สายลมห่มตะวัน
บทที่ ๙ เปิดศึก
บ้านนายซานิน
ชายชราผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งมองบรรยากาศนอกหน้าต่างอยู่บนรถเข็นสำหรับผู้ป่วย ผ้าแพรปิดคลุมช่วงขาที่ใช้การไม่ได้เอาไว้ สีหน้าท่าทางแลดูไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรสักนิด แต่คนเราดูกันแต่ภายนอกคงไม่ได้
ลูกน้องของเขาเข้ามารายงานถึงเรื่องที่หมอปลายฟ้าถูกนายน้อยสายลมพาตัวไปเสียแล้ว มือเหี่ยวย่นที่วางอยู่บนที่พักแขนกำเข้าหากันจนสั่น ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ สายลมคงพอระแคะระคายแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใครถึงได้มาพาหลานชายของเขาไปเช่นนี้ คิดจะเปิดศึกกับข้าอย่างนั้นหรือ ลามุกะ!
เมื่อก่อนเกาะศิลาเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและภาษา ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดของพวกเขาได้มาพบกับเกาะแห่งนี้โดยบังเอิญ เกาะที่ไม่ได้ขึ้นต่อประเทศใด ไม่มีผู้ถือครอง ณ ขณะนั้น ทำให้พวกท่านเข้ามาตั้งรกราก ในทีแรกก็มีกันเพียงไม่กี่ครอบครัว อยู่กันฉันพี่น้อง แต่เมื่อวันหนึ่งเริ่มมีผู้คนจากถิ่นอื่นขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ทำให้เกิดกฎกติกาการอยู่ร่วมกันขึ้น
ในขณะนั้นครอบครัวของนายซานินและนายลามุเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาบุกเบิก และพวกเขาก็มีอาคมพอตัว สามารถสะกดให้สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายยอมสยบ คนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ก็ต่างกลัวเกรงบารมีเมื่อเห็นสิงโตตัวเขื่องอยู่เคียงกายคนในครอบครัวของพวกเขาตลอดเวลา จึงได้รับการยอมรับให้ขึ้นมาเป็นผู้นำของเกาะ คอยตัดสินปัญหาและแบ่งสันปันส่วนพื้นที่ให้แต่ละคนตามความพอเหมาะและพอใจ
เมื่อสิ้นรุ่นแรกไป ผู้ที่สืบทอดต่อมาก็ยังคงเป็นครอบครัวของนายลามุและนายซานิน จนกลายเป็นว่าเกาะนี้ขึ้นกับครอบครัวของพวกเขาไปแล้วตั้งแต่นั้น กระทั่งมาถึงรุ่นของพวกเขา พวกเขามีสอง ฝ่ายที่สนับสนุนนายลามุมี นายซานินเองก็ไม่ได้ต่างกัน ทำให้ต้องพึ่งการตัดสินจากสิงโตอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้ที่จะขึ้นมาเป็นนายเหนือทุกคนบนเกาะศิลา ให้สิงโตคู่บารมีเป็นผู้เลือกหาว่าใครกันที่เหมาะสม
นายลามุในขณะนั้นเป็นพวกชอบเที่ยวเล่นเสียมากกว่า การที่จะมาปกครองคนหมู่มากนั้นไม่ใช่ทางของเขาแม้แต่น้อย ทำให้นายลามุไม่อยากเข้าร่วมพิธีเลือกผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายของคนบนเกาะศิลา แต่ถูกบีบบังคับกลาย ๆ เพราะหากตนไม่มาร่วมพิธีนี้ ผู้เป็นพี่ชายอย่างนายซานินคงไม่อาจขึ้นครองตำแหน่งได้อย่างขาวสะอาด
พิธีกรรมดังกล่าวจะทำให้คนในเกาะเชื่อมั่นในตัวของผู้นำมากขึ้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผู้เป็นนายของเกาะศิลาต่างมีสิงโตคู่บารมีกันทั้งนั้น เมื่อถึงเวลานายซานินก็ถูกส่งไปที่ลาน เผชิญหน้ากับลีอาห์ สิงโตสาวที่ขึ้นชื่อเรื่องดุร้าย เพราะมันขี้หงุดหงิดตามประสาสิงโตตัวเมียที่ไม่ชอบถูกใครบังคับ และนายซานินที่ลงไปหามันที่ลานกลับควบคุมมันไม่ได้ ถูกมันทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ โชคยังดีที่นายลามุเข้าไปช่วยเหลือ แต่ขาของนายซานินที่ถูกฉีกกระชากดึงทึ้งจากคมเขี้ยวก็ไม่สามารถที่จะรักษาให้กลับมาคงเดิม เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้นายลามุได้ขึ้นเป็นนายของเกาะ โดยที่พี่ชายอย่างนายซานินกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็น
จากพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกลับต้องมีรอยบาดหมาง เพราะอำนาจตัวเดียวที่ทำให้จิตใจของพวกเขาดำมืด ในขณะที่น้องชายมีแต่คนนับถือ นายซานินกลับเป็นไอ้ง่อยที่แม้แต่ช่วยเหลือตัวเองยังแทบทำไม่ได้ มันน่าเจ็บใจ และไม่น่าให้อภัยคนเป็นน้องไปพร้อมกัน ทั้งที่ทุ่มเททุกอย่าง พยายามทำมาทุกสิ่งเพื่อส่งให้ไอ้น้องชายไม่เอาอ่าวนั่นได้ดีอย่างนั้นหรือ?
