HEY! STOP ME BABY!! รักกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
- 7 –
รักกันไหม?
‘มันสายไปแล้วล่ะ เวย์’
คำ ๆ นี้ยังก้องอยู่ในหู สายไปแล้ว สายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
“เวย์ มึงใกล้ตายยัง?”
“ห่าโย อวยพรเพื่อนดีมากสัส” เวย์ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิตแหวเพื่อน
โยเฮที่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสกินเฮด น้ำเสียงเหมือนใกล้จะตายเพราะข้าวตังไม่รัก จึงต้องถ่อมาหาไอ้เพื่อนเจ้าปัญหาถึงที่บ้านนี่ ตกลงเขากลายเป็นกูรูด้านความรักไปแล้วหรือนี่
“เอ๊า ก็กูเห็นมึงทำท่าเหมือนใกล้จะตาย กูก็เป็นห่วงว่า เอ้อ เพื่อนกูมันอกหักนะ มันอาจจะขาดใจตายไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่งก็ได้ อะไรแบบนี้ไง” โยเฮยักไหล่กวน ๆ เมื่อพูดจบ
เวย์เหล่สายตามองเพื่อน “ความคิด”
โยเฮหัวเราะหึ ๆ กับคำว่ากระทบ ก่อนจะถามเพื่อนเข้าประเด็นในการมาครั้งนี้ “แล้วเป็นไงวะเนี่ย เห็นมึงคร่ำครวญเสียเหลือเกิ้น ตกลงยอมแพ้แล้ว?”
“ยัง กูแค่อยู่ในช่วงพักทำใจ”
เวย์ตอบหน้าตาเฉยจนเพื่อนหมั่นไส้ ทำมาเป็นพูด อยู่ในช่วงพักทำใจ
“เออ ทำต่อไปเหอะ เดี๋ยวหมาได้คาบไปแดก”
ประชดไปแบบนั้นแต่ก็ยังไร้ผลตอบรับจากเพื่อนสกินเฮดอยู่ดี เวย์ยังคงนิ่ง หลับตาลงเหมือนไม่อยากจะคิดอะไรอีก
“จะทำอะไรก็รีบทำ มัวแต่มานั่งท้อแท้ คนรอฉกเป็นฝูงนะมึง” โยเฮเตือนเพื่อน ใช่ว่าไม่มีเวย์แล้วข้าวตังจะมีใครไม่ได้ ถ้าขืนเพื่อนมัวชักช้า เดี๋ยวได้มานั่งเสียใจจริง ๆ แน่คราวนี้
จากที่เวย์บอก ข้าวตังแค่พูดว่ามันสายไปแล้ว แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าเลิกรักเวย์ไปแล้ว ที่ว่าสายไปมันอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ก็ได้ ข้าวตังรักเวย์มาตั้งนาน พอถึงเวลาจะตัดใจ มันจะตัดได้เร็วขนาดนั้นเลยหรือ หรือนี่จะเป็นช่วงเอาคืน โยเฮก็คิดไปเรื่อยเปื่อย ก็เพื่อนสกินเฮดไม่พยายามทำความเข้าใจหรือถามไถ่เพราะกลัวคำตอบ เลยต้องมาซึมเหมือนส้วมอยู่นี่ไง คนหล่อล่ะเซ็ง
……
โรงเรียนมัธยมเอกชนเวลาพักกลางวัน
ช่วงนี้ภายในโรงเรียนก็มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีแข่งโน่นนี่บ้าง มีค่ายอาสาบ้าง และรายการล่าสุด งานสานสัมพันธ์ในโรงเรียนที่ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ละห้องก็ต้องมีกิจกรรมนำเสนอ ที่นิยมกันก็คงเป็นพวกขายของหรือไม่ก็เล่นเกมส์ บ้านผีสิง มันก็วนอยู่เท่านี้ล่ะนะ คิดมากก็เหนื่อย
ข้าวตังกับมิ้นท์และฟิว สามสหายที่มักจะเห็นอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ แต่ส่วนมากมิ้นท์จะไม่ค่อยได้ไปไหนกับกลุ่มของข้าวตังสักเท่าไร เพราะทั้งกลุ่มมีแต่ผู้ชาย แต่ถ้ามีแค่ข้าวตังกับฟิวก็ยังดูโอเคอยู่ ทั้งสามคนกำลังจะไปหาอะไรกินที่โรงอาหาร แต่มิ้นท์ สาวน้อยหนึ่งเดียวในกลุ่มก็หยุดเดินขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ก่อนจะรั้งเพื่อนสองคนที่จะก้าวเลยไปให้หยุดด้วย ฟิวกับข้าวตังมองเพื่อนงง ๆ มิ้นท์เลยต้องบอกเหตุผลที่ต้องหยุด
“ตัง กูรำคาญไอ้เวย์มากเลยตอนนี้ มึงช่วยเคลียร์ปัญหากับมันให้จบทีได้ปะ แบบว่าเห็นมันมาเดินตามมึงต้อย ๆ แล้วกูโคตรรำคาญลูกตาเลย”
มิ้นท์บอกอย่างนั้น ข้าวตังจึงเหลือบแลไปด้านหลังที่เวย์ สกินเฮด หยุดอยู่ตรงนั้น และมองมาทางที่ตนเองและเพื่อนอยู่
“ไปจัดการเลย กูจะไปรอที่โรงอาหาร ปะฟิว”
มิ้นท์ดึงแขนฟิวให้เดินตามตนเองมา ฟิวตบบ่าเพื่อนเบา ๆ แสดงความเป็นห่วง ข้าวตังหันกลับไปมองเวย์อีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้อีกคนเดินเข้ามาหา เวย์เองก็รีบมาอย่างเร็วไว แต่เมื่อมาถึงแล้วเห็นว่าคนหน้าหวานทำหน้าเครียด รอยยิ้มที่มีอยู่เมื่อครู่ก็ดูห่อเหี่ยวลงไปทันที
ข้าวตังเดินนำเด็กสกินเฮดไปหาที่คุยเป็นส่วนตัว
“มึงจะเดินตามกูไปถึงไหน เวย์?” เด็กหน้าหวานเปิดประเด็นเมื่อมาถึงที่
“แค่เดินตาม มึงก็ห้ามเหรอ?” เวย์ถามเสียงค่อย แค่เดินตามยังไม่ได้เลยเวย์เอ๊ย แบบนี้ความหวังของมึงอยู่ตรงไหนกัน
“มันเหมือนพวกโรคจิต ตามติดกูโดยที่ไม่พูดไม่จา เดินตามกูทุกวัน มึงบ้ารึเปล่า?”
“ก็กูไม่รู้จะเริ่มเข้าหามึงจากตรงไหนนี่ แต่กูก็ไม่อยากอยู่ห่างมึงด้วย”
“มึงก็แค่ทำตัวปรกติธรรมดาอย่างที่มึงเคยเป็น ที่ผ่านมามึงยังทำได้เลยนี่ ตีมึนเหมือนมันไม่มีอะไร ไม่ต้องใส่ใจความรู้สึกใครว่าเขาจะรู้สึกนึกคิดยังไง แค่ทำตัวเป็นปรกติแบบที่มึงเคยทำ…”
“……..”
“ง่าย ๆ แค่นี้เอง เวย์”
ข้าวตังพูดเท่านั้นแล้วจะหันหลังจากมา แต่ก้าวเดินก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคำพูดของอีกคนดังมาให้ได้ยิน
“มันจะปรกติได้ไง ในเมื่อกูรักมึงไปแล้ว”
มีเพียงความเงียบที่เกิดขึ้น ความกดดันจากความเงียบนั้นทำให้เวย์แทบไม่อยากหายใจแรง กลัวว่าจะไม่ได้ยินเวลาที่ข้าวตังพูดอะไรตอบกลับมา
“มึงแค่รู้สึกผิดเอง เวย์ แค่รู้สึกผิด ไม่ได้รัก” ข้าวตังบอกย้ำช้า ๆ เน้นชัดทุกถ้อยคำ ยืนยันว่ามันเป็นแบบนั้น
“มึงจะรู้ใจกูดีกว่าตัวกูเองได้ไง ข้าว ถ้ากูบอกว่ารัก มันก็คือรัก ไม่มีอย่างอื่น ไม่ใช่การเข้าใจผิด”
“มึงเข้าใจผิด มึงไม่ได้รั…”
“รัก!”
เวย์แย้งทันที แค่รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ แค่เข้าใจผิดไปเท่านั้นหรือไง ถ้ามันเป็นเรื่องแค่นั้นเขาคงไม่เจ็บขนาดนี้ นี่มันบทลงโทษอะไรกัน ทำไมคำว่ารักของเขามันถึงไม่มีความหมายอะไรต่อข้าวตังขนาดนี้ หรือเพราะต้องการให้เขารู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่ข้าวตังเคยมี
“กูรักมึง ข้าว อย่าปฏิเสธความรักของกูอีกเลยนะ…”
เวย์รั้งตัวบาง ๆ เข้ามาใกล้ ไม่กล้าที่จะสัมผัสแรง แม้ใจหนึ่งจะกลัวว่าข้าวตังจะสะบัดออก แต่สุดท้ายแล้วข้าวตังก็ไม่ได้ทำแบบนั้น แต่แววตาเศร้ายังถูกส่งมาให้เวย์ได้เจ็บยิ่งขึ้นไปอีก
“มันไม่ยุติธรรมนี่ ทำไมมึงถึงได้ใจกูไปง่าย ๆ ทั้งที่กว่าที่กูจะได้ใจมึงมามันต้องใช้เวลานานมาก นานจนกูท้อแล้ว นานจนกูจะเลิกรักมึงแล้ว”
น้ำเสียงว่ากล่าวตัดพ้อบีบรัดหัวใจคนฟัง เวย์เชยคางเรียวขึ้นมา สบสายตาที่เริ่มคลอด้วยหยาดน้ำใส ตากลมโตกะพริบไล่ความอ่อนแอที่แสดงออกมาทางดวงตา เบือนสายตาไปที่อื่น ไม่ยอมหันมาสบตากับคนตรงหน้าด้วยเพราะกลัวใจตัวเอง
“อย่าเพิ่งเลิกรักกูเลยนะ ข้าว กูไม่ใช่คนดี บางทีกูอาจจะโง่งมงายไม่ได้เรื่อง แต่ขอให้รู้ไว้เถอะ ว่าถ้าลองกูได้รักแล้ว กูจะไม่ทำให้มึงต้องเจ็บอีก”
“………”
“ให้โอกาสกูนะ ข้าว อย่าเพิ่งเลิกรักกูเลยนะ”
เสียงอ้อนวอนจากเวย์ได้เพียงความเงียบงันเป็นการตอบกลับ ไม่มีคำปฏิเสธ และไม่ได้ยอมรับต่อคำขอ แต่ความเงียบที่เกิด มันก็คงจะไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก
เวย์ที่ขอโอกาสกับข้าวตังเพื่อเริ่มต้นใหม่ก็พยายามคิดหาทางว่ามันพอจะมีทางไหนให้ข้าวตังเปิดใจให้เขามากกว่านี้ได้ มิ้นท์ สาวน้อยเพื่อนสนิทข้าวตังจึงถูกดึงมาร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย ซึ่งกว่าจะได้ตัวมาก็โดนบ่นจนหูแทบชา แต่อย่าอะไรเลย เพราะมิ้นท์อยู่ใกล้ชิดกับข้าวตังพอ ๆ กับเวย์ ดูจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง การพึ่งพามิ้นท์จึงเป็นหนทางที่ไม่แย่นัก
แต่ก็ไม่รู้ว่ามิ้นท์แกล้งเวย์หรือเปล่าถึงได้หาเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตมาให้เวย์ร้องบอกความในใจข้าวตัง เขามันเด็กอินเตอร์นะเฮ้ย แต่ฟังจากเหตุผลของสาวมิ้นท์ที่ทำหน้าตาเป็นงานเป็นการแล้ว เวย์ก็แย้งไม่ออก
“เพลงนี้แหละมึง มึงต้องมาแบบบ้าน ๆ แสดงความจริงใจว่าเรามันรักเขาและพร้อมจะทำเพื่อเขาทุกอย่าง มึงดูภาษาเขาดิ โคตรตรงใจเลยเหอะ กูรับรอง มึงร้องเพลงนี้นะ เกิดชัวร์!”
มันจะเกิดหรือมันจะดับกันแน่ก็ไม่รู้ ก็ขนาดที่ว่าเวย์ซ้อมร้องเพลงนี้แล้วข้าวตังทุ่มกระถางดอกไม้ข้ามรั้วมาอะ คิดดู เฮ้อ จะไหวไหมนี่
……
วันงานโรงเรียน เวย์กับโยเฮก็แอบไปเตรียมความพร้อมซักซ้อมกันมาเต็มที่ ก่อนจะถึงเวลาขึ้นโชว์ก็ยังคงซ้อมกันอยู่ ห้องของพวกเขาก็มีกิจกรรมทดสอบรักอะไรก็ไม่รู้ ดังนั้น งานนี้จึงตกอยู่ในความดูแลของเพื่อนผู้หญิงในห้อง ผู้ชายมีหน้าที่เรียกแขกกับยกของ ไอ้ยกของก็ยังพอว่า แต่เรียกแขกนี่มันกระดากปากชะมัด
ข้าวตังกับฟิวและพรรคพวกก็ได้รับหน้าที่นั้นเช่นกัน จนเมื่อถึงเวลาผลัดเปลี่ยนกันทำงาน ข้าวตังกับฟิวจึงไปเดินเที่ยวห้องอื่นบ้าง โดยเฉพาะห้องที่ขายอาหารและเครื่องดื่ม ได้ข้าวของหลายอย่างมาไว้ในมือ เดินเที่ยวไปกินไปกันอยู่สองคน จนใกล้ถึงเวลาเก็บห้อง สองเพื่อนซี้จึงกลับไปช่วยเพื่อนเก็บของเพื่อที่จะมาร่วมงานในช่วงเย็นต่อ ซึ่งงานนั้นก็จะมีการประกวดต่าง ๆ มีดนตรี มีอาหาร คนที่จะมาร่วมก็แล้วแต่ความสมัครใจ เพราะถือว่าจัดขึ้นเพื่อผ่อนคลายหลังจากที่ทุกคนทุ่มกับงานในช่วงเช้าไปแล้ว
เวทีดนตรีดูจะได้รับความสนใจมากเหมือนทุกปีที่ผ่านมา เพราะเคยมีนักเรียนชายหลายคนใช้เวทีนี้สารภาพรักสาวมาแล้ว เลยกลายเป็นว่าทุกปีต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคู่ที่ได้เป็นแฟนกันเพราะงานนี้ และเวย์ สกินเฮด ก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่จะใช้เวทีนี้ให้เป็นประโยชน์
เมื่องานเริ่มได้สักพัก พิธีกรของงานก็ขึ้นไปกล่าวเรียนเชิญผู้อำนวยการขึ้นมาเปิดงานและเปิดเวทีดนตรีด้วยการขับร้องเพลงให้นักเรียนได้รับฟัง คนที่เรียนใกล้จบแล้วเหมือนกลุ่มข้าวตังก็ดูจะชินกับการร้องเพลงของผู้อำนวยการท่าน แต่รุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามากลับพากันกลั้นขำ เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยรู้ถึงความไพเราะของเพลงสมัยก่อนหรอก ท่านว่าอย่างนั้น
เมื่อผ.อ กล่าวคำเปิดงานไปแล้วเรียบร้อย งานจึงได้ดำเนินไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริง บนเวทีก็เริ่มมีคนทยอยขึ้นไปทำการแสดง บ้างร้องเพลงเดี่ยว บ้างตั้งเป็นวงดนตรี ได้รับเสียงกรี๊ดตอบรับจากเพื่อนนักเรียนล้นหลาม
“ตัง ไอ้เวย์กับไอ้โยไปไหนวะ?”
เพื่อนในกลุ่มถามข้าวตังที่กำลังเมามันกับการโยกหัวตามเพลงอยู่ พอได้ยินคำถาม ความมันก็เริ่มจะหมด ไอ้เวย์หายนี่ถามกูตลอด
“ไม่รู้ ไม่เห็นมันแต่เช้าแล้ว” ข้าวตังตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่ที่จริงก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันที่เวย์หายไป ไปไหนของเขา
เมื่อได้คำตอบ เพื่อนจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ เปลี่ยนมาวาดลีลากับข้าวตังที่แหกปากร้องร่วมกับคนรอบข้าง จนความมันหยดสุดท้ายหมดลงก็เข้าสู่ช่วงเพลงซึ้ง ๆ หวาน ๆ มาคั่นบ้าง เปิดตัวโดยประธานนักเรียนเจ้าเก่าที่ท่าทางจะถูกแฟนบังคับมาร้อง เมื่อประธานร้องจบลงไป พิธีกรสาวจึงได้แนะนำนักร้องคนถัดไป
“นักร้องคนต่อไปของเรานี่ ถ้าแค่บอกลักษณะของเขาเท่านั้น รับรองได้ว่าสาว ๆ ทุกคนต้องเดาออกอย่างแน่นอนเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินพิธีกรกล่าวดังนั้น นักเรียนหญิงจึงหันมามองหน้ากัน แล้วถามกันเองว่าคนคนนั้นเป็นใคร
“เขาคนนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หน้าตาหล่อเหลาชัดเป๊ะทุกองศา ดวงตาคมดุที่จะเชือดเฉือนหัวใจของสาว ๆ โดดเด่นด้วยทรงผมสกินเฮดเท่สุดใจ เขาคนนั้นคือ… เวย์ วิญญู ห้อง6/8ค่า~”
เสีงกรี๊ดต้อนรับดังจนหอประชุมแทบสะเทือน เพื่อน ๆ เวย์ถึงกับต้องยกมือปิดหู นี่ถ้าไม่เห็นกับตาไม่รู้เลยนะว่าเวย์จะได้รับความนิยมขนาดนี้ ลุคออกจะโหดเถื่อน ท่าทางผู้หญิงจะชอบคนเลว
เมื่อเสียงกรี๊ดเริ่มซา เสียงดนตรีก็ดังตามมา เวย์ที่แต่งตัวในลุคหนุ่มมาดเซอร์ออกมาพร้อมกีตาร์โปร่งที่ต่อสายลำโพงเอาไว้
…ฉันมันคนมีประวัติ ไม่ค่อยดี ฉันมันคนมีตำหนิ ที่หัวใจ
ขอเพียงเธอให้โอกาส ฉันเริ่มใหม่ แค่เธอปิดหูลืมตา เปิดหัวใจ...
เสียงทุ้มนั้นขับร้องเพลงที่เตรียมมาตามท่วงทำนองไปเรื่อย ๆ เพื่อน ๆ ด้านล่างก็เงียบฟัง มีโบกมือไปตามทำนองเพลงที่เวย์ร้องด้วย
…ต้องยอมรับรักเธอทั้งใจ ไม่ใช่รักแรกที่ผ่านมา แต่ฉันขอสัญญาจะเป็นรักสุดท้าย
ฉันมันประวัติไม่ดี ต้องวัดกันที่หัวใจ รับได้ไหม หัวใจเก่า ๆ ดวงนี้
ถึงมีประวัติไม่ดี แต่ฉันยินดีจะพิสูจน์ ให้เธอรู้ รักเธอจนหมดหัวใจ
คนมีประวัติไม่ดี จะพร้อมยอมพลีหมดทั้งใจ ให้เธอไว้ทั้งใจด้วยความรักดี…
เสียงเพลงจบลงพร้อมเสียงปรบมือดังตามมา เวย์โค้งขอบคุณทุกคนก่อนจะพูดอะไรบางอย่างต่อจากนั้น
“เพลงนี้… ผมร้องให้คนบางคนในที่นี้ฟัง คนสำคัญของผม เป็นบทเพลงแทนใจ”
เวย์พูดแล้วหยุดเมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดเบา ๆ ยิ้มเล็ก ๆ ให้เสียงกรี๊ดนั้น ก่อนจะพูดต่อ
“ผมอาจจะเคยทำร้ายจิตใจคนคนนั้นมาโดยตลอด จนตอนนี้เขาอาจจะโกรธเกลียดผมไปแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกให้เขาได้รู้ ว่าผมพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ หัวใจเพียงดวงเดียวที่ผมมี มันไม่มีค่ามีราคาอะไร แต่ถ้ามันคือสิ่งที่จะสามารถยืนยันได้ว่าผมจะรักเขาเพียงคนเดียวตลอดไป ผมก็พร้อมจะยกมันให้อยู่ในกำมือเขา ไม่ว่าจะบีบ ไม่ว่าจะคลาย ผมก็จะยอมตายเพราะรักเขาคนเดียว”
“……”
“สุดท้ายนี้ ผมอยากจะถามเขาเพียงสั้น ๆ ว่า…”
เพื่อนนักเรียนในหอประชุมเงียบฟังอย่างตั้งใจ เวย์มองตรงมาที่คนหน้าหวานที่ยังยืนกอดอกวางฟอร์มนิ่งอยู่ เวย์ยิ้มให้ ก่อนจะบอก
“รักข้าวนะครับ”
เสียงกรี๊ดจากนักเรียนหญิงดังลั่นหอประชุมเมื่อเวย์พูดจบ รวมทั้งเสียงโห่ฮาของเพื่อนในห้อง ก่อนจะเงียบเสียงลงกับประโยคต่อมา
“เป็นแฟนกันนะ!”
“ไอ้เหี้ย!!”
เด็กหน้าหวานร้องด่า ไม่คิดว่าเวย์มันจะกล้าหน้าด้านขนาดนี้ เหลียวมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก เพื่อนที่อยู่รอบข้างส่งเสียงแซวแทรกเสียงกรี๊ดมาจนแก้มใสขึ้นสีจัด โกรธไอ้คนบนเวทีก็โกรธ อายก็อาย ได้แต่ฝ่าเพื่อนนักเรียนออกไปพร้อมเสียงโห่แซวดังตามหลังมาให้ได้หน้าร้อนขึ้นไปอีก
เวย์ที่มองปฏิกิริยาของข้าวตังอยู่บนเวทีรีบคืนกีตาร์ให้เพื่อนที่คุมเวทีอยู่ด้านหลัง ก่อนก้าวลงจากเวทีตามคนหน้าหวานไป เสียงเชียร์จากเพื่อนดังมาไม่ขาด เวย์ยิ้มรับกำลังใจนั้น เขาจะทึกทักเอาว่าแก้มแดง ๆ นั่นคือคำตอบรับแล้วกันนะ
หลังจากที่เวย์ลงจากเวทีไป รอบบริเวณดูจะอึงอลอยู่ชั่วครู่ ก่อนพิธีกรสาวเจ้าเดิมจะขึ้นไปเบี่ยงเบนสถานการณ์เข้าเพลงชุดต่อไป ทุกคนในงานจึงกลับมาสนใจบนเวทีอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังมีบุคคลหนึ่งในนั้นที่ยังให้ความสนใจกับเรื่องเมื่อครู่อยู่เป็นอย่างมาก
“ก๊ากกก ฮ่า ๆ ๆ” มิ้นท์ สาวน้อยน่ารักหัวเราะเสียงดังอย่างไม่กลัวจะเสียภาพพจน์ มือเรียวสวยนั้นตีแขนแฟนตัวเองไปด้วยอย่างเมามัน
“โอ๊ย มิ้นท์ ผมเจ็บ เป็นอะไรเนี่ย?” ข้าวโอ๊ตเบี่ยงแขนหลบมือมิ้นท์ที่ตีกระหน่ำเพราะความขำ มองหน้าแฟนงง ๆ
“ก็… ก็… ฮ่า ๆ ๆ” มิ้นท์ที่พยายามจะกลั้นหัวเราะแล้วพูด แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ หัวเราะหนักกว่าเดิมเสียอีก
ข้าวโอ๊ตที่พอจะรู้สาเหตุแล้วหรี่ตามองแฟนตัวเองอย่างรู้ทัน บนเวทีเมื่อครู่นี้คงเป็นฝีมือแฟนเขาแน่ล่ะ เห็นรวมหัวกันวางแผนอะไรไม่รู้อยู่หลายวันแล้ว ที่แท้ก็แบบนี้เองสินะ ร้ายจริง ๆ เรียกได้ว่างานนี้ได้ช่วยพี่ตังด้วย ได้แกล้งพี่เวย์อีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งรังเลยมั้งน่ะ
“ฝีมือมิ้นท์ใช่ไหม?” ข้าวโอ๊ตเอ่ยถาม เมื่อรู้แน่ชัดโดยไม่ต้องเดาแล้วว่าใช่แน่
มิ้นท์ยักคิ้วให้แฟนตัวเอง บอกชัด ๆ ไปเลยว่า ใช่ค่ะ มิ้นท์จัดให้!!
ทางด้านเวย์ที่วิ่งตามข้าวตังออกมาจากหอประชุม แต่คนที่เดินลิ่ว ๆ อยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเสียที จะคุยกันสักหน่อยนี่ต้องเดินไปคุยไปเลยรึไง
“ข้าว เดี๋ยวดิ จะรีบไปไหนวะ?”
“ไม่ต้องตามกูมาเลยนะ!” ข้าวตังหันกลับมาแหวใส่
เวย์เดินล้วงกระเป๋าสบายอารมณ์ รู้สึกนับถือยางบนหน้าตัวเองจริง ๆ ที่มันมีน้อยจนทำให้กล้าที่จะทำอะไรแบบนั้นลงไปได้ ไม่ใช่ไม่อายนะ แต่เพื่อเธอคนเดียวเลย ที่รัก
และด้วยช่วงขาที่ยาวกว่าทำให้เวย์ สกินเฮดก้าวถึงตัวคนด้านหน้าได้ไม่ยาก เอื้อมมือคว้าแขนเล็กไว้ เจ้าของมันก็ทำท่าว่าจะสะบัดออก แต่เด็กสกินเฮดไม่ยอม พอยื้อกันมากเข้า ข้าวตังที่ตัวเล็กกว่าก็เริ่มหยุด ยื้อไปก็เท่านั้นล่ะ แรงเท่ามด
“เป็นอะไร หือ เดินหนีกันเฉย”
“…….” ข้าวตังเงียบไม่ตอบ ไม่ยอมมองหน้าอีกคนด้วย
“คำถามเวย์ก็ยังไม่ได้คำตอบเลยนะ ตกลงว่าไงครับ เป็นแฟนกันไหม?”
“กูอายอะ ไอ้เชี่ย มึงหน้าด้านเกินไปแล้ว!”
ข้าวตังว่าเสียงอุบอิบ มือดันตัวเด็กสกินเฮดให้ออกห่าง ใบหน้ายังเบือนหนีอยู่แบบนั้น ใครสั่งใครสอนให้มึงพูดจาหวานเลี่ยนแบบนี้เนี่ย!
“ขนาดมึงดูอยู่ข้างล่างมึงยังอาย แล้วกูที่ขึ้นไปทำซึ้งบนเวทีไม่อายกว่าหรือไง?”
เวย์ว่าขำ ๆ ขำท่าทางคนหน้าหวานด้วย ขำตัวเองด้วยที่กล้าขึ้นไปร้องเพลงแบบนั้น ไม่เท่านั้น เขายังนึกสคริปสดให้ตัวเองโดยการพูดแบบนั้นอีก แค่นึกถึงก็รู้สึกหน้าร้อน ๆ แล้ว ใครว่าเขาอายไม่เป็นวะ
“มึงอายตรงไหน ตรงไหนที่มึงเรียกว่าอาย ห๊ะ!”
ข้าวตังทำสีหน้าไม่เชื่อสุดฤทธิ์ อย่างเวย์นี่นะอาย ร้องเพลงเย้ว ๆ อยู่บนเวทีนั่นน่ะนะ ถึงจะเห็นท่าทางคนหน้าหวานแบบนั้นเวย์ก็ยังยิ้มเฉย กินยาผิดมารึเปล่านี่ ทำไมยิ้มอยู่ได้
“มึงกลัวคนเขาไม่รู้หรือไงว่ามึงเป็นเกย์?”
“กูไม่ได้กลัวคนไม่รู้ว่ากูเป็นเกย์ แต่กูกลัวมึงไม่รู้…” เวย์หยุดคำพูดค้างไว้ให้คนหน้าหวานสนใจ ก่อนจะก้มลงกระซิบใกล้ ๆ ให้ใจสั่นเล่น “ว่ากูรักมึง”
พอจบคำพูดเท่านั้น แก้มขาว ๆ ก็แดงแปร๊ดขึ้นมาทันตา ขนาดไม่ได้สว่างอะไรมากยังเห็นเลยว่ามันแดง นี่ข้าวตังขี้เขินขนาดนี้เลยหรือ?
“มึงไปหัดพูดอย่างนี้มาจากไหนวะ?” ข้าวตังที่รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อน ๆ รีบหันไปทางอื่น แต่ก็ดูว่าจะไม่ทันแล้ว
“มึงเขิน”
“ไม่ได้เขิน!” ข้าวตังร้องปฏิเสธ ใครเขิน ไม่มี้
“ก็มึงหน้าแดง” เวย์ก็ยังไม่ยอมแพ้
“กูเปล่า”
คนเขินยังปฏิเสธเสียงแข็ง แต่หลักฐานมันกลับฟ้องคาตาอยู่แบบนี้ ต่อให้ปฏิเสธไปก็ไร้ประโยชน์แล้วล่ะ ที่รัก
เวย์ก้มลงจะหอมแก้มแดง ๆ นั้น แต่เจ้าของเขากลับรู้ทันเสียก่อน มือเรียวจึงยกขึ้นกั้นระหว่างแก้มของตนเองกับริมฝีปากของเวย์ทันท่วงที
“อ๊ะ ๆ กูยังไม่ได้บอกว่าจะคบกับมึง อย่ามาเนียน ปล่อยเลย” ข้าวตังตีมือคนทำเนียนให้ปล่อยจากเอวตนเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามือปลาหมึกเลื้อยมาตอนไหนกัน
“มึงก็รีบตอบตกลงเร็ว ๆ ดิ” เด็กหนุ่มสกินเฮดเร่งเร้า
“ไม่” ข้าวตังไม่ยอมเต้นตาม เขาถือไพ่เหนือกว่าเว้ย เอาดิ
“ทำไมวะ!” เวย์ทำเสียงขัดใจ เมื่อได้ยินคำว่าไม่
“ถ้ามึงชอบกูจริงนะ มึงต้องจีบกูก่อน”
“ห๊ะ?”
“ถ้ามึงจีบกูติด กูจะยอมเป็นแฟนมึง” ข้าวตังยกยิ้มมุมปาก
“ข้าว มึงเป็นเมียกูแล้วนะ ยังจะให้กูจีบอีกเหรอ?”
“ไอ้เวย์!” ข้าวตังขัดขึ้นเสียงดัง ใครให้เอาความจริงมาพูดเล่น! “มึงจะไม่จีบก็ได้ งั้นกูก็จะอยู่ของกูแบบนี้ ไม่เห็นต้องแคร์เลย”
ตัวบาง ๆ นั้นจะเดินหนีด้วยความโมโห แต่เวย์คว้ามากอดไว้ ก่อนตอบรับอย่างเอาใจ
“ได้ เวย์จะจีบ ข้าวอยากให้ทำอะไร เวย์ก็จะทำ โอเคไหม?”
เวย์ สกินเฮดที่ไม่เคยต้องเริ่มต้นจีบใครก่อน ถ้าเพียงแค่ถูกใจจนอาจจะถึงชอบพอก็แค่เดินเข้าไปบอก แล้วขอคบเป็นแฟน อาจจะตะล่อมนิดหน่อยพอเป็นพิธี ถ้าไม่ได้ก็จบกันไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขากำลังจะจีบ แล้วไอ้การจีบนี่มันเริ่มจากตรงไหนก่อนหว่า ไม่ใช่จีบก่อนค่อยจูบหรือ แต่เขาจูบไปแล้วนี่นะ หรือว่าจีบก่อนค่อยก(อ)ด นั่นเขาก็ทำไปแล้วอีก
เอิ่ม… ถึงคราวที่ต้องทำในสิ่งที่ยากยิ่งเสียแล้วสิ เวย์ สกินเฮด
......
ในตอนเช้าของวันหยุด ข้าวตังรับหน้าที่รดน้ำต้นไม้ที่บ้านเองเป็นกิจวัตร แต่เมื่อเห็นต้นไม้ในกระถางที่วางเรียงสลอนแล้วก็นึกถึงเจ้าของมันขึ้นมา หลังจากวันงานโรงเรียนเสร็จสิ้นไปแล้ว นั่นนับว่าเป็นวันแห่งความอายของข้าวตังเลยก็ว่าได้ เพราะตอนไปโรงเรียนนี่ข้าวตังแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี ทั้งเพื่อนทั้งรุ่นน้องแซวเขาไม่หยุดปากตั้งแต่ทางเข้ายันอาจารย์ในห้องเรียนเลยเถอะ จะไปเอาเรื่องไอ้ตัวต้นเหตุ เพื่อนที่นั่งใกล้ก็แซวให้ได้อาย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ที่ผ่านมาร่วมเดือนก็ยังไม่ลืมกันอีก พอทำอะไรไม่ได้ก็เลยต้องปลอบใจตัวเองว่ามันแค่คำพูด เราไม่เจ็บ เรา ไม่ เจ็บ!
“ย้ากกกก”
เสียงข้าวตังที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ร้องขึ้นมา มันเก็บกดมาตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว ระบายกับไอ้บ้าเวย์ไม่ได้ก็ระบายกับต้นไม้ของมันละกัน ก็ไม่รู้ว่ามันจะซื้อมาทำพระแสงของ้าวอะไรมากมาย ที่ของบ้านมันมีตั้งเยอะดันเอามาปลูกที่บ้านเขาทำไมวะ แล้วลำบากใครดูแล
ข้าวตังรดน้ำต้นไม้ดอกไม้ที่เวย์มาใช้พื้นที่ในบ้านตนเองปลูก แอบบ่นในใจไปเรื่อย เพราะถึงบ่นให้เวย์ได้ยินก็เท่านั้นล่ะ รายนั้นน่ะหรือจะสนใจเสียงบ่นของเขา
“ข้าว”
นั่น ว่ายังไม่ทันขาดคำ โผล่หน้ามาละ ข้าวตังเหลือบตามองคนที่เกาะรั้วที่กั้นระหว่างบ้านตนเองกับบ้านไอ้คนเกาะอยู่ เวย์ส่งยิ้มมาก่อน แต่กลับได้รับสีหน้าบึ้งตึงจากอีกคนตอบกลับ
“ข้าว”
“……..”
อย่าได้ละความพยายาม เขาไม่ได้ไล่ แสดงว่าฟังอยู่
“รักนะครับ”
“ไอ้บ้า!!”
“ว้ากกก”
ข้าวตังเบี่ยงสายยางที่ตนเองถือไปทางที่เวย์อยู่ รั้วที่กั้นเป็นปูนสูงระดับอกเท่านั้น เวย์จึงโดนน้ำที่ข้าวตังฉีดมาเต็ม ๆ แต่เด็กสกินเฮดก็ยังยิ้มได้อยู่ กวนวันละนิดจิตแจ่มใส เสียงหัวเราะของคนที่หนีเข้าบ้านยังดังมากวนประสาท ทำให้ข้าวตังหน้ามุ่ยขึ้นไปอีก
“หือ สวีทกันแต่เช้า”
เสียงลอยลมเหมือนพูดกับตัวเองดังมาจากด้านหลัง ข้าวตังหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นมิ้นท์ที่เดินสวย ๆ เข้ามาหา ด้วยเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน จะไป ๆ มา ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่แปลกสำหรับมิ้นท์น่ะนะ
“สวีทบ้าอะไร ปัญญาอ่อน จีบแม่งอะไรแบบนี้วะ!” ข้าวตังเดินไปปิดน้ำ ท่าทางเหมือนยังหงุดหงิดไม่หาย
“แล้วมึงไม่ชอบหรือไง?”
“ไม่ชอบ!”
ตอบชัดถ้อยชัดคำมาก จนมิ้นท์ต้องเบ้ปาก แล้วเอ่ยล้อ
“จริงอะ?”
“อะไรของมึงเนี่ย?” ข้าวตังชักจะเสียงดังเพราะเริ่มเขินกับสีหน้าล้อเลียนของเพื่อน จะเดินหนีเข้าบ้านตัวเองอีกคน
“ไม่ใช่ชอบตั้งแต่เขายังไม่จีบเลยหรือไงยะ?”
มิ้นท์ยังล้อไม่เลิก เดินตามเพื่อนหน้าหวานอย่างกระชั้นชิด แต่คราวนี้ดูเหมือนเพื่อนจะระงับความอายได้ เลยตอบกลับมาอย่างไม่แคร์
“แล้วไง ก็อยากให้จีบ”
“หวาย ๆ กล้าพูดนะ”
มิ้นท์จิ้มแก้มเพื่อนที่ทำใจกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา สีหน้าข้าวตังสลดลงเมื่อพูดประโยคต่อมา
“กูอยากให้มันพยายามบ้าง ไม่ใช่ว่าอะไรก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับมันไปหมด ถ้ามันได้กูไปง่าย มันก็ทิ้งกูง่ายเหมือนกัน”
มิ้นท์พยักหน้าเข้าใจ เธอไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรสักเท่าไร แต่ที่เธอรู้แน่ ๆ คือเพื่อนสองคนนี้รู้สึกพิเศษต่อกัน ข้าวตังน่ะรู้ตัวเองมาตั้งนานแล้ว แต่นายเวย์นี่สิที่มีปัญหา ณ เวลานี้ที่ปัญหามันน่าจะหมดไป ก็กลับกลายเป็นความไม่แน่ใจของข้าวตังเข้ามาแทนที่ ความรักนี่มันเข้าใจยากจริง ๆ
ข้าวตังที่ยืนหันหลังให้ประตูหน้าบ้านจึงไม่ทันเห็นว่ามีคนมายืนซ้อนหลังของตนเอง มิ้นท์ที่มองอยู่และเห็นว่าคนนั้นเป็นใคร จึงจะเลี่ยงผละออกมา
“ดูไปเถอะ มึงมีเวลาดูมันตลอดชีวิตนั่นแหละ”
“กูก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”
ข้าวตังตอบรับคำพูดเพื่อน มิ้นท์ตบไหล่เพื่อนปุ ๆ แล้วเดินลั้นลาจากไป ข้าวตังมองตามเพื่อนงง ๆ ทำไมถึงพูดแปลก ๆ นี่มิ้นท์ก็เชียร์เวย์อยู่หรือไงกันนะ
“เฮ้ย!”
ข้าวตังที่หันกลับมามองด้านหลัง เพราะเห็นเพื่อนเหมือนมองอะไรอยู่เมื่อครู่ หยุดชะงักแทบไม่ทัน เมื่อคนตัวโตกว่ามายืนอยู่แทบชิด เกือบชนเลยเนี่ย!
“เล่นอะไรวะ เวย์?”
เวย์ไม่ได้ตอบคำถาม แต่มองหน้าข้าวตังนิ่ง เขามาทันที่จะได้ยินที่ข้าวตังพูดกับมิ้นท์ ข้าวตังกำลังไม่แน่ใจในคำว่ารักของเขา
“ข้าว ถ้ามึงพอใจจะให้กูหยุดอยู่แค่คำว่าจีบ แล้วให้กูจีบไปเรื่อย ๆ กูก็ยอมนะ”
ข้าวตังมองหน้าคนพูดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เวย์ได้ยินที่เขาพูดเมื่อกี้ แต่สีหน้าเวย์ที่พูดแบบนั้นไม่ได้มีความโกรธเคืองหรือน้อยใจ มันเป็นการให้ความมั่นใจเขามากกว่า ว่าจะยอมให้เขาทุกอย่างจริง ๆ
“ไม่อยากพัฒนาไปมากกว่านี้หรือไง?” ข้าวตังถามเสียงเบา มันทั้งหวั่นไหวและหวั่นใจไปพร้อมกัน
“อยากสิ แต่ถ้ามึงยังอยากจะให้กูพยายามมากกว่านี้ กูก็พร้อมจะทำมันให้มึงนะ”
“…….”
“ค่อย ๆ ดูกูไปเรื่อย ๆ ก็ได้ ถ้ามึงยังไม่แน่ใจในคำว่ารักที่กูมี”
ข้าวตังมองคนพูดอย่างค้นหา ค่อย ๆ ดูไปก็ไม่เสียหาย เพราะตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วง ‘จีบ’ ของเวย์อยู่ การไปมาหาสู่ที่เวย์ทำมันเป็นปรกติเกินไปด้วยซ้ำ จะให้ปรับเปลี่ยนอย่างไรได้ ในเมื่อทั้งเขาและเวย์ต่างก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จำความได้ มีกันอยู่ข้างกายเสมอ เวลามีสุขก็มีด้วยกัน กอดคอกันหัวเราะและร้องไห้ ยามเมื่อเวลาทุกข์ก็ไม่เคยทิ้งกันไปไหน สิ่งเหล่านี้มันกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นเรื่องธรรมดาจนไม่ฉุกใจคิด
การจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ต่างไปจากเดิม ทั้งคู่คงเคยกังวลไม่ต่างกัน แต่แล้วสิ่งที่กังวลมันกลับไม่มีอะไรเลย ความสัมพันธ์ที่ต่างไปจากเดิมมันคือแบบไหน ในเมื่อแบบที่เป็นอยู่มันมากกว่าคำว่าคนรักเสียด้วยซ้ำไป
ข้าวตังมองหน้าเวย์นิ่งอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองชักจะเริ่มใจไม่ดี ความเงียบมันทำร้ายเราได้ นี่ท่าจะจริง
“เวย์…”
“หือ?”
“กูว่ากูชอบมึงแล้วว่ะ เป็นแฟนกูเหอะ”