。.:❀★TheMissingTitle:#เอื้อเดือน(ชื่อชั่วคราวฯ)★❀:.。 [END] อัปเดต 24.01.19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 。.:❀★TheMissingTitle:#เอื้อเดือน(ชื่อชั่วคราวฯ)★❀:.。 [END] อัปเดต 24.01.19  (อ่าน 23577 ครั้ง)

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

The Missing Title
#เอื้อเดือน (ชื่อชั่วคราวจนกว่าเราจะหาอะไรที่แมสกว่านี้ได้)


คำโปรย:

เมื่อผมคือ ‘รุ่นน้อง’ ผู้แสนจะธรรมดา และเขาคือ ‘รุ่นพี่’ สุดแสนเพอร์เฟ็กต์จนเหมือนจะอยู่ไกลเกินเอื้อม

“เฮ้ย พี่อย่าเขียนโปรยอวยตัวเองได้ไหม”

...คนสองคนที่ต่างกันกลับโคจรมาเจอกันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งนำไปสู่เรื่องราวความรักอันแสนอบอุ่น

“อบอุ่น...อบอุ่น!? นี่เอาเรื่องของใครมาพูด”
“เอ้า เรื่องเกิดช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ไม่อบอุ่นได้ไง อุ่นจนร้อนเลยเนี่ย”



“เดี๋ยว หลังปกมันต้องอธิบายปมประเด็นของเรื่องสิ ไหนล่ะกบ!? ไหนล่ะคำสาป!? ”
“ปม มีไปทำไมน่ะปม นิยายแมสๆ แบบเราไม่จำเป็นต้องมีปม รักๆ กันก็จบแล้ว”
“ตกลงเรื่องนี้แมส?”
“แมส แมสจนต้องร้องขอชีวิตเลย เชื่อสิ อย่าลืมติดแท็ก #เอื้อเดือน ลงโซเชียลกันนะครับ”
“ขอเถอะ พี่ช่วยอายเขาบ้าง! นี่มันแมสซะเคอร์ (การสังหารหมู่) ชัดๆ !”

-------------------------------------------------------

ไว้เติมสารบัญค่ะ

BEFORE WE BEGIN
STAGE 1: ตัวเอกพบกัน
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๑ (อีกที)
ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 (อีกที)

ตอนที่ 1 (อีกที - ของจริง)
ตอนที่ 1 (อีกสักที
TAKE A BREAK (1)
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4
ตอนที่ 5
ตอนที่ 6
STAGE 2: เริ่มรักแต่ยังไม่รู้ใจ
ตอนที่ 7
ตอนที่ 8
STAGE 3: รู้ใจแต่ไม่กล้าบอก
ตอนที่ 9.1 & 9.2
ตอนที่ 10
STAGE 4: มือที่สามสะกิดใจ
ตอนที่ 11
ตอนที่12 (ลับ).1 & 12 (ลับ).2
12 (ไม่ลับแล้วจ้ะ)
STAGE 7: เผชิญหน้าครอบครัว
13
14
STAGE 5: เปิดใจให้กัน
15
16
STAGE 6: อุปสรรค์พิสูจน์รัก
17
18
STAGE 8: รักกันไปวันๆ
19
20
21(1) & 21(2) & 21(3)
22
23
STAGE I: ผู้คนมารวมตัวกัน
24
STAGE II: รวบรวมเบาะแส
25
STAGE III: ฆาตกรคือแกนั่นเอง
26
26 (อีกที)
STAGE IV: ปริศนาทั้งหมด ไขกระจ่างแล้ว (เรอะ)
26.25
27

SOMA + ULTE

(END)




เรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวจะดอง แค่ช้าเพราะต้นฉบับเราเป็นแบบบรรทัดติดกัน การเอามาลงเล้าต้องเคาะเพิ่ม เลยจะช้าหน่อยน่ะค่ะ

มีอะไรไปตามหาในทวิตเตอร์ได้นะคะ ชื่อเดียวกับยูส หรือที่เห็นเยอะๆ ในแท็ก #เอื้อเดือน นั่นแหละค่ะ 5555+

เรื่องนี้ตกลงตีพิมพ์กับสนพ.พบรักแล้ว แต่จะลงให้จบแน่นอนค่ะ ที่เพิ่มในเล่มคือตอนพิเศษ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-01-2019 15:19:28 โดย flowerinshade »

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

MASS

[n.] กอง, ก้อน, ขนาด, ทั้งมวล, ปึก, มวล
[n.] ทุ่มเท, โปะ, รวม, สุม
[n.] ก้อนใหญ่
[n.] ส่วนใหญ่
[n.] ประชาชน
[n.] เทอะทะ, แน่นหนา, มากมาย, หนักแน่น, ใหญ่โต

(พจนานุกรมแปล อังกฤษ-ไทย อ. สอ เสถบุตร)



“เกรงว่าเรื่องนี้จะแมส...แมส’ซะเคอะ (การสังหารหมู่) สิไม่ว่า”





BEFORE WE BEGIN...

0







-สวัสดีครับ ผมเป็นตัวแทนศิษย์เก่าชมรมจุลสาร เนื่องในโอกาสครบรอบสิบปีของชมรม เราตั้งใจจะทำเรื่องเกี่ยวกับ LGBT ในกลุ่มของศิษย์เก่าครับ ก็เลยอยากจะขอสัมภาษณ์พี่เอื้อและพี่เดือนที่เป็นผู้ก่อตั้งชมรม แล้วก็ประธานรุ่นแรกและรุ่นที่สองครับ (Note: LGBT ย่อมาจาก Lesbian Gay Bisexual Transsexual กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในหลายบริบทมีการใช้เพื่อแทนการเรียกกลุ่มคนที่รักเพศเดียวกัน)-

“ชมรมเกย์ของเรา ครบสิบปีแล้วเหรอนี่”

ผมพ่นน้ำดังพรวด “ช้าก่อน ทำไมมันเป็นชมรมเกย์วะพี่”

“เอ้า ก็ชมรมเราแม่งมีแต่เกย์ ถ้าไม่ใช่เกย์ก็เป็นสาววาย”

“เฮ้ย น้องไม่เกย์ก็มี น้องต๋งไง”

“เกย์”

-เกย์ครับ-
ผมทำตาโต “อ้าว แล้วน้องไข่มุกที่อยู่กันบ่อยๆ ล่ะ”

“...น้องเขาเป็นแฟนกับน้องมะเหมี่ยว...ก็นับว่าเกย์เหมือนกัน”

“...” ...นี่ผมอยู่ชมรมนี้มาตลอดสามปีแถมเป็นประธานอยู่สองสมัยแบบไม่ได้รู้อะไรเลยสักนิดได้ไงวะเนี่ย ผมปาดเหงื่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“เลือกเราสองคนนี่ คิดดีแล้วจริงๆ นะ” ผมมองใบหน้ายิ้มๆ ของน้องเอกคนถาม ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัว ตอนแรกที่ถูกเรียกออกมาผมไม่รู้รายละเอียดมากนัก คนที่บ้านลากออกมาก็มาตามเขา

-พวกพี่คือตำนานของคณะ...ไม่สิ ของมหาวิทยาลัยเราเลยนะครับ-

“ตำนานแบบไหนวะ”

••ดอกตำลึงกับโดเบอร์แมน••

“เฮ้ย ปกติมีแต่ดอกฟ้ากับหมาวัดสิวะ” ผมหันไปมองต้นเสียง ปรากฏว่าไอ้เจ้าน้องรหัสของผมโผล่หน้ามายิ้มแป้น ส่วนคนข้างตัวผมก็พึมพำ

“กรณีนี้ดอกตำลึงกับโดเบอร์แมนนับว่าไม่ผิด...แต่เดี๋ยว ไอ้น้อง อย่างพี่ต้องแพงๆ แบบมัสทิฟฟ์สิวะ”

ผมหันกลับถลึงตาใส่เขา...คุณพี่ครับ พูดแบบนี้ไม่พูดยังจะดีเสียกว่า ก่อนจะหันกลับไปหาน้องรหัสตัวเองอีกครั้งแล้วอ้าว นั่นชุดนักศึกษา “เฮ้ย ยังเรียนไม่จบอีกเหรอ”

••พี่เดือน คำถามพี่หยาบคายมากนะ••

-คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไสหัวออกไปด้วยครับ-

••เฮ้ย อะไร กูนี่ประธานชมรมนะ มึงอ่ะแหละมายืมใช้ห้อง ไอ้เด็กจบแล้ว เจียมตัวหน่อย••

หลังจากนั้นรุ่นน้องผมสองคนก็หันไปตบตีกันเองอยู่ครู่หนึ่ง ขอตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณาสักครู่

ในที่สุดน้องเอกก็เป็นฝ่ายกำชัย หันกลับมาหาพวกผมอีกครั้ง

-แค่ก เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเริ่มที่คำถามแรกเลยนะครับ พวกพี่สองคน คบกันได้ยังไงหรือครับ-

“อันนี้ง่ายมาก...เออว่ะ เราคบกันได้ยังไงนะ” เขาหันมาหาผม

“เฮ้ย อะไรวะ พี่จำไม่ได้เหรอ” ผมนิ่วหน้า ขณะกำลังจะตอบด้วยความมั่นใจนั้นเอง ผมก็สำนึกอะไรขึ้นมาได้ “...เออว่ะ เราเริ่มคบกันยังไงนะ”

- พวกพี่ครับ...-

“เฮ้ย เออ คือรู้ตัวอีกทีก็คบกันแล้วเนี่ย กี่ปีแล้ววะ”

ผมยกมือขึ้นนับนิ้ว “เราเจอกันตอนนั้นผมอยู่ปีหนึ่งขึ้นปีสอง นี่ก็แปดปีได้แล้ว”

“อ้าว อาถรรพณ์เจ็ดปีผ่านไปตอนไหน”

“ก่อนพี่จะถามคำถามนั้น ประเด็นคือวันครบรอบคบกันของเราคือวันไหนดีกว่านะครับ”

พี่เอื้อนิ่งไปนานมาก ก่อนจะร้องออกมาสองพยางค์สั้นๆ “เออว่ะ”

น้องเอกก้มลงอ่านสคริปต์ของตัวเองด้วยสีหน้าแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หลังกวาดสายตาขึ้นลงไปมาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ยิงคำถามใหม่ออกมา

-งั้นเปลี่ยนคำถาม พวกพี่ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เริ่มมาคบกันได้ไหมครับ-

“...หืม เรื่องเราสองคนงั้นเหรอ...ก็ธรรมดานะ”

ผู้ชายที่อยู่ข้างตัวผมหัวเราะออกมาดังพรืด “ใครว่า เหมือนนิยายแบบที่สาวๆ เขาอ่านกันต่างหาก...ไอ้นิยาย ‘แมสๆ’ น่ะ”

-เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน คำว่าแมสนี่...หมายถึงงานที่เป็นที่นิยมในท้องตลาดใช่ไหมครับ-

“ช่าย” คนข้างๆ ผมหน้าหงึกหงัก “แบบที่ชมรมเราเอามาถกกันบ่อยๆ นั่นแหละ เอาว่าในที่นี้เรานับพวกงานที่ขายได้ขายดี เป็นกระแสนิยม เป็นที่ต้องการของตลาดก็แล้วกัน เหมือนละครสูตรสำเร็จอ่ะน้อง มีนางเอก นางร้าย นางร้ายตบนางเอก พระเอกปล้ำนางเอก”

-สมัยนี้นางเอกร้ายกว่านางร้ายก็มีแล้วนะครับ-

“ไอ้นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกน่า”

“...พี่แน่ใจเหรอวะว่าเราเรียกแมส” ผมขัด

“เฮ้ย พระเอกรูปหล่อ บ้านรวย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม จะไม่แมสได้ไง” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังพยายามแอ็กท่าโชว์หล่อเต็มที่

ผมจ้องคนรูปหล่อ บ้านรวย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม ก่อนถอนหายใจออกมา “...ไอ้ต้นเหตุแห่งความไม่แมสทั้งมวลแม่งก็คุณพี่มึงเลยครับ”

“เฮ้ย แน่จริง เถียงสิว่าปกติเขาไม่นิยมพระเอกแบบพี่กัน”

“ได้ แมสก็แมส...แล้วจะแมสแนวไหน”

“ฟีลกู๊ด” พี่เอื้อตอบแบบไม่มีหยุดคิดสักนิด

“...แน่ใจแล้วนะ”

“เออ ฟีลกู๊ด...สไลซ์ออฟไลฟ์”

“สไลซ์ออฟไลฟ์ที่แปลว่าสไลซ์...หั่นชีวิตตัวเองเป็นชิ้นๆ ใช่ไหม”

“เฮ้ย อย่าดูถูก เชื่อไหมเรื่องของเรานี่ทำซีรีส์ได้เลย”

“ไอ้แบบที่ฉายตอนตีสองตีสามให้พี่ยามกะดึกดูใช่ป่ะ” ผมกลอกตา

น้องเอกที่แลเห็นแล้วว่าการสัมภาษณ์เริ่มออกทะเลไปเรื่อยพยายามพายกลับเข้าฝั่ง

-แล้วถ้าตำนานรักของพวกพี่เป็นนิยายจริงๆ จะตั้งชื่อว่าอะไรดีครับ-

“อืมมม เหมือนก้าวแรกของมนุษยชาติเริ่มที่ดวงจันทร์ นิยายใดๆ ก็ล้วนเริ่มที่ชื่อเรื่อง...รุ่นพี่หล่อร้ายกับนายเดือนปลอม?”

คนข้างตัวผมกลอกตาใส่ เอ้า ไหนบอกนิยายแมสๆ นี่ก็ช่วยคิดชื่อให้แล้ว แมสสุดอะไรสุด

“งั้น...ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายแมส”

“เป็นรายการทีวีหรือไง”

“อะไร ถ้ารายการทีวีงั้นต้อง เดอะมูน ค้นฟ้า คว้าเดือน”

“ถุย!”

“อะ งั้นอันนี้...อยู่ดีๆ มีกบมาหลงรัก”

“...นี่คิดดีแล้วใช่ไหม ไม่สิ นี่ผ่านสมองคิดแล้วใช่ไหม”

“รักอลวน เดี๋ยวคนเดี๋ยวกบ”

“อืมมมม...จะบอกว่าดีก็ไม่เชิง จะบอกว่าแย่ก็ไม่ใช่” คราวนี้คุณพี่คนฟังมีสีหน้าเห็นด้วย

-เดี๋ยวก่อนครับ ทำไมเป็น ‘กบ’ ได้ล่ะ-

พวกผมสองคนมองหน้ากัน ก่อนตอบ “เรื่องมันยาว”

••งั้นกบกินเดือนเลย!••

ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้น้องรหัสที่ตะโกนแทรก ส่วนคนข้างตัวผมตบเข่าฉาด “เฮ้ย คัลต์ดี เอา”

ฟังแล้วผมเลยหันไปช่วยตบเข่าพี่ท่านอีกฉาด ก่อนแยกเขี้ยวใส่น้องรหัส “ไอ้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์ กรุณาออกไปไกลๆ ตีนกูเลยนะครับ ไปเล่นข้างนอกโน่นเลยโว้ย”

••อะไรวะ พี่เดือน กบกินเดือนไม่ดีตรงไหน••

“ห่านี่...” ผมง้างขาหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไปตบกบาลน้องรหัสตัวเอง “เงียบไปเลยนะ เดี๋ยวกูปั๊ดแช่งให้มึงโดนราหูอม! ทำไมเดือนต้องโดนกินวะ”

“...ไอ้นั่นคือประเด็นที่โมโหหรอกเหรอ”

หลังจากจัดการโยนตัวก่อกวนออกไป ผมก็กลับไปนั่งประจำที่

-อะแฮ่ม ขออภัยนะครับ อ่ะ ต่อ ชื่อเรื่องครับ-

“กบกินเดือนก็คัลต์ดีออก พี่ชอบ”

“...” ผมกลอกตาใส่อีกฝ่าย “แค่ชื่อก็ไม่แมสแล้ว!”

-ลองทำแบบนิยายที่กำลังฮิตดูไหมครับ เอาชื่อตัวเอกมาประกบกัน ทำแฮชแท็กทวิตเตอร์ได้ด้วยนะ-

“เป็นอะไร #เอื้อเดือน งี้เหรอ”

“...แบบนั้น #เอื้อมเดือน เพราะกว่าป่ะ...ไป พี่เอื้อการย์ ไปเปลี่ยนชื่อ”

“...ห่า ไม่คิดบ้างวะว่าชื่อตัวเองไม่เวิร์ก”

“อะไรวะ ผมเป็นเดือนเลยนะ เดือนแม่งเป็นคำทันสมัยจะตาย ตอนนี้ใครๆ ก็เป็นเดือน”

“เป็นแค่เดือนปลอม อย่ามาทำเป็นยืดหน่อยเลย” พี่เอื้อไม่พูดเปล่า เอื้อมมือมาตบกะโหลกผม ก่อนเอ่ยเสริม “ไหนๆ ก็จะให้พี่เปลี่ยนชื่อ งั้น #เอื้อมดาว ดีกว่า น้องไปเปลี่ยนชื่อซะนะครับ เป็นน้องดาว”

“เว้ย อะไรวะ เป็นเดือนก็ดีอยู่แล้วจะให้ผมเป็นดาว”

“เดือนก็เป็นดาวนะ...ดาวเคราะห์”

“แต่ดาวเคราะห์มันไม่มีแสงในตัวเองอ่า เปลี่ยนเป็นดาวฤกษ์ดีไหม”

“ตกลงจะเปลี่ยนชื่อ?” พี่เอื้อเลิกคิ้ว ก่อนทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “งั้นก็ โอบเอื้อกับเคียงเดือนเป็นไง...ไปครับน้องเดือน ไปเปลี่ยนชื่อเป็นเคียงเดือนซะนะ”

“ทำไมมีแต่ผมที่เปลี่ยนชื่อวะ แล้วชื่อเล่นผมพยางค์เดียวดีๆ อยู่แล้ว จะยัดสองพยางค์ทำไมไม่ทราบ” ผมพยายามทำท่าโมโห แต่ด้วยความที่หางตาหางคิ้วตก ดูแล้วไม่น่าจะน่ากลัว คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอียงคอมองแล้วยื่นมือมาหยิกแก้มผมเสียอย่างนั้น

“บอกผมทีว่าพี่หยิกเพราะเห็นผมน่ารักน่าเอ็นดูเลยอดใจไม่ได้” ผมกระพือขนตาที่ไม่ค่อยมีใส่เขา

“เปล่า พูดมากน่ารำคาญดี ไม่รู้สวิตช์ปิดอยู่ตรงไหน”

“...หาง” ผมตอบออกไปแบบไม่ทันคิด

“แบบโดราเอมอน?”

“เออ ตรงนั้นแหละ เว้ย! ไม่ได้ให้จับก้น!”

“เอ้า ก็บอกว่าหาง เลยจะคลำดูไง” ไม่พูดเปล่า พี่แกยังลูบก้นผมอีกรอบ “...ไม่เห็นมีเลย”

...ฆ่าทิ้งตรงนี้แม่งเลยดีไหมนะ

“งั้นชื่อย่อไหม จากคำว่าแมสงี้...แบบ My Absolutely Stupid Story”

“...”

“หรือจะ My Abnormal, Simple and Stupid (Mass) Love Story”

“...”

“หรือว่า… Might---”

...ฆ่าแม่งเลยแล้วกัน

น้องเอกรีบพยายามกลับเข้ามากู้สถานการณ์อีกครั้ง

-งั้นใช้เอื้อเดือนไปก่อนนะครับ-

“ได้ ใช้เป็นชื่อชั่วคราวจนกว่าเราจะหาชื่อที่แมสกว่านี้ได้” พี่เอื้อพยักหน้าหงึกๆ

ผมนวดขมับที่ปวดตุ้บๆ ของตัวเอง

-งั้นต่อด้วยโควตเปิดเรื่อง จะขึ้นว่าอะไรครับ-

ผมที่หมดแรงจะพูดอะไรแล้วโบกไม้โบกมือให้คนข้างตัวจัดการแทน

“แมสๆ มันต้องเริ่มด้วยบทนำคำโปรย คำคม ชิกๆ คูลๆ เสิร์ชเน็ตแป๊บ...อะ เริ่มเรื่องต้องโปรยด้วยภาษาอังกฤษ”

You have to kiss a lot of frogs before you find your handsome prince.

“อย่าลืมให้เครดิต” ผมเตือน

“ได้ เอาใหม่”

You have to kiss a lot of frogs before you find your handsome prince.
Anonymous – The Frog Prince

ผมหลุดเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าชายกบเรอะ!”

“เอ้า ไม่ถูกเหรอ”

“เอ้อ ก็ไม่ผิดนะ” ...ในทางทฤษฎีแล้ว นับเป็นเจ้าชายกบก็ได้จริงๆ

-เอ๋ ยังไงก็ต้องกบหรือครับ-

“บอกแล้วไงว่าเรื่องมันยาว” พวกผมประสานเสียง

-ก็ได้ หลังโปรยแล้วบทนำจะขึ้นว่าไงดีครับ-

“เอ่อ...” ผมหันไปมองพี่เอื้อที่โบกไม้โบกมือไปมาด้วยท่าทางราวกับวาทยกรที่กำลังนำวงดนตรี พี่จะอินเกินไปหน่อยไหมวะ



“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เจ้าหญิงน้อยได้ทำลูกบอลทองหล่นลงไปในสระน้ำที่ลึกมากเสียจนลงไปเก็บไม่ได้ มีกบตัวหนึ่งอาสาจะลงไปเก็บให้พระองค์

“กระหม่อมไม่ปรารถนาไข่มุก อัญมณี หรืออาภรณ์หรูหราของพระองค์ แต่ปรารถนาที่จะได้รับความรักของพระองค์ ใช้ชีวิตร่วมกับพระองค์ กินอาหารร่วมจานทองของพระองค์ นอนร่วมพระแท่นบรรทมของพระองค์ ติดตามพระองค์ไปในทุกๆ ที่ เช่นนั้นแล้วกระหม่อมยินดีที่จะลงไปเก็บลูกบอลทองให้พระองค์”

เจ้าหญิงทรงตกปากรับคำ หากในพระทัยไม่ทรงยินดีที่จะปฏิบัติตามสัญญาแม้แต่น้อย

แล้วเรื่องราวของเจ้าหญิงและกบก็เริ่มต้นขึ้น...”




“เป็นไง แมสพอหรือยัง”

“ทำไมผมเป็นเจ้าหญิงวะ”

“เอ้า ก็ต้นฉบับมาแบบนี้ มีปัญหาไปเถียงกับดิสนี่ย์เอาเอง”

“ดิสนี่ย์ใช่คนคิดเจ้าชายกบเหรอวะพี่”

“...เออ ไม่รู้ว่ะ เสิร์ชแป๊บ”

-พวกพี่ครับ...-

พวกผมสองคนหันไปมองน้องคนถามก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “น้อง นี่เรื่องสำคัญ”

น้องเอกทำท่าสูดลมหายใจ พึมพำยุบหนอพองหนอกูจะไม่ฆ่าคนตายหนอ ปล่อยให้พวกผมสองคนเสิร์ชเรื่องเจ้าชายกบ จนกระทั่งได้คำตอบที่พึงพอใจแล้วจึงเงยหน้ากลับมาหาคนสัมภาษณ์อีกครั้ง

-ตกลงจะบอกผมได้หรือยังครับว่าทำไมเกี่ยวกับกบ-

ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน ฝ่ายนั้นยักไหล่ ก่อนพยักเพยิดให้ผมเป็นฝ่ายเล่า

“เห...แน่ใจแล้วนะพี่เอื้อเอ๋ย”

“ที่จริงก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง ก่อนตบปิดเอาง่ายๆ “แต่ปกตินิยายแมสนายเอกเป็นคนเล่าเรื่องอ่ะ”

...ขอพักตัดเข้าโฆษณาสักครู่

-...เอ่อ พี่ครับ-

ผมที่ถูกติดสินบนด้วยกุ้งเผาหนึ่งกิโลโปรยยิ้มพิมพ์ใจ “จะเริ่มเล่าจากตรงไหนวะ ยากนะเนี่ย...”

“เอางี้ ถ้ามันยากก็แบ่งเรื่องออกเป็นสเตจพื้นๆ ตามหลักนิยายแมสก็แล้วกัน”

“หา...”

-พี่เอื้อหมายถึง ‘สเตจนิยายแมสของจิ๊บบี้’ หรือครับ-

“ใช่แล้วน้องเอ๋ย เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน” พี่เอื้อลากกระดานไวต์บอร์ดขาพิการไปข้างหนึ่งประจำชมรมจุลสารออกมา จากนั้นก็เริ่มเขียนด้วยลายมือสวยงามอ่านง่ายประดุจพิมพ์ออกมาจากเครื่องปริ้นเตอร์...นี่นับเป็นสกิลพระเอกไหมวะเนี่ย


STAGE 1: ตัวเอกพบกัน

STAGE 2: เริ่มรักแต่ยังไม่รู้ใจ

STAGE 3: รู้ใจแต่ไม่กล้าบอก

STAGE 4: มือที่สามสะกิดใจ

STAGE 5: เปิดใจให้กัน

STAGE 6: อุปสรรค์พิสูจน์ใจ

STAGE 7: เผชิญหน้าครอบครัว


“นี่ ตามนี้”

ผมกวาดตามองกระดานขึ้นๆ ลงๆ ก่อนถาม “พี่แน่ใจเหรอวะว่าของเรามันใช่อะไรแบบนี้”

“เล่าไปเถอะน่า ตามนี้ๆ”

ผมมองเขาตาเขม็ง พี่เอื้อเพียงยิ้มๆ แล้วขยับปากเป็นคำว่า ‘กุ้งเผา’

ก็ได้ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับท่านผู้ชม...


•••TBC.

สวัสดีค่า กลับมาที่เล้าอีกรอบแบบใหม่เอี่ยม ไม่ได้ใช้เว็บบอร์ดนาน เงอะงะไปหมด *ปิดหน้าร้องไห้* อับอายจริงๆ ที่เรียนจบคอมพิวเตอร์มา  :o12:

อนึ่ง ขอออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้มีการล้อเลียนตามสไตล์งาน parody ตลกกุ๊กกิ๊ก :o8: เรียกว่าลองมามองเรื่องที่เกิดในนิยายแนวนักฉึกฉาด้วยสายตาคนธรรมดากันบ้างแล้วกันค่ะ ฮา

ยังไงก็ฝาก #เอื้อเดือน ไว้ด้วยค่ะ อะเอื้ออออ *เสียงกระอักเลือด*

เราคิดว่าจะพยายามอัปแบบไม่ทิ้งช่วงมาก (เพราะต้นฉบับจบแล้ว) ก็อาจจะวันเว้นวันหรือสองวันนะคะ จริงๆ อยากลงทุกวัน แต่บางทีเราก็ไม่ได้ใช้เครื่อง  :sad4:


ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
STAGE 1: ตัวเอกพบกัน
จุดประสงค์การเรียนรู้: พระเอกของเราได้เรียนรู้ว่า
นายเอกนั้นต่างจากคนอื่น
คอมเม้นต์พระเอก: สติมันพังต่างจากคนอื่น




ท่ามกลางอากาศร้อนชวนให้อึดอัดของประเทศไทย ร่างบางในเสื้อนักศึกษาสีขาวพับแขนเลยช่วงข้อศอกมาราว ๑๐ เซนติเมตร และสวมกางเกงสแล็กสีดำที่หลวมเล็กน้อยทอดสายตาไปทางกลุ่มเพื่อนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส...เขาเสยผมที่แตกปลายเล็กน้อยให้พ้นจากดวงตาคู่ที่สั้นลบศูนย์จุดห้า

ยามนี้เขาอยู่ในตึกที่ก่อจากอิฐมวลเบาสีเทาอ่อน ประดับด้วยกระจกใสสะท้อนกับท้องฟ้าสดใสที่มีเมฆประปรายอยู่ราวๆ ๒-๓ ก้อน ปลายนิ้วเรียวของร่างบางลูบไล้ไปบนพวงแก้มเนียนใสที่ยามนี้ชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อกลมกลิ้งที่ดูราวกับรอยน้ำตา...







CUT! CUT! CUT!

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยววว เดือนปลอมมมม หยุดอยู่ตรงนั้นเลย”

“หือ ทำไม”

“ร่างบางนี่อะไรวะ” พี่เอื้อย่นคิ้วขณะยกมือทำท่าปางห้ามผม

“เอ้า ก็พูดเองว่านิยายแมสไม่ใช่เหรอ ก็ต้องเล่าด้วยสำนวนแบบสมัยนิยมป้ะ นี่ผมใส่อารมณ์ในการเล่าเต็มที่เลยนะ” ว่าแล้วก็โบกโทรศัพท์มือถือที่กำลังเสิร์ชหาตัวอย่างนิยายที่กำลังฮิตในช่วงนี้เป็นหลักฐาน

“แบบบรรยายใส่คำขยายคำนามทุกตัวเนี่ยนะ โว้ย พอ...แล้วก็ไม่เอาแบบบุคลลที่สาม บุคคลที่หนึ่งดีกว่า”

“เอ๋ เอางั้นเหรอ”

“เออ เอางั้นแหละ ทำเหมือนเล่าให้คุณผู้ชมทางบ้านฟังอ่ะ”

ได้...งั้นเอาใหม่







๑ (อีกรอบ)

ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงกำลังร้องแร่แห่กระเชอ นั่งไปก็สงสัยไปว่ากูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้หนอ

ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะเข้าใจความรู้สึกของผมรู้เปล่า

อยู่คนเดียวในห้องที่มีผู้คนมากมาย แต่...เหงา

เอาจริงๆ นะ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดีนัก

แต่อย่ากระนั้นเลย ก่อนอื่นให้ผมแนะนำตัวให้พวกคุณรู้จักก่อนดีกว่า

ผม...มาภา พรอาภา หรือเดือน อายุสิบเก้า กำลังกรุบๆ กรอบๆ สูงหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตร น้ำหนักเป็นความลับ เรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งกำลังจะขึ้นปีสองที่คณะไอทีแห่งหนึ่ง หน้าตาผมไม่นับว่าหล่อทะลุโลก แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด ผิวก็ไม่ได้ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ถึงกับคล้ำ ส่วนหางตา หางคิ้วล้วนลาดลงเหมือนเลขแปดในภาษาจีน (八) ดูแล้วน่าเอ็นดูเหมือนลูกหมาขอข้าวกิน ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า ‘ตะเร้กกก นัลลั้กกก’




CUT! CUT! CUT! CUT! CUT!


คราวนี้ไม่ร้องคัตเปล่าๆ พี่เอื้อมาพร้อมกับอุปกรณ์เป็นแผ่นไม้สีขาวที่ด้านบนมีลวดลายขาวดำเป็นทางซึ่งเคาะเกิดเป็นเสียงดังแป๊กๆ บนแผ่นไม้มีตัวเลขและตัวอักษรปรากฏอยู่เลือนรางจนมองไม่ออกว่าเคยเขียนอะไรไว้ ผมเห็นแล้วตกใจ “เฮ้ย นี่มันที่ตีเปรตในตำนาน!”

“เขาเรียกที่ตีสเลตโว้ย!” พี่เอื้อเอาที่ตีเปรตเคาะหัวผม

“มันเป็นที่ตีเปรตจริงๆ”

-อ้า ที่ตีเปรต-

••โฮ่ ไม่เห็นมาหลายปี นึกว่าหายสาบสูญไปแล้วซะอีก••

พี่เอื้อมองผมสลับกับรุ่นน้องสองคนด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนก้มลงมองที่ตีเปรตในมือตัวเอง อะฮ่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนพี่เอื้อเรียนจบไปแล้ว ดังนั้นเขาก็เลยไม่รู้เรื่องนี้

“อ้าว ไม่รู้ซะแล้วเอื้อการย์” ผมส่ายหัวขณะยิ้มด้วยสีหน้าแบบว่าพี่นี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย “ถ้ายังไงเราเปลี่ยนไปเล่าเรื่องนี้กันแทนไหม เล่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทำไมให้อายเขา เล่าเรื่องผีดีกว่า”

พี่เอื้อนิ่วหน้า ก่อนมองผมสลับกับที่ตีเปรต ด้วยความที่คบกันมานาน ถ้าคลอดลูกได้แต่แรกคบป่านนี้ลูกอายุเท่าโคนันเจ้าหนูยอดนักสืบแล้ว ผมมองทีเดียวก็รู้แล้วว่าพี่เอื้อเริ่มหวั่นไหว ทว่าคนดับฝันผมคือน้องเอก

-ไอ้นั่นอ่านเอาในจุลสารฉบับที่สามสิบเก้าคอลัมน์ ‘ล่าท้าปี๋ (วิบัติเพราะเราตั้งใจ)’ ก็ได้ครับ ช่วยกรุณากลับไปแมสกันต่อนะครับ-

คำพูดนี้ทำให้พี่เอื้อได้สติ เขากระแอมไอ ก่อนวกกลับเข้าเรื่อง “ไอ้เมื่อกี้ที่เล่านี่มันอะไรวะ!”

ผมทบทวนอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะนึกออกว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง

“เอ้า อะไรอีก ก็ให้แล้วแบบ ‘ผมเล่า’ ก็ขึ้นมาแบบเปลี่ยวๆ เหงาๆ ใช้ผมเป็นหลัก แทรกกูแทรกมึง แล้วเรียกคนอ่านเป็นคุณ...พี่บอกผมเองว่าให้ทำเหมือนเล่ากับท่านผู้ชมอ้ะ” ผมโบกโทรศัพท์มือถือไปมา...ชาวบ้านเขาก็เล่ากันแบบนี้

“แล้วไอ้ที่แนะนำตัวนี่อะไร”

“เอ้า ก็ตัวละครก็ต้องเริ่มจากแนะนำชื่อเล่น ชื่อจริง นามสกุล อายุ ระดับการศึกษา ส่วนสูง...แต่ไม่ค่อยพูดถึงน้ำหนักกับสัดส่วน แล้วก็ตบท้ายด้วยสเตตัสหนังหน้า ส่วนมากต้องหลงตัวเองนิดๆ นี่ก็อุตส่าห์พูดความจริงแล้วนะ”

“เยอะไป! แนะนำตัวหรือจะประกวดนางงาม ไม่บอกชื่อที่อยู่กับเลขบัตรเครดิตซะเลยล่ะ แล้วไอ้ ‘ตะเร้กกก นัลลั้กกก’ นี่มันคือเชี่ยอะไรวะ!”

“บ๊ะ พี่นั่นแหละเยอะ ให้ผมเล่าแล้วยังจะเอาอะไรอีก” นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา

“เอางี้ พูดไปธรรมดาๆ”

ผมทึ้งหัวตัวเอง ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนรุ่นๆ ผมเริ่มแสดงอาการหัวล้านกันแล้ว เพื่อความปลอดภัย ผมเลยหันไปทึ้งผมคนข้างๆ แทน “เว้ย! ทึ้งหัวพี่ทำไม”

“ดูจากเจ้าคุณพ่อและ’เด็จปู่พี่แล้วพี่น่าจะไม่มียีนส์หัวล้าน ทึ้งนิดทึ้งหน่อยไม่เป็นไรหรอก”

“...”

-เอ่อ พี่ๆ ครับ-

“เอ้า ขอโทษที เล่าใหม่ก็ได้ แต่ตอนที่หนึ่งอีกแล้วอ่ะ”

“คิดซะว่าเทกก่อนๆ เป็นเลขหนึ่งไทย แล้วเทกใหม่เป็นอาราบิกแล้วกัน”

“...ตรรกะอะไรวะพี่”

“เราไม่ถามหาตรรกะจากนิยายครับน้อง เล่าใหม่”

“กั้งกระดาน” ...แค่กุ้งคงไม่พอ

“...” พี่เอื้อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าแบบเซ็งๆ

ก็ได้ คืออย่างนี้นะครับ










1

เรื่องเริ่มต้นที่บ่ายวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของปีการศึกษา ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งกำลังจะขึ้นปีที่สอง ตอนนั้นอากาศร้อนมาก นิยายเรื่องนี้จึงเป็นนิยายที่ให้บรรยากาศอบอ้าวเป็นอย่างยิ่ง อะไรนะ มีแต่อบอุ่นเหรอ อ่ะ นั่นแหละ

“สอบเสร็จแล้วว้อยยยยยยยยย” เสียงของเพื่อนร่วมคณะคนหนึ่งของผมตะโกนลั่นกลางตึก มีสายตานับสิบๆ คู่จ้องมองไปที่เจ้าหมอนั่น เพียงชั่วพริบตา เพื่อนฝูงอีกประมาณโหลหนึ่งวิ่งเข้าไปหาประหนึ่งนักฟุตบอลเตะลูกเข้าประตู

บรรดาสาวๆ รอบๆ ตัวผมก็เอาแต่คุยกันเรื่องเที่ยวกับแฟนบ้าง ไปเที่ยวกับครอบครัวบ้าง ทุกคนมีสีหน้าชื่นบานประหนึ่งหลุดพ้นจากขุมนรก แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดถึงผลกรรมอันจะตามทันในไม่ช้า...เรื่องของอนาคตก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะน่า อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้ปิดเทอมแล้ว

...ส่วนผม แน่นอน ตัวละครนิยายแมสๆ แบบผม จะเป็นอื่นใดไปได้

นอกจากเรียนซัมเมอร์ ฮือๆๆๆๆๆๆๆ

โอเค ขอย้อนอดีตกันไปสักเล็กน้อย ตอนนั้นเป็นช่วงปลายเทอมหนึ่ง...หลังจากเห็นคะแนนอันงดงามในอีเมลแจ้งผลสอบกลางภาคแล้ว ผมก็กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั่วสรรพางค์กาย คืบคลานอย่างช้าๆ ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษา โอเค พอ ไม่เวอร์แล้วก็ได้

สุดท้ายก็ได้คำแนะนำมาพร้อมรอยยิ้มว่า “ถอนแล้วลงเรียนซัมเมอร์เถอะ มาภา”

มาภาหรือก็คือชื่อผมแปลว่าแสงจันทร์ ชื่อเล่นของผมก็น่ารักน่าเอ็นดูเป็นหนูเดือน...ความฝันวัยเด็กคือโตเป็นเซเลอร์มูนปราบปีศาจ ผลคือโตมาเป็นปีศาจที่ถูกอาจารย์ปราบแทน ฮือๆๆๆ โลกแม่งไม่ยุติธรรม

“อาจารย์ครับ...ผม...ผมไม่ไหวจริงๆ เหรอครับ”

“เธออยากดันทุรังแล้วได้ดี...อาจารย์หมายถึงเกรดดีนะ ไม่ใช่ได้ดีแบบนั้น อย่าเล่นมุกกับอาจารย์...เอาว่าเธออยากกินด็อกหรือยอมตัดใจเรียนใหม่เพื่อเอาสักบีหรือบีบวกล่ะ” อาจารย์ที่มองดาคะแนนของผมอีกรอบตอบด้วยเสียงหนักแน่น “อาจารย์แนะนำให้เธอไปติดต่ออาจารย์โอ๋แต่เนิ่นๆ เถอะ เดี๋ยวจะหมดช่วงถอนรายวิชานะ”
อาจารย์โอ๋คืออาจารย์สุดโหดเจ้าของวิชาที่คะแนนผมดูไม่ได้นั่นแหละ สุดท้าย พอบากหน้าไปหาอาจารย์โอ๋ สิ่งแรกที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะคิกคัก “มาภา คราวหน้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเขียนกลอนให้อาจารย์ก็ได้นะ”

อาจารย์ครับ! โปรดอย่ารื้อฟื้นความหลัง

บังเอิญว่าตอนสอบวิชานี้ผมนั่งมองกระดาษคำตอบขาวๆ สลับกับแผ่นหลังขาวๆ ของเพื่อนสนิทที่นั่งข้างหน้าซึ่งเขียนอะไรยิกๆ ไม่หยุด ไม่รู้มันเอาจากไหนมาเขียน สุดท้ายผมก็เลยหลับตา พยายามส่งกระแสจิตไปหาไอ้ธีเพื่อนเลิฟเผื่อมันจะตอบอะไรกลับมา... แต่ไม่ได้ผล

ผมจึงตัดสินใจร่ายกลอนลงที่จำได้ลงไปในกระดาษข้อสอบ

ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนอง

อาจารย์โอ๋ส่ายหัว “ช่วยอย่าทำหน้าแบบนั้นใส่อาจารย์ได้ไหม เธอทำให้อาจารย์รู้สึกเหมือนกำลังย่ำยีสัตว์เล็กอยู่นะ”

ผมยกมือลูบแก้มตัวเอง ทำไมกัน ทำไมทุกคนถึงชอบพูดแบบนี้ นี่ผมก็หน้าตาปกติ แค่คิ้วตกตาตกไปหน่อยเดียวเอง

“แล้วนี่เขียนกลอนคนอื่นมาก็ไม่ให้เครดิต มันผิดหลักของอะคาเดมิค...” พอเห็นหน้างงๆ ของผม อาจารย์ก็กรุณาแปลไทยให้ “...วิชาการน่ะ ในระดับอุดมศึกษา การบอกที่มาของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญนะ อย่างน้อยเธอก็ควรเขียนชื่อผู้ประพันธ์มาสักหน่อยนะ นี่รู้ใช่ไหมเนี่ยว่าเขียนของใครมา”

ผมกะพริบตาปริบๆ “เอ่อ...สุนทรภู่?”

“ศรีปราชญ์!” อาจารย์โอ๋ส่ายหัวใส่ผมพลางหัวเราะไปด้วย

“แล้วถ้าให้เครดิตแล้วอาจารย์จะให้คะแนนผมเพิ่มไหมครับ” ผมพยายามใช้สายตาของสัตว์เล็กที่ถูกย่ำยีส่งไปหาอาจารย์ แต่ถูกอาจารย์เคาะเบาๆ ด้วยสันแฟ้ม

“จะไปได้ได้ยังไงกันเล่า!”

...ชิ

“อีกอย่าง... กลอนของศรีปราชญ์บทนี้ของเธอเนี่ย มันทำให้ดูเหมือนข้อสอบของอาจารย์เชือดเธอโดยที่เธอไม่มีความผิด แล้วเธอขอให้สวรรค์ลงโทษอาจารย์อะไรทำนองนี้นะ” อาจารย์โอ๋ส่ายหัวขณะเซ็นใบถอนรายวิชาให้ผม

“...ก็ผมจำได้บทนี้บทเดียวนี่ครับ’จารย์ ตอนประถมครูให้ท่องบทฤๅษีขี่เต่าขี่รุ้งอะไรนี่ผมก็จำไม่ได้เลยสักนิดเดียว ฮือออ”

อาจารย์โอ๋หัวเราะใส่ผม “เอ้านี่ เอาไปยื่นให้ฝ่ายการศึกษาได้แล้ว เจอกันซัมเมอร์”

ตอนที่ผมผู้ทำท่าคอตกกำลังจะยกมือไหว้อาจารย์โอ๋นั้นเอง จู่ๆ ก็มีสาวสวยคนหนึ่งเดินสวนมา ผมใช้เวลาครู่หนึ่งถึงนึกออกว่านั่นคือกุสุมาลย์หรือกิ่ง...สาวสวยเจ้าของอกคัพดี ดาวคณะรุ่นผม พออาจารย์โอ๋หันไปเห็นสาวงามคนดังกล่าวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบขณะดึงเอากระดาษคำตอบอีกชุดหนึ่งมาพลิกดู “นี่ก็อีกคน...กุสุมาลย์ นี่เธอเอาสมองและเวลาที่จำ ‘บัญญัติความแมส’ จนครบทุกข้อไปอ่านหนังสือดีไหม โน่น ไปถามนายมาภาเพื่อนเธอโน่นว่าเอาใบดร็อปได้ที่ไหน”

เหอ บัญญัติอะไรนะ

ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ผมชะโงกหน้าไปดูตัวอักษรที่อัดแน่นบนหน้ากระดาษ นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่คำตอบ ผมแทบจะลงไปคารวะว่าเขียนได้ยาวขนาดนี้ได้ยังไงกัน
สุดท้ายทั้งผมและกุสุมาลย์ต่างก็ล่าถอยออกมา แม่สาวงามประจำรุ่นถามผมถึงใบดร็อป ผมก็เลยพาเธอไปเอา ระหว่างนั้นด้วยความที่เกิดบรรยากาศเดดแอร์เล็กน้อย ผมก็เลยเริ่มชวนคุย “ไอ้ บัญญัติ...อะไรนั่น มาจากไหนเหรอ”

ซึ่ง...ขอโน้ตไว้ตรงนี้เล็กน้อย นี่นับเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ในการ์ตูนนับว่าเป็นการปักเดธแฟล็กใส่ตัวเองชัดๆ (Note: เดธแฟล็ก (ธงตาย) เป็นการล้อเลียนถึงการกระทำของตัวละครที่แสดงออกชวนให้ผู้ชมคิดว่าต้องตายแน่ๆ เช่นสั่งเสียยืดยาวก่อนออกเดินทาง)

“ไม่เคยดูละครเรื่อง ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ เหรอ” แม่สาวข้างตัวผมเบิกตาด้วยความประหลาดใจ

“เอ๋ ไม่อะ” ...แต่ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นในทวิตเตอร์อยู่

จู่ๆ ดวงตาของคนข้างตัวของผมก็วาวโรจน์ จากนั้นก็หยิบเอาตั๊มไดรฟ์ออกมาจากกระเป๋า “สนใจมั้ย”

ตอนนั้นไม่รู้ผีห่าซาตานยมบาลท่านใดแม่งดลใจให้ผมพยักหน้า เดธแฟล็กสำแดงเดช หลุมบนพื้นเปิดออก ธรณีสูบผมลงไป จากนั้นก็กลบทับจนมิด แต่ก็ยังอุตส่าห์มีเมตตา ปักหลอดไว้ให้ผมได้หายใจอยู่หน่อย...เปรียบเทียบซะโอเวอร์ ความจริงก็คือผมอดหลับอดนอนดูไอ้ ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ จนตาแทบหลุดออกมา

เนื้อเรื่องของซีซันแรกมีอยู่ว่านางเอกของเรื่อง พบเข้ากับคำสาป ‘คู่รักแสนวิเศษ’ ซึ่งทุกครั้งที่นางเอกมีคนมาจีบ จะปรากฏตารางมรณะขนาดเก้าคูณเก้าช่อง แต่ละช่องจะมีเงื่อนไขแต่ละอย่างที่นำไปสู่การเป็น ‘ผู้ชายสุดเพอร์เฟ็กต์’ ซึ่งถ้าผู้ชายคนนั้นไม่สามารถทำให้ตารางเกิดบิงโกได้ ก็จะตายภายในหนึ่งเดือน

ด้วยความที่เนื้อหาในตารางมรณะนั้นค่อนข้างจะตรงกับพระเอกพิมพ์นิยมในหนังสือนิยาย เช่นหล่อมาก รวยมาก จำพวกนั้นพวกแฟนๆ เลยเรียกกันเป็น ‘บัญญัติแมส’

...และนี่ก็คือการคบ เอ๊ย พบกันครั้งแรกของผมกับนางสาวกุสุมาลย์ พนธารา ที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่าที่แท้แล้วมันเป็นเพื่อนของเพื่อนสนิทผม และยังเป็นพี่สาวของลูกน้อง แค่ก รุ่นน้องผมสมัยมัธยม

ถามว่าเรื่องทั้งหมดของผมเกี่ยวกับมันไหม ไม่เลยสักนิดเดียว นี่เป็นนิยายบีแอลนะ ไม่ใช่นิยายบีจี ถึงอยากจะเป็นบีจี แต่ผมก็สู้พลังพระเอกของแฟนไอ้กิ่งมันไม่ไหวหรอก ฮือออ (Note: BL = Boy’s Love นิยายชายรักชายหรือนิยายวาย BG = BoyxGirl นิยายชายหญิง)










CUT! CUT! CUT!

พี่เอื้อเคาะที่ตีเปรตรัวๆ พร้อมกับเสียงน้องเอกที่ขัดขึ้นมา

-เดี๋ยวๆๆๆ นะครับพี่เดือน ผมขอเบรกหน่อย นี่พี่เล่าไปถึงไหนแล้วครับเนี่ย-

“เดี๋ยวสิ จะเล่าเรื่องมันก็ต้องค่อยๆ ปูพื้นก่อน” ผมที่กำลังเล่าติดลมมองทั้งคู่ตาขวาง

“น้องเดือนครับ นี่ใจคอจะแนะนำเพื่อนร่วมรุ่นทีละคนเลยหรือไง”

“ไม่! ประเด็นของตอนนี้คือเรื่องที่ผมต้องเรียนซัมเมอร์ต่างหาก” ...ทำไมพี่ถึงไม่เข้าใจ

ว่าแล้วผมก็มองน้องคนสัมภาษณ์สลับกับคนข้างตัว ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ ใช่ซี่ (เสียงสูง) ไอ้สองคนนี้มันเด็กเรียนดีตัวท็อปของรุ่นนี่หว่า จะมาเข้าใจอะไรในความเจ็บช้ำของคนเรียนซัมเมอร์วะ นี่เคยต้องหอบใบถอนไปคุยกับอาจารย์บ้างหรือเปล่า ไม่เคยล่ะสิ

“งั้นก็เล่าไปสิว่าหลังสอบเสร็จวันสุดท้ายก็ต้องเรียนซัมเมอร์ต่อ”

“เอ้า ก็ตามที่ชมรมเราเคยวิเคราะห์กัน นิยายแมสๆ มันก็เหมือนไดอารี่ป่ะ เล่าเยอะๆ เป็นคุ้งเป็นแควไปเรื่อยๆ ตกลงพี่จะแมสหรือไม่แมส ต้องการอะไรกันแน่วะ”

“น้องเดือนครับ พี่มีงานมีการทำ มีเด็กต้องเลี้ยงดู...น้องนั่นแหละ อย่ามองพี่แบบนั้น” ...พี่เอื้อรีบหักเลี้ยว “ขอแบบเข้าประเด็น ไม่งั้นถ้าน้องเดือนจะเล่าขนาดนี้ น้องไม่เล่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีเลยล่ะครับ...ไปครับ กลับไปใหม่”
 
“ผมขอกลับบ้านแทนได้ไหม” ทำไมชีวิตมันต้องลำบากถึงเพียงนี้ ชาตินี้จะจบตอนที่หนึ่งไหม นี่ต้องเล่าติดลูปไปอีกนานแค่ไหน หรือจะเอาแบบตอนที่ ๑ ตอนที่ 1 ตอนที่ 一 ตอนที่ ก. ตอนที่ a...จนหมดเล่มแล้วไม่พ้นตอนแรกสักที

“แถมปลาคังลวกจิ้มให้ด้วยเอ้า”

“...หมึกไข่นึ่งมะนาวด้วย”

“ได้ ดีล”

ครับ...






1 (อีกที)

ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัต...ว้ากกกกกกกก



“พี่เอาที่ตีเปรตที่ผมทำไม!”

“กวนตีน! ไกลไปโว้ยยยย”

“เอ้า ก็บอกให้เล่าตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี ผมเลยว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาตั้งแต่พระเจ้าพรหมทัตเลยแล้วกัน”

“เฮ้ย กรุงศรีอยุธยานี่อย่างน้อยก็พุทธศักราชสองพันกว่า ไอ้กรุงพาราณสีอะไรนี่มันก่อนพุทธกาลไหมวะ ไกลไปแล้ว กลับมา ไม่งั้นปลาคังไม่ต้องกิน ช้อนปลาหางนกยูงหน้าบริษัทไปก่อน”

“เนื้อมันน้อย...”

แว่วเสียงน้องเอกพึมพำ...วันนี้จะได้เข้าเรื่องไหมวะกู

ผมทำตาละห้อยใส่พี่เอื้อ “คราวนี้ห้ามขัดนะ”

“...ไม่รับประกัน เล่ามาก่อน”

“ได้ เล่าปี่”

“เล่าปี่ เหล้าเก่า งั้นจงเล่าใหม่”

“...” ไอ้นี่นับเป็นมุกไหม ยังไง ตบไม่ถูกเลย เอ้า เอาเป็นว่าเล่าเรื่องต่อก็แล้วกัน ต่อไปของจริงแล้วครับ ขอเอาชื่อเจ้าคุณปู่ของพี่เอื้อเป็นเดิมพัน!





••TBC





นี่ลงให้แบบยาวๆ ชุดเดียว เกรงใจ คือคนอ่านในเดะดีนี่เจอติดลูปกันระงม

ตอนหน้าของจริงแล้วค่ะ 5555555+

เอาจริงๆ เราไม่เคยเรียนซัมเมอร์ แต่ช่วงซัมเมอร์ปีแรกเพื่อนที่ถอนไปก็หิ้วไปติวให้อะนะ คืออาจารย์เราก็แนะนำมาแบบนี้แหละว่าแทนที่จะอยู่เอา D มิสู้ถอนเรียนใหม่แล้วเอา A/B+ ดีกว่างี้อ้ะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ คือนี่มือใหม่หัดขับมากจริงๆ รู้สึกแปลกถิ่น 5555+  :mew1:

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
1 (อีกที - ของจริง)

อ่ะ เริ่มบทที่หนึ่งใหม่ก็ได้

กลับมาที่วันสอบวันสุดท้ายอีกครั้ง

สรุปคือปิดเทอมนี้ผมต้องมามหาวิทยาลัยเพื่อนเรียนซ่อมวิชาที่ผมถอนไป เลยนั่งซบโต๊ะอ่านหนังสือแบบหมดอาลัยตายอยาก ข้างๆ ผมเป็นไอ้กิ่งดาวคณะ...ครับ ไอ้ที่มันส่งหนังเถื่อนให้ผมเมื่อกี้นั่นแหละ ส่วนตรงข้ามกันคือนายภาธีเพื่อนยาก…ไอ้คนที่ผมเห็นหลังขาวๆ ของมันตอนจ้องกระดาษคำตอบขาวๆ ของตัวเองที่พูดถึงเมื่อกี้เช่นกัน
“เห็นตารางซัมเมอร์ยัง” ไอ้กิ่งถามด้วยเสียงยานคาง

“ยัง ไหน”

ไอ้กิ่งคลำๆ ข้างในกระเป๋าถือ ก่อนดึงเอากระดาษแถวหนึ่งส่งให้ผม “แจกหน้าตู้การศึกษาเมื่อเช้า”

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ไอ้ที่เรียกตู้การศึกษาจริงๆ คือส่วนที่ต่อเพิ่มเป็นห้องเล็กๆ ติดกระจกหน้าต่างให้ไถไปไถมา ข้างในมีพี่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาที่เอาไว้ติดต่อทุกสิ่งตั้งแต่ลาบวชยันลาออก

ผมกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว วิชาที่ผมลงซัมเมอร์ในอาทิตย์หนึ่งมีเรียนสองวัน วันหนึ่งเป็นช่วงเช้า อีกวันหนึ่งเป็นช่วงบ่าย ผมเห็นแล้วอดโอดครวญไม่ได้ “โฮกกก เรียนเช้าด้วยเหรอ”

“ใช่ไหม ปิดเทอมใครมันอยากจะตื่นเช้ากัน”

เห็นแล้วผมกับไอ้กิ่งก็กรีดร้องโหยหวนพร้อมกัน “ฮือออ ทำไมตูข้าต้องเรียนซัมเมอร์ด้วยเนี่ยยย รู้งี้ไม่น่าถอนเลย”

“ไม่ถอนพวกแกก็ตก...ต้องเรียนอยู่ดี” ภาธีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ทำให้ผมกับไอ้กิ่งพร้อมใจกันกุมอกแล้วกระอักเลือด (ในจินตนาการ) ออกมา

“แล้วนี่วิชาอื่นเป็นยังไงบ้าง”

“...” ผมกะพริบตา ก่อนจะโปรยยิ้มน้อยๆ แบบที่สมัยเด็กๆ ป้าข้างบ้านผมชอบชมว่าเหมือนรอยยิ้มตัวสล็อธ

“...” คุณได้รับ ‘สายตาหยามหยัน’ จากสหายภาธี 1 ea

“ไม่ใช่ความผิดฉันสักหน่อย ข้อสอบมันยากไปต่างหากล่ะ” ...ธรณีนี่นี้เป็นพยานเลยเอ้า!

“...” ...ภาธียังคงมองด้วยสายตาหยามหยัน

“ยากไม่ยากอย่างน้อยฉันก็จำความรู้สึกอันว่างเปล่าประดุจกระดาษคำตอบได้ผ่านการใช้ผงซักฟอกขัดจนขาว... ขาวสนิท ไม่มีรอยดินสอปากกาเลยแม้แต่นิดเดียวได้”

ไอ้กิ่งพร่ำพรรณนาพร้อมยกมือทำท่ากุมอก (คัพดี) ของมัน

ผมเลียนแบบมัน ทำท่ากุมอก (คัพเอ...เอ๊ย ไม่ใช่ แค่กๆๆ) แล้วต่อบท “ใช่ ขาว...ขาวจนอันที่จริงเขียนชื่อลงไปบนกระดาษคำตอบหรือเปล่าก็ชักจะจำไม่ได้แล้ว ตายหอง ไม่ใช่ว่ากระทั่งชื่อก็ลืมเขียนหรอกนะ โฮกกกก”

“เดี๋ยวก่อน...วิชาที่เปิดซัมเมอร์มีแต่วิชาในเทอมหนึ่งนี่หว่า” ไอ้กิ่งที่ก้มดูใบตารางสอนทำท่าเหมือนเพิ่งรู้แจ้ง

“ถูกต้อง คะแนนเทอมสองยังไม่ออก ถ้าตกก็เตรียมไปเรียนใหม่กับรุ่นน้องปีหน้าได้เลย” ภาธีเอ่ยเนิบๆ “ไปดีมาดีนะ”

พวกผมสองคนเลยประสานเสียงกรีดร้องโหยหวนหนักกว่าเดิม “...หยุดตอกย้ำได้แล้วววว”

“เอาว่า...เรียนซัมเมอร์ให้สนุกล่ะ จะปิดเทอมเผื่อ” ภาธีเอ่ยด้วยเสียงเย็นๆ คณะผมไม่เหมือนกับคณะอื่นที่มีพวกวิชาเลือกให้ลงระหว่างปิดเทอมเพื่อเร่งให้จบสามปีครึ่งได้แบบบางคณะ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องเรียนซัมเมอร์จึงวางแผนท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน

พอมองออกไปเห็นคนเหล่านั้นแล้วก็ยิ่งห่อเหี่ยวกว่าเดิม ฝ่ายไอ้กิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ผงกหัวขึ้น สายตากวาดไปมาแบบล่อกแล่กประหนึ่งจะส่งของโจร พอได้จังหวะที่ภาธีหันไปคุยกับเพื่อนที่เดินผ่านมา มันก็รีบเอาตั๊มบ์ไดรฟ์มรณะบรรจุซีรีส์ใหม่ยัดใส่ฝ่ามือผม เราสองคนสบตากัน แม้ไม่ได้ออกเสียง แต่สายตาของเราทั้งคู่ต่างสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน

ผม: นี่เราเรียนซัมเมอร์กันเพราะเอาแต่ดูละครแบบมาราธอนไม่ยอมอ่านหนังสือ ยังไม่เข็ดอีกเหรอวะ

ไอ้กิ่ง: คนเรามันต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง เรื่องนี้ต้องดู พระเอกเว้ย...พี่ฮาเดสเด็ดมาก! อย่างล่ำอ่ะมึงขา! ผัวค่ะ! บอกเลย คนนี้คือผัว!

ผม: ได้! ดู! ช่างหัวเรียนซัมเมอร์

ไอ้กิ่ง: นี่สิวะเพื่อนกันไม่ทิ้งกัน!

ภาธี: ไอ้พวกกระทั่งนอนในโลงศพก็ยังไม่หลั่งน้ำตาเอ๊ย


“ว้ากกกกกกกกก” ผมกับไอ้กิ่งผงะไปด้านหลังเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นสายตาของไอ้ภาธี ฮือออออ ขนาดใช้สายตาคุยกัน ไอ้หมอนี่ยังดักกลางทางได้ ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย

จริงๆ แล้วผมก็คิดอยู่หน่อยๆ ว่ามันไม่ใช่คน แม่ง ทำได้เกือบเต็มทุกวิชา นี่ที่ชาร์จแบตเสียบตรงไหนวะถามจริง

อันที่จริงทุกวันนี้ผมยังงงๆ อยู่เลยว่าผมกับภาธีมาเป็นเพื่อนกันได้ยังไง คือแรกเริ่มเดิมทีมันเริ่มมาจากการที่ผมมีปัญหากับเพื่อนในกลุ่มเก่าก็เลยต้องหาคนทำโปรเจ็กต์ด้วย แล้วก็ทำอีท่าไหนไม่รู้ มาจับคู่กับเจ้าพ่อภาธีที่คนอื่นไม่กล้าคู่ด้วย ตอนแรกผมก็งงๆ ว่าทำไมถึงไม่มีใครยอมคู่กับภาธีที่เรียนเก่งขนาดนี้ จนกระทั่งทำงานด้วยกันถึงได้รู้ว่าพอทำงานคู่กับภาธีแล้วจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝุ่นผง เป็นเห็บรา เป็นแค่กาฝากของมัน ซึ่งตอนแรกผมเองก็ไม่สบายใจ แต่ด้วยนิสัยผมก็เลยโพล่งออกไปตรงๆ ผลคือภาธีมองหน้า เลิกคิ้ว แล้วก็ด่ากลับ

“บ้าเหรอ ถ้าไม่พอใจหรืออยากให้ช่วยก็จะบอกเองนั่นแหละ คิดเองเออเองกลุ้มเองทำไม นายก็ช่วยตั้งหลายอย่าง ถึงจะเขียนโค้ดไม่ได้เรื่อง เขียนรายงานไม่เอาไหนก็เถอะ แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ คนเราใช่ว่าเก่งไปซะทุกอย่าง”

ภาธีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมฟังแล้วซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง...แม้จะรู้สึกว่ามันมีแอบด่าเบาๆ ก็ตาม แต่ก็เอาเป็นว่าหลังจากนั้นมิตรภาพของเราสองก็ผลิบานมาจนถึงทุกวันนี้...




CUT...

คราวนี้ไม่มีเสียงตีสเลต แต่มีเสียงร้องแผ่วเบาของน้องเอกที่เบาหวิวยิงกว่าเสียงยุงงุ้งงิ้งข้างหู

-พะ พี่เดือนครับ-

“อะไรอีกวะน้อง” ผมนิ่วหน้า กำลังเล่าเพลินๆ ขัดกันอีกแล้ว คราวนี้อะไรอีกวะ

ครั้นเงยหน้ามองน้องเอก ก็เห็นอีกฝ่ายพยายามขยิบตาให้อย่างสุดกำลังจนนึกว่าเป็นโรคอะไรบางอย่าง หลังเห็นสีหน้างงงวยของผม น้องเอ่ยก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

-พะ...พี่เดือน...หันไปมองคนข้างๆ หน่อยก็ดีนะครับ-

“หา...อะ...ไร...” ผมนิ่วหน้าก่อนจะหันกลับไปมองแบบที่ไอ้น้องเอกบอก พอหันกลับไปก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของคนข้างตัว “พะ พี่เอื้อ...”

“น้องเดือนครับ”

“คะ...ครับ”

“ตกลงพระเอกเรื่องนี้ชื่ออะไรนะครับ”

ผมที่รู้สึกได้ถึงความเย็นแล่นไปตามไขสันหลังกลืนน้ำลายดังเอื้อก “อะ...เอื้อการย์ครับ”

“ถูกต้องครับ แล้วน้องเดือนของพี่เอื้อการย์จะเล่าถึงเพื่อนชื่อภาธีอีกนานไหมครับ”

“อีกแป๊บเดียวครับ เดือนสัญญา” ผมทำท่ากระพือขนตาแล้วส่งยิ้มแบบตัวสล็อธออกไปอย่างเต็มที่

“...อืม”

ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องตอนนี้น่าจะลดลงถึงติดลบแล้ว หนาวเยือกเป็นอย่างยิ่ง “น้องเอก ลดแอร์ให้พี่หน่อยได้ไหม”

-ดะ ได้ครับพี่-

“ขอบคุณมากครับน้อง” ผมหยิบน้ำที่วางไว้มาดื่มอั๊กๆ ก่อนจะเลียริมฝีปาก

อะแฮ่ม...คือว่า...


ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
1 (อีกสักที)

The third time is the charm…

สามครั้งให้โชค เฮ้ย นี่ต้องการอะไรกันแน่ ตอนที่หนึ่งเลขอารบิกมาสามรอบแล้วนะเว้ย อะ เอาเป็นว่ากรอเทปไป ตอนนั้นผมสอบเสร็จวันสุดท้าย คร่ำครวญเรื่องเรียนซัมเมอร์
ผมตัดสินใจเก็บชีตลงถุงแล้วลุกขึ้นเพื่อกลับบ้านกลับช่องไปกินน้ำอัดลมเย็นๆ ย้อมใจ ไหนๆ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นก็กลับบ้านไปเก็บของเตรียมไปเที่ยวทะเลกันหมดแล้ว ไอ้กิ่งที่บ้านอยู่คนละทิศแยกไปทางหลังม. ส่วนผมและภาธีเดินกันไปที่ประตูหน้า ระหว่างทางเจอรุ่นพี่ปีสี่ที่ทำหน้ามึนเพราะโปรเจ็กต์จบทำพิษอยู่สองสามกลุ่มใหญ่ แล้วก็พวกรุ่นพี่ปีสามที่มาประชุมสโมฯ กัน

...ดูท่าชีวิตสดใสลั้ลลารับปิดเทอมเห็นจะมีแต่เด็กปีหนึ่งขึ้นปีสองแบบพวกผม (แต่ยกเว้นผม) นี่แหละนะ

“แล้วนี่แกจะไปไหนต่อ เที่ยวกับพัด?” ผมถามถึงแฟนสาวของเจ้าตัว ครับ ภาธีมีแฟนแล้วครับท่านผู้ชมทั้งหลาย แฟนผู้หญิงด้วย เพราะฉะนั้นคุณผู้ชายที่นั่งข้างผม เลิกส่งสายตาอาฆาตมาได้แล้ว

“เปล่า เลิกกันตั้งแต่เดือนกุมภาแล้ว” ภาธีตอบเสียงเนิบๆ

“หา! นี่คนที่เท่าไหร่ของปีนี้แล้ววะเนี่ย” รู้จักกับไอ้หมอนี่มาจะหนึ่งปี มันเปลี่ยนแฟนไปประมาณห้าร้อยล้านคนเห็นจะได้ ถึงประชากรประเทศไทยมีไม่ถึงเจ็ดสิบล้านดีเลยก็ตามที และถึงชื่อเสียงหรือชื่อเสียก็ตามของไอ้หมอนี่จะขจรขจายไปแค่ไหน ก็ยังมีสาวๆ มาให้มันขอคบเป็นแฟนได้เรื่อยๆ อยู่ดี

“คราวนี้เลิกกันเพราะอะไรอีกล่ะ” ...คือปกติเราไม่ควรละลาบละล้วง แต่กรณีของคุณภาธี สาเหตุของแฟนเก่ามันแต่ละคนคือมหัศจรรย์บันเทิงมาก เรียกว่าเอาไปเขียนนิยายได้อีกเล่มหนึ่งเลย

“เขาฝันว่าฉันนอกใจ” ไอ้ธีตอบเสียงเรียบ ส่วนผมฟังแล้วเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง

“ยะ ยังไงนะ...แฟนแกคิดว่าตัวเองเป็นเทพธิดาพยากรณ์หรือยังไงวะ” ทำนายฝันได้งี้

ภาธียักไหล่ “ไม่รู้ รู้แค่เขาโทรมาร้องห่มร้องไห้อยู่สองชั่วโมงเต็มๆ พอบอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยกัน เรื่องมันก็เลยยาวน่ะ”

“...”

ภาธีเลิกคิ้วใส่ผม “ไม่งั้นจะให้ฉันขอโทษเพราะฉันในฝันทิ้งเขาเหรอ”

“...” อืม มันก็พูดยาก

ถ้านับจากประวัติของภาธีที่ผ่านมา จะโทษว่าเป็นความผิดของเจ้าตัวเลยก็ไม่ถูก ในเมื่อส่วนใหญ่สาวเจ้าเป็นคนมาขอคบเอง จากนั้นก็จะกรีดร้องโวยวายบอกเลิกไปเองด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า สุดจะสาธยาย มีตั้งแต่ไอ้ธีไม่ยอมไปดูหนังเป็นเพื่อน ยันไม้จิ้มฟันที่ร้านซึ่งไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันมันหมด แล้วภาธีมันหามาให้ไม่ได้เดี๋ยวนั้น (เออ มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ)

ซึ่งสาวๆ แต่ละคนของไอ้ภาธีนี่ดีกรีสาวสวยผู้รุมจีบกันแบบหัวกระไดยันปุ่มลิฟต์ไม่มีแห้ง ทำเอาผมซาบซึ้งใจเลยว่าคนอยากจะฮอต แม่งทำอะไรต้องเล่นใหญ่เข้าไว้ น้อยๆ โลกไม่จำ และทุกคนมีแพตเทิร์นเดียวกันคือชอบเข้าใจอีกฝ่ายผิดแบบข้างๆ คูๆ ไม่ค่อยจะรอฟังคำอธิบาย แต่รอให้เขามาง้อทำอะไรหวานๆ จ๊ะจ๋าให้

...ซึ่งทั้งหมดใช้กับภาธีไม่ได้

กรณีศึกษาที่ผมประทับใจที่สุดคือการเลิกกันด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ภาธีสวยกว่า’ แม่สาวเจ้าร้องห่มร้องไห้โวยวายกลางโรงอาหารเสียงดังว่าเธอจะไม่ทนคบกับผู้ชายที่สวยกว่าเธออีกต่อไป เล่นเอาเพื่อนผมที่กินข้าวต้มอยู่... ก็กินข้าวต้มต่อไปเงียบๆ แบบไม่สะทกสะท้าน

ส่วนผมที่นั่งกินข้าวต้มอยู่ห่างๆ กับเพื่อนอีกกลุ่มแทบพ่นข้าวต้มออกจากปาก

เมื่อสาวเจ้าร้องไห้โวยวายจนเป็นที่พออกพอใจแล้ว ภาธีซึ่งกินข้าวต้มเสร็จก็ค่อยๆ เงยหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเนิบๆ “กินน้ำไหม”

จังหวะที่เงยหน้าขึ้นมานั้นบังเอิญให้มีลมวูบหนึ่งพัดเอาเส้นผมของภาธีให้ปลิวไปด้านหลัง ผมของเพื่อนผมคนนี้เป็นอะไรที่สวยจริงๆ นะ ชนิดที่ถ้ามันไม่ได้เป็นผู้ชายล่ะก็คงมีคนชวนไปเป็นพรีเซนเตอร์ครีมนวดผมแหงๆ สายลมพัดเอาแพขนตายาวให้กระพือน้อยๆ ดวงตาดำขลับเหมือนลูกแก้วที่มักจะปรอยปรือค่อยๆ เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

แม่สาวนั่นก็เลยร้องไห้หนักกว่าเดิมแล้วหนีไปเลย ทุกวันนี้ก็ยังเป็นประเด็นให้สงสัยว่าเจ้าหล่อนหนีไปเพราะทนไม่ได้ที่เห็นไอ้ธีมันซัดข้าวต้มหน้าตาเฉยแบบไม่สะทกสะท้าน หรือเพราะภาพที่มันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาถามว่าจะกินน้ำไหมดูดีเสียจนเธอรู้สึกว่าสวยสู้มันไม่ได้

...แต่มันสวยจริงๆ นะ ผมยังเคลิ้มไปตั้งหลายวินาที ฮืออออ

โอ๊ยยยย พอ อย่ามองผมแบบนั้น สามรอบก็พอแล้ว ขออย่ามีรอบที่สี่เลย ผมจะข้ามเรื่องของภาธีไปเดี๋ยวนี้แหละ ฮือ ใครใช้ให้ผมมันเพื่อนน้อย มีเพื่อนแค่นี้ ก็เล่าได้แค่นี้สิ

ก็เอาเป็นว่า หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานอันสะเทือนขวัญกันไปว่าอย่าริอ่านสวยกว่าแฟนสาวเป็นอันขาด ฮึ่ม ตรงนี้แหละนะที่ผมกับไอ้กิ่งสุมหัวคุยกันว่าไอ้ธีแม่งทำตัวไม่แมส และอาจจะเพราะความไม่แมสของมันแบบนี้ ทำให้มีแฟนมากี่รายๆ ล้วนทิ้งมันไปหมด ซึ่ง...ไม่เกี่ยวอะไรกับเดือนเลยจ้า ไม่เกี่ยวสักนิดเดียวววว เดี๋ยวภาธีจะไปแล้ว ใจเย็นๆ

พอถึงทางแยก ไอ้ธีขอตัวไปที่จอดรถ ส่วนผมก็เดินไปทางหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อขึ้นรถเมล์ แน่นอนว่าเพื่อนสนิทผมคนนี้ไม่ได้ใจร้ายขนาดไม่ยอมขับไปส่งหรอก แต่แถวซอยบ้านผมมีอดีตแฟนไอ้ธีอยู่ และทุกครั้งที่มันขับรถผ่าน คุณเธอก็จะสรรหาวิธีกลั่นแกล้งสารพัด

แน่นอนว่าภาธีก็คือภาธี แกล้งมันก็เหมือนเอามือตบกำแพง นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วยังเจ็บมือเปล่าๆ

การกลั่นแกล้งดำเนินไปจนสุดท้ายผมเป็นฝ่ายทนไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกลับบ้านเองหลังจากเจอปรากฏการณ์แมลง *ปิ๊บ* ถูกโปรยใส่รถของไอ้ภาธี...ทุกวันนี้ยังจำภาพพวกมันปีนป่ายรอบรถได้อยู่เลย อี๋ ฮือออ พอแล้ว พูดแล้วขนลุก

“ไม่ต้องให้ไปส่งแน่นะ”

“ไม่เป็นไรๆ” ผมโบกไม้โบกมือ “ไม่อยากได้แผลใจเพิ่มจากอดีตแฟนที่แสนน่ากลัวของแกหรอกหนา ห่าเอ๊ย บางคืนยังฝันถึงอยู่เลยเนี่ย”

“ไปล่ะ เจอกันเปิดเทอม อย่าสอบตกรอบสองล่ะ” ไอ้ธีโบกมืออำลา

“รอบแรกไม่เรียกว่าตกโว้ย เรียกว่าถอนตัวออกมาต่างหาก...เหมือนแกก็รู้ว่าเวลาความรักไปด้วยกันไม่ได้ เราก็ต้องถอนตัวออกมา ไม่เคยดูละครเหรอวะ แบบพระรองต้องดันทุรังถึงจุดหนึ่งและยอมถอนตัวไปอย่างสงบ ถ้าไม่สงบ นั่นเรียกว่าผู้ร้าย” ...ว่าแต่ตูเป็นพระรองแสนดีกับตัวร้ายแบบข้อสอบทำไมวะ

“...” ภาธีได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะเดินจากไป

เอาล่ะ ภาธีไปแล้วครับ ไปแล้วจริงๆ ครับ ต่อไปจะเปิดตัวพระเอกแล้วจริงๆ ครับ ใจเย็นๆ เดือนไม่นอกเรื่องแล้วครับ

ในตอนที่ผมเดินผ่านบริเวณที่ถูกจัดเป็นสวนหย่อมตรงข้ามแผงขายอาหารฟาสต์ฟู้ด ผมก็หยุดเพื่อซื้อเบคอนพันไส้กรอกกิน จังหวะที่ควักเอาเงินขึ้นมาจ่าย ลมเจ้ากรรมก็ดันพัดเอาสมุดสะสมแสตมป์ของร้านสะดวกซื้อที่เสียบอยู่ในกระเป๋าตังค์ผมให้ปลิวหวือไป

“ว้ากกกกก แสตมป์ของตู $#@%$%”

ลมนั่นพัดเอาสมุดสะสมแสตมป์ผมตีลังกาสิบห้าตลบไปตกอยู่ในดงไม้หลังศาลาที่มีไว้สำหรับนั่งพักผ่อนชมสระที่เต็มไปด้วยตะไคร่เขียวอี๋ ผมกระโดดตะปบมันไว้แบบไม่กลัวตาย แฮ่ก กะ เกือบตายเหมือนกันแฮะ

พอยืดตัวขึ้น ผมก็รีบยัดสมุดสะสมลงในกระเป๋าสตางค์ทันทีเพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันตามกฎของเมอร์ฟี่พาเอามันร่วงลงน้ำไป แต่ผมประมาทกฎของอีตาเมอร์ฟี่มากเกินไป เพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากไหนไม่รู้ พอกำลังจะหันหลังกลับ ผมก็ถูกชนโดยผู้หญิงคนหนึ่งเข้าอย่างจังจนทั้งกระเป๋าและตัวเองเกือบลงคลองข้างๆ “โอ๊ย!” (Note: กฎของเมอร์ฟี่ กล่าวว่า ทุกสิ่งที่สามารถเกิดความผิดพลาดได้ จะเกิดความผิดพลาด เช่นเราทำขนมปังทาเนยตก หน้าที่ทาเนยมักจะลงพื้น)

ตอนแรกผมค่อนข้างโมโหผสมตกใจ ที่ทางก็ออกจะกว้าง ตัวผมก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้น...ไม่ อย่าเอาไปเทียบกับพี่หรือน้องเอกกล้ามสิวะ แค่ก ขอโทษที่พาดพุง เอ๊ย พาดพิง อะ นั่นแหละ เอาว่าถนนออกกว้าง ผมก็ไม่ได้เดินกร่างเป็นอันธพาลขวางถนนแล้วยังจะโดนชนอีก แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมองผม ไอ้ความโกรธตะกี้ก็ละลายหายไปหมด ผมมองเห็นใบหน้ารูปไข่ไร้เครื่องประดับ ดวงตากลมโตคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำตา เสียงสั่นๆ เอ่ยขอโทษผม ก่อนที่เธอจะวิ่งหนีไป

ผมมองตามไปด้วยความตื่นตะลึง ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันสาวงามชัดๆ กระทั่งผมที่ไม่ได้มีรสนิยมทางนั้นยังอดเคลิ้มตามไม่ได้ ด้วยความเมาก็เลยทำเอาก้าวเท้าไปข้างหน้าแบบสะเปะสะปะ ในตอนนั้นเอง ผมก็พบว่าตัวเองเผลอเหยียบอะไรหยุ่นๆ นุ่มๆ ...อื๋อ?

“เฮ้ย!”

หือ? ผมแปลกใจที่ได้ยินเสียงอุทานเหมือนดังมาจากใกล้ๆ ตัว แต่มองไปแล้วก็ไม่เห็นใครทั้งนั้น ผมขยับเท้าเตรียมเดินต่อ

“...นาย”

…เอ๋ ผมชะงัก พอมองซ้ายมองขวาก็ไม่ยักเห็นต้นเสียง

“ข้างล่างโว้ย ข้างล่าง!”

หือ... ขะ ข้างล่างยังไงนะ

“เชี่ยนี่! หูมีปัญหาหรือเปล่า ข้างล่างโว้ย ก้มหน้าลงมาเดี๋ยวนี้”

เสียงตะคอกประหนึ่งครูฝึกรด. ทำเอาผมก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ ปฏิบัติ! และในตอนนั้นเอง ผมก็เห็นตุ๊กตากบหนึ่งที่กำลังโบกมือหยอยๆ

“...” ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้แดดเปรี้ยงเกินไป เป็นลมแดดหรือเปล่านะ หรือทำข้อสอบมากเกินจนสมองกูพังไปแล้ววะ

“เงยหน้าทำไมอีก ก้มลงมา” ตุ๊กตากบรด. สั่งอีกรอบ คราวนี้ผมก้มลงมองมันให้เต็มๆ ตา

...เชี่ย แม่งตุ๊กตากบพูดได้อ่ะ

ตุ๊กตากบตัวดังกล่าวสูงประมาณเข่าผม ขนเป็นขนแบบผ้าสั้นๆ เกรียนๆ สีเขียวอ่อนๆ ตาโตๆ หัวกลมๆ ผิดสัดส่วนเล็กน้อย แขนขาลีบเล็กจนไม่รู้ว่าทรงตัวยืนได้อย่างไร

“นายไม่ใช่มนุษย์ยักษ์?”

ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะส่ายหัว ระหว่างนั้นก็หยิกตัวเองไปด้วย เชี่ย เจ็บ ไม่ได้ฝันไปจริงๆ

“มีกระจกไหม”

“ผมจะพกกระจกทำไม”

“ไว้ส่อง”

“เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องกรู๊ววว”

“...เชี่ย ซวยเจอคนสติไม่ดีเข้าไปอีก”

“...” หมายถึงตูเรอะ “นายจะเอากระจกไปทำไม”

“ส่องน่ะสิว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปใกล้อีกฝ่าย จากนั้นก็อุ้มขึ้นมา น้ำหนักของตุ๊กตาเบาโหวง นุ่มนิ่มจนนึกอยากขยำเล่น ทว่าเสียงกระแอมไอชวนข่มขู่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดและเดินเข้าไปใกล้กับบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยตะไคร่

ถึงจะออกเขียวๆ ไปหน่อย แต่ผิวน้ำก็ยังมีคุณสมบัติพอที่จะสะท้อนให้เห็นเงา และวินาทีที่เห็นเงาของตัวเอง...ตุ๊กตากบก็ร้องเสียงหลง “เชี่ยยยยยย...ตุ๊กตากบงั้นเหรออออ”

และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับเจ้าชายกบ จบตอนได้หรือยังครับ


••TBC

จบได้แล้วจ้ะ (ฮา)

นี่จริงๆ กฎของเมอร์ฟี่ย์ ที่บ้านเราเขาใช้กันเวลารถติดแล้วเปลี่ยนเลน ย้ายไปเลนไหน เลนนั้นจะติด 555555+ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดข้นได้ จะเกิดขึ้นจริงๆ นะ lol



ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ somuch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ชอบค่ะ ชอบพี่เอื้อ ><

อ่านทีไรอยากเรียก พี่เอื้ออออออออออ //เสียงแบบโหยหวน

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
TAKE A BREAK (1)


“โฮๆๆๆ จบตอนที่หนึ่งสักที เล่าตั้งไม่รู้กี่รอบ” ผมยกน้ำขึ้นมาดื่มอั้กๆ ด้วยความเหนื่อย

-เกือบได้อีกรอบแล้วนะครับ-
“พอแล้วครับน้อง เลิกย่ำพี่ได้แล้ว”

“หึ”

...นี่ก็พอแล้ว เลิกมองด้วยสายตาทิ่มแทงได้แล้ว

“พอมาเล่าย้อนแบบนี้แล้ว รู้สึกว่ามันพิลึกๆ ชอบกล นี่เรียกว่าแมสมั้ยวะพี่ แบบว่า ‘พบกับพระเอกภายใต้สถานการณ์ไม่คาดฝัน’ อะไรแบบนี้”

“...ได้มั้ง”

-เอ้อ เดี๋ยวนะครับ ที่ล้อๆ กันเป็นกบคือตุ๊กตากบ?-

“ใช่...แต่เออว่ะ ถ้าพี่โดนสาปเป็นกบจริงจะเป็นยังไงวะเนี่ย”

“คงน่าเกลียดพิลึก...อาจจะโดนนายทับไส้ไหลตายไปตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วก็ได้”

“โหย ถ้าพี่เป็นกบจริงผมก็ไม่ขึ้นเตียงด้วยแล้ว บ้าเรอะ”

“ก่อนนั้นอีก จำไม่ได้เหรอ เพิ่งพูดไปเมื่อกี้ เจอกันครั้งแรกนายเหยียบฉันนะ”

“เอ๋ เออ จริงด้วย แต่เป็นกบจริงน่าจะได้ยินเสียงแพร่ดแล้วผมก็เดินจากไปตามปกติก็ได้นะ”

น้องเอกที่เห็นพวกผมเริ่มพาออกทะเลอีกรอบรีบตรงเข้ามาสกัด สีหน้าท่าทางบอกชัดว่าอยากเล่าอะไรก็แล้วแต่พวกพี่มึงเลย แค่ช่วยเล่าต่อทีเถอะ

-แล้วกลายเป็นตุ๊กตากบได้ยังไงครับ-

“เรื่องนั้น...โปรดติดตามชมตอนต่อไปไปไป...” ผมทำเสียงเอคโค่

••ตอนที่สองจะเล่าอีกกี่รอบน้อ••

ไอ้น้องรหัสผมที่นั่งเงียบอยู่นานท่าจะเหงาปากเอ่ยแทรกขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะหงายหลังไปเพราะเจอผมขว้างที่ตีเปรตใส่ พอตั้งหลักได้ก็ลุกขึ้นมาโวยวายใส่ผม ส่วนน้องเอกผู้เริ่มบรรลุในธรรมทำเป็นไม่สนใจเสียงนกเสียงกา มุ่งหน้ารันการสัมภาษณ์ครั้งนี้ต่อไป

-ตกลงเป็นตอนที่สองนะครับ-

คำถามนี้ทำเอาผมหันไปมองพี่เอื้อด้วยท่าทางหวาดระแวง ไม่ใช่ว่าจะให้เล่าใหม่อีกหรอกนะ

ฝ่ายพี่เอื้อที่กอดอกอยู่ก็ปรายตามองผมเล็กน้อยด้วยท่าทางแบบเจ้าพ่อหนังมาเฟีย...ก่อนจะพยักหน้ารับ ผมเลยลุกขึ้นชูสองมือร้องไชโย! ไชโย! ไชโย! หลุดพ้นจากตอนที่หนึ่งแล้วโว้ย

••TBC



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
2



หลังจากผมหายตะลึงที่เจอตุ๊กตากบพูด ส่วนตุ๊กตากบก็หายตะลึงที่ตัวเองเป็นตุ๊กตากบได้แล้ว ผมก็นั่งยองๆ มองเจ้าตุ๊กตากบตัวเขียวพุงขาว ระหว่างนั้นก็แอบหยิกตัวเองไปด้วย...นี่กูฝันไปหรือเปล่าวะเนี่ย

“นะ นาย...นายไม่ใช่กบจะมายึดครองโลกใช่ป่ะ” ผมถามเพื่อความชัวร์

“กบจะยึดครองโลกไปทำไม”

“ไม่เคยอ่านเคโระโระเรอะ” (Note: เคโระโระ ตัวละครกบสีเขียวจากการ์ตูนเรื่อง Keroro Gunso ซึ่งเป็นกบต่างดาวที่หมายจะมายึดครองโลกมนุษย์)

“...ไม่อ่ะ”

“...ขอโทษด้วย ตกลงนายมีความเป็นมายังไงนะ”

พูดไปพูดมา ในที่สุดก็เข้าเรื่องเสียที ให้ผมสรุปสถานการณ์ ก็คงต้องยกประโยคนี้

“มีใครก็ไม่รู้สาปฉัน”

คือเนี่ย ประโยคเดียวสั้นง่ายได้ใจความที่สุด เรียกว่าเป็นพล็อตหลักของเรื่องนี้ก็ว่าได้ อะไรนะ ไม่ต้องมีพล็อตหลักก็ได้ ครับ พระเอกท่านว่ามาแบบนี้ก็ตามนั้น

“สาป...นาย?”

“ใช่”

“...” ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรแปลกใจอะไรกับโลกนี้ไปมากกว่านี้แล้วไหม คือแค่ตุ๊กตากบพูดได้แม่งก็แหกทุกสามัญสำนึกมากพออยู่แล้ว โดนสาปแล้วไง

“ระหว่างฉันกำลังเดินๆ อยู่ จู่ๆ ก็ขยับตัวไม่ได้ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมากจากทางด้านหลัง” น้ำเสียงของเขากดต่ำลง อื้อหือ ฟังดูน่ากลัวแฮะ ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความอินจัด
“แล้วหลังจากนั้นนะ...”

เอื้อก...

“ฉันก็กลายเป็นตุ๊กตากบแบบที่เห็น”

“...อ้อ”

“ตอนที่กลายร่างเป็นตุ๊กตากบ หน้าฉันก็ทิ่มลงกับพื้นพอดี เลยไม่ทันเห็นหน้า ได้ยินแต่เสียงยัยนั่นพูดว่า ‘คนใจร้าย เป็นกบไปซะเถอะ’ อะไรทำนองนั้นน่ะ แถมเสียงยังคุ้นๆ อีกต่างหาก” ตุ๊กตากบทำเสียงครุ่นคิด ว่าไปแล้วผมจับท่าทางของเขาได้จากน้ำเสียงล้วนๆ

“แล้วเสียงนี่ก็ผลจากคำสาปด้วยหรือเปล่า” ...มาซะหล่อเชียว เรียกว่าถ้าหลับตาฟังแต่เสียง ต้องคิดว่าเป็นหนุ่มหล่อโคตรๆ แหงๆ

“บ้าเรอะ นี่เสียงจริง”

“อ้อ” ผมพยักหน้าหงึกหงักขณะครุ่นคิดตาม “เดี๋ยวก่อนนะ งั้นสาวน้อยน่ารักคนที่ชนฉันเมื่อกี้ก็...”

“อะไรนะ”  ตุ๊กตากบทำเสียงตื่นเต้นก่อนจะเข้ามาประชิดตัวผม ใจเย็นๆ ครับพี่น้อง ผมรีบยกมือท่าเดือนห้ามญาติ ก่อนจะค่อยๆ เล่าให้เขาฟัง

“เมื่อกี้ตอนที่เดินมาที่นี่ มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งสวนออกมาจากตรงแถวๆ นี้แหละ” ผมทำนิ้ววนเป็นวงกลมรอบตัว

“นายจำหน้าตาผู้หญิงคนนั้นได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาดูมีความหวัง แต่ผมส่ายหัว

“ชนแล้วก็วิ่งหายไปเลย มองแทบไม่ทันด้วยซ้ำ”

“ถ้าได้เห็นอีกที นายจะจำได้หรือเปล่า”

ผมพยายามนึก สิ่งเดียวที่ตอนนี้ผมจำได้คือตาแดงช้ำที่เต็มไปด้วยน้ำตา นับตั้งแต่เกิดจนโตมาถึงตอนนี้ แม้จะไม่ถึงขนาดเรียกตัวเองเป็นผู้อาวุโสได้ (แหงล่ะ) แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นดวงตาของใครที่เหมือนกับดวงตาคู่นั้น...ต้องใช้คำว่าอะไรดี ‘สวยซึ้ง’…เอ้อ ประมาณนั้นแหละ “คงได้ล่ะมั้ง...”

...ฝ่ายตรงข้ามเงียบไป ก่อนจะโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง “ดูจากป้ายที่แขวนคออยู่ นายน่าจะเป็นเด็กคณะเดียวกับฉันใช่ไหม...” ว่าแล้วเขาก็พูดชื่อคณะที่ผมเรียนอยู่ออกมา
 
“...เท่าที่จำได้ฉันไม่เคยเรียนคณะเดียวกับตุ๊กตากบนะ”

“...” ผมรู้สึกไปเองว่าถ้าตุ๊กตาตรงหน้าผมมันกลอกตาได้ มันคงทำแล้ว “ดูจากสีจากสายป้ายห้อยคอ ปีหนึ่งขึ้นปีสองล่ะสิ”

“...” ผมพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ

“นายรู้จักรุ่นพี่ที่ชื่อเอื้อหรือเปล่า”

ผมส่ายหัว เท่าที่สมองความจุน้อยๆ ของผมจำได้ เหมือนจะไม่คุ้นว่ามีรุ่นพี่ชื่อนี้ ลงคนธรรมดาแบบผมยังไม่รู้จัก แปลว่าน่าจะไม่ดังแหงๆ

“งั้นพี่ตี๋ล่ะ”

ผมพยักหน้า มีใครไม่รู้จักรองประธานรุ่นของปีสามบ้างล่ะ ไม่นับเรื่องที่พี่เขาเป็นรองประธานรุ่น คุณสมบัติพี่ตี๋ล้วนเข้าข่ายความพระเอกแมสที่ทั้งหน้าตาดี เสียงหล่อ การเรียนเป็นเลิศ เล่นกีฬาเก่ง แฟนสวย บ้านรวย รถหรู...เรียกว่าเป็นผู้ชายป๊อปที่แท้ทรู ประหนึ่งพระเอกในละครหลุดออกมามีชีวิตจริง

“รู้จักไอ้ตี๋ แต่ไม่รู้จักฉันเนี่ยนะ” น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนผมไม่รู้ว่าแบงก์ยี่สิบมีค่ามากกว่าเหรียญสิบยังไงยังงั้นเลย

ผมส่ายหัวอีกรอบ “งั้นพี่คงแมสไม่พอที่ผมจะจำอ่ะ”

“หา” ตุ๊กตากบส่งเสียงประหลาดใจ “แมสอะไรวะ แมสโปรดักส์? ไอ้ตี๋นี่เรียกแมส?”

“แมสนะ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ไอ้หน้าตาดีแต่น้อยกว่าฉัน เรียนได้ไม่เลวแต่สู้ฉันไม่ได้ เล่นกีฬาเก่งแต่ก็สู้ฉันไม่ได้ ลูกเจ้าของเครือโรงแรมรายใหญ่ของประเทศไทย แฟนคือสาวงามระดับดาวมหาวิทยาลัยเนี่ยนะเรียกแมส...เข้าใจคำว่าแมสผิดหรือเปล่า”

...เออ ก็เข้าใจคีย์ของความแมสดีนี่หว่า “ช่ายยยย”

“ห่า แมสโปรดักส์มันต้องเป็นอะไรที่หาได้พื้นๆ สิวะ แบบนายเนี่ย โยนหินลงไปกลางฝูงชนต้องโดนหัวคนที่มีคุณสมบัติพื้นๆ แบบนายบ้าง”

ผมทำเสียงพ่นลมหายใจ นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าคู่สนทนาคือรุ่นพี่ อาจจะมีหลุดน้ำเสียงเหยียดหยามออกไป “พี่ไม่เคยดูละครหรืออ่านนิยายสินะ แรร์ในชีวิตจริงคือแมสในนิยายครับพี่”
 
“...” ตุ๊กตากบทำเสียงประหลาดในลำคอ ก่อนเอ่ยถาม “ไหนบอกชื่อนายมาซิ”

“มาภา พรอาภา” ผมตอบไปเต็มยศ

“มาภา...มาภา...” คนพูดทำท่าผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ “อ้อออออออออ น้องเดือนที่ไม่ใช่เดือน เดือนคิ้วต์บอย”
 
“...” ไอ้การทำเสียงแบบนี้หมายความว่ายังไง “ว่าแต่ ทำไมฟังชื่อจริงแล้วรู้ว่าผมเป็นใครล่ะ”

“เพราะฉันถูกไอ้ตี๋มันบังคับให้ช่วยโหวตนายทุกชั่วโมงน่ะสิ” ตุ๊กตากบทำเสียงฟังดูคล้ายเหยียดหยาม ได้ยินแล้วผมนึกอยากควักนุ่นมันออกมา แต่ตอนนี้มีประเด็นสำคัญกว่านั้น...ที่แท้แล้ว ความสำเร็จในการได้ป๊อบปูล่าโหวตในเพจคิ้วต์บอยของกูคือรุ่นพี่หรอกเรอะ! บัดซบ!

“เอาว่าทำความรู้จักกันแค่นี้ ถ้าพี่ไม่มีอะไรแล้ว ผมกลับก่อนล่ะนะ” ผมที่ไม่คิดอยู่ให้กบเหยียดหยามมากไปกว่านี้คว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาเตรียมตัวกลับบ้าน พอมองนาฬิกาแล้วก็แอบตกใจ นี่เสียเวลาทำอะไรอยู่นานสองนานวะเนี่ย

แต่วินาทีที่ยกกระเป๋าขึ้นมาปุ๊บ ตุ๊กตากบก็กระโดดขึ้นมาเกาะกระเป๋าผมปั๊บ เล่นเอาผมตกใจ “พี่ทำอะไรน่ะ!”

“ใจคอจะทิ้งรุ่นพี่ที่น่าสงสารให้อยู่ในสภาพนี้หรือไง คิ้วต์บอย”

“ตอนประกวดก็ไม่เห็นมีกฎว่าคิ้วต์บอยต้องรักเด็กเมตตาสัตว์ช่วยเหลือตุ๊กตาที่ถูกสาปนะ” ไม่งั้นกูไปประกวดคิ้วน้อยแทนก็ได้ “อีกอย่าง คนส่งผมประกวดคือพวกรุ่นพี่ ผมไม่ได้เสนอตัวไปเองสักหน่อย”

“มันเป็นเรื่องของมโนธรรมครับน้อง” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ฟังแล้วอยากจะไปออกบวช ถุย!

“แล้วผมเสกให้พี่กลับเป็นคนได้ที่ไหนกันเล่า!” ผมพยายามอธิบายอย่างใจเย็นพลางสะบัดกระเป๋า แต่อีกฝ่ายเกาะแน่นไม่ปล่อย “นี่พี่เป็นกบหรือตุ๊กแกกันแน่วะ เหนียวจริง!”
 
“ช่วยฉัน” รุ่นพี่ตุ๊กตากบยื่นคำขาด แถมอาศัยจังหวะที่ผมสะบัดไปมาปีนเข้ามาในกระเป๋าผมเรียบร้อย

“ผมให้ยืมโทรศัพท์ไปเรียกคนที่บ้านพี่มาช่วยไหม” ผมในตอนนี้เหมือนตำรวจที่พยายามต่อรองกับคนร้ายที่จับตัวประกัน

เขาหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนตอบ “ไม่จำเป็น”

“ทำไมวะพี่ ทำไมต้องเป็นผมด้วย” คราวนี้ผมเปลี่ยนโทนเป็นเสียงตัดพ้อวิงวอน อีกนิดเดียวไปออกรายการวงเวียนชีวิตได้แล้ว...วงเวียนชีวิตตตต ลิขิตด้วยใครรรรร วงเวียนน้ำใจ ลิขิตด้วยเรา

“ไม่ต้องมาทำเป็นเล่นเสียงสอง... ก็เพราะนายเป็นคนเดียวที่ได้เห็นหน้ายัยคนที่สาปฉันน่ะสิ” พี่เอื้อยืนยันเสียงหนักแน่น ไม่สนว่าผมจะพยายามอ้อนวอนครวญครางยังไง จนในที่สุด หลังจากผมเหลือบมองคลองข้างๆ สลับกับมองกระเป๋าในมือ ผมก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาเตรียมใช้ท่า ‘กรงเล็บมังกรทะยาน’ ลากเอาไอ้ตุ๊กตากบเวรนี่โยนลงน้ำ ให้นุ่นมันหนักจนจมไปเลยแม่ง

“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ!”

ขณะที่มือของผมพุ่งไป รุ่นพี่ตุ๊กตากบก็กระโดดออกมาโดยไม่ต้องให้ไล่ ตอนแรกคิดว่าหมดเรื่องแล้ว แต่เจ้ากบกลับพลิกตัวตีลังกาแล้วก็...พรึ่บ! เชี่ยแม่ง ยังกับหนังจีนกำลังภายใน แต่ประเดี๋ยวก่อนนนน

“อ๊ากกกกกก! กระเป๋าตังค์ตู!”

เจ้าตุ๊กตากบนั่นกำลังกอดกระเป๋าสตางค์ของผมแน่นประหนึ่งตัวเองเป็นระเบิดพลีชีพ นี่พี่รู้ไหมเนี่ยว่าใบนั้นแฟนเก่าผมให้มา ไม่ๆๆ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่แฟนเก่า ประเด็นอยู่ที่มันแพงมาก อะไรนะ เพราะมันดูแพงสุดตอนนั้นเลยเลือกหยิบเรอะ คนเลว!

ยิ่งไปกว่านั้น...ในกระเป๋าสตางค์ยังมีสมุดสะสมแสตมป์เล่มเมื่อกี้อยู่ ตกลงนี่มันเป็นไปตามกฎของเมอร์ฟี่ หรือพลังเห็นโชคชะตาหรือไง สิ่งที่ต้องเสียไปย่อมเสียไปอยู่วันยังคำงี้เหรอ โฮ
“ถ้านายปฏิเสธฉัน ฉันจะกระโดดลงคลองเดี๋ยวนี้แหละ ยังไงเสีย ถ้ากลับเป็นคนแบบเดิมไม่ได้ ตายซะคงยังจะดีกว่า” เขาทำเสียงเหมือนพระเอกหนังจีนเตรียมกระโดดหน้าผา เฮ้ย ไหนเมื่อกี้ใครบอกไม่ต้องทำเสียงสอง

“ไอ้คน... ไอ้ตุ๊กตาไร้ยางอาย!”

สายลมหวีดหวิวพัดเอาต้นไม้ใบหญ้าส่งเสียงเกรียวกราว ผมในชุดนักศึกษายืนอยู่บนทุ่งหญ้า ประจันหน้ากับตุ๊กตากบ บรรยากาศในยามนี้ดุจนักดาบที่กำลังเผชิญหน้ากับคนร้ายที่จับลูกเมียเป็นตัวประกัน... ว่าแต่ทำไมไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาบ้างเลยวะ เผื่อจะมีใครสนใจอยากจับตุ๊กตากบพูดได้ไปออกทีวี... รุ่นพี่ของผมอาจจะได้เป็นตุ๊กตากบเข้าทรงที่มีคนวิ่งมากราบไหว้ขอเลขทุกวันจนหัวกระไดไม่แห้งและเอนจอยกับชีวิตกบๆ และหยุดรังควาญชีวิตกูซะที

“เร็วเข้า นับหนึ่ง... สอง...”

ผมสูดหายใจดังเฮือก ในสมองเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่ในที่สุดผมก็ได้แค่คุกเข่าลง พ่ายแพ้ต่อทุนนิยมสามานย์

“ผมยอมทุกอย่างแล้ว... ปล่อยกระเป๋าตังค์ของผมเถอะ” เสียงของผมตอนนี้เหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ฮือออออ ทุนนิยมนี่มันเลวจริงๆ
 
“ดีมาก!” เจ้าตุ๊กตากบทำเสียงพึงพอใจเสียจนผมอยากจะกระโจนเข้าไปบีบคอให้หายแค้น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ทำท่าคอตกพูดเสียงอ่อยว่า
“งั้นขอผมกลับบ้านก่อนนะ”

“อืม” ...ร้องอืมแล้วก็ปล่อยตัวประกันได้แล้วครับพี่น้องงงง

แต่นอกจากจะไม่ทำเช่นนั้นแล้วแล้ว ตุ๊กตาไร้ยางอายยังกระโดดกลับมาในกระเป๋าผม เท่านั้นยังไม่พอ ยังทำท่าวางเขื่องตบกระเป๋าของผมดังปุๆ ยังกับผมเป็นเกี้ยวหามส่วนตัวที่เคาะๆ ให้เดินไปตามคำสั่ง

“...” น้องเดือนไม่รู้จะสรรเสริญความหน้าด้านนี้เยี่ยงไรดีเลย

“อ้าว เป็นอะไรไปอีก เดินไปสิ นี่นายอยู่บ้านหรืออยู่หอเนี่ย”

“บ้าน... แต่” ผมทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ “คือ...”

“อะไรอีกล่ะ” พี่เอื้อถามแทรกขึ้นมาหลังจากผมร้อง แต่ๆ คือๆ สักสิบครั้งเห็นจะได้

“พะ พี่จะไปด้วยเหรอ”

“แหงสิ นายว่าฉันอยู่ตรงนี้ได้หรือไงล่ะ”

ผมมองไปรอบๆ มีแต่พุ่มไม้กับโต๊ะหินอ่อนไว้นั่งเล่นแล้วก็ศาลาหลังหนึ่งที่บังเอาคนที่ยืนซื้อของกินอยู่หน้าร้านแผงลอยฝั่งตรงข้ามไว้จนมิด

“ที่จริงอยู่นี่ก็ไม่น่าจะมีใครเห็นพี่หรอกนะ ซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้ก็ได้นี่นา ม.เราไม่มีสัตว์ดุร้าย อย่างมากก็แค่น้องเห้” ...ลากแม่งลงน้ำไปเลย แค่ก “ผมสัญญาแล้วนี่ว่าจะช่วยพี่ เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้จะมาหาใหม่”

“เหอะ ไอ้เด็กน้อย อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก คิดว่าพี่เป็นเด็กอนุบาลหรือไง”

“...” ไม่รู้จะเสียใจที่ถูกรู้ทันดีหรือยังไงดี แต่ถ้าเราสลับบทบาทกัน คนเป็นตุ๊กตาตอนนี้คือผม ผมก็คิดว่าตัวเองก็คงทำแบบเดียวกันแหละนะ

“หิ้วฉันกลับบ้านนายไปซะดีๆ” น้ำเสียงของเขาฟังดูขึงขัง ก่อนจะอ่อนลงนิดหน่อย “นายคงไม่ใจไม้ไส้ระกำขนาดทิ้งคนเดือดร้อนให้ลำบากใช่ไหม”

...ทำเป็นพูดดี แน่จริงตอนพูดก็ปล่อยมือจากกระเป๋าตังค์ของผมก่อนสิวะ ผมแหงนหน้ามองฟ้าอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะปลงตก “ก็ได้...”

นี่ก็มัวแต่เล่นละครจอมยุทธ์อยู่นานแล้ว แม่งหมดไปเป็นชั่วโมง กลับบ้านกินข้าวดีกว่า

“เดี๋ยวก่อน! ก่อนไปเก็บเสื้อผ้าฉันไปด้วยสิ”

ผมที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านเลยชะงักกึก พอเขาทักขึ้นมาผมเลยเพิ่งสังเกตว่ารอบตัวมีชุดนักศึกษาชายกองเรี่ยราดอยู่...อูย ยังกับเหตุฆาตกรรมปริศนา แล้วชิ้นใหญ่ขนาดนี้ “ทำไมเมื่อกี้ไม่เห็นวะเนี่ย”

“นายมัวแต่ตกใจตุ๊กตากบพูดได้มั้ง” คุณพี่แกมีการหาเหตุผลให้เสร็จสรรพ ขอบคุณครับ

ผมค่อยๆ คีบเสื้อนักศึกษาที่เปื้อนไปด้วยเศษดินขึ้นมา “เละขนาดนี้ ทิ้งไปดีไหมพี่ ผมว่าไม่มีใครเอาเสื้อผ้าพี่มาตรวจดีเอ็นเอเพื่อหาตัวว่ามีคนหายไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอยหรือเปล่าหรอก หรือถ้ากังวล ผมเอาไปทิ้งขยะให้ก็ได้”

“เพราะมันแพงน่ะสิ” พ่อพระเอกของผมตอบเสียงเรียบ

“เท่าไหร่เนี่ย” ผมหรี่ตามองเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวเปื้อนไปด้วยคราบสีน้ำตาล

พอฟังราคาจากตุ๊กตากบจบปุ๊บ ผมก็เกือบจะคว้าเสื้อผ้าเขาขึ้นมาบูชา... แค่เสื้อตัวเดียวก็ซื้อชุดผมได้ทั้งชุดเลยนะนั่น อื้อหือ ฟังแล้วสั่นเทิ้มไปหมด

“ทำไมพี่ต้องใช้ของแพงขนาดนี้ด้วยเนี่ย” จากการมองด้วยตาเปล่า ผมไม่ยักเห็นว่ามันแตกต่างจากเสื้อราคาร้อยยี่สิบเก้าบาทที่ผมใส่อยู่ตรงไหน ดูไปดูมามันยับง่ายกว่าด้วยซ้ำ

รุ่นพี่เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนตอบด้วยเสียงดังฟังชัด “ใส่ของถูกแล้วมันคัน”
 
“...” โยนไอ้หมอนี่ลงไปที่คลองข้างๆ เลยได้มั้ย

สุดท้ายผมก็เลยเก็บ ‘ชิ้นส่วน’ ราคาแพงของเขามาพับรวมกันให้เรียบร้อย โอ้...กางเกงในคาลวิน ไคล์น นาฬิกาแทค ฮอยเออร์ มือถือไอโฟนเสียบอยู่ในกระเป๋าหลังกางเกงสแล็กยี่ห้ออ่านไม่ออกแต่คิดว่าแพง ถุงเท้า...วาเลนติโน่ (มั้ง) รองเท้าหนัง...

“อ้าว รองเท้าไม่มียี่ห้อเหรอ”

“สั่งตัด”

...ผมก็สั่งตัดการสนทนาไปนับแต่บัดนั้น ระหว่างนั้นผมถือวิสาสะดูป้ายชื่อของเขาที่เก็บมาพร้อมกับเสื้อผ้า บนบัตรนักศึกษาแบบเดียวกับผมมีรอยเลือนๆ แต่ก็ยังพออ่านออกได้ว่า ... “เอื้อการย์”

“เออ” ตุ๊กตากบในกระเป๋าผมทำเสียงรับในลำคอ

“ชื่อพี่นี่ประหลาดชะมัด” ผมวิจารณ์ ดูเหมือนเขาจะเป็นรุ่นพี่ปีสามของผมจริงๆ ถ้าดูจากวันหมดอายุบนบัตรนักศึกษา “ว่าแต่ ผมควรเรียกพี่ว่าอะไรดี”
 
“เอื้อ”

“หา” ผมเอียงคอ “พี่พูดว่าอะไรนะ

“เอื้อ!”

“หา อะเอื้ออออ...” ผมทำท่ากุมอกกระอักเลือด “แบบนี้ป่ะ”

“เอื้อจากโอบเอื้อโว้ย! เด็กเวรนี่ เดี๋ยวพ่อถีบลงบ่อชาเขียวซะเลย”

“แล้วทำไมรูปในบัตรของพี่มันถึงเหมือนภาพวิญญาณหลอนขนาดนี้อ่ะ” ผมเริ่มขนลุกหน่อยๆ ระหว่างมองภาพที่เว้าๆ แหว่งๆ มีเส้นเหมือนรอยครูดเต็มภาพจนหน้าของพี่เอื้อเหลือแค่จมูกกับปาก... ไม่ใช่ว่าจริงๆ แล้วพี่เป็นวิญญาณเฮี้ยนที่ถูกสาปมาหลอกมาหลอนผมหรอกนะ คราวนี้จบกัน จากนิยายรักเปลี่ยนเป็นสยองขวัญไปเสียฉิบ

“อ้อ ฉันดึงบัตรออกจากแผงพลาสติกบ่อยไปน่ะ มันก็เลยเป็นแบบนั้นแหละ” เขาหมายถึงแผงพลาสติกที่ใส่บัตรประจำตัวที่เอาไว้ห้อยคอ พร้อมสำทับอีกว่า “รุ่นฉันแต่ละคนออกมาสภาพประมาณนี้กันหมดแหละ ที่ดีหน่อยก็มีหน้าเป็นลายทางน่ะ”

พอพูดแบบนี้ผมเลยต้องก้มลงมองรูปบนบัตรตัวเองบ้าง ก่อนจะบ่นงึมงำ   

“งั้นต่อไปผมไม่ควรดึงบัตรออกมาใช้แทนไม้บรรทัดแล้วสินะ” ตอนนี้สภาพบัตรของผมก็เริ่มมีริ้วๆ ขึ้นแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ กว่าจะเรียนจบมีหวังภาพผมบนบัตรอาจจะเหลือแต่ปากลอยอยู่แหงๆ

“...อ้อ ที่แท้คนอื่นเขาก็ทำกันหรอกเรอะ” ตุ๊กตากบที่เป็นรุ่นพี่ของผมทำเสียงเหมือนเข้าใจในอะไรบางอย่าง ที่ผมเองก็รู้สึกได้ว่าเรากำลังคิดเรื่องเดียวกัน

แสดงว่าไอ้เด็กคณะนี้ไม่มีใครพกไม้บรรทัดกันเลยสินะ






••TBC

สมัยเรียนนี่บัตรเราเป็นเส้นๆ เลย (ใครนึกไม่ออก คือบัตรห้อยคอแบบพนักงานบริษัทอะค่ะ) คือเห็นหน้าเลือนๆ เพราะดึงเข้าดึงออกเล่นบ่อย แถมเรามีนิสัยเสียๆ คือชอบไถบัตรไปมัน มันก็เสียดสีกับตัวพลาสติก เป็นรอยทางเลย  :katai1:

แต่ของเพื่อนเราหนักกว่า มีรอยปากกาน้ำเงินเป็นหย่อมๆ แบบว่าเอามาใช้บ่อยจัด 55555+

จริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคณะอื่นเขาทำกันไหม หรือรุ่นน้องยังทำกันอยู่หรือเปล่าอะน้า




ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
3


ผมพาตุ๊กตากบโหนรถเมล์กลับมาบ้าน วันนี้คนแน่นกันเป็นปลากระป๋อง ผมก็เลยต้องทำตัวเป็นพระเอกหนังจีนกำลังภายในใช้พลังยุทธ์ห้อยโหนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูที่พร้อมจะเปิดมาหนีบตัวเองตลอดเวลา ...นี่มันปิดเทอมจริงๆ หรือเปล่าวะเนี่ย

ไหนๆ ก็เล่าแล้ว ขอพูดถึงบ้านสักหน่อย บ้านผมเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้น สองห้องนอน ตั้งอยู่ในหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยราวๆ ยี่สิบนาที เนื่องจากเป็นหมู่บ้านเก่า ดังนั้นจึงผ่านการปรับปรุงซ่อมแซมหลายต่อหลายครั้งจนตอนนี้บ้านแต่ละหลังมองไปแล้วดีไซน์แทบไม่ซ้ำกัน

สำหรับบ้านผม เนื่องจากไม่มีคนใส่ใจอะไรมาก ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นโบราณสถานของแถวนี้ นับว่าคงรูปแบบและโครงสร้างเหมือนของดั้งเดิมมากที่สุด เว้นก็แต่สีของฝาผนังที่เริ่มมีคราบดำๆ และรอยตะไคร่เขียวๆ เป็นโบราณสถานที่แท้ทรู

ภายในบ้านเงียบสงัดไม่มีแสงไฟ ผมไขกุญแจเข้าไป จากนั้นก็โยนทุกอย่างลงไปกองที่โซฟาแล้วเอาถุงกับข้าวที่ซื้อมาเมื่อครู่ไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าว

“อยู่คนเดียว?” เสียงที่ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งโหยง ก่อนจะนึกถึงแขกไม่ได้รับเชิญที่อยู่ในกระเป๋าของผมขึ้นมาได้ ปรากฏว่ารุ่นพี่ตุ๊กตากบปีนออกมาจากกระเป๋าของผม นั่งแหมะอยู่บนโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เปล่า ผมอยู่กับแม่กับน้อง แต่แม่ไม่ค่อยกลับบ้าน”

พี่เอื้อส่งเสียงอือฮึ แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ

ผมเดินไปหยิบจานชามมาเทอาหารถุงเมื่อครู่ ก่อนจะจับใส่ไมโครเวฟ และขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับลงมาก็เห็นตุ๊กตากบนั่งรออยู่บนโต๊ะกินข้าว ผมดึงอาหารออกจากไมโครเวฟ ก่อนหยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักข้าวกินเงียบๆ อีกมือหนึ่งก็หยิบรีโมตขึ้นมาเปิดดูโทรทัศน์

“พี่หิวไหม” ผมถามไปตามมารยาท จริงๆ คือถึงหิวในบ้านก็ไม่มีอะไรให้กินอยู่ดี

“...พูดไม่ถูก” ตุ๊กตากบนิ่งไป “...ร่างนี้ไม่มีความรู้สึกร้อน หนาว แต่...เหนื่อยนิดๆ”

“อืมมมม” ...จบการสนทนาแต่เพียงเท่านี้

 หลังกินข้าวเสร็จ ล้างจานเรียบร้อย ก็เป็นเวลาสำหรับแขกไม่ได้รับเชิญของผม จริงๆ แล้วเวลานี้ปกติผมจะนั่งดูซีรีส์ แต่เพราะถูกตุ๊กตากบที่หิ้วกลับมาด้วยเซ้าซี้ ก็เลยลากอุปกรณ์เท่าที่มีในบ้าน แล้วเริ่มปฏิบัติการทำตัวเป็นนักสืบไขคดี เอ๊ย ไขคำสาป
 
“แล้วเราจะเริ่มจากไหนก่อนดี” ผมนั่งลงขัดสมาธิบนโซฟาก่อนโยนหน้าที่คิดไปให้คนอื่น...ช่วยไม่ได้ ปัญหาใครคนนั้นก็ต้องเป็นคนคิดนะ

“เริ่มจากนายเก็บแผนที่โลกนั่นลงไปก่อน อย่างน้อยขอแผนที่ประเทศไทยก็ยังดี...จริงๆ แล้วฉันว่าแค่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็น่าจะพอแล้ว”

“ก็ผมมีแค่นี้นี่นา” ผมพับหนังสือแผนที่ประกอบบทเรียนวิชาโลกของเราที่ผมเคยใช้สมัยมัธยมแล้วผลักไปทางอื่น “พี่ไม่คิดว่าแม่มดที่สาปพี่จะเป็นคนต่างจังหวัดหรือไง”

ก่อนหน้านี้ผมกับเขามีคุยกันเล็กน้อย และตัดสินใจจะเรียกผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่มด (ชื่อชั่วคราว) เนื่องจากเบาะแสเดียวที่มีคือคำพูดทิ้งท้ายของเธอ พวกผมจึงเดาว่าเธอน่าจะเป็นสาวที่พี่เอื้อเคยจีบ หรือไม่ก็แฟนเก่า ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมีการออกเดินทางตามหา ดังนั้นจึงมานั่งวางแผนกัน

พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง “...งั้นแผนที่ประเทศไทย ไม่สิ แผนที่ประเทศในอาเซียน...ไม่ๆๆ ยุโรปด้วย”

“...” ผมลากแผนที่โลกกลับมาอีกรอบแบบเงียบๆ

“ฉันเองก็ไม่มีเบาะแสอะไรมากล่ะนะ ที่จริงไม่คิดว่าจะเป็นชาวต่างชาติ เพราะเธอพูดไทยชัด และคนที่นายเห็นก็ผมดำด้วย แต่เพื่อความไม่ประมาทก็ควรจะไล่รายชื่อทั้งหมดที่เป็นไปได้ออกมา” พี่เอื้อพูดด้วยเสียงขึงขัง

ผมพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “ผมมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง”
 
“อะไร”

ผมทำท่าเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งประกบกันเป็นรูปวงกลม “เงิน... ช่วงนี้ผมถังแตก ไม่มีปัญญาพาพี่เดินสายตามหาสาวน้อยลึกลับอะไรนั่นของพี่หรอกนะ ตอนนี้ผมเหลือแค่ค่าเดินทางกับค่าข้าวตัวเอง แถมกว่าเงินค่าใช้จ่ายผมจะออกก็สิ้นเดือนโน่น”

พูดไปผมก็ส่งสายตาวิงวอนขอความเห็นใจไปพลาง ก่อนนี้พี่แกไม่ให้เล่นเสียงสอง น้องเดือนก็เล่นมันเสียงสามเลย ใกล้จะได้ไปออกรายการวงเวียนชีวิตแล้วจริงๆ

พี่เอื้อนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนตอบผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่มี”

“หา” นี่ผมฟังผิดไปหรือเปล่า “พี่ว่าอะไรนะ อีกทีดิ๊”

“ฉันไม่มีเงิน”

“อะไรนะ”

“ฉัน-ไม่-มี-เงิน”

“...อะไรน้า~” ผมเอียงหูไปทางตุ๊กตากบ ช่วงนี้ถนนผ่านหน้ามหาวิทยาลัยปิดซ่อม ฝุ่นเยอะเลยมีขี้หูสะสมเยอะไปหน่อย ฟังไม่ค่อยถนัด

“หูตึงหรือไง บอกแล้วไงว่าไม่มีเงิน!”

ผมยกมือขึ้นทาบอก “...ล้อเล่นอยู่ใช่ไหม”

“ฉันเหมือนคนมีอารมณ์มาล้อเล่นนายหรือเปล่าล่ะ” เขาถามกลับด้วยเสียงราบเรียบ

“อะไรกัน พี่ใส่เสื้อราคาแพงกว่าเสื้อผ้าผมทั้งชุดอีกนะ!” ...ไม่สิ อย่าเรียกว่าทั้งชุด จริงๆ ให้เลาะอวัยวะไปขายชิ้นสองชิ้นก็เกรงว่าจะยังมีเงินไม่พอมาซื้อเครื่องทรงของพี่แก

พี่เอื้อถอนหายใจ “ก็สาเหตุที่ฉันยืนอยู่คนเดียวให้ถูกสาปเอาทีเผลอได้ก็เพราะฉันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่หอ กำลังจะกลับไปเอาน่ะสิ”

“...เอาไอโฟนพี่ไปจำนำก่อนแล้วกัน” ผมบุ้ยใบ้ไปทางโทรศัพท์มือถือราคาแพงของพี่แก

“...”

“เจ้าชายกบที่รัก ไม่งั้นพี่จะให้ผมทำยังไง...เงินพี่ก็ไม่มีให้แล้วยังจะหาภาระมาให้อีก”

พี่เอื้อรีบขัดก่อนผมจะดำเนินรายการไปไกลกว่านี้ “ฉันเห็นแบงก์พันในกระเป๋าสตางค์นายตั้งหลายใบ”

...อุ๊บส์ ความแตก “...พี่กำลังล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของผม!”

ผมทำท่าปิดหน้าหลั่งน้ำตาจระเข้ “ฮือๆๆๆ ปกติถึงตรงนี้พี่ต้องควักบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินฟาดกันแล้วสิ แบบพระเอกแมสๆ อ่ะ”

“นี่คือแมสเหรอ” พี่เอื้อถามเสียงเซ็งๆ

“ฮื่อ แมสๆ” ผมพยักหน้าแบบเศร้าๆ ก่อนเอ่ยต่อ “รูปหล่อ บ้านรวยชนิดที่ไม่ต้องทำมาหากินอะไรก็ไม่อดตาย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม”

ครับ ตอนนั้นพูดไปแบบนี้จริงๆ ก็ใครมันจะรู้ว่าหลายปีให้หลังจะถูกคนเอากลับมาย้อนอย่างเจ็บปวดแบบนี้ ไม่สิ ตอนนั้นใครมันจะไปรู้ว่ากบที่เก็บได้ข้างทางมันจะกลายเป็นเจ้าชายวะ

ฝ่ายพี่เอื้อก็ดูเหมือนจะสนอกสนใจ “...โฮ่ แล้วอะไรอีก”

“ก็...ขับรถนอก มีคอนโดหรู เป็นเจ้าของที่ดิน เล่นหุ้นฟันกำไร” พูดมาพูดไปชักจะกลายเป็นท่องบัญญัติแมสไปเสียฉิบ เลยสรุปจบตรงนี้ “เพอร์เฟ็กต์ทุกประการ เป็นยอดพีระมิดที่แท้ทรู”

“อืมมม” แว่วเสียงพี่เอื้อพึมพำ ‘สติแม่งไม่ดีจริงๆ ด้วย’ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแบบปลงแล้วซึ่งชีวิต “...พรุ่งนี้เดี๋ยวไปหอฉัน ไปเอาเงินก็แล้วกัน”

“ผมขอเซอร์วิสชาร์จสิบห้าเปอร์เซ็นต์ด้วยได้ป่ะ”

...ผมเลยถูกกบพุ่งชาร์จกระโดดคิกขาคู่ไปหนึ่งที

คืนนั้นจบลงที่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่ เพราะเงินไม่มาน้องเดือนก็ไม่เดิน เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้แล สาธุ

ขอบคุณที่ไม่ขัดกันอีกระหว่างทาง ไปครับ ไปกันต่อ จากนี้พี่เอื้อจะหาเงินมาเปย์น้องเดือนได้หรือไม่ หรือจะต้องใช้ตัวขัดดอกกั-- ว้ากกก พอแล้ว เลิกตีผมด้วยที่ตีเปรตได้แล้ว!

