12
เราสนิทกัน
เมืองน้ำบอกเขาว่าเกลียดคำว่า ‘โอ๋เอ๋’
ไม่ชอบแต่เอาคำนี้ไปหลังชื่อไลน์ของเขา จาก 101 เฉยๆ กลายเป็น ‘101 โอ๋เอ๋’
ตอนเห็นจากจอโทรศัพท์เจ้าตัว ได้แต่ถามตัวเองในใจว่าได้เหรอ ไม่ชอบแต่เอาไปตั้งชื่อไลน์ร้อยเอก ได้จริงๆ ใช่มั้ย
แต่เห็นพี่เมืองดูชอบ และเขาก็ชอบที่เห็นว่าอีกคนอมยิ้มตอนเขาแกล้งโวยวายเรื่องนี้ ถ้าพี่เมืองชอบ คำถามที่ว่าได้เหรอ คำตอบก็กลายเป็น ‘ได้’ ขึ้นมาทันที
โคตรลำเอียง
แต่ยอมรับนะว่าตัวเองลำเอียงจริงๆ
“มานี่เลยๆ”
แม้เราจะทะเลาะกันมาตลอด แต่ร้อยเอกคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับเมืองน้ำเป็นความเรียบง่ายมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นช่วงแรกของการทดลองเป็นน้องชาย จึงไม่มีความพิเศษใดๆ เกิดขึ้น ในความไม่หวือหวานี่แหละ ที่พิเศษสำหรับเขา
ศึกหนักที่เรียกว่ามิดเทอมยังไม่จบง่ายๆ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เหนื่อยหน่อย แต่ถ้ามีชีวิตรอดจากศึกครั้งนี้ได้ ร้อยเอกก็คิดว่าคุ้ม
เทอมหน้าเป็นเทอมแห่งการฝึกงาน เดาได้เลยว่าพี่เมืองต้องเหนื่อยมากกว่านี้ และคงไม่มีเวลาเจอกันเยอะๆ เหมือนตอนนี้แล้ว
แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอพี่ชายปลอมๆ ของตัวเองบ่อยๆ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ของอแงเรื่องนี้ได้มั้ย
คำตอบคือไม่ได้ เพราะงั้นตอนนี้ที่เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเทอม น้องชายระยะทดลองเลยต้องรีบทำคะแนนสักหน่อย
“คนดูแลแกตื่นรึยังไม่รู้ นอนดึกทุกวัน โคฟเว่อร์เป็นนกฮูกเหรอ”
วันนี้สิบเอกไม่ทันรถโรงเรียนอีกแล้ว เดือดร้อนให้เขาที่นอนไปแค่สี่ชั่วโมงต้องขับรถไปส่ง ร้อยเอกเห็นถุงกาแฟแขวนอยู่ตรงรั้วบ้านตอนกลับมาถึง มีโน้ตสั้นๆ ที่เขียนว่า ‘กลัวน้องชายง่วง’ แปะไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครทำให้เขายิ้มได้ตั้งแต่เช้า
ร้อยเอกนำแก้วกาแฟของเมืองน้ำไปแช่ตู้เย็น ขึ้นไปนอนให้หายเวียนหัว และลงมาเติมพลังดีๆ จากรสชาติหวานขมหลังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เขานั่งอ่านหนังสืออยู่ชั้นล่างเกือบครบชั่วโมง คิดถึงโรงปลูกเลยพับหนังสือแล้วคีบรองเท้าแตะเดินมาด้านหลัง เห็นกระถางต้นไม้ที่เมืองน้ำย้ายกลับมาจุดเดิมตั้งแต่วันที่คืนดีกันเลยลากสายยางมารดน้ำให้
“โตไวจังนะเราน่ะ เพราะฝนตกบ่อยล่ะสิ”
ใช่ เขาคุยกับต้นพลูด่างของพี่เมืองอยู่
เขาเชื่อว่าการพูดกับต้นไม้บ่อยๆ เทคแคร์เหมือนคนในครอบครัวจะทำให้ต้นไม้โตเร็ว ที่สำคัญ การทำแบบนี้ถือเป็นการเพิ่มพลังบวกให้ตัวเอง ถ้าคนอื่นมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคลายเหงา เขาก็มีต้นไม้เป็นเพื่อนคู่ใจเหมือนกัน
ร้อยเอกหยุดแรงกดบนหัวฉีด วางกระถางพลูด่างบนชั้นไม้ พาดสายยางบนรั้วกั้น ก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาถ่ายผลงานตัวเอง
101 :
(send a photo.)
อาบน้ำให้น้องแล้ว
ชุ่มฉ่ำไปหมด
m.nam ☆° :
ขอบคุณนะะ
น่ารักจัง
หมายถึงพลูด่าง
101 :
ตอบไวอ่ะ
แล้วผมไม่น่ารักอ่อพี่เมือง
ใช่สิ
m.nam ☆° :
อะไรเล่า -.-;;
เคยได้ยินคำว่ามีเสียงดังมาจากข้อความมั้ย ตอนนี้ร้อยเอกกำลังสัมผัสอะไรแบบนั้นอยู่ล่ะ
ไม่ใช่แค่เสียง แต่นึกภาพออกเลยต่างหาก
101 :
อย่าทำหน้ามุ่ยดิ
หน้ามุ่ย = แก่เร็ว
m.nam ☆° :
มุ่ยตรงไหน!