“นายท่าน ท่านลามุกับนายน้อยสายลมมาขอพบครับ”
เสียงลูกน้องใกล้ชิดที่เข้ามารายงานทำให้นายซานินหลุดจากภวังค์ สิ่งที่ได้ยินทำให้เขาตัวชา พวกมันมากันแล้ว
รถของชายชราถูกเข็นออกมาด้านนอก เพื่อเผชิญหน้ากับผู้เป็นน้องชายที่เขาทั้งรักทั้งแค้นในคราวเดียวกัน
“จะมาจับข้าเข้าคุกมืดรึ ลามุ?” นายซานินเอ่ยถามพลางยิ้มหยัน
นายลามุมองผู้เป็นพี่ ก่อนตอบกลับไปเสียงเรียบ “ข้าอยากมาตกลงกับพี่เสียมากกว่า”
“หึ ตกลงงั้นเรอะ?”
“ถึงแม้คนของพี่จะซื่อสัตย์ต่อพี่จนไม่ยอมปริปากบอกอะไร แต่ข้าก็พอรู้ว่าหากไม่มีคำสั่งจากพี่ เขาก็คงไม่กล้าทำถึงขนาดนี้”
“แล้วยังไง?” นายซานินย้อนถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ผู้เป็นน้องชายรู้แล้วจะอย่างไรเล่า จะทำอะไรเขาอย่างนั้นหรือ
“ข้าไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ระหว่างเรา ถึงอย่างไรพี่ก็คือพี่ คนที่ข้ารักและนับถือเสมอมา”
“หึ... หึ ๆ... ฮ่า ๆ ๆ” นายซานินหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไรตลก “นับถือข้ารึ ลามุ เจ้าช่างกล้าพูดได้ไม่อายปาก”
“......”
“ทุกวันนี้ที่เจ้าได้เป็นใหญ่เหนือทุกคนที่นี่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะแย่งมันจากข้าที่เจ้าบอกว่ารักและนับถือเรอะ!?”
“ในวันนั้นข้าคืนอำนาจแต่พี่ไม่รับ” นายลามุโต้กลับ หลังขึ้นรับตำแหน่งเขาเคยคุยกับนายซานิน เพราะมันไม่เหมาะกับคนอย่างเขาจึงคิดที่จะคืนมันให้ผู้เป็นพี่ชายที่เหมาะสมมากกว่า แต่นายซานินกลับปฏิเสธที่จะรับคืน
“ข้าจะเอาอำนาจไปทำไมลามุ เห็นสภาพข้าไหม เห็นไหมไอ้น้องชั่ว!” ยิ่งถกเถียงอารมณ์ของทั้งสองก็ยิ่งคุกรุ่น นายซานินตวาดลั่นทั้งตัวสั่นเทิ้ม เหลือใจหนักหนาเมื่อพูดถึงร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของตน
“แล้ววันนี้พี่มาทวงถามความยุติธรรมบ้าบออะไร ข้าให้พี่ทุกอย่าง ยอมสละตำแหน่งแต่พี่ไม่รับ แต่แล้ววันหนึ่งกลับลอบกัด ทำร้ายข้าลับหลัง จะให้ข้าเข้าใจเจตนาพี่ว่ายังไง!!?”
“ถ้าข้ารับมันมา คิดว่าคนในเกาะศิลาจะเคารพยำเกรงข้าเรอะ มีแต่คนจะหัวเราะเยาะ แต่ข้าก็คาดหวังว่าเจ้าจะยกมันให้ลูกของข้า ลูกชายข้า แต่เจ้าก็ไม่ทำ เพราะอะไร เพราะเจ้าก็ต้องการมันใช่ไหม อำนาจที่ว่านั่น พูดจาสวยหรู สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโลภในจิตใจ!”
นายซานินตอกย้ำความจริงที่ผู้เป็นน้องชายไม่อาจปฏิเสธ เมื่อนายซานินไม่ขอรับตำแหน่ง นายลามุที่ครองตำแหน่งนายของทุกคนในเกาะจึงมอบมันต่อให้ลูกชายตน ไม่ได้หันกลับมามองลูกของพี่ชายเลยสักนิด นายซานินพูดถูกทุกอย่าง ทั้งที่ตอนแรกเขาไม่เคยอยากได้ แต่เมื่อได้มากลับไม่คิดอยากปล่อยให้หลุดมือ
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน อำนาจที่เจ้ามีอยู่ในมือ ไม่ต้องมาเวทนาข้าจนต้องยกมันให้ เพราะข้าจะช่วงชิงมันมาให้หลานของข้าเอง!”