แค่ก เอาเป็นว่า โปรดติดตามตอนต่อไป

••TBC


ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
4



เช้าวันต่อมา ผมที่กำลังนอนสบายถูกปลุกตั้งแต่เจ็ดโมง ตอนแรกผมหัวเสียมาก ก่อนจะค่อยๆ ตั้งสติได้ว่าตอนนี้ที่บ้านผมมีแขกไม่ได้รับเชิญเพิ่มมาอีกตัว เอ้อ คนหนึ่ง ซึ่งก็น่าแปลกที่พอตกดึกปุ๊บเขาก็ง่วงงุน สุดท้ายก็มุดมานอนบนเตียงกับผม อยากนอนก็นอนไปเถิด นุ่มๆ นิ่มๆ แบบนี้ถือว่าได้หมอนข้างมาอีกใบ แต่ออปชันนาฬิกาปลุกน้องเดือนไม่ต้องการรรร

“พี่จะรีบตื่นไปไหน จะดูเจ้าขุนทองเหรอ”

“เฮ้ย คนเราตื่นเช้า กินข้าวเช้า ร่างกายจะได้แข็งแรง”

“ต้องรำมวยไท่เก๊กด้วยเลยไหม” ผมตอบเสียงยานคางขณะลากตัวเองไปทำธุระในห้องน้ำ แว่วเสียงพี่เอื้อตอบอะไรสักอย่าง แต่สมองผมช็อตเกินกว่าจะฟังรู้เรื่อง

ตอนที่ลงมาข้างล่างหาข้าวเช้ากินก็พบว่ากล่องซีเรียลเหลือแค่เศษๆ กับน้ำตาลติดก้น ส่วนนมในตู้เย็นก็หมดแล้ว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ผมก็ตักกินมันทั้งแบบนั้น

“เฮ้ย กินแบบนี้เลยเหรอ” พี่เอื้อที่ปีนขึ้นมานั่งบนโต๊ะกินข้าวได้สำเร็จทำเสียงตกใจ

“ก็มันไม่มีอะไรให้กิน” ผมเอ่ยเสียงยานคาง

“แล้วในตู้เย็นล่ะ”

“ม่ายยยยมี ปกติผมตื่นก็ออกไปซื้อข้าวกลางวัน”


พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “งั้นเก็บ ออกไปกินปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้อะไรงี้ข้างนอกเอา”

ผมปรือตามองเขา ก่อนจะตัดสินใจวางจานลงในซิงก์ แล้วเดินไปหยิบเอากระเป๋าเป้ที่ยังคงถูกกองทิ้งไว้บนโซฟาตั้งแต่เมื่อวานมารื้อๆ เอาพวกชีตที่ไม่ใช้แล้วออก “แล้วนี่พี่จะให้ผมพาไปไหน”

“มหา’ลัย”

“หา ไปอีกทำไม” 

“กลับไปดู”

ผมยังตามไม่ทัน “พี่จะดูอะไร...มหาวิทยาลัยเรามีแต่ตัวเห้ให้ดูนะ”

“บ้าเรอะ! ไปดูทำไมวะน้องเห้ นี่ไม่เคยได้ยินเหรอ เขาว่าฆาตกรมักจะกลับมาที่จุดเกิดเหตุไง”

ผมส่ายหัวเพื่อขับไล่ความง่วง “เดี๋ยว...มันกลายเป็นนิยายสืบสวนไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะพี่ แล้วคนสาปพี่จะกลับมาดูพี่ทำไมกัน”

“เอ้า จริงๆ ยัยนั่นอาจจะหวังทิ้งให้ฉันนั่งท้อแท้สิ้นหวังอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็กลับมายื่นข้อเสนอ ตอนที่จิตใจฉันกำลังอ่อนแอถึงขีดสุด”

...ข้าน้อยขอคารวะให้กับจินตนาการ

สุดท้ายผมที่ยังไงก็ไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษก็เลยสะพายเป้บรรจุตุ๊กตากบเดินออกไปนั่งกินโจ๊กหน้าปากซอย ก่อนจะค่อยๆ นั่งรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย



เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาปิดเทอม และซัมเมอร์เริ่มเรียนอาทิตย์หน้า  มหาวิทยาลัยก็เลยร้างสุดๆ จะว่าไปแล้วนิยายนักศึกษาที่ไม่ได้เล่าชีวิตงดงามสดใสของวัยรุ่นนี่มันอะไรกันวะ ทำไมเรื่องมันไม่เกิดตอนเปิดเทอม เอ้อ แต่ถ้าเกิดตอนเปิดเทอมจริงชีวิตจะหายนะกว่านี้เยอะ งั้นช่างเถอะ

รออยู่นานสองนาน พวกผมก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากน้องเห้ที่เดินผ่าน จนกระทั่งผมที่ท้องร้องจ๊อกๆ เดินไปซื้อสยามสเต็กกลับมาโซ้ยจนหมดแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาทั้งสิ้น “พี่เอื้อ ทฤษฎีพี่นี่เห็นทีจะไม่เวิร์กนะ”

“งั้นต่อไปก็ไปหอฉันก็แล้วกัน” พี่เอื้อพ่นลมหายใจ...นี่เอาตรงไหนหายใจวะเนี่ย

“ได้ ไปเอาเงินกัน” ผมเด้งตัวขึ้นด้วยความร่าเริง

พี่เอื้อบอกชื่อหอซึ่งจัดเป็นที่อยู่ระดับไฮโซในหมู่เด็กหอด้วยกันออกมา ที่นั่นอยู่ห่างจากบ้านผมไปพอสมควร ดีที่เป็นเส้นทางที่ผมเคยไป ก็เลยนั่งรถไปถูก แต่เดี๋ยวก่อน พอตอนนี้ผมถึงค่อยนึกขึ้นได้ ทำไมเป็นหอพักวะ พระเอกโปรไฟล์ไฮโซแบบ...อะไรนะ รูปหล่อ บ้านรวย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม แมสๆ แบบนี้ปกติเขาต้องอยู่คอนโดหรูเหมาชั้นบนสุดทั้งชั้นสิวะ เอ้า ด่าผมเพ้อเจ้ออีก ไม่เชื่อไปไล่ดูเลย ส่วนใหญ่ก็แบบนี้ทั้งนั้น

เอ๋ ตอนนั้นผมก็บอกพี่แบบนี้เหรอ อ้อ ใช่ๆ

พอบอกไปแบบนี้ก็โดนหัวเราะใส่ “จะบ้าเรอะ แถวนี้มันก็มีแต่หอพักเป็นส่วนใหญ่ จะไปเอาคอนโดหรูจากไหนวะ และอย่าดูถูกไป ที่นี่ระบบความปลอดภัยสูง มีลิฟต์ ใช้คีย์การ์ดไฟฟ้า มีที่จอดรถด้านใน มีฟิตเนส ชั้นบนสุดมีสระว่ายน้ำเว้ย”

“โห...แล้วมีลานจอเฮลิคอปเตอร์ไหม”

“...น้องครับ พี่เริ่มสงสัยมาตรฐานคำว่าคนรวยของน้องแล้วล่ะครับ”

พอพูดถึงคีย์การ์ดไฟฟ้า ปัญหาก็ตามมา เนื่องจากพี่เอื้อลืมกระเป๋าสตางค์ ไอ้คีย์การ์ดเข้าออกห้องพี่แกก็ทับอยู่ด้วยกัน แต่โชคดีคือพี่แกมีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว เลยโทรศัพท์ไปบอกทางผู้ดูแล มีการยืนยันตัวตนเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่าจะให้ ‘น้อง’ เข้าไปเอาของ ให้ช่วยเปิดห้องให้หน่อย จากนั้นก็แจ้งรูปร่างหน้าตาของผมเสร็จสรรพ

ตอนไปถึงผมก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมพระเอกที่น่าจะอยู่คอนโดหรูถึงเลือกหอพักนี้ สภาพโดยรอบนับว่าไม่เลวจริงๆ ดูเผินๆ ผมนึกว่าโรงแรมด้วยซ้ำ

ตัวผู้ดูแลพอเห็นผมก็ถามยืนยันตัวตนอีกครั้ง จากนั้นก็ขอซีร็อกซ์บัตรประชาชนและเซ็นกำกับไว้ ก่อนจะนำผมขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องแล้วเปิดประตูให้ พอเข้าไปสิ่งแรกที่ผมเห็นคือเครื่องเรือนสีขาวดำเป็นส่วนใหญ่ เตียงขนาดคิงไซส์ที่เรียบกริบ รอบห้องเป็นชั้นหนังสือบิลต์อินที่เรียงกันเป็นระเบียบ

ทันทีที่ประตูปิด กบในกระเป๋าเป้ผมก็ปีนออกมาในทันที ส่วนผมยืนกะพริบตาปริบๆ มองสภาพห้องอยู่แบบนั้น

“พี่เป็น OCD หรือเปล่าวะเนี่ย” (Note: OCD ย่อมาจาก Obsessive compulsive disorder หรือโรคย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งมักจะมีการวางกฎเกณฑ์บางอย่างในการใช้ชีวิตประจำวัน)

“บ้าเรอะ แค่เก็บห้องให้เป็นระเบียบเฉยๆ ห้องนายนั่นแหละที่รกเกินไปแล้ว”

“ฮึ่ย ห้องวัยรุ่นก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละ” เอ้า ผมยังสิบเก้าอยู่ ยังนับเป็นวัยทีนนะ

สุดท้ายพี่เอื้อให้ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ คีย์การ์ด แมคบุ๊ก เอ็กซ์เทอร์นอลฮาร์ดดิสก์ ใส่กระเป๋าที่พี่แกวางไว้อย่างเรียบร้อย “ผมรู้สึกเหมือนเป็นโจรเลือกมาขโมยแต่ของดีๆ เลยอ่ะ”

“งั้นก็เป็นโจรมืออาชีพ หยิบให้มันดีๆ อย่าเขยื้อนของสิวะ คนเขาจัดเอาไว้ดีๆ”

“...” ไม่ได้เป็น OCD จริงๆ ใช่ไหม “แล้วนี่พี่จะให้ผมขนคอมพี่ไปด้วยทำไม”

“เอาไปดูรูปน่ะสิ”

“เห”

“รูปแฟนเก่าฉัน จริงๆ พวกภาพสมัยเด็กมีแต่เป็นอัลบั้ม อยู่ที่บ้าน ก็ได้แต่สืบเอาจากความทรงจำแหละนะ” พี่เอื้อพูดขณะสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง และสั่งให้ผมเรียงกองกระเป๋าเขาให้เรียบร้อย กว่าจะแล้วเสร็จตามความพอใจของพี่ท่านก็เย็นพอดี

ตอนนั่งรถเมล์กลับมา ผมแวะซื้อข้าวแกงหน้าปากซอยสำหรับมื้อเย็น จากนั้นก็กองทุกอย่างไว้บนโต๊ะรับแขก พี่เอื้อสั่งให้ผมช่วยเปิดแมคบุ๊ก แล้วก็ไล่ไปตามโฟลเดอร์ ผมเลยอยู่ในสภาพนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าโต๊ะรับแขก มีตุ๊กตากบนุ่มๆ นิ่มๆ ขยุกขยิกอยู่บนตัก “...ทัชแพดใช้ยากจัง มันยังไงนะ”

“สองนิ้ว...โอ๊ย สามก็ได้” พี่เอื้อส่ายหัวเมื่อเห็นผมลากอย่างไรก็ไม่ได้เรื่อง

“อ๊ะ ได้แล้ว” ...สงสัยนิ้วผมมันจะเล็กเกินไป

ผมเคาะนั่นกดนี่ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เปิดโฟลเดอร์ที่พี่เอื้อต้องการขึ้นมาจนได้ ภายในโฟลเดอร์มีการเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยแยกชื่ออย่างชัดเจน “พี่เอื้อ นี่เก็บข้อมูลไว้ทำวิจัยเหรอ”

“บ้าเรอะ แค่ยังไม่มีเวลาจัดการ”

...โห ไฟล์ที่ยังไม่มีเวลาจัดการของผมนี่คือโยนๆ มันส่งๆ ไว้บนหน้าจอนั่นแหละ ตอนนี้ล้นไปไกลสุดขอบจอแล้ว

ตอนที่กดเข้าไป ในโฟลเดอร์ใหญ่ยังมีโฟลเดอร์แยกย่อยเป็นรายคน พอเข้าไปในโฟลเดอร์ของแต่ละคนก็ยังมีย่อยลงไปอีกเป็นรูปภาพ ของขวัญ ความสนใจ “ของขวัญนี่มันอะไร”

“อ๋อ ไว้เก็บข้อมูลของที่เขาอยากจะได้น่ะ”

“แล้วความสนใจนี่คือ...”

“ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสนใจทำ เช่นเล่นดนตรี กีฬา นักร้อง อะไรแบบนี้”

ผมเริ่มขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ “พี่เอื้อการย์ จริงๆ พี่เป็นฆาตกรโรคจิตใช่ไหมเนี่ย”

พี่เอื้อตบจมูกผม “บ้าเรอะ แค่หาข้อมูลไว้เฉยๆ เวลาคุยกันจะได้มีเรื่องคุย แล้วก็ทรีตเขาได้เต็มที่แบบที่เขาชอบ”

“...” ดูยังไง้ ยังไงมันก็ฆาตกรโรคจิตอ้ะ “นี่มันหาข้อมูลเหยื่อแล้วแอบไปเชือดทิ้งชัดๆ ฮือๆๆ จริงๆ แล้วที่ถูกสาปเพราะไปทำร้ายเขาไว้ใช่ไหมมมม”

“พล็อตทวิสต์เกินไปแล้ว บ้า ไป ไล่ดูรูปไป ดูซะว่าคุ้นหน้าคนไหนบ้างหรือเปล่า”

ผมดูปริมาณโฟลเดอร์แล้วตาลายเล็กน้อย

“โห พวกนี้แฟนเก่าพี่หมดเลยเหรอ”

“บางคนก็แค่ดูๆ กันน่ะ”

“ไอ้ดูๆ กันนี่มันยังไงกันแน่นะ เนี่ย คนชอบ ‘คุยๆ กันอยู่’ ไม่ก็ ‘ดูๆ กันอยู่’ ไม่เห็นมีใครบอกว่า ‘จีบๆ กันอยู่’ ชัดถ้อยชัดคำเลยสักคน...แล้วพี่จะเก็บข้อมูลของคนที่ดูๆ กันไว้ทำไม นี่คือเหยื่อที่พี่ทำพลาดใช่ไหม”

พี่เอื้อที่ชักทนไม่ไหวตัดสินใจทุ่มทั้งตัวใส่หน้าผม “โว้ย! เงียบแล้วไล่ดูภาพไป”

“อู้...อู้อ้าอู้”

“หา” พี่เอื้อกระโดดออกมา

“หายใจไม่ออก!” ผมไอโขลกอย่างรุนแรงขณะพยายามสูดลมหายใจ “แม่งเอ๊ย นี่มันพยายามฆ่าชัดๆ”

“เลิกให้ฉันเป็นฆาตกรได้แล้ว!”

ผมทำเสียงฟึดฟัดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มไล่จากเหยื่อรายแรก...ทว่าสิ่งที่สะดุดตาผมไม่ใช่ภาพของสาวสวยใส่ชุดเหมือนจะไปเดินแฟชันวีก แต่เป็นผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ที่มองตรงมาที่กล้อง ผมยังจำความรู้สึกได้ว่าตอนเห็นครั้งแรกคือหน้าเน่อหูเหอร้อนผ่าวไปหมด

อู้หู หล่อระยำขนาดนี้...ขนาดนี้... นี้ นี้....ยามนั้นมีเสียงเอ็กโค่อยู่ในหัวของผม ก่อนที่นายมาภา พรอาภาจะเกิดภาวะดวงตาเห็นธรรม บรรลุในที่สุด

“พี่เอื้อ ผมจำพี่ได้แล้ว!”

“...ขอบคุณนะ” พี่เอื้อตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ พี่ตื่นเต้นกับผมหน่อยเด้

“ที่แท้พี่คือรุ่นพี่ ‘ราชาหล่อระยำ’ ประธานรุ่นปีสามนี่เอง” ผมมองแล้วมองอีก ยังไงพี่เอื้อในภาพก็ใช่รุ่นพี่คนนั้นจริงๆ ด้วย ที่แท้แล้วพี่เขาชื่อเอื้อหรอกเรอะ ผมเพิ่งรู้ก็วันนี้แหละ
พี่เอื้อทำเสียงสำลักอากาศ “ไอ้หน้าไหนมันเรียกฟะ! หล่อระยำเนี่ยนะ หล่อก็หล่อสิวะ ทำไมต้องระยำ”

ผมยักไหล่ขณะมองภาพบนจออีกครั้ง เฮ้อออ หล่อระยำจริงๆ “เขาก็เรียกกันทั้งคณะอ่ะแหละ”

“...จริงอ่ะ”

“จริง”

“ทำไมไอ้ตี๋ไม่เคยพูดอะไรเลยวะ”

...ก็เพราะพี่ตี๋ก็ถูกเรียกเป็นอัศวินหล่อสะท้าน... อะไร นี่น้องไม่รู้กันเหรอ สมัยก่อนคู่ ราชาxอัศวินเป็นที่นิยมของคณะมากกกก ครับ น้องก็น่าจะไม่รู้หรอก เพราะสุดท้ายพระราชาถูกยาจกแบบตูคว้ากลับบ้านไปเนี่ย แค่กๆๆ

“พี่เขาคงไม่รู้มั้ง” ผมบอกปัดไปขณะปิดและเปิดหาไล่ดูภาพไปเรื่อย มีภาพหนึ่งเป็นพี่เอื้อสมัยประถม โหย ภาพสมัยประถมนี่...ผมจะไปรู้ไหมเนี่ยว่าใครเป็นใคร แล้วนี่พี่แกก็หล่อมาตั้งแต่เด็กเลยแฮะ แค่ก “คนนี้นี่แบบ ‘แฟนฉัน’ เหรอ”

“หา แบบไหนนะ”

ผมใช้เวลาสามนาทีในการอธิบายหนังเรื่องแฟนฉัน พอฟังจบ พี่เอื้อก็พยักหน้า

“เออ เพื่อนข้างบ้าน มาเจอกันอีกทีตอนเรียนมัธยม”

“พี่หมายถึงคฤหาสน์ไฮโซที่เห็นเป็นฉากหลังนี่ใช่ไหม”

“บ้า ไอ้นี่มันบ้านพักตากอากาศ”

...ยอมแล้วคนรวย

ผมมองเด็กผู้ชายที่ส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับกล้อง กิริยาท่าทางของเขาดูไม่หยิ่งยะโส แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความสูงส่งอย่างเป็นธรรมชาติ บอกว่านี่เจ้าชายอาหรับสักองค์ผมก็เชื่อ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่แม่งคือมอนสเตอร์ระดับ SSR ของมหา’ลัยเรา เชี่ยแม่ง โคตรของความแรร์ในหมู่แรร์ สามีในฝันของสาวแท้และเทียมทั้งมอ ผู้ชายที่ราคาประมูลภาพสูงที่สุดในงานบอล เจ้าของรางวัลผัวในตำนานสามปีซ้อนของมหาวิทยาลัย” ผมพูดไปพลางส่ายหัวไป แม่งเอ๊ย นี่แหละแรร์ในชีวิตจริงคือแมสที่แท้ทรู (Note: Specially Super Rare เป็นศัพท์ที่ใช้ในเกมจำพวกสุ่มหาไอเท็มหรือมอนสเตอร์ ระดับ SSR คือระดับหายากที่สุด)

พี่เอื้อที่ตอนแรกฟังแล้วเคลิ้มๆ มีการชะงัก “เดี๋ยวๆ รางวัลผัวในตำนานนี่มาจากไหน”

“อ้าว พี่ไม่รู้เหรอ เขามีโหวตกันทุกปี”

“...จริงอ่ะ”

“จริง” ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสริม “จะว่าไป ผมมีเล่มของปีนี้นะ”

“ไหน”

“ขึ้นไปหาแป๊บ” ว่าแล้วผมก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน ก่อนกลับลงมาพร้อมวารสารเล่มหนึ่ง ซึ่งบนปกเป็นภาพพี่เอื้อ (แบบแอบถ่าย) ในภาพพี่เอื้อกำลังพับแขนเสื้อ เล่นน้ำกับเพื่อนๆ  จังหวะที่ถ่ายได้คือตอนที่พี่แกกำลังยกเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้า ทำให้มองเห็นหกแพ็กรางๆ และวีไลน์ ใบหน้าซีกหนึ่งเห็นได้ไม่ชัดเพราะละอองน้ำ แต่ไฝสีแดงที่ใต้ตาขวายิ่งกว่าเป็นเครื่องยืนยันตัวตน

“แหม ภาพนี้ถ่ายได้ดี” ผมจุปาก “หกแพ็กนี่ยังอยู่ไหม”

“อยู่...ตอนนี้เป็นแปดแล้ว” พี่เอื้อตอบด้วยเสียงเย็นชาขณะพลิกวารสาร

“หน้าคู่ กลางเล่มเลย” ผมใจดีช่วยบอกตำแหน่งให้ ตอบแทนที่อุตส่าห์ให้ข้อมูลแปดแพ็กมา แค่กๆๆๆ

พี่เอื้อกางหนังสือออก หน้าคู่ของหนังสือเป็นภาพพี่เอื้อในหลายๆ อิริยาบถ แน่นอนว่าแอบถ่ายทั้งหมด แถมดูเหมือนคนถ่ายจะจงใจรอให้พี่เอื้อเปิดเนื้อหนังวับๆ แวมๆ...นี่ผมก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคนถ่ายรูปพวกนี้ทำตัวแบบพวกดูนกคือตั้งกล่องส่องรอจังหวะทั้งวันทั้งคืนหรือเปล่าวะเนี่ย

ส่วนหน้าถัดมาเป็นภาพของพี่เอื้อและพี่ตี๋หัวเราะให้กัน ทั้งแสง สี และนายแบบทั้งคู่ล้วนหล่อมาก ซึ่งมันก็จะไม่เป็นอะไรถ้าพี่เอื้อไม่เหลือบไปเห็นหน้าถัดไปที่เป็น ‘แฟนฟิก ราชาxอัศวิน ที่ชนะเลิศการประกวดในหัวข้อ ‘หนึ่งในทรวง’”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะลืมไปว่ามีหน้านี้อยู่ด้วย

พี่เอื้อเงียบหายไปครู่ใหญ่ คิดว่าน่าจะกำลังอ่านแฟนฟิกที่ว่าอยู่ ผมที่ไม่กล้ารบกวนเลยหันกลับไปนั่งดูรูปสาวๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดหนังสือถึงได้ค่อยๆ หันกลับมา
“ฉันจะไปถล่มชมรมวารสาร...จะร้องเรียนไปทางมหาวิทยาลัย” พี่เอื้อทำเสียงกัดฟันกรอดๆ

“พี่เอื้อ...” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแบบสเปรย์กำจัดแมลงสูตรอ่อนโยนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม “เล่มนี้แอบขายกันใต้ดิน ไม่ลงชื่อผู้จัดทำ พี่คิดว่าทางมหาวิทยาลัยจะทำอะไรได้เหรอ...แล้วสาววายม.เราเครือข่ายใหญ่โตปานนั้น”

“สาววาย?”

เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่รุ่นพี่ที่น่าสงสาร ผมก็เลยอธิบายพร้อมเปิดภาพประกอบให้ พอฟังจบปุ๊บ พี่เอื้อก็ประกาศ “งั้นเดี๋ยวจะไปเปิดชมรมแข่งแม่ง!”

และนี่เองครับจึงเป็นที่มาของชมรมจุลสารของเราในภายหลังซึ่งบดขยี้จนในที่สุดชมรมวารสารก็ตายจากไปด้วยการขายบัตรจับมือพี่เอื้อตัวจริงของชมรมเรา ตรงนี้รบกวนลบออกจากบทสัมภาษณ์ด้วยนะครับน้องเอก รักษาชื่อเสียงชมรมของเรานิดหนึ่ง ถึงมันจะเหลืออยู่ไม่มากแล้วก็ตาม

หลังจากนั้นพวกผมก็นั่งดูภาพ ซึ่งก็ไม่มีสาวรายไหนของพี่เอื้อที่ตรงกันกับแม่มดคนที่ผมเห็นเลยสักนิด

“...ชิ นี่มันงานยากนะเนี่ย”

ด้วยเหตุนี้พี่เอื้อเลยต้องมานั่งเค้นสมอง หารายชื่อสาวๆ ในอดีตของตัวเองออกมา พลางสั่งให้ผมจดบันทึกไปด้วย และระหว่างนั้นมันก็จะมีอะไรประมาณนี้

“เขียนให้มันตรงๆ หน่อย เส้นบรรทัดดดด นี่สายตาเอียงหรือเปล่า”

“ย่ออะไรของนาย เดี๋ยวกลับมาอ่านก็จำไม่ได้หรอก”

“เฮ้ย ลบดีๆ มียางลบก็ใช้ อย่าขีดทิ้งเซ่”

...เฮอะ OCD

ท้ายที่สุด กว่าผมจะทำรายชื่อเรียบร้อยก็ปาไปสี่ทุ่ม ผมตั้งใจจะเปิดเกมนั่งเล่น แต่กลับถูกขัดด้วยสองพยางค์สั้นๆ

“เอ้า นอน”

“เฮ้ยพี่ นี่สี่ทุ่มนะ” ...เมื่อวานก็แล้วไปเถอะ นั่นเพราะอ่านหนังสือโต้รุ่ง กลับบ้านกินข้าวก็หมดสภาพแล้ว แต่นี่วันนี้ทั้งวันหยังแทบไม่ได้ทำอะไรมากมาย ตาผมยังสว่างอยู่เลย

“เออ สี่ทุ่ม...แล้วไง ดึกแล้ว นอนได้แล้ว”

“เด็กวัยรุ่นช่วงปิดเทอมใครเขานอนก่อนสี่ทุ่มกัน”

“นอนเร็วๆ จะได้ไม่ง่วงตอนกลางวัน”

“...” ผมเริ่มสงสัยอายุจริงของพี่แก

“นอนเถอะ”

“...ครับพ่อ”

หลังจากถูกกระโดดถีบขาคู่แล้ว ผมก็อุ้มตุ๊กตากบพร้อมกวาดข้าวของทั้งหมดบนโต๊ะรับแขกขึ้นห้องไป จังหวะที่ล้มตัวนอนก็นึกอะไรขึ้นได้ “พี่เอื้อ”

“หือ”

“พอคิดถึงหน้าจริงพี่แล้ว ผมเอาพี่ขึ้นเตียงไม่ลงจริงๆ”

“งั้นนายก็นอนพื้นไป ฉันนอนเตียงเอง”

“...” สุดท้ายผมก็เลยแชร์เตียงกับตุ๊กตากบเหมือนเดิม

••TBC

แปดแพ็กเท่านั้นที่เราคู่ควร  :m25:



ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
5



วันถัดมาก็ยังสภาพคล้ายๆ เดิม ผมแบกข้าวแบกของลงไปด้านล่างให้พี่เอื้อนั่งค้น ส่วนตัวเองก็ไล่ดูโฟลเดอร์ของพี่เอื้อเพื่อหาสาวที่ต้องการ มีบางคนคลับคล้ายคลับคลา แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจ พี่เอื้อก็ให้จดไว้ ตอนกลางวันผมออกไปซื้อข้าวที่เซเว่น แล้วก็เลยซื้อเผื่อข้าวเย็น เสร็จก็กลับมาเป็นทาสพี่เอื้อต่อ

คืนนั้นผมโดนไล่นอนตอนสี่ทุ่มเหมือนเดิม แม้จะพยายามโอดครวญว่านี่มันคืนวันเสาร์ หรือนี่คือเสาร์สุดท้ายก่อนเตรียมเปิดเรียนซัมเมอร์ของผมในวันอังคารที่จะถึงนี้ สุดท้ายผมก็โดนกบไล่ไปนอนอยู่ดี

เช้าวันอาทิตย์ ผมจำได้ว่าตัวเองสะดุ้งตื่นตอนเจ็ดโมงเพราะเสียงของพี่เอื้อ แต่เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันแล้วก็เลยคลุมโปงทำเป็นไม่สนใจ จนกระทั่งเก้าโมงก็ได้ยินเสียงมาจากชั้นล่าง ตามด้วยร่างของพี่เอื้อที่กระโจนเข้าหา “มีคนมา!”

“หืม...อ้อ อืม”

ผมขยี้ตาก่อนจะเดินโซซัดโซเซเดินลงมา เนื่องจากเป็นช่วงสุดสัปดาห์พ่วงปิดเทอม ผมก็เดาไว้แล้วว่าอาจจะมีคนมาหา ทั้งเมื่อวานและเมื่อวานซืนถึงได้เก็บข้าวของส่วนตัวรวมถึงของพี่เอื้อขึ้นห้องไปให้เรียบร้อย

ไหนๆ ก็เล่าตรงนี้ ขอขยายความนิดหนึ่งว่าผมเป็นลูกคนโต มีน้องอีกสามคน น้องชายคนแรกชื่อตะวัน น้องชายคนที่สองชื่อดา...มาจากฟิลิปดา ส่วนน้องเล็กเป็นเด็กผู้หญิงชื่อแตงโม แต่สองคนหลังไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับผม มีแวะมาเฉพาะช่วงเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุด

ตอนที่เดินลงมาก็เห็นน้องชายหมายเลขสองกำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา พอเห็นผม เขาก็พยักหน้าให้ ผมเขย่งหยิบเอากล่องซีเรียลบนหลังตู้เย็นลงมา ก่อนจะนึกได้ว่ามันหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“ปิดเทอมเหรอ”

“อืม...บอกพ่อไว้ว่าจะมาอยู่นี่ แต่เดี๋ยวจะไปบ้านเพื่อน” น้องชายผมเอ่ยเสียงเนิบๆ

“อ้อ” ผมตอบรับแต่ไม่ได้แย้งอะไร ...อย่างไรเสียนี่ก็ไม่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผม ไม่เข้าไปวุ่นวายดีที่สุด

“ดูการ์ตูน! ดูการ์ตูน!”

เสียงแจ๋วๆ ของน้องสาวคนเล็กของผมดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าดังตุ้บตั้บ ดวงตากลมโตเหลือบมองผมเล็กน้อย ก่อนวิ่งไปหยุดอยู่หน้าโทรทัศน์ที่กำลังฉายช่องการ์ตูนอยู่ ผมหันกลับไปหาน้องชาย “อาน้อยมาเหรอ”

อาน้อยที่ว่าเป็นพ่อของแตงโม ผมไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ ส่วนมากเขาเอาแตงโมมาส่งแล้วก็ไป เว้นแต่แม่จะอยู่บ้าน ซึ่งการอยู่บ้านของแม่ก็ไม่ก่อให้เกิดบทสนทนาอยู่ดี

“อืม วันนี้บ้านอาจะออกไปเยี่ยมญาติ เลยเอามาฝาก ตอนเย็นจะมารับ”

“อ้อ” ผมร้องรับ ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็เห็นตะวันโบกมือให้จากตรงซิงก์ล้างจาน พอมองออกไปด้านนอกก็เห็นแดดออกดี...เลยคิดว่าวันนี้น่าจะซักผ้าสักหน่อย

“ผมอยู่แค่แป๊บเดียว เดี๋ยวบ่ายจะไปบ้านเพื่อนแล้ว ถ้าพ่อโทรถามบอกว่าอยู่ที่นี่นะ” น้องชายหมายเลขสองของผมเอ่ยด้วยเสียงเนิบๆ

ตะวันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนิ่วหน้า “...โกหกอาชัช ไม่ดีนะ”

“อืม” ผมพยักหน้ารับ ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของตะวันซึ่งพอเห็นผมเปิดตู้เย็นก็เปลี่ยนเรื่องทันที

“อ๋า! ตะวันลืมเตือนให้พี่เดือนซื้อของมาเติมในตู้เย็น”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปเปิดตู้กับข้าว หยิบเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองออกมา แว่วเสียงตะวันบ่นพึมพำว่ากินอาหารไม่มีประโชยน์แต่เช้า...ช่วยไม่ได้นะน้องเอ๋ย มันไม่มีจะกินแล้วนี่หว่า หรือนายจะออกไปซื้อมาให้พี่กันล่ะ

แน่นอนว่าตะวันย่อมไม่มีทางออกไปซื้อให้ผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงหยิบชามก้นลึกออกมาใส่มาม่าลงไป ไอ้หยา...ตอนนี้ที่บ้านขาดแคลนหนัก ไข่สักฟองก็ยังไม่มี

“แตงโมจะเอาเผ็ดๆ” เสียงแจ๋วๆ ที่ดังมาจากด้านข้างทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย ผมถอนหายใจขณะหันไปมองต้นเสียงซึ่งสายตาจับจ้องอยู่ที่กองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในตู้ “เอาซองสีชมพู”

“ไม่ได้” ผมยื่นคำขาด ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลงเล็กน้อย “กินอะไรมาหรือยัง”

น้องสาวผมส่ายศีรษะไปมา เปียทั้งสองข้างส่งเสียงดังพั่บๆ “ยัง”

“โจ๊กก็แล้วกัน” ผมขุดตู้กับข้าวจนเจอโจ๊กซอง...วันหมดอายุ...เอ่อ เราอย่าไปดูมันเลย ผมฉีกซองก่อนจะทำท่าดมฟุดฟิด กลิ่นปกติดี...กินได้น่า

“แตงโมจะกินมาม่า”

“เป็นเด็กเป็นเล็ก กินโจ๊กไป” ผมตัดบทขณะส่งชามเข้าไมโครเวฟ “โตแล้วค่อยกินมาม่า”

“จะฟ้องพ่อ”

“ตามสบาย” ผมยักไหล่ ขณะกอดอกระหว่างรอให้ไมโครเวฟอุ่นโจ๊ก พอเรียบร้อยก็หยิบออกมาคนๆ แล้วส่งให้ “เอ้า นี่ขอรับองค์หญิง...ไปนั่งกินดีๆ”

องค์หญิงวัยอนุบาลเชิดปากเล็กๆ ที่ถอดแบบมาจากแม่ไม่มีผิด ก่อนจะวิ่งตึงตังไปนั่งหน้าโทรทัศน์ ไม่สนใจโจ๊กที่ผมส่งให้ ผมถอนหายใจ ก่อนตะโกนไล่หลังไป “วางไว้ให้บนโต๊ะนะ หิวก็มากิน”

พูดจบผมก็กลับมาจัดการบะหมี่ถ้วยของตัวเองต่อ ระหว่างดูดเส้นไปก็นั่งมองเจ้าชายกบในทีวีพยายามที่จะชักชวนให้เจ้าหญิงจูบตัวเองไปเรื่อยเปื่อย แต่แล้วจู่ๆ ก็เห็นอะไรเขียวๆ ที่หางตา พอหันกลับไปมองก็...

พรวดดดด

“เชี่ยแม่ง!”...เส้นบะหมี่ที่ยังไม่ลงคอดีกลับพ่นออกมาทางจมูกของผมอย่างโหดร้าย ด้วยความที่เสียงของผมค่อนข้างดัง พวกน้องๆ ก็เลยหันมามองผมเป็นตาเดียว

“พี่เดือนพูดไม่เพราะเลยนะคะ” น้องสาวของผมเท้าสะเอว

“เป็นอะไรน่ะพี่เดือน” เจ้าดาที่ปกติมีสีหน้าแบบเดียวคือนิ่งๆ แบบหุ่นยนต์ยังถึงกับตกอกตกใจ

“คือ...แค่กๆๆๆๆๆ” ผมสำลักอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ดึงเอาเส้นออกมาจากช่องที่มันไม่ควรจะมีเส้นหมี่ออกมา ยัยหนูแตงโมร้องกรี๊ดออกมา...นี่ก็โอเวอร์เหลือเกิน พ่อเป็นดาราก็ไม่ต้องแอ็กติ้งขนาดนั้นก็ได้นะน้องสาว

“...อี๋” ...นี่เสียงของตะวัน ไม่ช่วยอะไรแล้วอย่ามาร้องอี๋ได้ไหม

“แค่กๆๆๆ ขอโทษที สำลักนิดหน่อย”

“เดี๋ยวตะวันเทน้ำให้”

ผมวางบะหมี่ถ้วยลงและหยิบทิชชู่มาซับ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแบบพยายามไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต จากนั้นก็ดื่มน้ำที่ตะวันวางทิ้งไว้ให้ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง

“พี่เดือน ไม่กินเดี๋ยวเส้นมันอืดนะ” ตะวันร้องเดือน

ผมโบกไม้โบกมือไปมา ท่าทางภายนอกของผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งฝีเท้าที่ก้าวขึ้นบันไดยังสม่ำเสมอไม่เร่งรีบ ทว่าพอเข้าห้องและปิดประตูได้ ผมก็แทบจะร้องโหยหวนออกมาใส่กบที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนบนเตียงผม

“พี่อะเอื้ออออออออ! พี่ทำผมตกใจแทบตาย โผล่หน้าไปทำไม ถ้าถูกเห็นเข้าจะทำยังไงกัน!”

“เออ ท่านายพ่นเส้นออกทางจมูกก็ทำฉันตกใจแทบตายเหมือนกัน” ไม่พูดเปล่า พี่แกยังทำท่าลูบอกตัวเอง

“...” พี่อย่าย้ำได้ไหม

“ฉันแค่ลงมาดูเฉยๆ ว่ามีอะไร แล้วก็เลยได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจเข้าพอดี”

“หมายความว่ายังไง” ...ไม่ใช่ฉากผมพ่นเส้นออกทางจมูกใช่ไหม

พี่เอื้อทำท่ายืดอกขึ้น จากนั้นก็ชี้หน้าผม แล้วก็วกกลับมาชี้ที่ตัวเอง

“หาสาวสักคนมาจูบฉันหน่อย”

“...” ผมอึ้งไปหลายนาทีกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ “จูบ... พี่ เนี่ยนะ”

“ใช่แล้ว ลองแบบการ์ตูนที่น้องนายกำลังดูอยู่ไง” แว่วเสียงเจ้าชายกบในเทพนิยายที่อยู่บนจอโทรทัศน์ซึ่งน้องสาวผมดูอยู่ที่ชั้นล่าง ส่วนเจ้าชายกบในโลกแห่งความเป็นจริงยืนเงียบรอคำตอบของผมซึ่งยังคงมึนงง

“...มันจะได้เรื่องเหรอวะพี่ เป็นไปได้เร้อที่จูบเดียวจะคืนกบให้เป็นคนเนี่ย”

“แล้วนายว่าการที่ฉันกลายร่างจากคนมาเป็นตุ๊กตากบอยู่เนี่ย มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไหมล่ะ”

...เออ ก็ไม่

“...พี่ ไอ้การจะหาสาวมาจูบพี่ แปลว่าต้องเปิดเผยเรื่องพี่ คือ...มันหายากนะ” ผมขมวดคิ้ว

“นายก็ช่วยๆ ฉันหน่อย”

“แล้วถ้ามันไม่สำเร็จล่ะ”

“ก็แค่ให้จูบตุ๊กตา ไม่มีอะไรนี่ อย่างน้อยได้ลองก็ดีกว่าไม่ได้ลองดูนะ”

“แต่...”

“ฉันช่วยโหวตให้นายเชียวนะ”

...มาแล้ว พอคนเราจะใช้ใครเข้าหน่อยเนี่ย บุญคุณในอดีตเริ่มผุดขึ้นมาแล้ว

“โหวตทั้งวันทั้งคืนเลยนะ!”

“...”

“โหวตจนนิ้วพองไปหมด”

“...”

ขอโน้ตไว้ตรงนี้สักนิด ผมมารู้ในภายหลังว่านอกจากนิ้วของพ่อทูนหัวนี่จริงๆ แล้วพองเพราะเล่นเกมลับสมองมากไปแล้ว ตอนโหวต พี่ท่านยังเขียนโปรแกรมปั่นโหวตอีกต่างหาก ใช้ความรู้ทางไอทีในทางมิชอบ! ประหาร!

“โหวตจนตาพร่ามัวสู้แสงไม่ไหว”

...โว้ย พอ!

“ได้! เดี๋ยวหาให้!” พูดจบผมก็คว้าพี่เอื้อที่ส่งเสียงด้วยความตกใจ จากนั้นก็เดินลงไปชั้นล่าง

“แตงโม หันมานี่หน่อย” ผมเรียกน้องสาวคนเล็กที่กำลังดูเจ้าชายกบตาแป๋ว พอยัยหนูแตงโมหันมาปุ๊บ ผมก็ส่งพี่เอื้อที่อยู่ในมือไปปั๊บ

...จุ๊บ

“...” น้องชายหมายเลขสองของผมผู้บังเอิญเงยหน้าขึ้นมาพอดีโปรยจุด

ผมยืนค้างอยู่ในท่าส่งตุ๊กตากบไปประกบปากกับน้องสาวคนเล็กของตัวเองแบบนั้นพักหนึ่ง ตั้งใจนับหนึ่งถึงสิบเผื่อว่าพี่เอื้อจะคืนร่าง ก่อนจะพบกับความผิดหวังสุดๆ

“พี่เดือน เล่นอะไรของพี่น่ะ” ตะวันขมวดคิ้ว ส่วนคุณน้องฟิลิปดาก็ทำท่าดันแว่นและมองมาด้วยสายตาดูแคลนที่ทำเอาผมขนลุกเกรียว โฮกกกก ทั้งสองคนนน อย่ามองพี่ชายด้วยสายตาแบบนั้น

“พี่...มีการบ้าน ขอไปทำก่อนล่ะ ออกไปก็ล็อกบ้านด้วย” ว่าแล้วผมก็ชิ่งทันที โดยไม่ลืมหิ้วพี่เอื้อที่ตอนนี้ตัวอ่อนปวกเปียกไปตามการเคลื่อนไหวกลับไปด้วย

หลังจากนั้นราวๆ สามนาที ก็มีเสียงแผดร้องโหยหวนของเด็กหญิงวัยห้าขวบดังขึ้น “จูบแรกของแตงโมมมมมมม โฮฮฮฮฮฮฮ”




พอเข้าห้องได้ปุ๊บ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นก็คือ...

“!@#@$” พี่เอื้อพ่นภาษาประหลาดใส่ผมในทันที โอ้โห เขาว่าอัจฉริยะมักจะพูดไม่รู้เรื่อง แม่งจริงเว้ย

“...ก็แค่จุ๊บเอง” ผมทำเป็นไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของน้องสาวที่อยู่ด้านนอก

“จุ๊บ-กับ-เด็ก-อนุ-บาล!” น้ำเสียงที่ดังออกมาจากตุ๊กตากบตอนนี้ให้อารมณ์เหมือนจอมยุทธ์กำลังจะกระอักเลือดออกมา...อะเอื้ออออสมชื่อ

“ตอนนี้พี่ก็เป็นแค่ตุ๊กตาเองน่า ไม่สึกหรออะไรสักหน่อย” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ “อย่าบอกนะว่าเป็นจูบแรกของพี่น่ะ”

“ไม่ใช่โว้ยยยยยยย ห่านี่ นั่นน้องสาวแท้ๆ หรือเปล่าเนี่ย” พี่เอื้อทำท่าคล้ายอยากทึ้งหัวตัวเอง แต่น่าเสียดายที่ตุ๊กตากบไม่มีผมให้ทึ้ง

“โหยยย พี่ก็แค่ตุ๊กตา น้องสาวผมไม่สึกหรอหรอก” ...ผมยังคงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงโหยหวนจากข้างล่าง

“พูดงี้ทำไมเอ็งไม่จูบเองซะเลยฟะ!”

“อ้าว ก็พี่บอกเองว่าจะเอาผู้หญิง” อยากได้ผู้ชายก็ไม่บอก

“อย่างน้อยก็ขอที่บรรลุนิติภาวะหน่อยสิโว้ย” พี่เอื้อทำเสียงเกรี้ยวกราด

“พี่ว่าหาได้ง่ายๆ เหรอ แถวนี้ผู้หญิงบรรลุนิติภาวะแล้วก็มีอาม่าบ้านตรงข้าม...ไหวไหม”

“...บัดซบ นายไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่ไว้ใจได้เลยหรือไง”

ภาพแรกที่แว่บมาในหัวของผมคือไอ้กิ่งเจ้าลัทธิ แต่ปัญหาคือไอ้กิ่งมันเกลียดตุ๊กตาระดับไม่ขออยู่ร่วมโลกกัน เกรงว่าถ้าขอให้มันจูบตุ๊กตา เกรงว่ามันคงเอามีดแทงพุงผมแล้วบิดคว้าน

“เอาน่า สรุปว่าจูบนี่ไม่ได้ผลแฮะ...ดีไม่ดี ผมว่าคนที่ควรจูบพี่อาจจะเป็นคนที่สาปพี่ก็ได้นะ” ผมพยายามอ้างหลักการ

พี่เอื้อเงียบไป ผมปล่อยเขาให้ทำท่ารูปปั้นกบนั่งคิดไปตัวเดียว ส่วนตัวเองก็นั่งจุ้มปุ๊กตรงหน้าโน้ตบุ๊ก ตอนนี้เสียงโวยวายข้างล่างยังไม่สงบ ไม่ลงไปดีที่สุด ขณะนั่งเบื่อๆ อยู่นั้นเอง ผมก็เลยตัดสินใจทำคุณไถ่โทษ

“เอางี้ ผมลองจูบพี่ละกัน” ง่ายสุด จะได้หยุดเพ้อสักที ว่าแล้วผมก็คว้าตุ๊กตากบขึ้นมา จากนั้นก็แปะริมฝีปากของตัวเองลงบนจุดที่น่าจะเป็นปากของตุ๊กตา

ในวินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนมีแรงดึง...ตรงนี้อธิบายยาก แต่เหมือนมีใครมาเปิดเครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ ดูดเอาอะไรสักอย่างของผมไป วินาทีนั้น ภาพตรงหน้าของผมคล้ายวัตถุที่กำลังละลายด้วยความร้อนสูง และเพียงชั่วพริบตาเดียว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผมก็เปลี่ยนจากตุ๊กตากบกลายเป็นมนุษย์
สองมือที่สัมผัสวัตถุนุ่มนิ่มของผมแทนที่ด้วยผิวเนื้อ สัมผัสของขนนุ่มๆ บนริมฝีปากของผมเปลี่ยนเป็นริมฝีปากของใครอีกคน
ดวงตาของผมเบิกกว้าง ที่อยู่ตรงหน้าของผมยามนี้ชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปแกะสลักของเทพบุตร ทั้งดวงตาคมปลาบ แพขนตายาว คิ้วโก่งได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากรูปกระจับ และที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือไฝสีแดงเม็ดเล็กๆ ที่ใต้ตาขวา

เนิ่นนานพอดูอีกฝ่ายถึงค่อยผละจากผมไปช้าๆ ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ ขณะจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อาจละสายตาไปไหน

“พี่...เอื้อ...”

“ได้ผลแฮะ” พี่เอื้อทำท่าแลบลิ้นเลียริมฝีปากขณะหรี่ตามองผม ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มที่ชวนให้หัวใจเต้นแรงออกมา จากนั้นเขาก็กดผมลงบนเตียง

“อ๊ะ พี่จะทำอะไร”

“ถามโง่ๆ เอาน้องทำเมียไงครับ”




CUT! CUT! CUT!

“คัตโว้ยยยย! ไอ้นั่นมันใครกันวะ”

ผมที่กำลังเล่าอินๆ สะดุ้งโหยงเพราะโดนที่ตีเปรตฟาดเอาอีกรอบ นี่โดนอีกครั้งจำนวนจะมากกว่าที่ตีโดนเปรตแล้วนะ ควรเปลี่ยนเป็นไม้ตีเดือนแทนไหมเนี่ย ฮือๆๆๆ

“อื๋อ ก็ถ้าเป็นนิยาย คนอ่านน่าจะชอบแบบนี้มากกว่าไม่ใช่เหรอ เจอปุ๊บปล้ำปั๊บ แล้วก็พูดหื่นๆ หน่อย แบบพระเอกสไตล์ท่านชีคทะเลทรายนิยายตบจูบอะ พวกที่แบบ...เรียกอะไรนะ...” ผมพยายามนึกคำ

••หล่อร้ายพี่••

ผมตบเข่าฉาด “เออ หล่อร้ายอ่ะ...หล่อร้าย”

“...’เอาน้องทำเมีย’ เนี่ยนะ” พี่เอื้อทวนคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

••ไอ้จิ๊บบี้...กูรูนิยายเกย์ของชมรมเราเคยทำวิจัย ยิ่งใช้คำว่า ‘เมีย’ ทำให้คนอ่านจำพวกเด็กสาวๆ เกิดความตื่นเต้นกับเรื่องราวมากขึ้น อะดรีนาลีนรัชชช••

น้องรหัสผมมีการส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมาอีกระลอก ผมพยักหน้าหงึกหงักตาม แหม ขนาดเมื่อกี้พี่เอื้อพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ผมที่ไม่ใช่เด็กสาวๆ ยังใจเต้นตึกตักเลยเหอะ โอ๊ย สมเป็นสมบัติของมหาวิทยาลัยจริงๆ

“พูดถูก ก็เนี่ย พี่บอกว่าเรื่องเราแบบนิยายแมสๆ ชะ มันก็ต้องตบๆ จูบๆ ปล้ำๆ หน่อยสิ” ...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว

“เอาตามจริงสิวะ!” พ่อพระเอกดูจะไม่ยอม

“ตกลงชอบเป็นพระเอกแสนดีมากกว่าอ๋อ”

“...น้องเดือนอยากได้พระเอกแสนเลวเหรอครับ” พี่เอื้อมองผมด้วยดวงตาเย็นชา อื้อหือ นี่ใจเต้นผิดจังหวะไปสามจุดแล้ว แต่ช้าก่อน ไม่ๆๆๆ เปลี่ยนเรื่อง ผมรีบหักเลี้ยวทันที

“พี่ครับ เรื่องตามความจริงของเราน่าเบื่อมากเลยนะ” ...เล่ามาตั้งหลายตอนยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ

“บ้า แมส เชื่อพี่” พี่เอื้อโบกไม้โบกมือ ผมเหลือบมองน้องเอกที่มีสีหน้าแบบ ‘พวกพี่จะทำอะไรก็ตามสบายเลยจ้า’ ก่อนจะหันกลับมามองพี่เอื้ออีกครั้ง

“แมส แมสจนต้องร้องขอชีวิตเลย เชื่อพี่”

“กลัวแต่ว่าคนอ่านจะร้องขอเงินคืนอ่ะเด้” ผมถอนใจ...แต่พระเอกท่านว่าอย่างนั้น ก็เชื่อท่านแล้วกัน


••TBC

ปกติชอบอ่านนิยายตบๆ จูบๆ มากเลยค่ะ (ท้องแล้วหนีด้วยยิ่งชอบ 55555555+) แต่เขียนจริงนี่ทำได้แต่พระเอกรักสงบ กระซิกๆ   :z3: :z3: :z3:



ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
6

ก็ได้ ความจริงก็คือ พอพี่เอื้อถอนริมฝีปากออก ก็มองหน้าผมนิ่งๆ ตอนนั้นใบหน้าของผมร้อนผ่าว...จากนั้นเลือดกำเดาก็ทะลักออกมายังกับน้ำตกไนแองการ่า

“ว้ากกกก !@$@3#$4 เฮ้ย! น้องเดือนปลอม เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่เอื้อมีท่าทางแตกตื่น “ไม่ๆ อย่าเงย เดี๋ยวเลือดไหลลงคอ ก้มไว้ อย่าก้มแบบนั้น เลอะเทอะหมดแล้ว เดี๋ยว”

หลังจากหยุดเลือดกำเดาได้แล้ว ผมก็พบว่าตัวเองไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง รู้สึกร่างชาหนึบๆ ขณะกำลังจะอ้าปากพูดอะไรก็พบว่าภาพตรงหน้าของผมคล้ายมีคนดึงปลั๊กโทรทัศน์กะทันหัน...ดับวูบไปในพริบตา

ยังครับ! ยังไม่ตายตอนนี้!





ตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง ที่ด้านนอกเป็นเวลากลางคืน แว่วเสียงดังมาจากด้านล่าง ไม่ใช่เสียงของบทสนทนา แต่เป็นเสียงของเครื่องครัวกระทบกัน...แบบที่ผมไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานมากแล้ว

พอเดินลงมาชั้นล่างก็เห็นผู้ชายในชุดนักศึกษากำลังสาละวนอยู่หน้าเตาแก๊สที่ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันยังทำงาน ครั้นเห็นผม เขาก็ร้องทัก “ตื่นแล้วเหรอ”

ผมกะพริบตาปริบๆ ใส่พี่เอื้อ

“ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าวซะ”

ทันทีที่เขาพูดถึงข้าว ท้องเจ้ากรรมของผมก็ส่งเสียงร้องออกมาในทันที ผมเลยรีบวิ่งไปห้องน้ำท่ามกลางเสียงทุ้มต่ำที่หัวเราะไล่หลัง ตอนกลับออกมาก็เห็นว่าบนโต๊ะกินข้าวมีอาหารรออยู่แล้ว

“ฉันยืมใช้ครัว ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“นี่คือประหารแล้วค่อยกราบทูล ไม่รอจัดงานศพแล้วค่อยทูลเชิญเลยทีเดียวล่ะครับพี่น้อง”

พี่เอื้อพ่นหัวเราะ “งั้นก็ทูลเชิญให้นั่งแล้วกินได้แล้ว”

ผมที่หิวจนแทบจะกินวัวได้ทั้งตัวไม่รอให้ถูกเชิญก็คว้าช้อนส้อมแล้วจ้วงลงไปในแกงจืดทันที ก่อนตักเอาเต้าหู้และไข่ห่อไส้หมูสับที่ถูกผูกด้วยต้นหอมเสียสวยขึ้นมาทันที “อุ...นี่ซื้อร้านไหน”

“ทำเองสิ”

“โห พี่ทำอาหารเป็นด้วย”

พี่เอื้อหัวเราะ “ทำไม พระเอกแมสสุดเพอร์เฟ็กต์ก็ต้องทำได้ทุกอย่างไม่ใช่หรือไง”

...เออ ก็จริง

“เป็นไง”

“...ก็อร่อยดี” แต่ไม่ถึงกับมีแสงพุ่งออกจากปาก

พี่เอื้อเห็นสีหน้าผมแล้วก็หัวเราะออกมา “อะไร หวังว่าพี่จะทำอาหารเทพระดับเชฟกระทะเหล็กเหรอ”

“...เออ ก็นิดนึง ก็แบบ...พระเอกอ่ะ” มันก็ควรจะต้องเทพทุกอย่างสิ

พี่เอื้อกลอกตาใส่ผม

ระหว่างกินข้าว พี่เอื้อก็พูดขึ้นมาว่า “น้องอีกคนของนายนั่นขึ้นมาเคาะเรียก ฉันเลยต้องเปิดห้อง ไม่งั้นมันจะดูน่าสงสัย หมอนั่นไม่ได้ถามอะไร แต่บอกให้ฉันดูน้องเล็กนายให้หน่อย เขาจะไปแล้ว”

“อ๊ะ ขอโทษนะครับ” ผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกสองชีวิตอยู่ด้านล่าง “นะ น้องผมคงไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม”

“นอกจากกอดขาฉันไม่ปล่อยแล้วเรียก ‘เจ้าชายรูปหล่อขาของแตงโม’ อ่ะเหรอ...ก็ไม่นะ”

“...” ผมตักไข่ห่อหมูสับเข้าปากด้วยท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ จากนั้นก็ควานหาเห็ดหูหนูในแกงจืด

“พอสามโมงพ่อน้องเขาก็มารับไปแล้ว...นั่นน้อย ชลสิทธิ์ใช่ไหม”

ผมพยักหน้าหงึกหงักระหว่างเคี้ยวเห็ดหูหนูดังกรุบๆ จนกระทั่งเคี้ยวหมดคำจึงตอบ “ใช่ อาน้อยไม่ได้ทำอะไรพี่ใช่ไหม”

“ไม่มี แค่ตอนแรกคิดว่าฉันเป็นชู้รักแม่นาย ฉันเลยบอกไปว่าจริงๆ แล้วเป็นชู้รักของนาย”

ผมสำลักข้าวทันที “แค่กๆๆๆๆๆ”

พี่เอื้อส่งน้ำให้ พลางหัวเราะและขอโทษขอโพย “ล้อเล่น! ฉันบอกว่าเป็นรุ่นพี่นาย นายไม่สบายเลยโทรเรียกมาให้ช่วยดูน้องให้หน่อย ฉันใส่ชุดนักศึกษาอยู่ เขาเลยไม่ค่อยติดใจเท่าไหร่”
ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะมองเสื้อผ้าพี่เอื้อ เออว่ะ ชุดนักศึกษาจริงๆ ด้วย แถมยังมีสภาพค่อนข้างยับเพราะไม่ได้รีดอีกต่างหาก

“ช่วยไม่ได้ บ้านนายมีชุดเดียวคือชุดที่ฉันใส่วันนั้นแล้วนายเอาไปซักให้” พี่เอื้ออธิบายเนิบๆ ก่อนบ่น “ถ้ารู้แบบนี้ตอนแวะหอฉันหยิบติดมาอีกสักชุดก็ดีหรอก”
หลังจากนั้นพวกผมก็เปลี่ยนไปคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เรียกว่าเป็นมื้อเย็นที่กินเวลามากที่สุดในรอบหลายปีนี้ของผมเลย ที่ผ่านมาผมซื้อข้าวแกงมาเทแล้วตักๆ กินไม่กี่คำก็หมด แต่พอมีคนนั่งกินเป็นเพื่อน จากสิบห้านาที กลายเป็นชั่วโมงสิบห้านาทีเสียอย่างนั้น

“พี่เอื้อ”

“หือ”

“ขอบคุณครับ อาหารอร่อยมาก” ผมยกมือไหว้ประหนึ่งไหว้เจ้าที่ ขอบคุณที่มอบอาหารให้ลูกช้าง

พี่เอื้อยิ้มอวดฟันขาวแบบที่เห็นแล้วชวนให้หัวใจเต้นแรงออกมา ก่อนเอ่ยนุ่มๆ “ไม่เป็นไรครับ พี่ยินดีทำให้เดือนกิน...แต่เดือนล้างจานนะครับ”

“...” กูว่าแล้ว ชีวิตกูมันแมสได้แค่นี้แหละ

พอเขาพูดถึงล้างจาน ผมก็หันไปมองกองถ้วยชามรามไหที่วางอยู่ในซิงก์ ก่อนจะแผดเสียงร้องออกมา “แล้วนี่ทำไมพี่ใช้หม้อใช้กระทะเยอะขนาดนี้!”

“ถ้านายจะใช้น้อยๆ ก็ต้มมาม่ากินก็พอ”

“มาม่าใช้ไมโครเวฟก็พอแล้ว! …ผมก็อยากกินแค่นั้น”

“งั้นคายไอ้เมื่อกี้ออกมาให้หมด”

“ฮือๆๆๆ”

สุดท้ายผมก็เลยต้องล้างจานชามกองโต อะไร...โอเคครับ จริงๆ แล้วพี่เอื้อไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำระยำลำไยอะไรขนาดนั้น พี่แกก็ช่วยจัดการพวกเศษอาหาร แล้วก็ยังเอาขยะไปทิ้งให้ด้วย แถมล้างๆ ไปก็ถูกตีมือเพราะล้างทั้งแก้วทั้งชามปนทั้งหม้อปนกันมั่ว สุดท้ายถูกสอนให้จัดระเบียบว่าชิ้นไหนควรล้างก่อน ชิ้นไหนควรล้างทีหลัง “จริงๆ ต้องแยกฟองน้ำ แต่ช่างเถอะ นี่เปลี่ยนฟองน้ำล้างจานบ้างไหมเนี่ย”

“...บ้าง” ...บ้างก็ลืม

“...” พี่เอื้อกลอกตาใส่ผม “เออ เอ้า ช่างมัน”

“เมื่อกี้พี่ก็กินด้วยจานชามบ้านผมนะ” ผมเอ่ยเนิบๆ “ถ้ามันจะมีอะไร เราก็กินเชื้อโรคร่วมสาบานเข้าไปด้วยกันแล้วล่ะ”

เลยโดนตบกบาลเบาๆ ไปหนึ่งดอก หัวมีฟองน้ำยาล้างจานติดอยู่เล็กน้อย

“ไว้ออกไปแล้วก็ไปซื้อมาเปลี่ยนซะนะ ดูฟองน้ำล้างแก้วด้วย”

“ครับพ่อ”

...เลยโดนตบอีกที





หลังจากนั้นเขาก็พูดขอบคุณ แล้วก็บอกตัดสัมพันธ์กันอย่างไร้เยื่อใยในทันที...โอเค จริงๆ พี่เขาก็ให้เงินมานิดหน่อยเป็นค่าแรง เอ๊ย สินน้ำใจ มาแล้วก็บอกว่าคงนานๆ เจอกันสักทีที่คณะ เพราะพี่เขาต้องเข้าไปจัดการงานที่สโมฯ แต่น้ำเสียงพี่แกช่างไร้ความอาลัยอาวรณ์เสียเหลือเกิน ครับ? อย่าโอเว่อร์? ก็ได้...

ผมมองพี่เอื้อเก็บของของตัวเองกลับเข้ากระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ หลังตรวจสอบว่าไม่ลืมอะไรแล้ว ผมก็เดินไปส่งเขาหน้าบ้าน

ในตอนที่เขาเดินออกไปนอกประตู ไฟหน้าบ้านที่ติดๆ ดับๆ เพราะผมลืมเปลี่ยนหลอดเสียทีสาดส่องใบหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างของพี่เอื้อ

ผมเริ่มเหงื่อตก หรือพอกลับเป็นคนได้ ไม่ต้องการใช้ผมแล้ว ก็เลยจะกำจัดผมทิ้งแบบในหนังสายลับวะเนี่ย ฆ่าปิดปากงี้ ผมเริ่มมองไปรอบๆ แบบหวาดระแวง ทว่าในซอยของผมมีคนอยู่อาศัยไม่เต็ม บ้านถูกทิ้งร้างเยอะ ประกอบกับตอนนี้ก็ดึกแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมา...ยิ่งสยองเข้าไปใหญ่

“รู้อะไรไหม” พี่เอื้อพูดขึ้นทำลายความเงียบ

ผมส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ม่ายยยยย ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วจะไม่เอาไปบอกใครด้วย อย่าฆ่าผมเลย”

“หา”

ผมค่อยๆ เงยหน้ามองพี่เอื้อที่มีสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก จากนั้นก็ถามด้วยเสียงแห้งๆ ว่า “อ้าว พี่ไม่ได้กำลังจะฆ่าผมปิดปากหรอกเหรอ”

“ไอ้เด็กประสาทกลับ” พี่เอื้อกลอกตาใส่ผม ภายใต้แสงไฟติดๆ ดับๆ จากโคมหน้าบ้านสาดส่องให้เห็นรอยยิ้มเอือมระอา เขาเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนเอ่ย “ขอบใจมากสำหรับหลายวันนี้...”

จากนั้นเขาก็จากไป เหลือผมที่ยังมึนๆ เบลอๆ กับชีวิต...รู้สึกเหมือนตัวเองแค่ฝันไปตื่นหนึ่ง

หลังจากนั้นสักพัก ผมก็ค่อยๆ เดินขึ้นห้องและล้มลงบนเตียง ก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในความง่วงงุน ระหว่างที่สติเลอะๆ เลือนๆ พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ในเรื่องเจ้าหญิงนิทราหรือสโนว์ไวต์ที่จุ๊บกันแก้คำสาปได้แล้วก็ลืมตาตื่นมารักกันเลยนี่มันช่างหลอกลวงผู้บริโภคอะไรอย่างนี้หนอ

ดูสิ...เจ้าชายกบองค์นี้จูบเสร็จก็จากไป กระทั่งรองเท้าแก้วก็ไม่มีทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเลยสักข้างเดียว

อะไรนะ ผิดเรื่องเหรอ

••TBC



คำเตือนล่วงหน้า จริงๆ นิยายเรื่องนี้เป็นฟู้ดพอร์น อุดมไปด้วยของกิน โปรดระวังในการอ่านนะคะ (ฮา)

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
STAGE 2: เริ่มรักแต่ยังไม่รู้ใจ
จุดประสงค์การเรียนรู้: พระเอกหรือนายเอกคนใดคนหนึ่งจะเริ่มชอบอีกฝ่าย แต่ยังไม่อยากยอมรับ
คอมเม้นต์นายเอก: ...เรามีสเตจนี้จริงๆ เหรอวะ




7

เล่าถึงไหนแล้วนะ เอ่อ ขอทบทวนก่อน อ้อ พี่เอื้อบังคับปล้ำจูบจากผมจนคืนร่างเป็นคน ทำกับข้าวให้ผมกินตอบแทนคุณหนึ่งมื้อแต่ทิ้งให้ผมล้างจานเอง แถมรสชาติก็ธรรมดาไม่ว้าว...แต่ผมชอบครับ อยากกินทุกวันเลย อย่าหยุดทำเลยนะครับ แค่กๆๆ

เอาใหม่ หลังจากพี่เอื้อทำกับข้าวแทนคุณแล้วก็จากไป ที่สลายคือใจเดือน...ถุย!

สุดท้ายแล้วผมกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ...เสียที่ไหน หลังพี่เอื้อจากไป ผมก็ไข้ขึ้นอยู่วัน...เกือบสองวันได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้เวลาเรียนซัมเมอร์แล้ว  คราวนี้จู่ๆ ไข้ก็หาย อดหาเรื่องอู้เสียอย่างนั้น

จึงกลับเข้าวงเวียน เอ๊ย วงจรชีวิตนักศึกษา ที่ปกติแล้วจะเริ่มจากตื่นมาตอนสายๆ ด้วยอาการงัวเงียเพราะนอนดึก ถ้าวันไหนมีเรียนก็จะตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาวิ่งผ่านน้ำพอเป็นพิธีและวิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถเมล์หน้าปากซอย ระหว่างนั้นจะโดนแดดเผาจนสุกปานกลาง เข้าคณะปุ๊บก็ร่อนลงจอดบนม้านั่งที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงที่นั่งล้อมวงและหยิบชีตขึ้นมา จากนั้นก็พูดประโยคคลาสสิก ‘เอาของมึงมาลอกหน่อยเด๊ะ’ เป็นอันเสร็จกิจวัตรประจำวันครึ่งแรกอย่างสมบูรณ์

อะไร ไม่อยากฟัง ก็ได้ เข้าเรื่อง หลังจากสูญเสียพี่เอื้อไปจากชีวิตเพราะถูกฟันแล้วทิ้ง ผมก็เริ่มต้นการเรียนซัมเมอร์ วันหนึ่งเรียนเช้า วันหนึ่งเรียนบ่าย พวกรุ่นพี่บอกว่าส่วนมากอาจารย์โอ๋ชอบให้ส่งการบ้านในคาบเช้า และมีการบ้านแทบทุกอาทิตย์ ให้เตรียมใจไว้

แต่ปีนี้อาจารย์โอ๋มาแนวใหม่ ยังไม่ทันเริ่มเรียน อาจารย์แกก็ให้การบ้านมาล่วงหน้า...บอกให้คิดเสียว่าเป็นข้อสอบก่อนเรียน ดังนั้นพอผมเข้าไปในคณะ สิ่งแรกที่ทำจึงเป็นการยิงประโยคสุดคลาสสิกใส่เพื่อนที่กำลังนั่งล้อมวงลอกการบ้านกันอย่างเอาเป็นเอาตายในทันที

“เฮ้ย พวกมึง เห็นนั่นป่ะ หนุ่มหล่อสาวสวย” เพื่อนคนหนึ่งของผมทำเสียงกระซิบกระซาบระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านมันอย่างเอาเป็นเอาตาย... “มึงอย่าเพิ่งรบกวนได้ไหมเนี่ย ถ้าไอ้นี่ไม่เสร็จ อาจารย์โอ๋ฉีกกูเป็นชิ้นๆ แน่ๆ”

“เขาเป็นแฟนกันเหรอ โอ๊ยย พี่สาลี่แม่ง ยิ้มน่ารักอ่ะมึง” เพื่อนอีกคนทำเสียงตื่นเต้นตกใจ ผมที่ได้ยินชื่อพี่สาลี่ถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

พี่สาลี่เป็นรุ่นพี่สาวสวยประจำคณะที่บรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พากันน้ำลายหกติ๋งๆ ทุกครั้งที่เดินผ่าน และเป็นแฟนเก่าจำนวนหนึ่งสัปดาห์ถ้วนของไอ้ธีเพื่อนเลิฟของผม ทั้งคู่เลิกกันเพราะภาธีเหยาะซอสแม็กกี้ลงไปในไข่ดาวของตัวเองแทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศที่พี่สาลี่อยากกิน สีหน้าของไอ้ธีตอนเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเปี่ยมไปด้วยความเซ็งเต็มที่
พอเงยหน้าขึ้นปุ๊บ ลูกตาผมก็แทบจะทะลักออกมา ผมเห็นใครบางคนที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตา

คิดว่าคงเดากันได้แล้ว... ถูกต้องนะครับ ภาธีมันไม่ได้เรียนซัมเมอร์ ไม่มีธุระอะไรกับที่คณะ ฉะนั้นหนุ่มคนดังกล่าวย่อมไม่ใช่ภาธี และที่เล่าๆ มานี่นอกจากภาธี ก็มีสิ่งมีชีวิตเพศผู้นอกจากผมอีกแค่คนเดียว แล้วมันจะเป็นใครไปได้ หือ ให้ผมเลิกออกทะเลได้แล้ว ก็ได้ คนนั้นคือพี่อะเอื้อออออออ จบ

“นั่นมันรุ่นพี่ราชาหล่อระยำนี่นา” เพื่อนที่นั่งข้างๆ ผมอุทานด้วยเสียงสองก่อนจะม้วนลิ้น “หล่อออออออว์”

“อา...คนอะไรหล่อระยำ หล่อสมควรตาย หล่อไม่บันยะบันยั้ง”

“ชาติก่อนทำบุญด้วยครีมกี่กระปุกหนอ”

“อาจจะทำบุญด้วยหมอโรงพยาบาลยัน*ปิ๊บ*ก็ได้”

“...ทำไมทำบุญด้วยหมอศัลยกรรมแล้วถึงเกิดมาหล่อวะ”

“มึงถามผิด ตรงนี้มึงควรต้องสงสัยก่อนป่ะว่าทำบุญด้วยหมอมันทำกันยังไง ยัดหมอลงบาตรไม่ได้นะเว้ย ไม่เหมือนหนีผีลงตุ่ม”

“...” ครับ คนรอบตัวผมมีแต่คนแบบนี้แหละครับ สมองดีชาติพัฒนา ได้โปรดอย่ามองผมด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘เพราะสมองพังแบบนี้ถึงต้องมารับกรรมเรียนซัมเมอร์สุขสันต์’ สิครับ นี่มันคุยเรื่องอะไรกันอยู่ผมก็ยังไม่เข้าใจเลย แต่นิยายแมสมันก็มีกลุ่มเพื่อนที่คุยอะไรไม่รู้เรื่องแบบนี้ป่ะ
วันนี้พี่เอื้อสวมชุดนักศึกษาที่คาดว่าจะเป็นชุดราคาแพงใส่แล้วไม่คันของเขา หน้าตายังหล่อเหลาเหมือนเดิม ยิ่งบวกด้วยพี่สาลี่ที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มนั่งข้างๆ กัน ทำเอาคนเดินผ่านไปผ่านมาพากันมองตาม

ประโยคที่คนปกติที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นพูดคือ “เฮ้อ... หนุ่มหล่อสาวสวย ดูแล้วสดชื่นดีเนอะ”

ส่วนประโยคที่บรรดาเพื่อนผมพูดคือ “หนุ่มหล่อสาวสวย...มึงว่ากูฆ่าแล้วเอาหนังมาสวมดีไหม”

“...” เพื่อนกู





สุดท้ายพวกผมเสียเวลาไปกับการส่องชาวบ้านไปจังหวะหนึ่ง ทำเอาเกือบลอกการบ้านกันไม่ทัน เรียกว่าจรดปากกาลงข้อสุดท้ายตอนออดดัง วิ่งขึ้นบันไดกันแทบไม่ทัน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีตา ฟ้าจึงส่งนกต่อไปล่อซื้ออาจารย์โอ๋ เห ประโยคไม่ถูกเหรอ เอ่อ เอาว่าระหว่างเพื่อนแกล้งเอาโจทย์ไปถามอาจารย์ ผมก็เป็นหน่วยกล้าตายไถลตัวพุ่งเข้าชาร์จกองการบ้านและเสียบงานของทั้งตัวเองและต้นฉบับลงไปอย่างสวยงามท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนๆ

พออาจารย์โอ๋เดินมาเห็นกองการบ้านก็หยิบขึ้นมาดูปึกหนึ่ง หลังจากพลิกดูทีละแผ่น รอยยิ้มพิลึกๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์ “ที่จริงก็เห็นกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าอาจารย์ควรจะตรวจของพวกเธอแค่ชุดเดียวก็พอนะ ไม่สิ... แต่นี้ต่อไปอาจารย์สั่งการบ้านชุดเดียวต่อคลาสไปเลยดีไหม”

ทุกคนโปรยยิ้มเขินๆ ก่อนจะมีคนตอบ “ก็ดีนะครับ’จารย์”

“...พวกเธอ นี่ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดใช่ไหม ยังกล้าตอบว่าดีอีกเหรอออออออ”

สิ้นพระสุรเสียง... พระชนนีก็กระทืบพระบาทา ดัชนีกรีดกรายซ้ายขวาเลื่อน พระโอษฐ์เอื้อนร้องเหวยๆ อุเหม่หมาย อ้ายพวกไพร่หญ้าแพรกปัญญาสถุลยิ่งกว่าควาย ถ่อยถุนยิ่งกว่าอีถ่อยที่นอนหงายอยู่ท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์ อ้าวขอโทษที ผิดบท แบบว่าวันก่อนโดนลากไปดูลิเกเลยติดมา

หลังจากนั้นก็เข้าสู่กัณฑ์เทศน์ของ (พระ) อาจารย์โอ๋ที่ยาวเหยียดเยี่ยงเทศน์มหาชาติ ฟังจบบุญบารมีนี่แผ่ไพศาล ตายปุ๊บขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที อนุโมทนาสาธุร่วมกันนะครับท่านผู้ชม

ไอ้ตอนด่านี่ไม่ตั้งใจฟังไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในวิชา ผมก็เริ่มเอนตัวไปด้านหลังอย่างช้าๆ น่าเสียดายที่เก้าอี้ของโต๊ะเลกเชอร์มันเตี้ยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคงพิงได้สบายหลังกว่านี้ เสียงของอาจารย์โอ๋เริ่มเบาลงเรื่อยๆ ตาของผมค่อยๆ... ปิด...

“กุสมาลย์!”

“ขา อาจารย์” ไอ้กิ่งเพื่อนผมดีดตัวขึ้นมาจากที่นั่งข้างๆ ทำเอาผมสะดุ้งไปกับมันด้วย...เพื่อนๆ มึงเช็ดน้ำลายก่อน ผมพยายามทำท่าบุ้ยใบ้ใส่มันก่อนจะแอบใช้แขนเสื้อเข็ดคราบน้ำลายของตัวเองบ้าง ซร้วบบบ

อาจารย์โอ๋ถามคำถามบนกระดาน ซึ่งได้รับคำตอบเป็นสายตาอันว่างเปล่าของเพื่อนสาวคนสวยของผม จริงๆ มันก็พยายามจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือจากผมแล้ว แต่ขอโทษด้วยนะเพื่อนเอ๋ย ถ้าตอบได้ กูจะมานั่งเรียนซ่อมกับมึงตรงนี้เหรอวะ คิดสิคิด

“เฮ้อ งั้น......มาภา”

“คะ ครับ” ผมสะดุ้งโหยงขณะมองโจทย์บนกระดานอีกครั้ง ชิบหายแล้วกู สิ่งที่เห็นนี้มันคือภาษาดาวใด ผมกวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง สุดท้ายเปลี่ยนยุทธวิธีไปเป็นพยายามส่งสายตาน่ารักของคิ้วต์บอยใส่อาจารย์ แต่ไม่เป็นผล

“มาภา...ท่านี้ใช้กับอาจารย์ไม่ได้หรอกนะ” ไม่รู้หูฝาดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนจะได้ยินอาจารย์หัวเราะดังหึแบบเย้ยหยัน

...ฮือๆๆๆๆ ผมผิดไปแล้ววววววววว

อาจารย์ทำท่ากวักมือให้ผมนั่งลง ก่อนสุ่มเรียกผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายราย แต่ละรายล้วนสภาพเดียวกันคืออ้าปากพะงาบๆ จนผมนึกว่าที่นี่กลายเป็นบ่อปลาไปแล้ว ทุกคนพยายามจะฮุบน้ำกันใหญ่ ฝ่ายอาจารย์โอ๋เห็นแล้วก็ได้แต่กุมขมับ “นี่พวกเธออยากผ่านวิชาอาจารย์จริงๆ หรือเปล่าเนี่ย”

“อยากสิครับ/คะ” ทุกคนร้องเสียงหลง ถึงหนึ่งวิชาจะมีโควตาเรียนซ้ำได้อีกหลายรอบก็เหอะ แต่นี่แค่รอบที่สองยังรู้สึกเหมือนโดนจับมานั่งทรมานขนาดนี้ ใคร้ ใครมันอยากจะเรียนอีก

อาจารย์โอ๋กวาดตาไปรอบๆ ห้อง ก่อนถอนหายใจออกมายาวเหยียด

“เอาล่ะ เบรกก่อนสิบห้านาที พวกเธอไปล้างหน้าล้างตาซะ แล้วค่อยกลับมาเรียน”




พวกผมพากันเดินโซเซไปที่ห้องน้ำ ระหว่างทางเหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเพราะอะไรก็ไม่รู้เข้าตาผม น่าจะเป็นฝุ่นจากไซด์ก่อสร้างของตึกที่เชื่อมกันด้านหลัง รู้แค่ว่าตอนนั้นผมแสบตาจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ระหว่างนั้นคว้าคนข้างหน้าได้พอดี ผมเดาจากแขนเสื้อและกล้ามแขนแน่นๆ ว่าคนที่ผมดึงอยู่น่าจะเป็นเพื่อนผู้ชายที่เดินออกมาด้วยกัน ดังนั้นจึงร้องบอก “เฮ้ย ฝุ่นเข้าตา มึงพากูไปล้างหน่อย กูลืมตาไม่ขึ้น”

อีกฝ่ายพยุงผมเข้าห้องน้ำไป มีเสียงซุบซิบดังขึ้นไล่หลัง แต่ตอนนั้นผมมัวแต่สาละวนกับการลืมตาในน้ำทั้งคืนจนเช้าเพื่อลืมเธอ~...แค่ก เอาว่าผมกำลังพยายามล้างตาด้วยท่าทางแตกตื่นเพราะตาพร่าไปหมด ตอนนั้นสมองน้อยๆ จินตนาการไปต่างๆ นานาๆ ซึ่งน่ากลัวเกินกว่าจะเผยแพร่

“อย่าขยี้สิ ตาแดงหมด นิ่งๆ เดี๋ยวดูให้” เสียงทุ้มต่ำที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดดังขึ้น อีกฝ่ายตัวสูงกว่าผมมาก ด้วยระยะสายตาของผมจึงเห็นเพียงลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลง “เงยหน้า”

อีกฝ่ายสั่ง ผมค่อยๆ เงยหน้า พยายามลืมตาที่แสบร้อนอย่างยากลำบาก ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆ เกลี่ยผ่านดวงตาของผมอย่างอ่อนโยน การเคลื่อนไหวของเขาเบามากเสียจนผมแทบไม่รู้สึก

“เอ้า เรียบร้อย ออกแล้ว...ล้างอีกสักที อย่าไปขยี้นะ”

ผมพึมพำขอบคุณ ก่อนลืมตาในน้ำอีกครั้ง ตอนแรกๆ ภาพยังเบลอๆ อยู่บ้าง พอกะพริบตาไปสักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก สายตาก็ประสานเข้ากับใครบางคน “!”

“...เชี่ยยยย พี่อะเอื้ออออออ” สะ แสบตาเหลือเกิน สลายร่างงงง สวรรค์เอยทำไมจึงโหดร้าย จะบ้าตาย ทีจับหวยบนแผงกี่ใบๆ แม่งก็โดนแดกเรียบ นี่จับทีเดียวได้ผู้ชายเกรดพรีเมี่ยมเฉยเลย

“เอื้อเฉยๆ โว้ย ไม่ต้องอะเอื้อ” พี่เอื้อแก้ให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะบีบจมูกผม “แล้วร้องเชี่ยทำป๊ะอะไร”

“แค่ก ขอโทษที ผมลืมตัว”

หลังจากนั้นเราสองคนก็มองหน้ากัน...บังเกิดเป็นภาวะเด๊ดแอร์ นายมองฉัน ฉันมองนาย เรามองกันเป็นปลากัด สุดท้ายผมไม่รู้จะทำยังไงนอกจากส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ส่วนพี่เอื้อก็เลิกคิ้วเล็กน้อย... ฉึก!... รอยยิ้มหล่อเหลาแบบหนุ่มแบดบอยก็ปักอกผม

“...อย่าเลือดกำเดาไหลนะ ขอร้อง”

“งั้นก็พี่หยุดหล่อเดี๋ยวนี้” ผมตอบโต้ไปแบบไม่ทันคิด ก่อนจะสำนึกได้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าผมไม่ใช่ตุ๊กตากบอีกต่อไป...ตกลงทำไมจูบเดียวของผมช่วยให้คืนร่างเดิมได้ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเลย

“อันนั้นทำไม่ได้ มีอะไรอย่างอื่นจะสั่งเสียไหมครับน้อง”

“...กราบขอบพระคุณมากครับที่ช่วยดวงตาอันบอบบางของผมเอาไว้” ผมยกมือไหว้ท่วมหัว

เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะของพี่เอื้อดังขึ้น นี่เป็นเสียงหัวเราะที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่คราวนี้ผมสามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน...หล่อระยำจริงๆ นั่นแหละ ฮือ เอฟเฟ็กต์แม่งผิดกับตอนเป็นตุ๊กตากบลิบลับ เป็นหนังโป๊คือปกกับไส้ในแม่งต่างกันโดยสิ้นเชิง อะไรนะ เปรียบเทียบไม่ถูกงั้นเหรอ แค่กๆๆ

ขณะเคลิ้มๆ ผมก็สำนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ในห้องน้ำ และเพื่อนร่วมชั้นหลายคนมองมาด้วยสายตาสนอกสนใจ ผมเลยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมา ทว่าพี่เอื้อกลับก้าวตามออกมาด้วย พอเห็นสายตาหวาดระแวงของผม เขาก็หัวเราะ

“พี่ไม่ได้จะมาเข้าห้องน้ำครับ แต่พี่ถูกใครก็ไม่รู้ขอความช่วยเหลือน่ะครับ”

...ก็ขอบคุณสองรอบแล้วคุณพี่ยังต้องการอะไร เอาประกาศนียบัตรสรรเสริญคุณงามความดีด้วยเลยไหม ทว่าก่อนจะได้ขอบคุณรอบที่สามเสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม

“พี่โอบเอื้อ ทำอะไรอยู่คะ อ้าว...” เมื่อหันไปมองก็เห็นพี่สาลี่ที่มาพร้อมสายตาคมๆ ที่กวาดผ่านผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็วประดุจเครื่องบินรบกำลังล็อกเป้ายิงจนผมเกือบหลุดร้องเฮือกออกมาด้วยความอิน

พี่เอื้อส่งยิ้มที่มีฤทธิ์ทำลายสายตาของสาวๆ ที่อยู่โดยรอบในรัศมีห้าเมตรในทันที “พอดีน้องเขาถามอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”

“ผะ ผมไม่รบกวนแล้ว ขอตัวนะครับพี่” ผมรีบยกมือไหว้แล้วรีบชิ่งแบบกลับไม่ค่อยจะถูกเพราะสายตาพร่ามัวจากการถูกรอยยิ้มอันเจิดจ้าของพี่อะเอื้อจู่โจมกะทันหัน พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงพี่สาลี่พูดขึ้นมา แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็นับว่าไม่เบา ผมจึงได้ยินอย่างชัดเจน

“พี่โอบเอื้อไม่รู้เหรอคะ น้องคนนั้นเขาเป็น...”

ผมถอนใจ...เอาเถอะ ร้อยทั้งร้อย ผมจะเป็นอะไรไปได้นอกจากเป็นแบบที่เป็นอยู่นี่แหละ




หลังเลิกเรียน และกินข้าวกลางวันกันเรียบร้อย พวกเพื่อนก็ชวนผมออกไปหาข้าวกินและร้องคาราโอเกะที่ห้าง ด้วยความที่ผมกลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำมากกว่านั่งเล่นเกมก็เลยตอบตกลง แต่เนื่องจากแต่ละคนส่วนมากอยู่หอ เลยจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกคนก็จะไปเอารถมา ผมก็เลยรออยู่ที่คณะ

ระหว่างรอไม่มีอะไรทำผมก็เลยเดินเล่นไปเรื่อย บังเอิญเดินผ่านห้องที่ถูกกั้นแยกเป็นสโมสรนักศึกษาของคณะ พอมองเข้าไปก็เห็นคนที่กำลังเท้าคางกับหน้าต่างแล้วอ่านเอกสาร อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมพอดีก็ส่งยิ้มให้ “ไง กลับบ้านเหรอ”

ผมส่ายหัวเล็กน้อย “รอเพื่อน...ครับ เดี๋ยวไปหาข้าวเย็นกินข้างนอกน่ะครับ”

พอเห็นท่าทางแบบไม่รู้จะสุภาพดีหรือไม่ดีของผม พี่เอื้อก็หัวเราะออกมา “พูดเหมือนเดิมก็ได้ เอาใหม่ กรอเทป”

“รอเพื่อนอ่ะพี่ เดี๋ยวออกไปกินข้าวเย็นที่ห้าง”

พี่เอื้อที่มือหนึ่งถือม้วนเอกสาร อีกมือหนึ่งถือปากการ้องรับในลำคอ “ฮึ่ม ใช้ชีวิตปิดเทอมไปซะ...ไปตากแอร์ที่ห้างแทนฉันด้วย”

“พี่ไม่เปิดแอร์เหรอ” ถึงต้องมานั่งเท้าหน้าต่างรับลมแบบนี้

ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วให้กับคำถามของผม ก่อนตอบยิ้มๆ “นั่งคนเดียวเปิดแอร์เปลืองตาย”

“แล้วคนอื่นล่ะ”

“อ้อ ปีสามส่วนมากฝึกงานกันน่ะ คณะเราไม่ได้บังคับก็จริง แต่ส่วนมากก็เลือกไปฝึกงานกัน” พี่เอื้อตอบ ก่อนอธิบายเสริม “เพราะงั้นตอนนี้เลยเหลือแต่ปีหนึ่งปีสอง ซึ่งก็มีประชุมฝ่ายต่างหาก นี่พี่แค่เข้ามาจัดการเคลียร์เอกสารเทอมก่อน แล้วเดี๋ยวจะต้องเตรียมเอกสารของเทอมหน้าด้วย”

“แล้วพี่ไม่ฝึกงานกับเขาเหรอ” ผมขยับตัวขยุกขยิก เลยถูกเรียกให้นั่ง สุดท้ายเลยกลายเป็นผมนั่งบนขอบหน้าต่าง ก้มลงมองพี่เอื้อที่เท้าแขนอยู่ข้างๆ เขามีการเอื้อมมือมาดันหลังผมเบาๆ

“นั่งดีๆ ระวังตก”

“หล่นไปพี่ก็รับผมหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวหัวกระแทกแล้วจะสมองเสื่อมไปกว่านี้”

พี่เอื้อหัวเราะก๊าก “นับว่ารู้ตัว...เมื่อกี้ถามเรื่องฝึกงานใช่ไหม พี่ไม่ได้ฝึกเพราะฝึกไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วน่ะ ปีนี้ว่าจะลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง ไหนๆ ก็เป็นปิดเทอมครั้งสุดท้ายแล้ว ปีหน้าเรียนจบเริ่มทำงาน คงไม่มีโอกาสได้ว่างแบบนี้อีก”

“อ้อ” ผมตอบรับ หลังจากนั้นพวกผมก็คุยหัวข้อจิปาถะเสียจนน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาและผมไม่เคยแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ มาวันนี้กลับพูดคุยเล่นหัวยิงมุกกวนตีนใส่กันหน้าตาเฉย ความสัมพันธ์มนุษย์ช่างแปลกประหลาดดีแท้หนอ

ผมคุยกับพี่เอื้อจนกระทั่งเพื่อนส่งข้อความมาตามว่าให้ยืนรอหน้าคณะ จึงกระโดดลงจากขอบหน้าต่าง “งั้นผมไปก่อนนะ”

“โชคดี” พี่เอื้อยิ้มน้อยๆ ก่อนเอื้อมมือมาลูบหัวผมเหมือนเมื่อวานนี้

ผมอดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ก่อนจะโบกมือลา “บาย” ...และนึกถึงมารยาทขึ้นมาได้เลยยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”

พี่เอื้อยกมือขึ้นรับไหว้อย่างรวดเร็ว ก่อนโบกมือให้ “บาย...คงไม่ได้พบกันอีกเร็วๆ นี้แหละนะ”

อนิจจา...พี่เอื้อหารู้ไม่ว่าช่วงเวลาที่ผมและเขาจะพบกันอีกนั้น ‘เร็ว’ อย่างยิ่ง...ยิ่งกว่ากามนิตหนุ่มเสียอีก





ผมแยกกับเพื่อนในตอนค่ำ พอกลับมาถึงก็พบว่าในบ้านมีเสียงหัวเราะของเด็ก ตอนแรกตกใจไปวูบหนึงนึกว่าผีเจ้าที่หรือกุมารทอง ก่อนสำเหนียกได้ว่าตอนนี้ปิดทอม คิดว่าอาน้อยคงเอาแตงโมมาฝากเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่รู้ทำไมทิ้งเอามาทิ้งไว้ดึกป่านนี้ พอเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่ต้อนรับผมคือพื้นที่เต็มไปด้วยเศษอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายนุ่น และชิ้นส่วนตัวต่อ รวมถึงโมเดลสัตว์ประหลาดระเกะระกะไปหมด

จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงของเด็กผู้ชาย ทีแรกสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่านั่นคือน้องชะ...แฟนหนุ่มของน้องสาววัยอนุบาลของผม

“น้องชะ ยัยแตงโม นั่นทำอะไรอยู่น่ะ” ผมตะโกนถามน้องสาวคนเล็กที่น่าจะเป็นตัวการ ขณะเดินหลบหลีกหนามแหลมๆ ของเจ้าสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนไดโนเสาร์

“พวกเรากำลังปกป้องโลกจากกบวายร้ายครับ” แฟนหนุ่มของน้องสาวคนเล็กของผมตอบด้วยเสียงรื่นเริงขณะเหวี่ยงตุ๊กตากบในมือไปมา ส่วนน้องแตงโมของผมมีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ขณะมองไปทางตุ๊กตาตัวดังกล่าว

...ตุ๊กตากบ

ผมพยายามเพิ่งมองให้ดีๆ ...พระเจ้าช่วย เจ้านั่นมันกบตัวเดียวกับพี่เอื้อ เอ๊ย ไม่ ต้องเรียกอะไร ร่างเดิมของพี่เอื้อ...เอ่อ ก็ยังไม่ใช่ เอาว่ามันคือพี่เอื้อใช่ไหมนั่น!

“นะ น้องชะ” เสียงของผมสั่นน้อยๆ “...ได้...กบนั่น มาได้ยังไงน่ะ”

“ชะเห็นมันตกอยู่หน้าบ้านครับ”

...ผมเริ่มเหงื่อตก

“ซุปเปอร์สวิงทอร์นาโด... ตายซะ เจ้าจักรพรรดิกบจอมชั่วร้ายยย” แฟนน้องสาวผมผมจับตุ๊กตากบเหวี่ยงไปมา

“น้องชะครับ หยุดก่อนนนน นั่นตุ๊กตาของพี่นะ”

แฟนน้องแตงโมเอียงคอมองหน้าผม ก่อนจะเขย่าตุ๊กตากบที่ไส้ทะลักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจนนุ่นค่อยๆ ร่วงลงมากองกับพื้น สีหน้าของแฟนหนุ่มวัยอนุบาลของน้องสาวผมบ่งชัดว่าไม่เข้าใจเรื่องที่ผมพูดสักนิด ส่วนน้องสาวผมที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องห่มร้องไห้พลางกรีดร้อง “ฆ่ามัน มันขโมยจูบของแตงโม”

“...” โว้ย ยังไม่ลืมอีก

ฝ่ายน้องชะพอได้ยินแฟนสาวพูดแบบนี้ มือที่หยุดไปก็เริ่มแกว่งอีกครั้ง โฮกกก นุ่นทะลักกระจายไปหมดแล้ววววในตอนนั้นเอง ผมจึงตัดสินใจเลือกหัวข้อเจรจาที่เข้าใจกันได้ทุกเพศ ทุกวัย และไม่เกี่ยงสัญชาติ

“ไอติมลอดช่องไหม เดี๋ยวพาไปกินที่ตลาดข้างหน้า”

น้องสาวผมที่กำลังทำท่าร้องไห้พลันหยุดทันที ยัยหนูคนนี้อนาคตจะต้องเป็นดาราเจ้าบทบาทเจริญรอยตามพ่ออย่างแน่นอน

สุดท้ายผมจึงเจรจาเอาตุ๊กตากบที่สภาพอ่อนปวกเปียกคืนมาได้

“พี่ไปหยิบกระเป๋าตังค์แป๊บ” ว่าแล้วก็เผ่นตรงเข้าห้องนอนของตัวเองในทันที พอเข้าห้องได้ปุ๊บ ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

“เด็กนั่นมันอะไรกันหา!”

ว่าแล้วไหมล่ะนั่น...ผมนึกอยากปิดหน้าแล้วร้องไห้

“พี่เอื้อ” ผมเกาหัวแกรกๆ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

“ไม่รู้! พอฉันกลับไปที่ห้อง อยู่ดีๆ ก็กลับไปเป็นกบอีก... กว่าจะหาทางแอบออกมาจากตึกได้แม่งโคตรยาก แถมยังต้องฝ่ารถ หมาไล่กวด หลบท่อมรณะของกทม. ทั้งหมดเพื่อกลับมาหานาย! แต่มาปุ๊บก็เจอน้องยอดมนุษย์นั่นน่ะ...ไอ้เจ้าเด็กปีศาจนั่นจู่ๆ ก็เอาสัตว์ประหลาดมารุมจู่โจมตีฉันใหญ่เลย น้องสาวนายก็เอาแต่กรี๊ด

“...” ไอ้ช่วงครึ่งหลังของเรื่องพอนึกภาพออก แต่ไอ้ที่พี่เอื้อหาวิธีมาบ้านผมได้นี่ภาพกลายเป็นการ์ตูนพิกซาร์ไปแล้ว ดีนะไม่ต้องลอดมาตามท่อระบายน้ำ

“เรื่องนั้นช่างเถอะ” ตุ๊กตากบทำท่าโบกไม้โบกมือ “เอาเป็นว่านายจูบฉันอีกทีซิ”

“ตอนนี้?”

“เออสิ”

“อ่า แต่พี่ไส้ทะลักแบบนี้ ถ้าคืนร่างเดิมแล้ว...จะ เอ่อ...” ผมไม่กล้าพูดต่อ แต่ดูเหมือนพี่เอื้อจะเข้าใจความหมายดี เพราะวินาทีต่อมาเขาก็สั่งเสียงเข้ม “เย็บฉันซะ!”

ทว่าก่อนจะได้ทำอะไร ก็มีเสียงแหววๆ ดังมาจากนอกประตู

“พี่เดือนนนน ไอติมของแตงโมล่ะ”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละๆ” ผมตะโกนบอกน้องสาว ก่อนวางพี่เอื้อซึ่งท้องยังแบะไว้บนเตียงและเอ่ยเสียงเบา “เดี๋ยวผมกลับมา”

สุดท้ายตุ๊กตากบก็กลับมาอยู่บนเตียงของผมอีกจนได้ ฮืออออ




พอกลับมาถึงบ้าน เดิมทีคิดว่าสิ่งที่รอต้อนรับผมอยู่คือตุ๊กตากบตัวหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นอาน้อยที่ยืนกอดอกแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ ผมส่งคืนเจ้าหญิงของอาให้ พลางหันไปมองน้องชะ ก่อนจะจับจูงแฟนหนุ่มน้อยของน้องสาวกลับไปส่งที่บ้าน

ก็เลยอยู่นั่งกินขนมดูซีรีส์ส่องหนุ่มร้องผัวๆ ที่บ้านน้องเขาซึ่งก็คือบ้านเพื่อนผมอยู่อีกเกือบสองชั่วโมง กว่าจะกลับถึงบ้านอีกทีก็เกือบห้าทุ่ม ด้วยความที่ขี้เกียจเปิดไฟ เห็นว่าไหนๆ ก็จะนอนแล้วก็เลยเตะเอาของเล่นที่กองเรี่ยราดให้หลบไปทางหนึ่ง จากนั้นก็ตรงไปอาบน้ำแล้วก็ขึ้นห้อง

ตอนเปิดประตูห้องนอนตัวเอง ผมถึงค่อยนึกได้ว่าลืมอะไรไป

“...ยังจำได้เหรอว่าต้องกลับบ้านน่ะ”

“พี่เอื้อ นั่นมันบทพูดของพ่อที่รอลูกสาวกลับบ้านดึกนะ”

“มาภา! นายกล้าทิ้งฉัน”

“อันนี้บทพูดของพระเอกอายุน้อยที่ถูกทิ้ง”

“...จะเพ้อเจ้ออีกนานไหมครับน้องเดือน”

“ขอโทษครับพ่อ”

“เตือนพี่ด้วยว่าติดหนี้ ‘ขาคู่’ อยู่หนึ่งคิก”

“...” ใคร้ ใครมันจะเตือน!




สุดท้ายผมอุ้มตุ๊กตากบที่แลดูจะมีสภาพจิตหดหู่ลงมาข้างล่าง จากนั้นก็เปิดไฟทั้งบ้าน พยายามเก็บนุ่นยัดกลับไปให้ครบ...ซึ่งโคตรเหนื่อย ก่อนจะเดินไปหาอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนอย่างหมดเรี่ยวแรง อันที่จริง ไม่นับเรื่องที่ฝีมือเย็บผ้าผมไม่เอาอ่าวแล้วเนี่ย ไอ้การที่ผมกัดฟันยอมเย็บพี่เอื้อก็เพราะไม่อยากเสี่ยง เกิดมีศพไส้ทะลักนอนตายกลางพื้นห้องจะให้ทำยังไงกัน

หล่อแค่ไหนก็ไม่เอาอ่ะ!

ระหว่างเริ่มกระบวนการซ่อมแซม พี่เอื้อก็เอ่ยขึ้นมาเป็นระยะๆ “นาย...ไหวไหมเนี่ย”

“พี่อย่ากวนสมาธิผม!” ผมเอ็ดเขา

จนในที่สุดผมก็เย็บเสร็จ พอมองผลงานบูดเบี้ยวของตัวเองแล้ว ผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ...พอถูไถก็เอาแล้วน่า พี่เอื้อเองก็มองสภาพแสนอนาถแล้วทำเสียงแปลกๆ เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ

“เอาล่ะ ไหนนายลองจูบฉันอีกทีซิ” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ ผมมองตุ๊กตายัดนุ่นตรงหน้าด้วยสายตาเหมือนถูกสั่งให้ไปออกรบที่ยังไงก็ตายแหงแก๋ “เอ้า เร็วเข้า แค่จูบฉันนิดเดียว ไม่ได้ส่งไปรบสักหน่อย”

...เอ่อ ไม่ได้ส่งไปรบก็จริง แต่การเจอผู้ชายหล่อเปลือยอยู่ตรงหน้านี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าส่งไปรบอีกเหอะ คิดแล้วผมได้แต่หลับตาปี๋ ก่อนจะจูบตุ๊กตากบอีกครั้ง...ฮึบ

จุ๊บ!

“อ้าว...”

ในมือของผมยังคงเป็นตุ๊กตากบเหมือนเดิม ผมกับพี่เอื้อได้แต่มองหน้ากันอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

••TBC


เธอมองฉันฉันก็มองเธอ~

บอกแล้วว่าเรื่องนี้ รักอลวนเดี๋ยวคนเดี๋ยวกบค่ะ 5555+

ขอบคุณที่แวะกันเข้ามานะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:

เดี๋ยวจะพยายามมาให้เร็วขึ้น เพราะเรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ พอดีต้นฉบับเรามันต้องมาเคาะเว้นบรรรทัดเลยเสียเวลาในการลงกว่าปกติที่โปะๆ ไปก็จบ


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
8



ภายใต้อากาศอันร้อนอบอ้าวของเดือนเมษายน ผมนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ข้างกันมีตุ๊กตากบตัวหนึ่ง กลางเตียงมีกระดาษเปล่า และโทรศัพท์มือถือสองเครื่อง

“เอาล่ะ ก่อนอื่น... เราจะเริ่มจากไหนก่อนดี”

“ไล่ไปตามตัวอักษรก็แล้วกัน” ว่าแล้วตุ๊กตากบก็ใช้ตะเกียบกดลงไปบนโทรศัพท์แบบปุ่มกด...ที่ผมถูกใช้ให้วิ่งออกไปซื้อมาชั่วคราว จากพระเอกแมสๆ ถือไอโฟน ตอนนี้เลยกลายเป็นไอ้หนุ่มโทรศัพท์อาม่าไปชั่วคราว

คืออันที่จริงตอนแรกผมอุตส่าห์ประดิษฐ์ประดอยเอาตะเกียบหุ้มฟอยล์จากถุงขนม...ขออวด นี่อุตส่าห์ดูคลิปวิธีทำปากกาใช้กับสมาร์ตโฟนด้วยตัวเองเลยนะ เพิ่งรู้ว่าแค่ใช้ฟอยล์จากถุงขนมก็ทำได้แล้ว ส่วนไอ้ประเด็นที่ว่าหลายยยปีต่อมาแอปเปิ้ลก็ยอมออกปากกามาในที่สุดนั่นปล่อยมันไปก่อน

แต่ปัญหาคือแค่นั้นมันใช้ไม่ได้ อย่างไรเสียส่วนของฟอยล์ถุงขนมจะต้องมีจุดที่สัมผัสกับนิ้วมือคนด้วย ผมอุตส่าห์พยายามไปอ่านวิธีเพิ่ม สุดท้ายก็ยอมแพ้ ก็ในเน็ต ที่ทำรีวิวมันก็มีแต่มนุษย์ทั้งนั้น ไม่เคยมีใครเป็นตุ๊กตาแล้วมารีวิววิธีการกดหน้าจอสมาร์ตโฟน

สุดท้ายพวกผมเลยแก้ปัญหาด้วยโทรศัพท์แบบปุ่มกด...ยังดีที่หาซื้อได้อยู่

สำหรับเรื่องการกลายร่างของพี่เอื้อนั้น จากการทดสอบกันอย่างยาวนานที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา พวกเราทั้งคู่พบว่าการจูบจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อทิ้งช่วงเวลาประมาณหนึ่ง (ซึ่งค่าตัวเลขยังไม่แน่นอน กำลังอยู่ในระหว่างการทดลอง) ที่สำคัญคือทุกครั้งผมจะอยู่ในสภาพร่างกายอ่อนล้าเหมือนถูกสูบพลังไป ยิ่งสูบไปมากเท่าไหร่ พี่เอื้อก็ยิ่งคืนร่างได้นานขึ้นเท่านั้น แต่แน่นอนว่าผมย่อมไม่ยอมให้ทดลองสูบจนหมด เกิดผมตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบวะ

“เดี๋ยวพี่รับผิดชอบจัดงานศพให้”

“เงียบไปเลยโว้ย!”

ทว่าถ้าผมเหนื่อยล้าเกินไป หรือพี่เอื้อเพิ่งคืนร่างไป จะมีช่วงเวลาประมาณหนึ่ง จูบถึงจะใช้ได้ผลอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อวันก่อนโน้น (อ่านว่าตอนที่แล้ว) ที่พวกผมลองกันจึงไม่สำเร็จ

งานวิจัยชิ้นนี้มีความปวดหัวอยู่นิดหนึ่งคือไม่ว่าผมจะพยายามหลบเลี่ยงยังไง ก็จะมีชายหนุ่มเปลือยกายคร่อมทับผมในท่าทางล่อแหลมทุกครั้ง ถึงยังไงเสียผมก็เป็นเกย์หนุ่มสุขภาพดีนะ เจอแบบนี้บ่อยๆ เข้ามันก็ไม่ไหวนะ ฮือๆๆๆ

“พี่ พี่ไม่มีความรู้สึกรังเกียจเวลาจูบผู้ชายเลยสักนิดเหรอ”

“...ต้องรังเกียจด้วยเหรอ นายรังเกียจเหรอ”

“...เอ่อ” คือก็ไม่ แต่ว่ามันมีผลทางใจบางประการ

“ไม่เป็นไรนะ คิดเสียว่าช่วยผายปอดคนจมน้ำก็แล้วกัน”

“...” เอางั้นนะ

อ้อ และเพื่อทดสอบหาแหล่งพลังงานอื่นๆ ผมจึงได้ทำการล่อลวงเด็กชายวัยอนุบาลหรือเด็กปีศาจของพี่เอื้อมาเล่น ‘ปิดตาตีมะละกอ’ กัน จังหวะที่น้องชะปิดตาอยู่นั้น ผมก็ส่งพี่เอื้อเข้าไปจุ๊บด้วยความเร็วแสง แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แถมน้องชะยังถามผมด้วยเสียงใสๆ อีกว่า “เมื่อไหร่จะเริ่มฮะพี่เดือน”

สรุปว่าการทดลองครั้งนั้น ผมเสียมะละกอไปหนึ่งลูก กับเสียความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านที่บังเอิญเดินผ่านมาโดนทั้งเนื้อและน้ำมะละกอซัดเข้าไปเต็มๆ อีกหนึ่งคน และเสียศีรษะให้กับขาคู่ของพี่เอื้อไปหนึ่งคิกตอนที่เสนอแผน

“เฮ้! มันอยู่ที่ช่วงอายุของอีกฝ่ายด้วยหรือเปล่า” รุ่นพี่รูปหล่อของผมตั้งข้อสังเกตหลังจากหนีกลับฐานทัพ เอ๊ย กลับห้องผมมาได้ ผมดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดคราบซากมะละกอที่ติดตามตัวออก พลางถามด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว

“แล้วพี่จะให้ผมทำไงอ่ะ หลอกลุงบ้านตรงข้ามเล่นปิดตาอีกคนหรือไง”

“...อย่าเลย” พี่เอื้อปฏิเสธทันควัน

สรุปว่าการทดลองนี้เป็นอันหยุดกลางคันเนื่องจากสาเหตุด้านความปลอดภัยของผู้ประกอบการทดลอง (ผม) และสารที่ใช้ในการทดลอง (พี่เอื้อ) เอวัง, ซ.ต.พ. (Note: ซ.ต.พ. ย่อมาจาก ‘ซึ่งต้องพิสูจน์’ หรือ Q.E.D (Quod erat demonstrandum))

และด้วยความที่ยังไม่สามารถหาแก้คำสาปได้สมบูรณ์ พี่เอื้อจึงตัดสินใจว่าเขาจะพยายามไม่กลายร่างเป็นคนถ้าไม่จำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าวันที่เขาจำเป็นต้องใช้ร่างคนจริงๆ ผมจะได้ยังมีพลังงานอยู่ พร้อมกันนั้นก็ขอ (อ่านออกเสียงว่าบีบบังคับ) ให้ผมช่วยเขาตามหาแม่มดที่สาปเขา

ดังนั้นตอนนี้บ้านผมเลยเป็นศูนย์บัญชาการไล่ล่าหาคนร้าย ผมถูกสั่งให้มองภาพสาวๆ ทั้งวันจนเริ่มคิดแล้วว่าถ้าไม่ได้เป็นเกย์มาก่อนก็อาจจะมาเบี่ยงเบนเอาตอนนี้นี่แหละวะกู แต่หลังจากผมไล่จนตาบวมปูดก็ยังคว้าน้ำเหลว สุดท้ายพี่เอื้อจึงตัดสินใจว่าจะลองไล่ติดต่อไปทีละคนเพื่อสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยขอบข่ายของผู้ต้องสงสัยอยู่ที่สาวๆ ที่พี่เอื้อเคยหักอก หรือเคยคบมาก่อน

นั่นคือสาเหตุว่าทำไมตอนนี้ผมถึงต้องหยิบกระดาษรายชื่อที่เคยช่วยทำไว้มานั่งไล่ใหม่ ดีที่ยังไม่ทิ้งไปก่อน ครั้งนี้เราจริงจังกันมากขึ้น โดยเรียงตามความใกล้ไกลจากบริเวณมหาวิทยาลัยของผมซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ และลักษณะหน้าตาเท่าที่พี่เอื้อจะจำได้

“ไล่แบบไลโฟ่ (LIFO) แล้วกัน”

“หา อะไรนะ” อะไรโฟ่ๆ

“ลาส์ตอินเฟิสต์เอ้าต์...เข้าทีหลังออกก่อน สืบจากคนล่าสุดก่อนแล้วกัน ฉันไม่คิดว่าแค้นตั้งแต่สมัยประถมจะอดทนมาได้นานขนาดนี้”

“เอ้า ไม่แน่ อาจจะแค้นพี่ตั้งแต่ประถม เลยหนีไปฝึกวิชาเป็นแม่มด แล้วกลับมาสาปพี่ตอนนี้ก็ได้เนี่ย” ผมแย้ง

“...เริ่มจากรายที่หนึ่ง น้อง ก๊กโกะ”

...ถูกกบเมินซะแหล่ว

อ้อ เพื่อความเข้าใจตรงกัน ในนิยายเรื่องนี้ ชื่อของสาวๆ ที่เคยถูกพี่เอื้อย่ำยีหัวใจเหล่านี้ผมจะขอเซ็นเซอร์ไว้นะครับ เพราะบางคนปัจจุบันนี้ก็เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังรักแมว...เชี่ย น้องเอกเดาได้ไง อะแฮ่ม...เอาเป็นว่าตามนี้

“สวัสดีครับ นี่บ้านน้องก๊กโกะหรือเปล่าครับ”

((มีอะไร มันสำนึกได้แล้วเหรอถึงได้ติดต่อมา)) นี่คือสิ่งแรกที่พวกผมได้ยิน

“...” ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากันแล้วกะพริบตาปริบๆ ...หมายถึงตาผมนะ ตุ๊กตากบมันกะพริบตาไม่ได้หรอก!

“เอ่อ คือ...ผมเป็นเพื่อนเก่าน้องเขา พอดีมีเรื่องอยากรบกวนให้น้องเขาช่วยน่ะครับ” พี่เอื้อพยายามเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล ทว่าปลายสายเหมือนกำแพงเหล็ก จะทุบจะเจาะยังไงก็ไม่สะท้านสะเทือน

((ไม่รู้มัน จู่ๆ มันก็เก็บข้าวเก็บของหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้)) ปลายสายทำเสียงขุ่นเคือง ((ไปหาวิธีเอาเอง))

...ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด

“...” พวกผมสองคนได้แต่มองหน้ากัน

“พี่ พี่ไม่ได้คบแต่สาวโปรไฟล์ไฮโซเหรอ”

“ก็...ส่วนมากนะ” พี่เอื้อก็ยังเง็งๆ

หลังจากนั้นพี่เอื้อก็เลยต้องโทรไปหาพี่ก๊องก่อยที่เป็นพี่สาวของน้องก๊กโกะ พี่ก๊องก่อยให้ข้อมูลมาว่าน้องก๊กโกะหนีออกจากบ้านไปหลายปีแล้วเพื่อไปตามความฝันเป็นเกมแคสเตอร์ของตัวเอง เจ้าคุณพ่อโกรธมากเลยตัดพ่อตัดลูก พร้อมให้เบอร์โทรของเพื่อนๆ น้องสาวตัวเองมาสองสามคน พี่เอื้อกับผมก็เลยต้องระดมโทรศัพท์เพื่อหาข้อมูลประหนึ่งหนังนักสืบ ตอนแรกก็แค่ระดับโทรไปต่างจังหวัด แต่โทรไปโทรมา ถามไปถามมา รู้อีกทีน้องก๊กโกะก็บินหนีไปต่างประเทศแล้ว...แต่ไม่รู้ว่าประเทศไหน

อย่างน้อยแผนที่โลกของมาภาก็ได้มีประโยชน์กับเขาแล้วล่ะครับ วะฮะฮะฮะฮ่า

กว่าจะหาวิธีติดต่อน้องก๊กโก๊ะได้ พี่เอื้อกับผมก็แทบจะสลบ ต้องขอบคุณที่โลกนี้มีโซเชียลเน็ตเวิร์กจริงๆ พวกเราสองคนเข้าไปขุดกันจนไปถึงหน้าไอจีของน้องเขา ค่อยรู้ว่าตอนนี้น้องก๊กโกะอยู่ญี่ปุ่น อ้อ ตอนแรกผมกับพี่เอื้อมีการถกเถียงกันว่าด้วยภาพที่เห็นคือหอโตเกียวหรือหอไอเฟลอยู่ราวๆ สิบนาทีด้วย มันก็ไอ้หน้าตาครือๆ กันแหละน่า ถ่อ!

จากนั้นเราก็หาทางเชื่อมต่อบัญชีไอทีของน้องก๊กโกะไปจนเจอบัญชีของเว็บเฟซบุ๊กลับที่มีแต่เพื่อนวงในเท่านั้นที่รู้ (ผมสังเวยภาพพี่เอื้อเปลือยครึ่งตัวเพื่อแลกมา) พอเห็นภาพน้องก๊กโกะ ผมก็หันไปหาตุ๊กตากบที่อยู่ข้างๆ “พี่เอื้อ น้องก๊กโกะของพี่เนี่ย...แน่ใจนะว่าถูกคน”

น้องก๊กโกะในตอนนี้...เท่าที่ดูจากรูปที่โพสต์ จากไซส์ผอมเพรียวลมพัดกระเด็นสมัยมัธยมปลาย กลายเป็นมาสคอตยางมิชลินไปแล้ว สาวน้อยที่สาปที่เอื้อคนนั้น ถึงผมจะจำหน้าไม่ได้ แต่หุ่นไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ

“สาปฉันได้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองได้ นายแอดเฟซเข้าไปคุยซิ”

ด้วยความที่ผมมาถึงจุดที่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเป็นที่เรียบร้อย ก็เลยแอดเฟซไปทดลองคุยดู คุยกันอยู่เกือบครึ่งค่อนชั่วโมงเพื่อพบความจริงว่าน้องก๊กโกะมีแฟนใหม่นานแล้ว ลืมไอ้พี่เอื้อไปตั้งนานแล้วด้วย

“งั้นคนต่อไป น้องขวยเขิน...”

สำหรับรายของน้องขวยเขินของพี่เอื้อนั้น...ก็มีอุปสรรค์อีกเช่นกัน

ครั้งนี้น้องขวยเขินไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบนเขาไร้สัญญาณโทรศัพท์ เดือดร้อนต้องขุดถามรายละเอียดจากคนรอบๆ ถึงค่อยรู้ว่าน้องขวยเขินช่วงนี้ขาบาดเจ็บเดินกะเผลกๆ ...ซึ่งก็ไม่น่าใช่คนร้าย

จากนั้นก็มีน้องคิกขุ พี่คิตตี้ น้องแคตเธอรีน...และอีกสารพัดนามสมมติ 

“นี่ อย่ามัวแต่นั่งลอยชาย ดูรูปไป” พี่เอื้อร้องบอกหลังจากเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือของเขา ผมจึงจำใจกลับไปก้มหน้าก้มตาหาสาวลึกลับคนนั้นต่อ

“นี่พี่มีขอบเขตของสเป็กบ้างไหมเนี่ย” ผมถามขึ้นหลังจากมองแต่ภาพสาวงามจนตาหูลายไปหมด อันที่จริงที่น่าสงสัยกว่าคือผู้ชายประเภทไหนกันที่เก็บรูปตัวเองกับแฟนเก่าไว้ทั้งหมดเนี่ย นี่โน้ตบุ๊กผมมันถึงกับขึ้นตัวแดงประท้วงตอนถ่ายข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์พี่เอื้อลงมาเลยนะ

“อื๋อ...” อีตาพี่อะเอื้ออออหยุดนาน

“เฮ้ย! รู้สึกจะคิดนานไปนะพี่ นี่ขอบข่ายสาวในสเป็กของพี่มันกว้างไกลขนาดต้องหยุดเกือบนาทีหนึ่งเลยเรอะ ไม่อยากจะเชื่อ”

“อ๊ะ ติดแล้ว” สุดท้ายพี่เอื้อก็เลี่ยงคำถามผมด้วยการหันไปให้ความสนใจกับโทรศัพท์เสียนี่

ผมกลับไปมองรูปอีกครั้ง คราวนี้ใช้ความว่างงานนั่งวิเคราะห์เพื่อค้นหา ‘จุดสนใจ’ ที่คล้ายๆ กันของสาวแต่ละคน ผม... ไม่ใช่ ผิว... ไม่ใช่ แว่น... ไม่ใช่ อ๊ะ แต่น้องแว่นคนนี้โครงหน้าหล่อชะมัด แค่กๆๆ อะแฮ่ม สไตล์การแต่งตัว... ก็ไม่ใช่อีก

ตกลงคุณพี่เอื้อการย์แกชอบสาวแบบไหนกันแน่เนี่ย ผมยังหาจุดร่วมไม่เจอเลยอ่ะ อ้อ ยกเว้นอย่างเดียวคือทุกคนเป็นสาวงามอ่ะนะ งามชนิดที่ว่าผมที่เป็นเกย์ยังอดชื่นชมไม่ได้ มีคนเดียวที่พอจะสู้ยัยพวกนี้ได้คือไอ้ภาธีเพื่อนผมคนเดียวนี่แหละ แต่มันดันเป็นผู้ชายเสียนี่ โลกนี้ช่างน่าเศร้านัก

หลังจากดูรูปไปด้วย ฟังพี่เอื้อเจรจาตอบโต้กับอดีตสาวที่เขาเคยคบด้วย ผมเริ่มรู้สึกง่วงเต็มทนแล้ว สุดท้ายด้วยความที่หลังกำลังทำมุมเหมาะๆ กับโซฟา พัดลมพัดไปมากำลังสบาย ...ผมก็เลยหลับไป

รู้สึกตัวอีกที ผมเห็นพี่เอื้อหนีไปหลบมุมห้องพร้อมโทรศัพท์มือถือที่เขาลากไปด้วยได้ยังไงก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขากำลังตั้งอกตั้งใจคุยกับใครบางคน ผมพยายามเงี่ยหูฟัง

“อา พี่ขอโทษอีกครั้งจริงๆ นะครับน้องสาลี่ที่พรุ่งนี้ไปไม่ได้”

อ้อ...

ผมเอนคอพิงศีรษะกับบนโซฟาที่มีกองกระดาษกระจัดกระจาย ผมนอนมองพี่เอื้อคุยโทรศัพท์อยู่แบบนั้น จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ พี่เอื้อถึงวางโทรศัพท์ ก่อนจะหันมาหาผม “ไง ตื่นแล้วเหรอ”

“อื้อ”

“ไปล้างหน้าล้างตาไป เช็ดเสื้อด้วย...น้ำลายนายจะทำเสื้อดำนายเป็นทางช้างเผือกอยู่แล้ว”

“...” ผมก้มลงมองสภาพเสื้อยืดตัวเอง ก่อนจะลุกไปอย่างรวดเร็ว

ตอนผมกลับมา พี่เอื้อกำลังจัดกองกระดาษกระจัดกระจายบนโซฟาให้เป็นระเบียบ ผมกลับมานั่งลงตรงตำแหน่งเดิม ขณะมองแผ่นหลังเขียวๆ เคลื่อนไปเคลื่อนมาก็อดถามคำถามคาใจออกไปไม่ได้

“พี่เอื้อ ถามตรง...ตอนนี้พี่คบกับพี่สาลี่อยู่เหรอ” อาจจะรู้สึกไปเอง แต่ผมรู้สึกว่าตุ๊กตากบสะดุ้งเล็กน้อย

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“อ้าว ก็เห็นช่วงนี้พวกพี่ก็จู๋จี๋ดี๋ด๋ากันอยู่” พอผมนึกถึงสายตาของพี่สาลี่ที่มองผมแล้ว ผมก็รู้สึกขนก็ลุกเกรียวขึ้นมาในทันที

“อยากได้คำตอบแบบไหน”

“มีแบบไหนบ้าง”

“เป็นทางการกับความจริง”

“บอกมาทั้งคู่เลยแล้วกัน”

“เป็นทางการคือพี่ชายน้องสาลี่เป็นพี่รหัสฉัน พี่เขาอยากให้ฉันช่วยดูโปรเจ็กต์ของที่บ้านเขาที่ยกให้น้องสาลี่เป็นคนคุมอยู่”

“งงว่ะพี่” ...อะไรของบ้านพี่บ้านน้องของใครนะ

“ตอบแบบทางการมันก็จะงงๆ แบบนี้แหละ เหมือนเวลาดาราตอบคำถามสื่ออ่ะ”

“...” เออ จริง “แล้วแบบความจริง?”

“ก็ดูๆ กันอยู่แหละ น้องเขาก็น่ารักดี” พี่เอื้อตอบ ก่อนจะกระโดดลงไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้

ผมทำเสียงครางรับในลำคอขณะพลิกตัวนอนคว่ำเท้าคางมองกบที่กำลังใช้ตะเกียบไม้พันกระดาษฟอยล์ที่ผมประดิษฐ์ให้กดปุ่มบนหน้าจอไอโฟนของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ และไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมถามออกไป

“นี่... ทำไมพี่ถึงเลิกกับ...สาวๆ พวกนี้ล่ะ” 

ตุ๊กตากบหันขวับมามองผม ทว่าเขานิ่งไปจนผมต้องรีบพูดขึ้นมาว่า “ผะ ผมไม่ได้จะเอาคำตอบจริงจังอะไรหรอกครับพี่...ขะ ขอโทษที่ละลาบละล้วง”

พี่เอื้อถอนใจ “ก็ไม่ใช่พูดไม่ได้ แค่นึกไม่ออก...ก็...คงเหมือนที่นายชอบพูดถึงพระเอกแมสๆ ภาพข้างนอกฉันเป็นแบบนั้น แต่พอคบเข้าจริงๆ ...ฉันมันไม่ใช่ อะไรทำนองนั้นแหละนะ”

“เห”

แล้วบรรยากาศในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมที่ไปต่อไม่ถูกเลยได้แต่หยิบการ์ตูนที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะรับแขกขึ้นมาพลิกอ่าน แต่จู่ๆ พี่เอื้อก็ถามขึ้นมาว่า “แล้วนาย...เคยคบกับใครหรือเปล่า”

ผมชะงักมือที่กำลังเปิดหน้าต่อไปแล้วหันไปมองตุ๊กตากบที่มองไม่ออกว่ามาอารมณ์ไหน ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ

“พี่ก็น่าจะเคยได้ยินมาแล้วมั้ง”...เดาว่าที่พี่สาลี่เล่า ก็น่าจะเป็นเรื่องนี้

“...เคย แต่ฉันไม่ได้อยากรู้เวอร์ชันนั้น”

“หืม”

“ฉันอยากฟังเวอร์ชันที่ออกจากปากนายมากกว่า”

ผมเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนหัวเราะออกมา “ผมเป็นเกย์”

“อือฮึ” พี่เอื้อตอบรับแบบไม่สะทกสะท้าน ผมเอียงคอมองเขา

“โห พี่เป็นผู้ชายคนแรกเลยนะที่ได้ยินแล้วไม่ถอยหลังไปสามก้าว”

พี่เอื้อทำเสียงคล้ายหัวเราะ “ถอยทำป๊ะอะไรฟะ เป็นเกย์ไม่ได้ติดโรคระบาดสักหน่อย ถึงนายติดโรคจริงก็คงถอยไปตามหมอมาให้ไหมวะ”

 ผมหัวเราะก๊ากออกมา “เออ ก็นั่นแหละ เพราะงั้นแฟนคนแรกก็เป็นผู้ชาย...รุ่นพี่สมัยมัธยม คืองี้ สมัยม.ต้นผมออกจะเป็นเด็กเกเรๆ หน่อย ทีนี้ตอนจะขึ้นม.ปลายก็ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง เลยทำตัวเหมือนในซีรีส์...เอ้า ไม่เคยดูอีก นั่นแหละ เอาเป็นว่าก็ลุกมาแปลงโฉม...”

“นี่ทำศัลยกรรมเรอะ”

“ม่ายช่ายยยยย ทำไมถึงคิดแบบนั้นวะ”

“เอ้า ก็คนเรามันจะแปลงโฉมยังไง หรือแต่งหน้า”

“ฮือๆๆๆ ไม่ใช่! เอาว่าผมสลัดคราบเด็กเกเร ตั้งใจอ่านหนังสือ ทิ้งลูกน้องเก่า แค่ก แล้วก็เลี้ยวเข้าโรงเรียนใหม่ตามพี่เขาไป” ผมคิดถึงตอนนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ และจู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ “พี่เอื้อ แล้วตอนม.ปลายพี่เรียนที่ไหน นี่ผมนึกภาพพี่หัวเกรียนเรียนรด. ไม่ออกจริงๆ นะเนี่ย”

พอพี่เอื้อบอกชื่อโรงเรียนมาบ้าง ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง “โห ไอ้นั่นมันโรงเรียนไฮโซค่าเทอมหลักหลายแสน อะไรทำให้พี่จุติมาอยู่คณะบ้านๆ ของเรา ตอนสอบฝนรหัสคณะผิดหรือเปล่า”

“...ฮอร์โมนมั้ง”

...เอางั้นนะ “อ้าว แล้วนี่เรียนรด. กับเขาไหมเนี่ย”

“เรียนสิ ในอัลบั้มน่าจะมีอยู่นะ รูปสมัยหัวเกรียน” พี่เอื้อพูด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ไอโฟนที่ถูกทิ้งแล้วกระโดดมาบนตักผม จากนั้นก็สั่งให้ผมกดนั่นกดนี่ “เออ ตรงนั้น นั่นแหละ...นี่ไง”

อื้อหือ พี่เอื้อวัยหนุ่มน้อยใส่ชุดเครื่องแบบรด. หัวไถเกรียนที่กำลังยิ้มน้อยๆ ให้กล้องนี่มัน...บอกเป็นพระเอกหนังสงครามผมก็เชื่อ

“โอย นี่ว่าหัวล้านก็ยังหล่อแหงๆ” ผมมองด้วยสายตาชื่นชม เลยโดนพี่เอื้อโบกไปที และดูเหมือนพี่แกจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนนี้มีอะไรติดค้างกันไว้ เลยถอยหลังไปแล้วประเคนขาคู่ให้ผมอีกหนึ่งกระบวน

หลังแก้แค้นสำเร็จ พี่แกก็นั่งแหมะบนตักผม แล้วเอามือจิ้มๆ ให้ผมเล่าต่อ “เออ ก็แปลงโฉม แล้วก็พยายามเอาตัวเองไปปรากฏต่อหน้าพี่เขาทุกวัน ยึดคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก จนวันหนึ่ง จู่ๆ พี่เขาก็มากินข้าวกับผม ส่งผมกลับบ้าน...แล้วก็ขอผมเป็นแฟน”

ผมบีบพุงที่เต็มไปด้วยนุ่นของพี่เอื้อเล่น เลยถูกตีมือ

“ผมนี่หัวใจแทบวายตาย แบบ...ชีวิตแม่งแมสอะพี่ หลังจากนั้นโลกก็เป็นสีชมพูสดใส ยูนิคอร์นบินผ่านหน้า ผมไปรอเขาหน้าบ้าน ฝึกทำกับข้าวให้เขากิน...เฮ้ย หันมามองแบบนี้หมายความว่าไง มันกินได้นะเว้ย ไม่เชื่อ? เฮอะ มีแค่แฟนผมเท่านั้นที่จะได้กินข้าวฝีมือผม”

“...เพราะขืนทำให้คนอื่นกินเขาจะนึกว่าลอบสังหารใช่ไหม” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนออกอ่อนใจ “แค่หั่นผักให้ชิ้นหนาเท่ากันนายยังทำไม่ได้เลย”

“เงียบไปเลยนะฆาตกรโรคจิต!” ผมขยำพุงนิ่มๆ ของเขาหนักกว่าเดิม ก่อนเล่าต่อ “ตอนนั้นผมมีความสุขกับชีวิตมากกกกก ปีใหม่มีคนส่งข้อความมาอวยพร วาเลนไทน์มีคนฉลองด้วยกัน สงกรานต์มีคนนอนดูหนังเป็นเพื่อน...มีความสุขจนไม่ทันดูว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้มองมาที่ผมเลย แค่หวังใช้ผมให้เพื่อนข้างตัวผมหึงหวง”

พี่เอื้อหันมามองหน้าผม

“เออ ละครไหมล่ะ ผมเล่นเป็นตัวเอกของซีรีส์อยู่ดีๆ ก็ถูกคนเลื่อนขั้นไปเป็นตัวร้าย แย่งพระเอกกับชาวบ้านเสียอย่างนั้น ไอ้ตอนนั้นผมก็โง่ไง ของผม ไม่ยกให้ใครเด็ดขาด แต่ลืมไปว่าตบมือข้างเดียวมันจะไปดังได้ยังไง มีแต่ถูกตบมือใส่หน้านี่แหละ ดังฉาดเลย” คิดแล้วผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนส่ายหัว...โง่แท้หนอ

...หลังจากนั้นข่าวด้านลบของผมก็กระพือยิ่งกว่าไฟป่า เผาจนผมเกรียมไปหมด จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังมีข่าวมาเข้าหูอยู่เนืองๆ แถมข่าวลือเป็นอะไรที่ประหลาด สมมติว่าตั้งต้นด้วยหนึ่ง โผล่ไปอีกทางอาจจะกลายเป็นร้อย ดังนั้นเรื่องที่พี่สาลี่ได้ฟังมาและเล่าต่อ ผมเองก็เดาไม่ถูกว่ามันจะปาเข้าไปสักเท่าไหร่

“อืมมม” พี่เอื้อทำเสียงคล้ายครุ่นคิด “สรุปคือไอ้นั่นมันเชี่ย ไม่ได้มันก็ดีแล้ว”

ผมนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “สรุปได้ดี”

พี่เอื้อทำท่ากอดอกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ต้องรู้สิว่านี่ใคร”

...จ้า

 

พอใกล้ถึงเวลาข้าวเย็น พี่เอื้อก็บังคับจูบจากผมด้วยปริมาณพอที่จะอยู่ได้ราวๆ สี่ถึงห้าชั่วโมง จากนั้นก็ประพฤติตัวเป็นศรีภรรยา...อย่าตบผมด้วยที่ตีเปรตเด้! นั่นแหละ เอาว่าพี่เอื้อก็ทำกับข้าวให้กิน อิ่มหนำสำราญดี

อ้อ นี่ก็เป็นการทดลองที่พวกเราเพิ่งสรุปได้ไม่นานมานี้ว่าถ้าพี่เอื้อไม่กินข้าวติดกันนานๆ ร่างกายจะขยับไม่ได้

ข้าววันนี้เป็นกระเพราหมูกรอบไข่ดาว พอเห็นไข่ดาว ผมก็เลยนึกอะไรขึ้นมาได้

“พี่เอื้อ พี่สาลี่ชอบใส่ซอสมะเขือเทศลงในไข่ดาวนะ อย่าใส่ผิดล่ะ” แล้วผมก็เล่าคดีที่เกิดขึ้นกับภาธีให้พี่เอื้อฟัง

พี่เอื้อกะพริบตาด้วยความงุนงง ก่อนเอ่ย “หือ คราวก่อนโน้นฉันไปกินข้าวกับเขา ก็ใส่แม็กกี้ลงในไข่ดาว เขาก็ไม่เห็นว่าอะไรนะ”

“...” ...มาตรฐานดีๆ อยู่ที่ใด

“เป็นโปรโมชันช่วงก่อนคบกันมั้ง”

“...งั้นมั้ง”

“หรือไม่ก็เพราะพี่หล่อ”

“...โปรโมชันก็แล้วกัน” ผมสรุปให้


•••TBC

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

STAGE 3: รู้ใจแต่ไม่กล้าบอก

จุดประสงค์การเรียนรู้: พระเอกหรือนายเอกคนใดคนหนึ่งจะยอมรับความรู้สึก แต่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวจะเสียอีกฝ่ายไป

คอมเม้นต์นายเอก: ยังมีอะไรให้เสียได้อีก แล้วนี่จะจบเสตจสองเร็วไปหรือเปล่า






9


แล้ววววเวลาก็ผ่านนนนไปปปปปปป

พี่เอื้อก็ยังคงเป็นตุ๊กตากบเหมือนเดิม อากาศของประเทศไทยยังคงร้อนเหมือนเดิม และผมก็ยังคงทำหน้าที่หลับในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยซากศพเหมือนเดิม

ที่ไม่เหมือนเดิมคืออาจารย์โอ๋ที่เพิ่งกดสไลด์สุดท้าย “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ค่ะ”

บรรดาศพที่ล้วนแล้วแต่ทราบสัญชาติและทราบนามทั้งหลายพากันปรือตาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าพอแค่นี้ ช่างเป็นปฏิกิริยาน่ารักน่าชังเสียนี่กระไร และดูเหมือนอาจารย์เองก็สังเกตอาการนี้อยู่เช่นกัน เพราะจู่ๆ อาจารย์ก็คลี่ยิ้มกว้าง และเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค

“อาทิตย์หน้า...เราจะมีสอบย่อยกัน เก็บสิบห้าเปอร์เซ็นต์นะคะศพๆ ทั้งหลาย”

สิ้นคำประกาศจากอาจารย์โอ๋...บรรดาซากศพในห้องพากันคืนชีพอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ร่วมกันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนประหนึ่งมีใครเอาเหล็กแหลมตอกลงกลางหัว

“ต๊าย ตื่นกันสักที ร้องอะไรกัน ขอส่วนบุญตอนนี้ไม่ทันแล้ว” อาจารย์โอ๋โบกไม้โบกมือให้พวกผม

“อาจารย์โหดร้าย!” “ใช่ อาจารย์โหดร้ายที่สุด!”

