Chapter 32 : ก้างชิ้นใหญ่
แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลลำพูน
ทันตแพทย์หนุ่มนั่งถอนหายใจเฮือกๆ ภายในห้องพักทันตแพทย์ตามลำพัง เขาเพิ่งเลิกงาน แต่สาเหตุที่ต้องมานั่งเหี่ยวอยู่คนเดียวแบบนี้ก็เพราะจะรอไปเชียงใหม่พร้อมกับรวินท์ เขาจะไปทำคลินิกแทนหมอภูมิ ส่วนไอ้วินก็จะไปหาเด็กมันนั่นล่ะ แต่วันนี้มันเป็นตัวแทนหมอภูมิไปประชุมย่อยของโรงพยาบาล เพิ่งโทรมาบอกเขาเมื่อกี้ว่ากำลังจะมาถึงในอีกสิบนาทีนี้
เตชิตหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเซ็งๆ ช่วงนี้คีรีใกล้จะสอบมิดเทอม ดูจะยุ่งเอามากๆ เห็นว่าจะทำคะแนนท็อปภาคให้ได้ เพื่อที่จะได้เอาไปอวดคุณตา เมื่อคุณตาพอใจแล้วก็จะได้บอกเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา
ก็ปลื้มอยู่ละนะที่เด็กหนุ่มคิดจริงจังกับเขาขนาดนี้
แต่...
ทันตแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นคลึงขมับ อันที่จริงก็ยังไม่ค่อยอยากจะนึกถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ก็แบบว่าพวกเขาเพิ่งเริ่มคบหากันจริงจังได้อาทิตย์กว่าๆ เอง แล้วคุณไกรฤกษ์กับหมอภูมิก็ไว้ใจเขา ถึงกับออกปากฝากให้เขาดูแลคีรีให้ แต่เขาดันคาบหลานชายสุดที่รักไปแดกซะอย่างงั้น เวรกรรมแท้
ใช้ทุนโดนไล่ออกได้ไหมวะเนี่ย หรือเขาควรเตรียมเงินไว้เผื่อต้องลาออกเองวะ
โทรศัพท์มือถือในมือสั่นสะเทือนเพราะมีสายเรียกเข้า ส่งผลให้เจ้าของโทรศัพท์สะดุ้งโหยง “หือ พ่อ?” เขารีบกดรับสาย
“ฮะ!? กำลังขับรถมาลำพูนตอนนี้ เฮ้ย! เดี๋ยวๆ มาได้ไง มาจากไหนเนี่ย มีเรื่องอะไรครับ!”
เตชิตยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเหมือนเห็นผี พอรวินท์มาถึง เปิดประตูห้องพักเข้ามาก็หยุดชะงัก เขายืนรออยู่เงียบๆ จนเพื่อนรักคุยโทรศัพท์เสร็จ
“มีอะไรวะ”
“พ่อมาว่ะ กูก็งง จู่ๆ ก็โทรมาบอกว่าเพิ่งมาถึงสนามบินเชียงใหม่ กำลังขับรถมาที่นี่ มีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน แล้วนัดให้กูไปหาที่โรงแรม”
รวินท์ขมวดคิ้ว “มึงไปทำเรื่องอะไรไว้รึเปล่าวะ”
“ไม่เว้ย” เตชิตปฏิเสธเสียงสูงปรี๊ด ก่อนจะทำหน้าสลด “วิน กูมีเรื่องต้องขอร้องมึง...”
“เออ กูต้องไปทำคลินิกแทนมึงสินะ”
“รู้ดีฉิบหายเลยว่ะ แล้ว... ไปดูคีรีแทนกูด้วยนะ เขาบอกว่าหลังเลิกเรียนจะรีบกลับห้อง ไปติวหนังสือกับเพื่อน”
“เออๆ ได้ แต่กูคงค้างเชียงใหม่เลยนะ ขี้เกียจขับรถกลับดึกๆ ว่ะ”
“สัส จะนอนกกเด็กมึงก็บอก”
“หรือจะให้กกเด็กมึงแทนล่ะไอ้เวร” รวินท์ถอนหายใจหนักๆ “ว่าแต่พ่อมึงถึงกับมาหาที่นี่ ต้องคุยต่อหน้าไปอีก แบบนี้น่าจะเรื่องสำคัญน่าดู กูนึกถึงเมื่อตอนบ้านกูหอบบ้านพิงค์กับแม่มึงมาที่นี่เลยว่ะ”
“มึงอย่าพูดให้กูขนหัวลุกสิวะ!”