นายซานินประกาศกร้าวเป็นการจบบทสนทนา ที่สุดแล้วคงไม่พ้นต้องสู้กันจนพ่ายไปข้างหนึ่ง ศึกสายเลือดเกิดขึ้นก็เพราะด้านมืดในใจคนที่ควบคุมความพอเหมาะพอดีไม่ได้ ทุกคนเวียนว่ายอยู่ในวงโคจรเดียวกัน โลภโมโทสันไม่ต่างกันสักคนเดียว
หลังจากเหตุการณ์นั้น คนในเกาะศิลาก็เริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เมื่อคนของนายซานินประกาศว่าผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายตนจะไม่สามารถใช้โรงพยาบาลได้ เพราะโรงพยาบาลเป็นของหมอปลายฟ้า แม้จะร่วมกันสร้างมากับสายลม แต่หมอปลายฟ้าอยู่บริหารและดูแลที่นั่นตลอด เพราะฉะนั้นมันคือของหมอโดยชอบธรรม ในฐานะที่หมอเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสิทธิ์ขึ้นครองตำแหน่งนายเหนือทุกคนในเกาะศิลา
คลื่นลูกใหญ่ที่ซุกซ่อน เมื่อวันหนึ่งเผยตัวก็ถาโถมเข้าใส่จนทุกคนตั้งรับแทบไม่ทัน โดยเฉพาะสายลมที่ต้องรับศึกภายในและคอยระวังศึกจากภายนอกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเกาะศิลา อยากทำอะไรอีกมากมายบนเกาะเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึงร้อยหลังคาเรือน เมื่อนานวันความรู้สึกที่ว่ามันคือบ้านของเขามันยิ่งชัดเจน แต่หลายสิ่งก็เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะ... คน
หลายพ่อพันแม่ย่อมมีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่าง เขาพยายามมองข้ามสิ่งเหล่านั้นเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าและพิสูจน์ให้ทุกคนที่นี่เห็นถึงความมุ่งมันและจริงใจ กับทุกสิ่งที่ทำลงไปไม่เคยคิดหวังตำแหน่งใหญ่โตเหนือใครที่นี่ แต่มันก็ยังทำได้ไม่ดี เพราะเหตุผลที่ว่าเขาเป็นคนอื่น ไม่ได้เกิดและเติบใหญ่บนเกาะศิลาแห่งนี้ แต่ถูกนายลามุพามาอวดอ้างว่าเป็นหลานพร้อมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่คนในเกาะอ่านไม่ออก ความเคลือบแคลงมันจึงไม่เคยหมดไปเสียที จนอดคิดไม่ได้ว่าบางที... เขาอาจไม่เหมาะกับที่นี่
“ปลายฟ้า”
สายลมเอ่ยเรียกคนที่อยู่กับเขาในเวลานี้ ภายในถ้ำของลูห์คือสถานที่ที่ปลอดภัยจากสายตาคนภายนอกมากที่สุด ทำให้เขาพาผู้เป็นพี่ชายมาที่นี่ ปลายฟ้าเองก็หันมามองคนเรียกเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปชั่วครู่ก่อนบอก
“ผมไม่ได้ต้องการตำแหน่งนายเหนือทุกคนที่นี่ ผมยินดีเป็นนายน้อย หรือเป็นเพียงสายลม คนธรรมดาคนหนึ่ง”
“......” หมอหนุ่มนิ่งฟังที่น้องชายพูด
“ผมเคยคิดว่าผมจะยกมันให้พี่” สายลมบอกพร้อมหันมามองผู้ที่ตนเองกำลังสนทนาด้วย
“พี่ไม่ได้อยากได้มัน” หมอปลายฟ้าว่า
“ผมรู้... แต่ในอนาคตผมคิดอยู่ตลอดว่าอยากยกตำแหน่งนี้ให้ลูกของพี่ เพราะพี่คงสอนเขาให้ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ได้ดีกว่าผม”
“นายพูดเหมือนจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว...”
“อาจจะ”
จบคำของสายลม ทั้งคู่ก็ต่างเงียบกันไป ตลอดมาพวกเขารู้ดีถึงปัญหา เพียงแต่ไม่มีใครอยากพูดถึงมัน
“นายรักที่นี่ไหม สายลม?”
คำถามจากผู้เป็นพี่ชายทำให้สายลมนิ่งไป ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาช้า ๆ
“สิบห้าปีแล้วนะ... ถ้านับรวมเวลาในช่วงที่ผมไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับอังกฤษจนกระทั่งเรียนจบ... จนมา... อยู่ที่นี่ถาวรก็เก้าปี”
“......”
“ผมผูกพันกับทุกคนที่นี่ เหมือนเป็นลูกทะเลเต็มตัว แต่กับหลายคน... คงไม่รู้สึกเหมือนผม” สายลมว่า
“โดยเฉพาะปู่ของพี่ใช่ไหม?” นั่นคือสิ่งที่รู้กันดี
“พวกเขามีปัญหากันมาตั้งแต่พวกเรายังไม่เกิดด้วยซ้ำ และมันก็เรื้อรังมาจนบัดนี้”
“......” หมอปลายฟ้าเงียบอย่างยอมรับ
สายลมเบือนสายตาไปอีกทาง ก่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก “พวกเราต้องเป็นศัตรูกันจริง ๆ เหรอ?”