“หึ ถ้าอาจารย์โหดร้าย อาจารย์จะบอกพวกเธอล่วงหน้าทำไมกัน...เอาแบบนี้ละกัน เพื่อให้สมกับความโหดร้าย อาจารย์จะไม่บอกว่าจะสอบอะไร”

คราวนี้ระดับเสียงของเหล่าสัมภเวสีในห้องยิ่งสูงไปอีกระดับ อีกนิดเดียวห้องเลกเชอร์จะกลายเป็นโอเปร่าฮอลล์ไปแล้ว อาจารย์โอ๋ที่ทนเห็นไม่ไหวก็เลยบอกแนวการสอบมาคร่าวๆ คราวนี้ทุกคนจดกันยิกๆ และพอพูดจบอาจารย์โอ๋เดินหนีไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้พี่ผู้ช่วยอาจารย์เป็นคนเช็กชื่อแทน

หลังจากนั้นผมกลับมาถึงบ้านได้ยังไงก็จำไม่ได้แล้ว นึกออกรางๆ แค่ว่าเห็นตะวันกำลังจริงจังกับการจัดการวัชพืชอยู่ที่สวนหย่อมเล็กๆ ข้างบ้าน ดูเหมือนตะวันจะร้องทักผม แต่ผมไม่หือไม่อือกับใครเขา พอเข้าบ้านไปก็เห็นพี่เอื้อกำลังตั้งใจโทรศัพท์ เขาผงกหัวขึ้นมาโบกมือให้ผม แต่ผมก็ไม่หือไม่อือ รีบวิ่งขึ้นห้องไป

พอถึงห้อง สิ่งแรกที่ผมทำคือโทรศัพท์ไปหาโดราเอม่อน

“ภาธีเพื่อนร้ากกกกกกกก ช่วยด้วยยยยยยยย”

((ไม่!)) นี่คือคำตอบแรกที่ได้ยิน  หลังจากไม่มีบทมาหลายตอน บทจะมาก็มาแบบประหยัดถ้อยคำประหนึ่งร่วมใจในแคมเปญอนุรักษ์พลังงานสมเป็นภาธีเพื่อนผมอีกตามเคย

“ตูข้าต้องการความช่วยเหลืออย่างรุนแรงเลยนะภาธีจ๋า”

((ฉันจะนอน)) ภาธียื่นคำขาดมาสามพยางค์

“ภาธี...” ผมลากเสียงออดอ้อน “ฉันมีสอบย่อยอาทิตย์หน้า แต่ฉันยังไม่เข้าใจอะไรเลยอ้ะ”

((ฉันจะนอน)) เพื่อนผมยังคงหนักแน่นกับความตั้งใจเดิม ผมเริ่มรู้สึกตะหงิดๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ภาธีมีหม้อ...”

((ฉันจะนอน)) ...โอ๊ะโอ ดูเหมือนผมพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว ผมเลยลองเล่นต่อด้วยความสนุกสนาน

“ภาธี ขอยืมเงินห้าสิบล้าน”

((ฉันจะนอน))

“อับดุลเอ๊ย อับดุล”

((ฉันจะนอน))

“...โอมาเอะ วะ ชินเดะอิรุ” ...เจ้าน่ะตายไปแล้ว ผมทำเสียงเข้มเลียนแบบเคนชิโร่ (Note: โอมาเอะ วะ ชินเดะอิรุ  (เจ้าน่ะตายไปแล้ว) มาจากการ์ตูนเรื่องหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ เป็นคำพูดติดปากของเคนชิโร่ (ตัวเอก))

((ฉันจะนอน))

เชี่ย เป็นอันว่าตอนนี้นายภาธีเพื่อนเลิฟของผมเปิดระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติไปแล้ว ไอ้เครื่องตอบรับเดินได้ไม่พูดอะไรมากไปกว่า ‘ฉันจะนอน’ จริงๆ ลงท้ายผมเลยต้องเป็นคนที่ยอมแพ้ไปในที่สุด เพราะคนระดับภาธี ถ้ามันจะนอน เอเลี่ยนจากดาวไหนก็ขวางมันไม่ได้ กูยอมแพ้ มึงนอนเท่าที่มึงสบายใจเลยจ้า

ดังนั้นผมได้แต่ลองโทรหาเพื่อนคนอื่นที่ไม่ต้องเรียนซัมเมอร์วิชานี้ดู สามในห้ากำลังเที่ยวอย่างสนุกสนานกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย ส่วนที่เหลือกำลังจู๋จี๋ดี๋ด๋ากับแฟนสาว...หนึ่งในนั้นมีการเยาะเย้ยถากถางเสร็จสรรพว่าไม่รู้จักหาแฟนเก่งๆ มาช่วยติวหนังสือให้อีกต่างหาก โฮ นี่มึงคิดว่าแฟนหาง่ายแบบเก็บได้ตามท้องถนนหรือยังไงกันวะ ห่า!

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรงหลังจากกระหน่ำโทรจนเหนื่อย หลังจากมองเพดานห้องตัวเองจนจะนับรอยด่างดำตลอดจนรอยน้ำหยดบนฝ้าได้ครบถ้วนแล้ว ผมก็รู้สึกหิว เลยเดินลงไปข้างล่าง

แล้วหลอดไฟบนหัวของผมก็จุดติดดังปิ๊ง...แฟนอาจจะเก็บไม่ได้ตามท้องถนน แต่ตุ๊กตากบมันก็อีกเรื่อง

คิดได้ดังนี้ผมก็เลยถลาเข้าไปอยู่แทบเท้าตุ๊กตากบที่ดูเหมือนจะสนใจการ์ตูนที่ผมทิ้งไว้บนโต๊ะรับแขก

“พี่อะเอื้อออออ... เกรดเฉลี่ยพี่อยู่ที่เท่าไหร่” เกิดร่อแร่จะรีไทร์แหล่ไม่แหล่เนี่ย ผมจะได้เปลี่ยนใจไปรบกับภาธีโหมดออโต้ไพล็อตติดที่อุปกรณ์ต่อต้านเอเลี่ยนทุกประเภทที่รบกวนเวลานอนแทน

พี่เอื้อที่กำลังอ่านการ์ตูนของผมหันมามอง “หือ? สี่จุดศูนย์ศูนย์ ทำไม?”

“...” ผมแทบจะกระอักเลือดอะเอื้อออออกมา “นี่พี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะ”

“...ถ้าตอนนี้ก็ไม่นะ” พี่เอื้อตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

...เออว่ะ ลืมไป

ผมไอโขลกก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ผมมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย วิชาอาจารย์โอ๋อ่ะ”

“ตัวไหน?” พี่เอื้อถามโดยไม่ละสายตาจากหนังสือการ์ตูนของผม ผมบอกชื่อวิชาสุดที่รักที่ตัวเองต้องลงซัมเมอร์ให้เขาฟัง

“หา...นี่คือที่นายลงซัมเมอร์เหรอ ตายหอง ถ้าตัวนั้นยังไม่ไหว ปีสองเจอวิชาต่อจะไหวไหมเนี่ย จะทำอะ... เฮ้ย”

“ติวผมซะดีๆ” ผมคว้าหมับเข้าที่ตัวพี่เอื้อ จากนั้นก็จ้องเขาเขม็ง “ถ้าพี่ไม่ติวนะ หึ! จะต้องมีศพที่ถูกทุบหัวสมองไหล คว้านพุงไส้ทะลัก จากนั้นก็ถูกเอาไปถ่วงทะเลอย่างแน่นอน”

ตุ๊กตากบในมือผมถึงกับผงะ “นี่นายโหดขนาดนั้นเลยเรอะ ฉันไปทำอะไรให้นายวะเนี่ย”

“ศพผมต่างหากล่ะ” ผมแก้ความเข้าใจผิดให้

“...อ้อ แล้วไป”

สุดท้ายไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เอื้อเห็นใจไม่อยากให้ผมกลายเป็นศพที่ถูกทุบหัวสมองไหล คว้านพุงไส้ทะลัก จากนั้นก็ถูกเอาไปถ่วงทะเลไปจริงๆ หรือแค่มีจิตใจเมตตา ในที่สุดเขาก็ยอมช่วยผมจนได้

การติวเริ่มต้นด้วยการที่ผมถูกบังคับให้ทำแบบฝึกหัดง่ายๆ ที่พี่เอื้อคิด ก่อนส่งให้เขาตรวจดู ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าพี่เอื้ออ่านถึงไหนแล้ว เพราะลูกตาของเขาเอาแต่จ้องเขม็งไม่กระดุกกระดิก

อันที่จริงถ้ามันกระดุกกระดิกก็น่ากลัวไปหน่อยแล้ว!

“นี่ เดือนปลอมเอ๊ย”

“หือ?” น้ำเสียงของพี่ฟังดูแปลกๆ ชอบกลนะ

พี่เอื้อเลื่อนชีตแบบฝึกหัดคืนมาให้ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสุดขีด “นายชอบข้าวต้มกุ้งหรือกระเพาะปลา งานศพนายฉันจะได้เป็นเจ้าภาพให้ถูก”

“@#$@23#1312@$@!%” ผมตบโต๊ะดังโครมๆ พี่เอื้อก็เลยยิ่งทำท่าปลอบอกปลอบใจกว่าเดิม

“อย่าร้องไปเลยนะครับ พี่เอื้อเป็นเจ้าภาพให้เจ็ดวันเลยเอ้า”

“ใครเขาห่วงเรื่องนั้นกันวะ!”

“น้องเดือนเอ๋ย พี่ดูสารรูปน้องแล้ว เกรงว่าจะไม่ไหวจริงๆ” พี่เอื้อส่ายหัว “พื้นฐานการเขียนโปรแกรมนายน่าสงสารมาก นี่เข้าใจไหมเนี่ยว่ามีโปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมไปทำไม”

“...ทำซอฟต์แวร์” ...มั้ง

พี่เอื้อที่เห็นผมทำท่าโปรยยิ้มแบบสล็อธใส่รัวๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “การเขียนโปรแกรมมันคือการแก้ปัญหา! เราโปรแกรมเมอร์มีหน้าที่คิดว่าด้วยอินพุตที่เรามี เอ้าต์พุตที่เราต้องการ ตรงกลางเราจะเขียนโปรเซสของมัน แปรรูปมันอย่างไร”

คุณได้รับสีหน้างุนงงของน้องเดือน 1 ea

เห็นแล้วพี่เอื้อก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก “เอาแบบนี้ก่อน คิดซะว่าโปรแกรมมิ่งมันคือการเดินทางแบบหนึ่ง”

“อาฮะ แล้ว?”

“สิ่งที่นายรู้คือจุดมุ่งหมายของการเดินทางว่านายต้องการไปไหน นายอยู่ที่จุดเริ่มต้น และนายสามารถเลือกวิธีการเดินทางของนายได้ ขอเพียงไปถึงจุดหมาย มันไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่เสียเวลามากหรือน้อย”

“ความรักก็เช่นกัน”

...ครับ พูดปุ๊บก็โดนตบกบาลหนึ่งฉาดปั๊บเหมือนเดิม

“เหมือนฉันจะไปเชียงใหม่ ฉันมีหลายวิธี นั่งเครื่องบิน ขึ้นรถไฟ นั่งรถบัส ขับรถไป ขี่มอ’ไซค์ ปั่นจั๊กก้า หรือไม่ก็เดิน แต่ละวิธีมีประสิทธิภาพและความเร็วไม่เท่ากัน โอกาสเสี่ยงที่จะพลาดก็ไม่เท่ากัน”

“และใช้เงินไม่เท่ากันได้” ผมแทรก

“นั่นแล” พี่เอื้อทำท่าแบมือ “ทุกอย่างมันขึ้นกับการออกแบบของนาย โปรแกรมที่ดีมากอาจจะเหมือนขึ้นเครื่องบิน แป๊บเดียวถึง ที่แพงคือสมองคนเขียนล้วนๆ ว่าจะดีไซน์งานออกมาได้ดีแค่ไหน แต่แย่หน่อยอาจจะเหมือนปั่นจักรยาน คือสักวันคงถึง แค่มันช้าเท่านั้นเอง และคนปั่นอาจจะหลงออกนอกเส้นทางงี้”

“อือฮึ แล้ว...ทำไงผมถึงจะได้ขึ้นเครื่องบิน”

“โลภไป เอาแค่บัสพอ”

“เป็นบัสเจ๊เกีxว (เซ็นเซอร์) ทำไง”

“…” พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “บัสเจ๊เกีxวคืออะไร”

“...” คราวนี้เป็นผมที่นิ่งไปแทน เวรกรรม ลูกคนรวยนั่งแต่เจ็ตส่วนตัวหรือไหงเนี่ย

หลังจากนั้นคลาสโปรแกรมมิ่งพื้นฐานของผมเลยกลายเป็นคลาสอธิบายรถทัวร์ไทยไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนพี่เอื้อที่เข้าใจแล้วว่าหมอชิตคืออะไร ท่าบขส. อยู่ตรงไหน ขนส่งสายเหนือสายใต้ต่างกันอย่างไร จึงเป็นเวลาติวผมต่อ

พอตกเย็น พี่เอื้อก็ให้ผมจูบตามปกติ แน่นอนว่าผมก็ยังคงหลับตาแน่นตามปกติ จากนั้นก็นอนเอาแรงไปงีบหนึ่งก่อนจะถูกปลุกด้วยเสียงกรอบแกรบของถุงพลาสติก เมื่อมองไปทางโต๊ะกินข้าวก็เห็นพี่เอื้อกำลังหยิบของออกจากถุง

“เอ๋” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นถุงที่มีตราของซูเปอร์แถวบ้านวางกองบนโต๊ะ “พี่ไปจ่ายตลาดมาเหรอ”

“เออสิ ตู้เย็นบ้านนายโคตรร้าง ใจคอจะกินอากาศเป็นอาหารเหรอ”

“อ๊ะ งั้นอย่าลืมจดค่าใช้จ่ายไว้นะ” ว่าแล้วผมก็กุลีกุจอไปหาสมุดมาเล่มหนึ่ง

“งั้นนายแยกพวกบิลค่าน้ำค่าไฟไว้ให้ด้วย”

“ได้”

ผมลุกขึ้นก็เห็นบนโต๊ะมีใบกะหล่ำวางเรียงกันอยู่ ส่วนพี่เอื้อเดินไปจัดการกับอะไรบางอย่างในครัว “พี่ทำอะไรอ่ะ”

“กะหล่ำปลีม้วน” พี่เอื้อตอบ ก่อนจะยกชามออกมาใบหนึ่ง “มา ช่วยยัดไส้หน่อย”

“โอ๊ทส์!” หลังจากนั้นผมก็เลยเป็นลูกมือช่วยยัดไส้ ยัดไปก็ส่งไส้เข้าปากไปด้วย เลยโดนโบกกบาลไปหลายที

“พี่ชอบทำกับข้าวเหรอ”

“เปล่า”

“อ้าว”

“แต่ทำเองมันคุมอาหารได้ดีกว่า”

“อ้อ” ...ลืมไปว่าแปดแพ็กมันไม่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิด ใช่ไหมวะ

ระหว่างกินข้าว พี่เอื้อก็ถามขึ้นมา “นายได้แลกข้อสอบเก่าไว้บ้างหรือเปล่า”

“วิชาอาจารย์โอ๋เหรอ เปล่าอ่ะ”

“นี่เข้ากิจกรรมไหมเนี่ย”

“รับน้องใช่ไหม เข้าสิ” ผมพยักหน้าหงึกๆ

“แล้วแต้มหายไปไหนหมด”

“แลกชีตอาจารย์วูดดี้ไปหมดแล้ว” ...อาจารย์วูดดี้ที่ว่าเป็นอาจารย์พิเศษที่ถูกเชิญมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสองวิชาพิฆาตของคณะผมตอนปีหนึ่ง ว่ากันว่านิสิตนักศึกษาที่อาจารย์เคยแจกเอฟนี่เยอะกว่าดาวบนฟ้าเสียอีก ไม่รู้ว่าเพราะเคยทำงานที่นาซ่ามาก่อนหรือเปล่าถึงได้คิดถึงดวงดาวแบบนี้

“อ้อ” พี่เอื้อร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนถามต่อ “แล้วไม่ได้เอาข้อสอบเก่าที่แจกฟรีมาลองทำเหรอ”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ลองแล้ว...ทำไม่ได้ ก็เลยดูเฉลย ดูแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

พี่เอื้อกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ “...ฉันจะพยายาม”

 
 
 
 

หลังจากนั้นพี่เอื้อก็ทำตามคำพูด คือพยายามช่วยผมอย่างจริงจัง ถึงระหว่างกลางวันจะมีโทรศัพท์ติดต่อน้องคนนั้นพี่คนนี้บ้าง แต่ถ้าพอมีเวลาก็จะมาช่วยตรวจคำตอบและดูผมทำโจทย์

สำหรับข้อสอบย่อยรอบนี้ เท่าที่อาจารย์สปอยล์ให้ฟังคือข้อสอบให้หาที่ผิดในโค้ดตัวอย่างที่อาจารย์ให้มา และเขียนอธิบายว่าทำไมถึงผิด ต้องแก้ตรงไหน แก้อย่างไร พี่เอื้อกลับหอไปคุ้ยโจทย์มาให้ผมกองใหญ่ ผมนั่งทำไปเรื่อยๆ เวลาก็หมดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายก่อนสอบ ผมก็เริ่มเกิดอาการหวาดผวา

“พี่เอื้อ ยังไงผมก็หาไม่เจอ” ผมร้องไห้โฮ “ช่วยผมด้วย”

พี่เอื้ออึ้งๆ ไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ตัวหาร”

“หา”

“ดูให้ดีๆ ถ้าค่าส่งมาแบบนี้ ตัวหารมีโอกาสเป็นศูนย์”

“แล้ว”

“...ปกติจำนวนเต็มหารด้วยศูนย์ได้อะไร”

“...ไม่ใช่ศูนย์เหรอ”

...ดูจากที่พี่เอื้อเงียบไปสงสัยจะไม่ใช่

“งั้น...นับไม่ถ้วน อินฟิตี้เอ้า”

พี่เอื้อถอนหายใจ ก่อนจะกระโดดขึ้นมาบนตักผม แล้วแตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของผม

ไม่นานนัก ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังงานที่ถูกดูดออกไป และขนนุ่มนิ่มของตุ๊กตาที่เปลี่ยนเป็นผิวเนื้อนุ่มหยุ่น...ซึ่งที่น่ากลัวคือผมกลับเคยชินกับมันมากกว่าที่คิด ทว่าครั้งนี้เนื่องจากพี่เอื้อมาไม่บอกไม่กล่าว ท่านั่งเลยล่อแหลมเป็นอย่างยิ่ง แถมมือผมบังเอิญเฉียดถูกแปดแพ็กนั่นโดยบังเอิญเข้าไปอีก...ต้องเซ็นเซอร์มั้ยวะน้องเอก

“@@#$$#%!!!” ขณะที่ผมยังช็อกอยู่ พี่เอื้อที่เดินโทงๆ ลุกไปแต่งตัวเรียบร้อยก็มานั่งขัดสมาธิตรงหน้าผมที่ยังรู้สึกว่าแก้มร้อนๆ ชอบกล

“เออ แบบนี้ค่อยสะดวกหน่อย” พูดจบเขาก็เอื้อมมือมาเขกหัวผม ก่อนจะหยิบกระดาษมาเขียนอะไรยุกยิก

NaN

“แนน?”

“Not a Number! ไม่ใช่ตัวเลข!”

“...เห”

“...” พี่เอื้อทำท่านวดขมับตัวเอง “ในทางคณิตศาสตร์ การที่จำนวนเต็มหารด้วยศูนย์ จัดเป็นอนิยาม คือไม่นิยาม เพราะมันนิยามไม่ได้ ในทางคอมพิวเตอร์ก็เลยแทนด้วยตัวนี้...เอ็นเอเอ็น Not a Number”

“แล้วทำไมมันถึงนิยามไม่ได้อ่ะ”

“ปกติหารไว้ทำอะไร”

“...แบ่งส่วน?” มั้ง

“เออ เหมือนมีแอปเปิ้ลหกลูกหารกันสามคน แบ่งหกออกเป็นสามชุด ฉะนั้นคนหนึ่งจะได้สองลูก”

ผมพยักหน้าหงึกหงักประหนึ่งหัวตัวเองเป็นแขนของแมวนางกวัก หารเลขนี่เรียนมาแต่เล็กแต่น้อย พอเข้าใจได้อยู่

“เพราะงั้น ถ้าตัวหารเป็นศูนย์ นายจะแบ่งแอปเปิ้ลหกลูกออกเป็นศูนย์ชุด นายจะแบ่งได้ยังไง แล้วสิ่งที่แบ่งได้คืออะไร”

“งั้นก็ไม่แบ่ง...”

พี่เอื้อกุมขมับ “คิดง่ายๆ นายไม่สามารถแบ่งความว่างเปล่าให้กับสิ่งที่เต็มอยู่แล้วได้”

“...ความรักก็เช่นกัน” ผมอดไม่ได้ที่จะตบมุก เลยโดยตบหัวไปอีกหนึ่งฉาด นี่ตอนนี้โดนไปกี่ฉาดแล้วเนี่ย โฮๆๆๆ

“...ฉะนั้นโจทย์ข้อนี้ ต้องใส่ If else เช็กก่อนว่าค่าที่เข้ามาเป็นศูนย์หรือเปล่า ทีนี้ตรงนี้ระวังให้ดีว่าจะครอบไว้ตรงไหน ให้ดูจากโจทย์...” พี่เอื้ออธิบายไปเรื่อย ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วกะพริบตาปริบๆ จนกระทั่งพี่เอื้ออธิบายจบและเงยหน้ามองผม ไม่ต้องรอให้ผมพูดอะไร พี่แกก็เอ่ยเสร็จสรรพ “ไม่รู้เรื่องสินะ”

“ไม่เลยสักนิดครับ”

“ชอบข้าวต้มปลาหรือข้าวต้มกุ้ง”

“ผมอาจจะไม่เหลือซากศพสมบูรณ์ไว้จัดงานก็ได้นะ ฮือๆๆๆๆ”

“ไม่เป็นไร ถึงเป็นโลงเปล่าฉันก็จะจัดงานให้”

“เป็นสิวะพี่! ฮืออออออออ”

ผ่านไปสามชั่วโมง ในที่สุดผมก็ไล่ผ่านตาโจทย์ตัวอย่างทั้งหมดจนครบ ที่น่าเศร้าคือตอบด้วยตัวเองได้ไม่ถึงครึ่ง ระหว่างทำพี่เอื้อมีการยกข้าวต้มมาบริการด้วยจริงๆ...นี่ให้กินซ้อมก่อนงานจริงหรือเปล่า อะไรนะ ตายแล้วอดกินเหรอ บ้าจริง ฮือๆๆๆ

ฝ่ายพี่เอื้อที่ตรวจคำตอบเสร็จก็นิ่งมองผม ก่อนเอ่ยออกมาเรียบๆ พยางค์เดียว “จำ!”

“หา” จำอะไร

“ตอนนี้เยียวยาไม่ทันแล้ว เอาว่าจะสอนทริกให้ว่าถ้าเห็นคำถามแบบนี้ ให้ตอบแบบไหน ไม่เข้าใจก็ช่างแม่งก่อนตอนนี้ จำไป! ถ้าเจอโจทย์สไตล์นี้ จุดผิดมันจะมีได้แค่ไม่กี่แบบ ดูให้ดีๆ” พี่เอื้อถอนหายใจ ก่อนพลิกไปข้อต่อไปและให้ผมทำ

“จะดีเหรอ”

“อยากมีศพครบชิ้นส่วนหรือเปล่าล่ะ” พี่เอื้อทำเสียงพ่นลมหายใจ ก่อนเอ่ย “ที่ทำนี่มันก็ไม่ดีหรอก เพราะกลายเป็นว่าข้อสอบไม่ได้วัดความเข้าใจ แต่แล้วยังไง ระบบการศึกษาประเทศเรามันก็แบบนี้นี่หว่า ข้อสอบไม่ได้วัดความเข้าใจในสิ่งที่เรียนสักเท่าไหร่หรอก แต่ของ’จารย์โอ๋นี่เรียกว่าไม่เลวแล้วนะ นับว่ายังวัดความรู้อยู่”

ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ แบบไม่รู้จะตอบอะไรดี

พี่เอื้อยักไหล่ “ก็ช่วยไม่ได้นะ ถ้าเป็นแบบอื่นฉันคงไม่ได้สี่จุดศูนย์ศูนย์หรอก เอาว่า...อันไหนไม่เข้าใจก็จำแม่ง แต่ไม่ใช่ให้จำโง่ๆ จับแพตเทิร์นโจทย์ให้ได้ ไอ้ที่นายนั่งทำนี่ ถ้าตั้งใจดูดีๆ มันมีไม่กี่รูปแบบหรอก”

“โอ้”

“เพราะงั้น ภายในคืนนี้ จำแพตเทิร์นข้อสอบไปให้หมด”

“เห~”

“ไม่งั้นก็เตรียมเลือกวัดกับแพ็กเกจซะว่าอยากจัดงานกี่คืน”

ผมเลยได้แต่ซับน้ำตาและท่องไปเงียบๆ กระซิกๆ

ทว่าพอใกล้สี่ทุ่มผมก็เริ่มง่วง ใครใช้ให้ตั้งแต่พี่เอื้อมาอยู่กับผมแล้วไล่ผมนอนเร็วแทบทุกคืน จนตอนนี้ติดเป็นนิสัยไปแล้ว ทว่าคืนนี้ก็นอนไม่ได้! ผมตัดสินใจผุดลุกขึ้น

“จะไปไหน”

“ไปซื้อเอ็มร้อยห้าสิบ! ขวดเดียวรับรองอยู่”

“...หา”

“เพื่อนผมกินก่อนสอบทุกครั้งเลยนะ อ้อ แต่บางทีมันก็เปลี่ยนเป็นยี่ห้อกระทิงแดงนะ”

“ฟังแต่ละอย่างเหมือนนายจะไปขับสิบล้อกะดึกมากกว่าไปสอบนะ”

“แต่ว่า มันห้ามดื่มเกินวันละสองขวด เพื่อนผมมันก็เลยดื่มยี่ห้อละสองขวดอ่ะนะ”

“...เพื่อนนายยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมวะ”

“คิดว่านะ” ผมตอบขณะพยายามฝืนเปลือกตา

“พอแล้ว ไปนอน!”

“แต่...”

“นอนไม่พอจะยิ่งส่งผลต่อการสอบ ทำเพิ่มกว่านี้นายก็จำไม่ได้หรอก นอนได้แล้ว” ไม่พูดเปล่า พี่เอื้อเป็นฝ่ายหิ้วผม จากนั้นก็แบกขึ้นบ่าแล้วพาเข้าห้อง

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมถูกพี่เอื้อแบกแบบนั้น เลยตกใจจนตัวแข็งทื่อไปหมด จากนั้นพี่เอื้อก็ทุ่มผมลงบนเตียง...แล้วก็ไม่มีฉากเด็กไม่ดีใดๆ แค่ตบหัวผมสองสามทีประหนึ่งหลวงพ่อเคาะด้วยที่โปรยน้ำมนต์ “ไม่ต้องกังวล นอนซะ”

(ต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จะด้วยความที่ใช้สมองมาจนล้าก็ดี ชินกับการนอนสี่ทุ่มแล้วก็ดี เอาว่าจะด้วยสาเหตุไหน ผมก็หลับไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็เจ็ดโมงเช้า อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน นอกห้องไม่มีเจ้าขุนทอง มีแต่นกกระจอกคุยกันส่งเสียงจุ๊กจิ๊ก ส่วนฉงนฉงายควายไทยนี่ก็นั่งอยู่บนเตียงอยู่ตัวหนึ่งนี่ไง

หลังจากอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อย สมองที่ไม่ค่อยจะมีของผมก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ผมเดินลงมาที่ชั้นล่างและพบว่าตุ๊กตากบเพิ่งวางโทรศัพท์ “See ya!”

“พี่เดือน” ตะวันร้องทักจากทางห้องครัว ผมกะพริบตาด้วยความงุนงง ก่อนจะพบว่าตะวันดูจะไม่แปลกใจกับพี่เอื้อแม้แต่น้อย ถามไถ่ไปมาสรุปก็คือตะวันกับพี่เอื้อแนะนำตัวกันไปตั้งนานแล้ว แค่ผมมัวแต่เพ้อกับการสอบเลยไม่ได้สนใจ “น้องชาย ไม่ตกใจสักนิดเลยเหรอวะ”

ตะวันทำท่าหันรีหันขวางเลิกลั่ก ก่อนกระซิบด้วยประโยคสั้นๆ “...ตะวันเป็นสาวแล้ว กรี๊ดจ้า ลั่นเลย”

พรูดดดด “อันนั้นก็ตกใจมากเกินไปไหม”

“ก็จู่ๆ มีตุ๊กตากบพูดได้เดินไปเดินมาในบ้าน ไม่ตกใจได้ไงกัน”

ฝ่ายพี่เอื้อที่เห็นพวกผมก็เลยเดินมาหาพร้อมกระดาษที่เต็มไปด้วยรอยขีดฆ่า “ช่วยขีดฆ่าชื่อนี้ทิ้งให้หน่อย”

ผมหยิบปากกาที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะกินข้าวขึ้นมา แต่พอมองกระดาษที่เต็มไปด้วยรายชื่อก็พานสงสัย “รายชื่อมีแค่นี้ ทำไมพี่ตรวจสอบนานนัก”

“ก็กว่าจะติดต่อแต่ละคนมันโคตรเสียเวลาอ่ะเดะ” ว่าแล้วเขาก็ร่ายตัวอย่างเช่นแม่สาวจูเลีย (ลูกครึ่งไทยจีนที่ชื่อจีนคืออะไรไม่รู้ แต่พูดภาษาไทยชัด) ซึ่งเขาเคยพบที่ไทเปตอนไปแข่งฟิสิกส์โอลิมปิกจะต้องเริ่มจากการโทรหาเพื่อนเขาที่เคยเข้าค่ายด้วยกัน จนในที่สุดก็ได้เบอร์โค้ช จากโค้ชก็ไล่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงครอบครัว คนแรกในลิสต์คือคุณย่าของจูเลีย ไล่ไปจนถึง ป้า อา น้าสะใภ้ ลากกันไปเกือบจะครบสาแหรกวงตระกูลกว่าจะได้คุยกับเจ้าตัว

“โอ้โห” ผมฟังวีรกรรมของเขาด้วยความทึ่ง ดูเหมือนเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับสาวทุกรายของเขา แม้กระทั่งรายล่าสุดที่พี่เอื้อเพิ่งเลิกกันไป ว่ากันว่าพี่แกต้องต่อเกือบสิบห้าสายกว่าจะได้คุยกับเจ้าตัว

“...ผมว่าคำสาปแน่ๆ เลยว่ะพี่”

“เป็นกบนี่ยังไม่พออีกเหรอวะ” พี่เอื้อบ่นอุบขณะคว้าปากกามาจิ้มเบอร์ใหม่ “ที่จริงถ้านายจำหน้ายัยนั่นได้ก็จบแล้ว”

“ก็ตอนนั้นมันเร็วมาก ไม่กี่วิเองมั้งที่เห็นหน้า” ผมพยายามแก้ต่างให้ตัวเองสุดชีวิต ที่จริงก่อนนี้พี่เอื้อเคยพยายามให้ผมสเก็ตช์ภาพ แต่ฝีมือวาดรูปของผมห่วยเกินรับประทาน แถมพอเพ่งไปเพ่งมา ผมกลับผมว่านอกจากดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาคูนั้นแล้ว ผมแทบจำอะไรเกี่ยวกับสาวคนนั้นไม่ได้เลยสักนิด เลยพับโครงการนี้ไป

“เพราะสมองนายมันมีพื้นที่น้อยมากกว่าล่ะมั้ง...พอละ ฉันไม่ควรไปรบกวนเนื้อที่มันมากกว่านี้ กินข้าวแล้วเตรียมตัวสอบได้แล้วไป”

ตะวันช่วยผมหยิบเอาเกี๊ยวน้ำที่เหลือจากเมื่อวันก่อนออกมาจากในตู้เย็นและเทใส่ชาม ก่อนจะเข้าไมโครเวฟไปอุ่น ระหว่างนั้นผมก็อ่านโพยไปด้วย...ฮึ่มๆๆๆ จำไม่เห็นจะได้เลยอ่า

“อย่าลืมซักผ้านะ” ผมเตือนตะวัน ไหนๆ วันนี้ก็แดดดี ซักเสียหน่อย

“รับทราบ”

หลังกินข้าวเช้าเสร็จผมก็เก็บของ หลังจากแน่ใจว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็ทำท่าตะเบ๊ะลาพี่เอื้อและตะวัน จากนั้นก็ออกจากบ้านไป

“โชคดีนะพี่เดือน สู้ๆ” ตะวันโบกมือให้

“ไม่ไหวก็ยอมตายไปแต่โดยดีนะ” พี่เอื้อตะโกนตามไล่หลัง...ผมเกือบวกกลับไปร้องไห้ใส่ แต่พอมองเวลาแล้วก็ได้แต่วิ่งไปขึ้นรถเมล์อย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นชีวิตผมมันก็เหมือนภาพเบลอๆ แบบหน้าอกชิซูกะจังบนโทรทัศน์ จำอะไรไม่ค่อยได้ รู้ตัวอีกทีคือตอนที่ได้ยินเสียงพี่ผู้ช่วยของอาจารย์โอ๋ประกาศ “เอ้า หมดเวลา วางปากกา”

ทุกคนแทบจะโยนปากกาทิ้งและกรีดร้องเสียงโหยหวน สภาพของผมและเหล่านักศึกษาในคลาสตอนนี้ดูแล้วน่ากลัวมาก...จับไปเล่นหนังวันสิ้นโลกได้เลยเนี่ย ไม่ต้องใช้สเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ก็สมจริงชิบหายวายป่วง

พอส่งข้อสอบแล้วผมก็ทิ้งตัวลงกับโต๊ะทันที นี่ทำอะไรลงไปบ้างวะเมื่อกี้

“มาภา... กลับบ้านไปนอนเถอะ” อาจารย์ตบไหล่ผมอย่างเห็นอกเห็นใจ “มองเธอทีไรอาจารย์นึกว่าดูช่องฟูลวิชันที่เคยฉายหมีแพนด้านอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ทุกที”

...’จารย์จะบอกว่าผมเหมือนหมีแพนด้าใช่ไหมครับ

“เอ ไม่สิ” อาจารย์โอ๋เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น จากนั้นก็จ้องเขม็ง

“อาจารย์ว่าหมีแพนด้าดูแล้วสบายลูกตากว่าเธอเยอะ อย่างเธอน่าจะเป็นซอมบี้ในเรื่องวอล์กกิ้งเด๊ดมากกว่า กลับไปนอนได้แล้วไป”

“อาจารย์ใจร้าย ” ผมโอดครวญแต่ก็เก็บข้าวเก็บของกลับไปแต่โดยดี ตอนแรกผมคิดว่าจะชวนไอ้กิ่งไปกินอะไรย้อมใจ แต่โทรศัพท์มือถือสั่น พร้อมมีข้อความเข้าจากพี่เอื้อ

‘พลีชีพแล้วก็กลับบ้านมากินข้าวกลางวันซะนะ’

...ก็เลยกลับบ้านแต่โดยดี พ่อเรียกทั้งคน จ๊าก ตีผมทำไมอะ

 

 
 
 
 
ผมเดินโต๋เต๋กลับบ้านไปพร้อมกับวิญญาณที่บินออกจากร่างไปแล้ว โอยยยยย แดดวันนี้ ทำไมมันเจิดจ้าแบบนี้นะ

พอเดินเข้าบ้าน ก็เห็นกบโฉดน้องชั่วกำลังสุมหัวกันหัวเราะคิกๆ คักๆ อยู่หน้าโทรทัศน์...ไม่รู้ทำไมมันปรี๊ดๆ เห็นคนมีความสุขแล้วรู้สึกอยากทุบทำลายชอบกล

ฝ่ายพี่เอื้อก็ดูเหมือนจะจับถึงจิตสังหารของผมได้ก็เลยเงยหน้าขึ้นมาทักทาย “ไง เดือนปลอม มื้อแรกจะกินอะไรดี”

“ไข่เจียวฟูๆ กรอบๆ” ตอนนั้นสมองผมเพิ่งถูกทำร้าย เลยยังคิดไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวว่าพี่เอื้อถามถึงอาหารเลี้ยงงานศพวันแรกผมก็กำลังนั่งเคี้ยวไข่เจียวฟูๆ กรอบๆ เป็นข้าวกลางวันแล้ว

“เดี๋ยว เมื่อกี้พี่ไมได้ถามถึงข้าวเย็นใช่ไหม”

“ไม่รู้ตัวสักเย็นวันพรุ่งนี้เลยล่ะ” พี่เอื้อที่กำลังตักข้าวเข้าปากกลอกตาใส่ผม

“เว้ย เดี๋ยว พี่กลับร่างตอนไหน”

พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผม... “สมองไปซะแล้ว”

ผมปัดมือเขาทิ้งขณะมองออกไปด้านนอก เห็นตะวันกำลังตากผ้า ก่อนจะก้มลงมองข้าวไข่เจียวที่แหว่งไปครึ่งหนึ่ง เออเว้ย เมื่อกี้เหมือนภาพตัด ลืมทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ

“ตกลงทำข้อสอบได้หรือเปล่า” พี่เอื้อถาม

“ชีวิตแค่โดนทำร้ายยยย แต่ที่สุดมันก็ไม่โดนทำร้ายยยยย”

“ตกลงมันโดนทำร้ายหรือไม่โดนทำร้าย”

ผมนิ่งไป ก่อนเสิร์ชเนื้อเพลง “ผมร้องผิด”

...ขอประทานโทษบอดี้สแลมมา ณ ที่นี้

“...”

ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมไข่มันฟูดีจัง ผมทอดเองแบนแต๋ตลอด”

“ซื้อร้านป้าทิพย์ตามสั่งหน้าปากซอย”

“...” ไม่ได้ทอดเองหรอกเหรอ

พอกินข้าวเสร็จผมที่หมดภาระทางโลกแล้วก็ตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจตามล่าแม่มด โดยทำเป็นเมินๆ เสียงคนที่หาว่าผมกำลังหนีความจริงทิ้งไปเสีย

ซึ่งคำว่าช่วยของผม จริงๆ คือนั่งไล่รายชื่อไปมา ก่อนสังเกตว่าพี่เอื้อเอาใบรายชื่อที่เขียนด้วยลายมือน่าเกลียดของผมมาเขียนใหม่เสียเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรสวยงามแทบจะเท่ากันเป๊ะในระดับมิลลิเมตร แถมแต่ละคนมีรายละเอียดคร่าวๆ เสร็จสรรพ “พี่อะเอื้ออออออ พี่จำสาวๆ ได้หมดเลยเหรอ”

“พี่เดือน เป็นแฟนกัน ก็ต้องจำได้สิ” ตะวันแย้ง ผมเหลือบมองพี่เอื้อที่ส่งเสียงเหมือนคนสำลักน้ำออกมา...จริงๆ แล้วจำได้ไม่หมดสินะ

“หนึ่ง...สอง...หูย พี่ นี่มีแฟนตั้งแต่ตอนกี่ขวบเนี่ย” ...นี่ปีละคนยังไม่ได้เลยมั้ยนั่น

“เอ...เก้าขวบ”

ผมกับตะวันพร้อมใจกันมองหน้าพี่เอื้อ

“อะไร น้องสาวพวกนายยังมีแฟนตั้งแต่อยู่อนุบาลเลย”

พวกผมพร้อมใจกันก้มหน้าอ่านลิสต์ต่อในทันที

“พี่เอื้อๆ มีภาพสาวๆ พวกนี้ครบหรือเปล่า ผมจะได้ช่วยดู...นี่ไม่ซ้ำกับที่พี่เคยให้ไล่ดูใช่ป่ะ”

“เปลี่ยนเรื่องเชียวนะ...ใช่ ไม่ซ้ำ แต่มีแค่บางส่วน สมัยก่อนยังเป็นกล้องฟิลม์ เคยมีแสกนอยู่แหละ แต่อาจจะไม่ครบคน บางคนฉันยังพอจำชื่อได้อยู่ เดี๋ยวลองค้นดู”

“อือฮึ” ผมตอบรับ ระหว่างนั้นก็หนีขึ้นไปหยิบการ์ตูนลงมาอ่านเล่นเพราะตอนนี้พี่เอื้อโทรศัพท์แบบเปิดสปีกเกอร์โฟน เดี๋ยวเสียงจากโทรทัศน์จะเข้าไปรบกวน

ฝ่ายพี่เอื้อก็ต่อโทรศัพท์ “สวัสดีครับ น้องบ๋อแบ๋อยู่ไหมครับ”

ผมตอนแรกก้มๆ อ่านการ์ตูนอยู่ดีๆ แต่พอได้ยินคำตอบแล้วถึงกับผงกหัวขึ้นมาในทันที ตะวันที่กำลังซ่อมเสื้อให้ผมก็ผงกหัวขึ้นมา

((หา...บ๋อแบ๋? อ๋อ หมายถึงลูกสาวบ้านนี้ โฮ้ย ตายไปเมื่อตั้งแต่หกปีที่แล้วโน่น))

“...” พวกผมพากันเงียบกริบ ก่อนที่พี่เอื้อจะตั้งสติได้เป็นคนแรก

“เดี๋ยวนะครับ ที่ว่าตายนี่คือ...”

((เอ้า พ่อหนุ่มนี่...เมื่อกี้เพิ่งจะพูดชื่อไปเอง บ๋อแบ๋ไม่ใช่เหรอ ลองไปเปิดข่าวดูก็ได้ เห็นว่ากลับบ้านมาร้องห่มร้องไห้ วันต่อมาก็เอามีดทำครัวไล่ฆ่าครอบครัวตัวเองทิ้ง)) แล้วป้าแกก็เล่าคดีที่เกิดขึ้นให้ฟังแบบละเอียดยิบประหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ((เนี่ย ป้าซื้อบ้านต่อ เพิ่งรู้ ย้ายไปไหนก็ไม่ได้ ซวยจริงๆ))

จากนั้นอีกฝ่ายก็สาธยายความลำบากในชีวิตของแกตั้งแต่ผัวหลังเดาะ ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ยันร้านเสริมสวยตัดผมให้ผิดทรง สุดท้ายพี่เอื้อกดวางสายแล้วบล็อกเบอร์ทิ้ง

“น้องเขาตายเมื่อหกปีก่อน”

“ละ แล้ว...พี่คบกับน้องเขาเมื่อไหร่”

“หกปีก่อน”

“ตายหอง พี่เอื้อ หรือว่าแม่มดจริงๆ แล้วเป็นวิญญาณแค้นวะพี่” ผมมือสั่นขณะควานหาน้ำดื่ม รู้สึกปากแห้งคอแห้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สงสัยไข่เจียวป้าทิพย์จะใส่ชูรสเยอะไป

“บ้า ผีอะไรออกมาตอนกลางวันแสกๆ”

“ผีตะวัน” ตะวันที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมตอบ ขณะกางแขนออกสองข้าง ท่าทางเลียนแบบตัวละครในเดอะซาวด์ออฟมิวสิคที่เต้นรำกลางทุ่งหญ้า “แบบผีทะเลอยู่ในทะเล ผีตะวันก็อยู่ท่ามกลางแสงตะวัน”

ผมที่กำลังจิบน้ำอยู่พ่นน้ำพรวดออกมา พี่เอื้อที่นั่งอยู่ข้างล่างเลยโดนลูกหลง ได้รับน้ำมนต์ผมไปเต็มๆ “เว้ย เดือนปลอมมม”

“แค่กๆๆๆ โทษทีนะพี่” ผมยกมือทำท่าขอโทษขอโพย ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่น้องชาย “พูดบ้าอะไร แล้วผีทะเลอยู่ทะเลเหรอ”

“อ้าว ไม่งั้นทำไมเรียกผีทะเลล่ะ” ตะวันทำสีหน้าสงสัย

“เอ่อ เรื่องนั้น...” วิชาชีวะสมัยม. ปลายก็ไม่เคยสอนถึงสปีชีส์นี้ เลยไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน

“แบบนั่นไง ผี...ผีอะไรนะ ที่เป็นยักษ์ในทะเลไล่ตามผู้ชายอ่ะ” ตะวันทำไม้ทำมือ

“นี่อ่านอะไรมาวะ” ผมทำหน้างงใส่น้องชาย

“สมัยก่อนอ่า ที่เรียนในชั่วโมงภาษาไทย”

ผมทำหน้างุนงง ผีไล่ตามผู้ชาย

“ผีเสื้อสมุทรเหรอ” พี่เอื้อที่ปีนขึ้นมาใช้เสื้อยืดผมเช็ดขน (?) เปียกๆ ของตัวเองเอ่ยขึ้น     

“เออ ใช่ๆๆๆ” ตะวันตบไม้ตบมือ

“ผีเสื้อสมุทรนี่เรื่องไหนนะ”

“นี่นายจบการศึกษาพื้นฐานของประเทศไทยมาจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย” พี่เอื้อถามด้วยเสียงไร้อารมณ์

“พอพี่ถามแล้วผมก็ชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกัน” แบบว่าภาพเบลอๆ อีกแล้ว

“เอ...ว่าแต่ผีทะเลเนี่ย มันไม่ได้เอาไว้ใช้แบบ ‘คนบ้า คนผีทะเล’ อะไรทำนองนั้นหรอกเหรอ...มันมาจากไหนนะ”

“ผมจะไปรู้ไหม เสิร์ชสิ เสิร์ช” ต้องการอะไรจากคนที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทยมาแบบปลอมๆ กันล่ะฮึ

จากนั้นสมาคมตามล่าแม่มดก็กลายเป็นชุมนุมภาษาไทย นั่งมุงอ่านกระทู้พันทิปตลอดจนเว็บบอร์ดที่พูดคุยกันเรื่องผีทะเลไปแทน และภายหลัง ในจุลสารของเราก็เลยมีคอลัมน์ ‘ผีตะวัน’ ซึ่งเอาไว้อธิบายถึงคำในภาษาไทย แล้วก็กลายเป็นหนึ่งในคอลัมน์ประจำนับแต่นั้น อนุโมทนาสาธุให้นายแสงอรุณ ต้นกำเนิดมุกผีตะวันด้วยครับ

“แล้วตกลงวิญญาณแค้นนี่จะทำไง” ผมถามขึ้นขณะกินข้าวเย็น

“...ไว้ค่อยคิดแล้วกัน” พี่เอื้อบอกปัด

...เอางั้นนะ

  หลังจากนั้นพวกเราก็ลืมน้องเขาไปเสียสนิท นี่ไม่เล่าก็จำไม่ได้ ป่านนี้ไปเกิดแล้วมั้ง สาธุ


•••TBC


ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
10

พอหมดคลาสของอาทิตย์นี้ผมผู้ขี้เกียจก็อยู่บ้านก็กลิ้งเกลือกไปมา อ่านการ์ตูน เล่นเกม ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับชีวิตก็เห็นพี่เอื้อเดินแบกลังกระดาษเข้ามา จากนั้นก็วางลังลงบนโต๊ะรับแขกก่อนจะเดินไปกินน้ำ ทว่าตอนเดินกลับมาอีกทีกลับกลายเป็นกบไปแล้ว “ชิ กะเวลาผิด”

“ดีนะกลับมาทัน” ผมเอ่ยขณะลุกขึ้นไปช่วยเก็บเสื้อผ้าที่ถูกถอดกองบนพื้นและโยนลงใส่ตะกร้าผ้า

“งั้นตะวันซักผ้าเลยแล้วกัน” ว่าแล้วตะวันก็หยิบเอาม้านั่งตัวเล็กไปนั่งแยกผ้า

ฝ่ายพี่เอื้อก็เดินกลับมาที่ลังใบเดิม และกวักมือเรียกผม “มานั่งนี่”

ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะนั่งลง มองตุ๊กตากบที่พยายามทำท่ากอดอก แต่เพราะแขนสั้นเกินไปก็เลยดูเหมือนกำลังยกมือขึ้นปิดหน้าอกมากกว่า ซึ่งในฐานะสุภาพชน ผมก็เลยพยายามที่จะไม่หัวเราะ

“หัวเราะอะไรของนาย”

...โอเค ผมทำพลาด จากเสียงหัวเราะเลยเปลี่ยนเป็นเสียงไอโขลก

หลังจากนั้นพี่เอื้อก็ให้ผมหยิบเอาของออกจากกล่องกระดาษลัง “วันนี้ฉันกลับไปหอ ไปเอาไอ้นี่มา”

“นี่คือ” ...คลังสมบัติลับของลูกผู้ชายที่มักเก็บไว้ใต้เตียงหรือเปล่า อะไรนะ สมัยนี้เก็บในเอ็กซ์เทอร์นอลฮาร์ดดิสก์กันหมดแล้วเหรอ เฮ้ อย่าดูหมิ่นความคลาสสิกของการเก็บไว้ใต้เตียงสิ

ทว่าพี่เอื้อดับจินตนาการละเมอเพ้อพกของผมด้วยการเฉลย “เลกเชอร์เก่าของฉันสมัยปีหนึ่ง”

“เอ๋”

“นายน่ะ จากที่ติวให้คราวก่อน พื้นฐานอ่อนโคตร”

“แค่ก ขอประทานอภัยขอรับ”

“ไม่เป็นไร ฉันถึงไปเอาไอ้นี่มาไง”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองกองสมุดโน้ตสีสันแตกต่างกัน ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ “แล้ว...”

“ฉันก็จะติวให้น่ะสิ หยิบเล่มสีน้ำตาลขึ้นมา เออ เล่มนั้นแหละ”

ผมหยิบออกมาแล้วก็ทำท่าจดๆ จ้องๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดออกดู เนื้อหาภายในสมุดเลคเชอร์ของพี่เอื้อเรียกได้ว่าเรียบร้อยงดงาม ลายมือเป็นระเบียบมาก เหลี่ยมเป๊ะ สูงเท่ากันพอดี อีกนิดจะนึกว่าเป็นตัวพิมพ์แล้ว

“อันนี้จดหรือลอกมา” ทำไมลายมือมันเป๊ะขนาดนี้ อย่างตอนนั้นเห็นโน้ตที่พี่เอื้อลอกยังพอเข้าใจได้ว่ามีต้นฉบับมาก่อน ค่อยๆ เขียนให้สวยๆ ได้ แต่ไอ้สมุดเลคเชอร์นี่มันไม่ใช่แบบนั้นหรือเปล่า

“จดสิวะ”

“โอ้โห นี่พี่จดหมดเลยเหรอ” ทำได้ยังไงให้ลายมือสวยด้วยจดทันด้วยวะ

“เออสิ”

“ไอ้พวกนี้ในชีตก็มีไม่ใช่เหรอ” ผมพลิกดูเนื้อความผ่านๆ บางส่วนรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย

“มี แต่มันสู้จดเองไม่ได้ รู้หรือเปล่าว่าการเขียนไปด้วยจะช่วยให้เราจำได้มากขึ้นนะ”

“เห...แล้วนี่บ้านพี่ขายไฮไลต์? ทำไมเยอะจัง” ผมมองสีสันละลานตาในสมุดเล็กเชอร์แล้วอดถามออกมาไม่ได้

“บ้า สีพวกนี้แยกตามความสำคัญของเนื้อหา คำที่เป็นคีย์เวิร์ดสีเขียว ประโยคอธิบายสีชมพู จุดที่น่าสนใจรองลงมาสีเหลือง แล้วก็ส่วนที่ควรจะอ่านเพิ่มสีฟ้า ปากกาที่จดข้อความก็แยกตามสี พอถึงเวลาอ่านทวน ก็เริ่มจับจุดจากคีย์เวิร์ดก่อน อย่างน้อยในห้องสอบเวลานึกอะไรไม่ออก ก็ยังพอมีหลักในหัวบ้าง”

“...โห” ผมได้แต่ร้องอุทานขณะไล่พลิกหน้ากระดาษ บางตำแหน่งก็มีกระดาษอีกแผ่นที่เย็บแม็กซ์พับเอาไว้ พอกางออกดูก็เห็นเป็นหน้าซีร็อกซ์จากเท็กซ์ภาษาอังกฤษซึ่งมีไฮไลต์สีๆ แบบเดียวกันกำกับอยู่

ผมพลิกไปพลิกมา สุดท้ายกลับไปที่หน้าแรก พอตั้งใจอ่านดีๆ พบว่าเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชา “พี่เอื้อ พี่จดจุดประสงคการเรียนรู้ไว้ทำไม”

“เอาไว้เก็งข้อสอบ”

“หา”

“ปกติแล้วอาจารย์จะต้องสอนให้ได้ตามจุดประสงค์ ถ้ามันเขียนว่าวิชานี้สอนบวกเลข สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือการบวกเลข อาจารย์ไม่ควรประสาทขนาดเอาลบ คูณ หารมาออกสอบอยู่แล้ว ฉะนั้นการเก็งข้อสอบ หลักๆ คือดูจุดประสงค์การเรียนรู้ว่าวิชานี้ต้องการให้เราเรียนรู้อะไร”

“เห...จริงอ่ะ”

“แหงสิ ถ้าไม่อยู่ในจุดประสงค์การเรียนรู้ อาจารย์จะทดสอบเราทำไม”

ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะพลิกสมุดโน้ตของพี่เอื้อไปมา สุดท้ายก็ถูกเอ็ดให้ตั้งใจอ่านดีๆ “อ่านแล้วหยิบกระดาษมา เออ เอสี่นั่นแหละ อ่านแล้วโน้ตย่อไปด้วย จะได้จำได้”

“ของพี่ไม่เรียกว่าย่ออยู่แล้วเหรอ”

“ก่อนสอบฉันจะทำโน้ตย่ออีก ให้สรุปทุกอย่างให้ได้ในกระดาษเอสี่แผ่นเดียว” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง

...โฮ้ย ถ้าจะสี่จุดศูนย์ศูนย์แล้วเราต้องทำถึงเพียงนี้

“ฉะนั้น...นายอ่านไอ้นี่” พี่เอื้อตบสมุดของตัวเอง ก่อนจะเคาะในกล่องให้ผมดึงเอาปึกชีตที่ถูกจัดเป็นระเบียบ กระดาษตรงกันเป๊ะประหนึ่งเพิ่งแกะออกมาจากห่อ...โธ่ พ่อ OCD ของบ่าว “ส่วนนี่เป็นแบบฝึกหัด พี่หารให้แล้ว ทำโจทย์วันละห้าข้อพอ ถ้าวันไหนอยากทำเกินก็หักของวันต่อไปได้ ถ้าวันไหนลืมทำ ก็ต้องทบไป”

“...ห้าข้อ” ฟังดูไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ว่า...ผมก้มลงมองกองชีต “ยากนะพี่ ทุกวันเนี่ย”

“น้องครับ ใจคอน้องจะเอาคะแนนดีๆ แบบไม่ลงมือทำอะไรเลยเหรอครับ” พี่เอื้อเอ่ยเสียงเนิบๆ แต่ผมฟังแล้วอยากจะกุมอกร้องอะเอื้อออแล้วกระอักเลือด “วินัยมันอยู่ที่ตัวเรานะครับน้อง”

...พูดเป็นสโลแกนโรงเรียนกวดวิชาเลย

“แล้วถ้าทำแล้วก็ยังไม่ไหวอยู่ดีล่ะครับบบบ” ผมทำเสียงร้องไห้กระซิกๆ

“ถ้าทำหมดนี่แล้วยังไม่ไหวอีก พี่ว่าสมองน้องอาจจะมีปัญญาด้านพัฒนาการแล้วนะครับ ไว้พี่พาไปหาหมอ แต่แบบนั้นน่าจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ไหวแต่แรกแล้ว ไม่ได้จับฉลากเข้ามาใช่ไหม”

“...สอบสิพี่” ผ่านแบบคาบๆ ด้วย เรียกว่าอีกนิดเดียวจะเป็นคะแนนต่ำสุดของคนที่เลือกคณะนี้แล้วเนี่ย

“เออ งั้นสมองยังพอเยียวยาได้ ปัญหาน่าจะอยู่วิธีการทำความเข้าใจ นั่นแหละ วันละห้าข้อ แล้วเรามาคุยกันว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แล้วค่อยทำความเข้าใจไป” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ

“ตอนนี้ผมอยากจุดธูปไหว้พี่จัง” ผมทำเสียงซาบซึ้งและพยายามบีบน้ำตาจระเข้ออกมาสุดชีวิต

“...” พี่เอื้อเมินผมแล้วหันไปหาตะวันที่เดินกลับเข้ามาพอดี “ตะวัน ช่วยจำด้วยนะว่าวันไหนทำไปกี่ข้อ มีวันฟรีหรือต้องทบเท่าไหร่”

ตะวันทำท่าตะเบ๊ะ “รับแซ่บ”

“ไอ้น้องทรยศศศศ” ผมร้องครวญครางแล้วลงไปกลิ้งกับพื้น กลิ้งไปตาก็มองโทรทัศน์ที่เปิดอยู่ไปด้วย

“เอาน่า พี่เดือน ได้เรียนหนังสือ สนุกออก”

“พูดดี มีอนาคตไกลแน่นอน” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองจอโทรทัศน์ และในตอนนั้นเอง...

“อะ งั้นวันนี้ก็มาเริ่มเลยแล้วกัน”

“เฮ้ยๆๆๆ พี่เอื้อๆๆๆ นั่นๆๆๆ ดูนั่น” ผมตะกายขึ้นมานั่ง แล้วชี้ไปที่จอโทรทัศน์ซึ่งเป็นภาพคนกำลังเต้นแอโรบิคกันอยู่...ตอนนั้นเปิดดูรายการอะไรก็จำไม่ได้แล้ว

“อะไร คิดจะเปลี่ยนเรื่องเหรอ ไม่ได้ผลหรอกนะ”

“ไม่ช่ายยย นั่นๆๆๆ บนจอนั่น ตุ๊กตา...ซ้ายบนอ่ะ ข้างอาม่าชุดสีบานเย็น”

“หืม เฮ้ย!” พี่เอื้อที่เงยหน้าขึ้นมองอุทานเสียงดัง

บนหน้าจอเป็นภาพของเหล่าอากงอาม่ากำลังเต้นแอโรบิคกันในสวนสาธารณะ แต่จุดที่ทำให้ผมตกใจคือที่มุมจอซึ่งถ่ายติดเพียงช่วงขาของผู้หญิงคนหนึ่งมีตุ๊กตากบขนาดเท่าฝ่ามือ

...ซึ่งตุ๊กตาตัวที่ว่า คือตุ๊กตากบที่มีหน้าตาเหมือนพี่เอื้อไม่ผิดเพี้ยน

ต้องขอบอกตรงนี้อีกนิดว่าก่อนหน้านี้ผมกับพี่เอื้อเคยช่วยกันหาที่มาของตุ๊กตากบตัวนี้ ทว่าหาอย่างไรก็ไม่ได้ความ ผมถึงขั้นสำแดงวิชาวาดรูปห่วยๆ เอาไปถามในพันทิปก็ยังไม่ได้ความ แต่มาวันนี้กลับมีตุ๊กตาหน้าตาเดียวกันปรากฏตัวต่อหน้า...

“เดือนปลอม”

“จ๋า”

“พรุ่งนี้เย็นไปออกกำลังกายนะ”

“พี่ตกคำว่าเราไปหรือเปล่า” ผมคลี่ยิ้มพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เฮ้ย ฉันเป็นตุ๊กตากบ จะไปแอโรบิคด้วยได้ยังไงกัน”

“พี่ก็แปลงเป็นคนสิ ผมสละจูบให้เลยเอ้า”

“ไม่ได้สิ ดีไม่ดีผู้หญิงในทีวีนั่นอาจจะเป็นแม่มดจริงๆ ก็ได้ ถ้าหล่อนเห็นฉัน หล่อนอาจจะหนีไป ไม่สู้ใช้นายเป็นนกต่อ หลอกเก็บข้อมูลก่อนดีกว่า”

“งั้นพี่ก็ปลอมตัวเอาเซ่”

“ปลอมยังไง ใส่หน้ากากสตรอมทรูปเปอร์เลยไหม”

ผมหัวเราะ “เห นึกว่าพี่จะไม่ดูสตาร์วอร์ซะอีก”

“หนังไซไฟต้องดูไว้ประดับความรู้อยู่แล้ว สตาร์เทร็กกับสตาร์เกตฉันก็ดูเถอะ”

...เนิร์ด

“แล้วเขาจะมาเร้อ คนเราไม่ออกกำลังกายทุกวันมั้ง”

“คนแบบนั้นมีแต่นายมากกว่านะ”

“...” ไม่จริง!

 

ท้ายที่สุดผมก็ถูกใช้เป็นนางนกต่อ อะไรนะ ไม่ถูกเหรอ เออ เอาว่าสุดท้ายผมก็สวมชุดออกกำลังกายไปที่สวนสาธารณะที่ว่าจนได้ สวนนี่ค่อนข้างไกลจากบ้านผมพอสมควร ดีที่คนไม่ค่อยเยอะ มนุษย์ผู้ไม่สู้คนแบบผมเลยไม่ถึงกับอยากจะเป็นลม

ผมเดินวนอยู่พักหนึ่งก็หาลานที่เขาเต้นแอโรบิคกันพบ อันที่จริง ในเหตุการณ์จริงผมไปอยู่หลายวันกว่าจะได้เรื่อง แต่ขืนเล่าแบบนั้นคงโดนที่ตีเปรตฟาดเอาแน่นอน ดังนั้นขอข้ามไปวันที่มีอีเว้นต์ใหญ่เลยก็แล้วกัน

ตอนที่ผมไปถึง คนเริ่มมายืนจับจองที่กันแล้ว ผมมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจวางกระเป๋าที่มีพี่เอื้อไว้ที่โต๊ะเตี้ยตรงตำแหน่งที่สามารถมองเห็นทั้งถนนที่ใช้เป็นลานแอโรบิคได้อย่างชัดเจน ก่อนไปยังไม่ลืมกำชับ “พี่เอื้อ ถ้าโจรจะขโมยกระเป๋า พี่กัดเลยนะ”

สั่งเสียเสร็จผมก็ไปหาที่ประจำตำแหน่ง ฝ่ายพี่เอื้อที่ตอนนี้ตอบอะไรผมกลับมาไม่ได้เพราะกลัวคนรอบๆ จะได้ยินก็ส่งเมสเซจมาด่าทอหนึ่งชุด ผมเลยส่งอีโมติคอนคนส่งจูบกลับไปให้...ถูกบล็อกไปห้านาที แค่กๆๆๆ

สุดท้ายผมได้แต่แอโรบิคไป สายตาก็สอดส่องหาเป้าหมายไปเรื่อย แต่ด้วยความที่มุมกล้องจำกัดก็เลยมองอะไรไม่ค่อยถนัด จนกระทั่งมือถือของผมสั่น บนหน้าจอปรากฏข้อความว่า ‘ทางซ้าย ข้างอาม่าผมสีม่วง’ ผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะอาศัยจังหวะของท่าค่อยๆ หมุนไปคอมอง...แล้วก็บิงโก!

ตรงตำแหน่งที่พี่เอื้อบอกมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม ที่เอวของเธอมีตุ๊กตากบตัวที่ผมกำลังมองหาแขวนอยู่กับกระเป๋าคาดเอว

หลังจากนั้นผมก็เต้นแร้งเต้นกาไปแบบไม่ค่อยจะรู้เรื่อง พอเลิกปุ๊บผมก็รีบวิ่งตรงไปหาเป้าหมายในทันที

“ขอโทษนะครับ” ผมสะกิดเธอ พอเป้าหมายหันกลับมาปุ๊บ ผมก็กะพริบตาปริบๆ คลี่ยิ้มอายๆ ...เรียกใช้ท่าสล็อธงุนงงออกไป ซึ่งท่าไม้ตายนี้รุนแรงมาก เพราะคนที่โดนเข้าไปจะมีอาการเคลิบเคลิ้มมึนงง คิดตามไม่ค่อยทัน

ฝ่ายนั้นหันมามองผมด้วยสายตางุนงง วินาทีแรกที่สบตา ผมก็รู้ทันทีว่าเธอไม่ใช่เป้าหมาย...เพราะดวงตาที่ผมเห็นในตอนนั้นไม่ใช่ดวงตาคู่นี้อย่างแน่นอน “คือ...ตุ๊กตา เอ้อ พวงกุญแจที่เอวของคุณนั่น คล้ายกับของน้องสาวผมมาก แต่เร็วๆ นี้น้องผมทำหาย...น่าจะแถวๆ มหาวิทยาลัย น้องผมรักมันมาก ร้องห่มร้องไห้ทุกวัน ผมเลยอยากจะซื้อคืนให้เธอ ไม่ทราบว่าคุณพอจะบอกได้ไหมครับว่าซื้อที่ไหน”

ดวงตาของคู่สนทนาของผมเบิกกว้าง ก่อนจะอุทานออกมา “ตายจริง ของน้องสาวคุณเองหรือคะ ฉันเก็บมันได้ที่มหาวิทยาลัย” ...เธอบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่เดียวกับผมออกมา “เห็นว่ามันน่ารักดี ก็เลยเอามาใช้ ถ้ายังไงคืนให้นะคะ”

แน่นอนว่านี่เป็นเบาะแสเดียว ดังนั้นผมจึงไม่คิดปฏิเสธ และแน่นอนว่าการได้ของแล้วชิ่งเลยมันจะดูน่าสงสัยไปหน่อย ผมก็เลยชวนเธอคุยอีกเล็กน้อย ทำไปทำมาชักรู้สึกว่าตัวเองเหมาะแก่การเป็นสายลับนิดหน่อย ทว่าขณะกำลังเริ่มติดลม มือถือเจ้ากรรมก็สั่นสะเทือน พร้อมข้อความ

‘กลับมาได้แล้ว’

ไอ้หยา พ่อตามแล้ว “...หวา เพื่อนผมตามแล้ว ต้องไปก่อนนะครับ”

จากนั้นผมก็โปรยยิ้มแบบสล็อธงงให้อีกรอบ ก่อนจะชิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว ตอนกลับมาถึงตำแหน่งที่วางกระเป๋าก็เจอเข้ากับตาแป๋วๆ ของกบ “คุยกับสาวสนุกไหม”

“ก็ไม่เลว” ผมตอบ ก่อนสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของพี่เอื้อแปลกไปเล็กน้อย จึงอดถามออกไปไม่ได้ “หึงเหรอ”

มีเสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นเป็นชุด บ้าจริง เป็นตุ๊กตาหายใจไม่ได้สักหน่อย สำลักอากาศได้ยังไงกัน

“น้องเดือนปลอมครับ อะไรทำให้น้องคิดแบบนั้น”

“ละครครับ” ผมตอบตามตรง เอ้า ก็ละครสอนมาแบบนี้ แล้วตอนนี้ก็กำลังอยู่ในสเตจ...สเตจอะไรแล้ววะ เล่าจนลืม อ้อ สเตจสาม ‘รู้ใจแต่ไม่กล้าบอก’…เอาว่านั่นแหละ เข้ากับสถานการณ์เป็นที่สุด

พี่เอื้อพ่นหัวเราะดังพรืด ส่วนผมเห็นพี่แกไม่ถามอะไรอีก ก็เลยส่งพวงกุญแจให้ “เอ้า นี่ ผมดูแล้วไม่เห็นอะไรผิดปกติ ไม่มีชื่อ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น”

“ปกติมันก็ไม่ควรจะมีอยู่แล้ว หืม...นี่มันมีซิปนี่ ตรงนี้”

พอพี่เอื้อพูดผมก็สังเกตเห็นซิปขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วจิกมันขึ้นมา และเปิดดูด้วยความตื่นเต้น

“ไม่เห็นมีอะไรเลย...เอ๊ะ ตรงนี้มีอะไรซ่อนอยู่” ผมสัมผัสได้ถูกกระดาษที่ให้ความรู้สึกนิ่วยวบเล็กน้อย...เดาว่าตอนเก็บได้แม่สาวแอโรบิคเมื่อกี้คงเอาไปซัก ผมใช้สองนิ้วจับตรงกลางแผ่น ก่อนจะบรรจงดึงออกมาอย่างเชื่องช้าเพราะกลัวขาด สุดท้ายก็ได้กระดาษแผ่นเท่าแสตมป์ออกมา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกระดาษที่ถูกพับทบ ผมเลยต้องค่อยๆ คลี่ออกดูอย่างระมัดระวัง ทว่าภาพที่เห็นทำเอาเกือบทำกระดาษร่วง

บนแผ่นกระดาษอ่อนยวบยาบแผ่นนั้นมีภาพเลือนๆ อยู่ ทว่าเป็นภาพของพี่เอื้ออย่างแน่นอน

ผมรู้สึกหนาววูบขึ้นมาในทันที “พี่เอื้อ ดูเหมือนนี่จะเป็นของแม่มดที่สาปพี่จริงๆ นั่นแหละ”

“ฉันก็ว่างั้น” พี่เอื้อตอบด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย “นายแน่ใจนะว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้ไม่ใช่...”

ผมส่ายหัว “ไม่ใช่คนที่ชนผมแน่นอน”

“อืมมมม”

“นี่...เราทำแบบหนัง CSI ไม่ได้เหรอ ที่แบบสืบจากกระดาษ”

“เปื่อยขนาดนี้จะทำอะไรได้ อีกอย่าง ไอ้นี่ก็คงกระดาษธรรมดามั้ง”

“เราต้องลองส่งไปห้องแล็บดู”

“แวะกินข้าวแล้วกลับบ้านเถอะ” พี่เอื้อตัดบทการเป็นเจ้าหน้าที่ CSI ของผมอย่างรวดเร็ว

ทว่าขณะกำลังเดินกลับ ก็ได้ยินเสียงร้อง “ขโมยยยยย”

พอหันกลับไปมองก็เห็นคนวิ่งมาพร้อมกระเป๋าถือแบบผู้หญิง มองไปอีกฝั่งเห็นมอเตอร์ไซค์จอดรออยู่ ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก ผมไม่ทันได้คิดอะไรก็เหวี่ยงเป้เข้าใส่ใบหน้าของคนที่กำลังวิ่งหน้าตื่นพอเสียหลักผมก็เตะตัดข้อพับหลังเข่าจนไอ้หมอนั่นล้มลง ฝ่ายคนบนมอเตอร์ไซค์เห็นท่าไม่ดี ตอนแรกเหมือนจะหนี แต่ไม่รู้เพราะอะไร อาจจะเพราะเห็นผมตัวนิดเดียวเลยเข้ามาช่วยเพื่อน

หมอนั่นกระชากมือผมจากด้านหลัง ผมอาศัยจังหวะนั้นหมุนตัวแล้วอัดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ตามด้วยศอกซ้เข้าที่ลิ้นปี่ของอีกฝ่ายจนร่วง ไอ้ฝ่ายคุณเพื่อนแสนดีก็ตะกายขึ้นมาช่วย พยายามจะกระชากเสื้อผมจากด้านหลัง ผมไม่ขัดขืน แต่ใช้จังหวะแบบเดิมหมุนตัวกลับแล้วเอาศอกอัดกกหูอีกฝ่าย

พอสองโจรร่วงไปแล้วเจ้าของกระเป๋าที่กลับมาพร้อมพลเมืองดีอีกสองสามคน ผมเลยบอกให้พวกเขาจัดการต่อ ก็เลยได้รับคำขอบคุณมาชุดใหญ่ ก่อนจากพี่เจ้าของกระเป๋ายังไม่วายยัดเงินให้ผมมาจำนวนหนึ่งไว้ไปซื้อข้าวกินแทนคำขอบคุณ ผมพยายามปฏิเสธแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเลยได้เงินกลับมาแบบงงๆ ตอนหลังเงินนี่ผมก็เอาไปบริจาคเข้ามูลนิธิแหละนะ

เมื่อพ้นจากเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายมาได้ ผมก็ได้รับข้อความจากพี่เอื้อ ‘เป็นอะไรหรือเปล่า!’

ผมเลยนึกขึ้นได้และเปิดเป้ดู ตุ๊กตากบที่กำลังกดโทรศัพท์เงยหน้ามองผมตาแป๋ว “เดือนปลอม! คิดว่าตัวเองเป็นใคร จาพนมเหรอออ ช้างกูอยู่ไหน”

“ตายล้าววว พี่ดูหนัง” ผมยกมือขึ้นทาบอก

“ไอ้ตี๋มันลากไปดูเว้ย! แล้วอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง นี่สมองยุบไปหรือเปล่าเนี่ย ดีนะอีกฝ่ายไม่มีมีดมีปืนเนี่ย เด็กบ้า จับโจรให้คุณตำหนวดเขาไปทำเซ่”

“ปลอดภัยดีพี่” ผมยิ้มยิงฟัน “เดี๋ยวผมแวะกินข้าวแล้วเรากลับบ้านกัน”

“ไม่เป็นไรแน่นะ” พี่เอื้อยังคงถามย้ำ

“ม่ายมีอะไรบุบสลาย”

พี่เอื้อยังซักถามพร้อมบ่นอีกนิดหน่อย ผมชิ่งด้วยการบอกเขาว่าตอนนี้อยู่ในที่สาธารณะ ก้มลงคุยกับกระเป๋าเป้ตัวเองนานๆ ไม่น่าจะดี พี่เอื้อเลยยอมปล่อยผมไป

ระหว่างกินข้าว ผมก็อดนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่อีกไม่ได้ หลายวันนี้ผมมองภาพมาเยอะจนจำได้ว่าเป็นภาพของพี่เอื้อสมัยมัธยม แต่จะบอกว่าทำให้ขอบเขตของเป้าหมายเหลือแค่คนรู้จักสมัยมัธยมก็ไม่ได้ เพราะพี่เอื้ออัปภาพนี้บนเฟซบุ๊ก แถมเพื่อนพี่แกก็เยอะ...คนติดตามก็แยะ

“อ๊ะ” ผมอุทานเสียงดัง ก่อนนึกขึ้นได้ว่ายังอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยว จึงแกล้งทำเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์แก้เกี้ยว ซึ่งข้อความทั้งหมดก็ส่งให้กับกบที่อยู่ในกระเป๋า

‘ภาพนี้พี่โพสต์ลงเฟซ? เปิดให้ใครเห็นบ้าง?...แม่มดน่าจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนพี่หรือเปล่า’

สักพักพี่เอื้อก็ตอบกลับมา ‘ฉันกำลังไล่ดูอยู่’

ตอนที่กลับถึงบ้าน ผมก็เห็นโน้ตที่ตะวันทิ้งไว้ว่าให้ช่วยเก็บผ้าด้วย ก็เลยเดินออกไปเก็บผ้า พอกลับเข้ามาก็ได้ยินพี่เอื้อพูดว่า “มาดูนี่หน่อย”

ผมขยับเข้าไปใกล้ ปรากฏว่าเป็นภาพผู้หญิงคนหนึ่ง

“ฉันไล่เช็กรายชื่อเพื่อน แล้วก็เลยนึกอะไรขึ้นได้ ภาพเมื่อกี้ แฟนเก่าฉันเป็นคนถ่าย”

“เอ๋”

ว่าแล้วเขาก็เปิดภาพถ่ายในเฟซซึ่งเป็นภาพหมู่ จากนั้นก็ชี้ที่ใบหน้าเล็กจิ๋ว “คนนี้...นายคุ้นหน้าไหม”

ผมพยายามมอง... “ไม่มีภาพที่ชัดกว่านี้เลยเหรอ”

“ไม่มี น่าจะซ่อนให้เฉพาะเพื่อนเห็น ฉันไม่กล้าใช้เฟซหลักแอดเขา เลยใช้เฟซสำรอง เขาก็ไม่กดรับ เลยไปเจอทวิตเตอร์เขาเข้า เขาบอกว่าวันเสาร์นี้เขาจะไปสวนสนุก” ...พี่เอื้อบอกชื่อสถานที่ออกมา

“อ้อ ไอ้ที่เปิดใหม่นั่นใช่ป่ะ”

“งั้นมั้ง” พี่เอื้อตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่สนใจ ส่วนผมที่เริ่มจะรู้แกวก็พอเดาได้ว่าพี่แกน่าจะไม่รู้จัก อามิตตาภพุทธ “เอาว่าฉันเลยว่าจะลองไปดู ไม่เจอกันมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ฉันจะจำได้ไหม อาจจะลองไปโผล่หน้าแล้วดูปฏิกิริยาอีกที”

“โอเค ขอให้โชคดี”

“...” พี่เอื้อนิ่งไปเหมือนถูกกดปุ่มปิดสวิตช์

“...” ผมกะพริบตาปริบๆ

“ไม่ไปกับพี่เหรอ”

“หือ ไปทำไมกัน”

“เผื่อไปดูหน้าไง”

“พี่ถ่ายรูปแล้วส่งกลับมาแล้วกัน” ...ขอบคุณเทคโนโลยี

พี่เอื้อทำท่าอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ชะงักไป “นาย เข่าถลอกนี่”

“หือ” ผมงุนงงเล็กน้อย ก่อนก้มลงดู “เออ อ้อ ตอนเล่นเป็นคนดีจับโจรตะกี้มั้ง”

พี่เอื้อนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยกสองมือขึ้นมา “จูบหน่อย”

“...หา”

“นิดเดียว...นะ” ตุ๊กตากบทำท่าเอียงคอและเขย่าแขน...ดูแบบนี้ก็น่ารักดีหรอก แต่พอจินตนาการซ้อนทับกับเจ้าตัวจริงๆ แล้วรู้สึกขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก

“พรุ่งนี้เดี๋ยวซื้อหอยเชลล์มาทำให้กิน”

ผมก้มตัวลงเข้าไปใกล้เขาและอุ้มเอาพี่เอื้อขึ้นมาแตะจูบแผ่วเบา ระหว่างนั้นผมหลับตาอยู่ตลอด จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าร่างของตัวเองลอยหวือ “เหวอออ”

ที่แท้พี่เอื้อหิ้วผมขึ้นไปนอนบนโซฟา ผมที่ยังมึนๆ งงๆ เลยงีบหลับไปครู่หนึ่ง ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกแสบๆ ตึงๆ ที่เข่า พอก้มลงดูก็เห็นมีคนใจดีป้ายยาแดงให้เสร็จสรรพ

ส่วนคนใจดีก็เดินกลับมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว พอเห็นผมก็ถาม “มีตรงอื่นเจ็บอีกไหม”

ผมที่ทนมองแปดแพ็กและวีไลน์นานๆ ไม่ได้ตัดสินใจล้มลงแกล้งตายต่อ “ม่ายมี”

พี่เอื้อนั่งลงข้างๆ ผม ก่อนจะถือวิสาสะเลิกเสื้อดู “ไหนดูซิ”

“วรั้ยยยยย พี่ชายยยย นี่มันลวนลามกันนี่”

พี่เอื้อตีพุงผมไปหนึ่งที ก่อนจะปิดเสื้อคืนให้ จากนั้นก็คลำๆ ตามแขนตามขาก่อนเห็นว่าข้อศอกผมก็ถลอก...อันนี้น่าจะเกิดจากการเอามันไปกระแทกหน้าชาวบ้านอ่ะนะ พี่แกเลยจัดการคว้าอุปกรณ์ที่ตอนแรกผมไม่ทันสังเกตว่าอยู่บนโต๊ะมาจัดการทำความสะอาดแผลให้

ระหว่างมือทำไป ปากก็ถาม “ไม่อยากไปสวนสนุกเหรอ”

ผมมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง ก่อนส่ายหัว “ม่ายอาววว ผมไม่ชอบที่คนเยอะๆ ขอนอนกลิ้งโง่ๆ อยู่บ้านดีกว่า”

“งั้นเหรอ” พี่เอื้อพูดเพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับสวนสนุกอีก ผมก็เลยลืมมันไปจากความทรงจำ จนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์วนเวียนมาถึง...


•••TBC


พี่เขาแค่อยากให้เทอไปด้วย  :hao3:

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
STAGE 4: มือที่สามสะกิดใจ

จุดประสงค์การเรียนรู้: มีมือที่สามมาช่วยทั้งสองคนมองเห็นหัวใจของกันและกัน

คำแนะนำเสริม: เวลาเข้าใจผิด กรุณาอย่าคุยกันปรับความเข้าใจ แต่ปรับแรงมโนไปให้สุดแล้วหยุดที่ดราม่าน้ำตาท่วม

คอมเม้นต์นายเอก: ...



11




พอวันอาทิตย์มาถึงก็มีกบสะกิดผมยิกๆ ให้จูบแต่เช้า ผมสะลึมสะลือขึ้นมาจูบเขาจนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้วนอนคลุมโปง มาคิดดูแล้วก็น่าภาคภูมิใจนักที่จูบจนชินจนไม่นำพาต่อแปดแพ็กอีกต่อไป แว่วเสียงพี่เอื้อถามประมาณว่าจะไม่ไปกับเขาจริงๆ หรือ แต่ผมที่ง่วงจนไม่มีสติบอกปัดเขา

นอนไปสักครู่ใหญ่ กำลังฝันถึงนาฬิกาดิจิตอลเรือนยักษ์บอกตัวเลขสองหนึ่ง...ว่าจะเอาไปตีเลขหวย ก็รู้สึกได้ว่าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงกำลังสั่นอย่างรุนแรง ผมควานสะเปะสะปะอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบมาดูด้วยดวงตาปรอยปรือ

‘ลงมาด่วน’

ผมที่สมองยังไม่ค่อยจะทำงานครุ่นคิดว่า ‘AK’ นี่มันใคร...แต่ยังไม่ทันคิดออกก็มีข้อความเข้าจาก AK คนเดิม

‘ตื่นเร็วเข้า ลงมาข้างล่างเดี๋ยวนี้’

ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างเชื่องช้า ระหว่างนั้นก็มีข้อความใหม่เด้งเข้ามาไม่หยุด

‘SOS’

‘คัมม่อน เบเบ๋ ลงมาเร็ว’

‘ถ้าอาบน้ำแปรงฟันเปลี่ยนชุดแล้วลงมาดีๆ พรุ่งนี้พี่ทำกุ้งอบวุ้นเส้นให้กิน กุ้งตัวหย่ายๆ เลย’

อ่านถึงตรงนี้ผมก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาทั้งที่หัวยังหมุนติ้วๆ จากนั้นก็คว้าเสื้อผ้าเท่าที่มีแล้ววิ่งไปเดินผ่านน้ำและแปรงฟัน ก่อนจะเดินลงมาข้างล่าง ซึ่งระหว่างเดินลงมาผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงพูดคุยกัน ครั้นมองเห็นภาพของชั้นล่างชัดเจน สองเท้าของผมก็แข็งทื่อ

ที่โต๊ะกินข้าวซึ่งยามปกติจะว่างเปล่า บัดนี้กลับมีผู้หญิงสวมชุดวับๆ แวมๆ นั่งหัวร่อต่อกระซิกกับพี่เอื้ออยู่ ซึ่งที่บ้านหลังนี้ ผู้หญิงที่ว่าจะเป็นใครอื่นไปได้นอกจาก “มะ แม่”

คนถูกเรียกปรายตามองผมเล็กน้อย ก่อนหันไปส่งยิ้มหวานให้พี่เอื้อและคะยั้นคะยอให้พี่เอื้อกินตับ เอ้อ...อ้อ แม่ผมซื้อเกาเหลาเลือดหมูมาเป็นข้าวเช้า แต่ดูเหมือนส่วนของผมจะถูกยกเป็นบรรณาการให้หนุ่มหล่อไปเสียแล้ว เอาเถอะ ยังไงผมก็ไม่ชอบกินเกาเหลาเลือดหมูอยู่แล้ว

ผมหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบเอาข้าวต้มโปะด้วยแซลมอนต้มซีอิ๊วที่คาดว่าพี่เอื้อจะทิ้งไว้ให้ผมกินเป็นมือเช้าเข้าไมโครเวฟไป พอเรียบร้อยก็ถือชามเดินไปนั่งข้างพี่เอื้อและจ้วงกินเงียบๆ

เนื่องจากปกติบ้านนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อรับแขก โต๊ะกินข้าวมีเก้าอี้เพียงสี่ตัว ทำให้รู้สึกคับแคบไปถนัดตา พี่เอื้อพยายามจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่ผมทำเป็นมองเลยไปยังโทรทัศน์ที่แม่หมุนให้หันมาทางโต๊ะกินข้าว บนจอกำลังฉายละครจากตั๊มบ์ไดรฟ์ เดาว่าแม่คงเอามาดูย้อนหลัง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงสนทนาอันแสนสดชื่นดังมาเป็นระยะๆ

“อ๋อเหรอ เป็นประธานสโมสรนักศึกษาเหรอคะ เก่งมาก” ...โน้ตนิด บทสนทนาทั้งหมดที่แม่ผมใช้เสียงสาม คือยิ่งกว่าเสียงสองไปอีกขั้น

“ครับ คุณแม่” ส่วนพี่เอื้อเสียงเหมือนเครื่องซักผ้ากำลังจะพัง

“ว้าย บอกแล้วไงคะว่าไม่เอา เรียกพี่อ้อยสิคะ”

ผมเคี้ยวข้าวต้มไปพลางดูคุณหญิงแม่ที่มีผมเป็นหลอดๆ กำลังส่องยิงลูกสะใภ้ด้วยปืนอัดลม นกพิราบห้าตัวบินออกไปในทิศต่างๆ กันและเริ่มร้องเป็นเพลง

ตัวผมนั้นเป็นแค่เมียเก็บ ~ ส่วนเธอก็เป็นแค่ชายชู้ ~♪

...พร้อมกันนั้นเองที่พระเอกล้มตัวลงกุมอก นางเอกกรีดร้อง นี่มันละครอะไรวะเนี่ย ผมได้แต่ดูแล้วก็สงสัย ระหว่างนั้นพี่เอื้อพยายามเตะผมใต้โต๊ะสุดชีวิต แต่ผมยังคงกินข้าวต้มอย่างไม่สะทกสะท้าน จนกระทั่งคำสุดท้ายเข้าปาก ก็ได้ยินพี่เอื้อพูด (ด้วยเสียงสอง) ว่า

“คุณ...เอ่อ พี่อ้อยผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ ไปเร็ว น้องเดือน”

“หา” น้องเดือนที่ยังเคี้ยวเอื้องเนื้อปลาคำสุดท้ายในปากหันไปมองคนเรียกด้วยสายตาประหลาด พ่อรูปหล่อตรงหน้าผมพยายามขมิบตายิกๆ ...เป็นโรคชักกระตุกหรือไงฟะ พร้อมกันนั้นเอง เพลงประกอบละครก็ดังขึ้น

เป็นแค่ชายชู้มาอาศัยอยู่บ้านเขา ก็ต้องรู้จักเจียมตัว ~♪

...เฮ้อ พ่อชายชู้นี่ หาเรื่องให้เหลือเกิน ผมกลอกตาใส่เขา ก่อนเช็ดปาก “แม่ ผมกับพี่เอื้อมีธุระ ไปก่อนนะครับ”

แม่ผมตาเอาแต่มองพี่เอื้อ ปากก็บ่นเสียดาย ก่อนจะเข้าเรื่อง “น้องเดือนมีให้แม่ยืมสักหน่อยไหม”

...ว่าแล้วว่าเกาเหลาต้องไม่ได้มาฟรีๆ ผมยิ้มเนือยๆ ขณะทำมือทำไม้ “ขอผมขึ้นไปเอากระเป๋าสตางค์ก่อน”

ขณะเดินขึ้นห้องไปหยิบกระเป๋าสตางค์ ผมก็เห็นตะวันเดินออกมาจากห้อง เลยบอกสั้นๆ “แม่มา”

ดวงตาของตะวันเบิกโพลง ก่อนใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็วิ่งลงไปข้างล่างทันที ผมเห็นแล้วได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าสตางค์และดูแบงก์ที่เหลือในกระเป๋า และดึงออกมาสองใบ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจหยิบเอากุญแจห้องของตัวเองและล็อกห้องเอาไว้ ก่อนสอดกุญแจเก็บในกระเป๋าสตางค์

ตอนลงมาข้างล่าง เห็นตะวันนั่งอยู่ข้างๆ แม่และพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่หยุด ทว่าสายตาของแม่กลับจับจ้องอยู่แต่ร่างของพี่เอื้อประหนึ่งว่าเขมือบลงท้องไปได้ก็จะทำ เห็นแล้วผมเลยต้องรีบเข้าไปกู้สถานการณ์

“แม่ ตอนนี้เดือนมีแค่นี้” พอแม่เห็นเงินแล้วก็เลยปล่อยเหยื่อ สายตาเลื่อนกลับไปดูละครแต่โดยดี ผมมองไปทางตะวันที่ยังคงพยายามจะสื่อสารกับแม่แล้วได้แต่ส่ายหัวดิก

พี่เอื้อเหลือบมองผมเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองตามสายตาของผม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเป็นฝ่ายดุนหลังของเขาให้ออกไปจากบ้าน “ไปเร็ว ชักช้าเดี๋ยวไม่ได้ออกไปอีกเลยนะ”

ได้ยินเท่านั้นพี่เอื้อก็จ้ำฝีเท้าทันที

พอพ้นรั้วบ้านปุ๊บ สีหน้าของพี่เอื้อก็เปลี่ยนไปในทันที สีหน้าของพ่อพระเอกของผมตอนนี้เหมือนนางเอกที่โดนผู้ร้ายขืนใจมา ผมยกมือขึ้นทาบอก “นี่แม่ผมทำอะไรลงไปบ้างเนี่ย”

“...นอกจากลูบก้นฉันกับเอามือล้วงเข้ามาในเสื้อฉันแล้ววนเป็นวงกลมรอบสะดือน่ะเหรอ” พูดๆ ไปพี่เอื้อก็ทำหน้าเหมือนอยากฆ่าผมขึ้นทุกที

แค่กๆๆๆ ผมขอโทษก้นและกล้ามท้องของพี่แทนแม่ที่น่าอายของผมด้วย

“...แม่ผมอาจจะอยากนวดลำไส้ให้พี่ก็ได้” ผมพยายามมองโลกในแง่ดี

“...” พี่เอื้อปรายตามองผม

“ผมขอโทษครับ ผมจะไม่ออกความเห็นอะไรอีกแล้ว...แล้วตกลงลากผมออกมาด้วยทำไมเนี่ย” ผมโวยวายก่อนก้มลงมองสารรูปตัวเอง เมื่อตอนที่พี่เอื้อส่งข้อความมาเรียก ผมไม่ทันมีสมองได้คิดอะไรมากก็คว้าเสื้อเชิ้ตที่เป็นเสื้อนักศึกษาซึ่งแขวนทิ้งไว้กับเก้าอี้ลืมเอาลงตะกร้าผ้ามาสวมเข้ากับกางเกงขาสามส่วนลายดอก ขาดปีนฉีดน้ำอีกกระบอกเราก็ไปเล่นสงกรานต์กันได้เลย เสือกพลาดนิดหนึ่งตรงที่ดันใส่ผ้าใบสีขาวจั๊วมานี่แหละ

ว่าแล้วผมก็หันไปมองคนข้างตัว ที่ผ่านมาพี่เอื้ออยู่บ้านผมเป็นส่วนใหญ่ ก็สวมแค่ชุดลำลอง แต่มาวันนี้พ่อพระเอกจัดชุดใหญ่...พี่ท่านสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ แหวกให้เห็นไหปลาร้าเล็กน้อย ที่คอสวมสร้อยเงินเข้ากับสายเข็มขัดโซ่ ผมหวีปัดเสยนิดหน่อย บวกกับสีหน้าครุ่นคิดและดวงตาที่หรี่ลงทำให้เห็นแพขนตายาวงอนชัดเจน

“อา...หล่อระยำที่แท้ทรู” ผมทอดถอนใจ

“...”

“แค่ก ตกลงพี่ลากผมออกมาทำไมเนี่ย”

“ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ฉันกำลังทำข้าวไว้ให้นายกินตอนกลางวันก็เจอแม่นายเปิดประตูเข้ามา อารามตกใจก็บอกไปว่ามารับนายไปเที่ยวอ่ะเด้” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงสลดหดหู่...ดูท่าไอ้ที่ว่าเปิดประตูเข้ามาน่าจะมาแบบไม่ธรรมดา “จะให้บอกว่าเป็นชายชู้อาศัยอยู่ชายคาเดียวกันกับนายมันก็ไม่ค่อยจะดี”

“...” ยังคงยืนหยัดอยากจะเป็นชายชู้เสียเหลือเกินนะพ่อคุณ “...งั้นส่งผมลงห้างได้ไหมอ่ะ”

“ไปกับพี่เหอะ เดี๋ยวเลี้ยงค่าบัตรกับของกินด้วยเอ้า” พี่เอื้อเสนอโปรโมชัน

“...” ผมนิ่วหน้า

“ของกินชุดใหญ่”

“...ก็ได้” ผมตอบ ก่อนหาวออกมา

“ถ้าง่วงก็นอนในรถเอาแล้วกัน”

“อื้อ” ผมผงกหัวหงึกหงักแล้วเดินตามเขาไป ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ “หือ รถเหรอ พี่ขับรถไปเหรอ”

“ใช่สิ นี่เมื่อวันก่อนฉันย้ายรถมาจอดทิ้งในซอยบ้านนายแล้วเนี่ย” ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่รถญี่ปุ่นที่จอดอยู่หน้าบ้านร้างในซอย ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะมองรถตรงหน้า

“เอ๋ ทำไมกัน ไม่ใช่เฟอร์รารี่ ปอร์เช่ มาเซราตีอะไรงี้อ๋อ”

พี่เอื้อพ่นหัวเราะดังพรืด “น้องเดือนครับ น้องเดือนช่วยคิดสักหน่อยครับว่าพี่ขับไปมหาวิทยาลัยเรา หลังเต่าตะลงตะลุกเยอะจะตายหอง จำกัดความเร็วที่สี่สิบอีก ใช้รถหรูไปมีประโยชน์อะไรกัน ไม่นับเรื่องที่จอดหายากอีก บางทีวันสอบพี่ยังต้องซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปเลยเหอะ”

...เออ จริงว่ะ ลืมไป เห็นพระเอกรวยๆ ในนิยายขับรถหรูจนลืมตัว

“อ๊ะ มอเตอร์ไซค์นี่บิ๊กไบก์?”

“...มอ’ไซค์วินหน้าหมู่บ้านตรงข้ามหอ”

“...” จบกันพระเอกกู

“ฮึ่ย เอาเถอะ ผมจะนอนแล้วนะ” ผมที่ขี้เกียจจะสนใจว่าพี่เอื้อจะขับรถอะไรพอเห็นเขาปลดล็อกก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยในทันที...ขับขี่ปลอดภัยครับทุกคน

“เออ นอนไป ถึงแล้วพี่ปลุก” ไม่พูดเปล่า พี่เอื้อเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มที่พับเรียบร้อยอยู่ที่เบาะหลังและส่งให้ผมซึ่งงึมงำขอบคุณ ก่อนจะรับมาคลุมตัวเองเอาไว้

เดินทีผมคิดว่าตัวเองจะหลับไปจนถึงสวนสนุก ทว่าวินาทีที่พี่เอื้อออกสู่ถนนใหญ่ ผมที่ง่วงงุนก็ตาสว่างในบัดดล

โอ้โหหหหหห ความเร็วนี้มันอะไร นี่เรากำลังเล่นฟาสต์แอนด์ฟิวเรียสภาคใหม่กันอยู่หรือเปล่า ผมที่รู้สึกว่าก้นตัวเองลอยจากเบาะเล็กน้อยมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง

“พะ พะ พะ... เพ่... พี่เอื้ออออออออ นี่พี่เคยเป็นนักแข่งฟอร์มูล่าร์วันมาก่อนหรือเปล่า” เสียงของผมสั่นระริก...

“หา...” พี่เอื้อหันขวับมาทันที

“ม่ายยยย ไม่ต้องหันมาโว้ยยยยยยยย! พี่มองถนนไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” ...อีกนิดผมว่าผมจะร้องไห้แล้ว

“เอ้า อะไร ไหนว่าจะนอน นอนไปสิ งึมงำอะไรเนี่ย...แปลกคน”

เฟรี่ยยยยยยยย ไอ้ตีนผีนรกส่งมาเกิดนี่บังอาจหาว่าผมแปลกคนงั้นเหรอ พี่ต่างหากล่ะที่ไม่ใช่คนแล้วววววววววว...มะ เมื่อกี้รถมันลอยใช่ไหมวะ ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ใครก็ได้ช่วยเดือนด้วย โฮๆๆๆๆ

ว่าแต่ทำไมถนนกรุงเทพฯ มันถึงได้โล่งโจ้งขนาดนี้หา! นี่ผมหลงอยู่ในเกมที่ตัวเอกหลุดเข้าไปในเมืองร้างหรือไงกัน รถติดเซ่ รถติด! ทีตอนที่ผมต้องการรถติด รถมันหายไปไหนกันหมดเนี่ย หรือวันนี้เป็นวันรณรงค์งดใช้น้ำมันทั่วประเทศกันล่ะหา แงงง ที่นี่ไม่ใช่บางกอกแล้วววว แวร์แอมไอ

กราบล่ะพ่อแม่พี่น้อง โปรดออกมาผลาญเงินค่าน้ำมัน ใช้รถใช้ถนนทีเถอะครับ! ไอ้พี่เอื้อจะเหยียบเกินหน้าปัดอยู่แล้ววววว ช่วยด้วยยยย กรุงเทพมหานครอมรรัตโกสินทร์ไม่มีจำกัดความเร็วเหรอ ต้องมีเซ่

“พี่เอื้ออออออ เหยียบแบบนี้เดี๋ยวคุณตำหนวดก็จับเข้าซังเตหรอก”

“หืม ไม่หรอก” พ่อคนนี้ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหน มั่นหน้าเหยียบต่อไป คือถ้าจังหวะนี้แม่งหันหน้ามาบอกผมว่า ‘ฉันเร็วจนเครื่องกิ๊กก๊อกไม่มีทางจับการเคลื่อนไหวของฉันได้’ ผมก็เชื่อ

และหลังจากผมก็สวดมนต์ครบทุกบทที่รู้มาในชีวิตนี้ไปสามรอบครึ่ง กับพยายามขยับเอาอวัยวะภายในที่ดูเหมือนมันจะเคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กับเข็มที่หน้าปัดวัดความเร็วมันตีกลับให้มันเข้าที่ ผมก็มาถึงสวนสนุกบลิซฟูลวันเดอร์แลนด์จนได้

บลิซฟูลเป็นสวนสนุกสัญชาติอังกฤษที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วร่วมกับเจ้าสัวที่เป็นเจ้าของห้างใหญ่ของประเทศ ผมไม่เคยมีโอกาสได้มากับเขาสักครั้งเพราะมันไกลเกิน และถ้าเลือกได้ ผมก็ยินดีที่จะพลีกายนอนกลิ้งเกลือกเน่าตายอยู่ในบ้านมากกว่าจะออกมาผจญกับฝูงคนเช่นนี้

ทันทีที่พี่เอื้อเลี้ยวรถเข้าไปหาที่จอด ผมก็มองเห็นปราสาทขนาดใหญ่ และชิงช้าสวรรค์สีลูกกวาดที่มองเห็นเด่นชัดแต่ไกล จากนั้นก็นึกถึงโฆษณาที่ว่าชิงช้าสวรรค์ของที่นี่สูงที่สุดในโลกขึ้นมาได้ รอบบริเวณถูกตกแต่งด้วยสีสันสดใส กระทั่งลานจอดรถยังถูกทาเป็นสีสันต่างๆ ที่กั้น ป้าย ตลอดจนเสาไฟล้วนให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซี

แต่ถามว่าผมตื่นเต้นกับความอลังการงานสร้างอะไรพวกนี้ไหม...ขอโทษด้วย เมื่อกี้หัวใจผมแม่งหล่นหายไปตอน พี่เอื้อดริฟต์เข้าที่จอด ฮืออออ ต่อไปผมจะไม่เสี่ยงตายด้วยการนั่งรถไอ้เชี่ยพี่อะเอื้อนี่อีกแล้ว โฮกกกกก อันตรายชิบหาย วิญญาณเกือบพุ่งออกทางปากแล้ว แถมพอผมมองนาฬิกาลูกตาผมก็แทบจะทะลุออกจากเบ้า “...นี่พี่ต้องกำลังทำลายสถิติกินเนสบุ๊กส์ เป็นคนเสียสติที่ขับรถมาสวนสนุกได้เร็วที่สุดในโลกๆ แน่ๆ เลยอ่ะ ฮือๆๆๆๆ”

“ขอบคุณที่ชม”

ผมรีบส่ายหัวดิก “ม่ายยย ถ้านี่เป็นคำชม ที่อาจารย์บอกว่าผมควรจะถอนรายวิชาแล้วไปลงซัมเมอร์ให้โดยไวก็เป็นการบอกว่าผมจะได้เกรดเอแล้ว! จะบ้าหรือไงกัน ใครเขาชมพี่กันวะ!”

พี่เอื้อนิ่วหน้าใส่ผมขณะพาผมตรงไปยังจุดซื้อบัตร เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด คนก็เลยเยอะมากชนิดที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่คน

“โอย ผมกลับก่อนแล้วนะ” ...เห็นคนก็จะอ้วกแล้ว

“กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะมาภา... เอ๊ะ หรือมารพานะ” เขาทำท่าไม่ค่อยแน่ใจ

“มาภาน่ะถูกแล้วววว มารพาคืออะไรวะ พ่อแม่แบบไหนจะตั้งชื่อลูกแบบนี้“ ...ขนาดแม่ผมที่เป็นแม่แบบนั้นก็ยังไม่อาการหนักขนาดตั้งชื่อลูกเป็นมารพามั้ง

“ไอ้ซีรีส์ที่นายดู พระเอกยังชื่ออะไรนะ...หวงซ่าง หวงซ่างคือเชี่ยอะไรวะ”

“ฝ่าบาทไง ฝ่าบาท ไม่เคยดูละครจีนเหรอ”

“นายเปิดแต่ละครไทย ฉันจะเคยได้ยังไงวะ แล้วพ่อแม่อะไรตั้งชื่อลูกเป็นฝ่าบาทวะ”

ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พ่อแม่ที่รักหนังจีน”

พี่เอื้อดูเหมือนจะยังไม่จบกับประเด็นนี้ “แล้วเรื่องนั้นอะ ไอ้ อะไรนะ เอ้อ...ฮาเดส! พ่อแม่นี่ไหนเอาชื่อเทพเจ้าแห่งความตายมาตั้งให้ลูกวะ”

เอ่อ... “พ่อแม่ที่จูนิเบียวหน่อยๆ มั้ง”  (Note: จูนิเบียว Chuunibyou แปลตรงตัวคือโรคม.2 เป็นคำแสลงในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกคนที่อาการเหมือนเด็กที่พยายามจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ และคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าชาวบ้าน ตัวอย่าง มีพลังจอมมารแห่งความมืดแฝงอยู่ในตัว)

พี่เอื้อหยุดไปหาความหมายคำว่าจูนิเบียวจากในเน็ต ก่อนกลับมาถามต่อ “แล้วที่ตั้งว่าจีซัสอ่ะ”

“พ่อแม่ที่ศรัทธาในศาสนา” ...อาเมน

“...แล้วทำไมไม่ตั้งว่าบุดด้าวะ”

“...เดี๋ยวก็โดนมหาเถระสมาคมส่งฟ้องหรอก” ...อมิตตาภพุทธ บาปกรรรม บาปกรรม

“...บ้าจริง! อ่ะ แล้วพวกตั้งชื่อลูกเป็นธาตุนั้นนี้อ่ะ ลิเธียม โซเดียม โปแตสเซียมงี้” พี่เอื้อถามต่อ...แหม พูดปุ๊บรู้ปั๊บว่าดูเรื่องอะไรเลย

“...นี่พี่ดูละครช่วงบ่ายที่ฉายให้แม่บ้านดูเรอะ” เรื่องนี้จริงๆ เป็นละครหลังข่าว แต่เอากลับมารีรันในเวลาแม่บ้าน

“น้องชายนายต่างหากที่เปิด ฉันแค่บังเอิญนั่งอยู่แถวนั้นพอดี” พี่เอื้อปฏิเสธทันควัน

“น้องพระเอกชื่ออะไร”

“อะลูมิเนียม” นี่ก็ตอบทันควัน

“...จ้า เชื่อแล้วว่าบังเอิญนั่งอยู่แถวนั้น” ผมลากเสียง เลยโดนตบกบาลไปหนึ่งที “ฮือๆ ต้องแบบนี้มันถึงจะแปลกแตกต่าง พี่ที่มีชื่อเล่นสองพยางค์นี่ก็เข้าข่ายนะ บางทีผมก็ลืมแล้วเนี่ยว่าพี่ชื่อโอบเอื้อ”

“...บางทีฉันก็ลืมเหมือนกัน”

“...”

หลังจากสนทนาไร้สาระกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดแถวของพวกผมก็ร่นจนเหลืออีกแค่ไม่กี่คนแล้ว

“...นี่ตั๋วมันแจกฟรีหรือไงเนี่ย” พี่เอื้อบ่นลอยๆ หลังจากทนเอาหน้าหล่อๆ สู้แดดมาเกินยี่สิบนาที

“ผมกลับบ้านแล้วไม่ได้เหรอ” ผมทำเสียงหมดอาลัยตายอยาก คนเยอะไปหมด เดือนทนไม่ไหวแล้วววว

อนิจจากลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าพากันเดินออกไปพอดี พี่เอื้อรีบก้าวยาวๆ ไปซื้อบัตร รู้ตัวอีกทีที่ข้อมือผมก็มีแผ่นพลาสติกประดับลวดลายเป็นตัวการ์ตูนสาวน้อยน่ารักคล้องอยู่เป็นที่เรียบร้อย

จากนั้น...

 



*พี่เอื้อๆๆๆๆ รับโทรศัพท์ของน้องจิ๊บเดี๋ยวนี้ๆๆๆๆ*

“!!!” พวกผมสี่คนในห้องพร้อมใจกันสะดุ้งโหยง ก่อนที่พี่เอื้อจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

“จิ๊บบี้โทรมา...แม่ง แอบเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าตอนไหนวะเนี่ย”

“เชี่ย ตกใจหมด โอยยยย” ผมลูบอกตัวเอง

“พี่ออกไปรับโทรศัพท์แป๊บ...เล่าไปก่อน” พี่เอื้อลุกขึ้น ก่อนหันกลับมามองผม “เดือน รู้ใช่ไหม...”

ผมกะพริบตาปริบๆ พลางส่งยิ้มแบบตัวสล็อธให้พี่เอื้อ

“มาภา”

“จ๋า”

“...รู้ใช่ไหม”

“รู้จ้ะ”

พี่เอื้อทำเสียงพ่นลมหายใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูห้องชมรมปิด ผมก็หันไปหาน้องเอก “น้องเอก เรื่องที่พี่จะเล่าต่อจากนี้เป็นความลับอันดำมืดของพี่เอื้อ...”

-เอ่อ ไม่เล่าก็ได้มั้งครับ-

“คือแบบนี้นะ...”

-ผมไม่ได้อยากรู้จริงๆ นะครับ-

“วินาทีที่ก้าวเข้าไปในเขตของสวนสนุก...”

-พี่เดือนไม่ได้ฟังผมเลยสักนิดใช่ไหมครับ-

...ไม่เลยสักนิดจ้า


•••TBC

ช่วงหน้า...ฟามลับดำมืดของคุณพี่อะเอื้ออออ  :a5: :a5: :a5:

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
12 (ลับ)

วินาทีที่ก้าวเข้าไปในเขตของสวนสนุก สิ่งแรกที่ผมเห็นคือทางเดินที่ปูด้วยหินกรวดสีลูกกวาด ต้นไม้ด้านข้างดูคล้ายกับสายไหม ผมก้มลงอ่านแผนที่ที่ได้รับแจกมา “สวนแห่งความวินาศสันตะโร...”

ผู้ชายข้างตัวผมกะพริบตาปริบๆ ระหว่างมองสองข้างทางที่ตกแต่งด้วยข้าวของที่มีรูปร่างคล้ายขนมหวาน “ฉากน่ารักกุ๊กกิ๊กขนาดนี้ ทำไมชื่อมันถึงโหดนักฟะ”

“ผมจะรู้ไหมวะ”

หลังจากนั้นชายไทยสองคนก็ยืนอึ้งๆ มองคู่รักกับครอบครัวเดินผ่านไปผ่านมาแบบเคว้งคว้าง ที่นี่แม่งเหมือนรวมคู่รักทั้งประเทศไว้ที่นี่ที่เดียว แต่ก็นะ นี่มันปิดเทอมนี่หว่า เด็กวัยรุ่นจะเยอะก็ไม่แปลก เดินๆ ไปนี่ก็มีแต่คนมองพี่เอื้อ แต่เจ้าตัวคล้ายเคยชินกับการถูกจ้องมองเช่นนี้ ผิดกับผมที่รู้สึกว่าตัวเองเดินด้วยท่าทางแข็งทื่อกว่าปกติ

“พี่เอื้อ เหยื่อพี่อยู่ไหน”

“เลิกพูดเหมือนฉันเป็นฆาตกรโรคจิตสักทีสิ...ยังไม่เห็นอัปทวิตเตอร์เลย” พี่เอื้อเอ่ยขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กดู ก่อนจะอธิบายผมว่าหลังจากเช็กข้อความในเฟซ เขาก็ไล่ไปไล่มาจนเจอทวิตเตอร์ของอดีตแฟนสาวรายนี้ซึ่งดูเหมือนจะอัปเดตมากกว่าเฟซบุ๊กเสียอีก เพราะอย่างรอบเช้าก็มีโพสต์รูปตัวเองถ่ายกับรูปปั้นแถวลานจอดรถที่พวกผมเดินผ่านเมื่อครู่

“ได้ นักสืบเอเค...จากการทำโปรไฟล์ลิ่งของคุณ คุณคิดว่าผู้ต้องหาของเราน่าจะเล่นเครื่องเล่นอะไร” ไม่เป็นฆาตกรโรคจิตงั้นเป็นนักสืบแทนก็ได้ นักสืบบางคนก็น่ากลัวพอๆ กับฆาตกรนั่นแหละ

พี่เอื้อหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหยุดคิดด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเครื่องเล่นผาดโผนล่ะมั้ง...จำได้ว่าเขาชอบอะไรแนวแอ็กชันๆ”

“อืมมม” ผมก้มลงดูแผนที่ ก่อนชี้ไปทางซ้าย “ฝั่งนั้นมีรถไฟเหาะตีลังกาที่หวาดเสียวที่สุดในเอเชียอยู่”

พี่เอื้อทำเสียงแปลกๆ ในลำคอ ก่อนจะให้ผมนำทางไป พอไปถึง พวกผมก็เห็นแต่คนเต็มไปหมด ผมยืนรอให้พี่เอื้อชะเง้อคอส่องไปตามคนที่ยืนต่อคิว ส่วนตัวเองก็แหงนคอมองคนบนรถไฟเหาะที่ผ่านไปผ่านมาด้วยความสนอกสนใจ ตัวรถไฟเป็นแบบสองที่นั่ง ทำเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวดูน่ารักดี พอถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ก็จะแกว่งไปแกว่งมา เห็นแล้วรู้สึกน่าสนุก

“ไปเล่นสักหน่อยก็ได้”

เสียงที่ดังขึ้นข้างหูทำเอาสะดุ้ง ผมหันไปมองพี่เอื้อ ก่อนส่ายหัว “พี่มาล่าคนไม่ใช่เหรอ”

“ล่าเล่ออะไรวะ มาตามหาคนเฉยๆ” พี่เอื้อเอ่ย ก่อนชี้ที่ป้ายที่ข้อมือ “ตั๋วรวมค่าฟาสต์แทร็ก...ไม่ต้องต่อคิว เครื่องเล่นนี่แค่ไม่ถึงยี่สิบนาทีเลย แป๊บเดียว ไม่เป็นไรหรอก...อยากเล่นไม่ใช่เหรอ”

“...” ...ไอ้อยากมันก็อยากหรอก แต่ “พี่แน่ใจนะ”

“ไปเถอะ”

ว่าแล้วพี่เอื้อก็ล้วงกระเป๋ากางเกงทำท่าสบายๆ ไปต่อแถวกับผม อนิจจา ผมในเวลานั้นมัวแต่ตื่นเต้น เลยไม่ทันได้ดูสีหน้าของพี่เอื้อ ไม่เช่นนั้นแล้ว โศกนาฏกรรมก็คงไม่เกิดขึ้น

ด้วยบัตรฟาสต์แทร็กหรือบัตรเบ่ง ทำให้สามารถเข้าช่องลัดโดยไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวยาวเหยียด ดังนั้นเพียงแค่ไม่ถึงห้านาทีพวกผมก็ได้ขึ้นไปนั่งแล้ว

นับจากตรงนี้ไปจะเป็นความลับอันดำมืดของคุณพี่เอื้อการย์ ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังนะครับ

จากนั้นพอขึ้นเครื่องเล่นได้ผมก็ร้องว้ากๆ อย่างสนุกสนาน แต่มีจังหวะหนึ่งที่หันไปมองผู้ชายข้างตัว ผมก็หลุดเสียงร้องแบบสะเทือนขวัญออกมาจริงๆ

ใบหน้าของพี่เอื้อในตอนนี้เขียวจนไม่สามารถเขียวไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เขาหลับตาปี๋ มือเกาะแผงกั้นของรถไฟเหาะแน่น ปากพึมพำอะไรที่ฟังดูคล้ายบทสวดชินบัญชรออกมา ถ้าไม่ตาฝาดไปเองนี่รู้สึกเหมือนเห็นวิญญาณลอยออกจากร่าง ยิ่งตอนรถไฟตีลังกานี่ความรู้สึกเหมือนเห็นพลาสม่า ไอ้นั่นมันดวงวิญญาณใช่หมายยยย

ตัวผมในตอนนั้นได้แต่เอื้อมมือไปจับมือพี่แกไว้แบบเป็นกำลังใจให้ พอรถจอดเทียบท่า พี่แกก็ปลดเข็มขัดเป็นพัลวัน ที่เลวร้ายคือปลดไม่ออก สีหน้าตอนนี้ของพี่เอื้อเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวขณะพึมพำว่า “ไม่เอาแล้ว”

ผมสงสารก็เลยช่วยปลดเข็มขัดให้ พอลุกขึ้นได้พี่เอื้อก็จำพรวดๆ ไปที่ทางออกและพุ่งลงบันไดไปในทันที ผมก็รีบตามลงไปแทบไม่ทัน พออกมาได้สิ่งแรกที่ทำคือพี่แกหันมาหาผม แล้วก็...

...อ้วกใส่ผมเต็มๆ

“...”

...โฮก ว่าแล้วเชียว ไอ้ผู้ชายทำร้ายความแมสนี่ แม่งต้องมีเรื่องให้หักเข้าสู่อีเว้นต์ทำลายภาพพจน์ตลอดสิน่า

ผมกุมขมับขณะมองหาห้องน้ำ และพาผู้ชายที่ถึงจะหน้าซีดและมือสั่นแต่ก็ยังพยายามรักษาภาพพจน์หนุ่มหล่อของตัวเอง จนกระทั่งถึงห้องน้ำ พระเอกของผมก็หมดสภาพ แปลงร่างจากราชาหล่อระยำตำบอนกลายเป็นขี้เมากอดโถส้วมอ้วก เกาเหลาเมื่อเช้าถูกแปรรูปเป็นที่เรียบร้อย ผมได้แต่ลูบหลังให้ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ

พี่เอื้อทำท่าตัดสินใจว่าจะเช็กโทรศัพท์มือถือ หรือตั้งใจอ้วกดี ผมเลยบรรจงหยิบโทรศัพท์มาถือไว้ “เรื่องน้องอะไรของพี่นี่เอาไว้ก่อน เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้ เสร็จแล้วเจอกันข้างนอกนะ”

ผมถอยออกจากห้องน้ำและปิดประตูห้อง โชคดีที่เวลานั้นไม่ค่อยมีคน ไม่อย่างนั้นคงกระอักกระอ่วนพิลึก หลังจากนั้นผมเลยถอดเสื้อนอกของตัวเองออกและหาวิธีกำจัดคราบซึ่งก็โชคดีที่ไม่มีอะไรร้ายแรง เลยซักน้ำครั้งหนึ่งพอเป็นพิธี แต่พอจะใส่ก็กระอักกระอ่วน แต่จะทิ้งเลยก็เสียดายเสื้อ เลยถือมันไว้แบบนั้น

หลังจากนั้นผมก็ดูในแผนที่จนหาที่ตั้งของร้านขายของได้ โชคดีที่มีตู้ขายน้ำด้วย แต่ราคาของแม่งแพงจนปวดใจ เลยได้แต่เก็บบิลไว้กะเอามาเบิกพี่เอื้อทีหลัง

ระหว่างจ่ายเงินผมเลยถือวิสาสะขอถุงแยกอีกใบ ใส่เสื้อเปียกๆ ของตัวเอง พอใส่ถุงแล้วก็นึกถึงพี่เอื้อขึ้นมาได้ เมื่อครู่ตอนอ้วก เสื้อเขาก็โดนไปไม่น้อย คิดไปคิดมาผมเลยฝากของไว้ก่อนจะเดินเข้าไปเลือกเสื้อยืดในมุมของที่ระลึก สุดท้ายก็ได้เสื้อยืดที่ระลึกเขียนว่า SOMA และมีรูปโสมคนเต้นดุ๊กดิ๊กอยู่ข้างๆ มาตัวหนึ่ง คนขายพยายามเสนอให้ซื้อเสื้ออีกตัวไปด้วย แต่ผมใส่แค่เสื้อกล้ามก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลยปฏิเสธไป

ขากลับผมบังเอิญหันไปเห็นซุ้มที่เต็มไปด้วยรูปถ่าย ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร จนอ่านเจอข้อความที่ว่ารวมรูปบนเครื่องเล่น หลังครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ผมล้วงแบงก์แดงๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าและตรงไปที่ซุ้ม พอเจอภาพที่ต้องการก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “...ขออัดรูปนี้ครับ...สองชุดเลย”

รออยู่ครู่หนึ่งผมก็ได้รูปมา จากนั้นก็บรรจงเก็บเอาไว้อย่างดี ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าในอนาคตถ้าเกิดอะไรขึ้น รูปใบนี้จะเป็นหลักประกันของผม แค่กๆๆๆ ถ้าน้องเอกสนใจจะเอาไปประกอบบทสัมภาษณ์ก็บอกได้

พอเดินกลับไปถึง พี่เอื้อก็ยืนหมดสภาพแบบหล่อๆ อยู่หน้าห้องน้ำ สายตาเอาแต่จับจ้องเสื้อเลอะคราบที่เปียกชื้อนหน่อยๆ ของตัวเอง ผมส่งน้ำกับหมากฝรั่งให้พี่เอื้อ “เอ้านี่ ผมซื้อมาให้เปลี่ยน

พี่เอื้อพึมพำขอบคุณขณะรับน้ำไปดื่มอั้กๆ ตามด้วยหมากฝรั่งรสมิ้นต์อีกสามสี่เม็ด ก่อนถอดเอาเสื้อเชิ้ตตัวเดิมออกแล้วเปลี่ยนใส่เสื้อยืดที่ผมซื้อให้ “เท่าไหร่”

ผมยื่นบิลให้แต่โดยดี

“เฮ้ย ตรงนี้มันต้อง ‘ไม่เป็นไร พี่ออกค่าบัตรให้เดือนแล้ว’ ไม่ใช่เหรอ” พี่เอื้อเอ่ยยิ้มๆ

“พ่อคนรวย ขอโทษด้วยนะ ตอนนี้ผมเหลือแบงก์แดงอยู่ใบเดียวแล้ว” ผมบีบน้ำตาขณะรับเงินมา ก่อนแปลกใจเมื่อเห็นจำนวนเงินที่พี่เอื้อส่งให้ “พี่ ผมไม่มีจะทอนหรอกนะ”

“ไม่เป็นไร เอาไปเหอะ ถือว่าค่าน้ำค่าไฟที่บ้าน เหลือก็เข้ากองกลางไป” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ ผมเลยกราบพี่ท่านด้วยท่าทางประหนึ่งนางงามกราบกรรมการ

“ทูนหัว จ่ายอีกนิดเอาโฉนดไปเลยไหม”

พี่เอื้อเลยตบกะโหลกหนึ่งทีเป็นการปิดสวิตช์ ก่อนจะให้ผมพาไปสำรวจเครื่องเล่นอื่น พร้อมกันนั้นพี่เอื้อก็เปิดเช็กทวิตเตอร์ของเป้าหมายอีกครั้ง แต่นอกจากอัปภาพทางเข้าสวนสนุกแล้ว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใด

ด้วยความที่จะไปโซนเครื่องเล่นหวาดเสียวต้องเดินย้อนกลับทางเดิม ตอนเดินผ่านเครื่องเล่นเจ้ากรรมเมื่อครู่ พี่เอื้อก็หน้าถอดสีไปสองเฉดครึ่ง

“...กลัวเครื่องเล่นหวาดเสียว?” ผมเลิกคิ้ว

“กลัวความสูง” พี่เอื้อตอบกลับเนิบๆ

“ที่จริง...” ผมมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ ตอนนี้หน้าหล่อๆ ของพี่เอื้อซีดเป็นกระดาษ “ปล่อยผมเล่นเองคนเดียวก็ได้แท้ๆ”

รุ่นพี่รูปหล่อเหลือบมองผม ก่อนจะพูดด้วยเสียงห้วนๆ “ฉันชวนนายมา จะทิ้งนายเล่นคนเดียวได้ยังไงกัน”

ฟังแล้วผมอดยิ้มไม่ได้ “พี่เป็นมาโซสินะ”

...เลยโดนโบกไปหนึ่งทีหลังจากพี่แกเสิร์ชเน็ตหาความหมายพบ ระหว่างนั้นเราสองคนเดินวนไปเวียนมาตามเครื่องเล่นหวาดเสียว ก็ยังไม่พบเป้าหมายที่ต้องการ พี่เอื้อมีการชวนแบบกระอักกระอ่วนนิดหน่อยว่าอยากเล่นอีกไหม แต่ผมบอกปฏิเสธจริงจัง 

“พี่เอื้อ เอาไว้สักวันเราไปเล่นบันจี้จั๊มพ์ก็แล้วกัน”

“...นายเอามีดทิ่มกันตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องฆ่าฉันด้วยวิธีนั้นหรอก” พี่เอื้อมองผมด้วยดวงตาเย็นชาสุดๆ

“...ก็ถ้าเอามีดทิ่มตรงๆ พี่อาจจะหลบได้อ่ะดิ”

“เด็กเวร!” พี่เอื้อตบกะโหลกผมไปอีกฉาด

“ฮือๆๆๆ ...แล้วนี่สาวๆ ของพี่รู้เรื่องนี้หรือเปล่าเนี่ย” ผมถามด้วยความสงสัย

เขาหรี่ตามองผม “จะให้รู้ได้ยังไงกันเล่า ฉันไม่คิดจะพาแฟนคนไหนมาสวนสนุกทั้งสิ้น ต่อให้โดนโกรธจนบอกเลิกก็เหอะ” ประโยคสุดท้ายเขาลดเสียงคล้ายจะบ่นกับตัวเอง

“โถ น่าสงสารแฟนๆ ของพี่ชะมัด แต่มันก็น่าอยู่หรอกนะ ขืนปล่อยให้สาวๆ เห็นพี่หมดท่าแบบนี้เนี่ย สงสัยคะแนนความนิยมจะดิ่งเหว” ผมทำเสียงทอดถอนใจ...ขนาดน้องเดือนเห็น คะแนนพิศวาสยังลดลงฮวบๆ เลยจ้ะ

“ก็ใครมันอยากจะไปทำตัวเห่ยๆ ต่อหน้าแฟนตัวเองกัน” พี่เอื้อแค่นเสียงเหอะ “นายเองก็เถอะ ถ้าแฟนหนุ่มนายมันทำตัวเห่ยๆ พึ่งพาไม่ได้ ก็คงไม่โอเคใช่ไหมล่ะ”

ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบตามความจริง “อืมมมม พูดยาก ก็ถ้าทำตัวไม่ได้เรื่องตลอดเวลาก็คง...ไม่ไหวแหละ แต่ว่านะ ถ้าแบบนั้นทำไมผมถึงชอบแต่แรกวะ”

พี่เอื้อมองผมนิ่งๆ คล้ายกำลังรอฟังคำตอบ

“ผมว่านะ ถ้าลองชอบอ่ะ ต่อให้เห่ยขนาดไหนก็คงตาบอด รู้สึกว่า ‘แม่งน่ารักว่ะ’ อยู่ดีแหละ” ผมหันไปฉีกยิ้มให้พี่เอื้อ “ผมเองก็ไม่ใช่ว่าได้เรื่องขนาดนั้นปะ ตัวเองเป็นแบบนั้น ใจคอยังจะอยากได้แฟนเพอร์เฟ็กต์เป๊ะเหรอ โลภไปแล้ว”

พี่เอื้อยังคงจ้องนิ่งๆ อยู่แบบนั้น

“ผมน่ะนะ ถ้าชอบก็แปลว่าต้องชอบทั้งหมด ทั้งจุดดี ทั้งจุดเห่ยๆ ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าชอบได้ยังไง” ผมยิ้มขันๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ตัวเองเคยพยายามเปลี่ยนตัวเองแทบตายเพื่อให้ใครคนนั้นชอบผม “ถ้าไม่รักผมที่ผมเป็นผม งั้นจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ผมจะแสดงเป็นคนที่เขาอยากให้เป็นได้สักกี่น้ำกันเชียว หนึ่งปี สิบปี ยี่สิบปี? ทำไมผมต้องลำบากชีวิตตัวเองขนาดนั้นด้วยว่ะ เพราะรักงี้เหรอ ฮ่า แบบนั้นมันไม่ใช่รักแล้วมั้ง”

“...งั้นเหรอ” พี่เอื้อที่นิ่งไปนานตอบกลับมาเพียงสองพยางค์

ผมฉีกยิ้มตอบ “ช่ายแล้ว แต่ว่านะ...”

“ว่า?”

“ผมว่าที่พี่กลัวความสูงแบบนี้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเห่ยสักหน่อย คนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่ไม่ชอบบ้างแหละ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ผมเองก็ไม่ค่อยชอบพวกฟืนไฟเท่าไหร่ เคยกลัวกระทั่งเตาแก๊สอ่ะ คิดดู”

“จริงอ่ะ”

“จริงสิ”

“งั้นไว้เก็บเงินเปลี่ยนเป็นเตาไฟฟ้าแล้วกัน คนบ่นเรื่องความสม่ำเสมอของความร้อนก็จริง แต่นายลิ้นด้านคงแยกไม่ออกหรอก”

ผมหัวเราะออกมา “แบบนั้นไม่สู้รอให้พี่ทำให้กินดีกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนเตาด้วย”

พี่เอื้อเพียงครางรับในลำคอ ก่อนที่สายตาจะหันไปให้ความสนใจแขนซ้ายผม และถือวิสาสะลูบไปตามรอยสักบนต้นแขนของผมเบาๆ “เคยเห็นหลายที ไม่มีโอกาสได้ถามสักที ม้าเหรอ กี่ตัวเนี่ย หนึ่ง...สอง...สาม...”

“สิบ” ผมตอบขณะขยับไหล่ให้พี่เอื้อมองเห็นลายสักได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“ทำไมสักรูปม้าล่ะ”

“...” ผมหลบสายตา แหม...พูดไปช่างน่าอาย

“แฟนเก่า?”

ผมไอออกมาครั้งหนึ่ง

“แล้วทำไมต้องสิบ”

“...ทศทิศ เรืองอาชา” ครับ ชื่อจริงแฟนเก่าคือชื่อนี้แหละครับ ชื่อมีทศ (สิบ) นามสกุลมีอาชา (ม้า) เลยกลายเป็นม้าสิบตัว ทำไมไม่ชื่อเอกภพงี้...อ้าว โทษที่ พี่ไม่ได้จะล้อชื่อน้องนะน้องเอก คิดอีกทีสิบก็ดีแล้ว ลองชื่อแบบยี่สิบสามสิบ นี่ก็ไม่รู้จะยัดลงไปตรงไหนให้พอดีเหมือนกัน

“อ้อ” พี่เอื้อร้องแค่นั้น คาดว่าคงเก็ตแล้วว่าทำไมม้ามาสิบตัว “เจ็บไหมตอนสัก”

“เจ็บ เจ็บชิบหาย เจ็บโคตรๆ...แต่ตอนนั้นจูนิเบียวอ่ะ อดทนด้วยพลังแห่งรัก”

พี่เอื้อหัวเราะออกมาเสียงดัง...เว้ย! เสียมารยาท!

“แล้วถ้าเป็นแฟนเอื้อการย์จะสักอะไร”

ผมสำลักน้ำลายก่อนจะคิดหนัก “เอ่อ โจทย์ยาก...ตรากาชาดงี้?”

“ทำไมเป็นกาชาดวะ”

“ก็เอื้ออ่ะ เออ แล้วจริงๆ ชื่อพี่มันแปลว่าอะไร”

“ค้ำชูกิจการ...ตอนเกิดพอดีที่บ้านธุรกิจติดขัด เลยตั้งเอาเคล็ด” พี่เอื้อตอบพร้อมอธิบายให้เสร็จสรรพแบบไม่ต้องถามต่อให้มากความ

“...งั้นแผงลอยตลาดสดแล้วกัน” ต้นแบบเอาตลาดแถวบ้านงี้

“...” พี่เอื้อโปรยจุดใส่

 

(มีต่อ)


ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
12 (ลับ) - ต่อ


หลังจากนั้นด้วยความที่อากาศร้อน และตอนเดินผ่านไปทางบ้านผีสิงบังเอิญผ่านล่องแก่ง ผมกับพี่เอื้อเลยใช้บัตรเบ่งเข้าไปรับน้ำเย็นๆ สักหน่อย ตอนออกมาท่อนบนของผมเปียกโชกไปหมด

“ไปซื้อเสื้ออีกตัวเหอะ” พี่เอื้อเสนอ

“หืม ไม่เป็นมั้ง เดี๋ยวก็แห้ง”

“เอาเหอะน่า ไปเหอะ พี่ซื้อให้เป็นที่ระลึก” ว่าแล้วพี่เอื้อก็ลากผมกลับไปที่ร้านขายของที่ระลึก ผมมองหาเสื้อไซซ์ตัวเอง เจอแต่เสื้อยืดลายสาหร่ายที่เขียนว่า ULTE เห็นแล้วก็งงๆ หน่อยว่าทำไมมันถึงมีแต่พืชผัก โสมงี้ สาหร่ายงี้ แต่ด้วยความที่ไม่มีลายอื่นให้เลือก ก็เลยจำใจต้องเลือกลายนี้

ตอนกลับออกมาหลังเปลี่ยนเสื้อ ก็เห็นพี่เอื้อที่ยืนรอเปิดเช็กข่าวในมือถืออยู่ ทว่าภาพที่มาเพิ่มเติมก็มองไม่เห็นอะไรชัดเจนอยู่ดี “ฮึ่มมม”

ผมที่เห็นพี่เอื้อกำลังกลุ้มใจ ก็เลยชวน “เล่นม้าหมุนมะ”

“บ้า ม้าหมุนมันของเด็---“ พี่เอื้อยังพูดไม่ทันจบก็หันไปเห็นม้าหมุนที่เต็มไปด้วยคู่รักหนุ่มสาวมีแค่ราวๆ สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นเด็ก “...เอ๋”

ผมหัวเราะ “มา...มันวนแค่แป๊บเดียวเอง”

สุดท้ายพี่เอื้อก็เดินล้วงกระเป๋าตามผมมาด้วยท่วงท่าสบายๆ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเครื่องเล่นที่เป็นม้าขาวด้วยท่วงท่าที่ทำให้คนมองอยู่แอบส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด

ผมเห็นแล้วยอมแพ้ สุดท้ายเลยเลือกลาสีเทาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ข้างๆ ผมเป็นสองสาวนั่งอยู่ในรถม้าเหมือนรถฟักทองในนิทานเนื่องจากระยะห่างของลาผมกับรถม้าไม่มากนัก ผมก็เลยได้ยินเสียงพวกเธอคุยกัน

“แกๆ ดูนั่น เจ้าชายขี่ม้าขาว”

“เฮ้ยยยย ของจริงเหรอวะ คอสเพลย์หรือเปล่า”

...เอ่อ คงไม่มีใครคอสเพลย์เป็นเจ้าชายใส่เสื้อยืดลายโสมล่ะมั้งครับ ขณะที่ผมกำลังเหม่อๆ ดูคนอื่นเลือกจับจองพาหนะของตัวเอง ผมก็ได้ยินเสียงเรียก

“เดือน...”

“เดือนปลอม”

“!” ผมสะดุ้งโหยง ก่อนหันไปเห็นพี่เอื้อกวักมือเรียกยิกๆ ผมรีบวิ่งไปหา “มีอะไร”

“ม้านี่มันนั่งได้สองคน”

“หา”

ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณว่ากำลังจะเริ่ม ผมหันรีหันขวาง แต่รอบๆ ถูกคนจองไปหมดแล้ว (ส่วนมากคือสาวๆ ที่จ้องพี่เอื้อตาเป็นมัน) สุดท้ายก็ถูกคนช้อนตัวขึ้นไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า

“...” ผมกะพริบตาปริบๆ “พี่เอื้อ”

“หือ”

“มัน...พิลึกไปหน่อยปะพี่” ดูเป็นฉากในการ์ตูนสาวน้อยตาหวานที่เคยยืมไอ้กิ่งอ่านเอามากๆ

พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนสารภาพความจริงด้วยเสียงอ่อยๆ “ม้า...เวลาขยับขึ้นมันน่าจะสูง”

“แล้วทำไมพี่ไม่ลงไปนั่งอย่างอื่นที่มันเตี้ยกว่านี้เล่า”

“...มันเสียมาด”

...เออ เอ้า

ระหว่างเครื่องเล่นค่อยๆ เคลื่อนตัว ทุกครั้งที่ม้าขึ้นสูง ผมจะรู้สึกได้ถึงแรงโอบรัดที่เอวที่มากกว่าเดิม...ลำบากแท้หนอคนเรา เห็นดังนั้นผมเลยพยายามชวนคุย “พี่เอื้อ ผมเพิ่งนึกอะไรได้ล่ะ”

“หือ”

“นอกจากเจ้าชาย พระถังซัมจั๋งก็ขี่ม้าขาวเหมือนกัน”

“งั้นนายอยากเป็นหงอคง ตือโป๊ยก่ายหรือซัวเจ๋ง”

“เฮ้ย พี่รู้จักด้วยอ่ะ” ผมทำเสียงตื่นเต้น ปกติตาคนนี้ตกยุคเป็นอย่างยิ่ง เจ้าขุนทองยังไม่รู้จักเลยจ้า

“บ้า ไซอิ๋ว...ซีโหยวจี้ เป็นหนึ่งในสี่ยอดวรรณกรรมของจีน จะไม่รู้จักได้ยังไง”

...เนิร์ดก็ยังเป็นเนิร์ดอยู่วันยังค่ำ

 

ครั้นลงมาจากม้าหมุน ผมก็รีบลากพี่เอื้อให้ออกไปไกลๆ จากสายตาทิ่มแทงของบรรดาสาวๆ ที่น่าจะเข้าใจผิดว่าผมกับพี่เอื้อเป็นคู่เกย์เลิฟๆ กันไปแล้ว ระหว่างนั้นพี่เอื้อที่เช็กการเคลื่อนไหวของเป้าหมายก็สบถออกมา “...อีกแล้ว ภาพไม่ชัด”

“พี่ดูแอคเค้านต์ผิดหรือเปล่า”

“บ้า นี่สืบอยู่อาทิตย์กว่า” พี่เอื้อเงียบไปครู่หนึ่งขณะไถหน้าจอ ก่อนจะส่งให้ผมดู “นี่ไง รูปของยัยติ๊ด โอเค นายอาจจะดูไม่ออกเพราะมันเห็นหน้าไม่ชัด แต่ฉันมั่นใจว่าใช่...แล้วดูข้อความ ‘วันนี้น้องติ๊ดไปเที่ยวกับเพื่อนๆ’ เห็นไหม ชื่อตรงหน้าใช่ มันก็ต้องใช่สิ”

พอเห็นผมยังมีสีหน้าสงสัย พี่เอื้อก็ดึงโทรศัพท์กลับไปไถต่อ และเปิดให้ผมดูอีกสองสามรูปที่คล้ายๆ กัน ปากก็พึมพำ “เดือนนี้นี่เล่นโซเชียลเยอะกว่าที่เล่นมาทั้งชีวิตอีกว่ะแม่ง”

ขณะกวาดตาดูรูปไปเรื่อยๆ ผมพลันเอะใจอะไรขึ้นมา “พี่...เอื้อ”

“หือ”

“มุมนี้มันแปลกๆ”

“หา”

ผมดึงเอาโทรศัพท์มาจากอีกฝ่าย  จากนั้นก็เลือกดูในส่วนของมีเดีย...ซึ่งจะแสดงภาพทั้งหมดของเจ้าของแอคเค้านต์ พี่เอื้อที่ชะโงกหน้ามาดูอุทาน “เอ๊ย มันดูแบบนี้ได้ด้วยหรอ”

ทูนหัว...เชื่อแล้วว่าเดือนนี้นี่เล่นโซเชียลเยอะกว่าที่เล่นมาทั้งชีวิตจริงๆ

ภาพทั้งหมดที่ปรากฏในนั้นมีลักษณะเดียวกันหมด คือเป็นรูปน้องติ๊ดจากมุมใกล้ ดูเผินๆ เหมือนเจ้าตัวเป็นผู้ถ่ายรูปนี้เอง ทว่า...

“เหมือนกันทุกภาพ...”

“หา”

“พี่...จริงๆ นะ ภาพทั้งหมดนี่” ผมพูดไปก็รู้สึกหนาวเยือกหน่อยๆ “...ไม่มีภาพไหนที่ถ่ายเองเลย”

“หืม” พี่เอื้อนิ่วหน้าขณะมองภาพในโทรศัพท์ จากนั้นก็ยกไม้ยกมือ และรวบผมให้เข้ามาในกล้องเลียนแบบรูปภาพหนึ่งในนั้นและลองถ่ายดู ทว่ารัวไปหลายรูป เปลี่ยนองศา หรือกระทั่งลองยืดสุดมือ ที่สุดแล้วก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ “...ไม่ได้จริงๆ ด้วย”

“เออ ไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าองศาไหนแม่งก็ทำร้ายเบ้าหน้าพี่ไม่ได้ คนอะไรวะ หล่อสามร้อยหกสิบองศา” ผมเจ็บปวด ขนาดคิ้วต์บอยอย่างผมยังมีบางมุมที่เป็นคิ้วต์บวมเลย

พี่เอื้อกลอกตาใส่ผม ก่อนลากกลับเข้าเรื่อง “แล้วนี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

“ผมมีเพื่อนที่ชอบดูคลิป...เอาว่าของพวกเน็ตไอด้อลน่ะ” ผมพยายามหาคำศัพท์ที่พี่เอื้อจะไม่ชอร์ตจนเกินไป “ครั้งหนึ่งมันเคยนั่งจับผิดคลิป...เอ้อ เอาว่าอย่ารู้รายละเอียดเลย แต่สรุปคือเพราะมัน ผมเลยจำพวกมุมการถ่ายได้แบบคร่าวๆ”

“ทำไมเพื่อนนายดูน่าสงสัยจังวะ”

“แค่ก...” ผมหันรีหันขวาง ก่อนกระซิบ “มันขายหนังโป๊”

“...โอเค” พี่เอื้อไม่ถามต่อแต่หันไปเปิดเช็กข่าวในมือถืออีกครั้งและขมวดคิ้ว “...นี่มันอยู่ตรงไหน”

ผมยื่นหน้าเข้าไปดูด้วย ในภาพมีข้อมูลน้อยมาก นอกจากสาวน้อยในชุดกระโปรงฟูฟ่องและผ้าคาดตาแล้ว ด้านหลังก็เห็นเพียงกลุ่มคนแต่งกายด้วยชุดกระโปรงคล้ายๆ กัน ดูผ่านๆ นึกว่าชุมนุนแม่มด “เดี๋ยวก่อน...ภาพเมื่อกี้ก็มีคนพวกนี้หรือเปล่า”

“หืม” พี่เอื้อรีบเปิดกลับไปเช็ก ก่อนจะพบว่าเป็นอย่างที่พูด ที่พื้นหลังของทุกภาพ ล้วนมีแก๊งชุมนุมแม่มดนี่ทั้งสิ้น

“ฮ่า” ผมดีดนิ้ว “แสดงว่ามาเป็นกลุ่ม ถ้าเราหาจากข้างบน...”

ผมนิ่งเงียบ สายตาจับจ้องอยู่ที่งวัตถุที่เด่นที่สุดของสวนสนุก เรียกว่ามองจากมุมไหนก็เห็น

“ชิงช้า...สวรรค์...” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าคำว่าสวรรค์ที่หลุดออกจากปากของพี่เอื้อฟังดูละม้ายคล้ายว่าเขาพร้อมจะไปสวรรค์ได้ทุกเมื่อ

 

ระหว่างต่อแถว ผมก็หันไปมองพี่เอื้อที่ตอนนี้หน้าเริ่มเปลี่ยนเฉดสีอีกแล้ว วันนี้วันเดียวหน้าพี่แกมีทั้งขาว เขียว แดง ม่วง คัลเลอร์ฟูลไปหมด “พี่เอื้อ ไม่ไหวก็รอข้างล่างก็ได้ ผมขึ้นไปดูให้”

พี่เอื้อนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนส่ายหัว “...ไม่เป็นไร มัน...ไม่ได้โยกไปเยกมา คง...ไม่เป็นไรมั้ง ถ้านั่งเฉยๆ”

เห็นท่าทางดื้อรั้นราวกับเด็กที่อยากพิสูจน์ตัวเองของเขาแล้วผมอดส่ายหัวไม่ได้ จนกระทั่งถึงคิวของพวกผม ผมอดไม่ได้ที่จะถามเขาอีกครั้ง “แน่ใจแล้วนะ”

“แน่ใจ”

พระเอกว่างั้นเราก็ต้องว่าตามนั้นครับท่านผู้ชม

 

บนชิงช้าสวรรค์ ท้องฟ้ายามบ่ายเต็มไปด้วยก้อนเมฆ มองจากมุมนี้สามารถเห็นสวนสนุกทั้งหมด รวมถึงอาคารที่อยู่โดยรอบ ไกลออกไปเป็นกลุ่มตึกสำนักงานภายในเมือง ทว่าผมไม่มีเวลามาสนใจความสวยงามเท่าไหร่นักเมื่อมีอย่างอื่นให้ที่ควรให้ความสนใจมากกว่า

“พะ พี่เอื้อ ยังมีชีวิตอยู่ไหม” ผมเอ่ยถาม

“...วิญญาณฉันหลุดออกทางปากไปนานแล้ว”

“...ไอ้หยา”

“ไม่ต้องสนใจฉัน หาชุมนุมแม่มดพวกนั้นไป” พี่เอื้อโบกไม้โบกมือ ผมเลยรีบสอดส่ายสายตา ในมือก็ถือแผนที่ประกอบ แต่ระหว่างนั้นก็อดหันมามองพี่เอื้อเป็นระยะๆ ไม่ได้ เรียกว่าทุกครั้งที่กระเช้าเกิดการชะลอหรือเขย่า ร่างของพี่เอื้อจะแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน ดวงตาของเขาเบิกค้าง จ้องมองลงไปยังพื้นด้านหน้าตาไม่กะพริบ โอย นี่กูต้องเตรียมโทรเรียกรถพยาบาลไว้ก่อนไหมวะเนี่ย

“อ๊ะ เจอแล้ว ผมก้มลงมองแผนที่ พวกนั้นกำลังตรงไปทางโซนสวนน้ำ น่าจะเตรียมไปดูโชว์...” ผมเช็กรอบเวลาโชว์ “อื้อ โชว์รอบบ่ายสามโมง เราลงชิงช้าไปน่าจะทันกับพวกเขาพอดีๆ”

“ขะ ขอบคุณมาก” พี่เอื้อเสียงสั่น เขาพยายามบังคับให้คอตัวเองหันมาทางผมซึ่งมองเห็นฉากหลังเป็นท้องฟ้าสดใสซาบซ่านชวนให้วิญญาณที่หลุดออกไปทางปากแล้วของพี่แกพาลจะปลิวออกไปทั้งหมด ผู้ชายรูปหล่อระยำที่ตอนนี้ลดระดับเหลือแค่หล่อใกล้จะตายพยายามยิ้มแห้งๆ ให้ผม

“หลับตาสิพี่เอื้อ”

“ฉะ ฉัน...” เสียงพี่เอื้อเหมือนคนจะตายอยู่รอมร่อ...เฮ้ย อย่าบอกนะว่ากระทั่งหลับตาพี่ก็ไม่มีแรงเหลือแล้วล่ะ สีหน้าของพี่เอื้อแทนคำตอบของคำถาม ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ จากนั้นก็เอื้อมมือไปปิดตาเขา

“ไม่มองก็ไม่กลัวแล้ว” เพราะแตะหน้าของเขาอยู่ ผมถึงสัมผัสได้ถึงอาการสั่นระริก

จากนั้นพวกเราทั้งคู่ต่างก็เงียบ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักเมื่อยมือแล้ว แต่เห็นแก่พี่เอื้อที่ตอนนี้ก็ยังตัวสั่นงันงก เลยได้แต่กัดฟันทนต่อไป

“ฉันเกลียดคนประดิษฐ์ไอ้เครื่องเล่นบ้านี่” เสียงของพี่เอื้อปนกับระหว่างแค้นระดับใครฆ่าพ่อข้า กับปิ่มๆ จะปล่อยโฮออกมาทุกขณะ

“กอดผมไว้ก็ได้นะ”

พี่เอื้อนิ่งไปสักพัก ก่อนเอื้อมมือมาโอบเอวผมไว้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ “ไม่...เหรอ”

“หือ”

“ไม่ตลกเหรอ”

ผมกะพริบตาด้วยความงุนงง “อื๋อ อะไรตลก”

“ฉัน”

ผมใช้สมองที่ไม่ค่อยจะมีครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะได้คำตอบ “บ้า บอกแล้วว่ากลัวก็คือกลัวสิ...ไม่ใช่เรื่องน่าตลกตรงไหนเลย”

ในตอนนั้นเอง กระเช้าก็หยุดเคลื่อนไหว พี่เอื้อที่ปากคอสั่นเอ่ยถาม “ลงแล้วเหรอ”

“เอ่อ...” ผมยิ้มแห้งๆ “มันกำลังหยุดที่จุดสูงสุดน่ะ”

เท่านั้นแหละ มือที่กอดรัดผมไว้ยิ่งออกแรงมากกว่าเดิมจนผมรู้สึกว่าเอวที่น่าสงสารของตัวเองกำลังจะอำลาโลก โฮกกกกก

กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนตัวลง พี่เอื้อคว้าหมับเข้าที่แขนผมแล้วจับไว้แน่น ริมฝีปากของเขาสั่นจนเห็นได้ชัด... อืม อาการหนักจริงๆ ด้วย “พี่เอื้อ เอางี้นะ พี่ชวนผมคุยเรื่องอื่น เรื่องจริงจังกว่านี้ พี่จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน”

“เรื่องจริงจัง...”

“ช่ายยยย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม” ...ถึงผมจะไร้ความรู้ก็ตาม

“คือว่า ถ้าฉันไม่คืนร่างเดิมตลอดไปเลยเนี่ย...นายจะโอเคไหม”

ผมแปลกใจกับคำถามนั้น แต่จะว่าไปมันก็เป็นคำถามที่จริงจังอยู่ “ไม่เป็นไร ผมก็จะคอยจูบพี่แล้วกัน”

“...ทั้งชีวิตเลยนะ”

“พี่ก็รับผิดชอบเลี้ยงดูผมก็แล้วกัน” ผมหัวเราะ

“อืม ได้” แล้วภายในกระเช้าก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงอาการสั่นเล็กน้อยของผู้ชายที่กอดผมเอาไว้เท่านั้น

ตอนที่ลงถึงพื้นได้ พี่เอื้อวิ่งออกมาจากกระเช้าอย่างรวดเร็ว แต่พอเห็นว่ามีคนหมู่มากกำลังดูอยู่ เขาก็กลับมาเดินเยื้องย่างทำหน้าหล่อแบบหนุ่มแบดบอยอีกครั้ง ส่วนผมพบว่ามือตัวเองเหน็บกินไปแล้ว พี่เอื้อเห็นแบบนั้นก็เลยช่วยนวดมือให้

“ขอโทษที...”

“ไม่เป็นไร เอาว่าคราวหน้ารอข้างล่างนะ”

“คราวหน้าฉันจะไม่มาสวนสนุกอีกแล้ว” พี่เอื้อกัดฟันกรอดๆ

“เอาจริงๆ ผมก็เมาคนแล้ว รีบไปจัดการธุระเราให้เสร็จกันเถอะ” ...แค่แวะมาดูหน้าคน ไม่รู้ทำไมชีวิตถึงลำบากได้เพียงนี้

ได้ยินผมพูดดังนั้นพี่เอื้อก็เดินจ้ำอย่างรวดเร็วคล้ายจะหนีจากชิงช้าสวรรค์ ใจเย็น! มันคงไม่กลิ้งตามพี่หรอก

หลังจากนี้พี่เอื้อการย์ก็ยังคงมีภาวะนึกเปรี้ยวอยากจะท้าทายจุดอ่อนของตัวเองขึ้นมาเป็นระยะๆ เหมือนมีผีมาเข้าสิงเป็นฤดูกาล คราวก่อนไปประเทศจีน ชวนผมไปเดินทางเดินกระจกที่เทียนเหมินซาน เผื่อใครไม่รู้จัก...มันก็จะเป็นทางเดินรอบเขาที่มีส่วนหนึ่งปูด้วยกระจกใสมองลงไปเห็นด้านล่าง...ฮ่า ลองไปได้แป๊บเดียวคุณพี่เข่าอ่อนยวบ ไอ้ที่เหลือก็ขอละไว้ก็แล้วกัน

อ่ะ เดี๋ยวจะนอกเรื่อง ที่นี้หลังจากรู้แล้วว่าน้องเขาน่าจะไปทางสวนน้ำ

 

ปัง!

เสียงประตูทำเอาผมที่กำลังเล่าเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเห็นพี่เอื้อเดินกลับมา “เป็นไงพี่”

“ไม่มีอะไร ปัญหากับโรงพิมพ์นิดหน่อย ไอ้จิ๊บออกไปฉะแล้ว”

“สาธุ...นี่ต้องเตรียมเปลี่ยนเจ้าใหม่อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” ถ้าไอ้จิ๊บบี้ออกไปฉะ เกรงว่าจบงานคงไม่ต้องเผาผีกันอีกชั่วกาลนาน

“เฮอะ ดูงานที่พ่อเจ้าประคุณทำมา ถึงไอ้จิ๊บบี้ไม่ฉะ เราก็คงไม่ใช้แล้ว” พี่เอื้อส่ายหัว ก่อนทรุดตัวนั่งลงข้างผม “ตกลงเล่าถึงไหนแล้ว”

ผมโปรยยิ้มแบบตัวสล็อธรับสายตาที่หรี่ลงเล็กน้อยเหมือนจะจ้องจับผิดของพี่เอื้อ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “อ้อ ก็แบบเดินเข้าสวนสนุกแล้วพี่กับผมก็เดินหาเครื่องเล่นหวาดเสียว ผมชอบเสื้อโสมเลยซื้อให้พี่เปลี่ยน จากนั้นเราก็เดินวนไปวนมาจนได้เบาะแสว่าเป้าหมายอยู่ที่สวนน้ำ”

พี่เอื้อร้องอ้อ ก่อนจะหันไปมองน้องเอกที่ยังคงยิ้มละมุน...ทำได้ดีมาก ไว้พี่จะซื้อตุ๊กตาออสก้าร์ปลอมที่ขายในห้างส่งไปให้นะ

“งั้นเล่าต่อเนอะ” ผมยังคงโปรยยิ้มปิ๊งๆ

พี่เอื้อพยักหน้า



-----------------------------------------------------------

 :katai5: ขี้เกียจก็อปแปะจริงๆ ค่ะ ฮือๆๆๆ ← สารภาพ

แต่เดี๋ยวจะฮึบๆ เอามาลงให้จบนะคะ

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
12 (ไม่ลับแล้วจ้ะ)

พวกเราสองคนเลยมุ่งตรงไปยังบริเวณที่เป็นสวนน้ำ ในตอนนั้นเองพวกผมก็มองไปเห็นชุมนุมแม่มดกลุ่มนั้นกำลังยืนถ่ายรูปกันอยู่ด้านหน้าทางเข้าของสถานที่จัดแสดงโชว์

“เอาไงดีพี่”

“...อืม สังเกตจากที่ไกลๆ ก่อน?”

ทว่าขณะที่พวกเรากำลังประชุมปรึกษาหารือกันนั้นเอง จู่ๆ ด้านหลังพี่เอื้อก็มีเสียงร้องของผู้หญิงดังขึ้น

“พี่โอบเอื้อ!”

ผมกับพี่เอื้อหันขวับไปตามต้นเสียง ทว่าก่อนจะได้เห็นอะไรชัดเจน พี่เอื้อก็ถูกพุ่งชนด้วยสาวน้อยในชุดกระโปรงฟูฟ่อง “พี่อภัยให้ติ๊ดแล้ว ถึงได้มาตามหาติ๊ดใช่ไหมคะ”

“...” ผมกับพี่เอื้อโปรยจุด พี่เอื้อพยายามจะทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมาให้ผมเห็นได้ถนัดตา แต่พูดอย่างไรแม่เจ้าประคุณก็ไม่ยอม เอาทวินเทลไถอกพี่เอื้อไม่หยุด

ถึงตรงนี้ ตามสเตจมือที่สามสะกิดใจ น้องเดือนควรเจ็บปวดรวดร้าวปานหัวใจจะสลาย หัวใจเจ็บแปลบเหมือนมีใครมาบีบ รู้สึกหึงหวงขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล จากนั้นก็ตัดพ้อในใจ เห็นสาวสวยหนุ่มหล่อเคียงคู่กัน เรามันเป็นใคร ก็แค่พระจันทร์ปลอมๆ ที่สว่างน้อยกว่าหลอด LCD ...จะไปสู้พระจันทร์ของแท้ได้อย่างไรกัน

จากนั้นน้องเดือนก็จะเริ่มตีตัวออกห่างพี่เอื้อ ขอให้เธอไปดีขอให้มีความสุขขอให้เธอกับเขารักกันนานๆ ฝ่ายพี่เอื้อก็จะไม่เข้าใจความเย็นชาห่างเหิน เกิดเป็นช่องว่างระหว่างกันและกัน

แต่ความเป็นจริง...เอ่อ ก็บอกแต่แรกแล้วว่าไม่มีเชี่ยอะไรตรงตามสเตจเลย ใส่มาทำไมไม่รู้

ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางสถานการณ์ประดักประเดิดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนของผู้ชายดังขึ้น “ปล่อยมือจากน้องติ๊ดตี้นะ!!!”

วินาทีนั้น ผมเห็นสีหน้าพี่เอื้อเต็มไปด้วยความอิดหนาระอาใจประมาณว่า ‘นี่มันอะไรกันนักกันหนากับกูวะเนี่ย’ ทว่าก็เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว เพราะทั้งผมและเขาต่างสังเกตว่าฝ่ายตรงข้ามมีมีดอยู่ในมือ

เอาเท่าที่ผมมองผ่านๆ แล้วจำได้...คือมันนานแล้วอ่ะนะ ผู้ชายคนนั้นที่แต่งตัวค่อนข้างธรรมดา ที่คอห้อยกล้องตัวใหญ่ สายตาจับจ้องพี่เอื้อด้วยความเกลียดชัง

ที่จำไม่ค่อยได้เพราะในตอนนั้นสายตาอยู่ที่มีดเป็นหลัก...ดังนั้นจะหวะที่หมอนั่นพุ่งเข้ามา ผมก็ใช้สองมือคว้าแขนข้างที่จับมีดเอาไว้และผลักออกไปด้านข้าง อาศัยจังหวะที่หมอนั่นเสียศูนย์ประเคนเข่าไปให้หนึ่งที พอมีดหล่นพื้น ผมถึงค่อยเห็นว่ามันเป็นของปลอม เอ้อ เอาเถอะ ปลอดภัยไว้ก่อน

สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ของสวนสนุกก็มา แล้วก็ตามด้วยตำรวจ เรียกว่าวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง

กว่าจะจัดการเรื่องเรียบร้อยก็เป็นเวลาเย็นพอดี พวกผมถูกขอที่อยู่ติดต่อเผื่อตามตัวมาให้ปากคำทีหลัง ก่อนจะได้รับการปล่อยกลับบ้านไป ซึ่งเรื่องพวกนี้มีอะไรอีกนิดหน่อย แต่เนื่องจากไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เลยไม่ขอเล่าลงรายละเอียดมาก

สรุปแบบสั้นๆ คืออีตาคนนี้เป็นสตลอกเกอร์น้องติ๊ดมานานหลายปีแล้ว แอคเค้านต์ทั้งหลายที่พี่เอื้อเจอก็ฝีมือตาคนนี้ทั้งสิ้น เพราะงั้นภาพมันเลยดูเหมือนแอบถ่าย...เพราะก็แอบถ่ายจริงๆ วันนี้เห็นว่าเขาตั้งใจจะเอาดอกไม้มาเซอร์ไพรส์และสารภาพรักกับน้องติ๊ด แต่ดันเห็นน้องติ๊ดกอดกันกลมกับพี่เอื้อ ก็เลยของขึ้น เข้าใจว่าเมาอยู่หน่อยๆ ด้วย

ส่วนน้องติ๊ดที่ว่า ผมได้เห็นหน้าเธอเต็มๆ ตาหลังจากนั้น...ซึ่งก็ไม่ใช่แม่มดที่ตามหา ดังนั้นก็ตัดไปได้อีกรายหนึ่ง

ขากลับพวกเราตัดผ่านลานน้ำพุซึ่งมีซุ้มให้ถ่ายรูปกระจายอยู่โดยรอบ มีคู่รักหนุ่มสาวนั่งเล่นกันอยู่แถวนั้นประปราย

“อ๊ะ หลุดอีกแล้ว” ผมนิ่วหน้า วันนี้ผมใส่รองเท้าผ้าใบมา จริงๆ คือเป็นรองเท้าคู่เดียวที่อยู่ตรงหน้าตอนพี่เอื้อลากออกมา เลยใส่ๆ มันไป ถุงเท้าก็ไม่มี ดีที่รองเท้าเก่าแล้วเลยไม่กัด ทว่าข้อเสียคือเดินๆ แล้วเชือกหลุด ไม่หลุดเพราะผูกหลวมไปก็มีคนเหยียบสายจนมันหลุดเสียอย่างนั้น

ครั้นจะก้มลงผูก พี่เอื้อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เป็นฝ่ายคุกเข่าลงตรงหน้าผม มือแตะอยู่ที่เชือกรองเท้า

ถ้านี่เป็นนิยายรัก ฉากนี้จะเป็นฉากสุดแสนประทับใจที่พระเอกคุกเข่าลงผูกเชือกรองเท้าอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางสายตาที่มองมาของคนรอบๆ ซึ่งไอ้สายตาที่มองมาก็อยู่หรอก แต่อนิจจังวัตตะสังขารา...นิยายเรื่องนี้มันคือนิยายทำลายความรัก ดังนั้นพ่อพระเอกที่ก้มลงแตะเชือกรองเท้าผมอยู่ ไม่เพียงไม่ผูกให้เงียบๆ ยังเงยหน้ามาร้องว่า “ตั้งใจดูให้ดีๆ”

“หา”

“เนี่ย เพราะนายผูกเชือกรองเท้าไม่ดี มันถึงหลุดบ่อย ดูนะ ฉันจะสาธิตวิธีผูกที่แน่นกว่านี้ให้ดู ดูนะ...ทำเป็นห่วงแบบนี้”

“...”

“...แล้วก็ทบกันแบบนี้ ฟังอยู่หรือเปล่า”

“...ฟังอยู่ครับ”

“เดี๋ยวจะทำให้ดูอีกข้าง แล้วต่อไปอย่าลืมจำไปใช้นะ”

“ถ้าผมลืมจะทำไง”

พี่เอื้อแค่นเสียงหัวเราะดังหึ “งั้นฉันจะหยอดกาวตาช้างใส่เชือกรองเท้านาย เอาให้มันไม่ต้องหลุดไปตลอดชีวิตเลย”

“...พี่ครับ ตรงนี้พี่ต้องพูดว่า ‘ฉันจะผูกให้นายไปตลอดชีวิตเลย’ ต่างหาก” ผมโปรยยิ้มแบบสล็อธโปรดสัตว์โลกให้คุณพี่ผู้ทำร้ายบทแมสอย่างโหดเหี้ยม

“มือก็มีครบ ทำไมต้องให้คนอื่นทำให้ด้วย ทำเองสิ”

“...” พอแล้ว พอแล้ว ไม่แมสไม่ต้องมาแคร์ไม่ต้องมาดีกับฉันนน เสียมารยาทต่อนายเอกนางเอกผู้บอบบางเกินไปแล้ว “เฮ้ย ถามจริง ตอนมีแฟนพี่ก็เป็นแบบนี้เหรอ”

คราวนี้พี่เอื้อนิ่งไป มือที่ผูกเชือกรองเท้าให้ผมก็ชะงัก “...ไม่เคยมีแฟนที่ใส่รองเท้าผ้าใบออกมาเที่ยวด้วยเลย มีแต่คัชชู ไม่ก็ส้นสูง กับพวกรองเท้าแฟนซีๆ...เอ๊ะ อ้อ มีๆ ที่ใส่คอนเวิร์ต แต่นั่นเขาเชือกแน่นดีนะ ไม่หลุด”

“...” ผมยอมแพ้แล้วได้ไหม “แล้วถ้าเชือกรองเท้าหลุด พี่จะก้มลงมาเทรนผูกเชือกแบบนี้ไหมเนี่ย”

พี่เอื้อนิ่งไปอีกรอบ คิ้วโก่งๆ ของเขาขมวดเข้าหากัน...ซึ่งก็ยังหล่ออยู่ดี “...คิดว่าไม่”

“นั่นสิน้า ขืนก้มลงคุกเข่า มีหวังถูกเข้าใจผิดแปลกๆ แหง”

“แปลกแบบไหน”

“ขอแต่งงานไง” ผมเอ่ยสิ่งแรกที่นึกถึงออกไปในทันที

“อ้อ ยังเรียนไม่จบ ไม่คิดไปถึงตรงนั้นไหม”

ผมกลอกตาไปมา แล้วนี่เรากำลังคุยอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ แถมพี่เอื้อก็ยังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม เรียกสายตาสงสัยจากคนรอบๆ ผมถูกสายตาริษยาของสาวๆ ทิ่มจนพรุนไปหมดแล้วเนี่ย “พี่ ผมว่าพี่สาธิตให้เสร็จๆ แล้วลุกได้แล้ว ขืนพี่ยังอยู่ท่านี้ต่อ ผมต้องคิดไปถึงตรงนั้นแน่ๆ”

พี่เอื้อหัวเราะ ขณะบรรจงผูกเชือกรองเท้าให้ผมดู “แล้วนายจะตอบตกลงไหม”

“อู้หู แค่พี่ทำหน้าแบบนี้ ต่อให้หลอกไปใช้แรงงานที่ชายแดนเขมรก็ไป”

พี่เอื้อหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำผมไปที่ลานจอดรถ “เอาล่ะ... จะได้กลับกันสักที”

…อืม กลับ

…กลับ...เอ ตอนมาผมมายังไงนะ

วินาทีนั้น ผมพลันนึกเรื่องสยองขวัญขึ้นมาได้

...เชี่ยยยยยยยยยยยย

ระ ระ ระ รถถถถถ มันคือรถ มันคือรถเก๋ง มันคือรถญี่ปุ่น มันไม่ใช่รถสปอร์ต...แต่มัน...แต่มัน...

“เอ้า ขึ้นมาเร็วๆ สิ เดี๋ยวฉันจะไปส่งนาย อยากให้ฉันกลับเป็นกบก่อนหรือไง”

ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงแย้งพี่เอื้อไปแล้วว่าพี่จูบผมไปเต็มสูบขนาดนั้นน่าจะยังไม่คืนร่างง่ายๆ แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาปกติ ผมก็เลยได้แต่ยืนอ้าปากค้างอยู่แบบนั้น

“มัวทำอะไรอยู่”

ผมรู้สึกเหมือนมีฝุ่นเข้าตา... ทำไมผมถึงเริ่มมีน้ำตาคลอแล้ววะ เชี่ย ลูกผู้ชายต้องไม่หลั่งน้ำตาสิวะ แต่ไม่ หนังจีนเคยบอกไว้ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา นี่กูแลคล้ายจะเห็นโลงศพกูอยู่รำไรแล้วครับเนี่ย

“นายเดือนปลอม ตกลงนายจะกลับบ้านหรือไม่กลับเนี่ย” พี่เอื้อเร่งอีกครั้ง

ไม่! ผมไม่อยากขึ้นรถฝีมือพี่ขับอีกแล้ว ม่ายยยยยย

“ตกลงไม่กลับ?” พี่เอื้อเปิดประตู “งั้นพี่กลับนะ”

“เดี๋ยวๆๆๆ กลับๆๆๆ” เอาวะ ไม่มีทางเลือก คิดเสียว่าเป็นรถไฟเหาะแบบใหม่แล้วกัน

เนื่องจากเป็นช่วงเย็น ครั้งนี้ผมเลยเห็นรถประปราย ทว่าที่น่ากลัวคือไม่มีคันไหนขวางหน้ารถพี่เอื้อเลย พี่แกแล่นฉิวไม่มีแตะเบรค ทำเอาผมสงสัยว่าหรืออีตานี่จะมีเวทมนตร์จริงๆ วะเนี่ย โอย วิญญาณเดือนจะหลุดออกจากร่างอยู่แล้วนะ พี่เอื้อ ผมคงได้กระอักเลือดร้องอะเอื้อออจริงๆ แล้วนะ ถ้ารถมันเกิดตีลังกาขึ้นมาเนี่ยยยย

ใครก็ได้ ช่วยเดือนด้วยยยยย

สำหรับใครที่สงสัยสมรรถนะของพี่เอื้อการย์ คือบอกเลยว่ารถส่งหนังสือพิมพ์ยี่ห้อไทย *ปิ๊บ* แม่งโดนแซงไม่เห็นฝุ่นเลยจ้า ร้ายกาจเกินไปแล้ว

“พี่เอื้อ จริงๆ แล้วพี่เคยแข่งรถมาก่อนป่ะ”

“เคย”

...พรูดดดด “เคยจริงๆ เรอะ”

“เคยสิ สมัยมัธยมอ่ะ แบบว่าวัยว้าวุ่น ต้องการปลดปล่อย”

ฟังแล้วผมก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “โหย โคตรพระเอกแมสว่ะ มีแข่งรถกัน แต่เดี๋ยวก่อน แล้วเดี๋ยวจะมีเอาผมไปเป็นเดิมพันป่ะ”

“...เลิกแข่งไปตั้งนานชาติแล้ว”

“อ้าว”

“ก็แข่งแล้วไม่เคยแพ้เลยแม่งน่าเบื่อ เลยเลิก แถมตอนเย็นต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย”

“...”

“แล้วถ้าลงแข่งจริง จะเอาผมไปเดิมพันป่ะ”

“ฮ่า น้องเดือนครับ พี่เกรงว่าเขาจะไม่รับ ขอแลกเป็นเงินแทนน่ะสิ เอาเงินไปซื้อของโมฯ รถยังดีกว่า”

“...” อะไรทำให้ผมหน้ามืดคิดว่าไอ้หมอนี่น่ารักวะ

“อ้อ พรุ่งนี้กินห่อหมกทะเลไหม เมื่อวันก่อนซื้อเครื่องแกงมา ยังไม่ได้ใช้เลย”

“เอา”

กูรู้แล้วว่าทำไมกูหน้ามืด ฮือๆๆๆ




ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0




STAGE 7: เผชิญหน้าครอบครัว

จุดประสงค์การเรียนรู้: รักของพระเอกนายเอกจะฝ่ากำแพงนี้ไปด้วยกัน

เงื่อนไขลับ: เกิดขึ้นต่อครอบครัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ส่วนมากจะไม่เกิดพร้อมกัน

คอมเม้นต์นายเอก: คัต!

คราวนี้ถึงคราวผมเคาะที่ตีเปรตรัวๆ ร้องคัตเสียงดังลั่น

“เอ้า คัตอะไรอีก”

“เดี๋ยวก่อน! นี่มันข้ามแล้วหรือเปล่า ยังไม่ทันจบสเตจสี่เลยนะ” ผมรีบเบรก

“จบแล้วนี่ไง ขี้นเสตจใหม่แล้ว”

“แล้วจากสี่ไปเจ็ดเนี่ยนะ นับเลขเป็นไหมเนี่ย”

“น้องเดือนครับ” พี่เอื้อมตบบ่าผม “ความรักอ่ะนะ มันไม่มีรูปแบบตายตัวหรอก หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้วก็ไปเจ็ด แล้วค่อยย้อนกลับมาห้า หกก็ได้”

ผมหันไปหาน้องเอกที่ทำหน้าแบบพวกพี่เอาที่สบายใจเลยครับ ก่อนจะแหงนหน้ามองฝ้าเพดานชมรมจุลสารที่ทุกวันนี้ยังมีรอยแดงๆ ออกน้ำตาลของเลือดไก่ (โปรดอย่าถามว่ามันขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ไง มันเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อย) พลางถอนหายใจ “ก็ได้...”

“งั้นเชิญเล่าต่อ”

ถึงไหนแล้วนะ...อ้อ ไปกินข้าวกับพ่อแม่พี่เอื้อ เดี๋ยวๆๆๆ ไม่ใช่สิ อ้าว สปอยล์แล้วไหม เอ่อ มันก็ออกจะสปอยล์ๆ มาตั้งแต่หัวสเตจแล้วอ่ะนะ





13

เอาใหม่ ก่อนอีเว้นต์ลับนี้จะบังเกิด หลังกลับจากสวนสนุกได้สักพัก พี่เอื้อก็ได้รับโทรเลข เอ๊ย โทรศัพท์ตามตัวกลับบ้าน ผมถูกปลุกมาปล้ำจูบแต่เช้า แล้วโจรปล้นสวาทก็จากไปแบบออกไปทางประตูบ้านอย่างสง่าผ่าเผยแถมยังล็อกบ้านให้อีกต่างหาก

ผมตื่นมาอีกครั้งก็พบว่ารอบตัวสว่างจ้าไปหมด พอแหงะมองนาฬิกาก็พบว่าปาเข้าไปสิบโมงแล้ว ตอนแรกตกใจแทบสิ้นสติรีบตะกายไปอาบน้ำ ก่อนจะสำนึกได้ว่าวันนี้ไม่มีเรียน เลยค่อยๆ เดินลงไปด้านล่าง ก็พบว่าที่หน้าตู้เย็นมีโน้ตบอกว่ากับข้าวอยู่ในตู้ พร้อมแจกแจงรายละเอียดวิธีการอุ่นเสร็จสรรพ

พอกินเสร็จผมก็ไปนั่งทำแบบฝึกหัดห้าข้อของพี่เอื้อ แล้วก็เคลียร์การบ้านของอาจารย์โอ๋คลาสเมื่อวาน พอทำเสร็จหมดแล้วผมก็กลิ้งไปกลิ้งมา อา...ผมรักบ้าน ผมรักการได้กลิ้งเกลือก นอนโง่ๆ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นที่บ้านเหลือเกิน

หลังกลิ้งจนเบื่อ ผมก็เปิดเกมเล่น แต่เล่นได้พักหนึ่งก็เบื่อ เลยเปิดโทรทัศน์ดู...ก็พบว่ายังเบื่อ ครั้นจะขุดเอาซีรีส์ที่ดองไว้มานั่งดูก็รู้สึกว่าคงต้องดูมาราธอน ถ้าเกิดมีกบกลับมาขัดจังหวะคงเสียอารมณ์แย่ เลยตัดสินใจไม่เปิดดู ทำไปทำมาผมได้แต่นั่งจ๋องมองเพดานอยู่ครู่ใหญ่...รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ปกติชีวิตว่างแบบนี้หรือเลยเหรอ

ตอนนั้นถึงคิดได้ว่าตอนที่มีแฟนคนแรกก็รู้สึกชีวิตยุ่งๆ พอไม่มีก็นั่งจ๋องๆ เหมือนมีเวลาส่วนเกินที่ไม่รู้ที่มาที่ไป

เพียงแต่...สถานะพี่เอื้อหาใช่แฟนไม่ อาการนี้อาจจะเหมือนแม่บ้านที่ลูกเข้ามหาวิทยาลัยออกไปอยู่หอมีชีวิตเป็นของตัวเองงี้ ว้ากกกก ตบหัวผมทำไม

อย่างเมื่ออาทิตย์ก่อนพวกผมก็ไปตามล่าหาแม่มดกันที่เมืองกาญจน์ ตอนแรกพี่เอื้อจะขับรถไป แต่ผมงานนั้นหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม เลยลากพี่ท่านไปขึ้นรถไฟไทย ชมวิว นั่งร้อนกันไป คุยอะไรกันไร้สาระ และก็เหมือนเดิมคือไปชะโงกดูแม่มด...ซึ่งก็ยังไม่ใช่

“นี่นายแน่ใจว่าเห็นหน้าแม่มดจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”

“จริงเซ่” ...มาถึงตรงนี้ความมั่นใจก็เริ่มสั่นคลอนแล้วเนี่ย

พอเวลาเหลือ พวกเราเลยไปหาอะไรกินแบบสุ่มๆ เอาแถวนั้น ก่อนจะพากันไปเดินสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตอนเห็นสะพานคุณพี่สุดหล่อของผม...หล่อจ้า ไม่มีอะไรครับพี่เอื้อ พี่หล่อเท่าเดิม แถมเดินยันกับโมเดลเดินบนรันเวย์...คือเป็นเส้นตรงแหน็วไม่มีการว่อกแว่กมองซ้ายมองขวา

หลังจากนั้นพวกเราก็มีทริปรายวันไปเที่ยวนครปฐม วนเล่นแถวเยาวราช แวะเมดคาเฟ่ที่เกตเวย์ เที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่บางแสน ไปเดินไล่หม่ำแถวท่าพระจันทร์ มั่วซั่วถั่วเป็นยิ่งนัก...เรียกว่าปิดเทอมแทบไม่มีวันว่าง

อ่ะ นั่นแหละ สรุปผมที่ว่างงานได้แต่ดูรายการโทรทัศน์วนไปวนมาจนแทบจะหลับน้ำลายยืดคาโซฟา จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูถึงสะดุ้งตื่น พอหันไปมองก็เห็นพี่เอื้อในชุดลำลอง...หล่อมาก หล่อโคตรๆ บอกเดินออกมาจากปกนิตยสารก็เชื่อ พอเห็นผมพี่ท่านก็คลี่ยิ้มแล้วพูดหล่อๆ ออกมาหนึ่งประโยค

“พรุ่งนี้ไปกินข้าวกับที่บ้านพี่นะ”

“หา”

“อีเว้นต์นี้ผิดจังหวะหรือเปล่าพี่” เออ...มันก็คงเหมือนๆ ไอ้สเตจสี่ปุ๊บขึ้นเจ็ดเลยนี่แหละ “...เนื่องในโอกาสอะไร”

“จะกินข้าวต้องมีโอกาสอะไรด้วยเหรอ”

“...กับพ่อแม่” ผมทำมือเป็นรูปเครื่องหมายคำพูดกลางอากาศ “พ่อแม่พี่ด้วย ไม่ใช่ของผม”

“มีคนที่อยากให้นายไปดูหน่อย”

“หืม”

“คู่หมั้นฉัน”

คราวนี้ผมสำลักน้ำลาย ไอโขลกออกมาชุดใหญ่ “คู่หมั้น”

“ไม่เชิง แต่แบบว่าผู้ใหญ่เขาเคยคุยกันไว้” พี่เอื้ออธิบายขณะไปหาน้ำมาให้ผมดื่ม ก่อนเสริม “ฉันก็ไม่เคยเห็นหน้า แต่ตอนนี้รายชื่อหมดแล้ว ฉันเลยคิดว่าอาจจะเป็นคู่หมั้นฉันก็ได้ เลยอยากให้นายไปดูหน้าให้หน่อย”

ผมรีบยกมือบอกให้พี่เอื้อหยุดพูดก่อนแล้วดื่มน้ำเพราะกลัวว่ากินๆ อยู่แล้วจะเผลอพ่นออกไปเป็นเมอร์ไลอ้อน “พี่ถ่ายรูปกลับมาฝากผมไม่ได้เหรอ”

พี่เอื้อย่นคิ้ว “...ฉันจะปฏิเสธเรื่องเขา แล้วยังขอเขาถ่ายรูปเนี่ยนะ”

“ฮึ่ม...แบบว่าขอถ่ายเป็นที่ระลึกไง”

“อาหารโรงแรมหรูเลยนา” พี่เอื้อเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์

“ฮึ่มมมมม”

“ห้องอาหารมีอาหารญี่ปุ่นเป็นหลักก็จริง ถ้าไม่ชอบก็มีมุมฟิวชั่น มุมอาหารนานาชาติ...สดใหม่ไฮโซ”

“ได้” ...ข้าแพ้แล้ว

“ดี งั้นเราออกไปข้างนอกกัน”

ว่าแล้วพี่ท่านก็ลากผมออกไป จับโยนขึ้นรถให้ผมอกสั่นขวัญหาย ก่อนจะวาร์ปมาโผล่ที่ห้างดังใจกลางเมือง

“เอ่อ...เรามาทำอะไรกันที่นี่นะครับคุณพี่” ผมยืนงงๆ มองผู้คนขวักไขว่ หลังจากคดีสวนสนุกแล้วผมก็เริ่มคุ้นชินกับสายตาที่มองมาทางพี่เอื้อ กระทั่งคนเดินผ่านไปแล้วยังมีการเหลียวกลับมามองซ้ำ แล้วตรงมุมๆ นั่นมีคนถ่ายรูปอยู่ด้วย

“ซื้อเสื้อผ้าให้นาย”

“พี่ซื้อให้?”

“ช่าย”

“หวายยย จะเป็นแบบนั้นเหรอ...ที่เขาว่าอะไรนะ ‘ฉันซื้อเสื้อผ้าให้ก็เพราะอยากจะเป็นคนถอดให้เธอน่ะสิ’” ผมเอ่ยเสียงขรึม เลียนแบบพระเอกซีรีส์เรื่องดัง

“แบบนั้นฉันขโมยเสื้อผ้าทั้งตู้นายจนไม่เหลืออะไรให้ใส่ดูเข้าท่ากว่า” ว่าแล้วเขาก็ล็อกคอลากผมเข้าร้านเสื้อผ้าราคาแพงที่ปกติผมไม่แม้แต่จะชายตามอง พอพลิกป้ายดูก็พบว่าบนป้ายมีแต่ข้อความประมาณเส้นใยคุณภาพ บลาๆๆๆ แต่ไม่มีราคา...โลกนี้ต้องการอะไร ต้องการคนรวยหน้ามืดที่พร้อมรูดแบบไม่แคร์ตัวเลขงั้นเหรอ

“พี่ เราไปฝั่งตรงข้ามไหม เสื้อตัวละร้อยเก้าเก้าเอาอยู่”

“ฉันซื้อให้” พี่เอื้อย้ำความต้องการเดิมอีกครั้ง

“แต่ถ้าพี่ซื้อร้านนี้ พี่จะซื้อเสื้อให้ผมได้หนึ่งตัว ในขณะที่เงินเท่ากัน พี่สามารถซื้อเสื้อที่ฝั่งโน้นให้ผมได้ถึงสิบกว่าตัว” ผมพูดแบบมีหลักการ

“ยังไงนายก็ต้องการเสื้อผ้าชุดเดียวอยู่ดี” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ “หรือเราถอยไปเริ่มจากเลี้ยงตัวไหมเองเลยดี”

“เออ เอ้า ได้ คนเราไปต้องไปให้สุด” ...แล้วหยุดที่โรงพยาบาลบ้า

พ่นมาพ่นไป รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในห้องลองเสื้อพร้อมเสื้อผ้าจำนวนหนึ่ง บวกกับพี่เอื้อการย์ที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องลองกับผมด้วยเฉยเลย “เอ่อ คุณพี่ครับ รอข้างนอกดีกว่าไหม”

“หืม ฉันจ่าย ฉันก็ต้องได้ดูสินค้า” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ โอ้โห ประโยคแบบนี้คนหล่อพูดแล้วดูดี ถ้าผมพูดนี่น่าจะเหมือนพ่อเล้าว่ะ ถุยๆๆ

สุดท้ายผมที่ปลงตกแล้วก็เลือกหยิบเสื้อมาตัวหนึ่ง ขณะกำลังจะถอดเสื้อตัวเก่า ก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย “พี่เอื้อ...”

“หืม”

“หะ หันไปทางอื่นหน่อย”

“ทำไม อาย?” คนหล่อเลิกคิ้วใส่ ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มร้ายๆ “ปกติอยู่บ้านนายก็นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินกลับมาจากห้องน้ำบ่อยๆ บางทีไม่นุ่งด้วยซ้ำ มาอายอะไรตอนนี้”

“เฮ้ย ก็ตุ๊กตากบมัน...มันไม่เป็นอะไรไหมวะ นี่ผมโดนพี่จ้องแล้วร้อนๆ หนาวๆ ไปหมดแล้วนะ” ผมลูบแขนที่ขนลุกซู่ของตัวเอง สุดท้ายพี่เอื้อเลยยอมหันหลังให้ ผมหยิบจับไปมาก็ได้เสื้อเชิ้ตสีครีมที่ผ้านุ่มเสียจนอยากจะเอากลับไปนอนกอด ตามด้วยกางเกงสีขาว

พอเรียกให้พี่เอื้อหันกลับมาดู พ่อรูปหล่อมองผมขึ้นๆ ลงๆ สองสามครั้งก่อนส่ายหัว “ปกติมันต้องออกมาเป็นลุคเทวดาผู้ใสบริสุทธิ์อะไรทำนองนี้ไหมนะ แบบหันมาแล้วว้าววว”

“พี่ครับ จะเสื้อตัวละร้อยเก้าเก้าหรือพันเก้า หนังหน้าคนใส่มันก็ได้เท่านี้”

“เฮ้ย อย่างน้อยมันก็ต้องเหมือนในละครบ้างสิวะ เงาะป่าถอดรูปอะไรงี้”

ผมฟังเขาแล้วได้แต่กลอกตาเป็นวงกลม

“พี่เอาเงาะยัดไส้สับปะรดไปละกัน” ...ไอ้เสื้อเชิ้ตสีครีมนี่ก็เหมือนสีเนื้อเงาะอยู่

พี่เอื้อหัวเราะออกมาเสียงดัง “งั้นเอาตัวนี้”

“เอาเงาะจริงอ๋อ”

“เออ เดี๋ยวไปหาสูทสีแดงมาอีกสักตัว”

“ติดขนเขียวด้วยเลยมั้ย ถุย นี่เอาผมไปพบที่บ้านหรือพาไปเล่นตลกวะ”

“เล่นตลกให้ที่บ้านดู” พี่เอื้อตอบหน้าตาย

“...” ก็ได้

 

สุดท้ายผมได้เสื้อเชิ้ตสีเข้มมาตัวหนึ่งกับกางเกงดูเรียบร้อย ใส่แล้วเหมือนเด็กจบใหม่จะไปสมัครงาน แต่หนังหน้ามาได้แค่นี้คือสุด กว่านี้คงต้องพึ่งพลังเมคอัปไม่ก็ไปศัลยกรรมให้แม่งรู้แล้วรู้รอด

ตอนบ่ายๆ เกือบเย็นพี่เอื้อพาผมไปที่คอนโดหรูในเมืองของตัวเอง คราวนี้ถึงค่อยเป็นคอนโดหรูแบบในนิยายหน่อย แถมพ่อพระเอกนอนอยู่ชั้นบนสุดจริงๆ เสียด้วย

“วันนี้นอนนี่แล้วกัน จะได้มีเวลาพักผ่อนเยอะหน่อย”

“พี่ครับ ประโยคเมื่อกี้พี่ควรพูดก่อนพาผมขึ้นห้องครับ...นี่มันประหารแล้วค่อยกราบทูลอีกแล้ว”

พี่เอื้อกลอกตาก่อนดันผมเข้าห้องไป ฝ่ายผมเพิ่งเคยมาคอนโดหรูหราขนาดนี้เป็นครั้งแรกก็มองไปรอบๆ ห้องด้วยความสนอกสนใจ

“โห มีแต่หนังสือฝรั่ง พี่อ่านภาษาไทยบ้างจะสลายร่างเหรอวะ” ผมถามด้วยความสงสัยขณะดึงนั่นค้นนี่ อะไรนะ เห็นว่าสนิทแล้วเริ่มไม่เกรงใจ เออ ก็จริง ครั้งแรกที่ไปหอพี่เอื้อผมไม่ค่อยกล้าแตะอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เหรอ...ไร้ซึ่งความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีโดยสิ้นเชิง

“บ้าเรอะ หนังสือภาษาอังกฤษมันดูหรูกว่าต่างหาก แบบว่าดูเป็นปัญญาชน” พี่เอื้อตอบกลับมาจากในห้องน้ำ ตาคนนี้หลังๆ ก็เริ่มตอบอะไรไม่เกรงใจหนังหน้าตัวเองขึ้นทุกที

“...พี่อย่าพูดจาทำลายความฝันเซ่” พระเอกเขาไม่พูดกันแบบนี้

“มาถึงตรงนี้ยังเหลืออะไรให้ทำลายอีก” พี่เอื้อตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “พี่อาบน้ำก่อน เวลาน่าจะใกลหมดแล้ว ถ้าฉันเงียบไปเกินชั่วโมงช่วยมาดูด้วย นุ่นอาจจะบวมน้ำแล้ว”

ผมหัวเราะก๊าก จะว่าไปแล้วก่อนนี้มีครั้งหนึ่งกะเวลาผิด พี่เอื้อกลายเป็นตุ๊กตากบระหว่างอาบน้ำ ผมก็ไม่รู้เรื่อง จนโน่น ตอนเช้าที่ตะวันเข้าไปเก็บผ้า ถึงเห็นศพ เอ๊ย กบขึ้นอืดอยู่ตัวหนึ่ง เลยบิดน้ำออกแล้วเอามานั่งผึ่งพัดลมให้แห้ง

ทว่ารอบนี้โชคดีที่ผมไม่ต้องเข้าไปกู้ภัย พอพี่เอื้อออกมาจากห้องอาบน้ำก็เดินเข้าไปในห้องที่ผมมารู้ทีหลังว่าเป็นห้องแต่งตัว และหยิบเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่กับชุดนอนให้ “เดี๋ยวนี่ไว้ใส่นอนแล้วกัน...วางไว้ให้ตรงนี้นะ เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาซะแล้วมากินข้าว”

ได้ยินคำว่าข้าวผมเลยเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ภายในห้องน้ำก็ยังถูกจัดด้วยโทนสีขาวดำ พวกขวดๆ อะไรทั้งหลายที่เรียงกันหน้ากระจกล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผมไม่เคยเห็น ผลก็คือลองกดสนุกสนาน จนสุดท้ายพ่อต้องออกมาลากไปกินข้าว ฮือ ตีผมอีกแล้ว!

แม้พี่เอื้อจะไม่ค่อยได้มาที่นี่ แต่ก็มีแม่บ้านมาคอยดูแลตลอด ทำให้ตู้เย็นยังมีอาหารให้กินบ้าง บนโต๊ะมีสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าวางรออยู่ในจานหน้าตาดูไฮโซกว่าจานที่บ้านผมเยอะ

พอกินเสร็จพี่เอื้อก็กลับเป็นตุ๊กตาพอดี...ซะที่ไหน ใครกันที่ต้องจาน ถูกต้อง ตูเอง พอล้างจานเสร็จผมเลยไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนอนตัวหลอมโพรกกว่าผมเยอะ กางเกงกองจนขาลาก เรียกว่าใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวก็ได้ สุดท้ายเลยไปรื้อๆ ค้นๆ หากางเกงขาสั้นเจ้าคุณพี่มาใส่แทน เป็นอันเรียบร้อย

ตอนผมเป่าผมเสร็จและออกมาก็ไม่เห็นพี่เอื้อ พอมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเรียกจากทางห้องนอน

“มา นอนได้แล้ว” พี่เอื้อในร่างตุ๊กตากบแล้วเอ่ยขณะตบๆ ลงบนเตียงคิงก์ไซซ์ของตัวเองที่ปูด้วยผ้าปูสีดำ ผมที่อาบน้ำและใช้เสื้อนอนพี่เอื้อต่างชุดนอนมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแสงไฟ พลันคิดขึ้นมา “พี่ ฉากตอนนี้แม่งได้”

“หา”

“เนี่ย... ตอนนี้ถ้าพี่เปลือยท่อนบน มือถือแก้วไวน์รอผมตาเยิ้มบนเตียงนะ...แล้วเตียงโรยกลีบกุหลาบแดงอีกสักหน่อย คือแม่งได้” ...ได้เสียกันแน่นอน

พี่เอื้อหัวเราะก๊าก ก่อนจะตบเตียง “พอ นอนๆ”

ผมปีนขึ้นเตียงด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ ตุ๊กตากบ พอหลับตาปุ๊บ สติผมก็หายไปราวกับถูกกดสวิตช์ปิด

หมดกันซึ่งฉากโรแมนติกสุดแมส




ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
14

ตื่นมาอีกครั้ง ตุ๊กตากบที่ชิงกลับเป็นคนก็ไล่ให้ผมที่ง่วงจนหัวแทบทิ่มอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเช้า ก่อนจะเรียกคนขับรถของครอบครัวให้ขับไปส่งที่โรงแรม...เออ คนขับรถของครอบครัวอ่ะ คิดดู

ตอนไปถึง ผมแทบจะลงไปกราบขอบคุณที่พี่เอื้อยืนกรานให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ เพราะบรรยากาศที่นี่ช่างไม่เข้ากับเสื้อตัวละร้อยเก้าเก้าเหลือเกิน เลเวลที่ว่าดีไม่ดีถ้ารั้นจะทำตัวแบบรักษาศักดิ์ศรีไม่ขอก้มหัวให้ทุนนิยมแล้วสวมไอ้ตัวละร้อยเก้าเก้ามาอาจจะถูกประจุคนรวยที่ลอยอยู่ในอากาศเกี่ยวเสื้อขาดเป็นผุยผงได้

“ยังไหวไหม” พี่เอื้อหันมาถามด้วยน้ำเสียงขันๆ

“ยะ ยังไหว” ผมสูดลมหายใจ ก่อนเอ่ย “อะไรทำให้ก่อนหน้านี้ผมตอบตกลงพี่แบบไม่คิดวะ”

“พี่หล่อ”

“ช่วยเลิกใช้ไอ้นี่เป็นทุกคำตอบของปัญหาในจักรวาลนี้ได้ไหม” ผมปิดหน้าร้องไห้ “ไม่ต้องมาถามว่าหรือไม่จริง จริงจ้ะทูนหัว รูปหล่อหยั่งกะเทพบุตร หล่อสุดแบบไม่มีสารตกค้าง”

พี่เอื้อทำเสียงหัวเราะในลำคอก่อนเดินนำผมไปยังห้องอาหารซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายในวันนี้ เนื่องจากเป็นห้องอาหารที่เน้นไปทางอาหารญี่ปุ่น การตกแต่งภายในจึงค่อนข้างให้บรรยากาศเหมือนในการ์ตูนเสียจนผมยืนเพ้อไปหลายนาทีขีด ก่อนจะถูกพี่เอื้อลากให้เดินตามบริกรหญิงในชุดกิโมโนไปยังห้องที่มีการกั้นเป็นสัดส่วน

ทันทีที่เปิดเข้าไป ผมก็ได้กลิ่น (?) คนรวยพวยพุ่ง บรรยากาศกดดันประหนึ่งวันนี้นัดมาเจรจาสนธิสัญญาเบาริ่ง ไม่ได้มากินข้าวกันเฉยๆ

สมาชิกในบ้านพี่เอื้อที่มาในวันนี้ประกอบไปด้วย’เด็จปู่ของพี่เอื้อ เจ้าคุณพ่อ หม่อมแม่ แล้วก็คนที่น่าจะเป็นพี่ไม่ก็น้องเพราะหน้าตาของทั้งคู่คล้ายกับพี่เอื้ออยู่ราวๆ เจ็ดแปดส่วน ซึ่งภายหลังพี่เอื้อแนะนำคนหนึ่งเป็นพี่ชาย พี่คนหนึ่งเป็นน้องชาย สาวสวยที่นั่งประกบทั้งคู่อยู่ต่างก็เป็น ‘คู่หมั้น’ (เขาแนะนำตัวด้วยคำนี้จริงๆ) ส่วนน้องหนูโลลิที่นั่งอยู่ข้างๆ หม่อมแม่คือน้องสาวคนสุดท้องที่เป็นลูกหลง ดูจากริมฝีปากแดงๆ เชิดๆ และสายตาที่ตวัดมองมาขององค์หญิงน้อยท่านนี้ เกรงว่าท่าทางจะน่าร้ากกก (สามารถอ่านได้ว่าเด็กปีศาจ) ไม่แพ้องค์หญิงของบ้านผม

“สวัสดีครับ” พี่เอื้อทักทายทีละคน ผมก็ยกมือไหว้ตามโดยอัตโนมัติ

เดิมทีผมรอให้ประโยคคำถามประเภท ‘นั่นใครล่ะตาเอื้อ’ ดังขึ้น ทว่าไม่มี...ไม่มีใครในตระกูลนี้สนใจจะมองผมด้วยซ้ำ ผมเลยเป็นฝ่ายมองพวกเขาเสียเอง

จากการสังเกตสมาชิกในบ้านแบบพยายามแอบมอง ผมพบว่าตระกูลนี้หน้าตาดีกันหมด อย่างหม่อมแม่ของพี่เอื้อ แม้จะอยู่ในวัยย่างห้าสิบ แต่ดูคล้ายสาวรุ่น บอกว่ายังเพิ่งสามสิบผมก็เชื่อ ที่ใต้ริมฝีปากมีไฝเม็ดเล็กๆ ดูแล้วเย้ายวน ส่วน’เด็จปู่และเจ้าคุณพ่อนั้นมีโครงสร้างร่างกายค่อนข้างสูงใหญ่ผิดจากคนไทย ทั้งคู่ให้ความรู้สึกสุขุมของหนุ่มใหญ่ แต่เจ้าคุณพ่อจะออกไปทางเซ็กซี่นิดๆ แบบเสือดาว ส่วน’เด็จปู่จะไปทางสง่างามเหมือนกวาง คุณพี่ชายน้องชายต่างก็หล่อไปคนละแบบ คุณพี่คนโตหล่อแบบคุณชายผู้ดี สุขุม ดูฉลาด ส่วนคุณน้องก็ออกแนวหนุ่มแบดบอยเจ้าสำอางหน่อยๆ

พอกลับมาถามทีหลังก็ได้ความว่าคุณปู่เป็นลูกครึ่ง คุณพ่อก็เป็นลูกเสี้ยว แล้วพี่เรียกอะไร ลูกเศษ? แค่ก อ่ะ นั่นแหละครับท่านผู้ชม เรียกได้ว่าพี่เอื้อคือสิ่งมีชีวิตที่รับเอาส่วนดีๆ ของแต่ละคนมาประกอบกันอย่างเหมาะเจาะจนอยากจะกราบผู้ผลิตที่นั่งอยู่ตรงหน้าเหลือเกิน แต่ไม่มีใครสนใจผมเลยสักคน ผมเหลือบมองพี่เอื้อที่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้

สำหรับเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าเป็นนิยาย ตามบทแล้วผมสมควรจะอึดอัดคับข้องอาหารไม่ย่อยกินดื่มอะไรไม่ลงเพราะกังวลด่านทดสอบความสัมพันธ์ที่ครอบครัวของคนรักกกก (ตรงนี้กรุณากระดกลิ้นให้ชัดๆ) และกลัวว่าจะถูกกีดกัน ทว่านี่ไม่ใช่นิยาย ดังนั้นนายมาภา พรอาภาก็เลยลุกไปตักอาหารหน้าตาเฉย

ก่อนไปยังมีมารยาทหันไปถามหนุ่มหล่อข้างตัว “พี่จะเอาอะไรไหม...ครับ”

“พี่ไปด้วยเลยดีกว่า”

ว่าแล้วเราสองคนก็เดินไปตักอาหาร ท่ามกลางสายตาที่เรียกได้ว่ามองเหมือนไม่มอง ฟังดูกำกวม แต่มันเป็นอะไรประมาณนั้นจริงๆ

ครั้นพ้นจากสายตาแสนกำกวมของคนทั้งบ้านพี่เอื้อมาได้ ผมก็ถามเนิบๆ “นี่ก่อนนี้พี่แนะนำตัวผมว่าอะไรวะเนี่ย”

“พี่ไม่ได้แนะนำเดือนให้ที่บ้านเลย” พี่เอื้อตอบ ผมเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ

“ถ้าพี่ไม่เคยแนะนำ ไหงทุกคนมองผมเหมือนเป็นชายโฉดที่พาลูกชายหลานชายสู่เส้นทางสายเกย์แบบกู่ไม่กลับวะ”

“อืมมม ก็อาจจะดูละครกันมากไป ใครจะรู้ แม่พี่อาจจะเป็นสาววายก็ได้”

...หูย นึกภาพหม่อมแม่อ่านการ์ตูนวายไม่ออกว่ะ แต่ไม่ “ผิดแล้ว ถ้าหม่อมแม่เป็นสาววายจริง หม่อมแม่ควรจะฟินสิวะ ไม่ใช่ใช้สายตากีดกันแบบนี้”

พี่เอื้อหัวเราะก๊าก ก่อนจะดุนหลังผมให้ตรงไปยังไลน์อาหาร “เอาน่า คิดมากผมร่วง กินเหอะ”

ผมทบทวนไปมาก็เห็นจริงดังว่า เลยตัดสินใจเอนจอยกับการตักของกินดีกว่า ไหนๆ ก็กินฟรี “...เฮ้ย คงไม่มีรายการแบบทุกคนแกล้งออกไปแล้วเหลือแต่ผมจ่ายตังค์ใช่ป่ะ”

“นั่นมันการแกล้งกันแบบเด็กมัธยมแล้ว ตัวร้ายบ้านพี่มีคลาสกว่านั้นสิวะ”

...ยอมแล้วเหรอว่าบ้านตัวเองเป็นตัวร้ายน่ะ ผมกลอกตาขณะเดินไปทางไลน์ซูชิ ก่อนสะกิดพี่เอื้อ “พี่เอื้อๆ นั่นอะไรอ่ะ”

“ไหน อ้อ ฟัวกราส์ ตับห่าน”

“เห”

พี่เอื้อเลิกคิ้ว ก่อนคลี่ยิ้มชั่วร้ายออกมาและลดเสียงต่ำ “เคยได้ยินหรือเปล่า กว่าจะได้ตับห่านมา เขาจะขุนห่านให้อ้วน ไม่ยอมให้ขยับตัว ไม่ยอมให้ออกกำลังกาย จากนั้นก็ค่อยเฉือนตับมันมากิน”

“...โธ่ ห่านที่น่าสงสาร”

“เป็นไง กินไม่ลงแ...” พี่เอื้อยังพูดไม่ทันจบ ผมก็จ้วงมาสามสี่คำในทันที พอหันไปเห็นสายตาของเขา ผมก็คลี่ยิ้มละมุน

“มันอุตส่าห์พลีกายเพื่อเราแล้ว ไม่กินเป็นการเสียมารยาทนะ” เอ้า ไม่อย่างนั้นจะให้ผมตอบแบบนางงาม รักเด็ก รักโลก รักสัตว์ ไม่กินอะไรแบบนี้หรอกครับหรือยังไงกัน เสียดายของ!

“....”

 

พอตักอาหารเรียบร้อยผมก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่าวงศาคนาญาติของพี่เอื้อต่อ แน่นอนว่าบรรยากาศอึดอัดคับข้องมาก แต่เนื่องจากผมไม่ได้มางานคัดเลือกลูกเขยหรือสะใภ้ เลยสามารถนั่งกินได้อย่างไม่สะทกสะท้าน จนกระทั่งถึงคิวของอาหารยาก คือก่อนนี้ผมเห็นตรงมุมอาหารพวกเทปัน มีเพิ่มเมนูไม่ญี่ปุ่นอย่างกุ้งแม่น้ำเผา เลยสั่งไปหลายตัวพร้อมเตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดรอ ผลคือพอมาอยู่ท่ามกลางดงผู้ดีกลิ่นเงินคลุ้งแบบนี้แล้วจะใช้สองมือแกะก็กระไรอยู่

หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงตัดสินใจใช้ช้อนส้อมช่วย ผมคือวินาทีที่ออกแรงเพื่อหั่นหัวกุ้ง ส่วนที่เป็นลำตัวก็กระเด็นลอยหวือออกจากจานของผม

“เชี่ย! พ่อปลิว...อุ๊ย!” งานนี้เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดไป ถึงกับสาวออก ขาดแค่เอามือวางทาบแล้วเด้งอกแบนๆ อีกหน่อย

 ทว่าก่อนที่กุ้งเผาผมจะร่วง ก็มีตะเกียบคู่หนึ่งคีบเอาไว้ได้ทัน อะฮ่า เป็นฝีมือพ่อพระเอกของเรานั่นเอง

“ร้ายกาจ” ผมชมเปาะ

“เล็กน้อยๆ” พี่เอื้อยิ้ม ก่อนจะแสดงฝีไม้ลายมือใช้ตะเกียบผสมช้อนส้อม จัดการปอกเปลือกลอกคราบ ก่อนจะส่งเนื้อกุ้งแกะสมบูรณ์ก็มานอนอยู่บนจานผม อื้อหือ สวยงามมาก เอาไปเก้าเต็มสิบ หักคะแนนตรงหางเยินนิดหน่อย แต่กินครับกิน

“เอาอีกไหม สั่งได้ เดี๋ยวแกะให้” พี่เอื้อถามหลังจากผมฟาดกุ้งห้าตัวเรียบ แถมยังมีแก่ใจเผื่อแผ่คนแกะด้วยกุ้งประมาณครึ่งตัว

“เอา”

พี่เอื้อเลยเรียกบริกรมาสั่งอาหารเพิ่ม ผมเลยเพิ่งรู้ว่าจริงๆ อาหารของที่นี่สั่งเอาก็ได้ ไม่ต้องเดินไปตักเอง พอดูดีๆ ไลน์ให้เดินนี่เหมือนมีไว้สำหรับคนที่นั่งด้านนอกมากกว่า พวกอยู่ในห้องส่วนตัวเอ็กซ์คลูซีฟแบบนี้ไม่ต้องออกไปไหนเลยก็ยังได้

หลังจากนั้นผมก็ได้กุ้งมาอีกกองโต และเพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมใดๆ พี่เอื้อเลยช่วยผมแกะทุกสิ่งตั้งแต่กุ้งเผายันน่องไก่ ซึ่งผมทึ่งมากที่พี่แกสามารถใช้แค่อุปกรณ์เท่าที่มี มือไม่เลอะแม้แต่น้อย

ผมสวาปามรัวๆ แบบไม่สนใจจะร่วมวงสนทนา ดังนั้นรู้ตัวอีกทีแต่ละคนก็เริ่มชะลอการกิน บทสนทนาก็เริ่มจะไปในแนวธุรกิจนั้น โค่นธุรกิจนี้ จนผมเริ่มรู้สึกว่ามาผิดที่ผิดทาง และคู่หมั้นลึกลับของพี่เอื้อก็ไม่ปรากฏตัวสักที

จนกระทั่งผมเตรียมลุกไปหาอะไรกินเพิ่มอีกหน่อย ประตูบานเลื่อนก็ขยับ ตามมาด้วยร่างสะโอดสะองในชุดสีแดงสด...โอ้ สาวงาม เธอสวมแว่นกันแดดปิดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าใช่แม่มดที่กำลังตามหาหรือไม่ จนกระทั่งเธอยกมือไหว้ทุกคนและนั่งลง

วินาทีที่เธอค่อยๆ ถอดแว่น ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก จนกระทั่งเห็นใบหน้านั้นชัดเจน ผมก็นิ่งไป ก่อนหันไปส่ายหัวน้อยๆ ให้พี่เอื้อ...ไม่ใช่

พี่เอื้อพ่นลมหายใจ ผมไม่แน่ใจว่าโล่งอกหรือผิดหวัง...รู้เพียงความสนใจของคนในโต๊ะหันไปทางสาวชุดแดงผู้มาใหม่ ก่อนจะค่อยๆ ปรายตากลับมามองปฏิกิริยาของผม พ่อพี่เอื้ออ้าปากทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พี่เอื้อชิงหันกลับมาหาผมเสียก่อน

“เดือน พี่อยากกินไอติม” พี่เอื้อเนิบๆ ไม่ดังไม่เบา แต่ทำเอาทุกคนชะงัก ผมดีดตัวผึงขึ้นทันที

“ได้! พี่เอารสอะไร”

“เอามาเหอะ กินได้หมด”

“ได้!” ว่าแล้วผมก็ชิ่งออกไปจากบริเวณสนามรบในทันที อันที่จริงจำได้ว่าสั่งได้เพราะเห็นแว้บๆ ในเมนู แต่จังหวะนี้เขาเปิดทางให้ชิ่งก็ต้องรีบชิ่ง ทว่าระหว่างยืนรอให้บริกรมาช่วยตักไอศกรีมให้ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากข้างตัว

“...เธอจะเอาเท่าไหร่”

ผมสะดุ้งโหยง ก่อนหันไปมองตามต้นเสียง พอเห็นว่าคนพูดเป็นใครก็ตกใจหนักกว่าเดิม เพราะคนที่ยืนข้างผมในตอนนี้กลับเป็นหม่อมแม่ของพี่เอื้อ คือเฮ้ย วาร์ปมาตอนไหน เป็นนินจาหรือเปล่า

“เอ้อ สามลูกก็พอครับ” ...ผมสองพี่เอื้อหนึ่ง เอ๊ะ หรือสี่ดีวะ ผมสามพี่เอื้อหนึ่ง

แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบา ตามด้วยคำถามที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

“เธอต้องการเท่าไหร่...ถ้าฉันอยากให้เธอไปจากลูกชายฉัน”

ผมกะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนหันกลับไปมองอีกฝ่าย ไอ้หยา หม่อมแม่...ลูกชายหม่อมแม่แค่พาเพื่อนผู้ชายมากินข้าวด้วย ไม่ได้พูดสักนิดว่าผมเป็นแฟนเขา อะไรทำให้คิดเชื่อมโยงขนาดนี้...ฮือ ผมรู้ ผมรู้...ไอ้พี่เอื้อแม่ง ปกติใครเขาพารุ่นน้องเฉยๆ ที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรมานั่งกินข้าวกับที่บ้านแบบครบองค์ประชุมแบบนี้วะ

“เรียกราคามาได้เลย...”

ผมเจอคำถามของหม่อมแม่เข้าไปทำเอายืนนิ่งประหนึ่งกลายเป็นหิน คือคำถามนี้ตอบยากมาก เพราะถ้าอธิบายตามความเป็นจริงว่าผมกับลูกชายคุณแม่นั้นหาเป็นอะไรกันไม่ หม่อมแม่แกอาจจะไม่เชื่อ หาว่าผมขี้ฮก แต่ถ้ากวนตีนใส่ เกรงว่าอาจจะจบชีวิตอยู่ตรงนี้

โดราอะเอื้ออออ ช่วยด้วยยยย

 

คัตตตตตตต!

“เดี๋ยว! เดี๋ยว! หยุด! หยุดตรงนั้นเลย! มาภา มีฉากแบบนี้ด้วย ทำไมพี่ไม่รู้เรื่องวะ”

“ผมลืมเล่ามั้ง จะให้เล่าว่าไง หม่อมแม่พี่เอาเงินฟาดหัวผมงี้อ๋อ”

-ไอ้นี่ก็ฉากในตำนานเลยนะครับเนี่ย เข้าคอนเซ็ปต์สเตจเจ็ดมากๆ-

“เออ ใช่มะ ตอนเจอนี่ขนลุกซู่เลย แล้วผมก็ตอบว่า ‘ความรักของผม ตีค่าเป็นเงินไม่ได้หรอกครับ’”

“ความจริงล่ะ” พี่เอื้อถามเสียงเรียบ

“จริงๆ ผมรอถูกตบด้วยเช็คเปล่า ไม่ระบุตัวเลข ให้กรอกเอง ‘แลกกับการที่เธอต้องไปจากลูกชายชั้นนนนน’” ผมทำเสียงจีบปากจีบคอเลียนแบบพวกคุณหญิงแม่ตีกระบังในละคร

“...”

“เออ ว่าจะถามหลายทีและหลายปีแล้ว ลืม ทรัพย์สินบ้านพี่เท่าไหร่วะ เผื่อวันไหนคุณหญิงแม่มาจริงๆ ผมจะได้กรอกถูก เดี๋ยวเขียนศูนย์เกินขึ้นมามันจะยุ่ง” ...ไม่มีๆ ต้องอย่างน้อยร้อยล้านวะ หรือเรียกแม่งสักพันเจ็ดร้อยล้าน เลเวลงบประมาณประเทศไปเลย

“เดือน”

“หือ”

“...ไม่มีความคิดจะสู้เพื่อพี่เลยเหรอวะ”

ผมแบมือก่อนยักไหล่ “โห ระหว่างพี่กับเช็คเปล่า ผมเลือกเช็คเปล่าว่ะ เอาไปซื้อกินหนุ่มหล่อแบบพี่ได้อีกเยอะเลย”

“...” พี่เอื้อกุมขมับ “นี่กูแพ้กระดาษแผ่นเดียวเหรอวะเนี่ย”

“เงินสดก็เอา บัตรเครดิตก็รับครับ” ผมกะพริบตาพลางส่งยิ้มแบบตัวสล็อธให้พี่เอื้อ ก่อนเอียงคอเล็กน้อย “ก่อนเล่าต่อ ผมว่าถึงเวลาของสเตจห้าแล้วล่ะ...แล้วนี่เล่าเรื่องเจ้าคุณพ่อได้หรือเปล่า”

-เอ่อ อะไรที่ไม่สะดวกใจ เล่าข้ามไปบ้างก็ได้นะครับ-

พี่เอื้อนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ได้ จะเล่าดราม่าหน้าห้างด้วยก็ได้”

“เอางั้นนะ”

“ฮื่อ”



ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

STAGE 5: เปิดใจให้กัน

จุดประสงค์การเรียนรู้: คนสองคนเริ่มรู้ถึงความในใจของกันและกัน

คอมเม้นต์คนสัมภาษณ์: กระโดดกันแบบนี้เลยหรือครับ





15



แล้วก็เหมือนสวรรค์ท่านเห็นใจ เพราะวินาทีต่อมาก็มีเสียงตะโกนว่า ‘เอื้อการย์’ ดังกึกก้อง ตามมาด้วยเจ้าของชื่อที่เดินออกมาจากห้องด้วยท่วงท่าประหนึ่งเดินบนรันเวย์ สีหน้าของพี่ท่านอิ่มเอิบประหนึ่งพระโพธิสัตว์บรรลุธรรมจนผมอยากจะย้ายไอ้ไฝแดงใต้ตาเขาไปอยู่บนหน้าผากแทน ให้เป็นอุณาโลมไปซะเลย ทำหน้าอิ่มบุญซะขนาดนี้

ที่เดินตามออกมาคือเจ้าคุณพ่อของพี่เอื้อที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ...ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเสน่ห์แบบหนุ่มใหญ่อยู่ดี แค่กๆ “ไปเลยนะ แล้วแกไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าจริง”

พี่เอื้อหันกลับไปมองเจ้าคุณพ่อ “พูดจริงพูดเล่นครับ”

ผมฟังแล้วเกือบหัวทิ่ม

“เออ ไปเลย แล้วเงินไม่มีอย่าซมซานกลับมาขอ!”

“ผมได้ค่าขนมจากอาเล็กมาเยอะมาก คิดว่าคงไม่ต้องซมซานกลับมาขอหรอกครับ”

เจ้าคุณพ่อหน้าเปลี่ยนไปราวๆ สามเฉดสี แดง ม่วง ขาว ก่อนจะตะโกนด่าทอเป็นชุด ฝ่ายพี่เอื้อผู้มีรอยยิ้มสว่างไสวดุจพระสังกัจจายก็เดินตรงมาทางที่ผมยืนอยู่ ก่อนมองหม่อมแม่ด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “อ้าว คุณแม่”

หม่อมแม่เองก็มองพี่เอื้ออึ้งๆ “ตาเอื้อ...คุณพ่อ...”

“ผมกับคุณพ่อมีปัญหาเรื่องความเข้าใจกันเล็กน้อย เอาไว้คุณพ่ออารมณ์เย็นค่อยคุยกันใหม่นะครับ ผมขอตัวก่อน” พี่เอื้อหันมาหาผม “เดือน สวัสดีคุณแม่แล้วเราไปกัน”

“หา” ผมกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ยกมือไหว้หม่อมแม่ของพี่เอื้อแต่โดยดี ก่อนจะถูกคนใช้มือเกี่ยวเอว พาเดินออกจากห้องอาหารไปอย่างสง่างาม

ครั้นพ้นออกมาจากโรงแรมหรู ผมก็หันกลับไปมองพี่เอื้อ “เจ้าคุณพ่อตัดออกจากกองมรดกแล้ว?”

“เก่งมาก ละครสอนมาอีกสิท่า”

“ตายหอง พี่ไม่มีเงินแล้ว ทำไงดี” ผมเอามือทาบอก ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ “หรือนี่จะเป็นแผนของที่บ้านพี่ แกล้งทำเป็นจนเพื่อทดสอบความรักที่ผมมีต่อพี่”

อันนี้จริงๆ เป็นละครเรื่องใหม่ที่กำลังจะเริ่มตอนแรกคืนวันพรุ่งนี้ เรื่องมันก็ทำนองว่าพระเอกแกล้งทำเป็นจนมาก ทุกคนในโรงเรียนพากันถอยหนี มีแค่นางเอกที่จริงใจด้วย

พี่เอื้อหลุดหัวเราะดังพรืด “แล้วถ้าจนจริงน้องเดือนจะยังคบพี่ไหมครับ”

“ไม่”

“...กูว่าแล้วเชียว” พี่เอื้อกลอกตา “แต่จะแกล้งเล่นเป็นคนจนไปทำไมวะ ว่างงานเหรอ”

“คืนพรุ่งนี้สองทุ่มครึ่งนะ” จับดูละครไปเลยง่ายดี

พี่เอื้อมองผม ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องทันควันแบบไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า “ฝั่งโน้นมีห้าง ไปเดินเล่นมะ”

“เอาสิ” ผมพยักหน้า “ยังไงเมื่อเช้าพี่ก็สูบผมไปเยอะ นี่ยังไม่บ่ายสามเลย แต่ถ้าซวยพี่คืนร่างก็ตัวใครตัวมันนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่รู้ว่าพี่ไม่ควรหวังอะไรจากน้องเดือนอยู่แล้ว”

...ผมรู้สึกมโนธรรมเจ็บแปลบขึ้นมาหน่อยๆ ทำไมกันวะ

หลังจากนั้นพวกผมก็ไปเดินห้าง ซึ่งไอ้ที่เรียกว่าเดินห้างก็คือเดินกันไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย เรียกว่าเดินจนไม่รู้จะทำอะไรกันแล้ว “ปกติมาห้างเขามาทำอะไรกันวะพี่”

“ซื้อของ ดูหนัง กินข้าว”

“อืมมมม” ไม่รู้จะซื้ออะไร ไม่มีหนังน่าสนใจ และข้าวเพิ่งกินมาเมื่อกี้

สุดท้ายพวกเราสองคนก็นั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้างสรรพสินค้า อากาศตรงนั้นร้อนมาก ผู้คนเดินกันขวักไขว่ เร่งรีบเดินกันเสียจนไม่มีใครหยุดหันมามองพี่เอื้อ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่สำหรับผมไม่น้อย ผมนั่งเท้าคางบนแขนที่ยันไว้กับเข่าพี่เอื้อ จากนั้นก็มองเด็กผู้ชายที่ลงไปดิ้นๆ กับพื้นเพราะอยากกินไส้กรอกทอดของร้านรถเข็นหน้าห้าง

ตอนนั้นจู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “รู้ไหม พี่เป็นคนแรกที่ทำกับข้าวให้ผมกิน...แม่ผมไม่เคยทำกับข้าวเลย ไม่รู้ทำเป็นหรือเปล่า”

“...ไอ้ที่ซื้อกินข้างทางมันก็มีใครสักคนทำให้กินนะ”

ผมคิดตามก่อนจะหัวเราะออกมา “เอ้อ จริง...หมายถึงกินที่บ้านน่ะ ที่บ้าน...เอ๊ะ แล้วอย่างบ้านพี่ต้องมีเชฟอันดับหนึ่งของโลกมาทำให้กินป่ะ”

“ดูละครเยอะไปแล้ว! แม่ฉันทำกับข้าวเก่งเถอะ แต่ก็ทำไม่ค่อยบ่อย ถ้ามีงานต้องอวดฝีมือทีก็ทำที ที่เหลือก็ป้าแม่ครัวแหละนะ แต่แม่ว่างๆ ก็ทำขนม จัดงานเลี้ยงชวนพวกสาวๆ มานั่งเม้าท์” พี่เอื้อเอียงหัวมาซบกับหัวผม “ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวตัวอย่าง พ่อไม่เจ้าชู้ แม่ที่เป็นสาวเก่ง ลูกชายคนโตหัวดี ลูกชายคนเล็กอ่อนน้อม”

“แล้วคนกลางล่ะ”

“ถูกลืม” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ฉันเกิดช่วงที่บ้านแย่ๆ พอดี ที่เคยบอกไงว่าเขาถึงตั้งชื่อว่าเอื้อการย์...แต่ก็ไม่ได้ช่วยเอื้ออะไรสักเท่าไหร่ เรียกว่าโตมากับพี่เลี้ยงมากกว่า ช่วงเด็กๆ นี่อู้คำเมืองคล่องมาก”

ผมหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเขายกตัวอย่างให้ฟัง “พี่ยังดี ผมไม่มีพี่เลี้ยง แต่ออกไปเล่นกับลูกคนงาน สมัยเด็กนี่เขมรคล่องปรื๋อ”

“ประกอบกับหวังให้พี่ชายฉันเป็นผู้สืบทอด...แบบในละครอ่ะแหละ พ่อแม่เข้มงวดกับพี่มาก แล้วพี่ชายฉันก็ตามสเต็ปหนังเป๊ะ...แต่หนังเด็กมีปัญหานะ ถูกเข้มงวดด้วยมากเกินไป...ก็เลยพัง”

ผมพยายามนึกถึงคุณพี่ชาย แต่ภาพเลือนๆ พอสมควรเพราะก่อนนี้มัวแต่กินโดยไม่สนใจชาวบ้านชาวช่อง

“จริงๆ พี่เป็นเด็กเก่งนะ ท็อประดับชั้น ระดับประเทศ แต่เพราะแบบนั้นก็เลยถูกรังแกน่ะ...แบบว่า ปกติแล้วเราจะคิดว่าคนเก่งจะได้รับความชื่นชมใช่ไหม แต่ในสังคมของเด็ก บางทีมันกลับกลายเป็นความริษยา”

“พี่ชายฉันถูกบูลลี่...ถูกพวกรุ่นพี่หัวโจกในโรงเรียนรังแกเอา แต่เพราะพี่คือลูกตัวอย่าง ก็เลยไม่กล้าบอกพ่อแม่ เพราะกลัวพ่อแม่จะผิดหวัง อ้อ ไม่สิ จริงๆ พี่ก็เคยบอกนะ แต่พ่อบอกคนจะเป็นผู้นำ ต้องรู้จักจัดการ อย่าให้เรื่องหยุมหยิมมาเป็นเรื่องใหญ่”

“ส่วนแม่ก็เอาเรื่องไปคุยกับครู ครูก็แค่หัวเราะแล้วบอกว่ามันเป็นการเข้าสังคม ถ้าไม่สามารถรับสภาวะแบบนี้ได้ ต่อไปจะไม่มีเพื่อนนะ...จะลำบากนะ แม่ก็เลยอาศัยเส้นสายในฐานะประธานสมาคมผู้ปกครองบีบบังคับทางโรงเรียน คราวนี้พอครูจับตามอง ก็เกิดการลงโทษเด็กหัวโจกอย่างรุนแรง...พวกนั้นเลยยิ่งเกลียดพี่”

“สุดท้ายพี่ก็เลยเลือกวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับตัวเอง...” พี่เอื้อหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่ารอยยิ้มกลับขึ้นไปไม่ถึงดวงตา “ตายซะง่ายดี เหมือนคอมพิวเตอร์ กดชัตดาวน์ไปเลย ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น...แต่บังเอิญถูกกู้กลับมาได้ทัน”

“ต่อมาน้องชายเกิดมาพอดี พ่อกับแม่มัวแต่ทุ่มความรักให้พี่ แล้วก็ไม่กดดันลูกแล้ว น้องชายเลยกลายเป็นพวกโหยหาความรักแทน พยายามเรียนดี เอาใจพ่อแม่ทุกอย่าง อยากให้พ่อแม่รัก”

“แล้วพี่ล่ะ”

“ฉัน? ฉันเรียนคนละชั้นกับพี่เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็เอาตัวรอดด้วยการให้พวกหัวโจกลอกการบ้าน ยอมให้พวกรุ่นพี่ใช้งาน” พี่เอื้อส่ายหัว “จริงๆ แล้วเกลียดตัวเองอยู่ตลอด ที่ยอมก้มหัวให้อะไรแบบนี้เหมือนกัน”

“จนกระทั่งรู้เรื่องพี่นี่แหละ ฉันก็เลยคิดว่า ‘ไม่เอาแล้วล่ะ ไม่ก้มหัวให้อะไรแบบนี้อีกแล้ว’ แต่ตอนนั้นทำอะไรมากไม่ได้ ก็มีโดนบอยคอตแหละนะ แต่เพราะหน้าตาดี พวกสาวๆ เลยเข้าข้าง”

“...”

“ช่วงฉันเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย พี่พยายามฆ่าตัวตายอีกรอบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่เพราะงั้นเลยเลือกเรียนที่นี่โดยแม่ไม่ได้พูดอะไรแหละนะ...เรื่องเงินก็มีเงินก้อนจากคุณอาคนเล็ก น้องสาวพ่อที่เขาค่อนข้างเอ็นดูฉัน ก็กะว่าใช้เป็นทุนให้จนเรียนจบ ไว้จบแล้วก็คงแยกตัวออกมาจากที่บ้านแหละ พ่อแม่ก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากฉันขนาดนั้น”

               “ฉันเองก็ใช้ชีวิตแบบที่ไม่คิดจะยอมให้เรื่องบ้าๆ พวกนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ก็ลำบากอะนะ แต่อย่างน้อยก็สบายใจกว่า” พี่เอื้อหัวเราะ

ผมนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนถามเสียงเบา “เรื่องรับน้องคณะ?”

“เรื่องรับน้องคณะนั่นแหละ” พี่เอื้อพยักหน้า “ตอนนั้นนายยังไม่เข้าเรียน ไม่อย่างนั้นรับรองว่าสนุกสนาน ฉันกับพวกไอ้ตี๋เคยต้องหลบหลังต้นไม้ย่องหนีพวกรุ่นพี่ที่ตามมารุมกระทืบเลย โคตรฮา รุ่นพี่ขี่จักรยานส่องไฟ พวกฉันก็ต้องยืนแนบไปกับต้นไม้”

ผมคิดภาพตามหัวเราะ “อะไรกัน ปกติเขาต้องเผชิญหน้าแบบแมนๆ สิวะพี่”

พี่เอื้อพ่นพรืด “ห่า มีกันอยู่ไม่ถึงสิบตีน เจอกับรุ่นพี่ล่อไปเป็นสามสี่สิบตีนได้ เปรี้ยวยังไงก็ต้องมีสตินะ”

“แต่สุดท้ายพี่ก็ทำสำเร็จนี่นา ปฏิรูประบบรับน้องของคณะเราจนได้”

“ก็ใช่” พี่เอื้อหัวเราะ “บางทีก็ยังคิดเลยว่าตัวเองบ้าหรือเปล่า เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า”

“ก็ยังอุตส่าห์ได้สี่จุดศูนย์ศูนย์นะ” แม่งมีวิชาแยกเงาพันร่างหรือเปล่าวะเนี่ย

คุณพี่พระเอกกลอกตาใส่ผม “ไอ้นั่นมันอยู่ที่ทบทวนบทเรียนหรือไม่ต่างหากล่ะ”

“...ครับ”

พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด “จริงๆ ตอนแรกฉันก็รับน้องไปกับเขาแหละ เขาด่าก็ให้ด่า เขาสั่งอะไรก็ทำ จนวันหนึ่งไปเยี่ยมพี่ที่โรงพยาบาล จำไม่ได้แล้วว่าคุยกันอีท่าไหน แต่ถูกตะโกนใส่ว่า ‘เป็นนายมันโคตรดีเลย ไม่ต้องแบกรับอะไรทั้งสิ้น’ ...ก็รู้หรอกนะว่าสภาพจิตพี่ไม่มั่นคง แต่ก็เจ็บแหละ โมโหด้วย แล้วก็เลยคิดว่าช่างหัวแม่ง สู้ก็สู้วะ”

“ตอนนั้นคิดแบบโง่ๆ แค่ว่าจะได้เอาไปตบหน้าพี่ชายว่าพอใจหรือยัง ทำถึงขนาดนี้เชียวนะ แต่พอทำๆ เข้าจริงก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรทำแหละ แล้วถึงจุดหนึ่งก็เลิกสนใจว่าใครจะคิดยังไงกับตัวเองแล้ว”

ผมลังเลเล็กน้อย ก่อนยืดแขนไปตบๆ หัวอีกฝ่ายเบาๆ “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา”

พี่เอื้อหัวเราะดังพรืด ก่อนทำท่าแบมือ “เอาเป็นว่าจบดราม่าประจำตระกูลก็จบลงแต่เพียงเท่านี้”

“อยากได้กอดอันอบอุ่นไหม” ผมวางสองมือลงบนมือที่หงายออกของเขา

พี่เอื้อหัวเราะ “น้องครับ อากาศร้อนขนาดนี้ แค่นั่งใกล้น้องพี่ยังร้อนเลย กอดเกิดอะไรอีกวะ”

“แล้วทำไมเราไม่นั่งตากแอร์ในห้างวะ มานั่งอะไรตรงนี้”

“เฮ้ย ก็เล่าเรื่องซีเรียสแล้วฉากหลังเป็นพระให้สรงน้ำกับเพลงวันสงกรานต์มันไหวไหม” ...เอ จะว่าไปตอนนั้นไม่รู้เป็นช่วงก่อนหรือหลังสงกรานต์ นี่ก็เล่าไปเรื่อย ไม่ได้นับวันจริงจัง เอาว่าเป็นช่วงที่ห้างนิยมเปิดเพลงแนวๆ นั้นกันน่ะ

ผมพ่นเสียงหัวเราะดังหึ “คนเราอ่ะนะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ฉากหลังจะเป็นเพลงอะไรก็ดราม่าได้”

“โว้ย พอ เข้าห้าง! ร้อนชิบหาย”

สุดท้ายสเตจเปิดใจให้กันก็จบลงดื้อๆ แต่เพียงเท่านี้เพราะพระเอกร้อน แต่พอดูเวลาเห็นว่าใกล้มื้อเย็นพอดี พี่เอื้อเลยให้ผมเลือกร้านได้ตามสบาย ผมเห็นว่าไหนๆ ก็อยู่ข้างนอกแล้ว ก็เลยลากเขาไปนั่งอาบลมร้อนต่อที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ซึ่งแน่นอนว่าพ่อคนหล่อโลกตะลึงนี่ถือเป็นวัตถุที่ไม่เข้ากับร้านข้างทางเป็นอย่างยิ่ง...พอกับไอ้ภาธี ณ ร้านโจ๊กเลย แค่ก

ระหว่างกิน ผมก็สังเกตเห็นท่ากินแสนผู้ดีของพี่เอื้อ “โอ้โห พี่แม่งพระเอกจริง ขนาดท่าดูดเส้นหมี่แม่งยังสง่างาม”

พี่เอื้อเลิกคิ้วใส่ผม ก่อนเฉลยความลับดำมืดของการเป็นพระเอกแมสออกมา “ฝึกสิวะ”

“หา”

“เออ ฝึก...สมัยเด็กมีวิชามารยาท ต้องฝึกกินข้าวหน้ากระจก” จากนั้นพี่เอื้อก็สาธยายถึงมารยาทในการกินอาหารแต่ละแบบ วิธีใช้อุปกรณ์แต่ละชนิดที่ฟังแล้วหัวหมุนไปหมด

“...” ผมดูดเส้นดังซร้วบ...เส้นทางการเป็นพระเอกแมสแม่งยากแท้ “พี่ ผมคิดอาชีพหลังเรียนจบของพี่ได้แล้ว”

“หืม อะไร”

“โค้ชเทรนพระเอกแมส พี่แม่งได้ พี่แม่งใช่”

“...”

หลังกินเสร็จพวกผมก็เดินกลับเข้าห้างไปเดินย่อย ระหว่างทางเดินผ่านร้านไอศกรีม ผมเลยนึกถึงไอศกรีมที่ตัวเองวืดวันนี้ขึ้นมาได้ พี่เอื้อเองก็ดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ เราเลยเดินกันเข้าไปนั่งกิน

 “พี่จะกินเชอร์รี่นี่หรือเปล่า” ผมถาม

“ลูกเดียวพอ” เขายักไหล่ก่อนหยิบเชอร์รี่ลูกหนึ่งส่งเข้าปากทั้งก้าน ก่อนผมจะได้ทันบอกเขาว่าก้านมันกินไม่น่าจะได้ เขาก็คายก้านเชอร์รี่ที่มัดเป็นห่วงออกมา

ผมอ้าปากค้างก่อนเอ่ยถามออกไปโดยไม่ทันได้คิด “เขาว่าคนผูกก้านเชอร์รี่เก่งคือคนจูบเก่ง จริงหรือเปล่า”

“อะไร ถูกจูบไปตั้งหลายที ยังไม่รู้อีกเหรอว่าพี่จูบเก่งไม่เก่ง” พี่เอื้อคลี่ยิ้มมุมปากส่งให้ผมและขยับตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ลองตอนนี้เลยไหม”

...แล้วผมก็ตายมันตรงนั้น

“เฮ้ยๆๆๆ น้องเดือนปลอมครับ! อย่ามาเลือดกำเดาไหลกลางห้างนะโว้ย อายเขา!”

สายไปแล้วโยม

 ก่อนกลับพวกผมแวะซูเปอร์เดินจ่ายพวกของสดของแห้งไปตุน ตั้งแต่มีพี่เอื้อติดตั้งอยู่ในบ้าน คุณภาพชีวิตของผมก็ดีขึ้นทันตา จากที่ตู้มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตอนนี้เริ่มมีพวกของแห้ง ขนม แล้วตู้เย็นก็เต็มตลอดแทบไม่เคยว่าง

“พี่เอื้อ นี่ปกติพี่อยู่หอก็ออกมาซื้อแบบนี้ป่ะ”

“หอมันทำกับข้าวไม่ค่อยได้ ส่วนมากเป็นพวกของสำเร็จมากกว่า แต่ก็เน้นกินให้หลากหลายหน่อย ไม่เหมือนนาย เอะอะก็ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู”

“ก็ร้านป้าทิพย์ไปทีไรเหลือแค่เศษไก่วิญญาณหมูแล้วนี่หว่า ใครจะเหมือนพี่วะ ไปทีไรป้าเสกไก่เสกหมูออกมาได้ตลอด”

“ความหล่อมีผล ความหน้าตาดีมีผล” พี่เอื้อลูบคางตัวเอง

“...อนุโมทนาสาธุ”

ขากลับตอนแรกผมจะนั่งรถเมล์ แต่เห็นสภาพของถือที่กันพะรุงพะรัง สุดท้ายเลยเรียกแท็กซี่ นั่งไปก็อดรำพึงไม่ได้ “ขามาเรามาด้วยรถหรู ขากลับขึ้นแท็กซี่”

“จะแบบไหนก็มีคนขับให้ทั้งนั้น”

“เออ จริง”

เดิมทีผมคิดว่าวันนี้ที่เริ่มด้วยความพิลึกจะจบลงอย่างสงบสุข ทว่าใครจะรู้ พอเข้าบ้านเอาของแช่ตู้เย็น และพี่เอื้อคืนร่างเป็นกบแล้ว ผมก็พบว่าเฟซบุ๊กของตัวเองมีแจ้งเตือนตัวสีแดงเถือกเป็นจำนวนมาก แถมมีคนอีกราวๆ สิบยี่สิบคนที่พยายามแอดเฟรนด์ผมมา

“นี่มันอะไรวะเนี่ย” ผมลองกดขยายดูข้อความของแต่ละคน

Sansanee: ไอ้เดือน แย่แล้ว

Tong Tong: มาภา มึงทำอะไรลงไป!

Dadadadada: เดือนนนนนนน

ผมขมวดคิ้ว...สุดท้ายก็เลือกกดที่ไอ้กิ่ง และพิมพ์ถาม 

Moony Mapha: เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

Kusumala: ไอ้เดือน...อย่าตายนะ

Moony Mapha: เดี๋ยว มึง กรอเทป คือนี่เกิดเชี่ยอะไรขึ้น

Kusumala: ไม่รู้?

Moony Mapha: ไม่เลยสักนิด

จากนั้นไอ้กิ่งก็ส่งลิ้งก์มาให้ผม ผมนั่งรอเน็ตเต่าของตัวเองอย่างงุนงงว่าโลกนี้เกิดอะไรขึ้น ก่อนคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ตอนนั้นภาพการกำเนิดมาภา พรอาภามันไหลมาเป็นฉากๆ ทว่านึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าตัวเองเคยไปถ่ายคลิปโป๊ไว้ที่ไหน...หรือจะบอกว่าเป็นภาพผมสมัยเป็นหัวหน้าแก๊ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความลับอะไร ผมยังเคยเอาภาพมาอัปตอนวันเด็กด้วยซ้ำไป

“...มันภาพอะไรกันแน่ฟะ”

พี่เอื้อที่นั่งอ่านการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมาใหม่หันหน้ามามองผมด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันไปสนใจหนังสือการ์ตูนต่อ...ครับ พ่อคนวางนิยายภาษาอังกฤษเต็มชั้นหนังสือตัวเองตอนนี้อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นของผมเสียอย่างนั้น

ผมกดรีเฟรชอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดก็ขึ้นมา และวินาทีที่เห็นภาพ ผมก็อุทานออกมาเสียงดังลั่น

“อุต๊ะ!”





ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
16

ไม่ให้ร้องอุต๊ะได้ยังไง ภายในอัลบั้มดังกล่าวเป็นภาพของผมกับพี่เอื้อในสวนสนุก...มาเป็นช็อตๆ แทบครบทุกอีเว้นต์

ทั้งตอนเราสองคนเอาหัวแนบชิดเพื่อพิสูจน์มุมกล้อง ภาพเราแบ่งไอศกรีมกัน ภาพพี่เอื้อช่วยจับเสื้อเชิ้ตผมที่ด้านหลังมันม้วนให้ตรงๆ ภาพผมกับพี่เอื้อที่ขึ้นกระเช้าไปด้วยกัน ภาพที่พี่เอื้อลูบหัวลูบหางผมหลังจากเปรี้ยวไปสู้กับคนถือมีดปลอม และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะเยี่ยงไปพรีเวดดิ้งกันในสวนสนุก

และที่พีกสุดคือภาพสุดท้าย ภาพนี้ใครถ่ายมาวะ...อยากจะให้ไปสมัครเป็นช่างกล้องนิตยสารเนชันแนลจีโอกราฟิกมาก เพราะมันคือภาพพี่เอื้อคุกเข่าลงผูกเชือกรองเท้าให้ผม ใบหน้าของผมประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ พี่เอื้อเองก็คลี่ยิ้มตอบ ฉากหลังของภาพนี้คือน้ำพุที่กำลังพวยพุ่ง พระอาทิตย์ยามเย็นด้านหลังทำให้ภาพดูฟุ้งฝันราวกับเทพนิยาย

ผมพยายามกวาดสายตามองหาชื่อคนอัปภาพ ปรากฏว่าเป็นใครก็ไม่รู้ ผมไม่รู้จัก แต่ดูจากเฟรนด์ลิสต์แล้วน่าจะเป็นรุ่นพี่ผม แถมพอเข้าไปดูแต่ละภาพก็เห็นเพื่อนผู้หวังดีของผมคนหนึ่งแท็กชื่อผมเข้าไปอีก หวังดีถึงเพียงนี้...ทำไมมึงไม่โทรไปจองร้านโลงศพให้เลยล่ะวะ ห่านี่ แล้วใครมันมือบอนแท็กพี่สาลี่ลงไปอีกเนี่ยยยยย ไอ้พวกเห็นหายนะของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกของตัวเองเอ๊ย

พอเหลือบไปดูคอมเม้นต์ก็เห็นข้อความทะลักทลาย ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนผมที่ตกใจที่ผมควงหนุ่มฮอตของคณะ แถมยังเป็นรุ่นพี่อีกต่างหาก

ยังไม่ทันหายตกใจ ข้อความพูดคุยกับเพื่อนของผมก็เด้งขึ้นมาอีก คราวนี้มีรูปขึ้นมาด้วย ผมกดเพื่อขยายภาพดูในทันที พอเห็นภาพปุ๊บ ผมก็ทิ้งตัวพิงเก้าอี้แบบหมดแรง “โอ๊ะโอ”

...มีใครรับออกแบบโลงศพลายสวยๆ บ้างไหมนะ แล้วงานควรจะกี่วันดี ใครจะยอมเป็นเจ้าภาพบ้างเนี่ย โวะ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่แค่พี่สาลี่ที่ถูกแท็กมา มีคนมือบอนคนแท็กร้าน ‘เจเล่โลงศพ’ จริงๆ ด้วยว่ะเมิ้งงงง ใคร้ ใครมันเป็นคนแท็กวะ! ไหนๆ มีร้านข้าวต้มด้วยไหมเนี่ย

...ฮึ่ม ผมเข้าเพจร้านเจเล่ไปเลือกลายโลงตอนนี้เลยก็แล้วกัน ไม้สักดูแก่ไปหรือเปล่านะ แล้วนี่รูปตั้งศพเอารูปไหนดี เลือกไว้เลยได้ไหม ไม่อย่างนั้นแม่ผู้ไม่ใส่ใจต้องเอารูปตอนผมน่าเกลียดไปใช้แหงๆ ไม่สิ แม่จะยอมจัดงานศพให้ไหมวะ มันก็แอบเปลืองเงินอยู่นะ

“เป็นอะไรของนาย” พี่เอื้อที่เห็นผมพูดอะไรงึมงำคนเดียวชักสงสัยก็เลยกระโดดขึ้นมาบนตักผม

ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นรูปที่ถูกจับภาพมาจากบนหน้าเฟซบุ๊กของผู้ใช้ Pear Pretty... บนนั้นมีข้อความเขียนสั้นๆ ว่า

‘แมวขโมย’

ตามด้วย

‘สันดานต่ำ’

“หืม นี่ใคร... พี่เอื้อตะกายเพื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะร้องอ้อ “สาลี่? หืม ไปโดนใครขโมยอะไรมาเนี่ย”

ผมโปรยยิ้มน้อยๆ ขณะเปิดกลับไปที่อัลบั้มภาพคู่พรีเวดดิ้งของเราสองคนเมื่อครู่ “...ขโมยผู้จ้ะ”

พอเห็นปุ๊บ พี่เอื้อร้องออกมาว่า...

“ใครถ่ายวะเนี่ย สวยชิบหาย น่าไปสมัครเป็นช่างกล้องเนชันแนลจีโอกราฟิกโคตรๆ”

“เออ ใช่มะ พี่คิดเหมือนผมเลย”

ทันใดนั้นเอง หน้าจอโทรศัพท์ของพี่เอื้อก็ส่องแสงเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้า ด้วยความเคยชินจากหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมจึงหยิบขึ้นมากดรับให้ ก่อนค่อยสังเกตว่าคนโทรมาคือพี่ตี๋...หล่อหมายเลขสอง คู่จิ้นพี่เอื้อนั่นเอง

“...ตี๋”

((เฮ้ย เอื้อ มึงจีบน้องเดือนอยู่เหรอวะ ตกลงมึงเป็นเกย์เหรอ)) เสียงหล่อๆ ของพี่ตี๋ดังมาตามสาย ผมเกือบหัวทิ่มลงพื้น ((จริงใช่ไหม บอกกู))

“ตี๋...กูไม่เข้าใจ ทำไมเสียงมึงระริกระรี้ถึงเบอร์นี้วะ” พี่เอื้อถาม...เออ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ปกติเพื่อนๆ แนวนี้ต้องทำเสียงเครียดหรืออะไรก็ว่าไปสิ แต่เสียงพี่ตี๋นี่เหมือนตอนป้าแถวบ้านผมถูกหวยอะ

((กูจะไม่ดีใจได้ไง ในที่สุดคู่แข่งทางการตลาดของกูก็ไปพ้นทางแล้ว)) จากนั้นพี่ตี๋ก็ส่งเสียงหัวเราะแบบจอมมารออกมา

“...” พี่เอื้อโปรยจุด

((ตกลงว่าไงวะ ตอบสิว่าใช่ กูจะได้ออกไปฉลองเดี๋ยวนี้แหละ))

พี่เอื้อหันมามองผม ก่อนเคลื่อนมือเป็นสัญญาณให้ตัดสาย ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเคลื่อนนิ้วกดลงบนปุ่มแดง

“...” หลังจากนั้นเราสองคนก็มองหน้ากัน

 “รู้สึกมันชักจะ...ไปกันใหญ่แล้วนะครับคุณพี่”

“ก็นั่นสินะ” พี่เอื้อหันกลับไปมองจอโน้ตบุ๊กผมที่ยังเปิดภาพคู่ของพวกผมค้างไว้ ก่อนทำเสียงจุปาก “แต่ภาพนี้สวยจริง อยากจ้างถ่ายพรีเวดดิ้งเลย”

“เออ จริง ไม่รู้ใครถ่าย”

จากนั้นเราสองคนก็เลยนั่งหาชื่อคนถ่ายภาพ และตอนหลังบุคคลที่ว่าก็ถูกอัญเชิญมาเป็นช่างกล้องประจำจุลสารของเรา ใช่แล้ว พี่ท็อปโทบี้ของน้องๆ นั่นเอง ปัจจุบันพี่แกก็มาเป็นฝ่ายกราฟิกให้สนพ. เรา ส่วนขั้นตอนการอัญเชิญนั้นค่อนข้างนองเลือด เราอย่าพูดถึงมันเลยดีกว่า

ระหว่างกำลังค้นหาอยู่นั้นเอง ก็มีคนแคปสเตตัสของใครบางคนมา เนื่องจากถูกแถบดำคาดชื่อทิ้ง ผมก็เลยไม่รู้ว่าเป็นใคร ทว่าที่น่าสนใจคือข้อความบนสเตตัสที่ขึ้นต้นด้วยหัวข้อ ‘แฉ...พระจันทร์ปลอม’

จากนั้นก็สาธยายถึงวีรกรรมในอดีตของผมกับแฟนเก่าที่ค่อนข้างจะโอเว่อร์เกินจริง บางจุดรู้ดีรู้ละเอียดเสียจนผมเริ่มเดาได้ว่าเป็นใคร “แฟนใหม่ของแฟนเก่าผมแหงๆ ไม่ก็เพื่อนเขา”

ผมพยายามทำเบลอๆ ว่าสเตตัสนี้ถูกแชร์ในหมู่เพื่อนและรุ่นพี่ที่ผมรู้จัก ส่วนไอ้กิ่งพยายามแคปภาพมาฟ้องว่าใครแอบเอาไปนินทาบ้างด้วยความโมโหโกรธา ผมได้แต่ส่ายหัว...บอกแล้วว่าเรื่องนินทามักตั้งต้นที่หนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็ไปไกลไม่รู้กี่ร้อยแล้ว

ว่าแล้วผมก็ลองพิมพ์ชื่อของแฟนเก่าลงไปดู...ก่อนค้นไปจนเจอแฟนเขา “บิงโก”

“นี่คือแฟนเก่านายเหรอ” พี่เอื้อชี้ไปยังภาพโปรไฟล์ซึ่งเป็นผู้ชายสองคนกอดคอกัน

“ผิด คนขวา”

“...ซ้ายหน้าตาดีกว่า”

“แต่สู้พี่ไม่ได้” ผมรีบดักคอ

“พูดได้ถูกต้อง” ตาคนนี้ก็ไม่มีปฏิเสธ

คิดไปคิดมาผมก็เลยลุกขึ้นไปหยิบเอากล่องกระดาษลังใบหนึ่งลงมาจากห้องตัวเอง ก่อนจะเปิดออกดู

ข้างในมีรูปภาพของเด็กนักเรียนสองคนที่ยืนคู่กัน มีตุ๊กตากระต่ายที่สีหมองไปตามกาลเวลายังคงนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชัก ผมหยิบมันขึ้นมาและกดตรงกลาง เสียงเพลงรักที่ผมไม่รู้จักชื่อดังขึ้น ในมือของกระต่ายตัวจ้อย กระดาษที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองมีข้อความที่จริงๆ แล้วตอนแรกผมอ่านไม่เข้าใจ ต้องไปติดสินบนให้เพื่อนร่วมชั้นที่เก่งภาษาอังกฤษแปลให้ฟัง

What love is…

Is it a poison or sweet?

Is it a sadness or happiness?

You would be my answer for those questions

...เออ มาจากไหนไม่รู้ด้วย เครดิตก็ไม่มีให้

“ผมชอบเขามาก แบบว่ามาก... เสียจนเชื่อว่าโลกนี้มีเจ้าชายขี่ม้าขาวในฝัน”

“ชอบแบบพระถังก็ไม่บอก”

ผมหัวเราะก๊าก ครั้นเหลือบมองหน้าจอโน้ตบุ๊กก็เห็นว่าคนยังกระหน่ำเข้ามาคอมเม้นต์ภาพของผมกับพี่เอื้อไม่หยุด...เยอะเกินจำนวนประชากรในคณะไปแล้วหรือเปล่าวะเนี่ย ผมเอนตัวพิงโซฟา จากนั้นก็ยิ้มจางๆ ให้กับของที่อยู่ในกล่อง

นอกจากรูปถ่ายในลิ้นชักยังมีขวดแก้วที่แตกร้าว ครั้งหนึ่งเคยบรรจุทรายหลากสี ของขวัญที่ผมบรรจงประดิษฐ์ให้เขาทั้งๆ ที่ไม่เชี่ยวชาญงานฝีมือ แต่มันแตกแล้ว...ทรายไหลออกไปหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขาขว้างมันใส่ผม

ที่น่าขำกว่านั้นคือผมในตอนนั้นร้องไห้ร้าวรานปานจะขาดใจ

...อา อดีตอันจูนิเบียว

“ฉากที่เขาขอคบผม โคตรเหมือนในซีรีส์วายเลยอะพี่...แบบเย็นวันฝนตกพรำๆ ระหว่างเรากำลังยืนรอรถเมล์ด้วยกันแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่าอยากมองสายฝนด้วยกันแบบนี้ตลอดไป”

มาถึงตรงนี้ ได้ข้อสรุปประการหนึ่งคือแฟนเก่าแม่งแมสอะไรจะปานนี้ แบบว่าตอนนั้นมีโมเม้นต์แมสๆ เยอะมากอ่ะ แบบฝนตก เขาก็ถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้แล้ววิ่งไปด้วยกัน แล้วดูแฟนคนปัจจุบัน... ฝนตกแม่งวิ่งหนีไปก่อนใครเพื่อนเลย อะไรนะ ใส่เสื้อยืดเลยถอดมาให้คลุมหัวไม่ได้? ...ก็ได้ แล้วจะรีบวิ่งทำไม อ๋อ ไปเอาร่ม ได้ๆ

แค่ก ขออภัยที่ออกทะเล ตัดกลับไปทีช่วงรำลึกความหลังอีกครั้ง

“มันสนุกเหรอ” พี่เอื้อจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา พอเห็นผมงงก็ขยายความให้ “...มองฝน”

“ไม่อะ แต่เข้าใจปะพี่ อารมณ์หนุ่มน้อยในห้วงรักอ่ะ คือต่อให้แม่งชวนไปนับมดด้วยกันตลอดกาลก็เอา”

“อ้อ...ไม่เข้าใจว่ะ”

...ส่วนตาคนนี้ก็ไม่แมสแบบคงเส้นคงวาโดยแท้หนอ ฮือๆๆๆ

“คือตอนนั้นมันเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่กับเจ้าชายอ่ะ...ลูกเป็ดขี้เหร่ฉบับไม่โตเป็นหงส์ด้วย เป็นเป็ดขี้เหร่เท่าเดิม”

“อืม”

“คือตอนนั้นเล่นใหญ่มากจริงๆ ไอ้ฉากดราม่าพระนางในนิยายแมสคือชิดซ้ายอะ...ไม่เคยอ่านอีกล่ะสิ แบบละครแม่บ้านที่พี่ดูนั่นแหละ”

“ก็บอกว่าไม่ได้ดูไง” พี่เอื้อยังคงพยายามทวงคืนความบริสุทธิ์ของตัวเอง

“จ้า ไม่ดูก็ไม่ดู เอาว่าก็เหมือนละครอ่ะพี่ มีฉากเผชิญหน้าด่าทอ ไทยจีนฝรั่งมุงกันให้รึ่ม คือผมโกรธมาก โกรธแบบ...อยากหักคอคนอะพี่ แต่ที่เจ็บปวดใจที่สุดกลับเป็นตอนที่ผู้ชายที่ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุด ไม่รักไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องมีเยื่อใยให้กันบ้าง...เขาด่าผมว่ะ คือด่าแบบเสียหมา”

พี่เอื้อปีนป่ายขึ้นมาบนโซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวแหมะข้างๆ ผม

“ผมเลยดวงตาเห็นธรรม คนมันไม่รักมันก็คือไม่รัก ไปหวังลมๆ แล้งๆ กับมันทำไมไม่รู้ตั้งนานสองนาน” ผมหัวเราะ “แต่เพราะวันนั้น ไม่รู้ทำอีท่าไหน ข่าวผมไล่ตามตื๊อผู้ชายก็ไปไกลยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอีก”

เรียกว่ารู้กันหมดยันป้าขายโรตีหน้าโรงเรียน กระทั่งพวกครูยังมองผมด้วยสายตาแปลกๆ มีครูที่พูดจากระทบกระเทียบขึ้นมาให้รู้สึกหน้าร้อนๆ

“ไม่รู้ที่พี่ฟังมาเป็นเวอร์ชันไหน แต่ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินก็เหมือนในนั้นแหละ” ผมพยักเพยิดไปทางโน้ตบุ๊กที่ปิดอยู่ “ก็...เรียกว่าค่อนข้างมีสีสันน่าดู”

พี่เอื้อไม่ได้ตอบ เพียงเอนหัวพิงผมเงียบๆ

“แค่นั้นแหละ” ผมตอบขณะมองกล่องที่บรรจุสมบัติบ้า พลางสงสัยว่าทำไมผมไม่ทิ้งๆ ไปซะ จะเก็บมันไว้ทำไม คิดได้ดังนั้นผมเลยปิดกล่อง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวๆๆๆ นายจะไปไหนน่ะ”

“เอาไปขว้างหัวแม่ง...” ผมหัวเราะ “ ผมล้อเล่น! ทิ้งสิ”

“หา”

“จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” ...จริงๆ ก็ไม่สำคัญตั้งนานแล้ว เก็บไว้ทำไมก็ไม่รู้ ช่วงแรกน่าจะอารมณ์ซึ้งเศร้าเหงาซึมมันพาไป แต่ช่วงหลังนี่เข้าใจว่าลืมไปแล้วว่ามีไอ้กล่องนี้อยู่

“แน่ใจนะ” พี่เอื้อถาม ก่อนจะกระโดดตีลังกาขึ้นมาเกาะหัวผม พี่เป็นเฟซฮักเกอร์แบบในหนังเรื่องเอเลี่ยนเหรอวะ อ้อ ไม่สินะ เกาะหลังหัว เป็นเฮดฮักเกอร์แทนงี้

“อื้อ”

“งั้นวางไว้ ตอนนี้ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพี่ออกไปทิ้งให้”

“ก็ได้” ว่าแล้วผมก็เลยยกไปวางไว้ข้างประตูบ้าน ปิดดราม่าน้ำตาท่วมลงแต่เพียงเท่านี้

ตอนเดินกลับมาก็พอดีกับที่โทรศัพท์มือถือของพี่เอื้อแผดเสียง ผมและพี่เอื้อหันไปมองจอพร้อมกัน จากนั้นเราทั้งคู่ก็พร้อมใจกันประสานเสียง

“โอ๊ะโอ”

สายเข้า...สาลี่

เอาล่ะ เข้าสู่เสตจหก! โก! โก! โก!



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด