เงาจันทร์ในพรายน้ำ
“พี่ชื่อตินะครับ แต่ไม่ได้ติฉินนินทานะ มาจากชื่อจริงกีรติน่ะครับ”
ชายหนุ่มข้าง ๆ ผมเอ่ยแนะนำตัวขึ้นยืดยาวหลังอมพะนำอยู่พักหนึ่งตั้งแต่เราลงมานั่งในอ่างน้ำนี่ด้วยกัน หลังแว่นที่ขึ้นฝ้าของเขาผมว่าสายตาคงเพ่งไปยังฟองพรายที่พุ่งผุดของน้ำในอ่างนี้อยู่ หน้าและผิวกายของเขาชมพูระเรื่อเจือเลือดฝาดขึ้นแต้มบนผิวที่ขาวเนียน ผมตรงปรกหน้าผากของเขามีน้ำหยด ไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่
“ผมนพครับ”
ผมเลือกจะแนะนำตัวแต่เพียงสั้น ๆ ผมว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่าไหร่ที่จะต้องให้คนที่เจอในที่แบบนี้รู้เรื่องของเรามากนัก แม้ว่าคนข้าง ๆ ผมนี่จะน่ารักตรงสเปกต์ผมเท่าไหร่ก็ตาม และแม้ว่าเราจะพึ่งมีความสัมพันธ์ทางกายอย่างลึกซึ้งกันมาก็ตาม
“สมัยนี้ไม่น่ามีครอบครัวลูกเก้าคน” เขาเอ่ยตอบด้วยประโยคที่ผมไม่คาดคิด
“ทำไมหรอครับ”
“ก็นพแปลว่าเก้า หรือเกิดวันที่เก้า หรือเดือนเก้า” เหอะ ๆ นี่ถ้าเขาไม่ได้น่ารักอย่างนี้ผมหงุดหงิดเดินหนีไปแล้ว
“พี่ไม่คิดถึงนบที่แปลว่าไหว้หรือทำนบกั้นน้ำบ้างหรอครับ”
“เออจริง งั้นคุณพ่อทำงานชลประทานหรอ ถึงตั้งชื่อลูกว่าทำนบ” ประโยคนี้เล่นเอาผมขำน้ำกระเพื่อมเลย
“เปล่าพี่”
“หรือชื่อจริงอรรณพ มาณพ มหรรณพ”
“พี่ไม่ต้องทายแล้ว ผมชื่อนพพร” คำตอบของผมทำให้เขาหัวเราะออกมาโดยไม่คาดคิด แต่มันปลุกอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นในใจผมนิด
หน่อย “นี่พี่ขำอะไร ชื่อผมมันเชยสินะ”
“เปล่าครับเปล่า พี่ไม่ได้ขำชื่อนพเชยนะ” เขารีบหยุดขำหันมากุลีกุจอปัดมือพัลวัน “แค่มันบังเอิญดี”
“บังเอิญอะไรพี่”
“เราต่างแต่งกายน้ำเงินเช่นกัน” เขาตอบแบบใส่ทำนองเพลงอะไรสักอย่าง
“บ้าพี่ เราแก้ผ้ากันอยู่”
“มันเป็นเพลงจากละครเวทีน่ะ หลายปีแล้วแหละ นพน่าจะเด็กอยู่ตอนนั้น” เขากลับไปอยู่ท่าเดิม จ้องมองไปยังพรายฟองพุ่งผุดของอ่างน้ำอีกแล้ว
“อ่อ แล้วไงอะพี่ ทำไมอยู่ ๆ นึกถึงละครเวที”
“ก็เรื่องนั้นพระเอกชื่อนพพร นางเอกชื่อกีรติน่ะสิ” และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะให้ผมจนคนที่มุมอ่างฝั่งตรงข้ามต้องหันมามอง ผมเห็นเข้าจึงรีบกลั้นหัวเราะก้มหน้าหลบสายตา
“เฮ้ยพี่ บังเอิญจริง”
“นั่นแหละ พี่ถึงนึกขำ ไม่ได้ขำชื่อนพเลยนะ”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” นี่เขายังติดใจเรื่องนั้นอยู่หรอเนี่ย
“แต่ก็เกี่ยวกับเลขเก้าจริง ๆ ด้วย”
“ยังไงครับ”
“อ้าว รู้หรือเปล่าชื่อตัวเองแปลว่ามีพรเก้าประการ มีน้อยกว่าคนชื่อทศพรไปข้อนึง”
“ไม่รู้มาก่อนเลยพี่ จำความได้ก็ชื่อนี้ ไม่เคยถามพ่อแม่เลยมันแปลว่าอะไร”
“เหอะ ๆ เด็กสมัยนี้เนาะ”
“โห่พี่ แล้วพี่อะเด็กสมัยไหนกัน ห่างผมซักกี่ปีเชียว”
“ทายสิพี่อายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบสอง” ดูทรงไม่น่าเกินปีสี่
“ให้โอกาสทายใหม่อีกทีนะ” เขาหันมาจ้องหน้าผมตรง ๆ ถอดแว่นออกแล้วจ้องตาผม
“ยี่สิบ” ผมเอ่ยได้เท่านั้นเขาก็หัวเราะออกมาอีก คนอะไรอารมณ์ขันล้นเหลือ
“สามสิบหกแล้ว”
“เฮ้ย พี่ โกหกละ”
“จริง จะดูบัตรประชาชนไหมล่ะ”
“แต่พี่หน้าเด็ก ใสมากอะ ทำได้ไง”
“พี่กินเด็กไงถึงเป็นอมตะ”
“เฮ้ย งี้ผมคือโดนดูดพลังดิ นี่ตีนกาขึ้นมากี่เส้นแล้วเนี่ย”
“เชื่อจริงหรอ”
“เปล่า ช่วยพี่ตบมุก กลัวร่วงอยู่แถวนี้แล้วเขาจะเดินลื่น แค่ตะไคร่พวกนี้ก็น่ากลัวจะแย่ละ”
“นพนี่ก็มีอารมณ์ขันดีเหมือนกันนะ”
“เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก งี้เปล่าพี่”
“นั่นก็ขันเกินไป”
“ไม่เกินพี่ ถ้าขันเกิน มันจะแน่น”
“แน่น ๆ ดีแล้ว พี่ชอบ” ไม่พูดเปล่า มือเขาตอนนี้อยู่ที่สะโพกผมแล้ว
“ต่อกันอีกยกเลยไหมล่ะพี่” ว่าแล้วผมก็ย้ายไปนั่งคร่อมขาหันหน้าเข้าหาเขา เอามือสองข้างโอบคอเขาไว้
“พี่ว่าพี่ไม่ไหวแล้วล่ะ แก่แล้ว หมดแรง””
“งั้นรอบนี้ให้ผมรุกพี่ไหมล่ะ”
“รุกเป็นด้วยหรอ”
“เป็นพี่ ผมได้หมด”
“แต่พี่ไม่เคยรับมาก่อนเลยนะ”
“ทุกอย่างมันต้องมีครั้งแรกดิพี่”
“ก็จริง ได้รุกนพนี่ก็ครั้งแรกของพี่เหมือนกัน”
“เฮ้ย ผมเปิดซิงพี่หรอ”
“ใช่” เขาทำท่าเขินอายก้มหน้างุด แต่คงมีบางอย่างที่แข็งขันอยู่ในสายตาถ้าก้มหน้า เขาเลยหันไปอีกทางแทน
“พี่รอดมาจนป่านนี้ได้ไงเนี่ย”
“ก็ดูพี่ดิ ขี้อายขนาดนี้ จะไปมีอะไรกับใครได้เมื่อไหร่ ลังเลมาเป็นสิบปีถึงพึ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกเนี่ย”
“แต่พี่โชคดีนะ มาครั้งแรกก็เจอของเด็ดเลย”
“ชมตัวเองก็เป็นแฮะเด็กคนนี้”
“ไม่ได้โม้นะ”
“เชื่อ รู้แล้วว่าเด็ดจริง”
“อยากลองของเด็ดอีกแบบเปล่าล่ะพี่”
“พี่ไม่ได้เตรียมตัวมาด้วยสิวันนี้”
“เขามีห้องน้ำ”
“แล้วพี่ก็เตรียมตัวไม่เป็นนะ”
“ผมสอนได้พี่ ผมนี่ชำนาญ”
“เชื่อว่าชำนาญน่ะ” แล้วเขาก็ชะเง้อขึ้นมาจุ๊บผมทีนึง
“ไปไหมพี่ เดี๋ยวเขาปิดนะ”
“อยากขนาดนั้นเลยหรอ” เขาขมวดคิ้วถาม
“ก็อยาก พี่น่ารัก”
“น่ารักก็รักดิ”
“นี่พี่จีบผมหรอ”
“ใช่ จีบแบบเอาตัวเข้าแลกเลย”
“ทุ่มทุนไปหน่อยไหมพี่ เราพึ่งเจอกันในที่แบบนี้นะ”
“ที่แบบนี้แล้วทำไมหรอ คนเราก็พร้อมจะเจอกับรักแรกพบได้ทุกที่ทุกเวลานี่นา”
“ก็ที่แบบนี้เขาไม่ได้ไว้มาหาความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไง”
“แล้วนพไม่อยากเป็นคนคู่แรกที่ทำเรื่องอย่างนั้นในที่แบบนี้บ้างหรอ”
“แล้วถ้าผมบอกผมไม่รักพี่ล่ะ”
“พี่ก็จะลองตื๊อดู”
“นับถือเลยพี่”
“นับถือนี่ไม่ได้แปลว่ารักใช่ไหม พี่แก่ไปล่ะสิ”
“เปล่าพี่ ถึงพี่อายุเท่านั้นแต่ยังหน้าแบบนี้หุ่นแบบนี้ ใคร ๆ ก็ชอบ”
“ชอบแต่ไม่รักใช่ไหมล่ะ”
“ก็ถูก... ว่าตามตรงคือผมสับสนน่ะพี่ อย่างว่า ที่นี่ไม่ได้เอาไว้ให้มาหาความรัก ผมเชื่ออย่างนั้นไง พอพี่มาเสนอความรักผมเลย
สับสน”
“ลองหยุดคิดแล้วใช้หัวใจตัดสินไหม ว่าพร้อมจะลองรักพี่ดูหรือเปล่า”
“แล้วพี่ล่ะคิดดีแล้วหรอบอกว่าจะรักผมน่ะ”
“พี่ไม่ได้คิดเลย”
“เฮ้ยพี่ อายุปูนนี้แล้วทำไมไม่รู้จักคิด”
“ก็ความรักมันเป็นเรื่องของหัวใจไม่ใช่หรอ ถ้าหัวใจบอกให้รักก็คือรักหรือเปล่า”
“พี่ไร้เดียงสาไปแล้วนะ ไร้เดียงสาจนน่ากลัว” และความกลัวนั้นเองทำให้ผมย้ายที่นั่งลงจากตักของเขา แถมยังขยับออกห่าง
จากเดิมอีกนิดหน่อยด้วย
“กลัวขนาดนั้นเลย”
“กลัวดิพี่ คนอะไรไม่รู้ ยังกะหลุดออกมาจากนิยาย”
“พี่ก็คงหลุดออกมาจากนิยายจริง ๆ เชื่อไหม พี่ไม่เคยมีประสบการณ์ความรักอะไรแบบนี้กับใครมาก่อนเลย เคยแต่อ่านจากนิยาย
นั่นแหละ อยู่กับนพนี่พี่หน้าร้อนผ่าวหัวใจเต้นโครมครามไปหมดแล้วเนี่ย”
“เวอร์ละพี่ นอกจากหน้าใสแล้วนิสัยยังซื่ออีกหรอ ใสซื่ออย่างพี่ไม่เหมาะกับที่อย่างนี้นะ ถ้าไม่ใช่ผมนี่พี่อาจโดนปอกลอกหมดตัว
ได้”
“งั้นนพก็พาพี่หนีไปจากที่นี่สิ พี่ชักกลัวแล้วเนี่ย”
“แต่ผมเนี่ยกลัวพี่แล้ว”
“ทำไมต้องกลัวคนที่มาบอกรักตัวเองด้วย พี่ไม่ได้ทำอะไรนพซักหน่อย อย่างมากก็แค่ตื๊อ”
“ก็ถูกของพี่ จริง ๆ ผมก็ไม่ได้กลัวพี่จะทำอะไรผมหรอก ว่ากันามตรงผมก็กร้านโลกกว่าพี่เยอะ พี่น่ะควรกลัวผมมากกว่า”
“แต่พี่ชอบนพไง แล้วก็อยากให้มันเป็นความรักระหว่างเรา แล้วนพยังต้องกลัวอะไรอีก”
“ผมกลัว เอ่อ.. กลัวใจตัวเองอะพี่”
“แปลว่าจริง ๆ นพก็ชอบพี่น่ะสิ”
“ก็ใช่ พี่สเปคผม แต่ผมสับสนไง อย่างที่บอก”
“เอางี้ นพมีใครหรือมีพันธะผูกพันอะไรที่ทำให้เราคบกันไม่ได้หรือเปล่า”
“ก็เปล่านะพี่”
“พี่ก็ไม่มี จริง ๆ ก็เหตุนี้ด้วยแหละพี่ถึงพึ่งกล้ามาที่นี่ ญาติผู้ใหญ่พี่คงรับไม่ได้กันเท่าไหร่ถ้ารู้ว่าพี่ชอบผู้ชาย แต่ตอนนี้เสียกันไปหมดแล้ว”
“ผมควรดีใจหรือเสียใจกับพี่ดีเนี่ย”
“นพเฉย ๆ ก็ได้นะ พี่แค่บอกเฉย ๆ เหมือนกันนั่นแหละ เพราะที่สำคัญคือแค่เราจะลองคบกันก็คบกันได้ ไม่มีอุปสรรคอะไรแล้ว”
“ก็จริงของพี่”
“เราเป็นกีรติกับนพพรที่โชคดีกว่ากีรติกับนพพรในละครเวทีอีกนะ สองคนนั้นเจอกัน รักกัน ตอนที่ต่างคนต่างมีพันธะทั้งคู่เลย”
“พี่นี่ชอบอ้างละครเนาะ มันก็แค่ละครปะ”
“ก็ประสบการณ์พี่มีแค่นั้นนี่นา นพมาช่วยพี่สร้างประสบการณ์ความรักโรแมนติคบ้างได้ไหมล่ะ แต่ไม่เอาประสบการณ์โดนหักอก
ในอ่างน้ำบนดาดฟ้านะ เดี๋ยวมันจะเหมือนในละครเกินไป”
“เหมือนละครอีกแล้วหรอพี่”
“ไม่หรอก ในละครเขาไปปิคนิคที่น้ำตกบนภูเขากัน ที่นั่นกีรติจำใจหักอกนพพร ความรักของนพพรเบ่งบานที่นั่นแล้วก็ร่วงโรยลง
ที่นั่น แต่กีรติเลือกจะเก็บความรักของเธอไว้จนเวลาที่เหมาะสม แต่มันก็ตายไปพร้อมกับเธอ”
“งั้น.. ในอ่างน้ำบนดาดฟ้าตรงนี้ ถ้ากีรติคนนี้จะเผยใจรักอันบริสุทธิ์ของเขาให้กับนพพรคนนี้ นพพรคนนี้ก็ขอรับใจรักอันบริสุทธิ์ดวงนั้นมาดูแลไม่ให้ต้องร่วงโรยแล้วกันครับ”
...สายตาเราสองจ้องมองตรงไปยังพรายน้ำ...
“พระจันทร์สวยดีนะครับ” พี่ติเอ่ยขึ้นหลังความเงียบรหว่างเราครอบทับบรรยากาศไว้หลายอึดใจ
“พระจันทร์ก็สวยอย่างนี้อยู่แล้วหรือเปล่าครับ”
. . .