หมอปลายฟ้าไม่มีคำตอบให้น้องชาย เขาเองก็หาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้ แม้พยายามเปลี่ยนความคิดของปู่มาตลอดแต่ก็ไร้ผล
“พี่ขอโทษที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” คุณหมอหนุ่มก้มหน้าอย่างหมดหนทาง เขาไม่อยากเห็นการนองเลือด โดยเฉพาะคนสายเลือดเดียวกัน
“ถ้าเราร่วมมือกัน... มันอาจจะมีทางออก”
มือหนายื่นมาตรงหน้าผู้เป็นพี่ชาย หมอปลายฟ้ามองมือนั้นอย่างไม่มั่นใจ พวกเขาจะทำได้จริงหรือ มันคือคำถามที่เขารู้ดีว่าไร้ซึ่งคำตอบ หากมัวแต่คิด แต่ไม่ลองก็คงไม่อาจรู้
คุณหมอหนุ่มยื่นมือไปจับ “ทุกอย่างต้องมีทางแก้”
“ผมมั่นใจแบบนั้น” มุมปากหยักยกยิ้ม
“หึ”
มัวแต่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยคงไม่ได้ ปล่อยปู่ของพวกเขาทำศึกกันไป ส่วนพวกเขาสองคนคงต้องใช้สมองกันหนักสักหน่อย จะต่อกรกับชายชราหัวรั้นทั้งสองคนมันก็ต้องมีชั้นเชิงกันบ้างล่ะน่า
แกร๊กเสียงบางอย่างที่หน้าถ้ำทำให้สายลมเตรียมพร้อมในท่าระวังภัย หมอปลายฟ้าเองก็ขยับลุก ทั้งคู่เพ่งมองตรงทางเข้าถ้ำ นี่มันถิ่นลูห์ ยังมีใครที่ไหนขึ้นมาบนนี้ได้โดยที่ลูห์ไม่อนุญาตด้วยหรืออย่างไร และเมื่อได้เห็นว่าเจ้าของเสียงแปลก ๆ ที่ได้ยินคือเด็กดื้อที่แอบตามมา สายลมก็ระบายลมหายใจหนักหน่วง บอกให้รออยู่ที่บ้านใหญ่นี่ไม่ฟังกันเลยใช่ไหม ดื้อได้ใจจริง ๆ
ตัวผอมบางเดินกะเผลกมาหาสายลม สีหน้าดูดีใจที่ได้เจอ แต่สายลมกลับก้มมองขาเรียวที่มีรอยช้ำเป็นทางเกิดขึ้น ได้แผลมาอีกตามเคย
“ซนจนได้เรื่อง” เขาดุ เจ้าดื้อมันก็ก้มมองขาตัวเองแล้วทำหน้าง้ำ
‘รูสหกล้ม’ ยังมาบอกอีก
“สม”
‘ฮื่อ’ เด็กทำเสียงประท้วง ไม่ปลอบแล้วยังมาสมน้ำหน้ากันอีก ฮึ!
“ไหน มาดูซิ” สายลมจะก้มลงดูแต่เด็กกลับขยับขาหนีทำให้เขาชะงัก... ไอ้ขี้งอน!
ตัวบางเดินกะเผลกไปหาหมอปลายฟ้า และเมื่อฝ่ายนั้นขอดูรอยช้ำที่ขากลับไม่ดื้อด้วยสักแอะ ยอมไปเสียทุกอย่างจนสายลมหมั่นไส้เหลือเกิน กับเขานี่งอนได้งอนดี ทีกับหมอล่ะนั่งเงียบเรียบร้อยยิ่งกว่าผ้ายับ ๆ ที่พับไว้เสียอีก
รูสย่นจมูกใส่คนตัวโตที่ยืนกัดฟันกรอด ๆ เพราะหมอปลายฟ้าพูดจากับเขาเพราะพริ้ง ช่างดูแลเอาใจใส่และเป็นห่วงเป็นใยทำให้เขาไม่กล้าดื้อด้วย แต่ไม่ใช่ว่าสายลมไม่ดี เพราะรูสไว้ใจสายลมกว่าใคร สนิทสนมกันมากกว่าคนอื่น ทำให้เผลอแสดงกิริยาไม่ดีในบางครั้ง แต่สายลมก็ไม่โกรธนี่ ใช่ไหม?
ปลอบใจตัวเองไปเช่นนั้น แต่เมื่อได้มองตาเขียว ๆ ของคนตัวโตแล้วรูสก็ชักไม่แน่ใจ บางทีสายลมอาจจะโกรธแต่รูสไม่รู้ตัวหรือเปล่า...
……
บนฝั่งไทย
ชายแปลกหน้าสองคนมาติดต่อขอเช่าเรือจากชาวบ้านที่ชายฝั่งเพื่อจะดำน้ำดูปะการังใต้ทะเลลึก ด้วยความที่คิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจึงไม่มีใครทันได้คิดอะไร ตกลงราคาค่าเช่ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้ตระเตรียมเรือเพื่อออกทะเลกัน ชายทั้งสองนายนั้นจึงเรียกเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งมาด้วย และขอให้มีคนนำทางที่ไว้ใจได้ไปเพียงคนเดียว เห็นดังนั้นแล้วเจ้าของเรือก็ชักตงิดใจ กลัวจะเป็นคนร้ายที่แฝงตัวมาและอาจฆ่าพวกเขาหากนำทางไปถึงจุดหมาย
“มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนี่” เจ้าของเรือเอ่ยแย้ง
ชายที่เขาคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจึงต่อรอง “ผมให้เพิ่มอีกเท่าตัว แบบนี้พอจะคุยกันได้ไหม?”
แม้อีกฝ่ายจะเอาเงินเข้าล่อ แต่นั่นยิ่งทำให้ชายเจ้าของเรือไม่ไว้ใจ ด้วยรักตัวกลัวตายจึงปฏิเสธซ้ำ “เห็นทีจะไม่ได้ เพราะปรกติพวกเราไม่เคยเอาเรือออกทะเลเพียงคนเดียว”
ชายแปลกหน้าเดาะลิ้นเบา ๆ กับความมากเรื่อง “ถ้าให้ไปหมดนี่จะไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“ไม่ พวกเราไม่รับงานนี้ คุณกับเพื่อนคงต้องไปหาเรือลำอื่น”
ชายเจ้าของเรือส่งเงินมัดจำคืน ฝ่ายตรงข้ามก็มองเขานิ่ง ก่อนจะขยับมือปัดชายเสื้อแล้วชักปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาเล็งจ่อ เจ้าของเรือและลูกน้องต่างผงะ ตกใจกลัวกันลนลาน
“กินลูกตะกั่วสักลูกจะคุยกันรู้เรื่องขึ้นไหม?” อีกฝ่ายคำราม ที่เหลือก็อยู่ในท่าทีเตรียมพร้อม ดูคุกคามจนเจ้าของเรือกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น
หลังการเจรจาเสร็จสิ้น ชายแปลกหน้าทั้งสองคนก็กลับขึ้นรถมา ต้องให้พวกเขาขู่ถึงจะยอม คนพวกนี้มันมากเรื่องจริง ๆ คนสั่งก็มากเรื่องพอกัน นายราซิส
“แกว่านายราซิสมันบ้าหรือเปล่า จะให้ค้นหาร่างของน้องมันที่จมอยู่ใต้ทะเลนี่นะ ป่านนี้ไม่ถูกฉลามกินก็คงเน่าไปหมดแล้ว ประสาท”
หนึ่งในนั้นบ่นด้วยความหัวเสีย คำสั่งแสนพิสดารจากผู้เป็นนายให้ค้นหาร่างของน้องชาย เพื่อที่จะนำจี้ห้อยคอที่น้องสวมมาเปิดห้องใต้ดิน เวลามันผ่านมาร่วมเดือนกว่า ศพที่อยู่ใต้น้ำก็คงถูกแทะจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้วป่านนี้ บางครั้งอาจถูกคลื่นใต้ทะเลซัดไปไหนแล้วไม่รู้ ที่สำคัญ คนที่ราซิสใช้ให้ลงมือปลิดชีวิตน้องของตัวเองก็ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว พวกเขาจะรู้ไหมว่ามันพาไปฆ่าทิ้งที่ไหน งมเข็มในมหาสมุทรแปซิฟิกยังง่ายกว่านี้อีก
“บ่นไปแล้วจะทำอะไรได้ นายราซิสมันเหมือนคนอื่นที่ไหน โหดถึงขนาดฆ่าน้องของตัวเองได้ แถมคนที่ซื่อสัตย์กับมันที่สุดอย่างเจ้าซาน มันยังสั่งฆ่าได้ไม่ลังเล ขืนเรามีปากมีเสียง มีหวังได้ลงไปอยู่ใต้ทะเลเหมือนน้องชายมันกับเจ้าซานแน่”
ชายอีกคนแจงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของราซิส พวกเขาต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้วันไหนจะถึงคิวของพวกเขาบ้าง เกิดวันดีคืนดีนึกสนุกอยากฆ่าใครเล่นขึ้นมาจะทำอย่างไร
ทางด้านคนสั่งอย่างราซิสก็กำลังเจรจาติดต่อกับลูกค้ารายใหม่ที่นำเงินจำนวนมหาศาลมาแลกกับงานวิจัยของศาสตราจารย์ภิชาติ ทำให้เขาปฏิเสธรายเก่าไปเพราะทางนี้น่าสนใจมากกว่า ตัวแทนของคู่ค้ารายใหม่มาติดต่อดำเนินเรื่องแทน เห็นว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับบริษัทการเงินขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงระดับต้น ๆ เลยทีเดียว เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเอางานวิจัยไปทำไม แต่เงินที่ได้ก็กลบข้อสงสัยไปจนสิ้น
“เราจะมั่นใจได้ยังไงว่างานวิจัยที่คุณมีอยู่มันจะดีจริง?” ตัวแทนของคู่ค้าเอ่ยถามเพื่อความรอบคอบในการลงทุนครั้งนี้
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเลยครับ ชื่อเสียงของพ่อผมคงพอการันตีได้” ราซิสยกยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายก็ไหวไหล่เล็กน้อย
“ผมดู ๆ แล้วคุณก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองเลย ทำไมถึงได้นำงานวิจัยที่พ่อของคุณทุ่มเททำมาออกมาขายล่ะ?”
“อา...” คำถามที่จี้ตรงจุดทำให้ราซิสยกยิ้ม ก่อนจะแจกแจงทุกรายละเอียด “เก็บไว้กับตัวก็ใช่จะมีประโยชน์ สู้ให้คนเก่ง ๆ นำไปพัฒนาให้มันใช้ได้จริงน่าจะมีประโยชน์กับคนจำนวนมาก พ่อผมเองก็คงจะคาดหวังให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะท่านทุ่มเททำมันสุดกำลังที่มี แม้จะไม่มีเงินทุนสนับสนุนจากที่ไหนเลยก็ตาม”
“ฟังดูดี” ทางนั้นว่า “แล้วผมจะได้เห็นผลงานวิจัยอันเลอเลิศนั่นเมื่อไร?”
ราซิสชะงัก ก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว
“ในไม่ช้า” ตอบกลับไปนิ่ง ๆ อย่างมีชั้นเชิง ขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้าเนิบช้า
“หวังว่าจะไม่นานเกินรอ” ตัวแทนของคู่ค้ายกยิ้มมุมปาก
ราซิสแค่นหัวเราะ กดดันเขาอย่างนั้นหรือ อีกฝ่ายทำตัวเหมือนรู้อะไรอยู่ตลอดเวลา มันน่าเป่าให้สมองไหลเสียจริง!
เมื่ออีกฝ่ายกลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงโทรตามเรื่องกับลูกน้อง สั่งให้เร่งหาตัวรูสให้พบโดยไว ขณะที่ทางเขาก็ต้องหาทางเปิดห้องใต้ดินนั่นให้ได้ ราซิสถึงขั้นจ้างแฮกเกอร์ฝีมือดีมาเจาะข้อมูลของห้องใต้ดินเพื่อหารหัสเปิดมันออก ยิ่งเวลานี้ถูกกดดันจากคู่ค้า เขาก็จำต้องทำทุกวิถีทาง แม้ต้องดำน้ำหรือพลิกแผ่นดินหาร่างของรูสก็ต้องทำ!
“นายครับ”
ลูกน้องราซิสเข้ามาในห้องพร้อมนายกำชัย นักธุรกิจจากแดนใต้ที่ราซิสเข้าไปร่วมทุนด้วย วันนี้ขึ้นมาหาเขาถึงนี่เพราะมีเรื่องร้อน เนื่องจากคนที่ส่งไปเกาะศิลาเมื่อคราวก่อนถูกจับได้
“ไหนคุณบอกว่าคนที่คุณดีลด้วยมันรู้ทางหนีทีไล่ในเกาะดีไง ทำไมถึงถูกจับได้ซะล่ะ?” ราซิสดูแคลน เขาไม่เคยเชื่อใจเจ้าคนจากเกาะศิลานั่นอยู่แล้ว มองอย่างไรก็แค่หมาจนตรอกตัวหนึ่งที่คิดจะแว้งกัดเจ้าของ
“ไม่นึกว่าหูตาเจ้าของเกาะมันจะไวปานนั้น” นายกำชัยว่า สีหน้าดูหงุดหงิดเมื่อถูกปรามาส “แต่คราวนี้ได้เรื่องแน่ ๆ เพราะบนเกาะมันกำลังมีปัญหากัน คงไม่มีใครจะมาสนใจเฝ้าระวัง”
ราซิสนิ่งฟัง มองท่าทางมั่นอกมั่นใจของนายกำชัยแล้วถอนใจเบา “มันจะคุ้มค่าแน่เหรอ ต้องเสียคนไปเท่าไรแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าเลย บนเกาะนั่นมันมีจริง ๆ ใช่ไหมน้ำมันที่ว่า”
“คุ้มสิคุณราส ก่อนหน้านี้ไอ้ไผทคู่แข่งของผมเคยแอบส่งคนไปขุดเจาะมาแล้ว มันมีจริง ๆ แต่ไอ้ไผทมันไร้น้ำยา ไม่สามารถนำออกมาได้ จะติดต่อร่วมทุนกับเจ้าของเกาะก็โดนปฏิเสธจนหน้าม้านกลับมา มันเคยพยายามหลายหนแต่ไม่สำเร็จ” นายกำชัยเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง และเพราะความล้มเหลวของนายไผททำให้เป็นที่มาของเสียงเล่าลือที่ว่า ไม่ว่าใครที่ลอบเข้าไปในเกาะศิลามักหายสาปสูญ
“แล้วคุณเอาอะไรมามั่นใจว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จ?” ราซิสเอ่ยถาม
เขาไม่เคยกลัวเรื่องอาถรรพ์ มันคือเรื่องไร้สาระ และเวลานี้ทุกอย่างก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าที่คนลักลอบเข้าเกาะศิลาหายไป เพราะถูกชาวเกาะศิลาจับได้ อาจถูกฆ่าตายหรืออะไรก็แล้วแต่ ถือว่าเกราะป้องกันของที่นั่นแน่นหนาพอดู อย่างนี้ธุรกิจที่คิดจะทำร่วมกันมันจะเป็นจริงได้หรือ
“เพราะคนของเกาะคือพวกเรา” นายกำชัยว่า
เขารู้จักกับเจ้านั่นเมื่อหลายปีก่อน มันลักลอบนำแร่หินจากในเกาะออกมาขาย อย่างที่รู้กันว่าบนเกาะศิลานอกจากการประมงแล้ว เหมืองแร่ก็เป็นอีกอย่างที่สร้างรายได้ แต่แร่ส่วนใหญ่กลับถูกส่งไปฝั่งตะวันตกเสียมากกว่าส่งเข้าไทย ทำให้นายกำชัยออกจะประหลาดใจเมื่อมันหลุดรอดมาได้
การได้ทำความรู้จักกับคนจากเกาะศิลายังประโยชน์มาสู่นายกำชัยไม่น้อย เจ้านั่นมันอ้างว่าเป็นคนสนิทชิดใกล้ของผู้มีอำนาจในเกาะ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรเลยสะดวกดายไปเสียหมด นายกำชัยได้รู้เรื่องราวหลายอย่างบนเกาะศิลา สำหรับนักธุรกิจเช่นเขา ที่นั่นถือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ไม่น้อย
“อย่างที่ผมบอกว่าช่วงนี้พวกมันมีปัญหากันเพราะแก่งแย่งอำนาจ และถ้าตกมาอยู่ในมือนายของเจ้านั่น เราก็ดีลได้ง่ายขึ้น” นายกำชัยวาดฝัน “เงินนะคุณ ใครจะไม่อยากได้ ความมั่งคั่งที่ได้มาแบบง่ายดายแค่เปิดเกาะให้เราเข้าไป ใครจะไม่ทำ”
ราซิสไม่อยากจะเชื่อน้ำยาสักเท่าไร “แล้วคุณมีแผนยังไง?”
ราวรอคำนี้อยู่นานแล้ว นายกำชัยกระตุกยิ้ม ก่อนบอกจุดมุ่งหมายของตน “ตอนนี้ทางนั้นต้องการกำลังหนุนเพราะจะโค่นอำนาจเก่า ถ้าเราฉวยโอกาสสร้างพันธมิตร คุณคิดดูสิ ทรัพยากรบนเกาะศิลามันจะไปตกอยู่ในมือของใครถ้าไม่ใช่เรา”
ราซิสทำเสียงหึลงคอกับการขายฝัน พูดวกไปวนมาก็เพื่อให้เขาส่งคนไปที่นั่นสินะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะการลงทุนมันมีความเสี่ยงเสมอ แต่เมื่อมองผลลัพธ์ที่จะได้กลับมา มันก็คุ้มมิใช่หรือ
......
เกาะศิลา
เสียงน้ำดังแว่วจากห้องน้ำภายในห้องนอนของสายลม เด็กกำลังอาบน้ำหลังถูกช่วยจนสบายตัวไปแล้ว สายลมมองผิวขาว ๆ ที่มีรอยจ้ำตรงลาดไหล่ เขาเผลอไปหน่อยเดียว ดีที่มันเป็นจุดลับตาเพราะใส่เสื้อผ้าปิดได้ แต่หากต้องช่วยเจ้าตัวยุ่งมันบ่อยครั้งก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแค่รอยตรงไหล่อย่างเดียว
สร้อยประจำตัวของรูสยังสวมอยู่ที่คอแม้แต่เวลาอาบน้ำ สายลมต้องบอกให้ถอดแขวนไว้ก่อนเพราะมันเป็นเชือกถักอาจจะชื้นแล้วทำให้คันเอาได้ เขาเคยถามว่ามันมีความพิเศษอะไรเพราะเห็นใส่อยู่ตลอด เด็กมันก็ส่ายหน้าแล้วบอกว่าผู้เป็นบิดาให้ใส่ไว้ หากสายลมอยากรู้คงต้องถามกับบิดาตน
เมื่อรู้เช่นนั้นสายลมจึงเก็บข้อสงสัยเอาไว้ หากมีเวลาสักหน่อยคงได้นั่งคุยเปิดใจกับลุงหลงอีกสักครั้ง เขามีเรื่องคาใจหลายอย่างที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจน แต่ตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียดจนขยับตัวทำอะไรก็ต้องคิดให้ดีเสียก่อน ทั้งยังกำชับกับรูสว่าอย่าซนนัก เพราะเขาเป็นห่วง
‘รูสไม่ดื้อ ฟังสายลมทุกอย่าง’ เด็กมันว่า ยกหางตัวเองที่สุด
“พูดอย่างนี้แต่ก็ดื้อทุกที” เขาแย้ง
‘คราวนี้ไม่ดื้อ จริง ๆ’ ยืนยันมั่นเหมาะทั้งยื่นนิ้วก้อยที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ให้เพื่อทำสัญญา
“หึ” สายลมทำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไร ก่อนจะเอ่ยถาม “ขาเป็นไงบ้าง หายหรือยัง?”
เขาก็วุ่นจนไม่ได้ดู ตอนลงจากถ้ำของลูห์มาก็มีสารถีอย่างลูห์ให้ขี่หลังมาส่งถึงที่ รักกันจริงคู่นี้ ทั้งที่คุยกันยังลำบาก อยากจะรู้จริง ๆ ว่ารูสเป็นตัวอะไร ทำไมลูห์ที่ได้ให้ความเอ็นดูขนาดนี้
‘หายแล้ว’ ตอบคำถามทั้งยิ้มตาปิด ก่อนจะหันไปตักน้ำในอ่างขึ้นมาล้างฟองสบู่จากตัว
“มีข้อดีอยู่อย่างเดียวนี่ล่ะนะ เจ็บตัวมาไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเดียวก็หาย”
‘ไม่ห่วงรูสเลยเหรอ?’ เด็กทำซึมน่ามันเขี้ยว
“ไม่เลยมั้ง หัวปั่นขนาดนี้”
พอเขาว่าอย่างนั้นเจ้าดื้อมันก็อมยิ้มแก้มป่อง
“รีบอาบน้ำให้เสร็จไป ฉันต้องไปพาหมอปลายฟ้ากลับลงมาจากถ้ำลูห์”
รูสชะงัก มองสายลมอย่างเป็นห่วง เรื่องหมอปลายฟ้า เรื่องเกาะศิลา สายลมต้องวิ่งแก้ปัญหาเองทุกอย่าง มันเป็นศึกสายเลือด ไม่ว่าใครต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ไม่ดีทั้งนั้น
“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องจบลงด้วยดี”
มือหนายกขึ้นแนบแก้มใสพร้อมปลอบให้คลายกังวล รูสพยักหน้า มือเรียวกุมทับมือสายลม เชื่อในตัวสายลม สายลมจะต้องทำได้แน่ ต้องทำได้...
ดวงตากลมมองสบนัยน์ตาสีนิลนิ่งนาน ก่อนที่จะค่อย ๆ เขย่งปลายเท้าขึ้นอีกนิดจนกระทั่งริมฝีปากบางสัมผัสกลีบปากหยัก เพียงปัดผ่านแผ่วเบาราวขนนกแต่ใจสายลมก็เต้นผิดจังหวะ หลุบสายตามองริมฝีปากบางที่เผยอน้อย ๆ อยู่ไม่ไกลห่างจากปากตน แล้วค่อยก้มลงไปหาช้า ๆ ก่อนที่จะตวัดแขนรัดร่างผอมบางเข้ามาชิดพร้อมประกบจูบริมฝีปากยวนใจ รู้ดีว่าไม่ควร แต่เขาไม่อาจทานทนได้ในสถานการณ์เช่นนี้
ริมฝีปากหยักเบียดบดกดจูบปากบาง ทั้งลิ้นสากที่เกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นเล็ก แขนแข็งแรงกอดรัดร่างผอมแน่น กักกันไม่ให้ห่างกาย ตามเบียดแทรกโรมรันลิ้นร้อนจนแทบไม่ปล่อยให้เด็กด้อยเดียงสาได้หายใจหายคอ ล่อหลอกปลายลิ้นลื่นให้ตามติดแล้วงับเบา ๆ จนกายผอมสั่นระรัว สัมผัสแปลกใหม่อีกหนึ่งอย่างที่เพิ่งได้ลิ้มลองทำให้แขนเรียวโอบกอดกายหนาและขยับเสียดสีร่างกายอย่างไม่ตั้งใจ
สายลมถอนจูบเมื่อมันเริ่มเลยเถิดไปไกล ดวงตากลมปรือปรอยมองหน้าเขา ลิ้นสีแดงระเรื่อตวัดไล้เลียริมฝีปากตัวเองทำให้คนมองต้องกลืนน้ำลาย พร้อมหักห้ามใจจนถึงที่สุด
“อย่าทำแบบนี้บ่อย ฉันจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้วรู้ไหม เด็กดื้อ”
เสียงแปร่งปร่ากระซิบบอกขณะจูบซับข้างขมับบาง สายลมกอดร่างน้อยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ทั้งตนเองและอีกฝ่ายได้ปรับอารมณ์ ก่อนที่จะปล่อยร่างนั้นออกจากอ้อมแขนแล้วหันหลังให้ในทันที
เมื่อเป็นอิสระแล้วรูสก็ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบออกจากห้องน้ำไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำแทบหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้
......
ต่อด้านล่างค่ะ