Chapter 25 : เรื่องของคืนนั้น
หลังจากนำโจ๊กมาเตรียมไว้ให้เป็นมื้อเช้า คีรีก็จัดแจงอ้อนขอนัดทันตแพทย์หนุ่มไว้สำหรับตอนบ่ายหลังเลิกงาน บรรยากาศสีชมพูอมม่วงๆ แบบเกินหน้าเกินตาของทั้งสองเป็นผลให้รวินท์ต้องเบ้ปากอยู่หลายครั้ง แล้วพอพวกเด็กหนุ่มกลับไป เหลือทันตแพทย์สองคนไว้ด้วยกัน รวินท์ก็เลยต้องถือโอกาสแซะเพื่อนรักสักหน่อย
“ตอนเขาอยู่นี่ทำเป็นซึน ทำหน้าบึ้งหน้านิ่ง แต่พอเขาไปเสือกยิ้มเหมือนคนบ้า โธ่ ไอ้ขี้เก๊ก”
“ไอ้พิงค์มันเอาของหวานให้มึงกินมากไปเหรอวะ ถึงมาเห่าโฮ่งๆ ใส่กูเนี่ย”
รวินท์เบ้ปากใส่อีกรัวๆ “แหมๆ ก๋ากั่นขนาดพามานอนกกที่คลินิกด้วยเลยน้า~ แรดจริงๆ เพื่อนกู”
“กกห่าไร ไม่ได้ทำอะไรเหมือนมึงกับไอ้พิงค์หรอกน่ะ”
“จริงอะ ยังไม่เป็นอมตะเหรอวะมึงน่ะ”
เตชิตถลึงตาใส่ “ไอ้ซัสสส!”
“เอ๊ะ กูถามผิดสินะ มึงเป็นอมตะไปตั้งนานแล้วนี่หว่า”
“ไอ้เพื่อนเหี้ย~ ครั้งนั้นไม่นับเว้ย กูเมาจัด ถือว่าเป็นโมฆะ” เตชิตถอนหายใจยาว เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าเคาทน์เตอร์ในคลินิกแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้า
รวินท์นั่งลงข้างกัน “เป็นอะไรอีกวะไอ้บ้า เดี๋ยวเห่าเดี๋ยวครางหงุงหงิง จะมีเมนส์เหรอมึงน่ะ”
“มึงจะถามกูดีๆ สักครั้งได้มั้ยเนี่ย!” เตชิตลดมือลงประสานกันไว้ แต่ไม่ได้หันหน้าไปทางคนถาม “ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากทำนะเว้ย”
“ทำอะไรวะ”
“ก็พูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะไอ้บ้า”
“อ่อ อยากเป็นอมตะ”
เตชิตยกมือขึ้นกุมขมับ “แต่แบบ กูรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลาเว้ย กูยอมรับว่ากูรู้สึกดีกับเขามาก อยากให้อะไรๆ มันคืบหน้าไปมากกว่าตอนนี้ แต่กูก็คิดว่าหลายๆ อย่างมันยังเร็วเกินไป กูยังไม่ทันหายโง่จากที่ถูกเขาหลอกเอาเลยนะเว้ย”
“มึงจะเก็บเรื่องถูกหลอกมาคิดทำไมนัก จะว่าไป มึงก็ไม่ได้ถูกหลอกคนเดียวมะ มึงก็พอจะระแคะระคาย แต่ก็ยังทำเป็นใสๆ ไม่รู้เรื่อง ปากมีก็ไม่เสือกถามให้เคลียร์ ก็เท่ากับมึงก็หลอกเขาเหมือนกัน”
เตชิตชะงัก ที่ไอ้เพื่อนรักว่ามามันก็ถูก เขาสงสัย จะเค้นถามคีรีก็ย่อมได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ ปล่อยเลยตามเลยแล้วยังพยายามมองข้ามคำถามพวกนั้นไป ทำไม...จนถึงตอนนี้ตัวเขาก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน
รู้แค่ว่าเขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับคีรีเปลี่ยนแปลงไป เพราะไอ้ที่เป็นอยู่เวลานั้น...ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
“เอ้า เครื่องค้างไปเลย พูดแทงใจอะดิ”
“นี่มึงเป็นเพื่อนกูจริงๆ หรือเปล่าวะเนี่ย”
“เพราะเป็นเพื่อนมึงนี่แหละ ถึงได้พูดตรงๆ”
“ไอ้วิน... บอกตรงๆ นะ กูกลัวว่าเขาจะหลอกอะไรกูอีกว่ะ”
“เขาก็คงกลัวมึงจะแกล้งทำดีให้ความหวังเขาเหมือนกันแหละ จีบไปก็ไม่รู้จะติดมั้ย ก็ต้องเสี่ยงด้วยกันทั้งคู่มะ”
“ไอ้สัสวิน~” เตชิตยกมือขึ้นกุมศีรษะ
“ความรักมันก็แบบนี้แหละสัส อยากจะรักก็ต้องพร้อมเสี่ยงเว้ย” รวินท์ยกมือขึ้นลูบศีรษะเพื่อนรัก “วันนี้จะไปไหนกันวะ ไปค้างด้วยกันอีกปะ”
“ยังไม่รู้”
“กูว่าค้างแหงๆ เห็นไปด้วยกันทีไรมึงก็แรดไปค้างด้วยทุกที” รวินท์ขยับเข้าไปกระซิบชิดใบหูอีกฝ่าย “เตรียมเจลกับถุงยางไว้บ้างนะมึง”
เตชิตเงยหน้าขึ้นพรวด “...ฮะ!?”
“เอาของกูไปก็ได้ มีเยอะ”
“ไม่ต้องเว้ย!”
“อ้อ จะไปซื้อเอง กลัวไม่ถูกใจอะดิ”
“ไม่ช้าย~ กูยังไม่ต้องใช้!”
รวินท์หัวเราะร่วน ไอ้เพื่อนรักของเขาหน้าแดงเป็นปูนึ่งเลย มึงหลงรักเด็กมึงแล้วแหละ ไอ้เวรเอ๊ย! เลิกทำซึนแล้วยอมรับความจริงสักทีเถอะว่ะ!
เสียงหัวเราะของทันตแพทย์หนุ่มดังออกไปจนถึงข้างนอกร้าน ก่อนพี่นิ้ง ผู้ช่วยทันตแพทย์จะเปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่า วันนี้หมอวินหมอเต้ตื่นเช้าจังเลยค่ะ”
“สวัสดีครับพี่นิ้ง แล้วนั่น หอบอะไรมาเต็มไปหมดน่ะครับ”
“เสื้อของเจ้าตึ๋งน่ะค่ะ เขาอยากได้ พี่เลยฝากเพื่อนซื้อไว้ เมื่อเช้าแวะไปเอามาจากบ้านเพื่อน เดี๋ยวว่างแล้วจะได้ห่อของขวัญไว้ให้เขา”
“ของขวัญ? วันเกิดตึ๋งเหรอครับ เมื่อไหร่ครับเนี่ย”
“วันพรุ่งนี้ค่า”
“โห พวกผมต้องรีบหาของขวัญแล้ว” ทันตแพทย์ทั้งสองหันมองหน้ากัน “พี่นิ้งว่าอะไรดี”
“อืม... เห็นบ่นๆ ว่าอยากได้ดินสอเขียนแบบนะคะ พี่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ราคาเท่าไหร่”
“อ๋อ ผมรู้ครับ ก็ดีนะ หาซื้อง่ายด้วย” รวินท์พูดขึ้นทันที
เตชิตและพี่นิ้งหันขวับไปทางคนพูด “แหม~”
รวินท์ยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “เอาเป็นว่าผมกับไอ้เต้จองดินสอเขียนแบบนะพี่นิ้ง เดี๋ยววันนี้เสร็จงานผมจะไปซื้อกับพิงค์ คิดของขวัญอย่างอื่นไว้ให้พี่สิงหาแทนละกันนะครับ”
พี่นิ้งยิ้มกว้างรับ “พี่ขอบใจแทนเจ้าตึ๋งไว้ก่อนเลย พี่หมอทุกคนใจดีด้วยตลอดเลยค่ะ” พวกเขาพูดคุยกันต่ออยู่อีกสักพักจึงแยกย้ายกันไปเตรียมตัวทำงาน
คีรีมาถึงคลินิกก่อนถึงเวลาเลิกงานของเตชิตพักใหญ่ เขานั่งรออยู่ที่โซฟาด้านหน้าด้วยกันกับคนไข้อีกสองสามคน ส่งยิ้มโปรยปรายให้ทุกคนในห้องอย่างอารมณ์ดี
สักพักเตชิตก็โผล่หน้าออกมาจากประตูด้านหลังเคาทน์เตอร์เพื่อสั่งงานกับพนักงานในคลินิก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบตากับคนอ่อนวัยกว่าเข้าพอดี เขาจึงดึงผ้าปิดจมูกลง “อ้าว ทำไมมาเร็ว”
“กลัวรถติด มาช้าแล้วคุณเตชิตเปลี่ยนใจครับ”
เตชิตหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย “รอแป๊บนะ มีคนไข้อีกสองคน คิดไว้ละกันว่าเย็นนี้อยากกินอะไร”
“ครับ”
บรรยากาศสีชมพูอมม่วงทำให้คนไข้ที่นั่งรออยู่และพนักงานในร้านมองทั้งสองคนสลับไปสลับมา และพลอยยิ้มไปด้วย
แต่มีอีกคนที่เบ้ปากจนมุมปากแทบจะลากพื้น ขนาดแค่ได้ยินเสียงมาแว่วๆ ยังหมั่นไส้ ดีที่เขาใส่ผ้าปิดจมูกอยู่นะ
“ถ้ารู้สึกเสียวก็ยกมือขึ้นบอกหมอนะครับ นิดเดียวก็บอกได้ครับ” รวินท์บอกกับคนไข้ของเขา
ระหว่างที่ทำฟันไป ทันตแพทย์หนุ่มก็บ่นพึมพำกับพี่นิ้งซึ่งเป็นผู้ช่วยทันตแพทย์ไปด้วย “น่าหมั่นไส้ชะมัด”
“หมั่นไส้คุณนคินทร์หรือหมอเต้คะ”
“ทั้งคู่นั่นแหละพี่”
พี่นิ้งหัวเราะ “หมั่นไส้หรือหวงเพื่อนคะหมอวิน”
“พี่นิ้งอย่าหัวเราะผมสิ!” ทันตแพทย์หนุ่มโวยวาย ก่อนจะสังเกตเห็นคนไข้ยกมือขึ้นเล็กน้อย “เสียวเหรอครับ” แล้วพอเห็นคนไข้พยักหน้าหงึกๆ เขาก็พูดต่อ “อีกนิดเดียว ใกล้เสร็จละครับ อดทนหน่อยนะครับ” จากนั้นก็ก้มลงทำหน้าที่ของเขาต่อ ขณะที่คนไข้เบิกตากว้างและกรีดร้องอยู่ในใจ
หลังจากเสร็จงาน เตชิตรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เดินมาหาเด็กหนุ่มซึ่งยังคงนั่งรออยู่ที่เดิม อีกฝ่ายกำลังก้มหน้างุดอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ไม่สนใจใครรอบข้างเลยแม้แต่น้อย แวบแรกเขาคิดว่ากำลังเล่นเกมฆ่าเวลา แต่ดูจากอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วไม่น่าจะใช่
เตชิตขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปเขกศีรษะคนที่นั่งอยู่เบาๆ “ทำอะไรอยู่”
“อ้าว คุณเตชิตเสร็จแล้ว” คีรีลุกขึ้นพรวด พอเห็นสายตาทันตแพทย์หนุ่มมองตามโทรศัพท์มือถือในมือตนก็รีบตอบ “แชตกับเพื่อนอยู่ครับ กำลังคุยกันว่าจะพาคุณเตชิตไปกินมื้อเย็นที่ไหนดี”
คุยเรื่องหาที่กินข้าวต้องยิ้มหน้าบานเป็นกระจาดด้วยเหรอวะ!
เตชิตนิ่วหน้าอย่างไม่อยากวางใจ
“ไปกันเถอะครับ ให้ผมเป็นคนขับรถนะ”
สองหนุ่มเดินเคียงคู่กันออกจากคลินิกไป ระหว่างทางที่เดินไปยังรถที่จอดไว้ ทันตแพทย์หนุ่มก็ถามขึ้น “แล้วตกลงจะไปกินไหน”
“ยังไม่รู้เลยครับ คุณเตชิตอยากกินอะไรล่ะครับ”
เตชิตชำเลืองมองเด็กหนุ่ม ถ้าทำได้ก็อยากขอดูแชตว่าคุยกันประสาอะไรถึงไม่ได้ข้อสรุป แต่ยิ้มหน้าบานได้แบบนั้น จากนั้นก็ถอนหายใจยาว
ทำไมเขาขี้เสือกอย่างนี้วะ! แล้วไอ้ความรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ นี่ มันคืออะไร้!
“คุณเตชิตครับ”
“หือ”
“เลยรถแล้วครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มหันขวับ พลางเดินดุ่มๆ กลับไปที่รถ
“คิดเรื่องของกินเพลินเหรอครับ”
เตชิตไม่ตอบ แต่เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถโดยไม่รอให้เจ้าของรถเดินมาเปิดให้ ส่วนคีรีเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รีบก้าวเข้าขึ้นไปนั่งตาม
คนอ่อนวัยกว่าเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่าย “เหนื่อยเหรอครับ ทำไมทำหน้าเครียดจัง”
“อือ”
คีรีขยับตัวเข้าไปหา “ถ้าคุณเตชิตเหนื่อย งั้น...ซื้ออะไรไปกินที่ห้องผมมั้ย จะได้นั่งสบายๆ แอร์เย็นๆ มีเพลงเพราะๆ ให้ฟังด้วยน้า”
ทันตแพทย์หนุ่มหันไปสบตาด้วย นี่มันมุกหลอกพาขึ้นห้องชัดๆ ใครจะไปหลงกลง่ายๆ แบบนี้วะ!
“ผมอยากพาคุณเตชิตไปดูห้องของผมด้วยอ่า”
อย่าทำหน้าทำเสียงอ้อนแบบนี้ได้ไหมวะ เตชิตยกมือขึ้นคลึงขมับอย่างเซ็งๆ ตัวเอง
“ไปนะครับ”
ก็คงมีแต่เขานี่แหละที่เดินเข้าหากับดักของคีรี ไม่สิ อย่าเรียกเดินเลย เรียกพุ่งเข้าใส่เถอะ
“นะ... ไปนะครับ”
แต่ที่จริงเขาก็อยากเห็นห้องของเด็กหนุ่มอยู่เหมือนกัน เวลาแวบมาตรวจดูตามที่คุณไกรฤกษ์ขอไว้จะได้ไม่ต้องคลำทางให้เหนื่อย “เออ เอางั้นก็ได้”
คนอ่อนวัยกว่ายิ้มระรื่น เขารีบขับรถออกไปจากที่จอดรถ ปรับอุณหภูมิภายในรถให้เย็นฉ่ำ และพยายามขับให้นิ่มมากที่สุด
“ผมรู้จักร้านอร่อยแถวนี้ ไปกินอยู่บ่อยๆ เลย อยู่ไม่ไกลจากคอนโดฯ ด้วย คุณเตชิตอยากลองดูมั้ยครับ”
“อือ” ไปกินบ่อยๆ นี่ไปกับใครวะ ทันตแพทย์หนุ่มได้แต่ถามอยู่ในใจ ขณะเดียวกันความหงุดหงิดก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
คีรีขับรถไปสักพักก็เบี่ยงรถเข้าไปจอดในที่จอดรถของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภายในร้านตกแต่งไว้ด้วยดอกไม้มากมาย ทั้งที่วางตามโต๊ะและมัดเป็นช่อแขวนอยู่ตามเพดาน พวกเขาหยิบเมนูมาดู สั่งอาหารแล้วก็เดินเล่นรออยู่ภายในบริเวณร้าน
ทางด้านนอกร้านมีโต๊ะอาหารอีกหลายโต๊ะจัดวางอยู่ภายในสวนดอกไม้ที่จัดไว้อย่างน่ารัก มีน้ำพุและรูปปั้น เหมือนจะเป็นสถานที่เดตกันมากกว่ามานั่งกินข้าวกับเพื่อนเป็นกลุ่มๆ
“ชอบร้านนี้มั้ยครับคุณเตชิต”
เตชิตกวาดสายตามองไปรอบๆ สีหน้าของเขาไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
ขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวในชุดทำงานเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่ม “น้องคีรี สวัสดีค่า”
“สวัสดีครับพี่ก้อย”
“อุ๊ย” หญิงสาวเจ้าของชื่อเอียงตัวมองซ้ายขวา “วันนี้ไม่ได้พาสาวๆ มาแฮะ”
ทันตแพทย์หนุ่มได้ยินเข้าก็หันขวับ คิ้วกระตุกทันควัน “.....”
คีรีเบิกตากว้าง หัวใจร่วงไปอยู่ใต้ตาตุ่มแล้วตอนนี้ “เฮ้ย พี่ก้อย อย่าพูดเล่นแบบนี้สิครับ!”
“เอ้า พูดเล่นที่ไหน พูดจริ๊ง! ก็เห็นพามาไม่ซ้ำหน้า แต่วันนี้ไม่เห็นควงใครมาก็ต้องแซวกันหน่อยสิค้า”
“เย้ย! พี่ก้อย! นั่น...นั่นมันเพื่อนผมทั้งนั้นนะครับ” เด็กหนุ่มพูดตะกุกตะกักพร้อมกับหันไปทางทันตแพทย์หนุ่ม “เพื่อนจริงๆ ครับ”
เจ้าของชื่อหัวเราะ “ไม่ต้องเขินพี่หรอกน่ะ ก็คนมันหล่อนี่นะ ช่วยไม่ได้ อ้อๆ จริงสิ น้องคีรีรอพี่แป๊บนะคะ” เธอวิ่งกลับเข้าไปข้างในร้าน ก่อนจะถือถุงกระดาษลายน่ารักออกมาส่งให้เด็กหนุ่ม “พี่ฝากให้น้องเจนี่หน่อยนะคะ น้องเขาลืมเสื้อคลุมไว้เมื่อวันก่อนที่มาด้วยกันน่ะ”
“อ่า ได้ครับพี่ก้อย”
คำว่า น้องเจนี่ น้องเจนี่ น้องเจนี่ สะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาทของทันตแพทย์หนุ่ม ส่งผลให้เส้นเลือดบนหน้าผากกระตุกเล็กน้อย
พาสาวๆ มากินข้าวที่นี่บ่อยๆ เพราะใกล้คอนโดฯ สะดวกดีนี่นะ แล้วคนล่าสุดที่พามาก็คือเด็กที่ใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันคนนั้น
ไม่น่าไว้ใจจริงๆ ด้วยว่ะ
หญิงสาวชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเด็กหนุ่มแล้วอมยิ้ม “แล้ว... คุณคนนี้ใครคะเนี่ย มาด้วยกันใช่มั้ย เพื่อนหรือพี่ชายคะ”
“ไม่ใช่ครับ นี่คุณเตชิตครับ เป็น...” คนอ่อนวัยกว่าอ้ำอึ้ง
“คนรู้จักกันน่ะครับ” เตชิตตอบหน้าตาย ทว่าเป็นผลให้คนอ่อนวัยกว่าหันขวับมาจ้องมองเขาเขม็ง “ผมพูดผิดเหรอ อ้อ อันที่จริง เขาก็เป็นหลานของเจ้านายผมน่ะครับ”
“น้องคีรีรู้จักคนหล่อๆ แบบนี้ด้วย ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังบ้างเลย”
“แล้วคุณ... เอ่อ...”
“ก้อยค่ะ เป็นผู้จัดการร้านนี้” หญิงสาวหยิบนามบัตรส่งให้ “คราวหน้าคุณเตชิตแวะมา ก้อยจะลดให้เป็นพิเศษเลยนะคะ”
ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มรับ “ขอบคุณครับ”
คีรีขมวดคิ้วทำหน้านิ่ว พยายามไม่แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้ามากนัก แต่คำตอบของเตชิตเมื่อครู่น่ะ สะเทือนใจเขาอย่างแรง
ถ้าถามเรื่องความสัมพันธ์ มันก็จริงที่ว่าเขากับคุณเตชิตยังเป็นแค่คนรู้จักกัน แต่ที่หนักกว่านั้นคือเป็นหลานของเจ้านาย ทำอย่างกับว่าที่ยอมมากับเขาเพราะเกรงใจคุณลุงอย่างนั้นล่ะ!
หญิงสาวผู้จัดการร้านชวนคุยอยู่สักพักก็ขอตัวเดินกลับเข้าไปในร้าน สวนกับพนักงานซึ่งถือถุงใส่ห่ออาหารออกมาให้เด็กหนุ่มพอดี
“เท่าไหร่ครับ” เตชิตหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเตรียมพร้อม
“ผมจ่ายเอง”
“ไม่ต้อง” ทันตแพทย์หนุ่มรีบส่งเงินให้พนักงานไป จากนั้นก็หันไปจับหูหิ้วของถุงใส่อาหารที่คนอ่อนวัยกว่าถืออยู่
“ผมถือเองครับ”
“อย่าเลย เดี๋ยวใครเขาจะว่าผมให้หลานเจ้านายถือของอยู่คนเดียว คุณถือเสื้อของเพื่อนคุณไปเถอะ” เตชิตดึงถุงในมือเด็กหนุ่มออกมา เขาหันไปรับเงินทอนที่พนักงานนำมาให้ แล้วเดินฉับๆ ตรงไปยังรถที่จอดอยู่
“เดี๋ยวสิครับ คุณเตชิต” คีรีรีบรุดตามไป เขารู้ตัวดีเลยว่างานเข้าอย่างจังๆ ต้องรีบแก้ไขความเข้าใจผิดอย่างด่วนๆ เมื่อพวกเขาขึ้นนั่งในรถแล้ว เด็กหนุ่มก็ขับออกไปช้าๆ
บรรยากาศภายในรถยังคงเคร่งเครียด ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบ ก่อนคนที่ขับรถอยู่จะเป็นฝ่ายพูดขึ้น “เอ่อ คุณเตชิตครับ”
“มีอะไร”
“คือ... ผมเคยไปเดตที่ร้านนั้นหลายครั้งก็จริง แต่ก็นานมาแล้ว หลังๆ นี่ไปแต่กับเพื่อนๆ เท่านั้นจริงๆ นะครับ”
“อือ”
คีรีกลืนน้ำลายฝืดลงคอ เขาควรจะพูดอย่างไรดี จะบอกอย่างไรว่าไม่อยากเป็นแค่คนรู้จัก ไม่อยากให้อีกฝ่ายทำดีด้วยเพราะเป็นหลานเจ้านาย คำพูดแบบนั้นมันทำให้เขาเจ็บ “คุณเตชิตครับ คือว่า... ผมกับคุณน่ะ...”
“ทำไม”
เสียงขรึมของอีกฝ่ายเป็นผลให้เด็กหนุ่มต้องพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ “คุณเตชิต...โกรธอะไรผมอยู่รึเปล่าครับ”
“ผมจะไปโกรธคุณเรื่องอะไร”
“ถ้าคุณไม่ได้โกรธ ก็อย่าใจร้ายกับผมเลยนะครับ”
เจ้าของชื่อถอนหายใจยาว “ผมใจร้ายกับคุณเมื่อไหร่”
คีรีอ้ำอึ้ง “...”
“ขับรถไปเถอะ” ทันตแพทย์หนุ่มพูดพลางเบือนหน้าหนี เขารู้ตัวล่ะว่าใจร้ายอย่างไร แต่คีรีก็ทำให้เขาไม่พอใจนี่หว่า! ทำตัวไม่น่าไว้ใจด้วย จะสนิทกับเด็กที่ชื่อเจนี่มากไปไหมวะ!
ใช้เวลาไม่นานรถ BMW ของเด็กหนุ่มก็เคลื่อนเข้าไปจอดในที่จอดรถของคอนโดมิเนียม เตชิตเงยหน้าขึ้นมอง มันเป็นคอนโดมิเนียมติดกับสวนสาธารณะที่เขาเคยมาส่งเด็กหนุ่มบ่อยๆ อีกฝ่ายลงทุนไปเช่าห้องในตึกแถวเก่าๆ นั่นเพื่อให้สมบทบาทเลยทีเดียว เขาควรจะทึ่งหรืออึ้งดีวะ
เมื่อรถจอดสนิท คีรีรีบรุดลงจากรถแล้ววิ่งวนมาเปิดประตูให้ทันตแพทย์หนุ่ม จากนั้นก็ยื่นมือให้คนที่นั่งอยู่ในรถจับ
“นี่คุณ ผมไม่ได้แก่ขนาดต้องประคองลงจากรถหรอกนะเว้ย”
เด็กหนุ่มทำหน้าสลด “ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะ แค่อยากเอาใจคุณเท่านั้น”
เตชิตพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ เขาปัดมือคนอ่อนวัยกว่าออกพร้อมกับก้าวออกมาจากรถ “ไปหยิบถุงของกินเหอะ”
(มีต่อค่ะ)