รู้ได้ไงว่าแก่!
เพิ่ง 22 เองป้ะ
101 :
ครับๆๆๆ
m.nam ☆° :
-*-!!!!
101 :
แล้วพี่ไม่นอนต่อเหรอ เมื่อคืนนอนดึกนะ
m.nam ☆° :
นอนแล้วๆ พี่เพิ่งตื่น กำลังแต่งตัว ตอนบ่ายจะไปงานอีเว้นท์
101 :
พักบ้างเถอะคุณ
เดี๋ยวงานนั้นเดี๋ยวงานนี้ วิ่งวุ่นเป็นหนูติดจั่นแล้ว
m.nam ☆° :
รับงานไว้นานแล้วอ่ะ ไม่อยากปฏิเสธ ไหนๆ ก็เชิญมาแล้ว
ไปด้วยกันมั้ย เป็นงานแฟชั่นโชว์ นั่งดูเฉยๆ แต่สนุกดีนะ
101 :
ผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้อ่ะ วุ่นวาย
m.nam ☆° :
พี่มีบัตรสองใบ ใบนึงของตัวเอง อีกใบยังไม่รู้เลยว่าจะชวนใครไป
ถ้าร้อยไปก็จะได้นั่งด้วยกันนะ
101 :
ได้นั่งด้วยกันด้วย?
งั้นขอคิดก่อนละกัน เดี๋ยวให้คำตอบ
ร้อยเอกสอดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงวอร์ม ดึงสายยางมาเก็บให้เรียบร้อย ก้าวเข้าประตูหลังบ้านเพื่อเดินขึ้นห้องนอน ร่างสูงตรงเข้าหาตู้เสื้อผ้า แล้วเปิดออกโดยไม่รอช้า
ร้อยเอกไม่ใช่คนสนใจเรื่องแฟชั่น เขาแต่งตัวไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ เสื้อผ้าทุกชิ้นมีแต่ดีไซน์ธรรมดา ชิ้นไหนที่มีสีสันล้วนแล้วแต่เป็นเสื้อผ้าที่ครอบครัวเลือกให้ นั่นทำให้เขาคิดไม่ตก
แต่เดี๋ยวนะ...
“ไหนบอกขอคิดดูก่อนไงวะกู”
หัวใจมักไวกว่าความคิดเสมอ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องของเมืองน้ำ
นี่แหละคำนิยามความเป็นร้อยเอกในตอนนี้
(⺣◡⺣)♡*
ตอนที่ชวนร้อยเอกไปด้วยกัน ไม่ได้คิดหรอกว่าเจ้าตัวจะโอเค เมืองน้ำเข้าใจเรื่องที่ร้อยเอกไม่ค่อยชอบสายงานที่เมืองน้ำทำอยู่เท่าไหร่ แต่เพราะต้องออกไปข้างนอก ยังไงคนตัวสูงก็ต้องขอไปส่งอยู่แล้ว ก็เลยลองชวนดู
ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเสมอไปหรอก
‘ผมไปนะ ออกจากบ้านกี่โมง’
ขนาดคนที่ทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ยังตอบตกลงได้เลย
ประตูเล็กข้างรั้วถูกล็อกอย่างแน่นหนา พร้อมรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าน่ารัก เมืองน้ำสวมกางเกงยีนเนื้อดี เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมทับด้วยเสื้อแจ็คเกตขนาดพอดีตัว เช็กความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย มั่นใจแล้วว่าไม่มีส่วนไหนประดักประเดิดจนไม่เหมาะสมกับงานแฟชั่นจึงก้าวไปหยิบกุญแจสำรองบ้านข้างๆ จากที่ซ่อนที่เจ้าของบ้านบอกไว้ตั้งแต่วันที่มากินข้าวเช้าด้วยกัน
คุณลุงคุณป้าไม่อยู่บ้าน น่าจะทำงานอยู่กองถ่ายซีรีส์อีกตามเคย น้องสิบไปโรงเรียน อาจารย์พันเอกก็ต้องทำงาน เหลือแต่เด็กตัวสูง
เงียบพอๆ กับบ้านเมืองน้ำเลยแฮะ
ร้อยเอกไม่อยู่ด้านล่าง ไม่ทันประมวลผลก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ ดังมาจากด้านบน คนตัวเล็กเปลี่ยนจุดหมายเป็นบันไดทางขึ้นชั้นสองทันที
เมืองน้ำไม่เคยขึ้นไปบนห้องนอนร้อยเอก แม้เราจะรู้จักกันมานานก็ตาม ร้อยเอกเอง ก็เพิ่งจะเข้าไปในห้องนอนเมืองน้ำในช่วงหลังที่เราไม่ค่อยทะเลาะกันแล้วนี่เอง
“ร้อย...”
ตื่นเต้นแปลกๆ แฮะ“แต่งตัวอะไรเนี่ย”
เมืองน้ำไม่ตั้งใจทำให้ร้อยเอกเสียความมั่นใจหรอกนะ ไม่มีเจตนาแอบแฝงแบบนั้นเลย แค่แปลกใจเพราะไม่เคยเห็นคนตัวสูงแต่งตัวแบบนี้
ฮู้ด Supreem สีแดงสด กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงิน หมวกสีเหลือง คาดกระเป๋าใส่ของไว้ตรงอก ผ้าพันคอไหมพรม แล้วก็สวมแมสลายเท่ๆ อีกหนึ่งชิ้น
“แฟชั่นไงพี่เมือง”
คำตอบของคนที่ดึงแมสออกจากหน้าเล่นเอาเมืองน้ำอมยิ้ม ที่จริงก็พอไหว แต่ผิดธีมงานไปหน่อย ถ้าให้ร้อยเอกไปในสภาพนี้ ต้องเป็นจุดเด่นของงานแน่ เผลอๆ อาจเด่นยิ่งกว่านายแบบบนแคทวอล์กเสียอีก
“ยิ้มอะไรล่ะ นี่ก็พยายามสุดๆ แล้วนะ อันไหนที่คิดว่าดีก็จับมาใส่หมด น้อยไปเหรอ”
“ไม่น้อยๆ”
เยอะมากเลยแหละร้อยเอก
“แล้วยิ้มทำไม”
“เอ็นดูน้องชาย”บ้าเอ๊ย...
ที่ว่าไม่น้อยน่ะการแต่งตัวของร้อยเอก หรือจังหวะหัวใจที่เต้นไม่หยุด แถมแก้มยังร้อนเหมือนถูกไฟเผาจนต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้เขินอย่างนี้กันแน่
ร้อยเอกอยากจะบ้าตาย
“มาๆ พี่แต่งให้”
“ทำไมอ่ะ มันไม่โอเคเหรอ”
“เหอะน่า ให้พี่แต่งให้ ยืนเฉยๆ”
“พี่…”
“ร้อยเอก เดี๋ยวไปสายนะ”
“…”
ที่เงียบไม่ใช่เพราะไม่กล้าเถียง พูดไปแบบนี้ก็เหมือนโกหก เพราะงั้นยอมรับก็ได้ว่าความไม่กล้าขัดใจเมืองน้ำเป็นส่วนหนึ่งในความเงียบ สาเหตุหลักมาจากการเห็นภาพตัวเองหลังถูกมือเล็กจับเข้าที่ไหล่ บีบเบาๆ ให้หมุนตัวเข้าหากระจกต่างหาก
เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เมืองถึงต้องแต่งตัวใหม่ให้เขา
เว่อร์มาก เว่อร์ได้อีกร้อยเอก
“เอาผ้าพันคอออกก่อนนะ หมวกกับแมสด้วย กระเป๋าด้วยๆ” เมืองน้ำนำของที่หยิบออกแล้วไปวางในตู้เสื้อผ้าที่เปิดค้างไว้ กวาดสายตาหาเครื่องแต่งกายที่ต้องการ ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับแจ็คเกตยีนกลับมายื่นให้คนตัวสูง “ใส่แค่นี้ก็พอ”
“พอจริงอ่ะ น้อยมากเลย”
“พอจริงๆ แค่นี้ก็หล่อแล้ว”
“โหย โดนชมด้วยว่ะ โคตรไม่ชิน”
คนตัวเล็กถอนหายใจกับความกวนประสาท เงยหน้ามองอย่างเหลืออด
“ไม่กวนสักวันได้ป้ะ”
“ไม่ได้”
“โคตรเกลียด เกลียดมาก”
“พี่อย่าพูดอะไรที่มันไม่จริงสิ โกหกว่าเกลียดผมนี่ไม่ดีเลย คนเกลียดกันที่ไหนจะช่วยแต่งตัวขนาดนี้”
ร้อยเอกหัวเราะหน่อยๆ เห็นแก้มนุ่มๆ กลมเพราะเจ้าของพวงแก้มอมลมแล้วอยากหยิกให้แดงช้ำ
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย”
“เถียงต่อไม่ได้ก็เปลี่ยนเรื่องเลยครับคุณ”
“จะโมโหแล้วนะ”
น่ารักจังโว้ย!
“ไปเปลี่ยนก็ได้ แต่เปลี่ยนตรงนี้ได้ป้ะ”
“ไม่ได้ ไปเปลี่ยนในห้องน้ำดิ”
“แต่นี่มันห้องผมนะพี่เมือง”
“งั้นก็แล้วแต่!”
กระแทกเสียงก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียง หันหน้าไปอีกทางที่มองไม่เห็นร่างกายแข็งแรงของคนขี้แกล้ง ร้อยเอกขยับปากล้อเลียนประโยคสุดท้ายของคนผิวขาว จับชายเสื้อแล้วถอดอาภรณ์ชิ้นบน สวมเสื้อเชิ้ตตัวใหม่แล้วยิ้มออกมาเมื่อเห็นแจ็คเกตยีนในมือ
ใส่ชุดคู่เหรอวะ เกือบเหมือนกันเป๊ะๆ เลย
เอาน่ะ ไหนๆ โอกาสก็มาแล้ว จังหวะก็เป็นใจ
ร้อยเอกจะคิดว่านี่คือชุดคู่ของเขากับเมืองน้ำก็แล้วกัน(⺣◡⺣)♡*
เมืองน้ำบอกว่าแล้วแต่เขา เพราะงั้นถ้าร้อยเอกจะเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงหน้ากระจก ไม่เข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำตามที่อีกคนต้องการ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
แต่การที่เขาจงใจเปลี่ยนเสื้อผ้าช้าๆ ชวนคุยนั่นคุยนี่เพื่อให้อีกคนหันมาคุยด้วย
“เลิกหน้ามุ่ยได้แล้วน่าพี่เมือง งานจะเริ่มแล้วนะ ทำหน้าเหมือนตูดกระต่ายอีกแล้ว”
ดูเหมือนจะผิดเต็มๆก็คนมันเห็นแล้วอดไม่ได้ ไม่โดนด่าไม่ชื่นใจ อยากแกล้งแล้วแกล้งอีก แกล้งจนกว่าจะพอใจ ช่วยเข้าใจร้อยเอกหน่อยเถอะ
“ไม่อยากคุยกับคนบ้า”
โดนหาว่าเป็นคนบ้าซะงั้น
ร้อยเอกดึงคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ บีบไหล่แคบที่กำลังขัดขืนเบาๆ แทนคำสั่งให้ยืนนิ่ง เมืองน้ำตั้งท่าจะโวยวายใส่เขา แต่พอเห็นคนข้างๆ เดินชนกันด้วยความไม่ระวัง ริมฝีปากสีอ่อนถึงหยุดโวยวายขึ้นมาได้
ยังยืนยันว่าไม่ค่อยชอบแฟชั่นโชว์ที่เต็มไปด้วยเซเลบคนดังที่แบรนด์เชิญมาร่วมงานจริงๆ ผู้คนพลุกพล่าน อึดอัดยิ่งกว่าอยู่ในที่แคบ แถมยังรู้สึกรำคาญเสียงพูดคุยที่ดังเซ็งแซ่เหมือนเสียงแมงหวี่จากคนรอบตัวอีกด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะเมืองน้ำ สาบานเลยว่าจะไม่มีทางเห็นร้อยเอกยืนอยู่ในงานแบบนี้แน่
“จะปล่อยพี่ได้ยัง”
“ปล่อยครับปล่อย” ละมือจากไหล่นุ่ม จุดยิ้มหน่อยๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการที่เมืองน้ำพูดกับเขาก่อน เท่ากับหยุดงอนเรื่องเมื่อเช้าแล้ว “มีแต่คนถือกล้อง เป็นอย่างนี้ทุกงานเลยเหรอพี่เมือง”
“ก็ทุกงานนะ ที่ถือกล้องส่วนใหญ่เป็นยูทูบเบอร์ มาถ่ายวล็อกกันอ่ะ”
“แล้วพี่เมืองไม่ถ่ายบ้างเหรอ”
คนที่ดูดีเป็นพิเศษ น่ารักมากกว่าทุกวันส่ายหน้าช้าๆ
“พี่มาร่วมงานเฉยๆ แต่ก็ว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้นะ เอาไว้ลงเพจ ได้มางานฟรีทั้งที ก็ต้องตอบแทนเจ้าของงานหน่อย ถือเป็นมารยาทสำคัญเลย”
“พูดกับผมดีขนาดนี้ หายงอนจริงๆ แล้วใช่ป้ะ”
“ไม่อยากคุยละถ้างั้น”
“เดี๋ยวดิ”
“อะไรเล่า”
“เปล่า” เมืองน้ำขมวดคิ้วใส่คนตัวสูง “อย่าไม่คุยสิ อยากให้คุย ผมไม่ชอบให้พี่เมืองเมินใส่นะ”
“ก็ไม่ชอบให้แกล้งเหมือนกัน”
“อันนี้ห้ามยาก ก็พี่น่าแกล้งอ่ะ”
ร้อยเอกก็เป็นแบบนี้ เห็นว่าช่วยเมืองน้ำไม่ให้เดินชนกับคนอื่นหรอกนะ เลยยกโทษเรื่องที่กวนประสาทจนโมโห
แล้วคนตัวสูงก็ไม่ได้ยั่วให้เมืองน้ำรู้สึกหมั่นไส้จนไม่อยากคุยเรื่องเดียวด้วย ไอ้การดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ ทั้งที่เมืองน้ำบอกแล้วว่าทำเองได้ ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบกลับมาด้วยประโยค ‘ผมทำหน้าที่น้องชาย’ คิดว่าเป็นฉากในหนังโรแมนติกหรือไง
เดี๋ยวต้องไปถามอาจารย์พันเอกสักหน่อยแล้ว ว่ากับอาจารย์ ร้อยเอกเคยทำอย่างนี้หรือเปล่า
“งานจะเริ่มแล้ว ไปนั่งในงานกันเถอะ”
ร้อยเอกตอบรับในลำคอ ก้าวตามคนตัวเล็กที่เดินนำเข้าไปด้านใน ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชอบความพลุกพล่านของผู้คนอยู่ดี ที่นั่งของเราเป็นที่นั่งแถวที่สอง นับจากเวทีลงมา ร้อยเอกปล่อยให้เมืองน้ำทักทายผู้ใหญ่ที่นั่งแถวหน้า ไม่ส่งเสียงรบกวน หรือทำอะไรที่จะส่งผลเสียกับภาพลักษณ์ของคนตัวเล็ก
น้ำเสียงนุ่มๆ ถ้อยคำที่มีแต่คำสุภาพ รอยยิ้มและดวงตาหวานๆ บนใบหน้าขาว
นี่ใช่มั้ยที่เรียกว่าเสน่ห์
เมืองน้ำกลับมานั่งในท่าเดิมหลังพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ กับเจ้าของงาน แฟชั่นโชว์เริ่มต้นขึ้นแล้ว บนเวทีเต็มไปด้วยเสื้อผ้าดีไซน์เรียบหรูบนเรือนร่างได้สัดส่วนของนายแบบ อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าคนข้างบนเป็นร้อยเอกที่ตรงตามมาตรฐานของเหล่านายแบบทุกอย่าง ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
ต้องดีมากแน่ๆ
“เสื้อยืดตัวนั้นสวยดี”
“พี่อยากได้เหรอ”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย หันมองคนข้างกายที่พูดตอบโต้เสียงเพลง
“บ้า ไม่อยากได้หรอก พี่มีเสื้อผ้าเยอะแล้ว”
“มีแล้วก็มีอีกได้ ผมก็ว่าสวยดีเหมือนกัน ถ้าอยากได้...ผมซื้อให้เอามั้ย”
“จะซื้อให้ทำไม ตัวนึงตั้งหลายหมื่น ซื้อสองตัวก็เป็นแสนแล้ว”
ร้อยเอกยักไหล่ จะใช้มุกหน้าที่น้องชายอีกรอบก็กลัวว่าคนข้างกายจะเปลี่ยนมาทำหน้างอใส่เขา เมื่อเช้าที่คาดเข็มขัดให้ก็ทีนึงแล้ว
เวลาพี่เมืองหน้ามุ่ยเนี่ย ต่อให้แบรนด์ขายเสื้อตัวละสองล้าน ร้อยเอกก็ซื้อให้ได้นะ
“ผมอยากซื้อให้”
“มันแพง”
“อยากซื้อ”
“ร้อยเอก”
เอาเรื่อง
หมายถึงพี่เมือง เสียงเข้มเอาเรื่องว่ะร้อยเอกหยุดคำพูดทั้งหมด เปลี่ยนเป็นนั่งนิ่งเพราะกลัวลูกหมาของเขาแยกเขี้ยวใส่ซะก่อน เบือนสายตามองเวที นอกเหนือจากเมืองน้ำ แฟชั่นสวยๆ บนตัวนายแบบก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายกับการต้องอยู่ในงาน แต่ว่า...
“พี่รักษ์...”
แม่งเอ๊ย
งานอีเว้นท์มีเป็นล้านงาน ทำไมต้องมาเจอคนที่ไม่อยากเจออย่างภานุรักษ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเขาด้วย
ใครจัดที่นั่งวะ อยากรู้นัก
เมืองน้ำที่พึมพำชื่อรุ่นพี่หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อออกมาปลดล็อก แจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาเมื่อสักครู่แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นของใคร
Phanurak :
คนข้างๆ ใช่คนที่ถ่ายรูปคู่กับน้องเมืองในไอจีรึเปล่า
มากับแฟนเหรอครับ
“ใช่ครับ ตอบไปสิ”
“...?”
“ผมหมายถึง ใช่ คนที่ถ่ายรูปคู่กับพี่เมืองในไอจี”
หัวใจเมืองน้ำเกือบหยุดเต้นไปแล้ว ตอนที่ตีความหมายไปว่าร้อยเอกหมายถึงเมืองน้ำมากับแฟน
Phanurak :
ถ้าใช่ งั้นพี่ก็เดินหน้าต่อไม่ได้แล้วสิ
เดินหน้าอะไรของเขา...
เมืองน้ำไม่เคยคุยกับภานุรักษ์เกินกว่าคนรู้จัก ที่เคยให้รุ่นพี่จอมเจ้าชู้คนนี้ไปส่งที่มหา’ลัย เพราะเมืองน้ำเอารถไปขายให้คนรู้จักของภานุรักษ์ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญก็ไม่มีทางไปไหนมาไหนด้วย ที่เคยให้ไปรับที่ผับตอนนั้น ก็เพราะอีกคนบอกว่าจะมาหาเพื่อนสมัยมัธยม แต่สุดท้ายก็ไม่มา
ยอมรับตรงๆ ว่ามีหลายครั้งที่พี่รักษ์ดูเหมือนจะคุยในทำนองที่มากกว่าคนรู้จัก เรียกง่ายๆ ว่าจีบทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว แต่ทุกครั้งมันไม่ชัดเท่าครั้งนี้ หลายๆ ครั้งก็ดูเข้าใจว่าเมืองน้ำขีดเส้นความสัมพันธ์ของเราไว้แค่ไหนด้วยซ้ำ
เพราะเลิกกับแฟนแล้วงั้นเหรอ
เลิกกันทั้งที่เมืองน้ำไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ต้องถูกคนอื่นคิดว่าเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของตัวเองเนี่ยนะ
“พี่เมือง”
“...”
“โอเคมั้ย”
“พี่โอเค”
กายบางสะดุ้งเมื่อจู่ๆ คนตัวสูงก็พาดแขนบนไหล่เล็ก
“เมื่อย”
ดึงเมืองน้ำเข้าไปใกล้ แถมกระชับเรียวแขนจนไร้ช่องว่างระหว่างเรา
“เก็บโทรศัพท์ได้แล้วครับ อันไหนเป็น junk mail ก็ลบ หรือถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ”
junk mail
จดหมายขยะ...ร้อยเอกพูดถึงข้อความของภานุรักษ์ เป็นการเปรียบเทียบที่แรงไปหน่อย แต่ก็ทำให้เมืองน้ำตัดสินใจลบแชทรุ่นพี่จริงๆ
“พี่รักษ์จะจีบพี่เมืองเหรอ”
“...”
“หรือพี่รักษ์เป็นคนที่พี่เมืองชอบ”
“ไม่ใช่นะ พี่ไม่ได้ชอบพี่รักษ์”
“แล้วเรื่องที่จะจีบล่ะ”
“อันนี้...ก็คงใช่”
“ผมไม่ให้”
“...”
“ไม่ให้จีบ ในฐานะน้องชาย ร้อยเอกไม่อนุญาต”กับพันเอกเขาไม่เคยหวงพี่ชายขนาดนี้ แต่กับเมืองน้ำ ร้อยเอกขอหน่อยเถอะ
อยากขึ้นไปตะโกนดังๆ บนเวทีว่า ‘หวงโว้ย!’ ให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่ให้จีบๆ ไม่เคยให้พี่รักษ์จีบเลย พอใจมั้ย”
“พอ-ใจ-มาก”
ทำขนาดนี้แล้ว ทั้งห้ามไม่ให้พี่เมืองตอบ ทั้งแสดงออกว่าหวง ทั้งโอบไหล่ไม่ยอมปล่อย ช่วยชอบร้อยเอกสักทีเถอะ
จะได้หยุดสถานะน้องชายก่อนครบสามเดือนสักที
แค่อาทิตย์เดียวก็เหมือนจะตาย ร้อยเอกอยากข้ามขั้นจะแย่แล้ว
(⺣◡⺣)♡*
“รีบกลับจังเลยครับ น่าจะอยู่คุยกันสักหน่อย พี่ว่าจะชวนเมืองไปกินข้าวต่อ”
“เมืองมีธุระต้องทำอีกเยอะเลยครับ อยู่นานไม่ได้จริงๆ”
“ธุระอะไร งานส่วนตัวเหรอ หรือต้องไปต่อกับคนที่มาด้วย”
“งานส่วนตัวครับ”
“พี่เชื่อได้รึเปล่า”
ซักไซร้เอาความขนาดนี้ เอากุญแจมือมาล็อกตัวเมืองน้ำเลยดีมั้ย
ร้อยเอกทนฟังน้ำเสียงนุ่มๆ ที่แฝงความเจ้าชู้ของภานุรักษ์ไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากเดินหนีไปไหน เพราะถ้าหนี เขาจะไม่รู้ว่ารุ่นพี่หน้าหล่อคุยอะไรกับเมืองน้ำ และไม่มีทางรู้เลยว่าที่เมืองน้ำเคยบอกว่าไม่เคยคุยกับภานุรักษ์มากกว่าคนรู้จัก จากที่เชื่ออยู่แล้ว วันนี้ยิ่งตอกย้ำว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
แขกทุกคนแยกย้ายตามอัธยาศัยหลังจบงาน เมืองน้ำบอกเขาว่าอยากกลับบ้านเลย มีงานส่วนตัวต้องทำต่อ นั่นก็ใช่ เพราะไม่อยากอยู่เจอภานุรักษ์ นี่ก็ใช่อีกเหมือนกัน
เขาพาคนตัวเล็กเดินออกมาด้านหลัง พื้นที่ซึ่งเชื่อมไปยังลานจอดรถ ไม่ทันถึงจุดหมาย คนที่ไม่อยากเจอก็มาดักหน้าไว้เสียก่อน
นี่แหละคือที่มาของบทสนทนาที่มีแต่ความกระอักกระอ่วนใจ
“เชื่อได้สิครับ พี่รักษ์ก็รู้ว่าเมืองงานเยอะ อย่างวันนี้ก็ต้องตัดคลิปอีกเยอะเลย”
“มิน่า พี่ไม่เห็นเมืองโพสต์ในเพจเท่าไหร่”
เมืองน้ำยิ้มจางๆ ให้คนตรงหน้า เริ่มไม่ชอบความขี้เกรงใจของตัวเองขึ้นมาซะแล้ว อยากเดินหนีจากตรงนี้ แต่นั่นก็คงไม่ใช่มารยาทที่ดีเท่าไหร่ ตัดเรื่องเจ้าชู้ออกไป อย่างน้อยรุ่นพี่คนนี้ก็ช่วยเหลือเรื่องงานมาตลอด ถ้าหักหน้าด้วยการตัดบทอีกคนดื้อๆ คงเกิดผลเสียตามมาแน่นอน
“ถ้าช่วงไหนว่างก็จะโพสต์เยอะหน่อยครับ แต่ช่วงนี้ยุ่งมากจริงๆ”
“นั่นสิ เมืองน่ะยุ่งมากเลย”
“ครับ...”
“ถ้างั้นพี่ให้เมืองกลับเลยก็ได้ แต่อย่าลืมเรื่องบ้านที่เคยคุยกันไว้นะ”
“…”
“หวังว่าเราจะไม่เปลี่ยนใจทีหลัง”
ริมฝีปากนุ่มขบเม้มจนเป็นเส้นตรง โน้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อบอกลารุ่นพี่ตัวโต ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อภานุรักษ์ก้าวพ้นพื้นที่ตรงนี้แล้ว เมืองน้ำสูดอากาศเข้าไปใหม่เพื่อเรียกพลังให้ตัวเอง หมุนตัวกลับมาหาเด็กตัวสูงที่ยืนรออยู่ด้านหลัง
“เรื่องบ้านอะไรเหรอครับ”
“…”
“ไม่เปลี่ยนใจทีหลัง หมายความว่าไง”
“…”
“พี่เมือง”
ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย...
ความรู้สึกที่อยากจะพูด แต่ก็อึดอัดจนเอ่ยออกไปไม่ได้ หัวใจที่พองโตค่อยๆ มีขนาดเล็กลงเมื่อมองเห็นแววสงสัยบนตาคู่คม
ร้อยเอกรอให้เมืองน้ำตอบคำถาม แต่คนตัวเล็กก็ยังเงียบ
“ถ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร กลับบ้านกันเหอะ เมื่อยละ”
เงียบจนอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่ตกลงกับรุ่นพี่สองคน เป็นเรื่องที่คนนอกไม่มีสิทธิ์รับรู้
อยากรู้เรื่องไหนให้ถาม ถ้าเมืองน้ำไว้ใจ จะเล่าเรื่องที่ถามออกมาเอง
ทั้งที่เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องสำคัญ และคนใกล้ตัวอย่างเขาควรได้รับคำตอบ ไม่เลย ยังไงร้อยเอกก็ยังเป็นคนที่ไม่ได้รับสิทธิ์นั้นอยู่ดี
ไม่อยากน้อยใจ เพราะรู้ว่าพี่เมืองมีเรื่องเครียดอยู่แล้ว แต่เจอแบบนี้ เป็นใครก็ต้องน้อยใจทั้งนั้นแหละ
คิดถูกหรือคิดผิดที่มาด้วยกันนะ(⺣◡⺣)♡*
ร้อยเอกยังไม่พูดอะไรตั้งแต่ขึ้นรถมา ทอดสายตามองถนน และขับรถไปเงียบๆ เปิดวิทยุเพื่อใช้บทเพลงเพราะๆ จากการเลือกสรรของดีเจบรรเทาอารมณ์ขุ่นมัว แต่เพลงพวกนั้นช่วยให้บรรยากาศสีเทาลอยออกจากรถของเขาไม่ได้เลย
เขาไม่ใช่คนขี้น้อยใจ ไม่ใช่เด็กงอแงขนาดนั้น พยายามไม่คิดไปเอง หวังว่าความเงียบจะทำให้คนตัวเล็กเรียบเรียงสิ่งต่างๆ และยอมเล่าเรื่องบ้านที่ภานุรักษ์พูดถึงให้เขาฟัง
อีกครึ่งทางจะถึงบ้านอยู่แล้ว เมืองน้ำยังนิ่งเฉย
รู้มั้ยว่าตัวเองน่ะเงียบยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ร้อยเอกชะลอความเร็วรถ หมุนพวงมาลัยเทียบรถเข้าข้างทาง ก่อนเปลี่ยนตำแหน่งปลายเท้าเป็นแตะเบรกเพื่อหยุดการเคลื่อนที่ของเครื่องยนต์ เขาปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย หมุนตัวเข้าหาตุ๊กตาหน้ารถที่มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ และวางเรียวแขนไว้บนพวงมาลัยเพื่อใช้เป็นที่พิง
“จอดทำไมเหรอ”
“จอดเพื่อฟังพี่เมืองไง”
“…”
“ไม่อยากให้เราทะเลาะกัน หรือไม่คุยกันอีก ผมไม่ชอบโมเมนต์นั้น”
“…”
“เล่าให้ฟังหน่อยนะครับ”
เล่าให้ฟัง...
เรื่องที่พี่รักษ์พูดทิ้งท้ายไว้น่ะเหรอ
เมืองน้ำอยากพูดนะ ตลอดเวลาที่นั่งนิ่งๆ บนรถ ก็พยายามร้อยเรียงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจ ไม่ใช่ไม่อยากเล่า แต่มันยากที่จะพูดออกมา
“คือพี่...”
“…”
“คิดว่าจะขายบ้านน่ะ”
“ขายบ้าน?”
“อื้อ ขายบ้าน”
อย่างที่คิดไว้เลย พอบอกร้อยเอกแบบนี้ คนตัวสูงก็ดูตกใจขึ้นมาทันที
“เพื่อนพี่รักษ์อยากซื้อต่อ แต่ก็ยังไม่ได้นัดมาดูบ้านหรืออะไรนะ แค่คุยกันไว้เฉยๆ ว่าอยากจะขาย”
“ทำไมต้องอยากขาย ขายแล้วพี่เมืองจะไปอยู่ที่ไหน”
“พี่กับแม่หาบ้านเช่าไว้แล้ว แถวๆ นครปฐม ไกลจากสุวรรณภูมิมากเลยเนอะ แต่มันโอเคนะ ร่มรื่น สวย ค่าเช่าก็ไม่แพง”
“ผมไม่ให้ย้าย”
“…”
“อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี จะย้ายง่ายๆ ได้ไง เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมพี่เมืองไม่บอก ผมคิดว่าเราจะสนิทกันจนคุยได้ทุกเรื่องแล้วนะตอนนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ แบบที่พี่เมืองเคยพูด คนสนิทกัน ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของกันและกันก็ได้”
เมืองน้ำไม่ชอบร้อยเอกเวอร์ชั่นนี้
“ผมคงคิดไปเองว่าเราสนิทกัน”
โวยวาย เอาแต่ใจ พูดเสียงแข็งใส่กันโดยที่ไม่แคร์ว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง
“ฟังกันก่อนได้มั้ย แล้วค่อยตัดสินว่าตัวเองคิดไปเอง”
ไม่ชอบเอามากๆ“นอกจากร้อยเอก ตอนนี้พี่ก็ไม่ไว้ใจใครเท่าร้อยแล้ว ทำไมต้องมาพูดเหมือนคนอื่นไม่ให้ความสำคัญกับตัวเองด้วย”
“พี่เมือง...”
“ถ้าไม่สำคัญจะให้ไปรับไปส่งมั้ย จะให้เข้ามาอ่านหนังสือในบ้านมั้ย จะให้ทำอาหารให้กิน จะไปซื้อของ หรือไปกินโจ๊กหน้าเซเว่นเป็นเพื่อนร้อยเอก จะชวนมางานวันนี้ทั้งที่พี่ชวนคนอื่นก็ได้แบบนี้มั้ย ทำไมร้อยไม่คิดถึงตรงนี้บ้าง”
“…”
“หรือว่าอคติกับพี่จนไม่อยากญาติดีกันแล้ว ที่บอกว่าไม่ได้เกลียด ที่บอกว่าเป็นน้องชายให้พี่ก็ได้ พูดจากใจจริงๆ รึเปล่า”
“พี่เมือง...อย่าร้อง”
“ไม่ต้องมาพูด” เมืองน้ำกะพริบตาไล่ไอร้อนผ่าว เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้ก็ตอนที่คนตรงหน้าพูดขึ้นมานี่เอง “ไม่อยากฟังแล้ว”
และคนที่ต้องน้อยใจ...
“เบื่อคนใจร้าย เบื่อมาก เบื่อร้อยเอก”
คือเมืองน้ำต่างหาก : ((⺣◡⺣)♡*
#ร้อยเมือง[/center]
เข้าสู่ครึ่งหลังของเนื้อเรื่องแล้วววว
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์เลยนะคะ <3
ps. เรื่องนี้ยังเป็นฟีลกู้ดที่อ่านได้เรื่อยๆ ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาจะทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครก้าวไปข้างหน้า เข้ามาแล้วผ่านไป สบายใจได้เลยยย ♥︎