45.7 cm.
[/size]
ทฤษฎีระยะห่างบุคคล หรือ Proxemics ของเอ็ดเวิร์ด ฮอลล์ นักมานุษยวิทยาได้บอกเอาไว้ว่า ถ้าเรารู้สึกสนิทใจกับใครคนไหน เราจะยอมให้เขาเข้ามาในพื้นที่ระยะประชิด 45.7 เซนติเมตร พื้นที่ที่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ เช่น พ่อ แม่ และคนรัก ผมนั่งค้ำคางมองอาจารย์สลับกับกองชีทตรงหน้าตัวเองด้วยสายตาเหม่อลอย ระยะ 45.7 เซนอย่างนั้นเหรอ ไม่รู้สิ ผมไม่เคยไว้ใจให้ใครเข้ามาใกล้ตัวเองขนาดนั้นแม้แต่พ่อแม่ตัวเองก็ตาม พื้นที่ปลอดภัยของผมก็ยังคงปลอดภัยอยู่เช่นเดิมไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามา
อย่ามองผมแบบนั้นสิ ไม่ใช่เด็กมีปัญหาหรอกนะ เอ ... หรือจะมีหน่อย ๆ ล่ะมั้ง
ผมเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งตั้งแต่เกิดและเติบโตมาในสถานสงเคราะห์เอกชนแห่งหนึ่ง แต่เพราะถูกนำมาส่งที่นี่แทบจะเรียกว่าเป็นเด็กคนแรกเลยก็ว่าได้ทำให้โตมาอย่างโดดเดี่ยวเด็กในวัยเดียวกันก็ไม่มี
โลกส่วนตัวสูง ... อืม อาจจะเรียกแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง ไม่รู้สิ ผมมองว่าตัวเองแค่เป็นคนไม่ชอบความวุ่นวายเฉย ๆ ก็แล้วแต่คุณจะนิยามแล้วกัน
พออายุสิบสามก็ถูกรับมาเลี้ยงโดยสามีภรรยาคู่หนึ่งที่แสนดี พวกเขาเลี้ยงดูและให้ความรักกับผมอย่างดีที่สุด แต่ผมก็โตเกินกว่าจะแก้นิสัยตัวเองไม่ได้แล้วแม้พวกเขาจะพยายามเข้าหามากขนาดไหนก็ตาม ถึงอย่างนั้นพวกท่านก็ยังเลี้ยงดูด้วยความเข้าใจ
ก็เปิดใจนะ ไม่ได้เย็นชา ใจแคบอะไรขนาดนั้น เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์อยู่ (นิดนึง) แต่ไม่รู้สิ อาจเพราะผมไม่ได้โตมาท่ามกลางความรักล่ะมั้ง สถานสงเคราะห์นั่นไม่ใช่ไม่ดีแต่ก็เลี้ยงพวกเรากันไปตามหน้าที่ มาเจอพวกเขาก็ตอนที่สายเกินไปแล้ว
ส่วนคนรักน่ะเหรอ ตัดทิ้งไปได้เลย ตั้งแต่โตมาจนเข้ามหา’ลัยก็ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้นเลยสักนิด ป็อปปี้เลิฟยิ่งอย่าไปพูดถึง วัน ๆ หมกตัวอยู่กับหนังสือและห้องสมุด กับเพื่อนสนิทยังมีแบบนับคนได้ นับประสาอะไรกับคนรัก
“ไอ้มายด์เรียนเสร็จมึงจะไปไหนต่อปะ” วารินเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตตั้งแต่มัธยมหันมาถามหลังจากจบคลาส
ผมก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมืออย่างใช้ความคิด รีบกลับไปก็ไม่มีอะไรให้ทำ พ่อกับแม่ก็ไปประชุมของบริษัทที่ต่างจังหวัด หนังสือที่บ้านก็อ่านจนจำได้หมดแล้ว คิดแล้วก็คงไม่มีที่ไหนให้ไปนอกจากที่ประจำของตัวเอง
“คงห้องสมุดแหละ”
“ไปกินข้าวกับกูก่อนดิ หิวอีกแล้วอ่ะ” วารินทำท่าแอ่นพุงแล้วลูบไปมาเรียกร้องความเห็นใจ ผมขำกับท่าทางนั้นก่อนจะพยักหน้าตกลง อยู่กับเพื่อนหน่อยก็ได้เดี๋ยวจะโดนบ่น
“เย้! งั้นกูโทรชวนแฝดนะ”
กูว่าแล้ว คงจะไปเตี๊ยมกับไอ้แฝดแสนกวนประสาท เพื่อนสนิทสองคนสุดท้ายในกลุ่มของผมที่มาสนิทกันงง ๆ เพราะหนึ่งในแฝดมันเป็นแฟนกับวาริน ตอนแรกที่ผมรู้ว่าเพื่อนตัวเองคบกับผู้ชายก็ตกใจนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ก็เรื่องของมัน ผมจะไปยุ่งอะไรล่ะ
ผมกับวารินเดินออกจากคณะไปร้านอาหารหลังมอที่นัดกับเพื่อนอีกสองคนไว้ ตามทางก็มีคนมาทักเพื่อนผมตลอด ไอ้นี่มันเด็กกิจกรรม เห็นว่าได้เป็นคิวท์บง คิวท์บอยอะไรนั่นด้วย ก็ตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ หน้าตาอย่างกับตุ๊กตาก็ไม่แปลกนักหรอก
เราเดินตีคู่ในระยะที่ห่างเกือบหนึ่งช่วงแขนได้ อาจเป็นเพราะมันก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ ไม่ชอบให้โดนตัวมันพาลให้รู้สึกอึดอัดชอบกล นิสัยแบบนี้นี่โชคดีแค่ไหนที่ยังมีเพื่อนกับเขา เฮ้อ
มาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นหลังมหา’ลัยที่คนเยอะมากจนมองไม่เห็นหนทางที่เราจะได้เข้าไปกินเลยสักนิด รอไม่นานไอ้แฝดพระนายกับพระคุณก็ตามมา แต่ก็ยังต้องยืนรอคิวอยู่อย่างนั้นเห็นว่ามีอีกห้าคิว ให้ตายเถอะ ผมถอนหายใจออกมาอย่างเริ่มหมดความอดทน
“ใจเย็นเว้ยมายด์ เดี๋ยวแป็บนะ เหมือนกูจะเห็นรถเพื่อนว่ะ” พระนายแฝดพี่หันมาบอกผมก่อนจะเดินไปชะเง้อคออยู่หน้าร้าน กดโทรศัพท์อะไรของมันสักพักแล้วมันก็เดินยิ้มกลับมาหาพวกผม
“ไปกัน เพื่อนกูอยู่ข้างใน มันจองเป็นห้องเอาไว้”
“ใครวะ พวกไอ้เล้งเหรอ” พระคุณแฝดน้องแฟนวารินถามขึ้น
“เออ ไปเหอะมายด์ ริน เพื่อนกูเอง มันอยู่กันสามคนเองแต่จองห้องใหญ่ไว้มีที่เหลือเฟือ” สายตาของคนทั้งสามหันมาจ้องผมเพียงคนเดียว ในตอนแรกก็อยากปฏิเสธอยู่หรอกแต่พอสบสายตาออดอ้อนจากไอ้ตัวเล็กของกลุ่มก็เลยต้องยอมอย่างเสียไม่ได้
“เออ ๆ”
“เย้” ไอ้นายเดินนำเข้าไปโดยมีผมเดินทิ้งท้าย ด้านในร้านแออัดจนรู้สึกเหมือนหายใจแทบไม่ออก ปกติก็เป็นร้านยอดฮิตของเด็กมหา’ลัยนี้อยู่แล้วพอเป็นช่วงหลังเลิกเรียนแบบนี้คนยิ่งเยอะเข้าไปอีก
ห้องที่ว่านั่นก็เป็นมุมหนึ่งของร้านที่วางที่กั้นฉากเอาไว้รอบ ๆ กั้นเป็นส่วนมีอยู่ประมาณ 3-4 ล็อก ข้างในเป็นที่นั่งยกพื้นสูงขึ้นให้คนนั่งห้อยขาลงเหมือนที่ญี่ปุ่นอะไรแบบนั้น ผมมองคนแปลกหน้าสามคนด้วยแววตาเรียบเฉย ผงกหัวทักทายตามมารยาทแล้วนั่งลงริมสุดโต๊ะข้างไอ้นาย
“มายด์เอาไร”
“ราเมนเพิ่มหมูชาชู”
พอพนักงานออกไปทุกคนก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยหมายถึงทุกคนยกเว้นผมที่นั่งเขี่ยเท้าไปมา จะหยิบโทรศัพท์มาเล่นก็ดูจะไม่ดีเท่าไรเพราะไม่มีใครบนโต๊ะเล่นเลย นั่งไปนั่งมารู้สึกแปลก ๆ แหะเหมือนโดนจ้องเลย คิดแบบนั้นก็เลยเงยหน้าขึ้นถึงได้สบตากับใครบางคนที่นั่งตรงข้าม
1
2
3
แค่สามวินาทีเท่านั้นที่เราสบตากัน ก่อนจะที่ผมจะเบนสายตาหนีไปยังนอกร้าน เริ่มอึดอัดเล็กน้อยเมื่อยังรู้สึกว่าถูกจ้องอยู่ มองอะไรนักหนาวะ ไม่รู้ตัวว่าเผลอขมวดคิ้วจนกระทั่งไอ้นายกระซิบถามเสียงเครียด
“มึงโอเคปะวะ”
“อืม”
ผมเลิกให้ความสนใจกับอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีก็ตอนที่อาหารยกมาเสิร์ฟ ก้มหน้าก้มตากินเหมือนว่าหิวโหยแต่จริง ๆ ก็แค่ไม่อยากสบสายตาใคร ไม่ชอบเลยว่าต้องมาอยู่กับคนไม่สนิทในที่รโหฐานแคบ ๆ มันชวนให้รู้สึกเหมือนถูกลุกล้ำเขตปลอดภัย
“กินแค่นั้นอิ่มหรอ กินนี่ด้วยกันไหม” คนเดียวกับคนที่ทำให้อึดอัดส่งเสียงขึ้นพร้อมกับเลื่อนจานเกี๊ยวซ่ามาข้างฝั่งผม ทำให้คนอื่นที่กำลังคุยกันอยู่เงียบเสียงลงก่อนจะเป็นเพื่อนคนใดคนนึงของไอ้นายส่งเสียงแซว
“แหมไอ้โซล เห็นคนน่ารักหน่อยไม่ได้เลยนะ” ไม่ชอบอยู่กับคนที่เราไม่ได้คัดกรองให้เข้ามาก็เพราะแบบนี้ คนพวกนั้นจะไม่รู้จักนิสัยเรา จะไม่รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร อย่างเช่นตอนนี้ที่ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีที่เพื่อนอีกสองคนของไอ้นายกำลังพูดจาไม่เข้าหู
เพื่อนผมอีกสามคนเป็นคนสักเกตเห็นอย่างรวดเร็วตามประสาคนสนิท แต่กลับเป็นคนตรงข้ามผมที่เอ่ยปากห้ามเพื่อนตัวเอง
“พอเลยมึง แดกเข้าไป มีเรียนชดลืมเรอะ” เสียงหัวเราะมีต่อเล็กน้อยแต่สักพักก็สงบลง แต่ความรู้สึกกรุ่น ๆ ข้างในของผมมันกลับไม่ได้ดีขึ้น อารมณ์อยากกินหมดลงจึงวางตะเกียบและช้อนลง หยิบน้ำมาดื่มพลางหยิบทิชชู่มาเช็ดปากเป็นอันรู้กันว่าผมอิ่มแล้ว
“งั้นพวกเรากลับเลยไหม” วารินเอ่ยขึ้นก่อนจะเรียกเก็บเงิน ใช้เวลาจัดการไม่นานก็พากันเดินออกมายืนอออยู่หน้าร้าน ผมไม่รอให้คนอื่นพิรี้พิไรเดินไปกระซิบบอกวารินแล้วแยกตัวออกมาทันที
ช่วงห้าโมงแดดยังแรงอยู่จึงต้องรีบสับเท้าเดินให้ไวก่อนที่เหงื่อจะท่วมตัวไปมากกว่านี้ ดีที่ว่าจากประตูหลังมอมีทางลัดร่ม ๆ ให้เดินทะลุไปถึงห้องสมุดกลาง ผมสแกนนิ้วตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็ตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นประจำ
เดินดุ่มไปยังล็อกนิยายที่ชอบมองหานิยายที่แอบซุกไว้สองวันก่อนเพราะกลัวถูกเอาคนอื่นยืมไป สาเหตุที่ไม่อยากยืมน่ะเหรอ ไม่รู้สิแค่บางอารมณ์กับบางเล่มอยากอ่านในห้องสมุดมากกว่า
เอ้า หายไปไหนแล้วอ่ะ
“วันก่อนยัดไว้แถวนี้นี่” ผมเบ้หน้า ยังอ่านไม่จบเลยแล้วที่นี่ก็มีเล่มเดียวด้วย เป็นเล่มที่อยากลองอ่านก่อนจึงยังไม่ได้ซื้อ เฮ้อ สงสัยจะชวดซะแล้ว
“เฮ้ย!”
“นี่เอง”
เกือบหงายดีที่ข้างหลังเป็นชั้นหนังสือ เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เกือบจะชนกันเมื่อกี้ก็ทำให้เผลอชักสีหน้าใส่ทันที ผมถอนหายใจใส่แล้วเดินหนีไปล็อกอื่น ไม่ได้ใส่ใจว่าอีกคนจะรู้สึกไม่ดีกับการกระทำของผม
“เฮ้”
“…” ผมขยับหนีเมื่ออีกคนทำท่าจะเข้ามาใกล้เกิน พอเขาเห็นผมหนีเขาเลยยกมือขึ้นสองข้างคล้ายจะเป็นการบอกว่าจะไม่ขยับเข้าไปอีก
“มายด์”
“เรารู้จักกันหรอ”
“อ้าวความจำสั้นเฉย เพิ่งนั่งกินข้าวด้วยกันเมื่อกี้นี่เอง”
“เฮ้อ แล้วมีอะไร”
“หาเล่มนี้อยู่ใช่หรือเปล่า”
หนังสือหน้าปกสีขาวมีรอยสีปาดอยู่สี่สี หนังสือของสตีเวน คิง เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นสี่เรื่องผมชอบมาก ๆ แต่เพิ่งอ่านจบไปเรื่องเดียวเอง
“อื้อ”
“สนุกไหม”
“สนุก”
“แล้วทำไมไม่ยืมไป ทำไมต้องเอามาซ่อนล่ะ”
“ขอได้ไหม”
“ตอบก่อนสิ”
เออ ไม่เอาก็ได้ ลีลาชิบหาย ผมถอนหายใจแล้วก็เดินหนีไปอีกทาง ไม่สนใจเสียงรองเท้าที่ตามหลังมา เลือกหนังสือเล่มใหม่มาอีกเล่มก็เดินไปนั่งโต๊ะประจำ โต๊ะมุมในสุดหลีกเลี่ยงจากผู้คน ถ้าไม่เดินเข้ามาก็ไม่มีทางเห็นเลยมีผมนั่งอยู่ทำให้หลายครั้งบรรณารักษ์ชอบขึ้นมาปิดไฟปิดแอร์เพราะนึกว่าไม่มีคน
“นั่งด้วยคนนะ”
ผมเงียบไม่ตอบแล้วเริ่มเปิดหนังสืออ่าน เป็นเล่มที่เคยอ่านแล้วแต่ก็สามารถอ่านซ้ำได้อีก หนังสือเล่มสีน้ำเงินมีรูปคล้าย ๆ โลกและดวงดาวอยู่ ชอบสะดุดตาเล่มนี้ตั้งแต่ในร้านหนังสือตั้งแต่หน้าปก ชื่อหนังสือ จนต้องสอยกลับบ้านแบบไม่ต้องคิด
