。.:❀★TheMissingTitle:#เอื้อเดือน(ชื่อชั่วคราวฯ)★❀:.。 [END] อัปเดต 24.01.19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 。.:❀★TheMissingTitle:#เอื้อเดือน(ชื่อชั่วคราวฯ)★❀:.。 [END] อัปเดต 24.01.19  (อ่าน 23581 ครั้ง)

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0




STAGE 6: อุปสรรค์พิสูจน์รัก

จุดประสงค์การเรียนรู้: เพื่อให้พระนายรู้ว่ารักนั้นสำคัญแค่ไหน

คอมเม้นต์นายเอก: นี่ด่าจุดประสงค์ว่าเสือกกับชีวิตกันทำไมจะผิดไหมเนี่ย





17



...โอ๊ะโอ

ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง ทว่าไม่ทันไร เสียงก็เงียบไป พอดูให้ดีก็พบว่าโทรศัพท์พี่เอื้อจอดับไปแล้ว “...จะว่าไปตอนก่อนพี่ตี๋โทรมามันก็ขีดแดงๆ เตือนอยู่นี่นะ”

ตุ๊กตากบหยิบเครื่องขึ้นมาดู “อ๊ะ ลืมที่ชาร์จไว้ที่คอนโด”

“ใช้เครื่องกดปุ่มสิ ไม่ก็ของผมก็ได้” แบตเหลือเฟือ

“จำเบอร์ไม่ได้”

“ถอดซิม?”

“ไม่ได้เซฟไว้ในซิม”

เราสองคนมองหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา “...จริงๆ พี่เปิดเฟซบุ๊กเอาก็น่าจะได้นะ”

พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหัว “ไม่ดีกว่า ตอนกระแสแรงแบบนี้ ทำอะไรไปก็เท่านั้น”

“งั้น...นอนไหม” ผมพอไม่มีอารมณ์เข้าไปดูอะไรในเน็ตแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่สู้นอนดีกว่า

“อื้อ นอนเถอะ”

จากอีเว้นต์ระทึกขวัญก็เลยจบด้วยการที่หนึ่งคนกับหนึ่งตัวพากันไปนอนด้วยประการละฉะนี้แล ผมมารู้ในภายหลังว่าคืนนั้นโซเชียลแทบระเบิด ข่าวฉาวข่าวคาวอะไรถูกคุ้ยกันมาให้มั่ว ลึกล้ำเลเวลทฤษฎีสมคบคิด อีกนิดหนึ่งน้องเดือนจะยึดครองโลกแล้ว

แต่ในเวลานั้น ตัวต้นเรื่องอย่างพวกผมก็หลับปุ๋ยเพราะความเหนื่อย หาได้รู้เรื่องอันใดไม่ สาธุ

 

เช้าวันต่อมา ผมรู้สึกว่าถูกสะกิดให้ตื่นมาจูบ ด้วยความง่วงที่ต้องจูบพี่เอื้อสามวันติด ผมก็เลยหลับเป็นตาย ตอนที่ผมลืมตาอีกครั้งก็เห็นท้องฟ้าขมุกขมัว เดิมทีจะนอนต่อแต่เพราะท้องร้องโครกครากเลยจำใจต้องตื่น ตอนที่ลงมาชั้นล่าง ผมก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กมาจากในครัว

บนโต๊ะกินข้าวของผม มีหม้อสุกี้ใบหนึ่งตั้งอยู่

“โอ้ววว กระทะทองแดงนี้ท่านได้แต่ใดมา”

“พยายมท่านถูกชะตา เลยยกให้ ถุย กระทะทองแดงอะไรวะ”

“พี่ไปเอาน้องเขามาจากไหน” ผมลูบๆ คลำๆ น้องกระทะทองแดงด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนนี้ผมเคยคิดซื้อ แต่ที่บ้านไม่มีคนร่วมกินด้วย แถมจะกินครั้งหนึ่งต้องซื้อเครื่องหลายอย่าง กินคนเดียวไม่น่าจะทัน เลยยอมตัดใจ

พี่เอื้อกลอกตาใส่ผมก่อนตอบ “ที่หอ ตอนนั้นกะว่าจะซื้อมาทำกินกันในสโมฯ แต่พอคณะมีปัญหาเรื่องหนูก็เลยโดนสั่งห้าม ทำไปทำมามันถูกทิ้งให้อยู่กับพี่เนี่ย”

“อา...นี่มันเรียกว่ายักยอกทรัพย์สินราชการหรือเปล่าขะรับท่าน”

“บ้าเรอะ ไอ้นี่เงินส่วนตัวไม่ใช่เงินสโม”

ตอนกลางวันผมก็เลยได้กินสุกี้สมใจ น้ำซุปนี่พี่เอื้อไปขอแบ่งมาจากร้านป้าลี “ทำไมมันอร่อยกว่าที่ผมเคยสั่งกินกินวะ”

“พี่หล่อ” พี่เอื้อตอบด้วยคำตอบอันเป็นสัจจะนิรันดร์ ผมฟังแล้วก็ได้แต่เขย่าเนื้อเพื่อลวกในหม้อไปอย่างเงียบๆ หมดอารมณ์จะตอบโต้

“เอาไข่ไหม ตอกให้”

“เอาๆ ใส่กับวุ้นเส้นด้วยๆ”

พี่เอื้อตอกไข่อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะจับวุ้นเส้นลงไปชุบแล้วใส่ลงหม้อ ส่วนผมเห็นน้ำจิ้มหมดก็เลยลุกไปหยิบมาเติม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “นี่ขาดหมี่หยกเป็ดย่างนะเนี่ย”

“ไว้มะรืนกินบะหมี่แห้งแล้วกัน” พี่เอื้อตอบ ก่อนเสริม “ตอนท้ายใส่ข้าวลงไป มีกุ้งสดอยู่ เดี๋ยวปิดท้ายด้วยข้าวต้มกุ้ง”

“เห”

พอถึงตอนที่เครื่องหมด พี่เอื้อก็หยิบข้าวที่เตรียมไว้มาเทลงไป ตามด้วยกุ้ง...กุ้งสดมากกกก กินแล้วเนื้อไม่ร่วน แน่นกำลังดี พอถามก็ได้ความว่าแม่ค้าในตลาดเห็นพี่เอื้อเลือกเครื่องทำสุกกี้ก็เลย ‘แถม’ มาให้ “กุ้งแชบ๊วยน่ะ”

“หมดนี่เลยเหรอ! ปกติเขาแถมกุ้งแชบ๊วยกันเหรอวะพี่” ...ถึงจะไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดโดยเฉพาะตลาดสด ผมก็พอจะรู้ว่าไอ้เจ้ากุ้งแชบ๊วยนี่แม่งราคาไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่ หากวัดตามมุมมองชาวบ้านแบบผม

“พี่หล่อ” ...ยังคงเป็นคำตอบเดิมไม่เปลี่ยน จนต้องบอกตัวเองว่ากูต่างหากที่ควรเรียนรู้ได้แล้วว่าไม่ควรถาม

ด้วยสูตรข้าวต้มกุ้งปิดท้าย ทำให้น้ำในน้องกระทะทองแดงงวดหมด ผมก็อิ่มจนต้องนอนลูบท้อง และภายหลังน้อง ‘กระทะทองแดง’ ใบนี้ก็ได้กลายมาเป็นสมาชิกคน เอ๊ย ใบสำคัญของบ้านนับตั้งแต่นั้น อนุโมทนาสาธุ

อ้อ และเมื่อกี้มีพูดถึงตลาดสด ภายหลังผมรู้จากเจ๊ขายหมูปิ้งที่ปกติแกจะขายในตลาดตอนเช้าๆ ว่าที่ตลาดสดตอนนี้มี ‘ราชาน้อยชมตลาด’ อยู่องค์หนึ่ง....เป็นลูกค้าที่หล่อมว้ากกกกก (เจ๊แกออกเสียงแบบนี้จริงๆ ครับ)

ผมใช้แค่นิ้วก้อยเท้าข้างซ้ายคิดก็รู้แล้วว่าเจ๊แกหมายถึงใคร

อา...เขาเรียกว่าเดินสายโปรดสัตว์โลก เอ้า อนุโมทนาสาธุกันอีกครั้ง

 

ครั้นกินและเก็บล้างจานชามเรียบร้อยและเดินออกมาที่ห้องรับแขก ก็เห็นพี่เอื้อที่กลับเป็นตุ๊กตากบแล้วก็นั่งอยู่บนโซฟา อ่านการ์ตูนของผมอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ตกลงพี่เลิกโทรศัพท์ตามหาแม่มดแล้วเหรอ”

“โทรจนหมดทุกคนที่นึกออกแล้ว ก็ยังไม่เจอ” พี่เอื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดถอนเล็กน้อย “ตอนนี้นึกอะไรไม่ออกแล้ว”

“งั้น...ดูซีรีส์กับผมไหม”

“พยายามจะล้างสมองฉันหรือไง” พี่เอื้อเหลือบมองผม “ไม่สำเร็จหรอก”

“หึ...ตอนนี้ดูถูกไปเถอะ อีกเดี๋ยวพี่จะต้องอ้อนวอนผม”

“เหอะ”

ว่าแล้วผมก็จัดการเปิดซีรีส์อันเป็นท่าไม้ตาย… ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ ตอนที่หนึ่ง

(ห้านาทีแรก)

“นี่มันอะไรกันฟะ”

(ห้าสิบนาทีต่อมา...)

“เฮ้ยยยย เล่นงี้เหรออออ”

(หนึ่งชั่วโมงต่อมา)

“อ๋ออออ มิน่าล่ะ ตอนนั้นพระเอกถึงพูดแบบนั้น”

“พ่อคุณ...จำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ออกสอบนะเว้ยพี่เอื้อ”

(ห้าชั่วโมงต่อมา)

“แผ่นต่อไป! เร็วๆ เข้า”

ไอ้ตุ๊กตากบตัวไหนมันบอกไม่อยากดูวะ...

“พี่เอื้อ ข้าวเย็นล่ะ” ผมทำเสียงละห้อยโหย

“วันนี้กินมาม่าเอาก็พอ”

“...” หลังจากดูทีท่าแล้วข้าวเย็นผมคงหนีบะหมี่ถ้วยไปไม่พ้น ผมเลยเดินไปตัดซองเทน้ำตอกไข่แล้วเอาเข้าไมโครเวฟ ก่อนจะมานั่งกินข้างๆ ตุ๊กตากบที่กำลังแผดเสียงหัวเราะก๊ากให้กับฉากพระเอกเข้าใจผิด พอหันมาเห็นผมเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“กินดีๆ อย่าพ่นเส้นออกทางจมูกอีกล่ะ”

“...” เดี๋ยวปั๊ดคว่ำชามใส่แม่ง

ดังนั้นตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นสูงตอนเที่ยง ลากยาวไปจนถึงอาทิตย์ตกดิน ผมกับพี่เอื้อนั่งดู ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ จนตาเหลือก ผมกดปิดไปตอนที่เหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน

“เฮ้ย กำลังสนุกๆ เลย ปิดทำไมอ่ะ” ตุ๊กตากบข้างตัวผมโวยวายขึ้นมา

ไอ้หยา ดูเหมือนพี่จะโดนล้างสมองเข้าไปเต็มเปาแล้วนะ ฮือออออ

“ไหนบอกคนเราต้องนอนสี่ทุ่มไง นี่เที่ยงคืนแล้วนะ” ผมบ่นอุบแต่ก็หยิบแผ่นต่อไปขึ้นมา

“น่า อีกนิดเดียว แผ่นเดียวเอง!”

...รู้สึกพวกคนติดยาก็พูดแพตเทิร์นนี้นะ

พวกเราสองคนนั่งดู ‘รักฉันซะดีๆ นี่เป็นบัญญัติแมส!’ กันไปเงียบๆ จนถึงจุดที่ผมพบว่าหนังตาบนและล่างของตัวเองทนพรากจากกันไม่ไหวอีกต่อไป พร้อมใจโผเข้าหากัน แล้วผมก็เหมือนโทรศัศน์ที่ถูกคนกดสวิตช์ปิด โลกดับมืดไปในพริบตา ตื่นมาอีกครั้งก็เห็นพี่เอื้อดูถึงซีซันล่าสุดแล้ว พร้อมกับนอกหน้าต่างมีแสงทองของเช้าวันใหม่

“เชี่ย เร็วโคตร นี่ได้นอนไหมเนี่ย” ผมกะพริบตาปริบๆ ให้กับฉากจบของซีซันขณะบิดตัวเพื่อคลายความเมื่อขบ โอยยยย หลังตู

“ข้าวกลางวันอยู่ในตู้เย็น ชั้นสองอ่ะ ดึงออกมาดู” พี่เอื้อไม่ตอบคำถามผมซะงั้น

ผมเลยเดินไปเปิดตู้เย็นตามที่บอก

“อื๋อ ขนมจีน” ผมดึงเอาถุงพลาสติกบรรจุเส้นสีขาวขึ้นมา

“เออ แกะๆ ใส่จานแล้วอุ่นแกเขียวหวานด้วย” พี่เอื้อที่เดินตามมาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนระโหย

“นึกว่าพี่จะเป็นพวกรีดเส้นต้มแกงเองซะอีก”

“ทำเองก็สำเร็จรูปอยู่ดี ยังไงคนแถวนี้ก็แยกไม่ออกอยู่แล้ว” พี่เอื้อทำเสียงพ่นลมหายใจ...ทั้งๆ ที่ไม่มีรูจมูกแท้ๆ

“ตรงนี้ผมควรตบมุกไหมว่า ‘ไม่ได้หมายถึงผมใช่ไหม’ อ่ะ” ผมถามขณะบิดตัวตั้งเวลาของไมโครเวฟ

“ตรงนี้มีแค่เราสองคน ไม่ใช่น้องเดือนแล้วจะเป็นใครครับ”

“พี่สอนผมเอง ทุกอย่างต้องมีนิยามชัดเจน คำว่า ‘แถวนี้’ ของพี่ไม่ได้ระบุขอบเขต อาจจะเป็นซอยนี้ หมู่บ้านนี้ หรือตำบลนี้ ดังนั้นอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้”

“ฉลาดมาก” พี่เอื้อโปรยยิ้มชวนแสบตา ก่อนเอ่ยต่อ “พ่อคนฉลาดครับ ถ้าฉลาดขนาดนั้นก็น่าจะพอรู้ตัวอยู่แล้วไหมครับว่าพี่หมายถึงใคร”

“ตัวพี่เองอย่างแน่นอน”

พี่เอื้อทำเสียงขลุกขลักในลำคอ “ไปล้างผัก! ไม่ ไม่ปลูกเอง ซื้อกินเอา”

“ผมยังไม่ทันถามเลย”

“ถ้าถามมันก็จะออกมาทำนองนี้ใช่ไหมล่ะ”

“ฮ่า แสนรู้”

พี่เอื้อกระโดดถีบผม ก่อนตัดมุกก่อนผมจะทันตบ “ไม่ กระเทือนยังไงไปก็ไม่โง่กว่านี้แล้ว”

“พี่ไม่ขัดผมสักหน่อยจะเป็นอะไรไหม”

“งั้นนายก็เลิกพยายามตบมุกใส่ฉันสิ”

“ยากพอๆ กับพี่เลิกหล่ออะ”

“งั้นต้องยากมากแน่ๆ”

“...”

 

พอกินข้าวกลางวันเสร็จ ผมก็ไปนั่งทำแบบฝึกหัดในส่วนของวันนี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาดูดฝุ่นบ้าน และถูพื้น พอทำงานบ้านเสร็จหมดก็รู้สึกว่าง เลยนั่งบนโซฟา และเริ่มเหม่อ

“เป็นอะไรไป”

“ผมเริ่มรู้สึกตัวเองหนีความจริงไปหน่อยหรือเปล่าหว่า” ผมตอบ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปเช็กโซเชียลตัวเองอีกเลย ไม่รู้ป่านนี้กล่องข้อความผมมันระเบิดไปหรือยัง

พี่เอื้อส่งเสียงเป็นเชิงรับรู้ในลำคอ แต่ไม่ได้พูดอะไร พวกเราเงียบอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ จนในที่สุดผมก็เอ่ยถามออกไป “พี่เอื้อ ถามจริง”

“ตอบตรง”

ผมกลอกตา “ตกลงเรื่องพี่สาลี่...พี่จะสลัดผมทิ้งกลางทางไหม”

“ไม่” พี่เอื้อตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์

“งั้นถ้าวันหนึ่งมีคนเข้ามา...คนที่สำคัญกับพี่มาก พี่จะสลัดผมทิ้งเลยไหม”

คราวนี้พี่เอื้อหันมามองผม “แล้วนายล่ะ ถ้าวันหนึ่งนายมีคนสำคัญขึ้นมา นายจะสลัดฉันทิ้งไหม”

“...” พวกผมสองคนต่างเงียบ จนกระทั่งพี่เอื้อกระโดดขึ้นมาบนตักผม พร้อมลากผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบผม แฮ่ม สาเหตุที่ผมเอาผ้าห่มผืนใหญ่มาไว้แถวนี้ก็เพื่อป้องกันฉากอุจาดแบบนี้นี่แหละครับ

ไม่นานนัก สัมผัสเบาโหวงนุ่มนิ่มของตุ๊กตากบบนตัวผมก็ถูกแทนที่ด้วยกล้ามเนื้อตึงแน่น...แปดแพ็กอ่ะ แปดแพ็ก เป็นตุ๊กตาไม่ค่อยมีเวลาไปออกกำลังแท้ๆ ทำไมถึงยังรักษาแปดแพ็กไว้ได้ก็ไม่รู้ ฮือๆๆๆ

ใบหน้าหล่อสมควรตายของพี่เอื้ออยู่ห่างจากผมไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด ใกล้เสียจนมองเห็นแพขนตาได้อย่างชัดเจน ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย หล่อ หล่อเกิน...ผมรีบปิดตา

“เฮ้ย ลืมตาสิ”

“พี่อยากให้ผมพ่นเลือดกำเดาใส่พี่หรือยังไง”

พี่เอื้อหัวเราะพรืด แต่ยังคงคร่อมผมเอาไว้อยู่แบบนั้น นานจนผมเกือบถามว่าหลับไปหรือยัง พี่เอื้อถึงค่อยๆ เอ่ยเสียงเบา

“ฉัน...คิดไม่ออก”

“...” ผมลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาทันที...เอ่อ พระเอกครับ

“นายเป็นเรื่องเดียวในชีวิตฉันที่ไม่มีแผนการ มาแบบไม่มีนัดหมาย...เพราะงั้นเลยคิดไม่ออก”

“...คนที่มาแบบไม่นัดหมายคือพี่ต่างหาก”

พี่เอื้อหัวเราะ “ฉันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายมาก่อน ไม่ได้เตรียมตัวจีบ ไม่ได้ศึกษาว่าชอบอะไร เกลียดอะไร”

“...แปลว่าไม่ใช่เป้าหมายของฆาตกรโรคจิต” ผมทำท่าถอนหายใจอย่างโล่งอก เลยโดนบิดหูไปหนึ่งที

“ที่ตลกคือทำมาทำไป ฉันเสือกรู้จักนายดีกว่าใครก็ตามในชีวิตฉันอีก” พี่เอื้อส่ายหัว “นายชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร นายมีนิสัยเสียๆ แบบไหน เวลาดีใจนายทำหน้าแบบไหน เวลาทุกข์ใจนายทำหน้าแบบไหน นายกำลังคิดอะไรอยู่...อย่างตอนนี้ นายกำลังไม่มั่นใจในตัวฉัน”

ผมกัดริมฝีปาก แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

หลังจากนั้นทั้งห้องก็เหลือเพียงเสียงจากโทรทัศน์ พวกผมสองคนจ้องตากันอยู่แบบนั้น เป็นปลากัดคือท้องไปแล้ว แค่ก จนกระทั่งพี่เอื้อบีบปลายจมูกผมเบาๆ “แต่พรุ่งนี้ฉันคิดว่าฉันจะยังไม่ไป มะรืนนี้ฉันก็ว่าจะยังไม่ไป รู้แค่นี้แหละ”

“อืมมม”

“แล้วนายล่ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แค่มีพี่อยู่แบบนี้มันก็ดี” ผมตอบตามตรง ทว่าก่อนจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นก็มีเสียงโครกกกกก ของท้องผมที่ร้องเสียดังสนั่น ผมนึกอยากเอาหัวโขกอะไรแข็งๆ...แม่งน่าอายเกินไปแล้ว! ทว่าจังหวะที่จะผลักพี่เอื้อออกเพื่อลุกขึ้น ผมก็รู้สึกหน้ามืดตาลายไปหมด โอย...สงสัยจะถูกจูบมากเกินไป

พี่เอื้อหัวเราะก๊าก “กินโดรายากิไหม พี่ซื้อไว้ อยู่ในตู้”

“ฮือออ โดราเอม่อนนน ฉันรักนาย” ผมทำเสียงเลียนแบบโนบิตะ

“...โดราเอม่อนคืออะไรน่ะ ไอ้ตี๋ชอบเรียกฉันบ่อยๆ”

...เชี่ย เลเวลแย่ขนาดไม่รู้จักโดราเอม่อนเลยเหรอวะ ตายล่ะ ดังนั้นหลังจากพี่เอื้อไปหยิบโดรายากิมาให้ผม ผมก็ใช้ให้เขาไปหยิบโน้ตบุ๊กมาตั้ง จากนั้นก็เปิดหุ่นยนต์แมวสีฟ้าจากโลกอนาคตให้พ่อพระเอกผู้ตกยุคดู

“ทำไมฉันต้องมานั่งดูการ์ตูนเด็กด้วยเนี่ย”

“พี่เอื้อ การบรรลุถึงทุกสรรพสิ่ง...รู้แม่งทุกเรื่อง ก็เป็นเส้นทางของผู้ชายเพอร์เฟ็กต์นะ” ผมเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

คราวนี้พี่เอื้อเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง

หลังจากนั้นพวกผมสองคนเลยนั่งดูโดราเอมอนกัน และนี่คือปฏิกิริยาตอบรับของพี่เอื้อ หลังดูไปได้หนึ่งตอน

“ไทม์แมชชีน? การ์ตูนเด็กมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

“เห สิ่งประดิษฐ์ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด...น่าสนใจ”

...เนิร์ดก็ยังคงเป็นเนิร์ดจริงๆ

ระหว่างนั่งๆ ดูไป ผมก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงห่อเหี่ยว

“พรุ่งนี้วันอังคารแล้ว” ...วันที่ผมต้องไปเรียนซัมเมอร์

“โอ้...ไว้ข้าวเย็นทำปีกไก่ทอดก็แล้วกัน พี่ซื้อมาแช่ในฟรีซหลายวันแล้ว ลืมไปเลย”

“...อืม เอาๆๆ” เอาวะ ชีวิตคนเราคิดแค่วันนี้จะกินอะไรก็วุ่นวายพอแล้วจริงๆ เรื่องอื่นช่างมันเถิด


ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

18

หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน รู้แต่ข้ามข้าวเย็นไปเรียบร้อย นับเวลาดูแล้วน่าจะหลับไปร่วมๆ สิบห้าสิบหกชั่วโมง เรียกว่าหลับลืมบ้านลืมช่องกันเลยทีเดียว ตอนที่ตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ตุ๊กตากบที่ผมนอนกอดอยู่ก็ดิ้นขยุกขยิก ก่อนจะถามด้วยเสียงงัวเงีย

“ตื่นแล้ว? เป็นไงบ้าง นายเล่นหลับแบบหมดสติจนฉันเกือบเรียกรถพยายม เอ๊ย รถพยาบาลแล้ว”

ผมขยับแข้งขยับขาเพื่อทดสอบ ก่อนตอบ “ปกติดี”

“งั้นจูบฉันอีกสักทีไหวไหม”

“อืม...น่าจะ...นะ” ว่าแล้วผมก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนกลับมาจูบเจ้าชายกบแต่โดยดี

พี่เอื้อใช้มือลูบใบหน้าผมคล้ายจะเช็กความเสียหาย “ง่วงไหม”

“นิดหน่อย”

“ไม่เวียนหัวนะ”

“ม่าย”

“ปวดหัว?”

“ไม่เลย”

“ไปเรียนไหวไหม”

“ไม่ไหวจ้า”

“...ลุกแล้วไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วผมก็โดนหิ้วจนตัวลอยแล้วเอาไปทิ้งในห้องน้ำ พอจะโวยวายว่ายังไม่ได้หยิบเสื้อผ้า สักพักก็มีเสื้อชุดนักศึกษารีดแล้วมาให้ถึงที่

“ให้อาบน้ำให้ด้วยเลยไหม”

“ได้ กะละมังอยู่หลังบ้าน”

“ตัวใหญ่แบบนี้ใช้สายยางน่าจะดีกว่า” พี่เอื้อเอ่ยล้อๆ ขณะที่ผมเห่าโฮ่งๆ แทนคำตอบ

พออาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยผมก็ออกจากบ้านไป พี่เอื้อที่ดูเหมือนกำลังจัดการเอกสารบางอย่างในโน้ตบุ๊กของตัวเองหันมาโบกมือให้ “เดินทางดีๆ”

“โอ้ บ๊ายบาย”

“บายยย”

ก่อนผมจะเดินออกจากบ้านก็อดชะงักเท้าแล้วหันกลับไปมองคนที่ยังคงนั่งสาละวนกับงานตัวเองไม่ได้ “เตง...ไม่จูบให้กำลังใจเค้าหน่อยหรา”

“...รีบๆ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” จบที่ถูกพระเอกไล่อย่างไม่ไยดี ฮือๆๆๆ

 

ขณะนั่งรถเมล์ไป ผมก็เตรียมใจอยู่หน่อยๆ ว่าน่าจะโดนรุมทึ้งด้วยสารพัดคำถามร้อยแปดพันประการ แต่ปรากฏว่าผมคาดผิด เพื่อนๆ ที่คณะของผมไม่มีใครถามอะไรทั้งนั้น ผมยังคงมีการบ้านให้ลอกตามปกติ โดนอาจารย์โอ๋ปลุกให้ไปล้างหน้าตามปกติ ที่ไม่ปกติคงจะเป็นสายตาที่เหมือนอยากจะถามอะไรอยู่ตลอดเวลาของบรรดาสหายทั้งหลาย เจือกับสายตาเห็นอกเห็นใจ เวทนา และเย้ยหยัน แต่ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย

ที่ตลกคือไม่รู้อาจารย์โอ๋ถูกหวยหรือยังไง แต่ปล่อยพวกผมเร็วขึ้นตั้งสิบนาที ซึ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีจริงๆ ด้วยล่ะ ฮะฮะฮะ พระอาทิตย์ช่างสดใสเหลือเกิน อา...ที่บานอยู่ตรงข้างบ่อตะไคร่ขึ้นนั่นใช่ลาเวนเดอร์ไหมนะ

“เดือน... นั่น นั่น” นั่นๆ อะไรของแก ติดอ่างหรือไง พอผมหันกลับไปแยกเขี้ยวอย่างรำคาญคนที่เอาแต่สะกิดอยู่ได้...ไม่เห็นหรือไงว่ากูกำลังชื่นชมดอกลาเวนเดอร์อยู่ ทว่ามันก็ยังพยายามจะชี้โบ๊ชี้เบ๊ พอผมมองตามเท่านั้นแหละ ลูกตาผมแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

“นั่น... นั่น.... นั่นมัน” ผมอ้าปากพะงาบๆ...โรคติดอ่างดูเหมือนจะเป็นโรคติดต่อ

ที่โต๊ะหินอ่านหน้าคณะผมยามนี้มีพี่สาลี่นั่งไขว้ห้างอวดขาอ่อน สายตาจิกมาทางผมที่เพื่อนรอบข้างพร้อมใจกันถอยห่างประหนึ่งโมเสสแหวกทะเลสร้างปาฏิหาริย์...โฮก ตอนนี้กูก็ว่ากูต้องการปาติหานนนกับเขาเหมือนกันแล้ว

พี่สาลี่ลุกปุ๊บ ผมก็สะดุ้งเฮือกปั๊บ ตายหอง รู้งี้พกเบอร์ร้านเจเล่โลงศพมาด้วยก็ดีหรอก อย่างน้อยผมก็อยากเลือกโลงเองก่อนตายนะ

วันนี้ไม่รู้ทำไมพี่สาลี่มามาดนางพญาอียิปต์โบราณ กรีดรอบตาซะเข้มเชียว ข้างหลังพี่สาลี่คือแก๊งสาวสาวสาว มาแบบกะใช้พวกเข้าข่มนี่หว่า ที่นี่สถานศึกษาอันศักดิ์สิทธิ์เท่งทึง เราไม่ควรใช้กำลังนะครับพี่น้อง

“น้องเดือนใช่ไหมคะ” รุ่นพี่คนสวยของผมยิ้ม

...ไม่ใช่ครับ นั่นพี่ชายฝาแฝดผม ผมแค่สวมรอยมาเรียนแทน ไอ้นี่คือที่อยากตอบ แต่กลัวตอบไปจะโดนตบ ในโลกแห่งความเป็นจริงผมฉีกยิ้มสดใสแบบฉากหลังมีดอกไม้สะพรั่ง...พวงหรีดล้วนๆ “ครับพี่ มีอะไรหรือครับ”

“พี่ได้ยินมาว่าน้องเดือนสนิทกับพี่โอบเอื้อ... อ้อ น้องเดือนคงจำรุ่นพี่ที่อยู่กับพี่บ่อยๆ ได้นะคะ”

ผมอยากจะร้องเป็นภาษาสเปนนนนนน โฮกกกกกกก เชี่ยเอ๊ย บทพูดแมสชิบหายวายป่วงนี่มันอะไรกัน นี่มันฉากนางร้ายตามมาจิกนายเอกชัดๆ โฮกกกกก พี่ครับ ผมเป็นแค่ตัวประกอบห้าบาทสิบบาทเท่านั้น รวมๆ กันยังไม่ถึงยี่สิบเลย อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ โฮ

“พอดี...พี่เห็นรูปของน้องเดือนกับพี่โอบเอื้อ...ดูจะ สนิทสนมกันน่าดูเลยเนอะ”

ผมยังคงกะพริบตาปริบๆ ใช้กลยุทธ์สล็อธยิ้มเข้าสู้ แต่ว่าพี่สาลี่แข็งแกร่งมาก สมกับที่สามารถรับมือสกิลใบหน้าสวยสะพรั่งของภาธีมาได้ตั้งอาทิตย์หนึ่ง กระพือขนตายังไงก็ทำลายเกราะป้องกันของพี่สาลี่ไม่ได้

“พี่เคยได้ยินมาอีกว่า...”

ใครมันเพ็ดทูล! ไม่จริงเพคะหม่อมแม่!

“น้องเดือนเนี่ย ชอบผู้ชายหน้าตาดีๆ นะคะ”

...แล้วมีใครบ้างไม่ชอบคนหน้าตาดี ตอบสิ ตอบ!

เพื่อนของพี่สาลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พากันหัวเราะคิกคักประหนึ่งเพลงประกอบฉากหลัง

สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเป็นเกมก็มีปุ่มให้เลือกกด A. เถียงมาเถียงกลับไม่โกง B. ยืนนิ่งๆ และรับฝ่ามือแต่โดยดี C. วิ่งหนีสิวะรออะไร...ไม่มีช้อยส์ไหนน่าเลือกเลยสักนิด ผมได้แต่น้ำตาไหลพรากๆ ในใจ ฝ่ายพี่สาลี่ก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้

“ช้าก่อน!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนพากันหันกลับไปมอง

ฮ่า คิดว่าพระเอกต้องมาแล้วใช่ม้ายยยย

ผิดครับ...ที่ออกมาประจันหน้ากับพี่สาลี่ไม่ใช่พระเอก แต่เป็นไอ้กิ่งและอกคัพดีของมัน โฮก เพื่อน กูรักมึงงง

“พี่สาลี่ ตัวร้ายแบบนี้มันตกยุคไปแล้วนะคะ”

“น้องกิ่งคะ นี่ไม่ใช่เรื่องของน้อง”

ตอนแรกผมคิดว่าไอ้กิ่งจะพูดกลับด้วยประโยคประมาณว่า ‘เดือนเป็นเพื่อนกิ่ง เรื่องของเดือนคือเรื่องของกิ่ง’ แต่เปล่าเลย ผมประเมินศักยภาพความเป็นเพื่อนของมันต่ำไป เพราะสิ่งที่มันทำคือพยักหน้า “อื้อ ไม่ใช่เรื่องของกิ่งจริงๆ นั่นแหละค่ะ”

“...” อ้าวเฮ้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า...นี่ตกลงมึงออกมาทำอะไรวะเพื่อน

“แต่เป็นเรื่องของคุณพี่คนโน้น” ไอ้กิ่งยิ้มหวานเจี๊ยบ ก่อนพยักเพยิดไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งทุกคนที่อยู่ในบริเวณพากันหันขวับ รวมถึงผม

ที่อยู่ตรงนั้นเป็นผู้ชายในชุดนักศึกษาราคาแพงใส่แล้วเจ้าตัวบอกไม่คันคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินมาพร้อมอาจารย์โอ๋ ทั้งคู่ดูเหมือนกำลังคุยอะไรกันอยู่ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเหล่าไทยมุงจีนมุงทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่

“พวกเธอ ทำอะไรกันอยู่ ไม่กลับบ้านกลับช่อง อยากเรียนต่ออีกคาบเหรอ” อาจารย์โอ๋ถามยิ้มๆ

เท่านั้นแหละครับ วงแตก! งานนี้ยิ่งกว่าตำรวจบุกจับทลายบ่อน แต่ละคนต่างปฏิเสธด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

ตอนนี้มาย้อนคิดดูดีๆ แล้ว พี่สาลี่เลือกชัยภูมิเป็นหน้าคณะนี่นับว่าพลาดโดยแท้ จะดักตีผมมันควรจะเป็นซอยเปลี่ยวๆ ร้างๆ แต่ก็นะ ขึ้นชื่อว่าแมสคงเล่นใหญ่ ผมคิดว่าพี่สาลี่คงแค่อยากมาปรากฏตัวเพื่อประกาศศักดา...แค่ก อย่าเรียกฉี่ทับที่สิ เสียมารยาทต่อสุภาพสตรี!

“อ้าว แล้วนี่มากันทำไม มีงานอะไรเหรอวันนี้” อาจารย์โอ๋เปลี่ยนเป้าไปโจมตีเหล่าแก๊งพี่สาลี่ที่พร้อมใจกันส่ายหัวเป็นกลองป๋องแป๋ง “อ้า หรือว่าปีที่แล้วเรียนกับอาจารย์ยังไม่พอ? อยากเรียนกันอีกรอบหรือไง”

เหล่ารุ่นพี่พร้อมใจกันปฏิเสธรัวๆ อาจารย์โอ๋ยิ้มขันๆ ก่อนหันกลับมามองพวกผม “เอาเถอะ อยู่กันก็ดีแล้ว นี่อาจารย์เพิ่งคุยกับเอื้อการย์ เขาปรึกษาเรื่องติวเด็กใหม่ช่วงมิดเทอม”

ทุกสายตาเลื่อนไปหาพี่เอื้อการย์ผู้เป็นถังน้ำมันใบใหญ่ของสถานการณ์ ทว่าฝ่ายนั้นยังคงยิ้มอย่างไม่สะกสะท้าน นี่ก็แข็งแกร่งอีกคน “ก็ดูน้องๆ แล้วผมว่าจัดกลุ่มติวสักหน่อยน่าจะดี งั้นไว้ผมไปร่างแผนเข้าประชุมสโมฯ แล้วเอากลับมาคุยอีกทีนะครับ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ’จารย์”

“ได้ เธอนี่ก็ขยันจริง วันก่อนเห็นนายมรรคกับเดอะแก๊งเธอหนีไปเที่ยวไต้หวันกัน ไม่ได้ไปด้วยกับเขาเหรอ” อาจารย์โอ๋ถาม...เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน นายมรรคคือชื่อพี่ตี๋ครับ

พี่เอื้อยิ้มๆ ก่อนตอบ “แหม ก็เพราะแฟนผมติดเรียนซัมเมอร์กะ’จารย์อ่ะแหละ ไม่งั้นป่านนี้ผมก็หอบแฟนไปเที่ยวแล้ว”

คำตอบนี้เรียกความสนใจจากอาจารย์โอ๋และเหล่าไทยมุงจีนมุงรวมถึงผม “เอ๋ ตายจริง นี่กินเด็กเหรอ” ...ว่าแล้วอาจารย์ก็เลื่อนสายตากลับมาทางพวกผมประหนึ่งจะแสกนหาว่าผู้โชคดีคือคนไหน

พี่เอื้อหัวเราะร่วมก่อนก้าวยาวๆ ตรงมาหาผมที่เกือบยกการ์ดขึ้นป้องกันตัว ทว่าเอื้อการย์พลิ้วกว่า สามารถหลบหมัดฮุกผมแล้วเอื้อมมือมาคล้องไหล่ผมได้อย่างลื่นไหลสวยงามเฟรมเรตไม่ตก ก่อนจะหันกลับไปหลิ่วตาใส่อาจารย์โอ๋ที่อ้าปากค้างเหมือนคนอื่นๆ “กินเด็กเขาว่าเป็นอมตะนะครับ’จารย์”

อาจารย์โอ๋นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนทำท่าทุบมือเป็นเชิงเข้าใจ “เห มาภาเหรอ อ้อ ตายจริง...ตะกี้ที่เธอขอดูใบคะแนน”

“แหม ผมติวให้ก็ต้องขอดูผลงานตัวเองหน่อยสิครับ” พี่เอื้อหัวเราะร่วน ก่อนเอื้อมมือมาบิดจมูกผม “...ทำได้ไม่เลว แต่ผิดแบบเลินเล่อไปเยอะนะเราน่ะ”

ผมในเวลานั้นทำได้แค่ยืนตัวแข็งจ้องพี่เอื้อด้วยสายตางุนงง เลยถูกพี่เอื้อดีดกะโหลกไปอีกที “เอ้า งงอีก ควิซคราวก่อนไง พี่บอกแล้วให้ระวังตัวหารๆ ...ลืมหมด”

อาจารย์โอ๋หัวเราะแล้วพูดอะไรบางอย่างกับพี่เอื้อ ซึ่งผมฟังไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้ว ขณะกวาดตาไปรอบๆ ก็เห็นเพื่อนพ้อนน้องพี่แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้างุนงงสงสัย ตลอดจนตื่นตะลึง ส่วนพี่สาลี่คลีโอพัตรายามนี้หน้าซีดเผือด จนกระทั่งอาจารย์โอ๋เดินไปลับสายตาถึงค่อยเคลื่อนไหว

 “พะ พี่โอบเอื้อ” ...โอ้โห เสียงอ่อนเสียงหวาน อะไรวะ เมื่อกี้ไม่ใช่แบบนี้

“สาลี่” พี่เอื้อยิ้มๆ ทว่าผมที่เห็นเขามาตลอดหลายอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันเริ่มจับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มไปไม่ถึงลูกตา

“พี่โอบเอื้อ เมื่อกี้...หมายความว่ายังไงกันคะ”

พี่เอื้อยังคงยิ้ม “สาลี่...พี่บอกครั้งเดียวนะครับ น้องที่อยู่ด้านหลังก็ตั้งใจฟังด้วย รู้ใช่ไหม...ไม่สิ เอาว่าจะรู้ไม่รู้ ก็อยากจะให้รู้ไว้ พี่ไม่โอเคกับการบูลลี่คนอื่นครับ จะด้วยความเป็นรุ่นพี่ หรือพวกมาก หรืออะไรก็แล้วแต่”

ใบหน้าของพี่สาลี่ซีดราวกับกระดาษ ก็น่าตกใจอยู่ ขนาดผมได้ยินยังตกใจกับหมัดฮุกตรงหมัดนี้เลย แต่พอนึกถึงอดีตของพี่เอื้อ ก็พอเข้าใจอยู่ว่าทำไมถึงคิดแบบนี้

พอเห็นทุกคนอึ้งๆ พี่เอื้อก็หัวเราะออกมา “ทำไม คิดว่าต้องเหมือนในละครเหรอ ที่พระเอกเอาแต่กลัวคนนั้นจะโกรธ คนนี้จะเกลียด เลยไม่พูดเข้าเรื่องตรงๆ เสียที ปล่อยให้มันคาราคาซังต่อไป”

“พวกน้องอาจจะคิดว่าทำไมพี่ต้องเอามาพูดกลางที่สาธารณะแบบนี้...น้องครับ แล้วตอนน้องลากคนอื่นมาสาวไส้กันเล่น คิดบ้างหรือเปล่าว่ามันก็เป็นที่สาธารณะ”

เหล่าเพื่อนผมพากันก้มหน้านิ่ง

“แต่พี่ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้มันใหญ่โตลุกลามไปกว่านี้ ใครทำอะไร รู้ตัวเองนะครับ โตๆ กันแล้วเนอะ จบมหาวิทยาลัยก็เข้าวัยทำงาน เป็นผู้ใหญ่แล้ว รับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองด้วยนะครับ”

ผมรู้สึกว่ามือที่จับต้นแขนของผมอยู่ออกแรงบีบเล็กน้อย “ส่วนสาลี่ พี่ขอพูดครั้งเดียวนะครับ...นายมาภานี่เป็นแฟนพี่ ไม่ว่าก่อนนี้เราสองคนจะสนิทสนมกันอย่างไรก็แล้วแต่ นั่นคือเรื่องก่อนนี้ พี่ก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้สาลี่คิดไปไกล อันนี้พี่ผิด พี่รู้ตัว...แต่ตอนนี้พี่เลือกแล้ว พี่ก็อยากทำให้มันชัดเจนกับคนของพี่ ช่วยเคารพในการตัดสินใจของพี่หน่อยนะครับ ทำแบบที่สาลี่กับเพื่อนๆ กำลังทำอยู่ หรือกำลังจะทำมันไม่น่ารักเลยนะ”

ผมเห็นร่างของพี่สาลี่สั่นเทิ้ม ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “พี่โอบเอื้อ...”

“เฮ้อ สาลี่” พี่เอื้อส่งผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “พี่ไม่มีค่าพอให้ร้องหรอกครับ เอ้า เช็ดน้ำตาซะนะครับ”

พี่สาลี่รับผ้าเช็ดหน้าแบรนด์เนมของพี่เอื้อไปกำไว้แน่น ก่อนพึมพำขอโทษเสียงเบา

พี่เอื้อยิ้มๆ ก่อนเอ่ยเสียงเนิบนาบกับคนอื่นๆ ที่เหลือ “น้องๆ แถวนี้ก็จำไว้อย่างหนึ่งนะครับ ผู้ชายที่แฟนตัวเองยังปกป้องไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปเอามันทำพันธุ์ โอเคนะ”

“โอ๊ยยยย พี่อยากเป็นพ่อพันธุ์ให้หนูไหมคะ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของผมตะโกนออกมา คนที่เหลือเลยเสริมต่อ “หนูก็อยากได้” “หล่อออออ” “ผัวเหลือเกิน” “พี่เอื้อไม่อ่อนโยนกับน้องเลยค่า~”

“...” พี่เอื้อกับผมมองหน้ากันก่อนพยักหน้าหงึกหงัก “เอาเป็นว่าพวกพี่ขอตัวก่อน ลานะครับเหล่าไทยมุงจีนมุง กลับบ้านครับ กลับไปรีบไปอัปโซเชียลนะครับว่าพี่เอื้อการย์มีเจ้าของแล้ว”

ว่าแล้วพี่เอื้อก็หลิ่วตาให้กลุ่มผู้ชุมนุม ก่อนจะลากผมชิ่งหนีออกมาในทันที

หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็พยายามเลี่ยงพี่สาลี่ อีกฝ่ายเองก็เลี่ยงผมในระดับหนึ่ง ก็เลยไม่เคยมองหน้ากันตรงๆ กันอีกจนเรียนจบ ไอ้จะทำตัวแบบในละครที่ว่าไปขออภัยยิ้มให้กันนั่นไม่มีหรอกนะในชีวิตจริง ผมไม่โดนเอาเปลือกทุเรียนมาตบก็เป็นบุญแค่ไหนแล้ว

เห อะไรนะน้องเอก เห็นว่าเร็วๆ นี้พี่สาลี่เพิ่งกำลังจะแต่งงานกับรุ่นน้องที่ทำงานเหรอ เห... ฮื่อ เอาเถอะ ในที่สุดก็หาจนได้ โล่งอกไปที ต่อไปไหล่ที่หนักๆ จะได้เบาลง อะไรนะ ออฟฟิศซินโดรมเพราะไม่ค่อยออกกำลังกาย...ฮือๆๆๆ ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!

ลับสายตาคน ผมที่ถูกพี่เอื้อลากมาตลอดทางก็ขืนตัวในทันที

“พี่อะเอื้ออออออ พี่ทำอะรายลงปายยย พี่ทำอะรายลงป๊ายยย” ตอนนี้หน้าผมแดงแปร๊ดจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้ว

พี่เอื้อสลัดมาดแฟนหนุ่มน่ารักเมื่อครู่ทิ้ง กลับไปเป็นพี่เอื้อผู้ยียวนกวนบาทาผมเหมือนเดิม “อ้าว ก็ช่วยนายไง เหมือนในละครไง พระเอกออกมาช่วยด้วยการประกาศตัว โอ้โห หล่อจริงๆ เลยกู”

“...” จะถามว่ายางอายมันมีอยู่บ้างไหมก็ดันเสือกหล่อจริงจนถามไม่ออก

“เหอะน่า” เขายักไหล่ “ยังไงถ้าฉันต้องเป็นตุ๊กตากบไปชั่วชีวิต ฉันก็ต้องพึ่งนายไปชั่วชีวิตอยู่ดีนี่นา”

“อย่างน้อยก็ช่วยถามความสมัครใจผมก่อนก็ดีนะ”

พี่เอื้อชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มหล่อร้ายแบบที่เห็นแล้วผมอยากจะละลายตายไปตรงนั้นเลย “มาภา พรอาภา... น้องเดือนปลอมยินดีจะนับมดกับพี่เอื้อการย์ไปตลอดชีวิตไหมครับ”

เอาล่ะ ผมตายแล้ว...ลาก่อน จังหวะนี้จะโลงบานเลื่อนหรือฝาพับผมก็โอเคทั้งนั้น แต่ภาพขอเป็นโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ใช้อยู่นี่ก็แล้วกัน มันจะได้ดูดีหน่อย “พี่เอื้อ...วันแรกผมขอข้าวต้มปลานะ”

“...”

“แพ็กเกจเอาแบบสามวันพอ จัดเยอะเปลือง”

“งานแต่ง?”

“งานศพ!”

เห็นผมยังพล่ามไม่หยุด พี่เอื้อหลุดหัวเราะออกมา “เฮ้ย ได้พี่ทั้งที จะรีบทิ้งพี่ไปไหน”

“ไปสวรรค์” ...ชั้นดาวดึงส์ด้วยจะดีมาก

“งั้นไปกันเถอะ” ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาให้จับ ผมละล้าละลังเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปคว้ามือของเขา และเดินตามเขาไป

“...ไม่ได้ไปสวรรค์ใช่ไหม”

“บ้าเรอะ” พี่เอื้อใช้มืออีกข้างที่ว่างเขกกบาลผม ก่อนเคลื่อนเข้ามากระซิบข้างหู “แต่ถ้าอยากไปสวรรค์อีกแบบ อันนั้นอยู่ในโปรโมชันอยู่แล้ว”

...หลังจากนั้นผมก็หัวใจวายตาย จบ แค่กๆๆๆ

เอาใหม่ หลังจากนั้น พี่เอื้อกับผมก็หาวิธีแก้คำสาปได้...ส่วนผมก็สอบซ่อมผ่านไปด้วยดี ดังนั้นก็ถึงเวลาปิดม่านของเรื่องราวทั้งหมดนี่...

ในเรื่องเล่าบางครั้งก็บอกว่าเจ้าชายกบคืนร่างด้วยจุมพิตของหญิงสาวบริสุทธิ์ บ้างก็ว่าเป็นหญิงสาวผู้มีรักแท้ หรือบ้างก็ว่าใช้เพียงน้ำตาเพียงหยดเดียว แต่จะด้วยวิธีการไหน ถ่ายทอดโดยปลายปากกาของใคร

สุดท้ายแล้วผู้ที่ช่วยให้เจ้าชายกบได้กลับเป็นมนุษย์ก็คือผู้เป็นที่รักนั่นเอง

“พระองค์ได้ทำลายคำสาปอันชั่วร้ายของกระหม่อม บัดนี้ สิ่งเดียวที่กระหม่อมปรารถนาคือการพาพระองค์กลับสู่อาณาจักรของกระหม่อม ซึ่งกระหม่อมจะได้อภิเษกกับพระองค์ และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปตลอดกาล”

จากนั้นทั้งเจ้าชายและคนรักก็ครองรักกันอย่างมีความสุข...

ไปตลอดกาล

พวกผมสองคนกุมมือกันมองอาทิตย์อัสดง พลางหันไปยิ้มให้กัน

“ตลอดกาลนี่เห็นจะมีแต่ในนิยายล่ะมั้ง”

“ก็นี่นิยายไม่ใช่เหรอ...” พี่เอื้อยื่นมือมาดีดหัวผมดังป๊อก

“เอ้อ จริงด้วยเนอะ” ผมหัวเราะออกมา

ที่แท้แล้ว...ความรักเริ่มจากอะไรกันนะ?

ความประทับใจในรูปลักษณ์ภายนอกอันฉาบฉวยแต่แรกเห็น?

ความสัมพันธ์ที่พอกพูนผ่านวันและเวลา?

แต่จะแบบไหนก็แล้วแต่ ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่าผมไม่ได้ชอบเขาเพราะเขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์พร้อมแบบพระเอกในนิยาย ‘แมสๆ’ แบบที่เราสองคนชอบล้อกัน แต่ผมชอบเขา เพราะเขาเป็นตัวเขา เป็นเอื้อการย์ที่ ‘ไม่แมส’ แบบนี้นี่แหละ

พวกผมสองคนหันมามองหน้าและฉีกยิ้มให้กัน ก่อนเอ่ยสี่พยางค์ออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“จบบริ---”

 

CUT! CUT! CUT!

-เดี๋ยวววววววววก่อนครับ พวกพี่ใจคอจะจบแบบนี้เลยเหรอครับ-

            น้องเอกรัวที่ตีเปรตและตีเดือนรัวๆ

ผมกะพริบตาปริบๆ “อ้าว พระนายรักกัน เรื่องก็จบได้แล้วป่ะวะน้อง จะเอาอะไรอีก หม่อมแม่กีดกัน? แฟนเก่า? คู่หมั้นทวงบัลลังก์? อุบัติเหตุรถชนความจำเสื่อม? ชาติกำเนิดที่แท้จริงถูกเปิดเผย?”

พี่เอื้อฟังผมแล้วหัวเราะก๊าก

“ซึ่งพวกพี่ไม่มีเลยสักอีเว้นต์” ผมทำท่าแบมือว่าบ๋อแบ๋ “จบตรงนี้ก็ถูกต้องแล้ว”

“นั่นสิ เจ็ดสเตจพวกพี่ก็มีครบแล้วด้วย แมสๆ” พี่เอื้อเอ่ยยิ้มๆ ส่วนผมฟังแล้วอดกลอกตาไม่ได้ นี่ต้องถูกไอ้จิ๊บบี้มันล้างสมองมาอย่างแน่นอน เดี๋ยวกลับไปผมจะไปเฉ่งมัน

-แล้วคำสาปล่ะพี่ คำสาปน่ะ! พี่จะสรุปแค่บรรทัดเดียวว่าแก้คำสาปแล้วไม่ได้นะครับ!-

“ต้องสนด้วยเหรอ”

“นั่นสิ ไม่ได้เป็นประเด็นหลักของเรื่องสักหน่อย”

-สนสิครับ!-

ผมมองน้องเอกคนสัมภาษณ์ที่ทำท่าเหมือนอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ส่วนพี่เอื้อก็ยังดำเนินการกลั่นแกล้งต่อไป

“น้องครับ น้องกำลังทำลายเคิร์ฟของนิยายนะเนี่ย คิดสิคิด นิยายเนี่ย พอพ้นไคลแม็กซ์สุดท้ายก็จบไปได้แล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นแล้วเนี่ย มันทำให้เรื่องเป็นเส้นตรงราบเรียบนะ” 

ผมส่งเสียงร้องสนับสนุนทันที ถึงในความเป็นจริงแล้วผมจะคิดว่ากราฟนิยายเรามันเหมือนเส้นตรงแบบกราฟหัวใจหยุดเต้น หาไคลแม็กซ์ไม่เจอก็ตามที “ช่ายยยย”

-ช่างหัวเคิร์ฟมัน พี่จะเล่าแล้วค้างแค่นี้ไม่ได้!-

ผมหันไปมองหน้าพี่เอื้อที่ยามนี้มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เอาล่ะ พอแล้ว เลิกรังแกน้องเอกได้แล้ว น้องเอกมีแบ็กใหญ่นะพี่”

“เออเอ้า งั้นเล่าต่อ ตกลงจะเอาจนถึงแก้คำสาปได้ก็ได้ แต่มันไม่น่าสนใจเลยสักนิดนะ”

“จริง มันธรรมดามากกกกก”

-นั่นแหละครับ ช่วยเล่ามาเถอะ-

“อาทิตย์อัสดงไม่ดีตรงไหน” ผมบ่น

“เออ ไอ้กุมมือกันชมอาทิตย์อัสดงมาจากไหนวะ”

“ละครเกาหลีที่ดูเมื่อวาน” เพราะชีวิตจริงช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยนี่อย่าว่าแต่อาทิตย์อัสดงเลย ดวงอาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้เห็น กว่าจะปั่นโปรเจ็กต์เสร็จกลับออกมาจากคณะฟ้าก็มืดแล้ว

“ไม่ให้พี่แบกขึ้นหลังแล้วเดินบนชายหาดเลยล่ะ”

“ได้ งั้นพี่แบกผมขึ้นหลังเดินเลียบชายหาด มองออกไปเห็นผืนทะเลที่อาบด้วยแสงของอาทิตย์ยามอัสดง...เป็นไง”

-พอแล้วครับ! พวกพี่ช่วยกลับไปแถวๆ คณะเราได้แล้วครับ สรุปแล้วหลังจากล้มพี่สาลี่ได้แล้วพวกพี่ทำยังไงกันต่อ-

ผมหยุดคิดทบทวนเล็กน้อยว่าเมื่อครู่ถึงตรงไหน เอ้อ หลังจากเปิดตัวกันแล้ว...ก็ใช้ชีวิตต่อไป “แบบนี้จะเล่ายังไงต่อ สเตจหมดแล้วอ่ะ”

พี่เอื้อดีดนิ้ว “ง่ายมาก...”




ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0





STAGE 8: รักกันไปวันๆ

จุดประสงค์การเรียนรู้: ไม่ต้องเรียนรู้อะไรแล้ว เรื่องจบแล้ว ที่เหลือก็รักกันอย่างเดียว

คอมเม้นต์นายเอก: ถ้าเป็นอนิเมชันนี่มันก็ตอนฟิลเตอร์ไปเที่ยวทะเลชัดๆ








19


ความเดิมตอนที่แล้ว...พี่เอื้อพูดว่า “งั้นไปกัน”

หลังจากนั้นเขาก็ลากผมออกเดินในทันที ผมซึ่งใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะกู้ระบบความคิดของตัวเองกลับคืนมาได้ถามเขาด้วยเสียงตะกุกตะกัก

“ปะ ปะ ปะ ไป... นะ ไหน”

 “ห้องสมุดน่ะสิ!” พี่เอื้อหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าบ่งชัดว่า ‘แค่นี้นายก็ไม่รู้งั้นหรือ’ ผมพยายามมองไปรอบๆ ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีที่ช่วยบดบังแสงแดดอันแรงกล้าของประเทศไทย ถนนปูนที่แผ่ไอร้อนออกมาชวนให้ตาลาย...นี่อากาศมันร้อนจนหูผมเพี้ยนไปแล้วหรือนี่

ทว่า ป้าย ‘หอสมุด’ ที่ตั้งหราอยู่ด้านหน้าก็ทำให้ผมได้สติ

“ระ เรามาทำอะไรกันที่นี่อ่ะ” อะ โอย แค่เข้าใกล้ผมก็รู้สึกร้อนเหมือนผีเข้าวัดแล้ว โอย โอย ข้างในนั้นมีความรู้อยู่ โอย สมองของผมจะเกรียมแล้ว อ๊ากกกก

“ก็บอกแล้วไงว่าจะติวให้” ผู้ชายรูปหล่อข้างตัวไม่สนใจอาการชักดิ้นชักงอของผมแม้แต่น้อย เขาออกแรงลากผมขึ้นบันไดไป ผมพยายามยื้อเสาเหล็กที่คว้าไว้ได้อย่างสุดความสามารถ ถึงจะรู้สึกร้อนลวกมือไปหน่อยเพราะเหล็กมันตากแดดก็เถอะ

“ม่ายยยย ผมให้ไอ้ธีติวให้ก็ได้” ไอ้ธีมันแพ็กเกจครั้งเดียว วันไนต์แสตนด์ ได้กันทีเดียวจบ แค่กๆ ผมล้อเล่น! บอกแล้วไงว่าล้อเล่น!

พี่เอื้อขมวดคิ้ว มือที่จับผมอยู่บีบแน่นขึ้นเล็กน้อย ผมเห็นเขาหายใจเข้าออกสองสามที ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“เห็นนายพูดถึงไอ้หมอนี่หลายทีแล้ว มีรูปให้ดูไหม” ว่าแล้วเขาก็ส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ผมเฉยเลย ผมมองหน้าเขาสลับกับจอมือถือที่โชว์หน้าแรกของเว็บเฟซบุ๊ก สีหน้าของพี่เอื้อบอกชัดว่าพูดจริงทำจริง ผมจึงกรอกชื่อและรหัสผ่านของตัวเองลงไป จากนั้นก็เข้าไปในอัลบั้มเพื่อหาภาพเก่าๆ ที่เคยถ่ายคู่กับไอ้ธี

พี่เอื้อรับโทรศัพท์ของเขาคืน จากนั้นก็ร้องเสียงหลง “เชี่ย! ไอ้นี่คือเจ้าแว่นคูลบิวตี้ที่มีฉายานักสอยดาวนี่หว่า”

“หา นักสอยดาว?” ที่เรียกคูลบิวตี้นี่ผมพอเข้าใจ เพราะเพื่อนผมคนนี้ก็จัดเป็นหนุ่มหน้าสวยโดยแท้ แต่ที่ว่าสอยดาวนี่ผมไม่เข้าใจ

หรือภาธีมันมีความสามารถสอยดาวตามงานสมานฉันท์โอเกะ งานประชันร้องเพลงคาราโอเกะที่จัดทุกปีร่วมกันระหว่างคณะผมกับคณะวิศวะฯ หรือไง หรือหมายถึงสอยดาวงานกาชาด แต่เท่าที่จำได้ นอกจากเพื่อนผมเคยชวนไปทอดปอเปี๊ยะขายในงานกับน้ำอัดลมเพื่อหาเงินเข้าสโมสรนักศึกษาของที่คณะแล้ว ก็ไม่ยักมีอย่างอื่นนี่หว่า

“เออ ไอ้หมอนี่แหละ สุดยอดนักสอยดาวประจำคณะต่างๆ จะดาวดวงไหนพ่อก็เก็บเรียบไม่มีเหลือตั้งแต่รุ่นพี่ยันรุ่นเดียวกัน จากแหล่งข่าวของฉันคาดว่าไอ้หมอนี่จะเก็บดาวได้ครบเกือบทุกคณะแล้ว”

“โฮ่” เพิ่งรู้นะเนี่ย

“แถมเพื่อนฉันเล่าให้ฟังว่า ทุกคนเป็นฝ่ายจีบไอ้หมอนี่ก่อนด้วย! ชนิดที่ว่าดาวคณะไหนไม่เคยเป็นแฟนไอ้หมอนี่ ไม่นับว่าเป็นดาว!”

โอ้โห ภาธีเพื่อนรัก...ชื่อเสียงของมึงขจรขจายจริงๆ

ระหว่างที่ผมกำลังนึกทึ่งกับเพื่อนสนิทตัวเอง พี่เอื้อก็เหล่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ “นี่นาย...”

“หือ?” ผมมองสีหน้าของเขาอย่างงงๆ ผู้ชายรูปหล่อข้างตัวผมค่อยๆ หรี่ตาลงจ้องผม อย่างพินิจพิจารณา

“...เคยคบกับไอ้หมอนั่นหรือเปล่า”

คำถามนี้ทำเอาหูผมถึงกับอื้อไปแป๊บหนึ่ง...ภาธีเนี่ยนะ

“เฮ้ย อย่าเงียบไป อย่าบอกนะว่าเคยคบกับไอ้หมอนั่นจริงๆ” พี่เอื้อทำเสียงเข้ม

ผมรีบส่ายหัวเป็นพัลวัน พยายามกลั้นกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ให้หลุดขำออกมา

“พี่ มันสอยดาวนะ มันไม่ได้สอยเดือน” ...หรือสอยด้วยวะ บางทีดูจากหน้าสวยๆ ของภาธี ผมก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้ว

ดวงตาคมๆ ของพี่เอื้อจ้องผมเขม็งอย่างกับพยายามจะเค้นความจริง ก่อนเขาจะพ่นลมหายใจ และทำเสียงเข้ม

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว ต่อไปห้ามติวกับหมอนี่เด็ดขาดนะ...ไม่สิ กับใครก็ห้ามทั้งนั้น”

“ทำไมอ่ะ”

พี่เอื้อยิ้มแปลกๆ เขาทำท่าคล้ายจะตัดสินใจว่าควรจะพูดดี ไม่พูดดี สุดท้ายเขาก็เลื่อนหน้าเขามาใกล้ผม จากนั้นก็กระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ที่ข้างหู

“แฟนพี่ พี่ก็ต้องเป็นคนสอนเองสิ จะปล่อยให้คนอื่นชุบมือเปิบไปได้ยังไงกัน” แล้วเขาก็หลิ่วตาให้ผม

ตูม!...ผมระเบิดพลีชีพตายเป็นรอบที่สอง พระพุทธเจ้าช่วย เมื่อกี้อากาศร้อนจนผมหูเพี้ยนอีกแล้วหรือเปล่า ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดบนใบหน้า รู้สึกว่าหัวของตัวเองตอนนี้เหมือนมะเขือเทศสุกที่กำลังจะระเบิดดังโพละ

“มาเร็ว”

ด้วยความที่เมาคำพูดประโยคเมื่อครู่ของเขา ทำให้ผมเดินตามพี่เอื้อเข้าห้องสมุดไปอย่างว่าง่าย แถมยังเดินเอียงซ้ายเอียงขวาแบบคนเมาอีกต่างหาก แก้มของผมร้อนผ่าว แถมยังยิ้มแปลกๆ ออกมาจนพี่ภารโรงในห้องสมุดถึงกับเหล่ด้วยสีหน้าแปลกๆ

ถ้าพี่เอื้อยังทำตัวแบบนี้บ่อยๆ ผมต้องตายด้วยโรคหัวใจแน่ๆ

แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด...ผมไม่ได้จะตายด้วยโรคหัวใจหรอก แต่จะตายเพราะเรียนมากไปเนี่ยแหละ

“อย่ามาโม้หน่อยเลย ไม่เคยมีใครเรียนมากจนตายสักหน่อย” พี่เอื้อทำเสียงเข้มระหว่างวงตัวแดงๆ บนแบบฝึกหัดของผมซึ่งอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ

“พี่เอื้อ ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้กันด้วย”

“คิดว่าสี่จุดศูนย์ศูนย์ของพี่มันเสกมาจากอากาศหรือไงวะ ต้องอ่านหนังสือสิเว้ย”

“โฮ้ยยยยย พวกพระเอกไม่เห็นต้องทำแบบพี่เลยอ่า จบเกียรตินิยมด้วยอ่า”

“เพ้อเจ้อ เพราะเอาแต่ละเมอพระเอกๆ อยู่เนี่ยสิ ชีวิตมันถึงเป็นแบบนี้ นี่อ่านหนังสือเตรียมตัวก่อนสอบบ้างไหมเนี่ย”

“เตรียมนะ”

“กี่วัน”

“...อาทิตย์นึง” หรือไม่ก็คืนวันก่อนสอบ แค่กๆๆๆ

“ถุย”

...โอ้โห พระเอกกู ถุยใส่หน้ากันเลยทีเดียว ปกติแมสๆ เขาไม่ทำกันแบบนี้มั้ยวะ

“แล้วพี่เตรียมตัวกี่วัน” ผมขมวดคิ้วใส่พี่เอื้อ

“...น้องครับ พี่เรียนจบกลับบ้านไปก็อ่านทวนที่เรียนเลย ก่อนสอบก็อ่านที่สรุปไว้ เตรียมตัวตั้งแต่ต้นเทอมยันสอบ ก็สักสามเดือน”

“...” คุณพี่มึงไม่เอาเกรดสี่จุดห้าไปเลยวะ แม่งทำตัวไม่แมสสัสๆ

“ปกติพระเอกต้องเข้าผับคั่วสาวคั่วหนุ่มสิวะ” ผมบ่นอุบอิบ

“ห่านี่ หล่อไม่พอ เรียนเก่งก็จะเอา กีฬาก็ต้องดี แค่เจียดเวลาไปเตะบอลบ้างก็เป็นกุศลต่อสังคมมากพอแล้ว มีกิจกรรมสโมสรนักศึกษาอีก คิดว่าไปนั่งตากแอร์กันหรือไง โปรเจ็กต์ปีหลังๆ ก็ไม่ได้ง่ายนะเว้ย จะให้แยกร่างที่ไหนไปเข้าผับวะ”

“...” ก็ได้! ผมรู้ผมผิดผมเสียใจ

เท่านั้นยังไม่พอ ไม่ใช่แค่ถูกพ่อพระเอกไม่แมสนี่จู่โจม ผมยังถูกโจมตีเสริมด้วยบรรดาสาวๆ ในห้องสมุดที่พากันมองด้วยสายตาอิจฉา อยากได้ไอ้หมอนี่นักก็เอาไปเลย ผมยกให้ แถมชีตทั้งปึกนี่ด้วยเลยเอ้า กับข้าวสารอีกกระสอบ ไม่เอาแม่งแล้วเนี่ย โฮๆๆๆ

“มัวแต่มองคนอื่นอยู่นั่นแหละ ไหนคิดข้อนี้ให้ดูซิ” ยักษ์ตรงหน้าของผมแยกเขี้ยวขู่

ฮืออออ ใครก็ได้ช่วยด้วย ผมไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว

ขณะก้มหน้าก้มตาทำโจทย์ไป ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ว่าแต่พี่เอื้อ เมื่อกี้เปิดตัวเล่นใหญ่ใช้ได้นะเนี่ย”

“เล่นใหญ่ เมื่อกี้เรียกใหญ่แล้วเหรอ?”

“อ้าว ไม่ใหญ่เหรอ”

“เหอะ เล่นใหญ่มันต้องติดป้ายขอเป็นแฟนบนรถเอ็มอาร์ทีสิวะ ไม่ก็บีทีเอสงี้”

“พี่เอื้อ มอเราไม่มีทั้งเอ็มอาร์ทีและบีทีเอสผ่าน มีแต่รถเมล์” ...ชนบทถึงเพียงนี้ ไปสารภาพไว้ที่เอ็มอาร์ทีมันจะมีใครรู้ใครเห็นวะ

“งั้นแขวนป้ายข้างหลังวินมอ’ไซว่า ‘นับมดกับพี่นะ’ แล้ววิ่งวนไปทั่วมหา’ลัยงี้?”

“พี่ไม่ส่งเฮลิคอปเตอร์มาวะ ไม่ใจเลย”

“ตกลงนี่เราคุยเชี่ยอะไรกันอยู่เนี่ย พอแล้ว อ่านหนังสือต่อโว้ย!”

วันอันแสนตื่นเต้นของผมจึงจบลงเพียงเท่านั้น ว่าแต่ทำไมนิยายแมสเปิดตัวแฟนต้องเล่นใหญ่วะ โลกต้องเสือกชีวิตอะไรกันขนาดนี้ รู้กันสองคนก็ไม่ได้ อะไรนะพี่ ผมเองก็ไปเสือกกับเพื่อนตอนมันทะเลาะกับแฟนเหมือนกันเหรอ ...แค่ก เอาว่า ความเสือกเป็นความแมสของปวงชนประการหนึ่ง ใครบ้างไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน...เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้

อะไรนะครับน้องเอก น้องเอกอยากถอนคำสาปเสียที ใจเย็นๆ นะครับน้อง ขอพี่นึกก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น


ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
20

ก็เอาเป็นว่า จากจุดนี้ ผม...มาภา พรอาภา หรือเดือน อายุสิบเก้า กำลังกรุบๆ กรอบๆ เรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งกำลังจะขึ้นปีสองที่คณะไอทีแห่งหนึ่ง หน้าตาผมไม่นับว่าหล่อทะลุโลก แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด ผิวก็ไม่ได้ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ถึงกับคล้ำ ส่วนหางตาหางคิ้วล้วนลาดลงเหมือนเลขแปดในภาษาจีน (八) ดูแล้วน่าเอ็นดูเหมือนลูกหมาขอข้าวกิน

...ก็ยังเหมือนเดิม การได้คนหล่อมาในครอบครองไม่มีผลต่อหนังหน้า เว้นตาคนหล่อชอบเตือนให้ทาครีมกันแดด ไม่มีภาวะจู่ๆ เนื้อหอมขึ้นกับเขาเลยสักนิด

คือถึงจุดนี้ถ้าเป็นนิยายแมสทั่วๆ ไป ผมควรจะเริ่มป๊อปปูล่าร์ หน้าตาน่ารักขึ้นแบบผิดสังเกต มีหนุ่มหล่อรายอื่นมาหลงรักเพื่อพิสูจน์ใจกับพระเอก แต่อนิจ...จัง วัตตะ สังขารา สังขารคนเรานั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์หนอ

ไม่มีครับ จะหนุ่มหล่อไม่หล่อก็ไม่มีสักคน เอาแค่สิ่งมีชีวิตเพศผู้ยังไม่มีเฉียดเข้ามาใกล้ แบบว่าออกไปวิ่งกับพี่เอื้อตอนเย็นๆ หมาเจอคือหอนใส่

อะไรนะ เพราะผมไม่ป๊อบพี่เอื้อเลยอดพูดประโยคฮิตแบบ ‘พี่บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปเข้าใกล้มัน’ เลยงั้นเหรอ ขอโทษด้วยนะครับ จริงๆ ทั้งหมดเพราะพี่นั่นแหละ ผมใช้ดวงทั้งชีวิตตกได้ผู้ชายระดับ SSR มาแล้ว ยังเหลือดวงไปทำอะไรได้อีก นี่บอกเลยว่ากระทั่งถูกหวยก็เลิกฝันแล้ว

อ่ะ นั่นแหละ ซ้ำร้ายกว่านั้น หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดของพี่เอื้อการย์ก็มีเพจเกิดขึ้น ถ้าเป็นนิยาย ตรงนี้ควรจะเป็นเพจคู่จิ้น มีการเชียร์ให้รักกันนานๆ แต่อนิจจัง วัตตะ สังขารา แม้พี่เอื้อจะยืนยันว่านี่คือนิยายแมสดีๆ แต่ผมก็ขอบอกอีกครั้งนะครับว่ามันไม่แมส! เพราะอะไร เพราะเพจที่มีเรื่องราวของผมกับพี่เอื้อถ้าไม่ใช่เพจสาปแช่งให้เลิกกันอย่าง ‘ทวงคืนราชาจากยาจก’ ก็เป็น ‘เชื่อว่าชาวมหาลัยของเรา xxx คนต้องการให้ราชามหาลัยเป็นโสด’ กว่านั้นคือเพจพนัน ‘พนันว่าราชาของเราจะเป็นโสดใน xx วัน’ (ที่เจ็บปวดคือแม่งไม่มีใครยอมพนันเป็นหลักเดือนหรือปีเลย)

เอ๋ อะไรนะพี่ ตอนนี้ไอ้พวกนั้นเสียพนันหมดตูดไปแล้ว? เออ จริงว่ะ สมน้ำหน้า! แค่ก น้องเอก ตรงนี้ตัดออกนะ ตัดออก

เอาใหม่ คัตๆๆๆ

หลังจากนั้นชีวิตของผมกับพี่เอื้อก็คือสามีออกไปทำงานนอกบ้าน ภรรยาอยู่บ้านทำกับข้าว โฮก ตีหัวผมทำไม ก็ผมกลับบ้านมาทีไรก็เห็นพี่ทำกับข้าวรอ ซักเสื้อผ้า ตากให้ ทำความสะอาดบ้าน...ภรรยาตัวอย่างโคตรๆ

ฮึ่ม นึกไม่ออกแล้วว่าจะเล่าอะไร คำสาป? เอ้อ ตอนนั้นมืดแปดด้าน พวกเราเลยตัดสินใจว่าจะวางแผนการใช้ชีวิตด้วยกัน คิดเสียว่าเหมือนเป็นโรคประจำตัวชนิดหนึ่ง แบบเดี๋ยวคนเดี๋ยวกบ ชีวิตอาจจะลำบากกว่าปกติไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องทุกข์ระทมหม่นเศร้า

ก็เลยเป็นช่วงเวลาที่แสนปกติ...อ้อ จนกระทั่งวันหนึ่ง...

“พะ พี่เอื้ออออออออออออออออ แย่แล้วววววว”

“อะไร เดือน เป็นอะไร” พี่เอื้อที่กำลังขัดหม้อขัดกระทะรีบวิ่งมาหาผมที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นในทันที

ผมกุมอก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าว “กะ...กะ...เกรดออก”

“...”

“...” ทำไมเงียบไป...ผมเลยย้ำอีกรอบ “เกรดออกแล้วอ่ะพี่”

“เกรดออกก็เปิดดู”

“ม่ายยยยยยยยยย” ผมกรีดร้องโหยหวนประหนึ่งเมื้อกี้พี่เอื้อบอกผมว่า ‘ข้าคือพ่อของเจ้า’ (โปรดอ่านด้วยเสียงแบบดาร์ธเวเดอร์)

พี่เอื้อกลอกตา “เอ้า เปิดๆ ไป จะได้รู้ว่าต้องรีหรือเปล่า จะได้วางตารางเทอมหน้าถูก”

ผมชะงัก ก่อนจะสำนึกได้ว่าชีวิตผมมีภาระ แค่ก มีคนต้องดูแลเพิ่ม ต้องจัดตารางให้พี่เอื้อสามารถไปเรียนหนังสือได้ตามปกติ ในเวลาเดียวกันผมก็ไม่เหนื่อยจนตายเสียก่อน แต่ถึงกระนั้น “ไม่กล้าเปิดอ่า...”

“...ให้เปิดให้ไหม”

“...” ผมคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเลื่อนโน้ตบุ๊กไปให้ มีเสียงเลื่อนเม้าส์ ตามด้วยเสียงพี่เอื้อประกาศชื่อวิชาตัวแรก...ผมหลับตาปี๋

“บี”

“เยสสสสส! รอดแล้วกู” ผมชูมือเต้นแร้งเต้นกา

“ใจเย็น ยังมีอีกหลายวิชา” พี่เอื้อยกมือท่าปางห้ามเดือน ก่อนจะอ่านรายชื่อวิชาต่อไป

“ซีบวก...นี่วิชาอาจารย์ยิ่งยศใช่ไหม...รอดไปนะ วิชานี้ถ้าได้ดีก็ต้องเรียนใหม่อยู่ดี”

 “โฮกกกกกก จริงเหรออออออ”

“จริง...รอดหวุดหวิดนะเนี่ย อ่ะ ตัวต่อไป” พี่เอื้ออ่านต่อ “บี วิชานี้มีคะแนนเก็บอย่างเดียวก็ได้บีแล้ว นี่ทำข้อสอบอีท่าไหนเนี่ย”

“...ก็...ทำแบบนุ่มนวลอ่อนโยน น้องข้อสอบเขาก็จะขาวๆ หน่อย” อย่างน้อยก็ไม่ลืมเขียนชื่อบนกระดาษคำตอบแหละวะ หรือเพราะลืมวะเลยได้มาแค่บีเพราะอาจารย์หาไม่เจอ

พี่เอื้อหัวเราะดังพรวด ก่อนจะไล่คลิกลำดับต่อไป “บีบวก...เออ ค่อยเห็นอนาคตหน่อย แต่วิชานี้ปกติก็มีแค่บีบวกกับเออ่ะนะ”

“ก็ยังอุตส่าห์จะได้บีบวก...พี่ ผมเคยได้ยินเขาเล่าว่าวิชานี้อาจารย์ใช้วิธีโยนเหรียญหัวก้อยเอาจริงป่ะ”

“พี่จะไปรู้ได้ไงวะ เอ้า เมลหน้า ฉบับสุดท้าย วิชาอาจารย์วูดดี้”

เชี่ย! มัวแต่ดีใจ ลืมวิชานี้ไปได้ยังไงกัน ผมถดตัวไปทางกำแพงแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปง จากนั้นก็ประนมมือสวดมนต์ พี่เอื้อมองผมแล้วส่ายหัว “จะเปิดแล้วนะ”

“เปิดเลยจ้ะ ถ้าตกก็หยิบเอากระถางต้นไม้บนโต๊ะฟาดผมเลยนะ ขอแบบทีเดียวตาย น้องเดือนจะได้ไม่ต้องเรียนอีกรอบ” ...น้องเดือนยอมตาย

พี่เอื้อหลุดเสียงหัวเราะดังพรืด ผมหลับตาปี๋ แว่วคลิกเม้าส์ จากนั้นในห้องก็บังเกิดความเงียบ ผมยังคงไม่กล้าลืมตา ได้แต่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “พะ พี่เอื้อ...”

ไม่นานนัก ผมก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายของคนที่เข้ามาใกล้ ตามด้วยวัตถุแข็งๆ กดลงบนศีรษะ ไอ้ชิบหายยยย เอฟจริงๆ เหรอวะกู โฮๆๆๆๆ “เตงงงงง เค้าขอแบบตายไม่ทรมานนะ เอาแบบฟาดทีเดียวแล้วไปเลยอ้ะ”

แว่วเสียงดังมาอีกพรืด ตามด้วยเสียงหัวเราะที่ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือโทรศัพท์มือถือของพี่เอื้อ เอ๋...โทรศัพท์มือถือ?

“เหอ ให้เรียกรถพยาบาลก่อนงี้เหรอ” ผมเดา

พี่เอื้อยังคงหัวเราะ “บ้า ให้โทรสั่งข้าวมากิน วันนี้ฉลองสักหน่อย...ไหนๆ ก็ไม่ต้องเรียนซ้ำ”

ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนสมองน้อยๆ จะประมวลผลคำพูดของพี่เอื้อออกมาเป็นภาษาคน “ผ่านเหรอ”

“บี” พี่เอื้อเอ่ยเสียงเนิบๆ ยามนั้นอารามดีใจ ผมไม่คิดอะไรก็โผกอดพี่เอื้อในทันที

“โอ๊ยยยย เตงสมเป็นพระเอกแมส มือดี เปิดอะไรก็ดีไปหมด”

“เฮ้ย นี่ไม่ได้เป็นล็อตเตอร์รี่นะมันจะได้อยู่ที่คนเปิด” พี่เอื้อดีดกะโหลกผม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเดือนทำการบ้านทำข้อสอบ...ทำได้ดีมาก ถึงพี่จะไม่แน่ใจว่าเกรดที่ได้มานี่มันมาจากความเข้าใจจริงๆ สักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ตอนแรกนึกว่าจะเปิดเจอแต่ซีกับดีซะอีก”

“ผมดีใจได้ใช่มะ”

“...เออสิ ทำไม”

“ก็...แบบพี่อ่ะ ได้เอตลอด อย่างผม...ดีใจไปมันก็ดูเว่อร์ป่ะ”

พี่เอื้อพ่นลมหายใจ ก่อนจะตบหัวผมเบาๆ “เด็กบ้า บอกแล้วไงว่าเท่านี้ก็ไม่เลวแล้ว ระบบมหาวิทยาลัยตัดเกรดอิง กลุ่มได้บีนี่ก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว ดีใจซะ”

“อ๊ะ ว่าไป เกรดพี่ก็ต้องออกเหมือนกันนี่”

“อ้อ เออว่ะ” พี่เอื้อทำท่านึกขึ้นได้ “เปิดให้พี่บ้างมะ”

“เอ๋ ผมเปิด จะดีเหรอ อาจจะทำร้ายเกรดอันงดงามของพี่ก็ได้นะ”

“ห่า ไร้สาระ มาๆๆๆ” พี่เอื้อลุกขึ้นพลางดึงผมให้ลุกขึ้น ก่อนจะล็อกเอาต์ออกจากบัญชีผมแล้วเข้าของตัวเองบ้าง จากนั้นก็ดึงให้ผมมานั่งแทน “อ่ะ เปิดซะ”

เนื่องจากไม่ใช่เกรดของตัวเอง ผมเลยกดเปิดแบบไม่สะทกสะท้าน...เอ้อ จริงๆ ก็มีกลัวนิดหน่อยว่าผมอาจจะส่งผมต่อเกรดของพี่เอื้อก็ได้

ซึ่งเอื้อการย์ได้พิสูจน์ถึงความเป็นพระเอกผู้แข็งแกร่ง ยอดพีระมิด ชายเหนือชายคือเป็นเกย์ แค่ก

ครับ เอหมด

“...นี่หรือคือการนับ ‘มด’ ไปตลอดชีวิตของพี่” ผมรำพึงขณะมองตัวเอรัวๆ ในอีเมล

พี่เอื้อหัวเราะก๊าก “เออว่ะ จะนับของตอนปีหนึ่งปีสองด้วยไหม”

“...” ผมเลยแก้แค้นให้ประชาชนด้วยการสั่งซูชิเซ็ตพรีเมี่ยมสุดหรูให้พี่เอื้อจ่าย

ทว่าพอโทรสั่งเรียบร้อย พี่เอื้อก็เลิกคิ้ว แล้วตอบกลับยิ้มๆ “จะดีเหรอ ตอนนี้พี่หนีตามเดือนมา เงินของพี่คือเงินของเดือน...ผลาญหมดตัวเองอดได้นา เฮ้ย!”

“...” ผมเลือดกำเดาทะลักเพราะผู้ชายตรงหน้าหล่อเกินไป

“นี่ ไว้ไปโรงพยาบาลเหอะ แผนกหูตาคอจมูกงี้ ตรวจสักหน่อยว่าทำไมเส้นเลือดที่จมูกมันบอบบางจังวะ”

“มีแฟนเป็นหลานเจ้าของนี่ลดราคาไหม”

“แฟนเกย์นี่อาจจะโดนขูดรีดกีดกันเป็นอุปสรรค์พิสูจน์ใจก็ได้นะ” พี่เอื้อตอบกลับหน้าตาเฉย สองมือประคองให้ผมก้มหน้าในมุมที่เลือดไม่หยดเลอะเทอะ

“งั้นช่างมันเถอะ พี่หล่อน้อยลงหน่อยผมก็เลือดไม่ไหลแล้ว”

“นี่ยากว่ะ พี่ออกค่าใช้จ่ายให้ง่ายกว่า”

“...”

 

หลังจากนั้นผมก็โพสต์เฟซบุ๊กไชโยโอ้อวดชาวบประชาว่ากูผ่านแล้ว ก็มีพวกเพื่อนพากันเข้ามาร้องไห้บ้าง แสดงความยินดีบ้าง จนผมเหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่ถูกแท็กไปรุมด่าพี่เอื้อ...อื้อหือ นี่ก็ปวงชนกร่นด่าจริงๆ

ไม่เพียงแค่ในเฟซ เพราะสักพักพวกเพื่อนพี่เอื้อก็พากันโทรมารุม ‘สรรเสริญ’ (ตรงนี้เราสะกดสรรเสริญ แต่อ่านออกเสียงว่าด่าทอนะครับ) กันยกใหญ่ ผมเลยฉวยโอกาสนี้ไปส่องภาธีเพื่อนยาก ปรากฏว่ามันไม่ออน แต่เอาเถอะ ยังไงไอ้นี่ก็มีแต่มดเหมือนกันแหงๆ

ระหว่างพี่เอื้อคุยโทรศัพท์ มีหลุดคุยกันถึงวันพบน้อง ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าใกล้จะได้เวลาพวกปีหนึ่งเริ่มเรียนคอร์สปรับพื้นฐานแล้ว พวกรุ่นพี่แบบพวกผมก็ต้องเตรียมเรื่องการจัดกิจกรรมแล้ว ก็เลยทักไปถามเพื่อนที่เป็นประธาน ก็ได้รายละเอียดมาส่วนหนึ่ง

ฝ่ายพี่เอื้อที่ตัดสายและปิดเครื่องทิ้งด้วยความรำคาญก็หันมาถามผม

“เดือนปลอม มีบัตรสะสมแต้มสโมฯ หรือเปล่า”

“หืม มีๆๆๆ จะเอาเลยป่ะ”

“เอามาเลยก็ได้

“หาก่อนนะ” ว่าแล้วผมก็ไปคุ้ยหาจากตู้ใต้โทรทัศน์ ระหว่างนั้นพี่เอื้อขอยืมใช้เครื่อง

“เฮ้ เรายังไม่เป็นเฟรนด์กันเลยนี่”

ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนนึกขึ้นได้ แต่แหม “เจอหน้ากันทุกวัน ตัวติดกันขนาดนี้แล้ว”

“แอดนะ”

“เอาสิ”

แว่วเสียงดังคลิกๆ ตามด้วยเสียงรัวคีย์บอร์ด

“เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ได้ไหม”

“...ยังอุตส่าห์ถามก่อน อย่าเอารูปแปลกๆ ก็แล้วกัน” แบบพวกเพื่อนผม ใครลืมล็อกเอ้าต์เฟซแล้วทิ้งเครื่องไว้แบบไร้การป้องกันเป็นอันซวยตลอด

“ได้...แล้วนี่ ตู้นั่นมันอะไร” พี่เอื้อมองตู้ที่อยู่ใต้โทรทัศน์ ไอ้หยา อาการ OCD กำเริบอีกแล้ว วันก่อนพ่อทูนหัวใช้เวลาครึ่งค่อนวันจัดหนังสือทั้งหมดในชั้นของผมให้เรียงกันเป็นระเบียบสวยงามตามหมวดหมู่ กระทั่งของในตู้กับข้าวยังวางเรียงเป็นระเบียบแบบที่แทบไม่กล้าหยิบอะไรออกมาเพราะกลัวทำพังเลย

สุดท้ายพี่เอื้อเลยมาช่วยรื้อทั้งหมดออกมาและจัดเรียงใหม่ รื้อไปจัดมาก็หาบัตรสะสมแต้มสโมฯ เจอซึ่งก็พอดีๆ กับเวลาอาหารเย็น พี่เอื้อที่ดูจะพออกพอใจกับการจัดเรียงในตู้ก็ลากผมไปช่วยเป็นลูกมือ เริ่มจากการดึงเอาไส้กรอกออกมาจากช่องฟรีซ ตอนแรกผมนึกว่ามีนิดเดียว แต่พอส่องดูก็เห็นว่ามีอีกหลายถุงที่ถูกแยกเอาไว้

“โห ทำไมเยอะ”

“มันลดราคา” พี่เอื้อตอบขณะเอาถุงที่ออกมาเข้าเวฟเพื่อละลายน้ำแข็ง ก่อนจะหยิบมีดมาเตรียมหั่น ระหว่างนั้นก็สั่งผม

“ข้าวมีข้าวถุงในตู้เย็น พรมน้ำหน่อยแล้วเข้าเวฟ...ไว้เราซื้อหม้อหุงข้าวดีกว่าไหม ประหยัดกว่า” พี่เอื้อเสนอ

“มันก็จริง แต่ผมใช้ไม่เป็นอ่ะ”

“น้องเดือนครับ พี่ไม่คาดหวังว่าน้องจะใช้เป็นอยู่แล้ว” พี่เอื้อกลอกตา “เดี๋ยวมะรืนถ้าออกไปจะแวะดูให้”

“ได้ ต๊ะบัญชีไว้นะ” ผมตอบขณะหยิบข้าวออกมาเทใส่จาน ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “วันนี้ไม่มีน้ำแกงเหรอ”

“ลืม ว่าจะแวะซื้อ เปิดตู้บน ไม่ ซ้าย เออ เห็นกระปุกนั่นป่ะ นั่นแหละ หยิบมา”

ผมทำจมูกฟุดฟิด “อะไรอ่ะพี่ เต้าเจี้ยว?”

“เออ ไว้ทำซุปมิโสะสำเร็จรูป กินไปก่อนแล้วกัน...เปิด ตัก เฮ้ย ใจเย็น เออ แค่นั้น แล้วใส่น้ำ เดี๋ยวเอาข้าวออกมาก็เอาไอ้นี่เข้าเวฟไป”

“ปกติเขาไม่ได้ไว้กินตอนเช้าเหรอ”

“เราอยากกินตอนไหนก็กินไปเถอะ” พี่เอื้อโบกไม้โบกมือ

“ก็จริง”

เย็นวันนั้นก็ได้กินไส้กรอกผัดซอสราดข้าวและซุปมิโสะ หลังอิ่มหนำสำราญดีก็ถูกลากออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร ตอนกลับมาอีกครั้งพี่เอื้อหนีไปอาบน้ำก่อนคืนร่าง ส่วนผมก็เปิดเฟซบุ๊ก แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งกับจำนวนการแจ้งเตือนถล่มทลาย

พอดูดีๆ ก็เห็นว่ามีใครบางคนนอกจากแอดเฟรนด์แล้วยังแอดตรงความสัมพันธ์เป็น in relationship กันเป็นที่เรียบร้อย เท่านั้นไม่พอ ที่ขอเปลี่ยนรูปดันเป็นรูปคู่...ไอ้รูปพรีเวดดิ้งต้นเหตุแห่งปัญหาเมื่อตอนก่อนๆ

ผมเห็นปุ๊บก็กระอักเลือด อะเอื้ออออ ออกมาในทันที

“พี่เอื้ออออออออออ”

พ่อคนหล่อนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวรีบออกมาจากห้องน้ำทันที “มีอะไร เกิดอะไรขึ้น อ้อ...เอ้า ก็ถามแล้วว่าเปลี่ยนรูปนะ”

“ฮือๆๆๆๆ”

“น่า” พี่เอื้อทอดเสียง “ให้โลกมีเรื่องให้เสือกบ้าง”

“...” ก็ได้




ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
21


สรุปแล้วเล่าอะไรวะเนี่ย บอกแล้วว่าที่เหลือชีวิตไม่มีอะไรจริงๆ คำสาป...คำสาป อ้อ นึกออกแล้ว! ตอนนั้นเป็นวันพบน้อง เออ รุ่นพวกน้องเอกนั่นแหละ

คือวันพบน้องก็ตามชื่อ จริงๆ แล้วเป็นวันแรกที่พวกน้องเขามาจัดการลงทะเบียน ทำเรื่องเตรียมเปิดบัญชีธนาคารไว้จัดการค่าเทอม แล้วก็พบอาจารย์ที่ปรึกษา แต่พวกสโมสรนักศึกษา นำโดยพี่เอื้อการย์ขอเวลาจากอาจารย์มาหน่อยเพื่อพูดคุยกับรุ่นน้อง ภายหลังก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปโดยปริยาย

ผมเองก็ถูกเกณฑ์มาช่วยงานจำพวกจัดแถวน้อง แล้วก็นำน้องเข้าห้องประชุม แต่ละคนมีท่าทางตื่นเต้นจนตัวเกร็งไปหมด เห็นแล้วอดคิดถึงเมื่อปีก่อนที่ผมเองก็ยังเป็นแค่ว่าที่นักศึกษาใหม่ไม่ได้

หลังจัดน้องให้นั่งที่เรียบร้อย พวกผมที่ตอนนี้สามารถเรียกตัวเองเป็นพี่ปีสองได้เต็มปากก็กระจายกันไปยืนพิงกำแพง พวกพี่แกนนำสโมฯ ปีสามที่ตอนนี้เป็นปีสี่ก็เดินเข้ามาและเปิดเครื่องโปรเจ๊กเตอร์ จากนั้นรูปหล่ออันดับหนึ่งก็มาหยุดยืนหน้าโต๊ะสำหรับอาจารย์

“ยินดีต้อนรับน้องๆ เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย พี่ชื่อเอื้อการย์ เรียกพี่โอบเอื้อหรือพี่เอื้อก็ได้ครับ ใครกล้าเรียกพี่อะเอื้อพี่จะตีให้กระอักเลือดร้องอะเอื้อจริงๆ นะครับ”

น้องๆ พากันหัวเราะ ส่วนผมก็หัวเราะแห้งๆ เมื่อได้ยินพี่ตี๋ถามว่า “อ้าว มีคนกล้าเรียกมึงแบบนี้ด้วยเรอะ”

“พี่ไม่รู้ว่าความคาดหวังของน้องๆ สำหรับชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร แต่เอาเป็นว่า พี่เปิดวิดีโอให้ดูก่อนแล้วกันนะครับ” ว่าแล้วพี่เอื้อก็ดีดนิ้วและขยับไปด้านข้างเล็กน้อย เพื่อให้ได้เห็นภาพกันได้สะดวก

ตัววิดีโอเริ่มเล่าเรื่องพื้นฐานของการเรียนมหาวิทยาลัย มีการแนะนำตึกคณะคร่าวๆ เว็บสโมสรนักศึกษา เว็บหลักของคณะสำหรับโหลดเอกสารประกอบการเรียนการสอน รายชื่ออาจารย์ การเรียนแต่ละปี ซึ่งก็นับว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่สำหรับว่าที่นักศึกษาใหม่ ก็นับว่าเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจอยู่

จนคลิปจบลง พี่เอื้อก็ปรบมือครั้งหนึ่งเรียกความสนใจจากทุกคน

“ส่วนนนน กิจกรรมรับน้องนั้น” พี่เอื้อทอดเสียง ก่อนจะส่งสัญญาณให้พี่ที่คุมอยู่หน้าเครื่องเปิดคลิปต่อไป

“นี่คือบรรยากาศงานเมื่อปีก่อน โน่นคณะวิศวะ นั่นคณะแพทย์...ส่วนนี่ของเด็ดประจำตำบล...คณะพยาบาล”

เหล่าน้องๆ พากันร้องหูหาไปตามระเบียบ

“และนี่ก็คือกิจกรรมที่พวกพี่อยากจะขอความร่วมมือให้น้องๆ เข้าร่วม” พี่เอื้อเอ่ยช้าๆ “พี่รู้ว่าพวกน้องอาจจะเคยผ่านตากันมาบ้าง เรื่องระบบการรับน้อง ห้องเชียร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ พี่ก็ขอประกาศตรงนี้เลยนะครับ อะไรทั้งหลายที่น้องเคยได้ยินมา...”

ผมเหลือบมองสีหน้าของน้องๆ ที่นั่งไม่ห่างจากผม แต่ละคนมีท่าทางตื่นเต้นระคนกังวล พี่เอื้อตลอดจนรุ่นพี่ทั้งหลายมีสีหน้าจริงจัง ไม่มีใครยิ้มเลยแม้แต่คนเดียว





ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
(ต่อ)


“โยนแม่งทิ้งไปซะ”

รุ่นน้องทุกคนเงียบกริบคล้ายยังงุนงง อารมณ์เหมือนรอดูหนังแอ็กชันยิงกันเลือดสาดแล้วเสือกกลายเป็นหนังตลกเอาปืนฉีดน้ำออกมาแทน

จากนั้นพ่อพระเอกของผมก็เริ่มร่าย “นี่เป็นกิจกรรมครับน้อง พี่ไม่ได้สนใจว่าน้องจะมีวินัยหรือเกรงใจพี่หรือไม่ เจอพี่จะไหว้ไม่ไหว้ก็เรื่องของน้อง คือพี่ก็ไม่ใช่พระภูมิเจ้าที่ที่จะต้องให้คนมาไหว้ถึงค่อยทำงาน ผ้าสามสีก็ไม่ต้องเอามาผูกกู น้ำแดงกูก็ไม่ชอบ โอเคนะ”

มีเสียงหัวเราะดังขึ้น กระทั่งผมยังเผลอหลุดหัวเราะออกมา จะว่าไปแล้วปีก่อนมีไอ้เพื่อนคนหนึ่งของผมมันกวนตีน เอาผ้าสามสีไปผูกเอวพี่เอื้อพร้อมจุดธูปขอโชคตอนสอบ พร้อมประเคนน้ำแดง คิดแล้วผมก็กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนเห็นเจ้าตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง กุมท้องหัวเราะลั่นอยู่พร้อมตะโกนออกมา

“แต่มันเวิร์กนะเว้ยน้องงงง เจ้าพ่อท่านแม่นจริง”

รุ่นน้องหัวเราะกันหนักกว่าเดิม ส่วนพี่เอื้อก็ตะโกนด่าไอ้เพื่อนคนพูดไปยกหนึ่ง

“แฮ่ม ดังนั้นพี่จะย้ำอีกครั้ง ใครไม่อยากเข้าร่วม ไม่ต้องเข้า ไม่ต้องกลัวพวกพี่ตัดรุ่น พี่ไม่ใช่คณบดี แต่ไอ้นั่นหลานอธิการ” พี่เอื้อหยุดชี้ไปทางเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มซึ่งทำท่าโบกมือเป็นนางงามพบประชาชน

“แต่ต่อให้เป็นคณบดีก็ไม่ง่ายที่จะไล่น้องออกถ้าน้องไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ฉะนั้นขอแค่น้องจ่ายค่าเทอมตรงเวลา ตั้งใจเรียนอย่าโดนไทร์ โปรสูงโปรต่ำอ่านเงื่อนไขให้ดี โปรสูงสี่โปรต่ำสอง ต่ำแล้วสูงถือว่ารีเซ็ต...เอาว่าขอแค่ยังเป็นนักศึกษาของที่นี่ รุ่นของน้องจะยังอยู่แน่นอน พี่ไม่มีสิทธิ์ยึดมันไป”

“ถ้าอยากซาบซึ้งกับดราม่ามิตรภาพก็ไปหาหนังดูนะครับ เข้าเว็บไซต์สโมฯ ก็ได้ ทางเรามีจัดลำดับรายชื่อหนังน้ำตาท่วมไว้ให้แล้ว”

เหล่ารุ่นน้องหลุดหัวเราะกันออกมา

“น้องครับ พี่บอกตรงนี้ วันนี้น้องยังหัวเราะด้วยกันได้ แต่รู้ไหม กว่าน้องจะไปถึงปีสี่ เพื่อนบางคนน้องอาจจะไม่ยอมมองหน้าอีกเลย คนเราร้อยพ่อพันแม่ คณะเรางานกลุ่มเยอะมาก และไม่ใช่ทุกคนที่เขียนโค้ด ทำโปรแกรมได้ ถึงจุดหนึ่งถ้าเพื่อนน้องไม่โอเคกับการเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้น้อง มิตรภาพร้าวฉานครับ”

เสียงหัวเราะพลันเงียบลง เด๊ดแอร์ทันตาเห็น จะว่าไปตอนปีผมก็เด๊ดแอร์แบบนี้แหละ

“นี่ไม่ใช่การขู่ แต่มันคือสิ่งที่เกิดทุกปี กระทั่งปีสี่ รุ่นพี่เราเอง ถึงเวลาทำโปรเจ็กต์จบ...หรือที่เรียกกันว่าซีเนียร์โปรเจ็กต์ ก็ยังแทบฆ่ากันตาย บางคนส่งเล่มสอบจบแล้วไม่มองหน้ากันอีกเลยตลอดชาติก็มี”

เรื่องนี้ผมเคยได้ยินข่าวลือมาเยอะ จริงๆ ตอนผมเข้าปีหนึ่ง พี่เอื้อก็มาพูดอะไรทำนองนี้ สำหรับผม ปีแรกมีงานกลุ่มยังไม่มาก แต่ก็พอจะเริ่มแบ่งการทำงานของแต่ละคนได้แบบคร่าวๆ แล้วก็เห็นศักยภาพของแต่ละคนแล้วว่าใครทำอะไรไหว ใครทำอะไรไม่ไหว

“ดังนั้นไอ้การจับน้องมาฝึกระเบียบวินัยอะไรนี่มันไม่ได้ช่วยอะไรน้องในอนาคตเลย พี่เลยคิดว่าสิ่งที่พวกพี่พอทำให้ได้ในตอนที่ยังมีเวลาอยู่ แทนที่จะให้น้องทำอะไรไร้สาระใช้จริงในชีวิตไม่ได้ ไม่สู้เอาเวลามาเทรนให้น้องมีทักษะพื้นฐาน อย่างน้อยเขียนโค้ดไม่ได้ น้องควรช่วยเพื่อนทำรายงานได้”

ผมฟังแล้วสะดุดเล็กน้อย เลยหันไปกระซิบกับไอ้กิ่งที่ยืนข้างๆ “มีอันนี้ด้วยเหรอ”

ไอ้กิ่งส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่รู้เรื่อง คนที่ช่วยตอบผมคือผู้ช่วยประธานรุ่นผมที่ยืนอยู่อีกฝั่ง

“ได้ยินมาว่าพี่ปีสองปีสาม...มีทะเลาะกันรุนแรงหลายกลุ่มมากตอนทำงาน ก็เลยมีการเสนอในที่ประชุมสโมฯ ว่าจะลองเปลี่ยนรูปแบบจากกิจกรรมสันทนาการเป็นอะไรที่มันดูเป็นการจับกลุ่มทำงานจริงมากขึ้น แล้วก็ว่าจะเพิ่มพวกคอร์สสั้นๆ สอนใช้โปรแกรมเวิร์ด เอ็กเซล พาวเวอร์พ้อยต์งี้ เผื่อจะได้ลองทำงานร่วมกัน แล้วก็มีทักษะเล็กๆ น้อยๆ ติดตัว”

เพื่อนอีกคนเข้ามาเสริม “ได้ยินมาว่ารุ่นพี่เรามีคนหนึ่ง เขียนโค้ดไม่ได้ เพื่อนเลยให้ทำรายงาน ผลคือจัดหน้าไม่เป็น ทำสารบัญด้วยมือหมด เปลี่ยนหน้ากระดาษก็เคาะเอนเทอร์ แถมส่วนที่เป็นการค้นคว้าก็ก็อปเนื้อหามาจากเน็ตทั้งดุ้น...อาจารย์จับได้อีก โป๊ะจ้า”

“ไอ้หยา...” อาการหนักนะเนี่ย

“สุดท้ายอาจารย์ให้เอฟ ทะเลาะกันใหญ่โต”

“อ๋อ จำได้แล้ว กลุ่มพี่พุดซ้อนใช่ไหม...ที่พี่ปลาสวายอัปสเตตัสลอยด่า” ไอ้กิ่งร้องรับ แน่นอนครับว่าเราไม่ต้องการเปิดเผยบุคคลจริง ดังนั้นนี่จึงเป็นแค่นามสมมติอีกเช่นเคย 

“เออ แล้วพี่นุ้งนิ้งที่เป็นตัวปัญหาของเรื่องก็ลอยกลับ”

“เป็นลอยกระทงเฟสติวัลเลยมึงเอ๊ย”

ผมกะพริบตาปริบๆ ปกติแล้วผมไม่ค่อยแอดเฟซบุ๊กของพวกรุ่นพี่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้เห็นอะไรพวกนี้ พวกเพื่อนๆ เริ่มซุบซิบกันสนุก จนโดนเสียงกระแอมไอจากประธานรุ่นถึงได้เงียบกัน

“สำหรับกิจกรรมของทางเราหลักๆ คือการสอนร้องเพลงโดยพี่โปเต้จากชมรมประสานเสียง” พี่โปเต้โบกไม้โบกมือให้น้องๆ “จบงานน้องจะได้เรียนรู้เพลงบูมเอาไว้ไปบูมกันในงานแต่งเพื่อนแน่นอน ใครไม่อยากเข้ากิจกรรมแต่อยากบูมเป็น เราก็มีวิดีโอให้อยู่ในเว็บสโมฯ อีกแล้วนะครับ ไปฝึกกันได้”

ภาพบนจอเปลี่ยนเป็นตัวอย่างวิดีโอ

“แน่นอนว่าพวกพี่จะไม่ให้พวกน้องพลีกายเพื่อกิจกรรมเปล่าๆ” พี่เอื้อดึงเอาบัตรสะสมแต้มสโมฯ ของผมออกมา “นี่คือบัตรสะสมแต้ม ให้น้องคิดแสตมป์เซเว่นเข้าไว้ ใครเข้าร่วมกิจกรรมก็จะได้รับแต้ม เอาไปแลกสิทธิ์พิเศษได้”

ภาพบนจอเปลี่ยนไปอีกครั้ง “นี่คือสิทธิประโยชน์ที่น้องจะได้รับ ก็มีเข้าติวฟรี ขอแลกชีต มีคลังข้อสอบเก่าที่พวกพี่รวบรวมเอาไว้ มีคอร์สสอนทักษะเสริม...แล้วแต่น้องจะเลือกใช้เลย”

ผมพยายามมองปฏิกิริยาของพวกเด็กใหม่ ส่วนมากมีสีหน้าอึ้งๆ ซึ่งก็ไม่แปลก ปีที่แล้วตอนผมมานั่งฟัง ผมก็อ้าปากค้างไปเหมือนกัน ตอนแรกสุดผมเตรียมใจจะเจออะไรโหดๆ แบบที่เขาเล่าในกันอินเทอร์เน็ต ไม่คิดว่าจะกลายมาเป็นระบบแสตมป์เซเว่นแบบนี้

แถมตอนหลังถึงได้รู้ว่าพวกพี่เอื้อไปไฟต์กับอาจารย์เรื่องข้อสอบเก่าควรเปิดเผยได้ แว่วว่าพี่ท่านบอกอาจารย์ไปว่า ‘ถ้าอาจารย์จะขี้เกียจขนาดไม่ยอมออกข้อสอบใหม่ นั่นก็ไม่ใช่ควรรับผิดชอบของพวกผมนะครับ’ …เล่นเอาสโมฯ แทบระเบิด

“น้องไม่อยากเข้า น้องไม่ชอบ น้องไม่ผิด โอเคนะครับ พวกพี่จะไม่ให้เพื่อนโทรจิกน้อง จะไม่ขึ้นชื่อประณามน้อง จะไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามน้อง เอาว่าจะไม่ทำอะไรน้องทั้งสิ้น” พี่เอื้อโบกไม้โบกมือไปทางหน้าจอ “แต่น้องแค่จะเสียสวัสดิการเหล่านี้ไป”

เด็กใหม่ที่ดูจะใจกล้าคนหนึ่งยกมือ “แบบนี้มันก็เหมือนซื้อตัวป่ะพี่”

“ก็ตอนน้องเข้าทำงาน น้องก็ใช้งานแลกเงินเหมือนกันแหละครับ” พี่เอื้อตอบยิ้มๆ

น้องอีกคนยกมือขึ้นบ้าง “แล้วถ้าเราไม่มีใครยอมร่วมกิจกรรมเลยล่ะครับ พี่จะทำไง”

พี่เอื้อเลิกคิ้วก่อนยิ้มมุมปาก “พี่ก็ทำเรื่องแจ้งไปทางสภานักศึกษาว่าคณะเราปีนี้ไม่เข้าร่วม จบ อ้อ แต่พวกน้องก็อาจจะเสียแต้มกิจกรรมไปอ่ะนะ ก็ไปเข้าร่วมกิจกรรมอื่นแทนแล้วกัน ถ้าอยากได้โปรแกรมคำนวณก็...”