“พ่อมึงยังไม่รู้เรื่องคีรีใช่มั้ย”
เตชิตหน้าเสีย “ไม่น่าจะรู้นะ” ก่อนจะเม้มปากแน่น “ถึงรู้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
“แน่ใจ?”
“แม่กูน่ะไม่มีปัญหา แล้วแม่ก็ใหญ่สุดในบ้าน เพราะงั้นพ่อก็ไม่น่าจะมีปัญหาปะวะ”
“อือๆ ก็โอเค” รวินท์หันไปมองนาฬิกาบนผนังห้อง “กูคงต้องไปละ เดี๋ยวรถติด” แล้วเดินออกจากแผนกไปพร้อมกับเพื่อนรัก
เตชิตตบไหล่คนข้างกันเบาๆ “ขอบใจมึงมากนะเว้ย”
“มึงก็คุยกับพ่อมึงให้รู้เรื่องล่ะ มีอะไรก็ทำใจเย็นๆ ไว้ อย่าลืมโทรไปบอกเด็กมึงไว้ด้วย เดี๋ยวเขางอน มึงจะอดเป็นอมตะไปกับกู”
“ไอ้เพื่อนเหี้ย มึงไม่ต้องขยี้เรื่องนี้นักก็ได้โว้ย!” เตชิตโวยวาย เพราะตัวเขากับรวินท์ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังกัน หลังจากวันที่เริ่มคบกับคีรีอย่างจริงจัง เขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนรักฟังด้วย
แน่นอนว่าไอ้วินมันหัวเราะเขาจนล้มลงไปนอนขดตัวงอเป็นกิ้งกือ
“มึงคิดว่าตัวเองเป็นสาวสิบหกที่ยังเวอร์จิ้นอยู่เหรอวะสัส!” นั่นเป็นประโยคแรกที่ไอ้วินพูดกับเขา และประโยคต่อมาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“เป็นไงล่ะ ชอบว่ากูแดกเด็กนัก ตัวมึงน่ะ ได้แฟนเด็กกว่ากูไปอีก แถมยังก๋ากั่นบอกรักกันบนเวทีต่อหน้าคนเป็นพันๆ เออ กูยอมแพ้มึงก็ได้” แล้วมันก็ทำท่าคำนับ “ขอให้คุณเตชิตอายุยืนเป็นหมื่นๆ ปี อ้อๆ กูยังพูดไม่ได้สินะ ต้องรอมึงพร้อมโดนปล้ำก่อน”
และเขาก็คงจะโดนมันแซะต่อไปอีกนานๆ ทันตแพทย์หนุ่มทอดถอนใจยาว
พอรวินท์แยกไปแล้ว เตชิตก็เข้าห้องพักไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รอเวลาที่นัดไว้กับบิดา เขานั่งลงบนโซฟาในห้อง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมจะโทรไปหาคีรี ทว่ามีโทรศัพท์เข้ามาแทรกเสียก่อน
คราวนี้คนที่โทรมาเป็นน้องชาย เขารีบกดรับสาย “ว่าไงเตย” ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้แว่วมาในสาย
หลังจากทำคลินิกเสร็จ ภูพิงค์ซึ่งมานั่งรอรับรวินท์อยู่แล้วก็ขับรถพาอีกฝ่ายไปกินมื้อเย็น จากนั้นก็ไปหาคีรีตามที่เตชิตฝากฝังไว้
สองหนุ่มหิ้วถุงใส่ขนมติดมือมาด้วย รวินท์มีกุญแจห้องที่ได้รับมาจากเตชิต แต่เมื่อไปถึงเขาก็ลองกดกริ่งเรียกดูก่อน
ใช้เวลาหลังจากกริ่งดังไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังมาแว่วๆ จากทางด้านใน ก่อนประตูห้องจะเปิดออกกว้าง
“พี่เต้! อ้าว...”
“ไม่ต้องทำหน้าตาผิดหวังขนาดนี้ก็ได้มั้ยวะ” ภูพิงค์บ่นขณะที่รวินท์เบ้ปาก
แหม พี่เต้อะไรวะ เป็นแฟนแล้วอัปเกรดคำเรียกอย่างไวเลยนะ กลัวชาวบ้านชาวช่องเขาไม่รู้ว่าจีบติดแล้วหรือไง หมั่นไส้เว้ย
“หวัดดีครับพี่พิงค์ หมอวิน” เด็กหนุ่มรุ่นน้องยกมือไหว้ “แล้ว... พี่เต้ไปไหนอะครับ”
“อ้าว ไอ้เต้ยังไม่ได้โทรบอกคุณเหรอ”
“เห บอกอะไรครับ” คีรีทำหน้างง “อ่า เชิญข้างในก่อนดีกว่า เพื่อนผมอยู่ด้วยหลายคน อาจจะรกสักหน่อยนะครับ” แล้วเจ้าของห้องก็เดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น ซึ่งเพื่อนพ้องของเขานั่งๆ นอนๆ ระเกะระกะอยู่บนพื้น มีกองหนังสือและเอกสารเต็มไปหมด
“หมอวินกับพี่พิงค์มา เก็บของหน่อยเว้ย”
ทั้งสี่ชีวิตยกมือไหว้ด้วยสภาพเหมือนเด็กขาดสารอาหาร ขยับเขยื้อนช้าๆ ด้วยแรงลม
“ไม่เป็นไรๆ ตามสบายเถอะ” รวินท์แจกยิ้มการค้าตามธรรมเนียม “ผมเอาขนมมาฝาก อ่านหนังสือกันหนักๆ คงจะหิว”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ ขนม ขนมมม~” ซอมบี้ทั้งสี่ยืดแขนออกไปรับถุงขนม
คีรียิ้มแห้ง “ผมว่าเราไปคุยกันในห้องกินข้าวกันดีกว่าครับ” แล้วเดินนำสองหนุ่มออกไป
พอทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เจ้าของห้องก็รีบเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ ก่อนจะนั่งลงด้วยกัน “เอ่อ แล้วพี่เต้...”
“ไอ้เต้มันติดธุระด่วนน่ะ พ่อมันมา ผมเลยมาทำคลินิกที่นี่แทนมัน มันเลยขอให้ผมแวะมาดูคุณด้วย แต่เห็นว่าจะโทรบอกคุณก่อนนะ ทำไมไม่โทรก็ไม่รู้สิ”
“ก่อนหน้าผมก็โทรหาพี่เต้ตั้งหลายครั้ง แต่พี่เต้ไม่รับสายผมเลย” เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่
“จะว่าไป ผมยังไม่เคยเจอพ่อพี่เต้เลยนะ เคยเจอแต่แม่พี่เต้ แล้วทำไมจู่ๆ พ่อพี่เต้ก็ถ่อมาถึงลำพูนอะครับ” ภูพิงค์หันไปถามคนรักพร้อมกับวางแขนบนพนักเก้าอี้อีกฝ่าย
“ผมก็ไม่รู้แฮะ แต่คงมีเรื่องสำคัญ เดี๋ยวคุยกับพ่อมันเสร็จมันก็เล่าให้ฟังเองแหละ” รวินท์หันไปสบตาเด็กหนุ่มเจ้าของห้อง “ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ ไอ้เต้มันจะได้ไม่ต้องห่วงมาก”
“ครับ” คีรีทำหน้าหงอย แต่พอเห็นภูพิงค์นั่งเบียดกับหมอวิน ทั้งๆ ที่นั่งเก้าอี้คนละตัวก็ขอพาลสักหน่อย “พี่พิงค์ไม่ต้องอ่านหนังสือสอบเหรอ ทำไมว่าง”
“อ้าว ไม่เจอพี่เต้แล้วงอแงเหรอวะ ผมสอบหลังคุณอาทิตย์นึงเว้ย ยังมีเวลาอู้”
พอพาลไม่ได้ผล คนอ่อนวัยกว่าก็เฉาหนักกว่าเดิมไปอีก “พี่เต้มีเรื่องด่วนอะไรกันนะ”
“ดูตัวด่วนละมั้ง/จับแต่งงานแหงๆ” สองหนุ่มผู้มาเยือนพูดขึ้นพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย
“โห! ทำไมใจร้ายจังอะครับ! ผมเป็นนักศึกษาใกล้สอบนะ!”
“แหม ก็พวกผมไม่รู้ เลยเดาเล่นๆ ตกใจอะดิ๊~” รวินท์พูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ คงเป็นเรื่องที่บ้าน พ่อมันอาจจะอยากเที่ยวลำพูนแบบเร่งด่วนก็ได้ อย่าเพิ่งคิดมากเลย เดี๋ยวมันเสร็จธุระก็คงโทรหาคุณเองนั่นล่ะ”
“ครับ” คีรีตอบรับเสียงอ่อย
หลังจากรวินท์และภูพิงค์กลับไป คีรีกับเพื่อนๆ ก็ยังนั่งงมอ่านหนังสือต่อ จนเกือบห้าทุ่มจึงแยกย้ายกันกลับไป
เด็กหนุ่มเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เอนตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ทว่าก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ จากทันตแพทย์หนุ่มเลย เขาลองกดโทรไปก็ไม่มีใครรับสาย
เกิดอะไรขึ้นวะ
รอไปอีกสักพักจึงตัดสินใจว่าจะนอน เขาวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่หัวเตียงแล้วปิดไฟ แต่สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
คีรีลุกขึ้นพรวด รีบตะปบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “พี่เต้!”
“ขอโทษที่เพิ่งโทรมานะ พอดีผมเพิ่งเสร็จธุระ”
“ครับ หมอวินบอกว่าคุณพ่อของพี่เต้มาหา”
“อือ พาแขกมาด้วยน่ะ พอดีที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย”
คำถามผุดขึ้นมามากมายในศีรษะ แขก? ใครวะ ถึงขนาดคุณพ่อของพี่เต้เป็นคนพามาถึงลำพูนเลยเนี่ยนะ สำคัญขนาดไหน เป็นอะไรกับพี่เต้ แล้วมีปัญหาอะไรกับที่บ้านพี่เต้กันวะ
“วันพฤหัสนี้ผมก็คงไปเชียงใหม่ไม่ได้ คงต้องให้วินไปแทน อาจจะเสาร์อาทิตย์นี้ด้วย”
“งั้นผมไปหา...”
“ไม่ต้องๆ ผมไม่ว่างจริงๆ ขอโทษด้วยนะ”
“แต่ผมเป็นห่วง พี่เต้มีเรื่องอะไร”
“เรื่องของคนที่บ้านนั่นแหละ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคุณหรอก เพราะงั้นไม่ต้องเอามาคิดให้เปลืองพื้นที่สมอง เก็บไว้จำหนังสือที่อ่านไปสอบเถอะนะ”
แม้จะเป็นความหวังดีของทันตแพทย์หนุ่ม แต่คำว่าไม่เกี่ยวมันสะท้อนก้องอยู่ในศีรษะ
เด็กหนุ่มพูดน้ำเสียงงอนๆ “ทำไมไม่เกี่ยวกับผม ผมเป็นแฟนพี่นะ”
“คีรี อย่างอแงสิ ก็มันไม่เกี่ยวจริงๆ” เตชิตถอนหายใจเบาๆ “ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้วไป แล้วผมจะโทรมาหาคุณทุกวันเลยนะ อดทนแค่ช่วงนี้เท่านั้นเอง โอเคมั้ย”
“....”
“ไอ้เด็กดื้อนี่ ผมรักคุณนะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลยจริงๆ”
พอได้ยินคำบอกรัก เด็กหนุ่มก็ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย “ครับ ผมก็รักพี่เต้นะครับ”
“พักผ่อนเยอะๆ แล้วตั้งใจอ่านหนังสือด้วยนะ”
“ครับ” คีรีถือโทรศัพท์ค้างไว้ในมือ แม้คนที่ปลายสายจะกดวางสายไปแล้ว แต่จะไม่ให้เขาเป็นกังวลได้ยังไง ในเมื่อพี่เต้ไม่ยอมบอกอะไรเขาเลยสักอย่าง
มีแขกมาพร้อมกับคุณพ่อด้วย ใครกันวะ
ในตอนเที่ยงของวันใหม่ ขณะนั่งกินอาหารอยู่ในร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่ง
คนที่งงและเป็นกังวลไม่แพ้คีรีเลยก็คือรวินท์ เขานั่งทำหน้าถมึงทึง ดวงตาจ้องหน้าเพื่อนรักเขม็ง “ฮะ!? ลากิจตั้งแต่บ่ายวันนี้ถึงวันศุกร์ยังไม่พอ เสาร์อาทิตย์ก็จะไม่ทำคลินิกอีก อะไรของมึงเนี่ย!”
“เดี๋ยวกูทำคลินิกคืนให้มึงทีหลังนะ กูขอโทษจริงๆ มีเรื่องด่วนว่ะ”
“เรื่องอะไรวะ กูทำงานแทนมึงเป็นกุลีขนาดนี้ กูมีสิทธิ์ที่จะรู้นะไอ้สัส”
“เรื่องที่บ้านนี่แหละ อย่าเพิ่งถามรายละเอียดเลยมึง กูบอกได้แค่ว่ากูปวดหัวมาก” เตชิตยกมือขึ้นกุมศีรษะให้เพื่อนรับรู้ว่าเขาปวดมากจริงๆ อย่างที่พูด “เหนื่อยใจฉิบหาย แต่ขอเอาไว้เคลียร์เรื่องเสร็จค่อยเล่าให้ฟังนะ”
รวินท์ขมวดคิ้ว ปกติเวลาไอ้เต้มีเรื่องอะไรกับที่บ้าน มันไม่เคยปิดบังเขา แต่ทำไมครั้งนี้ดูแปลกๆ ดูมีลับลมคมในชอบกล “งั้นตอบคำถามกูมาก่อน ขอแค่ข้อเดียว เรื่องที่มึงปวดกบาลอยู่นี่ มีผู้หญิงมาเกี่ยวข้องด้วยมั้ยวะ”
เตชิตนิ่งไปชั่วครู่ แล้วพยักหน้าช้าๆ
รวินท์เบิกตากว้าง หรือว่าเรื่องที่เขากับพิงค์พูดเล่นกันจะเป็นเรื่องจริงกันวะ “เหี้ย~ จะทำอะไรก็นึกถึงเด็กมึงด้วยนะเว้ย”
“ปัญหาในครอบครัวกู ไม่เกี่ยวกับคีรีหรอก”
“สัส พูดงี้ระวังเด็กมึงน้อยใจ”
“เออ รู้แล้วน่ะ แต่มันไม่เกี่ยวกับเขาจริงๆ นี่หว่า กูก็บอกเขาแล้ว กูไม่อยากให้เขาคิดว่าพ่อกูถ่อมาที่นี่เพราะเรื่องกูกับเขา” เตชิตเกาศีรษะยิกๆ จนเส้นผมยุ่งเหยิง “รีบๆ แดกเถอะมึง เดี๋ยวกูต้องไปแล้ว”
รวินท์หรี่ตามองอย่างสงสัย แต่ก็จำใจต้องยอมปล่อยตัวอีกฝ่ายไป
ในตอนบ่ายแก่ๆ ของวันศุกร์ รวินท์ ภูพิงค์และเพื่อนๆ ชวนแก๊งของคีรีไปกินหมูกระทะด้วยกัน และชวนกันไปดูหนังรอบดึกต่อ
ทั้งสิบเอ็ดชีวิตนั่งล้อมโต๊ะตัวยาว ซึ่งบนโต๊ะมีเตาสี่เตาและอาหารสดที่ตักมาเรียงจนเต็มโต๊ะ ช่วงแรกๆ ก็ต่างคนต่างกินด้วยความหิว แต่เมื่อผ่านไปสักพักก็ลดความเร็วลงและหันมาพูดคุยกัน
“เออ อ่านหนังสือกันไปถึงไหนแล้วเนี่ย พวกผมรบกวนเวลาพวกคุณรึเปล่าวะ” ภูพิงค์ถามขึ้น
“ไม่เลยพี่พิงค์ พวกผมตั้งใจอ่านหนังสือมาทั้งอาทิตย์แล้ว วันนี้ขอปลดปล่อยบ้างครับ” ปิ๊กกับฟลุคตอบ
“ตอนปีหนึ่งยังไม่ฟิตขนาดนี้เลยนะคะ” สองสาวตอบพลางชำเลืองมองเพื่อนคนที่ยังคงนั่งอย่างเงียบเชียบ “แต่ครั้งนี้คีรีมันประกาศกร้าวไว้แล้วว่าจะเอาท็อปภาคมาให้ได้ เนอะ”
เจ้าของชื่อพยักหน้า “แน่นอน พี่เต้ต้องปลื้มผมมากแน่”
“เออ ดีๆ” รวินท์ยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางเอื้อมมือไปตบไหล่เด็กหนุ่ม
แซนดี้พูดแทรก “อะ ไหนๆ จะผ่อนคลาย เม้าเรื่องไอ้พิงค์ตอนจีบพี่วินใหม่ๆ ให้น้องๆ ฟังดีกว่าเว้ย” พูดจบแก๊งรุ่นน้องก็เฮฮากันยกใหญ่
“เฮ้ย! ทำไมเป็นกู!” เจ้าของเรื่องโวยวาย
“งั้นเดี๋ยวพวกผมเม้าไอ้คีรีบ้าง เนี่ย ตอนนี้ยังมีชุดชาวเขาครบเซตอยู่เลยนะพี่”
คีรีหันขวับ “อ้าว ไอ้ปิ๊ก~”
บรรยากาศครึกครื้นขึ้น เสียงพูดคุยดังสลับเสียงหัวเราะ แต่ไม่นานพวกเขาก็ต้องย้ายจากร้านหมูกระทะไปที่เซ็นทรัลกัน เนื่องจากใกล้เวลาดูหนังแล้ว
รถทั้งสี่คันเคลื่อนออกจากร้านมุ่งหน้าไปยังห้างที่หมาย แต่เพราะเป็นเวลาหัวค่ำของวันศุกร์ การจราจรจึงค่อนข้างจะติดขัดอยู่สักหน่อย
ภูพิงค์ขับรถของรวินท์ ภายในรถมีแซนดี้นั่งอยู่ด้วยอีกคน ส่วนรถอีกสามคันก็ติดแหง็กอยู่ไม่ไกลกันนัก
จู่ๆ แซนดี้ก็เอื้อมมือไปสะกิด “เฮ้ยๆ พี่วิน ไอ้พิงค์ นั่นรถพี่เต้ไม่ใช่เหรอวะ”
ทั้งสองหนุ่มหันขวับ “หือ ไหน?”
รถฮอนด้า CR-V วิ่งชะลออยู่บนเลนซ้ายสุด จอดนิ่งติดไฟแดงเพียงชั่วครู่ก็วิ่งต่อ แล้วเลี้ยวเข้าทางเข้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งไป
“เฮ้ย! รถไอ้เต้จริงๆ ด้วย มันมาทำอะไรแถวนี้วะ มาโรงบาลถึงนี่ทำไมอะ”
“พี่เต้ไม่ได้บอกอะไรพี่เลยเหรอ” ภูพิงค์หันไปถาม
“ไม่บอก มันทำท่าลับๆ ล่อๆ ยังไงบอกไม่ถูก ไม่ได้การแล้วโว้ย” รวินท์ปลดเข็มขัดนิรภัยทันที “พวกคุณไปกันก่อนนะ ผมจะตามไปดูไอ้เต้” พูดจบก็หันมองซ้ายขวา แล้วก้าวออกจากรถไป
“เฮ้ย พี่วิน!” ภูพิงค์มองตามคนรัก ก่อนจะหันไปบอกแซนดี้ “อีแซนดี้ มาขับแทนกูก่อน”
“ฮะ!? บ่าฮ่า! มึงจะทำอะไร้!” แซนดี้ยังด่าไม่ทันจบภูพิงค์ก็ปลดเข็มขัด วิ่งออกจากรถตามคนรักไป ลำบากเขาต้องรีบเปลี่ยนไปนั่งตรงที่นั่งคนขับแทน จากนั้นก็เกาศีรษะอย่างงงๆ “อะไรกันวะเนี่ย!”
รวินท์วิ่งตามรถเพื่อนรักจนกระทั่งรถวิ่งเข้าไปในลานจอดรถ เขาจึงหยุดหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ข้างทางก่อน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะต้องเดินออกจากลานจอดรถมาที่โรงพยาบาลแน่ๆ
“พี่วิน!”
เจ้าของชื่อหันขวับ “เฮ้ย! แล้วใครขับรถเนี่ย!”
“อีแซนดี้ครับ พี่วิ่งตามมาดูอะไรอะ!”
“ก็จะมาดูว่าไอ้เต้มันมาทำไรที่โรงบาล เจ็บป่วยอะไรไม่บอกรึเปล่าน่ะสิ”
ภูพิงค์ย่อตัวลงนั่งหลังพุ่มไม้ข้างกัน “ถึงกับแอบมาเข้าโรงบาลที่นี่ เป็นหนักรึเปล่าวะเนี่ย”
“อย่าพูดงั้นสิวะ ช่วงนี้มันยิ่งดูแปลกๆ ผมใจไม่ดีเลย”
(มีต่อค่ะ)