“นี่”
“…”
“ชื่อมายด์ใช่ปะ นี่ชื่อโซล”
“…”
ผมเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์จะอ่านหนังสือแล้ว ชักสีหน้าใส่อย่างไม่คิดเก็บอาการเลยสักนิด ลุกขึ้นเดินเอาหนังสือไปเก็บที่ สะพายกระเป๋าขึ้นหลังแล้วเดินลงจากห้องสมุดทันที ไม่สนใจการรักษามารยาทอะไรทั้งนั้นแหละ ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายนี่ไม่ด่าให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
ซ่า ซ่า
ชิบหาย ฝนตกอะไรตอนนี้ ผมเดินย่ำเท้าไปมาอยู่บนฟุตบาธหน้าห้องสมุด ฝนตกหนักอย่างนี้รถรางของมหา’ลัยก็คงไม่ออกวิ่ง สงสัยคงต้องได้กลับไปนั่งในห้องสมุดจนกว่าฝนจะหยุด
“อ่ะ!”
“กลับยังไง เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวสิ”
“อะไรนักหนาเนี่ย!”
“ขอโทษ” เขาดูสลดลงเมื่อผมเหวี่ยงใส่ ผมสูดลมหายใจเข้าเพื่อปรับอารมณ์ตัวเองก่อนจะมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้ถ้ามีหูกับหางคงลู่ตกลงหมด
“รถอยู่ไหน”
สาบานว่าเมื่อกี้สลดจริง พอผมพูดจบตาคม ๆ ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหม็นเบื่อเขาก็ยิ้มแหยก่อนจะชี้ไปทางด้านหลัง
“ขอบคุณ”
…
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาหลังจากวันนั้นผมก็ยังดำเนินชีวิตตามปกติ เรียนเสร็จไม่กลับบ้านก็อยู่ห้องสมุด ไม่ได้เจอเพื่อนไอ้นายคนนั้นอีกทำให้ลืมเลือนไปเพราะไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งวันนี้เห็นมันมานั่งอยู่หน้าตึกคณะพอเห็นหน้าผมเขาก็ยิ้มกว้าง
“นั่นมัน ..”
“มายด์”
“มาทำไรอะ”
“มาหามายด์ไง”
“มาหาทำไมอะ”
“ก็ไม่รู้ดิ รู้สึกตัวเองอีกทีก็ขับรถมาโผล่อยู่หน้าตึกมนุษย์ฯ แล้วอะ” ไม่พูดเปล่าเขายังเกาท้ายทอยเหมือนประหม่าทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปอีก อะไรของมัน ก็แค่ถามแล้วเป็นอะไรจะต้องหลบตา พูดงุบงิบในคอ เสียงวารินหัวเราะผมเลยหันไปเลิกคิ้วถามใส่เพื่อนตัวเองแทน
“โทษที ๆ คุณมารับแล้ว มึงจะกลับกับกูเปล่า”
“ไม่เป็นไร มึงไปเถอะ”
“โอเค อย่าลืมทำรายงานนะ”
“อืม”
ผมลาวารินเสร็จก็หันมามองคนตรงหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้งถึงได้เห็นว่าเขาดูโทรมกว่าครั้งล่าสุดที่เจอกัน มีตอหนวด ใต้ตาดูคล้ำและยังดูอ่อนเพลีย
“ง่วงก็กลับไปนอน”
“เพลียเฉย ๆ นี่เพิ่งทำโปรเจ็กเสร็จ”
“อืม ถ้าไม่มีอะไรงั้นขอตัวนะ”
“เดี๋ยวสิ”
“?”
“ไป ... ไปกินข้าวกัน”
ผมไม่รู้ตัวว่ามันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง ยอมมากินข้าวร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอกันเพียงครั้งเดียวได้ยังไง ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปจนเผลอลืมสัญญาณเตือนที่ดังขึ้นในตัวเอง
“จะไปไหนต่อหรือเปล่า”
“ห้าง”
“ไปด้วยคนได้ไหม”
“…”
“บริการรับ-ส่งฟรีไม่เสียตังค์”
“หึ อืม” ผมหลุดขำเล็กน้อยกับท่าทีขายของเต็มที่ของคนตรงหน้า พอผมตกลงก็เหมือนเห็นหางสะบัดไปมาอย่างอารมณ์ดี
“งั้นเราแยกกันตรงนี้แล้วกัน ขอบคุณนะ”
“เอ้ย เดี๋ยวสิ”
“อะไรอีก”
“มายด์จะไปไหน”
“ร้านหนังสือ”
“งั้นนี่ไปด้วย ... คือกำลังอยากหาหนังสืออ่านฆ่าเวลาอยู่พอดี”
“เด็กถาปัตย์มีเวลาว่างอ่านหนังสือฆ่าเวลาด้วยหรือไง”
“อ่า ... มี๊ มีสิ”
“เอาเถอะ” ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียง ผมไม่ได้สนใจเขาอีกก้าวฉับไปยังร้านหนังสือที่ตั้งใจ ร้านขนาดใหญ่ที่รวมรวบหนังสือเอาไว้จำนวนมาก ผมเดินไปทางหมวดหนังสือแปลเพื่อหาหนังสือที่ตั้งใจว่าจะมาซื้อ
“แนะนำหน่อยสิ”
“ชอบแบบไหนล่ะ”
“ชอบแบบนี้”
เขาชี้มาที่ผม?
“หมายถึงแบบนี้น่ะ”
อ้อ หนังสือในมือผม
“ของแดน บราวน์สนุกทุกเรื่องนะ เราชอบทุกเรื่องเลย ชอบที่สุดคือเทวากับซาตาน ถ้าอยากลองอ่านก็ลองเล่มนี้ดูก็ได้” ผมแนะนำหนังสือของผู้เขียนคนเดียวกับเล่มในมือ
“อ้าวแล้วเล่มนี้ล่ะ”
“อันนี้ยังไม่ได้อ่านน่ะ ตอนแรกเราว่าจะซื้อเป็น box set แต่เหลืออีกเล่มเดียวก็เลยซื้อแยกเอา ...”
พอได้พูดถึงเรื่องที่ชอบคนไม่ชอบพูดอย่างผมสามารถพูดได้เยอะกว่าปกติ มัวแต่เล่านั่นเล่านี่จนลืมตัว พอหันไปเห็นหน้าอีกคนที่กำลังยืนกอดอกยิ้มอยู่ก็ชะงักงับคำที่จะพูดกลืนลงคอไป
“เอ่อ สรุปจะเอาไหม จะได้ไปจ่ายตังค์”
“อืม เอาเล่มที่มายด์บอกนี่แหละ”
ทำเป็นไม่เห็นสายตาแปลก ๆ นั่น ยื่นหนังสือที่แนะนำไปให้เขาแล้วก็พาตัวเองไปยืนต่อแถวจ่ายเงิน ฐานะของพ่อแม่ใหม่ผมดีมากจนไม่ต้องมานั่งกระมิดกระเมี้ยนคิดเยอะเวลาจะใช้เงิน แต่ผมไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกับเรื่องอื่นเลยยกเว้นกับหนังสือนี่แหละ
“ขอบคุณมากนะ เราจะตั้งใจอ่านอย่างดี”
“อืม ขอบคุณเหมือนกันที่มาส่ง”
“มายด์”
“อืม”
“ขอ ... ขอไลน์หน่อยได้ไหม”
ผมรู้สึกว่าเป็นตอนนี้เองที่พื้นที่ปลอดภัยของตัวเองกำลังสั่นคลอนอย่างสมบูรณ์
…
“อ้าวโซล จะพาไอ้มายด์ไปไหนอีกล่ะวันนี้”
ครับ ตั้งแต่วันนั้นนั่นแหละ ชีวิตผมที่เคยสงบสุขก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย จากที่ไม่เคยติดโทรศัพท์ก็ต้องคอยหยิบมาตอบแชท จากที่มักหามุมนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวก็มีใครอีกคนที่มักจะเอางานตัวเองมานั่งทำอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และบางวันก็บุกมาหาถึงคณะพาไปกินข้าวพาไปห้าง
“วันนี้จะซื้อเล่มไหน”
“เล่มนี้ ไปอ่านรีวิวมาคนแนะนำเต็มเลย”
ผมชี้ไปบนหนังสือเล่มสีขาวแดง วรรณกรรมแปลเช่นเดิม ผมชอบที่มีคนโปรยเอาไว้ว่า
ต้นตอสุดคลาสสิกของทุกอาชญากรรมคือความรัก เห็นว่าเป็นนิยายระทึกขวัญมันยิ่งทำให้ผมสนใจ
“งั้นอ่านเสร็จอย่าลืมรีวิวเราด้วยนะ”
โคลงหัวรับไปตามนั้นเพราะพักหลังนี้เขาก็มักจะให้ผมคอยเล่าและรีวิวหนังสือที่ผมกำลังอ่านอยู่ เพราะเด็กสถาปัตย์อย่างเขาไม่ค่อยมีเวลามาอ่านหนังสือแบบผม อันที่ผมก็ไม่ได้ว่างหรอกแต่ถ้าอยากอ่านก็จะหาเวลาอ่านได้อยู่ดีแม้กระทั่งในคลาสเรียนผมก็ยังแอบอ่านเลย
“เฮ้ย” ผมมัวแต่ชื่นชมหนังสือเล่มใหม่ในมือจนลืมดูทางทำให้เกือบก้าวบันไดเลื่อนพลาด ถ้าหากเขาจับผมไว้ไม่ทันสภาพคงดูไม่จืดแน่นอน ตกบันไดเลื่อนเลยนะคุณ มีแต่พังกับพัง
ผมสะดุ้งกับสัมผัสเหนือสะโพก อยากจะดีดตัวออกแต่เพราะยังอยู่บนบันไดเลื่อนเลยขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้
“เอ่อ ปล่อยแล้วก็ได้มั้ง” มองไปที่มือบนเอวตัวเอง แม้แต่วารินเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งนานหรือไอ้สองแฝดยังไม่เคยได้อยู่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน แตะตัวกันก็แทบนับครั้งได้ เขายิ้มแห้งให้ก่อนจะเอามือออกช้า ๆ และถ้าผมไม่ได้ตาฝาดดูเหมือนว่าหูของเขาจะแดงจัดด้วย
“ขอแวะซื้อกาแฟก่อนนะ”
“ได้สิ”
ระหว่างที่รอกาแฟเราทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเคาน์เตอร์ ผมมองที่ว่างข้างตัวเองแล้วก็เผลอขมวดคิ้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่จากที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็มานั่งข้าง ๆ ห่างกันเพียงแค่ฝ่ามือเดียว
วินาทีที่ความอุ่นร้อนแตะแผ่วลงบนฝ่ามือ ผมจับถึงจังหวะผิดปกติของหัวใจตัวเองได้ จากที่มันเคยเป็นจังหวะที่เรียบเฉยมาเสมอเวลานี้กลับเต้นรัวอย่างน่ากลัว ในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ว่า
พื้นที่ 45.7 เซนติเมตรของผมดูเหมือนจะเปิดรับเขาเข้ามาแล้วอย่างไม่รู้ตัว__________________________
ENDมาและไปอย่างรวดเร็ว
เป็นเรื่องสั้นชั่ววูบจริง ๆ
ฝากด้วยนะคะ
#เรื่องค่อนข้างสั้นสิบเก้าสิงหา