☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ  (อ่าน 22979 ครั้ง)

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เรื่องนี้้ลูห์เป็นพระเอก ....ชูป้าย FC

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๐ เงามืด



“เซอร์ไพร์ส”

หมอปลายฟ้าเปิดยิ้ม ขณะที่สายลมนิ่งอึ้งเมื่อถูกตลบหลังกลับ และคราวนี้อีกฝ่ายเป็นต่อเสียด้วย คนของนายซานินที่ตกเป็นรองอยู่เมื่อสักครู่หันปลายกระบอกปืนเล็งประจันหน้ากับคนของสายลมพร้อมยิ้มแสยะ

“เป็นไง ถึงกับอึ้งไปเลยเหรอครับ นายน้อย เฮ้อ ไม่นึกเลยเนอะว่าคนอย่างนายน้อยสายลมจะมาตายน้ำตื้นแบบนี้” หมอปลายฟ้าเอ่ยเยาะ ปืนยังไม่ลดลงจากเป้าหมาย

“ทำแบบนี้ทำไม ปลายฟ้า พี่บอกจะร่วมมือกับผมไม่ใช่เหรอ?”

“ฝันเฟื่องอะไรอยู่ ตื่นได้แล้วสายลม!”

“......”

“ทุกอย่างนั่นก็เพื่อที่ฉันจะได้ลงมาจากผาสูงที่ไม่มีหนทางที่จะลงมาได้ต่างหาก นายกับลูห์ขังฉันไว้ในถ้ำนึกว่าฉันยินดีปรีดานักเหรอ หากไม่ทำเหมือนคล้อยตามนาย ฉันจะได้กลับมาที่นี่ไหม คิดสิคิด!” มือข้างที่ว่างใช้นิ้วเคาะขมับตนเอง แววตาแสนอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว มองสบกับสายลมไม่มีหลบ

สายลมยืนนิ่ง รู้สึกชาถึงปลายเท้า ทั้งหมดนั่นแค่เล่นละครตบตาหรือ แล้วเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลนั้นเล่า เรื่องเหนือเมฆ... หมอปลายฟ้ารู้เรื่องนั้นใช่ไหม แต่ยังแสร้งตีหน้าซื่อหลอกเขา ช่างทำกันได้ลงคอ

“กลิ่นของอำนาจมันหวานหอมนะว่าไหม สายลม ใครก็อยากได้ ใคร ๆ ก็ต่างแย่งชิง ไม่เว้นแม้กระทั่ง... ฉัน” คุณหมอหนุ่มตอกย้ำซ้ำลงไปอีก

“......” สายลมไม่ได้โต้กลับ เพียงมองผู้เป็นพี่อย่างผิดหวังเท่านั้น

“เรื่องคราวนี้คงสอนให้นายได้รู้ว่า... อย่าไว้ใจแม้แต่กับคนที่นายคิดว่ารู้จักเขาดี!”

เสียงตะคอกจากหมอปลายฟ้าทำให้รูสตัวสั่น เขาไม่รู้จักคนคนนี้ หมอปลายฟ้าไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่

“ไม่ต้องกลัวรูส” สายลมกระซิบ กุมทับมือรูสที่เกาะแขนเขาแน่น

“ได้เวลาส่งตัวไปคุมขังเสียแล้วสิ รายต่อไปคือปู่ของนาย บอกไว้เลย” คุณหมอหนุ่มหัวเราะ ผู้เป็นปู่อย่างนายซานินก็ยกยิ้มพอใจ

“พาไปประภาคารเก่า ฉันจะขังนายน้อยสายลมกับพวกไว้ที่นั่น ส่วนที่เหลือไปกระจายข่าวนี้ให้ทั่วเกาะ เอาให้ถึงหูปู่ลามุที่เคารพด้วยนะ หึ”

คนของนายซานินเข้ามาคุมตัวสายลมตามคำสั่งของหมอปลายฟ้า ลูห์ส่งเสียงขู่ พวกมันเลยชะงัก แต่สายตาบังคับจากหมอปลายฟ้าทำให้ต้องเข้าไปอีกรอบ แต่ไม่กล้าแตะต้องสายลม

นัยน์ตาสีนิลปรายมองคนของนายซานิน ก่อนจะมาหยุดลงที่หมอปลายฟ้า ร่างสูงใหญ่ค่อยหมุนกายกลับ จับมือรูสแล้วพาออกเดินโดยมีคนของนายซานินตามคุม

“ทำไมไม่พาพวกมันไปคุกมืด?” เมื่อสายลมถูกคุมตัวไปแล้ว นายซานินจึงเอ่ยถามหลานชายของตน ขังไว้ที่ประภาคารมันจะสะใจอะไร

“คนคุกมืดน่ะของปู่ลามุทั้งนั้นนะครับ อีกอย่าง... ถึงยังไงสายลมก็เป็นนายน้อยของทุกคนที่นี่ คงมีแต่คนต่อต้านเราหากพาสายลมไปขังในคุกมืดโดยไร้ความผิด” หมอปลายฟ้าอธิบาย

“เอาเถอะ ปู่ยกให้เจ้าจัดการ อีกไม่นานหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นของเรา จริงไหม ปลายฟ้า?”

“ครับ” คุณหมอหนุ่มยิ้มรับ ก่อนจะเดินตามทุกคนไป

นายซานินมองตามหลังหลานชายแล้วระบายลมหายใจก่อนยิ้มกระหยิ่ม ใครที่ไหนก็หยุดเขาไม่ได้แล้วคราวนี้



ประภาคาร

สายลมมองอุปกรณ์สื่อสารของตนถูกขนออกไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ขณะที่มือกลับกำหมัดแน่น หมอปลายฟ้ารู้ดีว่าเขาใช้ที่นี่เป็นที่วางโครงข่ายเพื่อติดต่อกับครอบครัว และเวลานี้ก็มาตลบหลังเขาแบบไม่ตั้งตัว ลูห์ส่งเสียงคำรามในลำคอ ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะจู่โจมเมื่อมีคำสั่ง เพราะความรู้สึกของสายลมกับมันสื่อถึงกันได้

“เสียใจด้วยนะน้องชาย คงขอให้ใครที่ไหนมาช่วยไม่ได้เสียแล้วล่ะ”

หมอปลายฟ้าก้าวเข้ามาหาพลางยิ้มเยาะ มองนัยน์ตาสีนิลที่ไม่แสดงอาการใดให้เห็น ก่อนที่จะเบือนกลับไปสั่งลูกน้องของผู้เป็นปู่ที่เวลานี้อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาทุกคน

“สั่งคนเฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี อย่าอวดดีทำอะไรเกินคำสั่ง เพราะฉันไม่ใช่คนใจอ่อนอย่างนายน้อยสายลมของพวกแก!”

จบคำสั่งที่เหวี่ยงมากระทบคนเป็นน้องแล้วหมอปลายฟ้าก็ก้าวออกจากประภาคารไป เขาพบกับฟาริดาที่หน้าประภาคารนั้น สายตาของหญิงสาวมองมาที่เขาอย่างผิดหวัง เธอคงรู้เรื่องแล้ว แต่หมอปลายฟ้ากลับทำเมิน เดินผ่านเธอไปพร้อมลูกน้องที่ตามหลังมา

‘คุณบอกให้ริด้าเชื่อใจ แต่คุณกลับทำแบบนี้เหรอคะหมอ แล้วริด้า... ยังจะเชื่อใจคุณได้อยู่อีกเหรอ?’

หญิงสาวได้เพียงตัดพ้อคนที่เดินผ่านเลยไปในใจ เธอไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ กับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ หักหลังน้องชายของตนเองได้ลงคอ เช่นนี้แล้วเธอจะยังเชื่อใจเขาได้อยู่อีกไหม

‘ริด้า... จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมไม่รู้ แต่ผมอยากขอคุณสักอย่างได้ไหม... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้เชื่อใจผม... จะได้ไหม?’

สิ่งที่หมอปลายฟ้าพูดกับเธอผุดขึ้นมาในความคิด หญิงสาวถอนใจเบา ‘ริด้าจะพยายามเชื่อค่ะหมอ จะพยายามเชื่อในตัวคุณ’

หน้าทางเข้าประภาคาร คนของนายซานินยืนเฝ้าตามคำสั่งของหมอปลายฟ้า ฟาริดาขอเข้าเยี่ยมนายน้อยกับรูส แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอม เพราะหากไม่มีคำสั่งจากหมอปลายฟ้า พวกเขาก็อนุญาตให้ใครเข้าไปโดยพลการไม่ได้

สายลมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้ผู้เป็นพี่ชายจะกลับไปได้สักพักแล้ว รูสมองอย่างเป็นห่วง มือเรียวยกขึ้นแตะแขนแกร่งแต่กายสูงใหญ่กลับไม่ขยับเขยื้อน เด็กหนุ่มกัดปาก นัยน์ตากลมเริ่มพร่าจนต้องกะพริบตาถี่ สอดแขนกอดลำตัวหนาด้วยหวังจะปลอบใจ เขาไม่นึกเลยว่าหมอปลายฟ้าจะร้ายกาจขนาดนี้ สายลมคงเสียใจที่ไว้ใจคนผิด

“ฉันไม่เป็นไร”

แม้คนตัวโตจะบอกเช่นนั้น แต่รูสก็ยังคงกอดเอาไว้ไม่ปล่อย เขาทำได้แค่นี้ ช่วยสายลมได้แค่นี้เอง

“ขอโทษนะ”

“..?” รูสเงยมองอย่างไม่เข้าใจ ขอโทษเขาทำไมกัน

“ทั้งที่บอกจะปกป้องเธอ แต่ไม่ทันไรกลับทำไม่ได้อย่างที่พูดซะแล้ว... ขอโทษ”

รูสสั่นหัว ไม่ใช่ความผิดสายลม สายลมดูแลเขาอย่างดีมาตลอด สายลมไม่ผิด ไม่ต้องขอโทษ เขาจะร้องไห้แล้ว ทำไมถึงยังนิ่งเฉยทั้งที่ดูเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แขนเรียวกอดกายหนา ซบแก้มกับอกแกร่งพลางสะอื้น ร้องไห้แทนสายลมที่ต้องยืนหยัดเข้มแข็ง เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย ช่วยสายลมไม่ได้เลย...


......


ท่ามกลางความมืดมิด รูสยังก้าวเดินไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แสงสว่างเรือง ๆ จากบางสิ่งอยู่ห่างออกไปพอส่องให้เห็นทาง แต่รอบกายที่มีเพียงความว่างเปล่าทำให้รูสรู้สึกเคว้ง เขาอยู่ที่ไหน แล้วมาทำอะไรที่นี่?

‘รูส’

เสียงเรียกที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดทำให้รูสเหลียวมองรอบกาย

“ใครน่ะ?”

ไม่มีเสียงตอบกลับมานอกจากความเงียบที่แสนวังเวงจนรูสเริ่มใจเสีย ที่นี่มันที่ไหนกัน?

“สายลม อยู่ไหนอะ...”

เสียงเด็กน้อยเริ่มสั่น เขามองไม่เห็นอะไรเลยทำให้ต้องหยุดเท้าที่ก้าวเดิน เพราะไม่รู้ว่าจะเดินไปเพื่ออะไรในเมื่อมันไม่มีทางออก ความหนาวเย็นเริ่มแทรกซึมเข้ามาจนรูสต้องยกแขนขึ้นกอดตัวเอง มันเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก

‘รูส…’

เสียงเรียกนั้นยังแว่วดังขึ้นมาอีก รูสหันขวับมองรอบกาย ก่อนจะตะโกนถามเสียงดัง

“ใคร ใครเรียก!”

ความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้รูสกลัว เขาหอบหายใจแรงขึ้นเมื่อรู้สึกอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก ราวร่างกายกำลังจมลงสู่ก้นบึ้งของที่ไหนสักแห่ง ทั้งที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

‘รูส…’

มือเรียวยกขึ้นปิดหูเมื่อเสียงนั้นยังเรียกชื่อเขาอยู่ซ้ำ ๆ มันดังสะท้อนมาทุกทิศทางจนรูสต้องหมุนตัวมองหาที่มาราวลูกข่าง

“ใครเรียก...”

ลมหายใจรูสขาดห้วงเมื่ออากาศกำลังจะหมดลง รู้สึกทรมานเหมือนจะขาดใจตายอยู่ไม่กี่นาทีนี้ มือเรียวละมากุมอกทั้งสูดอากาศอันน้อยนิดนั้นเข้าปอด แต่ก็ยากเกินจะทานทน ร่างน้อยทรุดลงนั่ง ก่อนทิ้งตัวลงไปบนพื้นแสนเย็นเยียบ

“ช่วยด้วย... ช่วย...”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังลอดมาเพียงแผ่วผิว เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาใกล้ทำให้รูสยกมือขึ้นปิดหู เขาหอบหายใจหนักด้วยความอึดอัดที่พอกพูน เมื่อปลายเท้าของใครคนนั้นมาหยุดลงตรงหน้า รูสก็ค่อยเงยมอง

‘รูส…’

ตากลมเบิกกว้างก่อนร้องออกมาจนสุดเสียง

“อ๊ากกกกกกกกกก!!!”

ตัวบางดีดตัวลุกทั้งหวีดดังลั่น มือขยุ้มกุมหัวราวหวาดกลัวต่อบางสิ่ง สายลมผวาเข้าไปหา พยายามเรียกสติเด็กที่กรีดร้องจนน่าตกใจ

“รูส! รูส!! เป็นอะไร รูส!!!?”

สายลมดึงร่างน้อยเข้ามากอดแน่นทั้งเรียกสติ เป็นนานกว่าคนในอ้อมกอดจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ตัวบางสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขน ทั้งร้องไห้กับอกเขาเมื่อค่อยคืนสติ

ตัวที่เล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กจ้อยไปถนัดตา สายลมกอดเอาไว้แบบนั้นจนกระทั่งเสียงสะอื้นคลายลง ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยถามเสียงนุ่ม

“ฝันร้ายเหรอ?”

“......” คนถูกถามยังคงซุกซบอกแกร่งด้วยความเงียบเชียบ เสียงหัวใจของสายลมทำให้รู้สึกอุ่นใจบอกไม่ถูก สติที่ขาดหายค่อยกลับคืนมาช้า ๆ

“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว”

น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้รูสกอดสายลมแน่น ทั้งสะอื้นเบา ๆ ขึ้นมาอีก ภาพฝันมันยังติดตรึง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในฝันตัวซีดขาว เนื้อตัวเปียกปอนจนน้ำหยดลงมากระทบแก้มเมื่อร่างนั้นก้มลงมาหา เขาไม่รู้ว่าน้ำที่หยดลงมาคือน้ำบนตัวของคนคนนั้นหรือน้ำตาที่รินไหลจากดวงตาแสนแดงก่ำ แต่มันทำให้เขาร้องไห้ไม่หยุดมาจนตอนนี้ เพราะอะไรไม่รู้ แต่เขาควบคุมน้ำตาไม่ให้มันไหลไม่ได้


ภายนอกประภาคารคนเฝ้าแน่นหนา ลุงหลงแอบมาสอดส่องเพื่อหาลู่ทางช่วยลูกของตนกับนายน้อย แต่แกเพียงคนเดียวไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ชายสูงวัยหันมามองลูห์ที่ออกจากประภาคารมาโดยไม่มีใครรู้ และมันมาโผล่ที่ห้องพักของแกก่อนนำทางมาที่นี่ ถึงอย่างไรในเวลานี้ก็เหลือเพียงแกและลูห์เท่านั้นแล้ว ต้องหาทางช่วยให้ได้ มันต้องมีสักทางสิ

อีกด้านหนึ่ง เหนือเมฆที่หลบหนีการตามล่าลอบเข้ามาด้านหลังประภาคาร ตรงจุดนั้นจะมีช่องที่สามารถลอดไปทะลุห้องหนึ่งในประภาคารได้ แต่มันไม่ถูกใช้งานมานานมากแล้ว ทำให้เขาต้องหาจุดที่มันมีทางเข้านั้นอยู่นานทีเดียว เมื่อหาพบแล้วเหนือเมฆก็ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราะหากเขายังวนเวียนอยู่แถวนี้ต่อไปอาจมีคนมาพบเข้าก็เป็นได้ ร่างหนาหลบฉากจากจุดนั้นมาเพื่อวางแผนการให้ถ้วนถี่ ก่อนที่จะลงมือกระทำการต่อไปดังที่คิดเอาไว้


......


บ้านนายซานิน

บิดาของหมอปลายฟ้าเรียกลูกชายไปคุยด้วย เพียงแค่ความหัวรั้นของบิดาตนก็ปวดหัวจะแย่ นี่มีผู้เป็นลูกเข้าร่วมผสมโรงด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมา หมอปลายฟ้าไม่เคยมีท่าทีกระด้างกระเดื่องกับใคร เป็นเด็กจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น การเปลี่ยนแปลงไปโดยฉับพลันเช่นนี้คนเป็นพ่ออย่างเขาคงเชื่อได้ยาก หรือที่แท้แล้วเขามองลูกชายไม่ถ้วนถี่

“พ่อครับ”

คุณหมอหนุ่มเข้ามาพบผู้เป็นบิดา สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ฉายแวววิตกแต่อย่างใด

“พ่อนึกว่าลูกจะไม่เห็นด้วยกับปู่เสียอีก ปลายฟ้า” ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้นมา

“ผมไม่เคยพูด” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยความเฉยชา

“จะบอกว่าพ่อมองลูกผิดไปเองอย่างนั้นเหรอ มองลูกชายที่เลี้ยงดูมากับมือผิดไปมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“......” คำถามที่มีแววตัดพ้อปะปนทำให้หมอปลายฟ้าเงียบ

สายตาของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนมองชายหนุ่มเบื้องหน้า ก่อนจะระบายลมหายใจยาว “ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ขอให้รู้ไว้ว่าพ่อคนนี้เป็นห่วง และคงไม่หมดห่วงหากยังเห็นเจ้าก้าวไปหาภัยอันตราย”

“......” อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ได้แต่รับฟัง ไม่มีถ้อยคำใดโต้ตอบกลับไป

“เอาเถอะ” ผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้นมาอีก “จะดีจะร้ายพ่อก็ยังเชื่อในตัวเจ้า ปลายฟ้า”

แววหวั่นไหวแสดงออกมาทางดวงตา คุณหมอหนุ่มเบือนมันไปทางอื่น เขาจะไม่ยอมให้ใครจับความรู้สึกที่มีได้โดยเด็ดขาด

อีกด้านหนึ่ง นายลามุถูกนำตัวมาที่บ้านนายซานินเพื่อยืนยันว่าจะยอมยกอำนาจที่มีอยู่ในมือให้กับผู้เป็นพี่ชายและไม่คิดทวงคืน ขณะที่หลานของเขาถูกขังอยู่ในประภาคารเก่า พวกเขาไม่ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เพราะทำร้ายคนสายเลือดเดียวกันไม่ได้จริง ๆ แม้เขาจะโหดร้ายกับผู้อื่น แต่กับคนในครอบครัวไม่เคยคิดร้ายด้วยสักหน ก่อนนี้อาจหลงเดินผิดทางไปจนทำให้คนใกล้ตัวเจ็บช้ำจนกลายเป็นเคียดแค้น แต่นั่นเพราะไร้คนทักท้วง ทำให้หลงระเริงกับลาภยศจนก่อเกิดบาดแผลในจิตใจพี่ชาย

เขาแก่ปูนนี้แล้ว จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ หวังใจว่าหลานชายเพียงคนเดียวจะสืบทอดทุกสิ่งต่อจากตน แต่เมื่อไม่เป็นไปดังหวังก็คงทำได้เท่านี้ เขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อทุกคนที่นี่ คนภายนอกอาจเห็นว่าเขาอยู่สุขสบาย ราวอยู่บนยอดหอคอยสูง แต่นั่นก็เพราะสิ่งที่ทุ่มเททำมา เขาถึงได้มีวันเช่นนั้น ไม่มีใครได้อะไรมาง่าย ๆ เขาเองก็เช่นกัน

นายซานินให้คนพามาพบผู้เป็นน้อง คนของเขาหยุดรถเข็นและจัดการยึดล้อไว้ให้ก่อนจะผละไปเพื่อให้เขาคุยกับน้องชายตามลำพัง นายลามุมองผู้เป็นพี่ด้วยแววตานิ่งเฉย มาบัดนี้เขาไม่อนาทรต่ออะไรทั้งสิ้น

“รู้สึกถึงความพ่ายแพ้บ้างหรือยัง ลามุกะ?” นายซานินเอ่ยเยาะ

“คำนั้นข้าควรถามพี่มากกว่า” นายลามุย้อน “ตอนนี้คนทั้งเกาะมองหลานชายพี่แบบไหนรู้หรือเปล่า คุณหมอที่พวกเขาเคารพนับถือ มาบัดนี้กลับผันตัวเป็นโจร ไม่ได้ไปฉกชิงวิ่งราวใคร แต่กำลังจะฆ่าฟันพวกพ้อง กำลังเหยียบย่ำคนสายเลือดเดียวกันโดยไม่นึกถึงผิดชอบชั่วดี ภาพลักษณ์ที่เคยมีมันแค่หลอกตา เพราะโฉมหน้าที่แท้จริงมันก็ไม่ต่างอะไรกับคนบาปในคราบนักบุญ”

“หุบปากได้แล้วลามุกะ!” นายซานินตวาด โกรธแทนหลานหนักหนา “ปลายฟ้าเป็นคนดี เจ้าต่างหากที่ชั่ว ปลายฟ้ากำลังจะชิงทุกสิ่งคืนมา ทุกสิ่งที่ควรจะเป็นของเขา!!”

“เลิกหลอกตัวเองเสียที ซานิน ที่พี่ให้ปลายฟ้าทำไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อความสาแก่ใจของพี่เวลาเห็นข้าตกต่ำ นั่นต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริง!”

“แล้วยังไง!?” นายซานินโต้กลับเสียงดัง ไม่ปฏิเสธในสิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจ “ข้าผิดอะไรที่อยากให้เจ้าตกต่ำจนดูน่าอเนจอนาถเหมือนข้า! ให้รู้สึกถึงความอดสูที่ข้าเคยได้รับ ให้ล้มลุกคลุกคลานแทบอยากจะฆ่าตัวตายวันละหลายรอบ เจ้าไม่เคยรู้ ไม่เคยรับรู้ในสิ่งที่ข้าเป็น ได้แต่เชิดหน้าชูคอ เหยียบข้าไว้ใต้ตีน!!”

“ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น!” นายลามุโต้แย้ง เขาไม่เคยมองพี่ชายเช่นนั้น ไม่เคยคิดจะเหยียบพี่ไว้ใต้ฝ่าเท้า เหตุใดผู้เป็นพี่จึงคิดเช่นนั้น มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เขาไม่รู้ เขามองข้ามอะไรไป

“ปากคนก็สักแต่พูด มันจะพูดอะไรให้ตัวเองดูดีแค่ไหนก็ย่อมได้ แต่การกระทำที่เห็นอยู่ตำตา ต่อให้แก้ตัวให้ตายมันก็ฟังไม่ขึ้น”

“พี่หมายความว่ายังไง?”

คำถามนั้นไร้ซึ่งคำตอบ เมื่ออีกฝ่ายเพียงมองมาที่เขาแล้วว่า “ข้าพล่ามมากเกินไป ไม่ควรจะพูดกับคนอย่างเจ้าให้เสียเวลา”
ว่าจบนายซานินก็เรียกคนของตนให้เข้ามาช่วยพาออกไป นายลามุได้แต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่พี่ชายพูด นอกเหนือจากที่เขาหลงใหลในอำนาจจนลืมเหลียวกลับมามองคนสำคัญ มันยังมีสิ่งไหนที่เขาทำให้ผู้เป็นพี่เจ็บแค้นอีก

นายลามุนิ่งไปเมื่อสะกิดใจขึ้นมา เขาหลงลืมคนสำคัญ สิ่งนี้ใช่ไหมที่ทำให้พี่ชายของเขาเจ็บมากกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อเขาขึ้นครองตำแหน่งแรก ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาจะมาปรึกษาผู้เป็นพี่ มาดูแล พูดคุยทั้งเรื่องงานและสัพเพเหระ แต่เมื่อนานวันเข้ากลับเริ่มถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว ประเด็นหนึ่งก็คือเขาเริ่มคิดว่าไม่อยากกวนผู้เป็นพี่ และที่แย่กว่าความเกรงใจคือความคิดที่ว่าทุกสิ่งมันคือของเขา ไม่จำเป็นต้องปรึกษาพี่ชาย เขาก็ทำมันได้ และจะทำให้ได้ดียิ่งกว่าตอนที่พี่ให้คำปรึกษาแก่เขาเสียอีก

เพราะความคิดที่จะตะแบงทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ การปรามาสจากบางคนที่บอกว่าเขามันไม่เอาไหน หากไม่มีซานินคงไม่ต่างอะไรกับลูกหมาที่ไร้ความสามารถ ทำให้เขากระทำในสิ่งที่ผิดพลาด มุ่งแต่จะลบคำสบประมาทจนละเลยที่จะใส่ใจความรู้สึกของผู้เป็นพี่ชาย ซานินคงคิดว่าเขาหลงลืม ที่ร้ายไปกว่านั้น ความรู้สึกอ่อนไหวของคนที่เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายและการผิดหวังครั้งใหญ่ในชีวิตมาคงไม่พ้นจากความคิดที่ว่าตนเป็นเพียงไอ้ง่อยไร้ประโยชน์ ใช่ เขาทำแบบนั้นล่ะ เขาทำให้ซานินรู้สึกเช่นนั้น

ชายชราทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวภายในห้อง ที่ยืนหยัดมาจนวันนี้เพื่ออะไรกันอย่างนั้นหรือ


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5


ด้านหลังประภาคาร ช่องทางลับถูกเปิดอย่างยากเย็น แต่สุดท้ายแล้วก็สามารถเปิดมันออกจนได้ ร่างกำยำค่อยหย่อนกายลงในช่องนั้นแล้วค่อยเลื่อนแผ่นปูนมาปิดไว้เพียงหมิ่นเหม่ เมื่อร่างนั้นหายลับลงไปแล้ว ใครอีกคนก็ค่อยออกจามุมลับตามา หยุดเท้าอยู่เหนือช่องลับโดยมีเท้าของเจ้าป่าตัวใหญ่ยืนอยู่ข้างกัน

เหนือเมฆค่อยลัดเลาะไปตามทางลับใต้ดิน ทั้งฝุ่นและหยากไย่เกาะเต็มไปหมดจนต้องปัดออกเรื่อย ๆ ให้พ้นทาง ชายหนุ่มมาหยุดอยู่ตรงทางแยก เขาไม่รู้ว่าสายลมถูกขังไว้ที่ห้องใด คงต้องเสี่ยงดวงกันดู

ร่างสูงใหญ่เลี้ยวขวาจนมาสุดทาง เงยขึ้นมองด้านบนซึ่งเป็นพื้นเรียบเสมอกันราวไม่มีช่องทางลับอะไร แต่มองดี ๆ จะเห็นว่ามีรอยขีดสี่เหลี่ยม เหนือเมฆยกยิ้มมุมปาก เขาต้องดันมันขึ้นไป


ภายในห้องหนึ่ง รูสนั่งพิงสายลมนิ่ง วันที่สองแล้วที่ถูกจับมาขังไว้ที่นี่ ตอนเช้าจะมีคนนำอาหารมาให้ กลางวันกับมื้อเย็นจะนำมาเพียงครั้งเดียวแล้วแบ่งไว้กินเอง อาหารที่ถูกนำมามันยังคงวางนิ่งเพราะเขากินไม่ลง สายลมเองก็ไม่ยอมกินอะไรเลยนอกจากน้ำ จะให้เขากินคนเดียวได้อย่างไร

“ไม่หิวเหรอ รูส?” สายลมเอ่ยถามอย่างห่วงใย เด็กนิ่งเงียบจนเขารู้สึกแย่

“......” รูสส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ท้องหิว

“ไปกินเถอะ อย่าทรมานตัวเอง กินให้อิ่ม เวลาเราออกไปจากที่นี่จะได้มีแรง”

“เราจะได้ออกไปจริงเหรอ สายลม?” เอ่ยถามกลับด้วยแววไม่มั่นใจเลยสักนิด

“แน่นอน” สายลมยืนยันหนักแน่น

“......”

“เพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้เยอะ ๆ รู้ไหม?” เขาตะล่อม เด็กมองหน้าเขาอยู่นานก่อนจะพยักรับ

กายผอมลุกไปยกอาหารมา วางลงตรงหน้าสายลมแล้วค่อยตักกินไปคำหนึ่ง หยิบช้อนอีกคันยื่นมาตรงหน้าสายลม อีกฝ่ายมองก่อนจะส่ายหน้า เด็กเลยวางช้อนที่ถืออยู่รวมทั้งช้อนของตนเอง ไม่กินต่อ

“รูส...”

“ก็สายลมไม่ยอมกิน รูสก็จะไม่กิน ถ้าสายลมหมดแรงไป ต่อให้มีสิบรูสก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

เด็กเอ่ยขัดเมื่อรู้ดีว่ากำลังจะถูกบ่นที่ทำตัวแบบนี้ มือเรียวหยิบฝากล่องข้าวมาเพื่อจะปิดมันลง แต่สายลมเอื้อมมาจับข้อมือเอาไว้ ทำให้ตากลมเงยขึ้นมอง

“ฉันจะกินด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้ารูสก็ดีขึ้น รีบแกะข้าวอีกกล่องมาส่งให้สายลมแล้วยกกล่องของตนเองขึ้นมากิน สายลมมองแล้วยิ้มจาง ได้แต่ขอโทษรูสในใจ... อดทนอีกนิดนะ เด็กน้อย

กึก!

รูสที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงักเมื่อเกิดเสียงบางอย่างขึ้นมาภายในห้องที่แสนเงียบ ตากลมเหล่มองพื้นที่ตนเองนั่งเพราะรู้สึกว่ามันขยับได้ ก่อนจะหันมาหาสายลมที่นิ่งไปเช่นกัน

กึก!!

เมื่อเกิดเสียงขึ้นอีกหนเด็กก็ตาโต รีบวางกล่องข้าวแล้วผวามานั่งข้างสายลม ตากลมมองพื้นที่ตนนั่งอยู่เมื่อครู่เมื่อมันขยับได้จริง ๆ ไม่ได้รู้สึกไปเอง มันขยับอยู่อีกสองสามครั้งก่อนที่จะแง้มเปิด สายลมใช้ตัวบังเด็กไว้ ตาคมจับจ้องสิ่งที่โผล่ขึ้นมาจากช่องที่ถูกเปิดออกนั้นอย่างระแวดระวังภัย

เหนือเมฆดันตัวขึ้นมาจากทางลับ กว่าจะเปิดได้เล่นเอาเหนื่อย แต่เมื่อเห็นว่าตนโผล่ขึ้นมาไม่ผิดที่ ความเหนื่อยเมื่อครู่ก็กลับหาย ชายหนุ่มยืนขึ้น ปัดเนื้อตัวเล็กน้อยก่อนจะยืดตัวเต็มความสูง

สายลมขยับลุกขึ้นเผชิญหน้า ยังคงเบี่ยงกายบังรูสเอาไว้ สายตาคมมองจ้องเหนือเมฆที่ค่อย ๆ ปรายตามามองพวกเขา

“คงลำบากน่าดูนะ สายลม” เหนือเมฆเอ่ยเยาะ “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะข้ากำลังจะช่วยแกให้พ้นสภาพน่าอนาถใจนี่แล้ว”

“ไม่จำเป็น” สายลมตอกกลับเสียงเรียบ

“อย่าเย็นชาขนาดนั้นน่า ถ้าแกจะหันไปมองเด็กข้าง ๆ สักหน่อยน่าจะดีกว่านี้นะ”

รูสชะงักเมื่อถูกพาดพิง ขึงตาใส่เหนือเมฆที่ปรายมามองตนเอง อย่ามาเป่าหูสายลมนะ!

“แกคงไม่อยากให้เด็กมันต้องมาทนอยู่ในนี้ต่อไปหรอกใช่ไหม ข้ารู้ว่าแกมันเก่ง แต่เก่งแล้วไม่นึกถึงคนอื่นเลยแบบนี้... โคตรแย่เลยว่ะ”

“......” สายลมยังคงนิ่งเฉย ไม่เต้นไปตามสิ่งที่เหนือเมฆอยากให้เป็น

“โอกาสมาถึงแล้วนะ สายลม แกไม่คิดจะทำอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?”

“ต้องการอะไร?”

คำถามของสายลมทำให้เหนือเมฆชะงัก ก่อนจะยกยิ้มแสยะ “ไม่น่าถาม ข้าก็บอกอยู่ว่ากำลังจะช่วยแก”

“แล้วหลังจากนั้น?”

“หึ อยากให้ข้าบอกว่าอะไรงั้นเหรอ?” เหนือเมฆย้อน สองหนุ่มมองจ้องกันนิ่ง ก่อนที่สายลมจะเอ่ยขึ้นมา

“นำไปสิ”

รูสหันขวับมามองสายลมที่อยู่ ๆ ก็ยอมไปกับคนไม่น่าไว้ใจอย่างเหนือเมฆ มือเรียวเขย่าแขนเพื่อบอกให้เปลี่ยนใจ มองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเหนือเมฆสิสายลม มันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด

สายลมเบือนสายตามามองรูส มือหนาเอื้อมมากุมมือของเด็กน้อย มองตากลมที่ฉายแววตื่นตระหนกแล้วกระซิบบอกเบา ๆ

“ไม่เป็นไร เชื่อใจฉันนะ”

“......” รูสเม้มปาก ก่อนจะพยักหน้ารับคำ

สายลมยิ้มบาง กระชับมือเรียวแล้วพาลงช่องลับนั้นตามเหนือเมฆไป

เหนือเมฆพาทั้งสองคนออกมาจากประภาคารผ่านช่องทางลับได้สำเร็จ สายตาเจ้าเล่ห์ปรายมองคนด้านหลังขณะพาเดินห่างจากที่คุมขังออกมาเรื่อย ๆ สายลมเองตามมาเงียบ ๆ ตาคมยังคงจับจ้องเหนือเมฆก่อนที่จะหยุดเดินขึ้นมากะทันหัน รูสที่เดินอยู่ข้างกายเงยมองอย่างไม่เข้าใจ หันมองดูรอบ ๆ ก็เห็นแต่ป่ารกครึ้ม นี่พวกเขาหนีพ้นแล้วหรือ?

คนที่เดินนำหน้าค่อยหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่าผู้ตามไม่คิดจะตามเขามาแล้ว ปืนถูกยกเล็งมาหา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านประการใด

“ดูเหมือนแกจะรู้ตัวแล้วสินะ... อ้อ ไม่สิ แกรู้ตัวดี แต่เพราะไอ้เด็กนั่นเลยยอมตามฉันมา พ่อคนดี” เหนือเมฆเยาะหยัน

รูสมองสายลมสลับกับเหนือเมฆ ที่สายลมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้เพราะเขาอีกแล้วหรือ?

“ฉันรู้” สายลมว่า “แต่ไม่เข้าใจอยู่อย่าง... ทำไมแกถึงได้อยากเอาชีวิตฉันนัก ทั้งที่ทุกอย่างมันควรดีขึ้น แต่แกกลับทำให้มันแย่ลงกว่าเดิม เพื่ออะไรกัน?”

ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างแคลงใจ เหนือเมฆดูอ่อนลงหลังจากถูกพาออกมาจากคุกมืด คงเพราะนางมารียา แล้วตอนนี้กลับมาตลบหลังพวกเขาอีก มันคืออะไร?

“แม่ข้า... สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของแก” เหนือเมฆคำรามในลำคอ

แม้จะบอกเพียงแค่นั้นสายลมก็พอจับทางได้ ชายหนุ่มพยักหน้าเนิบช้า คงเกิดเรื่องกับนางมารียาอย่างนั้นสินะ “สรุปแล้วแกทำงานให้ใครกันแน่ เรื่องที่โรงพยาบาลนั่นแค่สร้างสถานการณ์งั้นเหรอ?”

“เหอะ!” เหนือเมฆกลอกตาพลางทำเสียงหยัน “แกไม่คิดล่ะว่าเป็นฝีมือหมอปลายฟ้า?”

เมื่อถูกย้อนถาม สายลมจึงว่า “นั่นก็เพราะ...”

สายตาคมมองเลยไหล่ของเหนือเมฆไปด้านหลัง เหนือเมฆเริ่มเอะใจ แต่ไม่กล้าหันเพราะกลัวจะเป็นกลลวงให้ตนเสียสมาธิ แต่เสียงสวบสาบที่เกิดขึ้นทำให้ปลายกระบอกปืนต้องเปลี่ยนด้าน กายหนาหันกลับ เป็นขณะเดียวกันกับที่ร่างเขื่องของเจ้าป่ากระโจนเข้ามาใส่

โฮกกกกกกกกกกก

เปรี้ยง!!

เสียงปืนดังขึ้นพร้อมเสียงคำราม ลูห์พุ่งเข้าใส่จนเหนือเมฆล้มลงไป มันใช้เท้ากดหน้าของเหนือเมฆข้างหนึ่งลงกับพื้น ปืนในมือหลุดกระเด็นไปหยุดที่ปลายเท้าของใครบางคน คนคนนั้นค่อยก้มลงเก็บ เหนือเมฆเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดแก่สายตา

ผู้ที่ก้มลงเก็บปืนยืดตัวขึ้น มองปืนในมือของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค่อยหันปากกระบอกมาทางเหนือเมฆที่นอนอยู่บนพื้นอย่างหมดทางไป เสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ทำให้เหนือเมฆกลอกตาไปมอง ลุงหลงบ้าใบ้คือผู้ที่เข้ามาสมทบด้วยอีกคน

“รูส นายน้อย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

ชายสูงวัยเข้าไปตรวจดูร่างกายลูกชายด้วยความเป็นห่วง เหนือเมฆมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะกระจ่างใจเมื่อรู้ว่าลุงหลงไม่ได้บ้า แค่แกล้งบ้า และยังเป็นพวกเดียวกันกับสายลม คงมีแต่เขาที่โง่เง่า พวกมันรวมหัวกันหลอกเขา!

สายลมก้าวมาหยุดข้างตัวเหนือเมฆ ก่อนย่อกายลงมองหน้ามันที่กัดกรามกรอด ท่าทางแค้นจัด

“หวังว่าคราวนี้แกคงจะมีคำตอบดี ๆ ให้พวกฉันนะ เหนือเมฆ”

“......”

แววตาคนแพ้วาวโรจน์ เจ็บใจนัก เขาไม่มีทางชนะสายลมได้เลยใช่ไหม โธ่เว้ย!


ประตูลับในประภาคารถูกเปิดออกอีกครั้ง รูสถูกดันตัวขึ้นมาก่อน เจ้าตัวเล็กรีบคลานให้พ้นปากทางเพื่อให้สายลมขึ้นมาบ้าง เมื่อขึ้นมากันแล้วสายลมจึงก้มลงบอกกับคนด้านล่าง

“ฝากจัดการเรื่องต่อด้วยครับ”

เมื่ออีกฝ่ายรับคำจึงขยับออกมาให้เด็กก้มลงบอกลุงหลงบ้าง

“พ่อไม่ต้องเป็นห่วง รูสจะดูแลตัวเองให้ดี”

ลุงหลงพยักหน้ารับ ก่อนจะฝากฝังนายน้อยให้ช่วยดูแลตัวยุ่งอีกแรง แกยังมีหน้าที่ที่นายน้อยฝากให้ทำอีก หวังว่ามันจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี


......


ขณะที่หลายชีวิตหลับใหลในค่ำคืนนี้ ห้องของนายลามุภายในบ้านของนายซานิน ชายชรานอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง ไร้คนชิดใกล้ดังเช่นที่เคยเป็น ยิ่งรู้ว่าที่ทุกอย่างมันเป็นเช่นนี้เพราะความผิดพลาดของตน นายลามุจึงไม่คิดขัดขืนเมื่อถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ที่อยากร้องขอก็มีเพียงเรื่องของหลานชายกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่านั้น ไม่อยากให้พวกเขาต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง

เงามืดเร้นกายเข้ามาในห้อง ฝีเท้าเบาราวไร้น้ำหนัก ข้างตัวมีปืนเก็บเสียงหนึ่งกระบอก มือภายใต้ถุงมือหนากำกระชับด้ามปืน ก่อนจะยกเล็งไปยังผู้ที่นอนอยู่บนเตียง สายตาภายใต้ความมืดของห้องมองเป้าหมายอย่างหมายมาด นิ้วเกี่ยวเหนี่ยวไกปืนค้างเอาไว้ก่อนจะค่อยกดมันลงไปทั้งในใจกระหยิ่มย่อง

โครม!!!

ประตูห้องถูกพังเข้ามาพร้อมชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่งที่มีอาวุธครบมือ คนร้ายหันขวับไปมองด้วยความตระหนก ดวงตาเบิกขึ้นก่อนจะหันกลับมาที่เตียงแล้วชะงักกึก ปลายกระบอกปืนจากคนบนเตียงเล็งมาที่เขาไม่พลาดเป้าแม้แต่เซ็นต์เดียว และยิ่งไปกว่านั้น หาใช่นายลามุอย่างที่เข้าใจไม่

“หมอปลายฟ้า...”

คนร้ายพึมพำชื่อของบุคคลที่เล็งปืนมาที่ตน สายตาลอกแลกหาทางหนีทีไล่ ร่างสันทัดพุ่งตัวไปที่หน้าต่าง แต่เมื่อก้มลงมองด้านล่างกลับพบว่าเต็มไปด้วยคนของนายซานินล้อมรอบเอาไว้หมดแล้ว ขาแทบหมดเรี่ยวแรง หากยอมแลกมีแต่ตายกับตาย ร่างนั้นรูดตัวลงนั่งบนพื้น ยกมือสองข้างพร้อมปืนขึ้นเหนือศีรษะอย่างยอมแพ้

หมอปลายฟ้าลงจากเตียงมาอย่างระแวดระวัง สั่งการลูกน้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ขณะที่หันหลังจะก้าวเดินออกจากห้องไป อะไรบางอย่างก็กระเซ็นมาโดนข้างแก้มและเสื้อจนซึมสู่แผ่นหลัง

คุณหมอหนุ่มชะงักงัน ชาไปทั้งร่างเมื่อเอื้อมมือไปแตะความชื้นที่แก้มของตน ของเหลวสีแดงสดส่งกลิ่นคาวคลุ้งทำให้มือของเขาสั่นจนควบคุมไม่อยู่

เมื่อหันกลับมามองด้านหลัง ร่างของคนร้ายนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น มีเลือดไหลซึมลงมาจากข้างขมับ ภาพที่เห็นทำให้คุณหมอหนุ่มนิ่งงัน กำมือข้างที่สัมผัสเลือดแน่นเพื่อไม่ให้มันสั่นไปมากกว่านี้

“หมอ”

เสียงเรียกสติจากใครคนหนึ่งดังขึ้นทำให้หมอปลายฟ้าต้องกลืนก้อนความรู้สึกลงไป ก่อนจะหันกลับแล้วเดินออกจากห้องโดยไร้คำพูดจา

ผู้ที่เอ่ยเรียกเมื่อครู่คือนายลามุ สายตาฝ้าฟางมองตามหมอปลายฟ้าไปด้วยความเป็นห่วง ถึงอย่างไรก็หลาน ต่อให้จะแสดงออกว่าเป็นคนร้ายกาจอย่างไรก็ตาม นายลามุก็ยังอดห่วงไม่ได้



หมอปลายฟ้ากลับมาที่ห้องของตน เข้าไปล้างมือเปื้อนเลือดนั่นในห้องน้ำ แต่กลับรู้สึกว่าล้างเท่าไรมันก็ล้างไม่ออก ความรู้สึกผิดมันติดตรึงในใจเขาไปแล้ว ต่อให้ถูจนมือถลอกมันก็ไม่สามารถลบล้างออกไปได้

คุณหมอหนุ่มกำมือแล้วทุบลงบนอ่างเต็มแรง หอบหายใจหนักจนแผ่นอกกระเพื่อมไหว เขาค่อยเดินออกจากห้องน้ำมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน กุมศีรษะแล้วซบหน้ากับฝ่ามือของตน นับวันสถานการณ์มันยิ่งรุนแรงมากขึ้น มีคนตายต่อหน้าเขา ในชีวิตหมอใช่ว่าไม่เคยพบเจอการตาย ย่อมต้องผ่านเรื่องพวกนี้มาบ้าง แต่ไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะความบาดหมาง ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งในผลประโยชน์เช่นตอนนี้

พวกเขาพยายามคลี่คลายเรื่องทุกอย่างแต่กลับต้องแลกมาซึ่งชีวิต มันคุ้มจริงหรือ คุณหมอหนุ่มได้แต่ถามตนเองอย่างไร้ซึ่งคำตอบ ในตอนนี้เขาได้รู้บางอย่างเพิ่มขึ้นมา แต่มันกลับต้องแลกมาซึ่งชีวิตคนหนึ่งคน ต่อไปมันอาจเป็นสอง สาม สี่ หรือห้า เขาไม่อยากนึกถึง

ความขัดแย้งระหว่างครอบครัวของเขาและสายลมยังมีใครอีกคนอยู่เบื้องหลังคอยยุแยงอยู่ตลอด แม้แต่การเข้าไปหมายจะปลิดชีวิตนายลามุ หากเขาคาดเดาไม่ผิดก็คงเพื่อโยนความผิดให้ปู่ซานินของเขา เพื่อให้เขาและสายลมเปิดศึกกันเร็วขึ้น หากไม่อยากให้เกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้ เขาจะต้องปิดบัญชีมันให้ได้!




TBC



บวกขอบคุณไปอีกหนึ่งจึ้กค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ปู่ๆนิ่ช่างร้ายนัก

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เราเริ่มจะเดาทางแบบมั่วซั่วแล้วอ่า ยังเหลือผู้เฒ่าอาจีฟอีก ไม่เดาแล้วดีกว่าจะรออย่างใจเย็น?  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1
ยิ่งอ่าน
ยิ่งลุ้น

ศึกในก็กำลังคุกรุ่น
ศึกนอกก็กำลังจะเข้ามาปะทะ


รอลุ้นกับตอนต่อไป

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๑ จบเกม



ชายป่าท้ายเกาะ ลูห์วิ่งนำลุงหลงมาเพื่อพบใครบางคน มันส่งเสียงในลำคอเมื่อคนแก่วิ่งช้าไม่ทันใจ ถึงอย่างนั้นลุงหลงก็ไปเร็วกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้อยู่ดี ชายสูงวัยหอบหายใจ เดินเซไปนั่งพักตรงโคนต้นไม้ให้หายเหนื่อยหอบ ลูห์จึงได้เดินตรวจดูรอบ ๆ เพื่อดูแลความปลอดภัย

เมื่อพักได้เพียงครู่เดียวลุงหลงก็ลุกขึ้น ไม่อยากถ่วงเวลาให้มันนานกว่านี้ แกต้องรีบคลี่คลายสถานการณ์ให้ได้โดยไว ยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่อีกมาก

“ไปลูห์ ฉันพร้อมลุยต่อแล้ว”

ลูห์หันสายตามามองก่อนเบือนกลับแล้วออกวิ่ง ลุงหลงพยายามก้าวเร็ว ๆ ให้ทันมัน คราวนี้เหมือนมันจะลดความเร็วลงอีกหน่อยเพื่อไม่ให้คลาดกัน

จนเมื่อมาถึงชายป่า ชายสูงวัยโผล่ทะลุออกมาจากอีกฝั่งก็ยืนมึนกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า แกไม่รู้มาก่อนว่าที่ตรงนี้ถูกแผ้วถางจนเตียนโล่งเป็นบริเวณกว้างถึงขนาดให้เครื่องบินลำโตจอดได้ แถมเครื่องบินที่ว่าไม่ได้มีเพียงลำเดียวเสียด้วย ยังมีเฮลิคอปเตอร์อีกสองลำจอดอยู่ข้างกัน

“นี่มันอะไรกัน?” แกรำพึง ไม่รู้จะถามใคร เพราะลูห์คงบอกแกไม่ได้

แต่ยืนงงอยู่ไม่นาน คำตอบก็มีมาให้ถึงที่ เมื่อชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก้าวออกมาจากอีกด้านของเครื่องบินในท่าระวังภัยให้ชายหนุ่มอีกสองคนด้านหลัง ลุงหลงนิ่งไปเมื่อเห็นเช่นนั้น คงเพราะคนที่นี่มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเกาะ ทำให้ไม่มีใครทันสังเกตว่ามียานพาหนะเข้าออก

ปรกติเกาะศิลาจะใช้ประภาคารเป็นที่ตรวจตรา หากมียานพาหนะต้องสงสัยจะได้หาทางป้องกันได้ทันท่วงที นึกแล้วลุงหลงก็เริ่มเอะใจ หรือที่หมอปลายฟ้าให้คนจับนายนายน้อยไปขังไว้ที่นั่นก็เพื่อลดการระวังภัยลง?


......


เช้าวันต่อมา

สายลมกับรูสและลูกน้องถูกนำตัวมาที่ลานขาว ชาวเกาะศิลาแห่มากันเต็มไปหมดเพราะข่าวที่แพร่ออกไป ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหูถึงสิ่งที่เกิด หมอปลายฟ้าถูกมองแง่ลบยิ่งกว่าเดิม คนที่ไม่เชื่อว่าหมอจะเป็นเช่นที่เห็นก็อดเชื่อไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าผู้ที่พวกตนนับถือจะกลายมาเป็นเช่นนี้

พ่อเฒ่าอาจีฟถูกลูกศิษย์พยุงเข้ามาในบริเวณดังกล่าวพร้อมกับบุตรสาวของตน ชายชรายืนมองทุกอย่างด้วยความสงบนิ่ง ก่อนที่ทุกสายตาจะหันเหไปสนใจใครคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในลานขาว

หมอปลายฟ้าที่เพิ่งรู้เรื่องรีบรุดมา สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่คำสั่งของตน หากแต่เป็นคำสั่งของผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั่นต่างหาก หัวคิ้วคุณหมอหนุ่มขมวดปม ปู่ของเขาสามารถมาไกลขนาดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย ใครเป็นผู้พาปู่ของเขามา หรือว่า...!

ชายหนุ่มตกใจความคิดของตน เขาดูแลปู่มาตลอด รู้ดีว่าขาของปู่นั้นไม่ได้เป็นอะไรมากมายแล้ว เพียงแต่ไม่ว่าทำอย่างไรปู่ก็ไม่ยอมทำกายภาพ นั่งแต่รถเข็น ใครเล่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วปู่ของเขา... เดินได้

หมอปลายฟ้ายกยิ้มมุมปากเพื่อเยาะหยันตนเอง นี่เขาถูกตลบหลังเสียแล้วสิ คิดจะต่อกรกับปู่ มันไม่ง่ายเลยสักนิด

“มาแล้วรึ ปลายฟ้า?” นายซานินเอ่ยทายทัก

“......” หมอปลายฟ้ายืนอยู่อีกฝั่ง มองสบสายตากับปู่ไม่หลบ

“ปู่เห็นเจ้าไม่ลงมือทำอะไรเสียทีเลยต้องเข้ามาจัดการแทน”

ชายชรายังว่าต่อ ปรายมองสายลมที่ยืนกอดอกอยู่กลางลานขาว ไม่อนาทรต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้แม้แต่น้อย นั่นทำให้ชายชราขัดใจนัก ตวัดสายตามามองผู้เป็นน้องชายอย่างนายลามุที่ถูกคุมตัวอยู่ไม่ไกลแล้วก็ยกยิ้มแสยะ อีกไม่นานหรอก หึ!

“ปู่ไม่เชื่อใจผมเหรอครับ?” หมอปลายฟ้าเอ่ยถามเสียงนิ่ง

“จะว่ายังไงดีล่ะ ไอ้เชื่อมันก็เชื่ออยู่หรอกนะ แต่...”

“......”

“ปู่ก็อยากจะเห็นความคืบหน้าบ้าง” นายซานินเล่นลิ้น มองหลานชายไม่คลาดสายตาเพื่อจับพิรุธที่มี

“ผมก็กำลังทำอยู่นี่ไงครับ ปู่ก็เห็นว่าคนใกล้ตัวปู่นั่นล่ะที่คอยยุให้รำตำให้รั่ว จนไม่เห็นว่าอะไรจริงไม่จริง” ผู้เป็นหลานโต้กลับ นึกแล้วยังเจ็บใจตนเองไม่หายที่ลงมือทำอะไรช้าจนเกินไป

“หึ ไม่เกี่ยวกัน ตอนนี้ปู่กำลังพูดเรื่องของพวกเราอยู่ ปลายฟ้า” นายซานินย้อน

ปืนถูกนำมาให้หมอปลายฟ้า คุณหมอหนุ่มมองมันนิ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายจะให้ตนทำอะไร

“พิสูจน์ให้เห็นหน่อยว่าเรายังอยู่ฝ่ายเดียวกัน”

หมอปลายฟ้านิ่งงัน พยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บกดความรู้สึกของตนเอาไว้ สายตาของทุกคนจับจ้องมองมาที่เขา คุณหมอหนุ่มพยายามไม่ฟังเสียงของคนรอบข้าง ค่อยยกปืนเล็งไปยังสายลม อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งไม่มีหลบ ต่างกับรูสที่จะถลาเข้าไปหาด้วยความตื่นตระหนกแต่ถูกรั้งไว้จนดิ้นไม่หลุด

สายตากดดันจากนายซานินมองมา เมื่อหมอปลายฟ้ายังคงไม่ลั่นไกเสียที ขณะที่สถานการณ์รอบกายกดดันคุณหมอหนุ่ม เสียงใบพัดก็ดังกระหึ่มเรียกความสนใจ ลดแรงพัดมาจากทิศทางหนึ่งทำให้ทุกคนรอบบริเวณลานขาวเงยขึ้นมอง นายซานินจึงอาศัยทีเผลอคว้าปืนจากคนของตนมาเพื่อจัดการกับสายลมด้วยตนเอง หมอปลายฟ้าที่ละสายตาจากยานพาหนะที่บินอยู่เหนือศีรษะหันไปมองผู้เป็นปู่อย่างตกใจ ก่อนที่คมกระสุนจะถูกลั่นออกจากกระบอกปืน หมอปลายฟ้าก็พุ่งตัวไปหาน้องชายตน

ปัง!!

เสียงปืนดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างของหมอปลายฟ้าเข้ากำบังเพื่อรับกระสุนแทนน้อง นายซานินนิ่งงันกับภาพตรงหน้า ทุกคนที่หันมาเห็นเหตุการณ์ต่างพากันนิ่งอึ้งตะลึงงัน

“ปลายฟ้า!” นายซานินแทบสิ้นสติเมื่อตะโกนเรียกชื่อของหลานชายจนสุดเสียง เลือดแดงฉานไหลซึมจากบาดแผลที่เขาเป็นผู้กระทำอย่างน่ากลัว

สายลมช่วยประคองพี่ชายเอาไว้เมื่อร่างนั้นซวนเซจะทรุดฮวบ รูสสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมแล้ววิ่งมาหาด้วยความตกใจ ขณะที่สายลมหันไปสั่งเจ้ากั้ง

“ไอ้กั้ง ไปเอารถมาพาหมอปลายฟ้าไปโรงพยาบาล!”

เหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ ชายฉกรรจ์หลายนายโรยตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนเหนือศีรษะของทุกคนแล้วเข้ามาล้อมสายลมไว้ราวเป็นเกราะป้องกัน ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็แหวกไทยมุงให้พ้นทาง โดยมีหนุ่มต่างชาติรูปร่างกำยำสูงใหญ่สองคนก้าวเข้ามา เรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง

สายลมละสายตาจากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมามองพี่ชายที่รูดตัวลงนั่งพิงเขา กัดกรามกรอดเมื่อเห็นว่าเลือดยังไหลจากบาดแผลของผู้เป็นพี่ไม่หยุด พลางกระซิบ

“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง”

หมอปลายฟ้ายิ้มกวนทั้งที่หน้าซีดเต็มที “หึ จะได้สมจริงไง”

“เกิดตายจริงขึ้นมาทำไง?” คิ้วคนถามขมวด ทำเป็นเล่นไปได้

“เป็นห่วงเหรอ?”

“ยังจะเล่น”

สายลมดุคนเจ็บ หมอปลายอมยิ้มก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ทำให้สายลมต้องเรียกเจ้ากั้งเสียงดัง

“ไอ้กั้ง!!”

“ครับ ๆ นายน้อย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

เจ้ากั้งที่มัวยืนโง่อยู่รีบวิ่งไปทำตามคำสั่งก่อนหน้าของผู้เป็นนาย สายลมหันไปมองชายต่างชาติสองคนพร้อมบอดีการ์ดที่ก้าวเข้ามาหาตนแล้วผงกหัวทักทาย พี่น้องของเขา เซย์ เฟอร์ริตัน และเอวาน เวสส์

บอดีการ์ดของเซย์และเอวานยืนคุมเชิงอยู่ฝั่งของสายลม ประจันหน้ากับฝ่ายนายซานินอย่างไม่ยอมกัน หมอปลายฟ้ามองผู้เป็นปู่ที่มองมาด้วยแววผิดหวัง ก่อนที่จะเค้นเสียงเอ่ยเรียกฝ่ายนั้นอย่างยากเย็น

“ปู่...”

“ทำไม... ทำไม!!” นายซานินตะโกนเสียงลั่น อยากจะคลั่งเสียให้ได้

สายลมมองชายชรานิ่ง ทุกอย่างคือแผนของพวกเขา ที่จริงไม่อยากใช้วิธีนี้เลยเพราะมันเสี่ยงเอาการ ทั้งหมอปลายฟ้ายังถูกมองไม่ดี แต่หมอยืนกรานที่จะทำ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้จะทำให้นายซานินไว้ใจจนยอมให้เขาควบคุมทุกอย่างไม่ได้ และเพื่อป้องกันการผิดพลาด หากทางฝ่ายพวกเขาเพลี่ยงพล้ำก็ยังมีแผนสำรองอย่างที่เห็น

ก่อนหน้านั้นสายลมได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเซย์และเอวานเอาไว้แล้ว ก่อนที่หมอปลายฟ้าจะจับเขาขังไว้ที่ประภาคารแล้วนำเครื่องมือสื่อสารของเขาออกไป เพื่อความสมจริงและยังพรางสายตาระแวดระวังของฝ่ายนายซานินได้ด้วย

“ผมแค่อยากทำให้ปู่เห็น... ว่าการห้ำหั่น มันไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องดี” หมอปลายฟ้าเอ่ยขึ้นมา แววตาเจ็บปวดมองสบกับปู่ของตนไม่มีหลบ “ปู่ทั้งสองอาจจะโกรธแค้นกันมาด้วยเรื่องอะไรผมไม่ทราบ แต่ผมกับสายลมผิดอะไร พวกเรา... ผิดอะไรเหรอครับ?”

“......” นายซานนินนิ่งเงียบ รู้สึกสะเทือนใจกับน้ำเสียงของผู้เป็นหลานชายนัก

“ทำไมเราต้องฆ่าฟันกันเอง ทำไมพี่น้องต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าหาก...”

“......”

“ผม... หรือสายลม คนใดคนหนึ่งต้องตายไป ปู่ทั้งสองจะมีความสุขอยู่ได้เหรอครับ?”

“ปู่ทำเพื่อเจ้า เจ้าควรมีสิทธิ์เท่าเทียมกับสายลม แต่กลับได้เป็นแค่หมอที่ทำงานรับใช้พวกมัน!” ชายชราสวนกลับ ทำให้หมอปลายฟ้าชะงัก

“อาชีพหมอคืออาชีพที่ผมเลือก มันมีเกียรติครับปู่ ไม่ใช่คนรับใช้ของใคร” หมอปลายฟ้าโต้กลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

สายลมพยุงหมอปลายฟ้าลุกขึ้นโดยมีรูสเข้ามาช่วยอีกด้านหนึ่ง พวกเขาพาคุณหมอหนุ่มไปที่รถเมื่อเจ้ากั้งขับมาจอดรอท่า ปล่อยนายซานินทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงไว้ด้านหลัง สายตาของชายชราหันไปมองผู้เป็นน้อง ต่างไร้ซึ่งคำพูดใดต่อกัน

ทางด้านเอวานพยักหน้าให้หนึ่งในคนที่ตนพามาก้าวตามสายลมไป ที่เกาะศิลามีหมอฝีมือดีคือหมอปลายฟ้าเพียงคนเดียว นอกนั้นเป็นแพทย์อาสาที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ แน่นอนว่ามันไม่เพียงพอ ทำให้สายลมมีโครงการส่งเด็กในเกาะที่ใฝ่เรียนด้านนี้ไปเรียนต่อนอกเกาะเพื่อกลับมาพัฒนาเรื่องสุขภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ เอวานจึงได้พาหมอมาด้วยเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา และมันก็ได้ใช้จริง ๆ เสียด้วย

รูสวิ่งตามสายลมมาขึ้นรถ เมื่อทั้งสามคนรวมทั้งหมอที่เอวานพามาขึ้นรถมาแล้ว เจ้ากั้งก็เอารถออกทันที ตลอดระยะทางไปโรงพยาบาล รูสนั่งตัวเกร็ง พยายามมองเฉพาะหน้าของหมอปลายฟ้า ไม่กล้ามองเลยไปมากกว่านั้น เมื่อหมอปลายฟ้าเห็นจึงเอ่ยทัก

“กลัวเหรอ รูส?”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารัว เลือดเต็มไปหมดเลย เขาไม่ชอบสีแดง โดยเฉพาะสีของเลือด เห็นเช่นนั้นแล้วสายลมจึงรั้งศีรษะเด็กมาซุกอก ไม่ให้มองในสิ่งที่ไม่อยากเห็น

หมอจากอังกฤษช่วยห้ามเลือดให้คนเจ็บ บาดแผลอยู่ตรงไหปลาร้า เฉียดหัวใจไปเพียงนิด แต่ใช่ว่าจะไม่น่าห่วง เพราะมันอยู่ใกล้กันมากทีเดียว อาจเพราะสายลมสูงกว่าหมอปลายฟ้า ทำให้วิถีกระสุนมันเลยขึ้นมาอีกหน่อย ชายหนุ่มมองพี่ชายที่มีสีหน้าซีดเซียวแล้วใจหาย หากพี่เป็นอะไรไป เขาคงยกโทษให้ตัวเองไม่ได้

ปลายนิ้วเรียวสอดเข้ามากุมมือเขาเอาไว้ สายลมชะงัก ความว้าวุ่นที่มีค่อยคลายลงเมื่อมือนั้นบีบมือเขาเบา ๆ ราวให้กำลังใจ ก้มมองเด็กที่ซุกอกตนเองอยู่ก่อนกดจูบหน้าผากนูนเกลี้ยงอย่างขอบคุณ... เขาต้องเข้มแข็ง ต้องควบคุมสติให้ได้



ทางด้านสองหนุ่มจากต่างแดนที่กำลังเผชิญหน้ากับคนบนเกาะศิลา พวกเขาออกจะหน่ายใจกับการแก่งแย่งชิงดีของคนที่นี่ เพราะไม่เคยถูกสอนสั่งให้ล้มพ่อหรือฆ่าพี่เพื่อที่จะได้มาซึ่งอำนาจ ตรรกะพวกนี้สองหนุ่มไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้ นอกจากคิดได้อย่างเดียวว่าบ้าบอและน่าเบื่อ

“บอกไว้ก่อน สายลมอาจจะเห็นว่าที่นี่คือบ้านของเขา แต่กับพวกเรา...ไม่ใช่”

เอวานเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน เขามีเด็กในปกครองเป็นคนไทย เรื่องภาษา แม้จะไม่ดีเท่าเจ้าของภาษาแต่ก็ไม่ขี้ริ้วนัก ขณะที่สายลมเองก็เป็นคนไทย ทำให้ทั้งเขาและเซย์ต่างก็ได้เรียนรู้มาบ้าง เผื่อหนุ่มไทยหนึ่งเดียวในพี่น้องทั้งสามคนจะหลอกด่าพวกเขาเป็นภาษาบ้านเกิด จะได้เอาคืนถูก

“เมื่อไรก็ตามที่เขาเอ่ยปาก ว่าเขาไม่มีความสุขกับการอยู่ที่นี่ เราพร้อมจะพาเขากลับไปทุกเมื่อ” เอวานว่าต่อ

“เราไม่เคยต้องให้สายลมลำบาก ผิดกับพวกคุณที่ใช้เขายิ่งกว่าทาส แต่เพราะเขารักที่จะอยู่ที่นี่ ทำให้เราพาเขากลับไปไม่ได้” เซย์ช่วยเสริม ไม่เคยชอบใจกับเรื่องที่พี่ชายคนรองมาอยู่ที่นี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“แต่อย่าลืม เขารักได้ เขาก็เกลียดพวกคุณได้เหมือนกัน” เอวานตอกย้ำ

สองหนุ่มทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปพร้อมบอดีการ์ด มันหาใช่เพียงการขู่ เพราะพวกเขาจะทำอย่างที่พูดแน่นอน



หมอปลายฟ้าถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดโดยมีหมอของเอวานทำการรักษา สายลมถูกพาเข้าไปเพื่อให้เลือดพี่ชายเมื่อเลือดที่มีอยู่ไม่เพียงพอ สถานการณ์กดดันจนคนด้านนอกนั่งไม่ติด รูสได้แต่ชะเง้อมองผ่านช่องกระจกทั้งที่รู้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเห็น แต่มันว้าวุ่นเกินกว่าจะนั่งเฉยอยู่ได้

ฟาริดาตามมาที่โรงพยาบาล เธอไม่ได้ต่างจากรูสสักนิด ทั้งสองคนต่างชะเง้อ รอเวลาว่าจะมีใครสักคนเปิดประตูห้องผ่าตัดออกมาบอกข่าวดีให้ได้รู้ ได้แต่ภาวนาให้คนด้านในนั้นปลอดภัย

ไม่นานนักสายลมก็ออกจากห้องผ่าตัดมา เขาไม่ยอมนอนพักในนั้นแต่เลือกที่จะออกมาข้างนอกมากกว่า เพราะคงมีคนเป็นห่วงจนนั่งไม่ติด แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเมื่อเด็กรีบวิ่งเข้ามาหาทันทีที่เห็นหน้า ท่าทางจะกังวลน่าดู

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มบอกให้อีกคนคลายใจ

ได้ยินเช่นนั้นแล้วรูสก็พามานั่งพัก ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ยังน่าห่วงอยู่ดี เมื่อนั่งลงตามที่เด็กสั่ง สายลมจึงเรียกฟาริดาให้มานั่งด้วยกัน เธอว้าวุ่นจนน่าห่วงพอ ๆ กับคนเจ็บในห้องผ่าตัด ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องรอเวลา ที่มันเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน

ผ่านไปพักใหญ่ ไฟหน้าห้องผ่าตัดก็ดับลง พร้อมกับที่หมอผู้ทำการผ่าตัดเปิดประตูออกจากห้องมาเพื่อบอกข่าวดีแก่ทุกคน ฟาริดายิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่สายลมระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มหันมามองเด็กข้างกายแล้วยิ้มให้กันบาง ๆ โล่งใจเป็นที่สุด



บ้านนายซานินในเวลาเดียวกันนั้น คนสนิทของเขากำลังลอบออกมาจากที่นั่น ชายสูงวัยรูปร่างสันทัด ผู้เป็นทั้งคนสนิทและที่ปรึกษาของนายซานิน ด้วยความไว้วางใจ ใครเล่าจะนึกว่าอีกฝ่ายจะคิดร้าย ดังเส้นผมบังภูเขา อาจเพราะความคั่งแค้นมันบังตาทำให้มองไม่เห็นถึงความเป็นจริง จนทำให้ผู้ที่ประสงค์ร้ายแทรกแซงเข้ามาควบคุมความนึกคิดได้อย่างง่ายดาย

เมื่อสถานการณ์เวลานี้ไม่เป็นไปตามแผน ชายคนสนิทของนายซานินก็จำต้องหลบไปตั้งหลัก เขากะให้มันฆ่ากันเองแล้วชุบมือเปิบทีหลัง เพราะปลายฟ้าเล่นงานไม่ยากเท่าสายลม ยืมมือสองปู่หลานกำจัดสายลมและลามุให้พ้นทาง หลังจากนั้นค่อยถล่มพวกมันยังไม่สาย แต่ทุกอย่างกลับพลิกไปหลายตลบ แผนการที่วางไว้จึงล่มไม่เป็นท่า เขาวางแผนที่จะฮุบอำนาจจากตระกูลนายซานินมานานเนิ่น ซึ่งเมื่อก่อนนี้มีบิดาของเหนือเมฆร่วมด้วย แต่มันดันทำเสียเรื่อง จนต้องตายไปเสียก่อนเพราะความโง่ของมัน ซึ่งนั่นก็ดี เพราะเขาจะได้ไม่ต้องแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่จะได้มาครอบครองให้กับใคร

เหตุเพราะเป็นคนสนิทของนายซานินและอยู่เคียงข้างมาตลอด ทำให้ฝ่ายนั้นไว้ใจ ทั้งยังสบโอกาสยามเมื่อนายซานินจิตใจอ่อนแอจากเหตุการณ์ร้ายแรงจนทำให้ขาใช้การไม่ได้ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นนายลามุผู้เป็นน้องชายตีตัวออกห่าง นั่นยิ่งทำให้นายซานินย่ำแย่ เขาซึ่งอยู่เคียงข้างจึงใช้โอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะโทษเขาก็ไม่ถูก เพราะพวกมันกระหายอยากไม่ต่างกัน ทั้งนายลามุที่หลงระเริงกับลาภยศสรรเสริญ ทั้งนายซานินที่อยากแย่งชิงอำนาจที่มีกลับมาเป็นของตน

ก้าวเดินของร่างสันทัดหยุดชะงักลงท่ามกลางความมืดของผืนป่าเมื่อมีคนมาดักหน้า เขากำลังเร่งรุดเพื่อไปยังจุดที่ตนได้ซ่องสุมกำลังคนและอาวุธเอาไว้ แต่กลับมีมารมาผจญเสียได้ ผู้ที่โผล่มาดักหน้าค่อยเผยตัวจากจุดอับแสง เมื่อแสงสว่างตกกระทบทำให้ชายสูงวัยเห็นหน้าของคนคนนั้นได้ชัดเจนขึ้น ร่างสันทัดตั้งหลักเพื่อเผชิญหน้า ขณะที่อีกฝ่ายก้าวช้า ๆ มายืนจังก้าพลางกระตุกยิ้ม

“เหนือเมฆ” เขาเรียกชื่อของมัน สายตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายจ้องชายตรงหน้าเขม็ง

“ข้าน่าจะเอะใจตั้งแต่ที่ท่านเอาปืนมาให้ข้าแล้ว” เหนือเมฆหรี่ตา เหยียดริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อพูดกับอีกฝ่าย “ตอนรู้ว่าท่านเป็นคนของนายท่านซานิน ข้าคิดแต่เพียงว่ากำลังทำงานให้ท่านซานินอยู่ แต่มันไม่ใช่เลยสินะ”

ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟัน รู้สึกแค้นใจคนตรงหน้าที่เอามารดาของเขามาขู่ ใช่ มันนั่นล่ะที่เป็นตัวการ เพราะเขาจะวางมือจากเรื่องทั้งหมดเมื่อมารดาขอร้อง ถึงเกลียดสายลม แต่เมื่อหมอนั่นมันช่วยมารดาเขาออกมาได้ เขาก็พร้อมจะจัดการกับคนที่มันคิดร้ายกับเขาให้สิ้นซาก ที่ทำอยู่นี้ไม่ใช่เพื่อหมอนั่น แต่เพราะความแค้นส่วนตัวต่างหาก

ชายสูงวัยมองเหนือเมฆด้วยความรำคาญใจ เขาอยากไปให้ถึงจุดหมายเสียที ไม่อยากเสียเวลากับไอ้เด็กโง่เง่าที่คิดว่าตัวเองฉลาดหนักหนาอย่างเหนือเมฆ

“คนในมันระวังยากกว่าคนนอก ที่คิดว่ารู้จักกันดี ที่แท้แล้วมันใช่ไหมยังไม่รู้เลย” เหนือเมฆยังว่าต่อ

“เลิกพล่ามได้แล้วเหนือเมฆ ถอยไป!”

“คงจะไม่ได้”

เหนือเมฆว่าอย่างเกียจคร้านพร้อมชักปืนออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไวพอกัน ทำให้ปลายกระบอกปืนของทั้งคู่ต่างเล็งไปหาอีกฝ่าย

“ยอมแพ้เถอะ จาร์ฟาล ตอนนี้ทั้งสายลมและหมอปลายฟ้ารู้แล้วว่าท่านอยู่เบื้องหลังเรื่องวุ่นวายทั้งหมด นึกว่าพวกเขาจะนิ่งเฉยเหรอ?”

“แล้วเอ็งคิดว่าข้ากลัวไหมล่ะ เหนือเมฆ ถ้าข้าปอดแหกอย่างเอ็งคงไม่มีทางทำอะไรสำเร็จหรอก ไอ้ขี้แพ้!”

เหนือเมฆกัดกรามกรอดกับถ้อยคำปรามาส “ขี้แพ้อย่างนั้นเรอะ!”

ปัง! ปัง!!

เสียงปืนดังขึ้นจากทั้งสองฝั่ง ก่อนที่ร่างสันทัดจะทรุดลงไปที่พื้น ขณะที่เหนือเมฆยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เลือดสีแดงฉานไหลซึมจากหัวไหล่ เพราะเขาเลือกที่จะยิงมือของฝ่ายตรงข้ามก่อน ทำให้กระสุนเฉียดเป้าหมายที่ฝ่ายนั้นเล็งเอาไว้ ก่อนจะยิงซ้ำที่ขาทำให้อีกฝ่ายทรุดลงไป เขายังไม่อยากฆ่ามันในทันที มันดูง่ายดายไปหน่อย

เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมา ทำให้เหนือเมฆเหลือบไปมอง นายซานินใช้ไม้เท้าช่วยพยุงกาย ก้าวเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับลูกน้องส่วนหนึ่งคอยคุ้มกัน นายจาร์ฟาล คนสนิทคิดร้ายของนายซานินเงยมองหน้าผู้เป็นนายของตน ความรู้สึกเคารพนบนอบที่เคยฉาบไว้บนใบหน้า มาบัดนี้มันหายไปหมดเสียแล้วในแววตา

“อยากให้ข้าจัดการกับเจ้ายังไง จาร์ฟาล?”



ใบไม้แห้งกรอบที่หล่นร่วงจากต้นลงสู่พื้นดินกระจายบริเวณเสียทั่วทิศทาง ของเหลวบางอย่างไหลซึมออกมาจากร่างที่ฟุบกายแน่นิ่ง มันขังนองบนใบไม้เหล่านั้นก่อนจะค่อยเอ่อซึมลงสู่พื้นดินด้านล่าง

นายซานินมองภาพตรงหน้าด้วยความนิ่งเฉย ความเจ็บปวดฉายในดวงตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะถูกกลบด้วยความเฉยชาประดุจเดิม กระบอกปืนในมือของร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นถูกแกะออก พร้อมกับที่ร่างนั้นค่อยถูกหามห่างออกไป ทางเลือกของนายจาร์ฟาลคือจบชีวิตตัวเอง หากจนตรอกไร้หนทางสู้ จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร การปลิดชีวิตตัวเองจึงกลายเป็นทางเลือกของคนอย่างเขา เพราะถึงแม้รอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ สุดท้ายแล้วก็คงหนีไม่พ้นลานขาว

เหนือเมฆหันมามองนายซานินเมื่อร่างของนายจาร์ฟาลถูกหามออกไป ฝ่ายนั้นเพียงปรายมองเขาก่อนผินกายกลับ ก้าวเดินจากไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย เหนือเมฆเพิ่งได้สำนึกรู้ว่าตนเองนั้นยังอ่อนด้อยนัก ความโหดเหี้ยมเมื่อเทียบกับนายซานินและนายลามุแล้ว เขาเทียบไม่ได้แม้กระผีกเดียว


....
ต่อด้านล่างค่ะ  :mew3:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

อีกด้านหนึ่ง ฟากฝั่งที่ร้างไกลผู้คนบนเกาะศิลา สถานที่ซึ่งต้องเดินทางอ้อมไปไกลกว่าจะถึงจุดหมาย เหตุเพราะลูห์ควบคุมผืนป่าส่วนใหญ่เอาไว้เสียครึ่งค่อนเกาะ ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีต้องหาที่หลบซ่อนกาย ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เขาว่ากันอย่างนั้น แต่มันคงใช้ไม่ได้กับทุกคน เมื่อเจ้าป่าตัวใหญ่ค่อยเยื้องย่างนำสมุนของตนมาปิดล้อมกลุ่มคนที่ไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง

ภายใต้ความมืด แสงแวววาวจากนัยน์ตาของสัตว์ร้ายส่องประกายขึ้นมาหลายคู่ เกิดเสียงคำรามในลำคอดังขึ้นต่อกันเป็นทอด ทั้งเขี้ยวแข็งแรงแสนแหลมคมที่แยกยกทุกครั้งที่พวกมันคำราม ส่งให้พวกมันดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก พวกมันจ้องมองเป้าหมาย ก่อนจะพุ่งตัวออกจากสุมทุมไม้ที่ซุกซ่อนอยู่ ไม่ทันให้ใครในที่นั้นได้ตั้งตัวหรือเตรียมใจ จึงก่อให้เกิดเสียงโหยหวนขึ้นมาอย่างน่าขนลุก

ท่ามกลางความเงียบสงัดของชายป่า เสียงปืนดังแข่งกับเสียงคำรามก้อง การต่อสู้ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันนั้นใช้เวลาเพียงไม่นาน ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหาย หลงเหลือเพียงเศษซากของความโหดร้ายเอาไว้เท่านั้น


......


กระท่อมน้อยของสายลม

เจ้ากั้งพาสองพี่น้องจากต่างแดนมาพักที่นั่นตามคำสั่งของนายน้อย ก่อนที่มันจะค่อยเลี่ยงออกไปด้วยท่าทางหวาดระแวงบุรุษร่างใหญ่ที่เดินวนเวียนสำรวจรอบกระท่อมเพื่อคุ้มกันนายทั้งสอง เซย์เองเมื่อได้มาเห็นที่พักของพี่ชายแล้วก็ส่ายหน้า ไม่อยากจะเปรียบเทียบกับเฟอร์ริงตันของเขาเลยสักนิด เพราะกระท่อมนี่ในสายตาเขา มันทั้งเล็กและซอมซ่อเสียเหลือเกิน

“สมถะเกิน” ชายหนุ่มว่าเสียงสูง

เอวานปรายมองน้องชายคนเล็ก เซย์ก็อย่างนี้ คิดอะไรก็พูดไปตามที่ใจคิด บางทีก็ขวานผ่าซากมากไปหน่อย

สายลมกลับมาที่กระท่อมเมื่ออาการหมอปลายฟ้าพ้นขีดอันตรายแล้ว ออกจากโรงพยาบาลมาเขาก็ได้รับรายงานเรื่องคนสนิทของนายซานิน ได้รับรู้แล้วก็เหนื่อยใจเหลือเกิน ความโลภภายในจิตใจของมนุษย์ก่อให้เกิดกิเลสและตัณหา ริษยาถึงขั้นอยากได้ใคร่ครอบครองในของที่ไม่ใช่ของตน ไม่เลือกกระทั่งวิธีการที่จะได้มันมา

“ขอบใจพวกนายที่มาช่วย”

สายลมบอกกับพี่น้องของตน ทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่ไม้หน้ากระท่อมอย่างเหนื่อยล้า เซย์ที่ยืนอยู่เหนือบันไดกระท่อมกอดอกพิงต้นเสามองพี่ชายคนรอง รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพของพี่ชายในตอนนี้

“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ที่นี่มันมีอะไรดีนักหนา ใช่ ที่ว่ามันทำเงินให้พี่ได้จากการขายอัญมณี แต่เงินที่ได้พี่ก็ต้องแบ่งให้คนที่นี่ แล้วไหนจะเอามาลงทุนทำอะไรสารพัดสารเพให้พวกเขาอีก ถามหน่อยเถอะสายลม พวกเขาเคยสำนึกบ้างไหม เหมือนโยนหินลงทะเล ไม่มีอะไรสะท้อนกลับมาให้พี่สักอย่าง” พูดแล้วของขึ้น ภาษาอังกฤษรัวใส่พี่ชายจนไฟแลบ

“พอแล้วเซย์” เอวานปรามน้องเสียงเข้ม

สายลมเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ฉันจะกลับนับตะวัน นับจากนี้... ฉันจะอยู่ที่นั่น”

“อะไรนะ! พี่พูดจริงเหรอ!?” เซย์รีบก้าวลงมาหาผู้เป็นพี่ ท่าทางดีอกดีใจ

“ที่นี่มันคงไม่เหมาะกับฉัน ว่าไหม?” คนพี่ยกยิ้มมุมปากเมื่อหันสายตามาหา

“แน่นอน ไม่เห็นต้องถาม”

“เซย์”

“จิ๊” เซย์จิ๊ปากเมื่อเสียงเอวานแทรกขึ้นมา ขวางเขาตลอดล่ะเอวานน่ะ

เอวานไม่สนใจท่าทางของน้องชายคนเล็ก แต่หันกลับมาคุยกับสายลมแทน “คิดดีแล้วเหรอ สายลม นายผูกพันกับที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

“เอวาน พี่จะทำให้สายลมเขวทำไม!”

“เงียบไปเลย เซย์ ไปเดินเล่นแถวนี้ไป พี่จะคุยกัน”

“เฮ้ย ไม่ใช่เด็กแล้ว”

“เหรอ?”

“เหอะ!” เซย์ทำเสียงขัดใจ ก่อนลุกไป ปล่อยให้คนแก่เขาคุยกัน

ชายหนุ่มออกมาเดินเตร่ด้วยความเซ็ง บรรยากาศแถวนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาไม่ชอบสักเท่าไร ดวงตาคมกวาดมองรอบกาย ทะเลสีฟ้าครามเช่นเดียวกับสีนัยน์ตาของเขา มองแล้วก็ทำให้ใจสงบดี ความหงุดหงิดเมื่อครู่ค่อยคลายลงไปได้หน่อย

ยืนอยู่สักพักกายหนาก็หันกลับ สายตาสะดุดเข้ากับเด็กคนหนึ่งที่โผล่หน้ามาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ไม่ไกลจากกระท่อมของสายลม ช่วงขายาวก้าวเข้าไปหาเมื่อบอดีการ์ดหิ้วปีกเด็กคนนั้นมา เขาพยักหน้าบอกให้ปล่อย บอดีการ์ดจึงปล่อยแล้วค้อมศีรษะให้ ก่อนเดินเลี่ยงไปทำหน้าที่ของพวกตนต่อ

“สวัสดี”

เขาทักทาย เด็กมันช้อนมอง ก่อนเหลือบมองซ้ายขวาท่าทางตื่น ๆ

“มาหาสายลมเหรอ?”

เขาถามอีก อมยิ้มมุมปากเพราะจำได้ว่าเด็กตรงหน้าคือคนที่สายลมให้ช่วยสืบหาข้อมูล

“พูดด้วยก็ไม่พูด เสียมารยาทนะ”

เขาว่าอีก แต่เด็กยังเงียบ กัดปากแล้วเคาะเท้าเบา ๆ

“ฟังที่ฉันพูดรู้เรื่องไหม...”

“รูส”

เสียงสายลมดังมาแทรกเมื่อเซย์จะเอ่ยถามไถ่เด็กตรงหน้าต่อ เจ้าของชื่อหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนเหลือบมามองเซย์เล็กน้อยแล้วหมุนกายวิ่งไปหาสายลม เซย์มองแล้วก็กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนเดินตามไป

เมื่อวิ่งมาถึงกระท่อม รูสก็ยกมือไหว้เอวาน แม้สายลมจะยังไม่ได้แนะนำว่าคนตัวโตตรงหน้าเขาเป็นใคร แต่มันก็ไหว้ไปโดยอัตโนมัติ ก่อนจะนั่งตัวลีบเล็กลงข้างสายลม ตากลมเหลือบมองชายแปลกหน้านัยน์ตาสีควันบุหรี่กับอีกคนที่เขาเจอก่อนมาถึงกระท่อมด้วยท่าทางหวั่น ๆ สายลมตัวใหญ่ สองคนนี้ก็ไม่ต่างกัน ทำให้เขาดูเล็กจ้อยไปเลย

“เด็กของพี่พูดไม่ได้เหรอ ไหนว่าดีขึ้นแล้วไง?” เซย์พูดกับพี่ชาย แต่สายตากลับมองมาที่เด็กตัวผอม

“เขาคงไม่อยากพูดกับนายมั้ง” สายลมว่า หันมามองรูสที่ขยับเข้ามาเบียดเขามากขึ้น มือเรียวยกขึ้นมาเกาะต้นแขนเหมือนหาที่ยึด เด็กมันกลัวเซย์กับเอวานหรืออย่างไรกัน

เซย์โน้มตัวลงไปใกล้เด็กของพี่ชาย อีกฝ่ายก็เอนตัวห่างเสียอย่างนั้น

“ทำไมล่ะ หนูน้อย ฉันดูไม่น่าเสวนาขนาดนั้นเลยเหรอ?”

มือหนาเชยคางได้รูปเชิงหยอกเย้า แต่เด็กมันกลับหน้าเบ้ หันหน้าหนีไปซุกหลังสายลม ไม่ยอมโผล่หน้ามาคุยกับคนขี้แกล้ง

“พอแล้วเซย์ ป่วนเขาไปทั่ว”

คนเป็นพี่ปัดมือน้องที่ยังยกค้างออกห่างตัวเด็ก เซย์กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ หวงเสียด้วยนะ สายลม

“แล้วตกลงพี่จะไปจริง ๆ ใช่ไหม?” เซย์เปลี่ยนเรื่อง ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากกวนพี่สักเท่าไรนักหรอกน่า

สายลมมองหน้าน้องชายแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับ “อืม”

“เยี่ยม” ดูเซย์จะพอใจกับคำตอบของผู้เป็นพี่เอาการ

รูสที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเขย่าแขนให้สายลมหันมาสนใจ ก่อนกระซิบถาม

“สายลมจะไปไหน?”

“กลับนับตะวัน”

“นับตะวันคืออะไร?” เด็กเอียงคอ ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้

“รีสอร์ตของพ่อฉันน่ะ ฉันจะไปอยู่ที่นั่น”

ตากลมเบิกโตด้วยความตกใจ ก่อนเอ่ยถามเสียงตื่น “สายลมจะไปจากที่นี่เหรอ?”

คนตัวโตมองเด็กข้างกายด้วยแววจริงจัง พลางช้อนมือเรียวขึ้นมากุมแล้วเอ่ยถาม

“เธอจะไปกับฉันไหม?”

รูสชะงัก ก่อนจะตอบกลับไปเสียงเบาหวิว “รูสอยากไป แต่ว่า...”

“ว่า?”

“สายลมจะให้รูสไปอยู่ด้วยจริงเหรอ รูสทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ช่วยอะไรสายลมก็ไม่ได้”

“เด็กโง่ ฉันไม่ได้อยากให้ช่วยอะไรสักหน่อย แค่ไปอยู่กับฉัน อยู่ข้าง ๆ ฉัน แค่นั้นก็พอแล้ว”

“ดูไร้ประโยชน์จังเลย”

เด็กทำปากยื่น สายลมเลยหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยวจนเด็กมันทำเสียงขู่ในลำคอให้ปล่อย

“ไม่อยากไร้ประโยชน์เดี๋ยวหางานให้ทำ จะใช้ให้หนักเลย” เขาแสร้งว่า

“ใจร้าย”

“เอ๊า แล้วเมื่อกี้บอกตัวเองดูไร้ประโยชน์ พอจะให้ทำงานก็ว่าใจร้าย”

“ก็... ก็... อย่าใช้งานรูสหนักสิ แค่นิดหน่อยก็พอ” เจ้าดื้อรีบกลับคำ ยังมิวายต่อรองเสียงอ่อย

“หึ ไอ้ดื้อ”

พี่น้องอีกสองหนุ่มมองสายลมกับเด็กต่อปากต่อคำกันแล้วทำหน้าพิกล เพราะมันไม่เหมือนสายลม วินท์ คาร์ล ที่พวกเขาเคยเห็นจนชินตาเลยสักนิด ประกายตาที่สื่อความรู้สึกนั่น รวมทั้งรอยยิ้มที่มีให้เด็กตรงหน้า มันแสดงออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญอย่างไม่ปิดบัง แต่จะสำคัญในระดับไหนและฐานะอะไร พวกเขาก็คงต้องรอดูกันต่อไป เพราะอีกฝ่ายยังเด็กมากทีเดียว


......


หลังเหตุการณ์ทุกอย่างจบลง นายซานินเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านของตน ไม่ออกมาพบหน้าผู้คน ขังตัวอยู่กับความผิดหวังและล้มเหลว ขณะที่หมอปลายฟ้าก็ยังคงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลโดยมีฟาริดาเป็นกำลังใจอยู่ไม่ห่าง

ทางด้านเหนือเมฆ เมื่อนางมารียาถูกช่วยออกมาอย่างปลอดภัยก็คอยอยู่ดูแลไม่ห่าง เขาไม่ได้คิดญาติดีกับสายลม แต่เลือกที่จะต่างคนต่างอยู่เพื่อให้มารดาสบายใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ใจของเขาไม่เป็นสุขเลยสักวัน ความโกรธแค้น ความชิงชัง มันดึงรั้งเขาเอาไว้จนไม่มีสติพอที่จะหันกลับมามองคนสำคัญ และสิ่งที่เขาทำลงไปมันยังส่งผลกระทบถึงมารดา ทำให้นางเดือดร้อนทั้งกายใจ จากนี้หากมีสิ่งใดที่พอจะทำได้ เขาก็อยากทำ แม้มันจะทำได้อย่างยากเย็นก็ตามที

เรื่องของนายจาร์ฟาลนั้นถูกลบหายไปพร้อมกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม้จะมีคนหยิบยกมาพูดถึง แต่มันมักจะพาดพิงถึงนายซานินอยู่เสมอ ทำให้ไม่มีใครกล้าวิจารณ์กันมากนัก เหตุหนึ่งก็เพราะเกรงใจนายลามุผู้เป็นนายของเกาะศิลาด้วย

ชายป่ารกร้างท้ายเกาะ สายลมให้คนทำรั้วเป็นเขตกั้น ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรอยู่อีกฝั่งนายน้อยจึงได้ให้คนทำรั้วกั้นเอาไว้ เพื่อคลายข้อสงสัย สายลมจึงได้บอกกับทุกคนว่าสัตว์มีพิษชุกชุม และบางครั้งพวกพ้องของลูห์ก็มักมาหากินแถวนี้บ่อย อาจเกิดอันตรายหากล่วงล้ำเข้าไปในเขตแดนนั้น ซึ่งนั่นทำให้ไม่มีใครแคลงใจกับสิ่งที่เขาทำอีก ความลับที่แสนโหดร้ายของชายป่าแห่งนั้นจึงยังเป็นความลับอยู่เช่นเดิม แม้จะไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สายลมก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ นอกเสียจากเดินหน้าต่อไปโดยไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีก

ชายหนุ่มยืนอยู่บนชะง่อนผาโดยมีลูห์อยู่ข้างกาย สายตาคมมองคนของตนที่กำลังช่วยกันทำรั้วกั้นเขตแดนอยู่ข้างใต้นั่นด้วยความเจ็บปวดที่จำต้องกดมันกลับลงไป ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เขาในมุมที่ไม่อยากนึกถึง เด็กหนุ่มที่มองความตายตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย ความทรงจำเหล่านั้นมันย้อนคืนเมื่อเขาได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชายป่าผ่านนัยน์ตาของลูห์ รู้สึกอยากอาเจียนด้วยความคลื่นเหียนกับกลิ่นคาวเลือดและเนื้อหนังที่ถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น

‘ลืมมันซะ สายลม’


เสียงของลูห์ดังขึ้นมาในหัว สายลมหลับตาลงช้า ๆ แล้วนิ่งอยู่เช่นนั้น ปล่อยให้ลมพัดผ่านกาย ดับความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นในจิตใจ จะทำอย่างไรถึงจะลบมันออกไปได้...


......


“อะไรนะ!?”

เสียงราซิสดังลอดออกมาจากห้องทำงานภายในบ้านด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่าการส่งคนไปเกาะศิลาเพื่อสิ่งหนึ่ง จะได้อีกสิ่งหนึ่งกลับมา แม้เรื่องธุรกิจกับนายกำชัยจะล้มเหลวและเสียกำลังคนไปจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อแลกกับข่าวที่ว่าน้องชายสุดที่รักของเขายังมีชีวิตอยู่ มันกลับคุ้มค่าเสียยิ่งกว่า

ใช่ รูสอยู่ที่นั่น เขาไม่สนว่ามันรอดตายมาได้อย่างไร ไอ้ซาน ลูกน้องไม่เอาไหนของเขาทำพลาด หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ เมื่อหาเขาตัวมันเจอก็ดีแล้ว ไม่ต้องลงไปงมหาในท้องทะเลโดยไร้จุดหมายอีกต่อไป

“พวกแกแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ดูผิด?” ราซิสยังย้ำถามเพื่อความแน่ใจ

“ครับ ผมเห็นมากับตา นอกจากคุณรูสแล้ว ตาแก่ริวอาก็อยู่ที่นั่นด้วย”

“ริวอา?” ไม่นึกว่าจะได้ยินชื่อนี้อีก ตาแก่นั่น หัวแข็งจริง “เอาล่ะ พวกแกทุกคนฟังให้ดี ใครก็ตามที่พาตัวรูสกลับมาได้ ฉันจะมีรางวัลให้อย่างงาม”

“แต่เกาะศิลาตอนนี้มันวางเวรยามแน่นหนา...”

“เรื่องนั้นฉันไม่อยากรู้!” ราซิสตะคอกเมื่อลูกน้องหาเรื่องมาแย้ง

“......” เหล่าลูกน้องได้แต่ก้มหน้าลง ไม่มีใครอยากมีปัญหากับราซิส

“บอกพวกที่หลบซ่อนอยู่ในเกาะนั่นจับตาดูมันไว้ให้ดี สบโอกาสเมื่อไรก็เอาตัวมันกลับมาให้ได้!!”




TBC




บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ถึงคำพูดเซย์จะเหมือนพูดแง้วๆ แต่เจ็บดี ทำให้ทุกอย่างแล้วได้อะไรกลับมา โห.... ค่าตัวแพง แต่มาทีเอาซะให้คุ้มค่าตัวเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ศึกภายในจัดการเรียบร้อยแล้วก็มาจัดการศึกภายนอกกันต่อ  o18 o18 o18 

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1
แค่คิดถึงตอนต่อไป
ก็อดห่วงน้องรูสไม่ได้แล้ว

พี่สายลมดูแลน้องดีๆนะ

ชอบเซย์ ความป่วนของเซย์เป็นสีสันเลยนะ

 :L2:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๒ นับตะวัน



เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หมอปลายฟ้าก็ขอกลับมาบ้านของตน ยิ่งรู้ว่าผู้เป็นปู่เอาแต่เก็บตัวเงียบ เขายิ่งห่วง แม้อาการของตนเองจะยังไม่ถึงขั้นที่จะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็ห่วงใยท่านจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้

คุณหมอหนุ่มเข้ามาหานายซานิน ค่อยคุกเข่าลงตรงหน้าก่อนจะก้มกราบที่ตักของผู้เป็นปู่ แต่ชายชราไม่คิดชายตาแล ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงอาการตอบรับใด ๆ

“ผมรู้ว่าปู่โกรธ...” หมอปลายฟ้าเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา “และอาจจะเกลียดผมแล้ว... แต่ผมอยากบอกว่าผมไม่ได้ต้องการอำนาจหรืออะไรพวกนั้น สิ่งที่ผมต้องการคือการได้ดูแลปู่ ผมถึงได้เรียนหมอและพยายามทำมันจนเต็มความสามารถ”

“......” นายซานินยังคงเงียบ ปล่อยให้หลานชายพูดในสิ่งที่อยากพูด

“ผมไม่ได้อยากเป็นนายน้อย นายใหญ่ อะไรทั้งนั้น... สายลมเองก็เช่นกัน... ตลอดมาปู่คงเห็นว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อเราทุกคนที่นี่มากแค่ไหน ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องทำมันด้วยซ้ำ”

“.......”

“เขาไม่เคยอยากได้ใคร่ดี อำนาจสำหรับเขา ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย”

“......”

“พวกเราโตมาด้วยกัน เราคิดว่าเราคือครอบครัว แล้วปู่ล่ะครับ... ปู่ลามุไม่ใช่ครอบครัวของปู่เหรอ?”

“อย่ามาสั่งสอนปู่ ปลายฟ้า” ชายชราเอ่ยขัดเสียงเข้ม

“ผมขอโทษครับ”

“......”

“ผมรักปู่ และหวังว่าวันหนึ่งเราจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์เสียที”

คุณหมอหนุ่มกล่าวปิดท้ายเสียงแผ่ว กราบที่ตักของปู่อีกครั้งก่อนจะลุกออกจากห้องไป ปล่อยให้ปู่ของตนได้ใช้เวลาครุ่นคิดไตร่ตรองเพียงลำพัง เขาเชื่อว่าปู่ของเขาไม่ใช่คนใจร้าย สักวันท่านจะคิดได้... สักวันหนึ่ง

“คุณหมอ คุณหมอครับ!”

เสียงโหวกเหวกของเจ้ากั้งดังมาพร้อมกับที่ตัวของมันวิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขา หมอปลายฟ้ามุ่นคิ้ว มองเจ้ากั้งที่หอบแฮ่กอยู่ตรงหน้า

“แย่แล้วครับ... นายน้อย... นายน้อยสายลม...”

“...?”

หมอปลายฟ้ารีบมาที่บ้านของนายลามุ แม้ร่างกายตนเองจะไม่พร้อมนัก แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญที่เขาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เมื่อมาถึงก็เห็นว่าชาวบ้านบนเกาะศิลาหลายคนอยู่ที่นั่น หมอปลายนิ่งงันเมื่อคำพูดของเจ้ากั้งยังดังอยู่ในหู

‘นายน้อยจะไปจากที่นี่ครับหมอ จะไม่กลับมาหาพวกเราอีกแล้ว’ มันพูดไป ใช้แขนปาดน้ำตาไป เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่มันจะเอามาล้อเขาเล่น

ร่างสูงค่อยก้าวเข้าไปหาน้องชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนบนเกาะ มันรู้สึกตื้อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ สายลมตัดสินใจไปจากที่นี่ ส่วนหนึ่งก็คงมาจากเขา เพราะอยากให้เขาได้ขึ้นครองอำนาจ ส่งมอบสิ่งที่ปู่ของเขาสูญเสียไปกลับคืน เพราะอำนาจตัวเดียวแท้ ๆ นึกแล้วก็สะท้อนในอก จะไปจริงหรือสายลม?

สายลมที่กำลังบอกกับทุกคนถึงความจำนงของตนเองอยู่ เมื่อหันมาเห็นผู้เป็นพี่ชายก็ก้าวไปหา เรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามองตาม

“หมอปลายฟ้าคงจะดูแลที่นี่ได้ดีกว่าผม ผมมั่นใจว่าทุกคนที่นี่รักหมอ ใช่ไหมครับ?” ต่างกับเขา... ชายหนุ่มแย้งในใจ

สายลมไม่เคยคิดว่าตนเองจะน้อยอกน้อยใจอะไรเรื่องนี้ แต่อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ เมื่อความรู้สึกนั้นมันเป็นตะกอนที่นอนนิ่งอยู่ภายในใจตลอดมา เพียงแต่ไม่มีอะไรไปกวนมันให้ขุ่น จนกระทั่งวันนี้

“จากนี้หวังว่าทุกคนจะให้การสนับสนุนพี่ชายของผม คนที่ทุกคนก็รู้กันดีว่าเป็นคนดีแค่ไหน”

หมอปลายฟ้านิ่งเงียบ จุกในอกจนพูดไม่ออก ไม่ได้โกรธเคืองที่น้องไม่บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ตนก่อน แต่กำลังเสียใจที่ทุกอย่างมันเป็นเช่นนี้

สายลมหันมาหาฟาริดาที่ยืนอยู่ข้างพ่อเฒ่าอาจีฟ หญิงสาวเม้มปาก ก้าวเข้ามาสวมกอดสายลมแล้วสะอื้นเบา ใจหายเหลือเกินเมื่อคนคนนี้กำลังจะจากไป มือหนาลูบหลังเธออย่างปลอบโยนก่อนจะดันออกอย่างเบามือ

“ริด้า ผมมีเรื่องอยากขอ”

“......”

“ปลายฟ้าน่ะ... ช่วยอยู่เคียงข้างเขาด้วยนะ เขามันพวกชอบดูแลคนอื่นจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ถ้ามีริด้าอยู่ด้วยมันคงจะดีไม่น้อยเลย”

หญิงสาวมองคนพูดด้วยแววเศร้า เรื่องหมอปลายฟ้าแม้สายลมจะไม่ขอ เธอก็จะทำ แต่เธอทำใจไม่ได้ที่สายลมจะไปจากที่นี่ ทั้งสองหันไปมองหมอปลายฟ้าที่เงียบมาตลอด คุณหมอหนุ่มเองก็มองน้องชายนิ่ง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา

“นายจะทิ้งทุกอย่างไปงั้นเหรอ สายลม ทั้งที่...” เขาพูดไม่ออก แม้สายลมจะเคยบอกว่าวันหนึ่งอาจจะไปจากที่นี่ แต่นี่มันรวดเร็วจนเขาตั้งรับไม่ทัน “ทั้งที่พวกเราช่วยกันสร้างมันมา แล้วตอนนี้... นายก็กลับจะทิ้งมันไปอย่างนั้นเหรอ?”

คำพูดของหมอทำให้เซย์ที่ยืนถัดไปจากกลุ่มคนบนเกาะศิลาเพียงไม่ไกลขยับตัว อยากโต้กลับแทนพี่ชายตน แต่เอวานแตะแขนไว้ทำให้หนุ่มอารมณ์ร้อนได้แต่ฮึดฮัด เรื่องนี้ควรปล่อยให้สายลมจัดการเองจะดีกว่า

“ผมขอโทษ”

เพียงคำเดียวจากปากของน้องชายทำเอาหมอปลายฟ้าไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้เลย ขอโทษหรือ สายลมไม่จำเป็นจะต้องขอโทษเขาเลยสักนิด เขามันบ้าที่พูดแบบนั้นออกไป เขาต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษ

“นายน้อย อย่าไปเลยนะครับ... ถ้านายน้อยไปแล้วข้าจะอยู่รับใช้ใคร... ใครจะคอยดุด่าข้าเวลาข้าทำผิด... ใครจะคอยตบกบาลเวลาข้าทำตัวไร้สาระ... ไม่มีนายน้อย ข้าจะทำยังไง?” เจ้ากั้งมันร้องไห้โฮ น้ำตาไหลพราก ๆ ยิ่งกว่าเขื่อนแตก สายลมเตะตูดมันที่ติงต๊องคงเส้นคงวาเสียเหลือเกิน

หลายคนเออออตามเจ้ากั้ง ต่างขอร้องให้สายลมอยู่ต่อ ไม่อยากให้ไป แต่เมื่อเขาตัดสินใจแล้วก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้อีก

“ผมอยากให้ทุกคนยอมรับในการตัดสินใจของผมในครั้งนี้ ผมไม่ได้เกลียดเกาะศิลา รวมทั้งคนของเกาะศิลาด้วย”

“......”

“แม้จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่ผมก็ยังคงคิดถึงทุกคนเสมอ และคงจดจำได้ไม่ลืม ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาดี ๆ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา”

สายลมสรุปโดยไม่ให้ใครได้โต้แย้งตนเองอีก ชาวเกาะศิลาต่างซึมไปตาม ๆ กัน เมื่อมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่คิดจะถนอม ถึงเวลาที่ต้องสูญเสียถึงได้มาสำนึกทีหลัง เวลานั้นมันก็สายไปเสียแล้ว

หลังจากที่ทุกคนกลับไป นายลามุจึงได้คุยกับหลานชายของตน ก่อนนี้คุยกันไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสายลมเดินเข้ามาบอกว่าจะไป เขาพยายามเหนี่ยวรั้ง แต่สายลมก็ยังไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ เมื่อไม่อยากให้หลานชายต้องลำบากใจ นายลามุจึงต้องยอม

“ปู่คงทำให้เจ้าลำบาก” ชายชราว่า

“ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยครับ อาจจะมีช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาอยู่ที่นี่แล้วต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างเกาะศิลากับอังกฤษ ยอมรับว่าเหนื่อย แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกสนุกกับมัน ผูกพันกับที่นี่ กับผู้คน กับธรรมชาติ... กับลูห์” ชายหนุ่มหันมามองลูห์ มันอยู่ข้างเขามาตลอด แม้จะต้องพบเจอกับอะไร “อาจเพราะมีมัน ผมถึงก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเกรงต่ออะไรทั้งสิ้น”

“ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่หลานก็เลือกที่จะจากไป”

“มันคงถึงเวลาแล้วครับปู่ ผมรู้ตัวดีว่าคงทำให้ใครรักทั้งหมดไม่ได้ แต่อย่างน้อยหากพวกเขาจะยอมรับในความเป็นผม ในความเป็นสายลม ไม่ต้องเป็นนายน้อยหรืออะไรทั้งนั้น แต่มันก็ยากเกินกว่าจะทำได้ ผมทำลายกำแพงที่หลายคนกางกั้นผมลงไม่ได้... ผมควรจะยอมรับมันเสียที”

หมดคำจะทัดทาน นายลามุเองเมื่อถึงตอนนี้ก็รู้สึกผิดต่อหลานชายอยู่ไม่น้อย สายลมเคยอยู่สบายกับพ่อบุญธรรม กลับต้องมาลำบากลำบน ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก เจอบททดสอบหนักหนาถึงขั้นได้บาดแผลที่หางคิ้วมา และมันยังฝากร่องรอยเอาไว้อย่างชัดเจน เมื่อไรก็ตามที่เขาเห็นแผลนั่น มันจะคอยตอกย้ำเสมอว่าการที่เขาพาหลานชายมาที่นี่ ทำให้หลานต้องเสี่ยงอันตรายมากเพียงใด แต่เวลานั้นเขาเพียงคิดว่าหลานจะแกร่งขึ้น ดำเนินรอยตามและสืบทอดตำแหน่งที่เขาภูมิใจหนักหนา คิดเพียงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็เพื่อหลานชายของเขา แต่มาวันนี้มันกลับไม่ใช่เลย ที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น ความหนักหน่วงที่ถ่วงอยู่ในอกทำให้ไม่อาจเอ่ยปากว่าไม่ให้ไปได้ดังเช่นแต่ก่อน

เซย์ที่มองเหตุการณ์อยู่ดูจะพอใจเหลือเกินกับการตัดสินใจของพี่ชาย ขณะที่เอวานยังคงนิ่งดุจเดิม ไม่ว่าน้องของเขาจะทำอะไร จะตัดสินใจแบบไหน เอวานก็พร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ



ค่ำนั้นสายลมออกมาหาลูห์ที่หน้ากระท่อม แต่ไร้เงาของลูห์เช่นทุกครั้ง มันคงไม่พอใจเขานักที่ตัดสินใจจะจากที่นี่ไป แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่ออยู่ที่นี่แล้วทำให้มันเกิดปัญหา ก็ควรจะถึงเวลาที่เขาต้องไปเสียทีแล้วไม่ใช่หรือ

“ลูห์”

ชายหนุ่มเอ่ยเรียก แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่แน่ใจว่ามันต้องรับรู้ในสิ่งที่เขาอยากจะพูด ร่างสูงใหญ่นั่งลงที่ขั้นบันไดตรงชานกระท่อม ก่อนจะระบายความในใจกับความว่างเปล่าตรงหน้า

“ฉันรู้ว่านายคงไม่พอใจกับการตัดสินใจของฉัน หรือบางทีนายอาจจะโกรธที่ฉันทิ้งทุกอย่างไป แต่ว่า...” ชายหนุ่มเว้นระยะเล็กน้อยพลางทอดถอนใจแล้วว่า “ฉันเหนื่อย...”

“......”

“นายเข้าใจมันใช่ไหม?”

เงาร่างใหญ่พร้อมกับอุ้งเท้าที่ก้าวเข้ามาหาทำให้สายลมเงยมอง นัยน์ตาสีทองมองตรงมาที่เขา ต่างจ้องมองกันอยู่เช่นนั้นโดยไร้คำพูด เสียงลมหวีดหวิวที่พัดพาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่รอบกาย

“นายเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง เป็นครอบครัวของฉัน... นายสำคัญกับฉันมาก”

‘หึ’ ลูห์ทำเสียงแปลก ๆ ในลำคอ มันเบือนสายตาไปทางอื่น มองฝ่าความมืดมิดไปแสนไกล

“นาย... ไปด้วยกันกับฉันไหม ลูห์?”

‘ตลกน่า’

“หึ”

สายลมยิ้มหยันตนเอง นั่นสิ เขารู้ดีว่ามันเป็นคำถามที่โง่เง่า เขาจะพาลูห์ไปจากที่นี่ได้อย่างไร ลูห์เป็นเจ้าป่า คือสัตว์คู่บารมีของนายแห่งเกาะศิลาที่ผู้คนต่างยำเกรง ลูห์คงทิ้งที่นี่ไปไม่ได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร หากเป็นไปได้ก็อยากให้อยู่ด้วยกันเช่นที่ผ่านมา

เมื่อปล่อยให้ความเงียบลอยตัวอยู่นานลูห์ก็หมุนกายกลับ มันค่อย ๆ เดินหายลับไปกับความมืดมิด โดยที่สายลมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นมาว่า การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ มันถูกต้องแน่แล้วใช่หรือไม่


......


เมื่อถึงวันออกเดินทาง ลูห์หายหน้าไปแต่เช้า แม้สายลมจะเรียกมันก็ไม่ยอมออกมา ชายหนุ่มได้แต่หนักใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้วได้ ถึงอย่างไรเขาก็คงต้องไปในสักวันหนึ่งอยู่ดี

ก่อนหน้านั้นพ่อเฒ่าอาจีฟได้มาหาเขา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น มันคงเกี่ยวพันกับเรื่องที่เขาพารูสเข้ามายังเกาะศิลา ตั้งแต่วันแรกที่พ่อเฒ่าอาจีฟเห็นรูสถึงได้บอกให้เขาพาออกไป แต่เขายังดันทุรังให้รูสอยู่ที่นี่ และเขาก็เพิ่งได้รู้ว่าที่พ่อเฒ่าบอกในวันนั้นเป็นเพราะรูสคือคนที่จะมาพาเขาไปจากเกาะศิลา ซึ่งมันไม่ได้ผิดไปจากที่ชายชราคาดการณ์แต่อย่างใด เมื่อในวันนี้เขากำลังจะจากไปจริง ๆ

ชายชราบอกกับเขาว่าชะตาชีวิตคนเราผกผันได้เสมอ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดเส้นทางเดินของเรา เวลานี้เขาอาจจะกำลังเหนื่อยและทดท้อจนอยากหยุดทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงเบื้องหลัง มันไม่ผิดหากคิดจะทำเช่นนั้น พ่อเฒ่าอาจีฟชอบพูดเป็นปริศนาวกวน สายลมก็ได้แต่ทำเสียงหึในลำคอพลางยิ้มมุมปาก

“นายน้อยคือสายเลือดของเกาะศิลา ต่อให้จากไปไกลแค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องหวนกลับมา” ชายชรากล่าวปิดท้าย

“พ่อเฒ่า ผมบอกแล้วว่าที่นี่ผมยกให้ปลายฟ้าดูแล”

“นายน้อยจะบอกว่าตัวนายน้อยเองจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วอย่างนั้นรึ?”

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ค่อยหันมามองชายชราแล้วยิ้มมุมปากเพียงบางเบา “พ่อเฒ่าเป็นนักพยากรณ์นี่ น่าจะรู้ดีว่าในอนาคตผมจะได้กลับมาที่นี่ไหม แล้วเมื่อครู่พ่อเฒ่าก็บอกเองว่าไม่ว่าผมจะไปไกลแค่ไหน สุดท้ายยังไงก็ต้องหวนกลับมาที่นี่ หรือไม่ใช่?”

“ท่านมันช่างยอกย้อน”

สายลมหัวเราะในลำคอเมื่อถูกเหน็บมาเช่นนั้น “ผมไม่รู้ว่าพ่อเฒ่ากำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ทุกอย่างมันย่อมต้องเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น หากเรายังมีวาสนาต่อกัน ก็คงกลับมาพบกันอีกดังเช่นที่พ่อเฒ่าบอก”

“ข้าเพียงแต่ห่วงใย” ชายชราว่า

“ขอบคุณ ในเกาะศิลาแห่งนี้นอกจากปู่ของผม พ่อเฒ่าคืออีกคนที่ผมเคารพรักเสมอ”

พ่อเฒ่าอาจีฟถอนใจเบา เมื่อสายลมได้ตัดสินใจไปแล้วคงไม่มีทางขวางได้ แต่สักวันหนึ่งซึ่งตัวเขาเองก็ไม่อาจกำหนดได้ว่าวันไหน สายลมที่พัดผ่านไปจะหวนคืนกลับมา รูสล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำพา ทั้งการจากลาและย้อนคืน



ทุกคนมาส่งสายลมเมื่อถึงเวลา การเดินทางครั้งนี้เขามีเพื่อนร่วมทางคือรูสและลุงหลง มันน่าใจหายที่ต้องเอ่ยคำลากับผู้คนที่อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน

“ไปพักผ่อนให้สบายใจ รู้สึกดีขึ้นเมื่อไรก็กลับมา พี่จะรอน้องชายคนนี้เสมอ” คุณหมอหนุ่มวางมือบนบ่าคนเป็นน้อง รอยยิ้มที่มีเจือรอยเศร้า

สายลมไม่ได้ให้สัญญา เพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำมันได้ไหม สิ่งที่รู้ในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือเขาไม่มีทางลืมคนที่นี่แน่ ๆ

รูสเข้าไปกอดฟาริดา บอกขอบคุณเธอที่ดูแลมาตลอด รวมทั้งพ่อเฒ่าอาจีฟก็ด้วย ถึงแม้พ่อเฒ่าจะบอกว่าเขาเป็นตัววุ่นวายแต่ก็ห่วงใยเขาเสมอ หมอปลายฟ้าเองก็แสนจะใจดี รูสไม่ลืมที่จะขอบคุณเขาเช่นเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่เจ้ากั้งที่คอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลาที่สายลมไม่อยู่ หาข้าวปลาอาหารมาให้ ถึงเจ้ากั้งจะชอบบ่น แต่รูสก็รู้ว่ามันเป็นคนดี

เขาละสายตาจากทุกคนมาที่เพื่อนตัวน้อยอย่างพวกเจ้าโต ไอ้เด็กหัวโจกพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะยกตนเองเป็นหัวหน้ากลุ่ม จะอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่พอรูสมาบอกลา มันก็ปล่อยโฮแล้วกอดรูสแน่น กลายเป็นว่ากระจองอแงไปตาม ๆ กันเสียอย่างนั้น

สายลมยิ้มเศร้า เขาทำผิดหรือเปล่าที่พารูสไปด้วย แต่เขาไม่อยากให้รูสต้องอยู่ห่างสายตา เมื่อรับปากกับลุงหลงแล้วว่าจะดูแลรูสให้ดี เขาก็จะทำให้ได้อย่างที่พูด

ชายหนุ่มหันมาลาผู้เป็นปู่ มือเหี่ยวย่นเอื้อมมาจับบ่าแกร่ง มองสบสายตากับหลานชายเพียงคนเดียวของตนอย่างแน่แน่ว

“ไม่ว่าเจ้าจะคิดยังไง แต่สำหรับปู่แล้ว เจ้าคือหลานที่ปู่ภูมิใจ คือสายลม คือสายเลือดของเกาะศิลา คือลูกชายของพระเพลิง”

“ผมทราบครับ ผมก็ภูมิใจที่เกิดเป็นลูกพระเพลิง เป็นคนของเกาะศิลา และเป็นหลานของปู่ เช่นกัน”

ชายชราตบบ่าแกร่ง ซึ่งร่างสูงใหญ่นั้นก็เข้ามากอดเป็นการบอกลา ก่อนที่จะผละออกไปเพื่อเตรียมจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัวจากแดนไกลที่รออยู่นานแล้ว

“ขอบคุณทุกคนที่มาส่ง” สายลมบอก

“นายน้อย” ทุกคนต่างส่งเสียงเรียกเขาเซ็งแซ่ ใจหายไปตาม ๆ กัน

“นายน้อยต้องกลับมานะ พวกเรายังรอนายน้อยเสมอ หากเราทำอะไรให้นายน้อยไม่พอใจก็ขอโทษ ถ้า... ถ้านายน้อยสบายใจขึ้นแล้ว กลับมานะ... กลับมาที่นี่... พวกเรายินดีต้อนรับนายน้อยกลับมาอยู่ด้วยกัน” เจ้ากั้งละล่ำละลัก

“ไอ้กั้ง เอ็งนี่มันขี้แยยิ่งกว่าผู้หญิง เลิกร้องไห้ได้แล้ว ข้าแค่กลับบ้าน ไม่ได้ไปตาย หรือเอ็งจะแช่งข้า?” สายลมแกล้งทำเสียงดุ

“ไม่ ๆ ๆ ข้าไม่ได้แช่งนายน้อย ฮึ่ก... แต่ข้าเสียใจ... ที่นี่ก็บ้านนายน้อยเหมือนกัน... ทำไมนายน้อยถึงอยู่ไม่ได้... ข้าเสียใจแทนนายน้อย... ฮือออ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า ทั้งขำทั้งรำคาญ แต่ก็ซึ้งใจที่มันจงรักภักดีกับเขาขนาดนี้ ในภายภาคหน้าเจ้ากั้งมันคงเป็นหนึ่งในผู้ที่จะคอยช่วยเหลือ คอยเป็นอีกหนึ่งกำลังที่จะช่วยให้ปลายฟ้าปกครองและพัฒนาที่นี่ให้ก้าวหน้าต่อไป

สายตาคมกวาดมองรอบกาย ลูห์ไม่มาส่งเขาจริง ๆ เสียด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจ ก่อนจะคว้ามือรูสเพื่อพากันขึ้นเครื่องที่เซย์และเอวานรออยู่ ขณะที่ลุงหลงแยกไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์กับคนของเฟอร์ริงตันและเวสส์

สายลมยังหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าลูห์อยู่ไม่ไกล และก็เห็นมันยืนอยู่บนเนินดินในระยะสายตามองเห็นจริง ๆ เสียด้วย มันมองเขาอยู่อย่างนั้น แต่ไม่คิดจะขยับเข้ามาใกล้ สายลมจึงได้แต่บอกลามันแล้วตัดใจจากมาเท่านั้น

การเดินบนเส้นทางที่เขาได้เลือกแล้วต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรบ้างไม่อาจรู้ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป เกาะศิลาที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาในวันนี้ สักวันหนึ่ง... หากมีโอกาส พวกเขาจะกลับมา



เรื่องการออกจากเกาะของสายลมถูกรายงานให้ราซิสได้รู้หลังจากนั้น ชายหนุ่มอาละวาดจนลูกน้องแทบเข้าหน้าไม่ติด เจ็บใจนักหนาที่คลาดกับรูสอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ลูกน้องเขามันก็ไม่ได้เรื่อง พามาให้เขาก็ไม่ได้ แถมตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ เช่นนี้เขาจะสืบเสาะหาเจ้าเด็กนั่นได้อย่างไรกัน!

“มันไปที่ไหน... รูสมันไปที่ไหน!!?”

เสียงตวาดลั่นทั้งอาการสั่นเทิ้มของผู้เป็นนายทำให้บรรดาลูกน้องหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเป็นหน่วยกล้าตายเอ่ยขึ้นมา

“เท่าที่รู้ หลานชายเจ้าของเกาะศิลากำลังเดินทางไปนับตะวันครับ”

“นับตะวัน?” ราซิสทวนคำ นับตะวันคืออะไร?

“นับตะวันเป็นรีสอร์ตของหลานชายเจ้าของเกาะศิลาครับ”

ราซิสดูประหลาดใจกับข้อมูลนั้นด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่อยู่แต่ในป่าในเขา ที่แท้กลับมีตัวตนบนฝั่งไทย แถมมีธุรกิจรีสอร์ตเสียด้วย ไม่ธรรมดาทีเดียว

“รู้ไหมว่ามันอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ยถาม พยายามจะปรับอารมณ์ให้เย็นลง

“ไม่รู้ครับนาย...” เพียงจบคำนั้น สายตาผู้เป็นนายก็ตวัดมอง จนต้องรีบเอ่ยแก้เพื่อหาทางรอดให้ตนเอง “ต... แต่คุณกำชัยอาจจะรู้นะครับนาย”

‘อาจจะ’ งั้นเหรอ?” ราซิสคำราม พวกมันใช้คำว่าอาจจะกับเขางั้นหรือ

“ก... ก็คุณกำชัยรู้จักคนในเกาะนั้นไม่ใช่เหรอครับ แถมคู่แข่งของเขาก็เคยเข้าไปเจรจาธุรกิจกับเจ้าของเกาะมาก่อน เขาน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับหลานชายเจ้าของเกาะอยู่บ้าง...” ผู้ถูกหมายหัวรีบละล่ำละลัก

“......” ราซิสนิ่งคิดตาม ก็จริงอย่างที่มันพูด นายกำชัยอาจช่วยเขาได้

ชายหนุ่มให้ลูกน้องรีบติดต่อนายกำชัย และก็เป็นจริงดังว่า หมอนั่นรู้เรื่องคนบนเกาะดีทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่ประวัติหลานชายเจ้าของเกาะที่ชื่อสายลมคนนั้น

รอยยิ้มสาสมใจปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปาก เล่นไล่จับกันสักหน่อยก็ดี ถ้าหนีได้ก็หนีต่อไป ไปให้ไกลยิ่งกว่านี้อีก เพราะต่อให้ติดปีกบิน เขาก็จะเอาตัวมันกลับมาให้ได้ รูส!


.......
ต่อด้านล่างค่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
รีสอร์ตนับตะวัน

หลังจากใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก สายลมก็มาถึงนับตะวันในที่สุด หลังเครื่องลงจอด ทุกคนก็ขึ้นรถของนับตะวันที่รอรับอยู่ก่อนแล้วเพื่อเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ในรีสอร์ต

สายลมก้าวลงมาหยุดยืนหน้าบ้าน บ้านของเขา บ้านที่มีแต่ความสุขลอยอบอวลอยู่เต็มไปหมด เมื่อได้กลับมาเช่นนี้แล้วมันทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด

ชายหนุ่มพาเด็กขึ้นชั้นบน ปล่อยให้เซย์กับเอวานจัดการตัวเองไปเพราะมากันบ่อยแล้ว ขณะที่ลุงหลงก็เดินตามแม่บ้านของรีสอร์ตขึ้นไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้ให้

เมื่ออาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นแล้วสายลมก็ลงมาด้านล่าง ขณะที่รูสยังอาบน้ำอยู่ข้างบน เซย์ที่กำลังเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อให้พี่ชายได้คุยกับบิดาที่อยู่แดนไกลกวักมือเรียก ทำให้กายสูงใหญ่ก้าวไปหา นานมากแล้วที่ไม่ได้คุยกับบิดาเช่นนี้ ท่านคงคิดถึง

รูสที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วลงมาจากชั้นบน กายผอมเข้ามายืนชะเง้อมองอยู่ด้านหลังสายลมด้วยความอยากรู้ว่าทำอะไรกันอยู่ ทำให้บิดาของสายลมเอ่ยทัก

“นั่นใครน่ะ ลม?”

เมื่อถูกเอ่ยทัก เจ้าตัวเล็กก็รีบผลุบหายหลบหลังสายลมด้วยความตกใจ สายลมหัวเราะในลำคอ ก่อนเบี่ยงกายแล้ววาดแขนโอบร่างผอมให้มานั่งลงข้างกัน เพื่อที่บิดาตนจะได้เห็นหน้าค่าตาเด็กมันชัดขึ้น

“พ่อฉันเอง” สายลมกระซิบบอก

เด็กที่นั่งตัวเกร็งอยู่รีบไหว้ ทำให้คนที่อยู่ในหน้าจอโน้ตบุ๊กหัวเราะชอบใจ

“สวัสดี ชื่ออะไรล่ะเรา?”

“อ่า...”

หันมองสายลมหน้าตื่นเมื่อคนในจอเอ่ยถามมา สายลมอมยิ้ม พยักพเยิดให้บอกไป

“ชื่อ... รูสครับ” บอกไปเบา ๆ เมื่อยังรู้สึกประหม่า

“รูสเหรอ ดูน่ารักเหมาะกับตัวดีนะ” คนในจอเอ่ยปากชม

“หึ ๆ”

“...?” เสียงหัวเราะในลำคอทำให้รูสหันมองคนข้างกาย

“อย่ามองแต่ภายนอกครับ เห็นแบบนี้ ดื้อสุด ๆ เลย” สายลมแอบฟ้อง

รูสส่งค้อนให้คนตัวโต พร้อมแย้งในใจว่าไม่ได้ดื้อสักหน่อย ทำไมมีแต่คนว่าเขาดื้อไม่รู้ ออกจะเรียบร้อยก็ปานนี้

สายลมอมยิ้ม นั่งเล่นผมเด็กที่คุยกับบิดาของตนอย่างถูกคอ แรก ๆ นี่ไม่ค่อยจะพูดเท่าไรหรอก แต่พอบิดาเขาเปิดทางให้ คราวนี้ล่ะเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียว เจ้าดื้อเอ๊ย

“คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”

รูสมองตามคนที่ลุกไปเพราะพนักงานรีสอร์ตเอาอาหารที่สั่งไว้มาส่ง ก่อนที่จะชะงักเมื่อเซย์เข้ามานั่งแทนที่ กายผอมผงะถอย หันมองรอบ ๆ เลิ่กลั่ก สายลมไม่อยู่แล้ว ทำไงดี

“กลัวอะไร เด็กน้อย ฉันไม่กินเธอหรอก” เซย์ว่ายิ้ม ๆ ทำให้เสียงคนในจอดังแทรกมา

“เซย์ อย่าแกล้งน้องสิ”

“อาอัล ผมเปล่าแกล้งนะ ทำไมทุกคนต้องคิดว่าผมแกล้งเด็กมันด้วย”

ชายหนุ่มตัวโตเอ่ยพ้อ พาดแขนบนไหล่เล็กทำให้เด็กมันสะดุ้ง ก่อนจะนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ และอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งสายลมกลับมา

“ไปกินข้าวได้แล้ว เซย์”

พี่ชายคนรองของบ้านกอดอกมองน้องเล็กด้วยแววดุ เซย์ทำเสียงเหอะ ก่อนไหวไหล่แล้วลุกขึ้นเดินผิวปากออกไป เมื่อร่างสูงใหญ่นั่นผละห่างไปแล้ว รูสก็ถึงกับพรูลมหายใจด้วยความโล่ง เกร็งจะแย่

“คุยกันเสร็จแล้วเหรอ?”

“อื้อ” พยักหน้าให้สายลมที่นั่งลงข้างกาย

“พ่อฉันเป็นไงบ้าง?”

“หือ?” เด็กเลิกคิ้วกับคำถาม สายลมจึงขยายความอีกนิด

“ในความรู้สึกเธอน่ะ”

“อืม... คุณอาดูใจดี ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก ๆ” ว่าพลางก็ยิ้มไปพลาง

“จริงเหรอ?”

อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ

“งั้น... ไว้โอกาสเหมาะ ๆ จะพาไปเจอตัวจริง”

สายลมว่าอย่างนั้น ทำให้ได้รับรอยยิ้มหวาน ๆ ตอบกลับมา นึกถึงวันที่ทั้งสองคนจะได้พบกันแล้วสายลมก็ยิ้มบาง บิดาของเขาคงเอ็นดูเจ้าหนูนี่เพิ่มขึ้นอีกเป็นกองแน่ ๆ

ช่วงค่ำหลังร่วมโต๊ะอาหารเย็น ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน วันนี้สายลมยังไม่เข้าไปจัดการอะไรในรีสอร์ตแบบเป็นชิ้นเป็นอันเพราะเพิ่งมาถึง มีเพียงพูดคุยกับคนดูแลบ้างเล็กน้อย พรุ่งนี้อาจจะต้องเข้าสำนักงานแต่เช้า เพราะบ่ายเซย์กับเอวานก็ต้องกลับอังกฤษเมื่อยังมีธุระอื่นต้องจัดการ



ภายในห้องนอนที่เปิดเครื่องปรับอากาศเสียเย็นฉ่ำ กายผอมถูกกักกันอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง ริมฝีปากหยักบดเบียดลงมาบนกลีบปากนุ่มอย่างกระหาย ขณะที่มือหนายังทำหน้าที่ไม่เว้นจังหวะ

ร่างขาวสล้างบิดส่าย หยัดเกร็งกายเมื่อยอดอกถูกรวบดูด มือเรียวเกาะบ่าสายลมแน่น สะโพกยกตามจังหวะของมือสากระคายที่คอยปลุกเร้าอารมณ์ให้เช่นทุกที จนเมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทางของความปรารถนา รูสกลับละมือจากบ่ากว้างลงมายังใจกลางร่างกายที่คัดเป่งอยู่ภายใต้เนื้อผ้าของอีกคน

“อย่าแตะต้องมัน...”

สายลมสั่งเสียงเข้ม แต่มันดูแปร่งปร่าจนไม่น่าให้อภัย คนถูกสั่งก็ทำเป็นไม่รับรู้ ยังคงกอบกุมมันไว้ในอุ้งมือแล้วลูบเบา ๆ จนเขาต้องสูดปาก

“รูส หยุด...”

เจ้าดื้อไม่ฟังเสียง ริมฝีปากบางเลื่อนมาปิดปากเขา เพียงสัมผัสอุ่น ๆ จากอุ้งมือแสนซุกซนที่ทาบทับลงมาบนความปวดร้าวที่รอการปลดปล่อย มันก็ตอบสนองแทบจะทันที

สายลมจับข้อมือเล็กยึดไว้เมื่อมันทำท่าจะขยับเลยขึ้นมารั้งขอบกางเกงเขาลง มองตากลมที่ฉายแววปรารถนาอยู่เต็มเปี่ยมก่อนตัดสินใจดันร่างนั้นให้ห่างจากอ้อมแขน เมื่อสถานการณ์ตอนนี้อันตรายมากจนเกินไป

“รูสอยากทำให้สายลมบ้าง” เจ้าตัวเล็กเอ่ยอ้อน

สายลมแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตาย แค่ที่เป็นอยู่นี่ต้องหักห้ามใจเท่าไร เจ้าหนูนี่จะรู้บ้างไหม ถ้ายอมตามใจ เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะหยุดตัวเองได้เหมือนที่ผ่านมา เขาก็คน ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน

ขณะที่อีกคนมัวแต่คิดหาเหตุผลร้อยแปด รูสก็กดไหล่หนาให้เอนลงไปนอน ก่อนที่จะขึ้นคร่อมแล้วนั่งทับหน้าท้องแกร่งเอาไว้ทั้งตัว สัมผัสจากสะโพกเปลือยที่แนบไปกับหน้าท้องทำให้สายลมได้สติ ดวงตาคมแทบเบิกค้างเมื่อเด็กมันไม่ใช่แค่ทับ แต่เล่นถอดเสื้อออกโดยที่เขาร้องห้ามไม่ทัน

“รูสจะทำ” รูสว่า น้ำเสียงจริงจังดูดื้อดึงเสียเหลือเกิน เจ้าเด็กน้อย

“อย่าบ้าน่า”

สายลมครางอย่างทดท้อ แต่เด็กมันกลับทำปากยื่นใส่เขา มือเรียวยกขึ้นขยำหน้าอกตัวเอง ก่อนจะก้มมองแล้วบีบมันเล่นเบา ๆ สายลมกลืนน้ำลาย ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่อมองภาพตรงหน้าที่อยู่ใกล้แทบหายใจรดกันได้ เขาใช้ศอกดันตัวลุกขึ้น ทำให้เด็กที่นั่งทับบนหน้าท้องหงายหลังลงไปนอนแอ้งแม้งในท่าประหลาด

มือหนาเอื้อมไปจับตรึงสะโพกจะดันออกให้ห่างตัว แต่รูสกลับจิกเท้ากับที่นอนแล้วหยัดกายลุกขึ้นนั่ง แขนเรียวคล้องเกี่ยวต้นคอหนา ขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดจนปลายจมูกสัมผัสกัน

“ให้รูสทำนะ สายลม” เด็กมันอ้อนเสียงแผ่ว ใจดวงน้อยเต้นระรัว รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

“ไม่ได้...” ทั้งที่บอกปฏิเสธ แต่ริมฝีปากหยักกลับเคลื่อนคล้อยไปคลอเคลียกลีบปากนุ่มละมุนอย่างไม่ฟังเสียงตัวเอง

“รูสอยากทำจัง”

ริมฝีปากบางกระซิบชิดเรียวปากของอีกคน ก่อนเผยอยกแล้วกดแนบลงไป ลิ้นเล็กแสนซุกซนซอกซอนเข้ามาหยอกเย้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แบบที่สายลมเคยทำ ชายหนุ่มครางครึ้มในลำคอ ไอ้เด็กหัวไว เขาต่อว่าในใจแต่กลับรั้งกายบางมาแนบชิดแล้วบดเบียดกลีบปากนุ่มอย่างอดใจไม่ไหว

ยิ่งแนบชิด สายลมยิ่งยากจะหักห้ามใจ เขาพยายามห้ามมันแล้วแต่มันฟังเขาเสียที่ไหน ไอ้ที่กดแนบสะโพกเด็กอยู่นั่นอย่างไรเล่าที่ฟ้องว่าเขาทำไม่สำเร็จ ชายหนุ่มหลับตาแน่นก่อนจับกายผอมเอนลงไปนอนใต้ร่าง สุดจะทนไหวแล้วในเวลานี้

ภายในห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัวราง ร่างน้อยหยัดกายครางเบา ๆ เมื่อความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นมา ความเปียกชื้นบนยอดอกสร้างความเสียวซ่านให้อย่างมากมาย ริมฝีปากหยักทั้งขบเม้มดูดดุนจนเสียงครางดังลอดมาไม่ขาดระยะ เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยหรี่ปรือขึ้นมามองคนที่ขยับขึ้นคร่อมกาย แขนเรียวยกคล้องคอหนา ขณะที่ริมฝีปากบางเผยยิ้มยั่วอย่างไม่ตั้งใจ

“สายลม...”

เผยอปากรับจูบจากคนตัวโตที่โน้มลงมาหา ยอมรับลิ้นร้อนเข้ามาพัวพันอย่างเต็มอกเต็มใจ ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะละมาที่พวงแก้มแล้วเลื่อนไล้มาซุกไซ้ซอกคอขาว กายผอมสั่นระรัวกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่อีกคนมอบให้ มันมากกว่าที่เคยเป็น แม้จะน่าหวั่นใจ แต่ก็อยากรู้อยากลอง

“สายลม...”

“หืม?” สายลมตอบรับงึมงำ สาละวนอยู่กับความนุ่มเนียนของแผ่นอกที่แอ่นหยัดขึ้นรับริมฝีปากของตน

“สายลม...” รูสขยับเอวเบา ๆ ขณะที่มือก็เอื้อมไปสัมผัสสัดส่วนร้อนผ่าวที่แนบชิดต้นขาตนเองอยู่

“อย่าเล่นแบบนี้...” สายลมเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงที่คิดเอาเองว่ามันหนักแน่น แต่กลับฟังดูเบาหวิวเสียเหลือเกิน

“อา... อ๊ะ... สายลม...”

ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อเด็กมันครางแบบไม่คิดจะเก็บความรู้สึก ทั้งเสียงหอบกระเส่าและแววตาหวานฉ่ำที่แสดงออกมาให้เห็น ทำให้สติสายลมแทบขาด

“รูส... ไอ้ดื้อ...” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ก้มลงฟัดเด็กจอมยั่วพลางกระซิบ “จะทนไม่ไหวแล้ว รูส... อย่ายั่วกันนักได้ไหม?”

ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรที่เขาพูดแบบนี้ น้ำเสียงแสนพร่าสั่นนั้นเด็กมันไม่ได้รับรู้ด้วยสักนิด ยังคงขยับสะโพกเพื่อให้ร่างกายเสียดสีกับอุ้งมือแสนร้อนที่รูดรั้งให้

สายลมคำรามในลำคอ ความร้อนรุมกดแนบต้นขาเปลือย ยิ่งขยับมือเร็วเท่าไร สะโพกสอบก็ขยับบดเบียดต้นขาเนียนมากขึ้นเท่านั้น หูเขาชักเริ่มอื้อ ตาก็เริ่มพร่า สติสตังจะปลิวหายไปจากตัวเสียให้ได้ ภาพของเขาที่กระชากเอวคอดเข้ามาชิดแล้วกดแทรกกายเข้าสู่ความคับแน่นผุดขึ้นมาในหัวจนต้องกัดฟันกรอด

อา... เขามองเห็นลูกกรงเหล็กลอยอยู่รำไร!




TBC



ยังไม่ถึง 24 ชม. ยังบวกเพิ่มให้อีกสามท่านที่ต่อจากคุณ kunt ไม่ได้ แปะไว้ก่อนนะคะ  :mew1:

----------
บวกเรียบร้อยค่ะ  :กอด1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2018 18:02:56 โดย wanmai »

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1
ขำสายลม กะแซวซะหน่อย
แต่ดูท่า จะรู้ตัวอยู่ 555

"พี่สายลมคะ น้องรูสยังเป็นผู้เยาว์นะคะ"

รอวัน ความอดกลั้นของสายลมสิ้นสุด อิอิ
 :z1: :haun4:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ฮึบไว้สายลมฮึบไว้ :z1: :z1: :z1: แต่สายลมไม่คิดถึงลูห์เหรอเรายังหวังนะว่าสายลมต้องได้กลับไปอยู่ที่เกาะ

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๓ ชิงตะวัน



บรรยากาศยามเช้าในนับตะวัน สายลมมองมันผ่านหน้าต่างห้องนอนที่เปิดกว้าง มันให้ความรู้สึกแตกต่างกับเกาะศิลามากมาย ในความเหงาที่เกิดขึ้นเพราะจากสถานที่แห่งหนึ่งมา ก็ยังคงมีความอบอุ่นของคำว่า ‘บ้าน’ โอบล้อมรอบกาย บ้านที่เขาอยู่มาตั้งแต่จำความได้ กับคนสำคัญผู้มีแต่ให้ นึกถึงแล้วก็ระบายยิ้มบางเบา

รูสงัวเงียลุกขึ้นมานั่งจุ้มปุกอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมกายร่นลงไปอยู่ที่เอวเมื่อขยับตัว นั่งโงนเงนด้วยความมึนงงพลางยกมือขึ้นขยี้ตา เพ่งมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนพิงกรอบหน้าต่างแล้วจิบกาแฟในถ้วยอย่างสบายอารมณ์ แสงยามเช้าส่องเข้ามากระทบผิวคร้ามแดด ลมพัดเอื่อยทำให้ปอยผมยาวที่รุ่ยจากการถูกรวบมัดเพียงลวก ๆ ปลิวตามแรงลม

“สายลม...”

เจ้าของชื่อละสายตาจากสิ่งที่ตนเองมองอยู่เมื่อถูกเรียก กายหนาที่สวมเพียงกางเกงนอนผ้านิ่มถือถ้วยกาแฟมาวางบนโต๊ะหัวเตียงแล้วนั่งลงข้างกายคนเรียก

“ตื่นแล้วเหรอ เด็กดื้อ?”

“รูสไม่ดื้อ” เด็กมันแย้ง ก่อนจะหาวออกมาเพราะยังง่วงงุน

“ครับ ๆ ไม่ดื้อเลยสักนิด” มือหนาโยกศีรษะเด็กทั้งยิ้มขำ

“รูสเมื่อยตัว”

สายลมยิ้มค้างกับเสียงออด ๆ ที่เอ่ยบอก “อ่า... อาบน้ำไหม จะได้สดชื่น”

เขาเสนอ เด็กมันก็พยักหน้ารับ ดูมึน ๆ งง ๆ เหมือนยังไม่ตื่นดี กายผอมลุกลงจากเตียงโดยลากผ้าห่มห่อตัวเป็นดักแด้เข้าห้องน้ำไปด้วย มองแล้วสายลมก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาทั้งยิ้มขำ

รูสยังเด็กมากจริง ๆ เรื่องเมื่อคืนทำเอาเขาแทบสติหลุดตั้งหลายรอบ ยิ่งความไม่ประสายิ่งทำให้เขาหลงเพริด ถ้าไม่เพราะพอรู้สึกสบายตัวแล้วรูสก็หลับ เช้านี้อาจจะไม่บ่นแค่เมื่อยตัว

แต่ทั้งหมดนั่นมันก็เป็นเพราะเขาเองที่เป็นฝ่ายเริ่มมาตั้งแต่ต้น ด้วยไม่นึกว่าจะเป็นการทรมานตัวเองขนาดนี้ ยิ่งนานวัน ยิ่งบังคับตัวเองลำบาก อันตรายจริง ๆ

รูสลงมาชั้นล่างหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หนุ่มน้อยดูสดใสร่าเริงตามประสา ในขณะที่สายลมกลับดูเคร่งเครียดเสียอย่างนั้น สายตาคมมองตามร่างที่ตรงไปหาลุงหลง บ่นหิว ๆ ไปตามทางก่อนจะนั่งปุลงกินข้าวกับแก

กายสูงใหญ่เดินเลี่ยงมานั่งกับน้องชายที่โซฟา ไม่ได้ตามรูสไปที่ครัวเพราะเพิ่งดื่มกาแฟไปจึงยังไม่หิวเท่าไรนัก ชายหนุ่มกางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านข่าวสารบ้านเมือง ตอนอยู่เกาะศิลาไม่ได้ติดตามเรื่องพวกนี้สักเท่าไร เว้นก็แต่เวลาติดต่องานกับเซย์ก็จะมีเข้าไปดูในเว็บข่าวบ้างเป็นบางครั้ง

ชายหนุ่มไล่สายตาอ่านข่าว เสียงเปิดหนังสือพิมพ์กรอบแกรบไม่ได้ทำให้เซย์ที่นั่งอยู่ข้างกันหันมาให้ความสนใจ เพราะเจ้าน้องชายตัวดียังคงนั่งมองเด็กของเขาแล้วอมยิ้มแปลก ๆ ตั้งแต่ที่เด็กมันเดินผ่านหน้าไปจนกระทั่งตอนนี้ หางตาผู้เป็นพี่ปรายมามองแล้วจึงปิดหนังสือพิมพ์ลง ก่อนเอ่ยถามเสียงเข้ม

“มองอะไร?”

เซย์เหลือบมามองพี่ชาย หัวเราะลงคอเล็กน้อยก่อนว่า “รูสนี่ ผิวขาวดีเนอะ”

แค่คำแรกที่เอ่ยออกมาก็ทำเอาคนพี่นึกเขม่น แต่ดูเหมือนเซย์จะไม่สนใจ เพราะยังคงว่าต่อด้วยน้ำเสียงเนิบนาบกวนอารมณ์คนฟัง

“ผิวขาว ๆ แบบนี้เวลามีรอยอะไรเลยเห็นชัดมาก...” ปรายมองสายลมที่เกิดอาการชะงักแล้วเซย์ก็ยิ้มมุมปาก ไม่มีอะไรสุนทรีย์เท่าแกล้งสายลมอีกแล้วล่ะนะ

ขณะที่สายลมเมื่อถูกทักมาเช่นนั้นก็หันไปมองรูสที่นั่งกินข้าวไม่รู้เรื่องรู้ราว เสื้อที่เด็กมันสวมเป็นตัวที่เอามาจากเกาะ คอมันจึงค่อนข้างลึกเพราะติดกระดุมด้านหน้าและไม่มีปก ทำให้เห็นลำคอระหงได้อย่างชัดเจน ผิวรูสก็ขาวอย่างที่เซย์ว่า พอเกิดรอยที่เขาเผลอทำไว้มันจึงเด่นชัดจนบอกว่ายุงกัดก็คงฟังไม่ขึ้น

“จริงจังกับคนนี้เหรอ พี่ชาย?” เซย์ถามกวน

“ถ้าใช่แล้วยังไง?” ทางนี้ก็ตอบกวนไม่แพ้กัน

“อา... ก็ไม่ยังไงหรอก แต่ดู ๆ ไปแล้วเด็กมันยังไม่ประสาอะไรเลย ขณะที่ความรู้สึกพี่เกินเลยไปไกล เด็กมันอาจไม่คิดอะไรก็ได้” คนเป็นน้องไหวไหล่

สายลมนิ่งไป ที่เซย์พูดก็ถูก รูสยังไม่ประสากับหลาย ๆ เรื่อง ถึงแม้ชีวิตจะเจอมรสุมที่เด็กวัยนี้ไม่ควรต้องมาพบเจอ มันทำให้รูสเข้มแข็งก็จริงอยู่ แต่เพราะถูกเลี้ยงดูมาให้อยู่แต่ในกรง เรื่องของโลกภายนอกหรือแม้แต่ความต้องการของตัวเอง รูสยังไม่รู้และจัดการมันไม่ได้ อันที่จริงเขาก็อยากเป็นคนดีที่รูสสามารถพึ่งพาได้ทุกเรื่อง แต่บางครั้ง การเป็นคนดีที่ว่ามันก็ยากเหลือเกินสำหรับเขา

และคงเพราะมองมากไปทำให้เด็กรู้สึกตัวแล้วหันกลับมามอง เมื่อสบเข้ากับตากลมสายลมก็ชะงัก เบือนหลบอย่างไม่ตั้งใจ

“หึ จริง ๆ ไม่ต้องถามก็ได้เนอะว่าพี่รู้สึกยังไง รู้ตัวไหมว่าท่าทางพี่มันบ่งบอกแค่ไหนน่ะ สายลม?”

“......” สายลมปรายมองคนพูดเคือง ๆ ช่างล้อเลียนกันเสียจริง

“สายลม”

เสียงที่ดังขึ้นใกล้ตัวทำให้สายลมเหลียวมองเด็กที่เข้ามายืนอยู่ด้านหลังตนเองและเซย์

“รูสขอเล่นน้ำได้ไหม?” เจ้าดื้อเอ่ยขอ

ที่นี่มีลำธารไหลผ่าน ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากบ้านของสายลมนัก แถมทางรีสอร์ตยังทำสะพานไม้ยื่นลงไปเพื่อให้แขกที่มาพักได้นั่งแช่เท้าสบาย ๆ แต่รูสที่ได้ฟังลุงหลงเล่ามาเมื่อครู่เกิดอยากลงไปเล่นน้ำเย็นฉ่ำมากกว่า เขายังไม่เห็นกับตา แต่ผู้เป็นบิดาเห็นแล้วเพราะตื่นแต่เช้ามืด ทำให้เดินสำรวจใกล้ ๆ นี้มาหมดแล้ว เมื่อฟังจากที่เล่ามา รูสก็ว่ามันน่าสนใจไม่น้อยเลย

“วันนี้ฉันจะเข้าไปที่รีสอร์ต ไว้วันหลังได้ไหม?”

“รูสเล่นกับพ่อก็ได้ จะอยู่ตรงที่มันตื้น ๆ นะ” เด็กดื้อออดอ้อน อยากเล่นน้ำมากจริง ๆ

“ฉันไปเป็นเพื่อนไหม หนูน้อย?” เซย์เสนอตัวยิ้ม ๆ

“......” รูสชะงัก ตากลมเหลือบมองเซย์ก่อนส่ายหน้าหวือ

เห็นอย่างนั้นแล้วเซย์ก็ชักข้องใจ “ถามจริง นี่ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“เปล่าครับ...”

“แล้วทำไมต้องทำหน้าตาตื่นทุกทีที่ฉันคุยด้วย?”

“ก... ก็... ผมยังไม่สนิทกับคุณนี่นา...” เสียงเจ้าดื้อเบาลงเรื่อย ๆ ไม่กล้ามองตาสีฟ้าของเซย์จึงหลุบมองพื้นเข้าไว้

“อ้อ แบบนี้เองเหรอ ถ้าอย่างนั้น... เรามาทำความสนิทสนมกันดีกว่า ปะ” ร่างสูงใหญ่แบบชาวตะวันตกผุดลุกขึ้นคว้าแขนเด็กทันทีที่พูดจบ

รูสอ้าปากหวอ หน้าตาตื่น ๆ หันมามองสายลมอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกลากออกจากบ้านไปจนได้

สายลมส่ายหน้าให้กับความกวนของน้องชาย ป่วนเขาไปทั่วอีกแล้ว เซย์ เฟอร์ริงตัน

“ลม”

เอวานที่เดินออกมาจากด้านในเอ่ยเรียก สายลมหันไปมองท่าทางเคร่งเครียดของพี่ชายแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม

“ขอคุยด้วยหน่อย”

หนุ่มนัยน์ตาควันบุหรี่ว่า สายลมจึงลุกไปคุย ท่าทางจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นมาเสียแล้วกระมัง


......


โทรศัพท์ถูกวางลงบนแป้นอย่างไม่เบามือนักหลังจากคุยธุระเสร็จ ราซิสกัดกรามกรอด กำมือแน่นแล้วทุบโครมลงบนโต๊ะทำงานของตน คู่ค้าที่ติดต่อขอซื้องานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติกำหนดเวลามาให้เขา หากเลยสัปดาห์นี้ไปจะยกเลิกสัญญาที่ทำร่วมกันและเอาเงินที่มัดจำไว้ครึ่งหนึ่งนั้นคืน ร้ายไปกว่านั้น ราซิสอาจถูกฟ้องร้องฐานหลอกลวงต้มตุ๋นอีกด้วย เพราะตั้งแต่ติดต่อทำธุรกิจร่วมกันมา ทางนั้นยังไม่เคยเห็นงานวิจัยที่ว่านั่นแม้แต่น้อย จะให้แน่ใจได้อย่างไรว่าราซิสจะไม่โอ้อวดเกินจริงโดยที่แท้แล้วอาจไม่มีงานวิจัยนั้นอยู่ในมือก็เป็นได้ หรือหากมีจริง ฝ่ายนั้นจะแน่ใจได้หรือว่าราซิสจะไม่เอางานสั่ว ๆ มาย้อมแมวขายเพียงเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น

เจอสภาวะกดดันเช่นนี้ทำให้ราซิสควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยาก เหตุมันเกิดเพราะการกระทำของศาสตราจารย์ภิชาติและคุณหญิงพจนีย์ ทำให้ยังผลมาถึงปัจจุบันนี้ ใครได้พบเจอเหตุการณ์เช่นเขาเป็นต้องเสียผู้เสียคนแน่ คงจะมีก็แต่รูสที่มองโลกในแง่ดีนักหนา ทำให้ไม่กลายเป็นแบบเขาในตอนนี้

“ฉันต้องเอาตัวแกกลับมาให้ได้ รูส…” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ก่อนที่จะหันไปสั่งลูกน้องเสียงดัง “ฉันจะขึ้นเหนือ จองตั๋วเครื่องบินและที่พักในนับตะวันให้ด้วย ด่วนที่สุด!”


......


สายลมไปที่ทำการรีสอร์ต ขณะที่เอวาน หลังคุยธุระกับน้องชายเสร็จก็สั่งให้คนไปบอกเซย์ที่เล่นน้ำอยู่กับเด็กของสายลมให้ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อกลับอังกฤษไปด้วยกัน พวกเขายังมีเรื่องต้องทำ หากชักช้าอาจไม่ทันการณ์ สองหนุ่มจากต่างแดนจึงต้องกลับไปพร้อมบอดีการ์ดจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือให้ทำหน้าที่ดูแลสายลมอยู่ที่นี่

ลุงหลงมาเฝ้ารูสเล่นน้ำหลังจากเซย์และเอวานต้องบินกลับประเทศด่วน เมื่อมาอยู่ที่นับตะวัน แกไม่ต้องทำงานอะไรเหมือนอยู่ที่เกาะศิลา พอเบื่อ ๆ แกก็เลยปัด ๆ กวาด ๆ รอบบ้านของสายลมตามความเคยชิน ถึงแม้สายลมจะบอกแล้วว่าไม่ต้องทำ แต่เมื่อเป็นความสุขของแก สายลมจึงไม่ได้ห้ามอีก บอกแต่เพียงว่าเหนื่อยก็พักเพราะมีคนของรีสอร์ตมาทำให้อยู่แล้ว แต่หากอยากออกกำลังบ้างก็ไม่เป็นไร

หลังจัดการเรื่องที่รีสอร์ตเรียบร้อยสายลมก็กลับมาที่บ้าน คล้อยหลังเขาก็มีแขกกลุ่มหนึ่งเข้ามาเช็คอิน ที่นี่สายลมมีคนช่วยแบ่งเบาเวลาที่ต้องไปอยู่เกาะศิลา นางมารีน่าและนายเพิร์ธ สองสามีภรรยาทำงานที่นับตะวันแทนอัลเบิร์ต บิดาของเขามานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่บิดาของเขาจะย้ายไปอยู่อังกฤษเป็นการถาวรเสียอีก ทั้งสองคนได้มาจากการคัดกรองของอเล็กซานเดอร์ พวกเขาเคยเป็นคนของนางพรีเซีย ป้าของอเล็กซานเดอร์ ทำให้ไว้ใจได้เรื่องความซื่อสัตย์และฝีมือการทำงาน เพราะนางพรีเซียเองก็มีธุรกิจโรงแรมชื่อ Lania House อยู่แล้ว

นายเพิร์ธและนางมารีน่ามีลูกชายกับลูกสาวอย่างละคน ลูกสาวคงอายุไม่ห่างจากรูสมากนัก ส่วนลูกชายก็รุ่นราวคราวเดียวกับเซย์ หลังเรียนจบก็มาช่วยบิดามารดาทำงานที่นับตะวัน แบ่งเบาภาระสายลมไปได้มากทีเดียว เมื่อมาที่นับตะวัน สายลมก็จะดูเรื่องผลประกอบการ และเมื่อเกิดปัญหาที่ทางนี้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้บางส่วนแล้ว ปัญหาจะถูกรายงานให้เขาทราบเพื่อวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารงาน สายลมรับฟังความคิดเห็นและให้ความสำคัญกับทุกคนที่นี่ โดยเฉพาะครอบครัวของนายเพิร์ธ ชายหนุ่มให้ค่าตอบแทนสูงพอตัว เพื่อให้สมกับที่พวกเขาทุ่มเทเพื่อนับตะวันตลอดมา

แขกที่เข้ามาพักหลังจากที่สายลมกลับไปแล้วทำให้พนักงานพากันหวาดหวั่นไม่น้อย แม้จะเคยพบกับญาติเจ้าของรีสอร์ตที่มีบอดีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง แต่พวกเขาก็ยังไม่ชิน หลังจากทำการเช็คอินให้กลุ่มลูกค้าที่น่าหวาดหวั่น หัวหน้าพนักงานก็ให้คนพาแขกกลุ่มดังกล่าวไปที่บ้านพัก ก่อนจะต่อสายถึงนายเพิร์ธเพื่อให้อีกฝ่ายเรียนให้สายลมได้ทราบว่ามีแขกไม่น่าไว้ใจเข้ามาพักในนับตะวันต่อไป



เมื่อมาถึงบ้านแล้วไม่เจอใคร สายลมจึงไปที่ธารน้ำ เจ้าดื้อยังลอยน้ำเล่นเป็นที่สนุก ส่วนลุงหลงก็นั่งเฝ้าอยู่บนสะพานไม้ ปล่อยตัวป่วนเล่นน้ำจนตัวจะเปื่อยอยู่คนเดียว ท่าทางจะชอบน้ำมากล่ะ เจ้าคนนี้

“เลิกเล่นได้แล้ว รูส ตัวเปื่อยหมดแล้วมั้งนั่น” สายลมเอ่ยทักเมื่อเดินมาหยุดบนสะพานไม้ที่ยื่นลงไปในลำธาร

“เย็นสบายดีออกสายลม มาเล่นกับรูสหน่อย รูสไม่มีเพื่อน” เด็กมันอ้อน

“ขึ้นมาได้แล้ว เร็วเข้า” ชายหนุ่มย่อกายลงพร้อมเอ่ยเรียกซ้ำ

คนถูกเรียกทำเสียงออด ๆ เพราะไม่อยากขึ้นเลย “อีกนิดหนึ่งได้ไหม?”

“ไม่ได้ ถ้าไม่ขึ้นมาจะปล่อยทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว รู้หรือเปล่าว่าแถวนี้มีอะไร?” สายลมหรี่ตา แสร้งทำเป็นระแวดระวังรอบกายราวกับมีลับลมคมในบางอย่าง

“อ... อะไรอ่า?” ตากลมสอดส่ายตามคนตัวโตบนสะพานลอกแลก อย่าทำให้เขากลัวได้ไหม

“หึ ๆ อะไรกันนะที่เด็กดื้อกลัวนักหนา?” เมื่อเห็นท่าว่าจะได้ผล สายลมก็ยิ่งแกล้งเข้าไปอีก

“สายลมอ่า อย่าแกล้งรูสนะ!”

“แกล้งที่ไหน เป็นห่วงนะถึงได้บอกให้รู้ก่อน”

ลุงหลงอมยิ้มกับการหลอกล่อของนายน้อย ดูซิ เด็กดื้อจะทำอย่างไรต่อไป

“รูสขึ้นแล้ว จะขึ้นแล้ว สายลมอย่าพูด” ไม่ทันไรเจ้าดื้อก็หลับหูหลับตาว่ายเข้าฝั่ง นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน

สายลมยืดตัวขึ้นยืน อมยิ้มขำท่าว่ายน้ำของเด็กมันที่เหมือนลูกหมาจมน้ำก็ไม่ปาน แต่เมื่อจะเดินกลับเข้าฝั่ง เสียงน้ำที่เกิดจากการว่ายของรูสกลับดูผิดปรกติ ชายหนุ่มหันกลับไปมองก็เห็นว่าร่างผอมกำลังตะเกียกตะกายผลุบโผล่อยู่ในน้ำ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่ได้ลึกมาก แต่รูสกลับทำท่าว่าจะจมลงไป

“รูส!!” ทั้งสายลมและลุงหลงร้องเรียกด้วยความแตกตื่น

ไม่รอช้า สายลมเตะโด่งรองเท้าของตัวเองก่อนโดดลงไปช่วย กายหนามุดลงไปใต้น้ำแล้วโผล่ด้านหลังของอีกคน ยังไม่ทันที่จะได้แตะต้องตัวบาง แขนเรียวก็วาดมาคล้องคอเขา ก่อนเสียงหัวเราะชอบใจจะดังตามมา

สายลมมึนงงอยู่ชั่วครู่ เมื่อตั้งตัวได้ก็แยกเขี้ยวคำรามในลำคอ “หลอกกันเรอะ ไอ้ดื้อ!!”

เขาเข่นเขี้ยว แต่เด็กมันกลับหัวร่องอหาย หน็อย ดูเอาเถอะ น้ำนี่สูงไม่ถึงอกเขาด้วยซ้ำ อย่างมากก็ไม่เกินอกรูส แต่เด็กมันดันทำเป็นจะจมแหล่มิจมแหล่ ทำให้เขาต้องโดดลงมาช่วย แล้วนี่ยังมาหัวเราะเขาอีก ร้ายนักนะ

แขนแกร่งตวัดรวบเอวบางมาชิด มองตากลมที่อยู่ในระยะประชิดแล้วสายลมก็ชะงัก ดวงตาคู่สวยฉายแววความสุขออกมาอย่างชัดเจน เขาเผลอจ้องมันอยู่หลายนาทีก่อนที่จะผละออกมาในที่สุด ปล่อยเด็กมันลอยคอในน้ำอยู่แบบนั้น ขืนใกล้มากไปคงไม่ปลอดภัยแน่ รีบโตเสียทีเถิด รูสเอ๋ย

“พ่อ” รูสยังลอยตุ้บป่องอยู่ในน้ำขณะที่คุยกับบิดา “สายลมท่าทางแปลก ๆ”

“ขึ้นมาได้แล้ว รูส อย่าทำให้นายน้อยลำบากใจ”

เด็กหน้าจ๋อยเมื่อถูกบิดาดุเอา ค่อยลอยตัวไปเกาะสะพานไม้แล้วดันตัวขึ้นมา ส่งมือให้บิดาจับลุกขึ้น ก่อนพากันเดินกลับบ้านของสายลม

สายตาไม่น่าไว้ใจจ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของรูส โดยที่คนถูกจับจ้องไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงเจื้อยแจ้วกับบิดาของตัวเองอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ

เมื่อมาถึงบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเด็กดื้อก็บ่นมึนหัว สายลมเลยว่าเพราะเล่นน้ำมากถึงได้เป็นไข้ พอโดนบ่น เด็กก็ยิ่งงอแง สายลมจึงให้กินข้าว กินยา แล้วนอนพัก เมื่อตื่นมาอีกทีคราวนี้เด็กเสียงแหบยิ่งกว่าเป็ดก้าบ ทั้งตัวยังรุม ๆ แทนที่กินยาพักผ่อนแล้วอาการจะดีขึ้นกลับแย่ลงกว่าเดิมเสียอย่างนั้น ดื้อจนได้เรื่องสิน่า

“สายลมเลิกบ่น รูสไม่สบาย” เด็กมันรีบดักเมื่อเห็นท่าว่าจะถูกบ่นเอาอีก นั่งปิดหู หน้างออยู่บนเตียง ขณะที่สายลมตั้งท่าเตรียมจะบ่นอย่างที่เด็กมันว่า

“ไม่อยากให้บ่นก็ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าดื้อนัก บอกอะไรก็ฟังกันบ้าง”

“รูสรู้แล้ว เชื่อสายลมทุกอย่างเลย” เสียงออด ๆ เอ่ยบอกคล้ายจะยอมจำนน

“พูดแต่แบบนี้ แต่ไม่เคยเห็นจะทำตามที่พูดสักที”

“จริง ๆ คราวนี้รูสไม่โกหก คนป่วยไม่โกหกหรอก” แหนะ เอาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมาอ้างเสียอีกด้วย คนฟังก็ได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรได้

“เจ็บคอจัง” รูสกระแอมเบา ๆ แตะคอตนเองหน้ามุ่ย เสียงมันเบาลงจนสายลมรู้สึกตงิดในใจ กลัวว่าเสียงจะหายไปอีก

“รูส” ชายหนุ่มเอ่ยเรียก

“อือ”

“พูดให้เพราะ ๆ หน่อยสิ ทีกับเซย์ยังพูดครับเลย”

ตากลมเริ่มปรือปรอยเมื่อเงยมอง “อยากให้รูสแทนตัวว่าผม แล้วแทนตัวสายลมว่าคุณเหรอ?”

“ไหงงั้นล่ะ?”

“อ้าว ก็กับคุณเซย์ รูสไม่สนิทด้วยนี่นา จะคุยแบบคุยกับสายลมได้ไง” ยิ่งพูด เสียงเด็กยิ่งแหบจนไม่อยากให้ใช้เสียงมาก

“เอาเถอะ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว พักผ่อนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้นอนซม ซ่าไม่ออกแน่เรา” สายลมเอ่ยเย้า นั่งลงที่ขอบเตียงแล้วโยกศีรษะทุยเบา ๆ

รูสหัวเราะคิกคัก เอนตัวลงนอนอย่างที่อีกคนบอก ดึงผ้าห่มมาคลุมกายแล้วพูดกับคนตัวโตยิ้ม ๆ

“วันนี้รูสป่วย สายลมไม่ต้องช่วยนะ”

“ยังจะคิดเรื่องนี้อีก” เอ่ยดุพร้อมเขกมะเหงกเด็กทะลึ่งเบา ๆ

“โอ๊ย! รูสแค่บอกไว้เฉย ๆ” แก้มพองออกเลยถูกหยิกหมับ คนหยิกหัวเราะเบา ๆ เมื่อเด็กมันส่งค้อนให้วงโต

“พอเลย เลิกคุยแล้วนอนพักซะ”

บอกให้เด็กดื้อนอนพักแล้วสายลมก็ลุกไปปิดไฟให้ เปิดเอาไว้เฉพาะดวงเล็กตรงโต๊ะทำงานของตนเอง ตากลมมองตามแผ่นหลังกว้าง เสี้ยวหน้าที่กระทบแสงนีออนดูเคร่งขรึมแบบที่รูสไม่เคยเห็น สายลมในมาดหนุ่มนักธุรกิจไม่ใช่นายน้อยของคนบนเกาะศิลา มองไปมองมาตาที่เริ่มปรือก็กลับไม่ยอมหลับลงเสียที เมื่อความคิดซุกซนยังแล่นอยู่ในหัว เห็นผมยาว ๆ ของสายลมแล้วอยากตัดชะมัด...

“มองอะไรนัก หืม?”

สายลมเอ่ยถามโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองเด็กบนเตียง คนถูกทักชะงัก รู้ได้ไงกัน?

“สายลมคิดจะตัดผมบ้างไหม?”

คำถามนั้นทำให้สายลมนิ่งไปนิด ก่อนที่จะหันมามองคนถามแล้วถามกลับ

“ไม่ชอบเหรอ?”

“ก็เปล่า รูสแค่อยากเห็นเวลาสายลมผมสั้น” เด็กยิ้มซื่อ ก่อนจะหาวออกมาเพราะอ่อนเพลียจากพิษไข้

“ตั้งหลายปีนะ กว่าจะยาวเท่านี้” สายลมว่า

“ไม่ตัดก็ได้ รูส...” หาวซ้ำอีกรอบแต่ก็ยังฝืนตัวเองอยู่ “รูสแค่อยากเห็น...”

สุดท้ายความง่วงก็เอาชนะเด็กดื้อของสายลมจนได้ เมื่อเสียงพูดค่อยขาดหายไปพร้อมกับลมหายใจที่สม่ำเสมอ สายลมอุทานเบา ๆ ก่อนจะยิ้มขัน ก้มมองผมตัวเองแล้วก็เริ่มคิด... ถึงเวลาต้องตัดมันเสียทีได้แล้วกระมัง


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :m7:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมที่ได้รับรายงานเรื่องแขกที่เข้ามาพักว่าไม่น่าไว้วางใจนัก ชายหนุ่มจึงได้เข้ารีสอร์ตไปเพื่อดูว่าแขกที่ว่านั้นคือใคร รวมทั้งสั่งให้คนของตนช่วยตรวจดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นด้วย

รูสที่ยังไม่สร่างไข้ลงมานอนอยู่ที่โซฟาเมื่อสายลมออกจากบ้านไป อยู่ชั้นบนคนเดียวเขาไม่ชอบเลย ยิ่งไม่สบายแบบนี้ยิ่งอยากอ้อนมากกว่าปรกติ ทำให้ลุงหลงมาคอยอยู่เป็นเพื่อนลูก ดีที่ไม่งอแง คงเพราะเพลียถึงได้นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น

เมื่อเห็นว่าลูกชายหลับอุตุไปแล้ว ลุงหลงจึงลุกเดินเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ขณะที่กำลังเดินเอื่อยอยู่หน้าบ้านก็รู้สึกถึงบางสิ่งวูบผ่าน ก้าวเดินของลุงหลงหยุดชะงัก แกเหลียวมองรอบกายด้วยความสงสัย เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าจึงส่ายหน้าเบา สงสัยจะตาฝาด

เวลาผ่านไปชั่วครู่ ลุงหลงที่ลุกเดินเปลี่ยนท่าหลังจากนั่งมานานก็เข้าครัวไปหาน้ำดื่มสักเล็กน้อย ก่อนถือแก้วนั้นติดมือออกมา แต่เพียงมาถึงโซฟาที่ลูกชายของตนนอนอยู่ ชายสูงวัยก็ชะงัก เพราะมันเหลือเพียงผ้าห่มผืนบางกับหมอนเท่านั้น คนหายไปไหนแล้วไม่รู้ แกเหลียวมองหาแต่ไม่เห็นแม้เงา ร่างสันทัดจึงลุกเดินหา ทั้งในห้องน้ำชั้นล่างและเดินหาที่ชั้นบนก็ยังไม่เจอ ยังไม่สร่างไข้ ไปเล่นซนที่ไหนอีกแล้วไม่รู้ เจ้าดื้อ

คนที่ลุงหลงตามหาในเวลานี้ไม่ได้ไปเล่นซนที่ไหน แต่กลับเดินทื่อ ๆ มายังบ้านพักหลังหนึ่งในรีสอร์ตนับตะวัน ท่าทางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย แต่ขาก็พาก้าวเดินมาไม่มีหยุด สีหน้าดูอิดโรยแต่นัยน์ตากลับเปลี่ยนสี เหลืองอำพันที่ฉายแววสดใสกลับค่อย ๆ ถูกกลืนด้วยสีแดงเพลิงอย่างช้า ๆ มันมองตรงไปข้างหน้า ข้างหน้า... ที่เต็มไปด้วยคนของราซิส



ภายในถ้ำอันสงบเงียบบนผาสูงของเกาะศิลา สิงโตตัวใหญ่นอนพักอยู่บนโขดหินใกล้ปากทางเข้า นัยน์ตาสีทองที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาฉับพลันเมื่อรับรู้ถึงบางสิ่ง มันลุกขึ้นยืนแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า ก่อนกระโจนขึ้นสูงตัดกับแสงสีขาวสว่างจ้าที่ส่องวาบมาชั่วขณะ และพลันนั้นเอง ร่างของมันก็ตกลงมาบนกระโปรงหน้ารถคันหนึ่ง มันแยกเขี้ยวคำรามก้อง รถคันดังกล่าวแฉลบออกนอกเส้นทาง ก่อนที่คนขับจะบังคับให้มันกลับมาวิ่งปรกติหลังตั้งสติได้

ราซิสที่นั่งอยู่ในรถตกตะลึงกับสิงโตที่เกาะอยู่หน้ารถ แม้คนของเขาจะพยายามขับรถปาดไปมาเพื่อสะบัดมันให้หลุด แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง อุ้งเท้าหนัก ๆ ทั้งกรงเล็บแข็งแรงและแหลมคมฟาดลงบนกระจกจนคนในรถร้องเสียงหลง รูสที่ถูกจับมัดมือไพล่หลังทั้งยังมีเทปเหนียวหนืดปิดปากเอาไว้ร้องอู้อี้ในลำคอเมื่อเห็นลูห์ ซึ่งเจ้าป่าตัวใหญ่ก็ร้องคำรามราวโต้ตอบกลับมา

“อ้อ นี่แกรู้จักมันเหรอ รูส?” ราซิสเอ่ยถามสีหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะสั่งลูกน้องของตนเสียงดัง “ยิงมัน! ถ้ามันไม่ตาย พวกแกจะเป็นฝ่ายตายแทน!!”

รูสหันขวับมามองพี่ชายของตน ตากลมเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง หันกลับไปมองลูห์แล้วพยายามส่งเสียงบอกมันทั้งที่รู้ดีว่าตนเองทำไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เดินโง่เข้าไปหาพี่ชายจนถูกจับมาเช่นนี้ แต่รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้ว จะหนีก็ไม่ได้เมื่อถูกล้อมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขามันบ้า

กระบอกตาหนุ่มน้อยร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงความโง่งมของตนเอง ร่างผอมดิ้นรนหนักจนราซิสต้องกดศีรษะอีกฝ่ายลง คนถูกกดพยายามจะดิ้นแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ร้องอื้ออึงในลำคอ

“นี่มันอะไรกันวะ!?”

เสียงสบถของราซิสทำให้รูสชะงัก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงปืนที่ยิงปะทะกันโดยที่ตนยังถูกกดศีรษะเอาไว้ไม่ให้เงยมอง

“รูส! รูส!!”

‘สายลม...’ หัวใจรูสเต้นระรัวเมื่อได้ยินเสียงสายลมดังแทรกเสียงปืนเพราะพี่ชายลดกระจกลง

กายผอมขืนตัวแล้วเอียงล้มตะแคงลงไปบนเบาะ ทำให้หลุดจากการเกาะกุมของผู้เป็นพี่ที่สบถด้วยความหัวเสีย แต่เพราะการปะทะที่กำลังเกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะต้องระวังฝ่ายตรงข้ามให้ดี

“จัดการมันสักทีสิวะ ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง!!”

ชายหนุ่มตะคอกลั่นรถ คว้าอาวุธมาเพื่อยิงตอบโต้กับฝ่ายตรงข้ามที่ขับรถตามมาแบบกระชั้นชิด เจ้าสิงโตนั่นมันหายไปจากหน้ารถตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ และเขาคงไม่หาคำตอบเพราะต้องรับมือกับศึกอีกด้าน

ขณะที่เหตุการณ์กำลังโกลาหล รูสพยายามขยับไปที่ประตูรถ แต่เพราะแขนถูกมัด ปากก็ถูกปิดเอาไว้อีก ทำให้ไม่รู้ว่าจะบอกกับสายลมอย่างไรว่าตนเองอยู่ในนี้ นัยน์ตาคลอคลองด้วยหยาดน้ำใส แต่ก็ต้องกล้ำกลืนมันกลับลงไป เขาจะอ่อนแอไม่ได้ ทั้งสายลมและลูห์ตามมาช่วยแบบนี้แล้ว เขาจะอ่อนแอไม่ได้

“อื้อออ!!!” รูสสะดุ้งเฮือกแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อดันตัวขึ้นพิงประตูรถแล้วลูห์ก้มลงมาตรงกระจกพอดี

“อยู่เฉย ๆ ได้ไหมฮะ!” ราซิสกระชากไหล่น้องชายกลับมา เมื่ออีกฝ่ายโผล่หน้าขึ้นไป คนภายนอกอาจจะไม่เห็น แต่มันจะโดนลูกหลง แล้วถ้ามันตาย เขาจะหารหัสเปิดประตูจากไหนกัน!

ร่างผอมกลิ้งตกลงไปตรงซอกรถ ราซิสมองแล้วก็เหยียดปาก ไม่คิดจะช่วยน้องขึ้นมา หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาสู้กับคนที่ตามมาช่วยรูสจะดีกว่า ให้มันนอนอยู่ในซอกนั้นก็ดี จะได้ไม่เป็นภาระของเขา

ทางด้านสายลมที่ตามมาช่วยโดยไม่ทันได้คิดให้ถ้วนถี่ เพียงรับรู้จากลูห์ว่าเด็กมันตกอยู่ในอันตรายก็บึ่งรถออกมาโดยมีคนของเฟอร์ริงตันตามมาเพียงสองนาย และตอนนี้ฝ่ายเขาก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อมีรถอีกสามคันไล่หลังมาหลังจากที่เขาบึ่งรถตามคันหน้ามาได้สักพัก มันไม่ใช่รถยนต์ของชาวบ้านธรรมดาแน่ เมื่อมันมุ่งตรงมาทางที่พวกเขากำลังปะทะกันอยู่ ซ้ำยังยิงเกือบโดนล้อหลังรถของเขาอีก ดีที่คนขับมีฝีมือหลบเลี่ยงได้พ้น แต่คงได้ไม่นานแล้ว เมื่อรถสามคันนั้นเร่งเครื่องตามมากระชั้นชิดเหลือเกิน

ตึง!!

เสียงบางอย่างหล่นลงมาบนหลังคารถ สายลมเงยขึ้นไปมอง แม้ไม่เห็นว่าอะไรอยู่บนนั้น แต่ก็รับรู้ได้ว่าเป็นลูห์ ชายหนุ่มกวาดมองรอบด้าน ขืนยังดันทุรังต่อไปก็คงไม่พ้นเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเท่านั้น

‘รูสยังปลอดภัย’

ลูห์บอกกับเขาเช่นนั้น สายตาคมแม้เพ่งมองแต่กระจกรถของฝ่ายตรงข้ามที่ทึบทึม ทั้งยังปาดไปมาและต้องยิงสกัดด้วย ทำให้เป็นการยากที่จะมองหารูส แต่เมื่อลูห์บอกว่าเด็กของเขายังปลอดภัย สายลมจึงต้องตัดสินใจว่าจะเสี่ยงเข้าแลกแล้วไม่ได้อะไรกลับมา หรือจะวางแผนกันให้รัดกุมเพื่อเข้าชิงตัวรูส

ปัง! ตูม!!

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นกะทันหัน รถของสายลมส่ายจนควบคุมไม่อยู่เมื่อรถด้านหลังเล่นทีเผลอยิงรัวใส่ล้อ คนของเฟอร์ริงตันบังคับทิศทางรถอย่างสุดกำลังเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด สายลมมองรถทั้งสี่คันที่วิ่งฉิวผ่านไปด้วยความแค้นใจ อยากจะร้องออกมาจนสุดเสียงให้สมกับความอัดอั้นที่มี แต่ก็คงไร้ประโยชน์

หมุนคว้างอยู่สักพัก รถยนต์คันดังกล่าวก็หยุดลงในที่สุด ทั้งสามคนรีบออกมาจากตัวรถเมื่อเกรงว่าอาจเกิดการระเบิดขึ้นเพราะสะเก็ดไฟจากการเสียดสีของวงล้อ สายลมได้แต่เจ็บใจตัวเองที่ช่วยรูสเอาไว้ไม่ได้

ลูห์ค่อยก้าวมายืนข้างกายของผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็นนายเหนือตน สายลมเบือนสายตากลับมามองมัน เขาไม่แปลกใจที่มันมาโผล่ที่นี่ เพราะหากลูห์เป็นเพียงสิงโตธรรมดาคงไม่มีทางถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์บนเกาะศิลา

ในเวลานี้ทั้งสายลมและลูห์มีความคิดที่ไม่ต่างกันเลยสักนิด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าได้หวังจะแตะต้องเด็กของพวกเขา สายลมไม่ชอบทำร้ายใคร แต่หากพวกมันมายุ่งกับคนสำคัญของเขา เขาก็ไม่อาจรับปากว่าด้านที่ถูกกดเอาไว้มันจะไม่แสดงออกมา หากเกิดอะไรขึ้นกับรูส พวกมันทุกคนก็เตรียมตัวลงนรกไปได้เลย!


......


บ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวง สถานที่ที่ผู้คนแสนพลุกพล่าน สายลมลงจากรถมายืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น หลังจากนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบิน เขาก็ตรงมาที่นี่ในทันที ชายหนุ่มหันมามองความว่างเปล่าข้างกาย สักพักเงาร่างหนึ่งก็ค่อยเด่นชัดขึ้น หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าร่างนั้นดูอ่อนเพลีย

‘แปลกถิ่น’ เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นราวรู้ความคิดของเขา

“อืม”

สายลมทำเสียงรับรู้ หันกลับไปมองประตูหน้าบ้านที่ค่อย ๆ เปิดออกเพื่อต้อนรับเขา ชายหนุ่มและสิงโตคู่บารมีก้าวเข้าไปด้านใน คนของบ้านหลังนั้นค้อมตัวทำความเคารพ ก่อนจะพาไปพบกับชายคนหนึ่งที่กำลังรอเขาอยู่เหนือบันไดหน้าบ้าน บุคลิกของอีกฝ่ายดูภูมิฐานแม้อยู่ในชุดลำลอง บ่งบอกความเป็นนายเหนือผู้คน

“สวัสดีครับ อาแอล” ชายหนุ่มไหว้ทักทายอีกฝ่าย ทางนั้นรับไหว้ก่อนจะพยักหน้าให้ก้าวตามเข้าบ้าน สายลมจึงหันมาหาลูห์ ก่อนที่จะเดินตามเข้าไป

เพื่อไม่ให้เสียเวลา เมื่อหย่อนกายลงนั่ง สายลมก็เปิดประเด็นในการมาครั้งนี้ทันที เขาโทรมาประสานงานกับผู้เป็นอาแล้ว แม้ไม่อยากรบกวน แต่เพราะลูกน้องของอารู้ว่าราซิสอยู่ที่ไหน และอาแอล หรือมิสเตอร์แอลคนนี้มีประสบการณ์มากกว่า และกว้างขวางกว่า เขาจึงต้องมาขอคำปรึกษาเพื่อหาทางช่วยรูสก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้

ชายตรงหน้าที่เขาเรียกว่าอากระตุกยิ้มมุมปากเมื่อฟังเขาพูดจบ นั่นทำให้สายลมชะงัก อาการกระวนกระวายที่เผลอแสดงออกไปเสียมากมายค่อยลดระดับลงเพราะรอยยิ้มนั้น และแววตาที่ดูจะล่วงรู้ถึงความนึกคิดที่เขามี

“ใจเย็น ๆ สายลม” เสียงทุ้มฟังดูกังวานในความรู้สึกเอ่ยขึ้นมาช้า ๆ “อาให้คนไปจัดการให้แล้ว รู้ว่าเราเป็นห่วงเด็ก แต่ไม่เป็นไรหรอก เด็กคนนั้นเพิ่งถูกพาเข้าไป การที่นายคนนั้นมาลักพาเด็กของเราไป มันน่าจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง จริงไหม?”

ผู้เป็นอาคาดคะเน ซึ่งนั่นมันก็ใช่ แต่คนที่กำลังร้อนใจก็ไม่อยากปล่อยเวลาเอาไว้นาน

“ผมไม่ทราบว่ามันต้องการอะไร แต่มันเคยให้คนมาฆ่ารูส ผมไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้รูสอยู่กับมันนานไปกว่านี้”

“ใจร้อนจริง”

“......” สายลมชะงักกับรอยยิ้มและคำพูดนั้น ไม่รู้ว่ากำลังถูกตำหนิอยู่หรือเปล่า จนเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“อย่างนั้นไปกันเลยไหม?”

“...?” มองหน้าผู้เป็นอาด้วยความมึนงงเพราะตามอารมณ์ไม่ทัน

“ทำไมล่ะ กลัวว่าเด็กคนนั้นจะไม่ปลอดภัยไม่ใช่เหรอ?” ผู้เป็นอาเลิกคิ้ว

เห็นแบบนั้นแล้วคนเป็นหลานจึงรีบเรียกสติตัวเองกลับมาพร้อมตอบรับ “ครับ”

ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจ ก่อนที่จะลุกเดินนำหน้าหลานชาย พากันออกไปพร้อมลูห์ที่ตามหลังมาไม่ห่าง แต่ก่อนที่จะทันได้ออกไปไหน ใครอีกคนก็ส่งเสียงเรียกเอาไว้

“อลัน คุณจะพาหลานไปไหนน่ะครับ?”

ใครคนนั้นก้าวเข้ามาหา สองหนุ่มต่างวัยยืนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาถึง สายลมยกมือไหว้ รู้สึกเสียมารยาทนักที่ตั้งแต่มาถึงยังไม่ทันทักทายใครก็จะพาอาแอลออกไปเสียแล้ว

อลันกอดเอวผู้เข้ามาใหม่พลางบอก “ผมจะไปจัดการธุระนิดหน่อย รออยู่ที่บ้านนะ”

ร่างสูงใหญ่จูบแก้มอีกฝ่าย ยิ้มน้อย ๆ แล้วผละมา ทำให้สายลมก้าวตาม สายตาคมเหลือบมองคนที่มีท่าทีเป็นกังวล ก่อนจะหันกลับมาพูดกับอาของตน

“อาครับ ผมไม่รบกวนอาจะดีกว่า แค่ให้คนนำทางผมไปก็พอ” สายลมเอ่ยขึ้นมาด้วยความเกรงใจ เพียงแค่เขาโผล่มารบกวนเช่นนี้ก็มากพอแล้ว ขืนให้อาออกโรงเองอีกคงไม่ดีแน่

ผู้เป็นอาหันมามอง มือหนาเอื้อมไปวางบนไหล่กว้าง “อย่าวู่วามล่ะ เพราะฝ่ายเสียเปรียบจะกลายเป็นเราในทันที”

“ครับ”

เมื่อเขารับคำ มือนั้นก็ตบบ่าหนัก ๆ ก่อนจะเรียกลูกน้องที่ไว้ใจได้มาทำตามความประสงค์ของเขา เมื่อมีคนมามากขึ้น ลูห์จึงค่อยพรางกายเพื่อขึ้นรถไปกับสายลม วินาทีนี้ในหัวของทั้งคู่มีแต่คำว่าจะต้องช่วยให้ได้ จะช่วยกลับมาให้ได้... รูส




TBC



ขอบคุณทั้งสองท่านค่ะ ยังบวกไม่ได้ แปะไว้ก่อนนะคะ  :กอด1:

------

บวกเรียบร้อยค่ะ  :L2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2018 18:17:26 โดย wanmai »

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ลูห์เจ๋งอะทีแรกเราก็นึกว่าราซิสจับรูสไปเกาะศิลาอีกก็เลยมาเจอลูห์แต่มันไม่ใช่ลูห์มีของอะ  o13 o13 o13 สายลมก็ใจเย็นๆน้า555รู้สึกเหมือนเรารักลูห์มากกว่าสายลมอะ  :z1: :z1: :z1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1
ลูห์แท็คทีมกับสายลมและพลพรรคของอาแอล
เราคงไม่ต้องห่วงรูสแล้วละนะ ปลอดภัยแน่ๆ

สำหรับราซิส .. คงศพไม่สวย
ลูห์จัดไปอย่าให้เหลือซาก


ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๔ บางสิ่งที่ซุกซ่อน



บ้านธรรมวงศา

รูสถูกพากลับมาที่นี่ เพราะต้องนั่งเครื่องบินมาทำให้แขนของเขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ราซิสใช้วิธีเช่าเครื่องบินเล็กเพื่อให้กลับมาถึงที่บ้านนี้ให้เร็วที่สุด ไม่สนใจว่าตลอดระยะทางน้องชายของตนจะนั่งขดอยู่ตรงซอกมุมเพราะความกลัว จุดหมายของเขามีค่าให้สนใจมากกว่าความรู้สึกของใครต่อใคร

ชายหนุ่มลากน้องมาที่ห้องลับใต้ดิน ยิ่งก้าวลงไป รูสก็ยิ่งใจสั่น ความทรงจำร้าย ๆ ย้อนกลับเข้ามาแม้ไม่อยากนึกถึง กายผอมสั่นงันงกจนผู้เป็นพี่ชายรู้สึกได้ แต่ก็เพียงแค่ปรายมองเท่านั้น เพราะมือหนายังคงฉุดกระชากน้องให้ตามตนเองมาไม่มีหยุด มันจะกลัวก็เรื่องของมัน เพราะเขาไม่เคยกลัวไอ้ห้องบ้า ๆ นั่น เพราะมันคือสถานที่แห่งความแค้น ไม่ใช่สถานที่แห่งความหวาดกลัว!

เมื่อลงมาถึงหน้าประตูห้องเก่าคร่ำครา รูสก็ถูกเหวี่ยงจนเซไปชนกับบานประตูจนอุทานออกมาเบา ๆ ดวงตากลมเหลือบมองพี่ชายของตนด้วยความหวาดหวั่น

“แกรู้ใช่ไหม รูส รหัสของห้องนี้”

น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามเชิงข่มขู่ รูสกวาดมองชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ที่ยืนขนาบพี่ชายของตนแล้วก็ส่ายหน้าว่าไม่รู้ เส้นความอดทนของราซิสหมดลงเมื่อเห็นท่าทีของผู้เป็นน้องนอกไส้ มือหนาขยุ้มเส้นผมของอีกฝ่ายแล้วกระชากจนหน้าหงาย ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วคำรามลอดไรฟัน

“ไม่รู้ได้ยังไงกัน รูส นึกว่าพี่จะเชื่อเหรอว่าไอ้ดอกเตอร์นั่นมันจะไม่บอกอะไรแกเลย หา!!?”

รูสสะดุ้งเฮือกเมื่อราซิสตะคอกเสียงดังในตอนท้าย หัวใจเต้นระรัวขณะที่ตากลมมองจ้องอีกฝ่ายเขม็ง บอกตัวเองว่าเขาไม่กลัว ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ในเมื่อเขาไม่เหลืออะไรแล้วใยต้องกลัว ก็แค่ราซิส ก็แค่พี่ชายเฮงซวย!

เห็นแววตาของรูสที่แปรเปลี่ยนไปแล้วราซิสก็ชะงัก ไอ้เด็กนี่คิดจะสู้กับเขาหรือ ช่างไม่เจียมกะลาหัว คิดว่ามันแค่คนเดียวจะทำอะไรได้ หน้าโง่!

ชายหนุ่มปรามาสคนเป็นน้อง สายตาค่อยละจากตากลมที่มองจ้องมายังอกบาง จี้ห้อยคอมันล้อแสงไฟที่อยู่เหนือประตูห้อง เรียกสายตาของเขาให้จับจ้อง ก่อนที่จะช้อนมันขึ้นมากลิ้งอยู่ในอุ้งมือ

“จี้นี่ มันพิเศษกับแกมากใช่ไหม เห็นใส่ไม่เคยถอด บางที...” ชายหนุ่มเว้นจังหวะ สีหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย

รูสดึงสายสร้อยกลับด้วยความตื่นตระหนก มือเรียวกำมันเอาไว้แน่น อย่ามายุ่งกับสร้อยเส้นนี้ จี้นี่บิดาเขาสั่งให้เก็บให้ดี เขาไม่เคยถอดมันเพราะคิดว่าสำคัญต่อบิดามาก เขาไม่รู้ว่ามันพิเศษอย่างไร แต่เมื่อมันคือคำสั่งของบิดา เขาจึงทำตามมาโดยตลอด

ราซิสมองท่าทีของผู้เป็นน้องแล้วก็เข้าใจว่าจี้มันต้องสำคัญมากแน่ บางทีอาจมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่แน่อาจเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาเข้าไปในห้องบ้า ๆ นั่นได้สำเร็จก็เป็นได้

“เฮ้ย จับมันไว้”

สิ้นเสียงสั่ง ชายฉกรรจ์สองนายก็เข้าล็อกแขนรูสทั้งสองข้าง สร้อยถูกราซิสกระชากจนขาดสะบั้น รูสมองตามมันด้วยอาการตกตะลึง ริมฝีปากบางขยับจะร้องห้าม

“ยะ...”

“อะไร?” ราซิสเอ่ยแทรก เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อยกสร้อยในมือขึ้นมาตรงหน้าน้องชายที่ทำอะไรไม่ได้ “มันพิเศษจริง ๆ สินะ รหัสเปิดประตูมันอยู่ในนี้ใช่ไหม?”

เขาคาดเดา แต่รูสกลับส่ายหน้า

“พี่... อย่าเอาไป”

พยายามร้องขอ แต่ราซิสกลับไม่ฟัง ส่งสร้อยเส้นนั้นให้กับลูกน้องของตน แววตาไร้ความปรานีมองสบกับแววร้องขอที่เขาไม่เคยคิดจะให้

“ทุบมัน!”

“...!!!!!”

ตากลมเบิกค้าง หันไปมองคนของพี่ชายถือสร้อยของตนไปทำตามคำสั่ง กายผอมดิ้นรนทั้งร้องห้ามจนสุดเสียง

“อย่า!!!!”

เพล้ง!!

ไม่มีความเมตตา ไม่มีใครเห็นใจ จี้ประดับทรงกลมแตกละเอียดราวกับหัวใจของรูสที่แตกยับไปพร้อมกัน ไข่มุกด้านในร้าวและค่อยปริแตก มีกระแสไฟแล่นแปลบปลาบก่อนจะจางหายไป หลงเหลือเพียงเศษซากจากการทำลายเพียงเท่านั้น

“นี่มันอะไร?”

เสียงราซิสดังแว่วเข้ามาในหู รูสแทบไม่รับรู้อะไรต่อจากนั้น กายผอมรูดตัวลงนั่งราวหมดเรี่ยวแรง แขนที่ถูกจับตรึงจึงคลายออกตามไปด้วย

“ไม่มีอะไรอยู่ในนี้เลยครับ นาย”

ลูกน้องของราซิสรายงานผลพร้อมกอบเอาเศษจี้ที่แตกหักใส่ผ้าบาง ๆ มาให้ผู้เป็นนายดู ชายหนุ่มกัดกรามกรอด หันมาหารูสที่ทรุดนั่งก้มหน้าอยู่ที่พื้นด้วยความแค้นใจ คนที่ถูกทำร้าย ทำลายทั้งหัวใจและชีวิตจนสุดจะทนเงยขึ้นมาสบตากับเขาด้วยแววแข็งกร้าว ราซิสจึงขยุ้มคอเสื้อของอีกฝ่ายแล้วรั้งให้ลุกขึ้นมา นัยน์ตาของรูสแดงก่ำจนไม่เหลือเค้าสีเดิมที่เหลืองสดใสแม้แต่น้อย ราซิสชะงักงัน ก่อนที่เสียงคำรามในลำคอจะดังขึ้นมาจากคนตรงหน้าเขาตอนนี้

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก”

รูสร้องเสียงดังจนมันก้องไปทั้งชั้นใต้ดิน กายผอมโดดเข้าใส่ราซิสจนล้มลงไป เหล่าลูกน้องพากันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว เด็กคนนี้ราวไม่ใช่รูส ไม่ใช่เด็กหัวอ่อนที่ใครจะป้อนข้อมูลอะไรใส่หัวก็ได้ ฟันคมกัดลงมาบนไหล่ของผู้เป็นพี่ ไม่สนใจปากกระบอกปืนที่เล็งมาหาตนเอง สะบัดหัวราวจะฉีกกระชากเนื้อหนังของเหยื่อก็ไม่ปาน

ราซิสร้องลั่น มือหนาดันหน้าผากรูสเอาไว้สุดกำลัง ลูกน้องของเขาก็ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก จะยิงก็กลัวถูกนายของพวกตนจนได้แต่เล็งอยู่เช่นนั้น

“เอามันออกไปสิโว้ย!!!”

ชายหนุ่มตวาดไอ้พวกหัวทึบ พวกมันค่อยกรูกันเข้ามารั้งรูสออกให้พ้นตัวของนาย เด็กตัวผอมแต่แรงมหาศาลยังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

ปัง!!

เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นใส่หน้าชายร่างใหญ่ที่จับตัวรูสเอาไว้ เขม่าควันจากปากกระบอกปืนในมือของราซิสลอยล่อง ดวงตาสีแดงเพลิงมองจ้องคนยิง ทั้งเสียใจ ทั้งเคียดแค้น ขณะที่เลือดไหลทะลักจากบาดแผลตรงกลางอก

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก”

กายผอมเหวี่ยงคนของราซิสทั้งสองนายจนถลาไปคนละทิศ ก่อนจะกระโจนไปที่บันไดไม่รอช้า เสียงราซิสสั่งคนให้ตามไปดังอยู่ด้านหลัง รอยเลือดหยดไปตามพื้นที่ร่างนั้นพุ่งทะยานไป

เมื่อโผล่ขึ้นมาด้านบนรูสก็หยุดชะงัก คนของราซิสที่เฝ้าทางเข้าหันมาเห็นเขาต่างจะพากันเข้ามาจับ นัยน์ตาสีเพลิงตวัดมองบางสิ่ง ก่อนที่จะกระโจนขึ้นไปบนหน้าต่างของห้องนั้นท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เท้าเรียวเหยียบบนกรอบหน้าต่าง หันกลับมามองราซิสที่วิ่งมาถึงพอดี ก่อนกระโดดออกไปพร้อมกับเสียงปืนที่ยิงรัวไล่หลัง

เมื่อวิ่งกรูกันออกมาด้านนอก รูสก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว ราซิสสบถอย่างหัวเสีย สั่งให้คนของตนเองตามหาให้ทั่ว ก่อนจะเหลือบมองหัวไหล่ตนที่เลือดไหลซึมจนชุ่ม

“นี่... รูส... มันเป็นตัวอะไรกันแน่?”


สายลมที่ตามมาช่วยเด็กถึงบ้านธรรมวงศา เพียงเหยียบย่างลงจากรถก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด หัวใจชายหนุ่มแทบร่วง ขายาวก้าวไปที่หน้าประตูบ้านหลังนั้นในทันที

“รูส...”

ห่วงเด็กจนใจจะขาด สายลมพยายามหาทางที่จะเข้าไปในตัวบ้านเพราะทนอยู่ด้านนอกนี่ไม่ได้แม้วินาทีเดียว กายหนาเกิดอาการชะงักเมื่อรู้สึกคล้ายกับมีบางสิ่งวูบผ่าน สายตาคมหันขวับตามสิ่งนั้นแต่ก็ทันได้เห็นเพียงหลังไว ๆ และกลิ่นคาวเลือด ชายหนุ่มจะตามสิ่งที่ตนเองเห็นไป แต่ราซิสและพวกกลับเปิดประตูหน้าบ้านพรวดพราดออกมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีทางเลี่ยง

ราซิสลดมือที่กุมอยู่เหนือไหล่ลง ยืดตัวตรงเพื่อให้รู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่าย ไอ้หนุ่มผมยาวตรงหน้าเขามันเป็นใครเขาไม่รู้ แต่กล้าถึงขนาดพาคนมาเหยียบถึงถิ่นเขาแบบนี้คงไม่ใช่ธรรมดา

“รูสอยู่ไหน?” เสียงเข้มเอ่ยถาม นัยน์ตาสีนิลมองจ้องดุดัน

“พูดอะไรของแก?” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงรูส ราซิสก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้ากลับเป็นปรกติแล้วหันไปสั่งลูกน้องตน “เฮ้ย! ปิดบ้านเว้ย”

กายหนาจะก้าวกลับเข้าบ้านโดยไม่คิดจะตอบคำถามของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย สายลมจึงเอ่ยท้วงออกไปเสียงเรียบ

“แกคิดว่าเดินหนีไปแบบนี้แล้วสิ่งที่แกทำมันจะจบลงไปง่าย ๆ หรือไง?”

ราซิสหันกลับมามองสายลมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่คนเปิดประเด็นยังพูดต่อ หางตาคมปรายมองบางสิ่งข้างกาย ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะยกยิ้มเมื่อเบือนกลับมาที่ราซิส

“ฉันไม่รู้จักแก แต่ถ้าแกจะตามข่าวบ้างก็น่าจะรู้ว่ารูสมันหายตัวไปตั้งนานแล้ว”

“นั่นก็เพราะแกไม่ใช่เหรอ?” สายลมเอ่ยแทรก

“......” อีกฝ่ายมองจ้องด้วยความตึงเครียดเมื่อสายลมพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง

“ส่งตัวรูสมา” สายลมเอ่ยย้ำ

ราซิสมองนิ่งราวถ่วงเวลา ยิ่งเวลาเดินไป ใจสายลมยิ่งกระวนกระวาย แต่ต้องเก็บมันไว้ภายใต้ความดุดันของสีหน้า ไม่แสดงอาการอะไรที่จะทำให้เป็นจุดอ่อนของตน

“เสียใจ แกมาช้าไปว่ะ” น้ำเสียงเนิบช้าและรอยยิ้มเยาะหยันจากราซิสทำให้สติสายลมขาดผึง

“แก!!”

มือหนากระชากคอเสื้อของราซิส ทำให้ลูกน้องของทั้งสองฝ่ายชักปืนออกมาเล็งใส่กันทันทีเพื่อปกป้องนายของตน ราซิสยิ้มเยาะ เขาเจ็บไหล่ที่เลือดยังคงซึมจากบาดแผลที่ได้มาเพราะฝีมือรูส แต่ก็ไม่คณา

“ตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี ไอ้เด็กนรกนั่น”

ผลัวะ!!

เพียงสิ้นเสียงพูด หมัดหนัก ๆ ก็ฟาดปากคนพูดอย่างไม่ออมแรง คนของมิสเตอร์แอลรั้งตัวสายลมเอาไว้ โดยที่ส่วนหนึ่งก็ยังคงทำหน้าที่คุ้มกัน ราซิสที่แทบเซล้มจากฤทธิ์กำปั้นของสายลมโบกมือให้ลูกน้องที่เข้ามาพยุงปล่อย มือหนาเช็ดมุมปากที่เลือดซึมออกมา ทั้งยิ้มเยาะสายลมที่ดูกราดเกรี้ยวเพราะคำพูดของตน

“บอกให้เอาบุญ มันยังไม่ตายหรอก แต่ก็คงอีกไม่นาน...!”

กริ๊ก!

ปากกระบอกปืนกดทิ่มที่หน้าผากทำให้ดวงตาราซิสเบิกขึ้นเมื่อมันรวดเร็วจนมองไม่ทัน ลูกน้องของเขาก็ยังยืนโง่อยู่ ขณะที่เขากำลังจะถูกเป่าสมองไหล นิ้วสายลมเกี่ยวไกปืนเอาไว้พร้อมลั่นไกได้เสมอ

“คุณสายลม ใจเย็น ๆ ครับ” คนของมิสเตอร์แอลกระซิบเตือน พอเป็นเรื่องของคนสำคัญทีไร อากับหลานก็อารมณ์ร้อนไม่ต่างกันเลย

สายลมจ้องราซิสไม่ละสายตา ราวกับกำลังวัดใจ และกลายเป็นฝ่ายราซิสที่เปิดปากก่อน

“หึ แกกล้ายิงก็ลองดู ถิ่นใครรู้ซะบ้าง”

“ถิ่นใครฉันไม่รู้ ถ้าลูกปืนฉันเจาะกะโหลกแกสักรู มันคงทำให้แกรู้จักฉันดีขึ้น”

ประโยคที่ดูไม่มีแววล้อเล่นสักน้อยนิดทำให้ราซิสเงียบไป จ้องกันอยู่สักพัก สุดท้ายราซิสจึงต้องบอก

“รูสไม่ได้อยู่ที่นี่”

ถึงจะบอกมาเช่นนั้น สายลมก็ยังไม่ละสายตา ปืนยังคงกดบนหน้าผากของราซิสคงเดิม

“ฉันไม่ได้โกหก แกดูแผลที่ไหล่ฉันสิ ฝีมือไอ้เด็กนั่น”

“รูสไม่เคยทำร้ายใคร” สายลมแย้ง

“หึ ทำเหมือนแกรู้จักมันดี แกรู้ไหมว่ามันเป็นตัวอะไร ไอ้เด็กประหลาดนั่น”

นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย แทบไม่ได้ฟังที่อีกฝ่ายพูดเมื่อหูได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงที่เขากำลังรออยู่ ปืนในมือค่อยคลายอาการกดทิ่มและลดระดับลง พร้อมมุมปากที่กระตุกยิ้ม

“หึ วันนี้อาจยังไม่ใช่วันของแก แต่...” ริมฝีปากหยักที่ยกยิ้มอยู่เมื่อครู่ค่อยหุบลง ก่อนเอ่ยปิดท้าย “ระวังสมองกลวง ๆ ของแกเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มผินกายแล้วก้าวออกไปโดยมีคนของผู้เป็นอาคอยระวังหลังให้ จนกระทั่งพากันขึ้นรถแล้วขับออกไป ราซิสที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมออกจะมึนงงเมื่อสายลมยอมเชื่อตนง่ายดายขนาดนั้น ช่างโง่เง่าไม่มีใครเกิน

เมื่อกลับเข้ามาในบริเวณบ้าน ราซิสก็บ่นเรื่องรูส แผลของเขาปวดตุบยิ่งทำให้เคืองแค้น ความยะเยือกจากอะไรบางอย่างทำให้ขนกายตั้งชัน ชายหนุ่มเหลียวมองรอบกายเมื่อรู้สึกเหมือนว่ามีใครมองพวกตนอยู่ แต่กลับไม่เห็นใครเลยนอกจากความว่างเปล่า ยิ่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้นเพราะรูส ยิ่งทำให้ราซิสสบถอย่างหัวเสีย จะมีตัวประหลาดอะไรโผล่มาอีกบ้างวะ!

จุดอับแสงภายในสวนหน้าบ้านนั่น ลูห์ค่อยเผยตัวขึ้นช้า ๆ หลังจากราซิสเดินห่างออกไป มันมองไปรอบกายอย่างสำรวจตรวจตรา นัยน์ตาสีทองส่องแสงภายใต้ความมืด พยายามใช้สัมผัสที่มีและการดมกลิ่นของตน แต่มันก็รางเลือนเหลือเกิน ได้กลิ่นของรูสเพียงจาง ๆ ทั้งยังปะปนกับกลิ่นของพวกนั้นจนมั่วไปหมด ก่อนกลิ่นนั้นมันจะจางหายไปพร้อมความรู้สึกที่ว่า ในเวลานี้มันอยู่ไกล ๆ อยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ที่นี่

ลูห์ถอยเข้าสู่ความมืดอีกครั้งก่อนจะเลือนหายจากจุดนั้นไปช้า ๆ สายลมยังคงรอมันอยู่ไม่ไกล หลังจากมันบอกกับสายลมขณะที่เผชิญหน้ากับราซิสเพื่อถ่วงเวลาให้มันอยู่ด้านนอกว่ารูสไม่ได้อยู่ที่นี่ ทำให้สายลมต้องรามือและออกไปรอมันห่างจากบ้านธรรมวงศาเพื่อตบตาศัตรูว่ายอมล่าถอย

“ไม่เจอเหรอ?”

คำถามจากสายลมเมื่อลูห์มาถึงจุดที่เขารออยู่ มันส่ายหัวเบา ๆ ทำให้หัวใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวังลีบเล็กลง ชายหนุ่มหันไปสั่งคนของอาที่รอท่าอยู่ให้เตรียมออกรถ ไม่มีใครรู้ว่าเขารออะไรจนกระทั่งลูห์มา มันคงหมดแรงที่จะพรางกายแล้วถึงได้ยอมให้คนอื่นเห็น

คนของมิสเตอร์แอลที่คราแรกยกปืนเล็งมาที่ลูห์ด้วยความตกใจ แต่เมื่อรู้ว่าหลานชายของนายเป็นเจ้าของสิงโตตัวนี้จึงได้เก็บปืนแล้วพากันขึ้นรถไปทำตามคำสั่ง ลูห์โดดขึ้นไปบนหลังคารถเช่นขามา มันนั่งลงบนนั้นแล้วสายลมกับคนอื่นจึงขึ้นรถ

‘นายไหวหรือเปล่า ลูห์?’ สายลมถามมันที่ตอนนี้หมอบลงกับหลังคาแทนการนั่ง

‘อย่าห่วงเลย รีบกลับให้ถึงบ้านอาของเจ้าไว ๆ ก็พอ’

บอกอย่าห่วงแต่ต่อท้ายมาเช่นนั้นจะไม่ให้ห่วงได้หรือ สายลมระบายลมหายใจหนักหน่วง ทั้งรูส ทั้งลูห์ ต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะการตัดสินใจของเขา มันน่าเจ็บใจตัวเองที่ทำให้คนสำคัญต้องมาเดือดร้อนเช่นนี้


......


ร่างผอมโซซัดโซเซมาตามทางที่ไม่เคยคุ้น ความมืดที่เคยหวาดกลัวกลับไม่ทำให้สั่นกลัวเช่นก่อนนี้ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่ไหลหยดไปตามทาง ยิ่งใช้แรงมากเท่าไรเลือดยิ่งไหลไม่หยุด เจ็บปวดจนตาพร่า ขาแทบหมดแรงจะยืนไหว ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดลงไปกอง แสงสว่างจากบางสิ่งก็สาดมาพร้อมเสียงแตรที่ดังยาวและสติรับรู้ที่ดับวูบลง

เสียงล้อรถบดถนนเมื่อรถยนต์คันหนึ่งแตะเบรกจนสุดตัว เมื่อรถจอดสนิท ประตูก็ถูกเปิดออก ก่อนที่ชายสองคนจะลงมา คนตัวบางกว่าย่อกายลงดูร่างที่นอนจมกองเลือดด้วยท่าทางร้อนรน

“พี่แคน ทำไงดี เราชนคนตาย!”

ร่างของหนุ่มอีกคนนั่งลงข้างกัน มือเอื้อมไปพลิกตัวคนเจ็บให้หงายหน้าขึ้น ทำให้อีกคนร้องเสียงหลง

“พี่แคน! อย่าไปจับ เดี๋ยวก็มีรอยนิ้วมือติดบนศพหรอก อยากเข้าคุกหรือไง!?”

“คุณหนู เขายังไม่ตายครับ แต่ถ้าคุณหนูมัวชักช้า เขาได้ตายจริง ๆ แน่” ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่แคนบอกอย่างหน่ายใจ

“ไม่เอา อย่าให้เขาตายนะ!”

“ถ้าไม่อยากให้เขาตายก็พาขึ้นรถไปโรงพยาบาลครับ ตอนนี้เลย” เอ่ยจบก็จะช้อนอุ้มคนเจ็บที่ขนาดตัวผอมบางกว่าเขามาก แต่มือของอีกคนกลับรีบรั้งแขนเขาไว้ ก่อนที่จะทันได้ยกร่างนั้นขึ้นมา

“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ถ้าไปโรงพยาบาล มายฟาก็ต้องรู้สิ โดนด่าเปิดเปิงแน่” ท่าทางคนพูดจะกังวลไม่น้อย

คนตัวโตกว่าหันมาถาม “ระหว่างโดนนายด่ากับติดคุก คุณหนูเลือกอย่างไหน?”

คุณหนูของเขาหน้างอ ก่อนจะผลักไหล่เขาพาล ๆ “รีบไปเลย พูดมากเดี๋ยวเขาก็ตายหรอก”

พี่แคนของคุณหนูถอนหายใจแรง ความผิดเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มอุ้มคนเจ็บไปขึ้นรถ ก่อนจะเปิดประตูอีกฝั่งให้คุณหนูของตนขึ้นไปนั่ง ตนจะเป็นคนขับรถเอง

“คุณหนูนั่งหลังครับ พยุงเขาไว้ เดี๋ยวเกิดตกลงช่องนั่นไปอาจช้ำในตายได้” นี่ก็ยังไม่วาย

“เลิกพูดคำว่าตายได้แล้ว!” ตอกย้ำกันจนชักจะโมโห “เพราะพี่แคนเลย”

เสียงบ่นงึมงำหลังจากยอมขึ้นไปนั่งพยุงคนเจ็บทำให้พี่แคนของคุณหนูส่ายหน้า ไม่คิดจะใส่ใจกับนิสัยแบบนั้นของลูกชายนายตน ชายหนุ่มรัดเข็มขัดแล้วออกรถ ที่เกิดเรื่องขึ้นก็เพราะคุณหนูของเขาอยากขับเองไม่ใช่หรือ ห้ามก็ไม่ฟัง แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ได้เรื่องเลย

“พี่แคนห้ามบอกเรื่องนี้กับมายฟานะ” เสียงคนด้านหลังสั่งมา แต่คนขับก็ยังเงียบเฉยจนต้องเรียกซ้ำ “พี่แคน!”

“ได้ยินแล้วครับ”

“รับปากด้วย ไม่งั้นจะโยนเด็กนี่ลงไปแน่”

คำขู่ช่างน่าขำเสียจริง ตัวเองกลัวว่าเด็กมันจะตายแล้วตำรวจจะจับ แต่มาขู่เขาว่าจะโยนเด็กลงไป เขาควรกลัวดีไหมนี่

เด็กหนุ่มปรายมองคนที่ตนเองพยุงอยู่ ทำหน้าสยองเมื่อเลือดสีแดงช้ำท่วมตัวไปหมด เขาคิดว่าเขาเบรกทัน แต่ที่จริงชนแรงมากขนาดเลือดออกเยอะแบบนี้เลยหรือ ใบหน้าเรียวซีดเผือด ในใจเริ่มกลัวว่าตนเองจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนอื่นตายเข้าจริง ๆ


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :ruready

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมลงจากสถานีตำรวจมาขึ้นรถพร้อมบอดีการ์ด สีหน้าชายหนุ่มดูผิดหวังเพราะการตามหารูสไม่ประสบผลสำเร็จ เขาเที่ยวขับรถวนหาจากจุดเริ่มต้นคือบ้านธรรมวงศาหลังจากกลับมาวันนั้น แต่ก็ดูไร้จุดหมายเหลือเกิน อาของเขาเรียกตัวอดีตมือขวามาช่วยเรื่องนี้ เพราะฝ่ายนั้นรู้จักคนเยอะ น่าจะพอให้ความช่วยเหลือเขาได้ การพึ่งตำรวจก็เป็นอีกหนึ่งช่องทาง แต่ก็ยังไร้วี่แววของรูสอยู่ดี

โรงพยาบาลแถบใกล้เคียง เขาติดต่อมันแทบทุกที่ บางครั้งอาจมีคนพบรูสแล้วพาส่งโรงพยาบาล มันคือความคาดหวัง แต่ก็ต้องผิดหวังทุกครั้งไป

กลับมาถึงบ้านผู้เป็นอา ร่างสูงใหญ่ก็ทิ้งตัวลงนั่งกุมขมับ ลูห์เดินมานอนอยู่บนพื้นใกล้กันกับนายของมัน มันเองก็สัมผัสถึงรูสไม่ได้ อาจเพราะที่นี่วุ่นวาย ไม่เหมือนเกาะศิลาที่เงียบสงบ การเดินทางไกลแล้วใช้ความพิเศษที่มีมาก ๆ ก็ทำให้เรี่ยวแรงที่มันมีถดถอยลงไปเช่นกัน

นั่งเครียดกันอยู่หนึ่งคนกับหนึ่งตัว ร่างผอมเพรียวของใครคนหนึ่งก็เดินผ่านหน้า สายลมเงยขึ้นมองก่อนร้องทัก ทำให้คนคนนั้นชะงักกึกแล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้เขา

“จะไปไหน เดวา?”

เดวา ลูกชายคนเดียวของมิสเตอร์แอล ผมสีชมพูแสบตา ทั้งอุปนิสัยก็แสบสันต์ไม่ต่างกับสีผม

“อ่า... จะไปติวบ้านเพื่อนน่ะ พี่สายลมมีอะไรหรือเปล่าครับ?” เจ้าตัวแสบยิ้มแย้ม

สายลมหรี่ตาเล็กน้อย มองกระเป๋าที่น้องสะพายก่อนมองหน้ายิ้ม ๆ นั่น “หอบอะไรไปเต็มกระเป๋า?”

“หนังสือไง ความรู้จะได้แน่น ๆ” พอถูกทัก เด็กหนุ่มผมชมพูก็ปลดกระเป๋าสะพายหลังลง ถือไว้แล้วตบปุ ๆ พลางยืดอกแล้วยิ้มกวนอารมณ์

“ขอให้สอบได้ที่หนึ่งเลยแล้วกัน กระเป๋าใหญ่ขนาดนี้”

“สาธุ สมพรปากเถอะครับ พี่ชาย” ยกมือท่วมหัวจนสายลมส่ายหน้าหน่าย “เออ พี่ลม... เดวาได้ยินว่ากำลังตามหาคนอยู่เหรอ?”

“ได้ยินมาจากไหนอีกล่ะ?” สายลมยิ้มมุมปาก รู้ไปเสียทุกเรื่องนะ

“โธ่ มีเรื่องอะไรบ้างที่เดวาจะไม่รู้”

เจ้าแสบทำยืด เดินเข้ามานั่งข้างพี่ชายถึงเห็นว่ามีสิงโตตัวใหญ่นอนอยู่ เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขาตาถั่วหรืออย่างไร เมื่อครู่ถึงไม่เห็นมัน เมื่อตั้งตัวได้ก็หันมาสนใจพี่ชายของตนเองแทนการมองหน้าสิงโตที่ทำให้ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อย่างับหัวเดวานะ เจ้าสิงโต

“ให้เดวาช่วยไหมล่ะ ไม่คิดค่าเหนื่อยหรอก คนกันเอง” เด็กหนุ่มพยักพเยิด

“ไม่ล่ะ เกรงใจ”

“เดวาช่วยได้ ไม่เชื่อเหรอ ตามหาใครล่ะ มีรูป...”

“เดวา”

เดวาตาโตเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดังมาจากชั้นบน ร่างเพรียวรีบผุดลุกทั้งที่ยังคุยกับพี่ไม่จบ “ไก่น้อยมา เอาไว้วันหลังนะพี่ลม เดวาไปก่อนล่ะ สวัสดีครับ”

มือเรียวยกไหว้พี่ชายแล้ววิ่งปร๋อไปเฉย ปล่อยให้สายลมนั่งงง จะไปจะมายิ่งกว่าพายุอีก เด็กคนนี้ แผ่นหลังบางพ้นระยะสายตาไปได้ไม่นาน เจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกเดวาก็ลงมาเดินหา เห็นสายลมนั่งอยู่จึงได้เข้ามาถามไถ่

“เห็นเดวาไหม สายลม?”

“เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เองครับ เห็นว่าจะไปติวบ้านเพื่อน”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วคนถามก็ถอนใจ “อาบอกไม่ให้ไปก็ไม่ฟัง อาแอลของเราก็จ้างครูพิเศษมาให้แล้ว นี่หนีครูไปบ้านเพื่อนซะอย่างงั้น”

สายลมยิ้มบางกับคำบ่นของอาเปียว คนรักของอาแอล “คงอยากอยู่กับเพื่อนมั้งครับ อาจจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่าคุยกับครูที่มากประสบการณ์”

อาเปียวของสายลมส่ายหน้า ไม่รู้จะขำหรือจะโมโหลูกคนนี้ดี บอกขอบใจสายลมก่อนจะเดินออกไป สายลมยิ้มรับก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นฝืดเฝื่อนเหลือเกินเมื่ออยู่คนเดียว

ร่างสูงใหญ่ผุดลุกอย่างตัดสินใจ เขาจะมัวหมดหวังแล้วนั่งเฉยอยู่ไม่ได้ ถ้ามีความตั้งใจต้องเจอตัวรูสแน่... เขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

“ไปตามหารูสกัน ลูห์...”


......


ความพร่ามัวบดบังดวงตาของเด็กบนเตียงสีขาว ร่างกายเจ็บร้าวจนขยับลำบาก ภาพหม่นมัวที่มองเห็นค่อยชัดเจนขึ้นช้า ๆ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นบางอย่างสีชมพูลอยอยู่เหนือร่างกาย มันค่อยเคลื่อนมาใกล้ในระดับสายตาจนกระทั่งชัดเจนมากขึ้น หนุ่มหน้ามนพร้อมรอยยิ้มกว้างและผมสีชมพูโดดเด่นคือสิ่งที่ชะโงกอยู่เหนือร่างกายของเขาในตอนนี้

ร่างผอมบนเตียงนอนนิ่ง สมองยังคงประมวลผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ทันถ้วนถี่ดี ขณะที่เจ้าของผมสีชมพูเอื้อมไปกดเรียกพยาบาลเพื่อแจ้งให้หมอมาตรวจคนบนเตียง ส่วนตนเอง เมื่อหมอเข้ามาในห้องก็ออกไปด้านนอก ปล่อยให้หมอทำหน้าที่ของตัวเองไป จนกระทั่งหมอและพยาบาลออกมาแล้วจึงได้เข้ามาหาใหม่ ร่างนั้นก้าวมาหยุดในระดับสายตาคนป่วย เห็นอีกฝ่ายมองผมตนเองไม่วางตาจึงยกมือขึ้นจับผมแล้วยิ้มเก๋

“สวัสดี”

เขาเอ่ยทัก คนบนเตียงกะพริบตาปริบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

“หิวน้ำไหม?”

พอเอ่ยถาม อีกคนก็ส่ายหน้า เปลือกตาแสนหนักจนอยากจะนอนเสียมากกว่า คนคนนี้อายุไม่น่าห่างจากเขามากนัก นอกจากสีผมดูชมพูแสบตาแล้ว หน้าตาก็ดูเฮ้วไม่เบา

“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ถึงสีผมฉันจะชมพูแปร๋นขนาดนี้ แต่ไม่ใช่คนที่หวังร้ายกับนายแน่นอน”

คนพูดนั่งลงข้างเตียง เหมือนพูดกับอากาศเพราะอีกคนไม่โต้ตอบกลับมาสักคำ ร่างนั้นจึงโน้มตัวไปใกล้อีกนิด ก่อนแนะนำตัวด้วยเสียงกระซิบกระซาบกับท่าทางทะเล้นหน่อย ๆ

“ฉันชื่อเดวา... ยินดีที่ได้รู้จัก”

เพราะไม่คุ้นเคย ทำให้คนป่วยยังปิดปากเงียบเชียบ คนที่เพิ่งแนะนำตัวมุ่ยหน้าเมื่อไร้การตอบกลับ เป็นใบ้หรือเปล่านี่

เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้นทำให้ร่างเพรียวลุกขึ้นไปหยิบมันออกมา เมื่อมองหน้าจอแล้วเด็กหนุ่มก็ถึงกับหน้าซีดเผือด พยายามทำใจดีสู้เสือ เสือที่ชื่ออลัน เฟอร์ริงตัน

“มายฟา...”

เสียงตอบกลับหลังกดรับโทรศัพท์ ราวเสียงร้องขอชีวิตก็ไม่ปาน



บ้านมิสเตอร์แอลเกิดความโกลาหล เมื่อเจ้าของบ้านต้องรีบไปที่โรงพยาบาล ต้นสายปลายเหตุที่เกิด สายลมรู้แต่ว่าเดวาก่อเรื่องแล้วปิดเงียบเอาไว้ คราวนี้คู่กรณีถึงขั้นต้องส่งโรงหมอเพราะจอมแสบนึกอยากขับรถเองแล้วไปชนคนเข้า ที่บอกไปติวบ้านเพื่อนนั่นโกหกทั้งเพ ไปนอนเฝ้าคู่กรณีที่โรงพยาบาลต่างหาก บอดีการ์ดประจำตัวก็ช่วยกันปิดเสียอีก ใครเล่าจะกล้าขัดใจเดวา

จากที่ฟังมา เจ้าตัวดีไม่ยอมรับว่าชน เพราะหมอบอกว่าไม่มีร่องรอยกระทบกระทั่ง มีเพียงบาดแผลที่หน้าอกเท่านั้น และนั่นคงเพราะถูกทำร้ายมาก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นแล้ว เดวาไม่ผิด เดวาช่วยคน ฟังแล้วสายลมก็ขำ ไปได้เรื่อย ๆ นั่นล่ะเดวา เฟอร์ริงตัน

“เฮ้อ...”

นึกถึงน้องชายตัวแสบแล้วสายลมก็ทอดถอนใจ รูสเองก็ซนไม่ต่างจากเดวาสักนิด ดีกรีความบ้าบิ่นอาจไม่เท่า แต่ความดื้อดึงมีพอกันจนไม่ต้องหาอะไรมาวัด เมื่อก่อนเขายังเคยคิดว่าอยากให้ทั้งสองคนได้เป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนี้รูสอยู่ไหนก็ไม่รู้ เขาต้องเริ่มค้นหาจากที่ไหน รูสไม่รู้จักใครนอกจากคนในบ้านธรรมวงศาและลุงหลง ยิ่งคิดก็ยิ่งทดท้อกับความไม่เอาไหนของตนเอง แค่คนคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ ทั้งที่รับปากลุงหลงเอาไว้เสียดิบดีแท้ ๆ

มิสเตอร์แอลเป็นคนกว้างขวาง มีลูกน้องมากมาย แต่ละคนก็ต่างมีฝีมือและรู้จักคนหลากหลายอาชีพ ทุกคนต่างช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองเป็นภาระแก่ผู้อื่น ทำให้ใครต่อใครต้องเดือดร้อนใจตามไปด้วยทั้งที่มันไม่ใช่ธุระของคนเหล่านั้นสักนิด ผู้เป็นอากลับบอกเขาว่าที่ทุกคนเดือดร้อนแทนเขาก็เพราะรักเขา หากไม่รักไม่ห่วงแล้วคงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนขนาดนี้ เพราะสายลมคือครอบครัว การยอมรับความช่วยเหลือจากคนในครอบครัวไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย คนที่แกร่งที่สุดใช่ว่าวันหนึ่งจะไม่ล้ม

สายลมโทรถึงเอวานเพราะไม่อยากปล่อยเวลาให้มันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ การตามหาตัวรูสก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป แต่ในตอนนี้เขายังมีบางสิ่งที่ต้องทำอีก

“เอวาน เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?”

เอ่ยถามเมื่อผู้เป็นพี่กดรับ ฟังที่อีกฝ่ายตอบกลับมาแล้วจึงเอ่ยต่อ

“คราวหน้าฉันอยากเป็นคนไปเจรจากับมันเองจะได้ไหม?”

เสียงเอวานแย้งมาตามสายเมื่อน้องชายคนรองของตนกำลังจะทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงมากจนเกินไป แต่ดูเหมือนสายลมจะไม่ฟัง

“ฉันอยากขยี้มันด้วยมือของฉันเอง”

น้ำเสียงแน่วแน่ทำให้เอวานเงียบไป ก่อนที่จะเอ่ยเตือนสายลมให้ระมัดระวังตัว เขาคงห้ามน้องชายไม่ได้ แต่จะคอยช่วยเหลือไม่ว่าน้องจะต้องการมันหรือไม่

สายลมวางสายจากพี่ชายเมื่อพูดคุยกันเรียบร้อย เขารู้ว่าเอวานห่วง แต่ไม่อยากนิ่งเฉยปล่อยให้ผู้เป็นพี่ต้องจัดการปัญหาให้อีกแล้ว ใครที่มันทำอะไรไว้กับคนของเขา เขาจะเอาคืนมันให้สาสม ถึงแม้รูสจะไม่เอ่ยปากว่าอยากได้อะไรก็ตามแต่ที่ควรจะเป็นของรูส แต่เขาจะไม่ปล่อยไป จะเอาทุกอย่างกลับมาคืนรูสให้หมด

มือหนากดเบอร์ติดต่อใครอีกคน คนที่รู้เรื่องของศัตรูดีกว่าเขา รออยู่ครู่หนึ่งเสียงคนปลายสายก็ดังขึ้น เขาจึงเอ่ยทักทาย

“ลุงหลงเหรอครับ...”

“นายน้อย นายน้อยจริง ๆ ด้วย รูสล่ะครับ รูสปลอดภัยดีใช่ไหม?”

คำถามแสนร้อนรนจากลุงหลงทำเอาสายลมพูดไม่ออก ทั้งที่สัญญาเอาไว้กลับทำไม่ได้อย่างที่พูดสักนิด

“ผมยังหาตัวเขาไม่พบ”

“......” ลุงหลงเงียบไป ความตื่นเต้นเมื่อครู่ลดลงไปจนแทบไม่มีเหลือ

“ลุงไม่ต้องห่วง ถ้าผมยังหายใจอยู่ ผมสัญญาว่าจะต้องตามหาเขาให้เจอให้ได้” สายลมให้ความมั่นใจ

“ผมทำให้นายน้อยลำบากแท้ ๆ”

“......”

ต่างฝ่ายต่างเงียบ เพราะเรื่องนี้พูดกันก็คงไม่จบว่ามันคือความผิดของใคร เพราะต่างก็รู้สึกผิดทุกคน

“ลุงครับ ผมมีเรื่องอยากให้ช่วย” หลังจากเงียบกันไป สายลมก็เอ่ยขึ้นมาขัดบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้น

“ว่ามาเลยครับ ผมยินดีช่วยทุกอย่าง” ลุงหลงตอบรับอย่างไม่ลังเลใจ

“พรุ่งนี้ลุงนั่งเครื่องมาที่นี่ได้ไหม ผมจะให้คนไปรับที่สนามบิน”

“ครับ นายน้อย” ชายสูงวัยรับคำ แม้สายลมจะไม่บอกว่าเหตุใดจึงขอให้ตนไปหา แต่ลุงหลงก็ไม่คิดถาม ในสถานการณ์ขณะนี้ อะไรที่แกพอช่วยได้ก็อยากจะช่วยเท่าที่แรงของแกยังพอมี

ขณะที่สายลมรู้สึกเครียดกับสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำ มันไม่ใช่เรื่องดีนัก ที่จริงต้องบอกว่ามันไม่ดีเลยสักนิดจะถูกกว่า แต่เมื่อไม่สามารถเล่นกันตามกติกาได้ เขาก็จะแหกมันทุกกฎ เพราะเขานี่ล่ะจะเป็นผู้ตั้งกติกาของเกมนี้เอง!



มิสเตอร์แอลมาถึงโรงพยาบาลที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนก่อเรื่องเอาไว้ ประตูห้องพักคนไข้ถูกเปิดผางทำให้เจ้าตัวแสบสะดุ้งเฮือก เด็กอีกคนบนเตียงก็สะดุ้งโหยง สายตาของทั้งคู่มองผู้มาใหม่ด้วยความตื่นตะลึงพอกัน มือของเด็กบนเตียงคว้ามือเด็กหนุ่มผมชมพูอย่างไม่ตั้งใจ อีกคนค่อยหันมามองท่าทางหวาดหวั่นของคนบนเตียง ก่อนจะกลืนน้ำลายฝืดคอ ตายล่ะหว่า ต้องตายแน่ ๆ หลักฐานคาตาขนาดนี้

“เดวา!”

“ฮือออออ” เพียงแค่เสียงของมิสเตอร์แอลดังขึ้น เจ้าของชื่อก็ทำเป็นร้องไห้โฮ ร้องเอาไว้ก่อน เรื่องใหญ่จะได้กลายเป็นเรื่องเล็ก “มายฟา เดวาไม่ตั้งใจนะ เดวาระวังมาก ๆ ๆ ๆ เลย ไม่ได้ชนใครด้วย ไม่เชื่อถามหมอ...”

มือหนายกขึ้นปิดปากเด็กแสบที่เอ่ยแก้ตัวยิ่งกว่าอัดเสียงเอาไว้ น้ำตานี่ก็สั่งได้เหลือเกิน จะร้องจริงหรือจะแกล้งมันก็ไหลพรากยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลากยามหน้าฝน

“พ่อยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” ผู้เป็นบิดา หรือ มายฟา ที่เดวาเรียกเอ่ยแทรกแล้วยิ้มมุมปาก

“อ้าว” ไอ้แสบงงเป็นไก่ตาแตก ที่ร้องไห้ไปเมื่อครู่ก็เสียเปล่าน่ะสิ ชิ!

นัยน์ตาสีอำพันปรายมามองเด็กที่นั่งมึนอยู่บนเตียง ท่าทางน่าเกรงขาม ทั้งร่างกายสูงใหญ่ ทำให้เด็กบนเตียงรู้สึกตัวลีบเล็กจนจะหดเหลือแค่สองนิ้ว

“อยู่ที่นี่เอง...” เสียงทุ้มพึมพำกับตนเองหลังจากพินิจเด็กคนนั้นอยู่ชั่วครู่

“อะไรครับ?” เดวาเอ่ยถามงง ๆ เมื่อบิดาของตนพูดคนเดียว ปาดน้ำตาจากสองแก้มทิ้งไปเมื่อมันหมดประโยชน์แล้ว มายฟาของเขาไม่ได้โกรธก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกไม้มาต่อรองให้ลดโทษ

มิสเตอร์แอลเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครบางคน สายตาคมยังมองเด็กบนเตียงคนไข้ไม่วางตา เดวาหันมองทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความงง มายฟาของเขารู้จักเด็กคนนี้ด้วยหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

“มายฟ...า...”

นิ้วแตะริมฝีปากลูกเบา ๆ เป็นเชิงห้ามไม่ให้ส่งเสียงถามไถ่ ขณะที่บอกกับปลายสายเมื่อฝ่ายนั้นกดรับ

“มาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

เดวาหันไปมองเด็กบนเตียง เด็กมันเอียงคอ คงมึนไม่แพ้กันกับเขา ตากลม ๆ เหลียวมองรอบกาย ใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน มีแต่คำถามที่ไม่ได้เอ่ยถามไปแม้แต่คำเดียว

สักพักใหญ่ ๆ หลังจากนั้น เสียงเปิดประตูห้องก็ดังเรียกความสนใจ เดวาหันไปมองประตูห้องที่ถูกเปิดออก สายลมก้าวเข้ามาแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางตะลึงงันทำให้เด็กหนุ่มมองอย่างสงสัย ก่อนที่ครู่ต่อมาผู้เป็นพี่ชายจะก้าวผ่านตัวของเขาไป ทำให้เด็กหนุ่มยืนงง จนเมื่อหันมองตามร่างสูงใหญ่นั้นแล้วดวงตาก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่กอดคนป่วยบนเตียงเสียแนบแน่น

ขณะที่ร่างผอมบางนั้นนั่งนิ่งเมื่อถูกอ้อมแขนแข็งแรงสวมกอด ความอบอุ่นแทรกเข้ามาในหัวใจจนถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา แขนเรียวยกขึ้นกอดกายหนาที่ซุกหน้าอยู่กับลาดไหล่ของตนแล้วสะอื้นเบา ๆ

“รูส... เจ้าดื้อ ไอ้เด็กดื้อ ฉันจวนจะบ้าตายแล้วรู้ไหม?”

เสียงสายลมสั่นจนคนถูกกอดรู้สึกได้ น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ฮึ่ก... สายลม... สายลม รูสขอโทษ...”

แขนแกร่งกระชับกอดร่างผอมบางแน่นขึ้นราวกลัวว่าคนในอ้อมแขนจะหายไปอีก หยาดน้ำตาเปียกชุ่มบนแผงอก ความอุ่นที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชืดในเวลารวดเร็วทำให้หัวใจสายลมบีบรัดจนเจ็บหนึบ

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว ขอบคุณที่ปลอดภัยกลับมา...”

ริมฝีปากหยักกดจูบไหล่มนย้ำ ๆ ทั้งเอ่ยขอบคุณไปด้วย เขาไม่เคยต้องเสียน้ำตาให้ใครนอกจากอัลเบิร์ต คาร์ล บิดาของเขา แต่กับเด็กคนนี้ ใจเขาแทบขาดทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ได้โปรดเถิด อย่าทำแบบนี้อีกเลย อย่าไปไหนไกลห่างเขา หากต้องสูญเสียไป เขาคงต้องขาดใจเข้าจริง ๆ

ไม่นึกเลยว่าโลกมันจะกลมถึงเพียงนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณความกลมของมันที่พาเขาและเด็กในอ้อมแขนกลับมาพบกัน ขอบคุณ...


......


ภายในห้องลับใต้ดินที่ราซิสอยากจะเปิดมันหนักหนา นอกจากความมืดกับฝุ่นผงและหยากไย่ที่เกาะอยู่เต็มไปหมด ลึกเข้าไปภายในห้องนั้น ยังคงมีบางสิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งไปพร้อมกับกาลเวลาที่ผ่านพ้นและห้องที่ถูกปิดตาย แสงสีฟ้าสะท้อนจากวัตถุทรงกระบอกใสจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน ความลับที่ซุกซ่อนโดยที่ไม่มีใครรู้ นอกเสียจากเจ้าของห้องนี้ที่หมดลมหายใจลงไปแล้ว

ตุ๊กตาเก่า ๆ ถูกฝุ่นเกาะจนไม่เหลือเค้าเดิม มันนอนนิ่งอยู่ข้างวัตถุทรงกระบอกที่ว่านั่น ซึ่งบางอย่างในนั้นไม่เคยหลับใหล ยังคงเคลื่อนไหวและรอให้มีผู้มาพบมันอยู่ตลอดเวลา...



.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๕ ตัวประหลาด



ราซิสเดินวนเวียนอยู่ท่ามกลางความมืด รอบกายเขาไร้แสงสว่างที่มากพอจะทำให้มองเห็นอะไรได้ เสียงครืด ๆ จากบางสิ่งดังมาทุกจังหวะก้าวเดินของเขา ด้วยไม่สามารถมองเห็นที่มาของเสียง ทำให้ชายหนุ่มเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวัง จนกระทั่งหันกลับมาประจันหน้ากับผู้ที่มีนัยน์ตาสีแดงเพลิงในระยะประชิด

ดวงตาราซิสเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงยกยิ้มแสยะจนเห็นเขี้ยวขาวคม ก่อนวัตถุแข็ง ๆ ในมือของฝ่ายนั้นจะเหวี่ยงวูบแล้วฟาดลงมาบนศีรษะของเขาจนเลือดไหลโกรก ในหูอื้ออึงพร้อมความเจ็บร้าวที่แล่นปราด ราซิสทรุดตัวลงกุมศีรษะร้องครวญครางทั้งยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายฟาดลงมาซ้ำ แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ฟัง เมื่อวัตถุในมือถูกเงื้อง่า ราซิสหลับตาแน่นตามสัญชาตญาณ แต่แล้วกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกจากเสียงวัตถุแข็งหล่นลงกระทบพื้น ก่อนที่มันจะค่อย ๆ กลิ้งมาชนเขา

ชายหนุ่มหรี่ตาขึ้นมอง เงาทะมึนยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพร้อมเสียงคำรามน่าหวาดหวั่น ก่อนที่เงาร่างนั้นจะพุ่งเข้ามา ฟันคมแยกยกก่อนฝังคมเขี้ยวลงบนต้นคอของเขา

“อ๊ากกกกกก”

ร่างกำยำดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงกว้างพร้อมอาการหอบหายใจ มือหนาจับลำคอตนเอง หัวใจเต้นกระหน่ำเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างเหนียว ๆ เขารีบลุกไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจก รอยช้ำคล้ายถูกคมเขี้ยวของบางสิ่งขย้ำกัดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน มันมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เพียงได้เห็นเท่านั้นขนกายก็ลุกชัน เมื่อมันเหมือนความฝันเมื่อครู่ไม่มีผิด

มือหนาค่อย ๆ ยกขึ้นมาที่หน้าผากของตนเองด้วยความสั่นเทา ค่อยเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากออกช้า ๆ รอยแดงตรงไรผมยิ่งทำให้ร่างกายของเขาเย็นเยียบ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ

“ไม่จริง... เป็นไปไม่ได้...”

ร่างนั้นพุ่งออกจากห้องน้ำไปที่เตียงนอน เปิดลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงออกแล้วคว้าขวดยาในนั้นออกมาเทลงบนฝ่ามือ โยนมันใส่ปากทั้งกำมือแล้วดื่มน้ำ เขาแค่หลอนไปเอง รูสมันก็แค่หมาบ้าที่จนตรอก ไม่ใช่ตัวประหลาดที่น่ากลัวสักนิด มันไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว!

“บ้าเอ๊ย!!” แก้วน้ำในมือถูกปาลงพื้นจนแตกกระเด็น ไอ้เด็กนรกนั่น มันเป็นตัวอะไรกันแน่

มือหนากุมคอของตน สายตาที่ฉายแววหวาดหวั่นค่อยแปรเปลี่ยนเป็นอาฆาต หากตอนนี้มันยังไม่ตาย เขาจะฆ่ามันซ้ำ ให้มันตายโหงตายห่าให้สิ้นซาก รูส!


......


รถตู้คันใหญ่แล่นมาจอดในบ้านของมิสเตอร์แอล เมื่อประตูรถถูกเปิดออก สายลมก็ก้าวลงมา ก่อนจะหันกลับไปหาคนในรถแล้วช้อนอุ้มโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเดินให้เหนื่อย

“สายลม รูสเดินได้นะ ไม่ได้เจ็บขาสักหน่อย” เด็กเอ่ยท้วงเสียงเบา แขนเรียวเกี่ยวลำคอหนาป้องกันตนเองตกลงไปก้นจ้ำเบ้า

“เดินได้จริงเหรอ เกิดล้มพับไป ฉันช่วยไม่ทันนา” คนตัวโตแกล้งเย้าขณะพาเดินเข้าบ้านของผู้เป็นอา

“รูสแข็งแรงจะตาย”

“เชื่อดีไหม?”

รูสแก้มพองเมื่อถูกแกล้ง สายลมหัวเราะเบา ๆ ขายาวหยุดก้าวเดินเมื่อลูห์ก้าวมาหา รูสค่อยหันไปมองมันก่อนหันกลับมาทางสายลม ชายหนุ่มยิ้มบาง วางเด็กลงยืนเพื่อให้ไปหาลูห์

รูสนั่งลงตรงหน้ามัน โอบแขนรอบแผงคอหนา แนบแก้มกับแผงคอมัน กอดมันเอาไว้พร้อมเอ่ยขอบคุณ ลูห์เองก็อยู่นิ่งให้กอด มันวางคางบนไหล่เล็ก รู้สึกยินดีไม่น้อยที่เจ้าหนูนี่กลับมาอย่างปลอดภัย

“รูส เข้าบ้านกัน เดี๋ยวพี่พาไปทำความรู้จักคุณย่ากับไก่น้อย”

เดวาที่ลงจากรถตู้คันเดียวกันมาส่งมือให้น้องจับ รูสยิ้มให้ก่อนจับมือนั้นลุกขึ้นแล้วเดินไปด้วยกันกับพี่ชายคนใหม่ มิวายหันมาพยักพเยิดกับสายลมว่าเห็นไหม ตนเองเดินได้จริง ๆ

สายลมส่ายหน้ายิ้ม ๆ ได้เพื่อนใหม่แล้วนี่ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว

เดวาพารูสมาทำความรู้จักคุณอัญชันผู้เป็นย่า และเปียว ผู้เป็นบิดาของตนอีกคน รูสเรียกเปียวว่าคุณอาไก่น้อยตามที่เดวาเรียก ทำให้มิสเตอร์แอลขำพรืดจนถูกคนรักหยิกเอา

“อาไม่ได้ชื่อไก่น้อยครับ” เปียวบอกเด็กน้อยยิ้ม ๆ

“อ้าว”

เจ้าดื้ออุทานแล้วหันมามองเดวา คนถูกมองอย่างมีคำถามอมยิ้ม ก่อนบอก

“ไก่น้อยเป็นชื่อเฉพาะน่ะ จริง ๆ แล้วพ่อพี่ชื่อเปียว”

“...?” คราวนี้รูสทำหน้างง เดวาบอกคุณอาเปียวเป็นพ่อ แล้วคุณอาตัวโตที่เดวาเรียกมายฟาคนนั้นล่ะ เป็นใคร?

เห็นเด็กมันทำหน้างง เดวาจึงอธิบายเพิ่มเติม “มายฟาก็พ่อ งงไหม?”

รูสพยักหน้าหงึก ทำให้คนในห้องยิ้มขำ

“เหมือนฉันไง รูส” สายลมพยายามช่วย แต่ดูเหมือนเด็กมันจะงงกว่าเดิม ก็สายลมมีพ่อตั้งสามคน

“......” รูสเกาหัวแกรก เข้าใจก็ได้

เดวาขยี้ผมเด็กที่ยังคงมึนงง แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจ ทุกคนดูท่าจะเอ็นดูเด็กมันเอาการ เด็กน้อยไร้ที่พึ่งพิง ทั้งยังถูกคิดร้ายจากคนใกล้ตัวอีก หากคุณทวดของเดวายังอยู่ ท่านก็คงเอ็นดูรูสไม่น้อย เดวาเล่าให้น้องชายคนใหม่ของตนเองฟังว่าท่านใจดี ไม่ดุเลย เหมือนย่าอัญชันของเดวานั่นล่ะ

“คุณย่าใจดี” รูสว่าพลางยิ้มแป้น

“ใช่ไหม ย่าน่ารักที่สุด” เดวาเสริมอย่างเห็นด้วยที่สุด

สองหนุ่มจูงมือกันไปดูห้องนอนที่ชั้นบนโดยมีสายลมเดินตามไปด้วย เดวาบอกจะให้น้องนอนกับตนเอง ได้ยินเช่นนั้นแล้วสายลมก็ทำหน้าประหลาด จะนอนกับเดวาจริงหรือ สายตาคมมองมาที่รูสอย่างต้องการคำตอบ เด็กมันมีสีหน้าลำบากใจจนเดวาต้องหันมาหาพี่ชายตัวโตของตนเอง

“ทำไมครับ พี่ลม รูสนอนกับเดวาไม่ได้เหรอ?” ดวงตาแสนดื้อมองพี่ชายอย่างจับผิดเต็มที่

“ก็เปล่า... จะนอนก็นอนสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“จริงน่ะ?” หรี่ตาเล็กน้อย ดูกวนจนสายลมอยากเขกหัวเด็กแสบสักทีสองที

“เออ” เขาตอบส่ง ๆ แต่เจ้าตัวแสบกลับยิ้มร่า

“งั้นก็ดี พี่กลับห้องตัวเองไปได้แล้วไป เดวากับน้องจะคุยกัน” ว่าแล้วก็เปิดประตูห้องนอนของตนแล้วจูงมือน้องเข้าไป ก่อนจะงับประตูปิด

“คุยอะไร ทำไมต้องทำเป็นมีความลับ?” สายลมไม่ยอมให้ปิด ดันบานประตูไว้ ทำให้เจ้าตัวแสบต้องออกแรงดันเพิ่มขึ้น

“บอกพี่ก็ไม่ลับสิ” ฉีกยิ้มหวาน ก่อนดึงประตูกลับแล้วดันสุดแรงจนปิดได้สำเร็จ

“เดวา!”

ถึงจะเรียกไป คนในห้องก็ไม่เปิด สายลมถอนใจแรง เพิ่งจะได้ตัวเด็กมันกลับมา ถูกแย่งไปอีกแล้ว เดี๋ยวลูห์ เดี๋ยวเดวา เขามีความหมายบ้างไหมนี่ บ่นงึมงำแล้วร่างสูงใหญ่ก็เดินออกจากหน้าประตูไป คนแก่ก็ขี้ใจน้อยแบบนี้ล่ะนะ

ขณะที่ภายในห้อง เดวาหัวเราะชอบใจกับผลงานของตนเอง ก่อนจะชะงักเมื่อหันมามองเด็กหน้าซื่อที่ยืนงงอยู่ด้านหลัง เจ้าแสบรั้งแขนน้องให้เดินตามตนเองมายังตู้เสื้อผ้า ก่อนจะค้นเสื้อผ้าของตนมาแบ่งให้น้องใส่ไปพลาง ๆ ก่อน วันหลังจะพาไปซื้อใหม่

การได้จับน้องแต่งตัวตามใจตนเองดูจะถูกอกถูกใจเดวาเอามาก ๆ ก็เขาอยากมีน้องบ้างนี่ มายฟากับไก่น้อยมีให้ไม่ได้ อย่างนั้นเขาขอเด็กคนนี้เป็นน้องก็แล้วกัน



ความมืดปกคุลมรอบบริเวณในยามค่ำคืน แสงภายในห้องนอนก็มืดลงเมื่อไฟในห้องถูกปิด รูสรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ท่ามกลางความมืดนั้น การมองเห็นที่ยังไม่ดีนักทำให้เด็กบนเตียงรีบหลับตาแน่น กลัว อยากมีอ้อมกอดแข็งแรงของสายลมโอบกอดเหมือนทุกคืน ฟันคมกัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว รูส... คนอ่อนแอ

เตียงนอนยุบยวบจากการขยับตัวของใครบางคน ก่อนที่ความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแรงจะสวมกอดกายผอมเอาไว้ ใจรูสเริ่มผ่อนคลายเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ และเสียงเต้นของหัวใจผู้ที่โอบกอดกายตนอยู่ด้านหลัง

“หลับซะ เด็กดี จากนี้ฉันจะปกป้องเธอเอง”

เสียงทุ้มที่กระซิบบอกทำให้ริมฝีปากบางยิ้มอ่อน ค่อยผล็อยหลับไปช้า ๆ ด้วยคลายกังวล สายลมมาแล้ว มาอยู่ข้างรูส อย่าทิ้งรูสไปไหนนะ ถึงรูสจะเป็นตัวประหลาดก็อย่าทิ้งรูสนะ ได้ไหม... สายลม?

สายลมมองเด็กที่ลมหายใจสม่ำเสมอเพราะหลับสนิทไปแล้ว มือหนาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากนูนเบา ๆ สายตาอ่อนแสงยังคงมองดวงหน้าเด็กในอ้อมแขนตนที่พลิกกายกลับมาหา เขาต้องถ่อไปถึงห้องเดวาด้วยกลัวว่าเด็กมันจะนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ แต่เจ้าดื้อมันดันหลับปุ๋ยเลยถูกเดวายิ้มล้อ แต่เขาก็ทำไม่สนแล้วอุ้มเด็กกลับมาที่ห้องแบบนี้

“สายลม...”

รูสขยับตัว ทำให้สายลมชะงัก ใบหน้าเรียวค่อยซุกเข้ามาชิดอกเขามากขึ้น มือหนาเลื่อนลูบหลังบาง รู้สึกกังวลแปลก ๆ ใจเขาไม่สงบเอาเสียเลยเวลานี้ เหมือนบางอย่างกำลังจะหายไป ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในหัวใจจนรู้สึกวูบโหวง ช่องว่างนั้นมันคืออะไร คงไม่ใช่คนนี้ใช่ไหม... คงไม่ใช่รูสใช่ไหม... ที่จะหายไปจากเขา...?


......


ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง

เดวาพารูสมาเดินเที่ยว เผื่อซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้น้องด้วย เด็กหนุ่มแวะเข้าร้านทำผมที่ตนเองกับเจ้าของร้านรู้จักกันดี บอกช่างให้ช่วยตัดผมสายลม เอาให้หล่อจนจำไม่ได้เลยยิ่งดี ช่างมองผมยาว ๆ กับใบหน้าดุ ๆ นั่นแล้วก็ยิ้มแหย ก่อนจะเชิญให้ชายหนุ่มนั่งแล้วถามไถ่ว่ามีทรงที่อยากได้เป็นพิเศษไหม หรือจะให้ออกแบบทรงผมให้เข้ากับรูปหน้า

“ช่วยเลือกทรงให้ก็ดีครับ” เดวาเป็นคนตอบแทนเมื่อพี่ชายเอาแต่นั่งหน้านิ่ง

“ถ้าอย่างนั้น สระผมก่อนดีไหมครับ จะได้เริ่มตัดกันเลย เชิญครับ”

ช่างผายมือเชิญให้สายลมไปที่ห้องสระผม นัยน์ตาคมดุมองช่างนิ่ง ไม่ได้คิดจะขยับไปตามคำเชิญนั้นจนช่างหน้าเจื่อน หันไปมองเดวาอย่างต้องการความช่วยเหลือ

“ไหนว่าจะมาตัดผมไง พี่ลม เล่นนั่งหน้าบูดแบบนี้ ช่างที่ไหนจะมาตัดให้พี่?” เดวากอดอก มองพี่ชายขี้เต๊ะด้วยความเหนื่อยใจ

“ช่างหัวมันสิ”

“เอ๊ะ!”

“ดะ... เดี๋ยว พี่เดวา อย่าทะเลาะกัน” รูสรีบดึงแขนเดวาไว้เมื่อเจ้าตัวแสบตั้งท่าจะมีเรื่องกับพี่ชาย

เดวาหันมามองรูสแล้วเดาะลิ้นขัดใจ รูสยิ้มเจื่อน ก่อนหันมาทางสายลมบ้าง

“สายลมไม่อยากตัดผมเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

“รูสอยากให้ตัดหรือไง?”

ถูกย้อนถามมาเช่นนั้น รูสก็อึกอัก ก่อนตอบกลับไปเสียงค่อย “ก็... แล้วแต่สายลมสิ ถ้าถามรูส รูสว่ามันอาจจะดีก็ได้...”

มองท่าทีของเด็กมันแล้วสายลมก็ถอนใจ ก่อนร่างสูงใหญ่นั้นจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องสระผมตามที่ช่างทำผมบอก

“โธ่เอ๊ย เล่นตัวจริง พี่ชายใครวะ”

เดวาบุ้ยปาก ก่อนหัวเราะอย่างเหนือกว่า ขณะที่รูสอมยิ้มกับท่าทางนั้น ทั้งสองพากันนั่งลงที่โซฟาภายในร้าน เดวาหยิบหนังสือมาให้น้องอ่านคนละเล่มกับตนเอง รอสายลมสระผมเสร็จ

เมื่อออกจากห้องสระผมมาแล้วช่างก็พาสายลมมานั่งเก้าอี้หน้ากระจก ก่อนลงมือตัดซอยให้ ทำไปชวนคุยไป แต่สายลมกลับเงียบจนคนชวนคุยพูดคนเดียวก็เหนื่อยจนเลิกพูด

“สายลม รูสไปเดินเล่นกับพี่เดวานะ”

เสียงเด็กที่ดังขึ้นข้างกายทำให้สายลมหันมามอง ก่อนมองเลยไปยังเจ้าตัวแสบที่พยักหน้าหงึกหงักบอกให้เขาอนุญาต

“อืม ไปสิ”

รูสยิ้มกว้างแล้วเอ่ยขอบคุณคนใจดี “ขอบคุณครับ”

เดวายื่นมือมา รูสก็ยื่นไปจับแล้วพากันเดินออกจากร้านไป เพราะเดวาน่ารัก รูสก็เลยชอบ ชอบคุณย่าอัญชันของเดวาด้วย ท่านใจดี ไก่น้อยของเดวาก็ดูแลเขาเหมือนเดวาทุกอย่าง มายฟาของเดวาถึงจะดูดุไปสักหน่อยแต่ก็ใจดีไม่ต่างกัน ทำให้รูสรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้อยู่ร่วมกับคนในครอบครัวนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าใจ เพราะอย่างไรเสีย ทุกคนก็ไม่ใช่ครอบครัวแท้ ๆ ของเขาอยู่ดี

สองหนุ่มวัยละอ่อนเดินเล่นกันเพลิน แถมขากลับยังซื้อข้าวของมาเต็มไปหมด ฝากบอดีการ์ดช่วยหอบกลับมาหาสายลมขณะที่พวกตนเดินตัวปลิวเหมือนขาไปไม่มีผิด

ทางด้านสายลมที่ตัดผมและจัดทรงโดยช่างฝีมือดีจนเรียบร้อย ชายหนุ่มมองเงาของตนเองที่สะท้อนในกระจกแล้วรู้สึกแปลก ๆ เมื่อรูสโผล่หน้าเข้ามาในร้าน เขาก็หันไปมอง เจ้าดื้อมันแย้มยิ้มตามประสาก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นเขา ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อเอ่ยทักเด็กต๊อง

“ทำหน้าเหมือนเห็นผี”

เด็กมันหุบปากที่อ้าค้างลงเมื่อถูกทัก กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเดินสำรวจรอบตัวเขา

“นี่ใครน่ะ?”

สายลมโยกหัวเด็กที่แกล้งเย้าตน ก่อนเอ่ยถามยิ้ม ๆ

“ดูดีหรือยัง?”

“มาก” ยกนิ้วให้ว่ามากจริง ๆ ท่าทางจะพอใจกับสายลมมาดคุณชายไม่เบา

“ชอบไหม?”

คำถามนั้นทำให้รูสอมยิ้มแล้วพยักหน้าหงึก แบบเดิมเขาก็ชอบ ดูเถื่อน ๆ ดี แต่แบบนี้ก็ดูเป็นหนุ่มหล่อ สะอาดสะอ้านแบบคุณชายบ้านรวย เท่ไปอีกแบบ

สายตารูสสะดุดกับรอยแผลเป็นที่หางคิ้วของสายลม รอยยิ้มที่มีเริ่มเจื่อนลง พอตัดผมแล้วจัดทรงเปิดหน้าผากแบบนี้ทำให้เห็นรอยบากชัดเจน แบบนี้สายลมจะอายคนไหม...

“เป็นอะไรอีก?”

สายลมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กมันหน้าจ๋อย ก่อนจะยกมือขึ้นแตะที่หางคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นว่าตากลมมองมาที่นี่ คิ้วเข้มเลิกสูงอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะร้องอ๋อในใจเมื่อรู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เด็กมันทำหน้าแบบนั้น

“น่าเกลียดเหรอ?”

“เปล่า ๆ ๆ” รูสรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน “รูสแค่... กลัวว่าสายลมจะอายคนอื่นหรือเปล่า เวลาเขามองมา...”

“ไม่เห็นเป็นไร อยากมองก็มองไปสิ”

สายลมบอกอย่างไม่ใส่ใจ คว้ามือเด็กหน้าจ๋อยแล้วพาออกจากร้าน เดวาที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวจึงหันไปลาเจ้าของร้านที่รู้จักกัน ก่อนเดินตามทั้งคู่ออกมา

รูสช้อนมองคนตัวโตข้างกายแล้วยิ้มบาง ก่อนใบหน้าเรียวจะค่อยก้มต่ำลง รอยยิ้มที่มีค่อยคลาย มือที่ถูกกุมกระชับมือของสายลมแน่นขึ้น ทำให้สายลมหันมามองเมื่อรู้สึกถึงความผิดปรกติ รูสเงยมามองแล้วส่ายหน้า ส่งยิ้มให้ว่าตนเองไม่เป็นไร

คิ้วสายลมขมวดด้วยความสงสัย ได้แต่เก็บมันไว้เมื่อรูสพยายามที่จะทำให้เขาเห็นว่าไม่เป็นไร แม้ในใจจะขัดแย้ง แต่เขาก็จะพยายามเชื่อก็แล้วกัน


......


เอวานนัดเจรจาเรื่องงานวิจัยกับราซิส ผู้ที่ติดต่อเรื่องนั้นกับมันอยู่ตอนนี้ก็คือเขาเอง จากที่ให้คนของเขาออกหน้ามาตลอด คราวนี้ถึงทีพวกเขาต้องออกโรงเองแล้ว เมื่อสายลมอยากเป็นคนจัดการราซิสด้วยตนเองโดยมีลุงหลงคอยให้ข้อมูลเบื้องลึกที่พวกเขายังไม่รู้ ลุงหลงถูกพาไปพักในที่ปลอดภัย ให้พ้นหูตาของราซิส เพื่อที่ฝ่ายนั้นจะได้อ่านเกมของพวกเขาไม่ออก

เมื่อถูกร่นเวลาเข้ามา ราซิสก็ยิ่งเครียดจนไม่อยากพบกับฝ่ายตรงข้าม แต่สุดท้ายก็ต้องมาเพื่อยืดเวลาออกไปอีก แต่เมื่อได้พบกับสายลมที่เป็นฝ่ายมาเจรจากับเขาด้วยตนเอง นั่นทำให้ราซิสถึงกับนิ่งงัน ถึงไอ้หนุ่มผมยาวนั่นมันจะตัดผม โกนหนวด แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ เขาก็ยังคงจำมันได้ คนที่มาตามหารูส คนที่มันใช้ปืนจ่อหัวเขา เขาไม่มีทางลืม!

“ผมว่าในแวดวงธุรกิจ คุณคงเคยได้ยินชื่อวินท์ คาร์ล มาบ้างนะ” สายลมเริ่มแนะนำตัวเอง นัยน์ตาสีนิลจับความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้พลาดสักนาที

“ก... คุณคือวินท์ คาร์ลเหรอ?” ราซิสต้องพยายามห้ามปากไม่ให้จิกหัวเรียกอีกฝ่ายดังเช่นก่อนหน้าที่ได้พบกัน เพราะเวลานี้สายลมอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าตนเองเสียอีก

“เป็นคำถามที่ดีนะ” สายลมยิ้ม “และผมคงต้องบอกว่าใช่”

ราซิสนิ่งไป พวกมันรวมหัวกันหลอกเขา หมอนี่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับรูส ไอ้เด็กนั่นหลอกล่ออะไรมันมา ถึงได้ยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อที่จะซื้องานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติจากเขา มันมีแผนอะไรอยู่กันแน่

“วันนี้ที่นัดคุณออกมาคุยเพราะผมเห็นว่ามันล่าช้าจนเกินไป จนไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้เห็นงานวิจัยที่คุณว่าเสียที” สายลมเปิดประเด็นอย่างใจเย็น

“ผมบอกคนของคุณไปแล้วว่าขอเวลา ซึ่งทางคุณก็ให้เวลามาสัปดาห์หนึ่ง ไม่ใช่เหรอ?”

“แต่พรุ่งนี้ก็ครบสัปดาห์แล้วนี่ครับ” สายลมย้อน ทำให้ราซิสชะงัก พยายามระงับอารมณ์เต็มที่

“แล้วจะเอายังไง?”

“อืม... เอายังไงดีล่ะ ให้กฎหมายช่วยจัดการเรื่องนี้ดีไหมครับ คุณราซิส เงินที่ผมทุ่มลงไปแต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง คุณว่า... ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?”

ราซิสหัวเราะในลำคอเชิงเยาะหยัน คิดจะใช้กฎหมายมาข่มขู่คนอย่างเขาหรือ ถ้าเขาเกรงมันสักนิดคงไม่มาไกลขนาดนี้

“ถ้าฉันกลัว ฉันคงไม่ใช่ราซิส”

สรรพนามที่เปลี่ยนไป ทั้งน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง ทำให้สายลมเปลี่ยนท่าทีจากที่นั่งสบาย ๆ เป็นโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาคมมองคนตรงหน้าราวเป็นเหยื่อที่ตนพร้อมจะบดขยี้ได้ทุกเมื่อ

“พวกเรามันประเภทพูดเรื่องกฎหมายกันไม่รู้เรื่อง ถ้าอย่างนั้น... ก็ลองดูกันสักตั้ง ในเมื่อคุณคิดจะเล่นเกมนี้กับผมก็ลองดู อย่าถอดใจไปก่อนแล้วกัน”

ทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้น คนของเขาลุกตาม ทิ้งสายตาเยาะหยันทั้งเหยียดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มไม่น่ามอง ก่อนจะเดินออกไปจากจุดนั้น ปล่อยให้ราซิสกำหมัดแน่นทั้งตัวสั่นด้วยความเคืองแค้น วินท์ คาร์ล แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!!



“จะเอายังไงต่อไปครับ?”

คนของเวสส์เอ่ยถามน้องชายของนายตน ซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นนายอีกคนเพราะคำสั่งของเอวาน พวกเขาจึงต้องฟังและทำตามที่สายลมสั่ง

“จับตาดูมันไปก่อน ตอนนี้เอวานกำลังช่วยเจรจาเพื่อตัดกำลังของมันอยู่” สายลมบอกเสียงเครียด

“ครับ”

ขึ้นชื่อว่าเวสส์ นักธุรกิจทั้งด้านมืดและด้านถูกกฎหมายต่างก็รู้จักไม่ต่างจากเฟอร์ริงตันของอเล็กซานเดอร์ การเข้าถึงตัวนายของราซิสจึงไม่ใช่เรื่องยากหากเอวานออกหน้า ฝีปากเอวานสามารถโน้มน้าวใจคนให้คล้อยตามได้ เว้นเสียแต่ว่าฝ่ายนั้นอยากปะทะกับเวสส์เพื่อปกป้องลูกน้องปลายแถวอย่างราซิส หรืออีกนัยหนึ่ง ราซิสก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานที่นายของมันเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็น เพราะราซิสเคยเป็นลูกน้องนายเจสัน แล้วมาร่วมมือกับนายคนปัจจุบันของมันโค่นนายเจสันเพื่อถีบตัวเองขึ้นเป็นใหญ่ คนเหล่านี้มักไม่มีสัจจะวาจา นอกเสียจากผลประโยชน์ของตนที่พึงจะได้และรักษาไว้เท่านั้น

เขาจะบีบมันทุกทาง ในเมื่อมันทำกับคนของเขาอย่างโหดร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากคิดลอยหน้าอยู่ดีมีสุขก็คงคิดผิดมหันต์ ราซิส ธรรมวงศา สันดานมันช่างไม่เหมาะกับนามสกุลเอาเสียเลย!


......


บ้านหลังใหญ่ในยามค่ำคืน ในคืนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่รูสมีอาการแปลกประหลาด เสียงครางและอาการหอบหายใจแรง พลิกกายไปมาด้วยความกระสับกระส่ายเพราะภาพที่ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ในห้วงสำนึกหลังหลับตา เหงื่อเม็ดโตไหลซึมจนเปียกชื้น ทั้งที่ภายในห้องเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ มันเหมือนมีของเหลวบางอย่างกำลังโอบล้อมร่างกาย ไม่รู้ว่ามันคือความฝันหรือภาพความทรงจำที่ผุดพรายจนแทบหายใจไม่ออก ทรมาน... ทรมาน... ใครก็ได้ ใครก็ได้... ช่วยด้วย ช่วยรูส...

“รูส! รูส!!”

สายลมเขย่าตัวเรียกสติเด็กที่ดิ้นรนคล้ายจะขาดอากาศหายใจในไม่ช้า มือเอื้อมไปเปิดโคมไฟหัวเตียงด้วยความตกใจที่เห็นเด็กมันเป็นแบบนี้ ไม่นานนักอาการนั้นก็ค่อยสงบลง ก่อนที่ดวงตากลมจะค่อยลืมขึ้นมามองเขาแล้วโผเข้ากอด

สายลมลูบหลังเด็ก ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาล รูสก็มักเป็นแบบนี้ ที่ราซิสบอกถูกรูสทำร้ายนั่นจริงหรือ แค่ฝันร้ายเด็กมันยังตัวสั่นงันงกขนาดนี้ จะไปทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร

แสงไฟภายในห้องเพียงสลัวราง รูสนั่งพิงสายลมอยู่นาน ความรู้สึกหวาดกลัวที่มีค่อยคลายลง แต่เขาไม่อยากนอน ไม่นอนแล้ว เพราะเดี๋ยวนอนหลับไปก็ฝันร้ายอีก ไม่เอาแล้ว

“ทำไมพักนี้ฝันร้ายบ่อยจัง หืม เพราะนอนกับฉันเหรอ?” สายลมเอ่ยถามเสียงนุ่ม ลูบต้นแขนเล็กไปพลางเพื่อปลอบประโลม

รูสเงยมองคนถามแล้วส่ายหน้าระรัวเป็นการปฏิเสธ สอดแขนกอดสายลมแล้วซบนิ่ง ฟังเสียงหัวใจสายลมเต้นอยู่ข้างหู เสียงเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอมันทำให้ใจเขาสงบลง

“สายลม”

“หืม?”

“รูสรู้สึกแปลก ๆ ถ้าเกิดว่ารูสทำอะไรโดยที่ไม่รู้ตัว สายลมอย่าโกรธรูสนะ” ตากลมช้อนมองสายลมอย่างเป็นกังวล

“สัญญา ถ้าเกิดรูสทำอะไรแปลก ๆ ฉันจะคอยห้าม ไม่ต้องกลัวหรอก”

สายลมให้สัญญามาเช่นนั้น แต่รูสก็ยังไม่สบายใจ เขารู้สึกใจไม่ค่อยดี เหมือนอยากจะไปที่ไหนสักแห่ง แต่เขาก็กลัวที่จะต้องไป แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะต้องไปที่ไหน

เวลาผ่านไปพักใหญ่ เด็กที่นั่งกอดเขาอยู่ก็ผล็อยหลับ สายลมค่อยเอนตัวเด็กลงนอน มือเรียวผวาคว้าแขนเขาเมื่อจะผละห่างแล้วกอดเอาไว้แน่น สายลมไม่กล้าขยับ มือลูบเปิดผมที่หน้าผากนูนแล้วลูบเบา ๆ เป็นการกล่อม

โน้มจูบหน้าผากคนหลับก่อนจะค่อย ๆ นอนลงข้างกันแล้วเอื้อมไปปิดไฟ เด็กมันไม่ยอมปล่อยแขนเขา ทำให้นอนลำบาก เขาจึงค่อยแกะมือเหนียว ๆ นั้นออกแล้วเปลี่ยนมากอดไว้ อาการเกร็งจึงคลายลงเมื่ออยู่ในอ้อมแขนที่เคยคุ้น


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

เข็มนาฬิกาค่อยเดินไปอย่างเชื่องช้า ภายนอกห้องนั้นพระจันทร์กำลังลอยเลื่อนลับเหลี่ยมเมฆ ทำให้ความมืดเคลื่อนเข้ามาบดบังแสงของมันจนแทบมิด รูสลุกขึ้นมานั่งท่ามกลางความมืดภายในห้อง ก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหูสายลมก่อนปลดแขนที่พาดกอดตนเองออก นัยน์ตาสีเพลิงค่อยหันกลับมาทางประตูระเบียง ก่อนที่กายผอมจะลุกลงจากเตียงมาเลื่อนเปิดประตูกระจกนั้น แต่ยังไม่ทันที่ขาจะก้าวออกจากห้องไปไหน แขนแข็งแรงของใครอีกคนกลับกางกั้นไว้ รูสชะงัก หันกลับมามองสายลมที่มีสีหน้าเครียดขึ้ง

“จะไปไหน?” สายลมเอ่ยถามเสียงหนัก นัยน์ตาสีเพลิงนั่นทำให้เขาไม่คิดที่จะปล่อยให้ไปไกลสายตา

“ถอยไป”

รูสคำรามขู่ แต่สายลมไม่สน รั้งแขนเรียวกลับเข้ามาในห้อง แต่อีกคนก็สู้แรงเขา กางเล็บตะปบกรอบประตูบานเลื่อนแล้วขืนตัวเอาไว้ สายลมจึงเอื้อมไปจับข้อมือเล็กนั่นแล้วกระชากให้หลุดก่อนดึงกลับเข้าห้องแล้วปิดประตู

กายผอมสะบัดแรง เหวี่ยงจนสายลมจะเอาไม่อยู่ ด้วยความทุลักทุเล เขาจึงกดร่างนั้นลงกับพื้นเพื่อตรึงแขนเอาไว้ ทั้งใช้ขาทับขาเรียวที่ดิ้นรนจะออกจากห้องไปให้ได้

ดวงตากลมเบิกขึ้น แยกเขี้ยวทั้งส่งเสียงขู่ ไม่ยอมให้สายลมจับเอาไว้ได้ “ปล่อย จะไปฆ่ามัน! จะฆ่ามัน!!!”

“รูส มีสติหน่อย...”

“ปล่อย!!!” ยิ่งห้าม รูสยิ่งดิ้นแรงกว่าเดิม

“รูส... โอ๊ย!!”

สายลมร้องเมื่อรูสงอขาแล้วถีบมากลางอก พอหลุดไปได้ก็จะกระโจนออกทางระเบียง สายลมคว้าดึงข้อเท้าแล้วกระชากลากกลับมา ตัวบางเลยรูดมาตามพื้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด ทั้งร้องทั้งดิ้นจะไปให้ได้

“รูส บอกให้หยุด รูส!!”

“มันทำร้ายรูส... ทำร้ายรูส!!”

รูสตะคอก ดิ้นหนีจากการกักกันของสายลม เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็ชักทนไม่ไหว แขนแกร่งกอดรัดร่างผอมบางจนแทบจมไปกับอก ทั้งเรียกสติเด็กมันไปด้วย แต่ก็ดูจะไร้ผลเมื่อฟันคมกัดลงมาบนไหล่ของเขา

“อ๊ากกกกกก!!”

สายลมกัดฟัน ถึงจะเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย

“ได้สติสักที รูส ได้ยินไหม!”

ในเมื่อเด็กมันกัดไม่ปล่อย เขาก็อึดพอที่จะกอดเอาไว้แน่นไม่ปล่อยเหมือนกัน เลือดเริ่มซึมเพราะแรงเหวี่ยงจากฟันที่กัดลงมา ความเจ็บแล่นปราดไปทั้งซีกจนเริ่มชา ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ารูสปล่อยตั้งแต่ตอนไหน จนกระทั่งรู้สึกถึงกายผอมที่สั่นอยู่ในอ้อมแขนทั้งเสียงสะอื้นแผ่วจึงค่อยคลายอาการกอดรัด มือลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบโยน พอได้สติแล้วรูสคงทั้งตกใจและรู้สึกผิด

“อย่าร้อง” สายลมปลอบเสียงแผ่ว กดศีรษะทุยกับอกตนเอง

รูสยกมือดันตัวสายลมออกห่างแล้วนั่งหันหลังให้ กายผอมสะอื้นตัวโยน สายลมเอื้อมไปแตะไหล่แล้วรั้งเข้ามากอด จะร้องไห้คนเดียวทำไมรูส อยากร้องก็มาร้องกับเขานี่ เด็กดื้อ

“รูสเป็นบ้าไปแล้วสายลม... ฮึ่ก... รูสเป็นบ้า...”

“ชู่ว รูสไม่ได้บ้า แค่มีบางอย่างที่ทำให้รูสเป็นแบบนี้” กดจูบขมับบางทั้งเอ่ยปลอบ เด็กสะอื้นหนักจนเขาชักใจไม่ดี

“รูสทำให้สายลมเจ็บ...”

ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกย่ำแย่ กลิ่นคาวเลือดยังอวลในปาก ทั้งคราบที่เลอะเปรอะยังบอกชัดว่าเขามันบ้า ล้างเท่าไรมันก็คงไม่หมด มันคงลบออกไปจากใจของเขาไม่ได้

“รูสไม่ได้ตั้งใจ ฉันรู้”

“แต่รูสก็ทำ ถึงไม่ได้ตั้งใจแต่รูส...”

ริมฝีปากบางถูกปิดทับด้วยปากของอีกคน ปิดกั้นทุกคำพูด ทุกคำต่อว่าด่าทอตนเองให้มันย้อนกลับลงไป สายลมค่อยบดเบียดกลีบปากบางช้า ๆ เป็นนานกว่าจะถอนจูบ มองสบนัยน์ตาสั่นไหวก่อนเลื่อนริมฝีปากมาที่หน้าผากนูนแล้วกดย้ำลงไป

“ถ้าบอกว่าฉันไม่โกรธ จะรู้สึกดีขึ้นไหม?”

รูสส่ายหน้า คราบน้ำตายังเลอะสองแก้ม นิ้วใหญ่ค่อยเช็ดมันจากแก้มเด็กช้า ๆ เมื่อเอ่ยถามต่อ

“แล้วถ้าฉันบอกว่าโกรธล่ะ?”

ใบหน้าเรียวบิดเบ้ จะเป่าปี่อีกรอบหากสายลมคิดแบบนั้นจริง

“แบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น ฉันจะทำยังไงดีนะ?”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มไร้แววตำหนิทำให้เด็กเม้มปาก ก้มหน้าลงไม่มองสบดวงตาคมที่ทอแววอารี สายลมช้อนคางมนให้เงยขึ้น เกลี่ยเช็ดน้ำตาบนแก้มให้ ก่อนจะเช็ดกลีบปากนุ่มที่มีแต่เลือดของเขาเปื้อนเปรอะ

“ไปล้างหน้าล้างตาไป บ้วนปากด้วย เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน โอเค?”

รูสมองสายลมนิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้ารับ

“เด็กดี”

ได้ยินแล้วรูสอยากจะแย้งเหลือเกิน ไม่ดีเลย รูสไม่ใช่เด็กดี มือเรียวเอื้อมไปที่รอยเลือดบนเสื้อนอนของสายลม ฝีมือเขาทั้งนั้น สายลมต้องเจ็บตัวก็เพราะเขา ยังจะบอกว่าเป็นเด็กดีอีกหรือ

“ไม่เป็นไร ทำแผลหน่อยเดียวก็ดีขึ้นแล้ว”

เขาจับมือเด็กเอาไว้ก่อนที่มันจะทันได้แตะลงบนรอยเลือดนั่น กายสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วรั้งแขนเด็กให้ลุกตาม ปล่อยให้เด็กมันเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

สายตาคมเหลือบมองไหล่ของตน ที่ราซิสบอกว่าแผลที่ไหล่มันได้มาเพราะรูส นั่นมันคือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อหันกลับไปมองประตูห้องน้ำ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไรถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับรูส ไม่เช่นนั้นรูสคงอกสั่นขวัญหายทุกทีที่เกิดเรื่องเช่นนี้

ก่อนนี้ทุกเดือนดับครั้งแรกหลังวันเกิดจะมีปฏิกิริยาบางอย่างที่รูสไม่สามารถควบคุม แต่ยังพอที่จะป้องกันได้ มาคราวนี้มันกลับรุนแรงมากกว่า รูสถึงกับจะฆ่าคน แล้วคนที่ว่านั่นมันคือใครกัน ราซิสหรือ?

รูสใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเป็นนานกว่าจะออกมา ตาบวมแดงจนสายลมใจหาย ร้องหนักแค่ไหนกันหนอเด็กน้อย เมื่อร่างผอมเดินมาหาเขาที่นั่งอยู่ปลายเตียง เขาก็กางแขนออก แต่เด็กกลับส่ายหน้า มองแผลที่ไหล่อย่างรู้สึกผิด ถึงมันจะถูกปิดด้วยผ้ากอซสีขาวจนไม่เห็นสภาพแผลแล้ว แต่รูสก็ไม่กล้าเข้าใกล้อยู่ดี เพราะถึงอย่างไรตนเองก็เป็นต้นเหตุให้เกิดบาดแผลนั้นขึ้นมา

“อยากกอด”

สายลมบอกเมื่อเห็นแววกังวล ตากลมเงยขึ้นมองหน้าเขาด้วยความสับสน ก่อนที่จะค่อย ๆ ก้าวเข้ามานั่งตักแล้วให้เขากอดแต่โดยดี

“อย่าโทษตัวเอง ถ้ารูสโทษตัวเอง ฉันก็คงไม่ต่างกัน เพราะฉันปกป้องรูสไม่ได้ เกือบทำให้รูสต้อง...”

ร่างน้อยนั้นผละออกมาเพื่อแตะปากไม่ให้เขาพูดต่อ ส่ายหน้าไปมาทั้งสีหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกหนหากเขาไม่หยุด

“สายลมทำดีที่สุดแล้ว ปกป้องรูสดีที่สุด”

“ถ้าคิดว่าฉันทำดีที่สุดแล้ว รูสเองก็เหมือนกัน เลิกคิดด้านลบแล้วมาหาวิธีแก้ไขมันด้วยกัน โอเคไหม?”

เด็กนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะบอกเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ “รูสกลัว... กลัวว่าจะทำไม่ได้...”

“รูสเชื่อใจฉันไหม?”

“......” มองคนถามแล้วรูสก็พยักหน้า

สายลมยิ้มบางแล้วว่า “ฉันก็เชื่อใจรูสเหมือนกัน”

“ต... แต่รูสไม่เชื่อใจตัวเองเลย รูสทำไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มสั่นหัว

“รูส รูส.. ฟังนะ...” มือหนายึดจับแก้มนุ่มเพื่อให้อีกฝ่ายมองตาของตน “ฟังฉัน”

“......”

“ไม่ว่ารูสจะทำได้หรือไม่ได้ ฉันก็จะอยู่ข้างรูส” สายลมบอกด้วยความหนักแน่น

“ไม่ว่า... จะทำได้หรือ... ไม่ได้... เหรอ?”

“ใช่ ไม่ว่ายังไง ฉันก็อยู่ข้างรูส”

รูสเม้มปาก นัยน์ตาสีอำพันสั่นระริกไหว โน้มกายไปโอบกอดสายลม สายลมดีกับรูสมาก รูสจะไม่ทำให้เดือดร้อนอีกแล้ว จะพยายาม

สายลมลอบถอนใจเบา ๆ ความรู้สึกรูสมันเปราะบางมาก หากมีอะไรมากระทบอีก เขาไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่ารูสจะยังรับไหว เรื่องบ้าบอพวกนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับรูสหรือใครเลยจริง ๆ



เกือบรุ่งสาง รูสถึงได้นอนหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย สายลมออกมานอกระเบียง ลูห์ปรากฏกายขึ้นช้า ๆ มันมองผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและนายของมันที่ดูตึงเครียด ก่อนจะเบือนสายตามองตรงไปข้างหน้าเช่นเดียวกัน

“เขาจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” คำถามที่เหมือนเปรยกับตัวเอง แต่ก็ต้องการคำตอบที่ชัดเจนเช่นกัน

‘คำตอบอาจทำร้ายใจเจ้ามากเกินไป’ ลูห์ตอบกลับมาเช่นนั้น

“คงไม่มีอะไรเจ็บปวดไปมากกว่าเห็นเขาเจ็บ...”

ลูห์ถอนใจเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดของคนพูด ก่อนจะบอกในสิ่งที่ตนเองก็ไม่อยากบอกแม้แต่น้อย

‘ตลอดชีวิต’

“......”

สายลมนิ่งอึ้ง ลูห์หันมามองก่อนถามในสิ่งที่มันก็รู้ดี

‘ไม่รู้ดีกว่า ใช่ไหม?’

“นายไม่คิดว่ามันโหดร้ายไปหน่อยเหรอ?” แทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอ เขากำลังเป็นเช่นนั้น

‘แล้วแบบไหนล่ะที่เจ้าเรียกมันว่าไม่โหดร้าย ที่รูสเป็นไม่ใช่โรคที่จะรักษาให้หาย แต่เป็นผลของการกระทำ อาจไม่ได้มาจากเขา แต่คนรอบกายเขาก็ทำให้มันเกิดด้วยกันทั้งนั้น’

สายลมสูดลมหายใจเข้าลึกหลังจากเงียบไปนาน จะยอมแพ้เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ราวกับไม่ใช่เขา เขาหวั่นไหวมากไปเมื่อเป็นเรื่องรูส

“ฉันจะหยุดมันให้ดู”

‘หึ’


ลูห์ทำเสียงในลำคอ คล้ายรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องพูดเช่นนี้ ร่างสูงใหญ่นั้นก้าวกลับเข้าห้องไปแล้วหลังพูดประโยคแสนแน่แน่วนั้นจบ ลูห์เองก็ผินกายแล้วก็หายไปอีกทางเช่นกัน

พูดน่ะมันง่าย แต่จะทำได้ไหม นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง...


......


ห้องวิจัยชั้นใต้ดิน

ราซิสมาวนเวียนอยู่หน้าห้องพลางครุ่นคิด เขาจะทำอย่างไรถึงจะเปิดเข้าไปในนั้นได้ ชายหนุ่มลองกดรหัสมันก็ขึ้นเตือนว่าผิดเช่นทุกที มือหนากำหมัดแล้วทุบผนังห้องนั่นเต็มแรงด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะชะงักเมื่อจุดที่เขาทุบเหมือนว่ามันจะกลวง มีช่องลับอยู่ในนั้นอีกหรือ?

มือหนาลูบจนทั่วเพื่อหาสิ่งผิดปรกติ เพราะผนังถูกปูด้วยกระเบื้อง เขาเลยไม่เคยสังเกต นี่สินะความฉลาดของศาสตราจารย์ภิชาติ แต่ก็ยังฉลาดน้อยกว่าเขาล่ะนะ หึ

ราซิสขึ้นไปหาค้อนเล็ก ๆ มาเคาะเพื่อฟังเสียง เมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ มุมปากก็ยกยิ้ม มีช่องว่างอยู่ด้านในจริง ๆ แต่เขาจะแกะกระเบื้องที่ครอบมันอยู่ออกได้อย่างไรกัน หรือไม่ต้องแกะ?

ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปวางทาบลงบนกระเบื้องแผ่นั้นแล้วกดมันลงไปสุดแรง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัวคิ้วเข้มขมวด ปุ่มนี้มันใช้ทำอะไรกันแน่ มีแต่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้

“หือ?” ราซิสชะงักเมื่อเห็นว่าเงาร่างหนึ่งทอดมาที่ผนังจากทางที่แสงไฟสาดส่อง เขาสั่งคนเฝ้าด้านบนไว้ แล้วใครที่ไหนมันตามเขาลงมา

ชายหนุ่มหันกลับไปมองทางที่มาของเงาดังกล่าว เพียงหันกลับ แขนของใครคนนั้นก็ฟาดมาที่หน้าจนเลือดซึมออกจมูก ราซิสมองคนตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง ดวงตาสีแดงเพลิงนั่นมัน... รูส

“แกเป็นใครกันแน่... ผ่านลูกน้องฉันมาได้ยังไง?” ราซิสหันมองรอบกาย ทั้งที่ไอ้เด็กนี่มันเข้ามาจนถึงตัวเขา แต่ลูกน้องของเขากลับยังเงียบสนิท

ราซิสคงไม่มีทางได้เห็นว่าด้านบนนั้น ลูกน้องของตนฟุบหน้านอนเกลื่อนทั้งที่ปืนยังค้างอยู่ในมือ หากราซิสได้เห็นคงไม่ต้องคาดเดาให้ยากว่าฝีมือของใคร

“แกทำร้ายรูส...” เสียงอีกฝ่ายคำรามอยู่ในลำคอ ก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะที่เหลือบสายตาขึ้นมองหน้าราซิส

“ฉันทำร้ายแกแล้วยังไงวะ จะมาเอาคืนหรือไง... อึ่ก!” ถ้อยคำถากถางทั้งเย้ยหยันถูกกลืนกลับ เมื่อมือเรียวเล็กแต่เต็มไปด้วยพละกำลังคว้าหมับที่คอคนพูด

“แกจะฆ่าเขา ทำร้ายเขา เดนมนุษย์!” รูสแยกเขี้ยว นัยน์ตาวาววับ

“พูดอะไรของกะ... แก.. เขาไหน ปล่อยนะโว้ย!”

ราซิสตอบโต้ตะกุกตะกักเมื่อเริ่มจะหายใจลำบาก พยายามแกะมือรูสออกจากลำคอ แต่มันกลับไม่ออก แถมยังบีบแรงขึ้นเสียอีก กำปั้นหนัก ๆ จึงเหวี่ยงมาหมายจะชกที่ท้อง แต่มือรูสแม่นราวจับวางเมื่อคว้าหมัดของราซิสไว้แล้วบิดจนเจ้าของร้องโอดโอย นัยน์ตาสีเพลิงมองตาของราซิสที่เริ่มมีแววหวั่น รูสไม่ใช่คนที่จะสู้ใคร ไม่บ้าดีเดือดแบบนี้ นี่ใช่รูสแน่หรือ?

“พวกแกทุกคน... ทุก ๆ คน...”

รูสคำราม ขณะที่ราซิสตาเหลือกลาน หายใจไม่ออก อากาศในปอดเริ่มลดน้อยลงจนต้องอ้าปากโกยอากาศ เห็นแบบนั้นแล้วรูสก็ตะปบปิดปากมันไว้ ดวงตาแข็งกร้าวเมื่อประกาศก้อง

“ต้องตายทุกคน!!”

ราซิสสะดุ้งตื่น หอบตัวโยนกับความฝันที่เหมือนจริงและเกิดขึ้นซ้ำซากเพราะคนคนเดียว มือยกจับคอตัวเองอัตโนมัติ ก่อนที่จะลุกเข้าห้องน้ำไปเช่นทุกคืน ลำคอของเขาปรากฏร่องรอยเขียวช้ำอย่างชัดเจน ชัดจนไม่คิดว่ามันจะเป็นเพียงความฝัน...



อีกด้านหนึ่ง

รูสขยับตัวด้วยอาการกระสับกระส่าย ร้องอืออาในลำคอคล้ายทรมาน สายลมพยายามปลุกจนเด็กมันลืมตาตื่นขึ้นมาโดยมีน้ำตารินไหลอย่างไม่รู้ตัว แขนเรียวยกขึ้นพาดปิดบังใบหน้าแล้วสะอื้นฮัก สายลมลูบผมนุ่มเพื่อปลอบโยน ฝันร้ายอีกแล้วหรือ

“รูส... ควบคุมมันไม่ได้...”

เด็กสะอื้นไห้ ในหัวเต็มไปด้วยความสับสนและทดท้อ อ้อมกอดสายลมเคยอบอุ่นจนคลายกังวล เวลานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น บางอย่างในตัวเขากำลังร่ำร้อง กำลังควบคุมจิตใต้สำนึกให้ยอมทำตาม ภาพความโหดร้ายในฝัน เขาไม่อยากให้มันเกิดแม้แต่น้อย... เลือด... เขาเกลียดมัน ไม่อยากสัมผัส

เพราะห้องใต้ดินนั่นทำให้บางอย่างถูกปลุกขึ้นมา เพราะความโหดร้ายที่พบเจอทั้งจากศาสตราจารย์ภิชาติและราซิส และเพราะของสำคัญถูกทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างพาให้จิตใจเขาอ่อนแอจวนจะพ่ายแพ้ให้มันแล้ว

ความอบอุ่นโอบล้อมกายเมื่อเขาสั่นจนควบคุมมันไม่อยู่ ใช่ อ้อมกอดสายลมยังอบอุ่น แต่เขาเจ็บปวดที่ถูกกอด เพราะเขาทำอย่างที่สายลมเชื่อไม่ได้ เขาจะหยุดมันไม่ได้แล้ว สายลม...

สายลมกอดร่างที่คล้ายจะเล็กลงไปอีกเท่าตัวเมื่อถูกโอบกอดไว้เช่นนี้ ไหล่มนสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นทำให้สายลมสะท้านในอก เขาจะหยุดมันไม่ได้จริงหรือ จะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปจริงหรือ... รูส


……


วันต่อมา ราซิสมาที่ห้องใต้ดินโดยให้คนเฝ้าด้านบนไว้อย่างแน่นหนา ในเมื่อความฝันมันเหมือนจริงจนเขาเกือบได้เลือด แสดงว่าห้องนั่นก็อาจมีกุญแจสำคัญอยู่ตรงผนังอย่างในฝันของเขาก็ได้ และหากมันเป็นอย่างในฝัน มันต้องมีช่องนั่นอยู่ถัดจากปุ่มใส่รหัสเพื่อเปิดประตู

ชายหนุ่มก้าวช้า ๆ เพื่อไล่ดูกระเบื้องแต่ละแผ่น ค่อยเคาะทีละแผ่นจนสะดุดกับแผ่นหนึ่งในนั้น เขาค่อยใช้หูแนบลงไปแล้วเคาะอีกครั้งเพื่อฟังเสียง รอยยิ้มสมใจปรากฏบนสีหน้า ในที่สุดเขาก็หามันพบ

ขณะที่ก้าวถอยออกมาจากผนังห้อง เงาร่างหนึ่งก็ทอดมาตามแสงไฟส่อง ราซิสนิ่งอึ้งตัวชา ไม่จริงน่า อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นกัน เขากลืนน้ำลายหนืดคอเพราะใจที่หวาดหวั่น ก่อนหันกลับไปเผชิญหน้าเจ้าของเงานั้น ดวงตาชายหนุ่มเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น...

‘รูส!!’



.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :a5:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๖ การจากลาของดวงตะวัน



“รูส...”

ราซิสเรียกคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง มันเหมือนในฝันของเขาไม่มีผิดเมื่อรูสมาปรากฏกายที่นี่ นัยน์ตาสีเพลิงสะกดเขานิ่ง ขณะที่ภาพความทรงจำแสนโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับรูสถูกถ่ายทอดผ่านแววตานั้นจนราซิสแทบกระอัก อยากเบือนหลบแต่ไม่สามารถทำได้อย่างใจคิด ต้องยืนแน่นิ่งอยู่กับที่และถูกป้อนความเจ็บปวดน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าที่เขาพบเจอ

“สนุกดีไหม ราส?” รูสเอ่ยถามเสียงเย็น ขณะที่ริมฝีปากบางนั้นกระตุกยิ้มหยัน

“อึ่ก... แก... แกเป็นใครกันแน่ แก... ไม่ใช่รูส...”

ราซิสพยายามจะพาตัวเองออกห่างจากเด็กประหลาดตาสีแดง แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง ทั้งที่อีกฝ่ายยืนอยู่นิ่ง ๆ กลับควบคุมเขาเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งลี้ลับพวกไสยเวทย์มันมีอยู่จริงหรือ หรือแท้ที่จริงแล้วรูสมันไม่ใช่คน

“หึ ทำไมถึงคิดว่าผมไม่ใช่รูสล่ะ พี่ชาย ในเมื่อความทรงจำที่พี่เพิ่งเห็นมันเป็นของผมทั้งนั้น” รูสยังคงตอบกลับด้วยความนิ่ง ในขณะที่ราซิสเริ่มหวั่น

“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง รูสมันคงตายไปตั้งนานแล้ว!”

ผลัวะ!!


หมัดเล็ก ๆ แต่แสนหนักหน่วงฟาดมากึ่งปากกึ่งจมูกจนราซิสหน้าหงาย ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมมากระชากผมแบบที่เขาเคยทำกับรูสเอาไว้เมื่อครั้งก่อน ตามด้วยเสียงตะคอก

“เพราะฉันดิ้นรนที่จะอยู่ไง! แต่แกกลับจะทำลายมัน! ชีวิตแกมันน่าสมเพชเหรอ! น่าสงสารเหรอ! รูสเป็นมากกว่าแกยังไม่เห็นต้องทำร้ายใคร!!”

ศีรษะของราซิสเจ็บหนึบจากมือที่ขยุ้มกำเส้นผม ชายหนุ่มมองเด็กประหลาดตรงหน้าที่มีน้ำตาไหลลงมาฟ้องความเจ็บปวดของเจ้าตัว รูสต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง ราซิสกล้ายกความเจ็บปวดของตัวเองมาเป็นสิ่งเร้าให้ทำชั่ว ฆ่าฟันแม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว สมควรแก่เวลาหรือยังที่ราซิสควรจะได้รับผลของการกระทำนั้นกลับไปบ้าง

“พวกแกทุกคนทำร้ายเขา ทำลายทั้งชีวิตของเขา ไม่ว่าจะดอกเตอร์นั่นหรือตัวแกเองมันก็เลวไม่แพ้กัน” เด็กหนุ่มเอ่ยลอดไรฟัน นัยน์ตาสีเพลิงราวมีประจุไฟลุกโชติช่วงอยู่ในนั้น และมันพร้อมจะเผาผลาญทุกคนตรงหน้าให้ย่อยยับ

“อย่า... รูส อย่า...” ราซิสขอร้องเด็กตรงหน้าที่มองมายังเขาอย่างไร้ความรู้สึก

“อย่ามาร้องขอถ้าแกไม่เคยให้มันกับฉัน!”

ดวงตาชายหนุ่มเบิกโพลงเมื่อค้อนที่เขานำมันมาเคาะผนังถูกรูสกำกระชับแล้วเงื้อง่าจนสุดแขน...


...


“เดวา”

สายลมรีบรุดมาหาน้องชายที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อน้องโทรมาบอกว่าเกิดเรื่อง สีหน้าเดวาดูไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นเขา ก่อนที่เจ้าตัวแสบจะละล่ำละลักบอก

“พี่ลม เดวาขอโทษ รูส... รูสหายตัวไปไหนแล้วไม่รู้” เอ่ยบอกพี่ชายเสียงสั่น สายลมต้องจับมือน้องไว้แล้วถามไถ่ให้ได้ความ

“ใจเย็น ๆ เดวา ค่อย ๆ เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”

เดวามองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกผิด ต้นเหตุเพราะเขาพารูสออกมาข้างนอก ด้วยความที่น้องบอกอยากมาเที่ยว เขาก็พามา ไม่นึกว่าอยู่ ๆ น้องจะหายไปเพียงเพราะบอกกับเขาว่าขอไปเข้าห้องน้ำ ทั้งที่ยืนรอน้องอยู่ข้างนอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานจนผิดสังเกต เขาก็เข้าไปเรียก ถึงตอนนั้นกลับไม่พบว่ามีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ภายในห้อง ให้บอดีการ์ดช่วยหาก็แล้ว ก็ยังไม่พบ จนต้องเรียกสายลมมาช่วย

ฟังที่น้องบอกแล้วสายลมก็ชักเครียด ชายหนุ่มติดต่อทางห้างสรรพสินค้าเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่รูสหายไป ด้วยว่าทางห้างฯรู้จักกับมิสเตอร์แอลเพราะเคยเป็นหนึ่งในลูกค้าของบริษัทการเงินเฟอร์ริงตันมาก่อน ทำให้การติดต่อเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาได้ตรวจดูเทปจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกช่วงเวลาที่รูสหายตัวไปเอาไว้

ภาพด้านหน้าห้องน้ำของทางห้างฯ เห็นเดวาเดินมาส่งรูสแล้วยืนรออยู่ตรงทางเดินใกล้ประตูเข้าออก เวลาเดินไปสักพักก็เห็นว่าเดวาหันไปมองอีกทาง และเป็นขณะเดียวกันกับที่รูสเดินออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเดวาหันกลับมาก็คล้ายว่าจะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เพราะยังคงยืนอยู่ที่เดิมเป็นนานกว่าจะยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วเข้าห้องน้ำไปตามรูส

“ตอนนั้นเดวาเหมือนได้ยินเสียงของตกเลยหันไปมอง แต่ก็ไม่ได้นานอะไรเลยนะ ทำไมรูสเดินเร็วจัง?” ท้ายประโยคเด็กหนุ่มเหมือนจะพึมพำกับตนเอง

สายลมมีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนบอกกับผู้เป็นน้อง “เดวากลับบ้านไปก่อน”

“พี่จะไปไหน?” เดวารีบถามเมื่อพี่ชายตั้งท่าจะเดินออกไป

“ฝากด้วยนะ แคน” สายลมไม่ได้ตอบคำถามน้องชาย แต่หันไปสั่งบอดีการ์ดประจำตัวน้องแทน

“ครับ” อีกฝ่ายรับคำแล้วรีบรั้งตัวเดวาเอาไว้เมื่อเห็นว่าจะถลาตามสายลมไป

“เดี๋ยว พี่จะไปไหน เดวาไปด้วย!” เดวาบิดแขนออกจากการเกาะกุมของบอดีการ์ด สายตาขวางขุ่นมองบอดีการ์ดของตนอย่างคาดโทษ ก่อนจะเดินไปดักหน้าสายลม

สายลมมองหน้าน้องด้วยแววจริงจังพร้อมบอกเสียงเข้ม “กลับบ้านไป เรื่องรูสไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะพาเขากลับมาเอง”

“พี่รู้เหรอว่ารูสอยู่ที่ไหน!?”

ไร้การตอบกลับจากพี่ชาย เมื่อร่างสูงใหญ่นั้นก้าวเดินไม่เหลียวหลัง เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักอก ได้แต่มองตามหลังพี่ด้วยความเป็นกังวล



สายลมมายังบ้านธรรมวงศาพร้อมคนของเวสส์และลุงหลง เพราะในที่สุดรูสก็แอบออกมาจนได้ และที่ที่รูสจะไปเขาก็นึกได้เพียงที่เดียว เขาวางใจเพราะไม่เห็นถึงความผิดปรกติถึงได้ให้ออกมากับเดวา แต่แท้ที่จริงแล้วเด็กมันเล่นละครตบตาจนมองไม่ออก หากในระหว่างนี้เด็กมันทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวอีกอาจทำให้เป็นบาดแผลในใจจนยากจะลบเลือนได้ เขาต้องรีบหาให้เจอก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับลูกของผมกัน”

สายลมหันมามองลุงหลงที่ดูเครียดกับสถานการณ์ขณะนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะบอกแกอย่างไร ขนาดลุงแกยังไม่รู้ว่าเหตุใดรูสถึงได้เป็นเช่นนั้น ต้นเหตุมาจากศาสตราจารย์ภิชาติ หรือมันเป็นมาตั้งแต่รูสเกิด

“จี้ของรูสแตกไปแล้ว ลุงว่ามันจะเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า?” สายลมคาดเดา

“ก็ไม่แน่เหมือนกันครับ” ลุงหลงเริ่มคิดตาม จี้นั่นแกได้มาจากมารดาของรูส มันมีไว้ปกป้องคุ้มภัยตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน บางครั้งมันอาจมีความพิเศษมากกว่าที่แกรู้มา และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูสเป็นดังเช่นเวลานี้ก็เป็นได้

“ที่ลุงเคยบอกว่าเพราะดวงตาของรูสเป็นสีเพลิง คนในหมู่บ้านจึงได้ตามล่า...”

“......”

“เขาเกิดมาตาเป็นสีนั้นเลยเหรอ แล้ว... ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นสีอำพันได้?”

“ตารูสสีอำพันครับ แต่อย่างที่นายน้อยเคยเห็น เดือนดับแรกหลังวันเกิด รูสจะเปลี่ยนไป เพราะเหตุนั้นคนในหมู่บ้านของพวกผมที่ค่อนข้างงมงายถึงได้ใช้มันมาขับไล่พ่อแม่รูส รวมทั้งตัวรูสด้วย” ลุงหลงอธิบาย

“บางครั้งเขาก็เหมือนจะไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนมีใครอีกคนอยู่ใต้จิตสำนึกของเขา และตอนนี้คนคนนั้นก็กำลังควบคุมเขาอยู่” สายลมช่วยเสริมในส่วนที่ตนเองรู้สึก

“มันซับซ้อนจนผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วครับ นายน้อย... ช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง” มือกร้านลูบหน้าตนเองด้วยความว้าวุ่น

สายลมเงียบไปเพราะเขาเองก็หาคำตอบให้กับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน ได้แต่เฝ้าภาวนาว่าพวกเขาจะไปถึงที่หมายทันการณ์



บ้านธรรมวงศา

หน้าทางเข้าห้องใต้ดิน ลูกน้องของราซิสฟุบนอนอยู่เกลื่อนกลาด ศาสตราจารย์ภิชาญ ธรรมวงศา พี่ชายของศาสตราจารย์ภิชาติ ยืนมองคนเหล่านั้นด้วยอาการนิ่งอึ้ง ก่อนที่จะก้าวถอยแล้วลนลานไปโทรแจ้งตำรวจว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาทำร้ายคนในบ้านของตน

“ราสชักจะทำตัวใหญ่โตมากเกินไปแล้วนะคะ นี่แอบทำอะไรในบ้านเราอีกก็ไม่รู้ คนของเจ้าเด็กนั่นถึงได้นอนเกลื่อนหน้าทางเข้าห้องใต้ดินเต็มไปหมด”

ภรรยาของศาสตราจารย์ภิชาญเอ่ยขึ้นมาเมื่อผู้เป็นสามีวางสายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ นางไม่ใคร่จะชอบใจราซิสเอาเสียเลย เด็กเหลือขอนั่นถืออำนาจบาตรใหญ่ภายในบ้านของน้องสามีนาง และลามมาที่บ้านของนางที่อยู่ในบริเวณรั้วเดียวกันด้วย ต่างอกสั่นขวัญแขวนกับท่าทีทั้งข่มทั้งขู่ของราซิสจนต้องปิดปากเงียบ แม้จะรู้เห็นอะไรไม่ดีอยู่ตำตา

“คราวนี้ผมจะไม่อยู่เฉยอีกแล้ว เป็นไงเป็นกันสิ” ศาสตราจารย์ภิชาญว่า

“ระวังตัวด้วยนะคะ ราสมันมีมาเฟียหนุนหลัง ฉันกลัวว่าถ้ามันรอดมาได้...” ผู้เป็นภรรยาบอกสามีอย่างเป็นกังวล ที่เฉยมาตลอดก็เพราะรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น และมันก็วนกลับมาที่เดิมอยู่แบบนี้

เสียงกริ่งหน้าบ้านเรียกความสนใจของสองสามีภรรยา ศาสตราจารย์ภิชาญรีบออกมารับหน้า ด้วยนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตนเองแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายไป แต่แล้วผู้ที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับเป็นคนอื่น ชายสูงวัยจึงจะย้อนกลับเข้าบ้านพลางสั่งคนให้เฝ้าหน้าประตูให้ดี

“ดอกเตอร์ภิชาญ”

เสียงเรียกจากบุคคลแปลกหน้าทำให้ชายสูงวัยหันกลับมามอง หัวคิ้วเขาขมวดเมื่อรู้สึกคุ้นหน้าของใครคนหนึ่งในนั้น ดวงตาหรี่ลงอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนที่จะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อความคลับคล้ายคลับคลาที่มีมันเริ่มกระจ่าง

“นายริวอา?”

เจ้าของชื่อผงกศีรษะเป็นการตอบรับว่าใช่ตนเองแน่ ก่อนจะเข้าเรื่องเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

“ช่วยเปิดประตูให้เราด้วยครับ ดอกเตอร์ พวกเรามีเหตุจำเป็นที่จะต้องเข้าไปด้านใน” ลุงหลง หรือ ริวอา บอกแก่เจ้าของบ้าน

“ทำไมฉันต้องให้พวกนายริวอาเข้ามาในนี้ด้วย คิดจะเข้ามาทำอะไรกัน?”

ชายสูงวัยกวาดมองทุกคนอย่างไม่ไว้ใจ ถึงแม้เขาจะรู้จักริวอาในฐานะคนของน้องชายและบิดาของรูสซึ่งน้องชายของเขารับเป็นบุตรบุญธรรม แต่ใช่ว่าจะปล่อยให้เข้ามาได้ง่ายดาย แล้วไหนจะเรื่องที่ว่าริวอาคนนี้ได้ตายไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา มันหมายความว่าอย่างไรกัน

สายลมกระชากประตูรั้วทำให้เจ้าของบ้านสะดุ้งด้วยความตกใจ สายตาคมมองจ้องขณะเอ่ยอย่างพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ คนกำลังร้อนใจยังมาท่ามากอยู่ได้!

“คนของผมอยู่ในนั้น ถ้าคุณมัวยึกยักไม่ยอมให้เข้าก็เท่ากับคุณช่วยราซิสปกปิด และจะโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”

ศาสตราจารย์ภิชาญบอกปัด จะหลบเลี่ยงเข้าบ้านไปเพราะไม่อยากยุ่งเรื่องเกี่ยวกับราซิส แต่เพียงหันกลับ ใจของเขาก็กระดอนออกมากองอยู่ที่ปลายเท้าเมื่อสิงโตตัวใหญ่ก้าวมาดักหน้า ทั้งประตูหน้าบ้านยังถูกเปิดออกโดยที่เขาไม่ได้แตะต้องกลไกใด ๆ ทั้งสิ้น รปภ.ที่ทำหน้าที่อยู่ตรงทางเข้าก็ละล้าละลังเมื่อฝั่งสายลมพกอาวุธครบมือ

“ผมจะถือว่าคุณเป็นพวกเดียวกับราซิส หากเกิดอะไรขึ้นกับคนของผม เราจะได้เห็นดีกัน” สายลมก้าวเข้ามาประจันหน้ากับเจ้าของบ้าน เมื่อเอ่ยจบก็เร่งรุดตามลูห์ไปด้านใน เสียเวลากับตาแก่เรื่องมากนี่พอแล้ว

เมื่อเข้ามาด้านใน ลูห์ก็นำทางทุกคนมายังสถานที่หนึ่ง หน้าประตูนั้นเต็มไปด้วยร่างของชายฉกรรจ์หลายคนนอนเกลื่อน เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในก็พบกับบันไดที่ทอดยาวลงสู่ใต้ดิน สายลมหันมามองลูห์และลุงหลง

“ห้องวิจัยของดอกเตอร์อยู่ใต้นั่นครับ” ลุงหลงบอก

สายลมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะบอกให้ทุกคนระวังตัวแล้วค่อยลงไปด้านล่าง ขณะที่ด้านนอก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึงพอดี ศาสตราจารย์ภิชาญจึงอยู่บอกรายละเอียดต่าง ๆ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดกับราซิส จึงเบี่ยงประเด็นที่สายลมบุกเข้ามาในบ้านพร้อมสิงโตตัวใหญ่และคนอีกจำนวนหนึ่งออกไป โดยบอกว่าราซิสลักพาใครสักคนเข้ามาในนี้ และอาจมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นทำให้ลูกน้องของราซิสสลบเหมือดอยู่หน้าทางเข้าห้องใต้ดิน ก่อนปล่อยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป

เมื่อมาถึงหน้าห้องวิจัยใต้ดินของศาสตราจารย์ภิชาติ ใจสายลมก็เต้นกระหน่ำด้วยความหวาดหวั่น ยิ่งเห็นว่าร่างของราซิสรูดตัวพิงผนังกระเบื้องแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไร้เงาของรูสด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สายลมกลัวว่าตนจะมาไม่ทัน

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปดู มือหนายกขึ้นอังตรงจมูกเพื่อดูว่ายังคงมีลมหายใจอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าคงเพียงแค่สลบไปเท่านั้น สายลมก็ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก รูสอาจรู้สึกตัวก่อนที่จะทำอะไรรุนแรงลงไป สายตาคมกวาดมองโดยรอบจนสะดุดเข้ากับประตูห้องที่เปิดค้างอยู่ หัวคิ้วเข้มขมวด หรือว่ารูสจะอยู่ในนั้น?

‘เขาอยู่ข้างใน’


ลูห์บอกย้ำให้ความมั่นใจ สายลมหันมามองมองมันก่อนจะหันกลับไปมองที่ประตูบานนั้น ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวไปตรงประตู ด้านในมีแต่ความมืดมิด แสงไฟจากด้านนอกส่องเข้าไปทำให้เห็นเพียงเงาข้าวของตะคุ่ม ๆ เท่านั้น

สายลมตัดสินใจก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อเข้ามาแล้วก็สอดส่ายสายตามองหารูส โดยที่ลุงหลงคอยเฝ้าราซิสอยู่ด้านนอกจนตำรวจลงมา ชายสูงวัยจึงได้บอกให้คุมตัวราซิสไป เพราะเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด

“รูส... อยู่ในนี้หรือเปล่า?”

สายลมเรียกหาเด็กภายใต้ความมืด มือหนาโบกไปมาเพื่อป่ายปัดฝุ่นผงที่มันคละคลุ้งเวลาก้าวเดิน ชายหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดในห้องนี้ ไม่รู้สภาพของห้องด้วยซ้ำว่ามันเป็นเช่นไร ปุ่มเปิดไฟอยู่ตรงไหนกัน

พรึ่บ!

แสงสว่างจ้าจนตาพร่าเมื่อไฟถูกเปิดอย่างฉับพลัน สายลมหันขวับไปมองด้านหลัง ก่อนจะค่อยมองรอบกายอย่างระแวดระวัง คนของเวสส์ยืนงงเมื่อไฟในห้องมันเปิดขึ้นมาเองโดยที่พวกเขาไม่ได้แตะต้องอะไรภายในห้องนี้เลย เมื่อเห็นท่าทีคนของเวสส์เช่นนั้น สายลมก็หรี่ตาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะปัดมันออกจากหัวเมื่อคิดว่าบางทีลุงหลงอาจเป็นคนเปิดจากด้านนอกให้พวกเขาก็ได้

ทั้งหมดค่อยก้าวลึกเข้าไปด้านในเมื่อมองเห็นทุกสิ่งโดยรอบ สายลมยังคงเรียกหารูส แต่กลับไร้เสียงตอบรับนอกจากเสียงสะอื้นที่ดังลอดมาจากที่ไหนสักแห่ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจตามเข้ามาพร้อมอาวุธปืน เมื่อได้ยินเสียงคล้ายใครสักคนกำลังสะอื้นไห้ ผนวกกับคำให้การของเจ้าทุกข์เช่นศาสตราจารย์ภิชาญว่าราซิสลักพาใครสักคนมาที่นี่ บางครั้งคนคนนั้นอาจถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ภายใน

ปืนในมือถูกเหน็บเก็บเข้าที่เอว ก่อนที่นายตำรวจคนดังกล่าวจะแนบหูกับผนังห้องเพื่อฟังที่มาของเสียงให้ชัดขึ้น

“มันน่าจะดังมาจากในนี้นะครับ”

นายตำรวจหันมาบอกกับสายลมคล้ายจะปรึกษา แต่ผนังห้องนี้มันดูไม่น่าจะมีกลไกอะไรเลย หากได้ยินเสียงมาจากอีกฟากฝั่งของผนังก็แสดงว่าภายในห้องนี้ยังคงมีอีกห้องหนึ่งซ่อนอยู่ เพราะเสียงสะอื้นไห้ยังดังมาให้ได้ยิน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาทางเปิดมันเพื่อช่วยคนด้านใน

สายลมถอดเสื้อตนเองออกเพื่อใช้เช็ดฝุ่นตรงผนัง เผื่อจะเห็นร่องรอยอะไรบ้าง และมันก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเมื่อเห็นรอยแยกเพียงขีดเล็ก ๆ ที่พาดผ่านจากด้านบนลงมาจนถึงพื้น ชายหนุ่มลองดันมัน แต่คงเพราะไม่ได้เปิดมาหลายปีทำให้เขาดันมันไม่ค่อยออก เจ้าหน้าที่ตำรวจและคนของเวสส์จึงได้เข้ามาช่วยกัน จนกระทั่งสามารถเปิดประตูลับบานนั้นได้สำเร็จ

เมื่อเข้าไปด้านใน ทุกคนก็กระชับปืนในมือด้วยท่าทีระวังภัย แสงสีฟ้าเรือง ๆ จากบางสิ่งสาดส่องไปทั่วทั้งห้อง แต่มันไม่ได้สว่างมากนักเพราะขนาดห้องที่ไม่เล็กสักเท่าไร เสียงสะอื้นไห้ที่ได้ยินเมื่ออยู่ด้านนอกดังชัดขึ้นจนน่าขนลุก

“รูส รูส ได้ยินฉันไหม?” สายลมลองเรียกหา เพราะไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินจะใช่เด็กน้อยของเขาไหม

“ฮึ่ก... สายลม...”

เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับ สายลมก็ใจชื้นขึ้น ขายาวรีบก้าวไปยังที่มาของเสียง เห็นรูสนั่งซุกอยู่ในมุมหนึ่งอย่างน่าสงสาร

“รูส...”

สายลมเอ่ยเรียกก่อนจะชะงักงันเมื่อกำลังจะก้าวไปหา ทุกคนที่ก้าวตามเขามาต่างเบิกตากว้างด้วยตื่นตะลึงไม่แพ้กัน รูสค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจากการกอดเข่าร้องไห้ สายลมจึงละสายตาจากบางสิ่งตรงหน้าแล้วเบือนมามองรูส

“ช่วยเขาด้วย...”

เลือดในกายเขาเย็นเฉียบกับถ้อยคำวอนขอ ในอกบีบรัดเมื่อมองแท่งแก้วขนาดใหญ่ที่บรรจุของเหลวสีฟ้าเอาไว้ภายใน ฟองอากาศผุดพรายเมื่อเจ้าวัตถุทรงกระบอกใสมันยังคงทำงานอยู่ เสียงนายตำรวจที่พึมพำอยู่ข้างกายด้วยความทึ่งไม่ได้เรียกความสนใจจากเขาเท่าภาพตรงหน้า และ... ร่างของเด็กน้อยที่ถูกแช่อยู่ในของเหลวสีฟ้านั่น

เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งลอยตัวอยู่ด้านใน ใบหน้าดูสงบนิ่งราวกำลังหลับใหล แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี เด็กคนนี้คงไม่ใช่เพียงแค่หลับ แต่ลมหายใจที่มีมันก็คงหมดลงไปแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อละสายตากลับมาหารูส สายลมกลับพบเพียงความว่างเปล่า ชายหนุ่มหันมองหาเด็กของตนเสียรอบห้องกลับไม่พบแม้เงา ขายาวก้าวเข้าไปใกล้แท่งแก้วขนาดใหญ่นั้นด้วยหัวใจสั่นไหว เขาไม่รู้จักเด็กในนั้น แต่กลับรู้สึกเจ็บร้าวในอกเหลือเกินเมื่อมองดวงหน้าของเด็กคนนี้จนชัดเจนแก่สายตา

“รูส...”

เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกสายตาทุกคนให้หันมอง ลุงหลงก้าวเข้ามาเหมือนคนกำลังจะหมดแรง ร่างสันทัดทรุดนั่งลงตรงหน้าแท่นควบคุมที่ใช้ตั้งแท่งแก้วขนาดใหญ่นั่น เห็นเช่นนั้นสายลมก็นิ่งงัน หัวใจเขาเหมือนร่วงหล่นลงพื้นแล้วถูกบดขยี้ซ้ำ ค่อยหันกลับไปมองร่างเด็กผู้ชายคนนั้นอีกครั้งด้วยความตกตะลึง

เสียงคร่ำครวญขอโทษลูกชายไม่ขาดปากของลุงหลงไม่ใช่เรื่องโกหก สายลมวางมือแนบความเย็นชืดของวัตถุที่ห่อหุ้มร่างเล็กนั้นเอาไว้ ยิ่งมองนาน ยิ่งชัดเจนว่าเด็กคนนี้...

“ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมถึงมาอยู่ในนี้ ดอกเตอร์นั่นมันทดลองอะไรกันแน่!?” ลุงหลงยังคงร่ำไห้ ใจคนเป็นพ่อจะขาดตามเมื่อได้มาพบกับความจริงที่ไม่คาดฝัน

“รูส ออกมาเดี๋ยวนี้ เล่นแบบนี้ไม่สนุก”

สายลมกำมือที่วางทาบแท่งแก้วเอาไว้จนมันสั่นขณะที่พึมพำเพียงพ้นริมฝีปาก และมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบเขากลับมา

“ฉันบอกให้ออกมาไง จะให้ฉันบ้าตายให้ได้ใช่ไหม หา!”

ระดับเสียงของเขาเริ่มดังขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้คนที่เขาต้องการพบปรากฏกายขึ้นมาได้

“ออกมาบอกฉันสิ บอกฉันทีว่าเธอยังอยู่ คนที่อยู่กับฉันตลอดมาคือเธอ...”

สายลมกลืนก้อนความเจ็บปวดกลับลงไปในอก เมื่อยังคงมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับถ้อยคำอ้อนวอนของเขา เขากำลังจะหมดแรงลงตรงนี้แล้ว มันเรื่องบ้าอะไรอีก เขาจะรับมันไม่ไหวแล้ว รูส...

เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งลูกน้องให้นำกำลังฝ่ายต่าง ๆ มาเสริมเพื่อทำคดีนี้ พวกเขาต้องสอบปากคำทุกคนที่นี่ รวมทั้งต้องนำร่างเด็กในแท่งแก้วใสนั้นออกมาเพื่อชันสูตรด้วย

สายลมค่อยถอยห่างออกมา สายตายังคงจับจ้องเด็กน้อยคนนั้น จะบอกว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตาหรือ กายอุ่น ๆ ที่เขากอดอยู่ทุกคืนนั่น เขาแค่คิดไปเองอย่างนั้นหรือ ความทรงจำทุกอย่างที่เขายังจดจำมันได้จนกระทั่งวันนี้ นั่นเขาก็เพียงคิดไปเองหรือ แล้วรอยแผลที่หัวไหล่นี่ก็แค่... รู้สึกไปเอง อย่างนั้นหรือ?

.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :mew6:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
ร่างสูงใหญ่ก้าวออกจากห้อง เขาจะต้องตามหา เขาต้องหาให้พบ รูสแค่อยากเล่นซ่อนหากับเขาเท่านั้น ไอ้ดื้อมันแค่ซนไปตามประสา เดี๋ยวก็โผล่มาทำให้เขาประหลาดใจแล้วหัวเราะชอบใจเหมือนทุกที

แต่แล้วก้าวเดินของเขาก็ต้องหยุดลง เมื่อลูห์ก้าวมาดักหน้าเอาไว้ มันมองเขานิ่งก่อนบอก

‘หาเขาไม่เจอหรอก’

“ทำไม! เพราะอะไร!!?”

สายลมตะคอกถามเมื่อถูกขวาง เขากำลังพาลพาโล

“ถอยไป” สั่งลูห์เสียงเข้ม แต่ผู้ถูกออกคำสั่งกลับไม่ยอมทำตาม

‘เขาไปแล้ว’

“ถอยไป ลูห์!!”

เสียงที่ดังขึ้นเพราะความอัดอั้นไม่ได้ทำให้ลูห์ขยับ ทั้งสองมองจ้องตากันนิ่ง ก่อนที่สายลมจะทุบผนังห้องเต็มแรงเพราะไม่อาจดึงดันต่อไปได้ กายหนาสั่นสะท้าน น้ำตาเขาพาลจะไหลเมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำร้ายเขาไปถึงไหน เรื่องวันนี้ที่พบเจอมันบ้าบอทั้งนั้น เขาไม่เชื่อ ไม่มีทางเชื่อ ดอกเตอร์นั่นมันบ้า โคลนนิ่งรูสขึ้นมา ในนั้นไม่ใช่รูสของเขา ไม่ใช่!!

“เขาไปไหน เขาไปอยู่ที่ไหน ลูห์...” สายลมเอ่ยถามด้วยความทดท้อ

‘ไม่รู้’

คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เกิดความเงียบงันขึ้นกับสายลม

‘อาจจะไปเรื่อย ๆ ไร้จุดหมาย’ ลูห์เอ่ยเสริม

“ในเมื่อไร้จุดหมายทำไมไม่อยู่กับฉัน?”

‘......’ สิงโตตัวใหญ่ไม่มีคำตอบจะให้ เพราะนั่นคือความคิดที่เขาไม่สามารถล่วงรู้

สายลมหันกลับไปมองการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาต้องขึ้นไปด้านบนเพื่อหาทางเปิดแท่งแก้วนั้นออกโดยที่น้ำด้านในจะไม่ไหลทะลักออกมา ชั้นบนตรงจุดที่แท่งแก้วตั้งอยู่มีช่องเปิดปิด จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ตัดแล้วเปิดมันออกก่อนนำร่างเด็กชายในนั้นขึ้นมา เพื่อให้คนของทางการตรวจดูว่าน้ำยาที่ใช้แช่ร่างเด็กชายนั้นมันคือน้ำอะไร ท่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของศาสตราจารย์ภิชาติกระมัง

ร่างกายเด็กน้อยที่ถูกนำขึ้นมาจากน้ำซีดเผือดไร้สีเลือด แต่กลับไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา แสดงว่าน้ำสีฟ้าที่ใช้แช่ร่างนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่นักวิทยาศาสตร์ต้องวิจัยกันต่อไป ลุงหลงทรุดนั่งลงข้างศพลูกชายที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขาว ใจแกจะขาดกับโชคชะตาที่แสนโหดร้ายของเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่แกรับผิดชอบพาหนีมาจากการหมายเอาชีวิต แต่ท้ายที่สุด เด็กคนนี้ก็ยังต้องพบเจอกับสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า

...ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อไม่หวังให้ลูกอภัย แต่ขอให้ความทุกข์ทรมานที่มีมันจบลงเสียทีนะ รูส...


......


หลังเหตุการณ์ทุกอย่างจบลง ทรัพย์สินของศาสตราจารย์ภิชาติที่ราซิสถ่ายโอนไปเป็นของตนกลับมาเป็นของรูสทุกอย่าง ศาสตราจารย์ภิชาญผู้เป็นพี่ชายไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ ปล่อยให้ลุงหลงซึ่งเป็นบิดาของรูสจัดการทุกอย่างตามสมควร ลุงหลงจึงจัดการบริจาคมันให้การกุศลทั้งหมด เพราะอย่างไรเสีย รูสก็ไม่อยู่แล้ว และราซิสก็กลายเป็นนักโทษ ถูกกักกันและยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายจนเรียบ

ผู้เป็นนายของราซิสไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเช่นทุกครั้ง เพราะการเสี่ยงกับเวสส์ไม่เป็นผลดีต่อพวกตน จึงได้ปล่อยให้ราซิสตกที่นั่งลำบากต้องวิ่งเต้นด้วยตนเอง แต่เมื่อทุกอย่างถูกยึดไปจนหมด กระทั่งลูกน้องที่ต้องก้มหน้าก้มตารับใช้มาตลอดก็ยังถูกจับมาตาม ๆ กัน การที่จะรอดออกมาสู้คดีจึงเป็นไปได้ยาก

ถึงแม้ราซิสจะเคยทำเรื่องเลวร้ายมามากมาย แต่เมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่มในวันนี้ ลุงหลงก็ได้แต่ปลง แกไม่อยากสร้างบาปสร้างกรรมด้วยการเอาชีวิตมาแลกชีวิต เพราะกลัวว่ามันจะตกไปอยู่กับรูส ลูกชายของแกอีก ชาตินี้เกิดมาก็มีเวรมีกรรมมากพอแล้ว อย่างน้อยหากต้องจากไปก็อยากให้ลูกของแกได้ไปสบาย หมดทุกข์หมดโศกอย่างแท้จริง

สายลมและครอบครัวมิสเตอร์แอลมาที่วัดเพื่อร่วมงานฌาปนกิจ เดวายังคงร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจทุกครั้งที่นึกถึงรูส แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานแต่เขาก็ผูกพันกับเด็กคนนี้ไปแล้ว ความจริงที่ว่าต่อจากนี้จะไม่มีวันได้พบกันอีกทำให้เดวาทำใจยอมรับได้ยากยิ่ง ทั้งยังรู้สึกผิดที่ตนเองมีส่วนทำให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้

สายลมเดินเลี่ยงมาที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ รอเวลาเผาศพเด็กน้อยผู้มีชะตากรรมน่าเวทนา ถึงอย่างไรก็ไม่อยากจะยอมรับว่าเด็กคนนั้นคือรูส แต่ถึงจะเลือกเชื่อว่ารูสยังอยู่ก็คงหลอกตัวเองไม่ได้ เมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ร่างนั้นจะถูกเผาไหม้จนหลงเหลือเพียงเถ้ากระดูก

“นายรู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม?” สายลมเอ่ยถาม เมื่อลูห์ค่อยปรากฏกายขึ้น

‘……’ ความเงียบคือสิ่งที่สายลมได้กลับมา ไม่ตอบ เท่ากับรู้

“แล้วก็ปล่อยให้ฉันเป็นไอ้โง่อยู่คนเดียว” สายลมยิ้มหยันความโง่เง่าของตนเอง รูสไม่เคยมีตัวตน เขาน่าจะเอะใจตั้งนานแล้ว

‘ไม่มีใครคิดว่าเจ้าโง่หรอก สายลม’

“แต่นายไม่บอก”

สายลมตอกกลับ ทำให้ลูห์เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

‘เขาแค่อยากอยู่ใกล้เจ้าให้นานขึ้นอีกสักนิด’

“แล้วก็ทิ้งฉันไป... เหมือนอย่างตอนนี้”

‘......’ ลูห์เงียบ ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เมื่อมันคือความจริงที่ยากจะปฏิเสธ รูสจากไปแล้วจริง ๆ

“นายมันพวกเดียวกัน ฉันมันหัวเดียวกระเทียมลีบ นึกจะทำอะไรไม่ต้องบอกฉันก็ได้ ฉันเข้าใจดีว่าฉันมันคนอื่น” ร่างสูงใหญ่ก้าวจากไปเมื่อเอ่ยจบ ลูห์ไม่ผิดหรอก เขาเองที่ผิด ลูห์ไม่ได้บอกให้เขารักรูส เขารักของเขาเอง ถึงได้เจ็บปวดมากมายขนาดนี้

ลูห์ถอนใจด้วยความอึดอัด จะให้มันทำอย่างไรได้ เพราะไม่คิดว่าทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ เด็กคนนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองไม่ใช่รูส เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับรูสมันฝังอยู่ในความทรงจำ ความพิเศษของจี้ก็เป็นอีกอย่างที่กดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ไม่ให้มันแสดงออกมา ทุกเดือนดับหลังวันเกิดเป็นวันแรง ทำให้จิตของรูสอ่อน ตัวตนของบางสิ่งที่ซุกซ่อนถึงได้แสดงออกมา แม้ไม่ชัดเจนนักก็ตาม

เจ้าตัวประหลาดที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เป็นเพียงดวงจิตที่ผูกพันกับรูส ตั้งแต่รูสยังไม่ลืมตาดูโลกมันก็คอยวนเวียน คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ เพราะสายใยที่พันผูก จนกระทั่งรูสเกิด ดวงจิตอ่อนแอจนแทบแตกดับ เพราะไม่คิดหน้าคิดหลัง เจ้านั่นถึงได้หลอมรวมวิญญาณตนเองเข้าไว้ด้วยกันกับเด็กทารกธรรมดาคนหนึ่ง เพียงเพื่อพยุงให้มีชีวิตรอด โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมา

จนเมื่อผลกระทบที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ และความผิดปรกติที่เริ่มชัดเจน ทำให้เด็กคนนั้นเริ่มรู้ตัวว่าตนเองไม่ใช่รูส แต่เป็นบางสิ่งที่ไม่มีตัวตน การซ่อนตัวอยู่ในเกราะที่ชื่อว่ารูสยังดำเนินต่อไปเมื่อไม่อาจแยกจากสายลม แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ลูห์ก็ไม่สามารถที่จะไล่เด็กคนนั้นที่มีจิตผูกพันกับสายลมไปได้ เมื่อเขาไม่ได้คิดร้ายกับสายลม มันจึงเฉยอยู่และได้แต่คอยดูแลทั้งคู่อยู่ไม่ห่างก็เท่านั้น

...เรื่องของหัวใจซับซ้อนเกินกว่าที่มันจะตัดสินใจแทนใครได้...



ศพของรูสถูกนำขึ้นเมรุเมื่อควรแก่เวลา ลุงหลงจัดการฌาปนกิจและไม่ยินยอมให้ใครนำร่างของรูสไปวิจัยหาอะไรทั้งนั้น หากอยากรู้ก็ให้สืบค้นเอาในห้องวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ อย่ามายุ่งกับลูกของแก ให้ลูกแกได้อยู่อย่างสงบบ้าง ตลอดมาแกไม่เคยรู้ว่ารูสต้องทนทุกข์อยู่ในนั้น แม้แต่วันที่ศาสตราจารย์ภิชาติเสียชีวิตไป คนสุดท้ายที่อยู่ในห้องเดียวกันนั้นก็คือรูส แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ เป็นเพียงบางสิ่งที่สร้างตัวตนขึ้นมาทดแทนรูส อาจเป็นความคับแค้นหรือการดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอด ทำให้ในวันนั้นเกิดรูสอีกคนขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครรู้

ดูจากหลักฐานต่าง ๆ เหมือนว่าศาสตราจารย์ภิชาติได้ทำวิจัยเกี่ยวกับการคงอยู่และสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาเพื่อทดแทน หากมนุษย์ถึงวันที่ร่างกายชราภาพลงตามกาลเวลา เรี่ยวแรงที่มีย่อมถดถอยและสภาพภายนอกย่อมเหี่ยวย่นจนสุดท้ายก็ต้องหมดลมหายใจ เพราะเหตุนั้น การทดลองที่ขัดกับศีลธรรมและจิตสำนึกจึงถูกทำขึ้นเงียบ ๆ ภายใต้พื้นดินที่ถูกสร้างเป็นห้องวิจัยและทดลองแสนแปลกประหลาด รูสเป็นเพียงเด็กโชคร้ายที่ต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ และการวิจัยนั้นก็เกิดพลาดจนทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งตาย แต่ศาสตราจารย์ภิชาติกลับไม่ยอมแพ้จึงได้สร้างแท่งแก้วขนาดใหญ่บรรจุน้ำที่มีส่วนผสมของสารบางอย่างขึ้นมาเพื่อแช่ร่างของรูสเอาไว้ ด้วยหวังว่าวันหนึ่งวันใดตนเองอาจวิจัยตัวยาที่ทำให้คนฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

ความลับที่ถูกซุกซ่อน เมื่อมันมีมาหนึ่งอย่างก็เริ่มลุกลามไปเรื่อย ๆ ด้วยกลัวความผิดที่ตนเองกระทำเอาไว้ถูกเปิดเผย ทำให้ศาสตราจารย์ภิชาติเกิดความเครียดจัดจนกระทั่งฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา และหลังจากร่างศาสตราจารย์ถูกนำออกมาจากห้องดังกล่าวพร้อมรูสที่ตำรวจให้ข้อสรุปว่าอาจเป็นเด็กที่เกิดจากการโคลนนิ่ง คุณหญิงพจนีย์ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกห้องนั้นจนมันกลายเป็นห้องปิดตายและรกเรื้ออย่างที่เห็น

บทสรุปคดีของรูสออกมาว่าหลังจากศาสตราจารย์ภิชาติเสียชีวิต ในปีต่อมาคุณหญิงพจนีย์ก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปอีกคน รูสที่อาจเป็นผลการทดลองของศาสตราจารย์ภิชาติได้ไปอยู่กับผู้เป็นพี่ชายคือราซิส ซึ่งเป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของสองสามีภรรยาเช่นเดียวกับรูส และราซิสนี้เองที่วางแผนกำจัดรูสให้พ้นทาง ทำให้ทั้งรูสตัวจริงและตัวปลอมจบชีวิตลงไปแล้วทั้งคู่ ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่สายลมเข้าไปตามหาคนของตนในบ้านหลังนั้น เพราะต่างสรุปออกมาว่าเป็นเพียงการเข้าใจผิด เมื่อทุกอย่างออกมาในรูปแบบนั้นลุงหลงก็ไม่ได้โต้แย้ง แกอยากให้มันจบไป ไม่ต้องมีใครมาขุดคุ้ยเรื่องของรูสอีก

ควันจากการเผาไหม้ลอยขึ้นมาจากปากปล่องเมรุ ราวการนำส่งดวงวิญญาณบริสุทธิ์สู่ภพภูมิใหม่ หยดน้ำตาแม้ไหลรินมากมายเท่าไรก็ไม่อาจเรียกทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืน เพราะฉะนั้น มันจึงคลออยู่เพียงหน่วยตาที่เหม่อมองควันสีขมุกขมัวลอยเอื่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า

...กับการจากลาที่แสนเจ็บปวดเจียนขาดใจ...


......


สายลมพารูสกลับมาที่เกาะศิลา เพราะที่แห่งนี้มีแต่คนที่รูสเคยคุ้น และโอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีคราม รูสชอบเล่นน้ำ แม้จะกลัวเมื่อถูกแกล้งให้จมลงไป แต่ก็ชอบที่จะเล่นสนุกอยู่ริมหาด เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่บางครั้งอาจเป็นผลพวงจากที่ร่างของรูสถูกแช่อยู่ในน้ำยาประหลาดนั่น ทำให้รูสขาดน้ำไม่ได้

การพารูสกลับมาที่นี่ก็เพื่อให้เด็กมันได้อยู่ในที่สงบ ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งสิ้น ใต้พื้นดินนั้นอาจหนาวเหน็บและมืดมิด แต่ไม่ต้องหวาดกลัวไป เพราะเขาจะไม่ทิ้งรูสไปไหน จะคอยอยู่ใกล้ ๆ ให้เด็กน้อยไร้ที่พึ่งคนนี้อุ่นใจ

ดอกไม้สีขาวดอกน้อย กลิ่นหอมจรุงของมันทำให้หวนนึกถึง รูสเคยชอบมันมาก วันเทศกาลในเกาะศิลาก็เคยนำมันทัดหูให้เขา สายลมวางมันลงช้า ๆ บนหลุมศพที่ถูกโอบล้อมด้วยดอกไม้สีขาวแบบที่รูสชอบ สายลมที่พัดเอื่อยมาต้องกายดังชื่อของเขากลับไม่ทำให้ใจสงบ เวลานี้เขาอยากเป็นพายุร้าย อยากอาละวาดให้สมกับความเจ็บร้าวในอก แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ ถึงทำเช่นนั้นรูสก็ไม่กลับมา ไม่มีทางกลับมา...

‘สายลม’

หูเขาแว่วเสียงใสของคนเคยคุ้น เมื่อหันไปมองตามต้นเสียง ใจเขายิ่งเจ็บปวด รอยยิ้มที่จดจำได้ไม่ลืม ทั้งร่างกายที่ยังคงอบอุ่นเช่นคนทั่วไปก้าวมาอยู่ในอ้อมแขน เขาอยากให้มันเป็นเช่นนั้น อยากให้มันเป็นเช่นตอนนี้แม้จะเป็นเพียงความฝันหรืออะไรก็ตาม อยากให้กลับมาเหลือเกิน... รูส

‘สายลม อย่าร้องไห้’

มือเรียวยกขึ้นเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ สีหน้าห่วงใยฉายชัด ใครว่าเขาอยากร้องกัน ความรู้สึกแบบนี้เขาจะมีวันลืมได้หรือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูส เขาจะลืมได้หรือ

‘รูสไม่ได้ไปไหน ยังอยู่กับสายลมตลอด แค่คิดถึงรูส... แค่นั้น...’

พูดน่ะมันง่าย แต่เขาทำไม่ได้ เด็กใจร้าย แค่คิดถึงมันจะไปมีประโยชน์อะไร กลับมาหาเขาสิ กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเก่า

‘รูสเชื่อว่าสายลมเข้มแข็ง ต้องไม่เป็นไรแน่’

อย่างนั้นหรือ? เขาน่ะหรือเข้มแข็ง? เขากำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว มันทรมานแค่ไหนรู้บ้างไหม?

‘ถึงรูสไม่อยู่ สายลมก็ต้องเดินหน้าต่อไปนะ’

เดินต่อไปหรือ? เดินไปที่ไหน จะให้เขาไปที่ไหน ที่ไหนที่จะไม่คิดถึงคนคนนี้?

‘รูสต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองนะ สายลม...’

เขาราวกับคนบ้าใบ้ แม้ร่างผอมบางจะเดินห่างออกไปแล้วก็ยังคงไร้ซึ่งเสียงเอ่ยรั้ง มองแผ่นหลังบางที่ค่อยห่างออกไปช้า ๆ ก่อนที่ร่างนั้นจะหยุดก้าวเดิน ใบหน้าเรียวค่อยหันกลับมาหาเขา ก่อนจะวิ่งกลับมาสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง

เสียงสะอื้นดังมาให้ใจสายลมเจ็บ ตากลมที่ช้อนขึ้นมองเต็มไปด้วยแววอาลัย ริมฝีปากบางพยายามจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เขาจับใจความไม่ได้ ก่อนที่มันจะปลิวหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน กายผอมก็เขย่งสูงเพื่อกระซิบบอก

‘ขอบคุณ’

น้ำใส ๆ ไหลจากตากลม ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยเลือนหาย เขาได้แต่ยืนโง่อยู่ที่เดิมโดยหมดโอกาสจะเอื้อมคว้า วันที่ต้องจากลา มันสุดจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ดวงใจเขาปลิวหาย หายไปแล้ว... ไม่มีทางได้กลับคืน...



เปลือกตาสายลมเปิดขึ้นเพื่อกลับสู่ความเป็นจริง ความชื้นข้างแก้มเขายกมือปาดมันออก แม้ยามหลับยังฝันถึง เขาคงไม่มีทางลืมได้ คงลบเลือนไปจากหัวใจไม่ได้ และเขาไม่คิดจะลืม

ชายหนุ่มลุกออกมาข้างนอก เสียงลมพัดโมบายเปลือกหอยตรงระเบียงกระท่อมหลังน้อยของเขาดังมาให้ได้ยิน โมบายที่รูสนั่งเจาะเปลือกหอยเพื่อทำมัน เพียงหันไปมอง สายลมก็ชะงักเมื่อเห็นเจ้าเด็กดื้อกำลังยืนแขวนโมบายอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเรียวหันมาหาเขาแล้วยิ้มให้ รอยยิ้มที่แสนคะนึงหา

ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปเพื่อเอื้อมคว้ามากอด แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า มือสัมผัสเพียงอากาศไร้ตัวตน มันก็เพียงภาพหลอน ภาพที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือที่เอื้อมคว้าสิ่งที่ไม่มีทางกลับมากำเข้าหากันจนแน่น หัวใจเขาบีบรัดจนเจ็บหนึบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่แห่งหนใดก็มีแต่เงารูส มีแต่รูสอยู่จนเต็มทั้งหัวใจ


ดั่งบุพเพนำพาให้พานพบ ให้บรรจบพบรักแล้วจากหนี ดั่งสายน้ำไหลเรื่อยในนที ชั่วตาปีมิมีวันหวนคืน...





TBC




ขอบคุณทั้งสองท่านนะคะ มาให้กำลังใจกันตลอดเลย ยังบวกเพิ่มไม่ได้ แปะไว้ก่อนนะคะ  :m1:

-------

บวกเรียบร้อยค่ะ  :mew3:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2018 18:23:18 โดย wanmai »

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ฮืออย่าทำร้าจิตใจเราสิ  :hao5: เราอยากให้รูสกลับมามันต้องมีปาฎิหาริย์สิ นะอย่าให้สายลมเสียใจเลยเราก็เสียใจด้วยเนี่ย  :sad4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2018 23:24:33 โดย O-RA DUNGPRANG »

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1
สงสารรูสมาก ต้องพบเจอกับอะไรมาแค่ไหน
อยากขุด ศจ.ภิชาติ ขึ้นมาถาม ทำไมถึงใจร้ายนัก

เคยอ่านที่คุณ wanmai ลงไว้คราวก่อน
แต่ก็ยังเสียน้ำตาให้กับรูสและสายลมอยู่ดี

ขอบคุณที่วันนี้ลงให้อ่านแบบจุใจ

เอาใจช่วยสายลมและรูส
 

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
สงสารรูสมาก ต้องพบเจอกับอะไรมาแค่ไหน
อยากขุด ศจ.ภิชาติ ขึ้นมาถาม ทำไมถึงใจร้ายนัก

เคยอ่านที่คุณ wanmai ลงไว้คราวก่อน
แต่ก็ยังเสียน้ำตาให้กับรูสและสายลมอยู่ดี

ขอบคุณที่วันนี้ลงให้อ่านแบบจุใจ

เอาใจช่วยสายลมและรูส


เราคงไม่ทันสินะคงจะทันตอนอเล็กซ์รีไรท์แล้ว ไม่อยากจะถามว่าสายลมจบยังใงก็ได้แต่หวังว่าอันใหม่นี้จะมีปาฎิหาริย์จะเกิดขึ้นกับทั้งสองคนนะ  :call: :call: :call:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด