เหมยแดง
บทที่8 สิ้นสุดที่ยุติ
วันเวลาบางครั้งผ่านคล้ายผ่านไปเนิ่นนานอย่างยิ่ง แต่บางครากลับคล้ายพริบตาก็ผ่านพ้นไปแล้ว
ตอนนี้ค่ำคืนผ่านพ้นไปแล้ว วันนี้ย่อมเป็นเช้าวันใหม่
วันแห่งการชี้เป็นชี้ตายระหว่างบุรุษสองคนซึ่งมิเคยพบเห็นหน้ากันมาก่อน
คนผู้หนึ่งแซ่ซือหม่า นามเทียน* (ฟ้า) ฉายาจินหลิงอิง มีนามอันเป็นที่โจทย์ขานในยุทธภพมามากกว่าสี่สิบปี เจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิง และเป็นผู้บัญญัติเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบิน นับตั้งแต่ท่านบัญญัติเพลงกระบี่นี้มา กระบี่ของท่าน มิเคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด
อีกผู้หนึ่งแซ่หวง นามไป๋ยู่* (หยกขาว) เพิ่งปรากฏในยุทธภพเพียงสองเดือน ก็มีคนเรียกขานมันเป็น หงเหมยฮวา มิมีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน เพียงแต่ทราบ ยามมันลงมือ คล้ายกลายเป็นธาตุอากาศ จากนั้นบนร่างกายของศัตรูจึงค่อยปรากฏดอกเหมยแดง หลักวิชาที่มันใช้คือดัชนีขยี้เดือนสยบดาราอันลี้ลับพิสดารของกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่ หากผู้ใดถูกวิชานี้เข้าไป มีทางเลือกสองสาย
สายแรก ตาย
สายที่สอง ทรมานจนตายไป
มันคือผู้สืบสายเลือดของจอมขโมยแห่งยุค และนางอสูรที่ผลาญวิญญาณผู้คน
ซือหม่าเทียนอย่างไรก็เป็นผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ ผู้ที่เคารพนับถือมีอยู่นับไม่ถ้วน พฤติการณ์ของท่านล้วนองอาจเปิดเผย ดังนั้น ย่อมมีคนจำนวนมากมาดูท่าน ดูว่าท่านจะสะสางหนี้แค้นรายนี้อย่างไร
ส่วนหวงไป๋ยู่ เนื่องเพราะไม่มีผู้ใดเคยเห็นตัวจริงของมันเลย แม้กระทั่งบิดารมารดาของมัน ก็มิมีผู้ใดเคยเห็นชัดตา ฟังแต่ว่า ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้นรูปงามยิ่งนัก แต่ไฉนกลับวิวาห์กับสตรีอัปลักษณ์เช่นกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่ได้
ดังนั้น ยังมีหลายคนมาเพราะสงสัย ใคร่ดูหน้าบุตรของพวกมัน มีเค้าหน้าใดแน่
บึงเซิ่งไคเหลียนเดิมมิใช่สถานที่คับแคบ แต่ก็มิได้กว้างขวางจนเกินไป ดังนั้น ตอนนี้ สมควรมีผู้คนมาชุมนุมกันมากหลายผิดกว่าธรรมดา
ทว่าในความเป็นจริง รอบๆ บึงกลับมีคนอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น
คนหนึ่งเป็นอู๋หยางจง เนื่องเพราะมันเป็นสหายกับลู่หยุน อีกสองคนคือซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยง คนสุดท้ายย่อมเป็นตัวของลู่หยุนเอง
ไฉนจึงมีเพียงสี่คนนี้ หรือแท้จริงแล้วการต่อสู้ครั้งนี้ มิมีใครต้องการดูนอกจากพวกมันสี่คน
ความจริงย่อมมิใช่
นับอย่างน้อยต้องมีผู้คนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยต้องการชมการประลองนี้ ยี่สิบในนี้เป็นยอดฝีมือที่เป็นที่ยอมรับ ทว่าพวกมันทั้งหมดต่างถอยร่นออกไป
เนื่องเพราะตอนพวกมันตั้งใจมาจับจองที่นั่ง พลันเห็นจิ้งจอกสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่
ยืนอยู่เดียวดายท่ามกลางพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะและอากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหมย แม้ผู้ที่มาเช้าที่สุด ยอมผจญกับอากาศหนาว ยังถึงกับพบเห็นสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นยืนอยู่ก่อนแล้ว
นั่นย่อมมิใช่สุนัขจิ้งจอกจริง เป็นลู่หยุนที่สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก
มันยืนอยู่ที่นั่น ตรงนั้น มิมีผู้ใดทราบนอกจากตัวมันเองว่ายืนมานานเท่าใด
แต่ทุกคนล้วนทราบ หากจิ้งจอกสีดำนั้นยืนอยู่ พวกมันต้องไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เด็ดขาด
เนื่องเพราะแม้พวกมันมีฝีมืออยู่ไม่กี่ท่า ก็ยังพอสามารถสัมผัสถึงความกดดันที่แผ่ออกมาจากจิ้งจอกตัวนั้นได้
ดังนั้น ตอนนี้ที่บึงเซิ่งไคเหลียนจึงมีสักขีพยานเพียงสี่คน
คนที่จะต่อสู้กันเล่า?
เที่ยงตรง
ยามนี้เป็นเวลาที่มีแสงตะวันมากที่สุด คนที่ควรมา ต่างก็มากันครบแล้ว
ซือหม่าเทียนพลิ้วลงมาบนหิมะที่เริ่มละลาย คล้ายดั่งมีลมพัดหนึ่งหอบมา ใบหน้าของท่านเรียบเฉย มิมีเค้าความรุ่มร้อนใด นิ่งสนิทราวกับน้ำในแก้ว
หวงไป๋ยู่ก็มาแล้ว ยามมันมาถึง คล้ายดั่งเป็นเงาดำที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศก็ปาน
วิชาตัวเบาที่เลอเลิศปานนี้ กระทั่งลู่หยุนยังอดมิได้ต้องลอบชมในใจ
หวงไป๋ยู่ยืนอยู่ที่นั่น มันสวมเสื้อยาวสีดำ ผมสีดำราวนกกาน้ำถูกรัดเอาไว้ด้วยแพรสีดำ แขนเสื้อสีดำของมันยาวจนมองไม่เห็นปลายนิ้ว เสื้อของมันก็ยาวจนมองไม่เห็นรองเท้า ใบหน้าของมันขาวจัด ขาวจนแข็งกระด้าง แม้รูปหน้ามันจะงดงามอย่างยิ่ง แต่ก็กระด้างอย่างยิ่งเช่นกัน ดวงตาสีดำของมันทั้งคู่ยิ่งทอประกายคล้ายเข็มนับหมื่นๆ เล่ม พุ่งตรงไปยังซือหม่าเทียน
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน” หวงไป๋ยู่กล่าววาจา น้ำเสียงของมันถึงกับชืดชาไร้อารมณ์ พลันประสานมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อ แล้วกล่าวสืบต่อ “ข้าพเจ้าหวงไป๋ยู่ วันนี้มาเพื่อชำระบัญชี”
เสื้อยาวสีดำของมันดูไปรุ่มร่ามอย่างยิ่ง ทั้งแขนเสื้อทั้งชายเสื้อต่างยาวเกินความจำเป็น แต่วิชาที่มันใช้เป็นวิชาลอบประทุษ หลักการแรกของวิชาจำพวกนี้
ต้องไม่ให้ศัตรูเห็นอาวุธของท่าน
นอกจากใบหน้า นับว่าไม่สามารถเห็นสัดส่วนใดของมันได้อีก
ดังนั้น เสื้อยาวที่ดูรุ่มร่าม แท้จริงคือการอำพรางลอบเร้น
อย่างไรมือของมันก็คืออาวุธฆ่าคน เท้าของมันก็ด้วย
แขนเสื้อของซือหม่าเทียนอย่างไรก็เป็นแขนเสื้อปกติ ชายเสื้อก็เป็นชายเสื้อปกติ เนื่องเพราะวิชาที่ท่านใช้คือวิชากระบี่ ปกติแล้วผู้ใช้กระบี่มักองอาจเปิดเผย มีว่าสัดส่วนใดก็ไม่จำเป็นต้องซ่อน เนื่องเพราะมือกระบี่ ที่ภูมิใจย่อมต้องเป็นกระบี่ที่ใช้ ดังนั้นท่านไม่มีความจำเป็นต้องปิดซ่อนสิ่งใด
เที่ยงวัน
แม้มีแดด แต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ ในบรรดาคนทั้งหมด นับว่าอู๋หยางจงมีพลังฝีมือต่ำที่สุด อย่างไรอาชีพหลักของมันคือทำการค้า ดังนั้น มันจึงสวมเสื้อผ้าที่หนาที่สุด เสื้อขนจิ้งจอกที่มันสวม ดูไปยังคล้ายตัวใหญ่กว่าของที่มันให้ลู่หยุนยืมเสียอีก แต่ที่บันดาลให้มันรู้สึกอบอุ่นจริงๆ มิใช่เสื้อหนังจิ้งจอกตัวนี้
แต่เป็นบุรุษที่ใส่เสื้อหนังจิ้งจอกผู้นั้นต่างหาก
อู๋หยางจงเกิดมาคล้ายมีโชคมาพร้อมเคราะห์ มันรับช่วงต่อกิจการของบิดา มีพรสวรรค์ในการค้าขายอย่างยิ่ง มันลงมือทำการค้าเองไม่กี่ปี กิจการกลับเจริญรุดหน้าไปมากมาย ถึงกับสามารถทำธุรกิจตัดหน้าคู่แข่งไปได้แทบทุกครั้ง
แต่เคราะห์ของมันก็มีไม่น้อย เนื่องเพราะมันค้าขายเก่งเกินไป ดังนั้นต้องเป็นที่ไม่พอใจของหลายคนอย่างยิ่ง อู๋หยางจงก้าวเท้าออกจากหมิงซิ่งลู่โหลวทีไร หากออกจากเมืองไป มันย่อมมิแน่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง
ชีวิตมัน นับว่าผ่านการถูกคนจับตัวไปนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งที่เลวร้ายที่สุด ก็เป็นครั้งที่ลู่หยุนช่วยมันไว้นั่นเอง หลังจากนั้น มันก็มิยอมเดินทางไกลเกินกว่าตัวเมืองอีกเลย
แต่เมื่อลู่หยุนพลันปรากฏตัวขึ้นมา คล้ายดั่งชีวิตมันมีอิสระขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น มิว่าลู่หยุนชวนมันไปที่ใด ตอนนี้มันต้องรีบฉวยโอกาสไป แม้มันต้องมานั่งตากอากาศหนาวเหน็บ มันก็ยินดีมา
บ้านแม้อยู่สบาย แต่หากอยู่นานไม่ยอมออกไปไหน บันดาลให้คนไม่สบายได้เช่นกัน
ที่ที่อู๋หยางจงนั่งจึงเป็นเก๋งน้ำชาหลังนั้น จากเก๋งน้ำชา ยังสามารถมองเห็นการต่อสู้ได้ชัดถนัดตา ข้างตัวมันยังมีเตาเล็กๆ เตาหนึ่ง โต๊ะเล็กๆ และสุราสองไห และจอกสุราที่ทำจากเครื่องเคลือบชั้นดีอีกหลายใบ
ทุกคนทราบ มันเป็นจินก้วนที่ใจกว้างเสมอมา มันนั่งสบายอยู่ที่นี้ มิใช่ต้องการนั่งเพียงคนเดียว ดังนั้นบนโต๊ะจึงมีจอกสุราหลายจอก
แต่ผู้อื่นกลับคล้ายมิต้องการความสบายเช่นมัน
สองพี่น้องซือหม่ายืนอยู่ในทางตรงข้าม พวกมันสวมเสื้อขนจิ้งจอกเช่นกัน ยังเป็นขนจิ้งจอกสีขาวราวหิมะ มองไกลๆ คล้ายกับจิ้งจอกสองพี่น้องที่กำลังหมอบนิ่งเฝ้ารอคอยจังหวะตะครุบเหยื่ออยู่
ลู่หยุนยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ท่าทางของมันตอนนี้มิคล้ายจิ้งจอก ยังคล้ายสุนัขเฝ้ายามที่หมดแรงแล้วตัวหนึ่ง ถึงกับอ้าปากหาวออกมา
อู๋หยางจงทราบ มันอยู่แถวนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสี่ชั่วยาม น่ากลัวหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต้องแข็งตายไปนานแล้ว แต่มันยังสามารถยืนตาปรือ อ้าปากหาวราวกับคนเพิ่งตื่น พอดีจุดที่มันยืน ยังเป็นตรงข้ามกับซือหม่าสองพี่น้อง
ดังนั้นตอนนี้ พวกมันจึงกลายเป็นสามเส้า ล้อมอยู่ด้านนอกอีกที
ลู่หยุนอ้าปากหาวอีกแล้ว นับตั้งแต่ที่คู่มือทั้งสองปรากฏตัว มันอ้าปากหาวอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง แต่ละครั้งต้องมีเสียงดังออกมาคล้ายตั้งใจให้ได้ยินโดยทั่วถึงกัน
แต่ดวงตาของมันยังคงเป็นประกายสุกใส
อู๋หยางจงทราบ ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด คนที่ปลอดโปร่งที่สุดต้องเป็นคนผู้นี้เสมอ
หวงไป๋ยู่มองซือหม่าเทียน ซือหม่าเทียนมองหวงไป๋ยู่ ระหว่างคนทั้งคู่ คล้ายกำลังส่งกระแสจิตคุยกันอยู่ ลมหนาวพัดเฉือนฉิว คล้ายมีดเล่มเล็กๆ กรีดลงบนใบหน้า ซือหม่าเทียนกล่าววาจาเป็นครั้งแรก
“เรารอวันนี้มาถึงสิบแปดปีเต็ม ตอนนี้นับว่าเราสามารถตายตาหลับได้แล้ว”
หวงไป๋ยู่มองมัน “ท่านรอข้าพเจ้ามาแก้แค้นถึงสิบแปดปี?”
ซือหม่าเทียนพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายรันทด “เราทราบ ในใจเจ้าต้องมีความแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากับเรา เรารู้หากท่านยังมีชีวิต เจ้าต้องมาหาเราเพื่อล้างแค้น เมื่อท่านมาแล้ว เราจึงแน่ใจ เลือดเนื้อเชื้อไขของยู่เหลียนเทียนสื่อยังมิได้ถูกทำลายจริงๆ”
“ดังนั้น ตอนนี้ ท่านก็เตรียมทำลายข้าพเจ้าแล้ว?”
ดวงตาซือหม่าเทียนเป็นประกายสงบนิ่ง “เราไม่มีเหตุผลต้องทำลายเจ้า ตอนนี้เราเพียงต้องการดู เจ้ามีปัญญาสะสางบัญชีแค้นนี้ของเจ้าหรือไม่”
กระบี่มันพอจะชักออกจากฝักได้ แต่ร่างของหวงไป๋ยู่หายไปแล้ว หายไปราวกับล่องหน
จากนั้นประกายกระบี่ก็วาบขึ้นราวกับสายฟ้า
เสียงติงดังขึ้นถี่ยิบ แสดงว่าทั้งคู่ประมือกันแล้ว
ตอนนี้ที่พัวพันซือหม่าเทียนอยู่ ถึงกับคล้ายวิญญาณร้ายจากขุมนรก มองเห็นเพียงเงาดำเคลื่อนไหววูบวาบอยู่รอบตัวมัน ในเงาดำก็มีประกายกระบี่ เมื่อประกายกระบี่วาบ เงาดำก็พลันแฉลบไป
แต่เสียงติงๆ ยังคงดังมิหยุดยั้ง แสดงว่าคมกระบี่ต้องปะทะกับสิ่งของบางอย่างที่เป็นโลหะเช่นกัน
ใต้แขนเสื้อยาวของหวงไป๋ยู่ ยังมีของใดซ่อนอยู่ นอกจากนิ้วของมัน ใต้แขนเสื้อนั้นยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่
พวกที่ถูกลู่หยุนกดดันมิให้เข้ามา แท้จริงก็มิได้หนีเตลิดไปไกลที่ไหน ยังสามารถปีนขึ้นไปแอบดูบนกิ่งเหมยกิ่งหลิวได้ แต่ที่พวกมันเห็นและได้ยิน คือเงาสีดำ ประกายกระบี่ และเสียงติงๆ เท่านั้น
มิใช่เพราะพวกมันอยู่ไกลเกินไป แต่เพราะสายตาของพวกมันไม่อาจตามทันความเร็วในการลงมือของทั้งคู่ได้
ซือหม่าเทียนเคยประมือกับยู่เหลียนเทียนสื่อ ท่านทราบกระจ่าง วิชาตัวเบาของยู่เหลียนเทียนสื่อเลอเลิศเพียงใด เพียงมันสะกิดเท้าครั้งเดียว ยังลอยละลิ่วไปได้ถึงแปดวาสิบวา ผู้คนเพียงรู้สึกเหมือนลมสายหนึ่งผ่านไปเท่านั้น พอลมพัดผ่านมา มิเป็นศีรษะก็ย่อมเป็นของชิ้นหนึ่งถูกขโมยไป
ครั้งนั้นซือหม่าเทียนมิได้ถูกยู่เหลียนเทียนสื่อชิงศีรษะ เนื่องจากท่านสามารถคิดค้นเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินได้ พลานุภาพของเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่ ยังสามารถสะกดเทียนสื่อผู้นั้นมิให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า
ทว่าทายาทของมัน กลับใช้วิชาฝีมือในเชิงตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
ยู่เหลี่ยนเทียนสือแท้จริงยังใช้กระบี่ตัดศีรษะผู้คน
แต่หวงไป๋ยู่ผู้นี้ มิได้ใช้กระบี่ตัดศีรษะคน อาวุธคือนิ้วของมัน
ขอเพียงถูกนิ้วจี้เข้าใส่จุดสำคัญ มิตายทันทีก็ต้องทรมานจนตายไป
ปกติแล้วหลักของวิชาดัชนีคือนิ้ว นิ้วของคนที่ฝึกวิชาจำพวกนี้จะต้องแข็งแรงอย่างยิ่ง ปกติแล้วนิ้วที่แข็งแรงที่สุดมักเป็นนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง
นิ้วโป้งสามารถจู่โจมทำลายเป้าหมายใหญ่ได้อย่างหนักหน่วง นิ้วชี้สามารถก่อกวนลวดลายได้ นิ้วกลางจึงเป็นนิ้วที่ใช้สังหารอย่างแท้จริง เนื่องเพราะมันเป็นนิ้วที่ยาวที่สุด นิ้วที่โดดเด่นที่สุด และทรงพลังที่สุด
ส่วนนิ้วนางกับนิ้วก้อยนั้น แทบไม่มีคุณค่าเลย
แต่มิว่าอย่างไร หากนับเพียงสามนิ้วเป็นอาวุธ ตอนนี้อาวุธในแขนเสื้อของลู่หยุน อย่างน้อยๆ ต้องมีหก เนื่องเพราะมันมีมือสองข้างที่มีนิ้วสมบูรณ์
หากเคยมีผู้ใดปรามาสวิชาดัชนีว่ามิอาจทัดเทียมวิชาอย่างอื่นได้ ครั้งนี้มันผู้นั้นต้องกัดลิ้นตัวเอง
เนื่องเพราะตอนนี้ ซือหม่าเทียนและหวงไป๋ยู่ปะทะกันไปห้าสิบกระบวนท่าแล้ว แต่ยังมิรู้ผลแพ้ชนะ ที่สำคัญมือของหวงไป๋ยู่ ถึงกับสามารถสกัดกระบี่ของซือหม่าเทียน จนมิอาจใช้เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินออกมาได้
ที่สำคัญเท่าสองมือ ก็คือสองเท้า สองเท้าของหวงไป๋ยู่ถึงกับสามารถขยับเคลื่อนไหวได้ราวปาฏิหาริย์ พัวพันซือหม่าเทียนไว้จนสลัดไม่หลุด เท้าก้าวหลบ นิ้วสกัด คราวนี้กระบี่จึงมิอาจเหินบิน เพราะถูกวิญญาณปิศาจพัวพันไว้ที่พื้นแล้ว
ทว่า เสียงติงๆ ที่ดังถี่ยิบพวกนั้นเล่า มาจากของใด
ใช่นิ้วของหวงไป๋ยู่กลายเป็นเหล็กไปแล้วหรือไม่?
ข้อนี้มีเพียงซือหม่าเทียนที่ทราบ
แม้มิเห็นชัดถนัดตา แต่ท่านเห็นประกายดำจากนิ้วนางและนิ้วก้อยของหวงไป๋ยู่
นิ้วนางกับนิ้วก้อยของมันถึงกับสวมเล็บเหล็ก เสียงดังติงๆ เกิดจากเล็บเหล็กปะทะกับกระบี่นี่เอง
สองนิ้วที่มีกำลังน้อยที่สุด กลับเป็นนิ้วที่สกัดกระบี่ อย่างนั้นสามนิ้วที่เหลือเล่า...
ความหึกเหิมลำพองของหวงไป๋ยู่แทบท่วมท้นขึ้นมาถึงหน้าอก สองวันก่อนหน้านี้ มันคล้ายขาดความมั่นใจอยู่สามส่วนในการเอาชนะซือหม่าเทียน แต่ตอนนี้มันทราบแล้ว ที่มันทุ่มเทลงไป ยังมิใช่สูญค่า ความทุ่มเทสิบแปดปีของมัน ยามนี้ปรากฏผลแล้ว
มันตอนนี้สามารถสะกดอานุภาพของเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของซือหม่าเทียนได้ มันย่อมสามารถเอาชนะซือหม่าเทียนได้
หวงไป๋ยู่พลันทุ่มพลังเพิ่มเข้าไปอีก หวังเอาชัยให้เสร็จสิ้นไป