“เว็บสโมฯ” เหล่ารุ่นพี่ทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียง

“แล้ว...จะไม่เสียชื่อคณะเหรอคะ” รุ่นน้องอีกคนถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ

“น้องเอ๋ย ทุกคนสนใจแต่ตัวเอง ไม่มีใครมานั่งสนใจหรอกว่าแสดงกันไปกี่คณะแล้ว ถึงเราหายไปก็ไม่มีใครรู้...ไอ้ที่จะทำให้คณะมีชื่อหรือเสียชื่อน่ะ มันวัดกันตอนจบทำงานครับ ทำงานดี ทำงานห่วย นั่นแหละคือช่วงเวลาวัดผลที่แท้จริง ชื่อเสียงกิงก่องแก้วที่หายไปเพราะไม่ได้ไปร้องเพลงอวดหลีดอวดคัตเอาต์แสตนด์เนี่ยนะ” พี่เอื้อแค่นเสียงดังเหอะ “...ปีหน้าคนก็ลืมแล้ว ดีไม่ดีไม่ถึงเดือนคนก็ลืมไปหมดแล้ว”

น้องอีกคนหนึ่งยกมือขึ้นบ้าง “แล้วถ้ามีแค่คนหรือสองคนที่เข้าร่วมล่ะครับ”

“เราก็จะเคารพการตัดสินใจของคนหรือสองคนนั้น ถ้าเขาอยากไปร่วมพวกพี่ก็จะสอนร้องแล้วพาไป ถ้ามันโล่ง เดี๋ยวพวกพี่ไปนั่งหล่อเป็นเพื่อนก็ได้” พี่เอื้อทำท่าเสยผมโชว์มุมหล่อ แว่วๆ รุ่นน้องผู้หญิงหลุดเสียงหวีดออกมาหลายคน

ไม่นานนัก รอยยิ้มบนใบหน้าของพี่เอื้อก็ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าจริงจัง บรรยากาศชวนกดดันที่แผ่ออกมาทำเอาผมรู้สึกขนลุกหน่อยๆ

“ที่แน่ๆ พี่อยากให้น้องจำไว้อย่างหนึ่งครับ เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่ต้องใส่สายจูง...อย่าให้ใครมาละเมิดความเป็นมนุษย์ของเราเป็นอันขาด ต่อให้เป็นพวกพี่ก็ตาม”

ภายในห้องบังเกิดความเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่พี่เอื้อจะกระแอมไอ

“สำหรับทุน น้องที่เป็นห่วงเรื่องเงินรุ่นก็ไม่ต้องเป็นห่วง อันนี้เป็นหน้าที่พี่ปีสองที่จะต้องคิดหาเงินมาจัดการ ทางคณะช่วยสนับสนุนเงินเราส่วนหนึ่งแหละ แต่ถ้าเงินไม่พอจริงๆ ก็ลดพร็อพเอา” พี่เอื้อทอดเสียง ก่อนคลี่ยิ้ม “ไว้พอน้องขึ้นปีสอง ก็จะต้องเป็นคนมาจัดการตรงนี้บ้าง”

ในส่วนของปีก่อน ตอนรุ่นพี่พวกผม เห็นว่ามีการขอเงินสปอนเซอร์จากบริษัทต่างๆ มีรุ่นพี่หัวใสไปเจรจาว่าจะทำการรีวิวผลิตภัณฑ์ให้บนอินเทอร์เน็ต พอมีทุนก็มีการทำสินค้าจำพวกสมุดออกมาขายเพื่อขายหารายได้เสริม ที่ตลกก็คือ คัตเอ้าต์ของคณะอื่นเป็นลวดลายสวยงาม แต่ของเราเป็นลายอาร์ตซึ่งถ้ามองให้ดีๆ แต่ละจุดคือโลโก้ผลิตภัณฑ์พร้อมตัวอักษรแสดงความขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ อนุโมทนาสาธุ

สำหรับรุ่นผมปีนี้ลอกแบบจากรุ่นพี่ในส่วนของสปอนเซอร์และทำสินค้าขาย แต่เพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น ตอนเข้าประชุมทุกคนเสนอนั่นคิดนี่ ช่วยกันวางแผนหาเงินกันเต็มที่ นับว่าสนุกอยู่ไม่น้อย

“และไม่ต้องห่วงเรื่องความโปร่งใสด้านการเงิน ทางสโมฯ เรามีฝ่ายตรวจสอบอีกทอดหนึ่ง ถ้าพบว่าเงินถูกใช้ในทางมิชอบ เราจะมีการดำเนินการ อย่างเบาตักเตือน อย่างรุนแรงคือแจ้งไปทางฝ่ายกิจการนักศึกษาของคณะห้รับทราบ และกว่านั้น...” พี่เอื้อชี้ไปที่รุ่นพี่รุ่นเดียวกันคนหนึ่ง “พ่อมันเป็นอธิบดีกรมตำรวจ...เส้นใหญ่ยังกับสายไฟแรงสูง”

รุ่นพี่ที่ถูกชี้กางแขนทำท่าปล่อยพลังไฟแสนโวลต์ออกมา ฝ่ายพี่ตี๋เหมือนจะเห็นเป็นโอกาสเลยเข้ามาแจมด้วยการจิ้มไปที่คนนั้นคนนี้

“ส่วนไอ้ที่ยืนขมิบพุงอยูนี่ก็ลูกท่านนายพล”

“ไอ้โน่นลูกเจ้าของเครือปูนซีเมนต์”

“หัวฟูนั่นลูกเจ้าของโรงเรียนเอกชนเครือที่ค่าเทอมแพงหูดับตับไหม้”

“และพี่เอื้อของน้องๆ เนี่ยเป็นทายาทเครือดังนะจ๊ะ” ว่าแล้วพี่ตี๋ก็ไล่เพ็ดดีกรีของพี่เอื้อออกมา มีเสียงร้องหูหาจากบรรดาว่าที่เด็กปีหนึ่งดังสนั่น

พี่เอื้อมีสีหน้ารำคาญเล็กน้อย ก่อนทำท่าจะโบกพี่ตี๋แต่เจ้าตัวหลบได้ ไม่พอ ยังตะโกนอีกว่า “ท่าเดิมใช้กับเซ้นต์แบบกูไม่ได้เป็นครั้งที่สองหรอกโว้ย” เรียกเสียงฮาก๊ากจากบรรดารุ่นน้อง มีอยู่แค่ไม่กี่คนที่ทำหน้าเหรอหรารับมุกไม่ทัน...เป็นคณะรวมจูนิเบียวจริงๆ สิพับผ่า ว่าแต่ทำไมพี่เอื้อเก็ตมุกนี้ฟะ อ้อ พี่ตี๋เล่นบ่อย? เข้าใจแล้ว

มีน้องใจกล้าคนหนึ่งยกมือขึ้น “พี่ครับ ขนมากันขนาดนี้ มีเจ้าชายไหมครับ”

...เอ้อ ไอ้นี่เพ้อใช้ได้ หา อะไรนะ ไอ้น้องนี่คือคือนายจินตนาหรือน้องเจมส์ ที่ภายหลังกลายมาเป็นน้องจิ๊บบี้เจ้าแม่แมสเหรอ โวะ จำไม่ได้นะนั่น มิน่ามันถึงได้เพ้อๆ แบบนี้

ขณะที่ผมนึกชมอยู่นั้นเอง พี่เอื้อกับพี่ตี๋ก็ตอบรับด้วยเสียงเอื่อยๆ “มี”

...มะ มีเหรอ คนไหนวะ หา พี่ลัคกี้น่ะเหรอ

“มันกลับประเทศไป เดี๋ยวเปิดเทอมน้องก็ได้เจอ”

...เชี่ย คณะนี้มันแหล่งรวมอะไรวะเนี่ย นี่ถ้าผมเป็นผู้ก่อการร้าย จะมาช้อปปิ้งเอาแถวนี้แหละ มาทีเดียวคุ้ม...ทุ้ยๆๆๆ ไม่ๆ ปากบอน แค่ชีวิตมีเจ้าชายกบตัวเดียวเป็นนิยายแฟนตาซีก็พอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มแอ็กชันมาให้อีก

หลังจากนั้นก็มีการตอบคำถาม คราวนี้เป็นเรื่องทั่วไป ผทจำไม่ค่อยได้แล้ว จนกระทั่งคำถามเด็ดถูกโยนมา

“พี่เอื้อมีแฟนหรือยังคะ”

คำถามนี้เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดารุ่นน้อง ส่วนรุ่นเดียวกันกับผมและรุ่นพี่ต่างหันมามองผมที่มองทุกอย่างยกเว้นพี่เอื้อ

ส่วนพี่ตี๋ก็เป็นเพื่อนที่ดี เพราะฟังแล้วก็หัวเราะก๊าก ฝ่ายพี่เอื้อก็โปรยยิ้ม “แน่นอนว่ามีแล้ว โน่นไง”

ทุกคนหันขวับตามสายตาพี่เอื้อ ผมหันรีหันขวางเลิ่กลั่ก ไม่ใช่กูใช่ไหม ไม่ใช่สิ ต้องไม่ใช่

“ครับ ที่ตัวเล็กๆ น่าร้ากกก หางตาตกๆ นั่นแหละครับ”

“...” ...พี่ไม่เอาผ้าแดงมาแขวนแล้วทิ้งผมลงกลางฝูงกระทิงไปเลยล่ะ ผมร้องไห้อยู่ในใจ

มีน้องคนหนึ่งตะโกนออกมาเสียงดัง “พี่เป็นเกย์เหรอครับ”

พี่เอื้อเพียงยิ้มละไม “...สำหรับใครที่รังเกียจ รับไม่ได้ พี่ก็ทำอะไรไม่ได้นะครับน้อง แต่ถ้าน้องผู้ชายจะรังเกียจเพราะกลัวพี่จะจับน้องกิน พี่ก็ทำได้แต่สรรเสริญในพลังมโนของน้องนะครับ ส่วนน้องผู้หญิงก็ไม่ต้องมาเล่นกลยุทธ์เปลี่ยนเกย์ให้เป็นชายแท้อะไรนะครับ เพ้อเจ้อ เอาเวลาไปดำน้ำปลูกป่าชมปะการังเถอะนะ”

พี่ตี๋เป็นคนแรกที่หัวเราะก๊ากออกมา ก่อนจะชูนิ้วโป้งให้พี่เอื้อ ส่วนผมนี่สำลักเล็กน้อย ไม่คิดว่าพี่แกจะตอบแบบเปิดเผยขนาดนี้

“หรือถ้าไม่พอใจ ไม่อยากให้พี่เป็นหัวหน้าสโมฯ ก็กรุณาทำเอกสาร ฟอร์มคำร้องอยู่ในเว็บสโมฯ เหมือนเดิมถ้ามีรายชื่อมากกว่าที่กำหนด พี่ก็ออก ไม่ต้องกลัวพี่ใช้เส้นสายแก้แค้น ไม่เป็นประธานสโมฯ ดีซะอีก เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย”

พวกรุ่นพี่รีบร้องโวยวาย “น้องอย่าไล่มัน เราต้องใช้มัน เราต้องกดขี่มัน ยิ่งเกลียดเราต้องยิ่งเหยียบย่ำมัน อย่าให้มันมีโอกาสว่างงานไปสบายเป็นอันขาด เราต้องจิกหัวมัน”

“นี่กูเป็นนางซินหรือไง”

“ช่าย ส่วนกูเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย” พี่ตี๋ยืดอกรับ พวกรุ่นพี่อีกสองคนรีบเข้ามารับมุก สวมบทจีบปากจีบคอเล่นเป็นพี่สาวใจร้าย ทุกคนหัวเราะครืน

ทว่าก่อนจาก พี่เอื้อยังไม่ลืมทิ้งท้ายแบบพระเอกแมสที่ดี “ส่วนแฟนกู...อย่าให้กูรู้ว่าใครกล้ามาแหย็ม เดี๋ยวพ่อฆ่าทิ้ง”

...โอเค ข้าตายแล้ว ตายคนแรกเลย ผมกุมอกตัวเองแล้วล้มใส่ไอ้กิ่งที่ผลักผมออกด้วยความรังเกียจ

หลังจากนั้นเหล่ารุ่นน้องก็พยายามจะถามคำถามแนวนี้อีกหลายข้อ พี่เอื้อก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง จนสุดท้ายต้องบอกให้หยุดเพราะกินเวลาไปมาก “ใครมีอะไรจะถามอีกไหมครับ...ขอที่เกี่ยวกับกิจกรรมนะครับ”

“แล้วป้ายชื่อ จะต้องแขวนไหมคะ”

“ตรงนี้ขึ้นอยู่กับพวกน้องครับ” พี่เอื้อตอบ ก่อนที่ประธานรุ่นผมจะยกมือ

“นี่พี่โอ๊ตนะครับ ประธานรุ่นที่จะมาดูแลรุ่นน้องในปีนี้ อีกเดี๋ยวพี่จะเปิดโหวตแหละ แต่สำหรับเรื่องนี้ พี่แนะนำนะครับ ปีหนึ่งเป็นปีหาแฟน พี่แนะนำว่าชื่อเล่นพร้อมเบอร์โทร...”

รุ่นผมหัวเราะก๊าก สำหรับปีก่อน พวกผมตัดสินใจว่าใครอยากแขวนก็แขวน ไม่อยากแขวนก็ไม่ต้อง ก็มีพวกกลุ่ม ที่แขวนทั้งชื่อ เบอร์โทร ยันสัดส่วน คนอื่นเห็นนึกสนุก ก็หาวิธีครีเอตวิธีการนำเสนอชื่อตัวเองออกมา แต่คนส่วนมากก็แขวนกันแค่ในคณะ พอออกไปกินข้าวที่อื่นก็ถอดออก

“เออ จะว่าไป” รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ย “พี่เคยได้ยินว่ารุ่นก่อนมีแลกป้ายชื่อกันด้วยนี่ เป็นของแทนใจอะไรงี้”

รุ่นน้องคนหนึ่งยกมือ “งั้นเอาเป็นรหัสลับมะ ให้หาวิธีถอดรหัสเอา”

หลังจากนั้นแต่ละคนก็เสนอความคิดกันสนุกสนานจนถูกประธานรุ่นผมต้องเบรก

ต่อมาเป็นรุ่นผมแนะนำตัวให้รุ่นน้อง ผมทำหน้าที่ช่วยเดินแจกเอกสารซึ่งจะส่งให้ผู้ปกครองอ่านและลงชื่อ ระหว่างแจกพี่เอื้อที่ยืนหล่อกอดอกเรียกความสนใจจากแทบทุกสายตาในห้องก็พูดขึ้นมาเสียงดัง “ใครลำบากใจเรื่องผู้ปกครอง มาคุยกันได้ ไม่ต้องรีบชิงดราม่านะครับถ้าพ่อแม่ไม่โอเค คุยกันก่อน แล้วใครแพ้อาหารอะไรเขียนให้ละเอียด หรือถ้าจะไม่เข้าก็เขียนเหตุผลมาเลย ไม่ต้องมาประดิษฐ์ พี่บอกแล้วว่าพี่โอเค บ้านไกลก็บ้านไกล ขี้เกียจก็ขี้เกียจ ไม่ต้องคิดเยอะ พวกพี่ไม่ดราม่า เพื่อนหรือรุ่นพี่น้องคนไหนมันกล้าดราม่า วิ่งมาฟ้องพี่ได้ โดราเอม่อนพร้อมช่วยเหลือ”

พี่ตี๋รับมุกด้วยการร้อง “โดราเอม่อนนนน”

“มึงเป็นไจแอนท์ มึงไม่ต้องมาเนียน”

“เชอะ เฮ้ยเดี๋ยว เชี่ย ไอ้เอื้อรู้จักโดราเอม่อน! ปีที่แล้วมันยังไม่เก็ตมุกเลย”

...พรูด

พี่เอื้อตบกบาลพี่ตี๋ ก่อนหันมาพูดกับพวกรุ่นน้อง “อ้อ แต่ใครที่อยู่เย็นซ้อมไม่ได้จริงๆ กลับไปฝึกร้องกับวิดีโอก็ได้นะครับ เหมือนเดิม...เว็บสโมฯ”

พี่ตี๋ที่ยืนข้างกันรีบร้องรับเป็นลูกคู่ “ท่องไว้น้อง หาอะไรไม่เจอก็เว็บสโมฯ แม่งมีทุกอย่างยันวิธีซ่อมปริ้นต์เตอร์”

รุ่นน้องหัวเราะก๊าก ประธานรุ่นผมเลยเสริมขึ้นมา “...น้องเอ๋ย พวกพี่เขาพูดจริง เว็บสโมฯ แม่งมีทุกอย่างจริงๆ มียันวิธีบริหารจัดการเพื่อนร่วมหอตอนมันยืมเงินแล้วไม่ยอมคืนด้วยนะ”

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พวกพี่เอื้อที่ต้องไปประชุมสโมฯ กันต่อก็ขอตัว “อะแฮ่ม พวกพี่เหลือปีหน้าปีเดียวก็จะจบแล้ว...ถ้าสอบผ่าน”

“ไอ้สี่จุดศูนย์ศุนย์มึงหุบปาก” ทุกคนพร้อมใจกันหันไปด่า

“แฮ่ม นั่นแหละ เอาว่าปีหน้าก็ปีสุดท้ายแล้ว หลังจากพวกพี่ไม่อยู่ พี่ก็ไม่รู้นะว่าพวกน้องจะอยากกลับไปเป็นเหมือนคณะอื่นหรือเปล่า พี่ไม่มีสิทธิ์มาบีบบังคับพวกน้อง ทางเลือกเป็นของพวกน้อง พวกพี่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนได้เท่านี้ ที่เหลือก็เป็นรุ่นของพวกน้องแล้ว คณะไม่ใช่ของพี่คนเดียว พี่ไม่สิทธิ์บีบบังคับให้น้องทำอะไรทั้งสิ้น”

เกิดเด๊ดแอร์อีกรอบ ตอนเริ่มเข้าปีหนึ่งผมก็นั่งอึ้งแบบนี้ หลังจากนั้นผมถึงค่อยได้ยินวีรกรรมของพี่เอื้อ ก่อนแกจะจูนิเบียวนั่งบัลลังก์ราชาแบบนี้ ตอนปีหนึ่งพระเอกผมก็สู้มาไม่น้อย ทั้งส่งเรื่องร้องเรียนไปทางคณะเอย รณรงค์ในรุ่นไม่เข้าร่วมงานที่จัดแบบไม่โปร่งใสและรุ่นพี่ที่ใช้ความเป็นรุ่นพี่ไม่ทางไม่ชอบเอย เรียกว่าเยอะมากจนถึงได้เคยถามไงว่าเอาเวลาไหนไปเรียนให้มันได้สี่จุดศูนย์ศูนย์อีกวะเนี่ย

จนกระทั่งเปลี่ยนรุ่น เดิมทีพวกรุ่นพี่เลือกคนอื่นไว้เป็นทายาทอสูร แต่ถูกพี่เอื้อจัดการตั้งสโมฯ ของคณะขึ้นมา ผลักตัวเองเป็นประธาน ได้รับไฟเขียวจากอาจารย์ให้ปรับกิจกรรม และแน่นอนว่ามีฉากวิ่งหลบแบบที่เคยเล่า ฉากต่อยกันด้วยเลือดและน้ำตา อะไรนะ พี่เรียกตำรวจ อ้าว อ้อ เออว่ะ เพื่อนพี่เส้นใหญ่สายไฟแรงสูงทั้งนั้น หลานอธิการงี้ ลูกอธิบดีงี้ หา แต่ก็ทำทุกอย่างตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย โอเคๆ

ครับ แม้จะเป็นการแก้ปัญหาแบบไม่แมส แต่ก็เป็นวิธีการที่คนปกติควรกระทำครับ

“น้องอาจจะคิดว่าพวกพี่แม่งบ้าหรือเปล่า พยายามกันไปทำไม...เออ พี่ก็ว่าพี่บ้าว่ะ แต่น้องครับ แค่เพราะ ‘ใครๆ เขาก็ทำกัน’ ไม่ได้แปลว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องครับ...อย่าลืมนะ อย่าให้ใครละเมิดความเป็นมนุษย์ของน้องเป็นอันขาด ต่อให้นั่นเป็นรุ่นพี่...หรืออาจารย์ก็ตาม เท่านี้แหละครับ ขอบคุณครับ”

หลังจากนั้นประธานรุ่นผมขึ้นมารับหน้าที่วางแผนกับรุ่นน้องต่อ พวกรุ่นพี่ก็พากันออกไปเงียบๆ ผมเห็นพี่เอื้อหันมาหลิ่วตาให้แว่บหนึ่ง ก่อนที่โทรศัพท์ผมจะสั่น พอหยิบออกมาดูก็เห็นข้อความเรียกให้ไปหา

“หืม” ผมเอียงคอ แต่ก็เดินเข้าไปหาเขาแต่โดยดี “มีอะไรครับพี่เอื้อ”

“เดี๋ยวพี่ประชุมกับสโมฯ ใหญ่เสร็จอาจจะต้องอยู่ทำเอกสาร ถ้าเสร็จก่อนแล้วพี่ยังไม่ออกมาก็ไปหาอะไรกินรองท้องนะ” ไม่พูดเปล่า พี่เอื้อคนดีก็โน้มตัวลงจุ๊บแก้มผม

...มีคนระเบิดตายไปอีกหลายศพ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีนายมาภา พรอาภาอยู่ด้วย

ถึงตอนนี้ หลังประชุมจบ บรรดาเพื่อนผู้หญิงนับสิบของผมกำลังเหล่ผมตากลับแล้วกลับอีก แถมยังพยายามถามคำถามทำนองว่า “ไปตกผู้ชายแบบนี้มาได้ยังไงเนี่ย”

“กูเหยียบๆ ได้มาแถวๆ ลานตรงโน้นเนี่ย” ผมชี้ไปทางต้นเรื่อง

“พูดเล่นน่า?”

“พูดจริงไม่อิงนิยาย”

หลังจากนั้นก็มีคนไปเดินเหยียบลมแถวนั้นบ่อยๆ และทำไปทำมาก็เกิดความเชื่อผิดๆ เพี้ยนๆ ประเภทถ้าใครลื่นล้มแถวนั้นจะมีโอกาสได้คู่สูง และชนรุ่นหลังกล่าวขานเป็นตำนาน “ลานตกหนุ่ม” มานับตั้งแต่นั้น อนุโมทนาสาธุ



ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
(ต่อ)
 

ระหว่างรอผมเลยกะว่าจะเดินไปซื้ออะไรกินที่โรงอาหารใหญ่ เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม ร้านค้าแทบร้าง ดีที่ยังพอมีอะไรให้กินอยู่บ้าง ขณะกำลังดื่มด่ำกับไส้กรอกพันเบค่อนก็พบว่ามีสายเรียกเข้า ตอนแรกนึกว่าเป็นพี่เอื้อโทรมาบอกว่าธุระเสร็จแล้ว แต่พอเห็นชื่อแล้วผมก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“ภาธี เกิดอะไรขึ้น” ...เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้หมอนี่ไม่มีทางยอมโทรมาหาผมแหงๆ

((---รู้---สึก---ว่าต้อง---หา-----)) เสียงของภาธีฟังแล้วไม่ค่อยชัด ผมรีบยัดเบค่อนเข้าปากและเอาจานไปเก็บ ก่อนจะเดินออกไปหาสัญญาณที่ดีกว่านี้

“แกว่าอะไรนะ”

((ฉันรู้สึก---โทรหา---))

ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก ปกติแล้วไอ้ภาธีมีพลังประหลาดอย่างหนึ่งคือลางสังหรณ์แรงกล้ามาก ถ้ามันบอกว่ารู้สึกว่าต้องทำ แปลว่าเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ ทว่าก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้อ้าปากถาม ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนคลื่นแทรก

“นั่นแกอยู่ที่ไหนวะเนี่ย”

((แอเรีย-----ฟิฟ-----ตี้---วั---น)) (Note: แอเรีย51 เป็นชื่อที่ใช้เรียกฐานทัพลับของสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่าเป็นที่สำหรับศึกษาเรื่องจำพวกมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ)

“หา” ผมพยายามเงี่ยหูฟัง แต่เสียงขาดๆ หายๆ จนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

((เน--- วาด้า))

เชี่ย...เดี๋ยวก่อนนะ แอเรียฟิฟตี้วัน เนวาด้า “ภาธี ไปหามนุษย์ต่างดาวเหรอวะ”

ปลายสายบังเกิดเสียงประหลาดเสียงจนผมฟังไม่รู้เรื่อง

((แกมีเรื่อง----ไร))

ผมฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เลยได้แต่พยายามเดินหาสัญญาณต่อไปอย่างไม่ลดละ สุดท้ายพอจับใจความว่าภาธีมันถามว่าตอนนี้ผมมีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือเปล่า

“แกมีวิธีทำให้ตุ๊กตากบที่โดนสาปกลับเป็นคนไหมล่ะ” ...ทุกข์ของชาวบ้านวันนี้

วินาทีนั้น จู่ๆ สัญญาณจากฝั่งตรงข้ามก็เกิดดีขึ้นมาฉับพลัน ผมได้ยินเสียงของภาธีชัดเจนแจ่มแจ้ง ((ก็กูเกิ้ลเอาสิ))

...แล้วสายก็ตัดไป

“...” และยังไม่ทันที่ผมจะหายอึ้ง ก็พบว่าตัวเองถูกล้อมไว้ด้วยเหล่าอันธพาลที่พูดจาทำนองว่าแบบ ‘น้องรู้ไหมว่าไปเหยียบตีนใครเข้า’ อะไรเทือกนี้ คือส่วนตัวก็จำไม่ได้หรอกว่าเคยเหยียบตีนใครบ้าง แต่คู่กรณีช่วงนี้...ก็น่าจะมีอยู่...เอ้อ เยอะเลย ตั้งแต่ได้เอื้อการย์มา กูกลายเป็นศัตรูของเหล่าสตรีทั่วมหาวิทยาลัยแล้วนี่หว่า

เหล่าพี่หน้าเหี้ยมเลเวลน่ากลัวกว่าวินมอเตอร์ไซค์แถวบ้านแต่ดูดีกว่าพวกยากูซ่าในหนังกรูกันเข้ามาหาผม แต่ละคนแสยะยิ้ม ท่าทางดูไม่ดีเสียเลย

ผมเลยแสดงความแมนๆ (ถุย) ด้วยการโกยโลด!


 

CUT! CUT! CUT!

“เดี๋ยวก่อน มาภา! ทำไมพี่ไม่เคยรู้ว่ามีฉากนี้อีกแล้ววะ” พี่เอื้อตาเหลือก

ผมกะพริบตาปริบๆ แล้วโปรยยิ้มแบบตัวสล็อธใส่พี่เอื้ออีกรอบ พี่เอื้อซึ่งแลดูจะรู้สึกรำคาญลูกตาเอื้อมมือมาหยิกแก้มผม “มา-ภา อธิบายมา”

“กะ ก็ตอนนั้นผมก็วิ่ง”

“อาฮะ”

“...ไปทางป้อมยาม”

“...”

“แล้วทุกคนก็สลายตัวไป ก่อนไปตะโกนว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ ผมก็เลยไปที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัย แจ้งเรื่องนี้ พวกพี่เขาให้ช่วยเช็กกล้องวงจรปิด แล้วก็เอาไปแจ้งความ จากนั้นพวกนั้นก็ไม่มารังควาญกันอีกเลย.........สาธุ”

“...”

-เป็นการตัดสินใจที่มีสติและไม่แมสมากครับ-

“เอ้า ไม่งั้นจะให้ทำยังไง อัดทุกคนลงไปกอง เป็นนายเอกแมนๆ งี้เหรอ แล้วเสร็จก็พลาด โดนตีหัวลากไปจะถูกปล้ำ พระเอกก็โดนโทรไปข่มขู่ พอออกมาเจอกับนางร้าย นางร้ายก็บอกให้พระเอกยอมเป็นแฟนเธอซะแล้วจะปล่อยนายเอกไป พระเอกโกรธมาก เพื่อจะตามหานายเอกและขยี้นางร้ายก็เลยใช้พลังลูกคนรวยผู้มีอิทธิพลเส้นใหญ่เท่าเส้นก๋วยจั๊บน้ำใสไม่ใส่เครื่องใน...หิวแล้วว่ะ”

••กินไหมพี่ ผมจะออกไปซื้อเนี่ย••

พอน้องรหัสผมพูดขึ้นมา ผมก็สังเกตว่าตอนนี้ปาไปบ่ายกว่าแล้ว ดูเหมือนผมจะเล่าเพลินจนลืมกิน

“ก๋วยจั๊บน้ำใสไม่ใส่เครื่องในยกเว้นกึ๋น”

“หมี่เกี๊ยวหมูแดงสองห่อ แยกน้ำนะ”

-ข้าวมันไก่ไม่เอาหนัง สองห่อ ขอน้ำแกงเพิ่มด้วย...โวะ กูไปด้วยดีกว่า-

“นี่ เอา เอาเงินไป” พี่เอื้อส่งเงินให้น้องรหัสผมกับน้องเอกคนสัมภาษณ์ที่เดินออกไป ผมรู้สึกเริ่มนั่งนานชักเมื่อยเลยขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ ห้องชมรมจุลสารตั้งอยู่ในตึกรวมที่ใช้ร่วมกันกับอีกสามสี่ชมรม ดังนั้นห้องน้ำจึงต้องออกไปใช้ของส่วนกลาง ส่วนพี่เอื้อตอนที่ผมเล่ามีหนีออกไปเข้ามาบ้างแล้ว ก็เลยโบกไม้โบกมือไล่ให้ผมไปเข้าเองคนเดียว

“พี่ ปกติเราต้องรักกันดูดดื่มไปไหนไปด้วยกันปานแฝดสยามเอวติดกันสิวะ”

“จะเอาพี่ไปฉี่ด้วยเหรอ? อายุกี่ขวบแล้ว”

“...” เห็นไหม ตรงไหนที่แมส ตรงไหน!

ตอนกลับมาเห็นพี่เอื้อกำลังจัดชั้นหนังสือของชมรมที่ก่อนนี้ถูกยัดไม่เป็นระเบียบให้เรียงกันตามหมวดหมู่ ด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ...ครับ ตาคนนี้จริงๆ ยังคงเป็น OCD เหมือนเดิม

สักพักหนึ่งน้องเอกกับน้องรหัสผมก็กลับมา ในมือมีขนมหลายอย่างติดมือกลับมาด้วย พอเห็นขนมบ้าบิ่นในมือ (และในปาก) น้องรหัส ผมก็นึกขึ้นมาได้

“เออว่ะ วันนี้ตลาดนัดนี่หว่า ลืมไปเลย รู้งี้ฝากซื้อก๋วยเตี๋ยวหลอดก็ดี”

-ผมซื้อมาแล้วพี่ แบ่งกันกินได้-

••มีทาโกะยากิด้วยนะ เกี๊ยวทอด ลูกชิ้นหมู••

ขอพักกองกินข้าวกลางวันสักครู่...

ระหว่างพักกินข้าวไป พวกผมก็เริ่มนั่งเม้าท์นอกเรื่องกันไปด้วย ดังนั้นกินๆ อยู่ ผมก็เลยนึกถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาได้

“เราขาดความเป็นแมสที่แท้จริงไปอย่างหนึ่ง” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่จริงจังได้ไง นี่เรื่องคอขาดบาดตาย

“อะไร”

“พี่หรือผม ไม่มีใครเรียนหมอหรือเรียนวิศวะเลย”

พอผมพูดจบ พี่เอื้อก็หัวเราะก๊ากออกมา “โฮ้ย ถ้าเรียนหมอแล้วจะยังมีเวลามาเล่นจีบกันกับน้องไหมล่ะครับ ปิดเทอมมีไหมนี่ยังสงสัย ดีไม่ดีต่อให้กลายเป็นตุ๊กตากบก็ต้องลากสังขารไป”

“เอ้า ก็ในนิยายยังดูมีเวลาว่างเยอะแยะถมไป”

“อย่าเอาหมอปลอมมานับสิ! ไม่สิ ยังเรียนไม่จบ ไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์ เรียกเป็นหมอได้ที่ไหนกัน นักศึกษาแพทย์ปลอม!”

“จะว่าไป ทำไมพี่ไม่เรียนวิศวะนะ” ผมนึกขึ้นได้

“อ้อ ตอนโอเพ่นเฮ้าส์มาดูหลักสูตรแล้ว พี่อยากเรียนเน้นไปทางซอฟต์แวร์มากกว่าน่ะ แล้วที่นี่ก็มีเมเจอร์ที่ทางโน้นไม่มี พี่สนใจฝั่งนี้มากกว่า จริงๆ ถ้าทางวิศวะมีเมเจอร์ที่ชอบก็คงไปนะ”

“อ๊ะ เหมือนผมเลย ผมก็มาตัดสินใจตอนโอเพ่นเฮ้าส์เหมือนกัน จริงๆ ดูมหา’ลัยในเมืองไว้ด้วย แต่ไกลเกิน ที่นี่ใกล้บ้านกว่า ตอนนั้นดูโปรเจ็กต์ของพวกรุ่นพี่ก็รู้สึกว่าน่าสนใจที่สุดเท่าที่ดูมา”

“ใช่มะ เลือกเรียนมันต้องเลือกกันที่หลักสูตรสิ” พี่เอื้อพยักหน้าหงึกหงัก น้องเอกที่นั่งฟังอยู่ก็พลอยพยักหน้าไปด้วย ทำมาทำไปก็เลยนอกเรื่องไปคุยเรื่องวิชาที่เรียนกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนผมจะตบท้าย

“แต่เนี่ย ไม่มีหมอไม่มีวิศวะ ไม่แมสแล้วอ่ะ”

พี่เอื้อหัวเราะก๊าก

“คือมันก็ฮิตเหลือเกิน วันก่อนผมไปเดินดูแผงหนังสือกับไอ้จิ๊บบี้ เจ็ด ไม่สิ แปดในสิบของแนววัยรุ่นที่เรียนมหาวิทยาลัยต้องสองคณะนี้”

“เออ ก็อาจจะเป็นภาพจำงี้ สองสายอาชีพที่รวมเด็กไฮโปรไฟล์ หมอก็จะให้ภาพลักษณ์ของความฉลาดไง พระเอกฉลาดอะ” พี่เอื้อตอบแบบมีหลักการ

ผมหัวเราะ “เออๆ วันก่อนไอ้จิ๊บบี้มันมาเล่าให้ฟัง นิยายที่มันอ่าน หมอ...”

“ยังไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์ เราเรียกนักศึกษาแพทย์” พี่เอื้อขัด

“จ้ะ เอาใหม่ นักศึกษาแพทย์แค่วินิจฉัยโรคแบบมองปราดเดียวรู้โรคเลย จ่ายยา มีแทงเข็มให้เพื่อนด้วย” ผมทำท่าจับเข็มฉีดยา อันที่จริงแทงเข็มนี่ผมก็แทงได้ เพราะแทงแทงก์ปริ้นเตอร์เถื่อนบ่อยๆ เพียงแต่ผมถือเข็มแล้วเหมือนเด็กติดยาสลัมข้างๆ มากกว่าจะดูทรงภูมิเท่านั้นเอง แค่กๆ

“โฮ่”

•• จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป พี่สู้พระเอกนิยายผมที่เรียนปีสองปีสามก็ผ่าตัดใหญ่แล้วได้ไหมล่ะ••

ผมหัวเราะพรืด “สงสัยคนเขียนจะชอบอ่านการ์ตูนหมอเทวดา แต่แหม พวกเรียนวิศวะนี่หลายเรื่องเจอวิศวะคอมนะ ขำก๊ากทุกที ไอ้แบบแฮ็กแข่งกับโปรแกรมดักจับที่เราล่อมันไปทางโน้นเร็วๆๆๆ แล้วเราก็เข้าไปทางนี้...ตกลงมันทำได้จริงๆ ป่ะพี่”

“พี่จะไปรู้ได้ยังไงวะ จำไมได้เหรอ ตอนนั้นออฟฟิศไม่มีเน็ต เราจะแอบขโมยรหัสไวไฟออฟฟิศข้างๆ ยังไม่ได้เลย”

“เออ ใช่ สุดท้ายเราก็ส่งพี่ไปหล่อๆ ไม่ต้องแฮ็ก ก็ได้รหัสทุกสิ่งของบริษัทข้างๆ มา เขาแทบจะยกเราเตอร์ให้ถือกลับมาด้วย”

พี่เอื้อกลอกตา “หึ จริงๆ แล้วเกือบได้เจ้าของบริษัทกลับมาด้วยเลย แม่งเอ๊ย ไม่รู้ชาติก่อนเคยเกิดเป็นหมึกทะเลมาก่อนหรือเปล่า พัวพันเหลือเกิน”

“นี่พี่โดนนวดลำไส้อีกแล้วเหรอ”

พี่เอื้อไม่ตอบ และผมดูจากสีหน้าแล้วคิดว่าไม่ถามต่อจะดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า จึงวกกลับเรื่องเดิม

“ตกลงทำไมวิศวะถึงฮิตนะ”

••ตบจูบไงพี่ ตบจูบ แบบเถื่อนๆ••

ไอ้น้องรหัสผมแทรกขึ้นมาทันที

“เออๆ นี่ก็นับเป็นค่านิยมเก่าแก่ในประเทศเราก็ได้เหมือนกันนะ ลุงพิศาลงี้” พี่เอื้อทำท่าคิดจริงจัง ก่อนเสริม ของเราก็พอได้นะ ถึงจะไม่มีตบ แต่จูบเยอะอยู่”

“พอย้อนกลับไปทบทวนดู ผมก็เสียดายที่ไม่ได้ตบพี่อยู่หลายฉากเหมือนกัน” ผมหักนิ้วดังกร็อบๆ

-ถ้าแนวตบจูบ ไปทางจำเลยรักฮิตกว่าไหมครับ-

“เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น~” ผมร้องเพลง “แต่เฮ้ย ก็มันสนุกนะเว้ย ลักพาตัวกักขังตบจูบ”

“ตกลงน้องเดือนชอบแบบนั้น?”

“ไม่ครับพี่ เราเป็นฟีลกู๊ดก็พอแล้วครับ” ผมรีบส่ายหัวเป็นพัลวันก่อนพี่ท่านจะเกิดเฮี้ยนเอาจริงขึ้นมา คือจะไปจับขังเกาะอะไรก็เอาเถอะ แต่ที่รับไม่ค่อยจะได้คือสุขอนามัย ขอนอนกลิ้งเกลือกอยู่บ้านดีกว่า

คุยกันเรื่องนี้ไปเรื่อยก็พอดีกินข้าวหมด พวกผมช่วยกันรวบถุงออกไปทิ้ง ก่อนหาของหวานล้างปาก จากนั้นก็กลับมานั่งแหมะบนโซฟาตัวเดิม

“อ้า จะว่าไปก็คิดถึงสมัยก่อนเลยนะ ที่เรานั่งถกเรื่องนิยายกัน”

“ทำไมตอนนั้นเราไม่ขอเปิดชมรมวรรณกรรมวะพี่” ผมพยายามนึกแต่นึกไม่ออก

“พวกคณะสังคมเอาไปแล้วอ่ะเดะ”

“ตอนแรกที่เราเอามาคุยกันมันยังเป็นวรรณกรรมเยาวชน แฟนตาซีโรงเรียนเวทมนตร์ ไม่ก็พวก YA (Young Adult) อยู่เลย ทำอีท่าไหนเรามานั่งอ่านแล้ววิเคราะห์นิยายวายกันวะ” ...ใครมันเป็นคนริเริ่ม ที่เลวกว่าคือทุกคนก็เสือกอ่านตามๆ กันไปนี่แหละ มีน้องสาวๆ หลายคนที่ตอนแรกๆ ทำหน้าปุเลี่ยนๆ ตอนอ่าน แต่ทำไปทำมา จู่ๆ ทุกคนก็เข้ารีตกันไปหมด แม่งยังกับลัทธิอ่ะ เป็นชมรมเกย์จริงๆ ดว้ย

“จิ๊บบี้ไง”

-จิ๊บบี้ครับ-

••ไอ้จิ๊บบี้ไง••

พอสมาชิกและอดีตสมาชิกทั้งสามประสานเสียงกัน ผมจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ “อ้อ เออว่ะ ไอ้จิ๊บบี้”

พูดก็พูดเถอะ ไอ้จิ๊บนี่ถือเป็นผู้นำเข้านิยายวายรายใหญ่สู่ชมรมจุลสาร จะว่าไปนิยายวายครึ่งตู้นี่ก็ทรัพย์สินที่มันพลีให้กับสถาบัน...ประกอบกับอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมพวกผมก็เป็นสาววาย ไอ้ชมรมนี่มันก็เลยไปกันใหญ่ เรียกว่ากู่ไม่กลับอย่างแท้จริง

••ช่าย ไอ้จิ๊บบี้ผู้พาทุกคนเข้ารีต••

น้องรหัสผมมีสีหน้าเจ็บปวด...นี่ไปโดนไอ้จิ๊บทำอะไรมาวะ จะว่าไป “เอ๊ะ ไอ้จิ๊บเป็นเอเย่นต์ให้เช่ายืมการ์ตูนวายรายใหญ่ของคณะเราไม่ใช่เหรอ”

ทั้งน้องเอกและน้องรหัสผมพร้อมใจกันไอโขลก

“เอ๊ะ จะว่าไป ไอ้จิ๊บบี้มันก็จบโรงเรียนเดียวกับพวกแกสองคนนี่”

ไอ้สองคนไอกันอีกรอบ

••พี่เดือน นี่ผมอุตส่าห์ลืมไปพร้อมกับการจากไปของไอ้จิ๊บแล้วนะ••

“จิ๊บบี้มันยังไม่ตายโว้ย” ...ป่านนี้จามจนจมูกหลุดไปแล้วมั้งนั่น

-จะว่าไป จิ๊บบี้ทำงานกับพวกพี่นี่นะครับ-

“ใช่ ไอ้ที่มันโทรมาตะกี้ไง นี่ป่านนี้น่าจะไปปะฉะดะกับโรงพิมพ์อยู่”

“คนเลือกเรื่องหลักให้สนพ. เราก็น้องจิ๊บแหละ” พี่เอื้อเสริม ทำเอาผมคิดอะไรขึ้นมาได้จนต้องตบเข่า (พี่เอื้อสัก) ฉาด

“อ้อออออออ มาเป่าหูร้องแมสๆ ใส่พี่แบบนี้ แสดงว่าไอ้จิ๊บบี้มันเตรียมเสนอไลน์นิยายวัยรุ่นแล้วใช่ไหมเนี่ย” ผมเหล่มองพี่เอื้อที่ทำเป็นยกน้ำขึ้นจิบแบบไม่รู้ไม่ชี้

-อ้อ จะว่าไปพวกพี่เปิดสนพ. กันนี่นะครับ-

“ช่าย เอาเรื่องตอนทำสนพ. ดีกว่ามะ สนุกกว่าไอ้ที่เหลือเยอะเลยนะน้องเอก” ผมยังคงไม่ละความพยายาม

-รบกวนเล่าต่อด้วยนะครับ-

“เชอะ...ก็ได้ แต่บอกก่อน พี่เตือนแล้วนะ”


----------------------------------------------------------------------------

บันทึกแนบท้ายตอนที่ 21

ตอนเขียนถึงซีนนี้ เราก็คิดหลายทีว่าจะโดนเด้งไหมว้า คนอ่านจะไม่โอเคไหมเนี่ย แต่คิดไปคิดมา คนแบบพี่เอื้อการย์ ยังไงก็ต้องชนตรงๆ ไม่ใช่คนที่จะหลับหูหลับตาปล่อยผ่านอยู่แล้ว และก็เป็นสิ่งที่เราอยากบอกมาตลอดด้วย

เราพูดหลายทีว่าเราคงจะไม่ได้เขียนงานประเภทดิสโทเปีย งานเล่าถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะแค่หน่วยเล็กที่สุดอย่างโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ยังมีตรงนี้อยู่เลย

นี่ไม่ต่อต้านการรับน้องนะคะ แต่เราคิดว่ารุ่นพี่ที่ควรค่าแก่ความเคารพของเราคือรุ่นพี่ที่แม่งช่วยเราได้จริง มหาวิทยาลัยที่เราเรียนที่อังกฤษ เขาจะมีให้รุ่นพี่ไปสมัครเป็นติวเตอร์ คอยช่วยรุ่นน้อง งานต้อนรับน้องใหม่คือกินเลี้ยงของทั้งภาคให้เด็กมาเจอหน้ากัน คุยกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ความน่ากลัวในแต่ละวิชา

หรือในแล็บเราก็มีพี่หลี่ที่คอยช่วยปลอบเวลาท้อ เป็นที่ปรึกษาเวลาที่ปรึกษาตัวจริงแผลงฤทธิ์ ซึ่งเราเคารพเขาจากใจ แม้จะเหล่ฮีบ้างที่ชอบหยิบของบนโต๊ะเราไป 5555+ (แต่ตอนนี้ฮีทิ้งเราไปแล็บที่อ็อกซ์ฟอร์ดละ ฮือๆๆๆ)

แต่เราเข้าใจนะ ในสังคมไทย ไม่ทำตามเขา เราคือตัวประหลาด กดดันชิบหายวายป่วง

จริงๆ นิยายเราก็คงเป็นเสียงตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ไม่ได้เสียงดังหรอกค่ะ คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก แต่ก็อยากถามอะ ว่ามันโอเคแล้วเหรอ

เอาว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น เราก็จะคงจุดยืนตรงนี้แหละค่ะ จริงจังนะ ด้วยรัก คือเราสามารถหัวเราะ ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้มันผ่านไปได้ แต่คิดว่าไม่ดีกว่า

เขียนหนังสือแบบไม่ยืนหยัดในจุดยืนตัวเอง เราก็ไม่รู้จะเขียนไปทำไมเหมือนกันเด้อ

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

22


เล่าถึงไหนแล้วนะ อ้อ ก็เจอคนรุมแล้วก็หนีไปแจ้งกับฝ่ายรักษาความปลอดภัย แล้วก็ให้เขาช่วยดำเนินเรื่องให้หน่อย แล้วก็ไปลงบันทึกประจำวันไว้ กว่าจะจัดการเรื่องเรียบร้อยพี่เอื้อก็เสร็จงานสโมฯ พอดี พอเจอหน้ากันก็เรียกผมไปกินข้าวเย็นพร้อมคนในสโมฯ แล้วก็แวะไปต่อกันที่คาราโอเกะ กว่าจะถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว ดังนั้นที่ลืมเล่าเรื่องนี้จึงไม่ใช่ความผิดผมแต่อย่างใด

พอกลับถึงบ้านพวกผมสองคนหมดแรง พี่เอื้อคืนร่างกบ ส่วนผมก็อาบน้ำแล้วก็เข้านอน

ตอนเช้าก็ถูกพี่เอื้อมาบังคับปล้นจูบ จริงๆ ช่วงสเตจนี้ควรเรียกว่าสเตจปากเจ่อ โดนจูบจนเจ่อไปหมดแล้ว จูบเสร็จรูปหล่อก็พูดอะไรสักอย่างที่ผมง่วงเกินกว่าจะสนใจ ตื่นมาอีกทีก็เที่ยง ลงมาด้านล่างก็เห็นโน้ตเตือนให้อุ่นข้าวกินเอง ก่อนกินก็มีข้อความส่งมาบอกว่าประชุมสโมฯ รอบสองเลิกช้า เดี๋ยวจะกลับไปอีกทีตอนข้าวเย็น

ผมที่ว่างงานก็นั่งทำแบบฝึกหัด ช่วยตะวันเอาผ้าไปตาก นั่งเล่นเกมกับน้อง จากนั้นก็กลิ้งไปกลิ้งมา จนกระทั่งเย็น พี่เอื้อก็ยังไม่กลับมา ตอนนั้นด้วยความว่างงานก็นึกได้ว่าโคมไฟหน้าบ้านยังคงติดๆ ดับๆ ทำตัวเป็นไฟหนังผี ก็เลยไปหยิบหลอดใหม่มาเปลี่ยน

ด้วยความที่ส่วนสูงผมมีจำกัด เลยจำเป็นต้องใช้บันไดช่วย และตอนนั้นเองที่บันไดเจ้ากรรมมันเกิดการการอ่อนไหว ทำให้ผมที่กำลังเปลี่ยนหลอดอยู่สะดุ้ง อารามตกใจเลยคว้าโคมไฟไว้ ส่วนบันไดก็ล้มชนกับประตูบ้านดังโครม หลอดไฟแตกดังเพล้ง ตัวผมห้อยต่องแต่งอยู่กับโคมหน้าบ้าน

...และนั่นคือภาพที่พี่เอื้อเห็นตอนกลับมา “เฮ้ย เดือน!”

“โดราอะเอื้ออออ ช่วยผมด้วยยยย”

ฉากนี้ควรจะโรแมนติก แบบว่าพระเอกโอบเอวแล้วพาลง แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งทุลักทุเล กว่าผมจะลงมาได้ก็แทบแย่ สุดท้ายเลยโดนพี่เอื้อเอ็ดยกใหญ่

“จะใช้อะไรก็สำรวจอุปกรณ์ก่อนสิ” พี่เอื้อที่กู้ซากบันไดขึ้นมากำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของประตูบ้านซึ่งดูเหมือนจะเกิดรอยเหมือนคนเอาขวานทุบในหนังสยองขวัญ

ผมที่ขวัญยังบินหายไปไม่กลับมาได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก พี่เอื้อเห็นแล้วเลยยอมทำตัวเป็นคนดี ลูบหัวปลอบใจ “คราวหน้าเรียกพี่นะ โอเค้”

จากนั้นพี่เอื้อก็จูงผมกลับไปนั่งในบ้าน ส่วนตัวเองก็ออกไปเก็บกวาดซากหลอดไฟก่อนจะกลับเข้ามาทำข้าวเย็น กว่าจะถึงตอนนั้นสภาพผมก็ดีขึ้นแล้ว เลยไปเป็นลูกมือเชฟเหมือนเดิม

อ้อ ลืมเล่าไป หลังจากซื้อข้าวถุงกันมานาน ในที่สุดเราก็มีหม้อหุงข้าว และผมที่ไร้ประโยชน์ในการทำครัวที่สุดก็เลยต้องหัดเรียนวิธีใช้งานไปโดยปริยาย

ระหว่างกำลังเตรียมอุปกรณ์ พี่เอื้อก็พูดขึ้นมา “ไว้เดี๋ยวลองทำไข่ตุ๋นหม้อหุงข้าวดีกว่า”

“เห มันทำได้ด้วยเหรอ”

“อืม ตอนไปซื้อคนขายเขาดีเทลมาเป็นชุด มีนี่ด้วย...” พี่เอื้อหยิบเอาสิ่งที่หน้าตาคล้ายถาดพลาสติกเจาะรูออกมา “ถ้าวางแบบนี้ก็จะกลายเป็นตะแกรงนึ่ง เอาไว้นึ่งนั่นนี่ได้แล้ว”

“โอ้...แบบนี้ก็กินปลานึ่งได้แล้วใช่ป่าว”

“คิดว่านะ ไว้ลองดู”

“อยากกินซูชิด้วยอ่ะ” พอได้ทีผมก็พูดถึงของกินที่อยากกินออกมาโดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับเมนูที่กำลังคุยกันอยู่ก่อนหน้านี้แต่ประการใด

“เดี๋ยวไว้ขอทดลองทำไข่ม้วนก่อน คราวก่อนซื้อกระทะมายังไม่ได้ลองสักที”

“ไอ้กระทะเหลี่ยมๆ นั่นอ่ะนะ”

“ช่าย แล้วนี่ถ้าว่างนักก็ช่วยตอกไข่หน่อย”

“พี่อยากเสริมแคลเซียมเหรอ” ...ให้ผมตอกนี่เกรงว่าจะได้เปลือกเป็นของแถม

พี่เอื้อกลอกตาใส่ผม ก่อนยัดเอาชามที่มีเต้าหู้ก้อนวางอยู่ “ยี...โอเค ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น เอาว่าเหมือนบดแต่ไม่ต้องละเอียดมาก ให้ยังเห็นเป็นก้อนๆ อยู่”

“รับแซ่บ”

ผมบดๆ แป๊บเดียวก็เสร็จ พร้อมกันนั้นก็เห็นไข่เจียวทอดเสร็จเรียบร้อย พี่เอื้อเหลือบมองชามเต้าหู้ในมือผม ก่อนจะบอกให้พอได้แล้ว “แล้วก็อย่าแอบชิมเว้ย”

“นิดเดียว”

“ไปหยิบจาน เอาข้าวเหนียวกับไก่ออกมาจากกระติกเก็บความร้อน แล้วก็อุ่นด้วย”

“...เห นี่กระติกนี้ท่านได้แต่ใดมา”

“ป้าร้านไก่ย่างตึกวิศวะหนา ท่านให้” พี่เอื้อตอบระหว่างทำอะไรกุกกักอยู่หน้าเตา พอชะโงกไปดูก็เห็นเห็ดแล้วก็ได้กลิ่น...โคตรหอม

“ท่านทำสิ่งใดฤา วานบอก” ผมพยายามปาดน้ำลายตัวเองอย่างเต็มที่ขณะจัดจานจัดช้อนส้อมเตรียมกิน

“เราหล่ออยู่เฉยๆ ท่านก็ให้ เรามา”

“...” กูไม่น่าถามเลย ถามทำไมกันเนี่ย! ถามทำไมกัน!

“เอ้าหลบ” พี่เอื้อหันมาหยิบชาม พอเห็นผมทำท่าจะกินก็แอบชิมก็ตีมือ “ไปแกะแกงส้มโน่น”

ผมที่พลาดโอกาสได้แต่แบกคิ้วตกๆ ของตัวเองไปแกะแกงส้มมาเทใส่จาน “ว้าว แกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว”

“น่าจะไข่ปลาแช่แข็งนะ”

“ไม่เป็นไร ลิ้นผมแยกไม่ออกหรอก”

“ดี เลี้ยงง่ายดี” พี่เอื้อชื่นชมก่อนจะไปจัดการทำลาบเต้าหู้

พอตั้งโต๊ะเรียบร้อย พี่เอื้อก็วางจานเปล่าใบหนึ่งลงตรงกลาง และแกะไก่ให้แบบรู้หน้าที่ ส่วนผมก็กินลูกเดียว ฮือๆๆๆ หนังไก่กรอบๆ เนื้อนุ่มๆ ชุ่มฉ่ำ “ทำไมปกติผมไปซื้อแล้วได้แต่ไก่แห้งๆ วะ...อ้อ พี่หล่อ”

“ก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่”

แล้วทำไมคนหล่อถึงต้องได้สิทธิ์พิเศษมากกว่าวะ...ฟ้องสคบ. จะรับฟ้องไหมเนี่ย

พอผมกินเสร็จพี่เอื้อก็พาออกไปเดินย่อย แล้วกลับมาอาบน้ำเหมือนเคย ระหว่างนั้นผมก็พลันนึกถึงคำสั่งเสียเมื่อวานนี้ของภาธีขึ้นมาได้ ตอนแรกก็คิดว่ามันบ้าหน่อยๆ แต่คิดไปคิดมา ก็แบบที่พี่เอื้อชอบพูดบ่อยๆ เราไม่ควรหาตรรกะอะไรกับเรื่องนี้แต่แรก เพราะถ้าคำสาปเสกคนเป็นตุ๊กตากบยังมี อะไรบ้าบออย่างอื่นมันก็ควรมี

ดังนั้นจะลองหาคำตอบในกูเกิ้ลสักนิดคงไม่เป็นไร ผมเลยนั่งคิดว่าจะพิมพ์อะไรลงไปในช่องค้นหาดี “อืมมมม”

“หืม จะหาอะไร ทำไมทำหน้าจริงจังขนาดนั้น” พี่เอื้อที่อยู่ในร่างกบปีนขึ้นมาบนตักผม

“หาวิธีทำให้พี่คืนร่างเดิมไง”

“กูเกิ้ลเนี่ยนะ” พี่เอื้อพ่นหัวเราะ “ไม่โพสต์กระทู้ลงพันทิปเลยวะ”

“...เออ ความคิดดี ตั้งหัวข้อว่าอะไรดี ‘ทำยังไงดี ผมกลายเป็นตุ๊กตากบ’ ดีป่ะ”

“ได้ ต้องแท็กห้องอะไรบ้าง ห้องศาสนา? หว้ากอนี่จะโดนด่าเอาไหมวะ แม่งโคตรไม่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือห้องการ์ตูนดี...บ้าหรือเปล่าวะ!” ผู้ชายคนนี้ยิงมุกเสร็จก็ชิงตบทั้งมุกและทั้งหัวผมไปในเวลาเดียวกัน

“ห้องหว้ากออาจจะตอบได้นะเว้ย อย่าลบหลู่”

“นี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด!”

“งั้นก็ห้องศาสนาไง”

“ไสยศาสตร์นับเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาหรือเปล่า”

“จิ๊ ขอค้นแป๊บ เอ๊ย มีห้องพรหมชาตินะ...เฮ้ย พี่ ห้องนี้ต้องใช่แน่ๆ”

“พอแล้ว!”

ผมคีบพี่เอื้อที่เต้นเหยงๆ บังหน้าจอโน้ตบุ๊คของผมออก จากนั้นก็พิมพ์คำค้นหาลงไป

‘วิธีถอนคำสาปตุ๊กตากบ’

เดิมทีผมคิดว่าผลการค้นหาที่ปรากฏบนหน้าจอผมจะมีแต่เรื่องเกี่ยวกับเจ้าชายกบ ผมจะได้ถอนหายใจแล้วพูดได้ว่า ‘เฮ้อ ว่าแล้วเชียว’ ทว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นมากลับเป็นลิ้งก์เกี่ยวกับเรื่องคุณไสย การถอนคำสาป แก้อาคม ตัดกรรม หยุดคำสาปแช่ง “...นี่มันอะไรวะเนี่ย”

“...ประเทศไทยเมืองพุทธ” พี่เอื้อยกมือขึ้นแปะหน้าผากตัวเอง

ด้วยความที่ยังไงก็ไม่มีทางเลือกอื่น ผมเลยกดไล่ไปเรื่อย ส่วนใหญ่เป็นคาถายาวเหยียดให้ขอขมาที่เคยไปลบหลู่อะไรไว้ ไม่ก็มีเป็นจัดพิธีชุดใหญ่ “...นี่เราควรลองทำตามไหมเนี่ย แบบไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

“ไม่รู้ รู้แต่ฉันเปิดหูเปิดตาขึ้นเยอะ” พี่เอื้อบ่นงึมงำขณะดูคลิปตุ๊กตาผีสิง

ผมเลื่อนไปอ่านคำบรรยายใต้วิดีโอ ก่อนจะเห็นว่ามีลิ้งก์ไปยังเว็บไซต์ ‘สมาคมแม่มดสาวพราวเสน่ห์’ ก็เลยลองคลิกเข้าไปดู หน้าจอของผมปรากฏสีดำสนิท จนตอนแรกนึกว่าถูกไวรัส แต่สักพักก็ค่อยๆ ปรากฏตัวอักษรสีขาว ผมเห็นปุ่ม ‘คำร้องขอแก้คำสาป’ ก็เลยคลิกไปดู ในนั้นมีแบบฟอร์มอยู่

“เว็บอะไรเนี่ย” พี่เอื้อที่ตอนนี้เอนตัวพิงอกผมเอ่ยด้วยความสงสัย

ผมมองเห็นคำเตือนด้านบนที่เขียนว่า ‘ก่อนจะทำการกรอกแบบฟอร์ม กรุณาเช็กเงื่อนไขภายในหน้า ‘คำสาปประเภทที่ 7.3’ ก่อน’ ด้วยความไม่คิดอะไรก็เปิดหน้าเว็บนั้นขึ้นมาในหน้าต่างใหม่ ก่อนจะเช็กจากแถบด้านข้าง “โอ๊ะ มีคำสาปเป็นตุ๊กตาด้วยล่ะ”

พอคลิกไปก็เจอเข้ากับรายละเอียดและตัวอย่าง “ดูยังไงมันก็ตุ๊กตาธรรมดา”

“เดี๋ยวก่อน ตรงนี้เขียนว่า เพื่อการตรวจสอบ ให้ลองพลิกป้ายของตุ๊กตาดู ถ้าเป็นตุ๊กตาที่กลายร่างมาจากมนุษย์ จะมีเลขซีเรียลขึ้นต้นด้วยตัวเอช และส่วนของแหล่งผลิตจะเขียนว่าเมดอินนอร์ธโพล”

ว่าแล้วผมก็ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวป้ายที่ปริเวณหลังของพี่เอื้อมาอ่านดูทันที แว่วเสียงพี่เอื้อหัวเราะ แต่ผมในตอนนั้นชะงักค้างไปแล้ว

“ว่าไง เมดอินไชน่า?”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “มะ เมดอินนอร์ธโพล ระ รหัสเอชสองศูนย์แปดแปดสอง”

“...” พวกผมมองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับไปมองเว็บไซต์อีกครั้ง

“ไหนลองอ่านรายละเอียดวิธีถอนคำสาปซิ”

ผมเลยกลับไปหน้าเมื่อครู่อีกครั้ง ปรากฏว่าฟอร์มนี้เหมือนจะเป็นฟอร์มคำร้องให้ส่งเรื่องเข้าไป และน่าจะได้รับการตอบกลับมาทางอีเมล ผมกับพี่เอื้อเห็นว่าไม่มีอะไรจะเสีย ก็เลยกรอกข้อมูลลงไป

ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีอีเมลตอบกลับมา ภายในนั้นเป็นเพียงข้อความตอบรับอัตโนมัติ เห็นดังนั้นผมกับพี่เอื้อก็เลยถอนหายใจ “อาจจะแค่บังเอิญล่ะมั้ง”

“...ก็อาจจะ” ผมนิ่วหน้าขณะดูป้ายที่หลังของพี่เอื้ออีกครั้ง...เมดอินนอร์ธโพล

ขณะที่เราสองคนต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นั้น โทรศัพท์พี่เอื้อก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลกๆ ไม่รู้จัก ดูจากเวลาก็ไม่น่ามีบริษัทประกันที่ไหนโทรมาตอนนี้

“เมื่อกี้นายใส่เบอร์ฉันลงไปหรือเปล่า”

“เออ จริงด้วย” คิดได้ดังนั้นผมก็รีบรับสาย โดยเปิดสปีกเกอร์โฟน

((สวัสดีค่ะ ดิฉันเทเรซ่า จากสมาคมแม่มดสาวพราวเสน่ห์สาขาดาวโลก ทางเราได้รับคำร้องของคุณ...เอื้อการย์เมื่อสักครู่นี้))

ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน ก่อนพี่เอื้อจะเป็นฝ่ายพูดคุย หลังเล่าเรื่องเรียบร้อย ปลายสายก็บอกให้รอสักครู่ ก่อนจะกลับมา ((ทางเราต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่แม่มดในสมาคมของเราใช้อำนาจในทางมิชอบนะคะ ตอนนี้เราได้ทำการส่งประกาศจับไปทางสมาคมผู้ล่าแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาสักสามถึงเจ็ดวันเพื่อส่งเรื่องไปยังสาขาเอเชีย และอีกสองถึงสามวันเพื่อส่งคนไปยังประเทศของคุณเอื้อการย์ค่ะ))

“แล้วผมจะคืนร่างเดิมได้ยังไง”

((ถ้าคุณเอื้อการย์ต้องการถอนคำสาปแบบเร่งด่วน สามารถโทรติดต่อไปทางแผนกกำจัดคำสาปค่ะ แต่จะต้องมีค่าใช้จ่ายต่างหาก จะให้ดิฉันโอนสายให้เลยไหมคะ))

พอได้ยินคำว่าค่าใช้จ่าย ผมกับพี่เอื้อก็หันมามองกันในทันที ผมขยับปาก ‘พวกต้มตุ๋นหรือเปล่า’

“ช่วยโอนสายให้ด้วยครับ” พี่เอื้อเอ่ย หลังจากนั้นก็มีเสียงเพลงเบาๆ คลอออกมา พร้อมเสียงของระบบที่แจ้งว่าขณะนี้มีผู้ติดต่อเป็นจำนวนมาก ให้รออย่างน้อยสิบห้านาที

ระหว่างนั้น ผมกับพี่เอื้อก็นั่งคุยกัน “พี่ว่า...นี่มันของจริงไหมเนี่ย”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” พี่เอื้อส่ายหัว “เอาไว้ถึงเวลาก็ถามตรงๆ เลยแล้วกัน”

พวกผมรอกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าสายจะว่าง ปลายสายแนะนำตัวเองเรียบร้อย ก็ถามถึงปัญหาทันที พี่เอื้อก็เล่าเรื่องเดิมให้เธอฟังอย่างใจเย็น ซึ่งก็ได้รับคำพูดเชิงขอโทษมาอีกครั้ง ก่อนจะปิดด้วย ((ฉันสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่ในประเทศของคุณให้ช่วยจัดการเรื่องนี้ได้ค่ะ แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย))

“ผมขอพูดตามตรงเลยนะ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าพวกคุณไม่ได้เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ

(((ถ้าคุณลูกค้ากังวลใจ ทางเรามีตัวทดลองใช้ให้คุณลูกค้านำไปทดลองก่อนได้ฟรีค่ะ))

“คุณบอกรายละเอียดมา”

หลังจากนั้นพวกผมก็ถูกถามถึงที่อยู่ ทางนั้นยืนยันว่าจะจัดส่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ้าตามหาแม่มดที่หายไปพบ ก็จะแจ้งให้ทางพวกเรารู้

เมื่ออีกฝ่ายตัดสายไป ผมกับพี่เอื้อก็นั่งมองหน้ากันนิ่งๆ “นี่มันอะไรวะเนี่ยพี่”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

ผ่านไปสี่ห้าวันก็มีคนมากดออดหน้าบ้าน พอออกไปรับก็เห็นที่ไปรฯ ที่มาพร้อมกล่องให้เซ็นรับ บนตัวกล่องแปะชื่อ ‘สมาคมแม่มดสาวพราวเสน่ห์’ ตัวโตๆ

“...”

ผมมองหน้าพี่เอื้อ ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจ “แกะนะ?”

“แกะเลย”

ว่าแล้วผมก็เลยแกะ ตอนแรกก็ยังค่อยๆ บรรจง แต่หลังจากพบว่าแกะเท่าไหร่ก็ไม่จบไม่สิ้นสักที ผมก็เริ่มใช้พลังกงเล็บพิฆาตรื้อทิ้งแบบไม่มีความเกรงใจ “เว้ย ทำไมห่อเยอะขนาดนี้”

“แหม ไปรษณีย์ประเทศเรา ขนาดกำแพงเบอร์ลินยังแหลกเป็นเม็ดทราย นับประสาอะไรกับพัสดุ”

หลังแกะอยู่นาน ตะวันที่เดินออกมาจากห้องเห็นเข้าเลยส่งกรรไกรให้ตัด...เออ สิ้นเรื่อง

ด้านในนั้นเป็นขวดที่ดูคล้ายกับขวดน้ำหอม ภายในมีของเหลวสีชมพูอ่อนๆ บรรจุอยู่ มิน่าล่ะมันถึงได้ต้องห่อแน่นขนาดนี้

“...นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย” ผมยกขวดส่องดูด้วยความสงสัย

“มีคู่มือการใช้อยู่ในกล่องนะพี่เดือน” ตะวันหยิบเอาสมุดเล่มบางๆ ออกมาส่งให้ผม

ผมเปิดอ่านดู ก่อนสรุปคร่าวๆ “วิธีการใช้ จะต้องให้ผู้ถูกคำสาปกลับไปยังบริเวณใกล้เคียงกับที่ถูกคำสาปให้มากที่สุด จากนั้นก็ใช้ของเหลวในขวาดราดเป็นรูปวงกลมล้อมรอบผู้ถูกสาป...บลาๆๆๆ สรุปว่าถ้าสำเร็จก็จะคืนเป็นคนได้เจ็ดวัน”

“อืมมมม แปลว่า...นายต้องหิ้วฉันไปที่มหาวิทยาลัย”

“...พรุ่งนี้แล้วกัน ผมมีเรียนพอดี”

“เออ งั้นเก็บขวดใส่กระเป๋าดีๆ เอาอะไรห่อหน่อยเดี๋ยวแตก อย่าลืมล่ะ”

“พี่ไม่รีบหน่อยเหรอ แบบเร่งให้ผมไปวันนี้ตอนนี้เลย” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“จะรีบไปทำไมกัน คืนร่างช้าไปแค่วันสองวันไม่เป็นไรหรอกน่า” พี่เอื้อโบกไม้โบกมือ

“ชิลล์ไปไหมพี่”

“หวังมากเดี๋ยววืดแล้วมันจะเจ็บปวด” คุณพี่แกทำท่ากุมอก

“โธ่” ผมเลยดึงตุ๊กตากบมากอดหนุบหนับ ผมคือโดนตีหัวรัวๆ เป็นเกมตีตัวตุ่นเลย

 

วันถัดมาหลังเรียนเสร็จ ผมก็เดินออกมาที่บริเวณเดิมที่เคยเจอกับพี่เอื้อ ปัญหาทั้งหมด คือเรื่องของสถานที่และจังหวะเวลา บริเวณนี้ถึงยังไงก็เป็นทางเดินไปหน้ามหาวิทยาลัย ถ้าขืนมีใครเดินผ่านมาเจอชีเปลือยคงไม่งามตา แม้จะเป็นบริเวณหลังศาลาที่ไม่มีคนเดินผ่านมาสักเท่าไหร่ก็เถอะ

สุดท้ายผมแอบไปหาวิธีแฮ้บป้ายซ่อมทางกรุณาเลี่ยงใช้เส้นทางอื่นมาตั้งกั้นไว้ทั้งสองด้าน จากนั้นก็ให้พี่เอื้อยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ส่วนตัวผมก็ราดน้ำยาลงไปตามคู่มือ

พอเทจนหมดขวด ผมที่กำลังจะบ่นว่า ‘ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย’ ก็เห็นควันสีชมพูจางๆ อันเกิดจากน้ำยาบนพื้น เจ้าควันที่ว่าค่อยๆ หนาบทึบเสียจนบดบังร่างของพี่เอื้อเอาไว้ทั้งหมด ก่อนที่ควันดังกล่าวจะค่อยๆ รวมตัว กลายเป็นโครงร่างของมนุษย์ และอีกพริบตาต่อมา ตรงหน้าผมก็ปรากฏพี่เอื้อในร่างมนุษย์

“เฮ้ย แม่งได้ผล” พี่เอื้อมองตัวเองที่กลับร่างเดิมด้วยสายตาตื่นตะลึง ส่วนผมก็มัวแต่มองตรงอื่น อื้อหือ...

พี่เอื้อที่เหมือนจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองเปลือยท้าลมร้อนรีบดึงเอาเสื้อผ้าตัวเองที่ให้ผมถือเตรียมไว้มาสวมอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวอาหารตาของผมก็โดนบังจนหมด ฮือๆๆๆ

พอสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย พี่เอื้อกับผมก็ช่วยกันเอาป้ายซ่อมทางไปคืนที่ จากนั้นก็ไปนั่งกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะ ก่อนจะจิดต่อกลับไปที่เบอร์โทรที่เมื่อวานได้มา

ทว่าครั้งนี้กว่าจะต่อติดยากเย็นเหลือเกิน เดี๋ยวกดศูนย์ กดหนึ่ง กดสอง กว่าจะได้คุยกับมนุษย์ (หรืออะไรที่ใกล้เคียง) ก็ปาเข้าไปร่วมครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ต้องเสียเวลาอีกร่วมๆ ห้านาทีในการอธิบายปัญหาเดิม ก่อนปิดท้าย “ผมต้องการซื้อแพ็กเกจถอนคำสาปของคุณ”

((ทางเรามีค่าธรรมเนียมในการถอนคำสาปนะคะ))

“รบกวนบอกราคามาด้วยครับ” จังหวะนี้คนพูดแลดูจะหน้ามืด เท่าไหร่ก็จ่าย

((สองพันเหรียญค่ะ))

พี่เอื้อหันมาหาผมให้เช็กค่าเงินให้ “ตอนนี้ดอลล่าร์เท่าไหร่”

“เอ่อ สามสิบสองบาทกว่า”

“งั้นก็หกหมื่นกว่าบาท...”

((ขออภัยนะคะคุณลูกค้า เหรียญในที่นี้ของทางเราคือเหรียญทองคำบริสุทธิ์ค่ะ หนึ่งเหรียญมีส่วนของทองประมาณแปดกรัมค่ะ ทั้งหมดคือทองประมาณสิบหกกิโลกรัมค่ะ))

“...ตอนนี้ทองราคาเท่าไหร่”

ผมกะพริบตาปริบๆ ที่ผ่านมาเคยได้ยินราคาทองเป็นบาท เป็นสลึง ไม่เคยรู้เหมือนกันว่ามันเท่ากับกี่กิโล เลยรีบเสิร์ชหาข้อมูล ก่อนจะได้ข้อสรุป “ทองหนึ่งบาทแค่ประมาณสิบห้ากรัม อ้อ...มีเว็บราคาทองเป็นกิโล อ้างจากค่าเงินดอลล่าร์ ตอนนี้กิโลกรับละสี่หมื่นกว่า”

“...สิบหกกิโล...หกแสนห้า” พี่เอื้อคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้โทรศัพท์มือถือของเขาแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างหนักแน่นว่า “มีวิธีอื่นไหมครับ”

แป่ว...

((ไม่อย่างนั้น คุณลูกค้าจะรับเป็นแพ็กเกจค้นหาราคาสองเหรียญไหมคะ สำหรับแพ็กเกจนี้ ทางเราจะมีเข็มนำทางที่ช่วยส่งสัญญาณบอกว่าแม่มดที่สาปคุณลูกค้าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือเปล่า))

พี่เอื้อนิ่วหน้า ก่อนตัดสินใจ “...ผมขอแพ็กเกจค้นหาแล้วกัน รับบัตรเครดิตไหมครับ”

ขอบคุณวีซ่ามาสเตอร์การ์ดมา ณ ที่นี้

ผมมองหน้าสีหน้าแสนเจ็บปวดพี่เอื้อตอนกดยืนยันจ่ายเงิน แล้วก็อดตบไหล่เขาไม่ได้ “เป็นพระเอกไม่ได้มีบัตรโกลด์การ์ดแบล็กการ์ดรูดปี๊ดรูดปี๊ดเหรอวะพี่ จะกังวลอะไรกับการเงิน”

“น้องเดือนครับ เพ้อเจ้ออีกแล้ว นี่พ่อตัดพี่ออกจากกองมรดกแล้วนะครับ ใช้เงินก็ต้องตั้งสติหน่อย”

“แล้วไอ้พวกเสื้อผ้าแพงๆ ของพี่ล่ะ”

“นั่นมันรสนิยมแม่ฉัน ไอ้ร้านที่พานายไปนั่นก็ไม่ได้แพงมากไม่ใช่หรือไง”

ผมนิ่งคิด...ก็จริง ตอนแรกผมตกอกตกใจตาเหลือกเพราะชินกับเสื้อตัวละร้อยเก้าเก้า แต่พอเอาเข้าจริง ทั้งคุณภาพกับราคาก็ไม่ได้ขนาดที่นักศึกษาแบบผมจะเอื้อมไม่ไหว

“แต่อย่างน้อยก็ต้องเล่นหุ้นเด้ พระเอกต้องรวย ส่วนมากต้องเล่นหุ้นตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนักศึกษา เล่นเก่งด้วย”

“อยากเป็นเม่าติดดอยหรือไง” พี่เอื้อหัวเราะ “ก็มีซื้อกองทุนอยู่แหละ แต่ไม่ได้ใช้เงินมือเติบได้ขนาดนั้น”

“ฮึ่ย ไม่ได้เรื่องเลย”

“...กฎข้อสุดท้ายของบัญญัติแมสว่าไง”

 ผมเบ้หน้า “หากมีปัญหากับพระเอก ให้กลับไปอ่านข้อกฎข้อศูนย์”

“แล้วกฎข้อศูนย์ว่าไง”

“พระเอกถูกต้องเสมอ”

“เออ ก็ตามนั้น”

“...”

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

23

เนื่องจากต้องรอสินค้ามาส่งในวันต่อไป (แบบบริการด่วนพิเศษ เพิ่มเงินอีกเล็กน้อย แค่ก) ผมกับพี่เอื้อก็เลยพากันกลับบ้านกลับช่อง ระหว่างกลับก็คุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย รอบนี้พวกผมค่อนข้างเดินทอดน่องชมนกชมไม้มากกว่าปกติที่ต้องรีบวิ่งกันลกๆ กลับก่อนที่พี่เอื้อจะคืนร่างเดิม

“มีเส้นโซบะอยู่” พี่เอื้อเอ่ยลอยๆ “กินหมี่เย็นแล้วกันวันนี้”

“มันจะมีแต่แป้งเกินไปป่ะ”

“อืมมม ในตู้เย็นมีทอดมันสำเร็จรูปอยู่ เดี๋ยวทอดให้กินแล้วกัน”

“อย่างน้อยก็ควรเป็นเทมปุระสิ” ...โซบะกับทอดมันเนี่ยนะ

“...ตอนนี้พี่มีให้แค่นี้ อาทิตย์หน้าน่าจะเป็นก้อนเกลือเปล่าๆ น้องเดือนดื่มด่ำกับทอดมันไปก่อนนะครับ”

“...พี่เอื้อ ช่วยทำหน้ามั่นใจแบบจ่ายเงินหมื่นเงินแสนชิลล์ๆ ไม่สะทกสะท้านสมเป็นลูกคนรวยหน่อยได้ไหม”

“ไอ้คนที่ใช้เงินไร้สติมันไอ้ตี๋โน่น”

“งั้น...เอาไว้ไม่มีกินจริงๆ เราก็ไปเกาะพี่ตี๋กินก็แล้วกัน” ผมเสนอแนะแบบไร้ซึ่งความเกรงใจ

พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ก็ไม่เลว”

“...” เอางั้นนะ

 

วันถัดมาผมก็ได้รับพัสดุด่วนพิเศษ พอแกะดูก็เห็นเป็นวัตถุคล้ายจี้ห้อยคอขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อพลิกดูด้านหลัง ก็ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์เมดอินนอร์ธโพล ดังนั้นพวกผมก็เลยนั่งรถเมล์ไปมหาวิทยาลัยด้วยกันเพื่อทดลองตามหาแม่มดดู ระหว่างนั่งรถผมก็พลิกคู่มือดูวิธีใช้

“เอาแบบย่อๆ นะ ถ้าเข้าใกล้ต้นกำเนิดคำสาป อัญมณีตรงกลางจะปรากฏแสงสีเขียว ถ้าเคยสัมผัสถูกเป้าหมายหรือเป้าหมายเคยผ่านในบริเวณนั้นแต่ไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้นแล้ว อัญมณีจะกลายเป็นสีเหลือง ยามปกติจะเป็นสีแดง”

“เป็นไฟจราจรเรอะ” พี่เอื้อกุมขมับ

“เออ เหมือน”

ตอนที่ถึงมหาวิทยาลัยโทรศัพท์พี่เอื้อก็มีสายเข้า เป็นพี่ตี๋โทรมาถามว่าอยู่ไหน ระหว่างนั้นพวกผมก็เดินไปตามจุดต่างๆ พบว่าอัญมณีไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย จนกระทั่งเข้าใกล้ตรงบริเวณที่พี่เอื้อถูกสาป จู่ๆ มันก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดงจางๆ จนเกือบจะเป็นสีส้มเข้ม

พวกผมเดินวนไปวนมาตามจุดต่างๆ พบว่าเส้นทางจางตำแหน่งที่พี่เอื้อถูกสาปไปจนถึงประตูหน้ามหาวิทยาลัยปรากฏสีเหลืองจางๆ ตลอดทาง

“แปลว่าแม่มดน่าจะใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ...แต่ไม่ได้ใช้มาสักพักแล้ว แปลผลแบบนี้ถูกไหมวะเนี่ย” ผมเขย่าจี้ห้อยคอไปมาขณะพยายามอ่านคู่มือ

พี่เอื้อถอนหายใจ “สมาคมแม่มด...ชีวิตตอนนี้แม่งเซอร์เรียลสัสๆ จะมีอะไรกว่านี้อีกไหมวะเนี่ย”

“...ฝูงซอมบี้มั้งพี่”

พี่เอื้อกลอกตาใส่ผม ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “จะว่าไป...ผมยังมีเรื่องติดใจอย่างหนึ่ง ไอ้ธี”

พอพูดชื่อมันขึ้นมาเท่านั้นแหละ พี่เอื้อขมวดคิ้วทันที ผมเลยรีบอธิบายถึงโทรศัพท์ประหลาดเมื่อวันก่อนของภาธีในทันที

“แอเรียฟิฟตี้วัน? เพื่อนนายยังสติปกติดีอยู่ใช่ไหม”

“ผมก็ไม่รู้” ผมยอมรับตามตรง “แต่ปกติมันเป็นคนมีลางสังหรณ์อะไรแบบนี้นะพี่ อย่างวันสอบมันก็ขนเครื่องคิดเลขมาให้เพราะรู้ว่าผมจะลืม หรือคราวโน้นก็หยิบร่มมาเผื่อตอนไปทำโปรเจ็กต์สัมภาษณ์”

“...นั่นมันเพราะชินกับนิสัยเบ๊อะๆ ของนายมากกว่า”

“...” ฮึ่มมม ผมได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แล้วสมมติแม่มดอยู่อเมริกาจริงๆ พี่จะทำยังไง”

“ก็ต้องเช็กก่อนว่าพาสปอร์ตหมดอายุหรือยัง แล้วก็ยื่นขอทำวีซ่า กว่าจะผ่านชนเปิดเทอมพอดีมั้งนั่น...แล้วขึ้นเครื่องบิน บินเป็นวันได้นะนั่น คืนร่างก่อนพอดี” พี่เอื้อตอบแบบเป็นงานเป็นการ

“ปกติพระเอกรวยๆ ไม่ใช่ว่าอยากบินก็บินได้เลยเหรอ” ผมผู้ไม่เคยออกนอกราชอาณาจักรสยามถามด้วยความงุนงง

“น้องครับ พาสปอร์ตไทย ไม่ทำวีซ่าเข้าประเทศอเมริกาไม่ได้ครับ”

“แล้วพล็อตแบบไปคลอดที่อเมริกาแล้วได้สองสัญชาติล่ะ”

“นั่นมันพระเอกคนอื่นแล้ว...พี่เกิดที่ประเทศไทย เอากว่านั้นคือโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนด้วย” ...โอ้ พ่อเด็กกรุงเทพฯ ที่แท้ทรู

“พี่ไม่ได้แบบเป็นลูกเสี้ยวที่มีสองสามสัญชาติ ชื่ออลังการแบบ เอื้อการย์ ฟรองซัวร์ หลัวแห่งชาติ อะไรงี้เหรอ”

“...บางครั้งฉันก็นับถือจินตนาการระดับดิสนี่ย์ฟังก็ยังอายม้วนของนายหน่อยๆ นะ”

“งั้น...” ก่อนที่ผมจะทันได้พูดจนจบประโยคนั้นเอง ภาพหลังจากนั้นคล้ายกับภาพช้าในหนัง เริ่มจากรถตู้สีขาวติดฟิลม์ทึบที่เบรกดังเอี๊ยดมาจอดข้างๆ พวกเรา จากนั้นประตูรถตู้ก็เปิดออก

แล้วพวกผมก็ถูกลากขึ้นรถตู้ไปอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว



ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกง่าาาาา พี่เอื้อก็คือหลัวแห่งชาติมาก งงๆว่ารักกันตอนไหน55

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


STAGE I: ผู้คนมารวมตัวกัน

ข้อควรระวัง: ผู้คนมารวมตัวกัน ทว่าใครจะรู้ ในหมู่พวกเขา มีฆาตกรซ่อนอยู่

คอมเม้นต์ของคนสัมภาษณ์: เดี๋ยวครับ ทำไมมันกลายเป็นนิยายสืบสวนไปแล้ว

คอมเม้นต์ของพระเอกนายเอก: ก็นิยายรักมันจบไปตั้งนานแล้ว









24

อะฮ่า จากนิยายฟีลกู๊ดสโลว์ไลฟ์ ในที่สุดก็กลายเป็นนิยายแอ็กชัน ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที จากมหาวิทยาลัยก็กลายเป็นท้องทะเล...ไอ้ชิบหาย ทำไมจู่ๆ ก็ออกทะเลไม่รู้ ผมหันไปมองพี่เอื้อที่มีสีหน้างุนงง ก่อนจะมองออกไปเห็นคนชุดดำปิดหน้าปิดตากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

ตายล่ะ เพลงขึ้น...เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น จำเลยรักมาเลยจ้า

“พี่เอื้อ บ้านพี่รวยขนาดนั้น ต้องมีกองกำลังคุ้มกัน หน่วยลับ หน่วยคอมานโดบ้างสิ”

“น้องเดือนครับ ดูหนังสายลับมากไปแล้ว”

“บอร์ดี้การ์ดล่ะ อันที่จริงพี่ควรต้องมีบอร์ดี้การ์ดนะ”

“แล้วก็จริงๆ พี่ต้องเก่งกว่าบอร์ดี้การ์ดอีกไหมวะ...ถุย เพ้อเจ้อ!” พี่เอื้อกลอกตาไปมา

“อ้าว แล้วพี่ไม่เคยโดนลักพาตัวเรียกค่าไถ่บ้างเหรอ”

พี่เอื้อทำท่านิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “...น่าจะไม่มีใครกล้ามั้ง บ้านพี่เส้นใหญ่นะ”

“...งั้นก็ต้องมีหน่วยลับสิวะ” กิจการใหญ่โตถึงเพียงนี้

“ถึงมีตูก็ไม่รู้วิธีติดต่อหรอกเฟ้ย”

เหล่าชายชุดดำที่ยืนฟังบทสนทนาของพวกผมคล้ายว่าชักจะทนไม่ไหว เลยทำเสียงขู่ “เงียบ! ไม่งั้นอย่าหาว่าเราไม่เตือน”

ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน “พี่ จากนี้จะมีฉากแบบรับกระสุนแทน หรือโดนแทงหรือเปล่าวะ”

พี่เอื้อคลี่ยิ้ม...เป็นรอยยิ้มหล่อบาดตาจนผมเบลอไปชั่วขณะ ก่อนจะบรรจงตบหัวผมด้วยท่วงท่าอันแสนสง่างาม “ปัญญาอ่อน”

“ปกติพระเอกรับกระสุนใช่ป่ะ”

“เฮ้ยบ้า นายเอกสิวะ พิสูจน์รักแล้วกระโดดเข้ามารับมีดแทนพระเอก”

“นายเอกเป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอ ให้พระเอกรับไปเถอะ”

“พวกมึงไม่ต้องเกี่ยงกัน โดนแม่งทั่วถึง” หนึ่งในนั้นเอ่ย ผมถอนหายใจขณะหักนิ้วไปมา จากกระประเมินคร่าวๆ ไม่มีใครมีอาวุธ เอาว่าอัดแม่งเลยแล้วกันวะ ว่าแล้วผมก็พุ่งตรงไปเตะตัดขาชายชุดดำที่ใกล้ตัวที่สุด จากนั้นก็อัดแม่ง พอคนที่หนึ่งร่วงก็เตรียมซัดคนต่อไป ทว่าหนึ่งในนั้นรีบตะโกนพลางดึงผ้าปิดปากออก

“เดี๋ยวๆๆๆ น้องโว้ย ใจเย็นนนน พวกพี่ไม่ใช่คนร้าย”

“เฮ้ย คนร้ายแม่งก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นอ่ะพี่” ผมที่เตรียมอัดอีกฝ่ายตอบกลับเนิบๆ ทว่าเสียงของพี่เอื้อทำให้ผมชะงัก

“อ้าว พวกมึง”

ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะมองใบหน้าใต้ผ้าปิดปากของแต่ละคน...อะเอื้อ เอ๊ย อะอ้าววว นี่มันรุ่นพี่ผมทั้งนั้นเลยนี่หว่า ไอ้ชิบหาย ที่ชกไปเมื่อกี้แม่งหลานอธิการบดีมหาวิทยาลัยตัวเองเข้าไปอี๊ก ลาก่อน กูโดนไล่ออกแน่นอน

พี่เอื้อนิ่วหน้า “พวกมึงเล่นอะไรกันวะ”

“คืองี้...” ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “มึง...รู้ข่าวไอ้ตี๋ยัง”

“หา เรื่องอะไร” พี่เอื้อทำหน้างง

“อ๋อ ที่พี่ตี๋เลิกกับแฟน?”

ทุกคนรวมถึงพี่เอื้อหันมามองผมเป็นตาเดียว นอกจากพี่เอื้อแล้ว ทุกคนต่างพยักหน้าหงึกหงักเป็นแมวนางกวัก

“ทำไมถึงรู้”

“...เฟซบุ๊กสิพี่” สถานที่ประกาศให้โลกรู้ทุกสิ่งอย่างตั้งแต่จีบกันยันคลอดลูก ผมตอบพี่เอื้อแล้วก็หันไปทางพี่คนอื่นๆ “เอาว่าพี่ตี๋เลิกกับแฟนแล้วยังไงต่อนะครับ”

พวกรุ่นพี่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนใครคนหนึ่งจะเริ่มอธิบายว่าพี่ตี๋อกหักรักคุด เลยโทรมาเรียกเพื่อนไปปลอบ แน่นอนว่าเพื่อนไม่สนใจ พี่ตี๋เลยเอาความลับของแต่ละคนมาแบล็กเมล์ขู่ว่าจะแฉ...นี่พวกพี่แต่ละคนไปทำอะไรกันไว้วะ

“แล้วพวกมึงลากกูมาทำอะไร” พี่เอื้อที่ยังคงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุถาม

“ตี๋บอกไม่รู้จะขู่อะไรมึง ให้พวกกูลากไปด้วยกันเลยเนี่ยแหละ”

“...” พี่เอื้อโปรยจุด

“แล้วนี่คือไปไหน”

“พวกกูก็ไม่รู้”

“อ้าว”

“ไอ้ตี๋ไม่ได้บอกอะไร มันบอกให้ตามลูกน้องบ้านมันมาแค่นั้นอ้ะ”

“...”

พี่เอื้อแหงนมองเพดาน “เหนือเซอร์เรียล ก็ยังมีเรื่องเซอร์เรียลออกมาได้อีก ชีวิตกู”

“เฮ้อ ที่ใดมีรัก...ที่นั่นมีทุกข์ ใจขื่นขม ระทมชั่วนิรันดร์” ...เครดิตตือโป๊ยก่าย

“แม่งระทมชั่วนิรันดร์ก็ระทมไปคนเดียวสิวะ ลากกูมาระทมด้วยทำบิดามันเหรอ หา” ว่าแล้วพี่เอื้อก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แต่กลับพบว่าโทรไม่ติดเพราะไม่มีสัญญาณ “เชี่ย แม่ง มันย้ายไปอยู่ดาวอังคารหรือไงวะ”

“เอื้อเอ๋ย” รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ย “มึงจงรับชะตากรรมกับพวกกูเสียแต่โดยดีเถิด”

“โฮกกกกก ผมยังต้องเรียนซัมเมอร์นะ!” ว่ายน้ำกลับไปได้ไหมวะเนี่ย

“ไอ้เอื้อมันเด็กโปรด’จารย์โอ๋ ไว้ให้มันไปเจรจาให้แล้วกันนะน้อง” รุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำ

“...” แบบนั้นก็ได้เหรอ

 

ท้ายที่สุด พวกผมก็ถูกต้อนโดยลูกน้องพี่ตี๋ให้ลงไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ก่อนที่เรือจะหนีหายไป พวกผมสิบสองชีวิตยืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำสดใส ท้องฟ้าสีคราม เม็ดทรายสีขาว

ผมอ้าปากค้าง “...ที่นี่มันโลกไหนวะเนี่ย”

“เอ่อ น่าจะยังอยู่บนโลกของเรา...อันที่จริงคือน่าจะยังอยู่บนประเทศของเราแหละนะ” พี่เอื้อสะกิดผมให้หันไปดูด้านหลัง พอหันไปผมก็เห็นว่าเหนือหาดที่พวกผมยืนอยู่ในเวลานี้มีหมู่ตึกเรือนไทยขนาดใหญ่ที่ดูราวกับพระราชวัง ใครสักคนที่อยู่ใกล้ผมครางขึ้นมาสี่พยางค์

“ดาราเทวี”

ทุกคนกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะร้อง “เอออออ เหมือนนนนนน” ออกมาพร้อมกัน...ทำลายบรรยากาศตึงเครียดปนตื่นเต้นเมื่อครู่ไปอย่างสิ้นเชิง

ไม่นานนักก็มีพนักงานในชุดไทยประยุกต์เดินมาต้อนรับพวกเรา ที่แท้แล้วหมู่ตึกตรงหน้าเป็นโรงแรมจริงๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับดาราเทวี ดูเหมือนจะเป็นโรงแรมในเครือของบ้านพี่ตี๋ จากหาดเดินขึ้นมาก็นับว่าไกลพอสมควร แต่การตกแต่งตลอดสองข้างทางค่อนข้างน่าสนใจ ทำให้มองกันอย่างเพลิดเพลิน

ทว่าพวกเราในยามนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า ณ ที่แห่งนี้ คดีฆาตกรรมสยองขวัญกำลังรอเราอยู่...ฟีลชีวิตตอนนี้คือถ้าเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง คนเขียนคงแบบกูหมดมุกกับนิยายรัก ขอเปลี่ยน Genre ของนิยายมันหน้าด้านๆ ตรงนี้เลยจ้า

เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องในตอนนี้เป็นลูกหลานผู้มีอิทธิพล เพื่อความปลอดภัยอีกครั้ง เราจึงต้องขอทำการเซ็นเซอร์ชื่อ เอาว่าจะไล่ไป เอ บี ซี ดี อีนะครับ

หลังจากเข้าสู่ตัวโรงแรม พวกพี่เอื้อก็ดูจะผ่อนคลายความระแวดระวังกันมากขึ้น ทางเจ้าหน้าที่นำพวกผมไปยังชั้นบนสุด และแจกกุญแจให้แต่ละคน ผมได้กุญแจห้องแอล ติดกับพี่เอื้อซึ่งพักอยู่ห้องเค ตอนเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ทำคือยกโทรศัพท์ขึ้นมารัวรูป โอ้โห โรงแรมหรูเบอร์นี้ เกิดมาเคยเห็นก็แค่ในภาพถ่าย

ผมสำรวจไปรอบๆ ห้อง ก่อนสังเกตเห็นว่าที่ข้างเตียง มีตุ๊กตาไม้หน้าตาประหลาดอยู่ตัวหนึ่ง ตอนนั้นผมเพียงหยิบมาดูเล่น ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะพี่เอื้อมาตามให้ไปกินข้าวพอดี

ที่โรงแรมแห่งนี้มีห้องอาหารอยู่หลายแห่ง พวกรุ่นพี่สุมหัวกันตกลง สุดท้ายก็เลือกไปกินอาหารทะเลกัน ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรนอกจากว่าโชคดีได้กินอาหารทะเล ก็มีถูกแซวจากพวกรุ่นพี่นิดหน่อยเรื่องที่ให้พี่เอื้อแกะให้หมด ทว่าท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นนั้นเอง จู่ๆ รุ่นพี่คนหนึ่งก็ทำเสียงประหลาดในลำคอ ก่อนจะหมดสติไป

“พี่เอ!/ไอ้เอ!”

หลังจากนั้นก็แตกตื่นกันยกใหญ่ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้มาก รู้เพียงว่าภายในห้องอาหารเกิดความชุลมุนวุ่นวาย คนนั้นเข้าคนนี้ออก สุดท้ายพี่เอก็โดนหามออกไป

เหล่ารุ่นพี่ที่รอข่าวด้วยความกระวนกระวายอยู่ครู่หนึ่งก็ได้รับแจ้งจากพนักงานโรงแรมว่าพี่เอปลอดภัยดี ทุกคนก็เลยโล่งอก ตอนนั้นเองที่พี่บีบ่นว่าง่วงนอน เมื่อคืนออกไปเที่ยวโต้รุ่งกลับมายังไม่ทันได้นอนถูกพี่ตี๋ขู่ออกมาเสียก่อน เลยขอแยกตัวไปนอน

ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไร ในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจจะออกไปเล่นน้ำทะเล ผมกับพี่เอื้อไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมาเปลี่ยน ไม่สิ ไม่แค่ชุดว่ายน้ำ พวกผมสองคนไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่ โชคดีที่มีร้านค้าอยู่ ก็เลยหาซื้อเสื้อผ้ามาได้สองสามชุดพร้อมกางเกงไว้ลงเล่นน้ำ

ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังจะลงไปที่หาด พี่ซีก็เกิดรู้สึกไม่อยากไป เลยบอกจะไปเดินเล่นรอบๆ

...และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราทุกคนได้เห็นพี่ซีบนเกาะแห่งนี้

พี่คนอื่นที่เหลือรวมถึงผมต่างก็มุ่งตรงไปยังชายหาดซึ่งมีเจ้าหน้าที่ช่วยปักร่มคันใหญ่กันแดดไว้ให้เสร็จสรรพพร้อมโต๊ะเตี้ยที่เต็มไปด้วยของกินเล่น หนึ่งในพนักงานโค้งให้พวกผมแล้วบอกว่าถ้ามีอะไรให้สั่นกระดิ่งเรียกได้ ก่อนจะเดินหายไป

พวกรุ่นพี่แต่ละคนแยกย้ายกันไปจับจองร่มแต่ละคัน ฟีลแบบพระไปปักกลดกันมาก แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเหลือบมองน้ำทะเล แต่เอาแต่ยกมือถือถ่ายรูปตัวเอง ทว่าก่อนจะได้เอ่ยปาก พี่เอื้อก็สะกิดแล้วส่งอะไรบางอย่างให้

“แสงแดดทำร้ายดวงตา ใส่ซะ เราทำอาชีพอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ถนอมสายตาเอาไว้”

“...ขอบคุณครับ”

ผมรับแว่นกันแดดมาใส่ ก่อนหันไปมองพวกรุ่นพี่อีกครั้ง แต่ละคนยังคงเอียงซ้ายเอนขวา แชะภาพกันอย่างสนุกสนาน เห็นแล้วอดถามออกไปไม่ได้

“เอ่อ ตกลงพวกพี่มาทำอะไรกันครับ”

“ถ่ายรูปลงไอจี” ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาตอบโดยพร้อมเพรียง พี่เอื้อตบบ่าผมปุๆ แล้วจับให้นั่งลง จากนั้นก็ช่วยผมทาครีมกันแดด อันที่จริงฉากนี้ควรเป็นฉากสยิวกิ้ว แต่นี่เราพูดถึงใครอยู่ พี่เอื้อการย์ที่รักทาครีมกันแดดให้ผมแบบตั้งอกตั้งใจมากเยี่ยงกำลังบำรุงรักษาศิลปะวัตถุ ในตอนนั้นเองก็ได้ยินพี่คนหนึ่งบ่น

“อ้าว ที่นี่ไม่มีสัญญาณเน็ตเลยว่ะ”

“มึงเอาอะไรมากกับเกาะแบบนี้วะ”

“บ้า โรงแรมโคตรหรู ไม่มีเน็ตได้ไง”

แล้วพวกรุ่นพี่สองคนก็เถียงกันไปมา ผมที่เพิ่งเสร็จจากภารกิจถูกหลังพี่เอื้อและปิ่มๆ จะสาดเลือดกำเดาใส่แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา พี่เอื้อที่ดูเหมือนจะเดาความคิดผมได้หันกลับมาบีบจมูกผมเบาๆ โอ๊ย กล้ามข้างหน้าก็น่าสาดเลือดใส่จ้า

“พี่เอื้อ เราจะไม่เล่นน้ำกันจริงๆ เหรอ” ผมมองทะเลตาละห้อย พี่ๆ ที่เหลือดูจะนอนอ้อยอิ่งไม่สนใจโลกใบนี้

“อยากเล่นน้ำเหรอ”

“อยากกว่าเล่นกล้องอ่ะพี่” ผมตอบขณะมองไปยังบรรดารุ่นพี่ พี่เอื้อหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะจูงมือผมไปยังทะเล จากนั้นก็เป็นฉากฟิลเตอร์ในอนิเมชัน เล่นน้ำด้วยกันอย่างสนุกสนาน อา โลกช่างสวยงาม

จนกระทั่งตอนเย็น ผมเล่นน้ำจนเหนื่อยก็ถูกจูงกลับโรงแรม

“เฮ้ย ใครไปปลุกไอ้บีหน่อย กินข้าว...แล้วนี่ไอ้ซีหายไปไหนเนี่ย”

หลังจากเกี่ยงกันไปมา ในที่สุดพี่ดีก็เป็นคนไปตามหาพี่ซีเพราะเป่ายิ้งฉุบแพ้ ส่วนพี่เอฟก็ขึ้นไปปลุกพี่บี ทว่าสักพักพี่เอฟก็กลับมาบอกว่าพี่บีไม่อยู่ที่ห้อง

“มันคงไปเดินเล่นกันมั้ง” พี่เอฟพูดแบบไม่ยี่หระ ตอนนั้นทั้งผมและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรกันมาก

ส่วนพี่ดีที่หายไปพักใหญ่ก็กลับมาพร้อมเลือดกลบมือ ที่แท้ด้านหลังโรงแรมเป็นป่า พี่ดีเดินไม่ดีเลยล้ม มือไปขูดเข้ากับเงี่ยงไม้ แล้วก็บอกว่าหาพี่ซีไม่เจอ “กูขอไปหาที่ทำแผลก่อน พวกมึงไปกินกันเลย”

“ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่ต้องๆ แผลแค่นี้ ไกลหัวใจ” พี่ดีส่ายหัว ก่อนจะเดินจากไปแบบหล่อๆ

...แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่มีใครเห็นพี่ดีอีกเลย จนกระทั่งกินเสร็จ ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปนอน ผมที่เล่นน้ำจนเหนื่อยก็ไม่สนใจอะไรมากมาย พอหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยไปในทันที




ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

STAGE II: รวบรวมเบาะแส

ข้อควรระวัง: ฆาตกร...อยู่ในหมู่พวกเขาหรือเปล่านะ

คอมเม้นต์ของพระเอก: แน่นอน นิยายสืบสวนพรรค์ไหนที่ให้คนร้ายเป็นคนที่เดินผ่านมาเฉยๆ กัน







25

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกรุ่นพี่มารวมตัวกัน ปรากฏว่าพี่บี ซี ดีก็ยังไม่กลับมาที่ห้อง พวกผมเลยบอกให้เจ้าหน้าที่ช่วยตามหาให้หน่อย แต่ด้วยความที่ที่นี่เป็นโรงแรมในเครือบ้านพี่ตี๋ แต่ละคนเลยไม่ได้คิดอะไรมาก

หลังกินข้าวเช้าแล้ว แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไป ผมกับพี่เอื้อตัดสินใจไปเดินเล่นรอบๆ โรงแรมที่ค่อนข้างกว้าง มีกระทั่งตลาดน้ำโบราณจำลองอยู่ด้านใน ผมกับพี่เอื้อเดินเล่นด้วยความสนุกสนาน ก่อนที่ผมจะเห็นร้านหมึกปิ้ง

“ฮว้ากกกก หมึกปิ้ง”

“เมื่อวานกินกุ้งไปตั้งเยอะ ไม่เบื่ออาหารทะเลอีกเหรอ”

“กุ้งกับหมึกมันคนละรสชาติกัน” ผมเอ่ยอย่างเป็นเหตุเป็นผล พี่เอื้อได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินไปซื้อกลับมานั่งกินด้วยกันที่โต๊ะริมน้ำ

ขณะๆ นั่งกินอยู่ ผมรู้สึกร้อนวูบวาบในอก ตอนแรกนึกว่ากินเยอะเกินไป แต่พอยกมือขึ้นคลำก็นึกได้ว่าผมสวมจี้ห้อยคอที่เอาไว้ตามหาแม่มดอยู่ และทันทีที่ได้เห็น ผมก็ร้องเสียงหลง “เฮ้ย!”

...อัญมณีบนจี้ยามนี้เปล่งแสงสีเขียวสดใสสีเขียว

พี่เอื้อที่เงยหน้าเพราะเสียงร้องของผมนิ่วหน้า “น้ำจิ้มหกแล้ว”

“หา วะ ว้ากกก” ผมเพิ่งสังเกตว่าน้ำจิ้มหมึกย่างชิ้นที่คีบอยู่หยดใส่เสื้อ พี่เอื้อรีบดึงกระดาษทิชชู่มาช่วยผมเช็ด

“กินให้ระวังๆ หน่อย”

“ไม่ช่าย พี่เอื้อ ดูนี่ก่อน อ๊ะ...”

...อัญมณีกลับกลายเป็นสีเหลืองอีกครั้ง

หลังจากนั้นพี่เอื้อกับผมก็เดินไปรอบๆ ตลาดเพื่อหวังจะให้จี้เปลี่ยนสีอีกครั้ง ทว่าไม่เป็นผล

“แต่อย่างน้อยเราก็รู้แหละนะว่าแม่มดอยู่แถวนี้”

“...หรือจริงๆ คือฝีมือไอ้ตี๋วะเนี่ย” พี่เอื้อพึมพำ

“...” ไม่ขนาดนั้นมั้ง

ครั้นวนหาจนเหนื่อย สุดท้ายผมกับพี่เอื้อก็ตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ค้นหาจึงเดินกลับมาที่โรงแรมก็พบรุ่นพี่คนอื่นๆ พี่จีบอกพวกผมว่าพี่อีถูกผึ้งต่อยตอนไปดูโรงเลี้ยงผึ้งด้วยกัน ดูเหมือนจะแพ้ ตอนนี้ทั้งแก๊งเลยเหลือแค่พี่เอฟ พี่จี พี่เอช พี่ไอ และพี่เจกันห้าคน

“นี่ถ้ากูเชื่อเรื่องผีสางกว่านี้ กูจะคิดว่าคำสาปไอ้ตี๋แล้วนะ เพื่อนแม่งค่อยๆ ร่วงไปทีละคน...ทีละคนงี้”

...นี่ก็เห็นพี่ตี๋เป็นบอสลับอีกคนแล้ว

ผมในตอนนั้นค่อยๆ นั่งคิดถึงการตาย เอ๊ย การหายตัวไปของพี่แต่ละคน พี่เอมีปัญหาตอนกินข้าว พี่บีง่วงเลยไปนอนแล้วก็หายตัวไป พี่ซีไปเดินเล่นแล้วก็ไม่กลับมา พี่ดีเดินป่าโดนเงียงไม้ตำจนเลือดออก พี่อีโดนผึ้งต่อย

“พะ พี่เอื้อ” ผมกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายที่ก้มลงมามองผมด้วยความงุนงง

“พะ...พี่ไม่คิดว่านี่มันเหมือนกับบรรยากาศในเรื่อง ‘จนศพสุดท้าย’ เหรอ”

“หา เรื่องอะไรนะ”

“จนศพสุดท้ายอ่ะ ของอกาธา คริสตี้อ่ะ!”

“อ๋อ And then there were none...” พี่เอื้อพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นชะงักงัน เขาหันกลับไปพวกเพื่อนๆ ที่ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ และหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมา

“Ten little soldier boys went out to dine; one choked his little self and then there were Nine.”

ผมหน้าซีด “ทหารน้อยสิบนายออกไปกินอาหาร คนหนึ่งสำลัก...”

“Nine little Soldier Boys sat up very late; one overslept himself and then there were Eight.”

“อีกคนนอนไม่พอจนนอนตื่นสาย”

“Eight little Soldier Boys travelling in Devon; one said he'd stay there and then there were Seven.”

“อีกคนเดินทางไปเดว่อน และอยู่ที่นั่นไม่กลับ”

“Seven little Soldier Boys chopping up sticks; one chopped himself in halves and then there were Six.”

“อีกคนตัดไม้ แต่ดันหั่นตัวเองเป็นครึ่งท่อน”

“...เฮ้ย อันนี้ไอ้ดีมันแค่มือไปโดยเงี่ยงไม้เองนะ”

“Six little Soldier Boys playing with a hive; a bumblebee stung one and then there were Five.”

“...ผึ้งนี่ใครเป็นคนชวนวะ”

“พนักงานโรงแรมแนะนำไงมึง จริงๆ ไอ้เอฟนั่นแหละที่อยากไปดูที่สุด”

“เฮ้ย กูก็แค่อยากชิมน้ำผึ้งเฉยๆ” พี่เอฟรีบส่ายหัวเป็นพัลวัน “กูว่าก็แค่บังเอิญแหละ อย่างตรงไอ้บีไอ้ซีก็ไม่เรียกว่าตรงขนาดนั้นป่ะวะ”

“...บังเอิญติดกันห้าครั้งนี่มันเยอะไปหน่อยไหมวะ”

คำถามนี้ทำเอาพวกผมพากันพวกกลืนน้ำลายดังเอื้อก ก่อนจะนั่งเงียบกันไปพักใหญ่ จนกระทั่งรุ่นพี่คนหนึ่งทำลายความเงียบขึ้นมา “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง”

“นั่นสินะ”

“จริงด้วย บังเอิญนั่นแหละ”

ทุกคนยังคงพยายามยืนยันเช่นนั้น ก่อนจะพร้อมใจกันไปหาอะไรกินเล่นรอตอนเย็นจะไปปิ้งบาร์บีคิวกันที่ริมหาด ระหว่างกินขนมพี่เอฟอยากไปเข้าห้องน้ำ แต่หลังจากการหายตัวไปอย่างลึกลับของแต่ละคนแล้วพี่แกก็ชักปอดๆ เลยชวนพี่จีกับพี่เอชไปด้วย ส่วนพวกผมรออยู่ที่ล็อบบี้ ระหว่างนั้นพี่เอื้อนึกถึงพี่เอขึ้นมาได้เลยไปถามพนักงานโรงแรม ปรากฏว่าแต่ละคนงงงวย ไม่มีใครตอบคำถามได้เพราะพวกเขาไม่ใช่พนักงานกะเดียวกับเมื่อวาน พี่เอื้อเลยบอกปัดว่าไม่เป็นไร และตั้งใจจะถามอีกครั้งในตอนเช้า

ไม่นานนัก พวกพี่ที่ไปเข้าห้องน้ำก็กลับมา ทว่ามีเพียงพี่จีและพี่เอช

“อ้าว ไอ้เอฟล่ะ” พี่ไอถามพี่จี “ไม่ใช่โดนเก็บไปแล้วใช่ไหม”

“ห่า ไม่ใช่! เมื่อกี้มีแขกเมาแล้วลวนลามพนักงานโรงแรม ไอ้เอฟมันเข้าไปช่วย ทำไปทำมาคุยกับเขาถูกคอ มันเลยบอกเดี๋ยวตามมา ให้เราไปเล่นกันก่อนได้เลย มันอยู่กับคนอื่น ไม่น่ามีอันตรายอะไร”

ได้ยินดังนั้น แม้จะมีความไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่พวกผมก็หอบถังไฟเย็นไปเล่นกันที่ริมหาดซึ่งเริ่มมืด พนักงานริมหาดมีการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย รวมถึงตั้งกองไฟปลอมๆ ให้ได้บรรยากาศ

ทว่าเล่นไปจนถึงดึก พี่เอฟก็ยังไม่มา พวกรุ่นพี่ที่ใจไม่ดีเลยให้พี่ไอกับพี่จีไปตาม ทว่าทั้งสองคนกลับมาแล้วส่ายหัว

“...ต่อจากผึ้งต่อย มันว่าอะไรนะ”

"Five little Soldier Boys going in for law; one got in Chancery and then there were Four."

ทุกคนเงียบกริบขณะมองหน้ากัน “ไอ้ท่อน Going for law…เข้าไปช่วยสาวนี่นับไหม”

“ไม่มั้ง มันก็บิดใจความอยู่...บังเอิญแหละ”

“มันจะบังเอิญติดกันหกครั้ง...โลกนี้มีความบังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ไอ้ตี๋...กูว่าต้องเป็นฝีมือของไอ้ตี๋แน่นอน”

“เฮ้ย ไม่มั้ง ไอ้ตี๋เนี่ยนะ”

“มึง คนที่มันพ่ายรัก มันก็เหมือนหมาจนตรอก อาจจะพร้อมกัดทุกคนไม่เลือก”

“แล้วกัดกูทำไม กูยังโสดหมาหงอยอยู่เลย กัดก็ไปกัดไอ้เอื้อสิวะ!”

พี่เอื้อที่ยืนกอดอกมองพวกรุ่นพี่แตกตื่นอยู่นิ่งๆ พอได้ยินปุ๊บก็ตบกบาลเพื่อนปั๊บ “ห่า ปากมึง”

“เอาเป็นว่าหลังจากนี้พยายามอยู่เป็นกลุ่มไว้ก็แล้วกัน เอื้อ มึงอยู่กับแฟนมึงไป พวกกูแบ่งกันสามสอง”

“โฮ้ย ไร้สาระ” พี่เอื้อกุมขมับ

ในตอนนั้นเอง หนึ่งในรุ่นพี่ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “เฮ้ย เห็นนั่นป่ะ”

ทุกคนพากันหันไปมองตามที่อีกฝ่ายชี้ ก่อนพบว่าที่ใจกลางผืนทะเลสีดำสนิท พลันปรากฏแสงไฟสีเขียวเรืองรอง

“กระ...กระ...กระ” รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยด้วยเสียงติดอ่าง “กระสืออออออ”

พอกระสือโผล่เท่านั้นแหละ ทุกคนแตกตื่นกันทันที “เออ เชี่ย กระสือออออ”

“ม่ายยยย ไส้ของกู เครื่องในของกู”

ทันใดนั้นเอง รุ่นพี่สักคนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “Four little Soldier Boys going out to sea; a red herring swallowed one and then there were Three.”

เท่านั้นแหละ ทุกคนเกิดอาการสติกระเจิง “เชี่ยแล้ววววว ลากลงทะเลลลลล มึงงงงง มึงยอมทำตามนั้น ชิงโดดลงไปก่อนเลย เชื่อกู”

“แล้วทำไมต้องเป็นกูวะ แน่จริงมึงก็โดดลงไปเองเด้ ไหนเคยบอกว่าเป็นนักว่ายน้ำเหรียญทองไงวะ ทะเลแค่นี้สิวๆ เจอกระสือก็จีบแม่ง”

“เอาจริงเหรอวะ จีบกระสือเนี่ยนะ”

“เออ มึงต้องพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤติ จีบแม่ง”

“กูว่าประโยคเมื่อกี้มีอะไรสักอย่างที่ไม่ถูกต้อง”

ท่ามกลางผู้คนที่แตกตื่น พี่เอื้อเอียงคอน้อยๆ มองไปยังแสงไฟสีเขียวที่สว่างวูบ ก่อนขมวดคิ้ว “อะไรของพวกมึง นั่นไฟไดหมึกป่ะ”

“...” ทุกคนพร้อมใจกันเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่หนึ่งในแก๊งรุ่นพี่จะเอ่ยขึ้นมา

“กูโหวตกระสือ”

“กูก็กระสือ”

“กระสือ เชื่อกู กูเรียนมา”

“มึงเรียนคอมพิวเตอร์มากับพวกกูไม่ใช่เหรอวะ” คราวนี้ทุกคนหันไปถาม

“คอมพิวเตอร์เป็นไสยศาสตร์ประการหนึ่ง”

“เออ จริง”

“....” คุณพี่เจ้าของไฟไดหมึกกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันมามองผม ไอ้กระผมในฐานะแควนหนุ่มที่ดีก็ควรจะให้ฟามมมมช่วยเหลือ (กรุณาวิบัติเพื่ออรรถรส) ดังนั้นผมจึงประกาศ

“แต่งกับชาวประมง ย่อมเป็นชาวประมง...ผมโหวตกระสือ”

พี่เอื้อเลยตบกะโหลกผมเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆ “พอแล้ว พวกมึงแม่งไร้สาระชิบหาย ไปๆๆๆ กลับไปนอน”

รุ่นพี่แต่ละคนครวญครางกันสักพัก ก่อนจะทยอยกันกลับไปนอน ผมเองก็ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงนอน ทว่าในตอนนั้นเอง ผมที่สะลึมสะลือก็พลิกตัวไปทางฟากที่ติดกับหน้าต่าง เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด จึงมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด ทว่าในความมืดมิดนั้น ผมเห็นแสงไฟวูบวาบจากที่ไกลๆ คล้ายบางอย่างกำลังบินวนอยู่ในบริเวณนี้

“...” ไอ้ชิบหาย!

ว่าแล้วผมก็ผุดลุกขึ้น จากนั้นก็วิ่งไปเคาะห้องข้างๆ ทันที “พี่เอื้ออออ”

เจ้าของชื่อใช้เวลาครู่ใหญ่ก่อนจะเปิดประตูห้อง เขายืนพิงบานประตู มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้ากับขอบประตูด้านบน ชุดนอนสีดำที่สวมอยู่เผยอเล็กน้อยอวดแผงอกล่ำๆ ผมจากกลัวๆ ผีอยู่เจอแผงอกเขาไปสมองถึงกับหยุดทำงานไปชั่วขณะ

“หือ มีอะไร เกิดอะไรขึ้น จะลักหลับพี่?”

“ไม่มีไร แค่มาเช็กความเป็นอยู่ของพี่เฉยๆ” พูดจบผมก็เผ่นหนีไปในทันที ระหว่างผีกับกล้ามท้องแปดลูก จังหวะนี้กล้ามท้องน่ากลัวกว่า

ครั้นกลับไปนอน ผมก็สังเกตว่าไฟวูบวาบเมื่อครู่หายไปแล้ว ป่านนี้คงกินพี่สักคนไปแล้วล่ะมั้ง คิดเช่นนั้นผมก็เลยหลับตาลง ทว่ายังไม่ทันจะได้หลับ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมสะดุ้งโหยง ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกของพี่เอื้อ “เดือน”

“พี่เอื้อ?”

“อื้อ พี่เอง เปิดประตู”

“ไม่ใช่ผีปลอมเสียงมาหลอกให้ผมเปิดประตูใช่ไหม”

พี่เอื้อที่ข้างนอกนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ต่อให้พี่เป็นผีจริง ถูกถามแบบนี้พี่จะสารภาพเหรอวะ”

...เออ ก็ไม่น่า

“แล้วผมจะแน่ใจได้ไงว่าพี่เป็นตัวจริง” เอ้า อย่าดูถูก เมื่อตะกี้เราเห็นกระสือกันมาแล้ว (ใครเป็นไฟไดหมึก กระสือสิ!) ดังนั้นผมต้องไม่ประมาท ดูอย่างในการ์ตูนสยองขวัญสิ หลายครั้งที่เรายอมเปิดเพราะคิดว่าเป็นคนไว้ใจ แล้วเป็นไง โดนแดกจ้า

“อืม...ที่หลังน้องเดือน...แถวสะโพกมีลักยิ้มอยู่คู่หนึ่ง มีไฝเม็ดเล็กๆ ที่ข้างข้อมือซ้าย แล้วก็...”

ผมเปิดประตูทันที เชี่ยนี่ตัวจริงชัวร์! “พี่มีธุระอะไรรีบว่ามา ผมจะนอนแล้ว”

“...” พี่เอื้อผงกหัวขึ้นๆ ลงๆ มองผม “ตอนแรกแค่จะมาเช็กความเป็นอยู่ แต่ตอนนี้...ขอนอนด้วยแล้วกัน”

“หะ หา”

รู้ตัวอีกทีผมก็ได้หมอนข้างมนุษย์มาหนึ่งชิ้น ทว่านอนๆ อยู่ผมก็มองไปที่หน้าต่างเป็นระยะๆ จนพี่เอื้อสงสัย “มองอะไรน่ะ”

ผมเลยอธิบายถึงแสงวูบวาบเมื่อครู่แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก เดิมทีคิดว่าพี่เอื้อน่าจะหัวเราะก๊าก แต่กลับถูกถามด้วยสีหน้าจริงจังกลับมาแทนเสียนี่ “...เดี๋ยว ที่บ้านก็มีผีอยู่ ทำไมยังกลัวผีอีก”

“...หมายถึงผีตะวันกับผีทะเลที่นอนอยู่ข้างๆ นี่เหรอ” ผมกลอกตา “มันไม่เหมือนกัน!”

คิ้วของผีทะเลที่นอนข้างๆ ผมขมวดแน่นกว่าเดิม “ไม่เหมือนยังไงวะ ผีมันก็ไอ้เหมือนๆ กันหมดอ่ะ”

ข้อนี้อธิบายยาก... “เอาว่าผีที่บ้านไม่น่ากลัวเท่าผีนอกบ้านก็แล้วกัน”

พี่เอื้อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนออกแรงยกตัวผมขึ้นแล้วสลับฝั่งกัน “เอ้า ทีนี้ผีมาจากทางหน้าต่างก็ต้องเจอพี่ก่อน”

ฟังแล้วผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แล้วถ้าผีมาทางประตูอ่ะ”

พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งผมกับพี่เอื้อสะดุ้งเฮือก ก่อนจะมองหน้ากัน พี่เอื้อกระซิบ “แกล้งตายก็แล้วกัน”

“...เอาจริงเดะ”

พวกผมสองคนเลยนอนกอดกันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบละ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังแว่วมาจากห้องข้างๆ ที่เป็นห้องของพี่เอื้อ

“...คนเมาล่ะมั้ง” พี่เอื้อสรุป...เอ้า เมื่อกี้ยังแกล้งตายหนีผีอยู่เลย ทำไมกลับคำให้การมาเป็นคนเมาแล้ว

“...ก็คงงั้น” ผมได้แต่ยอมรับไป...คิดแล้วยังไงเป็นคนเมาก็ยังดีกว่าเป็นผีวะ

พวกผมสองคนยังคงกอดกันอยู่แบบนั้น...ได้อีกราวๆ ห้านาที ก่อนพี่เอื้อจะโยนผมทิ้ง จากนั้นก็บ่นอุบว่าปวดแขนและพลิกตัวเปลี่ยนท่า ทำลายความโรแมนติกย่อยยับ แต่ก็ดีแล้ว เพราะผมหายใจช้ากว่าพี่เอื้อ พอนอนกอดกับเขา กลายเป็นว่าพยายามหายใจจังหวะเดียวกัน ผลคืออึดอัดมาก เกือบสำลักอากาศเพราะหายใจเร็วเกินไปอยู่หลายรอบ...นอนไม่หลับหนักกว่าเดิม

“พี่เอื้อ”

“หือ”

“ปกติคนอื่นเขานอนกอดกันได้ยังไง”

“พลังจูนิเบียว”

“...” ไม่รู้จะปลื้มใจดีไหมที่ในที่สุดพี่เอื้อก็เข้าถึงคำว่าจูนิเบียวแล้ว

พูดกันไปมาสุดท้ายผมก็ง่วงจนแม้แต่อ้าปากก็ยังไม่ไหว ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป พี่เอื้อก็เอื้อมตัวมาจุ๊บหน้าผากผมเบาๆ “เอ้านอนได้แล้ว บ๊ายบาย ฝันดี”

...แล้วผมก็ตายตาหลับ เอ๊ย หลับเป็นตายเพราะความเหนื่อย อะไรนะ ทำไมไม่มีฉากเด็กไม่ดีน่ะเหรอ ขอโทษด้วย แว่วเสียงใครไม่รู้เปิดบทสวดมนต์ดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนี้ ยังจะเกิดอารมณ์หื่นได้อีกก็ยอมแล้ว!



ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

STAGE III: ฆาตกรคือแกนั่นเอง

ข้อควรระวัง: จับคนร้ายได้แล้ว

คอมเม้นต์ของนายเอก: ...เคยมีจับผิดจับแพะบ้างไหม







26

เช้าวันต่อมา ผมตื่นเพราะเสียงตบประตูห้องรัวๆ “เอื้ออออ มึงอย่ามัวกกเด็ก ออกมาช่วยพวกกูเร็ว”

พี่เอื้อที่นอกจากจะไม่ได้กกเด็กแล้วยังถูกเด็กแย่งผ้าห่มค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตู ส่วนเด็กที่ไม่ได้ถูกกกก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางงัวเงียขณะหันไปมองนาฬิกา โอ้โหตีห้าครึ่ง นี่ตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันหรือไร

“มีอะไร”

“มึงงงง กูได้รับข้อความจากไอ้บีที่ตายไป”

“ฮืออออ มึงว่ามันอยากจะเอาพวกเราไปอยู่ด้วยไหม” เหล่าหางเครื่องที่เหลือร้องคร่ำครวญ

“...ไอ้บียังไม่ตายโว้ย” พี่เอื้อที่ยังคงมีสติตบกบาลเพื่อนๆ ก่อนจะรับโทรศัพท์มาดู ผมที่เดินไปสมทบกับเขาพยายามเขย่งเก็งกอยอยากดูกับเขาบ้าง ก่อนจะเห็นข้อความสั้นๆ ไม่มีที่มาที่ไป

...ข้างใต้ตุ๊กตา

ในยามนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเวลาเช้ามืดหรือผมเปิดแอร์แรงเกินไป ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย ฝ่ายพี่เอื้อก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัย “นี่มัน...ไอ้บี?”

“เออ คืองี้...กูพยายามจะหาที่ที่มีสัญญาณเชี่ยอะไรก็ได้ เลยเดินวนไปวนมารอบโรงแรม จนได้สัญญาณมาขีดหนึ่ง พอจะส่งข้อความ ก็ได้รับข้อความนี้พอดี มึงดูเวลาดิ มันคือตอนไอ้บีหายตัวไป”

“ข้างใต้ตุ๊กตา?” พี่เอื้อพึมพำ “ตุ๊กตาอะไรวะ”

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็พุ่งไปที่ข้างหัวเตียง และหยิบเอาตุ๊กตาไม้หน้าตาประหลาดขึ้นมา “ไอ้นี่หรือเปล่า”

พวกรุ่นพี่พากันกรูเข้ามาในห้อง ก่อนที่ทุกคนจะร่วมกันมุงดูสิ่งที่อยู่ในมือของผม ครั้นพลิกดูใต้ตุ๊กตาไม้ พวกผมก็เห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษปนตัวเลขอยู่สองแถวที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ

“ตุ๊กตานี่มัน...มีทุกห้องเลยใช่ไหม

สิ้นคำถามดังกล่าว แต่ละคนพากันกุลีกุจอกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อเอาตุ๊กตาไม้ที่หัวเตียงมาบ้าง เมื่อพลิกดูทั้งหมดก็พบว่าอักษรสองแถวพวกนี้ไม่ซ้ำกันเลยสักชุด

“จะว่าไป ในนิยาย มันก็มีตุ๊กตาทหารน้อยสิบตัวใช่ไหม”

“เออ แล้วมันก็หายไปทีละตัว”

“ฮว้ากกกก กูจะไม่เข้าใกล้ทะเลอีกแล้ว”

“ระวังสระว่ายน้ำไว้ด้วยนะมึง”

“...” พี่เอื้อมองเหล่าเพื่อนด้วยสายตา...ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มันเหมือนเวลาเรามองเด็กอนุบาลกำลังคุยกันในหัวข้อยากๆ คือเป็นสายตาแห่งความเอ็นดูปนเวทนาในความไร้เดียงสา ประมาณนั้น

ผมแอบกระซิบถาม “ทำไมพวกพี่จำกลอนทหารน้อยกันได้แม่นจัง”

พี่เอื้อร้องอ้อ “หนังสืออ่านนอกเวลาวิชาอังกฤษหนึ่งน่ะ ตอนนั้นมีข่าวลือว่าจะออกสอบ ท่องกันใหญ่เลย”

“แล้วออกไหม”

“ไม่มี”

...โธ่

“ของปีนายใช้เรื่องอะไร”

“เอ่อ...รถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรสอะ ที่คนตายลึกลับบนรถไฟ” ก็ของอกาธา คริสตี้อีกเหมือนกัน

“โฮ่ ดีนะที่เราไม่ขึ้นรถไฟ” พี่เอื้อส่ายหัวขณะปรายตามองเพื่อนๆ ตัวเอง

“พี่ไม่กลัวเลยเหรอ”

“นิดหนึ่ง”

“แต่...”

พี่เอื้อปรายตามองผม ก่อนเอื้อมมือมาดึงแก้ม “แต่ต่อหน้าแฟน จะให้ทำตัวพึ่งพาไม่ได้ได้ยังไงกันเล่า”

ผมรู้สึกว่าหูตัวเองออกจะร้อนหน่อยๆ

 

สุดท้ายพี่เอื้อที่มีสติอยู่คนเดียวก็ลากเพื่อนๆ ลงไปกินข้าวเช้า กินเสร็จก็เลยไปนวดสปากัน...ตกลงพวกพี่กลัวหรือไม่กลัวกันแน่วะ หรือขอแค่ไม่เข้าใกล้น้ำก็ไม่เป็นไรแล้ว? เอาเป็นว่าผมเองก็ไม่รู้ แต่นวดสปาคือดีงามมาก หลังแข็งๆ ของผมผ่อนคลายสุดๆ

เสร็จแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไป พวกรุ่นพี่เหมือนจะไปเดินเล่น ชมสวนสมุนไพร ส่วนพวกผมก็ไปเดินตลาดน้ำอีกครั้ง แต่ไม่พบร่องรอยของแม่มด ก่อนจะกลับไปหาข้าวกินชิลล์ๆ แล้วก็ไปนั่งเล่นในห้องเกม เป็นครั้งแรกที่ผมได้จับเครื่องเล่นเกมคอนโซล เลยตื่นเต้นใหญ่ ก็เล่นเกมต่อสู้กันไป ผมอัดรุ่นพี่ลงไปนอนกองรวด ก่อนจะถูกขับไล่ออกมา ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นพอดี

หลังอาหารเย็น ผมกับพี่เอื้อก็ตัดสินใจลองเดินไปเดินเล่นย่อยอาหารทางป่าด้านหลังโรงแรมดู ส่วนพวกพี่ที่เหลือกลัวจนไม่กล้าทำอะไร เลยสุมหัวกันอยู่แถวล็อบบี้โรงแรม

สองข้างทางก็ไม่มีอะไร เป็นต้นไม้ใบหญ้า อันที่จริงก็ไม่ถึงกับหนาทึบเป็นป่า แต่พอเดินกันสองคนในช่วงเวลาแสงสลัวๆ แบบนี้แล้วก็รู้สึกว่านี่มันบรรยากาศหนังสยองขวัญอยู่หน่อยๆ แถมด้วยความที่ทั้งผมและพี่เอื้อต่างไม่ใช่พวกสนใจต้นไม้ใบหญ้ามาก ไอ้ต้นไม้ที่เดินผ่านๆ กันนี่เป็นต้นอะไรบ้างก็ไม่รู้สักนิด

ทว่าขณะเดินๆ อยู่ ผมก็รู้สึกร้อนวูบในอก “พี่เอื้อ!”

จี้ที่ห้อยคอผมยามนี้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผมถอดมันออกมาถือและเคลื่อนไหวไปมา “ทางนี้!”

สีเหลืองในอัญมณีค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผมเผชิญหน้ากับใครคนหนึ่ง

อาศัยแสงจากคบไฟปลอมที่ติดอยู่ตามต้นไม้ทำให้ผมเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งเย็นชาคล้ายรูปปั้น...และเป็นใบหน้าที่ผมคุ้นเคยดียิ่งกว่าใคร

“ไอ้ธี...?”

เจ้าของชื่อกะพริบตาเล็กน้อย ก่อนดันแว่น “เดือน?”

ผมถอยกรูดไปด้านหลัง “ภาธี! ที่แท้แล้วแกเป็นสายของแม่มดงั้นเหรอ”

“หา” ไอ้ภาธีเพื่อนเลิฟมองผมด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนปัญญาอ่อน เอ้อ...ก็ค่อนข้างจะอ่อนนิ่มยวบยาบจริงๆ นั่นแหละ แค่ก เท่านั้นยังไม่พอ มันยังยืนดูดน้ำปั่นหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมแอ็กติ้งประหนึ่งเล่นละครเวทีอยู่คนเดียว

“ไม่ผิดแน่” ผมชูจี้ห้อยคอที่ยามนี้กลายเป็นสีเหลืองสดใสขึ้นมา “แกรู้ใช่ไหมว่าแม่มดที่สาปพี่เอื้อให้เป็นตุ๊กตากบคือใคร”

ภาธีมองผมนิ่งๆ ก่อนหันไปหาพี่เอื้อ แล้วก็ร้อง “อ้อ!” ออกมาคำหนึ่ง

นั่น...นั่นไง มันรู้ นี่มันรู้จริงๆ ด้วย โฮกกกกก เพื่อนทรยศ

จากนั้นไอ้เพื่อนทรยศก็ค่อยๆ หันมาหาผมอย่างเชื่องช้า และเอ่ยเนิบๆ “เลิกเล่นละครได้แล้ว ความแตกแล้ว”

ผมชะงัก ก่อนหันไปมองพี่เอื้อ “พี่...เอื้อ ไม่ใช่นะ คือผมอธิบายได้”

ในสายตาของพี่เอื้อยามนี้เต็มไปด้วยความระแวงสงสัยและเกลียดชัง จนร่างของผมสั่นเทิ้ม...

 

CUT! CUT! CUT!

“ไอ้น้องเดือนโว้ย จะเปลี่ยนบททำไมอีกแล้ววะเนี่ย” ไม่พูดเปล่า เอาที่ตีเปรตกลับมาตีหัวผมอีก

“อะ อ้าว ผมนึกว่าให้มันลึกลับนิดหน่อยสนุกกว่า จะได้แบบว่า พิสูจน์รักแท้ไง ตรงนี้พระเอกก็จะเข้าใจผิด โกรธ หนีไป วิ่งวนข้ามเขายี่สิบเอ็ดลูก แล้วผมก็จะยักคอวิ่งไล่ตาม”

-เป็นหนังอินเดียเลยนะครับ-

น้องเอกที่กำลังจิบน้ำปั่นที่ซื้อมามีสีหน้า ‘คุณพี่เมิงจะละเมอเพ้อพกแบบไหนก็เอาเลยจ้า’ ผมเลยรู้สึกผิด ก็ได้...

“เอาเรื่องจริงเนอะ”

“เออ แค่นั้นก็พอแล้ว”

“แต่มันไม่แมสอ่ะ...พระเอกยังไม่ได้เข้าใจผิดเลยสักครั้ง ไหนพี่บอกว่าเราต้องเข้าใจผิดกัน ดราม่าน้ำตาท่วมไง”

“นั่นมันเลยสเตจไปแล้วโว้ย” ไม่พูดเปล่า พ่อคุณตบกะโหลกผมไปด้วย “อีกอย่างนะน้องครับ พี่อาจจะเรียกว่าชมตัวเองสักหน่อย แต่พี่มีสมองครับ ต้องเข้าใจผิดน้องแบบโง่ๆ มั้ย”

ผมได้แต่โปรยยิ้มแบบตัวสล็อธใส่พี่เอื้อ

-แล้วจริงๆ พวกพี่มีเข้าใจผิดกันบ้างไหมครับ-

“ไม่ค่อย” ผมตอบ

“ตลอด” พี่เอื้อตอบ

ฟังคำตอบของพ่อทูนหัวแล้วผมเลยต้องหันไปมอง พี่เอื้อจึงค่อยๆ อธิบาย “คืองี้ เราสองคนจริงๆ แล้วอยู่ด้วยความเข้าใจผิดกันมาโดยตลอด ไม่ค่อยจะเข้าใจถูกสักเท่าไหร่”

“เช่นพี่เข้าใจผิดว่าผมฉลาดน้อย”

“นี่ไง เห็นไหม แค่นี้น้องเดือนก็เข้าใจพี่ผิดแล้วเนี่ย”

“...” เล่นคำเข้าไปอี๊ก





ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
26​ (เอาใหม่)​

ก็ได้ เอาใหม่ ฉากนี้ความจริงแล้วขณะที่ผมโวยวายอยู่นั้น พี่เอื้อก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบ “เมื่อกี้น้องไปพบกับใครมาหรือเปล่า”

ภาธีเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะกวักมือให้พวกผมเดินตามมา ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจตามมันไป

“ไอ้ธี ตกลงที่นี่มันที่ไหน ไหนแกบอกแกอยู่เนวาด้าไง”

ภาธีหันมามองผม ก่อนทำคิ้วขมวด “เณวันดา...ชื่อเกาะน่ะ”

“อ้าว แล้วแอเรียห้าสิบเอ็ดล่ะ”

“หา” ภาธีนิ่งไปครู่หนึ่ง “หมายถึงโรงแรมออเรียนหาดเสม็ดเหรอ ก็โรงแรมนั่นไง”

ผมมองตามสายตาของภาธีไปด้านหนัง...ซึ่งก็คือโรงแรมที่พวกผมพักอยู่

“ออเรียนหาดเสม็ด...”

“เออ”

“...” เชี่ย กลายเป็นแอเรียห้าสิบเอ็ดเฉยเลย หูกู ผมรู้สึกเศร้าใจมาก แถมพอยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะก๊ากแบบจะเป็นจะตายของพี่เอื้อ ก็ยิ่งเศร้าหนักกว่าเดิม แต่เฮ้ย อย่างน้อยผมก็เดาถูก เห็นไหม ภาธีอยู่ในบริเวณเดียวกับแม่มดจริงๆ

“ตกลงแกมาทำอะไรแถวนี้”

“พักผ่อนช่วงปิดเทอมกับพี่บ้าน”

...เอ้อ ลืมไปเลยว่าไอ้นี่ก็ตระกูลไฮโซ

ระหว่างชวนภาธีคุยไปด้วย ผมพยายามเดินนำหน้าพี่เอื้ออยู่ตลอด กะว่าถ้ามีคนร้ายมาผมจะอะโชะๆๆๆๆๆ ไปให้หมด แต่อนิจจาพระเอกของผมโคตรไม่ให้ความร่วมมือ พยายามจะดันผมไปข้างหลังอยู่นั่น

ฝ่ายภาธีเพื่อนรักพาผมเดินมาถึงด้านหลังของหาดที่เต็มไปด้วยผู้คนและแสงไฟ ทันทีที่ได้เห็น ผมก็กะพริบตาปริบๆ ก่อนหันไปหาภาธี “นี่มันอะไรอ่ะ”

“ตลาดกลางคืน” ภาธีเพื่อนรักทำเสียงประหนึ่งจะต่อว่าต่อขานว่าถามอะไรโง่ๆ

“เออ อันนั้นรู้ แต่ทำไมตลาดกลางคืนถึงมาอยู่ตรงนี้วะ” นี่ไม่เห็นทะเลจะนึกว่าอยู่เยาวราชแล้วงี้

“ถามแปลก ก็เอาไว้ให้กินอาหารมื้อดึกกันน่ะสิ”

“พวกเศรษฐีเนี่ยนะ”

“เอ้า แล้วเศรษฐีห้ามกินอาหารแบบนี้หรือไง ยิ่งเป็นเศรษฐียิ่งยากแก่การออกมาหากิน รีสอร์ตก็เลยจัดตลาดกลางคืนให้ด้วยที่ด้านหลังเกาะน่ะสิ”

“...” ผมจนคำพูดแล้ว

จากนั้นมันก็ชี้ไปทางหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

ในยามนั้นผมคิดว่าชาตินี้ผมคงไม่มีวันลืมทั้งภาพ เสียง และแววตาของภาธีไปชั่วชีวิต เพราะยามที่ผมหันไปตามการชี้ของภาธี ผมก็เห็นแผงขายน้ำปั่น ก่อนนึกขึ้นมาได้ว่าในมือไอ้ธีมีน้ำปั่นที่เพิ่งซื้อมาอยู่ “นี่คือแม่มดของแกหรือเปล่า”

“...” ผม

“...” พี่เอื้อ

“...” ภาธี

เราสามคนพากันมองหน้านิ่งๆ จนกระทั่งคนที่ทำลายความเงียบขึ้นมาคือพี่เอื้อ “ยัยนั่นเป็นใครน่ะ”

ผมแทบล้มคว่ำ

“อ้าว พี่ไม่รู้จักเธอหรอกเหรอ”

แล้วไอ้ที่ผมลงทุนนั่งดูรูปสาวๆ ของพี่เสียจนตาปูดนั่นมันอะไรกัน ไม่นับเรื่องที่โทรศัพท์กระจายเสียจนผมนึกว่าพี่เป็นลูกเจ้าขององค์การโทรศัพท์เข้าไปอีก

“ไม่……….นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นผู้หญิงคนนี้” พี่เอื้อมีท่าทางตื่นตะลึง

ผมหรี่ตามองสาวน้อยตรงหน้า พยายามครุ่นคิด ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำท่าบังส่วนหัวกับส่วนปาก จากนั้นก็ยืนยัน “ใช่ผู้หญิงคนที่ชนผมจริงๆ”

ไอ้ธีที่มองพวกผมอยู่นานแลเห็นแล้วว่าพวกผมดูท่าจะไม่ได้เรื่อง เลยเอ่ยเสียงเนิบๆ “สาวร้านน้ำปั่น”

พี่เอื้อที่ดูเหมือนจะแอบเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดร้อง “จริงด้วย!” เสียงดังลั่น ผมมองแม่มดอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลาจะเคยเห็นเธอสวมผ้ากันเปื้อน โพกหัวด้วยผ้าสีส้ม ขายน้ำปั่นอยู่ที่โรงอาหารใหญ่ของมหาวิทยาลัยจริงๆ ด้วยว่ะ เออว่ะเฮ้ย สาวขายน้ำปั่นจริงๆ ด้วย

“ทำไมแกถึงจำได้วะ” ผมถามไอ้ธีด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ

ภาธีหรี่ตามองผม “แกซื้อร้านนั้นทุกอาทิตย์เลยนะ”

“...จริงเหรอ” ทำไมจำไม่เห็นได้ อ้อ เพราะมัวมองแต่หนุ่มน้อยหน้ามนร้านขายผลไม้ข้างๆ อยู่แหงๆ แค่กๆๆๆ

ส่วนพี่เอื้อ หลังนิ่งไปนาน จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ฮ่าๆๆๆ ในชีวิตจริง ฆาตกรอาจจะเป็นใครก็ได้ที่เดินผ่านมา”

“หมดธุระฉันแล้ว กลับก่อนนะ เจอกันปิดเทอม” ภาธีโบกไม้โบกมือไปมา ก่อนเดินหายลับไป

ผมได้แต่โบกมือไล่หลังภาธีไปด้วยอาการงุนงง แล้วบทของเพื่อนผมก็จบลงแค่นี้ นี่จริงๆ มันก็ช่วยเราไว้นะเนี่ยพี่ เลิกเหล่มันสักทีเถอะ!

หลังจากนั้นผมกับพี่เอื้อก็มองหน้ากัน ก่อนเดินตรงเข้าไปหาแผงขายน้ำปั่น

“นี่มันเจ้าเดียวกับที่เห็นในตลาดน้ำนี่หว่า” ผมสังเกตเห็นตัวการ์ตูนสีสันสดใสสะดุดตาที่ข้างตัวรถ

“เออ ตอนนั้นรถเข็นผ่านเราไปด้วยนี่นะ” ...แต่ตอนนั้นมัวแต่สนใจคนเดินผ่านไปผ่านมาเลยไม่ได้ดูคนขายของ พลาดจริงๆ

พวกผมเดินกันช้าๆ จนไปหยุดยืนตรงหน้าร้าน และรอให้คนขายค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา “สวัสดีค่ะ จะรับ...ว้ายยยยยย”

“สวัสดีครับ เราไปนั่งคุยกันหน่อยดีไหมเอ่ย” พี่เอื้อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะแกว่งพวงกุญแจตุ๊กตากบที่ผมได้มาจากเควสต์เต้นแอโรบิคไปมาต่อหน้าอีกฝ่ายซึ่งตัวสั่นระริก

ในที่สุด พวกผมก็ได้พบกับเป้าหมายที่ตามหา ยามนั้นเราสามคนนั่งเผชิญหน้ากัน...โดยมีโต๊ะสังกะสีพับที่โยกไปเยกมา และชุดเครื่องปรุงวางกั้นกลาง เอ้า น้องเอก ทำไมทำหน้าแบบนั้น พวกพี่ก็บอกแต่แรกแล้วว่าตอนถอนคำสาปได้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด ให้พี่จบนิยายแมสไปก็หมดเรื่องแล้ว

อะ เอาเป็นว่าพวกผมก็หาโต๊ะนั่ง แล้วก็สั่งข้าว

“แปะๆ ขอข้าวหน้าหมูทอดหนึ่ง ไก่ทอดหนึ่ง หมูพิเศษหนึ่ง อ้อ เอาเกาเหลาลูกชิ้นด้วย ไม่เอาเลือดนะ” ...ไม่มีทงคัตสึให้กินแล้วส่องไฟสืบสวน เอาข้าวหน้าหมูทอดแทนก็แล้วกันวะ แต่เจ้าพนักงานสืบสวนขอกินด้วย

“ได้ โต๊ะสี่หมูทอดหนึ่งไก่ทอดหนึ่งหมูพิเศษหนึ่งเกาหนึ่ง เอาน้ำอะไร”

“เก๊กฮวยสอง แล้วก็...” ผมเหลือบไปมองคุณแม่มดที่ยังไม่ยอมเงยหน้า “น้ำส้มหนึ่ง”

พอสั่งเสร็จผมก็เหลือบไปเห็นเด็กร้านหมูสะเต๊ะมาวนรับออเดอร์ เลยโบกไม้โบกมือแล้วชูห้านิ้ว “ห้า...เอ๊ย หกไม้”

พอข้าวมาถึง ผมก็ส่งข้าวหน้าหมูทอดและน้ำส้มให้คุณแม่มด ส่วนตัวเองก็แบ่งหมูทอดพิเศษกับไก่ทอดอย่างละครึ่งๆ แบ่งกินกันกับพี่เอื้อ “หมูสะเต๊ะด้วยไหม”

ดวงตาของแม่มดเต็มไปด้วยความสับสนมึนๆ งงๆ ผมเลยตีความว่าน่าจะไม่เอา ก็เลยแบ่งกับพี่เอื้อ แบ่งไปก็อดจิ้มเข้าปากไปด้วยไม่ได้ “เอ๊ย น้ำจิ้มสะเต๊ะเจ้านี้อร่อย”

“ไหนๆ” พี่เอื้ออ้าปากรอ ผมเลยรูดออกก่อนแล้วจิ้มส่งให้ “เออว่ะ อร่อยกว่าเจ้าที่ขายหน้าปากซอย เอาอาจาดมาให้ลองหน่อย”

ผมเลยบริการส่งเข้าปากให้ พี่เอื้อชิมแล้วก็ชมเปาะ “ไว้ซื้อกลับบ้านดีกว่า”

“พี่ไปใช้หน้าหล่อๆ หลอกถามสูตรเลยดีกว่าป่ะ”

“ได้ เดี๋ยวกินข้าวก่อน”

“หืม...หมูอะไรเนี่ย นุ่มจัง ฉ่ำด้วย”

“หืม ไอ้นี่...” พี่เอื้อก็โบกมือเรียกความสนใจจากเจ้าของร้าน “แปะ นี่มันคุโรบูตะหรือเปล่า”

“ใช่แล้วพี่รูปหล่อ”

ผมฟังแล้วสำลักเล็กน้อย “เดี๋ยว ทำไมถูกขนาดนี้”

“นี่เอาไว้บริการลูกค้ารีสอร์ตน่ะพอหนุ่ม ที่คิดราคานี้ก็เหมือนทิปขำๆ นั่นแหละ แค่ให้ลูกค้าสัมผัสบรรยากาศเหมือนซื้อข้างนอกแบบกินข้าวข้างทางน่ะ”

ได้ยินคำตอบแล้วพวกผมก็ขอบคุณอาแปะ ก่อนที่พี่เอื้อซึ่งเคี้ยวอย่างเชื่องช้าประหนึ่งจะซึมซาบถึงรสสัมผัสก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าวนี่คงไม่ใช่แบบ ข้าวโคชิฮิคาริอะไรงี้นะ...กิโลละสามสี่พันได้”

“ฮ่าๆ คงไม่ขนาดนั้นมั้ง” ...หรือเปล่าวะ ชักไม่แน่ใจแล้ว

หลังจากซัดข้าวหมูทอด ไก่ทอด หมูสะเต๊ะหมด พี่เอื้อพี่กินอิ่มก็เริ่มเข้าประเด็นแบบไม่มีการเกริ่นนำ

“ตกลงที่สาปฉัน ก็เพราะเธอชอบฉัน”

“ชะ ใช่ค่ะ” แม่มดหน้าแดง ก่อนเหลือบมองผมที่ละเลียดเกาเหลาในชาม เข้าใจว่าเธอคงไม่อยากพูดแบบมีผมนั่งเป็นก้างขวางคออยู่ตรงนี้ แต่ช่วยไม่ได้นะคุณผู้หญิง นี่เป็นแพ็กเกจดีล ผมที่โดนลูกหลงในเรื่องนี้ไปกับเขาด้วยก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วมันเพราะอะไรกันแน่

“เธอชอบฉันที่ตรงไหน”

“คะ คุณหล่อมาก”

“สรุปว่าชอบแค่หน้าตา”

“มะ ไม่ใช่นะคะ คุณ คุณยังใจดี สุภาพมากด้วย”

“ยกตัวอย่างกิจกรรมที่แสดงออกถึงความใจดีมาซิ” พี่เอื้อเอ่ยเสียงเนิบ พี่ครับ นี่สอบสัมภาษณ์เหรอ

“คะ คือ เอ่อ”

“แล้วถ้าฉันหน้าตาธรรมดา เธอจะชอบฉันไหม”

“...ฉัน”

“แล้วเดือนล่ะ?” พี่เอื้อเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ผมผู้รู้หน้าที่ก็ตบมุกทันควัน

“ไม่ครับ!”

“...”

“ถ้าพี่ไม่หล่อแล้ว ผมก็ไปหาคนอื่นดีกว่า” ผมเอ่ยยิ้มๆ และรอให้จังหวะนี้ถูกตบมาด้วยประโยคสุดแมสแบบ ‘กล้าเหรอ’ จากนั้นก็ทำท่าเกรี้ยวกราดหึงโหด ทว่าพี่เอื้อก็ยังสมเป็นพี่เอื้อ แม้แต่คำตอบก็ยังชวนอะเอื้อ

“ได้ งั้นพี่จะพยายามรักษาสภาพหน้าหล่อๆ ไว้แบบนี้แล้วกัน”

“...” ...หมดกันพระเอกหึงโหดของกู

จากนั้นพี่เอื้อก็หันกลับไปหาคุณแม่มดอีกครั้ง “ให้โอกาสนะ ค่อยๆ ทบทวนดู ตกลงเธอชอบฉันจริงๆ ชอบแบบถ้าไม่มีฉันแล้วเธอจะอยู่ไม่ได้ หรือแค่ชอบเพราะฉันหล่อดี อยากได้เอาไปเดินควงให้โก้ๆ”

“แบบนั้นปล่อยเช่าได้นะ ชั่วโมงละสองสามร้อย” ผมรีบเสนอโปรโมชัน เลยโดนพี่เอื้อแอบเตะใต้โต๊ะไปทีหนึ่ง “แฮ่ม เอาใหม่ เนื่องจากหล่อระดับนี้ สามร้อยน้อยไป สักห้าร้อยกำลังดี”

พี่เอื้อที่ดูจะพอใจกับค่าตัวแล้วไม่เตะผมอีก

“ทำไม...ทำไมถึงเป็นฉันไมได้ล่ะคะ!”

“ง่ายมาก เพราะคนที่ฉันชอบไม่ใช่เธอน่ะสิ”

“แล้วทำไมถึงไม่ใช่ฉันล่ะ”

“ขอโทษด้วย แต่นั่งจนข้าวหมูทอด ไก่ทอด เกาเหลา หมูสะเต๊ะ หมึกปิ้งหมดแล้ว ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย”

...เออ จริงว่ะ

เธอทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พี่เอื้อยกมือขึ้นห้าม “ได้ เราจะค่อยๆ ทำความรู้จักกันทีหลังก็ย่อมได้ แต่ถ้าต้องการแบบนั้น เธอไม่ควรสาปฉันแต่แรก”

“ฉัน...ฉันก็แค่...”

“ก็แค่ชอบฉัน? สาปคนธรรมดา...โทษจองจำอย่างน้อยสิบปี...คุ้มเหรอ”

แม่มดสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ

พี่เอื้อยิ้มน้อยๆ “ฉันปรึกษาเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายของสมาคมแม่มดเรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่าเราตามหาเธอเจอได้ยังไงกันล่ะ”

...เพราะกูเกิ้ลจ้า

“คุณผู้หญิง ผมยอมความก็ได้นะ ถ้าคุณแก้คำสาปให้ผม แล้วเราก็เลิกแล้วต่อกันแค่นี้”

ร่างของแม่มดสั่นเทา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน ฝ่ายผมที่เป็นคนนอกมองๆ ไปแล้วก็สงสัยว่าทำไมบรรยากาศตอนนี้เหมือนพวกผมมาทวงหนี้แล้วกำลังบอกให้ฝ่ายตรงข้ามเอาอวัยวะไปขายมาสักชิ้นเพื่อปลดหนี้กันวะ

“คุณไม่ผิดที่หลงรักผม แต่คุณทำไม่ถูกที่ละเมิดสิทธิ์ในการตัดสินใจของผม”

ประโยคโคตรเท่ แต่พอฉากเป็นตลาดกลางคืนมองเห็นคำว่า ‘แปะตือ หมูทอด ไก่ทอด 30 พิเศษ 35’ แล้วรู้สึกเซอร์เรียลชอบกล แต่เอาเถอะ โลกแม่งก็เซอร์เรียลตั้งแต่มีแม่มดมาสาปคนให้เป็นตุ๊กตากบแล้ว

แถมประโยคนี้เอาเข้าจริงพระเอกที่ไหนเขาพูดกันวะ โดยเฉพาะพิมพ์นิยมแบบพระเอกสายขี้บังคับ สิทธิ์ในการตัดสินใจแม่งก็ไม่มีอยู่จริง แต่เอาเถอะ (อีกครั้ง) พี่เอื้อแม่งก็สอบตกการเป็นพระเอกแมสๆ มาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว ดังนั้นจะบิดไปอีกสักนิดก็ไม่มีอะไรแตกต่าง

“ฉัน ฉัน...” แม่มดเสียงสั่น สีหน้าของเธอยามนี้ซีดราวกับกระดาษ

ผมมองคนทั้งคู่แล้วตัดสินใจเข้ากู้สถานการณ์ “พี่เอื้อ อยากกินปลาหมึกปิ้งอ่ะ”

พี่เอื้อปรายตามองผมเหมือนจะถามว่าวันก่อนเพิ่งกินหมึกย่างไปเองไม่ใช่เหรอ แต่จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ พี่แกก็ผงกหัว “ก็สั่งสิ”

ผมลูบท้องตัวเอง “แอบอิ่มนิดๆ แล้ว”

“สั่งมา เหลือเดี๋ยวช่วยกิน”

ผมเลยจะวิ่งออกไปสั่ง แต่แล้วพี่เอื้อทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เดี๋ยว พี่ไปเอง”

“ทำไม” ผมกะพริบตาปริบๆ มองหน้าพี่เอื้อด้วยความงุนงง

“ปลาหมึกมันจะได้สดหน่อย”

“...” ดีที่ไม่ตอบว่าเพราะพี่หล่อ

ดังนั้นพี่เอื้อจึงเดินหนีไปซื้อปลาหมึก ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับแม่มดที่จดๆ จ้องๆ ผมสลับกับข้าวหน้าหมูทอด

“...กินเถอะครับ ไม่เป็นไรหรอก”

“...” ดวงตาหวานโศกจ้องมองผม เสียดายที่มันไม่เข้ากับซีนตลาดนัดกลางคืน ความสวยซึ้งเลยลดไปถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ “จะไม่...ด่าว่าฉัน...หรือคะ”

ผมมองเธอด้วยสายตางุนงง “ต้องทำอะไรขนาดนั้นด้วยเหรอ”

“ก็ฉัน...ฉันทำไม่ดีลงไป”

“ถ้าคิดแบบนั้นแสดงว่าก็รู้ตัวว่าตัวเองทำผิดใช่ไหม” ผมยิ้ม “งั้นก็กินข้าวหน้าหมูทอดแล้วถอนคำสาปให้พี่เอื้อเถอะ”

“แต่ฉัน...ฉัน...” ดวงตาของเธอเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ ผมคลำตามเนื้อตัว ปกติคนแบบผมพกผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชู่ที่ไหน ครั้นจะส่งทิชชู่สีชมพูของร้านแปะตือให้ก็เกรงใจ

“...หนุ่มหล่อมีอีกมากมาย คุณก็น่ารักออก ทำไมถึงกลัวว่าจะหาไม่ได้ล่ะ” ผมเอ่ยยิ้มๆ แต่ไม่รู้ว่าที่พูดนี่เผลอไปกดปุ่มผิดเข้าตรงไหน จู่ๆ ใบหน้าของสาวน้อยที่กำลังจะร้องไห้พลันบิดเบี้ยว

“ก็คุณได้เขาไปแล้ว คุณก็พูดได้น่ะสิ!”

เท่านั้นแหละครับ คดีพลิก จากบทเจรจาเลี้ยงข้าวหน้าหมูทอดดีๆ กลับกลายเป็นหลังไซไฟแอ็กชันทันตา จู่ๆ เธอก็ลุกพรวด จากสาวน้อยน่ารักกลายเป็นผีซาดาโกะในซีรีส์เดอะริงก์ทันตา ผมดีดตัวผึงถอยไปด้านหลังด้วยความตะลึงตึงเพริด ในสมองนึกทบทวนว่าเมื่อกี้กูพูดอะไรผิดไป แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก

ที่ท้องฟ้าเบื้องบนบังเกิดสภาพอาการวิปริตแปรปรวน เพลงประกอบละครเรื่องอังกอร์ดังเป็นฉากหลัง

เหล่าคนที่กำลังเอนจอยกับตลาดกลางคืนพากันตกอกตกใจ พี่เอื้อวิ่งกลับมาหาผมหน้าตาตื่น ตอนนั้นทุกอย่างเหมือนเป็นภาพช้า โต๊ะที่คั่นกลางระหว่างผมกับแม่มดล้มลง จากนั้นทั้งสองข้างก็ล็อกคอผมไว้ด้วยแรงมหาศาล

“เดือน!”

ตอนนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมคว้าจับสองมือของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วอาศัยกำลังขาในการเหวี่ยงตัว แล้วทิ้งน้ำหนักทั้งหมดทุ่มอีกฝ่ายไปด้านข้าง จากนั้นก็ใช้ศอกกระแทกเข้าที่ท้องน้อยอีกฝ่ายก่อนคร่อมทับเอาไว้ตรงจุดศูนย์ถ่วง ไม่ให้ลุกขึ้นได้ ทว่าพอดูให้ดีๆ แม่มดสลบไปแล้ว

พอหันไปมองรอบตัวก็เห็นพี่เอื้อยืนโปรยจุดใส่ เอ่อ...อดีตหัวหน้าแก๊งขาโจ๋ มันก็ต้องมีศิลปะการป้องกันตัวติดตัวบ้างอ่ะพี่ ผมพยายามกะพริบตาโปรยยิ้มสล็อธไร้เดียงสา ก่อนจะสังเกตว่าข้างๆ พี่เอื้อมีคนคู่หนึ่งสวมชุดแปลกๆ ยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่

“เอ่อ...”

ทั้งคู่เหมือนตั้งสติได้ จึงรีบวิ่งเข้ามาแล้วจัดการสวมสิ่งที่ดูเหมือนกำไลหินให้กับแม่มด คนหนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “แม่มดเลขที่ใบอนุญาตสามเก้า ขีด สองสอง ขีด หกห้าหกหก ขีด เจ็ด สังกัดสาขาเอเชียตะวันออกฉัยงใต้ คุณถูกจับกุมในข้อหาใช้คำสาปกับคนทั่วไปในทางมิชอบ และใช้พลังในที่สาธรณะ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของเผ่าพันธุ์ คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด ทุกคำพูดของคุณจะถูกใช้ในชั้นศาล คุณมีสิทธิ์เรียกทนาย หากไม่มีทนาย ทางสมาคมจะจัดหาให้”

“...” เอ่อ...

หลังจากนั้นพวกเขาก็แนะนำตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมแม่มด ตอนนั้นผมถึงค่อยสังเกตว่าณ ที่นั้นนอกจากผมกับพี่เอื้อแล้วคนอื่นๆ ต่างหยุดนิ่งกันหมด พวกเขาให้พวกผมเซ็นเอกสารหลายอย่าง ก่อนจะจัดการถอนคำสาปให้พี่เอื้อ ซึ่งก็เพียงใช้เลือดของแม่มด (ที่ยังสลบอยู่) ป้ายเป็นลวดลายบนตัวพี่เอื้อ...ซึ่งหลังจากนั้นมันก็ซึมหายไปอย่างรวดเร็ว คำสาปพี่เอื้อก็ถูกถอนด้วยประการละฉะนี้

ก่อนกลับยังช่วยจัดการซ่อมแซมโต๊ะร้านแปะตือที่พังให้กลับเป็นเหมือนเดิม จากนั้นก็กล่าวขอบคุณพอเป็นพิธีที่ช่วยเจ้าหน้าที่จับผู้ร้าย...เป็นอันจบพิธี ตอนหลังพวกเขาก็มีส่งข้อความมารายงานความคืบหน้าของคดี ผมกับพี่เอื้อมีถูกเรียกตัวไปให้ปากคำ ตอนนั้นเราถึงค่อยรู้ชื่อของแม่มด แล้วพี่เอื้อก็พบว่าเธอเป็นเฟรนด์ในเฟซบุ๊กของตัวเองจริงๆ เพียงแต่ใช้ภาพโปรไฟล์เป็นตัวการ์ตูนบวกกับรู้จักคนในคณะผมเยอะ พี่เอื้อเลยคิดว่าเป็นแค่รุ่นน้องธรรมดา

ยิ่งไปกว่านั้น ที่แท้แล้วในวันที่สาปพี่เอื้อ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นเธอก็กลับมาที่เกิดเหตุจริงๆ แต่พี่เอื้อหายไปแล้ว เธอวนหาในมหาวิทยาลัยอยู่ทั้งคืน ใช้เวทมนตร์ก็แล้ว แต่ก็หาไม่พบ (รู้สึกว่าเวทมันจะมีขอบเขตจำกัด) สุดท้ายกลัวถูกจับ เลยหนีมาทำงานที่เกาะร้านซึ่งสัญญาณเวทตรวจจับมาไม่ถึง แต่สัญญาณมือถือมาถึง

พี่เอื้อฟังแล้วตบเข่าฉาด ร้องว่า “เห็นไหม ฆาตกรมันต้องกลับมาที่เกิดเหตุจริงๆ”

ส่วนผมก็รับมุกทันทีว่า “สมกับที่เป็นฆาตกรโรคจิตมาก่อน รู้ดีจริงๆ”

...เลยโดนตบกบาลไปหนึ่งที

สุดท้ายพวกเราก็ได้จดหมายขอโทษจากเธอในอีกห้าปีให้หลัง ในนั้นเขียนเล่าถึงเรื่องราวหลังจากเธอรับโทษตามกฎของสมาคม ชีวิตหลังได้รับการบำบัด ดังนั้นคดีตุ๊กตากบจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้

น้องเอกอย่าอึ้งแบบนั้น ก็พี่เตือนน้องแล้ววววว่ามันไม่มีอะไรตื่นเต้นแบบที่น้องคิด อันที่จริงคิดแบบมีตรรกะสักหน่อย เวลามีปัญหาเราควรแจ้งตำรวจนะครับเด็กๆ อย่าคิดเป็นพระเอกแก้ปัญหาเอง

เราสองคนตกอยู่ในความเงียบ ผมมองเขา เขามองผม จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เฮ้อ จบเรื่องซะที ทันเปิดเทอมพอดีเลยด้วย”

“แล้วนี่ตำรวจมาได้ยังไง” ...เรียกว่าตำรวจถูกไหมเนี่ย

พี่เอื้อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ที่หลังเกาะมีสัญญาณ...เต็มสี่ขีดเลย เลยโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ไป”

“อ้ออออ” ...อยู่แบบไม่มีโทรศัพท์มือถือกับอินเทอร์เน็ตมาหลายวันจนลืม “ดูมาเร็วกว่าคุณตำหนวดบ้านเรานะ”

“เออ จริง”

ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันของผู้คนที่กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งของตลาดกลางคืน พวกเราทั้งคู่จ่ายเงินเรียบร้อย กินน้ำแข็งใสไปอีกถ้วย ก็มายืนมองบรรยากาศนั้นเงียบๆ คล้ายไม่รู้จะพูดอะไร

จนกระทั่งพี่เอื้อทำลายความเงียบขึ้นมา “อ๊ะ”

“หือ”

“ฉันเพิ่งจำหน้าอาแปะตะกี้ได้”

“พี่หมายถึงอาแปะร้านคุโรบูตะอ่ะนะ”

“เออ นั่นแหละ...นั่นเจ้าสัวตือ...เจ้าของธุรกิจเนื้อสัตว์รายใหญ่ของประเทศเรา”

“พี่ว่าอะไรนะ!”

“ไม่ผิดแน่ เมื่อกี้มัวแต่สนใจหมูเลยไม่ทันคิด”

ภายหลังพวกเราจึงได้รู้ว่านอกจากจะจัดบรรยากาศตลาดนัดกลางคืนแล้วทางรีสอร์ตยังเปิดโอกาสให้เหล่าคนรวยได้ ‘เล่น’ เป็นเจ้าของกิจการแผงข้างทางกัน อย่างลุงร้านหมึกปิ้งที่ผมฝากพี่เอื้อไปสั่งก็เป็นเจ้าของเครืออาหารทะเลรายใหญ่ กระทั่งร้านซูชิคำละห้าบาทถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเป็นซูชิหน้าไฮโซ ปลามากุโร่งี้

“...เชี่ย ที่นี่มันมิติสนธยาหรือเปล่า เราหลุดมาที่โลกไหนวะ” ผมทึ้งหัวตัวเอง ก่อนได้ยินเสียงพี่เอื้อเรียกเบาๆ

“...เดือน”

“หือ” ผมหันไปมองผู้ชายข้างตัวแบบงงๆ เขายิ้มให้ผม จากนั้นก็ยื่นมือมาให้

“กลับกันเถอะ”

“อื้อ”

ทว่าในตอนที่สองมือของเราประสานกัน ตามองตา บรรยากาศโรแมนติกโคตรๆ ที่ด้านหลังของพวกผมพลันมีเสียงโหยหวนดังขึ้น

“พวกมึงจะปายหนายยยยยย”

พวกผมสองคนชะงักกึก ก่อนหันกลับไปด้านหลัง จากนั้นก็สูดลมหายใจดังเฮือก



ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 
STAGE IV: ปริศนาทั้งหมด ไขกระจ่างแล้ว (เรอะ)

ข้อควรระวัง: ตรวจสอบข้อมูลให้ดี อย่าจับคนร้ายผิดนะจ๊ะ

คอมเม้นต์พระเอก: And Then There Were None




26.25

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกผมคือพี่ตี๋ที่ทุกคนลืมไปแล้ว

“พวกมึงไปอยู่ไหนกันมา” พี่ตี๋โวยวาย “กูส่งข้อความไปหาจนมือจะหงิกอยู่แล้ว ไม่เห็นมีตัวไหนออกมาเลย แถมไปเคาะห้องก็ไม่มีใครอยู่สักคน”

“...” ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน ก่อนพี่เอื้อจะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ

“ก็ที่นี่ไม่มีเน็ต มือถือก็ไม่มีสัญญาณ”

“เอ้า อะไร ก็มีพ็อกเก็ตไวไฟแจกให้แล้ว พวกมึงก็พลิกดูยูสเซอร์กับพาสเวิร์ดข้างใต้ฐานเอา แค่นั้นเอง ส่วนโทรศัพท์นี่กูกำลังพยายามจัดการอยู่ เสาส่งมันมีปัญหา ตอนนี้ต้องมาหลังเกาะถึงจะมีคลื่น”

“...” ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน

“มึงหมายถึงตุ๊กตาไม้หน้าตาประหลาดๆ ในห้องเหรอ”

“เออสิวะ แล้วอย่ามาว่าประหลาดนั่นมาสคอตของบ้านกูนะเว้ย”

“...”

สุดท้ายผมกับพี่ตี๋เลยกลับไปรวมกับคนอื่นๆ ตอนแรกวนหาอยู่นานไม่เจอเลยนึกว่ามีฆาตกรต่อเนื่องอยู่จริงและทุกคนโดนสังหารโหดไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอพี่ตี๋ติดต่อไปที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ก็ปรากฏว่าพวกพี่ๆ ที่เหลือกลัวมาก เลยไล่ตื๊อพี่เจ้าหน้าที่ให้คอยคุ้มกันตัวเอง พี่ตี๋พอฟังเรื่องทั้งหมดก็หัวเราะก๊าก

พอต่อเน็ตได้ปุ๊บ พวกผมก็เห็นข้อความจากพี่เอบีซีดีอีเอฟทั้งหลายที่หายไป ที่แท้แต่ละคนพอรู้ว่าด้านหลังเกาะมีท่าเรือ สามารถออกเรือกลับบ้านได้ ก็เลยหนีพวกผมกันไปหมด มีแค่พี่บีคนเดียวที่ใจดีส่งข้อความมาบอก แต่เน็ตไม่ดีเลยมาไม่ครบ กลายเป็นดายอิ้งเมสเซจไปเสียฉิบ

อ้อ ส่วนไฟที่บนวนไปมาที่ผมเห็นผ่านหน้าต่างห้องคือโดรน ดูเหมือนจะมีแขกแอบเอาโดรนมาบินเล่น ตอนนี้โดนตักเตือนไปแล้ว

ดังนั้นคดีฆาตกรรมปริศนาทั้งหมด ก็ปิดฉากลงเช่นนี้ เหล่าทหารตัวน้อยล้วนพากันกลับบ้าน

And Then There Were None...ท้ายที่สุดก็ไม่มีสักศพ

เพียงแต่...

“พี่เอื้อ แล้วแสงเขียวๆ ในทะเลอ่ะ”

“บอกแล้วว่าไฟไดหมึก!”

...เอางั้นนะ

ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
27

-ว่าแต่ทำไมเมื่อกี้เล่าถึงกลับมาจากเกาะสวาทหาดสวรรค์แล้วเงียบไปล่ะครับ-

“น้องครับ คนเราควรมีขอบเขตนะครับ”

“มันเป็นฉากติดเรตอ่ะน้องเอ๊ย อยากฟังจริงๆ เหรอ”

“แค่กๆๆๆๆๆๆ พี่อะเอื้อออออออ”

น้องเอกรีบปฏิเสธทันควัน

-ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ-

“แค่กๆๆ เอาเป็นว่า ทุกอย่างก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็เป็นเรื่องรักกุ๊กกิ๊กไปวันๆ”

••อ๋อ ที่พวกรุ่นพี่เรียกกันเป็นเอพิโซด ‘พี่เดือนอวดผัว’••

“ใช่ เอ๊ย เดี๋ยว ไอ้เชี่ยตัวไหนเป็นคนพูดวะ”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

-สรุปว่าจบแล้ว?-

น้องเอกทำหน้าเหมือนอยากจะร้องว่า ‘แบบนี้ก็ได้เหรอ’

“เออ จบแล้ว...เรื่องทั้งหมดมันก็ประมาณนี้แหละ” ผมพักดื่มน้ำที่พี่เอื้อส่งให้ จากนั้นก็ทิ้งตัวพิงคนข้างๆ ด้วยความเหนื่อย เล่ามหากาพย์ชีวิตรักตัวเองนี่เหนื่อยไม่ใช่เล่น “เอ๊ะ...สรุปแล้วเรื่องเราใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนเองนี่นา”

“เออ เป็นนิยายแนวนักศึกษาที่แทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเลยสักนิด”

“...ผมไปเรียนนะ”

••ตกลงแล้วสอบผ่านไหมพี่••

“ผ่านสิวะ! ได้เอด้วย!”

“มือชั้นนี้ติว ถ้ายังไม่ผ่านอีกก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

-จริงๆ ถ้าตัดฟู้ดพอร์นของพี่เดือน เรื่องน่าจะเหลือสักครึ่งเล่มนะครับ-

“ฟู้ดพงฟู้ดพอร์นอะไรวะ เสียมารยาท”

“ชีวิตพี่เดือนเขามีอยู่แค่นี้ ให้เขาหน่อยนะ”

“...”

-สรุปแล้วนี่เรื่องจริงหรือเปล่าครับเนี่ย ตุ๊กตากบ แม่มด? สมาคมแม่มดอีก พวกพี่ล้อผมเล่นใช่ไหม-

ผมกับพี่เอื้อมองหน้ากัน ก่อนยิ้มออกมา “นิยายก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ...แบบว่าเป็น ‘ความจริงที่ถูกเลือกเปลี่ยนบางจุด เราก็บิดๆ มันบ้างเพื่อขับดันเอาแก่นแท้ของมันออกมา’ อะไรงี้...น้องเอ๋ย น้องอยากจะเชื่อแบบไหนก็เชื่อเถอะ”

“อย่าลืมเครดิต อะคาเดมิคต้องมีเครดิต” พี่เอื้อทำเสียงเลียนแบบอาจารย์โอ๋

“อ้า เครดิต...ไลฟ์ออฟพาย” (Note: ภาพยนตร์เรื่อง Life of PI หรือชีวิตอัศจรรย์ของพาย เป็นหนังสือและภาพยนตร์ เล่าถึงเด็กหนุ่มที่ติดอยู่กลางทะเลบนเรือกับเสืออีกหนึ่งตัว พายเรียกมันว่าริชาร์ดปาร์กเกอร์)

“เวอร์ชันที่ไม่มีเสือริชาร์ด ปาร์กเกอร์...มีแต่กบเอื้อการย์”

“…กับสาลี่” ผมอดไม่ได้ขอหยอดไปสักหน่อย

“แค่กๆๆๆๆๆ กับเดือนสิวะ กับเดือน!”

ระหว่างที่พี่เอื้อกำลังสำลัก น้องรหัสผมก็ยกมือขึ้นถาม

••ผมยังสงสัย ทำไมจูบพี่เดือนถึงใช้ได้อยู่คนเดียว••

“เพราะจริงๆ แล้วพี่เดือนสืบสายเลือดจากตระกูลพระจันทร์ มีพลังสยบคำสาปของแม่มดน่ะสิ ช่วงไหนที่คืนร่างได้แป๊บเดียวคือคืนเดือนมืด ส่วนช่วงที่คืนร่างได้นานคือคืนวันเพ็ญ” พี่เอื้อตอบหน้าตาย ผมฟังแล้วกุมขมับ

ส่วนน้องรหัสผมดูแล้วท่าทางยังสงสัยอยู่

••เห งั้นก็น่าจะกลายร่างได้เฉพาะเวลากลางคืนหรือเปล่าอ้ะ••

“น้องเอ๋ย การที่เราไม่เห็นพระจันทร์ตอนกลางวันมันก็ไม่ได้แปลว่าพระจันทร์ไม่อยู่บนฟ้านะ”

••สรุปคือพี่เดือนเป็นเซเลอร์มูนนั่นเอง!••

พี่เอื้อหันมามองผมซึ่งได้แต่ตบบ่าพี่แกแปะๆ...เอาไว้นั่งดูอนิเมชันด้วยกันแล้วกันนะครับคุณพี่

ส่วนน้องเอกมีสีหน้าว่าข้าไม่รับรู้ ข้าไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทว่าหลังจากก้มดูสคริปต์ของตัวเอง น้องเอกก็กระแอมไอออกมา

-เอ่อ ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว พี่ก็ช่วยผมปิดท้ายนิยายหน่อยแล้วกันนะครับ-

“อาทิตย์อัสดงอีกสักรอบได้ป่ะ” ผมเกาหัวแกรกๆ ก่อนหันไปหาพี่เอื้อ “พี่ยิงคำคมมาสักหน่อยสิ”

“หา คำคม”

“เออ นิยายพวกนี้มันต้องมีคำคมสิ แล้วคนก็จะก็อปไปหวีดกันซ้ำๆ”

พี่เอื้อแค่นหัวเราะ ก่อนทำท่าเสยผม “ขอเพียงเป็นคำพูดด้วยหนังหน้าพี่ อะไรก็ใช้ได้แล้ว จำเป็นต้องคำคมด้วยเหรอ”

ผมมองอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ สองสามครั้ง ก่อนจะยอมรับว่าต่อให้ตอนนี้พี่เอื้อขายเครื่องกรองน้ำหรือสินค้าไดเร็กเซลล์ใส่ ผมก็ว่ามันก็ยังคูลอยู่ดี

“ก่อนหน้านั้นเราต้องมีชื่อเรื่องจริงๆ จังๆ ก่อนหรือเปล่า”

“เออว่ะ”

ทว่าก่อนที่พวกผมจะได้เปิดศึกทะเลาะกันอีกรอบว่าด้วยชื่อเรื่อง น้องเอกที่ดูเหมือนจะหมดสิ้นซึ่งความอดทนก็โพล่งขึ้นมา

-งั้นช่างเถอะครับ เอาว่าขอจบการสัมภาษณ์แต่เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณพวกพี่มากๆ-

••มื้อดึก!••

“เออ กินๆๆๆๆ เอาจิ้มจุ่มต้มแซ่บหน้ามอมะ” ชื่อเรื่องอะไรนั่น ช่างหัวมันเถอะ!

น้องรหัสผมรีบร้องรับเป็นลูกคู่

••ลาบบบ น้ำตกกก••

-พวกพี่ไม่ค่อยได้มามหาวิทยาลัยเลือกแล้วกันครับ-

“งั้นจิ้มจุ่มต้มแซ่บ มันมีลาบน้ำตกขายอยู่แล้วนี่ อา...ได้ข้าวเหนียวอีกสักกระติ๊บ อยากกินกึ๋นย่างด้วย”

น้องรหัสผมลุกขึ้นมาเต้นด้วยท่าทางระริกระรี้

••มีพี่ ตอนนี้มีร้านไม้เสียบๆ เปิดใหม่ รสหมาล่าด้วย••

“เอา ไป กิน”

“เอาสิ ไม่ได้กินนานแล้ว พี่เป็นเจ้ามือเอง”

“เจ้ามือโดนกินรอบวง...โกๆๆๆ กินกันเกรงใจหน่อย อย่าผลาญมรดกพี่หมดนะน้องๆ”

“...จะฆาตกรรมชิงสมบัติกันเรอะ”

“บ้า ประเทศเราแต่งงานไม่ถูกกฎหมาย พี่ตายผมก็ไม่ได้อะไรสิ มันต้องให้พี่อยู่ไม่สู้ตาย เงินทั้งหมดกลายเป็นของผมถึงจะถูกต้อง”

“...น้องเอก ถังขยะรีไซเคิลอยู่ตรงไหนบ้าง พี่จะเอาขยะไปทิ้ง”

“ฮ้ายยย คนใจร้าย ได้เค้าแล้วจะทิ้งหรา”

“ขอถอนคำพูด นี่น่าจะเป็นขยะรีไซเคิลไม่ได้แล้ว” พี่เอื้อกลอกตา ขณะประสานนิ้วเข้ากับผม เราสองคนเดินกันไปเรื่อยๆ คุยกันเรื่องไร้สาระตั้งแต่ดินฟ้าอากาศยันของกิน ทำไปทำมา ไอ้เจ้ารุ่นน้องสองคนของผมก็เดินนำพวกผมไป ทั้งสองคนมัวแต่คุยกันติดพันจนไม่ได้หันมามอง ผมกับพี่เอื้อก็เดินจูงมือตามไปอย่างช้าๆ

“พี่เอื้อ”

“หือ”

“ตกลงให้ผมเล่าทำไมเนี่ย”

พี่เอื้อหันมาส่งยิ้มน้อยๆ ให้ผม “เพราะพี่อยากรู้”

“หา”

“เหมือนราโชมอน...เหมือนอุโมงค์ผาเมือง สิ่งที่คนหนึ่งเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่อีกคนหนึ่งเห็น พี่แค่อยากรู้ ว่าตกลงแล้วเรื่องที่ผ่านมาของเรา ในสายตาเดือนมันเป็นแบบไหน”

“แล้วได้คำตอบไหม”

“...คิดว่านะ” พี่เอื้อยักไหล่

“อืมมม ตกลงเรื่องของเราสองคน เรียกว่าจบหรือยัง”

“ยัง”

“เห ทำไมอ่ะ นิยายแมสๆ พอรักกันเรียบร้อย ชีวิตทำงาน ก็จบได้แล้วป่ะ ยกเว้นจะเขียนภาคสองต่อ เป็นศึกรักในที่ทำงาน” ...แต่กรณีผมกับพี่เอื้อนี่ยากหน่อย เพราะเราทำธุรกิจด้วยกัน เขาให้ผมเป็นประธานใหญ่ ตัวเองเป็นรองประธาน

“ขืนมีดราม่าในที่ทำงาน เกรงว่าเราจะพากันอดตายทั้งคู่นะ” พี่เอื้อส่ายหัว

“เอ้า งั้นแบบนี้ทำไมยังไม่จบอีก นี่เราอยู่สเตจไหนเนี่ย”

“สเตจที่เก้า...คนอวดผัว สเตจนี้ไม่มีอะไร จีบๆ งอนๆ กันไปวันๆ”

...พรูด “จบๆ ไปเดี๋ยวนี้เลย”

พี่เอื้อแค่นเสียงดังเหอะ “จะรีบจบไปไหน เอาไว้ตายก่อนเถอะ ค่อยจบบริบูรณ์กับพี่”

ผมหัวเราะเบาๆ “อะไรกัน มักน้อยจัง เอาแค่ตอนตายเองเหรอ อย่างน้อยก็ต้องเป็นพระเอกเท่ๆ พูดแบบว่า ‘ถึงตายนายก็เป็นคนของฉัน’ แล้วก็ตามติดไปทุกชาติทุกภพสิ”

...จากนั้นก็กลายเป็นเรื่องผีหลอกวิญญาณหลอนแทน

“ตายแล้วจะไปรู้ได้ยังไงกัน” พี่เอื้อเอื้อมมือข้างที่ว่างมาเขกหัวผม “ตอนที่มีชีวิตอยู่ต่างหากที่สำคัญกว่า”

ผมจ้องมองเสี้ยวหน้าของคนข้างตัว ก่อนเอ่ยออกไปด้วยเสียงเพ้อหน่อยๆ “เฮ้อ แฟนใครไม่รู้ ทั้งรูปหล่อ บ้านรวย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม...ไม่น่าทำลายความแมสตัวเองเลย”

“ขอโทษทีที่ไม่แมสนะ”

“ไม่เป็นไร ผมก็ชอบพี่ที่ไม่แมสแบบนี้แหละ”

แล้วผู้ชายรูปหล่อ บ้านรวย เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมเยี่ยม...แต่ไม่แมส ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ แต่โคตรหล่อ ก่อนจะก้มลงจูบผมเบาๆ ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง (ถุย)

...และสายตาประชาชี

“ขอแก้ข่าว เล่นใหญ่ขนาดนี้ พี่แม่งโคตรแมส” ผมยกสองมือลูบแก้มแดงๆ ของตัวเอง ทำไมหน้ามันร้อนขนาดนี้เนี่ย

“แค่นี้เรียกเล่นใหญ่อีกแล้ว มักน้อยจริงๆ” พี่เอื้อส่ายหัว

“...แล้วแบบไหนพี่ถึงจะเรียกใหญ่”

“เอ โหนตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์แล้วฉายภาพขึ้นไปทุกจอในสยาม?”

“...งั้นช่างเถอะ เล่นเล็กๆ ก็ได้”

แล้วเขาก็เลยก้มลงจูบผมอีกรอบหนึ่ง

(จบ (ไม่) บริบูรณ์)


ออฟไลน์ flowerinshade

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Final Call: SOMA + ULTE

ระหว่างกินจิ้มจุ่ม จู่ๆ น้องเอกก็เอ่ยขึ้นมา

-เอ่อ ผมมีเรื่องติดใจอยู่อย่างหนึ่ง เสื้อที่ซื้อที่สวนสนุกนี่ ใช่ที่พวกพี่สวมกันมาวันนี้หรือเปล่าครับ-

ผมกับพี่เอื้อหันมองกันและกัน “เออว่ะ”

“มันอยู่ตัวบนสุดของตู้ ก็เลยหยิบมา” พี่เอื้อตอบ ส่วนผมยักไหล่...สาเหตุมันก็ประมาณกัน

“ว่าไปเนื้อผ้ามันก็ทนดีนะ ใส่มาตั้งหลายปีก็ยังไม่เก่า” ผมชื่นชม ก่อนจะหันไปยิ้มให้คนข้างตัว “ไม่เหมือนเสื้อราคาแพงของพี่ รีดโคตรยาก”

“อะไรวะ คนรีดส่วนใหญ่คือพี่แท้ๆ ยังจะบ่นอีก”

-เอ่อ พวกพี่ครับ-

“หืม” พวกผมสองคนหันไปมองน้องเอกที่ทำท่าอยากจะพูดอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้

-คือ...ผมว่ามันไม่ใช่ SOMA กับ ULTE นะครับ-

“หา”

-คือ พี่อยู่นิ่งๆ ขอผมถ่ายรูปแป๊บ-

ว่าแล้วน้องเอกก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปพวกผม ก่อนส่งคืนให้ให้พวกผม ตอนแรกพวกผมก็งงๆ ดูยังไงมันก็เป็นโสมกับสาหร่าย จวบจนถูกบอกให้มองทีละบรรทัดและอ่านต่อกัน ผมก็เลยดูใหม่ บนเสื้อยืดของพวกผม ตัวอักษรสี่ตัวถูกแบ่งออกเป็นสองบรรทัด

SO UL

MA TE

ฮ่า โซลเมต...

“อ๊ะ! เชี่ย”

“เออว่ะ”

พี่เอื้อตบเข่าฉาด “งั้นเอาชื่อนี้ SOMA + ULTE คู่แล้วไม่แคล้วกัน”

“อู้หู แมสมาก แต่ไม่เห็นเข้ากับเรื่องตรงไหนเลย”

“ใครเขาสนตรงนั้นกัน เหมือนที่ปรมาจารย์จิ๊บบี้เคยกล่าวไว้ ชื่องานสำคัญคือมันต้องจำง่ายๆ สองสามพยางค์พอ อย่างมากห้าหกงี้ คล้องจองด้วยก็จะดี แต่อย่าเยอะเดี๋ยวคนไม่จำ หรือไม่ก็จำผิด โลกไม่จำมันก็ไม่ใช่งานแมสแล้ว”

น้องเอกมองพวกผมนิ่งๆ ก่อนเอ่ย

-พวกพี่? ผมว่านิยายพวกพี่สมควรเป็นอะไรทำนอง ‘คู่มือผลิตงาน (ไม่) แมสขั้นพื้นฐาน’ มากกว่าครับ-

พี่เอื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง “เอ้อ ก็...ชื่อมันจำยากไปนิดนะพี่ว่า”

ผมที่เกาคอแกรกๆ มองซ้ายมองขวาแบบไม่มีเหตุผล ก่อนเอ่ย “เอื้อเดือนไปเถอะ ง่ายดี”

“นั่นสินะ”

สรุปแล้วก็ยังคงใช้เอื้อเดือนเป็นชื่อชั่วคราวไปก่อน...จนกว่าเราจะหาอะไรที่แมสกว่านี้ได้

ถึงไม่รู้ว่าจะหาได้เมื่อไหร่ก็ตามที

(เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้แล)


---------------------------------------------------------------------------------




ลงจบสักที *ชูสองมือ*

ขอโทษที่เลย์เอ้าต์มันป่วงๆ ไปบ้างนะคะ ไม่ไหวจะจัดจริงๆ เดี๋ยวจะค่อยๆ ทยอยกลับไปแก้ให้ OTL เรื่องนี้เป็นนิยายที่จัดฟอร์แมตยากด้วยอะน้า

สำหรับเรื่องนี้จะตีพิมพ์กับสนพ. พบรัก ในส่วนมุมมองพี่เอื้อก็จะขยายความเพิ่มเติมในเล่มค่ะ

เอาว่าขอกราบลา ขอบคุณหลายๆ ท่านที่แวะเวียนกันเข้ามาอ่านนะคะ น้อยนิดแต่ยังพอมีบ้างอะไรบ้างก็โอเค /ปาดน้ำตา เรื่องอื่นๆ นี่ยังคิดอยู่ว่าจะนำมาลงไหม ถ้ามีโอกาสก็อาจจะได้พบกันอีกค่ะ

ต้องการติดตามข่าวสารเพิ่มเติม ค้นหา flowerinshade ได้เลยค่ะ มีทั้งทวิตเตอร์และเพจเฟซบุ๊ก








ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ยอมรับว่าอ่านแรก ๆ มีงง ๆ สับสนนิดหน่อย แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ แล้วสนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Fanggt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :m20:ชอบอ่ะทั้งเอื้อทั้งเดือนเลยฮามากอ่ะเท่าที่อ่านมาเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าความรวยซื้อเดือนได้555+

ออฟไลน์ Persoulle

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
โอ๊ยยยยย!! คือมันสนุกมากกกกค่าาาา :hao7: o13 :mew1:คือมันสนุกมากกกกค่าาาา ขอบคุณมากนะคะนักเขียน เป็นนิยายที่แมสสสสมากค่าาา 555 ชอบการล้อเลียนพล๊อตนิยายต่างๆนะคะ เอาเข้าจริงก็ชอบหมดเลย ประทับใจมากเห็นจะเป็น พี่เอื้อ น้องดาว นิแหละค่า ขอแบบนี้อีกหลายๆเรื่องนะคะ 555 เข้าใจอารมณ์น้องเอกนะว่า สรุปนี้มันเรื่องอะไรกัน สไลซ์ออฟไลฟ์อยู่ดีไปสยองขวัญ สืบสวนสวบสวนเฉยเลย :laugh: ขอบคุณนักเขียนมากจริงๆค่ะ เราจะฟอลโลว์ค่ะ  :pig4: :L1:

ออฟไลน์ Yumitun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เนื้อเรื่องสนุกสนาน เบาสมองดีค่ะ พี่เอื้อ น้องเดือน น่ารัก ในส่วนของเนื้อเรื่องเราไม่ติดอะไร แต่อาจจะขาดความต่อเนื่องในบางตอนนิดนึง แล้วก็ตอนคุยกัน บางครั้งมันแยกไม่ออกว่าใครเป็นคนพูดบทสนทนาไหนกันแน่ นะคะ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด