ดิฉันขอโทษค่ะ!!
(ทำไมหลายเรื่องมันต้องขึ้นพาดหัวด้วยคำนี้น้าาา)
หายไปจากที่นี่ประมาณหนึ่งปี พร้อมด้วยนิยายที่ยังเขียนไม่จบ (
) และโผล่มาพร้อมกับนิยายเรื่องใหม่ (
)
ขออภัยท่านผู้ที่ติดตามอ่านDear My customer. ทุกท่านค่ะ ดิฉันยังมีแพลนจะเขียนท่านลอร์ดอยู่ แต่ว่าต้องขอลัดคิวเป็นเรื่องนี้ก่อน
(ที่หายไปเพราะป่วยเป็นสาเหตุหลักค่ะ เพิ่งกลับมาเขียนนิยายได้ไม่นานนี้เอง)
เรื่องนี้เป็นนิยายวายจีนกำลังภายในเรื่องแรกที่ดิฉันเขียน ซึ่งที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ ดิฉันปฏิเสธที่จะเขียนนิยายจีนวายที่เป็นนิยายกำลังภายในมาโดยตลอด เนื่องจากนึกมู้ดไม่ออก (อันที่จริงเป็นแฟนนิยายกำลังภายในมาตั้งแต่ยังตัวน้อย ล่ะมันติดภาพต้องมีพระเอกนางเอกอยู่ร่ำไป) แต่เนื่องจากมีน้อง@sicklonerส่งนิยายจีนกำลังภายใน (ที่คนไทยเขียน) เรื่องหนึ่งมาให้ลองอ่าน ล่ะดิฉันอ่านแล้วบอกว่ามันไม่ช่ายยยยย ดังนั้นจึงถูกน้องบังคับให้เขียนออกมา
หลังจากถูลู่ถูกังเขียนไปลบไปอยู่หลายวัน ในที่สุดนิยายวายจีนกำลังภายในของดิฉันก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ ค่ะ
อันที่จริงตอนแรกยังไม่ตัดสินใจมาลง เพราะกลัวตายกลางทางอีก แต่ตอนนี้คิดว่าลงได้ (เพราะไม่น่าจะยาว พล็อตมันลอยปิ๊งๆ ขึ้นมาในหัวเลย)
ดังนั้น ฝากเหมยแดงและนามปากกาใหม่ เฉินเพ่ยซือ ไว้ในอ้อมใจของนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ
----------------------------------------
เหมยแดง
บทที่1 เทียบเชิญงานมงคล ไหสุราคล้ายดัง บุปผา
หามิตรดื่มเคียงกาย มีไม่
ยกจอกเชื้อเชิญจันทรา สว่างใส
สาดแสงรวมเงาข้า คือสาม
ดวงจันทร์คล้อยเคลื่อนคล้าย มิอาจ ดื่มได้
เงาเอนลู่เคลื่อนไหว ตามติด
มีจันทรากับเงาอยู่เย้า เป็นเพื่อน
รื่นเริงก่อนวสันตฤดู พฤกษาผลิใบ
ยามข้าขับทำนอง จันทราสาดแสง
ยามข้าขยับรำ เงาพลิ้วสั่นไหว
ยามตื่นร่วมสนุก สรวลเสเฮฮา
เมามายแล้วจำต้อง จากลา
แต่ไมตรียังอยู่ มิคลาย
คราหน้าพบกันใหม่ ในธารดารา
ลู่หยุนชื่นชมการขับบทกวีของตนเสมอมา ครั้งนี้มันยกผลงานของหลี่ไป๋*ขึ้นมากล่าว (ร่ำสุราเดียวดายใต้แสงจันทร์) กล่าวจบแล้วก็ดูภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับยกจอกสุราในมือขึ้นเชื้อเชิญดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าจริงๆ
จันทร์ทอแสงกระจ่างกลางนภาที่ไร้ดาว คนนั่งอยู่เดียวดายในห้องกว้างขวาง บนโต๊ะมีเพียงไหสุราและจอก กระนั้นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็ดูคล้ายมีความสุขมากแล้ว
มันดื่มสุราอีกจอก และอีกจอก คล้ายกำลังแข่งขันกับดวงจันทร์ก็มิปาน
ดวงจันทร์คล้อยต่ำ ไหสุราว่างเปล่า จอกสุราก็ว่างเปล่า
บนโต๊ะสุราก็ว่างเปล่าปราศจากคนเช่นกัน
------------------------------------------
ตงเทียน* (ฤดูหนาว) ทารุณผู้คนเสมอมา แม้ใกล้วันชุนเจี๋ย* (วันตรุษจีน วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ) หิมะยังคงตกประปราย อากาศเช่นนี้ มิว่าผู้ใดต่างต้องการนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งสิ้น
อู๋หยางจงเป็นหนึ่งในนั้น
ตระกูลของมันเป็นคหบดีที่มีชื่อเสียง ว่ากันว่าร้านแลกเงินอู๋เค่อมีสาขามากที่สุดในจงหยวน* (ดินแดนภายในกำแพงเมืองจีน) ยังไม่นับการค้าอย่างอื่น อู๋หยางจงเป็นเจ้าบ้านคนปัจจุบัน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดผู้หนึ่ง นอกจากเวลาที่ต้องตรวจสอบบัญชีแล้ว ปกติอู๋หยางจงเป็นคนขี้เกียจอย่างยิ่ง มันมิใคร่ตื่นเช้า ยังมิต้องการให้ใครมารบกวนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ มันยิ่งต้องการนอนจนตะวันตรงศีรษะจึงค่อยตื่น
ทว่าวันนี้มันกลับถูกปลุกด้วยเสียงเอะอะ
หมิงซิ่งลู่โหลว* (คฤหาสน์กวางดาว) เป็นคฤหาสน์ใหญ่ของสกุลอู๋ เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตูใหญ่โต จะมองเห็นกวางที่สลักมาจากศิลาสีแดงสดใส บนลำตัวของมันฝังไว้ด้วยไข่มุกเม็ดโตเท่าหัวแม่มือจำนวนมาก ด้วยไข่มุกพวกนี้ มันจึงกลายเป็นหมิงซิ่งลู่*(กวางดาว) ที่มีราคาแพงที่สุด ยังไม่นับดวงตาที่ฝังเม็ดนิลขนาดเท่ากำปั้นเด็กเอาไว้ มิว่าผู้ใดเข้ามาจะต้องตะลึงไปกับความสวยงามของมัน
เบื้องหลังหมิงซิ่งลู่ คือสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม แม้จะยังอยู่ในฤดูตงเทียน แต่เหมยหลายต้นก็ผลิดอกแล้ว หากเดินต่อไปตามทางที่โรยด้วยกรวดสีขาว จะพบประตูกลมบานหนึ่ง เบื้องหลังประตูนี้จึงเป็นพื้นที่ของหมิงซิ่งลู่โหลวที่แท้จริง มิว่าผู้ใดต่างต้องตะลึงลานไปกับความกว้างขวางของพื้นที่ และบรรดาตึกน้อยใหญ่ที่ปลูกเรียงกันอยู่ แต่ละตึกล้วนก่อสร้างอย่างประณีตสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของสกุลอู๋
แน่นอนว่าหมิงซิ่งลู่โหลวมิใช่ที่ที่ใครจะเข้าจะออกได้ง่ายๆ ทุกตึกล้วนมีเวรยามคอยตรวจตราทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันมิให้มีโจรร้ายเข้ามาขโมยทรัพย์สิน ดังนั้นอู๋หยางจงจึงสามารถหลับตาได้อย่างสบายใจ
แต่ตอนนี้มันตื่นแล้ว ตื่นเพราะเสียงม้าล่อ* (แผ่นโลหะสัมฤทธิ์มีลักษณะกลมแบนยกขอบคล้ายถาด ตรงขอบเจาะรู ๒ รู ร้อยเชือกสำหรับแขวน หรือถือ ตีให้มีเสียงดังด้วยไม้หัวหุ้มนวม หรือไม้หัวแข็ง) ที่รัวดังลั่น อู๋หยางจงสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งร้อน พลันผลักประตูออกไป
“มีเรื่องอันใด”
คนรับใช้ผู้หนึ่งกระหืดกระหอบวิ่งมา “มีผู้บุกรุก...”
มิทันสิ้นคำ ร่างร่างหนึ่งพลิ้วลงมายืนตรงหน้าอู๋หยางจง สิ่งแรกที่มันรู้สึกคือคนผู้นี้ตัวเหม็นอย่างยิ่ง
“อู๋เกอ มิพบกันเสียนาน ท่านยังคงอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนเดิม”
อู๋หยางจงมองหน้าคนผู้นั้น พลันหัวร่อเสียงดังลั่น จนคนรับใช้ต้องงุนงงบ้างแล้ว มันตะกุกตะกักถามขึ้น
“นะ... นายท่าน คนผู้นี้บุกรุกเข้ามา”
“อืม...” อู๋หยางจงพยักหน้า “ไปบอกพวกประดาอื่นให้หยุดตีม้าล่อ คนผู้นี้ที่จริงเป็นสหายของเราเอง”
คนรับใช้พยักหน้า แล้วรีบวิ่งตื๋อออกไป อู๋หยางจงหันมามองบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง
“ลู่ตี๋ มิพบกันเสียนาน ท่านไฉนมิเข้ามาทางประตู”
“หากข้าพเจ้าเข้ามาหาท่านทางประตู ตอนนี้ท่านต้องเสียทรัพย์ทำประตูใหม่ เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องเตะมันพังไป”
“ไฮ้! ไฉนท่านถึงต้องเตะประตู”
“เนื่องเพราะผู้เฝ้ายามของท่านมิยอมเปิดให้ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเป็นคนนอนตื่นสายอย่างยิ่ง หากเตะประตู ย่อมเป็นประตูที่พัง แต่หากเตะท่าน ท่านต้องตื่นแน่”
อู๋หยางจงสะดุ้งสุดตัว “มิต้องให้ท่านเตะ ข้าพเจ้าก็สามารถตื่นเองได้”
“ตอนนี้ท่านตื่นแล้ว?”
“ตื่นได้แจ่มใสอย่างยิ่ง”
“เช่นนั้นท่านไปแต่งตัว ไปงานมงคลกับข้าพเจ้าสักงานหนึ่ง”
อู๋หยางจงพลันยืนนิ่ง เพ่งมองฝ่ายตรงข้ามเหมือนเห็นของประหลาด “ลู่หยุนที่ประเสริฐ อู๋เกอขอร้องท่าน หากต้องการไปงานมงคล ท่านควรรีบไปอาบน้ำเสียแต่ตอนนี้ ข้าพเจ้ายินดีไปงานมงคลกับท่าน แต่มิยินดีไปกับกลิ่นเช่นนี้เด็ดขาด”
ลู่หยุนหัวเราะชอบใจ กล่าวต่อ “เนื่องเพราะข้าพเจ้ารีบเดินทางมา จึงยังมิมีเวลา...”
“ตอนนี้มีเวลาแล้ว” อู๋หยางจงพูดขัด “ข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ไปอาบน้ำ”
-----------------------------------
สำหรับอู๋หยางจง ลู่หยุนผู้นี้มิใช่สหายธรรมดาเด็ดขาด คืนหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน มันถูกไล่ล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ถึงกับต้องเข้าไปซ่อนตัวในเล้าสุกร หากมิใช่บุรุษหนุ่มผู้นี้ผ่านมาช่วยรักษาศีรษะมันไว้ น่ากลัวตอนนี้มันต้องกลายเป็นอาหารสุกรไปแล้ว ลู่หยุนจึงเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของมัน ดังนั้น มิว่าลู่หยุนต้องการให้มันทำสิ่งใด มันย่อมต้องไม่ปฏิเสธเด็ดขาด ที่สำคัญ ลู่หยุนถึงกับเป็นมิตรสหายที่น่าคบหาอย่างยิ่งด้วย เนื่องเพราะเวลามันปรากฏตัว มักมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นเสมอ
ตอนนี้อู๋หยางจงนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝังมุกตัวโปรด นวมบนเก้าอี้นุ่มอย่างยิ่ง เสื้อผ้าที่มันสวมก็มีราคาแพงอย่างยิ่ง ข้างตัวของมันมีกล่องของขวัญสีแดงสดใส กับเทียบเชิญสีแดงใบหนึ่ง เทียบเชิญเป็นของมัน แต่ของขวัญกลับมิใช่
ของขวัญเป็นลู่หยุนที่นำมา
ด้านในเป็นกระไร อู๋หยางจงมิได้เปิดดู แม้มีความสงสัยใคร่รู้ แต่มันก็รู้จักมารยาทอย่างยิ่ง หากเจ้าของมิเชิญให้ดู มันย่อมต้องเปิดดูโดยพละการอย่างเด็ดขาด
ลู่หยุนเดินออกมาแล้ว เมื่อครู่ตอนมันมา ดูคล้ายขอทานซอมซ่อผู้หนึ่งที่มิได้อาบน้ำมาเป็นครึ่งปี แต่ตอนนี้กลับดูคล้ายกงจื่อ* (คุณชาย) รุ่มรวยผู้หนึ่ง
“ลู่ตี๋ หากข้าพเจ้ามีภรรยา ข้าพเจ้าประกัน ต้องไม่ให้นางเห็นท่านตอนนี้เด็ดขาด”
ลู่หยุนพลันแย้มยิ้ม “ข้าพเจ้าทราบ ท่านกลัวนางหึงหวง... หึงหวงเงินทองของท่านที่จ่ายค่าเสื้อผ้าให้กับข้าพเจ้า”
อู๋หยางจงยกมือตบหน้าผาก พลันหัวร่อ “ลู่หยุนที่ประเสริฐ ไยมิยอมปล่อยให้ผู้อื่นชมท่านสักเล็กน้อย”
“ข้าพเจ้ามิใช่คนไม่ชอบเสียงเยินยอ” ลู่หยุนว่า “แต่ถ้าหากมีคนชมข้าพเจ้าตอนนี้ มันมิใช่ชมข้าพเจ้า แต่เป็นชมเสื้อผ้าของท่าน ข้าพเจ้าเป็นคนมีจิตใจคับแคบอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าพเจ้ามิให้ท่านชมเสื้อผ้าตัวเอง”
เสียงหัวร่อของอู๋หยางจงดังกว่าเดิม มันถึงกับหัวร่อจนน้ำตาไหล “ประเสริฐ ประเสริฐ เช่นนั้นท่านไปเปลื้องเสื้อผ้าออก แล้วเดินมาอีกที ข้าพเจ้าจะได้ชมท่านได้ถูกต้อง”
“น่าเสียดาย ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่นึกอยากถอดเสื้อผ้าของท่านแล้ว ยังอยากจะใส่จนเปื่อยขาดไป”
“หากท่านยังอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ารับประกัน อย่างน้อยเสื้อผ้าของท่านต้องเปลี่ยนทุกวัน มิเช่นนั้น...”
“มิเช่นนั้น...”
“มิเช่นนั้นข้าพเจ้าต้องถูกกลิ่นของท่านขู่ขวัญจนตายไป ข้าพเจ้ายังมิอยากตาย ดังนั้นท่านจึงต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ลู่หยุนหัวร่อแล้ว เสียงหัวร่อของมันน่าฟังอย่างยิ่ง ดวงตาของมันก็เป็นประกายแจ่มใส ใบหน้าของมันหล่อเหลาคมคาย สัดส่วนของมันเล่าก็เป็นบุรุษเพศอย่างแท้จริง ดังนั้น เสื้อผ้าที่ดีเมื่ออยู่บนตัวมัน ย่อมต้องกลายเป็นดูดีขึ้นอีกหลายเท่า
บนตัวมันมิมีอะไรขัดตา ยกเว้นของอย่างหนึ่งที่มันห้อยไว้ที่เอวเสมอ เป็นกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง ดามของมันทำจากไม้ หุ้มด้วยเชือกปอ ตัวกระบี่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าปอเช่นกัน ของสิ่งนี้หากอยู่บนเสื้อผ้าซอมซ่อ ย่อมมิขัดตา แต่ตอนนี้มาอยู่กับเสื้อผ้าสวยงาม ก็กลายเป็นขัดตาอย่างยิ่งแล้ว
อู๋หยางจงอดมิได้ต้องวิจารณ์ขึ้น “ข้าพเจ้าทราบ กระบี่ไม้เล่มนี้ ท่านมิเคยปล่อยให้ห่างตัวเสมอมา ข้าพเจ้าทราบคุณค่าของมัน แต่ข้าพเจ้าวิงวอนให้ท่านเปลี่ยนผ้าที่ใช้พันได้หรือไม่ ข้าพเจ้ามีผ้าแพรไม่เลวอยู่พับหนึ่ง ยังพอให้ท่านพันกระบี่เล่มนี้ได้”
“ผ้าพันย่อมเปลี่ยนได้” ลู่หยุนว่า “เพียงแต่ข้าพเจ้ามิชอบนำผ้าราคาแพงมาหุ้ม”
“เป็นข้าพเจ้ากำนัลเอง ท่านรับไว้”
อู๋หยางจงโยนผ้าแพรพับนั้นให้ลู่หยุน อีกฝ่ายยกกระบี่ขึ้น ตวัดเพียงวูบเดียว ผ้าแพรก็พันตัวกระบี่ไว้มิดชิด ส่วนผ้าปอเดิมร่วงหล่นลงตรงหน้าอู๋หยางจง ผ้าปอถึงกับไม่มีอะไรเสียหาย เป็นผ้าชิ้นอยู่นั่นเอง
“ดูท่า กระบี่ของท่านหามีความคมเลยจริงๆ”
ลู่หลุนพยักหน้า “กระบี่นี้ของข้าพเจ้าเป็นเพียงกระบี่ไม้เท่านั้น”
“ใช่ กระบี่ของท่านเป็นกระบี่ที่ไว้ใช้ตัดกระบี่เล่มอื่น”
-----------------------------------------
อู๋หยางจงกับลู่หยุนออกจากหมิงซิ่งลู่โหลวแล้ว ตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่บนรถม้าคันใหญ่ที่แสนสะดวกสบายของสกุลอู๋
“ลู่หยุน ข้าพเจ้ามีเรื่องต้องการถามท่าน”
“ข้าพเจ้ารอให้ท่านถามนานแล้ว”
อู๋หยางจงมองหน้ามัน “ท่านไฉนจึงตะเกียกตะกายมางานคล้ายวันเกิดของซือหม่าเทียน ข้าพเจ้าทราบ ท่านดูไม่คล้ายคนที่ชอบไปงานวันเกิดของผู้อื่น หนำซ้ำท่านยังไม่มีเทียบเชิญ”
“เนื่องเพราะไม่มีเทียบเชิญ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาหาท่านก่อน”
“อ้อ... ท่านทราบ มันต้องเชิญข้าพเจ้าแน่?”
“อืม... มันย่อมเชิญท่านทุกปี เชิญตั้งแต่บิดาท่านยังอยู่ จนกระทั่งถึงตอนนี้ แต่ทั้งท่านและบิดามิเคยไปตามเทียบเชิญของมันเลยสักครั้ง”
อู๋หยางจงเลิกคิ้วสูง “ท่านทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“เรื่องที่ข้าพเจ้าทราบมีไม่มากไม่น้อย” ลู่หยุนว่า “ที่ทราบล้วนเป็นเรื่องที่ต้องทราบ”
“แล้วทราบหรือไม่ ไฉนตระกูลอู๋ของเราจึงมิไยดีรับเทียบเชิญของมันเสมอมา”
ลู่หยุนนิ่ง เป็นการแสดงว่ามันสนใจฟังเรื่องที่อู๋หยางจงจะกล่าวสืบต่อ
“เนื่องเพราะเตียเตีย* (พ่อ) เคยกล่าว ซือหม่าเทียนมิใช่ตัวดีใด ดังนั้น ท่านจึงมิสนใจเทียบเชิญของมัน และยังบอกให้ข้าพเจ้ามิต้องสนใจด้วย”
“ดังนั้นท่านจึงมิสนใจเลย?”
อู๋หยางจงไม่พยักหน้า ไม่สั่นศีรษะ มันกล่าวขึ้นต่อ “หลังเตียเตียเสียชีวิต ข้าพเจ้ามิเคยไปตามเทียบเชิญของมันก็จริง แต่กลับส่งของขวัญไปให้ทุกครั้ง ในความเห็นข้าพเจ้า มิว่าเตียเตียกับมันมีความบาดหมางอะไรต่อกัน ความบาดหมางนั้นล้วนไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้า เนื่องเพราะหากเกี่ยวข้อง ท่านคงเล่ารายละเอียดให้ข้าพเจ้าฟังเสียนานแล้ว อีกอย่างข้าพเจ้าเป็นคนค้าขาย และเทียนซั่งเฟยอิงผายก็เป็นสำนักใหญ่ หากไว้ไมตรีบ้างย่อมเป็นประโยชน์กับสกุลอู๋เอง”
ลู่หยุนพลันปรบมืออย่างชื่นชม “มิเสียที ท่านเป็นอัจฉริยะการค้าแห่งยุค สิ่งที่พูดล้วนมีเหตุมีผล”
อู๋หยางจงหรี่ตามองมัน “ท่านยังมิได้ตอบข้าพเจ้า ไฉนจึงตะเกียกตะกายมางานนี้ได้”
“เผอิญซือฟู* (อาจารย์) รู้ว่าข้าพเจ้านิยมชมชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผู้อื่นเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงใช้ให้ข้าพเจ้ามา”
“ท่านพบท่านผู้เฒ่า?”
“อืม”
อู๋หยางจงมีสีหน้าตื่นเต้น มันทราบว่าอาจารย์ของลู่หยุน คือว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว* (ผู้เฒ่าเขียวหมื่นปี) ยอดฝีมือแห่งยุคที่เร้นตัวปลีกวิเวกวางมือจากยุทธภพไปเป็นเวลานาน เรื่องเล่าของว่านเหนี่ยวลู่เล่าโต๋วคล้ายดั่งนิทาน บ้างว่าท่านมีอายุเกินหนึ่งร้อยปี บ้างว่าท่านมิใช่คน แต่เป็นเซียนไปแล้ว บ้างว่าพลังฝีมือของท่านมิมีใครเทียบได้ แต่หากถามกับลู่หยุน มันจะคลี่ยิ้มจนตาหยีแล้วตอบท่าน
ซือฟูของมันคือเฒ่าชราใจดีผู้หนึ่ง มักหัวเราะอยู่เสมอ
ลู่หยุนเป็นศิษย์รักของท่าน ท่านวางใจในตัวมันเสมอมา
ดังนั้น หากท่านใช้ให้มันมางานคล้ายวันเกิดของเจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิง นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่
“ท่านผู้เฒ่ากับซือหม่าซานมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน?”
ลู่หยุนพยักหน้า “ท่านก็ทราบ มิมีผู้ใดต้องการมีความสัมพันธ์อันทรามกับซือฟูของข้าพเจ้าเสมอมา”
“ข้าพเจ้าทราบ แต่ที่แปลกใจคือซือฟูของท่านถึงกับมีมิตรไมตรีต่อมันเพียงนี้”
“สำหรับท่านมันมิใช่ตัวดี?”
“ย่อมมิใช่”
“อ้อ” ลู่หยุนพลันเปลี่ยนเรื่อง “ท่านทราบหรือไม่ ในกล่องนี้เป็นของใด?”
อู๋หยางจงสั่นศีรษะ
“เช่นนั้นท่านลองเปิดดู”
“ให้ข้าพเจ้าเปิด”
“อืม”
“เปิดของขวัญของผู้อื่นมิเป็นการเสียมารยาท?”
“สำหรับท่าน ไม่” ลู่หยุนว่า “เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องการเห็นสีหน้าท่านตอนเห็นของในกล่อง”
อู๋หยางจงมองมัน “เช่นนั้นข้าพเจ้ามิเปิด”
“อย่างนั้นข้าพเจ้าเปิดให้ท่านดู”
ขาดคำ ในมือลู่หยุนก็ปรากฏกล่องสีแดงใบนั้น ขยับมืออีกวูบ ผ้าแพรที่ใช้ผูกกล่องก็หลุดออกพร้อมกับฝากล่อง อู๋หยางจงถึงกับอุทานออกมา
“ไฮ้!”
ที่อยู่ในกล่องเป็นกระบี่ไม้ ยาวราวสามฉือกับอีกห้าชุ่น* (1ชุ่นประมาณ1นิ้ว) ตัวและด้ามกระบี่ทำจากไม้ไผ่ลำเดียวกัน เป็นกระบี่ไม่มีโกร่ง ไม่มีปลอก แม้แต่ดาบจับก็ไม่มีการสลักเสลาลวดลายใดๆ
“นี่เป็นกระบี่เปลือยที่ทำจากไม้ไผ่อันหนึ่ง?” อู๋หยางจงกล่าวพลางหันไปมองลู่หยุน ซึ่งนั่งยิ้มอยู่แล้ว
“ถูกต้อง”
“นี่เป็นของขวัญจากซือฟูของท่าน”
“อืม”
อู๋หยางจงกะพริบตา พลางมองกระบี่ไม้อีกเล่มที่ห้อยอยู่ตรงหว่างเอวของลู่หยุน “บอกแก่ท่านตามตรง หากข้าพเจ้ามิเคยเห็นท่านใช้กระบี่ไม้นั้น เวลานี้ข้าพเจ้าคงต้องหัวเราะตาย”
“ตอนนี้ท่านก็ยังสามารถหัวเราะได้”
“ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้าเคยเห็นท่านใช้กระบี่ไม้ ดังนั้นข้าพเจ้าไม่หัวเราะเด็ดขาด” กล่าวพลางจ้องมองลู่หยุน “ซือฟูของท่านทำกระบี่นี้ขึ้นมา?”
“อืม”
“เป็นกระบี่แบบเดียวกับท่านหรือไม่?”
“ไม่ใช่” ลู่หยุนตอบ “แต่นี่เป็นกระบี่ดีเลิศจริงๆ ข้าพเจ้ายังปรารถนาใครจะลองจับดูสักครั้ง เสียดาย มันคือของขวัญของซือหม่าเทียน มิใช่ของข้าพเจ้า”
กล่าวจบมันก็ปิดกล่องลง หากมีใครได้ยินวาจาเมื่อครู่ที่ทั้งสองคนกล่าวถึงกระบี่ไม้ไผ่ ย่อมต้องหาว่าพวกมันวิกลจริตแน่นอน
กระบี่ไม้ไผ่มีอันใดน่ากลัว?
กระบี่ย่อมไม่มีสัดส่วนใดน่ากลัว มิว่าจะทำด้วยวัสดุใด
ที่น่ากลัวคือผู้ใช้กระบี่
------------------------------------------