พิมพ์หน้านี้ - ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: wanmai ที่ 21-08-2018 11:37:09

หัวข้อ: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 21-08-2018 11:37:09
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลงหรืออื่น ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเว็บบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใด ๆ ไปโพสที่อื่น ๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรืออีเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเมนท์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่าง ๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเว็บ  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใด ๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเว็บอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านจริง ๆ นั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่าง ๆ มาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดี ๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดี ๆ ไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้น ๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใด ๆ บนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใด ๆ ก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใด ๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼



สายลมห่มตะวัน

บทนำ


เรือประมงลำใหญ่ล่องมาบนทะเลสีฟ้าคราม เจ้าของเรือคือชายหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ ผิวคร้ามแดดสมเป็นไอ้หนุ่มตังเก ผมยาวประบ่าพัดปลิวตามแรงลมเมื่อร่างนั้นยืนกอดอกทอดมองไปไกล เผยให้เห็นแผลเป็นตรงหางคิ้วที่ส่งให้เขาดูน่ากลัวปนน่าเกรงขาม ยิ่งหนวดเครารกครึ้มไร้การดูแลยิ่งไปกันใหญ่ ราวโจรสลัดแห่งท้องทะเลกระนั้น

“นายน้อย” เสียงเรียกจากลูกน้องบนเรือทำให้คนถูกเรียกหันกลับไปมอง

“ครั้งนี้เราจะไปไกลกว่าเดิมหรือเปล่าครับ คราวก่อนแถวน่านน้ำฝั่งโน้นได้ปลามามากโข หรือเราจะไปที่เดิมดี?” เอ่ยถามแล้วลูกน้องคนดังกล่าวก็ยืนรอคำสั่งจากผู้ที่ตนเรียกว่า ‘นายน้อย’

“เลยอ่าวนี้ไปอีกสักหน่อย แถวนั้นปลาน่าจะชุมพอดู ไปถึงแล้วค่อยให้คนลงเรือเล็กไปดูอีกที”

“ครับ” รับคำสั่งดังนั้นแล้วก็เตรียมไปจัดการตามที่ผู้เป็นนายบอก

การทำประมงคืออาชีพหลักของคนบนเรือลำนี้ เรือจากเกาะศิลา พวกเขายังชีพด้วยการทำมาหาเลี้ยงตนด้วยผืนน้ำที่ล้อมรอบเกาะ และการทำเหมืองแร่เพื่อส่งขายนำทุนมาพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในเกาะให้ดีขึ้น รายได้ไม่ได้มากมายแต่ก็ทำให้ทุกคนได้อยู่ดีกินดี มีอาหารการกินเพียบพร้อม

เรือมุ่งหน้าสู่จุดหมายโดยที่ไม่ทันมีใครสังเกตถึงความผิดปรกติ เมฆดำเริ่มก่อตัวเป็นหย่อมทั้งที่ก่อนหน้าฟ้ายังสว่างกระจ่างแจ้งเหมาะแก่การนำเรือออกทำประมง นายน้อยของทุกคนก้าวกลับเข้าไปในตัวเรือที่มีห้องหนึ่งเอาไว้พัก กว่าจะถึงสถานที่ที่พวกเขาต้องไปยังใช้เวลาอีกพอสมควร ร่างสูงใหญ่นั่งลงบนฟูกนอน พิงหลังกับแผ่นไม้กั้นห้องของเรือแล้วกอดอกนิ่ง หน้าที่ของนายน้อยเกาะศิลาไม่ใช่มีเพียงในเกาะ บางครั้งก็เหนื่อยล้าจนอยากหยุดพัก แต่เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะภาระหน้าที่ที่แบกเอาไว้บนบ่า

สายลม คือชื่อของเขา เขาไม่ได้เกิดและเติบโตบนเกาะศิลา แต่ก็มีสายเลือดของเกาะศิลาอยู่เต็มเปี่ยม บิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดคือพระเพลิง และ วิริยา ผู้ล่วงลับ ผู้ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะพบเห็นหน้านอกจากรูปที่แขวนไว้ในบ้านบนเกาะศิลาเท่านั้น

การต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเกิดขึ้นทุกที่ที่มีคนไม่รู้จักพอ เกาะศิลา ปกครองด้วยผู้ที่ถูกเลือกจากพญาราชสีห์ ทุกคนบนเกาะเคารพซึ่งการตัดสินของความศักดิ์สิทธิ์และอยู่อย่างร่มเย็นกันเรื่อยมา แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปร ใจคนก็เปลี่ยนไป การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก ต่างความคิด ต่างเลือดเนื้อ ย่อมมีการแก่งแย่งชิงดี จากคลื่นลูกเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ใต้สายน้ำที่เงียบสงบ พอถึงวันปรากฏตัวก็ถาโถมเข้าใส่จนแทบตั้งตัวกันไม่ทัน

แสงจากคบเพลิงและตะเกียงเจ้าพายุส่องสว่างท่ามกลางเสียงอึกทึก เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกพาหนีจากการตามล่าของกลุ่มคนที่ไล่หลัง มือของเขากุมเหนือคิ้วที่เลือดสีแดงฉานไหลลงมาไม่หยุด ขณะที่ใจกลางเกาะยังคงมีเสียงปะทะของสองฝ่ายอริเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เด็กหนุ่มผู้ถูกพาหนีหยุดวิ่งเมื่อรู้ดีว่าวิ่งต่อไปก็รังแต่จะเหนื่อยเปล่า ทั้งยังพาให้คนอื่นต้องมาลำบากเพราะตน สายตาคมปราดมองฝ่าความมืดยามค่ำคืน ค่อยหลับตาลงตั้งจิตให้แน่แน่ว เสียงดังอึกทึกค่อยเงียบลง ขณะที่ฝีเท้าของฝ่ายไล่ล่าใกล้เข้ามา และคนของเขาคอยเร่งให้หนี เด็กหนุ่มกลับนิ่งสงบราวสายลมที่พัดผ่านกายเพื่อเชื่อมใจกับบางสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามา

“ว้ากกกกกกกก”

เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของสิงโตตัวเขื่อง เปลือกตาเด็กหนุ่มเปิดขึ้นมองเมื่อผู้ล่ากลับต้องกลายมาเป็นเหยื่อ เสียงฉีกกระชากเนื้อหนังทั้งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวดังขึ้นไม่รู้จบ เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งมอง ขณะที่คนด้านหลังทำเสียงราวสยดสยองกับภาพตรงหน้า

ในไม่ช้าทุกอย่างก็จบลงพร้อมกับกลิ่นเลือดคาวคลุ้งที่ไหลซึมสู่ผืนทราย สิงโตตัวใหญ่ถกอุ้งเท้าออกจากร่างที่นอนเกลื่อนบนพื้นทรายด้วยลมหายใจรวยรินเมื่อเด็กหนุ่มก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพวกมัน มือเปื้อนเลือดเอื้อมมาจับข้อเท้า เขาเพียงมองมันด้วยความรู้สึกเฉยชา ก่อนจะยกเท้าขึ้นมาแล้วเหยียบซ้ำลงไป

“อ๊ากกกกกกกกกกกกก”

ร่างสูงใหญ่ทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่งหอบหายใจแรงขณะที่มือกุมอก นัยน์ตาคมฉายแววตื่นตระหนกกับภาพฝันที่เหมือนจริงจนทำให้สะดุ้งตื่น ลมหายใจหอบหนักค่อยคลายลงเมื่อสติรับรู้กลับคืน ด้านนอกนั้นฟ้าแลบแปลบปลาบ ทั้งร้องครืนราวฟ้าจะถล่มเพราะเม็ดฝนที่กำลังจะรั่วลงมากระทบพื้น เขามักฝันเรื่องนี้ซ้ำซากพาลทำให้นอนหลับไม่สนิทสักค่ำคืน เมื่อครู่เขาดันงีบหลับไป และเจ้าฝันร้ายนั่นก็ยังตามมาหลอกหลอน

มือหนาลูบเสยผมยาวที่ระปรกหน้าผาก ก่อนชะงักเมื่อสะดุดกับรอยแผลเป็นทางยาวที่หางคิ้ว รอยแผลที่เป็นบ่อเกิดฝันร้ายของเขา เขาคือนายน้อยของเกาะศิลา คือผู้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งนายของเกาะคนต่อไป การเผชิญกับปัญหาที่บางครั้งก็เกือบถึงชีวิตมีมาเป็นบททดสอบความเป็นผู้นำในตัวเขาอยู่เสมอ แม้ทุกวันนี้ทุกอย่างจะคงอยู่บนความสงบสุข แต่ก็ไม่อาจประมาทได้แม้แต่เสี้ยววินาที ชีวิตเขาถูกกำหนดมาเช่นนั้น แม้ไม่อยากรับรู้มันแต่ก็หลีกหนีไปไม่พ้น หนทางเดียวที่ทำได้คือการยอมรับและก้าวผ่านมันไปให้ได้เท่านั้น

ชายหนุ่มก้าวออกจากห้องในตัวเรือมา เงยมองความมืดครึ้มของท้องฟ้าแล้วคิ้วเข้มก็ขมวด ก่อนจะหันมาพูดกับลูกน้องที่ก้าวเข้ามาหา

“บอกทุกคนระวังตัวด้วย บรรยากาศแปรปรวนผิดวิสัย”

“ครับ”

ลูกน้องคนดังกล่าวรับคำสั่ง ก่อนจะบอกต่อคำสั่งนั้นถึงทุกคนบนเรือ พวกเขาออกมาจับปลา ทำการประมงกันตามปรกติ แต่อยู่ ๆ กลับเกิดเหตุอาเพศขึ้นเช่นนี้คงเป็นลางไม่ดีเสียแล้ว เมื่อทุกคนเข้าประจำที่เพื่อระวังภัยและหลบฝน ร่างสูงใหญ่จึงเตรียมก้าวไปยังห้องควบคุมเรือเพื่อสั่งการ หากเกิดพายุขึ้นกลางทะเลพวกเขาจะต้องมีหนทางรอด

‘ช่วยด้วย’

ขาแกร่งหยุดก้าวเดินเมื่อหูแว่วเสียงขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อหันกลับมาก็ไม่เห็นว่ามีใครนอกจากท้องทะเลแสนเวิ้งว้างในเวลาฟ้าครึ้ม ลูกน้องที่เดินตามมาก็ชะงักตาม ก่อนหันกลับไปตามสายตาของเขาแล้วหันกลับมามองอย่างมีคำถาม เขาส่ายหน้าเบาก่อนออกเดินอีกครั้ง

‘ช่วยด้วย...’

หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อเสียงนั้นยังคงดังแว่ว หันกลับไปมองทางที่มาของเสียงอีกครั้งก็เห็นเพียงเมฆหมอกปกคลุมท้องฟ้าจนมืดมน ก่อนที่เม็ดฝนจะตกกระทบกายพาให้เงยขึ้นมองท้องฟ้าแล้วจึงมองตรงไปยังท้องทะเลที่มีระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นทุกขณะ ตอนนี้เสียงขอความช่วยเหลือหายไปแล้วแต่เขายังคาใจ ขาแกร่งจึงก้าวย่างตรงไปตามที่มาของเสียง หยุดเท้าเมื่อถึงกาบเรือ สายตาคมเพ่งมองฝ่าสายฝนและความมืดครึ้ม ท่ามกลางความบ้าคลั่งของท้องทะเลนั่น มีใครบางคนกำลังเรียกเขา ใครสักคน...


ท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำที่สาดซัด สายฟ้าพิฆาตฟาดลงแปลบปลาบ เรือยนต์ลำเล็กลอยเคว้งกลางท้องทะเล คลื่นลูกใหญ่ซัดโหมถาโถมเข้าใส่ บรรยากาศมืดหม่นน่าหวั่นกลัว ทุกสรรพสิ่งรอบกายราวสดับรับรู้ถึงเสียงร่ำร้องของผู้ที่กำลังหมดสิ้นหนทาง

บนเรือลำน้อยปรากฏร่างของเด็กหนุ่มที่ก้าวถอยห่างจากชายผู้ถืออาวุธพร้อมปลิดชีวิตตน น้ำตาแห่งความหวาดกลัวรินไหลเจือจางไปกับสายฝนที่ตกกระทบ ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวเมื่อชีวิตกำลังจะดับสูญ แม้อยากจะร้องขอ แม้อยากจะอ้อนวอนคนผู้นั้นให้เมตตา แต่ก็เป็นเพียงคำขอที่ไร้ค่า เมื่ออาวุธปืนในมือไม่ได้ลดลงจากเป้าหมายแม้แต่เซนต์เดียว ยังคงเล็งปากกระบอกปืนตรงมาที่ร่างกายสั่นเทานี้

‘แกมันตัวหายนะ! หายนะ!!’

เสียงหวีดร้องด่าทอของใครคนหนึ่งดังขึ้นในมโนสำนึก เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดหูเมื่อเสียงนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลง

‘ไม่ ไม่ใช่!’

มือเรียวกุมศีรษะด้วยความรู้สึกทรมาน น้ำตาไหลพราก พึมพำแต่คำว่าไม่ใช่ซ้ำเดิมอยู่อย่างนั้น สายอัสนีทิ้งแสงและเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับนิ้วมือของเพชฌฆาตที่เตรียมเหนี่ยวไกปืน

“ลาก่อน ตลอดกาล”

เปรี้ยง!!!!!!

ลูกตะกั่วสีเงินพุ่งตรงทะลุกลางอก สายโลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นตัดเส้นสายฝน ดวงตาเด็กหนุ่มเบิกค้าง ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นกระตุกหงาย ทิ้งตัวลงไปด้านหลัง สายฟ้ายังคงพาดผ่านร้องคำราม แสงสีขาวสว่างจ้าจนตาพร่ามัว เขาหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายมันรินไหล พร้อมกับร่างกายรวดร้าวที่ทิ้งดิ่งลงไปกระทบพื้นน้ำทะเล

คมกระสุนสาดลงมาอีกหลายนัด น้ำทะเลถูกย้อมด้วยสีแดงฉาน ก่อนจะถูกกลบทับด้วยคลื่นทะเลที่ซัดสาดรุนแรงจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำ คนบนเรือมองผลงานของตนเองนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่สะทกกับสภาพอากาศที่แปรปรวนแม้แต่น้อย จนแน่ใจว่าคนที่ตนกราดยิงเมื่อครู่จบชีวิตลงแล้วจริง ๆ

ท่ามกลางพายุฝนและคลื่นทะเล เขาไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเองสักน้อยนิด ขอเพียงได้กำจัดเสี้ยนหนามของผู้เป็นนายให้พ้นไป ไม่ว่าต้องแลกอะไร หรือแม้แต่แลกกับชีวิตของเขา... เขาก็ยอม



ภายใต้ท้องทะเลลึกที่แสนเหน็บหนาว แม้ด้านบนพื้นน้ำจะฉาบไปด้วยแสงสว่างจากสายฟ้าฟาด แต่มันกลับไม่สามารถสาดส่องลงมาถึงคนที่ค่อย ๆ จมลงไปในก้นบึ้งของท้องทะเลแห่งนี้ได้ ร่างที่ค่อย ๆ จมลงไปช้า ๆ ไม่คณาต่อความหนาว ไม่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่ มีเพียงคำถามเดียวที่ยังคงติดค้างก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง

‘ชีวิตเขามันไร้ค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?’

ก่อนสติรับรู้ของเด็กหนุ่มจะดับวูบ ร่างกายของเขากลับถูกโอบล้อมด้วยความแข็งแกร่งจากวงแขนของใครสักคน...

นานเท่าไรไม่รู้ในท้องทะเลนั่น กระทั่งความรู้สึกอุ่นจากอะไรบางอย่างทาบทับบนริมฝีปากเย็นชืดและซีดเซียว ก่อนลมหายใจจะถูกส่งผ่านมาให้ เจ้าของร่างกายเย็นเยียบสำลักน้ำและไอโขลก รู้สึกแสบไปทั้งคอ ทั้งโพรงจมูก แต่เปลือกตาก็หนักเกินกว่าจะลืมขึ้นมาได้ ความเจ็บปวดและหนาวเย็นส่งผลให้ขยับร่างกายไม่ได้ดั่งใจคิด ทำได้เพียงปรือมองสิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตา

ร่างที่ชะโงกเงื้อมอยู่เหนือเขาสูงใหญ่ แผ่นอกหนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามดูบึกบึนกำยำ ผมยาวเปียกลู่ไปกับใบหน้า ภายใต้ความพร่ามัวนั้น รอยบากตรงหางคิ้วกลับเด่นชัดยิ่งกว่าอะไร...

ดวงตาที่ปรือขึ้นมามองเพียงริบหรี่หลับลงไปแล้ว เนื้อตัวเปียกปอนนั่นยังคงมีเลือดไหลซึม ชายหนุ่มวาดมือออกไปรับผ้าจากลูกน้องมาคลุมกายให้ผู้ที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ก่อนจะอุ้มหายลับเข้าไปในห้องหนึ่งบนเรือโดยมีสายตาของลูกน้องมองตาม

ร่างคนเจ็บถูกวางลงบนฟูกแบน ๆ ที่บอกสภาพว่าผ่านการใช้งานมานานหลายปี ผ้าคลุมกายถูกคลายออก ก่อนเนื้อผ้าเปียกปอนเลอะเปรอะไปด้วยเลือดจะค่อยถูกถอดออกอย่างเบามือ ร่องรอยบาดแผลบนร่างกายน่าแปลกที่มันกลับไม่ได้เหวอะหวะเช่นที่คิด ผิวขาวละเอียดแต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยรอยถากของบางสิ่ง และตรงกลางอกที่มีเลือดไหลซึม ต่อเมื่อเขาใช้ผ้าซับออกกลับปรากฏเพียงรอยช้ำขนาดกว้าง หัวคิ้วเข้มขมวด ก่อนจะหันไปมองที่ประตูเมื่อมีคนก้าวเข้ามา

หมอประจำเรือเข้ามาช่วยดูอาการของคนเจ็บ โดยที่ลูกน้องของเขาออกันอยู่ด้านหน้าประตูจนต้องมองดุพวกนั้นถึงแยกย้ายกันไป ชายหนุ่มปล่อยให้หมอทำแผลไป ส่วนตนเองก้าวออกจากห้องเล็กแคบไปสั่งการลูกน้อง เวลานี้ฝนฟ้าที่ตกลงมาราวฟ้ารั่วกลับหยุดสนิทแบบไม่เหลือเค้า ท้องฟ้าสว่างใสไร้เมฆหมอกราวเมื่อครู่นั้นพวกเขาเพียงหลับแล้วฝันไป สร้างความแปลกใจให้ทุกคนบนเรือลำนี้ไม่น้อยกับประสบการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกลางท้องทะเล

ไม่นานนักหมอก็ออกมาด้านนอกพร้อมนำของบางอย่างมายื่นให้นายน้อยของเกาะศิลา เขารับมันมาแล้วเพ่งพินิจ สร้อยร้อยจี้ที่ดูแปลกตา ก้อนกลม ๆ ที่แวววาวล่อแสงอาทิตย์ หากเดาไม่ผิดสิ่งที่ลอยอยู่กลางเจ้าจี้ลูกกลม ๆ นี่มันคงเป็นไข่มุก แต่หาได้เป็นสีขาวขุ่นหรืออมชมพูเช่นไข่มุกปรกติทั่วไป ทั้งที่เป็นลูกทะเลแต่เขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก สีมันวาวใสอย่างน่าประหลาด

“ของเด็กคนนั้น สายสร้อยมันขาด ผมคิดว่าให้คุณเก็บเอาไว้ให้เขาจะดีกว่า”

คำตอบจากคุณหมอประจำเรือเมื่อเขามองอย่างมีคำถาม ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนถามอาการของคนเจ็บ

“อาการหนักหนาไหม?”

“มีเพียงรอยถาก ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นกระสุนปืน เพราะรอบ ๆ แผลมีรอยไหม้ และมันกินเนื้อลงไปพอสมควร อาจเพราะถูกน้ำทะเลกัดด้วย ไม่รู้แช่น้ำมานานแค่ไหน” คุณหมอหนุ่มรายงานถึงอาการของคนเจ็บ

“แผลตรงหน้าอกล่ะ?”

“หน้าอก?” คิ้วหมอประจำเรือขมวด ก่อนจะหรี่ตาท่าทีครุ่นคิด

“ใช่ รอยช้ำ กว้างพอสมควร”

“ไม่มีนะ”

“หือ?” ผู้เป็นนายน้อยทำเสียงแปลกใจในลำคอ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองมาด้วยความสงสัยจึงเปลี่ยนเรื่อง “อา... ผมท่าจะตาฝาด ขอบคุณหมอมาก หากมีอะไรก็รบกวนด้วย”

“ครับ” อีกฝ่ายรับปากก่อนจะผละไป

ชายหนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องเพื่อพิสูจน์บางสิ่ง เขามองเด็กที่นอนอยู่บนฟูกนิ่ง แผลถูกทำความสะอาดและใส่ยาเรียบร้อย ขาค่อยก้าวเข้าไปหา นั่งลงใกล้ ๆ ก่อนค่อยคลี่ผ้าที่คลุมกายออก ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อแผ่นอกขาวบางไร้ร่องรอยของอาการบาดเจ็บ

หัวคิ้วเข้มขมวด ตลบผ้าห่มคลุมกายขาวก่อนผุดลุกพรวด รอยนั่นเขาตาฝาดไปเองหรือ แล้วเลือดมากมายที่ไหลออกมาจากกายเล่า มันคืออะไร นี่เขาช่วยตัวอะไรขึ้นเรือมากันนี่ ? ?




TBC



นับหนึ่งใหม่อีกเรื่องค่ะ

ฝากด้วยนะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑ เด็กหลงทาง //๒๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 21-08-2018 16:31:51
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑ เด็กหลงทาง


ห้องพักภายในเรือประมงลำใหญ่ ร่างบนฟูกยังคงนอนนิ่ง ผิวกายช่วงที่โผล่พ้นผ้าห่มปรากฏร่องรอยของบาดแผลที่เริ่มตกสะเก็ด บางจุดที่ถูกปิดทับด้วยผ้ากอซสีขาวยังมีรอยเลือดซึมเป็นวงให้เห็น

“อาการตอนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือแผลของเด็กคนนี้หายเร็วมาก” คุณหมอปลายฟ้า หมอประจำเรือรายงานอาการทั้งตั้งข้อสังเกต

“แผลหายเร็วถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอหมอ?” สายลมว่า

“เรื่องดีก็ใช่ครับ ผมเพียงแค่แปลกใจน่ะว่าเพียงวันเดียวแผลก็เริ่มแห้งแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเหวอะหวะพอสมควร”

“เขายังเด็ก ร่างกายคงปรับสภาพได้เร็ว”

คนเป็นหมอพยักหน้าอย่างเห็นตาม เมื่อกรณีเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีหากสุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งเด็กคนนี้คงแข็งแรงเอามาก ๆ ร่างกายถึงสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทนได้เร็วขนาดนี้

“นายน้อย” คุณหมอหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเงียบไปครู่หนึ่งราวทบทวน “คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่นั่น?”

คนถูกถามยังเงียบ เพราะในขณะที่พายุตั้งเค้าทั้งที่ก่อนหน้ายังฟ้าเปิดไร้เมฆหมอกใด มันเป็นสิ่งผิดวิสัยที่ชาวเรือต่างรู้กันดี แต่อยู่ใต้ฟ้า ไม่ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือเตรียมรับมือ

ท่ามกลางความแปรปรวน เขาได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ มันแว่วมากับสายลมและเม็ดฝนที่เริ่มตกกระทบกาย นั่นทำให้ใจเขาไม่นิ่ง จนท้ายที่สุดเมื่อเรือมุ่งหน้ามาถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึกมันก็ยิ่งชัดเจนว่ามีบางสิ่งกำลังเรียกหา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอะไรรออยู่ใต้ท้องทะเลนั่น แต่กลับบ้าพอจะโดดลงไป...

“ไม่รู้สิ อาจเป็นความบ้าบิ่นของผมล้วน ๆ ละมั้ง” มุมปากใต้หนวดเครายกยิ้มกับคำตอบของตน นั่นทำให้คนถามได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ

เสียงขยับตัวที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้บทสนทนาหยุดลง เมื่อหันไปมองที่มาของเสียงก็เห็นว่าเด็กเจ้าของหัวข้อสนทนาพยายามเท้าศอกยันตัวลุกขึ้นนั่ง สายลมจับจ้องการกระทำนั้นอยู่เงียบ ๆ จนใบหน้าที่ก้มต่ำนั่นค่อยเงยขึ้นมา และเพียงสายตาสบกันเข้าฝ่ายนั้นก็ถอยกรูดจนแผ่นหลังชนผนังกั้นห้องดังกึก

ร่างที่เอียงกระเท่ห์เร่ลงไปกองทำให้คนมองยิ้มขำ กายสูงใหญ่ก้าวไปหาหมายจะช่วยพยุงลุก แต่เพียงแค่มือเอื้อมไปอีกฝ่ายก็หวีดร้องทั้งดิ้นพราดราวไร้สติ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันนั้นทำให้อุ้งมือใหญ่เปลี่ยนเป้าหมายมากดปิดทับปากที่ร้องตะโกนแต่ไร้เสียงนั่นเอาไว้แทน

“หยุดดิ้นเสียที!”

การตะคอกดังดูจะไร้ผลเมื่อร่างนั้นยังดิ้นรนไม่หยุดแถมดูจะหนักข้อขึ้นกว่าเดิม ทั้งมือทั้งเท้าป่ายปัดอุตลุดจนสายลมต้องคว้ามากดไว้พร้อมโถมกายทับเพื่อทานแรง

“บอกให้หยุดดิ้น หูแตกเรอะ!?”

คราวนี้ดูท่าว่าจะได้ผลเมื่อร่างที่ดิ้นรนอยู่ข้างใต้หยุดกึก หางตาเหลือบแลมามองคนที่ชะโงกเงื้อมชิดใกล้ ลมหายใจหอบกระชั้นคล้ายจะสะอื้นอยู่ในทีจนแผ่นอกขาวบางกระเพื่อมไหว นัยน์ตาสีอำพันฉายแววหวาดหวั่นจนคนมองรู้สึก ทำให้อุ้งมือหนาค่อยคลายอาการกดทับข้อมือของอีกฝ่าย แต่ยังไม่ลุกไปไหนจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่แผลงฤทธิ์เอาอีก

ผ่านไปครู่ใหญ่เด็กใต้ร่างจึงยอมสงบลง สายลมค่อยคลายมือก่อนลุกออกไปนั่งขัดสมาธิชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งแล้วมองจ้องคนที่นอนนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปกระตุกขา นั่นทำให้คนที่นอนอยู่ต้องลุกพรวดแล้วถอยไปชิดผนังกั้นห้องทันที พร้อมยกแขนกอดเข่ามองคนทำอย่างไม่ไว้ใจ

ริมฝีปากใต้หนวดเครากระตุกยิ้ม ก่อนที่กายสูงใหญ่จะลุกจากเบาะนอน คุยกับหมอประจำเรือสองสามคำก่อนพากันออกไปข้างนอก

ไม่นานนักสายลมก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมถ้วยข้าวต้มและน้ำ มีเพียงปลาย่างเกลือวางอยู่บนข้าว กลิ่นหอม ๆ ของอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่เรียกความสนใจจากคนบนฟูกนอนได้ดี เมื่อสายตาคู่นั้นคอยมองตามถ้วยข้าวที่ถูกวางลงบนพื้นไม้ข้างฟูกนอน ก่อนจะเหลือบขึ้นมองหน้าคนเอามาให้ซึ่งรกไปด้วยหนวดเคราและผมยาวรุงรัง

“กินซะ เดี๋ยวหมอจะเข้ามาดูอาการอีกที”

บอกไปเช่นนั้นแล้วสายลมก็ออกจากห้องไปอีกครั้งเพื่อให้เด็กมันได้กินข้าว กระทั่งนานพอควรจึงกลับเข้ามาพร้อมหมอ สายตาคมปราดมองถ้วยข้าวต้มที่ยังวางนิ่งอยู่จุดเดิมโดยไม่พร่องลงไปแม้แต่น้อย ในใจก็คิดว่าเพิ่งฟื้นอาจจะยังกินอะไรไม่ลง เลยไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่พอหมอนั่งลงพร้อมกล่องเครื่องมือ เด็กบนฟูกก็หันมามองแล้วกระเถิบหนี ไม่ยอมให้ตรวจดูอาการแต่อย่างใด เป็นเช่นนี้อยู่สองสามครั้งจนคิ้วคนมองเริ่มขมวดปม

กายสูงใหญ่ค่อยก้าวเข้าไปหาแล้วนั่งยองลงข้าง ๆ ก่อนคว้าต้นคอขาว ๆ นั่นเอาไว้เมื่อเด็กมีปัญหาทำท่าจะผงะถอย

“อยู่นิ่ง ๆ”

น้ำเสียงข่มขู่ทำให้เจ้าหนูนั่นหยุดชะงัก ได้แต่นั่งหดคออยู่นิ่ง ๆ ตามคำสั่ง

“ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ทำอันตรายเธอหรอก ผมเป็นหมอ ชื่อปลายฟ้า แค่จะตรวจดูอาการของเธอสักหน่อย ให้ความร่วมมือกับผมสักนิดได้ไหม?”

คุณหมอหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ เขาพอเข้าใจว่าภาวะอารมณ์ของคนเจ็บอาจจะยังไม่คงที่ อีกฝ่ายมองเขาอย่างชั่งใจ แต่ท้ายที่สุดใบหน้าเรียวก็ค่อยส่ายไปมาช้า ๆ ก่อนริมฝีปากจะอ้าขึ้นแล้วกัดแขนคนที่กักตัวไว้จนจมเขี้ยว

“อ๊ากกกก!!”

สายลมสะบัดแขนเร่า ตวัดมองเด็กที่ลุกขึ้นวิ่งตุปัดตุเป๋ด้วยความขัดเคือง แต่สุดท้ายร่างนั้นก็ล้มปุลงไม่ไกลเมื่อยังไม่แข็งแรงดีพอ ทำให้คนที่ลุกเดินไปหารั้งแขนผอมแห้งนั้นขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็น

“อยู่เฉย ๆ ให้หมอตรวจก็ไม่เจ็บตัวแล้ว ท่าจะอยากวิ่งลงทะเลไปให้ฉลามกิน มา ฉันจะช่วย” ว่าจบก็ช้อนอุ้มร่างนั้นขึ้นมา ซึ่งคนถูกอุ้มก็วาดแขนกอดคอหมับด้วยความตกใจ

กายสูงใหญ่เดินดุ่มพาเด็กมีปัญหาออกไปข้างนอก เมื่อหาข้าวมาให้กินก็ไม่กิน จะให้หมอมาตรวจก็ไม่เอา ทั้งยังทำร้ายร่างกายเขาอีก มันน่าโมโหน้อยอยู่เมื่อไรกัน นึกว่าเขาเป็นคนใจดีนักหรืออย่างไร

เวลานี้เป็นช่วงบ่ายคล้อยเกือบเย็นย่ำแล้ว เรือกำลังมุ่งหน้ากลับเกาะศิลา อีกไม่กี่โมงยามก็คงถึง แต่กลับมีคำสั่งให้หยุดเรือชั่วคราวจากนายน้อยของเกาะ นั่นทำให้ลูกเรือทั้งหมดหันมาให้ความสนใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น

“อยากโดดลงไปใช่ไหม?”

เมื่อเดินมาถึงขอบเรือ สายลมก็เอ่ยถาม ซึ่งคนถูกถามก็รีบส่ายหน้ารัว ทั้งหน้าเบ้ราวจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แขนที่กอดรัดลำคอหนายิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก

“เฮ้ แต่เมื่อกี้เธอเองนะที่จะวิ่งออกมา” อีกคนยังทักท้วง

เด็กในอ้อมแขนขึงตามอง นั่นทำให้สายลมแทบหลุดขำ แขนที่กอดเขาแน่นอยู่แล้วยิ่งแน่นเข้าไปอีก คงคิดว่าถ้าถูกโยนลงไปจะไม่ยอมลงไปคนเดียวสินะ ร้ายใช่ย่อย แต่เผอิญว่าเขาเองก็กำลังคิดแบบนั้นอยู่พอดี ลงไปเล่นน้ำเย็น ๆ สักยกสองยกก็ไม่เลวนักหรอก

ช่วงขายาวก้าวออกไปอีกนิดก่อนทิ้งตัวลงไปไม่ให้เด็กในอ้อมแขนได้ทันตั้งตัว เสียงน้ำสาดกระเซ็นดังแรงเมื่อร่างของทั้งคู่ตกกระทบพื้นน้ำ ลูกเรือวิ่งกรูมาดูอย่างตกใจ ทั้งหาทางช่วยกันจ้าละหวั่นอยู่ด้านบน ขณะที่สองคนใต้น้ำนั่นกำลังจมดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง

แขนเรียวเกี่ยวกอดลำคอหนา ตะเกียกตะกายที่จะนำพาตนเองขึ้นสู่ที่สูงแต่กลับถูกดึงรั้งเอาไว้ กำปั้นเงื้อง่าจะทุบเจ้าผู้ชายหน้ารกหนวดที่มาขัดขวางตนเอง แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นรอยแผลเป็นที่หางคิ้วของอีกฝ่ายจากกระแสน้ำพัดพาเส้นผมที่บดบังใบหน้าออกไป

เมื่อเรียกสติตนเองกลับมาได้ก็ออกแรงแกะมือที่ดึงรั้งแขนตนเองไว้ แกะข้างนี้ อีกข้างก็ถูกจับแทนอยู่อย่างนั้น อากาศที่มีในปอดเริ่มหมดลงเพราะอาการดิ้นรนมากไป จึงได้เลิกแกะแล้วเปลี่ยนมายกมือปิดปากและจมูกตนเองเอาไว้ แต่ก็ได้ไม่นานนัก ฟองอากาศผุดลอดตามซอกนิ้วออกมาเมื่อเผลอพ่นลมหายใจ ทำให้ต้องกดมือเพื่อปิดปากปิดจมูกให้แน่นยิ่งกว่าเดิม

เมื่อพยายามรั้งแขนออกแต่ไม่สำเร็จ สายลมจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นรั้งเอวเจ้าเด็กหัวดื้อเข้ามาชิดแล้วบังคับกดแขนลง กำปั้นเล็กแต่หนักใช่ย่อยเหวี่ยงมาทุบ เขาจึงคว้ามันไว้แล้วเบี่ยงหน้าประกบปากถ่ายเทลมหายใจให้ สองมือตรึงใบหน้าอีกฝ่ายให้อยู่นิ่ง ริมฝีปากประกบปิดสนิทแนบจนไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกผ่านนอกจากลมหายใจที่ถูกถ่ายเทไป อาการดิ้นรนค่อยคลายลง ปล่อยให้เขานำพาขึ้นสู่ด้านบนผืนน้ำ

เมื่อโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ไอ้ตัวเล็กมันก็ไอโขลก ดวงตาฉายแววเคืองขุ่นตวัดมอง แต่สายลมกลับยิ้มเย้ยแล้วว่า

“ไง มีสติขึ้นมาบ้างหรือยัง?”

คำถามนั้นทำให้เด็กมันชะงัก ริมฝีปากแบบบางนั้นเม้มเข้าหากัน ก่อนที่น้ำตาเม็ดโตร่วงจะผล็อย เสียงสะอื้นแผ่วทำให้สายลมเงยมองเด็กที่พาดแขนกับบ่าตนเองเพื่อพยุงตัวในน้ำ ค่อยเกลี่ยน้ำตาที่ไหลปนกับน้ำทะเลออกอย่างเบามือพลางให้สติ

“เมื่อมีชีวิตรอดแล้วก็หัดรู้จักดูแลตัวเองด้วย เรามันคนไม่เคยรู้จักกัน แต่ฉันก็ไม่ใจจืดใจดำมองเธอตายลงไปต่อหน้า เพราะงั้น...”

ทุกถ้อยคำถูกกลืนกลับเมื่อร่างน้อยโถมเข้ามากอดทั้งตัวแล้วร้องไห้โฮ มือหนาลูบแผ่นหลังบาง เงยมองลูกน้องที่ทิ้งบันไดเชือกลงมาแล้วจึงค่อยลอยตัวพาเด็กในอ้อมแขนไปเกาะ ก่อนปีนกลับขึ้นไป

เด็กตัวเปียกนั่งห่มผ้าที่คุณหมอประจำเรือหามาให้ หูตาแดงไปหมดเพราะสำลักน้ำ ทั้งยังเป่าปี่ไปหลายยก สักพักเสื้อตัวใหญ่ก็ลอยมาคลุมหัว หันไปมองที่มาก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างไว ๆ เลยได้แต่ค่อนขอดในใจที่เอามาให้กันดี ๆ ก็ไม่ได้

มือเรียวดึงมันลงมาวางกองไว้ข้างกายเมื่อคุณหมอกลับมาทำแผลให้ เมื่อทำแผลเสร็จแล้วจึงคว้าเสื้อตัวหลวมโพรกมาสวม มันยาวเกือบถึงเข่าแถมเทอะทะอีก เหลือบมองคนนำมาให้ก็เห็นว่ากำลังง่วนอยู่กับการสั่งการลูกน้อง จึงได้นั่งลงที่เดิมแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้

แสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า แสงไฟจากเครื่องปั่นไฟในเรือส่องให้ความสว่าง ตากลมมองคนบนเรือทำงานอย่างสนใจ ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อท้องร้องโครกครากเพราะไม่ยอมกินข้าวที่นายหนวดเอามาให้เมื่อตอนบ่าย

จานข้าวถูกนำมาให้โดยคุณหมอหนุ่มคนดี เขาเงยมองแล้วค่อยก้มศีรษะลงน้อย ๆ พร้อมไหว้ขอบคุณก่อนยื่นมือออกไปรับมากิน ตัวสูง ๆ นั้นนั่งลงข้างกัน มองเขาที่จ้วงข้าวในจานเข้าปากด้วยความหิวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม

“พูดไม่ได้เหรอ?”

“......”

“เพราะถูกทำร้ายหรือเป็นมาแต่เกิด?”

“......” เหลือบมองคนถามขณะที่เคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เลือกที่จะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ นั่นทำให้คุณหมอหนุ่มยกยิ้มบาง

“เออ พูดไม่ได้นี่นะ จะตอบคำถามยังไงล่ะนี่ ฮะ ๆ” ราวกำลังพูดอยู่กับอากาศ เพราะอีกฝ่ายไม่โต้ตอบกลับมา เพียงแต่เหลือบมามองเล็กน้อยเท่านั้น พอเห็นเด็กมันกินด้วยท่าทางดูเอร็ดอร่อยก็ยิ้มเอ็นดู “กินให้อิ่ม ไม่พอก็ขอได้อีก นายน้อยของทุกคนที่นี่เขาใจดี”

“......” คนฟังพยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้ตามนั้น

คุณหมอลุกออกไปแล้ว เขาจึงละสายตามาสนใจจานข้าวของตนเองต่อ ก่อนเบือนไปมองคนที่กำลังตรวจตราโดยรอบตัวเรือแล้วนิ่งไปเมื่อนึกถึงรอยแผลเป็นตรงหางคิ้วของอีกฝ่าย เขาจำมันได้ รอยแผลนั่น... ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

หันกินข้าวในจานต่อจนหมดแล้วยกขันน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่คิดอะไรอีก เหมือนว่าเขาจะลืมอะไรบางอย่างไปเสียแล้ว บางอย่างที่สำคัญ...

หมอปลายฟ้าขึ้นมาหาสายลมบนห้องควบคุมเรือ เห็นอีกฝ่ายกำลังยืนมองลงไปด้านล่างจึงก้าวเข้าไปหา เมื่อมองตามสายตาก็เห็นว่าเด็กที่นั่งห่มผ้าตัวกลมอยู่มุมหนึ่งของเรือคือจุดสนใจ ริมฝีปากคุณหมอเปิดยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเรียก

“นายน้อย”

สายลมละสายตาจากจุดสนใจแล้วหันมาตามเสียงเรียก “อ้าว หมอ เป็นไงบ้าง?”

“ก็... ตอนนี้ทำแผลให้ใหม่แล้วครับ โดนน้ำทะเลกัดเลยอักเสบนิดหน่อย” ท้ายประโยคลอบสังเกตปฏิกิริยาคนที่ทำให้น้ำทะเลมันกัดแผลคนอื่นจนอักเสบ ‘นิดหน่อย’ แล้วยิ้มขำ

สายลมกระแอมเบา ๆ ก่อนถาม “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?”

“ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่อย่าจับเขาโยนลงทะเลอีกแล้วกัน”

จบประโยคนั้นของคุณหมอ สองหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าสายลมจะอุ้มเด็กมันไปโยนทะเลจริง ๆ แต่ก็คงเพราะแบบนั้นเลยทำให้เกราะที่เด็กมันสร้างขึ้นค่อยจางลงไป

“ตอนนี้ที่น่าห่วงไม่น่าใช่สภาพร่างกายของเขา แต่เป็นที่มาของเขามากกว่า”

คุณหมอหนุ่มเอ่ยขึ้น ซึ่งสายลมก็เห็นด้วย การที่จมอยู่ใต้ทะเลแบบนั้นมันไม่น่าใช่เรื่องปรกติ ยิ่งบาดแผลบนร่างกายที่หมอปลายฟ้าวินิจฉัยว่าเป็นแผลจากกระสุนปืนยิ่งไม่ธรรมดา แต่เวลานี้คงไปซักไซ้อะไรไม่ได้ เพราะเด็กคนนั้นยังไม่วางใจพวกเขาพอที่จะเปิดปากเล่าอะไรให้ฟัง ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้สายลมก็นึกขึ้นได้

“จริงสิ เรื่องพูดไม่ได้นั่น...”

“ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกทีว่าอะไรยังไง เพราะถามเขาก็ไม่ได้คำตอบ”

สายลมพยักหน้าอย่างเข้าใจ หันไปมองเด็กที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม เป็นขณะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นเงยขึ้นมา สายตาที่มองสบไม่ได้ละไป นั่นทำให้สายลมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจดีจริง


เรือเข้าเทียบท่าบนเกาะศิลาในที่สุด บนท่าเรือมีคนคอยรับหน้าที่ต่ออยู่แล้ว ต่างส่งต่อและทำหน้าที่ของแต่ละคนด้วยความรวดเร็ว สายลมพาเด็กลงมาจากเรือ ปรกติเวลากลับมาถึงเกาะจะมีพ่อเฒ่า ผู้ซึ่งเป็นนักพยากรณ์ของเกาะศิลามารอเพื่อทำการปัดเป่าเรื่องร้ายที่อาจติดตัวมาจากท้องทะเลเมื่อเขาอาจไปลบลู่อะไรเข้าโดยไม่ตั้งใจ คนบนเกาะยังคงเชื่อในสิ่งเหล่านี้ และยึดมั่นต่อสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจำพวกนี้มาโดยตลอด

ชายชราผมสีดอกเลาภายใต้ชุดสีทึมเทายังยืนอยู่ที่เดิมดังเช่นทุกครั้ง ไม้เท้าที่ใช้พยุงตัวยังคงเป็นเอกลักษณ์ของชายผู้นี้เสมอ พ่อเฒ่าอาจีฟ นักพยากรณ์แห่งเกาะศิลา ด้วยสีหน้าที่ดูเครียดกว่าปรกติทำให้สายลมหันมองเด็กที่เดินกระย่องกระแย่งตามมา ก่อนจะพากันก้าวไปหยุดตรงหน้าชายชรา

สายตาฝ้าฟางมองเด็กแปลกหน้านิ่งอยู่เป็นนาน คนถูกจับจ้องก้าวไปหลบหลังนายหนวดเมื่อทนสายตากดดันนั้นไม่ไหว ทำไมต้องมองกันขนาดนี้ด้วยไม่รู้

“ผมช่วยเขามาเอง มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือพ่อเฒ่า?” สายลมเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นมาก่อน

“เขาไม่ใช่คนของเกาะ อาจไม่เหมาะนักที่จะให้เขาอยู่ที่นี่” ชายชราตอบกลับไปเสียงเรียบ สายตายังไม่ละไปจากเด็กคนนั้น

“ไว้เราจะพาเขากลับบ้าน แต่ตอนนี้คงไม่ได้” เหลือบมองคนที่ก้มหน้าหลบสายตาพ่อเฒ่าของเกาะศิลาแล้วตอบกลับไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้

“นานนักจะไม่ดี”

“ถือว่าผมรับทราบคำเตือนจากพ่อเฒ่าแล้ว” นั่นถือเป็นการยุติบทสนทนา

ชายชรามองนายน้อยของเกาะศิลาแล้วทอดถอนใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านหน้า ฝ่ามือตั้งฉากกับผืนทรายเพื่อทำการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายดังเช่นทุกที แต่เพียงสัมผัสกับร่างกายของอีกฝ่าย ชายชราก็ชะงักมือก่อนลืมตามาเอ่ยถาม

“นายน้อย ท่านเก็บสิ่งแปลกปลอมใดมาจากท้องทะเลอีก นอกจากเด็กคนนี้?”

น้ำเสียงดูเคร่งเครียดจากพ่อเฒ่าทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะย้อนถาม

“หมายถึงสิ่งนี้?”

จี้ห้อยคอรูปทรงกลมคล้ายลูกแก้วแต่โปร่งใส บรรจุเม็ดอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางซึ่งคล้ายว่ามันจะเป็นเม็ดมุกดังที่สายลมคาดคะเนเอาไว้ในทีแรกถูกเอาออกมาจากชายพก นั่นทำให้ดวงตาเด็กที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเบิกโต

“ทิ้งไปเสีย”

เสียงของชายชราทำให้เด็กแปลกหน้าหันขวับไปมอง ดวงตากลมเบิกโตยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันมาทางสายลมแล้วจับแขนแกร่งหมับ เมื่อเจ้าของแขนเหลือบมามองก็ส่ายหน้าพลางส่งสายตาอ้อนวอน

“คงไม่ได้” เอ่ยบอกกับพ่อเฒ่าอาจีฟไปแบบนั้นเมื่อเด็กข้างกายทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“นายน้อย...”

“ผมเหนื่อยมากแล้วพ่อเฒ่า ขอตัวไปพักก่อนจะได้ไหม?” เอ่ยแทรกเมื่อฝ่ายนั้นตั้งท่าจะพูดอีกยืดยาว สีหน้าจริงจังของนายน้อยเกาะศิลาทำให้ทุกคนต้องยอมหลีกทาง

ร่างสูงใหญ่ออกเดินเมื่อไม่มีใครขวาง เห็นดังนั้นเจ้าเด็กแปลกหน้าก็รีบวิ่งตาม ด้วยไม่คุ้นชินกับใครที่นี่ แม้แต่คนที่กำลังวิ่งตามมาอยู่ตอนนี้ก็ด้วย แต่จะให้อยู่ท่ามกลางคนที่พร้อมจะขับไล่ การตามคนตัวโตคิ้วบากมาย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

สายตาฝ้าฟางของพ่อเฒ่าแห่งเกาะศิลามองตามทั้งสองคนไป เห็นแวววุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้วชายชราก็ถอนใจ ก่อนจะเหลือบสายตามามองผู้ที่ก้าวมายืนด้านข้าง ความอาฆาตมาดร้ายแผ่กระจายออกมาจากคนผู้นั้นจนสัมผัสได้

“เพราะนายท่านพาหลานนอกไส้เข้ามา เรื่องเลวร้ายมันถึงเกิดขึ้นได้ไม่หยุดหย่อน...”

“เงียบ” เพียงอีกฝ่ายเปิดปากพูดชายชราก็ตวัดสายตามองพลางสั่งเสียงเข้ม ทำให้คนพูดจำต้องหุบปากเงียบ

“อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก” ชายชรายังกำชับสั่ง

คนบนเกาะศิลายอมรับในตัวของสายลม นั่นคือคนส่วนมาก แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ใช่ เพราะสายลมไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่ เพียงแต่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และถูกเลือกจากความศักดิ์สิทธิ์ของเกาะแห่งนี้เท่านั้น คลื่นใต้น้ำยังมี เพียงแต่จะผุดขึ้นมาให้เห็นเมื่อไรนั้นยังไม่อาจคาดเดา


...

ต่อด้านล่างค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑ เด็กหลงทาง //๒๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 21-08-2018 16:32:37

สายลมพาเด็กมาที่กระท่อมน้อยริมเล เขามักมานอนที่นี่มากกว่าบ้านใหญ่ของผู้เป็นปู่ มันเป็นกระท่อมไม้แบบหนึ่งห้องนอน เสายกพื้นสูงและมีบันไดเตี้ย ๆ พาดเป็นทางขึ้น กั้นชานหน้ากระท่อมด้วยราวระเบียงไม้ หลังคามุงสังกะสีเพื่อความทนแดดทนฝนและปูทับด้วยหญ้าคาอีกทีเพื่อกันความร้อนที่จะกระทบสังกะสีโดยตรง ดูกะทัดรัดเหมาะสำหรับคนรักสันโดษแบบเขาดี

เขาเข้าไปค้นเสื้อผ้าในห้องมาให้เด็กที่ยืนตัวลีบอยู่มุมระเบียงได้ผลัดเปลี่ยน กายสูงใหญ่ก้าวเข้าไปหา ค่อยก้มลงช่วยแกะผ้ากอซปิดแผลก่อนจะจับจูงพาไปยังลานข้างกระท่อมที่กั้นไว้สำหรับอาบน้ำอาบท่า

“อาบน้ำซะ แผลก็ดูไม่เป็นไรมากแล้ว ไว้จะพาไปโรงพยาบาลให้หมอเขาตรวจอาการอีกทีแล้วกัน”

เอ่ยบอกเด็กที่ยืนกอดเสื้อผ้าอยู่ข้างตุ่มใส่น้ำอาบ ขณะที่ตนเองก็ถอดกางเกงเพียงตัวเดียวที่สวมใส่อยู่ออกเพื่อจะได้อาบน้ำและพักผ่อนเสียที เหนื่อยมามากแล้ววันนี้

ที่นี่มีแหล่งน้ำจืดอยู่กลางเกาะ แม้รอบ ๆ นั้นจะรายล้อมด้วยทะเลที่เต็มไปด้วยความเค็ม แต่น้ำที่ผุดขึ้นมากลางเกาะศิลากลับใสสะอาดไร้ความเค็ม มันคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติโดยแท้ ทุกคนที่นี่ได้ใช้ประโยชน์และสำนึกบุญคุณของผืนน้ำ เมื่อไม่นานมานี้สายลมก็ได้ทำการขุดเจาะต่อท่อนำน้ำจืดมาไว้ที่กลางหมู่บ้าน เพื่อที่สมาชิกของเกาะทุกครัวเรือนจะได้ไม่ต้องเข้าป่าลึกเพื่อหาบน้ำมาเก็บไว้ใช้อีก

หลายสิ่งหลายอย่างภายในหมู่บ้านเริ่มใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย ด้วยการคิดริเริ่มของสายลมและปลายฟ้า ปลายฟ้าที่เป็นหมอก็คอยช่วยดูแลด้านเทคโนโลยีในการรักษาคนไข้ เมื่อมีอะไรขาดเหลือก็จะนำเรื่องมาเสนอแก่สายลม ผู้ที่จะขึ้นเป็นนายของเกาะคนต่อไป

เมื่อสายลมหันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าเด็กมันยังไม่ยอมขยับเข้ามาอาบน้ำตามที่บอกแต่อย่างใด ทั้งยังหันหลังให้เสียอีก ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรง ก่อนเอื้อมไปรั้งแขนอีกฝ่ายให้เซมาหา

“เอาเสื้อผ้าไปวางไว้บนนั้นก่อนไป”

ตากลมกะพริบปริบ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอาเสื้อผ้าที่หอบมาไปวางบนชั้นไม้แบบง่ายที่ตั้งอยู่เยื้องจากตุ่มน้ำไปเล็กน้อย

“เสร็จแล้วก็มาอาบน้ำ หรือต้องอาบให้?”

น้ำเสียงติดจะรำคาญหน่อย ๆ ทำให้อีกคนจำต้องถอดกางเกงออกอย่างเสียไม่ได้ สายตาที่มองจ้องทำให้รู้สึกเก้อกระดากจนทำตัวไม่ถูก

“อย่ามาทำเหนียมอายเหมือนสาวน้อย รีบมาอาบเร็ว ๆ ไม่เหนียวตัวบ้างหรือไง?”

เมื่ออีกฝ่ายทำกระมิดกระเมี้ยนนัก สายลมจึงดึงเข้ามาแล้วใช้ขันตักน้ำราดตัวให้เสียเอง ไอ้ตัวเล็กมันกระโดดเหยง แต่หนีไปไหนไม่ได้เพราะแขนข้างหนึ่งถูกจับเอาไว้ ได้แต่ย่ำเท้าอยู่ที่เดิมแล้วเหวี่ยงตัวหมุนไปมารอบตัวสายลม ทั้งยกมือลูบหน้าลูบตาเพราะน้ำยังคงถูกราดลงมาบนหัวจนเปียกโชกไปหมด

สายลมวางขันน้ำแล้วคว้าขวดยาสระผมมาบีบมันลงบนเส้นผมที่ในเวลานี้จับตัวเป็นก้อนเพราะความเค็มของน้ำทะเล ก่อนจะขยี้จนเด็กมันหัวสั่นหัวคลอน

“อื้อออ”

เสียงประท้วงทำให้สายลมหัวเราะในลำคอ ยิ่งตาเขียวขุ่นตวัดมามองเขาก็ไหวไหล่ ก่อนจะปล่อยให้เด็กมันสระผมต่อด้วยตัวเอง

“อาบเร็ว ๆ นะ แถวนี้มันยิ่งมืด ๆ อยู่ เผื่อมีตัวอะไรโผล่มา...”

คำขู่จากคนตัวโตทำให้คนถูกขู่ผวาเข้ามาหา ตากลมเหลียวมองรอบ ๆ เห็นแสงบางอย่างจากในมุมมืดคล้ายสายตาของตัวประหลาดก็ขยับตัวเบียดอีกฝ่ายมากขึ้น

“ถ้ากลัวก็รีบอาบ มัวแต่มากอดฉันอยู่มันไม่เสร็จนะ”

“......” เงยมองคนพูดแล้วก็ค่อยผละถอย เบือนสายตาไปทางอื่นเมื่อเผลอก้มต่ำไป แม้ตรงนี้จะไม่ได้สว่างจ้า แต่ก็ยังพอเห็นอะไร ๆ ได้อยู่

“หึ เด็กลามก”

ใบหน้าเรียวแดงเถือกเมื่อถูกนายหนวดว่าเอาแบบนั้น ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่ลับสายตาไปพร้อมริมฝีปากพะงาบงับ เขาไม่ได้ลามกนะ ตัวเองนั่นแหละที่ลามก!


หลังอาบน้ำเสร็จสายลมก็พาเด็กไปที่โรงพยาบาลของหมู่บ้าน ให้หมอปลายฟ้าช่วยทำแผลให้ใหม่ ทั้งยังฉีดยากันบาดทะยักก่อนจะสั่งยาให้เอากลับมากินด้วย สายลมให้เด็กถือถุงยาไปนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ ขณะที่ตนคุยกับหมออยู่ด้านใน

“เท่าที่ตรวจดูไม่มีอาการอะไรผิดปรกติ เพียงแต่ต้องระวังเรื่องแผลติดเชื้อหน่อย ควรพามาให้พยาบาลช่วยทำแผลให้ แล้วก็คราวนี้อย่าเพิ่งให้แผลถูกน้ำมากไป เช็ดตัวเอาได้ก็ดี”

“อือฮึ แล้วมีอะไรอีก?” สายลมพยักหน้ารับรู้แล้วถามต่อ

“ตอนนี้ไม่มี ส่วนเรื่องเสียง... ไม่ได้เป็นมาแต่เกิด น่าจะมาจากการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น ต้องใช้เวลาสักหน่อย เดี๋ยวหมอจะหาทางอีกทีว่าจะกระตุ้นยังไงได้บ้าง”

“ขอบคุณนะ หมอ”

“ด้วยความยินดี”

“หึ” สายลมหัวเราะในลำคอ ก่อนบอกลาหมอแล้วออกจากห้องมา

หากว่ากันตามจริง สายลมและหมอปลายฟ้าก็เหมือนพี่น้องร่วมสายเลือด เพราะปู่ของทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน เพียงแต่นายลามุ ปู่ของสายลมได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นนายของเกาะศิลา ทำให้ปลายฟ้าไม่คิดเทียบชั้นกับน้องชาย แม้สายลมจะบอกกับอีกฝ่ายว่าเป็นพี่น้องก็ตาม

สายลมออกมาหาเด็กที่ตนเองเก็บมาจากใต้ท้องทะเล เขาหลงนึกว่าเป็นตัวประหลาด แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นเพียงเด็กเคราะห์ร้ายคนหนึ่งเท่านั้น ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างกายคนที่นั่งแกว่งขาอยู่หน้าห้องตรวจด้วยท่าทีเบื่อ ๆ รูปร่างเด็กคนนี้ดูผอมบาง ทั้งแขนขาก็เล็กนัก ยิ่งมาสวมเสื้อผ้าของเขาที่ตัวหลวมโคร่งขนาดนี้ ดู ๆ ไปแล้วราวกับเด็กขาดสารอาหารอย่างไรอย่างนั้น

“วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว กลับไปนอนที่กระท่อมนะ ฉันจะให้คนไปส่ง”

ตากลมหันมามองเขา ก่อนจะเอียงคอด้วยท่าทีสงสัย

“ฉันต้องไปทำธุระสักเดี๋ยว เสร็จแล้วจะตามกลับไป”

สายลมเรียกลูกน้องที่ไว้ใจได้มาแล้วฝากให้พาเด็กกลับไปที่กระท่อมก่อน เพราะตนจะเข้าไปรายงานตัวกับผู้เป็นปู่สักหน่อย เมื่อจะลุกผละไปอีกฝ่ายก็กลับผวามาจับแขนเขาไว้ ตาคู่โตช้อนขึ้นมองด้วยแววหวาดหวั่น

“คนนี้ไว้ใจได้ เขาจะพาเธอกลับที่พัก” สายลมให้ความมั่นใจ

ใบหน้าเรียวกลับสั่นหวือ ไม่ยอมไปท่าเดียว ในสถานที่นี้ คนที่พอจะฝากความหวังได้มีเพียงนายหนวดครึ้มคนนี้เท่านั้น ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลเขารู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมา บางคู่ก็มองเขาอย่างไม่เป็นมิตรนัก เหมือนสายตาของชายชราผู้นั้นที่ไม่พร้อมจะต้อนรับเขาสักนิด

สายลมถอนใจกับความดื้อดึงของเด็กเจ้าปัญหา “อย่าทำเรื่องง่ายให้มันกลายเป็นเรื่องยาก”

พอถูกดุ สีหน้าเจ้าหนูก็ดูเจื่อนจ๋อยลงไป เขามาจากไหนไม่รู้ เป็นคนนอก เป็นคนไม่รู้จักกัน แต่ทำตัวแบบนี้ใครก็ต้องรำคาญเป็นธรรมดา

ร่างผอมลุกขึ้นพร้อมปล่อยแขนที่ตนเองยึดเกาะเอาไว้ ก่อนหมุนตัวกลับแล้วเดินตามคนที่นายหนวดบอกให้พากลับกระท่อม อยู่ที่ไหนเขาก็เป็นตัวปัญหา มันแย่เอามาก ๆ กับความคิดเช่นนี้

สายลมมองตามเด็กที่เดินก้มหน้าก้มตาตามคนของตนไป ไม่รู้ว่าเอาภาระมาไว้บนบ่าอีกอย่างหรือเปล่า เขานี่มันพวกชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง แต่ทำอย่างไรได้เมื่อไม่อาจใจจืดใจดำมองเด็กคนนี้ตายลงต่อหน้าโดยไม่ช่วยเหลือทั้งที่ตนเองก็ช่วยได้



เมื่อตรงมาที่บ้านผู้เป็นปู่ สายลมก็เข้าไปพบพร้อมรายงานตัว เรื่องเด็กที่เขาพาเข้ามาในเกาะคงไม่จำเป็นต้องบอก ป่านนี้เรื่องคงถึงหูของปู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เด็กคนนั้นเป็นใคร มาจากที่ไหน?”

และก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดเสียทีเดียว เมื่อพบหน้ากัน ปู่ของเขาก็ถามไถ่ถึงเด็กคนนั้นขึ้นมา

“เรื่องนั้นคงต้องถามเขาอีกที” สายลมว่าง่าย ๆ ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรจากเด็ก ไม่รู้แม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ น่าแปลกที่เขายังเฉยอยู่ได้

“เห็นพวกที่ไปด้วยกันมันว่าเด็กพูดไม่ได้?”

สายลมลอบยิ้ม ไม่ผิดจากที่คิดสักนิด หูตาปู่ของเขาไวเสมอ “อาจจะเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมั้งครับ เพราะดู ๆ ไปแล้วเหมือนเขาจะอยากพูด อยากสื่อสารกับทุกคนอยู่”

นายลามุมองหลานชายด้วยแววตาอ่านไม่ออก หลานของเขามันหัวดื้อ ได้พ่อมาเต็ม ๆ แบบไม่ต้องสืบหา ไม่มีใครสามารถกดเด็กคนนี้ให้อยู่ภายใต้อาณัติ แม้แต่เขาเองก็ตาม หากสายลมไม่เต็มใจก็ไม่มีใครบังคับให้ทำตามได้

“สายลม หลานเป็นคนที่ควรจะรักษากฎมากที่สุด แต่กลับฝ่าฝืนกฎพาคนนอกเข้ามา...”

“ผมทราบครับ ผมจะระวังให้มากกว่านี้ เพียงแต่ครั้งนี้ผมปล่อยผ่านไปไม่ได้” สายลมเอ่ยขึ้นมาเมื่อรู้ดีว่าปู่ของตนกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร กฎข้อหนึ่งของเกาะคือ ห้ามพาคนนอกเข้ามาโดยเด็ดขาด เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้เป็นนายของเกาะนี้เท่านั้น

“เอาเถอะ ดูแลเขาให้ดี อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังล่ะ” สุดท้ายแล้วนายลามุก็จำต้องปล่อยผ่าน

“ครับ ผมคงต้องขอตัวกลับ ปล่อยเขาอยู่ที่กระท่อมคนเดียว เดี๋ยวได้เกิดปัญหาขึ้นมาล่ะแย่แน่”

“ยอกย้อน”

สายลมหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวลานายลามุแล้วออกจากบ้านมา



เมื่อกลับมาที่กระท่อม สายลมก็เดินเข้ามาหาก้อนกลม ๆ ที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ยืนกางขาเท้าสะเอวมองแล้วส่ายหน้าเมื่อเด็กที่ล่วงหน้ามาก่อนนอนหลับไปแล้ว หลับได้หลับดีจริง ๆ เด็กคนนี้ มองคนหลับอยู่ครู่หนึ่งสายลมก็นอนลงข้าง ๆ ตากลมลืมขึ้นมามอง ตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่เขาคว้าต้นแขนเอาไว้

“นอนต่อเถอะ ฉันของีบสักหน่อย เหนื่อย” บอกไปเช่นนั้นแล้วก็ค่อยหลับตาลง

หนุ่มน้อยปลดมือหนาออกจากต้นแขน มองคนตัวโตที่นอนอยู่ข้างกาย แม้จะรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าคนคนนี้แม้หน้าตาจะเหมือนโจรป่าแต่ไม่ใช่คนใจร้าย แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก ตัวผอมบางขยับไปชิดผนังห้องแล้วนั่งมองอีกคนไม่ละ มองอยู่นานพลางครุ่นคิดและคาดหวัง อยากให้คนคนนี้ใจดีตลอดรอดฝั่ง อย่าเหยียบย่ำเขาเช่นคนพวกนั้นเลย

‘แกมันตัวหายนะ!’


เสียงสะท้อนที่ยังคงดังขึ้นมาในมโนสำนึกทำให้เผลอยกมือปิดหู ตากลมกลอกมองรอบกายพลางขดตัวซุกหน้ากับหัวเข่า ...ไม่จริงหรอก เขาไม่ใช่ตัวหายนะ ไม่ใช่...

สายลมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่รินรดผิวกาย เวลานอนเขาชอบถอดเสื้อทำให้ผิวไวต่อสัมผัส เมื่อลืมตาขึ้นมามองก็เห็นเด็กมันนอนซุกอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มเท้าศอกเพื่อชันตัวขึ้นแล้วหัวเราะในลำคอ ก่อนหน้านี้ยังทำท่าไม่ไว้ใจเขาอยู่เลย ผ่านไปไม่ทันไรมานอนซุกอยู่ข้างกายเขาเสียแล้ว นิ้วยาวเขี่ยจมูกรั้นนั้นเบา ๆ อมยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายย่นจมูกเหมือนกระต่ายน้อย

“เด็กประหลาด”

เขาพึมพำ ก่อนจะเอนลงนอนตะแคงข้างมาหา วางแขนพาดเอวบางเอาไว้ กายผอมขยับเข้ามาซุกอกทำให้สายลมเกร็งตัวแล้วยกแขนที่วางพาดบนเอวขึ้นค้างกลางอากาศโดยอัตโนมัติ ด้วยกลัวว่าเด็กมันจะตื่น แต่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอนั่นก็พอจะเบาใจไปได้ว่าไม่ใช่ตอนนี้

แขนแกร่งถูกวางลงที่จุดเดิมอีกครั้ง รั้งเบา ๆ ให้ร่างแบบบางขยับเข้ามาชิดกาย กอดคนตัวอุ่นแทนหมอนข้างที่เขาไม่เคยใช้มันสักครั้ง ความจริงการมีหมอนข้างอยู่บนที่นอนมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก


...


บ้านหลังใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาในแบบตะวันตก ภายในห้องหนึ่งของบ้าน ชายชุดดำก้าวเข้ามาด้านในทำให้คนในห้องนั้นหันกลับมามอง ริมฝีปากหนาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้รับรายงานถึงสิ่งที่ตนได้ให้ชายชุดดำตรงหน้าไปกระทำ และสิ่งนั้นมันปรากฏผลสำเร็จดังใจหมาย

“แน่ใจแล้วใช่ไหมว่ามันได้ตายไปแล้ว?” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามเรื่องความเป็นความตายราวไร้ความรู้สึก

“ครับ ผมยิงมันทะลุกลางอก พอมันตกเรือไปก็กระหน่ำยิงซ้ำจนแน่ใจว่ามันไม่น่ารอด”

“ดี!” อีกฝ่ายกระแทกเสียงอย่างสาแก่ใจ ขณะที่ชายชุดดำค้อมศีรษะแล้วยิ้มในสีหน้าเมื่อได้รับคำชม

“เสี้ยนหนามของฉันมันจะได้หมดลงไปเสียที ต่อไปนี้คงไม่มีอีกแล้ว...” คนพูดค่อยหันกลับไปอีกทาง มองท้องฟ้าสดใสผ่านกระจกด้วยสายตาเฉยชา

“ลาก่อน รูส... น้องชายที่น่ารักของฉัน”

เปรี้ยง!!

เสียงปืนดังขึ้นที่ด้านหลังหนึ่งนัด ชายชุดดำทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นเมื่อกระสุนทะลุตัดขั้วหัวใจ เขม่าควันจากกระบอกปืนของผู้ยิงลอยอ้อยอิ่ง ก่อนที่มันจะถูกลดลงมาข้างตัว คนยิงยืนรอฟังคำสั่งจากผู้ที่ยืนมองท้องฟ้าอยู่หน้ากระจก คนผู้นั้นไม่ได้หันกลับมามองดวงตาของชายชุดดำที่เบิกค้างแม้ยามหมดลมหายใจ มีเพียงคำสั่งสั้น ๆ

“ปิดปากของพวกแกให้สนิท”

“ครับ” ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรับคำโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะตรงเข้ามาลากยกร่างไร้วิญญาณของชายชุดดำออกจากห้องไป

เสียงประตูห้องถูกปิดลง ลมหายใจของคนที่เหลืออยู่ในห้องค่อยถูกระบายออกมา ไม่สะทกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่ด้านหลังประตูบานนั้น คนที่ภักดีต่อเขาที่สุดกำลังจะถูกนำไปกำจัดให้ไร้สิ้นตัวตน ไม่ว่าใครก็ตามที่ขัดขวางความยิ่งใหญ่ของเขา ใครก็ตามที่ล่วงรู้ความลับของเขามากจนเกินไป มันทุกคนจะต้องถูกกำจัดจนสิ้นซาก!




TBC


 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑ เด็กหลงทาง //๒๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 21-08-2018 19:13:21
คิดถึงคุณนักเขียนมากเลยค่ะ  :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑ เด็กหลงทาง //๒๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 21-08-2018 20:37:24
เรื่องนี้เคยรีไน้ท์ไปแล้วป่าวคะ แล้วก็ยังไม่จบอยู่ดี จำได้ว่าตามอ่านทุกรอบเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑ เด็กหลงทาง //๒๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 21-08-2018 22:04:27
ติดตามจ้า :L2:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๒ พึ่งพิง //๒๓.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 23-08-2018 23:47:16
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๒ พึ่งพิง


เสียงฝีเท้าก้าวเดินบนเส้นทางที่แสนมืดมิด มีเพียงแสงสว่างอยู่ไกลลิบส่องนำทางรำไร เจ้าของฝีเท้านั้นคือเด็กผู้ชายตัวน้อยซึ่งในอ้อมแขนกอดตุ๊กตาตัวเก่าค่อยก้าวเดินไปตามทางอย่างไม่มั่นคงนัก ดวงตากลมเหลือบมองรอบกายที่ไร้เงาผู้คน แขนเรียวเล็กกอดตุ๊กตาของตัวเองแน่น ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะเดินไปไหน สุดเส้นทางนี้จะไปหยุดลงที่ใด แต่ขาก็ยังก้าวเดินต่อไปแม้ใจหวาดหวั่น

ประตูห้องที่เปิดแง้มนำพาแสงสว่างที่เห็นอยู่แสนไกลนั้นลอดออกมา เด็กชายหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นด้วยความสงสัย มือค่อยเอื้อมออกไปด้วยความอยากรู้ เมื่อด้านหลังที่ก้าวเดินผ่านมามีแต่ความมืด เห็นแสงสว่างอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้วจึงอยากก้าวออกไปหา แต่ไม่ทันที่จะเอื้อมไปถึง บานประตูก็ค่อยเปิดออกช้า ๆ เด็กชายชะงัก มองอย่างชั่งใจ ภายในนั้นไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความสว่างที่ตัดกับจุดที่เขายืนอยู่อย่างสิ้นเชิง

ขาเล็กค่อยก้าวผ่านธรณีประตู เพียงพ้นมาประตูบานนั้นก็ปิดดังปัง! จนเด็กชายสะดุ้งโหยง หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำด้วยความกลัว สองแขนกอดตุ๊กตาแน่นขึ้นไปอีกเมื่อมันเป็นเพื่อนเพียงตัวเดียวของเขาในเวลานี้

เสียงก้าวเดินสวบสาบดังมาใกล้ ดวงตากลมฉายแววระริกไหวเมื่อค่อย ๆ หันกลับมาอีกด้านหนึ่ง จนกระทั่งเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายแหงนเงยขึ้นมอง อีกฝ่ายยกยิ้มแสยะ ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อวัตถุปลายแหลมในมือใครคนนั้นถูกเงื้อง่า ก่อนที่มันจะพุ่งลงมาหาด้วยความรวดเร็ว

“อ๊า!!!!!!!!!!!!!”

เสียงร้องดังสะท้อนก้องในหู เปลือกตาเปิดขึ้นฉับพลัน ร่างกายเย็นเยียบสั่นระริกกับภาพฝันที่ถูกปลุกขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก หยดน้ำตารินไหลโดยไม่ทันได้รู้ตัว กว่าที่ลมหายใจหอบกระชั้นจะสงบลงก็ต่อเมื่อรับรู้ถึงอ้อมแขนของใครอีกคนที่โอบกอดกายตน ความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในความเยียบเย็นของจิตใจทำให้หน่วยตาคลอคลองขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หาใช่ความรู้สึกหวาดกลัวดังเช่นตอนสะดุ้งตื่น แขนเรียวสอดไปโอบเอวหนา ขดตัวซุกหน้ากับอกแกร่งเมื่อไร้ที่พึ่งพิง

“นายน้อย นายน้อยครับ”

เสียงเรียกดังมาจากหน้ากระท่อม เจ้าหนูเงยมองคนถูกเรียกด้วยความตกใจ หากตื่นขึ้นมาพบว่าถูกเขากอดอยู่จะทำเช่นไร เมื่อคิดได้ดังนั้นแขนเรียวที่พาดกอดจึงถอยกลับ ก่อนยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองลวก ๆ

“ตื่นแล้วเหรอ?”

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะทำให้คนที่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่ชะงัก มือยังค้างอยู่บนแก้มขณะช้อนมองคนตัวโตซึ่งมองมาที่ตนเองอยู่เช่นกัน เมื่อถูกสายตาคมมองจ้อง ทั้งตนเองยังนอนอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย หนุ่มน้อยก็ทำหน้าไม่ถูก หลุบสายตาลงต่ำ มองเพียงแผ่นอกแน่นตึงที่อยู่ในระดับสายตาพอดีเท่านั้น

“เสียงใครมาเรียกอยู่ข้างนอกไม่รู้ เดี๋ยวฉันจะลุกไปดูหน่อย”

สายลมบอกกับเด็กในอ้อมแขน ร่างสูงใหญ่ขยับลุก อีกคนก็ดีดตัวลุกขึ้นมาตามกัน สายตาคมปรายมองเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องนอนในกระท่อมไป

ผู้ที่มาเรียกแต่เช้าคือลูกน้องคนที่ให้มาส่งเด็กมันเมื่อวาน มันนำเสื้อผ้ามาให้เพราะเขาสั่งเอาไว้ ไอ้ตัวเล็กบนกระท่อมไม่มีชุดจะใส่ ไอ้เขาก็ตัวใหญ่กว่าตั้งมาก จึงวานลูกน้องให้ช่วยหาขนาดที่พอดีกว่านี้มาให้

“ขอบใจ เอามาให้แต่เช้าเชียว” นายน้อยเกาะศิลารับเสื้อผ้าจากลูกน้องมาพลางว่า

“แหะ ๆ รบกวนนายน้อยเหรอครับ?” อีกฝ่ายยิ้มแหยแล้วหัวเราะแห้ง ๆ เพราะตนเองรีบมาแต่เช้าตรู่ นายน้อยอาจจะยังไม่ตื่นดี

“เปล่าหรอก ยังไงก็ขอบใจมาก” มือหนาตบบ่าลูกน้องของตน ก่อนจะคลี่ดูชุดที่อีกฝ่ายนำมาให้

“เอ่อ... นายน้อยครับ”

“หือ?”

เอ่ยเรียกแล้วคนเรียกก็เหลือบมองเด็กที่เกาะขอบประตูกระท่อมโผล่แต่หน้ามาส่องด้วยความหวาดระแวง ก่อนเอ่ย

“เห็นคนเขาว่ากันว่าเด็กที่นายน้อยพามาจะนำความวุ่นวายมาสู่เกาะเรา มันคือเรื่องจริงใช่ไหมครับ?”

“เหลวไหล” สายลมดุเสียงเข้ม

“แต่ว่าเรื่องนี้มันออกมาจากปากพ่อเฒ่าอาจีฟเลยนะครับ คนเขาเชื่อกันทั้งบาง” อีกฝ่ายยังว่า

“พ่อเฒ่าคิดมากไปน่ะสิ เพราะข้าพาคนแปลกหน้าเข้ามา พ่อเฒ่าเลยเป็นห่วง”

สายลมให้เหตุผล แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากเชื่อที่เขาพูดเท่าไร ชายหนุ่มจึงวางเสื้อผ้าในมือไว้บนชาน ก่อนรั้งคอลูกน้องมาใกล้แล้วจับมันหันไปมองเด็กประหลาดที่ทำตัวเป็นจิ้งจกเกาะขอบประตู

“นี่ ไอ้กั้ง เอ็งดูอะไรนี่ เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นั้นจะทำอะไรได้ หือ ข้าถามเอ็งหน่อย”

“......” ไอ้กั้งที่สายลมเรียกทำหน้าประหลาดเมื่อเด็กคนนั้นรีบผลุบหายเข้าหลังฉากกั้นห้องนอน สายลมจึงเห็นโอกาสพูดต่อ

“เอ็งดูเด็กมันสิ น่าสงสารไหม พูดก็ไม่ได้ แก้ต่างให้ตัวเองก็ไม่ได้ อยู่ ๆ มาถูกตั้งแง่แบบนี้ เอ็งไม่สงสารมันบ้างเหรอ?”

“.......” คำพูดที่ดูมีเหตุมีผล ทั้งยังเห็นด้วยตาตัวเองเป็นภาพประกอบ ทำให้ไอ้กั้งเริ่มคล้อยตาม

“เฮ้อ...” เสียงทอดถอนใจทำให้ไอ้กั้งหันมามองผู้เป็นนายน้อยของมัน “ขนาดเอ็งยังไม่เชื่อใจข้า ข้าก็พอจะเข้าใจน่ะนะว่าไม่ได้เกิดที่นี่ ใครที่ไหนจะมาเชื่อมั่นในตัวข้า...”

“ข... ข้า... ข้าไงนายน้อย ข้าเชื่อใจนายน้อย” ไอ้กั้งรีบบอกเมื่อนายน้อยของมันพูดราวตัดพ้อ

สายลมซ่อนยิ้ม มือหนาเอื้อมไปบีบไหล่เจ้ากั้งพร้อมบอก “ขอบใจ... เฮ้อ คงมีแต่เอ็งนี่ล่ะนะที่อยู่ข้างข้า”

เจ้ากั้งยิ้มแฉ่งเมื่อคำพูดของนายน้อยทำให้มันรู้สึกว่าได้รับความไว้วางใจและเป็นคนสำคัญ

สายลมคว้าเสื้อผ้าที่วางไว้แล้วขึ้นกระท่อมไป ก้าวเข้ามาในห้องนอนแล้วก้มมองเด็กที่เงยหน้ามามองเขางง ๆ

“เขาเอาเสื้อผ้ามาให้ ไปขอบคุณเขาด้วยล่ะ”

เสื้อผ้าเหล่านั้นถูกส่งต่อ มือเรียวยื่นออกไปรับมาจนเต็มอ้อมแขน ก่อนลุกขึ้นเดินไปหาเจ้ากั้งที่หน้ากระท่อม หยุดยืนอยู่บนชานแล้วก้มหัวลงแทบชิดเข่า ก่อนเงยขึ้นมาเปิดยิ้มให้แล้วเดินกลับเข้าห้องไป

ไอ้กั้งเกาหัวแกรกกับพฤติกรรมของเด็กที่นายน้อยพามา ก่อนจะหมุนกายกลับแล้วเดินบ่นงึมงำไปตามทาง “นอกจากพูดไม่ได้แล้วน่าจะเอ๋อด้วยมั้งนี่ ถ้าความวุ่นวายที่ว่ามันจะเกิดก็คงเกิดเพราะความเอ๋อของมันนี่ล่ะ”

เมื่อได้ชุดมาแล้วเด็กดื้อก็อยากไปอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดใหม่ สายลมไม่ให้อาบเพราะจะโดนแผล หาขัน หาแปรงสีฟันมาให้แปรงฟันเท่านั้นพอ

ตากลมมองขันน้ำใบน้อยกับแปรงและยาสีฟันที่ถูกวางลงตรงหน้า เงยมองนายหนวดแล้วก็ส่ายหน้าไม่เอาแค่นี้ ก่อนจะถอดเสื้อแล้วแกะผ้าปิดแผลให้ดูว่าแผลของตนเองดีขึ้นแล้ว นั่นทำให้ถูกสายลมตีมือเอาเพราะซนแกะแผลเล่น แต่เมื่อเห็นว่าแผลมันเป็นเพียงสะเก็ดที่หลุดลอกเห็นเนื้อเกิดใหม่สีชมพูอ่อนก็ชะงัก เพิ่งพาไปทำแผลกับหมอปลายฟ้าผ่านมาไม่ถึงวันเองไม่ใช่หรือ นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว

“จะอาบก็เอา ถ้าถูกหมอปลายฟ้าดุ ฉันไม่ช่วย” เมื่อทัดทานไม่ได้สายลมจึงต้องยอม แต่มีแอบขู่แถมท้ายมาด้วย

คนถูกขู่ย่นจมูก ก่อนจะกอดเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นวิ่งตึง ๆ ลงไปที่ลานข้างกระท่อมเพื่อเตรียมอาบน้ำ สายลมได้แต่ส่ายหน้า เด็กมันร่าเริงขึ้นก็ดีอยู่หรอก แต่ดื้อแบบนี้เขาชักปวดกบาล

“ไอ้หนู” ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากกระท่อมมาแล้วเอ่ยเรียก เมื่ออีกฝ่ายหันมาเขาจึงบอก “เดี๋ยวฉันจะไปที่บ้านปู่หน่อย ขากลับจะเอาข้าวมาด้วย อาบน้ำเสร็จอย่าออกไปเล่นซนที่ไหนล่ะ”

สั่งกำกับไว้เช่นนั้นอีกคนก็พยักหน้าหงึกหงัก พลางคิดในใจว่าจะไปเล่นที่ไหนได้ ตนเพิ่งมาที่นี่ได้ยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำ

เมื่อสายลมไปแล้ว หนุ่มน้อยจึงเริ่มอาบน้ำ น้ำเย็น ๆ ทำให้สดชื่นกำลังดี แต่ขณะที่กำลังเพลินอยู่นั้นกลับรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองมาจากด้านหลัง เมื่อหันขวับไปมองกลับพบเพียงความว่างเปล่า กวาดสายตามองโดยรอบก็ไม่เห็นมีอะไร นั่นทำให้ต้องปลอบใจตนเองว่าตอนนี้มันกลางวันแสก ๆ คงไม่มีตัวอะไรโผล่มาทำให้ตกใจกระมัง เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วจึงได้อาบน้ำต่อให้เสร็จไป

ความรู้สึกแปลกประหลาดยังไม่เลือนหาย มือที่กำลังถูสบู่ค่อยหยุดลงเมื่อยังคงรู้สึกถึงบางอย่างที่มองจ้องอยู่ด้านหลัง ใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ตัดสินใจหันไปมองมันอีกครั้ง ครานี้ดวงตากลมต้องเบิกกว้างเมื่อชายตัวใหญ่กระโจนเข้ามาหา

เจ้าหนูหวีดร้องลั่น แต่เสียงมันก็ดังแค่ในใจ ทั้งที่ไม่มีเสียงจะร้องแต่ริมฝีปากก็ถูกปิดแล้วลากไป เสียงร้องเรียกให้นายหนวดช่วยดังอื้ออึงเพียงในความคิด เช่นนั้นแล้วมีหรือนายหนวดจะได้ยิน...


ร่างผอมถูกผลักจนกลิ้งโคโล่ไปบนพื้นบ้านหลังหนึ่ง ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมามองผู้กระทำพลางขยับหนี หนีบขาเอาไว้เพื่อหลบสายตาชายผู้นั้นที่มองมายังเนื้อตัวเปล่าเปลือย ท่าทางของชายตรงหน้าดูน่ากลัว ยิ่งอีกฝ่ายโน้มลงมาหา เจ้าหนูก็เอนตัวออกห่างด้วยความกลัวปนรังเกียจ

“ถอยออกไปให้ห่าง เหนือเมฆ”

เสียงพ่อเฒ่าอาจีฟดังมาพร้อมตัว มีลูกศิษย์เดินตามมาพร้อมผ้าผืนใหญ่ในมือ ผู้เป็นศิษย์นำผ้าผืนนั้นมาให้เด็กคลุมกายแล้วพยุงลุกขึ้น

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม” ชายชรากล่าวตำหนิชายร่างใหญ่ที่ลักพาเด็กแปลกหน้ามาจากกระท่อมของนายน้อยแห่งเกาะศิลา

เหนือเมฆ เป็นลูกของนายครรชิตกับนางมารียา นายครรชิตผู้ที่คนในเกาะรู้ดีว่าทำเรื่องอะไรเอาไว้กับนายน้อยของเกาะเมื่อยังเยาว์วัย จนสุดท้ายตัวนายครรชิตกับลูกชายคนโต สองพ่อลูกผู้เต็มไปด้วยความทะยานอยากกลับต้องจบชีวิตลงกลางท้องทะเลที่บ้าคลั่ง แม้ความผิดของผู้เป็นบิดาจะหนักหนา แต่เหนือเมฆและมารดาก็ยังได้รับการอภัยจากนายของเกาะ และอาศัยอยู่ที่นี่เรื่อยมา โดยที่ตลอดมานั้นภายในใจของเหนือเมฆสั่งสมความแค้นเอาไว้จนมันทับถมแทบไม่สามารถขัดเกลาได้ นางมารียาจึงได้ส่งมาให้พ่อเฒ่าอาจีฟช่วยสอนสั่ง เผื่อลูกชายของนางจะซึมซับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้บ้าง

ด้วยเหตุนั้นทำให้เหนือเมฆไม่ชอบสายลมจนถึงขั้นเกลียด เมื่อคิดว่าต้นเหตุการตายของบิดามันมาจากหลานของนายลามุคนนี้ และเมื่อรู้ว่าเด็กที่สายลมพามาอาจนำความวุ่นวายมาสู่เกาะศิลา เขาจึงได้อาสาจัดการเอง

“จะรั้งรออะไรล่ะพ่อเฒ่า จะให้เด็กนี่มันสร้างปัญหาขึ้นมาก่อนเหรอ ถึงจะขยับตัวได้!” เหนือเมฆเสียงดัง สายตามาดร้ายตวัดมามองเด็กที่ตนเองฉุดกระชากลากมา

“เจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะนำปัญหาอะไรมาให้ อย่าเอาอคติส่วนตัวมาตัดสินแทนข้า” ชายชราเอ่ยเสียงเรียบ

“พ่อเฒ่าก็เข้าข้างไอ้หลานนอกไส้ของนายลามุ เห็นผิดเป็นชอบ ทั้งที่มันทำผิดกฎพาตัวปัญหาเข้ามา!”

ท่าทีแข็งกระด้างของเหนือเมฆที่มีต่อนายแห่งเกาะศิลา ทั้งยังวาจาดูหมิ่น ทำให้พ่อเฒ่าต้องหันไปสั่งลูกศิษย์ของตน “ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากสงบจิตสงบใจ ลาซา พาเหนือเมฆออกไป”

“ครับ”

ผู้เป็นลูกศิษย์รับคำแล้วก้าวไปหา เหนือเมฆฮึดฮัดไม่ยอมให้แตะตัว สายตาขวางขุ่นตวัดมามองเด็กแปลกหน้า ก่อนจะเดินออกจากบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟไปโดยมีลูกศิษย์พ่อเฒ่าเดินตามไปส่งตามคำสั่ง

ชายชราถอนใจ ก่อนจะหันมาหาเด็กที่ยืนนิ่งอยู่กลางบ้าน “เราอาจจะต้องคุยกันสักหน่อย”

ตากลมมองคนพูดด้วยความหวาดระแวง...


สายลมกลับมาที่กระท่อมพร้อมอาหารปรุงสุก เขาแบ่งมาจากบ้านของปู่ ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะเพราะเด็กมันรออยู่ วันนี้ว่าจะเริ่มคุยกันสักทีว่าเด็กมันเป็นใครมาจากไหน ถึงพูดไม่ได้แต่น่าจะเขียนได้จึงเอากระดาษกับดินสอติดมือมาด้วย เมื่อมาถึงกลับพบว่ากระท่อมเงียบผิดปรกติ ชายหนุ่มจึงวางปิ่นโตที่ตนถือมาแล้วเดินหาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

“ไปเล่นซนที่ไหน?”

พึมพำกับตนเองแล้วหัวคิ้วเข้มก็ขมวดเล็กน้อยเมื่อก้าวลงมาข้างล่าง สายตาคมกวาดมองรอบบริเวณก่อนจะส่งเสียงเรียกบางสิ่ง

“ลูห์”

เสียงใบไม้เสียดสีดังมาจากทางหนึ่งเมื่อเขาเอ่ยเรียก ก่อนที่สิงโตตัวใหญ่จะค่อยก้าวย่างออกมา...

สายลมตรงมาที่บ้านพ่อเฒ่าอาจีฟด้วยสีหน้าเครียดเคร่งพร้อมจะถล่มเต็มที่หากฝ่ายนั้นทำอะไรเด็กของตน สิงโตที่เรียกออกมาคือลูห์ เป็นสัตว์คู่บารมีของนายน้อยแห่งเกาะศิลาเช่นเขา ลูห์อยู่บริเวณกระท่อมแต่จะไม่ปรากฏตัวหากเขาไม่เรียก และเมื่อได้รู้จากลูห์ว่าเด็กที่ตนพามานั้นอยู่ที่ไหน สายลมจึงตรงดิ่งมาในทันที เหตุใดถึงได้รังแกแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ร่างสูงใหญ่เดินดุ่มเข้าไปในบ้านของชายชราผู้เป็นนักพยากรณ์ของเกาะโดยไม่มีใครทันได้ทัดทาน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นคนที่ตนเองตามหากำลังกินข้าวราวไม่ทุกข์ร้อน

“มาทำอะไรที่นี่?”

คนที่กำลังกินข้าวอยู่สะดุ้งน้อย ๆ ก่อนเงยขึ้นมามองเมื่อได้ยินเสียงเขา ค่อย ๆ วางจานข้าวลงบนโต๊ะเตี้ยแล้วลุกขึ้นมาหา กายผอมเลี่ยงมายืนด้านหลังทำให้สายลมปรายมองชุดที่เด็กมันใส่ ชุดพื้นเมืองเช่นเดียวกับลูกศิษย์ของพ่อเฒ่าอาจีฟ

“จะไม่นั่งลงก่อนหรือนายน้อย?”

เสียงทักถามจากเจ้าบ้านทำให้สายลมจำต้องนั่งลงเพราะตนกำลังยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิ โดยมีเด็กนั่งลงข้าง ๆ

“ไม่กินต่อหรือเจ้าหนู ท่าทางจะยังไม่อิ่ม”

ชายชราเอ่ยชวน ซึ่งคนถูกชวนก็ส่ายหน้าเพราะกลัวคนข้าง ๆ โกรธ

“ผมคงคิดได้อย่างเดียวใช่ไหมว่าพ่อเฒ่าพาเด็กมันมากินข้าวที่บ้าน ใจดีมีเมตตาทีเดียว” สายลมเอ่ยขึ้นมาเชิงประชด

“มิต้องประชดประชันกันดอกนายน้อย ธุระของข้านั้นเสร็จแล้ว เห็นว่าเด็กมันหิวจนท้องร้องดัง เลยหาข้าวหาปลามาให้มันกิน”
คนถูกพาดพิงก้มหน้าก้มตา ฟังผู้ใหญ่สองคนตอบโต้กันไปมาเงียบ ๆ

“ขอบคุณที่พ่อเฒ่าเมตตาเด็กมัน แต่จะไม่บอกผมหน่อยเหรอว่าพามันมาทำไม?”

“มาเพื่อคลายข้อสงสัย”

สายลมได้แต่มองจ้องเมื่อชายชราตอบกลับมาเช่นนั้น ท่าทีซ่อนเล่ห์ซ่อนกล ถามไปคงไม่มีทางได้ความ

“หากเสร็จธุระแล้วผมคงต้องพาเด็กมันกลับ” ชายหนุ่มว่า

“ตามสบาย”

เช่นนั้นร่างสูงใหญ่จึงขยับลุก เด็กตัวจ้อยก็รีบลุกขึ้นตามกันเมื่ออีกคนก้าวออกจากห้องไปโดยไม่รอ

“รูส...”

เสียงเรียกจากพ่อเฒ่าอาจีฟทำให้เจ้าของชื่อชะงัก ก่อนจะหันกลับมา

“คิดดูให้ดี ๆ การตัดสินใจของเจ้ามีผลต่อทุกคนที่นี่”

สายตาของผู้หยั่งรู้จ้องมองมา คนถูกจ้องหน้าหมอง ผินกายกลับแล้ววิ่งตามนายหนวดเมื่ออีกฝ่ายร้องเร่ง การพูดคุยระหว่างเขากับชายชรา จุดมุ่งหมายเดียวของอีกฝ่ายคืออยากให้เขาไปจากที่นี่เท่านั้น

...หากต้องไปจากที่นี่แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ จะไปที่ไหน... ได้แต่ย้ำคิดด้วยความหมองเศร้า


เมื่อกลับกระท่อมมา หนุ่มน้อยของเราก็ดูหงอยจนน่าแปลกใจ ทั้งยังนั่งซึมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งจี้ทรงกลมลอยอยู่ตรงหน้าจึงเงยขึ้นมามองก่อนจะเอื้อมคว้าหมับ เมื่อได้มาไว้ในมือ รอยยิ้มยินดีจึงเผยออกมาให้เห็น

สายลมยิ้มบาง นั่งลงข้างกายผอม มองเด็กมันใส่สร้อยเชือกถักที่เขาหามาร้อยจี้ทรงกลมนั้นไว้ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยถาม

“ของสำคัญใช่ไหม?”

คนถูกถามหันมามอง เม้มปากแล้วพยักหน้า

“เก็บไว้ให้ดีล่ะ”

มือหนาลูบศีรษะทุย ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจพาให้น้ำตาคลอ

“อะไร พูดแค่นี้ก็จะร้องแล้ว ลูกผู้ชาย เข้มแข็งหน่อย” สายลมหัวเราะในลำคอ โยกศีรษะทุยเบา ๆ อย่างหยอกล้อ

ดวงตากลมยังมองจ้อง ได้แต่ร่ำร้องในใจว่าอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่... ทำไมถึงอยู่ไม่ได้... ไม่อยากไป... เขาไม่อยากไป...

“อ้อ ฉันเอากับข้าวมาจากบ้านโน้นด้วย เผื่อเธอจะหิว แต่เธอกินไปแล้ว ท่าทางมันจะเป็นหมันเสียแล้วสิ”

คนตัวโตแกล้งว่า อีกคนก็โบกมือรัว ก่อนจะคว้าปิ่นโตมาแกะ

“ไม่ต้องฝืนกินก็ได้ ฉันแค่ล้อเล่น”

ใบหน้าเรียวหันมาหาเขา ก่อนลูบท้องพลางทำหน้านิ่ว

“หึ ๆ ถ้าหิวก็ตามสบาย”

เจ้าหนูเปิดยิ้มน่าเอ็นดู ก่อนลงมือแกะเถาปิ่นโตออกมาวาง ลุกไปเอาจานที่ชั้นวางตรงชานหน้ากระท่อมมาใส่ข้าว พร้อมตักให้สายลมด้วยอีกจานแล้วส่งให้พร้อมยิ้มตาหยี นั่นทำให้สายลมยกยิ้มมุมปาก

“นี่ เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยไหม ไหน ๆ ก็ผจญภัยร่วมกันมา”

อีกคนเอียงคอมอง พลางเคี้ยวข้าวในปากด้วยท่าทางอร่อยเอร็ด ทั้งที่เพิ่งกินมาจากบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ

“ฉันชื่อสายลม... สายลม วินท์ คาร์ล”

‘สายลม’ ทวนคำของคนตัวโตหน้ารกเคราอยู่ในใจ ก่อนพยักหน้ารับรู้

“แล้วชื่อเธอล่ะ ฉันคงไม่ต้องเรียกว่าไอ้หนูต่อไปเรื่อย ๆ หรอกนะ” ท้วงถามบ้างเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าแล้วกินข้าวต่อเฉย

นิ้วเรียวชี้ขึ้นมาตรงหน้า สายลมเลิกคิ้ว ก่อนจะมองตามเรียวนิ้วนั้นที่ค่อยขยับ

R O O S E

“หือ? ชื่อเหรอ?”

อีกคนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม

“อาร์ โอ เอส อี... โรส?”

สิ่งที่เขาคาดเดาได้รับการส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วยกนิ้วขึ้นเขียนใหม่ให้เขาได้ดูอีกรอบ

“รูส?”

คราวนี้เด็กตรงหน้าพยักหน้าหงึกหงัก

“โอเค ๆ รู้แล้ว เดี๋ยวหัวหลุด” สายลมยิ้มขำ ก่อนเอ่ยถามต่อ “อายุล่ะ?”

นิ้วถูกยกขึ้นมาหนึ่งนิ้วให้เขาได้คาดเดา

“สิบ...”

ก่อนมืออีกข้างจะยกขึ้นมาข้างกันทั้งห้านิ้ว

“ห้า... อายุสิบห้า!”

ตากลมกะพริบปริบ ๆ สิบห้าแล้วมันผิดตรงไหนกัน? ทำไมต้องเสียงดังด้วย?

สายลมมองแววตาใสซื่อของคนที่บอกว่าตัวเองเพิ่งอายุสิบห้าแล้วย้อนนึกถึงวันที่ได้ช่วยขึ้นมาจากใต้ท้องทะเล ใครมันเลวชาติทำกับเด็กได้ลงคอ

เขาถอนใจก่อนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่รู้นะว่าก่อนหน้านี้เธอต้องเจออะไรมาบ้าง แต่อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น แม้ฉันจะไม่ใช่เจ้าของเกาะนี้ แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอได้อีก”

ผู้ชายคนนี้... ได้มองคนพูดอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย แต่ช่วยเหลือเขาทุกอย่าง ต่างจากคนที่บอกว่ารักนัก หักหลังฆ่าฟันกันได้ลงคอ ใบหน้าเรียวก้มต่ำ ค่อยตักข้าวใส่ปาก รู้สึกขมขื่นแทบกลืนไม่ลง


...
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๒ พึ่งพิง //๒๓.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 23-08-2018 23:47:53

เมื่อรูส เด็กแปลกหน้ายังคงอยู่ในเกาะศิลาแม้เวลาจะผ่านไปหลายวันแล้ว ข่าวก็เริ่มกระจายออกไปต่าง ๆ นานา ที่หนักหนาไปกว่านั้นถึงขั้นที่ว่าหากปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่ในเกาะศิลานานไปจะเกิดเหตุอาเพศ ปากคนยิ่งกว่าปากกา สร้างเรื่องสร้างราวกันไปจนใหญ่โต

สายลมพาเด็กมาที่โรงพยาบาลเพื่อให้หมอปลายฟ้าดูแผล ซึ่งหลายจุดสะเก็ดลอกออกไปบ้างแล้ว หายเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ใจทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้หมอปลายฟ้าไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากเช็ดทำความสะอาดแผลให้ และให้ยาทาเอาไว้เผื่อแผลหายสนิทดีแล้วจะได้ทาเพื่อลดการเกิดรอยแผลเป็น

“เรื่องที่คนเขาพูดกัน ปล่อยไว้แบบนั้นจะดีเหรอ?” หมอปลายฟ้าเอ่ยขึ้นมาเมื่ออยู่กับสายลมเพียงลำพัง

“สร้างเรื่องกันไม่จบไม่สิ้น” สายลมกอดอก สีหน้าเบื่อหน่าย ขณะมองผ่านช่องกระจกไปดูเด็กที่นั่งรออยู่ด้านนอก

“ถ้าอยากให้เด็กคนนั้นอยู่ที่นี่ นายน้อยคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะครับ” หมอปลายฟ้าเอ่ยแนะ

“เมื่อไรคุณหมอปลายฟ้าจะเลิกเรียกผมว่านายน้อยเสียทีครับ?” สายลมย้อน ไม่ค่อยชอบสักเท่าไรที่ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องจากฝั่งบิดาเรียกตนเช่นนั้น

“เมื่อนายน้อยขึ้นครองตำแหน่งแทนนายท่าน” หมอปลายฟ้าอมยิ้มล้อ

“หลังจากนั้นก็จะเรียกผมว่านายท่านแทน อย่างนั้นสิ?”

“ก็ไม่ผิด”

“เหอะ”

พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาลและเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่งสายลมจึงลาพี่ชายแล้วออกจากห้องไป เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้เขาก็กำลังคิดอยู่ แน่ล่ะว่าเรื่องมันอาจซาไปในสักวัน แต่หากไม่ทำอะไรเลย แถมยังมีผู้ไม่หวังดีคอยกระตุ้นชาวเกาะอยู่แบบนี้คงไม่เป็นผลดีแน่ เขาไม่เท่าไร แต่ปู่ของเขานี่สิ อาจถูกตั้งแง่ว่าเข้าข้างหลานอย่างเขาจนละเลยกฎข้อห้าม แล้วพาลไม่ได้รับความเชื่อถือ

รูสวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเมื่อเห็นเขา สายลมมุ่นคิ้ว ยื่นแขนออกไปเมื่อเด็กเอื้อมมือมาหาตน มือเรียวเกาะแขนเขาแล้วเบี่ยงกายไปแอบอยู่ด้านหลัง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

สายตาคมกวาดมองทุกคนที่ตามเด็กมา ซึ่งในนั้นมีคนที่ไม่ถูกกับเขาและคอยหาทางโจมตีอยู่ตลอดรวมอยู่ด้วย ดูท่าว่าจะเป็นตัวนำเสียด้วยสิ

“พวกเรายอมรับไม่ได้ที่นายน้อยยังให้เด็กคนนี้อยู่ในเกาะ ทั้งที่มันผิดกฎ และอาจนำภัยมาสู่เราทุกคน!” อริของเขาเป็นคนเฉลยความ ชาวเกาะที่ตามกันมาก็ต่างเออออห่อหมก

“มีหลักฐานอะไร ถึงได้มาพูดพล่อย ๆ แบบนี้?” นายน้อยแห่งเกาะศิลาเอ่ยถามกลับไปเสียงเข้ม

ทางด้านหมอปลายฟ้าที่ได้ยินเสียงดังก็ออกมาดู หยุดยืนเยื้องกับสายลมเล็กน้อยด้วยสีหน้าไม่ชอบใจที่มีคนมาส่งเสียงโหวกเหวกในสถานที่ห้ามใช้เสียงดังแบบนี้

“พ่อเฒ่าอาจีฟบอกว่าเด็กคนนี้จะนำหายนะมาสู่เรา!”

ถ้อยคำที่ใช้เริ่มรุนแรงมากขึ้นอีก รูสตัวสั่นเมื่อมีเสียงทับซ้อนเกิดขึ้นในหัว คำด่าทอจากใครสักคนที่ฝังอยู่ใต้จิตสำนึกผุดขึ้นมาปนกับคำพูดของคนในเกาะศิลา

สายลมนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่ามือที่เกาะแขนตนอยู่กำลังสั่น ชายหนุ่มเหลือบมองเด็กข้างกายก่อนจะเบือนสายตากลับมายังสถานการณ์ตรงหน้า

“ได้ยินจากปากพ่อเฒ่าเองอย่างงั้นเหรอ?”

คำถามของเขาทำให้หลายคนหันมองหน้ากัน ก่อนสายตาทุกคู่จะมองมายังอริของเขา ทำให้มันตอบกลับมาตะกุกตะกัก

“ค... ใคร ๆ เขาก็ว่า”

“ใคร ๆ ที่ว่านั่นหมายถึงเอ็งสินะ ไอ้ปากพล่อย” สีหน้าของสายลมเรียบเฉย แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมารอบกายทำให้หลายคนเริ่มหวั่น

“หากนายน้อยมั่นใจว่าเด็กคนนี้จะไม่นำภัยมาสู่เราจริง นายน้อยกล้าพิสูจน์ไหมล่ะ?” อริของเขารีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่าพวกตนกำลังจะกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในเกมนี้

“หมายถึงอะไร?”

“ลูห์”

“......” สายลมชะงักเมื่อพวกมันเอ่ยชื่อลูห์

“เราต้องการใช้ลูห์เป็นสิ่งพิสูจน์ ที่สำคัญ นายน้อยห้ามเล่นตุกติกโดยเด็ดขาด ลูห์จะต้องถูกปลุกจิตวิญญาณนักล่าขึ้นมาโดยสมบูรณ์เท่านั้น” มันเน้นย้ำทุกถ้อยคำพร้อมยิ้มแสยะ

สายลมมองพวกมันนิ่ง ก่อนจะปรายมองชาวเกาะศิลาที่เริ่มเห็นด้วยกับพวกฉวยโอกาส เด็กตัวเล็กนิดเดียว พลัดบ้านหลงเมืองมา ไม่มีใจเมตตาแล้วยังคิดทำลายอีก

“ได้”

คำตอบรับแน่นหนักจากสายลมทำให้รูสเงยมองด้วยความตกใจ ลูห์คือใคร? จะทำอะไรกับเขา?

“ถ้าเด็กคนนี้ไม่ผ่านบทพิสูจน์ นายน้อยจะชดใช้ยังไงกับการที่พาตัวอันตรายเข้ามา?” ฝ่ายอริเอ่ยถามกวนโทสะ

“แล้วแต่พวกเอ็งจะเห็นควร”

คำตอบนั้นทำให้พวกมันแสยะยิ้มสมใจ ขณะที่เกิดเสียงฮือฮาจากชาวเกาะศิลาเมื่อนายน้อยของพวกเขากล่าวมาเช่นนั้นเท่ากับรับปากไปโดยปริยาย ไม่มีทางคืนคำได้แล้ว หมอปลายฟ้าเองก็ตกใจไม่น้อยกับคำพูดของสายลม เรื่องราวมันชักจะวุ่นวายขึ้นมาเสียแล้ว

“นายน้อยพูดเองนะ”

“หึ แล้วถ้า... เขาไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเอ็งคิด จะให้ข้าทำยังไงกับพวกเอ็งดี?”

พวกมันมองหน้ากัน ก่อนจะย้อนเอาคำที่สายลมพูดมาใช้

“แล้วแต่นายน้อยจะเห็นควร” ท้าเหยง

“แม้แต่ถูกโยนไปเป็นอาหารให้บริวารลูห์ฉีกทึ้ง?”

ดวงตาคมหรี่มอง มันมีแววเอาจริงจนฝ่ายอริกลืนน้ำลายหนืดคอ เริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พวกมันกำลังทำอยู่นี้คุ้มค่ากับการเสี่ยงแน่หรือไม่


……


ณ ลานดินสำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ บนเกาะศิลา

พ่อเฒ่าอาจีฟยืนอยู่หน้าแท่นพิธีเพื่อทำการปลุกสัญชาตญาณของสิงโตเจ้าป่า เสียงคำรามที่ดังก้องทำให้ชาวเกาะศิลาต่างหวาดกลัว ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่กลางลานกว้าง

สายลมจำต้องยอมให้ทุกคนได้พิสูจน์ตามกฎของเกาะ เมื่อก่อนนี้ที่เขาเข้ามาและไม่ได้รับการยอมรับ นายลามุ ปู่ของเขาก็จับโยนไปเผชิญหน้ากับสิงโตลีอาห์ แม่ของลูห์ ซึ่งลูห์ก็กลายมาเป็นสัตว์คู่บารมีของเขาเช่นตอนนี้ เขาแน่ใจว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวอันตรายตามที่ใครต่อใครกลัวและทึกทักไปกันเอง และเขาก็มั่นใจในตัวของลูห์ด้วยว่าจะไม่ทำอันตรายใด หากเด็กมันเป็นคนดี

รอบกายเขาคือคนของเกาะศิลาที่ต่างมาร่วมพิสูจน์และจับตาดูเขาไม่ให้เล่นไม่ซื่อ นายลามุเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลานชายของเขาบ้าดีเดือดดีแท้ รับคำท้าโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งของตนเองเลย หากพวกนั้นมันเรียกร้องอะไรเกินเลยจะทำอย่างไร มิต้องสละตำแหน่งเพราะการรับปากพล่อย ๆ เช่นนั้นหรือ หรือที่จริงแล้วมีแผนการอะไรอยู่ในหัว ชายชรามิอาจเดาทางได้

สายตาคมดุจเหยี่ยวจับจ้องคนที่กำลังหาทางเอาตัวรอดอยู่ในลานกว้าง เมื่อสิงโตตัวเขื่องเยื้องย่างออกมาหา มือหนากำหมัดแน่น แม้จะบอกว่ามั่นใจในตัวลูห์ แต่ก็อดเป็นห่วงเด็กมันไม่ได้ วิ่งหกล้มหกลุกจนน่าสงสาร แต่นี่คือบทพิสูจน์ที่จะทำให้ได้รับการยอมรับจากทุกคนที่นี่โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ได้อีก อดทนไว้นะรูส ผ่านมันไปให้ได้ หนูน้อย

ฝุ่นผง ณ ลานดินฟุ้งตลบจากการไล่ล่าเหยื่อของสัตว์ร้ายตัวเขื่อง เด็กร่างผอมวิ่งหนีห่างอย่างสุดกำลัง ล้มลุกคุกคลานก็หลายครั้ง แม้จะเจ็บแต่ก็ต้องหนีให้พ้น คนดูรอบลานดินแห่งนี้ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยเขาแม้สักคน แม้แต่คนคนนั้นที่บอกว่าจะคอยปกป้องเขาก็ตาม

เงาดำทะมึนวูบผ่านเหนือศีรษะ ขาเรียวเสียหลักล้มลงไปกอง เงยหน้าขึ้นมามองร่างที่ตระหง่านง้ำจนเขากลายเป็นตัวเล็กจ้อยแล้วลมหายใจก็สะดุดกับสัตว์ร้ายตรงหน้า ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อมันกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว สองแขนยกขึ้นกันโดยสัญชาตญาณ เสียงหวีดร้องของผู้คนรายรอบดังขึ้น เมื่อสัตว์ร้ายแยกเขี้ยวแหลมคมพร้อมจะตะปบเหยื่อและฉีกทึ้งให้เนื้อกระจุย

สายลมผุดลุกพรวด สองขาพาเขาวิ่งเข้าไปหาร่างที่สัตว์ร้ายคร่อมอยู่ เมื่อเข้าไปถึงก็ต้องหยุดชะงักงัน ดวงตาที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตามองมาที่เขา เนื้อตัวเปรอะไปด้วยฝุ่นและโคลนสั่นเทาอยู่ใต้อุ้งเท้าใหญ่

“ลูห์...” เพียงเอ่ยเรียก เจ้าสัตว์ร้ายก็ค่อยยกอุ้งเท้าแสนหนักออกจากร่างนั้นก่อนถอยออกไปอย่างรู้งาน

ชายหนุ่มเข้าประคองร่างที่แสนขะมุกขะมอมขึ้นมา แขนเรียวเล็กนั้นรวบกอดทั้งใบหน้าซุกซบสะอื้นไห้กับอกเขา มือหนาลูบหลังคนในอ้อมกอดอย่างต้องการปลอบโยน เสียงสะอื้นแผ่วเบายิ่งลอดมาให้ได้ยิน

“ปลอดภัยแล้วนะเด็กน้อย ต่อไปนี้จะไม่มีใครมาทำร้ายเธอได้อีก”

แขนแกร่งช้อนอุ้มร่างแบบบางขึ้นมาจากฝุ่นผงที่เลอะเปรอะ สายตาคมกวาดมองทุกคนที่ต่างพากันส่งเสียงฮือฮา

“เท่านี้คงจะพอพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นจนพอใจแล้ว”

“ได้ไงนายน้อย ท่านเล่นไม่ซื่อนี่ ใช้อำนาจบังคับลูห์ไม่ให้ทำอะไรเด็กคนนั้น ใครก็เห็น” ดูเหมือนพวกมันจะไม่ยอมหยุด ยังเป่าหูทุกคนให้คล้อยตามในสิ่งที่พูด

ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้ม “งั้นเหรอ? ถ้าอย่างงั้นเอ็งลองลงมาอยู่กลางลานนี้ดูบ้างไหม บางทีคนอย่างเอ็งอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะวิ่งหนี”

สายตาหลายคู่มองมาที่ชายผู้สร้างความปั่นป่วน อีกฝ่ายเริ่มหันรีหันขวางเมื่อตนเองกลายเป็นเป้าโจมตีแทนเด็กจากนอกเกาะไปเสียแล้ว เห็นท่าไม่ดี ตัวหัวหน้ามันก็ฮึดฮัดแหวกผู้คนออกไป ทั้งส่งเสียงด่าทอที่หลายคนไม่ยอมหลีกทางให้

“หึ” สายลมทำเสียงหยันในลำคอ พวกหมาเห่าใบตองแห้ง นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน

“หากใครยังข้องใจผมขอให้ไปถามจากพ่อเฒ่าอาจีฟโดยตรง อย่าสักแต่ฟังความจากปากคนอื่นแล้วตัดสินจากสิ่งที่ได้ยิน”

สายลมประกาศกร้าว ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อเสียงของเขายังพอมีบารมีจากความเป็นนายเหนือทุกคนในที่นี้อยู่บ้าง เมื่อทุกคนยอมเงียบฟังในสิ่งที่เขาพูด

“ผมยอมรับว่าผิดที่ฝ่าฝืนกฎพาคนนอกเข้ามา แต่อยากจะถามทุกคนในที่นี้... หากพวกคุณเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังจะตายอยู่ตรงหน้า... คุณเลือกที่จะช่วยเขา... หรือปล่อยให้เขาตายทั้งที่ยังมีหนทางรอด เพียงแต่คุณยื่นมือออกไปหาเขาเท่านั้น?”

“......” ทุกสิ่งรอบกายบังเกิดความเงียบงันเมื่อสายลมกล่าวจบ

“ขอบคุณที่ทุกคนรักเกาะศิลา และลุกขึ้นมาปกป้องเกาะแห่งนี้เมื่อเห็นว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ผมเองแม้ไม่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินนี้ แต่สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของผมก็คือสายเลือดของเกาะศิลา”

เมื่อกล่าวจบสายลมก็ผลินกายกลับแล้วออกเดินเพื่อกลับกระท่อมหลังน้อยของตน ท่ามกลางความเงียบงันของผู้คนโดยรอบ โดยด้านข้างนั้นคือลูห์ที่ก้าวตามมาไม่ห่าง แขนที่กระชับกอดรอบคอทำให้เขาก้มมองเด็กที่ซุกอยู่ในอ้อมแขน มอมแมมไปหมดแล้วเด็กน้อย ตัวก็เล็กจ้อยเท่านี้ ใครที่ไหนจะปล่อยให้เผชิญชะตากรรมเพียงคนเดียวได้ ใครที่ไหนจะใจร้ายทำได้ลง...


....


ท้ายเกาะศิลา อริของสายลมต่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อแผนการไม่สำเร็จ ทั้งยังทำให้พวกตนเกือบได้กลายเป็นอาหารมื้อเย็นของบริวารลูห์ ยังดีที่สายลมไม่เอาผิด เพียงตักเตือนแล้วบอกว่าอย่าให้มีคราวหน้าเท่านั้น

“เจ็บใจนัก นอกจากเด็กนั่นจะได้รับการยอมรับแล้ว สายลมมันยังทำให้ชาวเกาะศิลาศรัทธาในตัวมันเพิ่มขึ้นอีกที่ไม่เอาโทษพวกเรา” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำโห

“จะหงุดหงิดไปทำไม นี่ถือเป็นเรื่องดีเสียอีก” เสียงใครอีกคนดังขึ้นเรียกสายตาของพวกมันให้หันไปมอง

“ดียังไงวะ เหนือเมฆ?”

เหนือเมฆก้าวเข้ามาสมทบ รอยยิ้มร้ายยังแตะแต้มริมฝีปากเมื่อไขข้อข้องใจ “มันพิสูจน์ให้เห็นไงว่าไอ้เด็กแปลกหน้านั่น สำคัญกับนายน้อยของเกาะศิลามากแค่ไหน”

คนที่เหลือเริ่มคิดตาม ก่อนจะเปิดยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นจริงตามนั้น ตลอดมาสายลมไม่เคยเผยจุดอ่อนให้เห็น แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเด็กคนนั้นเข้ามา จุดอ่อนที่คิดว่าไม่มี มันจะมองเห็นได้ชัดเจนขนาดนี้

“ในเมื่อเล่นงานมันตรง ๆ ไม่ได้ ก็ใช้เด็กนั่นให้เป็นประโยชน์ซะ!”




TBC




บวกขอบคุณทุกการต้อนรับค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๓ ความลับ //๒๔.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 24-08-2018 13:39:36
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๓ ความลับ



สายลมอุ้มเด็กกลับมาที่กระท่อม แขนเรียวยังกอดคอเขาไม่ปล่อย จนกระทั่งเขาพามาวางลงที่นอกชานแล้วหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พลางสำรวจบาดแผล แผลเก่าเพิ่งจะหาย จะมามีแผลเพิ่มอีกก็กระไร เมื่อเห็นว่าไม่มีแผลใหญ่โตอะไรนอกจากรอยถลอกจากการหกล้มตอนวิ่งหนีลูห์จึงได้เบาใจ ขณะเช็ดตัวให้ เด็กก็คอยมองเขาอยู่ตลอด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“โกรธที่ฉันไม่ทำตามที่พูดเหรอ?”

“...?” รูสเลิกคิ้วงงเมื่อถูกถามมาเช่นนั้น

“เพราะฉัน... ปล่อยให้เธอต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายลำพัง” สายลมขยายความ

คนฟังส่ายหน้า ไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าตนเองไม่ได้โกรธเคือง ตอนแรกอาจน้อยใจและผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่เข้ามาช่วย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าที่ทำไปเพราะอะไร ดังนั้น นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา

ร่างผอมขยับลุกแล้วเดินเข้าไปในห้อง ได้ยินเสียงค้นของกุกกักสักพักก่อนจะออกมาพร้อมสมุดที่สายลมเอามาแต่ไม่ได้ใช้ คนตัวโตมองเด็กหมอบลงใช้ศอกเท้าพื้นเพื่อเขียนอะไรบางอย่างยุกยิก ก่อนจะยกขึ้นมากางออกให้เขาดู

สายลมมองตาเด็กตรงหน้าก่อนเลื่อนลงมามองลายมือบนหน้ากระดาษ เด็กสมัยนี้ชอบเขียนหนังสือหัวถั่วงอกกันหรืออย่างไร ทำไมมันโตแต่หัวแต่ตัวกลับลีบผอม

‘ผมไม่ได้โกรธคุณ แต่รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่ช่วยผมเอาไว้ตลอด หากไม่ได้คุณ ผมคงไม่มีชีวิตรอดมาจนตอนนี้’


สายลมมองสิ่งที่เด็กสื่อมาถึงตนด้วยความสะท้อนใจ ชีวิตของเขาเองมันก็ไม่ต่างจากเด็กคนนี้มากนัก ยังดีที่เขาได้รับความรักความอบอุ่นจากคนคนหนึ่งมาตลอด ทำให้เขายังคงยืนหยัดมาจนทุกวันนี้ได้

ผู้เป็นบิดาและมารดาของเขาจากโลกนี้ไปแล้วก็จริงอยู่ เขาไม่มีความผูกพันกับท่านทั้งสองมากมายนักนอกจากความเป็นสายเลือด เพราะไม่เคยรู้ว่ามี เพราะอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งมีคนใจบุญมารับอุปการะ และคนคนนั้นก็คือคนที่เขารักและผูกพันมากกว่าใคร อัลเบิร์ต คาร์ล ผู้ที่เขายกให้เป็นบิดาที่รักยิ่ง

“ฉันไม่ได้ถือเป็นบุญเป็นคุณอะไร ไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรมากมาย แค่เธอยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถทำอะไรอีกหลายอย่างได้ตามที่เธอต้องการ เพียงเท่านี้ฉันก็ถือว่ามันดีมากแล้ว”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มจากผู้ชายตัวใหญ่ ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครามันช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย แต่ความจริงจังที่ส่งผ่านมาถึงก็ทำให้คนฟังรู้สึกซาบซึ้งใจ ริมฝีปากบางขยับเอื้อนเอ่ยคำว่าขอบคุณ แม้จะไร้เสียงแต่มันกลับทำให้สายลมยิ้มออกมาบางเบา

ลูห์กลับมาจากเดินตรวจรอบบริเวณกระท่อมและชายหาด เวลานี้รูสเห็นมันแล้วทำให้มันไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก สายลมหันไปเห็นจึงเรียกให้เข้ามาหา ร่างผอมผวาลุกหนีไปเกาะขอบประตูด้วยความตกใจกลัว

สายลมยิ้มขำพลางเรียก “รูส มานี่สิ”

คนถูกเรียกส่ายหน้ารัว ไม่ยอมไปท่าเดียว

“ไม่เป็นไรหรอกน่า มาทำความรู้จักกันหน่อยเร็ว”

กล่อมเด็กให้เข้ามาหาตนเองและสิงโตตัวใหญ่ที่เชิงบันได แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแรงกว่าเดิม บันไดกระท่อมก็สูงแค่สามขั้น ถ้าเจ้าสิงโตนั่นมันโดดขึ้นมางับเอาจะทำอย่างไร ไม่เอาหรอก

เมื่อเรียกไม่ยอมมา สายลมจึงลุกขึ้นไปหา รูสตั้งท่าจะวิ่งหนีแต่กลับถูกดึงแขนไว้ แรงเท่ามดไม่สามารถวิ่งไปไหนได้ แม้จะยึดยื้อขืนตัวเอาไว้แต่สายลมก็ลากลงมาข้างล่างจนได้ พอลงมาเผชิญหน้ากับลูห์ มือเรียวก็แกะมือสายลมออกใหญ่ เมื่อมันไม่ออกก็ทั้งแกะทั้งตีจะให้ปล่อยตนเองให้ได้ ตากลมเหลือบมองสิงโตที่อยู่ห่างกันแค่คืบด้วยความกลัว ตรงลานนั่นมันตะปบเขาด้วย ไม่อยากทำความรู้จักกับมันหรอก ไม่เอา!

“จะกลัวทำไม เขาไม่ทำอะไรหรอก”

รูสตวัดมองคนพูดตาคว่ำ ไม่ทำอะไรที่ไหน เล่นเอาเขาวิ่งหนีจนล้มกลิ้ง แถมตะปบเขาอีก บ้าไปแล้ว

“เขาแค่แกล้งแหย่นิดเดียว”

สายลมอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กมันจะไม่พร้อมฟังเพราะยื้อแขนทำท่าจะหนีลูกเดียว ทั้งมือก็คว้าเสาระเบียงไว้เมื่อเขารั้งไปใกล้ลูห์

“ขยับมาหน่อยน่า เร็ว ลองสัมผัสเขาดู เขาใจดี”

‘ใจดีบ้าอะไร เดี๋ยวได้กัดแขนเขาขาด ไม่เอา!’


ตัวผอมบางปลิวถลามาหาเมื่อสู้แรงไม่ได้ ปลายเท้าจิกพื้นทรายหยุดตัวเองเอาไว้สุดกำลังเมื่อสิงโตตัวใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า แทบล้มคะมำทำให้ต้องกางแขนเพื่อทรงตัว นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้สายลมเอื้อมมาจับเอวกักตัวไว้ไม่ให้หันหนี

รูสดิ้นพล่าน จะถอยหนีแผ่นหลังก็ชนอกแกร่งแข็งยิ่งกว่าหินจนหมดหนทาง ได้แต่ใช้เท้าดันพื้นทรายเพื่อถอยออกห่างลูห์อยู่อย่างนั้น แม้จะรู้ว่าถอยหนีไปไหนไม่ได้เพราะมีเสาหินชื่อสายลมขวางอยู่ก็ตาม พอลูห์ก้าวเข้ามาเผชิญหน้ารูสก็กลัวจนขาสั่น มันมองมาที่เขานิ่งอยู่นาน ก่อนแยกเขี้ยวแล้วคำรามเสียงดัง

โฮกกกกกกกกก

“…!!!!” รูสสะดุ้งเฮือก หันกลับแล้ววาดแขนกอดสายลมแน่นพลางหลับตาปี๋ มันจะขย้ำเขาแล้ว ต้องตายแน่ ๆ เลย ฮือออ

“ลูห์ อย่าแกล้งเด็ก”

เสียงทุ้มดุสิงโตคู่บารมีของตน มันทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วนอนราบไปกับพื้นทราย ไม่ได้จะเข้ามาทำร้ายอย่างที่รูสกลัว สายลมส่ายหน้า เจอคนถูกใจลูห์มันมักแกล้งแบบนี้ประจำ

“ลูห์แค่แกล้งเล่น” เขาว่าพลางจะดันร่างผอมออก แต่อีกฝ่ายกลับกอดแน่นทั้งส่ายหน้ากับอกตน “โอเค ไม่ให้ทำแล้ว ปล่อยก่อนเร็ว”

ถึงจะบอกเช่นนั้นแต่รูสก็ยังไม่ยอมปล่อย เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรสายลมจึงเหลือบไปมองลูห์ที่นอนมองพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ

“เฮ้ย! ลูห์ อย่ากัดขาเด็ก!!”

“!!!”

ร่างผอมกระโดดขึ้นเอวพร้อมยกแขนกอดคอเขาแบบอัตโนมัติ สายลมหัวเราะเสียงดัง แขนช้อนใต้สะโพกมนเพื่อกันเด็กตก เมื่อเห็นเขาหัวเราะ เด็กมันก็มองเขางง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาหน้ามุ่ยเมื่อรู้ว่าถูกแกล้ง มือเรียวบีบคอคนตัวโตแล้วเขย่า ๆ จนอีกฝ่ายสำลัก แต่ก็ยังหัวเราะไม่เลิก

...ที่จริงแล้วว่าแต่ลูห์ไม่ได้หรอก เรื่องชอบแกล้งนั่น เป็นเหมือนกันทั้งเจ้านายลูกน้อง(สิงโต)เลยเชียว...


......


ถึงแม้จะบอกว่ากลัว แต่สุดท้ายรูสก็ยังต้องอยู่กับสิงโตตัวร้ายอยู่ดี เพราะสายลมต้องไปช่วยปู่ดูแลงานที่เหมือง กลัวจะมีใครมาฉกตัวไปอีกจึงให้อยู่ที่กระท่อมกับลูห์ ช่วงกลางวันจะให้เจ้ากั้งเอาข้าวมาให้

ใต้พื้นผิวของเกาะศิลาเต็มไปด้วยหินแร่สีสันสวยสดสมกับชื่อเกาะ เมื่อนำมาขัดมาเจียระไนจากก้อนหินธรรมดาก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในเกาะเพิ่มขึ้น เงินที่ได้มาถูกแปรสภาพเป็นสาธารณูปโภค เมื่อแบ่งสันปันส่วนให้กับทุกคนที่ทำงานให้แล้ว เงินจะถูกรวมเข้าเป็นเงินกองกลางเพื่อนำมาต่อยอดพัฒนาเกาะศิลาให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น เพราะบนเกาะไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองมากมายอะไรนัก นอกเสียจากเวลาขึ้นฝั่งไทยเพื่อหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ในเกาะศิลาไม่มี

รูสนั่งชันเข่าเท้าคางอยู่บนบันได ขณะที่ลูห์ก็นอนเฝ้าอยู่ใต้ร่มเงาของหลังคากระท่อม ทั้งคนทั้งสิงโตต่างก็เงียบพอกัน เพราะพูดกันไม่ได้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปด้วยความเบื่อหน่าย จนกระทั่งเที่ยงวันเจ้ากั้งก็มาพร้อมปิ่นโตและถังอาหารของลูห์

“เอ้านี่ เจ้าหนู อาหารเที่ยง นายน้อยให้เอามาให้เอ็ง” เจ้ากั้งส่งปิ่นโตให้เด็กที่มองหน้าเขาเหมือนมีอะไรจะพูด

“จะเอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า?” เอ่ยถามเพราะท่าทีอึกอักของเด็กตรงหน้า พอเขาถามไปมันก็พยักหน้าหงึกหงัก “อยากได้อะไรล่ะ เดี๋ยวไปเอามาให้ ข้าต้องกลับไปช่วยที่เหมืองอีก รีบว่ามา”

เมื่อเห็นเจ้ากั้งมา รูสก็อยากตามไปหาสายลมด้วย แต่จะบอกกั้งอย่างไรว่าเขาอยากไปหาสายลม พยายามคิดอยู่ครู่หนึ่งร่างผอมก็วางปิ่นโตแล้วก้าวเข้าไปในห้องนอน เอาสมุดมาเขียนให้เจ้ากั้งดู

“เขียนว่าอะไรวะ?” หัวคิ้วเจ้ากั้งขมวดปม เขาพออ่านหนังสือออก แต่ตัวหนังสือเจ้าเด็กนี่มันไม่เหมือนที่เขาเรียนมานี่หว่า เมื่อพยายามเพ่งพินิจอยู่ครู่ใหญ่จึงสรุปใจความได้ว่า “เอ็งอยากไปหานายน้อยเหรอ?”

เจ้าของลายมืออ่านยากพยักหน้าหงึก แทบจะปรบมือให้เจ้ากั้งที่อ่านลายมือของตนออกเสียที ลุ้นแทบแย่

“คงไม่ได้หรอกว่ะ นายน้อยได้ด่าตาย อยู่ที่นี่แล้วกินข้าวให้อิ่ม รอนายน้อยกลับมาแล้วกัน ข้าไปล่ะ”

เมื่อร่ายจบเจ้ากั้งก็เดินลงจากกระท่อมไป รูสอ้าปากค้างเมื่อถูกทิ้ง จะวิ่งตามเจ้ากั้งแต่ลูห์กลับส่งเสียงขู่ในลำคอทำให้ต้องชะงักแล้ววิ่งกลับขึ้นกระท่อมไปเหมือนเดิม ได้แต่มองตามหลังเจ้ากั้งไปอย่างแสนเสียดาย

ลูห์เลี่ยงไปกินอาหารของตนเองที่ด้านหลังกระท่อม ปรกติถ้าสายลมอยู่ก็มักมีของดี ๆ มาให้ตลอด รูสหันมามองมัน เห็นหางป่ายปัดเพียงไหว ๆ จึงได้นั่งลงแกะปิ่นโตเพื่อกินข้าวบ้าง มีปลาต้มส้มกับไข่เจียวและข้าวอย่างละชั้น รูสตักปลาชิ้นใหญ่เนื้อแน่นออกมาวางบนจาน ก่อนจะค่อย ๆ แกะเนื้อปลาครึ่งหนึ่งใส่จานแยกไว้แล้วลงมือกินอีกครึ่งที่เหลือจนกระทั่งอิ่ม

เมื่อลูห์กลับมานอนบนแคร่ไม้ หนุ่มน้อยของเราจึงค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงนั่งจับราวระเบียงไว้แล้วค่อยยื่นเนื้อปลาที่แยกใส่จานไปให้ลูห์ เมื่อมันปรายตามามองก็รีบถกมือกลับ ด้วยความตกใจทำให้ล้มก้นจ้ำเบ้า ได้ยินเสียงลูห์พ่นลมหายใจออกจมูกด้วย มันหัวเราะเยาะเขาหรือเปล่านี่?

รูสลุกเดินไปนั่งอยู่มุมหนึ่ง อยู่ห่างจากสิงโตตัวใหญ่ให้มากที่สุด ถึงอย่างไรก็ยังไม่วางใจมันเท่าไรนัก ลมยามบ่ายหอบไอร้อนของแดดมากระทบผิวกาย แต่ก็ไม่ได้ร้อนจนทนไม่ไหว เด็กหนุ่มนั่งหงอยอยู่ท่ามกลางความเงียบ เสียงจานสังกะสีกระทบพื้นไม้ดังแว่วมาทำให้ริมฝีปากบางเปิดยิ้ม ก่อนจะทอดถอนใจเมื่อชะเง้อมองเนินทรายสุดสายตา เมื่อไรสายลมจะกลับก็ไม่รู้


สายลมกลับมาในยามบ่ายคล้อยจนเกือบเย็น กระท่อมเงียบราวไร้คนอยู่ เมื่อมาถึงก็ไม่เห็นทั้งคนทั้งสัตว์ ร่างสูงใหญ่จึงออกเดินหา จนกระทั่งเห็นเด็กนั่งตัวกลมอยู่ที่ชายหาดโดยมีลูห์นอนเฝ้าอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าวจึงเลี่ยงไปอาบน้ำอาบท่า

รูสนั่งเขี่ยหาเปลือกหอยตามหาดทรายสีขาวละเอียด เพราะมองจากกระท่อมเห็นมันส่องแสงแวววาวเมื่อแสงตะวันตกกระทบเหมือนจี้ของตนจึงลงมานั่งเก็บฆ่าเวลารอสายลม ชายเสื้อถูกม้วนขึ้นเพื่อใส่เปลือกหอยที่เก็บได้เมื่อมันมากมายจนล้นอุ้งมือ นั่งคุ้ยเขี่ยอยู่นานสองนานตากลมจึงหันไปมองลูห์ที่ยังคงเฝ้าไม่ไปไหน หนุ่มน้อยมุ่ยหน้า มีสิงโตมาคอยคุมด้วย

ร่างผอมลุกขึ้นยืน ใช้ฟันคาบชายเสื้อไว้แล้วปัดไม้ปัดมือ ปรายมองลูห์ที่หูกระดิกเมื่อได้ยินเสียงก่อนออกเดิน แต่เมื่อเห็นว่ามันยังนอนอยู่ก็หันกลับไปมองแล้วยืนรอ ลูห์ค่อยลุกขึ้นแล้วเดินมาหา พอมันเข้ามาใกล้ตากลมก็เบิกโตก่อนออกวิ่งหนีกลับกระท่อม ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งคิดว่าจะรอมันอยู่เลย

หลับหูหลับตาวิ่งมาชนเข้ากับแผงอกล่ำจนแทบจะหงายหลัง มือเรียวจับจมูกตัวเองเพราะชนแรงจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เปลือกหอยในเสื้อที่หอบกลับมาร่วงเกรียวกราว รูสก้มมองมันด้วยความเสียดาย เมื่อเงยขึ้นมองคนที่ตนเองวิ่งมาชนตากลมก็เบิกโต ก่อนหมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนีสุดฝีเท้า

ร่างผอมวิ่งผ่านลูห์ไป สิงโตตัวใหญ่เหลียวมองตาม เมื่อหันกลับมาก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไปอีก ลูห์พ่นลมหายใจก่อนเดินไปนอนรอนักวิ่งรางวัลเหรียญทองทั้งสองคนที่แคร่ไม้

สายลมวิ่งตามเด็กที่อยู่ ๆ ก็วิ่งหนีเขา ท่าทางจะล้มไม่ต้องลุกเพราะวิ่งเร็วเสียจนเขาจะตามไม่ทัน พอมือเขาเอื้อมไปทันคว้าแขน กำปั้นหนัก ๆ ก็เหวี่ยงมาใส่อุตลุด

“รูส!”

“.....!!!” เจ้าของชื่อชะงักกึก กะพริบตาปริบ ๆ

“เป็นอะไร อยู่ ๆ ก็วิ่งหนี?”

“.....?” สีหน้าเจ้าหนูรูสดูยังงงงัน มองหน้าสายลมที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยความไม่คุ้นชิน

“แล้วนี่มาทุบกันทำไม ทำร้ายร่างกายกันแบบนี้เดี๋ยวได้มีเอาคืนบ้าง” สายลมแกล้งขู่

‘สายลม...’

ได้แต่ครางเรียกชื่ออีกคนอยู่ในใจ เขาเข้าใจผิด มือเรียวเอื้อมไปแตะข้างแก้มที่ไร้หนวดเครา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแสนแปลกตา ทำไมเขาไม่มองให้ดี ดวงตาคู่นี้ก็ใช่ รอยแผลเป็นบนหางคิ้วก็ใช่ โง่จริงรูส

“ที่วิ่งหนีเพราะจำไม่ได้เหรอ?” สายลมเอ่ยถาม อมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเริ่มเข้าใจสาเหตุ

เวลาอยู่ที่นี่เขาไม่ค่อยใส่ใจกับความเรียบร้อยของหนวดเคราตนเองเท่าใดนัก ปล่อยมันรกครึ้มอยู่อย่างนั้นเพราะขี้เกียจโกน เว้นแต่เวลาที่มีธุระต้องไปที่อื่นนอกเกาะ เขาถึงได้จัดการใบหน้าของตนเองให้ดูสะอาดตา วันนี้เขาไม่ได้จะไปทำธุระที่ไหน เพียงแต่รำคาญลูกตาเลยจัดการโกนเสียจนเกลี้ยง ไม่นึกว่าเด็กมันจะจำไม่ได้จนวิ่งหนีออกมาแบบนี้

“หึ เปลี่ยนไปมากเลยหรือไง หืม?”

รูสกัดปาก เฉหลบสายตาคมที่มองมาพลางพยักหน้ารับเบา ๆ เขาทำเรื่องขายหน้าเข้าเสียแล้ว นึกว่าสายลมเป็นคนร้ายเลยวิ่งแบบไม่เหลียวหลัง

“แล้วชอบแบบนี้ไหม หรือแบบเก่าดีกว่า?”

ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามไปเช่นนั้น เมื่อเห็นเด็กแก้มแดงถึงได้รู้สึกตัวว่าไม่ควรถามเลย เพราะมันพลอยทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ตามไปด้วย

“กลับกระท่อมเถอะ วิ่งมาซะไกลเชียว” กลายเป็นว่าเขาพูดเยอะอยู่คนเดียวเพราะเด็กมันพูดไม่ได้

รั้งแขนเล็กให้เดินตาม อีกคนก็ออกเดินอย่างว่าง่าย สายตากลมมองนายหนวดที่ตอนนี้ไม่มีหนวดแล้ว หน้าตาแปลกไปจากเดิมมากทีเดียว

“พรุ่งนี้จะพาไปที่สะพานปลา ไปหาปลาสด ๆ มาทำกินกัน” สายลมเปรยขึ้นมา รูสเอียงคอมอง เขาจึงได้พูดต่อ “ที่นี่ออกหาปลากันทุกวันโดยเรือประมงของชาวบ้าน เพียงแต่เรือใหญ่... เรือที่เธอเคยขึ้นนั่นล่ะ จะออกล่องกลางทะเลเดือนละสองหน เพราะเราจับปลาทีละมาก ๆ หากไม่เว้นช่วงเลยอาจไปรบกวนระบบนิเวศน์ได้”

คนฟังทำปากร้องอ๋อพลางพยักหน้า

“พยักหน้านี่คือเข้าใจที่พูด?” สายลมเอ่ยเย้า

เด็กทำปากยื่น เข้าใจสิ ไม่เข้าใจจะพยักหน้าทำไมกัน



เมื่อเริ่มมืด ตะเกียงก็ถูกจุด ที่นี่ยังคงใช้ตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน แม้บนเกาะจะมีแผงโซล่าเซลล์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเอาไว้ใช้ แต่นั่นสำหรับเพื่อใช้ในโรงพยาบาลและสถานที่สำคัญ สำหรับบ้านเรือน หากไม่จำเป็นจะไม่มีใครใช้ไฟฟ้า เพราะรู้ดีว่าหากมันหมดไป เมื่อพวกเขาป่วยไข้อาจจะรักษากันไม่ทันการณ์

“รูส”

สายลมเดินมานั่งลงใกล้ ๆ เด็กที่นอนอ่านหนังสืออยู่ตรงชานกระท่อม เขาเอาหนังสือพวกนี้มาจากลูกสาวของพ่อเฒ่าอาจีฟ เธอชื่อฟาริดา เธอช่วยสอนหนังสือให้เด็ก ๆ ในเกาะ ให้มีความรู้พื้นฐาน อ่านออกเขียนได้ ทำให้มีหนังสืออ่านเล่นและวิชาการมากมายหลายแบบ คนในเกาะมีทั้งที่ใช้ภาษาถิ่นและภาษาไทย เพราะต่างคนต่างที่มาทำให้ต้องมีข้อกำหนดในการใช้ภาษากลางสื่อสารพูดคุย สายลมขอหนังสือจากฟาริดามาให้รูสอ่านฆ่าเวลาเพราะเขาต้องไปดูงานในเหมืองแร่ หรือบางครั้งที่ต้องเอาเรือออก เขาก็ต้องเป็นคนนำเช่นกัน ทั้งช่วงนี้ยังมีคนลอบเข้ามาในเกาะอยู่เนือง ๆ เพราะข่าวลือเรื่องน้ำมันดิบที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีจริงไหม แต่ก็ยังเล่าลือกันไปไม่จบสิ้น ทำให้มีพวกโลภมากลักลอบเข้ามาขุดหาโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด เรื่องนี้สายลมเองก็จำต้องจัดเวรยามเฝ้ารักษาการกันให้ดี

“เห็นเธอเขียนหนังสือได้ ช่วยบอกความเป็นมาของเธอให้ฉันรู้ได้ไหม เผื่อจะหาทางพาเธอกลับบ้านได้”

สายลมส่งสมุดเล่มน้อยพร้อมดินสอให้เด็กที่นอนคว่ำอ่านหนังสืออยู่ ฝ่ายนั้นดูจะชะงักไป ก่อนจะพลิกหนีไปอีกทาง ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วอ่านหนังสือต่อ

“รูส ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะเด็กน้อย”

“......” ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากเด็กดื้อ

สายลมจ้องมองแผ่นหลังเล็กที่นอนตะแคงหันหลังให้ สายตากดดันที่มองจ้องทำให้เด็กค่อย ๆ หันกลับมา มือเอื้อมคว้าสมุดดินสอแล้วลุกเข้าห้องไป สายลมมองตามแล้วก็ระบายลมหายใจแรง ดื้อเหลือเกิน

ร่างสูงใหญ่จะลุกไปตาม แต่เจ้าตัวเล็กมันก็ออกมาเสียก่อน พร้อมกับยื่นสมุดในมือกลับมาให้ เมื่อเขารับสมุดเล่มนั้นมาเด็กก็กลับเข้าห้อง ปิดประตูเงียบเชียบ มือหนาค่อยเปิดสมุดออกดู เห็นลายมือแสนวัยรุ่นของรูสเขียนข้อความไว้เพียงสั้น ๆ

จำไม่ได้แล้ว



สายลมคิ้วขมวด มีเติมจุดสามจุดต่อท้ายมาให้ด้วย กวนจริง ๆ สายตาคมหันมองประตูห้องนอนของกระท่อมหลังน้อย ตัวสูงใหญ่ลุกเดินเข้าไปเพื่อถามให้รู้ความ ก่อนจะหยุดอยู่เพียงหน้าประตูพลางทำหน้าเหนื่อยใจ เมื่อบนฟูกนอนนั้นเด็กมันนอนคลุมผ้ามิดหัว ท่าทางจะไม่อยากคุยกับเขา

ชายหนุ่มเอาสมุดไปวางบนหีบเสื้อผ้าก่อนมานอนลงข้างก้อนกลม ๆ ในผ้าห่ม เท้าศอกตะแคงข้างมาหา มองม้วนผ้าที่ขยับยุกยิกเพราะถูกเขาเบียด

“หลับแล้วเหรอ?”

เสียงทุ้มเอ่ยถาม แต่ก้อนกลม ๆ นั่นกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง แขนหนัก ๆ จึงค่อยวางพาดกอดร่างในผ้าห่ม เมื่ออีกฝ่ายดิ้นกุกักเขาก็กระตุกยิ้ม แกล้งรั้งเข้ามากอดมากขึ้น ทำให้ดักแด้ตัวกลมนอนตัวแข็งทื่อ แต่เพียงไม่นานก็ค่อยคลายอาการเกร็งลง

“รูส จำไม่ได้จริงเหรอ?” คนตัวโตยังถามไถ่ “ไหนยังเห็นบอกชื่อตัวเองได้อยู่เลย”

รูสดิ้นดุกดิก เปิดผ้าห่มออกแล้วลุกไปเอาสมุดเล่มเดิมมาเขียน ก่อนกางออกให้สายลมดูด้วยใบหน้ามุ่นมุ่ย

‘นั่นน่ะ คนเขาโกหกหรอก’

“อ๋อ เป็นเด็กเลี้ยงแกะ ชอบโกหกอย่างนั้นสินะ?”

รอยยิ้มมุมปากจากสายลมทำให้คนมองหน้ามุ่ย ปิดสมุดแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ เห็นดังนั้นแล้วสายลมก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะลดตัวลงนอนหงาย ต้นแขนสัมผัสแผ่นหลังบางแผ่วเบา

“ไม่อยากกลับบ้านเหรอ รูส มีอะไรอยู่ที่นั่นอย่างงั้นเหรอ?”

“......”

ไร้ซึ่งคำตอบจากเด็กตัวบาง ดวงตากลมโตฉายแววสับสน ไม่รู้ว่าตนเองควรบอกทุกอย่างกับสายลมดีไหม แต่หากวันใดที่คนคนนั้นรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่และตามมาถึงที่นี่ สายลมต้องเดือดร้อนแน่ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรเจ้าหนูจึงได้แต่นอนนิ่ง สะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อแขนแข็งแรงพาดกอด มันอบอุ่นแต่ก็ทำให้กลัว... กลัวเหลือเกินว่าจะคุ้นชินจนขาดมันไม่ได้

รูสนอนหลับไปแล้ว หลับไปภายใต้อ้อมแขนของเขาเช่นทุกที สายลมถอนใจเบา เมื่ออีกคนไม่อยากบอก เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ บางทีรูสอาจจะยังไม่เชื่อใจเขามากพอที่จะบอกเรื่องที่มันเป็นส่วนตัว พูดกันตามจริง ทั้งเขาและเด็กคนนี้ก็เพิ่งพบกันได้ไม่นาน อาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้

ร่างผอมพลิกกลับมาหา แขนเรียวพาดกอดเอวเขาทั้งซุกซบอกแกร่งด้วยความเคยชิน เปลือกตาสายลมค่อยปิดลง เลิกคิดฟุ้งซ่านเพราะพรุ่งนี้เช้าเขาต้องพาเด็กไปที่สะพานปลา น่าแปลกที่เขาไม่ฝันถึงความทรงจำแสนทรมานเหล่านั้นอีก นี่คงเป็นอีกค่ำคืนที่พวกเขานอนหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๓ ความลับ //๒๔.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 24-08-2018 13:40:11

รูสถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่าง ร่างผอมบางเดินงัวเงียตามสายลมมายังสะพานปลาที่แสนอึกทึก อากาศยามเช้าหมอกลงทำให้เย็นจนต้องใส่เสื้อแขนยาวตัวใหญ่ของสายลมมาด้วย มันคลุมเลยเข่า แต่นั่นก็ดี จะได้ไม่หนาว

สายลมพาเด็กไปเลือกปลาที่ถูกขนขึ้นมาบนฝั่ง บรรยากาศแปลกใหม่ทำให้ไอ้ตัวเล็กรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้นคงนั่งสัปหงกพิงเสาสะพานที่ยื่นลงมาในทะเลสีคราม เมื่อได้ปลามาตามที่ต้องการแล้วสายลมก็ให้เด็กนั่งเฝ้าถังปลาเอาไว้ บอกว่าตนมีธุระไปทำ พร้อมเรียกให้กั้งมาอยู่เป็นเพื่อนเด็กมันด้วย

หนุ่มน้อยนั่งกอดเข่าเฝ้าถังปลารอสายลมกลับมา สายตาหลายคู่มองมาที่เขาด้วยความไม่สนิทใจนัก มันชวนอึดอัดจนอยากลุกหนี สักพักเจ้ากั้งที่ถูกใช้ให้อยู่เป็นเพื่อนก็ขอตัวไปช่วยยกของเมื่อเรือเข้ามาเทียบท่าหลายลำเข้า

“อย่าไปไหนนะเจ้าหนู เดี๋ยวข้ากลับมา”

เจ้ากั้งไปแล้ว มีแต่คนทิ้งเขาไปกันหมด รูสนั่งรออยู่นาน ทั้งกั้ง ทั้งสายลม ไม่มีใครกลับมาหาเขาสักคน พออยู่นิ่ง ๆ แล้วก็เบื่อ แถมยังง่วงด้วยเพราะถูกปลุกแต่เช้า ตอนเลือกปลาก็สนุกดีหรอก แต่ตอนนี้หงอยยิ่งกว่าปลาในถังอีก

ร่างผอมลุกขึ้นยืน มองรอบกายที่ผู้คนพลุกพล่านแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของสายลม กั้งที่บอกว่าเดี๋ยวกลับก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ เมื่อหาใครไม่เจอรูสจึงตัดสินใจหิ้วถังใส่ปลาขึ้นมา เขาจำทางกลับกระท่อมได้ ที่ยังนั่งรอเพราะสายลมบอกให้รอ แต่ตอนนี้ไม่อยากรอแล้วจึงถือถังปลาเดินคอตกกลับกระท่อมด้วยเหงาหงอย เพราะถูกทิ้งไว้คนเดียวตั้งนานสองนาน


ทางด้านสายลม เขามาที่ประภาคารสูง ที่ซึ่งใช้สำหรับตรวจตราโดยรอบเกาะ ที่แห่งนี้ถูกติดตั้งสัญญาณสื่อทางไกลไว้ให้เขาได้ติดต่อกับครอบครัว นอกจากปู่เช่นนายลามุซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันแล้ว บิดาผู้รับอุปการะเขาตั้งแต่เริ่มจำความได้ก็คืออัลเบิร์ต คาร์ล ตอนนี้ท่านอยู่ที่อังกฤษกับคนที่ท่านรัก ซึ่งเขาเองก็นับถือใครคนนั้นเป็นบิดาเช่นกัน อเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน ผู้สืบทอดธุรกิจด้านการเงินของเฟอร์ริงตัน บริษัทยักษ์ใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ครอบครัวของเขามีแต่หนุ่ม ๆ นอกจากบิดาทั้งสองแล้วเขายังมีพี่ชายและน้องชายอีกอย่างละคน และคนที่เขากำลังติดต่ออยู่ในเวลานี้คือน้องชายคนสุดท้องของครอบครัว เซย์ เฟอร์ริงตัน

“เซย์ มีเรื่องให้ช่วยหน่อย”

เมื่อหน้าจอเครื่องมือสื่อสารปรากฏภาพของผู้เป็นน้องชายขึ้นมา สายลมก็เริ่มเข้าประเด็นทันที

“โอ้ นานทีพี่จะมีเรื่องให้ช่วย ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญมาก” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำทะเลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวน

“อย่ามัวเล่นลิ้น เปิดดูไฟล์ที่ฉันส่งไปให้ด้วย” ผู้เป็นพี่ชายดูจะไม่มีอารมณ์ขัน เมื่อโต้ตอบกลับไปเสียงเข้ม

“นี่มันรูปเด็กที่ไหนน่ะสายลม พี่จะส่งมาเป็นนายแบบโฆษณาให้บริษัทเราเหรอ?” เซย์ยังไม่เลิกกวน หลังจากเปิดดูสิ่งที่พี่ชายส่งมาแล้วพบว่ามันคือภาพแอบถ่ายของหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง

“ตลกมากไหมเซย์ นายนี่ชอบชักใบให้เรือเสีย”

“ล้อเล่นนิดเดียวก็ไม่ได้... แล้วตกลงเด็กคนนี้ใคร?” เอ่ยถามอย่างจริงจังเมื่อได้เวลาเข้าเรื่องกันเสียที

“เด็กที่ฉันช่วยเอาไว้ ฉันอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กคนนี้ ช่วยหาให้หน่อย” สายลมขยายความ

“ถามเขาก็สิ้นเรื่อง” คนเป็นน้องก็พูดง่าย

“เขาพูดไม่ได้”

“...โชคร้ายจริง”

สายลมถอนใจก่อนถาม “ตกลงช่วยได้ไหม ถ้าไม่ได้ฉันจะได้ให้เอวานช่วย”

“เฮ้ ๆ ๆ อย่าเพิ่งใจร้อนน่าพี่ชาย” อีกคนรีบท้วง “ผมจะช่วยพี่ แต่มีข้อแม้ว่าเวลาที่พี่มาที่นี่... พี่ต้องช่วยงานผมทุกอย่างโดยไม่บิดพลิ้ว โอเคไหม?”

“นายนี่มัน...” สายลมกัดฟัน พูดไม่ออกกับข้อต่อรอง ไอ้หน้าเลือดเอ๊ย! “เออ เอาไงก็ได้ ขอให้ทำให้สำเร็จก่อนเถอะ”

“จัดไป” เซย์ยักคิ้วกวน

ผู้เป็นพี่ชายส่ายหน้ากับความกวนโมโห ไม่น่าโตเลยนะ เซย์ เฟอร์ริงตัน

เมื่อเสร็จธุระ สายลมก็กลับมาหาเด็กที่สะพานปลา แต่เมื่อมาถึงกลับไม่เจอตัวเสียแล้ว ชายหนุ่มเรียกเจ้ากั้งมาถาม มันก็วิ่งมาหาหน้าตาตื่นเพราะกำลังหาเด็กอยู่เหมือนกัน ได้แต่ขอโทษสายลมยกใหญ่ที่ปล่อยให้เด็กมันคลาดสายตาจนหายไปแบบนี้

“ช่างเถอะ เขาอาจจะกลับกระท่อมไปแล้วก็ได้” สายลมพยายามคิดในแง่ดีทั้งที่กำลังร้อนใจ

“ขอโทษจริง ๆ ครับนายน้อย ข้าไม่น่าปล่อยให้มันอยู่คนเดียวเลย”

เจ้ากั้งยกมือไหว้ปลก ๆ สายลมตบบ่าแล้วบอกว่าช่างมัน ก่อนจะออกเดินหา หวังว่าจะไม่เจอกับเจ้าพวกนั้นนะ รูส...



เพิงหญ้าใต้ร่มไม้ เหนือเมฆและกลุ่มอริของสายลมจับกลุ่มก๊งเหล้ากันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ที่จริงแล้วเมากันข้ามคืนแล้วลุกขึ้นมาถอนกันอีกเสียมากกว่า แต่เมื่อเหล้าลงคอแล้วก็ชักเลยเถิด จากคนละเป๊กกลายเป็นหลายเป๊กจนลิ้นไก่เริ่มสั้นไปตาม ๆ กัน

“สายลมนี่มันหัวแข็งจริง เราจะไม่มีทางทำอะไรมันได้เลยเหรอวะ?” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระชาก เหล้าเข้าปากแล้วเห็นช้างตัวเท่ามด

“ใจเย็น ๆ ไม่มีทางที่มันจะรอดไปได้ทุกครั้งหรอกน่า” เหนือเมฆตบบ่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์

“แล้วที่เป็นอยู่นี่มันไม่ได้รอดไปทุกครั้งเหรอวะ มีแต่เราที่แพ้มันอยู่ตลอด เจ็บใจโว้ย!” แก้วเหล้าในมือถูกกระแทกลงบนแคร่จนมันกระฉอก

“โวยวายไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้สายลมมันมีจุดอ่อน มันจะเป็นนายของทุกคนที่นี่ แต่มันดันทำผิดกฎเสียเอง แถมเรื่องที่เด็กนั่นจะนำความวุ่นวายมาก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าไม่จริง ถ้าเราเล่นเรื่องนี้หนัก ๆ สายลมมันต้องกระอักแน่”

ริมฝีปากหนายกยิ้มแสยะ วันที่เด็กนั่นถูกลูห์วิ่งไล่เหมือนหนูในกรงแล้วสายลมมันวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมา ท่าทางจะห่วงใยกันหนักหนาจนน่าหมั่นไส้

“เฮ้ย ตัวช่วยเรามาแล้วเว้ย”

หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินมา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนริมฝีปาก พวกมันทุกคนหันไปมองตาม ก่อนจะพากันหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นเป้าหมาย


ทางด้านเด็กดื้อที่ถือถังปลาเดินซึมมาตามทางไม่ได้รู้เลยว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้ไม่หวังดี จนกระทั่งถูกล้อมเอาไว้ทุกทิศทาง ใบหน้าเรียวจึงเงยมองคนเหล่านั้นด้วยความแตกตื่น รูสจำผู้ชายตัวโตหนึ่งในนั้นได้ คนที่มาลากเขาไปที่บ้านพ่อเฒ่ากับที่เหลือ... คนที่เป็นศัตรูของสายลมแทบทั้งนั้น!

เจ้าหนูยืนสั่นอยู่กลางวงล้อม กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งจนทำให้เวียนหัว คนพวกนั้นแม้จะถูกสายลมสั่งสอนและสั่งไม่ให้เข้ามาใกล้เขาอีก  หากไม่ทำตามจะจับไปยัดใส่คุกมืดของเกาะศิลา แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่เกรงกลัวคำสั่งของสายลมเลย ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มาล้อมเขาเอาไว้เช่นนี้แน่

วงล้อมถูกตีแคบเข้ามากว่าเดิม รูสไม่รู้จะถอยไปทางไหนได้ เมื่อเหนือเมฆเอื้อมมาแย่งถังปลาในมือไป รูสก็ได้แต่มองตาม พวกมันหัวเราะกันสนุก แต่เขานี่สิอยากร้องไห้เต็มทน เพราะขัดคำสั่งสายลมถึงได้เป็นแบบนี้ มาสำนึกได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ทำอย่างไรดี...

โฮกกกกกกกกกกก

เสียงคำรามดังก้องพาให้พวกมันชะงักงัน รูสเองก็ชะงักตามพวกมันไปด้วย ตากลมเหลียวมองรอบกายเพื่อหาที่มาของเสียง เมื่อทุกสายตาหันไปเห็นลูห์ยืนแยกเขี้ยวคำรามในลำคอ ท่าทางเตรียมพร้อมจะขย้ำพวกมันได้ทุกวินาที คมเขี้ยวแหลมที่แยกยกทุกครั้งที่เสียงคำรามดังลอดทำให้พวกเหนือเมฆวิ่งหนีกันกระเจิง แต่ก็ช้ากว่าลูห์เมื่อมันกระโจนเข้าใส่ ต่างคนต่างหนีเอาตัวรอดไม่มีใครช่วยเหลือใคร เสียงร้องโหวกเหวกทำให้รูสกลัวไปด้วย ตัวผอม ๆ ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกเมื่อลูห์เข้าตะครุบแล้วเหยียบอกหนึ่งในพวกของเหนือเมฆเอาไว้

ลูห์ปรายสายตามามองเด็กที่ยังยืนอึก ๆ อัก ๆ อยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเสียที เจ้าตัวเขาสะดุ้งโหยง ลนลานเก็บถังใส่ปลาแล้ววิ่งสุดฝีเท้าเพื่อกลับกระท่อม หากสายลมรู้เข้าว่าเขาขัดคำสั่งกลับมาที่กระท่อมก่อน ทั้งยังเจอศัตรูของสายลมเข้าจนเกือบเอาตัวไม่รอด สายลมต้องโกรธแน่ ๆ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี...

สายลมกลับมาถึงกระท่อมในเวลาไล่เลี่ยกัน มองเด็กที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนชาน ขณะที่ลูห์นอนอยู่บนแคร่ไม้ข้างบันไดขึ้นกระท่อม สายตาคมมองสิงโตตัวใหญ่สลับกับเด็กน้อยอย่างพินิจ ลูห์ไม่มีพิรุธ แต่เด็กนี่สิ... มีเพียบ

“รูส”

เพียงเอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายก็มีสะดุ้งให้เห็น สายลมหรี่ตา กอดอกมองเด็กที่ก้มหน้าหลบสายตา

“บอกให้รอ ทำไมกลับมาก่อน?”

ตากลมกลอกมองซ้ายขวาหลุกหลิก

“ไม่ได้เจอใครทำอะไรแปลก ๆ ใช่ไหม?”

ทำตาโต ส่ายหน้ารัวจนหัวแทบหลุด ไม่มีพิรุธอะไรเลยรูสเอ๋ย

“แน่นะ?”

พยักหน้าหงึกเพื่อเป็นการยืนยันเสียอีกที

“แน่ใจ?”

สายลมยังไล่บี้ นัยน์ตาสีดำสนิทที่มองจ้องมาทำให้รูสต้องเบือนสายตาไปทางอื่นก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

“ที่ถามไม่ใช่เพราะจะตำหนิ แต่ฉันเป็นห่วง... เข้าใจใช่ไหม?”

น้ำเสียงห่วงใยจากคนตัวโตทำให้ตากลมช้อนมองคนพูดด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ มือหนาเอื้อมมาโยกศีรษะเช่นทุกที เขาชอบความอบอุ่นจากสัมผัสที่อีกคนมีให้ ค่อยเลื่อนมือขึ้นมาจับแขนของสายลมแล้วรั้งลงมา ดวงตากลมฉายแววแน่แน่วทำให้สายลมเลิกคิ้วสูง

สายลม... ถึงแม้สักวันหนึ่งผมอาจจะต้องถูกส่งกลับไปในที่ที่ผมไม่อยากไปเลย แต่อย่างน้อย... ช่วงเวลาที่ได้อยู่ที่นี่ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหา แม้ว่าถูกส่งกลับไปแล้วผมอาจไม่ได้กลับมาพบกับคุณอีก เพราะเขา... คงไม่มีทางปล่อยให้ผมมีชีวิตรอดกลับมาตอบแทนบุญคุณของคุณแน่ ๆ เพราะฉะนั้น.. ผมจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟังสายลมทุกอย่าง อย่าเพิ่งผลักไสผมให้ไกลห่าง ขอเวลาอีกสักนิด... อีกนิดเดียวก็ยังดี...

“เป็นอะไร? คิดอะไรอยู่?”

เสียงทักที่แทรกเข้ามาในความคิดทำให้รูสชะงัก กะพริบตาปริบ ๆ ปล่อยแขนสายลมแล้วยิ้มแหย

“หึ เด็กบ๊อง” มะเหงกเขกหัวเด็กเบา ๆ

รูสทำปากยื่น มือเรียวลูบจุดที่ถูกสายลมประทุษร้าย ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง... ขออยู่กับคุณอีกสักพักนะ สายลม



แสงไฟจากตะเกียงยังคงส่องให้ความสว่างแต่พอประมาณ กระท่อมหลังน้อยของสายลมในยามค่ำคืนแสนเงียบเชียบ ลูห์ค่อย ๆ ลุกเดินหายลับไปกับความมืดของสุมทุมไม้ ขณะที่นายของมันนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง หยิบสมุดเล่มเดิมที่รูสเขียนข้อความเอาไว้มาดู เพิ่งเห็นว่าด้านท้ายนั้นยังมีเขียนเพิ่มให้ด้วย แต่หาใช่ข้อมูลที่ต้องการ

...ความจริงที่รู้อาจทำให้คุณเกลียดผม...

สีหน้าชายหนุ่มครุ่นคิดหนัก เหตุใดจึงคิดว่าเขาจะเกลียด ภายใต้ความน่าสงสารนั้นมันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอยู่กันแน่?




TBC



 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๓ ความลับ //๒๔.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-08-2018 06:18:46
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๔ ภาพจำ //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 25-08-2018 11:20:03

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๔ ภาพจำ



ห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกปิดมืด ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หน้าตาประหลาด ห้องที่ทั้งมืดมิด ห้องที่ยังคงเป็นความลับสำหรับคนภายนอก ฝุ่นที่เกาะกรังราวเวลาของทุกสิ่งถูกหยุดเอาไว้มาแสนนาน แต่ภายในนั้นกลับคล้ายยังมีบางอย่างเคลื่อนไหว

เสียงงัดแงะดังมาจากด้านนอก ประตูบานหนึ่งซึ่งถูกปิดตายด้วยรหัสที่ไม่มีใครรู้ ชายฉกรรจ์หลายคนพยายามใช้อุปกรณ์หลากชนิดเพื่อเปิดมัน แต่พยายามไปเท่าไรก็ไม่สามารถที่จะเปิดได้ ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นนายมองความล้มเหลวของลูกน้องตนด้วยความฉุนเฉียว กราดเกรี้ยวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ห้องบ้านี่มันใช้รหัสอะไรกัน!

“ไปเชิญดอกเตอร์ภิชาญมาพบฉันหน่อย” เสียงเข้มออกคำสั่ง สีหน้าเครียดขึ้ง

“ครับ” ก้มหัวรับคำแล้วผู้เป็นลูกน้องก็ไปทำตามคำสั่ง

ไม่นานนักชายสูงวัยคนหนึ่งก็ถูกพาตัวมา สายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายต่อผู้อื่นปรายมามองชายผู้นั้น ก่อนจะเยื้องย่างเข้าไปหา

“ผมอยากจะเข้าไปในห้องของคุณพ่อสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณลุงพอจะรู้รหัสผ่านของห้องนี้ไหมครับ?”

แม้จะเริ่มประโยคด้วยความสุภาพ แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ชายสูงวัยผู้ถูกยืนขนาบมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ ผู้ที่เรียกเขาว่าลุงไม่เคยที่จะเห็นเป็นเช่นที่พูด ชีวิตเขาอาจจบลงด้วยน้ำมือของคนตรงหน้าในวันใดไม่อาจรู้ได้ มันน่ากลัวเกินกว่ามนุษย์มนาทั่วไปเขาเป็นกัน

“ฉันไม่รู้ ชาติเขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร” ชายสูงวัยบอกปฏิเสธ

“คุณลุง... กำลังหลอกใครอยู่เหรอครับ เห็นผมเป็นไอ้เด็กหน้าโง่ตามไม่ทันคุณลุงอีกแล้วนะครับ”

น้ำเสียงที่ใช้ดูราบเรียบแต่กลับทำให้คนฟังเกิดอาการสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือหนากระชากคอเสื้อผู้ที่ตนเรียกว่าลุง แววตาราวสัตว์ร้ายมองจ้อง ก่อนกระตุกยิ้มมุมปากแล้วปล่อยมือ ปัดปกเสื้อของผู้เป็นลุงเบา ๆ

“อา... ผมทำคุณลุงกลัวเหรอครับ แย่จริง”

ชายสูงวัยกลืนน้ำลายหนืดคอ “หยุดแต่เพียงเท่านี้เถอะราส อย่าสร้างบาปสร้างกรรมให้ตัวเองไปมากกว่านี้เลย รูสเขา...”

“ผมไม่ได้ให้คุณมาสั่งสอนผม!!” เพียงได้ยินชื่อของใครอีกคนชายหนุ่มก็ตวาดเสียงดัง “แค่บอกมาคำเดียวว่ารหัสผ่านห้องนี้มันคืออะไร บอกมา!”

น้ำเสียงที่ถูกเค้นออกมา ทั้งท่าทีคุกคามทำให้ชายสูงวัยตอบกลับเสียงสั่น

“ฉันไม่รู้ ต่อให้แกเค้นให้ตายฉันก็บอกในสิ่งที่แกต้องการไม่ได้ เพราะฉันไม่รู้!!”

จบคำ ร่างสันทัดก็ล้มกลิ้งไปบนพื้นจากแรงโกรธของอีกคน ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!!

ใจชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงผู้เป็นน้องชาย เขาไม่น่าฆ่ามันก่อนเลย บางทีมันอาจจะรู้รหัสเปิดห้องใต้ดินนี่ เพราะตั้งแต่เด็ก ศาสตราจารย์ภิชาติมักพามันเข้ามาในห้องนี้ โดยที่เขาไม่เคยมีสิทธิ์แม้แต่ย่างกรายเข้าใกล้ สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงจ้องมองบานประตูที่ปิดสนิทและไร้หนทางที่จะเปิดมันออก

โธ่เว้ย! ไอ้ดอกเตอร์นั่น ตายไปแล้วก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์อีก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาจะต้องหาทางเปิดมันให้ได้ คอยดู!


......


ไข่มุกใจกลางจี้ห้อยคอส่องแสงแวววาวเมื่อต้องแสงตะวัน รูสชูมันขึ้นจนสุดแขน ดวงตากลมเมียงมองของเพียงชิ้นเดียวที่ติดตัวมา มันคือของสำคัญที่บิดาบอกให้เขาเก็บไว้อย่าให้ห่างตัว ไม่รู้ว่ามันสำคัญกับผู้เป็นบิดามากแค่ไหน แต่รูสก็ไม่เคยถอดมันสักครั้งตั้งแต่ที่ได้สร้อยคอพร้อมจี้กลม ๆ นี้มา จนกระทั่งวันที่สร้อยมันขาด และตอนนี้เขาก็ได้สร้อยเส้นใหม่มาเปลี่ยน ถึงแม้มันจะทำจากเชือกที่ถักทอเป็นเส้น ไม่ได้มีราคาค่างวดเหมือนสร้อยเส้นเดิม แต่เขาก็ชอบมันมาก

“บอกให้เตรียมตัว แล้วไหงมานอนมองจี้ห้อยคออยู่ หืม?”

ตากลมกะพริบปริบเมื่อคนที่ตนเองกำลังนึกถึงชะโงกมองอยู่ด้านบน ร่างผอมดีดตัวลุกขึ้นมาพลางกางแขนออกเพื่อให้อีกฝ่ายดูว่าตนเองอยู่ในชุดเตรียมพร้อมแล้วไม่เห็นหรือ ชุดผ้าฝ้ายใส่สบาย ถูกทอขึ้นด้วยฝีมือชาวบ้านบนเกาะศิลา นี่ก็ได้มาจากสายลมเหมือนกัน ทั้งสร้อย ทั้งเสื้อผ้า รวมทั้ง... ชีวิต

“อ้าว พร้อมแล้วนั่งเฉยอยู่ทำไม ลงมาสิครับคุณหนู”

รูสแยกเขี้ยวเมื่อถูกประชด ร่างผอมรีบลุกลงมาหา สายลมทำเสียงหึในลำคอ ก่อนจะรั้งแขนเรียวให้เดินไปข้างกัน

วันนี้เขาจะพารูสไปฝากกับฟาริดา ลูกสาวของพ่อเฒ่าอาจีฟ เห็นอยู่เฉย ๆ แล้วเบื่อ สายลมเลยจะหาอะไรให้ทำ ให้ไปทำงานด้วยไม่ได้ชายหนุ่มจึงให้ไปเรียนกับฟาริดา ครั้งแรกที่คุยกันว่าจะพาไปฝากที่บ้านพ่อเฒ่าเวลาที่ตนเองไม่อยู่ เด็กก็ไม่ยอมท่าเดียว กลัวจะถูกปล่อยทิ้งไว้ที่นั่นถาวร สายลมจึงได้พาฟาริดามาแนะนำให้รู้จัก เมื่อได้พูดคุยกันก็เห็นว่าหญิงสาวดูเป็นคนใจดี รอยยิ้มอ่อนหวานที่มี ทั้งการพูดการจาที่น่าฟัง ดูไม่ได้เสแสร้ง นั่นจึงทำให้รูสยอมที่จะตามสายลมมาที่บ้านของพ่อเฒ่าอาจีฟในวันนี้

ถึงแม้ชายชราผู้ซึ่งทำหน้าที่พยากรณ์เรื่องราวภายในเกาะศิลาจะอยากให้รูสไปจากที่นี่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำร้าย กลับใช้วิธีการพูดจากันดี ๆ รูสจึงเห็นว่าพ่อเฒ่าอาจีฟเป็นคนแก่ท่าทางดุแต่ก็ใจดีไม่ต่างจากสายลม เมื่อพากันมาถึงบ้านพ่อเฒ่า สายลมก็ฝากฝังเด็กดื้อไว้กับฟาริดา

“อาจจะดื้อไปสักหน่อย แต่ก็ฝากด้วยนะริด้า”

เด็กดื้อหันขวับมามองสายลมที่ยืนข้างกัน ใบหน้างอง้ำเพราะถูกหาว่าดื้อ ไม่ได้ดื้อสักหน่อย สายลมมั่ว

“แล้วถ้าดื้อมาก ๆ นี่... อนุญาตให้ตีไหม?”

ตากลมเบิกโตเมื่อหญิงสาวตรงหน้ารับมุก ตัวบางรีบหลบไปอยู่ด้านหลังสายลม เห็นหน้าตาสวย ๆ ที่จริงแล้วเป็นคนใจร้ายหรอกหรือ

“อนุญาต”

ริมฝีปากบางอ้าหวอเมื่อคนตัวโตตอบรับ มือเรียวฟาดต้นแขนแกร่ง ทำไมไปอนุญาตให้เขาตีรูสเล่า!

ฟาริดาหัวเราะเมื่อเห็นเด็กงอแง ก่อนเฉลยความด้วยรอยยิ้มใจดี “พี่ล้อเล่นน่ะจ้ะ ไม่ตีหรอก ใครจะตีเด็กหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ได้ลง”

รูสหันมามองฟาริดา ก่อนจะย่นจมูกใส่สายลม เปลี่ยนข้างมายืนกับหญิงสาวที่พูดเข้าหูตนเองแทน

“อ้าว เปลี่ยนข้างเร็วจริง” สายลมเอ่ยเย้า เด็กก็ทำลอยหน้าไม่สนใจ

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะลม ริด้าดูแลให้ ที่นี่มีเพื่อนเยอะ ไม่น่าจะมีปัญหา” ฟาริดายิ้มบอก

“ริด้า เขา...” สายลมมีสีหน้าลำบากใจ

“อ๋อ เรื่องนั้นใช่ไหม ริด้ารู้แล้ว”

“ขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มบาง

รูสมองคนนั้นที คนนี้ที เพราะไม่เข้าใจว่าคุยอะไรกัน เมื่อสายลมออกไปทำงานแล้วฟาริดาจึงพารูสไปทำความรู้จักกับนักเรียนตัวน้อยของเธอทุกคน เด็ก ๆ เข้ามาชวนคุย แต่พอรู้ว่ารูสพูดไม่ได้ก็สงสารกันใหญ่ รูสได้แต่หัวเราะ ไม่ได้รู้สึกไม่ดี เพราะทุกคนไม่ได้มีท่าทีรังเกียจแต่แสดงออกว่าสงสารเขาจากใจจริง

“รูส”

รูสหันไปมองตามเสียงเรียก เด็กผู้ชายสามคนที่ดูท่าแล้วน่าจะเด็กกว่าเขา แต่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เชียว เรียกชื่อเขาเฉย ๆ เสียด้วย

“ข้าชื่อโต ส่วนนี่ลูกน้องข้า”

คนที่เรียกเขาแนะนำตัว ก่อนพยักพเยิดไปทางเด็กอีกสองคนที่ยืนขนาบข้าง ซึ่งที่เหลือก็พากันแนะนำตัวกับเขาเสียงดังฟังชัด รูสอมยิ้ม พยักหน้ารับรู้แล้วรอดูว่าจะทำอะไรกันต่อ

“ถ้าเอ็งมีปัญหาอะไร บอกข้าได้ ที่นี่ข้าใหญ่สุด” ว่าจบก็ยืดเต็มที่

รูสพยักหน้ารับ เออออไปกับเด็ก อยู่ที่นี่ก็ดี เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยทำให้เขาไม่เหงา อยู่กับลูห์ต่างก็พากันเงียบ นั่งเหงากันอยู่สองคน อา... ไม่ใช่สิ หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวต่างหาก


......


สายลมไปดูคนงานทำการตรวจสอบแผงโซล่าเซลล์ที่ใช้สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า ต้องตรวจสอบคุณภาพการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

งานในเหมืองของเกาะศิลาเมื่อก่อนนี้เป็นเพียงการนำแร่หินที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาข้ามไปทำการค้าขายกับประเทศรอบนอก ผลตอบแทนที่ได้จึงน้อยมากเมื่อเทียบกับการผลิตหินแร่ให้กลายเป็นอัญมณีเต็มรูปแบบ สายลมที่เห็นว่าคนในเกาะมีฝีมือ แต่ขาดอุปกรณ์จึงได้หาทางนำเครื่องมือต่าง ๆ มาให้ เริ่มจากการนำไฟฟ้าเข้ามาเพื่อเป็นพลังงานหลักในการผลิต ทั้งติดตั้งเครื่องปั่นไฟสำรองเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ได้รับความร่วมมือและเห็นชอบจากคนบนเกาะเป็นอย่างดีกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แม้ในตอนแรกจะถูกคนหัวเก่าคัดค้าน แต่เมื่อยึดหลักตามเสียงข้างมากเขาจึงสามารถดำเนินการต่าง ๆ มาจนวันนี้ได้ และนั่นกลายเป็นข้อพิสูจน์ให้ผู้ที่คัดค้านได้เห็นว่า สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้ทำให้สถานที่แห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างที่พากันกลัว

“ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมกริช?” สายลมเอ่ยถามลูกน้องที่ทำหน้าที่คุมงานในเหมือง ขณะที่สายตาคมกวาดมองโดยรอบ

“ไม่มีครับนายน้อย ทุกอย่างปรกติดี”

เขาพยักหน้ารับรู้ กริชทำงานที่นี่มาหลายปี เป็นคนที่ปู่ของเขาเลือกเอง จึงไว้ใจได้ในเรื่องของความซื่อสัตย์

“อ้อ นายน้อยครับ นายท่านให้ไปพบที่บ้านแหนะครับ เห็นว่ามีเรื่องจะปรึกษา” นายกริชเอ่ยบอก

“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก”

“ครับ” นายกริชตอบรับก่อนเดินเลี่ยงไปทำหน้าที่ของตน

สายลมเดินตรวจงานอยู่สักพัก เข้าไปดูในส่วนของการคัดแยกผลึกและแร่หลากสี ก่อนจะถูกส่งต่อไปเจียระไนและตรวจวัดคุณภาพ แสงสีเหลืองอมส้มที่สะท้อนมาเข้าตาทำให้สายลมเอื้อมไปหยิบมันมา ผลึกโปร่งใสที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน แต่กลับสวยเข้าตาเขา ยิ่งเมื่อเพ่งพินิจยิ่งทำให้นึกถึงบางสิ่งที่มีสีคล้ายกับผลึกโปร่งแสงชิ้นนี้ รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มริมฝีปาก สายลมขอเก็บผลึกชิ้นนี้ไว้เป็นของส่วนตัว ซึ่งทุกคนก็ยินดียกให้แม้นายน้อยไม่ต้องเอ่ยปากขอ ผละจากจุดนั้นมาเขาจึงตรงไปหาผู้เป็นปู่ เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาแล้ว



“จะให้เขาอยู่ที่นี่หรือไง?”

นายลามุเอ่ยถามหลานชาย ปัดมือเบา ๆ ให้ลูกน้องออกไป ชั้นบนของตัวบ้านถูกทำเป็นระเบียงยื่นออกมารับลม และสามารถมองเห็นทะเลสีครามจากจุดที่พวกเขานั่งอยู่ได้อย่างชัดเจน

“ปู่ใจดีอยู่แล้ว ต้องให้เขาอยู่ต่อแน่นอนใช่ไหมครับ?” สายลมตีขลุม ดักเอาไว้ก่อนเป็นดี เรื่องของรูสนี่ท่าทางจะจบยาก

“ไม่ต้องมาตะล่อมเสียให้ยาก เมื่อคราวเจ้าหลงก็ทีหนึ่งแล้ว” นายลามุไม่รับลูก

เรื่องนายหลงที่ชายชรากล่าวถึงคือคนจากนอกเกาะที่ถูกทะเลซัดมาเกยหาด ชาวบ้านแถบนั้นไปพบเข้าจึงพาส่งโรงพยาบาลประจำเกาะ เมื่อฟื้นขึ้นมากลับสูญเสียความทรงจำ ทั้งยังป้ำเป๋อไม่เต็มเต็งเสียอีก ด้วยความสงสาร หมอปลายฟ้าจึงให้ช่วยดูแลความสะอาดรอบ ๆ โรงพยาบาล ให้ที่พักอาศัยและเสื้อผ้า อาหาร เมื่อพ่อเฒ่าอาจีฟได้จับยามดูความเป็นมาก็เห็นว่าไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ครั้งนั้นทุกคนในเกาะเห็นควรด้วยทำให้นายหลงได้เข้ามาเป็นหนึ่งในคนของเกาะศิลา ด้วยพิธีกรรมต้อนรับจากพ่อเฒ่าอาจีฟ

“ลุงเขาน่าสงสาร... รูสก็น่าสงสาร” ผู้เป็นหลานยังมิวายโยงมาหากัน

“เปิดเกาะศิลาเป็นมูลนิธิเพื่อคนยากไร้เลยดีไหม?” สายตาคมดุจเหยี่ยวปรายมามองหลานชาย แม้ช่วงเวลาที่ผันผ่านจะทำให้มันฝ้าฟางลงไป แต่ก็ยังทรงอำนาจของผู้นำอยู่ไม่คลาย

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่รับเด็กตัวเล็ก ๆ เข้ามาเพิ่มอีกสักคน...”

“ไม่มีทาง” ปิดประตูตาย ไม่มีลงให้

“มีทางสิครับ เพราะปู่จะให้พ่อเฒ่าทำพิธีต้อนรับเขาใช่ไหม?” สายลมยังไม่ยอม

“อย่ามาตีขลุมสายลม”

เมื่อถูกดุด้วยสายตาจริงจังสายลมจึงต้องเลิกต่อปากต่อคำ พร้อมเปลี่ยนท่าทีมาเป็นงานเป็นการบ้าง

“ผมกำลังสืบประวัติเด็กมันอยู่” เขาบอกกล่าว

“ได้แล้วจะส่งกลับใช่ไหม?”

“ผมไม่รับปากครับ”

“เพราะ?” นายลามุหรี่ตา

“เพราะผมไม่มั่นใจว่าการส่งเด็กกลับจะดีกว่าการให้เขาอยู่ที่นี่”

“สายลม”

“ถ้าปู่ไม่ต้อนรับ... ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปู่ใจดี” คนพูดยกยิ้มมุมปาก วกกลับมาที่เดิมจนได้

“เรื่องเล่นลิ้นกะลาวนนี่ไม่มีใครเกินเจ้าจริง ๆ ไอ้หลานชาย” นายลามุถอนใจ ตกลงจะเอาให้ได้เลยว่าอย่างนั้น

ผู้เป็นหลานหัวเราะในลำคอ พลางบอกอย่างจริงจังทั้งน้ำเสียงและแววตา

“ผมจะไม่ทำให้ปู่เดือดร้อน วางใจได้”

ไม่ใช่ไม่เชื่อที่หลานพูด แต่ที่ชายชรากำลังหนักใจก็เพราะสายลมเป็นคนดี การเป็นคนดีไม่ใช่เรื่องผิด แต่บางครั้ง... ภัยมันก็อาจมาถึงตัวเพราะความใจดีของคน


......


ณ ประภาคารสูงในยามเช้าตรู่ สายลมต่อสัญญาณถึงน้องชายที่แดนไกล แต่ก่อนที่จะได้รับรู้ข่าวคราวก็ถูกเจ้าน้องชายตัวดีบ่นจนคร้านจะฟัง เพราะข้อมูลที่เขาให้ไปมันน้อยมากจนแทบเรียกได้ว่าไม่มีเลย ทำให้นักสืบไม่รู้จะเริ่มต้นค้นหาที่ตรงไหน แต่เทวัญ คนของมิสเตอร์แอลผู้เป็นอาของพวกเขาก็ฝีมือดี สามารถเอาภาพถ่ายที่สายลมให้ไปนั้นค้นหาจนได้ข้อมูลมาอย่างคร่าว ๆ

สิ่งที่ได้รับรู้จากการสืบค้นครั้งนี้คือรูสเป็นบุตรชายของศาสตราจารย์สติเฟื่องคนหนึ่ง เพราะเคยถ่ายภาพคู่กับบุตรชายที่แสนภูมิใจอยู่หลายหนทำให้มีเบาะแสพอค้นหาได้ ศาสตราจารย์คนดังกล่าวเสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนด้วยการผูกคอในห้องวิจัยภายในบ้านของตนเอง โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คือรูสในวัยหกขวบที่สลบไสลอยู่บนพื้นห้อง หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปีได้ ภรรยาของศาสตราจารย์คนดังกล่าวก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปอีกคน เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ช่วงหนึ่ง ส่วนบุตรชายกลับไม่มีใครเอ่ยถึงว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้างหลังเหตุการณ์นั้น

สายลมได้ฟังแล้วก็เครียด เรื่องมันชักจะไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด ขนาดข้อมูลที่ยังไม่ลงลึกยังทำให้เขาเครียดและนึกเป็นห่วงเด็กที่มีปูมหลังแสนเลวร้าย ไม่รู้อยู่มาอย่างไรหลังจากรู้ว่าผู้เป็นบิดาและมารดาจากไปแล้ว

“ขอบใจเซย์ ฝากขอบคุณอาแอลด้วย ไว้มีโอกาสฉันจะไปพบท่านด้วยตัวเองอีกครั้ง” สายลมเอ่ยขึ้นมาหลังจากปรับอารมณ์ของตนเองให้กลับมาเป็นปรกติได้

“ไม่มีปัญหา... แต่ว่านะสายลม เด็กคนนี้ท่าทางจะมีประวัติไม่ธรรมดาซะแล้ว ผมว่าพี่ควรระวังตัวไว้ก็ดี คนที่พัวพันอยู่รอบกายเด็กอาจพุ่งเป้ามาหาพี่ หากรู้ว่าเด็กมันยังมีชีวิตอยู่” เซย์เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง เห็นแวววุ่นวายมารอพี่ชายอยู่ตรงหน้า

“นายทำฉันเครียดแต่เช้า” ผู้เป็นพี่ว่า

“อ้าว ก็เห็นเร่งยิก ๆ พอเราหามาให้แล้วมาต่อว่า”

สายลมลูบหน้าตัวเอง เขาเครียดแบบจริงจังเลยตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็เหมือนใช่ เมื่อช่วยมาแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด

“ฝากตามต่อด้วย มีอะไรก็ส่งข่าวมาเป็นระยะ โอเคไหม?”

“โอเค แต่อย่าลืมสัญญานะลม”

“เออ ไม่ลืมหรอก ทำงานของนายให้ดีแล้วกัน” สายลมทำหน้าหน่าย ยังไม่ลืมอีก ไอ้นี่

“สายลม”

“ว่า?”

“ถ้ามีอะไรให้รีบบอก แด๊ดสั่งมา”

“หึ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเมื่อน้องชายบอกมาเช่นนั้น

“อาอัลเป็นห่วงพี่มากนะ ยิ่งได้รู้ว่าเด็กที่พี่ช่วยมามีปัญหาห้อยท้ายมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่”

“บอกพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ฉันยังจัดการได้ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ฉันจะบอก” สายลมว่า

“โอเค ดูแลตัวเองด้วย”

“อืม นายก็เหมือนกัน”

สายลมปิดเครื่องมือสื่อสารหลังคุยกับน้องชายเสร็จ ร่างสูงใหญ่ลงจากประภาคารมาเพื่อกลับไปหาเด็กที่กระท่อม ยิ่งได้รู้เรื่องราวยิ่งไม่อาจปล่อยมือ



กลับกระท่อมมา รูสก็กำลังนั่งรอกินข้าว เขาต้มหมูที่ได้มาจากบ้านใหญ่ใส่ใบมะขามไว้ให้เด็กนั่งเฝ้า หม้อไหม้หรือยังไม่รู้ป่านนี้ เมื่อล้างไม้ล้างมือขึ้นมาก็เห็นว่าข้าวปลาอาหารถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดี มีปลาย่างกับน้ำจิ้มแจ่วแถมมาด้วยอีกอย่าง ให้เขาช่วยขอดเกล็ดปลาไว้ให้ก็นึกว่าจะทำอะไร แต่ได้มาเท่านี้ก็ถือว่าไม่เลวนัก หลงไปที่ไหนก็คงไม่ถึงกับอดตาย นึกว่าเป็นลูกคุณหนูมีเงินแล้วทำอะไรไม่เป็นเสียอีก

ตั้งแต่ให้ไปอยู่บ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ เหมือนว่ารูสจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากฟาริดา เรื่องทำกับข้าวง่าย ๆ นี่ก็ด้วย เห็นฟาริดาว่าเด็กมันชอบไปชะเง้อชะแง้เวลาเธอสาละวนอยู่ในครัว พอชวนมาเป็นลูกมือก็ไม่มีปฏิเสธ สายลมจึงได้กินกับข้าวฝีมือเด็กร้อนวิชาอยู่บ่อย ๆ ก็ถือว่าไม่เลวนักสำหรับมือใหม่

เมื่อมือเรียวแกะเนื้อปลายื่นมาให้ สายลมก็อ้าปากรับ มองรอยยิ้มของเด็กตรงหน้าแล้วก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่า กว่าจะมีรอยยิ้มเช่นนี้ได้ต้องเจออะไรมาบ้างหนอ เด็กน้อย

รูสแกะเนื้อปลาที่ตนเองเป็นคนย่างเข้าปาก ใส่ปากตัวเองบ้าง ป้อนสายลมบ้าง อีกคนก็อ้าปากรับแต่โดยดี สายตาที่คอยมองจ้องทุกความเคลื่อนไหวทำให้หนุ่มน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย เหตุใดสายลมจึงมองมาแปลก ๆ

“รูส...”

“....?” เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเมื่อถูกเรียก

“อยากอยู่ที่นี่ไหม?”

“......” คำถามนั้นทำให้รูสนิ่งอึ้ง เขาอยากอยู่ แต่ว่า... แต่ว่า... จะอยู่ได้จริงหรือ?

“เธอคงเจอเรื่องเลวร้ายมามาก หากอยากอยู่ที่นี่ ฉันก็พร้อมจะต้อนรับเสมอ” เขานี่ท่าจะบ้า พูดวกไปวนมาสามวาสองศอก แค่บอกว่าอยากให้อยู่ด้วยกันก็จบแล้ว

รูสก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อนึกไปว่าสายลมคงแค่สงสาร แต่กิริยาเช่นนั้นกลับทำให้คนมองแปลความไปว่าเด็กมันคงไม่อยากอยู่ด้วย คล้ายหัวใจถูกเจาะลมจนลีบแบน เขาคาดหวังคำตอบรับมากกว่าการปฏิเสธ

“นั่นสินะ เธอคงอยากกลับบ้านมากกว่า”

รูสเงยขึ้นมามอง ส่ายหน้าแรงกว่าเดิม นั่น... เขาไม่อยากไปหรอก มันไม่ใช่บ้านของเขาแล้ว ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

“ค่อย ๆ คิดก็ได้ ได้คำตอบแล้วค่อยมาบอกฉัน” สายลมเอ่ยปลอบเมื่อเห็นเด็กหน้าเศร้า เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือ

ตัวผอมบางขยับลุก หายเข้าไปในห้องครู่หนึ่งก่อนออกมาพร้อมสมุดประจำตัว นั่งทับขาลงตรงหน้าสายลมพร้อมกางสมุดออกให้อ่านในสิ่งที่ตนเองเขียนมาจากความรู้สึกที่มี

‘ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่กับคุณ ได้ไหมสายลม?’

สายตาเว้าวอนที่ส่งมาให้คงไม่มีใครใจร้ายพอจะมองข้ามมันไป เขานี่ล่ะคนหนึ่งที่จะไม่ทำ มือหนากดสมุดที่เด็กยกขึ้นมาบังใบหน้าจนโผล่พ้นมาเพียงดวงตา ก่อนตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบาง

“นานเท่าที่ต้องการ”

ร่างผอมโผเข้ามากอด แทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ คำตอบรับแสนสั้นแต่รูสกลับรู้สึกขอบคุณมันเหลือเกิน... ขอบคุณ ขอบคุณสายลม...


......


ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก เหมาะแก่การนำเรือออกหาปลาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงวันที่ต้องนำเรือลำใหญ่ออกทำประมงอีกหน ทุกคนก็ตระเตรียมความพร้อมกันอย่างดี มีพ่อเฒ่าอาจีฟคอยพยากรณ์ทั้งเรื่องฝนฟ้าและทิศทางการเดินเรือ

สายลมนั่งรอเด็กอยู่ที่แคร่ข้างบันได เขาต้องออกทำประมงร่วมกับทุกคน พอรู้เข้าเจ้าตัวเล็กก็ขอตามไปด้วยเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ลูห์เฝ้าด้วย อยากไปกับสายลมมากกว่า เด็กมันขี้อ้อน อ้อนเอาได้ทุกอย่างเพราะเขามันขี้ใจอ่อนพอกัน ทั้งยังเห็นว่าต้องออกเรือไปนาน ไม่ไว้ใจให้อยู่ห่างหูห่างตาจึงยอมให้ไปด้วยกัน

หากนับดูตั้งแต่พารูสกลับมาก็กินเวลาไปร่วมครึ่งเดือนแล้ว พบเพียงไม่นานแต่รู้สึกคุ้นเคยจนลืมไปแล้วว่าเพิ่งรู้จัก ออกเรือไปคราวนี้ไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้าง เพราะคราวก่อนได้รูสกลับมา ก็หวังว่าหนนี้จะไม่มีตัวอะไรติดสอยห้อยตามกลับมาที่เกาะอีกหรอกนะ

ขณะที่นั่งรอเด็กเตรียมของใส่ถุงผ้าที่ได้มาจากฟาริดา เห็นเห่อใหญ่ มีอะไรก็จับใส่ถุงแล้วสะพายไปบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟทุกเช้า พอเขาอนุญาตให้ขึ้นเรือไปด้วยก็รีบหาของสำคัญมาใส่ ได้ยินเสียงเดินไปเดินมาอยู่บนกระท่อม สายลมเลยแกล้งเอ่ยเร่ง

“เสร็จหรือยัง ไม่รอแล้วนะ”

เด็กโผล่มาทำหน้าตาตื่น สายลมยิ้มขำก่อนบอกว่าล้อเล่น เจ้าตัวยุ่งหน้ามุ่ย ผลุบหายเข้าห้องไปอีกหน ไม่รู้หาอะไร ไม่เสร็จเสียที

หูแว่วได้ยินเสียงบางอย่างทำให้สายลมชะงัก ตาคมหรี่ลง ก่อนจะหันไปทางที่มีใครคนหนึ่งวิ่งหนีลูห์ออกมาจากพุ่มไม้พร้อมร้องโหวกเหวก

“ว้ากกกกกก”

สายลมผุดลุกขึ้นยืน เดินไปหาชายที่ถูกลูห์ไล่ เมื่อรู้ว่าถูกจับได้ ชายคนดังกล่าวก็ดูอึกอักทำตัวไม่ถูก สายลมมองคนตรงหน้าแล้วจึงเหลียวกลับไปมองรูสที่ยืนสะพายถุงผ้าอยู่บนกระท่อมด้วยท่าทางมึนงง ก่อนร่างผอมจะลงมารอข้างบันได

“ลุงหลง มาทำอะไรแถวนี้หรือครับ?” สายลมเอ่ยถามชายผู้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ จนถูกลูห์วิ่งไล่

นายหลง คนจากนอกเกาะที่ถูกทะเลซัดมาบนเกาะเมื่อหลายปีก่อน และได้รับการทำพิธีต้อนรับให้เข้ามาเป็นหนึ่งในคนของเกาะศิลา ท่าทางป้ำเป๋อหลง ๆ ลืม ๆ

ชายสูงวัยตรงหน้ายกถุงตาข่ายขึ้นมา มีหอยหลายชนิดอยู่ในนั้น อีกฝั่งของเกาะศิลาเป็นหน้าผาและโขดหิน ในส่วนน้ำตื้นสามารถหาเจ้าหอยพวกนี้ได้ไม่ยาก แต่ฝั่งกระท่อมของสายลมมีแต่หาดทรายสีขาวทอดยาวไปไกล หากจะบอกว่าชายสูงวัยผู้นี้เดินเลยจากอีกฟากฝั่งมาถึงที่นี่คงทำให้เชื่อได้ยากสักหน่อย

“มาไกลเลยนะครับ หลงทางหรือเปล่า?” สายลมถาม สายตาจับพิรุธ

ชายสูงวัยเกาหัวแกรก พลางหัวเราะแห้ง ๆ สายลมทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายเหลือบไปมองรูสแล้วรีบหลบตา ก่อนเฉไฉไปเรื่อยเฉื่อย

“คงหลงทางแล้วนายน้อย แหะ ๆ ผ... ผมกลับโรงพยาบาลก่อนล่ะ ได้หอยมาเยอะ จะเอาไปให้แม่สายใจทำให้กิน” ทำท่าทีป้องปากกระซิบแล้วหัวเราะชอบใจ

สายลมเพียงยิ้มมุมปาก รู้กันดีว่าลุงแกหมายปองแม่สายใจ คนครัวของโรงพยาบาล การเลือกที่จะนำชื่อของนางมาเบี่ยงเบนความสนใจของเขาถือว่าฉลาด แต่บังเอิญว่าเวลาที่เขาสงสัยใครแล้วมักจะไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นนี่สิ ทำให้เมื่อมองลุงแกเดินถือถุงตาข่ายกลับไปแล้วก็ยังครุ่นคิด รู้สึกได้ถึงความไม่ปรกติที่เกิดขึ้น

เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าเด็กมายืนอยู่ข้างหลัง ริมฝีปากหยักเปิดยิ้มแล้วรั้งแขนเรียวเล็กให้ออกเดิน รูสหันกลับไปโบกมือลาลูห์ขณะที่เดินตามสายลมไปช้า ๆ สิงโตตัวใหญ่ค่อยเดินไปอีกทาง คงกลับที่อยู่ของมัน สายลมบอกว่าลูห์ก็มีบ้าน เป็นถ้ำขนาดใหญ่มากบนหน้าผาสูงของเกาะศิลา ท่าทางดูลึกลับดีจัง

ขณะที่เด็กมัวแต่สนใจลูห์ สายลมก็หันมามอง เมื่อรูสหันกลับมาเห็นว่าเขามองอยู่ก็ยิ้ม ทำให้เขายิ้มตอบ ขณะในหัวกำลังคิดหาคำตอบ... หรือบางทีโลกมันอาจจะกลมจนเราคาดไม่ถึง


.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๔ ภาพจำ //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 25-08-2018 11:20:38

เมื่อมาถึงท่าเรือ ลูกเรือของเกาะศิลาก็กำลังเตรียมจะออกเรือกันแล้ว พอเห็นสายลมพารูสมาด้วยก็ต่างกลัวกันว่าจะพาพวกเขาซวย เรื่องเสียงเล่าลือที่ว่ารูสจะนำความวุ่นวายและอื่น ๆ อีกมากมายเข้ามาในเกาะยังไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ เมื่อสถานการณ์ดูจะไม่ดีสายลมจึงต้องให้พ่อเฒ่าอาจีฟออกโรง

“จริง ๆ แล้วถ้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น... เรายังมีพ่อเฒ่าอาจีฟคอยทำนายทายทักอยู่ไม่ใช่เหรอ ลองถามพ่อเฒ่าดูสักหน่อยไหมว่าการให้เด็กคนนี้ขึ้นเรือไปด้วยมันจะเกิดปัญหาอย่างที่ทุกคนกลัวหรือไม่ ไม่ใช่คิดกันไปเอง ใช่ไหมครับ พ่อเฒ่า?”

เมื่อสายลมโยนลูกมาให้ คิ้วชายชราก็กระตุก เล่นกันแบบนี้เลยหรือนายน้อย

“พวกเจ้าไม่ต้องกลัวไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จับเจ้าหนูนี่โยนลงทะเลไปก็สิ้นเรื่อง”

เหล่าลูกเรือฮาครืนเมื่อพ่อเฒ่าอาจีฟแก้เกมนายน้อยอย่างทันทีทันใด ขณะที่เด็กดื้อของสายลมหน้าเบ้ พ่อเฒ่าโหดร้าย จะทำแบบนั้นกับเขาได้ลงคอเลยหรือ

ทุกคนต่างทยอยขนของขึ้นเรือและตรวจดูความพร้อม คุณหมอปลายฟ้ามาพร้อมชุดปฐมพยาบาล รูสจึงเข้าไปหา เพราะนอกจากสายลมแล้ว บนเรือลำนี้ก็มีเพียงกั้งและคุณหมอปลายฟ้าที่เขารู้จัก อยู่ใกล้สามคนนี้ไว้ไม่น่าจะมีปัญหา

เรือเคลื่อนออกจากฝั่งเมื่อได้เวลา มุ่งสู่ท้องทะเลกว้างเพื่อทำภารกิจของทุกคนบนเรือให้เสร็จสิ้น ลมเย็น ๆ พัดพลิ้วมาตามทิศทางการเคลื่อนตัวของเรือ ปะทะใบหน้าหนุ่มน้อยที่มีรอยยิ้มสดใสท้าดวงตะวัน ท่าทางดูร่าเริงเกินเหตุจนสายลมยิ้มขำ

เรือมาหยุดตรงจุดที่พวกเขาได้คาดคะเนว่าปลาท่าจะชุกชุม เมื่อตะวันเริ่มลับแสงสายลมก็ลงเรือเล็กเพื่อพายมันออกไปสำรวจโดยรอบ ใช้วิธีธรรมชาติโดยการฟังเสียงปลาเพื่อจับพิกัด เวลาลงอวนลากจะได้ไม่พลาด ส่วนตัวป่วนที่เห็นใครทำอะไรก็อยากทำตามไปเสียหมดเลยได้ติดสอยห้อยตามมากับสายลมด้วย

พายเรือเล็กมาถึงจุดหมาย สายลมก็หยุดเรือ ร่างสูงใหญ่ค่อยหย่อนกายลงน้ำ รูสนั่งรอบนเรือ มองสายลมที่ดำลงไปใต้น้ำด้วยความสนใจ อยากลองฟังเสียงปลาดูบ้าง อยากรู้ว่าเสียงมันจะเป็นเช่นไร ตัวบางก้มมองราวกับจะให้มันทะลุลงไปใต้น้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเพราะก้มมากไปเลยหล่นตูมลงน้ำจนเรือน้อยลอยตุ้บป่อง

สายลมที่ทรงตัวอยู่ใต้ท้องน้ำพยายามทำสมาธิเพื่อฟังเสียงปลา เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังจึงได้หันกลับไปมอง เห็นเด็กดิ้นอยู่ในน้ำแล้วชายหนุ่มก็เกือบหลุดขำ กายแกร่งว่ายเข้าไปหา คว้าแขนเรียวแล้วรั้งให้มาด้วยกัน เด็กหยุดอาการดิ้นรนแล้วลอยตัวตีขาตามมา จนถึงจุดที่ตนเองอยู่เมื่อครู่ สายลมก็ทำมือให้เด็กหลับตา แต่เจ้าดื้อกลับส่ายหน้าเพราะกำลังจะหมดลมแล้ว มือหนาจึงคว้าต้นคอโน้มมาหา รูสรีบยกมือปิดปากที่เคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วดันออกห่างก่อนที่มันจะประกบลงมาบนปากตนเอง เขารู้ว่าจะช่วย แต่ไม่เอาแบบนี้ ขอขึ้นไปข้างบนดีกว่า

ร่างผอมถอยตัวออกห่าง ตีขาพุ่งตัวขึ้นด้านบน โผล่อีกทีกลับอยู่ไกลเรือจึงต้องว่ายไปเกาะ เมื่อจะปีนขึ้นเรือก็ทำท่าจะคว่ำอยู่หลายทีเลยต้องเกาะไว้รอสายลมขึ้นมา ท้องฟ้าที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องทำให้รอบกายมีแต่ความเวิ้งว้าง ตอนมา เขามัวตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกต พออยู่คนเดียวแบบนี้รูสก็เริ่มปอด ไม่กล้าหันมองไปทางไหน ก้มมองแต่เรือลำน้อยที่ตนเองเกาะอยู่ รีบขึ้นมาเสียทีสิสายลม รูสกลัว

ขณะที่กำลังสั่นเพราะทั้งหนาวทั้งกลัวก็รู้สึกคล้ายมีอะไรมาสัมผัสที่ขา รูสสะดุ้งเฮือก จะถกขาหนีแต่มือปริศนาใต้น้ำกลับดึงขาเขาจนร่างผอมผลุบหายลงไปในน้ำ ด้วยความตกใจทำให้แทบสำลัก

อ้อมแขนแกร่งวาดมาโอบรอบกาย ริมฝีปากหยักกดลงมาบนกลีบปากบาง ก่อนคนทำจะดีดตัวลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ รูสโผล่ตามขึ้นมาพร้อมไอโขลก พอได้ยินเสียงหัวเราะก็เหวี่ยงกำปั้นทุบคนขี้แกล้งด้วยความโมโห

“บ้า!”

เสียงแหวจากไอ้ตัวเล็กทำให้ต่างฝ่ายต่างชะงักงัน สายลมมองเด็กตรงหน้าราวกับเห็นตัวประหลาด ขณะที่รูสยกมือแตะปากตัวเอง รู้สึกอึ้งพอกัน

“รูส...” กายหนาขยับเข้ามาใกล้พร้อมเอื้อมมือจับไหล่มน “เมื่อกี้...”

“......” รูสเบี่ยงกายออก ลอยคอไปที่เรือ พยายามจะปีนขึ้น ดูทุกลักทุเลจนสายลมต้องเข้ามาช่วย

พอขึ้นเรือมาได้เด็กดื้อก็นั่งเงียบ สายลมที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลังจากปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมรอบกายอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยถาม

“ที่จริงแล้วพูดได้ใช่ไหม?”

“......” เด็กเม้มปาก ท่าทางอึดอัด

“ลองพูดให้ฟังหน่อย อยากได้ยิน”

ตากลมช้อนมอง แววหวาดหวั่นเต้นระริกอยู่ในนั้น ริมฝีปากบางค่อยเผยอขึ้นก่อนจะเปล่งเสียง แต่กลับมีเพียงเสียงลมที่ลอดผ่าน มือเรียวจับคอตนเองแล้วพยายามเค้นเสียงร้องแต่เสียงมันหายไปอีกแล้ว รูสเริ่มสติแตก พยายามเค้นเสียงจนสายลมต้องรั้งเข้ามากอดเพื่อหยุดความว้าวุ่นที่มี

“ไม่เป็นไรรูส ไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มกระซิบปลอบ มือหนาลูบแผ่นหลังบางแสนสั่นเทา

ขอบตารูสร้อนผ่าว ยิ่งสายลมอ่อนโยนกับตนก็ยิ่งแย่ อยากพูด อยากเรียกสายลม แต่ก็ทำได้เพียงกู่ร้องในใจ

สายลม...

สายลม...

สายลม...

ทำไมถึงพูดไม่ได้ ทำไม..
.

แขนแกร่งกอดร่างผอมบางอยู่ครู่ใหญ่ มีเพียงความมืดและเสียงลมหวีดหวิวดังแว่วมา ก่อนสายตาคมจะสะดุดกับบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลเรือลำน้อย จึงก้มมองเด็กในอ้อมแขนพลางบอก

“ดูสิ”

“...?”

รูสเงยขึ้นมองสายลม ก่อนจะหันไปมองทิศทางที่อีกฝ่ายพยักพเยิดบอก คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผิวน้ำเกิดการกระเพื่อมไหว ไม่ใช่คลื่น แต่คล้ายมีบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวน้ำ เมื่อเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งตากลมก็เบิกโต เพราะจุดที่เห็นมันคือหมู่ปลาจำนวนมาก

หันมาหาคนตัวโตด้วยความตื่นเต้น สายลมเก่งจัง รู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ตรงนี้ สายลมยิ้มบาง เพราะเด็กมัวแต่ตื่นเต้นกับเรื่องตรงหน้าจนลืมเรื่องเศร้าไปถนัดตา

เมื่อสายลมและรูสกลับมาที่เรือ ทุกคนจึงได้เคลื่อนไปยังจุดที่สายลมบอกเพื่อลงมือจับปลากัน เจ้าหนูรูสตื่นเต้นใหญ่ที่ได้มาเห็นของจริง ตอนนั้นที่ขึ้นเรือมาไม่ได้เห็นแบบนี้ เพราะฟื้นมาเรือก็กำลังมุ่งกลับเกาะศิลาแล้ว ในใจวาดหวังว่าอยากมาอีกบ่อย ๆ อยากมา แต่... จะได้มาอีกไหมนะ?

ใบหน้าเรียวหันไปมองสายลมที่กำลังควบคุมการทำงานบนเรือ สายลมบอกแล้วนี่นาว่าเขาสามารถอยู่ได้นานเท่าที่ต้องการ รอยยิ้มละมุนแตะแต้มริมฝีปาก ถ้าจะขออยู่ตลอดไปก็อย่ามาว่าเขาทีหลังแล้วกัน

ครืนนนนน

เสียงท้องฟ้าร้องครืนโดยไม่มีเค้าลางมาก่อนทำให้หลายคนเงยมองอย่างวิตก สายลมหน้าเครียดเมื่อเห็นฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนวันที่พบกับรูสไม่มีผิด ชายหนุ่มละมือจากงานมาหารูสด้วยความเป็นห่วง แต่กลับไม่เห็นแม้เงา จึงไต่ถามลูกเรือของตน

“ใครเห็นรูสบ้าง?”

หมอปลายฟ้าพยักหน้าไปทางห้องพักของเรือ สายลมจึงเดินเข้าไปด้านใน เห็นเด็กนั่งขดตัวเอามือปิดหูแล้วสะท้อนในอก

“รูส”

“อ๊า!!”

มือหนาเอื้อมไปแตะ ทำให้รูสสะดุ้งแล้วร้องออกมา สายลมนิ่งอึ้ง มองเด็กหอบหายใจเพราะตกใจกลัว ความมืดมนและฟ้าร้องฟ้าแลบด้านนอกเหมือนวันนั้นทำให้รูสตัวสั่นเพราะความทรงจำแสนเลวร้ายมันหวนกลับมา สายลมค่อยย่อตัวลงแล้วยื่นมือไปหา ร่างผอมมองเขาอยู่เพียงครู่ก็เข้ามากอด เพราะรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ถูกอ้อมแขนแข็งแรงนี้โอบกอดราวปกป้อง

“ไม่มีอะไร แค่ฟ้าร้อง มันหยุดแล้วเห็นไหม?” เสียงที่เอ่ยปลอบทำให้รูสเริ่มสงบลง ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังเบา ๆ ทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นค่อยคลายลงช้า ๆ

หมอปลายฟ้าเข้ามาในห้อง เมื่อสายลมเงยมองเขาจึงว่า “ได้ยินเสียงร้อง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

สายลมออกมาคุยกับหมอปลายฟ้าที่ด้านนอก ขณะที่รูสอยู่ในห้อง ไม่กล้าตามออกมาเพราะกลัวฟ้ามันร้องมันแลบอีก

“เหมือนเสียงเขาจะกลับมาเป็นพัก ๆ” สายลมบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

“อืม... ถ้ากระตุ้นบ่อย ๆ พยายามให้เขาฝึกออกเสียง ถ้าไม่ได้มีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้นข้างในก็อาจจะพอช่วยได้นะ” หมอปลายฟ้าเอ่ยแนะ

สายลมครุ่นคิด ตั้งแต่วันที่พากลับมาด้วยเด็กมันก็ไม่เคยพูดเลย เวลาจะสื่อสารกันทีก็เขียนให้อ่านอย่างเดียว มีแต่ยิ้ม หัวเราะ ไปตามประสา ไม่เคยคิดจะพูด นอกจากครั้งแรกที่ฟื้นขึ้นมาเห็นหน้าสายลมแล้วดิ้นหนีเอาเป็นเอาตายนั่น คงเพราะคิดว่าเสียงตนเองหายไปเลยไม่พยายามที่จะพูดอีก อาจเพราะกลัวผิดหวังเหมือนเช่นวันนี้ที่อยู่ ๆ มันก็กลับมา แต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไป



เมื่อหันหัวเรือย้อนกลับขึ้นฝั่งหลังเสร็จสิ้นการทำประมงแล้ว สายลมก็ให้กั้งพาหมอปลายฟ้ากลับไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเตรียมเครื่องมือมาช่วยตรวจดูอาการรูส เจ้ากั้งไปเอาจักรยานจากที่บ้านของมันที่อยู่ไม่ไกลท่าเรือมา พอขึ้นเนินมาได้ก็ให้คุณหมอซ้อนท้ายกลับบ้าน กะจะนั่งรอจนคุณหมอตระเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วจึงจะพาซิ่งมาหานายน้อยที่กระท่อมริมเล

ขณะที่สายลมเองก็พาเด็กกลับกระท่อมพร้อมกระชังปลา ตัวบางวิ่งมาถึงกระท่อมแล้วก็ชะงัก เหลียวมองรอบกายที่มีแต่ความเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าลูห์หายไปไหน เห็นดังนั้นแล้วสายลมก็ยิ้มมุมปาก ก่อนเรียกลูห์ออกมาให้ พอเห็นลูห์โผล่มาเจ้าดื้อมันกลับวิ่งมาหลบหลังเขาเสียอย่างนั้น เอาไงแน่เด็กคนนี้

“ไปอาบน้ำเถอะไป ตัวเหนียวหมดแล้ว” เขาเอ่ยบอก

รูสค่อยขยับไปข้าง ๆ ตากลมมองลูห์ไปด้วย เมื่อพ้นรัศมีที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้วก็วิ่งตื๋อขึ้นกระท่อมไปเตรียมชุดมาอาบน้ำ ท่าทางเด็กจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะรู้สึกว่าจะชอบน้ำมาก บางวันก็นั่งขัดนั่งถูตัวอยู่นานสองนานจนสายลมนึกว่าหายไปไหน

เจ้ากั้งพาหมอปลายฟ้ามาหลังจากนั้น รูสที่อยู่ในชุดใหม่นั่งทับขาเสียเรียบร้อยรอคุณหมอมาตรวจ สายลมกะว่าให้ลองตรวจดูคร่าว ๆ ก่อนไปที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น เพราะอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นั่นครบครันกว่า เมื่อหมอปลายฟ้าดูสภาพภายในช่องปากและคอแล้วผลก็ปรากฏว่าทุกอย่างปรกติดี อาจเพราะตกใจที่ตัวเองพูดไม่ได้เลยไม่ยอมพูดเสียนานทำให้ไม่รู้ว่าเสียงมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปรกติได้

“เอาล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปที่โรงพยาบาลอีกทีนะ จะได้ตรวจให้ละเอียด” คุณหมอหนุ่มสรุปพร้อมรอยยิ้มใจดี

รูสพยักหน้ารับ ก่อนไหว้ขอบคุณคุณหมอ

“ขอบคุณนะหมอ” สายลมเอ่ยบอก

ซึ่งหมอปลายฟ้าก็พยักหน้าให้ก่อนส่งกล่องเครื่องมือให้เจ้ากั้งเอาไปใส่ตะกร้าหน้ารถ มันเข็นไปจนพ้นหาด หมอปลายฟ้าจึงขึ้นซ้อนท้ายเพื่อกลับบ้าน แอบค่อนขอดเจ้าของรถในใจ จะเอารถไปรับเขาทั้งทีก็ดูดีเหลือเกิน จักรยานของแม่มันที่ปั่นไปเล่นไพ่ในหมู่บ้าน

การนำยานพาหนะข้ามฟากมายังเกาะศิลาค่อนข้างลำบาก ต้องขนมากับเรือที่นาน ๆ ครั้งจะขึ้นเทียบท่าฝั่งไทย ครอบครัวไหนที่ไม่มีเงินก็อาศัยการเดิน เดินกันจนชิน ส่วนครอบครัวที่เก็บหอมรอมริบได้หน่อย อยากไปมาสะดวกขึ้นก็ซื้อจักรยานจากฝั่งไทยข้ามมาใช้ที่นี่ รถที่ใช้น้ำมันบนเกาะมีน้อยคัน เพราะไม่มีถนนใหญ่ ๆ ให้วิ่งจึงมีแต่รถพยาบาลเป็นหลัก

เมื่อคุณหมอปลายฟ้ากลับไปแล้ว สายลมจึงลองชวนเด็กคุย เผื่อเด็กมันนึกอยากจะพูดขึ้นมาบ้าง

“หมอบอกว่าให้หัดออกเสียง อาจจะเริ่มจากสิ่งที่อยากพูด ค่อย ๆ ลองดู”

เขาเอ่ยแนะ แต่เด็กยังนั่งนิ่ง ไม่หือไม่อือ

“มีอะไรอยากพูดไหม?” ชายหนุ่มย่นคิ้ว

รูสเข้าไปเอาสมุดมาเขียน สายลมมองแล้วก็ถอนใจ บอกให้พูดยังจะเขียนอีกเด็กคนนี้ เมื่อเขียนเสร็จก็ยกขึ้นมาให้สายลมดู

‘มันเยอะไปหมด’ เด็กดื้อว่าอย่างนั้น

“ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้... เอาคำที่อยากพูดตอนนี้มีไหม เช่น... หิวข้าว”

รูสหัวเราะตาปิด

“หัวเราะทำไม ฉันไม่รู้นี่ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เด็กดื้อ”

มือหนาเอื้อมมาบีบจมูก เด็กทำปากยื่น ก่อนจะวางสมุดแล้วคุกเข่าโน้มตัวไปหา ใช้มือป้องปากก่อนกระซิบข้างหู

‘สายลม’

สายลมนิ่งอึ้ง ค่อยเบือนสายตามามองคนพูด เสียงที่ได้ยินเบามาก มีลมแทรกมาแต่ก็พอจับใจความได้ว่าเรียกชื่อเขา สายตาคมมองเด็กที่ผละไปก้มเขียนอะไรบนสมุดยุก ๆ ยิก ๆ ก่อนเปิดให้เขาดูพร้อมรอยยิ้มน่ารัก

‘อยากพูดคำนี้ที่สุด’

มือหนายีผมนิ่มด้วยความมันเขี้ยว อดยิ้มออกมาไม่ได้กับความน่าเอ็นดู ในใจเต็มตื้นบอกไม่ถูก


......


โรงพยาบาลประจำเกาะศิลาในยามเช้า สองหนุ่มต่างวัยมาหาคุณหมอปลายฟ้าตามนัด หนุ่มน้อยตรงกลางสะพายถุงผ้าคล้องไหล่เดินตัวลีบติดกับคนตัวโตข้างกาย เพราะอีกด้านถูกขนาบด้วยสิงโตยักษ์

หลังจากเข้าไปให้คุณหมอปลายฟ้าตรวจดูโดยละเอียด รูสก็ออกมาหาลูห์ที่หน้าโรงพยาบาล นั่งอยู่ในนั้นมีแต่คนมองจนเขาทำตัวไม่ถูก จึงเลือกมานั่งที่ม้านั่งใต้ร่มไม้หน้าโรงพยาบาลจะดีกว่า สายลมก็กำลังคุยเรื่องอะไรไม่รู้กับหมอ เขาฟังไม่รู้เรื่องเลยเดินแยกออกมา

ลมเย็น ๆ พัดโชย มีไอแดดปนมาบ้าง แต่ตรงที่เขานั่งมันเป็นที่โล่ง ทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาด้วยจึงทำให้ไม่ร้อนนัก อากาศกำลังสบายทีเดียว ลูห์เลือกที่นอนได้เหมาะ

กล่องขนมที่ได้มาจากคุณหมอปลายฟ้าถูกเอาออกจากถุงผ้ามาแกะ เหมือนจะเป็นขนมเคลือบน้ำตาล เขาเรียกว่าอะไรรูสก็ไม่รู้ แต่รสชาติออกหวาน ๆ เค็ม ๆ อร่อยดี นิ้วเรียวจับใส่ปากเคี้ยวกินหนุบหนับ ตากลมเหลือบมองลูห์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ค่อยแกะขนมออกมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นไปให้ ลูห์หันมามอง นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะอ้าปากงับ แต่รูสกลับถกมือหนีเพราะกลัวมันงับแขนเสียอย่างนั้น

นัยน์ตาสีทองมองจ้อง อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าหวือ โบกไม้โบกมือว่าตนเองไม่ได้แกล้ง แค่ตกใจนิดหน่อย แต่ดูเหมือนลูห์จะไม่หายเคือง รูสจึงหยิบขนมชิ้นใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมยื่นให้ ลูห์หันหนี ไม่สนใจไยดี แต่เจ้าตัวบางก็ยังถือค้างไว้ให้ กลัวลูห์กัดโดนมือก็กลัว แต่ไม่อยากโยนลงพื้นนี่ หันมาหน่อยสิ เขาไม่เอาหนีแล้วน่า

เมื่อเห็นว่าเด็กมันตั้งใจจะให้จริง ๆ ลูห์จึงหันกลับมาจ้องตาวัดใจ เมื่อมันจะงับขนม รูสก็เกือบจะถกมือหนีแต่ชะงักไว้ทัน จนลูห์งับเข้าปาก ไอ้ตัวเล็กจึงยิ้มออกมาได้ คราวนี้เลยกินไป แบ่งให้ลูห์ไปด้วย ขณะที่กำลังเพลิน ลิ้นสากกลับตวัดเลียนิ้ว รูสผุดลุกพรวดแล้ววิ่งไปหลบหลังต้นไม้

ลูห์หันไปมองด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ทำเหมือนจะหลบพ้นอย่างนั้นล่ะถ้าเกิดมันนึกอยากจะกินขึ้นมา สิงโตตัวใหญ่พ่นลมหายใจ ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็กลัวไปเองเสียแล้ว

สายตาคู่หนึ่งคอยมองจ้องทุกอิริยาบถ รูสกลับมานั่งลงที่เดิม เมื่อรู้สึกว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตาก็เริ่มมองหา บริเวณนี้ไม่มีใครนอกจากเขากับลูห์ จนกระทั่งไปสะดุดเข้ากับคนของโรงพยาบาลที่กำลังปัดกวาดใบไม้อยู่กลางแดด เพราะอีกฝ่ายรีบหลบสายตาทำให้น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นคนที่จ้องมองเขาอยู่

รูสขยับลุกจะก้าวไปหาคน ๆ นั้นโดยไม่ทันฉุกคิด แต่ยังไม่ทันจะก้าวได้เต็มเท้าลูห์ก็กางเล็บรั้งชายเสื้อจนตัวบางเกือบหงายหลัง เมื่อเอี้ยวหน้ากลับมามองลูห์ก็ปรายสายตามองม้านั่ง บังคับให้ไอ้เด็กดื้อกลับไปนั่งที่เดิม เด็กทำแก้มพอง แต่ที่สุดแล้วก็ยอมถอยกลับไปนั่งแต่โดยดี

ตากลมมองด้านหลังของบุคคลต้องสงสัย อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของสายตาที่มองจ้องจนรู้สึกได้นั้นไหม แต่คงต้องรอให้สายลมออกมาก่อนแล้วจึงค่อยบอกให้ช่วยไปถามจะดีกว่า เดี๋ยวลูห์จะไม่แค่กางเล็บ แต่อาจจะตะปบแล้วงับหัว เขาไม่อยากเสี่ยง

เมื่อสายลมออกมารูสก็รีบลุก อ้าปากทำท่าจะบอกอะไรบางอย่างแต่แล้วก็งับปากลงแล้วยิ้ม

“อะไร?” สายลมเลิกคิ้วพลางถาม

ตัวเล็กส่ายหน้า แต่คนมองไม่เชื่อ

“เมื่อกี้เหมือนมีอะไรจะบอก”

พอถูกท้วงมาแบบนั้นก็ทำแก้มพอง ก็คนมันพูดไม่ได้ จะอธิบายอย่างไรล่ะ สายลมนี่ล่ะก็ เมื่อไม่รู้จะบอกอย่างไรรูสจึงลองทำท่าทำทางให้ดู นิ้วเรียวชี้ไปทางคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ ถอนหญ้าอยู่ในสวนของโรงพยาบาล

“อ่าฮะ”

สายลมมองตามมือแล้วทำเสียงรับรู้ นิ้วนั้นจึงเบนเป้าหมาย เปลี่ยนมาใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางจิ้มตาโต ๆ ของตัวเอง ก่อนจะชี้ที่ตัว

“อะไรของเธอ?” เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ เด็กเลยหน้ามุ่ย

‘เห็นไหมล่ะ บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง’
แอบค่อนขอดคนตัวโตในใจ

สายลมยิ้มขำ หันไปมองลูห์ที่ลุกขึ้นมายืนข้างกาย ก่อนหันมาพูดกับเด็ก

“ถูกลุงเขาจ้องเหรอ?”

รูสตาโต อ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อหันไปมองลูห์สลับกับสายลม ทำไมคุยกับลูห์รู้เรื่อง ทีกับเขาออกท่าออกทางตั้งเยอะก็ยังไม่รู้ ฮึ่ย!

ข้อสงสัยที่ยังไม่สามารถตัดออกไปจากความนึกคิดทำให้สายลมเข้าไปคุยกับผู้ที่ทำงานอยู่ในสวนหย่อม ลุงหลงคนนี้อีกแล้ว การที่ชายสูงวัยผู้นี้ไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ แถวกระท่อมริมหาดของเขาคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในวันนั้นเขายังไม่รู้ถึงเป้าหมายลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ แต่วันนี้เขาเริ่มจะเห็นเค้าลางบางอย่าง

มือหนาเอื้อมไปแตะบ่าทำให้คนที่กำลังนั่งถอนหญ้าสะดุ้ง เมื่อหันมาเห็นสายลมก็ชะงักไป ก่อนจะรีบดึงผ้าโพกศีรษะมาปิดหน้าปิดตาเมื่อรูสโผล่หน้ามาให้เห็น หนุ่มน้อยทำหน้าตาเหรอหราแอบอยู่ข้างหลังสายลม ค่อยชะเง้อชะแง้แลมาดู

“ลุง พักหน่อยไหมครับ แดดแรงแล้ว”

สายลมเปิดประโยค เมื่อเขาพูดกับแก แกกลับส่ายหน้าแล้วตั้งท่าจะไปทำงานต่อ สายลมจึงเอื้อมรั้งไหล่แกไว้ ก่อนกระซิบถาม

“ลุงรู้จักเด็กที่มากับผมด้วยเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้ชายสูงวัยผู้มีสติไม่สมประกอบนิ่งไปชั่วขณะ แต่นั่นก็เพียงพอให้สายลมจับสังเกตได้แล้ว

“นะ... นายน้อย ลุงจะทำงาน หมอว่า... หมอจะว่า”

ดูเหมือนแกจะอยากไปทำงานของแกให้ได้ สายลมจึงว่าเสียงเข้ม “หมอไม่ว่าหรอกถ้ารู้ว่าลุงคุยกับผม”

“......”

“เผื่อวันหลังลุงเดินหลงไปที่กระท่อมของผมอีก เราคงต้องคุยกันสักหน่อยนะครับ”

ปิดท้ายเพียงเท่านั้นแล้วสายลมจึงปล่อยให้แกไปทำงาน เมื่อเป็นอิสระแล้วแกก็รีบกุลีกุจอไปรวบหญ้าใส่กระสอบ สีหน้าสายลมดูเรียบเฉย ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิด

รูสมองคุณลุงท่าทางจะทำงานเหนื่อยแล้วก็สงสาร มือเรียวค้นถุงผ้าแล้วหยิบขนมอีกกล่องที่ได้มาจากหมอปลายฟ้ายกให้กับคุณลุง ดวงตาภายใต้หมวกปีกกว้างและผ้าโพกศีรษะเหลือบขึ้นมามองรอยยิ้มจริงใจที่เด็กตรงหน้ามีให้ มือสากจากการทำงานยื่นออกไปรับมาแล้วก้มหน้าพึมพำ

“ขอบคุณครับ... คุณหนู”

รูสชะงัก มองชายตรงหน้าด้วยความตกตะลึง แม้จะมีผ้าโพกศีรษะคอยปิดบังใบหน้า แต่ความรู้สึกของเขากลับบอกว่าใช่ มันคลางแคลงใจจนมือเรียวต้องเอื้อมไปหา หมายจะเปิดผ้าที่ปิดคลุมใบหน้านั้นออก ในใจเต้นระทึก มันทั้งอยากรู้และกลัวไปพร้อม ๆ กัน

“รูส”

เสียงเรียกจากสายลมทำให้เขาชะงัก มือเรียวที่เอื้อมค้างค่อยกำเข้าหากัน ก่อนที่มันจะถูกลดลงมาข้างตัว บางทีเขาอาจเข้าใจผิด มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนตายไปแล้วจะกลับฟื้นคืน ตัวบางหันกลับแล้วออกเดินตามสายลม เมื่อก้าวห่างออกมาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองชายผู้นั้น สีหน้าหนุ่มน้อยดูสับสนไม่แน่ใจ ก่อนจะหันกลับมาแล้วเร่งฝีเท้าให้ทันสายลมและลูห์ที่หยุดรอ มือแตะจี้ทรงกลมที่อก เคยมีคนพูดแบบนี้กับเขา เรียกเขาแบบนี้ ด้วยคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้...

‘ขอบคุณครับคุณหนู…’

ช่างเหมือน... เหมือนกันจนเขาตกใจ

‘คุณหนูอย่าดื้อกับคุณท่านสิครับ’

‘เด็กดี’

‘ไม่เป็นไรนะครับคุณหนู ถ้าผมยังอยู่ ใครก็ทำร้ายคุณไม่ได้ทั้งนั้น’

‘คุณหนูครับ’

‘คุณหนู...’


ยิ่งนึกถึงหัวใจยิ่งเจ็บร้าว ภาพความทรงจำเก่า ๆ ภาพคืนวันที่เคยมีความสุข ภาพรอยยิ้มของคนสำคัญ และภาพสุดท้ายที่เขาคนนั้น... จากไป

ฟันคมกัดริมฝีปากตนเอง นัยน์ตากลมระริกไหว ขณะที่มือกำสร้อยแน่น ของสำคัญที่ใครคนนั้นให้มา คนที่ดีกับเขาที่สุดในชีวิต...

‘พ่อ...’




TBC




บวกขอบคุณคุณกาแฟด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๕ เผยตัว //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 25-08-2018 14:17:53
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๕ เผยตัว



รูสนั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล และเพราะวันนี้สายลมพาเขาไปที่นั่นจึงไม่ได้ไปคุมงานที่เหมือง เมื่อมีสายลมอยู่ด้วยจึงทำให้รูสไม่ต้องไปบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ มีเรื่องราวมากมายที่รูสอยากบอกให้สายลมรับรู้ แต่มันก็มีหลายอย่างที่ไม่อยากนึกถึง และบางเรื่องมันก็ดูไม่สมควรจะนำมาบอกคนอื่น รูสจึงได้แต่สองจิตสองใจ เพราะไม่รู้ว่าควรจะฟังความคิดฝั่งไหนมากกว่ากัน

สายลมที่มองอยู่นานแล้วเดินเข้ามาหา ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างกายผอมก่อนเอ่ยถาม

“รู้จักเขาเหรอ?”

รูสหันมามองคนถามด้วยสีหน้างงงัน สายลมจึงขยายความ

“คนที่เจอในโรงพยาบาล ลุงคนนั้นน่ะ... รู้จักใช่ไหม?”

เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร รูสก็มีท่าทีคิดหนัก ความสับสนเผยออกมาให้คนข้างกายได้เห็น เสียงทุ้มจึงเอ่ยขึ้นมา

“ถ้าพอจะไว้ใจฉันอยู่บ้าง...”

“......”

“มีอะไรก็อยากให้บอกสักนิด แต่ถ้าไม่...”

เจ้าตัวเล็กรีบส่ายหน้าเพราะกลัวสายลมเข้าใจผิด ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ เขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าควรจะบอกดีหรือไม่ เพราะปัญหามันเป็นของเขา หากบอกออกไปก็เท่ากับนำปัญหาไปเพิ่มให้สายลม

มือเรียวค้นถุงผ้าทำท่าจะเอาสมุดออกมาเขียน แต่สายลมทำเสียงขัดในลำคอทำให้ต้องชะงักแล้ววางมันลง ก่อนมองหน้าอีกฝ่ายแล้วพูด

‘ไม่แน่ใจ’

มองริมฝีปากที่ขยับเป็นคำพูดแล้วสายลมจึงถามกลับ “อะไรคือไม่แน่ใจ คิดว่าเขาเป็นใครงั้นเหรอ?”

ตากลมช้อนขึ้นมามองก่อนหลุบลงไปแล้วพึมพำ ทำให้สายลมต้องจับใจความจากริมฝีปากที่ขยับแต่ไร้เสียง

‘พ่อ...’

คิ้วชายหนุ่มขมวด พ่อ อย่างนั้นหรือ ไหนข้อมูลที่ได้จากเซย์คือผู้ที่เป็นบิดาของรูสเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่รูสหกขวบ แล้วเหตุใดรูสถึงบอกว่าลุงหลงเหมือนพ่อ ศาสตราจารย์คนนั้นหน้าตาแบบนี้เองหรือ ที่บอกไม่แน่ใจคงเพราะรูสไม่เห็นหน้าจึงไม่มั่นใจว่าใช่ อย่างนั้นสินะ

“อะไรที่ทำให้คิดว่าเป็นพ่อ?” เขายังถามต่อ

นิ้วเรียวยกขึ้นมาแตะที่อกข้างซ้ายของตัวเอง สายลมนิ่งไปเมื่อเห็นเช่นนั้น ใช้ความรู้สึกอย่างนั้นหรือ?

เขาอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเด็กตรงหน้า แต่ก็ไม่อยากคาดคั้นเอาความ หากรูสเชื่อใจเขาคงบอกอะไรมากขึ้นกว่านี้ ที่ทำได้เวลานี้ก็คือรอให้เด็กยอมเปิดใจ

“ถามได้ไหมว่าพ่อของเธอชื่ออะไร?”

คำถามของเขาทำให้เด็กนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนบอก ‘ริวอา’

ริวอา สายลมทวนชื่อนั้นในใจ ศาสตราจารย์นั่นไม่น่าจะชื่อริวอา คิดแล้วสายลมก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ ชีวิตรูสมีเรื่องซับซ้อนกว่าที่คาด ลุงหลงอาจเป็นริวอา บิดาของรูส หรืออาจไม่ใช่ เด็กคนนี้ช่างเจอเรื่องราวมาหนักหนาเหลือเกิน ทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องที่ถูกหมายเอาชีวิต

มือเรียวเอื้อมมาเขย่าแขนทำให้สายลมหลุดจากภวังค์ หันมามองเด็กข้างกาย สมุดเล่มบางถูกยกขึ้นมาให้อ่าน เพราะเป็นประโยคที่ค่อนข้างยาว รูสจึงเลือกที่จะเขียน หากพูดในขณะที่ไร้เสียงก็กลัวว่าจะไม่สามารถสื่อสารกับสายลมได้รู้เรื่อง

‘มีหลายเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าควรจะบอกคุณดีไหม เพราะใจหนึ่งก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้คุณ แต่ว่าใจหนึ่งก็อยากให้คุณรู้’

สายตาคมไล่อ่าน ก่อนเลื่อนลงมาอ่านประโยคถัดไป

‘คุณคิดว่าผมเป็นตัวปัญหาสำหรับคุณหรือเปล่า?’

สายลมเงยขึ้นมองหน้าเด็กที่ฉายแวววิตกให้เห็น “ฉันไม่เคยคิดว่าเธอเป็นตัวปัญหา คนเราย่อมมีเรื่องราวที่สามารถบอกได้และไม่ได้ แต่เมื่อไรก็ตามที่เธออยากบอก ฉันก็ยินดีจะรับฟังเสมอ”

รูสยิ้มบาง ‘ขอบคุณ’

มองรอยยิ้มของรูสแล้วสายลมกลับรู้สึกหม่นหมอง จะหาว่าเขายุ่งวุ่นวายก็ช่างเถิด เพราะถึงอย่างไรเขาก็จะต้องค้นหาความจริงและปกป้องเด็กคนนี้ให้ได้ ถึงแม้ไม่ขอ เขาก็จะช่วย



สายลมฝากลูห์เฝ้าเด็ก ส่วนตนเองไปที่ประภาคารเพื่อติดต่อน้องชาย ถ้าเขาออกจากเกาะได้คงดีกว่านี้ แต่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจพอที่จะปล่อยรูสไว้ที่นี่คนเดียว เมื่อสืบหาเองไม่ได้ก็จำต้องให้น้องชายช่วย

“ลม พี่ไม่ดูเวลาเลยนะว่าตอนนี้ที่อังกฤษมันกี่โมง เอาสะดวกตัวเองตลอด” คนเป็นน้องบ่น ท่าทางดูงัวเงียเพราะถูกปลุกขึ้นมากลางดึก

“อย่าบ่นนักเลยน่า ฉันจะทำงานใช้ให้สองเท่า”

“มีอะไรว่ามาเลย” เปลี่ยนท่าทีรวดเร็วจนคนเป็นพี่หน่าย

“คนที่นายบอกว่าเป็นพ่อของรูสน่ะ นายยังไม่ได้บอกชื่อของเขาเลย”

เซย์เลิกคิ้วแปลกใจ “นึกยังไงถึงอยากรู้ ผมขี้เกียจอ่านให้ฟัง เดี๋ยวส่งไฟล์เอกสารให้ไปอ่านเองแล้วกัน ง่วงฉิบ”

เซย์ก้มพิมพ์อะไรบางอย่างเพียงไม่นานไฟล์ก็เด้งมาที่ถาดข้อความ เมื่อผู้เป็นพี่ชายได้รับแล้ว เซย์จึงขอตัวไปนอนต่อ สายลมไล่อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้รับมา ดวงตาคมฉายแววประหลาดใจ ชื่อบิดาของรูสคือ ศาสตราจารย์ภิชาติ ธรรมวงศา ไม่ใช่ริวอา

ชายหนุ่มลูบคาง ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ริวอาคือใคร หากนายภิชาติคนนี้ไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของรูสแต่เป็นริวอา แล้วเหตุใดรูสจึงได้กลายเป็นลูกของนายภิชาติ ลูกบุญธรรมหรือ แต่ตามประวัติไม่ได้บอกไว้ว่านายภิชาติรับเด็กคนนี้มาเลี้ยง ประวัติเด็กมันขาดหายไปเมื่อสิ้นนายภิชาติ ราวไร้ตัวตนจนกระทั่งงานศพคุณหญิงพจนีย์ ผู้เป็นมารดา และหลังจากนั้นก็ไม่มีคนกล่าวถึง ไม่ว่าตามหน้าสื่อสิ่งพิมพ์หรือคนใกล้ชิด

ช่วงที่มันขาดหายไปนั่น รูสไปอยู่กับใครหรือไปทำอะไรที่ไหน แล้วริวอาตอนนั้นอยู่ที่ไหน ทำไมไม่รับรูสกลับไปดูแล มันเป็นปริศนาที่ยังขบไม่แตก แต่เมื่อนึกดูดี ๆ แล้วสายลมก็สะกิดใจกับอะไรบางอย่าง ช่วงที่ลุงหลงมาที่นี่คือเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นรูสน่าจะอายุสิบสอง บิดาเสียชีวิตตอนหกขวบ มารดาก็มาด่วนจากไปตอนรูสย่างแปดขวบ นั่นก็แสดงว่าหลังจากนั้นอีกสามถึงสี่ปีลุงหลงถึงได้ถูกทะเลซัดมา ระหว่างนั้นลุงแกอาจอยู่กับรูส หรือไม่ใช่?

คิ้วเข้มขมวด สิ่งที่เขามั่นใจในตอนนี้คือคนที่รูสไปอยู่ด้วยช่วงรอยต่อนั่นคือคนที่ปองร้ายรูส แต่ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนนั้นคือใคร ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้น เวลาที่รอเด็กเปิดใจเขาคงอยู่เฉยไม่ได้ ลุงหลงอาจเป็นกุญแจสำคัญ เท่าที่ดู ลุงแกก็อายุมากแล้ว หากรูสเป็นลูกของแกจริง แกก็คงมีลูกตอนอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ อย่างนั้นสินะ เรื่องนี้มันต้องมีทางออกสิน่า และลุงหลงนี่ล่ะที่เป็นทางออกสำหรับเขา ขอให้สิ่งที่รูสรู้สึกมันถูกต้องด้วยเถิด เขาจะได้คลายปมนี้ได้เสียที



ขณะเดียวกันที่กระท่อมหลังน้อย เหนือเมฆกับพวกก็มาสอดส่องดูช่องทาง เมื่อเห็นลูห์เฝ้าอยู่ก็ได้แต่หงุดหงิด ไอ้สายลม ตัวมันไม่อยู่ยังให้ลูห์มาเฝ้า ถ้าไม่มีสิงโตบ้านี่สักตัวพวกเขาคงทำอะไรได้ง่ายขึ้น ลูห์มันทั้งคอยปกป้องสายลม ตอนนี้ก็ยังมาปกป้องเด็กนั่นด้วย การเข้าถึงตัวลูห์มันยาก เพราะกลิ่นที่จะลอยไปกระทบทำให้ลูห์รู้สึกตัว แม้อยู่นอกทิศทางลมแต่ลูห์ก็ยังมีประสาทสัมผัสไวทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าถึง พวกมันได้แต่เจ็บใจกลับไปที่หาทางทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

ตึง!!

ร้านเหล้าท้ายหมู่บ้าน เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นจนลูกกระจ๊อกพากันสะดุ้งเรียงตัว สีหน้าเหนือเมฆที่เริ่มกรึ่ม ๆ ดูกราดเกรี้ยว เมื่อจะลงมือทำอะไรทีก็มีลูห์มาขัดอยู่ตลอด

“ถ้าจัดการไอ้สิงโตนั่นได้ การเข้าถึงตัวสายลมก็ไม่ใช่เรื่องยาก” ชายหนุ่มคำรามในลำคอ

“แล้วเราจะทำยังไง เข้าไปจัดการมันก็มีแต่จะตายกับตายสถานเดียว ข้าหมายถึงเรานะที่จะตาย เพราะลูห์มันไม่ปล่อยพวกเราเอาไว้แน่” อีกคนว่าพลางยิ้มหยัน

“ข้าอดทนรอมาหลายปี หาทางกำจัดมันมาตลอดแต่มันก็รอดไปทุกครั้งเพราะลูห์คอยช่วย” เหนือเมฆว่าอย่างคับแค้นใจ

“เราไม่มีทางทำอะไรลูห์ได้ นอกเสียจาก... ยิงมัน”

ข้อเสนอแนะนั่นทำให้เหนือเมฆตวัดสายตามามองพร้อมตวาด “เอ็งก็พูดไม่คิด เราจะไปเอาปืนมาจากไหน หรือจะใช้ปืนที่เอ็งยิงนกยิงหนูไปยิงมันหา โง่!!”

แกร๊ก

เสียงวัตถุบางอย่างถูกวางลงบนโต๊ะที่พวกมันนั่งอยู่ พวกมันหันมามองแล้วพากันตกตะลึง เมื่อสิ่งที่ถูกวางลงมาคือวัตถุสีดำมะเมื่อมที่พร้อมจะปลิดชีวิตทุกคนได้เพียงขยับปลายนิ้ว

“อยากได้ปืนเหรอ?”

เสียงของผู้ที่วางปืนกระบอกนั้นลงมาเอ่ยถาม เหนือเมฆมองอย่างไม่ไว้ใจ

“ข้าให้”

คนคนเดิมยังว่าต่อ เหนือเมฆและพวกต่างอึ้งกันไป หันมองกันด้วยสีหน้าประหลาด

“แต่อย่าโง่ใช้ยิงสิงโตล่ะ” ทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นแล้วอีกฝ่ายก็จะเดินออกไป

เหนือเมฆรั้งไว้เพื่อไขข้อข้องใจ “ทำไมถึงเอามาให้ข้า ท่านเป็นศัตรูของสายลมเหรอ?”

คนผู้นั้นค่อยหันมาแล้วยอกย้อน “คิดว่าไงล่ะ?”

“ถ้าอย่างนั้นในเมื่อท่านมีปืนอยู่ในมือ ทำไมถึงไม่ยิงมัน?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ แววตาดูยังคลางแคลงคนตรงหน้า

อีกฝ่ายถอนใจด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย “ถ้าข้ายิงมันตาย เอ็งก็ไม่ได้แก้แค้นแทนพ่อเอ็งน่ะสิ จริงไหม?”

เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงบิดาของตน เหนือเมฆก็ชะงัก “รู้จักพ่อข้าด้วยเหรอ?”

“รู้จักดีเชียวล่ะ” ริมฝีปากคนพูดยกยิ้มแสยะ ก่อนจะเดินจากไปโดยทิ้งปริศนาเอาไว้ให้อีกฝ่ายขบคิด

เหนือเมฆมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด มันเป็นใคร มีความบาดหมางอะไรกับสายลม ได้แต่คิดและไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาของชายหนุ่มจะเบือนมามองกระบอกปืนที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะ


......


วันเวลาผันผ่านล่วงเลย ยังคงไม่มีใครให้คำตอบกับสายลมได้ ทั้งลุงหลงที่ปิดปากเงียบแล้วเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกครั้งที่เขาตั้งใจจะถามไถ่ ทั้งรูสเองที่เล่นสนุกกับเพื่อนวัยเยาว์ไปวัน ๆ ราวลืมเรื่องที่ว่าจะบอกกับเขาหากตัดสินใจได้ ตอนนี้ทางเดียวที่จะทำให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับรูสก็คงเป็นเซย์ แต่นั่นมันคงไม่เท่ากับการได้ฟังจากปากเจ้าตัวเขาเอง เมื่อไรจะยอมเปิดใจแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังเสียทีล่ะ รูส?

ช่วงฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งปี เกาะศิลาจะจัดงานเลี้ยงเพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลายความตึงเครียด รูสโชคดีที่ได้เข้ามาในเกาะใกล้หน้าเทศกาล ในช่วงเช้าทุกครอบครัวจะร่วมกันทำบุญที่วัดของเกาะศิลา ส่วนช่วงค่ำ งานรื่นเริงจะถูกจัดขึ้นตามแบบของชาวเล ทุกคนจะแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองที่ถูกตัดเย็บจากฝีมือของคนในเกาะเอง รูสที่ตัวเล็กกว่าเด็กผู้ชายในรุ่นเดียวกันต้องใส่ขนาดของพวกเจ้าโต พอถึงเวลางานเริ่ม เจ้าโตก็มารับเพื่อนรูสของมันถึงกระท่อมของนายน้อย แล้วพาเดินตามกันไปเป็นพรวน ขนาดพูดไม่ได้เพื่อนยังเยอะขนาดนี้ พูดได้ขึ้นมานี่ท่าจะกลายเป็นหัวโจกเด็กทโมน

หาดทรายสีขาวถูกแปรสภาพเป็นลานจัดกิจกรรม มีอาหารและเครื่องดื่มให้กินกันตามอัธยาศัย ทุกอย่างเกิดจากการร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านที่มีอะไรก็เอามารวมกัน งบจากนายลามุที่ให้มานั้นก็มากพออยู่แล้ว แต่มันคงกลายเป็นธรรมเนียมที่แต่ละบ้านต้องหยิบฉวยของในครัวตนเองมาร่วมด้วยและช่วยกันลงมือทำ เมื่อเสร็จสรรพก็เปลี่ยนงานมาให้ชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายช่วยขนไม้ฟืนมาสุมเป็นกองไฟให้แสงสว่าง พวกสาว ๆ ก็พากันกลับไปอาบน้ำประแป้งเพราะจะมีการเต้นรำสนุกสนานเฮฮา ตัวหอมจรุงด้วยกลิ่นดอกไม้ป่าให้สามีรักหลง คนโสดก็อาจพบรักเพราะจะมีการคล้องมาลัยขอเต้นรำร่วมกัน แรก ๆ อาจดูเคอะเขิน แต่หากคู่ไหนได้สานสัมพันธ์กันต่อก็อาจได้ร่วมหอลงโรงกันเพราะงานนี้

รูสนั่งปรบมือตามจังหวะดนตรีที่เหล่าชายหนุ่มและไม่หนุ่มในเกาะเล่นให้จังหวะสนุกสนาน หลายคนเริ่มออกไปวาดลวดลายหลังจากดื่มกินกันไปบ้างแล้ว ใบมะพร้าวถูกปูเป็นพื้นที่สำหรับเต้นรำตามจังหวะเพลง พลพรรคหนุ่มน้อยที่น้อยทั้งตัวและอายุมาดึงเพื่อนรูสของพวกตนออกไปเต้นด้วยกัน รูสก็เดินตามมางง ๆ ก่อนจะเต้นตามเด็กทโมนที่ใส่ลีลากันเต็มที่จนเขามึนงงกับท่วงท่าที่เด็ก ๆ ปล่อยออกมา

สายลมยืนดูเด็กที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่กลางวงแล้วยิ้มขำ ก่อนจะสะดุดตากับลุงหลงที่แอบมองอยู่มุมหนึ่งของงาน ขณะที่อีกด้านก็ยังมีเหนือเมฆและพรรคพวกคอยมองจ้อง ต่างคนต่างความรู้สึกแต่มีจุดหมายเดียวกันคือรูส นั่นทำให้สายลมต้องคอยจับตาดูคนเหล่านั้น โดยเฉพาะพวกเหนือเมฆที่ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนการอะไรเอาไว้อีก

เมื่อถึงคราวที่จังหวะเพลงเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับการคล้องมาลัยขอเต้นคู่กันของหนุ่มสาว เจ้าหนูรูสก็จับกลุ่มกับพลพรรคเต้นอยู่มุมหนึ่ง จังหวะยังคงสนุกสนาน หนุ่มสาวพากันเต้นสลับคู่กันไปเรื่อย ๆ คล้องแขนแล้วเต้นวนกันไปรอบ ๆ สายลมที่ยืนดูทุกคนอยู่ถูกดึงลงไปร่วมวง กลุ่มเด็กทโมนก็ถูกเบียดมากลางวงจนกระทั่งสายลมวนมาเจอกันกับรูส

มือเอื้อมไปคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามาหา ร่างน้อยถลามาเกาะบ่าแกร่งขณะที่มือหนาเลื่อนมาวางบนสะโพกมน เด็กดื้อหน้าตาตื่นเมื่ออยู่ชิดใกล้สายลมอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะอายแสนอายเมื่อคนรายรอบส่งเสียงแซวมา

“ผิดคู่แล้วมั้งนายน้อย”

สายลมหันมองรอบกายแล้วก็หัวเราะ ขณะที่รูสก้มหน้าหลบสายตาหลายคนที่มองมา สายลมลดมือจากสะโพกลงมาจับมือรูสแล้วพาเดินออกมานั่งพัก ปล่อยให้คนอื่นเต้นกันต่อไปตามปรกติ

“สนุกไหม?” เอ่ยถามเด็กข้างกาย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าแล้วอมยิ้มตาพราว พลอยทำให้เขายิ้มตามไปด้วย

ฟาริดาเข้ามาหาทั้งคู่พร้อมกระจาดดอกไม้ หญิงสาวเดินแจกเสียทั่วงานจนกระทั่งมาถึงจุดที่สองหนุ่มนั่งอยู่ เธอหยิบดอกไม้ในกระจาดให้รูสหนึ่งช่อ ก่อนจะเด็ดมาหนึ่งดอกแล้วทัดหูให้

เจ้าตัวเล็กหันมาทางสายลมเพื่ออวดดอกไม้สีขาวกลิ่นหอมจรุงที่ทัดหูตนเองอยู่ เมื่อคนตัวโตมองแล้วริมฝีปากหยักก็เปิดยิ้มน้อย ๆ ขณะที่ฟาริดาเอ่ยปากชม

“น่ารัก”

คำชมจากฟาริดาทำให้เด็กหันกลับมาหาเธอ มือเรียวแตะดอกไม้ที่ทัดหูพลางยิ้มเขิน ตากลมเหลือบมองสายลม ยิ่งเห็นว่าอีกคนอมยิ้มน้อย ๆ ก็ยิ่งเขินไปกันใหญ่

งานดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั้งกินดื่มและนันทนาการ หมอปลายฟ้ามาถึงช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องดูแลคนไข้ที่โรงพยาบาล นางพยาบาลก็ได้แต่สลับสับเปลี่ยนกันมาที่งานเพราะต้องมีคนประจำที่นั่น หากเกิดเหตุฉุกละหุกฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจะได้ทันการณ์

เมื่อเริ่มดึก คนในงานยิ่งดูคึกคักกันไปใหญ่ ไฟถูกเติมให้ลุกโชติช่วงไม่มีดับมอด สายลมขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว ขณะที่นายลามุยังอยู่เพราะเป็นประธานใหญ่ในการจัดงาน ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกันนั้นคือพี่ชายของนายลามุ หรือก็คือปู่ของปลายฟ้า ชายชรานั่งอยู่บนรถเข็นเพราะขาใช้การไม่ได้ แต่ก็ยังให้เกียรติมาร่วมงาน ถือเป็นโอกาสดีที่ผู้ที่ทุกคนบนเกาะนับถือทั้งสองคนได้มาร่วมอยู่ในงานเดียวกันเช่นนี้

“จะกลับแล้วรึ?” นายลามุเอ่ยถามหลานชาย เมื่ออีกฝ่ายพาเด็กเข้ามาลา

“ครับ ปู่ก็อย่าอยู่ดึกมากนัก รักษาสุขภาพด้วย”

“เออ สั่งเหมือนพ่อเลยเจ้านี่”

สายลมยกยิ้ม “เป็นห่วงหรอกครับ”

“พากันกลับดี ๆ” นายลามุเออออรับความห่วงใยแล้วเอ่ยอนุญาต สายลมจึงพาเด็กออกไป

รูสยกมือไหว้ชายชราก่อนเดินตามสายลมไป สายตาที่เริ่มฝ้าฟางมองตามหลังเด็กตัวบางแล้วก็ถอนใจ ท่าทางหลานชายของเขาจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้คลาดสายตา เห็นสายลมเป็นพวกอะไรก็ได้แบบนี้ แต่บทจะไม่ยอมขึ้นมาก็หัวดื้อไม่แพ้เขาหรอก ลองได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้วคงขัดไม่ได้

ทางด้านสองหนุ่มที่เดินแยกออกมาจากงานก็เดินจูงมือกันกลับกระท่อม ระหว่างทางเด็กหมุนดอกไม้ในมือไปมา ท่าจะชอบใจ เพราะเห็นดมแล้วดมอีกอยู่นั่น

“จืดหมดแล้ว” เขาแกล้งเย้า

ใบหน้าเรียวหันมามอง เอียงคอเล็กน้อยคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะยิ้มออกมา มือเด็ดดอกไม้จากช่อแล้วเอื้อมทัดใบหูให้เขาพร้อมยิ้มตาหยิบหยี

“ตลก” เขาว่า ก่อนเอามันออก

เด็กทำปากยื่น เขย่งปลายเท้าแล้วทัดให้ใหม่ พร้อมกับรวบมือใหญ่เอาแล้วดึงให้เดินไปด้วยกัน ไม่ยอมให้เอาออกอีก สายลมอมยิ้ม เจ้าเด็กซน



พอกกลับมาที่กระท่อม เสียงดนตรีในงานเพียงแว่วดัง แต่เมื่อได้เวลานอน เด็กกลับไม่ยอมนอน ยังขยับตัวยุกยิกจนสายลมตื่น

“ยังไม่นอนอีกเหรอ รูส?”

เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางพลิกมากอด ขณะที่เด็กยังสนุก ได้ยินเสียงฮัมเพลงเบา ๆ อยู่ตลอด ร่างผอมตะแคงมาหา ยิ้มแย้ม อยากพูดด้วย

“สายลม”

“อือ”

“สายลม อย่าเพิ่งนอนสิ”

“นอนได้แล้วรูส คึกอะไรนัก... หนา...”

โต้ตอบกับเด็กในอ้อมแขนแล้วสายลมก็ชะงัก ก่อนจะลืมตาขึ้นมามอง ขณะที่เด็กยิ้มหน้าตาใส ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด

“รูส?” สายลมเอ่ยเรียกด้วยความมึนงง “เมื่อกี้... พูดกับฉันเหรอ?”

คนถูกถามเลิกคิ้ว ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มน้อย ๆ สายลมเองก็ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองฝัน หรือเด็กพูดจริง ถ้าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงรูสพูด แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันใช่ เพราะเคยได้ยินแค่ครั้งเดียวตอนถูกเขาแกล้งดึงขาในทะเลแล้วร้องด่าว่าบ้า

“ฉันท่าจะฝัน”

สายลมพึมพำ โคลงศีรษะเบา ๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนโดยมีร่างผอมตะแคงมาหา ชายหนุ่มปิดเปลือกตา เลิกคิดอะไรวุ่นวายแล้วนอนกันเสียทีจะดีกว่า

“สายลม”

เสียงกระซิบยังแว่วมาให้ได้ยิน สายลมลืมตาขึ้นมามองเด็กในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่าเด็กมันนอนหลับไปแล้ว หัวคิ้วชายหนุ่มก็ขมวดมุ่น หูเขาเฝื่อนไปเองหรือไร?


ขณะที่ผู้เป็นนายยังมึนงงกับตัวเองจนพาลหลับไม่ลง บนหน้าผาสูง ลูห์แหงนเงยขึ้นมองพระจันทร์ที่เริ่มแหว่งเว้าไปครึ่งเสี้ยว อีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่วันเดือนดับ วันที่หลายสิ่งที่ถูกซุกซ่อนจะเผยตัวออกมาตามความเชื่อ

ในวันข้างขึ้นที่พระจันทร์เต็มดวงจะส่งให้พลังในด้านดีเพิ่มพูนยิ่งขึ้น เป็นสิริมงคลกับทุกชีวิต ในขณะที่วันเดือนดับ พลังด้านมืดจะแข็งกล้า และในวันนั้นอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด... บางสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้จะเปิดเผยตัวตนของมันออกมา


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๕ เผยตัว //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 25-08-2018 14:18:27

ตามจันทรคติ วันเดือนดับ (หรือเรียกตามภาษาบาลี-สันสกฤตว่า อมาวสี) ถือเป็นสิ้นสุดของพระจันทร์และจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ กับดวงจันทร์ที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ความเชื่อในทางที่ดีคือจะนำโชคลาภวาสนาและเงินทองมาให้ แต่ในทางกลับกันก็ยังมีความเชื่อว่าวันเดือนดับจะนำพาเคราะห์ร้ายเข้ามาสู่

บนเกาะศิลามีความเชื่อว่าในวันนี้นั้นพลังด้านมืดจะแข็งกล้า ทำให้ทุกบ้านต้องทำบุญสะเดาะเคราะห์กันใหญ่โต นอกจากนั้นหลายบ้านยังแขวนว่านไว้เพื่อไล่ภูตผีปีศาจร้ายและสิ่งไม่ดีต่าง ๆ แม้ไม่รู้ว่ามันจะมีอยู่และได้ผลจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่คนสมัยเก่าก่อนปฏิบัติกันมา ทุกคนก็ยึดถือและทำตาม อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของสมาชิกในครอบครัวของตน ยามกลางค่ำกลางคืนก็ต้องปิดบ้านมิดชิด ไม่ให้ลูกหลานออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เพราะกลัวจะมีสิ่งลึกลับมาลักตัวลูกหลานของพวกตนไปอยู่ด้วย

ขณะที่หลายบ้านต่างวุ่นวายกันกับวันนี้ ที่กระท่อมของสายลม เหตุการณ์กลับยังคงปรกติ รูสยืนตากผ้าอยู่ข้างลานอาบน้ำหลังจากซักล้างจนเสร็จ ลูห์เดินเข้ามาหาแล้วใช้เท้าหน้ายกขึ้นสะกิด เด็กหันมามองพลางเลิกคิ้ว เมื่อเห็นสิงโตตัวใหญ่ทำท่าเหมือนจะบอกให้เดินตาม รูสก็ส่ายหน้าก่อนถือตะกร้าเปล่าขึ้นกระท่อมไป ทำให้ลูห์ได้แต่มองตาม

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยรูสจึงลงมาด้านล่างเพื่อให้ลูห์เดินไปส่งที่บ้านพ่อเฒ่า สายลมหายหน้าไปแต่เช้าตรู่ เห็นว่ามีงานใหญ่ที่วัดจึงต้องไปช่วย

เมื่อมาถึงบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟก็เห็นว่าเด็ก ๆ กำลังนั่งสมาธิและสวดมนต์ ฟาริดาเรียกให้เข้าไปนั่ง รูสจึงหันมาโบกมือลาลูห์ก่อนเดินไปวางถุงผ้าแล้วเข้าไปนั่งรวมกับเด็กคนอื่น เจ้าโตหรี่ตาขึ้นมามองก่อนสะกิดเพื่อนรูสของมันเบา ๆ

“เฮ้ย! รูส วันนี้เอ็งต้องระวังตัวให้ดีนะเว้ย”

รูสเลิกคิ้ว เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนโตของตนเองพูดถึงเรื่องอะไร อีกฝ่ายจึงเอียงเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ

“ตอนกลางคืนเอ็งห้ามออกจากบ้านนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...” เจ้าโตเว้นช่วงก่อนว่า “ผีจะมาหักคอเอ็ง!”

รูสตาโต ที่สะดุ้งก็เพราะเสียงโตที่ใส่อารมณ์เสียเต็มที่ ฟาริดาแตะปากให้เงียบเสียง เจ้าโตก็ยิ้มแห้งแล้วขอโทษหญิงสาวที่ทำสมาธิเพื่อน ๆ แตกกระเจิง ก่อนจะหลับตาลงตั้งสมาธิกันใหม่ ขณะที่รูสเอียงคอครุ่นคิด วันนี้มันวันอะไรกัน สายลมก็ไปช่วยที่วัดแต่เช้า พอมาที่บ้านพ่อเฒ่า ฟาริดาก็ให้นั่งสมาธิและสวดมนต์ เพราะไม่มีปฏิทินให้ดูทำให้รูสไม่สามารถรู้วัน เดือน ปี เอาไว้นั่งสมาธิเสร็จแล้วค่อยถามเอากับฟาริดาแล้วกัน

หลังกิจกรรมที่ได้ทำจบลง ความวุ่นวายของเด็ก ๆ ก็ทำให้รูสลืมเรื่องที่ว่าจะถามฟาริดา เมื่อเธอพาทำอย่างอื่น เขาก็ทำตามไปจนกระทั่งได้เวลากลับ วันนี้เด็ก ๆ พากันกลับเร็วเพราะพ่อแม่หลายคนรีบมารับ รูสโบกมือลาเพื่อนตัวน้อยก่อนนั่งรอลูห์ที่หน้าบ้าน ไม่นานนักลูห์ก็มา ราวกับรู้ว่าเขากำลังรอ

เมื่อเจ้าหนูรูสกลับไปพร้อมลูห์แล้ว พ่อเฒ่าอาจีฟที่ถูกเชิญไปทำพิธีปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้ชาวบ้านที่กลัวกันจนเกินเหตุก็กลับมา เรื่องของวันเดือนดับและคำเตือนที่มีตามความเชื่อก็เป็นเพียงกุศโลบายหนึ่ง เพื่อจะบอกให้ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังและมีสติไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะทำอะไรลงไป แต่แน่นอนล่ะว่าไม่มีใครห้ามความเชื่อด้านลบที่มีในวันนี้ได้ ทำให้พ่อเฒ่าผู้เป็นที่พึ่งและยึดเหนี่ยวทางจิตใจของใครหลายคนต้องไปทำพิธีปัดเป่าโชคร้าย เพื่อความสบายใจของคนในหมู่บ้าน และเมื่อกลับมาแล้วไม่เห็นว่าเด็กนักเรียนของบุตรสาวอยู่ที่บ้านจึงถามไถ่

“เจ้าหนูรูสมันกลับไปแล้วรึ?”

“เพิ่งกลับไปค่ะพ่อ มีอะไรเหรอคะ?” เธอตอบพร้อมถามอย่างแปลกใจ ปรกติไม่เห็นจะเคยถามถึงกัน

“เปล่าหรอก วันนี้เดือนดับ พ่อเลยเป็นห่วงเด็กมัน”

พ่อเฒ่าอาจีฟตอบกลับไปเพียงเท่านั้น สีหน้าชายชราดูเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย เพราะลางสังหรณ์ที่มีทำให้เขารู้สึกตงิดใจ หวังว่าจะไม่มีเรื่องมีราวที่ไม่ดีเกิดขึ้นในวันนี้



กระท่อมน้อยของสายลม เสียงหัวเราะดังแว่วมาปนกับเสียงน้ำสาดซ่ากระทบพื้น ลูห์นอนอยู่บนแคร่ด้วยสีหน้าเบื่อ ๆ ที่จริงแล้วมันก็ดูเบื่อของมันอยู่ตลอดเวลานั่นล่ะนะ

ณ ลานอาบน้ำ ผมยาวถูกขยำจนเป็นฟองฟอดจากฝีมือเด็กดื้อ ขณะที่ผมของตัวเองก็มีฟองเต็มไปหมดไม่ต่างกัน เจ้าหนูรูสให้สายลมนั่งที่ตั่งแล้วตนเองก็ลงมือสระผมให้ อีกฝ่ายก็ยอมให้สระไม่ว่ากัน เด็กดูจะชอบใจเพราะหัวเราะอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าแกล้งอะไรเขาหรือเปล่า

หลังจากขยำขยี้จนพอใจ รูสก็เทน้ำล้างผมให้สายลม ก่อนจะหันมาอาบน้ำจนกระทั่งเสร็จแล้วพากันขึ้นกระท่อมมา สายลมยืนเช็ดผม เขาไม่ค่อยชอบสระตอนเย็นเท่าไรนักเพราะมันแห้งยาก ไม่เหมือนรูสที่ผมสั้นกว่า ไม่ต้องทำอะไรมากเพราะแห้งไวอยู่แล้ว แต่เด็กอยากสระให้จึงต้องยอมตามใจ และเมื่อหันมาเห็นเด็กนั่งมองตาแป๋วสายลมจึงเอ่ยทัก

“คิดอะไรแปลก ๆ อยู่หรือไง ตาพราวเชียว”

คนถูกถามอมยิ้ม ตบพื้นด้านหน้าที่ตนเองนั่งอยู่เพื่อบอกให้สายลมมานั่ง คนตัวโตยิ้มมุมปากก่อนจะเดินมานั่งตามที่เจ้านายเขาสั่ง มือเรียวรวบผมที่ยังคงเปียกหมาดมาด้านหลัง ก่อนจะลงมือถักเปียให้ แต่เพราะผมมันยังเปียกอยู่ทำให้ถักเปียไม่ได้อย่างใจ พันไม้พันมือ แต่สุดท้ายแล้วก็ทำเสร็จจนได้

รูสตบมือเปาะแปะ ชอบใจกับผลงานของตนเอง ขณะที่สายลมจับผมเปียของตนเองมาดูแล้วทำหน้าประหลาด เห็นหัวเขาเป็นของเล่นไปแล้วใช่ไหมเจ้าดื้อ

มือเรียวเลื่อนมาจับบ่าแกร่ง ก่อนตัวบางจะยืดกายแล้วโน้มมาจนแก้มเนียนแนบแก้มเขา สายลมรู้สึกถึงสัมผัสเพียงบางเบาก่อนที่มันจะผละหายไป ชายหนุ่มนั่งนิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองคนทำ นึกว่าเด็กจะคลุมโปงแต่กลับยังนอนมองเขาตาใส

ด้านนอกนั้นฟ้าเริ่มมืด ไร้แสงจันทร์ ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วบริเวณยกเว้นก็เพียงห้องนอนในกระท่อมหลังน้อยเท่านั้นที่ยังมีแสงจากตะเกียงให้ความสว่าง ตัวหนาหนักค่อยคร่อมเหนือกายบาง มองตากลมแล้วยิ้มมุมปาก

“ทำอะไร?”

เขาเอ่ยถามถึงสิ่งที่เด็กทำเมื่อครู่ อีกฝ่ายกลับกลั้นยิ้มแล้วส่ายหน้า นัยน์ตายังพราวระยับ

“จอมซน”

เขาว่า ปรายมองแขนเรียวที่ยกขึ้นมาเกี่ยวต้นคอ วันนี้เด็กมาแปลก แต่แปลกใจได้ไม่นานสายลมก็รู้สึกถึงแรงรั้งทำให้ต้องทักท้วงออกไป

“เฮ้ เจ้าหนู เล่นมากไปแล้วมั้ง?”

สายลมยั้งตัวไว้เมื่อถูกรั้งลงไปหา ใบหน้าเขาลอยห่างจากเด็กดื้อเพียงนิด ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งดูเหมือนไม่ใช่รูส เพราะมันดู... ยั่วยวน ไม่น่า... ยั่วบ้าบออะไรกัน

“รูส ใจเย็น เกิดอะไรขึ้น เดี๋ยว...”

ริมฝีปากนุ่มแตะกลีบปากเขา สายลมชะงัก ความนุ่มหยุ่นนั่นค่อยบดเบียดกับเขามากขึ้น และมากขึ้นทุกที ก่อนที่ใจจะเตลิดตามความเย้ายวน สายลมก็หลับตาแน่น มือหนาดันไหล่คนใต้ร่าง เมื่อมองสบกับนัยน์ตาสีเพลิง ชายหนุ่มก็ชะงักงัน

“รูส...?”

ไม่แน่ใจด้วยซ้ำเมื่อเอ่ยเรียก เรี่ยวแรงของเด็กตัวผอมบางไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมาย กายหนาถูกพลิกลงไปนอนราบกับพื้น ก่อนคนทำจะขึ้นคร่อมเหนือกาย จี้ห้อยคอแกว่งไกวอยู่เหนือระดับสายตาเมื่อร่างผอมบางโน้มก้มลงมาหา

เสียงตะกุยประตูดังมาเรียกสติของสายลม เมื่อหลุดจากภวังค์ชายหนุ่มก็เหลือบไปมอง ด้านนอกนั้นคือลูห์หรือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สายลมดันตัวรูสที่คร่อมทับตนเองออก สู้แรงกับเด็กที่กลายเป็นอะไรไปแล้วไม่รู้ ก่อนจะกดกายบางลงกับพื้นได้สำเร็จในที่สุด

ร่างน้อยดิ้นรนจะให้หลุดพ้นจากการกดทับ แต่สายลมก็ใช้เรี่ยวแรงที่มีดันเอาไว้สุดกำลังพร้อมตะโกนสั่งลูห์

“พังเข้ามา!”

โครม!!

ประตูถูกพังเข้ามาตามคำสั่ง ตากลมหันไปมองลูห์ที่ส่งเสียงคำรามพร้อมแยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว แต่เจ้าตัวเล็กกลับไม่กลัวเหมือนเคย พยายามสะบัดตัวออกจากการกดทับของสายลมแล้วส่งเสียงคำรามขู่กลับไป เมื่อเด็กมันดิ้นรนมากเข้าสายลมก็เอื้อมมาบีบคาง ก่อนก้มลงประกบปากที่ร้องคำรามแข่งกับลูห์ไม่หยุด

เมื่อสบโอกาสลูห์จึงไปคาบเชือกมาให้สายลมจับเด็กมัด ดูทุลักทุเลกว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยการที่รูสถูกมัดและได้แต่ดิ้นอยู่บนพื้น แต่กว่าจะสำเร็จสายลมก็แทบปาดเหงื่อ

“เรื่องบ้าอะไรกันวะ?”

ชายหนุ่มพึมพำ หันมามองลูห์ มันกลับหันหนีไปทางอื่น นี่หมายความว่ารู้เรื่องมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่บอกเขาอย่างนั้นสินะ?

“ลูห์”

เสียงเข้มที่เอ่ยเรียกทำให้ลูห์ค่อยเบือนกลับมามอง มันค่อยเดินออกไปข้างนอก สายลมจึงเดินตามออกไป หนึ่งคนกับสิงโตอีกหนึ่งตัวนั่งอยู่ที่ชานกระท่อม สายลมประสานมือ นั่งก้มหน้าครุ่นคิดหนักเมื่อเค้นเอาคำตอบจากลูห์มาได้ ลูห์บอกว่ารูสมีกลิ่นเดียวกันกับมัน กลิ่นของสัตว์ที่เป็นนักล่า ก่อนหน้านี้มันไม่ชัดนัก จนใกล้เดือนดับ กลิ่นมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

“ยังมีเรื่องประหลาดอะไรที่ฉันต้องรู้อีกไหม?”

สายลมทอดถอนใจกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เรื่องบิดาของเด็กที่เป็นศาสตราจารย์สติเฟื่องชอบทำงานวิจัยประหลาดก็อย่างแล้ว ไหนจะพฤติกรรมแปลก ๆ ในคืนเดือนมืดนี่ก็อีก ทั้งแผลที่หายเร็วเกินคนทั่วไปนั่นก็ด้วย... ตกลงแล้วรูสเป็นตัวอะไรกันแน่ สายตาคมได้แต่หันไปมองประตูกระท่อมอย่างไร้คำตอบ

คนที่ถูกมัดนอนนิ่งอยู่บนพื้นค่อยคืนสติเมื่อแสงตะวันยามฟ้าใหม่เริ่มฉาบทาท้องฟ้า เมื่อสติรับรู้กลับมาก็ต้องตกใจที่ตนเองถูกมัด แต่เมื่อคิดได้ว่าเพราะอะไร น้ำใสก็คลอคลองหน่วยตา สายลมคงรู้แล้ว จะทำอย่างไรดี

เสียงก้าวเดินบนพื้นไม้ดังมาใกล้ ดวงตากลมเงยขึ้นมองสายลมที่นั่งวางเข่าลงข้างหนึ่ง มองนัยน์ตาของเด็กบนพื้น มันไม่ใช่สีเพลิงเช่นเมื่อคืนแต่กลับมาเป็นสีอำพันเช่นปรกติ สายลมจึงปลดเชือกที่มัดพันกายผอม ผิวขาวละเอียดเวลานี้กลับถลอกจากรอยรัดของเชือก เขาเอื้อมไปจับแล้วลูบอย่างเบามือ สบถเมื่อตนเองเป็นคนทำให้มันเกิดร่องรอยเหล่านั้น กายสูงใหญ่จะลุกไปหายามาทาให้ แต่เด็กกลับผวาคว้าแขนไว้แล้วมองเขาด้วยความหวาดหวั่น

มือหนาเกลี่ยแก้มใสพลางบอกเสียงนุ่ม “เรื่องอื่นเราค่อยคุยกัน ตอนนี้ฉันจะไปหายามาทาให้ เนื้อตัวถลอกไปหมดแล้ว”
แม้จะบอกไปเช่นนั้นแต่รูสก็ยังคงจับแขนเขาเอาไว้แน่น ต่อเมื่อสายตาคมมองสบเพื่อสื่อให้รู้ว่าตนไม่ได้จะหนีไปไหน ถือเป็นการให้สัญญา รูสจึงได้ยอมคลายมือให้เขาลุกออกไป

เมื่อแผ่นหลังกว้างลับสายตาไปแล้วรูสจึงลุกไปค้นเสื้อผ้าในหีบ ถือลงไปอาบน้ำที่ลาน เพียงร่างกายถูกน้ำก็แสบไปหมดจนต้องนิ่วหน้าแล้วสูดปาก เมื่อยกแขนขึ้นมามอง แผลถลอกและฟกช้ำจากการดิ้นรนจนเชือกรัดรึงค่อยจางลงช้า ๆ เห็นดังนั้นแล้วรูสก็ซึม คงไม่ต้องใช้ยาแล้วล่ะสายลม...

อาบน้ำเสร็จ รูสก็เดินซึมมานั่งบนชานกระท่อม สายลมเอาสมุนไพรมาบด เสร็จแล้วจึงถือขึ้นมาเพื่อจะทาให้ แต่มือเรียวกลับดันไว้

“ทำไมล่ะ มันไม่แสบหรอก” เขาเอ่ยถามพลางปลอบ เพราะนึกว่าเด็กมันกลัวแสบถึงไม่ยอมให้ทา

รูสยื่นแขนไปตรงหน้าสายลม ปลายนิ้วแตะตรงรอยถลอกที่ตอนนี้หลงเหลือเพียงรอยแดงจาง ๆ เท่านั้นเพื่อเรียกสายตาของอีกฝ่ายให้ก้มมอง เมื่อได้เห็นเช่นนั้นแล้วสายลมก็นิ่งไปจนเด็กใจหาย น้ำตาเริ่มคลอเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ ใบหน้าเรียวก้มต่ำ น้ำตาเม็ดโตหยดแหมะ ตอนนี้เขาอยากพูดได้เหลือเกิน อยากได้เสียงกลับมา จะได้บอกสายลมทุกอย่าง บอกทุก ๆ อย่าง เผื่อว่า...

มือใหญ่ยกขึ้นมาแตะข้างแก้มทำให้รูสชะงัก มันอุ่น อุ่นจนใจสั่นไหว

“เป็นแบบนี้มานานหรือยัง?”

เสียงทุ้มเอ่ยถามไถ่ อีกคนพยักหน้าเบา ๆ ยังคงก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมามองกัน

“ตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้รูสส่ายหน้า ไม่ใช่แต่เกิด เขาเพิ่งรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปรกติก็ตอนอายุสิบสอง เขาต้องขังตัวเองไว้ในห้องใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ ที่นั่นทำให้รู้สึกปลอดภัยจากคนภายนอก และเขาจะออกไปจากห้องนั้นไม่ได้จนกว่าจะหมดวันประตูมันถึงจะเปิด ตั้งแต่นายภิชาติเสียชีวิตไปก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปในนั้นได้ ทำให้ภายในห้องรก มีฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด รูสก็ได้แต่นั่งซุกอยู่ในซอกมุมหนึ่งในนั้น

สายลมมองเด็กที่นั่งก้มหน้า ไหล่บางสั่นไหวจากแรงสะอื้น มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกอย่างแล้ว ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อยู่อีกมากแค่ไหนกัน กุญแจสำคัญอย่างลุงหลงก็ไม่ยอมเปิดปาก จะพามาเจอรูสก็ไม่ยอมมา รูสเองก็ไม่บอกอะไรเขาสักอย่าง นี่กะจะให้เขารู้เองทุกอย่างเลยใช่ไหม

ร่างสูงใหญ่ขยับจะลุก มือเรียวรีบคว้าแขนเขาแบบอัตโนมัติ สายลมชะงัก มองเด็กสะอื้นหนักกว่าเดิมแล้วจึงนั่งลงที่เก่า ไม่ได้จะทิ้งไปไหน และไม่ได้กลัวจนต้องหนีไป เพียงแต่เขาหงุดหงิดตัวเองที่ไม่รู้อะไรเลยอยู่แบบนี้ มันย่ำแย่ทีเดียวที่รู้สึกว่าตนเองไม่สำคัญพอที่เด็กคนนี้จะไว้วางใจจนบอกเรื่องราวของตนเองให้ฟัง

“บอกได้ไหมรูส... ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ”

ที่สุดเขาก็ต้องเอ่ยถามออกไป ท่าทางเด็กดูสับสน นัยน์ตาคลอน้ำใสช้อนมองสบ ก่อนจะพยักหน้าให้เขาในที่สุด...





TBC



 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๕ เผยตัว //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 25-08-2018 15:30:07
น่าเห็นใจรูส แม้แต่คนในครอบครัวที่เรารักก็ยังเชื่อใจไม่ได้ สายลมอย่าปล่อยมือน้องนะ
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๕ เผยตัว //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 25-08-2018 15:34:45
รูส
 
สู้ๆ

สายลม

ดูแลน้องด้วย

สงสารเด็กน้อย
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๖ ปกป้องคุ้มภัย //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-08-2018 19:57:35
น้องรูสน่าสงสาร :mew2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๖ ปกป้องคุ้มภัย //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 25-08-2018 19:59:05
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๖ ปกป้องคุ้มภัย



สายลมนั่งอยู่นอกชานด้วยท่าทีเหม่อลอยโดยมีเด็กนอนหนุนตัก มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มเบา ๆ เป็นการกล่อมและปลอบประโลมใจ สิ่งที่ได้รู้ในวันนี้มันเกินรับไหวจริง ๆ สมุดเล่มน้อยวางอยู่ข้างกาย เขาอ่านมันรอบเดียว ไม่สามารถที่จะวนอ่านซ้ำได้เพราะสะเทือนใจกับทุกตัวอักษรที่เด็กกลั่นกรองออกมาจากความทรงจำ มันคงเจ็บปวดมาก เขาทำผิดไปหรือไม่ที่ไปกระตุ้นสิ่งเลวร้ายนั้นแล้วทำให้เด็กมันนึกถึง

สิ่งที่อยากรู้ เขาก็ได้รู้แล้ว หลังจากนี้เขาจะทำเช่นไรต่อ แน่ล่ะว่าต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด แต่ว่าจิตใจที่บอบช้ำนี้เล่า จะหาทางไหนมาเยียวยา สายลมก้มมอง มือเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มใส หลายครั้งที่เด็กคนนี้มีแต่น้ำตา เขาไม่ชอบมันเลยสักนิด เมื่อนึกถึงเรื่องราวในสมุดที่วางอยู่ข้างกาย สายลมก็ทอดถอนใจ กว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ รูสคงต้องเข้มแข็งน่าดู

‘ตั้งแต่เกิดมา เท่าที่จำความได้ พ่อของผมคือริวอา พ่อทำงานให้บ้านดอกเตอร์ภิชาติ ท่านเป็นคนดี ช่วยเหลือเราสองพ่อลูกทุกอย่าง พ่อบอกว่าท่านถูกชะตาจึงขอผมเป็นลูกบุญธรรม เพราะคำว่าบุญคุณทำให้พ่อไม่ได้ขัด แต่คนภายนอกไม่มีใครรู้ว่าผมคือลูกบุญธรรม ทุกคนถูกสั่งปิดปากเงียบ รวมทั้งคุณหญิงเองก็ด้วย ท่านไม่ค่อยชอบผมเท่าไรนัก แต่ก็ขัดดอกเตอร์ไม่ได้
ผมมีพี่ชายอีกคนชื่อราส เราไม่ค่อยสนิทกันนัก พี่ก็เป็นลูกบุญธรรมของดอกเตอร์เหมือนกัน พี่มักถูกคุณหญิงดุด่าอยู่บ่อย ๆ ผมกลัวท่าน ทำให้ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้พี่เพราะกลัวจะถูกท่านตีด้วยอีกคน ทำให้เราไม่เคยคุยกันเลย

ผมไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด พ่อไม่เคยบอก จนกระทั่งดอกเตอร์พาผมไปที่ห้องวิจัย มีเครื่องมือแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด ที่นั่นผมถูกเจาะเลือดไปตรวจบ่อย ๆ มันทำให้ผมกลัว ปลายเข็มแหลมคมที่ทิ่มลงมาบนเนื้อ ทั้งถูกดูดเลือดและถูกฉีดสารบางอย่าง ผมเคยบอกพ่อว่ามันเจ็บ แต่พ่อกลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกให้ผมอดทน ผมทนมาตลอด เพราะพ่อบอกให้ทน แต่ร่างกายผมมันก็เปลี่ยนแปลงไปจนเริ่มควบคุมมันไม่ได้

วันนั้น... ที่ดอกเตอร์ตาย ผมอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนั้นที่คนภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้จนกว่าประตูที่ดอกเตอร์ตั้งเวลาเปิดปิดมันจะปลดล็อค ผมฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องนั้นขณะที่ดอกเตอร์ฆ่าตัวตาย สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับผมคือความกลัว เพราะผมยังเด็ก แต่ผมกลับไม่ได้รับการปลอบใจจากคุณหญิงนอกจากคำด่าทอ ผมคือตัวหายนะ... หายนะ ... คือความหายนะที่ทำให้สามีของท่านต้องตาย มันก็คงจะเป็นแบบนั้น เพราะผมเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะผมคือคนที่อยู่กับดอกเตอร์เป็นคนสุดท้าย ทุกอย่างก็เพราะผม...

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีคุณหญิงก็จากไป พวกเขาตายกันไปหมด ตายไปทีละคน ในงานศพ คำพูดของคุณหญิงยังดังในหู ผมคือตัวหายนะ มันลบออกไปจากความทรงจำไม่ได้เลย ทำไม่เคยได้...

ผมไม่อยากเป็นเลย ไม่ได้ตั้ง ไม่ได้อยากให้พวกเขาตาย ไม่รู้จะขอโทษพวกเขายังไง ไม่รู้จะบอกยังไงว่าผมไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนั้น เพราะผมไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะนำพาความโชคร้ายมาให้พวกเขา

สายลม... ผมไม่มั่นใจเลยว่า การที่ผมยังอยู่ข้างกายคุณแบบนี้มันจะทำให้คุณพบเจอกับเรื่องร้าย ๆ เพราะผมไหม แต่ผมอยากขอร้อง อย่าเพิ่งไล่ผมไปไหน ขอให้ผมได้อยู่กับคุณอีกสักนิด อีกนิดเดียวก็ได้ ให้ผมได้ตอบแทนคุณบ้าง ผมจะไม่ดื้อไม่ซน ผมสัญญา

ผมอาจจะเป็นตัวประหลาด แต่ว่าได้โปรดอย่าเกลียดผมเลย ผมคงทนไม่ได้ ผมไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนพวกเขา ไม่อยากถูกคุณเกลียดเลยจริง ๆ’


นั่นเป็นเพียงข้อความเพียงส่วนเดียวจากสิ่งที่รูสเขียนขึ้นมาหลายหน้ากระดาษ ได้อ่านเพียงเท่านี้สายลมก็แทบจะไม่อยากอ่านต่อ รูสเฝ้าโทษว่าตัวเองเป็นคนผิด ตลอดมารูสไม่เคยลืมคำด่าทอจากผู้หญิงที่ชื่อพจนีย์คนนั้น เพราะคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ การกระทำหลายอย่างจากผู้ใหญ่พวกนั้นทำให้รูสฝังใจและจดจำแต่สิ่งไม่ดี แต่รูสที่ยังคงเด็กมาก เด็กมาก ๆ กลับสามารถผ่านมันมาได้ และยังมีรอยยิ้มให้เข้าได้เห็นในวันนี้

สายลมอุ้มเด็กกลับเข้าไปนอนต่อในห้อง เขาต้องจัดการอะไรบางอย่าง ลุงหลงจะทำเป็นไม่รับรู้ไม่ได้ หากยังมีความเป็นพ่อหลงเหลืออยู่บ้าง หากยังอยากช่วยลูกคนนี้อยู่ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาแล้วแก้ไขมัน

สายลมให้เซย์ช่วยสืบเรื่องราวของใครคนหนึ่งเพิ่มเติม พี่ชายของรูส คนที่รูสไปอยู่ด้วยหลังจากคุณหญิงพจนีย์ที่รูสบอกว่าเป็นแม่บุญธรรมเสียชีวิตตามศาสตราจารย์ภิชาติไป รูสไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพี่ชาย เพียงแต่บอกว่าพี่ดูแลดีทุกอย่าง เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวจนกระทั่งวันนั้น วันที่เขาได้พบกับรูส นั่นทำให้รูสรู้สึกว่าตลอดมารูสคิดผิด เพราะแท้ที่จริงแล้วพี่ชายคนนี้ไม่เคยมีความจริงใจให้รูสเลย รอยยิ้มแบบฉบับพี่ชายแสนดีนั่นก็หลอกตาจนรูสที่ขาดที่พึ่งหลงเชื่อมาตลอด

เพราะชีวิตที่ผกผันมาตั้งแต่ถือกำเนิดทำให้รูสกลายเป็นเด็กที่มีปม คิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่มีค่ามากพอที่ใครจะมอบความรักความจริงใจให้ หากทำตัวไร้ประโยชน์วันใดก็อาจถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย

“ราซิส ธรรมวงศา” สายลมบอกชื่อของคนที่จะให้น้องช่วยสืบ

“ไม่ให้สืบเรื่องเด็กของพี่แล้วเหรอ?”

“นายราซิส เป็นพี่ชายของรูส เรื่องรูสไม่มีทางจะสืบหาได้ง่าย ๆ หรอก เพราะนายคนนี้มันลบประวัติน้องของมันไปหมดแล้ว” สายลมบอก

“เด็กมันยอมบอกแล้ว?” เซย์ดูแปลกใจ

“อืม ฉันเลยอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอนี่ จะได้หาทางรับมือมันถูก”

“ท่าทางผมจะได้ออกกำลังแล้วมั้งงานนี้” ริมฝีปากหยักยกยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำทะเลฉายแววสนุก

“ชวนเอวานมาออกกับนายด้วยดีไหม?” คนเป็นพี่ช่วยเสริม

“ได้ก็ดี เอวานติดเด็กเหมือนพี่แหละ” เซย์บิดปาก

“หึ ๆ อิจฉาเอวานหรือไง?”

“โน้ว” ปฏิเสธเสียงสูงพลางทำหน้าหน่าย “ป่วนจะตาย หน้าตาซื่อ ๆ แต่ใส่ไฟผมประจำ”

“นายไปแกล้งเขาก่อนนี่ ช่วยไม่ได้” สายลมซ้ำเติม

“เออ เข้าข้างกันเข้าไป ไอ้พวกหลงเด็ก”

คนเป็นพี่หัวเราะในลำคอ ไม่ได้ปฏิเสธ

“ตกลงให้สืบเรื่องหมอนี่แทนใช่ไหม?” เซย์สรุป

“อืม ฝากด้วย”

“โอเค จะเจาะลึกถึงไส้ติ่งมันเลย” ว่าแล้วก็ยักคิ้วยียวน

“ขอให้ทำได้อย่างที่พูดเถอะ ไอ้ขี้โม้”

“หึ ๆ”

เมื่อจบบทสนทนาแล้วสายลมก็ปิดเครื่องมือสื่อสาร นึกถึงรูสแล้วก็รู้สึกหนักใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็จะปกป้องเด็กคนนี้ให้ได้ แม้ไม่เคยรู้จักมักคุ้น แต่ในตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคุ้นเคยจนไม่อาจนิ่งเฉยได้


ทางด้านรูสที่ตื่นขึ้นมาก็ถูกอาการปวดหัวโจมตีหนัก คงเพราะร้องไห้มากไป ทั้งปวดหัวปวดตาปนเปกันไปหมด เหลียวมองรอบกายอย่างมึนงงอยู่สักพักก่อนจะค่อยลุกออกมานอกห้อง เมื่อมองหาสายลมไม่เจอก็เริ่มแตกตื่น กลัวถูกทิ้งเพราะอีกฝ่ายรู้เรื่องของตนแล้ว ร่างผอมวิ่งลงมาข้างล่าง เซเล็กน้อยเมื่ออาการมึนหัวถามหา ลูห์ส่งเสียงทักทำให้รูสหยุดวิ่งแล้วหันมาหา ใบหน้าเรียวบิดเบ้ราวจะร้องไห้

‘สายลมไปไหน? สายลมล่ะ?’

ลูห์ยกเท้าหน้าวางบนแคร่เพื่อบอกให้เด็กมานั่ง รูสละล้าละลัง อยากไปหาสายลม แต่ไม่รู้จะไปทางไหน มือกำชายเสื้อแล้วกัดปาก แต่สุดท้ายแล้วก็จำต้องเดินไปนั่งบนแคร่อย่างที่ลูห์บอก

‘อยากไปหาสายลม’

เด็กก้มหน้าสะอื้น ลูห์ได้แต่นั่งมองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่รอสายลมกลับมา

“รูส เป็นอะไร?” เสียงทุ้มที่เอ่ยทักมีแววตระหนก เมื่อกลับมาเห็นว่าเด็กนั่งก้มหน้าสะอื้นฮักอยู่ข้างลูห์

‘ผมกลัว’ ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมามองแล้วว่าอย่างน่าสงสาร

“กลัวอะไร หืม?” สายลมนั่งลงข้างกาย เอ่ยถามไถ่พลางรั้งตัวบางให้เอนมาอยู่ในอ้อมกอด

‘กลัวคุณเกลียดผม กลัวคุณทิ้งไป’ ตอบกลับไปทั้งอาการสะอึกสะอื้น

มือหนาเกลี่ยน้ำตาที่ไหลรินให้แผ่วเบา “เด็กโง่ ฉันไม่เคยคิดทิ้งเธอ เรื่องเกลียดยิ่งไม่มีทาง เลิกกังวลได้แล้ว”

“......”

“ไม่เชื่อฉันหรือไง?”

สายลมมองนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นด้วยความจริงจัง อยากให้เชื่อใจเขา ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่มีทางคิดหรือทำร้ายเด็กตรงหน้าเช่นที่คนพวกนั้นทำอย่างแน่นอน

รูสเม้มปาก มองสายลมด้วยสายตาละห้อยโหย เขาเหนื่อยกับการต้องคอยปลอบใจตัวเอง เหนื่อยกับการต้องทำให้ความรู้สึกย่ำแย่ในจิตใจมันหายไปเมื่อถูกเหยียบย่ำหักหลัง หากเขาจะเชื่อใจสายลม หากเขาจะเชื่อคนคนนี้คงได้ใช่ไหม?


.......


เสียงตอกตะปูดังมาจากกระท่อมน้อยของสายลม ร่างสูงใหญ่เปิดเปลือยแผ่นอกหนากำลังซ่อมประตูที่พังจากฝีมือของลูห์เมื่อคืนเดือนดับที่ผ่านมา หันมองรูสที่นั่งเจาะเปลือกหอยอยู่บนเสื่อกกแล้วก็ยิ้ม ก่อนลงมือซ่อมประตูต่อด้วยความอารมณ์ดี

เปลือกหอยที่เด็กมันเก็บมาจากชายหาด นำมาเจาะให้เป็นรูเพื่อร้อยเชือก เห็นว่าจะทำโมบายแขวนไว้เหนือราวระเบียง เวลาต้องลมเสียงมันเพราะดี เด็กมันชอบ

เรื่องคืนนั้นเขาได้คุยแบบเปิดใจดูแล้ว รูสบอกว่าจะมีอาการแปลก ๆ ในคืนเดือนดับแรกหลังวันเกิด ซึ่งครั้งนี้มันดันตรงกับวันเกิดรูสพอดี ด้วยไม่รู้วันรู้คืนเลยไม่ได้หาทางป้องกันเช่นทุกครั้งจนเกิดเรื่องขึ้น เพราะปรกติรูสจะรู้ล่วงหน้าแล้วพาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องวิจัยใต้ดินของศาสตราจารย์ภิชาติ จะไม่สามารถออกมาได้จนกว่าเวลาที่ตั้งไว้หมดลง

รูสบอกว่าทุกครั้งจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ดีว่าครั้งแรกที่รู้ตัวว่ามีอาการประหลาด รูสอยู่ในห้องวิจัย ไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไร แต่รู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้รูสอยู่ในนั้น เพราะหากออกไปข้างนอก รูสไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะไม่ทำอะไรประหลาด ๆ หรือแม้กระทั่งทำร้ายคนอื่น เพราะเมื่อรู้สึกตัวขึ้นในวันถัดมา ผนังในห้องถูกทุบจนเป็นรอย แม้แต่มือก็แห้งกรังไปด้วยเลือดจากเล็บที่ฉีกขาด เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป แต่ผนังในห้อง ศาสตราจารย์ภิชาติเป็นคนสร้าง มันจึงมีเพียงรอยจากการทุบและเลือดจากปลายนิ้วของเขาเท่านั้น

นับแต่นั้นรูสก็เริ่มกลัวตัวเอง ด้วยความที่ยังเด็กมากเลยคิดไปว่าตัวเองอาจเป็นบ้าไปแล้ว แต่ไม่กล้าบอกใคร ได้แต่หวาดระแวงว่าอาการแบบนี้มันจะเกิดขึ้นอีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่มันก็หายเงียบ รูสยังใช้ชีวิตเป็นปรกติจนหลงลืมสิ่งที่เกิดขึ้น กระทั่งวันเกิดปีต่อมา ในคืนเดือนดับคืนหนึ่ง ความรู้สึกแปลกประหลาดก็หวนมา ครั้งนั้นห้องวิจัยใต้ดินก็ยังเป็นที่ที่รูสเข้าไปแล้วขังตัวเองไว้ และเป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุก ๆ ปี

ได้รู้แบบนี้แล้วสายลมก็ยิ่งห่วง เจ้าหนูนี่มันใช้ชีวิตมาแบบไหน นี่มันเป็นเรื่องที่หนักเกินกว่าเด็กอายุสิบห้าสิบหกจะรับไหวแล้วไม่ใช่หรือ ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเคยมีความสุขอย่างใครเขาบ้างไหม รูส...

พอซ่อมประตูเสร็จสายลมก็มาช่วยรูสเจาะเปลือกหอย นั่งทำกันไปเพลิน ๆ จนเสร็จจึงพากันไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อไปบ้านใหญ่ เป็นครั้งแรกที่รูสจะได้ไปที่นั่น ทำให้รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะปู่ของสายลมหน้านิ่ง ดูดุ ไม่รู้จะยินดีต้อนรับไหม

‘สายลม ๆ’ มือเรียวเขย่าแขนคนข้างกาย

“หืม?”

‘ปู่สายลมดุมากไหม?’


ริมฝีปากหยักยกยิ้มพร้อมบอก “ใจดี”

‘จริงเหรอ?’ เด็กเอียงคอ ท่าทางไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก

“หึ กลัวเหรอ?”

ใบหน้าเรียวพยักรับ หวั่นใจมากกว่าที่ต้องไปพบผู้ใหญ่

‘ปู่สายลมชื่อลามุเหรอ มันแปลว่าอะไรน่ะ?’

เอ่ยถามเพื่อเบี่ยงเบนความตื่นเต้นของตนเอง สายลมก็ยินดีตอบให้ มือหนาสอดกุมมือเด็กข้างกายขณะเดินไปด้วยกัน

“ชื่อเต็ม ๆ คือลามุกะ แปลว่าดวงอาทิตย์ ปู่ฉันมีพี่ชายอีกคน คนนี้เป็นปู่ของหมอปลายฟ้า ชื่อซานิน แปลว่าพรุ่งนี้ หรือรุ่งสาง ประมาณนั้น”

‘อ๋อ’ เมื่อฟังคำอธิบาย เจ้าตัวเล็กก็พยักหน้าหงึกหงัก

‘เหมือนรูสเลย ชื่อรูสก็แปลว่าแสงสว่าง’ เด็กน้อยอวดความหมายของชื่อตัวเองอย่างแสนภูมิใจ

“จริง?” สายลมเลิกคิ้ว เขาชอบนะ เวลาที่เด็กแทนตัวด้วยชื่อ ชอบมากกว่าตอนใช้คำว่าผมกับคุณมากทีเดียว

‘จริงสิ’ รูสทำแก้มพอง สายลมเลยบิดจมูกด้วยความมันเขี้ยว

เมื่อมาถึงบ้านใหญ่ นายลามุก็ให้คนเตรียมขนมนมเนยมาให้เด็กตามประสาเจ้าของบ้านที่ดี รูสไหว้ทักทายพร้อมขอบคุณชายชรา นั่งมองขนมบนโต๊ะแล้วก็ไม่กล้ากิน ได้แต่นั่งเกร็งอยู่ข้างสายลม

“ต้องพกไปไหนมาไหนด้วยตลอดเลยนะ”

นายลามุพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปรกติ แต่รูสที่ระแวงอยู่แล้วกลับชะงักกึก หันมามองสายลมเพราะกลัวว่าจะถูกชายชราดุเอาหรือเปล่าที่พาตนมาด้วย แต่สายลมกลับยังนิ่งเฉย ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเมื่อตอบกลับไป

“แน่ล่ะครับ ขืนเอาไว้ห่างตัวเดี๋ยวมีคนมาฉกไปล่ะแย่เลย”

“จะมีใครที่ไหนมาฉก?”

“คนที่ปู่ก็รู้ว่าใคร” มุมปากหยักกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ช่างยอกช่างย้อนดีนักหนา

“เขาจะพาเจ้าหนูนี่ไปทำอะไร?” นายลามุถามกลับ ซึ่งผู้เป็นหลานชายก็ไหวไหล่พลางตอบ

“ไม่ทราบสิครับ อาจจะใช้เป็นเครื่องต่อรองกับผมล่ะมั้ง”

“หากเป็นเช่นนั้นหลานจะยอมตามที่พวกมันต่อรองรึ?”

“คำตอบอาจทำให้ปู่ไม่ชอบใจนัก”

สายลมเลี่ยงที่จะตอบ หยิบขนมในจานมาส่งให้เด็กที่นั่งข้างกายตน มองตาโต ๆ นั่นแล้วเขาก็พยักหน้าให้อ้าปากรับ เจ้าตัวเล็กมันเหลือบมองปู่ของเขาก่อนส่ายหน้าหวือ สายลมจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาใส่ปากตนเองแทน

นายลามุมองการกระทำของหลานชายแล้วเอ่ยขึ้นมา “จะดูแลไปได้อีกนานแค่ไหน วันหนึ่งหากหลานไม่อยู่เล่า จะทำยังไงกัน?”

“พาไปด้วยสิครับ” สายลมตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องง่าย

ผู้เป็นปู่แทบกุมขมับ “นั่นมันแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากจะให้อยู่ที่นี่ไม่ต้องหวาดระแวงกันอยู่ตลอดเรอะ?”

“ปู่จะให้ผมจัดการกับพวกนั้นเลยไหมล่ะครับ?” ไม่ตอบคำถาม แต่สายลมกลับพูดไปอีกเรื่อง

“อย่ามาถามปู่ เพราะเจ้านั่นล่ะสายลมที่ปล่อยพวกมันไว้” พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วนายลามุก็ถอนฉุน หากหลานชายของเขาไม่ใจอ่อน เจ้าพวกที่ตั้งตัวเป็นศัตรูคงไม่ได้มาลอยหน้าลอยตาอยู่เช่นทุกวันนี้

รูสที่อยู่ร่วมวงสนทนาแต่ไม่ได้พูดจาออกความเห็นใด ได้แต่เหลือบมองคนนั้นที คนนี้ที พูดอะไรกันก็ไม่รู้ แต่น่าจะเกี่ยวกับเขา เห็นพูดถึงเรื่องอยู่ ๆ ไป ๆ

“อย่าชะล่าใจไปล่ะ ตอนนี้ชักมีกลิ่นไม่ดี” นายลามุเอ่ยเตือน

“ผมได้ยินมาว่าท้ายเกาะมีคนลอบเข้ามา ปู่จัดการกับพวกนั้นยังไง?”

“ยังไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้ายังไม่สารภาพว่าใครเป็นคนลอบพาเข้ามาอาจต้องพาไปลานขาว”

ได้ยินชื่อลานขาวสายลมก็ชะงัก ที่นั่นมันเป็นที่ทรมานคนผิดดี ๆ นี่เอง เพียงแค่เรียกชื่อให้มันดูดีไปอย่างนั้น ทั้งที่มีแต่ความโหดร้ายทารุณ

คนโลภไม่เคยหมดไป ท้ายเกาะศิลามีทางเข้ามาที่เหมือง แต่ก่อนที่จะถึงเหมืองจะมีแหล่งที่พากันเล่าลือว่าเป็นขุมทรัพย์ มีน้ำมันดิบนอนนิ่งอยู่ใต้พื้นนั่น ใครได้ยินก็ต่างพากันตาลุก แต่ ณ ที่แห่งนั้น แม้แต่คนในเกาะศิลายังไม่กล้าลุกล้ำเพราะมันเป็นถิ่นของลูห์และพวกพ้องหลายชีวิตที่อาศัยอยู่โดยรอบ ยากนักที่ใครจะผ่านเข้าไปได้หากไม่แกร่งจริง

สายลมไม่เคยเห็นด้วยกับวิธีทรมานคน แต่มันคือกฎที่ถือปฏิบัติ และทำให้คนเกรงกลัวกับการทำความผิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีพวกลองของ ท้าทายอำนาจของนายลามุจึงต้องเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่บ่อยครั้ง มีหลัง ๆ มานี้ที่อยู่กันสงบมากขึ้นทำให้ลานขาวไม่จำเป็นต้องใช้ เขาก็หวังว่ามันจะไม่ต้องใช้ตลอดไปเลยยิ่งดี ถึงจะแกร่ง แต่สายลมก็ไม่เหี้ยมพอ

ในอนาคตข้างหน้าหลายอย่างคงมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สายลมไม่คิดว่าตัวเองจะขึ้นเป็นผู้นำ เป็นนายของทุกคนที่นี่แทนปู่ที่ชราภาพลงทุกเมื่อได้ ไม่ใช่เขาไม่มั่นใจ แต่ไม่อยากได้ตำแหน่งนั้นเสียมากกว่า เป็นนายน้อย มีตำแหน่งให้พอเรียกกันไปอย่างนั้นก็ดีอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำตามใจ ไม่ต้องเคร่งกับกฎเกณฑ์อะไรมากมาย

“สายลม ตอนนี้หลานก็อายุพอสมควรแล้วนะ ไม่คิดที่จะ...”

“ไม่เลยครับ”

ชายหนุ่มตอบกลับไปโดยไม่ต้องหยุดคิด ไม่ต้องรอให้นายลามุถามจนจบประโยคเสียด้วยซ้ำ เมื่อก็รู้กันดีว่าทุกทีที่พบหน้า นายลามุต้องเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาเสมอ ซึ่งเขารู้แกวหมดแล้ว

“ในวันหน้าทายาทของเจ้าจะต้องขึ้นครองตำแหน่งแทน อย่าทำเล่นไป”

สายลมทำเสียงลงคอ การหาสาวสักคนมาแนบกายไม่ใช่เรื่องยากเย็น และไม่ใช่ว่าเขาเรื่องมากถึงได้ยังครองตัวเป็นโสด เพียงแต่ไม่นึกถูกใจสาวใด หากตบแต่งกันไปก็ใช่จะมีความสุข เขารู้ว่ามันคือหน้าที่ แต่หากทำตามหน้าที่แล้วไม่ถามหัวใจเลย มันจะดีหรือ?

รูสนั่งฟังที่สองปู่หลานคุยกันพอจับใจความได้ในตอนท้ายว่าพวกเขาคุยเรื่องคู่ครองของสายลม มันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีลูกมีภรรยา แต่ว่า...

ตากลมช้อนมองคนข้างกาย ไม่อยากนึกถึงวันที่สายลมต้องใส่ใจดูแลคนอื่น หากวันนั้นมาถึง สายลมคงหลงลืมเขา อย่างไรครอบครัวก็ต้องสำคัญกว่าเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้อยู่แล้ว ไม่วายต้องถูกทิ้งอีก เขามันคนเห็นแก่ตัว ไม่อยากให้สายลมแต่งงานเลยจริง ๆ


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๖ ปกป้องคุ้มภัย //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 25-08-2018 20:00:51


ภายในห้องทำงานของราซิส ข้าวของถูกกวาดลงจากโต๊ะจนระเนระนาด หลายสิ่งหลายอย่างในเวลานี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเขา ห้องใต้ดินบ้าบอนั่นก็เปิดไม่ได้ หากจะใช้อาวุธหนักพังเข้าไปก็อาจทำให้ของสำคัญที่อยู่ภายในห้องนั้นพังเสียหาย และสิ่งที่เขาพายามมาทั้งหมดมันก็จะสูญเปล่า เขากำลังวางแผนขายงานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ เขาจึงต้องหาทางเปิดห้องนั้นให้ได้ หากขายลิขสิทธิ์งานวิจัยได้ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลก็จะลอยเข้ามาอยู่ในมือเขาอย่างไม่ยากเย็น หากมันสำเร็จลุล่วงก็จะยังผลมาสู่ชื่อเสียงอันมากล้นอีกด้วย

“ฉันต้องทำยังไง ต้องทำยังไงถึงจะเปิดห้องนั้นได้!!”

ราซิสคำรามลั่น รู้สึกคุ้มคลั่งจนแทบคุมตัวเองไม่อยู่ ตลอดมาเขาต้องขวนขวาย ต้องบากบั่นด้วยลำแข้งของตนเองมาโดยตลอด ในบ้านหลังนี้เขามีสถานะเดียวกับรูส แต่รูสกลับได้รับความเอ็นดูมากกว่าทั้งที่มันมาทีหลัง ไอ้เด็กนั่น ไอ้เด็กหัวอ่อนที่ชอบทำหน้าตาโง่เง่าทุกคราวที่เจอหน้าเขา เขาเกลียดสายตาแสดงความสงสารจากมัน มันทำให้เขาดูเป็นคนน่าสมเพช!

ทุกคนที่นี่ล้วนแล้วแต่สร้างบาดแผลให้เขาทั้งสิ้น นายภิชาติรับเขามาเลี้ยงดู ไม่ได้อุ้มชูแต่กลับใช้เขาราวหนูทดลอง แต่ในขณะเดียวกัน สถานะหนูทดลองก็ยังทำให้เขาได้อยู่ดีกินดี จนกระทั่งรูสเข้ามา เขาก็หมดประโยชน์ นายภิชาติเลี้ยงดูรูสอย่างดี ในขณะที่เขาถูกปล่อยลอยแพ คุณหญิงพจนีย์ก็กดขี่ราวเขาไม่ใช่คน แมลงสาบที่น่าขยะแขยงยังมีค่ามากกว่าเขาเสียอีกในสายตาของนาง

เขาคิด คิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าวันหนึ่งจะต้องไปจากขุมนรกแห่งนี้ จนเมื่อทนแบกรับความรู้สึกด้อยค่า ทั้งความเคียดแค้นที่มันค่อยสะสมพอกพูนมากขึ้นทุกวันไม่ไหว ราซิสจึงออกจากบ้านหลังนี้เพื่อหาทางถีบตนเองให้เหนือกว่าทุกคน แต่หนทางที่เขาก้าวเดินกลับมุ่งสู่ความผิดพลาด เขาเข้าสู่วงการธุรกิจที่แสนมืดดำ ยิ่งทำงานให้คนเหล่านั้น ราซิสยิ่งซึมซับความเหี้ยมโหด ความกระหายอยากทำให้เขาไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขาอยากได้อำนาจ อยากมีทุกอย่างในมือ สิ่งเร้าเหล่านั้นทำให้ราซิสก้าวต่อไปจนกู่ไม่กลับ ทำทุกหนทางเพื่อความยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งการ... ฆ่า

ราซิสวางแผนเสียดิบดี เขาจัดการกับนายใหญ่ของกลุ่มที่ตนเองทำงานให้อย่างแนบเนียนด้วยการจับมือกับศัตรู เมื่อฝ่ายนั้นเข้ายึดครองทุกอย่าง ราซิสจึงได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นนายใหญ่แทนคนเดิมที่จบชีวิตลง หากสิ่งที่เขาได้รับกลับยังไม่ใช่ความปรารถนาสูงสุด เพราะเป้าหมายที่เขายังทำไม่สำเร็จลุล่วงก็คือการเหยียบคนที่เคยสร้างบาดแผลในใจเขาให้จมดิน

แต่เมื่อเขากลับมาในสถานะใหม่ ศาสตราจารย์ภิชาติและภรรยากลับไม่อยู่ให้เขาแก้แค้นเสียแล้ว เหลือก็เพียงรูส เด็กน้อยไร้ที่พึ่ง เขาในฐานะพี่ชายที่แสนดีจึงได้เข้ามาดูแลน้องชายที่น่ารักคนนี้แทน เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี เพราะรูสคือทายาทผู้ที่จะได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของศาสตราจารย์บ้านั่น แต่รูสยังไม่บรรลุนิติภาวะทำให้เขาเข้ามาจัดการหลายสิ่งอย่าง ถ่ายโอนสมบัติมาเป็นของตนเองโดยที่รูสไม่รู้ ไม่เคยรู้ เพราะรูสไม่สนใจสมบัติพัสถาน ซึ่งนั่นมันก็ดี แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะยังมีเสี้ยนหนามอย่างริวอา บิดาของรูส ริวอาคืออุปสรรคขวางทางเขา เพราะตาแก่นั่นมันคอยแต่จะยุแยงให้รูสไม่ไว้ใจเขา การกำจัดริวอาให้พ้นทางเหมือนมดแมงตัวหนึ่งจึงเกิดขึ้น

ราซิสพาน้องชายไปล่องเรือเที่ยว เจ้าเด็กหน้าโง่มันดีอกดีใจใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าพ่อของมันกำลังจะตาย การกำจัดริวอาด้วยอุบัติเหตุคือหนทางที่ราซิสเลือก หากมันจมลงไปใต้ท้องทะเลนั่น เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำลายหลักฐาน ไม่ต้องเปลืองแรง แค่ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุเท่านั้นพอ เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตารูส เด็กน้อยที่ขวัญเสียเพราะการจากไปของบิดาที่รักยิ่ง เขาก็แค่คอยปลอบใจ เท่านี้รูสก็เชื่อใจเขามากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

แต่เมื่ออยากได้ใคร่ดี รูสจึงกลายเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จ เมื่อการกำจัดใครคนหนึ่งเป็นไปได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ ราซิสจึงราวกับเสพติด การกำจัดรูสให้พ้นทางจึงเป็นสิ่งที่ราซิสทำในเวลาต่อมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูทำให้ความคุ้มคลั่งของราซิสชะงักลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามปรับอารมณ์ตนเองก่อนเอ่ยอนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามา

“มีอะไร?” เอ่ยถามลูกน้องที่ก้าวมายืนตรงหน้า

“คุณกำชัยมาขอพบครับ”

หัวคิ้วราซิสขมวด นายกำชัย นักธุรกิจจากแดนใต้ ถือเป็นมาเฟียที่คุมกิจการเล็กใหญ่ในแถบนั้นไปเสียครึ่งค่อน เขาเคยเข้าไปร่วมทุนในธุรกิจมืดของหมอนั่น ทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ นายกำชัยได้เข้ามาคุยเรื่องธุรกิจน้ำมันกับเขา ซึ่งมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“บอกไหมว่ามาเรื่องอะไร?”

ลูกน้องผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนบอก “เรื่องเกาะศิลาครับ”


......


เอกสารรายงานจากนักสืบฝีมือดีถูกส่งมาถึงมือเซย์ เฟอร์ริงตัน ชายหนุ่มอ่านมันเพียงคร่าว ๆ แล้ววางลงบนโต๊ะ ปลายนิ้วเคาะเบา ๆ ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำทะเลมองกระดาษรายงานเหล่านั้นด้วยท่าทีครุ่นคิด

นายราซิสที่พี่ชายของเขาให้ช่วยสืบหามีประวัติไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่ใช่ว่าเขาจะหวั่นวิตกแต่ประการใด หากเกิดการปะทะกันขึ้นก็คงต้องลองดูสักตั้ง จะได้รู้ว่าระหว่างปีกของเฟอร์ริงตันที่ปกป้องพวกเขาอยู่ กับนักเลงกระจอกที่ออกจะมีปัญหาทางจิตอย่างนายราซิส ใครมันจะเหนือกว่าใคร

เซย์เอื้อมคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานมาต่อสายถึงพี่ชายอีกคน “เอวาน วันนี้ว่างไหม ผมมีเรื่องอยากรบกวนพี่สักหน่อย”

เมื่อเอ่ยถามไปและผู้เป็นพี่ชายตอบรับกลับมา เซย์ก็กระตุกยิ้มมุมปาก พวกเขาสามพี่น้องไม่ได้ทำอะไรร่วมกันนานแล้ว ตั้งแต่สายลมแยกไปอยู่ที่เกาะศิลา นานครั้งกว่าพี่ชายคนรองอย่างสายลมจะได้มาที่นี่ แต่พอมีเรื่องให้ทำด้วยกันทีกลับเป็นเรื่องแนวนี้เสียได้สิน่า

เซย์จัดการนัดแนะพี่ชายคนโตให้มาพบกันที่คฤหาสน์เฟอร์ริงตัน เรื่องสำคัญไม่อยากคุยกันข้างนอก หลังจากวางสาย เซย์ก็เตรียมตัวกลับคฤหาสน์ จนเมื่อผู้เป็นพี่มาถึงตามเวลานัดหมาย เอกสารที่ได้รับก็ถูกนำออกมาให้ดู คนตรงหน้าของเขาเวลานี้คือเอวาน เวสส์ นักธุรกิจหนุ่มผู้ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ คล้ายชายหนุ่มอบอุ่นแสนใจดี แต่หาใช่ไม่

“หมอนี่เหรอ?” เอวานเปิดดูเอกสารที่น้องชายส่งมาให้แล้วเอ่ยถาม

เซย์พยักหน้า ก่อนพูดขึ้นมาเสียงเครียด “สายลมอยู่แต่ในเกาะ คงรับมือมันไม่ได้เท่าที่ควร ผมเลยอยากให้พี่ช่วย”

“ฉันรู้จัก” เอวานว่า

“จริงเหรอ?” ผู้เป็นน้องถามกลับ ท่าทางประหลาดใจ “โลกกลมจริงแฮะ”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วเอวานกลับยิ้มมุมปาก “ไม่ได้เป็นการส่วนตัว แต่พอได้ยินวีรกรรมของมันมาบ้าง”

“ผมว่ามันโรคจิต”

“ประมาณนั้น พวกเด็กมีปมแล้วเดินหลงทาง” ผู้เป็นพี่ไหวไหล่ ทำให้เซย์ยิ้มแปลกพลางเอ่ยถาม

“รู้เรื่องมันมากแค่ไหน?”

“นิดหน่อย มันฆ่าคนได้โดยไม่สะทกสะท้าน ถึงได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มแทนนายเจสัน”

นายเจสัน นักธุรกิจสัญชาติอเมริกัน ทำธุรกิจด้านมืด ทั้งค้ามนุษย์และอาวุธสงคราม เรื่องของคนในวงการเหล่านี้เอวานก็พอรู้อยู่บ้าง เพราะเวสส์ ก็ใช่จะมีส่วนที่ใสสะอาดอยู่ทั้งหมด

“สายลมเจองานหนัก” เซย์ว่า

“คงงั้น”

เซย์มุ่นคิ้ว ชักเครียดแทนพี่ชายคนรอง หากสู้กันซึ่งหน้า พี่ชายของเขาไม่มีทางแพ้แน่ แต่หากพวกมันใช้วิธีหมาลอบกัดก็ไม่แน่เหมือนกัน ไหนจะต้องหาทางรับมือกับนายราซิส ไหนจะต้องพะวงกับเด็กที่ตัวเองช่วยมา คงได้ถูกโจมตีทุกทางเป็นแน่ ทั้งเรื่องศัตรูบนเกาะศิลาก็ด้วย เจอศึกหลายทางแบบนี้เป็นใครก็คงเครียด นี่เขาควรตีหัวสายลมแล้วพากลับมาอังกฤษด้วยเลยดีไหม ทำเพื่อคนอื่นมากมายขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังมีคนไม่หวังดีคิดปองร้ายอยู่ทุกวันอีก น่าเหนื่อยใจ

ที่จริงแล้วเซย์ก็ไม่อยากให้ผู้เป็นพี่ชายไปเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นั่นแต่ทีแรก อยู่กับครอบครัวทางนี้พี่ไม่ต้องลำบากอะไรเลยด้วยซ้ำ รีสอร์ตนับตะวันของอาอัลเบิร์ตที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยก็มี ผลประกอบการดี มีเงินให้นับกันจนมือหงิก แต่เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้ว เขาก็คงพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่สนับสนุนอยู่ห่าง ๆ คอยเป็นกำลังให้เมื่อพี่ชายต้องการ

เพราะพวกเขาคือครอบครัว แม้จะต่างสายเลือด ต่างสกุล แต่ไม่ว่าจะเฟอร์ริงตัน เวสส์ หรือ คาร์ล พวกเขาก็ไม่เคยแบ่งแยก อย่างไรความเป็นครอบครัวเดียวกันก็ไม่เคยหายไป และมันจะยังคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป


......


ออกจากบ้านใหญ่มา สายลมก็พาเด็กเดินกลับกระท่อม ค่อย ๆ เดินเลียบหาดมาเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน หาดทรายสีขาวทอดยาวไปไกล เม็ดทรายดูละเอียดจนน่าสัมผัสด้วยเท้าเปล่าดูว่ามันจะนุ่มมากแค่ไหน ไม่รอช้า รูสถอดรองเท้ามาถือแล้วย่ำบนพื้นทรายสีขาว ลมทะเลพัดมาให้พอคลายร้อน

“ระวังเปลือกหอยบาดเท้า”

สายลมเอ่ยเตือน เด็กก็ถกเท้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อย ๆ วางรองเท้าลงบนพื้นแล้วสวมมันเหมือนเดิม ตัวบางวิ่งไปกระโดดข้ามระลอกคลื่นที่สาดซัดมากระทบฝั่งพลางหัวเราะชอบใจ สายลมอมยิ้ม ชอบเวลาเด็กมันหัวเราะสดใสแบบนี้มากกว่าเวลามีน้ำตานองหน้าเป็นไหน ๆ

มือหนาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ อมยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกไปถึงตอนที่ตนเองจะให้ของสิ่งนี้กับรูส ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะชอบมัน

เมื่อกลับมาถึงกระท่อมรูสก็ต้องแปลกใจ เมื่อมันถูกประดับประดาด้วยดอกไม้มากมาย เจ้าตัวเล็กหันมองสายลมเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายกลับยิ้ม เพราะที่พาเด็กไปบ้านปู่ก็เพื่อการนี้ เพราะมีเรื่องให้ประหลาดใจเล่น ๆ

“รูส”

รูสหันไปมองตามเสียงเรียก เจ้าโตค่อยโผล่หน้ามาจากหลังกระท่อม และไม่ใช่แค่โตคนเดียว เพื่อนตัวน้อยของเขาทุกคนเลยที่เดินออกมายืนเรียงกันเป็นแถว รวมทั้งฟาริดาด้วย

เจ้าโตเป็นคนที่ก้าวนำหน้าเพื่อน ๆ มาหารูส ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่มั่นใจนัก “วันเกิดเอ็งผ่านมาแล้ว แต่ข้าไม่รู้ ข้าให้ของขวัญเอ็งตอนนี้จะเป็นไรไหม?”

กล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่ไม่โตนักถูกยื่นมาตรงหน้า รูสนิ่งอึ้ง รู้สึกเต็มตื้นในอกกับสิ่งที่เด็ก ๆ ทำให้ เขาส่ายหน้าว่าไม่เป็นไรเป็นการตอบคำถามของโต ก่อนรับกล่องไม้ใบนั้นมา

“พวกข้าไม่มีเงินซื้อของดี ๆ ให้เอ็ง แต่ก็ร่วมแรงกันทำให้” พูดไปแล้วเจ้าโตก็เกาแก้ม รู้สึกขัดเขินหน่อย ๆ ที่ต้องเป็นตัวแทนของเพื่อน ๆ มาพูดแบบนี้กับรูส

รูสยิ้ม ก่อนจะชี้ที่กล่องแล้วทำท่าเปิด เจ้าโตพยักหน้าให้เปิดดูได้ รูสจึงเดินไปนั่งที่แคร่แล้วจัดการเปิดกล่องไม้ออก สิ่งที่อยู่ด้านในค่อยเผยโฉมมาให้เห็น ตุ๊กตาดินเผาหน้าตาประหลาด ถูกแต่งแต้มหน้าตาโดยฝีมือของเด็ก ๆ แต่ดูแล้วรูสก็พอรู้ว่าเป็นตนเอง ผ้ากำมะหยี่ผืนเล็กสีเขียวอ่อนถูกวางรองก้นกล่องคล้ายเป็นผืนหญ้า ก่อนจะวางตุ๊กตาทับด้านบน ตัวรูสที่ใหญ่กว่าตุ๊กตาตัวอื่นวางอยู่ตรงกลาง และเพื่อนตุ๊กตาตัวน้อยอีกหลายตัวตั้งล้อมรอบ

รูสน้ำตาคลอเมื่อมองท่าทางลุ้นแสนลุ้นของเพื่อนวัยเยาว์ หนุ่มน้อยก้มแล้วก้มอีกเสียหลายทีเพื่อขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์ทำมันมาให้ เพื่อนตัวน้อยของเขาเลยพากันยิ้มกว้าง

“เอาล่ะจ้ะ ให้ของขวัญเพื่อนกันไปแล้ว คราวนี้เรามากินอาหารอร่อย ๆ กันดีกว่าเนอะ”

ฟาริดาเอ่ยชวน ซึ่งเด็ก ๆ ก็พากันเฮโลตามกัน อาหารกับขนมที่เธอเตรียมมาได้รับความช่วยเหลือจากคุณแม่ของเด็ก ๆ และได้งบในการทำมาจากนายน้อยสายลม ตัวตั้งตัวตีเชียวล่ะคนนี้

“ไปรูส” โตคว้ามือรูสแล้วจูงกันไป

ทุกคนร่วมอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้รูส กินอาหารกับขนมและน้ำหวานกันอย่างมีความสุข เสียงเจื้อยแจ้วดูวุ่นวายแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่กระท่อมหลังน้อยของสายลม แต่เจ้าของกระท่อมก็ไม่ได้หงุดหงิดใจ ได้เห็นเด็กดื้อมีความสุขกับเพื่อน ๆ แบบนั้นก็ดีแล้ว

จานขนมถูกถือมาให้ สายลมเงยมองคนถือแล้วรับมา ตัวบางนั่งลงข้างกาย ส่งยิ้มพิมพ์ใจมาให้ทั้งเอ่ยขอบคุณ

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาว่า

‘สายลมปากแข็ง’

เด็กย่นจมูก ทำให้สายลมยิ้มขำ ตากลมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมองเขา ก่อนริมฝีปากบางจะขยับ

‘ขอบคุณที่มองเห็นว่าผม... อยู่ตรงนี้’

มือหนาเอื้อมมาโยกศีรษะทุย มาทำซึ้งอะไรตอนนี้เจ้าเด็กดื้อ


สายลมไปส่งเด็ก ๆ และฟาริดากลับเมื่องานวันเกิดจบลง รูสเก็บข้าวของจานชามเข้าที่เข้าทางหลังจากฟาริดาและเด็ก ๆ ช่วยกันล้างและผึ่งเอาไว้ก่อนกลับ เมื่อเสร็จแล้วจึงลุกไปเอากล่องไม้ ของขวัญแสนพิเศษจากเพื่อนตัวน้อยมาวางบนเสื่อ เปิดออกดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็มันดีใจที่ทุกคนนึกถึง ทั้งที่รู้จักกันเพียงไม่นาน แต่ก็ทำให้เขาถึงขนาดนี้

ถุงผ้าอันเล็กบรรจุผลึกอำพันที่ได้มาจากสายลมเมื่อคราวก่อน รูสหยิบผลึกออกมาแล้ววางลงไปในกล่อง ให้อยู่รวมกับตุ๊กตาดินเผา เขาจะถือว่านี่คือกล่องของขวัญล้ำค่าที่ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดียิ่ง

เมื่อสายลมกลับมาก็ขึ้นมาบนกระท่อม รูสเงยมองแล้วยิ้มให้เมื่อชายหนุ่มนั่งลง มือเรียวแบแล้วยื่นมาตรงหน้า สายลมอมยิ้ม มองตากลมที่ฉายแววความสุขให้เห็นก่อนจะนำบางอย่างมาวางลงบนมือนั้น รูสเอียงคอมอง หินอีกแล้ว คราวนี้เป็นสีรุ้ง ดูแวววาวเพราะผ่านการเจียระไนแล้ว ไม่เหมือนอำพันที่ได้มาเมื่อคราวก่อน

“โอปอล เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ และเชื่อกันว่ามีพลังลบล้างความเจ็บปวด ฉันขอให้พลังของมัน... ช่วยลบอดีตแสนเจ็บปวดของเด็กดื้อคนนี้ให้หมดไป”

กระบอกตาเด็กดื้อร้อนผ่าว มองเม็ดโอปอลในมือ ก่อนประคองมันไปวางลงในกล่อง ให้อยู่ข้างอำพันและตุ๊กตาตัวน้อย เมื่อเงยขึ้นมามองสายลม มือเรียวก็พนมไหว้

สายลมยิ้มบาง ลูบผมนิ่มเบา ๆ เด็กดื้อของเขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนโผเข้ามากอดเช่นทุกที สายลมหัวเราะขณะโอบแขนรอบเอวบาง แขนเรียวคล้องกอดคอหนา น้ำตาที่ไหลลงข้างสองแก้มถูกเช็ดออกเบามือ เด็กอะไรกัน เสียใจก็ร้องไห้ ดีใจก็ร้องไห้

“ขอให้เธอมีแต่ความสุข และ...”

สายลมเว้นช่วง ทำให้รูสนิ่งรอฟัง

“ให้เรา... อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ”

น้ำตาที่เหมือนจะหยุดไหลกลับร่วงผล็อยลงมาอีก ทุก ๆ คำที่สายลมพูด เขาอยากให้เป็นจริง อยากให้เป็นจริงทั้งหมดเลย

ขณะที่บรรยากาศของความสุขอบอวล ลูห์ที่นอนอยู่ด้านล่างก็ทำเสียงแปลก ๆ ในลำคอก่อนลุกออกไป ทำให้สองหนุ่มหันมามองตามมัน ไม่นานนักใครคนหนึ่งก็เดินตัวลีบออกมาจากพุ่มไม้ไม่ไกลจากกระท่อมนัก โดยมีลูห์เดินคุมมาอีกที เมื่อใครคนนั้นเข้ามาใกล้รูสก็เบิกตาโต หันมามองสายลมด้วยความคาดไม่ถึง ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มบางพลางพยักหน้าให้

รูสลุกจากตักสายลมแล้วเดินลงมาข้างล่าง เข้าไปหาคนคนนั้น คนที่ต่อให้จากกันไปกี่ปีเขาก็ไม่มีทางลืมเลือน

“พ่อ”

ร่างผอมโผเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น หัวใจที่เจ็บร้าวราวได้รับการเยียวยา




TBC




บวกขอบคุณพี่กวิศรา คุณทิฟฟานี่ และคุณซิลเวอร์ฯค่ะ  :กอด1:

ส่วนคุณเวกัส... โฆษณาหรืออะไรคะเนี่ย...  :confuse:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๖ ปกป้องคุ้มภัย //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 25-08-2018 21:10:18
เหมือนเคยอ่านหรือคิดไปเอง   :confuse:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๖ ปกป้องคุ้มภัย //๒๕.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 26-08-2018 02:00:52
สนุกมากเลยค่าาาา เราตามมาตั้งแต่รีไรท์ครั้งที่สอง จะตามจนกว่าจะจบนะค้าา ชอบฉากน้องป้อนขนมลูห์มากเลยย งืออ น่ารักก  :-[
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๗ ดวงใจคะนึง //๒๖.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 26-08-2018 11:23:56

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๗ ดวงใจคะนึง


ทั้งสามคนพากันขึ้นมานั่งคุยบนกระท่อม รูสนั่งอยู่ข้างลุงหลง ขณะที่สายลมนั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้าม มองเด็กที่ก้มหน้าก้มตานิ่ง ปรกติตัวติดกับเขาเป็นตังเม มาวันนี้ย้ายข้างเสียแล้ว

“ขอบคุณนายน้อยที่ช่วยดูแลรูสเป็นอย่างดี ขอบคุณเหลือเกิน”

ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ลุงหลงพูดคำนี้ เหตุที่แกไม่กล้ามาสู้หน้ารูสเป็นเพราะตลอดมาแกรู้สึกว่าตัวเองบกพร่องต่อหน้าที่ของความเป็นพ่อ ปกป้องรูสไม่เคยได้ ทั้งยังไม่เคยที่จะหาหนทางกลับไปช่วยลูกของตนหลังจากความทรงจำกลับมา ได้แต่ทำตัวเป็นลุงหลงบ้าใบ้ต่อไป ขณะที่ตนเองเอาตัวรอดอยู่บนเกาะศิลา รูสกลับต้องเผชิญปัญหาที่เด็กคนหนึ่งไม่ควรได้รับอยู่อีกแห่ง เมื่อรู้ว่าคนที่นายน้อยสายลมพากลับมาที่เกาะเป็นลูกของตน ลุงหลงก็ได้แต่แอบมองอยู่ไกล ๆ เขามันช่างขี้ขลาดนัก

“หลังจากนี้ผมหวังว่าลุงจะดูแลเขาให้ดีกว่าเดิม ชดเชยช่วงเวลาที่ลุงทอดทิ้งเขาให้เผชิญปัญหาทุกอย่างตามลำพัง” สายลมกล่าวขึ้นมา ไม่ได้ตั้งใจจะตอกย้ำความผิดพลาดของผู้อื่น แต่สิ่งที่รูสได้รับมันก็มากเกินไปจริง ๆ

“แน่นอนครับนายน้อย ผมจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก” ลุงหลงรับคำหนักแน่น มองลูกของตนที่นั่งอยู่ข้างกาย

รูสยิ้มให้ ไม่เคยเลยที่จะนึกโกรธเคืองบิดา มันมีแต่ความคิดถึง ความโหยหา และคาดหวัง คาดหวังว่าบิดาจะยังมีชีวิตอยู่และได้กลับมาพบกันในสักวันหนึ่ง และวันนี้ความคาดหวังนั้นมันก็เป็นความจริง

มือกร้านลูบหัวลูก จากวันที่แกพาเด็กคนนี้ออกจากหมู่บ้านมา ระหกระเหินแทบเอาชีวิตกันไม่รอดทั้งสองคนพ่อลูก เมื่อพบเจอคนใจดีเข้าหน่อยแกก็วางใจเขา ทั้งยังยกลูกให้เขาชุบเลี้ยงเพราะคิดว่าลูกคงจะได้ดีในภายภาคหน้า แต่ในระหว่างนั้นลูกของแกกลับต้องทน ต้องเจ็บ แขนเล็กเต็มไปด้วยร่องรอยจ้ำแดงทุกครั้งที่มาหา ใช่ว่าเห็นเช่นนั้นแล้วแกจะไม่เจ็บปวด ลุงหลงเคยคิดหาหนทางจะพาลูกออกมาจากที่นั่น แต่ตามกฎหมาย ณ ขณะนั้นรูสคือลูกของศาสตราจารย์ภิชาติ เป็นคนมีชื่อเสียง ใครก็นับหน้าถือตา หากแกพาลูกของแกหนีคงไม่พ้นถูกแจ้งข้อหาลักพาตัว

นึกย้อนไปแล้วแกก็นึกเสียใจมาจนบัดนี้ที่ไม่ได้กระทำการใดลงไปในวันนั้น จนกระทั่งถูกราซิสวางแผนกำจัด หลังจากนั้นรูสต้องเผชิญกับเรื่องใดบ้างแกก็ไม่อาจรู้ เมื่อหันมาทางสายลม ลุงหลงก็รู้สึกขอบคุณจากใจ ชายผู้นี้เป็นคนดีมีเมตตา และยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ลุงแกคิดมันใช่ก็เมื่อสายลมช่วยเหลือเด็กที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าจนสุดกำลัง แม้กระทั่งยอมให้คนในเกาะคลางแคลงตนเอง

“ผมจะพารูสไปอยู่ด้วย จะได้ไม่เป็นภาระของนายน้อย” ลุงหลงเอ่ยขึ้นมา เมื่อได้คิดและตัดสินใจแล้วก่อนมาที่นี่

สายลมนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ลุงแกพูด รูสเองก็หันมามองสายลมด้วยความตกใจเหมือนกัน

“ผมก็... ไม่ได้ลำบากอะไร”

ราวหาเสียงตัวเองไม่เจอ เมื่อตอบกลับไปเบากว่าปรกติ สายตาคมมองเด็กตรงหน้า อีกฝ่ายกลับหลบตาเขาเสียอย่างนั้น

“ถ้ารูสอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่ใช่ปัญหา”

รูสเงยมองคนตัวโตที่โยนกลอง ได้แต่อึกอักเมื่อสายตาทั้งสองคู่มองมาอย่างต้องการคำตอบ มือเรียวขยุ้มกำชายเสื้อตัวเอง ท่าประจำเวลาอึดอัดคับข้องใจ อยากอยู่กับสายลมก็อยาก แต่ว่า...

“ที่จริงคงอยากอยู่กับพ่อมากกว่า...” สายลมเอ่ยขึ้นมา “ฉันตามใจเธอ”

ริมฝีปากบางเม้มแน่น รู้สึกใจหายที่ได้ยินสายลมพูดเช่นนั้น ถึงแม้จะเพียงเดือนเดียวที่ได้มาอาศัย แต่เขาก็คุ้นเคยกับที่นี่ กับสายลมและลูห์ หากว่า... หากว่าวันหน้าจะมาหากันบ้างคงไม่ผิดอะไรใช่ไหม ก็เขายังไม่ได้ออกจากเกาะไปไหนสักหน่อยนี่นา

ลุงหลงตกลงกับสายลมว่าจะมารับรูสไปอยู่ด้วยในวันพรุ่งนี้ ขอกลับไปจัดการที่ทางและพูดคุยกับคุณหมอปลายฟ้าเสียอีกที เพราะฉะนั้นแกจึงจะกลับไปก่อนในวันนี้

“พรุ่งนี้พ่อจะมารับนะรูส” บอกกับลูกชายด้วยน้ำเสียงอาทร ดีเหลือเกินที่ได้กลับมาพบกันเช่นนี้

รูสมองส่งบิดาที่เดินห่างออกไป ก่อนจะหันกลับมามองคนข้างกายที่มีสีหน้าเรียบเฉยจนรู้สึกอึดอัด มือเรียวเอื้อมไปจับมือของสายลม ตากลมช้อนมองก่อนเอ่ยถามไถ่

‘สายลมโกรธเหรอ?’

สายลมมองเด็กที่หน้าเจื่อนจ๋อยแล้วก็ถอนใจ เขาจะไปโกรธเด็กมันเรื่องอะไร เป็นใครก็อยากอยู่กับพ่อแม่ตัวเองทั้งนั้น ยิ่งไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน ทั้งยังคิดว่าตายไปแล้วด้วย พอเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องอยากใช้เวลาที่มีเพื่ออยู่ด้วยกันทั้งนั้น

“ไม่ได้โกรธ” เขาว่าอย่างนั้น แต่เด็กกลับไม่เลิกซึม “ถ้ายังไม่เลิกทำหน้าแบบนั้นฉันจะโกรธ”

พอพูดไปเช่นนั้นเด็กมันก็หน้าตาตื่น ตีแก้มตัวเองแล้วพยายามยิ้มออกมา สายลมส่ายหน้า ก่อนจะกลับขึ้นกระท่อมไป

รอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งค่อยเจื่อนลง รูสหันมามองลูห์ก่อนจะเดินมานั่งด้วย สายลมบอกไม่โกรธ แต่เขาไม่สบายใจ ไม่ได้อยากไปจากที่นี่ แต่ก็อยากอยู่กับบิดาด้วยเหมือนกัน ทำอย่างไรดีล่ะลูห์?

หันมาปรึกษาลูห์ก็ใช่จะมีอะไรดีขึ้น พูดกันไม่ได้ทั้งคู่แบบนี้จะเข้าใจกันได้อย่างไร ตัวบางขยับลุก เดินขึ้นกระท่อมตามสายลมไป วันนี้คงไม่เหมือนทุกวัน การกอดกับสายลมอาจไม่อบอุ่นเท่าเดิม เพราะใจที่สับสนจนพาลนอนไม่หลับทั้งคู่


......


วันรุ่งขึ้น รูสเก็บข้าวของรอบิดามารับ กว่าลุงหลงจะมาก็หลังจากเสร็จงานที่โรงพยาบาลในยามค่ำแล้ว เจ้าหนูอุ้มกล่องไม้ที่ได้จากเพื่อนตัวจิ๋วลงมาจากกระท่อม ถุงผ้าที่ใส่ของจำเป็นลุงหลงก็เป็นผู้ถือให้

สายลมยืนกอดอกหน้านิ่ง รูสที่ลงมายืนอยู่ด้านหน้าช้อนสายตาขึ้นมอง อีกฝ่ายกลับเบือนสายตาหนีมาทางลุงหลงแทนเสียอย่างนั้น

“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกผมได้ ผมยินดีช่วยเสมอ รูสก็เหมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง”

เด็กก้มหน้าพลางประท้วงในใจ ‘ไม่ได้อยากเป็นน้องสักหน่อย’

“รูสไม่ใช่คนของเกาะศิลา ผมเกรงว่าต่อไปเขาอาจอยู่ที่นี่ไม่ได้” ลุงหลงพูดถึงสิ่งที่ตนกังวล การที่รูสยังอยู่ที่นี่มาได้เป็นเดือนก็เพราะบารมีของนายน้อย

“เรื่องนั้นผมจะปรึกษาพ่อเฒ่าว่าจะทำยังไงได้บ้าง พ่อเฒ่าคงไม่ใจร้ายกับเด็กมันนัก”

“ขอบคุณครับนายน้อย รูส ขอบคุณนายน้อยสิลูก” ลุงหลงรีบบอกลูกชายให้ขอบคุณที่อีกฝ่ายมีเมตตากับพวกตน

รูสเงยขึ้นมองสายลม ก่อนยกมือไหว้ ‘ขอบคุณครับ’

พอไหว้คนนี้เสร็จก็เดินไปนั่งยอง ๆ กอดเข่าอยู่ต่อหน้าลูห์ คุยอะไรกันไม่รู้ก่อนตัวผอมบางจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับมายืนข้างผู้เป็นบิดา สอดแขนคล้องแขนบิดาไว้ มองสายลมแล้วก็ยิ้ม เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็เข่นเขี้ยวในใจ ทำมายิ้ม ดีใจมากล่ะสิ เจ้าดื้อ

“ผมกับลูกคงต้องขอตัว ขอบคุณเรื่องคุณหมอปลายฟ้าด้วยนะครับ หากไม่ได้นายน้อย ผมก็ไม่รู้จะบอกกับหมอว่าอย่างไร”

“ครับ” สายลมตอบรับเพียงสั้น ๆ

เรื่องหมอปลายฟ้า เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพียงแต่พูดความจริงที่เกิดขึ้นให้ฟัง เพราะหากสร้างเรื่องโกหกซ้ำซ้อน ต่อไปลุงหลงคงหาทางแก้ปมเชือกที่ผูกไว้ไม่ได้

สองพ่อลูกเดินห่างจากกระท่อมของเขาไปแล้ว สายลมได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็ก เจ้าเด็กดื้อหันกลับมาราวรู้ว่าเขากำลังจ้องมอง แขนเรียวยกขึ้นแล้วโบกมือลาพร้อมรอยยิ้ม

“ร่าเริงจริงนะ”

สายลมออกจะหมั่นไส้เด็กที่เดินจากไปด้วยท่าทียินดีเสียเต็มประดา ทิ้งตัวลงนั่งบนบันไดกระท่อมแล้วหันมามองลูห์ด้วยความพาลพาโล

“มองอะไร?”

ลูห์พ่นลมหายใจใส่คนพาล มันเบือนหน้าไปทางอื่น เดี๋ยวโดนลูกหลงเอาอีก

ฟ้าที่เริ่มมืดทำให้เสียงหริ่งหรีดเรไรค่อยดังขึ้นมาตามกัน สายลมยังนั่งอยู่ที่เดิมโดยมีลูห์นอนอยู่ข้าง ๆ บนพื้นทราย ชายหนุ่มทอดถอนใจ เด็กมันอยู่ก็ใช่ว่าจะเสียงดังอะไร เพราะพูดก็ไม่ได้ แต่พอหันไปมองลูห์แล้วเขาก็ต้องถอนใจอีกหน เหลือกันอยู่แค่นี้ ช่างเงียบเหงาดีเหลือเกิน


......


บ้านพักในโรงพยาบาล

รูสนอนพลิกกายไปมาอยู่หลายตลบ ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ปรกติต้องซุกอกใครอีกคนและแขนแข็งแรงก็จะพาดกอดราวปกป้อง ในค่ำคืนนี้กลับไม่มีอ้อมแขนนั้นให้พักพิง เขาต้องพยายามข่มตาให้หลับลงด้วยตนเองให้ได้ ต้องทำได้สิ...

เจ้าตัวเล็กผุดลุก คว้าหมอนมากอดแล้วเดินออกจากห้องไปหาบิดาเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิด อาจเพราะแปลกที่ก็เป็นได้ เขาคงต้องทำความคุ้นชินกับมันสักพักหนึ่ง ตัวบางค่อยนอนลงข้างกายบิดา เมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวข้างตัวทำให้ลุงหลงลืมตาขึ้นมามอง มือกร้านลูบศีรษะทุยที่เบียดเข้ามาซุก ก่อนจะพาดแขนกอดแล้วตบหลังลูกชายราวกล่อมนอน รูสนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขน ถอนใจเบา ๆ แล้วค่อยหลับตาลง อ้อมกอดบิดาอบอุ่นก็จริง แต่ก็ไม่เหมือนสายลมอยู่ดี



ชายป่าท้ายเกาะศิลา บุคคลต้องสงสัยค่อยลอบเข้ามาโดยการนำทางของใครบางคน ค่อยลัดเลาะอย่างชำนาญทางราวคนในพื้นที่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้รอดพ้นสายตาของผู้เฝ้าเกาะ ชายหนุ่มคนหนึ่งพร้อมเจ้าป่าตัวใหญ่เร่งฝีเท้าเพื่อลัดเลาะมาดักทาง เรื่องคนที่ลักลอบเข้ามาในเกาะศิลาทำให้นายน้อยของเกาะไม่อาจอยู่นิ่งเฉย เขาและลูห์ต้องจัดการมัน

ร่างกำยำย่อกายหลบอยู่ในมุมลับตาเพื่อประเมินสถานการณ์ พวกมันมีกันหลายคน แต่ใช่ว่าเขาจะมาคนเดียวเสียเมื่อไร ค่อยเป่าปากเป็นสัญญาณทำให้ผู้ทำหน้าที่เฝ้าเกาะศิลาเผยตัว ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจ ก่อนมือหนาจะปัดเบา ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนทำการบุกเข้าไป

เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นฉับพลันเมื่อฝ่ายตรงข้ามขาดการตั้งรับ ขณะที่กำลังปลุกปล้ำจับกุมผู้บุกรุก หางตาสายลมก็เหลือบไปเห็นผู้ที่นำทางคนเหล่านี้เข้ามากำลังจะหนีไป สายตาคมสบกับลูห์แล้วพากันวิ่งแยกไปดักคนละทิศทาง ขณะที่ลูห์วิ่งไล่กวาดเงาดำไปทางหนึ่ง สายลมก็ตามอีกคนไป แต่เพียงไม่นานลูห์ก็หยุดเมื่อนึกเอะใจกับสิ่งที่ตนเองวิ่งตาม สิงโตตัวใหญ่เหลียวกลับไปมองอีกด้านก่อนคำรามลั่นป่า มันเปลี่ยนทิศแล้ววิ่งย้อนกลับไปทางที่สายลมอยู่ พร้อมกับด้านหลังที่มีพวกของมันวิ่งตามมาเพราะเสียงคำรามเมื่อครู่ ดวงตาหลายคู่ส่องแสงตัดความมืด

เปรี้ยง!!!!

เสียงปืนดังขึ้นโดยจับทิศไม่ถูก คนของสายลมที่กำลังคุมตัวผู้ที่ลักลอบเข้ามาในเกาะพากันตื่นตระหนกแล้วเหลียวมอง และยิ่งตระหนกกันไปใหญ่เมื่อสิ่งหนึ่งที่ประจักษ์อยู่ในเวลานี้คือนายน้อยของพวกเขาหายไป!

ภายใต้ความมืดของผืนป่า สายลมยืนตระหง่านเหนือร่างของชายผู้หนึ่ง เท้าหนาหนักเหยียบข้อมือของใครคนนั้นเอาไว้ ขณะที่อาวุธปืนกระเด็นไปนอนนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เลือดค่อยไหลซึมลงมาตามแขนแกร่งก่อนที่มันจะหยดลงกระทบพื้นดิน แต่สายลมไม่ได้อนาทรต่อความเจ็บปวด สายตายังคงจับจ้องผู้ที่ตกเป็นเบี้ยล่างในเวลานี้นิ่ง

รอบกายของเขาคือลูห์และพวกอีกจำนวนหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดทำให้สัญชาติญาณนักล่าของพวกมันคุกรุ่น แต่ลูห์ผู้เป็นจ่าฝูงส่งเสียงขู่ในลำคอ ทำให้เหล่านักล่าที่เหลือยังคงนิ่งอยู่เพราะอำนาจของผู้ที่เหนือกว่า

เสียงฝีเท้าคนของสายลมดังมาใกล้ ดวงตาคมปรายไปมองก่อนพยักหน้าให้คนเหล่านั้นเข้ามาจัดการผู้ที่ลอบพาคนนอกเข้ามาในเกาะ มีเป้าหมายเพื่อกระทำการใดเขายังไม่อาจรู้ แต่อีกไม่นานก็คงได้รู้ ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นจากข้อมือของมัน ปล่อยให้คนของตนเข้ามาจัดการต่อ สายตาคมเหลือบมองปืนบนพื้น ก่อนก้าวเข้าเก็บมันขึ้นมา หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อหันกลับไปมองตามคนของตนที่กำลังคุมตัวคนผิดไปยังคุกมืด คนอย่างเจ้านั่นมันมีของแบบนี้ด้วยหรือ?

เกือบรุ่งสาง สายลมกลับมาที่กระท่อม รอยแผลจากคมกระสุนที่ถากแขนไปทำให้เขาต้องมานั่งล้างแผลด้วยตัวเอง แต่มันไม่ถนัดเอาเสียเลยเมื่อต้องเอี้ยวมองอยู่แบบนี้ ชายหนุ่มสบถที่ประมาทจนถูกยิงเข้า ที่จริงแผลแค่นี้เขารักษาเองได้ ไม่มีปัญหา แต่เมื่อนึกถึงโรงพยาบาลขึ้นมา สายลมก็ชะงัก มองแผลตัวเองแล้วนิ่งไปนิด ก่อนริมฝีปากหยักจะเปิดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่


......


คุกมืดบนเกาะศิลา

ทางเข้ามีคนเฝ้าคอยผลัดเปลี่ยนเวรยาม หน้าตาก็ออกจะดูเหี้ยมเกรียมจนลูกเล็กเด็กแดงไม่กล้าสบตา ผู้ที่ถูกจับได้เมื่อค่อนรุ่งถูกนำตัวมาขังไว้ในนั้นเพื่อรอการสอบสวนชำระความ ส่วนมากต่างหวาดกลัวกับสถานที่ ความมืด และกลิ่นอับราวอากาศไม่พอจะหายใจยิ่งส่งผลต่อจิตใจของผู้ที่ถูกคุมขัง แต่ยังมีหนึ่งในนั้นที่รู้สึกเคืองแค้นมากกว่าหวาดกลัว

ราวภาพทับซ้อนกับอดีต เมื่อผู้ที่ตั้งใจทำร้ายสายลมในคราวนี้ก็คือเหนือเมฆ แต่กลับถูกจับได้และนำตัวมาที่นี่เหมือนบิดาของตนไม่มีผิด ยิ่งอยู่ในนี้ เหนือเมฆก็ยิ่งนึกถึงตอนที่ผู้เป็นบิดาและพี่ชายของตนต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนคงรู้สึกไม่ต่างจากเขาในเวลานี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจหนักหนา โดยไม่นึกย้อนกลับไปเลยสักนิดว่าเพราะเหตุใดทั้งตนเองและบิดากับพี่ชายถึงต้องเข้ามา หากมิใช่เพราะทำตัวเองด้วยกันทั้งนั้น

‘เมื่อไรข้าถึงจะเอาชนะแกได้ สายลม!!’

ได้แต่ตะโกนก้องในใจที่เคืองแค้นจนแน่นหัวอก บิดาตั้งชื่อให้เขาว่าเหนือเมฆ เพื่อที่เขาจะได้เหนือกว่าทุกคน เหนือกว่าสายลม แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เคยเลยที่เขาจะเหนือกว่าสายลม ไม่เคยเลยสักครั้ง

ยิ่งคิดยิ่งตอกย้ำว่าตนเองด้อยกว่า มือหนากำลูกกรงเหล็กจนขึ้นข้อ นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น เขาจะไม่ยอมจบเท่านี้แน่ ไม่มีทาง!

จนเมื่อรุ่งสางมาถึง แต่แสงจากภายนอกก็มิอาจส่องถึงคนในคุก ทำให้ไม่รู้วันเวลา นางมารียา มารดาของเหนือเมฆมาขอเยี่ยมลูกชาย ข่าวเรื่องเหนือเมฆลอบพาคนนอกเข้ามาในเกาะและยังปะทะกับนายน้อยแพร่ออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ลูกน้องของเหนือเมฆอยู่กันไม่สุข ด้วยกลัวจะโดนหางเลขแล้วพลอยถูกจับขังคุกมืดด้วยอีกคน ทั้งยังกลัวว่าคนที่พวกมันทำงานให้จะมาฆ่าปิดปาก ทำให้ต้องกระเสือกกระสนมาพึ่งใบบุญนายลามุผู้ที่พวกมันตั้งตนเป็นศัตรูอย่างหมดรูป เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่พวกมันจะรอด แม้นายลามุจะไม่เมตตา แต่นายน้อยสายลมต้องช่วยพวกมันแน่หากพวกมันสารภาพความจริงทุกอย่าง

ช่องทางเดินเข้าไปสู่ห้องขังเหนือเมฆ ชายผู้ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าเดินนำนางมารียาเข้ามา คบไฟที่เขาถือช่วยส่องนำทางได้พอสมควรในความมืดมิด ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร หญิงสูงวัยก็จำต้องยกผ้าปิดจมูกเพราะกลิ่นอับในนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ลูกของนางจะเป็นเช่นไรหนอ ต้องทนทั้งกลิ่น ทั้งความมืด และต้องหิวโหย จนเมื่อได้มาเห็นสภาพลูกชายของตน น้ำตาคนเป็นแม่ก็แทบไหล ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อลูกเลือกเดินซ้ำรอยพ่อ โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของนางสักคำ

“เหนือ...”

เสียงเรียกที่เคยคุ้นทำให้เหนือเมฆผุดลุกจากมุมอับมาเกาะลูกกรงเหล็ก

“แม่ แม่มาได้ยังไง?”

นางมารียาไม่ได้ตอบคำถามในทันที เอื้อมมือลอดผ่านช่องของลูกกรงมาลูบหน้าลูบตาลูกชาย กระบอกตาร้อนผ่าวด้วยสงสารลูกจับใจ เหนือเมฆเองก็ยกมือขึ้นทาบจับมือมารดาที่แสนสั่นเทา

“เหนือหิวไหมลูก แม่เอาข้าวมาให้” นางเอ่ยถามอย่างอาทร

“ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ข้าอยากออกไปจากที่นี่ แม่พาข้าออกไปที”

เหนือเมฆเร่งเร้า แต่ผู้เป็นมารดากลับส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง

“รู้ไหมความผิดที่ทำมันร้ายแรงแค่ไหน... เหนือไม่เคยฟังแม่เลย” นางว่าอย่างสะเทือนใจ

“จะมาต่อว่าอะไรข้าตอนนี้ สิ่งที่แม่ควรทำคือหาทางพาข้าออกไปไม่ใช่เหรอ หรืออยากให้พวกมันฆ่าข้า ให้ข้าตายเหมือนพ่อ?”

“จะไม่มีใครทำอะไรเหนือ ถ้าเหนือกลับตัวกลับใจ” นางสวนกลับเมื่อถูกลูกต่อว่าต่อขาน “นายท่านมีเมตตาต่อคนที่คิดได้ ถ้าเหนือสารภาพความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่าง โทษของเหนือก็จะเบาบางลงนะลูก”

เหนือเมฆเหยียดยิ้มเยาะหยันกับน้ำคำมารดา “เหอะ ที่แม่มาหาไม่ใช่เพราะเป็นห่วงข้า แต่พวกมันส่งแม่มาเกลี้ยกล่อมให้ข้าบอกมันว่าใครบงการ อย่างนั้นใช่ไหม!?”

“ไม่ใช่เหนือ แม่เป็นห่วงเหนือ อยากให้เหนือออกจากคุกนี่ กลับมาอยู่กับแม่ ไม่อยากให้เหนือต้องมีจุดจบแบบพ่อของเหนือ” นางมารียาพยายามอธิบาย เกรงว่าลูกจะเข้าใจเจตนาของตนผิดไป

“ในเมื่อแม่ก็รู้ว่าพ่อตายยังไง ทำไมแม่ถึงไม่โกรธแค้นพวกมันบ้าง! ทำไม!?”

“แล้วทำไมเหนือไม่มองกลับกันบ้าง ว่าที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะพ่อไปทำร้ายนายน้อยก่อน และที่พ่อเหนือต้องตายก็เพราะผลกรรมที่กระทำมา” ถึงแม้จะชี้ให้เห็นความเป็นจริง แต่จิตใจที่ดำมืดก็หาได้ค้นพบทางสว่าง

“ผลกรรมเหรอ? พวกมันต่างหากที่บีบให้พ่อต้องตาย ไอ้ลามุ! ไอ้สายลม! สองคนนั่นทำให้พ่อต้องตาย!!”

ชายหนุ่มตะคอกเสียงดังจนผู้เป็นมารดาหมดคำจะพูด นางมารียาไม่รู้จะลบล้างความคิดของลูกอย่างไร อยากให้ลูกชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในชีวิตของนาง ได้ใช้ชีวิตปรกติสุขแบบคนทั่วไปเขา ไม่ใช่เจ็บแค้นฝังใจจนมีชีวิตแบบคนธรรมดาเขาไม่ได้

นายครรชิตสามีของนางมักใหญ่ใฝ่สูง เข้ามาอาศัยเกาะศิลาอยู่เมื่อคราวที่เกาะยังเปิดให้คนภายนอกเข้า ทำงานใกล้ชิดนายลามุและพระเพลิงจนได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่กลับอยากครอบครองในของที่ไม่ใช่ของตน วางแผนกำจัดพระเพลิงและภรรยา และเมื่อวันหนึ่งได้รู้ว่านายน้อยสายลม ลูกชายของพระเพลิงและวิริยายังไม่ตายก็สืบหาและตามไปลักพาตัวจะให้คนเอาไปถ่วงน้ำทิ้ง แต่แผนการนั้นไม่สำเร็จ เพราะถูกนายลามุจับได้และนำตัวมาขังคุกมืดเพื่อรอคำพิพากษาโทษ แต่ในคืนหนึ่ง นายครรชิตและลูกชายคนโตของนางกลับหนีออกจากคุกและเอาเรือออกไปกลางทะเล ถูกพายุและคลื่นทะเลกลบกลืนจมหาย สุดท้ายเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณที่ถูกซัดกลับมาที่เกาะ จบสิ้นชื่อของนายครรชิตพร้อมตราบาปติดตัว

เหนือเมฆที่ในขณะนั้นยังเล็กนัก เมื่อรู้ว่าบิดาและพี่ชายของตนเองเสียชีวิตลงก็แทบรับความจริงไม่ได้ ทั้งยังถูกกรอกหูจากผู้เป็นปู่มาตั้งแต่นั้น จนบัดนี้ ปู่ของเหนือเมฆเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคชรา แต่ความเจ็บปวดก็ยังไม่จางหายไปจากความทรงจำของเขา เมื่อสิ้นปู่ที่เคารพไปเสียแล้วก็ไม่มีใครมาบอกกับเหนือเมฆว่าสิ่งที่เข้าใจตลอดมานั้นมันหาใช่ไม่ ผู้ที่ตายไปแล้วก็คงไม่รับรู้อะไรอีก และคงไม่รู้ว่าตนเองได้ฝากบาดแผลไว้กับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งให้เติบใหญ่ขึ้นมามีแต่ความคั่งแค้น คิดแล้วนางมารียาก็ได้แต่เศร้าใจ

เสียงไม้เท้ากระทบพื้นหินดังมาเป็นจังหวะ เรียกสายตานางมารียาและเหนือเมฆให้หันไปมองแสงจากคบไฟที่ส่องนำทางให้มองเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามาหา เมื่ออีกฝ่ายมาหยุดลงตรงหน้า เหนือเมฆก็มองอย่างเคียดแค้น นายลามุ!

“ข้าคงเปลี่ยนความคิดของเจ้าไม่ได้เลยสินะ เหนือเมฆ” ชายชราเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ

“......”

“หากจะโกรธแค้นก็แค้นข้าเถิด เพราะมันคือเรื่องระหว่างข้ากับพ่อของเจ้าแต่หนหลัง สายลมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของพ่อเจ้าสักนิด” นายลามุยังว่าต่อ เขาได้ยินสิ่งที่เหนือเมฆพูดแล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ใช้เสียงที่เบานัก หนำซ้ำยังตะคอกเสียงดังเสียอีกด้วย

“ทำไมมันจะไม่เกี่ยว ไม่ใช่เพราะมันเหรอที่ทำให้พ่อของข้าต้องถูกจับมาขังไว้ที่นี่!” เหนือเมฆโต้กลับ

“แล้วไยเจ้าไม่คิดอีกสักทีเล่าว่าเพราะเหตุใดพ่อเจ้าถึงต้องถูกจับ เพราะสายลมวิ่งมาฟ้องข้าว่าให้จับพ่อเจ้าขังรึ?”

“......”

“ในเวลานั้น สายลมกับเจ้าก็อายุพอ ๆ กัน แทบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาอยู่กับพ่อบุญธรรมของเขาดี ๆ แต่พ่อเจ้ามันเล่นสกปรกไปลักตัวเขามาเพื่อฆ่าทิ้ง เจ้าไม่คิดบ้างรึว่ามันไม่ยุติธรรมต่อสายลมเลย?”

คำถามเชิงขอความเห็นนั้นไร้คำตอบ เหนือเมฆก็ยังคงเป็นเหนือเมฆ ที่ปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำใคร เขาเชื่อเฉพาะในสิ่งที่ปู่ของเขาบอกเท่านั้น

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงแค้นเขาหนักหนา แต่กับข้าที่เป็นคนทำให้พ่อเจ้าตาย เจ้ากลับไม่อนาทร?”

รอยยิ้มหยันผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อตอบกลับไปราวนายลามุคือคนโง่เง่าเสียเต็มประดา “หึ ท่านน่ะแก่แล้วนะลามุ อีกหน่อยก็ตาย ข้าจำต้องเปลืองแรงไปทำไม แล้วหากท่านตายไป คนที่จะขึ้นมาแทนที่ท่านก็คือสายลม แล้วท่านคิดว่าข้าควรฆ่าท่านที่อีกหน่อยก็แก่ตายไปเอง หรือควรฆ่าทายาทของท่านที่จะขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งแทนดีล่ะ?”

นายลามุหรี่ตามองไอ้เด็กปากดี มุมปากชายชรายกยิ้มแสยะ “ลานขาวคงเหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว เหนือเมฆ”

เพียงได้ยินชื่อลานขาว นางมารียาก็ตื่นตระหนกตกใจ รีบละล่ำละลักขอร้องแทนลูกตน “นายท่าน เมตตาลูกของข้าด้วย เขาขาดการยั้งคิด เพราะข้าสอนเขาไม่ดีพอ...”

มือเหี่ยวย่นยกขึ้นเป็นสัญญาณให้นางหยุดทุกถ้อยคำ “เจ้าสอนเขาดีแล้วมารียา แต่หากเขาไม่อยากได้ดี ต่อให้สอนเท่าไรก็เหมือนน้ำรดตอ ไร้ประโยชน์”

สายตาดูแคลนที่ปรายมาทำให้เหนือเมฆโต้กลับอย่างเหลืออด “ไม่ต้องไปขอร้องพวกมันหรอกแม่ คนอย่างพวกมันควรได้รับคำสาปแช่งมากกว่า”

“เหนือ!”

นางมารียาตวาดผู้เป็นลูก อย่าชักใบให้เรือเสีย เพียงแค่คิดว่าลูกของนางต้องถูกพาไปทรมานที่ลานขาว ใจนางก็จะขาดอยู่รอมร่อ หลังจากสามีและลูกชายคนโตตายไป นางก็เหลือเหนือเมฆอยู่เพียงคนเดียวที่วาดหวังว่าในวันหน้าอาจได้พึ่งพาอาศัย แต่ตอนนี้นางกลับต้องมาเผาศพลูกอีกคนหรือ สวรรค์อย่าโหดร้ายกับนางนักเลย

“บาปหนาเหลือเกินนะเจ้าเหนือ แม่เอ็งรักเอ็งแค่ไหนเคยมองเห็นบ้างไหม เจ็บป่วยแทบไม่มีแรงแต่ดั้นด้นขึ้นมาหาเอ็งถึงที่นี่”
คนสนิทของนายลามุเอ่ยขึ้นมา ซึ่งนางมารียาก็รีบปราม

“พี่รงค์”

เหนือเมฆที่ตงิดใจกับคำพูดคนสนิทของนายลามุ ทั้งท่าทีของมารดาที่ไม่อยากให้ฝ่ายนั้นพูด ทำให้เขาเอ่ยถามมารดาอย่างร้อนใจ “แม่ แม่เป็นอะไร?”

“เปล่า โรคคนแก่ทั่วไป เหนือไม่ต้องสนใจหรอก เพราะต่อให้เหนือหันกลับมาสนใจแม่ตอนนี้ มันคงสายไปแล้ว เพราะเหนือคงไม่ได้กลับมาอยู่กับแม่แล้ว” ที่สุดแล้วนางก็ร้องไห้ออกมา ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็งต่อหน้าลูกแล้วทีเดียว

เหนือเมฆตกใจเมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาร้องไห้ร้องห่ม เขาทำให้ท่านร้องไห้มาหลายหน แต่ครั้งนี้รู้สึกผิดมากกว่าครั้งไหน เขาอยู่ในนี้ ถูกจองจำ แม้อยากปลอบโยนก็ไม่ได้ จะเอื้อมมือออกไปหา มือนี้มันก็สกปรกเกินกว่าจะปลอบประโลมท่าน จะให้เขาทำเช่นไร

“ข้ายังให้โอกาสเจ้าถึงพรุ่งนี้ หวังว่าคราวนี้เจ้าจะเลือกถูกทางเสียที เหนือเมฆ”

นายลามุกล่าวทิ้งท้ายให้ชายหนุ่มได้คิดทบทวนก่อนจาก ขณะที่คนสนิทของเขาก็เอ่ยย้ำ

“คิดให้ดี”

ฝากไว้เท่านั้นแล้วก็เดินตามผู้เป็นนายไป ส่วนนางมารียาก็ถูกชายฉกรรจ์ผู้เฝ้าคุกมืดพยุงขึ้นมาแล้วพาออกไปจากที่แห่งนี้ มีเพียงอาหารที่นางนำมาเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ตรงหน้าเหนือเมฆ แสงจากคบไฟค่อยลดลงแล้ววูบหายเมื่อทุกคนเดินห่างออกไป ความเงียบงันโอบล้อมรอบกายเหนือเมฆอีกหน เขาได้แต่สับสน ไม่รู้จะทำอย่างไร ความแค้นที่ฝังแน่นในใจจะให้ตัดออกไปมันก็ไม่ขาด แต่ความห่วงใยที่มีต่อมารดาก็มากล้น อยากกลับไปดูแล แต่เขาทนอ้อนวอนศัตรูไม่ได้

“โว้ย!!!”

กำปั้นหนัก ๆ ทุบผนังห้องขัง ตีอกชกหัวด้วยความคับข้องก่อนจะทรุดนั่งลงบนพื้นที่ชื้นแฉะ สมเพชตัวเองเหลือเกินที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ความแค้นที่หยั่งรากลึกในจิตใจมาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่เคยมีวันไหนเลยที่เขาจะมีความสุขได้อย่างแท้จริง คิดแต่เคียดแค้นชิงชังจนไม่ได้หันกลับมามองมารดาผู้เกื้อหนุนอุ้มชู จนในตอนนี้มันกำลังจะสายไป สายเกินกว่าที่เขาจะกลับตัวกลับใจได้ทัน


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :z2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๗ ดวงใจคะนึง //๒๖.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 26-08-2018 11:24:55


โรงพยาบาลประจำเกาะศิลาในยามเช้าตรู่ ร่างสูงใหญ่ตรงมาที่นี่โดยมีลูห์เดินมาด้วยกัน เมื่อมาถึง สายตาคมก็กวาดมองโดยรอบ เห็นลุงหลงกำลังกวาดใบไม้อยู่ด้านหนึ่งของโรงพยาบาลแต่กลับไม่เห็นใครอีกคนอยู่แถวนี้ เมื่อมองหาแล้วไร้ซึ่งวี่แวว หัวคิ้วเข้มก็ขมวด หรือจะอยู่ที่บ้านพัก?

หึ

หัวคิ้วสายลมยิ่งขมวดหนักเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นข้างกาย ปรายมองลูห์แล้วก็ได้แต่กัดฟัน เมื่อครู่เสียงมันหัวเราะเยาะเขาใช่ไหม เจ้านี่ ไม่ทันไรก็ย้ายข้างแล้วหรือ

สายลมโคลงศีรษะ เลิกคิดวุ่นวายก่อนจะก้าวเข้าไปในตัวอาคารของโรงพยาบาล พร้อมบอกตนเองว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อทำแผล แค่มาทำแผลเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มตรงมาที่ห้องทำงานของหมอปลายฟ้า เปิดประตูเข้ามาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนในห้อง สายตาไล่มองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าหนูรูสตัวผอมในชุดผู้ช่วยสีฟ้าอ่อน ใส่หน้ากากอนามัยปิดปาก โผล่มาแค่ตากลม ๆ ให้เขาได้มองสบ เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็กลั้นยิ้ม ตีหน้านิ่งเมื่อเอ่ยทักออกไป

“ทำอะไรอยู่?”

คนถูกทักอึกอัก ทำตัวไม่ถูกเมื่อกายกำยำก้าวเข้ามาใกล้ ไม่ได้เห็นหน้ากันแค่วันเดียวกลับรู้สึกประดักประเดิดแบบนี้ไปได้อย่างไรไม่รู้ซี

“อ้าว นายน้อย” เสียงทักจากหน้าห้องทำให้สายลมหันไปมอง “วันนี้ลมอะไรหอบมาครับนี่?”

หมอปลายฟ้าที่เพิ่งกลับจากการเดินตรวจคนไข้เอ่ยทายทัก ก่อนจะสะดุดกับผ้ากอซที่สายลมใช้ปิดที่แขนเยื้องไปทางหัวไหล่ ร่างสูงก้าวเข้ามาหาพร้อมถามไถ่

“แขนเป็นอะไรครับ?”

เมื่อหมอเอ่ยทัก รูสถึงเพิ่งสังเกต ตากลมเบิกโต รีบเข้ามาดู แต่เมื่อเงยมองสายลมแล้วกลับชะงัก ค่อยถอยออกไปยืนที่เดิม ให้คุณหมอปลายฟ้าได้ดูอาการคนตัวโต

“เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อย” สายลมบอกกับหมอ ขณะที่สายตายังมองเด็กดื้อที่ขยับออกไปยืนห่างจากเขา

หมอปลายฟ้าค่อยแกะผ้ากอซเปิดดูแผล ผิวเนื้อรอบแผลคล้ายมีรอยไหม้หน่อย ๆ แต่โดยรวมแล้วแผลไม่ได้ลึกมาก รูสที่ชะเง้อมามองด้วยความอยากรู้ เมื่อเห็นแล้วก็แขยง ไม่กล้าเข้าไปใกล้

“รูส”

เสียงเรียกจากคุณหมอทำให้เจ้าหนูสะดุ้ง คนกำลังกลัว

“ไปตามพยาบาลสุรีย์มาทำแผลให้นายน้อยหน่อยไป”

หนุ่มน้อยพยักหน้ารับก่อนรีบออกจากห้องไปทำตามที่คุณหมอสั่ง สายลมมองตามแล้วมุ่นคิ้ว

“ให้เขาไปตาม จะคุยกันรู้เรื่องเหรอ?”

“คิดว่าไงล่ะ?” หมอปลายฟ้าย้อนถามกลับมาพร้อมรอยยิ้มขัน

รอเพียงไม่นาน พยาบาลที่ให้รูสไปตามก็เข้ามาฉีดยากันบาดทะยักและทำแผลให้สายลม โดยมีรูสคอยยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อส่งเครื่องไม้เครื่องมือให้ เจ้าตัวเล็กมันพยายามไม่มองแผล ก้มมองแต่อุปกรณ์บนรถเข็นแล้วหยิบให้นางพยาบาลตามที่เธอบอก ทำให้ไม่เห็นว่าสายลมมองมาอยู่ตลอด จนกระทั่งทำแผลเสร็จ

อุปกรณ์ทำแผลถูกเก็บจนเรียบร้อย เมื่อพยาบาลสาวเข็นรถออกจากห้องไป รูสก็จะตามออกไปด้วย แต่มือของคนเจ็บกลับเอื้อมมาคว้าข้อมือ ทำให้กายผอมชะงัก ค่อยหันมามองคนจับที่นั่งทำหน้าพิกล

บังเกิดความเงียบเมื่อไม่มีใครคิดที่จะพูดอะไรขึ้นมาก่อน สายลมเองก็ไม่รู้ว่าเด็กมันกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อจู่ ๆ เขาก็คว้าแขนไว้แบบนี้ ปรกติก็ต้องมองปากเวลาเด็กพูดอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นแต่ลูกกะตา แล้วจะคุยกันรู้เรื่องไหมนี่

หมอปลายฟ้ามองสองหนุ่มที่พากันเงียบเป็นเป่าสากแล้วก็ยิ้ม ปรกติแผลแค่นี้สายลมเคยมาโรงพยาบาลเสียที่ไหน ทั้งที่เขาบอกแล้วบอกอีกว่าให้มาทำที่โรงพยาบาลก็ไม่เคยมา จนเขาต้องไปทำให้ที่กระท่อมโน่น แต่วันนี้ที่มาได้ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไรนัก เพราะเห็นอยู่ว่าจุดประสงค์หลักไม่ได้อยู่ที่แผล แต่เป็นคน

ร่างสูงผุดลุกพร้อมแฟ้มในมือ เพิ่งกลับเข้ามา แต่คงต้องออกไปอีกสักรอบแล้วกระมัง

“วันนี้พักก่อนก็ได้นะรูส งานไม่ได้มีอะไรมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาช่วยพยาบาลสุรีย์จัดของตอนเช้า” เอ่ยบอกเด็กตัวผอม ซึ่งอีกฝ่ายก็เงยขึ้นมามองเขาแล้วทำหน้างง

“หมออนุญาตให้พัก” เขาบอกซ้ำ

รูสทำหน้าเซ็ง เขากะว่าจะทำงานในโรงพยาบาลทั้งวัน ช่วยงานบิดาก็ไม่ได้เพราะท่านไม่ให้ไปทำงานตากแดดตากลม เลยมาของานหมอปลายฟ้าทำ เพิ่งเริ่มทำไปนิดเดียวก็ให้เลิกแล้ว โธ่เอ๊ย เขานี่มันไม่ได้เรื่องเลย

“นายน้อยก็ไปรับยาที่เคาน์เตอร์แล้วกลับไปพักซะนะครับ ส่วนแผล สักสองสามวันค่อยมาทำใหม่ พยาบาลเขาติดพลาสเตอร์ป้องกันน้ำไว้แล้ว แกะบ่อยนักเดี๋ยวเชื้อโรคเข้า”

“อ้อ ขอบคุณครับหมอ”

หมอปลายฟ้าพยักหน้ารับ “เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวไปตรวจคนไข้ต่อ ออกจากห้องแล้วอย่าลืมล็อกประตูให้ด้วยนะครับนายน้อย”

ว่าแล้วคุณหมอหนุ่มก็ยิ้มมุมปาก ก่อนจะออกจากห้องไป สายลมส่ายหน้า ได้ทีล่ะล้อเลียนเขาใหญ่เชียวนะหมอ ละสายตาจากหมอปลายฟ้าแล้วสายลมก็หันกลับมาหารูส มือยังไม่ปล่อยแขนเรียวให้เป็นอิสระแต่ประการใด

“เป็นไงบ้าง มาอยู่ที่นี่... ดีไหม?”

รูสพยักหน้า สายลมจึงว่าเสียงเบา

“ก็ดีแล้ว...”

เมื่อได้รู้ว่าเด็กมันมีความสุขดี สายลมก็เงียบ แขนที่เขาจับอยู่ขยับเบา ๆ คล้ายจะบิดออก อุ้งมือใหญ่เผลอกำแน่นเข้าทำให้เด็กนิ่วหน้า มืออีกข้างวางทับมือของเขาเพื่อเตือนว่าทำตนเองเจ็บ

สายลมเงยขึ้นมองสบตากลม ก่อนบอก “พอเธอไม่อยู่แล้วมัน...”

อยากจะพูด แต่กลับพูดไม่ออก อะไรมันค้ำคออยู่ไม่รู้ สายลมได้แต่หงุดหงิดตัวเองอยู่อย่างนั้น

รูสยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อจากนั้นก็แกะมือที่จับแขนตนออก ก่อนจะจับมันหงายขึ้น นิ้วเรียวค่อยแตะลงบนฝ่ามือใหญ่ เจ้าของฝ่ามือมองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหลุบสายตาลงมองนิ้วที่เขียนอะไรบางอย่างบนฝ่ามือ

‘รูส’

“......” เพียงคำแรก คิ้วสายลมก็ขมวด

‘คิดถึง’

“.......”

‘มาก’

สายลมนิ่งไปกับสิ่งที่เด็กมันเขียนบอก ใบหน้าคร้ามคมค่อยเงยมองเด็กตรงหน้า มือเอื้อมไปรั้งผ้าที่เด็กใช้ปิดปากลงมาเพื่อที่จะได้มองหน้าให้ชัด ๆ ตากลมมองสบกับเขา แก้มใสขึ้นสีระเรื่อเมื่อเอ่ยบอก

‘เมื่อคืนนอนไม่หลับ...’

“......”

‘รูสว่าคงเพราะไม่ได้กอดสายลมแน่เลย...!’

ตัวบางปลิวตามแรงรั้งเมื่อร่างสูงใหญ่ผุดลุกแล้วพาเด็กติดมือมา รูสแทบก้าวขาตามไม่ทันเพราะอีกคนไม่พูดพร่ำทำเพลง นึกจะไปก็ไป พาให้เด็กมันมึนงงเพราะตามอารมณ์ไม่ทัน

สายลมพารูสไปหาลุงหลงที่หน้าโรงพยาบาล ลุงแกนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ ลูห์ เมื่อนายน้อยพาลูกของแกมาหยุดตรงหน้า ลุงหลงก็เลิกคิ้วงง ๆ มองมือของทั้งคู่ที่กุมกันแล้วจึงเงยขึ้นมองหน้านายน้อยเชิงถาม

“ผมจะมาขออนุญาต”

“...?”

“อยากให้รูสกลับไปอยู่กับผม เพราะผมกลัวว่ารูสจะไม่ปลอดภัย”

สายลมเริ่มประโยคด้วยสีหน้าแลดูจริงจัง แต่ข้ออ้างที่นำมาใช้กลับทำให้เขาอยากกัดลิ้นตัวเองตายเสียเดี๋ยวนี้ ไม่มีข้ออ้างที่ดีกว่านี้แล้วหรืออย่างไรนายน้อยแห่งเกาะศิลา

“จากอะไรครับ?” ลุงหลงถามกลับไป ไม่แสดงอาการใดให้สายลมจับความรู้สึกได้

“คนที่จ้องจะเล่นงานผมอยู่” ชายหนุ่มตัวโตตอบอย่างรวดเร็ว

“แล้วกลับไปอยู่กับนายน้อยจะไม่อันตรายกว่าเหรอครับ พวกนั้นมันจะไม่นึกว่ารูสสำคัญต่อนายน้อยมาก และหาทางทำร้ายรูสเอาเหรอ?” อีกฝ่ายหยั่งเชิง

“เรื่องนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น” สายลมตอบกลับแน่นหนัก

“ที่จริงผมก็กังวลอยู่เหมือนกันถึงได้พารูสมาอยู่ที่นี่ อยากให้รูสเป็นเด็กธรรมดาที่ศัตรูของนายน้อยมองผ่านเลยไป ไม่ใช่เป็นคนที่สำคัญกับนายน้อยจนต้องจ้องจะทำลาย”

สายลมสะอึกกับสิ่งที่ลุงหลงพูด โต้แย้งไม่ได้ ปฏิเสธยังลำบาก เมื่อเขาแสดงออกให้เห็นว่ารูสสำคัญกับเขาจริง ๆ ภัยมันจะมาหารูสก็เพราะเขา

มองท่าทางของนายน้อยแล้วลุงหลงก็ถอนใจเบา ก่อนหันมาทางลูกของตนเพื่อถามความคิดเห็นบ้าง “รูสล่ะ อยากไปอยู่กับนายน้อยเหมือนเดิมไหม?”

รูสชะงักเมื่อถูกถาม ตากลมมองบิดาตนก่อนเงยมองสายลมที่ยืนอยู่ข้างกาย มือเรียวกระชับมือสายลมที่กุมกันอยู่ เพียงเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดแล้ว

มือกร้านเอื้อมมาลูบหัวลูกชายเบา ๆ เมื่อลูกอยากกลับไป แกก็ไม่อยากห้าม เพียงแต่สอนสั่ง “อย่าดื้อกับนายน้อยนะรูส นายน้อยมีเมตตากับเรา เราก็ต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังเขา รู้ไหม?”

เด็กพยักหน้ารับคำ ปล่อยมือสายลมแล้วเข้าไปกอดบิดาอย่างขอบคุณพร้อมออดอ้อน

“ฝากเจ้าดื้อมันด้วยครับ นายน้อย” ลุงหลงหันมาพูดกับสายลม

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะดูแลให้ดี”

ชายสูงวัยพยักหน้าพอใจ หวังว่าแกจะฝากฝังถูกคน ต่อจากนี้หากต้องตายไป แกก็คงตายตาหลับ ไม่ต้องห่วงใยรูสว่าในภายภาคหน้าจะอยู่อย่างไร เมื่อมีคนคนนี้คอยดูแล แกก็เบาใจไปเปาะหนึ่ง

“ผมจะพาเขามาหาลุงบ่อย ๆ” สายลมบอก ชักรู้สึกผิดที่มาพารูสไปจากแก

“ไม่ต้อง ๆ ว่าง ๆ ผมเดินไปหาเองก็ได้ ไม่ได้ไกลอะไรมากมายนัก เดินจนชินแล้ว” แกหัวเราะ ไม่ได้ถือสาอะไร

รูสมองบิดาแล้วเข้าไปกระซิบก่อนผละออกมา

ลุงหลงยิ้ม ก่อนว่า “เอาอย่างนั้นก็ได้”

เมื่อบิดาเห็นด้วย รูสก็ยิ้ม รู้กันอยู่สองคน เหมือนสายลมจะถูกลอยแพ ลุงหลงจึงบอก

“เจ้าดื้อมันอยากมาหา บอกจะขอให้ลูห์มาเป็นเพื่อน” ว่าพลางหัวเราะ “ไม่ถามความเห็นลูห์เลยนะ”

เด็กดื้อฉีกยิ้ม ลูห์ใจดีจะตาย เนอะ หันไปพยักพเยิดกับลูห์ แต่มันดันเบือนหนีเฉย เด็กทำปากยื่น ไม่รับมุกเลย ลูห์นี่

เมื่อคุยกันเข้าใจแล้วสายลมจึงพาเด็กไปเก็บของย้ายกลับกระท่อมน้อย เขาท่าจะอาการหนัก ห่างกันวันเดียวก็มารับกลับเสียแล้ว เรื่องนี้อย่าให้เซย์รู้เชียว ได้โดนล้อยันแก่แน่แท้ทีเดียว



“หมอคงคิดถึงรูสแย่”

เมื่อพาเด็กมาลา หมอปลายฟ้าก็แกล้งเย้า รูสยิ้มเขิน ก่อนตอบไปว่าตนเองก็คิดถึงหมอเหมือนกัน นั่นทำให้คนตัวโตข้างกายกระแอมกระไอขัดขึ้นมา เจ้าหนูเลยหันมามองด้วยท่าทางสงสัยว่ามีอะไรติดคอ

“โรงพยาบาลก็ไม่ได้ไกลนัก จะไปมาหาสู่กันคงไม่ยากนักหรอกครับ หมอ”

“ทำหวงนะนายน้อย เหมือนเป็นพ่อรูสเลย” หมอปลายฟ้ายิ้มขำ ขณะที่สายลมชะงัก... พ่อเลยหรือ?

“อืม จะว่าไปแล้ว หมอก็เป็นพ่อรูสได้เลยนะนี่ ห่างกันเกือบสองรอบแหนะ”

คุณหมอหนุ่มยังมิวายเย้าหยอก เด็กมันก็ยิ้ม ไม่รู้เรื่องรู้ราว ส่วนสายลมที่โดนคำว่าพ่อทำร้ายไปเต็ม ๆ ถึงกับสะอึก อย่าว่าแต่หมอเลย เขาก็ห่างกับรูสตั้งสิบห้าปี ให้ตายเถอะ

“ไปรูส ฉันปวดแผล อยากกลับไปพักผ่อน”

ชายหนุ่มเอ่ยชวนเพื่อตัดบทสนทนา เมื่อได้ยินว่าสายลมปวดแผล เด็กดื้อก็หน้าตาตื่น หันมาไหว้ลาหมอปลายฟ้าก่อนจะดันหลังสายลมให้รีบเดิน กลับถึงกระท่อมจะได้พักผ่อน



กระท่อมน้อยริมเล

กล่องไม้ถูกนำมาวางเก็บไว้ที่เดิม รูสเปิดดูของข้างใน เมื่อเห็นว่ามันอยู่ครบทุกชิ้นก็ยิ้มแล้วปิดฝากล่องลง กายผอมยืดตัวยืนขึ้น มองห้องหับที่เคยนอน เมื่อได้กลับมาแล้วก็รู้สึกอุ่นใจไม่น้อย ที่ที่คุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยเสมอ กระท่อมน้อยของสายลม

หลังจากเก็บของที่เอากลับมาด้วยเสร็จแล้วรูสก็ออกมาด้านนอก หยุดเท้าอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นว่าสายลมนอนหลับอยู่บนเสื่อ ตัวบางกลับเข้าไปหยิบหมอนมารองศีรษะให้ ก่อนโน้มตัวลงแล้วนอนราบกับพื้นไม้ เท้าคางมองสายลมหลับแล้วอมยิ้ม

ขนตาสายลมยาวเป็นแพ คิ้วก็เข้ม จมูกก็โด่ง เครื่องเคราบนหน้าตาดูรับกันไปหมด คิด ๆ ไปแล้วก็อยากเห็นตอนสายลมตัดผมบ้าง อยากรู้ว่าหน้าตาจะเป็นแบบไหน จะยังคมเข้มเหมือนตอนเป็นไอ้หนุ่มผมยาวไหมหนอ

ลมเอื่อย ๆ พัดมาจากทะเล อากาศน่านอนเสียเหลือเกิน พอมองคนตัวโตที่หลับไปแล้วคนมองก็เริ่มเคลิ้มตาม ค่อยพลิกกายนอนตะแคง ซุกตัวกับอ้อมแขนแข็งแรงแล้วค่อยผล็อยหลับไปด้วยความรู้สึกปลอดภัยไร้กังวล



ท้องทะเลสีครามคลื่นลมสงบ มีเพียงระลอกคลื่นเล็ก ๆ ที่กระจายตัวเป็นฟองเมื่อกระทบฝั่ง พรางคลื่นลูกใหญ่ที่ก่อตัวอยู่ใต้น้ำ... รอเวลาซัดโหม




TBC



บวกขอบคุณทั้งสองท่านที่แวะมาค่ะ  :L2:

- คุณ Kunt มันคือเรื่องจริงค่ะ ไม่ได้คิดไปเองแต่อย่างใด 55555
-คุณดาวลูกไก่ ขอบคุณนะคะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๗ ดวงใจคะนึง //๒๖.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 26-08-2018 18:30:45

ขอบคุณคุณ wanmai
พาน้องรูสกลับมาให้ได้อ่านกัน
 :L2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๘ คลื่นลม //๒๖.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 26-08-2018 19:28:41
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๘ คลื่นลม



เพล้ง!!

เสียงจานหล่นกระทบพื้นไม้จนแตกเป็นเสี่ยงทำให้สายลมรีบขึ้นมาหาเด็กที่ยืนสั่นอยู่บนกระท่อม ปลายเท้าเกลื่อนไปด้วยเศษจาน ร่างสูงใหญ่เข้าไปหา รวบจับมือที่สั่นจนเขาแปลกใจ

“รูส”

เมื่อเขาเอ่ยเรียก เด็กก็ค่อยหันมาหา ทำหน้าราวกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ขณะที่มือก็ยังสั่นไม่หยุดแม้เขาจะกุมมันเอาไว้ก็ตาม

“ไม่เป็นไร แค่จานแตก เดี๋ยวฉันช่วยเก็บ” เขาปลอบ “ขยับไปตรงนั้นไป เดี๋ยวมันบาดเท้า”

รูสค่อยขยับห่างไปตามที่สายลมบอก ก่อนจะรูดตัวลงนั่งพิงราวระเบียง กุมมือตัวเองที่สั่นไม่หยุดเอาไว้แน่น ไม่ใช่เพราะตกใจกลัวที่จานมันแตก แต่มัน...

ฮื่อ

เสียงลูห์ดังขึ้นข้างหลังทำให้รูสหันไปมอง ลูห์รู้ใช่ไหมว่าเขาผิดปรกติ เรื่องราวหลายอย่างที่สายลมได้รู้และรับได้ แต่ต่อจากนี้ไปล่ะ หากเห็นว่าเขาแปลกไป จะยังรับได้ไหม?

“รูส”

เสียงเรียกของลุงหลงทำให้รูสมองเลยไปด้านหลังลูห์ เมื่อเห็นว่าบิดามาหา ร่างผอมก็ผุดลุก เขากำลังว้าวุ่นทำอะไรไม่ถูก อยากคุยกับบิดาเผื่อจะทำให้ใจเย็นลง แต่เพราะความรีบร้อนทำให้ไม่ทันระวัง เท้าเหยียบเศษจานที่ตัวเองทำแตกจนสะดุ้ง ต้องรีบถกขึ้นมาเพราะความเจ็บแปลบ สายลมหันมาเห็นก็รีบเข้ามาพยุงไว้

“บอกให้อยู่ตรงโน้นไง ดื้อจริง ๆ”

เขาดุ ค่อยพยุงให้เด็กนั่งลงที่เดิม รอยเลือดจากเท้าเด็กดื้อเปื้อนพื้นไม้ สายลมจึงพลิกฝ่าเท้าเรียวขึ้นดู เป็นขณะเดียวกันกับที่ลุงหลงก้าวขึ้นมาบนกระท่อม ชายสูงวัยมองเศษจานที่แตก ก่อนเดินเลี่ยงมาหาลูก

สายลมหาผ้ามาเช็ดเท้าเพื่อดูแผล รูสจะถกเท้าหนีแต่ถูกมือใหญ่จับไว้มั่น เลือดจากฝ่าเท้าค่อย ๆ หยุดไหลเมื่อสายลมเช็ดมันออก เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วลุงหลงก็นิ่งไป ทั้งที่เลือดออกเต็มเท้าแต่กลับไม่มีบาดแผลใดแม้แต่น้อย

“ลุงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”

ลุงหลงค่อยหันมามองเมื่อสายลมเอ่ยถามเสียงค่อนไปทางเครียดอยู่สักหน่อย นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ

“เพราะการทดลองของนายภิชาติใช่ไหม รูสถึงได้เป็นแบบนี้?”

“นายน้อยรู้จักดอกเตอร์ด้วยเหรอ?” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะแกยังไม่เคยบอกเรื่องนี้กับสายลมเลย

“รูสเป็นคนบอกว่าเขาถูกทำอะไรมาบ้าง”

สายลมตอบ ก่อนลุกไปตักน้ำที่ตุ่มมา บอกให้เด็กยื่นขาลอดช่องราวระเบียงมาให้ตนล้างเท้าที่เปรอะเปื้อน แต่เด็กมันแย่งขันไปล้างเอง สายลมจึงเดินอ้อมมาอีกด้านเพื่อขึ้นกระท่อม

“ผมผิดเอง” ลุงหลงว่า

ร่างสูงใหญ่ที่กลับขึ้นกระท่อมมาจึงบอก “ผมไม่ได้จะโทษลุง”

“ถึงอย่างนั้นความผิดมันก็เป็นของผม ที่พารูสไปพบเจอกับเรื่องแบบนั้น”

“เขาทำอะไร ร่างกายรูสถึงได้ผิดปรกติ?” สายลมเอ่ยถาม ขณะนั่งลงแล้วรั้งขาเด็กมาดูว่าล้างคราบเลือดสะอาดหรือยัง

“ผมก็ไม่รู้ แต่ที่รูสเป็นอยู่ไม่ใช่เพราะสารอะไรที่เขาฉีดเข้ามาในตัวรูสหรอกครับ นายน้อย”

“ความหมายของลุงคือ?”

“พวกเราไม่เหมือนคนอื่นมาตั้งแต่แรก และเพราะแบบนั้น ดอกเตอร์ถึงอยากได้ตัวรูสไปทำการทดลอง เพื่อหายีนส์พิเศษที่ทำให้รูสแตกต่างจากคนทั่วไป” ลุงหลงขยายความ

สีหน้าสายลมดูนิ่งเฉย ขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม มันหมดหรือยังเรื่องแปลกประหลาดพวกนี้ ชีวิตรูสมันช่างผกผันหลายตลบเหลือเกิน

“การทดลองนั่นก็อาจมีส่วนไปกระตุ้นให้บางอย่างในตัวรูสมันแสดงตัวออกมามากขึ้น... เช่นที่นายน้อยเห็น” ลุงแกบอกกล่าว
รูสนั่งอิงสายลม ฟังบิดากับสายลมคุยกันเรื่องของตนเอง สอดมือไปกุมมือใหญ่ แล้วนั่งเงียบเชียบอยู่แบบนั้น

“เรื่องวันเดือนดับล่ะ?”

ลุงหลงเลิกคิ้วกับคำถามจากนายน้อย ก่อนจะเบนสายตาไปมองรูส “เกิดอะไรขึ้นวันเดือนดับ?”

รูสหลบตาบิดา ไม่กล้าตอบคำถามเอง นิ้วเรียวสะกิดสายลมให้ช่วยพูด สายลมจึงบอก

“เดือนดับครั้งแรกหลังวันเกิด รูสจะมีอาการผิดปรกติ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ แถมนัยน์ตายังเป็นสีเพลิงด้วย”

“นัยน์ตาสีเพลิง...” ลุงหลงชะงัก หันมองลูกชายที่ช้อนสายตามองตนก่อนหลุบลงไปแล้วก็ถอนใจ “มีหลายอย่างที่ผมควรบอกนายน้อย แต่นายน้อยอาจจะคิดว่าผมบ้า”

“เกี่ยวกับรูสเหรอครับ?”

“เกี่ยวกับเราสองพ่อลูก ไม่ใช่แค่รูส”

“...?” หัวคิ้วเข้มขมวดปม ยังมีเรื่องลึกลับซับซ้อนมากกว่านี้อีกหรือ?



หาดทรายสีขาวตัดกับสีของน้ำทะเล รูสออกมาเล่นน้ำกับลูห์ ปล่อยให้สายลมคุยกับบิดาของตนอยู่ที่แคร่หน้ากระท่อม พวกเขาคงอยากคุยกันตามลำพัง สายลมที่คุยกับลุงหลงอยู่ก็คอยมองเด็กไม่ให้คลาดสายตา ถึงอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็กลัวว่าจะซนวิ่งลงน้ำลึกจนเกิดอันตราย

รูสโดดข้ามระลอกคลื่น วิ่งไปวิ่งมาอยู่คนเดียวก็เริ่มเบื่อ เท้าเรียวเตะน้ำทะเลไปมาก่อนนั่งลงใช้มือขุดทรายที่ถูกคลื่นซัด ลูห์เองก็ยืนเฝ้าอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน คอยสอดส่องดูรอบบริเวณเพื่อหาสิ่งผิดปรกติ เมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรจึงได้นั่งลงเฝ้ารูสแทน

รูสที่เริ่มเบื่อจัดการล้างทรายที่ติดมือ ก่อนหันมากวักมือเรียกลูห์ ซึ่งมันก็ยอมเดินมาหาเขาง่าย ๆ ร่างผอมจึงนั่งลงวางคางเกยบนหัวเข่า ก่อนพึมพำงึมงำ

“ลูห์ว่าสายลมจะเกลียดรูสไหม ถ้ารู้ว่ารูสแปลกไป...” เด็กพูดเสียงเบาราวกระซิบ สีหน้าดูเหงาหงอยบอกความรู้สึกที่มีได้เป็นอย่างดี

นัยน์ตาสีทองมองอยู่ครู่หนึ่งก็ขยับเข้ามาใช้จมูกดุนหน้าผากเด็ก รูสเงยขึ้นมองแล้วเอนตัวหนีลิ้นสากที่แลบเลียแก้มจนหงายหลังลงไป คลื่นที่ซัดมาทำให้ตัวเปียกไปหมด แต่เด็กน้อยก็ยังหัวเราะได้ ลูห์คงอยากปลอบใจ แต่เพราะพูดกันไม่ได้ถึงปลอบตามแบบฉบับของตัวเอง

“โอ๊ย!”

เสียงหัวเราะที่มีเปลี่ยนเป็นเสียงร้องเมื่อรู้สึกร้อนตรงกลางอกวูบหนึ่ง ลูห์ชะงัก มองเด็กที่นิ่วหน้าเหมือนจะเจ็บ ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นมารั้งคอเสื้อลงดู กลางอกเป็นรอยแดงจากจี้ห้อยคอ รูสประคองจี้ไว้ในในมือ มันยังร้อนวูบวาบจนรู้สึกได้

ลูห์มองแล้วก็หันไปส่งเสียงเรียกสายลม เสียงคำรามของมันทำให้ผู้เป็นนายลุกเดินมาหา เด็กที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในน้ำเงยขึ้นมามอง สีหน้าบิดเบ้เหมือนจะร้องไห้

“เจ็บ”

สายลมเลิกคิ้ว กายกำยำนั่งยองลงตรงหน้า จับมือที่กุมอยู่บนอกออกแล้วรั้งคอเสื้อเด็กลง คิ้วเข้มขมวดเมื่อเห็นรอยแดงตัดกับสีผิวขาวหยวกอย่างชัดเจน ไปทำอะไรมาล่ะนี่

“เล่นซนอะไรถึงได้แดงแบบนี้ หืม?” ร่างสูงใหญ่ขยับลุก ส่งมือให้เด็กจับแล้วรั้งขึ้นยืน

รูสลุกขึ้นมาแล้วส่ายหน้าพร้อมบอก “รูสเปล่า”

สายลมชะงัก ค่อยยิ้มในสีหน้า เพิ่งรู้สึกตัวว่าเด็กมันพูดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว “พูดได้แล้วนี่”

พอทักออกไปเด็กก็ตาโต ทำปากขมุบขมิบไม่รู้บ่นอะไร

“ไป กลับกระท่อม เดี๋ยวหายามาทาให้”

คว้ามือเรียวพาเดินกลับกระท่อม เด็กก็เดินตามมาอย่างว่าง่าย มืออีกข้างยังคงกำสร้อยคอเอาไว้แน่น สายลมปรายมองแล้วก็นึกถึงสิ่งที่ตนได้คุยกับลุงหลงเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา


‘รูสไม่ใช่ลูกผม’

คำแรกที่หลุดมาจากปากชายสูงวัยทำให้เขานิ่งงัน

‘แน่นอนว่าเขาไม่รู้ และผมคงไม่บอกเขา’ ลุงหลงยังว่าต่อ ขณะที่สายตาทอดมองไปยังรูสที่วิ่งเล่นอยู่ริมทะเล

‘ทำไม...?’ สายลมเอ่ยถาม เขายังมึนกับสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อครู่

ลุงหลงหันกลับมาหาคนถาม ถอนใจเบา ๆ ก่อนขยายความให้อีกฝ่ายได้รู้ในสิ่งที่ตนเองคิด ‘ถ้าเขารู้ว่าผมไม่ใช่พ่อของเขา นายน้อยคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไง ทุกคนรอบกายเขาไม่มีใครเกี่ยวพันกับเขาเลย ที่เข้มแข็งมาตลอดจนตอนนี้ มันคงไม่เหลือ’

‘...…’ สายลมเงียบ นั่นเขาพอจะเข้าใจ

‘ผมอยากให้มีใครสักคนมาดูแลเขาต่อจากผมที่ไม่ได้เรื่องได้ราว’ ชายสูงวัยเกริ่นขึ้นมา ‘หากคนนั้นคือนายน้อย... มันจะเป็นไปได้ไหมครับ?’

สายลมนิ่งไปเล็กน้อย มองชายสูงวัยตรงหน้าก่อนยื่นเงื่อนไข ‘ถ้าผมต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรูส... ทุกอย่างที่ไม่ใช่การปั้นแต่ง’

เขาเน้นย้ำ แน่ล่ะว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้รูสต้องเผชิญกับปัญหาดังเช่นที่ผ่านมา แต่เมื่อลุงหลงหมายมาดว่าเขาจะเป็นที่พึ่งของรูสในภายภาคหน้า เขาก็ควรมีสิทธิ์ที่จะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังทุกอย่างไม่ใช่หรือ

ลุงหลงถอนใจ แกคงเลี่ยงที่จะไม่พูดไม่บอกอะไรกับชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้แล้ว หากอยากที่จะให้สายลมช่วยเหลือก็ไม่ควรจะคิดปิดบังความจริง แกจึงตัดสินใจที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง

‘อยู่ที่นี่นายน้อยคงได้พบเจอเรื่องประหลาดมากมาย คงรู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเพ้อเจ้อ แท้จริงแล้วมันอาจมีอยู่’

ชายสูงวัยเกริ่นนำ ซึ่งสายลมก็เงียบฟังในสิ่งแกจะพูด

‘ผมพารูสออกมาจากหมู่บ้านเมื่อรูสยังแบเบาะ หมู่บ้านของเราไม่ต่างไปจากเกาะศิลา แต่มีสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้อยู่มากทีเดียว ความเชื่อเก่า ๆ ความลี้ลับ และสายเลือดที่แตกต่างจากคนภายนอก’

‘…...’

‘รูสเกิดจากการทำพิธีขอบุตรของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เมื่อเขาเกิดมากลับมีนัยน์ตาสีเพลิง แล้วที่แย่ไปกว่านั้น... ความงมงายมันทำให้คนกลายเป็นเดรัจฉาน’

สายลมนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง แม้ลุงหลงจะไม่ได้พูดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับรูสในเวลานั้น แต่เขากลับรับรู้ถึงความเจ็บปวดในเนื้อเสียง มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำเลย

‘แม่ของรูสคือน้องสาวของผมเอง’ ลุงหลงยังเล่าต่อ ‘เธอรักลูกของเธอ แต่ทนการกดดันจากคนในหมู่บ้านไม่ได้ ลูกของเธอกลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครต้องการ และก่อนที่มันจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับชีวิตบริสุทธิ์ ผมก็พารูสออกมาจากที่นั่น’

‘พ่อของรูสล่ะครับ?’ สายลมเอ่ยถามเมื่อเริ่มประติดประต่อเรื่องราวตามที่ลุงหลงเล่า

‘เพราะอยากปกป้องลูกถึงได้ยอมสละตำแหน่งที่มี แต่เรื่องมันไม่จบเมื่อยังถูกไล่ล่า ตอนนี้พ่อแม่ของรูสเป็นยังไงบ้างผมไม่รู้ เพราะผมพารูสแยกกันหนีตามคำขอของน้องสาว’

‘…...’ สายลมนิ่งเงียบ ความเลวร้ายในชีวิตของรูสไม่ได้เริ่มจากบ้านหลังนั้น แต่เป็นมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก มันโหดร้ายกับเด็กคนหนึ่งมากจนเกินไป

‘แล้วหลังจากนั้น... นายน้อยคงรู้จากรูสแล้ว’

ชายสูงวัยยิ้มหยันตัวเองเมื่อกล่าวจบ แกพาหลานหนีจากความไม่ยุติธรรมในหมู่บ้านของแกมา แต่กลับส่งหลานเข้าไปประสบพบเจอกับเรื่องที่ย่ำแย่เสียยิ่งกว่า รูสกลายเป็นหนูทดลอง ต้องพบเจอกับความกดดันรอบด้าน ช่างน่าสมเพชที่ดูแลเด็กตัวเล็ก ๆ ให้ดีไม่ได้

‘ฟังจากที่ลุงพูด คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ... ไม่อยากจะเชื่อ’ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สายลมจึงเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องมองรูสที่กำลังหยอกกับลูห์อยู่ที่ชายหาด

‘หึ’ ลุงหลงทำเสียงลงคอ พอเข้าใจในความรู้สึกของสายลม ชีวิตของพวกเขามันน่าตลก แต่เป็นตลกร้าย ร้ายจนแทบเอาชีวิตกันไม่รอด

‘แต่สิ่งที่ผมได้เจอกับตัวทำให้ไม่เชื่อไม่ได้’ สายลมยังว่าต่อ ‘สิ่งที่เราต้องทำจากนี้คือคอยประคับประคองเขา ผมเข้าใจที่ลุงไม่อยากบอกความจริง และผมจะไม่พูด’

‘รู้อย่างนี้แล้วนายน้อยคงไม่ถอดใจใช่ไหม?’ ชายสูงวัยเอ่ยถามไถ่ รู้สึกหวั่นใจทีเดียว ‘ผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่นำภาระมาให้ แต่... เมตตารูสด้วยเถอะนายน้อย มันไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ’



มือเรียวกระตุกแขน ทำให้สายลมหลุดจากภวังค์มามองหน้าเด็กข้างกาย ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองเขางง ๆ เมื่อเขาหยุดเดิน ตากลมก็มองมาอย่างมีคำถาม สายลมมองนัยน์ตาสีอำพันนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอก

“ไม่ต้องไปที่ไหนอีกแล้วนะรูส ต่อไปนี้... ฉันจะดูแลเธอเอง”

เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเปิดยิ้มจาง จับมือสายลมยกขึ้นมาขณะช้อนมอง พลางบอก “ขอบคุณ รูสก็จะดูแลสายลมเหมือนกัน”

คนตัวใหญ่หัวเราะในลำคอ โยกศีรษะทุยอย่างเอ็นดู ก่อนพาเดินไปหาลุงหลงที่หน้ากระท่อมโดยมีลูห์เดินตามหลังมาช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้ลุงหลงยิ้มอ่อน เห็นแบบนี้แกก็พอจะวางใจได้แล้ว หวังว่านายน้อยจะรักษาสัญญา วาดหวังเอาไว้ว่าชายคนนี้จะดูแลรูสให้ดีได้

สายลมชวนลุงหลงกินข้าวด้วยกันก่อนกลับ ที่โรงพยาบาลแกก็ยังเป็นลุงหลงที่ไม่เต็มบาทขาดอยู่สองสลึงคนเดิม แต่เมื่ออยู่กับพวกเขา แกก็ทำตัวปรกติ เรื่องของรูสมีคนรู้ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือนางสายใจ ผู้ที่ลุงหลงหมายปองต้องจิต นางพอเข้าใจที่ลุงหลงแกเคยมีลูกมีเต้า เพราะหากแกไม่บ้าใบ้ก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาพอดูได้ไม่อายใครคนหนึ่ง

ตั้งแต่กลับมาที่กระท่อมจนกระทั่งกินข้าวกันเสร็จ สายลมก็ยังไม่ได้ยินเสียงเจ้าเด็กดื้อมันสักน้อยนิด นึกจะพูดก็พูดให้เราดีใจเล่น แต่หลังจากนั้นก็กลับไปเงียบเหมือนเดิม จนไม่รู้ว่าตอนนี้กลับมาเป็นปรกติดีแล้วหรือยัง

เมื่อลุงหลงกลับไป สายลมจึงหายามาทารอยแดงที่อกให้เด็กมัน รูสจะแย่งไปทาเองแต่สายลมเบี่ยงหนี บังคับด้วยสายตาให้ถอดเสื้อออก แต่เด็กมันกลับขยุ้มคอเสื้อไว้แน่นพร้อมส่ายหน้าดื้อดึง มือหนาจึงเอื้อมไปจับข้อมือเล็กหมับ เด็กเบิกตาโตก่อนก้มลงจนอกชิดเข่า ไม่ยอมให้สายลมแตะ

“จะทายาให้” เขาว่า แต่เจ้าดื้อมันกลับยื่นมือมาขอยาไปทาเอง เห็นแล้วเขาก็อยากแกล้ง หวงตัวจริงเดี๋ยวนี้

ตั้งแต่พากลับมาจากโรงพยาบาล เด็กมันก็ไม่ค่อยจะยอมให้กอด มีบางครั้งเช่นเมื่อกลางวันที่เข้ามานั่งอิงเขาเหมือนจะอ้อน แต่พอรู้ตัวก็จะเว้นระยะห่างทันที เช่นเวลานี้ที่หวงตัวไม่ยอมให้เขาแตะ

“ฉันบอกจะทาให้ไง มือจะได้ไม่เลอะ” สายลมยังยืนกรานตามความประสงค์ของตน

รูสหน้ามุ่ยเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมส่งยามาให้ทั้งยังเล่นลิ้นอยู่นั่น รอยแค่นี้เดี๋ยวก็จางไปเองเหมือนแผลที่เท้านั่นล่ะ เขาไม่เอาก็ได้ ยาบ้าบอ

“อ้าว จะไปไหน?” รีบท้วงถามเมื่อกายผอมขยับลุก หางตาเด็กดื้อที่ตอนนี้คงเริ่มงอนปรายมองก่อนส่งค้อนให้เขาวงโตแล้วเดินเข้าห้องนอนไป

สายลมหน้ายุ่ง เดี๋ยวเด็กมันก็เข้ามาคลอเคลีย แต่อีกเดี๋ยวก็หนีห่าง พูดได้แต่ก็ไม่พูด พอโดนแกล้งหน่อยก็หน้าบูดหน้าบึ้ง คิดแล้วก็ปวดหัว เมียก็ยังไม่มี แต่ดันมีลูกชายวัยสิบหก... เออนะ แล้วเขาจะคิดให้ตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองทำไมว่าแก่จนเป็นพ่อเด็กมันได้แล้ว

ร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ด้านนอกพักหนึ่งก่อนลงไปเดินสำรวจรอบกระท่อมดังเช่นทุกวัน เมื่อกลับขึ้นมาก็ถือยาติดมือเข้าห้องไปด้วย แอบสงสัยอยู่ที่เด็กมันปิดประตูเงียบตั้งแต่เข้าห้องไปแล้ว แต่เพียงเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้าตัวเล็กมันสะดุ้งจนเห็นได้ชัด กำลังทำอะไรอยู่ถึงนั่งเสียตัวตรงแหนวขนาดนั้น

สายลมปิดประตูแล้วเข้ามานั่งลงด้านหน้าเด็กตัวบาง อีกฝ่ายนั่งทับขา ทั้งดึงชายเสื้อลงมาปิดช่วงต้นขาเอาไว้ เขาหรี่ตามองก่อนถามไถ่ว่าเป็นอะไร แต่เด็กมันก็ไม่ยอมบอก ทั้งยังกดมือกับต้นขาตัวเองอยู่แบบนั้นจนดูผิดปรกติ

นั่งมองเด็กขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่สักพักสายลมก็เอื้อมมือไปหา หมายจะจับมือที่กดชายเสื้อปิดต้นขาเอาไว้ออก แต่เจ้าดื้อก็รีบปัดมือเขาทันที กายผอมผงะถอยทำท่าจะหนี ทำให้สายลมเอื้อมไปจับขาไว้แล้วลากกลับมา เด็กมันดิ้นยกใหญ่เมื่อขาถูกรวบ

“อื้อออออ”

รูสได้แต่ครางประท้วง มือยังไม่ปล่อยชายเสื้อ ดึงรั้งจนมันจะยืดย้วย ขาเรียวเตะไปมาอยากให้สายลมปล่อย ทั้งส่งสายตาอ้อนวอน แต่สายลมกลับไม่ยอมปล่อย ใช้มือข้างหนึ่งรวบขาของรูสแล้วกดลงกับพื้น ส่วนอีกข้างก็ดึงข้อมือเล็กให้ปล่อยชายเสื้อออก

ปล้ำกันอยู่พักใหญ่สายลมถึงได้จัดการกดข้อมือของอีกฝ่ายไว้กับฟูกนอนจนสำเร็จ กายหนาคร่อมอยู่เหนือร่างกายของเด็กดื้อพลางหอบหายใจ เห็นตัวเล็ก ๆ แต่แรงเยอะใช่ย่อยเลยแฮะ

รูสทำท่าจะร้องไห้เมื่อดิ้นหนีไม่ได้ แต่สายลมมองแล้วกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าสงสาร แลดูน่าฟัดเสียมากกว่า

“เป็นอะไรทำไมไม่บอก หือ?”

รูสส่ายหน้าจนผมสะบัด ขาที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเผลอชันขึ้นมาทำให้สายลมเลื่อนสายตาลงไปมอง หน้าท้องแบนราบที่ขยับไหวตามจังหวะหายใจที่แปลกไปไม่ได้เรียกความสนใจจากเขาเท่าบางสิ่งที่กำลังตื่นตัว

ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อย เผลอจับจ้องมันนิ่ง รูสหน้าเบ้ เบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยความอับอายขายหน้าเป็นที่สุด สิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาก็คือสิ่งนี้ คราแรกรูสก็ตกใจ พอคิดจะควบคุมมันก็แสนลำบากจนรู้สึกว่าตัวเองผิดปรกติ รูสไม่รู้วิธีจัดการกับมัน ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งรู้สึกแปลก เวลาถูกสายลมกอดก็ไม่เหมือนเดิม อาบน้ำด้วยกันก็เผลอทำอะไรประหลาด บางครั้งคงทำให้สายลมรำคาญ แต่นั่นเขาไม่ได้ตั้งใจ

“อ๊ะ!!”

รูสสะดุ้งเมื่อความอ่อนไหวถูกสัมผัส ตากลมเบิกโตเมื่อหันกลับมามองสายลม แต่สายลมไม่ได้มองมาที่เขา สายตาคมกลับจับจ้องมือของตัวเองที่ค่อยลูบไล้กึ่งกลางกายผอมที่นูนเด่นผ่านเนื้อผ้า ใจรูสเต้นกระหน่ำกับสัมผัสจากมือร้อน ความรู้สึกประหลาดโจมตีจุดอ่อนไหว ยิ่งสายลมค่อย ๆ ปัดมือผ่านมันไป ร่างกายยิ่งตอบสนอง

ฟันคมกัดริมฝีปาก ปลายเท้าจิกฟูกนอนเมื่อมือสากลูบวนที่ท้องน้อย กางเกงที่สวมใส่ค่อย ๆ ถูกรูดรั้งจนพ้นสะโพก มือหนาลูบวนเค้นคลึงสะโพกกลมกลึง ก่อนไล้มาที่หน้าท้องและเลื่อนลงกอบกุมส่วนที่เต้นเร่ารอการสัมผัส มือเรียวป่ายมาตะปบต้นแขนแกร่ง ส่งเสียงในลำคอเมื่อความสากระคายของอุ้งมือใหญ่สัมผัสกับกายตน

“ไม่เป็นไรนะรูส ผ่อนคลายกว่านี้... เด็กดี”

ถึงอีกคนจะปลอบ แต่รูสกลับส่ายหน้า จะทำได้อย่างไรเมื่อความรู้สึกที่มีมันยังไม่หมดไป จะทำอย่างไร เขาทำไม่ได้ ทำไม่ได้...
สายลมรั้งแขนเรียวมาโอบรอบลำคอตน นิ้วแตะปลายคางบังคับให้ตากลมเงยมอง พร้อมกระซิบปลอบ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้กับเด็กวัยนี้ หรือแม้แต่เขาก็ไม่เว้น รูสต้องรู้จักวิธีรับมือกับมัน

“กอดฉันไว้ แล้วมันจะผ่านไป”

นัยน์ตาสีอำพันเต้นระริกไหว แขนกอดสายลมเอาไว้ตามที่บอก ก่อนหลับตาแน่นเมื่ออุ้งมือใหญ่ค่อยขยับช้า ๆ ความเสียวแปลบทำให้รูสตัวสั่น ซบหน้าผากกับต้นแขนแข็งแรงทั้งหนีบขาจนชิด

“แยกขาอีกหน่อย รูส...”

รูสยังนิ่งอยู่เป็นนานกว่าขาเรียวจะค่อย ๆ ยกแยกตามที่อีกคนบอก เสียงกระซิบสอนจากสายลมดังเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง มันอื้ออึงไปหมดเมื่อถูกกระตุ้นจากมือร้อน ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองว่าอีกคนกำลังทำอะไรกับร่างกายตน รับรู้เพียงสัมผัสปลุกเร้า มันอ่อนโยนแต่ก็ร้อนเร่าในคราวเดียวกัน แขนเรียวเหนี่ยวรั้งคอสายลมไว้ ช่องท้องบิดมวนจนต้องงอตัวเมื่อมือสากเร่งจังหวะขึ้นอีกนิด

“อึ่ก... ลม... สายลม...”

เสียงกระเส่าที่ดังอยู่ข้างหูพาสายลมเตลิด แขนแกร่งประคองแผ่นหลังเล็ก ขณะที่ใบหน้าเรียวซุกกับไหล่เขาทั้งครางในลำคอเมื่อเขาเร่งมือ สายลมกัดฟันเมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองกับภาพและเสียง ยิ่งสะโพกมนขยับยกไม่อยู่นิ่งจนแทบเกยขึ้นมาบนหน้าขาแกร่ง เขาก็ยิ่งต้องหักห้ามใจ

“ปล่อยตัวตามสบายรูส ไม่ต้องเกร็ง...”

นี่เสียงเขาหรือ ทำไมมันพร่าสั่นขนาดนี้ เขาคงต้องรีบจัดการให้มันเสร็จไป ไม่อย่างนั้นแล้วตัวเขาเองอาจคุมตัวเองไม่อยู่จนกดร่างน้อยในอ้อมแขนลงไปบนพื้น แล้วร่วมรักให้สมความปรารถนาที่มีอยู่เป็นแน่

“ส... สายลม... มัน... มัน...”

ขาเรียวหนีบเข้าหากันเมื่อความรู้สึกเสียวซ่านมันกระตุ้นให้เป็นไป ซุกหน้ากับซอกคอของสายลมทั้งหอบหายใจ ลมหายใจร้อนรุ่มที่รินรดทำให้สายลมกอดร่างเล็กแน่นขึ้นอีกนิด มือหนาขยับเร็วขึ้นอย่างไม่ตั้งใจจนกายผอมหยัดเกร็ง ฟันคมกัดไหล่เขาเพื่อสะกดกั้นความรู้สึกที่ไม่เคยพบเจอ

“ปล่อยมันรูส ไม่ต้องกลั้นไว้ ให้มันออกมา...” เขากระซิบบอก รับรู้ถึงความเครียดเกร็งของร่างกายเด็กด้อยเดียงสาผ่านอุ้งมือตน

เล็บมนจิกไหล่กว้าง สะอื้นหนักทั้งบิดกายเร่า มือหนารูดรั้งจนสะโพกขาวยกลอย ก่อนจะปลดปล่อยความรู้สึกที่เก็บกักเอาไว้ออกมาในที่สุด

ตัวบางสั่นเป็นลูกนกอยู่ในอ้อมแขนของสายลม เกร็งยะเยือกหลายครั้งเมื่อมือของเขายังรีดเค้นจนกระทั่งความร้อนรุ่มค่อยคลายตัว เสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหู สายลมผ่อนลมหายใจช้า ๆ พร้อมลูบหลังลูบไหล่ปลอบเด็กน้อย มืออีกข้างเผลอลูบต้นขาเนียนจนมันเลอะเปรอะตามมือของตนไปด้วย ขณะที่ริมฝีปากหยักกดจูบกลุ่มผมนุ่มซ้ำ ๆ ก่อนจะดันไหล่มนออกอย่างเบามือ

รูสขยับขาเข้าชิดกันเมื่อถอยห่างจากอ้อมแขนแกร่ง นั่งพับเพียบเสียเรียบร้อย ทั้งก้มหน้าไม่กล้าสบตาสายลมเพราะความอาย มันไม่ได้ร้อนแค่หน้า แต่มันลามมาทั้งตัว ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อนในสถานการณ์แสนประดักประเดิด จนเมื่อร่างสูงใหญ่ลุกออกจากห้องไป รูสจึงคว้ากางเกงที่กองอยู่ปลายเท้ามาสวม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคราบเลอะที่ต้นขาของตนเอง เด็กน้อยเม้มปาก หน้าร้อนจนจะไหม้แล้วตอนนี้

เสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังมาเข้าหูสายลมที่นั่งสงบจิตสงบใจอยู่ข้างลานอาบน้ำ เมื่อหันไปมองก็เห็นเด็กกำลังขยี้ผ้าในกะละมัง พอเงยมาสบตากับเขา เจ้าหนูมันก็รีบก้มงุด ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มก่อนหันกลับ ปล่อยให้เด็กซักผ้าไปจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยถึงได้เดินตามกันขึ้นกระท่อมมา

รูสยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตู ก้มมองแต่ปลายเท้าของตัวเองไม่กล้าเข้าห้อง ทำให้สายลมที่เดินเข้าไปด้านในต้องหยุดเท้าแล้วหันมามอง ก่อนเรียกด้วยน้ำเสียงปรกติไร้แววล้อเลียนให้ได้อาย

“ง่วงแล้วรูส มานอนเร็ว”

รูสเงยมองคนเรียก เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่จึงทำให้ค่อยคลายใจ แต่นั่นไม่ได้ลดความเขินอายที่มีลงไปแม้แต่น้อย เมื่อเข้ามานอนแล้วแขนแข็งแรงพาดกอด รูสก็นอนตัวเกร็งจนคนกอดรู้สึกได้

สายลมยกแขนถอยกลับมา ก่อนจะพลิกกายนอนหงาย ไม่แตะต้องเด็กมันอีก คราวนี้จึงเป็นรูสเองที่ขยับเข้าไปกอด กลัวสายลมโกรธที่ทำตัวมีปัญหา แถมยังให้ช่วยในเรื่องที่ไม่สมควรด้วย ตัวผอมบางขยับมาจนชิดกายกำยำ ดันตัวขึ้นอีกนิดก่อนกระซิบเบา

“สายลม อย่าโกรธรูสนะ รูสไม่ตั้งใจ...”

น้ำเสียงอ้อนออดจนคนฟังทนใจแข็งไม่ได้ กายหนาตะแคงมาหา เมื่อมองสบตากลม อีกฝ่ายก็หลุบสายตาลงต่ำ แก้มแดงเรื่อน่าเอ็นดู มือเอื้อมเชยคางมนขึ้นมา พร้อมบอกเสียงทุ้มนุ่ม

“ไม่โกรธ ถ้ายอมให้กอด” สายลมซ่อนยิ้ม เขามันช่างเจ้าเล่ห์ รู้ตัวเลย

ได้ฟังเช่นนั้นเด็กก็ยิ่งหน้าแดง แต่ก็ยอมให้เขากอดแต่โดยดี ทั้งคู่ค่อยผล็อยหลับด้วยความรู้สึกที่แปลกไป และจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาอีกนิด


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๘ คลื่นลม //๒๖.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 26-08-2018 19:29:18

ความมืดมิดภายในที่คุมขังทำให้ร่างที่นั่งพิงลูกกรงเหล็กได้ยินเพียงเสียงก้าวเดินของใครบางคน แต่ไม่อาจมองเห็น ผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ห้องข้างกันนั้นต่างหวาดกลัว แต่เขากลับรู้สึกหมดอาลัยตายอยากจนไม่อนาทรหากจะมีสิ่งใดย่างกรายเข้ามาใกล้ จนกระทั่งปลายเท้าของใครคนนั้นก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องคุมขัง ชายผู้นั่งพิงลูกกรงเหล็กก็ยังคงนิ่งเฉย

สัมผัสเย็นเยียบของบางสิ่งพาดผ่านลำคอ ก่อนที่มันจะตวัดรัดรึงจนดึงอากาศหายใจไปจากปอด ความเจ็บปวดจากวัตถุที่รัดรั้งลำคอทำให้ชายหนุ่มดิ้นรนตามสัญชาตญาณ มือข้างหนึ่งป่ายปัดคว้าลูกกรงเหล็ก ขณะที่อีกข้างพยายามรั้งเส้นสายที่รัดคอตนให้คลายออก แต่กลับไม่เป็นผล เสียงแผ่นหลังกว้างกระแทกเหล็กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของคุกมืดอยู่หลายหน ก่อนที่ลมหายใจจะขาดห้วง สิ่งที่รัดคอของเขาอยู่กลับหยุดการเคลื่อนไหว พร้อม ๆ กับเสียงขึ้นไกปืนที่ดังแทรกเข้ามาในมโนสำนึก

แกร๊ก

ปลายกระบอกปืนที่ถูกถือเอาไว้มั่นกดแนบศีรษะของคนในเงามืด คบไฟจากใครอีกคนถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่าง ร่างตะคุ่มในมุมมืดนั้นค่อยยกมือระดับอกเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนลุกขึ้นมาช้า ๆ ปล่อยให้ร่างในห้องคุมขังเอียงกระเท่ห์เร่จนล้มลงไปทั้งไอโขลก

แสงไฟที่สาดส่องทำให้มองเห็นหน้าของผู้ที่เข้ามาทำร้ายคนในคุกมืดได้อย่างชัดเจน รวมทั้งผู้ที่ถือปืนเล็งมาก็ด้วย นัยน์ตาสีนิลจับจ้องคนตรงหน้าไม่วาง สายลมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่นึกว่ามันจะเร็วปานนี้ ดีที่เขาเตรียมรับมือเอาไว้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นเหนือเมฆคงไม่รอดมาบอกความจริงทุกอย่างกับเขา สิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่อย่างคือเรื่องที่คนร้ายลงมือในวันนี้ ทั้งที่น่าจะปล่อยให้พวกเขาชะล่าใจแล้วค่อยจัดการกับเหนือเมฆเสียมากกว่า มันมีบางอย่างซ่อนอยู่หรือไม่ เขาไม่อาจแน่ใจ

คนของสายลมเข้าไปจับคนร้ายแล้วกดให้มือไขว้มาด้านหลัง ก่อนที่จะใช้เชือกมัดเอาไว้ ส่วนเหนือเมฆถูกนำตัวออกมาจากห้องขังเพื่อพาส่งโรงพยาบาล ที่ด้านหน้าคุกมืดนั้นคนเฝ้าต่างถูกรมยาจนสลบไสล ฟื้นคืนสติมาก็ยังมึนงงจนทำอะไรไม่ได้ สายลมจึงให้เวรยามอีกชุดมาผลัดเปลี่ยน ส่วนเขาจะพาคนร้ายที่ลอบเข้ามาเอาชีวิตเหนือเมฆไปสอบปากคำต่อหน้านายลามุ ไม่สามารถขังรวมกับคนอื่นที่นี่ได้ เมื่อยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของคนผู้นี้



กระท่อมน้อยริมเล

รูสได้แต่เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้ากระท่อม สายลมต้องไปทำธุระสำคัญ เขาจึงต้องอยู่กับลูห์ เป็นเด็กดีเชื่อฟังที่สายลมบอก แต่ใจกลับกระวนกระวายจนอยู่ไม่สุข ต้องลุกเดินชะเง้อชะแง้รอสายลมกลับมา

ร่างผอมนั่งลงบนแคร่ข้างลูห์ หันไปมองสัตว์ตัวโตแล้วก็หน้าหมอง เป็นห่วงสายลม เพราะก่อนไป ท่าทางสายลมดูเครียดเอามาก ๆ ไม่รู้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

ดวงตะวันค่อยเคลื่อนตัวพ้นเหลี่ยมเมฆ ความมืดค่อยจางหายเมื่อแสงของเช้าวันใหม่สาดส่องมา สายลมกลับมาที่กระท่อมหลังจัดการเรื่องยุ่งยากจนเรียบร้อย นึกเป็นห่วงเด็กน้อยที่ตัวเองปล่อยไว้กับลูห์อยู่เหมือนกัน แต่เพียงมาถึง ชายหนุ่มก็อมยิ้มบางเมื่อเห็นเด็กนอนขดอยู่บนแคร่ข้างลูห์ มือหนาเอื้อมไปเขย่าขาเล็กพร้อมปลุก

“รูส เด็กดื้อ มานอนอะไรตรงนี้ หือ?”

เจ้าตัวเล็กมันขยับยุกยิก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งโงนเงนจนสายลมกลัวว่าจะหล่นปุลงจากแคร่เอาให้ได้ มือจึงเอื้อมไปจับไหล่เพื่อยึดให้นั่งตรง ครู่หนึ่งตากลมถึงค่อยปรือขึ้นมามองหน้าเขา

“สายลมกลับมาแล้ว...”

ไม่รู้ว่าบอกใคร แต่สายลมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไป ด้วยกลัวว่าเสียงเด็กมันจะหายไปอีก ยิ่งผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่รู้เสียงหรือตัวอะไรกันแน่ ชอบเล่นซ่อนหากับเขาจริง ๆ

“แล้วมานอนอะไรตรงนี้ ทำไมไม่นอนในห้อง?” เขาเอ่ยถาม

ไอ้ตัวเล็กเหมือนจะยังไม่ตื่นดี ทำเสียงหือหาในลำคอก่อนตอบเสียงออด “รูสเป็นห่วงเลยมารอสายลม แต่ว่า...”

“ว่า?” สายลมเลิกคิ้วเมื่ออยู่ ๆ เด็กก็หยุดพูดกลางคัน

“รูสง่วง...”

“หึ ๆ” มือหนาลูบเปิดหน้าผากนูน เหงื่อซึมเชียว มานอนซุกลูห์ ไม่ร้อนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร “มันเช้าแล้วเด็กน้อย ได้เวลาตื่นแล้วนะ หืม”

ใบหน้าเรียวพยักหงึก เหมือนจะรู้เรื่อง แต่ดูอีกทีก็เหมือนจะทำไปอย่างนั้นเอง เพราะเล่นทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ สายลมต้องดึงแขนไว้ให้ลุกขึ้นมา ไปนอนกลิ้งเอาขนลูห์หรือไง เจ้าดื้อ

“ไม่เอารูส จะนอนต่อก็ขึ้นไปนอนข้างบน” พอบอกไปเช่นนั้นตากลมก็เปิดขึ้นมามองหน้าเขา

“รูสร้อน อยากอาบน้ำ” รูสบอกเหมือนกระซิบ ท่าทางเสียงจะหายไปอีกแล้ว

“อยากอาบน้ำก็ลุกเร็ว”

ตัวบางยอมลุกตามที่บอก ก่อนจะเดินโซเซขึ้นไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหลังอาบน้ำแปรงฟัน สายลมก็ไปเอาของตัวเองมาบ้าง วันนี้เขายังต้องกลับไปหาปู่เพื่อปรึกษาเรื่องเมื่อคืนอีก คงต้องพารูสไปด้วย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ทำให้ไม่อยากปล่อยเด็กมันอยู่ห่างหูห่างตา ไม่รู้ใครมีจุดประสงค์อะไรแล้ว เก็บไว้ใกล้ตัวเป็นดี

“ไม่ลืมอะไรใช่ไหม?”

หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งลงมาอยู่หน้ากระท่อม สายลมก็เอ่ยถามเด็กข้างกาย เจ้าหนูรูสส่ายหน้า ตบถุงผ้าที่ตัวเองสะพายแล้วยิ้มแฉ่ง

“ช่วงนี้รูสต้องอยู่ที่บ้านใหญ่ไปก่อนนะ สถานการณ์ในเกาะไม่แน่นอน ฉันคงมีเรื่องให้ทำมากมาย ไม่อยากปล่อยเธอทิ้งไว้ที่กระท่อม”

รูสพยักหน้ารับรู้ เข้าใจว่าสายลมคงต้องเหนื่อยแน่ ต้องจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นและไหนจะต้องเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเขาอีก แบบนี้เขาจะช่วยอะไรสายลมได้บ้างไหมหนอ

เมื่อพากันมาถึงบ้านใหญ่ รูสก็เดินตัวลีบตามสายลมเข้ามาในบ้าน เขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่สายลมแอบจัดงานวันเกิดย้อนหลังให้ แต่ในตอนนั้นได้อยู่แค่ห้องนั่งเล่น ผิดกับเวลานี้ที่ได้เดินขึ้นมาชั้นบน แถมมาถึงห้องนอนของสายลมอีกด้วย

หนุ่มน้อยเดินสำรวจภายในห้องเมื่อสายลมปล่อยให้อยู่ที่นี่แล้วขอตัวไปคุยธุระกับปู่ ภายในห้องมีรูปถ่ายบิดามารดาของสายลมแขวนอยู่บนผนัง ถัดมาก็รูปของสายลมกับปู่ และกรอบรูปแบบเรียบ ๆ สีน้ำตาลบนโต๊ะอีกอัน มองแล้วรูสก็สงสัย ที่นี่มีกล้องด้วยหรือ เขาไม่เห็นรู้เลย ถ้ามี เขาก็อยากถ่ายรูปบ้างเหมือนกัน รูปคู่กับสายลม

มือเรียวเอื้อมไปหยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู ภาพชายต่างชาติสองคนกับเด็กผู้ชายอีกสามคนบนโซฟาตัวใหญ่ เด็กในอ้อมแขนของผู้ชายผิวเข้มนอนหลับปุ๋ย แขนเล็กป้อมกอดชายคนนั้นเอาไว้ทั้งหลับตาพริ้ม ท่าทางจะสบายอกสบายใจน่าดู ผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันพาดแขนโอบด้านหลังชายผิวเข้ม หน้าตาท่าทางดูดุดัน มีหนวดเคราเล็กน้อย ส่งให้ดูขึงขังยิ่งกว่าเก่า ชายผู้นี้มีนัยน์ตาสีฟ้าด้วย รูสเพิ่งเคยเห็น ดู ๆ ไปแล้วเหมือนจะน่ากลัว แต่มุมปากทั้งสองข้างที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ นั่นกลับทำให้ใบหน้าดุดันดูดีขึ้นมาอีกหน่อย

ตากลมเลื่อนมามองเด็กชายอีกสองคนด้านข้าง หนึ่งในนั้นคงเป็นสายลม หนุ่มน้อยเพ่งพินิจเมื่อไม่เห็นว่าคนในรูปจะมีใครผิวคล้ำเหมือนสายลมเลย เอียงคอน้อย ๆ อย่างสงสัย ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อมองแววตาเด็กคนหนึ่งในภาพถ่าย มั่นใจได้เลยว่าสายลมต้องเป็นคนนี้แน่ แต่ดูแล้วท่าทางของเด็กคนนี้ดูขี้เบื่อจัง ต่างจากปัจจุบันนิดหน่อย

สายลมที่กลับเข้ามาหลังจากไปคุยกับปู่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองเด็กในห้องที่ยังไม่รู้ตัวว่าเขากลับมาแล้ว ดูเด็กมันจะสนใจภาพครอบครัวของเขาเอามาก เห็นจ้องอยู่นานแล้ว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้ตัว สายลมจึงแกล้งส่งเสียงกระแอม เพียงเท่านั้นเจ้าตัวเล็กก็สะดุ้งโหยง หันมามองเขาอย่างตกใจ ก่อนจะรีบวางกรอบรูปในมือไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม

“ดูได้ ไม่ได้ว่าอะไร” สายลมบอกยิ้ม ๆ ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาพร้อมปิดประตูลง

รูสเกาแก้ม เขาแอบดูโดยไม่ได้ขอ ถึงสายลมจะบอกว่าไม่ว่าหากเขาจะดูก็เถอะ

ร่างสูงใหญ่เดินเฉียดเด็กดื้อมาหยิบกรอบรูปบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงที่เตียงแล้วตบพื้นที่ข้างกายเบา ๆ ให้มานั่งด้วยกัน เจ้าหนูรูสจึงค่อยก้าวมาหาแล้วนั่งลงอย่างว่าง่าย

“ดูแล้วรู้ไหมว่าคนไหนคือฉัน?”

เอ่ยถามไปแล้วเด็กก็พยักหน้า ก่อนจะชี้ที่ภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งแล้วยิ้ม ดูภูมิใจหนักหนาที่หาเขาเจอ

“รู้ได้ไง ไม่คิดว่าฉันจะเป็นคนนี้บ้างเหรอ?” นิ้วใหญ่ชี้ที่เด็กผู้ชายอีกคน นัยน์ตาสีควันบุหรี่ ไม่ดำขลับเหมือนนัยน์ตาของเขาตอนนี้สักนิด

รูสมองหน้าสายลม ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่คิด อย่างไรคนที่เขาชี้เมื่อครู่ต้องเป็นสายลมแน่นอน ฟันธง!

“ดูจากอะไรถึงได้มั่นใจขนาดนั้น?” สายลมยังถามต่อ จริง ๆ เขาก็เปลี่ยนไปจากตอนเด็กพอสมควร สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนคงนึกหน้าเขาตอนเด็กไม่ออก

รูสอมยิ้มกับคำถาม ก่อนยกมือขึ้นมากำหลวม ๆ ให้มีช่องว่างตรงกลางแล้วเอามาแนบที่ตาตัวเอง สายลมยิ้มมุมปาก ไม่ยอมพูดอีกแล้ว ทำท่าทำทางเขาก็พอรู้เรื่อง แต่อยากให้พูดเสียมากกว่า เดี๋ยวติดเป็นนิสัย ไม่ยอมพูดยอมจา

“ไม่เห็นรู้เรื่อง” เขาแกล้งว่า เด็กมันก็ลดมือลงแล้วทำแก้มพองเลยถูกเขาบิดแก้มเบา ๆ น่ามันเขี้ยวนัก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูเรียกสายตาของทั้งคู่ให้หันไปมอง ก่อนที่สายลมจะวางกรอบรูปเก็บที่เดิมแล้วลุกไปเปิดประตู เด็กในบ้านมาบอกให้ลงไปกินข้าวเช้า ปรกติเวลานี้พวกเขาคงจะกินข้าวกันไปแล้ว แต่พอมีเรื่องเลยยังไม่ได้กินอะไร หิ้วท้องมาฝากที่บ้านใหญ่แทน

สองหนุ่มลงไปร่วมโต๊ะกับนายลามุ รูสออกจะเกร็งอยู่เมื่อต้องมากินข้าวกับปู่ของสายลม อาหารฝีมือแม่ครัวที่นี่ก็อร่อยดี แต่บรรยากาศกดดันที่รูสรู้สึกไปเองทำให้ความอร่อยมันลดลง ไม่เหมือนตอนอยู่กับสายลมแค่สองคน ถึงจะไม่มีอะไรมากมายแต่ก็อร่อยที่สุด เขาคงต้องพยายามปรับตัวให้ชิน เพราะคงต้องอยู่ที่นี่ไปสักพัก จนกว่าสถานการณ์ภายในเกาะจะคลี่คลาย

หลังกินข้าว สายลมก็ต้องไปจัดการสอบสวนคนร้ายที่หมายจะเข้าไปปลิดชีวิตเหนือเมฆถึงในคุกมืด รูสจึงต้องอยู่ที่บ้านใหญ่คนเดียว เด็กดื้อพออยู่แปลกที่ก็ดื้อไม่ออก ไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่านนอกห้องเลยได้แต่ขลุกอยู่นอกระเบียงห้องของสายลม เอาหนังสือออกมาอ่านรับลม จะได้ไม่อุดอู้

กว่าสายลมจะกลับเข้าบ้านมาอีกทีก็ตอนเย็นย่ำ รูสที่อ่านหนังสือจนล้าลงมาเดินเล่นข้างล่าง เจอนายลามุจึงจะกลับขึ้นห้องไปอีก แต่ชายชรากลับเรียกให้มาหา มาอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งสายลมกลับมา

รูสขออนุญาตตามสายลมขึ้นห้อง นายลามุก็พยักหน้าบอกให้ไปได้ หนุ่มน้อยจึงเดินยิ้มมาหาคนตัวโตที่ยืนรออยู่ในบ้าน ก่อนพากันขึ้นชั้นบนไป ที่นี่มีห้องน้ำส่วนตัว น้ำประปาที่สายลมต่อท่อมาถึงแค่กลางหมู่บ้าน เวลาแต่ละครอบครัวจะใช้ก็ให้เอารถใส่ถังไปเข็นกันเอาเอง ลดระยะทางการเดินจากที่ต้องเข้าไปในป่าลึกมาเป็นที่กลางหมู่บ้านแทน ในอนาคตคงมีการต่อท่อเข้าบ้านทุกหลัง แต่นั่นยังคงเป็นโครงการในอนาคตที่สายลมวางเอาไว้เท่านั้น

ที่บ้านใหญ่มีคนคอยดูแลเรื่องน้ำท่าเป็นประจำ คนในบ้านจะนำน้ำขึ้นมาทางบันไดหินที่สามารถขึ้นมาถึงด้านหลังของทุกห้องในบ้าน นายลามุทำเอาไว้เพื่อสะดวกในการขนน้ำขึ้นลง มันจะได้ไม่เลอะเทอะในบ้านให้ต้องเช็ดต้องถูกันอุตลุด

กลับมาเหนื่อย ๆ สายลมจึงจะเข้าไปอาบน้ำ วันนี้เขาเครียดพอตัว เพราะคนร้ายไม่ยอมปริปากบอกอะไรแม้สักคำ ใช้การนิ่งเงียบเป็นอาวุธ แม้ต้องไปที่ลานขาวก็ไม่เห็นสีหน้าของคนคนนั้นจะตื่นตระหนกแต่ประการใด ทำให้สายลมต้องยุติการสอบสวน และสั่งให้คนเฝ้าเอาไว้ ยังไม่พาไปที่ลานขาวจนกว่าจะปรึกษากับนายลามุให้ถ้วนถี่เสียก่อน

รูสมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเมื่อสายลมถอดเสื้อออก พอเจ้าของแผ่นหลังหันมาเห็นก็แกล้งแซว

“วันนี้ต้องให้ช่วยอีกไหม?”

ใบหน้ารูสเห่อร้อน ก่อนจะส่ายหน้ารัวแล้วหันหลังให้ ไม่มองร่างกายของสายลมอีก ใจดวงน้อยเต้นตุ้บ เมื่อก่อนเปลือยกายอาบน้ำด้วยกันก็เคย ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร แต่หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น รูสก็ไม่กล้าที่จะมองเนื้อตัวของสายลมได้โดยไม่คิดอะไร เขามันเด็กลามกใช่ไหม แย่จริง

สายลมอมยิ้มขัน ก้าวเข้ามาหาเด็กที่หันหลังให้ตน ก่อนก้มลงกระซิบข้างหู

“อยากให้ช่วยก็ตามเข้ามาแล้วกัน”

ลมหายใจอุ่น ๆ รินรดใบหู ไม่รู้อีกฝ่ายจงใจหรือไม่ แต่รูสก็ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้ว มือเรียวยกขึ้นปิดหูตัวเองทั้งสองข้าง มันร้อนวูบวาบจนรู้สึกได้ แก้มก็ร้อนลามลงมาถึงคอ ท่าทางจะมีจุดอ่อนที่หู เพราะเมื่อก้มมองสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายแล้วก็หน้าเบ้ ใบหน้าเรียวส่ายไปมาพร้อมพึมพำว่าไม่เอา ย้ำกับตนเองว่าเดี๋ยวก็หาย... เดี๋ยวก็หาย... เดี๋ยวก็...

“ฮืออออ สายลมมมม”

ปลอบตัวเองไม่ทันไรเจ้าตัวเล็กก็วิ่งหายเข้าห้องน้ำตามอีกคนไปเสียแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ชนะดังมาก่อนที่มันจะเลือนหาย หลงเหลือเพียงความเงียบของห้องนอนและเสียงแปลก ๆ ที่ดังลอดออกมาจากห้องน้ำเป็นระยะ...


......


นางมารียามาดูแลลูกชายที่โรงพยาบาล ลูกน้องของเหนือเมฆที่อยู่ในบ้านของนายลามุก็อยากมาเยี่ยมลูกพี่ของพวกมันเช่นกัน แต่ก็กลัวว่าหากพวกมันออกจากบ้านนายลามุมาอาจจะเป็นอันตรายจึงได้แต่หดหัว สถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ พวกมันก็ต้องเอาตัวรอดกันเป็นธรรมดา

เมื่อเหนือเมฆถูกส่งมาที่โรงพยาบาล หมอปลายฟ้าก็ช่วยรักษาดูแลอาการให้อย่างเต็มที่ ไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็นฝ่ายไหน ทำให้นางมารียาซาบซึ้งในน้ำใจของคุณหมอหนุ่มอย่างมาก จนขอบคุณอยู่ไม่ขาดปาก

“ขอบคุณมากค่ะหมอ นึกว่าเจ้าเหนือมันจะถูกปล่อยทิ้งไม่มีใครดูดำดูดีเสียแล้ว”

“ไม่หรอกครับ หมอมีหน้าที่รักษาพยาบาลคนไข้ จะปล่อยให้เหนือเมฆเป็นอะไรไปได้ยังไงกัน” คุณหมอหนุ่มยิ้มบาง “คุณน้าเองก็ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะครับ”

“ค่ะ คุณหมอ ขอบคุณมากจริง ๆ”

หมอปลายฟ้ายิ้มรับคำขอบคุณนั้นก่อนที่จะออกจากห้องพักผู้ป่วยมา ด้านหน้าห้องมีคนของนายลามุมาเฝ้า ทั้งสองค้อมศีรษะเมื่อหมอปลายฟ้าเดินผ่านไป เมื่อพ้นสายตาของทุกคน ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่เสมอก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หมอปลายฟ้าทำเรื่องออกเวรเร็วกว่าปรกติเพื่อกลับบ้านตน เขาอยากที่จะพูดคุยกับปู่ซานินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้

แต่เมื่อออกจากตัวอาคารมา สายลมกลับมายืนรออยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว เมื่อทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน ฝ่ายหมอปลายฟ้าก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเปิดยิ้มตามแบบฉบับของตัวเองเมื่อกล่าวทายทัก

“ยังไม่ถึงวันนัดนี่ครับ นายน้อย” เขาเลือกที่จะเอ่ยถึงเรื่องแผลของอีกฝ่ายเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่กำลังกังวล

“ผมอยากคุยกับพี่สักหน่อย ปลายฟ้า”

สายลมพูดขึ้นมาด้วยท่าทีดูจริงจัง ไม่ไหลไปตามน้ำ ขณะที่หมอปลายฟ้านิ่งไปเมื่ออีกฝ่ายเรียกตนว่าพี่ หากเป็นช่วงเวลาปรกติที่พูดจาเล่นหัวกัน เขาจะเรียกสายลมว่านายน้อย และสายลมก็จะเรียกเขาว่าคุณหมอ แต่เมื่อใดก็ตามที่สายลมเรียกเขาว่าพี่ตามศักดิ์ของสายเลือด นั่นแสดงว่าจะไม่มีการล้อเล่นเกิดขึ้นในบทสนทนาจากนี้ รอยยิ้มที่หมอปลายฟ้ามีจึงเจื่อนลงไป ก่อนถามกลับ

“จะคุยเรื่องอะไร?”

สีหน้าสายลมจริงจังจนดูเคร่งเครียดเมื่อตอบคำถามที่ผู้เป็นพี่ก็คงรู้ดี

“ปู่ซานิน”

“..........”

ความเงียบปกคลุมรอบกายเพียงชื่อของบุคคลสำคัญถูกเอื้อนเอ่ย นับจากนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป...




TBC




บวกขอบคุณ คุณ ΩPRESTOΩ ค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๘ คลื่นลม //๒๖.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 27-08-2018 02:53:18
หลงรักลูห์เข้าแล้ว :mew1: หวังว่าลูห์คงอยู่รอดปลอดภัยนะคะอย่าให้ใครทำอะไรมันเลยนะ  :call:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๙ เปิดศึก // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 27-08-2018 10:34:02

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๙ เปิดศึก



บ้านนายซานิน

ชายชราผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งมองบรรยากาศนอกหน้าต่างอยู่บนรถเข็นสำหรับผู้ป่วย ผ้าแพรปิดคลุมช่วงขาที่ใช้การไม่ได้เอาไว้ สีหน้าท่าทางแลดูไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรสักนิด แต่คนเราดูกันแต่ภายนอกคงไม่ได้

ลูกน้องของเขาเข้ามารายงานถึงเรื่องที่หมอปลายฟ้าถูกนายน้อยสายลมพาตัวไปเสียแล้ว มือเหี่ยวย่นที่วางอยู่บนที่พักแขนกำเข้าหากันจนสั่น ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ สายลมคงพอระแคะระคายแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใครถึงได้มาพาหลานชายของเขาไปเช่นนี้ คิดจะเปิดศึกกับข้าอย่างนั้นหรือ ลามุกะ!

เมื่อก่อนเกาะศิลาเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและภาษา ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดของพวกเขาได้มาพบกับเกาะแห่งนี้โดยบังเอิญ เกาะที่ไม่ได้ขึ้นต่อประเทศใด ไม่มีผู้ถือครอง ณ ขณะนั้น ทำให้พวกท่านเข้ามาตั้งรกราก ในทีแรกก็มีกันเพียงไม่กี่ครอบครัว อยู่กันฉันพี่น้อง แต่เมื่อวันหนึ่งเริ่มมีผู้คนจากถิ่นอื่นขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ทำให้เกิดกฎกติกาการอยู่ร่วมกันขึ้น

ในขณะนั้นครอบครัวของนายซานินและนายลามุเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาบุกเบิก และพวกเขาก็มีอาคมพอตัว สามารถสะกดให้สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายยอมสยบ คนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ก็ต่างกลัวเกรงบารมีเมื่อเห็นสิงโตตัวเขื่องอยู่เคียงกายคนในครอบครัวของพวกเขาตลอดเวลา จึงได้รับการยอมรับให้ขึ้นมาเป็นผู้นำของเกาะ คอยตัดสินปัญหาและแบ่งสันปันส่วนพื้นที่ให้แต่ละคนตามความพอเหมาะและพอใจ

เมื่อสิ้นรุ่นแรกไป ผู้ที่สืบทอดต่อมาก็ยังคงเป็นครอบครัวของนายลามุและนายซานิน จนกลายเป็นว่าเกาะนี้ขึ้นกับครอบครัวของพวกเขาไปแล้วตั้งแต่นั้น กระทั่งมาถึงรุ่นของพวกเขา พวกเขามีสอง ฝ่ายที่สนับสนุนนายลามุมี นายซานินเองก็ไม่ได้ต่างกัน ทำให้ต้องพึ่งการตัดสินจากสิงโตอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้ที่จะขึ้นมาเป็นนายเหนือทุกคนบนเกาะศิลา ให้สิงโตคู่บารมีเป็นผู้เลือกหาว่าใครกันที่เหมาะสม

นายลามุในขณะนั้นเป็นพวกชอบเที่ยวเล่นเสียมากกว่า การที่จะมาปกครองคนหมู่มากนั้นไม่ใช่ทางของเขาแม้แต่น้อย ทำให้นายลามุไม่อยากเข้าร่วมพิธีเลือกผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายของคนบนเกาะศิลา แต่ถูกบีบบังคับกลาย ๆ เพราะหากตนไม่มาร่วมพิธีนี้ ผู้เป็นพี่ชายอย่างนายซานินคงไม่อาจขึ้นครองตำแหน่งได้อย่างขาวสะอาด

พิธีกรรมดังกล่าวจะทำให้คนในเกาะเชื่อมั่นในตัวของผู้นำมากขึ้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผู้เป็นนายของเกาะศิลาต่างมีสิงโตคู่บารมีกันทั้งนั้น เมื่อถึงเวลานายซานินก็ถูกส่งไปที่ลาน เผชิญหน้ากับลีอาห์ สิงโตสาวที่ขึ้นชื่อเรื่องดุร้าย เพราะมันขี้หงุดหงิดตามประสาสิงโตตัวเมียที่ไม่ชอบถูกใครบังคับ และนายซานินที่ลงไปหามันที่ลานกลับควบคุมมันไม่ได้ ถูกมันทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ โชคยังดีที่นายลามุเข้าไปช่วยเหลือ แต่ขาของนายซานินที่ถูกฉีกกระชากดึงทึ้งจากคมเขี้ยวก็ไม่สามารถที่จะรักษาให้กลับมาคงเดิม เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้นายลามุได้ขึ้นเป็นนายของเกาะ โดยที่พี่ชายอย่างนายซานินกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็น

จากพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกลับต้องมีรอยบาดหมาง เพราะอำนาจตัวเดียวที่ทำให้จิตใจของพวกเขาดำมืด ในขณะที่น้องชายมีแต่คนนับถือ นายซานินกลับเป็นไอ้ง่อยที่แม้แต่ช่วยเหลือตัวเองยังแทบทำไม่ได้ มันน่าเจ็บใจ และไม่น่าให้อภัยคนเป็นน้องไปพร้อมกัน ทั้งที่ทุ่มเททุกอย่าง พยายามทำมาทุกสิ่งเพื่อส่งให้ไอ้น้องชายไม่เอาอ่าวนั่นได้ดีอย่างนั้นหรือ?

“นายท่าน ท่านลามุกับนายน้อยสายลมมาขอพบครับ”

เสียงลูกน้องใกล้ชิดที่เข้ามารายงานทำให้นายซานินหลุดจากภวังค์ สิ่งที่ได้ยินทำให้เขาตัวชา พวกมันมากันแล้ว

รถของชายชราถูกเข็นออกมาด้านนอก เพื่อเผชิญหน้ากับผู้เป็นน้องชายที่เขาทั้งรักทั้งแค้นในคราวเดียวกัน

“จะมาจับข้าเข้าคุกมืดรึ ลามุ?” นายซานินเอ่ยถามพลางยิ้มหยัน

นายลามุมองผู้เป็นพี่ ก่อนตอบกลับไปเสียงเรียบ “ข้าอยากมาตกลงกับพี่เสียมากกว่า”

“หึ ตกลงงั้นเรอะ?”

“ถึงแม้คนของพี่จะซื่อสัตย์ต่อพี่จนไม่ยอมปริปากบอกอะไร แต่ข้าก็พอรู้ว่าหากไม่มีคำสั่งจากพี่ เขาก็คงไม่กล้าทำถึงขนาดนี้”

“แล้วยังไง?” นายซานินย้อนถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ผู้เป็นน้องชายรู้แล้วจะอย่างไรเล่า จะทำอะไรเขาอย่างนั้นหรือ

“ข้าไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ระหว่างเรา ถึงอย่างไรพี่ก็คือพี่ คนที่ข้ารักและนับถือเสมอมา”

“หึ... หึ ๆ... ฮ่า ๆ ๆ” นายซานินหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไรตลก “นับถือข้ารึ ลามุ เจ้าช่างกล้าพูดได้ไม่อายปาก”

“......”

“ทุกวันนี้ที่เจ้าได้เป็นใหญ่เหนือทุกคนที่นี่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะแย่งมันจากข้าที่เจ้าบอกว่ารักและนับถือเรอะ!?”

“ในวันนั้นข้าคืนอำนาจแต่พี่ไม่รับ” นายลามุโต้กลับ หลังขึ้นรับตำแหน่งเขาเคยคุยกับนายซานิน เพราะมันไม่เหมาะกับคนอย่างเขาจึงคิดที่จะคืนมันให้ผู้เป็นพี่ชายที่เหมาะสมมากกว่า แต่นายซานินกลับปฏิเสธที่จะรับคืน

“ข้าจะเอาอำนาจไปทำไมลามุ เห็นสภาพข้าไหม เห็นไหมไอ้น้องชั่ว!” ยิ่งถกเถียงอารมณ์ของทั้งสองก็ยิ่งคุกรุ่น นายซานินตวาดลั่นทั้งตัวสั่นเทิ้ม เหลือใจหนักหนาเมื่อพูดถึงร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของตน

“แล้ววันนี้พี่มาทวงถามความยุติธรรมบ้าบออะไร ข้าให้พี่ทุกอย่าง ยอมสละตำแหน่งแต่พี่ไม่รับ แต่แล้ววันหนึ่งกลับลอบกัด ทำร้ายข้าลับหลัง จะให้ข้าเข้าใจเจตนาพี่ว่ายังไง!!?”

“ถ้าข้ารับมันมา คิดว่าคนในเกาะศิลาจะเคารพยำเกรงข้าเรอะ มีแต่คนจะหัวเราะเยาะ แต่ข้าก็คาดหวังว่าเจ้าจะยกมันให้ลูกของข้า ลูกชายข้า แต่เจ้าก็ไม่ทำ เพราะอะไร เพราะเจ้าก็ต้องการมันใช่ไหม อำนาจที่ว่านั่น พูดจาสวยหรู สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโลภในจิตใจ!”

นายซานินตอกย้ำความจริงที่ผู้เป็นน้องชายไม่อาจปฏิเสธ เมื่อนายซานินไม่ขอรับตำแหน่ง นายลามุที่ครองตำแหน่งนายของทุกคนในเกาะจึงมอบมันต่อให้ลูกชายตน ไม่ได้หันกลับมามองลูกของพี่ชายเลยสักนิด นายซานินพูดถูกทุกอย่าง ทั้งที่ตอนแรกเขาไม่เคยอยากได้ แต่เมื่อได้มากลับไม่คิดอยากปล่อยให้หลุดมือ

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน อำนาจที่เจ้ามีอยู่ในมือ ไม่ต้องมาเวทนาข้าจนต้องยกมันให้ เพราะข้าจะช่วงชิงมันมาให้หลานของข้าเอง!”

นายซานินประกาศกร้าวเป็นการจบบทสนทนา ที่สุดแล้วคงไม่พ้นต้องสู้กันจนพ่ายไปข้างหนึ่ง ศึกสายเลือดเกิดขึ้นก็เพราะด้านมืดในใจคนที่ควบคุมความพอเหมาะพอดีไม่ได้ ทุกคนเวียนว่ายอยู่ในวงโคจรเดียวกัน โลภโมโทสันไม่ต่างกันสักคนเดียว



หลังจากเหตุการณ์นั้น คนในเกาะศิลาก็เริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เมื่อคนของนายซานินประกาศว่าผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายตนจะไม่สามารถใช้โรงพยาบาลได้ เพราะโรงพยาบาลเป็นของหมอปลายฟ้า แม้จะร่วมกันสร้างมากับสายลม แต่หมอปลายฟ้าอยู่บริหารและดูแลที่นั่นตลอด เพราะฉะนั้นมันคือของหมอโดยชอบธรรม ในฐานะที่หมอเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสิทธิ์ขึ้นครองตำแหน่งนายเหนือทุกคนในเกาะศิลา

คลื่นลูกใหญ่ที่ซุกซ่อน เมื่อวันหนึ่งเผยตัวก็ถาโถมเข้าใส่จนทุกคนตั้งรับแทบไม่ทัน โดยเฉพาะสายลมที่ต้องรับศึกภายในและคอยระวังศึกจากภายนอกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเกาะศิลา อยากทำอะไรอีกมากมายบนเกาะเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึงร้อยหลังคาเรือน เมื่อนานวันความรู้สึกที่ว่ามันคือบ้านของเขามันยิ่งชัดเจน แต่หลายสิ่งก็เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะ... คน

หลายพ่อพันแม่ย่อมมีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่าง เขาพยายามมองข้ามสิ่งเหล่านั้นเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าและพิสูจน์ให้ทุกคนที่นี่เห็นถึงความมุ่งมันและจริงใจ กับทุกสิ่งที่ทำลงไปไม่เคยคิดหวังตำแหน่งใหญ่โตเหนือใครที่นี่ แต่มันก็ยังทำได้ไม่ดี เพราะเหตุผลที่ว่าเขาเป็นคนอื่น ไม่ได้เกิดและเติบใหญ่บนเกาะศิลาแห่งนี้ แต่ถูกนายลามุพามาอวดอ้างว่าเป็นหลานพร้อมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่คนในเกาะอ่านไม่ออก ความเคลือบแคลงมันจึงไม่เคยหมดไปเสียที จนอดคิดไม่ได้ว่าบางที... เขาอาจไม่เหมาะกับที่นี่

“ปลายฟ้า”

สายลมเอ่ยเรียกคนที่อยู่กับเขาในเวลานี้ ภายในถ้ำของลูห์คือสถานที่ที่ปลอดภัยจากสายตาคนภายนอกมากที่สุด ทำให้เขาพาผู้เป็นพี่ชายมาที่นี่ ปลายฟ้าเองก็หันมามองคนเรียกเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปชั่วครู่ก่อนบอก

“ผมไม่ได้ต้องการตำแหน่งนายเหนือทุกคนที่นี่ ผมยินดีเป็นนายน้อย หรือเป็นเพียงสายลม คนธรรมดาคนหนึ่ง”

“......” หมอหนุ่มนิ่งฟังที่น้องชายพูด

“ผมเคยคิดว่าผมจะยกมันให้พี่” สายลมบอกพร้อมหันมามองผู้ที่ตนเองกำลังสนทนาด้วย

“พี่ไม่ได้อยากได้มัน” หมอปลายฟ้าว่า

“ผมรู้... แต่ในอนาคตผมคิดอยู่ตลอดว่าอยากยกตำแหน่งนี้ให้ลูกของพี่ เพราะพี่คงสอนเขาให้ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ได้ดีกว่าผม”

“นายพูดเหมือนจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว...”

“อาจจะ”

จบคำของสายลม ทั้งคู่ก็ต่างเงียบกันไป ตลอดมาพวกเขารู้ดีถึงปัญหา เพียงแต่ไม่มีใครอยากพูดถึงมัน

“นายรักที่นี่ไหม สายลม?”

คำถามจากผู้เป็นพี่ชายทำให้สายลมนิ่งไป ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาช้า ๆ

“สิบห้าปีแล้วนะ... ถ้านับรวมเวลาในช่วงที่ผมไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับอังกฤษจนกระทั่งเรียนจบ... จนมา... อยู่ที่นี่ถาวรก็เก้าปี”

“......”

“ผมผูกพันกับทุกคนที่นี่ เหมือนเป็นลูกทะเลเต็มตัว แต่กับหลายคน... คงไม่รู้สึกเหมือนผม” สายลมว่า

“โดยเฉพาะปู่ของพี่ใช่ไหม?” นั่นคือสิ่งที่รู้กันดี

“พวกเขามีปัญหากันมาตั้งแต่พวกเรายังไม่เกิดด้วยซ้ำ และมันก็เรื้อรังมาจนบัดนี้”

“......” หมอปลายฟ้าเงียบอย่างยอมรับ

สายลมเบือนสายตาไปอีกทาง ก่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก “พวกเราต้องเป็นศัตรูกันจริง ๆ เหรอ?”

หมอปลายฟ้าไม่มีคำตอบให้น้องชาย เขาเองก็หาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้ แม้พยายามเปลี่ยนความคิดของปู่มาตลอดแต่ก็ไร้ผล

“พี่ขอโทษที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” คุณหมอหนุ่มก้มหน้าอย่างหมดหนทาง เขาไม่อยากเห็นการนองเลือด โดยเฉพาะคนสายเลือดเดียวกัน

“ถ้าเราร่วมมือกัน... มันอาจจะมีทางออก”

มือหนายื่นมาตรงหน้าผู้เป็นพี่ชาย หมอปลายฟ้ามองมือนั้นอย่างไม่มั่นใจ พวกเขาจะทำได้จริงหรือ มันคือคำถามที่เขารู้ดีว่าไร้ซึ่งคำตอบ หากมัวแต่คิด แต่ไม่ลองก็คงไม่อาจรู้

คุณหมอหนุ่มยื่นมือไปจับ “ทุกอย่างต้องมีทางแก้”

“ผมมั่นใจแบบนั้น” มุมปากหยักยกยิ้ม

“หึ”

มัวแต่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยคงไม่ได้ ปล่อยปู่ของพวกเขาทำศึกกันไป ส่วนพวกเขาสองคนคงต้องใช้สมองกันหนักสักหน่อย จะต่อกรกับชายชราหัวรั้นทั้งสองคนมันก็ต้องมีชั้นเชิงกันบ้างล่ะน่า

แกร๊ก

เสียงบางอย่างที่หน้าถ้ำทำให้สายลมเตรียมพร้อมในท่าระวังภัย หมอปลายฟ้าเองก็ขยับลุก ทั้งคู่เพ่งมองตรงทางเข้าถ้ำ นี่มันถิ่นลูห์ ยังมีใครที่ไหนขึ้นมาบนนี้ได้โดยที่ลูห์ไม่อนุญาตด้วยหรืออย่างไร และเมื่อได้เห็นว่าเจ้าของเสียงแปลก ๆ ที่ได้ยินคือเด็กดื้อที่แอบตามมา สายลมก็ระบายลมหายใจหนักหน่วง บอกให้รออยู่ที่บ้านใหญ่นี่ไม่ฟังกันเลยใช่ไหม ดื้อได้ใจจริง ๆ

ตัวผอมบางเดินกะเผลกมาหาสายลม สีหน้าดูดีใจที่ได้เจอ แต่สายลมกลับก้มมองขาเรียวที่มีรอยช้ำเป็นทางเกิดขึ้น ได้แผลมาอีกตามเคย

“ซนจนได้เรื่อง” เขาดุ เจ้าดื้อมันก็ก้มมองขาตัวเองแล้วทำหน้าง้ำ

‘รูสหกล้ม’
ยังมาบอกอีก

“สม”

‘ฮื่อ’ เด็กทำเสียงประท้วง ไม่ปลอบแล้วยังมาสมน้ำหน้ากันอีก ฮึ!

“ไหน มาดูซิ” สายลมจะก้มลงดูแต่เด็กกลับขยับขาหนีทำให้เขาชะงัก... ไอ้ขี้งอน!

ตัวบางเดินกะเผลกไปหาหมอปลายฟ้า และเมื่อฝ่ายนั้นขอดูรอยช้ำที่ขากลับไม่ดื้อด้วยสักแอะ ยอมไปเสียทุกอย่างจนสายลมหมั่นไส้เหลือเกิน กับเขานี่งอนได้งอนดี ทีกับหมอล่ะนั่งเงียบเรียบร้อยยิ่งกว่าผ้ายับ ๆ ที่พับไว้เสียอีก

รูสย่นจมูกใส่คนตัวโตที่ยืนกัดฟันกรอด ๆ เพราะหมอปลายฟ้าพูดจากับเขาเพราะพริ้ง ช่างดูแลเอาใจใส่และเป็นห่วงเป็นใยทำให้เขาไม่กล้าดื้อด้วย แต่ไม่ใช่ว่าสายลมไม่ดี เพราะรูสไว้ใจสายลมกว่าใคร สนิทสนมกันมากกว่าคนอื่น ทำให้เผลอแสดงกิริยาไม่ดีในบางครั้ง แต่สายลมก็ไม่โกรธนี่ ใช่ไหม?

ปลอบใจตัวเองไปเช่นนั้น แต่เมื่อได้มองตาเขียว ๆ ของคนตัวโตแล้วรูสก็ชักไม่แน่ใจ บางทีสายลมอาจจะโกรธแต่รูสไม่รู้ตัวหรือเปล่า...


……


บนฝั่งไทย

ชายแปลกหน้าสองคนมาติดต่อขอเช่าเรือจากชาวบ้านที่ชายฝั่งเพื่อจะดำน้ำดูปะการังใต้ทะเลลึก ด้วยความที่คิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจึงไม่มีใครทันได้คิดอะไร ตกลงราคาค่าเช่ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้ตระเตรียมเรือเพื่อออกทะเลกัน ชายทั้งสองนายนั้นจึงเรียกเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งมาด้วย และขอให้มีคนนำทางที่ไว้ใจได้ไปเพียงคนเดียว เห็นดังนั้นแล้วเจ้าของเรือก็ชักตงิดใจ กลัวจะเป็นคนร้ายที่แฝงตัวมาและอาจฆ่าพวกเขาหากนำทางไปถึงจุดหมาย

“มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนี่” เจ้าของเรือเอ่ยแย้ง

ชายที่เขาคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจึงต่อรอง “ผมให้เพิ่มอีกเท่าตัว แบบนี้พอจะคุยกันได้ไหม?”

แม้อีกฝ่ายจะเอาเงินเข้าล่อ แต่นั่นยิ่งทำให้ชายเจ้าของเรือไม่ไว้ใจ ด้วยรักตัวกลัวตายจึงปฏิเสธซ้ำ “เห็นทีจะไม่ได้ เพราะปรกติพวกเราไม่เคยเอาเรือออกทะเลเพียงคนเดียว”

ชายแปลกหน้าเดาะลิ้นเบา ๆ กับความมากเรื่อง “ถ้าให้ไปหมดนี่จะไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

“ไม่ พวกเราไม่รับงานนี้ คุณกับเพื่อนคงต้องไปหาเรือลำอื่น”

ชายเจ้าของเรือส่งเงินมัดจำคืน ฝ่ายตรงข้ามก็มองเขานิ่ง ก่อนจะขยับมือปัดชายเสื้อแล้วชักปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาเล็งจ่อ เจ้าของเรือและลูกน้องต่างผงะ ตกใจกลัวกันลนลาน

“กินลูกตะกั่วสักลูกจะคุยกันรู้เรื่องขึ้นไหม?” อีกฝ่ายคำราม ที่เหลือก็อยู่ในท่าทีเตรียมพร้อม ดูคุกคามจนเจ้าของเรือกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น

หลังการเจรจาเสร็จสิ้น ชายแปลกหน้าทั้งสองคนก็กลับขึ้นรถมา ต้องให้พวกเขาขู่ถึงจะยอม คนพวกนี้มันมากเรื่องจริง ๆ คนสั่งก็มากเรื่องพอกัน นายราซิส

“แกว่านายราซิสมันบ้าหรือเปล่า จะให้ค้นหาร่างของน้องมันที่จมอยู่ใต้ทะเลนี่นะ ป่านนี้ไม่ถูกฉลามกินก็คงเน่าไปหมดแล้ว ประสาท”

หนึ่งในนั้นบ่นด้วยความหัวเสีย คำสั่งแสนพิสดารจากผู้เป็นนายให้ค้นหาร่างของน้องชาย เพื่อที่จะนำจี้ห้อยคอที่น้องสวมมาเปิดห้องใต้ดิน เวลามันผ่านมาร่วมเดือนกว่า ศพที่อยู่ใต้น้ำก็คงถูกแทะจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้วป่านนี้ บางครั้งอาจถูกคลื่นใต้ทะเลซัดไปไหนแล้วไม่รู้ ที่สำคัญ คนที่ราซิสใช้ให้ลงมือปลิดชีวิตน้องของตัวเองก็ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว พวกเขาจะรู้ไหมว่ามันพาไปฆ่าทิ้งที่ไหน งมเข็มในมหาสมุทรแปซิฟิกยังง่ายกว่านี้อีก

“บ่นไปแล้วจะทำอะไรได้ นายราซิสมันเหมือนคนอื่นที่ไหน โหดถึงขนาดฆ่าน้องของตัวเองได้ แถมคนที่ซื่อสัตย์กับมันที่สุดอย่างเจ้าซาน มันยังสั่งฆ่าได้ไม่ลังเล ขืนเรามีปากมีเสียง มีหวังได้ลงไปอยู่ใต้ทะเลเหมือนน้องชายมันกับเจ้าซานแน่”

ชายอีกคนแจงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของราซิส พวกเขาต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้วันไหนจะถึงคิวของพวกเขาบ้าง เกิดวันดีคืนดีนึกสนุกอยากฆ่าใครเล่นขึ้นมาจะทำอย่างไร


ทางด้านคนสั่งอย่างราซิสก็กำลังเจรจาติดต่อกับลูกค้ารายใหม่ที่นำเงินจำนวนมหาศาลมาแลกกับงานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ ทำให้เขาปฏิเสธรายเก่าไปเพราะทางนี้น่าสนใจมากกว่า ตัวแทนของคู่ค้ารายใหม่มาติดต่อดำเนินเรื่องแทน เห็นว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับบริษัทการเงินขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงระดับต้น ๆ เลยทีเดียว เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเอางานวิจัยไปทำไม แต่เงินที่ได้ก็กลบข้อสงสัยไปจนสิ้น

“เราจะมั่นใจได้ยังไงว่างานวิจัยที่คุณมีอยู่มันจะดีจริง?” ตัวแทนของคู่ค้าเอ่ยถามเพื่อความรอบคอบในการลงทุนครั้งนี้

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเลยครับ ชื่อเสียงของพ่อผมคงพอการันตีได้” ราซิสยกยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายก็ไหวไหล่เล็กน้อย

“ผมดู ๆ แล้วคุณก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองเลย ทำไมถึงได้นำงานวิจัยที่พ่อของคุณทุ่มเททำมาออกมาขายล่ะ?”

“อา...” คำถามที่จี้ตรงจุดทำให้ราซิสยกยิ้ม ก่อนจะแจกแจงทุกรายละเอียด “เก็บไว้กับตัวก็ใช่จะมีประโยชน์ สู้ให้คนเก่ง ๆ นำไปพัฒนาให้มันใช้ได้จริงน่าจะมีประโยชน์กับคนจำนวนมาก พ่อผมเองก็คงจะคาดหวังให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะท่านทุ่มเททำมันสุดกำลังที่มี แม้จะไม่มีเงินทุนสนับสนุนจากที่ไหนเลยก็ตาม”

“ฟังดูดี” ทางนั้นว่า “แล้วผมจะได้เห็นผลงานวิจัยอันเลอเลิศนั่นเมื่อไร?”

ราซิสชะงัก ก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว

“ในไม่ช้า” ตอบกลับไปนิ่ง ๆ อย่างมีชั้นเชิง ขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้าเนิบช้า

“หวังว่าจะไม่นานเกินรอ” ตัวแทนของคู่ค้ายกยิ้มมุมปาก

ราซิสแค่นหัวเราะ กดดันเขาอย่างนั้นหรือ อีกฝ่ายทำตัวเหมือนรู้อะไรอยู่ตลอดเวลา มันน่าเป่าให้สมองไหลเสียจริง!
เมื่ออีกฝ่ายกลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงโทรตามเรื่องกับลูกน้อง สั่งให้เร่งหาตัวรูสให้พบโดยไว ขณะที่ทางเขาก็ต้องหาทางเปิดห้องใต้ดินนั่นให้ได้ ราซิสถึงขั้นจ้างแฮกเกอร์ฝีมือดีมาเจาะข้อมูลของห้องใต้ดินเพื่อหารหัสเปิดมันออก ยิ่งเวลานี้ถูกกดดันจากคู่ค้า เขาก็จำต้องทำทุกวิถีทาง แม้ต้องดำน้ำหรือพลิกแผ่นดินหาร่างของรูสก็ต้องทำ!

“นายครับ”

ลูกน้องราซิสเข้ามาในห้องพร้อมนายกำชัย นักธุรกิจจากแดนใต้ที่ราซิสเข้าไปร่วมทุนด้วย วันนี้ขึ้นมาหาเขาถึงนี่เพราะมีเรื่องร้อน เนื่องจากคนที่ส่งไปเกาะศิลาเมื่อคราวก่อนถูกจับได้

“ไหนคุณบอกว่าคนที่คุณดีลด้วยมันรู้ทางหนีทีไล่ในเกาะดีไง ทำไมถึงถูกจับได้ซะล่ะ?” ราซิสดูแคลน เขาไม่เคยเชื่อใจเจ้าคนจากเกาะศิลานั่นอยู่แล้ว มองอย่างไรก็แค่หมาจนตรอกตัวหนึ่งที่คิดจะแว้งกัดเจ้าของ

“ไม่นึกว่าหูตาเจ้าของเกาะมันจะไวปานนั้น” นายกำชัยว่า สีหน้าดูหงุดหงิดเมื่อถูกปรามาส “แต่คราวนี้ได้เรื่องแน่ ๆ เพราะบนเกาะมันกำลังมีปัญหากัน คงไม่มีใครจะมาสนใจเฝ้าระวัง”

ราซิสนิ่งฟัง มองท่าทางมั่นอกมั่นใจของนายกำชัยแล้วถอนใจเบา “มันจะคุ้มค่าแน่เหรอ ต้องเสียคนไปเท่าไรแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าเลย บนเกาะนั่นมันมีจริง ๆ ใช่ไหมน้ำมันที่ว่า”

“คุ้มสิคุณราส ก่อนหน้านี้ไอ้ไผทคู่แข่งของผมเคยแอบส่งคนไปขุดเจาะมาแล้ว มันมีจริง ๆ แต่ไอ้ไผทมันไร้น้ำยา ไม่สามารถนำออกมาได้ จะติดต่อร่วมทุนกับเจ้าของเกาะก็โดนปฏิเสธจนหน้าม้านกลับมา มันเคยพยายามหลายหนแต่ไม่สำเร็จ” นายกำชัยเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง และเพราะความล้มเหลวของนายไผททำให้เป็นที่มาของเสียงเล่าลือที่ว่า ไม่ว่าใครที่ลอบเข้าไปในเกาะศิลามักหายสาปสูญ

“แล้วคุณเอาอะไรมามั่นใจว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จ?” ราซิสเอ่ยถาม

เขาไม่เคยกลัวเรื่องอาถรรพ์ มันคือเรื่องไร้สาระ และเวลานี้ทุกอย่างก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าที่คนลักลอบเข้าเกาะศิลาหายไป เพราะถูกชาวเกาะศิลาจับได้ อาจถูกฆ่าตายหรืออะไรก็แล้วแต่ ถือว่าเกราะป้องกันของที่นั่นแน่นหนาพอดู อย่างนี้ธุรกิจที่คิดจะทำร่วมกันมันจะเป็นจริงได้หรือ

“เพราะคนของเกาะคือพวกเรา” นายกำชัยว่า

เขารู้จักกับเจ้านั่นเมื่อหลายปีก่อน มันลักลอบนำแร่หินจากในเกาะออกมาขาย อย่างที่รู้กันว่าบนเกาะศิลานอกจากการประมงแล้ว เหมืองแร่ก็เป็นอีกอย่างที่สร้างรายได้ แต่แร่ส่วนใหญ่กลับถูกส่งไปฝั่งตะวันตกเสียมากกว่าส่งเข้าไทย ทำให้นายกำชัยออกจะประหลาดใจเมื่อมันหลุดรอดมาได้

การได้ทำความรู้จักกับคนจากเกาะศิลายังประโยชน์มาสู่นายกำชัยไม่น้อย เจ้านั่นมันอ้างว่าเป็นคนสนิทชิดใกล้ของผู้มีอำนาจในเกาะ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรเลยสะดวกดายไปเสียหมด นายกำชัยได้รู้เรื่องราวหลายอย่างบนเกาะศิลา สำหรับนักธุรกิจเช่นเขา ที่นั่นถือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ไม่น้อย

“อย่างที่ผมบอกว่าช่วงนี้พวกมันมีปัญหากันเพราะแก่งแย่งอำนาจ และถ้าตกมาอยู่ในมือนายของเจ้านั่น เราก็ดีลได้ง่ายขึ้น” นายกำชัยวาดฝัน “เงินนะคุณ ใครจะไม่อยากได้ ความมั่งคั่งที่ได้มาแบบง่ายดายแค่เปิดเกาะให้เราเข้าไป ใครจะไม่ทำ”

ราซิสไม่อยากจะเชื่อน้ำยาสักเท่าไร “แล้วคุณมีแผนยังไง?”

ราวรอคำนี้อยู่นานแล้ว นายกำชัยกระตุกยิ้ม ก่อนบอกจุดมุ่งหมายของตน “ตอนนี้ทางนั้นต้องการกำลังหนุนเพราะจะโค่นอำนาจเก่า ถ้าเราฉวยโอกาสสร้างพันธมิตร คุณคิดดูสิ ทรัพยากรบนเกาะศิลามันจะไปตกอยู่ในมือของใครถ้าไม่ใช่เรา”

ราซิสทำเสียงหึลงคอกับการขายฝัน พูดวกไปวนมาก็เพื่อให้เขาส่งคนไปที่นั่นสินะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะการลงทุนมันมีความเสี่ยงเสมอ แต่เมื่อมองผลลัพธ์ที่จะได้กลับมา มันก็คุ้มมิใช่หรือ


......


เกาะศิลา

เสียงน้ำดังแว่วจากห้องน้ำภายในห้องนอนของสายลม เด็กกำลังอาบน้ำหลังถูกช่วยจนสบายตัวไปแล้ว สายลมมองผิวขาว ๆ ที่มีรอยจ้ำตรงลาดไหล่ เขาเผลอไปหน่อยเดียว ดีที่มันเป็นจุดลับตาเพราะใส่เสื้อผ้าปิดได้ แต่หากต้องช่วยเจ้าตัวยุ่งมันบ่อยครั้งก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแค่รอยตรงไหล่อย่างเดียว

สร้อยประจำตัวของรูสยังสวมอยู่ที่คอแม้แต่เวลาอาบน้ำ สายลมต้องบอกให้ถอดแขวนไว้ก่อนเพราะมันเป็นเชือกถักอาจจะชื้นแล้วทำให้คันเอาได้ เขาเคยถามว่ามันมีความพิเศษอะไรเพราะเห็นใส่อยู่ตลอด เด็กมันก็ส่ายหน้าแล้วบอกว่าผู้เป็นบิดาให้ใส่ไว้ หากสายลมอยากรู้คงต้องถามกับบิดาตน

เมื่อรู้เช่นนั้นสายลมจึงเก็บข้อสงสัยเอาไว้ หากมีเวลาสักหน่อยคงได้นั่งคุยเปิดใจกับลุงหลงอีกสักครั้ง เขามีเรื่องคาใจหลายอย่างที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจน แต่ตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียดจนขยับตัวทำอะไรก็ต้องคิดให้ดีเสียก่อน ทั้งยังกำชับกับรูสว่าอย่าซนนัก เพราะเขาเป็นห่วง

‘รูสไม่ดื้อ ฟังสายลมทุกอย่าง’
เด็กมันว่า ยกหางตัวเองที่สุด

“พูดอย่างนี้แต่ก็ดื้อทุกที” เขาแย้ง

‘คราวนี้ไม่ดื้อ จริง ๆ’ ยืนยันมั่นเหมาะทั้งยื่นนิ้วก้อยที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ให้เพื่อทำสัญญา

“หึ” สายลมทำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไร ก่อนจะเอ่ยถาม “ขาเป็นไงบ้าง หายหรือยัง?”

เขาก็วุ่นจนไม่ได้ดู ตอนลงจากถ้ำของลูห์มาก็มีสารถีอย่างลูห์ให้ขี่หลังมาส่งถึงที่ รักกันจริงคู่นี้ ทั้งที่คุยกันยังลำบาก อยากจะรู้จริง ๆ ว่ารูสเป็นตัวอะไร ทำไมลูห์ที่ได้ให้ความเอ็นดูขนาดนี้

‘หายแล้ว’ ตอบคำถามทั้งยิ้มตาปิด ก่อนจะหันไปตักน้ำในอ่างขึ้นมาล้างฟองสบู่จากตัว

“มีข้อดีอยู่อย่างเดียวนี่ล่ะนะ เจ็บตัวมาไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเดียวก็หาย”

‘ไม่ห่วงรูสเลยเหรอ?’ เด็กทำซึมน่ามันเขี้ยว

“ไม่เลยมั้ง หัวปั่นขนาดนี้”

พอเขาว่าอย่างนั้นเจ้าดื้อมันก็อมยิ้มแก้มป่อง

“รีบอาบน้ำให้เสร็จไป ฉันต้องไปพาหมอปลายฟ้ากลับลงมาจากถ้ำลูห์”

รูสชะงัก มองสายลมอย่างเป็นห่วง เรื่องหมอปลายฟ้า เรื่องเกาะศิลา สายลมต้องวิ่งแก้ปัญหาเองทุกอย่าง มันเป็นศึกสายเลือด ไม่ว่าใครต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ไม่ดีทั้งนั้น

“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องจบลงด้วยดี”

มือหนายกขึ้นแนบแก้มใสพร้อมปลอบให้คลายกังวล รูสพยักหน้า มือเรียวกุมทับมือสายลม เชื่อในตัวสายลม สายลมจะต้องทำได้แน่ ต้องทำได้...

ดวงตากลมมองสบนัยน์ตาสีนิลนิ่งนาน ก่อนที่จะค่อย ๆ เขย่งปลายเท้าขึ้นอีกนิดจนกระทั่งริมฝีปากบางสัมผัสกลีบปากหยัก เพียงปัดผ่านแผ่วเบาราวขนนกแต่ใจสายลมก็เต้นผิดจังหวะ หลุบสายตามองริมฝีปากบางที่เผยอน้อย ๆ อยู่ไม่ไกลห่างจากปากตน แล้วค่อยก้มลงไปหาช้า ๆ ก่อนที่จะตวัดแขนรัดร่างผอมบางเข้ามาชิดพร้อมประกบจูบริมฝีปากยวนใจ รู้ดีว่าไม่ควร แต่เขาไม่อาจทานทนได้ในสถานการณ์เช่นนี้

ริมฝีปากหยักเบียดบดกดจูบปากบาง ทั้งลิ้นสากที่เกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นเล็ก แขนแข็งแรงกอดรัดร่างผอมแน่น กักกันไม่ให้ห่างกาย ตามเบียดแทรกโรมรันลิ้นร้อนจนแทบไม่ปล่อยให้เด็กด้อยเดียงสาได้หายใจหายคอ ล่อหลอกปลายลิ้นลื่นให้ตามติดแล้วงับเบา ๆ จนกายผอมสั่นระรัว สัมผัสแปลกใหม่อีกหนึ่งอย่างที่เพิ่งได้ลิ้มลองทำให้แขนเรียวโอบกอดกายหนาและขยับเสียดสีร่างกายอย่างไม่ตั้งใจ

สายลมถอนจูบเมื่อมันเริ่มเลยเถิดไปไกล ดวงตากลมปรือปรอยมองหน้าเขา ลิ้นสีแดงระเรื่อตวัดไล้เลียริมฝีปากตัวเองทำให้คนมองต้องกลืนน้ำลาย พร้อมหักห้ามใจจนถึงที่สุด

“อย่าทำแบบนี้บ่อย ฉันจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้วรู้ไหม เด็กดื้อ”

เสียงแปร่งปร่ากระซิบบอกขณะจูบซับข้างขมับบาง สายลมกอดร่างน้อยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ทั้งตนเองและอีกฝ่ายได้ปรับอารมณ์ ก่อนที่จะปล่อยร่างนั้นออกจากอ้อมแขนแล้วหันหลังให้ในทันที

เมื่อเป็นอิสระแล้วรูสก็ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบออกจากห้องน้ำไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำแทบหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้


......
ต่อด้านล่างค่ะ   :mew4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๙ เปิดศึก // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 27-08-2018 10:37:09
บ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ

คนของนายซานินเดินเพ่นพ่านทั่วหมู่บ้าน ไม่เว้นแม้แต่บ้านของพ่อเฒ่าเองก็ด้วย เมื่อเขาคือนักพยากรณ์เพียงคนเดียวในเกาะแห่งนี้ การโน้มน้าวให้กลายเป็นพวกจึงมีมาเรื่อย คนของนายซานินฝากไว้ให้เขาพิจารณา แต่พ่อเฒ่าอาจีฟกลับยังนิ่งเฉย การฟาดฟันระหว่างสายเลือดครั้งนี้เขารู้ผลดี ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนก็พ่ายแพ้กันทุกคน

ฟาริดาลอบออกจากบ้านตามลูห์มาทางด้านหลัง มันรู้ทางลัดที่จะนำเธอไปยังจุดหมายและเพื่อให้พ้นหูตาคนของนายซานินที่คอยจับจ้อง เธอกำลังจะนำอาหารและเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนไปให้หมอปลายฟ้า ตอนนี้ขวัญกำลังใจคนในเกาะสั่นคลอน บิดาของเธอจึงต้องอยู่ประจำที่เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ทุกคน ถึงอย่างไรคนในหมู่บ้านก็เคารพยำเกรงบิดาของเธอ ทำให้นายซานินไม่ได้ทำอะไรรุนแรงลงไป

เมื่อมาถึงถ้ำ ปลายฟ้าก็จัดการอาหารที่หญิงสาวนำมาให้และไปตักน้ำในสระกลางเกาะขึ้นมาล้างเนื้อล้างตัวพร้อมผลัดเปลี่ยนชุด ก่อนจะกลับมาหาหญิงสาวที่กำลังเก็บจานชามกลับใส่ตะกร้า คุณหมอหนุ่มมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปหาแล้วนั่งลงที่โขดหินข้างเธอ

“ริด้า”

หญิงสาวเก็บของชิ้นสุดท้ายลงตะกร้าก่อนหันมามองคนเรียก

“คุณเชื่อใจผมไหม?”

น้ำเสียงดูเคร่งเครียดและแววตาจริงจังจากหมอปลายฟ้า ทำให้ฟาริดามองอย่างแปลกใจ “ทำไมถามแบบนั้นล่ะคะ?”

มือใหญ่เอื้อมมาจับมือของเธอ ฟาริดาก้มมอง ก่อนเงยขึ้นมามองหน้าคนจับ

“จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมไม่รู้ แต่ผมอยากขอคุณสักอย่างได้ไหม?”

“อะไรคะ?”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้เชื่อใจผม... จะได้ไหม?”

ฟาริดามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่แววคาดคั้นก็ทำให้หญิงสาวตอบกลับไป “ริด้าเชื่อใจคุณหมอค่ะ เชื่อว่าคุณหมอต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

เธอยิ้มจริงใจ แต่หมอปลายฟ้ากลับชะงัก ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณ”

เขาและเธอรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และต่อมาก็มีสายลมเพิ่มเข้ามาในกลุ่มของพวกเขา และเพราะมีความคิดที่คล้ายกันทำให้ทั้งสามคนสนิทกันมากกว่าใคร โดยเฉพาะหมอปลายฟ้าและฟาริดา ทั้งสองไม่ได้นิยามความรู้สึกที่มีว่ามันอยู่ในระดับไหน แต่ความสำคัญที่มีให้กันอยู่ตลอดก็ทำให้หมอปลายฟ้านึกถึงเธอก่อนใครอื่นเสมอ และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาเช่นเวลานี้ คนที่เขาต้องการให้อยู่เคียงข้างมากที่สุดก็คือเธอ อยากให้เข้าใจและเชื่อใจเขาดังเช่นที่เป็นมา

สายลมมาถึงในเวลาต่อมา สองหนุ่มยืนเผชิญหน้า พวกเขาต้องร่วมมือกันทำบางสิ่งที่สำคัญ และต้องทำมันให้สำเร็จ ทั้งสองหมุนกายกลับและก้าวเดินออกจากถ้ำอันเป็นที่หลบภัยไปอย่างมั่นคง ขณะที่หมอปลายฟ้าสอดกุมมือเรียวของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรจากนี้ ขอเพียงเธอเข้าใจ เพียงเท่านั้นก็พอ


หมอปลายฟ้าถูกส่งกลับมาที่บ้าน นายซานินยินดีนักที่หลานชายปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ได้แต่หมายมาดว่าจะจัดการกับสายลมและนายลามุที่พาตัวหลานของตนไป เมื่อได้ตัวหมอปลายฟ้ากลับมาเช่นนี้แล้วชายชราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงฝ่ายนั้น เพราะพวกมันไม่มีอะไรมาต่อรองกับเขาได้แล้ว

“พวกมันนี่โง่เง่ากันไม่เปลี่ยน ทั้งปู่ทั้งหลาน แต่ก็ดีแล้วที่หลานปลอดภัย ปลายฟ้า” มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะของหลานชายเพียงคนเดียวอย่างรักใคร่เอ็นดู เขาคาดหวังกับหลานคนนี้เอาไว้มาก

หมอปลายฟ้าที่นั่งอยู่ข้างรถเข็นของผู้เป็นปู่ สายตามีแววครุ่นคิด ก่อนที่จะเอ่ยปาก “ทำไมปู่ถึงอยากได้ตำแหน่งจากปู่ลามุจังล่ะครับ เราอยู่แบบนี้ไม่ดีเหรอ หรือผมดูแลปู่ไม่ดีพอ?”

คำถามจากหลานชายทำให้นายซานินชะงักมือ ก่อนจะก้มมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดแก่สายตา “มันควรเป็นของเรา ปลายฟ้า ลามุกะมันชุบมือเปิบ ทั้งลูกของมัน หลานของมัน ไม่ควรที่จะได้สักคนเดียว!!”

“......” คุณหมอหนุ่มนิ่งเงียบเมื่ออารมณ์ปู่ของตนเริ่มกรุ่นขึ้นมา

“อย่าถามอีกว่าทำไม เพราะปู่เกลียดพวกมัน เกลียดพวกมันทุกคน!”

ชายชราคำรามในลำคออย่างเคืองแค้น ก่อนจะหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ร่างกายก็ใช่จะสมบูรณ์แข็งแรงเช่นคนหนุ่มสาว เพราะอายุอานามก็หาใช่น้อย ๆ จะลงโลงอยู่ไม่นานนี้แล้วแต่กลับยังไม่สามารถตัดกิเลสในใจได้

“ถ้าผมเอามันมาให้ปู่... ปู่จะมีความสุขมากใช่ไหมครับ?”

“หลานว่าอะไรนะ?” คิ้วสีขาวขมวดเข้าหากันกับคำพูดของหลานชาย เขาหูเฝื่อนไปหรือ

“ผมจะแย่งอำนาจ แย่งชิงทุกอย่างคืนมาจากปู่ลามุและสายลม” หมอปลายฟ้าขยายความ

นิ่งไปชั่วขณะก่อนที่ริมฝีปากภายใต้เคราขาวจะกระตุกยิ้ม “หึ ๆ ให้มันได้อย่างนี้ สมแล้วที่เป็นหลานปู่... ปลายฟ้า”

มือย่นตบบ่าแกร่ง ลูกชายของเขาไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำอยู่ แต่หลานชายคนนี้ไม่ใช่ ตลอดมาปลายฟ้าไม่เคยขัดขวาง มีแต่เงียบฟังในสิ่งที่เขาพูด ทุกความเคียดแค้น ทุกความอดสูที่ได้รับมา เขาถ่ายทอดมันให้ปลายฟ้าได้รับรู้ ให้หลานชายคนนี้เจ็บแค้นไปพร้อม ๆ กับเขา ใช้ร่างกายที่ไม่สมประกอบทำให้ตัวเองน่าสงสาร น่าเห็นใจ และสุดท้ายในวันนี้ วันที่เขาเปิดศึกกับผู้เป็นน้องชายอย่างลามุกะ หลานชายของเขาคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

“หลานมีวิธีการที่จะกำจัดพวกมันให้พ้นทางเราแล้วรึ ปลายฟ้า?” นายซานินถามไถ่

“การเข้าถึงตัวสายลมยากมากทีเดียวครับ แต่เพราะคลุกคลีกันมา ทำให้เกราะป้องกันที่เขามีต่อผมมันบางมากจนกลายเป็นประมาทเกินไป”

“หลานหมายความว่า?”

“ผมต้องการคนของปู่มาเป็นกำลังให้ผม... ทุกคน”

หมอปลายฟ้าไม่ตอบแต่บอกจุดประสงค์ของตนเองแทน เขาเน้นย้ำท้ายประโยค น้ำเสียงจริงจังทั้งสายตาเด็ดเดี่ยวที่แม้แต่นายซานินเองยังไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ชายชรานิ่งไป ก่อนจะยกยิ้มแสยะ

“ได้สิ ทุกคนจะฟังคำสั่งของหลานนับจากนี้ เพราะในวันหน้า พวกเขาต้องอยู่ข้างกายหลานอยู่แล้ว นายคนใหม่ของเกาะศิลา หึ ๆ”

ผู้เป็นหลานยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มอ่อนโยนที่เคยมีมาเสมอ บัดนี้กลับแปรเปลี่ยน สายตาที่เต็มไปด้วยความมาดร้าย และรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม หมอปลายฟ้าที่แสนดีคนเดิมหายไปไหนเสียแล้ว


......


หน้าโต๊ะหมู่บูชาในห้องพระบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ ชายชรานั่งสมาธิอยู่ในห้องนั้นมาสักพักใหญ่ จนกระทั่งบุตรสาวของตนกลับมา หญิงสาวค่อยคลานเข่าเข้ามาแล้วกราบพระ ก่อนที่จะเรียกบิดา

“พ่อคะ”

พ่อเฒ่าอาจีฟค่อยลืมตาขึ้นมาจากสมาธิที่ทำอยู่ เขาค่อย ๆ กราบลาพระพุทธแล้วจึงหันมาหาบุตรสาว “ออกไปคุยกันข้างนอก”

หญิงสาวพยักหน้าพร้อมรับคำ ก่อนที่จะคลานเข่าออกไปจนถึงประตูแล้วถึงลุกเดิน บิดาของเธอตามมานั่งที่เก้าอี้ในห้องนั่งเล่น ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากถาม บิดาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“บางครั้งสิ่งที่เราเห็นก็อาจไม่เป็นเช่นที่เราคิด คนที่คิดว่าดีอาจจะร้าย และคนที่เราเห็นว่าร้ายก็อาจจะดี กายเนื้อไม่เท่าจิตวิญญาณภายใน”

“พ่อจะบอกอะไรคะ เกี่ยวกับสิ่งที่ลูกอยากรู้ใช่ไหมคะ?”

ชายชราเบือนสายตามาที่บุตรสาว ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เชื่อ... ในสิ่งที่ควรเชื่อ และอย่าเชื่อ... ในบางสิ่งที่อยากเชื่อ”

“ลูกจะจำไว้ค่ะ จะคิดไตร่ตรองให้ดี ขอบคุณค่ะพ่อ”

หญิงสาวประนมมือไหว้บิดา สิ่งที่บิดาต้องการจะบอกกับเธอคือ... อย่าเชื่อเฉพาะในสิ่งที่ตาเห็น จงคิดให้หนัก ไตร่ตรองให้รอบคอบ เช่นนั้นเอง



ห้องพักผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เหนือเมฆกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านหลังจากอาการดีขึ้นมากแล้ว มารดาของเขาเข้าไปเก็บข้าวของในห้องน้ำ ทำให้ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงเพื่อรอนาง ใครคนหนึ่งเปิดประตูแล้วก้าวเข้ามาในห้อง เหนือเมฆเงยมองแล้วนิ่งไป สายตามองเลยไปยังคนเฝ้าห้องที่นายลามุส่องมาก็เห็นว่านอนระเกะระกะอยู่ด้านนอกนั่น ท่าจะโดนเล่นงานเข้าเสียแล้ว

สายตาคมมองคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะขยับตัวรวดเร็วแล้วพุ่งออกทางหน้าต่างห้อง ปืนในมืออีกฝ่ายได้แต่เล็งไม่อาจลั่นไก เพราะเสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้เจ้าของปืนชะงักแล้วหันไปมอง นางมารียาที่โผล่มาผิดเวลายกมือทาบอกพร้อมกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกลัว ก่อนจะเป็นลมล้มพับลงไปที่พื้นหน้าห้องน้ำนั้นเอง

สายลมมาพบหมอปลายฟ้าหลังจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น คุณหมอหนุ่มดูแลจนนางมารียาฟื้นคืนสติและเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ว่านางออกจากห้องน้ำมาก็พบกับชายที่สวมหน้ากากอนามัยปิดบังไปเสียครึ่งหน้า ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งเป็นชุดประจำตำแหน่งผู้ช่วยของโรงพยาบาลแห่งนี้ นางไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะตกใจจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

สายลมมองหน้าพี่ชายด้วยความเคร่งเครียด เหนือเมฆถูกหมายชีวิตจากใคร นายซานินหรือ แล้วเหตุใดต้องเอาชีวิตเหนือเมฆ ในเมื่อทุกอย่างก็เผยออกมาแล้วว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง หรือจะมีใครที่ไหนเป็นมือที่สามคอยสร้างความปั่นป่วน มีแต่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ ทั้งสองพี่น้องจึงได้ออกมาคุยกันลำพัง

“ปู่ซานินมีแผนการอะไรกันแน่ เหนือเมฆมีความสำคัญยังไงถึงได้อยากเอาชีวิตมัน ทั้งที่เรื่องที่ปู่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างก็แดงออกมาแล้วแท้ ๆ” สายลมกอดอก ยกมือจับคางท่าทีครุ่นคิด มีแต่เรื่องน่าสงสัย

คุณหมอหนุ่มตบบ่าน้องพลางบอก “พี่เองก็ยังไม่รู้เลย ปู่ไม่บอกอะไรพี่ ขอโทษนะที่ช่วยนายไม่ได้เลย”

“อย่าพูดแบบนั้น พี่ก็พยายามในส่วนของตัวเองแล้ว ปู่ผมเขายินยอมที่จะรามือจากทุกสิ่งหากมันทำให้ปู่ซานินหยุดทุกอย่างลง” สายลมบอกกล่าว เขาคุยกับนายลามุแล้วถึงความประสงค์ของตนเอง และยืนยันในสิ่งที่พูดจนผู้เป็นปู่ยอมอ่อนลง “ในเวลานี้ทุกคนอยู่กันอย่างหวาดผวา เพราะคนของปู่ซานินเดินถือปืนไปมาเสียทั่วเกาะ”

“เรื่องนั้น...” หมอปลายฟ้าหน้าเสีย ทำให้สายลมชะงักปาก อย่างไรเสีย นายซานินก็เป็นปู่ของหมอและมีศักดิ์เป็นปู่ของเขาด้วยเช่นกัน

“ผมรู้ว่าปู่ซานินคงไม่ยอมรับในสิ่งที่ปู่ผมจะให้ แต่อยากให้พี่ช่วยพูดนะปลายฟ้า เพราะเราไม่อยากปะทะกันจนต้องมีฝ่ายไหนเจ็บหรือตายไป”

“พี่จะพยายาม... จะพยายาม สายลม”

หมอปลายฟ้าตอบรับ แม้จะดูไม่มั่นใจนักว่าจะทำได้ แต่ทั้งคู่ก็ยิ้มให้กำลังใจกัน ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหน่วงหนักที่ยังถ่วงในใจก็ตาม

เมื่อนายซานินบอกว่าที่ทำทุกอย่างลงไปก็เพื่อหมอปลายฟ้า ฉะนั้นแล้วจะไม่ยอมฟังหมอปลายฟ้าบ้างเลยเชียวหรือ ในขณะเดียวกันสายลมก็พยายามพูดกับนายลามุเพื่อยุติปัญหา ปู่ของเขาหวงอำนาจในมือ เพราะตลอดหลายสิบปีจนกระทั่งแก่ตัว นายลามุพยายามสร้างทุกอย่างมาด้วยมือของตน คงไม่อยากปล่อยมันไปง่ายดาย แต่เมื่อถึงวันหนึ่ง อย่างไรเสียก็ต้องปล่อยอยู่ดี หากมันสามารถยุติปัญหาได้ การวางมือจากอำนาจที่มีมันจะไม่ดีกว่าหรือ ให้หมอปลายฟ้าเป็นนายแทนเขาก็ได้ และหลังจากนั้นพวกเขาจะช่วยกันดูแล ช่วยกันพัฒนาที่นี่ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ทำแบบนี้ไม่ได้เลยเชียวหรือ?



กว่าสายลมจะกลับมาที่บ้านใหญ่ก็ช่วงค่ำ ทั้งที่ไปหาหมอปลายฟ้าตอนกลางวันไม่น่าจะใช้เวลานานนัก ไม่รู้ว่าแวะที่ไหนก่อนกลับถึงได้ช้านัก รูสที่รออยู่ก็ได้แต่กระวนกระวาย เขาออกจากบ้านใหญ่ไม่ได้ นายลามุเองก็ดูเครียดมาก เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่ออยู่คนเดียวก็เริ่มคิดฟุ้งซ่าน ปัญหามันเกิดตอนเขามา และมันลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นเรื่องที่หาทางออกไม่ได้ สิ่งที่ทุกคนเคยพูดมันจริงใช่ไหม

‘แกมันตัวหายนะ!’

คำด่าทอของคุณหญิงพจนีย์ผู้เป็นแม่บุญธรรมผุดขึ้นมาอีกแล้ว รูสเม้มปาก นัยน์ตากลมไหวระริก อยากปฏิเสธเช่นทุกทีว่าไม่ใช่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คืออะไรกัน เพราะเขาเข้ามาที่นี่ใช่ไหม เพราะเขาใช่ไหม...

“รูส”

“...!!”

เสียงสายลมดังมาจากหน้าห้องพร้อมเสียงเขย่าลูกบิด รูสจึงรีบไปเปิดประตูให้ ชายหนุ่มตัวโตมองเด็กตรงหน้าอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้านั่น แถมลงกลอนประตูเอาไว้ด้วย

“เป็นอะไร?” เขาเอ่ยถามพลางเดินผ่านตัวบางเข้าไปข้างใน

รูสปิดประตูแล้วค่อยก้าวตามมา ก่อนจะบอก “รูสกำลังคิดว่า... รูสควรไปจากที่นี่หรือเปล่า...”

สายลมชะงัก นิ่งไปจนเด็กใจเสีย ก่อนที่จะตอบกลับโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนที่ตนพูดด้วย

“คงกลัวสินะ ขอโทษด้วยที่ปกป้องเธอไม่ได้อย่างปากพูด เธอถึงต้อง...”

นิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากหยัก ก่อนเจ้าของนิ้วจะส่ายหน้าเบา ๆ ทั้งแววเศร้าหมอง

“รูสไม่ได้กลัวเรื่องนั้น แต่รูส... รูสคิดว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา รูสนำปัญหามาให้สายลมเต็มไปหมด” เด็กว้าวุ่นใจ

“ใครบอก” เขาถามกลับเสียงเข้ม

“ไม่ต้องมีใครบอก รูสก็รู้”

“อย่าคิดเองเออเอง ถ้าเธอเป็นตัวปัญหา ฉันจะไล่ตะเพิดเธอไปเอง ไม่ต้องห่วงหรอก” พูดแล้วก็ชักโมโห เลิกเสียทีได้ไหมนิสัยแบบนี้ ทำไมมองตัวเองว่าเป็นปัญหาสำหรับคนอื่นตลอด ถ้าเป็นปัญหาจริง เขาไม่มาดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้หรอก เตะโด่งออกไปจากเกาะนานแล้ว

รูสกัดปาก มือเรียวกำชายเสื้อตัวเอง ขณะที่ปลายเท้าก็เคาะพื้นเบา ๆ สายลมหลุบสายตามองท่าประจำเวลาอึดอัดคับข้องใจ เด็กมันไม่ได้ฟังที่สายลมบอกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ใช่ตัวปัญหา แต่กลับจำแค่คำที่ว่าอาจจะถูกไล่ตะเพิดไปจากที่นี่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

“รูสขอโทษ” ก้มหน้าบอกเสียงค่อยจนสายลมหงุดหงิด

“เอ๊ะ!!” ชายหนุ่มเสียงดังทั้งสีหน้าดูดุดันจนเด็กสะดุ้งโหยง ตากลมเงยมองอย่างหวาดหวั่น

“พูดไม่รู้ฟัง เด็กคนนี้”

น้ำเสียงดุทำให้เด็กหน้าเบ้ สายลมถอนใจแรง ดึงตัวผอมบางมากอด เขาจะบ้าตาย

“รูสขอโทษ... ขอโทษ...”

“เลิกขอโทษได้แล้วรูส ไม่ได้ทำอะไรผิดอย่าขอโทษ”

“แต่... แต่สายลมดุ เพราะ... เพราะรูสทำผิดใช่ไหม...?” เอ่ยถามตะกุกตะกักขณะซบหน้ากับอกแกร่ง อย่าโกรธเขาเลยนะ เขาขอโทษ

“เด็กบ้า จะทำให้ฉันอกแตกตายให้ได้เลยใช่ไหม?” ยิ่งเสียงดัง เด็กยิ่งรู้สึกแย่ สายลมจึงต้องลดระดับเสียงลง “รูสไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเวลานี้ก็ไม่ใช่เพราะรูส แต่เป็นเพราะจิตใจของคน เพราะความโลภ ไม่ใช่เพราะรูส เข้าใจไหม หืม?”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง เด็กก็นิ่งฟัง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นอันเข้าใจกัน

“เข้าใจก็ดีแล้ว ต่อไปก็อย่าคิดแบบนี้อีก” ชายหนุ่มดันตัวผอมออกจากอ้อมแขน ก่อนจะก้มลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันแล้วบิดแก้มเด็กมันเบา ๆ แล้วผละไป

รูสจับแก้มตัวเอง ที่สายลมพูด เขาเข้าใจ แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก เขาไม่ใช่ตัวปัญหาจริงหรือ... จริง ๆ ใช่ไหมสายลม...?


......


เวลาบ่ายคล้อย หมอปลายฟ้ารีบรุดมาที่บ้านนายลามุ คนของนายลามุเมื่อเห็นว่าหลานชายนายซานินมาถึงถิ่นก็รีบไปรายงานผู้เป็นนายของตนทันที แต่ก่อนที่จะได้ไปถึงตัวนายลามุกลับเจอสายลมเสียก่อน ทำให้ความนี้ถูกบอกล่าวแก่สายลมแทนที่จะเป็นนายลามุเช่นแต่ต้น

สายลมออกมาพบพี่ชายที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นผู้เป็นน้องมา หมอปลายฟ้าก็เปิดยิ้ม ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกไปคุยให้ห่างจากคนของนายลามุสักหน่อย

“สายลม พี่พยายามเกลี้ยกล่อมปู่แล้ว และท่านก็เหมือนจะคล้อยตามอยู่ไม่น้อยเลย พี่บอกอย่างที่ลมบอกว่าปู่ลามุยินยอมจะยกทุกอย่างให้ ขอเพียงยุติสิ่งที่ทำอยู่แล้วคืนความสงบให้เกาะเรา” หมอปลายฟ้าบอกเสียงระรัว

“นี่ถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อยปู่ซานินก็ยอมฟังพวกเราบ้าง”

คุณหมอหนุ่มพยักหน้า ท่าทางจะรู้สึกยินดีไม่น้อยไปกว่าผู้เป็นน้อง “ปู่ยังบอก ถ้านายว่างเมื่อไรอยากจะเจรจาสันติกัน”

“......” สายลมนิ่งไป ชักตงิดใจขึ้นมา

“สายลม!!”

เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้สายลมหันไปมอง ร่างผอมวิ่งมาหา ก่อนจะไหว้หมอปลายฟ้าพร้อมยิ้มแย้ม

“พูดได้แล้วนี่เรา หายดีแล้วใช่ไหม?” หมอปลายฟ้าทายทัก ซึ่งรูสก็ทำท่าคิดก่อนพยักหน้ารับ

“รูส” สายลมเรียก เมื่อเจ้าของชื่อหันมาหาเขาจึงบอก “อยู่บ้านนะ ฉันมีธุระต้องไปทำ”

“ธุระอะไร รูสไปด้วยไม่ได้เหรอ?” เด็กเสียงออด อยู่ที่นี่รูสก็เป็นห่วงจนนั่งไม่ติด

“ไปด้วยกันก็ได้นะรูส ไม่ได้มีความลับอะไรหรอก” หมอปลายฟ้าเป็นคนเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่สายลมจะได้ปฏิเสธ

“แต่ว่า...”

“ไม่เป็นไรหรอกสายลม ถ้ากลัวจะเกิดอะไรขึ้น ให้คนของปู่ลามุตามไปด้วยกันก็ได้” คุณหมอหนุ่มเอ่ยบอก

สายลมมองตัวป่วนที่ยิ้มแฉ่งเพราะสมใจที่ได้ไปกับเขาด้วย ผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ก่อนจะพยักหน้าเออออ รอยยิ้มสดใสยิ่งกว้างกว่าเดิม เด็กเอ๊ย ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย

สายลมขอเข้าไปรายงานปู่ของตนสักหน่อย ก่อนที่จะตามหมอปลายฟ้าไป ตรงนี้จึงเหลือเพียงรูสและหมอปลายฟ้า เจ้าตัวเล็กยิ้มให้คุณหมอ ก่อนจะเดินเตร่ไปมารอสายลม เสียงพุ่มไม้ขยับไหวทำให้รูสชะงักเท้า ค่อยหันไปมองพุ่มไม้ที่คล้ายจะมีบางอย่างโผล่มาตาโต ก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อเห็นลูห์โผล่ออกมาจากในนั้น

รูสหัวเราะ เข้าไปลูบแผงคอมันเบา ๆ ขณะที่หมอปลายฟ้ามองลูห์นิ่ง เมื่อครู่ยังไม่เห็นมันอยู่ตรงนี้เลย แสนรู้จริงนะ หึ

“ไปลูห์”

สายลมกลับออกมาอีกครั้งพร้อมคนจำนวนหนึ่ง บอกกับลูห์เพียงสั้น ๆ มันก็เดินตาเขามาทันที การไปบ้านนายซานินครั้งนี้มันดูง่ายจนไม่น่าไว้วางใจ ก็บทจะง่ายมันก็ง่ายขนาดนี้เลยเชียวหรือ เชื่อได้ยากจริง ๆ

เมื่อมาถึงบ้านนายซานิน คนของเขาก็ถูกกันไว้ด้านนอกส่วนหนึ่งเพื่อให้เกียรติเจ้าของสถานที่ ลูห์และรูสพร้อมกับคนของเขาอีกสองนายได้ตามเข้ามาด้วย นายซานินนั่งอยู่ในสวนสวย หันมามองสายลมกับหมอปลายฟ้าที่เข้ามาหา

“พามาแล้วครับปู่”

ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์ “มาแล้วรึ สายลม ยินดีต้อนรับ”

แกร๊ก

จบคำ รอบกายของแขกผู้มาเยือนก็เต็มไปด้วยคนของนายซานินพร้อมอาวุธปืน คนของสายลมก็เหวี่ยงปืนเล็งไปหาฝ่ายตรงข้ามเพื่อป้องกันนายน้อย แต่พวกเขามีกันสองคน ขณะที่อีกฝ่ายล้อมอยู่รอบกาย ราวเดินมาตกหลุมพรางแล้วหาทางขึ้นไม่ได้

สายลมมองสถานการณ์อย่างระแวดระวัง ลูห์เองก็ตั้งท่าระวังภัยเช่นกัน ขณะที่รูสตกใจเมื่อปืนถูกเล็งมาหาหลายกระบอก ได้แต่ขยับเข้าไปใกล้สายลมแล้วเกาะแขนไว้ด้วยความหวั่นกลัว

“หลอกกันอย่างงั้นเหรอ?” สายลมคำรามลอดไรฟัน ดวงตาแข็งกร้าวมองนายซานินเขม็ง

“นึกว่ามันจะมีการเจรจากันจริงรึ สายลม ถ้ามันง่ายขนาดนั้นฉันกับลามุกะคงไม่ต้องมาสู้รบปรบมือกันแบบนี้หรอก” นายซานินเย้ยเยาะ

“ปู่ ไหนปู่บอกว่าจะยอมคุยกัน จะยอมฟังเหตุผลของทุกคนไงครับ?” หมอปลายฟ้าท้วงถาม นายซานินก็แสยะยิ้ม

“อย่าโง่ไปหน่อยเลยปลายฟ้า ไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้นล่ะ”

“ก็นึกเอาไว้อยู่แล้ว”

สายลมเอ่ยขึ้นมาบ้าง ก่อนที่สถานการณ์จะพลิกกลับ คนของเขาเข้าประกบ ล้อมคนของนายซานินพร้อมปืนในมือ ชายชราตกใจกับแผนการตลบหลังของสายลม แต่ก็ยังพยายามปั้นหน้านิ่ง

“ปู่เล่นสกปรกกับผมก่อน” สายลมว่า

“แก แกมันมากเล่ห์เหมือนลามุกะไม่มีผิด!” ชายชราตะคอกดังลั่น

“ในเมื่อปู่ไม่ยอมรามือ ในเมื่ออยากเล่นกันแบบนี้ ผมคงไม่เกรงใจปู่แล้ว”

“สายลม...” หมอปลายฟ้าเรียกน้องเสียงแผ่ว สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก

สายลมปรายมามองผู้เป็นพี่ “ใช้ไม้อ่อนไม่ได้เราก็ต้องเปลี่ยนแผนนะ ปลายฟ้า”

หมอปลายฟ้าหน้าหมองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะพึมพำ “นั่นสินะ...”

กริ๊ก!!

เสียงที่เกิดขึ้นพร้อมกับปลายกระบอกปืนถูกเล็งมาที่หัวทำให้สายลมชะงักงัน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ปลายฟ้า... หมอปลายฟ้าชักปืนออกมาขู่เขา!



TBC



บวกขอบคุณ คุณ O-RA DUNGPRANG ค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๙ เปิดศึก // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 27-08-2018 13:00:01
เรื่องนี้้ลูห์เป็นพระเอก ....ชูป้าย FC
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๐ เงามืด // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 27-08-2018 14:54:51

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๐ เงามืด



“เซอร์ไพร์ส”

หมอปลายฟ้าเปิดยิ้ม ขณะที่สายลมนิ่งอึ้งเมื่อถูกตลบหลังกลับ และคราวนี้อีกฝ่ายเป็นต่อเสียด้วย คนของนายซานินที่ตกเป็นรองอยู่เมื่อสักครู่หันปลายกระบอกปืนเล็งประจันหน้ากับคนของสายลมพร้อมยิ้มแสยะ

“เป็นไง ถึงกับอึ้งไปเลยเหรอครับ นายน้อย เฮ้อ ไม่นึกเลยเนอะว่าคนอย่างนายน้อยสายลมจะมาตายน้ำตื้นแบบนี้” หมอปลายฟ้าเอ่ยเยาะ ปืนยังไม่ลดลงจากเป้าหมาย

“ทำแบบนี้ทำไม ปลายฟ้า พี่บอกจะร่วมมือกับผมไม่ใช่เหรอ?”

“ฝันเฟื่องอะไรอยู่ ตื่นได้แล้วสายลม!”

“......”

“ทุกอย่างนั่นก็เพื่อที่ฉันจะได้ลงมาจากผาสูงที่ไม่มีหนทางที่จะลงมาได้ต่างหาก นายกับลูห์ขังฉันไว้ในถ้ำนึกว่าฉันยินดีปรีดานักเหรอ หากไม่ทำเหมือนคล้อยตามนาย ฉันจะได้กลับมาที่นี่ไหม คิดสิคิด!” มือข้างที่ว่างใช้นิ้วเคาะขมับตนเอง แววตาแสนอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว มองสบกับสายลมไม่มีหลบ

สายลมยืนนิ่ง รู้สึกชาถึงปลายเท้า ทั้งหมดนั่นแค่เล่นละครตบตาหรือ แล้วเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลนั้นเล่า เรื่องเหนือเมฆ... หมอปลายฟ้ารู้เรื่องนั้นใช่ไหม แต่ยังแสร้งตีหน้าซื่อหลอกเขา ช่างทำกันได้ลงคอ

“กลิ่นของอำนาจมันหวานหอมนะว่าไหม สายลม ใครก็อยากได้ ใคร ๆ ก็ต่างแย่งชิง ไม่เว้นแม้กระทั่ง... ฉัน” คุณหมอหนุ่มตอกย้ำซ้ำลงไปอีก

“......” สายลมไม่ได้โต้กลับ เพียงมองผู้เป็นพี่อย่างผิดหวังเท่านั้น

“เรื่องคราวนี้คงสอนให้นายได้รู้ว่า... อย่าไว้ใจแม้แต่กับคนที่นายคิดว่ารู้จักเขาดี!”

เสียงตะคอกจากหมอปลายฟ้าทำให้รูสตัวสั่น เขาไม่รู้จักคนคนนี้ หมอปลายฟ้าไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่

“ไม่ต้องกลัวรูส” สายลมกระซิบ กุมทับมือรูสที่เกาะแขนเขาแน่น

“ได้เวลาส่งตัวไปคุมขังเสียแล้วสิ รายต่อไปคือปู่ของนาย บอกไว้เลย” คุณหมอหนุ่มหัวเราะ ผู้เป็นปู่อย่างนายซานินก็ยกยิ้มพอใจ

“พาไปประภาคารเก่า ฉันจะขังนายน้อยสายลมกับพวกไว้ที่นั่น ส่วนที่เหลือไปกระจายข่าวนี้ให้ทั่วเกาะ เอาให้ถึงหูปู่ลามุที่เคารพด้วยนะ หึ”

คนของนายซานินเข้ามาคุมตัวสายลมตามคำสั่งของหมอปลายฟ้า ลูห์ส่งเสียงขู่ พวกมันเลยชะงัก แต่สายตาบังคับจากหมอปลายฟ้าทำให้ต้องเข้าไปอีกรอบ แต่ไม่กล้าแตะต้องสายลม

นัยน์ตาสีนิลปรายมองคนของนายซานิน ก่อนจะมาหยุดลงที่หมอปลายฟ้า ร่างสูงใหญ่ค่อยหมุนกายกลับ จับมือรูสแล้วพาออกเดินโดยมีคนของนายซานินตามคุม

“ทำไมไม่พาพวกมันไปคุกมืด?” เมื่อสายลมถูกคุมตัวไปแล้ว นายซานินจึงเอ่ยถามหลานชายของตน ขังไว้ที่ประภาคารมันจะสะใจอะไร

“คนคุกมืดน่ะของปู่ลามุทั้งนั้นนะครับ อีกอย่าง... ถึงยังไงสายลมก็เป็นนายน้อยของทุกคนที่นี่ คงมีแต่คนต่อต้านเราหากพาสายลมไปขังในคุกมืดโดยไร้ความผิด” หมอปลายฟ้าอธิบาย

“เอาเถอะ ปู่ยกให้เจ้าจัดการ อีกไม่นานหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นของเรา จริงไหม ปลายฟ้า?”

“ครับ” คุณหมอหนุ่มยิ้มรับ ก่อนจะเดินตามทุกคนไป

นายซานินมองตามหลังหลานชายแล้วระบายลมหายใจก่อนยิ้มกระหยิ่ม ใครที่ไหนก็หยุดเขาไม่ได้แล้วคราวนี้



ประภาคาร

สายลมมองอุปกรณ์สื่อสารของตนถูกขนออกไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ขณะที่มือกลับกำหมัดแน่น หมอปลายฟ้ารู้ดีว่าเขาใช้ที่นี่เป็นที่วางโครงข่ายเพื่อติดต่อกับครอบครัว และเวลานี้ก็มาตลบหลังเขาแบบไม่ตั้งตัว ลูห์ส่งเสียงคำรามในลำคอ ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะจู่โจมเมื่อมีคำสั่ง เพราะความรู้สึกของสายลมกับมันสื่อถึงกันได้

“เสียใจด้วยนะน้องชาย คงขอให้ใครที่ไหนมาช่วยไม่ได้เสียแล้วล่ะ”

หมอปลายฟ้าก้าวเข้ามาหาพลางยิ้มเยาะ มองนัยน์ตาสีนิลที่ไม่แสดงอาการใดให้เห็น ก่อนที่จะเบือนกลับไปสั่งลูกน้องของผู้เป็นปู่ที่เวลานี้อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาทุกคน

“สั่งคนเฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี อย่าอวดดีทำอะไรเกินคำสั่ง เพราะฉันไม่ใช่คนใจอ่อนอย่างนายน้อยสายลมของพวกแก!”

จบคำสั่งที่เหวี่ยงมากระทบคนเป็นน้องแล้วหมอปลายฟ้าก็ก้าวออกจากประภาคารไป เขาพบกับฟาริดาที่หน้าประภาคารนั้น สายตาของหญิงสาวมองมาที่เขาอย่างผิดหวัง เธอคงรู้เรื่องแล้ว แต่หมอปลายฟ้ากลับทำเมิน เดินผ่านเธอไปพร้อมลูกน้องที่ตามหลังมา

‘คุณบอกให้ริด้าเชื่อใจ แต่คุณกลับทำแบบนี้เหรอคะหมอ แล้วริด้า... ยังจะเชื่อใจคุณได้อยู่อีกเหรอ?’

หญิงสาวได้เพียงตัดพ้อคนที่เดินผ่านเลยไปในใจ เธอไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ กับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ หักหลังน้องชายของตนเองได้ลงคอ เช่นนี้แล้วเธอจะยังเชื่อใจเขาได้อยู่อีกไหม

‘ริด้า... จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมไม่รู้ แต่ผมอยากขอคุณสักอย่างได้ไหม... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้เชื่อใจผม... จะได้ไหม?’

สิ่งที่หมอปลายฟ้าพูดกับเธอผุดขึ้นมาในความคิด หญิงสาวถอนใจเบา ‘ริด้าจะพยายามเชื่อค่ะหมอ จะพยายามเชื่อในตัวคุณ’

หน้าทางเข้าประภาคาร คนของนายซานินยืนเฝ้าตามคำสั่งของหมอปลายฟ้า ฟาริดาขอเข้าเยี่ยมนายน้อยกับรูส แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอม เพราะหากไม่มีคำสั่งจากหมอปลายฟ้า พวกเขาก็อนุญาตให้ใครเข้าไปโดยพลการไม่ได้

สายลมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้ผู้เป็นพี่ชายจะกลับไปได้สักพักแล้ว รูสมองอย่างเป็นห่วง มือเรียวยกขึ้นแตะแขนแกร่งแต่กายสูงใหญ่กลับไม่ขยับเขยื้อน เด็กหนุ่มกัดปาก นัยน์ตากลมเริ่มพร่าจนต้องกะพริบตาถี่ สอดแขนกอดลำตัวหนาด้วยหวังจะปลอบใจ เขาไม่นึกเลยว่าหมอปลายฟ้าจะร้ายกาจขนาดนี้ สายลมคงเสียใจที่ไว้ใจคนผิด

“ฉันไม่เป็นไร”

แม้คนตัวโตจะบอกเช่นนั้น แต่รูสก็ยังคงกอดเอาไว้ไม่ปล่อย เขาทำได้แค่นี้ ช่วยสายลมได้แค่นี้เอง

“ขอโทษนะ”

“..?” รูสเงยมองอย่างไม่เข้าใจ ขอโทษเขาทำไมกัน

“ทั้งที่บอกจะปกป้องเธอ แต่ไม่ทันไรกลับทำไม่ได้อย่างที่พูดซะแล้ว... ขอโทษ”

รูสสั่นหัว ไม่ใช่ความผิดสายลม สายลมดูแลเขาอย่างดีมาตลอด สายลมไม่ผิด ไม่ต้องขอโทษ เขาจะร้องไห้แล้ว ทำไมถึงยังนิ่งเฉยทั้งที่ดูเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แขนเรียวกอดกายหนา ซบแก้มกับอกแกร่งพลางสะอื้น ร้องไห้แทนสายลมที่ต้องยืนหยัดเข้มแข็ง เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย ช่วยสายลมไม่ได้เลย...


......


ท่ามกลางความมืดมิด รูสยังก้าวเดินไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แสงสว่างเรือง ๆ จากบางสิ่งอยู่ห่างออกไปพอส่องให้เห็นทาง แต่รอบกายที่มีเพียงความว่างเปล่าทำให้รูสรู้สึกเคว้ง เขาอยู่ที่ไหน แล้วมาทำอะไรที่นี่?

‘รูส’

เสียงเรียกที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดทำให้รูสเหลียวมองรอบกาย

“ใครน่ะ?”

ไม่มีเสียงตอบกลับมานอกจากความเงียบที่แสนวังเวงจนรูสเริ่มใจเสีย ที่นี่มันที่ไหนกัน?

“สายลม อยู่ไหนอะ...”

เสียงเด็กน้อยเริ่มสั่น เขามองไม่เห็นอะไรเลยทำให้ต้องหยุดเท้าที่ก้าวเดิน เพราะไม่รู้ว่าจะเดินไปเพื่ออะไรในเมื่อมันไม่มีทางออก ความหนาวเย็นเริ่มแทรกซึมเข้ามาจนรูสต้องยกแขนขึ้นกอดตัวเอง มันเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก

‘รูส…’

เสียงเรียกนั้นยังแว่วดังขึ้นมาอีก รูสหันขวับมองรอบกาย ก่อนจะตะโกนถามเสียงดัง

“ใคร ใครเรียก!”

ความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้รูสกลัว เขาหอบหายใจแรงขึ้นเมื่อรู้สึกอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก ราวร่างกายกำลังจมลงสู่ก้นบึ้งของที่ไหนสักแห่ง ทั้งที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

‘รูส…’

มือเรียวยกขึ้นปิดหูเมื่อเสียงนั้นยังเรียกชื่อเขาอยู่ซ้ำ ๆ มันดังสะท้อนมาทุกทิศทางจนรูสต้องหมุนตัวมองหาที่มาราวลูกข่าง

“ใครเรียก...”

ลมหายใจรูสขาดห้วงเมื่ออากาศกำลังจะหมดลง รู้สึกทรมานเหมือนจะขาดใจตายอยู่ไม่กี่นาทีนี้ มือเรียวละมากุมอกทั้งสูดอากาศอันน้อยนิดนั้นเข้าปอด แต่ก็ยากเกินจะทานทน ร่างน้อยทรุดลงนั่ง ก่อนทิ้งตัวลงไปบนพื้นแสนเย็นเยียบ

“ช่วยด้วย... ช่วย...”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังลอดมาเพียงแผ่วผิว เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาใกล้ทำให้รูสยกมือขึ้นปิดหู เขาหอบหายใจหนักด้วยความอึดอัดที่พอกพูน เมื่อปลายเท้าของใครคนนั้นมาหยุดลงตรงหน้า รูสก็ค่อยเงยมอง

‘รูส…’

ตากลมเบิกกว้างก่อนร้องออกมาจนสุดเสียง

“อ๊ากกกกกกกกกก!!!”

ตัวบางดีดตัวลุกทั้งหวีดดังลั่น มือขยุ้มกุมหัวราวหวาดกลัวต่อบางสิ่ง สายลมผวาเข้าไปหา พยายามเรียกสติเด็กที่กรีดร้องจนน่าตกใจ

“รูส! รูส!! เป็นอะไร รูส!!!?”

สายลมดึงร่างน้อยเข้ามากอดแน่นทั้งเรียกสติ เป็นนานกว่าคนในอ้อมกอดจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ตัวบางสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขน ทั้งร้องไห้กับอกเขาเมื่อค่อยคืนสติ

ตัวที่เล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กจ้อยไปถนัดตา สายลมกอดเอาไว้แบบนั้นจนกระทั่งเสียงสะอื้นคลายลง ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยถามเสียงนุ่ม

“ฝันร้ายเหรอ?”

“......” คนถูกถามยังคงซุกซบอกแกร่งด้วยความเงียบเชียบ เสียงหัวใจของสายลมทำให้รู้สึกอุ่นใจบอกไม่ถูก สติที่ขาดหายค่อยกลับคืนมาช้า ๆ

“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว”

น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้รูสกอดสายลมแน่น ทั้งสะอื้นเบา ๆ ขึ้นมาอีก ภาพฝันมันยังติดตรึง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในฝันตัวซีดขาว เนื้อตัวเปียกปอนจนน้ำหยดลงมากระทบแก้มเมื่อร่างนั้นก้มลงมาหา เขาไม่รู้ว่าน้ำที่หยดลงมาคือน้ำบนตัวของคนคนนั้นหรือน้ำตาที่รินไหลจากดวงตาแสนแดงก่ำ แต่มันทำให้เขาร้องไห้ไม่หยุดมาจนตอนนี้ เพราะอะไรไม่รู้ แต่เขาควบคุมน้ำตาไม่ให้มันไหลไม่ได้


ภายนอกประภาคารคนเฝ้าแน่นหนา ลุงหลงแอบมาสอดส่องเพื่อหาลู่ทางช่วยลูกของตนกับนายน้อย แต่แกเพียงคนเดียวไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ชายสูงวัยหันมามองลูห์ที่ออกจากประภาคารมาโดยไม่มีใครรู้ และมันมาโผล่ที่ห้องพักของแกก่อนนำทางมาที่นี่ ถึงอย่างไรในเวลานี้ก็เหลือเพียงแกและลูห์เท่านั้นแล้ว ต้องหาทางช่วยให้ได้ มันต้องมีสักทางสิ

อีกด้านหนึ่ง เหนือเมฆที่หลบหนีการตามล่าลอบเข้ามาด้านหลังประภาคาร ตรงจุดนั้นจะมีช่องที่สามารถลอดไปทะลุห้องหนึ่งในประภาคารได้ แต่มันไม่ถูกใช้งานมานานมากแล้ว ทำให้เขาต้องหาจุดที่มันมีทางเข้านั้นอยู่นานทีเดียว เมื่อหาพบแล้วเหนือเมฆก็ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราะหากเขายังวนเวียนอยู่แถวนี้ต่อไปอาจมีคนมาพบเข้าก็เป็นได้ ร่างหนาหลบฉากจากจุดนั้นมาเพื่อวางแผนการให้ถ้วนถี่ ก่อนที่จะลงมือกระทำการต่อไปดังที่คิดเอาไว้


......


บ้านนายซานิน

บิดาของหมอปลายฟ้าเรียกลูกชายไปคุยด้วย เพียงแค่ความหัวรั้นของบิดาตนก็ปวดหัวจะแย่ นี่มีผู้เป็นลูกเข้าร่วมผสมโรงด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมา หมอปลายฟ้าไม่เคยมีท่าทีกระด้างกระเดื่องกับใคร เป็นเด็กจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น การเปลี่ยนแปลงไปโดยฉับพลันเช่นนี้คนเป็นพ่ออย่างเขาคงเชื่อได้ยาก หรือที่แท้แล้วเขามองลูกชายไม่ถ้วนถี่

“พ่อครับ”

คุณหมอหนุ่มเข้ามาพบผู้เป็นบิดา สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ฉายแวววิตกแต่อย่างใด

“พ่อนึกว่าลูกจะไม่เห็นด้วยกับปู่เสียอีก ปลายฟ้า” ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้นมา

“ผมไม่เคยพูด” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยความเฉยชา

“จะบอกว่าพ่อมองลูกผิดไปเองอย่างนั้นเหรอ มองลูกชายที่เลี้ยงดูมากับมือผิดไปมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“......” คำถามที่มีแววตัดพ้อปะปนทำให้หมอปลายฟ้าเงียบ

สายตาของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนมองชายหนุ่มเบื้องหน้า ก่อนจะระบายลมหายใจยาว “ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ขอให้รู้ไว้ว่าพ่อคนนี้เป็นห่วง และคงไม่หมดห่วงหากยังเห็นเจ้าก้าวไปหาภัยอันตราย”

“......” อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ได้แต่รับฟัง ไม่มีถ้อยคำใดโต้ตอบกลับไป

“เอาเถอะ” ผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้นมาอีก “จะดีจะร้ายพ่อก็ยังเชื่อในตัวเจ้า ปลายฟ้า”

แววหวั่นไหวแสดงออกมาทางดวงตา คุณหมอหนุ่มเบือนมันไปทางอื่น เขาจะไม่ยอมให้ใครจับความรู้สึกที่มีได้โดยเด็ดขาด

อีกด้านหนึ่ง นายลามุถูกนำตัวมาที่บ้านนายซานินเพื่อยืนยันว่าจะยอมยกอำนาจที่มีอยู่ในมือให้กับผู้เป็นพี่ชายและไม่คิดทวงคืน ขณะที่หลานของเขาถูกขังอยู่ในประภาคารเก่า พวกเขาไม่ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เพราะทำร้ายคนสายเลือดเดียวกันไม่ได้จริง ๆ แม้เขาจะโหดร้ายกับผู้อื่น แต่กับคนในครอบครัวไม่เคยคิดร้ายด้วยสักหน ก่อนนี้อาจหลงเดินผิดทางไปจนทำให้คนใกล้ตัวเจ็บช้ำจนกลายเป็นเคียดแค้น แต่นั่นเพราะไร้คนทักท้วง ทำให้หลงระเริงกับลาภยศจนก่อเกิดบาดแผลในจิตใจพี่ชาย

เขาแก่ปูนนี้แล้ว จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ หวังใจว่าหลานชายเพียงคนเดียวจะสืบทอดทุกสิ่งต่อจากตน แต่เมื่อไม่เป็นไปดังหวังก็คงทำได้เท่านี้ เขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อทุกคนที่นี่ คนภายนอกอาจเห็นว่าเขาอยู่สุขสบาย ราวอยู่บนยอดหอคอยสูง แต่นั่นก็เพราะสิ่งที่ทุ่มเททำมา เขาถึงได้มีวันเช่นนั้น ไม่มีใครได้อะไรมาง่าย ๆ เขาเองก็เช่นกัน

นายซานินให้คนพามาพบผู้เป็นน้อง คนของเขาหยุดรถเข็นและจัดการยึดล้อไว้ให้ก่อนจะผละไปเพื่อให้เขาคุยกับน้องชายตามลำพัง นายลามุมองผู้เป็นพี่ด้วยแววตานิ่งเฉย มาบัดนี้เขาไม่อนาทรต่ออะไรทั้งสิ้น

“รู้สึกถึงความพ่ายแพ้บ้างหรือยัง ลามุกะ?” นายซานินเอ่ยเยาะ

“คำนั้นข้าควรถามพี่มากกว่า” นายลามุย้อน “ตอนนี้คนทั้งเกาะมองหลานชายพี่แบบไหนรู้หรือเปล่า คุณหมอที่พวกเขาเคารพนับถือ มาบัดนี้กลับผันตัวเป็นโจร ไม่ได้ไปฉกชิงวิ่งราวใคร แต่กำลังจะฆ่าฟันพวกพ้อง กำลังเหยียบย่ำคนสายเลือดเดียวกันโดยไม่นึกถึงผิดชอบชั่วดี ภาพลักษณ์ที่เคยมีมันแค่หลอกตา เพราะโฉมหน้าที่แท้จริงมันก็ไม่ต่างอะไรกับคนบาปในคราบนักบุญ”

“หุบปากได้แล้วลามุกะ!” นายซานินตวาด โกรธแทนหลานหนักหนา “ปลายฟ้าเป็นคนดี เจ้าต่างหากที่ชั่ว ปลายฟ้ากำลังจะชิงทุกสิ่งคืนมา ทุกสิ่งที่ควรจะเป็นของเขา!!”

“เลิกหลอกตัวเองเสียที ซานิน ที่พี่ให้ปลายฟ้าทำไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อความสาแก่ใจของพี่เวลาเห็นข้าตกต่ำ นั่นต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริง!”

“แล้วยังไง!?” นายซานินโต้กลับเสียงดัง ไม่ปฏิเสธในสิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจ “ข้าผิดอะไรที่อยากให้เจ้าตกต่ำจนดูน่าอเนจอนาถเหมือนข้า! ให้รู้สึกถึงความอดสูที่ข้าเคยได้รับ ให้ล้มลุกคลุกคลานแทบอยากจะฆ่าตัวตายวันละหลายรอบ เจ้าไม่เคยรู้ ไม่เคยรับรู้ในสิ่งที่ข้าเป็น ได้แต่เชิดหน้าชูคอ เหยียบข้าไว้ใต้ตีน!!”

“ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น!” นายลามุโต้แย้ง เขาไม่เคยมองพี่ชายเช่นนั้น ไม่เคยคิดจะเหยียบพี่ไว้ใต้ฝ่าเท้า เหตุใดผู้เป็นพี่จึงคิดเช่นนั้น มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เขาไม่รู้ เขามองข้ามอะไรไป

“ปากคนก็สักแต่พูด มันจะพูดอะไรให้ตัวเองดูดีแค่ไหนก็ย่อมได้ แต่การกระทำที่เห็นอยู่ตำตา ต่อให้แก้ตัวให้ตายมันก็ฟังไม่ขึ้น”

“พี่หมายความว่ายังไง?”

คำถามนั้นไร้ซึ่งคำตอบ เมื่ออีกฝ่ายเพียงมองมาที่เขาแล้วว่า “ข้าพล่ามมากเกินไป ไม่ควรจะพูดกับคนอย่างเจ้าให้เสียเวลา”
ว่าจบนายซานินก็เรียกคนของตนให้เข้ามาช่วยพาออกไป นายลามุได้แต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่พี่ชายพูด นอกเหนือจากที่เขาหลงใหลในอำนาจจนลืมเหลียวกลับมามองคนสำคัญ มันยังมีสิ่งไหนที่เขาทำให้ผู้เป็นพี่เจ็บแค้นอีก

นายลามุนิ่งไปเมื่อสะกิดใจขึ้นมา เขาหลงลืมคนสำคัญ สิ่งนี้ใช่ไหมที่ทำให้พี่ชายของเขาเจ็บมากกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อเขาขึ้นครองตำแหน่งแรก ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาจะมาปรึกษาผู้เป็นพี่ มาดูแล พูดคุยทั้งเรื่องงานและสัพเพเหระ แต่เมื่อนานวันเข้ากลับเริ่มถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว ประเด็นหนึ่งก็คือเขาเริ่มคิดว่าไม่อยากกวนผู้เป็นพี่ และที่แย่กว่าความเกรงใจคือความคิดที่ว่าทุกสิ่งมันคือของเขา ไม่จำเป็นต้องปรึกษาพี่ชาย เขาก็ทำมันได้ และจะทำให้ได้ดียิ่งกว่าตอนที่พี่ให้คำปรึกษาแก่เขาเสียอีก

เพราะความคิดที่จะตะแบงทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ การปรามาสจากบางคนที่บอกว่าเขามันไม่เอาไหน หากไม่มีซานินคงไม่ต่างอะไรกับลูกหมาที่ไร้ความสามารถ ทำให้เขากระทำในสิ่งที่ผิดพลาด มุ่งแต่จะลบคำสบประมาทจนละเลยที่จะใส่ใจความรู้สึกของผู้เป็นพี่ชาย ซานินคงคิดว่าเขาหลงลืม ที่ร้ายไปกว่านั้น ความรู้สึกอ่อนไหวของคนที่เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายและการผิดหวังครั้งใหญ่ในชีวิตมาคงไม่พ้นจากความคิดที่ว่าตนเป็นเพียงไอ้ง่อยไร้ประโยชน์ ใช่ เขาทำแบบนั้นล่ะ เขาทำให้ซานินรู้สึกเช่นนั้น

ชายชราทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวภายในห้อง ที่ยืนหยัดมาจนวันนี้เพื่ออะไรกันอย่างนั้นหรือ


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๐ เงามืด // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 27-08-2018 14:55:55


ด้านหลังประภาคาร ช่องทางลับถูกเปิดอย่างยากเย็น แต่สุดท้ายแล้วก็สามารถเปิดมันออกจนได้ ร่างกำยำค่อยหย่อนกายลงในช่องนั้นแล้วค่อยเลื่อนแผ่นปูนมาปิดไว้เพียงหมิ่นเหม่ เมื่อร่างนั้นหายลับลงไปแล้ว ใครอีกคนก็ค่อยออกจามุมลับตามา หยุดเท้าอยู่เหนือช่องลับโดยมีเท้าของเจ้าป่าตัวใหญ่ยืนอยู่ข้างกัน

เหนือเมฆค่อยลัดเลาะไปตามทางลับใต้ดิน ทั้งฝุ่นและหยากไย่เกาะเต็มไปหมดจนต้องปัดออกเรื่อย ๆ ให้พ้นทาง ชายหนุ่มมาหยุดอยู่ตรงทางแยก เขาไม่รู้ว่าสายลมถูกขังไว้ที่ห้องใด คงต้องเสี่ยงดวงกันดู

ร่างสูงใหญ่เลี้ยวขวาจนมาสุดทาง เงยขึ้นมองด้านบนซึ่งเป็นพื้นเรียบเสมอกันราวไม่มีช่องทางลับอะไร แต่มองดี ๆ จะเห็นว่ามีรอยขีดสี่เหลี่ยม เหนือเมฆยกยิ้มมุมปาก เขาต้องดันมันขึ้นไป


ภายในห้องหนึ่ง รูสนั่งพิงสายลมนิ่ง วันที่สองแล้วที่ถูกจับมาขังไว้ที่นี่ ตอนเช้าจะมีคนนำอาหารมาให้ กลางวันกับมื้อเย็นจะนำมาเพียงครั้งเดียวแล้วแบ่งไว้กินเอง อาหารที่ถูกนำมามันยังคงวางนิ่งเพราะเขากินไม่ลง สายลมเองก็ไม่ยอมกินอะไรเลยนอกจากน้ำ จะให้เขากินคนเดียวได้อย่างไร

“ไม่หิวเหรอ รูส?” สายลมเอ่ยถามอย่างห่วงใย เด็กนิ่งเงียบจนเขารู้สึกแย่

“......” รูสส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ท้องหิว

“ไปกินเถอะ อย่าทรมานตัวเอง กินให้อิ่ม เวลาเราออกไปจากที่นี่จะได้มีแรง”

“เราจะได้ออกไปจริงเหรอ สายลม?” เอ่ยถามกลับด้วยแววไม่มั่นใจเลยสักนิด

“แน่นอน” สายลมยืนยันหนักแน่น

“......”

“เพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้เยอะ ๆ รู้ไหม?” เขาตะล่อม เด็กมองหน้าเขาอยู่นานก่อนจะพยักรับ

กายผอมลุกไปยกอาหารมา วางลงตรงหน้าสายลมแล้วค่อยตักกินไปคำหนึ่ง หยิบช้อนอีกคันยื่นมาตรงหน้าสายลม อีกฝ่ายมองก่อนจะส่ายหน้า เด็กเลยวางช้อนที่ถืออยู่รวมทั้งช้อนของตนเอง ไม่กินต่อ

“รูส...”

“ก็สายลมไม่ยอมกิน รูสก็จะไม่กิน ถ้าสายลมหมดแรงไป ต่อให้มีสิบรูสก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

เด็กเอ่ยขัดเมื่อรู้ดีว่ากำลังจะถูกบ่นที่ทำตัวแบบนี้ มือเรียวหยิบฝากล่องข้าวมาเพื่อจะปิดมันลง แต่สายลมเอื้อมมาจับข้อมือเอาไว้ ทำให้ตากลมเงยขึ้นมอง

“ฉันจะกินด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้ารูสก็ดีขึ้น รีบแกะข้าวอีกกล่องมาส่งให้สายลมแล้วยกกล่องของตนเองขึ้นมากิน สายลมมองแล้วยิ้มจาง ได้แต่ขอโทษรูสในใจ... อดทนอีกนิดนะ เด็กน้อย

กึก!

รูสที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงักเมื่อเกิดเสียงบางอย่างขึ้นมาภายในห้องที่แสนเงียบ ตากลมเหล่มองพื้นที่ตนเองนั่งเพราะรู้สึกว่ามันขยับได้ ก่อนจะหันมาหาสายลมที่นิ่งไปเช่นกัน

กึก!!

เมื่อเกิดเสียงขึ้นอีกหนเด็กก็ตาโต รีบวางกล่องข้าวแล้วผวามานั่งข้างสายลม ตากลมมองพื้นที่ตนนั่งอยู่เมื่อครู่เมื่อมันขยับได้จริง ๆ ไม่ได้รู้สึกไปเอง มันขยับอยู่อีกสองสามครั้งก่อนที่จะแง้มเปิด สายลมใช้ตัวบังเด็กไว้ ตาคมจับจ้องสิ่งที่โผล่ขึ้นมาจากช่องที่ถูกเปิดออกนั้นอย่างระแวดระวังภัย

เหนือเมฆดันตัวขึ้นมาจากทางลับ กว่าจะเปิดได้เล่นเอาเหนื่อย แต่เมื่อเห็นว่าตนโผล่ขึ้นมาไม่ผิดที่ ความเหนื่อยเมื่อครู่ก็กลับหาย ชายหนุ่มยืนขึ้น ปัดเนื้อตัวเล็กน้อยก่อนจะยืดตัวเต็มความสูง

สายลมขยับลุกขึ้นเผชิญหน้า ยังคงเบี่ยงกายบังรูสเอาไว้ สายตาคมมองจ้องเหนือเมฆที่ค่อย ๆ ปรายตามามองพวกเขา

“คงลำบากน่าดูนะ สายลม” เหนือเมฆเอ่ยเยาะ “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะข้ากำลังจะช่วยแกให้พ้นสภาพน่าอนาถใจนี่แล้ว”

“ไม่จำเป็น” สายลมตอกกลับเสียงเรียบ

“อย่าเย็นชาขนาดนั้นน่า ถ้าแกจะหันไปมองเด็กข้าง ๆ สักหน่อยน่าจะดีกว่านี้นะ”

รูสชะงักเมื่อถูกพาดพิง ขึงตาใส่เหนือเมฆที่ปรายมามองตนเอง อย่ามาเป่าหูสายลมนะ!

“แกคงไม่อยากให้เด็กมันต้องมาทนอยู่ในนี้ต่อไปหรอกใช่ไหม ข้ารู้ว่าแกมันเก่ง แต่เก่งแล้วไม่นึกถึงคนอื่นเลยแบบนี้... โคตรแย่เลยว่ะ”

“......” สายลมยังคงนิ่งเฉย ไม่เต้นไปตามสิ่งที่เหนือเมฆอยากให้เป็น

“โอกาสมาถึงแล้วนะ สายลม แกไม่คิดจะทำอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?”

“ต้องการอะไร?”

คำถามของสายลมทำให้เหนือเมฆชะงัก ก่อนจะยกยิ้มแสยะ “ไม่น่าถาม ข้าก็บอกอยู่ว่ากำลังจะช่วยแก”

“แล้วหลังจากนั้น?”

“หึ อยากให้ข้าบอกว่าอะไรงั้นเหรอ?” เหนือเมฆย้อน สองหนุ่มมองจ้องกันนิ่ง ก่อนที่สายลมจะเอ่ยขึ้นมา

“นำไปสิ”

รูสหันขวับมามองสายลมที่อยู่ ๆ ก็ยอมไปกับคนไม่น่าไว้ใจอย่างเหนือเมฆ มือเรียวเขย่าแขนเพื่อบอกให้เปลี่ยนใจ มองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเหนือเมฆสิสายลม มันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด

สายลมเบือนสายตามามองรูส มือหนาเอื้อมมากุมมือของเด็กน้อย มองตากลมที่ฉายแววตื่นตระหนกแล้วกระซิบบอกเบา ๆ

“ไม่เป็นไร เชื่อใจฉันนะ”

“......” รูสเม้มปาก ก่อนจะพยักหน้ารับคำ

สายลมยิ้มบาง กระชับมือเรียวแล้วพาลงช่องลับนั้นตามเหนือเมฆไป

เหนือเมฆพาทั้งสองคนออกมาจากประภาคารผ่านช่องทางลับได้สำเร็จ สายตาเจ้าเล่ห์ปรายมองคนด้านหลังขณะพาเดินห่างจากที่คุมขังออกมาเรื่อย ๆ สายลมเองตามมาเงียบ ๆ ตาคมยังคงจับจ้องเหนือเมฆก่อนที่จะหยุดเดินขึ้นมากะทันหัน รูสที่เดินอยู่ข้างกายเงยมองอย่างไม่เข้าใจ หันมองดูรอบ ๆ ก็เห็นแต่ป่ารกครึ้ม นี่พวกเขาหนีพ้นแล้วหรือ?

คนที่เดินนำหน้าค่อยหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่าผู้ตามไม่คิดจะตามเขามาแล้ว ปืนถูกยกเล็งมาหา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านประการใด

“ดูเหมือนแกจะรู้ตัวแล้วสินะ... อ้อ ไม่สิ แกรู้ตัวดี แต่เพราะไอ้เด็กนั่นเลยยอมตามฉันมา พ่อคนดี” เหนือเมฆเยาะหยัน

รูสมองสายลมสลับกับเหนือเมฆ ที่สายลมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้เพราะเขาอีกแล้วหรือ?

“ฉันรู้” สายลมว่า “แต่ไม่เข้าใจอยู่อย่าง... ทำไมแกถึงได้อยากเอาชีวิตฉันนัก ทั้งที่ทุกอย่างมันควรดีขึ้น แต่แกกลับทำให้มันแย่ลงกว่าเดิม เพื่ออะไรกัน?”

ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างแคลงใจ เหนือเมฆดูอ่อนลงหลังจากถูกพาออกมาจากคุกมืด คงเพราะนางมารียา แล้วตอนนี้กลับมาตลบหลังพวกเขาอีก มันคืออะไร?

“แม่ข้า... สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของแก” เหนือเมฆคำรามในลำคอ

แม้จะบอกเพียงแค่นั้นสายลมก็พอจับทางได้ ชายหนุ่มพยักหน้าเนิบช้า คงเกิดเรื่องกับนางมารียาอย่างนั้นสินะ “สรุปแล้วแกทำงานให้ใครกันแน่ เรื่องที่โรงพยาบาลนั่นแค่สร้างสถานการณ์งั้นเหรอ?”

“เหอะ!” เหนือเมฆกลอกตาพลางทำเสียงหยัน “แกไม่คิดล่ะว่าเป็นฝีมือหมอปลายฟ้า?”

เมื่อถูกย้อนถาม สายลมจึงว่า “นั่นก็เพราะ...”

สายตาคมมองเลยไหล่ของเหนือเมฆไปด้านหลัง เหนือเมฆเริ่มเอะใจ แต่ไม่กล้าหันเพราะกลัวจะเป็นกลลวงให้ตนเสียสมาธิ แต่เสียงสวบสาบที่เกิดขึ้นทำให้ปลายกระบอกปืนต้องเปลี่ยนด้าน กายหนาหันกลับ เป็นขณะเดียวกันกับที่ร่างเขื่องของเจ้าป่ากระโจนเข้ามาใส่

โฮกกกกกกกกกกก

เปรี้ยง!!

เสียงปืนดังขึ้นพร้อมเสียงคำราม ลูห์พุ่งเข้าใส่จนเหนือเมฆล้มลงไป มันใช้เท้ากดหน้าของเหนือเมฆข้างหนึ่งลงกับพื้น ปืนในมือหลุดกระเด็นไปหยุดที่ปลายเท้าของใครบางคน คนคนนั้นค่อยก้มลงเก็บ เหนือเมฆเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดแก่สายตา

ผู้ที่ก้มลงเก็บปืนยืดตัวขึ้น มองปืนในมือของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค่อยหันปากกระบอกมาทางเหนือเมฆที่นอนอยู่บนพื้นอย่างหมดทางไป เสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ทำให้เหนือเมฆกลอกตาไปมอง ลุงหลงบ้าใบ้คือผู้ที่เข้ามาสมทบด้วยอีกคน

“รูส นายน้อย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

ชายสูงวัยเข้าไปตรวจดูร่างกายลูกชายด้วยความเป็นห่วง เหนือเมฆมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะกระจ่างใจเมื่อรู้ว่าลุงหลงไม่ได้บ้า แค่แกล้งบ้า และยังเป็นพวกเดียวกันกับสายลม คงมีแต่เขาที่โง่เง่า พวกมันรวมหัวกันหลอกเขา!

สายลมก้าวมาหยุดข้างตัวเหนือเมฆ ก่อนย่อกายลงมองหน้ามันที่กัดกรามกรอด ท่าทางแค้นจัด

“หวังว่าคราวนี้แกคงจะมีคำตอบดี ๆ ให้พวกฉันนะ เหนือเมฆ”

“......”

แววตาคนแพ้วาวโรจน์ เจ็บใจนัก เขาไม่มีทางชนะสายลมได้เลยใช่ไหม โธ่เว้ย!


ประตูลับในประภาคารถูกเปิดออกอีกครั้ง รูสถูกดันตัวขึ้นมาก่อน เจ้าตัวเล็กรีบคลานให้พ้นปากทางเพื่อให้สายลมขึ้นมาบ้าง เมื่อขึ้นมากันแล้วสายลมจึงก้มลงบอกกับคนด้านล่าง

“ฝากจัดการเรื่องต่อด้วยครับ”

เมื่ออีกฝ่ายรับคำจึงขยับออกมาให้เด็กก้มลงบอกลุงหลงบ้าง

“พ่อไม่ต้องเป็นห่วง รูสจะดูแลตัวเองให้ดี”

ลุงหลงพยักหน้ารับ ก่อนจะฝากฝังนายน้อยให้ช่วยดูแลตัวยุ่งอีกแรง แกยังมีหน้าที่ที่นายน้อยฝากให้ทำอีก หวังว่ามันจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี


......


ขณะที่หลายชีวิตหลับใหลในค่ำคืนนี้ ห้องของนายลามุภายในบ้านของนายซานิน ชายชรานอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง ไร้คนชิดใกล้ดังเช่นที่เคยเป็น ยิ่งรู้ว่าที่ทุกอย่างมันเป็นเช่นนี้เพราะความผิดพลาดของตน นายลามุจึงไม่คิดขัดขืนเมื่อถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ที่อยากร้องขอก็มีเพียงเรื่องของหลานชายกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่านั้น ไม่อยากให้พวกเขาต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง

เงามืดเร้นกายเข้ามาในห้อง ฝีเท้าเบาราวไร้น้ำหนัก ข้างตัวมีปืนเก็บเสียงหนึ่งกระบอก มือภายใต้ถุงมือหนากำกระชับด้ามปืน ก่อนจะยกเล็งไปยังผู้ที่นอนอยู่บนเตียง สายตาภายใต้ความมืดของห้องมองเป้าหมายอย่างหมายมาด นิ้วเกี่ยวเหนี่ยวไกปืนค้างเอาไว้ก่อนจะค่อยกดมันลงไปทั้งในใจกระหยิ่มย่อง

โครม!!!

ประตูห้องถูกพังเข้ามาพร้อมชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่งที่มีอาวุธครบมือ คนร้ายหันขวับไปมองด้วยความตระหนก ดวงตาเบิกขึ้นก่อนจะหันกลับมาที่เตียงแล้วชะงักกึก ปลายกระบอกปืนจากคนบนเตียงเล็งมาที่เขาไม่พลาดเป้าแม้แต่เซ็นต์เดียว และยิ่งไปกว่านั้น หาใช่นายลามุอย่างที่เข้าใจไม่

“หมอปลายฟ้า...”

คนร้ายพึมพำชื่อของบุคคลที่เล็งปืนมาที่ตน สายตาลอกแลกหาทางหนีทีไล่ ร่างสันทัดพุ่งตัวไปที่หน้าต่าง แต่เมื่อก้มลงมองด้านล่างกลับพบว่าเต็มไปด้วยคนของนายซานินล้อมรอบเอาไว้หมดแล้ว ขาแทบหมดเรี่ยวแรง หากยอมแลกมีแต่ตายกับตาย ร่างนั้นรูดตัวลงนั่งบนพื้น ยกมือสองข้างพร้อมปืนขึ้นเหนือศีรษะอย่างยอมแพ้

หมอปลายฟ้าลงจากเตียงมาอย่างระแวดระวัง สั่งการลูกน้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ขณะที่หันหลังจะก้าวเดินออกจากห้องไป อะไรบางอย่างก็กระเซ็นมาโดนข้างแก้มและเสื้อจนซึมสู่แผ่นหลัง

คุณหมอหนุ่มชะงักงัน ชาไปทั้งร่างเมื่อเอื้อมมือไปแตะความชื้นที่แก้มของตน ของเหลวสีแดงสดส่งกลิ่นคาวคลุ้งทำให้มือของเขาสั่นจนควบคุมไม่อยู่

เมื่อหันกลับมามองด้านหลัง ร่างของคนร้ายนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น มีเลือดไหลซึมลงมาจากข้างขมับ ภาพที่เห็นทำให้คุณหมอหนุ่มนิ่งงัน กำมือข้างที่สัมผัสเลือดแน่นเพื่อไม่ให้มันสั่นไปมากกว่านี้

“หมอ”

เสียงเรียกสติจากใครคนหนึ่งดังขึ้นทำให้หมอปลายฟ้าต้องกลืนก้อนความรู้สึกลงไป ก่อนจะหันกลับแล้วเดินออกจากห้องโดยไร้คำพูดจา

ผู้ที่เอ่ยเรียกเมื่อครู่คือนายลามุ สายตาฝ้าฟางมองตามหมอปลายฟ้าไปด้วยความเป็นห่วง ถึงอย่างไรก็หลาน ต่อให้จะแสดงออกว่าเป็นคนร้ายกาจอย่างไรก็ตาม นายลามุก็ยังอดห่วงไม่ได้



หมอปลายฟ้ากลับมาที่ห้องของตน เข้าไปล้างมือเปื้อนเลือดนั่นในห้องน้ำ แต่กลับรู้สึกว่าล้างเท่าไรมันก็ล้างไม่ออก ความรู้สึกผิดมันติดตรึงในใจเขาไปแล้ว ต่อให้ถูจนมือถลอกมันก็ไม่สามารถลบล้างออกไปได้

คุณหมอหนุ่มกำมือแล้วทุบลงบนอ่างเต็มแรง หอบหายใจหนักจนแผ่นอกกระเพื่อมไหว เขาค่อยเดินออกจากห้องน้ำมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน กุมศีรษะแล้วซบหน้ากับฝ่ามือของตน นับวันสถานการณ์มันยิ่งรุนแรงมากขึ้น มีคนตายต่อหน้าเขา ในชีวิตหมอใช่ว่าไม่เคยพบเจอการตาย ย่อมต้องผ่านเรื่องพวกนี้มาบ้าง แต่ไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะความบาดหมาง ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งในผลประโยชน์เช่นตอนนี้

พวกเขาพยายามคลี่คลายเรื่องทุกอย่างแต่กลับต้องแลกมาซึ่งชีวิต มันคุ้มจริงหรือ คุณหมอหนุ่มได้แต่ถามตนเองอย่างไร้ซึ่งคำตอบ ในตอนนี้เขาได้รู้บางอย่างเพิ่มขึ้นมา แต่มันกลับต้องแลกมาซึ่งชีวิตคนหนึ่งคน ต่อไปมันอาจเป็นสอง สาม สี่ หรือห้า เขาไม่อยากนึกถึง

ความขัดแย้งระหว่างครอบครัวของเขาและสายลมยังมีใครอีกคนอยู่เบื้องหลังคอยยุแยงอยู่ตลอด แม้แต่การเข้าไปหมายจะปลิดชีวิตนายลามุ หากเขาคาดเดาไม่ผิดก็คงเพื่อโยนความผิดให้ปู่ซานินของเขา เพื่อให้เขาและสายลมเปิดศึกกันเร็วขึ้น หากไม่อยากให้เกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้ เขาจะต้องปิดบัญชีมันให้ได้!




TBC



บวกขอบคุณไปอีกหนึ่งจึ้กค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๐ เงามืด // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 27-08-2018 18:56:10
ปู่ๆนิ่ช่างร้ายนัก
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๐ เงามืด // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 27-08-2018 19:31:19
เราเริ่มจะเดาทางแบบมั่วซั่วแล้วอ่า ยังเหลือผู้เฒ่าอาจีฟอีก ไม่เดาแล้วดีกว่าจะรออย่างใจเย็น?  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๐ เงามืด // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 27-08-2018 22:01:24
ยิ่งอ่าน
ยิ่งลุ้น

ศึกในก็กำลังคุกรุ่น
ศึกนอกก็กำลังจะเข้ามาปะทะ


รอลุ้นกับตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๐ เงามืด // ๒๗.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 28-08-2018 11:30:32
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๑ จบเกม // ๒๘.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 28-08-2018 12:58:05
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๑ จบเกม



ชายป่าท้ายเกาะ ลูห์วิ่งนำลุงหลงมาเพื่อพบใครบางคน มันส่งเสียงในลำคอเมื่อคนแก่วิ่งช้าไม่ทันใจ ถึงอย่างนั้นลุงหลงก็ไปเร็วกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้อยู่ดี ชายสูงวัยหอบหายใจ เดินเซไปนั่งพักตรงโคนต้นไม้ให้หายเหนื่อยหอบ ลูห์จึงได้เดินตรวจดูรอบ ๆ เพื่อดูแลความปลอดภัย

เมื่อพักได้เพียงครู่เดียวลุงหลงก็ลุกขึ้น ไม่อยากถ่วงเวลาให้มันนานกว่านี้ แกต้องรีบคลี่คลายสถานการณ์ให้ได้โดยไว ยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่อีกมาก

“ไปลูห์ ฉันพร้อมลุยต่อแล้ว”

ลูห์หันสายตามามองก่อนเบือนกลับแล้วออกวิ่ง ลุงหลงพยายามก้าวเร็ว ๆ ให้ทันมัน คราวนี้เหมือนมันจะลดความเร็วลงอีกหน่อยเพื่อไม่ให้คลาดกัน

จนเมื่อมาถึงชายป่า ชายสูงวัยโผล่ทะลุออกมาจากอีกฝั่งก็ยืนมึนกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า แกไม่รู้มาก่อนว่าที่ตรงนี้ถูกแผ้วถางจนเตียนโล่งเป็นบริเวณกว้างถึงขนาดให้เครื่องบินลำโตจอดได้ แถมเครื่องบินที่ว่าไม่ได้มีเพียงลำเดียวเสียด้วย ยังมีเฮลิคอปเตอร์อีกสองลำจอดอยู่ข้างกัน

“นี่มันอะไรกัน?” แกรำพึง ไม่รู้จะถามใคร เพราะลูห์คงบอกแกไม่ได้

แต่ยืนงงอยู่ไม่นาน คำตอบก็มีมาให้ถึงที่ เมื่อชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก้าวออกมาจากอีกด้านของเครื่องบินในท่าระวังภัยให้ชายหนุ่มอีกสองคนด้านหลัง ลุงหลงนิ่งไปเมื่อเห็นเช่นนั้น คงเพราะคนที่นี่มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเกาะ ทำให้ไม่มีใครทันสังเกตว่ามียานพาหนะเข้าออก

ปรกติเกาะศิลาจะใช้ประภาคารเป็นที่ตรวจตรา หากมียานพาหนะต้องสงสัยจะได้หาทางป้องกันได้ทันท่วงที นึกแล้วลุงหลงก็เริ่มเอะใจ หรือที่หมอปลายฟ้าให้คนจับนายนายน้อยไปขังไว้ที่นั่นก็เพื่อลดการระวังภัยลง?


......


เช้าวันต่อมา

สายลมกับรูสและลูกน้องถูกนำตัวมาที่ลานขาว ชาวเกาะศิลาแห่มากันเต็มไปหมดเพราะข่าวที่แพร่ออกไป ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหูถึงสิ่งที่เกิด หมอปลายฟ้าถูกมองแง่ลบยิ่งกว่าเดิม คนที่ไม่เชื่อว่าหมอจะเป็นเช่นที่เห็นก็อดเชื่อไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าผู้ที่พวกตนนับถือจะกลายมาเป็นเช่นนี้

พ่อเฒ่าอาจีฟถูกลูกศิษย์พยุงเข้ามาในบริเวณดังกล่าวพร้อมกับบุตรสาวของตน ชายชรายืนมองทุกอย่างด้วยความสงบนิ่ง ก่อนที่ทุกสายตาจะหันเหไปสนใจใครคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในลานขาว

หมอปลายฟ้าที่เพิ่งรู้เรื่องรีบรุดมา สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่คำสั่งของตน หากแต่เป็นคำสั่งของผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั่นต่างหาก หัวคิ้วคุณหมอหนุ่มขมวดปม ปู่ของเขาสามารถมาไกลขนาดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย ใครเป็นผู้พาปู่ของเขามา หรือว่า...!

ชายหนุ่มตกใจความคิดของตน เขาดูแลปู่มาตลอด รู้ดีว่าขาของปู่นั้นไม่ได้เป็นอะไรมากมายแล้ว เพียงแต่ไม่ว่าทำอย่างไรปู่ก็ไม่ยอมทำกายภาพ นั่งแต่รถเข็น ใครเล่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วปู่ของเขา... เดินได้

หมอปลายฟ้ายกยิ้มมุมปากเพื่อเยาะหยันตนเอง นี่เขาถูกตลบหลังเสียแล้วสิ คิดจะต่อกรกับปู่ มันไม่ง่ายเลยสักนิด

“มาแล้วรึ ปลายฟ้า?” นายซานินเอ่ยทายทัก

“......” หมอปลายฟ้ายืนอยู่อีกฝั่ง มองสบสายตากับปู่ไม่หลบ

“ปู่เห็นเจ้าไม่ลงมือทำอะไรเสียทีเลยต้องเข้ามาจัดการแทน”

ชายชรายังว่าต่อ ปรายมองสายลมที่ยืนกอดอกอยู่กลางลานขาว ไม่อนาทรต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้แม้แต่น้อย นั่นทำให้ชายชราขัดใจนัก ตวัดสายตามามองผู้เป็นน้องชายอย่างนายลามุที่ถูกคุมตัวอยู่ไม่ไกลแล้วก็ยกยิ้มแสยะ อีกไม่นานหรอก หึ!

“ปู่ไม่เชื่อใจผมเหรอครับ?” หมอปลายฟ้าเอ่ยถามเสียงนิ่ง

“จะว่ายังไงดีล่ะ ไอ้เชื่อมันก็เชื่ออยู่หรอกนะ แต่...”

“......”

“ปู่ก็อยากจะเห็นความคืบหน้าบ้าง” นายซานินเล่นลิ้น มองหลานชายไม่คลาดสายตาเพื่อจับพิรุธที่มี

“ผมก็กำลังทำอยู่นี่ไงครับ ปู่ก็เห็นว่าคนใกล้ตัวปู่นั่นล่ะที่คอยยุให้รำตำให้รั่ว จนไม่เห็นว่าอะไรจริงไม่จริง” ผู้เป็นหลานโต้กลับ นึกแล้วยังเจ็บใจตนเองไม่หายที่ลงมือทำอะไรช้าจนเกินไป

“หึ ไม่เกี่ยวกัน ตอนนี้ปู่กำลังพูดเรื่องของพวกเราอยู่ ปลายฟ้า” นายซานินย้อน

ปืนถูกนำมาให้หมอปลายฟ้า คุณหมอหนุ่มมองมันนิ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายจะให้ตนทำอะไร

“พิสูจน์ให้เห็นหน่อยว่าเรายังอยู่ฝ่ายเดียวกัน”

หมอปลายฟ้านิ่งงัน พยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บกดความรู้สึกของตนเอาไว้ สายตาของทุกคนจับจ้องมองมาที่เขา คุณหมอหนุ่มพยายามไม่ฟังเสียงของคนรอบข้าง ค่อยยกปืนเล็งไปยังสายลม อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งไม่มีหลบ ต่างกับรูสที่จะถลาเข้าไปหาด้วยความตื่นตระหนกแต่ถูกรั้งไว้จนดิ้นไม่หลุด

สายตากดดันจากนายซานินมองมา เมื่อหมอปลายฟ้ายังคงไม่ลั่นไกเสียที ขณะที่สถานการณ์รอบกายกดดันคุณหมอหนุ่ม เสียงใบพัดก็ดังกระหึ่มเรียกความสนใจ ลดแรงพัดมาจากทิศทางหนึ่งทำให้ทุกคนรอบบริเวณลานขาวเงยขึ้นมอง นายซานินจึงอาศัยทีเผลอคว้าปืนจากคนของตนมาเพื่อจัดการกับสายลมด้วยตนเอง หมอปลายฟ้าที่ละสายตาจากยานพาหนะที่บินอยู่เหนือศีรษะหันไปมองผู้เป็นปู่อย่างตกใจ ก่อนที่คมกระสุนจะถูกลั่นออกจากกระบอกปืน หมอปลายฟ้าก็พุ่งตัวไปหาน้องชายตน

ปัง!!

เสียงปืนดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างของหมอปลายฟ้าเข้ากำบังเพื่อรับกระสุนแทนน้อง นายซานินนิ่งงันกับภาพตรงหน้า ทุกคนที่หันมาเห็นเหตุการณ์ต่างพากันนิ่งอึ้งตะลึงงัน

“ปลายฟ้า!” นายซานินแทบสิ้นสติเมื่อตะโกนเรียกชื่อของหลานชายจนสุดเสียง เลือดแดงฉานไหลซึมจากบาดแผลที่เขาเป็นผู้กระทำอย่างน่ากลัว

สายลมช่วยประคองพี่ชายเอาไว้เมื่อร่างนั้นซวนเซจะทรุดฮวบ รูสสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมแล้ววิ่งมาหาด้วยความตกใจ ขณะที่สายลมหันไปสั่งเจ้ากั้ง

“ไอ้กั้ง ไปเอารถมาพาหมอปลายฟ้าไปโรงพยาบาล!”

เหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ ชายฉกรรจ์หลายนายโรยตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนเหนือศีรษะของทุกคนแล้วเข้ามาล้อมสายลมไว้ราวเป็นเกราะป้องกัน ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็แหวกไทยมุงให้พ้นทาง โดยมีหนุ่มต่างชาติรูปร่างกำยำสูงใหญ่สองคนก้าวเข้ามา เรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง

สายลมละสายตาจากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมามองพี่ชายที่รูดตัวลงนั่งพิงเขา กัดกรามกรอดเมื่อเห็นว่าเลือดยังไหลจากบาดแผลของผู้เป็นพี่ไม่หยุด พลางกระซิบ

“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง”

หมอปลายฟ้ายิ้มกวนทั้งที่หน้าซีดเต็มที “หึ จะได้สมจริงไง”

“เกิดตายจริงขึ้นมาทำไง?” คิ้วคนถามขมวด ทำเป็นเล่นไปได้

“เป็นห่วงเหรอ?”

“ยังจะเล่น”

สายลมดุคนเจ็บ หมอปลายอมยิ้มก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ทำให้สายลมต้องเรียกเจ้ากั้งเสียงดัง

“ไอ้กั้ง!!”

“ครับ ๆ นายน้อย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

เจ้ากั้งที่มัวยืนโง่อยู่รีบวิ่งไปทำตามคำสั่งก่อนหน้าของผู้เป็นนาย สายลมหันไปมองชายต่างชาติสองคนพร้อมบอดีการ์ดที่ก้าวเข้ามาหาตนแล้วผงกหัวทักทาย พี่น้องของเขา เซย์ เฟอร์ริตัน และเอวาน เวสส์

บอดีการ์ดของเซย์และเอวานยืนคุมเชิงอยู่ฝั่งของสายลม ประจันหน้ากับฝ่ายนายซานินอย่างไม่ยอมกัน หมอปลายฟ้ามองผู้เป็นปู่ที่มองมาด้วยแววผิดหวัง ก่อนที่จะเค้นเสียงเอ่ยเรียกฝ่ายนั้นอย่างยากเย็น

“ปู่...”

“ทำไม... ทำไม!!” นายซานินตะโกนเสียงลั่น อยากจะคลั่งเสียให้ได้

สายลมมองชายชรานิ่ง ทุกอย่างคือแผนของพวกเขา ที่จริงไม่อยากใช้วิธีนี้เลยเพราะมันเสี่ยงเอาการ ทั้งหมอปลายฟ้ายังถูกมองไม่ดี แต่หมอยืนกรานที่จะทำ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้จะทำให้นายซานินไว้ใจจนยอมให้เขาควบคุมทุกอย่างไม่ได้ และเพื่อป้องกันการผิดพลาด หากทางฝ่ายพวกเขาเพลี่ยงพล้ำก็ยังมีแผนสำรองอย่างที่เห็น

ก่อนหน้านั้นสายลมได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเซย์และเอวานเอาไว้แล้ว ก่อนที่หมอปลายฟ้าจะจับเขาขังไว้ที่ประภาคารแล้วนำเครื่องมือสื่อสารของเขาออกไป เพื่อความสมจริงและยังพรางสายตาระแวดระวังของฝ่ายนายซานินได้ด้วย

“ผมแค่อยากทำให้ปู่เห็น... ว่าการห้ำหั่น มันไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องดี” หมอปลายฟ้าเอ่ยขึ้นมา แววตาเจ็บปวดมองสบกับปู่ของตนไม่มีหลบ “ปู่ทั้งสองอาจจะโกรธแค้นกันมาด้วยเรื่องอะไรผมไม่ทราบ แต่ผมกับสายลมผิดอะไร พวกเรา... ผิดอะไรเหรอครับ?”

“......” นายซานนินนิ่งเงียบ รู้สึกสะเทือนใจกับน้ำเสียงของผู้เป็นหลานชายนัก

“ทำไมเราต้องฆ่าฟันกันเอง ทำไมพี่น้องต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าหาก...”

“......”

“ผม... หรือสายลม คนใดคนหนึ่งต้องตายไป ปู่ทั้งสองจะมีความสุขอยู่ได้เหรอครับ?”

“ปู่ทำเพื่อเจ้า เจ้าควรมีสิทธิ์เท่าเทียมกับสายลม แต่กลับได้เป็นแค่หมอที่ทำงานรับใช้พวกมัน!” ชายชราสวนกลับ ทำให้หมอปลายฟ้าชะงัก

“อาชีพหมอคืออาชีพที่ผมเลือก มันมีเกียรติครับปู่ ไม่ใช่คนรับใช้ของใคร” หมอปลายฟ้าโต้กลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

สายลมพยุงหมอปลายฟ้าลุกขึ้นโดยมีรูสเข้ามาช่วยอีกด้านหนึ่ง พวกเขาพาคุณหมอหนุ่มไปที่รถเมื่อเจ้ากั้งขับมาจอดรอท่า ปล่อยนายซานินทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงไว้ด้านหลัง สายตาของชายชราหันไปมองผู้เป็นน้อง ต่างไร้ซึ่งคำพูดใดต่อกัน

ทางด้านเอวานพยักหน้าให้หนึ่งในคนที่ตนพามาก้าวตามสายลมไป ที่เกาะศิลามีหมอฝีมือดีคือหมอปลายฟ้าเพียงคนเดียว นอกนั้นเป็นแพทย์อาสาที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ แน่นอนว่ามันไม่เพียงพอ ทำให้สายลมมีโครงการส่งเด็กในเกาะที่ใฝ่เรียนด้านนี้ไปเรียนต่อนอกเกาะเพื่อกลับมาพัฒนาเรื่องสุขภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ เอวานจึงได้พาหมอมาด้วยเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา และมันก็ได้ใช้จริง ๆ เสียด้วย

รูสวิ่งตามสายลมมาขึ้นรถ เมื่อทั้งสามคนรวมทั้งหมอที่เอวานพามาขึ้นรถมาแล้ว เจ้ากั้งก็เอารถออกทันที ตลอดระยะทางไปโรงพยาบาล รูสนั่งตัวเกร็ง พยายามมองเฉพาะหน้าของหมอปลายฟ้า ไม่กล้ามองเลยไปมากกว่านั้น เมื่อหมอปลายฟ้าเห็นจึงเอ่ยทัก

“กลัวเหรอ รูส?”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารัว เลือดเต็มไปหมดเลย เขาไม่ชอบสีแดง โดยเฉพาะสีของเลือด เห็นเช่นนั้นแล้วสายลมจึงรั้งศีรษะเด็กมาซุกอก ไม่ให้มองในสิ่งที่ไม่อยากเห็น

หมอจากอังกฤษช่วยห้ามเลือดให้คนเจ็บ บาดแผลอยู่ตรงไหปลาร้า เฉียดหัวใจไปเพียงนิด แต่ใช่ว่าจะไม่น่าห่วง เพราะมันอยู่ใกล้กันมากทีเดียว อาจเพราะสายลมสูงกว่าหมอปลายฟ้า ทำให้วิถีกระสุนมันเลยขึ้นมาอีกหน่อย ชายหนุ่มมองพี่ชายที่มีสีหน้าซีดเซียวแล้วใจหาย หากพี่เป็นอะไรไป เขาคงยกโทษให้ตัวเองไม่ได้

ปลายนิ้วเรียวสอดเข้ามากุมมือเขาเอาไว้ สายลมชะงัก ความว้าวุ่นที่มีค่อยคลายลงเมื่อมือนั้นบีบมือเขาเบา ๆ ราวให้กำลังใจ ก้มมองเด็กที่ซุกอกตนเองอยู่ก่อนกดจูบหน้าผากนูนเกลี้ยงอย่างขอบคุณ... เขาต้องเข้มแข็ง ต้องควบคุมสติให้ได้



ทางด้านสองหนุ่มจากต่างแดนที่กำลังเผชิญหน้ากับคนบนเกาะศิลา พวกเขาออกจะหน่ายใจกับการแก่งแย่งชิงดีของคนที่นี่ เพราะไม่เคยถูกสอนสั่งให้ล้มพ่อหรือฆ่าพี่เพื่อที่จะได้มาซึ่งอำนาจ ตรรกะพวกนี้สองหนุ่มไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้ นอกจากคิดได้อย่างเดียวว่าบ้าบอและน่าเบื่อ

“บอกไว้ก่อน สายลมอาจจะเห็นว่าที่นี่คือบ้านของเขา แต่กับพวกเรา...ไม่ใช่”

เอวานเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน เขามีเด็กในปกครองเป็นคนไทย เรื่องภาษา แม้จะไม่ดีเท่าเจ้าของภาษาแต่ก็ไม่ขี้ริ้วนัก ขณะที่สายลมเองก็เป็นคนไทย ทำให้ทั้งเขาและเซย์ต่างก็ได้เรียนรู้มาบ้าง เผื่อหนุ่มไทยหนึ่งเดียวในพี่น้องทั้งสามคนจะหลอกด่าพวกเขาเป็นภาษาบ้านเกิด จะได้เอาคืนถูก

“เมื่อไรก็ตามที่เขาเอ่ยปาก ว่าเขาไม่มีความสุขกับการอยู่ที่นี่ เราพร้อมจะพาเขากลับไปทุกเมื่อ” เอวานว่าต่อ

“เราไม่เคยต้องให้สายลมลำบาก ผิดกับพวกคุณที่ใช้เขายิ่งกว่าทาส แต่เพราะเขารักที่จะอยู่ที่นี่ ทำให้เราพาเขากลับไปไม่ได้” เซย์ช่วยเสริม ไม่เคยชอบใจกับเรื่องที่พี่ชายคนรองมาอยู่ที่นี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“แต่อย่าลืม เขารักได้ เขาก็เกลียดพวกคุณได้เหมือนกัน” เอวานตอกย้ำ

สองหนุ่มทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปพร้อมบอดีการ์ด มันหาใช่เพียงการขู่ เพราะพวกเขาจะทำอย่างที่พูดแน่นอน



หมอปลายฟ้าถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดโดยมีหมอของเอวานทำการรักษา สายลมถูกพาเข้าไปเพื่อให้เลือดพี่ชายเมื่อเลือดที่มีอยู่ไม่เพียงพอ สถานการณ์กดดันจนคนด้านนอกนั่งไม่ติด รูสได้แต่ชะเง้อมองผ่านช่องกระจกทั้งที่รู้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเห็น แต่มันว้าวุ่นเกินกว่าจะนั่งเฉยอยู่ได้

ฟาริดาตามมาที่โรงพยาบาล เธอไม่ได้ต่างจากรูสสักนิด ทั้งสองคนต่างชะเง้อ รอเวลาว่าจะมีใครสักคนเปิดประตูห้องผ่าตัดออกมาบอกข่าวดีให้ได้รู้ ได้แต่ภาวนาให้คนด้านในนั้นปลอดภัย

ไม่นานนักสายลมก็ออกจากห้องผ่าตัดมา เขาไม่ยอมนอนพักในนั้นแต่เลือกที่จะออกมาข้างนอกมากกว่า เพราะคงมีคนเป็นห่วงจนนั่งไม่ติด แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเมื่อเด็กรีบวิ่งเข้ามาหาทันทีที่เห็นหน้า ท่าทางจะกังวลน่าดู

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มบอกให้อีกคนคลายใจ

ได้ยินเช่นนั้นแล้วรูสก็พามานั่งพัก ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ยังน่าห่วงอยู่ดี เมื่อนั่งลงตามที่เด็กสั่ง สายลมจึงเรียกฟาริดาให้มานั่งด้วยกัน เธอว้าวุ่นจนน่าห่วงพอ ๆ กับคนเจ็บในห้องผ่าตัด ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องรอเวลา ที่มันเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน

ผ่านไปพักใหญ่ ไฟหน้าห้องผ่าตัดก็ดับลง พร้อมกับที่หมอผู้ทำการผ่าตัดเปิดประตูออกจากห้องมาเพื่อบอกข่าวดีแก่ทุกคน ฟาริดายิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่สายลมระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มหันมามองเด็กข้างกายแล้วยิ้มให้กันบาง ๆ โล่งใจเป็นที่สุด



บ้านนายซานินในเวลาเดียวกันนั้น คนสนิทของเขากำลังลอบออกมาจากที่นั่น ชายสูงวัยรูปร่างสันทัด ผู้เป็นทั้งคนสนิทและที่ปรึกษาของนายซานิน ด้วยความไว้วางใจ ใครเล่าจะนึกว่าอีกฝ่ายจะคิดร้าย ดังเส้นผมบังภูเขา อาจเพราะความคั่งแค้นมันบังตาทำให้มองไม่เห็นถึงความเป็นจริง จนทำให้ผู้ที่ประสงค์ร้ายแทรกแซงเข้ามาควบคุมความนึกคิดได้อย่างง่ายดาย

เมื่อสถานการณ์เวลานี้ไม่เป็นไปตามแผน ชายคนสนิทของนายซานินก็จำต้องหลบไปตั้งหลัก เขากะให้มันฆ่ากันเองแล้วชุบมือเปิบทีหลัง เพราะปลายฟ้าเล่นงานไม่ยากเท่าสายลม ยืมมือสองปู่หลานกำจัดสายลมและลามุให้พ้นทาง หลังจากนั้นค่อยถล่มพวกมันยังไม่สาย แต่ทุกอย่างกลับพลิกไปหลายตลบ แผนการที่วางไว้จึงล่มไม่เป็นท่า เขาวางแผนที่จะฮุบอำนาจจากตระกูลนายซานินมานานเนิ่น ซึ่งเมื่อก่อนนี้มีบิดาของเหนือเมฆร่วมด้วย แต่มันดันทำเสียเรื่อง จนต้องตายไปเสียก่อนเพราะความโง่ของมัน ซึ่งนั่นก็ดี เพราะเขาจะได้ไม่ต้องแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่จะได้มาครอบครองให้กับใคร

เหตุเพราะเป็นคนสนิทของนายซานินและอยู่เคียงข้างมาตลอด ทำให้ฝ่ายนั้นไว้ใจ ทั้งยังสบโอกาสยามเมื่อนายซานินจิตใจอ่อนแอจากเหตุการณ์ร้ายแรงจนทำให้ขาใช้การไม่ได้ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นนายลามุผู้เป็นน้องชายตีตัวออกห่าง นั่นยิ่งทำให้นายซานินย่ำแย่ เขาซึ่งอยู่เคียงข้างจึงใช้โอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะโทษเขาก็ไม่ถูก เพราะพวกมันกระหายอยากไม่ต่างกัน ทั้งนายลามุที่หลงระเริงกับลาภยศสรรเสริญ ทั้งนายซานินที่อยากแย่งชิงอำนาจที่มีกลับมาเป็นของตน

ก้าวเดินของร่างสันทัดหยุดชะงักลงท่ามกลางความมืดของผืนป่าเมื่อมีคนมาดักหน้า เขากำลังเร่งรุดเพื่อไปยังจุดที่ตนได้ซ่องสุมกำลังคนและอาวุธเอาไว้ แต่กลับมีมารมาผจญเสียได้ ผู้ที่โผล่มาดักหน้าค่อยเผยตัวจากจุดอับแสง เมื่อแสงสว่างตกกระทบทำให้ชายสูงวัยเห็นหน้าของคนคนนั้นได้ชัดเจนขึ้น ร่างสันทัดตั้งหลักเพื่อเผชิญหน้า ขณะที่อีกฝ่ายก้าวช้า ๆ มายืนจังก้าพลางกระตุกยิ้ม

“เหนือเมฆ” เขาเรียกชื่อของมัน สายตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายจ้องชายตรงหน้าเขม็ง

“ข้าน่าจะเอะใจตั้งแต่ที่ท่านเอาปืนมาให้ข้าแล้ว” เหนือเมฆหรี่ตา เหยียดริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อพูดกับอีกฝ่าย “ตอนรู้ว่าท่านเป็นคนของนายท่านซานิน ข้าคิดแต่เพียงว่ากำลังทำงานให้ท่านซานินอยู่ แต่มันไม่ใช่เลยสินะ”

ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟัน รู้สึกแค้นใจคนตรงหน้าที่เอามารดาของเขามาขู่ ใช่ มันนั่นล่ะที่เป็นตัวการ เพราะเขาจะวางมือจากเรื่องทั้งหมดเมื่อมารดาขอร้อง ถึงเกลียดสายลม แต่เมื่อหมอนั่นมันช่วยมารดาเขาออกมาได้ เขาก็พร้อมจะจัดการกับคนที่มันคิดร้ายกับเขาให้สิ้นซาก ที่ทำอยู่นี้ไม่ใช่เพื่อหมอนั่น แต่เพราะความแค้นส่วนตัวต่างหาก

ชายสูงวัยมองเหนือเมฆด้วยความรำคาญใจ เขาอยากไปให้ถึงจุดหมายเสียที ไม่อยากเสียเวลากับไอ้เด็กโง่เง่าที่คิดว่าตัวเองฉลาดหนักหนาอย่างเหนือเมฆ

“คนในมันระวังยากกว่าคนนอก ที่คิดว่ารู้จักกันดี ที่แท้แล้วมันใช่ไหมยังไม่รู้เลย” เหนือเมฆยังว่าต่อ

“เลิกพล่ามได้แล้วเหนือเมฆ ถอยไป!”

“คงจะไม่ได้”

เหนือเมฆว่าอย่างเกียจคร้านพร้อมชักปืนออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไวพอกัน ทำให้ปลายกระบอกปืนของทั้งคู่ต่างเล็งไปหาอีกฝ่าย

“ยอมแพ้เถอะ จาร์ฟาล ตอนนี้ทั้งสายลมและหมอปลายฟ้ารู้แล้วว่าท่านอยู่เบื้องหลังเรื่องวุ่นวายทั้งหมด นึกว่าพวกเขาจะนิ่งเฉยเหรอ?”

“แล้วเอ็งคิดว่าข้ากลัวไหมล่ะ เหนือเมฆ ถ้าข้าปอดแหกอย่างเอ็งคงไม่มีทางทำอะไรสำเร็จหรอก ไอ้ขี้แพ้!”

เหนือเมฆกัดกรามกรอดกับถ้อยคำปรามาส “ขี้แพ้อย่างนั้นเรอะ!”

ปัง! ปัง!!

เสียงปืนดังขึ้นจากทั้งสองฝั่ง ก่อนที่ร่างสันทัดจะทรุดลงไปที่พื้น ขณะที่เหนือเมฆยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เลือดสีแดงฉานไหลซึมจากหัวไหล่ เพราะเขาเลือกที่จะยิงมือของฝ่ายตรงข้ามก่อน ทำให้กระสุนเฉียดเป้าหมายที่ฝ่ายนั้นเล็งเอาไว้ ก่อนจะยิงซ้ำที่ขาทำให้อีกฝ่ายทรุดลงไป เขายังไม่อยากฆ่ามันในทันที มันดูง่ายดายไปหน่อย

เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมา ทำให้เหนือเมฆเหลือบไปมอง นายซานินใช้ไม้เท้าช่วยพยุงกาย ก้าวเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับลูกน้องส่วนหนึ่งคอยคุ้มกัน นายจาร์ฟาล คนสนิทคิดร้ายของนายซานินเงยมองหน้าผู้เป็นนายของตน ความรู้สึกเคารพนบนอบที่เคยฉาบไว้บนใบหน้า มาบัดนี้มันหายไปหมดเสียแล้วในแววตา

“อยากให้ข้าจัดการกับเจ้ายังไง จาร์ฟาล?”



ใบไม้แห้งกรอบที่หล่นร่วงจากต้นลงสู่พื้นดินกระจายบริเวณเสียทั่วทิศทาง ของเหลวบางอย่างไหลซึมออกมาจากร่างที่ฟุบกายแน่นิ่ง มันขังนองบนใบไม้เหล่านั้นก่อนจะค่อยเอ่อซึมลงสู่พื้นดินด้านล่าง

นายซานินมองภาพตรงหน้าด้วยความนิ่งเฉย ความเจ็บปวดฉายในดวงตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะถูกกลบด้วยความเฉยชาประดุจเดิม กระบอกปืนในมือของร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นถูกแกะออก พร้อมกับที่ร่างนั้นค่อยถูกหามห่างออกไป ทางเลือกของนายจาร์ฟาลคือจบชีวิตตัวเอง หากจนตรอกไร้หนทางสู้ จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร การปลิดชีวิตตัวเองจึงกลายเป็นทางเลือกของคนอย่างเขา เพราะถึงแม้รอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ สุดท้ายแล้วก็คงหนีไม่พ้นลานขาว

เหนือเมฆหันมามองนายซานินเมื่อร่างของนายจาร์ฟาลถูกหามออกไป ฝ่ายนั้นเพียงปรายมองเขาก่อนผินกายกลับ ก้าวเดินจากไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย เหนือเมฆเพิ่งได้สำนึกรู้ว่าตนเองนั้นยังอ่อนด้อยนัก ความโหดเหี้ยมเมื่อเทียบกับนายซานินและนายลามุแล้ว เขาเทียบไม่ได้แม้กระผีกเดียว


....
ต่อด้านล่างค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๑ จบเกม // ๒๘.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 28-08-2018 12:58:54

อีกด้านหนึ่ง ฟากฝั่งที่ร้างไกลผู้คนบนเกาะศิลา สถานที่ซึ่งต้องเดินทางอ้อมไปไกลกว่าจะถึงจุดหมาย เหตุเพราะลูห์ควบคุมผืนป่าส่วนใหญ่เอาไว้เสียครึ่งค่อนเกาะ ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีต้องหาที่หลบซ่อนกาย ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เขาว่ากันอย่างนั้น แต่มันคงใช้ไม่ได้กับทุกคน เมื่อเจ้าป่าตัวใหญ่ค่อยเยื้องย่างนำสมุนของตนมาปิดล้อมกลุ่มคนที่ไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง

ภายใต้ความมืด แสงแวววาวจากนัยน์ตาของสัตว์ร้ายส่องประกายขึ้นมาหลายคู่ เกิดเสียงคำรามในลำคอดังขึ้นต่อกันเป็นทอด ทั้งเขี้ยวแข็งแรงแสนแหลมคมที่แยกยกทุกครั้งที่พวกมันคำราม ส่งให้พวกมันดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก พวกมันจ้องมองเป้าหมาย ก่อนจะพุ่งตัวออกจากสุมทุมไม้ที่ซุกซ่อนอยู่ ไม่ทันให้ใครในที่นั้นได้ตั้งตัวหรือเตรียมใจ จึงก่อให้เกิดเสียงโหยหวนขึ้นมาอย่างน่าขนลุก

ท่ามกลางความเงียบสงัดของชายป่า เสียงปืนดังแข่งกับเสียงคำรามก้อง การต่อสู้ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันนั้นใช้เวลาเพียงไม่นาน ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหาย หลงเหลือเพียงเศษซากของความโหดร้ายเอาไว้เท่านั้น


......


กระท่อมน้อยของสายลม

เจ้ากั้งพาสองพี่น้องจากต่างแดนมาพักที่นั่นตามคำสั่งของนายน้อย ก่อนที่มันจะค่อยเลี่ยงออกไปด้วยท่าทางหวาดระแวงบุรุษร่างใหญ่ที่เดินวนเวียนสำรวจรอบกระท่อมเพื่อคุ้มกันนายทั้งสอง เซย์เองเมื่อได้มาเห็นที่พักของพี่ชายแล้วก็ส่ายหน้า ไม่อยากจะเปรียบเทียบกับเฟอร์ริงตันของเขาเลยสักนิด เพราะกระท่อมนี่ในสายตาเขา มันทั้งเล็กและซอมซ่อเสียเหลือเกิน

“สมถะเกิน” ชายหนุ่มว่าเสียงสูง

เอวานปรายมองน้องชายคนเล็ก เซย์ก็อย่างนี้ คิดอะไรก็พูดไปตามที่ใจคิด บางทีก็ขวานผ่าซากมากไปหน่อย

สายลมกลับมาที่กระท่อมเมื่ออาการหมอปลายฟ้าพ้นขีดอันตรายแล้ว ออกจากโรงพยาบาลมาเขาก็ได้รับรายงานเรื่องคนสนิทของนายซานิน ได้รับรู้แล้วก็เหนื่อยใจเหลือเกิน ความโลภภายในจิตใจของมนุษย์ก่อให้เกิดกิเลสและตัณหา ริษยาถึงขั้นอยากได้ใคร่ครอบครองในของที่ไม่ใช่ของตน ไม่เลือกกระทั่งวิธีการที่จะได้มันมา

“ขอบใจพวกนายที่มาช่วย”

สายลมบอกกับพี่น้องของตน ทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่ไม้หน้ากระท่อมอย่างเหนื่อยล้า เซย์ที่ยืนอยู่เหนือบันไดกระท่อมกอดอกพิงต้นเสามองพี่ชายคนรอง รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพของพี่ชายในตอนนี้

“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ที่นี่มันมีอะไรดีนักหนา ใช่ ที่ว่ามันทำเงินให้พี่ได้จากการขายอัญมณี แต่เงินที่ได้พี่ก็ต้องแบ่งให้คนที่นี่ แล้วไหนจะเอามาลงทุนทำอะไรสารพัดสารเพให้พวกเขาอีก ถามหน่อยเถอะสายลม พวกเขาเคยสำนึกบ้างไหม เหมือนโยนหินลงทะเล ไม่มีอะไรสะท้อนกลับมาให้พี่สักอย่าง” พูดแล้วของขึ้น ภาษาอังกฤษรัวใส่พี่ชายจนไฟแลบ

“พอแล้วเซย์” เอวานปรามน้องเสียงเข้ม

สายลมเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ฉันจะกลับนับตะวัน นับจากนี้... ฉันจะอยู่ที่นั่น”

“อะไรนะ! พี่พูดจริงเหรอ!?” เซย์รีบก้าวลงมาหาผู้เป็นพี่ ท่าทางดีอกดีใจ

“ที่นี่มันคงไม่เหมาะกับฉัน ว่าไหม?” คนพี่ยกยิ้มมุมปากเมื่อหันสายตามาหา

“แน่นอน ไม่เห็นต้องถาม”

“เซย์”

“จิ๊” เซย์จิ๊ปากเมื่อเสียงเอวานแทรกขึ้นมา ขวางเขาตลอดล่ะเอวานน่ะ

เอวานไม่สนใจท่าทางของน้องชายคนเล็ก แต่หันกลับมาคุยกับสายลมแทน “คิดดีแล้วเหรอ สายลม นายผูกพันกับที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

“เอวาน พี่จะทำให้สายลมเขวทำไม!”

“เงียบไปเลย เซย์ ไปเดินเล่นแถวนี้ไป พี่จะคุยกัน”

“เฮ้ย ไม่ใช่เด็กแล้ว”

“เหรอ?”

“เหอะ!” เซย์ทำเสียงขัดใจ ก่อนลุกไป ปล่อยให้คนแก่เขาคุยกัน

ชายหนุ่มออกมาเดินเตร่ด้วยความเซ็ง บรรยากาศแถวนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาไม่ชอบสักเท่าไร ดวงตาคมกวาดมองรอบกาย ทะเลสีฟ้าครามเช่นเดียวกับสีนัยน์ตาของเขา มองแล้วก็ทำให้ใจสงบดี ความหงุดหงิดเมื่อครู่ค่อยคลายลงไปได้หน่อย

ยืนอยู่สักพักกายหนาก็หันกลับ สายตาสะดุดเข้ากับเด็กคนหนึ่งที่โผล่หน้ามาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ไม่ไกลจากกระท่อมของสายลม ช่วงขายาวก้าวเข้าไปหาเมื่อบอดีการ์ดหิ้วปีกเด็กคนนั้นมา เขาพยักหน้าบอกให้ปล่อย บอดีการ์ดจึงปล่อยแล้วค้อมศีรษะให้ ก่อนเดินเลี่ยงไปทำหน้าที่ของพวกตนต่อ

“สวัสดี”

เขาทักทาย เด็กมันช้อนมอง ก่อนเหลือบมองซ้ายขวาท่าทางตื่น ๆ

“มาหาสายลมเหรอ?”

เขาถามอีก อมยิ้มมุมปากเพราะจำได้ว่าเด็กตรงหน้าคือคนที่สายลมให้ช่วยสืบหาข้อมูล

“พูดด้วยก็ไม่พูด เสียมารยาทนะ”

เขาว่าอีก แต่เด็กยังเงียบ กัดปากแล้วเคาะเท้าเบา ๆ

“ฟังที่ฉันพูดรู้เรื่องไหม...”

“รูส”

เสียงสายลมดังมาแทรกเมื่อเซย์จะเอ่ยถามไถ่เด็กตรงหน้าต่อ เจ้าของชื่อหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนเหลือบมามองเซย์เล็กน้อยแล้วหมุนกายวิ่งไปหาสายลม เซย์มองแล้วก็กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนเดินตามไป

เมื่อวิ่งมาถึงกระท่อม รูสก็ยกมือไหว้เอวาน แม้สายลมจะยังไม่ได้แนะนำว่าคนตัวโตตรงหน้าเขาเป็นใคร แต่มันก็ไหว้ไปโดยอัตโนมัติ ก่อนจะนั่งตัวลีบเล็กลงข้างสายลม ตากลมเหลือบมองชายแปลกหน้านัยน์ตาสีควันบุหรี่กับอีกคนที่เขาเจอก่อนมาถึงกระท่อมด้วยท่าทางหวั่น ๆ สายลมตัวใหญ่ สองคนนี้ก็ไม่ต่างกัน ทำให้เขาดูเล็กจ้อยไปเลย

“เด็กของพี่พูดไม่ได้เหรอ ไหนว่าดีขึ้นแล้วไง?” เซย์พูดกับพี่ชาย แต่สายตากลับมองมาที่เด็กตัวผอม

“เขาคงไม่อยากพูดกับนายมั้ง” สายลมว่า หันมามองรูสที่ขยับเข้ามาเบียดเขามากขึ้น มือเรียวยกขึ้นมาเกาะต้นแขนเหมือนหาที่ยึด เด็กมันกลัวเซย์กับเอวานหรืออย่างไรกัน

เซย์โน้มตัวลงไปใกล้เด็กของพี่ชาย อีกฝ่ายก็เอนตัวห่างเสียอย่างนั้น

“ทำไมล่ะ หนูน้อย ฉันดูไม่น่าเสวนาขนาดนั้นเลยเหรอ?”

มือหนาเชยคางได้รูปเชิงหยอกเย้า แต่เด็กมันกลับหน้าเบ้ หันหน้าหนีไปซุกหลังสายลม ไม่ยอมโผล่หน้ามาคุยกับคนขี้แกล้ง

“พอแล้วเซย์ ป่วนเขาไปทั่ว”

คนเป็นพี่ปัดมือน้องที่ยังยกค้างออกห่างตัวเด็ก เซย์กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ หวงเสียด้วยนะ สายลม

“แล้วตกลงพี่จะไปจริง ๆ ใช่ไหม?” เซย์เปลี่ยนเรื่อง ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากกวนพี่สักเท่าไรนักหรอกน่า

สายลมมองหน้าน้องชายแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับ “อืม”

“เยี่ยม” ดูเซย์จะพอใจกับคำตอบของผู้เป็นพี่เอาการ

รูสที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเขย่าแขนให้สายลมหันมาสนใจ ก่อนกระซิบถาม

“สายลมจะไปไหน?”

“กลับนับตะวัน”

“นับตะวันคืออะไร?” เด็กเอียงคอ ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้

“รีสอร์ตของพ่อฉันน่ะ ฉันจะไปอยู่ที่นั่น”

ตากลมเบิกโตด้วยความตกใจ ก่อนเอ่ยถามเสียงตื่น “สายลมจะไปจากที่นี่เหรอ?”

คนตัวโตมองเด็กข้างกายด้วยแววจริงจัง พลางช้อนมือเรียวขึ้นมากุมแล้วเอ่ยถาม

“เธอจะไปกับฉันไหม?”

รูสชะงัก ก่อนจะตอบกลับไปเสียงเบาหวิว “รูสอยากไป แต่ว่า...”

“ว่า?”

“สายลมจะให้รูสไปอยู่ด้วยจริงเหรอ รูสทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ช่วยอะไรสายลมก็ไม่ได้”

“เด็กโง่ ฉันไม่ได้อยากให้ช่วยอะไรสักหน่อย แค่ไปอยู่กับฉัน อยู่ข้าง ๆ ฉัน แค่นั้นก็พอแล้ว”

“ดูไร้ประโยชน์จังเลย”

เด็กทำปากยื่น สายลมเลยหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยวจนเด็กมันทำเสียงขู่ในลำคอให้ปล่อย

“ไม่อยากไร้ประโยชน์เดี๋ยวหางานให้ทำ จะใช้ให้หนักเลย” เขาแสร้งว่า

“ใจร้าย”

“เอ๊า แล้วเมื่อกี้บอกตัวเองดูไร้ประโยชน์ พอจะให้ทำงานก็ว่าใจร้าย”

“ก็... ก็... อย่าใช้งานรูสหนักสิ แค่นิดหน่อยก็พอ” เจ้าดื้อรีบกลับคำ ยังมิวายต่อรองเสียงอ่อย

“หึ ไอ้ดื้อ”

พี่น้องอีกสองหนุ่มมองสายลมกับเด็กต่อปากต่อคำกันแล้วทำหน้าพิกล เพราะมันไม่เหมือนสายลม วินท์ คาร์ล ที่พวกเขาเคยเห็นจนชินตาเลยสักนิด ประกายตาที่สื่อความรู้สึกนั่น รวมทั้งรอยยิ้มที่มีให้เด็กตรงหน้า มันแสดงออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญอย่างไม่ปิดบัง แต่จะสำคัญในระดับไหนและฐานะอะไร พวกเขาก็คงต้องรอดูกันต่อไป เพราะอีกฝ่ายยังเด็กมากทีเดียว


......


หลังเหตุการณ์ทุกอย่างจบลง นายซานินเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านของตน ไม่ออกมาพบหน้าผู้คน ขังตัวอยู่กับความผิดหวังและล้มเหลว ขณะที่หมอปลายฟ้าก็ยังคงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลโดยมีฟาริดาเป็นกำลังใจอยู่ไม่ห่าง

ทางด้านเหนือเมฆ เมื่อนางมารียาถูกช่วยออกมาอย่างปลอดภัยก็คอยอยู่ดูแลไม่ห่าง เขาไม่ได้คิดญาติดีกับสายลม แต่เลือกที่จะต่างคนต่างอยู่เพื่อให้มารดาสบายใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ใจของเขาไม่เป็นสุขเลยสักวัน ความโกรธแค้น ความชิงชัง มันดึงรั้งเขาเอาไว้จนไม่มีสติพอที่จะหันกลับมามองคนสำคัญ และสิ่งที่เขาทำลงไปมันยังส่งผลกระทบถึงมารดา ทำให้นางเดือดร้อนทั้งกายใจ จากนี้หากมีสิ่งใดที่พอจะทำได้ เขาก็อยากทำ แม้มันจะทำได้อย่างยากเย็นก็ตามที

เรื่องของนายจาร์ฟาลนั้นถูกลบหายไปพร้อมกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม้จะมีคนหยิบยกมาพูดถึง แต่มันมักจะพาดพิงถึงนายซานินอยู่เสมอ ทำให้ไม่มีใครกล้าวิจารณ์กันมากนัก เหตุหนึ่งก็เพราะเกรงใจนายลามุผู้เป็นนายของเกาะศิลาด้วย

ชายป่ารกร้างท้ายเกาะ สายลมให้คนทำรั้วเป็นเขตกั้น ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรอยู่อีกฝั่งนายน้อยจึงได้ให้คนทำรั้วกั้นเอาไว้ เพื่อคลายข้อสงสัย สายลมจึงได้บอกกับทุกคนว่าสัตว์มีพิษชุกชุม และบางครั้งพวกพ้องของลูห์ก็มักมาหากินแถวนี้บ่อย อาจเกิดอันตรายหากล่วงล้ำเข้าไปในเขตแดนนั้น ซึ่งนั่นทำให้ไม่มีใครแคลงใจกับสิ่งที่เขาทำอีก ความลับที่แสนโหดร้ายของชายป่าแห่งนั้นจึงยังเป็นความลับอยู่เช่นเดิม แม้จะไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สายลมก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ นอกเสียจากเดินหน้าต่อไปโดยไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีก

ชายหนุ่มยืนอยู่บนชะง่อนผาโดยมีลูห์อยู่ข้างกาย สายตาคมมองคนของตนที่กำลังช่วยกันทำรั้วกั้นเขตแดนอยู่ข้างใต้นั่นด้วยความเจ็บปวดที่จำต้องกดมันกลับลงไป ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เขาในมุมที่ไม่อยากนึกถึง เด็กหนุ่มที่มองความตายตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย ความทรงจำเหล่านั้นมันย้อนคืนเมื่อเขาได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชายป่าผ่านนัยน์ตาของลูห์ รู้สึกอยากอาเจียนด้วยความคลื่นเหียนกับกลิ่นคาวเลือดและเนื้อหนังที่ถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น

‘ลืมมันซะ สายลม’


เสียงของลูห์ดังขึ้นมาในหัว สายลมหลับตาลงช้า ๆ แล้วนิ่งอยู่เช่นนั้น ปล่อยให้ลมพัดผ่านกาย ดับความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นในจิตใจ จะทำอย่างไรถึงจะลบมันออกไปได้...


......


“อะไรนะ!?”

เสียงราซิสดังลอดออกมาจากห้องทำงานภายในบ้านด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่าการส่งคนไปเกาะศิลาเพื่อสิ่งหนึ่ง จะได้อีกสิ่งหนึ่งกลับมา แม้เรื่องธุรกิจกับนายกำชัยจะล้มเหลวและเสียกำลังคนไปจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อแลกกับข่าวที่ว่าน้องชายสุดที่รักของเขายังมีชีวิตอยู่ มันกลับคุ้มค่าเสียยิ่งกว่า

ใช่ รูสอยู่ที่นั่น เขาไม่สนว่ามันรอดตายมาได้อย่างไร ไอ้ซาน ลูกน้องไม่เอาไหนของเขาทำพลาด หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ เมื่อหาเขาตัวมันเจอก็ดีแล้ว ไม่ต้องลงไปงมหาในท้องทะเลโดยไร้จุดหมายอีกต่อไป

“พวกแกแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ดูผิด?” ราซิสยังย้ำถามเพื่อความแน่ใจ

“ครับ ผมเห็นมากับตา นอกจากคุณรูสแล้ว ตาแก่ริวอาก็อยู่ที่นั่นด้วย”

“ริวอา?” ไม่นึกว่าจะได้ยินชื่อนี้อีก ตาแก่นั่น หัวแข็งจริง “เอาล่ะ พวกแกทุกคนฟังให้ดี ใครก็ตามที่พาตัวรูสกลับมาได้ ฉันจะมีรางวัลให้อย่างงาม”

“แต่เกาะศิลาตอนนี้มันวางเวรยามแน่นหนา...”

“เรื่องนั้นฉันไม่อยากรู้!” ราซิสตะคอกเมื่อลูกน้องหาเรื่องมาแย้ง

“......” เหล่าลูกน้องได้แต่ก้มหน้าลง ไม่มีใครอยากมีปัญหากับราซิส

“บอกพวกที่หลบซ่อนอยู่ในเกาะนั่นจับตาดูมันไว้ให้ดี สบโอกาสเมื่อไรก็เอาตัวมันกลับมาให้ได้!!”




TBC




บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๑ จบเกม // ๒๘.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 28-08-2018 15:50:05
ถึงคำพูดเซย์จะเหมือนพูดแง้วๆ แต่เจ็บดี ทำให้ทุกอย่างแล้วได้อะไรกลับมา โห.... ค่าตัวแพง แต่มาทีเอาซะให้คุ้มค่าตัวเลย
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๑ จบเกม // ๒๘.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 28-08-2018 19:36:36
ศึกภายในจัดการเรียบร้อยแล้วก็มาจัดการศึกภายนอกกันต่อ  o18 o18 o18 
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๑ จบเกม // ๒๘.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 28-08-2018 21:14:33
แค่คิดถึงตอนต่อไป
ก็อดห่วงน้องรูสไม่ได้แล้ว

พี่สายลมดูแลน้องดีๆนะ

ชอบเซย์ ความป่วนของเซย์เป็นสีสันเลยนะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๑ จบเกม // ๒๘.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-08-2018 12:06:06
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๒ นับตะวัน // ๒๙.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 29-08-2018 12:35:17
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๒ นับตะวัน



เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หมอปลายฟ้าก็ขอกลับมาบ้านของตน ยิ่งรู้ว่าผู้เป็นปู่เอาแต่เก็บตัวเงียบ เขายิ่งห่วง แม้อาการของตนเองจะยังไม่ถึงขั้นที่จะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็ห่วงใยท่านจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้

คุณหมอหนุ่มเข้ามาหานายซานิน ค่อยคุกเข่าลงตรงหน้าก่อนจะก้มกราบที่ตักของผู้เป็นปู่ แต่ชายชราไม่คิดชายตาแล ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงอาการตอบรับใด ๆ

“ผมรู้ว่าปู่โกรธ...” หมอปลายฟ้าเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา “และอาจจะเกลียดผมแล้ว... แต่ผมอยากบอกว่าผมไม่ได้ต้องการอำนาจหรืออะไรพวกนั้น สิ่งที่ผมต้องการคือการได้ดูแลปู่ ผมถึงได้เรียนหมอและพยายามทำมันจนเต็มความสามารถ”

“......” นายซานินยังคงเงียบ ปล่อยให้หลานชายพูดในสิ่งที่อยากพูด

“ผมไม่ได้อยากเป็นนายน้อย นายใหญ่ อะไรทั้งนั้น... สายลมเองก็เช่นกัน... ตลอดมาปู่คงเห็นว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อเราทุกคนที่นี่มากแค่ไหน ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องทำมันด้วยซ้ำ”

“.......”

“เขาไม่เคยอยากได้ใคร่ดี อำนาจสำหรับเขา ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย”

“......”

“พวกเราโตมาด้วยกัน เราคิดว่าเราคือครอบครัว แล้วปู่ล่ะครับ... ปู่ลามุไม่ใช่ครอบครัวของปู่เหรอ?”

“อย่ามาสั่งสอนปู่ ปลายฟ้า” ชายชราเอ่ยขัดเสียงเข้ม

“ผมขอโทษครับ”

“......”

“ผมรักปู่ และหวังว่าวันหนึ่งเราจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์เสียที”

คุณหมอหนุ่มกล่าวปิดท้ายเสียงแผ่ว กราบที่ตักของปู่อีกครั้งก่อนจะลุกออกจากห้องไป ปล่อยให้ปู่ของตนได้ใช้เวลาครุ่นคิดไตร่ตรองเพียงลำพัง เขาเชื่อว่าปู่ของเขาไม่ใช่คนใจร้าย สักวันท่านจะคิดได้... สักวันหนึ่ง

“คุณหมอ คุณหมอครับ!”

เสียงโหวกเหวกของเจ้ากั้งดังมาพร้อมกับที่ตัวของมันวิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขา หมอปลายฟ้ามุ่นคิ้ว มองเจ้ากั้งที่หอบแฮ่กอยู่ตรงหน้า

“แย่แล้วครับ... นายน้อย... นายน้อยสายลม...”

“...?”

หมอปลายฟ้ารีบมาที่บ้านของนายลามุ แม้ร่างกายตนเองจะไม่พร้อมนัก แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญที่เขาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เมื่อมาถึงก็เห็นว่าชาวบ้านบนเกาะศิลาหลายคนอยู่ที่นั่น หมอปลายนิ่งงันเมื่อคำพูดของเจ้ากั้งยังดังอยู่ในหู

‘นายน้อยจะไปจากที่นี่ครับหมอ จะไม่กลับมาหาพวกเราอีกแล้ว’ มันพูดไป ใช้แขนปาดน้ำตาไป เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่มันจะเอามาล้อเขาเล่น

ร่างสูงค่อยก้าวเข้าไปหาน้องชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนบนเกาะ มันรู้สึกตื้อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ สายลมตัดสินใจไปจากที่นี่ ส่วนหนึ่งก็คงมาจากเขา เพราะอยากให้เขาได้ขึ้นครองอำนาจ ส่งมอบสิ่งที่ปู่ของเขาสูญเสียไปกลับคืน เพราะอำนาจตัวเดียวแท้ ๆ นึกแล้วก็สะท้อนในอก จะไปจริงหรือสายลม?

สายลมที่กำลังบอกกับทุกคนถึงความจำนงของตนเองอยู่ เมื่อหันมาเห็นผู้เป็นพี่ชายก็ก้าวไปหา เรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามองตาม

“หมอปลายฟ้าคงจะดูแลที่นี่ได้ดีกว่าผม ผมมั่นใจว่าทุกคนที่นี่รักหมอ ใช่ไหมครับ?” ต่างกับเขา... ชายหนุ่มแย้งในใจ

สายลมไม่เคยคิดว่าตนเองจะน้อยอกน้อยใจอะไรเรื่องนี้ แต่อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ เมื่อความรู้สึกนั้นมันเป็นตะกอนที่นอนนิ่งอยู่ภายในใจตลอดมา เพียงแต่ไม่มีอะไรไปกวนมันให้ขุ่น จนกระทั่งวันนี้

“จากนี้หวังว่าทุกคนจะให้การสนับสนุนพี่ชายของผม คนที่ทุกคนก็รู้กันดีว่าเป็นคนดีแค่ไหน”

หมอปลายฟ้านิ่งเงียบ จุกในอกจนพูดไม่ออก ไม่ได้โกรธเคืองที่น้องไม่บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ตนก่อน แต่กำลังเสียใจที่ทุกอย่างมันเป็นเช่นนี้

สายลมหันมาหาฟาริดาที่ยืนอยู่ข้างพ่อเฒ่าอาจีฟ หญิงสาวเม้มปาก ก้าวเข้ามาสวมกอดสายลมแล้วสะอื้นเบา ใจหายเหลือเกินเมื่อคนคนนี้กำลังจะจากไป มือหนาลูบหลังเธออย่างปลอบโยนก่อนจะดันออกอย่างเบามือ

“ริด้า ผมมีเรื่องอยากขอ”

“......”

“ปลายฟ้าน่ะ... ช่วยอยู่เคียงข้างเขาด้วยนะ เขามันพวกชอบดูแลคนอื่นจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ถ้ามีริด้าอยู่ด้วยมันคงจะดีไม่น้อยเลย”

หญิงสาวมองคนพูดด้วยแววเศร้า เรื่องหมอปลายฟ้าแม้สายลมจะไม่ขอ เธอก็จะทำ แต่เธอทำใจไม่ได้ที่สายลมจะไปจากที่นี่ ทั้งสองหันไปมองหมอปลายฟ้าที่เงียบมาตลอด คุณหมอหนุ่มเองก็มองน้องชายนิ่ง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา

“นายจะทิ้งทุกอย่างไปงั้นเหรอ สายลม ทั้งที่...” เขาพูดไม่ออก แม้สายลมจะเคยบอกว่าวันหนึ่งอาจจะไปจากที่นี่ แต่นี่มันรวดเร็วจนเขาตั้งรับไม่ทัน “ทั้งที่พวกเราช่วยกันสร้างมันมา แล้วตอนนี้... นายก็กลับจะทิ้งมันไปอย่างนั้นเหรอ?”

คำพูดของหมอทำให้เซย์ที่ยืนถัดไปจากกลุ่มคนบนเกาะศิลาเพียงไม่ไกลขยับตัว อยากโต้กลับแทนพี่ชายตน แต่เอวานแตะแขนไว้ทำให้หนุ่มอารมณ์ร้อนได้แต่ฮึดฮัด เรื่องนี้ควรปล่อยให้สายลมจัดการเองจะดีกว่า

“ผมขอโทษ”

เพียงคำเดียวจากปากของน้องชายทำเอาหมอปลายฟ้าไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้เลย ขอโทษหรือ สายลมไม่จำเป็นจะต้องขอโทษเขาเลยสักนิด เขามันบ้าที่พูดแบบนั้นออกไป เขาต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษ

“นายน้อย อย่าไปเลยนะครับ... ถ้านายน้อยไปแล้วข้าจะอยู่รับใช้ใคร... ใครจะคอยดุด่าข้าเวลาข้าทำผิด... ใครจะคอยตบกบาลเวลาข้าทำตัวไร้สาระ... ไม่มีนายน้อย ข้าจะทำยังไง?” เจ้ากั้งมันร้องไห้โฮ น้ำตาไหลพราก ๆ ยิ่งกว่าเขื่อนแตก สายลมเตะตูดมันที่ติงต๊องคงเส้นคงวาเสียเหลือเกิน

หลายคนเออออตามเจ้ากั้ง ต่างขอร้องให้สายลมอยู่ต่อ ไม่อยากให้ไป แต่เมื่อเขาตัดสินใจแล้วก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้อีก

“ผมอยากให้ทุกคนยอมรับในการตัดสินใจของผมในครั้งนี้ ผมไม่ได้เกลียดเกาะศิลา รวมทั้งคนของเกาะศิลาด้วย”

“......”

“แม้จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่ผมก็ยังคงคิดถึงทุกคนเสมอ และคงจดจำได้ไม่ลืม ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาดี ๆ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา”

สายลมสรุปโดยไม่ให้ใครได้โต้แย้งตนเองอีก ชาวเกาะศิลาต่างซึมไปตาม ๆ กัน เมื่อมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่คิดจะถนอม ถึงเวลาที่ต้องสูญเสียถึงได้มาสำนึกทีหลัง เวลานั้นมันก็สายไปเสียแล้ว

หลังจากที่ทุกคนกลับไป นายลามุจึงได้คุยกับหลานชายของตน ก่อนนี้คุยกันไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสายลมเดินเข้ามาบอกว่าจะไป เขาพยายามเหนี่ยวรั้ง แต่สายลมก็ยังไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ เมื่อไม่อยากให้หลานชายต้องลำบากใจ นายลามุจึงต้องยอม

“ปู่คงทำให้เจ้าลำบาก” ชายชราว่า

“ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยครับ อาจจะมีช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาอยู่ที่นี่แล้วต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างเกาะศิลากับอังกฤษ ยอมรับว่าเหนื่อย แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกสนุกกับมัน ผูกพันกับที่นี่ กับผู้คน กับธรรมชาติ... กับลูห์” ชายหนุ่มหันมามองลูห์ มันอยู่ข้างเขามาตลอด แม้จะต้องพบเจอกับอะไร “อาจเพราะมีมัน ผมถึงก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเกรงต่ออะไรทั้งสิ้น”

“ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่หลานก็เลือกที่จะจากไป”

“มันคงถึงเวลาแล้วครับปู่ ผมรู้ตัวดีว่าคงทำให้ใครรักทั้งหมดไม่ได้ แต่อย่างน้อยหากพวกเขาจะยอมรับในความเป็นผม ในความเป็นสายลม ไม่ต้องเป็นนายน้อยหรืออะไรทั้งนั้น แต่มันก็ยากเกินกว่าจะทำได้ ผมทำลายกำแพงที่หลายคนกางกั้นผมลงไม่ได้... ผมควรจะยอมรับมันเสียที”

หมดคำจะทัดทาน นายลามุเองเมื่อถึงตอนนี้ก็รู้สึกผิดต่อหลานชายอยู่ไม่น้อย สายลมเคยอยู่สบายกับพ่อบุญธรรม กลับต้องมาลำบากลำบน ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก เจอบททดสอบหนักหนาถึงขั้นได้บาดแผลที่หางคิ้วมา และมันยังฝากร่องรอยเอาไว้อย่างชัดเจน เมื่อไรก็ตามที่เขาเห็นแผลนั่น มันจะคอยตอกย้ำเสมอว่าการที่เขาพาหลานชายมาที่นี่ ทำให้หลานต้องเสี่ยงอันตรายมากเพียงใด แต่เวลานั้นเขาเพียงคิดว่าหลานจะแกร่งขึ้น ดำเนินรอยตามและสืบทอดตำแหน่งที่เขาภูมิใจหนักหนา คิดเพียงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็เพื่อหลานชายของเขา แต่มาวันนี้มันกลับไม่ใช่เลย ที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น ความหนักหน่วงที่ถ่วงอยู่ในอกทำให้ไม่อาจเอ่ยปากว่าไม่ให้ไปได้ดังเช่นแต่ก่อน

เซย์ที่มองเหตุการณ์อยู่ดูจะพอใจเหลือเกินกับการตัดสินใจของพี่ชาย ขณะที่เอวานยังคงนิ่งดุจเดิม ไม่ว่าน้องของเขาจะทำอะไร จะตัดสินใจแบบไหน เอวานก็พร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ



ค่ำนั้นสายลมออกมาหาลูห์ที่หน้ากระท่อม แต่ไร้เงาของลูห์เช่นทุกครั้ง มันคงไม่พอใจเขานักที่ตัดสินใจจะจากที่นี่ไป แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่ออยู่ที่นี่แล้วทำให้มันเกิดปัญหา ก็ควรจะถึงเวลาที่เขาต้องไปเสียทีแล้วไม่ใช่หรือ

“ลูห์”

ชายหนุ่มเอ่ยเรียก แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่แน่ใจว่ามันต้องรับรู้ในสิ่งที่เขาอยากจะพูด ร่างสูงใหญ่นั่งลงที่ขั้นบันไดตรงชานกระท่อม ก่อนจะระบายความในใจกับความว่างเปล่าตรงหน้า

“ฉันรู้ว่านายคงไม่พอใจกับการตัดสินใจของฉัน หรือบางทีนายอาจจะโกรธที่ฉันทิ้งทุกอย่างไป แต่ว่า...” ชายหนุ่มเว้นระยะเล็กน้อยพลางทอดถอนใจแล้วว่า “ฉันเหนื่อย...”

“......”

“นายเข้าใจมันใช่ไหม?”

เงาร่างใหญ่พร้อมกับอุ้งเท้าที่ก้าวเข้ามาหาทำให้สายลมเงยมอง นัยน์ตาสีทองมองตรงมาที่เขา ต่างจ้องมองกันอยู่เช่นนั้นโดยไร้คำพูด เสียงลมหวีดหวิวที่พัดพาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่รอบกาย

“นายเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง เป็นครอบครัวของฉัน... นายสำคัญกับฉันมาก”

‘หึ’ ลูห์ทำเสียงแปลก ๆ ในลำคอ มันเบือนสายตาไปทางอื่น มองฝ่าความมืดมิดไปแสนไกล

“นาย... ไปด้วยกันกับฉันไหม ลูห์?”

‘ตลกน่า’

“หึ”

สายลมยิ้มหยันตนเอง นั่นสิ เขารู้ดีว่ามันเป็นคำถามที่โง่เง่า เขาจะพาลูห์ไปจากที่นี่ได้อย่างไร ลูห์เป็นเจ้าป่า คือสัตว์คู่บารมีของนายแห่งเกาะศิลาที่ผู้คนต่างยำเกรง ลูห์คงทิ้งที่นี่ไปไม่ได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร หากเป็นไปได้ก็อยากให้อยู่ด้วยกันเช่นที่ผ่านมา

เมื่อปล่อยให้ความเงียบลอยตัวอยู่นานลูห์ก็หมุนกายกลับ มันค่อย ๆ เดินหายลับไปกับความมืดมิด โดยที่สายลมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นมาว่า การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ มันถูกต้องแน่แล้วใช่หรือไม่


......


เมื่อถึงวันออกเดินทาง ลูห์หายหน้าไปแต่เช้า แม้สายลมจะเรียกมันก็ไม่ยอมออกมา ชายหนุ่มได้แต่หนักใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้วได้ ถึงอย่างไรเขาก็คงต้องไปในสักวันหนึ่งอยู่ดี

ก่อนหน้านั้นพ่อเฒ่าอาจีฟได้มาหาเขา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น มันคงเกี่ยวพันกับเรื่องที่เขาพารูสเข้ามายังเกาะศิลา ตั้งแต่วันแรกที่พ่อเฒ่าอาจีฟเห็นรูสถึงได้บอกให้เขาพาออกไป แต่เขายังดันทุรังให้รูสอยู่ที่นี่ และเขาก็เพิ่งได้รู้ว่าที่พ่อเฒ่าบอกในวันนั้นเป็นเพราะรูสคือคนที่จะมาพาเขาไปจากเกาะศิลา ซึ่งมันไม่ได้ผิดไปจากที่ชายชราคาดการณ์แต่อย่างใด เมื่อในวันนี้เขากำลังจะจากไปจริง ๆ

ชายชราบอกกับเขาว่าชะตาชีวิตคนเราผกผันได้เสมอ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดเส้นทางเดินของเรา เวลานี้เขาอาจจะกำลังเหนื่อยและทดท้อจนอยากหยุดทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงเบื้องหลัง มันไม่ผิดหากคิดจะทำเช่นนั้น พ่อเฒ่าอาจีฟชอบพูดเป็นปริศนาวกวน สายลมก็ได้แต่ทำเสียงหึในลำคอพลางยิ้มมุมปาก

“นายน้อยคือสายเลือดของเกาะศิลา ต่อให้จากไปไกลแค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องหวนกลับมา” ชายชรากล่าวปิดท้าย

“พ่อเฒ่า ผมบอกแล้วว่าที่นี่ผมยกให้ปลายฟ้าดูแล”

“นายน้อยจะบอกว่าตัวนายน้อยเองจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วอย่างนั้นรึ?”

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ค่อยหันมามองชายชราแล้วยิ้มมุมปากเพียงบางเบา “พ่อเฒ่าเป็นนักพยากรณ์นี่ น่าจะรู้ดีว่าในอนาคตผมจะได้กลับมาที่นี่ไหม แล้วเมื่อครู่พ่อเฒ่าก็บอกเองว่าไม่ว่าผมจะไปไกลแค่ไหน สุดท้ายยังไงก็ต้องหวนกลับมาที่นี่ หรือไม่ใช่?”

“ท่านมันช่างยอกย้อน”

สายลมหัวเราะในลำคอเมื่อถูกเหน็บมาเช่นนั้น “ผมไม่รู้ว่าพ่อเฒ่ากำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ทุกอย่างมันย่อมต้องเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น หากเรายังมีวาสนาต่อกัน ก็คงกลับมาพบกันอีกดังเช่นที่พ่อเฒ่าบอก”

“ข้าเพียงแต่ห่วงใย” ชายชราว่า

“ขอบคุณ ในเกาะศิลาแห่งนี้นอกจากปู่ของผม พ่อเฒ่าคืออีกคนที่ผมเคารพรักเสมอ”

พ่อเฒ่าอาจีฟถอนใจเบา เมื่อสายลมได้ตัดสินใจไปแล้วคงไม่มีทางขวางได้ แต่สักวันหนึ่งซึ่งตัวเขาเองก็ไม่อาจกำหนดได้ว่าวันไหน สายลมที่พัดผ่านไปจะหวนคืนกลับมา รูสล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำพา ทั้งการจากลาและย้อนคืน



ทุกคนมาส่งสายลมเมื่อถึงเวลา การเดินทางครั้งนี้เขามีเพื่อนร่วมทางคือรูสและลุงหลง มันน่าใจหายที่ต้องเอ่ยคำลากับผู้คนที่อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน

“ไปพักผ่อนให้สบายใจ รู้สึกดีขึ้นเมื่อไรก็กลับมา พี่จะรอน้องชายคนนี้เสมอ” คุณหมอหนุ่มวางมือบนบ่าคนเป็นน้อง รอยยิ้มที่มีเจือรอยเศร้า

สายลมไม่ได้ให้สัญญา เพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำมันได้ไหม สิ่งที่รู้ในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือเขาไม่มีทางลืมคนที่นี่แน่ ๆ

รูสเข้าไปกอดฟาริดา บอกขอบคุณเธอที่ดูแลมาตลอด รวมทั้งพ่อเฒ่าอาจีฟก็ด้วย ถึงแม้พ่อเฒ่าจะบอกว่าเขาเป็นตัววุ่นวายแต่ก็ห่วงใยเขาเสมอ หมอปลายฟ้าเองก็แสนจะใจดี รูสไม่ลืมที่จะขอบคุณเขาเช่นเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่เจ้ากั้งที่คอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลาที่สายลมไม่อยู่ หาข้าวปลาอาหารมาให้ ถึงเจ้ากั้งจะชอบบ่น แต่รูสก็รู้ว่ามันเป็นคนดี

เขาละสายตาจากทุกคนมาที่เพื่อนตัวน้อยอย่างพวกเจ้าโต ไอ้เด็กหัวโจกพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะยกตนเองเป็นหัวหน้ากลุ่ม จะอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่พอรูสมาบอกลา มันก็ปล่อยโฮแล้วกอดรูสแน่น กลายเป็นว่ากระจองอแงไปตาม ๆ กันเสียอย่างนั้น

สายลมยิ้มเศร้า เขาทำผิดหรือเปล่าที่พารูสไปด้วย แต่เขาไม่อยากให้รูสต้องอยู่ห่างสายตา เมื่อรับปากกับลุงหลงแล้วว่าจะดูแลรูสให้ดี เขาก็จะทำให้ได้อย่างที่พูด

ชายหนุ่มหันมาลาผู้เป็นปู่ มือเหี่ยวย่นเอื้อมมาจับบ่าแกร่ง มองสบสายตากับหลานชายเพียงคนเดียวของตนอย่างแน่แน่ว

“ไม่ว่าเจ้าจะคิดยังไง แต่สำหรับปู่แล้ว เจ้าคือหลานที่ปู่ภูมิใจ คือสายลม คือสายเลือดของเกาะศิลา คือลูกชายของพระเพลิง”

“ผมทราบครับ ผมก็ภูมิใจที่เกิดเป็นลูกพระเพลิง เป็นคนของเกาะศิลา และเป็นหลานของปู่ เช่นกัน”

ชายชราตบบ่าแกร่ง ซึ่งร่างสูงใหญ่นั้นก็เข้ามากอดเป็นการบอกลา ก่อนที่จะผละออกไปเพื่อเตรียมจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัวจากแดนไกลที่รออยู่นานแล้ว

“ขอบคุณทุกคนที่มาส่ง” สายลมบอก

“นายน้อย” ทุกคนต่างส่งเสียงเรียกเขาเซ็งแซ่ ใจหายไปตาม ๆ กัน

“นายน้อยต้องกลับมานะ พวกเรายังรอนายน้อยเสมอ หากเราทำอะไรให้นายน้อยไม่พอใจก็ขอโทษ ถ้า... ถ้านายน้อยสบายใจขึ้นแล้ว กลับมานะ... กลับมาที่นี่... พวกเรายินดีต้อนรับนายน้อยกลับมาอยู่ด้วยกัน” เจ้ากั้งละล่ำละลัก

“ไอ้กั้ง เอ็งนี่มันขี้แยยิ่งกว่าผู้หญิง เลิกร้องไห้ได้แล้ว ข้าแค่กลับบ้าน ไม่ได้ไปตาย หรือเอ็งจะแช่งข้า?” สายลมแกล้งทำเสียงดุ

“ไม่ ๆ ๆ ข้าไม่ได้แช่งนายน้อย ฮึ่ก... แต่ข้าเสียใจ... ที่นี่ก็บ้านนายน้อยเหมือนกัน... ทำไมนายน้อยถึงอยู่ไม่ได้... ข้าเสียใจแทนนายน้อย... ฮือออ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า ทั้งขำทั้งรำคาญ แต่ก็ซึ้งใจที่มันจงรักภักดีกับเขาขนาดนี้ ในภายภาคหน้าเจ้ากั้งมันคงเป็นหนึ่งในผู้ที่จะคอยช่วยเหลือ คอยเป็นอีกหนึ่งกำลังที่จะช่วยให้ปลายฟ้าปกครองและพัฒนาที่นี่ให้ก้าวหน้าต่อไป

สายตาคมกวาดมองรอบกาย ลูห์ไม่มาส่งเขาจริง ๆ เสียด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจ ก่อนจะคว้ามือรูสเพื่อพากันขึ้นเครื่องที่เซย์และเอวานรออยู่ ขณะที่ลุงหลงแยกไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์กับคนของเฟอร์ริงตันและเวสส์

สายลมยังหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าลูห์อยู่ไม่ไกล และก็เห็นมันยืนอยู่บนเนินดินในระยะสายตามองเห็นจริง ๆ เสียด้วย มันมองเขาอยู่อย่างนั้น แต่ไม่คิดจะขยับเข้ามาใกล้ สายลมจึงได้แต่บอกลามันแล้วตัดใจจากมาเท่านั้น

การเดินบนเส้นทางที่เขาได้เลือกแล้วต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรบ้างไม่อาจรู้ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป เกาะศิลาที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาในวันนี้ สักวันหนึ่ง... หากมีโอกาส พวกเขาจะกลับมา



เรื่องการออกจากเกาะของสายลมถูกรายงานให้ราซิสได้รู้หลังจากนั้น ชายหนุ่มอาละวาดจนลูกน้องแทบเข้าหน้าไม่ติด เจ็บใจนักหนาที่คลาดกับรูสอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ลูกน้องเขามันก็ไม่ได้เรื่อง พามาให้เขาก็ไม่ได้ แถมตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ เช่นนี้เขาจะสืบเสาะหาเจ้าเด็กนั่นได้อย่างไรกัน!

“มันไปที่ไหน... รูสมันไปที่ไหน!!?”

เสียงตวาดลั่นทั้งอาการสั่นเทิ้มของผู้เป็นนายทำให้บรรดาลูกน้องหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเป็นหน่วยกล้าตายเอ่ยขึ้นมา

“เท่าที่รู้ หลานชายเจ้าของเกาะศิลากำลังเดินทางไปนับตะวันครับ”

“นับตะวัน?” ราซิสทวนคำ นับตะวันคืออะไร?

“นับตะวันเป็นรีสอร์ตของหลานชายเจ้าของเกาะศิลาครับ”

ราซิสดูประหลาดใจกับข้อมูลนั้นด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่อยู่แต่ในป่าในเขา ที่แท้กลับมีตัวตนบนฝั่งไทย แถมมีธุรกิจรีสอร์ตเสียด้วย ไม่ธรรมดาทีเดียว

“รู้ไหมว่ามันอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ยถาม พยายามจะปรับอารมณ์ให้เย็นลง

“ไม่รู้ครับนาย...” เพียงจบคำนั้น สายตาผู้เป็นนายก็ตวัดมอง จนต้องรีบเอ่ยแก้เพื่อหาทางรอดให้ตนเอง “ต... แต่คุณกำชัยอาจจะรู้นะครับนาย”

‘อาจจะ’ งั้นเหรอ?” ราซิสคำราม พวกมันใช้คำว่าอาจจะกับเขางั้นหรือ

“ก... ก็คุณกำชัยรู้จักคนในเกาะนั้นไม่ใช่เหรอครับ แถมคู่แข่งของเขาก็เคยเข้าไปเจรจาธุรกิจกับเจ้าของเกาะมาก่อน เขาน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับหลานชายเจ้าของเกาะอยู่บ้าง...” ผู้ถูกหมายหัวรีบละล่ำละลัก

“......” ราซิสนิ่งคิดตาม ก็จริงอย่างที่มันพูด นายกำชัยอาจช่วยเขาได้

ชายหนุ่มให้ลูกน้องรีบติดต่อนายกำชัย และก็เป็นจริงดังว่า หมอนั่นรู้เรื่องคนบนเกาะดีทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่ประวัติหลานชายเจ้าของเกาะที่ชื่อสายลมคนนั้น

รอยยิ้มสาสมใจปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปาก เล่นไล่จับกันสักหน่อยก็ดี ถ้าหนีได้ก็หนีต่อไป ไปให้ไกลยิ่งกว่านี้อีก เพราะต่อให้ติดปีกบิน เขาก็จะเอาตัวมันกลับมาให้ได้ รูส!


.......
ต่อด้านล่างค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๒ นับตะวัน // ๒๙.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 29-08-2018 12:36:04
รีสอร์ตนับตะวัน

หลังจากใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก สายลมก็มาถึงนับตะวันในที่สุด หลังเครื่องลงจอด ทุกคนก็ขึ้นรถของนับตะวันที่รอรับอยู่ก่อนแล้วเพื่อเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ในรีสอร์ต

สายลมก้าวลงมาหยุดยืนหน้าบ้าน บ้านของเขา บ้านที่มีแต่ความสุขลอยอบอวลอยู่เต็มไปหมด เมื่อได้กลับมาเช่นนี้แล้วมันทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด

ชายหนุ่มพาเด็กขึ้นชั้นบน ปล่อยให้เซย์กับเอวานจัดการตัวเองไปเพราะมากันบ่อยแล้ว ขณะที่ลุงหลงก็เดินตามแม่บ้านของรีสอร์ตขึ้นไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้ให้

เมื่ออาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นแล้วสายลมก็ลงมาด้านล่าง ขณะที่รูสยังอาบน้ำอยู่ข้างบน เซย์ที่กำลังเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อให้พี่ชายได้คุยกับบิดาที่อยู่แดนไกลกวักมือเรียก ทำให้กายสูงใหญ่ก้าวไปหา นานมากแล้วที่ไม่ได้คุยกับบิดาเช่นนี้ ท่านคงคิดถึง

รูสที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วลงมาจากชั้นบน กายผอมเข้ามายืนชะเง้อมองอยู่ด้านหลังสายลมด้วยความอยากรู้ว่าทำอะไรกันอยู่ ทำให้บิดาของสายลมเอ่ยทัก

“นั่นใครน่ะ ลม?”

เมื่อถูกเอ่ยทัก เจ้าตัวเล็กก็รีบผลุบหายหลบหลังสายลมด้วยความตกใจ สายลมหัวเราะในลำคอ ก่อนเบี่ยงกายแล้ววาดแขนโอบร่างผอมให้มานั่งลงข้างกัน เพื่อที่บิดาตนจะได้เห็นหน้าค่าตาเด็กมันชัดขึ้น

“พ่อฉันเอง” สายลมกระซิบบอก

เด็กที่นั่งตัวเกร็งอยู่รีบไหว้ ทำให้คนที่อยู่ในหน้าจอโน้ตบุ๊กหัวเราะชอบใจ

“สวัสดี ชื่ออะไรล่ะเรา?”

“อ่า...”

หันมองสายลมหน้าตื่นเมื่อคนในจอเอ่ยถามมา สายลมอมยิ้ม พยักพเยิดให้บอกไป

“ชื่อ... รูสครับ” บอกไปเบา ๆ เมื่อยังรู้สึกประหม่า

“รูสเหรอ ดูน่ารักเหมาะกับตัวดีนะ” คนในจอเอ่ยปากชม

“หึ ๆ”

“...?” เสียงหัวเราะในลำคอทำให้รูสหันมองคนข้างกาย

“อย่ามองแต่ภายนอกครับ เห็นแบบนี้ ดื้อสุด ๆ เลย” สายลมแอบฟ้อง

รูสส่งค้อนให้คนตัวโต พร้อมแย้งในใจว่าไม่ได้ดื้อสักหน่อย ทำไมมีแต่คนว่าเขาดื้อไม่รู้ ออกจะเรียบร้อยก็ปานนี้

สายลมอมยิ้ม นั่งเล่นผมเด็กที่คุยกับบิดาของตนอย่างถูกคอ แรก ๆ นี่ไม่ค่อยจะพูดเท่าไรหรอก แต่พอบิดาเขาเปิดทางให้ คราวนี้ล่ะเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียว เจ้าดื้อเอ๊ย

“คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”

รูสมองตามคนที่ลุกไปเพราะพนักงานรีสอร์ตเอาอาหารที่สั่งไว้มาส่ง ก่อนที่จะชะงักเมื่อเซย์เข้ามานั่งแทนที่ กายผอมผงะถอย หันมองรอบ ๆ เลิ่กลั่ก สายลมไม่อยู่แล้ว ทำไงดี

“กลัวอะไร เด็กน้อย ฉันไม่กินเธอหรอก” เซย์ว่ายิ้ม ๆ ทำให้เสียงคนในจอดังแทรกมา

“เซย์ อย่าแกล้งน้องสิ”

“อาอัล ผมเปล่าแกล้งนะ ทำไมทุกคนต้องคิดว่าผมแกล้งเด็กมันด้วย”

ชายหนุ่มตัวโตเอ่ยพ้อ พาดแขนบนไหล่เล็กทำให้เด็กมันสะดุ้ง ก่อนจะนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ และอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งสายลมกลับมา

“ไปกินข้าวได้แล้ว เซย์”

พี่ชายคนรองของบ้านกอดอกมองน้องเล็กด้วยแววดุ เซย์ทำเสียงเหอะ ก่อนไหวไหล่แล้วลุกขึ้นเดินผิวปากออกไป เมื่อร่างสูงใหญ่นั่นผละห่างไปแล้ว รูสก็ถึงกับพรูลมหายใจด้วยความโล่ง เกร็งจะแย่

“คุยกันเสร็จแล้วเหรอ?”

“อื้อ” พยักหน้าให้สายลมที่นั่งลงข้างกาย

“พ่อฉันเป็นไงบ้าง?”

“หือ?” เด็กเลิกคิ้วกับคำถาม สายลมจึงขยายความอีกนิด

“ในความรู้สึกเธอน่ะ”

“อืม... คุณอาดูใจดี ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก ๆ” ว่าพลางก็ยิ้มไปพลาง

“จริงเหรอ?”

อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ

“งั้น... ไว้โอกาสเหมาะ ๆ จะพาไปเจอตัวจริง”

สายลมว่าอย่างนั้น ทำให้ได้รับรอยยิ้มหวาน ๆ ตอบกลับมา นึกถึงวันที่ทั้งสองคนจะได้พบกันแล้วสายลมก็ยิ้มบาง บิดาของเขาคงเอ็นดูเจ้าหนูนี่เพิ่มขึ้นอีกเป็นกองแน่ ๆ

ช่วงค่ำหลังร่วมโต๊ะอาหารเย็น ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน วันนี้สายลมยังไม่เข้าไปจัดการอะไรในรีสอร์ตแบบเป็นชิ้นเป็นอันเพราะเพิ่งมาถึง มีเพียงพูดคุยกับคนดูแลบ้างเล็กน้อย พรุ่งนี้อาจจะต้องเข้าสำนักงานแต่เช้า เพราะบ่ายเซย์กับเอวานก็ต้องกลับอังกฤษเมื่อยังมีธุระอื่นต้องจัดการ



ภายในห้องนอนที่เปิดเครื่องปรับอากาศเสียเย็นฉ่ำ กายผอมถูกกักกันอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง ริมฝีปากหยักบดเบียดลงมาบนกลีบปากนุ่มอย่างกระหาย ขณะที่มือหนายังทำหน้าที่ไม่เว้นจังหวะ

ร่างขาวสล้างบิดส่าย หยัดเกร็งกายเมื่อยอดอกถูกรวบดูด มือเรียวเกาะบ่าสายลมแน่น สะโพกยกตามจังหวะของมือสากระคายที่คอยปลุกเร้าอารมณ์ให้เช่นทุกที จนเมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทางของความปรารถนา รูสกลับละมือจากบ่ากว้างลงมายังใจกลางร่างกายที่คัดเป่งอยู่ภายใต้เนื้อผ้าของอีกคน

“อย่าแตะต้องมัน...”

สายลมสั่งเสียงเข้ม แต่มันดูแปร่งปร่าจนไม่น่าให้อภัย คนถูกสั่งก็ทำเป็นไม่รับรู้ ยังคงกอบกุมมันไว้ในอุ้งมือแล้วลูบเบา ๆ จนเขาต้องสูดปาก

“รูส หยุด...”

เจ้าดื้อไม่ฟังเสียง ริมฝีปากบางเลื่อนมาปิดปากเขา เพียงสัมผัสอุ่น ๆ จากอุ้งมือแสนซุกซนที่ทาบทับลงมาบนความปวดร้าวที่รอการปลดปล่อย มันก็ตอบสนองแทบจะทันที

สายลมจับข้อมือเล็กยึดไว้เมื่อมันทำท่าจะขยับเลยขึ้นมารั้งขอบกางเกงเขาลง มองตากลมที่ฉายแววปรารถนาอยู่เต็มเปี่ยมก่อนตัดสินใจดันร่างนั้นให้ห่างจากอ้อมแขน เมื่อสถานการณ์ตอนนี้อันตรายมากจนเกินไป

“รูสอยากทำให้สายลมบ้าง” เจ้าตัวเล็กเอ่ยอ้อน

สายลมแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตาย แค่ที่เป็นอยู่นี่ต้องหักห้ามใจเท่าไร เจ้าหนูนี่จะรู้บ้างไหม ถ้ายอมตามใจ เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะหยุดตัวเองได้เหมือนที่ผ่านมา เขาก็คน ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน

ขณะที่อีกคนมัวแต่คิดหาเหตุผลร้อยแปด รูสก็กดไหล่หนาให้เอนลงไปนอน ก่อนที่จะขึ้นคร่อมแล้วนั่งทับหน้าท้องแกร่งเอาไว้ทั้งตัว สัมผัสจากสะโพกเปลือยที่แนบไปกับหน้าท้องทำให้สายลมได้สติ ดวงตาคมแทบเบิกค้างเมื่อเด็กมันไม่ใช่แค่ทับ แต่เล่นถอดเสื้อออกโดยที่เขาร้องห้ามไม่ทัน

“รูสจะทำ” รูสว่า น้ำเสียงจริงจังดูดื้อดึงเสียเหลือเกิน เจ้าเด็กน้อย

“อย่าบ้าน่า”

สายลมครางอย่างทดท้อ แต่เด็กมันกลับทำปากยื่นใส่เขา มือเรียวยกขึ้นขยำหน้าอกตัวเอง ก่อนจะก้มมองแล้วบีบมันเล่นเบา ๆ สายลมกลืนน้ำลาย ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่อมองภาพตรงหน้าที่อยู่ใกล้แทบหายใจรดกันได้ เขาใช้ศอกดันตัวลุกขึ้น ทำให้เด็กที่นั่งทับบนหน้าท้องหงายหลังลงไปนอนแอ้งแม้งในท่าประหลาด

มือหนาเอื้อมไปจับตรึงสะโพกจะดันออกให้ห่างตัว แต่รูสกลับจิกเท้ากับที่นอนแล้วหยัดกายลุกขึ้นนั่ง แขนเรียวคล้องเกี่ยวต้นคอหนา ขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดจนปลายจมูกสัมผัสกัน

“ให้รูสทำนะ สายลม” เด็กมันอ้อนเสียงแผ่ว ใจดวงน้อยเต้นระรัว รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

“ไม่ได้...” ทั้งที่บอกปฏิเสธ แต่ริมฝีปากหยักกลับเคลื่อนคล้อยไปคลอเคลียกลีบปากนุ่มละมุนอย่างไม่ฟังเสียงตัวเอง

“รูสอยากทำจัง”

ริมฝีปากบางกระซิบชิดเรียวปากของอีกคน ก่อนเผยอยกแล้วกดแนบลงไป ลิ้นเล็กแสนซุกซนซอกซอนเข้ามาหยอกเย้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แบบที่สายลมเคยทำ ชายหนุ่มครางครึ้มในลำคอ ไอ้เด็กหัวไว เขาต่อว่าในใจแต่กลับรั้งกายบางมาแนบชิดแล้วบดเบียดกลีบปากนุ่มอย่างอดใจไม่ไหว

ยิ่งแนบชิด สายลมยิ่งยากจะหักห้ามใจ เขาพยายามห้ามมันแล้วแต่มันฟังเขาเสียที่ไหน ไอ้ที่กดแนบสะโพกเด็กอยู่นั่นอย่างไรเล่าที่ฟ้องว่าเขาทำไม่สำเร็จ ชายหนุ่มหลับตาแน่นก่อนจับกายผอมเอนลงไปนอนใต้ร่าง สุดจะทนไหวแล้วในเวลานี้

ภายในห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัวราง ร่างน้อยหยัดกายครางเบา ๆ เมื่อความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นมา ความเปียกชื้นบนยอดอกสร้างความเสียวซ่านให้อย่างมากมาย ริมฝีปากหยักทั้งขบเม้มดูดดุนจนเสียงครางดังลอดมาไม่ขาดระยะ เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยหรี่ปรือขึ้นมามองคนที่ขยับขึ้นคร่อมกาย แขนเรียวยกคล้องคอหนา ขณะที่ริมฝีปากบางเผยยิ้มยั่วอย่างไม่ตั้งใจ

“สายลม...”

เผยอปากรับจูบจากคนตัวโตที่โน้มลงมาหา ยอมรับลิ้นร้อนเข้ามาพัวพันอย่างเต็มอกเต็มใจ ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะละมาที่พวงแก้มแล้วเลื่อนไล้มาซุกไซ้ซอกคอขาว กายผอมสั่นระรัวกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่อีกคนมอบให้ มันมากกว่าที่เคยเป็น แม้จะน่าหวั่นใจ แต่ก็อยากรู้อยากลอง

“สายลม...”

“หืม?” สายลมตอบรับงึมงำ สาละวนอยู่กับความนุ่มเนียนของแผ่นอกที่แอ่นหยัดขึ้นรับริมฝีปากของตน

“สายลม...” รูสขยับเอวเบา ๆ ขณะที่มือก็เอื้อมไปสัมผัสสัดส่วนร้อนผ่าวที่แนบชิดต้นขาตนเองอยู่

“อย่าเล่นแบบนี้...” สายลมเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงที่คิดเอาเองว่ามันหนักแน่น แต่กลับฟังดูเบาหวิวเสียเหลือเกิน

“อา... อ๊ะ... สายลม...”

ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อเด็กมันครางแบบไม่คิดจะเก็บความรู้สึก ทั้งเสียงหอบกระเส่าและแววตาหวานฉ่ำที่แสดงออกมาให้เห็น ทำให้สติสายลมแทบขาด

“รูส... ไอ้ดื้อ...” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ก้มลงฟัดเด็กจอมยั่วพลางกระซิบ “จะทนไม่ไหวแล้ว รูส... อย่ายั่วกันนักได้ไหม?”

ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรที่เขาพูดแบบนี้ น้ำเสียงแสนพร่าสั่นนั้นเด็กมันไม่ได้รับรู้ด้วยสักนิด ยังคงขยับสะโพกเพื่อให้ร่างกายเสียดสีกับอุ้งมือแสนร้อนที่รูดรั้งให้

สายลมคำรามในลำคอ ความร้อนรุมกดแนบต้นขาเปลือย ยิ่งขยับมือเร็วเท่าไร สะโพกสอบก็ขยับบดเบียดต้นขาเนียนมากขึ้นเท่านั้น หูเขาชักเริ่มอื้อ ตาก็เริ่มพร่า สติสตังจะปลิวหายไปจากตัวเสียให้ได้ ภาพของเขาที่กระชากเอวคอดเข้ามาชิดแล้วกดแทรกกายเข้าสู่ความคับแน่นผุดขึ้นมาในหัวจนต้องกัดฟันกรอด

อา... เขามองเห็นลูกกรงเหล็กลอยอยู่รำไร!




TBC



ยังไม่ถึง 24 ชม. ยังบวกเพิ่มให้อีกสามท่านที่ต่อจากคุณ kunt ไม่ได้ แปะไว้ก่อนนะคะ  :mew1:

----------
บวกเรียบร้อยค่ะ  :กอด1:


หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๒ นับตะวัน // ๒๙.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 29-08-2018 20:50:00
ขำสายลม กะแซวซะหน่อย
แต่ดูท่า จะรู้ตัวอยู่ 555

"พี่สายลมคะ น้องรูสยังเป็นผู้เยาว์นะคะ"

รอวัน ความอดกลั้นของสายลมสิ้นสุด อิอิ
 :z1: :haun4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๒ นับตะวัน // ๒๙.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 29-08-2018 21:37:16
ฮึบไว้สายลมฮึบไว้ :z1: :z1: :z1: แต่สายลมไม่คิดถึงลูห์เหรอเรายังหวังนะว่าสายลมต้องได้กลับไปอยู่ที่เกาะ
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๓ ชิงตะวัน // ๓๐.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 30-08-2018 13:14:17

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๓ ชิงตะวัน



บรรยากาศยามเช้าในนับตะวัน สายลมมองมันผ่านหน้าต่างห้องนอนที่เปิดกว้าง มันให้ความรู้สึกแตกต่างกับเกาะศิลามากมาย ในความเหงาที่เกิดขึ้นเพราะจากสถานที่แห่งหนึ่งมา ก็ยังคงมีความอบอุ่นของคำว่า ‘บ้าน’ โอบล้อมรอบกาย บ้านที่เขาอยู่มาตั้งแต่จำความได้ กับคนสำคัญผู้มีแต่ให้ นึกถึงแล้วก็ระบายยิ้มบางเบา

รูสงัวเงียลุกขึ้นมานั่งจุ้มปุกอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมกายร่นลงไปอยู่ที่เอวเมื่อขยับตัว นั่งโงนเงนด้วยความมึนงงพลางยกมือขึ้นขยี้ตา เพ่งมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนพิงกรอบหน้าต่างแล้วจิบกาแฟในถ้วยอย่างสบายอารมณ์ แสงยามเช้าส่องเข้ามากระทบผิวคร้ามแดด ลมพัดเอื่อยทำให้ปอยผมยาวที่รุ่ยจากการถูกรวบมัดเพียงลวก ๆ ปลิวตามแรงลม

“สายลม...”

เจ้าของชื่อละสายตาจากสิ่งที่ตนเองมองอยู่เมื่อถูกเรียก กายหนาที่สวมเพียงกางเกงนอนผ้านิ่มถือถ้วยกาแฟมาวางบนโต๊ะหัวเตียงแล้วนั่งลงข้างกายคนเรียก

“ตื่นแล้วเหรอ เด็กดื้อ?”

“รูสไม่ดื้อ” เด็กมันแย้ง ก่อนจะหาวออกมาเพราะยังง่วงงุน

“ครับ ๆ ไม่ดื้อเลยสักนิด” มือหนาโยกศีรษะเด็กทั้งยิ้มขำ

“รูสเมื่อยตัว”

สายลมยิ้มค้างกับเสียงออด ๆ ที่เอ่ยบอก “อ่า... อาบน้ำไหม จะได้สดชื่น”

เขาเสนอ เด็กมันก็พยักหน้ารับ ดูมึน ๆ งง ๆ เหมือนยังไม่ตื่นดี กายผอมลุกลงจากเตียงโดยลากผ้าห่มห่อตัวเป็นดักแด้เข้าห้องน้ำไปด้วย มองแล้วสายลมก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาทั้งยิ้มขำ

รูสยังเด็กมากจริง ๆ เรื่องเมื่อคืนทำเอาเขาแทบสติหลุดตั้งหลายรอบ ยิ่งความไม่ประสายิ่งทำให้เขาหลงเพริด ถ้าไม่เพราะพอรู้สึกสบายตัวแล้วรูสก็หลับ เช้านี้อาจจะไม่บ่นแค่เมื่อยตัว

แต่ทั้งหมดนั่นมันก็เป็นเพราะเขาเองที่เป็นฝ่ายเริ่มมาตั้งแต่ต้น ด้วยไม่นึกว่าจะเป็นการทรมานตัวเองขนาดนี้ ยิ่งนานวัน ยิ่งบังคับตัวเองลำบาก อันตรายจริง ๆ

รูสลงมาชั้นล่างหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หนุ่มน้อยดูสดใสร่าเริงตามประสา ในขณะที่สายลมกลับดูเคร่งเครียดเสียอย่างนั้น สายตาคมมองตามร่างที่ตรงไปหาลุงหลง บ่นหิว ๆ ไปตามทางก่อนจะนั่งปุลงกินข้าวกับแก

กายสูงใหญ่เดินเลี่ยงมานั่งกับน้องชายที่โซฟา ไม่ได้ตามรูสไปที่ครัวเพราะเพิ่งดื่มกาแฟไปจึงยังไม่หิวเท่าไรนัก ชายหนุ่มกางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านข่าวสารบ้านเมือง ตอนอยู่เกาะศิลาไม่ได้ติดตามเรื่องพวกนี้สักเท่าไร เว้นก็แต่เวลาติดต่องานกับเซย์ก็จะมีเข้าไปดูในเว็บข่าวบ้างเป็นบางครั้ง

ชายหนุ่มไล่สายตาอ่านข่าว เสียงเปิดหนังสือพิมพ์กรอบแกรบไม่ได้ทำให้เซย์ที่นั่งอยู่ข้างกันหันมาให้ความสนใจ เพราะเจ้าน้องชายตัวดียังคงนั่งมองเด็กของเขาแล้วอมยิ้มแปลก ๆ ตั้งแต่ที่เด็กมันเดินผ่านหน้าไปจนกระทั่งตอนนี้ หางตาผู้เป็นพี่ปรายมามองแล้วจึงปิดหนังสือพิมพ์ลง ก่อนเอ่ยถามเสียงเข้ม

“มองอะไร?”

เซย์เหลือบมามองพี่ชาย หัวเราะลงคอเล็กน้อยก่อนว่า “รูสนี่ ผิวขาวดีเนอะ”

แค่คำแรกที่เอ่ยออกมาก็ทำเอาคนพี่นึกเขม่น แต่ดูเหมือนเซย์จะไม่สนใจ เพราะยังคงว่าต่อด้วยน้ำเสียงเนิบนาบกวนอารมณ์คนฟัง

“ผิวขาว ๆ แบบนี้เวลามีรอยอะไรเลยเห็นชัดมาก...” ปรายมองสายลมที่เกิดอาการชะงักแล้วเซย์ก็ยิ้มมุมปาก ไม่มีอะไรสุนทรีย์เท่าแกล้งสายลมอีกแล้วล่ะนะ

ขณะที่สายลมเมื่อถูกทักมาเช่นนั้นก็หันไปมองรูสที่นั่งกินข้าวไม่รู้เรื่องรู้ราว เสื้อที่เด็กมันสวมเป็นตัวที่เอามาจากเกาะ คอมันจึงค่อนข้างลึกเพราะติดกระดุมด้านหน้าและไม่มีปก ทำให้เห็นลำคอระหงได้อย่างชัดเจน ผิวรูสก็ขาวอย่างที่เซย์ว่า พอเกิดรอยที่เขาเผลอทำไว้มันจึงเด่นชัดจนบอกว่ายุงกัดก็คงฟังไม่ขึ้น

“จริงจังกับคนนี้เหรอ พี่ชาย?” เซย์ถามกวน

“ถ้าใช่แล้วยังไง?” ทางนี้ก็ตอบกวนไม่แพ้กัน

“อา... ก็ไม่ยังไงหรอก แต่ดู ๆ ไปแล้วเด็กมันยังไม่ประสาอะไรเลย ขณะที่ความรู้สึกพี่เกินเลยไปไกล เด็กมันอาจไม่คิดอะไรก็ได้” คนเป็นน้องไหวไหล่

สายลมนิ่งไป ที่เซย์พูดก็ถูก รูสยังไม่ประสากับหลาย ๆ เรื่อง ถึงแม้ชีวิตจะเจอมรสุมที่เด็กวัยนี้ไม่ควรต้องมาพบเจอ มันทำให้รูสเข้มแข็งก็จริงอยู่ แต่เพราะถูกเลี้ยงดูมาให้อยู่แต่ในกรง เรื่องของโลกภายนอกหรือแม้แต่ความต้องการของตัวเอง รูสยังไม่รู้และจัดการมันไม่ได้ อันที่จริงเขาก็อยากเป็นคนดีที่รูสสามารถพึ่งพาได้ทุกเรื่อง แต่บางครั้ง การเป็นคนดีที่ว่ามันก็ยากเหลือเกินสำหรับเขา

และคงเพราะมองมากไปทำให้เด็กรู้สึกตัวแล้วหันกลับมามอง เมื่อสบเข้ากับตากลมสายลมก็ชะงัก เบือนหลบอย่างไม่ตั้งใจ

“หึ จริง ๆ ไม่ต้องถามก็ได้เนอะว่าพี่รู้สึกยังไง รู้ตัวไหมว่าท่าทางพี่มันบ่งบอกแค่ไหนน่ะ สายลม?”

“......” สายลมปรายมองคนพูดเคือง ๆ ช่างล้อเลียนกันเสียจริง

“สายลม”

เสียงที่ดังขึ้นใกล้ตัวทำให้สายลมเหลียวมองเด็กที่เข้ามายืนอยู่ด้านหลังตนเองและเซย์

“รูสขอเล่นน้ำได้ไหม?” เจ้าดื้อเอ่ยขอ

ที่นี่มีลำธารไหลผ่าน ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากบ้านของสายลมนัก แถมทางรีสอร์ตยังทำสะพานไม้ยื่นลงไปเพื่อให้แขกที่มาพักได้นั่งแช่เท้าสบาย ๆ แต่รูสที่ได้ฟังลุงหลงเล่ามาเมื่อครู่เกิดอยากลงไปเล่นน้ำเย็นฉ่ำมากกว่า เขายังไม่เห็นกับตา แต่ผู้เป็นบิดาเห็นแล้วเพราะตื่นแต่เช้ามืด ทำให้เดินสำรวจใกล้ ๆ นี้มาหมดแล้ว เมื่อฟังจากที่เล่ามา รูสก็ว่ามันน่าสนใจไม่น้อยเลย

“วันนี้ฉันจะเข้าไปที่รีสอร์ต ไว้วันหลังได้ไหม?”

“รูสเล่นกับพ่อก็ได้ จะอยู่ตรงที่มันตื้น ๆ นะ” เด็กดื้อออดอ้อน อยากเล่นน้ำมากจริง ๆ

“ฉันไปเป็นเพื่อนไหม หนูน้อย?” เซย์เสนอตัวยิ้ม ๆ

“......” รูสชะงัก ตากลมเหลือบมองเซย์ก่อนส่ายหน้าหวือ

เห็นอย่างนั้นแล้วเซย์ก็ชักข้องใจ “ถามจริง นี่ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“เปล่าครับ...”

“แล้วทำไมต้องทำหน้าตาตื่นทุกทีที่ฉันคุยด้วย?”

“ก... ก็... ผมยังไม่สนิทกับคุณนี่นา...” เสียงเจ้าดื้อเบาลงเรื่อย ๆ ไม่กล้ามองตาสีฟ้าของเซย์จึงหลุบมองพื้นเข้าไว้

“อ้อ แบบนี้เองเหรอ ถ้าอย่างนั้น... เรามาทำความสนิทสนมกันดีกว่า ปะ” ร่างสูงใหญ่แบบชาวตะวันตกผุดลุกขึ้นคว้าแขนเด็กทันทีที่พูดจบ

รูสอ้าปากหวอ หน้าตาตื่น ๆ หันมามองสายลมอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกลากออกจากบ้านไปจนได้

สายลมส่ายหน้าให้กับความกวนของน้องชาย ป่วนเขาไปทั่วอีกแล้ว เซย์ เฟอร์ริงตัน

“ลม”

เอวานที่เดินออกมาจากด้านในเอ่ยเรียก สายลมหันไปมองท่าทางเคร่งเครียดของพี่ชายแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม

“ขอคุยด้วยหน่อย”

หนุ่มนัยน์ตาควันบุหรี่ว่า สายลมจึงลุกไปคุย ท่าทางจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นมาเสียแล้วกระมัง


......


โทรศัพท์ถูกวางลงบนแป้นอย่างไม่เบามือนักหลังจากคุยธุระเสร็จ ราซิสกัดกรามกรอด กำมือแน่นแล้วทุบโครมลงบนโต๊ะทำงานของตน คู่ค้าที่ติดต่อขอซื้องานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติกำหนดเวลามาให้เขา หากเลยสัปดาห์นี้ไปจะยกเลิกสัญญาที่ทำร่วมกันและเอาเงินที่มัดจำไว้ครึ่งหนึ่งนั้นคืน ร้ายไปกว่านั้น ราซิสอาจถูกฟ้องร้องฐานหลอกลวงต้มตุ๋นอีกด้วย เพราะตั้งแต่ติดต่อทำธุรกิจร่วมกันมา ทางนั้นยังไม่เคยเห็นงานวิจัยที่ว่านั่นแม้แต่น้อย จะให้แน่ใจได้อย่างไรว่าราซิสจะไม่โอ้อวดเกินจริงโดยที่แท้แล้วอาจไม่มีงานวิจัยนั้นอยู่ในมือก็เป็นได้ หรือหากมีจริง ฝ่ายนั้นจะแน่ใจได้หรือว่าราซิสจะไม่เอางานสั่ว ๆ มาย้อมแมวขายเพียงเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น

เจอสภาวะกดดันเช่นนี้ทำให้ราซิสควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยาก เหตุมันเกิดเพราะการกระทำของศาสตราจารย์ภิชาติและคุณหญิงพจนีย์ ทำให้ยังผลมาถึงปัจจุบันนี้ ใครได้พบเจอเหตุการณ์เช่นเขาเป็นต้องเสียผู้เสียคนแน่ คงจะมีก็แต่รูสที่มองโลกในแง่ดีนักหนา ทำให้ไม่กลายเป็นแบบเขาในตอนนี้

“ฉันต้องเอาตัวแกกลับมาให้ได้ รูส…” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ก่อนที่จะหันไปสั่งลูกน้องเสียงดัง “ฉันจะขึ้นเหนือ จองตั๋วเครื่องบินและที่พักในนับตะวันให้ด้วย ด่วนที่สุด!”


......


สายลมไปที่ทำการรีสอร์ต ขณะที่เอวาน หลังคุยธุระกับน้องชายเสร็จก็สั่งให้คนไปบอกเซย์ที่เล่นน้ำอยู่กับเด็กของสายลมให้ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อกลับอังกฤษไปด้วยกัน พวกเขายังมีเรื่องต้องทำ หากชักช้าอาจไม่ทันการณ์ สองหนุ่มจากต่างแดนจึงต้องกลับไปพร้อมบอดีการ์ดจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือให้ทำหน้าที่ดูแลสายลมอยู่ที่นี่

ลุงหลงมาเฝ้ารูสเล่นน้ำหลังจากเซย์และเอวานต้องบินกลับประเทศด่วน เมื่อมาอยู่ที่นับตะวัน แกไม่ต้องทำงานอะไรเหมือนอยู่ที่เกาะศิลา พอเบื่อ ๆ แกก็เลยปัด ๆ กวาด ๆ รอบบ้านของสายลมตามความเคยชิน ถึงแม้สายลมจะบอกแล้วว่าไม่ต้องทำ แต่เมื่อเป็นความสุขของแก สายลมจึงไม่ได้ห้ามอีก บอกแต่เพียงว่าเหนื่อยก็พักเพราะมีคนของรีสอร์ตมาทำให้อยู่แล้ว แต่หากอยากออกกำลังบ้างก็ไม่เป็นไร

หลังจัดการเรื่องที่รีสอร์ตเรียบร้อยสายลมก็กลับมาที่บ้าน คล้อยหลังเขาก็มีแขกกลุ่มหนึ่งเข้ามาเช็คอิน ที่นี่สายลมมีคนช่วยแบ่งเบาเวลาที่ต้องไปอยู่เกาะศิลา นางมารีน่าและนายเพิร์ธ สองสามีภรรยาทำงานที่นับตะวันแทนอัลเบิร์ต บิดาของเขามานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่บิดาของเขาจะย้ายไปอยู่อังกฤษเป็นการถาวรเสียอีก ทั้งสองคนได้มาจากการคัดกรองของอเล็กซานเดอร์ พวกเขาเคยเป็นคนของนางพรีเซีย ป้าของอเล็กซานเดอร์ ทำให้ไว้ใจได้เรื่องความซื่อสัตย์และฝีมือการทำงาน เพราะนางพรีเซียเองก็มีธุรกิจโรงแรมชื่อ Lania House อยู่แล้ว

นายเพิร์ธและนางมารีน่ามีลูกชายกับลูกสาวอย่างละคน ลูกสาวคงอายุไม่ห่างจากรูสมากนัก ส่วนลูกชายก็รุ่นราวคราวเดียวกับเซย์ หลังเรียนจบก็มาช่วยบิดามารดาทำงานที่นับตะวัน แบ่งเบาภาระสายลมไปได้มากทีเดียว เมื่อมาที่นับตะวัน สายลมก็จะดูเรื่องผลประกอบการ และเมื่อเกิดปัญหาที่ทางนี้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้บางส่วนแล้ว ปัญหาจะถูกรายงานให้เขาทราบเพื่อวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารงาน สายลมรับฟังความคิดเห็นและให้ความสำคัญกับทุกคนที่นี่ โดยเฉพาะครอบครัวของนายเพิร์ธ ชายหนุ่มให้ค่าตอบแทนสูงพอตัว เพื่อให้สมกับที่พวกเขาทุ่มเทเพื่อนับตะวันตลอดมา

แขกที่เข้ามาพักหลังจากที่สายลมกลับไปแล้วทำให้พนักงานพากันหวาดหวั่นไม่น้อย แม้จะเคยพบกับญาติเจ้าของรีสอร์ตที่มีบอดีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง แต่พวกเขาก็ยังไม่ชิน หลังจากทำการเช็คอินให้กลุ่มลูกค้าที่น่าหวาดหวั่น หัวหน้าพนักงานก็ให้คนพาแขกกลุ่มดังกล่าวไปที่บ้านพัก ก่อนจะต่อสายถึงนายเพิร์ธเพื่อให้อีกฝ่ายเรียนให้สายลมได้ทราบว่ามีแขกไม่น่าไว้ใจเข้ามาพักในนับตะวันต่อไป



เมื่อมาถึงบ้านแล้วไม่เจอใคร สายลมจึงไปที่ธารน้ำ เจ้าดื้อยังลอยน้ำเล่นเป็นที่สนุก ส่วนลุงหลงก็นั่งเฝ้าอยู่บนสะพานไม้ ปล่อยตัวป่วนเล่นน้ำจนตัวจะเปื่อยอยู่คนเดียว ท่าทางจะชอบน้ำมากล่ะ เจ้าคนนี้

“เลิกเล่นได้แล้ว รูส ตัวเปื่อยหมดแล้วมั้งนั่น” สายลมเอ่ยทักเมื่อเดินมาหยุดบนสะพานไม้ที่ยื่นลงไปในลำธาร

“เย็นสบายดีออกสายลม มาเล่นกับรูสหน่อย รูสไม่มีเพื่อน” เด็กมันอ้อน

“ขึ้นมาได้แล้ว เร็วเข้า” ชายหนุ่มย่อกายลงพร้อมเอ่ยเรียกซ้ำ

คนถูกเรียกทำเสียงออด ๆ เพราะไม่อยากขึ้นเลย “อีกนิดหนึ่งได้ไหม?”

“ไม่ได้ ถ้าไม่ขึ้นมาจะปล่อยทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว รู้หรือเปล่าว่าแถวนี้มีอะไร?” สายลมหรี่ตา แสร้งทำเป็นระแวดระวังรอบกายราวกับมีลับลมคมในบางอย่าง

“อ... อะไรอ่า?” ตากลมสอดส่ายตามคนตัวโตบนสะพานลอกแลก อย่าทำให้เขากลัวได้ไหม

“หึ ๆ อะไรกันนะที่เด็กดื้อกลัวนักหนา?” เมื่อเห็นท่าว่าจะได้ผล สายลมก็ยิ่งแกล้งเข้าไปอีก

“สายลมอ่า อย่าแกล้งรูสนะ!”

“แกล้งที่ไหน เป็นห่วงนะถึงได้บอกให้รู้ก่อน”

ลุงหลงอมยิ้มกับการหลอกล่อของนายน้อย ดูซิ เด็กดื้อจะทำอย่างไรต่อไป

“รูสขึ้นแล้ว จะขึ้นแล้ว สายลมอย่าพูด” ไม่ทันไรเจ้าดื้อก็หลับหูหลับตาว่ายเข้าฝั่ง นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน

สายลมยืดตัวขึ้นยืน อมยิ้มขำท่าว่ายน้ำของเด็กมันที่เหมือนลูกหมาจมน้ำก็ไม่ปาน แต่เมื่อจะเดินกลับเข้าฝั่ง เสียงน้ำที่เกิดจากการว่ายของรูสกลับดูผิดปรกติ ชายหนุ่มหันกลับไปมองก็เห็นว่าร่างผอมกำลังตะเกียกตะกายผลุบโผล่อยู่ในน้ำ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่ได้ลึกมาก แต่รูสกลับทำท่าว่าจะจมลงไป

“รูส!!” ทั้งสายลมและลุงหลงร้องเรียกด้วยความแตกตื่น

ไม่รอช้า สายลมเตะโด่งรองเท้าของตัวเองก่อนโดดลงไปช่วย กายหนามุดลงไปใต้น้ำแล้วโผล่ด้านหลังของอีกคน ยังไม่ทันที่จะได้แตะต้องตัวบาง แขนเรียวก็วาดมาคล้องคอเขา ก่อนเสียงหัวเราะชอบใจจะดังตามมา

สายลมมึนงงอยู่ชั่วครู่ เมื่อตั้งตัวได้ก็แยกเขี้ยวคำรามในลำคอ “หลอกกันเรอะ ไอ้ดื้อ!!”

เขาเข่นเขี้ยว แต่เด็กมันกลับหัวร่องอหาย หน็อย ดูเอาเถอะ น้ำนี่สูงไม่ถึงอกเขาด้วยซ้ำ อย่างมากก็ไม่เกินอกรูส แต่เด็กมันดันทำเป็นจะจมแหล่มิจมแหล่ ทำให้เขาต้องโดดลงมาช่วย แล้วนี่ยังมาหัวเราะเขาอีก ร้ายนักนะ

แขนแกร่งตวัดรวบเอวบางมาชิด มองตากลมที่อยู่ในระยะประชิดแล้วสายลมก็ชะงัก ดวงตาคู่สวยฉายแววความสุขออกมาอย่างชัดเจน เขาเผลอจ้องมันอยู่หลายนาทีก่อนที่จะผละออกมาในที่สุด ปล่อยเด็กมันลอยคอในน้ำอยู่แบบนั้น ขืนใกล้มากไปคงไม่ปลอดภัยแน่ รีบโตเสียทีเถิด รูสเอ๋ย

“พ่อ” รูสยังลอยตุ้บป่องอยู่ในน้ำขณะที่คุยกับบิดา “สายลมท่าทางแปลก ๆ”

“ขึ้นมาได้แล้ว รูส อย่าทำให้นายน้อยลำบากใจ”

เด็กหน้าจ๋อยเมื่อถูกบิดาดุเอา ค่อยลอยตัวไปเกาะสะพานไม้แล้วดันตัวขึ้นมา ส่งมือให้บิดาจับลุกขึ้น ก่อนพากันเดินกลับบ้านของสายลม

สายตาไม่น่าไว้ใจจ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของรูส โดยที่คนถูกจับจ้องไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงเจื้อยแจ้วกับบิดาของตัวเองอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ

เมื่อมาถึงบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเด็กดื้อก็บ่นมึนหัว สายลมเลยว่าเพราะเล่นน้ำมากถึงได้เป็นไข้ พอโดนบ่น เด็กก็ยิ่งงอแง สายลมจึงให้กินข้าว กินยา แล้วนอนพัก เมื่อตื่นมาอีกทีคราวนี้เด็กเสียงแหบยิ่งกว่าเป็ดก้าบ ทั้งตัวยังรุม ๆ แทนที่กินยาพักผ่อนแล้วอาการจะดีขึ้นกลับแย่ลงกว่าเดิมเสียอย่างนั้น ดื้อจนได้เรื่องสิน่า

“สายลมเลิกบ่น รูสไม่สบาย” เด็กมันรีบดักเมื่อเห็นท่าว่าจะถูกบ่นเอาอีก นั่งปิดหู หน้างออยู่บนเตียง ขณะที่สายลมตั้งท่าเตรียมจะบ่นอย่างที่เด็กมันว่า

“ไม่อยากให้บ่นก็ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าดื้อนัก บอกอะไรก็ฟังกันบ้าง”

“รูสรู้แล้ว เชื่อสายลมทุกอย่างเลย” เสียงออด ๆ เอ่ยบอกคล้ายจะยอมจำนน

“พูดแต่แบบนี้ แต่ไม่เคยเห็นจะทำตามที่พูดสักที”

“จริง ๆ คราวนี้รูสไม่โกหก คนป่วยไม่โกหกหรอก” แหนะ เอาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมาอ้างเสียอีกด้วย คนฟังก็ได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรได้

“เจ็บคอจัง” รูสกระแอมเบา ๆ แตะคอตนเองหน้ามุ่ย เสียงมันเบาลงจนสายลมรู้สึกตงิดในใจ กลัวว่าเสียงจะหายไปอีก

“รูส” ชายหนุ่มเอ่ยเรียก

“อือ”

“พูดให้เพราะ ๆ หน่อยสิ ทีกับเซย์ยังพูดครับเลย”

ตากลมเริ่มปรือปรอยเมื่อเงยมอง “อยากให้รูสแทนตัวว่าผม แล้วแทนตัวสายลมว่าคุณเหรอ?”

“ไหงงั้นล่ะ?”

“อ้าว ก็กับคุณเซย์ รูสไม่สนิทด้วยนี่นา จะคุยแบบคุยกับสายลมได้ไง” ยิ่งพูด เสียงเด็กยิ่งแหบจนไม่อยากให้ใช้เสียงมาก

“เอาเถอะ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว พักผ่อนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้นอนซม ซ่าไม่ออกแน่เรา” สายลมเอ่ยเย้า นั่งลงที่ขอบเตียงแล้วโยกศีรษะทุยเบา ๆ

รูสหัวเราะคิกคัก เอนตัวลงนอนอย่างที่อีกคนบอก ดึงผ้าห่มมาคลุมกายแล้วพูดกับคนตัวโตยิ้ม ๆ

“วันนี้รูสป่วย สายลมไม่ต้องช่วยนะ”

“ยังจะคิดเรื่องนี้อีก” เอ่ยดุพร้อมเขกมะเหงกเด็กทะลึ่งเบา ๆ

“โอ๊ย! รูสแค่บอกไว้เฉย ๆ” แก้มพองออกเลยถูกหยิกหมับ คนหยิกหัวเราะเบา ๆ เมื่อเด็กมันส่งค้อนให้วงโต

“พอเลย เลิกคุยแล้วนอนพักซะ”

บอกให้เด็กดื้อนอนพักแล้วสายลมก็ลุกไปปิดไฟให้ เปิดเอาไว้เฉพาะดวงเล็กตรงโต๊ะทำงานของตนเอง ตากลมมองตามแผ่นหลังกว้าง เสี้ยวหน้าที่กระทบแสงนีออนดูเคร่งขรึมแบบที่รูสไม่เคยเห็น สายลมในมาดหนุ่มนักธุรกิจไม่ใช่นายน้อยของคนบนเกาะศิลา มองไปมองมาตาที่เริ่มปรือก็กลับไม่ยอมหลับลงเสียที เมื่อความคิดซุกซนยังแล่นอยู่ในหัว เห็นผมยาว ๆ ของสายลมแล้วอยากตัดชะมัด...

“มองอะไรนัก หืม?”

สายลมเอ่ยถามโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองเด็กบนเตียง คนถูกทักชะงัก รู้ได้ไงกัน?

“สายลมคิดจะตัดผมบ้างไหม?”

คำถามนั้นทำให้สายลมนิ่งไปนิด ก่อนที่จะหันมามองคนถามแล้วถามกลับ

“ไม่ชอบเหรอ?”

“ก็เปล่า รูสแค่อยากเห็นเวลาสายลมผมสั้น” เด็กยิ้มซื่อ ก่อนจะหาวออกมาเพราะอ่อนเพลียจากพิษไข้

“ตั้งหลายปีนะ กว่าจะยาวเท่านี้” สายลมว่า

“ไม่ตัดก็ได้ รูส...” หาวซ้ำอีกรอบแต่ก็ยังฝืนตัวเองอยู่ “รูสแค่อยากเห็น...”

สุดท้ายความง่วงก็เอาชนะเด็กดื้อของสายลมจนได้ เมื่อเสียงพูดค่อยขาดหายไปพร้อมกับลมหายใจที่สม่ำเสมอ สายลมอุทานเบา ๆ ก่อนจะยิ้มขัน ก้มมองผมตัวเองแล้วก็เริ่มคิด... ถึงเวลาต้องตัดมันเสียทีได้แล้วกระมัง


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :m7:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๓ ชิงตะวัน // ๓๐.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 30-08-2018 13:15:25
สายลมที่ได้รับรายงานเรื่องแขกที่เข้ามาพักว่าไม่น่าไว้วางใจนัก ชายหนุ่มจึงได้เข้ารีสอร์ตไปเพื่อดูว่าแขกที่ว่านั้นคือใคร รวมทั้งสั่งให้คนของตนช่วยตรวจดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นด้วย

รูสที่ยังไม่สร่างไข้ลงมานอนอยู่ที่โซฟาเมื่อสายลมออกจากบ้านไป อยู่ชั้นบนคนเดียวเขาไม่ชอบเลย ยิ่งไม่สบายแบบนี้ยิ่งอยากอ้อนมากกว่าปรกติ ทำให้ลุงหลงมาคอยอยู่เป็นเพื่อนลูก ดีที่ไม่งอแง คงเพราะเพลียถึงได้นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น

เมื่อเห็นว่าลูกชายหลับอุตุไปแล้ว ลุงหลงจึงลุกเดินเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ขณะที่กำลังเดินเอื่อยอยู่หน้าบ้านก็รู้สึกถึงบางสิ่งวูบผ่าน ก้าวเดินของลุงหลงหยุดชะงัก แกเหลียวมองรอบกายด้วยความสงสัย เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าจึงส่ายหน้าเบา สงสัยจะตาฝาด

เวลาผ่านไปชั่วครู่ ลุงหลงที่ลุกเดินเปลี่ยนท่าหลังจากนั่งมานานก็เข้าครัวไปหาน้ำดื่มสักเล็กน้อย ก่อนถือแก้วนั้นติดมือออกมา แต่เพียงมาถึงโซฟาที่ลูกชายของตนนอนอยู่ ชายสูงวัยก็ชะงัก เพราะมันเหลือเพียงผ้าห่มผืนบางกับหมอนเท่านั้น คนหายไปไหนแล้วไม่รู้ แกเหลียวมองหาแต่ไม่เห็นแม้เงา ร่างสันทัดจึงลุกเดินหา ทั้งในห้องน้ำชั้นล่างและเดินหาที่ชั้นบนก็ยังไม่เจอ ยังไม่สร่างไข้ ไปเล่นซนที่ไหนอีกแล้วไม่รู้ เจ้าดื้อ

คนที่ลุงหลงตามหาในเวลานี้ไม่ได้ไปเล่นซนที่ไหน แต่กลับเดินทื่อ ๆ มายังบ้านพักหลังหนึ่งในรีสอร์ตนับตะวัน ท่าทางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย แต่ขาก็พาก้าวเดินมาไม่มีหยุด สีหน้าดูอิดโรยแต่นัยน์ตากลับเปลี่ยนสี เหลืองอำพันที่ฉายแววสดใสกลับค่อย ๆ ถูกกลืนด้วยสีแดงเพลิงอย่างช้า ๆ มันมองตรงไปข้างหน้า ข้างหน้า... ที่เต็มไปด้วยคนของราซิส



ภายในถ้ำอันสงบเงียบบนผาสูงของเกาะศิลา สิงโตตัวใหญ่นอนพักอยู่บนโขดหินใกล้ปากทางเข้า นัยน์ตาสีทองที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาฉับพลันเมื่อรับรู้ถึงบางสิ่ง มันลุกขึ้นยืนแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า ก่อนกระโจนขึ้นสูงตัดกับแสงสีขาวสว่างจ้าที่ส่องวาบมาชั่วขณะ และพลันนั้นเอง ร่างของมันก็ตกลงมาบนกระโปรงหน้ารถคันหนึ่ง มันแยกเขี้ยวคำรามก้อง รถคันดังกล่าวแฉลบออกนอกเส้นทาง ก่อนที่คนขับจะบังคับให้มันกลับมาวิ่งปรกติหลังตั้งสติได้

ราซิสที่นั่งอยู่ในรถตกตะลึงกับสิงโตที่เกาะอยู่หน้ารถ แม้คนของเขาจะพยายามขับรถปาดไปมาเพื่อสะบัดมันให้หลุด แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง อุ้งเท้าหนัก ๆ ทั้งกรงเล็บแข็งแรงและแหลมคมฟาดลงบนกระจกจนคนในรถร้องเสียงหลง รูสที่ถูกจับมัดมือไพล่หลังทั้งยังมีเทปเหนียวหนืดปิดปากเอาไว้ร้องอู้อี้ในลำคอเมื่อเห็นลูห์ ซึ่งเจ้าป่าตัวใหญ่ก็ร้องคำรามราวโต้ตอบกลับมา

“อ้อ นี่แกรู้จักมันเหรอ รูส?” ราซิสเอ่ยถามสีหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะสั่งลูกน้องของตนเสียงดัง “ยิงมัน! ถ้ามันไม่ตาย พวกแกจะเป็นฝ่ายตายแทน!!”

รูสหันขวับมามองพี่ชายของตน ตากลมเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง หันกลับไปมองลูห์แล้วพยายามส่งเสียงบอกมันทั้งที่รู้ดีว่าตนเองทำไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เดินโง่เข้าไปหาพี่ชายจนถูกจับมาเช่นนี้ แต่รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้ว จะหนีก็ไม่ได้เมื่อถูกล้อมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขามันบ้า

กระบอกตาหนุ่มน้อยร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงความโง่งมของตนเอง ร่างผอมดิ้นรนหนักจนราซิสต้องกดศีรษะอีกฝ่ายลง คนถูกกดพยายามจะดิ้นแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ร้องอื้ออึงในลำคอ

“นี่มันอะไรกันวะ!?”

เสียงสบถของราซิสทำให้รูสชะงัก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงปืนที่ยิงปะทะกันโดยที่ตนยังถูกกดศีรษะเอาไว้ไม่ให้เงยมอง

“รูส! รูส!!”

‘สายลม...’ หัวใจรูสเต้นระรัวเมื่อได้ยินเสียงสายลมดังแทรกเสียงปืนเพราะพี่ชายลดกระจกลง

กายผอมขืนตัวแล้วเอียงล้มตะแคงลงไปบนเบาะ ทำให้หลุดจากการเกาะกุมของผู้เป็นพี่ที่สบถด้วยความหัวเสีย แต่เพราะการปะทะที่กำลังเกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะต้องระวังฝ่ายตรงข้ามให้ดี

“จัดการมันสักทีสิวะ ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง!!”

ชายหนุ่มตะคอกลั่นรถ คว้าอาวุธมาเพื่อยิงตอบโต้กับฝ่ายตรงข้ามที่ขับรถตามมาแบบกระชั้นชิด เจ้าสิงโตนั่นมันหายไปจากหน้ารถตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ และเขาคงไม่หาคำตอบเพราะต้องรับมือกับศึกอีกด้าน

ขณะที่เหตุการณ์กำลังโกลาหล รูสพยายามขยับไปที่ประตูรถ แต่เพราะแขนถูกมัด ปากก็ถูกปิดเอาไว้อีก ทำให้ไม่รู้ว่าจะบอกกับสายลมอย่างไรว่าตนเองอยู่ในนี้ นัยน์ตาคลอคลองด้วยหยาดน้ำใส แต่ก็ต้องกล้ำกลืนมันกลับลงไป เขาจะอ่อนแอไม่ได้ ทั้งสายลมและลูห์ตามมาช่วยแบบนี้แล้ว เขาจะอ่อนแอไม่ได้

“อื้อออ!!!” รูสสะดุ้งเฮือกแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อดันตัวขึ้นพิงประตูรถแล้วลูห์ก้มลงมาตรงกระจกพอดี

“อยู่เฉย ๆ ได้ไหมฮะ!” ราซิสกระชากไหล่น้องชายกลับมา เมื่ออีกฝ่ายโผล่หน้าขึ้นไป คนภายนอกอาจจะไม่เห็น แต่มันจะโดนลูกหลง แล้วถ้ามันตาย เขาจะหารหัสเปิดประตูจากไหนกัน!

ร่างผอมกลิ้งตกลงไปตรงซอกรถ ราซิสมองแล้วก็เหยียดปาก ไม่คิดจะช่วยน้องขึ้นมา หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาสู้กับคนที่ตามมาช่วยรูสจะดีกว่า ให้มันนอนอยู่ในซอกนั้นก็ดี จะได้ไม่เป็นภาระของเขา

ทางด้านสายลมที่ตามมาช่วยโดยไม่ทันได้คิดให้ถ้วนถี่ เพียงรับรู้จากลูห์ว่าเด็กมันตกอยู่ในอันตรายก็บึ่งรถออกมาโดยมีคนของเฟอร์ริงตันตามมาเพียงสองนาย และตอนนี้ฝ่ายเขาก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อมีรถอีกสามคันไล่หลังมาหลังจากที่เขาบึ่งรถตามคันหน้ามาได้สักพัก มันไม่ใช่รถยนต์ของชาวบ้านธรรมดาแน่ เมื่อมันมุ่งตรงมาทางที่พวกเขากำลังปะทะกันอยู่ ซ้ำยังยิงเกือบโดนล้อหลังรถของเขาอีก ดีที่คนขับมีฝีมือหลบเลี่ยงได้พ้น แต่คงได้ไม่นานแล้ว เมื่อรถสามคันนั้นเร่งเครื่องตามมากระชั้นชิดเหลือเกิน

ตึง!!

เสียงบางอย่างหล่นลงมาบนหลังคารถ สายลมเงยขึ้นไปมอง แม้ไม่เห็นว่าอะไรอยู่บนนั้น แต่ก็รับรู้ได้ว่าเป็นลูห์ ชายหนุ่มกวาดมองรอบด้าน ขืนยังดันทุรังต่อไปก็คงไม่พ้นเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเท่านั้น

‘รูสยังปลอดภัย’

ลูห์บอกกับเขาเช่นนั้น สายตาคมแม้เพ่งมองแต่กระจกรถของฝ่ายตรงข้ามที่ทึบทึม ทั้งยังปาดไปมาและต้องยิงสกัดด้วย ทำให้เป็นการยากที่จะมองหารูส แต่เมื่อลูห์บอกว่าเด็กของเขายังปลอดภัย สายลมจึงต้องตัดสินใจว่าจะเสี่ยงเข้าแลกแล้วไม่ได้อะไรกลับมา หรือจะวางแผนกันให้รัดกุมเพื่อเข้าชิงตัวรูส

ปัง! ตูม!!

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นกะทันหัน รถของสายลมส่ายจนควบคุมไม่อยู่เมื่อรถด้านหลังเล่นทีเผลอยิงรัวใส่ล้อ คนของเฟอร์ริงตันบังคับทิศทางรถอย่างสุดกำลังเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด สายลมมองรถทั้งสี่คันที่วิ่งฉิวผ่านไปด้วยความแค้นใจ อยากจะร้องออกมาจนสุดเสียงให้สมกับความอัดอั้นที่มี แต่ก็คงไร้ประโยชน์

หมุนคว้างอยู่สักพัก รถยนต์คันดังกล่าวก็หยุดลงในที่สุด ทั้งสามคนรีบออกมาจากตัวรถเมื่อเกรงว่าอาจเกิดการระเบิดขึ้นเพราะสะเก็ดไฟจากการเสียดสีของวงล้อ สายลมได้แต่เจ็บใจตัวเองที่ช่วยรูสเอาไว้ไม่ได้

ลูห์ค่อยก้าวมายืนข้างกายของผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็นนายเหนือตน สายลมเบือนสายตากลับมามองมัน เขาไม่แปลกใจที่มันมาโผล่ที่นี่ เพราะหากลูห์เป็นเพียงสิงโตธรรมดาคงไม่มีทางถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์บนเกาะศิลา

ในเวลานี้ทั้งสายลมและลูห์มีความคิดที่ไม่ต่างกันเลยสักนิด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าได้หวังจะแตะต้องเด็กของพวกเขา สายลมไม่ชอบทำร้ายใคร แต่หากพวกมันมายุ่งกับคนสำคัญของเขา เขาก็ไม่อาจรับปากว่าด้านที่ถูกกดเอาไว้มันจะไม่แสดงออกมา หากเกิดอะไรขึ้นกับรูส พวกมันทุกคนก็เตรียมตัวลงนรกไปได้เลย!


......


บ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวง สถานที่ที่ผู้คนแสนพลุกพล่าน สายลมลงจากรถมายืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น หลังจากนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบิน เขาก็ตรงมาที่นี่ในทันที ชายหนุ่มหันมามองความว่างเปล่าข้างกาย สักพักเงาร่างหนึ่งก็ค่อยเด่นชัดขึ้น หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าร่างนั้นดูอ่อนเพลีย

‘แปลกถิ่น’ เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นราวรู้ความคิดของเขา

“อืม”

สายลมทำเสียงรับรู้ หันกลับไปมองประตูหน้าบ้านที่ค่อย ๆ เปิดออกเพื่อต้อนรับเขา ชายหนุ่มและสิงโตคู่บารมีก้าวเข้าไปด้านใน คนของบ้านหลังนั้นค้อมตัวทำความเคารพ ก่อนจะพาไปพบกับชายคนหนึ่งที่กำลังรอเขาอยู่เหนือบันไดหน้าบ้าน บุคลิกของอีกฝ่ายดูภูมิฐานแม้อยู่ในชุดลำลอง บ่งบอกความเป็นนายเหนือผู้คน

“สวัสดีครับ อาแอล” ชายหนุ่มไหว้ทักทายอีกฝ่าย ทางนั้นรับไหว้ก่อนจะพยักหน้าให้ก้าวตามเข้าบ้าน สายลมจึงหันมาหาลูห์ ก่อนที่จะเดินตามเข้าไป

เพื่อไม่ให้เสียเวลา เมื่อหย่อนกายลงนั่ง สายลมก็เปิดประเด็นในการมาครั้งนี้ทันที เขาโทรมาประสานงานกับผู้เป็นอาแล้ว แม้ไม่อยากรบกวน แต่เพราะลูกน้องของอารู้ว่าราซิสอยู่ที่ไหน และอาแอล หรือมิสเตอร์แอลคนนี้มีประสบการณ์มากกว่า และกว้างขวางกว่า เขาจึงต้องมาขอคำปรึกษาเพื่อหาทางช่วยรูสก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้

ชายตรงหน้าที่เขาเรียกว่าอากระตุกยิ้มมุมปากเมื่อฟังเขาพูดจบ นั่นทำให้สายลมชะงัก อาการกระวนกระวายที่เผลอแสดงออกไปเสียมากมายค่อยลดระดับลงเพราะรอยยิ้มนั้น และแววตาที่ดูจะล่วงรู้ถึงความนึกคิดที่เขามี

“ใจเย็น ๆ สายลม” เสียงทุ้มฟังดูกังวานในความรู้สึกเอ่ยขึ้นมาช้า ๆ “อาให้คนไปจัดการให้แล้ว รู้ว่าเราเป็นห่วงเด็ก แต่ไม่เป็นไรหรอก เด็กคนนั้นเพิ่งถูกพาเข้าไป การที่นายคนนั้นมาลักพาเด็กของเราไป มันน่าจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง จริงไหม?”

ผู้เป็นอาคาดคะเน ซึ่งนั่นมันก็ใช่ แต่คนที่กำลังร้อนใจก็ไม่อยากปล่อยเวลาเอาไว้นาน

“ผมไม่ทราบว่ามันต้องการอะไร แต่มันเคยให้คนมาฆ่ารูส ผมไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้รูสอยู่กับมันนานไปกว่านี้”

“ใจร้อนจริง”

“......” สายลมชะงักกับรอยยิ้มและคำพูดนั้น ไม่รู้ว่ากำลังถูกตำหนิอยู่หรือเปล่า จนเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“อย่างนั้นไปกันเลยไหม?”

“...?” มองหน้าผู้เป็นอาด้วยความมึนงงเพราะตามอารมณ์ไม่ทัน

“ทำไมล่ะ กลัวว่าเด็กคนนั้นจะไม่ปลอดภัยไม่ใช่เหรอ?” ผู้เป็นอาเลิกคิ้ว

เห็นแบบนั้นแล้วคนเป็นหลานจึงรีบเรียกสติตัวเองกลับมาพร้อมตอบรับ “ครับ”

ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจ ก่อนที่จะลุกเดินนำหน้าหลานชาย พากันออกไปพร้อมลูห์ที่ตามหลังมาไม่ห่าง แต่ก่อนที่จะทันได้ออกไปไหน ใครอีกคนก็ส่งเสียงเรียกเอาไว้

“อลัน คุณจะพาหลานไปไหนน่ะครับ?”

ใครคนนั้นก้าวเข้ามาหา สองหนุ่มต่างวัยยืนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาถึง สายลมยกมือไหว้ รู้สึกเสียมารยาทนักที่ตั้งแต่มาถึงยังไม่ทันทักทายใครก็จะพาอาแอลออกไปเสียแล้ว

อลันกอดเอวผู้เข้ามาใหม่พลางบอก “ผมจะไปจัดการธุระนิดหน่อย รออยู่ที่บ้านนะ”

ร่างสูงใหญ่จูบแก้มอีกฝ่าย ยิ้มน้อย ๆ แล้วผละมา ทำให้สายลมก้าวตาม สายตาคมเหลือบมองคนที่มีท่าทีเป็นกังวล ก่อนจะหันกลับมาพูดกับอาของตน

“อาครับ ผมไม่รบกวนอาจะดีกว่า แค่ให้คนนำทางผมไปก็พอ” สายลมเอ่ยขึ้นมาด้วยความเกรงใจ เพียงแค่เขาโผล่มารบกวนเช่นนี้ก็มากพอแล้ว ขืนให้อาออกโรงเองอีกคงไม่ดีแน่

ผู้เป็นอาหันมามอง มือหนาเอื้อมไปวางบนไหล่กว้าง “อย่าวู่วามล่ะ เพราะฝ่ายเสียเปรียบจะกลายเป็นเราในทันที”

“ครับ”

เมื่อเขารับคำ มือนั้นก็ตบบ่าหนัก ๆ ก่อนจะเรียกลูกน้องที่ไว้ใจได้มาทำตามความประสงค์ของเขา เมื่อมีคนมามากขึ้น ลูห์จึงค่อยพรางกายเพื่อขึ้นรถไปกับสายลม วินาทีนี้ในหัวของทั้งคู่มีแต่คำว่าจะต้องช่วยให้ได้ จะช่วยกลับมาให้ได้... รูส




TBC



ขอบคุณทั้งสองท่านค่ะ ยังบวกไม่ได้ แปะไว้ก่อนนะคะ  :กอด1:

------

บวกเรียบร้อยค่ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๓ ชิงตะวัน // ๓๐.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 30-08-2018 15:38:57
ลูห์เจ๋งอะทีแรกเราก็นึกว่าราซิสจับรูสไปเกาะศิลาอีกก็เลยมาเจอลูห์แต่มันไม่ใช่ลูห์มีของอะ  o13 o13 o13 สายลมก็ใจเย็นๆน้า555รู้สึกเหมือนเรารักลูห์มากกว่าสายลมอะ  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๓ ชิงตะวัน // ๓๐.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 30-08-2018 20:46:38
ลูห์แท็คทีมกับสายลมและพลพรรคของอาแอล
เราคงไม่ต้องห่วงรูสแล้วละนะ ปลอดภัยแน่ๆ

สำหรับราซิส .. คงศพไม่สวย
ลูห์จัดไปอย่าให้เหลือซาก

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 31-08-2018 09:04:31

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๔ บางสิ่งที่ซุกซ่อน



บ้านธรรมวงศา

รูสถูกพากลับมาที่นี่ เพราะต้องนั่งเครื่องบินมาทำให้แขนของเขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ราซิสใช้วิธีเช่าเครื่องบินเล็กเพื่อให้กลับมาถึงที่บ้านนี้ให้เร็วที่สุด ไม่สนใจว่าตลอดระยะทางน้องชายของตนจะนั่งขดอยู่ตรงซอกมุมเพราะความกลัว จุดหมายของเขามีค่าให้สนใจมากกว่าความรู้สึกของใครต่อใคร

ชายหนุ่มลากน้องมาที่ห้องลับใต้ดิน ยิ่งก้าวลงไป รูสก็ยิ่งใจสั่น ความทรงจำร้าย ๆ ย้อนกลับเข้ามาแม้ไม่อยากนึกถึง กายผอมสั่นงันงกจนผู้เป็นพี่ชายรู้สึกได้ แต่ก็เพียงแค่ปรายมองเท่านั้น เพราะมือหนายังคงฉุดกระชากน้องให้ตามตนเองมาไม่มีหยุด มันจะกลัวก็เรื่องของมัน เพราะเขาไม่เคยกลัวไอ้ห้องบ้า ๆ นั่น เพราะมันคือสถานที่แห่งความแค้น ไม่ใช่สถานที่แห่งความหวาดกลัว!

เมื่อลงมาถึงหน้าประตูห้องเก่าคร่ำครา รูสก็ถูกเหวี่ยงจนเซไปชนกับบานประตูจนอุทานออกมาเบา ๆ ดวงตากลมเหลือบมองพี่ชายของตนด้วยความหวาดหวั่น

“แกรู้ใช่ไหม รูส รหัสของห้องนี้”

น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามเชิงข่มขู่ รูสกวาดมองชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ที่ยืนขนาบพี่ชายของตนแล้วก็ส่ายหน้าว่าไม่รู้ เส้นความอดทนของราซิสหมดลงเมื่อเห็นท่าทีของผู้เป็นน้องนอกไส้ มือหนาขยุ้มเส้นผมของอีกฝ่ายแล้วกระชากจนหน้าหงาย ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วคำรามลอดไรฟัน

“ไม่รู้ได้ยังไงกัน รูส นึกว่าพี่จะเชื่อเหรอว่าไอ้ดอกเตอร์นั่นมันจะไม่บอกอะไรแกเลย หา!!?”

รูสสะดุ้งเฮือกเมื่อราซิสตะคอกเสียงดังในตอนท้าย หัวใจเต้นระรัวขณะที่ตากลมมองจ้องอีกฝ่ายเขม็ง บอกตัวเองว่าเขาไม่กลัว ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ในเมื่อเขาไม่เหลืออะไรแล้วใยต้องกลัว ก็แค่ราซิส ก็แค่พี่ชายเฮงซวย!

เห็นแววตาของรูสที่แปรเปลี่ยนไปแล้วราซิสก็ชะงัก ไอ้เด็กนี่คิดจะสู้กับเขาหรือ ช่างไม่เจียมกะลาหัว คิดว่ามันแค่คนเดียวจะทำอะไรได้ หน้าโง่!

ชายหนุ่มปรามาสคนเป็นน้อง สายตาค่อยละจากตากลมที่มองจ้องมายังอกบาง จี้ห้อยคอมันล้อแสงไฟที่อยู่เหนือประตูห้อง เรียกสายตาของเขาให้จับจ้อง ก่อนที่จะช้อนมันขึ้นมากลิ้งอยู่ในอุ้งมือ

“จี้นี่ มันพิเศษกับแกมากใช่ไหม เห็นใส่ไม่เคยถอด บางที...” ชายหนุ่มเว้นจังหวะ สีหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย

รูสดึงสายสร้อยกลับด้วยความตื่นตระหนก มือเรียวกำมันเอาไว้แน่น อย่ามายุ่งกับสร้อยเส้นนี้ จี้นี่บิดาเขาสั่งให้เก็บให้ดี เขาไม่เคยถอดมันเพราะคิดว่าสำคัญต่อบิดามาก เขาไม่รู้ว่ามันพิเศษอย่างไร แต่เมื่อมันคือคำสั่งของบิดา เขาจึงทำตามมาโดยตลอด

ราซิสมองท่าทีของผู้เป็นน้องแล้วก็เข้าใจว่าจี้มันต้องสำคัญมากแน่ บางทีอาจมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่แน่อาจเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาเข้าไปในห้องบ้า ๆ นั่นได้สำเร็จก็เป็นได้

“เฮ้ย จับมันไว้”

สิ้นเสียงสั่ง ชายฉกรรจ์สองนายก็เข้าล็อกแขนรูสทั้งสองข้าง สร้อยถูกราซิสกระชากจนขาดสะบั้น รูสมองตามมันด้วยอาการตกตะลึง ริมฝีปากบางขยับจะร้องห้าม

“ยะ...”

“อะไร?” ราซิสเอ่ยแทรก เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อยกสร้อยในมือขึ้นมาตรงหน้าน้องชายที่ทำอะไรไม่ได้ “มันพิเศษจริง ๆ สินะ รหัสเปิดประตูมันอยู่ในนี้ใช่ไหม?”

เขาคาดเดา แต่รูสกลับส่ายหน้า

“พี่... อย่าเอาไป”

พยายามร้องขอ แต่ราซิสกลับไม่ฟัง ส่งสร้อยเส้นนั้นให้กับลูกน้องของตน แววตาไร้ความปรานีมองสบกับแววร้องขอที่เขาไม่เคยคิดจะให้

“ทุบมัน!”

“...!!!!!”

ตากลมเบิกค้าง หันไปมองคนของพี่ชายถือสร้อยของตนไปทำตามคำสั่ง กายผอมดิ้นรนทั้งร้องห้ามจนสุดเสียง

“อย่า!!!!”

เพล้ง!!

ไม่มีความเมตตา ไม่มีใครเห็นใจ จี้ประดับทรงกลมแตกละเอียดราวกับหัวใจของรูสที่แตกยับไปพร้อมกัน ไข่มุกด้านในร้าวและค่อยปริแตก มีกระแสไฟแล่นแปลบปลาบก่อนจะจางหายไป หลงเหลือเพียงเศษซากจากการทำลายเพียงเท่านั้น

“นี่มันอะไร?”

เสียงราซิสดังแว่วเข้ามาในหู รูสแทบไม่รับรู้อะไรต่อจากนั้น กายผอมรูดตัวลงนั่งราวหมดเรี่ยวแรง แขนที่ถูกจับตรึงจึงคลายออกตามไปด้วย

“ไม่มีอะไรอยู่ในนี้เลยครับ นาย”

ลูกน้องของราซิสรายงานผลพร้อมกอบเอาเศษจี้ที่แตกหักใส่ผ้าบาง ๆ มาให้ผู้เป็นนายดู ชายหนุ่มกัดกรามกรอด หันมาหารูสที่ทรุดนั่งก้มหน้าอยู่ที่พื้นด้วยความแค้นใจ คนที่ถูกทำร้าย ทำลายทั้งหัวใจและชีวิตจนสุดจะทนเงยขึ้นมาสบตากับเขาด้วยแววแข็งกร้าว ราซิสจึงขยุ้มคอเสื้อของอีกฝ่ายแล้วรั้งให้ลุกขึ้นมา นัยน์ตาของรูสแดงก่ำจนไม่เหลือเค้าสีเดิมที่เหลืองสดใสแม้แต่น้อย ราซิสชะงักงัน ก่อนที่เสียงคำรามในลำคอจะดังขึ้นมาจากคนตรงหน้าเขาตอนนี้

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก”

รูสร้องเสียงดังจนมันก้องไปทั้งชั้นใต้ดิน กายผอมโดดเข้าใส่ราซิสจนล้มลงไป เหล่าลูกน้องพากันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว เด็กคนนี้ราวไม่ใช่รูส ไม่ใช่เด็กหัวอ่อนที่ใครจะป้อนข้อมูลอะไรใส่หัวก็ได้ ฟันคมกัดลงมาบนไหล่ของผู้เป็นพี่ ไม่สนใจปากกระบอกปืนที่เล็งมาหาตนเอง สะบัดหัวราวจะฉีกกระชากเนื้อหนังของเหยื่อก็ไม่ปาน

ราซิสร้องลั่น มือหนาดันหน้าผากรูสเอาไว้สุดกำลัง ลูกน้องของเขาก็ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก จะยิงก็กลัวถูกนายของพวกตนจนได้แต่เล็งอยู่เช่นนั้น

“เอามันออกไปสิโว้ย!!!”

ชายหนุ่มตวาดไอ้พวกหัวทึบ พวกมันค่อยกรูกันเข้ามารั้งรูสออกให้พ้นตัวของนาย เด็กตัวผอมแต่แรงมหาศาลยังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

ปัง!!

เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นใส่หน้าชายร่างใหญ่ที่จับตัวรูสเอาไว้ เขม่าควันจากปากกระบอกปืนในมือของราซิสลอยล่อง ดวงตาสีแดงเพลิงมองจ้องคนยิง ทั้งเสียใจ ทั้งเคียดแค้น ขณะที่เลือดไหลทะลักจากบาดแผลตรงกลางอก

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก”

กายผอมเหวี่ยงคนของราซิสทั้งสองนายจนถลาไปคนละทิศ ก่อนจะกระโจนไปที่บันไดไม่รอช้า เสียงราซิสสั่งคนให้ตามไปดังอยู่ด้านหลัง รอยเลือดหยดไปตามพื้นที่ร่างนั้นพุ่งทะยานไป

เมื่อโผล่ขึ้นมาด้านบนรูสก็หยุดชะงัก คนของราซิสที่เฝ้าทางเข้าหันมาเห็นเขาต่างจะพากันเข้ามาจับ นัยน์ตาสีเพลิงตวัดมองบางสิ่ง ก่อนที่จะกระโจนขึ้นไปบนหน้าต่างของห้องนั้นท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เท้าเรียวเหยียบบนกรอบหน้าต่าง หันกลับมามองราซิสที่วิ่งมาถึงพอดี ก่อนกระโดดออกไปพร้อมกับเสียงปืนที่ยิงรัวไล่หลัง

เมื่อวิ่งกรูกันออกมาด้านนอก รูสก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว ราซิสสบถอย่างหัวเสีย สั่งให้คนของตนเองตามหาให้ทั่ว ก่อนจะเหลือบมองหัวไหล่ตนที่เลือดไหลซึมจนชุ่ม

“นี่... รูส... มันเป็นตัวอะไรกันแน่?”


สายลมที่ตามมาช่วยเด็กถึงบ้านธรรมวงศา เพียงเหยียบย่างลงจากรถก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด หัวใจชายหนุ่มแทบร่วง ขายาวก้าวไปที่หน้าประตูบ้านหลังนั้นในทันที

“รูส...”

ห่วงเด็กจนใจจะขาด สายลมพยายามหาทางที่จะเข้าไปในตัวบ้านเพราะทนอยู่ด้านนอกนี่ไม่ได้แม้วินาทีเดียว กายหนาเกิดอาการชะงักเมื่อรู้สึกคล้ายกับมีบางสิ่งวูบผ่าน สายตาคมหันขวับตามสิ่งนั้นแต่ก็ทันได้เห็นเพียงหลังไว ๆ และกลิ่นคาวเลือด ชายหนุ่มจะตามสิ่งที่ตนเองเห็นไป แต่ราซิสและพวกกลับเปิดประตูหน้าบ้านพรวดพราดออกมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีทางเลี่ยง

ราซิสลดมือที่กุมอยู่เหนือไหล่ลง ยืดตัวตรงเพื่อให้รู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่าย ไอ้หนุ่มผมยาวตรงหน้าเขามันเป็นใครเขาไม่รู้ แต่กล้าถึงขนาดพาคนมาเหยียบถึงถิ่นเขาแบบนี้คงไม่ใช่ธรรมดา

“รูสอยู่ไหน?” เสียงเข้มเอ่ยถาม นัยน์ตาสีนิลมองจ้องดุดัน

“พูดอะไรของแก?” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงรูส ราซิสก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้ากลับเป็นปรกติแล้วหันไปสั่งลูกน้องตน “เฮ้ย! ปิดบ้านเว้ย”

กายหนาจะก้าวกลับเข้าบ้านโดยไม่คิดจะตอบคำถามของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย สายลมจึงเอ่ยท้วงออกไปเสียงเรียบ

“แกคิดว่าเดินหนีไปแบบนี้แล้วสิ่งที่แกทำมันจะจบลงไปง่าย ๆ หรือไง?”

ราซิสหันกลับมามองสายลมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่คนเปิดประเด็นยังพูดต่อ หางตาคมปรายมองบางสิ่งข้างกาย ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะยกยิ้มเมื่อเบือนกลับมาที่ราซิส

“ฉันไม่รู้จักแก แต่ถ้าแกจะตามข่าวบ้างก็น่าจะรู้ว่ารูสมันหายตัวไปตั้งนานแล้ว”

“นั่นก็เพราะแกไม่ใช่เหรอ?” สายลมเอ่ยแทรก

“......” อีกฝ่ายมองจ้องด้วยความตึงเครียดเมื่อสายลมพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง

“ส่งตัวรูสมา” สายลมเอ่ยย้ำ

ราซิสมองนิ่งราวถ่วงเวลา ยิ่งเวลาเดินไป ใจสายลมยิ่งกระวนกระวาย แต่ต้องเก็บมันไว้ภายใต้ความดุดันของสีหน้า ไม่แสดงอาการอะไรที่จะทำให้เป็นจุดอ่อนของตน

“เสียใจ แกมาช้าไปว่ะ” น้ำเสียงเนิบช้าและรอยยิ้มเยาะหยันจากราซิสทำให้สติสายลมขาดผึง

“แก!!”

มือหนากระชากคอเสื้อของราซิส ทำให้ลูกน้องของทั้งสองฝ่ายชักปืนออกมาเล็งใส่กันทันทีเพื่อปกป้องนายของตน ราซิสยิ้มเยาะ เขาเจ็บไหล่ที่เลือดยังคงซึมจากบาดแผลที่ได้มาเพราะฝีมือรูส แต่ก็ไม่คณา

“ตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี ไอ้เด็กนรกนั่น”

ผลัวะ!!

เพียงสิ้นเสียงพูด หมัดหนัก ๆ ก็ฟาดปากคนพูดอย่างไม่ออมแรง คนของมิสเตอร์แอลรั้งตัวสายลมเอาไว้ โดยที่ส่วนหนึ่งก็ยังคงทำหน้าที่คุ้มกัน ราซิสที่แทบเซล้มจากฤทธิ์กำปั้นของสายลมโบกมือให้ลูกน้องที่เข้ามาพยุงปล่อย มือหนาเช็ดมุมปากที่เลือดซึมออกมา ทั้งยิ้มเยาะสายลมที่ดูกราดเกรี้ยวเพราะคำพูดของตน

“บอกให้เอาบุญ มันยังไม่ตายหรอก แต่ก็คงอีกไม่นาน...!”

กริ๊ก!

ปากกระบอกปืนกดทิ่มที่หน้าผากทำให้ดวงตาราซิสเบิกขึ้นเมื่อมันรวดเร็วจนมองไม่ทัน ลูกน้องของเขาก็ยังยืนโง่อยู่ ขณะที่เขากำลังจะถูกเป่าสมองไหล นิ้วสายลมเกี่ยวไกปืนเอาไว้พร้อมลั่นไกได้เสมอ

“คุณสายลม ใจเย็น ๆ ครับ” คนของมิสเตอร์แอลกระซิบเตือน พอเป็นเรื่องของคนสำคัญทีไร อากับหลานก็อารมณ์ร้อนไม่ต่างกันเลย

สายลมจ้องราซิสไม่ละสายตา ราวกับกำลังวัดใจ และกลายเป็นฝ่ายราซิสที่เปิดปากก่อน

“หึ แกกล้ายิงก็ลองดู ถิ่นใครรู้ซะบ้าง”

“ถิ่นใครฉันไม่รู้ ถ้าลูกปืนฉันเจาะกะโหลกแกสักรู มันคงทำให้แกรู้จักฉันดีขึ้น”

ประโยคที่ดูไม่มีแววล้อเล่นสักน้อยนิดทำให้ราซิสเงียบไป จ้องกันอยู่สักพัก สุดท้ายราซิสจึงต้องบอก

“รูสไม่ได้อยู่ที่นี่”

ถึงจะบอกมาเช่นนั้น สายลมก็ยังไม่ละสายตา ปืนยังคงกดบนหน้าผากของราซิสคงเดิม

“ฉันไม่ได้โกหก แกดูแผลที่ไหล่ฉันสิ ฝีมือไอ้เด็กนั่น”

“รูสไม่เคยทำร้ายใคร” สายลมแย้ง

“หึ ทำเหมือนแกรู้จักมันดี แกรู้ไหมว่ามันเป็นตัวอะไร ไอ้เด็กประหลาดนั่น”

นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย แทบไม่ได้ฟังที่อีกฝ่ายพูดเมื่อหูได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงที่เขากำลังรออยู่ ปืนในมือค่อยคลายอาการกดทิ่มและลดระดับลง พร้อมมุมปากที่กระตุกยิ้ม

“หึ วันนี้อาจยังไม่ใช่วันของแก แต่...” ริมฝีปากหยักที่ยกยิ้มอยู่เมื่อครู่ค่อยหุบลง ก่อนเอ่ยปิดท้าย “ระวังสมองกลวง ๆ ของแกเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มผินกายแล้วก้าวออกไปโดยมีคนของผู้เป็นอาคอยระวังหลังให้ จนกระทั่งพากันขึ้นรถแล้วขับออกไป ราซิสที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมออกจะมึนงงเมื่อสายลมยอมเชื่อตนง่ายดายขนาดนั้น ช่างโง่เง่าไม่มีใครเกิน

เมื่อกลับเข้ามาในบริเวณบ้าน ราซิสก็บ่นเรื่องรูส แผลของเขาปวดตุบยิ่งทำให้เคืองแค้น ความยะเยือกจากอะไรบางอย่างทำให้ขนกายตั้งชัน ชายหนุ่มเหลียวมองรอบกายเมื่อรู้สึกเหมือนว่ามีใครมองพวกตนอยู่ แต่กลับไม่เห็นใครเลยนอกจากความว่างเปล่า ยิ่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้นเพราะรูส ยิ่งทำให้ราซิสสบถอย่างหัวเสีย จะมีตัวประหลาดอะไรโผล่มาอีกบ้างวะ!

จุดอับแสงภายในสวนหน้าบ้านนั่น ลูห์ค่อยเผยตัวขึ้นช้า ๆ หลังจากราซิสเดินห่างออกไป มันมองไปรอบกายอย่างสำรวจตรวจตรา นัยน์ตาสีทองส่องแสงภายใต้ความมืด พยายามใช้สัมผัสที่มีและการดมกลิ่นของตน แต่มันก็รางเลือนเหลือเกิน ได้กลิ่นของรูสเพียงจาง ๆ ทั้งยังปะปนกับกลิ่นของพวกนั้นจนมั่วไปหมด ก่อนกลิ่นนั้นมันจะจางหายไปพร้อมความรู้สึกที่ว่า ในเวลานี้มันอยู่ไกล ๆ อยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ที่นี่

ลูห์ถอยเข้าสู่ความมืดอีกครั้งก่อนจะเลือนหายจากจุดนั้นไปช้า ๆ สายลมยังคงรอมันอยู่ไม่ไกล หลังจากมันบอกกับสายลมขณะที่เผชิญหน้ากับราซิสเพื่อถ่วงเวลาให้มันอยู่ด้านนอกว่ารูสไม่ได้อยู่ที่นี่ ทำให้สายลมต้องรามือและออกไปรอมันห่างจากบ้านธรรมวงศาเพื่อตบตาศัตรูว่ายอมล่าถอย

“ไม่เจอเหรอ?”

คำถามจากสายลมเมื่อลูห์มาถึงจุดที่เขารออยู่ มันส่ายหัวเบา ๆ ทำให้หัวใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวังลีบเล็กลง ชายหนุ่มหันไปสั่งคนของอาที่รอท่าอยู่ให้เตรียมออกรถ ไม่มีใครรู้ว่าเขารออะไรจนกระทั่งลูห์มา มันคงหมดแรงที่จะพรางกายแล้วถึงได้ยอมให้คนอื่นเห็น

คนของมิสเตอร์แอลที่คราแรกยกปืนเล็งมาที่ลูห์ด้วยความตกใจ แต่เมื่อรู้ว่าหลานชายของนายเป็นเจ้าของสิงโตตัวนี้จึงได้เก็บปืนแล้วพากันขึ้นรถไปทำตามคำสั่ง ลูห์โดดขึ้นไปบนหลังคารถเช่นขามา มันนั่งลงบนนั้นแล้วสายลมกับคนอื่นจึงขึ้นรถ

‘นายไหวหรือเปล่า ลูห์?’ สายลมถามมันที่ตอนนี้หมอบลงกับหลังคาแทนการนั่ง

‘อย่าห่วงเลย รีบกลับให้ถึงบ้านอาของเจ้าไว ๆ ก็พอ’

บอกอย่าห่วงแต่ต่อท้ายมาเช่นนั้นจะไม่ให้ห่วงได้หรือ สายลมระบายลมหายใจหนักหน่วง ทั้งรูส ทั้งลูห์ ต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะการตัดสินใจของเขา มันน่าเจ็บใจตัวเองที่ทำให้คนสำคัญต้องมาเดือดร้อนเช่นนี้


......


ร่างผอมโซซัดโซเซมาตามทางที่ไม่เคยคุ้น ความมืดที่เคยหวาดกลัวกลับไม่ทำให้สั่นกลัวเช่นก่อนนี้ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่ไหลหยดไปตามทาง ยิ่งใช้แรงมากเท่าไรเลือดยิ่งไหลไม่หยุด เจ็บปวดจนตาพร่า ขาแทบหมดแรงจะยืนไหว ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดลงไปกอง แสงสว่างจากบางสิ่งก็สาดมาพร้อมเสียงแตรที่ดังยาวและสติรับรู้ที่ดับวูบลง

เสียงล้อรถบดถนนเมื่อรถยนต์คันหนึ่งแตะเบรกจนสุดตัว เมื่อรถจอดสนิท ประตูก็ถูกเปิดออก ก่อนที่ชายสองคนจะลงมา คนตัวบางกว่าย่อกายลงดูร่างที่นอนจมกองเลือดด้วยท่าทางร้อนรน

“พี่แคน ทำไงดี เราชนคนตาย!”

ร่างของหนุ่มอีกคนนั่งลงข้างกัน มือเอื้อมไปพลิกตัวคนเจ็บให้หงายหน้าขึ้น ทำให้อีกคนร้องเสียงหลง

“พี่แคน! อย่าไปจับ เดี๋ยวก็มีรอยนิ้วมือติดบนศพหรอก อยากเข้าคุกหรือไง!?”

“คุณหนู เขายังไม่ตายครับ แต่ถ้าคุณหนูมัวชักช้า เขาได้ตายจริง ๆ แน่” ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่แคนบอกอย่างหน่ายใจ

“ไม่เอา อย่าให้เขาตายนะ!”

“ถ้าไม่อยากให้เขาตายก็พาขึ้นรถไปโรงพยาบาลครับ ตอนนี้เลย” เอ่ยจบก็จะช้อนอุ้มคนเจ็บที่ขนาดตัวผอมบางกว่าเขามาก แต่มือของอีกคนกลับรีบรั้งแขนเขาไว้ ก่อนที่จะทันได้ยกร่างนั้นขึ้นมา

“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ถ้าไปโรงพยาบาล มายฟาก็ต้องรู้สิ โดนด่าเปิดเปิงแน่” ท่าทางคนพูดจะกังวลไม่น้อย

คนตัวโตกว่าหันมาถาม “ระหว่างโดนนายด่ากับติดคุก คุณหนูเลือกอย่างไหน?”

คุณหนูของเขาหน้างอ ก่อนจะผลักไหล่เขาพาล ๆ “รีบไปเลย พูดมากเดี๋ยวเขาก็ตายหรอก”

พี่แคนของคุณหนูถอนหายใจแรง ความผิดเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มอุ้มคนเจ็บไปขึ้นรถ ก่อนจะเปิดประตูอีกฝั่งให้คุณหนูของตนขึ้นไปนั่ง ตนจะเป็นคนขับรถเอง

“คุณหนูนั่งหลังครับ พยุงเขาไว้ เดี๋ยวเกิดตกลงช่องนั่นไปอาจช้ำในตายได้” นี่ก็ยังไม่วาย

“เลิกพูดคำว่าตายได้แล้ว!” ตอกย้ำกันจนชักจะโมโห “เพราะพี่แคนเลย”

เสียงบ่นงึมงำหลังจากยอมขึ้นไปนั่งพยุงคนเจ็บทำให้พี่แคนของคุณหนูส่ายหน้า ไม่คิดจะใส่ใจกับนิสัยแบบนั้นของลูกชายนายตน ชายหนุ่มรัดเข็มขัดแล้วออกรถ ที่เกิดเรื่องขึ้นก็เพราะคุณหนูของเขาอยากขับเองไม่ใช่หรือ ห้ามก็ไม่ฟัง แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ได้เรื่องเลย

“พี่แคนห้ามบอกเรื่องนี้กับมายฟานะ” เสียงคนด้านหลังสั่งมา แต่คนขับก็ยังเงียบเฉยจนต้องเรียกซ้ำ “พี่แคน!”

“ได้ยินแล้วครับ”

“รับปากด้วย ไม่งั้นจะโยนเด็กนี่ลงไปแน่”

คำขู่ช่างน่าขำเสียจริง ตัวเองกลัวว่าเด็กมันจะตายแล้วตำรวจจะจับ แต่มาขู่เขาว่าจะโยนเด็กลงไป เขาควรกลัวดีไหมนี่

เด็กหนุ่มปรายมองคนที่ตนเองพยุงอยู่ ทำหน้าสยองเมื่อเลือดสีแดงช้ำท่วมตัวไปหมด เขาคิดว่าเขาเบรกทัน แต่ที่จริงชนแรงมากขนาดเลือดออกเยอะแบบนี้เลยหรือ ใบหน้าเรียวซีดเผือด ในใจเริ่มกลัวว่าตนเองจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนอื่นตายเข้าจริง ๆ


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :ruready
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 31-08-2018 09:05:20

สายลมลงจากสถานีตำรวจมาขึ้นรถพร้อมบอดีการ์ด สีหน้าชายหนุ่มดูผิดหวังเพราะการตามหารูสไม่ประสบผลสำเร็จ เขาเที่ยวขับรถวนหาจากจุดเริ่มต้นคือบ้านธรรมวงศาหลังจากกลับมาวันนั้น แต่ก็ดูไร้จุดหมายเหลือเกิน อาของเขาเรียกตัวอดีตมือขวามาช่วยเรื่องนี้ เพราะฝ่ายนั้นรู้จักคนเยอะ น่าจะพอให้ความช่วยเหลือเขาได้ การพึ่งตำรวจก็เป็นอีกหนึ่งช่องทาง แต่ก็ยังไร้วี่แววของรูสอยู่ดี

โรงพยาบาลแถบใกล้เคียง เขาติดต่อมันแทบทุกที่ บางครั้งอาจมีคนพบรูสแล้วพาส่งโรงพยาบาล มันคือความคาดหวัง แต่ก็ต้องผิดหวังทุกครั้งไป

กลับมาถึงบ้านผู้เป็นอา ร่างสูงใหญ่ก็ทิ้งตัวลงนั่งกุมขมับ ลูห์เดินมานอนอยู่บนพื้นใกล้กันกับนายของมัน มันเองก็สัมผัสถึงรูสไม่ได้ อาจเพราะที่นี่วุ่นวาย ไม่เหมือนเกาะศิลาที่เงียบสงบ การเดินทางไกลแล้วใช้ความพิเศษที่มีมาก ๆ ก็ทำให้เรี่ยวแรงที่มันมีถดถอยลงไปเช่นกัน

นั่งเครียดกันอยู่หนึ่งคนกับหนึ่งตัว ร่างผอมเพรียวของใครคนหนึ่งก็เดินผ่านหน้า สายลมเงยขึ้นมองก่อนร้องทัก ทำให้คนคนนั้นชะงักกึกแล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้เขา

“จะไปไหน เดวา?”

เดวา ลูกชายคนเดียวของมิสเตอร์แอล ผมสีชมพูแสบตา ทั้งอุปนิสัยก็แสบสันต์ไม่ต่างกับสีผม

“อ่า... จะไปติวบ้านเพื่อนน่ะ พี่สายลมมีอะไรหรือเปล่าครับ?” เจ้าตัวแสบยิ้มแย้ม

สายลมหรี่ตาเล็กน้อย มองกระเป๋าที่น้องสะพายก่อนมองหน้ายิ้ม ๆ นั่น “หอบอะไรไปเต็มกระเป๋า?”

“หนังสือไง ความรู้จะได้แน่น ๆ” พอถูกทัก เด็กหนุ่มผมชมพูก็ปลดกระเป๋าสะพายหลังลง ถือไว้แล้วตบปุ ๆ พลางยืดอกแล้วยิ้มกวนอารมณ์

“ขอให้สอบได้ที่หนึ่งเลยแล้วกัน กระเป๋าใหญ่ขนาดนี้”

“สาธุ สมพรปากเถอะครับ พี่ชาย” ยกมือท่วมหัวจนสายลมส่ายหน้าหน่าย “เออ พี่ลม... เดวาได้ยินว่ากำลังตามหาคนอยู่เหรอ?”

“ได้ยินมาจากไหนอีกล่ะ?” สายลมยิ้มมุมปาก รู้ไปเสียทุกเรื่องนะ

“โธ่ มีเรื่องอะไรบ้างที่เดวาจะไม่รู้”

เจ้าแสบทำยืด เดินเข้ามานั่งข้างพี่ชายถึงเห็นว่ามีสิงโตตัวใหญ่นอนอยู่ เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขาตาถั่วหรืออย่างไร เมื่อครู่ถึงไม่เห็นมัน เมื่อตั้งตัวได้ก็หันมาสนใจพี่ชายของตนเองแทนการมองหน้าสิงโตที่ทำให้ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อย่างับหัวเดวานะ เจ้าสิงโต

“ให้เดวาช่วยไหมล่ะ ไม่คิดค่าเหนื่อยหรอก คนกันเอง” เด็กหนุ่มพยักพเยิด

“ไม่ล่ะ เกรงใจ”

“เดวาช่วยได้ ไม่เชื่อเหรอ ตามหาใครล่ะ มีรูป...”

“เดวา”

เดวาตาโตเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดังมาจากชั้นบน ร่างเพรียวรีบผุดลุกทั้งที่ยังคุยกับพี่ไม่จบ “ไก่น้อยมา เอาไว้วันหลังนะพี่ลม เดวาไปก่อนล่ะ สวัสดีครับ”

มือเรียวยกไหว้พี่ชายแล้ววิ่งปร๋อไปเฉย ปล่อยให้สายลมนั่งงง จะไปจะมายิ่งกว่าพายุอีก เด็กคนนี้ แผ่นหลังบางพ้นระยะสายตาไปได้ไม่นาน เจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกเดวาก็ลงมาเดินหา เห็นสายลมนั่งอยู่จึงได้เข้ามาถามไถ่

“เห็นเดวาไหม สายลม?”

“เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เองครับ เห็นว่าจะไปติวบ้านเพื่อน”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วคนถามก็ถอนใจ “อาบอกไม่ให้ไปก็ไม่ฟัง อาแอลของเราก็จ้างครูพิเศษมาให้แล้ว นี่หนีครูไปบ้านเพื่อนซะอย่างงั้น”

สายลมยิ้มบางกับคำบ่นของอาเปียว คนรักของอาแอล “คงอยากอยู่กับเพื่อนมั้งครับ อาจจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่าคุยกับครูที่มากประสบการณ์”

อาเปียวของสายลมส่ายหน้า ไม่รู้จะขำหรือจะโมโหลูกคนนี้ดี บอกขอบใจสายลมก่อนจะเดินออกไป สายลมยิ้มรับก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นฝืดเฝื่อนเหลือเกินเมื่ออยู่คนเดียว

ร่างสูงใหญ่ผุดลุกอย่างตัดสินใจ เขาจะมัวหมดหวังแล้วนั่งเฉยอยู่ไม่ได้ ถ้ามีความตั้งใจต้องเจอตัวรูสแน่... เขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

“ไปตามหารูสกัน ลูห์...”


......


ความพร่ามัวบดบังดวงตาของเด็กบนเตียงสีขาว ร่างกายเจ็บร้าวจนขยับลำบาก ภาพหม่นมัวที่มองเห็นค่อยชัดเจนขึ้นช้า ๆ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นบางอย่างสีชมพูลอยอยู่เหนือร่างกาย มันค่อยเคลื่อนมาใกล้ในระดับสายตาจนกระทั่งชัดเจนมากขึ้น หนุ่มหน้ามนพร้อมรอยยิ้มกว้างและผมสีชมพูโดดเด่นคือสิ่งที่ชะโงกอยู่เหนือร่างกายของเขาในตอนนี้

ร่างผอมบนเตียงนอนนิ่ง สมองยังคงประมวลผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ทันถ้วนถี่ดี ขณะที่เจ้าของผมสีชมพูเอื้อมไปกดเรียกพยาบาลเพื่อแจ้งให้หมอมาตรวจคนบนเตียง ส่วนตนเอง เมื่อหมอเข้ามาในห้องก็ออกไปด้านนอก ปล่อยให้หมอทำหน้าที่ของตัวเองไป จนกระทั่งหมอและพยาบาลออกมาแล้วจึงได้เข้ามาหาใหม่ ร่างนั้นก้าวมาหยุดในระดับสายตาคนป่วย เห็นอีกฝ่ายมองผมตนเองไม่วางตาจึงยกมือขึ้นจับผมแล้วยิ้มเก๋

“สวัสดี”

เขาเอ่ยทัก คนบนเตียงกะพริบตาปริบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

“หิวน้ำไหม?”

พอเอ่ยถาม อีกคนก็ส่ายหน้า เปลือกตาแสนหนักจนอยากจะนอนเสียมากกว่า คนคนนี้อายุไม่น่าห่างจากเขามากนัก นอกจากสีผมดูชมพูแสบตาแล้ว หน้าตาก็ดูเฮ้วไม่เบา

“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ถึงสีผมฉันจะชมพูแปร๋นขนาดนี้ แต่ไม่ใช่คนที่หวังร้ายกับนายแน่นอน”

คนพูดนั่งลงข้างเตียง เหมือนพูดกับอากาศเพราะอีกคนไม่โต้ตอบกลับมาสักคำ ร่างนั้นจึงโน้มตัวไปใกล้อีกนิด ก่อนแนะนำตัวด้วยเสียงกระซิบกระซาบกับท่าทางทะเล้นหน่อย ๆ

“ฉันชื่อเดวา... ยินดีที่ได้รู้จัก”

เพราะไม่คุ้นเคย ทำให้คนป่วยยังปิดปากเงียบเชียบ คนที่เพิ่งแนะนำตัวมุ่ยหน้าเมื่อไร้การตอบกลับ เป็นใบ้หรือเปล่านี่

เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้นทำให้ร่างเพรียวลุกขึ้นไปหยิบมันออกมา เมื่อมองหน้าจอแล้วเด็กหนุ่มก็ถึงกับหน้าซีดเผือด พยายามทำใจดีสู้เสือ เสือที่ชื่ออลัน เฟอร์ริงตัน

“มายฟา...”

เสียงตอบกลับหลังกดรับโทรศัพท์ ราวเสียงร้องขอชีวิตก็ไม่ปาน



บ้านมิสเตอร์แอลเกิดความโกลาหล เมื่อเจ้าของบ้านต้องรีบไปที่โรงพยาบาล ต้นสายปลายเหตุที่เกิด สายลมรู้แต่ว่าเดวาก่อเรื่องแล้วปิดเงียบเอาไว้ คราวนี้คู่กรณีถึงขั้นต้องส่งโรงหมอเพราะจอมแสบนึกอยากขับรถเองแล้วไปชนคนเข้า ที่บอกไปติวบ้านเพื่อนนั่นโกหกทั้งเพ ไปนอนเฝ้าคู่กรณีที่โรงพยาบาลต่างหาก บอดีการ์ดประจำตัวก็ช่วยกันปิดเสียอีก ใครเล่าจะกล้าขัดใจเดวา

จากที่ฟังมา เจ้าตัวดีไม่ยอมรับว่าชน เพราะหมอบอกว่าไม่มีร่องรอยกระทบกระทั่ง มีเพียงบาดแผลที่หน้าอกเท่านั้น และนั่นคงเพราะถูกทำร้ายมาก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นแล้ว เดวาไม่ผิด เดวาช่วยคน ฟังแล้วสายลมก็ขำ ไปได้เรื่อย ๆ นั่นล่ะเดวา เฟอร์ริงตัน

“เฮ้อ...”

นึกถึงน้องชายตัวแสบแล้วสายลมก็ทอดถอนใจ รูสเองก็ซนไม่ต่างจากเดวาสักนิด ดีกรีความบ้าบิ่นอาจไม่เท่า แต่ความดื้อดึงมีพอกันจนไม่ต้องหาอะไรมาวัด เมื่อก่อนเขายังเคยคิดว่าอยากให้ทั้งสองคนได้เป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนี้รูสอยู่ไหนก็ไม่รู้ เขาต้องเริ่มค้นหาจากที่ไหน รูสไม่รู้จักใครนอกจากคนในบ้านธรรมวงศาและลุงหลง ยิ่งคิดก็ยิ่งทดท้อกับความไม่เอาไหนของตนเอง แค่คนคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ ทั้งที่รับปากลุงหลงเอาไว้เสียดิบดีแท้ ๆ

มิสเตอร์แอลเป็นคนกว้างขวาง มีลูกน้องมากมาย แต่ละคนก็ต่างมีฝีมือและรู้จักคนหลากหลายอาชีพ ทุกคนต่างช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองเป็นภาระแก่ผู้อื่น ทำให้ใครต่อใครต้องเดือดร้อนใจตามไปด้วยทั้งที่มันไม่ใช่ธุระของคนเหล่านั้นสักนิด ผู้เป็นอากลับบอกเขาว่าที่ทุกคนเดือดร้อนแทนเขาก็เพราะรักเขา หากไม่รักไม่ห่วงแล้วคงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนขนาดนี้ เพราะสายลมคือครอบครัว การยอมรับความช่วยเหลือจากคนในครอบครัวไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย คนที่แกร่งที่สุดใช่ว่าวันหนึ่งจะไม่ล้ม

สายลมโทรถึงเอวานเพราะไม่อยากปล่อยเวลาให้มันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ การตามหาตัวรูสก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป แต่ในตอนนี้เขายังมีบางสิ่งที่ต้องทำอีก

“เอวาน เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?”

เอ่ยถามเมื่อผู้เป็นพี่กดรับ ฟังที่อีกฝ่ายตอบกลับมาแล้วจึงเอ่ยต่อ

“คราวหน้าฉันอยากเป็นคนไปเจรจากับมันเองจะได้ไหม?”

เสียงเอวานแย้งมาตามสายเมื่อน้องชายคนรองของตนกำลังจะทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงมากจนเกินไป แต่ดูเหมือนสายลมจะไม่ฟัง

“ฉันอยากขยี้มันด้วยมือของฉันเอง”

น้ำเสียงแน่วแน่ทำให้เอวานเงียบไป ก่อนที่จะเอ่ยเตือนสายลมให้ระมัดระวังตัว เขาคงห้ามน้องชายไม่ได้ แต่จะคอยช่วยเหลือไม่ว่าน้องจะต้องการมันหรือไม่

สายลมวางสายจากพี่ชายเมื่อพูดคุยกันเรียบร้อย เขารู้ว่าเอวานห่วง แต่ไม่อยากนิ่งเฉยปล่อยให้ผู้เป็นพี่ต้องจัดการปัญหาให้อีกแล้ว ใครที่มันทำอะไรไว้กับคนของเขา เขาจะเอาคืนมันให้สาสม ถึงแม้รูสจะไม่เอ่ยปากว่าอยากได้อะไรก็ตามแต่ที่ควรจะเป็นของรูส แต่เขาจะไม่ปล่อยไป จะเอาทุกอย่างกลับมาคืนรูสให้หมด

มือหนากดเบอร์ติดต่อใครอีกคน คนที่รู้เรื่องของศัตรูดีกว่าเขา รออยู่ครู่หนึ่งเสียงคนปลายสายก็ดังขึ้น เขาจึงเอ่ยทักทาย

“ลุงหลงเหรอครับ...”

“นายน้อย นายน้อยจริง ๆ ด้วย รูสล่ะครับ รูสปลอดภัยดีใช่ไหม?”

คำถามแสนร้อนรนจากลุงหลงทำเอาสายลมพูดไม่ออก ทั้งที่สัญญาเอาไว้กลับทำไม่ได้อย่างที่พูดสักนิด

“ผมยังหาตัวเขาไม่พบ”

“......” ลุงหลงเงียบไป ความตื่นเต้นเมื่อครู่ลดลงไปจนแทบไม่มีเหลือ

“ลุงไม่ต้องห่วง ถ้าผมยังหายใจอยู่ ผมสัญญาว่าจะต้องตามหาเขาให้เจอให้ได้” สายลมให้ความมั่นใจ

“ผมทำให้นายน้อยลำบากแท้ ๆ”

“......”

ต่างฝ่ายต่างเงียบ เพราะเรื่องนี้พูดกันก็คงไม่จบว่ามันคือความผิดของใคร เพราะต่างก็รู้สึกผิดทุกคน

“ลุงครับ ผมมีเรื่องอยากให้ช่วย” หลังจากเงียบกันไป สายลมก็เอ่ยขึ้นมาขัดบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้น

“ว่ามาเลยครับ ผมยินดีช่วยทุกอย่าง” ลุงหลงตอบรับอย่างไม่ลังเลใจ

“พรุ่งนี้ลุงนั่งเครื่องมาที่นี่ได้ไหม ผมจะให้คนไปรับที่สนามบิน”

“ครับ นายน้อย” ชายสูงวัยรับคำ แม้สายลมจะไม่บอกว่าเหตุใดจึงขอให้ตนไปหา แต่ลุงหลงก็ไม่คิดถาม ในสถานการณ์ขณะนี้ อะไรที่แกพอช่วยได้ก็อยากจะช่วยเท่าที่แรงของแกยังพอมี

ขณะที่สายลมรู้สึกเครียดกับสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำ มันไม่ใช่เรื่องดีนัก ที่จริงต้องบอกว่ามันไม่ดีเลยสักนิดจะถูกกว่า แต่เมื่อไม่สามารถเล่นกันตามกติกาได้ เขาก็จะแหกมันทุกกฎ เพราะเขานี่ล่ะจะเป็นผู้ตั้งกติกาของเกมนี้เอง!



มิสเตอร์แอลมาถึงโรงพยาบาลที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนก่อเรื่องเอาไว้ ประตูห้องพักคนไข้ถูกเปิดผางทำให้เจ้าตัวแสบสะดุ้งเฮือก เด็กอีกคนบนเตียงก็สะดุ้งโหยง สายตาของทั้งคู่มองผู้มาใหม่ด้วยความตื่นตะลึงพอกัน มือของเด็กบนเตียงคว้ามือเด็กหนุ่มผมชมพูอย่างไม่ตั้งใจ อีกคนค่อยหันมามองท่าทางหวาดหวั่นของคนบนเตียง ก่อนจะกลืนน้ำลายฝืดคอ ตายล่ะหว่า ต้องตายแน่ ๆ หลักฐานคาตาขนาดนี้

“เดวา!”

“ฮือออออ” เพียงแค่เสียงของมิสเตอร์แอลดังขึ้น เจ้าของชื่อก็ทำเป็นร้องไห้โฮ ร้องเอาไว้ก่อน เรื่องใหญ่จะได้กลายเป็นเรื่องเล็ก “มายฟา เดวาไม่ตั้งใจนะ เดวาระวังมาก ๆ ๆ ๆ เลย ไม่ได้ชนใครด้วย ไม่เชื่อถามหมอ...”

มือหนายกขึ้นปิดปากเด็กแสบที่เอ่ยแก้ตัวยิ่งกว่าอัดเสียงเอาไว้ น้ำตานี่ก็สั่งได้เหลือเกิน จะร้องจริงหรือจะแกล้งมันก็ไหลพรากยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลากยามหน้าฝน

“พ่อยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” ผู้เป็นบิดา หรือ มายฟา ที่เดวาเรียกเอ่ยแทรกแล้วยิ้มมุมปาก

“อ้าว” ไอ้แสบงงเป็นไก่ตาแตก ที่ร้องไห้ไปเมื่อครู่ก็เสียเปล่าน่ะสิ ชิ!

นัยน์ตาสีอำพันปรายมามองเด็กที่นั่งมึนอยู่บนเตียง ท่าทางน่าเกรงขาม ทั้งร่างกายสูงใหญ่ ทำให้เด็กบนเตียงรู้สึกตัวลีบเล็กจนจะหดเหลือแค่สองนิ้ว

“อยู่ที่นี่เอง...” เสียงทุ้มพึมพำกับตนเองหลังจากพินิจเด็กคนนั้นอยู่ชั่วครู่

“อะไรครับ?” เดวาเอ่ยถามงง ๆ เมื่อบิดาของตนพูดคนเดียว ปาดน้ำตาจากสองแก้มทิ้งไปเมื่อมันหมดประโยชน์แล้ว มายฟาของเขาไม่ได้โกรธก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกไม้มาต่อรองให้ลดโทษ

มิสเตอร์แอลเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครบางคน สายตาคมยังมองเด็กบนเตียงคนไข้ไม่วางตา เดวาหันมองทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความงง มายฟาของเขารู้จักเด็กคนนี้ด้วยหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

“มายฟ...า...”

นิ้วแตะริมฝีปากลูกเบา ๆ เป็นเชิงห้ามไม่ให้ส่งเสียงถามไถ่ ขณะที่บอกกับปลายสายเมื่อฝ่ายนั้นกดรับ

“มาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

เดวาหันไปมองเด็กบนเตียง เด็กมันเอียงคอ คงมึนไม่แพ้กันกับเขา ตากลม ๆ เหลียวมองรอบกาย ใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน มีแต่คำถามที่ไม่ได้เอ่ยถามไปแม้แต่คำเดียว

สักพักใหญ่ ๆ หลังจากนั้น เสียงเปิดประตูห้องก็ดังเรียกความสนใจ เดวาหันไปมองประตูห้องที่ถูกเปิดออก สายลมก้าวเข้ามาแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางตะลึงงันทำให้เด็กหนุ่มมองอย่างสงสัย ก่อนที่ครู่ต่อมาผู้เป็นพี่ชายจะก้าวผ่านตัวของเขาไป ทำให้เด็กหนุ่มยืนงง จนเมื่อหันมองตามร่างสูงใหญ่นั้นแล้วดวงตาก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่กอดคนป่วยบนเตียงเสียแนบแน่น

ขณะที่ร่างผอมบางนั้นนั่งนิ่งเมื่อถูกอ้อมแขนแข็งแรงสวมกอด ความอบอุ่นแทรกเข้ามาในหัวใจจนถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา แขนเรียวยกขึ้นกอดกายหนาที่ซุกหน้าอยู่กับลาดไหล่ของตนแล้วสะอื้นเบา ๆ

“รูส... เจ้าดื้อ ไอ้เด็กดื้อ ฉันจวนจะบ้าตายแล้วรู้ไหม?”

เสียงสายลมสั่นจนคนถูกกอดรู้สึกได้ น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ฮึ่ก... สายลม... สายลม รูสขอโทษ...”

แขนแกร่งกระชับกอดร่างผอมบางแน่นขึ้นราวกลัวว่าคนในอ้อมแขนจะหายไปอีก หยาดน้ำตาเปียกชุ่มบนแผงอก ความอุ่นที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชืดในเวลารวดเร็วทำให้หัวใจสายลมบีบรัดจนเจ็บหนึบ

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว ขอบคุณที่ปลอดภัยกลับมา...”

ริมฝีปากหยักกดจูบไหล่มนย้ำ ๆ ทั้งเอ่ยขอบคุณไปด้วย เขาไม่เคยต้องเสียน้ำตาให้ใครนอกจากอัลเบิร์ต คาร์ล บิดาของเขา แต่กับเด็กคนนี้ ใจเขาแทบขาดทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ได้โปรดเถิด อย่าทำแบบนี้อีกเลย อย่าไปไหนไกลห่างเขา หากต้องสูญเสียไป เขาคงต้องขาดใจเข้าจริง ๆ

ไม่นึกเลยว่าโลกมันจะกลมถึงเพียงนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณความกลมของมันที่พาเขาและเด็กในอ้อมแขนกลับมาพบกัน ขอบคุณ...


......


ภายในห้องลับใต้ดินที่ราซิสอยากจะเปิดมันหนักหนา นอกจากความมืดกับฝุ่นผงและหยากไย่ที่เกาะอยู่เต็มไปหมด ลึกเข้าไปภายในห้องนั้น ยังคงมีบางสิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งไปพร้อมกับกาลเวลาที่ผ่านพ้นและห้องที่ถูกปิดตาย แสงสีฟ้าสะท้อนจากวัตถุทรงกระบอกใสจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน ความลับที่ซุกซ่อนโดยที่ไม่มีใครรู้ นอกเสียจากเจ้าของห้องนี้ที่หมดลมหายใจลงไปแล้ว

ตุ๊กตาเก่า ๆ ถูกฝุ่นเกาะจนไม่เหลือเค้าเดิม มันนอนนิ่งอยู่ข้างวัตถุทรงกระบอกที่ว่านั่น ซึ่งบางอย่างในนั้นไม่เคยหลับใหล ยังคงเคลื่อนไหวและรอให้มีผู้มาพบมันอยู่ตลอดเวลา...



.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 31-08-2018 09:14:26

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๕ ตัวประหลาด



ราซิสเดินวนเวียนอยู่ท่ามกลางความมืด รอบกายเขาไร้แสงสว่างที่มากพอจะทำให้มองเห็นอะไรได้ เสียงครืด ๆ จากบางสิ่งดังมาทุกจังหวะก้าวเดินของเขา ด้วยไม่สามารถมองเห็นที่มาของเสียง ทำให้ชายหนุ่มเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวัง จนกระทั่งหันกลับมาประจันหน้ากับผู้ที่มีนัยน์ตาสีแดงเพลิงในระยะประชิด

ดวงตาราซิสเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงยกยิ้มแสยะจนเห็นเขี้ยวขาวคม ก่อนวัตถุแข็ง ๆ ในมือของฝ่ายนั้นจะเหวี่ยงวูบแล้วฟาดลงมาบนศีรษะของเขาจนเลือดไหลโกรก ในหูอื้ออึงพร้อมความเจ็บร้าวที่แล่นปราด ราซิสทรุดตัวลงกุมศีรษะร้องครวญครางทั้งยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายฟาดลงมาซ้ำ แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ฟัง เมื่อวัตถุในมือถูกเงื้อง่า ราซิสหลับตาแน่นตามสัญชาตญาณ แต่แล้วกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกจากเสียงวัตถุแข็งหล่นลงกระทบพื้น ก่อนที่มันจะค่อย ๆ กลิ้งมาชนเขา

ชายหนุ่มหรี่ตาขึ้นมอง เงาทะมึนยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพร้อมเสียงคำรามน่าหวาดหวั่น ก่อนที่เงาร่างนั้นจะพุ่งเข้ามา ฟันคมแยกยกก่อนฝังคมเขี้ยวลงบนต้นคอของเขา

“อ๊ากกกกกก”

ร่างกำยำดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงกว้างพร้อมอาการหอบหายใจ มือหนาจับลำคอตนเอง หัวใจเต้นกระหน่ำเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างเหนียว ๆ เขารีบลุกไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจก รอยช้ำคล้ายถูกคมเขี้ยวของบางสิ่งขย้ำกัดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน มันมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เพียงได้เห็นเท่านั้นขนกายก็ลุกชัน เมื่อมันเหมือนความฝันเมื่อครู่ไม่มีผิด

มือหนาค่อย ๆ ยกขึ้นมาที่หน้าผากของตนเองด้วยความสั่นเทา ค่อยเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากออกช้า ๆ รอยแดงตรงไรผมยิ่งทำให้ร่างกายของเขาเย็นเยียบ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ

“ไม่จริง... เป็นไปไม่ได้...”

ร่างนั้นพุ่งออกจากห้องน้ำไปที่เตียงนอน เปิดลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงออกแล้วคว้าขวดยาในนั้นออกมาเทลงบนฝ่ามือ โยนมันใส่ปากทั้งกำมือแล้วดื่มน้ำ เขาแค่หลอนไปเอง รูสมันก็แค่หมาบ้าที่จนตรอก ไม่ใช่ตัวประหลาดที่น่ากลัวสักนิด มันไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว!

“บ้าเอ๊ย!!” แก้วน้ำในมือถูกปาลงพื้นจนแตกกระเด็น ไอ้เด็กนรกนั่น มันเป็นตัวอะไรกันแน่

มือหนากุมคอของตน สายตาที่ฉายแววหวาดหวั่นค่อยแปรเปลี่ยนเป็นอาฆาต หากตอนนี้มันยังไม่ตาย เขาจะฆ่ามันซ้ำ ให้มันตายโหงตายห่าให้สิ้นซาก รูส!


......


รถตู้คันใหญ่แล่นมาจอดในบ้านของมิสเตอร์แอล เมื่อประตูรถถูกเปิดออก สายลมก็ก้าวลงมา ก่อนจะหันกลับไปหาคนในรถแล้วช้อนอุ้มโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเดินให้เหนื่อย

“สายลม รูสเดินได้นะ ไม่ได้เจ็บขาสักหน่อย” เด็กเอ่ยท้วงเสียงเบา แขนเรียวเกี่ยวลำคอหนาป้องกันตนเองตกลงไปก้นจ้ำเบ้า

“เดินได้จริงเหรอ เกิดล้มพับไป ฉันช่วยไม่ทันนา” คนตัวโตแกล้งเย้าขณะพาเดินเข้าบ้านของผู้เป็นอา

“รูสแข็งแรงจะตาย”

“เชื่อดีไหม?”

รูสแก้มพองเมื่อถูกแกล้ง สายลมหัวเราะเบา ๆ ขายาวหยุดก้าวเดินเมื่อลูห์ก้าวมาหา รูสค่อยหันไปมองมันก่อนหันกลับมาทางสายลม ชายหนุ่มยิ้มบาง วางเด็กลงยืนเพื่อให้ไปหาลูห์

รูสนั่งลงตรงหน้ามัน โอบแขนรอบแผงคอหนา แนบแก้มกับแผงคอมัน กอดมันเอาไว้พร้อมเอ่ยขอบคุณ ลูห์เองก็อยู่นิ่งให้กอด มันวางคางบนไหล่เล็ก รู้สึกยินดีไม่น้อยที่เจ้าหนูนี่กลับมาอย่างปลอดภัย

“รูส เข้าบ้านกัน เดี๋ยวพี่พาไปทำความรู้จักคุณย่ากับไก่น้อย”

เดวาที่ลงจากรถตู้คันเดียวกันมาส่งมือให้น้องจับ รูสยิ้มให้ก่อนจับมือนั้นลุกขึ้นแล้วเดินไปด้วยกันกับพี่ชายคนใหม่ มิวายหันมาพยักพเยิดกับสายลมว่าเห็นไหม ตนเองเดินได้จริง ๆ

สายลมส่ายหน้ายิ้ม ๆ ได้เพื่อนใหม่แล้วนี่ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว

เดวาพารูสมาทำความรู้จักคุณอัญชันผู้เป็นย่า และเปียว ผู้เป็นบิดาของตนอีกคน รูสเรียกเปียวว่าคุณอาไก่น้อยตามที่เดวาเรียก ทำให้มิสเตอร์แอลขำพรืดจนถูกคนรักหยิกเอา

“อาไม่ได้ชื่อไก่น้อยครับ” เปียวบอกเด็กน้อยยิ้ม ๆ

“อ้าว”

เจ้าดื้ออุทานแล้วหันมามองเดวา คนถูกมองอย่างมีคำถามอมยิ้ม ก่อนบอก

“ไก่น้อยเป็นชื่อเฉพาะน่ะ จริง ๆ แล้วพ่อพี่ชื่อเปียว”

“...?” คราวนี้รูสทำหน้างง เดวาบอกคุณอาเปียวเป็นพ่อ แล้วคุณอาตัวโตที่เดวาเรียกมายฟาคนนั้นล่ะ เป็นใคร?

เห็นเด็กมันทำหน้างง เดวาจึงอธิบายเพิ่มเติม “มายฟาก็พ่อ งงไหม?”

รูสพยักหน้าหงึก ทำให้คนในห้องยิ้มขำ

“เหมือนฉันไง รูส” สายลมพยายามช่วย แต่ดูเหมือนเด็กมันจะงงกว่าเดิม ก็สายลมมีพ่อตั้งสามคน

“......” รูสเกาหัวแกรก เข้าใจก็ได้

เดวาขยี้ผมเด็กที่ยังคงมึนงง แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจ ทุกคนดูท่าจะเอ็นดูเด็กมันเอาการ เด็กน้อยไร้ที่พึ่งพิง ทั้งยังถูกคิดร้ายจากคนใกล้ตัวอีก หากคุณทวดของเดวายังอยู่ ท่านก็คงเอ็นดูรูสไม่น้อย เดวาเล่าให้น้องชายคนใหม่ของตนเองฟังว่าท่านใจดี ไม่ดุเลย เหมือนย่าอัญชันของเดวานั่นล่ะ

“คุณย่าใจดี” รูสว่าพลางยิ้มแป้น

“ใช่ไหม ย่าน่ารักที่สุด” เดวาเสริมอย่างเห็นด้วยที่สุด

สองหนุ่มจูงมือกันไปดูห้องนอนที่ชั้นบนโดยมีสายลมเดินตามไปด้วย เดวาบอกจะให้น้องนอนกับตนเอง ได้ยินเช่นนั้นแล้วสายลมก็ทำหน้าประหลาด จะนอนกับเดวาจริงหรือ สายตาคมมองมาที่รูสอย่างต้องการคำตอบ เด็กมันมีสีหน้าลำบากใจจนเดวาต้องหันมาหาพี่ชายตัวโตของตนเอง

“ทำไมครับ พี่ลม รูสนอนกับเดวาไม่ได้เหรอ?” ดวงตาแสนดื้อมองพี่ชายอย่างจับผิดเต็มที่

“ก็เปล่า... จะนอนก็นอนสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“จริงน่ะ?” หรี่ตาเล็กน้อย ดูกวนจนสายลมอยากเขกหัวเด็กแสบสักทีสองที

“เออ” เขาตอบส่ง ๆ แต่เจ้าตัวแสบกลับยิ้มร่า

“งั้นก็ดี พี่กลับห้องตัวเองไปได้แล้วไป เดวากับน้องจะคุยกัน” ว่าแล้วก็เปิดประตูห้องนอนของตนแล้วจูงมือน้องเข้าไป ก่อนจะงับประตูปิด

“คุยอะไร ทำไมต้องทำเป็นมีความลับ?” สายลมไม่ยอมให้ปิด ดันบานประตูไว้ ทำให้เจ้าตัวแสบต้องออกแรงดันเพิ่มขึ้น

“บอกพี่ก็ไม่ลับสิ” ฉีกยิ้มหวาน ก่อนดึงประตูกลับแล้วดันสุดแรงจนปิดได้สำเร็จ

“เดวา!”

ถึงจะเรียกไป คนในห้องก็ไม่เปิด สายลมถอนใจแรง เพิ่งจะได้ตัวเด็กมันกลับมา ถูกแย่งไปอีกแล้ว เดี๋ยวลูห์ เดี๋ยวเดวา เขามีความหมายบ้างไหมนี่ บ่นงึมงำแล้วร่างสูงใหญ่ก็เดินออกจากหน้าประตูไป คนแก่ก็ขี้ใจน้อยแบบนี้ล่ะนะ

ขณะที่ภายในห้อง เดวาหัวเราะชอบใจกับผลงานของตนเอง ก่อนจะชะงักเมื่อหันมามองเด็กหน้าซื่อที่ยืนงงอยู่ด้านหลัง เจ้าแสบรั้งแขนน้องให้เดินตามตนเองมายังตู้เสื้อผ้า ก่อนจะค้นเสื้อผ้าของตนมาแบ่งให้น้องใส่ไปพลาง ๆ ก่อน วันหลังจะพาไปซื้อใหม่

การได้จับน้องแต่งตัวตามใจตนเองดูจะถูกอกถูกใจเดวาเอามาก ๆ ก็เขาอยากมีน้องบ้างนี่ มายฟากับไก่น้อยมีให้ไม่ได้ อย่างนั้นเขาขอเด็กคนนี้เป็นน้องก็แล้วกัน



ความมืดปกคุลมรอบบริเวณในยามค่ำคืน แสงภายในห้องนอนก็มืดลงเมื่อไฟในห้องถูกปิด รูสรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ท่ามกลางความมืดนั้น การมองเห็นที่ยังไม่ดีนักทำให้เด็กบนเตียงรีบหลับตาแน่น กลัว อยากมีอ้อมกอดแข็งแรงของสายลมโอบกอดเหมือนทุกคืน ฟันคมกัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว รูส... คนอ่อนแอ

เตียงนอนยุบยวบจากการขยับตัวของใครบางคน ก่อนที่ความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแรงจะสวมกอดกายผอมเอาไว้ ใจรูสเริ่มผ่อนคลายเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ และเสียงเต้นของหัวใจผู้ที่โอบกอดกายตนอยู่ด้านหลัง

“หลับซะ เด็กดี จากนี้ฉันจะปกป้องเธอเอง”

เสียงทุ้มที่กระซิบบอกทำให้ริมฝีปากบางยิ้มอ่อน ค่อยผล็อยหลับไปช้า ๆ ด้วยคลายกังวล สายลมมาแล้ว มาอยู่ข้างรูส อย่าทิ้งรูสไปไหนนะ ถึงรูสจะเป็นตัวประหลาดก็อย่าทิ้งรูสนะ ได้ไหม... สายลม?

สายลมมองเด็กที่ลมหายใจสม่ำเสมอเพราะหลับสนิทไปแล้ว มือหนาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากนูนเบา ๆ สายตาอ่อนแสงยังคงมองดวงหน้าเด็กในอ้อมแขนตนที่พลิกกายกลับมาหา เขาต้องถ่อไปถึงห้องเดวาด้วยกลัวว่าเด็กมันจะนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ แต่เจ้าดื้อมันดันหลับปุ๋ยเลยถูกเดวายิ้มล้อ แต่เขาก็ทำไม่สนแล้วอุ้มเด็กกลับมาที่ห้องแบบนี้

“สายลม...”

รูสขยับตัว ทำให้สายลมชะงัก ใบหน้าเรียวค่อยซุกเข้ามาชิดอกเขามากขึ้น มือหนาเลื่อนลูบหลังบาง รู้สึกกังวลแปลก ๆ ใจเขาไม่สงบเอาเสียเลยเวลานี้ เหมือนบางอย่างกำลังจะหายไป ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในหัวใจจนรู้สึกวูบโหวง ช่องว่างนั้นมันคืออะไร คงไม่ใช่คนนี้ใช่ไหม... คงไม่ใช่รูสใช่ไหม... ที่จะหายไปจากเขา...?


......


ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง

เดวาพารูสมาเดินเที่ยว เผื่อซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้น้องด้วย เด็กหนุ่มแวะเข้าร้านทำผมที่ตนเองกับเจ้าของร้านรู้จักกันดี บอกช่างให้ช่วยตัดผมสายลม เอาให้หล่อจนจำไม่ได้เลยยิ่งดี ช่างมองผมยาว ๆ กับใบหน้าดุ ๆ นั่นแล้วก็ยิ้มแหย ก่อนจะเชิญให้ชายหนุ่มนั่งแล้วถามไถ่ว่ามีทรงที่อยากได้เป็นพิเศษไหม หรือจะให้ออกแบบทรงผมให้เข้ากับรูปหน้า

“ช่วยเลือกทรงให้ก็ดีครับ” เดวาเป็นคนตอบแทนเมื่อพี่ชายเอาแต่นั่งหน้านิ่ง

“ถ้าอย่างนั้น สระผมก่อนดีไหมครับ จะได้เริ่มตัดกันเลย เชิญครับ”

ช่างผายมือเชิญให้สายลมไปที่ห้องสระผม นัยน์ตาคมดุมองช่างนิ่ง ไม่ได้คิดจะขยับไปตามคำเชิญนั้นจนช่างหน้าเจื่อน หันไปมองเดวาอย่างต้องการความช่วยเหลือ

“ไหนว่าจะมาตัดผมไง พี่ลม เล่นนั่งหน้าบูดแบบนี้ ช่างที่ไหนจะมาตัดให้พี่?” เดวากอดอก มองพี่ชายขี้เต๊ะด้วยความเหนื่อยใจ

“ช่างหัวมันสิ”

“เอ๊ะ!”

“ดะ... เดี๋ยว พี่เดวา อย่าทะเลาะกัน” รูสรีบดึงแขนเดวาไว้เมื่อเจ้าตัวแสบตั้งท่าจะมีเรื่องกับพี่ชาย

เดวาหันมามองรูสแล้วเดาะลิ้นขัดใจ รูสยิ้มเจื่อน ก่อนหันมาทางสายลมบ้าง

“สายลมไม่อยากตัดผมเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

“รูสอยากให้ตัดหรือไง?”

ถูกย้อนถามมาเช่นนั้น รูสก็อึกอัก ก่อนตอบกลับไปเสียงค่อย “ก็... แล้วแต่สายลมสิ ถ้าถามรูส รูสว่ามันอาจจะดีก็ได้...”

มองท่าทีของเด็กมันแล้วสายลมก็ถอนใจ ก่อนร่างสูงใหญ่นั้นจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องสระผมตามที่ช่างทำผมบอก

“โธ่เอ๊ย เล่นตัวจริง พี่ชายใครวะ”

เดวาบุ้ยปาก ก่อนหัวเราะอย่างเหนือกว่า ขณะที่รูสอมยิ้มกับท่าทางนั้น ทั้งสองพากันนั่งลงที่โซฟาภายในร้าน เดวาหยิบหนังสือมาให้น้องอ่านคนละเล่มกับตนเอง รอสายลมสระผมเสร็จ

เมื่อออกจากห้องสระผมมาแล้วช่างก็พาสายลมมานั่งเก้าอี้หน้ากระจก ก่อนลงมือตัดซอยให้ ทำไปชวนคุยไป แต่สายลมกลับเงียบจนคนชวนคุยพูดคนเดียวก็เหนื่อยจนเลิกพูด

“สายลม รูสไปเดินเล่นกับพี่เดวานะ”

เสียงเด็กที่ดังขึ้นข้างกายทำให้สายลมหันมามอง ก่อนมองเลยไปยังเจ้าตัวแสบที่พยักหน้าหงึกหงักบอกให้เขาอนุญาต

“อืม ไปสิ”

รูสยิ้มกว้างแล้วเอ่ยขอบคุณคนใจดี “ขอบคุณครับ”

เดวายื่นมือมา รูสก็ยื่นไปจับแล้วพากันเดินออกจากร้านไป เพราะเดวาน่ารัก รูสก็เลยชอบ ชอบคุณย่าอัญชันของเดวาด้วย ท่านใจดี ไก่น้อยของเดวาก็ดูแลเขาเหมือนเดวาทุกอย่าง มายฟาของเดวาถึงจะดูดุไปสักหน่อยแต่ก็ใจดีไม่ต่างกัน ทำให้รูสรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้อยู่ร่วมกับคนในครอบครัวนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าใจ เพราะอย่างไรเสีย ทุกคนก็ไม่ใช่ครอบครัวแท้ ๆ ของเขาอยู่ดี

สองหนุ่มวัยละอ่อนเดินเล่นกันเพลิน แถมขากลับยังซื้อข้าวของมาเต็มไปหมด ฝากบอดีการ์ดช่วยหอบกลับมาหาสายลมขณะที่พวกตนเดินตัวปลิวเหมือนขาไปไม่มีผิด

ทางด้านสายลมที่ตัดผมและจัดทรงโดยช่างฝีมือดีจนเรียบร้อย ชายหนุ่มมองเงาของตนเองที่สะท้อนในกระจกแล้วรู้สึกแปลก ๆ เมื่อรูสโผล่หน้าเข้ามาในร้าน เขาก็หันไปมอง เจ้าดื้อมันแย้มยิ้มตามประสาก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นเขา ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อเอ่ยทักเด็กต๊อง

“ทำหน้าเหมือนเห็นผี”

เด็กมันหุบปากที่อ้าค้างลงเมื่อถูกทัก กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเดินสำรวจรอบตัวเขา

“นี่ใครน่ะ?”

สายลมโยกหัวเด็กที่แกล้งเย้าตน ก่อนเอ่ยถามยิ้ม ๆ

“ดูดีหรือยัง?”

“มาก” ยกนิ้วให้ว่ามากจริง ๆ ท่าทางจะพอใจกับสายลมมาดคุณชายไม่เบา

“ชอบไหม?”

คำถามนั้นทำให้รูสอมยิ้มแล้วพยักหน้าหงึก แบบเดิมเขาก็ชอบ ดูเถื่อน ๆ ดี แต่แบบนี้ก็ดูเป็นหนุ่มหล่อ สะอาดสะอ้านแบบคุณชายบ้านรวย เท่ไปอีกแบบ

สายตารูสสะดุดกับรอยแผลเป็นที่หางคิ้วของสายลม รอยยิ้มที่มีเริ่มเจื่อนลง พอตัดผมแล้วจัดทรงเปิดหน้าผากแบบนี้ทำให้เห็นรอยบากชัดเจน แบบนี้สายลมจะอายคนไหม...

“เป็นอะไรอีก?”

สายลมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กมันหน้าจ๋อย ก่อนจะยกมือขึ้นแตะที่หางคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นว่าตากลมมองมาที่นี่ คิ้วเข้มเลิกสูงอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะร้องอ๋อในใจเมื่อรู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เด็กมันทำหน้าแบบนั้น

“น่าเกลียดเหรอ?”

“เปล่า ๆ ๆ” รูสรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน “รูสแค่... กลัวว่าสายลมจะอายคนอื่นหรือเปล่า เวลาเขามองมา...”

“ไม่เห็นเป็นไร อยากมองก็มองไปสิ”

สายลมบอกอย่างไม่ใส่ใจ คว้ามือเด็กหน้าจ๋อยแล้วพาออกจากร้าน เดวาที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวจึงหันไปลาเจ้าของร้านที่รู้จักกัน ก่อนเดินตามทั้งคู่ออกมา

รูสช้อนมองคนตัวโตข้างกายแล้วยิ้มบาง ก่อนใบหน้าเรียวจะค่อยก้มต่ำลง รอยยิ้มที่มีค่อยคลาย มือที่ถูกกุมกระชับมือของสายลมแน่นขึ้น ทำให้สายลมหันมามองเมื่อรู้สึกถึงความผิดปรกติ รูสเงยมามองแล้วส่ายหน้า ส่งยิ้มให้ว่าตนเองไม่เป็นไร

คิ้วสายลมขมวดด้วยความสงสัย ได้แต่เก็บมันไว้เมื่อรูสพยายามที่จะทำให้เขาเห็นว่าไม่เป็นไร แม้ในใจจะขัดแย้ง แต่เขาก็จะพยายามเชื่อก็แล้วกัน


......


เอวานนัดเจรจาเรื่องงานวิจัยกับราซิส ผู้ที่ติดต่อเรื่องนั้นกับมันอยู่ตอนนี้ก็คือเขาเอง จากที่ให้คนของเขาออกหน้ามาตลอด คราวนี้ถึงทีพวกเขาต้องออกโรงเองแล้ว เมื่อสายลมอยากเป็นคนจัดการราซิสด้วยตนเองโดยมีลุงหลงคอยให้ข้อมูลเบื้องลึกที่พวกเขายังไม่รู้ ลุงหลงถูกพาไปพักในที่ปลอดภัย ให้พ้นหูตาของราซิส เพื่อที่ฝ่ายนั้นจะได้อ่านเกมของพวกเขาไม่ออก

เมื่อถูกร่นเวลาเข้ามา ราซิสก็ยิ่งเครียดจนไม่อยากพบกับฝ่ายตรงข้าม แต่สุดท้ายก็ต้องมาเพื่อยืดเวลาออกไปอีก แต่เมื่อได้พบกับสายลมที่เป็นฝ่ายมาเจรจากับเขาด้วยตนเอง นั่นทำให้ราซิสถึงกับนิ่งงัน ถึงไอ้หนุ่มผมยาวนั่นมันจะตัดผม โกนหนวด แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ เขาก็ยังคงจำมันได้ คนที่มาตามหารูส คนที่มันใช้ปืนจ่อหัวเขา เขาไม่มีทางลืม!

“ผมว่าในแวดวงธุรกิจ คุณคงเคยได้ยินชื่อวินท์ คาร์ล มาบ้างนะ” สายลมเริ่มแนะนำตัวเอง นัยน์ตาสีนิลจับความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้พลาดสักนาที

“ก... คุณคือวินท์ คาร์ลเหรอ?” ราซิสต้องพยายามห้ามปากไม่ให้จิกหัวเรียกอีกฝ่ายดังเช่นก่อนหน้าที่ได้พบกัน เพราะเวลานี้สายลมอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าตนเองเสียอีก

“เป็นคำถามที่ดีนะ” สายลมยิ้ม “และผมคงต้องบอกว่าใช่”

ราซิสนิ่งไป พวกมันรวมหัวกันหลอกเขา หมอนี่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับรูส ไอ้เด็กนั่นหลอกล่ออะไรมันมา ถึงได้ยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อที่จะซื้องานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติจากเขา มันมีแผนอะไรอยู่กันแน่

“วันนี้ที่นัดคุณออกมาคุยเพราะผมเห็นว่ามันล่าช้าจนเกินไป จนไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้เห็นงานวิจัยที่คุณว่าเสียที” สายลมเปิดประเด็นอย่างใจเย็น

“ผมบอกคนของคุณไปแล้วว่าขอเวลา ซึ่งทางคุณก็ให้เวลามาสัปดาห์หนึ่ง ไม่ใช่เหรอ?”

“แต่พรุ่งนี้ก็ครบสัปดาห์แล้วนี่ครับ” สายลมย้อน ทำให้ราซิสชะงัก พยายามระงับอารมณ์เต็มที่

“แล้วจะเอายังไง?”

“อืม... เอายังไงดีล่ะ ให้กฎหมายช่วยจัดการเรื่องนี้ดีไหมครับ คุณราซิส เงินที่ผมทุ่มลงไปแต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง คุณว่า... ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?”

ราซิสหัวเราะในลำคอเชิงเยาะหยัน คิดจะใช้กฎหมายมาข่มขู่คนอย่างเขาหรือ ถ้าเขาเกรงมันสักนิดคงไม่มาไกลขนาดนี้

“ถ้าฉันกลัว ฉันคงไม่ใช่ราซิส”

สรรพนามที่เปลี่ยนไป ทั้งน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง ทำให้สายลมเปลี่ยนท่าทีจากที่นั่งสบาย ๆ เป็นโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาคมมองคนตรงหน้าราวเป็นเหยื่อที่ตนพร้อมจะบดขยี้ได้ทุกเมื่อ

“พวกเรามันประเภทพูดเรื่องกฎหมายกันไม่รู้เรื่อง ถ้าอย่างนั้น... ก็ลองดูกันสักตั้ง ในเมื่อคุณคิดจะเล่นเกมนี้กับผมก็ลองดู อย่าถอดใจไปก่อนแล้วกัน”

ทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้น คนของเขาลุกตาม ทิ้งสายตาเยาะหยันทั้งเหยียดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มไม่น่ามอง ก่อนจะเดินออกไปจากจุดนั้น ปล่อยให้ราซิสกำหมัดแน่นทั้งตัวสั่นด้วยความเคืองแค้น วินท์ คาร์ล แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!!



“จะเอายังไงต่อไปครับ?”

คนของเวสส์เอ่ยถามน้องชายของนายตน ซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นนายอีกคนเพราะคำสั่งของเอวาน พวกเขาจึงต้องฟังและทำตามที่สายลมสั่ง

“จับตาดูมันไปก่อน ตอนนี้เอวานกำลังช่วยเจรจาเพื่อตัดกำลังของมันอยู่” สายลมบอกเสียงเครียด

“ครับ”

ขึ้นชื่อว่าเวสส์ นักธุรกิจทั้งด้านมืดและด้านถูกกฎหมายต่างก็รู้จักไม่ต่างจากเฟอร์ริงตันของอเล็กซานเดอร์ การเข้าถึงตัวนายของราซิสจึงไม่ใช่เรื่องยากหากเอวานออกหน้า ฝีปากเอวานสามารถโน้มน้าวใจคนให้คล้อยตามได้ เว้นเสียแต่ว่าฝ่ายนั้นอยากปะทะกับเวสส์เพื่อปกป้องลูกน้องปลายแถวอย่างราซิส หรืออีกนัยหนึ่ง ราซิสก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานที่นายของมันเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็น เพราะราซิสเคยเป็นลูกน้องนายเจสัน แล้วมาร่วมมือกับนายคนปัจจุบันของมันโค่นนายเจสันเพื่อถีบตัวเองขึ้นเป็นใหญ่ คนเหล่านี้มักไม่มีสัจจะวาจา นอกเสียจากผลประโยชน์ของตนที่พึงจะได้และรักษาไว้เท่านั้น

เขาจะบีบมันทุกทาง ในเมื่อมันทำกับคนของเขาอย่างโหดร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากคิดลอยหน้าอยู่ดีมีสุขก็คงคิดผิดมหันต์ ราซิส ธรรมวงศา สันดานมันช่างไม่เหมาะกับนามสกุลเอาเสียเลย!


......


บ้านหลังใหญ่ในยามค่ำคืน ในคืนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่รูสมีอาการแปลกประหลาด เสียงครางและอาการหอบหายใจแรง พลิกกายไปมาด้วยความกระสับกระส่ายเพราะภาพที่ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ในห้วงสำนึกหลังหลับตา เหงื่อเม็ดโตไหลซึมจนเปียกชื้น ทั้งที่ภายในห้องเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ มันเหมือนมีของเหลวบางอย่างกำลังโอบล้อมร่างกาย ไม่รู้ว่ามันคือความฝันหรือภาพความทรงจำที่ผุดพรายจนแทบหายใจไม่ออก ทรมาน... ทรมาน... ใครก็ได้ ใครก็ได้... ช่วยด้วย ช่วยรูส...

“รูส! รูส!!”

สายลมเขย่าตัวเรียกสติเด็กที่ดิ้นรนคล้ายจะขาดอากาศหายใจในไม่ช้า มือเอื้อมไปเปิดโคมไฟหัวเตียงด้วยความตกใจที่เห็นเด็กมันเป็นแบบนี้ ไม่นานนักอาการนั้นก็ค่อยสงบลง ก่อนที่ดวงตากลมจะค่อยลืมขึ้นมามองเขาแล้วโผเข้ากอด

สายลมลูบหลังเด็ก ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาล รูสก็มักเป็นแบบนี้ ที่ราซิสบอกถูกรูสทำร้ายนั่นจริงหรือ แค่ฝันร้ายเด็กมันยังตัวสั่นงันงกขนาดนี้ จะไปทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร

แสงไฟภายในห้องเพียงสลัวราง รูสนั่งพิงสายลมอยู่นาน ความรู้สึกหวาดกลัวที่มีค่อยคลายลง แต่เขาไม่อยากนอน ไม่นอนแล้ว เพราะเดี๋ยวนอนหลับไปก็ฝันร้ายอีก ไม่เอาแล้ว

“ทำไมพักนี้ฝันร้ายบ่อยจัง หืม เพราะนอนกับฉันเหรอ?” สายลมเอ่ยถามเสียงนุ่ม ลูบต้นแขนเล็กไปพลางเพื่อปลอบประโลม

รูสเงยมองคนถามแล้วส่ายหน้าระรัวเป็นการปฏิเสธ สอดแขนกอดสายลมแล้วซบนิ่ง ฟังเสียงหัวใจสายลมเต้นอยู่ข้างหู เสียงเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอมันทำให้ใจเขาสงบลง

“สายลม”

“หืม?”

“รูสรู้สึกแปลก ๆ ถ้าเกิดว่ารูสทำอะไรโดยที่ไม่รู้ตัว สายลมอย่าโกรธรูสนะ” ตากลมช้อนมองสายลมอย่างเป็นกังวล

“สัญญา ถ้าเกิดรูสทำอะไรแปลก ๆ ฉันจะคอยห้าม ไม่ต้องกลัวหรอก”

สายลมให้สัญญามาเช่นนั้น แต่รูสก็ยังไม่สบายใจ เขารู้สึกใจไม่ค่อยดี เหมือนอยากจะไปที่ไหนสักแห่ง แต่เขาก็กลัวที่จะต้องไป แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะต้องไปที่ไหน

เวลาผ่านไปพักใหญ่ เด็กที่นั่งกอดเขาอยู่ก็ผล็อยหลับ สายลมค่อยเอนตัวเด็กลงนอน มือเรียวผวาคว้าแขนเขาเมื่อจะผละห่างแล้วกอดเอาไว้แน่น สายลมไม่กล้าขยับ มือลูบเปิดผมที่หน้าผากนูนแล้วลูบเบา ๆ เป็นการกล่อม

โน้มจูบหน้าผากคนหลับก่อนจะค่อย ๆ นอนลงข้างกันแล้วเอื้อมไปปิดไฟ เด็กมันไม่ยอมปล่อยแขนเขา ทำให้นอนลำบาก เขาจึงค่อยแกะมือเหนียว ๆ นั้นออกแล้วเปลี่ยนมากอดไว้ อาการเกร็งจึงคลายลงเมื่ออยู่ในอ้อมแขนที่เคยคุ้น


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 31-08-2018 09:15:19

เข็มนาฬิกาค่อยเดินไปอย่างเชื่องช้า ภายนอกห้องนั้นพระจันทร์กำลังลอยเลื่อนลับเหลี่ยมเมฆ ทำให้ความมืดเคลื่อนเข้ามาบดบังแสงของมันจนแทบมิด รูสลุกขึ้นมานั่งท่ามกลางความมืดภายในห้อง ก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหูสายลมก่อนปลดแขนที่พาดกอดตนเองออก นัยน์ตาสีเพลิงค่อยหันกลับมาทางประตูระเบียง ก่อนที่กายผอมจะลุกลงจากเตียงมาเลื่อนเปิดประตูกระจกนั้น แต่ยังไม่ทันที่ขาจะก้าวออกจากห้องไปไหน แขนแข็งแรงของใครอีกคนกลับกางกั้นไว้ รูสชะงัก หันกลับมามองสายลมที่มีสีหน้าเครียดขึ้ง

“จะไปไหน?” สายลมเอ่ยถามเสียงหนัก นัยน์ตาสีเพลิงนั่นทำให้เขาไม่คิดที่จะปล่อยให้ไปไกลสายตา

“ถอยไป”

รูสคำรามขู่ แต่สายลมไม่สน รั้งแขนเรียวกลับเข้ามาในห้อง แต่อีกคนก็สู้แรงเขา กางเล็บตะปบกรอบประตูบานเลื่อนแล้วขืนตัวเอาไว้ สายลมจึงเอื้อมไปจับข้อมือเล็กนั่นแล้วกระชากให้หลุดก่อนดึงกลับเข้าห้องแล้วปิดประตู

กายผอมสะบัดแรง เหวี่ยงจนสายลมจะเอาไม่อยู่ ด้วยความทุลักทุเล เขาจึงกดร่างนั้นลงกับพื้นเพื่อตรึงแขนเอาไว้ ทั้งใช้ขาทับขาเรียวที่ดิ้นรนจะออกจากห้องไปให้ได้

ดวงตากลมเบิกขึ้น แยกเขี้ยวทั้งส่งเสียงขู่ ไม่ยอมให้สายลมจับเอาไว้ได้ “ปล่อย จะไปฆ่ามัน! จะฆ่ามัน!!!”

“รูส มีสติหน่อย...”

“ปล่อย!!!” ยิ่งห้าม รูสยิ่งดิ้นแรงกว่าเดิม

“รูส... โอ๊ย!!”

สายลมร้องเมื่อรูสงอขาแล้วถีบมากลางอก พอหลุดไปได้ก็จะกระโจนออกทางระเบียง สายลมคว้าดึงข้อเท้าแล้วกระชากลากกลับมา ตัวบางเลยรูดมาตามพื้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด ทั้งร้องทั้งดิ้นจะไปให้ได้

“รูส บอกให้หยุด รูส!!”

“มันทำร้ายรูส... ทำร้ายรูส!!”

รูสตะคอก ดิ้นหนีจากการกักกันของสายลม เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็ชักทนไม่ไหว แขนแกร่งกอดรัดร่างผอมบางจนแทบจมไปกับอก ทั้งเรียกสติเด็กมันไปด้วย แต่ก็ดูจะไร้ผลเมื่อฟันคมกัดลงมาบนไหล่ของเขา

“อ๊ากกกกกก!!”

สายลมกัดฟัน ถึงจะเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย

“ได้สติสักที รูส ได้ยินไหม!”

ในเมื่อเด็กมันกัดไม่ปล่อย เขาก็อึดพอที่จะกอดเอาไว้แน่นไม่ปล่อยเหมือนกัน เลือดเริ่มซึมเพราะแรงเหวี่ยงจากฟันที่กัดลงมา ความเจ็บแล่นปราดไปทั้งซีกจนเริ่มชา ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ารูสปล่อยตั้งแต่ตอนไหน จนกระทั่งรู้สึกถึงกายผอมที่สั่นอยู่ในอ้อมแขนทั้งเสียงสะอื้นแผ่วจึงค่อยคลายอาการกอดรัด มือลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบโยน พอได้สติแล้วรูสคงทั้งตกใจและรู้สึกผิด

“อย่าร้อง” สายลมปลอบเสียงแผ่ว กดศีรษะทุยกับอกตนเอง

รูสยกมือดันตัวสายลมออกห่างแล้วนั่งหันหลังให้ กายผอมสะอื้นตัวโยน สายลมเอื้อมไปแตะไหล่แล้วรั้งเข้ามากอด จะร้องไห้คนเดียวทำไมรูส อยากร้องก็มาร้องกับเขานี่ เด็กดื้อ

“รูสเป็นบ้าไปแล้วสายลม... ฮึ่ก... รูสเป็นบ้า...”

“ชู่ว รูสไม่ได้บ้า แค่มีบางอย่างที่ทำให้รูสเป็นแบบนี้” กดจูบขมับบางทั้งเอ่ยปลอบ เด็กสะอื้นหนักจนเขาชักใจไม่ดี

“รูสทำให้สายลมเจ็บ...”

ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกย่ำแย่ กลิ่นคาวเลือดยังอวลในปาก ทั้งคราบที่เลอะเปรอะยังบอกชัดว่าเขามันบ้า ล้างเท่าไรมันก็คงไม่หมด มันคงลบออกไปจากใจของเขาไม่ได้

“รูสไม่ได้ตั้งใจ ฉันรู้”

“แต่รูสก็ทำ ถึงไม่ได้ตั้งใจแต่รูส...”

ริมฝีปากบางถูกปิดทับด้วยปากของอีกคน ปิดกั้นทุกคำพูด ทุกคำต่อว่าด่าทอตนเองให้มันย้อนกลับลงไป สายลมค่อยบดเบียดกลีบปากบางช้า ๆ เป็นนานกว่าจะถอนจูบ มองสบนัยน์ตาสั่นไหวก่อนเลื่อนริมฝีปากมาที่หน้าผากนูนแล้วกดย้ำลงไป

“ถ้าบอกว่าฉันไม่โกรธ จะรู้สึกดีขึ้นไหม?”

รูสส่ายหน้า คราบน้ำตายังเลอะสองแก้ม นิ้วใหญ่ค่อยเช็ดมันจากแก้มเด็กช้า ๆ เมื่อเอ่ยถามต่อ

“แล้วถ้าฉันบอกว่าโกรธล่ะ?”

ใบหน้าเรียวบิดเบ้ จะเป่าปี่อีกรอบหากสายลมคิดแบบนั้นจริง

“แบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น ฉันจะทำยังไงดีนะ?”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มไร้แววตำหนิทำให้เด็กเม้มปาก ก้มหน้าลงไม่มองสบดวงตาคมที่ทอแววอารี สายลมช้อนคางมนให้เงยขึ้น เกลี่ยเช็ดน้ำตาบนแก้มให้ ก่อนจะเช็ดกลีบปากนุ่มที่มีแต่เลือดของเขาเปื้อนเปรอะ

“ไปล้างหน้าล้างตาไป บ้วนปากด้วย เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน โอเค?”

รูสมองสายลมนิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้ารับ

“เด็กดี”

ได้ยินแล้วรูสอยากจะแย้งเหลือเกิน ไม่ดีเลย รูสไม่ใช่เด็กดี มือเรียวเอื้อมไปที่รอยเลือดบนเสื้อนอนของสายลม ฝีมือเขาทั้งนั้น สายลมต้องเจ็บตัวก็เพราะเขา ยังจะบอกว่าเป็นเด็กดีอีกหรือ

“ไม่เป็นไร ทำแผลหน่อยเดียวก็ดีขึ้นแล้ว”

เขาจับมือเด็กเอาไว้ก่อนที่มันจะทันได้แตะลงบนรอยเลือดนั่น กายสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วรั้งแขนเด็กให้ลุกตาม ปล่อยให้เด็กมันเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

สายตาคมเหลือบมองไหล่ของตน ที่ราซิสบอกว่าแผลที่ไหล่มันได้มาเพราะรูส นั่นมันคือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อหันกลับไปมองประตูห้องน้ำ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไรถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับรูส ไม่เช่นนั้นรูสคงอกสั่นขวัญหายทุกทีที่เกิดเรื่องเช่นนี้

ก่อนนี้ทุกเดือนดับครั้งแรกหลังวันเกิดจะมีปฏิกิริยาบางอย่างที่รูสไม่สามารถควบคุม แต่ยังพอที่จะป้องกันได้ มาคราวนี้มันกลับรุนแรงมากกว่า รูสถึงกับจะฆ่าคน แล้วคนที่ว่านั่นมันคือใครกัน ราซิสหรือ?

รูสใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเป็นนานกว่าจะออกมา ตาบวมแดงจนสายลมใจหาย ร้องหนักแค่ไหนกันหนอเด็กน้อย เมื่อร่างผอมเดินมาหาเขาที่นั่งอยู่ปลายเตียง เขาก็กางแขนออก แต่เด็กกลับส่ายหน้า มองแผลที่ไหล่อย่างรู้สึกผิด ถึงมันจะถูกปิดด้วยผ้ากอซสีขาวจนไม่เห็นสภาพแผลแล้ว แต่รูสก็ไม่กล้าเข้าใกล้อยู่ดี เพราะถึงอย่างไรตนเองก็เป็นต้นเหตุให้เกิดบาดแผลนั้นขึ้นมา

“อยากกอด”

สายลมบอกเมื่อเห็นแววกังวล ตากลมเงยขึ้นมองหน้าเขาด้วยความสับสน ก่อนที่จะค่อย ๆ ก้าวเข้ามานั่งตักแล้วให้เขากอดแต่โดยดี

“อย่าโทษตัวเอง ถ้ารูสโทษตัวเอง ฉันก็คงไม่ต่างกัน เพราะฉันปกป้องรูสไม่ได้ เกือบทำให้รูสต้อง...”

ร่างน้อยนั้นผละออกมาเพื่อแตะปากไม่ให้เขาพูดต่อ ส่ายหน้าไปมาทั้งสีหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกหนหากเขาไม่หยุด

“สายลมทำดีที่สุดแล้ว ปกป้องรูสดีที่สุด”

“ถ้าคิดว่าฉันทำดีที่สุดแล้ว รูสเองก็เหมือนกัน เลิกคิดด้านลบแล้วมาหาวิธีแก้ไขมันด้วยกัน โอเคไหม?”

เด็กนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะบอกเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ “รูสกลัว... กลัวว่าจะทำไม่ได้...”

“รูสเชื่อใจฉันไหม?”

“......” มองคนถามแล้วรูสก็พยักหน้า

สายลมยิ้มบางแล้วว่า “ฉันก็เชื่อใจรูสเหมือนกัน”

“ต... แต่รูสไม่เชื่อใจตัวเองเลย รูสทำไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มสั่นหัว

“รูส รูส.. ฟังนะ...” มือหนายึดจับแก้มนุ่มเพื่อให้อีกฝ่ายมองตาของตน “ฟังฉัน”

“......”

“ไม่ว่ารูสจะทำได้หรือไม่ได้ ฉันก็จะอยู่ข้างรูส” สายลมบอกด้วยความหนักแน่น

“ไม่ว่า... จะทำได้หรือ... ไม่ได้... เหรอ?”

“ใช่ ไม่ว่ายังไง ฉันก็อยู่ข้างรูส”

รูสเม้มปาก นัยน์ตาสีอำพันสั่นระริกไหว โน้มกายไปโอบกอดสายลม สายลมดีกับรูสมาก รูสจะไม่ทำให้เดือดร้อนอีกแล้ว จะพยายาม

สายลมลอบถอนใจเบา ๆ ความรู้สึกรูสมันเปราะบางมาก หากมีอะไรมากระทบอีก เขาไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่ารูสจะยังรับไหว เรื่องบ้าบอพวกนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับรูสหรือใครเลยจริง ๆ



เกือบรุ่งสาง รูสถึงได้นอนหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย สายลมออกมานอกระเบียง ลูห์ปรากฏกายขึ้นช้า ๆ มันมองผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและนายของมันที่ดูตึงเครียด ก่อนจะเบือนสายตามองตรงไปข้างหน้าเช่นเดียวกัน

“เขาจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” คำถามที่เหมือนเปรยกับตัวเอง แต่ก็ต้องการคำตอบที่ชัดเจนเช่นกัน

‘คำตอบอาจทำร้ายใจเจ้ามากเกินไป’ ลูห์ตอบกลับมาเช่นนั้น

“คงไม่มีอะไรเจ็บปวดไปมากกว่าเห็นเขาเจ็บ...”

ลูห์ถอนใจเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดของคนพูด ก่อนจะบอกในสิ่งที่ตนเองก็ไม่อยากบอกแม้แต่น้อย

‘ตลอดชีวิต’

“......”

สายลมนิ่งอึ้ง ลูห์หันมามองก่อนถามในสิ่งที่มันก็รู้ดี

‘ไม่รู้ดีกว่า ใช่ไหม?’

“นายไม่คิดว่ามันโหดร้ายไปหน่อยเหรอ?” แทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอ เขากำลังเป็นเช่นนั้น

‘แล้วแบบไหนล่ะที่เจ้าเรียกมันว่าไม่โหดร้าย ที่รูสเป็นไม่ใช่โรคที่จะรักษาให้หาย แต่เป็นผลของการกระทำ อาจไม่ได้มาจากเขา แต่คนรอบกายเขาก็ทำให้มันเกิดด้วยกันทั้งนั้น’

สายลมสูดลมหายใจเข้าลึกหลังจากเงียบไปนาน จะยอมแพ้เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ราวกับไม่ใช่เขา เขาหวั่นไหวมากไปเมื่อเป็นเรื่องรูส

“ฉันจะหยุดมันให้ดู”

‘หึ’


ลูห์ทำเสียงในลำคอ คล้ายรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องพูดเช่นนี้ ร่างสูงใหญ่นั้นก้าวกลับเข้าห้องไปแล้วหลังพูดประโยคแสนแน่แน่วนั้นจบ ลูห์เองก็ผินกายแล้วก็หายไปอีกทางเช่นกัน

พูดน่ะมันง่าย แต่จะทำได้ไหม นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง...


......


ห้องวิจัยชั้นใต้ดิน

ราซิสมาวนเวียนอยู่หน้าห้องพลางครุ่นคิด เขาจะทำอย่างไรถึงจะเปิดเข้าไปในนั้นได้ ชายหนุ่มลองกดรหัสมันก็ขึ้นเตือนว่าผิดเช่นทุกที มือหนากำหมัดแล้วทุบผนังห้องนั่นเต็มแรงด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะชะงักเมื่อจุดที่เขาทุบเหมือนว่ามันจะกลวง มีช่องลับอยู่ในนั้นอีกหรือ?

มือหนาลูบจนทั่วเพื่อหาสิ่งผิดปรกติ เพราะผนังถูกปูด้วยกระเบื้อง เขาเลยไม่เคยสังเกต นี่สินะความฉลาดของศาสตราจารย์ภิชาติ แต่ก็ยังฉลาดน้อยกว่าเขาล่ะนะ หึ

ราซิสขึ้นไปหาค้อนเล็ก ๆ มาเคาะเพื่อฟังเสียง เมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ มุมปากก็ยกยิ้ม มีช่องว่างอยู่ด้านในจริง ๆ แต่เขาจะแกะกระเบื้องที่ครอบมันอยู่ออกได้อย่างไรกัน หรือไม่ต้องแกะ?

ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปวางทาบลงบนกระเบื้องแผ่นั้นแล้วกดมันลงไปสุดแรง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัวคิ้วเข้มขมวด ปุ่มนี้มันใช้ทำอะไรกันแน่ มีแต่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้

“หือ?” ราซิสชะงักเมื่อเห็นว่าเงาร่างหนึ่งทอดมาที่ผนังจากทางที่แสงไฟสาดส่อง เขาสั่งคนเฝ้าด้านบนไว้ แล้วใครที่ไหนมันตามเขาลงมา

ชายหนุ่มหันกลับไปมองทางที่มาของเงาดังกล่าว เพียงหันกลับ แขนของใครคนนั้นก็ฟาดมาที่หน้าจนเลือดซึมออกจมูก ราซิสมองคนตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง ดวงตาสีแดงเพลิงนั่นมัน... รูส

“แกเป็นใครกันแน่... ผ่านลูกน้องฉันมาได้ยังไง?” ราซิสหันมองรอบกาย ทั้งที่ไอ้เด็กนี่มันเข้ามาจนถึงตัวเขา แต่ลูกน้องของเขากลับยังเงียบสนิท

ราซิสคงไม่มีทางได้เห็นว่าด้านบนนั้น ลูกน้องของตนฟุบหน้านอนเกลื่อนทั้งที่ปืนยังค้างอยู่ในมือ หากราซิสได้เห็นคงไม่ต้องคาดเดาให้ยากว่าฝีมือของใคร

“แกทำร้ายรูส...” เสียงอีกฝ่ายคำรามอยู่ในลำคอ ก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะที่เหลือบสายตาขึ้นมองหน้าราซิส

“ฉันทำร้ายแกแล้วยังไงวะ จะมาเอาคืนหรือไง... อึ่ก!” ถ้อยคำถากถางทั้งเย้ยหยันถูกกลืนกลับ เมื่อมือเรียวเล็กแต่เต็มไปด้วยพละกำลังคว้าหมับที่คอคนพูด

“แกจะฆ่าเขา ทำร้ายเขา เดนมนุษย์!” รูสแยกเขี้ยว นัยน์ตาวาววับ

“พูดอะไรของกะ... แก.. เขาไหน ปล่อยนะโว้ย!”

ราซิสตอบโต้ตะกุกตะกักเมื่อเริ่มจะหายใจลำบาก พยายามแกะมือรูสออกจากลำคอ แต่มันกลับไม่ออก แถมยังบีบแรงขึ้นเสียอีก กำปั้นหนัก ๆ จึงเหวี่ยงมาหมายจะชกที่ท้อง แต่มือรูสแม่นราวจับวางเมื่อคว้าหมัดของราซิสไว้แล้วบิดจนเจ้าของร้องโอดโอย นัยน์ตาสีเพลิงมองตาของราซิสที่เริ่มมีแววหวั่น รูสไม่ใช่คนที่จะสู้ใคร ไม่บ้าดีเดือดแบบนี้ นี่ใช่รูสแน่หรือ?

“พวกแกทุกคน... ทุก ๆ คน...”

รูสคำราม ขณะที่ราซิสตาเหลือกลาน หายใจไม่ออก อากาศในปอดเริ่มลดน้อยลงจนต้องอ้าปากโกยอากาศ เห็นแบบนั้นแล้วรูสก็ตะปบปิดปากมันไว้ ดวงตาแข็งกร้าวเมื่อประกาศก้อง

“ต้องตายทุกคน!!”

ราซิสสะดุ้งตื่น หอบตัวโยนกับความฝันที่เหมือนจริงและเกิดขึ้นซ้ำซากเพราะคนคนเดียว มือยกจับคอตัวเองอัตโนมัติ ก่อนที่จะลุกเข้าห้องน้ำไปเช่นทุกคืน ลำคอของเขาปรากฏร่องรอยเขียวช้ำอย่างชัดเจน ชัดจนไม่คิดว่ามันจะเป็นเพียงความฝัน...



อีกด้านหนึ่ง

รูสขยับตัวด้วยอาการกระสับกระส่าย ร้องอืออาในลำคอคล้ายทรมาน สายลมพยายามปลุกจนเด็กมันลืมตาตื่นขึ้นมาโดยมีน้ำตารินไหลอย่างไม่รู้ตัว แขนเรียวยกขึ้นพาดปิดบังใบหน้าแล้วสะอื้นฮัก สายลมลูบผมนุ่มเพื่อปลอบโยน ฝันร้ายอีกแล้วหรือ

“รูส... ควบคุมมันไม่ได้...”

เด็กสะอื้นไห้ ในหัวเต็มไปด้วยความสับสนและทดท้อ อ้อมกอดสายลมเคยอบอุ่นจนคลายกังวล เวลานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น บางอย่างในตัวเขากำลังร่ำร้อง กำลังควบคุมจิตใต้สำนึกให้ยอมทำตาม ภาพความโหดร้ายในฝัน เขาไม่อยากให้มันเกิดแม้แต่น้อย... เลือด... เขาเกลียดมัน ไม่อยากสัมผัส

เพราะห้องใต้ดินนั่นทำให้บางอย่างถูกปลุกขึ้นมา เพราะความโหดร้ายที่พบเจอทั้งจากศาสตราจารย์ภิชาติและราซิส และเพราะของสำคัญถูกทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างพาให้จิตใจเขาอ่อนแอจวนจะพ่ายแพ้ให้มันแล้ว

ความอบอุ่นโอบล้อมกายเมื่อเขาสั่นจนควบคุมมันไม่อยู่ ใช่ อ้อมกอดสายลมยังอบอุ่น แต่เขาเจ็บปวดที่ถูกกอด เพราะเขาทำอย่างที่สายลมเชื่อไม่ได้ เขาจะหยุดมันไม่ได้แล้ว สายลม...

สายลมกอดร่างที่คล้ายจะเล็กลงไปอีกเท่าตัวเมื่อถูกโอบกอดไว้เช่นนี้ ไหล่มนสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นทำให้สายลมสะท้านในอก เขาจะหยุดมันไม่ได้จริงหรือ จะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปจริงหรือ... รูส


……


วันต่อมา ราซิสมาที่ห้องใต้ดินโดยให้คนเฝ้าด้านบนไว้อย่างแน่นหนา ในเมื่อความฝันมันเหมือนจริงจนเขาเกือบได้เลือด แสดงว่าห้องนั่นก็อาจมีกุญแจสำคัญอยู่ตรงผนังอย่างในฝันของเขาก็ได้ และหากมันเป็นอย่างในฝัน มันต้องมีช่องนั่นอยู่ถัดจากปุ่มใส่รหัสเพื่อเปิดประตู

ชายหนุ่มก้าวช้า ๆ เพื่อไล่ดูกระเบื้องแต่ละแผ่น ค่อยเคาะทีละแผ่นจนสะดุดกับแผ่นหนึ่งในนั้น เขาค่อยใช้หูแนบลงไปแล้วเคาะอีกครั้งเพื่อฟังเสียง รอยยิ้มสมใจปรากฏบนสีหน้า ในที่สุดเขาก็หามันพบ

ขณะที่ก้าวถอยออกมาจากผนังห้อง เงาร่างหนึ่งก็ทอดมาตามแสงไฟส่อง ราซิสนิ่งอึ้งตัวชา ไม่จริงน่า อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นกัน เขากลืนน้ำลายหนืดคอเพราะใจที่หวาดหวั่น ก่อนหันกลับไปเผชิญหน้าเจ้าของเงานั้น ดวงตาชายหนุ่มเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น...

‘รูส!!’



.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :a5:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 31-08-2018 09:28:52

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๖ การจากลาของดวงตะวัน



“รูส...”

ราซิสเรียกคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง มันเหมือนในฝันของเขาไม่มีผิดเมื่อรูสมาปรากฏกายที่นี่ นัยน์ตาสีเพลิงสะกดเขานิ่ง ขณะที่ภาพความทรงจำแสนโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับรูสถูกถ่ายทอดผ่านแววตานั้นจนราซิสแทบกระอัก อยากเบือนหลบแต่ไม่สามารถทำได้อย่างใจคิด ต้องยืนแน่นิ่งอยู่กับที่และถูกป้อนความเจ็บปวดน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าที่เขาพบเจอ

“สนุกดีไหม ราส?” รูสเอ่ยถามเสียงเย็น ขณะที่ริมฝีปากบางนั้นกระตุกยิ้มหยัน

“อึ่ก... แก... แกเป็นใครกันแน่ แก... ไม่ใช่รูส...”

ราซิสพยายามจะพาตัวเองออกห่างจากเด็กประหลาดตาสีแดง แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง ทั้งที่อีกฝ่ายยืนอยู่นิ่ง ๆ กลับควบคุมเขาเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งลี้ลับพวกไสยเวทย์มันมีอยู่จริงหรือ หรือแท้ที่จริงแล้วรูสมันไม่ใช่คน

“หึ ทำไมถึงคิดว่าผมไม่ใช่รูสล่ะ พี่ชาย ในเมื่อความทรงจำที่พี่เพิ่งเห็นมันเป็นของผมทั้งนั้น” รูสยังคงตอบกลับด้วยความนิ่ง ในขณะที่ราซิสเริ่มหวั่น

“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง รูสมันคงตายไปตั้งนานแล้ว!”

ผลัวะ!!


หมัดเล็ก ๆ แต่แสนหนักหน่วงฟาดมากึ่งปากกึ่งจมูกจนราซิสหน้าหงาย ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมมากระชากผมแบบที่เขาเคยทำกับรูสเอาไว้เมื่อครั้งก่อน ตามด้วยเสียงตะคอก

“เพราะฉันดิ้นรนที่จะอยู่ไง! แต่แกกลับจะทำลายมัน! ชีวิตแกมันน่าสมเพชเหรอ! น่าสงสารเหรอ! รูสเป็นมากกว่าแกยังไม่เห็นต้องทำร้ายใคร!!”

ศีรษะของราซิสเจ็บหนึบจากมือที่ขยุ้มกำเส้นผม ชายหนุ่มมองเด็กประหลาดตรงหน้าที่มีน้ำตาไหลลงมาฟ้องความเจ็บปวดของเจ้าตัว รูสต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง ราซิสกล้ายกความเจ็บปวดของตัวเองมาเป็นสิ่งเร้าให้ทำชั่ว ฆ่าฟันแม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว สมควรแก่เวลาหรือยังที่ราซิสควรจะได้รับผลของการกระทำนั้นกลับไปบ้าง

“พวกแกทุกคนทำร้ายเขา ทำลายทั้งชีวิตของเขา ไม่ว่าจะดอกเตอร์นั่นหรือตัวแกเองมันก็เลวไม่แพ้กัน” เด็กหนุ่มเอ่ยลอดไรฟัน นัยน์ตาสีเพลิงราวมีประจุไฟลุกโชติช่วงอยู่ในนั้น และมันพร้อมจะเผาผลาญทุกคนตรงหน้าให้ย่อยยับ

“อย่า... รูส อย่า...” ราซิสขอร้องเด็กตรงหน้าที่มองมายังเขาอย่างไร้ความรู้สึก

“อย่ามาร้องขอถ้าแกไม่เคยให้มันกับฉัน!”

ดวงตาชายหนุ่มเบิกโพลงเมื่อค้อนที่เขานำมันมาเคาะผนังถูกรูสกำกระชับแล้วเงื้อง่าจนสุดแขน...


...


“เดวา”

สายลมรีบรุดมาหาน้องชายที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อน้องโทรมาบอกว่าเกิดเรื่อง สีหน้าเดวาดูไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นเขา ก่อนที่เจ้าตัวแสบจะละล่ำละลักบอก

“พี่ลม เดวาขอโทษ รูส... รูสหายตัวไปไหนแล้วไม่รู้” เอ่ยบอกพี่ชายเสียงสั่น สายลมต้องจับมือน้องไว้แล้วถามไถ่ให้ได้ความ

“ใจเย็น ๆ เดวา ค่อย ๆ เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”

เดวามองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกผิด ต้นเหตุเพราะเขาพารูสออกมาข้างนอก ด้วยความที่น้องบอกอยากมาเที่ยว เขาก็พามา ไม่นึกว่าอยู่ ๆ น้องจะหายไปเพียงเพราะบอกกับเขาว่าขอไปเข้าห้องน้ำ ทั้งที่ยืนรอน้องอยู่ข้างนอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานจนผิดสังเกต เขาก็เข้าไปเรียก ถึงตอนนั้นกลับไม่พบว่ามีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ภายในห้อง ให้บอดีการ์ดช่วยหาก็แล้ว ก็ยังไม่พบ จนต้องเรียกสายลมมาช่วย

ฟังที่น้องบอกแล้วสายลมก็ชักเครียด ชายหนุ่มติดต่อทางห้างสรรพสินค้าเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่รูสหายไป ด้วยว่าทางห้างฯรู้จักกับมิสเตอร์แอลเพราะเคยเป็นหนึ่งในลูกค้าของบริษัทการเงินเฟอร์ริงตันมาก่อน ทำให้การติดต่อเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาได้ตรวจดูเทปจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกช่วงเวลาที่รูสหายตัวไปเอาไว้

ภาพด้านหน้าห้องน้ำของทางห้างฯ เห็นเดวาเดินมาส่งรูสแล้วยืนรออยู่ตรงทางเดินใกล้ประตูเข้าออก เวลาเดินไปสักพักก็เห็นว่าเดวาหันไปมองอีกทาง และเป็นขณะเดียวกันกับที่รูสเดินออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเดวาหันกลับมาก็คล้ายว่าจะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เพราะยังคงยืนอยู่ที่เดิมเป็นนานกว่าจะยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วเข้าห้องน้ำไปตามรูส

“ตอนนั้นเดวาเหมือนได้ยินเสียงของตกเลยหันไปมอง แต่ก็ไม่ได้นานอะไรเลยนะ ทำไมรูสเดินเร็วจัง?” ท้ายประโยคเด็กหนุ่มเหมือนจะพึมพำกับตนเอง

สายลมมีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนบอกกับผู้เป็นน้อง “เดวากลับบ้านไปก่อน”

“พี่จะไปไหน?” เดวารีบถามเมื่อพี่ชายตั้งท่าจะเดินออกไป

“ฝากด้วยนะ แคน” สายลมไม่ได้ตอบคำถามน้องชาย แต่หันไปสั่งบอดีการ์ดประจำตัวน้องแทน

“ครับ” อีกฝ่ายรับคำแล้วรีบรั้งตัวเดวาเอาไว้เมื่อเห็นว่าจะถลาตามสายลมไป

“เดี๋ยว พี่จะไปไหน เดวาไปด้วย!” เดวาบิดแขนออกจากการเกาะกุมของบอดีการ์ด สายตาขวางขุ่นมองบอดีการ์ดของตนอย่างคาดโทษ ก่อนจะเดินไปดักหน้าสายลม

สายลมมองหน้าน้องด้วยแววจริงจังพร้อมบอกเสียงเข้ม “กลับบ้านไป เรื่องรูสไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะพาเขากลับมาเอง”

“พี่รู้เหรอว่ารูสอยู่ที่ไหน!?”

ไร้การตอบกลับจากพี่ชาย เมื่อร่างสูงใหญ่นั้นก้าวเดินไม่เหลียวหลัง เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักอก ได้แต่มองตามหลังพี่ด้วยความเป็นกังวล



สายลมมายังบ้านธรรมวงศาพร้อมคนของเวสส์และลุงหลง เพราะในที่สุดรูสก็แอบออกมาจนได้ และที่ที่รูสจะไปเขาก็นึกได้เพียงที่เดียว เขาวางใจเพราะไม่เห็นถึงความผิดปรกติถึงได้ให้ออกมากับเดวา แต่แท้ที่จริงแล้วเด็กมันเล่นละครตบตาจนมองไม่ออก หากในระหว่างนี้เด็กมันทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวอีกอาจทำให้เป็นบาดแผลในใจจนยากจะลบเลือนได้ เขาต้องรีบหาให้เจอก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับลูกของผมกัน”

สายลมหันมามองลุงหลงที่ดูเครียดกับสถานการณ์ขณะนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะบอกแกอย่างไร ขนาดลุงแกยังไม่รู้ว่าเหตุใดรูสถึงได้เป็นเช่นนั้น ต้นเหตุมาจากศาสตราจารย์ภิชาติ หรือมันเป็นมาตั้งแต่รูสเกิด

“จี้ของรูสแตกไปแล้ว ลุงว่ามันจะเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า?” สายลมคาดเดา

“ก็ไม่แน่เหมือนกันครับ” ลุงหลงเริ่มคิดตาม จี้นั่นแกได้มาจากมารดาของรูส มันมีไว้ปกป้องคุ้มภัยตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน บางครั้งมันอาจมีความพิเศษมากกว่าที่แกรู้มา และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูสเป็นดังเช่นเวลานี้ก็เป็นได้

“ที่ลุงเคยบอกว่าเพราะดวงตาของรูสเป็นสีเพลิง คนในหมู่บ้านจึงได้ตามล่า...”

“......”

“เขาเกิดมาตาเป็นสีนั้นเลยเหรอ แล้ว... ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นสีอำพันได้?”

“ตารูสสีอำพันครับ แต่อย่างที่นายน้อยเคยเห็น เดือนดับแรกหลังวันเกิด รูสจะเปลี่ยนไป เพราะเหตุนั้นคนในหมู่บ้านของพวกผมที่ค่อนข้างงมงายถึงได้ใช้มันมาขับไล่พ่อแม่รูส รวมทั้งตัวรูสด้วย” ลุงหลงอธิบาย

“บางครั้งเขาก็เหมือนจะไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนมีใครอีกคนอยู่ใต้จิตสำนึกของเขา และตอนนี้คนคนนั้นก็กำลังควบคุมเขาอยู่” สายลมช่วยเสริมในส่วนที่ตนเองรู้สึก

“มันซับซ้อนจนผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วครับ นายน้อย... ช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง” มือกร้านลูบหน้าตนเองด้วยความว้าวุ่น

สายลมเงียบไปเพราะเขาเองก็หาคำตอบให้กับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน ได้แต่เฝ้าภาวนาว่าพวกเขาจะไปถึงที่หมายทันการณ์



บ้านธรรมวงศา

หน้าทางเข้าห้องใต้ดิน ลูกน้องของราซิสฟุบนอนอยู่เกลื่อนกลาด ศาสตราจารย์ภิชาญ ธรรมวงศา พี่ชายของศาสตราจารย์ภิชาติ ยืนมองคนเหล่านั้นด้วยอาการนิ่งอึ้ง ก่อนที่จะก้าวถอยแล้วลนลานไปโทรแจ้งตำรวจว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาทำร้ายคนในบ้านของตน

“ราสชักจะทำตัวใหญ่โตมากเกินไปแล้วนะคะ นี่แอบทำอะไรในบ้านเราอีกก็ไม่รู้ คนของเจ้าเด็กนั่นถึงได้นอนเกลื่อนหน้าทางเข้าห้องใต้ดินเต็มไปหมด”

ภรรยาของศาสตราจารย์ภิชาญเอ่ยขึ้นมาเมื่อผู้เป็นสามีวางสายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ นางไม่ใคร่จะชอบใจราซิสเอาเสียเลย เด็กเหลือขอนั่นถืออำนาจบาตรใหญ่ภายในบ้านของน้องสามีนาง และลามมาที่บ้านของนางที่อยู่ในบริเวณรั้วเดียวกันด้วย ต่างอกสั่นขวัญแขวนกับท่าทีทั้งข่มทั้งขู่ของราซิสจนต้องปิดปากเงียบ แม้จะรู้เห็นอะไรไม่ดีอยู่ตำตา

“คราวนี้ผมจะไม่อยู่เฉยอีกแล้ว เป็นไงเป็นกันสิ” ศาสตราจารย์ภิชาญว่า

“ระวังตัวด้วยนะคะ ราสมันมีมาเฟียหนุนหลัง ฉันกลัวว่าถ้ามันรอดมาได้...” ผู้เป็นภรรยาบอกสามีอย่างเป็นกังวล ที่เฉยมาตลอดก็เพราะรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น และมันก็วนกลับมาที่เดิมอยู่แบบนี้

เสียงกริ่งหน้าบ้านเรียกความสนใจของสองสามีภรรยา ศาสตราจารย์ภิชาญรีบออกมารับหน้า ด้วยนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตนเองแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายไป แต่แล้วผู้ที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับเป็นคนอื่น ชายสูงวัยจึงจะย้อนกลับเข้าบ้านพลางสั่งคนให้เฝ้าหน้าประตูให้ดี

“ดอกเตอร์ภิชาญ”

เสียงเรียกจากบุคคลแปลกหน้าทำให้ชายสูงวัยหันกลับมามอง หัวคิ้วเขาขมวดเมื่อรู้สึกคุ้นหน้าของใครคนหนึ่งในนั้น ดวงตาหรี่ลงอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนที่จะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อความคลับคล้ายคลับคลาที่มีมันเริ่มกระจ่าง

“นายริวอา?”

เจ้าของชื่อผงกศีรษะเป็นการตอบรับว่าใช่ตนเองแน่ ก่อนจะเข้าเรื่องเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

“ช่วยเปิดประตูให้เราด้วยครับ ดอกเตอร์ พวกเรามีเหตุจำเป็นที่จะต้องเข้าไปด้านใน” ลุงหลง หรือ ริวอา บอกแก่เจ้าของบ้าน

“ทำไมฉันต้องให้พวกนายริวอาเข้ามาในนี้ด้วย คิดจะเข้ามาทำอะไรกัน?”

ชายสูงวัยกวาดมองทุกคนอย่างไม่ไว้ใจ ถึงแม้เขาจะรู้จักริวอาในฐานะคนของน้องชายและบิดาของรูสซึ่งน้องชายของเขารับเป็นบุตรบุญธรรม แต่ใช่ว่าจะปล่อยให้เข้ามาได้ง่ายดาย แล้วไหนจะเรื่องที่ว่าริวอาคนนี้ได้ตายไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา มันหมายความว่าอย่างไรกัน

สายลมกระชากประตูรั้วทำให้เจ้าของบ้านสะดุ้งด้วยความตกใจ สายตาคมมองจ้องขณะเอ่ยอย่างพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ คนกำลังร้อนใจยังมาท่ามากอยู่ได้!

“คนของผมอยู่ในนั้น ถ้าคุณมัวยึกยักไม่ยอมให้เข้าก็เท่ากับคุณช่วยราซิสปกปิด และจะโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”

ศาสตราจารย์ภิชาญบอกปัด จะหลบเลี่ยงเข้าบ้านไปเพราะไม่อยากยุ่งเรื่องเกี่ยวกับราซิส แต่เพียงหันกลับ ใจของเขาก็กระดอนออกมากองอยู่ที่ปลายเท้าเมื่อสิงโตตัวใหญ่ก้าวมาดักหน้า ทั้งประตูหน้าบ้านยังถูกเปิดออกโดยที่เขาไม่ได้แตะต้องกลไกใด ๆ ทั้งสิ้น รปภ.ที่ทำหน้าที่อยู่ตรงทางเข้าก็ละล้าละลังเมื่อฝั่งสายลมพกอาวุธครบมือ

“ผมจะถือว่าคุณเป็นพวกเดียวกับราซิส หากเกิดอะไรขึ้นกับคนของผม เราจะได้เห็นดีกัน” สายลมก้าวเข้ามาประจันหน้ากับเจ้าของบ้าน เมื่อเอ่ยจบก็เร่งรุดตามลูห์ไปด้านใน เสียเวลากับตาแก่เรื่องมากนี่พอแล้ว

เมื่อเข้ามาด้านใน ลูห์ก็นำทางทุกคนมายังสถานที่หนึ่ง หน้าประตูนั้นเต็มไปด้วยร่างของชายฉกรรจ์หลายคนนอนเกลื่อน เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในก็พบกับบันไดที่ทอดยาวลงสู่ใต้ดิน สายลมหันมามองลูห์และลุงหลง

“ห้องวิจัยของดอกเตอร์อยู่ใต้นั่นครับ” ลุงหลงบอก

สายลมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะบอกให้ทุกคนระวังตัวแล้วค่อยลงไปด้านล่าง ขณะที่ด้านนอก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึงพอดี ศาสตราจารย์ภิชาญจึงอยู่บอกรายละเอียดต่าง ๆ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดกับราซิส จึงเบี่ยงประเด็นที่สายลมบุกเข้ามาในบ้านพร้อมสิงโตตัวใหญ่และคนอีกจำนวนหนึ่งออกไป โดยบอกว่าราซิสลักพาใครสักคนเข้ามาในนี้ และอาจมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นทำให้ลูกน้องของราซิสสลบเหมือดอยู่หน้าทางเข้าห้องใต้ดิน ก่อนปล่อยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป

เมื่อมาถึงหน้าห้องวิจัยใต้ดินของศาสตราจารย์ภิชาติ ใจสายลมก็เต้นกระหน่ำด้วยความหวาดหวั่น ยิ่งเห็นว่าร่างของราซิสรูดตัวพิงผนังกระเบื้องแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไร้เงาของรูสด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สายลมกลัวว่าตนจะมาไม่ทัน

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปดู มือหนายกขึ้นอังตรงจมูกเพื่อดูว่ายังคงมีลมหายใจอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าคงเพียงแค่สลบไปเท่านั้น สายลมก็ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก รูสอาจรู้สึกตัวก่อนที่จะทำอะไรรุนแรงลงไป สายตาคมกวาดมองโดยรอบจนสะดุดเข้ากับประตูห้องที่เปิดค้างอยู่ หัวคิ้วเข้มขมวด หรือว่ารูสจะอยู่ในนั้น?

‘เขาอยู่ข้างใน’


ลูห์บอกย้ำให้ความมั่นใจ สายลมหันมามองมองมันก่อนจะหันกลับไปมองที่ประตูบานนั้น ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวไปตรงประตู ด้านในมีแต่ความมืดมิด แสงไฟจากด้านนอกส่องเข้าไปทำให้เห็นเพียงเงาข้าวของตะคุ่ม ๆ เท่านั้น

สายลมตัดสินใจก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อเข้ามาแล้วก็สอดส่ายสายตามองหารูส โดยที่ลุงหลงคอยเฝ้าราซิสอยู่ด้านนอกจนตำรวจลงมา ชายสูงวัยจึงได้บอกให้คุมตัวราซิสไป เพราะเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด

“รูส... อยู่ในนี้หรือเปล่า?”

สายลมเรียกหาเด็กภายใต้ความมืด มือหนาโบกไปมาเพื่อป่ายปัดฝุ่นผงที่มันคละคลุ้งเวลาก้าวเดิน ชายหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดในห้องนี้ ไม่รู้สภาพของห้องด้วยซ้ำว่ามันเป็นเช่นไร ปุ่มเปิดไฟอยู่ตรงไหนกัน

พรึ่บ!

แสงสว่างจ้าจนตาพร่าเมื่อไฟถูกเปิดอย่างฉับพลัน สายลมหันขวับไปมองด้านหลัง ก่อนจะค่อยมองรอบกายอย่างระแวดระวัง คนของเวสส์ยืนงงเมื่อไฟในห้องมันเปิดขึ้นมาเองโดยที่พวกเขาไม่ได้แตะต้องอะไรภายในห้องนี้เลย เมื่อเห็นท่าทีคนของเวสส์เช่นนั้น สายลมก็หรี่ตาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะปัดมันออกจากหัวเมื่อคิดว่าบางทีลุงหลงอาจเป็นคนเปิดจากด้านนอกให้พวกเขาก็ได้

ทั้งหมดค่อยก้าวลึกเข้าไปด้านในเมื่อมองเห็นทุกสิ่งโดยรอบ สายลมยังคงเรียกหารูส แต่กลับไร้เสียงตอบรับนอกจากเสียงสะอื้นที่ดังลอดมาจากที่ไหนสักแห่ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจตามเข้ามาพร้อมอาวุธปืน เมื่อได้ยินเสียงคล้ายใครสักคนกำลังสะอื้นไห้ ผนวกกับคำให้การของเจ้าทุกข์เช่นศาสตราจารย์ภิชาญว่าราซิสลักพาใครสักคนมาที่นี่ บางครั้งคนคนนั้นอาจถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ภายใน

ปืนในมือถูกเหน็บเก็บเข้าที่เอว ก่อนที่นายตำรวจคนดังกล่าวจะแนบหูกับผนังห้องเพื่อฟังที่มาของเสียงให้ชัดขึ้น

“มันน่าจะดังมาจากในนี้นะครับ”

นายตำรวจหันมาบอกกับสายลมคล้ายจะปรึกษา แต่ผนังห้องนี้มันดูไม่น่าจะมีกลไกอะไรเลย หากได้ยินเสียงมาจากอีกฟากฝั่งของผนังก็แสดงว่าภายในห้องนี้ยังคงมีอีกห้องหนึ่งซ่อนอยู่ เพราะเสียงสะอื้นไห้ยังดังมาให้ได้ยิน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาทางเปิดมันเพื่อช่วยคนด้านใน

สายลมถอดเสื้อตนเองออกเพื่อใช้เช็ดฝุ่นตรงผนัง เผื่อจะเห็นร่องรอยอะไรบ้าง และมันก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเมื่อเห็นรอยแยกเพียงขีดเล็ก ๆ ที่พาดผ่านจากด้านบนลงมาจนถึงพื้น ชายหนุ่มลองดันมัน แต่คงเพราะไม่ได้เปิดมาหลายปีทำให้เขาดันมันไม่ค่อยออก เจ้าหน้าที่ตำรวจและคนของเวสส์จึงได้เข้ามาช่วยกัน จนกระทั่งสามารถเปิดประตูลับบานนั้นได้สำเร็จ

เมื่อเข้าไปด้านใน ทุกคนก็กระชับปืนในมือด้วยท่าทีระวังภัย แสงสีฟ้าเรือง ๆ จากบางสิ่งสาดส่องไปทั่วทั้งห้อง แต่มันไม่ได้สว่างมากนักเพราะขนาดห้องที่ไม่เล็กสักเท่าไร เสียงสะอื้นไห้ที่ได้ยินเมื่ออยู่ด้านนอกดังชัดขึ้นจนน่าขนลุก

“รูส รูส ได้ยินฉันไหม?” สายลมลองเรียกหา เพราะไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินจะใช่เด็กน้อยของเขาไหม

“ฮึ่ก... สายลม...”

เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับ สายลมก็ใจชื้นขึ้น ขายาวรีบก้าวไปยังที่มาของเสียง เห็นรูสนั่งซุกอยู่ในมุมหนึ่งอย่างน่าสงสาร

“รูส...”

สายลมเอ่ยเรียกก่อนจะชะงักงันเมื่อกำลังจะก้าวไปหา ทุกคนที่ก้าวตามเขามาต่างเบิกตากว้างด้วยตื่นตะลึงไม่แพ้กัน รูสค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจากการกอดเข่าร้องไห้ สายลมจึงละสายตาจากบางสิ่งตรงหน้าแล้วเบือนมามองรูส

“ช่วยเขาด้วย...”

เลือดในกายเขาเย็นเฉียบกับถ้อยคำวอนขอ ในอกบีบรัดเมื่อมองแท่งแก้วขนาดใหญ่ที่บรรจุของเหลวสีฟ้าเอาไว้ภายใน ฟองอากาศผุดพรายเมื่อเจ้าวัตถุทรงกระบอกใสมันยังคงทำงานอยู่ เสียงนายตำรวจที่พึมพำอยู่ข้างกายด้วยความทึ่งไม่ได้เรียกความสนใจจากเขาเท่าภาพตรงหน้า และ... ร่างของเด็กน้อยที่ถูกแช่อยู่ในของเหลวสีฟ้านั่น

เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งลอยตัวอยู่ด้านใน ใบหน้าดูสงบนิ่งราวกำลังหลับใหล แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี เด็กคนนี้คงไม่ใช่เพียงแค่หลับ แต่ลมหายใจที่มีมันก็คงหมดลงไปแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อละสายตากลับมาหารูส สายลมกลับพบเพียงความว่างเปล่า ชายหนุ่มหันมองหาเด็กของตนเสียรอบห้องกลับไม่พบแม้เงา ขายาวก้าวเข้าไปใกล้แท่งแก้วขนาดใหญ่นั้นด้วยหัวใจสั่นไหว เขาไม่รู้จักเด็กในนั้น แต่กลับรู้สึกเจ็บร้าวในอกเหลือเกินเมื่อมองดวงหน้าของเด็กคนนี้จนชัดเจนแก่สายตา

“รูส...”

เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกสายตาทุกคนให้หันมอง ลุงหลงก้าวเข้ามาเหมือนคนกำลังจะหมดแรง ร่างสันทัดทรุดนั่งลงตรงหน้าแท่นควบคุมที่ใช้ตั้งแท่งแก้วขนาดใหญ่นั่น เห็นเช่นนั้นสายลมก็นิ่งงัน หัวใจเขาเหมือนร่วงหล่นลงพื้นแล้วถูกบดขยี้ซ้ำ ค่อยหันกลับไปมองร่างเด็กผู้ชายคนนั้นอีกครั้งด้วยความตกตะลึง

เสียงคร่ำครวญขอโทษลูกชายไม่ขาดปากของลุงหลงไม่ใช่เรื่องโกหก สายลมวางมือแนบความเย็นชืดของวัตถุที่ห่อหุ้มร่างเล็กนั้นเอาไว้ ยิ่งมองนาน ยิ่งชัดเจนว่าเด็กคนนี้...

“ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมถึงมาอยู่ในนี้ ดอกเตอร์นั่นมันทดลองอะไรกันแน่!?” ลุงหลงยังคงร่ำไห้ ใจคนเป็นพ่อจะขาดตามเมื่อได้มาพบกับความจริงที่ไม่คาดฝัน

“รูส ออกมาเดี๋ยวนี้ เล่นแบบนี้ไม่สนุก”

สายลมกำมือที่วางทาบแท่งแก้วเอาไว้จนมันสั่นขณะที่พึมพำเพียงพ้นริมฝีปาก และมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบเขากลับมา

“ฉันบอกให้ออกมาไง จะให้ฉันบ้าตายให้ได้ใช่ไหม หา!”

ระดับเสียงของเขาเริ่มดังขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้คนที่เขาต้องการพบปรากฏกายขึ้นมาได้

“ออกมาบอกฉันสิ บอกฉันทีว่าเธอยังอยู่ คนที่อยู่กับฉันตลอดมาคือเธอ...”

สายลมกลืนก้อนความเจ็บปวดกลับลงไปในอก เมื่อยังคงมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับถ้อยคำอ้อนวอนของเขา เขากำลังจะหมดแรงลงตรงนี้แล้ว มันเรื่องบ้าอะไรอีก เขาจะรับมันไม่ไหวแล้ว รูส...

เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งลูกน้องให้นำกำลังฝ่ายต่าง ๆ มาเสริมเพื่อทำคดีนี้ พวกเขาต้องสอบปากคำทุกคนที่นี่ รวมทั้งต้องนำร่างเด็กในแท่งแก้วใสนั้นออกมาเพื่อชันสูตรด้วย

สายลมค่อยถอยห่างออกมา สายตายังคงจับจ้องเด็กน้อยคนนั้น จะบอกว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตาหรือ กายอุ่น ๆ ที่เขากอดอยู่ทุกคืนนั่น เขาแค่คิดไปเองอย่างนั้นหรือ ความทรงจำทุกอย่างที่เขายังจดจำมันได้จนกระทั่งวันนี้ นั่นเขาก็เพียงคิดไปเองหรือ แล้วรอยแผลที่หัวไหล่นี่ก็แค่... รู้สึกไปเอง อย่างนั้นหรือ?

.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 31-08-2018 09:29:44
ร่างสูงใหญ่ก้าวออกจากห้อง เขาจะต้องตามหา เขาต้องหาให้พบ รูสแค่อยากเล่นซ่อนหากับเขาเท่านั้น ไอ้ดื้อมันแค่ซนไปตามประสา เดี๋ยวก็โผล่มาทำให้เขาประหลาดใจแล้วหัวเราะชอบใจเหมือนทุกที

แต่แล้วก้าวเดินของเขาก็ต้องหยุดลง เมื่อลูห์ก้าวมาดักหน้าเอาไว้ มันมองเขานิ่งก่อนบอก

‘หาเขาไม่เจอหรอก’

“ทำไม! เพราะอะไร!!?”

สายลมตะคอกถามเมื่อถูกขวาง เขากำลังพาลพาโล

“ถอยไป” สั่งลูห์เสียงเข้ม แต่ผู้ถูกออกคำสั่งกลับไม่ยอมทำตาม

‘เขาไปแล้ว’

“ถอยไป ลูห์!!”

เสียงที่ดังขึ้นเพราะความอัดอั้นไม่ได้ทำให้ลูห์ขยับ ทั้งสองมองจ้องตากันนิ่ง ก่อนที่สายลมจะทุบผนังห้องเต็มแรงเพราะไม่อาจดึงดันต่อไปได้ กายหนาสั่นสะท้าน น้ำตาเขาพาลจะไหลเมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำร้ายเขาไปถึงไหน เรื่องวันนี้ที่พบเจอมันบ้าบอทั้งนั้น เขาไม่เชื่อ ไม่มีทางเชื่อ ดอกเตอร์นั่นมันบ้า โคลนนิ่งรูสขึ้นมา ในนั้นไม่ใช่รูสของเขา ไม่ใช่!!

“เขาไปไหน เขาไปอยู่ที่ไหน ลูห์...” สายลมเอ่ยถามด้วยความทดท้อ

‘ไม่รู้’

คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เกิดความเงียบงันขึ้นกับสายลม

‘อาจจะไปเรื่อย ๆ ไร้จุดหมาย’ ลูห์เอ่ยเสริม

“ในเมื่อไร้จุดหมายทำไมไม่อยู่กับฉัน?”

‘......’ สิงโตตัวใหญ่ไม่มีคำตอบจะให้ เพราะนั่นคือความคิดที่เขาไม่สามารถล่วงรู้

สายลมหันกลับไปมองการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาต้องขึ้นไปด้านบนเพื่อหาทางเปิดแท่งแก้วนั้นออกโดยที่น้ำด้านในจะไม่ไหลทะลักออกมา ชั้นบนตรงจุดที่แท่งแก้วตั้งอยู่มีช่องเปิดปิด จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ตัดแล้วเปิดมันออกก่อนนำร่างเด็กชายในนั้นขึ้นมา เพื่อให้คนของทางการตรวจดูว่าน้ำยาที่ใช้แช่ร่างเด็กชายนั้นมันคือน้ำอะไร ท่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของศาสตราจารย์ภิชาติกระมัง

ร่างกายเด็กน้อยที่ถูกนำขึ้นมาจากน้ำซีดเผือดไร้สีเลือด แต่กลับไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา แสดงว่าน้ำสีฟ้าที่ใช้แช่ร่างนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่นักวิทยาศาสตร์ต้องวิจัยกันต่อไป ลุงหลงทรุดนั่งลงข้างศพลูกชายที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขาว ใจแกจะขาดกับโชคชะตาที่แสนโหดร้ายของเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่แกรับผิดชอบพาหนีมาจากการหมายเอาชีวิต แต่ท้ายที่สุด เด็กคนนี้ก็ยังต้องพบเจอกับสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า

...ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อไม่หวังให้ลูกอภัย แต่ขอให้ความทุกข์ทรมานที่มีมันจบลงเสียทีนะ รูส...


......


หลังเหตุการณ์ทุกอย่างจบลง ทรัพย์สินของศาสตราจารย์ภิชาติที่ราซิสถ่ายโอนไปเป็นของตนกลับมาเป็นของรูสทุกอย่าง ศาสตราจารย์ภิชาญผู้เป็นพี่ชายไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ ปล่อยให้ลุงหลงซึ่งเป็นบิดาของรูสจัดการทุกอย่างตามสมควร ลุงหลงจึงจัดการบริจาคมันให้การกุศลทั้งหมด เพราะอย่างไรเสีย รูสก็ไม่อยู่แล้ว และราซิสก็กลายเป็นนักโทษ ถูกกักกันและยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายจนเรียบ

ผู้เป็นนายของราซิสไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเช่นทุกครั้ง เพราะการเสี่ยงกับเวสส์ไม่เป็นผลดีต่อพวกตน จึงได้ปล่อยให้ราซิสตกที่นั่งลำบากต้องวิ่งเต้นด้วยตนเอง แต่เมื่อทุกอย่างถูกยึดไปจนหมด กระทั่งลูกน้องที่ต้องก้มหน้าก้มตารับใช้มาตลอดก็ยังถูกจับมาตาม ๆ กัน การที่จะรอดออกมาสู้คดีจึงเป็นไปได้ยาก

ถึงแม้ราซิสจะเคยทำเรื่องเลวร้ายมามากมาย แต่เมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่มในวันนี้ ลุงหลงก็ได้แต่ปลง แกไม่อยากสร้างบาปสร้างกรรมด้วยการเอาชีวิตมาแลกชีวิต เพราะกลัวว่ามันจะตกไปอยู่กับรูส ลูกชายของแกอีก ชาตินี้เกิดมาก็มีเวรมีกรรมมากพอแล้ว อย่างน้อยหากต้องจากไปก็อยากให้ลูกของแกได้ไปสบาย หมดทุกข์หมดโศกอย่างแท้จริง

สายลมและครอบครัวมิสเตอร์แอลมาที่วัดเพื่อร่วมงานฌาปนกิจ เดวายังคงร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจทุกครั้งที่นึกถึงรูส แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานแต่เขาก็ผูกพันกับเด็กคนนี้ไปแล้ว ความจริงที่ว่าต่อจากนี้จะไม่มีวันได้พบกันอีกทำให้เดวาทำใจยอมรับได้ยากยิ่ง ทั้งยังรู้สึกผิดที่ตนเองมีส่วนทำให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้

สายลมเดินเลี่ยงมาที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ รอเวลาเผาศพเด็กน้อยผู้มีชะตากรรมน่าเวทนา ถึงอย่างไรก็ไม่อยากจะยอมรับว่าเด็กคนนั้นคือรูส แต่ถึงจะเลือกเชื่อว่ารูสยังอยู่ก็คงหลอกตัวเองไม่ได้ เมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ร่างนั้นจะถูกเผาไหม้จนหลงเหลือเพียงเถ้ากระดูก

“นายรู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม?” สายลมเอ่ยถาม เมื่อลูห์ค่อยปรากฏกายขึ้น

‘……’ ความเงียบคือสิ่งที่สายลมได้กลับมา ไม่ตอบ เท่ากับรู้

“แล้วก็ปล่อยให้ฉันเป็นไอ้โง่อยู่คนเดียว” สายลมยิ้มหยันความโง่เง่าของตนเอง รูสไม่เคยมีตัวตน เขาน่าจะเอะใจตั้งนานแล้ว

‘ไม่มีใครคิดว่าเจ้าโง่หรอก สายลม’

“แต่นายไม่บอก”

สายลมตอกกลับ ทำให้ลูห์เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

‘เขาแค่อยากอยู่ใกล้เจ้าให้นานขึ้นอีกสักนิด’

“แล้วก็ทิ้งฉันไป... เหมือนอย่างตอนนี้”

‘......’ ลูห์เงียบ ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เมื่อมันคือความจริงที่ยากจะปฏิเสธ รูสจากไปแล้วจริง ๆ

“นายมันพวกเดียวกัน ฉันมันหัวเดียวกระเทียมลีบ นึกจะทำอะไรไม่ต้องบอกฉันก็ได้ ฉันเข้าใจดีว่าฉันมันคนอื่น” ร่างสูงใหญ่ก้าวจากไปเมื่อเอ่ยจบ ลูห์ไม่ผิดหรอก เขาเองที่ผิด ลูห์ไม่ได้บอกให้เขารักรูส เขารักของเขาเอง ถึงได้เจ็บปวดมากมายขนาดนี้

ลูห์ถอนใจด้วยความอึดอัด จะให้มันทำอย่างไรได้ เพราะไม่คิดว่าทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ เด็กคนนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองไม่ใช่รูส เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับรูสมันฝังอยู่ในความทรงจำ ความพิเศษของจี้ก็เป็นอีกอย่างที่กดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ไม่ให้มันแสดงออกมา ทุกเดือนดับหลังวันเกิดเป็นวันแรง ทำให้จิตของรูสอ่อน ตัวตนของบางสิ่งที่ซุกซ่อนถึงได้แสดงออกมา แม้ไม่ชัดเจนนักก็ตาม

เจ้าตัวประหลาดที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เป็นเพียงดวงจิตที่ผูกพันกับรูส ตั้งแต่รูสยังไม่ลืมตาดูโลกมันก็คอยวนเวียน คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ เพราะสายใยที่พันผูก จนกระทั่งรูสเกิด ดวงจิตอ่อนแอจนแทบแตกดับ เพราะไม่คิดหน้าคิดหลัง เจ้านั่นถึงได้หลอมรวมวิญญาณตนเองเข้าไว้ด้วยกันกับเด็กทารกธรรมดาคนหนึ่ง เพียงเพื่อพยุงให้มีชีวิตรอด โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมา

จนเมื่อผลกระทบที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ และความผิดปรกติที่เริ่มชัดเจน ทำให้เด็กคนนั้นเริ่มรู้ตัวว่าตนเองไม่ใช่รูส แต่เป็นบางสิ่งที่ไม่มีตัวตน การซ่อนตัวอยู่ในเกราะที่ชื่อว่ารูสยังดำเนินต่อไปเมื่อไม่อาจแยกจากสายลม แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ลูห์ก็ไม่สามารถที่จะไล่เด็กคนนั้นที่มีจิตผูกพันกับสายลมไปได้ เมื่อเขาไม่ได้คิดร้ายกับสายลม มันจึงเฉยอยู่และได้แต่คอยดูแลทั้งคู่อยู่ไม่ห่างก็เท่านั้น

...เรื่องของหัวใจซับซ้อนเกินกว่าที่มันจะตัดสินใจแทนใครได้...



ศพของรูสถูกนำขึ้นเมรุเมื่อควรแก่เวลา ลุงหลงจัดการฌาปนกิจและไม่ยินยอมให้ใครนำร่างของรูสไปวิจัยหาอะไรทั้งนั้น หากอยากรู้ก็ให้สืบค้นเอาในห้องวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ อย่ามายุ่งกับลูกของแก ให้ลูกแกได้อยู่อย่างสงบบ้าง ตลอดมาแกไม่เคยรู้ว่ารูสต้องทนทุกข์อยู่ในนั้น แม้แต่วันที่ศาสตราจารย์ภิชาติเสียชีวิตไป คนสุดท้ายที่อยู่ในห้องเดียวกันนั้นก็คือรูส แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ เป็นเพียงบางสิ่งที่สร้างตัวตนขึ้นมาทดแทนรูส อาจเป็นความคับแค้นหรือการดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอด ทำให้ในวันนั้นเกิดรูสอีกคนขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครรู้

ดูจากหลักฐานต่าง ๆ เหมือนว่าศาสตราจารย์ภิชาติได้ทำวิจัยเกี่ยวกับการคงอยู่และสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาเพื่อทดแทน หากมนุษย์ถึงวันที่ร่างกายชราภาพลงตามกาลเวลา เรี่ยวแรงที่มีย่อมถดถอยและสภาพภายนอกย่อมเหี่ยวย่นจนสุดท้ายก็ต้องหมดลมหายใจ เพราะเหตุนั้น การทดลองที่ขัดกับศีลธรรมและจิตสำนึกจึงถูกทำขึ้นเงียบ ๆ ภายใต้พื้นดินที่ถูกสร้างเป็นห้องวิจัยและทดลองแสนแปลกประหลาด รูสเป็นเพียงเด็กโชคร้ายที่ต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ และการวิจัยนั้นก็เกิดพลาดจนทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งตาย แต่ศาสตราจารย์ภิชาติกลับไม่ยอมแพ้จึงได้สร้างแท่งแก้วขนาดใหญ่บรรจุน้ำที่มีส่วนผสมของสารบางอย่างขึ้นมาเพื่อแช่ร่างของรูสเอาไว้ ด้วยหวังว่าวันหนึ่งวันใดตนเองอาจวิจัยตัวยาที่ทำให้คนฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

ความลับที่ถูกซุกซ่อน เมื่อมันมีมาหนึ่งอย่างก็เริ่มลุกลามไปเรื่อย ๆ ด้วยกลัวความผิดที่ตนเองกระทำเอาไว้ถูกเปิดเผย ทำให้ศาสตราจารย์ภิชาติเกิดความเครียดจัดจนกระทั่งฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา และหลังจากร่างศาสตราจารย์ถูกนำออกมาจากห้องดังกล่าวพร้อมรูสที่ตำรวจให้ข้อสรุปว่าอาจเป็นเด็กที่เกิดจากการโคลนนิ่ง คุณหญิงพจนีย์ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกห้องนั้นจนมันกลายเป็นห้องปิดตายและรกเรื้ออย่างที่เห็น

บทสรุปคดีของรูสออกมาว่าหลังจากศาสตราจารย์ภิชาติเสียชีวิต ในปีต่อมาคุณหญิงพจนีย์ก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปอีกคน รูสที่อาจเป็นผลการทดลองของศาสตราจารย์ภิชาติได้ไปอยู่กับผู้เป็นพี่ชายคือราซิส ซึ่งเป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของสองสามีภรรยาเช่นเดียวกับรูส และราซิสนี้เองที่วางแผนกำจัดรูสให้พ้นทาง ทำให้ทั้งรูสตัวจริงและตัวปลอมจบชีวิตลงไปแล้วทั้งคู่ ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่สายลมเข้าไปตามหาคนของตนในบ้านหลังนั้น เพราะต่างสรุปออกมาว่าเป็นเพียงการเข้าใจผิด เมื่อทุกอย่างออกมาในรูปแบบนั้นลุงหลงก็ไม่ได้โต้แย้ง แกอยากให้มันจบไป ไม่ต้องมีใครมาขุดคุ้ยเรื่องของรูสอีก

ควันจากการเผาไหม้ลอยขึ้นมาจากปากปล่องเมรุ ราวการนำส่งดวงวิญญาณบริสุทธิ์สู่ภพภูมิใหม่ หยดน้ำตาแม้ไหลรินมากมายเท่าไรก็ไม่อาจเรียกทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืน เพราะฉะนั้น มันจึงคลออยู่เพียงหน่วยตาที่เหม่อมองควันสีขมุกขมัวลอยเอื่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า

...กับการจากลาที่แสนเจ็บปวดเจียนขาดใจ...


......


สายลมพารูสกลับมาที่เกาะศิลา เพราะที่แห่งนี้มีแต่คนที่รูสเคยคุ้น และโอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีคราม รูสชอบเล่นน้ำ แม้จะกลัวเมื่อถูกแกล้งให้จมลงไป แต่ก็ชอบที่จะเล่นสนุกอยู่ริมหาด เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่บางครั้งอาจเป็นผลพวงจากที่ร่างของรูสถูกแช่อยู่ในน้ำยาประหลาดนั่น ทำให้รูสขาดน้ำไม่ได้

การพารูสกลับมาที่นี่ก็เพื่อให้เด็กมันได้อยู่ในที่สงบ ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งสิ้น ใต้พื้นดินนั้นอาจหนาวเหน็บและมืดมิด แต่ไม่ต้องหวาดกลัวไป เพราะเขาจะไม่ทิ้งรูสไปไหน จะคอยอยู่ใกล้ ๆ ให้เด็กน้อยไร้ที่พึ่งคนนี้อุ่นใจ

ดอกไม้สีขาวดอกน้อย กลิ่นหอมจรุงของมันทำให้หวนนึกถึง รูสเคยชอบมันมาก วันเทศกาลในเกาะศิลาก็เคยนำมันทัดหูให้เขา สายลมวางมันลงช้า ๆ บนหลุมศพที่ถูกโอบล้อมด้วยดอกไม้สีขาวแบบที่รูสชอบ สายลมที่พัดเอื่อยมาต้องกายดังชื่อของเขากลับไม่ทำให้ใจสงบ เวลานี้เขาอยากเป็นพายุร้าย อยากอาละวาดให้สมกับความเจ็บร้าวในอก แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ ถึงทำเช่นนั้นรูสก็ไม่กลับมา ไม่มีทางกลับมา...

‘สายลม’

หูเขาแว่วเสียงใสของคนเคยคุ้น เมื่อหันไปมองตามต้นเสียง ใจเขายิ่งเจ็บปวด รอยยิ้มที่จดจำได้ไม่ลืม ทั้งร่างกายที่ยังคงอบอุ่นเช่นคนทั่วไปก้าวมาอยู่ในอ้อมแขน เขาอยากให้มันเป็นเช่นนั้น อยากให้มันเป็นเช่นตอนนี้แม้จะเป็นเพียงความฝันหรืออะไรก็ตาม อยากให้กลับมาเหลือเกิน... รูส

‘สายลม อย่าร้องไห้’

มือเรียวยกขึ้นเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ สีหน้าห่วงใยฉายชัด ใครว่าเขาอยากร้องกัน ความรู้สึกแบบนี้เขาจะมีวันลืมได้หรือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูส เขาจะลืมได้หรือ

‘รูสไม่ได้ไปไหน ยังอยู่กับสายลมตลอด แค่คิดถึงรูส... แค่นั้น...’

พูดน่ะมันง่าย แต่เขาทำไม่ได้ เด็กใจร้าย แค่คิดถึงมันจะไปมีประโยชน์อะไร กลับมาหาเขาสิ กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเก่า

‘รูสเชื่อว่าสายลมเข้มแข็ง ต้องไม่เป็นไรแน่’

อย่างนั้นหรือ? เขาน่ะหรือเข้มแข็ง? เขากำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว มันทรมานแค่ไหนรู้บ้างไหม?

‘ถึงรูสไม่อยู่ สายลมก็ต้องเดินหน้าต่อไปนะ’

เดินต่อไปหรือ? เดินไปที่ไหน จะให้เขาไปที่ไหน ที่ไหนที่จะไม่คิดถึงคนคนนี้?

‘รูสต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองนะ สายลม...’

เขาราวกับคนบ้าใบ้ แม้ร่างผอมบางจะเดินห่างออกไปแล้วก็ยังคงไร้ซึ่งเสียงเอ่ยรั้ง มองแผ่นหลังบางที่ค่อยห่างออกไปช้า ๆ ก่อนที่ร่างนั้นจะหยุดก้าวเดิน ใบหน้าเรียวค่อยหันกลับมาหาเขา ก่อนจะวิ่งกลับมาสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง

เสียงสะอื้นดังมาให้ใจสายลมเจ็บ ตากลมที่ช้อนขึ้นมองเต็มไปด้วยแววอาลัย ริมฝีปากบางพยายามจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เขาจับใจความไม่ได้ ก่อนที่มันจะปลิวหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน กายผอมก็เขย่งสูงเพื่อกระซิบบอก

‘ขอบคุณ’

น้ำใส ๆ ไหลจากตากลม ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยเลือนหาย เขาได้แต่ยืนโง่อยู่ที่เดิมโดยหมดโอกาสจะเอื้อมคว้า วันที่ต้องจากลา มันสุดจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ดวงใจเขาปลิวหาย หายไปแล้ว... ไม่มีทางได้กลับคืน...



เปลือกตาสายลมเปิดขึ้นเพื่อกลับสู่ความเป็นจริง ความชื้นข้างแก้มเขายกมือปาดมันออก แม้ยามหลับยังฝันถึง เขาคงไม่มีทางลืมได้ คงลบเลือนไปจากหัวใจไม่ได้ และเขาไม่คิดจะลืม

ชายหนุ่มลุกออกมาข้างนอก เสียงลมพัดโมบายเปลือกหอยตรงระเบียงกระท่อมหลังน้อยของเขาดังมาให้ได้ยิน โมบายที่รูสนั่งเจาะเปลือกหอยเพื่อทำมัน เพียงหันไปมอง สายลมก็ชะงักเมื่อเห็นเจ้าเด็กดื้อกำลังยืนแขวนโมบายอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเรียวหันมาหาเขาแล้วยิ้มให้ รอยยิ้มที่แสนคะนึงหา

ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปเพื่อเอื้อมคว้ามากอด แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า มือสัมผัสเพียงอากาศไร้ตัวตน มันก็เพียงภาพหลอน ภาพที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือที่เอื้อมคว้าสิ่งที่ไม่มีทางกลับมากำเข้าหากันจนแน่น หัวใจเขาบีบรัดจนเจ็บหนึบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่แห่งหนใดก็มีแต่เงารูส มีแต่รูสอยู่จนเต็มทั้งหัวใจ


ดั่งบุพเพนำพาให้พานพบ ให้บรรจบพบรักแล้วจากหนี ดั่งสายน้ำไหลเรื่อยในนที ชั่วตาปีมิมีวันหวนคืน...





TBC




ขอบคุณทั้งสองท่านนะคะ มาให้กำลังใจกันตลอดเลย ยังบวกเพิ่มไม่ได้ แปะไว้ก่อนนะคะ  :m1:

-------

บวกเรียบร้อยค่ะ  :mew3:



หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 31-08-2018 13:41:05
ฮืออย่าทำร้าจิตใจเราสิ  :hao5: เราอยากให้รูสกลับมามันต้องมีปาฎิหาริย์สิ นะอย่าให้สายลมเสียใจเลยเราก็เสียใจด้วยเนี่ย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 31-08-2018 22:11:01
สงสารรูสมาก ต้องพบเจอกับอะไรมาแค่ไหน
อยากขุด ศจ.ภิชาติ ขึ้นมาถาม ทำไมถึงใจร้ายนัก

เคยอ่านที่คุณ wanmai ลงไว้คราวก่อน
แต่ก็ยังเสียน้ำตาให้กับรูสและสายลมอยู่ดี

ขอบคุณที่วันนี้ลงให้อ่านแบบจุใจ

เอาใจช่วยสายลมและรูส
 
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๔ → ๑๕ → ๑๖ // ๓๑.๘.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 31-08-2018 23:23:29
สงสารรูสมาก ต้องพบเจอกับอะไรมาแค่ไหน
อยากขุด ศจ.ภิชาติ ขึ้นมาถาม ทำไมถึงใจร้ายนัก

เคยอ่านที่คุณ wanmai ลงไว้คราวก่อน
แต่ก็ยังเสียน้ำตาให้กับรูสและสายลมอยู่ดี

ขอบคุณที่วันนี้ลงให้อ่านแบบจุใจ

เอาใจช่วยสายลมและรูส


เราคงไม่ทันสินะคงจะทันตอนอเล็กซ์รีไรท์แล้ว ไม่อยากจะถามว่าสายลมจบยังใงก็ได้แต่หวังว่าอันใหม่นี้จะมีปาฎิหาริย์จะเกิดขึ้นกับทั้งสองคนนะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๗ กลิ่นตะวัน // ๑.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 01-09-2018 19:56:33

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๗ กลิ่นตะวัน



บนเนินดินไม่ไกลจากกระท่อมของสายลมนัก ลูห์ยืนมองผู้เป็นนายของมันนั่งเฝ้าหลุมศพด้วยแววตาหม่นหมอง สายลมไม่ได้โกรธมันเรื่องที่ปิดบังเรื่องรูสแล้ว แต่มันกลับกังวลไม่คลายเมื่อสายลมเงียบกว่าเคย กลับมาเป็นไอ้หนุ่มผมยาวรุงรังทั้งหนวดเคราไร้การดูแล อารมณ์แปรปรวนจนเจ้ากั้งก็ไม่กล้าเข้าใกล้ในระยะร้อยเมตร

เจ้ากั้งถูกชาวเกาะศิลาใช้ให้มาดูนายน้อยสายลม ทุกคนเป็นห่วงแต่ก็ไม่กล้าเข้ามายุ่มย่าม เจ้ากั้งจึงเป็นหน่วยกล้าตายมาคอยรับใช้นายน้อยของมันแทน แต่มันก็ถูกไล่ตะเพิดทุกทีที่โผล่หน้ามา ถึงกระนั้นเจ้ากั้งก็ยังอึดและถึก แม้ถูกไล่ก็ยังคงมาเพราะมันเป็นห่วงนายน้อยของมันจริง ๆ

ลุงหลงที่กลับมายังเกาะศิลาพร้อมสายลม แกกลับเข้าพักที่บ้านพักของโรงพยาบาล แม้สายลมจะขออนุญาตนายลามุให้ลุงหลงไปอยู่ที่บ้านใหญ่ แต่แกก็ไม่เอา อยากใช้ชีวิตแบบเดิมเสียมากกว่า เวลานี้แกก็ได้แต่เข้าวัดถือศีลภาวนาให้จิตใจสงบลง ทั้งยังอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้รูสไม่ได้ขาด แม้มันจะเป็นการทำเมื่อสายไป แต่อย่างน้อยแกก็หวังว่ามันจะส่งผลดีแก่ตัวรูสไม่มากก็น้อย

“เจ้ากั้ง”

“ว้าก!!”

เจ้ากั้งสะดุ้งสุดตัวทั้งร้องเสียงหลงเมื่อมีมือมาแตะที่ไหล่ เมื่อเห็นว่าเป็นลุงหลงมันก็พรูลมหายใจด้วยความโล่งอก ลูบอกตัวเองพลางบอกขวัญเอ๋ยขวัญมาไม่ขาดปาก

“เป็นอะไรของเอ็ง?” ลุงหลงมองท่าทางแปลกประหลาดของมันแล้วถาม

“ก็ลุงมาไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าก็ตกใจน่ะสิ”

“ตกใจอะไรของเอ็งหนักหนา ทำอะไรผิดมาหรือไงถึงขวัญอ่อนขนาดนี้?” ลุงหลงส่ายหน้า คุยกับมันนี่บอกเลยว่าไร้สาระ

“โธ่ ลุง ข้าถูกนายน้อยเอ็ดตะโรจนอกสั่นขวัญหายหมดละ สติสตังจะไม่เหลือ ขวัญกระเจิงกับนายน้อยอารมณ์นี้จริง ๆ”

ฟังมันบ่นแล้วลุงหลงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ไอ้เห็นใจก็เห็นอยู่หรอก แต่มันเองไม่ใช่หรือที่เลือกจะมาดูแลนายน้อย

“ลำบากมากเอ็งก็ไม่ต้องมา มันจะไปยากอะไร”

เจ้ากั้งสะดุ้งอีกรอบเมื่อเสียงของคนที่มันกำลังแอบนินทาดังขึ้นด้านหลัง มันเอี้ยวหน้ากลับไปมองแล้วยิ้มแหย แต่นายน้อยของมันกลับไม่มีรอยยิ้มจะให้ นอกจากสายตาดุ ๆ ที่มองมาจนมันเหงื่อตก

“นายน้อย... มาตั้งแต่เมื่อไร ข้าไม่รู้สึกตัวเลย” เดินตามนายน้อยมาพร้อมเอ่ยถามหน้าเจื่อน

“ถ้าเอ็งรู้ ข้าคงไม่ได้ยินว่าเอ็งคิดยังไง”

“โธ่ ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย นายน้อยก็รู้ว่าข้าไม่มีทางคิดร้ายกับนายน้อย” เจ้ากั้งบ่นอุบอิบ

สายตาคมมองลูกน้องที่ภักดีกับตนไม่เปลี่ยนแล้วก็ถอนใจ “เพราะข้ารู้ว่าเอ็งมันเป็นคนดี ข้าถึงได้บอกว่าถ้าไม่อยากทำ เอ็งไม่จำเป็นต้องฝืนทำ เพราะถึงเอ็งไม่มาดูแลข้า ข้าก็ไม่ได้คิดว่าเอ็งแล้งน้ำใจหรือเป็นคนเลวหรอก เข้าใจไหม?”

เจ้ากั้งนิ่งคิดเมื่อฟังประโยคยาวยืดจากนายน้อยของมัน ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่เข้าใจเลยสักนิด

“วะ! ไอ้นี่กวนตีน” สายลมยืดเท้าถีบเจ้ากั้งที่ยืนเซ่อ มันร้องโวยวายก่อนจะหัวเราะออกมา ทำให้เขาส่ายหน้ากับความบ้าบอของมัน

“นายน้อยหิวหรือยัง เดี๋ยวข้าไปหาอะไรมาให้กิน”

“ยังหรอก ข้าไปกินที่บ้านใหญ่ได้ ถ้าเอ็งหิวก็ไปหาอะไรกินไป ไม่ต้องห่วงข้า”

“แน่ใจนะ นายน้อย?” มันเอ่ยถามทั้งมองอย่างไม่ไว้ใจ นี่คิดว่าเขาจะฆ่าตัวตายตามรูสไปหรือไง ไอ้บ้า

“เออสิวะ จะไปไหนก็ไปไป๊ เห็นหน้าเอ็งแล้วข้าหงุดหงิดฉิบหาย”

“ไปก็ได้” มันส่งค้อนให้สายลมจนคนมองอยากเอาค้อนที่มันส่งมาทุบมันสักที ดูมันสะบัดสะบิ้ง สายลมไม่รู้จะด่ามันอย่างไร มีเจ้ากั้งอยู่ด้วยนี่ปวดหัวดีไม่น้อย

หมดเรื่องกับเจ้ากั้ง สายลมจึงหันมาทางลุงหลง แกเดินมานั่งลงข้างเขาบนแคร่ไม้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาจี้ใจดำ

“นายน้อย หักใจเสียบ้างเถอะครับ รูสมันไปสบายแล้ว”

“ผมทำไม่ได้หรอก ลุง...” ตอบกลับไปด้วยความรู้สึกที่ยังคงหนักอึ้งไม่คลาย “ผมรู้ว่าควรที่จะปล่อยวางเพื่อที่เขาจะได้ไม่เป็นกังวลจนไปสู่สุคติไม่ได้ แต่มันยากเหลือเกินที่จะไม่คิดถึงเขา”

ลุงหลงเงียบไปเมื่อเข้าใจความรู้สึกนั้นดี คงต้องใช้เวลากว่าสายลมจะดีขึ้น


......


การกลับมาของสายลมทำให้นายซานินเกิดความระแวง ด้วยเกรงว่าสายลมจะมาทวงอำนาจคืนจากหลานชายของตน หมอปลายฟ้าที่รู้ความคิดของผู้เป็นปู่ก็ออกจะเหนื่อยใจ หากปู่ได้เห็นสภาพของสายลมในตอนนี้คงเปลี่ยนความคิดแน่ คนกำลังเสียใจ จะมีกระจิตกระใจมารบรากับใครเขา

“ใครจะไปรู้ บางทีมันอาจเสียใจเพราะเจ้าหนูนั่นจนสติฟั่นเฟือน ลืมไปว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ เกิดมันนึกบ้ามาเอาคืนไม่แย่เรอะ?” นายซานินยังตะแบง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด

“พ่อ แก่จนปูนนี้แล้วยังไม่ปล่อยวางอีกเหรอ ถ้าสายลมอยากเข้ามาทำหน้าที่เหมือนเช่นแต่ก่อนมันก็เป็นผลดีต่อทุกคนเสียอีก แต่ที่แน่ ๆ คงไม่มีใครอยากให้สายลมทำ เพราะเกรงว่าคราวนี้สายลมจะเหนื่อยกายเหนื่อยใจจนออกจากเกาะไปไม่ย้อนกลับมา” บิดาหมอปลายฟ้าช่วยเตือนสติ

“หยุดเท่านี้เถอะครับ ปู่ ปู่ก็เห็นว่าอำนาจมันไม่ได้ทำให้ใครมีความสุข พี่น้องต้องแตกคอจนมองหน้ากันไม่ติด ทั้งที่เมื่อก่อนปู่กับปู่ลามุเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว” หมอปลายฟ้าเองก็ช่วยเสริมอีกแรงจนผู้เป็นปู่เงียบไป คุณหมอหนุ่มจึงเอ่ยต่อ “ผมกับสายลมก็ไม่ได้ต่างกัน เราคือครอบครัวนะครับ หยุดคิดเรื่องที่จะทำให้ใจไม่เป็นสุข แล้วทำใจให้สบายเพื่อรองานมงคลที่ใกล้จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ดีกว่าครับ”

“งานมงคล?” ชายชราทวนคำ

หมอปลายฟ้าระบายยิ้ม คุกเข่าลงตรงหน้านายซานินแล้วช้อนมือเหี่ยวย่นนั้นมาวางบนมือของตน

“ปู่คือคนที่ผมรักและเคารพ ผมอยากให้ปู่เป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอริด้าให้ ปู่เห็นสมควรว่ายังไงครับ?”

ได้ฟังที่หลานชายพูด นายซานินก็นิ่งไป ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกักเมื่อจับต้นชนปลายได้

“ปลายฟ้า... นี่หลานจะแต่งงานรึ?” ชายชราเอ่ยถามด้วยสีหน้ายินดีที่ฉายชัด

“ครับ ผมหวังว่าปู่จะช่วยอวยพรให้เราสองคนมีชีวิตคู่ที่มีความสุขและยืนยาว”

“แน่นอน แน่นอนหลานปู่” นายซานินรีบรับปาก เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขายิ้มได้กว้างเพียงนี้ ยินดีกับหลานชายเพียงคนเดียวไม่น้อยเลย

หมอปลายฟ้ามองท่าทางนั้นของปู่ตนแล้วก็ยิ้มบาง ‘ความสุข’ เขาจะเป็นคนสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง ปู่ของเขาคงได้เห็นเสียทีว่า... คำว่าครอบครัว มันดีกว่าอำนาจอย่างไร


......


สายลมนั่งเครียดอยู่หน้าจอเครื่องมือสื่อสาร เมื่อเพิ่งได้ติดต่อกลับอังกฤษหลังหายหน้าไปนานวันจนบิดาเป็นห่วง ทางโน้นรู้เรื่องของรูสหมดแล้ว ถึงได้ห่วงว่าเขาเป็นอยู่อย่างไรถึงหายหน้าหายตาไม่ติดต่อกลับเลย

อัลเบิร์ตเอ่ยชวนลูกชายให้มาอยู่กับตนสักพัก อาจจะทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้น อย่างน้อยก็ความรู้สึกของสายลม แต่สายลมกลับปฏิเสธที่จะไป ด้วยเหตุผลที่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็คิดถึงรูสไม่ต่างกัน

“ลม เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”

สายลมเงียบเมื่อบิดาเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น เขาคงทำให้ท่านห่วงเอามาก ๆ ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ

“พรุ่งนี้พบกันครับ พ่อ” ตอบกลับไปเช่นนั้นโดยไม่ต้องให้บิดาต้องทวงถาม

“พ่อจะรอ” อัลเบิร์ตยิ้มบาง แววอารีในดวงตาคู่นั้นทำให้สายลมรู้สึกตื้อตันจนแทบพูดไม่ออก

“... ครับ” ชายหนุ่มตอบรับคำพูดของบิดา ก่อนจะปิดเครื่องมือสื่อสารนั้นลงแล้วออกจากประภาคารมา

สายลมมาหารูส ดอกไม้ที่เขาปลูกเอาไว้รอบ ๆ เริ่มแทงยอดใหม่ อีกไม่นานคงออกดอกและบานแข่งกันจนทั่วบริเวณ รูสจะมีโอกาสได้เห็นมันไหมไม่รู้ แต่เขาก็ตั้งใจทำให้ แม้มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำได้ก็ตาม

ลูห์เดินมาหาสายลมที่ยืนอย่างสงบอยู่หน้าป้ายไม้สลักเหนือหลุมศพ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปครู่หนึ่งมันจึงได้เอ่ยขึ้น เมื่อรู้ดีว่าสายลมกำลังคิดอะไรอยู่

‘ไปเถอะ ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ ข้าจะดูแลเขาเอง ไปพักผ่อนให้ใจสงบมากกว่านี้แล้วค่อยกลับมา’

สายลมถอนใจเบา “ฉันสัญญากับเขาเอาไว้ว่าจะไม่ทิ้งเขาให้อยู่โดดเดี่ยว”

‘ข้าก็อยู่’ ลูห์ว่า ไม่ได้จะกวน แค่อยากบอกให้คลายกังวลว่ามันยังอยู่ตรงนี้ เรื่องไหนควรวางก็วาง อย่าแบกเอาไว้คนเดียวให้หนัก

“ขอโทษนะ ลูห์” อยู่ ๆ สายลมก็พูดขึ้น

‘เรื่องอะไร?’

“หลายเรื่อง” สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนผ่อนมันออกมาช้า ๆ “ฉันกวนนายตลอด บางครั้งก็ทำให้นายรู้สึก... แย่”

‘ข้าไม่ถือ’

“หึ” สายลมยิ้มมุมปาก ยืนเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างตัดสินใจ “ฝากเขาสักพักนะ แล้วฉันจะกลับมา”

‘อืม’

ลูห์รับปาก ทำให้สายลมพอจะเบาใจ ทั้งสองกลับมาที่กระท่อมริมเล เห็นหมอปลายฟ้ามารออยู่ สายลมจึงบอกเรื่องที่ตนจะไปอังกฤษสักพัก หมอปลายฟ้าสนับสนุนความคิดนั้น ไปอยู่ที่ห่างไกลอาจทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้นก็เป็นได้

“ไปเถอะ ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องสวนของรูส เดี๋ยวพี่จะให้เจ้ากั้งมันเกณฑ์คนมาช่วยดูแล”

มือเอื้อมมาบีบไหล่น้อง เรื่องของรูสคงสำคัญกับน้องชายเขาไม่น้อย เพราะฉะนั้น ระหว่างที่สายลมไม่อยู่ เขาจะคอยช่วยดูแลอีกแรง

“ขอบคุณ” สายลมบอก

หมอปลายฟ้าตบบ่าน้องชายหนัก ๆ ขอให้เข้มแข็งขึ้นในเร็ววัน สายลม

เมื่อผู้เป็นพี่ชายกลับไปแล้ว สายลมจึงได้ขึ้นกระท่อมมาเก็บข้าวของสำคัญเพื่อไปขึ้นเครื่องที่ฝั่งไทย เห็นกล่องไม้ของรูสแล้วก็สะท้อนใจ เอื้อมไปหยิบมันมาเปิด ทั้งอำพัน ทั้งโอปอล์ และตุ๊กตาดินเผาจากเด็ก ๆ รูสยังคงเก็บเอาไว้อย่างดี สายลมมองมันอย่างชั่งใจอยู่นาน สุดท้ายก็นำมันใส่กระเป๋าไปด้วย


......


เมื่อมาถึงอังกฤษ อัลเบิร์ตก็มารอรับลูกชายที่สนามบินพร้อมกับอเล็กซานเดอร์ ร่างสูงใหญ่กอดบิดาเมื่อพบหน้า ก่อนผละออกมากอดอเล็กซานเดอร์ที่ยืนอยู่ข้างกัน

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเรา สายลม” อัลเบิร์ตยิ้มบาง ลูบผมลูกชายเบา ๆ

“หึ ๆ รู้สึกว่าผมจะมีบ้านเยอะจัง จนไม่รู้ว่าที่จริงแล้วบ้านของผมคือที่ไหนกันแน่”

ทั้งเกาะศิลา ทั้งนับตะวัน ไหนจะเฟอร์ริงตัน เขาไม่มั่นใจแม้สักแห่งว่ามันเป็นบ้านของเขา เหมือนคนไร้หลักแหล่งอย่างไรก็ไม่รู้

อัลเบิร์ตยังคงยิ้มเมื่อฟังที่ลูกพูด “ที่ไหนที่ลมอยู่แล้วมีความสุข ที่นั่นล่ะคือบ้านของลม”

สายลมนิ่งไป ก่อนจะค่อย ๆ ระบายยิ้มอ่อน แขนแข็งแรงโอบด้านหลังของบิดาแล้วค่อยออกก้าวเดินไปพร้อมกัน ‘บ้าน’ ของเขาอยู่ที่นี่ ที่ที่มีผู้ชายชื่ออัลเบิร์ต คาร์ล

เมื่อมาอยู่ที่เฟอร์ริงตัน สายลมก็ยังคงรู้สึกเหมือนว่าเงาของรูสจะตามมา เพราะชอบเห็นใครผ่านสายตาไปก็คล้ายรูสไปเสียหมด ทั้งที่เฟอร์ริงตันมีแต่ชาวตะวันตกตัวสูงใหญ่ น้อยนักที่จะผอมบางเหมือนรูส แต่ก็ยังอุตส่าห์เห็นคนที่คล้ายรูสอยู่ที่นี่อีก มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่เขารู้สึก แต่เมื่อหันไปมองจนเต็มตาก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร ทำให้สายลมได้แต่ด่าตัวเองที่คิดถึงเด็กมันมากจนเกิดภาพหลอน

คิ้วสายลมขมวดเมื่อคราวนี้เขาเห็นเด็กคนนั้นอีกแล้ว ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาชัดเจนนัก แต่ก็ชัดกว่าทุกครั้งว่าเขาไม่ได้เพ้อฝันหรือคิดไปเองว่าเด็กคนนั้นมีตัวตนอยู่จริง และเดินหายไปทางตึกของคนงานในคฤหาสน์เฟอร์ริงตัน กายหนาเดินตามร่างน้อยไปอย่างเผลอไผล จนกระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายเลี้ยวเข้าห้องครัวก็จะตามเข้าไป

“วินท์”

เสียงเรียกที่ดังขึ้นไม่ไกลทำให้สายลมหันไปมอง ก่อนที่จะเปิดยิ้มเมื่อเห็นว่าใคร

“ปู่มิลเลอร์”

มิลเลอร์ คาร์ล หัวหน้าพ่อบ้านคนเก่าคนแก่ของคฤหาสน์เฟอร์ริงตัน เขาเป็นลุงของอัลเบิร์ต จึงเท่ากับเป็นปู่ของสายลมอีกคนนอกเหนือไปจากวิคเตอร์ เฟอร์ริงตัน

“มาทำอะไรที่นี่?” ชายชราเอ่ยถามเมื่อสายลมเดินมาหาตน

“อ่า...” หันไปมองทางครัวเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาตอบผู้เป็นปู่ “เปล่าครับ ผมว่าปู่ไปพักดีกว่านะ”

“พักมาเยอะแล้ว ขอเดินบ้างสิน่า”

สายลมยิ้ม เมื่อผู้เป็นปู่แย้งมาเช่นนั้น ชายหนุ่มเข้าไปช่วยพยุง พ่อบ้านมิลเลอร์อายุมากแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงดี เดินไปไหนมาไหนได้สบายราวกับยังหนุ่มแน่น แต่สายลมก็กลัวว่าจะเหนื่อยเพราะการอยู่นิ่งไม่เป็นของปู่นี่ล่ะ เพราะท่านทำงานมานานเลยกลายเป็นชินกับการต้องลุกขึ้นมาทำโน่นนี่สารพัดอย่าง ปู่วิคเตอร์เสียอีกที่อ่อนแรงลงทุกวัน การที่เขาได้มาอยู่ที่เฟอร์ริงตันก็ดีอยู่ จะได้ดูแลบิดาทั้งสองและปู่ด้วย



“อ้าว เจ้าหนู เข้ามาทำอะไรในนี้?”

ฟรานเชส หัวหน้าพ่อครัวของคฤหาสน์เฟอร์ริงตันเอ่ยทักคนที่นั่งอยู่ในครัว อีกฝ่ายหันมายิ้มให้เขาแล้วลูบท้องประกอบท่าทาง

“หิวเหรอ?” ฟรานเชสคาดเดา อีกฝ่ายก็พยักหน้า “มา ๆ เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน แล้วนั่นกินอะไรล่ะ ทำไมไม่อุ่นก่อน”

เมื่อถูกทักจึงได้ก้มมองของในกล่องพลาสติกที่ตัวเองถือแล้วยิ้มแหย หัวหน้าพ่อครัวของคฤหาสน์ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนว่า

“ท่าทางจะหิวมาก ส่งมานี่จะอุ่นให้ เดี๋ยวทำให้ใหม่ด้วย อยากกินอะไรล่ะ?”

ฟรานเชสเดินเข้าไปหาเด็กผู้ชายตัวเล็กเพื่อรับกล่องใส่อาหารที่เด็กมันถืออยู่ เด็กยิ้มแป้นเมื่อเขาบอกจะทำให้ใหม่ ทำท่าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะทำไม้ทำมือบอก

“อะไรของเธอ?”

ฟรานเชสหัวเราะ เด็กเลยทำหน้ายู่เมื่อถูกแกล้ง

“รู้แล้ว ๆ ฉันเย้าเล่น เธอนี่ชอบกินเนื้อจริง ๆ เชียว เหมือนคุณเซย์ รายนั้นอาหารทุกมื้อต้องมีเมนูเนื้ออย่างน้อยหนึ่งเมนู”

หัวหน้าพ่อครัวก็พูดไปทั้งเดินไปหยิบของในตู้เย็นออกมาเตรียม เด็กมันก็นั่งยิ้มรอกินอาหารฝีมือพ่อครัวใหญ่

“เชฟฟราน”

เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เด็กที่นั่งอยู่ในครัวสะดุ้ง รู้สึกได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้ มือเรียวเผลอยกกุมแก้มตัวเอง เหมือนว่ามันจะช่วยบังไม่ให้คนด้านหลังเห็นว่าตนเองนั่งอยู่ตรงนี้ได้กระนั้น

“คุณวินท์ มีอะไรครับ?” ฟรานเชสหันกลับมาถามไถ่พร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าสายลมเข้ามาถึงในครัว ขณะที่มือก็ถือกระทะไปตั้งไฟเพื่อทำอาหารให้เด็กอีกคน

“ผมหิวน่ะ” สายลมว่า สายตาชำเลืองมองร่างเล็กที่โต๊ะ

“โอ้ แย่จริง ผมต้องขอโทษด้วยครับ” หัวหน้าพ่อครัวว่าอย่างรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ลูกชายของผู้เป็นนายจ้างต้องลงมาหาอะไรกินเองถึงที่

“ไม่เป็นไรหรอก ผมกินอาหารไม่เป็นเวลาเอง... แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่?” เอ่ยถามเมื่อได้กลิ่นหอม ๆ ลอยมาแตะจมูก

“อ้อ ข้าวผัดเนื้อน่ะครับ”

“มีข้าวผัดด้วย?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจ ใครนึกอยากกินข้าวผัดตอนนี้กัน?

ที่เฟอร์ริงตันมีอาหารให้เลือกแทบทุกสัญชาติ โดยเฉพาะอาหารไทย เพราะบิดาของเขาหามาเตรียมไว้ให้ ด้วยกลัวว่าอาหารฝรั่งมันจะไม่ถูกปากเขา

“เจ้าเด็กกินยาก มันอยากกินน่ะครับ” ฟรานเชสบอกยิ้ม ๆ ผัดข้าวผัดในกระทะโขมงโฉงเฉงจนเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว

“ใครกัน?”

สายลมคิ้วขมวด มองหัวหน้าพ่อครัวจัดแจงตักข้าวผัดเนื้อหอมฉุยใส่จานแล้วจึงเหสายตามายังเด็กที่โต๊ะกลางห้อง นัยน์ตาสีนิลเขม่นมอง เมื่อครู่คนที่เขาเห็นคือเด็กคนนี้สินะ ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะใช่ เพราะที่นี่ไม่มีใครตัวเล็กเท่าเด็กคนนี้แล้ว หากไม่นับกลิ่นแก้ว เด็กในปกครองของเอวาน

เสียงเคาะโต๊ะทำให้สายลมมองอย่างแปลกใจ ขณะที่ฟรานเชสเองก็หันมามองคนเคาะแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม เด็กคนนั้นทำมือทำไม้สื่อสารอะไรกับหัวหน้าพ่อครัวสักอย่าง ก่อนที่จะผุดลุกแล้ววิ่งผ่านเขาไป สร้างความงงงันให้สายลมจนคิ้วขมวดปมหนักขึ้น

“เด็กคนนั้นเป็นใคร?” สายลมหันมาถามหัวหน้าพ่อครัวด้วยความสงสัย

ฟรานเชสทำหน้างง ก่อนจะบอกไปตามที่ทราบ “เด็กที่คุณคาร์ลพามาครับ”

“พามาจากไหน?”

“ไม่ทราบครับ แต่ทุกคนที่นี่ถูกสั่งให้ดูแลเจ้าหนูนั่นอย่างดี”

ยิ่งได้รู้สายลมยิ่งงงงวย เหตุใดบิดาจึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา หรือเขาไม่สนใจคนอื่นมากไป ทำให้พลาดเรื่องสำคัญ

สายลมออกจากห้องครัวเพื่อเดินตามเด็กคนเมื่อครู่มา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าตัวเล็กนั่นแล้ว ชายหนุ่มหยุดยืนมองหาอยู่สักพักก็หมุนกายกลับ เขาคงต้องถามเรื่องนี้กับบิดาเอง

เมื่อสายลมเดินห่างไปแล้ว เด็กที่เขาตามหาก็ค่อยโผล่หน้ามาเยี่ยม ๆ มอง ๆ ก่อนจะถอนใจพรืดด้วยความโล่งอก เกือบไปแล้วสิ...


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :heaven
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๗ กลิ่นตะวัน // ๑.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 01-09-2018 19:57:20

เรื่องคาใจถูกนำมาถามไถ่กับผู้เป็นบิดา ตั้งแต่มาที่เฟอร์ริงตันจนตอนนี้ เขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเด็กคนที่ว่า บิดาทั้งสองก็ไม่เคยเอ่ยถึง จนกระทั่งเมื่อวานนี้ที่เขาเดินตามเด็กคนนั้นเข้าไปในครัว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เห็นหน้ากันอยู่ดี

“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ พอดีพ่อกลับไปดูนับตะวันอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่ลมเก็บตัวอยู่ที่เกาะศิลานั่นล่ะ”

“......” สายลมชะงักเมื่อบิดาพูดเช่นนั้น แอบเหน็บเขาหรือเปล่านี่?

“แล้วไปเจอเด็กคนนี้เข้าน่ะสิ รู้สึกถูกชะตาเลยพากลับมาด้วยซะอย่างงั้น” อเล็กซานเดอร์พยักพเยิดกับลูกชายคนรอง

“เด็กมันน่าสงสารนี่ครับ หน้าตามอมแมมไปหมดตอนเจอกัน” อัลเบิร์ตแก้ต่างให้ตนเอง

“สงสารคนเขาไปทั่ว” อีกคนก็ยังไม่วายเอ่ยเย้า

ได้ฟังเช่นนั้นแล้วสายลมก็มีท่าทีครุ่นคิด ก่อนเอ่ยขึ้นมา “งั้นเหรอครับ ผมก็นึกว่าเด็กที่ไหน ท่าทางเขาจะกลัวผม เพราะยังไม่ทันจะได้เห็นหน้ากันก็วิ่งหนีไปไกลแล้ว”

บิดาทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนที่อัลเบิร์ตจะระบายยิ้มน้อย ๆ เมื่อเอ่ยกับลูกชาย

“หนวดเครารุงรังแบบนั้นก็มีสิทธิ์เป็นไปได้นะ”

“ผมชอบแบบนี้” สายลมว่า

“เหรอ เอาเถอะ พ่อคนเถื่อน”

“เถื่อนได้พ่อมัน” อเล็กซานเดอร์เสริม ลูบคางตนเองประกอบคำพูด

คนกลางอย่างอัลเบิร์ตทำหน้าหน่าย “อย่างคุณเขาไม่เรียกเถื่อนหรอก รีบโกนเลยนะ รกรุงรังไม่น่ามอง”

“ทำให้ที”

“หนวดใครกันครับ?”

“หนวดสามีอัลเบิร์ตครับ” อเล็กซานเดอร์เย้าหยอก

“อเล็กซ์!” คนถูกหยอกเอินทุบต้นแขนแกร่งเพราะอายลูก

สายลมส่ายหน้าขำ เห็นแบบนี้มาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ไม่เห็นใจลูกเต้ากันบ้างเลย คุณพ่อ

สรุปแล้วสายลมก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเกี่ยวกับเด็กที่บิดารับมาอุปการะ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายอยู่แล้ว แค่รู้ว่าจะมีน้องเพิ่มมาอีกคนก็เท่านั้น



กลับจากทำงานมา สายลมก็ขึ้นมาบนห้อง เขาพยายามทำให้ทุกอย่างมันดำเนินไปแบบเดิมซ้ำ ๆ เพื่อไม่ให้คิดวุ่นวายไปเรื่องอื่น รู้ว่าทุกคนคงห่วงใยที่เขาทำแบบนี้ แต่อยากให้ทุกคนรู้เช่นกันว่าเขากำลังพยายามอยู่ พยายามที่จะกลับมาเป็นสายลมคนเดิมอย่างที่เคยเป็น แม้จะยังรู้สึกถึงบางสิ่งที่ขาดหายไปก็ตาม

เสื้อสูทถูกถอดพาดบนพนักโซฟา ก่อนที่จะคลายเนคไทแล้วปลดวางบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาเมื่อทิ้งตัวลงนั่ง นิ้วใหญ่นวดคลึงหัวตาเพื่อลดอาการล้า กลิ่นหอม ๆ ของบางอย่างลอยมาแตะจมูกทำให้สายลมนิ่งไปเล็กน้อย ค่อยลดมือลงจากหัวตาก่อนจะสูดกลิ่นนั้นเข้าปอดขณะมองหาที่มา

ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่สูดดมเท่าไรก็ไม่จางหายไป ยังคงได้กลิ่นอยู่เรื่อย ๆ ทำให้สายลมต้องลุกเดินหา สายตาสะดุดเข้ากับบางอย่างสีขาวตรงโต๊ะหัวเตียง คิ้วเข้มขมวดด้วยความแปลกใจเมื่อก้าวเดินไปหามัน

มือเอื้อมแตะกลีบดอกเล็กดูเปราะบาง ดอกไม้สีขาวละมุน กลิ่นหอมชื่นไม่หวานเอียน ถูกจัดเป็นช่อเล็กน่ารักเสียบไว้ในแก้วใสใบน้อย ริมฝีปากหยักระบายยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองมัน ก่อนรอยยิ้มนั้นจะค่อยเลือนรางและจางไปเมื่อดอกไม้สีขาวพาให้คิดถึงใครอีกคนที่ยังคงอยู่ในหัวใจ รอยยิ้มสดใสที่ไม่มีวันลืมผุดขึ้นมาในความทรงจำ ทำให้เขาถอยมือออกห่างจากดอกไม้บนโต๊ะก่อนลดลงข้างตัว

ร่างสูงใหญ่ก้าวถอยออกมา ทำไม่สนใจว่าจะมีมันอยู่ในห้อง ทำกิจวัตรประจำวันจนเรียบร้อยเป็นปรกติแล้วลงมาชั้นล่าง เห็นบิดายืนส่งใครคนหนึ่งอยู่หน้าคฤหาสน์จึงได้เดินเข้าไปหา ก่อนถามไถ่ว่าชายคนนั้นคือใคร

“ครูสอนพิเศษน่ะ”

สายลมขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำตอบ

“ครู? มาสอนใครกันครับ?”

“ก็... คนที่ลมถามถึงเมื่อวานไง” อัลเบิร์ตตอบกลับไปยิ้ม ๆ หมุนกายก้าวกลับเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่โดยมีลูกชายเดินมาข้างกัน

“ทำไมไม่ให้เขาไปเรียนที่โรงเรียนครับ ถึงขนาดต้องให้ครูมาสอนถึงที่ เด็กคนนี้ท่าจะพิเศษเอามาก ๆ” สายลมว่า

“อะไรกัน ประชดแบบนี้ไม่สมกับเป็นสายลม คาร์ล เลยนะ อคติอะไรกับน้องหรือเปล่า?” อัลเบิร์ตมองอย่างจับผิด

“ผมจะอคติอะไรกับเด็กที่ยังไม่เคยเห็นแม้แต่หน้ากันครับ?” คนลูกทำไขสือ ก็มันจริงไหมเล่า หน้ายังไม่เคยเห็นแล้วไยเขาต้องรู้สึกอะไรเช่นนั้นด้วย

“จะไปรู้กับเราเหรอ อาจจะงอนที่น้องวิ่งหนีก็ได้” ผู้เป็นบิดาไหวไหล่

“ท่าทางผมจะตกกระป๋อง”

อัลเบิร์ตหัวเราะ “ก็น้องเขาน่ารัก ส่วนเราน่ะ...”

มองลูกชายของตนแล้วส่ายหน้า

“ดูไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” สายลมเลิกคิ้ว

“ลองส่องกระจกดูสิ”

“พ่อ”

“พูดความจริง” อัลเบิร์ตว่า

สายลมยิ้มขำ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับถ้อยคำเหน็บแนม แต่กลับรู้สึกสบายใจเสียมากกว่า เวลาได้อยู่กับบิดาเช่นนี้

หางตาสายลมมองเห็นคนเดินลัดสวนของเฟอร์ริงตันไป เมื่อหันไปมองตามก็เห็นเพียงแผ่นหลังบางที่เดินไว ๆ ลับมุมแมกไม้ คงเป็นเด็กในอุปการะของบิดาแน่ นี่เขาจะได้เห็นเพียงผ่านแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน ท่าทางจะต้องทำความรู้จักกันจริงจังสักวันแล้วเจ้าหนู


......


‘สายลม... สายลม...’

เสียงที่เคยคุ้นทำให้สายลมที่กำลังหลับใหลค่อยลืมตาตื่น ไฟภายในห้องที่ถูกปิดมืดแต่เขาไม่ได้ปิดม่าน ทำให้แสงจากด้านนอกส่องเข้ามาพอเห็นสลัวราง กายผอมที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงข้างกายเขาส่งยิ้มมาให้ สายลมชะงักนิ่ง เพ่งมองราวไม่เชื่อสายตา ก่อนที่จะชันตัวลุกขึ้นมาเพื่อมองใครคนนั้นให้เต็มตามากขึ้น

‘สายลม’

ไม่ผิดแน่ เจ้าเด็กดื้อของเขา วงแขนแกร่งกอดร่างนั้นแนบกายอย่างแสนคิดถึงทั้งเอ่ยพ้อ

“ไปอยู่ที่ไหนมา รู้บ้างไหมว่าฉันคิดถึงมากแค่ไหน”

‘รูสก็คิดถึงสายลม คิดถึงมากเลย...’

“โกหก ถ้าเธอคิดถึงฉันจริงทำไมถึงทิ้งฉันไป” คนตัวโตยังตัดพ้อต่อว่า

‘รูสไม่ได้ทิ้ง บอกแล้วไงว่ารูสอยู่กับสายลมเสมอ’

“อยู่แบบไร้ตัวตน ปล่อยให้ฉันคิดถึงเธอวันแล้ววันเล่าน่ะเหรอ อยากเห็นหน้าก็ไม่ได้ อยากกอดก็ไม่ได้ ทำได้แค่คิดถึง มันจะไปมีประโยชน์อะไร รูส?”

มือเรียวดันอกสายลมเพื่อให้คลายอ้อมแขน มองสบนัยน์ตาที่ฉายแววของความร้าวรอนนั้นแล้วรูสก็ยิ้มเศร้า

‘สายลมไม่มีความสุขเลยใช่ไหม เวลาที่คิดถึงรูส...’

“......”

‘รูสเองก็เสียใจที่ทำให้สายลมเจ็บปวด’

ร่างผอมลุกขึ้นยืน สายลมผวาตามอย่างใจหาย

“รูส อย่าไป... ได้โปรด...”

แววเว้าวอนในดวงตาคู่นั้นทำให้รูสนิ่งไป มือเรียวกุมสองแก้มแล้วเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ

‘เริ่มต้นใหม่นะ สายลม รูสจะมีความสุขมากถ้าสายลมได้พบเจอกับคนที่จะดูแลสายลมได้ดีกว่ารูสที่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้สายลมเลย รูสอยากให้สายลมได้พบกับคนที่ดีและรักสายลมยิ่งกว่ารูส...’

“รูส...”

สายลมครางอย่างเจ็บปวด ลุกตามร่างผอมบางที่ก้าวถอยไปที่ระเบียงช้า ๆ ดวงตากลมยังคงมองมาที่เขาเมื่อเอ่ยคำ

‘ช่วยมีความสุขให้มาก ๆ ทีนะ... สายลม’

“รูส! ไม่!! อย่าไป...”

สองมือเอื้อมคว้าความว่างเปล่า ขาวยาวก้าวพ้นประตูระเบียงออกมาด้านนอก ลมเย็น ๆ พัดผ่านกายทำให้สายลมรู้สึกตัว เขามองรอบกายด้วยความสับสนว่าเมื่อครู่นี้มันคือความจริงหรือเพียงฝันไป แต่เขาออกมายืนอยู่ที่ระเบียงจริง ๆ มันหมายความว่าอย่างไรกันเล่า ละเมอหรือ?

ด้านล่างนั้นเป็นสวนสวยของเฟอร์ริงตัน เมื่อออกจากห้องมาจะได้เห็นบรรยากาศนั้นกันทุกห้อง เวลานี้ฟ้าใกล้สางแล้ว ทำให้คนสวนออกมารดน้ำต้นไม้ใบหญ้า สายลมมองลงไปเห็นร่างเล็กที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ตัดดอกไม้ แสงไฟส่องบาง ๆ มาจากตัวคฤหาสน์ทำให้เห็นสีขาวของมัน สายลมเผลอมองอยู่นาน อาจนานจนเกินไปจึงทำให้คนที่ถูกมองจ้องทุกอากัปกิริยาหันกลับมาแล้วเงยขึ้น

ดวงตากลมเบิกขึ้นท่าทางตกใจ ไม่ต่างจากสายลมที่นิ่งงันอยู่บนระเบียงห้อง กว่าจะรู้สึกตัว ร่างนั้นก็เตรียมออกวิ่งเช่นทุกครั้งที่เขาได้เห็นเพียงหลังไว ๆ สายลมผวาเกาะขอบระเบียงแล้วร้องเรียกร่างน้อยที่กำลังจะวิ่งหนีเขาไป

“รูส!!”

ไม่ทันการณ์หากยังอยู่บนนี้ สายลมวิ่งกลับเข้าห้องแล้วเปิดประตูวิ่งลงบันได ใจเขาเต้นระทึกไหวทุกก้าวย่าง คนของเฟอร์ริงตันที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่แถวนั้นแตกตื่นเมื่อเห็นเขาวิ่งผ่านหน้าไป ทำให้รีบวิ่งตามกันมาเป็นพรวน

จนเมื่อมาถึงที่ที่เขาเห็นเด็กคนนั้นอยู่เมื่อครู่ก็ไม่มีใครแล้ว นอกจากคนสวนที่รดน้ำอยู่อีกมุมหนึ่ง สายลมกวาดสายตามองหา เขายังหอบเบา ๆ เมื่อวิ่งสุดฝีเท้าทั้งใจเต้นระรัวกับสิ่งที่เห็นเพื่อมาที่นี่

“เกิดอะไรขึ้นครับ!?” คนของเฟอร์ริงตันเอ่ยถาม

“เปล่า” สายลมยังคงมองหาบางสิ่งขณะที่ตอบกลับไปสั้น ๆ ถอนใจยาวเมื่อหาเด็กคนนั้นไม่เจอแล้ว เขาคงเพ้อฝันไปเพราะความคิดถึง “ฉันแค่อยากลงมาสูดอากาศ ไม่มีอะไร”

บอกปัดกับคนของเฟอร์ริงตันไปเช่นนั้นแล้วสายลมก็เดินไปยังศาลาสีขาวที่ถูกเกี่ยวพันด้วยเถากุหลาบ เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์สงบดีแล้ว คนของเฟอร์ริงตันจึงกลับไปทำหน้าที่ของพวกตนต่อ ให้สายลมได้ใช้เวลาส่วนตัวอยู่กับธรรมชาติสวยงามในสวน

สายลมนั่งลงในศาลา คิ้วของเขาขมวดเมื่อเกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นมาในหัว ทำไมสิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันเหมือนจริงขนาดนี้ เขาคิดว่าวันเวลามันจะทำให้เขาดีขึ้น แต่ดูท่าแล้วอาการเขาคงหนักกว่าเดิมอีกกระมัง ถึงขั้นตาฝาดเห็นรูสทั้งในความฝันและความจริง หรือความจริงกึ่งฝัน? ยิ่งคิดยิ่งหาคำตอบให้ความสับสนของตนเองไม่ได้

ใต้พุ่มไม้ดอกสีขาวละเอียด หยดน้ำเกาะพราวบนใบและกิ่งก้านที่ถูกตัดเจียน ดอกไม้ดอกน้อยที่ถูกตัดจากกิ่งก้านนอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า โดยที่สายลมไม่มีโอกาสได้เห็นมัน...




TBC




ขอบคุณทั้งสองท่านค่า ยังมีกำลังใจอยู่เพราะสิ่งนี้เลย บวกค่ะ  :กอด1:

 
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๗ กลิ่นตะวัน // ๑.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 01-09-2018 23:51:36
เรายังหวังว่าจะเป็นรูสนะ ยังหวังว่าความรักที่จะกลับคืนมาหาสายลมยังคงเป็นรูส สำหรับสายลมแล้ว30ปีที่ผ่านกว่าจะเจอกว่าจะได้รักและให้ความสำคัญกับใครสักคนมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นเราถึงยังหวังปาฎิหาริย์สำหรับรูสอยู่  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๗ กลิ่นตะวัน // ๑.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-09-2018 23:55:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๘ เงาตะวัน // ๒.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 02-09-2018 21:47:00

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๘ เงาตะวัน



ช่อดอกไม้จิ๋วยังคงถูกนำมาวางให้เขาทุกวัน สายลมไม่ได้สนใจอะไรมันเหมือนวันแรก ยังคงทำตัวปรกติราวไม่รู้เห็นว่ามีใครสักคนนำมันมาไว้ในนี้ เรื่องเด็กที่บิดารับอุปการะเขาก็ไม่ได้ตามเรื่อง เพราะเห็นบิดาบอกว่าเดี๋ยวนี้มีคนอาสามาช่วยสอนพิเศษให้ เด็กคนนั้นจึงออกจากบ้านไปหาเจ้าคนที่ว่าทุกวัน เขาเองก็ไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับใครมากมายเท่าไร เพราะหากเกิดความผูกพัน มันทำใจลำบากเมื่อต้องจากลา เหมือนรูส...

นึกถึงเรื่องไม่ควรแล้วสายลมก็ถอนใจ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรมากมายหรือวุ่นวายแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกนึกคิดก็ยังวนกลับมาที่เรื่องของรูสอยู่ดี

เมื่อนึกถึงคนในความทรงจำ ดอกไม้ที่ปักนิ่งอยู่ในแก้วใสก็ดูขวางหูขวางตา สายลมก้าวไปหยิบมันขึ้นมาจากแก้ว มองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนเดินไปที่ถังขยะมุมห้องเพื่อจะทิ้ง แต่แล้วก็ชะงักเมื่อจะปล่อยมือ เกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจ แต่สุดท้ายก็ตัดใจทิ้งมันลงไปในที่สุด...

กลีบดอกบอบบางช้ำเมื่อถูกทิ้งลงไปนอนนิ่งอยู่ใต้ก้นถัง คนที่นำมันมาทิ้งกลับเดินจากไปอย่างไม่นึกสนใจ ปล่อยให้มันค่อย ๆ เหี่ยวเฉาเหมือนกับหัวใจของผู้เป็นเจ้าของเมื่อมาเห็นว่ามันถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี

มือเรียวเอื้อมไปช้อนมันขึ้นมาอย่างถนอม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ช้ำชอกจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว กลีบดอกที่เคยสดใสก็หมดสวย ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ก่อนร่างนั้นจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องของสายลมไปด้วยความรู้สึกหม่นมัว


......


ในวันต่อมา เมื่อสายลมกลับมาที่คฤหาสน์เฟอร์ริงตันหลังหมดวันไปกับความเหนื่อยหนัก งานมันไม่ได้มากมายอะไรสักนิด ไม่เท่าตอนที่เขาอยู่เกาะศิลา เพราะอยู่ที่นี่เขาเป็นหนึ่งในผู้บริหาร แทบไม่ต้องแตะอะไรนอกจากปากกากับกระดาษและใช้มันสมองพินิจพิจารณา แต่ที่มันเหนื่อยก็เพราะเขาพยายามฝืนตัวเอง ทำเหมือนไม่เป็นอะไรทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้นแม้แต่น้อย

เมื่อกลับเข้ามาในห้อง สายตาคมก็มุ่งไปที่โต๊ะหัวเตียง ก่อนจะเอ็ดตัวเองในใจอื้ออึงเมื่อรู้สึกตัวว่ามองหาบางสิ่ง ร่างสูงใหญ่หยุดยืนเคว้งอยู่กลางห้องเมื่อวันนี้ไม่มีกลิ่นหอมจรุงนั่นแล้ว ไม่มีดอกไม้สีขาวช่อเดิมที่เคยวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง ใจสายลมเหมือนมีบางสิ่งหล่นหาย เพราะเขาทิ้งมันหรือ?

สายลมสะบัดศีรษะเบา ๆ เพื่อไล่ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตนเอง ไม่มีก็ดีแล้ว เขาเองไม่ใช่หรือที่ทิ้งมันไป แบบนี้ก็ดีแล้ว...

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่สายลมเฝ้ารอให้ดอกไม้สีขาวกลับมาวางบนโต๊ะ ทุกครั้งที่กลับมาถึง เขาต้องมองที่โต๊ะหัวเตียงตลอดจนนึกรำคาญตัวเอง เมื่อหลังจากวันที่เขาทิ้งมันลงถังขยะ เจ้าดอกไม้ช่อน้อยนั่นก็ไม่เคยถูกนำมาวางไว้ให้เช่นแต่ก่อน

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขากลับเข้ามาในห้องนอนด้วยความผิดหวัง เพราะยังคงมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีกลิ่นหอม ๆ ลอยอวลอยู่ในห้อง ไม่มีสิ่งที่กระตุ้นให้คิดถึงรูสมันก็น่าจะดีแล้ว แต่เขากลับรู้สึกวูบโหวงในอก

ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงาน เหนื่อยล้า อยากกอดรูสให้หายเหนื่อย เขาต้องหลับใช่ไหม นอนหลับแล้วฝันถึง เขาต้องทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน

ตื่นเช้ามาสายลมก็ยังคงไปทำงานตามปรกติ ผู้เป็นบิดาทั้งสองได้เพียงมองด้วยความห่วงใย แม้สายลมจะทำตัวเป็นปรกติทุกอย่าง แต่คนใกล้ชิดก็รู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม เพราะความทุกข์มันอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันคงไม่ทำให้ดีขึ้น หากเจ้าของความทุกข์นั้นไม่วางมันลง

สายลมยังคงทำให้ตัวเองยุ่งจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น เซย์เคยชวนออกไปเที่ยวผ่อนคลาย แต่เขาไม่คิดจะไป เขาไม่ชอบอะไรแบบนั้น ออกไปดื่มกินและอาจปิดท้ายด้วยของหวานเลี่ยนบาดคอบนเตียง เซย์หวังดี ข้อนั้นเขารู้ เขาดูน่าห่วงจนทุกคนอยู่เฉยไม่ได้

“พี่แน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปด้วยกัน?” เซย์ยังตามมาถามถึงที่

สายลมยิ้มมุมปากพลางบอก “นายไปเถอะ เที่ยวให้สนุก”

มือหนาตบบ่าน้อง คว้าเสื้อสูทที่ถอดพาดหลังเก้าอี้มาสวมก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน

“งั้น... ผมไม่ไปดีกว่า”

“......” สายลมหันมามองเมื่อเซย์ว่าอย่างนั้น

“ไปคนเดียวจะสนุกอะไร” ยกไหล่เล็กน้อยประกอบคำพูดของตน

สายลมทำเสียงหึ ก่อนเปิดประตูห้องแล้วก้าวออกไป ตามด้วยเซย์ที่เปลี่ยนใจไม่ไปเที่ยวอย่างที่พูดจริง ๆ

สองหนุ่มตรงกลับคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีคนสำคัญคอยท่า อเล็กซานเดอร์และอัลเบิร์ตเอ่ยล้อพ่อหนุ่มนักเที่ยวที่วันนี้กลับบ้านเร็วในรอบปี ปล่อยให้สามพ่อลูกเขาคุยกันไป ขณะที่สายลมเอ่ยขอตัวขึ้นห้อง

“สังเกตหลายทีแล้ว” อเล็กซานเดอร์เอ่ยขึ้นไล่หลังลูกชายคนรองที่เดินขึ้นชั้นบนไป

“อะไรครับ?” อัลเบิร์ตและเซย์หันมามองคนพูดด้วยความสงสัย

“กลับมาถึง สายลมต้องรีบขึ้นห้องก่อนเลย มีอะไรดี ๆ อยู่ในนั้นหรือไง?” มือหนาลูบคางตนเองขณะรำพึงรำพัน

อัลเบิร์ตทำหน้าพิกล ก่อนว่า “ลูกคงอยากพักผ่อน จะไปมีอะไรได้ยังไงกัน”

“ฉันใช้งานลูกหนักมากเลยเหรอ?”

“อะไรของคุณ อเล็กซ์ จะให้มันมีอะไรให้ได้เลยหรือไง?” ท่าทางอีกคนยังข้องใจไม่หายทำให้อัลเบิร์ตท้วงถาม

“เอ้า ก็ดูเจ้าเซย์สิ เที่ยวตะลอนได้ทุกวัน ไม่เห็นจะอยู่ติดห้องเหมือนสายลมเลย”

“อ้าว อยู่ดี ๆ ก็โดนหางเลขซะอย่างงั้น”

เซย์นั่งมึนเมื่อบิดาโยนกลอง อัลเบิร์ตหัวเราะ วาดแขนออกเมื่อเซย์เข้ามาอ้อนให้จัดการผู้เป็นบิดาให้

“เซย์เขายังหนุ่มยังแน่น จะเที่ยวบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แค่รู้จักขอบเขตและดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”

“จริงครับ” เซย์พยักหน้า เห็นด้วยกับอาอัลเบิร์ตของตนเองเต็มที่

อเล็กซานเดอร์มองอย่างหมั่นไส้ นั่น ๆ มาหอมเมียเขาอีก ไอ้นี่

“เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ”

คนแก่ขี้หวงกัดฟันว่า ทั้งถลึงตาใส่ลูกชายที่ลอยหน้ากอดคนรักของตนเองเฉย เข้าข้างกันได้ตลอดล่ะคู่นี้ เขาแตะมันไม่ได้เลยเจ้าลูกชายคนเล็กนี่ แม่มันหวง!

ขณะเดียวกัน คนในหัวข้อสนทนาตอนนี้มาถึงหน้าห้องนอนของตนแล้วเรียบร้อย มือหนาบิดลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไป จังหวะก้าวเดินชะงักเมื่อได้กลิ่นหอมชื่นโชยมาเพียงประตูเปิด เขารีบมองหาที่มาของมันด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นแปลกไป เมื่อเห็นว่าดอกไม้สีขาวถูกนำกลับมาวางที่เดิม สายลมก็ก้าวไปหา นัยน์ตาสีนิลทอประกายเมื่อทอดมอง รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนกลีบปากหยัก รู้สึกราวได้บางสิ่งที่หายไปกลับคืนมากระนั้น

สายลมนั่งลงบนเตียง ถือแก้วใส่ช่อดอกไม้นั้นมาด้วย ยกมันขึ้นมาใกล้จมูกโด่ง กลิ่นหอมละมุนทำให้เขายิ้ม

“อยากจะรู้แล้วสิ... ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของ”

ว่าแล้วสายลมก็ขำ เขาท่าจะบ้าที่คุยกับดอกไม้ สีหน้าชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเปิดยิ้มออกมาเมื่อหาข้อสรุปให้ตนเองได้


......


เช้ามา สายลมก็ยังคงแต่งตัวเพื่อออกไปทำงานตามปรกติ ชายหนุ่มลงมาจากชั้นบนแล้วตรงไปที่รถก่อนนั่งออกไปจากคฤหาสน์ เพียงท้ายรถพ้นสายตาไป เจ้าตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ก็โผล่หน้าออกมาชะเง้อมอง ริมฝีปากบางยกยิ้ม ก่อนที่จะหมุนกายกลับแล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไป

รถของสายลมที่ขับออกมาจากเฟอร์ริงตัน เมื่อเลี้ยวพ้นมุมกำแพงก็จอดลง ก่อนที่สายลมจะลงจากรถแล้วก้าวมาที่ส่วนรักษาความปลอดภัยหน้าประตู เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถอีกคัน ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มอย่างนึกสนุก ในเมื่ออยากรู้ว่าใครคือเจ้าของดอกไม้สีขาวนั่น มันก็ต้องวางแผนกันหน่อย

...มาปิดประตูตีแมวกัน!

สายลมกลับเข้าคฤหาสน์มาอย่างใจเย็น ก้าวเดินขึ้นบันไดไปจนกระทั่งมาถึงหน้าห้องนอนของตน เอื้อมไปหมุนลูกบิดอย่างเบามือ เพียงประตูแง้มเปิดก็ได้ยินเสียงบางอย่างภายใน นัยน์ตาสีนิลมองลอดช่องประตู ก่อนจะค่อย ๆ ดันมันให้เปิดกว้างช้า ๆ แต่ก็ช้ากว่าลูกแมวในห้อง เมื่อเห็นเพียงเงาไหว ๆ ผลุบหายไปหลังโซฟา

ขายาวก้าวเข้ามาเชื่องช้าราวแกล้งเจ้าแมวน้อยนั้นก็ไม่ปาน อมยิ้มในสีหน้าเมื่อเคลื่อนกายมานั่งลงบนโซฟาตัวที่มีใครอีกคนหลบอยู่ และเขาคงไม่คิดจะลุกออกไปง่าย ๆ ด้วย อยากจะรู้เหมือนกันว่าแมวตัวนี้จะหาทางหนีรอดออกไปจากห้องของเขาได้อย่างไร

ขณะที่สายลมนึกสนุก คนที่ถูกไล่ต้อนกลับไม่ได้รู้สึกสนุกด้วยแม้แต่น้อย มือเรียวกำแก้วใส่ดอกไม้แน่น เขาแค่จะเข้ามาเอาดอกไม้ช่อเดิมที่เริ่มเฉาออกไปเปลี่ยนใหม่ ไม่นึกว่าเจ้าของห้องจะกลับมากะทันหันแบบนี้ กายผอมหมอบลงให้ต่ำที่สุดเพื่อที่คนบนโซฟาจะได้ไม่รู้สึกตัวแล้วหันกลับมามอง ค่อย ๆ คลานไปบนพื้นพรมช้า ๆ แม้แต่หายใจยังไม่กล้าหายใจแรง รู้สึกมวนท้องไปหมด กลัวจะถูกจับได้

“อะแฮ่ม”

เสียงกระแอมที่ดังขึ้นทำให้เด็กน้อยสะดุ้งโหยง มือข้างหนึ่งยกปิดปากตัวเองแน่นอย่างอัตโนมัติ ใจเต้นระรัวไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองเจ้าของเสียง

เพราะมัวแต่หลับหูหลับตาทำให้เมื่อมือหนาเอื้อมมาจับบ่า เจ้าตัวเล็กจึงผวาไปข้างหน้าจนล้มแปะลงไปนอนบนพื้น ก่อนจะสะบัดขาเมื่อมือนั้นเปลี่ยนมาจับที่ข้อเท้า เจ้าแมวน้อยเอี้ยวตัวกลับมามองอีกคนหน้าตาตื่น กอดแก้วใส่ดอกไม้ที่ตอนนี้น้ำในนั้นมันหกเลอะเทอะทั้งช่อดอกไม้ก็หล่นอยู่บนพื้นแล้วดันตัวจะลุกขึ้นวิ่ง แต่สายลมที่ตั้งรับอยู่ก่อนแล้วตรงเข้าคว้าตัวเจ้าแมวเหมียวเอาไว้ ทำให้ตัวผอมบางนั้นดิ้นอยู่ในอ้อมแขน

“อื้อออออออ” เสียงเจ้าตัวเล็กร้องประท้วง เมื่อสายลมแกล้งรัดแน่นขึ้น

“ชู่ ดิ้นมาก ๆ ระวังนะ ฉันหงุดหงิดง่ายรู้ไว้ด้วย” เพียงข่มขู่นิดหน่อย เด็กในอ้อมแขนก็ชะงักกึก ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจก่อนว่า “อยู่นิ่ง ๆ แล้วมาคุยกัน ตกลงไหม?”

“......” แมวน้อยในอ้อมแขนยังเงียบ ทำให้สายลมถามย้ำ

“ตกลงไหม?”

เมื่อเน้นทีละคำ หัวกลม ๆ นั่นจึงผงกขึ้นลงอย่างยอมแพ้ แต่เพียงแค่สายลมคลายอ้อมแขน เด็กที่ทำท่าว่าจะยอมแพ้กลับจะวิ่งหนี แต่สายลมก็ยังไวกว่าเมื่อดึงตัวกลับมาได้ทัน มือหนาจับต้นแขนเล็กทั้งสองข้างแล้วยื่นใบหน้ารกหนวดเคราเข้าไปใกล้ ตาคมถลึงมองจนเด็กหน้าซีดเผือดสี

“ไว้ใจไม่ได้เลยใช่ไหม คงอยากเห็นเวลาฉันหงุดหงิดงั้นสิ!”

เด็กตรงหน้าสะดุ้งเฮือกแล้วหลับตาแน่น ไหล่เล็กสั่นเมื่อเจ้าตัวกำลังสะอื้น นั่นทำให้สายลมนิ่งไป ทำเด็กร้องไห้เสียแล้วสิ

“หยุดร้องเดี๋ยวนี้ ฉันเกลียดน้ำตา!” แสร้งเอาเสียงเข้าขู่ เด็กตรงหน้าพยายามกลั้นสะอื้น ก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่เขายังต้องสวมบทโหดเอาไว้อีกหน่อย

สายลมให้เด็กไปนั่งที่โซฟา เด็กน้อยนั่งก้มหน้าก้มตา มือถือแก้วดอกไม้ที่เก็บขึ้นมาจากพื้นพรมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“ชื่ออะไร?”

สายลมเริ่มซักประวัติ เด็กตรงหน้าเขาตอนนี้ดูไม่ได้มีอะไรพิเศษ หน้าตาก็ออกจะธรรมดา แต่ตาโต ๆ นั่นคงเด่นสุด อ้อ ปากด้วย รูปกระจับ อมชมพูนิด ๆ

เมื่อถามเด็กมันไปแล้วยังเงียบ สายลมจึงลุกมานั่งข้าง ๆ พออีกฝ่ายจะกระถดหนี เขาก็วาดแขนพาดไหล่กักตัวเอาไว้ ทำให้คนถูกกักบริเวณนั่งตัวลีบ

“เวลาผู้ใหญ่ถามก็ตอบ และเวลาตอบก็ควรจะมองหน้าคนถาม มารยาทพื้นฐานแค่นี้พอจะมีไหม?”

ตากลมช้อนมอง ปากรูปกระจับที่เขาเพิ่งพรรณนาถึงมันไปเมื่อครู่ถูกเจ้าของมันขบกัดด้วยความอึดอัดที่มี สายลมบีบแก้มป่องให้เจ้าตัวเล็กมันคลายออก ตากลมโตนั่นมองเขาอึ้ง ๆ อย่าว่าแต่เด็กมันอึ้งเลย เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง ทำอะไรลงไปวะนี่

แมวน้อยเฉหลบสายตา แก้มใสขึ้นสีระเรื่อ จะมาอายอะไรเขาตอนนี้วะ เจ้าเด็กนี่ กายหนาขยับออกห่างอีกนิดเพื่อตั้งหลัก ก่อนถามซ้ำในสิ่งที่ถามไปเมื่อครู่

“ชื่ออะไร ยังไม่ตอบเลยนะ”

คนถูกถามมีท่าทีอึดอัด ก่อนจะวาดมือเป็นวงกลมบนอากาศ คิ้วสายลมขมวด ตาคมมองดุ ๆ ทำให้เด็กชะงักแล้วลดมือลง

“พูดไม่เป็นหรือไง?”

พอเขาถามไป เด็กมันก็พยักหน้าเฉย อ้าว ซวยแล้วไง

“พูด... ไม่ได้เหรอ?”

เด็กมันเหลือบขึ้นมามองเขาก่อนพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สายลมใจอ่อนวูบ ท่าทางจะตีบทผู้ใหญ่ใจร้ายไม่แตกเสียแล้วสิ

“เขียนหนังสือได้ไหม?”

ถามคำนี้แล้วก็ยอกแสยงในอก เหมือนย้อนกลับไปตอนพบกับรูสครั้งแรก มองเด็กพยักหน้าตอบแล้วสายลมจึงลุกไปที่โต๊ะหัวเตียง เปิดลิ้นชักออกเพื่อเอาสมุดฉีกในนั้นมาให้เขียน

แกร๊ก... ปัง!

สายลมหันขวับกลับมามองเมื่อเกิดเสียงดังขึ้นด้านหลัง ทันเห็นเพียงบานประตูที่งับปิด เขากัดฟันกรอด ไม่น่าไว้ใจเด็กนั่นเลยจริง ๆ หนีไปอีกแล้วสิน่า!

สมุดฉีกในมือถูกปาลงบนที่นอน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะก้าวออกมาหน้าระเบียง มองลงไปด้านล่างก็เห็นว่าเด็กมันกำลังวิ่งตัดสนามหญ้าของสวนสวยไปอีกตึก แต่แล้วก็หยุดลงและหันกลับมามองด้านหลัง สายลมนึกว่าเด็กมันจะเงยขึ้นมามองจึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหา ที่แท้ก็หันมามองเจ้าหมอนี่เองหรือ

สองคนด้านล่างคุยอะไรกันอยู่ชั่วครู่ มือของเจ้าหนุ่มนั่นเอื้อมไปขยี้ผมนุ่มราวสนิทสนมคุ้นเคยกันดี สายลมกอดอกมอง เจ้าแมวน้อยยิ้มเสียกว้างขวางจนคนมองแบบสายลมออกจะหงุดหงิดนิด ๆ

“เฮ้!”

สายลมตะโกนออกไป เมื่อเจ้าหนุ่มที่อยู่กับเด็กตากลมเงยขึ้นมาเห็นว่าเป็นเขาก็ค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนเงยกลับขึ้นมามองเพื่อฟังว่าจะสั่งอะไรหรือไม่

ตาสายลมไม่ได้อยู่ที่เจ้าหนุ่มนั่นแม้แต่น้อย มันมองเลยไปหาเด็กที่กำลังก้าวถอยเพื่อจะหลบฉาก นึกว่าจะหนีเขาพ้นหรือ

“จับตัวเด็กนั่นไว้ อย่าให้หนีไปได้!”

ตากลมเบิกโตเมื่อได้ยินคำสั่งของสายลม ขณะที่เจ้าหนุ่มนั่นยังมึนงง แต่พอเห็นว่าคนที่สายลมสั่งให้จับจะวิ่งหนีก็รีบตะครุบตัวเอาไว้ตามคำสั่งทันที เจ้าตัวเล็กก็ได้แต่ดิ้นไปมา ทั้งเตะขาเพื่อให้ปล่อยตนเอง

“อย่าปล่อยจนกว่าฉันจะลงไปถึง” สายลมยังสั่งซ้ำ

“ครับ”

เสียงเด็กน้อยร้องประท้วงในลำคอไม่ได้ทำให้สายลมหยุด ชายหนุ่มกลับเข้าห้องแล้วเปิดประตูหน้าห้องออกมา เดินลงบันไดอย่างใจเย็นทั้งยิ้มกระหยิ่ม จนมาโผล่ที่สวนกลับเห็นเจ้าหนุ่มที่เขาออกคำสั่งให้จับตัวเด็กไว้ยืนอยู่กับบิดาของเขาแทนเสียอย่างนั้น

“เล่นอะไรกันน่ะ สายลม?”

เมื่อบิดาเอ่ยถาม สายลมก็อ้ำอึ้ง แววจับผิดมองมาที่เขา จึงต้องทำเฉไฉ

“แค่อยากทำความรู้จักน้องชายคนเล็กของบ้าน ก็แค่นั้นครับ”

“ด้วยการให้คนจับตัวน้องไว้?” อัลเบิร์ตกอดอกมองลูกชายหาทางแก้ตัว

“อ่า...” สายลมเกาท้ายทอย เรื่องโกหกเขาไม่ค่อยถนัดนัก ยิ่งโกหกบิดาบังเกิดเกล้ายิ่งยากเข้าไปใหญ่

ชายหนุ่มหันไปปัดมือให้เจ้าหนุ่มคนนั้นออกไป อีกฝ่ายคำนับรับคำแล้วจึงหลบฉาก เขาไม่ค่อยจะคุ้นหน้าเจ้านี่สักเท่าไร ท่าทางจะเป็นบอดีการ์ดรุ่นใหม่ของเฟอร์ริงตันกระมัง

“ลมจะทำอะไร?” อัลเบิร์ตเอ่ยถามเมื่อบุคคลที่สามออกไปแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พ่อ อย่างที่บอก ผมแค่อยากทำความรู้จัก แต่น้องก็วิ่งหนีผม” เขาไม่ได้โกหกนา น้องมันวิ่งหนีไปจริง ๆ

“หนวดเคราก็รู้จักโกนซะบ้างสิ ผมเผ้าไว้ยาวไปทำไมหนักหนา เหมือนคนป่าคนดง”

มือของบิดาเอื้อมมาจับผมที่เริ่มยาวไม่เป็นทรง เพราะตั้งแต่คราวที่ไปตัดกับเดวาและรูส เขาก็ไม่ได้ตัดมันอีก เพราะไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรแบบนั้น ปล่อยปละมันมาเป็นเวลานานจนถูกบิดาบ่นเอาอยู่อย่างนี้

เมื่อกลับขึ้นห้องมา สายลมก็เดินไปที่กระจกบานใหญ่ มองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกแล้วลูบคางลูบเครา ตาคมหรี่ลงเล็กน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์ เรื่องอะไรเขาจะต้องตัด เจ้าแมวเหมียวนั่นจะกลัวเขาก็ช่างประไร เก็บไว้อย่างนี้ล่ะ คราวหน้าจะได้ไม่กล้าหือกับเขา

“ฉันไม่ยอมง่าย ๆ หรอก เจ้าเหมียว”


......


ช่วงสายของวันต่อมา แมวน้อยของสายลมก็เข้ามาในห้อง เจ้าตัวเล็กโผล่หน้าเข้ามามองด้านในก่อนเพื่อความปลอดภัย ก่อนหันกลับไปมองด้านหลังอย่างระแวง

เมื่อเข้ามาด้านใน เจ้าตัวเล็กก็ตรงไปที่เตียงนอน แต่แล้วบนโต๊ะหัวเตียงกลับไม่มีแก้วใส่ดอกไม้ตั้งอยู่เช่นทุกวัน เมื่อวานเขาฝากแม่บ้านที่ขึ้นมาทำความสะอาดห้องของสายลมเอามาวางไว้ เพราะไม่กล้ามาเองหลังเกิดเรื่อง สรุปแล้วแม่บ้านไม่ได้เอามาหรือ

ร่างเล็กหันรีหันขวาง ชะเง้อชะแง้มองหาเผื่อแม่บ้านจะเอาไปตั้งไว้ที่อื่น ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยทักมาจากด้านหลัง

“หานี่อยู่เหรอ?”

แมวน้อยค่อย ๆ หันมาจนกระทั่งเห็นว่าแก้วดอกไม้ของตนลอยอยู่ตรงหน้าก็ตาโต แต่เมื่อเหลือบขึ้นมองคนถือ ใบหน้าเรียวก็ซีดเผือด ตากลมกลอกมองซ้ายขวา แต่ก่อนที่เจ้าแมวน้อยนั่นจะวิ่งหนีไปอีก สายลมก็คว้าหมับจับต้นแขนแล้วดึงกลับมากักไว้ในอ้อมแขนของตน ปลายจมูกโด่งเฉียดแก้มใสเมื่อเขาก้มลงกระซิบจากด้านหลัง

“เมื่อวานทำแสบนักนะ”

เสียงกระซิบทำให้เด็กในอ้อมแขนตัวสั่น นี่กลัวเขาจริง ๆ หรือ ชักไม่เข้าใจ กลัวเขาแต่เอาดอกไม้มาให้เขาทุกวันนี่นะ ช่างขัดกันเสียจริง

“ถ้ากลัวฉันขนาดนั้น ทำไมต้องเอาดอกไม้นี่มาให้ฉันทุกวัน?”

แก้วบรรจุช่อดอกไม้ชูขึ้นมาในระดับสายตา เด็กเบือนสายตาหลบทำให้สายลมค่อยหมุนกายผอมบางนั้นให้หันมาหา ตากลมมองเขาหวั่น ๆ เมื่อได้จ้องมองกันอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว สายลมกลับรู้สึกเคยคุ้นกับแววตาของเด็กน้อยคนนี้อย่างประหลาด เขาไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าแววตาคู่นี้เหมือนกับใครอีกคน

“รูส...”

ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดไตร่ตรองสักนิดเมื่อรั้งร่างน้อยนั้นเข้ามากอด เด็กยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขน แต่เขากลับไม่อยากปล่อย แม้แต่ความรู้สึกนี้ก็ยังเหมือน เขาต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ถึงได้คิดอะไรแบบนี้ จะเป็นคนเดียวกันไปได้อย่างไร

“จะให้ทำยังไงถึงจะเริ่มใหม่อย่างที่เธอบอกได้ ฉันมองไม่เห็นทางเลย รูส”

สายลมพึมพำอย่างร้าวรอน เจ้าแมวน้อยยอมให้เขากอดโดยไม่ดิ้นหนี ทั้งมืออุ่น ๆ ยังยกลูบแผ่นหลังกว้างราวจะปลอบโยน นั่นทำให้สายลมรู้สึกตัว ค่อยดันเจ้าตัวเล็กออกจากอ้อมกอดเบา ๆ

“ขอโทษ ฉัน... ทำอะไรบ้า ๆ”

ตากลมช้อนมองเขา ก่อนเจ้าตัวเล็กมันจะก้มลงแล้วส่ายหน้าอย่างไม่ถือโกรธ ความเงียบบังเกิดเมื่อต่างก็มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ สายลมวางแก้วในมือที่ถือค้างลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับมาหาร่างเล็กที่ยังคงก้มหน้านิ่ง

“ช่วยเงยหน้าขึ้นมาได้ไหม?”

คำขอของเขาไม่ได้รับการตอบรับในทันที เมื่อเด็กน้อยยังคงนิ่งอยู่ แต่เขาก็รออย่างใจเย็น รอจนเด็กมันยอมเงยหน้าขึ้นมามอง เช่นนั้นสายลมจึงได้พินิจดวงหน้าของอีกฝ่ายอย่างถ้วนถี่ คนสองคนที่เขากำลังนึกเปรียบเทียบไม่ได้เหมือนกันทุกกระเบียด แต่ความรู้สึกที่มีมันกำลังบอกเขาว่าใช่ หรือเขาเพียงหลอกตัวเองว่ามันใช่กันแน่

“ฉันยังจะถามคำถามเดิม... เธอชื่ออะไร?”

คำถามของสายลมทำให้เด็กน้อยมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมาจับมือเขาหงายขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วเขียนบางอย่างลงไปบนนั้น

‘ตะวัน’

สายลมนิ่งอึ้ง การกระทำทุกอย่างก็เหมือนรูส ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างกันเมื่อถูกสัมผัสเช่นนี้ และแม้แต่ชื่อ... ก็ไม่ได้ต่างกันเลย

‘ชื่อรูสก็แปลว่าแสงสว่างเหมือนกัน’

เสียงของเด็กดื้อที่เขาไม่เคยลืมดังขึ้นมาในหัว รูสเคยบอกเขาเมื่อตอนคุยกันเรื่องชื่อของนายซานินและนายลามุ ว่าชื่อของตนเองนั้นก็มีความหมายว่าแสงสว่าง เช่นเดียวกับชื่อของปู่ทั้งสองที่หมายถึงดวงอาทิตย์และรุ่งเช้า

สายลมมองมือตนเองที่ปลายนิ้วเรียวค่อยยกขึ้นเมื่อเขียนเสร็จ เขากำมือเข้าหากันทำให้รวบปลายนิ้วนั้นไว้ในอุ้งมือ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายสะดุ้ง เมื่อสายตาคมเงยมองก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กมันหน้าเสีย ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะค่อยขยับเอื้อนเอ่ย

“จับได้แล้ว ไอ้ดื้อ”


......


เช้าวันใหม่ สายลมลงมาชั้นล่างแล้วได้พบกับหนุ่มที่บิดาเคยบอกว่าเป็นครูสอนพิเศษให้เจ้าแมวน้อยของเขา ชายผู้นั้นเดินตามพ่อบ้านไปที่สวน เขาจึงได้เดินตามไปห่าง ๆ

อัลเบิร์ตอยู่ที่ศาลากลางสวนด้วยเมื่อเขาไปถึง สายลมเผลอระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองทำอะไรแปลก ๆ เวลานี้บิดาของเขาทำหน้าที่ดูแลทุกคนในครอบครัว ขณะที่บิดาอีกคนอย่างอเล็กซานเดอร์ก็คอยให้คำปรึกษาเรื่องธุรกิจกับเซย์และเขา พวกท่านเคยวางแผนว่าจะไปปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ฝั่งตะวันตกตอนใต้ของประเทศอังกฤษ สถานที่ที่ประกอบไปด้วยเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายสิบเมืองด้วยกัน สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยธรรมชาติที่ยังคงสมบูรณ์และสวยงาม บ้านเดิมของย่าอาเมเลีย มารดาของอเล็กซานเดอร์ที่เสียไป แต่ก็ยังไม่ได้ทำอย่างที่คิดเอาไว้เมื่อยังคงห่วงทางนี้ เซย์เองก็ไม่อยากให้ทั้งสองไปอยู่ไกล เพราะหากไปกันหมดก็คงเหลือเซย์อยู่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ลำพัง

ยืนมองรอยยิ้มแมวน้อยแล้วสายลมก็ยิ้มบาง แม้จะยังไม่มั่นใจนักว่าใช่ แต่ความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในอกมันทำให้เขาไม่อยากห้ามใจ ความรู้สึกโหยหาที่มีเมื่อได้สัมผัสชิดใกล้ก็เหมือนถูกเติมเต็ม ความรู้สึกเช่นนี้มันหลอกกันได้หรือ เขาต้องพิสูจน์อย่างไรว่ามันไม่ใช่เพียงความต้องการตามสัญชาตญาณดิบที่มี ชายหนุ่มกลับเข้าคฤหาสน์เมื่อคิดว่าเซย์อาจช่วยทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าเหมียวน้อยนั้นกระจ่างขึ้น

“ฝนท่าจะตก ฤษีจะออกจากถ้ำ” เซย์ล้อเลียนพี่ชายด้วยความขบขัน เมื่อวันนี้กลายเป็นสายลมเองที่มาชวนเขาออกไปท่องราตรีกัน

“จะไปไม่ไป?” สายลมปรายมองน้องที่ท่ามากอยู่นั่น

“ของมันแน่ เดี๋ยวชวนเอวานไปด้วย รอสักครู่นะครับท่านฤษี” ยังไม่เลิก

“......” สายลมถอนใจ มันจะได้เรื่องไหมนี่

เมื่อเซย์โทรชวนพี่ชายคนโตโดยอ้างชื่อสายลมทำให้ฝ่ายนั้นไม่ปฏิเสธที่จะไปด้วย หากเขาบอกว่าอยากไปเอง เอวานคงไม่สน ก็เขามันชอบแบบนั้นอยู่แล้วทำให้เอวานเบื่อที่จะไปนั่งดูเขาป้อสาว คนมันขี้อิจฉาก็อย่างนี้แหละหนา

สองหนุ่มออกจากคฤหาสน์มาเมื่อแสงตะวันจะลาลับ รถยนต์มาจอดรอท่าโดยมีบอดีการ์ดนั่งไปด้วยเพื่อรักษาความปลอดภัย สายลมที่กำลังจะขึ้นรถหันมามองด้านหลังเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนมอง เห็นเงาคนผลุบหายไปหลังมุมมืดของต้นเสาก็ชักลังเลว่าควรจะไปเที่ยวอย่างที่ตั้งใจไว้ดีหรือไม่

“เฮ้ ขึ้นรถสิ สายลม ทำอะไรอยู่?”

เสียงเซย์ที่เอ่ยเรียกทำให้สายลมต้องละสายตาจากเงาคนในมุมมืดนั้นมาขึ้นรถอย่างตัดใจ ในเมื่ออยากรู้ก็ต้องลองดูสิน่า

ร่างที่หลบมุมค่อยก้าวออกมาเมื่อรถคันที่สายลมและเซย์นั่งเคลื่อนตัวออกจากหน้าคฤหาสน์ไป ตากลมหม่นแสงเมื่อชะเง้อมองตาม สองคนนั้นจะไปไหนกันนะ...


...
ต่อด้านล่างค่ะ  :m1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๘ เงาตะวัน // ๒.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 02-09-2018 21:53:44
รออยู่ค่อนคืน กว่าสายลมและเซย์จะกลับมา เสียงรถที่ดังมาจากหน้าคฤหาสน์ทำให้เจ้าตัวเล็กลุกขึ้นชะเง้อคอยาว เมื่อเห็นรถใกล้เข้ามาก็รีบไปหาที่ซ่อนเพื่อมองสายลมอยู่ไกล ๆ สองหนุ่มเปิดประตูลงจากรถมา เซย์ท่าทางเมามายแต่ก็ยังพยุงกายได้อยู่ ขณะที่สายลมยังไม่แสดงอาการใดให้เห็น แต่ก็คงเมาไม่ต่างจากเซย์

จมูกโด่งรั้นขยับฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นแปลก ๆ กลิ่นที่ติดตัวสายลมมาทำให้เด็กน้อยหน้าหมองลง กายผอมหันกลับ เดินคอตกกลับห้องของตนเองไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอก

สายลมขึ้นมาบนห้องนอน โยนสูทลำลองที่ใส่ไปเที่ยวคลับไว้แถวโซฟาแล้วเข้าไปอาบน้ำ ร่างกายเขาเครียดเกร็งแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะปลดปล่อย ร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาสวมเสื้อคลุมแล้วผูกเอวไว้เพียงหมิ่นเหม่ ก่อนจะออกไปนอกระเบียงเพื่อสูดอากาศ ในไนท์คลับมีแต่มลภาวะ ทั้งเสียงและกลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นน้ำหอมที่ติดกายเขามา ทำให้ต้องอาบน้ำชำระมันออก

ดวงตาคมหรี่ลงเมื่อเพ่งมองบางอย่างที่ศาลากลางสวน ดึกป่านนี้แล้วยังมีใครนั่งอยู่ที่นั่นอีกหรือ กายหนาหมุนกลับเพื่อก้าวเข้าห้องก่อนจะลงมาด้านล่าง คนของเฟอร์ริงตันคำนับเมื่อเขาเดินผ่านไปที่สวน เสียงฝีเท้าของเขาคงทำให้คนในศาลารู้สึกตัว เมื่อร่างนั้นผุดลุกจะหนีไป เขาก็รีบคว้าตัวไว้ทันที เป็นอย่างไรกันถึงหนีเขาได้ตลอดนะ เด็กคนนี้

“จะหนีไปไหนอีก เด็กใจร้าย” เขาเอ่ยพ้อ เด็กในอ้อมแขนยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อเขาก้มลงมาใกล้ลำคอระหง “ฉันจำเธอได้นะ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ไม่มีทางลืมหรอก รูส...”

เพียงชื่อนั้นเอ่ยพ้นริมฝีปาก ร่างน้อยในอ้อมแขนก็เริ่มออกฤทธิ์ พยายามจะแกะแขนของเขาออกให้ได้ เมื่อดิ้นมากนัก สายลมจึงคลายอ้อมแขนแล้วเปลี่ยนมาจับบ่าเล็กก่อนหมุนให้หันมาเผชิญหน้า มองแววตาหวาดหวั่นของเด็กตรงหน้าแล้วสายลมก็รู้สึกจุกในอก แววตาแบบนี้เขาจะลืมได้อย่างไร

“เธอใช่ไหม... รูส?”

“......” เจ้าตัวเล็กส่ายหน้า หลบสายตาเขาแล้วตั้งท่าจะหนีลูกเดียว

“อย่ามาโกหก ทรมานฉันไม่พออีกเหรอ ฉันทำอะไรผิดทำไมต้องจากฉันไป ลูห์บอกไม่ให้ฉันเฝ้ารอ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อรู้สึกตัวทีไรฉันก็รอเธออยู่ทุกวัน ไม่ว่าตอนหลับหรือตื่น”

แววตาเจ็บปวดของสายลมทำให้ตะวันน้อยนิ่งไป ริมฝีปากรูปกระจับเม้มเข้าหากันก่อนจะส่ายหน้าแรงขึ้น พยายามดันตัวสายลมออกห่าง แต่มือหนาที่จับต้นแขนเอาไว้ทำให้ขัดขืนลำบาก จึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ หน้าตาบิดเบ้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ทำไมต้องปฏิเสธ หรือมีแค่ฉันที่คิดถึงเธอจนแทบบ้า มันเจ็บจะขาดใจรู้บ้างไหม รูส หยุดทรมานฉันสักที ไอ้ดื้อ ฉันจะขาดใจตายแล้วรู้ไหม?”

ใบหน้าเรียวเบือนไปทางอื่น ไม่อยากมองสีหน้าของคนพูดที่ฟ้องว่าจะขาดใจเข้าจริง ๆ มือหนาช้อนคางมนให้หันกลับมามองตนเอง มองจ้องตากลมนิ่งนาน เขาจะลืมได้อย่างไรแววตาแบบนี้

สายลมค่อยโน้มลงหา ริมฝีปากแตะกลีบปากนุ่มราวมีสิ่งดึงดูด แขนแกร่งรวบกอดร่างน้อยแน่นขึ้นเมื่อบดเบียดกลีบปากสวย ลิ้นร้อนกระหวัดรัดลิ้นเล็กจนร่างกายเด็กน้อยสั่นระรัวในอ้อมแขน และยิ่งสั่นมากขึ้นเมื่อสัมผัสกับความร้อนผ่าวภายใต้เนื้อผ้าที่ดุนดัน

มือเรียวกำเข้าหากันแล้วดันไหล่สายลม พยายามจะเบี่ยงหน้าหนีแต่ริมฝีปากหยักยังตามประกบ รวบดูดปลายลิ้นลื่น ตักตวงความหวานจนพอใจถึงได้ยอมปล่อยกลีบปากนุ่มเป็นอิสระ แต่มันก็ดูเย้ายวนจนต้องบดเบียดซ้ำลงไปอีกครั้ง

“คิดถึงเหลือเกิน... รูส”

ตากลมเบิกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพร่าสั่นแว่วดังข้างหู มือเรียวยกดันตัวอีกคนออกห่าง ด้วยไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างนั้นเซถอย ก่อนขาเรียวจะออกวิ่งหนีหายไปทางตึกเล็ก

“รูส!!”

สายลมร้องเรียกแต่ไม่อาจวิ่งตาม พรูลมหายใจแรงเมื่อหลุบสายตามองสภาพของตนเอง เขาคงต้องอยู่อย่างนี้สักพักจนกว่ามันจะสงบถึงกลับขึ้นห้องได้ ตอนนี้ต่อให้ไม่แน่ใจก็ต้องแน่ใจแล้วว่า ความรู้สึกที่มีต่อเด็กคนนั้นมันมากมายจริง ๆ


......


สวนสวยของเฟอร์ริงตันในยามเช้า อเล็กซานเดอร์พาบิดาลงมาเพื่อสูดอากาศ และเปลี่ยนสถานที่ทานอาหารเป็นศาลาหลังสวยโดยมีอัลเบิร์ตคอยจัดการเรื่องอาหารการกินให้ สายลมและเซย์ที่ไม่ได้ออกไปทำงานที่บริษัทเนื่องจากวันหยุดจึงได้ร่วมวงพร้อมหน้า ผู้เป็นบิดาให้โทรไปชวนเอวานกับเด็กในปกครองมาด้วยตั้งแต่เมื่อวาน แต่รายนั้นถูกคุณยายงอนที่ไม่ค่อยจะมีเวลาอยู่บ้านช่อง จึงต้องอยู่เอาใจคนแก่ ทำให้สามทหารเสือไม่ได้อยู่จนครบองค์

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกแมวน้อยมาแทนอีกหนึ่ง ตะวันน้อยช่างดูแลไม่ต่างจากอัลเบิร์ต ทำให้วิคเตอร์เอ็นดูเด็กมันไม่น้อย ชายชรานึกถึงเมื่อก่อนที่หลาน ๆ ของตนยังเด็ก แถมตะวันยังให้ความรู้สึกคล้ายว่ามีเดวาหลานรักมาอยู่ด้วย ทำให้วิคเตอร์ชอบพูดคุยกับเด็กน้อยคนเดียวในบ้านนัก

เจ้าตัวเล็กมีกระดานส่วนตัว เวลาคุยกับวิคเตอร์จะได้ไม่ต้องควานหาสมุดปากกา พื้นฐานภาษาอังกฤษมีไม่มาก เมื่อยังไม่เก่ง ตะวันจึงใช้ท่าทางเข้าช่วย วิคเตอร์ก็เข้าใจ จึงค่อย ๆ พูดให้เด็กมันฟังช้า ๆ ทำแบบนี้ทุกวัน เด็กมันก็เรียนรู้ได้ไวขึ้น

สายลมมองแมวน้อยที่คุยเล่นกับผู้เป็นปู่แล้วริมฝีปากหยักก็เผยยิ้มน้อย ๆ มองอยู่นานจนคนอื่นเริ่มจับสังเกตได้ แม้แต่วิคเตอร์เองก็ยังรู้สึก ทำให้ชายชรากระแอมเบา ๆ เพื่อเรียกสติหลานชายที่มันลอยออกจากร่างมาหาเด็กน้อยข้างกายตน

เห็นว่าปู่กระแอมกระไอ สายลมจึงหันไปยกถ้วยน้ำชามาให้ปู่ดื่มกลั้วคอ ปู่อาจจะคอแห้ง จิบน้ำสักหน่อยจะได้ดีขึ้น มองการกระทำของลูกชายแล้วอัลเบิร์ตก็แอบขำ เป็นเอามากจริง ๆ

รอบกายวิคเตอร์ในเวลานี้เต็มไปด้วยลูกหลาน ทำให้เขารู้สึกสุขใจไม่น้อย เมื่อก่อนเขาไม่เคยจะฟังคำใคร ทำเรื่องผิดพลาดเอาไว้เสียมากมาย คุณอัญชัน อดีตภรรยาของเขาช่วยให้ได้มองเห็นความเป็นจริง เธอบอกว่าคนอย่างเขาคงได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวหากยังทำตัวแบบที่ผ่าน ๆ มา เขายังโชคดีที่กลับตัวได้ทัน อลันลูกชายคนเล็กที่เกิดกับอดีตภรรยาเช่นคุณอัญชันยอมที่จะเปิดใจให้เขามากขึ้น อเล็กซานเดอร์เองเมื่อมีอัลเบิร์ตอยู่ข้างกายก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและลูกก็ดีขึ้น เข้าใจกันมากขึ้นกว่าเดิม

ชายชราถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของครอบครัวอัลเบิร์ต ซึ่งอีกฝ่ายก็เล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้ม ไม่นานนักอาหารเช้าก็ถูกยกมาวางจนพร้อมสรรพ ทุกคนจึงได้เริ่มจัดการกับอาหารบนโต๊ะ

สายตาทุกคู่ลอบสังเกตสายลมอยู่ตลอด คงมีแต่ตะวันที่นั่งกินไปเงียบ ๆ โดยไม่รู้เรื่องกับคนอื่นเขา เมื่อต่างพากันคอยสังเกตอาการ แม้สายลมจะทำไม่สนใจเพราะคงรู้ตัวว่าถูกจับจ้อง แต่ก็มีเผลอมองเจ้าตัวเล็กบ้างจนทั้งโต๊ะแอบยิ้มแล้วพยักพเยิดกัน

สายลมรู้ตัวว่าทุกคนกำลังจับจ้องเขา คงคิดว่าเขาเล็งเจ้าตัวเล็กนี่มาดามใจ เขาไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิด เพราะจะบอกใครได้ว่าเขาคิดว่ารูสกับเจ้าตะวันน้อยนี่เป็นคนเดียวกัน ในเมื่อไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิดนอกจากความรู้สึกของเขาที่ว่ามันใช่ คงไม่มีอะไรมายืนยันกับทุกคนได้ ใช้เรื่องลี้ลับมาบอกก็คงดูตลก ปล่อยให้คิดกันแบบนั้นไปก็ดีแล้ว จะได้สบายใจว่าเขาไม่จมอยู่กับอดีตจนเดินหน้าต่อไปไม่ได้

หลังอาหารคาว ตะวันน้อยก็ลุกไปเพื่อช่วยคนในครัวจัดของหวาน สายลมตามน้องเข้าครัวมา เห็นกำลังจัดแจงของใส่ถาดช่วยแม่บ้านอยู่ จึงเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังแล้วเอื้อมมาช่วยหยิบของ เด็กน้อยชะงักเมื่อมีมือใครอีกคนเอื้อมมาหยิบขนมตัดหน้าตนเอง ก่อนหันมามองเจ้าของมือนั้น

“ให้พี่ช่วยไหม... ตะวัน”

เน้นคำว่าตะวันจนน่าหมั่นไส้ เด็กเดินเลี่ยงไปทำอย่างอื่นเมื่อมีคนอาสาจะช่วยทำ สายลมมองตามแล้วยิ้มมุมปาก จัดขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนโต๊ะใส่ถาด กลายเป็นว่าสองหนุ่มนี่มาแย่งงานในครัวทำเสียอย่างนั้น

เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้วสายลมจึงเรียกแม่บ้านให้ยกถาดออกไปที่สวน เจ้าตัวเล็กจะตามออกไปด้วย เขาก็เข้าไปขวางไว้ ทำให้เด็กเงยขึ้นมามองตาคว่ำ

“จะเป็นตะวันไปอีกนานแค่ไหนกัน รูส?”

‘ไม่เห็นรู้เรื่อง’ เด็กขยับปากขมุบขมิบ

“หมั่นไส้”

ว่าแล้วก็บีบจมูกเด็กหัวดื้อ เจ้าตัวเขาดึงมือออกทั้งทำเสียงในลำคอประท้วง

“ก็ได้ อยากเป็นตะวันก็ได้ เล่นสนุกพอเมื่อไรก็บอกด้วยล่ะ” สายลมว่า จะยอมเล่นไปตามเกมให้ก็ได้ เจ้าดื้อ

‘ไม่ได้อยากเป็น แต่เป็นอยู่แล้วต่างหาก’

“เถียงคำไม่ตกฟาก” เขกหัวเด็กด้วยความมันเขี้ยวเหลือจะรับ ก่อนจะคว้ามือแล้วพาเดินออกไปด้วยกัน

สายตาทุกคู่ในศาลาสีขาวมองมาเมื่อทั้งคู่เดินพ้นตัวตึก ก่อนจะส่ายหน้ากับการออกตัวแรงของไอ้หนุ่มผมยาว


......


สายลมเลือกปิดตาข้างหนึ่งเพื่อเชื่อในสิ่งที่ตนเองอยากเชื่อ การวางตัวในฐานะพี่ชายคนรองของบ้านกับน้องตะวันตัวน้อยดูจะลำบากสักหน่อยสำหรับเขา ในเมื่อใจมันคิดไปแล้วว่าเด็กคนนี้คือรูส แล้วจะให้เขาทำนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรได้หรือ

เจ้าตัวเล็กก็คอยแต่จะปฏิเสธทุกทีว่าไม่ใช่ หนีได้ก็หนี ด้วยความที่เป็นเด็กในอุปการะของบิดาทำให้สายลมไม่สามารถทำอะไรได้ถนัด แล้วแบบนี้จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาเชื่อมั่นมันคือความจริงหรือเพียงหลงเพ้อ

“จะกลับเกาะเหรอ สายลม?”

อัลเบิร์ตทวนถามเมื่อลูกชายมาบอกว่าจะกลับเกาะศิลาแล้วในวันหนึ่ง รู้สึกใจหายเหมือนกันที่จะไม่ได้เห็นหน้าลูกทุกวัน อเล็กซานเดอร์ชอบว่าเขาติดลูก แต่จะทำอย่างไรได้ ก็มีกันอยู่แค่นี้

“ครับ ผมมาก็นานแล้ว คงต้องกลับไปสักที”

“อยู่ที่นี่ไม่มีความสุขหรือไง?”

สายลมอมยิ้มเมื่อบิดาแกล้งพ้อ “อยู่กับพ่อ ผมมีความสุขเสมอครับ มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าผมเป็นเด็กกำพร้าธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับเกาะศิลา และ... ไม่ได้ผูกพันกับใครที่เกาะแห่งนั้น”

“พูดนิดเดียว ตอบกลับมาซะเยอะ” อัลเบิร์ตหัวเราะ “เอาเถอะ พ่อไม่ห้ามหรอก ถ้าทำอะไรแล้วลมสบายใจ พ่อก็สนับสนุน แต่ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ไหวก็กลับมา บ้านหลังนี้ยังยินดีให้ลูกกลับมาพักพิงจนหายเหนื่อย”

สายลมขอบคุณบิดาทั้งสอง ก่อนปรายมองตะวันน้อยที่นั่งตัวลีบร่วมวงสนทนา มุมปากหยักยกยิ้มก่อนเบือนมาหาบิดาตนแล้วเอ่ยขึ้น

“พ่อจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผม... อยากพาน้องไปเที่ยวที่เกาะด้วย”

อัลเบิร์ตเลิกคิ้ว นึกอย่างไรมาชวนเด็กในอุปการะของเขาไปเที่ยวเกาะ ใช่ว่าจะไม่สังเกต พักหลังมานี้ตั้งแต่ได้ทำความรู้จักกับตะวัน สายลมดูจะสดชื่นขึ้น รอยยิ้มที่เคยยิ้มเพียงปากก็กลับดูไม่ฝืนอย่างเคย เขาเลี้ยงสายลมมา ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกกำลังให้ความสนใจกับตะวันตัวน้อย แต่ดูเหมือนเด็กมันจะไม่เล่นด้วยเท่าที่ควรนี่สิ

เมื่อหันมามองเด็กผู้เป็นหัวข้อสนทนา เจ้าหนูทำตาโตแล้วส่ายหน้าหวือให้รู้ว่าไม่อยากไป รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ก่อนหันมาทางลูกชายที่ขึงตาทำหน้าดุน้อง

“เรื่องนี้คงต้องถามความสมัครใจของน้องเอง พ่อแล้วแต่ตะวัน”

คำพูดของอัลเบิร์ตทำให้ทุกสายตาหันมามองเด็กน้อยคนเดียวในที่นั้น เด็กมันอึกอัก รู้สึกกดดันเมื่อถูกโยนมาให้ตัดสินใจ

“ว่าไง ตะวัน?” สายลมกระตุ้นถาม

เจ้าหนูอยากจะปฏิเสธ แต่ก่อนจะทันได้ทำเช่นนั้น เซย์ก็แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นท่าว่าพี่ชายตนกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“ไปไหมตะวัน ถ้ากลัวสายลมกัด เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน น่าสนุกออกนะ ไปเที่ยวทะเลกัน”

คนพูดยิ้มเยือน พยักหน้าให้น้องน้อยตอบรับคำชวน นั่นทำให้คนถูกชวนแกมบังคับลำบากใจยิ่งกว่าเดิม ว่าจะปฏิเสธออกไปแล้ว แต่เซย์มาพูดแบบนี้ ทำให้ปฏิเสธลำบากเข้าไปอีก

“อย่ากดดันน้อง” อัลเบิร์ตดุพ่อหนุ่มนัยน์ตาฟ้า คนถูกดุกลอกตาไม่รู้ไม่ชี้ “อาแล้วแต่ตะวันนะ ไม่อยากไปก็บอก ไม่ต้องกลัวหรอก ใครจะทำอะไรตะวันบอกอา อาจะจัดการให้”

สองพี่น้องหันมองหน้ากันเมื่ออัลเบิร์ตพูดกับเด็กมันแบบนั้น เอาแล้วไง มีคนหนุนเต็มประตูอย่างนี้ท่าจะยากเสียแล้วสิ

เด็กหันมาทางสายลมที่รอฟังคำตอบ หัวกลมส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธ ไม่ยอมไปกับเขาแน่นอน

“ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากให้เธอไปเปิดหูเปิดตา อยู่แต่ในเมือง ไม่ได้เจอธรรมชาติสวย ๆ กับเขา...” ถึงจะผิดหวังหน่อย ๆ แต่สายลมก็เลือกจะกลบเกลื่อนไปเช่นนั้น “พรุ่งนี้ ถ้าเปลี่ยนใจก็บอก”

สายลมยังเปิดทางเผื่อมีหวัง แต่เจ้าหนูนั่นกลับส่ายหน้าอีกทำให้เขากัดฟัน ก่อนจะชะงักเมื่อบิดามองมา สีหน้าเหมือนจะกินหัวน้องจึงเปลี่ยนมายิ้มให้บิดาเหมือนไม่มีอะไร แต่พอหันมาสบตากับเซย์ก็ต่างพากันทำหน้าพิกล

นี่มันอัลเบิร์ต คาร์ล หรือ จงอางหวงไข่ ดุจริงครับ คุณพ่อ!



“งานนี้ไม่ง่าย”

เซย์เอ่ยขึ้นเมื่อได้อยู่กับผู้เป็นพี่ตามลำพัง สายลมกำลังเก็บของ ข้าวของก็ไม่มีอะไรมาก มีของใช้ประจำตัวไม่กี่อย่าง แล้วก็กล่องไม้ของรูสที่นำติดตัวมาด้วย เลยไม่อยากให้ใครมายุ่มย่าม

“อาอัลหวงเบบี๋ตะวันเหมือนเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ ในขณะที่พี่เป็นเด็กข้างบ้านที่จะมาจีบลูกเขา” นี่ก็เปรียบเทียบเสียเห็นภาพ “แล้วนี่พี่จะเอาไงต่อ จะยอมแพ้กลับไปนั่งเลียแผลใจที่เกาะ?”

สายลมปรายมอง บางทีเขาก็เกลียดเซย์ อย่างที่เคยบอกว่าเซย์ไม่น่าโตเลย ตอนนี้เขาก็ยังยืนยันคำเดิม

“สายลม ผมรู้ว่ามันคงทำใจลำบากกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เด็กคนนั้นไม่อยู่แล้วนะ” เซย์ตัดสินใจพูดในสิ่งที่รู้ดีว่าจะกระทบใจผู้เป็นพี่ “ถ้าตะวันจะทำให้พี่เดินหน้าต่อได้ ผมก็ไม่อยากให้พี่ถอดใจแล้วกลับไปจมอยู่กับความทุกข์อีก”

“ใครว่าฉันจะถอดใจ?” สายลมย้อนถาม

“อ้าว” คนเป็นห่วงถึงกับงง ไม่ได้คิดถอดใจ แต่กำลังจะกลับเกาะศิลาไปไม่ใช่หรือ?

“เรื่องนี้นายคนเดียวอาจลำบากหน่อย” สายลมว่า ขณะที่คนเป็นน้องยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาคิด “ฉันต้องการให้แด๊ดช่วย”

“แด๊ดนี่นะ?”

เซย์ทวนถาม จะให้แด๊ดช่วยอะไร ในเมื่อเด็กอยู่ในความดูแลของอาอัลเบิร์ต แด๊ดหรือจะกล้าหือ แต่มองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนเป็นพี่แล้วเซย์ก็ต้องคิดใหม่ บางทีสายลมอาจมีแผนการดี ๆ ก็เป็นได้


......


วันออกเดินทาง สายลมให้เครื่องส่วนตัวของเฟอร์ริงตันไปส่งแทนการโดยสารเครื่องบินเที่ยวปรกติของสนามบิน อัลเบิร์ตมาส่งลูกยังสนามบินที่จอดเครื่องส่วนตัวของเฟอร์ริงตัน โดยมีอเล็กซานเดอร์กับเซย์และตะวันน้อยตามมาด้วย

“เดินทางปลอดภัยนะ ลม มีโอกาสพ่ออาจจะไปเยี่ยมที่โน่น... พร้อมตะวัน”

บิดาของเขาก็ช่างรู้ใจ สายตาคมเหล่มองเด็กในหัวข้อสนทนา เจ้าแมวน้อยมันมองไปรอบ ๆ โดยไม่ได้หันมาสนใจเขาแม้แต่น้อย

“เขาจะอยากไปเหรอครับ?” สายลมว่า สายตายังคงมองลูกแมวไม่ละไปไหน ไม่หันมามองเขาบ้างก็ให้มันรู้ไปสิ

อัลเบิร์ตหัวเราะในลำคอ สายลมเป็นคนตรง รู้สึกอย่างไรก็ไม่เคยแสร้งทำเป็นอย่างอื่น เขาในฐานะพ่อ เมื่อลูกมีความสุขก็รู้สึกยินดี แต่เมื่อลูกทุกข์ใจ เขาก็คงเป็นสุขไม่ได้ หากตะวันดวงน้อยดวงนี้จะทำให้สายลมกลับมาเป็นสายลมคนเดิม และกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คงดีไม่น้อย เขาไม่ห้ามหวงหากลูกจะมีคนรัก ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ขอให้คนคนนั้นรักลูกของเขาด้วยใจจริงและจะอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับอะไรในภายภาคหน้าก็จะไม่ทิ้งกันไปไหน เท่านี้เป็นพอ

“ผมไปนะครับ พ่อ เพราะกว่าจะถึงเกาะคงใช้เวลานานทีเดียว” สายลมละสายตาจากแมวน้อยมาหาบิดาตน เอ่ยลาพร้อมยกมือไหว้

“โชคดี”

กายสูงใหญ่ขยับเข้ามากอดบิดาทั้งสอง ก่อนที่จะผละออกมายิ้มให้กัน เมื่อหันมาทางน้องชาย สายลมก็เอื้อมไปตบบ่าน้องแล้วต่างก็ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ก่อนสายตาจะมาหยุดที่ตะวัน

สายลมมองจ้อง ทำให้เด็กมันไม่รู้จะหันหนีไปที่ไหน เมื่อสายตาคมบังคับให้ต้องเงยมอง ตากลมจึงช้อนขึ้นมองพี่ชายตัวโต

“ฉันจะไปแล้วนะ”

“......” เด็กน้อยพยักหน้ารับรู้

“ไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอ?” สายลมแกล้งถามอีกรอบ เจ้าตัวเล็กก็ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ

“โอเค...” เขาว่าง่าย

เด็กมันเอียงคอเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของเขา มือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงในท่าสบาย ๆ ค่อยลดลงข้างตัว ตาคมกลอกมองสูงทำให้เด็กมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะร้องในลำคอด้วยความตกใจเมื่อสายลมย่อกายลงแล้วช้อนอุ้ม แขนเรียวผวาเกี่ยวต้นคอเขากันตก

“คิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ เหรอ?” สายลมยิ้มเจ้าเล่ห์ มองตากลมที่กะพริบปริบ ท่าทางสติสตังจะยังกลับมาไม่ครบถ้วนดี

“ขอยืมตัวสักพักนะครับ พ่อ” ตัดสินใจเองเสร็จสรรพ เมื่อเอ่ยขอแล้วสายลมก็พาเด็กในอ้อมแขนออกเดิน ไม่รอฟังคำอนุญาตจากบิดาเลยสักนิด

อัลเบิร์ตมุ่นคิ้ว มองตะวันน้อยที่มองข้ามไหล่สายลมมาขอความช่วยเหลือแล้วเอ่ยเรียกลูกชายตน

“สายลม…”

“ไม่ต้องห่วงครับ จะดูแลให้อย่างดี” สายลมเอ่ยแทรกก่อนที่บิดาจะทันได้พูดทักท้วงอะไรออกมา

“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น... อุ๊บ!”

อเล็กซานเดอร์รั้งตัวคนรักมาชิดพร้อมยกมือปิดปากไม่ให้ขัดขวางลูกชาย อัลเบิร์ตได้แต่ร้องอู้อี้ พยายามจะแกะมือหนานั้นออกแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน ศอกแข็ง ๆ จึงกระทุ้งกลับไปด้านหลัง อเล็กซานเดอร์ตัวงอด้วยความจุกแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งยังโอบเอวอัลเบิร์ตมาชิดมากขึ้นเพื่อไม่ให้มีพื้นที่ว่างระหว่างกันมากพอให้อีกฝ่ายได้ประทุษร้าย

“ขึ้นเครื่องไปเลย ทางนี้แด๊ดจัดการให้” อเล็กซานเดอร์พยักพเยิดกับลูกชายคนรอง เพราะเห็นท่าว่าตนจะทานแรงอัลเบิร์ตไม่อยู่แล้ว

อัลเบิร์ตได้แต่ประท้วงในลำคอ เหลือบไปมองเซย์อย่างขอความช่วยเหลือแต่ก็ดูจะไร้ประโยชน์ เมื่อเจ้าลูกชายคนเล็กก็เป็นพวกเดียวกันกับสายลมและอเล็กซานเดอร์ พยายามจะช่วยคนอื่นแต่เขายังเอาตัวไม่รอดเลยเวลานี้ สามพ่อลูกนี่เล่นอะไรกันไม่รู้ เผด็จการพอกันทุกคน แม้แต่สายลมก็เป็นไปกับเขาด้วย อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ถามความสมัครใจเด็กมันเลยสักนิด บ้าจริง!

ทางด้านเจ้าแมวน้อยที่ถูกอุ้มขึ้นมาบนเครื่องบินก็ไม่อยู่นิ่ง เมื่อสายลมวางร่างน้อยลงบนเบาะก็ใช้มือดันพนักพิงเพื่อกักบริเวณเด็กฤทธิ์เยอะไว้ ขณะที่เครื่องค่อยทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาต่อมา

“แย่ล่ะ กัปตันนำเครื่องขึ้นบินแล้ว เด็กแถวนี้จะหนีไปได้ยังไงกันนะ?” สายลมแกล้งว่า เผยยิ้มอย่างเป็นต่อ

หน้าตาเด็กมุ่นมุ่ยเมื่อเห็นว่าถูกยิ้มเย้ย มือเรียวยกขึ้นตีแก้มสายลมดังเพียะแบบไม่บอกไม่กล่าว มันไม่ได้เจ็บมากมายอะไร แต่ก็แสบ ๆ คัน ๆ ไม่น้อยเลย

สายลมลูบแก้มตนเองเบา ๆ ก่อนแยกเขี้ยวขู่ แต่เด็กมันไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเขาแล้ว มองตากลมที่มีแววดื้อรั้น สายลมก็ปล่อยความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดกับเด็กตรงหน้าด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ถ้ายังยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่รูส ก็ช่วยพิสูจน์ให้ฉันเห็นทีว่ามันไม่ใช่ แค่ไปที่เกาะนั่นกับฉัน ฉันจะยอมรับความจริงทุกอย่างและเลิกตอแยเธอ ถ้าฉันแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ใช่รูสจริง ๆ”

การเดิมพันครั้งนี้เขาคิดเพียงว่าต้องเป็นฝ่ายชนะ โดยไม่ได้เผื่อใจว่าถ้าหากตะวันคือตะวัน ถ้าหากตะวันไม่ใช่รูส เขาจะทำเช่นไรต่อไปดี




TBC




ขอบคุณทั้งสองท่านนะคะ บวกค่ะ  :L2:

ปล. ขอบคุณคุณ  O-RA DUNGPRANG ค่ะที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้  :กอด1:

อ้างถึง
จริง ๆ เรื่องนี้เคยลงไปจนจบครั้งหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความที่ถูกติงมาว่ามันแฟนตาซีเว่อร์วังอลังการดาวล้านดวงจนพาเขาออกทะเลไปไกลมาก เลยหันกลับมามอง และก็เห็นจริงตามนั้น เลยลบไปเพื่อทำการรีไรท์ ลดความแฟนตาซีลง

แต่จนกระทั่งผ่านมา 4 ปี ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะมันแฟนตาซีมาตั้งแต่รูสถูกยิงทะลุกลางอกแถมจมอยู่ใต้ทะเลแต่ไม่ตายกระทั่งมีลูห์โผล่มาแล้ว เลยรีฯไม่ได้สักที จน 4 ปีผ่านไป ก็ได้มาลงเล้าอีกครั้ง

เนื้อหายังไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ยังคงเป็นอันเดิม เพิ่มเติมคือเกลาสำนวนใหม่ มีตัดบางฉาก ปรับบางฉาก และเพิ่มบางจุด แต่โดยรวมก็ยังไม่ต่างจากเดิมนัก

ต้องขอบคุณจริง ๆ นะคะ เรารู้นักอ่านบางท่านตามเรื่องนี้อยู่เงียบ ๆ ก็มี เราจะลงเรื่องนี้ไปจนจบแน่นอน ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
  :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๘ เงาตะวัน // ๒.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 03-09-2018 01:00:45
เอาเป็นว่าถ้าตะวันไม่ใช่รูสก็ไม่เป็นไรแค่ให้สายลมรักตะวันที่เป็นตะวันก็พอแล้วอย่ามองเด็กน้อยเป็นตัวแทนของใครเลย
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๘ เงาตะวัน // ๒.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 03-09-2018 18:40:45

สายลม ไม่จำเป็นต้องลืมรูส
ขอแค่ให้รับรู้ว่านี่คือ "ตะวัน"

ไม่อย่างนั้น คนที่ต้องเจ็บปวดและเสียใจ
ไม่ได้มีแค่สายลม
 
เป็นกำลังใจให้ตะวัน

ขอบคุณคุณ wanmai
 :L2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 04-09-2018 10:48:53

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก



สายลมพาเด็กมาที่กระท่อมริมเล เมื่อเครื่องลงจอด ณ เกาะศิลา เจ้าตัวเล็กมองกระท่อมหลังน้อยตรงหน้าอย่างสำรวจตรวจตรา สัมผัสอุ่น ๆ ที่ขาทำให้สะดุ้ง ค่อยหันไปมองที่มาก่อนกระโดดไปเกาะแขนสายลม เมื่อเห็นสิงโตตัวใหญ่ยืนอยู่ข้างกายในระยะประชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจมันขนาดนี้ ตากลมช้อนมองทั้งเขย่าแขนแกร่ง พลางชี้นิ้วไปเพื่อบอกให้ดูว่ามีสิงโตตัวใหญ่อยู่ตรงนั้น แต่อีกคนกลับยิ้มเฉย

“ลูห์ไง จำไม่ได้เหรอ?”

ตะวันน้อยทำหน้างง มองสิงโตตัวใหญ่ด้วยท่าทีหวาดหวั่น ทั้งตั้งท่าจะวิ่งหนีแต่กลับถูกมือใหญ่จับยึดไว้ ได้แต่ดิ้นกระแด่ว ก่อนจะปลิวไปตามแรงรั้งของคนตัวโตที่พาขึ้นกระท่อมไป

“ของสำคัญของเธอ”

กล่องสมบัติของรูสถูกนำออกมาจากกระเป๋าเพื่อส่งให้ตะวันน้อยที่ยืนมึนอยู่กลางห้องนอนจนคนมองทดท้อ ช่วยทำเหมือนว่าคุ้นเคยกับห้องนี้สักหน่อยเถอะ แค่นิดเดียวก็ยังดี

ตากลมมองกล่องไม้นั่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกำมือแล้วเบี่ยงไปหลบด้านหลัง ไม่ยอมรับมันมาดูแต่อย่างใด เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็พาลห่อเหี่ยว

“แค่รับมันไป ยากนักเหรอ?”

“......” เหลือบมองคนเอ่ยพ้อ ก่อนหลุบสายตาลงเมื่อไม่อาจทานความรวดร้าวในแววตาคู่นั้นได้

สายลมพยักหน้าช้า ๆ กล่องไม้ในมือถูกนำไปเก็บที่เดิม บางทีเขาอาจใจร้อนไป น่าจะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตนเอง ก่อนหันกลับมาทางเด็กด้านหลัง

“วันนี้ยังไม่ยอมรับไม่เป็นไร แต่ต่อไปเธอต้องยอมรับมันแน่ ตัวตนของเธอ เธอไม่มีทางหนีมันพ้น”

มองสบสายตาคมแล้วตะวันก็เบือนหนี คนอะไรพูดไม่รู้ฟัง บอกไม่ใช่ยังไม่ยอมเชื่อ เอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้นกัน

สายลมให้เด็กไปอาบน้ำให้สดชื่นหลังจากการเดินทางหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อนนำเสื้อผ้าของรูสไปให้ผลัดเปลี่ยนแล้วพาไปแนะนำให้รู้จักกับหมอปลายฟ้าและนายลามุ ทั้งสองคนข้างต้นดูจะแปลกใจที่เขาพาเด็กแปลกหน้ากลับมาด้วย แต่ก็ยังมีพ่อเฒ่าอาจีฟที่ดูเหมือนจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าใครจะไปใครจะมาบนเกาะศิลาแห่งนี้

เขาพาตะวันน้อยแวะไปหาพ่อเฒ่าที่บ้าน เมื่อไปถึง พ่อเฒ่าก็เรียกเด็กไปคุยด้านในเป็นการส่วนตัว สายลมไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันบ้าง เพราะหลังจากกลับออกมา เจ้าตัวเล็กก็ดูจะคลายกังวลลงจากเดิมมาก เพราะตอนบังคับให้มาด้วยนี่หน้าคว่ำเชียว คิ้วขมวดจนเขาอยากช่วยแกะปมมันออกให้

“เอ็งเป็นน้องชายรูสเหรอ?”

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาข้างตัว ตะวันที่ออกมานั่งรอสายลมอยู่หน้าบ้านพ่อเฒ่าหันไปมอง ก่อนพยักหน้าให้เด็กผู้ชายท่าทางเฮ้วซ่ากับเพื่อนอีกสามคนที่ดูท่าจะเป็นลูกสมุน

“ข้าชื่อโต เป็นเพื่อนรูสมัน ถ้าเอ็งมีปัญหาอะไรก็บอกพวกข้าได้ ถึงยังไงเอ็งก็เป็นน้องชายของเพื่อนรักข้า” เจ้าโตบอกอย่างใจกว้าง นั่งลงข้างตะวันน้อยด้วยท่าทีเป็นผู้ใหญ่เกินตัว

“ขอบใจ” ตะวันยิ้มบางเมื่อบอกไป สายลมคงบอกทุกคนว่าเขาเป็นน้องชายรูสกระมัง

“ดีนะที่เอ็งพูดได้ ถ้าเอ็งพูดไม่ได้เหมือนรูสตอนแรก ๆ เห็นหน้าเอ็งแล้วพวกข้าต้องคิดถึงมันขึ้นมาอีกแน่” เจ้าโตว่า

ตะวันเหลียวมองรอบกาย เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครนอกจากตนเองและพวกเจ้าโตจึงคลายกังวลที่จะพูดคุยกับเจ้าพวกนี้เป็นปรกติ

“พวกนายเป็นคนช่วยดูแลดอกไม้พวกนั้นใช่ไหม... ที่หลุมศพรูสน่ะ”

“ใช่ พวกข้าอยากทำอะไรให้มันบ้าง แต่ก็ทำได้แค่นั้นเอง” บอกด้วยสีหน้าเศร้า

“แค่นั้นก็ดีมากแล้ว ขอบใจนะ”

“พูดแล้วข้าคิดถึงมันขึ้นมาเลย”

น้ำตาเจ้าโตคลอหน่วย มันแหงนเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหล บรรดาลูกสมุนก็ต่างทำตามกัน เห็นอย่างนั้นแล้วตะวันก็ซึ้งใจกับมิตรภาพที่ทุกคนมีให้รูส เด็กน้อยค้นขนมในย่ามที่สายลมบังคับให้ใช้ ข้าวของทุกอย่างบนร่างกายเขา ทั้งเสื้อผ้าและย่ามใบนี้ก็ของรูสทั้งนั้น ต้องการให้เขาเป็นรูสอย่างจริงจังจริง ๆ

“ฉันมีขนมด้วย กินไหม?”

ขนมถุงใหญ่หน้าตาประหลาดแบบที่พวกเจ้าโตไม่เคยลิ้มรส บนห่อก็มีแต่ภาษาที่พวกมันอ่านไม่ออก แต่นั่นก็น่าลองไม่น้อย พวกมันพยักหน้ารับยิ้มแย้ม ตะวันหัวเราะน้อย ๆ แล้วตบที่นั่งข้างตนเองให้ทุกคนได้นั่งลงแบ่งขนมกินกัน

ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของสายลมโดยตลอด เขาปล่อยให้เจ้าตัวเล็กออกไปนั่งรอระหว่างที่คุยธุระกับพ่อเฒ่าอาจีฟ ไม่นึกว่าออกมาแล้วจะเห็นภาพเช่นนี้ กายสูงใหญ่กอดอกมองแมวน้อยที่ถูกล้อมรอบโดยพวกเจ้าโตเพื่อนรูสแล้วก็ยิ้มอ่อน ช่างเข้ากันได้ไวเหลือเกินนะ แบบนี้จะไม่ให้คิดได้อย่างไรว่าใช่

“นายน้อย”

“อ้าว มีอะไรครับ ลุง?” สายลมหันกลับไปมองตามเสียงเรียก ก่อนเลิกคิ้วพร้อมถามไถ่ลุงหลงที่เดินเข้ามาหาตนเองในบ้านพ่อเฒ่า

“ได้ยินว่านายน้อยพาเด็กแปลกหน้าเข้ามาในเกาะ” ลุงหลงว่าอย่างนั้น

“อ้อ” สายลมทำเสียงรับรู้ก่อนหันไปมองอีกทาง ลุงหลงจึงหันไปมองด้วย

“ผมหาเขาพบแล้ว”

“ใครครับ?”

สายลมยิ้มมุมปากเมื่อเอ่ยตอบ

“รูส”

“รูส?” ท่าทางมึนงงสงสัยของลุงหลงที่ทวนคำเพื่อย้อนถาม ทำให้สายลมต้องขยายความ

“ผมหมายถึงคนที่อยู่กับเราบนเกาะนี้”

“เขาเหรอครับ?” ประหลาดใจนัก เพราะเท่าที่ดู เด็กคนนั้นไม่มีอะไรที่เหมือนรูสเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน

“ผมคิดว่าอย่างนั้น”

ชายสูงวัยยิ้มแปลกเมื่อฟังที่สายลมพูด “อะไรทำให้นายน้อยมั่นใจแบบนั้นครับ เขาบอกเหรอว่าใช่?”

“หึ ไม่เลย ปฏิเสธผมทุกทางด้วยซ้ำ” สายลมปฏิเสธยิ้ม ๆ สายตายังคงมองเด็กที่ตนกำลังเอ่ยถึงอยู่ไม่วาง

“ถ้าอย่างนั้น...”

“ผมเลือกที่จะเชื่อหัวใจตัวเอง”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วลุงหลงก็เผยยิ้มอ่อน เรื่องของหัวใจ คงต้องใช้หัวใจตัดสิน

“ผมเอาใจช่วย”

สายลมหัวเราะในลำคอ มองเจ้าแมวน้อยแล้วย้ำกับตนเองในใจ มันต้องใช่สิ



บนกระท่อมริมเลยามค่ำ เมื่อฟ้ามืดลง ตะเกียงเจ้าพายุจึงถูกจุดให้ความสว่าง สายลมมองเด็กที่กำลังเช็ดจานชามเก็บเข้าที่หลังกินข้าวกันเสร็จไปสักพัก การเช็ดจานดูจะอ้อยอิ่งและใช้เวลานานเกินจำเป็น แต่สายลมก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับไปไหน จนจานใบสุดท้ายถูกคว่ำเก็บ กายสูงใหญ่ก็ขยับลุก เสียงขยับตัวทำให้เจ้าตัวเล็กสะดุ้ง เผลอถอยไปชิดราวระเบียงในท่าประหลาดแล้วมองเขาตาโต

“ตกใจอะไร?”

คำถามนั้นทำให้ตากลมกะพริบปริบ มือที่จับระเบียงค่อยลดลง เปลี่ยนมานั่งทับขาตัวตรงอยู่มุมนั้นราวระวังภัย เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็ยิ้มขัน ค่อยก้าวเข้าไปหาแล้วนั่งพักเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้า

“ง่วงรึยัง?”

ใบหน้าเรียวรีบส่ายหวือเป็นการปฏิเสธ แต่เมื่อถูกจับจ้องจึงหยุดการกระทำนั้นลงแล้วเบือนสายตาไปทางอื่น

มือหนาเชยคางเด็กที่เฉหลบสายตาให้หันกลับมามอง “แต่ฉันง่วงแล้ว”

‘ง่วง... ง่วงก็ไปนอนสิ’

ดวงตาคมหลุบมองริมฝีปากรูปกระจับที่ขยับพูด พลางว่า “ยังหรอก รอเธออยู่”

เจ้าตัวเล็กเม้มปากเมื่อรู้สึกว่าถูกรุกคืบมากไป แต่เพียงขยับปากจะตอบโต้ ริมฝีปากร้อนก็ฉกวูบลงมา เพียงสัมผัสแผ่ว มือก็ยกขึ้นดันอกอีกคนโดยอัตโนมัติ ขณะที่ฝ่ายนั้นก็ยึดแผ่นหลังเขาเอาไว้ไวพอกัน เมื่อกดจูบลงมาแล้วเบียดบดช้า ๆ แต่หนักหน่วง

เล็บมนกางจิกอกแกร่งเมื่อลิ้นร้อนโรมรันจนหัวหมุน ด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าทุกทางทำให้เด็กน้อยปล่อยใจให้ตักตวงความหวานตามต้องการ สมองเริ่มเบลอเมื่อรสจูบมันร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยพบเจอ เรียวลิ้นที่กวาดไล้ทั้งรวบดูดราวเจอของถูกใจทำให้ร่างน้อยสั่นสะท้าน ได้แต่ยินยอมพร้อมใจไปกับทุกการนำพา

เสียงแมลงกลางคืนแข่งกันร้องคงไม่ดังเท่าหัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ในอก เมื่ออีกคนถอนจูบ ตะวันน้อยก็เฉหลบสายตาร้อนแรงที่ฉายแววต้องการอย่างชัดเจน ริมฝีปากที่ร้อนดังไฟเผายังคลอเคลียข้างแก้ม เด็กน้อยหลับตาแน่นเมื่อมันลากไล้มาข้างหู ก่อนอ้างับเบา ๆ พาให้ขนอ่อนแข่งกันลุกเกรียวไปหมด

และก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ใบหน้าคร้ามคมก็ลดลงมาซุกซบซอกคอขาว แขนแกร่งกอดรัดร่างแบบบางจนจะจมไปกับอกตน นิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นนานกว่าลมหายใจแสนหนักหน่วงจะผ่อนเบาลงจนเกือบเป็นปรกติ

“ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครเลยนะ ไอ้ดื้อ” สายลมพรูลมหายใจยาว ข่มกลั้นอารมณ์สุดกำลังแล้วเวลานี้

ร่างในอ้อมแขนยังนิ่งให้กอดอยู่เช่นนั้นโดยไร้อาการขัดขืนใด ผ่านไปพักหนึ่ง สายลมจึงคลายอ้อมแขน กายสูงใหญ่ขยับลุกขึ้นยืน ก่อนบอกเด็กที่นั่งเงยมองตนเองอยู่พร้อมส่งมือไปให้

“ไปนอนเถอะ”

สีหน้าคนถูกชวนออกอาการลังเล แต้ท้ายที่สุดก็ยอมเอื้อมไปจับมือนั้นลุกขึ้น เพียงเท่านั้นก็พอให้ใจสายลมชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อเขารั้งเบา ๆ ก็เดินตามเข้าห้องแต่โดยดี ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เลวนักในค่ำคืนนี้


......


เสียงเล่าลือเรื่องที่สายลมพาเด็กมาบนเกาะลามไปเรื่อย เริ่มมีคนพูดกันว่าจะเหมือนคราวรูสไหมที่นำความวุ่นวายมาให้ คราวนี้พ่อเฒ่าอาจีฟไม่ได้ทำนายทายทัก แต่มันก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะเด็กเป็นคนนอก อาจจะเกิดเหตุซ้ำรอยกันได้

ตะวันที่นั่งเช็ดจานชามอยู่ภายในโรงครัวของวัดเพราะสายลมพามาจากกระท่อมน้อยตั้งแต่เช้าเพื่อช่วยงานวันพระใหญ่ หูเด็กน้อยกระดิกเมื่อฟังคำนินทาว่าร้ายทั้งที่อยู่ในวัดในวาก็ยังไม่มีใครสงบปากสงบคำ พอมีคนเริ่มก็ชักจะลามกันไปใหญ่จนเด็กน้อยผู้ถูกยกมาเป็นหัวข้อนินทากาเลต้องข่มใจตนเองเอาไว้จนสุดกำลัง

“นายน้อยนี่ก็ยังไง เห็นว่าตัวเองใหญ่คับเกาะหรืออย่างไรกัน เดี๋ยวพาคนนั้นมา คนนี้มา ถ้าพวกเราพามาบ้างคงเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วป่านนี้” คุณป้าคนที่หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะจัดดอกไม้ใส่กระจาดสานใบสวย ตะวันว่ามันจะไม่สวยก็เพราะคำพูดคำจาของป้านี่ล่ะ

“เพราะนายน้อยไม่รักษากฎที่ตั้งกันมาถึงได้ถูกพี่ชายอย่างหมอปลายฟ้าช่วงชิงอำนาจในมือไปไง” อีกคนในกลุ่มคันปากยิบ ๆ ซุบซิบเสริมขึ้นมา แต่ก็ยังคงดังพอให้คนได้ยินไปสามวาสองศอก

“ถ้าอย่างนั้นที่ทำเป็นว่าร่วมมือกันทำให้นายท่านทั้งสองเลิกรบราฆ่าฟันก็ไม่ใช่น่ะสิ?” มีผู้ตั้งข้อสังเกต หรือที่จริงแล้วเริ่มเปิดประเด็นใหม่ให้ได้พูดกันสนุกปากมากขึ้น

“แค่อยากรักษาหน้าเท่านั้นแหละ” ป้าที่เริ่มหัวข้อบิดปากเยาะหยัน

“ที่ซมซานกลับมานี่คงหมดหนทางไปน่ะสิ อำนาจมันจะเข้าใครออกใคร อีกหน่อยคงไม่พ้นฆ่าฟันกันเองอีก...”

โครม!!

“ว้าย!!”

วงนินทาแตกกระเจิงเมื่อกระจาดดอกไม้ที่กำลังพากันจัดถูกคว่ำไม่เป็นท่าจากฝีมือบุคคลปริศนา เมื่อหันมามองเห็นว่าเป็นเจ้าเด็กต่างถิ่นยืนจ้องพวกตนเขม็ง บรรดาป้าปากมากก็ดูอิหลักอิเหลื่อ พูดกันเสียใกล้หูเด็กมันขนาดนี้ มันคงไม่ได้ยินหรอกกระมัง!


สายลมที่ช่วยเด็กในวัดจัดที่ทางบนศาลาการเปรียญเสร็จก็เดินตรวจความเรียบร้อยตามทางไปโรงครัว ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาก็ชักเอะใจว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับตะวันหรือไม่ ยิ่งเห็นกลุ่มคนมุงอยู่หน้าโรงครัว ขายาวยิ่งรีบจ้ำไปหา ก่อนจะชะลอฝีเท้าเมื่อเห็นไอ้กั้งวิ่งหน้าตั้งมารายงาน

“ไอ้หนูนั่นก่อเรื่องแล้ว นายน้อย มันจะตีกับป้าปากตลาดกลางวัดแล้ว!”

ได้ยินดังนั้นแล้วสายลมก็ไม่รอช้า รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ ตัวบาง ๆ นั้นถูกรุมล้อมโดยบรรดาแม่ป้าตัวอวบอ้วน สายลมแทรกศิลามุงเข้าไปดึงเด็กซ่าออกมาจากวงล้อม เมื่อทุกคนเห็นว่านายน้อยมา เสียงด่าโขมงโฉงเฉงที่ดังไกลไปถึงกุฏิพระก็หยุดลง ก่อนจะรีบฟ้องกันใหญ่

“นายน้อยต้องจัดการคนของนายน้อยให้พวกเรานะ ไม่รู้จักสั่งสอนกันซะบ้างถึงได้เป็นเด็กก้าวร้าวแบบนี้”

สายตาเหยียดหยันมองมายังเด็กที่สายลมจับตัวไว้ เด็กขึงตาใส่ก็พากันร้องวี้ดว้ายทั้งชี้ให้สายลมดู สายลมมองเลยคู่กรณีของตะวันไปทางเหล่าคนที่มามุงดูกัน ก่อนจะเบือนกลับมาแล้วเอ่ยถามไถ่เพื่อตัดสินปัญหา

“ใครจะช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผมฟังได้บ้าง?”

บรรดาคุณป้าทั้งหลายมองหน้ากัน ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้สายลมฟังเป็นคุ้งเป็นแควจนเหล่าคนมุงพากันส่ายหน้า เพราะที่เล่ามานั่นมันโยนความผิดให้เด็กล้วน ๆ ขณะที่ฟังคำพูดของคู่กรณี สายลมก็มองตะวันน้อยอยู่ตลอด เด็กมันมีสีหน้าเดิมคือบึ้งตึง ไม่ได้แย้งที่ป้ามหาภัยพูดสักแอะ มือที่ถือเป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารได้ดีที่สุดก็ถูกสอดไขว้กันเพื่อกอดอกเอาไว้เสียอย่างนั้น

“สรุปแล้ว... ที่ข้าวของถวายพระกระจุยกระจายอยู่นี่ เพราะฝีมือตะวัน?” สายลมสรุปความเมื่อคุณป้ามหาภัยเล่าจบ

“ก็ใช่น่ะสิ เด็กอะไรพ่อแม่ไม่สั่งสอน”

ตะวันคอแข็ง ตวัดมองคนพูด ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบหลบหลังให้สายลมออกหน้า ตากลมที่ถลึงมองป้าจึงเบือนมาทางสายลมที่มองจ้องตนเองอยู่ เพื่อรอฟังว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้

“ขอโทษสิ”

สิ้นเสียงสั่ง ดวงตากลมก็เบิกโต เขาหูฝาดไปใช่ไหม แต่สายตาหลายคู่ที่มองตรงมาที่เขาทำให้รู้สึกกดดันจนทำอะไรไม่ถูก เด็กน้อยยืนนิ่ง ตกเป็นจำเลยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วอย่างไม่สามารถโต้แย้งได้ มือเรียวกำชายเสื้อตัวหลวมที่ตนเองสวมใส่แน่น ขยับเท้าไปมาด้วยความอึดอัด แต่กลับไม่ยอมปริปากเอ่ยขอโทษ เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่ผิด

“ตะวัน”

น้ำเสียงเข้มยังเอ่ยเรียกเพื่อกระตุ้นเตือน สายตาคมมองมาที่เขา เด็กน้อยเม้มปาก ก่อนหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่ยอมเอ่ยคำขอโทษตามที่สายลมบอก

สายลมได้แต่มองตามหลังเด็กหัวรั้นด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบที่ดังขึ้นรอบกายทันทีที่เจ้าหนูนั่นวิ่งออกไป

เขากลับมายังกระท่อมหลังจัดการงานที่วัดเสร็จ สิงโตตัวใหญ่ยืนอยู่หน้ากระท่อม ขณะที่ด้านข้างนั้นคือเด็กเจ้าปัญหาที่ก่อเรื่องจนโรงครัววัดแทบแตก

“ถอยไป ลูห์”

เสียงเข้มออกคำสั่งกับสัตว์คู่บารมีของตน แต่มันกลับไม่ยอมทำตาม ยังเอาตัวบังเด็กที่นั่งซุกอยู่ข้างกายเฉยอยู่ ทีอย่างนี้ล่ะไม่กลัวว่าลูห์จะกัดนะ เจ้าตัวแสบ

“บอกให้ถอยไง ลูห์ ไม่ต้องมาปกป้องกัน เด็กดื้อแบบนี้ต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง” เมื่อไม่เห็นว่าลูห์จะขยับไปไหนอย่างที่ตนสั่ง เจ้าของคำสั่งก็ย้ำอีกหน แถมยังเหน็บไปถึงเด็กที่มองมาด้วยแววตาดื้อดึงนั่นด้วย

ร่างน้อยขยับลุก ลูห์เหลียวมามอง อีกคนก็จ้องเขม็ง ขาเรียวก้าวถอยก่อนที่จะหมุนตัวออกวิ่ง คนตัวโตรีบก้าวตามทันทีเช่นกัน ลูห์มองเม็ดทรายที่ฟุ้งจากการวิ่งไล่กันของทั้งสองคนแล้วก็ส่ายหน้าไปมา ส่งเสียงหึหะในลำคอก่อนจะนอนลงตรงนั้น รอสองหนุ่มที่วิ่งไล่กันกลับมา

เพียงไม่นานร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามแดดก็เดินกลับมา บนบ่ากว้างยังแบกเจ้าเด็กดื้อดึงเอาไว้ด้วย เจ้าแมวน้อยดิ้นกระแด่ว ๆ เหมือนปลาขาดน้ำอยู่บนบ่า ลูห์มองแล้วพ่นลมหายใจพรืดก่อนหลับตาลง ไม่สนใจว่านายของมันจะแบกเจ้าตัวเล็กไปทำอะไรกันบนกระท่อมหลังน้อย

ภายในห้องนอนบนกระท่อม ร่างน้อยถูกโยนลงบนฟูก ตะวันพยายามจะดิ้นหนี แต่สายลมก็ทาบทับเอาไว้จนหนีไปไหนไม่ได้ ริมฝีปากหยักเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย้ยเมื่อเอ่ยท้า

“หนีได้หนีไปสิ”

เด็กถลึงตาใส่เมื่อเขาท้าทายไปเช่นนั้น

“กลัวจริง ๆ ไอ้ตากลม”

สายลมบีบจมูกรั้น ตะวันน้อยแยกเขี้ยวก่อนแหวลั่น

“จะเอายังไง ห๊ะ!”

“พูดได้แล้วนี่” ริมฝีปากหยักยิ้มล้อ เลิกคิ้วกวนใจราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเด็กมันต้องพูด

“พอเห็นเราพูดไม่ได้ก็รังแกกันจริง ๆ ผู้ใหญ่ใจร้าย” เมื่อได้พูดแล้วก็เหมือนมันจะหยุดไม่อยู่ ตัดพ้อต่อว่าในสิ่งที่อัดอั้นมานาน

“เด็กก็ใจร้ายเหมือนกันล่ะ มาหลอกกันว่าพูดไม่ได้ เด็กเลี้ยงแกะ” สายลมย้อน

“ไม่ใช่สักหน่อย ปล่อยเลยนะ!”

“เรื่องอะไร นอกจากเป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้วยังดื้อ แถมยังไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่มีมารยาทด้วย”

“โอ๊ย โมโหแล้วนะ!!”

เสียงเจ้าตัวเล็กดังขึ้นเรื่อย ๆ จนลูห์ที่นอนอยู่หน้ากระท่อมต้องผงกหัวขึ้นมาชะเง้อมอง

“แล้วไง แค่ขอโทษคนอื่น มันทำยากนักเหรอ?” สายลมไม่ยี่หระต่อความโกรธของอีกฝ่าย ทั้งยังตั้งท่าจะสอนสั่งเอาอีก

“ทำไม่ยากหรอก แต่ไม่อยากทำ เรื่องอะไรต้องขอโทษ ป้าพวกนั้นมาว่า...”

“ว่าอะไร?” สายลมเอ่ยถามเมื่อเด็กมันชะงักไปไม่พูดต่อ

“ว่าอะไรก็ช่า...”

“ว่าฉันใช่ไหม?”

“......” ตากลมเบือนหนีไปทางอื่น เมื่อสายลมเดาเสียถูกเผง

สายลมยิ้มอ่อน รู้สึกดีไม่น้อยที่เด็กมันห่วงใยความรู้สึกของเขา แต่ที่ทำไปมันก็เกินกว่าเหตุ คนเขาจะมองเป็นเด็กก้าวร้าวเอาได้ ซึ่งเขาไม่อยากให้ใครมองเด็กของเขาแบบนั้น

“ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา เรารู้ตัวเราดีก็พอแล้ว”

“ใจกว้างยิ่งกว่าทะเลที่ล้อมรอบเกาะศิลาอีก” เด็กมันว่า

“ช่างประชดประชัน”

“อย่าบีบได้ไหม คนหายใจไม่ออก” ปัดมือสายลมออกจากจมูก สายลมโรคจิต ชอบบีบจมูก ชิ!

“เถียงฉอด ๆ แบบนี้สมเป็นเธอดี”

“......” พอถูกทักก็เงียบเสียอย่างนั้น

“เงียบทำไมล่ะ?”

“......” ไม่ได้ยิน ไม่รู้ไม่ชี้

สายลมถอนใจ นิ้วใหญ่เกลี่ยปอยผมทัดหูบางเบา ๆ “ทำไมถึงไม่ยอมรับความจริงสักที รูส”

“......”

“เธอคิดว่าฉันจะรู้สึกแบบนี้กับใครที่ไหนก็ได้หมดทุกคนเลยเหรอ?”

“......”

“ต่อให้มันเป็นความรักเหมือนกัน แต่กับคนละคน มันก็ไม่เหมือน”

“เลิกพูดสักที” เจ้าตัวเล็กเอ่ยแทรก “ผมไม่อยากฟัง”

สายลมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เพียงมองลึกลงไปในแววตาของอีกคน บางครั้งตะวันก็เหมือนจะโอนอ่อน เหมือนจะยอมรับว่าใช่ แต่บางครั้งก็ทำเหมือนไม่อยากให้เอ่ยถึง หลายวันมานี้สายลมพยายามไม่เอ่ยถึงเรื่องรูส เพราะดูเหมือนทำแบบนี้แล้วเด็กจะไม่ตีช่องกับเขามากนัก แต่ใช่ว่าเขาจะลืมว่าพามาที่นี่เพราะอะไร

ปล่อยร่างน้อยให้เป็นอิสระแล้วสายลมก็พลิกกายมานอนหงาย ได้แต่เฝ้าถามตนเองว่าทุกสิ่งมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วหรือ ใช่ว่าเขาจะยอมรับเด็กมันในฐานะตะวันไม่ได้ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรขนาดนั้น เพียงแต่เขายังรู้สึกว่าคนที่อยู่ในหัวใจไม่ได้หายไปไหน คนคนนั้นยังอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้าเขา แต่เขากลับต้องทำเป็นมองไม่เห็น จะว่าเขาดื้อดึงจนสุดโต่งก็ไม่ผิด เขาแค่อยากได้ใครคนนั้นกลับมา


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 04-09-2018 10:50:20
ท่าเรือบนเกาะศิลา

ตะวันน้อยยืนถือถังน้ำหน้าบูดอยู่ที่ท่าเทียบเรือ ขณะที่คนอื่นกำลังวุ่นวายกับการเตรียมจะนำเรือออกจากฝั่งเพื่อหาปลากลางทะเลกว้าง เจ้าตัวเล็กก็ได้แต่ยืนเตะเท้าไปมาด้วยความเซ็ง

“ไอ้หนู มาทางนี้”

เจ้ากั้งเดินมาหาแล้วดึงแขนเรียวให้เดินตามตนเองไปอีกทาง ตะวันยิ่งหน้างอ ทำไมต้องให้เขาไปด้วยไม่รู้ ไม่ได้อยากไปสักหน่อย

เมื่อมาถึงจุดขึ้นเรือ เจ้ากั้งก็ให้เด็กมันปีนขึ้นไป กระทั่งใกล้ถึง สายลมก็ก้มลงมาส่งมือให้จับ ตากลมมองมือของสายลมแล้วเงยขึ้นมองหน้าแต่ไม่ยอมจับเสียที จนเจ้ากั้งต้องเอ่ยเร่ง

“เฮ้ย ขึ้นไปเร็ว ๆ สิวะ ไอ้หนู คนอื่นเขารอนะเว้ย”

ตะวันน้อยหันมามองเจ้ากั้ง แยกเขี้ยวใส่มันก่อนจะหันกลับไปจับมือสายลมแล้วปีนขึ้นไปบนเรือ เจ้ากั้งได้แต่เกาหัวแกรก มันทำผิดอะไรวะนี่

เมื่อเรือออกจากท่า ทุกคนบนเรือก็ต่างทำหน้าที่ของตน ตะวันยืนงงไม่รู้จะไปทางไหน มองสายลมที่คุมงานอยู่ก็ได้แต่กลอกตาหน่าย ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับหมอปลายฟ้าที่กวักมือเรียกให้ไปหา เจ้าตัวเล็กจึงได้เดินไปหาคุณหมอหนุ่ม อย่างน้อยก็ดีกว่ายืนงงอยู่คนเดียว

เรือแล่นสู่น่านน้ำกว้างใหญ่ เด็กน้อยเพียงคนเดียวบนเรือนั่งหงอย มองทิวเขาและเกาะแก่งที่โผล่พ้นน้ำมาให้เห็นอยู่ลิบ ๆ แล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่ หมอปลายฟ้าอมยิ้มน้อย ๆ มองเลยเด็กที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ไปยังสายลมที่ก้าวมาหาหลังจัดการอะไรเสร็จ

“ปรกติต้องร่าเริงสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมหงอยแบบนี้ล่ะ?”

ตากลมเหลือบมองสายลมที่นั่งลงข้างกาย ก่อนเบือนกลับไม่ยอมคุยด้วย

“ดื้อจริง ๆ”

มือหนาหนีบแก้มป่อง ทำให้เด็กตวัดสายตามามองตาคว่ำ สายลมหัวเราะในลำคอ โยกศรีษะกลมแล้วลุกออกไป

มองตามแผ่นหลังกว้างแล้วตะวันก็ค่อยชันเข่าขึ้น กอดเข่าวางคางลงเกย เห็นแล้วหมอปลายฟ้าก็สงสาร เด็กมันไม่อยากมา แต่ถูกบังคับให้มา

“ไปดูเขาทำงานกันไหม ใกล้เวลาจับปลาแล้ว”

เจ้าตัวเล็กเงยมองคุณหมอหนุ่ม นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้าแล้วส่งมือให้คุณหมอที่ยื่นมาเพื่อพยุงกายลุกขึ้นยืน

สายลมหันมายิ้มให้เมื่อเห็นตะวันเดินมากับหมอปลายฟ้า แต่เจ้าหนูก็ทำเมินไม่สนใจเขา ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ทำปากบอกว่าดื้อ ก่อนผละไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ

ลูกเรือกำลังเข้าประจำที่ของตนเอง เตรียมจับปลาในอีกไม่ช้าไม่นานนี้ ขณะที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ก็เกิดเสียงคล้ายบางสิ่งร่วงลงสู่พื้นน้ำ พร้อมกับเสียงของลูกเรือที่ดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนก

“นายน้อย!”

ตะวันหันขวับไปตามเสียงโหวกเหวก ร่างเล็กถลามาที่กาบเรือเพื่อชะโงกลงไปมองหาผู้ที่คนบนเรือกำลังส่งเสียงเรียกและหาทางช่วยเหลือ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เสี้ยวนาทีที่หนีหน้า สายลมกลับตกลงไปในทะเลสีครามนั้นเสียแล้ว

เด็กน้อยเดินเลียบไปตามกาบเรือ พยายามมองหาสายลม ใจดวงน้อยสั่นกลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรไป เมื่อหันมองทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อช่วยสายลมขึ้นมาโดยที่ตนเองทำอะไรไม่ได้ กำปั้นเล็กก็ทุบลงบนกาบเรือด้วยความเจ็บใจ

ไม่นานนักเสียงเฮก็ดังขึ้น เมื่อร่างสายลมถูกพาขึ้นมาจนพ้นน้ำ ตะวันจะร้องไห้ วิ่งไปยังจุดที่ทุกคนอยู่ ยืนละล้าละลังเมื่อต่างพากันมะรุมมะตุ้มไม่รู้จะแทรกเข้าไปตรงไหนได้ จนกระทั่งสายลมถูกพาขึ้นเรือมา หมอปลายฟ้าจึงบอกให้วางร่างนั้นลงบนพื้นเรือ พร้อมสั่งให้ทุกคนถอยออกไปให้ห่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท

เจ้ากั้งรั้งแขนเด็กไว้ทั้งสองข้างเมื่อเจ้าตัวเล็กจะถลาเข้าไปหาสายลม ลากตัวมันออกมาแล้วจับแขนไว้ให้มั่น ตะวันจึงทำได้แต่ชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วง ทุกคนบนเรือก็ลุ้นพอกัน เมื่อหมอปลายฟ้าทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นจนสายลมได้สติแล้วสำลักน้ำออกมา ลูกเรือก็ต่างโล่งอกไปตาม ๆ กัน

เพียงร่างสูงใหญ่นั้นขยับลุกขึ้นก็แทบจะหงายลงไปอีกหน เมื่อตะวันสะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุมของเจ้ากั้งแล้วถลามากอด ไหล่เล็กสั่นไหวจากการสะอื้นไห้เพราะความตกอกตกใจที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัว

มือหนาลูบหลังเด็กเสียขวัญพลางปลอบข้างหู “ไม่เป็นไรแล้วนะ ฉันไม่เป็นไร”

น้ำตาเปรอะเปื้อนไหล่หนา สายลมยิ้มบาง ลูบหลังปลอบเด็กน้อยเบา ๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคนบนเรือที่มองไอ้ตัวเล็กซุกตัวกอดนายน้อยของพวกตนเสียกลมดิ๊ก แล้วส่ายหน้ายิ้ม ๆ



ลมกลางคืนพัดมาบนเรือ เสียงลากอวนตาห่างดังแทรกกับเสียงลม ในท้องเรือเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่เมื่อการทำประมงในค่ำคืนนี้สำเร็จลุล่วงไปได้

หลังเหตุการณ์ระทึก ทุกคนก็กลับมาจับปลากันตามปรกติ เจ้าตัวเล็กเกาะกรอบประตูห้องนอนบนเรือมองสายลมที่เดินไปเดินมา เดี๋ยวก็ปีนขึ้นที่สูงเพื่อช่วยลูกเรือทำงาน แล้วก็พาลชะเง้อตามด้วยความเป็นห่วง

จนกระทั่งงานเริ่มเข้าที่เข้าทาง สายลมจึงปล่อยให้ลูกเรือจัดการกันต่อ ส่วนตนเองมาหาเด็กเจ้าน้ำตา รั้งให้เข้าไปในห้องแล้วนั่งลงข้างกัน เด็กชำเลืองมองก่อนเบือนกลับ สองมือกุมกันขณะที่ปลายนิ้วโป้งก็เขี่ยกันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

สายลมยิ้มบางก่อนเอ่ยถาม “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”

“......” เจ้าตัวเล็กนิ่งไปนิด ก่อนพยักหน้า

“กลัวฉันตายเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้ตะวันชะงัก หันมองอย่างไม่พอใจที่มาพูดเรื่องเป็นเรื่องตายแบบนี้ เมื่อมือหนาเอื้อมมารั้งก็ขืนตัวไว้ ครู่หนึ่งจึงยอมเอนไปอิงซบอก

เสียงหัวใจที่ยังเต้น เนื้อตัวที่ยังอุ่น ทำให้รู้ว่าคนที่โอบประคองยังคงมีเลือดเนื้อ มีลมหายใจ แขนเรียวสอดเข้าไปกอดไว้แน่น ปล่อยให้อุ้งมือใหญ่ลูบแผ่นหลังเบา ๆ ราวปลอบประโลม

สายลมกดจูบกลุ่มผมนุ่มย้ำ ๆ กอดร่างผมบางเอาไว้อย่างนั้น ปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวเชื่อมระหว่างกัน

“สายลม...” อยู่ ๆ เด็กในอ้อมแขนก็เอ่ยเรียก

“หือ?” สายลมขานรับ

“รักเขามากเหรอ?”

คิ้วเข้มขมวดกับคำถามแสนเบานั้น “หมายถึงใคร?”

“รูส”

ใจสายลมกระตุกเพียงอีกฝ่ายเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพูดกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เขาถอนใจเบา ก่อนบอก

“มาก”

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนคำถามที่ดูไม่มั่นใจนักจะตามมาอีก

“ลืมเขาไม่ได้เลยเหรอ?”

“ทำไมต้องลืม?”

สายลมย้อนเร็ว ทำให้คนถามเงียบไปอีกครั้ง เงียบจนเขาไม่คิดว่าจะพูดอะไรต่อแล้ว แต่กลับพูดขึ้นมาอีก

“เพราะมันทำให้คุณทุกข์ใจ และเริ่มต้นใหม่กับใครไม่ได้”

“......” เบา แต่เขาก็ยังได้ยิน

ใบหน้าเรียวที่ซุกซบค่อยเงยขึ้นมา แววตาคู่นั้นมองสบเมื่อเอ่ยถาม “คุณมีความสุขไหม เวลาที่คิดถึงเขา?”

ก่อนนี้สายลมคงตอบได้โดยไม่ลังเลว่ามีความสุข แต่เวลานี้มันมีแต่ทุกข์ ทุกภาพจำยิ่งทำให้คิดถึง ยิ่งทำให้โหยหา และเป็นทุกข์เมื่อช่วงเวลาเหล่านั้นมันไม่มีทางย้อนมา

“สายลม...”

“......” สายลมนิ่งมองตากลมที่รื้นไปด้วยน้ำใส มันเอ่อท้นแทบจะหล่นร่วง

“อย่าทำแบบนี้อีกต่อไปเลย ได้โปรด”

จุกไปทั้งอกเมื่อหยดน้ำตาคนตรงหน้ารินไหล ใจสายลมเจ็บร้าวเมื่อปาดเช็ดเท่าไรมันก็ยังไหลลงมาไม่หยุด

“ทำไมล่ะ รูส ทำไมเราถึงกลับมาอยู่ด้วยกันไม่ได้?”

สายลมร้องถาม มันทรมานเหลือเกินกับทุกวันคืนที่ต้องไกลห่าง รู้ว่ายังอยู่ รู้ว่ามีอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เมื่อมาอยู่ใกล้แค่เอื้อมคว้า ทำไมถึงยังแสร้งเป็นคนอื่น ทำไมถึงอยากหนีหายไปอีก

“หรือเพราะเธอไม่เคยรู้สึกอะไรกับฉันเลย?”

“ไม่ ไม่ใช่...”

เจ้าตัวเล็กส่ายหน้ารัว ยอมแพ้อย่างหมดรูป แค่เห็นว่าสายลมจมหายลงไปในทะเล แค่เห็นร่างนั้นนอนนิ่งราวไม่หายใจ เพียงเท่านั้นเหตุผลร้อยแปดที่มีก็มลายหาย

“ถึงฉันจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงเอาแต่ปฏิเสธ แต่ไม่ว่าเธอจะอยากเป็นตะวัน อยากเป็นรูส หรืออยากเป็นใครที่ไหน หรืออยากให้ฉันเชื่อว่าเธอไม่ใช่คนที่ฉันคิด ฉันก็จะเชื่อ...”

“ทำไมถึงไม่ลืมมันไปสักที...” เจ้าตัวเล็กสะอื้นฮัก ยิ่งมืออุ่น ๆ เอื้อมมาเช็ดให้ น้ำตาก็ยิ่งไหลอย่างห้ามไม่อยู่

“......”

“ทำไมไม่เริ่มต้นกับใครคนใหม่ คนที่เขาจะดูแลสายลมได้ดีกว่านี้”

“......”

“คนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและแก่เฒ่าไปพร้อมกัน”

“......”

“คนที่ไม่ใช่ตัวประหลาดเหมือนผม...”

สายลมหยุดทุกคำพูดนั้นด้วยริมฝีปากตน สองมือประคองข้างแก้มนุ่มขณะกดจูบเบา ๆ ปลอบโยนเด็กน้อยที่ยังสะอื้นไห้ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ

“คำตอบ มันก็คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่เธอ... กลับมาหาฉัน”

น้ำตาที่ควรหยุดไหลกลับร่วงผล็อยลงมาอีก กายผอมโผเข้ามากอดแน่น ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น สายลมจูบกระหม่อมบาง หัวใจที่เจ็บร้าวค่อยคลายลง เมื่อได้สิ่งที่ปรารถนากลับคืน

“ขอบคุณที่กลับมา... ไอ้ดื้อ”


......


สวนดอกไม้สีขาวของรูส มันออกดอกสะพรั่งล้อมรอบป้ายไม้สลัก ร่างเล็กก้าวเข้ามาแล้วหยุดยืนมองมัน หยดน้ำตาหล่นร่วงจากความรู้สึกที่มันตื้อขึ้นมาในอก เขามาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะมาหาสักที ลมบางเบาพัดผ่านกาย น้ำตายิ่งรินไหล ราวร่างกายถูกโอบประคองจากความอบอุ่นที่มองไม่เห็น

‘ไม่ต้องเสียใจ’ เสียงที่ดังแว่วทำให้ตะวันน้อยสะอื้นฮัก

“ฉันขอโทษ...”

‘เธอกลับมาช่วยรูส เธอไม่ทิ้งรูส แค่นี้ก็มากพอแล้ว’ เสียงนั้นยังคงดังมาปลอบประโลม

“แต่ฉันอ้างตัวเป็นรูส ฉัน... ลืมรูสไปตั้งหลายปี...”

ความผิดที่มันยังคงคั่งค้างอยู่ภายในใจ แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อภัยให้ตัวเอง เขาใช้ชีวิตในฐานะรูส ในขณะที่รูสต้องทนทุกข์อยู่ในห้องนั้น ต้องเจ็บปวดทรมานและหวาดกลัว แต่เขาก็ลืมเลือน กว่าจะรู้สึกตัว เวลามันก็ผันผ่านล่วงเลยไปนาน

‘แต่เธอก็กลับมา รูสดีใจที่เธอมาช่วย’

อีกคนไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง ตั้งแต่เด็ก รูสรู้สึกมาตลอดว่ามีใครสักคนที่มองไม่เห็นคอยอยู่ใกล้ ๆ ทำให้อุ่นใจเสมอแม้ว่าต้องพบเจอกับอะไร เขาถูกจองจำอยู่ในห้องนั้นเพราะจิตผูกพันกับร่างกาย ใครอีกคนที่คอยวนเวียนอยู่กับเขาหายไปในวันนั้น มันก็จริงที่เขาทั้งหวาดกลัวและเฝ้ารอให้ใครสักคนมาพบ มาช่วยให้เขาออกมาจากที่แห่งนั้น และคนที่เขาเฝ้ารอก็กลับมา ดวงตะวันดวงนี้ถึงมีแสงส่องมาเพียงน้อยนิด แต่ก็ทำให้เขาอุ่นใจเสมอ เขาไม่เคยโทษว่ามันเป็นความผิดของอีกฝ่ายที่ทอดทิ้งไปในวันที่แสนโหดร้าย เพราะหากไม่มีคนคนนี้ เขาก็อาจจะต้องถูกจองจำอยู่ในนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์

“ขอโทษ”

‘ไม่เอาสิ ไม่ต้องขอโทษ รูสต้องขอบคุณเธอต่างหาก ไม่ร้องนะ’

ลมเพียงผะแผ่วที่พัดพาผ่านแก้มทำให้ตะวันน้อยยิ่งร้องหนัก อ้อมแขนแข็งแรงของใครอีกคนเข้ามาสวมกอด ความอบอุ่นของมันทำให้ไม่ได้ขืนตัวหนี ขณะที่น้ำตายังคงไหลรินไม่หยุด

กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ลอยอวลอยู่รอบกาย ราวหัวใจบอบช้ำได้รับการเยียวยา สายลมคลายอ้อมกอดแล้วหันมามองกลีบดอกที่ปลิดปลิวจากแรงลมที่โบยโบก ได้แต่ฝากคำขอบคุณถึงอีกครึ่งหนึ่งของดวงตะวันไปพร้อมสายลมที่พัดอ่อน สิ่งที่ได้มาในวันนี้เพราะอีกคนที่ลาจากไปแสนไกล พวกเขาได้มาพานพบและมีใจผูกพันก็เพราะใครคนนั้น

‘ขอบคุณเหลือเกิน... รูส’





TBC



เป็นตอนที่แก้หลายรอบมาก เพราะกลัวคนอ่านไม่เข้าใจ

นี่แหละค่ะ ความแฟนตาซีที่พูดถึง


ตอนหน้าจบแล้วเน้อ  บวกขอบคุณคุณ O-RA DUNGPRANG และคุณ ΩPRESTOΩ ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 04-09-2018 13:16:13
เราก็งงหน่อยๆนะ :z1: แต่ก็ดีใจมากที่รูสที่สายลมรักกลับมาไม่ว่าจะกลับมาใหนรูปร่างหน้าตาแบบใหนก็ตาม  :sad11:
ป.ล.เราว่าความแฟนตาซีของเรื่องนี้ยังน้อยกว่าหลายๆเรื่องที่เราเคยอ่านมานะ
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 04-09-2018 13:22:38
สายลม เก่งเสมอ

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 04-09-2018 13:41:42
เราก็งงหน่อยๆนะ :z1: แต่ก็ดีใจมากที่รูสที่สายลมรักกลับมาไม่ว่าจะกลับมาใหนรูปร่างหน้าตาแบบใหนก็ตาม  :sad11:
ป.ล.เราว่าความแฟนตาซีของเรื่องนี้ยังน้อยกว่าหลายๆเรื่องที่เราเคยอ่านมานะ

แงงงงง เดี๋ยวตอนหน้ามาเฉลยเนอะ ปรับเยอะไปหน่อย :D

เรื่องความแฟนตาซี จริง ๆ ด้วยความที่มันเป็นแฟนตาซีบนพื้นฐานที่ไม่แฟนตาซี(?)น่ะค่ะ ไม่ใช่แฟนตาซีเพียว ๆ เลยรู้สึกว่ามันเยอะอย่างที่เขาว่าจริง ๆ แหละ

แบบสายลมจากตอนของรุ่นพ่อก็แค่เด็กผู้ชายธรรมดาคนนึง แต่อยู่ดี ๆ ก็โดดมาแฟนตาซี มันเลยก้ำกึ่งไปหมด ฉบับรีไรท์เลยตัดออกไปหลายฉากเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก+บทส่งท้าย ดวงตะวันกลางใจ // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 04-09-2018 14:35:47
สายลมห่มตะวัน

บทส่งท้าย ดวงตะวันกลางใจ



ดวงตาคู่หนึ่งหรี่มองลูกเสือสีขาวมีลายพาดจาง ๆ ที่กำลังหยอกล้อกันในป่ากว้าง แววมุ่งร้ายฉายชัดเมื่อเพ่งเล็งเป้าหมาย ลำกล้องปืนถูกยกส่องอย่างไร้ความปรานี เจ้าตัวกลมที่วิ่งตามหลังอีกตัวหนึ่งคือเป้าหมายแรก นิ้วกระด้างเหนี่ยวไกจนเกิดเสียงดังก้องไปทั้งแถบป่า

เปรี้ยง!!!

เหล่านกกากระพือปีกบินหนีด้วยความแตกตื่นกับเสียงกัมปนาทนั้น เจ้าเสือน้อยหยุดวิ่งแล้วหันกลับมามองเพื่อนอีกตัวที่ล้มฟุบลงไป หูมันกระดิกเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบ เจ้าของคมกระสุนกำลังจะตามมาซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายของตนแน่นิ่งไปแล้วจริง ๆ แต่เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ใครคนนั้นต้องหยุด

เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วเจ้าเสือน้อยก็วิ่งกลับมาหาเพื่อน มันหันมองซ้ายขวาอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อเพื่อนของมันบนพื้นหญ้าหายใจรวยรินลงไปทุกขณะ เลือดสีแดงตัดกับขนสีขาวทำให้มันละล้าละลัง ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากงับลงไปที่หลังคอของอีกตัวแล้วลากร่างนั้นไปตามพื้น ค่อย ๆ ถอยเข้าไปในพุ่มไม้รกเพื่ออำพรางสายตา แต่รอยเลือดเลอะเป็นทางตามพื้นคงอำพรางสายตาของผู้ล่าได้ลำบาก

เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ทำให้ร่างน้อยหมอบลงต่ำ เสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของลูกเสืออีกตัวทำให้มันหลับตาแน่น กลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับได้ สุมทุมไม้ที่มันหลบอยู่ถูกมือของใครคนหนึ่งแหวกออก มันสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมอง ร่างที่ยืนย้อนแสงทำให้เห็นเพียงความสูงใหญ่ที่โน้มลงมา มันผุดลุกออกมายืนจังก้าแยกเขี้ยวขู่เมื่อมือนั้นเอื้อมมาหาเพื่อนของมัน เท้าหน้ายกขึ้นตะปบหลังมือใหญ่ทำให้มือนั้นถอยกลับ ก่อนเอื้อมมาจับเจ้าเสือน้อยตัวร้ายแม้จะถูกเล็บคมขีดข่วนทั้งดิ้นรนจะกัดเอาให้ได้

ร่างของมันลอยขึ้นเหนือพื้น ตากลมมองเพื่อนที่ถูกช้อนอุ้มขึ้นมาโดยที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เมื่อตนเองก็ถูกอุ้มเหน็บข้างเอวพาเดินออกไปด้วยกัน

บาดแผลฉกรรจ์จากคมกระสุนถูกรักษาโดยผู้ที่นำตัวทั้งสองมา ตาใส ๆ มองการกระทำของคนผู้นั้นนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวคนหนึ่ง เสียงเพื่อนของมันร้องอย่างเจ็บปวดทำให้มันเริ่มดิ้น ชักไม่แน่ใจแล้วว่าชายผู้นั้นจะช่วยเหลือเพื่อนของมันจริง ๆ จนกระทั่งเสียงของเพื่อนเงียบลง

แสงจากกองไฟที่หน้าบ้านไม้ส่องให้เห็นตัวกลม ๆ ที่ซุกอยู่ข้างเพื่อนที่บาดเจ็บ ชายผู้ให้การช่วยเหลือเดินเข้ามาหาแล้วนั่งยองลงมองเสือน้อยทั้งสองตัวก่อนโคลงศีรษะนึกสังเวชใจ สิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมันยังรักกันขนาดนี้ มีแต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐนั่นล่ะที่ไปไล่ฆ่าฟันมัน มือหนาเอื้อมไปลูบหัวกลม หากเจ้าตัวน้อยนี่ฟื้นขึ้นมาพบว่าเพื่อนมันจากไปแล้วจะเป็นเช่นไร

อุ้งเท้าที่ยังคงเล็กอยู่ตะกุยพื้นดินจนมันเป็นหลุมบ่อ มือหนารั้งตัวเจ้าเสือน้อยที่ร้องคำรามไม่หยุดขึ้นมา ลูบหัวมันอย่างปลอบประโลม เสียงที่ดังลอดมาจากลำคอคล้ายน้ำเสียงของความเศร้าโศกจากลูกเสือที่รอดชีวิต พื้นดินที่ถูกฝังกลบยังใหม่อยู่ เพื่อนของมันอยู่ภายใต้พื้นดินนั่น จากมันไปเสียแล้ว ทิ้งมันเอาไว้เพียงลำพังอย่างนี้

เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นปกคลุมเหนือพื้นดิน เสือสีขาวตัวใหญ่นั่งเฝ้าที่แห่งนั้นอยู่ทุกวันคืน เหยื่อที่ถูกล่าจะถูกแบ่งครึ่งเพื่อนำมาให้เพื่อนของมันที่อยู่ภายใต้พื้นดินนั่น แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางจะได้ลิ้มรส แต่มันก็ทำเช่นนี้อยู่ตลอดจนกระทั่งสิ้นอายุขัย


บ้านไม้หลังเดิมที่เคยคุ้น นัยน์ตาสีเพลิงมองจ้องเมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า มวลสารก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเพียงเจือจางโผล่ขึ้นมาเมียงมองที่หน้าต่าง หญิงสาวภรรยาของผู้ที่เคยช่วยเหลือตนมาแต่เก่าก่อนลุกออกจากห้องนั้นไปเมื่อเสียงของเด็กเงียบลง ร่างโปร่งแสงนั้นจึงค่อยเคลื่อนกายเข้ามาใกล้เปล ชะโงกหน้าไปมองเด็กน้อยตัวขาวที่ลืมตาขึ้นมามองตอบ สัมผัสเย็นชืดลอยวนอยู่รอบกายเด็กเล็กทำให้เงาร่างนั้นชะงัก เมื่อเพ่งพินิจผิวกายของเด็กนั้นช่างขาวจนซีด ความหวาดกลัวเริ่มถามหา เพราะนัยน์ตาสีอำพันมันสะท้อนให้นึกถึงเพื่อนยากและการลาจากที่ไม่มีวันหวนคืน

ร่างนั้นมองซ้ายขวาต้องการหาตัวช่วย มันจะบอกกับหญิงสาวผู้นั้นว่าอย่างไรในเมื่อตนไม่สามารถติดต่อกับใครได้ มือเล็กป้อมของเด็กในเปลเอื้อมคว้าหางของมันขณะที่กำลังจะผละไป เงาร่างนั้นชะงักงันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอี้ยวหน้ากลับมามอง มันสะบัดหางเบา ๆ ให้หลุดจากการเกาะกุม โหย่งกายขึ้นเกาะขอบเปลแล้วมองท่าทางอ่อนแรงของเด็กน้อยในเปลนิ่ง ก่อนตัดสินใจก้มลงไปหาอย่างช้า ๆ จนกระทั่งมวลสารที่ก่อตัวเป็นรูปร่างนั้นค่อยแผ่ปกคลุมรอบเปลและเลือนหายไปในที่สุด

สองดวงจิตในร่างเดียวทำให้จิตอีกดวงทรมานนัก เมื่อจะออกจากร่างนี้ก็ทำไม่ได้ แต่อยู่ต่อไปก็รวดร้าวราวจะแตกดับ วัตถุทรงกลมสีสว่างใสที่ถูกล้อมกรอบด้วยวัตถุโปร่งบางถูกนำมาห้อยคอเด็กน้อย สัมผัสของมันทำให้ดวงจิตที่ทุรนทุรายสงบนิ่งลงได้ ความอบอุ่นที่คล้ายจะโอบล้อมอยู่รอบกายทำให้ค่อย ๆ หลับใหล และจมอยู่ภายใต้จิตสำนึกของร่างนี้เท่านั้น...

มันคงเป็นนิทานปรัมปราเรื่องหนึ่งหากคนเล่าไม่ใช่เด็กที่แสนจะมีความพิเศษอย่างตะวัน สายลมฟังเรื่องราวเหล่านั้นอยู่เงียบ ๆ โดยมีร่างน้อยนั่งอิงอกแกร่ง แขนแข็งแรงกระชับกอดกายอุ่นพรางกดจูบกระหม่อมบาง ร่างกายของตะวันยังอุ่นเหมือนคนทั่วไป มันเชื่อได้ยากเหลือเกินหากบอกว่าเป็นเพียงภาพลวงตา หรือคนที่เขากอดอยู่ตอนนี้ไม่มีตัวตน

“สายลม”

“หืม?”

สายลมขานรับเมื่อเด็กในอ้อมแขนเอ่ยเรียกหลังจากปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันอยู่นาน ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมองเขาที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ผมไม่ใช่คนแบบสายลม ไม่ใช่สัตว์แบบลูห์ เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้...” น้ำเสียงที่เอ่ยบอกดูไม่มั่นใจนัก แต่ก็พยายามแล้วที่จะพูดให้อีกคนได้เข้าใจ

เพราะหลายปีก่อน เจ้าของร่างอย่างรูสหมดลมหายใจลงไป ทำให้ดวงวิญญาณของเขาและรูสแยกจากกัน เขาที่ยังไม่รู้ตัวตนของตนเองกลับสร้างรูสอีกคนขึ้นมา ทุกความทรงจำที่รูสมี เขาเองก็มีไม่ต่างกัน ทำให้เขาหลงเพ้อไปว่าตนเองคือรูส และใช้ชีวิตในฐานะรูสตลอดมา

“สายลมรู้อะไรไหม รูปร่างหน้าตาหรือตัวตนที่สายลมกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ของผม ผมเพียงจดจำคนที่พบเจอแล้วมันก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเขาคนนั้น ก็เท่านั้น”

“หมายความว่ายังไง?” คิ้วเข้มขมวดเมื่อฟังที่เด็กพูด

“เหมือนรูสไง เด็กคนนี้ก็เหมือนกัน ผมแค่เจอกับเขาในช่วงที่ห่างกับสายลม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารูปร่างหน้าตาตัวเองเปลี่ยนไป จนกระทั่ง... ได้พบกับพ่อของสายลม”

นึกย้อนไปแล้วก็ไม่อยากพูดถึงมันเลยสักนิด ในช่วงนั้นที่จากมา เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้กลับมาพบกันอีก แต่ด้วยความอ่อนแรงทำให้เผลอนั่งพักอยู่ข้างรถยนต์คันหนึ่ง เสียงผู้คนที่ดังมาใกล้ทำให้ปีนขึ้นไปหลบบนกระบะหลัง ซุกตัวอยู่ภายใต้ผืนผ้าใบหลังรถจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน กว่าจะรู้ตัว รถคันดังกล่าวก็ขับมาไกลแล้ว จะลงจากรถก็ไม่รู้ทางไป จนต้องซุกตัวอยู่ในนั้นจนถึงที่หมายของรถยนต์คันดังกล่าว

ผู้ที่มาพบเขาหลังจากนั้นคือลูกชายเจ้าของบ้านหลังที่รถยนต์มาจอด เขาถูกพาไปซ่อนตัวเพราะความซนของเด็กคนนั้น ห้องเล็ก ๆ หลังบ้านคือที่ที่เขาอยู่ เด็กนำอาหารและน้ำดื่มมาให้ เขาเหมือนสัตว์เลี้ยงที่คอยรับความเมตตา จนกระทั่งวันหนึ่งที่เด็กคนนั้นเปิดประตูเข้ามาแล้วตกใจจนแทบสิ้นสติ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในนาทีนั้น เขารู้แต่ว่าอยู่ที่นั่นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ทำให้ต้องระหกระเหินออกจากบ้านหลังนั้นมาโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปถึงนับตะวันได้อย่างไร

“ฉันยังสงสัย ไปเจอกันได้ยังไง?” เมื่อเอ่ยถึงบิดา สายลมก็เริ่มคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก บิดาของเขาบอกพบกันที่นับตะวัน แล้วเด็กน้อยของเขาไปที่นั่นได้อย่างไร

“เรื่องมันยาวน่ะ มีเวลาสักสองสามวันไหม จะเล่าให้ฟัง”

สายลมอมยิ้มกับคำพูดและท่าทางทะเล้นของอีกฝ่าย เข้าใจเลี่ยงคำตอบ

“ตัวแสบ” ว่าพลางบีบจมูกตัวแสบเบา ๆ

เจ้าของจมูกหัวเราะ ทั้งคู่มองสบสายตา แววไหวหวั่นฉายชัดในดวงตากลมเมื่อเอ่ยต่อ

“คุณอาจำผมไม่ได้...” เสียงคนเล่าเบาหวิว “ผมยิ่งมั่นใจว่าผมเป็นตัวประหลาด ผมไม่ได้ตั้งใจหลอกทุกคนว่าพูดไม่ได้ แต่... เพราะอาการอึกอักของผมทำให้คุณอาตีความไปแบบนั้น ซึ่งผมคิดว่านั่นก็ดีแล้ว เพราะไม่อยากหลอกท่านซ้ำซ้อนจนมันหาทางแก้ไขเพียงคำพูดไม่กี่คำไม่ได้”

เวลานั้นเขาไม่ลังเลเลยเมื่อท่านยื่นมือมา เขาพร้อมคว้าเอาไว้เพราะเห็นแก่ตัว เพียงแค่คิดว่าอย่างน้อยถ้าได้อยู่กับท่านก็จะได้รู้เรื่องสายลมทุกอย่าง ว่าเป็นอยู่อย่างไร สบายดีไหม ทุกข์ใจหรือเปล่า มีใครคอยดูแลหรือยัง มีความสุขดีใช่ไหม แม้สายลมจะไม่รู้ว่ามีเขาอยู่ แต่สิ่งที่เขาต้องการก็มีเพียงเท่านี้ ทำให้ต้องหลบเลี่ยงทุกครั้งเมื่อเจอสายลม เพราะรู้ดีว่าสายลมเป็นคนดี ถ้ารู้ว่าเขายังอยู่ ต้องคอยปกป้องดูแลตัวประหลาดแบบเขาแน่ เขาไม่อยากเป็นภาระ ไม่อยากเลย

สายลมกระชับอ้อมกอด “จะเป็นตัวอะไรก็ช่าง แค่รู้ไว้ว่าฉันรักเธอก็พอ”

เอ่ยบอกคนในอ้อมแขนอย่างหนักแน่น ต่อให้เด็กคนนี้จะเป็นตัวประหลาดมีเขางอกออกมา เขาก็ยังมั่นใจว่าจะรักไม่เสื่อมคลาย เพราะเขาเคยเจอเจ้าตัวเล็กนี่มาทุกรูปแบบแล้ว จะเจออะไรอีกก็ไม่หวั่นแล้วเวลานี้

“ถึงแม้จะประหลาดแค่ไหนก็รักเหรอ?”

“ใช่” ตอบไปอย่างไม่ลังเลสักนิด

“ถึงแม้จะมีหูมีหางงอกออกมา จะหน้าตาประหลาดไม่เหมือนมนุษย์มนา ก็รักเหรอ?” เจ้าเด็กขี้สงสัยยังถามต่อ

สายลมหัวเราะในลำคอกับความสรรหาแต่ละคำถามของเจ้าตัวยุ่ง เขาฟัดแก้มนุ่มด้วยความมันเขี้ยวก่อนกระซิบบอก

“ใช่ ไม่ว่าจะเป็นยังไง ประหลาดแค่ไหน ก็รักที่สุด”

สายลมก้มลงไปจูบ เด็กในอ้อมแขนก็ยอมอยู่นิ่งให้ได้ทำตามใจ เรียวลิ้นที่ส่งมาต้อนรับทำให้เขาชักไม่อยากหยุดอยู่แค่จูบเดียว

“สายลม...”

“หืม?”

ริมฝีปากหยักซุกไซ้ต้นคอเมื่อขานรับ ร่างเล็กถูกเอนลงนอนบนฟูก ขณะที่สะโพกถูกยกมาเกยบนหน้าขาแกร่ง เขาไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด ไม่ได้ตั้งใจเลยจริง ๆ ที่จะให้มันเลยเถิด แต่ก็ทำลงไปแล้วนี่สิ ทำอย่างไรดีล่ะ

“สายลม” เสียงเด็กดื้อยังเรียกอยู่ใกล้หู

“อืม...”

“เหมือนจะมีหางงอกออกมาล่ะ...”

“หา!?”

กายสูงใหญ่ผละออกมามองด้วยความตกใจ ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นว่าเด็กมันอมยิ้มตาพราว ไอ้ดื้อตาใส เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน โน้มตัวลงไปซุกไซ้ไอ้เด็กดื้อที่กำลังหัวเราะเขา

“สายลม...”

“เลิกพูดได้แล้ว” เขาดุเสียงเข้ม

“อื้อ แต่คราวนี้...”

“ช่างมัน!” ริมฝีปากหยักงับดูดยอดอก ปลุกเร้าอารมณ์ร้อนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กเลี้ยงแกะ

“หูงอกแล้ว” เสียงแปร่งปร่ายังกระซิบแกล้ง

“ดี จะงับให้ขาดเลย”

สายลมว่า เลื่อนใบหน้าขึ้นมาจากอกบางแล้วอ้างับใบหูนุ่ม เพียงปลายลิ้นชื้นตวัดเลีย เด็กดื้อก็ครางเสียงดัง สายลมชะงัก ก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์ เจอจุดอ่อนเจ้าตัวยุ่งเสียแล้วสิ

“สายลมอย่างับหู”

เสียงสั่น ๆ ทั้งใบหน้าแดงก่ำไม่ได้ทำให้สายลมเชื่อฟังแต่อย่างใด เพราะเขาจะไม่งับแค่หูหรอกเด็กดื้อ จะ ‘งับ’ มันทั้งตัวเลย


......


คลื่นทะเลซัดสาดใต้ท้องเรือที่จอดเทียบท่าไม่ไกลจากกระท่อมหลังน้อย ลมเย็น ๆ พัดพาเอากลิ่นไอของทะเลสีฟ้าครามมาปะทะกาย เส้นผมยาวสีดำขลับที่ถูกรวบไว้เพียงหลวม ๆ ปลิวตามแรงลมที่พัดโบก ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่บนเรือทอดมองไปไกล ก่อนจะหันกลับมามองใครอีกคนที่เดินมาหาพร้อมลูกสิงโตตัวกลมขนนุ่มในอ้อมแขน ริมฝีปากหยักยกยิ้มเอ็นดู ท่าทางจะชอบมันเอามาก ตัวติดกันตลอดแม้แต่ยามนอน

“วางลงบ้างก็ได้ รูส” สายลมเอ่ยบอกเด็กดื้อตากลมที่กอดลูกสิงโตไม่ปล่อย

รูสยังคงเป็นชื่อที่พวกเขาใช้เรียกเวลาอยู่ด้วยกัน ขณะที่คนในเกาะศิลาก็ยังรู้จักเจ้าตัวเล็กในชื่อของตะวัน สายลมไม่คิดจะแก้ความเข้าใจหรือป่าวประกาศบอกใครนอกจากครอบครัวที่เฟอร์ริงตัน เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น

“ก็รูสชอบมันนี่” เด็กมันว่า ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามที่บอกแต่อย่างใด

“ดื้อ”

เขาว่าอย่างนั้น เจ้าตัวเล็กมันก็ย่นจมูกใส่ ก่อนจะปล่อยลูกสิงโตในอ้อมแขนลงที่พื้นเรือ พอเท้าแตะพื้น เจ้าตัวกลมก็วิ่งไปหาแม่ของมันที่สะพานเทียบท่า โดดลงจากเรือแล้วเข้าไปคลอเคลียอย่างออดอ้อน

พวกเขายังใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมน้อยหลังเดิมซึ่งเวลานี้มันถูกต่อเติมใหม่ให้แข็งแรงขึ้น และดูดีขึ้นมากกว่าเดิม ขณะที่ลูห์วางใจเรื่องของทั้งคู่ได้แล้วก็เที่ยวไปเกี้ยวสาวจนรูสบ่นว่ามันเจ้าชู้ สิงโตตัวเมียทั้งป่าบนเกาะศิลาคงช้ำใจตายถ้ามารักกับลูห์ แต่ถึงอย่างนั้น ลูห์ก็ยังหาคู่ตุนาหงันของมันได้โดยไม่สนเสียงบ่นของเจ้าเด็กดื้อแต่อย่างใด และยังมีลูกน้อยมาให้เชยชมอีกด้วย

ลูห์เดินออกมายืนเคียงสิงโตแม่ลูก เนียร์ คือคู่ชีวิตของมัน และรีส ลูกน้อยที่จะกลายมาเป็นตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์บนเกาะศิลาในภายภาคหน้า เจ้ารีสน้อยวิ่งวนพันแข้งพันขาน่าเวียนหัว แต่ลูห์ก็ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิด เพียงแต่คาบหลังคอเจ้าตัวยุ่งเอาไว้ไม่ให้วิ่งเลยตกสะพานไป

“ลูห์มารับรีสเร็วจัง รูสยังอยากเล่นกับน้องอยู่เลย” เจ้าเด็กบนเรือบ่น รีสเป็นชื่อที่เขาตั้งให้เอง เป็นสองพี่น้องรูสกับรีส ด้วยทึกทักเอาเองว่าพี่น้องต้องชื่อคล้องกัน

“เป็นเด็กหรือไง ร้องไห้ตามน้องเลยสิ” สายลมว่า

เจ้าตัวเล็กปรายมองคนพูด “สายลมนี่ไม่เข้าใจอะไรเล้ย... โอ๊ย!”

มือเรียวยกขึ้นกุมหน้าผากเมื่อถูกมะเหงกของคนตัวโต

“หมั่นไส้”

“ชิ!” ใบหน้าเรียวสะบัดไปอีกทาง

สายลมส่ายหน้า ดื้อจนหยดสุดท้ายจริง ๆ เด็กคนนี้ แต่เขากลับไม่นึกรำคาญ ชอบที่จะปราบพยศเด็กดื้อมากกว่า

บนสะพานนั้น เนียร์และลูห์ผินกายเพื่อออกเดินกลับถ้ำบนผาสูงซึ่งเป็นบ้านของพวกมัน แต่เจ้ารีสน้อยที่วิ่งตามพ่อแม่กลับหยุดวิ่ง หันกลับมาทางรูสแล้วตัวกลม ๆ นั่นก็วิ่งดุ๊ก ๆ กลับมาหา

รูสย่อกายลงรับสิงโตน้อยตัวกลม ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อมันเอาจมูกชนปลายคางตนเองอย่างออดอ้อน พอมองเลยไปที่ลูห์กับเนียร์ ทั้งสองตัวก็ได้แต่พรูลมหายใจก่อนจะหันกลับ ปล่อยให้ลูกน้อยแสนซนอยู่กับรูสไปเช่นนั้น

มองตามหลังลูห์แล้วสายลมก็ยิ้มบาง พวกเขาต่างก็พบกับสิ่งสำคัญ กายสูงใหญ่ก้าวมาชิดแล้วรั้งตัวเด็กดื้อเข้ามาในอ้อมแขน โอบประคองเอาไว้ข้างหนึ่ง รูสเอียงคอน้อย ๆ มองเขา ขณะที่ริมฝีปากรูปกระจับนั้นอมยิ้มละไม

สายลมเกลี่ยแก้มใสเบา ๆ เวลานี้เขาเป็นเพียงสายลมที่พัดอ่อน จะคอยพัดผ่านให้เย็นใจ จะคอยดูแลตราบเท่าที่แสงจากดวงตะวันดวงนี้ยังคงส่องมาในหัวใจ...




❊❊ สวัสดี ❊❊




ในที่สุดสายลมก็ได้กลับคืนสู่เล้าอีกครั้ง  :L1:

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาบวกให้อีกทีนะคะ

วันใหม่ค่ะ
  :L2:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก+บทส่งท้าย ดวงตะวันกลางใจ // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 04-09-2018 15:24:55
จบแบบHappy ending  :-[
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก+บทส่งท้าย ดวงตะวันกลางใจ // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 04-09-2018 15:38:28

ในที่สุด ก็มีความสุขแล้วนะรูส
โล่งอก ประหนึ่งคุณแม่ที่ลูกสาวออกเรือน
และรู้ว่าลูกเขยหล่อ รวย และแสนดี ^_^

คุณ wanmai ดวงจิตของรูสจะแตกดับ เมื่อถึงเวลาอันสมควรใช่ไหม
เป็นห่วง หากวันหนึ่งสายลม จากไปเมื่อสิ้นอายุขัย
น้องจะอยู่อย่างไร
(อินเวอร์ .. บอกเลย 555)

ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ
 :กอด1:

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก+บทส่งท้าย ดวงตะวันกลางใจ // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 04-09-2018 22:40:37
เย้ เย้ ในที่สุดสายลมกับรูสก็มีความสุข ว่าแต่ลูห์ไวไฟนะเนี่ยแป๊บๆมีลูกเมียซะและ  :z1:  ขอบคุณ คุณนักเขียนนะคะที่กลับมาจะติดตามและเป็นกำลังใจให้ต่อไปน้า  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก+บทส่งท้าย ดวงตะวันกลางใจ // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-09-2018 11:25:46
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ บทที่ ๑๙ แพ้คำว่ารัก+บทส่งท้าย ดวงตะวันกลางใจ // ๔.๙.๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 05-09-2018 14:12:49
เป็นนิยายที่ดีงามล้านแปดมากค่ะ ชอบจัง ปกติเราไม่อ่านนิยาแฟนตาซีแบบนี้นะ แต่นี่ อ่านเพลิน เสียการเสียงานกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 05-09-2018 14:57:31
สายลมห่มตะวัน

พิเศษ รักตะวัน



กระท่อมน้อยริมเล

บนสะพานไม้ที่ทอดยาวลงไปในทะเล เด็กหนุ่มตัวบางยืนส่งนายน้อยแห่งเกาะศิลาขึ้นเรือด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม แต่คนที่กำลังจะก้าวขึ้นเรือกลับรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น อดคิดไปมากมายไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนยิ้มอยู่หรือไม่

“อยู่ได้แน่นะ?”

สายลมเอ่ยถามเด็กดื้อ เขาต้องไปทำงานให้บิดาที่เฟอร์ริงตัน กลับจากที่โน่นก็ว่าจะแวะนับตะวันสักหน่อย ต้องออกนอกเกาะหลายวันทีเดียวกว่าจะได้กลับมา กลัวว่าเด็กจะเหงา จะพาไปด้วยเจ้าดื้อมันก็ยืนกรานว่าอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงใย

“ฮื่อ บอกหลายรอบแล้วว่ารูสไม่เป็นไร”

เด็กหนุ่มย่นจมูกให้คนย้ำคิดย้ำทำ เขาวิ่งเล่นอยู่ในเกาะมานานแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นรูสคนก่อนจนเดี๋ยวนี้ สถานการณ์ในเกาะก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเสียหน่อย ทั้งลูห์ ทั้งเนียร์ แล้วก็รีสก็อยู่เป็นเพื่อน ไหนจะเจ้ากั้งกับพวกเจ้าโตอีก ลุงหลงก็อยู่ หมอปลายฟ้า พี่ฟาริดา พ่อเฒ่าอาจีฟ โอ๊ย เยอะแยะ เพื่อนเยอะขนาดนี้ เขาอยู่ได้น่า

“โอเค ถ้าอย่างนั้นเสร็จงานแล้วฉันจะรีบกลับ” คนนี้ก็ยังอดห่วงไม่ได้

“อื้อ”

“ดูแลตัวเองด้วย เด็กดื้อ” จูบหน้าผากเด็กดื้อเป็นการบอกลา ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะลงเรือไป

“สายลมด้วยนะ ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย”

“หึ ๆ ครับผม”

เมื่ออีกคนตอบกลับมาเช่นนั้น เจ้าดื้อก็ยิ้มแก้มป่อง โบกมือให้คนบนเรือยนต์เมื่อคนขับติดเครื่องแล้วพาห่างไป มือเรียวค่อยลดลง ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนใจพรืดแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ ทั้งพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

“รูสอยู่ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย”



ถังน้ำที่บรรจุน้ำจืดเสียครึ่งถังถูกหิ้วมายังสวนดอกไม้สีขาว สถานที่แสนสงบของรูส ตะวันดวงน้อยยังคงมาที่นี่ หมั่นดูแลมันไม่ให้รกเรื้อ ทำเท่าที่สามารถจะทำให้กับคนที่จากไปได้ เจ้ารีสน้อยที่วิ่งตามหลังมามีถังน้ำใบเล็กอยู่ในปาก กว่าจะมาถึงสวนของรูส น้ำในถังก็กระฉอกจนเหลือแค่นอนนิ่งอยู่ในก้นถัง พอรูสหันมาเห็นก็หัวเราะขำ นั่งลงรับถังน้ำนั้นมารดดอกไม้รอบ ๆ พากันเดินไปเดินกลับเสียหลายรอบกว่าจะเสร็จ

หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวพากันนั่งแหมะอยู่ในสวน หมดแรงข้าวต้มไปตาม ๆ กัน ปรกติสายลมจะช่วยหิ้วน้ำมาให้ทีละสองถังใหญ่เพราะแรงเยอะกว่าพวกเขามาก ทำให้ไม่นานก็รดน้ำเสร็จ คราวนี้ต้องทำกันเอง ทำให้หิ้วได้ทีละถัง แถมยังทำหกมาตามทางอีกเลยยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ ลมเย็น ๆ พัดพามาให้พอหายเหนื่อย มองป้ายชื่อของรูสแล้วเจ้าตัวเล็กก็คิดถึง แล้วยิ่งพอสายลมไม่อยู่แบบนี้ก็ชักเหงาขึ้นมานิด ๆ เสียแล้วสิ

มือเรียวลูบหัวเจ้ารีสน้อยที่นอนซุกอยู่ข้างต้นขา นั่งพักให้หายเหนื่อยทั้งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่เป็นนานก่อนจะถอนใจเบา ๆ กายผอมค่อยลุกขึ้น คว้าอุ้มเจ้ารีสแล้วหิ้วถังน้ำกลับกระท่อม

“ไปเล่นกับพวกเจ้าโตดีกว่า”



ลานกว้างในหมู่บ้านบนเกาะศิลา เสียงจ้อกแจ้กเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก ๆ ดังมาเป็นระยะ รูสนั่งเท้าคางมองเพื่อนรุ่นเยาว์เล่นเตะบอลกันอยู่ข้างลานไม่ได้เข้าไปเล่นด้วย สายลมกับหมอปลายฟ้าช่วยกันหาทุนมาสร้างโรงเรียนแทนการให้เด็ก ๆ ไปเรียนที่บ้านของพ่อเฒ่าอาจีฟ พวกเขาอยากส่งเสริมด้านนี้ให้เป็นจริงเป็นจัง สมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาก้าวไกล ถึงแม้จะอยู่บนเกาะห่างไกลผู้คนอยู่มากก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกล้าหลังเสมอไป โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์ ทั้งแผนปัจจุบันและการรักษาแบบพื้นบ้านแต่โบราณมา สองหนุ่มก็ใช้มันควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนบนเกาะศิลามากที่สุด

โครงการสร้างโรงเรียนได้รับความร่วมมือจากคนในเกาะเป็นอย่างดี เรื่องการก่อสร้างก็มีฝีมือกันพอตัว ก่อนนี้สายลมได้ติดต่อทางพฤทธาการกรุ๊ปไป เพื่อให้ช่วยออกแบบและคุมงานก่อสร้างให้ออกมาได้มาตรฐาน อาเปียวคนรักของอาแอลช่วยประสานงานให้ ที่เหลือคงเรื่องทุนในการก่อสร้าง ส่วนการซื้อหาของข้าวและอุปกรณ์การเรียนยกให้เป็นหน้าที่ของฟาริดาช่วยทำรายการแล้วให้หนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านช่วยกันขนเข้ามาเมื่อโรงเรียนสร้างเสร็จ

สนามเด็กเล่นยังคงเป็นลานกว้างในหมู่บ้าน รูสแอบมาเล่นกับพวกเจ้าโตบ่อย ๆ เวลาสายลมไม่อยู่ โดนสายลมดุเอาก็หลายทีเพราะกลับมาไม่เจอ เล่นซนจนลืมเวลาก็แบบนี้

“เป็นอะไรวะ ตะวัน?” เจ้าโตวิ่งออกมาจากสนาม ทิ้งตัวลงนั่งข้างรูสที่นั่งขัดสมาธิเท้าคางท่าทางเบื่อ ๆ

“ไม่ได้เป็นอะไร” บอกเพื่อนเสียงเนือย ถอนใจแถมให้อีก

“คิ้วเอ็งจะผูกปมแล้ว คิดมากแก่เร็วนะเว้ย” เจ้าโตว่าพร้อมจิ้มหว่างคิ้วเพื่อน

“ช่าง”

“อ้าว เอ็งนี่มันยังไง เลิกทำหน้าแบบนั้นแล้วไปเล่นกับพวกข้าดีกว่า มา”

เจ้าโตคว้าข้อมือเพื่อนของมันแล้วดึงให้ลุกขึ้นมา ตัวผอม ๆ นั้นยอมลุกขึ้นเดินตามไปด้วยความซังกะตาย ไม่เห็นสนุกเลย ทำไมมันโหวง ๆ ในอกแบบนี้นะ...

เล่นกันจนเย็น เด็กทโมนก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน รูสโบกมือลาพวกเจ้าโตก่อนแยกกลับกระท่อมน้อยของสายลมบ้าง ระหว่างทางเจอป้ามหาภัยที่มีเรื่องกันในวัดไปเมื่อคราวกระโน้น หลังจากครั้งนั้นเขากับกลุ่มป้ามหาภัยก็ปะ ฉะ ดะ กันบ่อย ๆ เพราะเหล่าคุณป้าชอบพูดให้สายลมเสียหายอยู่เรื่อย ถึงสายลมจะไม่ใส่ใจ แต่ได้ยินทีไรรูสก็อดไม่ได้ทุกที

“ได้ยินว่านายน้อยไปนอกเกาะอีกแล้ว”

แค่ประโยคแรกที่ได้ยิน รูสก็ขัดหู ไม่มีเรื่องพูดกันเลยหรืออย่างไร ทำไมชอบว่าสายลมของเขาจัง

“เห็นว่าไปหาพ่อบุญธรรมเหมือนทุกทีนั่นล่ะ”

“แน่เร้อ ข้าว่านายน้อยต้องแอบซุกเมียไว้นอกเกาะแน่ ไม่อย่างนั้นอยู่มาตั้งนานนม ข้าไม่เห็นนายน้อยจะสนใจผู้หญิงคนไหนในเกาะเราบ้างเลย”

เจ้าตัวเล็กหูผึ่ง เมียใคร อะไร ที่ไหนนะ?

“ผู้ชายก็ต้องมีบ้างล่ะนะ มันเรื่องธรรมดาจะตาย ผู้ชายไม่เจ้าชู้ก็เหมือนงูไม่มีพิษ ยิ่งนายน้อยมีรูปเป็นทรัพย์อยู่แล้วแบบนี้ ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นไม่มีซะล่ะ”

“ไม่จริง สายลมไม่ใช่คนแบบนั้น!”

เจ้าเด็กดื้อสวนทะลุกลางปล้อง ทำให้ป้ามหาภัยพากันหันมามอง เมื่อเห็นว่าใครก็พากันหัวเราะขบขันเสียอย่างนั้น

“ต๊าย เจ้าหนูนี่ อยากมีเรื่องกับพวกข้าอีกหรือไง?” ป้าเท้าสะเอวใส่

“ป้านั่นแหละ ทำไมชอบนินทาชาวบ้าน ไม่รู้จริงอย่าพูดจะดีกว่า” รูสว่า

“แล้วเอ็งรู้อะไร หา ไหนบอกข้ามาซิ ตั้งแต่เอ็งมาอยู่ เอ็งเคยเห็นนายน้อยชายตาแลสาวไหนบ้างไหม?”

“ไม่เคย!” ลองเคยดูสิ พ่อจะข่วนให้หน้าแหก เจ้าตัวเล็กแอบต่อประโยคในใจ

“นั่นปะไร แล้วเอ็งมาเถียงแทนทำไม ในเมื่อพวกข้าแค่ตั้งสมมติฐาน” ป้ามหาภัยไล่ต้อน พากันยิ้มเยาะเจ้าหนูปากดี

“สมมติที่ไหน ป้าพูดเหมือนรู้เห็นทั้งที่มันไม่จริง สายลมเสียหาย” รูสเองก็เถียงขาดใจ

“โธ่ ไอ้หนู เสียหงเสียหายอะไร เรื่องปรกติธรรมดาของผู้ชายเขา ไม่เคยสีหญิงเลยนี่สิแปลก เอ้อ พูดกับเอ็งไปคงไม่รู้เรื่อง เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้จะไปรู้อะไร กลับบ้านไปกินนมนอนไป๊” ว่าจบก็หัวเราะกันครืน

รูสกัดปาก อยากตอบโต้แต่ก็ได้แต่มองเหล่าคุณป้าตาคว่ำตาหงาย สายลมไม่ทำแบบนั้นหรอก ป้าใส่ไคล้!

“เด็กเอ๋ยเด็ก จะรู้อะไรกับเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”

ป้ามหาภัยหัวเราะเหอะ ๆ ก่อนจะพากันเดินจากไป ปล่อยเจ้าตัวเล็กปั้นปึ่งเดินตึงตังกลับกระท่อม สายลมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไม่ทำแน่ ๆ ป้ามหาภัยมั่ว!



ทางด้านคนไกลที่ไปทำงานให้บิดา ขากลับแวะเข้าบริษัทซึ่งเป็นแหล่งเจียระไนเพชรและอัญมณีชั้นดี ผลึกสีอำพันถูกนำออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท สายลมมองมันแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อใส่มันกลับไว้ในกระเป๋าแล้วก้าวเข้าตัวอาคารไป สมบัติชิ้นสำคัญของเจ้าตัวยุ่ง ถ้ารู้ว่ามันหายไปจะโวยวายไหมนะ

หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับมอบหมาย สายลมก็กลับมายังคฤหาสน์เฟอร์ริงตัน ในยามค่ำคืน ห้องนอนของเขาก็ยังคงเปิดไฟสว่าง แม้จะดึกมากแล้วแต่เขากลับข่มตาหลับไม่ลง ร่างสูงใหญ่ออกมารับลมที่ระเบียงโดยถือกล่องกำมะหยี่ติดมือออกมาด้วย ด้านในนั้นมีผลึกสีสวยที่ถูกเจียระไนอย่างดีจนกลายเป็นจี้ห้อยคอชิ้นใหม่สำหรับคนในความคิดถึง

สายลมมองมันแล้วก็ยิ่งคิดถึงเจ้าของมัน อยากรีบกลับไปหาโดยไวเสียจริง เวลาของที่นี่กับเกาะศิลาไม่ตรงกัน ทำให้เขาได้แต่เฝ้าคิดคำนึงว่าในค่ำคืนที่ผ่านมาบนเกาะศิลานั้น เจ้าเด็กดื้อของเขาจะนอนหลับไหมหนอ แล้วตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ จะกลัวหรือเปล่าที่ต้องอยู่กระท่อมน้อยคนเดียว คิดไปสะระตะ

ก่อนมาเขาก็อยากพาเด็กไปฝากไว้ที่บ้านใหญ่อยู่หรอก แต่เจ้าตัวกลับอยากนอนที่กระท่อม สายลมเลยจนใจ ถึงอย่างไรลูห์กับเนียร์ก็คอยดูแลอยู่ แถมยังมีเจ้ารีสตัวน้อยที่มานอนด้วยทุกคืน เขาก็พอจะเบาใจลงไปได้บ้าง

แสงนีออนส่องมากระทบจี้ห้อยคอสีอำพันเรือง ๆ สายลมพลิกพินิจเพียงครู่พลางยิ้มอ่อน งับปิดกล่องกำมะหยี่แล้วระบายลมหายใจบางเบา

“จะคิดถึงฉันไหมนะ รูส”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจทำให้สายลมมุ่นคิ้ว ใครมาเคาะห้องเขาในเวลาดึกดื่นป่านนี้ จะว่าเป็นบิดาก็คงไม่ใช่ ท่านทั้งสองคงหลับกันไปแล้ว

เพื่อคลายความสงสัย สายลมจึงเดินกลับเข้าห้อง เก็บกล่องกำมะหยี่ไว้ในลิ้นชักหัวเตียงก่อนเดินไปเปิดประตูให้คนด้านนอก เพียงบานประตูเปิดแง้ม เจ้านั่นมันก็เดินสวนเข้ามาเลย ไม่มีการทายทักใด ๆ ทั้งสิ้น แถมเดินเลยไปนั่งที่โซฟาชุดเล็กในห้องนอนของเขาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เสียอีก

สายลมมองแล้วยกยิ้มมุมปากหน่อย ๆ ก่อนงับปิดประตู ก้าวมาหาแขกผู้มาเยือนยามวิกาล กอดอกมองไม่เอ่ยถามอะไรออกไปก่อนแต่อย่างใด ในเมื่อมาหาเขา นั่นแสดงว่ามีเรื่องอยากพูด ก็รอให้พูดออกมาเองก็แล้วกัน

“เด็กพี่เอาใจยาก”

“หึ”

คำแรกที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาทำให้สายลมหัวเราะในลำคอ คนพูดถอนใจยาว เอนหลังพิงโซฟาแล้วไขว้มือรองท้ายทอย ท่าทางเบื่อโลกน่าดู

“รู้ซึ้งถึงฤทธิ์เดชของเขาแล้วสิ?” คนพี่เอ่ยถามทั้งยิ้มมุมปาก

“เหอะ นี่ถ้าไม่ใช่ลูกอาแอลนะ...”

“ทำไม?” สายลมเลิกคิ้วกับคำพูดของน้องชาย

“ผมจะไม่ตามให้เสียเวลา”

“จริง?” ไม่อยากจะเชื่อน้ำคำเอาเสียเลย

“ทำไมคิดว่าผมพูดเล่น หน้าตาผมบอกแบบนั้นเหรอ?” คนเป็นน้องชักขวาง ยิ้มแบบนั้นมันอะไร เหมือนรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่องอย่างนั้น บ้าชะมัด

“หน้าตานายมันไม่ได้บอกหรอก เซย์ แต่พฤติกรรมนายมันบอก ต่อให้นายไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ฉันก็ว่านายแพ้ทางเขาเต็ม ๆ” สายลมว่า

“คนอย่างเซย์นี่นะ!?” คนน้องย้อนเสียงสูง

“เออ คนอย่างเซย์ เฟอร์ริงตันคนนี้ล่ะ”

“......” หมดคำจะตอบโต้ เซย์ถอนใจพรืด เขาแพ้หรือ คนอย่างเขานี่นะแพ้ บ้าไปแล้ว

“แล้วเจ้าตัวยุ่งเป็นไงบ้าง ไม่พามาให้เห็นหน้าเลย” เมื่อไม่รู้จะหาอะไรมาคัดง้างในสิ่งที่พี่ชายพูด เซย์จึงเลือกที่จะเลี่ยงไปเรื่องอื่น

“เขาไม่มาเอง” สายลมตอบกลับไปเสียงเรียบ แต่คนเป็นน้องกลับยิ้มเป็นต่อขึ้นมา

“ไม่มาหรือพี่ไม่ให้มา?”

“เขาไม่มา”

ยิ่งพี่ชายเน้นเสียงขนาดนั้น เซย์ยิ่งยิ้มล้อ

“เอ๊า ไอ้นี่ ก็บอกว่าเขาไม่มา!”

“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” เซย์ไหวไหล่ ร้อนตัวจริงพี่ชาย

สายลมเดาะลิ้นกับความกวนของน้องชาย นี่มันดึกมากแล้ว เขายังถูกก่อกวนอีก จะเอ่ยปากไล่น้องชายตัวดีแต่เสียงเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน สายลมจึงละความสนใจจากน้องไปรับโทรศัพท์สายสำคัญแทน

“ว่าไง ตัวแสบ?”

เพียงเขาเอ่ยทักปลายสาย คนแถวนี้ก็รีบหันขวับ ก่อนจะลุกพรวดแล้วก้าวฉับ ๆ มาหาพร้อมยื่นมือมาตรงหน้าเขา สายตาดูบังคับแกมร้องขอเพื่อให้เขาส่งโทรศัพท์ที่กำลังสนทนาอยู่ให้

สายลมกระตุกยิ้ม ไม่อยากแกล้งมันมากนักหรอกเซย์น่ะ ชายหนุ่มยอมส่งโทรศัพท์ในมือให้น้องชาย ก่อนจะดันตัวน้องออกจากห้องให้ไปคุยกันเอง ได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ ก่อนที่ประตูห้องของเขาจะปิดลง

“ดึกดื่นไม่รู้จักหลับจักนอน... ห้ามวางนะเดวา! เด... เดวา! โธ่เว้ย!!”

สายลมส่ายหน้าหน่ายกับเสียงโวยวายของน้อง แทนที่จะเริ่มต้นคำพูดด้วยการง้อเขา ดันดุเขาไปก่อนแบบนั้น เจ้าแสบอย่างเดวาคงอยู่ฟังหรอก ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี


......


เกาะศิลา

ภายในกระท่อมน้อยของสายลม ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เสื้อผ้าหลายชิ้นลอยหวือผ่านหน้าเจ้ารีสที่นั่งจุ้มปุกไปหลายตัว บางตัวหล่นมาโปะบนหัว มันได้แต่นั่งงงกับเจ้าของห้องนอนในกระท่อมน้อยที่ค้นข้าวของเสียเกลื่อนไปหมด

“ไม่มี ในนี้ก็ไม่มีอะ ไม่มีเลย”

‘...?’ รีสน้อยเอียงคอ ได้แต่ฟังคำว่าไม่มี ไม่มี ของรูส โดยไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร

พอค้นหาจนทั่วแล้วแต่ก็ยังหาของที่ต้องการไม่พบ รูสจึงได้หันกลับมาหารีสที่ใช้อุ้งเท้าเกี่ยวเสื้อลงจากหัวแล้วโผล่หน้ามามอง

“ทำไงดี รีส ของสำคัญของรูสหาย ทำไงดี ฮือออออ”

เจ้ารีสน้อยตาโตเมื่อเห็นอีกคนร้องไห้กอดกล่องไม้ซึ่งไม่รู้มีอะไรในนั้น ทั้งสะอึกสะอื้นยกใหญ่ มันหันรีหันขวางก่อนเข้ามาหา นั่งลงตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก

“รูสทำมันหาย ทำไงดี...”

น้ำเสียงฟังดูน่าสงสาร ตากลม ๆ ของเจ้าตัวน้อยมองรูสนิ่ง ส่งเสียงร้องเบา ๆ ราวจะปลอบใจ แล้วก็ได้แต่นั่งเป็นเพื่อนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งลูห์มา

เจ้ารีสหันไปมองลูห์ที่ขึ้นมาบนกระท่อมพร้อมเนียร์ ก่อนหันกลับมาหารูสเพื่อบอกพ่อของตัวเองให้ช่วยปลอบ ลูห์ก้าวเข้ามาหาพลางพูดกับเด็กที่นั่งกอดกล่องไม้หน้าซึม

‘เก็บของเข้าที่ เจ้าหนู รกแบบนี้สายลมไม่ชอบใจแน่’

เมื่อถูกทักมาเช่นนั้น รูสถึงได้มองรอบกาย เด็กหนุ่มวางกล่องไม้ไว้บนพื้นก่อนลุกขึ้นไปเก็บข้าวของตามที่ลูห์บอกจนเรียบร้อย

‘นอนซะ เดี๋ยวพวกข้าอยู่เป็นเพื่อน’ ลูห์บอก

เนียร์หาที่นอนตรงมุมหนึ่งของห้อง เจ้ารีสก็วิ่งดุ๊ก ๆ ตามแม่มันไปนอนด้วย รูสจึงนอนลงบนฟูกโดยมีลูห์นอนเฝ้าตรงหน้าประตู

“ลูห์” รูสเอ่ยเรียกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

‘อือ’

“วันนี้ป้ามหาภัยนินทาสายลมอีกแล้ว”

‘ถ้าเจ้าพูดเรื่องป้าพวกนั้นก็เท่ากับเจ้าช่างนินทาเหมือนพวกเขา’

“แค่จะพูดให้ฟังเฉย ๆ” เด็กบ่นอุบอิบเมื่อถูกติง

‘วางกล่องลง’

ก้มมองกล่องที่ตัวเองกอดไว้แนบอกแล้วส่ายหน้า “ไม่เอา เดี๋ยวของหายอีก”

‘…….’ ลูห์มองแล้วถอนใจ ดื้อสมกับที่สายลมเรียกจริง ๆ

ความมืดฉาบทาทั่วท้องฟ้า เสียงหริ่งหรีดดังระงมแต่ไม่ได้ทำให้รูสกลัวเพราะมีครอบครัวลูห์มาอยู่เป็นเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นรูสกลับนอนไม่หลับ

“ลูห์”

‘ฮื่อ’

“ถามจริง ๆ นะ เรื่องอย่างว่าสำหรับผู้ชายแล้วมันเป็นเรื่องปรกติเหรอ ลูห์ก็เป็นแบบนั้นใช่ไหมก่อนที่จะมาเจอเนียร์?”

คำถามของเจ้าดื้อทำให้เนียร์ที่เหมือนจะหลับไปแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง ลูห์ถึงกับชะงัก มองเด็กช่างจ้อแล้วว่า

‘ถามอะไรไม่เข้าท่า สัญชาตญาณสัตว์มันก็ต้องมีกันบ้างไม่ใช่หรือไง เจ้าก็เคยเป็นไม่ใช่เหรอ?’

“ก็ใช่... ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าการที่สายลมจะกอดสาวฝรั่งผมทองสักคน มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดสิ”

‘คิดให้วุ่นวายทำไม ไม่เชื่อใจเขาเรอะ?’

“เชื่อ แต่บางทีหุ่นสะบึ้มก็อาจโดนใจมากกว่าผอมแห้งแบบเรา”

‘เพ้อเจ้อ นอนได้แล้ว’

“......” โดนดุอีกแล้ว

เจ้าตัวเล็กพลิกไปอีกทาง หันหลังให้ลูห์งอน ๆ ก้มมองหน้าอกตัวเองแล้วบีบมันเบา ๆ ก่อนถอนหายใจ แบนอย่างกับอะไรดี



เสียงกุกกักที่ดังขึ้นตั้งแต่เช้ามืดปลุกให้ลูห์ตื่น มันขยับออกห่างจากประตูเมื่อมีคนเปิดเข้ามา เนียร์เองก็ผงกหัวขึ้นมองก่อนปลุกลูกน้อย เลียให้ตื่นจากอาการสะลึมสะลือแล้วดุนเบา ๆ ให้เจ้าตัวกลมเดินออกจากห้อง ปิดท้ายด้วยลูห์ที่หันมาทางผู้ที่มาใหม่

‘มีคดีต้องสะสาง’

“...?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว แต่ลูห์ไม่พูดต่อ เดินตามลูกเมียของตนลงจากกระท่อมไปเงียบ ๆ

สายลมละสายตาจากลูห์ ปิดประตูห้องก่อนเข้ามาหาเด็กที่นอนกอดกล่องไม้หลับปุ๋ย กายหนานั่งลงข้าง ๆ ริมฝีปากหยักยิ้มละมุนเมื่อเอื้อมมือมาเกลี่ยแก้มใสเบา ๆ แล้วโน้มจูบริมฝีปากรูปกระจับนั้น สัมผัสเพียงเบา ๆ แต่เปลือกตาคนหลับก็ขยับพร้อมเสียงพึมพำ

“...ลม”

รอยยิ้มเจ้าของชื่อกว้างขึ้นกว่าเดิม ค่อยสอดตัวลงนอนข้างกาย กอดร่างน้อยมาแนบอกอุ่น ก่อนกดจูบหน้าผากนูน คิดถึงตะวันดวงน้อยดวงนี้จนต้องรีบกลับมาหา รู้บ้างไหม?


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 05-09-2018 14:59:30
เสียงนกร้องดังแทรกเสียงคลื่นบางเบา กระดิ่งลมที่แขวนไว้ข้างโมบายเปลือกหอยถูกลมทะเลพัดพาจนเกิดเสียงเคล้าคลอกันไป รูสรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในยามเช้า เมื่อลืมตามาพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนอุ่นที่แสนคุ้นเคยก็ชักไม่อยากลุกไปไหน กลับซุกกายเข้าหาอีกคนมากขึ้น ช้อนมองปลายคางหนาที่เริ่มขึ้นเคราเขียว ริมฝีปากรูปกระจับเผยยิ้มน้อย ๆ ก่อนยื่นหน้าไปจูบปลายคางนั้นเบา ๆ แล้วเอ่ยเรียก

“สายลม”

เจ้าของชื่อค่อยปรือตาแล้วก้มมองคนในอ้อมแขน “ยังง่วงอยู่เลย เด็กดื้อ ขอนอนกอดอีกหน่อย”

วงแขนแกร่งกอดกระชับ รูสหัวเราะเบา ๆ ยอมให้อีกคนกอดจนกระทั่งสายโด่งถึงได้ออกมาจากห้องนอนเพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้สดชื่นกันได้

สายลมกลับขึ้นมาบนกระท่อมหลังอาบน้ำเสร็จ เห็นเด็กมันนั่งเรียบร้อยอยู่บนเสื่อพร้อมกล่องไม้วางอยู่บนตัก ท่าทางมีเรื่องอยากพูดกับเขา ร่างสูงใหญ่จึงนั่งลงข้าง ๆ หยิบหมอนใบใหญ่มานั่งพิงที่ระเบียง เอียงไปหาเด็กมันเล็กน้อย

รูสค่อยเปิดกล่องไม้ กล่องที่มีสมบัติแสนสำคัญ ทั้งตุ๊กตาที่ได้จากเพื่อนรุ่นเยาว์และโอปอล์ที่ได้มาจากสายลม แต่มันมีบางอย่างหายไป อำพัน ของชิ้นแรกที่ได้มาจากสายลม ในเวลานี้มันกลับไม่อยู่ในกล่อง ทำให้เด็กดื้อหันมาหาสายลมด้วยสีหน้าเจื่อนจ๋อย

“รูสทำหาย ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน รูสขอโทษ...”

“ไม่เห็นต้องขอโทษ ถึงอันเก่าหาย ฉันก็หามาให้ใหม่ได้” สายลมว่า

“ไม่เหมือนกัน อันนั้นมันของชิ้นแรกที่ได้จากสายลม มันสำคัญกับรูสนะ”

“แล้วอันนี้ล่ะ...”

รูสชะงักเมื่อสร้อยในมือสายลมแกว่งอยู่ตรงหน้า จี้นั่นสีคล้าย ๆ กับอำพันที่เขาทำหายเลย

“เหมือนกันไหม?”

“...?” สีหน้าเจ้าตัวเล็กยังดูมึนงง มองสายลมอย่างมีคำถาม

สายลมยิ้ม ก่อนอธิบาย “มันไม่ได้หายไปไหน ฉันแค่เอาไปทำให้มันสวยขึ้น... เพื่อเธอ”

เจ้าดื้อเม้มปาก หลุบสายตาลงต่ำ คำพูดไม่กี่คำของสายลมกลับทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ‘เพื่อเธอ’ หรือ เพื่อเขาคนนี้อย่างนั้นหรือ

“มา ฉันสวมให้”

สายลมแกะตะขอสร้อยแล้วค่อย ๆ สวมมันให้อีกคน วัตถุเย็น ๆ ที่ทาบลงมาบนต้นคอแต่หัวใจคนรับกลับอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อสายลมเกี่ยวตะขอสร้อยให้เรียบร้อยแล้ว มือเรียวจึงยกแตะจี้สีอำพัน

“แทนของเดิมที่แตกไป รู้ ว่ามันคงแทนกันไม่ได้ แต่ฉันก็ปรารถนาให้มันทำให้เธออุ่นใจขึ้น”

ตากลมช้อนมองคนให้ มันเต็มไปด้วยความขอบคุณ “สายลมทำให้ตั้งหลายอย่าง แต่รูสไม่มีอะไรจะให้เลย”

“หึ ๆ แค่ดื้อให้น้อยลงก็พอ”

“แค่นั้นเอง?” เด็กเอียงคอสงสัย

“ทำได้ไหมล่ะ?”

“ได้... มั้ง” ยังมิวายแอบมีมั้งต่อท้าย

“ตัวแสบ”

มือหนาบีบจมูกโด่งสวย เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคัก ขยับมานั่งเอนหลังพิงอกสายลม มือช้อนจี้อันใหม่ที่อบอุ่นยิ่งกว่าอันเดิมขึ้นมาดูด้วยความชอบใจ สายลมเองก็นั่งเป็นหลักให้เด็กมันพิง ก้มจูบกระหม่อมบางบ้างในบางคราว

“คิดถึงพี่เดวาจัง”

“หือ?” สายลมทำเสียงในลำคอเมื่ออยู่ ๆ เด็กที่พลิกจี้อำพันไปมาก็พูดขึ้น

“คราวหน้าถ้าสายลมไปที่โน่นอีก...” เด็กเอี้ยวหน้ามาหา “ให้รูสไปด้วยนะ”

“อยากไปหาเดวา?”

“......” พยักหน้าหงึก

“รู้ได้ไงว่าเดวาอยู่ที่โน่น?” จะว่าไป เขาไม่เคยบอกเลยสักครั้งว่าเจอเดวา หรือสองคนนี้เคยเจอกันแล้วตอนเด็กมันอยู่อังกฤษ

“ก็... ตอนยังเป็นตะวันเคยไปเรียนพิเศษกับพี่เดวาด้วย” นั่นปะไร

“เขารู้ไหมว่าเราคือใคร?”

“ตอนนั้นยังไม่รู้ รูสไม่ได้บอก แต่พี่เดวาใจดีมาก ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ดีกับรูสในคราบตะวันมาก” เด็กน้อยเจื้อยแจ้วให้ฟัง

สายลมยิ้มเอ็นดู “ชอบเดวามาก?”

“แน่นอน พี่เดวาคือไอดอล”

“โน!” สายลมร้องท้วงเสียงหลง “ห้ามเลยนะ ห้ามแสบแบบนั้นเด็ดขาดเลย ก่อนฉันกลับมานี่ก็เพิ่งก่อเรื่อง...”

“เรื่องอะไร?” คนนี้ก็อยากรู้อยากเห็น สายลมเลยชะงักก่อนเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่ต้องเลย”

ดีดหน้าผากนูนไปหนึ่งป๊อก เด็กบุ้ยปากใส่ทั้งลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ

“ไหนลูห์ว่ามีเรื่องเคลียร์ เรื่องอะไร หืม?”

สายลมเอ่ยเข้าเรื่องที่ยังค้างคา เจ้าเด็กดื้อชะงักไปนิดก่อนหันกลับแล้วเอนหลังพิงเขาเหมือนเดิม

“ไม่เห็นมี”

“แน่ใจ?” พอเขาถาม หัวกลม ๆ ก็ผงกหงึกหงัก “ถ้าไม่พูดตอนนี้แล้วมางอนกันทีหลังจะไม่ง้อนะ”

คำขู่ของสายลมดูจะได้ผล เมื่อเด็กมันหันมามองก่อนหันกลับแล้วพึมพำงึมงำเบา ๆ

“ก็แบบ...”

“ว่า?”

“สายลมเป็นผู้ชายใช่ไหมล่ะ ก็แบบว่าเรื่องผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันก็ต้องมีกันบ้าง”

“อะไรของเธอ วนไปเวียนมา เอาตรง ๆ ซิ” สายลมเอ่ยดักยิ้ม ๆ

“ป้ามหาภัยบอกว่า... สายลมแอบซุกเมียไว้นอกเกาะ”

เด็กว่าอุบอิบ ใบหน้างอง้ำ ขณะที่สายลมขำพรืด ก่อนจะหัวเราะเสียงดังจนเด็กมันหน้าตาเหรอหรา

“อะไร ไม่เห็นมีอะไรน่าขำ”

“รูสหนอรูส ฉันจะไปมีเมียซุกไว้นอกเกาะที่ไหนกัน แค่คนนี้ยังปวดหัวไม่พออีกหรือไง หืม?”

“คนนี้อะไร ก็ป้าบอก...”

“ป้าก็ช่างป้าสิ ถ้าถามฉันก็ต้องฟังฉัน ใช่ไหม?”

“......” ไม่มีอะไรจะแย้ง ก็จริงอย่างที่สายลมว่า ไอ้ตัวเล็กงับปากลงอย่างจำนน

“ไม่มีเมียซุกไว้ที่ไหน ถ้าจะซุกก็มีอยู่คนเดียว คนนี้คนเดียว” หอมแก้มเด็กมันเบา ๆ เมื่อเอ่ยบอกเสียงนุ่ม “มีแค่รูสคนนี้คนเดียว เชื่อไหม?”

ตากลมมองสบสายตาของอีกคนในระยะใกล้ ค่อยหลุบสายตาลงต่ำ สายลมโน้มไปหา จับบ่าเล็กแล้วค่อยเอนกายผอมลงไปบนเสื่อ

“สายลม!” เรียกอีกคนเสียงตื่น ตากลมเบิกโตด้วยความแตกตื่นพอ ๆ กับน้ำเสียง

“ชู่ ไม่ได้ทำอะไรหรอก แค่ขอจูบหวาน ๆ แค่นั้น”

ริมฝีปากถูกประทับปิดทุกคำประท้วง สายลมค่อยมอบจูบหวาน ละเลียดชิมช้า ๆ ให้สมกับความคิดถึง ก่อนที่มันจะดูดดื่มมากขึ้น ลิ้นสากเกี่ยวกระหวัดรัดรั้ง มือหนาสอดลอดเข้าไปใต้สาบเสื้อ ลูบสีข้างแล้วเลยมาที่สะโพกมน

“สายลม... มือ... อึ่ก...”

ไม่สนเสียงประท้วงตะกุกตะกัก เมื่อมือสากระคายยังเลื่อนไล้ลูบวนขึ้นมาสะกิดยอดอก ชายเสื้อเลิกสูงตามมือของเขาทำให้เปิดเปลือยเนื้อตัวขาวผ่อง

“เดี๋ยวมีคนมา” เด็กทักท้วง กลัวมีคนเห็นเพราะมันสว่างโร่แถมยังอยู่หน้ากระท่อมเสียอีก

“อายเหรอ?” ยิ่งเด็กกลัว สายลมยิ่งแกล้ง

“เดี๋ยวป้าเอาไปนินทาอีก”

“ช่างป้า จะได้รู้เสียทีว่าใครเมียฉัน ไม่ต้องพูดมั่วอีกไง ไม่ดีเหรอ?”

“ไม่ อือออ อย่า…”

ร้องห้ามไปก็เท่านั้นเมื่อริมฝีปากหยักรวบดูดยอดอก ตวัดไล้ ดูดดุน หยอกเย้า จนต้องยกหลังมือขึ้นปิดปากเพื่อสะกดกั้นความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น ขาเรียวหนีบเข้าหากัน แผ่นอกแอ่นหยัดตามติดริมฝีปากร้อน ราวเสนอสนองให้กัน

“ชอบไหม รูส?”

เด็กดื้อส่ายหน้าแรง แก้มแดงปลั่งน่าฟัด

“เข้าไปข้างในไหม?”

“......” เงียบสนิท

“หึ ๆ ไอ้ดื้อ”

สายลมขยับตัวขึ้นมาอีกนิดให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน งับจมูกโด่งเบา ๆ เชิงหยอกเย้า มือหนาช้อนใต้หลังบางแล้วรั้งให้ลุกขึ้นนั่งซ้อนบนหน้าตัก ยอดอกสีระเรื่ออยู่ใกล้สายตามากไปเลยครอบครองมันด้วยริมฝีปากร้อน รวบดูดแล้วปล่อยจนเปล่งแดงขึ้นมาทันตา

“สายลม!” กำปั้นเล็กทุบไหล่สายลม ตากลมมองจ้องเสียเขียวปั้ด บ้าจริง

“อยากยั่วเองทำไม” ยกยิ้มมุมปากก่อนก้มลงไปหามันอีกครั้งพร้อมตวัดเลีย

“บ้า ใครทำ” มือเรียวดันศีรษะอีกคนออกห่าง ดึงชายเสื้อมาปิดเนื้อตัวของตนเองเอาไว้ ก่อนตีแก้มสายลมที่ยังแกล้งจะงับมันผ่านเนื้อผ้า

สายลมอมยิ้ม ตีก้นเด็กดื้อด้วยความมันเขี้ยวก่อนว่า “จะบอกอะไรให้อย่าง”

“...?”

“เซย์เคยบอกว่าฉันเป็นฤษี”

“ทำไมล่ะ?” เด็กเอียงคอ แขนคล้องคอของสายลมเอาไว้เมื่อนั่งคร่อมบนตักกว้าง

“หึ เพราะฉันไม่สนใจใครเลยน่ะสิ”

“จนกระทั่งมาเจอ ‘รูส’ เหรอ?”

คำถามนั้นทำให้สายลมกลอกตา หยิกแก้มป่องเบา ๆ ก่อนตอบกลับไป

“เจอเด็กดื้อนี่ต่างหาก”

“......”

“คิดว่าฉันชอบเธอที่ตรงไหน หือ เจ้าดื้อ?”

“ไม่รู้สิ ตอนแรกอาจเพราะ ‘รูส’ น่ารัก”

“แล้วตอนนี้?”

“ตอนนี้คงเพราะ... เพราะอะไรล่ะ สายลม?”

“หึ” สายลมบีบจมูกไอ้ดื้อตาใส “เพราะเป็นเธอไง บอกกี่ทีแล้วไม่จำเลยนะ อัลไซเมอร์เหรอ?”

คนถูกว่าเป็นอัลไซเมอร์ฉีกยิ้มแฉ่ง “เปล่าเป็น แค่อยากฟังบ่อย ๆ”

“ไม่เห็นเคยพูดให้ฟังบ้าง” สายลมแกล้งพ้อ

“พูดทุกวัน”

“ที่ไหนมี?”

“สายลมอยากขี้เซาเอง” เด็กย่นจมูกน่ามันเขี้ยว

“พูดตอนหลับ ใครจะไปได้ยิน”

“อ๊า~”

อดใจไม่ไหวจนต้องฟัดเด็กดื้อ เคราสากระคายซุกไซ้คอขาวจนเด็กมันหัวเราะตัวงอ สายลมยิ่งแกล้ง เสียงหัวเราะสดใสแบบนี้เขาก็ชอบ ชอบไปหมดทุกอย่างนั้นล่ะ จะว่าหลงเด็กก็ยอม

“ท่าทางฉันจะขาดเธอไม่ได้จริง ๆ นะนี่” คล้ายจะรำพึงรำพันกับตัวเอง

รูสอมยิ้ม เกี่ยวต้นคอหนาให้โน้มมาหาพลางบอก “ไม่เห็นเป็นไร เพราะไม่ว่าจากนี้ไปอีกนานแค่ไหน รูสก็จะอยู่กับสายลม ถ้าสายลมยังต้องการรูสคนนี้...”

“......”

“รูสคนนี้ก็จะอยู่กับสายลมเสมอ”

“ต่อให้ฉันแก่หง่อมจนแทบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้น่ะเหรอ?”

“ตราบนานเท่านานเลย”

คำตอบน่ารักเสียจนคนฟังยิ้มกริ่ม “เพิ่งรู้ว่าเด็กดื้อของฉันก็ปากหวานเป็นกับเขาเหมือนกัน”

รูสหัวเราะ แก้มซับสีระเรื่อด้วยความเขิน สายลมก้มลงไปหาแล้วกดจูบแก้มใส ก่อนวกมาหาริมฝีปากที่เขาชอบสัมผัสมันนักหนา

“รักมากนะ เจ้าดื้อ”

คำสารภาพชิดเรียวปากนุ่ม พร้อมมอบจูบหวานล้ำเพื่อยืนยันให้มั่นใจ พวกเขาผ่านช่วงเวลาที่มีทั้งทุกข์และสุขร่วมกันมา หากไม่รักคนนี้แล้ว สายลมก็ยังไม่รู้เลยว่าตนเองจะรักใครที่ไหนได้แบบนี้อีก เพราะฉะนั้น จะให้บอกอีกสักกี่ครั้งก็ยังไม่เบื่อ กับคำ ๆ นี้

...คำว่า ‘รัก’…





:L2: :L2: :L2:




บวกขอบคุณทุกท่านค่า กอด ๆ  :กอด1:

ปล. คุณ ΩPRESTOΩ มีความเป็นห่วงน้อง 55555 ถ้าสายลมจากไป น้องก็เข้าสู่วัฏสงสารเช่นกันค่ะ ไปเจอกันใหม่โลกหน้าละกันค่ะ เอิ๊กก
:D
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-09-2018 18:19:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 05-09-2018 18:29:31
สายลมคนดี
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 05-09-2018 19:05:01
                      :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
          :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
                                 
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 05-09-2018 21:14:43
หวานให้อิจฉาใช่ไหม ^^
แอบขำในความแสบของรูส
น้องน่ารัก

ลูห์สุดเท่ห์ก็เป็นพ่อบ้านใจกล้ากับเค้าด้วย

รอติดตามผลงานเรื่องใหม่
และขอบคุณที่ตอบคำถามนะคะ
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-09-2018 21:18:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 07-09-2018 10:54:20

มันดีต่อใจ

อาจจะงงบ้างอะไรบ้าง

แต่ก็น่ารัก

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 08-09-2018 22:20:09
เป็นแฟนตาซีที่น่ารักมากค่ะ
อ่านเพลินตั้งแต่ต้นจบ ...

ชอบลูห์ ชอบ...รีส
ชอบสายลม ชอบรูส
ชอบครอบครัวสายลมทุกคน
และก็ชอบกั้งกับโต ... น่ารักอะ

ขอตอนพิเศษอีกนะคะ อยากเจอบ่อย ๆ

สุดท้าย ... ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่ดีเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 09-09-2018 04:58:57
เหมือนจำได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้ไปแล้วรอบนีงอ่านอีกรอบก็ยังชอบความลูหา5555555 รักทุกตัวละครรักสายลมรูสตะวันทุกสิ่งในเรื่องสนุกมากดีมากแม้จะมีงงๆบ้างแต่โดยรวมโอเคเลย
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 10-09-2018 18:36:26
ออกจะงงนิดหน่อย แต่ก็สนุกดีครับ



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 14-09-2018 23:51:23
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 16-09-2018 21:46:31
อ่านทั้งตอนพ่อ จนมาตอนลูก ก็ยังสนุกเหมือนเดิม ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 23-09-2018 14:14:05
น่ารักจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 06-11-2021 00:11:34
 :-[
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 17-11-2021 15:52:10
สนุกดีค่ะ
ชอบลูห์
หัวข้อ: Re: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 18-11-2021 16:55:20
 :pig4: