☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼สายลมห่มตะวัน☼ พิเศษ รักตะวัน {๐๕/๐๙/๒๕๖๑} จบแล้ว ย้ายได้เลยค่ะพี่โมฯ  (อ่าน 24955 ครั้ง)

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลงหรืออื่น ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเว็บบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใด ๆ ไปโพสที่อื่น ๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรืออีเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเมนท์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่าง ๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเว็บ  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใด ๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเว็บอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านจริง ๆ นั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่าง ๆ มาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดี ๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดี ๆ ไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้น ๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใด ๆ บนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใด ๆ ก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใด ๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼☼



สายลมห่มตะวัน

บทนำ



เรือประมงลำใหญ่ล่องมาบนทะเลสีฟ้าคราม เจ้าของเรือคือชายหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ ผิวคร้ามแดดสมเป็นไอ้หนุ่มตังเก ผมยาวประบ่าพัดปลิวตามแรงลมเมื่อร่างนั้นยืนกอดอกทอดมองไปไกล เผยให้เห็นแผลเป็นตรงหางคิ้วที่ส่งให้เขาดูน่ากลัวปนน่าเกรงขาม ยิ่งหนวดเครารกครึ้มไร้การดูแลยิ่งไปกันใหญ่ ราวโจรสลัดแห่งท้องทะเลกระนั้น

“นายน้อย” เสียงเรียกจากลูกน้องบนเรือทำให้คนถูกเรียกหันกลับไปมอง

“ครั้งนี้เราจะไปไกลกว่าเดิมหรือเปล่าครับ คราวก่อนแถวน่านน้ำฝั่งโน้นได้ปลามามากโข หรือเราจะไปที่เดิมดี?” เอ่ยถามแล้วลูกน้องคนดังกล่าวก็ยืนรอคำสั่งจากผู้ที่ตนเรียกว่า ‘นายน้อย’

“เลยอ่าวนี้ไปอีกสักหน่อย แถวนั้นปลาน่าจะชุมพอดู ไปถึงแล้วค่อยให้คนลงเรือเล็กไปดูอีกที”

“ครับ” รับคำสั่งดังนั้นแล้วก็เตรียมไปจัดการตามที่ผู้เป็นนายบอก

การทำประมงคืออาชีพหลักของคนบนเรือลำนี้ เรือจากเกาะศิลา พวกเขายังชีพด้วยการทำมาหาเลี้ยงตนด้วยผืนน้ำที่ล้อมรอบเกาะ และการทำเหมืองแร่เพื่อส่งขายนำทุนมาพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในเกาะให้ดีขึ้น รายได้ไม่ได้มากมายแต่ก็ทำให้ทุกคนได้อยู่ดีกินดี มีอาหารการกินเพียบพร้อม

เรือมุ่งหน้าสู่จุดหมายโดยที่ไม่ทันมีใครสังเกตถึงความผิดปรกติ เมฆดำเริ่มก่อตัวเป็นหย่อมทั้งที่ก่อนหน้าฟ้ายังสว่างกระจ่างแจ้งเหมาะแก่การนำเรือออกทำประมง นายน้อยของทุกคนก้าวกลับเข้าไปในตัวเรือที่มีห้องหนึ่งเอาไว้พัก กว่าจะถึงสถานที่ที่พวกเขาต้องไปยังใช้เวลาอีกพอสมควร ร่างสูงใหญ่นั่งลงบนฟูกนอน พิงหลังกับแผ่นไม้กั้นห้องของเรือแล้วกอดอกนิ่ง หน้าที่ของนายน้อยเกาะศิลาไม่ใช่มีเพียงในเกาะ บางครั้งก็เหนื่อยล้าจนอยากหยุดพัก แต่เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะภาระหน้าที่ที่แบกเอาไว้บนบ่า

สายลม คือชื่อของเขา เขาไม่ได้เกิดและเติบโตบนเกาะศิลา แต่ก็มีสายเลือดของเกาะศิลาอยู่เต็มเปี่ยม บิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดคือพระเพลิง และ วิริยา ผู้ล่วงลับ ผู้ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะพบเห็นหน้านอกจากรูปที่แขวนไว้ในบ้านบนเกาะศิลาเท่านั้น

การต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเกิดขึ้นทุกที่ที่มีคนไม่รู้จักพอ เกาะศิลา ปกครองด้วยผู้ที่ถูกเลือกจากพญาราชสีห์ ทุกคนบนเกาะเคารพซึ่งการตัดสินของความศักดิ์สิทธิ์และอยู่อย่างร่มเย็นกันเรื่อยมา แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปร ใจคนก็เปลี่ยนไป การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก ต่างความคิด ต่างเลือดเนื้อ ย่อมมีการแก่งแย่งชิงดี จากคลื่นลูกเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ใต้สายน้ำที่เงียบสงบ พอถึงวันปรากฏตัวก็ถาโถมเข้าใส่จนแทบตั้งตัวกันไม่ทัน

แสงจากคบเพลิงและตะเกียงเจ้าพายุส่องสว่างท่ามกลางเสียงอึกทึก เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกพาหนีจากการตามล่าของกลุ่มคนที่ไล่หลัง มือของเขากุมเหนือคิ้วที่เลือดสีแดงฉานไหลลงมาไม่หยุด ขณะที่ใจกลางเกาะยังคงมีเสียงปะทะของสองฝ่ายอริเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เด็กหนุ่มผู้ถูกพาหนีหยุดวิ่งเมื่อรู้ดีว่าวิ่งต่อไปก็รังแต่จะเหนื่อยเปล่า ทั้งยังพาให้คนอื่นต้องมาลำบากเพราะตน สายตาคมปราดมองฝ่าความมืดยามค่ำคืน ค่อยหลับตาลงตั้งจิตให้แน่แน่ว เสียงดังอึกทึกค่อยเงียบลง ขณะที่ฝีเท้าของฝ่ายไล่ล่าใกล้เข้ามา และคนของเขาคอยเร่งให้หนี เด็กหนุ่มกลับนิ่งสงบราวสายลมที่พัดผ่านกายเพื่อเชื่อมใจกับบางสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามา

“ว้ากกกกกกกก”

เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของสิงโตตัวเขื่อง เปลือกตาเด็กหนุ่มเปิดขึ้นมองเมื่อผู้ล่ากลับต้องกลายมาเป็นเหยื่อ เสียงฉีกกระชากเนื้อหนังทั้งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวดังขึ้นไม่รู้จบ เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งมอง ขณะที่คนด้านหลังทำเสียงราวสยดสยองกับภาพตรงหน้า

ในไม่ช้าทุกอย่างก็จบลงพร้อมกับกลิ่นเลือดคาวคลุ้งที่ไหลซึมสู่ผืนทราย สิงโตตัวใหญ่ถกอุ้งเท้าออกจากร่างที่นอนเกลื่อนบนพื้นทรายด้วยลมหายใจรวยรินเมื่อเด็กหนุ่มก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพวกมัน มือเปื้อนเลือดเอื้อมมาจับข้อเท้า เขาเพียงมองมันด้วยความรู้สึกเฉยชา ก่อนจะยกเท้าขึ้นมาแล้วเหยียบซ้ำลงไป

“อ๊ากกกกกกกกกกกกก”

ร่างสูงใหญ่ทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่งหอบหายใจแรงขณะที่มือกุมอก นัยน์ตาคมฉายแววตื่นตระหนกกับภาพฝันที่เหมือนจริงจนทำให้สะดุ้งตื่น ลมหายใจหอบหนักค่อยคลายลงเมื่อสติรับรู้กลับคืน ด้านนอกนั้นฟ้าแลบแปลบปลาบ ทั้งร้องครืนราวฟ้าจะถล่มเพราะเม็ดฝนที่กำลังจะรั่วลงมากระทบพื้น เขามักฝันเรื่องนี้ซ้ำซากพาลทำให้นอนหลับไม่สนิทสักค่ำคืน เมื่อครู่เขาดันงีบหลับไป และเจ้าฝันร้ายนั่นก็ยังตามมาหลอกหลอน

มือหนาลูบเสยผมยาวที่ระปรกหน้าผาก ก่อนชะงักเมื่อสะดุดกับรอยแผลเป็นทางยาวที่หางคิ้ว รอยแผลที่เป็นบ่อเกิดฝันร้ายของเขา เขาคือนายน้อยของเกาะศิลา คือผู้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งนายของเกาะคนต่อไป การเผชิญกับปัญหาที่บางครั้งก็เกือบถึงชีวิตมีมาเป็นบททดสอบความเป็นผู้นำในตัวเขาอยู่เสมอ แม้ทุกวันนี้ทุกอย่างจะคงอยู่บนความสงบสุข แต่ก็ไม่อาจประมาทได้แม้แต่เสี้ยววินาที ชีวิตเขาถูกกำหนดมาเช่นนั้น แม้ไม่อยากรับรู้มันแต่ก็หลีกหนีไปไม่พ้น หนทางเดียวที่ทำได้คือการยอมรับและก้าวผ่านมันไปให้ได้เท่านั้น

ชายหนุ่มก้าวออกจากห้องในตัวเรือมา เงยมองความมืดครึ้มของท้องฟ้าแล้วคิ้วเข้มก็ขมวด ก่อนจะหันมาพูดกับลูกน้องที่ก้าวเข้ามาหา

“บอกทุกคนระวังตัวด้วย บรรยากาศแปรปรวนผิดวิสัย”

“ครับ”

ลูกน้องคนดังกล่าวรับคำสั่ง ก่อนจะบอกต่อคำสั่งนั้นถึงทุกคนบนเรือ พวกเขาออกมาจับปลา ทำการประมงกันตามปรกติ แต่อยู่ ๆ กลับเกิดเหตุอาเพศขึ้นเช่นนี้คงเป็นลางไม่ดีเสียแล้ว เมื่อทุกคนเข้าประจำที่เพื่อระวังภัยและหลบฝน ร่างสูงใหญ่จึงเตรียมก้าวไปยังห้องควบคุมเรือเพื่อสั่งการ หากเกิดพายุขึ้นกลางทะเลพวกเขาจะต้องมีหนทางรอด

‘ช่วยด้วย’

ขาแกร่งหยุดก้าวเดินเมื่อหูแว่วเสียงขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อหันกลับมาก็ไม่เห็นว่ามีใครนอกจากท้องทะเลแสนเวิ้งว้างในเวลาฟ้าครึ้ม ลูกน้องที่เดินตามมาก็ชะงักตาม ก่อนหันกลับไปตามสายตาของเขาแล้วหันกลับมามองอย่างมีคำถาม เขาส่ายหน้าเบาก่อนออกเดินอีกครั้ง

‘ช่วยด้วย...’

หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อเสียงนั้นยังคงดังแว่ว หันกลับไปมองทางที่มาของเสียงอีกครั้งก็เห็นเพียงเมฆหมอกปกคลุมท้องฟ้าจนมืดมน ก่อนที่เม็ดฝนจะตกกระทบกายพาให้เงยขึ้นมองท้องฟ้าแล้วจึงมองตรงไปยังท้องทะเลที่มีระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นทุกขณะ ตอนนี้เสียงขอความช่วยเหลือหายไปแล้วแต่เขายังคาใจ ขาแกร่งจึงก้าวย่างตรงไปตามที่มาของเสียง หยุดเท้าเมื่อถึงกาบเรือ สายตาคมเพ่งมองฝ่าสายฝนและความมืดครึ้ม ท่ามกลางความบ้าคลั่งของท้องทะเลนั่น มีใครบางคนกำลังเรียกเขา ใครสักคน...


ท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำที่สาดซัด สายฟ้าพิฆาตฟาดลงแปลบปลาบ เรือยนต์ลำเล็กลอยเคว้งกลางท้องทะเล คลื่นลูกใหญ่ซัดโหมถาโถมเข้าใส่ บรรยากาศมืดหม่นน่าหวั่นกลัว ทุกสรรพสิ่งรอบกายราวสดับรับรู้ถึงเสียงร่ำร้องของผู้ที่กำลังหมดสิ้นหนทาง

บนเรือลำน้อยปรากฏร่างของเด็กหนุ่มที่ก้าวถอยห่างจากชายผู้ถืออาวุธพร้อมปลิดชีวิตตน น้ำตาแห่งความหวาดกลัวรินไหลเจือจางไปกับสายฝนที่ตกกระทบ ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวเมื่อชีวิตกำลังจะดับสูญ แม้อยากจะร้องขอ แม้อยากจะอ้อนวอนคนผู้นั้นให้เมตตา แต่ก็เป็นเพียงคำขอที่ไร้ค่า เมื่ออาวุธปืนในมือไม่ได้ลดลงจากเป้าหมายแม้แต่เซนต์เดียว ยังคงเล็งปากกระบอกปืนตรงมาที่ร่างกายสั่นเทานี้

‘แกมันตัวหายนะ! หายนะ!!’

เสียงหวีดร้องด่าทอของใครคนหนึ่งดังขึ้นในมโนสำนึก เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดหูเมื่อเสียงนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลง

‘ไม่ ไม่ใช่!’

มือเรียวกุมศีรษะด้วยความรู้สึกทรมาน น้ำตาไหลพราก พึมพำแต่คำว่าไม่ใช่ซ้ำเดิมอยู่อย่างนั้น สายอัสนีทิ้งแสงและเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับนิ้วมือของเพชฌฆาตที่เตรียมเหนี่ยวไกปืน

“ลาก่อน ตลอดกาล”

เปรี้ยง!!!!!!

ลูกตะกั่วสีเงินพุ่งตรงทะลุกลางอก สายโลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็นตัดเส้นสายฝน ดวงตาเด็กหนุ่มเบิกค้าง ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นกระตุกหงาย ทิ้งตัวลงไปด้านหลัง สายฟ้ายังคงพาดผ่านร้องคำราม แสงสีขาวสว่างจ้าจนตาพร่ามัว เขาหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายมันรินไหล พร้อมกับร่างกายรวดร้าวที่ทิ้งดิ่งลงไปกระทบพื้นน้ำทะเล

คมกระสุนสาดลงมาอีกหลายนัด น้ำทะเลถูกย้อมด้วยสีแดงฉาน ก่อนจะถูกกลบทับด้วยคลื่นทะเลที่ซัดสาดรุนแรงจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำ คนบนเรือมองผลงานของตนเองนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่สะทกกับสภาพอากาศที่แปรปรวนแม้แต่น้อย จนแน่ใจว่าคนที่ตนกราดยิงเมื่อครู่จบชีวิตลงแล้วจริง ๆ

ท่ามกลางพายุฝนและคลื่นทะเล เขาไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเองสักน้อยนิด ขอเพียงได้กำจัดเสี้ยนหนามของผู้เป็นนายให้พ้นไป ไม่ว่าต้องแลกอะไร หรือแม้แต่แลกกับชีวิตของเขา... เขาก็ยอม



ภายใต้ท้องทะเลลึกที่แสนเหน็บหนาว แม้ด้านบนพื้นน้ำจะฉาบไปด้วยแสงสว่างจากสายฟ้าฟาด แต่มันกลับไม่สามารถสาดส่องลงมาถึงคนที่ค่อย ๆ จมลงไปในก้นบึ้งของท้องทะเลแห่งนี้ได้ ร่างที่ค่อย ๆ จมลงไปช้า ๆ ไม่คณาต่อความหนาว ไม่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่ มีเพียงคำถามเดียวที่ยังคงติดค้างก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง

‘ชีวิตเขามันไร้ค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?’

ก่อนสติรับรู้ของเด็กหนุ่มจะดับวูบ ร่างกายของเขากลับถูกโอบล้อมด้วยความแข็งแกร่งจากวงแขนของใครสักคน...

นานเท่าไรไม่รู้ในท้องทะเลนั่น กระทั่งความรู้สึกอุ่นจากอะไรบางอย่างทาบทับบนริมฝีปากเย็นชืดและซีดเซียว ก่อนลมหายใจจะถูกส่งผ่านมาให้ เจ้าของร่างกายเย็นเยียบสำลักน้ำและไอโขลก รู้สึกแสบไปทั้งคอ ทั้งโพรงจมูก แต่เปลือกตาก็หนักเกินกว่าจะลืมขึ้นมาได้ ความเจ็บปวดและหนาวเย็นส่งผลให้ขยับร่างกายไม่ได้ดั่งใจคิด ทำได้เพียงปรือมองสิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตา

ร่างที่ชะโงกเงื้อมอยู่เหนือเขาสูงใหญ่ แผ่นอกหนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามดูบึกบึนกำยำ ผมยาวเปียกลู่ไปกับใบหน้า ภายใต้ความพร่ามัวนั้น รอยบากตรงหางคิ้วกลับเด่นชัดยิ่งกว่าอะไร...

ดวงตาที่ปรือขึ้นมามองเพียงริบหรี่หลับลงไปแล้ว เนื้อตัวเปียกปอนนั่นยังคงมีเลือดไหลซึม ชายหนุ่มวาดมือออกไปรับผ้าจากลูกน้องมาคลุมกายให้ผู้ที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ก่อนจะอุ้มหายลับเข้าไปในห้องหนึ่งบนเรือโดยมีสายตาของลูกน้องมองตาม

ร่างคนเจ็บถูกวางลงบนฟูกแบน ๆ ที่บอกสภาพว่าผ่านการใช้งานมานานหลายปี ผ้าคลุมกายถูกคลายออก ก่อนเนื้อผ้าเปียกปอนเลอะเปรอะไปด้วยเลือดจะค่อยถูกถอดออกอย่างเบามือ ร่องรอยบาดแผลบนร่างกายน่าแปลกที่มันกลับไม่ได้เหวอะหวะเช่นที่คิด ผิวขาวละเอียดแต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยรอยถากของบางสิ่ง และตรงกลางอกที่มีเลือดไหลซึม ต่อเมื่อเขาใช้ผ้าซับออกกลับปรากฏเพียงรอยช้ำขนาดกว้าง หัวคิ้วเข้มขมวด ก่อนจะหันไปมองที่ประตูเมื่อมีคนก้าวเข้ามา

หมอประจำเรือเข้ามาช่วยดูอาการของคนเจ็บ โดยที่ลูกน้องของเขาออกันอยู่ด้านหน้าประตูจนต้องมองดุพวกนั้นถึงแยกย้ายกันไป ชายหนุ่มปล่อยให้หมอทำแผลไป ส่วนตนเองก้าวออกจากห้องเล็กแคบไปสั่งการลูกน้อง เวลานี้ฝนฟ้าที่ตกลงมาราวฟ้ารั่วกลับหยุดสนิทแบบไม่เหลือเค้า ท้องฟ้าสว่างใสไร้เมฆหมอกราวเมื่อครู่นั้นพวกเขาเพียงหลับแล้วฝันไป สร้างความแปลกใจให้ทุกคนบนเรือลำนี้ไม่น้อยกับประสบการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกลางท้องทะเล

ไม่นานนักหมอก็ออกมาด้านนอกพร้อมนำของบางอย่างมายื่นให้นายน้อยของเกาะศิลา เขารับมันมาแล้วเพ่งพินิจ สร้อยร้อยจี้ที่ดูแปลกตา ก้อนกลม ๆ ที่แวววาวล่อแสงอาทิตย์ หากเดาไม่ผิดสิ่งที่ลอยอยู่กลางเจ้าจี้ลูกกลม ๆ นี่มันคงเป็นไข่มุก แต่หาได้เป็นสีขาวขุ่นหรืออมชมพูเช่นไข่มุกปรกติทั่วไป ทั้งที่เป็นลูกทะเลแต่เขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก สีมันวาวใสอย่างน่าประหลาด

“ของเด็กคนนั้น สายสร้อยมันขาด ผมคิดว่าให้คุณเก็บเอาไว้ให้เขาจะดีกว่า”

คำตอบจากคุณหมอประจำเรือเมื่อเขามองอย่างมีคำถาม ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนถามอาการของคนเจ็บ

“อาการหนักหนาไหม?”

“มีเพียงรอยถาก ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นกระสุนปืน เพราะรอบ ๆ แผลมีรอยไหม้ และมันกินเนื้อลงไปพอสมควร อาจเพราะถูกน้ำทะเลกัดด้วย ไม่รู้แช่น้ำมานานแค่ไหน” คุณหมอหนุ่มรายงานถึงอาการของคนเจ็บ

“แผลตรงหน้าอกล่ะ?”

“หน้าอก?” คิ้วหมอประจำเรือขมวด ก่อนจะหรี่ตาท่าทีครุ่นคิด

“ใช่ รอยช้ำ กว้างพอสมควร”

“ไม่มีนะ”

“หือ?” ผู้เป็นนายน้อยทำเสียงแปลกใจในลำคอ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองมาด้วยความสงสัยจึงเปลี่ยนเรื่อง “อา... ผมท่าจะตาฝาด ขอบคุณหมอมาก หากมีอะไรก็รบกวนด้วย”

“ครับ” อีกฝ่ายรับปากก่อนจะผละไป

ชายหนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องเพื่อพิสูจน์บางสิ่ง เขามองเด็กที่นอนอยู่บนฟูกนิ่ง แผลถูกทำความสะอาดและใส่ยาเรียบร้อย ขาค่อยก้าวเข้าไปหา นั่งลงใกล้ ๆ ก่อนค่อยคลี่ผ้าที่คลุมกายออก ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อแผ่นอกขาวบางไร้ร่องรอยของอาการบาดเจ็บ

หัวคิ้วเข้มขมวด ตลบผ้าห่มคลุมกายขาวก่อนผุดลุกพรวด รอยนั่นเขาตาฝาดไปเองหรือ แล้วเลือดมากมายที่ไหลออกมาจากกายเล่า มันคืออะไร นี่เขาช่วยตัวอะไรขึ้นเรือมากันนี่ ? ?




TBC



นับหนึ่งใหม่อีกเรื่องค่ะ

ฝากด้วยนะคะ

 :pig4:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2018 14:58:25 โดย wanmai »

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๑ เด็กหลงทาง


ห้องพักภายในเรือประมงลำใหญ่ ร่างบนฟูกยังคงนอนนิ่ง ผิวกายช่วงที่โผล่พ้นผ้าห่มปรากฏร่องรอยของบาดแผลที่เริ่มตกสะเก็ด บางจุดที่ถูกปิดทับด้วยผ้ากอซสีขาวยังมีรอยเลือดซึมเป็นวงให้เห็น

“อาการตอนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือแผลของเด็กคนนี้หายเร็วมาก” คุณหมอปลายฟ้า หมอประจำเรือรายงานอาการทั้งตั้งข้อสังเกต

“แผลหายเร็วถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอหมอ?” สายลมว่า

“เรื่องดีก็ใช่ครับ ผมเพียงแค่แปลกใจน่ะว่าเพียงวันเดียวแผลก็เริ่มแห้งแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเหวอะหวะพอสมควร”

“เขายังเด็ก ร่างกายคงปรับสภาพได้เร็ว”

คนเป็นหมอพยักหน้าอย่างเห็นตาม เมื่อกรณีเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีหากสุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งเด็กคนนี้คงแข็งแรงเอามาก ๆ ร่างกายถึงสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทนได้เร็วขนาดนี้

“นายน้อย” คุณหมอหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเงียบไปครู่หนึ่งราวทบทวน “คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่นั่น?”

คนถูกถามยังเงียบ เพราะในขณะที่พายุตั้งเค้าทั้งที่ก่อนหน้ายังฟ้าเปิดไร้เมฆหมอกใด มันเป็นสิ่งผิดวิสัยที่ชาวเรือต่างรู้กันดี แต่อยู่ใต้ฟ้า ไม่ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือเตรียมรับมือ

ท่ามกลางความแปรปรวน เขาได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ มันแว่วมากับสายลมและเม็ดฝนที่เริ่มตกกระทบกาย นั่นทำให้ใจเขาไม่นิ่ง จนท้ายที่สุดเมื่อเรือมุ่งหน้ามาถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึกมันก็ยิ่งชัดเจนว่ามีบางสิ่งกำลังเรียกหา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอะไรรออยู่ใต้ท้องทะเลนั่น แต่กลับบ้าพอจะโดดลงไป...

“ไม่รู้สิ อาจเป็นความบ้าบิ่นของผมล้วน ๆ ละมั้ง” มุมปากใต้หนวดเครายกยิ้มกับคำตอบของตน นั่นทำให้คนถามได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ

เสียงขยับตัวที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้บทสนทนาหยุดลง เมื่อหันไปมองที่มาของเสียงก็เห็นว่าเด็กเจ้าของหัวข้อสนทนาพยายามเท้าศอกยันตัวลุกขึ้นนั่ง สายลมจับจ้องการกระทำนั้นอยู่เงียบ ๆ จนใบหน้าที่ก้มต่ำนั่นค่อยเงยขึ้นมา และเพียงสายตาสบกันเข้าฝ่ายนั้นก็ถอยกรูดจนแผ่นหลังชนผนังกั้นห้องดังกึก

ร่างที่เอียงกระเท่ห์เร่ลงไปกองทำให้คนมองยิ้มขำ กายสูงใหญ่ก้าวไปหาหมายจะช่วยพยุงลุก แต่เพียงแค่มือเอื้อมไปอีกฝ่ายก็หวีดร้องทั้งดิ้นพราดราวไร้สติ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันนั้นทำให้อุ้งมือใหญ่เปลี่ยนเป้าหมายมากดปิดทับปากที่ร้องตะโกนแต่ไร้เสียงนั่นเอาไว้แทน

“หยุดดิ้นเสียที!”

การตะคอกดังดูจะไร้ผลเมื่อร่างนั้นยังดิ้นรนไม่หยุดแถมดูจะหนักข้อขึ้นกว่าเดิม ทั้งมือทั้งเท้าป่ายปัดอุตลุดจนสายลมต้องคว้ามากดไว้พร้อมโถมกายทับเพื่อทานแรง

“บอกให้หยุดดิ้น หูแตกเรอะ!?”

คราวนี้ดูท่าว่าจะได้ผลเมื่อร่างที่ดิ้นรนอยู่ข้างใต้หยุดกึก หางตาเหลือบแลมามองคนที่ชะโงกเงื้อมชิดใกล้ ลมหายใจหอบกระชั้นคล้ายจะสะอื้นอยู่ในทีจนแผ่นอกขาวบางกระเพื่อมไหว นัยน์ตาสีอำพันฉายแววหวาดหวั่นจนคนมองรู้สึก ทำให้อุ้งมือหนาค่อยคลายอาการกดทับข้อมือของอีกฝ่าย แต่ยังไม่ลุกไปไหนจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่แผลงฤทธิ์เอาอีก

ผ่านไปครู่ใหญ่เด็กใต้ร่างจึงยอมสงบลง สายลมค่อยคลายมือก่อนลุกออกไปนั่งขัดสมาธิชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งแล้วมองจ้องคนที่นอนนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปกระตุกขา นั่นทำให้คนที่นอนอยู่ต้องลุกพรวดแล้วถอยไปชิดผนังกั้นห้องทันที พร้อมยกแขนกอดเข่ามองคนทำอย่างไม่ไว้ใจ

ริมฝีปากใต้หนวดเครากระตุกยิ้ม ก่อนที่กายสูงใหญ่จะลุกจากเบาะนอน คุยกับหมอประจำเรือสองสามคำก่อนพากันออกไปข้างนอก

ไม่นานนักสายลมก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมถ้วยข้าวต้มและน้ำ มีเพียงปลาย่างเกลือวางอยู่บนข้าว กลิ่นหอม ๆ ของอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่เรียกความสนใจจากคนบนฟูกนอนได้ดี เมื่อสายตาคู่นั้นคอยมองตามถ้วยข้าวที่ถูกวางลงบนพื้นไม้ข้างฟูกนอน ก่อนจะเหลือบขึ้นมองหน้าคนเอามาให้ซึ่งรกไปด้วยหนวดเคราและผมยาวรุงรัง

“กินซะ เดี๋ยวหมอจะเข้ามาดูอาการอีกที”

บอกไปเช่นนั้นแล้วสายลมก็ออกจากห้องไปอีกครั้งเพื่อให้เด็กมันได้กินข้าว กระทั่งนานพอควรจึงกลับเข้ามาพร้อมหมอ สายตาคมปราดมองถ้วยข้าวต้มที่ยังวางนิ่งอยู่จุดเดิมโดยไม่พร่องลงไปแม้แต่น้อย ในใจก็คิดว่าเพิ่งฟื้นอาจจะยังกินอะไรไม่ลง เลยไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่พอหมอนั่งลงพร้อมกล่องเครื่องมือ เด็กบนฟูกก็หันมามองแล้วกระเถิบหนี ไม่ยอมให้ตรวจดูอาการแต่อย่างใด เป็นเช่นนี้อยู่สองสามครั้งจนคิ้วคนมองเริ่มขมวดปม

กายสูงใหญ่ค่อยก้าวเข้าไปหาแล้วนั่งยองลงข้าง ๆ ก่อนคว้าต้นคอขาว ๆ นั่นเอาไว้เมื่อเด็กมีปัญหาทำท่าจะผงะถอย

“อยู่นิ่ง ๆ”

น้ำเสียงข่มขู่ทำให้เจ้าหนูนั่นหยุดชะงัก ได้แต่นั่งหดคออยู่นิ่ง ๆ ตามคำสั่ง

“ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ทำอันตรายเธอหรอก ผมเป็นหมอ ชื่อปลายฟ้า แค่จะตรวจดูอาการของเธอสักหน่อย ให้ความร่วมมือกับผมสักนิดได้ไหม?”

คุณหมอหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ เขาพอเข้าใจว่าภาวะอารมณ์ของคนเจ็บอาจจะยังไม่คงที่ อีกฝ่ายมองเขาอย่างชั่งใจ แต่ท้ายที่สุดใบหน้าเรียวก็ค่อยส่ายไปมาช้า ๆ ก่อนริมฝีปากจะอ้าขึ้นแล้วกัดแขนคนที่กักตัวไว้จนจมเขี้ยว

“อ๊ากกกก!!”

สายลมสะบัดแขนเร่า ตวัดมองเด็กที่ลุกขึ้นวิ่งตุปัดตุเป๋ด้วยความขัดเคือง แต่สุดท้ายร่างนั้นก็ล้มปุลงไม่ไกลเมื่อยังไม่แข็งแรงดีพอ ทำให้คนที่ลุกเดินไปหารั้งแขนผอมแห้งนั้นขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็น

“อยู่เฉย ๆ ให้หมอตรวจก็ไม่เจ็บตัวแล้ว ท่าจะอยากวิ่งลงทะเลไปให้ฉลามกิน มา ฉันจะช่วย” ว่าจบก็ช้อนอุ้มร่างนั้นขึ้นมา ซึ่งคนถูกอุ้มก็วาดแขนกอดคอหมับด้วยความตกใจ

กายสูงใหญ่เดินดุ่มพาเด็กมีปัญหาออกไปข้างนอก เมื่อหาข้าวมาให้กินก็ไม่กิน จะให้หมอมาตรวจก็ไม่เอา ทั้งยังทำร้ายร่างกายเขาอีก มันน่าโมโหน้อยอยู่เมื่อไรกัน นึกว่าเขาเป็นคนใจดีนักหรืออย่างไร

เวลานี้เป็นช่วงบ่ายคล้อยเกือบเย็นย่ำแล้ว เรือกำลังมุ่งหน้ากลับเกาะศิลา อีกไม่กี่โมงยามก็คงถึง แต่กลับมีคำสั่งให้หยุดเรือชั่วคราวจากนายน้อยของเกาะ นั่นทำให้ลูกเรือทั้งหมดหันมาให้ความสนใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น

“อยากโดดลงไปใช่ไหม?”

เมื่อเดินมาถึงขอบเรือ สายลมก็เอ่ยถาม ซึ่งคนถูกถามก็รีบส่ายหน้ารัว ทั้งหน้าเบ้ราวจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แขนที่กอดรัดลำคอหนายิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก

“เฮ้ แต่เมื่อกี้เธอเองนะที่จะวิ่งออกมา” อีกคนยังทักท้วง

เด็กในอ้อมแขนขึงตามอง นั่นทำให้สายลมแทบหลุดขำ แขนที่กอดเขาแน่นอยู่แล้วยิ่งแน่นเข้าไปอีก คงคิดว่าถ้าถูกโยนลงไปจะไม่ยอมลงไปคนเดียวสินะ ร้ายใช่ย่อย แต่เผอิญว่าเขาเองก็กำลังคิดแบบนั้นอยู่พอดี ลงไปเล่นน้ำเย็น ๆ สักยกสองยกก็ไม่เลวนักหรอก

ช่วงขายาวก้าวออกไปอีกนิดก่อนทิ้งตัวลงไปไม่ให้เด็กในอ้อมแขนได้ทันตั้งตัว เสียงน้ำสาดกระเซ็นดังแรงเมื่อร่างของทั้งคู่ตกกระทบพื้นน้ำ ลูกเรือวิ่งกรูมาดูอย่างตกใจ ทั้งหาทางช่วยกันจ้าละหวั่นอยู่ด้านบน ขณะที่สองคนใต้น้ำนั่นกำลังจมดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง

แขนเรียวเกี่ยวกอดลำคอหนา ตะเกียกตะกายที่จะนำพาตนเองขึ้นสู่ที่สูงแต่กลับถูกดึงรั้งเอาไว้ กำปั้นเงื้อง่าจะทุบเจ้าผู้ชายหน้ารกหนวดที่มาขัดขวางตนเอง แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นรอยแผลเป็นที่หางคิ้วของอีกฝ่ายจากกระแสน้ำพัดพาเส้นผมที่บดบังใบหน้าออกไป

เมื่อเรียกสติตนเองกลับมาได้ก็ออกแรงแกะมือที่ดึงรั้งแขนตนเองไว้ แกะข้างนี้ อีกข้างก็ถูกจับแทนอยู่อย่างนั้น อากาศที่มีในปอดเริ่มหมดลงเพราะอาการดิ้นรนมากไป จึงได้เลิกแกะแล้วเปลี่ยนมายกมือปิดปากและจมูกตนเองเอาไว้ แต่ก็ได้ไม่นานนัก ฟองอากาศผุดลอดตามซอกนิ้วออกมาเมื่อเผลอพ่นลมหายใจ ทำให้ต้องกดมือเพื่อปิดปากปิดจมูกให้แน่นยิ่งกว่าเดิม

เมื่อพยายามรั้งแขนออกแต่ไม่สำเร็จ สายลมจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นรั้งเอวเจ้าเด็กหัวดื้อเข้ามาชิดแล้วบังคับกดแขนลง กำปั้นเล็กแต่หนักใช่ย่อยเหวี่ยงมาทุบ เขาจึงคว้ามันไว้แล้วเบี่ยงหน้าประกบปากถ่ายเทลมหายใจให้ สองมือตรึงใบหน้าอีกฝ่ายให้อยู่นิ่ง ริมฝีปากประกบปิดสนิทแนบจนไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกผ่านนอกจากลมหายใจที่ถูกถ่ายเทไป อาการดิ้นรนค่อยคลายลง ปล่อยให้เขานำพาขึ้นสู่ด้านบนผืนน้ำ

เมื่อโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ไอ้ตัวเล็กมันก็ไอโขลก ดวงตาฉายแววเคืองขุ่นตวัดมอง แต่สายลมกลับยิ้มเย้ยแล้วว่า

“ไง มีสติขึ้นมาบ้างหรือยัง?”

คำถามนั้นทำให้เด็กมันชะงัก ริมฝีปากแบบบางนั้นเม้มเข้าหากัน ก่อนที่น้ำตาเม็ดโตร่วงจะผล็อย เสียงสะอื้นแผ่วทำให้สายลมเงยมองเด็กที่พาดแขนกับบ่าตนเองเพื่อพยุงตัวในน้ำ ค่อยเกลี่ยน้ำตาที่ไหลปนกับน้ำทะเลออกอย่างเบามือพลางให้สติ

“เมื่อมีชีวิตรอดแล้วก็หัดรู้จักดูแลตัวเองด้วย เรามันคนไม่เคยรู้จักกัน แต่ฉันก็ไม่ใจจืดใจดำมองเธอตายลงไปต่อหน้า เพราะงั้น...”

ทุกถ้อยคำถูกกลืนกลับเมื่อร่างน้อยโถมเข้ามากอดทั้งตัวแล้วร้องไห้โฮ มือหนาลูบแผ่นหลังบาง เงยมองลูกน้องที่ทิ้งบันไดเชือกลงมาแล้วจึงค่อยลอยตัวพาเด็กในอ้อมแขนไปเกาะ ก่อนปีนกลับขึ้นไป

เด็กตัวเปียกนั่งห่มผ้าที่คุณหมอประจำเรือหามาให้ หูตาแดงไปหมดเพราะสำลักน้ำ ทั้งยังเป่าปี่ไปหลายยก สักพักเสื้อตัวใหญ่ก็ลอยมาคลุมหัว หันไปมองที่มาก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างไว ๆ เลยได้แต่ค่อนขอดในใจที่เอามาให้กันดี ๆ ก็ไม่ได้

มือเรียวดึงมันลงมาวางกองไว้ข้างกายเมื่อคุณหมอกลับมาทำแผลให้ เมื่อทำแผลเสร็จแล้วจึงคว้าเสื้อตัวหลวมโพรกมาสวม มันยาวเกือบถึงเข่าแถมเทอะทะอีก เหลือบมองคนนำมาให้ก็เห็นว่ากำลังง่วนอยู่กับการสั่งการลูกน้อง จึงได้นั่งลงที่เดิมแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้

แสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า แสงไฟจากเครื่องปั่นไฟในเรือส่องให้ความสว่าง ตากลมมองคนบนเรือทำงานอย่างสนใจ ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อท้องร้องโครกครากเพราะไม่ยอมกินข้าวที่นายหนวดเอามาให้เมื่อตอนบ่าย

จานข้าวถูกนำมาให้โดยคุณหมอหนุ่มคนดี เขาเงยมองแล้วค่อยก้มศีรษะลงน้อย ๆ พร้อมไหว้ขอบคุณก่อนยื่นมือออกไปรับมากิน ตัวสูง ๆ นั้นนั่งลงข้างกัน มองเขาที่จ้วงข้าวในจานเข้าปากด้วยความหิวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม

“พูดไม่ได้เหรอ?”

“......”

“เพราะถูกทำร้ายหรือเป็นมาแต่เกิด?”

“......” เหลือบมองคนถามขณะที่เคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เลือกที่จะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ นั่นทำให้คุณหมอหนุ่มยกยิ้มบาง

“เออ พูดไม่ได้นี่นะ จะตอบคำถามยังไงล่ะนี่ ฮะ ๆ” ราวกำลังพูดอยู่กับอากาศ เพราะอีกฝ่ายไม่โต้ตอบกลับมา เพียงแต่เหลือบมามองเล็กน้อยเท่านั้น พอเห็นเด็กมันกินด้วยท่าทางดูเอร็ดอร่อยก็ยิ้มเอ็นดู “กินให้อิ่ม ไม่พอก็ขอได้อีก นายน้อยของทุกคนที่นี่เขาใจดี”

“......” คนฟังพยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้ตามนั้น

คุณหมอลุกออกไปแล้ว เขาจึงละสายตามาสนใจจานข้าวของตนเองต่อ ก่อนเบือนไปมองคนที่กำลังตรวจตราโดยรอบตัวเรือแล้วนิ่งไปเมื่อนึกถึงรอยแผลเป็นตรงหางคิ้วของอีกฝ่าย เขาจำมันได้ รอยแผลนั่น... ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

หันกินข้าวในจานต่อจนหมดแล้วยกขันน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่คิดอะไรอีก เหมือนว่าเขาจะลืมอะไรบางอย่างไปเสียแล้ว บางอย่างที่สำคัญ...

หมอปลายฟ้าขึ้นมาหาสายลมบนห้องควบคุมเรือ เห็นอีกฝ่ายกำลังยืนมองลงไปด้านล่างจึงก้าวเข้าไปหา เมื่อมองตามสายตาก็เห็นว่าเด็กที่นั่งห่มผ้าตัวกลมอยู่มุมหนึ่งของเรือคือจุดสนใจ ริมฝีปากคุณหมอเปิดยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเรียก

“นายน้อย”

สายลมละสายตาจากจุดสนใจแล้วหันมาตามเสียงเรียก “อ้าว หมอ เป็นไงบ้าง?”

“ก็... ตอนนี้ทำแผลให้ใหม่แล้วครับ โดนน้ำทะเลกัดเลยอักเสบนิดหน่อย” ท้ายประโยคลอบสังเกตปฏิกิริยาคนที่ทำให้น้ำทะเลมันกัดแผลคนอื่นจนอักเสบ ‘นิดหน่อย’ แล้วยิ้มขำ

สายลมกระแอมเบา ๆ ก่อนถาม “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?”

“ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่อย่าจับเขาโยนลงทะเลอีกแล้วกัน”

จบประโยคนั้นของคุณหมอ สองหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าสายลมจะอุ้มเด็กมันไปโยนทะเลจริง ๆ แต่ก็คงเพราะแบบนั้นเลยทำให้เกราะที่เด็กมันสร้างขึ้นค่อยจางลงไป

“ตอนนี้ที่น่าห่วงไม่น่าใช่สภาพร่างกายของเขา แต่เป็นที่มาของเขามากกว่า”

คุณหมอหนุ่มเอ่ยขึ้น ซึ่งสายลมก็เห็นด้วย การที่จมอยู่ใต้ทะเลแบบนั้นมันไม่น่าใช่เรื่องปรกติ ยิ่งบาดแผลบนร่างกายที่หมอปลายฟ้าวินิจฉัยว่าเป็นแผลจากกระสุนปืนยิ่งไม่ธรรมดา แต่เวลานี้คงไปซักไซ้อะไรไม่ได้ เพราะเด็กคนนั้นยังไม่วางใจพวกเขาพอที่จะเปิดปากเล่าอะไรให้ฟัง ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้สายลมก็นึกขึ้นได้

“จริงสิ เรื่องพูดไม่ได้นั่น...”

“ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกทีว่าอะไรยังไง เพราะถามเขาก็ไม่ได้คำตอบ”

สายลมพยักหน้าอย่างเข้าใจ หันไปมองเด็กที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม เป็นขณะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นเงยขึ้นมา สายตาที่มองสบไม่ได้ละไป นั่นทำให้สายลมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจดีจริง


เรือเข้าเทียบท่าบนเกาะศิลาในที่สุด บนท่าเรือมีคนคอยรับหน้าที่ต่ออยู่แล้ว ต่างส่งต่อและทำหน้าที่ของแต่ละคนด้วยความรวดเร็ว สายลมพาเด็กลงมาจากเรือ ปรกติเวลากลับมาถึงเกาะจะมีพ่อเฒ่า ผู้ซึ่งเป็นนักพยากรณ์ของเกาะศิลามารอเพื่อทำการปัดเป่าเรื่องร้ายที่อาจติดตัวมาจากท้องทะเลเมื่อเขาอาจไปลบลู่อะไรเข้าโดยไม่ตั้งใจ คนบนเกาะยังคงเชื่อในสิ่งเหล่านี้ และยึดมั่นต่อสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจำพวกนี้มาโดยตลอด

ชายชราผมสีดอกเลาภายใต้ชุดสีทึมเทายังยืนอยู่ที่เดิมดังเช่นทุกครั้ง ไม้เท้าที่ใช้พยุงตัวยังคงเป็นเอกลักษณ์ของชายผู้นี้เสมอ พ่อเฒ่าอาจีฟ นักพยากรณ์แห่งเกาะศิลา ด้วยสีหน้าที่ดูเครียดกว่าปรกติทำให้สายลมหันมองเด็กที่เดินกระย่องกระแย่งตามมา ก่อนจะพากันก้าวไปหยุดตรงหน้าชายชรา

สายตาฝ้าฟางมองเด็กแปลกหน้านิ่งอยู่เป็นนาน คนถูกจับจ้องก้าวไปหลบหลังนายหนวดเมื่อทนสายตากดดันนั้นไม่ไหว ทำไมต้องมองกันขนาดนี้ด้วยไม่รู้

“ผมช่วยเขามาเอง มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือพ่อเฒ่า?” สายลมเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นมาก่อน

“เขาไม่ใช่คนของเกาะ อาจไม่เหมาะนักที่จะให้เขาอยู่ที่นี่” ชายชราตอบกลับไปเสียงเรียบ สายตายังไม่ละไปจากเด็กคนนั้น

“ไว้เราจะพาเขากลับบ้าน แต่ตอนนี้คงไม่ได้” เหลือบมองคนที่ก้มหน้าหลบสายตาพ่อเฒ่าของเกาะศิลาแล้วตอบกลับไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้

“นานนักจะไม่ดี”

“ถือว่าผมรับทราบคำเตือนจากพ่อเฒ่าแล้ว” นั่นถือเป็นการยุติบทสนทนา

ชายชรามองนายน้อยของเกาะศิลาแล้วทอดถอนใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านหน้า ฝ่ามือตั้งฉากกับผืนทรายเพื่อทำการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายดังเช่นทุกที แต่เพียงสัมผัสกับร่างกายของอีกฝ่าย ชายชราก็ชะงักมือก่อนลืมตามาเอ่ยถาม

“นายน้อย ท่านเก็บสิ่งแปลกปลอมใดมาจากท้องทะเลอีก นอกจากเด็กคนนี้?”

น้ำเสียงดูเคร่งเครียดจากพ่อเฒ่าทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะย้อนถาม

“หมายถึงสิ่งนี้?”

จี้ห้อยคอรูปทรงกลมคล้ายลูกแก้วแต่โปร่งใส บรรจุเม็ดอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางซึ่งคล้ายว่ามันจะเป็นเม็ดมุกดังที่สายลมคาดคะเนเอาไว้ในทีแรกถูกเอาออกมาจากชายพก นั่นทำให้ดวงตาเด็กที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเบิกโต

“ทิ้งไปเสีย”

เสียงของชายชราทำให้เด็กแปลกหน้าหันขวับไปมอง ดวงตากลมเบิกโตยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันมาทางสายลมแล้วจับแขนแกร่งหมับ เมื่อเจ้าของแขนเหลือบมามองก็ส่ายหน้าพลางส่งสายตาอ้อนวอน

“คงไม่ได้” เอ่ยบอกกับพ่อเฒ่าอาจีฟไปแบบนั้นเมื่อเด็กข้างกายทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“นายน้อย...”

“ผมเหนื่อยมากแล้วพ่อเฒ่า ขอตัวไปพักก่อนจะได้ไหม?” เอ่ยแทรกเมื่อฝ่ายนั้นตั้งท่าจะพูดอีกยืดยาว สีหน้าจริงจังของนายน้อยเกาะศิลาทำให้ทุกคนต้องยอมหลีกทาง

ร่างสูงใหญ่ออกเดินเมื่อไม่มีใครขวาง เห็นดังนั้นเจ้าเด็กแปลกหน้าก็รีบวิ่งตาม ด้วยไม่คุ้นชินกับใครที่นี่ แม้แต่คนที่กำลังวิ่งตามมาอยู่ตอนนี้ก็ด้วย แต่จะให้อยู่ท่ามกลางคนที่พร้อมจะขับไล่ การตามคนตัวโตคิ้วบากมาย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

สายตาฝ้าฟางของพ่อเฒ่าแห่งเกาะศิลามองตามทั้งสองคนไป เห็นแวววุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้วชายชราก็ถอนใจ ก่อนจะเหลือบสายตามามองผู้ที่ก้าวมายืนด้านข้าง ความอาฆาตมาดร้ายแผ่กระจายออกมาจากคนผู้นั้นจนสัมผัสได้

“เพราะนายท่านพาหลานนอกไส้เข้ามา เรื่องเลวร้ายมันถึงเกิดขึ้นได้ไม่หยุดหย่อน...”

“เงียบ” เพียงอีกฝ่ายเปิดปากพูดชายชราก็ตวัดสายตามองพลางสั่งเสียงเข้ม ทำให้คนพูดจำต้องหุบปากเงียบ

“อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก” ชายชรายังกำชับสั่ง

คนบนเกาะศิลายอมรับในตัวของสายลม นั่นคือคนส่วนมาก แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ใช่ เพราะสายลมไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่ เพียงแต่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และถูกเลือกจากความศักดิ์สิทธิ์ของเกาะแห่งนี้เท่านั้น คลื่นใต้น้ำยังมี เพียงแต่จะผุดขึ้นมาให้เห็นเมื่อไรนั้นยังไม่อาจคาดเดา


...

ต่อด้านล่างค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมพาเด็กมาที่กระท่อมน้อยริมเล เขามักมานอนที่นี่มากกว่าบ้านใหญ่ของผู้เป็นปู่ มันเป็นกระท่อมไม้แบบหนึ่งห้องนอน เสายกพื้นสูงและมีบันไดเตี้ย ๆ พาดเป็นทางขึ้น กั้นชานหน้ากระท่อมด้วยราวระเบียงไม้ หลังคามุงสังกะสีเพื่อความทนแดดทนฝนและปูทับด้วยหญ้าคาอีกทีเพื่อกันความร้อนที่จะกระทบสังกะสีโดยตรง ดูกะทัดรัดเหมาะสำหรับคนรักสันโดษแบบเขาดี

เขาเข้าไปค้นเสื้อผ้าในห้องมาให้เด็กที่ยืนตัวลีบอยู่มุมระเบียงได้ผลัดเปลี่ยน กายสูงใหญ่ก้าวเข้าไปหา ค่อยก้มลงช่วยแกะผ้ากอซปิดแผลก่อนจะจับจูงพาไปยังลานข้างกระท่อมที่กั้นไว้สำหรับอาบน้ำอาบท่า

“อาบน้ำซะ แผลก็ดูไม่เป็นไรมากแล้ว ไว้จะพาไปโรงพยาบาลให้หมอเขาตรวจอาการอีกทีแล้วกัน”

เอ่ยบอกเด็กที่ยืนกอดเสื้อผ้าอยู่ข้างตุ่มใส่น้ำอาบ ขณะที่ตนเองก็ถอดกางเกงเพียงตัวเดียวที่สวมใส่อยู่ออกเพื่อจะได้อาบน้ำและพักผ่อนเสียที เหนื่อยมามากแล้ววันนี้

ที่นี่มีแหล่งน้ำจืดอยู่กลางเกาะ แม้รอบ ๆ นั้นจะรายล้อมด้วยทะเลที่เต็มไปด้วยความเค็ม แต่น้ำที่ผุดขึ้นมากลางเกาะศิลากลับใสสะอาดไร้ความเค็ม มันคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติโดยแท้ ทุกคนที่นี่ได้ใช้ประโยชน์และสำนึกบุญคุณของผืนน้ำ เมื่อไม่นานมานี้สายลมก็ได้ทำการขุดเจาะต่อท่อนำน้ำจืดมาไว้ที่กลางหมู่บ้าน เพื่อที่สมาชิกของเกาะทุกครัวเรือนจะได้ไม่ต้องเข้าป่าลึกเพื่อหาบน้ำมาเก็บไว้ใช้อีก

หลายสิ่งหลายอย่างภายในหมู่บ้านเริ่มใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย ด้วยการคิดริเริ่มของสายลมและปลายฟ้า ปลายฟ้าที่เป็นหมอก็คอยช่วยดูแลด้านเทคโนโลยีในการรักษาคนไข้ เมื่อมีอะไรขาดเหลือก็จะนำเรื่องมาเสนอแก่สายลม ผู้ที่จะขึ้นเป็นนายของเกาะคนต่อไป

เมื่อสายลมหันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าเด็กมันยังไม่ยอมขยับเข้ามาอาบน้ำตามที่บอกแต่อย่างใด ทั้งยังหันหลังให้เสียอีก ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรง ก่อนเอื้อมไปรั้งแขนอีกฝ่ายให้เซมาหา

“เอาเสื้อผ้าไปวางไว้บนนั้นก่อนไป”

ตากลมกะพริบปริบ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอาเสื้อผ้าที่หอบมาไปวางบนชั้นไม้แบบง่ายที่ตั้งอยู่เยื้องจากตุ่มน้ำไปเล็กน้อย

“เสร็จแล้วก็มาอาบน้ำ หรือต้องอาบให้?”

น้ำเสียงติดจะรำคาญหน่อย ๆ ทำให้อีกคนจำต้องถอดกางเกงออกอย่างเสียไม่ได้ สายตาที่มองจ้องทำให้รู้สึกเก้อกระดากจนทำตัวไม่ถูก

“อย่ามาทำเหนียมอายเหมือนสาวน้อย รีบมาอาบเร็ว ๆ ไม่เหนียวตัวบ้างหรือไง?”

เมื่ออีกฝ่ายทำกระมิดกระเมี้ยนนัก สายลมจึงดึงเข้ามาแล้วใช้ขันตักน้ำราดตัวให้เสียเอง ไอ้ตัวเล็กมันกระโดดเหยง แต่หนีไปไหนไม่ได้เพราะแขนข้างหนึ่งถูกจับเอาไว้ ได้แต่ย่ำเท้าอยู่ที่เดิมแล้วเหวี่ยงตัวหมุนไปมารอบตัวสายลม ทั้งยกมือลูบหน้าลูบตาเพราะน้ำยังคงถูกราดลงมาบนหัวจนเปียกโชกไปหมด

สายลมวางขันน้ำแล้วคว้าขวดยาสระผมมาบีบมันลงบนเส้นผมที่ในเวลานี้จับตัวเป็นก้อนเพราะความเค็มของน้ำทะเล ก่อนจะขยี้จนเด็กมันหัวสั่นหัวคลอน

“อื้อออ”

เสียงประท้วงทำให้สายลมหัวเราะในลำคอ ยิ่งตาเขียวขุ่นตวัดมามองเขาก็ไหวไหล่ ก่อนจะปล่อยให้เด็กมันสระผมต่อด้วยตัวเอง

“อาบเร็ว ๆ นะ แถวนี้มันยิ่งมืด ๆ อยู่ เผื่อมีตัวอะไรโผล่มา...”

คำขู่จากคนตัวโตทำให้คนถูกขู่ผวาเข้ามาหา ตากลมเหลียวมองรอบ ๆ เห็นแสงบางอย่างจากในมุมมืดคล้ายสายตาของตัวประหลาดก็ขยับตัวเบียดอีกฝ่ายมากขึ้น

“ถ้ากลัวก็รีบอาบ มัวแต่มากอดฉันอยู่มันไม่เสร็จนะ”

“......” เงยมองคนพูดแล้วก็ค่อยผละถอย เบือนสายตาไปทางอื่นเมื่อเผลอก้มต่ำไป แม้ตรงนี้จะไม่ได้สว่างจ้า แต่ก็ยังพอเห็นอะไร ๆ ได้อยู่

“หึ เด็กลามก”

ใบหน้าเรียวแดงเถือกเมื่อถูกนายหนวดว่าเอาแบบนั้น ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่ลับสายตาไปพร้อมริมฝีปากพะงาบงับ เขาไม่ได้ลามกนะ ตัวเองนั่นแหละที่ลามก!


หลังอาบน้ำเสร็จสายลมก็พาเด็กไปที่โรงพยาบาลของหมู่บ้าน ให้หมอปลายฟ้าช่วยทำแผลให้ใหม่ ทั้งยังฉีดยากันบาดทะยักก่อนจะสั่งยาให้เอากลับมากินด้วย สายลมให้เด็กถือถุงยาไปนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ ขณะที่ตนคุยกับหมออยู่ด้านใน

“เท่าที่ตรวจดูไม่มีอาการอะไรผิดปรกติ เพียงแต่ต้องระวังเรื่องแผลติดเชื้อหน่อย ควรพามาให้พยาบาลช่วยทำแผลให้ แล้วก็คราวนี้อย่าเพิ่งให้แผลถูกน้ำมากไป เช็ดตัวเอาได้ก็ดี”

“อือฮึ แล้วมีอะไรอีก?” สายลมพยักหน้ารับรู้แล้วถามต่อ

“ตอนนี้ไม่มี ส่วนเรื่องเสียง... ไม่ได้เป็นมาแต่เกิด น่าจะมาจากการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น ต้องใช้เวลาสักหน่อย เดี๋ยวหมอจะหาทางอีกทีว่าจะกระตุ้นยังไงได้บ้าง”

“ขอบคุณนะ หมอ”

“ด้วยความยินดี”

“หึ” สายลมหัวเราะในลำคอ ก่อนบอกลาหมอแล้วออกจากห้องมา

หากว่ากันตามจริง สายลมและหมอปลายฟ้าก็เหมือนพี่น้องร่วมสายเลือด เพราะปู่ของทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน เพียงแต่นายลามุ ปู่ของสายลมได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นนายของเกาะศิลา ทำให้ปลายฟ้าไม่คิดเทียบชั้นกับน้องชาย แม้สายลมจะบอกกับอีกฝ่ายว่าเป็นพี่น้องก็ตาม

สายลมออกมาหาเด็กที่ตนเองเก็บมาจากใต้ท้องทะเล เขาหลงนึกว่าเป็นตัวประหลาด แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นเพียงเด็กเคราะห์ร้ายคนหนึ่งเท่านั้น ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างกายคนที่นั่งแกว่งขาอยู่หน้าห้องตรวจด้วยท่าทีเบื่อ ๆ รูปร่างเด็กคนนี้ดูผอมบาง ทั้งแขนขาก็เล็กนัก ยิ่งมาสวมเสื้อผ้าของเขาที่ตัวหลวมโคร่งขนาดนี้ ดู ๆ ไปแล้วราวกับเด็กขาดสารอาหารอย่างไรอย่างนั้น

“วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว กลับไปนอนที่กระท่อมนะ ฉันจะให้คนไปส่ง”

ตากลมหันมามองเขา ก่อนจะเอียงคอด้วยท่าทีสงสัย

“ฉันต้องไปทำธุระสักเดี๋ยว เสร็จแล้วจะตามกลับไป”

สายลมเรียกลูกน้องที่ไว้ใจได้มาแล้วฝากให้พาเด็กกลับไปที่กระท่อมก่อน เพราะตนจะเข้าไปรายงานตัวกับผู้เป็นปู่สักหน่อย เมื่อจะลุกผละไปอีกฝ่ายก็กลับผวามาจับแขนเขาไว้ ตาคู่โตช้อนขึ้นมองด้วยแววหวาดหวั่น

“คนนี้ไว้ใจได้ เขาจะพาเธอกลับที่พัก” สายลมให้ความมั่นใจ

ใบหน้าเรียวกลับสั่นหวือ ไม่ยอมไปท่าเดียว ในสถานที่นี้ คนที่พอจะฝากความหวังได้มีเพียงนายหนวดครึ้มคนนี้เท่านั้น ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลเขารู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมา บางคู่ก็มองเขาอย่างไม่เป็นมิตรนัก เหมือนสายตาของชายชราผู้นั้นที่ไม่พร้อมจะต้อนรับเขาสักนิด

สายลมถอนใจกับความดื้อดึงของเด็กเจ้าปัญหา “อย่าทำเรื่องง่ายให้มันกลายเป็นเรื่องยาก”

พอถูกดุ สีหน้าเจ้าหนูก็ดูเจื่อนจ๋อยลงไป เขามาจากไหนไม่รู้ เป็นคนนอก เป็นคนไม่รู้จักกัน แต่ทำตัวแบบนี้ใครก็ต้องรำคาญเป็นธรรมดา

ร่างผอมลุกขึ้นพร้อมปล่อยแขนที่ตนเองยึดเกาะเอาไว้ ก่อนหมุนตัวกลับแล้วเดินตามคนที่นายหนวดบอกให้พากลับกระท่อม อยู่ที่ไหนเขาก็เป็นตัวปัญหา มันแย่เอามาก ๆ กับความคิดเช่นนี้

สายลมมองตามเด็กที่เดินก้มหน้าก้มตาตามคนของตนไป ไม่รู้ว่าเอาภาระมาไว้บนบ่าอีกอย่างหรือเปล่า เขานี่มันพวกชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง แต่ทำอย่างไรได้เมื่อไม่อาจใจจืดใจดำมองเด็กคนนี้ตายลงต่อหน้าโดยไม่ช่วยเหลือทั้งที่ตนเองก็ช่วยได้



เมื่อตรงมาที่บ้านผู้เป็นปู่ สายลมก็เข้าไปพบพร้อมรายงานตัว เรื่องเด็กที่เขาพาเข้ามาในเกาะคงไม่จำเป็นต้องบอก ป่านนี้เรื่องคงถึงหูของปู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เด็กคนนั้นเป็นใคร มาจากที่ไหน?”

และก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดเสียทีเดียว เมื่อพบหน้ากัน ปู่ของเขาก็ถามไถ่ถึงเด็กคนนั้นขึ้นมา

“เรื่องนั้นคงต้องถามเขาอีกที” สายลมว่าง่าย ๆ ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรจากเด็ก ไม่รู้แม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ น่าแปลกที่เขายังเฉยอยู่ได้

“เห็นพวกที่ไปด้วยกันมันว่าเด็กพูดไม่ได้?”

สายลมลอบยิ้ม ไม่ผิดจากที่คิดสักนิด หูตาปู่ของเขาไวเสมอ “อาจจะเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมั้งครับ เพราะดู ๆ ไปแล้วเหมือนเขาจะอยากพูด อยากสื่อสารกับทุกคนอยู่”

นายลามุมองหลานชายด้วยแววตาอ่านไม่ออก หลานของเขามันหัวดื้อ ได้พ่อมาเต็ม ๆ แบบไม่ต้องสืบหา ไม่มีใครสามารถกดเด็กคนนี้ให้อยู่ภายใต้อาณัติ แม้แต่เขาเองก็ตาม หากสายลมไม่เต็มใจก็ไม่มีใครบังคับให้ทำตามได้

“สายลม หลานเป็นคนที่ควรจะรักษากฎมากที่สุด แต่กลับฝ่าฝืนกฎพาคนนอกเข้ามา...”

“ผมทราบครับ ผมจะระวังให้มากกว่านี้ เพียงแต่ครั้งนี้ผมปล่อยผ่านไปไม่ได้” สายลมเอ่ยขึ้นมาเมื่อรู้ดีว่าปู่ของตนกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร กฎข้อหนึ่งของเกาะคือ ห้ามพาคนนอกเข้ามาโดยเด็ดขาด เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้เป็นนายของเกาะนี้เท่านั้น

“เอาเถอะ ดูแลเขาให้ดี อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังล่ะ” สุดท้ายแล้วนายลามุก็จำต้องปล่อยผ่าน

“ครับ ผมคงต้องขอตัวกลับ ปล่อยเขาอยู่ที่กระท่อมคนเดียว เดี๋ยวได้เกิดปัญหาขึ้นมาล่ะแย่แน่”

“ยอกย้อน”

สายลมหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวลานายลามุแล้วออกจากบ้านมา



เมื่อกลับมาที่กระท่อม สายลมก็เดินเข้ามาหาก้อนกลม ๆ ที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ยืนกางขาเท้าสะเอวมองแล้วส่ายหน้าเมื่อเด็กที่ล่วงหน้ามาก่อนนอนหลับไปแล้ว หลับได้หลับดีจริง ๆ เด็กคนนี้ มองคนหลับอยู่ครู่หนึ่งสายลมก็นอนลงข้าง ๆ ตากลมลืมขึ้นมามอง ตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่เขาคว้าต้นแขนเอาไว้

“นอนต่อเถอะ ฉันของีบสักหน่อย เหนื่อย” บอกไปเช่นนั้นแล้วก็ค่อยหลับตาลง

หนุ่มน้อยปลดมือหนาออกจากต้นแขน มองคนตัวโตที่นอนอยู่ข้างกาย แม้จะรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าคนคนนี้แม้หน้าตาจะเหมือนโจรป่าแต่ไม่ใช่คนใจร้าย แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก ตัวผอมบางขยับไปชิดผนังห้องแล้วนั่งมองอีกคนไม่ละ มองอยู่นานพลางครุ่นคิดและคาดหวัง อยากให้คนคนนี้ใจดีตลอดรอดฝั่ง อย่าเหยียบย่ำเขาเช่นคนพวกนั้นเลย

‘แกมันตัวหายนะ!’


เสียงสะท้อนที่ยังคงดังขึ้นมาในมโนสำนึกทำให้เผลอยกมือปิดหู ตากลมกลอกมองรอบกายพลางขดตัวซุกหน้ากับหัวเข่า ...ไม่จริงหรอก เขาไม่ใช่ตัวหายนะ ไม่ใช่...

สายลมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่รินรดผิวกาย เวลานอนเขาชอบถอดเสื้อทำให้ผิวไวต่อสัมผัส เมื่อลืมตาขึ้นมามองก็เห็นเด็กมันนอนซุกอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มเท้าศอกเพื่อชันตัวขึ้นแล้วหัวเราะในลำคอ ก่อนหน้านี้ยังทำท่าไม่ไว้ใจเขาอยู่เลย ผ่านไปไม่ทันไรมานอนซุกอยู่ข้างกายเขาเสียแล้ว นิ้วยาวเขี่ยจมูกรั้นนั้นเบา ๆ อมยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายย่นจมูกเหมือนกระต่ายน้อย

“เด็กประหลาด”

เขาพึมพำ ก่อนจะเอนลงนอนตะแคงข้างมาหา วางแขนพาดเอวบางเอาไว้ กายผอมขยับเข้ามาซุกอกทำให้สายลมเกร็งตัวแล้วยกแขนที่วางพาดบนเอวขึ้นค้างกลางอากาศโดยอัตโนมัติ ด้วยกลัวว่าเด็กมันจะตื่น แต่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอนั่นก็พอจะเบาใจไปได้ว่าไม่ใช่ตอนนี้

แขนแกร่งถูกวางลงที่จุดเดิมอีกครั้ง รั้งเบา ๆ ให้ร่างแบบบางขยับเข้ามาชิดกาย กอดคนตัวอุ่นแทนหมอนข้างที่เขาไม่เคยใช้มันสักครั้ง ความจริงการมีหมอนข้างอยู่บนที่นอนมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก


...


บ้านหลังใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาในแบบตะวันตก ภายในห้องหนึ่งของบ้าน ชายชุดดำก้าวเข้ามาด้านในทำให้คนในห้องนั้นหันกลับมามอง ริมฝีปากหนาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้รับรายงานถึงสิ่งที่ตนได้ให้ชายชุดดำตรงหน้าไปกระทำ และสิ่งนั้นมันปรากฏผลสำเร็จดังใจหมาย

“แน่ใจแล้วใช่ไหมว่ามันได้ตายไปแล้ว?” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามเรื่องความเป็นความตายราวไร้ความรู้สึก

“ครับ ผมยิงมันทะลุกลางอก พอมันตกเรือไปก็กระหน่ำยิงซ้ำจนแน่ใจว่ามันไม่น่ารอด”

“ดี!” อีกฝ่ายกระแทกเสียงอย่างสาแก่ใจ ขณะที่ชายชุดดำค้อมศีรษะแล้วยิ้มในสีหน้าเมื่อได้รับคำชม

“เสี้ยนหนามของฉันมันจะได้หมดลงไปเสียที ต่อไปนี้คงไม่มีอีกแล้ว...” คนพูดค่อยหันกลับไปอีกทาง มองท้องฟ้าสดใสผ่านกระจกด้วยสายตาเฉยชา

“ลาก่อน รูส... น้องชายที่น่ารักของฉัน”

เปรี้ยง!!

เสียงปืนดังขึ้นที่ด้านหลังหนึ่งนัด ชายชุดดำทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นเมื่อกระสุนทะลุตัดขั้วหัวใจ เขม่าควันจากกระบอกปืนของผู้ยิงลอยอ้อยอิ่ง ก่อนที่มันจะถูกลดลงมาข้างตัว คนยิงยืนรอฟังคำสั่งจากผู้ที่ยืนมองท้องฟ้าอยู่หน้ากระจก คนผู้นั้นไม่ได้หันกลับมามองดวงตาของชายชุดดำที่เบิกค้างแม้ยามหมดลมหายใจ มีเพียงคำสั่งสั้น ๆ

“ปิดปากของพวกแกให้สนิท”

“ครับ” ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรับคำโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะตรงเข้ามาลากยกร่างไร้วิญญาณของชายชุดดำออกจากห้องไป

เสียงประตูห้องถูกปิดลง ลมหายใจของคนที่เหลืออยู่ในห้องค่อยถูกระบายออกมา ไม่สะทกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่ด้านหลังประตูบานนั้น คนที่ภักดีต่อเขาที่สุดกำลังจะถูกนำไปกำจัดให้ไร้สิ้นตัวตน ไม่ว่าใครก็ตามที่ขัดขวางความยิ่งใหญ่ของเขา ใครก็ตามที่ล่วงรู้ความลับของเขามากจนเกินไป มันทุกคนจะต้องถูกกำจัดจนสิ้นซาก!




TBC


 :pig4:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
คิดถึงคุณนักเขียนมากเลยค่ะ  :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เรื่องนี้เคยรีไน้ท์ไปแล้วป่าวคะ แล้วก็ยังไม่จบอยู่ดี จำได้ว่าตามอ่านทุกรอบเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๒ พึ่งพิง


เสียงฝีเท้าก้าวเดินบนเส้นทางที่แสนมืดมิด มีเพียงแสงสว่างอยู่ไกลลิบส่องนำทางรำไร เจ้าของฝีเท้านั้นคือเด็กผู้ชายตัวน้อยซึ่งในอ้อมแขนกอดตุ๊กตาตัวเก่าค่อยก้าวเดินไปตามทางอย่างไม่มั่นคงนัก ดวงตากลมเหลือบมองรอบกายที่ไร้เงาผู้คน แขนเรียวเล็กกอดตุ๊กตาของตัวเองแน่น ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะเดินไปไหน สุดเส้นทางนี้จะไปหยุดลงที่ใด แต่ขาก็ยังก้าวเดินต่อไปแม้ใจหวาดหวั่น

ประตูห้องที่เปิดแง้มนำพาแสงสว่างที่เห็นอยู่แสนไกลนั้นลอดออกมา เด็กชายหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นด้วยความสงสัย มือค่อยเอื้อมออกไปด้วยความอยากรู้ เมื่อด้านหลังที่ก้าวเดินผ่านมามีแต่ความมืด เห็นแสงสว่างอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้วจึงอยากก้าวออกไปหา แต่ไม่ทันที่จะเอื้อมไปถึง บานประตูก็ค่อยเปิดออกช้า ๆ เด็กชายชะงัก มองอย่างชั่งใจ ภายในนั้นไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความสว่างที่ตัดกับจุดที่เขายืนอยู่อย่างสิ้นเชิง

ขาเล็กค่อยก้าวผ่านธรณีประตู เพียงพ้นมาประตูบานนั้นก็ปิดดังปัง! จนเด็กชายสะดุ้งโหยง หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำด้วยความกลัว สองแขนกอดตุ๊กตาแน่นขึ้นไปอีกเมื่อมันเป็นเพื่อนเพียงตัวเดียวของเขาในเวลานี้

เสียงก้าวเดินสวบสาบดังมาใกล้ ดวงตากลมฉายแววระริกไหวเมื่อค่อย ๆ หันกลับมาอีกด้านหนึ่ง จนกระทั่งเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายแหงนเงยขึ้นมอง อีกฝ่ายยกยิ้มแสยะ ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อวัตถุปลายแหลมในมือใครคนนั้นถูกเงื้อง่า ก่อนที่มันจะพุ่งลงมาหาด้วยความรวดเร็ว

“อ๊า!!!!!!!!!!!!!”

เสียงร้องดังสะท้อนก้องในหู เปลือกตาเปิดขึ้นฉับพลัน ร่างกายเย็นเยียบสั่นระริกกับภาพฝันที่ถูกปลุกขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก หยดน้ำตารินไหลโดยไม่ทันได้รู้ตัว กว่าที่ลมหายใจหอบกระชั้นจะสงบลงก็ต่อเมื่อรับรู้ถึงอ้อมแขนของใครอีกคนที่โอบกอดกายตน ความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในความเยียบเย็นของจิตใจทำให้หน่วยตาคลอคลองขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หาใช่ความรู้สึกหวาดกลัวดังเช่นตอนสะดุ้งตื่น แขนเรียวสอดไปโอบเอวหนา ขดตัวซุกหน้ากับอกแกร่งเมื่อไร้ที่พึ่งพิง

“นายน้อย นายน้อยครับ”

เสียงเรียกดังมาจากหน้ากระท่อม เจ้าหนูเงยมองคนถูกเรียกด้วยความตกใจ หากตื่นขึ้นมาพบว่าถูกเขากอดอยู่จะทำเช่นไร เมื่อคิดได้ดังนั้นแขนเรียวที่พาดกอดจึงถอยกลับ ก่อนยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองลวก ๆ

“ตื่นแล้วเหรอ?”

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะทำให้คนที่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่ชะงัก มือยังค้างอยู่บนแก้มขณะช้อนมองคนตัวโตซึ่งมองมาที่ตนเองอยู่เช่นกัน เมื่อถูกสายตาคมมองจ้อง ทั้งตนเองยังนอนอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย หนุ่มน้อยก็ทำหน้าไม่ถูก หลุบสายตาลงต่ำ มองเพียงแผ่นอกแน่นตึงที่อยู่ในระดับสายตาพอดีเท่านั้น

“เสียงใครมาเรียกอยู่ข้างนอกไม่รู้ เดี๋ยวฉันจะลุกไปดูหน่อย”

สายลมบอกกับเด็กในอ้อมแขน ร่างสูงใหญ่ขยับลุก อีกคนก็ดีดตัวลุกขึ้นมาตามกัน สายตาคมปรายมองเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องนอนในกระท่อมไป

ผู้ที่มาเรียกแต่เช้าคือลูกน้องคนที่ให้มาส่งเด็กมันเมื่อวาน มันนำเสื้อผ้ามาให้เพราะเขาสั่งเอาไว้ ไอ้ตัวเล็กบนกระท่อมไม่มีชุดจะใส่ ไอ้เขาก็ตัวใหญ่กว่าตั้งมาก จึงวานลูกน้องให้ช่วยหาขนาดที่พอดีกว่านี้มาให้

“ขอบใจ เอามาให้แต่เช้าเชียว” นายน้อยเกาะศิลารับเสื้อผ้าจากลูกน้องมาพลางว่า

“แหะ ๆ รบกวนนายน้อยเหรอครับ?” อีกฝ่ายยิ้มแหยแล้วหัวเราะแห้ง ๆ เพราะตนเองรีบมาแต่เช้าตรู่ นายน้อยอาจจะยังไม่ตื่นดี

“เปล่าหรอก ยังไงก็ขอบใจมาก” มือหนาตบบ่าลูกน้องของตน ก่อนจะคลี่ดูชุดที่อีกฝ่ายนำมาให้

“เอ่อ... นายน้อยครับ”

“หือ?”

เอ่ยเรียกแล้วคนเรียกก็เหลือบมองเด็กที่เกาะขอบประตูกระท่อมโผล่แต่หน้ามาส่องด้วยความหวาดระแวง ก่อนเอ่ย

“เห็นคนเขาว่ากันว่าเด็กที่นายน้อยพามาจะนำความวุ่นวายมาสู่เกาะเรา มันคือเรื่องจริงใช่ไหมครับ?”

“เหลวไหล” สายลมดุเสียงเข้ม

“แต่ว่าเรื่องนี้มันออกมาจากปากพ่อเฒ่าอาจีฟเลยนะครับ คนเขาเชื่อกันทั้งบาง” อีกฝ่ายยังว่า

“พ่อเฒ่าคิดมากไปน่ะสิ เพราะข้าพาคนแปลกหน้าเข้ามา พ่อเฒ่าเลยเป็นห่วง”

สายลมให้เหตุผล แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากเชื่อที่เขาพูดเท่าไร ชายหนุ่มจึงวางเสื้อผ้าในมือไว้บนชาน ก่อนรั้งคอลูกน้องมาใกล้แล้วจับมันหันไปมองเด็กประหลาดที่ทำตัวเป็นจิ้งจกเกาะขอบประตู

“นี่ ไอ้กั้ง เอ็งดูอะไรนี่ เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นั้นจะทำอะไรได้ หือ ข้าถามเอ็งหน่อย”

“......” ไอ้กั้งที่สายลมเรียกทำหน้าประหลาดเมื่อเด็กคนนั้นรีบผลุบหายเข้าหลังฉากกั้นห้องนอน สายลมจึงเห็นโอกาสพูดต่อ

“เอ็งดูเด็กมันสิ น่าสงสารไหม พูดก็ไม่ได้ แก้ต่างให้ตัวเองก็ไม่ได้ อยู่ ๆ มาถูกตั้งแง่แบบนี้ เอ็งไม่สงสารมันบ้างเหรอ?”

“.......” คำพูดที่ดูมีเหตุมีผล ทั้งยังเห็นด้วยตาตัวเองเป็นภาพประกอบ ทำให้ไอ้กั้งเริ่มคล้อยตาม

“เฮ้อ...” เสียงทอดถอนใจทำให้ไอ้กั้งหันมามองผู้เป็นนายน้อยของมัน “ขนาดเอ็งยังไม่เชื่อใจข้า ข้าก็พอจะเข้าใจน่ะนะว่าไม่ได้เกิดที่นี่ ใครที่ไหนจะมาเชื่อมั่นในตัวข้า...”

“ข... ข้า... ข้าไงนายน้อย ข้าเชื่อใจนายน้อย” ไอ้กั้งรีบบอกเมื่อนายน้อยของมันพูดราวตัดพ้อ

สายลมซ่อนยิ้ม มือหนาเอื้อมไปบีบไหล่เจ้ากั้งพร้อมบอก “ขอบใจ... เฮ้อ คงมีแต่เอ็งนี่ล่ะนะที่อยู่ข้างข้า”

เจ้ากั้งยิ้มแฉ่งเมื่อคำพูดของนายน้อยทำให้มันรู้สึกว่าได้รับความไว้วางใจและเป็นคนสำคัญ

สายลมคว้าเสื้อผ้าที่วางไว้แล้วขึ้นกระท่อมไป ก้าวเข้ามาในห้องนอนแล้วก้มมองเด็กที่เงยหน้ามามองเขางง ๆ

“เขาเอาเสื้อผ้ามาให้ ไปขอบคุณเขาด้วยล่ะ”

เสื้อผ้าเหล่านั้นถูกส่งต่อ มือเรียวยื่นออกไปรับมาจนเต็มอ้อมแขน ก่อนลุกขึ้นเดินไปหาเจ้ากั้งที่หน้ากระท่อม หยุดยืนอยู่บนชานแล้วก้มหัวลงแทบชิดเข่า ก่อนเงยขึ้นมาเปิดยิ้มให้แล้วเดินกลับเข้าห้องไป

ไอ้กั้งเกาหัวแกรกกับพฤติกรรมของเด็กที่นายน้อยพามา ก่อนจะหมุนกายกลับแล้วเดินบ่นงึมงำไปตามทาง “นอกจากพูดไม่ได้แล้วน่าจะเอ๋อด้วยมั้งนี่ ถ้าความวุ่นวายที่ว่ามันจะเกิดก็คงเกิดเพราะความเอ๋อของมันนี่ล่ะ”

เมื่อได้ชุดมาแล้วเด็กดื้อก็อยากไปอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดใหม่ สายลมไม่ให้อาบเพราะจะโดนแผล หาขัน หาแปรงสีฟันมาให้แปรงฟันเท่านั้นพอ

ตากลมมองขันน้ำใบน้อยกับแปรงและยาสีฟันที่ถูกวางลงตรงหน้า เงยมองนายหนวดแล้วก็ส่ายหน้าไม่เอาแค่นี้ ก่อนจะถอดเสื้อแล้วแกะผ้าปิดแผลให้ดูว่าแผลของตนเองดีขึ้นแล้ว นั่นทำให้ถูกสายลมตีมือเอาเพราะซนแกะแผลเล่น แต่เมื่อเห็นว่าแผลมันเป็นเพียงสะเก็ดที่หลุดลอกเห็นเนื้อเกิดใหม่สีชมพูอ่อนก็ชะงัก เพิ่งพาไปทำแผลกับหมอปลายฟ้าผ่านมาไม่ถึงวันเองไม่ใช่หรือ นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว

“จะอาบก็เอา ถ้าถูกหมอปลายฟ้าดุ ฉันไม่ช่วย” เมื่อทัดทานไม่ได้สายลมจึงต้องยอม แต่มีแอบขู่แถมท้ายมาด้วย

คนถูกขู่ย่นจมูก ก่อนจะกอดเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นวิ่งตึง ๆ ลงไปที่ลานข้างกระท่อมเพื่อเตรียมอาบน้ำ สายลมได้แต่ส่ายหน้า เด็กมันร่าเริงขึ้นก็ดีอยู่หรอก แต่ดื้อแบบนี้เขาชักปวดกบาล

“ไอ้หนู” ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากกระท่อมมาแล้วเอ่ยเรียก เมื่ออีกฝ่ายหันมาเขาจึงบอก “เดี๋ยวฉันจะไปที่บ้านปู่หน่อย ขากลับจะเอาข้าวมาด้วย อาบน้ำเสร็จอย่าออกไปเล่นซนที่ไหนล่ะ”

สั่งกำกับไว้เช่นนั้นอีกคนก็พยักหน้าหงึกหงัก พลางคิดในใจว่าจะไปเล่นที่ไหนได้ ตนเพิ่งมาที่นี่ได้ยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำ

เมื่อสายลมไปแล้ว หนุ่มน้อยจึงเริ่มอาบน้ำ น้ำเย็น ๆ ทำให้สดชื่นกำลังดี แต่ขณะที่กำลังเพลินอยู่นั้นกลับรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองมาจากด้านหลัง เมื่อหันขวับไปมองกลับพบเพียงความว่างเปล่า กวาดสายตามองโดยรอบก็ไม่เห็นมีอะไร นั่นทำให้ต้องปลอบใจตนเองว่าตอนนี้มันกลางวันแสก ๆ คงไม่มีตัวอะไรโผล่มาทำให้ตกใจกระมัง เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วจึงได้อาบน้ำต่อให้เสร็จไป

ความรู้สึกแปลกประหลาดยังไม่เลือนหาย มือที่กำลังถูสบู่ค่อยหยุดลงเมื่อยังคงรู้สึกถึงบางอย่างที่มองจ้องอยู่ด้านหลัง ใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ตัดสินใจหันไปมองมันอีกครั้ง ครานี้ดวงตากลมต้องเบิกกว้างเมื่อชายตัวใหญ่กระโจนเข้ามาหา

เจ้าหนูหวีดร้องลั่น แต่เสียงมันก็ดังแค่ในใจ ทั้งที่ไม่มีเสียงจะร้องแต่ริมฝีปากก็ถูกปิดแล้วลากไป เสียงร้องเรียกให้นายหนวดช่วยดังอื้ออึงเพียงในความคิด เช่นนั้นแล้วมีหรือนายหนวดจะได้ยิน...


ร่างผอมถูกผลักจนกลิ้งโคโล่ไปบนพื้นบ้านหลังหนึ่ง ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมามองผู้กระทำพลางขยับหนี หนีบขาเอาไว้เพื่อหลบสายตาชายผู้นั้นที่มองมายังเนื้อตัวเปล่าเปลือย ท่าทางของชายตรงหน้าดูน่ากลัว ยิ่งอีกฝ่ายโน้มลงมาหา เจ้าหนูก็เอนตัวออกห่างด้วยความกลัวปนรังเกียจ

“ถอยออกไปให้ห่าง เหนือเมฆ”

เสียงพ่อเฒ่าอาจีฟดังมาพร้อมตัว มีลูกศิษย์เดินตามมาพร้อมผ้าผืนใหญ่ในมือ ผู้เป็นศิษย์นำผ้าผืนนั้นมาให้เด็กคลุมกายแล้วพยุงลุกขึ้น

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม” ชายชรากล่าวตำหนิชายร่างใหญ่ที่ลักพาเด็กแปลกหน้ามาจากกระท่อมของนายน้อยแห่งเกาะศิลา

เหนือเมฆ เป็นลูกของนายครรชิตกับนางมารียา นายครรชิตผู้ที่คนในเกาะรู้ดีว่าทำเรื่องอะไรเอาไว้กับนายน้อยของเกาะเมื่อยังเยาว์วัย จนสุดท้ายตัวนายครรชิตกับลูกชายคนโต สองพ่อลูกผู้เต็มไปด้วยความทะยานอยากกลับต้องจบชีวิตลงกลางท้องทะเลที่บ้าคลั่ง แม้ความผิดของผู้เป็นบิดาจะหนักหนา แต่เหนือเมฆและมารดาก็ยังได้รับการอภัยจากนายของเกาะ และอาศัยอยู่ที่นี่เรื่อยมา โดยที่ตลอดมานั้นภายในใจของเหนือเมฆสั่งสมความแค้นเอาไว้จนมันทับถมแทบไม่สามารถขัดเกลาได้ นางมารียาจึงได้ส่งมาให้พ่อเฒ่าอาจีฟช่วยสอนสั่ง เผื่อลูกชายของนางจะซึมซับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้บ้าง

ด้วยเหตุนั้นทำให้เหนือเมฆไม่ชอบสายลมจนถึงขั้นเกลียด เมื่อคิดว่าต้นเหตุการตายของบิดามันมาจากหลานของนายลามุคนนี้ และเมื่อรู้ว่าเด็กที่สายลมพามาอาจนำความวุ่นวายมาสู่เกาะศิลา เขาจึงได้อาสาจัดการเอง

“จะรั้งรออะไรล่ะพ่อเฒ่า จะให้เด็กนี่มันสร้างปัญหาขึ้นมาก่อนเหรอ ถึงจะขยับตัวได้!” เหนือเมฆเสียงดัง สายตามาดร้ายตวัดมามองเด็กที่ตนเองฉุดกระชากลากมา

“เจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะนำปัญหาอะไรมาให้ อย่าเอาอคติส่วนตัวมาตัดสินแทนข้า” ชายชราเอ่ยเสียงเรียบ

“พ่อเฒ่าก็เข้าข้างไอ้หลานนอกไส้ของนายลามุ เห็นผิดเป็นชอบ ทั้งที่มันทำผิดกฎพาตัวปัญหาเข้ามา!”

ท่าทีแข็งกระด้างของเหนือเมฆที่มีต่อนายแห่งเกาะศิลา ทั้งยังวาจาดูหมิ่น ทำให้พ่อเฒ่าต้องหันไปสั่งลูกศิษย์ของตน “ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากสงบจิตสงบใจ ลาซา พาเหนือเมฆออกไป”

“ครับ”

ผู้เป็นลูกศิษย์รับคำแล้วก้าวไปหา เหนือเมฆฮึดฮัดไม่ยอมให้แตะตัว สายตาขวางขุ่นตวัดมามองเด็กแปลกหน้า ก่อนจะเดินออกจากบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟไปโดยมีลูกศิษย์พ่อเฒ่าเดินตามไปส่งตามคำสั่ง

ชายชราถอนใจ ก่อนจะหันมาหาเด็กที่ยืนนิ่งอยู่กลางบ้าน “เราอาจจะต้องคุยกันสักหน่อย”

ตากลมมองคนพูดด้วยความหวาดระแวง...


สายลมกลับมาที่กระท่อมพร้อมอาหารปรุงสุก เขาแบ่งมาจากบ้านของปู่ ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะเพราะเด็กมันรออยู่ วันนี้ว่าจะเริ่มคุยกันสักทีว่าเด็กมันเป็นใครมาจากไหน ถึงพูดไม่ได้แต่น่าจะเขียนได้จึงเอากระดาษกับดินสอติดมือมาด้วย เมื่อมาถึงกลับพบว่ากระท่อมเงียบผิดปรกติ ชายหนุ่มจึงวางปิ่นโตที่ตนถือมาแล้วเดินหาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

“ไปเล่นซนที่ไหน?”

พึมพำกับตนเองแล้วหัวคิ้วเข้มก็ขมวดเล็กน้อยเมื่อก้าวลงมาข้างล่าง สายตาคมกวาดมองรอบบริเวณก่อนจะส่งเสียงเรียกบางสิ่ง

“ลูห์”

เสียงใบไม้เสียดสีดังมาจากทางหนึ่งเมื่อเขาเอ่ยเรียก ก่อนที่สิงโตตัวใหญ่จะค่อยก้าวย่างออกมา...

สายลมตรงมาที่บ้านพ่อเฒ่าอาจีฟด้วยสีหน้าเครียดเคร่งพร้อมจะถล่มเต็มที่หากฝ่ายนั้นทำอะไรเด็กของตน สิงโตที่เรียกออกมาคือลูห์ เป็นสัตว์คู่บารมีของนายน้อยแห่งเกาะศิลาเช่นเขา ลูห์อยู่บริเวณกระท่อมแต่จะไม่ปรากฏตัวหากเขาไม่เรียก และเมื่อได้รู้จากลูห์ว่าเด็กที่ตนพามานั้นอยู่ที่ไหน สายลมจึงตรงดิ่งมาในทันที เหตุใดถึงได้รังแกแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ร่างสูงใหญ่เดินดุ่มเข้าไปในบ้านของชายชราผู้เป็นนักพยากรณ์ของเกาะโดยไม่มีใครทันได้ทัดทาน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นคนที่ตนเองตามหากำลังกินข้าวราวไม่ทุกข์ร้อน

“มาทำอะไรที่นี่?”

คนที่กำลังกินข้าวอยู่สะดุ้งน้อย ๆ ก่อนเงยขึ้นมามองเมื่อได้ยินเสียงเขา ค่อย ๆ วางจานข้าวลงบนโต๊ะเตี้ยแล้วลุกขึ้นมาหา กายผอมเลี่ยงมายืนด้านหลังทำให้สายลมปรายมองชุดที่เด็กมันใส่ ชุดพื้นเมืองเช่นเดียวกับลูกศิษย์ของพ่อเฒ่าอาจีฟ

“จะไม่นั่งลงก่อนหรือนายน้อย?”

เสียงทักถามจากเจ้าบ้านทำให้สายลมจำต้องนั่งลงเพราะตนกำลังยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิ โดยมีเด็กนั่งลงข้าง ๆ

“ไม่กินต่อหรือเจ้าหนู ท่าทางจะยังไม่อิ่ม”

ชายชราเอ่ยชวน ซึ่งคนถูกชวนก็ส่ายหน้าเพราะกลัวคนข้าง ๆ โกรธ

“ผมคงคิดได้อย่างเดียวใช่ไหมว่าพ่อเฒ่าพาเด็กมันมากินข้าวที่บ้าน ใจดีมีเมตตาทีเดียว” สายลมเอ่ยขึ้นมาเชิงประชด

“มิต้องประชดประชันกันดอกนายน้อย ธุระของข้านั้นเสร็จแล้ว เห็นว่าเด็กมันหิวจนท้องร้องดัง เลยหาข้าวหาปลามาให้มันกิน”
คนถูกพาดพิงก้มหน้าก้มตา ฟังผู้ใหญ่สองคนตอบโต้กันไปมาเงียบ ๆ

“ขอบคุณที่พ่อเฒ่าเมตตาเด็กมัน แต่จะไม่บอกผมหน่อยเหรอว่าพามันมาทำไม?”

“มาเพื่อคลายข้อสงสัย”

สายลมได้แต่มองจ้องเมื่อชายชราตอบกลับมาเช่นนั้น ท่าทีซ่อนเล่ห์ซ่อนกล ถามไปคงไม่มีทางได้ความ

“หากเสร็จธุระแล้วผมคงต้องพาเด็กมันกลับ” ชายหนุ่มว่า

“ตามสบาย”

เช่นนั้นร่างสูงใหญ่จึงขยับลุก เด็กตัวจ้อยก็รีบลุกขึ้นตามกันเมื่ออีกคนก้าวออกจากห้องไปโดยไม่รอ

“รูส...”

เสียงเรียกจากพ่อเฒ่าอาจีฟทำให้เจ้าของชื่อชะงัก ก่อนจะหันกลับมา

“คิดดูให้ดี ๆ การตัดสินใจของเจ้ามีผลต่อทุกคนที่นี่”

สายตาของผู้หยั่งรู้จ้องมองมา คนถูกจ้องหน้าหมอง ผินกายกลับแล้ววิ่งตามนายหนวดเมื่ออีกฝ่ายร้องเร่ง การพูดคุยระหว่างเขากับชายชรา จุดมุ่งหมายเดียวของอีกฝ่ายคืออยากให้เขาไปจากที่นี่เท่านั้น

...หากต้องไปจากที่นี่แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ จะไปที่ไหน... ได้แต่ย้ำคิดด้วยความหมองเศร้า


เมื่อกลับกระท่อมมา หนุ่มน้อยของเราก็ดูหงอยจนน่าแปลกใจ ทั้งยังนั่งซึมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งจี้ทรงกลมลอยอยู่ตรงหน้าจึงเงยขึ้นมามองก่อนจะเอื้อมคว้าหมับ เมื่อได้มาไว้ในมือ รอยยิ้มยินดีจึงเผยออกมาให้เห็น

สายลมยิ้มบาง นั่งลงข้างกายผอม มองเด็กมันใส่สร้อยเชือกถักที่เขาหามาร้อยจี้ทรงกลมนั้นไว้ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยถาม

“ของสำคัญใช่ไหม?”

คนถูกถามหันมามอง เม้มปากแล้วพยักหน้า

“เก็บไว้ให้ดีล่ะ”

มือหนาลูบศีรษะทุย ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจพาให้น้ำตาคลอ

“อะไร พูดแค่นี้ก็จะร้องแล้ว ลูกผู้ชาย เข้มแข็งหน่อย” สายลมหัวเราะในลำคอ โยกศีรษะทุยเบา ๆ อย่างหยอกล้อ

ดวงตากลมยังมองจ้อง ได้แต่ร่ำร้องในใจว่าอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่... ทำไมถึงอยู่ไม่ได้... ไม่อยากไป... เขาไม่อยากไป...

“อ้อ ฉันเอากับข้าวมาจากบ้านโน้นด้วย เผื่อเธอจะหิว แต่เธอกินไปแล้ว ท่าทางมันจะเป็นหมันเสียแล้วสิ”

คนตัวโตแกล้งว่า อีกคนก็โบกมือรัว ก่อนจะคว้าปิ่นโตมาแกะ

“ไม่ต้องฝืนกินก็ได้ ฉันแค่ล้อเล่น”

ใบหน้าเรียวหันมาหาเขา ก่อนลูบท้องพลางทำหน้านิ่ว

“หึ ๆ ถ้าหิวก็ตามสบาย”

เจ้าหนูเปิดยิ้มน่าเอ็นดู ก่อนลงมือแกะเถาปิ่นโตออกมาวาง ลุกไปเอาจานที่ชั้นวางตรงชานหน้ากระท่อมมาใส่ข้าว พร้อมตักให้สายลมด้วยอีกจานแล้วส่งให้พร้อมยิ้มตาหยี นั่นทำให้สายลมยกยิ้มมุมปาก

“นี่ เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยไหม ไหน ๆ ก็ผจญภัยร่วมกันมา”

อีกคนเอียงคอมอง พลางเคี้ยวข้าวในปากด้วยท่าทางอร่อยเอร็ด ทั้งที่เพิ่งกินมาจากบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ

“ฉันชื่อสายลม... สายลม วินท์ คาร์ล”

‘สายลม’ ทวนคำของคนตัวโตหน้ารกเคราอยู่ในใจ ก่อนพยักหน้ารับรู้

“แล้วชื่อเธอล่ะ ฉันคงไม่ต้องเรียกว่าไอ้หนูต่อไปเรื่อย ๆ หรอกนะ” ท้วงถามบ้างเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าแล้วกินข้าวต่อเฉย

นิ้วเรียวชี้ขึ้นมาตรงหน้า สายลมเลิกคิ้ว ก่อนจะมองตามเรียวนิ้วนั้นที่ค่อยขยับ

R O O S E

“หือ? ชื่อเหรอ?”

อีกคนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม

“อาร์ โอ เอส อี... โรส?”

สิ่งที่เขาคาดเดาได้รับการส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วยกนิ้วขึ้นเขียนใหม่ให้เขาได้ดูอีกรอบ

“รูส?”

คราวนี้เด็กตรงหน้าพยักหน้าหงึกหงัก

“โอเค ๆ รู้แล้ว เดี๋ยวหัวหลุด” สายลมยิ้มขำ ก่อนเอ่ยถามต่อ “อายุล่ะ?”

นิ้วถูกยกขึ้นมาหนึ่งนิ้วให้เขาได้คาดเดา

“สิบ...”

ก่อนมืออีกข้างจะยกขึ้นมาข้างกันทั้งห้านิ้ว

“ห้า... อายุสิบห้า!”

ตากลมกะพริบปริบ ๆ สิบห้าแล้วมันผิดตรงไหนกัน? ทำไมต้องเสียงดังด้วย?

สายลมมองแววตาใสซื่อของคนที่บอกว่าตัวเองเพิ่งอายุสิบห้าแล้วย้อนนึกถึงวันที่ได้ช่วยขึ้นมาจากใต้ท้องทะเล ใครมันเลวชาติทำกับเด็กได้ลงคอ

เขาถอนใจก่อนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่รู้นะว่าก่อนหน้านี้เธอต้องเจออะไรมาบ้าง แต่อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น แม้ฉันจะไม่ใช่เจ้าของเกาะนี้ แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอได้อีก”

ผู้ชายคนนี้... ได้มองคนพูดอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย แต่ช่วยเหลือเขาทุกอย่าง ต่างจากคนที่บอกว่ารักนัก หักหลังฆ่าฟันกันได้ลงคอ ใบหน้าเรียวก้มต่ำ ค่อยตักข้าวใส่ปาก รู้สึกขมขื่นแทบกลืนไม่ลง


...
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

เมื่อรูส เด็กแปลกหน้ายังคงอยู่ในเกาะศิลาแม้เวลาจะผ่านไปหลายวันแล้ว ข่าวก็เริ่มกระจายออกไปต่าง ๆ นานา ที่หนักหนาไปกว่านั้นถึงขั้นที่ว่าหากปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่ในเกาะศิลานานไปจะเกิดเหตุอาเพศ ปากคนยิ่งกว่าปากกา สร้างเรื่องสร้างราวกันไปจนใหญ่โต

สายลมพาเด็กมาที่โรงพยาบาลเพื่อให้หมอปลายฟ้าดูแผล ซึ่งหลายจุดสะเก็ดลอกออกไปบ้างแล้ว หายเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ใจทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้หมอปลายฟ้าไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากเช็ดทำความสะอาดแผลให้ และให้ยาทาเอาไว้เผื่อแผลหายสนิทดีแล้วจะได้ทาเพื่อลดการเกิดรอยแผลเป็น

“เรื่องที่คนเขาพูดกัน ปล่อยไว้แบบนั้นจะดีเหรอ?” หมอปลายฟ้าเอ่ยขึ้นมาเมื่ออยู่กับสายลมเพียงลำพัง

“สร้างเรื่องกันไม่จบไม่สิ้น” สายลมกอดอก สีหน้าเบื่อหน่าย ขณะมองผ่านช่องกระจกไปดูเด็กที่นั่งรออยู่ด้านนอก

“ถ้าอยากให้เด็กคนนั้นอยู่ที่นี่ นายน้อยคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะครับ” หมอปลายฟ้าเอ่ยแนะ

“เมื่อไรคุณหมอปลายฟ้าจะเลิกเรียกผมว่านายน้อยเสียทีครับ?” สายลมย้อน ไม่ค่อยชอบสักเท่าไรที่ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องจากฝั่งบิดาเรียกตนเช่นนั้น

“เมื่อนายน้อยขึ้นครองตำแหน่งแทนนายท่าน” หมอปลายฟ้าอมยิ้มล้อ

“หลังจากนั้นก็จะเรียกผมว่านายท่านแทน อย่างนั้นสิ?”

“ก็ไม่ผิด”

“เหอะ”

พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาลและเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่งสายลมจึงลาพี่ชายแล้วออกจากห้องไป เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้เขาก็กำลังคิดอยู่ แน่ล่ะว่าเรื่องมันอาจซาไปในสักวัน แต่หากไม่ทำอะไรเลย แถมยังมีผู้ไม่หวังดีคอยกระตุ้นชาวเกาะอยู่แบบนี้คงไม่เป็นผลดีแน่ เขาไม่เท่าไร แต่ปู่ของเขานี่สิ อาจถูกตั้งแง่ว่าเข้าข้างหลานอย่างเขาจนละเลยกฎข้อห้าม แล้วพาลไม่ได้รับความเชื่อถือ

รูสวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเมื่อเห็นเขา สายลมมุ่นคิ้ว ยื่นแขนออกไปเมื่อเด็กเอื้อมมือมาหาตน มือเรียวเกาะแขนเขาแล้วเบี่ยงกายไปแอบอยู่ด้านหลัง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

สายตาคมกวาดมองทุกคนที่ตามเด็กมา ซึ่งในนั้นมีคนที่ไม่ถูกกับเขาและคอยหาทางโจมตีอยู่ตลอดรวมอยู่ด้วย ดูท่าว่าจะเป็นตัวนำเสียด้วยสิ

“พวกเรายอมรับไม่ได้ที่นายน้อยยังให้เด็กคนนี้อยู่ในเกาะ ทั้งที่มันผิดกฎ และอาจนำภัยมาสู่เราทุกคน!” อริของเขาเป็นคนเฉลยความ ชาวเกาะที่ตามกันมาก็ต่างเออออห่อหมก

“มีหลักฐานอะไร ถึงได้มาพูดพล่อย ๆ แบบนี้?” นายน้อยแห่งเกาะศิลาเอ่ยถามกลับไปเสียงเข้ม

ทางด้านหมอปลายฟ้าที่ได้ยินเสียงดังก็ออกมาดู หยุดยืนเยื้องกับสายลมเล็กน้อยด้วยสีหน้าไม่ชอบใจที่มีคนมาส่งเสียงโหวกเหวกในสถานที่ห้ามใช้เสียงดังแบบนี้

“พ่อเฒ่าอาจีฟบอกว่าเด็กคนนี้จะนำหายนะมาสู่เรา!”

ถ้อยคำที่ใช้เริ่มรุนแรงมากขึ้นอีก รูสตัวสั่นเมื่อมีเสียงทับซ้อนเกิดขึ้นในหัว คำด่าทอจากใครสักคนที่ฝังอยู่ใต้จิตสำนึกผุดขึ้นมาปนกับคำพูดของคนในเกาะศิลา

สายลมนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่ามือที่เกาะแขนตนอยู่กำลังสั่น ชายหนุ่มเหลือบมองเด็กข้างกายก่อนจะเบือนสายตากลับมายังสถานการณ์ตรงหน้า

“ได้ยินจากปากพ่อเฒ่าเองอย่างงั้นเหรอ?”

คำถามของเขาทำให้หลายคนหันมองหน้ากัน ก่อนสายตาทุกคู่จะมองมายังอริของเขา ทำให้มันตอบกลับมาตะกุกตะกัก

“ค... ใคร ๆ เขาก็ว่า”

“ใคร ๆ ที่ว่านั่นหมายถึงเอ็งสินะ ไอ้ปากพล่อย” สีหน้าของสายลมเรียบเฉย แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมารอบกายทำให้หลายคนเริ่มหวั่น

“หากนายน้อยมั่นใจว่าเด็กคนนี้จะไม่นำภัยมาสู่เราจริง นายน้อยกล้าพิสูจน์ไหมล่ะ?” อริของเขารีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่าพวกตนกำลังจะกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในเกมนี้

“หมายถึงอะไร?”

“ลูห์”

“......” สายลมชะงักเมื่อพวกมันเอ่ยชื่อลูห์

“เราต้องการใช้ลูห์เป็นสิ่งพิสูจน์ ที่สำคัญ นายน้อยห้ามเล่นตุกติกโดยเด็ดขาด ลูห์จะต้องถูกปลุกจิตวิญญาณนักล่าขึ้นมาโดยสมบูรณ์เท่านั้น” มันเน้นย้ำทุกถ้อยคำพร้อมยิ้มแสยะ

สายลมมองพวกมันนิ่ง ก่อนจะปรายมองชาวเกาะศิลาที่เริ่มเห็นด้วยกับพวกฉวยโอกาส เด็กตัวเล็กนิดเดียว พลัดบ้านหลงเมืองมา ไม่มีใจเมตตาแล้วยังคิดทำลายอีก

“ได้”

คำตอบรับแน่นหนักจากสายลมทำให้รูสเงยมองด้วยความตกใจ ลูห์คือใคร? จะทำอะไรกับเขา?

“ถ้าเด็กคนนี้ไม่ผ่านบทพิสูจน์ นายน้อยจะชดใช้ยังไงกับการที่พาตัวอันตรายเข้ามา?” ฝ่ายอริเอ่ยถามกวนโทสะ

“แล้วแต่พวกเอ็งจะเห็นควร”

คำตอบนั้นทำให้พวกมันแสยะยิ้มสมใจ ขณะที่เกิดเสียงฮือฮาจากชาวเกาะศิลาเมื่อนายน้อยของพวกเขากล่าวมาเช่นนั้นเท่ากับรับปากไปโดยปริยาย ไม่มีทางคืนคำได้แล้ว หมอปลายฟ้าเองก็ตกใจไม่น้อยกับคำพูดของสายลม เรื่องราวมันชักจะวุ่นวายขึ้นมาเสียแล้ว

“นายน้อยพูดเองนะ”

“หึ แล้วถ้า... เขาไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเอ็งคิด จะให้ข้าทำยังไงกับพวกเอ็งดี?”

พวกมันมองหน้ากัน ก่อนจะย้อนเอาคำที่สายลมพูดมาใช้

“แล้วแต่นายน้อยจะเห็นควร” ท้าเหยง

“แม้แต่ถูกโยนไปเป็นอาหารให้บริวารลูห์ฉีกทึ้ง?”

ดวงตาคมหรี่มอง มันมีแววเอาจริงจนฝ่ายอริกลืนน้ำลายหนืดคอ เริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พวกมันกำลังทำอยู่นี้คุ้มค่ากับการเสี่ยงแน่หรือไม่


……


ณ ลานดินสำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ บนเกาะศิลา

พ่อเฒ่าอาจีฟยืนอยู่หน้าแท่นพิธีเพื่อทำการปลุกสัญชาตญาณของสิงโตเจ้าป่า เสียงคำรามที่ดังก้องทำให้ชาวเกาะศิลาต่างหวาดกลัว ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่กลางลานกว้าง

สายลมจำต้องยอมให้ทุกคนได้พิสูจน์ตามกฎของเกาะ เมื่อก่อนนี้ที่เขาเข้ามาและไม่ได้รับการยอมรับ นายลามุ ปู่ของเขาก็จับโยนไปเผชิญหน้ากับสิงโตลีอาห์ แม่ของลูห์ ซึ่งลูห์ก็กลายมาเป็นสัตว์คู่บารมีของเขาเช่นตอนนี้ เขาแน่ใจว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวอันตรายตามที่ใครต่อใครกลัวและทึกทักไปกันเอง และเขาก็มั่นใจในตัวของลูห์ด้วยว่าจะไม่ทำอันตรายใด หากเด็กมันเป็นคนดี

รอบกายเขาคือคนของเกาะศิลาที่ต่างมาร่วมพิสูจน์และจับตาดูเขาไม่ให้เล่นไม่ซื่อ นายลามุเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลานชายของเขาบ้าดีเดือดดีแท้ รับคำท้าโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งของตนเองเลย หากพวกนั้นมันเรียกร้องอะไรเกินเลยจะทำอย่างไร มิต้องสละตำแหน่งเพราะการรับปากพล่อย ๆ เช่นนั้นหรือ หรือที่จริงแล้วมีแผนการอะไรอยู่ในหัว ชายชรามิอาจเดาทางได้

สายตาคมดุจเหยี่ยวจับจ้องคนที่กำลังหาทางเอาตัวรอดอยู่ในลานกว้าง เมื่อสิงโตตัวเขื่องเยื้องย่างออกมาหา มือหนากำหมัดแน่น แม้จะบอกว่ามั่นใจในตัวลูห์ แต่ก็อดเป็นห่วงเด็กมันไม่ได้ วิ่งหกล้มหกลุกจนน่าสงสาร แต่นี่คือบทพิสูจน์ที่จะทำให้ได้รับการยอมรับจากทุกคนที่นี่โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ได้อีก อดทนไว้นะรูส ผ่านมันไปให้ได้ หนูน้อย

ฝุ่นผง ณ ลานดินฟุ้งตลบจากการไล่ล่าเหยื่อของสัตว์ร้ายตัวเขื่อง เด็กร่างผอมวิ่งหนีห่างอย่างสุดกำลัง ล้มลุกคุกคลานก็หลายครั้ง แม้จะเจ็บแต่ก็ต้องหนีให้พ้น คนดูรอบลานดินแห่งนี้ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยเขาแม้สักคน แม้แต่คนคนนั้นที่บอกว่าจะคอยปกป้องเขาก็ตาม

เงาดำทะมึนวูบผ่านเหนือศีรษะ ขาเรียวเสียหลักล้มลงไปกอง เงยหน้าขึ้นมามองร่างที่ตระหง่านง้ำจนเขากลายเป็นตัวเล็กจ้อยแล้วลมหายใจก็สะดุดกับสัตว์ร้ายตรงหน้า ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อมันกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว สองแขนยกขึ้นกันโดยสัญชาตญาณ เสียงหวีดร้องของผู้คนรายรอบดังขึ้น เมื่อสัตว์ร้ายแยกเขี้ยวแหลมคมพร้อมจะตะปบเหยื่อและฉีกทึ้งให้เนื้อกระจุย

สายลมผุดลุกพรวด สองขาพาเขาวิ่งเข้าไปหาร่างที่สัตว์ร้ายคร่อมอยู่ เมื่อเข้าไปถึงก็ต้องหยุดชะงักงัน ดวงตาที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตามองมาที่เขา เนื้อตัวเปรอะไปด้วยฝุ่นและโคลนสั่นเทาอยู่ใต้อุ้งเท้าใหญ่

“ลูห์...” เพียงเอ่ยเรียก เจ้าสัตว์ร้ายก็ค่อยยกอุ้งเท้าแสนหนักออกจากร่างนั้นก่อนถอยออกไปอย่างรู้งาน

ชายหนุ่มเข้าประคองร่างที่แสนขะมุกขะมอมขึ้นมา แขนเรียวเล็กนั้นรวบกอดทั้งใบหน้าซุกซบสะอื้นไห้กับอกเขา มือหนาลูบหลังคนในอ้อมกอดอย่างต้องการปลอบโยน เสียงสะอื้นแผ่วเบายิ่งลอดมาให้ได้ยิน

“ปลอดภัยแล้วนะเด็กน้อย ต่อไปนี้จะไม่มีใครมาทำร้ายเธอได้อีก”

แขนแกร่งช้อนอุ้มร่างแบบบางขึ้นมาจากฝุ่นผงที่เลอะเปรอะ สายตาคมกวาดมองทุกคนที่ต่างพากันส่งเสียงฮือฮา

“เท่านี้คงจะพอพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นจนพอใจแล้ว”

“ได้ไงนายน้อย ท่านเล่นไม่ซื่อนี่ ใช้อำนาจบังคับลูห์ไม่ให้ทำอะไรเด็กคนนั้น ใครก็เห็น” ดูเหมือนพวกมันจะไม่ยอมหยุด ยังเป่าหูทุกคนให้คล้อยตามในสิ่งที่พูด

ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้ม “งั้นเหรอ? ถ้าอย่างงั้นเอ็งลองลงมาอยู่กลางลานนี้ดูบ้างไหม บางทีคนอย่างเอ็งอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะวิ่งหนี”

สายตาหลายคู่มองมาที่ชายผู้สร้างความปั่นป่วน อีกฝ่ายเริ่มหันรีหันขวางเมื่อตนเองกลายเป็นเป้าโจมตีแทนเด็กจากนอกเกาะไปเสียแล้ว เห็นท่าไม่ดี ตัวหัวหน้ามันก็ฮึดฮัดแหวกผู้คนออกไป ทั้งส่งเสียงด่าทอที่หลายคนไม่ยอมหลีกทางให้

“หึ” สายลมทำเสียงหยันในลำคอ พวกหมาเห่าใบตองแห้ง นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน

“หากใครยังข้องใจผมขอให้ไปถามจากพ่อเฒ่าอาจีฟโดยตรง อย่าสักแต่ฟังความจากปากคนอื่นแล้วตัดสินจากสิ่งที่ได้ยิน”

สายลมประกาศกร้าว ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อเสียงของเขายังพอมีบารมีจากความเป็นนายเหนือทุกคนในที่นี้อยู่บ้าง เมื่อทุกคนยอมเงียบฟังในสิ่งที่เขาพูด

“ผมยอมรับว่าผิดที่ฝ่าฝืนกฎพาคนนอกเข้ามา แต่อยากจะถามทุกคนในที่นี้... หากพวกคุณเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังจะตายอยู่ตรงหน้า... คุณเลือกที่จะช่วยเขา... หรือปล่อยให้เขาตายทั้งที่ยังมีหนทางรอด เพียงแต่คุณยื่นมือออกไปหาเขาเท่านั้น?”

“......” ทุกสิ่งรอบกายบังเกิดความเงียบงันเมื่อสายลมกล่าวจบ

“ขอบคุณที่ทุกคนรักเกาะศิลา และลุกขึ้นมาปกป้องเกาะแห่งนี้เมื่อเห็นว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ผมเองแม้ไม่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินนี้ แต่สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของผมก็คือสายเลือดของเกาะศิลา”

เมื่อกล่าวจบสายลมก็ผลินกายกลับแล้วออกเดินเพื่อกลับกระท่อมหลังน้อยของตน ท่ามกลางความเงียบงันของผู้คนโดยรอบ โดยด้านข้างนั้นคือลูห์ที่ก้าวตามมาไม่ห่าง แขนที่กระชับกอดรอบคอทำให้เขาก้มมองเด็กที่ซุกอยู่ในอ้อมแขน มอมแมมไปหมดแล้วเด็กน้อย ตัวก็เล็กจ้อยเท่านี้ ใครที่ไหนจะปล่อยให้เผชิญชะตากรรมเพียงคนเดียวได้ ใครที่ไหนจะใจร้ายทำได้ลง...


....


ท้ายเกาะศิลา อริของสายลมต่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อแผนการไม่สำเร็จ ทั้งยังทำให้พวกตนเกือบได้กลายเป็นอาหารมื้อเย็นของบริวารลูห์ ยังดีที่สายลมไม่เอาผิด เพียงตักเตือนแล้วบอกว่าอย่าให้มีคราวหน้าเท่านั้น

“เจ็บใจนัก นอกจากเด็กนั่นจะได้รับการยอมรับแล้ว สายลมมันยังทำให้ชาวเกาะศิลาศรัทธาในตัวมันเพิ่มขึ้นอีกที่ไม่เอาโทษพวกเรา” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำโห

“จะหงุดหงิดไปทำไม นี่ถือเป็นเรื่องดีเสียอีก” เสียงใครอีกคนดังขึ้นเรียกสายตาของพวกมันให้หันไปมอง

“ดียังไงวะ เหนือเมฆ?”

เหนือเมฆก้าวเข้ามาสมทบ รอยยิ้มร้ายยังแตะแต้มริมฝีปากเมื่อไขข้อข้องใจ “มันพิสูจน์ให้เห็นไงว่าไอ้เด็กแปลกหน้านั่น สำคัญกับนายน้อยของเกาะศิลามากแค่ไหน”

คนที่เหลือเริ่มคิดตาม ก่อนจะเปิดยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นจริงตามนั้น ตลอดมาสายลมไม่เคยเผยจุดอ่อนให้เห็น แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเด็กคนนั้นเข้ามา จุดอ่อนที่คิดว่าไม่มี มันจะมองเห็นได้ชัดเจนขนาดนี้

“ในเมื่อเล่นงานมันตรง ๆ ไม่ได้ ก็ใช้เด็กนั่นให้เป็นประโยชน์ซะ!”




TBC




บวกขอบคุณทุกการต้อนรับค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๓ ความลับ



สายลมอุ้มเด็กกลับมาที่กระท่อม แขนเรียวยังกอดคอเขาไม่ปล่อย จนกระทั่งเขาพามาวางลงที่นอกชานแล้วหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พลางสำรวจบาดแผล แผลเก่าเพิ่งจะหาย จะมามีแผลเพิ่มอีกก็กระไร เมื่อเห็นว่าไม่มีแผลใหญ่โตอะไรนอกจากรอยถลอกจากการหกล้มตอนวิ่งหนีลูห์จึงได้เบาใจ ขณะเช็ดตัวให้ เด็กก็คอยมองเขาอยู่ตลอด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“โกรธที่ฉันไม่ทำตามที่พูดเหรอ?”

“...?” รูสเลิกคิ้วงงเมื่อถูกถามมาเช่นนั้น

“เพราะฉัน... ปล่อยให้เธอต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายลำพัง” สายลมขยายความ

คนฟังส่ายหน้า ไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าตนเองไม่ได้โกรธเคือง ตอนแรกอาจน้อยใจและผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่เข้ามาช่วย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าที่ทำไปเพราะอะไร ดังนั้น นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา

ร่างผอมขยับลุกแล้วเดินเข้าไปในห้อง ได้ยินเสียงค้นของกุกกักสักพักก่อนจะออกมาพร้อมสมุดที่สายลมเอามาแต่ไม่ได้ใช้ คนตัวโตมองเด็กหมอบลงใช้ศอกเท้าพื้นเพื่อเขียนอะไรบางอย่างยุกยิก ก่อนจะยกขึ้นมากางออกให้เขาดู

สายลมมองตาเด็กตรงหน้าก่อนเลื่อนลงมามองลายมือบนหน้ากระดาษ เด็กสมัยนี้ชอบเขียนหนังสือหัวถั่วงอกกันหรืออย่างไร ทำไมมันโตแต่หัวแต่ตัวกลับลีบผอม

‘ผมไม่ได้โกรธคุณ แต่รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่ช่วยผมเอาไว้ตลอด หากไม่ได้คุณ ผมคงไม่มีชีวิตรอดมาจนตอนนี้’


สายลมมองสิ่งที่เด็กสื่อมาถึงตนด้วยความสะท้อนใจ ชีวิตของเขาเองมันก็ไม่ต่างจากเด็กคนนี้มากนัก ยังดีที่เขาได้รับความรักความอบอุ่นจากคนคนหนึ่งมาตลอด ทำให้เขายังคงยืนหยัดมาจนทุกวันนี้ได้

ผู้เป็นบิดาและมารดาของเขาจากโลกนี้ไปแล้วก็จริงอยู่ เขาไม่มีความผูกพันกับท่านทั้งสองมากมายนักนอกจากความเป็นสายเลือด เพราะไม่เคยรู้ว่ามี เพราะอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งมีคนใจบุญมารับอุปการะ และคนคนนั้นก็คือคนที่เขารักและผูกพันมากกว่าใคร อัลเบิร์ต คาร์ล ผู้ที่เขายกให้เป็นบิดาที่รักยิ่ง

“ฉันไม่ได้ถือเป็นบุญเป็นคุณอะไร ไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรมากมาย แค่เธอยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถทำอะไรอีกหลายอย่างได้ตามที่เธอต้องการ เพียงเท่านี้ฉันก็ถือว่ามันดีมากแล้ว”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มจากผู้ชายตัวใหญ่ ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครามันช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย แต่ความจริงจังที่ส่งผ่านมาถึงก็ทำให้คนฟังรู้สึกซาบซึ้งใจ ริมฝีปากบางขยับเอื้อนเอ่ยคำว่าขอบคุณ แม้จะไร้เสียงแต่มันกลับทำให้สายลมยิ้มออกมาบางเบา

ลูห์กลับมาจากเดินตรวจรอบบริเวณกระท่อมและชายหาด เวลานี้รูสเห็นมันแล้วทำให้มันไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก สายลมหันไปเห็นจึงเรียกให้เข้ามาหา ร่างผอมผวาลุกหนีไปเกาะขอบประตูด้วยความตกใจกลัว

สายลมยิ้มขำพลางเรียก “รูส มานี่สิ”

คนถูกเรียกส่ายหน้ารัว ไม่ยอมไปท่าเดียว

“ไม่เป็นไรหรอกน่า มาทำความรู้จักกันหน่อยเร็ว”

กล่อมเด็กให้เข้ามาหาตนเองและสิงโตตัวใหญ่ที่เชิงบันได แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแรงกว่าเดิม บันไดกระท่อมก็สูงแค่สามขั้น ถ้าเจ้าสิงโตนั่นมันโดดขึ้นมางับเอาจะทำอย่างไร ไม่เอาหรอก

เมื่อเรียกไม่ยอมมา สายลมจึงลุกขึ้นไปหา รูสตั้งท่าจะวิ่งหนีแต่กลับถูกดึงแขนไว้ แรงเท่ามดไม่สามารถวิ่งไปไหนได้ แม้จะยึดยื้อขืนตัวเอาไว้แต่สายลมก็ลากลงมาข้างล่างจนได้ พอลงมาเผชิญหน้ากับลูห์ มือเรียวก็แกะมือสายลมออกใหญ่ เมื่อมันไม่ออกก็ทั้งแกะทั้งตีจะให้ปล่อยตนเองให้ได้ ตากลมเหลือบมองสิงโตที่อยู่ห่างกันแค่คืบด้วยความกลัว ตรงลานนั่นมันตะปบเขาด้วย ไม่อยากทำความรู้จักกับมันหรอก ไม่เอา!

“จะกลัวทำไม เขาไม่ทำอะไรหรอก”

รูสตวัดมองคนพูดตาคว่ำ ไม่ทำอะไรที่ไหน เล่นเอาเขาวิ่งหนีจนล้มกลิ้ง แถมตะปบเขาอีก บ้าไปแล้ว

“เขาแค่แกล้งแหย่นิดเดียว”

สายลมอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กมันจะไม่พร้อมฟังเพราะยื้อแขนทำท่าจะหนีลูกเดียว ทั้งมือก็คว้าเสาระเบียงไว้เมื่อเขารั้งไปใกล้ลูห์

“ขยับมาหน่อยน่า เร็ว ลองสัมผัสเขาดู เขาใจดี”

‘ใจดีบ้าอะไร เดี๋ยวได้กัดแขนเขาขาด ไม่เอา!’


ตัวผอมบางปลิวถลามาหาเมื่อสู้แรงไม่ได้ ปลายเท้าจิกพื้นทรายหยุดตัวเองเอาไว้สุดกำลังเมื่อสิงโตตัวใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า แทบล้มคะมำทำให้ต้องกางแขนเพื่อทรงตัว นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้สายลมเอื้อมมาจับเอวกักตัวไว้ไม่ให้หันหนี

รูสดิ้นพล่าน จะถอยหนีแผ่นหลังก็ชนอกแกร่งแข็งยิ่งกว่าหินจนหมดหนทาง ได้แต่ใช้เท้าดันพื้นทรายเพื่อถอยออกห่างลูห์อยู่อย่างนั้น แม้จะรู้ว่าถอยหนีไปไหนไม่ได้เพราะมีเสาหินชื่อสายลมขวางอยู่ก็ตาม พอลูห์ก้าวเข้ามาเผชิญหน้ารูสก็กลัวจนขาสั่น มันมองมาที่เขานิ่งอยู่นาน ก่อนแยกเขี้ยวแล้วคำรามเสียงดัง

โฮกกกกกกกกก

“…!!!!” รูสสะดุ้งเฮือก หันกลับแล้ววาดแขนกอดสายลมแน่นพลางหลับตาปี๋ มันจะขย้ำเขาแล้ว ต้องตายแน่ ๆ เลย ฮือออ

“ลูห์ อย่าแกล้งเด็ก”

เสียงทุ้มดุสิงโตคู่บารมีของตน มันทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วนอนราบไปกับพื้นทราย ไม่ได้จะเข้ามาทำร้ายอย่างที่รูสกลัว สายลมส่ายหน้า เจอคนถูกใจลูห์มันมักแกล้งแบบนี้ประจำ

“ลูห์แค่แกล้งเล่น” เขาว่าพลางจะดันร่างผอมออก แต่อีกฝ่ายกลับกอดแน่นทั้งส่ายหน้ากับอกตน “โอเค ไม่ให้ทำแล้ว ปล่อยก่อนเร็ว”

ถึงจะบอกเช่นนั้นแต่รูสก็ยังไม่ยอมปล่อย เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรสายลมจึงเหลือบไปมองลูห์ที่นอนมองพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ

“เฮ้ย! ลูห์ อย่ากัดขาเด็ก!!”

“!!!”

ร่างผอมกระโดดขึ้นเอวพร้อมยกแขนกอดคอเขาแบบอัตโนมัติ สายลมหัวเราะเสียงดัง แขนช้อนใต้สะโพกมนเพื่อกันเด็กตก เมื่อเห็นเขาหัวเราะ เด็กมันก็มองเขางง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาหน้ามุ่ยเมื่อรู้ว่าถูกแกล้ง มือเรียวบีบคอคนตัวโตแล้วเขย่า ๆ จนอีกฝ่ายสำลัก แต่ก็ยังหัวเราะไม่เลิก

...ที่จริงแล้วว่าแต่ลูห์ไม่ได้หรอก เรื่องชอบแกล้งนั่น เป็นเหมือนกันทั้งเจ้านายลูกน้อง(สิงโต)เลยเชียว...


......


ถึงแม้จะบอกว่ากลัว แต่สุดท้ายรูสก็ยังต้องอยู่กับสิงโตตัวร้ายอยู่ดี เพราะสายลมต้องไปช่วยปู่ดูแลงานที่เหมือง กลัวจะมีใครมาฉกตัวไปอีกจึงให้อยู่ที่กระท่อมกับลูห์ ช่วงกลางวันจะให้เจ้ากั้งเอาข้าวมาให้

ใต้พื้นผิวของเกาะศิลาเต็มไปด้วยหินแร่สีสันสวยสดสมกับชื่อเกาะ เมื่อนำมาขัดมาเจียระไนจากก้อนหินธรรมดาก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในเกาะเพิ่มขึ้น เงินที่ได้มาถูกแปรสภาพเป็นสาธารณูปโภค เมื่อแบ่งสันปันส่วนให้กับทุกคนที่ทำงานให้แล้ว เงินจะถูกรวมเข้าเป็นเงินกองกลางเพื่อนำมาต่อยอดพัฒนาเกาะศิลาให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น เพราะบนเกาะไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองมากมายอะไรนัก นอกเสียจากเวลาขึ้นฝั่งไทยเพื่อหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ในเกาะศิลาไม่มี

รูสนั่งชันเข่าเท้าคางอยู่บนบันได ขณะที่ลูห์ก็นอนเฝ้าอยู่ใต้ร่มเงาของหลังคากระท่อม ทั้งคนทั้งสิงโตต่างก็เงียบพอกัน เพราะพูดกันไม่ได้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปด้วยความเบื่อหน่าย จนกระทั่งเที่ยงวันเจ้ากั้งก็มาพร้อมปิ่นโตและถังอาหารของลูห์

“เอ้านี่ เจ้าหนู อาหารเที่ยง นายน้อยให้เอามาให้เอ็ง” เจ้ากั้งส่งปิ่นโตให้เด็กที่มองหน้าเขาเหมือนมีอะไรจะพูด

“จะเอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า?” เอ่ยถามเพราะท่าทีอึกอักของเด็กตรงหน้า พอเขาถามไปมันก็พยักหน้าหงึกหงัก “อยากได้อะไรล่ะ เดี๋ยวไปเอามาให้ ข้าต้องกลับไปช่วยที่เหมืองอีก รีบว่ามา”

เมื่อเห็นเจ้ากั้งมา รูสก็อยากตามไปหาสายลมด้วย แต่จะบอกกั้งอย่างไรว่าเขาอยากไปหาสายลม พยายามคิดอยู่ครู่หนึ่งร่างผอมก็วางปิ่นโตแล้วก้าวเข้าไปในห้องนอน เอาสมุดมาเขียนให้เจ้ากั้งดู

“เขียนว่าอะไรวะ?” หัวคิ้วเจ้ากั้งขมวดปม เขาพออ่านหนังสือออก แต่ตัวหนังสือเจ้าเด็กนี่มันไม่เหมือนที่เขาเรียนมานี่หว่า เมื่อพยายามเพ่งพินิจอยู่ครู่ใหญ่จึงสรุปใจความได้ว่า “เอ็งอยากไปหานายน้อยเหรอ?”

เจ้าของลายมืออ่านยากพยักหน้าหงึก แทบจะปรบมือให้เจ้ากั้งที่อ่านลายมือของตนออกเสียที ลุ้นแทบแย่

“คงไม่ได้หรอกว่ะ นายน้อยได้ด่าตาย อยู่ที่นี่แล้วกินข้าวให้อิ่ม รอนายน้อยกลับมาแล้วกัน ข้าไปล่ะ”

เมื่อร่ายจบเจ้ากั้งก็เดินลงจากกระท่อมไป รูสอ้าปากค้างเมื่อถูกทิ้ง จะวิ่งตามเจ้ากั้งแต่ลูห์กลับส่งเสียงขู่ในลำคอทำให้ต้องชะงักแล้ววิ่งกลับขึ้นกระท่อมไปเหมือนเดิม ได้แต่มองตามหลังเจ้ากั้งไปอย่างแสนเสียดาย

ลูห์เลี่ยงไปกินอาหารของตนเองที่ด้านหลังกระท่อม ปรกติถ้าสายลมอยู่ก็มักมีของดี ๆ มาให้ตลอด รูสหันมามองมัน เห็นหางป่ายปัดเพียงไหว ๆ จึงได้นั่งลงแกะปิ่นโตเพื่อกินข้าวบ้าง มีปลาต้มส้มกับไข่เจียวและข้าวอย่างละชั้น รูสตักปลาชิ้นใหญ่เนื้อแน่นออกมาวางบนจาน ก่อนจะค่อย ๆ แกะเนื้อปลาครึ่งหนึ่งใส่จานแยกไว้แล้วลงมือกินอีกครึ่งที่เหลือจนกระทั่งอิ่ม

เมื่อลูห์กลับมานอนบนแคร่ไม้ หนุ่มน้อยของเราจึงค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงนั่งจับราวระเบียงไว้แล้วค่อยยื่นเนื้อปลาที่แยกใส่จานไปให้ลูห์ เมื่อมันปรายตามามองก็รีบถกมือกลับ ด้วยความตกใจทำให้ล้มก้นจ้ำเบ้า ได้ยินเสียงลูห์พ่นลมหายใจออกจมูกด้วย มันหัวเราะเยาะเขาหรือเปล่านี่?

รูสลุกเดินไปนั่งอยู่มุมหนึ่ง อยู่ห่างจากสิงโตตัวใหญ่ให้มากที่สุด ถึงอย่างไรก็ยังไม่วางใจมันเท่าไรนัก ลมยามบ่ายหอบไอร้อนของแดดมากระทบผิวกาย แต่ก็ไม่ได้ร้อนจนทนไม่ไหว เด็กหนุ่มนั่งหงอยอยู่ท่ามกลางความเงียบ เสียงจานสังกะสีกระทบพื้นไม้ดังแว่วมาทำให้ริมฝีปากบางเปิดยิ้ม ก่อนจะทอดถอนใจเมื่อชะเง้อมองเนินทรายสุดสายตา เมื่อไรสายลมจะกลับก็ไม่รู้


สายลมกลับมาในยามบ่ายคล้อยจนเกือบเย็น กระท่อมเงียบราวไร้คนอยู่ เมื่อมาถึงก็ไม่เห็นทั้งคนทั้งสัตว์ ร่างสูงใหญ่จึงออกเดินหา จนกระทั่งเห็นเด็กนั่งตัวกลมอยู่ที่ชายหาดโดยมีลูห์นอนเฝ้าอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าวจึงเลี่ยงไปอาบน้ำอาบท่า

รูสนั่งเขี่ยหาเปลือกหอยตามหาดทรายสีขาวละเอียด เพราะมองจากกระท่อมเห็นมันส่องแสงแวววาวเมื่อแสงตะวันตกกระทบเหมือนจี้ของตนจึงลงมานั่งเก็บฆ่าเวลารอสายลม ชายเสื้อถูกม้วนขึ้นเพื่อใส่เปลือกหอยที่เก็บได้เมื่อมันมากมายจนล้นอุ้งมือ นั่งคุ้ยเขี่ยอยู่นานสองนานตากลมจึงหันไปมองลูห์ที่ยังคงเฝ้าไม่ไปไหน หนุ่มน้อยมุ่ยหน้า มีสิงโตมาคอยคุมด้วย

ร่างผอมลุกขึ้นยืน ใช้ฟันคาบชายเสื้อไว้แล้วปัดไม้ปัดมือ ปรายมองลูห์ที่หูกระดิกเมื่อได้ยินเสียงก่อนออกเดิน แต่เมื่อเห็นว่ามันยังนอนอยู่ก็หันกลับไปมองแล้วยืนรอ ลูห์ค่อยลุกขึ้นแล้วเดินมาหา พอมันเข้ามาใกล้ตากลมก็เบิกโตก่อนออกวิ่งหนีกลับกระท่อม ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งคิดว่าจะรอมันอยู่เลย

หลับหูหลับตาวิ่งมาชนเข้ากับแผงอกล่ำจนแทบจะหงายหลัง มือเรียวจับจมูกตัวเองเพราะชนแรงจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เปลือกหอยในเสื้อที่หอบกลับมาร่วงเกรียวกราว รูสก้มมองมันด้วยความเสียดาย เมื่อเงยขึ้นมองคนที่ตนเองวิ่งมาชนตากลมก็เบิกโต ก่อนหมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนีสุดฝีเท้า

ร่างผอมวิ่งผ่านลูห์ไป สิงโตตัวใหญ่เหลียวมองตาม เมื่อหันกลับมาก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไปอีก ลูห์พ่นลมหายใจก่อนเดินไปนอนรอนักวิ่งรางวัลเหรียญทองทั้งสองคนที่แคร่ไม้

สายลมวิ่งตามเด็กที่อยู่ ๆ ก็วิ่งหนีเขา ท่าทางจะล้มไม่ต้องลุกเพราะวิ่งเร็วเสียจนเขาจะตามไม่ทัน พอมือเขาเอื้อมไปทันคว้าแขน กำปั้นหนัก ๆ ก็เหวี่ยงมาใส่อุตลุด

“รูส!”

“.....!!!” เจ้าของชื่อชะงักกึก กะพริบตาปริบ ๆ

“เป็นอะไร อยู่ ๆ ก็วิ่งหนี?”

“.....?” สีหน้าเจ้าหนูรูสดูยังงงงัน มองหน้าสายลมที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยความไม่คุ้นชิน

“แล้วนี่มาทุบกันทำไม ทำร้ายร่างกายกันแบบนี้เดี๋ยวได้มีเอาคืนบ้าง” สายลมแกล้งขู่

‘สายลม...’

ได้แต่ครางเรียกชื่ออีกคนอยู่ในใจ เขาเข้าใจผิด มือเรียวเอื้อมไปแตะข้างแก้มที่ไร้หนวดเครา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแสนแปลกตา ทำไมเขาไม่มองให้ดี ดวงตาคู่นี้ก็ใช่ รอยแผลเป็นบนหางคิ้วก็ใช่ โง่จริงรูส

“ที่วิ่งหนีเพราะจำไม่ได้เหรอ?” สายลมเอ่ยถาม อมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเริ่มเข้าใจสาเหตุ

เวลาอยู่ที่นี่เขาไม่ค่อยใส่ใจกับความเรียบร้อยของหนวดเคราตนเองเท่าใดนัก ปล่อยมันรกครึ้มอยู่อย่างนั้นเพราะขี้เกียจโกน เว้นแต่เวลาที่มีธุระต้องไปที่อื่นนอกเกาะ เขาถึงได้จัดการใบหน้าของตนเองให้ดูสะอาดตา วันนี้เขาไม่ได้จะไปทำธุระที่ไหน เพียงแต่รำคาญลูกตาเลยจัดการโกนเสียจนเกลี้ยง ไม่นึกว่าเด็กมันจะจำไม่ได้จนวิ่งหนีออกมาแบบนี้

“หึ เปลี่ยนไปมากเลยหรือไง หืม?”

รูสกัดปาก เฉหลบสายตาคมที่มองมาพลางพยักหน้ารับเบา ๆ เขาทำเรื่องขายหน้าเข้าเสียแล้ว นึกว่าสายลมเป็นคนร้ายเลยวิ่งแบบไม่เหลียวหลัง

“แล้วชอบแบบนี้ไหม หรือแบบเก่าดีกว่า?”

ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามไปเช่นนั้น เมื่อเห็นเด็กแก้มแดงถึงได้รู้สึกตัวว่าไม่ควรถามเลย เพราะมันพลอยทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ตามไปด้วย

“กลับกระท่อมเถอะ วิ่งมาซะไกลเชียว” กลายเป็นว่าเขาพูดเยอะอยู่คนเดียวเพราะเด็กมันพูดไม่ได้

รั้งแขนเล็กให้เดินตาม อีกคนก็ออกเดินอย่างว่าง่าย สายตากลมมองนายหนวดที่ตอนนี้ไม่มีหนวดแล้ว หน้าตาแปลกไปจากเดิมมากทีเดียว

“พรุ่งนี้จะพาไปที่สะพานปลา ไปหาปลาสด ๆ มาทำกินกัน” สายลมเปรยขึ้นมา รูสเอียงคอมอง เขาจึงได้พูดต่อ “ที่นี่ออกหาปลากันทุกวันโดยเรือประมงของชาวบ้าน เพียงแต่เรือใหญ่... เรือที่เธอเคยขึ้นนั่นล่ะ จะออกล่องกลางทะเลเดือนละสองหน เพราะเราจับปลาทีละมาก ๆ หากไม่เว้นช่วงเลยอาจไปรบกวนระบบนิเวศน์ได้”

คนฟังทำปากร้องอ๋อพลางพยักหน้า

“พยักหน้านี่คือเข้าใจที่พูด?” สายลมเอ่ยเย้า

เด็กทำปากยื่น เข้าใจสิ ไม่เข้าใจจะพยักหน้าทำไมกัน



เมื่อเริ่มมืด ตะเกียงก็ถูกจุด ที่นี่ยังคงใช้ตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน แม้บนเกาะจะมีแผงโซล่าเซลล์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเอาไว้ใช้ แต่นั่นสำหรับเพื่อใช้ในโรงพยาบาลและสถานที่สำคัญ สำหรับบ้านเรือน หากไม่จำเป็นจะไม่มีใครใช้ไฟฟ้า เพราะรู้ดีว่าหากมันหมดไป เมื่อพวกเขาป่วยไข้อาจจะรักษากันไม่ทันการณ์

“รูส”

สายลมเดินมานั่งลงใกล้ ๆ เด็กที่นอนอ่านหนังสืออยู่ตรงชานกระท่อม เขาเอาหนังสือพวกนี้มาจากลูกสาวของพ่อเฒ่าอาจีฟ เธอชื่อฟาริดา เธอช่วยสอนหนังสือให้เด็ก ๆ ในเกาะ ให้มีความรู้พื้นฐาน อ่านออกเขียนได้ ทำให้มีหนังสืออ่านเล่นและวิชาการมากมายหลายแบบ คนในเกาะมีทั้งที่ใช้ภาษาถิ่นและภาษาไทย เพราะต่างคนต่างที่มาทำให้ต้องมีข้อกำหนดในการใช้ภาษากลางสื่อสารพูดคุย สายลมขอหนังสือจากฟาริดามาให้รูสอ่านฆ่าเวลาเพราะเขาต้องไปดูงานในเหมืองแร่ หรือบางครั้งที่ต้องเอาเรือออก เขาก็ต้องเป็นคนนำเช่นกัน ทั้งช่วงนี้ยังมีคนลอบเข้ามาในเกาะอยู่เนือง ๆ เพราะข่าวลือเรื่องน้ำมันดิบที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีจริงไหม แต่ก็ยังเล่าลือกันไปไม่จบสิ้น ทำให้มีพวกโลภมากลักลอบเข้ามาขุดหาโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด เรื่องนี้สายลมเองก็จำต้องจัดเวรยามเฝ้ารักษาการกันให้ดี

“เห็นเธอเขียนหนังสือได้ ช่วยบอกความเป็นมาของเธอให้ฉันรู้ได้ไหม เผื่อจะหาทางพาเธอกลับบ้านได้”

สายลมส่งสมุดเล่มน้อยพร้อมดินสอให้เด็กที่นอนคว่ำอ่านหนังสืออยู่ ฝ่ายนั้นดูจะชะงักไป ก่อนจะพลิกหนีไปอีกทาง ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วอ่านหนังสือต่อ

“รูส ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะเด็กน้อย”

“......” ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากเด็กดื้อ

สายลมจ้องมองแผ่นหลังเล็กที่นอนตะแคงหันหลังให้ สายตากดดันที่มองจ้องทำให้เด็กค่อย ๆ หันกลับมา มือเอื้อมคว้าสมุดดินสอแล้วลุกเข้าห้องไป สายลมมองตามแล้วก็ระบายลมหายใจแรง ดื้อเหลือเกิน

ร่างสูงใหญ่จะลุกไปตาม แต่เจ้าตัวเล็กมันก็ออกมาเสียก่อน พร้อมกับยื่นสมุดในมือกลับมาให้ เมื่อเขารับสมุดเล่มนั้นมาเด็กก็กลับเข้าห้อง ปิดประตูเงียบเชียบ มือหนาค่อยเปิดสมุดออกดู เห็นลายมือแสนวัยรุ่นของรูสเขียนข้อความไว้เพียงสั้น ๆ

จำไม่ได้แล้ว



สายลมคิ้วขมวด มีเติมจุดสามจุดต่อท้ายมาให้ด้วย กวนจริง ๆ สายตาคมหันมองประตูห้องนอนของกระท่อมหลังน้อย ตัวสูงใหญ่ลุกเดินเข้าไปเพื่อถามให้รู้ความ ก่อนจะหยุดอยู่เพียงหน้าประตูพลางทำหน้าเหนื่อยใจ เมื่อบนฟูกนอนนั้นเด็กมันนอนคลุมผ้ามิดหัว ท่าทางจะไม่อยากคุยกับเขา

ชายหนุ่มเอาสมุดไปวางบนหีบเสื้อผ้าก่อนมานอนลงข้างก้อนกลม ๆ ในผ้าห่ม เท้าศอกตะแคงข้างมาหา มองม้วนผ้าที่ขยับยุกยิกเพราะถูกเขาเบียด

“หลับแล้วเหรอ?”

เสียงทุ้มเอ่ยถาม แต่ก้อนกลม ๆ นั่นกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง แขนหนัก ๆ จึงค่อยวางพาดกอดร่างในผ้าห่ม เมื่ออีกฝ่ายดิ้นกุกักเขาก็กระตุกยิ้ม แกล้งรั้งเข้ามากอดมากขึ้น ทำให้ดักแด้ตัวกลมนอนตัวแข็งทื่อ แต่เพียงไม่นานก็ค่อยคลายอาการเกร็งลง

“รูส จำไม่ได้จริงเหรอ?” คนตัวโตยังถามไถ่ “ไหนยังเห็นบอกชื่อตัวเองได้อยู่เลย”

รูสดิ้นดุกดิก เปิดผ้าห่มออกแล้วลุกไปเอาสมุดเล่มเดิมมาเขียน ก่อนกางออกให้สายลมดูด้วยใบหน้ามุ่นมุ่ย

‘นั่นน่ะ คนเขาโกหกหรอก’

“อ๋อ เป็นเด็กเลี้ยงแกะ ชอบโกหกอย่างนั้นสินะ?”

รอยยิ้มมุมปากจากสายลมทำให้คนมองหน้ามุ่ย ปิดสมุดแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ เห็นดังนั้นแล้วสายลมก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะลดตัวลงนอนหงาย ต้นแขนสัมผัสแผ่นหลังบางแผ่วเบา

“ไม่อยากกลับบ้านเหรอ รูส มีอะไรอยู่ที่นั่นอย่างงั้นเหรอ?”

“......”

ไร้ซึ่งคำตอบจากเด็กตัวบาง ดวงตากลมโตฉายแววสับสน ไม่รู้ว่าตนเองควรบอกทุกอย่างกับสายลมดีไหม แต่หากวันใดที่คนคนนั้นรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่และตามมาถึงที่นี่ สายลมต้องเดือดร้อนแน่ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรเจ้าหนูจึงได้แต่นอนนิ่ง สะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อแขนแข็งแรงพาดกอด มันอบอุ่นแต่ก็ทำให้กลัว... กลัวเหลือเกินว่าจะคุ้นชินจนขาดมันไม่ได้

รูสนอนหลับไปแล้ว หลับไปภายใต้อ้อมแขนของเขาเช่นทุกที สายลมถอนใจเบา เมื่ออีกคนไม่อยากบอก เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ บางทีรูสอาจจะยังไม่เชื่อใจเขามากพอที่จะบอกเรื่องที่มันเป็นส่วนตัว พูดกันตามจริง ทั้งเขาและเด็กคนนี้ก็เพิ่งพบกันได้ไม่นาน อาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้

ร่างผอมพลิกกลับมาหา แขนเรียวพาดกอดเอวเขาทั้งซุกซบอกแกร่งด้วยความเคยชิน เปลือกตาสายลมค่อยปิดลง เลิกคิดฟุ้งซ่านเพราะพรุ่งนี้เช้าเขาต้องพาเด็กไปที่สะพานปลา น่าแปลกที่เขาไม่ฝันถึงความทรงจำแสนทรมานเหล่านั้นอีก นี่คงเป็นอีกค่ำคืนที่พวกเขานอนหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :3123:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

รูสถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่าง ร่างผอมบางเดินงัวเงียตามสายลมมายังสะพานปลาที่แสนอึกทึก อากาศยามเช้าหมอกลงทำให้เย็นจนต้องใส่เสื้อแขนยาวตัวใหญ่ของสายลมมาด้วย มันคลุมเลยเข่า แต่นั่นก็ดี จะได้ไม่หนาว

สายลมพาเด็กไปเลือกปลาที่ถูกขนขึ้นมาบนฝั่ง บรรยากาศแปลกใหม่ทำให้ไอ้ตัวเล็กรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้นคงนั่งสัปหงกพิงเสาสะพานที่ยื่นลงมาในทะเลสีคราม เมื่อได้ปลามาตามที่ต้องการแล้วสายลมก็ให้เด็กนั่งเฝ้าถังปลาเอาไว้ บอกว่าตนมีธุระไปทำ พร้อมเรียกให้กั้งมาอยู่เป็นเพื่อนเด็กมันด้วย

หนุ่มน้อยนั่งกอดเข่าเฝ้าถังปลารอสายลมกลับมา สายตาหลายคู่มองมาที่เขาด้วยความไม่สนิทใจนัก มันชวนอึดอัดจนอยากลุกหนี สักพักเจ้ากั้งที่ถูกใช้ให้อยู่เป็นเพื่อนก็ขอตัวไปช่วยยกของเมื่อเรือเข้ามาเทียบท่าหลายลำเข้า

“อย่าไปไหนนะเจ้าหนู เดี๋ยวข้ากลับมา”

เจ้ากั้งไปแล้ว มีแต่คนทิ้งเขาไปกันหมด รูสนั่งรออยู่นาน ทั้งกั้ง ทั้งสายลม ไม่มีใครกลับมาหาเขาสักคน พออยู่นิ่ง ๆ แล้วก็เบื่อ แถมยังง่วงด้วยเพราะถูกปลุกแต่เช้า ตอนเลือกปลาก็สนุกดีหรอก แต่ตอนนี้หงอยยิ่งกว่าปลาในถังอีก

ร่างผอมลุกขึ้นยืน มองรอบกายที่ผู้คนพลุกพล่านแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของสายลม กั้งที่บอกว่าเดี๋ยวกลับก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ เมื่อหาใครไม่เจอรูสจึงตัดสินใจหิ้วถังใส่ปลาขึ้นมา เขาจำทางกลับกระท่อมได้ ที่ยังนั่งรอเพราะสายลมบอกให้รอ แต่ตอนนี้ไม่อยากรอแล้วจึงถือถังปลาเดินคอตกกลับกระท่อมด้วยเหงาหงอย เพราะถูกทิ้งไว้คนเดียวตั้งนานสองนาน


ทางด้านสายลม เขามาที่ประภาคารสูง ที่ซึ่งใช้สำหรับตรวจตราโดยรอบเกาะ ที่แห่งนี้ถูกติดตั้งสัญญาณสื่อทางไกลไว้ให้เขาได้ติดต่อกับครอบครัว นอกจากปู่เช่นนายลามุซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันแล้ว บิดาผู้รับอุปการะเขาตั้งแต่เริ่มจำความได้ก็คืออัลเบิร์ต คาร์ล ตอนนี้ท่านอยู่ที่อังกฤษกับคนที่ท่านรัก ซึ่งเขาเองก็นับถือใครคนนั้นเป็นบิดาเช่นกัน อเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน ผู้สืบทอดธุรกิจด้านการเงินของเฟอร์ริงตัน บริษัทยักษ์ใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ครอบครัวของเขามีแต่หนุ่ม ๆ นอกจากบิดาทั้งสองแล้วเขายังมีพี่ชายและน้องชายอีกอย่างละคน และคนที่เขากำลังติดต่ออยู่ในเวลานี้คือน้องชายคนสุดท้องของครอบครัว เซย์ เฟอร์ริงตัน

“เซย์ มีเรื่องให้ช่วยหน่อย”

เมื่อหน้าจอเครื่องมือสื่อสารปรากฏภาพของผู้เป็นน้องชายขึ้นมา สายลมก็เริ่มเข้าประเด็นทันที

“โอ้ นานทีพี่จะมีเรื่องให้ช่วย ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญมาก” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำทะเลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวน

“อย่ามัวเล่นลิ้น เปิดดูไฟล์ที่ฉันส่งไปให้ด้วย” ผู้เป็นพี่ชายดูจะไม่มีอารมณ์ขัน เมื่อโต้ตอบกลับไปเสียงเข้ม

“นี่มันรูปเด็กที่ไหนน่ะสายลม พี่จะส่งมาเป็นนายแบบโฆษณาให้บริษัทเราเหรอ?” เซย์ยังไม่เลิกกวน หลังจากเปิดดูสิ่งที่พี่ชายส่งมาแล้วพบว่ามันคือภาพแอบถ่ายของหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง

“ตลกมากไหมเซย์ นายนี่ชอบชักใบให้เรือเสีย”

“ล้อเล่นนิดเดียวก็ไม่ได้... แล้วตกลงเด็กคนนี้ใคร?” เอ่ยถามอย่างจริงจังเมื่อได้เวลาเข้าเรื่องกันเสียที

“เด็กที่ฉันช่วยเอาไว้ ฉันอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กคนนี้ ช่วยหาให้หน่อย” สายลมขยายความ

“ถามเขาก็สิ้นเรื่อง” คนเป็นน้องก็พูดง่าย

“เขาพูดไม่ได้”

“...โชคร้ายจริง”

สายลมถอนใจก่อนถาม “ตกลงช่วยได้ไหม ถ้าไม่ได้ฉันจะได้ให้เอวานช่วย”

“เฮ้ ๆ ๆ อย่าเพิ่งใจร้อนน่าพี่ชาย” อีกคนรีบท้วง “ผมจะช่วยพี่ แต่มีข้อแม้ว่าเวลาที่พี่มาที่นี่... พี่ต้องช่วยงานผมทุกอย่างโดยไม่บิดพลิ้ว โอเคไหม?”

“นายนี่มัน...” สายลมกัดฟัน พูดไม่ออกกับข้อต่อรอง ไอ้หน้าเลือดเอ๊ย! “เออ เอาไงก็ได้ ขอให้ทำให้สำเร็จก่อนเถอะ”

“จัดไป” เซย์ยักคิ้วกวน

ผู้เป็นพี่ชายส่ายหน้ากับความกวนโมโห ไม่น่าโตเลยนะ เซย์ เฟอร์ริงตัน

เมื่อเสร็จธุระ สายลมก็กลับมาหาเด็กที่สะพานปลา แต่เมื่อมาถึงกลับไม่เจอตัวเสียแล้ว ชายหนุ่มเรียกเจ้ากั้งมาถาม มันก็วิ่งมาหาหน้าตาตื่นเพราะกำลังหาเด็กอยู่เหมือนกัน ได้แต่ขอโทษสายลมยกใหญ่ที่ปล่อยให้เด็กมันคลาดสายตาจนหายไปแบบนี้

“ช่างเถอะ เขาอาจจะกลับกระท่อมไปแล้วก็ได้” สายลมพยายามคิดในแง่ดีทั้งที่กำลังร้อนใจ

“ขอโทษจริง ๆ ครับนายน้อย ข้าไม่น่าปล่อยให้มันอยู่คนเดียวเลย”

เจ้ากั้งยกมือไหว้ปลก ๆ สายลมตบบ่าแล้วบอกว่าช่างมัน ก่อนจะออกเดินหา หวังว่าจะไม่เจอกับเจ้าพวกนั้นนะ รูส...



เพิงหญ้าใต้ร่มไม้ เหนือเมฆและกลุ่มอริของสายลมจับกลุ่มก๊งเหล้ากันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ที่จริงแล้วเมากันข้ามคืนแล้วลุกขึ้นมาถอนกันอีกเสียมากกว่า แต่เมื่อเหล้าลงคอแล้วก็ชักเลยเถิด จากคนละเป๊กกลายเป็นหลายเป๊กจนลิ้นไก่เริ่มสั้นไปตาม ๆ กัน

“สายลมนี่มันหัวแข็งจริง เราจะไม่มีทางทำอะไรมันได้เลยเหรอวะ?” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระชาก เหล้าเข้าปากแล้วเห็นช้างตัวเท่ามด

“ใจเย็น ๆ ไม่มีทางที่มันจะรอดไปได้ทุกครั้งหรอกน่า” เหนือเมฆตบบ่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์

“แล้วที่เป็นอยู่นี่มันไม่ได้รอดไปทุกครั้งเหรอวะ มีแต่เราที่แพ้มันอยู่ตลอด เจ็บใจโว้ย!” แก้วเหล้าในมือถูกกระแทกลงบนแคร่จนมันกระฉอก

“โวยวายไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้สายลมมันมีจุดอ่อน มันจะเป็นนายของทุกคนที่นี่ แต่มันดันทำผิดกฎเสียเอง แถมเรื่องที่เด็กนั่นจะนำความวุ่นวายมาก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าไม่จริง ถ้าเราเล่นเรื่องนี้หนัก ๆ สายลมมันต้องกระอักแน่”

ริมฝีปากหนายกยิ้มแสยะ วันที่เด็กนั่นถูกลูห์วิ่งไล่เหมือนหนูในกรงแล้วสายลมมันวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมา ท่าทางจะห่วงใยกันหนักหนาจนน่าหมั่นไส้

“เฮ้ย ตัวช่วยเรามาแล้วเว้ย”

หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินมา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนริมฝีปาก พวกมันทุกคนหันไปมองตาม ก่อนจะพากันหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นเป้าหมาย


ทางด้านเด็กดื้อที่ถือถังปลาเดินซึมมาตามทางไม่ได้รู้เลยว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้ไม่หวังดี จนกระทั่งถูกล้อมเอาไว้ทุกทิศทาง ใบหน้าเรียวจึงเงยมองคนเหล่านั้นด้วยความแตกตื่น รูสจำผู้ชายตัวโตหนึ่งในนั้นได้ คนที่มาลากเขาไปที่บ้านพ่อเฒ่ากับที่เหลือ... คนที่เป็นศัตรูของสายลมแทบทั้งนั้น!

เจ้าหนูยืนสั่นอยู่กลางวงล้อม กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งจนทำให้เวียนหัว คนพวกนั้นแม้จะถูกสายลมสั่งสอนและสั่งไม่ให้เข้ามาใกล้เขาอีก  หากไม่ทำตามจะจับไปยัดใส่คุกมืดของเกาะศิลา แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่เกรงกลัวคำสั่งของสายลมเลย ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไม่มาล้อมเขาเอาไว้เช่นนี้แน่

วงล้อมถูกตีแคบเข้ามากว่าเดิม รูสไม่รู้จะถอยไปทางไหนได้ เมื่อเหนือเมฆเอื้อมมาแย่งถังปลาในมือไป รูสก็ได้แต่มองตาม พวกมันหัวเราะกันสนุก แต่เขานี่สิอยากร้องไห้เต็มทน เพราะขัดคำสั่งสายลมถึงได้เป็นแบบนี้ มาสำนึกได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ทำอย่างไรดี...

โฮกกกกกกกกกกก

เสียงคำรามดังก้องพาให้พวกมันชะงักงัน รูสเองก็ชะงักตามพวกมันไปด้วย ตากลมเหลียวมองรอบกายเพื่อหาที่มาของเสียง เมื่อทุกสายตาหันไปเห็นลูห์ยืนแยกเขี้ยวคำรามในลำคอ ท่าทางเตรียมพร้อมจะขย้ำพวกมันได้ทุกวินาที คมเขี้ยวแหลมที่แยกยกทุกครั้งที่เสียงคำรามดังลอดทำให้พวกเหนือเมฆวิ่งหนีกันกระเจิง แต่ก็ช้ากว่าลูห์เมื่อมันกระโจนเข้าใส่ ต่างคนต่างหนีเอาตัวรอดไม่มีใครช่วยเหลือใคร เสียงร้องโหวกเหวกทำให้รูสกลัวไปด้วย ตัวผอม ๆ ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกเมื่อลูห์เข้าตะครุบแล้วเหยียบอกหนึ่งในพวกของเหนือเมฆเอาไว้

ลูห์ปรายสายตามามองเด็กที่ยังยืนอึก ๆ อัก ๆ อยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเสียที เจ้าตัวเขาสะดุ้งโหยง ลนลานเก็บถังใส่ปลาแล้ววิ่งสุดฝีเท้าเพื่อกลับกระท่อม หากสายลมรู้เข้าว่าเขาขัดคำสั่งกลับมาที่กระท่อมก่อน ทั้งยังเจอศัตรูของสายลมเข้าจนเกือบเอาตัวไม่รอด สายลมต้องโกรธแน่ ๆ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี...

สายลมกลับมาถึงกระท่อมในเวลาไล่เลี่ยกัน มองเด็กที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนชาน ขณะที่ลูห์นอนอยู่บนแคร่ไม้ข้างบันไดขึ้นกระท่อม สายตาคมมองสิงโตตัวใหญ่สลับกับเด็กน้อยอย่างพินิจ ลูห์ไม่มีพิรุธ แต่เด็กนี่สิ... มีเพียบ

“รูส”

เพียงเอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายก็มีสะดุ้งให้เห็น สายลมหรี่ตา กอดอกมองเด็กที่ก้มหน้าหลบสายตา

“บอกให้รอ ทำไมกลับมาก่อน?”

ตากลมกลอกมองซ้ายขวาหลุกหลิก

“ไม่ได้เจอใครทำอะไรแปลก ๆ ใช่ไหม?”

ทำตาโต ส่ายหน้ารัวจนหัวแทบหลุด ไม่มีพิรุธอะไรเลยรูสเอ๋ย

“แน่นะ?”

พยักหน้าหงึกเพื่อเป็นการยืนยันเสียอีกที

“แน่ใจ?”

สายลมยังไล่บี้ นัยน์ตาสีดำสนิทที่มองจ้องมาทำให้รูสต้องเบือนสายตาไปทางอื่นก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

“ที่ถามไม่ใช่เพราะจะตำหนิ แต่ฉันเป็นห่วง... เข้าใจใช่ไหม?”

น้ำเสียงห่วงใยจากคนตัวโตทำให้ตากลมช้อนมองคนพูดด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ มือหนาเอื้อมมาโยกศีรษะเช่นทุกที เขาชอบความอบอุ่นจากสัมผัสที่อีกคนมีให้ ค่อยเลื่อนมือขึ้นมาจับแขนของสายลมแล้วรั้งลงมา ดวงตากลมฉายแววแน่แน่วทำให้สายลมเลิกคิ้วสูง

สายลม... ถึงแม้สักวันหนึ่งผมอาจจะต้องถูกส่งกลับไปในที่ที่ผมไม่อยากไปเลย แต่อย่างน้อย... ช่วงเวลาที่ได้อยู่ที่นี่ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหา แม้ว่าถูกส่งกลับไปแล้วผมอาจไม่ได้กลับมาพบกับคุณอีก เพราะเขา... คงไม่มีทางปล่อยให้ผมมีชีวิตรอดกลับมาตอบแทนบุญคุณของคุณแน่ ๆ เพราะฉะนั้น.. ผมจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟังสายลมทุกอย่าง อย่าเพิ่งผลักไสผมให้ไกลห่าง ขอเวลาอีกสักนิด... อีกนิดเดียวก็ยังดี...

“เป็นอะไร? คิดอะไรอยู่?”

เสียงทักที่แทรกเข้ามาในความคิดทำให้รูสชะงัก กะพริบตาปริบ ๆ ปล่อยแขนสายลมแล้วยิ้มแหย

“หึ เด็กบ๊อง” มะเหงกเขกหัวเด็กเบา ๆ

รูสทำปากยื่น มือเรียวลูบจุดที่ถูกสายลมประทุษร้าย ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง... ขออยู่กับคุณอีกสักพักนะ สายลม



แสงไฟจากตะเกียงยังคงส่องให้ความสว่างแต่พอประมาณ กระท่อมหลังน้อยของสายลมในยามค่ำคืนแสนเงียบเชียบ ลูห์ค่อย ๆ ลุกเดินหายลับไปกับความมืดของสุมทุมไม้ ขณะที่นายของมันนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง หยิบสมุดเล่มเดิมที่รูสเขียนข้อความเอาไว้มาดู เพิ่งเห็นว่าด้านท้ายนั้นยังมีเขียนเพิ่มให้ด้วย แต่หาใช่ข้อมูลที่ต้องการ

...ความจริงที่รู้อาจทำให้คุณเกลียดผม...

สีหน้าชายหนุ่มครุ่นคิดหนัก เหตุใดจึงคิดว่าเขาจะเกลียด ภายใต้ความน่าสงสารนั้นมันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอยู่กันแน่?




TBC



 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๔ ภาพจำ



ห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกปิดมืด ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หน้าตาประหลาด ห้องที่ทั้งมืดมิด ห้องที่ยังคงเป็นความลับสำหรับคนภายนอก ฝุ่นที่เกาะกรังราวเวลาของทุกสิ่งถูกหยุดเอาไว้มาแสนนาน แต่ภายในนั้นกลับคล้ายยังมีบางอย่างเคลื่อนไหว

เสียงงัดแงะดังมาจากด้านนอก ประตูบานหนึ่งซึ่งถูกปิดตายด้วยรหัสที่ไม่มีใครรู้ ชายฉกรรจ์หลายคนพยายามใช้อุปกรณ์หลากชนิดเพื่อเปิดมัน แต่พยายามไปเท่าไรก็ไม่สามารถที่จะเปิดได้ ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นนายมองความล้มเหลวของลูกน้องตนด้วยความฉุนเฉียว กราดเกรี้ยวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ห้องบ้านี่มันใช้รหัสอะไรกัน!

“ไปเชิญดอกเตอร์ภิชาญมาพบฉันหน่อย” เสียงเข้มออกคำสั่ง สีหน้าเครียดขึ้ง

“ครับ” ก้มหัวรับคำแล้วผู้เป็นลูกน้องก็ไปทำตามคำสั่ง

ไม่นานนักชายสูงวัยคนหนึ่งก็ถูกพาตัวมา สายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายต่อผู้อื่นปรายมามองชายผู้นั้น ก่อนจะเยื้องย่างเข้าไปหา

“ผมอยากจะเข้าไปในห้องของคุณพ่อสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณลุงพอจะรู้รหัสผ่านของห้องนี้ไหมครับ?”

แม้จะเริ่มประโยคด้วยความสุภาพ แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ชายสูงวัยผู้ถูกยืนขนาบมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ ผู้ที่เรียกเขาว่าลุงไม่เคยที่จะเห็นเป็นเช่นที่พูด ชีวิตเขาอาจจบลงด้วยน้ำมือของคนตรงหน้าในวันใดไม่อาจรู้ได้ มันน่ากลัวเกินกว่ามนุษย์มนาทั่วไปเขาเป็นกัน

“ฉันไม่รู้ ชาติเขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร” ชายสูงวัยบอกปฏิเสธ

“คุณลุง... กำลังหลอกใครอยู่เหรอครับ เห็นผมเป็นไอ้เด็กหน้าโง่ตามไม่ทันคุณลุงอีกแล้วนะครับ”

น้ำเสียงที่ใช้ดูราบเรียบแต่กลับทำให้คนฟังเกิดอาการสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือหนากระชากคอเสื้อผู้ที่ตนเรียกว่าลุง แววตาราวสัตว์ร้ายมองจ้อง ก่อนกระตุกยิ้มมุมปากแล้วปล่อยมือ ปัดปกเสื้อของผู้เป็นลุงเบา ๆ

“อา... ผมทำคุณลุงกลัวเหรอครับ แย่จริง”

ชายสูงวัยกลืนน้ำลายหนืดคอ “หยุดแต่เพียงเท่านี้เถอะราส อย่าสร้างบาปสร้างกรรมให้ตัวเองไปมากกว่านี้เลย รูสเขา...”

“ผมไม่ได้ให้คุณมาสั่งสอนผม!!” เพียงได้ยินชื่อของใครอีกคนชายหนุ่มก็ตวาดเสียงดัง “แค่บอกมาคำเดียวว่ารหัสผ่านห้องนี้มันคืออะไร บอกมา!”

น้ำเสียงที่ถูกเค้นออกมา ทั้งท่าทีคุกคามทำให้ชายสูงวัยตอบกลับเสียงสั่น

“ฉันไม่รู้ ต่อให้แกเค้นให้ตายฉันก็บอกในสิ่งที่แกต้องการไม่ได้ เพราะฉันไม่รู้!!”

จบคำ ร่างสันทัดก็ล้มกลิ้งไปบนพื้นจากแรงโกรธของอีกคน ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!!

ใจชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงผู้เป็นน้องชาย เขาไม่น่าฆ่ามันก่อนเลย บางทีมันอาจจะรู้รหัสเปิดห้องใต้ดินนี่ เพราะตั้งแต่เด็ก ศาสตราจารย์ภิชาติมักพามันเข้ามาในห้องนี้ โดยที่เขาไม่เคยมีสิทธิ์แม้แต่ย่างกรายเข้าใกล้ สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงจ้องมองบานประตูที่ปิดสนิทและไร้หนทางที่จะเปิดมันออก

โธ่เว้ย! ไอ้ดอกเตอร์นั่น ตายไปแล้วก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์อีก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาจะต้องหาทางเปิดมันให้ได้ คอยดู!


......


ไข่มุกใจกลางจี้ห้อยคอส่องแสงแวววาวเมื่อต้องแสงตะวัน รูสชูมันขึ้นจนสุดแขน ดวงตากลมเมียงมองของเพียงชิ้นเดียวที่ติดตัวมา มันคือของสำคัญที่บิดาบอกให้เขาเก็บไว้อย่าให้ห่างตัว ไม่รู้ว่ามันสำคัญกับผู้เป็นบิดามากแค่ไหน แต่รูสก็ไม่เคยถอดมันสักครั้งตั้งแต่ที่ได้สร้อยคอพร้อมจี้กลม ๆ นี้มา จนกระทั่งวันที่สร้อยมันขาด และตอนนี้เขาก็ได้สร้อยเส้นใหม่มาเปลี่ยน ถึงแม้มันจะทำจากเชือกที่ถักทอเป็นเส้น ไม่ได้มีราคาค่างวดเหมือนสร้อยเส้นเดิม แต่เขาก็ชอบมันมาก

“บอกให้เตรียมตัว แล้วไหงมานอนมองจี้ห้อยคออยู่ หืม?”

ตากลมกะพริบปริบเมื่อคนที่ตนเองกำลังนึกถึงชะโงกมองอยู่ด้านบน ร่างผอมดีดตัวลุกขึ้นมาพลางกางแขนออกเพื่อให้อีกฝ่ายดูว่าตนเองอยู่ในชุดเตรียมพร้อมแล้วไม่เห็นหรือ ชุดผ้าฝ้ายใส่สบาย ถูกทอขึ้นด้วยฝีมือชาวบ้านบนเกาะศิลา นี่ก็ได้มาจากสายลมเหมือนกัน ทั้งสร้อย ทั้งเสื้อผ้า รวมทั้ง... ชีวิต

“อ้าว พร้อมแล้วนั่งเฉยอยู่ทำไม ลงมาสิครับคุณหนู”

รูสแยกเขี้ยวเมื่อถูกประชด ร่างผอมรีบลุกลงมาหา สายลมทำเสียงหึในลำคอ ก่อนจะรั้งแขนเรียวให้เดินไปข้างกัน

วันนี้เขาจะพารูสไปฝากกับฟาริดา ลูกสาวของพ่อเฒ่าอาจีฟ เห็นอยู่เฉย ๆ แล้วเบื่อ สายลมเลยจะหาอะไรให้ทำ ให้ไปทำงานด้วยไม่ได้ชายหนุ่มจึงให้ไปเรียนกับฟาริดา ครั้งแรกที่คุยกันว่าจะพาไปฝากที่บ้านพ่อเฒ่าเวลาที่ตนเองไม่อยู่ เด็กก็ไม่ยอมท่าเดียว กลัวจะถูกปล่อยทิ้งไว้ที่นั่นถาวร สายลมจึงได้พาฟาริดามาแนะนำให้รู้จัก เมื่อได้พูดคุยกันก็เห็นว่าหญิงสาวดูเป็นคนใจดี รอยยิ้มอ่อนหวานที่มี ทั้งการพูดการจาที่น่าฟัง ดูไม่ได้เสแสร้ง นั่นจึงทำให้รูสยอมที่จะตามสายลมมาที่บ้านของพ่อเฒ่าอาจีฟในวันนี้

ถึงแม้ชายชราผู้ซึ่งทำหน้าที่พยากรณ์เรื่องราวภายในเกาะศิลาจะอยากให้รูสไปจากที่นี่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำร้าย กลับใช้วิธีการพูดจากันดี ๆ รูสจึงเห็นว่าพ่อเฒ่าอาจีฟเป็นคนแก่ท่าทางดุแต่ก็ใจดีไม่ต่างจากสายลม เมื่อพากันมาถึงบ้านพ่อเฒ่า สายลมก็ฝากฝังเด็กดื้อไว้กับฟาริดา

“อาจจะดื้อไปสักหน่อย แต่ก็ฝากด้วยนะริด้า”

เด็กดื้อหันขวับมามองสายลมที่ยืนข้างกัน ใบหน้างอง้ำเพราะถูกหาว่าดื้อ ไม่ได้ดื้อสักหน่อย สายลมมั่ว

“แล้วถ้าดื้อมาก ๆ นี่... อนุญาตให้ตีไหม?”

ตากลมเบิกโตเมื่อหญิงสาวตรงหน้ารับมุก ตัวบางรีบหลบไปอยู่ด้านหลังสายลม เห็นหน้าตาสวย ๆ ที่จริงแล้วเป็นคนใจร้ายหรอกหรือ

“อนุญาต”

ริมฝีปากบางอ้าหวอเมื่อคนตัวโตตอบรับ มือเรียวฟาดต้นแขนแกร่ง ทำไมไปอนุญาตให้เขาตีรูสเล่า!

ฟาริดาหัวเราะเมื่อเห็นเด็กงอแง ก่อนเฉลยความด้วยรอยยิ้มใจดี “พี่ล้อเล่นน่ะจ้ะ ไม่ตีหรอก ใครจะตีเด็กหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ได้ลง”

รูสหันมามองฟาริดา ก่อนจะย่นจมูกใส่สายลม เปลี่ยนข้างมายืนกับหญิงสาวที่พูดเข้าหูตนเองแทน

“อ้าว เปลี่ยนข้างเร็วจริง” สายลมเอ่ยเย้า เด็กก็ทำลอยหน้าไม่สนใจ

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะลม ริด้าดูแลให้ ที่นี่มีเพื่อนเยอะ ไม่น่าจะมีปัญหา” ฟาริดายิ้มบอก

“ริด้า เขา...” สายลมมีสีหน้าลำบากใจ

“อ๋อ เรื่องนั้นใช่ไหม ริด้ารู้แล้ว”

“ขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มบาง

รูสมองคนนั้นที คนนี้ที เพราะไม่เข้าใจว่าคุยอะไรกัน เมื่อสายลมออกไปทำงานแล้วฟาริดาจึงพารูสไปทำความรู้จักกับนักเรียนตัวน้อยของเธอทุกคน เด็ก ๆ เข้ามาชวนคุย แต่พอรู้ว่ารูสพูดไม่ได้ก็สงสารกันใหญ่ รูสได้แต่หัวเราะ ไม่ได้รู้สึกไม่ดี เพราะทุกคนไม่ได้มีท่าทีรังเกียจแต่แสดงออกว่าสงสารเขาจากใจจริง

“รูส”

รูสหันไปมองตามเสียงเรียก เด็กผู้ชายสามคนที่ดูท่าแล้วน่าจะเด็กกว่าเขา แต่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เชียว เรียกชื่อเขาเฉย ๆ เสียด้วย

“ข้าชื่อโต ส่วนนี่ลูกน้องข้า”

คนที่เรียกเขาแนะนำตัว ก่อนพยักพเยิดไปทางเด็กอีกสองคนที่ยืนขนาบข้าง ซึ่งที่เหลือก็พากันแนะนำตัวกับเขาเสียงดังฟังชัด รูสอมยิ้ม พยักหน้ารับรู้แล้วรอดูว่าจะทำอะไรกันต่อ

“ถ้าเอ็งมีปัญหาอะไร บอกข้าได้ ที่นี่ข้าใหญ่สุด” ว่าจบก็ยืดเต็มที่

รูสพยักหน้ารับ เออออไปกับเด็ก อยู่ที่นี่ก็ดี เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยทำให้เขาไม่เหงา อยู่กับลูห์ต่างก็พากันเงียบ นั่งเหงากันอยู่สองคน อา... ไม่ใช่สิ หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวต่างหาก


......


สายลมไปดูคนงานทำการตรวจสอบแผงโซล่าเซลล์ที่ใช้สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า ต้องตรวจสอบคุณภาพการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

งานในเหมืองของเกาะศิลาเมื่อก่อนนี้เป็นเพียงการนำแร่หินที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาข้ามไปทำการค้าขายกับประเทศรอบนอก ผลตอบแทนที่ได้จึงน้อยมากเมื่อเทียบกับการผลิตหินแร่ให้กลายเป็นอัญมณีเต็มรูปแบบ สายลมที่เห็นว่าคนในเกาะมีฝีมือ แต่ขาดอุปกรณ์จึงได้หาทางนำเครื่องมือต่าง ๆ มาให้ เริ่มจากการนำไฟฟ้าเข้ามาเพื่อเป็นพลังงานหลักในการผลิต ทั้งติดตั้งเครื่องปั่นไฟสำรองเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ได้รับความร่วมมือและเห็นชอบจากคนบนเกาะเป็นอย่างดีกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แม้ในตอนแรกจะถูกคนหัวเก่าคัดค้าน แต่เมื่อยึดหลักตามเสียงข้างมากเขาจึงสามารถดำเนินการต่าง ๆ มาจนวันนี้ได้ และนั่นกลายเป็นข้อพิสูจน์ให้ผู้ที่คัดค้านได้เห็นว่า สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้ทำให้สถานที่แห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างที่พากันกลัว

“ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมกริช?” สายลมเอ่ยถามลูกน้องที่ทำหน้าที่คุมงานในเหมือง ขณะที่สายตาคมกวาดมองโดยรอบ

“ไม่มีครับนายน้อย ทุกอย่างปรกติดี”

เขาพยักหน้ารับรู้ กริชทำงานที่นี่มาหลายปี เป็นคนที่ปู่ของเขาเลือกเอง จึงไว้ใจได้ในเรื่องของความซื่อสัตย์

“อ้อ นายน้อยครับ นายท่านให้ไปพบที่บ้านแหนะครับ เห็นว่ามีเรื่องจะปรึกษา” นายกริชเอ่ยบอก

“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก”

“ครับ” นายกริชตอบรับก่อนเดินเลี่ยงไปทำหน้าที่ของตน

สายลมเดินตรวจงานอยู่สักพัก เข้าไปดูในส่วนของการคัดแยกผลึกและแร่หลากสี ก่อนจะถูกส่งต่อไปเจียระไนและตรวจวัดคุณภาพ แสงสีเหลืองอมส้มที่สะท้อนมาเข้าตาทำให้สายลมเอื้อมไปหยิบมันมา ผลึกโปร่งใสที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน แต่กลับสวยเข้าตาเขา ยิ่งเมื่อเพ่งพินิจยิ่งทำให้นึกถึงบางสิ่งที่มีสีคล้ายกับผลึกโปร่งแสงชิ้นนี้ รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มริมฝีปาก สายลมขอเก็บผลึกชิ้นนี้ไว้เป็นของส่วนตัว ซึ่งทุกคนก็ยินดียกให้แม้นายน้อยไม่ต้องเอ่ยปากขอ ผละจากจุดนั้นมาเขาจึงตรงไปหาผู้เป็นปู่ เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาแล้ว



“จะให้เขาอยู่ที่นี่หรือไง?”

นายลามุเอ่ยถามหลานชาย ปัดมือเบา ๆ ให้ลูกน้องออกไป ชั้นบนของตัวบ้านถูกทำเป็นระเบียงยื่นออกมารับลม และสามารถมองเห็นทะเลสีครามจากจุดที่พวกเขานั่งอยู่ได้อย่างชัดเจน

“ปู่ใจดีอยู่แล้ว ต้องให้เขาอยู่ต่อแน่นอนใช่ไหมครับ?” สายลมตีขลุม ดักเอาไว้ก่อนเป็นดี เรื่องของรูสนี่ท่าทางจะจบยาก

“ไม่ต้องมาตะล่อมเสียให้ยาก เมื่อคราวเจ้าหลงก็ทีหนึ่งแล้ว” นายลามุไม่รับลูก

เรื่องนายหลงที่ชายชรากล่าวถึงคือคนจากนอกเกาะที่ถูกทะเลซัดมาเกยหาด ชาวบ้านแถบนั้นไปพบเข้าจึงพาส่งโรงพยาบาลประจำเกาะ เมื่อฟื้นขึ้นมากลับสูญเสียความทรงจำ ทั้งยังป้ำเป๋อไม่เต็มเต็งเสียอีก ด้วยความสงสาร หมอปลายฟ้าจึงให้ช่วยดูแลความสะอาดรอบ ๆ โรงพยาบาล ให้ที่พักอาศัยและเสื้อผ้า อาหาร เมื่อพ่อเฒ่าอาจีฟได้จับยามดูความเป็นมาก็เห็นว่าไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ครั้งนั้นทุกคนในเกาะเห็นควรด้วยทำให้นายหลงได้เข้ามาเป็นหนึ่งในคนของเกาะศิลา ด้วยพิธีกรรมต้อนรับจากพ่อเฒ่าอาจีฟ

“ลุงเขาน่าสงสาร... รูสก็น่าสงสาร” ผู้เป็นหลานยังมิวายโยงมาหากัน

“เปิดเกาะศิลาเป็นมูลนิธิเพื่อคนยากไร้เลยดีไหม?” สายตาคมดุจเหยี่ยวปรายมามองหลานชาย แม้ช่วงเวลาที่ผันผ่านจะทำให้มันฝ้าฟางลงไป แต่ก็ยังทรงอำนาจของผู้นำอยู่ไม่คลาย

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่รับเด็กตัวเล็ก ๆ เข้ามาเพิ่มอีกสักคน...”

“ไม่มีทาง” ปิดประตูตาย ไม่มีลงให้

“มีทางสิครับ เพราะปู่จะให้พ่อเฒ่าทำพิธีต้อนรับเขาใช่ไหม?” สายลมยังไม่ยอม

“อย่ามาตีขลุมสายลม”

เมื่อถูกดุด้วยสายตาจริงจังสายลมจึงต้องเลิกต่อปากต่อคำ พร้อมเปลี่ยนท่าทีมาเป็นงานเป็นการบ้าง

“ผมกำลังสืบประวัติเด็กมันอยู่” เขาบอกกล่าว

“ได้แล้วจะส่งกลับใช่ไหม?”

“ผมไม่รับปากครับ”

“เพราะ?” นายลามุหรี่ตา

“เพราะผมไม่มั่นใจว่าการส่งเด็กกลับจะดีกว่าการให้เขาอยู่ที่นี่”

“สายลม”

“ถ้าปู่ไม่ต้อนรับ... ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปู่ใจดี” คนพูดยกยิ้มมุมปาก วกกลับมาที่เดิมจนได้

“เรื่องเล่นลิ้นกะลาวนนี่ไม่มีใครเกินเจ้าจริง ๆ ไอ้หลานชาย” นายลามุถอนใจ ตกลงจะเอาให้ได้เลยว่าอย่างนั้น

ผู้เป็นหลานหัวเราะในลำคอ พลางบอกอย่างจริงจังทั้งน้ำเสียงและแววตา

“ผมจะไม่ทำให้ปู่เดือดร้อน วางใจได้”

ไม่ใช่ไม่เชื่อที่หลานพูด แต่ที่ชายชรากำลังหนักใจก็เพราะสายลมเป็นคนดี การเป็นคนดีไม่ใช่เรื่องผิด แต่บางครั้ง... ภัยมันก็อาจมาถึงตัวเพราะความใจดีของคน


......


ณ ประภาคารสูงในยามเช้าตรู่ สายลมต่อสัญญาณถึงน้องชายที่แดนไกล แต่ก่อนที่จะได้รับรู้ข่าวคราวก็ถูกเจ้าน้องชายตัวดีบ่นจนคร้านจะฟัง เพราะข้อมูลที่เขาให้ไปมันน้อยมากจนแทบเรียกได้ว่าไม่มีเลย ทำให้นักสืบไม่รู้จะเริ่มต้นค้นหาที่ตรงไหน แต่เทวัญ คนของมิสเตอร์แอลผู้เป็นอาของพวกเขาก็ฝีมือดี สามารถเอาภาพถ่ายที่สายลมให้ไปนั้นค้นหาจนได้ข้อมูลมาอย่างคร่าว ๆ

สิ่งที่ได้รับรู้จากการสืบค้นครั้งนี้คือรูสเป็นบุตรชายของศาสตราจารย์สติเฟื่องคนหนึ่ง เพราะเคยถ่ายภาพคู่กับบุตรชายที่แสนภูมิใจอยู่หลายหนทำให้มีเบาะแสพอค้นหาได้ ศาสตราจารย์คนดังกล่าวเสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนด้วยการผูกคอในห้องวิจัยภายในบ้านของตนเอง โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คือรูสในวัยหกขวบที่สลบไสลอยู่บนพื้นห้อง หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปีได้ ภรรยาของศาสตราจารย์คนดังกล่าวก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปอีกคน เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ช่วงหนึ่ง ส่วนบุตรชายกลับไม่มีใครเอ่ยถึงว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้างหลังเหตุการณ์นั้น

สายลมได้ฟังแล้วก็เครียด เรื่องมันชักจะไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด ขนาดข้อมูลที่ยังไม่ลงลึกยังทำให้เขาเครียดและนึกเป็นห่วงเด็กที่มีปูมหลังแสนเลวร้าย ไม่รู้อยู่มาอย่างไรหลังจากรู้ว่าผู้เป็นบิดาและมารดาจากไปแล้ว

“ขอบใจเซย์ ฝากขอบคุณอาแอลด้วย ไว้มีโอกาสฉันจะไปพบท่านด้วยตัวเองอีกครั้ง” สายลมเอ่ยขึ้นมาหลังจากปรับอารมณ์ของตนเองให้กลับมาเป็นปรกติได้

“ไม่มีปัญหา... แต่ว่านะสายลม เด็กคนนี้ท่าทางจะมีประวัติไม่ธรรมดาซะแล้ว ผมว่าพี่ควรระวังตัวไว้ก็ดี คนที่พัวพันอยู่รอบกายเด็กอาจพุ่งเป้ามาหาพี่ หากรู้ว่าเด็กมันยังมีชีวิตอยู่” เซย์เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง เห็นแวววุ่นวายมารอพี่ชายอยู่ตรงหน้า

“นายทำฉันเครียดแต่เช้า” ผู้เป็นพี่ว่า

“อ้าว ก็เห็นเร่งยิก ๆ พอเราหามาให้แล้วมาต่อว่า”

สายลมลูบหน้าตัวเอง เขาเครียดแบบจริงจังเลยตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็เหมือนใช่ เมื่อช่วยมาแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด

“ฝากตามต่อด้วย มีอะไรก็ส่งข่าวมาเป็นระยะ โอเคไหม?”

“โอเค แต่อย่าลืมสัญญานะลม”

“เออ ไม่ลืมหรอก ทำงานของนายให้ดีแล้วกัน” สายลมทำหน้าหน่าย ยังไม่ลืมอีก ไอ้นี่

“สายลม”

“ว่า?”

“ถ้ามีอะไรให้รีบบอก แด๊ดสั่งมา”

“หึ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเมื่อน้องชายบอกมาเช่นนั้น

“อาอัลเป็นห่วงพี่มากนะ ยิ่งได้รู้ว่าเด็กที่พี่ช่วยมามีปัญหาห้อยท้ายมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่”

“บอกพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ฉันยังจัดการได้ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ฉันจะบอก” สายลมว่า

“โอเค ดูแลตัวเองด้วย”

“อืม นายก็เหมือนกัน”

สายลมปิดเครื่องมือสื่อสารหลังคุยกับน้องชายเสร็จ ร่างสูงใหญ่ลงจากประภาคารมาเพื่อกลับไปหาเด็กที่กระท่อม ยิ่งได้รู้เรื่องราวยิ่งไม่อาจปล่อยมือ



กลับกระท่อมมา รูสก็กำลังนั่งรอกินข้าว เขาต้มหมูที่ได้มาจากบ้านใหญ่ใส่ใบมะขามไว้ให้เด็กนั่งเฝ้า หม้อไหม้หรือยังไม่รู้ป่านนี้ เมื่อล้างไม้ล้างมือขึ้นมาก็เห็นว่าข้าวปลาอาหารถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดี มีปลาย่างกับน้ำจิ้มแจ่วแถมมาด้วยอีกอย่าง ให้เขาช่วยขอดเกล็ดปลาไว้ให้ก็นึกว่าจะทำอะไร แต่ได้มาเท่านี้ก็ถือว่าไม่เลวนัก หลงไปที่ไหนก็คงไม่ถึงกับอดตาย นึกว่าเป็นลูกคุณหนูมีเงินแล้วทำอะไรไม่เป็นเสียอีก

ตั้งแต่ให้ไปอยู่บ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ เหมือนว่ารูสจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากฟาริดา เรื่องทำกับข้าวง่าย ๆ นี่ก็ด้วย เห็นฟาริดาว่าเด็กมันชอบไปชะเง้อชะแง้เวลาเธอสาละวนอยู่ในครัว พอชวนมาเป็นลูกมือก็ไม่มีปฏิเสธ สายลมจึงได้กินกับข้าวฝีมือเด็กร้อนวิชาอยู่บ่อย ๆ ก็ถือว่าไม่เลวนักสำหรับมือใหม่

เมื่อมือเรียวแกะเนื้อปลายื่นมาให้ สายลมก็อ้าปากรับ มองรอยยิ้มของเด็กตรงหน้าแล้วก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่า กว่าจะมีรอยยิ้มเช่นนี้ได้ต้องเจออะไรมาบ้างหนอ เด็กน้อย

รูสแกะเนื้อปลาที่ตนเองเป็นคนย่างเข้าปาก ใส่ปากตัวเองบ้าง ป้อนสายลมบ้าง อีกคนก็อ้าปากรับแต่โดยดี สายตาที่คอยมองจ้องทุกความเคลื่อนไหวทำให้หนุ่มน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย เหตุใดสายลมจึงมองมาแปลก ๆ

“รูส...”

“....?” เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเมื่อถูกเรียก

“อยากอยู่ที่นี่ไหม?”

“......” คำถามนั้นทำให้รูสนิ่งอึ้ง เขาอยากอยู่ แต่ว่า... แต่ว่า... จะอยู่ได้จริงหรือ?

“เธอคงเจอเรื่องเลวร้ายมามาก หากอยากอยู่ที่นี่ ฉันก็พร้อมจะต้อนรับเสมอ” เขานี่ท่าจะบ้า พูดวกไปวนมาสามวาสองศอก แค่บอกว่าอยากให้อยู่ด้วยกันก็จบแล้ว

รูสก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อนึกไปว่าสายลมคงแค่สงสาร แต่กิริยาเช่นนั้นกลับทำให้คนมองแปลความไปว่าเด็กมันคงไม่อยากอยู่ด้วย คล้ายหัวใจถูกเจาะลมจนลีบแบน เขาคาดหวังคำตอบรับมากกว่าการปฏิเสธ

“นั่นสินะ เธอคงอยากกลับบ้านมากกว่า”

รูสเงยขึ้นมามอง ส่ายหน้าแรงกว่าเดิม นั่น... เขาไม่อยากไปหรอก มันไม่ใช่บ้านของเขาแล้ว ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

“ค่อย ๆ คิดก็ได้ ได้คำตอบแล้วค่อยมาบอกฉัน” สายลมเอ่ยปลอบเมื่อเห็นเด็กหน้าเศร้า เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือ

ตัวผอมบางขยับลุก หายเข้าไปในห้องครู่หนึ่งก่อนออกมาพร้อมสมุดประจำตัว นั่งทับขาลงตรงหน้าสายลมพร้อมกางสมุดออกให้อ่านในสิ่งที่ตนเองเขียนมาจากความรู้สึกที่มี

‘ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่กับคุณ ได้ไหมสายลม?’

สายตาเว้าวอนที่ส่งมาให้คงไม่มีใครใจร้ายพอจะมองข้ามมันไป เขานี่ล่ะคนหนึ่งที่จะไม่ทำ มือหนากดสมุดที่เด็กยกขึ้นมาบังใบหน้าจนโผล่พ้นมาเพียงดวงตา ก่อนตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบาง

“นานเท่าที่ต้องการ”

ร่างผอมโผเข้ามากอด แทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ คำตอบรับแสนสั้นแต่รูสกลับรู้สึกขอบคุณมันเหลือเกิน... ขอบคุณ ขอบคุณสายลม...


......


ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก เหมาะแก่การนำเรือออกหาปลาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงวันที่ต้องนำเรือลำใหญ่ออกทำประมงอีกหน ทุกคนก็ตระเตรียมความพร้อมกันอย่างดี มีพ่อเฒ่าอาจีฟคอยพยากรณ์ทั้งเรื่องฝนฟ้าและทิศทางการเดินเรือ

สายลมนั่งรอเด็กอยู่ที่แคร่ข้างบันได เขาต้องออกทำประมงร่วมกับทุกคน พอรู้เข้าเจ้าตัวเล็กก็ขอตามไปด้วยเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ลูห์เฝ้าด้วย อยากไปกับสายลมมากกว่า เด็กมันขี้อ้อน อ้อนเอาได้ทุกอย่างเพราะเขามันขี้ใจอ่อนพอกัน ทั้งยังเห็นว่าต้องออกเรือไปนาน ไม่ไว้ใจให้อยู่ห่างหูห่างตาจึงยอมให้ไปด้วยกัน

หากนับดูตั้งแต่พารูสกลับมาก็กินเวลาไปร่วมครึ่งเดือนแล้ว พบเพียงไม่นานแต่รู้สึกคุ้นเคยจนลืมไปแล้วว่าเพิ่งรู้จัก ออกเรือไปคราวนี้ไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้าง เพราะคราวก่อนได้รูสกลับมา ก็หวังว่าหนนี้จะไม่มีตัวอะไรติดสอยห้อยตามกลับมาที่เกาะอีกหรอกนะ

ขณะที่นั่งรอเด็กเตรียมของใส่ถุงผ้าที่ได้มาจากฟาริดา เห็นเห่อใหญ่ มีอะไรก็จับใส่ถุงแล้วสะพายไปบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟทุกเช้า พอเขาอนุญาตให้ขึ้นเรือไปด้วยก็รีบหาของสำคัญมาใส่ ได้ยินเสียงเดินไปเดินมาอยู่บนกระท่อม สายลมเลยแกล้งเอ่ยเร่ง

“เสร็จหรือยัง ไม่รอแล้วนะ”

เด็กโผล่มาทำหน้าตาตื่น สายลมยิ้มขำก่อนบอกว่าล้อเล่น เจ้าตัวยุ่งหน้ามุ่ย ผลุบหายเข้าห้องไปอีกหน ไม่รู้หาอะไร ไม่เสร็จเสียที

หูแว่วได้ยินเสียงบางอย่างทำให้สายลมชะงัก ตาคมหรี่ลง ก่อนจะหันไปทางที่มีใครคนหนึ่งวิ่งหนีลูห์ออกมาจากพุ่มไม้พร้อมร้องโหวกเหวก

“ว้ากกกกกก”

สายลมผุดลุกขึ้นยืน เดินไปหาชายที่ถูกลูห์ไล่ เมื่อรู้ว่าถูกจับได้ ชายคนดังกล่าวก็ดูอึกอักทำตัวไม่ถูก สายลมมองคนตรงหน้าแล้วจึงเหลียวกลับไปมองรูสที่ยืนสะพายถุงผ้าอยู่บนกระท่อมด้วยท่าทางมึนงง ก่อนร่างผอมจะลงมารอข้างบันได

“ลุงหลง มาทำอะไรแถวนี้หรือครับ?” สายลมเอ่ยถามชายผู้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ จนถูกลูห์วิ่งไล่

นายหลง คนจากนอกเกาะที่ถูกทะเลซัดมาบนเกาะเมื่อหลายปีก่อน และได้รับการทำพิธีต้อนรับให้เข้ามาเป็นหนึ่งในคนของเกาะศิลา ท่าทางป้ำเป๋อหลง ๆ ลืม ๆ

ชายสูงวัยตรงหน้ายกถุงตาข่ายขึ้นมา มีหอยหลายชนิดอยู่ในนั้น อีกฝั่งของเกาะศิลาเป็นหน้าผาและโขดหิน ในส่วนน้ำตื้นสามารถหาเจ้าหอยพวกนี้ได้ไม่ยาก แต่ฝั่งกระท่อมของสายลมมีแต่หาดทรายสีขาวทอดยาวไปไกล หากจะบอกว่าชายสูงวัยผู้นี้เดินเลยจากอีกฟากฝั่งมาถึงที่นี่คงทำให้เชื่อได้ยากสักหน่อย

“มาไกลเลยนะครับ หลงทางหรือเปล่า?” สายลมถาม สายตาจับพิรุธ

ชายสูงวัยเกาหัวแกรก พลางหัวเราะแห้ง ๆ สายลมทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายเหลือบไปมองรูสแล้วรีบหลบตา ก่อนเฉไฉไปเรื่อยเฉื่อย

“คงหลงทางแล้วนายน้อย แหะ ๆ ผ... ผมกลับโรงพยาบาลก่อนล่ะ ได้หอยมาเยอะ จะเอาไปให้แม่สายใจทำให้กิน” ทำท่าทีป้องปากกระซิบแล้วหัวเราะชอบใจ

สายลมเพียงยิ้มมุมปาก รู้กันดีว่าลุงแกหมายปองแม่สายใจ คนครัวของโรงพยาบาล การเลือกที่จะนำชื่อของนางมาเบี่ยงเบนความสนใจของเขาถือว่าฉลาด แต่บังเอิญว่าเวลาที่เขาสงสัยใครแล้วมักจะไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นนี่สิ ทำให้เมื่อมองลุงแกเดินถือถุงตาข่ายกลับไปแล้วก็ยังครุ่นคิด รู้สึกได้ถึงความไม่ปรกติที่เกิดขึ้น

เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าเด็กมายืนอยู่ข้างหลัง ริมฝีปากหยักเปิดยิ้มแล้วรั้งแขนเรียวเล็กให้ออกเดิน รูสหันกลับไปโบกมือลาลูห์ขณะที่เดินตามสายลมไปช้า ๆ สิงโตตัวใหญ่ค่อยเดินไปอีกทาง คงกลับที่อยู่ของมัน สายลมบอกว่าลูห์ก็มีบ้าน เป็นถ้ำขนาดใหญ่มากบนหน้าผาสูงของเกาะศิลา ท่าทางดูลึกลับดีจัง

ขณะที่เด็กมัวแต่สนใจลูห์ สายลมก็หันมามอง เมื่อรูสหันกลับมาเห็นว่าเขามองอยู่ก็ยิ้ม ทำให้เขายิ้มตอบ ขณะในหัวกำลังคิดหาคำตอบ... หรือบางทีโลกมันอาจจะกลมจนเราคาดไม่ถึง


.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

เมื่อมาถึงท่าเรือ ลูกเรือของเกาะศิลาก็กำลังเตรียมจะออกเรือกันแล้ว พอเห็นสายลมพารูสมาด้วยก็ต่างกลัวกันว่าจะพาพวกเขาซวย เรื่องเสียงเล่าลือที่ว่ารูสจะนำความวุ่นวายและอื่น ๆ อีกมากมายเข้ามาในเกาะยังไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ เมื่อสถานการณ์ดูจะไม่ดีสายลมจึงต้องให้พ่อเฒ่าอาจีฟออกโรง

“จริง ๆ แล้วถ้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น... เรายังมีพ่อเฒ่าอาจีฟคอยทำนายทายทักอยู่ไม่ใช่เหรอ ลองถามพ่อเฒ่าดูสักหน่อยไหมว่าการให้เด็กคนนี้ขึ้นเรือไปด้วยมันจะเกิดปัญหาอย่างที่ทุกคนกลัวหรือไม่ ไม่ใช่คิดกันไปเอง ใช่ไหมครับ พ่อเฒ่า?”

เมื่อสายลมโยนลูกมาให้ คิ้วชายชราก็กระตุก เล่นกันแบบนี้เลยหรือนายน้อย

“พวกเจ้าไม่ต้องกลัวไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จับเจ้าหนูนี่โยนลงทะเลไปก็สิ้นเรื่อง”

เหล่าลูกเรือฮาครืนเมื่อพ่อเฒ่าอาจีฟแก้เกมนายน้อยอย่างทันทีทันใด ขณะที่เด็กดื้อของสายลมหน้าเบ้ พ่อเฒ่าโหดร้าย จะทำแบบนั้นกับเขาได้ลงคอเลยหรือ

ทุกคนต่างทยอยขนของขึ้นเรือและตรวจดูความพร้อม คุณหมอปลายฟ้ามาพร้อมชุดปฐมพยาบาล รูสจึงเข้าไปหา เพราะนอกจากสายลมแล้ว บนเรือลำนี้ก็มีเพียงกั้งและคุณหมอปลายฟ้าที่เขารู้จัก อยู่ใกล้สามคนนี้ไว้ไม่น่าจะมีปัญหา

เรือเคลื่อนออกจากฝั่งเมื่อได้เวลา มุ่งสู่ท้องทะเลกว้างเพื่อทำภารกิจของทุกคนบนเรือให้เสร็จสิ้น ลมเย็น ๆ พัดพลิ้วมาตามทิศทางการเคลื่อนตัวของเรือ ปะทะใบหน้าหนุ่มน้อยที่มีรอยยิ้มสดใสท้าดวงตะวัน ท่าทางดูร่าเริงเกินเหตุจนสายลมยิ้มขำ

เรือมาหยุดตรงจุดที่พวกเขาได้คาดคะเนว่าปลาท่าจะชุกชุม เมื่อตะวันเริ่มลับแสงสายลมก็ลงเรือเล็กเพื่อพายมันออกไปสำรวจโดยรอบ ใช้วิธีธรรมชาติโดยการฟังเสียงปลาเพื่อจับพิกัด เวลาลงอวนลากจะได้ไม่พลาด ส่วนตัวป่วนที่เห็นใครทำอะไรก็อยากทำตามไปเสียหมดเลยได้ติดสอยห้อยตามมากับสายลมด้วย

พายเรือเล็กมาถึงจุดหมาย สายลมก็หยุดเรือ ร่างสูงใหญ่ค่อยหย่อนกายลงน้ำ รูสนั่งรอบนเรือ มองสายลมที่ดำลงไปใต้น้ำด้วยความสนใจ อยากลองฟังเสียงปลาดูบ้าง อยากรู้ว่าเสียงมันจะเป็นเช่นไร ตัวบางก้มมองราวกับจะให้มันทะลุลงไปใต้น้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเพราะก้มมากไปเลยหล่นตูมลงน้ำจนเรือน้อยลอยตุ้บป่อง

สายลมที่ทรงตัวอยู่ใต้ท้องน้ำพยายามทำสมาธิเพื่อฟังเสียงปลา เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังจึงได้หันกลับไปมอง เห็นเด็กดิ้นอยู่ในน้ำแล้วชายหนุ่มก็เกือบหลุดขำ กายแกร่งว่ายเข้าไปหา คว้าแขนเรียวแล้วรั้งให้มาด้วยกัน เด็กหยุดอาการดิ้นรนแล้วลอยตัวตีขาตามมา จนถึงจุดที่ตนเองอยู่เมื่อครู่ สายลมก็ทำมือให้เด็กหลับตา แต่เจ้าดื้อกลับส่ายหน้าเพราะกำลังจะหมดลมแล้ว มือหนาจึงคว้าต้นคอโน้มมาหา รูสรีบยกมือปิดปากที่เคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วดันออกห่างก่อนที่มันจะประกบลงมาบนปากตนเอง เขารู้ว่าจะช่วย แต่ไม่เอาแบบนี้ ขอขึ้นไปข้างบนดีกว่า

ร่างผอมถอยตัวออกห่าง ตีขาพุ่งตัวขึ้นด้านบน โผล่อีกทีกลับอยู่ไกลเรือจึงต้องว่ายไปเกาะ เมื่อจะปีนขึ้นเรือก็ทำท่าจะคว่ำอยู่หลายทีเลยต้องเกาะไว้รอสายลมขึ้นมา ท้องฟ้าที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องทำให้รอบกายมีแต่ความเวิ้งว้าง ตอนมา เขามัวตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกต พออยู่คนเดียวแบบนี้รูสก็เริ่มปอด ไม่กล้าหันมองไปทางไหน ก้มมองแต่เรือลำน้อยที่ตนเองเกาะอยู่ รีบขึ้นมาเสียทีสิสายลม รูสกลัว

ขณะที่กำลังสั่นเพราะทั้งหนาวทั้งกลัวก็รู้สึกคล้ายมีอะไรมาสัมผัสที่ขา รูสสะดุ้งเฮือก จะถกขาหนีแต่มือปริศนาใต้น้ำกลับดึงขาเขาจนร่างผอมผลุบหายลงไปในน้ำ ด้วยความตกใจทำให้แทบสำลัก

อ้อมแขนแกร่งวาดมาโอบรอบกาย ริมฝีปากหยักกดลงมาบนกลีบปากบาง ก่อนคนทำจะดีดตัวลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ รูสโผล่ตามขึ้นมาพร้อมไอโขลก พอได้ยินเสียงหัวเราะก็เหวี่ยงกำปั้นทุบคนขี้แกล้งด้วยความโมโห

“บ้า!”

เสียงแหวจากไอ้ตัวเล็กทำให้ต่างฝ่ายต่างชะงักงัน สายลมมองเด็กตรงหน้าราวกับเห็นตัวประหลาด ขณะที่รูสยกมือแตะปากตัวเอง รู้สึกอึ้งพอกัน

“รูส...” กายหนาขยับเข้ามาใกล้พร้อมเอื้อมมือจับไหล่มน “เมื่อกี้...”

“......” รูสเบี่ยงกายออก ลอยคอไปที่เรือ พยายามจะปีนขึ้น ดูทุกลักทุเลจนสายลมต้องเข้ามาช่วย

พอขึ้นเรือมาได้เด็กดื้อก็นั่งเงียบ สายลมที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลังจากปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมรอบกายอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยถาม

“ที่จริงแล้วพูดได้ใช่ไหม?”

“......” เด็กเม้มปาก ท่าทางอึดอัด

“ลองพูดให้ฟังหน่อย อยากได้ยิน”

ตากลมช้อนมอง แววหวาดหวั่นเต้นระริกอยู่ในนั้น ริมฝีปากบางค่อยเผยอขึ้นก่อนจะเปล่งเสียง แต่กลับมีเพียงเสียงลมที่ลอดผ่าน มือเรียวจับคอตนเองแล้วพยายามเค้นเสียงร้องแต่เสียงมันหายไปอีกแล้ว รูสเริ่มสติแตก พยายามเค้นเสียงจนสายลมต้องรั้งเข้ามากอดเพื่อหยุดความว้าวุ่นที่มี

“ไม่เป็นไรรูส ไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มกระซิบปลอบ มือหนาลูบแผ่นหลังบางแสนสั่นเทา

ขอบตารูสร้อนผ่าว ยิ่งสายลมอ่อนโยนกับตนก็ยิ่งแย่ อยากพูด อยากเรียกสายลม แต่ก็ทำได้เพียงกู่ร้องในใจ

สายลม...

สายลม...

สายลม...

ทำไมถึงพูดไม่ได้ ทำไม..
.

แขนแกร่งกอดร่างผอมบางอยู่ครู่ใหญ่ มีเพียงความมืดและเสียงลมหวีดหวิวดังแว่วมา ก่อนสายตาคมจะสะดุดกับบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลเรือลำน้อย จึงก้มมองเด็กในอ้อมแขนพลางบอก

“ดูสิ”

“...?”

รูสเงยขึ้นมองสายลม ก่อนจะหันไปมองทิศทางที่อีกฝ่ายพยักพเยิดบอก คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผิวน้ำเกิดการกระเพื่อมไหว ไม่ใช่คลื่น แต่คล้ายมีบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวน้ำ เมื่อเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งตากลมก็เบิกโต เพราะจุดที่เห็นมันคือหมู่ปลาจำนวนมาก

หันมาหาคนตัวโตด้วยความตื่นเต้น สายลมเก่งจัง รู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ตรงนี้ สายลมยิ้มบาง เพราะเด็กมัวแต่ตื่นเต้นกับเรื่องตรงหน้าจนลืมเรื่องเศร้าไปถนัดตา

เมื่อสายลมและรูสกลับมาที่เรือ ทุกคนจึงได้เคลื่อนไปยังจุดที่สายลมบอกเพื่อลงมือจับปลากัน เจ้าหนูรูสตื่นเต้นใหญ่ที่ได้มาเห็นของจริง ตอนนั้นที่ขึ้นเรือมาไม่ได้เห็นแบบนี้ เพราะฟื้นมาเรือก็กำลังมุ่งกลับเกาะศิลาแล้ว ในใจวาดหวังว่าอยากมาอีกบ่อย ๆ อยากมา แต่... จะได้มาอีกไหมนะ?

ใบหน้าเรียวหันไปมองสายลมที่กำลังควบคุมการทำงานบนเรือ สายลมบอกแล้วนี่นาว่าเขาสามารถอยู่ได้นานเท่าที่ต้องการ รอยยิ้มละมุนแตะแต้มริมฝีปาก ถ้าจะขออยู่ตลอดไปก็อย่ามาว่าเขาทีหลังแล้วกัน

ครืนนนนน

เสียงท้องฟ้าร้องครืนโดยไม่มีเค้าลางมาก่อนทำให้หลายคนเงยมองอย่างวิตก สายลมหน้าเครียดเมื่อเห็นฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนวันที่พบกับรูสไม่มีผิด ชายหนุ่มละมือจากงานมาหารูสด้วยความเป็นห่วง แต่กลับไม่เห็นแม้เงา จึงไต่ถามลูกเรือของตน

“ใครเห็นรูสบ้าง?”

หมอปลายฟ้าพยักหน้าไปทางห้องพักของเรือ สายลมจึงเดินเข้าไปด้านใน เห็นเด็กนั่งขดตัวเอามือปิดหูแล้วสะท้อนในอก

“รูส”

“อ๊า!!”

มือหนาเอื้อมไปแตะ ทำให้รูสสะดุ้งแล้วร้องออกมา สายลมนิ่งอึ้ง มองเด็กหอบหายใจเพราะตกใจกลัว ความมืดมนและฟ้าร้องฟ้าแลบด้านนอกเหมือนวันนั้นทำให้รูสตัวสั่นเพราะความทรงจำแสนเลวร้ายมันหวนกลับมา สายลมค่อยย่อตัวลงแล้วยื่นมือไปหา ร่างผอมมองเขาอยู่เพียงครู่ก็เข้ามากอด เพราะรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ถูกอ้อมแขนแข็งแรงนี้โอบกอดราวปกป้อง

“ไม่มีอะไร แค่ฟ้าร้อง มันหยุดแล้วเห็นไหม?” เสียงที่เอ่ยปลอบทำให้รูสเริ่มสงบลง ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังเบา ๆ ทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นค่อยคลายลงช้า ๆ

หมอปลายฟ้าเข้ามาในห้อง เมื่อสายลมเงยมองเขาจึงว่า “ได้ยินเสียงร้อง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

สายลมออกมาคุยกับหมอปลายฟ้าที่ด้านนอก ขณะที่รูสอยู่ในห้อง ไม่กล้าตามออกมาเพราะกลัวฟ้ามันร้องมันแลบอีก

“เหมือนเสียงเขาจะกลับมาเป็นพัก ๆ” สายลมบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

“อืม... ถ้ากระตุ้นบ่อย ๆ พยายามให้เขาฝึกออกเสียง ถ้าไม่ได้มีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้นข้างในก็อาจจะพอช่วยได้นะ” หมอปลายฟ้าเอ่ยแนะ

สายลมครุ่นคิด ตั้งแต่วันที่พากลับมาด้วยเด็กมันก็ไม่เคยพูดเลย เวลาจะสื่อสารกันทีก็เขียนให้อ่านอย่างเดียว มีแต่ยิ้ม หัวเราะ ไปตามประสา ไม่เคยคิดจะพูด นอกจากครั้งแรกที่ฟื้นขึ้นมาเห็นหน้าสายลมแล้วดิ้นหนีเอาเป็นเอาตายนั่น คงเพราะคิดว่าเสียงตนเองหายไปเลยไม่พยายามที่จะพูดอีก อาจเพราะกลัวผิดหวังเหมือนเช่นวันนี้ที่อยู่ ๆ มันก็กลับมา แต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไป



เมื่อหันหัวเรือย้อนกลับขึ้นฝั่งหลังเสร็จสิ้นการทำประมงแล้ว สายลมก็ให้กั้งพาหมอปลายฟ้ากลับไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเตรียมเครื่องมือมาช่วยตรวจดูอาการรูส เจ้ากั้งไปเอาจักรยานจากที่บ้านของมันที่อยู่ไม่ไกลท่าเรือมา พอขึ้นเนินมาได้ก็ให้คุณหมอซ้อนท้ายกลับบ้าน กะจะนั่งรอจนคุณหมอตระเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วจึงจะพาซิ่งมาหานายน้อยที่กระท่อมริมเล

ขณะที่สายลมเองก็พาเด็กกลับกระท่อมพร้อมกระชังปลา ตัวบางวิ่งมาถึงกระท่อมแล้วก็ชะงัก เหลียวมองรอบกายที่มีแต่ความเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าลูห์หายไปไหน เห็นดังนั้นแล้วสายลมก็ยิ้มมุมปาก ก่อนเรียกลูห์ออกมาให้ พอเห็นลูห์โผล่มาเจ้าดื้อมันกลับวิ่งมาหลบหลังเขาเสียอย่างนั้น เอาไงแน่เด็กคนนี้

“ไปอาบน้ำเถอะไป ตัวเหนียวหมดแล้ว” เขาเอ่ยบอก

รูสค่อยขยับไปข้าง ๆ ตากลมมองลูห์ไปด้วย เมื่อพ้นรัศมีที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้วก็วิ่งตื๋อขึ้นกระท่อมไปเตรียมชุดมาอาบน้ำ ท่าทางเด็กจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะรู้สึกว่าจะชอบน้ำมาก บางวันก็นั่งขัดนั่งถูตัวอยู่นานสองนานจนสายลมนึกว่าหายไปไหน

เจ้ากั้งพาหมอปลายฟ้ามาหลังจากนั้น รูสที่อยู่ในชุดใหม่นั่งทับขาเสียเรียบร้อยรอคุณหมอมาตรวจ สายลมกะว่าให้ลองตรวจดูคร่าว ๆ ก่อนไปที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น เพราะอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นั่นครบครันกว่า เมื่อหมอปลายฟ้าดูสภาพภายในช่องปากและคอแล้วผลก็ปรากฏว่าทุกอย่างปรกติดี อาจเพราะตกใจที่ตัวเองพูดไม่ได้เลยไม่ยอมพูดเสียนานทำให้ไม่รู้ว่าเสียงมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปรกติได้

“เอาล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปที่โรงพยาบาลอีกทีนะ จะได้ตรวจให้ละเอียด” คุณหมอหนุ่มสรุปพร้อมรอยยิ้มใจดี

รูสพยักหน้ารับ ก่อนไหว้ขอบคุณคุณหมอ

“ขอบคุณนะหมอ” สายลมเอ่ยบอก

ซึ่งหมอปลายฟ้าก็พยักหน้าให้ก่อนส่งกล่องเครื่องมือให้เจ้ากั้งเอาไปใส่ตะกร้าหน้ารถ มันเข็นไปจนพ้นหาด หมอปลายฟ้าจึงขึ้นซ้อนท้ายเพื่อกลับบ้าน แอบค่อนขอดเจ้าของรถในใจ จะเอารถไปรับเขาทั้งทีก็ดูดีเหลือเกิน จักรยานของแม่มันที่ปั่นไปเล่นไพ่ในหมู่บ้าน

การนำยานพาหนะข้ามฟากมายังเกาะศิลาค่อนข้างลำบาก ต้องขนมากับเรือที่นาน ๆ ครั้งจะขึ้นเทียบท่าฝั่งไทย ครอบครัวไหนที่ไม่มีเงินก็อาศัยการเดิน เดินกันจนชิน ส่วนครอบครัวที่เก็บหอมรอมริบได้หน่อย อยากไปมาสะดวกขึ้นก็ซื้อจักรยานจากฝั่งไทยข้ามมาใช้ที่นี่ รถที่ใช้น้ำมันบนเกาะมีน้อยคัน เพราะไม่มีถนนใหญ่ ๆ ให้วิ่งจึงมีแต่รถพยาบาลเป็นหลัก

เมื่อคุณหมอปลายฟ้ากลับไปแล้ว สายลมจึงลองชวนเด็กคุย เผื่อเด็กมันนึกอยากจะพูดขึ้นมาบ้าง

“หมอบอกว่าให้หัดออกเสียง อาจจะเริ่มจากสิ่งที่อยากพูด ค่อย ๆ ลองดู”

เขาเอ่ยแนะ แต่เด็กยังนั่งนิ่ง ไม่หือไม่อือ

“มีอะไรอยากพูดไหม?” ชายหนุ่มย่นคิ้ว

รูสเข้าไปเอาสมุดมาเขียน สายลมมองแล้วก็ถอนใจ บอกให้พูดยังจะเขียนอีกเด็กคนนี้ เมื่อเขียนเสร็จก็ยกขึ้นมาให้สายลมดู

‘มันเยอะไปหมด’ เด็กดื้อว่าอย่างนั้น

“ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้... เอาคำที่อยากพูดตอนนี้มีไหม เช่น... หิวข้าว”

รูสหัวเราะตาปิด

“หัวเราะทำไม ฉันไม่รู้นี่ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เด็กดื้อ”

มือหนาเอื้อมมาบีบจมูก เด็กทำปากยื่น ก่อนจะวางสมุดแล้วคุกเข่าโน้มตัวไปหา ใช้มือป้องปากก่อนกระซิบข้างหู

‘สายลม’

สายลมนิ่งอึ้ง ค่อยเบือนสายตามามองคนพูด เสียงที่ได้ยินเบามาก มีลมแทรกมาแต่ก็พอจับใจความได้ว่าเรียกชื่อเขา สายตาคมมองเด็กที่ผละไปก้มเขียนอะไรบนสมุดยุก ๆ ยิก ๆ ก่อนเปิดให้เขาดูพร้อมรอยยิ้มน่ารัก

‘อยากพูดคำนี้ที่สุด’

มือหนายีผมนิ่มด้วยความมันเขี้ยว อดยิ้มออกมาไม่ได้กับความน่าเอ็นดู ในใจเต็มตื้นบอกไม่ถูก


......


โรงพยาบาลประจำเกาะศิลาในยามเช้า สองหนุ่มต่างวัยมาหาคุณหมอปลายฟ้าตามนัด หนุ่มน้อยตรงกลางสะพายถุงผ้าคล้องไหล่เดินตัวลีบติดกับคนตัวโตข้างกาย เพราะอีกด้านถูกขนาบด้วยสิงโตยักษ์

หลังจากเข้าไปให้คุณหมอปลายฟ้าตรวจดูโดยละเอียด รูสก็ออกมาหาลูห์ที่หน้าโรงพยาบาล นั่งอยู่ในนั้นมีแต่คนมองจนเขาทำตัวไม่ถูก จึงเลือกมานั่งที่ม้านั่งใต้ร่มไม้หน้าโรงพยาบาลจะดีกว่า สายลมก็กำลังคุยเรื่องอะไรไม่รู้กับหมอ เขาฟังไม่รู้เรื่องเลยเดินแยกออกมา

ลมเย็น ๆ พัดโชย มีไอแดดปนมาบ้าง แต่ตรงที่เขานั่งมันเป็นที่โล่ง ทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาด้วยจึงทำให้ไม่ร้อนนัก อากาศกำลังสบายทีเดียว ลูห์เลือกที่นอนได้เหมาะ

กล่องขนมที่ได้มาจากคุณหมอปลายฟ้าถูกเอาออกจากถุงผ้ามาแกะ เหมือนจะเป็นขนมเคลือบน้ำตาล เขาเรียกว่าอะไรรูสก็ไม่รู้ แต่รสชาติออกหวาน ๆ เค็ม ๆ อร่อยดี นิ้วเรียวจับใส่ปากเคี้ยวกินหนุบหนับ ตากลมเหลือบมองลูห์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ค่อยแกะขนมออกมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นไปให้ ลูห์หันมามอง นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะอ้าปากงับ แต่รูสกลับถกมือหนีเพราะกลัวมันงับแขนเสียอย่างนั้น

นัยน์ตาสีทองมองจ้อง อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าหวือ โบกไม้โบกมือว่าตนเองไม่ได้แกล้ง แค่ตกใจนิดหน่อย แต่ดูเหมือนลูห์จะไม่หายเคือง รูสจึงหยิบขนมชิ้นใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมยื่นให้ ลูห์หันหนี ไม่สนใจไยดี แต่เจ้าตัวบางก็ยังถือค้างไว้ให้ กลัวลูห์กัดโดนมือก็กลัว แต่ไม่อยากโยนลงพื้นนี่ หันมาหน่อยสิ เขาไม่เอาหนีแล้วน่า

เมื่อเห็นว่าเด็กมันตั้งใจจะให้จริง ๆ ลูห์จึงหันกลับมาจ้องตาวัดใจ เมื่อมันจะงับขนม รูสก็เกือบจะถกมือหนีแต่ชะงักไว้ทัน จนลูห์งับเข้าปาก ไอ้ตัวเล็กจึงยิ้มออกมาได้ คราวนี้เลยกินไป แบ่งให้ลูห์ไปด้วย ขณะที่กำลังเพลิน ลิ้นสากกลับตวัดเลียนิ้ว รูสผุดลุกพรวดแล้ววิ่งไปหลบหลังต้นไม้

ลูห์หันไปมองด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ทำเหมือนจะหลบพ้นอย่างนั้นล่ะถ้าเกิดมันนึกอยากจะกินขึ้นมา สิงโตตัวใหญ่พ่นลมหายใจ ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็กลัวไปเองเสียแล้ว

สายตาคู่หนึ่งคอยมองจ้องทุกอิริยาบถ รูสกลับมานั่งลงที่เดิม เมื่อรู้สึกว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตาก็เริ่มมองหา บริเวณนี้ไม่มีใครนอกจากเขากับลูห์ จนกระทั่งไปสะดุดเข้ากับคนของโรงพยาบาลที่กำลังปัดกวาดใบไม้อยู่กลางแดด เพราะอีกฝ่ายรีบหลบสายตาทำให้น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นคนที่จ้องมองเขาอยู่

รูสขยับลุกจะก้าวไปหาคน ๆ นั้นโดยไม่ทันฉุกคิด แต่ยังไม่ทันจะก้าวได้เต็มเท้าลูห์ก็กางเล็บรั้งชายเสื้อจนตัวบางเกือบหงายหลัง เมื่อเอี้ยวหน้ากลับมามองลูห์ก็ปรายสายตามองม้านั่ง บังคับให้ไอ้เด็กดื้อกลับไปนั่งที่เดิม เด็กทำแก้มพอง แต่ที่สุดแล้วก็ยอมถอยกลับไปนั่งแต่โดยดี

ตากลมมองด้านหลังของบุคคลต้องสงสัย อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของสายตาที่มองจ้องจนรู้สึกได้นั้นไหม แต่คงต้องรอให้สายลมออกมาก่อนแล้วจึงค่อยบอกให้ช่วยไปถามจะดีกว่า เดี๋ยวลูห์จะไม่แค่กางเล็บ แต่อาจจะตะปบแล้วงับหัว เขาไม่อยากเสี่ยง

เมื่อสายลมออกมารูสก็รีบลุก อ้าปากทำท่าจะบอกอะไรบางอย่างแต่แล้วก็งับปากลงแล้วยิ้ม

“อะไร?” สายลมเลิกคิ้วพลางถาม

ตัวเล็กส่ายหน้า แต่คนมองไม่เชื่อ

“เมื่อกี้เหมือนมีอะไรจะบอก”

พอถูกท้วงมาแบบนั้นก็ทำแก้มพอง ก็คนมันพูดไม่ได้ จะอธิบายอย่างไรล่ะ สายลมนี่ล่ะก็ เมื่อไม่รู้จะบอกอย่างไรรูสจึงลองทำท่าทำทางให้ดู นิ้วเรียวชี้ไปทางคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ ถอนหญ้าอยู่ในสวนของโรงพยาบาล

“อ่าฮะ”

สายลมมองตามมือแล้วทำเสียงรับรู้ นิ้วนั้นจึงเบนเป้าหมาย เปลี่ยนมาใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางจิ้มตาโต ๆ ของตัวเอง ก่อนจะชี้ที่ตัว

“อะไรของเธอ?” เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ เด็กเลยหน้ามุ่ย

‘เห็นไหมล่ะ บอกไปก็ไม่รู้เรื่อง’
แอบค่อนขอดคนตัวโตในใจ

สายลมยิ้มขำ หันไปมองลูห์ที่ลุกขึ้นมายืนข้างกาย ก่อนหันมาพูดกับเด็ก

“ถูกลุงเขาจ้องเหรอ?”

รูสตาโต อ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อหันไปมองลูห์สลับกับสายลม ทำไมคุยกับลูห์รู้เรื่อง ทีกับเขาออกท่าออกทางตั้งเยอะก็ยังไม่รู้ ฮึ่ย!

ข้อสงสัยที่ยังไม่สามารถตัดออกไปจากความนึกคิดทำให้สายลมเข้าไปคุยกับผู้ที่ทำงานอยู่ในสวนหย่อม ลุงหลงคนนี้อีกแล้ว การที่ชายสูงวัยผู้นี้ไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ แถวกระท่อมริมหาดของเขาคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในวันนั้นเขายังไม่รู้ถึงเป้าหมายลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ แต่วันนี้เขาเริ่มจะเห็นเค้าลางบางอย่าง

มือหนาเอื้อมไปแตะบ่าทำให้คนที่กำลังนั่งถอนหญ้าสะดุ้ง เมื่อหันมาเห็นสายลมก็ชะงักไป ก่อนจะรีบดึงผ้าโพกศีรษะมาปิดหน้าปิดตาเมื่อรูสโผล่หน้ามาให้เห็น หนุ่มน้อยทำหน้าตาเหรอหราแอบอยู่ข้างหลังสายลม ค่อยชะเง้อชะแง้แลมาดู

“ลุง พักหน่อยไหมครับ แดดแรงแล้ว”

สายลมเปิดประโยค เมื่อเขาพูดกับแก แกกลับส่ายหน้าแล้วตั้งท่าจะไปทำงานต่อ สายลมจึงเอื้อมรั้งไหล่แกไว้ ก่อนกระซิบถาม

“ลุงรู้จักเด็กที่มากับผมด้วยเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้ชายสูงวัยผู้มีสติไม่สมประกอบนิ่งไปชั่วขณะ แต่นั่นก็เพียงพอให้สายลมจับสังเกตได้แล้ว

“นะ... นายน้อย ลุงจะทำงาน หมอว่า... หมอจะว่า”

ดูเหมือนแกจะอยากไปทำงานของแกให้ได้ สายลมจึงว่าเสียงเข้ม “หมอไม่ว่าหรอกถ้ารู้ว่าลุงคุยกับผม”

“......”

“เผื่อวันหลังลุงเดินหลงไปที่กระท่อมของผมอีก เราคงต้องคุยกันสักหน่อยนะครับ”

ปิดท้ายเพียงเท่านั้นแล้วสายลมจึงปล่อยให้แกไปทำงาน เมื่อเป็นอิสระแล้วแกก็รีบกุลีกุจอไปรวบหญ้าใส่กระสอบ สีหน้าสายลมดูเรียบเฉย ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิด

รูสมองคุณลุงท่าทางจะทำงานเหนื่อยแล้วก็สงสาร มือเรียวค้นถุงผ้าแล้วหยิบขนมอีกกล่องที่ได้มาจากหมอปลายฟ้ายกให้กับคุณลุง ดวงตาภายใต้หมวกปีกกว้างและผ้าโพกศีรษะเหลือบขึ้นมามองรอยยิ้มจริงใจที่เด็กตรงหน้ามีให้ มือสากจากการทำงานยื่นออกไปรับมาแล้วก้มหน้าพึมพำ

“ขอบคุณครับ... คุณหนู”

รูสชะงัก มองชายตรงหน้าด้วยความตกตะลึง แม้จะมีผ้าโพกศีรษะคอยปิดบังใบหน้า แต่ความรู้สึกของเขากลับบอกว่าใช่ มันคลางแคลงใจจนมือเรียวต้องเอื้อมไปหา หมายจะเปิดผ้าที่ปิดคลุมใบหน้านั้นออก ในใจเต้นระทึก มันทั้งอยากรู้และกลัวไปพร้อม ๆ กัน

“รูส”

เสียงเรียกจากสายลมทำให้เขาชะงัก มือเรียวที่เอื้อมค้างค่อยกำเข้าหากัน ก่อนที่มันจะถูกลดลงมาข้างตัว บางทีเขาอาจเข้าใจผิด มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนตายไปแล้วจะกลับฟื้นคืน ตัวบางหันกลับแล้วออกเดินตามสายลม เมื่อก้าวห่างออกมาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองชายผู้นั้น สีหน้าหนุ่มน้อยดูสับสนไม่แน่ใจ ก่อนจะหันกลับมาแล้วเร่งฝีเท้าให้ทันสายลมและลูห์ที่หยุดรอ มือแตะจี้ทรงกลมที่อก เคยมีคนพูดแบบนี้กับเขา เรียกเขาแบบนี้ ด้วยคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้...

‘ขอบคุณครับคุณหนู…’

ช่างเหมือน... เหมือนกันจนเขาตกใจ

‘คุณหนูอย่าดื้อกับคุณท่านสิครับ’

‘เด็กดี’

‘ไม่เป็นไรนะครับคุณหนู ถ้าผมยังอยู่ ใครก็ทำร้ายคุณไม่ได้ทั้งนั้น’

‘คุณหนูครับ’

‘คุณหนู...’


ยิ่งนึกถึงหัวใจยิ่งเจ็บร้าว ภาพความทรงจำเก่า ๆ ภาพคืนวันที่เคยมีความสุข ภาพรอยยิ้มของคนสำคัญ และภาพสุดท้ายที่เขาคนนั้น... จากไป

ฟันคมกัดริมฝีปากตนเอง นัยน์ตากลมระริกไหว ขณะที่มือกำสร้อยแน่น ของสำคัญที่ใครคนนั้นให้มา คนที่ดีกับเขาที่สุดในชีวิต...

‘พ่อ...’




TBC




บวกขอบคุณคุณกาแฟด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะ  :กอด1:


ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๕ เผยตัว



รูสนั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล และเพราะวันนี้สายลมพาเขาไปที่นั่นจึงไม่ได้ไปคุมงานที่เหมือง เมื่อมีสายลมอยู่ด้วยจึงทำให้รูสไม่ต้องไปบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ มีเรื่องราวมากมายที่รูสอยากบอกให้สายลมรับรู้ แต่มันก็มีหลายอย่างที่ไม่อยากนึกถึง และบางเรื่องมันก็ดูไม่สมควรจะนำมาบอกคนอื่น รูสจึงได้แต่สองจิตสองใจ เพราะไม่รู้ว่าควรจะฟังความคิดฝั่งไหนมากกว่ากัน

สายลมที่มองอยู่นานแล้วเดินเข้ามาหา ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างกายผอมก่อนเอ่ยถาม

“รู้จักเขาเหรอ?”

รูสหันมามองคนถามด้วยสีหน้างงงัน สายลมจึงขยายความ

“คนที่เจอในโรงพยาบาล ลุงคนนั้นน่ะ... รู้จักใช่ไหม?”

เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร รูสก็มีท่าทีคิดหนัก ความสับสนเผยออกมาให้คนข้างกายได้เห็น เสียงทุ้มจึงเอ่ยขึ้นมา

“ถ้าพอจะไว้ใจฉันอยู่บ้าง...”

“......”

“มีอะไรก็อยากให้บอกสักนิด แต่ถ้าไม่...”

เจ้าตัวเล็กรีบส่ายหน้าเพราะกลัวสายลมเข้าใจผิด ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ เขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าควรจะบอกดีหรือไม่ เพราะปัญหามันเป็นของเขา หากบอกออกไปก็เท่ากับนำปัญหาไปเพิ่มให้สายลม

มือเรียวค้นถุงผ้าทำท่าจะเอาสมุดออกมาเขียน แต่สายลมทำเสียงขัดในลำคอทำให้ต้องชะงักแล้ววางมันลง ก่อนมองหน้าอีกฝ่ายแล้วพูด

‘ไม่แน่ใจ’

มองริมฝีปากที่ขยับเป็นคำพูดแล้วสายลมจึงถามกลับ “อะไรคือไม่แน่ใจ คิดว่าเขาเป็นใครงั้นเหรอ?”

ตากลมช้อนขึ้นมามองก่อนหลุบลงไปแล้วพึมพำ ทำให้สายลมต้องจับใจความจากริมฝีปากที่ขยับแต่ไร้เสียง

‘พ่อ...’

คิ้วชายหนุ่มขมวด พ่อ อย่างนั้นหรือ ไหนข้อมูลที่ได้จากเซย์คือผู้ที่เป็นบิดาของรูสเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่รูสหกขวบ แล้วเหตุใดรูสถึงบอกว่าลุงหลงเหมือนพ่อ ศาสตราจารย์คนนั้นหน้าตาแบบนี้เองหรือ ที่บอกไม่แน่ใจคงเพราะรูสไม่เห็นหน้าจึงไม่มั่นใจว่าใช่ อย่างนั้นสินะ

“อะไรที่ทำให้คิดว่าเป็นพ่อ?” เขายังถามต่อ

นิ้วเรียวยกขึ้นมาแตะที่อกข้างซ้ายของตัวเอง สายลมนิ่งไปเมื่อเห็นเช่นนั้น ใช้ความรู้สึกอย่างนั้นหรือ?

เขาอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเด็กตรงหน้า แต่ก็ไม่อยากคาดคั้นเอาความ หากรูสเชื่อใจเขาคงบอกอะไรมากขึ้นกว่านี้ ที่ทำได้เวลานี้ก็คือรอให้เด็กยอมเปิดใจ

“ถามได้ไหมว่าพ่อของเธอชื่ออะไร?”

คำถามของเขาทำให้เด็กนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนบอก ‘ริวอา’

ริวอา สายลมทวนชื่อนั้นในใจ ศาสตราจารย์นั่นไม่น่าจะชื่อริวอา คิดแล้วสายลมก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ ชีวิตรูสมีเรื่องซับซ้อนกว่าที่คาด ลุงหลงอาจเป็นริวอา บิดาของรูส หรืออาจไม่ใช่ เด็กคนนี้ช่างเจอเรื่องราวมาหนักหนาเหลือเกิน ทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องที่ถูกหมายเอาชีวิต

มือเรียวเอื้อมมาเขย่าแขนทำให้สายลมหลุดจากภวังค์ หันมามองเด็กข้างกาย สมุดเล่มบางถูกยกขึ้นมาให้อ่าน เพราะเป็นประโยคที่ค่อนข้างยาว รูสจึงเลือกที่จะเขียน หากพูดในขณะที่ไร้เสียงก็กลัวว่าจะไม่สามารถสื่อสารกับสายลมได้รู้เรื่อง

‘มีหลายเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าควรจะบอกคุณดีไหม เพราะใจหนึ่งก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้คุณ แต่ว่าใจหนึ่งก็อยากให้คุณรู้’

สายตาคมไล่อ่าน ก่อนเลื่อนลงมาอ่านประโยคถัดไป

‘คุณคิดว่าผมเป็นตัวปัญหาสำหรับคุณหรือเปล่า?’

สายลมเงยขึ้นมองหน้าเด็กที่ฉายแวววิตกให้เห็น “ฉันไม่เคยคิดว่าเธอเป็นตัวปัญหา คนเราย่อมมีเรื่องราวที่สามารถบอกได้และไม่ได้ แต่เมื่อไรก็ตามที่เธออยากบอก ฉันก็ยินดีจะรับฟังเสมอ”

รูสยิ้มบาง ‘ขอบคุณ’

มองรอยยิ้มของรูสแล้วสายลมกลับรู้สึกหม่นหมอง จะหาว่าเขายุ่งวุ่นวายก็ช่างเถิด เพราะถึงอย่างไรเขาก็จะต้องค้นหาความจริงและปกป้องเด็กคนนี้ให้ได้ ถึงแม้ไม่ขอ เขาก็จะช่วย



สายลมฝากลูห์เฝ้าเด็ก ส่วนตนเองไปที่ประภาคารเพื่อติดต่อน้องชาย ถ้าเขาออกจากเกาะได้คงดีกว่านี้ แต่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจพอที่จะปล่อยรูสไว้ที่นี่คนเดียว เมื่อสืบหาเองไม่ได้ก็จำต้องให้น้องชายช่วย

“ลม พี่ไม่ดูเวลาเลยนะว่าตอนนี้ที่อังกฤษมันกี่โมง เอาสะดวกตัวเองตลอด” คนเป็นน้องบ่น ท่าทางดูงัวเงียเพราะถูกปลุกขึ้นมากลางดึก

“อย่าบ่นนักเลยน่า ฉันจะทำงานใช้ให้สองเท่า”

“มีอะไรว่ามาเลย” เปลี่ยนท่าทีรวดเร็วจนคนเป็นพี่หน่าย

“คนที่นายบอกว่าเป็นพ่อของรูสน่ะ นายยังไม่ได้บอกชื่อของเขาเลย”

เซย์เลิกคิ้วแปลกใจ “นึกยังไงถึงอยากรู้ ผมขี้เกียจอ่านให้ฟัง เดี๋ยวส่งไฟล์เอกสารให้ไปอ่านเองแล้วกัน ง่วงฉิบ”

เซย์ก้มพิมพ์อะไรบางอย่างเพียงไม่นานไฟล์ก็เด้งมาที่ถาดข้อความ เมื่อผู้เป็นพี่ชายได้รับแล้ว เซย์จึงขอตัวไปนอนต่อ สายลมไล่อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้รับมา ดวงตาคมฉายแววประหลาดใจ ชื่อบิดาของรูสคือ ศาสตราจารย์ภิชาติ ธรรมวงศา ไม่ใช่ริวอา

ชายหนุ่มลูบคาง ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ริวอาคือใคร หากนายภิชาติคนนี้ไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของรูสแต่เป็นริวอา แล้วเหตุใดรูสจึงได้กลายเป็นลูกของนายภิชาติ ลูกบุญธรรมหรือ แต่ตามประวัติไม่ได้บอกไว้ว่านายภิชาติรับเด็กคนนี้มาเลี้ยง ประวัติเด็กมันขาดหายไปเมื่อสิ้นนายภิชาติ ราวไร้ตัวตนจนกระทั่งงานศพคุณหญิงพจนีย์ ผู้เป็นมารดา และหลังจากนั้นก็ไม่มีคนกล่าวถึง ไม่ว่าตามหน้าสื่อสิ่งพิมพ์หรือคนใกล้ชิด

ช่วงที่มันขาดหายไปนั่น รูสไปอยู่กับใครหรือไปทำอะไรที่ไหน แล้วริวอาตอนนั้นอยู่ที่ไหน ทำไมไม่รับรูสกลับไปดูแล มันเป็นปริศนาที่ยังขบไม่แตก แต่เมื่อนึกดูดี ๆ แล้วสายลมก็สะกิดใจกับอะไรบางอย่าง ช่วงที่ลุงหลงมาที่นี่คือเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นรูสน่าจะอายุสิบสอง บิดาเสียชีวิตตอนหกขวบ มารดาก็มาด่วนจากไปตอนรูสย่างแปดขวบ นั่นก็แสดงว่าหลังจากนั้นอีกสามถึงสี่ปีลุงหลงถึงได้ถูกทะเลซัดมา ระหว่างนั้นลุงแกอาจอยู่กับรูส หรือไม่ใช่?

คิ้วเข้มขมวด สิ่งที่เขามั่นใจในตอนนี้คือคนที่รูสไปอยู่ด้วยช่วงรอยต่อนั่นคือคนที่ปองร้ายรูส แต่ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนนั้นคือใคร ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้น เวลาที่รอเด็กเปิดใจเขาคงอยู่เฉยไม่ได้ ลุงหลงอาจเป็นกุญแจสำคัญ เท่าที่ดู ลุงแกก็อายุมากแล้ว หากรูสเป็นลูกของแกจริง แกก็คงมีลูกตอนอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ อย่างนั้นสินะ เรื่องนี้มันต้องมีทางออกสิน่า และลุงหลงนี่ล่ะที่เป็นทางออกสำหรับเขา ขอให้สิ่งที่รูสรู้สึกมันถูกต้องด้วยเถิด เขาจะได้คลายปมนี้ได้เสียที



ขณะเดียวกันที่กระท่อมหลังน้อย เหนือเมฆกับพวกก็มาสอดส่องดูช่องทาง เมื่อเห็นลูห์เฝ้าอยู่ก็ได้แต่หงุดหงิด ไอ้สายลม ตัวมันไม่อยู่ยังให้ลูห์มาเฝ้า ถ้าไม่มีสิงโตบ้านี่สักตัวพวกเขาคงทำอะไรได้ง่ายขึ้น ลูห์มันทั้งคอยปกป้องสายลม ตอนนี้ก็ยังมาปกป้องเด็กนั่นด้วย การเข้าถึงตัวลูห์มันยาก เพราะกลิ่นที่จะลอยไปกระทบทำให้ลูห์รู้สึกตัว แม้อยู่นอกทิศทางลมแต่ลูห์ก็ยังมีประสาทสัมผัสไวทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าถึง พวกมันได้แต่เจ็บใจกลับไปที่หาทางทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

ตึง!!

ร้านเหล้าท้ายหมู่บ้าน เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นจนลูกกระจ๊อกพากันสะดุ้งเรียงตัว สีหน้าเหนือเมฆที่เริ่มกรึ่ม ๆ ดูกราดเกรี้ยว เมื่อจะลงมือทำอะไรทีก็มีลูห์มาขัดอยู่ตลอด

“ถ้าจัดการไอ้สิงโตนั่นได้ การเข้าถึงตัวสายลมก็ไม่ใช่เรื่องยาก” ชายหนุ่มคำรามในลำคอ

“แล้วเราจะทำยังไง เข้าไปจัดการมันก็มีแต่จะตายกับตายสถานเดียว ข้าหมายถึงเรานะที่จะตาย เพราะลูห์มันไม่ปล่อยพวกเราเอาไว้แน่” อีกคนว่าพลางยิ้มหยัน

“ข้าอดทนรอมาหลายปี หาทางกำจัดมันมาตลอดแต่มันก็รอดไปทุกครั้งเพราะลูห์คอยช่วย” เหนือเมฆว่าอย่างคับแค้นใจ

“เราไม่มีทางทำอะไรลูห์ได้ นอกเสียจาก... ยิงมัน”

ข้อเสนอแนะนั่นทำให้เหนือเมฆตวัดสายตามามองพร้อมตวาด “เอ็งก็พูดไม่คิด เราจะไปเอาปืนมาจากไหน หรือจะใช้ปืนที่เอ็งยิงนกยิงหนูไปยิงมันหา โง่!!”

แกร๊ก

เสียงวัตถุบางอย่างถูกวางลงบนโต๊ะที่พวกมันนั่งอยู่ พวกมันหันมามองแล้วพากันตกตะลึง เมื่อสิ่งที่ถูกวางลงมาคือวัตถุสีดำมะเมื่อมที่พร้อมจะปลิดชีวิตทุกคนได้เพียงขยับปลายนิ้ว

“อยากได้ปืนเหรอ?”

เสียงของผู้ที่วางปืนกระบอกนั้นลงมาเอ่ยถาม เหนือเมฆมองอย่างไม่ไว้ใจ

“ข้าให้”

คนคนเดิมยังว่าต่อ เหนือเมฆและพวกต่างอึ้งกันไป หันมองกันด้วยสีหน้าประหลาด

“แต่อย่าโง่ใช้ยิงสิงโตล่ะ” ทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นแล้วอีกฝ่ายก็จะเดินออกไป

เหนือเมฆรั้งไว้เพื่อไขข้อข้องใจ “ทำไมถึงเอามาให้ข้า ท่านเป็นศัตรูของสายลมเหรอ?”

คนผู้นั้นค่อยหันมาแล้วยอกย้อน “คิดว่าไงล่ะ?”

“ถ้าอย่างนั้นในเมื่อท่านมีปืนอยู่ในมือ ทำไมถึงไม่ยิงมัน?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ แววตาดูยังคลางแคลงคนตรงหน้า

อีกฝ่ายถอนใจด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย “ถ้าข้ายิงมันตาย เอ็งก็ไม่ได้แก้แค้นแทนพ่อเอ็งน่ะสิ จริงไหม?”

เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงบิดาของตน เหนือเมฆก็ชะงัก “รู้จักพ่อข้าด้วยเหรอ?”

“รู้จักดีเชียวล่ะ” ริมฝีปากคนพูดยกยิ้มแสยะ ก่อนจะเดินจากไปโดยทิ้งปริศนาเอาไว้ให้อีกฝ่ายขบคิด

เหนือเมฆมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด มันเป็นใคร มีความบาดหมางอะไรกับสายลม ได้แต่คิดและไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาของชายหนุ่มจะเบือนมามองกระบอกปืนที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะ


......


วันเวลาผันผ่านล่วงเลย ยังคงไม่มีใครให้คำตอบกับสายลมได้ ทั้งลุงหลงที่ปิดปากเงียบแล้วเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกครั้งที่เขาตั้งใจจะถามไถ่ ทั้งรูสเองที่เล่นสนุกกับเพื่อนวัยเยาว์ไปวัน ๆ ราวลืมเรื่องที่ว่าจะบอกกับเขาหากตัดสินใจได้ ตอนนี้ทางเดียวที่จะทำให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับรูสก็คงเป็นเซย์ แต่นั่นมันคงไม่เท่ากับการได้ฟังจากปากเจ้าตัวเขาเอง เมื่อไรจะยอมเปิดใจแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังเสียทีล่ะ รูส?

ช่วงฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งปี เกาะศิลาจะจัดงานเลี้ยงเพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลายความตึงเครียด รูสโชคดีที่ได้เข้ามาในเกาะใกล้หน้าเทศกาล ในช่วงเช้าทุกครอบครัวจะร่วมกันทำบุญที่วัดของเกาะศิลา ส่วนช่วงค่ำ งานรื่นเริงจะถูกจัดขึ้นตามแบบของชาวเล ทุกคนจะแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองที่ถูกตัดเย็บจากฝีมือของคนในเกาะเอง รูสที่ตัวเล็กกว่าเด็กผู้ชายในรุ่นเดียวกันต้องใส่ขนาดของพวกเจ้าโต พอถึงเวลางานเริ่ม เจ้าโตก็มารับเพื่อนรูสของมันถึงกระท่อมของนายน้อย แล้วพาเดินตามกันไปเป็นพรวน ขนาดพูดไม่ได้เพื่อนยังเยอะขนาดนี้ พูดได้ขึ้นมานี่ท่าจะกลายเป็นหัวโจกเด็กทโมน

หาดทรายสีขาวถูกแปรสภาพเป็นลานจัดกิจกรรม มีอาหารและเครื่องดื่มให้กินกันตามอัธยาศัย ทุกอย่างเกิดจากการร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านที่มีอะไรก็เอามารวมกัน งบจากนายลามุที่ให้มานั้นก็มากพออยู่แล้ว แต่มันคงกลายเป็นธรรมเนียมที่แต่ละบ้านต้องหยิบฉวยของในครัวตนเองมาร่วมด้วยและช่วยกันลงมือทำ เมื่อเสร็จสรรพก็เปลี่ยนงานมาให้ชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายช่วยขนไม้ฟืนมาสุมเป็นกองไฟให้แสงสว่าง พวกสาว ๆ ก็พากันกลับไปอาบน้ำประแป้งเพราะจะมีการเต้นรำสนุกสนานเฮฮา ตัวหอมจรุงด้วยกลิ่นดอกไม้ป่าให้สามีรักหลง คนโสดก็อาจพบรักเพราะจะมีการคล้องมาลัยขอเต้นรำร่วมกัน แรก ๆ อาจดูเคอะเขิน แต่หากคู่ไหนได้สานสัมพันธ์กันต่อก็อาจได้ร่วมหอลงโรงกันเพราะงานนี้

รูสนั่งปรบมือตามจังหวะดนตรีที่เหล่าชายหนุ่มและไม่หนุ่มในเกาะเล่นให้จังหวะสนุกสนาน หลายคนเริ่มออกไปวาดลวดลายหลังจากดื่มกินกันไปบ้างแล้ว ใบมะพร้าวถูกปูเป็นพื้นที่สำหรับเต้นรำตามจังหวะเพลง พลพรรคหนุ่มน้อยที่น้อยทั้งตัวและอายุมาดึงเพื่อนรูสของพวกตนออกไปเต้นด้วยกัน รูสก็เดินตามมางง ๆ ก่อนจะเต้นตามเด็กทโมนที่ใส่ลีลากันเต็มที่จนเขามึนงงกับท่วงท่าที่เด็ก ๆ ปล่อยออกมา

สายลมยืนดูเด็กที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่กลางวงแล้วยิ้มขำ ก่อนจะสะดุดตากับลุงหลงที่แอบมองอยู่มุมหนึ่งของงาน ขณะที่อีกด้านก็ยังมีเหนือเมฆและพรรคพวกคอยมองจ้อง ต่างคนต่างความรู้สึกแต่มีจุดหมายเดียวกันคือรูส นั่นทำให้สายลมต้องคอยจับตาดูคนเหล่านั้น โดยเฉพาะพวกเหนือเมฆที่ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนการอะไรเอาไว้อีก

เมื่อถึงคราวที่จังหวะเพลงเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับการคล้องมาลัยขอเต้นคู่กันของหนุ่มสาว เจ้าหนูรูสก็จับกลุ่มกับพลพรรคเต้นอยู่มุมหนึ่ง จังหวะยังคงสนุกสนาน หนุ่มสาวพากันเต้นสลับคู่กันไปเรื่อย ๆ คล้องแขนแล้วเต้นวนกันไปรอบ ๆ สายลมที่ยืนดูทุกคนอยู่ถูกดึงลงไปร่วมวง กลุ่มเด็กทโมนก็ถูกเบียดมากลางวงจนกระทั่งสายลมวนมาเจอกันกับรูส

มือเอื้อมไปคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามาหา ร่างน้อยถลามาเกาะบ่าแกร่งขณะที่มือหนาเลื่อนมาวางบนสะโพกมน เด็กดื้อหน้าตาตื่นเมื่ออยู่ชิดใกล้สายลมอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะอายแสนอายเมื่อคนรายรอบส่งเสียงแซวมา

“ผิดคู่แล้วมั้งนายน้อย”

สายลมหันมองรอบกายแล้วก็หัวเราะ ขณะที่รูสก้มหน้าหลบสายตาหลายคนที่มองมา สายลมลดมือจากสะโพกลงมาจับมือรูสแล้วพาเดินออกมานั่งพัก ปล่อยให้คนอื่นเต้นกันต่อไปตามปรกติ

“สนุกไหม?” เอ่ยถามเด็กข้างกาย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าแล้วอมยิ้มตาพราว พลอยทำให้เขายิ้มตามไปด้วย

ฟาริดาเข้ามาหาทั้งคู่พร้อมกระจาดดอกไม้ หญิงสาวเดินแจกเสียทั่วงานจนกระทั่งมาถึงจุดที่สองหนุ่มนั่งอยู่ เธอหยิบดอกไม้ในกระจาดให้รูสหนึ่งช่อ ก่อนจะเด็ดมาหนึ่งดอกแล้วทัดหูให้

เจ้าตัวเล็กหันมาทางสายลมเพื่ออวดดอกไม้สีขาวกลิ่นหอมจรุงที่ทัดหูตนเองอยู่ เมื่อคนตัวโตมองแล้วริมฝีปากหยักก็เปิดยิ้มน้อย ๆ ขณะที่ฟาริดาเอ่ยปากชม

“น่ารัก”

คำชมจากฟาริดาทำให้เด็กหันกลับมาหาเธอ มือเรียวแตะดอกไม้ที่ทัดหูพลางยิ้มเขิน ตากลมเหลือบมองสายลม ยิ่งเห็นว่าอีกคนอมยิ้มน้อย ๆ ก็ยิ่งเขินไปกันใหญ่

งานดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั้งกินดื่มและนันทนาการ หมอปลายฟ้ามาถึงช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องดูแลคนไข้ที่โรงพยาบาล นางพยาบาลก็ได้แต่สลับสับเปลี่ยนกันมาที่งานเพราะต้องมีคนประจำที่นั่น หากเกิดเหตุฉุกละหุกฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจะได้ทันการณ์

เมื่อเริ่มดึก คนในงานยิ่งดูคึกคักกันไปใหญ่ ไฟถูกเติมให้ลุกโชติช่วงไม่มีดับมอด สายลมขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว ขณะที่นายลามุยังอยู่เพราะเป็นประธานใหญ่ในการจัดงาน ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกันนั้นคือพี่ชายของนายลามุ หรือก็คือปู่ของปลายฟ้า ชายชรานั่งอยู่บนรถเข็นเพราะขาใช้การไม่ได้ แต่ก็ยังให้เกียรติมาร่วมงาน ถือเป็นโอกาสดีที่ผู้ที่ทุกคนบนเกาะนับถือทั้งสองคนได้มาร่วมอยู่ในงานเดียวกันเช่นนี้

“จะกลับแล้วรึ?” นายลามุเอ่ยถามหลานชาย เมื่ออีกฝ่ายพาเด็กเข้ามาลา

“ครับ ปู่ก็อย่าอยู่ดึกมากนัก รักษาสุขภาพด้วย”

“เออ สั่งเหมือนพ่อเลยเจ้านี่”

สายลมยกยิ้ม “เป็นห่วงหรอกครับ”

“พากันกลับดี ๆ” นายลามุเออออรับความห่วงใยแล้วเอ่ยอนุญาต สายลมจึงพาเด็กออกไป

รูสยกมือไหว้ชายชราก่อนเดินตามสายลมไป สายตาที่เริ่มฝ้าฟางมองตามหลังเด็กตัวบางแล้วก็ถอนใจ ท่าทางหลานชายของเขาจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้คลาดสายตา เห็นสายลมเป็นพวกอะไรก็ได้แบบนี้ แต่บทจะไม่ยอมขึ้นมาก็หัวดื้อไม่แพ้เขาหรอก ลองได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้วคงขัดไม่ได้

ทางด้านสองหนุ่มที่เดินแยกออกมาจากงานก็เดินจูงมือกันกลับกระท่อม ระหว่างทางเด็กหมุนดอกไม้ในมือไปมา ท่าจะชอบใจ เพราะเห็นดมแล้วดมอีกอยู่นั่น

“จืดหมดแล้ว” เขาแกล้งเย้า

ใบหน้าเรียวหันมามอง เอียงคอเล็กน้อยคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะยิ้มออกมา มือเด็ดดอกไม้จากช่อแล้วเอื้อมทัดใบหูให้เขาพร้อมยิ้มตาหยิบหยี

“ตลก” เขาว่า ก่อนเอามันออก

เด็กทำปากยื่น เขย่งปลายเท้าแล้วทัดให้ใหม่ พร้อมกับรวบมือใหญ่เอาแล้วดึงให้เดินไปด้วยกัน ไม่ยอมให้เอาออกอีก สายลมอมยิ้ม เจ้าเด็กซน



พอกกลับมาที่กระท่อม เสียงดนตรีในงานเพียงแว่วดัง แต่เมื่อได้เวลานอน เด็กกลับไม่ยอมนอน ยังขยับตัวยุกยิกจนสายลมตื่น

“ยังไม่นอนอีกเหรอ รูส?”

เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางพลิกมากอด ขณะที่เด็กยังสนุก ได้ยินเสียงฮัมเพลงเบา ๆ อยู่ตลอด ร่างผอมตะแคงมาหา ยิ้มแย้ม อยากพูดด้วย

“สายลม”

“อือ”

“สายลม อย่าเพิ่งนอนสิ”

“นอนได้แล้วรูส คึกอะไรนัก... หนา...”

โต้ตอบกับเด็กในอ้อมแขนแล้วสายลมก็ชะงัก ก่อนจะลืมตาขึ้นมามอง ขณะที่เด็กยิ้มหน้าตาใส ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด

“รูส?” สายลมเอ่ยเรียกด้วยความมึนงง “เมื่อกี้... พูดกับฉันเหรอ?”

คนถูกถามเลิกคิ้ว ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มน้อย ๆ สายลมเองก็ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองฝัน หรือเด็กพูดจริง ถ้าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงรูสพูด แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันใช่ เพราะเคยได้ยินแค่ครั้งเดียวตอนถูกเขาแกล้งดึงขาในทะเลแล้วร้องด่าว่าบ้า

“ฉันท่าจะฝัน”

สายลมพึมพำ โคลงศีรษะเบา ๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนโดยมีร่างผอมตะแคงมาหา ชายหนุ่มปิดเปลือกตา เลิกคิดอะไรวุ่นวายแล้วนอนกันเสียทีจะดีกว่า

“สายลม”

เสียงกระซิบยังแว่วมาให้ได้ยิน สายลมลืมตาขึ้นมามองเด็กในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่าเด็กมันนอนหลับไปแล้ว หัวคิ้วชายหนุ่มก็ขมวดมุ่น หูเขาเฝื่อนไปเองหรือไร?


ขณะที่ผู้เป็นนายยังมึนงงกับตัวเองจนพาลหลับไม่ลง บนหน้าผาสูง ลูห์แหงนเงยขึ้นมองพระจันทร์ที่เริ่มแหว่งเว้าไปครึ่งเสี้ยว อีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่วันเดือนดับ วันที่หลายสิ่งที่ถูกซุกซ่อนจะเผยตัวออกมาตามความเชื่อ

ในวันข้างขึ้นที่พระจันทร์เต็มดวงจะส่งให้พลังในด้านดีเพิ่มพูนยิ่งขึ้น เป็นสิริมงคลกับทุกชีวิต ในขณะที่วันเดือนดับ พลังด้านมืดจะแข็งกล้า และในวันนั้นอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด... บางสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้จะเปิดเผยตัวตนของมันออกมา


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

ตามจันทรคติ วันเดือนดับ (หรือเรียกตามภาษาบาลี-สันสกฤตว่า อมาวสี) ถือเป็นสิ้นสุดของพระจันทร์และจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ กับดวงจันทร์ที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ความเชื่อในทางที่ดีคือจะนำโชคลาภวาสนาและเงินทองมาให้ แต่ในทางกลับกันก็ยังมีความเชื่อว่าวันเดือนดับจะนำพาเคราะห์ร้ายเข้ามาสู่

บนเกาะศิลามีความเชื่อว่าในวันนี้นั้นพลังด้านมืดจะแข็งกล้า ทำให้ทุกบ้านต้องทำบุญสะเดาะเคราะห์กันใหญ่โต นอกจากนั้นหลายบ้านยังแขวนว่านไว้เพื่อไล่ภูตผีปีศาจร้ายและสิ่งไม่ดีต่าง ๆ แม้ไม่รู้ว่ามันจะมีอยู่และได้ผลจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่คนสมัยเก่าก่อนปฏิบัติกันมา ทุกคนก็ยึดถือและทำตาม อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของสมาชิกในครอบครัวของตน ยามกลางค่ำกลางคืนก็ต้องปิดบ้านมิดชิด ไม่ให้ลูกหลานออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เพราะกลัวจะมีสิ่งลึกลับมาลักตัวลูกหลานของพวกตนไปอยู่ด้วย

ขณะที่หลายบ้านต่างวุ่นวายกันกับวันนี้ ที่กระท่อมของสายลม เหตุการณ์กลับยังคงปรกติ รูสยืนตากผ้าอยู่ข้างลานอาบน้ำหลังจากซักล้างจนเสร็จ ลูห์เดินเข้ามาหาแล้วใช้เท้าหน้ายกขึ้นสะกิด เด็กหันมามองพลางเลิกคิ้ว เมื่อเห็นสิงโตตัวใหญ่ทำท่าเหมือนจะบอกให้เดินตาม รูสก็ส่ายหน้าก่อนถือตะกร้าเปล่าขึ้นกระท่อมไป ทำให้ลูห์ได้แต่มองตาม

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยรูสจึงลงมาด้านล่างเพื่อให้ลูห์เดินไปส่งที่บ้านพ่อเฒ่า สายลมหายหน้าไปแต่เช้าตรู่ เห็นว่ามีงานใหญ่ที่วัดจึงต้องไปช่วย

เมื่อมาถึงบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟก็เห็นว่าเด็ก ๆ กำลังนั่งสมาธิและสวดมนต์ ฟาริดาเรียกให้เข้าไปนั่ง รูสจึงหันมาโบกมือลาลูห์ก่อนเดินไปวางถุงผ้าแล้วเข้าไปนั่งรวมกับเด็กคนอื่น เจ้าโตหรี่ตาขึ้นมามองก่อนสะกิดเพื่อนรูสของมันเบา ๆ

“เฮ้ย! รูส วันนี้เอ็งต้องระวังตัวให้ดีนะเว้ย”

รูสเลิกคิ้ว เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนโตของตนเองพูดถึงเรื่องอะไร อีกฝ่ายจึงเอียงเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ

“ตอนกลางคืนเอ็งห้ามออกจากบ้านนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...” เจ้าโตเว้นช่วงก่อนว่า “ผีจะมาหักคอเอ็ง!”

รูสตาโต ที่สะดุ้งก็เพราะเสียงโตที่ใส่อารมณ์เสียเต็มที่ ฟาริดาแตะปากให้เงียบเสียง เจ้าโตก็ยิ้มแห้งแล้วขอโทษหญิงสาวที่ทำสมาธิเพื่อน ๆ แตกกระเจิง ก่อนจะหลับตาลงตั้งสมาธิกันใหม่ ขณะที่รูสเอียงคอครุ่นคิด วันนี้มันวันอะไรกัน สายลมก็ไปช่วยที่วัดแต่เช้า พอมาที่บ้านพ่อเฒ่า ฟาริดาก็ให้นั่งสมาธิและสวดมนต์ เพราะไม่มีปฏิทินให้ดูทำให้รูสไม่สามารถรู้วัน เดือน ปี เอาไว้นั่งสมาธิเสร็จแล้วค่อยถามเอากับฟาริดาแล้วกัน

หลังกิจกรรมที่ได้ทำจบลง ความวุ่นวายของเด็ก ๆ ก็ทำให้รูสลืมเรื่องที่ว่าจะถามฟาริดา เมื่อเธอพาทำอย่างอื่น เขาก็ทำตามไปจนกระทั่งได้เวลากลับ วันนี้เด็ก ๆ พากันกลับเร็วเพราะพ่อแม่หลายคนรีบมารับ รูสโบกมือลาเพื่อนตัวน้อยก่อนนั่งรอลูห์ที่หน้าบ้าน ไม่นานนักลูห์ก็มา ราวกับรู้ว่าเขากำลังรอ

เมื่อเจ้าหนูรูสกลับไปพร้อมลูห์แล้ว พ่อเฒ่าอาจีฟที่ถูกเชิญไปทำพิธีปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้ชาวบ้านที่กลัวกันจนเกินเหตุก็กลับมา เรื่องของวันเดือนดับและคำเตือนที่มีตามความเชื่อก็เป็นเพียงกุศโลบายหนึ่ง เพื่อจะบอกให้ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังและมีสติไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะทำอะไรลงไป แต่แน่นอนล่ะว่าไม่มีใครห้ามความเชื่อด้านลบที่มีในวันนี้ได้ ทำให้พ่อเฒ่าผู้เป็นที่พึ่งและยึดเหนี่ยวทางจิตใจของใครหลายคนต้องไปทำพิธีปัดเป่าโชคร้าย เพื่อความสบายใจของคนในหมู่บ้าน และเมื่อกลับมาแล้วไม่เห็นว่าเด็กนักเรียนของบุตรสาวอยู่ที่บ้านจึงถามไถ่

“เจ้าหนูรูสมันกลับไปแล้วรึ?”

“เพิ่งกลับไปค่ะพ่อ มีอะไรเหรอคะ?” เธอตอบพร้อมถามอย่างแปลกใจ ปรกติไม่เห็นจะเคยถามถึงกัน

“เปล่าหรอก วันนี้เดือนดับ พ่อเลยเป็นห่วงเด็กมัน”

พ่อเฒ่าอาจีฟตอบกลับไปเพียงเท่านั้น สีหน้าชายชราดูเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย เพราะลางสังหรณ์ที่มีทำให้เขารู้สึกตงิดใจ หวังว่าจะไม่มีเรื่องมีราวที่ไม่ดีเกิดขึ้นในวันนี้



กระท่อมน้อยของสายลม เสียงหัวเราะดังแว่วมาปนกับเสียงน้ำสาดซ่ากระทบพื้น ลูห์นอนอยู่บนแคร่ด้วยสีหน้าเบื่อ ๆ ที่จริงแล้วมันก็ดูเบื่อของมันอยู่ตลอดเวลานั่นล่ะนะ

ณ ลานอาบน้ำ ผมยาวถูกขยำจนเป็นฟองฟอดจากฝีมือเด็กดื้อ ขณะที่ผมของตัวเองก็มีฟองเต็มไปหมดไม่ต่างกัน เจ้าหนูรูสให้สายลมนั่งที่ตั่งแล้วตนเองก็ลงมือสระผมให้ อีกฝ่ายก็ยอมให้สระไม่ว่ากัน เด็กดูจะชอบใจเพราะหัวเราะอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าแกล้งอะไรเขาหรือเปล่า

หลังจากขยำขยี้จนพอใจ รูสก็เทน้ำล้างผมให้สายลม ก่อนจะหันมาอาบน้ำจนกระทั่งเสร็จแล้วพากันขึ้นกระท่อมมา สายลมยืนเช็ดผม เขาไม่ค่อยชอบสระตอนเย็นเท่าไรนักเพราะมันแห้งยาก ไม่เหมือนรูสที่ผมสั้นกว่า ไม่ต้องทำอะไรมากเพราะแห้งไวอยู่แล้ว แต่เด็กอยากสระให้จึงต้องยอมตามใจ และเมื่อหันมาเห็นเด็กนั่งมองตาแป๋วสายลมจึงเอ่ยทัก

“คิดอะไรแปลก ๆ อยู่หรือไง ตาพราวเชียว”

คนถูกถามอมยิ้ม ตบพื้นด้านหน้าที่ตนเองนั่งอยู่เพื่อบอกให้สายลมมานั่ง คนตัวโตยิ้มมุมปากก่อนจะเดินมานั่งตามที่เจ้านายเขาสั่ง มือเรียวรวบผมที่ยังคงเปียกหมาดมาด้านหลัง ก่อนจะลงมือถักเปียให้ แต่เพราะผมมันยังเปียกอยู่ทำให้ถักเปียไม่ได้อย่างใจ พันไม้พันมือ แต่สุดท้ายแล้วก็ทำเสร็จจนได้

รูสตบมือเปาะแปะ ชอบใจกับผลงานของตนเอง ขณะที่สายลมจับผมเปียของตนเองมาดูแล้วทำหน้าประหลาด เห็นหัวเขาเป็นของเล่นไปแล้วใช่ไหมเจ้าดื้อ

มือเรียวเลื่อนมาจับบ่าแกร่ง ก่อนตัวบางจะยืดกายแล้วโน้มมาจนแก้มเนียนแนบแก้มเขา สายลมรู้สึกถึงสัมผัสเพียงบางเบาก่อนที่มันจะผละหายไป ชายหนุ่มนั่งนิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองคนทำ นึกว่าเด็กจะคลุมโปงแต่กลับยังนอนมองเขาตาใส

ด้านนอกนั้นฟ้าเริ่มมืด ไร้แสงจันทร์ ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วบริเวณยกเว้นก็เพียงห้องนอนในกระท่อมหลังน้อยเท่านั้นที่ยังมีแสงจากตะเกียงให้ความสว่าง ตัวหนาหนักค่อยคร่อมเหนือกายบาง มองตากลมแล้วยิ้มมุมปาก

“ทำอะไร?”

เขาเอ่ยถามถึงสิ่งที่เด็กทำเมื่อครู่ อีกฝ่ายกลับกลั้นยิ้มแล้วส่ายหน้า นัยน์ตายังพราวระยับ

“จอมซน”

เขาว่า ปรายมองแขนเรียวที่ยกขึ้นมาเกี่ยวต้นคอ วันนี้เด็กมาแปลก แต่แปลกใจได้ไม่นานสายลมก็รู้สึกถึงแรงรั้งทำให้ต้องทักท้วงออกไป

“เฮ้ เจ้าหนู เล่นมากไปแล้วมั้ง?”

สายลมยั้งตัวไว้เมื่อถูกรั้งลงไปหา ใบหน้าเขาลอยห่างจากเด็กดื้อเพียงนิด ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งดูเหมือนไม่ใช่รูส เพราะมันดู... ยั่วยวน ไม่น่า... ยั่วบ้าบออะไรกัน

“รูส ใจเย็น เกิดอะไรขึ้น เดี๋ยว...”

ริมฝีปากนุ่มแตะกลีบปากเขา สายลมชะงัก ความนุ่มหยุ่นนั่นค่อยบดเบียดกับเขามากขึ้น และมากขึ้นทุกที ก่อนที่ใจจะเตลิดตามความเย้ายวน สายลมก็หลับตาแน่น มือหนาดันไหล่คนใต้ร่าง เมื่อมองสบกับนัยน์ตาสีเพลิง ชายหนุ่มก็ชะงักงัน

“รูส...?”

ไม่แน่ใจด้วยซ้ำเมื่อเอ่ยเรียก เรี่ยวแรงของเด็กตัวผอมบางไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมาย กายหนาถูกพลิกลงไปนอนราบกับพื้น ก่อนคนทำจะขึ้นคร่อมเหนือกาย จี้ห้อยคอแกว่งไกวอยู่เหนือระดับสายตาเมื่อร่างผอมบางโน้มก้มลงมาหา

เสียงตะกุยประตูดังมาเรียกสติของสายลม เมื่อหลุดจากภวังค์ชายหนุ่มก็เหลือบไปมอง ด้านนอกนั้นคือลูห์หรือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สายลมดันตัวรูสที่คร่อมทับตนเองออก สู้แรงกับเด็กที่กลายเป็นอะไรไปแล้วไม่รู้ ก่อนจะกดกายบางลงกับพื้นได้สำเร็จในที่สุด

ร่างน้อยดิ้นรนจะให้หลุดพ้นจากการกดทับ แต่สายลมก็ใช้เรี่ยวแรงที่มีดันเอาไว้สุดกำลังพร้อมตะโกนสั่งลูห์

“พังเข้ามา!”

โครม!!

ประตูถูกพังเข้ามาตามคำสั่ง ตากลมหันไปมองลูห์ที่ส่งเสียงคำรามพร้อมแยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว แต่เจ้าตัวเล็กกลับไม่กลัวเหมือนเคย พยายามสะบัดตัวออกจากการกดทับของสายลมแล้วส่งเสียงคำรามขู่กลับไป เมื่อเด็กมันดิ้นรนมากเข้าสายลมก็เอื้อมมาบีบคาง ก่อนก้มลงประกบปากที่ร้องคำรามแข่งกับลูห์ไม่หยุด

เมื่อสบโอกาสลูห์จึงไปคาบเชือกมาให้สายลมจับเด็กมัด ดูทุลักทุเลกว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยการที่รูสถูกมัดและได้แต่ดิ้นอยู่บนพื้น แต่กว่าจะสำเร็จสายลมก็แทบปาดเหงื่อ

“เรื่องบ้าอะไรกันวะ?”

ชายหนุ่มพึมพำ หันมามองลูห์ มันกลับหันหนีไปทางอื่น นี่หมายความว่ารู้เรื่องมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่บอกเขาอย่างนั้นสินะ?

“ลูห์”

เสียงเข้มที่เอ่ยเรียกทำให้ลูห์ค่อยเบือนกลับมามอง มันค่อยเดินออกไปข้างนอก สายลมจึงเดินตามออกไป หนึ่งคนกับสิงโตอีกหนึ่งตัวนั่งอยู่ที่ชานกระท่อม สายลมประสานมือ นั่งก้มหน้าครุ่นคิดหนักเมื่อเค้นเอาคำตอบจากลูห์มาได้ ลูห์บอกว่ารูสมีกลิ่นเดียวกันกับมัน กลิ่นของสัตว์ที่เป็นนักล่า ก่อนหน้านี้มันไม่ชัดนัก จนใกล้เดือนดับ กลิ่นมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

“ยังมีเรื่องประหลาดอะไรที่ฉันต้องรู้อีกไหม?”

สายลมทอดถอนใจกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เรื่องบิดาของเด็กที่เป็นศาสตราจารย์สติเฟื่องชอบทำงานวิจัยประหลาดก็อย่างแล้ว ไหนจะพฤติกรรมแปลก ๆ ในคืนเดือนมืดนี่ก็อีก ทั้งแผลที่หายเร็วเกินคนทั่วไปนั่นก็ด้วย... ตกลงแล้วรูสเป็นตัวอะไรกันแน่ สายตาคมได้แต่หันไปมองประตูกระท่อมอย่างไร้คำตอบ

คนที่ถูกมัดนอนนิ่งอยู่บนพื้นค่อยคืนสติเมื่อแสงตะวันยามฟ้าใหม่เริ่มฉาบทาท้องฟ้า เมื่อสติรับรู้กลับมาก็ต้องตกใจที่ตนเองถูกมัด แต่เมื่อคิดได้ว่าเพราะอะไร น้ำใสก็คลอคลองหน่วยตา สายลมคงรู้แล้ว จะทำอย่างไรดี

เสียงก้าวเดินบนพื้นไม้ดังมาใกล้ ดวงตากลมเงยขึ้นมองสายลมที่นั่งวางเข่าลงข้างหนึ่ง มองนัยน์ตาของเด็กบนพื้น มันไม่ใช่สีเพลิงเช่นเมื่อคืนแต่กลับมาเป็นสีอำพันเช่นปรกติ สายลมจึงปลดเชือกที่มัดพันกายผอม ผิวขาวละเอียดเวลานี้กลับถลอกจากรอยรัดของเชือก เขาเอื้อมไปจับแล้วลูบอย่างเบามือ สบถเมื่อตนเองเป็นคนทำให้มันเกิดร่องรอยเหล่านั้น กายสูงใหญ่จะลุกไปหายามาทาให้ แต่เด็กกลับผวาคว้าแขนไว้แล้วมองเขาด้วยความหวาดหวั่น

มือหนาเกลี่ยแก้มใสพลางบอกเสียงนุ่ม “เรื่องอื่นเราค่อยคุยกัน ตอนนี้ฉันจะไปหายามาทาให้ เนื้อตัวถลอกไปหมดแล้ว”
แม้จะบอกไปเช่นนั้นแต่รูสก็ยังคงจับแขนเขาเอาไว้แน่น ต่อเมื่อสายตาคมมองสบเพื่อสื่อให้รู้ว่าตนไม่ได้จะหนีไปไหน ถือเป็นการให้สัญญา รูสจึงได้ยอมคลายมือให้เขาลุกออกไป

เมื่อแผ่นหลังกว้างลับสายตาไปแล้วรูสจึงลุกไปค้นเสื้อผ้าในหีบ ถือลงไปอาบน้ำที่ลาน เพียงร่างกายถูกน้ำก็แสบไปหมดจนต้องนิ่วหน้าแล้วสูดปาก เมื่อยกแขนขึ้นมามอง แผลถลอกและฟกช้ำจากการดิ้นรนจนเชือกรัดรึงค่อยจางลงช้า ๆ เห็นดังนั้นแล้วรูสก็ซึม คงไม่ต้องใช้ยาแล้วล่ะสายลม...

อาบน้ำเสร็จ รูสก็เดินซึมมานั่งบนชานกระท่อม สายลมเอาสมุนไพรมาบด เสร็จแล้วจึงถือขึ้นมาเพื่อจะทาให้ แต่มือเรียวกลับดันไว้

“ทำไมล่ะ มันไม่แสบหรอก” เขาเอ่ยถามพลางปลอบ เพราะนึกว่าเด็กมันกลัวแสบถึงไม่ยอมให้ทา

รูสยื่นแขนไปตรงหน้าสายลม ปลายนิ้วแตะตรงรอยถลอกที่ตอนนี้หลงเหลือเพียงรอยแดงจาง ๆ เท่านั้นเพื่อเรียกสายตาของอีกฝ่ายให้ก้มมอง เมื่อได้เห็นเช่นนั้นแล้วสายลมก็นิ่งไปจนเด็กใจหาย น้ำตาเริ่มคลอเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ ใบหน้าเรียวก้มต่ำ น้ำตาเม็ดโตหยดแหมะ ตอนนี้เขาอยากพูดได้เหลือเกิน อยากได้เสียงกลับมา จะได้บอกสายลมทุกอย่าง บอกทุก ๆ อย่าง เผื่อว่า...

มือใหญ่ยกขึ้นมาแตะข้างแก้มทำให้รูสชะงัก มันอุ่น อุ่นจนใจสั่นไหว

“เป็นแบบนี้มานานหรือยัง?”

เสียงทุ้มเอ่ยถามไถ่ อีกคนพยักหน้าเบา ๆ ยังคงก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมามองกัน

“ตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้รูสส่ายหน้า ไม่ใช่แต่เกิด เขาเพิ่งรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปรกติก็ตอนอายุสิบสอง เขาต้องขังตัวเองไว้ในห้องใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ ที่นั่นทำให้รู้สึกปลอดภัยจากคนภายนอก และเขาจะออกไปจากห้องนั้นไม่ได้จนกว่าจะหมดวันประตูมันถึงจะเปิด ตั้งแต่นายภิชาติเสียชีวิตไปก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปในนั้นได้ ทำให้ภายในห้องรก มีฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด รูสก็ได้แต่นั่งซุกอยู่ในซอกมุมหนึ่งในนั้น

สายลมมองเด็กที่นั่งก้มหน้า ไหล่บางสั่นไหวจากแรงสะอื้น มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกอย่างแล้ว ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อยู่อีกมากแค่ไหนกัน กุญแจสำคัญอย่างลุงหลงก็ไม่ยอมเปิดปาก จะพามาเจอรูสก็ไม่ยอมมา รูสเองก็ไม่บอกอะไรเขาสักอย่าง นี่กะจะให้เขารู้เองทุกอย่างเลยใช่ไหม

ร่างสูงใหญ่ขยับจะลุก มือเรียวรีบคว้าแขนเขาแบบอัตโนมัติ สายลมชะงัก มองเด็กสะอื้นหนักกว่าเดิมแล้วจึงนั่งลงที่เก่า ไม่ได้จะทิ้งไปไหน และไม่ได้กลัวจนต้องหนีไป เพียงแต่เขาหงุดหงิดตัวเองที่ไม่รู้อะไรเลยอยู่แบบนี้ มันย่ำแย่ทีเดียวที่รู้สึกว่าตนเองไม่สำคัญพอที่เด็กคนนี้จะไว้วางใจจนบอกเรื่องราวของตนเองให้ฟัง

“บอกได้ไหมรูส... ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ”

ที่สุดเขาก็ต้องเอ่ยถามออกไป ท่าทางเด็กดูสับสน นัยน์ตาคลอน้ำใสช้อนมองสบ ก่อนจะพยักหน้าให้เขาในที่สุด...





TBC



 :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
น่าเห็นใจรูส แม้แต่คนในครอบครัวที่เรารักก็ยังเชื่อใจไม่ได้ สายลมอย่าปล่อยมือน้องนะ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
รูส
 
สู้ๆ

สายลม

ดูแลน้องด้วย

สงสารเด็กน้อย

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
น้องรูสน่าสงสาร :mew2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๖ ปกป้องคุ้มภัย



สายลมนั่งอยู่นอกชานด้วยท่าทีเหม่อลอยโดยมีเด็กนอนหนุนตัก มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มเบา ๆ เป็นการกล่อมและปลอบประโลมใจ สิ่งที่ได้รู้ในวันนี้มันเกินรับไหวจริง ๆ สมุดเล่มน้อยวางอยู่ข้างกาย เขาอ่านมันรอบเดียว ไม่สามารถที่จะวนอ่านซ้ำได้เพราะสะเทือนใจกับทุกตัวอักษรที่เด็กกลั่นกรองออกมาจากความทรงจำ มันคงเจ็บปวดมาก เขาทำผิดไปหรือไม่ที่ไปกระตุ้นสิ่งเลวร้ายนั้นแล้วทำให้เด็กมันนึกถึง

สิ่งที่อยากรู้ เขาก็ได้รู้แล้ว หลังจากนี้เขาจะทำเช่นไรต่อ แน่ล่ะว่าต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด แต่ว่าจิตใจที่บอบช้ำนี้เล่า จะหาทางไหนมาเยียวยา สายลมก้มมอง มือเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มใส หลายครั้งที่เด็กคนนี้มีแต่น้ำตา เขาไม่ชอบมันเลยสักนิด เมื่อนึกถึงเรื่องราวในสมุดที่วางอยู่ข้างกาย สายลมก็ทอดถอนใจ กว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ รูสคงต้องเข้มแข็งน่าดู

‘ตั้งแต่เกิดมา เท่าที่จำความได้ พ่อของผมคือริวอา พ่อทำงานให้บ้านดอกเตอร์ภิชาติ ท่านเป็นคนดี ช่วยเหลือเราสองพ่อลูกทุกอย่าง พ่อบอกว่าท่านถูกชะตาจึงขอผมเป็นลูกบุญธรรม เพราะคำว่าบุญคุณทำให้พ่อไม่ได้ขัด แต่คนภายนอกไม่มีใครรู้ว่าผมคือลูกบุญธรรม ทุกคนถูกสั่งปิดปากเงียบ รวมทั้งคุณหญิงเองก็ด้วย ท่านไม่ค่อยชอบผมเท่าไรนัก แต่ก็ขัดดอกเตอร์ไม่ได้
ผมมีพี่ชายอีกคนชื่อราส เราไม่ค่อยสนิทกันนัก พี่ก็เป็นลูกบุญธรรมของดอกเตอร์เหมือนกัน พี่มักถูกคุณหญิงดุด่าอยู่บ่อย ๆ ผมกลัวท่าน ทำให้ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้พี่เพราะกลัวจะถูกท่านตีด้วยอีกคน ทำให้เราไม่เคยคุยกันเลย

ผมไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด พ่อไม่เคยบอก จนกระทั่งดอกเตอร์พาผมไปที่ห้องวิจัย มีเครื่องมือแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด ที่นั่นผมถูกเจาะเลือดไปตรวจบ่อย ๆ มันทำให้ผมกลัว ปลายเข็มแหลมคมที่ทิ่มลงมาบนเนื้อ ทั้งถูกดูดเลือดและถูกฉีดสารบางอย่าง ผมเคยบอกพ่อว่ามันเจ็บ แต่พ่อกลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกให้ผมอดทน ผมทนมาตลอด เพราะพ่อบอกให้ทน แต่ร่างกายผมมันก็เปลี่ยนแปลงไปจนเริ่มควบคุมมันไม่ได้

วันนั้น... ที่ดอกเตอร์ตาย ผมอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนั้นที่คนภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้จนกว่าประตูที่ดอกเตอร์ตั้งเวลาเปิดปิดมันจะปลดล็อค ผมฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องนั้นขณะที่ดอกเตอร์ฆ่าตัวตาย สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับผมคือความกลัว เพราะผมยังเด็ก แต่ผมกลับไม่ได้รับการปลอบใจจากคุณหญิงนอกจากคำด่าทอ ผมคือตัวหายนะ... หายนะ ... คือความหายนะที่ทำให้สามีของท่านต้องตาย มันก็คงจะเป็นแบบนั้น เพราะผมเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะผมคือคนที่อยู่กับดอกเตอร์เป็นคนสุดท้าย ทุกอย่างก็เพราะผม...

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีคุณหญิงก็จากไป พวกเขาตายกันไปหมด ตายไปทีละคน ในงานศพ คำพูดของคุณหญิงยังดังในหู ผมคือตัวหายนะ มันลบออกไปจากความทรงจำไม่ได้เลย ทำไม่เคยได้...

ผมไม่อยากเป็นเลย ไม่ได้ตั้ง ไม่ได้อยากให้พวกเขาตาย ไม่รู้จะขอโทษพวกเขายังไง ไม่รู้จะบอกยังไงว่าผมไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนั้น เพราะผมไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะนำพาความโชคร้ายมาให้พวกเขา

สายลม... ผมไม่มั่นใจเลยว่า การที่ผมยังอยู่ข้างกายคุณแบบนี้มันจะทำให้คุณพบเจอกับเรื่องร้าย ๆ เพราะผมไหม แต่ผมอยากขอร้อง อย่าเพิ่งไล่ผมไปไหน ขอให้ผมได้อยู่กับคุณอีกสักนิด อีกนิดเดียวก็ได้ ให้ผมได้ตอบแทนคุณบ้าง ผมจะไม่ดื้อไม่ซน ผมสัญญา

ผมอาจจะเป็นตัวประหลาด แต่ว่าได้โปรดอย่าเกลียดผมเลย ผมคงทนไม่ได้ ผมไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนพวกเขา ไม่อยากถูกคุณเกลียดเลยจริง ๆ’


นั่นเป็นเพียงข้อความเพียงส่วนเดียวจากสิ่งที่รูสเขียนขึ้นมาหลายหน้ากระดาษ ได้อ่านเพียงเท่านี้สายลมก็แทบจะไม่อยากอ่านต่อ รูสเฝ้าโทษว่าตัวเองเป็นคนผิด ตลอดมารูสไม่เคยลืมคำด่าทอจากผู้หญิงที่ชื่อพจนีย์คนนั้น เพราะคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ การกระทำหลายอย่างจากผู้ใหญ่พวกนั้นทำให้รูสฝังใจและจดจำแต่สิ่งไม่ดี แต่รูสที่ยังคงเด็กมาก เด็กมาก ๆ กลับสามารถผ่านมันมาได้ และยังมีรอยยิ้มให้เข้าได้เห็นในวันนี้

สายลมอุ้มเด็กกลับเข้าไปนอนต่อในห้อง เขาต้องจัดการอะไรบางอย่าง ลุงหลงจะทำเป็นไม่รับรู้ไม่ได้ หากยังมีความเป็นพ่อหลงเหลืออยู่บ้าง หากยังอยากช่วยลูกคนนี้อยู่ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาแล้วแก้ไขมัน

สายลมให้เซย์ช่วยสืบเรื่องราวของใครคนหนึ่งเพิ่มเติม พี่ชายของรูส คนที่รูสไปอยู่ด้วยหลังจากคุณหญิงพจนีย์ที่รูสบอกว่าเป็นแม่บุญธรรมเสียชีวิตตามศาสตราจารย์ภิชาติไป รูสไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพี่ชาย เพียงแต่บอกว่าพี่ดูแลดีทุกอย่าง เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวจนกระทั่งวันนั้น วันที่เขาได้พบกับรูส นั่นทำให้รูสรู้สึกว่าตลอดมารูสคิดผิด เพราะแท้ที่จริงแล้วพี่ชายคนนี้ไม่เคยมีความจริงใจให้รูสเลย รอยยิ้มแบบฉบับพี่ชายแสนดีนั่นก็หลอกตาจนรูสที่ขาดที่พึ่งหลงเชื่อมาตลอด

เพราะชีวิตที่ผกผันมาตั้งแต่ถือกำเนิดทำให้รูสกลายเป็นเด็กที่มีปม คิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่มีค่ามากพอที่ใครจะมอบความรักความจริงใจให้ หากทำตัวไร้ประโยชน์วันใดก็อาจถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย

“ราซิส ธรรมวงศา” สายลมบอกชื่อของคนที่จะให้น้องช่วยสืบ

“ไม่ให้สืบเรื่องเด็กของพี่แล้วเหรอ?”

“นายราซิส เป็นพี่ชายของรูส เรื่องรูสไม่มีทางจะสืบหาได้ง่าย ๆ หรอก เพราะนายคนนี้มันลบประวัติน้องของมันไปหมดแล้ว” สายลมบอก

“เด็กมันยอมบอกแล้ว?” เซย์ดูแปลกใจ

“อืม ฉันเลยอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอนี่ จะได้หาทางรับมือมันถูก”

“ท่าทางผมจะได้ออกกำลังแล้วมั้งงานนี้” ริมฝีปากหยักยกยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำทะเลฉายแววสนุก

“ชวนเอวานมาออกกับนายด้วยดีไหม?” คนเป็นพี่ช่วยเสริม

“ได้ก็ดี เอวานติดเด็กเหมือนพี่แหละ” เซย์บิดปาก

“หึ ๆ อิจฉาเอวานหรือไง?”

“โน้ว” ปฏิเสธเสียงสูงพลางทำหน้าหน่าย “ป่วนจะตาย หน้าตาซื่อ ๆ แต่ใส่ไฟผมประจำ”

“นายไปแกล้งเขาก่อนนี่ ช่วยไม่ได้” สายลมซ้ำเติม

“เออ เข้าข้างกันเข้าไป ไอ้พวกหลงเด็ก”

คนเป็นพี่หัวเราะในลำคอ ไม่ได้ปฏิเสธ

“ตกลงให้สืบเรื่องหมอนี่แทนใช่ไหม?” เซย์สรุป

“อืม ฝากด้วย”

“โอเค จะเจาะลึกถึงไส้ติ่งมันเลย” ว่าแล้วก็ยักคิ้วยียวน

“ขอให้ทำได้อย่างที่พูดเถอะ ไอ้ขี้โม้”

“หึ ๆ”

เมื่อจบบทสนทนาแล้วสายลมก็ปิดเครื่องมือสื่อสาร นึกถึงรูสแล้วก็รู้สึกหนักใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็จะปกป้องเด็กคนนี้ให้ได้ แม้ไม่เคยรู้จักมักคุ้น แต่ในตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคุ้นเคยจนไม่อาจนิ่งเฉยได้


ทางด้านรูสที่ตื่นขึ้นมาก็ถูกอาการปวดหัวโจมตีหนัก คงเพราะร้องไห้มากไป ทั้งปวดหัวปวดตาปนเปกันไปหมด เหลียวมองรอบกายอย่างมึนงงอยู่สักพักก่อนจะค่อยลุกออกมานอกห้อง เมื่อมองหาสายลมไม่เจอก็เริ่มแตกตื่น กลัวถูกทิ้งเพราะอีกฝ่ายรู้เรื่องของตนแล้ว ร่างผอมวิ่งลงมาข้างล่าง เซเล็กน้อยเมื่ออาการมึนหัวถามหา ลูห์ส่งเสียงทักทำให้รูสหยุดวิ่งแล้วหันมาหา ใบหน้าเรียวบิดเบ้ราวจะร้องไห้

‘สายลมไปไหน? สายลมล่ะ?’

ลูห์ยกเท้าหน้าวางบนแคร่เพื่อบอกให้เด็กมานั่ง รูสละล้าละลัง อยากไปหาสายลม แต่ไม่รู้จะไปทางไหน มือกำชายเสื้อแล้วกัดปาก แต่สุดท้ายแล้วก็จำต้องเดินไปนั่งบนแคร่อย่างที่ลูห์บอก

‘อยากไปหาสายลม’

เด็กก้มหน้าสะอื้น ลูห์ได้แต่นั่งมองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่รอสายลมกลับมา

“รูส เป็นอะไร?” เสียงทุ้มที่เอ่ยทักมีแววตระหนก เมื่อกลับมาเห็นว่าเด็กนั่งก้มหน้าสะอื้นฮักอยู่ข้างลูห์

‘ผมกลัว’ ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมามองแล้วว่าอย่างน่าสงสาร

“กลัวอะไร หืม?” สายลมนั่งลงข้างกาย เอ่ยถามไถ่พลางรั้งตัวบางให้เอนมาอยู่ในอ้อมกอด

‘กลัวคุณเกลียดผม กลัวคุณทิ้งไป’ ตอบกลับไปทั้งอาการสะอึกสะอื้น

มือหนาเกลี่ยน้ำตาที่ไหลรินให้แผ่วเบา “เด็กโง่ ฉันไม่เคยคิดทิ้งเธอ เรื่องเกลียดยิ่งไม่มีทาง เลิกกังวลได้แล้ว”

“......”

“ไม่เชื่อฉันหรือไง?”

สายลมมองนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นด้วยความจริงจัง อยากให้เชื่อใจเขา ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่มีทางคิดหรือทำร้ายเด็กตรงหน้าเช่นที่คนพวกนั้นทำอย่างแน่นอน

รูสเม้มปาก มองสายลมด้วยสายตาละห้อยโหย เขาเหนื่อยกับการต้องคอยปลอบใจตัวเอง เหนื่อยกับการต้องทำให้ความรู้สึกย่ำแย่ในจิตใจมันหายไปเมื่อถูกเหยียบย่ำหักหลัง หากเขาจะเชื่อใจสายลม หากเขาจะเชื่อคนคนนี้คงได้ใช่ไหม?


.......


เสียงตอกตะปูดังมาจากกระท่อมน้อยของสายลม ร่างสูงใหญ่เปิดเปลือยแผ่นอกหนากำลังซ่อมประตูที่พังจากฝีมือของลูห์เมื่อคืนเดือนดับที่ผ่านมา หันมองรูสที่นั่งเจาะเปลือกหอยอยู่บนเสื่อกกแล้วก็ยิ้ม ก่อนลงมือซ่อมประตูต่อด้วยความอารมณ์ดี

เปลือกหอยที่เด็กมันเก็บมาจากชายหาด นำมาเจาะให้เป็นรูเพื่อร้อยเชือก เห็นว่าจะทำโมบายแขวนไว้เหนือราวระเบียง เวลาต้องลมเสียงมันเพราะดี เด็กมันชอบ

เรื่องคืนนั้นเขาได้คุยแบบเปิดใจดูแล้ว รูสบอกว่าจะมีอาการแปลก ๆ ในคืนเดือนดับแรกหลังวันเกิด ซึ่งครั้งนี้มันดันตรงกับวันเกิดรูสพอดี ด้วยไม่รู้วันรู้คืนเลยไม่ได้หาทางป้องกันเช่นทุกครั้งจนเกิดเรื่องขึ้น เพราะปรกติรูสจะรู้ล่วงหน้าแล้วพาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องวิจัยใต้ดินของศาสตราจารย์ภิชาติ จะไม่สามารถออกมาได้จนกว่าเวลาที่ตั้งไว้หมดลง

รูสบอกว่าทุกครั้งจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ดีว่าครั้งแรกที่รู้ตัวว่ามีอาการประหลาด รูสอยู่ในห้องวิจัย ไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไร แต่รู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้รูสอยู่ในนั้น เพราะหากออกไปข้างนอก รูสไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะไม่ทำอะไรประหลาด ๆ หรือแม้กระทั่งทำร้ายคนอื่น เพราะเมื่อรู้สึกตัวขึ้นในวันถัดมา ผนังในห้องถูกทุบจนเป็นรอย แม้แต่มือก็แห้งกรังไปด้วยเลือดจากเล็บที่ฉีกขาด เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป แต่ผนังในห้อง ศาสตราจารย์ภิชาติเป็นคนสร้าง มันจึงมีเพียงรอยจากการทุบและเลือดจากปลายนิ้วของเขาเท่านั้น

นับแต่นั้นรูสก็เริ่มกลัวตัวเอง ด้วยความที่ยังเด็กมากเลยคิดไปว่าตัวเองอาจเป็นบ้าไปแล้ว แต่ไม่กล้าบอกใคร ได้แต่หวาดระแวงว่าอาการแบบนี้มันจะเกิดขึ้นอีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่มันก็หายเงียบ รูสยังใช้ชีวิตเป็นปรกติจนหลงลืมสิ่งที่เกิดขึ้น กระทั่งวันเกิดปีต่อมา ในคืนเดือนดับคืนหนึ่ง ความรู้สึกแปลกประหลาดก็หวนมา ครั้งนั้นห้องวิจัยใต้ดินก็ยังเป็นที่ที่รูสเข้าไปแล้วขังตัวเองไว้ และเป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุก ๆ ปี

ได้รู้แบบนี้แล้วสายลมก็ยิ่งห่วง เจ้าหนูนี่มันใช้ชีวิตมาแบบไหน นี่มันเป็นเรื่องที่หนักเกินกว่าเด็กอายุสิบห้าสิบหกจะรับไหวแล้วไม่ใช่หรือ ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเคยมีความสุขอย่างใครเขาบ้างไหม รูส...

พอซ่อมประตูเสร็จสายลมก็มาช่วยรูสเจาะเปลือกหอย นั่งทำกันไปเพลิน ๆ จนเสร็จจึงพากันไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อไปบ้านใหญ่ เป็นครั้งแรกที่รูสจะได้ไปที่นั่น ทำให้รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะปู่ของสายลมหน้านิ่ง ดูดุ ไม่รู้จะยินดีต้อนรับไหม

‘สายลม ๆ’ มือเรียวเขย่าแขนคนข้างกาย

“หืม?”

‘ปู่สายลมดุมากไหม?’


ริมฝีปากหยักยกยิ้มพร้อมบอก “ใจดี”

‘จริงเหรอ?’ เด็กเอียงคอ ท่าทางไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก

“หึ กลัวเหรอ?”

ใบหน้าเรียวพยักรับ หวั่นใจมากกว่าที่ต้องไปพบผู้ใหญ่

‘ปู่สายลมชื่อลามุเหรอ มันแปลว่าอะไรน่ะ?’

เอ่ยถามเพื่อเบี่ยงเบนความตื่นเต้นของตนเอง สายลมก็ยินดีตอบให้ มือหนาสอดกุมมือเด็กข้างกายขณะเดินไปด้วยกัน

“ชื่อเต็ม ๆ คือลามุกะ แปลว่าดวงอาทิตย์ ปู่ฉันมีพี่ชายอีกคน คนนี้เป็นปู่ของหมอปลายฟ้า ชื่อซานิน แปลว่าพรุ่งนี้ หรือรุ่งสาง ประมาณนั้น”

‘อ๋อ’ เมื่อฟังคำอธิบาย เจ้าตัวเล็กก็พยักหน้าหงึกหงัก

‘เหมือนรูสเลย ชื่อรูสก็แปลว่าแสงสว่าง’ เด็กน้อยอวดความหมายของชื่อตัวเองอย่างแสนภูมิใจ

“จริง?” สายลมเลิกคิ้ว เขาชอบนะ เวลาที่เด็กแทนตัวด้วยชื่อ ชอบมากกว่าตอนใช้คำว่าผมกับคุณมากทีเดียว

‘จริงสิ’ รูสทำแก้มพอง สายลมเลยบิดจมูกด้วยความมันเขี้ยว

เมื่อมาถึงบ้านใหญ่ นายลามุก็ให้คนเตรียมขนมนมเนยมาให้เด็กตามประสาเจ้าของบ้านที่ดี รูสไหว้ทักทายพร้อมขอบคุณชายชรา นั่งมองขนมบนโต๊ะแล้วก็ไม่กล้ากิน ได้แต่นั่งเกร็งอยู่ข้างสายลม

“ต้องพกไปไหนมาไหนด้วยตลอดเลยนะ”

นายลามุพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปรกติ แต่รูสที่ระแวงอยู่แล้วกลับชะงักกึก หันมามองสายลมเพราะกลัวว่าจะถูกชายชราดุเอาหรือเปล่าที่พาตนมาด้วย แต่สายลมกลับยังนิ่งเฉย ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเมื่อตอบกลับไป

“แน่ล่ะครับ ขืนเอาไว้ห่างตัวเดี๋ยวมีคนมาฉกไปล่ะแย่เลย”

“จะมีใครที่ไหนมาฉก?”

“คนที่ปู่ก็รู้ว่าใคร” มุมปากหยักกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ช่างยอกช่างย้อนดีนักหนา

“เขาจะพาเจ้าหนูนี่ไปทำอะไร?” นายลามุถามกลับ ซึ่งผู้เป็นหลานชายก็ไหวไหล่พลางตอบ

“ไม่ทราบสิครับ อาจจะใช้เป็นเครื่องต่อรองกับผมล่ะมั้ง”

“หากเป็นเช่นนั้นหลานจะยอมตามที่พวกมันต่อรองรึ?”

“คำตอบอาจทำให้ปู่ไม่ชอบใจนัก”

สายลมเลี่ยงที่จะตอบ หยิบขนมในจานมาส่งให้เด็กที่นั่งข้างกายตน มองตาโต ๆ นั่นแล้วเขาก็พยักหน้าให้อ้าปากรับ เจ้าตัวเล็กมันเหลือบมองปู่ของเขาก่อนส่ายหน้าหวือ สายลมจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาใส่ปากตนเองแทน

นายลามุมองการกระทำของหลานชายแล้วเอ่ยขึ้นมา “จะดูแลไปได้อีกนานแค่ไหน วันหนึ่งหากหลานไม่อยู่เล่า จะทำยังไงกัน?”

“พาไปด้วยสิครับ” สายลมตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องง่าย

ผู้เป็นปู่แทบกุมขมับ “นั่นมันแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากจะให้อยู่ที่นี่ไม่ต้องหวาดระแวงกันอยู่ตลอดเรอะ?”

“ปู่จะให้ผมจัดการกับพวกนั้นเลยไหมล่ะครับ?” ไม่ตอบคำถาม แต่สายลมกลับพูดไปอีกเรื่อง

“อย่ามาถามปู่ เพราะเจ้านั่นล่ะสายลมที่ปล่อยพวกมันไว้” พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วนายลามุก็ถอนฉุน หากหลานชายของเขาไม่ใจอ่อน เจ้าพวกที่ตั้งตัวเป็นศัตรูคงไม่ได้มาลอยหน้าลอยตาอยู่เช่นทุกวันนี้

รูสที่อยู่ร่วมวงสนทนาแต่ไม่ได้พูดจาออกความเห็นใด ได้แต่เหลือบมองคนนั้นที คนนี้ที พูดอะไรกันก็ไม่รู้ แต่น่าจะเกี่ยวกับเขา เห็นพูดถึงเรื่องอยู่ ๆ ไป ๆ

“อย่าชะล่าใจไปล่ะ ตอนนี้ชักมีกลิ่นไม่ดี” นายลามุเอ่ยเตือน

“ผมได้ยินมาว่าท้ายเกาะมีคนลอบเข้ามา ปู่จัดการกับพวกนั้นยังไง?”

“ยังไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้ายังไม่สารภาพว่าใครเป็นคนลอบพาเข้ามาอาจต้องพาไปลานขาว”

ได้ยินชื่อลานขาวสายลมก็ชะงัก ที่นั่นมันเป็นที่ทรมานคนผิดดี ๆ นี่เอง เพียงแค่เรียกชื่อให้มันดูดีไปอย่างนั้น ทั้งที่มีแต่ความโหดร้ายทารุณ

คนโลภไม่เคยหมดไป ท้ายเกาะศิลามีทางเข้ามาที่เหมือง แต่ก่อนที่จะถึงเหมืองจะมีแหล่งที่พากันเล่าลือว่าเป็นขุมทรัพย์ มีน้ำมันดิบนอนนิ่งอยู่ใต้พื้นนั่น ใครได้ยินก็ต่างพากันตาลุก แต่ ณ ที่แห่งนั้น แม้แต่คนในเกาะศิลายังไม่กล้าลุกล้ำเพราะมันเป็นถิ่นของลูห์และพวกพ้องหลายชีวิตที่อาศัยอยู่โดยรอบ ยากนักที่ใครจะผ่านเข้าไปได้หากไม่แกร่งจริง

สายลมไม่เคยเห็นด้วยกับวิธีทรมานคน แต่มันคือกฎที่ถือปฏิบัติ และทำให้คนเกรงกลัวกับการทำความผิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีพวกลองของ ท้าทายอำนาจของนายลามุจึงต้องเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่บ่อยครั้ง มีหลัง ๆ มานี้ที่อยู่กันสงบมากขึ้นทำให้ลานขาวไม่จำเป็นต้องใช้ เขาก็หวังว่ามันจะไม่ต้องใช้ตลอดไปเลยยิ่งดี ถึงจะแกร่ง แต่สายลมก็ไม่เหี้ยมพอ

ในอนาคตข้างหน้าหลายอย่างคงมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สายลมไม่คิดว่าตัวเองจะขึ้นเป็นผู้นำ เป็นนายของทุกคนที่นี่แทนปู่ที่ชราภาพลงทุกเมื่อได้ ไม่ใช่เขาไม่มั่นใจ แต่ไม่อยากได้ตำแหน่งนั้นเสียมากกว่า เป็นนายน้อย มีตำแหน่งให้พอเรียกกันไปอย่างนั้นก็ดีอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำตามใจ ไม่ต้องเคร่งกับกฎเกณฑ์อะไรมากมาย

“สายลม ตอนนี้หลานก็อายุพอสมควรแล้วนะ ไม่คิดที่จะ...”

“ไม่เลยครับ”

ชายหนุ่มตอบกลับไปโดยไม่ต้องหยุดคิด ไม่ต้องรอให้นายลามุถามจนจบประโยคเสียด้วยซ้ำ เมื่อก็รู้กันดีว่าทุกทีที่พบหน้า นายลามุต้องเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาเสมอ ซึ่งเขารู้แกวหมดแล้ว

“ในวันหน้าทายาทของเจ้าจะต้องขึ้นครองตำแหน่งแทน อย่าทำเล่นไป”

สายลมทำเสียงลงคอ การหาสาวสักคนมาแนบกายไม่ใช่เรื่องยากเย็น และไม่ใช่ว่าเขาเรื่องมากถึงได้ยังครองตัวเป็นโสด เพียงแต่ไม่นึกถูกใจสาวใด หากตบแต่งกันไปก็ใช่จะมีความสุข เขารู้ว่ามันคือหน้าที่ แต่หากทำตามหน้าที่แล้วไม่ถามหัวใจเลย มันจะดีหรือ?

รูสนั่งฟังที่สองปู่หลานคุยกันพอจับใจความได้ในตอนท้ายว่าพวกเขาคุยเรื่องคู่ครองของสายลม มันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีลูกมีภรรยา แต่ว่า...

ตากลมช้อนมองคนข้างกาย ไม่อยากนึกถึงวันที่สายลมต้องใส่ใจดูแลคนอื่น หากวันนั้นมาถึง สายลมคงหลงลืมเขา อย่างไรครอบครัวก็ต้องสำคัญกว่าเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้อยู่แล้ว ไม่วายต้องถูกทิ้งอีก เขามันคนเห็นแก่ตัว ไม่อยากให้สายลมแต่งงานเลยจริง ๆ


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :impress2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5


ภายในห้องทำงานของราซิส ข้าวของถูกกวาดลงจากโต๊ะจนระเนระนาด หลายสิ่งหลายอย่างในเวลานี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเขา ห้องใต้ดินบ้าบอนั่นก็เปิดไม่ได้ หากจะใช้อาวุธหนักพังเข้าไปก็อาจทำให้ของสำคัญที่อยู่ภายในห้องนั้นพังเสียหาย และสิ่งที่เขาพายามมาทั้งหมดมันก็จะสูญเปล่า เขากำลังวางแผนขายงานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ เขาจึงต้องหาทางเปิดห้องนั้นให้ได้ หากขายลิขสิทธิ์งานวิจัยได้ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลก็จะลอยเข้ามาอยู่ในมือเขาอย่างไม่ยากเย็น หากมันสำเร็จลุล่วงก็จะยังผลมาสู่ชื่อเสียงอันมากล้นอีกด้วย

“ฉันต้องทำยังไง ต้องทำยังไงถึงจะเปิดห้องนั้นได้!!”

ราซิสคำรามลั่น รู้สึกคุ้มคลั่งจนแทบคุมตัวเองไม่อยู่ ตลอดมาเขาต้องขวนขวาย ต้องบากบั่นด้วยลำแข้งของตนเองมาโดยตลอด ในบ้านหลังนี้เขามีสถานะเดียวกับรูส แต่รูสกลับได้รับความเอ็นดูมากกว่าทั้งที่มันมาทีหลัง ไอ้เด็กนั่น ไอ้เด็กหัวอ่อนที่ชอบทำหน้าตาโง่เง่าทุกคราวที่เจอหน้าเขา เขาเกลียดสายตาแสดงความสงสารจากมัน มันทำให้เขาดูเป็นคนน่าสมเพช!

ทุกคนที่นี่ล้วนแล้วแต่สร้างบาดแผลให้เขาทั้งสิ้น นายภิชาติรับเขามาเลี้ยงดู ไม่ได้อุ้มชูแต่กลับใช้เขาราวหนูทดลอง แต่ในขณะเดียวกัน สถานะหนูทดลองก็ยังทำให้เขาได้อยู่ดีกินดี จนกระทั่งรูสเข้ามา เขาก็หมดประโยชน์ นายภิชาติเลี้ยงดูรูสอย่างดี ในขณะที่เขาถูกปล่อยลอยแพ คุณหญิงพจนีย์ก็กดขี่ราวเขาไม่ใช่คน แมลงสาบที่น่าขยะแขยงยังมีค่ามากกว่าเขาเสียอีกในสายตาของนาง

เขาคิด คิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าวันหนึ่งจะต้องไปจากขุมนรกแห่งนี้ จนเมื่อทนแบกรับความรู้สึกด้อยค่า ทั้งความเคียดแค้นที่มันค่อยสะสมพอกพูนมากขึ้นทุกวันไม่ไหว ราซิสจึงออกจากบ้านหลังนี้เพื่อหาทางถีบตนเองให้เหนือกว่าทุกคน แต่หนทางที่เขาก้าวเดินกลับมุ่งสู่ความผิดพลาด เขาเข้าสู่วงการธุรกิจที่แสนมืดดำ ยิ่งทำงานให้คนเหล่านั้น ราซิสยิ่งซึมซับความเหี้ยมโหด ความกระหายอยากทำให้เขาไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขาอยากได้อำนาจ อยากมีทุกอย่างในมือ สิ่งเร้าเหล่านั้นทำให้ราซิสก้าวต่อไปจนกู่ไม่กลับ ทำทุกหนทางเพื่อความยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งการ... ฆ่า

ราซิสวางแผนเสียดิบดี เขาจัดการกับนายใหญ่ของกลุ่มที่ตนเองทำงานให้อย่างแนบเนียนด้วยการจับมือกับศัตรู เมื่อฝ่ายนั้นเข้ายึดครองทุกอย่าง ราซิสจึงได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นนายใหญ่แทนคนเดิมที่จบชีวิตลง หากสิ่งที่เขาได้รับกลับยังไม่ใช่ความปรารถนาสูงสุด เพราะเป้าหมายที่เขายังทำไม่สำเร็จลุล่วงก็คือการเหยียบคนที่เคยสร้างบาดแผลในใจเขาให้จมดิน

แต่เมื่อเขากลับมาในสถานะใหม่ ศาสตราจารย์ภิชาติและภรรยากลับไม่อยู่ให้เขาแก้แค้นเสียแล้ว เหลือก็เพียงรูส เด็กน้อยไร้ที่พึ่ง เขาในฐานะพี่ชายที่แสนดีจึงได้เข้ามาดูแลน้องชายที่น่ารักคนนี้แทน เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี เพราะรูสคือทายาทผู้ที่จะได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของศาสตราจารย์บ้านั่น แต่รูสยังไม่บรรลุนิติภาวะทำให้เขาเข้ามาจัดการหลายสิ่งอย่าง ถ่ายโอนสมบัติมาเป็นของตนเองโดยที่รูสไม่รู้ ไม่เคยรู้ เพราะรูสไม่สนใจสมบัติพัสถาน ซึ่งนั่นมันก็ดี แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะยังมีเสี้ยนหนามอย่างริวอา บิดาของรูส ริวอาคืออุปสรรคขวางทางเขา เพราะตาแก่นั่นมันคอยแต่จะยุแยงให้รูสไม่ไว้ใจเขา การกำจัดริวอาให้พ้นทางเหมือนมดแมงตัวหนึ่งจึงเกิดขึ้น

ราซิสพาน้องชายไปล่องเรือเที่ยว เจ้าเด็กหน้าโง่มันดีอกดีใจใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าพ่อของมันกำลังจะตาย การกำจัดริวอาด้วยอุบัติเหตุคือหนทางที่ราซิสเลือก หากมันจมลงไปใต้ท้องทะเลนั่น เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำลายหลักฐาน ไม่ต้องเปลืองแรง แค่ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุเท่านั้นพอ เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตารูส เด็กน้อยที่ขวัญเสียเพราะการจากไปของบิดาที่รักยิ่ง เขาก็แค่คอยปลอบใจ เท่านี้รูสก็เชื่อใจเขามากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

แต่เมื่ออยากได้ใคร่ดี รูสจึงกลายเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จ เมื่อการกำจัดใครคนหนึ่งเป็นไปได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ ราซิสจึงราวกับเสพติด การกำจัดรูสให้พ้นทางจึงเป็นสิ่งที่ราซิสทำในเวลาต่อมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูทำให้ความคุ้มคลั่งของราซิสชะงักลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามปรับอารมณ์ตนเองก่อนเอ่ยอนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามา

“มีอะไร?” เอ่ยถามลูกน้องที่ก้าวมายืนตรงหน้า

“คุณกำชัยมาขอพบครับ”

หัวคิ้วราซิสขมวด นายกำชัย นักธุรกิจจากแดนใต้ ถือเป็นมาเฟียที่คุมกิจการเล็กใหญ่ในแถบนั้นไปเสียครึ่งค่อน เขาเคยเข้าไปร่วมทุนในธุรกิจมืดของหมอนั่น ทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ นายกำชัยได้เข้ามาคุยเรื่องธุรกิจน้ำมันกับเขา ซึ่งมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“บอกไหมว่ามาเรื่องอะไร?”

ลูกน้องผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนบอก “เรื่องเกาะศิลาครับ”


......


เอกสารรายงานจากนักสืบฝีมือดีถูกส่งมาถึงมือเซย์ เฟอร์ริงตัน ชายหนุ่มอ่านมันเพียงคร่าว ๆ แล้ววางลงบนโต๊ะ ปลายนิ้วเคาะเบา ๆ ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำทะเลมองกระดาษรายงานเหล่านั้นด้วยท่าทีครุ่นคิด

นายราซิสที่พี่ชายของเขาให้ช่วยสืบหามีประวัติไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่ใช่ว่าเขาจะหวั่นวิตกแต่ประการใด หากเกิดการปะทะกันขึ้นก็คงต้องลองดูสักตั้ง จะได้รู้ว่าระหว่างปีกของเฟอร์ริงตันที่ปกป้องพวกเขาอยู่ กับนักเลงกระจอกที่ออกจะมีปัญหาทางจิตอย่างนายราซิส ใครมันจะเหนือกว่าใคร

เซย์เอื้อมคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานมาต่อสายถึงพี่ชายอีกคน “เอวาน วันนี้ว่างไหม ผมมีเรื่องอยากรบกวนพี่สักหน่อย”

เมื่อเอ่ยถามไปและผู้เป็นพี่ชายตอบรับกลับมา เซย์ก็กระตุกยิ้มมุมปาก พวกเขาสามพี่น้องไม่ได้ทำอะไรร่วมกันนานแล้ว ตั้งแต่สายลมแยกไปอยู่ที่เกาะศิลา นานครั้งกว่าพี่ชายคนรองอย่างสายลมจะได้มาที่นี่ แต่พอมีเรื่องให้ทำด้วยกันทีกลับเป็นเรื่องแนวนี้เสียได้สิน่า

เซย์จัดการนัดแนะพี่ชายคนโตให้มาพบกันที่คฤหาสน์เฟอร์ริงตัน เรื่องสำคัญไม่อยากคุยกันข้างนอก หลังจากวางสาย เซย์ก็เตรียมตัวกลับคฤหาสน์ จนเมื่อผู้เป็นพี่มาถึงตามเวลานัดหมาย เอกสารที่ได้รับก็ถูกนำออกมาให้ดู คนตรงหน้าของเขาเวลานี้คือเอวาน เวสส์ นักธุรกิจหนุ่มผู้ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ คล้ายชายหนุ่มอบอุ่นแสนใจดี แต่หาใช่ไม่

“หมอนี่เหรอ?” เอวานเปิดดูเอกสารที่น้องชายส่งมาให้แล้วเอ่ยถาม

เซย์พยักหน้า ก่อนพูดขึ้นมาเสียงเครียด “สายลมอยู่แต่ในเกาะ คงรับมือมันไม่ได้เท่าที่ควร ผมเลยอยากให้พี่ช่วย”

“ฉันรู้จัก” เอวานว่า

“จริงเหรอ?” ผู้เป็นน้องถามกลับ ท่าทางประหลาดใจ “โลกกลมจริงแฮะ”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วเอวานกลับยิ้มมุมปาก “ไม่ได้เป็นการส่วนตัว แต่พอได้ยินวีรกรรมของมันมาบ้าง”

“ผมว่ามันโรคจิต”

“ประมาณนั้น พวกเด็กมีปมแล้วเดินหลงทาง” ผู้เป็นพี่ไหวไหล่ ทำให้เซย์ยิ้มแปลกพลางเอ่ยถาม

“รู้เรื่องมันมากแค่ไหน?”

“นิดหน่อย มันฆ่าคนได้โดยไม่สะทกสะท้าน ถึงได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มแทนนายเจสัน”

นายเจสัน นักธุรกิจสัญชาติอเมริกัน ทำธุรกิจด้านมืด ทั้งค้ามนุษย์และอาวุธสงคราม เรื่องของคนในวงการเหล่านี้เอวานก็พอรู้อยู่บ้าง เพราะเวสส์ ก็ใช่จะมีส่วนที่ใสสะอาดอยู่ทั้งหมด

“สายลมเจองานหนัก” เซย์ว่า

“คงงั้น”

เซย์มุ่นคิ้ว ชักเครียดแทนพี่ชายคนรอง หากสู้กันซึ่งหน้า พี่ชายของเขาไม่มีทางแพ้แน่ แต่หากพวกมันใช้วิธีหมาลอบกัดก็ไม่แน่เหมือนกัน ไหนจะต้องหาทางรับมือกับนายราซิส ไหนจะต้องพะวงกับเด็กที่ตัวเองช่วยมา คงได้ถูกโจมตีทุกทางเป็นแน่ ทั้งเรื่องศัตรูบนเกาะศิลาก็ด้วย เจอศึกหลายทางแบบนี้เป็นใครก็คงเครียด นี่เขาควรตีหัวสายลมแล้วพากลับมาอังกฤษด้วยเลยดีไหม ทำเพื่อคนอื่นมากมายขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังมีคนไม่หวังดีคิดปองร้ายอยู่ทุกวันอีก น่าเหนื่อยใจ

ที่จริงแล้วเซย์ก็ไม่อยากให้ผู้เป็นพี่ชายไปเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นั่นแต่ทีแรก อยู่กับครอบครัวทางนี้พี่ไม่ต้องลำบากอะไรเลยด้วยซ้ำ รีสอร์ตนับตะวันของอาอัลเบิร์ตที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยก็มี ผลประกอบการดี มีเงินให้นับกันจนมือหงิก แต่เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้ว เขาก็คงพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่สนับสนุนอยู่ห่าง ๆ คอยเป็นกำลังให้เมื่อพี่ชายต้องการ

เพราะพวกเขาคือครอบครัว แม้จะต่างสายเลือด ต่างสกุล แต่ไม่ว่าจะเฟอร์ริงตัน เวสส์ หรือ คาร์ล พวกเขาก็ไม่เคยแบ่งแยก อย่างไรความเป็นครอบครัวเดียวกันก็ไม่เคยหายไป และมันจะยังคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป


......


ออกจากบ้านใหญ่มา สายลมก็พาเด็กเดินกลับกระท่อม ค่อย ๆ เดินเลียบหาดมาเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน หาดทรายสีขาวทอดยาวไปไกล เม็ดทรายดูละเอียดจนน่าสัมผัสด้วยเท้าเปล่าดูว่ามันจะนุ่มมากแค่ไหน ไม่รอช้า รูสถอดรองเท้ามาถือแล้วย่ำบนพื้นทรายสีขาว ลมทะเลพัดมาให้พอคลายร้อน

“ระวังเปลือกหอยบาดเท้า”

สายลมเอ่ยเตือน เด็กก็ถกเท้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อย ๆ วางรองเท้าลงบนพื้นแล้วสวมมันเหมือนเดิม ตัวบางวิ่งไปกระโดดข้ามระลอกคลื่นที่สาดซัดมากระทบฝั่งพลางหัวเราะชอบใจ สายลมอมยิ้ม ชอบเวลาเด็กมันหัวเราะสดใสแบบนี้มากกว่าเวลามีน้ำตานองหน้าเป็นไหน ๆ

มือหนาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ อมยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกไปถึงตอนที่ตนเองจะให้ของสิ่งนี้กับรูส ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะชอบมัน

เมื่อกลับมาถึงกระท่อมรูสก็ต้องแปลกใจ เมื่อมันถูกประดับประดาด้วยดอกไม้มากมาย เจ้าตัวเล็กหันมองสายลมเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายกลับยิ้ม เพราะที่พาเด็กไปบ้านปู่ก็เพื่อการนี้ เพราะมีเรื่องให้ประหลาดใจเล่น ๆ

“รูส”

รูสหันไปมองตามเสียงเรียก เจ้าโตค่อยโผล่หน้ามาจากหลังกระท่อม และไม่ใช่แค่โตคนเดียว เพื่อนตัวน้อยของเขาทุกคนเลยที่เดินออกมายืนเรียงกันเป็นแถว รวมทั้งฟาริดาด้วย

เจ้าโตเป็นคนที่ก้าวนำหน้าเพื่อน ๆ มาหารูส ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่มั่นใจนัก “วันเกิดเอ็งผ่านมาแล้ว แต่ข้าไม่รู้ ข้าให้ของขวัญเอ็งตอนนี้จะเป็นไรไหม?”

กล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่ไม่โตนักถูกยื่นมาตรงหน้า รูสนิ่งอึ้ง รู้สึกเต็มตื้นในอกกับสิ่งที่เด็ก ๆ ทำให้ เขาส่ายหน้าว่าไม่เป็นไรเป็นการตอบคำถามของโต ก่อนรับกล่องไม้ใบนั้นมา

“พวกข้าไม่มีเงินซื้อของดี ๆ ให้เอ็ง แต่ก็ร่วมแรงกันทำให้” พูดไปแล้วเจ้าโตก็เกาแก้ม รู้สึกขัดเขินหน่อย ๆ ที่ต้องเป็นตัวแทนของเพื่อน ๆ มาพูดแบบนี้กับรูส

รูสยิ้ม ก่อนจะชี้ที่กล่องแล้วทำท่าเปิด เจ้าโตพยักหน้าให้เปิดดูได้ รูสจึงเดินไปนั่งที่แคร่แล้วจัดการเปิดกล่องไม้ออก สิ่งที่อยู่ด้านในค่อยเผยโฉมมาให้เห็น ตุ๊กตาดินเผาหน้าตาประหลาด ถูกแต่งแต้มหน้าตาโดยฝีมือของเด็ก ๆ แต่ดูแล้วรูสก็พอรู้ว่าเป็นตนเอง ผ้ากำมะหยี่ผืนเล็กสีเขียวอ่อนถูกวางรองก้นกล่องคล้ายเป็นผืนหญ้า ก่อนจะวางตุ๊กตาทับด้านบน ตัวรูสที่ใหญ่กว่าตุ๊กตาตัวอื่นวางอยู่ตรงกลาง และเพื่อนตุ๊กตาตัวน้อยอีกหลายตัวตั้งล้อมรอบ

รูสน้ำตาคลอเมื่อมองท่าทางลุ้นแสนลุ้นของเพื่อนวัยเยาว์ หนุ่มน้อยก้มแล้วก้มอีกเสียหลายทีเพื่อขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์ทำมันมาให้ เพื่อนตัวน้อยของเขาเลยพากันยิ้มกว้าง

“เอาล่ะจ้ะ ให้ของขวัญเพื่อนกันไปแล้ว คราวนี้เรามากินอาหารอร่อย ๆ กันดีกว่าเนอะ”

ฟาริดาเอ่ยชวน ซึ่งเด็ก ๆ ก็พากันเฮโลตามกัน อาหารกับขนมที่เธอเตรียมมาได้รับความช่วยเหลือจากคุณแม่ของเด็ก ๆ และได้งบในการทำมาจากนายน้อยสายลม ตัวตั้งตัวตีเชียวล่ะคนนี้

“ไปรูส” โตคว้ามือรูสแล้วจูงกันไป

ทุกคนร่วมอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้รูส กินอาหารกับขนมและน้ำหวานกันอย่างมีความสุข เสียงเจื้อยแจ้วดูวุ่นวายแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่กระท่อมหลังน้อยของสายลม แต่เจ้าของกระท่อมก็ไม่ได้หงุดหงิดใจ ได้เห็นเด็กดื้อมีความสุขกับเพื่อน ๆ แบบนั้นก็ดีแล้ว

จานขนมถูกถือมาให้ สายลมเงยมองคนถือแล้วรับมา ตัวบางนั่งลงข้างกาย ส่งยิ้มพิมพ์ใจมาให้ทั้งเอ่ยขอบคุณ

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาว่า

‘สายลมปากแข็ง’

เด็กย่นจมูก ทำให้สายลมยิ้มขำ ตากลมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมองเขา ก่อนริมฝีปากบางจะขยับ

‘ขอบคุณที่มองเห็นว่าผม... อยู่ตรงนี้’

มือหนาเอื้อมมาโยกศีรษะทุย มาทำซึ้งอะไรตอนนี้เจ้าเด็กดื้อ


สายลมไปส่งเด็ก ๆ และฟาริดากลับเมื่องานวันเกิดจบลง รูสเก็บข้าวของจานชามเข้าที่เข้าทางหลังจากฟาริดาและเด็ก ๆ ช่วยกันล้างและผึ่งเอาไว้ก่อนกลับ เมื่อเสร็จแล้วจึงลุกไปเอากล่องไม้ ของขวัญแสนพิเศษจากเพื่อนตัวน้อยมาวางบนเสื่อ เปิดออกดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็มันดีใจที่ทุกคนนึกถึง ทั้งที่รู้จักกันเพียงไม่นาน แต่ก็ทำให้เขาถึงขนาดนี้

ถุงผ้าอันเล็กบรรจุผลึกอำพันที่ได้มาจากสายลมเมื่อคราวก่อน รูสหยิบผลึกออกมาแล้ววางลงไปในกล่อง ให้อยู่รวมกับตุ๊กตาดินเผา เขาจะถือว่านี่คือกล่องของขวัญล้ำค่าที่ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดียิ่ง

เมื่อสายลมกลับมาก็ขึ้นมาบนกระท่อม รูสเงยมองแล้วยิ้มให้เมื่อชายหนุ่มนั่งลง มือเรียวแบแล้วยื่นมาตรงหน้า สายลมอมยิ้ม มองตากลมที่ฉายแววความสุขให้เห็นก่อนจะนำบางอย่างมาวางลงบนมือนั้น รูสเอียงคอมอง หินอีกแล้ว คราวนี้เป็นสีรุ้ง ดูแวววาวเพราะผ่านการเจียระไนแล้ว ไม่เหมือนอำพันที่ได้มาเมื่อคราวก่อน

“โอปอล เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ และเชื่อกันว่ามีพลังลบล้างความเจ็บปวด ฉันขอให้พลังของมัน... ช่วยลบอดีตแสนเจ็บปวดของเด็กดื้อคนนี้ให้หมดไป”

กระบอกตาเด็กดื้อร้อนผ่าว มองเม็ดโอปอลในมือ ก่อนประคองมันไปวางลงในกล่อง ให้อยู่ข้างอำพันและตุ๊กตาตัวน้อย เมื่อเงยขึ้นมามองสายลม มือเรียวก็พนมไหว้

สายลมยิ้มบาง ลูบผมนิ่มเบา ๆ เด็กดื้อของเขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนโผเข้ามากอดเช่นทุกที สายลมหัวเราะขณะโอบแขนรอบเอวบาง แขนเรียวคล้องกอดคอหนา น้ำตาที่ไหลลงข้างสองแก้มถูกเช็ดออกเบามือ เด็กอะไรกัน เสียใจก็ร้องไห้ ดีใจก็ร้องไห้

“ขอให้เธอมีแต่ความสุข และ...”

สายลมเว้นช่วง ทำให้รูสนิ่งรอฟัง

“ให้เรา... อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ”

น้ำตาที่เหมือนจะหยุดไหลกลับร่วงผล็อยลงมาอีก ทุก ๆ คำที่สายลมพูด เขาอยากให้เป็นจริง อยากให้เป็นจริงทั้งหมดเลย

ขณะที่บรรยากาศของความสุขอบอวล ลูห์ที่นอนอยู่ด้านล่างก็ทำเสียงแปลก ๆ ในลำคอก่อนลุกออกไป ทำให้สองหนุ่มหันมามองตามมัน ไม่นานนักใครคนหนึ่งก็เดินตัวลีบออกมาจากพุ่มไม้ไม่ไกลจากกระท่อมนัก โดยมีลูห์เดินคุมมาอีกที เมื่อใครคนนั้นเข้ามาใกล้รูสก็เบิกตาโต หันมามองสายลมด้วยความคาดไม่ถึง ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มบางพลางพยักหน้าให้

รูสลุกจากตักสายลมแล้วเดินลงมาข้างล่าง เข้าไปหาคนคนนั้น คนที่ต่อให้จากกันไปกี่ปีเขาก็ไม่มีทางลืมเลือน

“พ่อ”

ร่างผอมโผเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น หัวใจที่เจ็บร้าวราวได้รับการเยียวยา




TBC




บวกขอบคุณพี่กวิศรา คุณทิฟฟานี่ และคุณซิลเวอร์ฯค่ะ  :กอด1:

ส่วนคุณเวกัส... โฆษณาหรืออะไรคะเนี่ย...  :confuse:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เหมือนเคยอ่านหรือคิดไปเอง   :confuse:

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
สนุกมากเลยค่าาาา เราตามมาตั้งแต่รีไรท์ครั้งที่สอง จะตามจนกว่าจะจบนะค้าา ชอบฉากน้องป้อนขนมลูห์มากเลยย งืออ น่ารักก  :-[

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๗ ดวงใจคะนึง


ทั้งสามคนพากันขึ้นมานั่งคุยบนกระท่อม รูสนั่งอยู่ข้างลุงหลง ขณะที่สายลมนั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้าม มองเด็กที่ก้มหน้าก้มตานิ่ง ปรกติตัวติดกับเขาเป็นตังเม มาวันนี้ย้ายข้างเสียแล้ว

“ขอบคุณนายน้อยที่ช่วยดูแลรูสเป็นอย่างดี ขอบคุณเหลือเกิน”

ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ลุงหลงพูดคำนี้ เหตุที่แกไม่กล้ามาสู้หน้ารูสเป็นเพราะตลอดมาแกรู้สึกว่าตัวเองบกพร่องต่อหน้าที่ของความเป็นพ่อ ปกป้องรูสไม่เคยได้ ทั้งยังไม่เคยที่จะหาหนทางกลับไปช่วยลูกของตนหลังจากความทรงจำกลับมา ได้แต่ทำตัวเป็นลุงหลงบ้าใบ้ต่อไป ขณะที่ตนเองเอาตัวรอดอยู่บนเกาะศิลา รูสกลับต้องเผชิญปัญหาที่เด็กคนหนึ่งไม่ควรได้รับอยู่อีกแห่ง เมื่อรู้ว่าคนที่นายน้อยสายลมพากลับมาที่เกาะเป็นลูกของตน ลุงหลงก็ได้แต่แอบมองอยู่ไกล ๆ เขามันช่างขี้ขลาดนัก

“หลังจากนี้ผมหวังว่าลุงจะดูแลเขาให้ดีกว่าเดิม ชดเชยช่วงเวลาที่ลุงทอดทิ้งเขาให้เผชิญปัญหาทุกอย่างตามลำพัง” สายลมกล่าวขึ้นมา ไม่ได้ตั้งใจจะตอกย้ำความผิดพลาดของผู้อื่น แต่สิ่งที่รูสได้รับมันก็มากเกินไปจริง ๆ

“แน่นอนครับนายน้อย ผมจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก” ลุงหลงรับคำหนักแน่น มองลูกของตนที่นั่งอยู่ข้างกาย

รูสยิ้มให้ ไม่เคยเลยที่จะนึกโกรธเคืองบิดา มันมีแต่ความคิดถึง ความโหยหา และคาดหวัง คาดหวังว่าบิดาจะยังมีชีวิตอยู่และได้กลับมาพบกันในสักวันหนึ่ง และวันนี้ความคาดหวังนั้นมันก็เป็นความจริง

มือกร้านลูบหัวลูก จากวันที่แกพาเด็กคนนี้ออกจากหมู่บ้านมา ระหกระเหินแทบเอาชีวิตกันไม่รอดทั้งสองคนพ่อลูก เมื่อพบเจอคนใจดีเข้าหน่อยแกก็วางใจเขา ทั้งยังยกลูกให้เขาชุบเลี้ยงเพราะคิดว่าลูกคงจะได้ดีในภายภาคหน้า แต่ในระหว่างนั้นลูกของแกกลับต้องทน ต้องเจ็บ แขนเล็กเต็มไปด้วยร่องรอยจ้ำแดงทุกครั้งที่มาหา ใช่ว่าเห็นเช่นนั้นแล้วแกจะไม่เจ็บปวด ลุงหลงเคยคิดหาหนทางจะพาลูกออกมาจากที่นั่น แต่ตามกฎหมาย ณ ขณะนั้นรูสคือลูกของศาสตราจารย์ภิชาติ เป็นคนมีชื่อเสียง ใครก็นับหน้าถือตา หากแกพาลูกของแกหนีคงไม่พ้นถูกแจ้งข้อหาลักพาตัว

นึกย้อนไปแล้วแกก็นึกเสียใจมาจนบัดนี้ที่ไม่ได้กระทำการใดลงไปในวันนั้น จนกระทั่งถูกราซิสวางแผนกำจัด หลังจากนั้นรูสต้องเผชิญกับเรื่องใดบ้างแกก็ไม่อาจรู้ เมื่อหันมาทางสายลม ลุงหลงก็รู้สึกขอบคุณจากใจ ชายผู้นี้เป็นคนดีมีเมตตา และยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ลุงแกคิดมันใช่ก็เมื่อสายลมช่วยเหลือเด็กที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าจนสุดกำลัง แม้กระทั่งยอมให้คนในเกาะคลางแคลงตนเอง

“ผมจะพารูสไปอยู่ด้วย จะได้ไม่เป็นภาระของนายน้อย” ลุงหลงเอ่ยขึ้นมา เมื่อได้คิดและตัดสินใจแล้วก่อนมาที่นี่

สายลมนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ลุงแกพูด รูสเองก็หันมามองสายลมด้วยความตกใจเหมือนกัน

“ผมก็... ไม่ได้ลำบากอะไร”

ราวหาเสียงตัวเองไม่เจอ เมื่อตอบกลับไปเบากว่าปรกติ สายตาคมมองเด็กตรงหน้า อีกฝ่ายกลับหลบตาเขาเสียอย่างนั้น

“ถ้ารูสอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่ใช่ปัญหา”

รูสเงยมองคนตัวโตที่โยนกลอง ได้แต่อึกอักเมื่อสายตาทั้งสองคู่มองมาอย่างต้องการคำตอบ มือเรียวขยุ้มกำชายเสื้อตัวเอง ท่าประจำเวลาอึดอัดคับข้องใจ อยากอยู่กับสายลมก็อยาก แต่ว่า...

“ที่จริงคงอยากอยู่กับพ่อมากกว่า...” สายลมเอ่ยขึ้นมา “ฉันตามใจเธอ”

ริมฝีปากบางเม้มแน่น รู้สึกใจหายที่ได้ยินสายลมพูดเช่นนั้น ถึงแม้จะเพียงเดือนเดียวที่ได้มาอาศัย แต่เขาก็คุ้นเคยกับที่นี่ กับสายลมและลูห์ หากว่า... หากว่าวันหน้าจะมาหากันบ้างคงไม่ผิดอะไรใช่ไหม ก็เขายังไม่ได้ออกจากเกาะไปไหนสักหน่อยนี่นา

ลุงหลงตกลงกับสายลมว่าจะมารับรูสไปอยู่ด้วยในวันพรุ่งนี้ ขอกลับไปจัดการที่ทางและพูดคุยกับคุณหมอปลายฟ้าเสียอีกที เพราะฉะนั้นแกจึงจะกลับไปก่อนในวันนี้

“พรุ่งนี้พ่อจะมารับนะรูส” บอกกับลูกชายด้วยน้ำเสียงอาทร ดีเหลือเกินที่ได้กลับมาพบกันเช่นนี้

รูสมองส่งบิดาที่เดินห่างออกไป ก่อนจะหันกลับมามองคนข้างกายที่มีสีหน้าเรียบเฉยจนรู้สึกอึดอัด มือเรียวเอื้อมไปจับมือของสายลม ตากลมช้อนมองก่อนเอ่ยถามไถ่

‘สายลมโกรธเหรอ?’

สายลมมองเด็กที่หน้าเจื่อนจ๋อยแล้วก็ถอนใจ เขาจะไปโกรธเด็กมันเรื่องอะไร เป็นใครก็อยากอยู่กับพ่อแม่ตัวเองทั้งนั้น ยิ่งไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน ทั้งยังคิดว่าตายไปแล้วด้วย พอเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องอยากใช้เวลาที่มีเพื่ออยู่ด้วยกันทั้งนั้น

“ไม่ได้โกรธ” เขาว่าอย่างนั้น แต่เด็กกลับไม่เลิกซึม “ถ้ายังไม่เลิกทำหน้าแบบนั้นฉันจะโกรธ”

พอพูดไปเช่นนั้นเด็กมันก็หน้าตาตื่น ตีแก้มตัวเองแล้วพยายามยิ้มออกมา สายลมส่ายหน้า ก่อนจะกลับขึ้นกระท่อมไป

รอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งค่อยเจื่อนลง รูสหันมามองลูห์ก่อนจะเดินมานั่งด้วย สายลมบอกไม่โกรธ แต่เขาไม่สบายใจ ไม่ได้อยากไปจากที่นี่ แต่ก็อยากอยู่กับบิดาด้วยเหมือนกัน ทำอย่างไรดีล่ะลูห์?

หันมาปรึกษาลูห์ก็ใช่จะมีอะไรดีขึ้น พูดกันไม่ได้ทั้งคู่แบบนี้จะเข้าใจกันได้อย่างไร ตัวบางขยับลุก เดินขึ้นกระท่อมตามสายลมไป วันนี้คงไม่เหมือนทุกวัน การกอดกับสายลมอาจไม่อบอุ่นเท่าเดิม เพราะใจที่สับสนจนพาลนอนไม่หลับทั้งคู่


......


วันรุ่งขึ้น รูสเก็บข้าวของรอบิดามารับ กว่าลุงหลงจะมาก็หลังจากเสร็จงานที่โรงพยาบาลในยามค่ำแล้ว เจ้าหนูอุ้มกล่องไม้ที่ได้จากเพื่อนตัวจิ๋วลงมาจากกระท่อม ถุงผ้าที่ใส่ของจำเป็นลุงหลงก็เป็นผู้ถือให้

สายลมยืนกอดอกหน้านิ่ง รูสที่ลงมายืนอยู่ด้านหน้าช้อนสายตาขึ้นมอง อีกฝ่ายกลับเบือนสายตาหนีมาทางลุงหลงแทนเสียอย่างนั้น

“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกผมได้ ผมยินดีช่วยเสมอ รูสก็เหมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง”

เด็กก้มหน้าพลางประท้วงในใจ ‘ไม่ได้อยากเป็นน้องสักหน่อย’

“รูสไม่ใช่คนของเกาะศิลา ผมเกรงว่าต่อไปเขาอาจอยู่ที่นี่ไม่ได้” ลุงหลงพูดถึงสิ่งที่ตนกังวล การที่รูสยังอยู่ที่นี่มาได้เป็นเดือนก็เพราะบารมีของนายน้อย

“เรื่องนั้นผมจะปรึกษาพ่อเฒ่าว่าจะทำยังไงได้บ้าง พ่อเฒ่าคงไม่ใจร้ายกับเด็กมันนัก”

“ขอบคุณครับนายน้อย รูส ขอบคุณนายน้อยสิลูก” ลุงหลงรีบบอกลูกชายให้ขอบคุณที่อีกฝ่ายมีเมตตากับพวกตน

รูสเงยขึ้นมองสายลม ก่อนยกมือไหว้ ‘ขอบคุณครับ’

พอไหว้คนนี้เสร็จก็เดินไปนั่งยอง ๆ กอดเข่าอยู่ต่อหน้าลูห์ คุยอะไรกันไม่รู้ก่อนตัวผอมบางจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับมายืนข้างผู้เป็นบิดา สอดแขนคล้องแขนบิดาไว้ มองสายลมแล้วก็ยิ้ม เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็เข่นเขี้ยวในใจ ทำมายิ้ม ดีใจมากล่ะสิ เจ้าดื้อ

“ผมกับลูกคงต้องขอตัว ขอบคุณเรื่องคุณหมอปลายฟ้าด้วยนะครับ หากไม่ได้นายน้อย ผมก็ไม่รู้จะบอกกับหมอว่าอย่างไร”

“ครับ” สายลมตอบรับเพียงสั้น ๆ

เรื่องหมอปลายฟ้า เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพียงแต่พูดความจริงที่เกิดขึ้นให้ฟัง เพราะหากสร้างเรื่องโกหกซ้ำซ้อน ต่อไปลุงหลงคงหาทางแก้ปมเชือกที่ผูกไว้ไม่ได้

สองพ่อลูกเดินห่างจากกระท่อมของเขาไปแล้ว สายลมได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็ก เจ้าเด็กดื้อหันกลับมาราวรู้ว่าเขากำลังจ้องมอง แขนเรียวยกขึ้นแล้วโบกมือลาพร้อมรอยยิ้ม

“ร่าเริงจริงนะ”

สายลมออกจะหมั่นไส้เด็กที่เดินจากไปด้วยท่าทียินดีเสียเต็มประดา ทิ้งตัวลงนั่งบนบันไดกระท่อมแล้วหันมามองลูห์ด้วยความพาลพาโล

“มองอะไร?”

ลูห์พ่นลมหายใจใส่คนพาล มันเบือนหน้าไปทางอื่น เดี๋ยวโดนลูกหลงเอาอีก

ฟ้าที่เริ่มมืดทำให้เสียงหริ่งหรีดเรไรค่อยดังขึ้นมาตามกัน สายลมยังนั่งอยู่ที่เดิมโดยมีลูห์นอนอยู่ข้าง ๆ บนพื้นทราย ชายหนุ่มทอดถอนใจ เด็กมันอยู่ก็ใช่ว่าจะเสียงดังอะไร เพราะพูดก็ไม่ได้ แต่พอหันไปมองลูห์แล้วเขาก็ต้องถอนใจอีกหน เหลือกันอยู่แค่นี้ ช่างเงียบเหงาดีเหลือเกิน


......


บ้านพักในโรงพยาบาล

รูสนอนพลิกกายไปมาอยู่หลายตลบ ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ปรกติต้องซุกอกใครอีกคนและแขนแข็งแรงก็จะพาดกอดราวปกป้อง ในค่ำคืนนี้กลับไม่มีอ้อมแขนนั้นให้พักพิง เขาต้องพยายามข่มตาให้หลับลงด้วยตนเองให้ได้ ต้องทำได้สิ...

เจ้าตัวเล็กผุดลุก คว้าหมอนมากอดแล้วเดินออกจากห้องไปหาบิดาเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิด อาจเพราะแปลกที่ก็เป็นได้ เขาคงต้องทำความคุ้นชินกับมันสักพักหนึ่ง ตัวบางค่อยนอนลงข้างกายบิดา เมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวข้างตัวทำให้ลุงหลงลืมตาขึ้นมามอง มือกร้านลูบศีรษะทุยที่เบียดเข้ามาซุก ก่อนจะพาดแขนกอดแล้วตบหลังลูกชายราวกล่อมนอน รูสนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขน ถอนใจเบา ๆ แล้วค่อยหลับตาลง อ้อมกอดบิดาอบอุ่นก็จริง แต่ก็ไม่เหมือนสายลมอยู่ดี



ชายป่าท้ายเกาะศิลา บุคคลต้องสงสัยค่อยลอบเข้ามาโดยการนำทางของใครบางคน ค่อยลัดเลาะอย่างชำนาญทางราวคนในพื้นที่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้รอดพ้นสายตาของผู้เฝ้าเกาะ ชายหนุ่มคนหนึ่งพร้อมเจ้าป่าตัวใหญ่เร่งฝีเท้าเพื่อลัดเลาะมาดักทาง เรื่องคนที่ลักลอบเข้ามาในเกาะศิลาทำให้นายน้อยของเกาะไม่อาจอยู่นิ่งเฉย เขาและลูห์ต้องจัดการมัน

ร่างกำยำย่อกายหลบอยู่ในมุมลับตาเพื่อประเมินสถานการณ์ พวกมันมีกันหลายคน แต่ใช่ว่าเขาจะมาคนเดียวเสียเมื่อไร ค่อยเป่าปากเป็นสัญญาณทำให้ผู้ทำหน้าที่เฝ้าเกาะศิลาเผยตัว ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจ ก่อนมือหนาจะปัดเบา ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนทำการบุกเข้าไป

เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นฉับพลันเมื่อฝ่ายตรงข้ามขาดการตั้งรับ ขณะที่กำลังปลุกปล้ำจับกุมผู้บุกรุก หางตาสายลมก็เหลือบไปเห็นผู้ที่นำทางคนเหล่านี้เข้ามากำลังจะหนีไป สายตาคมสบกับลูห์แล้วพากันวิ่งแยกไปดักคนละทิศทาง ขณะที่ลูห์วิ่งไล่กวาดเงาดำไปทางหนึ่ง สายลมก็ตามอีกคนไป แต่เพียงไม่นานลูห์ก็หยุดเมื่อนึกเอะใจกับสิ่งที่ตนเองวิ่งตาม สิงโตตัวใหญ่เหลียวกลับไปมองอีกด้านก่อนคำรามลั่นป่า มันเปลี่ยนทิศแล้ววิ่งย้อนกลับไปทางที่สายลมอยู่ พร้อมกับด้านหลังที่มีพวกของมันวิ่งตามมาเพราะเสียงคำรามเมื่อครู่ ดวงตาหลายคู่ส่องแสงตัดความมืด

เปรี้ยง!!!!

เสียงปืนดังขึ้นโดยจับทิศไม่ถูก คนของสายลมที่กำลังคุมตัวผู้ที่ลักลอบเข้ามาในเกาะพากันตื่นตระหนกแล้วเหลียวมอง และยิ่งตระหนกกันไปใหญ่เมื่อสิ่งหนึ่งที่ประจักษ์อยู่ในเวลานี้คือนายน้อยของพวกเขาหายไป!

ภายใต้ความมืดของผืนป่า สายลมยืนตระหง่านเหนือร่างของชายผู้หนึ่ง เท้าหนาหนักเหยียบข้อมือของใครคนนั้นเอาไว้ ขณะที่อาวุธปืนกระเด็นไปนอนนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เลือดค่อยไหลซึมลงมาตามแขนแกร่งก่อนที่มันจะหยดลงกระทบพื้นดิน แต่สายลมไม่ได้อนาทรต่อความเจ็บปวด สายตายังคงจับจ้องผู้ที่ตกเป็นเบี้ยล่างในเวลานี้นิ่ง

รอบกายของเขาคือลูห์และพวกอีกจำนวนหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดทำให้สัญชาติญาณนักล่าของพวกมันคุกรุ่น แต่ลูห์ผู้เป็นจ่าฝูงส่งเสียงขู่ในลำคอ ทำให้เหล่านักล่าที่เหลือยังคงนิ่งอยู่เพราะอำนาจของผู้ที่เหนือกว่า

เสียงฝีเท้าคนของสายลมดังมาใกล้ ดวงตาคมปรายไปมองก่อนพยักหน้าให้คนเหล่านั้นเข้ามาจัดการผู้ที่ลอบพาคนนอกเข้ามาในเกาะ มีเป้าหมายเพื่อกระทำการใดเขายังไม่อาจรู้ แต่อีกไม่นานก็คงได้รู้ ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นจากข้อมือของมัน ปล่อยให้คนของตนเข้ามาจัดการต่อ สายตาคมเหลือบมองปืนบนพื้น ก่อนก้าวเข้าเก็บมันขึ้นมา หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อหันกลับไปมองตามคนของตนที่กำลังคุมตัวคนผิดไปยังคุกมืด คนอย่างเจ้านั่นมันมีของแบบนี้ด้วยหรือ?

เกือบรุ่งสาง สายลมกลับมาที่กระท่อม รอยแผลจากคมกระสุนที่ถากแขนไปทำให้เขาต้องมานั่งล้างแผลด้วยตัวเอง แต่มันไม่ถนัดเอาเสียเลยเมื่อต้องเอี้ยวมองอยู่แบบนี้ ชายหนุ่มสบถที่ประมาทจนถูกยิงเข้า ที่จริงแผลแค่นี้เขารักษาเองได้ ไม่มีปัญหา แต่เมื่อนึกถึงโรงพยาบาลขึ้นมา สายลมก็ชะงัก มองแผลตัวเองแล้วนิ่งไปนิด ก่อนริมฝีปากหยักจะเปิดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่


......


คุกมืดบนเกาะศิลา

ทางเข้ามีคนเฝ้าคอยผลัดเปลี่ยนเวรยาม หน้าตาก็ออกจะดูเหี้ยมเกรียมจนลูกเล็กเด็กแดงไม่กล้าสบตา ผู้ที่ถูกจับได้เมื่อค่อนรุ่งถูกนำตัวมาขังไว้ในนั้นเพื่อรอการสอบสวนชำระความ ส่วนมากต่างหวาดกลัวกับสถานที่ ความมืด และกลิ่นอับราวอากาศไม่พอจะหายใจยิ่งส่งผลต่อจิตใจของผู้ที่ถูกคุมขัง แต่ยังมีหนึ่งในนั้นที่รู้สึกเคืองแค้นมากกว่าหวาดกลัว

ราวภาพทับซ้อนกับอดีต เมื่อผู้ที่ตั้งใจทำร้ายสายลมในคราวนี้ก็คือเหนือเมฆ แต่กลับถูกจับได้และนำตัวมาที่นี่เหมือนบิดาของตนไม่มีผิด ยิ่งอยู่ในนี้ เหนือเมฆก็ยิ่งนึกถึงตอนที่ผู้เป็นบิดาและพี่ชายของตนต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนคงรู้สึกไม่ต่างจากเขาในเวลานี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจหนักหนา โดยไม่นึกย้อนกลับไปเลยสักนิดว่าเพราะเหตุใดทั้งตนเองและบิดากับพี่ชายถึงต้องเข้ามา หากมิใช่เพราะทำตัวเองด้วยกันทั้งนั้น

‘เมื่อไรข้าถึงจะเอาชนะแกได้ สายลม!!’

ได้แต่ตะโกนก้องในใจที่เคืองแค้นจนแน่นหัวอก บิดาตั้งชื่อให้เขาว่าเหนือเมฆ เพื่อที่เขาจะได้เหนือกว่าทุกคน เหนือกว่าสายลม แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เคยเลยที่เขาจะเหนือกว่าสายลม ไม่เคยเลยสักครั้ง

ยิ่งคิดยิ่งตอกย้ำว่าตนเองด้อยกว่า มือหนากำลูกกรงเหล็กจนขึ้นข้อ นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น เขาจะไม่ยอมจบเท่านี้แน่ ไม่มีทาง!

จนเมื่อรุ่งสางมาถึง แต่แสงจากภายนอกก็มิอาจส่องถึงคนในคุก ทำให้ไม่รู้วันเวลา นางมารียา มารดาของเหนือเมฆมาขอเยี่ยมลูกชาย ข่าวเรื่องเหนือเมฆลอบพาคนนอกเข้ามาในเกาะและยังปะทะกับนายน้อยแพร่ออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ลูกน้องของเหนือเมฆอยู่กันไม่สุข ด้วยกลัวจะโดนหางเลขแล้วพลอยถูกจับขังคุกมืดด้วยอีกคน ทั้งยังกลัวว่าคนที่พวกมันทำงานให้จะมาฆ่าปิดปาก ทำให้ต้องกระเสือกกระสนมาพึ่งใบบุญนายลามุผู้ที่พวกมันตั้งตนเป็นศัตรูอย่างหมดรูป เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่พวกมันจะรอด แม้นายลามุจะไม่เมตตา แต่นายน้อยสายลมต้องช่วยพวกมันแน่หากพวกมันสารภาพความจริงทุกอย่าง

ช่องทางเดินเข้าไปสู่ห้องขังเหนือเมฆ ชายผู้ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าเดินนำนางมารียาเข้ามา คบไฟที่เขาถือช่วยส่องนำทางได้พอสมควรในความมืดมิด ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร หญิงสูงวัยก็จำต้องยกผ้าปิดจมูกเพราะกลิ่นอับในนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ลูกของนางจะเป็นเช่นไรหนอ ต้องทนทั้งกลิ่น ทั้งความมืด และต้องหิวโหย จนเมื่อได้มาเห็นสภาพลูกชายของตน น้ำตาคนเป็นแม่ก็แทบไหล ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อลูกเลือกเดินซ้ำรอยพ่อ โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของนางสักคำ

“เหนือ...”

เสียงเรียกที่เคยคุ้นทำให้เหนือเมฆผุดลุกจากมุมอับมาเกาะลูกกรงเหล็ก

“แม่ แม่มาได้ยังไง?”

นางมารียาไม่ได้ตอบคำถามในทันที เอื้อมมือลอดผ่านช่องของลูกกรงมาลูบหน้าลูบตาลูกชาย กระบอกตาร้อนผ่าวด้วยสงสารลูกจับใจ เหนือเมฆเองก็ยกมือขึ้นทาบจับมือมารดาที่แสนสั่นเทา

“เหนือหิวไหมลูก แม่เอาข้าวมาให้” นางเอ่ยถามอย่างอาทร

“ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ข้าอยากออกไปจากที่นี่ แม่พาข้าออกไปที”

เหนือเมฆเร่งเร้า แต่ผู้เป็นมารดากลับส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง

“รู้ไหมความผิดที่ทำมันร้ายแรงแค่ไหน... เหนือไม่เคยฟังแม่เลย” นางว่าอย่างสะเทือนใจ

“จะมาต่อว่าอะไรข้าตอนนี้ สิ่งที่แม่ควรทำคือหาทางพาข้าออกไปไม่ใช่เหรอ หรืออยากให้พวกมันฆ่าข้า ให้ข้าตายเหมือนพ่อ?”

“จะไม่มีใครทำอะไรเหนือ ถ้าเหนือกลับตัวกลับใจ” นางสวนกลับเมื่อถูกลูกต่อว่าต่อขาน “นายท่านมีเมตตาต่อคนที่คิดได้ ถ้าเหนือสารภาพความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่าง โทษของเหนือก็จะเบาบางลงนะลูก”

เหนือเมฆเหยียดยิ้มเยาะหยันกับน้ำคำมารดา “เหอะ ที่แม่มาหาไม่ใช่เพราะเป็นห่วงข้า แต่พวกมันส่งแม่มาเกลี้ยกล่อมให้ข้าบอกมันว่าใครบงการ อย่างนั้นใช่ไหม!?”

“ไม่ใช่เหนือ แม่เป็นห่วงเหนือ อยากให้เหนือออกจากคุกนี่ กลับมาอยู่กับแม่ ไม่อยากให้เหนือต้องมีจุดจบแบบพ่อของเหนือ” นางมารียาพยายามอธิบาย เกรงว่าลูกจะเข้าใจเจตนาของตนผิดไป

“ในเมื่อแม่ก็รู้ว่าพ่อตายยังไง ทำไมแม่ถึงไม่โกรธแค้นพวกมันบ้าง! ทำไม!?”

“แล้วทำไมเหนือไม่มองกลับกันบ้าง ว่าที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะพ่อไปทำร้ายนายน้อยก่อน และที่พ่อเหนือต้องตายก็เพราะผลกรรมที่กระทำมา” ถึงแม้จะชี้ให้เห็นความเป็นจริง แต่จิตใจที่ดำมืดก็หาได้ค้นพบทางสว่าง

“ผลกรรมเหรอ? พวกมันต่างหากที่บีบให้พ่อต้องตาย ไอ้ลามุ! ไอ้สายลม! สองคนนั่นทำให้พ่อต้องตาย!!”

ชายหนุ่มตะคอกเสียงดังจนผู้เป็นมารดาหมดคำจะพูด นางมารียาไม่รู้จะลบล้างความคิดของลูกอย่างไร อยากให้ลูกชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในชีวิตของนาง ได้ใช้ชีวิตปรกติสุขแบบคนทั่วไปเขา ไม่ใช่เจ็บแค้นฝังใจจนมีชีวิตแบบคนธรรมดาเขาไม่ได้

นายครรชิตสามีของนางมักใหญ่ใฝ่สูง เข้ามาอาศัยเกาะศิลาอยู่เมื่อคราวที่เกาะยังเปิดให้คนภายนอกเข้า ทำงานใกล้ชิดนายลามุและพระเพลิงจนได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่กลับอยากครอบครองในของที่ไม่ใช่ของตน วางแผนกำจัดพระเพลิงและภรรยา และเมื่อวันหนึ่งได้รู้ว่านายน้อยสายลม ลูกชายของพระเพลิงและวิริยายังไม่ตายก็สืบหาและตามไปลักพาตัวจะให้คนเอาไปถ่วงน้ำทิ้ง แต่แผนการนั้นไม่สำเร็จ เพราะถูกนายลามุจับได้และนำตัวมาขังคุกมืดเพื่อรอคำพิพากษาโทษ แต่ในคืนหนึ่ง นายครรชิตและลูกชายคนโตของนางกลับหนีออกจากคุกและเอาเรือออกไปกลางทะเล ถูกพายุและคลื่นทะเลกลบกลืนจมหาย สุดท้ายเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณที่ถูกซัดกลับมาที่เกาะ จบสิ้นชื่อของนายครรชิตพร้อมตราบาปติดตัว

เหนือเมฆที่ในขณะนั้นยังเล็กนัก เมื่อรู้ว่าบิดาและพี่ชายของตนเองเสียชีวิตลงก็แทบรับความจริงไม่ได้ ทั้งยังถูกกรอกหูจากผู้เป็นปู่มาตั้งแต่นั้น จนบัดนี้ ปู่ของเหนือเมฆเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคชรา แต่ความเจ็บปวดก็ยังไม่จางหายไปจากความทรงจำของเขา เมื่อสิ้นปู่ที่เคารพไปเสียแล้วก็ไม่มีใครมาบอกกับเหนือเมฆว่าสิ่งที่เข้าใจตลอดมานั้นมันหาใช่ไม่ ผู้ที่ตายไปแล้วก็คงไม่รับรู้อะไรอีก และคงไม่รู้ว่าตนเองได้ฝากบาดแผลไว้กับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งให้เติบใหญ่ขึ้นมามีแต่ความคั่งแค้น คิดแล้วนางมารียาก็ได้แต่เศร้าใจ

เสียงไม้เท้ากระทบพื้นหินดังมาเป็นจังหวะ เรียกสายตานางมารียาและเหนือเมฆให้หันไปมองแสงจากคบไฟที่ส่องนำทางให้มองเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามาหา เมื่ออีกฝ่ายมาหยุดลงตรงหน้า เหนือเมฆก็มองอย่างเคียดแค้น นายลามุ!

“ข้าคงเปลี่ยนความคิดของเจ้าไม่ได้เลยสินะ เหนือเมฆ” ชายชราเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ

“......”

“หากจะโกรธแค้นก็แค้นข้าเถิด เพราะมันคือเรื่องระหว่างข้ากับพ่อของเจ้าแต่หนหลัง สายลมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของพ่อเจ้าสักนิด” นายลามุยังว่าต่อ เขาได้ยินสิ่งที่เหนือเมฆพูดแล้ว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ใช้เสียงที่เบานัก หนำซ้ำยังตะคอกเสียงดังเสียอีกด้วย

“ทำไมมันจะไม่เกี่ยว ไม่ใช่เพราะมันเหรอที่ทำให้พ่อของข้าต้องถูกจับมาขังไว้ที่นี่!” เหนือเมฆโต้กลับ

“แล้วไยเจ้าไม่คิดอีกสักทีเล่าว่าเพราะเหตุใดพ่อเจ้าถึงต้องถูกจับ เพราะสายลมวิ่งมาฟ้องข้าว่าให้จับพ่อเจ้าขังรึ?”

“......”

“ในเวลานั้น สายลมกับเจ้าก็อายุพอ ๆ กัน แทบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาอยู่กับพ่อบุญธรรมของเขาดี ๆ แต่พ่อเจ้ามันเล่นสกปรกไปลักตัวเขามาเพื่อฆ่าทิ้ง เจ้าไม่คิดบ้างรึว่ามันไม่ยุติธรรมต่อสายลมเลย?”

คำถามเชิงขอความเห็นนั้นไร้คำตอบ เหนือเมฆก็ยังคงเป็นเหนือเมฆ ที่ปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำใคร เขาเชื่อเฉพาะในสิ่งที่ปู่ของเขาบอกเท่านั้น

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงแค้นเขาหนักหนา แต่กับข้าที่เป็นคนทำให้พ่อเจ้าตาย เจ้ากลับไม่อนาทร?”

รอยยิ้มหยันผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อตอบกลับไปราวนายลามุคือคนโง่เง่าเสียเต็มประดา “หึ ท่านน่ะแก่แล้วนะลามุ อีกหน่อยก็ตาย ข้าจำต้องเปลืองแรงไปทำไม แล้วหากท่านตายไป คนที่จะขึ้นมาแทนที่ท่านก็คือสายลม แล้วท่านคิดว่าข้าควรฆ่าท่านที่อีกหน่อยก็แก่ตายไปเอง หรือควรฆ่าทายาทของท่านที่จะขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งแทนดีล่ะ?”

นายลามุหรี่ตามองไอ้เด็กปากดี มุมปากชายชรายกยิ้มแสยะ “ลานขาวคงเหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว เหนือเมฆ”

เพียงได้ยินชื่อลานขาว นางมารียาก็ตื่นตระหนกตกใจ รีบละล่ำละลักขอร้องแทนลูกตน “นายท่าน เมตตาลูกของข้าด้วย เขาขาดการยั้งคิด เพราะข้าสอนเขาไม่ดีพอ...”

มือเหี่ยวย่นยกขึ้นเป็นสัญญาณให้นางหยุดทุกถ้อยคำ “เจ้าสอนเขาดีแล้วมารียา แต่หากเขาไม่อยากได้ดี ต่อให้สอนเท่าไรก็เหมือนน้ำรดตอ ไร้ประโยชน์”

สายตาดูแคลนที่ปรายมาทำให้เหนือเมฆโต้กลับอย่างเหลืออด “ไม่ต้องไปขอร้องพวกมันหรอกแม่ คนอย่างพวกมันควรได้รับคำสาปแช่งมากกว่า”

“เหนือ!”

นางมารียาตวาดผู้เป็นลูก อย่าชักใบให้เรือเสีย เพียงแค่คิดว่าลูกของนางต้องถูกพาไปทรมานที่ลานขาว ใจนางก็จะขาดอยู่รอมร่อ หลังจากสามีและลูกชายคนโตตายไป นางก็เหลือเหนือเมฆอยู่เพียงคนเดียวที่วาดหวังว่าในวันหน้าอาจได้พึ่งพาอาศัย แต่ตอนนี้นางกลับต้องมาเผาศพลูกอีกคนหรือ สวรรค์อย่าโหดร้ายกับนางนักเลย

“บาปหนาเหลือเกินนะเจ้าเหนือ แม่เอ็งรักเอ็งแค่ไหนเคยมองเห็นบ้างไหม เจ็บป่วยแทบไม่มีแรงแต่ดั้นด้นขึ้นมาหาเอ็งถึงที่นี่”
คนสนิทของนายลามุเอ่ยขึ้นมา ซึ่งนางมารียาก็รีบปราม

“พี่รงค์”

เหนือเมฆที่ตงิดใจกับคำพูดคนสนิทของนายลามุ ทั้งท่าทีของมารดาที่ไม่อยากให้ฝ่ายนั้นพูด ทำให้เขาเอ่ยถามมารดาอย่างร้อนใจ “แม่ แม่เป็นอะไร?”

“เปล่า โรคคนแก่ทั่วไป เหนือไม่ต้องสนใจหรอก เพราะต่อให้เหนือหันกลับมาสนใจแม่ตอนนี้ มันคงสายไปแล้ว เพราะเหนือคงไม่ได้กลับมาอยู่กับแม่แล้ว” ที่สุดแล้วนางก็ร้องไห้ออกมา ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็งต่อหน้าลูกแล้วทีเดียว

เหนือเมฆตกใจเมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาร้องไห้ร้องห่ม เขาทำให้ท่านร้องไห้มาหลายหน แต่ครั้งนี้รู้สึกผิดมากกว่าครั้งไหน เขาอยู่ในนี้ ถูกจองจำ แม้อยากปลอบโยนก็ไม่ได้ จะเอื้อมมือออกไปหา มือนี้มันก็สกปรกเกินกว่าจะปลอบประโลมท่าน จะให้เขาทำเช่นไร

“ข้ายังให้โอกาสเจ้าถึงพรุ่งนี้ หวังว่าคราวนี้เจ้าจะเลือกถูกทางเสียที เหนือเมฆ”

นายลามุกล่าวทิ้งท้ายให้ชายหนุ่มได้คิดทบทวนก่อนจาก ขณะที่คนสนิทของเขาก็เอ่ยย้ำ

“คิดให้ดี”

ฝากไว้เท่านั้นแล้วก็เดินตามผู้เป็นนายไป ส่วนนางมารียาก็ถูกชายฉกรรจ์ผู้เฝ้าคุกมืดพยุงขึ้นมาแล้วพาออกไปจากที่แห่งนี้ มีเพียงอาหารที่นางนำมาเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ตรงหน้าเหนือเมฆ แสงจากคบไฟค่อยลดลงแล้ววูบหายเมื่อทุกคนเดินห่างออกไป ความเงียบงันโอบล้อมรอบกายเหนือเมฆอีกหน เขาได้แต่สับสน ไม่รู้จะทำอย่างไร ความแค้นที่ฝังแน่นในใจจะให้ตัดออกไปมันก็ไม่ขาด แต่ความห่วงใยที่มีต่อมารดาก็มากล้น อยากกลับไปดูแล แต่เขาทนอ้อนวอนศัตรูไม่ได้

“โว้ย!!!”

กำปั้นหนัก ๆ ทุบผนังห้องขัง ตีอกชกหัวด้วยความคับข้องก่อนจะทรุดนั่งลงบนพื้นที่ชื้นแฉะ สมเพชตัวเองเหลือเกินที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ความแค้นที่หยั่งรากลึกในจิตใจมาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่เคยมีวันไหนเลยที่เขาจะมีความสุขได้อย่างแท้จริง คิดแต่เคียดแค้นชิงชังจนไม่ได้หันกลับมามองมารดาผู้เกื้อหนุนอุ้มชู จนในตอนนี้มันกำลังจะสายไป สายเกินกว่าที่เขาจะกลับตัวกลับใจได้ทัน


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :z2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5


โรงพยาบาลประจำเกาะศิลาในยามเช้าตรู่ ร่างสูงใหญ่ตรงมาที่นี่โดยมีลูห์เดินมาด้วยกัน เมื่อมาถึง สายตาคมก็กวาดมองโดยรอบ เห็นลุงหลงกำลังกวาดใบไม้อยู่ด้านหนึ่งของโรงพยาบาลแต่กลับไม่เห็นใครอีกคนอยู่แถวนี้ เมื่อมองหาแล้วไร้ซึ่งวี่แวว หัวคิ้วเข้มก็ขมวด หรือจะอยู่ที่บ้านพัก?

หึ

หัวคิ้วสายลมยิ่งขมวดหนักเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นข้างกาย ปรายมองลูห์แล้วก็ได้แต่กัดฟัน เมื่อครู่เสียงมันหัวเราะเยาะเขาใช่ไหม เจ้านี่ ไม่ทันไรก็ย้ายข้างแล้วหรือ

สายลมโคลงศีรษะ เลิกคิดวุ่นวายก่อนจะก้าวเข้าไปในตัวอาคารของโรงพยาบาล พร้อมบอกตนเองว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อทำแผล แค่มาทำแผลเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มตรงมาที่ห้องทำงานของหมอปลายฟ้า เปิดประตูเข้ามาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนในห้อง สายตาไล่มองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าหนูรูสตัวผอมในชุดผู้ช่วยสีฟ้าอ่อน ใส่หน้ากากอนามัยปิดปาก โผล่มาแค่ตากลม ๆ ให้เขาได้มองสบ เห็นแบบนั้นแล้วสายลมก็กลั้นยิ้ม ตีหน้านิ่งเมื่อเอ่ยทักออกไป

“ทำอะไรอยู่?”

คนถูกทักอึกอัก ทำตัวไม่ถูกเมื่อกายกำยำก้าวเข้ามาใกล้ ไม่ได้เห็นหน้ากันแค่วันเดียวกลับรู้สึกประดักประเดิดแบบนี้ไปได้อย่างไรไม่รู้ซี

“อ้าว นายน้อย” เสียงทักจากหน้าห้องทำให้สายลมหันไปมอง “วันนี้ลมอะไรหอบมาครับนี่?”

หมอปลายฟ้าที่เพิ่งกลับจากการเดินตรวจคนไข้เอ่ยทายทัก ก่อนจะสะดุดกับผ้ากอซที่สายลมใช้ปิดที่แขนเยื้องไปทางหัวไหล่ ร่างสูงก้าวเข้ามาหาพร้อมถามไถ่

“แขนเป็นอะไรครับ?”

เมื่อหมอเอ่ยทัก รูสถึงเพิ่งสังเกต ตากลมเบิกโต รีบเข้ามาดู แต่เมื่อเงยมองสายลมแล้วกลับชะงัก ค่อยถอยออกไปยืนที่เดิม ให้คุณหมอปลายฟ้าได้ดูอาการคนตัวโต

“เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อย” สายลมบอกกับหมอ ขณะที่สายตายังมองเด็กดื้อที่ขยับออกไปยืนห่างจากเขา

หมอปลายฟ้าค่อยแกะผ้ากอซเปิดดูแผล ผิวเนื้อรอบแผลคล้ายมีรอยไหม้หน่อย ๆ แต่โดยรวมแล้วแผลไม่ได้ลึกมาก รูสที่ชะเง้อมามองด้วยความอยากรู้ เมื่อเห็นแล้วก็แขยง ไม่กล้าเข้าไปใกล้

“รูส”

เสียงเรียกจากคุณหมอทำให้เจ้าหนูสะดุ้ง คนกำลังกลัว

“ไปตามพยาบาลสุรีย์มาทำแผลให้นายน้อยหน่อยไป”

หนุ่มน้อยพยักหน้ารับก่อนรีบออกจากห้องไปทำตามที่คุณหมอสั่ง สายลมมองตามแล้วมุ่นคิ้ว

“ให้เขาไปตาม จะคุยกันรู้เรื่องเหรอ?”

“คิดว่าไงล่ะ?” หมอปลายฟ้าย้อนถามกลับมาพร้อมรอยยิ้มขัน

รอเพียงไม่นาน พยาบาลที่ให้รูสไปตามก็เข้ามาฉีดยากันบาดทะยักและทำแผลให้สายลม โดยมีรูสคอยยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อส่งเครื่องไม้เครื่องมือให้ เจ้าตัวเล็กมันพยายามไม่มองแผล ก้มมองแต่อุปกรณ์บนรถเข็นแล้วหยิบให้นางพยาบาลตามที่เธอบอก ทำให้ไม่เห็นว่าสายลมมองมาอยู่ตลอด จนกระทั่งทำแผลเสร็จ

อุปกรณ์ทำแผลถูกเก็บจนเรียบร้อย เมื่อพยาบาลสาวเข็นรถออกจากห้องไป รูสก็จะตามออกไปด้วย แต่มือของคนเจ็บกลับเอื้อมมาคว้าข้อมือ ทำให้กายผอมชะงัก ค่อยหันมามองคนจับที่นั่งทำหน้าพิกล

บังเกิดความเงียบเมื่อไม่มีใครคิดที่จะพูดอะไรขึ้นมาก่อน สายลมเองก็ไม่รู้ว่าเด็กมันกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อจู่ ๆ เขาก็คว้าแขนไว้แบบนี้ ปรกติก็ต้องมองปากเวลาเด็กพูดอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นแต่ลูกกะตา แล้วจะคุยกันรู้เรื่องไหมนี่

หมอปลายฟ้ามองสองหนุ่มที่พากันเงียบเป็นเป่าสากแล้วก็ยิ้ม ปรกติแผลแค่นี้สายลมเคยมาโรงพยาบาลเสียที่ไหน ทั้งที่เขาบอกแล้วบอกอีกว่าให้มาทำที่โรงพยาบาลก็ไม่เคยมา จนเขาต้องไปทำให้ที่กระท่อมโน่น แต่วันนี้ที่มาได้ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไรนัก เพราะเห็นอยู่ว่าจุดประสงค์หลักไม่ได้อยู่ที่แผล แต่เป็นคน

ร่างสูงผุดลุกพร้อมแฟ้มในมือ เพิ่งกลับเข้ามา แต่คงต้องออกไปอีกสักรอบแล้วกระมัง

“วันนี้พักก่อนก็ได้นะรูส งานไม่ได้มีอะไรมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาช่วยพยาบาลสุรีย์จัดของตอนเช้า” เอ่ยบอกเด็กตัวผอม ซึ่งอีกฝ่ายก็เงยขึ้นมามองเขาแล้วทำหน้างง

“หมออนุญาตให้พัก” เขาบอกซ้ำ

รูสทำหน้าเซ็ง เขากะว่าจะทำงานในโรงพยาบาลทั้งวัน ช่วยงานบิดาก็ไม่ได้เพราะท่านไม่ให้ไปทำงานตากแดดตากลม เลยมาของานหมอปลายฟ้าทำ เพิ่งเริ่มทำไปนิดเดียวก็ให้เลิกแล้ว โธ่เอ๊ย เขานี่มันไม่ได้เรื่องเลย

“นายน้อยก็ไปรับยาที่เคาน์เตอร์แล้วกลับไปพักซะนะครับ ส่วนแผล สักสองสามวันค่อยมาทำใหม่ พยาบาลเขาติดพลาสเตอร์ป้องกันน้ำไว้แล้ว แกะบ่อยนักเดี๋ยวเชื้อโรคเข้า”

“อ้อ ขอบคุณครับหมอ”

หมอปลายฟ้าพยักหน้ารับ “เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวไปตรวจคนไข้ต่อ ออกจากห้องแล้วอย่าลืมล็อกประตูให้ด้วยนะครับนายน้อย”

ว่าแล้วคุณหมอหนุ่มก็ยิ้มมุมปาก ก่อนจะออกจากห้องไป สายลมส่ายหน้า ได้ทีล่ะล้อเลียนเขาใหญ่เชียวนะหมอ ละสายตาจากหมอปลายฟ้าแล้วสายลมก็หันกลับมาหารูส มือยังไม่ปล่อยแขนเรียวให้เป็นอิสระแต่ประการใด

“เป็นไงบ้าง มาอยู่ที่นี่... ดีไหม?”

รูสพยักหน้า สายลมจึงว่าเสียงเบา

“ก็ดีแล้ว...”

เมื่อได้รู้ว่าเด็กมันมีความสุขดี สายลมก็เงียบ แขนที่เขาจับอยู่ขยับเบา ๆ คล้ายจะบิดออก อุ้งมือใหญ่เผลอกำแน่นเข้าทำให้เด็กนิ่วหน้า มืออีกข้างวางทับมือของเขาเพื่อเตือนว่าทำตนเองเจ็บ

สายลมเงยขึ้นมองสบตากลม ก่อนบอก “พอเธอไม่อยู่แล้วมัน...”

อยากจะพูด แต่กลับพูดไม่ออก อะไรมันค้ำคออยู่ไม่รู้ สายลมได้แต่หงุดหงิดตัวเองอยู่อย่างนั้น

รูสยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อจากนั้นก็แกะมือที่จับแขนตนออก ก่อนจะจับมันหงายขึ้น นิ้วเรียวค่อยแตะลงบนฝ่ามือใหญ่ เจ้าของฝ่ามือมองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหลุบสายตาลงมองนิ้วที่เขียนอะไรบางอย่างบนฝ่ามือ

‘รูส’

“......” เพียงคำแรก คิ้วสายลมก็ขมวด

‘คิดถึง’

“.......”

‘มาก’

สายลมนิ่งไปกับสิ่งที่เด็กมันเขียนบอก ใบหน้าคร้ามคมค่อยเงยมองเด็กตรงหน้า มือเอื้อมไปรั้งผ้าที่เด็กใช้ปิดปากลงมาเพื่อที่จะได้มองหน้าให้ชัด ๆ ตากลมมองสบกับเขา แก้มใสขึ้นสีระเรื่อเมื่อเอ่ยบอก

‘เมื่อคืนนอนไม่หลับ...’

“......”

‘รูสว่าคงเพราะไม่ได้กอดสายลมแน่เลย...!’

ตัวบางปลิวตามแรงรั้งเมื่อร่างสูงใหญ่ผุดลุกแล้วพาเด็กติดมือมา รูสแทบก้าวขาตามไม่ทันเพราะอีกคนไม่พูดพร่ำทำเพลง นึกจะไปก็ไป พาให้เด็กมันมึนงงเพราะตามอารมณ์ไม่ทัน

สายลมพารูสไปหาลุงหลงที่หน้าโรงพยาบาล ลุงแกนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ ลูห์ เมื่อนายน้อยพาลูกของแกมาหยุดตรงหน้า ลุงหลงก็เลิกคิ้วงง ๆ มองมือของทั้งคู่ที่กุมกันแล้วจึงเงยขึ้นมองหน้านายน้อยเชิงถาม

“ผมจะมาขออนุญาต”

“...?”

“อยากให้รูสกลับไปอยู่กับผม เพราะผมกลัวว่ารูสจะไม่ปลอดภัย”

สายลมเริ่มประโยคด้วยสีหน้าแลดูจริงจัง แต่ข้ออ้างที่นำมาใช้กลับทำให้เขาอยากกัดลิ้นตัวเองตายเสียเดี๋ยวนี้ ไม่มีข้ออ้างที่ดีกว่านี้แล้วหรืออย่างไรนายน้อยแห่งเกาะศิลา

“จากอะไรครับ?” ลุงหลงถามกลับไป ไม่แสดงอาการใดให้สายลมจับความรู้สึกได้

“คนที่จ้องจะเล่นงานผมอยู่” ชายหนุ่มตัวโตตอบอย่างรวดเร็ว

“แล้วกลับไปอยู่กับนายน้อยจะไม่อันตรายกว่าเหรอครับ พวกนั้นมันจะไม่นึกว่ารูสสำคัญต่อนายน้อยมาก และหาทางทำร้ายรูสเอาเหรอ?” อีกฝ่ายหยั่งเชิง

“เรื่องนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น” สายลมตอบกลับแน่นหนัก

“ที่จริงผมก็กังวลอยู่เหมือนกันถึงได้พารูสมาอยู่ที่นี่ อยากให้รูสเป็นเด็กธรรมดาที่ศัตรูของนายน้อยมองผ่านเลยไป ไม่ใช่เป็นคนที่สำคัญกับนายน้อยจนต้องจ้องจะทำลาย”

สายลมสะอึกกับสิ่งที่ลุงหลงพูด โต้แย้งไม่ได้ ปฏิเสธยังลำบาก เมื่อเขาแสดงออกให้เห็นว่ารูสสำคัญกับเขาจริง ๆ ภัยมันจะมาหารูสก็เพราะเขา

มองท่าทางของนายน้อยแล้วลุงหลงก็ถอนใจเบา ก่อนหันมาทางลูกของตนเพื่อถามความคิดเห็นบ้าง “รูสล่ะ อยากไปอยู่กับนายน้อยเหมือนเดิมไหม?”

รูสชะงักเมื่อถูกถาม ตากลมมองบิดาตนก่อนเงยมองสายลมที่ยืนอยู่ข้างกาย มือเรียวกระชับมือสายลมที่กุมกันอยู่ เพียงเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดแล้ว

มือกร้านเอื้อมมาลูบหัวลูกชายเบา ๆ เมื่อลูกอยากกลับไป แกก็ไม่อยากห้าม เพียงแต่สอนสั่ง “อย่าดื้อกับนายน้อยนะรูส นายน้อยมีเมตตากับเรา เราก็ต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังเขา รู้ไหม?”

เด็กพยักหน้ารับคำ ปล่อยมือสายลมแล้วเข้าไปกอดบิดาอย่างขอบคุณพร้อมออดอ้อน

“ฝากเจ้าดื้อมันด้วยครับ นายน้อย” ลุงหลงหันมาพูดกับสายลม

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะดูแลให้ดี”

ชายสูงวัยพยักหน้าพอใจ หวังว่าแกจะฝากฝังถูกคน ต่อจากนี้หากต้องตายไป แกก็คงตายตาหลับ ไม่ต้องห่วงใยรูสว่าในภายภาคหน้าจะอยู่อย่างไร เมื่อมีคนคนนี้คอยดูแล แกก็เบาใจไปเปาะหนึ่ง

“ผมจะพาเขามาหาลุงบ่อย ๆ” สายลมบอก ชักรู้สึกผิดที่มาพารูสไปจากแก

“ไม่ต้อง ๆ ว่าง ๆ ผมเดินไปหาเองก็ได้ ไม่ได้ไกลอะไรมากมายนัก เดินจนชินแล้ว” แกหัวเราะ ไม่ได้ถือสาอะไร

รูสมองบิดาแล้วเข้าไปกระซิบก่อนผละออกมา

ลุงหลงยิ้ม ก่อนว่า “เอาอย่างนั้นก็ได้”

เมื่อบิดาเห็นด้วย รูสก็ยิ้ม รู้กันอยู่สองคน เหมือนสายลมจะถูกลอยแพ ลุงหลงจึงบอก

“เจ้าดื้อมันอยากมาหา บอกจะขอให้ลูห์มาเป็นเพื่อน” ว่าพลางหัวเราะ “ไม่ถามความเห็นลูห์เลยนะ”

เด็กดื้อฉีกยิ้ม ลูห์ใจดีจะตาย เนอะ หันไปพยักพเยิดกับลูห์ แต่มันดันเบือนหนีเฉย เด็กทำปากยื่น ไม่รับมุกเลย ลูห์นี่

เมื่อคุยกันเข้าใจแล้วสายลมจึงพาเด็กไปเก็บของย้ายกลับกระท่อมน้อย เขาท่าจะอาการหนัก ห่างกันวันเดียวก็มารับกลับเสียแล้ว เรื่องนี้อย่าให้เซย์รู้เชียว ได้โดนล้อยันแก่แน่แท้ทีเดียว



“หมอคงคิดถึงรูสแย่”

เมื่อพาเด็กมาลา หมอปลายฟ้าก็แกล้งเย้า รูสยิ้มเขิน ก่อนตอบไปว่าตนเองก็คิดถึงหมอเหมือนกัน นั่นทำให้คนตัวโตข้างกายกระแอมกระไอขัดขึ้นมา เจ้าหนูเลยหันมามองด้วยท่าทางสงสัยว่ามีอะไรติดคอ

“โรงพยาบาลก็ไม่ได้ไกลนัก จะไปมาหาสู่กันคงไม่ยากนักหรอกครับ หมอ”

“ทำหวงนะนายน้อย เหมือนเป็นพ่อรูสเลย” หมอปลายฟ้ายิ้มขำ ขณะที่สายลมชะงัก... พ่อเลยหรือ?

“อืม จะว่าไปแล้ว หมอก็เป็นพ่อรูสได้เลยนะนี่ ห่างกันเกือบสองรอบแหนะ”

คุณหมอหนุ่มยังมิวายเย้าหยอก เด็กมันก็ยิ้ม ไม่รู้เรื่องรู้ราว ส่วนสายลมที่โดนคำว่าพ่อทำร้ายไปเต็ม ๆ ถึงกับสะอึก อย่าว่าแต่หมอเลย เขาก็ห่างกับรูสตั้งสิบห้าปี ให้ตายเถอะ

“ไปรูส ฉันปวดแผล อยากกลับไปพักผ่อน”

ชายหนุ่มเอ่ยชวนเพื่อตัดบทสนทนา เมื่อได้ยินว่าสายลมปวดแผล เด็กดื้อก็หน้าตาตื่น หันมาไหว้ลาหมอปลายฟ้าก่อนจะดันหลังสายลมให้รีบเดิน กลับถึงกระท่อมจะได้พักผ่อน



กระท่อมน้อยริมเล

กล่องไม้ถูกนำมาวางเก็บไว้ที่เดิม รูสเปิดดูของข้างใน เมื่อเห็นว่ามันอยู่ครบทุกชิ้นก็ยิ้มแล้วปิดฝากล่องลง กายผอมยืดตัวยืนขึ้น มองห้องหับที่เคยนอน เมื่อได้กลับมาแล้วก็รู้สึกอุ่นใจไม่น้อย ที่ที่คุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยเสมอ กระท่อมน้อยของสายลม

หลังจากเก็บของที่เอากลับมาด้วยเสร็จแล้วรูสก็ออกมาด้านนอก หยุดเท้าอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นว่าสายลมนอนหลับอยู่บนเสื่อ ตัวบางกลับเข้าไปหยิบหมอนมารองศีรษะให้ ก่อนโน้มตัวลงแล้วนอนราบกับพื้นไม้ เท้าคางมองสายลมหลับแล้วอมยิ้ม

ขนตาสายลมยาวเป็นแพ คิ้วก็เข้ม จมูกก็โด่ง เครื่องเคราบนหน้าตาดูรับกันไปหมด คิด ๆ ไปแล้วก็อยากเห็นตอนสายลมตัดผมบ้าง อยากรู้ว่าหน้าตาจะเป็นแบบไหน จะยังคมเข้มเหมือนตอนเป็นไอ้หนุ่มผมยาวไหมหนอ

ลมเอื่อย ๆ พัดมาจากทะเล อากาศน่านอนเสียเหลือเกิน พอมองคนตัวโตที่หลับไปแล้วคนมองก็เริ่มเคลิ้มตาม ค่อยพลิกกายนอนตะแคง ซุกตัวกับอ้อมแขนแข็งแรงแล้วค่อยผล็อยหลับไปด้วยความรู้สึกปลอดภัยไร้กังวล



ท้องทะเลสีครามคลื่นลมสงบ มีเพียงระลอกคลื่นเล็ก ๆ ที่กระจายตัวเป็นฟองเมื่อกระทบฝั่ง พรางคลื่นลูกใหญ่ที่ก่อตัวอยู่ใต้น้ำ... รอเวลาซัดโหม




TBC



บวกขอบคุณทั้งสองท่านที่แวะมาค่ะ  :L2:

- คุณ Kunt มันคือเรื่องจริงค่ะ ไม่ได้คิดไปเองแต่อย่างใด 55555
-คุณดาวลูกไก่ ขอบคุณนะคะ  :กอด1:


ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1

ขอบคุณคุณ wanmai
พาน้องรูสกลับมาให้ได้อ่านกัน
 :L2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๘ คลื่นลม



เพล้ง!!

เสียงจานหล่นกระทบพื้นไม้จนแตกเป็นเสี่ยงทำให้สายลมรีบขึ้นมาหาเด็กที่ยืนสั่นอยู่บนกระท่อม ปลายเท้าเกลื่อนไปด้วยเศษจาน ร่างสูงใหญ่เข้าไปหา รวบจับมือที่สั่นจนเขาแปลกใจ

“รูส”

เมื่อเขาเอ่ยเรียก เด็กก็ค่อยหันมาหา ทำหน้าราวกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ขณะที่มือก็ยังสั่นไม่หยุดแม้เขาจะกุมมันเอาไว้ก็ตาม

“ไม่เป็นไร แค่จานแตก เดี๋ยวฉันช่วยเก็บ” เขาปลอบ “ขยับไปตรงนั้นไป เดี๋ยวมันบาดเท้า”

รูสค่อยขยับห่างไปตามที่สายลมบอก ก่อนจะรูดตัวลงนั่งพิงราวระเบียง กุมมือตัวเองที่สั่นไม่หยุดเอาไว้แน่น ไม่ใช่เพราะตกใจกลัวที่จานมันแตก แต่มัน...

ฮื่อ

เสียงลูห์ดังขึ้นข้างหลังทำให้รูสหันไปมอง ลูห์รู้ใช่ไหมว่าเขาผิดปรกติ เรื่องราวหลายอย่างที่สายลมได้รู้และรับได้ แต่ต่อจากนี้ไปล่ะ หากเห็นว่าเขาแปลกไป จะยังรับได้ไหม?

“รูส”

เสียงเรียกของลุงหลงทำให้รูสมองเลยไปด้านหลังลูห์ เมื่อเห็นว่าบิดามาหา ร่างผอมก็ผุดลุก เขากำลังว้าวุ่นทำอะไรไม่ถูก อยากคุยกับบิดาเผื่อจะทำให้ใจเย็นลง แต่เพราะความรีบร้อนทำให้ไม่ทันระวัง เท้าเหยียบเศษจานที่ตัวเองทำแตกจนสะดุ้ง ต้องรีบถกขึ้นมาเพราะความเจ็บแปลบ สายลมหันมาเห็นก็รีบเข้ามาพยุงไว้

“บอกให้อยู่ตรงโน้นไง ดื้อจริง ๆ”

เขาดุ ค่อยพยุงให้เด็กนั่งลงที่เดิม รอยเลือดจากเท้าเด็กดื้อเปื้อนพื้นไม้ สายลมจึงพลิกฝ่าเท้าเรียวขึ้นดู เป็นขณะเดียวกันกับที่ลุงหลงก้าวขึ้นมาบนกระท่อม ชายสูงวัยมองเศษจานที่แตก ก่อนเดินเลี่ยงมาหาลูก

สายลมหาผ้ามาเช็ดเท้าเพื่อดูแผล รูสจะถกเท้าหนีแต่ถูกมือใหญ่จับไว้มั่น เลือดจากฝ่าเท้าค่อย ๆ หยุดไหลเมื่อสายลมเช็ดมันออก เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วลุงหลงก็นิ่งไป ทั้งที่เลือดออกเต็มเท้าแต่กลับไม่มีบาดแผลใดแม้แต่น้อย

“ลุงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”

ลุงหลงค่อยหันมามองเมื่อสายลมเอ่ยถามเสียงค่อนไปทางเครียดอยู่สักหน่อย นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ

“เพราะการทดลองของนายภิชาติใช่ไหม รูสถึงได้เป็นแบบนี้?”

“นายน้อยรู้จักดอกเตอร์ด้วยเหรอ?” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะแกยังไม่เคยบอกเรื่องนี้กับสายลมเลย

“รูสเป็นคนบอกว่าเขาถูกทำอะไรมาบ้าง”

สายลมตอบ ก่อนลุกไปตักน้ำที่ตุ่มมา บอกให้เด็กยื่นขาลอดช่องราวระเบียงมาให้ตนล้างเท้าที่เปรอะเปื้อน แต่เด็กมันแย่งขันไปล้างเอง สายลมจึงเดินอ้อมมาอีกด้านเพื่อขึ้นกระท่อม

“ผมผิดเอง” ลุงหลงว่า

ร่างสูงใหญ่ที่กลับขึ้นกระท่อมมาจึงบอก “ผมไม่ได้จะโทษลุง”

“ถึงอย่างนั้นความผิดมันก็เป็นของผม ที่พารูสไปพบเจอกับเรื่องแบบนั้น”

“เขาทำอะไร ร่างกายรูสถึงได้ผิดปรกติ?” สายลมเอ่ยถาม ขณะนั่งลงแล้วรั้งขาเด็กมาดูว่าล้างคราบเลือดสะอาดหรือยัง

“ผมก็ไม่รู้ แต่ที่รูสเป็นอยู่ไม่ใช่เพราะสารอะไรที่เขาฉีดเข้ามาในตัวรูสหรอกครับ นายน้อย”

“ความหมายของลุงคือ?”

“พวกเราไม่เหมือนคนอื่นมาตั้งแต่แรก และเพราะแบบนั้น ดอกเตอร์ถึงอยากได้ตัวรูสไปทำการทดลอง เพื่อหายีนส์พิเศษที่ทำให้รูสแตกต่างจากคนทั่วไป” ลุงหลงขยายความ

สีหน้าสายลมดูนิ่งเฉย ขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม มันหมดหรือยังเรื่องแปลกประหลาดพวกนี้ ชีวิตรูสมันช่างผกผันหลายตลบเหลือเกิน

“การทดลองนั่นก็อาจมีส่วนไปกระตุ้นให้บางอย่างในตัวรูสมันแสดงตัวออกมามากขึ้น... เช่นที่นายน้อยเห็น” ลุงแกบอกกล่าว
รูสนั่งอิงสายลม ฟังบิดากับสายลมคุยกันเรื่องของตนเอง สอดมือไปกุมมือใหญ่ แล้วนั่งเงียบเชียบอยู่แบบนั้น

“เรื่องวันเดือนดับล่ะ?”

ลุงหลงเลิกคิ้วกับคำถามจากนายน้อย ก่อนจะเบนสายตาไปมองรูส “เกิดอะไรขึ้นวันเดือนดับ?”

รูสหลบตาบิดา ไม่กล้าตอบคำถามเอง นิ้วเรียวสะกิดสายลมให้ช่วยพูด สายลมจึงบอก

“เดือนดับครั้งแรกหลังวันเกิด รูสจะมีอาการผิดปรกติ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ แถมนัยน์ตายังเป็นสีเพลิงด้วย”

“นัยน์ตาสีเพลิง...” ลุงหลงชะงัก หันมองลูกชายที่ช้อนสายตามองตนก่อนหลุบลงไปแล้วก็ถอนใจ “มีหลายอย่างที่ผมควรบอกนายน้อย แต่นายน้อยอาจจะคิดว่าผมบ้า”

“เกี่ยวกับรูสเหรอครับ?”

“เกี่ยวกับเราสองพ่อลูก ไม่ใช่แค่รูส”

“...?” หัวคิ้วเข้มขมวดปม ยังมีเรื่องลึกลับซับซ้อนมากกว่านี้อีกหรือ?



หาดทรายสีขาวตัดกับสีของน้ำทะเล รูสออกมาเล่นน้ำกับลูห์ ปล่อยให้สายลมคุยกับบิดาของตนอยู่ที่แคร่หน้ากระท่อม พวกเขาคงอยากคุยกันตามลำพัง สายลมที่คุยกับลุงหลงอยู่ก็คอยมองเด็กไม่ให้คลาดสายตา ถึงอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็กลัวว่าจะซนวิ่งลงน้ำลึกจนเกิดอันตราย

รูสโดดข้ามระลอกคลื่น วิ่งไปวิ่งมาอยู่คนเดียวก็เริ่มเบื่อ เท้าเรียวเตะน้ำทะเลไปมาก่อนนั่งลงใช้มือขุดทรายที่ถูกคลื่นซัด ลูห์เองก็ยืนเฝ้าอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน คอยสอดส่องดูรอบบริเวณเพื่อหาสิ่งผิดปรกติ เมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรจึงได้นั่งลงเฝ้ารูสแทน

รูสที่เริ่มเบื่อจัดการล้างทรายที่ติดมือ ก่อนหันมากวักมือเรียกลูห์ ซึ่งมันก็ยอมเดินมาหาเขาง่าย ๆ ร่างผอมจึงนั่งลงวางคางเกยบนหัวเข่า ก่อนพึมพำงึมงำ

“ลูห์ว่าสายลมจะเกลียดรูสไหม ถ้ารู้ว่ารูสแปลกไป...” เด็กพูดเสียงเบาราวกระซิบ สีหน้าดูเหงาหงอยบอกความรู้สึกที่มีได้เป็นอย่างดี

นัยน์ตาสีทองมองอยู่ครู่หนึ่งก็ขยับเข้ามาใช้จมูกดุนหน้าผากเด็ก รูสเงยขึ้นมองแล้วเอนตัวหนีลิ้นสากที่แลบเลียแก้มจนหงายหลังลงไป คลื่นที่ซัดมาทำให้ตัวเปียกไปหมด แต่เด็กน้อยก็ยังหัวเราะได้ ลูห์คงอยากปลอบใจ แต่เพราะพูดกันไม่ได้ถึงปลอบตามแบบฉบับของตัวเอง

“โอ๊ย!”

เสียงหัวเราะที่มีเปลี่ยนเป็นเสียงร้องเมื่อรู้สึกร้อนตรงกลางอกวูบหนึ่ง ลูห์ชะงัก มองเด็กที่นิ่วหน้าเหมือนจะเจ็บ ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นมารั้งคอเสื้อลงดู กลางอกเป็นรอยแดงจากจี้ห้อยคอ รูสประคองจี้ไว้ในในมือ มันยังร้อนวูบวาบจนรู้สึกได้

ลูห์มองแล้วก็หันไปส่งเสียงเรียกสายลม เสียงคำรามของมันทำให้ผู้เป็นนายลุกเดินมาหา เด็กที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในน้ำเงยขึ้นมามอง สีหน้าบิดเบ้เหมือนจะร้องไห้

“เจ็บ”

สายลมเลิกคิ้ว กายกำยำนั่งยองลงตรงหน้า จับมือที่กุมอยู่บนอกออกแล้วรั้งคอเสื้อเด็กลง คิ้วเข้มขมวดเมื่อเห็นรอยแดงตัดกับสีผิวขาวหยวกอย่างชัดเจน ไปทำอะไรมาล่ะนี่

“เล่นซนอะไรถึงได้แดงแบบนี้ หืม?” ร่างสูงใหญ่ขยับลุก ส่งมือให้เด็กจับแล้วรั้งขึ้นยืน

รูสลุกขึ้นมาแล้วส่ายหน้าพร้อมบอก “รูสเปล่า”

สายลมชะงัก ค่อยยิ้มในสีหน้า เพิ่งรู้สึกตัวว่าเด็กมันพูดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว “พูดได้แล้วนี่”

พอทักออกไปเด็กก็ตาโต ทำปากขมุบขมิบไม่รู้บ่นอะไร

“ไป กลับกระท่อม เดี๋ยวหายามาทาให้”

คว้ามือเรียวพาเดินกลับกระท่อม เด็กก็เดินตามมาอย่างว่าง่าย มืออีกข้างยังคงกำสร้อยคอเอาไว้แน่น สายลมปรายมองแล้วก็นึกถึงสิ่งที่ตนได้คุยกับลุงหลงเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา


‘รูสไม่ใช่ลูกผม’

คำแรกที่หลุดมาจากปากชายสูงวัยทำให้เขานิ่งงัน

‘แน่นอนว่าเขาไม่รู้ และผมคงไม่บอกเขา’ ลุงหลงยังว่าต่อ ขณะที่สายตาทอดมองไปยังรูสที่วิ่งเล่นอยู่ริมทะเล

‘ทำไม...?’ สายลมเอ่ยถาม เขายังมึนกับสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อครู่

ลุงหลงหันกลับมาหาคนถาม ถอนใจเบา ๆ ก่อนขยายความให้อีกฝ่ายได้รู้ในสิ่งที่ตนเองคิด ‘ถ้าเขารู้ว่าผมไม่ใช่พ่อของเขา นายน้อยคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไง ทุกคนรอบกายเขาไม่มีใครเกี่ยวพันกับเขาเลย ที่เข้มแข็งมาตลอดจนตอนนี้ มันคงไม่เหลือ’

‘...…’ สายลมเงียบ นั่นเขาพอจะเข้าใจ

‘ผมอยากให้มีใครสักคนมาดูแลเขาต่อจากผมที่ไม่ได้เรื่องได้ราว’ ชายสูงวัยเกริ่นขึ้นมา ‘หากคนนั้นคือนายน้อย... มันจะเป็นไปได้ไหมครับ?’

สายลมนิ่งไปเล็กน้อย มองชายสูงวัยตรงหน้าก่อนยื่นเงื่อนไข ‘ถ้าผมต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรูส... ทุกอย่างที่ไม่ใช่การปั้นแต่ง’

เขาเน้นย้ำ แน่ล่ะว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้รูสต้องเผชิญกับปัญหาดังเช่นที่ผ่านมา แต่เมื่อลุงหลงหมายมาดว่าเขาจะเป็นที่พึ่งของรูสในภายภาคหน้า เขาก็ควรมีสิทธิ์ที่จะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังทุกอย่างไม่ใช่หรือ

ลุงหลงถอนใจ แกคงเลี่ยงที่จะไม่พูดไม่บอกอะไรกับชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้แล้ว หากอยากที่จะให้สายลมช่วยเหลือก็ไม่ควรจะคิดปิดบังความจริง แกจึงตัดสินใจที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง

‘อยู่ที่นี่นายน้อยคงได้พบเจอเรื่องประหลาดมากมาย คงรู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเพ้อเจ้อ แท้จริงแล้วมันอาจมีอยู่’

ชายสูงวัยเกริ่นนำ ซึ่งสายลมก็เงียบฟังในสิ่งแกจะพูด

‘ผมพารูสออกมาจากหมู่บ้านเมื่อรูสยังแบเบาะ หมู่บ้านของเราไม่ต่างไปจากเกาะศิลา แต่มีสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้อยู่มากทีเดียว ความเชื่อเก่า ๆ ความลี้ลับ และสายเลือดที่แตกต่างจากคนภายนอก’

‘…...’

‘รูสเกิดจากการทำพิธีขอบุตรของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เมื่อเขาเกิดมากลับมีนัยน์ตาสีเพลิง แล้วที่แย่ไปกว่านั้น... ความงมงายมันทำให้คนกลายเป็นเดรัจฉาน’

สายลมนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง แม้ลุงหลงจะไม่ได้พูดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับรูสในเวลานั้น แต่เขากลับรับรู้ถึงความเจ็บปวดในเนื้อเสียง มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำเลย

‘แม่ของรูสคือน้องสาวของผมเอง’ ลุงหลงยังเล่าต่อ ‘เธอรักลูกของเธอ แต่ทนการกดดันจากคนในหมู่บ้านไม่ได้ ลูกของเธอกลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครต้องการ และก่อนที่มันจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับชีวิตบริสุทธิ์ ผมก็พารูสออกมาจากที่นั่น’

‘พ่อของรูสล่ะครับ?’ สายลมเอ่ยถามเมื่อเริ่มประติดประต่อเรื่องราวตามที่ลุงหลงเล่า

‘เพราะอยากปกป้องลูกถึงได้ยอมสละตำแหน่งที่มี แต่เรื่องมันไม่จบเมื่อยังถูกไล่ล่า ตอนนี้พ่อแม่ของรูสเป็นยังไงบ้างผมไม่รู้ เพราะผมพารูสแยกกันหนีตามคำขอของน้องสาว’

‘…...’ สายลมนิ่งเงียบ ความเลวร้ายในชีวิตของรูสไม่ได้เริ่มจากบ้านหลังนั้น แต่เป็นมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก มันโหดร้ายกับเด็กคนหนึ่งมากจนเกินไป

‘แล้วหลังจากนั้น... นายน้อยคงรู้จากรูสแล้ว’

ชายสูงวัยยิ้มหยันตัวเองเมื่อกล่าวจบ แกพาหลานหนีจากความไม่ยุติธรรมในหมู่บ้านของแกมา แต่กลับส่งหลานเข้าไปประสบพบเจอกับเรื่องที่ย่ำแย่เสียยิ่งกว่า รูสกลายเป็นหนูทดลอง ต้องพบเจอกับความกดดันรอบด้าน ช่างน่าสมเพชที่ดูแลเด็กตัวเล็ก ๆ ให้ดีไม่ได้

‘ฟังจากที่ลุงพูด คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ... ไม่อยากจะเชื่อ’ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สายลมจึงเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องมองรูสที่กำลังหยอกกับลูห์อยู่ที่ชายหาด

‘หึ’ ลุงหลงทำเสียงลงคอ พอเข้าใจในความรู้สึกของสายลม ชีวิตของพวกเขามันน่าตลก แต่เป็นตลกร้าย ร้ายจนแทบเอาชีวิตกันไม่รอด

‘แต่สิ่งที่ผมได้เจอกับตัวทำให้ไม่เชื่อไม่ได้’ สายลมยังว่าต่อ ‘สิ่งที่เราต้องทำจากนี้คือคอยประคับประคองเขา ผมเข้าใจที่ลุงไม่อยากบอกความจริง และผมจะไม่พูด’

‘รู้อย่างนี้แล้วนายน้อยคงไม่ถอดใจใช่ไหม?’ ชายสูงวัยเอ่ยถามไถ่ รู้สึกหวั่นใจทีเดียว ‘ผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่นำภาระมาให้ แต่... เมตตารูสด้วยเถอะนายน้อย มันไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ’



มือเรียวกระตุกแขน ทำให้สายลมหลุดจากภวังค์มามองหน้าเด็กข้างกาย ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองเขางง ๆ เมื่อเขาหยุดเดิน ตากลมก็มองมาอย่างมีคำถาม สายลมมองนัยน์ตาสีอำพันนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอก

“ไม่ต้องไปที่ไหนอีกแล้วนะรูส ต่อไปนี้... ฉันจะดูแลเธอเอง”

เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเปิดยิ้มจาง จับมือสายลมยกขึ้นมาขณะช้อนมอง พลางบอก “ขอบคุณ รูสก็จะดูแลสายลมเหมือนกัน”

คนตัวใหญ่หัวเราะในลำคอ โยกศีรษะทุยอย่างเอ็นดู ก่อนพาเดินไปหาลุงหลงที่หน้ากระท่อมโดยมีลูห์เดินตามหลังมาช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้ลุงหลงยิ้มอ่อน เห็นแบบนี้แกก็พอจะวางใจได้แล้ว หวังว่านายน้อยจะรักษาสัญญา วาดหวังเอาไว้ว่าชายคนนี้จะดูแลรูสให้ดีได้

สายลมชวนลุงหลงกินข้าวด้วยกันก่อนกลับ ที่โรงพยาบาลแกก็ยังเป็นลุงหลงที่ไม่เต็มบาทขาดอยู่สองสลึงคนเดิม แต่เมื่ออยู่กับพวกเขา แกก็ทำตัวปรกติ เรื่องของรูสมีคนรู้ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือนางสายใจ ผู้ที่ลุงหลงหมายปองต้องจิต นางพอเข้าใจที่ลุงหลงแกเคยมีลูกมีเต้า เพราะหากแกไม่บ้าใบ้ก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาพอดูได้ไม่อายใครคนหนึ่ง

ตั้งแต่กลับมาที่กระท่อมจนกระทั่งกินข้าวกันเสร็จ สายลมก็ยังไม่ได้ยินเสียงเจ้าเด็กดื้อมันสักน้อยนิด นึกจะพูดก็พูดให้เราดีใจเล่น แต่หลังจากนั้นก็กลับไปเงียบเหมือนเดิม จนไม่รู้ว่าตอนนี้กลับมาเป็นปรกติดีแล้วหรือยัง

เมื่อลุงหลงกลับไป สายลมจึงหายามาทารอยแดงที่อกให้เด็กมัน รูสจะแย่งไปทาเองแต่สายลมเบี่ยงหนี บังคับด้วยสายตาให้ถอดเสื้อออก แต่เด็กมันกลับขยุ้มคอเสื้อไว้แน่นพร้อมส่ายหน้าดื้อดึง มือหนาจึงเอื้อมไปจับข้อมือเล็กหมับ เด็กเบิกตาโตก่อนก้มลงจนอกชิดเข่า ไม่ยอมให้สายลมแตะ

“จะทายาให้” เขาว่า แต่เจ้าดื้อมันกลับยื่นมือมาขอยาไปทาเอง เห็นแล้วเขาก็อยากแกล้ง หวงตัวจริงเดี๋ยวนี้

ตั้งแต่พากลับมาจากโรงพยาบาล เด็กมันก็ไม่ค่อยจะยอมให้กอด มีบางครั้งเช่นเมื่อกลางวันที่เข้ามานั่งอิงเขาเหมือนจะอ้อน แต่พอรู้ตัวก็จะเว้นระยะห่างทันที เช่นเวลานี้ที่หวงตัวไม่ยอมให้เขาแตะ

“ฉันบอกจะทาให้ไง มือจะได้ไม่เลอะ” สายลมยังยืนกรานตามความประสงค์ของตน

รูสหน้ามุ่ยเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมส่งยามาให้ทั้งยังเล่นลิ้นอยู่นั่น รอยแค่นี้เดี๋ยวก็จางไปเองเหมือนแผลที่เท้านั่นล่ะ เขาไม่เอาก็ได้ ยาบ้าบอ

“อ้าว จะไปไหน?” รีบท้วงถามเมื่อกายผอมขยับลุก หางตาเด็กดื้อที่ตอนนี้คงเริ่มงอนปรายมองก่อนส่งค้อนให้เขาวงโตแล้วเดินเข้าห้องนอนไป

สายลมหน้ายุ่ง เดี๋ยวเด็กมันก็เข้ามาคลอเคลีย แต่อีกเดี๋ยวก็หนีห่าง พูดได้แต่ก็ไม่พูด พอโดนแกล้งหน่อยก็หน้าบูดหน้าบึ้ง คิดแล้วก็ปวดหัว เมียก็ยังไม่มี แต่ดันมีลูกชายวัยสิบหก... เออนะ แล้วเขาจะคิดให้ตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองทำไมว่าแก่จนเป็นพ่อเด็กมันได้แล้ว

ร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ด้านนอกพักหนึ่งก่อนลงไปเดินสำรวจรอบกระท่อมดังเช่นทุกวัน เมื่อกลับขึ้นมาก็ถือยาติดมือเข้าห้องไปด้วย แอบสงสัยอยู่ที่เด็กมันปิดประตูเงียบตั้งแต่เข้าห้องไปแล้ว แต่เพียงเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้าตัวเล็กมันสะดุ้งจนเห็นได้ชัด กำลังทำอะไรอยู่ถึงนั่งเสียตัวตรงแหนวขนาดนั้น

สายลมปิดประตูแล้วเข้ามานั่งลงด้านหน้าเด็กตัวบาง อีกฝ่ายนั่งทับขา ทั้งดึงชายเสื้อลงมาปิดช่วงต้นขาเอาไว้ เขาหรี่ตามองก่อนถามไถ่ว่าเป็นอะไร แต่เด็กมันก็ไม่ยอมบอก ทั้งยังกดมือกับต้นขาตัวเองอยู่แบบนั้นจนดูผิดปรกติ

นั่งมองเด็กขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่สักพักสายลมก็เอื้อมมือไปหา หมายจะจับมือที่กดชายเสื้อปิดต้นขาเอาไว้ออก แต่เจ้าดื้อก็รีบปัดมือเขาทันที กายผอมผงะถอยทำท่าจะหนี ทำให้สายลมเอื้อมไปจับขาไว้แล้วลากกลับมา เด็กมันดิ้นยกใหญ่เมื่อขาถูกรวบ

“อื้อออออ”

รูสได้แต่ครางประท้วง มือยังไม่ปล่อยชายเสื้อ ดึงรั้งจนมันจะยืดย้วย ขาเรียวเตะไปมาอยากให้สายลมปล่อย ทั้งส่งสายตาอ้อนวอน แต่สายลมกลับไม่ยอมปล่อย ใช้มือข้างหนึ่งรวบขาของรูสแล้วกดลงกับพื้น ส่วนอีกข้างก็ดึงข้อมือเล็กให้ปล่อยชายเสื้อออก

ปล้ำกันอยู่พักใหญ่สายลมถึงได้จัดการกดข้อมือของอีกฝ่ายไว้กับฟูกนอนจนสำเร็จ กายหนาคร่อมอยู่เหนือร่างกายของเด็กดื้อพลางหอบหายใจ เห็นตัวเล็ก ๆ แต่แรงเยอะใช่ย่อยเลยแฮะ

รูสทำท่าจะร้องไห้เมื่อดิ้นหนีไม่ได้ แต่สายลมมองแล้วกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าสงสาร แลดูน่าฟัดเสียมากกว่า

“เป็นอะไรทำไมไม่บอก หือ?”

รูสส่ายหน้าจนผมสะบัด ขาที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเผลอชันขึ้นมาทำให้สายลมเลื่อนสายตาลงไปมอง หน้าท้องแบนราบที่ขยับไหวตามจังหวะหายใจที่แปลกไปไม่ได้เรียกความสนใจจากเขาเท่าบางสิ่งที่กำลังตื่นตัว

ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อย เผลอจับจ้องมันนิ่ง รูสหน้าเบ้ เบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยความอับอายขายหน้าเป็นที่สุด สิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาก็คือสิ่งนี้ คราแรกรูสก็ตกใจ พอคิดจะควบคุมมันก็แสนลำบากจนรู้สึกว่าตัวเองผิดปรกติ รูสไม่รู้วิธีจัดการกับมัน ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งรู้สึกแปลก เวลาถูกสายลมกอดก็ไม่เหมือนเดิม อาบน้ำด้วยกันก็เผลอทำอะไรประหลาด บางครั้งคงทำให้สายลมรำคาญ แต่นั่นเขาไม่ได้ตั้งใจ

“อ๊ะ!!”

รูสสะดุ้งเมื่อความอ่อนไหวถูกสัมผัส ตากลมเบิกโตเมื่อหันกลับมามองสายลม แต่สายลมไม่ได้มองมาที่เขา สายตาคมกลับจับจ้องมือของตัวเองที่ค่อยลูบไล้กึ่งกลางกายผอมที่นูนเด่นผ่านเนื้อผ้า ใจรูสเต้นกระหน่ำกับสัมผัสจากมือร้อน ความรู้สึกประหลาดโจมตีจุดอ่อนไหว ยิ่งสายลมค่อย ๆ ปัดมือผ่านมันไป ร่างกายยิ่งตอบสนอง

ฟันคมกัดริมฝีปาก ปลายเท้าจิกฟูกนอนเมื่อมือสากลูบวนที่ท้องน้อย กางเกงที่สวมใส่ค่อย ๆ ถูกรูดรั้งจนพ้นสะโพก มือหนาลูบวนเค้นคลึงสะโพกกลมกลึง ก่อนไล้มาที่หน้าท้องและเลื่อนลงกอบกุมส่วนที่เต้นเร่ารอการสัมผัส มือเรียวป่ายมาตะปบต้นแขนแกร่ง ส่งเสียงในลำคอเมื่อความสากระคายของอุ้งมือใหญ่สัมผัสกับกายตน

“ไม่เป็นไรนะรูส ผ่อนคลายกว่านี้... เด็กดี”

ถึงอีกคนจะปลอบ แต่รูสกลับส่ายหน้า จะทำได้อย่างไรเมื่อความรู้สึกที่มีมันยังไม่หมดไป จะทำอย่างไร เขาทำไม่ได้ ทำไม่ได้...
สายลมรั้งแขนเรียวมาโอบรอบลำคอตน นิ้วแตะปลายคางบังคับให้ตากลมเงยมอง พร้อมกระซิบปลอบ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้กับเด็กวัยนี้ หรือแม้แต่เขาก็ไม่เว้น รูสต้องรู้จักวิธีรับมือกับมัน

“กอดฉันไว้ แล้วมันจะผ่านไป”

นัยน์ตาสีอำพันเต้นระริกไหว แขนกอดสายลมเอาไว้ตามที่บอก ก่อนหลับตาแน่นเมื่ออุ้งมือใหญ่ค่อยขยับช้า ๆ ความเสียวแปลบทำให้รูสตัวสั่น ซบหน้าผากกับต้นแขนแข็งแรงทั้งหนีบขาจนชิด

“แยกขาอีกหน่อย รูส...”

รูสยังนิ่งอยู่เป็นนานกว่าขาเรียวจะค่อย ๆ ยกแยกตามที่อีกคนบอก เสียงกระซิบสอนจากสายลมดังเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง มันอื้ออึงไปหมดเมื่อถูกกระตุ้นจากมือร้อน ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองว่าอีกคนกำลังทำอะไรกับร่างกายตน รับรู้เพียงสัมผัสปลุกเร้า มันอ่อนโยนแต่ก็ร้อนเร่าในคราวเดียวกัน แขนเรียวเหนี่ยวรั้งคอสายลมไว้ ช่องท้องบิดมวนจนต้องงอตัวเมื่อมือสากเร่งจังหวะขึ้นอีกนิด

“อึ่ก... ลม... สายลม...”

เสียงกระเส่าที่ดังอยู่ข้างหูพาสายลมเตลิด แขนแกร่งประคองแผ่นหลังเล็ก ขณะที่ใบหน้าเรียวซุกกับไหล่เขาทั้งครางในลำคอเมื่อเขาเร่งมือ สายลมกัดฟันเมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองกับภาพและเสียง ยิ่งสะโพกมนขยับยกไม่อยู่นิ่งจนแทบเกยขึ้นมาบนหน้าขาแกร่ง เขาก็ยิ่งต้องหักห้ามใจ

“ปล่อยตัวตามสบายรูส ไม่ต้องเกร็ง...”

นี่เสียงเขาหรือ ทำไมมันพร่าสั่นขนาดนี้ เขาคงต้องรีบจัดการให้มันเสร็จไป ไม่อย่างนั้นแล้วตัวเขาเองอาจคุมตัวเองไม่อยู่จนกดร่างน้อยในอ้อมแขนลงไปบนพื้น แล้วร่วมรักให้สมความปรารถนาที่มีอยู่เป็นแน่

“ส... สายลม... มัน... มัน...”

ขาเรียวหนีบเข้าหากันเมื่อความรู้สึกเสียวซ่านมันกระตุ้นให้เป็นไป ซุกหน้ากับซอกคอของสายลมทั้งหอบหายใจ ลมหายใจร้อนรุ่มที่รินรดทำให้สายลมกอดร่างเล็กแน่นขึ้นอีกนิด มือหนาขยับเร็วขึ้นอย่างไม่ตั้งใจจนกายผอมหยัดเกร็ง ฟันคมกัดไหล่เขาเพื่อสะกดกั้นความรู้สึกที่ไม่เคยพบเจอ

“ปล่อยมันรูส ไม่ต้องกลั้นไว้ ให้มันออกมา...” เขากระซิบบอก รับรู้ถึงความเครียดเกร็งของร่างกายเด็กด้อยเดียงสาผ่านอุ้งมือตน

เล็บมนจิกไหล่กว้าง สะอื้นหนักทั้งบิดกายเร่า มือหนารูดรั้งจนสะโพกขาวยกลอย ก่อนจะปลดปล่อยความรู้สึกที่เก็บกักเอาไว้ออกมาในที่สุด

ตัวบางสั่นเป็นลูกนกอยู่ในอ้อมแขนของสายลม เกร็งยะเยือกหลายครั้งเมื่อมือของเขายังรีดเค้นจนกระทั่งความร้อนรุ่มค่อยคลายตัว เสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหู สายลมผ่อนลมหายใจช้า ๆ พร้อมลูบหลังลูบไหล่ปลอบเด็กน้อย มืออีกข้างเผลอลูบต้นขาเนียนจนมันเลอะเปรอะตามมือของตนไปด้วย ขณะที่ริมฝีปากหยักกดจูบกลุ่มผมนุ่มซ้ำ ๆ ก่อนจะดันไหล่มนออกอย่างเบามือ

รูสขยับขาเข้าชิดกันเมื่อถอยห่างจากอ้อมแขนแกร่ง นั่งพับเพียบเสียเรียบร้อย ทั้งก้มหน้าไม่กล้าสบตาสายลมเพราะความอาย มันไม่ได้ร้อนแค่หน้า แต่มันลามมาทั้งตัว ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อนในสถานการณ์แสนประดักประเดิด จนเมื่อร่างสูงใหญ่ลุกออกจากห้องไป รูสจึงคว้ากางเกงที่กองอยู่ปลายเท้ามาสวม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคราบเลอะที่ต้นขาของตนเอง เด็กน้อยเม้มปาก หน้าร้อนจนจะไหม้แล้วตอนนี้

เสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังมาเข้าหูสายลมที่นั่งสงบจิตสงบใจอยู่ข้างลานอาบน้ำ เมื่อหันไปมองก็เห็นเด็กกำลังขยี้ผ้าในกะละมัง พอเงยมาสบตากับเขา เจ้าหนูมันก็รีบก้มงุด ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มก่อนหันกลับ ปล่อยให้เด็กซักผ้าไปจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยถึงได้เดินตามกันขึ้นกระท่อมมา

รูสยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตู ก้มมองแต่ปลายเท้าของตัวเองไม่กล้าเข้าห้อง ทำให้สายลมที่เดินเข้าไปด้านในต้องหยุดเท้าแล้วหันมามอง ก่อนเรียกด้วยน้ำเสียงปรกติไร้แววล้อเลียนให้ได้อาย

“ง่วงแล้วรูส มานอนเร็ว”

รูสเงยมองคนเรียก เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่จึงทำให้ค่อยคลายใจ แต่นั่นไม่ได้ลดความเขินอายที่มีลงไปแม้แต่น้อย เมื่อเข้ามานอนแล้วแขนแข็งแรงพาดกอด รูสก็นอนตัวเกร็งจนคนกอดรู้สึกได้

สายลมยกแขนถอยกลับมา ก่อนจะพลิกกายนอนหงาย ไม่แตะต้องเด็กมันอีก คราวนี้จึงเป็นรูสเองที่ขยับเข้าไปกอด กลัวสายลมโกรธที่ทำตัวมีปัญหา แถมยังให้ช่วยในเรื่องที่ไม่สมควรด้วย ตัวผอมบางขยับมาจนชิดกายกำยำ ดันตัวขึ้นอีกนิดก่อนกระซิบเบา

“สายลม อย่าโกรธรูสนะ รูสไม่ตั้งใจ...”

น้ำเสียงอ้อนออดจนคนฟังทนใจแข็งไม่ได้ กายหนาตะแคงมาหา เมื่อมองสบตากลม อีกฝ่ายก็หลุบสายตาลงต่ำ แก้มแดงเรื่อน่าเอ็นดู มือเอื้อมเชยคางมนขึ้นมา พร้อมบอกเสียงทุ้มนุ่ม

“ไม่โกรธ ถ้ายอมให้กอด” สายลมซ่อนยิ้ม เขามันช่างเจ้าเล่ห์ รู้ตัวเลย

ได้ฟังเช่นนั้นเด็กก็ยิ่งหน้าแดง แต่ก็ยอมให้เขากอดแต่โดยดี ทั้งคู่ค่อยผล็อยหลับด้วยความรู้สึกที่แปลกไป และจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาอีกนิด


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai5:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

ความมืดมิดภายในที่คุมขังทำให้ร่างที่นั่งพิงลูกกรงเหล็กได้ยินเพียงเสียงก้าวเดินของใครบางคน แต่ไม่อาจมองเห็น ผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ห้องข้างกันนั้นต่างหวาดกลัว แต่เขากลับรู้สึกหมดอาลัยตายอยากจนไม่อนาทรหากจะมีสิ่งใดย่างกรายเข้ามาใกล้ จนกระทั่งปลายเท้าของใครคนนั้นก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องคุมขัง ชายผู้นั่งพิงลูกกรงเหล็กก็ยังคงนิ่งเฉย

สัมผัสเย็นเยียบของบางสิ่งพาดผ่านลำคอ ก่อนที่มันจะตวัดรัดรึงจนดึงอากาศหายใจไปจากปอด ความเจ็บปวดจากวัตถุที่รัดรั้งลำคอทำให้ชายหนุ่มดิ้นรนตามสัญชาตญาณ มือข้างหนึ่งป่ายปัดคว้าลูกกรงเหล็ก ขณะที่อีกข้างพยายามรั้งเส้นสายที่รัดคอตนให้คลายออก แต่กลับไม่เป็นผล เสียงแผ่นหลังกว้างกระแทกเหล็กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของคุกมืดอยู่หลายหน ก่อนที่ลมหายใจจะขาดห้วง สิ่งที่รัดคอของเขาอยู่กลับหยุดการเคลื่อนไหว พร้อม ๆ กับเสียงขึ้นไกปืนที่ดังแทรกเข้ามาในมโนสำนึก

แกร๊ก

ปลายกระบอกปืนที่ถูกถือเอาไว้มั่นกดแนบศีรษะของคนในเงามืด คบไฟจากใครอีกคนถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่าง ร่างตะคุ่มในมุมมืดนั้นค่อยยกมือระดับอกเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนลุกขึ้นมาช้า ๆ ปล่อยให้ร่างในห้องคุมขังเอียงกระเท่ห์เร่จนล้มลงไปทั้งไอโขลก

แสงไฟที่สาดส่องทำให้มองเห็นหน้าของผู้ที่เข้ามาทำร้ายคนในคุกมืดได้อย่างชัดเจน รวมทั้งผู้ที่ถือปืนเล็งมาก็ด้วย นัยน์ตาสีนิลจับจ้องคนตรงหน้าไม่วาง สายลมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่นึกว่ามันจะเร็วปานนี้ ดีที่เขาเตรียมรับมือเอาไว้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นเหนือเมฆคงไม่รอดมาบอกความจริงทุกอย่างกับเขา สิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่อย่างคือเรื่องที่คนร้ายลงมือในวันนี้ ทั้งที่น่าจะปล่อยให้พวกเขาชะล่าใจแล้วค่อยจัดการกับเหนือเมฆเสียมากกว่า มันมีบางอย่างซ่อนอยู่หรือไม่ เขาไม่อาจแน่ใจ

คนของสายลมเข้าไปจับคนร้ายแล้วกดให้มือไขว้มาด้านหลัง ก่อนที่จะใช้เชือกมัดเอาไว้ ส่วนเหนือเมฆถูกนำตัวออกมาจากห้องขังเพื่อพาส่งโรงพยาบาล ที่ด้านหน้าคุกมืดนั้นคนเฝ้าต่างถูกรมยาจนสลบไสล ฟื้นคืนสติมาก็ยังมึนงงจนทำอะไรไม่ได้ สายลมจึงให้เวรยามอีกชุดมาผลัดเปลี่ยน ส่วนเขาจะพาคนร้ายที่ลอบเข้ามาเอาชีวิตเหนือเมฆไปสอบปากคำต่อหน้านายลามุ ไม่สามารถขังรวมกับคนอื่นที่นี่ได้ เมื่อยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของคนผู้นี้



กระท่อมน้อยริมเล

รูสได้แต่เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้ากระท่อม สายลมต้องไปทำธุระสำคัญ เขาจึงต้องอยู่กับลูห์ เป็นเด็กดีเชื่อฟังที่สายลมบอก แต่ใจกลับกระวนกระวายจนอยู่ไม่สุข ต้องลุกเดินชะเง้อชะแง้รอสายลมกลับมา

ร่างผอมนั่งลงบนแคร่ข้างลูห์ หันไปมองสัตว์ตัวโตแล้วก็หน้าหมอง เป็นห่วงสายลม เพราะก่อนไป ท่าทางสายลมดูเครียดเอามาก ๆ ไม่รู้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

ดวงตะวันค่อยเคลื่อนตัวพ้นเหลี่ยมเมฆ ความมืดค่อยจางหายเมื่อแสงของเช้าวันใหม่สาดส่องมา สายลมกลับมาที่กระท่อมหลังจัดการเรื่องยุ่งยากจนเรียบร้อย นึกเป็นห่วงเด็กน้อยที่ตัวเองปล่อยไว้กับลูห์อยู่เหมือนกัน แต่เพียงมาถึง ชายหนุ่มก็อมยิ้มบางเมื่อเห็นเด็กนอนขดอยู่บนแคร่ข้างลูห์ มือหนาเอื้อมไปเขย่าขาเล็กพร้อมปลุก

“รูส เด็กดื้อ มานอนอะไรตรงนี้ หือ?”

เจ้าตัวเล็กมันขยับยุกยิก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งโงนเงนจนสายลมกลัวว่าจะหล่นปุลงจากแคร่เอาให้ได้ มือจึงเอื้อมไปจับไหล่เพื่อยึดให้นั่งตรง ครู่หนึ่งตากลมถึงค่อยปรือขึ้นมามองหน้าเขา

“สายลมกลับมาแล้ว...”

ไม่รู้ว่าบอกใคร แต่สายลมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไป ด้วยกลัวว่าเสียงเด็กมันจะหายไปอีก ยิ่งผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่รู้เสียงหรือตัวอะไรกันแน่ ชอบเล่นซ่อนหากับเขาจริง ๆ

“แล้วมานอนอะไรตรงนี้ ทำไมไม่นอนในห้อง?” เขาเอ่ยถาม

ไอ้ตัวเล็กเหมือนจะยังไม่ตื่นดี ทำเสียงหือหาในลำคอก่อนตอบเสียงออด “รูสเป็นห่วงเลยมารอสายลม แต่ว่า...”

“ว่า?” สายลมเลิกคิ้วเมื่ออยู่ ๆ เด็กก็หยุดพูดกลางคัน

“รูสง่วง...”

“หึ ๆ” มือหนาลูบเปิดหน้าผากนูน เหงื่อซึมเชียว มานอนซุกลูห์ ไม่ร้อนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร “มันเช้าแล้วเด็กน้อย ได้เวลาตื่นแล้วนะ หืม”

ใบหน้าเรียวพยักหงึก เหมือนจะรู้เรื่อง แต่ดูอีกทีก็เหมือนจะทำไปอย่างนั้นเอง เพราะเล่นทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ สายลมต้องดึงแขนไว้ให้ลุกขึ้นมา ไปนอนกลิ้งเอาขนลูห์หรือไง เจ้าดื้อ

“ไม่เอารูส จะนอนต่อก็ขึ้นไปนอนข้างบน” พอบอกไปเช่นนั้นตากลมก็เปิดขึ้นมามองหน้าเขา

“รูสร้อน อยากอาบน้ำ” รูสบอกเหมือนกระซิบ ท่าทางเสียงจะหายไปอีกแล้ว

“อยากอาบน้ำก็ลุกเร็ว”

ตัวบางยอมลุกตามที่บอก ก่อนจะเดินโซเซขึ้นไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหลังอาบน้ำแปรงฟัน สายลมก็ไปเอาของตัวเองมาบ้าง วันนี้เขายังต้องกลับไปหาปู่เพื่อปรึกษาเรื่องเมื่อคืนอีก คงต้องพารูสไปด้วย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ทำให้ไม่อยากปล่อยเด็กมันอยู่ห่างหูห่างตา ไม่รู้ใครมีจุดประสงค์อะไรแล้ว เก็บไว้ใกล้ตัวเป็นดี

“ไม่ลืมอะไรใช่ไหม?”

หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งลงมาอยู่หน้ากระท่อม สายลมก็เอ่ยถามเด็กข้างกาย เจ้าหนูรูสส่ายหน้า ตบถุงผ้าที่ตัวเองสะพายแล้วยิ้มแฉ่ง

“ช่วงนี้รูสต้องอยู่ที่บ้านใหญ่ไปก่อนนะ สถานการณ์ในเกาะไม่แน่นอน ฉันคงมีเรื่องให้ทำมากมาย ไม่อยากปล่อยเธอทิ้งไว้ที่กระท่อม”

รูสพยักหน้ารับรู้ เข้าใจว่าสายลมคงต้องเหนื่อยแน่ ต้องจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นและไหนจะต้องเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเขาอีก แบบนี้เขาจะช่วยอะไรสายลมได้บ้างไหมหนอ

เมื่อพากันมาถึงบ้านใหญ่ รูสก็เดินตัวลีบตามสายลมเข้ามาในบ้าน เขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่สายลมแอบจัดงานวันเกิดย้อนหลังให้ แต่ในตอนนั้นได้อยู่แค่ห้องนั่งเล่น ผิดกับเวลานี้ที่ได้เดินขึ้นมาชั้นบน แถมมาถึงห้องนอนของสายลมอีกด้วย

หนุ่มน้อยเดินสำรวจภายในห้องเมื่อสายลมปล่อยให้อยู่ที่นี่แล้วขอตัวไปคุยธุระกับปู่ ภายในห้องมีรูปถ่ายบิดามารดาของสายลมแขวนอยู่บนผนัง ถัดมาก็รูปของสายลมกับปู่ และกรอบรูปแบบเรียบ ๆ สีน้ำตาลบนโต๊ะอีกอัน มองแล้วรูสก็สงสัย ที่นี่มีกล้องด้วยหรือ เขาไม่เห็นรู้เลย ถ้ามี เขาก็อยากถ่ายรูปบ้างเหมือนกัน รูปคู่กับสายลม

มือเรียวเอื้อมไปหยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู ภาพชายต่างชาติสองคนกับเด็กผู้ชายอีกสามคนบนโซฟาตัวใหญ่ เด็กในอ้อมแขนของผู้ชายผิวเข้มนอนหลับปุ๋ย แขนเล็กป้อมกอดชายคนนั้นเอาไว้ทั้งหลับตาพริ้ม ท่าทางจะสบายอกสบายใจน่าดู ผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันพาดแขนโอบด้านหลังชายผิวเข้ม หน้าตาท่าทางดูดุดัน มีหนวดเคราเล็กน้อย ส่งให้ดูขึงขังยิ่งกว่าเก่า ชายผู้นี้มีนัยน์ตาสีฟ้าด้วย รูสเพิ่งเคยเห็น ดู ๆ ไปแล้วเหมือนจะน่ากลัว แต่มุมปากทั้งสองข้างที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ นั่นกลับทำให้ใบหน้าดุดันดูดีขึ้นมาอีกหน่อย

ตากลมเลื่อนมามองเด็กชายอีกสองคนด้านข้าง หนึ่งในนั้นคงเป็นสายลม หนุ่มน้อยเพ่งพินิจเมื่อไม่เห็นว่าคนในรูปจะมีใครผิวคล้ำเหมือนสายลมเลย เอียงคอน้อย ๆ อย่างสงสัย ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อมองแววตาเด็กคนหนึ่งในภาพถ่าย มั่นใจได้เลยว่าสายลมต้องเป็นคนนี้แน่ แต่ดูแล้วท่าทางของเด็กคนนี้ดูขี้เบื่อจัง ต่างจากปัจจุบันนิดหน่อย

สายลมที่กลับเข้ามาหลังจากไปคุยกับปู่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองเด็กในห้องที่ยังไม่รู้ตัวว่าเขากลับมาแล้ว ดูเด็กมันจะสนใจภาพครอบครัวของเขาเอามาก เห็นจ้องอยู่นานแล้ว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้ตัว สายลมจึงแกล้งส่งเสียงกระแอม เพียงเท่านั้นเจ้าตัวเล็กก็สะดุ้งโหยง หันมามองเขาอย่างตกใจ ก่อนจะรีบวางกรอบรูปในมือไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม

“ดูได้ ไม่ได้ว่าอะไร” สายลมบอกยิ้ม ๆ ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาพร้อมปิดประตูลง

รูสเกาแก้ม เขาแอบดูโดยไม่ได้ขอ ถึงสายลมจะบอกว่าไม่ว่าหากเขาจะดูก็เถอะ

ร่างสูงใหญ่เดินเฉียดเด็กดื้อมาหยิบกรอบรูปบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงที่เตียงแล้วตบพื้นที่ข้างกายเบา ๆ ให้มานั่งด้วยกัน เจ้าหนูรูสจึงค่อยก้าวมาหาแล้วนั่งลงอย่างว่าง่าย

“ดูแล้วรู้ไหมว่าคนไหนคือฉัน?”

เอ่ยถามไปแล้วเด็กก็พยักหน้า ก่อนจะชี้ที่ภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งแล้วยิ้ม ดูภูมิใจหนักหนาที่หาเขาเจอ

“รู้ได้ไง ไม่คิดว่าฉันจะเป็นคนนี้บ้างเหรอ?” นิ้วใหญ่ชี้ที่เด็กผู้ชายอีกคน นัยน์ตาสีควันบุหรี่ ไม่ดำขลับเหมือนนัยน์ตาของเขาตอนนี้สักนิด

รูสมองหน้าสายลม ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่คิด อย่างไรคนที่เขาชี้เมื่อครู่ต้องเป็นสายลมแน่นอน ฟันธง!

“ดูจากอะไรถึงได้มั่นใจขนาดนั้น?” สายลมยังถามต่อ จริง ๆ เขาก็เปลี่ยนไปจากตอนเด็กพอสมควร สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนคงนึกหน้าเขาตอนเด็กไม่ออก

รูสอมยิ้มกับคำถาม ก่อนยกมือขึ้นมากำหลวม ๆ ให้มีช่องว่างตรงกลางแล้วเอามาแนบที่ตาตัวเอง สายลมยิ้มมุมปาก ไม่ยอมพูดอีกแล้ว ทำท่าทำทางเขาก็พอรู้เรื่อง แต่อยากให้พูดเสียมากกว่า เดี๋ยวติดเป็นนิสัย ไม่ยอมพูดยอมจา

“ไม่เห็นรู้เรื่อง” เขาแกล้งว่า เด็กมันก็ลดมือลงแล้วทำแก้มพองเลยถูกเขาบิดแก้มเบา ๆ น่ามันเขี้ยวนัก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูเรียกสายตาของทั้งคู่ให้หันไปมอง ก่อนที่สายลมจะวางกรอบรูปเก็บที่เดิมแล้วลุกไปเปิดประตู เด็กในบ้านมาบอกให้ลงไปกินข้าวเช้า ปรกติเวลานี้พวกเขาคงจะกินข้าวกันไปแล้ว แต่พอมีเรื่องเลยยังไม่ได้กินอะไร หิ้วท้องมาฝากที่บ้านใหญ่แทน

สองหนุ่มลงไปร่วมโต๊ะกับนายลามุ รูสออกจะเกร็งอยู่เมื่อต้องมากินข้าวกับปู่ของสายลม อาหารฝีมือแม่ครัวที่นี่ก็อร่อยดี แต่บรรยากาศกดดันที่รูสรู้สึกไปเองทำให้ความอร่อยมันลดลง ไม่เหมือนตอนอยู่กับสายลมแค่สองคน ถึงจะไม่มีอะไรมากมายแต่ก็อร่อยที่สุด เขาคงต้องพยายามปรับตัวให้ชิน เพราะคงต้องอยู่ที่นี่ไปสักพัก จนกว่าสถานการณ์ภายในเกาะจะคลี่คลาย

หลังกินข้าว สายลมก็ต้องไปจัดการสอบสวนคนร้ายที่หมายจะเข้าไปปลิดชีวิตเหนือเมฆถึงในคุกมืด รูสจึงต้องอยู่ที่บ้านใหญ่คนเดียว เด็กดื้อพออยู่แปลกที่ก็ดื้อไม่ออก ไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่านนอกห้องเลยได้แต่ขลุกอยู่นอกระเบียงห้องของสายลม เอาหนังสือออกมาอ่านรับลม จะได้ไม่อุดอู้

กว่าสายลมจะกลับเข้าบ้านมาอีกทีก็ตอนเย็นย่ำ รูสที่อ่านหนังสือจนล้าลงมาเดินเล่นข้างล่าง เจอนายลามุจึงจะกลับขึ้นห้องไปอีก แต่ชายชรากลับเรียกให้มาหา มาอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งสายลมกลับมา

รูสขออนุญาตตามสายลมขึ้นห้อง นายลามุก็พยักหน้าบอกให้ไปได้ หนุ่มน้อยจึงเดินยิ้มมาหาคนตัวโตที่ยืนรออยู่ในบ้าน ก่อนพากันขึ้นชั้นบนไป ที่นี่มีห้องน้ำส่วนตัว น้ำประปาที่สายลมต่อท่อมาถึงแค่กลางหมู่บ้าน เวลาแต่ละครอบครัวจะใช้ก็ให้เอารถใส่ถังไปเข็นกันเอาเอง ลดระยะทางการเดินจากที่ต้องเข้าไปในป่าลึกมาเป็นที่กลางหมู่บ้านแทน ในอนาคตคงมีการต่อท่อเข้าบ้านทุกหลัง แต่นั่นยังคงเป็นโครงการในอนาคตที่สายลมวางเอาไว้เท่านั้น

ที่บ้านใหญ่มีคนคอยดูแลเรื่องน้ำท่าเป็นประจำ คนในบ้านจะนำน้ำขึ้นมาทางบันไดหินที่สามารถขึ้นมาถึงด้านหลังของทุกห้องในบ้าน นายลามุทำเอาไว้เพื่อสะดวกในการขนน้ำขึ้นลง มันจะได้ไม่เลอะเทอะในบ้านให้ต้องเช็ดต้องถูกันอุตลุด

กลับมาเหนื่อย ๆ สายลมจึงจะเข้าไปอาบน้ำ วันนี้เขาเครียดพอตัว เพราะคนร้ายไม่ยอมปริปากบอกอะไรแม้สักคำ ใช้การนิ่งเงียบเป็นอาวุธ แม้ต้องไปที่ลานขาวก็ไม่เห็นสีหน้าของคนคนนั้นจะตื่นตระหนกแต่ประการใด ทำให้สายลมต้องยุติการสอบสวน และสั่งให้คนเฝ้าเอาไว้ ยังไม่พาไปที่ลานขาวจนกว่าจะปรึกษากับนายลามุให้ถ้วนถี่เสียก่อน

รูสมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเมื่อสายลมถอดเสื้อออก พอเจ้าของแผ่นหลังหันมาเห็นก็แกล้งแซว

“วันนี้ต้องให้ช่วยอีกไหม?”

ใบหน้ารูสเห่อร้อน ก่อนจะส่ายหน้ารัวแล้วหันหลังให้ ไม่มองร่างกายของสายลมอีก ใจดวงน้อยเต้นตุ้บ เมื่อก่อนเปลือยกายอาบน้ำด้วยกันก็เคย ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร แต่หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น รูสก็ไม่กล้าที่จะมองเนื้อตัวของสายลมได้โดยไม่คิดอะไร เขามันเด็กลามกใช่ไหม แย่จริง

สายลมอมยิ้มขัน ก้าวเข้ามาหาเด็กที่หันหลังให้ตน ก่อนก้มลงกระซิบข้างหู

“อยากให้ช่วยก็ตามเข้ามาแล้วกัน”

ลมหายใจอุ่น ๆ รินรดใบหู ไม่รู้อีกฝ่ายจงใจหรือไม่ แต่รูสก็ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้ว มือเรียวยกขึ้นปิดหูตัวเองทั้งสองข้าง มันร้อนวูบวาบจนรู้สึกได้ แก้มก็ร้อนลามลงมาถึงคอ ท่าทางจะมีจุดอ่อนที่หู เพราะเมื่อก้มมองสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายแล้วก็หน้าเบ้ ใบหน้าเรียวส่ายไปมาพร้อมพึมพำว่าไม่เอา ย้ำกับตนเองว่าเดี๋ยวก็หาย... เดี๋ยวก็หาย... เดี๋ยวก็...

“ฮืออออ สายลมมมม”

ปลอบตัวเองไม่ทันไรเจ้าตัวเล็กก็วิ่งหายเข้าห้องน้ำตามอีกคนไปเสียแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ชนะดังมาก่อนที่มันจะเลือนหาย หลงเหลือเพียงความเงียบของห้องนอนและเสียงแปลก ๆ ที่ดังลอดออกมาจากห้องน้ำเป็นระยะ...


......


นางมารียามาดูแลลูกชายที่โรงพยาบาล ลูกน้องของเหนือเมฆที่อยู่ในบ้านของนายลามุก็อยากมาเยี่ยมลูกพี่ของพวกมันเช่นกัน แต่ก็กลัวว่าหากพวกมันออกจากบ้านนายลามุมาอาจจะเป็นอันตรายจึงได้แต่หดหัว สถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ พวกมันก็ต้องเอาตัวรอดกันเป็นธรรมดา

เมื่อเหนือเมฆถูกส่งมาที่โรงพยาบาล หมอปลายฟ้าก็ช่วยรักษาดูแลอาการให้อย่างเต็มที่ ไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็นฝ่ายไหน ทำให้นางมารียาซาบซึ้งในน้ำใจของคุณหมอหนุ่มอย่างมาก จนขอบคุณอยู่ไม่ขาดปาก

“ขอบคุณมากค่ะหมอ นึกว่าเจ้าเหนือมันจะถูกปล่อยทิ้งไม่มีใครดูดำดูดีเสียแล้ว”

“ไม่หรอกครับ หมอมีหน้าที่รักษาพยาบาลคนไข้ จะปล่อยให้เหนือเมฆเป็นอะไรไปได้ยังไงกัน” คุณหมอหนุ่มยิ้มบาง “คุณน้าเองก็ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะครับ”

“ค่ะ คุณหมอ ขอบคุณมากจริง ๆ”

หมอปลายฟ้ายิ้มรับคำขอบคุณนั้นก่อนที่จะออกจากห้องพักผู้ป่วยมา ด้านหน้าห้องมีคนของนายลามุมาเฝ้า ทั้งสองค้อมศีรษะเมื่อหมอปลายฟ้าเดินผ่านไป เมื่อพ้นสายตาของทุกคน ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่เสมอก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หมอปลายฟ้าทำเรื่องออกเวรเร็วกว่าปรกติเพื่อกลับบ้านตน เขาอยากที่จะพูดคุยกับปู่ซานินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้

แต่เมื่อออกจากตัวอาคารมา สายลมกลับมายืนรออยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว เมื่อทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน ฝ่ายหมอปลายฟ้าก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเปิดยิ้มตามแบบฉบับของตัวเองเมื่อกล่าวทายทัก

“ยังไม่ถึงวันนัดนี่ครับ นายน้อย” เขาเลือกที่จะเอ่ยถึงเรื่องแผลของอีกฝ่ายเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่กำลังกังวล

“ผมอยากคุยกับพี่สักหน่อย ปลายฟ้า”

สายลมพูดขึ้นมาด้วยท่าทีดูจริงจัง ไม่ไหลไปตามน้ำ ขณะที่หมอปลายฟ้านิ่งไปเมื่ออีกฝ่ายเรียกตนว่าพี่ หากเป็นช่วงเวลาปรกติที่พูดจาเล่นหัวกัน เขาจะเรียกสายลมว่านายน้อย และสายลมก็จะเรียกเขาว่าคุณหมอ แต่เมื่อใดก็ตามที่สายลมเรียกเขาว่าพี่ตามศักดิ์ของสายเลือด นั่นแสดงว่าจะไม่มีการล้อเล่นเกิดขึ้นในบทสนทนาจากนี้ รอยยิ้มที่หมอปลายฟ้ามีจึงเจื่อนลงไป ก่อนถามกลับ

“จะคุยเรื่องอะไร?”

สีหน้าสายลมจริงจังจนดูเคร่งเครียดเมื่อตอบคำถามที่ผู้เป็นพี่ก็คงรู้ดี

“ปู่ซานิน”

“..........”

ความเงียบปกคลุมรอบกายเพียงชื่อของบุคคลสำคัญถูกเอื้อนเอ่ย นับจากนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป...




TBC




บวกขอบคุณ คุณ ΩPRESTOΩ ค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
หลงรักลูห์เข้าแล้ว :mew1: หวังว่าลูห์คงอยู่รอดปลอดภัยนะคะอย่าให้ใครทำอะไรมันเลยนะ  :call:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

สายลมห่มตะวัน

บทที่ ๙ เปิดศึก



บ้านนายซานิน

ชายชราผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งมองบรรยากาศนอกหน้าต่างอยู่บนรถเข็นสำหรับผู้ป่วย ผ้าแพรปิดคลุมช่วงขาที่ใช้การไม่ได้เอาไว้ สีหน้าท่าทางแลดูไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรสักนิด แต่คนเราดูกันแต่ภายนอกคงไม่ได้

ลูกน้องของเขาเข้ามารายงานถึงเรื่องที่หมอปลายฟ้าถูกนายน้อยสายลมพาตัวไปเสียแล้ว มือเหี่ยวย่นที่วางอยู่บนที่พักแขนกำเข้าหากันจนสั่น ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ สายลมคงพอระแคะระคายแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใครถึงได้มาพาหลานชายของเขาไปเช่นนี้ คิดจะเปิดศึกกับข้าอย่างนั้นหรือ ลามุกะ!

เมื่อก่อนเกาะศิลาเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและภาษา ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดของพวกเขาได้มาพบกับเกาะแห่งนี้โดยบังเอิญ เกาะที่ไม่ได้ขึ้นต่อประเทศใด ไม่มีผู้ถือครอง ณ ขณะนั้น ทำให้พวกท่านเข้ามาตั้งรกราก ในทีแรกก็มีกันเพียงไม่กี่ครอบครัว อยู่กันฉันพี่น้อง แต่เมื่อวันหนึ่งเริ่มมีผู้คนจากถิ่นอื่นขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ทำให้เกิดกฎกติกาการอยู่ร่วมกันขึ้น

ในขณะนั้นครอบครัวของนายซานินและนายลามุเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาบุกเบิก และพวกเขาก็มีอาคมพอตัว สามารถสะกดให้สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายยอมสยบ คนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ก็ต่างกลัวเกรงบารมีเมื่อเห็นสิงโตตัวเขื่องอยู่เคียงกายคนในครอบครัวของพวกเขาตลอดเวลา จึงได้รับการยอมรับให้ขึ้นมาเป็นผู้นำของเกาะ คอยตัดสินปัญหาและแบ่งสันปันส่วนพื้นที่ให้แต่ละคนตามความพอเหมาะและพอใจ

เมื่อสิ้นรุ่นแรกไป ผู้ที่สืบทอดต่อมาก็ยังคงเป็นครอบครัวของนายลามุและนายซานิน จนกลายเป็นว่าเกาะนี้ขึ้นกับครอบครัวของพวกเขาไปแล้วตั้งแต่นั้น กระทั่งมาถึงรุ่นของพวกเขา พวกเขามีสอง ฝ่ายที่สนับสนุนนายลามุมี นายซานินเองก็ไม่ได้ต่างกัน ทำให้ต้องพึ่งการตัดสินจากสิงโตอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้ที่จะขึ้นมาเป็นนายเหนือทุกคนบนเกาะศิลา ให้สิงโตคู่บารมีเป็นผู้เลือกหาว่าใครกันที่เหมาะสม

นายลามุในขณะนั้นเป็นพวกชอบเที่ยวเล่นเสียมากกว่า การที่จะมาปกครองคนหมู่มากนั้นไม่ใช่ทางของเขาแม้แต่น้อย ทำให้นายลามุไม่อยากเข้าร่วมพิธีเลือกผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายของคนบนเกาะศิลา แต่ถูกบีบบังคับกลาย ๆ เพราะหากตนไม่มาร่วมพิธีนี้ ผู้เป็นพี่ชายอย่างนายซานินคงไม่อาจขึ้นครองตำแหน่งได้อย่างขาวสะอาด

พิธีกรรมดังกล่าวจะทำให้คนในเกาะเชื่อมั่นในตัวของผู้นำมากขึ้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผู้เป็นนายของเกาะศิลาต่างมีสิงโตคู่บารมีกันทั้งนั้น เมื่อถึงเวลานายซานินก็ถูกส่งไปที่ลาน เผชิญหน้ากับลีอาห์ สิงโตสาวที่ขึ้นชื่อเรื่องดุร้าย เพราะมันขี้หงุดหงิดตามประสาสิงโตตัวเมียที่ไม่ชอบถูกใครบังคับ และนายซานินที่ลงไปหามันที่ลานกลับควบคุมมันไม่ได้ ถูกมันทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ โชคยังดีที่นายลามุเข้าไปช่วยเหลือ แต่ขาของนายซานินที่ถูกฉีกกระชากดึงทึ้งจากคมเขี้ยวก็ไม่สามารถที่จะรักษาให้กลับมาคงเดิม เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้นายลามุได้ขึ้นเป็นนายของเกาะ โดยที่พี่ชายอย่างนายซานินกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็น

จากพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกลับต้องมีรอยบาดหมาง เพราะอำนาจตัวเดียวที่ทำให้จิตใจของพวกเขาดำมืด ในขณะที่น้องชายมีแต่คนนับถือ นายซานินกลับเป็นไอ้ง่อยที่แม้แต่ช่วยเหลือตัวเองยังแทบทำไม่ได้ มันน่าเจ็บใจ และไม่น่าให้อภัยคนเป็นน้องไปพร้อมกัน ทั้งที่ทุ่มเททุกอย่าง พยายามทำมาทุกสิ่งเพื่อส่งให้ไอ้น้องชายไม่เอาอ่าวนั่นได้ดีอย่างนั้นหรือ?

“นายท่าน ท่านลามุกับนายน้อยสายลมมาขอพบครับ”

เสียงลูกน้องใกล้ชิดที่เข้ามารายงานทำให้นายซานินหลุดจากภวังค์ สิ่งที่ได้ยินทำให้เขาตัวชา พวกมันมากันแล้ว

รถของชายชราถูกเข็นออกมาด้านนอก เพื่อเผชิญหน้ากับผู้เป็นน้องชายที่เขาทั้งรักทั้งแค้นในคราวเดียวกัน

“จะมาจับข้าเข้าคุกมืดรึ ลามุ?” นายซานินเอ่ยถามพลางยิ้มหยัน

นายลามุมองผู้เป็นพี่ ก่อนตอบกลับไปเสียงเรียบ “ข้าอยากมาตกลงกับพี่เสียมากกว่า”

“หึ ตกลงงั้นเรอะ?”

“ถึงแม้คนของพี่จะซื่อสัตย์ต่อพี่จนไม่ยอมปริปากบอกอะไร แต่ข้าก็พอรู้ว่าหากไม่มีคำสั่งจากพี่ เขาก็คงไม่กล้าทำถึงขนาดนี้”

“แล้วยังไง?” นายซานินย้อนถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ผู้เป็นน้องชายรู้แล้วจะอย่างไรเล่า จะทำอะไรเขาอย่างนั้นหรือ

“ข้าไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ระหว่างเรา ถึงอย่างไรพี่ก็คือพี่ คนที่ข้ารักและนับถือเสมอมา”

“หึ... หึ ๆ... ฮ่า ๆ ๆ” นายซานินหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไรตลก “นับถือข้ารึ ลามุ เจ้าช่างกล้าพูดได้ไม่อายปาก”

“......”

“ทุกวันนี้ที่เจ้าได้เป็นใหญ่เหนือทุกคนที่นี่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะแย่งมันจากข้าที่เจ้าบอกว่ารักและนับถือเรอะ!?”

“ในวันนั้นข้าคืนอำนาจแต่พี่ไม่รับ” นายลามุโต้กลับ หลังขึ้นรับตำแหน่งเขาเคยคุยกับนายซานิน เพราะมันไม่เหมาะกับคนอย่างเขาจึงคิดที่จะคืนมันให้ผู้เป็นพี่ชายที่เหมาะสมมากกว่า แต่นายซานินกลับปฏิเสธที่จะรับคืน

“ข้าจะเอาอำนาจไปทำไมลามุ เห็นสภาพข้าไหม เห็นไหมไอ้น้องชั่ว!” ยิ่งถกเถียงอารมณ์ของทั้งสองก็ยิ่งคุกรุ่น นายซานินตวาดลั่นทั้งตัวสั่นเทิ้ม เหลือใจหนักหนาเมื่อพูดถึงร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของตน

“แล้ววันนี้พี่มาทวงถามความยุติธรรมบ้าบออะไร ข้าให้พี่ทุกอย่าง ยอมสละตำแหน่งแต่พี่ไม่รับ แต่แล้ววันหนึ่งกลับลอบกัด ทำร้ายข้าลับหลัง จะให้ข้าเข้าใจเจตนาพี่ว่ายังไง!!?”

“ถ้าข้ารับมันมา คิดว่าคนในเกาะศิลาจะเคารพยำเกรงข้าเรอะ มีแต่คนจะหัวเราะเยาะ แต่ข้าก็คาดหวังว่าเจ้าจะยกมันให้ลูกของข้า ลูกชายข้า แต่เจ้าก็ไม่ทำ เพราะอะไร เพราะเจ้าก็ต้องการมันใช่ไหม อำนาจที่ว่านั่น พูดจาสวยหรู สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโลภในจิตใจ!”

นายซานินตอกย้ำความจริงที่ผู้เป็นน้องชายไม่อาจปฏิเสธ เมื่อนายซานินไม่ขอรับตำแหน่ง นายลามุที่ครองตำแหน่งนายของทุกคนในเกาะจึงมอบมันต่อให้ลูกชายตน ไม่ได้หันกลับมามองลูกของพี่ชายเลยสักนิด นายซานินพูดถูกทุกอย่าง ทั้งที่ตอนแรกเขาไม่เคยอยากได้ แต่เมื่อได้มากลับไม่คิดอยากปล่อยให้หลุดมือ

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน อำนาจที่เจ้ามีอยู่ในมือ ไม่ต้องมาเวทนาข้าจนต้องยกมันให้ เพราะข้าจะช่วงชิงมันมาให้หลานของข้าเอง!”

นายซานินประกาศกร้าวเป็นการจบบทสนทนา ที่สุดแล้วคงไม่พ้นต้องสู้กันจนพ่ายไปข้างหนึ่ง ศึกสายเลือดเกิดขึ้นก็เพราะด้านมืดในใจคนที่ควบคุมความพอเหมาะพอดีไม่ได้ ทุกคนเวียนว่ายอยู่ในวงโคจรเดียวกัน โลภโมโทสันไม่ต่างกันสักคนเดียว



หลังจากเหตุการณ์นั้น คนในเกาะศิลาก็เริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เมื่อคนของนายซานินประกาศว่าผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายตนจะไม่สามารถใช้โรงพยาบาลได้ เพราะโรงพยาบาลเป็นของหมอปลายฟ้า แม้จะร่วมกันสร้างมากับสายลม แต่หมอปลายฟ้าอยู่บริหารและดูแลที่นั่นตลอด เพราะฉะนั้นมันคือของหมอโดยชอบธรรม ในฐานะที่หมอเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสิทธิ์ขึ้นครองตำแหน่งนายเหนือทุกคนในเกาะศิลา

คลื่นลูกใหญ่ที่ซุกซ่อน เมื่อวันหนึ่งเผยตัวก็ถาโถมเข้าใส่จนทุกคนตั้งรับแทบไม่ทัน โดยเฉพาะสายลมที่ต้องรับศึกภายในและคอยระวังศึกจากภายนอกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเกาะศิลา อยากทำอะไรอีกมากมายบนเกาะเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึงร้อยหลังคาเรือน เมื่อนานวันความรู้สึกที่ว่ามันคือบ้านของเขามันยิ่งชัดเจน แต่หลายสิ่งก็เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะ... คน

หลายพ่อพันแม่ย่อมมีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่าง เขาพยายามมองข้ามสิ่งเหล่านั้นเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าและพิสูจน์ให้ทุกคนที่นี่เห็นถึงความมุ่งมันและจริงใจ กับทุกสิ่งที่ทำลงไปไม่เคยคิดหวังตำแหน่งใหญ่โตเหนือใครที่นี่ แต่มันก็ยังทำได้ไม่ดี เพราะเหตุผลที่ว่าเขาเป็นคนอื่น ไม่ได้เกิดและเติบใหญ่บนเกาะศิลาแห่งนี้ แต่ถูกนายลามุพามาอวดอ้างว่าเป็นหลานพร้อมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่คนในเกาะอ่านไม่ออก ความเคลือบแคลงมันจึงไม่เคยหมดไปเสียที จนอดคิดไม่ได้ว่าบางที... เขาอาจไม่เหมาะกับที่นี่

“ปลายฟ้า”

สายลมเอ่ยเรียกคนที่อยู่กับเขาในเวลานี้ ภายในถ้ำของลูห์คือสถานที่ที่ปลอดภัยจากสายตาคนภายนอกมากที่สุด ทำให้เขาพาผู้เป็นพี่ชายมาที่นี่ ปลายฟ้าเองก็หันมามองคนเรียกเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปชั่วครู่ก่อนบอก

“ผมไม่ได้ต้องการตำแหน่งนายเหนือทุกคนที่นี่ ผมยินดีเป็นนายน้อย หรือเป็นเพียงสายลม คนธรรมดาคนหนึ่ง”

“......” หมอหนุ่มนิ่งฟังที่น้องชายพูด

“ผมเคยคิดว่าผมจะยกมันให้พี่” สายลมบอกพร้อมหันมามองผู้ที่ตนเองกำลังสนทนาด้วย

“พี่ไม่ได้อยากได้มัน” หมอปลายฟ้าว่า

“ผมรู้... แต่ในอนาคตผมคิดอยู่ตลอดว่าอยากยกตำแหน่งนี้ให้ลูกของพี่ เพราะพี่คงสอนเขาให้ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ได้ดีกว่าผม”

“นายพูดเหมือนจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว...”

“อาจจะ”

จบคำของสายลม ทั้งคู่ก็ต่างเงียบกันไป ตลอดมาพวกเขารู้ดีถึงปัญหา เพียงแต่ไม่มีใครอยากพูดถึงมัน

“นายรักที่นี่ไหม สายลม?”

คำถามจากผู้เป็นพี่ชายทำให้สายลมนิ่งไป ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาช้า ๆ

“สิบห้าปีแล้วนะ... ถ้านับรวมเวลาในช่วงที่ผมไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับอังกฤษจนกระทั่งเรียนจบ... จนมา... อยู่ที่นี่ถาวรก็เก้าปี”

“......”

“ผมผูกพันกับทุกคนที่นี่ เหมือนเป็นลูกทะเลเต็มตัว แต่กับหลายคน... คงไม่รู้สึกเหมือนผม” สายลมว่า

“โดยเฉพาะปู่ของพี่ใช่ไหม?” นั่นคือสิ่งที่รู้กันดี

“พวกเขามีปัญหากันมาตั้งแต่พวกเรายังไม่เกิดด้วยซ้ำ และมันก็เรื้อรังมาจนบัดนี้”

“......” หมอปลายฟ้าเงียบอย่างยอมรับ

สายลมเบือนสายตาไปอีกทาง ก่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก “พวกเราต้องเป็นศัตรูกันจริง ๆ เหรอ?”

หมอปลายฟ้าไม่มีคำตอบให้น้องชาย เขาเองก็หาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้ แม้พยายามเปลี่ยนความคิดของปู่มาตลอดแต่ก็ไร้ผล

“พี่ขอโทษที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” คุณหมอหนุ่มก้มหน้าอย่างหมดหนทาง เขาไม่อยากเห็นการนองเลือด โดยเฉพาะคนสายเลือดเดียวกัน

“ถ้าเราร่วมมือกัน... มันอาจจะมีทางออก”

มือหนายื่นมาตรงหน้าผู้เป็นพี่ชาย หมอปลายฟ้ามองมือนั้นอย่างไม่มั่นใจ พวกเขาจะทำได้จริงหรือ มันคือคำถามที่เขารู้ดีว่าไร้ซึ่งคำตอบ หากมัวแต่คิด แต่ไม่ลองก็คงไม่อาจรู้

คุณหมอหนุ่มยื่นมือไปจับ “ทุกอย่างต้องมีทางแก้”

“ผมมั่นใจแบบนั้น” มุมปากหยักยกยิ้ม

“หึ”

มัวแต่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยคงไม่ได้ ปล่อยปู่ของพวกเขาทำศึกกันไป ส่วนพวกเขาสองคนคงต้องใช้สมองกันหนักสักหน่อย จะต่อกรกับชายชราหัวรั้นทั้งสองคนมันก็ต้องมีชั้นเชิงกันบ้างล่ะน่า

แกร๊ก

เสียงบางอย่างที่หน้าถ้ำทำให้สายลมเตรียมพร้อมในท่าระวังภัย หมอปลายฟ้าเองก็ขยับลุก ทั้งคู่เพ่งมองตรงทางเข้าถ้ำ นี่มันถิ่นลูห์ ยังมีใครที่ไหนขึ้นมาบนนี้ได้โดยที่ลูห์ไม่อนุญาตด้วยหรืออย่างไร และเมื่อได้เห็นว่าเจ้าของเสียงแปลก ๆ ที่ได้ยินคือเด็กดื้อที่แอบตามมา สายลมก็ระบายลมหายใจหนักหน่วง บอกให้รออยู่ที่บ้านใหญ่นี่ไม่ฟังกันเลยใช่ไหม ดื้อได้ใจจริง ๆ

ตัวผอมบางเดินกะเผลกมาหาสายลม สีหน้าดูดีใจที่ได้เจอ แต่สายลมกลับก้มมองขาเรียวที่มีรอยช้ำเป็นทางเกิดขึ้น ได้แผลมาอีกตามเคย

“ซนจนได้เรื่อง” เขาดุ เจ้าดื้อมันก็ก้มมองขาตัวเองแล้วทำหน้าง้ำ

‘รูสหกล้ม’
ยังมาบอกอีก

“สม”

‘ฮื่อ’ เด็กทำเสียงประท้วง ไม่ปลอบแล้วยังมาสมน้ำหน้ากันอีก ฮึ!

“ไหน มาดูซิ” สายลมจะก้มลงดูแต่เด็กกลับขยับขาหนีทำให้เขาชะงัก... ไอ้ขี้งอน!

ตัวบางเดินกะเผลกไปหาหมอปลายฟ้า และเมื่อฝ่ายนั้นขอดูรอยช้ำที่ขากลับไม่ดื้อด้วยสักแอะ ยอมไปเสียทุกอย่างจนสายลมหมั่นไส้เหลือเกิน กับเขานี่งอนได้งอนดี ทีกับหมอล่ะนั่งเงียบเรียบร้อยยิ่งกว่าผ้ายับ ๆ ที่พับไว้เสียอีก

รูสย่นจมูกใส่คนตัวโตที่ยืนกัดฟันกรอด ๆ เพราะหมอปลายฟ้าพูดจากับเขาเพราะพริ้ง ช่างดูแลเอาใจใส่และเป็นห่วงเป็นใยทำให้เขาไม่กล้าดื้อด้วย แต่ไม่ใช่ว่าสายลมไม่ดี เพราะรูสไว้ใจสายลมกว่าใคร สนิทสนมกันมากกว่าคนอื่น ทำให้เผลอแสดงกิริยาไม่ดีในบางครั้ง แต่สายลมก็ไม่โกรธนี่ ใช่ไหม?

ปลอบใจตัวเองไปเช่นนั้น แต่เมื่อได้มองตาเขียว ๆ ของคนตัวโตแล้วรูสก็ชักไม่แน่ใจ บางทีสายลมอาจจะโกรธแต่รูสไม่รู้ตัวหรือเปล่า...


……


บนฝั่งไทย

ชายแปลกหน้าสองคนมาติดต่อขอเช่าเรือจากชาวบ้านที่ชายฝั่งเพื่อจะดำน้ำดูปะการังใต้ทะเลลึก ด้วยความที่คิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจึงไม่มีใครทันได้คิดอะไร ตกลงราคาค่าเช่ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้ตระเตรียมเรือเพื่อออกทะเลกัน ชายทั้งสองนายนั้นจึงเรียกเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งมาด้วย และขอให้มีคนนำทางที่ไว้ใจได้ไปเพียงคนเดียว เห็นดังนั้นแล้วเจ้าของเรือก็ชักตงิดใจ กลัวจะเป็นคนร้ายที่แฝงตัวมาและอาจฆ่าพวกเขาหากนำทางไปถึงจุดหมาย

“มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนี่” เจ้าของเรือเอ่ยแย้ง

ชายที่เขาคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจึงต่อรอง “ผมให้เพิ่มอีกเท่าตัว แบบนี้พอจะคุยกันได้ไหม?”

แม้อีกฝ่ายจะเอาเงินเข้าล่อ แต่นั่นยิ่งทำให้ชายเจ้าของเรือไม่ไว้ใจ ด้วยรักตัวกลัวตายจึงปฏิเสธซ้ำ “เห็นทีจะไม่ได้ เพราะปรกติพวกเราไม่เคยเอาเรือออกทะเลเพียงคนเดียว”

ชายแปลกหน้าเดาะลิ้นเบา ๆ กับความมากเรื่อง “ถ้าให้ไปหมดนี่จะไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

“ไม่ พวกเราไม่รับงานนี้ คุณกับเพื่อนคงต้องไปหาเรือลำอื่น”

ชายเจ้าของเรือส่งเงินมัดจำคืน ฝ่ายตรงข้ามก็มองเขานิ่ง ก่อนจะขยับมือปัดชายเสื้อแล้วชักปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาเล็งจ่อ เจ้าของเรือและลูกน้องต่างผงะ ตกใจกลัวกันลนลาน

“กินลูกตะกั่วสักลูกจะคุยกันรู้เรื่องขึ้นไหม?” อีกฝ่ายคำราม ที่เหลือก็อยู่ในท่าทีเตรียมพร้อม ดูคุกคามจนเจ้าของเรือกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น

หลังการเจรจาเสร็จสิ้น ชายแปลกหน้าทั้งสองคนก็กลับขึ้นรถมา ต้องให้พวกเขาขู่ถึงจะยอม คนพวกนี้มันมากเรื่องจริง ๆ คนสั่งก็มากเรื่องพอกัน นายราซิส

“แกว่านายราซิสมันบ้าหรือเปล่า จะให้ค้นหาร่างของน้องมันที่จมอยู่ใต้ทะเลนี่นะ ป่านนี้ไม่ถูกฉลามกินก็คงเน่าไปหมดแล้ว ประสาท”

หนึ่งในนั้นบ่นด้วยความหัวเสีย คำสั่งแสนพิสดารจากผู้เป็นนายให้ค้นหาร่างของน้องชาย เพื่อที่จะนำจี้ห้อยคอที่น้องสวมมาเปิดห้องใต้ดิน เวลามันผ่านมาร่วมเดือนกว่า ศพที่อยู่ใต้น้ำก็คงถูกแทะจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้วป่านนี้ บางครั้งอาจถูกคลื่นใต้ทะเลซัดไปไหนแล้วไม่รู้ ที่สำคัญ คนที่ราซิสใช้ให้ลงมือปลิดชีวิตน้องของตัวเองก็ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว พวกเขาจะรู้ไหมว่ามันพาไปฆ่าทิ้งที่ไหน งมเข็มในมหาสมุทรแปซิฟิกยังง่ายกว่านี้อีก

“บ่นไปแล้วจะทำอะไรได้ นายราซิสมันเหมือนคนอื่นที่ไหน โหดถึงขนาดฆ่าน้องของตัวเองได้ แถมคนที่ซื่อสัตย์กับมันที่สุดอย่างเจ้าซาน มันยังสั่งฆ่าได้ไม่ลังเล ขืนเรามีปากมีเสียง มีหวังได้ลงไปอยู่ใต้ทะเลเหมือนน้องชายมันกับเจ้าซานแน่”

ชายอีกคนแจงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของราซิส พวกเขาต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้วันไหนจะถึงคิวของพวกเขาบ้าง เกิดวันดีคืนดีนึกสนุกอยากฆ่าใครเล่นขึ้นมาจะทำอย่างไร


ทางด้านคนสั่งอย่างราซิสก็กำลังเจรจาติดต่อกับลูกค้ารายใหม่ที่นำเงินจำนวนมหาศาลมาแลกกับงานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ ทำให้เขาปฏิเสธรายเก่าไปเพราะทางนี้น่าสนใจมากกว่า ตัวแทนของคู่ค้ารายใหม่มาติดต่อดำเนินเรื่องแทน เห็นว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับบริษัทการเงินขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงระดับต้น ๆ เลยทีเดียว เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเอางานวิจัยไปทำไม แต่เงินที่ได้ก็กลบข้อสงสัยไปจนสิ้น

“เราจะมั่นใจได้ยังไงว่างานวิจัยที่คุณมีอยู่มันจะดีจริง?” ตัวแทนของคู่ค้าเอ่ยถามเพื่อความรอบคอบในการลงทุนครั้งนี้

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเลยครับ ชื่อเสียงของพ่อผมคงพอการันตีได้” ราซิสยกยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายก็ไหวไหล่เล็กน้อย

“ผมดู ๆ แล้วคุณก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองเลย ทำไมถึงได้นำงานวิจัยที่พ่อของคุณทุ่มเททำมาออกมาขายล่ะ?”

“อา...” คำถามที่จี้ตรงจุดทำให้ราซิสยกยิ้ม ก่อนจะแจกแจงทุกรายละเอียด “เก็บไว้กับตัวก็ใช่จะมีประโยชน์ สู้ให้คนเก่ง ๆ นำไปพัฒนาให้มันใช้ได้จริงน่าจะมีประโยชน์กับคนจำนวนมาก พ่อผมเองก็คงจะคาดหวังให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะท่านทุ่มเททำมันสุดกำลังที่มี แม้จะไม่มีเงินทุนสนับสนุนจากที่ไหนเลยก็ตาม”

“ฟังดูดี” ทางนั้นว่า “แล้วผมจะได้เห็นผลงานวิจัยอันเลอเลิศนั่นเมื่อไร?”

ราซิสชะงัก ก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว

“ในไม่ช้า” ตอบกลับไปนิ่ง ๆ อย่างมีชั้นเชิง ขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้าเนิบช้า

“หวังว่าจะไม่นานเกินรอ” ตัวแทนของคู่ค้ายกยิ้มมุมปาก

ราซิสแค่นหัวเราะ กดดันเขาอย่างนั้นหรือ อีกฝ่ายทำตัวเหมือนรู้อะไรอยู่ตลอดเวลา มันน่าเป่าให้สมองไหลเสียจริง!
เมื่ออีกฝ่ายกลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงโทรตามเรื่องกับลูกน้อง สั่งให้เร่งหาตัวรูสให้พบโดยไว ขณะที่ทางเขาก็ต้องหาทางเปิดห้องใต้ดินนั่นให้ได้ ราซิสถึงขั้นจ้างแฮกเกอร์ฝีมือดีมาเจาะข้อมูลของห้องใต้ดินเพื่อหารหัสเปิดมันออก ยิ่งเวลานี้ถูกกดดันจากคู่ค้า เขาก็จำต้องทำทุกวิถีทาง แม้ต้องดำน้ำหรือพลิกแผ่นดินหาร่างของรูสก็ต้องทำ!

“นายครับ”

ลูกน้องราซิสเข้ามาในห้องพร้อมนายกำชัย นักธุรกิจจากแดนใต้ที่ราซิสเข้าไปร่วมทุนด้วย วันนี้ขึ้นมาหาเขาถึงนี่เพราะมีเรื่องร้อน เนื่องจากคนที่ส่งไปเกาะศิลาเมื่อคราวก่อนถูกจับได้

“ไหนคุณบอกว่าคนที่คุณดีลด้วยมันรู้ทางหนีทีไล่ในเกาะดีไง ทำไมถึงถูกจับได้ซะล่ะ?” ราซิสดูแคลน เขาไม่เคยเชื่อใจเจ้าคนจากเกาะศิลานั่นอยู่แล้ว มองอย่างไรก็แค่หมาจนตรอกตัวหนึ่งที่คิดจะแว้งกัดเจ้าของ

“ไม่นึกว่าหูตาเจ้าของเกาะมันจะไวปานนั้น” นายกำชัยว่า สีหน้าดูหงุดหงิดเมื่อถูกปรามาส “แต่คราวนี้ได้เรื่องแน่ ๆ เพราะบนเกาะมันกำลังมีปัญหากัน คงไม่มีใครจะมาสนใจเฝ้าระวัง”

ราซิสนิ่งฟัง มองท่าทางมั่นอกมั่นใจของนายกำชัยแล้วถอนใจเบา “มันจะคุ้มค่าแน่เหรอ ต้องเสียคนไปเท่าไรแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าเลย บนเกาะนั่นมันมีจริง ๆ ใช่ไหมน้ำมันที่ว่า”

“คุ้มสิคุณราส ก่อนหน้านี้ไอ้ไผทคู่แข่งของผมเคยแอบส่งคนไปขุดเจาะมาแล้ว มันมีจริง ๆ แต่ไอ้ไผทมันไร้น้ำยา ไม่สามารถนำออกมาได้ จะติดต่อร่วมทุนกับเจ้าของเกาะก็โดนปฏิเสธจนหน้าม้านกลับมา มันเคยพยายามหลายหนแต่ไม่สำเร็จ” นายกำชัยเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง และเพราะความล้มเหลวของนายไผททำให้เป็นที่มาของเสียงเล่าลือที่ว่า ไม่ว่าใครที่ลอบเข้าไปในเกาะศิลามักหายสาปสูญ

“แล้วคุณเอาอะไรมามั่นใจว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จ?” ราซิสเอ่ยถาม

เขาไม่เคยกลัวเรื่องอาถรรพ์ มันคือเรื่องไร้สาระ และเวลานี้ทุกอย่างก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าที่คนลักลอบเข้าเกาะศิลาหายไป เพราะถูกชาวเกาะศิลาจับได้ อาจถูกฆ่าตายหรืออะไรก็แล้วแต่ ถือว่าเกราะป้องกันของที่นั่นแน่นหนาพอดู อย่างนี้ธุรกิจที่คิดจะทำร่วมกันมันจะเป็นจริงได้หรือ

“เพราะคนของเกาะคือพวกเรา” นายกำชัยว่า

เขารู้จักกับเจ้านั่นเมื่อหลายปีก่อน มันลักลอบนำแร่หินจากในเกาะออกมาขาย อย่างที่รู้กันว่าบนเกาะศิลานอกจากการประมงแล้ว เหมืองแร่ก็เป็นอีกอย่างที่สร้างรายได้ แต่แร่ส่วนใหญ่กลับถูกส่งไปฝั่งตะวันตกเสียมากกว่าส่งเข้าไทย ทำให้นายกำชัยออกจะประหลาดใจเมื่อมันหลุดรอดมาได้

การได้ทำความรู้จักกับคนจากเกาะศิลายังประโยชน์มาสู่นายกำชัยไม่น้อย เจ้านั่นมันอ้างว่าเป็นคนสนิทชิดใกล้ของผู้มีอำนาจในเกาะ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรเลยสะดวกดายไปเสียหมด นายกำชัยได้รู้เรื่องราวหลายอย่างบนเกาะศิลา สำหรับนักธุรกิจเช่นเขา ที่นั่นถือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ไม่น้อย

“อย่างที่ผมบอกว่าช่วงนี้พวกมันมีปัญหากันเพราะแก่งแย่งอำนาจ และถ้าตกมาอยู่ในมือนายของเจ้านั่น เราก็ดีลได้ง่ายขึ้น” นายกำชัยวาดฝัน “เงินนะคุณ ใครจะไม่อยากได้ ความมั่งคั่งที่ได้มาแบบง่ายดายแค่เปิดเกาะให้เราเข้าไป ใครจะไม่ทำ”

ราซิสไม่อยากจะเชื่อน้ำยาสักเท่าไร “แล้วคุณมีแผนยังไง?”

ราวรอคำนี้อยู่นานแล้ว นายกำชัยกระตุกยิ้ม ก่อนบอกจุดมุ่งหมายของตน “ตอนนี้ทางนั้นต้องการกำลังหนุนเพราะจะโค่นอำนาจเก่า ถ้าเราฉวยโอกาสสร้างพันธมิตร คุณคิดดูสิ ทรัพยากรบนเกาะศิลามันจะไปตกอยู่ในมือของใครถ้าไม่ใช่เรา”

ราซิสทำเสียงหึลงคอกับการขายฝัน พูดวกไปวนมาก็เพื่อให้เขาส่งคนไปที่นั่นสินะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะการลงทุนมันมีความเสี่ยงเสมอ แต่เมื่อมองผลลัพธ์ที่จะได้กลับมา มันก็คุ้มมิใช่หรือ


......


เกาะศิลา

เสียงน้ำดังแว่วจากห้องน้ำภายในห้องนอนของสายลม เด็กกำลังอาบน้ำหลังถูกช่วยจนสบายตัวไปแล้ว สายลมมองผิวขาว ๆ ที่มีรอยจ้ำตรงลาดไหล่ เขาเผลอไปหน่อยเดียว ดีที่มันเป็นจุดลับตาเพราะใส่เสื้อผ้าปิดได้ แต่หากต้องช่วยเจ้าตัวยุ่งมันบ่อยครั้งก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแค่รอยตรงไหล่อย่างเดียว

สร้อยประจำตัวของรูสยังสวมอยู่ที่คอแม้แต่เวลาอาบน้ำ สายลมต้องบอกให้ถอดแขวนไว้ก่อนเพราะมันเป็นเชือกถักอาจจะชื้นแล้วทำให้คันเอาได้ เขาเคยถามว่ามันมีความพิเศษอะไรเพราะเห็นใส่อยู่ตลอด เด็กมันก็ส่ายหน้าแล้วบอกว่าผู้เป็นบิดาให้ใส่ไว้ หากสายลมอยากรู้คงต้องถามกับบิดาตน

เมื่อรู้เช่นนั้นสายลมจึงเก็บข้อสงสัยเอาไว้ หากมีเวลาสักหน่อยคงได้นั่งคุยเปิดใจกับลุงหลงอีกสักครั้ง เขามีเรื่องคาใจหลายอย่างที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจน แต่ตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียดจนขยับตัวทำอะไรก็ต้องคิดให้ดีเสียก่อน ทั้งยังกำชับกับรูสว่าอย่าซนนัก เพราะเขาเป็นห่วง

‘รูสไม่ดื้อ ฟังสายลมทุกอย่าง’
เด็กมันว่า ยกหางตัวเองที่สุด

“พูดอย่างนี้แต่ก็ดื้อทุกที” เขาแย้ง

‘คราวนี้ไม่ดื้อ จริง ๆ’ ยืนยันมั่นเหมาะทั้งยื่นนิ้วก้อยที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ให้เพื่อทำสัญญา

“หึ” สายลมทำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไร ก่อนจะเอ่ยถาม “ขาเป็นไงบ้าง หายหรือยัง?”

เขาก็วุ่นจนไม่ได้ดู ตอนลงจากถ้ำของลูห์มาก็มีสารถีอย่างลูห์ให้ขี่หลังมาส่งถึงที่ รักกันจริงคู่นี้ ทั้งที่คุยกันยังลำบาก อยากจะรู้จริง ๆ ว่ารูสเป็นตัวอะไร ทำไมลูห์ที่ได้ให้ความเอ็นดูขนาดนี้

‘หายแล้ว’ ตอบคำถามทั้งยิ้มตาปิด ก่อนจะหันไปตักน้ำในอ่างขึ้นมาล้างฟองสบู่จากตัว

“มีข้อดีอยู่อย่างเดียวนี่ล่ะนะ เจ็บตัวมาไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเดียวก็หาย”

‘ไม่ห่วงรูสเลยเหรอ?’ เด็กทำซึมน่ามันเขี้ยว

“ไม่เลยมั้ง หัวปั่นขนาดนี้”

พอเขาว่าอย่างนั้นเจ้าดื้อมันก็อมยิ้มแก้มป่อง

“รีบอาบน้ำให้เสร็จไป ฉันต้องไปพาหมอปลายฟ้ากลับลงมาจากถ้ำลูห์”

รูสชะงัก มองสายลมอย่างเป็นห่วง เรื่องหมอปลายฟ้า เรื่องเกาะศิลา สายลมต้องวิ่งแก้ปัญหาเองทุกอย่าง มันเป็นศึกสายเลือด ไม่ว่าใครต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ไม่ดีทั้งนั้น

“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องจบลงด้วยดี”

มือหนายกขึ้นแนบแก้มใสพร้อมปลอบให้คลายกังวล รูสพยักหน้า มือเรียวกุมทับมือสายลม เชื่อในตัวสายลม สายลมจะต้องทำได้แน่ ต้องทำได้...

ดวงตากลมมองสบนัยน์ตาสีนิลนิ่งนาน ก่อนที่จะค่อย ๆ เขย่งปลายเท้าขึ้นอีกนิดจนกระทั่งริมฝีปากบางสัมผัสกลีบปากหยัก เพียงปัดผ่านแผ่วเบาราวขนนกแต่ใจสายลมก็เต้นผิดจังหวะ หลุบสายตามองริมฝีปากบางที่เผยอน้อย ๆ อยู่ไม่ไกลห่างจากปากตน แล้วค่อยก้มลงไปหาช้า ๆ ก่อนที่จะตวัดแขนรัดร่างผอมบางเข้ามาชิดพร้อมประกบจูบริมฝีปากยวนใจ รู้ดีว่าไม่ควร แต่เขาไม่อาจทานทนได้ในสถานการณ์เช่นนี้

ริมฝีปากหยักเบียดบดกดจูบปากบาง ทั้งลิ้นสากที่เกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นเล็ก แขนแข็งแรงกอดรัดร่างผอมแน่น กักกันไม่ให้ห่างกาย ตามเบียดแทรกโรมรันลิ้นร้อนจนแทบไม่ปล่อยให้เด็กด้อยเดียงสาได้หายใจหายคอ ล่อหลอกปลายลิ้นลื่นให้ตามติดแล้วงับเบา ๆ จนกายผอมสั่นระรัว สัมผัสแปลกใหม่อีกหนึ่งอย่างที่เพิ่งได้ลิ้มลองทำให้แขนเรียวโอบกอดกายหนาและขยับเสียดสีร่างกายอย่างไม่ตั้งใจ

สายลมถอนจูบเมื่อมันเริ่มเลยเถิดไปไกล ดวงตากลมปรือปรอยมองหน้าเขา ลิ้นสีแดงระเรื่อตวัดไล้เลียริมฝีปากตัวเองทำให้คนมองต้องกลืนน้ำลาย พร้อมหักห้ามใจจนถึงที่สุด

“อย่าทำแบบนี้บ่อย ฉันจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้วรู้ไหม เด็กดื้อ”

เสียงแปร่งปร่ากระซิบบอกขณะจูบซับข้างขมับบาง สายลมกอดร่างน้อยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ทั้งตนเองและอีกฝ่ายได้ปรับอารมณ์ ก่อนที่จะปล่อยร่างนั้นออกจากอ้อมแขนแล้วหันหลังให้ในทันที

เมื่อเป็นอิสระแล้วรูสก็ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบออกจากห้องน้ำไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำแทบหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้


......
ต่อด้านล่างค่ะ   :mew4:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
บ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ

คนของนายซานินเดินเพ่นพ่านทั่วหมู่บ้าน ไม่เว้นแม้แต่บ้านของพ่อเฒ่าเองก็ด้วย เมื่อเขาคือนักพยากรณ์เพียงคนเดียวในเกาะแห่งนี้ การโน้มน้าวให้กลายเป็นพวกจึงมีมาเรื่อย คนของนายซานินฝากไว้ให้เขาพิจารณา แต่พ่อเฒ่าอาจีฟกลับยังนิ่งเฉย การฟาดฟันระหว่างสายเลือดครั้งนี้เขารู้ผลดี ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนก็พ่ายแพ้กันทุกคน

ฟาริดาลอบออกจากบ้านตามลูห์มาทางด้านหลัง มันรู้ทางลัดที่จะนำเธอไปยังจุดหมายและเพื่อให้พ้นหูตาคนของนายซานินที่คอยจับจ้อง เธอกำลังจะนำอาหารและเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนไปให้หมอปลายฟ้า ตอนนี้ขวัญกำลังใจคนในเกาะสั่นคลอน บิดาของเธอจึงต้องอยู่ประจำที่เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ทุกคน ถึงอย่างไรคนในหมู่บ้านก็เคารพยำเกรงบิดาของเธอ ทำให้นายซานินไม่ได้ทำอะไรรุนแรงลงไป

เมื่อมาถึงถ้ำ ปลายฟ้าก็จัดการอาหารที่หญิงสาวนำมาให้และไปตักน้ำในสระกลางเกาะขึ้นมาล้างเนื้อล้างตัวพร้อมผลัดเปลี่ยนชุด ก่อนจะกลับมาหาหญิงสาวที่กำลังเก็บจานชามกลับใส่ตะกร้า คุณหมอหนุ่มมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปหาแล้วนั่งลงที่โขดหินข้างเธอ

“ริด้า”

หญิงสาวเก็บของชิ้นสุดท้ายลงตะกร้าก่อนหันมามองคนเรียก

“คุณเชื่อใจผมไหม?”

น้ำเสียงดูเคร่งเครียดและแววตาจริงจังจากหมอปลายฟ้า ทำให้ฟาริดามองอย่างแปลกใจ “ทำไมถามแบบนั้นล่ะคะ?”

มือใหญ่เอื้อมมาจับมือของเธอ ฟาริดาก้มมอง ก่อนเงยขึ้นมามองหน้าคนจับ

“จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมไม่รู้ แต่ผมอยากขอคุณสักอย่างได้ไหม?”

“อะไรคะ?”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้เชื่อใจผม... จะได้ไหม?”

ฟาริดามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่แววคาดคั้นก็ทำให้หญิงสาวตอบกลับไป “ริด้าเชื่อใจคุณหมอค่ะ เชื่อว่าคุณหมอต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

เธอยิ้มจริงใจ แต่หมอปลายฟ้ากลับชะงัก ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณ”

เขาและเธอรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และต่อมาก็มีสายลมเพิ่มเข้ามาในกลุ่มของพวกเขา และเพราะมีความคิดที่คล้ายกันทำให้ทั้งสามคนสนิทกันมากกว่าใคร โดยเฉพาะหมอปลายฟ้าและฟาริดา ทั้งสองไม่ได้นิยามความรู้สึกที่มีว่ามันอยู่ในระดับไหน แต่ความสำคัญที่มีให้กันอยู่ตลอดก็ทำให้หมอปลายฟ้านึกถึงเธอก่อนใครอื่นเสมอ และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาเช่นเวลานี้ คนที่เขาต้องการให้อยู่เคียงข้างมากที่สุดก็คือเธอ อยากให้เข้าใจและเชื่อใจเขาดังเช่นที่เป็นมา

สายลมมาถึงในเวลาต่อมา สองหนุ่มยืนเผชิญหน้า พวกเขาต้องร่วมมือกันทำบางสิ่งที่สำคัญ และต้องทำมันให้สำเร็จ ทั้งสองหมุนกายกลับและก้าวเดินออกจากถ้ำอันเป็นที่หลบภัยไปอย่างมั่นคง ขณะที่หมอปลายฟ้าสอดกุมมือเรียวของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรจากนี้ ขอเพียงเธอเข้าใจ เพียงเท่านั้นก็พอ


หมอปลายฟ้าถูกส่งกลับมาที่บ้าน นายซานินยินดีนักที่หลานชายปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ได้แต่หมายมาดว่าจะจัดการกับสายลมและนายลามุที่พาตัวหลานของตนไป เมื่อได้ตัวหมอปลายฟ้ากลับมาเช่นนี้แล้วชายชราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงฝ่ายนั้น เพราะพวกมันไม่มีอะไรมาต่อรองกับเขาได้แล้ว

“พวกมันนี่โง่เง่ากันไม่เปลี่ยน ทั้งปู่ทั้งหลาน แต่ก็ดีแล้วที่หลานปลอดภัย ปลายฟ้า” มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะของหลานชายเพียงคนเดียวอย่างรักใคร่เอ็นดู เขาคาดหวังกับหลานคนนี้เอาไว้มาก

หมอปลายฟ้าที่นั่งอยู่ข้างรถเข็นของผู้เป็นปู่ สายตามีแววครุ่นคิด ก่อนที่จะเอ่ยปาก “ทำไมปู่ถึงอยากได้ตำแหน่งจากปู่ลามุจังล่ะครับ เราอยู่แบบนี้ไม่ดีเหรอ หรือผมดูแลปู่ไม่ดีพอ?”

คำถามจากหลานชายทำให้นายซานินชะงักมือ ก่อนจะก้มมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดแก่สายตา “มันควรเป็นของเรา ปลายฟ้า ลามุกะมันชุบมือเปิบ ทั้งลูกของมัน หลานของมัน ไม่ควรที่จะได้สักคนเดียว!!”

“......” คุณหมอหนุ่มนิ่งเงียบเมื่ออารมณ์ปู่ของตนเริ่มกรุ่นขึ้นมา

“อย่าถามอีกว่าทำไม เพราะปู่เกลียดพวกมัน เกลียดพวกมันทุกคน!”

ชายชราคำรามในลำคออย่างเคืองแค้น ก่อนจะหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ร่างกายก็ใช่จะสมบูรณ์แข็งแรงเช่นคนหนุ่มสาว เพราะอายุอานามก็หาใช่น้อย ๆ จะลงโลงอยู่ไม่นานนี้แล้วแต่กลับยังไม่สามารถตัดกิเลสในใจได้

“ถ้าผมเอามันมาให้ปู่... ปู่จะมีความสุขมากใช่ไหมครับ?”

“หลานว่าอะไรนะ?” คิ้วสีขาวขมวดเข้าหากันกับคำพูดของหลานชาย เขาหูเฝื่อนไปหรือ

“ผมจะแย่งอำนาจ แย่งชิงทุกอย่างคืนมาจากปู่ลามุและสายลม” หมอปลายฟ้าขยายความ

นิ่งไปชั่วขณะก่อนที่ริมฝีปากภายใต้เคราขาวจะกระตุกยิ้ม “หึ ๆ ให้มันได้อย่างนี้ สมแล้วที่เป็นหลานปู่... ปลายฟ้า”

มือย่นตบบ่าแกร่ง ลูกชายของเขาไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำอยู่ แต่หลานชายคนนี้ไม่ใช่ ตลอดมาปลายฟ้าไม่เคยขัดขวาง มีแต่เงียบฟังในสิ่งที่เขาพูด ทุกความเคียดแค้น ทุกความอดสูที่ได้รับมา เขาถ่ายทอดมันให้ปลายฟ้าได้รับรู้ ให้หลานชายคนนี้เจ็บแค้นไปพร้อม ๆ กับเขา ใช้ร่างกายที่ไม่สมประกอบทำให้ตัวเองน่าสงสาร น่าเห็นใจ และสุดท้ายในวันนี้ วันที่เขาเปิดศึกกับผู้เป็นน้องชายอย่างลามุกะ หลานชายของเขาคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

“หลานมีวิธีการที่จะกำจัดพวกมันให้พ้นทางเราแล้วรึ ปลายฟ้า?” นายซานินถามไถ่

“การเข้าถึงตัวสายลมยากมากทีเดียวครับ แต่เพราะคลุกคลีกันมา ทำให้เกราะป้องกันที่เขามีต่อผมมันบางมากจนกลายเป็นประมาทเกินไป”

“หลานหมายความว่า?”

“ผมต้องการคนของปู่มาเป็นกำลังให้ผม... ทุกคน”

หมอปลายฟ้าไม่ตอบแต่บอกจุดประสงค์ของตนเองแทน เขาเน้นย้ำท้ายประโยค น้ำเสียงจริงจังทั้งสายตาเด็ดเดี่ยวที่แม้แต่นายซานินเองยังไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ชายชรานิ่งไป ก่อนจะยกยิ้มแสยะ

“ได้สิ ทุกคนจะฟังคำสั่งของหลานนับจากนี้ เพราะในวันหน้า พวกเขาต้องอยู่ข้างกายหลานอยู่แล้ว นายคนใหม่ของเกาะศิลา หึ ๆ”

ผู้เป็นหลานยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มอ่อนโยนที่เคยมีมาเสมอ บัดนี้กลับแปรเปลี่ยน สายตาที่เต็มไปด้วยความมาดร้าย และรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม หมอปลายฟ้าที่แสนดีคนเดิมหายไปไหนเสียแล้ว


......


หน้าโต๊ะหมู่บูชาในห้องพระบ้านพ่อเฒ่าอาจีฟ ชายชรานั่งสมาธิอยู่ในห้องนั้นมาสักพักใหญ่ จนกระทั่งบุตรสาวของตนกลับมา หญิงสาวค่อยคลานเข่าเข้ามาแล้วกราบพระ ก่อนที่จะเรียกบิดา

“พ่อคะ”

พ่อเฒ่าอาจีฟค่อยลืมตาขึ้นมาจากสมาธิที่ทำอยู่ เขาค่อย ๆ กราบลาพระพุทธแล้วจึงหันมาหาบุตรสาว “ออกไปคุยกันข้างนอก”

หญิงสาวพยักหน้าพร้อมรับคำ ก่อนที่จะคลานเข่าออกไปจนถึงประตูแล้วถึงลุกเดิน บิดาของเธอตามมานั่งที่เก้าอี้ในห้องนั่งเล่น ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากถาม บิดาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“บางครั้งสิ่งที่เราเห็นก็อาจไม่เป็นเช่นที่เราคิด คนที่คิดว่าดีอาจจะร้าย และคนที่เราเห็นว่าร้ายก็อาจจะดี กายเนื้อไม่เท่าจิตวิญญาณภายใน”

“พ่อจะบอกอะไรคะ เกี่ยวกับสิ่งที่ลูกอยากรู้ใช่ไหมคะ?”

ชายชราเบือนสายตามาที่บุตรสาว ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เชื่อ... ในสิ่งที่ควรเชื่อ และอย่าเชื่อ... ในบางสิ่งที่อยากเชื่อ”

“ลูกจะจำไว้ค่ะ จะคิดไตร่ตรองให้ดี ขอบคุณค่ะพ่อ”

หญิงสาวประนมมือไหว้บิดา สิ่งที่บิดาต้องการจะบอกกับเธอคือ... อย่าเชื่อเฉพาะในสิ่งที่ตาเห็น จงคิดให้หนัก ไตร่ตรองให้รอบคอบ เช่นนั้นเอง



ห้องพักผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เหนือเมฆกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านหลังจากอาการดีขึ้นมากแล้ว มารดาของเขาเข้าไปเก็บข้าวของในห้องน้ำ ทำให้ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงเพื่อรอนาง ใครคนหนึ่งเปิดประตูแล้วก้าวเข้ามาในห้อง เหนือเมฆเงยมองแล้วนิ่งไป สายตามองเลยไปยังคนเฝ้าห้องที่นายลามุส่องมาก็เห็นว่านอนระเกะระกะอยู่ด้านนอกนั่น ท่าจะโดนเล่นงานเข้าเสียแล้ว

สายตาคมมองคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะขยับตัวรวดเร็วแล้วพุ่งออกทางหน้าต่างห้อง ปืนในมืออีกฝ่ายได้แต่เล็งไม่อาจลั่นไก เพราะเสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้เจ้าของปืนชะงักแล้วหันไปมอง นางมารียาที่โผล่มาผิดเวลายกมือทาบอกพร้อมกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกลัว ก่อนจะเป็นลมล้มพับลงไปที่พื้นหน้าห้องน้ำนั้นเอง

สายลมมาพบหมอปลายฟ้าหลังจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น คุณหมอหนุ่มดูแลจนนางมารียาฟื้นคืนสติและเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ว่านางออกจากห้องน้ำมาก็พบกับชายที่สวมหน้ากากอนามัยปิดบังไปเสียครึ่งหน้า ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งเป็นชุดประจำตำแหน่งผู้ช่วยของโรงพยาบาลแห่งนี้ นางไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะตกใจจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

สายลมมองหน้าพี่ชายด้วยความเคร่งเครียด เหนือเมฆถูกหมายชีวิตจากใคร นายซานินหรือ แล้วเหตุใดต้องเอาชีวิตเหนือเมฆ ในเมื่อทุกอย่างก็เผยออกมาแล้วว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง หรือจะมีใครที่ไหนเป็นมือที่สามคอยสร้างความปั่นป่วน มีแต่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ ทั้งสองพี่น้องจึงได้ออกมาคุยกันลำพัง

“ปู่ซานินมีแผนการอะไรกันแน่ เหนือเมฆมีความสำคัญยังไงถึงได้อยากเอาชีวิตมัน ทั้งที่เรื่องที่ปู่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างก็แดงออกมาแล้วแท้ ๆ” สายลมกอดอก ยกมือจับคางท่าทีครุ่นคิด มีแต่เรื่องน่าสงสัย

คุณหมอหนุ่มตบบ่าน้องพลางบอก “พี่เองก็ยังไม่รู้เลย ปู่ไม่บอกอะไรพี่ ขอโทษนะที่ช่วยนายไม่ได้เลย”

“อย่าพูดแบบนั้น พี่ก็พยายามในส่วนของตัวเองแล้ว ปู่ผมเขายินยอมที่จะรามือจากทุกสิ่งหากมันทำให้ปู่ซานินหยุดทุกอย่างลง” สายลมบอกกล่าว เขาคุยกับนายลามุแล้วถึงความประสงค์ของตนเอง และยืนยันในสิ่งที่พูดจนผู้เป็นปู่ยอมอ่อนลง “ในเวลานี้ทุกคนอยู่กันอย่างหวาดผวา เพราะคนของปู่ซานินเดินถือปืนไปมาเสียทั่วเกาะ”

“เรื่องนั้น...” หมอปลายฟ้าหน้าเสีย ทำให้สายลมชะงักปาก อย่างไรเสีย นายซานินก็เป็นปู่ของหมอและมีศักดิ์เป็นปู่ของเขาด้วยเช่นกัน

“ผมรู้ว่าปู่ซานินคงไม่ยอมรับในสิ่งที่ปู่ผมจะให้ แต่อยากให้พี่ช่วยพูดนะปลายฟ้า เพราะเราไม่อยากปะทะกันจนต้องมีฝ่ายไหนเจ็บหรือตายไป”

“พี่จะพยายาม... จะพยายาม สายลม”

หมอปลายฟ้าตอบรับ แม้จะดูไม่มั่นใจนักว่าจะทำได้ แต่ทั้งคู่ก็ยิ้มให้กำลังใจกัน ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหน่วงหนักที่ยังถ่วงในใจก็ตาม

เมื่อนายซานินบอกว่าที่ทำทุกอย่างลงไปก็เพื่อหมอปลายฟ้า ฉะนั้นแล้วจะไม่ยอมฟังหมอปลายฟ้าบ้างเลยเชียวหรือ ในขณะเดียวกันสายลมก็พยายามพูดกับนายลามุเพื่อยุติปัญหา ปู่ของเขาหวงอำนาจในมือ เพราะตลอดหลายสิบปีจนกระทั่งแก่ตัว นายลามุพยายามสร้างทุกอย่างมาด้วยมือของตน คงไม่อยากปล่อยมันไปง่ายดาย แต่เมื่อถึงวันหนึ่ง อย่างไรเสียก็ต้องปล่อยอยู่ดี หากมันสามารถยุติปัญหาได้ การวางมือจากอำนาจที่มีมันจะไม่ดีกว่าหรือ ให้หมอปลายฟ้าเป็นนายแทนเขาก็ได้ และหลังจากนั้นพวกเขาจะช่วยกันดูแล ช่วยกันพัฒนาที่นี่ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ทำแบบนี้ไม่ได้เลยเชียวหรือ?



กว่าสายลมจะกลับมาที่บ้านใหญ่ก็ช่วงค่ำ ทั้งที่ไปหาหมอปลายฟ้าตอนกลางวันไม่น่าจะใช้เวลานานนัก ไม่รู้ว่าแวะที่ไหนก่อนกลับถึงได้ช้านัก รูสที่รออยู่ก็ได้แต่กระวนกระวาย เขาออกจากบ้านใหญ่ไม่ได้ นายลามุเองก็ดูเครียดมาก เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่ออยู่คนเดียวก็เริ่มคิดฟุ้งซ่าน ปัญหามันเกิดตอนเขามา และมันลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นเรื่องที่หาทางออกไม่ได้ สิ่งที่ทุกคนเคยพูดมันจริงใช่ไหม

‘แกมันตัวหายนะ!’

คำด่าทอของคุณหญิงพจนีย์ผู้เป็นแม่บุญธรรมผุดขึ้นมาอีกแล้ว รูสเม้มปาก นัยน์ตากลมไหวระริก อยากปฏิเสธเช่นทุกทีว่าไม่ใช่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คืออะไรกัน เพราะเขาเข้ามาที่นี่ใช่ไหม เพราะเขาใช่ไหม...

“รูส”

“...!!”

เสียงสายลมดังมาจากหน้าห้องพร้อมเสียงเขย่าลูกบิด รูสจึงรีบไปเปิดประตูให้ ชายหนุ่มตัวโตมองเด็กตรงหน้าอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้านั่น แถมลงกลอนประตูเอาไว้ด้วย

“เป็นอะไร?” เขาเอ่ยถามพลางเดินผ่านตัวบางเข้าไปข้างใน

รูสปิดประตูแล้วค่อยก้าวตามมา ก่อนจะบอก “รูสกำลังคิดว่า... รูสควรไปจากที่นี่หรือเปล่า...”

สายลมชะงัก นิ่งไปจนเด็กใจเสีย ก่อนที่จะตอบกลับโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนที่ตนพูดด้วย

“คงกลัวสินะ ขอโทษด้วยที่ปกป้องเธอไม่ได้อย่างปากพูด เธอถึงต้อง...”

นิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากหยัก ก่อนเจ้าของนิ้วจะส่ายหน้าเบา ๆ ทั้งแววเศร้าหมอง

“รูสไม่ได้กลัวเรื่องนั้น แต่รูส... รูสคิดว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา รูสนำปัญหามาให้สายลมเต็มไปหมด” เด็กว้าวุ่นใจ

“ใครบอก” เขาถามกลับเสียงเข้ม

“ไม่ต้องมีใครบอก รูสก็รู้”

“อย่าคิดเองเออเอง ถ้าเธอเป็นตัวปัญหา ฉันจะไล่ตะเพิดเธอไปเอง ไม่ต้องห่วงหรอก” พูดแล้วก็ชักโมโห เลิกเสียทีได้ไหมนิสัยแบบนี้ ทำไมมองตัวเองว่าเป็นปัญหาสำหรับคนอื่นตลอด ถ้าเป็นปัญหาจริง เขาไม่มาดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้หรอก เตะโด่งออกไปจากเกาะนานแล้ว

รูสกัดปาก มือเรียวกำชายเสื้อตัวเอง ขณะที่ปลายเท้าก็เคาะพื้นเบา ๆ สายลมหลุบสายตามองท่าประจำเวลาอึดอัดคับข้องใจ เด็กมันไม่ได้ฟังที่สายลมบอกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ใช่ตัวปัญหา แต่กลับจำแค่คำที่ว่าอาจจะถูกไล่ตะเพิดไปจากที่นี่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

“รูสขอโทษ” ก้มหน้าบอกเสียงค่อยจนสายลมหงุดหงิด

“เอ๊ะ!!” ชายหนุ่มเสียงดังทั้งสีหน้าดูดุดันจนเด็กสะดุ้งโหยง ตากลมเงยมองอย่างหวาดหวั่น

“พูดไม่รู้ฟัง เด็กคนนี้”

น้ำเสียงดุทำให้เด็กหน้าเบ้ สายลมถอนใจแรง ดึงตัวผอมบางมากอด เขาจะบ้าตาย

“รูสขอโทษ... ขอโทษ...”

“เลิกขอโทษได้แล้วรูส ไม่ได้ทำอะไรผิดอย่าขอโทษ”

“แต่... แต่สายลมดุ เพราะ... เพราะรูสทำผิดใช่ไหม...?” เอ่ยถามตะกุกตะกักขณะซบหน้ากับอกแกร่ง อย่าโกรธเขาเลยนะ เขาขอโทษ

“เด็กบ้า จะทำให้ฉันอกแตกตายให้ได้เลยใช่ไหม?” ยิ่งเสียงดัง เด็กยิ่งรู้สึกแย่ สายลมจึงต้องลดระดับเสียงลง “รูสไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเวลานี้ก็ไม่ใช่เพราะรูส แต่เป็นเพราะจิตใจของคน เพราะความโลภ ไม่ใช่เพราะรูส เข้าใจไหม หืม?”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง เด็กก็นิ่งฟัง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นอันเข้าใจกัน

“เข้าใจก็ดีแล้ว ต่อไปก็อย่าคิดแบบนี้อีก” ชายหนุ่มดันตัวผอมออกจากอ้อมแขน ก่อนจะก้มลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันแล้วบิดแก้มเด็กมันเบา ๆ แล้วผละไป

รูสจับแก้มตัวเอง ที่สายลมพูด เขาเข้าใจ แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก เขาไม่ใช่ตัวปัญหาจริงหรือ... จริง ๆ ใช่ไหมสายลม...?


......


เวลาบ่ายคล้อย หมอปลายฟ้ารีบรุดมาที่บ้านนายลามุ คนของนายลามุเมื่อเห็นว่าหลานชายนายซานินมาถึงถิ่นก็รีบไปรายงานผู้เป็นนายของตนทันที แต่ก่อนที่จะได้ไปถึงตัวนายลามุกลับเจอสายลมเสียก่อน ทำให้ความนี้ถูกบอกล่าวแก่สายลมแทนที่จะเป็นนายลามุเช่นแต่ต้น

สายลมออกมาพบพี่ชายที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นผู้เป็นน้องมา หมอปลายฟ้าก็เปิดยิ้ม ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกไปคุยให้ห่างจากคนของนายลามุสักหน่อย

“สายลม พี่พยายามเกลี้ยกล่อมปู่แล้ว และท่านก็เหมือนจะคล้อยตามอยู่ไม่น้อยเลย พี่บอกอย่างที่ลมบอกว่าปู่ลามุยินยอมจะยกทุกอย่างให้ ขอเพียงยุติสิ่งที่ทำอยู่แล้วคืนความสงบให้เกาะเรา” หมอปลายฟ้าบอกเสียงระรัว

“นี่ถือเป็นเรื่องดี อย่างน้อยปู่ซานินก็ยอมฟังพวกเราบ้าง”

คุณหมอหนุ่มพยักหน้า ท่าทางจะรู้สึกยินดีไม่น้อยไปกว่าผู้เป็นน้อง “ปู่ยังบอก ถ้านายว่างเมื่อไรอยากจะเจรจาสันติกัน”

“......” สายลมนิ่งไป ชักตงิดใจขึ้นมา

“สายลม!!”

เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้สายลมหันไปมอง ร่างผอมวิ่งมาหา ก่อนจะไหว้หมอปลายฟ้าพร้อมยิ้มแย้ม

“พูดได้แล้วนี่เรา หายดีแล้วใช่ไหม?” หมอปลายฟ้าทายทัก ซึ่งรูสก็ทำท่าคิดก่อนพยักหน้ารับ

“รูส” สายลมเรียก เมื่อเจ้าของชื่อหันมาหาเขาจึงบอก “อยู่บ้านนะ ฉันมีธุระต้องไปทำ”

“ธุระอะไร รูสไปด้วยไม่ได้เหรอ?” เด็กเสียงออด อยู่ที่นี่รูสก็เป็นห่วงจนนั่งไม่ติด

“ไปด้วยกันก็ได้นะรูส ไม่ได้มีความลับอะไรหรอก” หมอปลายฟ้าเป็นคนเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่สายลมจะได้ปฏิเสธ

“แต่ว่า...”

“ไม่เป็นไรหรอกสายลม ถ้ากลัวจะเกิดอะไรขึ้น ให้คนของปู่ลามุตามไปด้วยกันก็ได้” คุณหมอหนุ่มเอ่ยบอก

สายลมมองตัวป่วนที่ยิ้มแฉ่งเพราะสมใจที่ได้ไปกับเขาด้วย ผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ก่อนจะพยักหน้าเออออ รอยยิ้มสดใสยิ่งกว้างกว่าเดิม เด็กเอ๊ย ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย

สายลมขอเข้าไปรายงานปู่ของตนสักหน่อย ก่อนที่จะตามหมอปลายฟ้าไป ตรงนี้จึงเหลือเพียงรูสและหมอปลายฟ้า เจ้าตัวเล็กยิ้มให้คุณหมอ ก่อนจะเดินเตร่ไปมารอสายลม เสียงพุ่มไม้ขยับไหวทำให้รูสชะงักเท้า ค่อยหันไปมองพุ่มไม้ที่คล้ายจะมีบางอย่างโผล่มาตาโต ก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อเห็นลูห์โผล่ออกมาจากในนั้น

รูสหัวเราะ เข้าไปลูบแผงคอมันเบา ๆ ขณะที่หมอปลายฟ้ามองลูห์นิ่ง เมื่อครู่ยังไม่เห็นมันอยู่ตรงนี้เลย แสนรู้จริงนะ หึ

“ไปลูห์”

สายลมกลับออกมาอีกครั้งพร้อมคนจำนวนหนึ่ง บอกกับลูห์เพียงสั้น ๆ มันก็เดินตาเขามาทันที การไปบ้านนายซานินครั้งนี้มันดูง่ายจนไม่น่าไว้วางใจ ก็บทจะง่ายมันก็ง่ายขนาดนี้เลยเชียวหรือ เชื่อได้ยากจริง ๆ

เมื่อมาถึงบ้านนายซานิน คนของเขาก็ถูกกันไว้ด้านนอกส่วนหนึ่งเพื่อให้เกียรติเจ้าของสถานที่ ลูห์และรูสพร้อมกับคนของเขาอีกสองนายได้ตามเข้ามาด้วย นายซานินนั่งอยู่ในสวนสวย หันมามองสายลมกับหมอปลายฟ้าที่เข้ามาหา

“พามาแล้วครับปู่”

ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์ “มาแล้วรึ สายลม ยินดีต้อนรับ”

แกร๊ก

จบคำ รอบกายของแขกผู้มาเยือนก็เต็มไปด้วยคนของนายซานินพร้อมอาวุธปืน คนของสายลมก็เหวี่ยงปืนเล็งไปหาฝ่ายตรงข้ามเพื่อป้องกันนายน้อย แต่พวกเขามีกันสองคน ขณะที่อีกฝ่ายล้อมอยู่รอบกาย ราวเดินมาตกหลุมพรางแล้วหาทางขึ้นไม่ได้

สายลมมองสถานการณ์อย่างระแวดระวัง ลูห์เองก็ตั้งท่าระวังภัยเช่นกัน ขณะที่รูสตกใจเมื่อปืนถูกเล็งมาหาหลายกระบอก ได้แต่ขยับเข้าไปใกล้สายลมแล้วเกาะแขนไว้ด้วยความหวั่นกลัว

“หลอกกันอย่างงั้นเหรอ?” สายลมคำรามลอดไรฟัน ดวงตาแข็งกร้าวมองนายซานินเขม็ง

“นึกว่ามันจะมีการเจรจากันจริงรึ สายลม ถ้ามันง่ายขนาดนั้นฉันกับลามุกะคงไม่ต้องมาสู้รบปรบมือกันแบบนี้หรอก” นายซานินเย้ยเยาะ

“ปู่ ไหนปู่บอกว่าจะยอมคุยกัน จะยอมฟังเหตุผลของทุกคนไงครับ?” หมอปลายฟ้าท้วงถาม นายซานินก็แสยะยิ้ม

“อย่าโง่ไปหน่อยเลยปลายฟ้า ไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้นล่ะ”

“ก็นึกเอาไว้อยู่แล้ว”

สายลมเอ่ยขึ้นมาบ้าง ก่อนที่สถานการณ์จะพลิกกลับ คนของเขาเข้าประกบ ล้อมคนของนายซานินพร้อมปืนในมือ ชายชราตกใจกับแผนการตลบหลังของสายลม แต่ก็ยังพยายามปั้นหน้านิ่ง

“ปู่เล่นสกปรกกับผมก่อน” สายลมว่า

“แก แกมันมากเล่ห์เหมือนลามุกะไม่มีผิด!” ชายชราตะคอกดังลั่น

“ในเมื่อปู่ไม่ยอมรามือ ในเมื่ออยากเล่นกันแบบนี้ ผมคงไม่เกรงใจปู่แล้ว”

“สายลม...” หมอปลายฟ้าเรียกน้องเสียงแผ่ว สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก

สายลมปรายมามองผู้เป็นพี่ “ใช้ไม้อ่อนไม่ได้เราก็ต้องเปลี่ยนแผนนะ ปลายฟ้า”

หมอปลายฟ้าหน้าหมองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะพึมพำ “นั่นสินะ...”

กริ๊ก!!

เสียงที่เกิดขึ้นพร้อมกับปลายกระบอกปืนถูกเล็งมาที่หัวทำให้สายลมชะงักงัน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ปลายฟ้า... หมอปลายฟ้าชักปืนออกมาขู่เขา!



TBC



บวกขอบคุณ คุณ O-RA DUNGPRANG ค่ะ  :กอด1:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด