแต่นั้นเมื่อมีเวลาว่างเขาก็เริ่มศึกษาวิดีโอสอนทำอาหาร มีบางครั้งทำเนียนเข้าไปในครัว สำรวจดูนั่นดูนี่ และยังได้
เพื่อนสนิทอย่าง ภฤดล กตติการ์ และนภาภรณ์ เป็นหนูทดลอง เขายังจำได้ตอนที่ไปยืมครัวที่บ้านของนภาภณ์ นั่นเป็นครั้งแรกที่
เขาปฏิบัติจริงหลังจากที่ศึกษาทฤษฎีมาได้สักระยะ ใครจะรู้ว่าดูวิดีโอมันดูเหมือนง่ายพอลงมือจริงไม่ใช่ ในวิดีโอแหกตากันชัด ๆ
วันนั้นครัวแทบพังแต่โชคยังดีอาหารจานแรกออกมาดี รสชาติไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เพื่อนทั้งสามก็พยักหน้าว่าใช้ได้ มันทำให้
เขามีกำลังใจทำจานที่สองสามต่อมา รสชาติก็ดีขึ้นตามไปด้วย เขามองมื้ออาหารง่าย ๆ ตรงหน้าแล้วยักไหล่ ทำไงได้ในเมื่อในตู้
มีของแค่นี้วันนี้ก็กินแค่นี้ไปก่อน หรืออาจจะรวมถึงมื้อต่อ ๆ ไป บางวันอาจจะลงไปฝากท้องกับร้านอาหารข้างล่าง รอจนกว่าทุก
อย่างจะลงตัวค่อยว่ากันอีกที เขาถือถ้วยโจ๊กไปนั่งดูโทรทัศน์ แต่ระหว่างที่นั่งดูรายการทั่วไปรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลก ๆ เมื่อเขา
ได้ยินเสียงคนคุยกัน เขาปิดเสียงโทรทัศน์แล้วตั้งใจฟัง เหมือนคนคุยกันอยู่หน้าห้อง เขารีบเดินไปส่องช่องประตูแต่ไม่เห็นมีใคร
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเปิดประตูออกไปยืนอยู่หน้าห้องมองซ้ายมองขวากลับไม่มีใคร แต่ยังได้ยินเสียง เขาเดินตาม
เสียงไปที่กำแพงห้องตรงข้าม เอาหูแนบ “เฮ้ย” เมื่อเสียงคนคุยกันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงคราง เล่นเอาตกใจ หันมองซ้ายขวา
รู้สึกตอนนี้ตัวเองเหมือนโรคจิตยังไงไม่รู้ เอาเถอะยังไงก็เป็นโรคจิตแล้ว ลองฟังดูอีกสักสองสามห้องไปเป็นไรไป เขาเดินไป
ห้องข้าง ๆ แล้วทำเหมือนเดิม จนแน่ใจ ปฐวีร์ก็วิ่งกลับเข้าห้อง ทำไมหูเขาถึงได้ยินชัดขนาดนี้ มันไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ เขาได้
ลองทดสอบมันอีกหลายครั้ง ผลที่ออกมายิ่งทำให้ตกใจ ยังมีอีก เมื่อไม่ใช่แค่หู แต่ยังมีจมูก และสายตาที่ดีกว่าคนปกติ นี่มัน
เรื่องบ้าอะไร เขารีบเดินไปหน้ากระจก ดูหู จมูก ตา ปาก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโผล่เกินมา เห็นทุกอย่างปกติเขาถอนหายใจรู้สึกโล่งอก
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
ปฐวีร์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทดสอบความผิดปกติที่โผล่มาโดยไม่รู้ตัว ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขารู้สึกเหมือนไม่ใช่ร่างกายตัว
เอง ไม่พอยังต่อสู้กับฝันร้ายที่โผล่มาเป็นระลอก เล่นเอาบางคืนข่มตาหลับแทบไม่ลง เขายังทดสอบว่าความฝันเป็นเรื่องที่จะเกิด
ขึ้นในอนาคตอย่างที่แม่บอกไว้หรือไม่ เมื่ออยากรู้ก็ต้องพิสูจน์เพื่อหาคำตอบที่กวนใจ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ให้ต้องพิสูจน์อย่างเช่น
ห้าวันก่อนเขาฝันเห็นตัวเองตกบันได ตื่นขึ้นมาในเช้าวันต่อมาก็ต้องหัวเราะ ใครมันจะบ้าไปขึ้นบันได ในเมื่อลิฟต์โดยสารก็มี แต่
แล้วก็มีจดหมายแจ้งจากทางคอนโดมิเนียมว่าจะมีการซ่อมบำรุงลิฟต์ ไม่มั้งอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น สุดท้ายแล้ววันนั้นเขาก็ตก
บันไดจริง ๆ เพราะรอลิฟต์ซ่อมให้เสร็จไม่ไหว ลงไปหาอะไรกิน และก็ตกบันไดเหมือนที่เห็นในฝันไม่มีผิด แต่เขาก็ยังไม่ปักใจ
เชื่อ สามวันต่อมาก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเขาอีก สองสามวันต่อจากนั้นก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกจนทำให้เขาเริ่มเชื่อ และลอง
พยายามหลีกเลี่ยง แล้วความฝันคืนต่อมาก็เปลี่ยนไปแต่สุดท้ายก็ยังเห็นภาพตัวเองตายเหมือนเดิม จนต้องสะดุ้งตื่น แล้วเมื่อคืน
เขาก็ฝันถึงเหตุการณ์ใหม่ทุกอย่างมันดูเหมือนจะไม่ค่อยชัด แต่ก็พอจะรู้ว่าเหมือนมันกำลังจะเกิดขึ้นที่ห้องนี้ การได้รับรู้เรื่องราว
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวไม่ได้คิดว่าตัวเองโชคดีเลยสักนิด เหมือนกำลังเล่นเดิมพันด้วยชีวิต ถ้าเดินพลาด
สุดท้ายต้องชดใช้ด้วยความตาย ถ้าลองเอาเรื่องแบบนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังมีหวังต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้าแน่ ๆ แล้วใครมันจะบ้า
ไปเล่าให้คนฟังกัน แค่รับรู้ว่าตัวเองต้องมีจุดจบอย่างนั้นก็สมเพชตัวเองจะแย่อยู่แล้ว
ปฐวีร์กำมือแน่นในใจรู้สึกแค้นพิมพ์รตาและผู้ชายคนนั้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้ทั้งสองคนสมหวัง เขาสัญญากับตนเองจะ
ต้องเปลี่ยนแปลงอนาคตให้ได้ โครก!!! ท้องส่งเสียงร้องประท้วงขึ้นมา ทำให้อารมณ์รู้สึกโกรธเกลียดแค้นเมื่อครู่หายไป เขา
เหลือบมองดูนาฬิกาบนผนัง ทำให้รู้ว่าใกล้เที่ยงแล้ว ก่อนอื่นเขาต้องหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยคิดต่อไปว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อ
จากนี้ดี เขาเข้าห้องน้ำรีบทำธุระส่วนตัว สวมชุดใหม่ แล้วหยิบคีย์การ์ดบนโต๊ะ กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายแล้วเดิน
ออกจากห้อง
ออกมาจากคอนโดมิเนียม ทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือวุ่นวาย อากาศก็ร้อนเหมือนเดิม เท้าเล็กในรองเท้าผ้าใบสีขาวแดง
ยี่ห้อดัง ก้าวเดินไปตามฟุตปาธ ผู้คนเดินสวนไปมา เดินไปได้สักพัก เขาหยุดอยู่ที่ร้านแผงขายหนังสือพิมพ์ เลือกหยิบ นิตยสาร
สองสามฉบับเพื่อดูข่าว และไม่ลืมหยิบนิตยสารเกี่ยวกับประกาศขายให้เช่าบ้าน และคอนโดมิเนียม ได้ของที่ต้องการแล้วมองหา
ร้านอาหาร มองหาร้านอาหารไม่นานก็เจอร้านที่ถูกใจ เปิดประตูเข้าไปข้างในเป็นร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศน่านั่ง มีลูกค้าใน
ร้านนั่งอยู่ก่อนสองสามโต๊ะ กวาดสายตามองที่ว่าง เขาเลือกนั่งติดกระจก สักพักพนักงานก็เดินมารับออเดอร์ที่โต๊ะ เขาสั่งสเต๊ก
หมูพริกไทยดำ สปาเกตตีผัดกระเทียมพริกกุ้ง และสลัดผัก จากจุดที่เขานั่งอยู่สามารถมองเห็นข้างนอกได้ชัดเจน มองดูพ่อค้า
แม่ค้ากำลังขายของอยู่บนฟุตปาธ และคนเดินไปมาจนตาลาย เขาจึงได้หยิบนิตยสารเกี่ยวกับบ้าน คอนโดมิเนียมขึ้นมาดู ถ้าเรื่อง
ที่กำลังจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับห้องที่เขาอยู่ การหาที่อยู่ใหม่จึงน่าจะเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ และทำให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น
เมื่อไหร่ และร้ายแรงแค่ไหน การที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรในช่วงสองสามที่ผ่านมา ใครจะไปรู้ว่าบางทีเขาอาจจะเขยิบ
เข้าใกล้ความตายมากขึ้นเร็วขึ้นก็ได้ ถึงแม้ว่าการวิ่งหนีไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่ แต่แล้วตอนนี้เขามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ไหม ก็ไม่
ถ้ามีเขาคงเลือกมันไปนานแล้ว อาจจะดูเหมือนบ้าแต่ขอเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วสบายใจดีกว่า ดีกว่าต้องมานั่งกังวลนอนผวาทุกคืน
ปฐวีร์เปิดดูประกาศขาย/เช่า บ้านคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยไปทีละหน้าสายตาก็ไล่มองไปดูทีละประกาศ มีหลายที่น่าสนใจ ไม่
ไกลจากมหาวิทยาลัยการเดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า รถเมล์ ดูจากราคาเริ่มต้นก็สูงทีเดียว
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารค่ะ” พนักงานของร้านนำอาหารมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ เขาขอบคุณและลงมือกิน ระหว่างนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้น
มาเข้าอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลคอนโดมิเนียม ตั้งพิกัดระยะทางจากมหาวิทยาลัยประมาณ 10 กิโลเมตร รอระบบประมวลผลไม่นาน
ข้อมูลที่ต้องการก็ปรากฏบนหน้าจอ เท่านี้ทุกอย่างก็แคบลง แต่ก็มีคอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ หอพัก แสดงขึ้นมาเยอะพอ
สมควร เขาเลือกไม่ถูก ตัดสินใจลองกดเสี่ยงดูสักที่ ราชารวรพฤกษ์คอนโดมิเนียมก็เด้งขึ้นมา คอนโดมิเนียมหรูใกล้รถไฟฟ้า อยู่
ไม่ไกลโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ อ้อ ดูแล้วที่นี่น่าสนใจ ดูสิว่าที่นี่เป็นของใคร เขาหาข้อมูลเบื้องต้นก็พบว่า
เป็นคอนโดมิเนียมหรูของตระกูลสุรัตนธรรมวรธิเบศณ์ เป็นตระกูลที่ทำธุรกิจด้านนี้และทำอีกหลายอย่าง เขาเข้าที่เว็บไซต์ดูรูป
ถ่ายในมุมต่างๆ รวมไปถึงภาพเคลื่อนไหว เขารู้สึกชอบ กินอิ่มเก็บของเรียบร้อยร้อย ปฐวีร์รีบโทรไปที่เบอร์ติดต่อที่ลงไว้ใน
เว็บไซต์ เขาสอบถามข้อมูลเบื้องต้น รวมถึงขอเข้าไปดูห้อง ปลายสายบอกว่าสามารถเข้าไปดูห้องได้ตลอด แค่แจ้งชื่อกับ
พนักงานแล้วจะมีคนพาขึ้นไปดูห้อง ได้คำตอบที่พอใจแล้วเขารีบมุ่งหน้าไปที่คอนโดมิเนียมทันที
นั่งรถไฟฟ้ามาสองสามสถานีก็ถึงที่หมาย ยืนมองจากบนสถานีเห็นคอนโดมิเนียมสูง น่าจะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาหยิบ
โทรศัพท์เปิดดูที่ตั้ง เพื่อเป็นเนวิเกเตอร์นำทาง เริ่มมองหาชื่อถนน ซอย โดยถามจากพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่
หลงทาง เหลียวซ้ายมองขวาก็เห็นป้ายชื่อถนน และซอยอยู่ตรงมุมติดกับเสาไฟฟ้า ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็แทบจะมองไม่เห็น เดินไป
ตามถนนเส้นหลัก สังเกตข้างทาง และรอบๆ ตอนกลางวันแถวนี้ดูคึกคัก และยังร้านขายของตึกสำนักงานเล็กๆ เดินไม่นานก็มา
ถึงที่หมาย เขาผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน และตรงไปที่ประชาสัมพันธ์
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
“สวัสดีครับ พอดีผมต้องการดูห้องที่เพิ่งติดต่อมานะครับ”
พนักงานสาวค่อนข้างแปลกใจ ที่อีกฝ่ายบอกว่ามาขอดูห้อง ถ้าเธอดูไม่ผิดชายหนุ่มตรงหน้าน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบปี บางที
ครอบครัวของเขาคงจะมีฐานะ ช่างเถอะสงสัยไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอให้มีเงินก็พอ
“รบกวนขอทราบชื่อด้วยค่ะ”
“ปฐวีร์ครับ”
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวเปิดดูในรายชื่อที่พนักงานขายแจ้งชื่อเข้ามา มีรายชื่อที่ว่าจริง เธอเชิญปฐวีร์ไปนั่งที่โต๊ะรับรอง
หยิบเอกสารเกี่ยวกับห้องพักให้ชายหนุ่มได้ลองศึกษาก่อนที่จะขึ้นไปดูห้อง ปฐวีร์เปิดดูเอกสารอ่านรายละเอียด ห้องพักอย่าง
ละเอียด ราคาเริ่มที่ห้าล้านต้น ๆ ถ้าตกแต่งภายในเรียบร้อยพร้อมเฟอร์นิเจอร์อีกราคาหนึ่ง จากที่ดูเงินในบัญชีล่าสุดน่าจะพอซื้อ
ได้ เขาดูแผนผังห้องทั้งหมด ห้องที่กากบาทด้วยสีแดงหมายถึงห้องนั้นมีคนจองแล้ว โครงการนี้มีทั้งหมดห้องห้าสิบกว่าห้อง
รวมถึงห้องตัวอย่าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีฟิตเนส สระว่ายน้ำ มีสวนให้เดินออกกำลังกาย มีสนามเด็กเล่น ลานจอด
รถกว้าง และปลอดภัย และห้องอาหารเปิดตลาด 24 ชั่วโมง นั่งอ่านข้อมูลสักพัก พนักงานสาวก็พาขึ้นไปดูห้อง
ลิฟต์โดยสารขนาดใหญ่ เลื่อนขึ้นไปชั้นบน ประตูลิฟต์เปิดออกเห็นโถงทางเดินโล่งสว่าง พนักงานเดินนำออกจากลิฟต์
ตรงไปที่ประตู เธอหยิบคีย์การ์ดกดรหัสเปิดเข้าไปในห้อง ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องไฟก็เปิดขึ้นทันที เธอพาปฐวีร์เดินดูสำรวจ
ภายในห้อง อธิบายจุดเด่นของแต่ละส่วนในห้องให้ฟัง
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณปฐวีร์ชอบไหมคะ” เธอเลื่อนผ้าม่านออกทำให้สามารถมองเห็นวิวด้านนอก
”ห้องนั่งเล่นสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้ ปิดไฟในห้อง แล้วมองออกไปข้างนอกตอนกลางคืนสวยมากเลยนะคะ”ปฐีวีร์เดิน
มาหยุดอยู่ข้างพนักงานสาว มองออกข้างนอกเห็นวิวเมืองหลวง ด้านล่างมองเห็นสระว่ายน้ำสีฟ้า และสวนสีเขียวตกแต่งอย่างดี
แต่ที่เขาชอบเป็นห้องที่ตกแต่งเรียบง่ายนี้มากกว่า พนักงานสาวบอก แต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกัน ห้องกว้างมีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่
ชิ้น มีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ห้องน้ำในตัว ห้องนอนเล็กอีกห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่นรวมกับห้องรับแขกในตัว
“ผมชอบครับ” คำตอบของปฐวีร์ทำให้พนักงานสาวยิ้มกว้าง จากนั้นเธอเริ่มพูดถึงสัญญาซื้อขาย ปฐวีร์ต้องการซื้อเป็นเงินสดทั้ง
สองตกลงกันได้ นัดทำสัญญาอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า
จ่ายค่ามัดจำคุยรายละเอียดอีกเล็กน้อย เขาก็ออกที่นั่น ระหว่างทางออกมาจากคอนโดมิเนียม เขาเห็นแผงขายลอตเตอรี่เห็นคน
เดินผ่านไปมาหยุดซื้อ เขาเห็นแล้วรู้สึกสนใจ บางทีเขาน่าจะเลี่ยงดวงเผื่อจะบังเอิญถูกรางวัล
“ป้า ถ้าถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินเท่าไหร่ครับ”
“หกล้าน จ้า ไม่ซื้อชุดใหญ่ไปเลย
*****************************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป