Knocked Out ช่วยที!!!...กูโดนยิงดาวน์ #ช้อปมิกซ์ กระสุนนัดที่ 25 (25/05/62) UP
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Knocked Out ช่วยที!!!...กูโดนยิงดาวน์ #ช้อปมิกซ์ กระสุนนัดที่ 25 (25/05/62) UP  (อ่าน 5772 ครั้ง)

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2019 15:12:30 โดย TONYZZYUKI »

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เรื่องนี้เป็นภาคแยกของคู่

#ช้อปมิกซ์

จากเรื่องขายครับ!!!! ....ไม่ฟรี [MONEY MAN]



ฝากติดตามผลงานอีกเรื่องด้วยนะครับ

ปล.นิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกมนะครับ แค่เป็นตัวเชื่อมระหว่างตัวเอกเท่านั้น


ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เตรียมกระสุน


"Help me!!! "

"เดินออกไปให้เขายิงเองเสือกร้อง"

คนไทย? แล้วเมื่อกี้มันว่าไงนะครับ

"กูได้ยินนะเมื่อกี้" เห็นว่ากูพูดอังกฤษมึงคิดว่ากูจะฟังไทยไม่ออกหรอ กูคนไทยแท้ๆ นะสัส

"ได้ยินก็ดี โง่สัส มึงไม่เห็นหรอทีมมันมีสี่คน"

"กูจะรู้ไหมละ กกูเห็นแค่คนเดียว" เห็นแค่คนเดียวจริงๆ ครับผมสาบานได้ อุตส่าห์จะโชว์คิลซะหน่อย ไหงมันเรียกเพื่อนมาอีกสามคน จากที่จะโชว์เท่กลับร้องเป็นหมาเลยครับ

"มึงจะช่วยกูได้ยัง"

"เงียบๆ ไป"

Your teammate knocked out MagicGun12 with AWM

Your teammate knocked out KimKim35 with AWM

Your teammate knocked out Moniri with AWM

Your teammate killed slutyguy with AWM

ว้อท? โอ้โหมันจะเก่งเกินคนละครับ เก็บคนเดียวหมดทีม ผมนี่อ้าปากหวอทำอะไรไม่ได้ได้ครับ ได้แค่นอนรอให้มันมาช่วยฮิวล์เท่านั้น

"มาช่วยกูสักทีสิวะ"

“เวลาจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น มึงพูดแบบนี้หรอวะ"

"ช่วยผมทีคร้าบบบบ" เห็นแก่ชัยชนะที่จะเกิดขึ้นครับ ขอยอมๆ มันไปก่อนละกัน แต่อย่าให้ถึงผมบ้างละกัน ถ้ามันโดนยิงดาว์นขึ้นมา จะนั่งหัวเราะให้มันคลานอยู่แบบนั้นจนตายไปเลยครับ และขะมาโวยว่ามิกซ์ใจร้ายไม่ได้นะครับ

#1 WINNER WINNER CHICKEN DINNER

'ชนะ' ผมชนะแล้ว? ไม่ต้องสงสัยครับว่าทำไมผมดูไม่ค่อยดีใจสักเท่าไร เพราะสกอร์ฆ่าเกือบทั้งหมดเป็นของไอ้เพื่อนร่วมทีมคนนั้น ผมยังไม่ทันได้เลื่อนเมาส์ มันก็ยิงศัตรูตายหมดแล้ว ผมนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ มีหน้าที่แค่บอกว่าศัตรูอยู่ตรงไหนก็เท่านั้น ยอมรับเลยรับว่ามันเก่ง เก่งมากๆ เลยละครับ



Add friend

CHOPPER007x



“เจอกันในเกมนะ”



มาดูกันว่าผมกับเพื่อนใหม่ในเกมจะเป็นยังไงกันต่อไป

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสนนัดที่ 1


PUBG เกมแนว Battle Ground ที่กำลังเป็นที่นิยมของเหล่าชายฉกรรทั้งหลาย หน้าที่ของผู้เล่นคือการจัดการกับผู้เล่นคนอื่นในแผนที่ ปืนคืออาวุธที่สำคัญที่สุดในเกม การค้นหาอาวุธที่มีพลังทำลายล้างมากกว่าถือเป็นการได้เปรียบ การเอาตัวรอดถือเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเกมนี้ บางครั้งซุ้มยิงคงเหมาะกว่าการเข้าไปปะทะโดยตรง การยึด Possition ก็เป็นส่วนสำคัญในการวางแผนโจมตีศัตรู และสุดท้ายทีมเวิร์คเป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่ชัยชนะ

‘เมื่อไหร่มึงจะกดเล่นสักที’

‘สัส! ลีลาอยู่นั่นแหละ’

เออกูรู้แล้วครับ รอกูแป๊บนึงไม่ได้รึไง นี่แหละครับผมมันคีย์เพลเยอร์ของทีม เรียกได้ว่าทีมขาดผมไม่ได้

ถ้าขาดผมไปละก็....ก็ไม่มีอะไรครับแค่ทีมไม่ครบเท่านั้น ฮาๆ ๆ ๆ ๆ

“โง่ยังเสือกช้า”

มาแล้วครับเสียงแบบนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เสียงของ CHOPPER007x ผู้เก่งกาจนั้นเองครับ

หลังจากที่ได้สัมผัสฝีมือการเล่นของมันในตอนนั้น วันนี้มันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในทีมผมเรียบร้อย ถ้าไม่เก่งผมไม่ให้เข้าทีมผมหรอกนะครับ

เอ่อ...อย่าบอกใครนะครับ อันที่จริงแล้วเป็นผมต่างหากที่แอดมันไป อ้อนวอนมันตั้งนานกว่าจะยอมเข้าทีมกับผม

สมาชิกทีมเรามีสี่คน มีผมมิกซ์สุดหล่อรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีม มีแทนกับไอซ์ สองคนนี้เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันตอนมัธยม ตอนนี้ก็เตรียมเข้ามหาลัยเดียวกันอีก ถือว่าเราทั้งสามสนิทกันทั้งออนไลน์และออฟไลน์เลยครับ ส่วนอีกคนช้อปหรือชื่อในเกมคือ CHOPPER007x คนนี้ผมบังเอิญไปเจอมันในเกม ฝีมือมันเก่งมากเข้าขั้นเทพเลยครับ ผมเนียนตีซี้ชวนมันเข้าทีม เราแค่เล่นเกมนี้สนุกๆ เท่านั้นครับ ไม่ได้ฟอร์มทีมเพื่อแข่งขันอะไร

“จะเปิดเทอมแล้ว สงสัยคงได้เล่นเกมน้อยลงแล้ววะ” เสียงแทนบ่น

ก็คงเป็นอย่างที่แทนมันว่าละครับ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ก่อนหน้านี้พวกผมก็พากันวิ่งเต้นหาที่เรียนกันซะเหนื่อยเลยครับ ก็มันเป็นช่วงสำคัญของชีวิตเด็กมอหก ถ้าพลาดช่วงนี้ไปก็ต้องรออีกเกือบปี กว่าจะมีการจัดสอบอีก ผมคงไม่รอให้ถึงปีหน้าหรอกครับ เพราะผมวาดฝันไว้ถึงชีวิตในมหาลัยของผมมันต้องมันต้องขาวๆ สวยๆ เอ๊ย ไม่ใช่ๆ มันต้องมีอิสระ อยากทำอะไรก็ทำได้ตามใจต่างหากละครับ

“เราสองคนคงไม่เท่าไร แต่ไอ้มิกซ์นี่สิ อะไรดลใจให้มึงเข้าวิศวะ” เสียงไอซ์เอ่ยสมทบ

‘วิศวะ’ คณะที่ผมเลือกไว้และสอบติดเป็นที่เรียบร้อย ผมไม่ได้ชอบหรืออยากทำงานด้านนี้หรอกครับ เพียงแค่เห็นว่ามันเท่ดี ถ้าได้ใส่เสื้อชอป กางเกงยีนรัดๆ คงเท่น่าดู

“อย่างมึงนี่นะเรียนวิศวะ หึๆ” เสียงเย้ยหยันจากเพื่อนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งดังขึ้น

ถึงจะสนิทกันในเกมแต่สำหรับช้อปมันแล้ว ผมยังไม่เคยเจอหน้ามันจริงๆ เลยสักครั้ง เคยขอเฟชบุ้คมันนะครับ แต่มันไม่ยอมให้ บอกว่าไม่อยากมีเพื่อนกากๆ แบบผม

อยากจะด่ามันอยู่หรอกครับ แต่พอหันกลับมามองตัวเองแล้ว นอกจากหล่อผมก็คงไม่มีอะไรดีอย่างที่มันว่า

“ว่าแต่กูแล้วมึงหละเรียนอะไร”

“วิศวะ” มันตอบเสียงเรียบ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเรียนวิศวะเหมือนกัน ก็เพิ่งได้ถามมันจริงๆ จังๆ ก็ครั้งนี้แหละครับ

“จริงดิ แล้วมึงเรียนที่ไหน” ลองถามมันดูครับ เผื่อว่าจะบังเอิญเป็นที่เดียวกับผม

“มหาลัยxxx”

“เชี่ย โคตรบังเอิญ พวกกูก็เรียนที่นั่นเหมือนกัน” บังเอิญจริงๆ ครับ ใครจะคิดว่าเพื่อนในเกมส์จะกลายมาเป็นเพื่อนมหาลัย แถมยังเรียนคณะเดียวกันอีก ถ้าไม่เรียกว่าบังเอิญก็คงเรียกว่าพรหมลิขิตแล้วครับ แต่พรหมลิขิตหรอ ผมคงใช้คำผิดไปครับ คงแค่บังเอิญก็พอแล้วครับ

“งั้นกูขอเบอร์มึงหน่อยสิ เปิดเทอมจะได้เจอกัน”

“ไม่ให้”

“มึงจะเล่นตัวไปไหม ทำยังกะเป็นสาวน้อยโดนหนุ่มจีบไปได้ แต่ถ้ามึงเป็นผู้หญิงมึงคงโชคดีมากที่มีคนหล่ออย่างกูมาจีบ ฮาๆ ๆ ๆ”

“กูออกเกมนะ” มันกดออกเกมทันทีครับ ดูมันทำ ผมแค่พูดความจริงแค่นี้ ทำเป็นทนฟังไม่ได้

ไม่วายที่เป็นผมต้องทัก TS เรียกมันกลับเข้าเกม

*TS=Team Speak เป็นแอพพลิเคชั่นสนทนาแบบกลุ่ม

“ตกลงมึงจะไม่ให้เบอร์กูจริงหรอ”

“090xxxxxxx”

“เฮ้ย มึงใจเย็นสิ บอกช้าๆ หน่อยใครมันจะจำได้”

“กูบอกแค่ครั้งเดียว” นั้นไงครับนิสัยของมัน แล้วใครมันจำได้ละครับ

เป็นผมที่ต้องเหนื่อยโทรไล่เช็คเบอร์ว่าเลขไหนที่เป็นเบอร์ของมัน เพราะผมฟังเลขตัวสุดท้ายไม่ทัน

“ฮัลโหล ช้อปใช่ไหม”

[ไม่ใช่โทรผิดแล้วครับ]

[ใครวะช้อป มึงรู้จักคนชื่อช้อปไหม เบอร์นี้ไม่มีคนชื่อช้อปหรอก]

[ไม่ใช่ค่ะ สงสัยโทรผิด]

เหนื่อยครับโทรไปเบอร์ไหนก็ไม่ใช่เบอร์มันสักที เฮ้อ...เอาวะอย่างน้อยถ้าโทรติดจะได้มีเพื่อนในคณะสักคน

“อัลโหล ช้อปใช่ไหม ฮัลโหล ได้ยินไหม ฮัลโหล”

“รำคาญ มึงจะโทรมาทำไม” ในที่สุด ผมก็ทำสำเร็จครับ ผมมั่นใจว่าเสียงแบบนี้ วิธีพูดแบบ กวนๆ ของมัน ผมได้เบอร์มันมาแล้วครับ ดีใจยิ่งกว่าตอนรู้ว่าสอบติดเสียอีก

“กว่ากูจะหาบะ...”

“ตู๊ดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” มันตัดสายผมทิ้งครับ กะว่าจะบ่นมันสักหน่อย สงสัยมันคงรู้ทัน ชิงตัดสายผมไปก่อน

ยอมกับความไม่สนใจใครของมันจริงๆ ครับ





อีกแค่อาทิตย์เดียวมหาลัยก็จะเปิดแล้ว จะเป็นยังไงเหรอครับชีวิตในมหาลัย จะเป็นอิสระแบบที่ผมคิด หรือว่าจะเหนื่อยแบบที่รุ่นพี่เล่า จากที่เคยอยากให้เปิดเรียนเร็ว ตอนนี้กลับเครียดขึ้นมา กลัวครับว่าจะอยู่ยังไง จะมีเพื่อนไหม จะเรียนหนักหรือเปล่า ผมจะเรียนไหวจริงๆ ใช่ไหม ยิ่งคิดยิ่งนอนไม่หลับครับ

“ฮัลโหล มึงนอนยังช้อป”

เงียบ

“กูรู้นะว่ามึงยังไม่หลับ อยู่คุยเป็นเพื่อนกูหน่อย มึงไม่ตื่นเต้นบ้างหรอ นี่ก็จะเปิดเทอมแล้ว กูแม่งโคตรตื่นเต้น เครียดฉิบหาย กูคิดถูกไหมวะที่เรียนวิศวะ”

เป็นผมที่บ่นอยู่คนเดียวครับ มันคงตอบผมอยู่หรอกครับ เพราะนี่ก็เกือบตีสองแล้ว ใครมันจะมานั่งตาค้างอยู่แบบผม มันคงเผลอกดรับสายผมมั้งครับ รับสายแต่ไม่พูดอะไร แต่ก็ยังดีที่ทำให้ผมได้ระบายบ้าง

“มึงจะเครียดทำไม เปิดเรียนนะไม่ได้ไปรบ มึงแค่ทำตัวเหมือนปกติแค่นั้นก็พอ”

“เฮ้ย นี่มึงฟังกูมาตลอดเลยหรอ กูคิดว่า...”

“ตู๊ดๆ ๆ ๆ ๆ”

ไม่น่าหลงดีใจเลยครับ ก็เหมือนเดิมครับมันตัดสายผมทิ้งตลอด ไม่รู้ว่ามันจะรำคาญอะไรผมนักหนา ผมก็ไม่ได้กวนมันนี่หน่า

แต่เอ่อตอนนี้ตีสอง ก็กวนแค่นิดหน่อยเอง แต่มันก็น่าจะบอกลาผมสักหน่อยก็ยังดี



เอาวะมิกซ์ลองกันสักตั้งเป็นไงเป็นกันวะมิกซ์

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 2



วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เช้าครับ ไม่สิผมยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ตื่นเต้นมากครับ ไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่นๆ จะเป็นเหมือนผมไหม

ผมเดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอว ‘หล่อจังวะ’ ผมยืนเช็คตัวเองอยู่หน้ากระจก ยืนลูบซิกแพคลอนงามรับกับวีเชฟ ที่ถูกสรรค์สร้างจากการออกกำลังกายอย่างหนัก บวกกับรอยสักดอกกุหลาบที่ต้นคอ อักษรภาษาอังกฤษ Forever Young ที่สีข้างด้านขวากับลายกราฟฟิตี้พาดยาวที่แขนข้างขวา มันช่างเข้ากับใบหน้าคมกริบของผมเสียจริงๆ

รอยสักที่อยู่บนตัวผมเพิ่งได้มาก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ครับ ผมเป็นคนที่ชอบรอยสักมาก ผมว่ามันดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลดีครับ และที่สำคัญผู้หญิงชอบผู้ชายแบดบอย นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจไปสักมา

ผมยัดชายเสื้อนักศึกษาเข้าในกางเกง ดึงเข็มขัดรัดแน่นกับสะโพก เลื่อนมือมาจัดเนคไทด์ที่คอให้เข้าที่ ไม่ลืมที่จะฉีดน้ำหอมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง

ผมพร้อมแล้วครับ วันแรกของการเป็นนักศึกษา

‘มั่นใจเข้าไว้’

ผมบอกกับตัวเอง อย่างน้อยช่วยลดอาการประหม่าของผมลงได้บ้าง





“มึงอยู่ไหนวะช้อป กูอยู่หน้าตึกคณะแล้ว” ผมยกโทรศัพท์โทรหาช้อปทันที เรานัดกันไว้ที่หน้าตึกคณะครับกะว่าจะเดินเข้าตึกพร้อมกัน

กว่าจะโทรหามันติด กว่าจะขอให้มันมาเจอผมใช้เวลาอยู่นานเลยครับ

“โอ๊ย โทษทีครับ” ผมคงเดินไม่ดูทางครับ มัวแต่มองรอบๆ หาว่าช้อปมันอยู่ตรงไหน จนเผลอไปชนกับนักศึกษาชายคนหนึ่งเข้า

“ว่าไงมึงอยู่ไหน” ผมกลับมากรอกเสียงใส่โทรศัพท์ที่แนบอยู่ที่หูต่อ

“เดินชนกูขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรอ”

เดินชนหรอ ผมถอยหลังเดินกลับมามองหน้าผู้ชายที่ผมเดินชนไปเมื่อกี้

“อย่ามาล้อกูเล่น มึงจะบอกว่าคนข้างหลังกูคือมึง ตลกละไอ้สัส” จะให้ผมเชื่อมันได้ไงครับ ก็คนที่ผมเดินชนเมื่อกี้ แม่งโคตรหล่อเลยครับ

ความสูงที่ใกล้เคียงกับผม หุ่นที่ดูสมส่วน นี้ยังไม่ร่วมกับหน้าหล่อๆ ที่ผมเห็นผมยังอึ้งเลยครับ ไม่ต้องถามถึงสาวๆ เพราะตอนนี้สายตารอบก็จับจ้องมาที่เขาเรียบร้อย

‘จะเป็นช้อปมันได้ไง’ ผมคิดกับตัวเองในใจ เพราะที่ผ่านมาผมวาดภาพช้อปมันว่าเป็นเด็กผู้ชายตัวอ้วนๆ ใส่แว่นเพราะสายตาสั้นจากการเล่นเกม มันจะเป็นผู้ชายคนนี้ได้ยังไง

ผมเคยแอดเฟสมันไปนะครับ แต่มันไม่ได้ใช่รูปมันเป็นโปรไฟล์ มันกลับใช่รูปโปรไฟล์เป็นรูปแมวแทน ที่สำคัญมันตั้งไพรเวทไว้ทำให้ผมไม่สามารถส่องมันได้

“มึงจริงหรอ” ผมไม่พูดเฉยๆ ครับ ยกมือขึ้นสำรวจใบหน้าของมัน หล่อครับแต่หล่อน้อยกว่าผม

“มึงจะลูบหน้ากูอีกนานไหม เอาให้เห็นตัวเลขเลยไหม” สงสัยผมคงลืมตัว ยืนลูบหน้ามันอยู่นาน ก็ผมยังไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเองหนิครับ

“เออๆ โทษที”

“แล้วอยู่ต่อหน้ามึงจะคุยโทรศัพท์หาพระแสงอะไร” มันแย่งโทรศัพท์จากมือผมไปกดวางสาย ก่อนหย่อนมันลงที่กระเป๋าเสื้อด้านหน้าของผม





ตอนนี้ผมมีเพื่อนคนแรกในมหาลัยแล้วครับ ผมคว้าคอมันมากอดไว้ก่อนเดินเข้าไปใต้ตึกคณะ ที่มีรุ่นพี่และเพื่อนนักศึกษาใหม่นั่งต่อแถวกันอยู่

คณะผมมีนักศึกษาค่อนข้างเยอะครับ เห็นว่าทุกปีคณะนี้รับนักศึกษาเยอะ และแต่ละปีก็มีนักศึกษาลาออกเยอะเหมือนกัน หวังว่าหนึ่งในนั้นคงไม่เป็นผมหรอกนะครับ ถึงผมจะเรียนไม่เก่งมากและไม่ค่อยสนใจการเรียนสักเท่าไร แต่ก็ยังหวังว่าตัวเองจะเรียนจบ

กิจกรรมตรงหน้าผมดูเหมือนจะครึกครื้นมากครับ ทั้งรุ่นพี่ที่ยืนเต้นเอนเตอร์เทนรุ่นน้อง พร้อมกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของรุ่นน้องที่ดูสนุกสนานไม่ต่างจากรุ่นพี่

“น้องคนนั้นคะ ได้ป้ายชื่อรึยัง” ผมหันหน้าตามเสียงเรียก ชี้นิ้วหันเข้าตัวเอง เหมือนรุ่นพี่คนนั้นจะเรียกผม พี่แกชูป้ายในมือให้ผมดู แกน่าจะเรียกผมให้เข้าไปเอาป้ายชื่อหนะครับ

ผมเดินนำหน้าช้อปไปยังโต๊ะที่รุ่นพี่คนนั้นนั่งอยู่

“อ่าวช้อป” ผมหันไปมองหน้ารุ่นพี่คนนั้นสลับกับช้อป สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอครับ ผมขมวดคิ้วมองหน้ารุ่นพี่ รอฟังว่าพี่แกจะพูดอะไรต่อ

แต่พี่แกกลับไม่พูดอะไร เพียงยื่นป้ายกับปากกาเมจิกให้ผมกับช้อปคนละแท่งเท่านั้น

“เขียนเสร็จแล้วก็ไปนั่งต่อแถวด้านหลังเพื่อนๆ เลยนะ” พี่แกผายมือไปยังแถวนักศึกษาใหม่ ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้ผมกับช้อป แต่ผมว่ารอยยิ้มที่ส่งให้ช้อปทำไมมันดูแปลกๆ หรือว่าผมคิดมากไปเองครับ เพราะผู้หญิงคนไหนก็คงอยากจะยิ้มให้ช้อปมันล่ะครับ ก็มันหล่อซะขนาดนั้น ผมนี้ดูหมองไปเลยเวลานั่งคู่กับมัน



“กินไรดีวะหิวฉิบหาย” ผมหันไปถามความคิดเห็นช้อปที่ยืนอยู่ข้างๆ

มันแค่ส่ายหัวไม่ยอมตอบผม ก่อนเดินนำไปที่โรงอาหาร

กิจกรรมช่วงเช้าไม่มีอะไรมากครับ เป็นแค่การทำกิจกรรมนันทนาการเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หลังจากที่รุ่นพี่ปล่อยให้เราพัก ผมกับช้อปก็กะว่าจะไปหาอะไรกินครับ

“ไม่เจอกันนานยังหล่อเหมือนเดิมนะจ๊ะ” เสียงร้องทักจากคุณน้าร้านขายข้าวแกง ดูจากการสนทนาแล้ว ทำไมเหมือนน้าแก้รู้จักกับช้อปมันมานาน

“แล้วพ่อหนุ่มข้างหลังละจ๊ะ ทานอะไรดี” ผมหยุดความสงสัยหันกลับไปยิ้มตอบ พร้อมชี้สั่งกับข้าวที่อยากกิน

“ดูมึงสนิทกับน้าเข้าดีนะ มึงมาที่นี่บ่อยหรอ” ผมยกช้อนตักข้าวเข้าปาก ยังไม่ลืมถามคำถามที่ผมสงสัย

“ข้าวเต็มปากก็เสือกอยากพูดนะมึง” มันส่ายหน้าให้กับผม แค่นี้ทำเป็นรังเกียจ คุณชายสะอาดจังนะครับ

“แคกๆ ๆ ๆ”

“นั้นไงกูพูดยังไม่ทันขาดคำ” มันมองหน้าผมอย่างเอือมๆ มือก็หมุนเปิดขวดน้ำยื่นมาให้ผม

“แค่นี้ทำเป็นบ่น แล้วตกลงยังไง”

มันเล่าให้ฟังว่าโรงเรียนมัธยมมันอยู่แถวนี้ ทั้งตอนเช้าและตอนเที่ยงมันเลยแอบมากินข้าวที่โรงอาหารนี่บ่อยๆ ผมเองก็ไม่ได้ถามอะไรมันต่อ ก็เออออตามมันไปเท่านั้นครับ





บ่ายนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากช่วงเช้านัก ก็เป็นกิจกรรมนันทนาการตามปกติ ที่สำคัญผมยังได้เพื่อนเพิ่มมาด้วยสี่คนด้วยครับ

สี่คนนี้รู้จักกันตั้งแต่เช้าแล้วครับ พอดีผมกับช้อปมานั่งต่อแถวใกล้ๆ เลยได้ทำความรู้จักกัน เพื่อนกลุ่มนี้น่ารักดีครับ ดูเฟรนด์ลี่ ชวนผมคุยด้วยตลอด แต่แปลกที่พวกนั้นเกร็งๆ เวลาคุยกับช้อปมัน

อาจเป็นเพราะหน้านิ่งๆ กับท่าทางหยิ่งๆ ของมันล่ะมั้งครับ เพราะก่อนหน้าที่เล่นเกมด้วยกัน ผมก็โดนมันเมินใส่แบบนี้อยู่เป็นประจำ

“หลังจากกิจกรรมช่วงบ่าย ตอนเย็นจะมีการคัดดาวเดือนนะคะ น้องๆ อยากเสนอเพื่อนคนไหนเตรียมตัวไว้เลย” ถ้าตอนนี้ไม่มีไอ้น่าหล่อนั่งอยู่ข้างๆ ผมคงเสนอตัวเองไปแล้วครับ แต่คงต้องยอมมันครับ งานนี้มันกินขาดผมจริงๆ

“มิกซ์ไม่ลองดูละ เราว่ามิกซ์เหมาะดีนะ” ผมหันหน้าไปมองสาวน้อยในกลุ่ม เธอชื่อกิ๊ฟครับ ตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารัก เอ่ยเสนอให้ผมให้ลงประกวดเดือน

ผมขมวดคิ้วหันไปมองช้อปที่นั่งนิ่ง มองพวกเราคุยกันอยู่

“ให้ช้อปมันประกวดไม่ดีกว่าหรอ ดูสิหน้าแบบนี้สาวๆ เห็นได้กรี๊ดตายแน่ๆ” ผมยกมือขึ้นบีบที่คางของช้อปมัน ส่ายหน้ามันไปมา

มันก็เหมาะกว่าผมอย่างที่บอกนั่นแหละครับ และผมก็ไม่ได้สนใจไอ้การประกวดแบบนี้ด้วย เสียเวลาการหลีสาวของผมหมด

“เอ่อ เราว่ามิกซ์นั่นแหละดีแล้ว” เหมือนกิ๊ฟจะดูประหม่าเวลาพูด ยิ่งเวลามองหน้าช้อปมันด้วยแล้ว ยิ่งออกการให้เห็นอย่างชัดเจน

ไม่ใช่แค่เธอที่เสนอผมเท่านั้น เพื่อนที่เหลือก็พากันพยักหน้ารับ แถมยังมีอาการไม่ต่างจากกิ๊ฟด้วย

ผมว่ามันต้องมีอะไรแปลกเกี่ยวกับช้อปมันแน่ๆ หรือว่ามันไปทำวีรกรรมอะไรไว้ เพื่อนเลยดูกลัวมัน แต่หน้าตาแบบมันไม่น่ามีใครกลัว กลับน่าจะมีคนชอบเสียมากกว่า โดยเฉพาะรุ่นพี่สาวๆ นี่มองมันตาเป็นมัน ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันที่คอยแอบมองมันอยู่เป็นระยะ มีแต่เพื่อนในกลุ่มเท่านั้นที่มีท่าทีแปลกๆ กับช้อปมัน

“มิกซ์ไปเข้าห้องน้ำกัน” คิมหนุ่มนักกีฬาคว้าแขนผมให้ลุกขึ้นเดินตามโดยที่ไม่รอคำตอบจากผม

ผมเดินตามแรงฉุดของคิมออกมาโดยที่มีเอ็มเพื่อนผู้ชายอีกคนเดินตามหลังผมมา

ดูเหมือนสองคนนี้ไม่น่าจะอยากเข้าห้องน้ำนะครับ เพราะเมื่อเดินถึงห้องน้ำ คิมก็คว้าไหล่ทั้งสองข้างผมไว้ทันที

“มิกซ์นายไม่รู้จักพี่...เออ ช้อปนั้นจริงๆ หรอ” คิมพ่นคำถามใส่ผมทันที

ผมกำลังงงกับคำถาม ทำไม่คิมถึงถามผมว่าไม่รู้จักช้อป ผมว่าผมก็รู้จักช้อปมันและก็น่าจะรู้จักก่อนพวกคิมเสียอีก

“รู้จักสิ เรารู้จักช้อปมาสักพักละ ก็เรากับมันเล่นเกมกับมันบ่อยๆ”

“จริงดิ รู้จักกันมาสักพักแต่ไม่รู้ว่าช้อปเป็นระ...”

“เราเป็นอะไรหรอ” เสียงเรียบดังมาจากทางด้านหลังเรียกให้ผมกับคิมหันไปมอง เอ็มที่กำลังยิงคำถามใส่ผมอยู่ก็หยุดกึกหันไปมองต้นเสียงด้วยเช่นกัน

“ปะ...เปล่า” ทั้งคิมและเอ็มมีอาการรนแปลกๆ ก่อนเดินมุดหน้าหนีเข้าไปยื่นที่โถฉี่ ไม่วายที่จะหันหน้าสบตากันแล้วทำท่าทีแปลกๆ อีก

ผมหันกลับไปขมวดคิ้วมองช้อปที่กำลังยืนจ้องผมอยู่เช่นเดียวกัน

มีอะไรที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับช้อปมันอีกเหรอครับ





เย็นนี้หลังจากที่ทำกิจกรรมด้านนอกเสร็จ รุ่นพี่ก็เดินนำนักศึกษาใหม่เดินเข้าห้องประชุมของคณะที่อยู่ในตึกใกล้ๆ อย่างที่รุ่นพี่บอกไปก่อนหน้านี้ครับว่าจะมีการคัดเลือกตัวแทนเดือนและดาวของคณะ ฉะนั้นจึงมีการเรียกรวมรุ่นน้องทั้งหมดเข้ามายังห้องประชุม

ช้อปมันหายไปไหนครับ ผมหันซ้ายขวาเพื่อมองหามัน เมื่อกี้ยังเดินมาพร้อมกัน หันไปมองมันอีกทีก็ไม่เจอแล้วครับ

“มิกซ์มานั่งข้างๆ เรานี่” เสียงใสของสาวอีกคนในกลุ่ม เธอชื่อมิลล์ กำลังตบมือลงที่เก้าอี้เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ผมนั่งลง

“แล้วช้อปละ มีใครเห็นมันไหม” ผมหันไปถามเพื่อนที่ต่างก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ สงสัยมันไปเข้าห้องน้ำมั้งครับ

“เอาล่ะ อย่างที่พี่บอกไว้ว่าวันนี้จะมีการคัดเลือกเดือนดาวประจำคณะเรา แต่ก่อนอื่นพี่ขอแนะนำดาวเดือนของปีที่แล้วก่อนละกัน” เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องประชุม ทุกคนดูตื่นเต้น รวมถึงตัวผมเองด้วย ได้ข่าวว่าดาวปีที่แล้วสวยมาก นอกจากดาวคณะ ยังพ่วงมาด้วยตำแหน่งดาวมหาลัยซะด้วย ชักอยากจะเห็นเร็วๆ แล้วสิครับ

“คนแรกที่พี่จะแนะนำ พี่ริสา ดาวคณะและก็ดาวมหาลัยปีที่แล้วด้วย” เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงโห่ร้องดั่งเช่นสัตว์ป่า ของเหล่านักศึกษาชาย รวมถึงตัวผมเองก็มีอาการไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ สวยจริงๆ ครับ สวยสมคำร่ำลือ ผู้หญิงตัวสูงๆ ขาวๆ ยิ้มที่นี่ผมแทบลายตรงนั้นเลยครับ ไม่ต้องพูดถึงหุ่นนี่เอกซ์สุดๆ ครับ ตรงตามสเปคที่ผมวางไว้ทุกอย่าง

“เอาละๆ ใจเย็นกันหน่อยหนุ่มๆ” เสียงพิธีกรรุ่นพี่ เอ่อขัดขึ้น เพราะดูแล้วเหล่านักศึกษาชายไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง

“ต่อไปก็ถึงคิวของหนุ่มหล่อเดือนคณะของเราบ้าง สาวๆ พร้อมรึยัง” เสียงกรี๊ดที่ดูบ้าคลั่งยิ่งกว่าพวกผมซะอีก ดังกระหึ่มไปทั่วห้องประชุม ผมว่ารุ่นพี่คนนี้คงหล่อมากแน่ๆ ครับ ถึงทำให้สาวๆ คลั่งกันได้ขนาดนี้

“ขอเชิญพี่ช้อปค่ะ”

ทำไมชื่อดูคุ้นจังเลยครับ ชื่อเหมือนไอ้ช้อปเพื่อนผมเลย



“ไอ้ช้อป”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2018 12:20:34 โดย TONYZZYUKI »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 3




ผมไม่รู้ว่าตัวเองตกใจจนเผลอโพล่งออกไปดังขนาดไหน รู้ตัวอีกทีก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนและรุ่นพี่ไปแล้ว

มันหมายความว่ายังไงเหรอครับ ทำไมช้อปมันถึงได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่าแค่คนชื่อเหมือนเท่านั้น

ผมหันหน้าไปมองกลุ่มเพื่อนๆ ที่นั่งมองหน้าผมอยู่

“พวกเราพยายามบอกมิกซ์แล้ว” ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าที่พวกเพื่อนมีอาการเกร็งแปลกๆ เวลาคุยกับช้อป รวมถึงเรื่องที่คิมกับเอ็มพยายามลากผมออกมาคุยด้วย คงเป็นเรื่องนี้ เรื่องที่ช้อปมันเป็นรุ่นพี่ผม

แล้วทำไมช้อปมันไม่บอกผมว่ามันเป็นรุ่นพี่ แถมยังปล่อยให้ผมปีนเกลียวมันได้ขนาดนั้น

ผมหันกลับไปมองช้อปมันอีกครั้ง มันเพียงแต่ยกยิ้มและขำเล็กน้อยเท่านั้น

เอาไงละครับทีนี้ ถ้าไม่รวมวันนี้ที่ผมทั้งกอดคอ ทำตัวเหมือนเป็นรุ่นเดียวกันกับมัน ก่อนหน้านี้ที่เล่นเกมด้วยกันอีก ที่ผมเผลอไปด่ามันซะขนาดนั้น เอาไงต่อดีครับ

“มีอะไรรึเปล่าคะน้อง” พี่พิธีกรเรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง ผมทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า มุดตัวลงไปหลบสายตาของช้อป

บันเทิงกันละทีนี้มิกซ์เอ๊ย ทำไมผมไม่เอะใจตั้งแต่ทีแรกนะ แล้วผมจะมองหน้ามันยังไงละครับทีนี้

ผมหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เปิดแอพไลน์สร้างกลุ่มแชทขึ้นมา

พวกมึงความฉิบหายกำลังจะเกิดขึ้นกับกูแล้ววะ

แทนแทน : เป็นเชี่ยอะไรของมึง

ไอซ์ซี่ : มึงไปจีบรุ่นพี่ แล้วแฟนเขาจับได้หรอวะ

ไอ้สัส ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

แทนแทน : แล้วมันเรื่องอะไร

มึงจำได้ไหมที่ไอ้ช้อปมันบอกว่าเรียนที่เดียวกันกับกู

แทนแทน : จำได้ แล้วมันฉิบหายตรงไหน

ฉิบหายสิ ฉิบหายมากด้วย ก็มันไม่ได้บอกว่ามันเป็นรุ่นพี่กู

แทนแทน : เชี่ย

ไอซ์ซี่ : เชี่ย

และกูก็เผลอไปตีสนิท ปีนเกลียวมันด้วย

ไอซ์ซี่ออกจากกลุ่มแล้ว

แทนแทน : โชคดีนะมึง

แทนแทนออกจากกลุ่มแล้ว



ดูความรักเพื่อนของพวกมันสิครับ ทิ้งกันง่ายๆแบบนี้เลย ผมอุตส่าห์คิดว่าพวกมันจะเป็นที่พึ่งของผมได้ ทำไมผมถึงโดนเทแบบนี้ละครับ

“น้องมิกซ์ น้องมิกซ์อยู่ไหนคะ” ผมสะดุ้งจนโทรศัพท์ในมือเกือบร่วง ผมค่อยๆ เลื่อนหน้าขึ้นมามอง ตามเสียงเรียก

“น้องชื่อมิกซ์ใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับเป็นคำตอบ

“โอเค งั้นลงมายืนหน้าเวทีเลยค่ะ” ผมยืนขึ้นหันกลับมามองหน้าเพื่อนแบบงงๆ

ผมเดินหลบขาคบข้างออกมาจากที่นั่ง เดินตัวเกร็งลงไปข้างล่าง

‘อึก’ ผมเผลอไปสบตากับช้อปมันพอดี ทำเอาผมต้องกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ลงคอไป ทำไมผมต้องซวยแบบนี้ด้วย

ผมพยายามเดินเบี่ยงตัวหลบให้ห่างจากช้อปมันมากที่สุด ไม่รู้จะสู้หน้ากับมันยังไงดี มิกซ์เอ๊ยมิกซ์

“เอาละถ้ามาครบแล้ว เดี๋ยวพี่จะเปิดโหวตแล้วนะคะ”

ความวุ่นวายเริ่มขึ้นทั่วห้องประชุมอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่สนใจกับบรรยากาศความวุ่นวายตอนนี้หรอกนะครับ คิดเพียงว่าจะทำยังไงกับเรื่องของช้อปมันดี แค่เป็นเพื่อนในเกมก็โดนมันด่าว่าโง่แล้วโง่อีก ตอนนี้มาเจอมันในสถานะรุ่นพี่กับรุ่นน้องอีก ชีวิตในมหาลัยที่ผมเคยวาดฝันไว้ มันจะมาพังลงแบบนี้ไม่ได้

“ปรบมือให้น้องมิกซ์ตัวแทนเดือนคณะปีนี้ของเราด้วยค่ะ”

“น้องมิกซ์ น้องมิกซ์คะ”

“คะ...ครับ มีอะไรหรอครับ” ผมมัวแต่คิดเรื่องของช้อปมันจนเหม่อไม่ได้ยินเสียงที่พิธีกรพูด

“พี่บอกว่าน้องได้เป็นตัวแทนคณะเราปีนี้”

“ฮะ ผมหรอครับ” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ก็มัวแต่คิดเรื่องช้อปจนลืมไปว่าตัวเองมายืนตรงนี้ เพื่อคัดเลือกตัวแทนดาวเดือนของคณะ เฮ้อ เรื่องแรกก็ยังไม่เคลียร์ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาให้ปวดหัวอีกแล้วครับ

“หึๆ” ผมหันไปมองผู้ชายหน้าหล่อที่ยื่นหัวเราะในลำคอ ผมอยากจะเดินเข้าไปถามมันจริงๆ ว่ามีอะไรให้ขำ แต่คงไม่ใช้ในเวลาและสถานะของผมกับมันตอนนี้

“น้องมิกซ์อยู่รอพวกพี่กองประกวดก่อนนะ” ผมเดินตามรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งไปยังห้องด้านหลัง



“สงสัยปีนี้คณะเราแพ้แน่ๆ เลย” ผมจำเสียงมันได้ดีครับ มันที่กำลังนั่งไขว่ห้าง มองผมจากกระจกบานใหญ่ตรงหน้า

“มึงหลอกกูทำไม” ผมปล่อยคำถามใส่มันทันที

“ใครหลอกมึง” มันยังคงยกยิ้มทำหน้าไขสือต่อ

ผมอยากจะเข้าไปซัดหน้ากวนตีนของมันตอนนี้ แต่กลัวว่าจะสู้มันไม่ไหว แถมยังมีรุ่นพี่อีกหลายคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย

“ทำไมมึงไม่บอกว่าเป็นรุ่นพี่กู”

“ก็มึงไม่ถาม” ผมคิดตามที่มันพูด ก็จริงตามที่มันบอกครับตอนนั้นผมก็ถามมันว่ามันเรียนที่ไหน พอรู้ว่ามันเรียนที่เดียวกันแถมคณะเดียวกัน ผมก็เปลี่ยนเรื่องไปเซ้าซี้ขอเบอร์มัน โดยไม่ได้ถามว่ามันอยู่ปีไหน

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตั้งแต่ตอนเช้าทำไมมึงไม่ยอมบอกกู”

“ก็มึงไม่ถามกูเอง แถมยังกอดคอลากกูไปนู่นไปนี่อีก” ก็ถูกของมันอีกครับเพราะผมเป็นคนลากคอมันไปนู่นไปนี้ด้วยตลอด แต่ก็ไม่ได้ถามมันสักครั้ง

“มึงรู้แล้วว่ากูเป็นรุ่นพี่ เมื่อไหร่มึงจะพูดกับกูแบบรุ่นน้องคนอื่น” มันเลิกคิ้วถามผม

“ไม่มีทาง” ไม่มีทางแน่ๆ ครับ จู่ๆ จะให้เรียกคนที่เคยเป็นเพื่อนว่าพี่คงยากครับ ก็มันชินกับการพูดแบบนี้ไปแล้วจะให้ผมทำยังไง และสำหรับไอ้ช้อปด้วยแล้วอย่าหวังเลยครับ

“มึงนี่นะ” ผมเบิกตาโพลง ยกมือขึ้นบังหน้าตัวเอง ก็อยู่ดีๆ มันก็ยกมือขึ้นง้าง เหมือนเตรียมจะฟาดผม

“โอ้ย...” ก็ไม่เจ็บเท่าไรนิ ผมลืมตาขึ้นมามองก็เห็นมันยืนส่ายหัวมองหน้าผมอยู่ มันไม่ได้จะฟาดผมหรอกครับ แค่เขกที่หัวผมเบาๆ เท่านั้น

ใครมันจะไปรู้ละครับก็มันเล่นง้างมือซะขนาดนั้น

“เวอร์ละมึง นู้นพี่เขาเรียกมึงแล้ว”

ผมเดินตรงไปที่รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง โดยมีช้อปเดินตามหลังมาติดๆ

ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยบอกไว้ถ้าไม่มีช้อปมันผมคงได้เป็นเดือน ตอนนี้ผมไม่รู้สึกดีใจสักเท่าไร ก็เพราะผมต้องเอาเวลาช่วงเย็นทั้งหมดไปใช้ในการซ้อมประกวด ตามที่รุ่นพี่คนนั้นบอก

แต่ก็ยังไม่ซวยเท่าที่ต้องไอ้ช้อปค่อยเป็นพี่เลี้ยงช่วยแนะนำในฐานะรุ่นพี่

ตั้งแต่รู้ว่ามันเป็นรุ่นพี่ที่คณะ ผมก็เริ่มไม่อยากเจอหน้ามันแล้วครับ ก็ไม่รู้จะทำตัวเวลาอยู่กับมันยังไง ถ้าจะให้มองว่ามันเหมือนรุ่นพี่คนอื่นๆ แล้วยิ่งต้องมาเรียกมันว่าพี่ด้วย ฝันไปเถอะครับ ผมกัดลิ้นตัวเองดีกว่าจะเรียกมันแบบนั้น



กว่าจะคุยเรื่องการประกวดเสร็จก็ปาไปเกือบหนึ่งทุ่ม วันแรกก็เหนื่อยขนาดนี้แล้ว ผมกะว่าจะเดินไปซื้อข้าวกล่องขึ้นไปกินบนห้องสักหน่อย กินแล้วจะได้นอนเลย เหนื่อยจริงๆ ครับ

ผมเดินออกมาจากตึกเดินตรงตามทางที่จะไปประตูหลังมอ

‘ขวับ’ ผมหันไปมองด้านหลัง ผมรู้สึกเหมือนว่ามีใครสักคนแอบตามมา ตั้งแต่ผมออกมาจากห้องประชุมนั้นแล้ว

“คิดไปเองรึเปล่าวะ”

“เชี่ย” ผมตกใจขยับขาถอยหลังจนล้มลงไปกองกับพื้น ก็อยู่ดีๆ ช้อปมันโผล่มายืนขวางหน้าผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จนผมเผลอตะโกนออกไปซะเสียงดัง

“เป็นไรรึเปล่าวะ” มันยื่นมือมาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้น

“มาไม่ซุ่มให้เสียง ถ้ากูหัวใจวายขึ้นมาจะทำไง” ผมบ่นมันไป มือหนึ่งลูบก้นตัวเองปอยๆ เจ็บสิครับล้มก้นจ้ำเบ้าซะขนาดนั้น

“ขวัญอ่อนฉิบหาย” มันยังไม่สำนึกครับ ยืนขำผมอยู่

ผมเดินหนีมันออกมา ไม่อยากคุยกับมันครับ เห็นหน้ามันแล้วขัดหูขัดตาไปหมด

“กรอกๆ ๆ ๆ” เสียงท้องผมเริ่มประท้วงแล้วครับ ถ้าไม่ต้องไปนั่งฟังรุ่นพี่บ่นอะไรไม่รู้เกี่ยวกับการประกวด ผมคนกินอิ่มนอนตีพุงอยู่บนเตียงไปแล้ว

“กูคิดว่าเสียงฟ้าร้อง” มันยังไม่เลิกตามผมอีกครับ เดินตามหลังผมไม่ยอมไปไหน

“มึงจะตามกูมาทำไม”

“กูแค่จะชวนมึงไปกินข้าว”

ผมว่าจะปฏิเสธมันไปละครับ แต่ท้องเจ้ากรรมมันดันประท้วงไม่หยุด แล้วร้านข้าวทำไมมันไกลขนาดนี้ เดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที

“แล้วจะไปยังไงละ กูไม่เดินแล้วนะ” มันส่งยิ้มกวนมา เดินนำผมไปที่จอดรถ

รถเราเคลื่อนผ่านประตูหลังมอออกมา ตามสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย มากพอๆ กับจำนวนนักศึกษาที่กำลังเดินกันขวักไขว่

ช้อปเดินนำผมตรงเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง มันเป็นคนเลือกเพราะผมเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นกับสถานที่สักเท่าไร

ช้อปหยิบเมนูอาหารส่งมาให้ผม ร้านนี้ก็เหมือนร้านอาหารตามสั่งทั่วๆ ไป เพียงแต่สะอาดกว่าและที่สำคัญมีแอร์เย็นให้นั่งด้วย ช้อปมันนี้เลือกร้านได้ดีจริงๆ เลยครับ

“เลือกนานขนาดนี้ เดี๋ยวแม่ครัวได้ออกมาด่ามึงหรอก” ผมเงยหน้าขึ้นมามองช้อปที่กำลังบ่นผมอยู่

ก็เมนูมันเยอะหนิครับ ผมเลยเลือกไม่ถูก

“งั้นกูเอากะเพราหมู เพิ่มไข่ดาวด้วย”

ช้อปที่ถือกระดาษกับปากกาเตรียมจดเมนูที่ผมสั่ง ถึงกับโยนกระดาษกับปากกามาให้ผม

“จดเองเถอะ เลือกตั้งนานสุดท้ายสั่งกะเพรา” มันนี้ขี้บ่นจริงๆ เลยครับ

“แค่นี้ทำเป็นบ่น” ผมจดเมนูตัวเองลงในกระดาษ

‘กะเพราหมูกรอบ เผ็ดๆ’ ผมแอบเติมคำว่าเผ็ดๆ ต่อท้ายเมนูของมันไป ขอเอาคืนมันหน่อยละกันครับ

จานข้าวสองจานถูกวางลงที่โต๊ะ ผมแอบเหลือบตาไปมองมันเล็กน้อย เสร็จกูแน่

“ซี๊ด…” ผมซูดปากด้วยความเผ็ด แค่คำแรกที่ตักเข้าปากความเผ็ดร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วปากผมแล้ว

“พี่ครับ” ผมยกมือขึ้นเรียกพนักงานเสิร์ฟ

“ลูกค้ามีอะไรรึเปล่าคะ”

“ทำไมมันเผ็ดแบบนี้ละครับ” ผมพูดไปยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วย เผ็ดจนลิ้นชาไปหมดแล้วครับ

“ก็ลูกค้าสั่งเองไม่ใช่หรอคะว่าเอาเผ็ดๆ” เธอยื่นกระดาษจดเมนูให้ผมดู

“ผมหมายถึงแค่กะเพราหมูกรอบ”

“นี่มึงจะแกล้งกูหรอ” ผมหันหน้าไปมองช้อปที่กำลังนั่งทำตาเขียวใส่ผมอยู่

“กูเปล๊า” ผมปฏิเสธมันเสียงลูง หลบตาก้มดูดน้ำในแก้วต่อ

“แล้วนี่เผ็ดขนาดนี้มึงจะกินได้หรอ” มันไม่รอให้ผมตอบ สั่งพนักงานให้ทำอาหารจานใหม่มาให้ผมแทน

แปลกครับที่มันไม่บ่นผมต่อ ผมละกลัวมันจะด่าผมแบบตอนที่เล่นเกมด้วยกัน

แล้วของมันล่ะจะกินได้ไหม ดูแล้วน่าจะเผ็ดไม่ต่างจากของผม

“แล้วของมึงละ” ผมพยักหน้าไปที่จานกะเพราของมัน

“กูกินเผ็ดได้ แต่มึงนี่โง่จริงๆ จะแกล้งเขา เสือกโดนตัวเอง” มันส่ายหัวทำหน้าเอือมๆ ผม

กูไม่ได้โง่มันแค่ผิดพลาดเล็กน้อยเท่านั้น

“แล้วนี่ไอ้รอยสักเนี่ย มึงไปสักมาตั้งแต่เมื่อไร” ผมเงยหน้าจากจานข้าว มองหน้ามันที่อยู่ดีๆ ก็ถามขึ้นมา

“สวยละสิ กูสักมาเพื่อสาวๆ เลยนะ” ผมชูแขนโชว์รอยสักที่ผมภูมิใจให้มันดู

“เลอะเทอะไอ้สัส” มันดูไม่สนใจ ด่าผมแล้วก้มลงจัดการกับอาหารของมันต่อ

อะไรของมัน เป็นคนถามผมเองกลับมาด่าผมซะงั้น สงสัยคงอิจฉาผมมั้งครับ

“แต่เดี๋ยวนะ มึงถามกูแบบนี้มึงรู้ได้ไงว่าก่อนหน้านี้กูไม่ได้สัก” ผมขมวดคิ้วมองหน้ามัน

มันถึงกับนั่งนิ่ง วางช้อนที่กำลังเข้าปากมันลง

ก่อนหน้านี้มันยังไม่เคยเห็นหน้าผมสักครั้ง แม้แต่เฟชบุ๊คที่ผมเป็นคนขอแอดมันเป็นเพื่อน มันเองที่เป็นฝ่ายที่ไม่ยอมบอก แล้วมันเคยเห็นผมที่ไหนมาก่อนเหรอครับ

“กูเดา” มันตอบแต่ไม่ยอมมองหน้าผม หยิบช้อนที่เพิ่งวางยื่นเข้าปากมันแทน


ยังไงของมึงกันแน่วะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2018 23:14:37 โดย TONYZZYUKI »

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 4


หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงหน้าล๊อบบี้เกมโปรด ผมเคยบอกกับตัวเองและเพื่อนว่าถ้าเปิดเทอมคงลดเวลาการเล่นเกมลง แต่ตอนนี้ขอคลายเครียดสักหน่อยแล้วกันนะครับ

วันทั้งวันที่ผ่านมามีเรื่องให้ผมต้องเครียดหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่การที่รู้ว่าเพื่อนที่เล่นเกมด้วยกันทุกวัน มันกลับกลายมาเป็นรุ่นพี่ที่คณะผมซะงั้น ผมเองก็เผลอไปตีซี้มันอีก เรื่องที่สองก็เรื่องที่ผมต้องเป็นตัวแทนคณะไปประกวดดาวเดือนนั้นอีกและเรื่องที่ทำให้ผมปวดหัวมากที่สุดคือการที่ผมต้องเจอหน้ามันทุกวัน เพราะมันเองก็ได้รับหน้าที่ดูแลรุ่นน้องเดือนคนต่อจากมัน นั้นก็คือผมเอง

แค่คิดก็อึดอัดไปหมดแล้วครับ

“ไหนมึงบอกว่าจะงดเล่นเกมวะ” เสียงไอซ์ดังผ่านหูฟังเกมมิ่งที่ครอบหัวผมอยู่

“เออกูก็ได้ยินมึงบอกกูแบบนี้” แทนเอ่ยสมทบ

ก็อยากจะงดอยู่หรอกนะครับ แต่ขอวันนี้สักวันเถอะ

“แล้วเรื่องของไอ้...เออ พี่ช้อปนั้นล่ะ” ไอซ์เองมันก็คงไม่ชินกับการที่ต้องเรียกช้อปมันแบบนั้นเหมือนกันครับ ใครมันจะทำใจให้ชินได้ละครับ

“จะยังไงล่ะ ก็ช็อกสิวะถามได้”

“แล้วหน้าตามันเป็นยังไง” ไอซ์ถามต่อ

“กูให้พวกมึงเดา”

“อ้วนๆ ใส่แว่นปะ”

“เออกูก็คิดแบบนั้น” เห็นไหมล่ะครับขนาดพวกไอซ์กับแทนยังคิดว่าช้อปมันอ้วนๆ ใส่แว่นแบบที่ผมคิด ใครจะไปคิดละครับว่ามันจะหล่อถึงขนาดเป็นเดือนคณะขนาดนี้

“กูก็คิดแบบพวกมึงนั่นแหละ แต่พอเจอตัวจริงแม่งโคตรหล่อแถมเป็นเดือนคณะปีที่แล้วอีก”

“งั้นเดี๋ยวรอกูแป๊บนะ”

ไอซ์มันเงียบไปสักครู่ก่อนส่งรูปบางอย่างเข้ามาในกรุปไลน์

“ไอ้เชี่ย แม่งหล่อขนาดนี้เลยหรอวะ” แทนที่เพิ่งเห็นรูปที่ไอซ์มันส่งเข้ามา พวกมันคงมีอาการเดียวกันกับผมตอนที่เจอช้อปมันครั้งแรกนั่นแหละครับ

“หล่อแต่แม่งกวนตีน” ผมบ่นกับพวกมัน

“กวนยังไงวะ?”

“ก็แม่ง....”

“มึงพูดให้ดีๆ นะ”

ผมกำลังอธิบายความกวนตีนของช้อปให้ไอซ์กับแทนฟัง แต่อยู่ดีๆ ก็มีเสียงพูดขึ้นมาขัดซะก่อน

“มึงลืมไปแล้วหรอว่ากูก็อยู่ในกลุ่มด้วย”

ฉิบหายแล้วครับ ผมลืมไปซะสนิทเลยว่าคอลกลุ่มเกมนี้มีช้อปมันอยู่ด้วย หวังว่ามันคงไม่ทันได้ยินที่ผมพูดทั้งหมดใช่ไหมครับ

“กูไปก่อนนะ/กูไปก่อนนะ” อีกแล้วครับพวกมันสองคนชิ่งผมอีกแล้ว ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่ามันสองคนเป็นเพื่อนผมจริงๆ รึเปล่า

“มึงได้ยินหมดเลยหรอ”

“ตั้งแต่แรก” ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ตอนที่ได้ยินคำตอบจากมัน

มึงไม่น่าพลาดเลยมิกซ์ เอาไงต่อดีวะ

“งั้นมึงคงได้ยินที่กูชมมึงใช่ไหม” ผมพยายามดึงเข้าเรื่องดีๆ ที่ผมพูดถึงมัน เผื่อจะรอดครับ

“ได้ยิน แต่กูอยากได้ยินที่มึงบอกว่ากูกวนตีนนี่ยังไง”

“ง่วงแล้ว กูไปนอนก่อนนะ”

“มึงไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง ตอบกูมาก่อน” มันทำเสียงเรียบ ทำเอาผมขนลุกเลยครับ

เอาไงดีวะมิกซ์

“ก็มึงกวนกูจริงๆ นี่หว่า” ผมตัดสินใจบอกมันไปตรง ก็มันกวนผมจริงๆ หนิครับ

เป็นไงเป็นกันครับคราวนี้

“กูกวนมึงขนาดนั้นเลยหรอ กูขอโทษ งั้นมึงไปนอนได้แล้ว”

และมันก็หายไปอีกครั้ง ทิ้งไว้แค่เครื่องหมายคำถามที่อยู่บนหัวผมเท่านั้น

คิดจะมาคิดจะไปก็ไป มันเป็นอะไรของมันเหรอครับ

แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ขอตัวไปนอนก่อน เกมอะไรไม่เล่นมันแล้วหมดอารมณ์ครับ





เป็นอีกวันที่ผมต้องตื่นเช้าครับเพราะวันนี้มีปฐมนิเทศคณะในช่วงเช้า แต่วันนี้ผมขับรถยนต์มาเองครับ กลัวตอนเย็นจะเหนื่อยจนไม่มีแรงเดินกลับห้องเหมือนเมื่อวาน

“เป็นไงบ้างเรื่องพี่ช้อปอะ” กิ๊ฟพยักหน้าหันไปมองช้อปที่ยืนอยู่ข้างๆเวที ผมแอบสบตาเข้ากับมันด้วย เกือบหลบแทบไม่ทันครับ

แต่ไม่ใช่แค่กิ๊ฟที่อยากรู้ครับ เพื่อนคนอื่นเองดูอยากรู้เรื่องนี้ไม่ต่างกัน

“ก็ไม่มีไรมากหรอก แค่มัน เอ่อ...พี่ช้อปจะช่วยดูแลเราเรื่องการประกวดอะ” เฮ้อ...นี่ผมต้องเรียกมันว่าพี่จริงเหรอครับ ไม่ชินเอาเสียเลย

“แล้วมิกซ์ไปสนิทกับพี่แกได้ยังไง”

“ก็เจอกันในเกม เราเลยชวนพี่มันเข้าทีมอะ” เอาเป็นว่าต่อหน้าเพื่อนผมจะเรียกช้อปมันว่าพี่มันแล้วกันครับ จะได้ดูไม่ขัดปากสักเท่าไร

“แล้วสนิทกันมากขนาดนั้นเลยหรอ” กิ๊ฟยังคงถามผมต่อ

“ก็คุยกันแค่ในเกม เพิ่งเคยเห็นหน้ากันจริงๆ ครั้งแรกก็เมื่อวานอะ”

“ห๊ะ!!!” ดูทุกคนจะตกใจที่ได้ยินผมบอกแบบนั้น

“จริงดิ งั้นนายก็ระวังพี่แกไว้หน่อยนะ เราได้ยินว่าพี่ช้อปแกเป็นพี่เชียร์ด้วย” คิมพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ผมเองก็เคยได้ยินเรื่องห้องเชียร์ของคณะมาบ้างครับ เห็นเขาบอกว่าปีหนึ่งทุกคนถ้าอยากได้เกียร์ก็ต้องเข้าห้องเชียร์เท่านั้น ห้องเชียร์ที่ว่าก็เป็นการรับน้องทั่วไปนี้แหละครับ แต่เราจะทำวันกันวันสุดท้ายของการรับน้อง ถ้ารับน้องผ่านเราก็จะได้เกียร์ประจำรุ่นมา

ผมเองก็อยากได้นะครับ เอาไว้ให้สาวๆ เห็นเขาว่ากันว่าการให้เกียร์ใครหรือได้เกียร์จากใคร ถือว่าเราสำคัญกับคนนั้นมากๆ ผมคงต้องหามาให้ได้หลายๆ อันหน่อยแล้วล่ะครับ เพราะคงมีสาวๆ รอขอเกียร์จากผมเพียบแน่ๆ ฮาๆ ๆ  ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ

แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นผมคงต้องผ่านรุ่นพี่สุดกวนมันไปให้ได้ก่อน นั่นไงครับพูดถึงมันก็ยืนจ้องหน้าผมอยู่เลย ไม่รู้จะจ้องอะไรนักหนา

เดี๋ยวกูก็ท้องหรอกไอ้สัส

“ขอบคุณมาก แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ผมตอบคิมไป หวังว่ามันจะเป็นแบบที่ผมคิดนะครับ



“จากนี้ไปก็ขอให้นักศึกษาทุกคนตั้งใจเรียน มีความสุขกับการใช้ชีวิตในรั้วมหาลัย และที่สำคัญที่สุดขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ หอบใบปริญญาไปฝากคนที่บ้านให้ได้นะ”

“สาธุ” เสียงสาธุดังขึ้นทั่วห้องประชุม ผมเองก็ยกมือประนมขึ้นเหนือหัวเป็นการรับพรจากท่านคณบดี

ผมหวังว่าผมจะเรียนจบตามที่ท่านคณบดีอวยพรนะครับ

หลังจากคำอวยพรจบลง ถือเป็นสัญญาณบอกว่าการปฐมนิเทศครั้งนี้จบลงเป็นที่เรียบร้อย ผมเดินตรงมาที่โรงอาหารกลางพร้อมกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ที่ส่วนกลางคณะมีอาหารมาแจกให้ทานนะครับ แต่ดูจากจำนวนนักศึกษาที่ยืนต่อแถวจนมองไม่เห็นหางแถวแล้ว บวกกับสองสาวที่ยืนบ่นอยู่ข้างๆ พวกเธอคงไม่อยากรอสัเท่าไร ผมเองก็เช่นกันตอนนี้หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วครับ

อีกอย่างบ่ายนี้รุ่นพี่นัดพวกเราปีหนึ่งให้เข้าประชุมต่อ เห็นบอกว่าจะมีการเปิดสายรหัสกัน ถ้าพวกเรายังยืนต่อแถวกันแบบนี้คงเข้าประชุมไม่ทันแน่ครับ

ที่โรงอาหารกลางก็ดูไม่ต่างจากที่คณะสักเท่าไร คนเยอะมากครับวันนี้สงสัยเพิ่งเปิดเรียนคงเลยเยอะกว่าปกติ แต่ก็ยังดีกว่าให้นั่งรอข้าวจากทางคณะแหละครับ

Rrrrr Rrrrr

‘ช้อป’ หน้าจอโทรศัพท์แสดงชื่อช้อปโชว์อยู่ ผมหยิบขึ้นมาดู ยืนคิดสักพักว่าจะรับสายมันดีไหม

“ว่าไง” ผมกดรับสายกรอกเสียงใส่โทรศัพท์แข่งกับเสียงรอบข้าง

“มึงว่าไงนะกูไม่ได้ยิน ฮัลโหล” เสียงจากรอบๆ ข้างดังซะผมแทบไม่ได้ยินเสียงของช้อปมัน ผมมองป้าแม่ครัวที่กำลังตักอาหารใส่จานยืนให้นักศึกษา อีกแค่ไม่กี่คิวก็จะถึงผมแล้วครับ ผมยืนมองโทรศัพท์มือถือในมือ ผมควรจะออกไปคุยกับมันดีไหมครับ ถ้าผมออกไปตอนนี้คงต้องกลับมาต่อแถวใหม่และคงได้ยืนรออีกนานแน่ๆ

เฮ้อ...

“ว่าไง โทรมาหากูมีอะไร” ผมตัดสินใจถือโทรศัพท์เดินออกมาคุยกับมันข้างนอก ตั้งแต่ที่ผมได้เบอร์มันมาจะเป็นผมที่โทรหามันเอง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่มันจะโทรมาหาผม แค่จะให้มันรับสายตอนที่ผมโทรไปยังยากเลยครับ แต่ครั้งนี้เป็นมันที่โทรมาหาผมเอง สงสัยมันคงมีธุระสำคัญจริงๆ

“มึงอยู่ไหน”

“ถามทำไม”

“มึงกินข้าวยัง”

“ถ้ากูไม่ออกมารับสายมึง ป่านนี้กูคงได้นั่งกินข้าวจนอิ่มไปแล้ว”

“งั้นมึงรอกูก่อนนะ เดี๋ยวกูเข้าไปหา” แล้วมันก็กดตัดสายอีกเหมือนเคย

รอ มันบอกให้ผมรอมันเหรอครับ ถ้าผมรอมันคงได้หิวตายกันพอดี แต่ว่าทำไมมันต้องให้ผมรอมันด้วยละครับ

ตกลงกูต้องรอมึงใช่ไหมเนี่ย

ผมเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ นั่งมองเพื่อนที่กำลังทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ได้แต่นั่งกลืนน้ำลายตัวเองไปครับ

“ไม่ได้ซื้อข้าวมาหรอวะมิกซ์” เอ็มถามผมทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก มันคงเห็นผมไปยืนต่อแถวซื้อข้าวพร้อมๆ กับมัน

ผมเพียงส่ายหน้าตอบมันไป กลัวว่าถ้าพูดไปเดี๋ยวน้ำลายที่ไหลออกมาเต็มกระพุ้งแก้มผมตอนนี้ จะกระเด็นใส่จานข้าวของพวกมันซะก่อน

แล้วนี่เมื่อไรช้อปมันจะมาครับ

“โทษที รอนานไหม” ช้อปเบียดตัวลงนั่งข้างผม วางถุงพลาสติกใสที่ข้างในมีกล่องโฟมลงที่โต๊ะ

ผมหันไปมองมันที่นั่งหอบ มือจับคอเสื้อนักศึกษาสะบัดเร็วๆเพื่อคลายร้อน

“ช้าจังวะ แล้วนี่ให้กูรอทำไม”

“กูรีบแล้ว นั้นไงข้าว กูเอามาให้มึง” มันพยักหน้าไปที่ถุงพลาสติกวางอยู่

อย่าบอกนะครับที่มันโทรมาเมื่อกี้ ที่มันวิ่งเหงื่อซกเข้ามาแบบนี้แค่จะเอาข้าวกล่องมาให้ผมเท่านั้น

“มึงรู้ไหม ถ้ากูไม่ออกไปคุยกับมึง ป่านนี้กูกินข้าวจนอิ่มไปแล้ว” ผมบ่นมันไป ผมต้องนั่งทนหิวรอข้าวกล่องเดียวนี่เหรอครับ ผมอยากจะบ้าตายกับมันจริง

แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจมันแล้วครับ หยิบกล่องข้าวเปิดออกใช้ช้อนที่ติดมาด้วยตักข้าวเข้าปากทันที หิวมากครับ

แล้วช้อปมันนั่งมองผมทำไมครับ มองผมตักข้าวเข้าปากแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ต่างจากผมก่อนหน้านี้ อย่าบอกนะครับว่ามันยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง

อะไรของมันครับ

“มึงยังไม่ได้กินข้าวหรอ” ผมวางช้อน มองหน้ามัน

มันพยักหน้าตอบ มองผมตาละห้อย

จะบ้าตายกับมันครับ เอาข้าวมาให้ผมแต่ตัวเองกลับยังไม่ได้กินข้าว อะไรของมันครับเนี่ย ผมละปวดหัวกับมันจริงๆ 

“อ่ะนี่” ผมยื่นช้อนในมือส่งให้มัน ถ้าให้มันไปยืนต่อแถวซื้อข้าวตอนนี้ มันเองก็คงเข้าประชุมไม่ทันเหมือนกันครับ

มันขมวดคิ้วมองหน้าผมอย่างงงๆ ไม่ยอมรับช้อนจากมือผมไป

“กูไม่ได้เป็นโรคติดต่อ มึงไม่ต้องกลัว รีบกินเดี๋ยวก็ไปประชุมไม่ทัน”

มันพยักหน้ารับช้อนไปตักเข้าปากแบบงงๆ

ผมตักคำหนึ่งมันตักคำหนึ่ง เป็นแบบนี้จนข้าวหมดกล่อง ผมไม่อิ่มหรอกนะครับแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กินอะไรเลย

“ยิ้มอะไร” ผมค้อนมันไป ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร กินข้าวไม่อิ่มหรือหิวจนบ้าไปแล้วเหรอครับ นั่งมองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม

“กินอิ่มแล้วกูก็ยิ้มแบบนี้เป็นธรรมดา” มันยิ้มกวนๆ ส่งมาให้ผม มือหนึ่งลูบที่ท้องคงกลัวว่าผมจะไม่เชื่อว่ามันอิ่มจริงๆ

แน่นอนครับว่าผมไม่เชื่อ เพราะข้าวแค่กล่องเดียวกับผู้ชายตัวถึกสองคนมันจะไปอิ่มได้ยังไงกันครับ ผมอยากจะด่ามันจริงๆ ที่เป็นต้นเหตุทำให้มื้อเที่ยงของผมหายไปตั้งครึ่งหนึ่ง

เอาไว้ค่อยจัดเต็มตอนเย็นเป็นการทดแทนแล้วกันนะครับ



“เอาละค่ะ ตามที่พี่บอกไปช่วงบ่ายนี้เราจะมีการเปิดสายรหัสกัน”

เสียงประกาศจากพิธีกรรุ่นพี่ดังขึ้น ตามด้วยเสียงปรบมือด้วยความตื่นเต้นของเหล่าเด็กปีหนึ่ง มันเป็นธรรมเนียมของเกือบทุกมหาลัยที่ต้องมีสายรหัสสืบทอดกัน ผมเองก็คิดว่าการมีพี่รหัสเป็นเรื่องที่ดีนะครับ มีรุ่นพี่คอยดูแล ค่อยให้คำปรึกษา ถึงจะไม่ได้ดูแลกันตลอดเวลาแต่อย่างน้อยก็น่าจะได้คำแนะนำดีจากรุ่นพี่บ้าง

ถ้าถามผมว่าอยากได้รุ่นพี่แบบไหน ก่อนหน้านี้ผมคงตอบว่าแบบพี่ริสา ไม่ได้อยากได้เป็นพี่รหัสนะครับแต่อยากได้มาเป็นแฟนมากกว่า ฮาๆ ๆ ๆ แต่ตอนนี้ถ้าไม่ใช่พี่ริสาก็ขอใครก็ได้ที่ไม่ใช้ช้อปมันครับ ขืนได้มันเป็นพี่รหัส ผมคงได้นั่งฟังมันด่าจนหูชาแน่ๆ 

“แล้วต่อไป พี่รหัสของน้องมิกซ์ก็คือ...”

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
บอกว่าเรื่องนี้เป็นคู่แยกของช็อปมิกซ์จากเรื่อง money man ใช่ไหมคะ แต่ทำไมไทม์ไลน์ของเรื่องรวมถึงฉากการรู้จักกันของทั้งคู่มันไม่เหมือนกับในอีกเรื่องนึงเลยละ หรืออันนี้เป็นเรื่องราวก่อนหน้าที่มิกซ์จะรู้ว่าช็อปชอบพี่ชายตัวเองแต่อ่านแล้วมันก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดี เหมือนเอาคู่นี้แยกออกมาแล้วแต่งเป็นเรื่องใหม่ยังไงก็ไม่รู้

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
อ่านไปตอนนึง
อ้าว เนื้อเรื่องต่างกัน เหมือนแค่ชื่อ
ถ้าอ่าน2เรื่องมันจะสับสนมั้ย เอาเป็นชื่ออื่นเลยไม่ดีกว่าหรอ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
*ขอแก้ไขสักนิดนะครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ภาคแยกนะครับแต่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเอาคาแรกเตอร์ของ #ช้อปมิกซ์มาใช้ ต้งอขอโทษที่ทำให้สับสนกันนะครับ


กระสุนนัดที่ 5


ผมก้าวเท้าขึ้นไปยืนบนเวที ข้างหน้าผมมีพิธีกรผู้หญิงจ่อไมค์พูดอยู่

“แล้วต่อไป พี่รหัสของน้องมิกซ์ก็คือ...”

ตื่นเต้นนี่ไม่เท่าไรครับ แต่กลัวว่าจะได้พี่รหัสเป็นไอ้ช้อปมัน นั้นไงครับมันยืนจ้องหน้าผมอยู่ข้างๆ เวที

หวังว่าคงไม่ใช่มันนะครับ

“พี่ฟลุ๊คค่ะ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่หันไปยกยิ้มกวนๆ ใส่ช้อปมัน

เฮ้อ...โล่งอกไปครับ

“หวัดดีมิกซ์ พี่ชื่อฟลุ๊คนะ” นักศึกษาชายร่างโปร่งเดินตรงเข้ามาทักผม พี่รหัสคนใหม่ของผมนั้นเองครับ

ผมมองสำรวจพี่แกสักพัก อื้อฮือหล่อครับ หน้าคมบวกกับกล้ามที่่แทบจะปริออกมาจากเสื้อ ดูแล้วสาวๆ คงจะกรี๊ดน่าดู

“สวัสดีครับพี่” ผมยกมือไหว้ พี่แกเดินเข้ามาตบไหล่ผมเบาๆ

“หล่ออย่างที่ช้อปมันบอกจริงๆ” ใครๆ ก็บอกผมแบบนะแหละครับ

ที่บอกว่าหล่อหนะผมเข้าใจ แต่ประโยคหลังหมายความว่ายังไง

แต่ผมมารู้ทีหลังครับว่ารุ่นพี่ปีสองจะรู้ล่วงหน้าก่อนว่าสายรหัสของตัวเองเป็นใคร เพียงแต่ว่ามีกฏห้ามให้พี่รหัสเผยตัวก่อน ก็รอมาเปิดตัวกันวันนี้นี่แหละครับ

แล้วช้อปมันเกี่ยวอะไรถึงได้ไปพูดเรื่องของผมให้พี่ฟลุ๊คฟัง

“ขอบคุณครับพี่” ผมพยักหน้ารับเล็กน้อย

“ได้ข่าวว่าเราเป็นเดือนคณะด้วยหนิ เห็นช้อปมันพูดถึงอยู่บ่อยๆ”

“คะ...ครับ” ผมตอบ แต่ในหัวตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าที่พี่ฟลุ๊คบอกหมายความว่าไง นี่ช้อปมันแอบนินทาผมให้พี่รหัสฟังเหรอครับ ผมว่าคงเป็นเรื่องที่ผมไปตีสนิทมันนั่นแหละ อย่างที่คิมเคยบอกว่าช้อปมันเป็นพี่เชียร์ ผมคงจะโดนมันหมายหัวไว้แล้วแน่ๆ

เฮ้อ...ไอ้มิกซ์เอ๊ย

“งั้นพี่ขอเบอร์เราไว้หน่อย เดี๋ยวพี่จะโทรนัดเรื่องเลี้ยงสาย” ผมรับโทรศัพท์มา กดเบอร์ตัวเองลงไป

“อ้อ พี่แอดเฟสเราไปแล้วนะ กดรับด้วย”

“พี่รู้เฟสผมได้ไงอ่ะ”

“มีใครในคณะไม่รู้จักเราบ้าง” ผมกอดอกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ คงเป็นเพราะใบหน้าอันหล่อเหล่าของผมนั่นแหละครับ ฮาๆ ๆ

“หน้าอย่างนี้มีใครอยากรู้จักด้วย?” อารมณ์เปลี่ยนทันที ผมรู้ครับว่าใครเป็นเจ้าของเสียง

ผมทำเป็นไม่ได้ยินเสียงมัน กลับไปคุยกับพี่รหัสผมต่อ

“พรุ่งนี้ตอนเย็นกูนัดเลี้ยงน้องนะ” ช้อปมันเดินเข้ามาคุยกับพี่ฟลุ๊ค ดูแล้วสองคนนี้น่าจะสนิทกันอยู่พอสมควร

“ได้ งั้นเดี๋ยวกูบอกมิกซ์ก่อน” พี่ฟลุ๊คตอบช้อป หันหน้ามาคุยกับผมต่อ

“พี่นัดเราพรุ่งนี้นะ เลี้ยงพร้อมช้อปมันเลย”

“เราไปแค่สายเราไม่ดีกว่าหรอพี่” ผมแย้งพี่ฟลุ๊คไป แอบเหลือบสายตาไปมองช้อปเล็กน้อย

ก็คนละสายกันต่างคนต่างเลี้ยงไปสิครับ จะมารวมกันทำไมถูกไหม อีกอย่างผมไม่อยากไปกับช้อปมันด้วย เบื่อที่ต้องเจอหน้ามันครับ อาทิตย์หน้าผมก็ต้องทนเจอหน้ามันทุกเย็นอีก

“พี่ลืมบอกไปว่าพี่กับช้อปเป็นสายโคกัน”

“แล้วพี่ไปโคกับช้อปมันทำไม” ผมรีบโวยพี่ฟลุ๊ค

สายโคงั้นเหรอครับ แล้วทำไมพี่ฟลุ๊คถึงต้องไปโคกับมันด้วยผมไม่เข้าใจ อุตส่าห์ดีใจที่ไม่ได้มันเป็นพี่รหัสแล้ว กลับต้องมาเป็นสายโคกันอีก ผมละอยากจะบ้าตายจริงๆ

“สายเรากับช้อปมันโคกันมาตั้งหลายรุ่นแล้ว” พี่ฟลุ๊คอธิบาย

“รุ่นเราไม่ต้องไม่ได้หรอพี่”

“กูก็ไม่ได้อยากได้คนโง่ๆ เข้าสายหรอก” มันยืนกอดอกพูดโดยที่ไม่มองหน้าผม

นั้นไงครับ ปากแบบนี้ใครมันจะอยากได้เป็นพี่รหัส แค่คิดว่าต้องมาเจอมันทุกวันช่วงซ้อมประกวดก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ยิ่งถ้าได้มันเป็นพี่รหัสสามปีต่อจากนี้ผมคงอยู่ไม่เป็นสุขในมหาลัยนี้แน่นอน

“กูก็ไม่อยากมีรุ่นพี่กวนตีนแบบมึง” มันหันมาถลึงตามอง เดินตรงเข้ามาประชิดตัวผม

ฉิบหายแล้วครับ ไม่น่าปากไวเลย

ผมเดินถอยหลังเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองพื้นไม่กล้าสบตามัน

ยิ่งผมถอยมันก็ยิ่งเดินเข้ามาชิดตัวผมมากกว่าเดิม

ถอยไปสิวะ

“เชี่ย” ผมร้องเสียงหลง

ผมมัวแต่ถอยหนีมันไม่ทันระวังจนก้าวขาพลาดเกือบหงายหลัง ยังดีที่ช้อปมันคว้าตัวผมไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นผมคงจะกลิ้งล้มลงตามสโลปของห้องประชุมไปแล้ว

“เชื่อกูยังว่าน้องรหัสมึงมันโง่” มันพูดกับพี่ฟลุ๊คแต่ตายังมองผมอยู่

แบบนี้ใช่ไหมครับที่เขาเรียกว่านินทาต่อหน้า

“ดึงกูขึ้นไปสักทีสิวะ” ตัวผมยังเอียงตามสโลปของห้องโดยที่มีมือของมันรับน้ำหนักตัวของผมอยู่

“พูดดีๆ กับกูก่อน”

“มันใช่เวลาไหม ช่วยกูขึ้นไปก่อน”

“งั้นกูปล่อย” มันขู่ผมด้วยคลายมือออกจากด้านหลังผม

มันเริ่มคลายมือออกไปเรื่อยๆ ผมเองเห็นท่าไม่ดี เดาว่าอีกไม่กี่วิผมน่าจะได้กลิ้งลงไปแน่ๆ ครับ

มือผมคว้าจับที่แขนมันไว้ เพราะรู้สึกว่าร่างกายผมเริ่มเสียสมดุลแล้ว

“พี่ช้อปช่วยผมหน่อยนะครับ” ผมร้องอ้อนวอนมัน

ช้อปดึงตัวผมขึ้น รวบผมให้เข้าไปชิดกับตัวมัน

หน้าของเราสองคนตอนนี้ห่างกันเพียงไม่กี่เซนต์ ใกล้จนกลัวว่ามันจะได้ยินเสียงหายใจของผม

“หายใจบ้างก็ได้ เดี๋ยวก็ได้ตายหรอก” ผมกลั้นหายใจยืนนิ่งมองหน้ามัน เพิ่งได้มองหน้ามันใกล้ๆ ครั้งแรกก็คราวนี้แหละครับ

ถ้ามันปล่อยผมช้ากว่านี้คงได้ขาดอากาศหายใจแน่ๆ ผมไม่เคยมองหน้าผู้ชายใกล้ๆ แบบนี้ มันรู้สึกแปลกๆ จนทำตัวไม่ถูกเลยครับ

“ไอ้สัส!!!” ผมด่ามันกลับ ไม่รู้ว่าด่ามันเพราะอะไรเหมือนกันครับ

“รู้งี้ก็ปล่อยมึงตกลงไปดีกว่า” มันถลึงตามองผม

“พอๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” พี่ฟลุ๊คเดินเข้ามาใช้มือดันพวกผมออกจากกัน สงสัยพี่แกคงทนเห็นผมสองคนทะเลาะกันไม่ได้

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นเดี๋ยวพี่โทรหานะ” พี่ฟลุ๊คบอก พี่แกตัดปัญหาด้วยการลากช้อปมันออกไป ผมเองก็ไม่ลืมยกนิ้วกลางให้มัน จนมันสะบัดมือพี่ฟลุ๊คเตรียมพุ่งมาหาผม ดีที่พี่ฟลุ๊คแกมือไว้รวบตัวมันไว้ได้ก่อน ช้อปมันทำได้แค่ชี้หน้าคาดโทษผมเท่านั้น

“ตื้ด...ตื้ด” ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูหลังจากที่สองคนนั้นออกไปได้ไม่นาน

‘เดี๋ยวได้รู้กัน’ ช้อปมันส่งข้อความมาครับ

‘คิดว่ากลัวหรอ’ ผมตอบกลับมันไป

ไม่กลัวมันแล้วครับจะเป็นพี่เชียร์หรืออะไรก็ช่าง ถ้ามันกล้าทำอะไร ผมเองก็มีมือมีเท้าเหมือนกันไม่ปล่อยให้มันทำผมอยู่ฝ่ายเดียวหรอกครับ

‘คิดว่ากลัวหรอ’ ผมถ่ายรูปหน้าตัวเองทำหน้ากวนๆ พร้อมสเตตัสลงในเฟสบุ๊ค ประกาศให้ทุกคนรู้ไปเลยครับ

ลงรูปไปไม่กี่นาทีก็มีคอมเม้นของเหล่าแฟนคลับสาวๆ ผมเข้ามาเม้นกันเพียบครับ

‘หล่อแบบนี้ไม่กลัวค่ะ’

‘โอ้ย ฉันชอบผู้ชายแบดบอย’

‘เข้ามาเลยค่ะ’

‘หล่อมากค่ะ’

ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับคอมเม้นเพื่อนในเฟสคนหนึ่ง

‘เดี๋ยวมึงได้รู้กัน’

ผมมองชื่อเฟสกับรูปโปรไฟล์อีกครั้ง

ผมจำได้ครับ มันเป็นเฟสของไอ้ช้อปที่ผมแอดมันไปตั้งแต่ก่อนเปิดเทอม แต่มันไม่ยอมรับแอดผมสักที ไม่รู้ว่ามันรับแอดผมตั้งแต่ตอนไหนถึงได้เข้ามาเม้นตอบผมได้

‘บล็อก’

ผมกดถ่ายรูปพร้อมกับสเตตัสโพสต์ลงเฟสอีกครั้ง แต่ก่อนจะโพสต์ผมไม่ลืมที่จะเข้าไปกดลบช้อปมันออกจากเพื่อน ตามด้วยกดปุ่มบล็อกมันไว้

ก่อนหน้านี้ทำเป็นหยิ่งไม่ยอมรับแอดผม ถึงตาผมหยิ่งบ้างละครับ

ผมเลื่อนดูคอมเม้นของรูปที่เพิ่งลงใหม่ ก็ไม่ต่างจากรูปที่แล้วครับ สาวๆ เข้ามากรี๊ดกันใหญ่และที่สำคัญไม่คนเข้ามากวนตีนในเฟสผมอีก

แต่เดี๋ยวครับ ผมเลื่อนดูคอมเม้นไปเรื่อยๆ จนมาหยุดเข้ากับคอมเม้นหนึ่ง

'เก่งให้ได้ตลอดนะ' เป็นคอมเม้นจากพี่รหัสผมเองครับ

ผมกดเข้าไปดูเพื่อความแน่ใจ ทั้งชื่อทั้งรูปโปรไฟล์เป็นของพี่ฟลุ๊คจริงๆ ครับ แต่ประโยคแบบนี้คงไม่ใช่ของพี่ฟลุ๊คแน่ๆ ครับ มันคงเป็นของไอ้คนที่เพิ่งโดนผมบล็อกไปเมื่อกี้

สะใจครับ แต่ก็แอบขนลุกกับประโยคของมัน

แต่ช่างมันครับ ปล่อยมันหัวร้อนไป



ผ่านไปหนึ่งวันหลังจากเปิดสายรหัส ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าๆ แล้ว พี่ฟลุ๊คส่งโลเคชั่นร้านที่นัดเลี้ยงสายกันวันนี้มาให้ หาไม่ยากครับเพราะอบู่ไม่ใกล้จากหลักมอเท่าไร

“มาถูกใช่ไหม”

ผมลงจากรถเดินตรงเข้าไปในร้าน กดโทรศัพท์โทรหาพี่ฟลุ๊ค

“ผมถึงแล้วพี่”

“เดินตรงเข้ามา โต๊ะอยู่ทางซ้ายมือนะ”

ผมเดินเข้าไปตามที่พี่ฟลุ๊คบอก นั้นไงครับผมเจอแล้ว พี่แกนั่งโบกมือให้ผมอยู่ที่โต๊ะด้านใน ผมเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะ

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้รุ่นที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ยกเว้นไอ้ช้อปที่นั่งกดอกทำหน้าเป็นตูดอยู่

“นั่งก่อนๆ” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พี่ช้อป

“งั้นเดี๋ยวพี่แนะนำสายก่อนเลยแล้วกัน” ผมพยักหน้ายิ้มให้พี่ฟลุ๊ค

“คนแรกพี่นพปีสาม” ผมยกมือไหว้พี่ผู้ชายใส่แว่นหนาๆ ที่ดูไม่เข้ากับหน้าเกาหลีๆ ของพี่แกสักเท่าไร ถ้าพี่แกถอดแว่น แต่งตัวอีกสักหน่อยผมว่าหล่อไม่เบาเลยครับ

“ส่วนคนนี้ พี่บีปีสี่” พี่ฟลุ๊คผายมือไปทางพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง สวยมากครับ สวยซะทำผมเคลิ้มมองพี่เขาอยู่นาน

“สวัสดีครับพี่บี” ผมยกมือไหว้ ส่งยิ้มกระชากใจไปทีหนึ่ง

“สวัสดีจ้ะ หล่ออย่างที่เขาพูดกันเลยนะ” เห็นไหมครับว่าผมหล่อจริงๆ ไม่งั้นชื่อเสียงผมไม่ดังกระฉ่อนไปขนาดนี้หรอกครับ

“พี่ก็สวยมากเลยครับ ผมเห็นผมยังเคลิ้มเลย”

“ใจเย็นไอ้เสือ นั้นพี่รหัสนะ” พี่ฟลุ๊คพูดขัดขึ้น คงเห็นผมกำลังส่งตาหวานให้พี่บีอยู่

“ทางนั้นสายโคเรา พี่บิ๊กปีสาม พี่มิ้งปีสี่ น้องอาร์มรุ่นเดี๋ยวกันกับมิกซ์อ่ะ” ผมทักทายทุกคนจนครบ

“แล้วช้อปละ ไม่แนะนำหรอ” พี่มิ้งทักขึ้น

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่อยากรู้จัก” จากที่มันนั่งกอดอกทำเป็นไม่สนใจผม มันรีบหันมาทำหน้าดุใส่ผมทันทีเลยครับ

แต่มันก็ไม่ตอบโต้อะไรผม กลับหันกลับไปนั่งกอดอกมองวิวนอกร้านของมันต่อ

“ผมนึกว่าพี่จะพาไปเลี้ยงเหล้า ไหงพามาร้านนมแบบนี้ล่ะพี่” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้ทุกคนสนใจเรื่องระหว่างผมกับช้อปมันมากเกินไป

ประโยคที่ผมพูดไปเรียกเสียงหัวเราะจากคนในโต๊ะได้เป็นอย่างดี

“เรานี่มันจริงๆ เปิดเทอมไม่กี่วันก็จะชวนกินเหล้าแล้ว เอาไว้คราวหน้าเดี๋ยวพี่พาไปละกัน”

พอพูดถึงเรื่องนี้ดูทุกคนชอบครับ ขุดวีรกรรมเกี่ยวกับร้านเหล้ามาคุยกันอย่างสนุกสนาน

สายรหัสผมดูแล้วจะเข้ากันได้ดี รวมถึงสายโคด้วย ยกเว้นก็แต่ไอ้ช้อปที่นั่งทำหน้าบึ้งไม่ยอมคุยกับใครเลยสักคน จนพี่รุ่นเริ่มหันไปสนใจมัน

บรรยากาศในโต๊ะเริ่มเปลี่ยนไป เป็นผมที่ชวนพี่ๆ กลับมาคุยไม่ให้สนใจมัน เดี๋ยวจะพาไม่สนุกกันไปหมด

ปล่อยมันไปครับจะเป็นอะไรก็เรื่องของมัน

“พี่ชอบรอยสักเรามากเลยนะ” เราคุยกันได้สักพัก จนพี่บีหันมาสนใจรอยสักที่โผล่ออกมาบริเวณแขนและต้นคอผม

สาวๆ ชอบครับ แบบนี้แหละครับที่ผมต้องการ

“สาวคนไหนเห็นก็บอกแบบนี้ล่ะครับ ข้างในยังมีอีกนะครับ ถ้าพี่บีอยากดูเดี๋ยวผมถอดให้ดูก็ได้นะครับ” ผมหยอดพี่บีไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แซวไปเท่านั้นแหละครับ ถึงพี่บีจะสวยแค่ไหน ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเห็นพี่เขาเป็นแค่สายรหัสจริงๆ

“ปึก!!!” เสียงจากมุมโต๊ะที่ช้อปมันนั่งอยู่ดังขึ้น ดังซะจนทุกคนในโต๊ะสะดุ้งหันไปมองมันเป็นตาเดียวกัน

มันเป็นอะไรของมันอีกครับ อยากจะเงียบอยากจะเสียงดังก็เสียงดัง คงไม่เกี่ยวอะไรกับผมนะครับเพราะผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรถึงมันเลยสักคำ

มันไม่สนใจสายตาพวกเราที่มองอยู่ ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะโดยไม่พูดอะไรกับใครเลย

“ฟลุ๊ค ช้อปเป็นอะไร พี่เห็นทำหน้าเหมือนโกรธใครตั้งแต่มาถึงแล้ว” พี่มิ้งถามพี่ฟลุ๊ค

ดูทุกคนในโต๊ะอยากรู้กันไม่ต่างจากกัน ผมเองไม่อยากสนใจมันเท่าไร หันกลับมาจิ้มฮันนี่โทสต์ที่วางอยู่ตรงหน้าเข้าปาก

“มันโกรธที่โดนบล็อกเฟสนะสิพี่”

“แอ่กๆ ๆ ๆ” ผมสำลักขนมปังที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก จนพี่ฟลุ๊คต้องรีบเทน้ำเปล่าใส่แก้วให้ผมเพิ่ม

พี่ฟลุ๊คคงไม่ได้หมายถึงผมใช่ไหม คนที่บล็อกเฟสช้อปมัน อาจมีคนหมั่นไส้ความกวนตีนของมันจนบล็อกเฟสแบบผมละมั้งครับ

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพี่ฟลุ๊ค พี่แกแค่พยักหน้าที่สื่อให้รู้ว่าคนที่แกพูดถึงคือผม

แค่โดนบล็อกเฟสทำเป็นโกรธ ทีมันไม่ยอมรับแอดผมผมยังไม่ว่าอะไรเลย

“ไปดูมันให้พี่หน่อยนะ” พี่ฟลุ๊คกระซิบที่ข้างหู

“ทำไมผมต้องไปดูมันด้วย” ผมกระซิบกลับ

“เอ่อ...เอาเป็นว่าพี่ขอละกัน เห็นแล้วสงสารมัน” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมผมต้องออกไปดูมันด้วย อยากโกรธก็ปล่อยมันไปสิครับ ผมเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับเรื่องนี้ด้วย

“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมเองก็ทนต่อคำร้องขอของพี่ฟลุ๊คไม่ได้ คงต้องยอมทำให้พี่แกสักครั้ง

ผมเดินออกมานอกร้านสายตามองหายช้อปมัน นั้นไงครับมันกำลังยืนกอดอกพิงรถตัวเองอยู่

นี่ผมต้องเดินเข้าไปหามันจริงๆ เหรอครับ

“เป็นเชี่ยอะไรของมึง” ผมทักมัน

“…”

“มึงได้ยินที่กูถามไหม”

“…” มันยังคงเงียบไม่ยอมตอบผม

“ดี กูจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคุย” ผมสะบัดตัวเตรียมเดินกลับเข้าไปในร้าน

“มึงบล็อกเฟสกู” ผมหยุดฟัง แต่ยังไม่หันหน้ากลับไปมองมัน

“แล้ว” ผมถามมันกลับ มันเองก็ไม่กดรับเพื่อนผม ที่งี้ทำมาเป็นโกรธ

“ก็มึงกดบล็อกเฟสกู”

“ทีมึงยังไม่กดรับเพื่อนกูเลย”

“ก็กูไม่อยากให้มึงรู้ว่ากูเป็นรุ่นพี่มึง” วันนั้นที่ผมถามมันเรื่องนี้ มันบอกเองว่าผมไม่ยอมถามมัน มันเลยไม่ได้บอก แต่ตอนนี้มันกลับสารภาพเอง แบบนี้หมายความว่ายังไงครับ

“อยากแกล้งกูขนาดนั้นเลยหรอ” รู้นะครับว่ามันชอบแกล้ง แต่ไม่คิดว่ามันจะวางแผนแกล้งผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแบบนี้

“กูแค่...”

“เห็นกูโง่ขนาดนั้นเลยหรอ”

ที่ผมขอเบอร์มัน แอดเพื่อนในเฟสมัน ทำตัวตีสนิทมันทั้งๆ ที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ผมเพียงแค่อยากได้เพื่อน คิดว่ามันกับผมสนิทกันพอสมควร ถึงแม้จะโดนมันว่าอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันเป็นเพื่อนผม

ผมคงโง่มากในสายตามัน ทั้งที่เจอหน้ากันแล้วแท้ๆ ยังดูไม่ออกว่ามันเป็นรุ่นพี่ ปล่อยให้มันหลอกอยู่ได้

โง่จริงๆ เลยมึงมิกซ์เอ๊ย

“กูไม่ได้คิดแบบนั้น”

“แล้วทำไมมึงถึงชอบแกล้งกู” ถ้ามันไม่ได้คิดว่าผมโง่อย่างที่มันพูด ผมเองก็อยากจะรู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรที่คอยตามแกล้งตามกวนผมอยู่แบบนี้

“…” มันเงียบ ยืนก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม

“ไม่มีเหตุผลให้กูเลยสักนิดเลยหรอ” ผมอุตส่าห์ให้โอกาสมันแก้ตัวแต่มันกลับยืนนิ่ง ไม่คิดจะตอบคำถามผม

ผมว่ามันคงมีเหตุผลเดียวที่ทำแบบนี้กับผมคือผมโง่เท่านั้นแหละครับ




"กูชอบมึง"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2018 12:22:22 โดย TONYZZYUKI »

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 6

หนึ่งสัปดาห์หลังจากวันนั้น วันที่อยู่ดีๆช้อปมันมาก็บอกชอบผม ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เจอหน้ามันอีกเลย เป็นเพราะผมเองแหละครับที่ไม่ยอมไปซ้อมการประกวดจนรุ่นพี่ต้องมาตาม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ยอมอยู่ดีเพราะรู้ว่าถ้าไปต้องเจอช้อปมันอีกแน่ๆ จนผมต้องยื่นคำขาดถ้าอยากให้ผมเข้าประกวดต้องห้ามให้ช้อปมันเข้ามายุ่งหรือมาให้ผมเห็นหน้า

ผมไม่โอเคกับการเจอหน้ามันจริงๆครับ

‘กูชอบมึง’

คำนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมอยู่เลยครับ ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ทั้งเกลียดและกลัวช้อปมันมาก แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากเห็น

ผมไม่ได้รังเกียจหรืออคติกับเพศที่สามหรอกนะครับ แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดกับตัวเอง ใครจะไปคิดละครับว่าจะมีผู้ชายเข้ามาบอกรักต่อหน้าอย่างนี้ ถึงผมจะเป็นคนเจ้าชู้แต่ก็ไม่เคยมีความคิดจะเอาผู้ชายด้วยกัน แค่คิดผมก็ขนลุกแล้วครับ

“ซ้อมเสร็จไปกินข้าวด้วยกันนะ” ฝ้ายสาวสวยดาวคณะคู่กับผมปีนี้เอ่ยชวน

ผมกับเธอเริ่มสนิทกันมากขึ้นครับเพราะเราต้องเจอกันทุกวันตอนเย็น ผมเองก็กำลังลองจีบเธอดูและเหมือนว่าเธอเองก็เริ่มมีใจให้ผมบ้างแล้วล่ะครับ

“ได้สิ ฝ้ายอยากกินอะไร”

“สเต็กไหม เราอยากกินสเต็ก” เราตกลงกันว่าหลังซ้อมเสร็จจะไปทานสเต็กร้านดังหลังมอกัน

ผมอาสาช่วยถือกระเป๋าให้กับฝ้าย แสดงความเป็นสุภาพบุรุษครับ

เราเดินคู่กันตรงไปที่ลานจอดรถ

“ขอบคุณนะมิกซ์ที่พาเราไปกินข้าวแล้วยังพาเราไปส่งที่หอทุกวันอีก มิกซ์...มิกซ์ยืนนิ่งทำไม”

ผมหยุดกึกมองกลุ่มนักศึกษาที่กำลังเดินสวนมาอีกทาง พี่ฟลุ๊คกับเพื่อนอีกคนที่ผมไม่คุ้นหน้า และคนที่ผมไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดกำลังเดินตรงมา ไม่ใช่แค่ผมที่หยุดช้อปเองมันก็ยืนนิ่งตอนที่เห็นผมเหมือนกัน

“อ้าวมิกซ์ เพิ่งซ้อมเสร็จหรอ”

“คะ...ครับ กำลังจะพาฝ้ายไปกินข้าวครับ” ผมตอบด้วยเสียงสั่นๆ เพราะรู้ว่าตอนนี้กำลังโดนสายตาจ้องมองอยู่



ผมลืมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นระหว่างผมกับมัน งั้นเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังนะครับ

หลังจากที่ผมเดินตามมันออกมาตามที่พี่ฟลุ๊คขอ

ประโยคที่ทำให้ผมยืนนิ่ง

‘กูชอบมึง’ ผมยืนอึ้งกับสิ่งที่มันพูด 

‘ตลกมากหรอ’

‘กูพูดจริง’

ปึก!!!

‘หึๆ สนุกมากเลยหรอ’ ผมชกเข้าที่หน้ามันอย่างจัง จนมันเซล้มลงกับพื้น

‘ต่อไปนี้อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก’ ผมชี้หน้ามันด้วยความโกรธ เดินขึ้นรถขับออกมาจากร้านโดยที่ไม่บอกใคร

ตั้งแต่วันนั้นจนผมยังไม่ได้คุยกับมันหรือเห็นหน้ามันอีกเลย จนวันนี้ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือใครแกล้ง ที่ทำให้ผมต้องมาเจอมันอีก

“กูไปก่อนนะ” เสียงดังมาจากด้านหลังพี่ฟลุ๊ค ผมไม่ได้หันไปมองตามเสียงเพราะผมก็ไม่อยากเห็นหน้ามันสักเท่าไร

“ดะ...เดี๋ยว” พี่ฟลุ๊คเหมือนจะหันกลับไปเรียกมันเอาไว้ แต่มันทันเพราะมันเดินลิ่วออกไปแล้ว

“พี่ขอคุยด้วยได้ไหม” พี่ฟลุ๊คหันกลับมามองหน้าผม

ผมพยักหน้าตอบ

“ฝ้ายรอตรงนี้ก่อนนะ” ผมหันไปบอกฝ้ายที่ยืนอยู่ข้างๆ

ผมเดินตามพี่ฟลุ๊คออกมาตรงมุมตึก

“พี่อยากคุยเรื่องช้อปมัน” ผมหันหลังกลับทันที ผมไม่อยากคุยและไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับช้อปมันอีกแล้วครับ

“เดี๋ยวก่อน ฟังพี่พูดก่อน” พี่ฟลุ๊คตามเข้ามารั้งแขนผมไว้

“ผมไม่มีอะไรจะคุยพี่”

“พี่รู้ว่าระหว่างเรากับช้อปมันเกิดอะไรขึ้น พี่ก็ไม่คิดว่าช้อปมันจะบอกเร็วขนาดนี้”

ที่พี่ฟลุ๊คพูดแบบนี้แสดงว่าพี่แกรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับ ผมย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่พี่ฟลุ๊คบอกว่าช้อปมันพูดถึงผมอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นผมเองคิดแค่ว่ามันคงแอบนินทาแบบที่มันชอบด่าชอบว่าผมเป็นประจำ ไม่คิดว่ามันจะพูดเรื่องนั้นกับพี่ฟลุ๊ค

“พี่รู้”

“อืม”

“งั้นผมคงไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว” ผมสะบัดแขนเดินหนีอีก

“ช้อปมันไม่ได้แกล้ง มันชอบมิกซ์จริงๆ” พี่ฟลุ๊คตามมาคว้าแขนผมอีกครั้ง

“เรื่องของมันสิครับ ผมไม่อยากรู้”

“มิกซ์จะไม่...”

“ผมเป็นผู้ชายพี่ ผมเป็นผู้ชาย จะให้ผมไปคิดกับมันแบบนั้นได้ยังไง”

“พี่ไม่ได้จะขอให้มิกซ์คิดกับมันแบบนั้น แค่เป็นเพื่อนกับมัน...แค่นั้นไม่ได้เลยหรอ”

“คงไม่ได้ พี่ปล่อยผมเถอะและขอร้องอย่าพูดเรื่องมันกับผมอีก”

ตอนนี้แค่คำว่าเพื่อนผมก็ให้มันไม่ได้แล้วครับ มันเลยจุดที่ผมจะกลับไปรู้สึกหรือมองมันเป็นเพื่อนได้อีกแล้ว

“เราไปกันเถอะ” ผมเดินไปหาฝ้ายที่ยืนรออยู่

ผู้หญิงนี่แหละครับที่เหมาะกับผมมากที่สุด



“มิกซ์มึงรู้ไหมว่าช้อปมันหายไปไหน” แทนคุยกับผมผ่าน TS ที่เราใช้คุยกันเป็นประจำ

“มึงทะเลาะอะไรกับมันรึเปล่า” ไอซ์พูดเสริม

“กูถามพวกมึงหน่อยได้ไหม สมมติแค่สมมตินะ ถ้ากูบอกรักพวกมึง พวกมึงจะรู้สึกยังไง”

“ไอ้สัสขนลุก/ไอ้สัสขนลุก” มันสองคนต้องอย่างพร้อมเพรียงกัน

ผมเองกูรู้สึกแบบเดียวกับพวกมันตอนที่ช้อปมันบอก

“แล้วพวกมึงจะทำยังไง จะเกลียดกู จะเลิกคบกับกูไหม”

“ถ้าให้คบเป็นแฟนกูคงไม่ แต่ถ้าจะให้กูเลิกคบกับมึงให้เกลียดมึงเพราะเรื่องนั้นกูก็ไม่ทำ ยังไงกูกับมึงก็เป็นเพื่อนกัน”

“กูก็เหมือนกัน” ไอซ์เห็น ด้วยกับแทน

“อย่าบอกนะว่าช้อปมันมาบอกรักมึง”

“เออ...เฮ้ยไม่ใช่ๆ”

“เชี่ย/เชี่ย” ผมคงปฏิเสธพวกมันไม่ทันแล้วล่ะครับ

“ช้อปมันชอบมึงหรอ” แทนถาม

“เออ อยู่ดีๆแม่งก็มาบอกชอบกู”

“ที่มันหายไปเพราะเรื่องนี้?” ไอซ์ถาม

ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกมันสองคนฟัง ยังไงมันสองคนก็รู้เรื่องแล้ว ผมถือโอกาสนี้ปรึกษามันเลยละกันนะครับ

“มึงต้องทำกับมันขนาดนั้นเลยหรอ” ตอนนั้นผมคิดได้แค่นี้ละครับ แค่ไม่อยากเจอมันไม่อยากให้มันเข้าใกล้เท่านั้นเอง

“แล้วกูต้องทำยังไง” แล้วจะให้ผมทำยังไง ผู้ชายมาบอกชอบผมนะครับ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมพร้อมอ้าแขนเปิดรับ

“กูว่าช้อปมันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ แต่ก็แล้วแต่มึงตัดสินใจแล้วกันว่าจะมองมันเหมือนเดิมได้ไหม” ไอซ์มันโยนคำถามกลับมาที่ผม

‘จะมองมันเหมือนเดิมได้ไหม’ ผมย้ำคำถามนี้กับตัวเอง คำถามนี้มันขึ้นอยู่กับตัวผมอย่างที่ไอซ์มันบอกนั้นแหละครับ แต่ผมจะมองมันแบบเดิมได้รึเปล่านั้นผมเองก็ยังไม่แน่ใจ

เป็นเพื่อนกับผู้ชายที่ชอบเรา ผมจะทำแบบนั้นได้จริงๆหรอครับ



“มาหาพี่หรอ” พี่ฟลุ๊คเดินเข้ามาทักทันทีที่เห็นผม

เช้านี้ก่อนเข้าเรียนผมเดินแยกกับเพื่อนออกมา ไม่ได้มาหาพี่ฟลุ๊คหรอกครับ ผมจะมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างพี่ฟลุ๊คมากว่า

ดูเหมือนมันกำลังเก็บของเตรียมเดินหนีผม

“ช้อป กูขอคุยด้วยหน่อย” ผมเรียกมันไว้ มันยืนนิ่ง หันมามองผมเล็กน้อย

ผมเดินมาหยุดใต้ต้นไม้ข้างๆตึก โดยมีช้อปเดินตามหลังมาห่างๆ

“ไม่อยากเจอกูไม่ใช่หรอ แล้วเรียกกูออกมาทำไม” มันยืนหันข้างไม่ยอมมองหน้าผม

“กูไปคิดๆดูแล้ว มึงก็ไม่ผิดหรอกที่บอก....เอ่อ...ชอบกู แต่กูรับความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ กูคิดกับมึงแค่เพื่อน กูไม่ว่าหรอกถ้าเราจะคบกันในฐานะเพื่อนแบบเดิม”

“คบกับในฐานะเพื่อนกูทำให้มึงได้นะ ถ้ามึงไม่ห้ามกูรู้สึกกับแบบนั้นกับมึง”

ผมยืนนิ่งกับคำตอบของมัน มันยังยืนยันคำตอบเดิมที่จะรู้สึกกับผมแบบนั้น

“ไม่ได้สินะ ยังไงกูก็คิดแบบนั้นกับมึงไม่ได้สินะ” มันพูดจบ หันตัวเดินหนีผมไป

“ได้ มึงจะรู้สึกยังไงก็แล้วแต่มึง แต่ถึงยังไงกูก็รู้สึกกับมึงแค่เพื่อน” มันหยุดเดิน หันกลับมามองหน้าผม

มันเดินตรงมาเข้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม จนผมเผลอกลั้นหายใจแบบคราวที่แล้ว

“มึงมั่นใจไหมที่พูด”

“ไม่มั่นใจแล้วกูจะมาหามึงทำไม”

“งั้นก็ดี” แล้วมันก็เดินหนีไป ปล่อยให้ผมยื่นงงกับประโยคที่มันทิ้งไว้ ‘งั้นก็ดี’ ดีอะไรของมันเหรอครับ

จะคิดยังไงก็ปล่อยมันไปครับเพราะถึงยังไงผมก็มั่นใจว่าตัวเองชอบผู้หญิง และไม่มีทางชอบผู้ชายด้วยกันอย่างแน่นอน



เย็นวันผมมาซ้อมตามปกติเหมือนทุกวัน แต่ที่ไม่ปกติคือช้อปมันกลับมาแล้วครับ มันกลับมาหลังจากที่ผมเข้าไปคุยเมื่อเช้านี้ นี่ผมคิดผิดรึเปล่าครับที่ไปคุยกับมันแบบนั้น

“อ้าวช้อป มาได้แล้วหรอ” เสียงรุ่นพี่ที่กองประกวดทัก

“อืม เพื่อนเขาบอกให้เรามาได้แล้ว” มันเน้นตรงที่คำว่าเพื่อน มองผมด้วยหางตา

เพื่อนที่มันบอกนี่หมายถึงผมใช่ไหมครับ

คงจะเป็นแบบนั่นแหละครับเพราะจากหางตาของมันที่มองผม แต่ตอนนี้มันหันมามองผมแบบเต็มตาและกำลังเดินตรงมาที่ผมแล้วครับ

“มึงมาทำไม” ผมทักมันก่อน

“มึงบอกว่ากูเป็นเพื่อน กูก็มาในฐานะเพื่อนมึงไง” มันกลับมากวนผมอีกแล้วครับ

มันพูดกับผมเหมือนว่าเรื่องที่ร้านนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ต่างจากผมที่ยังจำคำนั้นของมันได้ขึ้นใจและยังมีความรู้สึกแปลกๆกับมันอยู่

มันลืมจริงๆหรือว่าแค่แกล้งครับ ทำไมถึงรวดเร็วได้ขนาดนี้

“ไปซ้อมต่อเถอะมิกซ์ อ้าว...พี่ช้อปสวัสดีค่ะ” ฝ้ายเดินเข้ามาเรียกผม เธอคงเพิ่งสังเกตว่าผมกำลังยืนคุยอยู่กับช้อป

“เราไปซ้อมกันต่อเถอะ” ผมจับแขนฝ้ายเดินออกมา ไม่อยากคุยกับช้อปมันนานกว่านี้ ยังทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆครับ

ผมเดินตรงตามเส้นที่รุ่นพี่ขีดไว้ โดยมีฝ้ายควงแขนอยู่ข้างๆ ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นการซ้อมเดินครับ แต่หลังจากนี้จะเป็นการซ้อมความสามารถพิเศษ รุ่นพี่สั่งให้ผมไปคิดว่าจะแสดงความสามารถพิเศษอะไรบนเวที แต่ตอนนี้ผมเองยังคิดไม่ออกเลยครับว่าจะแสดงอะไร ผมมีแค่ความหล่อเท่านั้นแหละครับ ความสามารถพิเศษอะไรนั้นไม่มีหรอก นอกเสียจากว่ารุ่นพี่จะยอมให้ผมโชว์จีบสาวบนเวที ความสามารถผมก็มีเท่านี้แหละครับ

คงต้องเหนื่อยกันอีกแล้วครับงานนี้

“น้องมิกซ์คิดได้ยังว่าจะโชว์อะไร” หลังซ้อมเสร็จพี่กวางรุ่นพี่ที่ควบคุมการประกวดของคณะเราเดินเข้ามาถามผม

อย่างที่บอกครับว่าตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกเลย

“ยังไม่รู้เลยครับพี่”

“งั้นก็รีบๆ คิดหน่อยนะ เดี๋ยวจะซ้อมไม่ทันเอา” แค่เดินหล่อไม่ได้เหรอครับ ทำไมต้องแสดงความสามารถอะไรด้วย ผมคิดดูแล้วผมไม่มีความสามารถอะไรเลยจริงๆ ครับ

“มิกซ์ยังคิดไม่ออกอีกหรอว่าจะแสดง” ฝ้ายเดินเข้ามาถาม ผมเพียงพยักหน้าตอบเธอไปเท่านั้น

“ค่อยๆ คิดก็ได้เดี๋ยวก็คิดออกเอง แต่ตอนนี้เราออกไปกินข้าวกันดีกว่าจะได้รีบกลับหอ” ผมพยักหน้าเดินคอตกไปเก็บของตัวเองรวมถึงของฝ้ายเตรียมเดินไปขึ้นรถ

อย่างที่ฝ้ายบอกนั่นแหละครับ ค่อยๆ คิดเดี๋ยวคงนึกออกว่าตัวเองมีความสามารถอะไรบ้าง

ผมเดินถือกระเป๋านำหน้าฝ้ายมาที่รถ ปลดล็อกเตรียมเปิดประตูเข้าไปข้างใน

“น้องฝ้ายกำลังจะไปไหนกันหรอ” ผมเงยหน้ามองตามเสียง อีกแล้วครับช้อปมันมาอีกแล้วครับ

“กำลังไปทานข้าวกันค่ะ”

“ฝ้ายรีบขึ้นรถดีกว่า” ผมพูดแทรกขึ้น

ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก

“พอดีเลยพี่ก็จะไปทานข้าวอยู่เหมือนกัน งั้นพี่ขอติดรถไปด้วยนะ” ผมกดปุ่มล็อกรถทันที เพราะมันกำลังเอื้อมมือมาเปิดประตูรถ

ผมอยากได้ไทม์แมชชีนของโดเรม่อนมากครับตอนนี้ อยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนเช้า ถ้าผมรู้ว่าพูดแบบนั้นกลับมันไปแล้วมันจะตามมากวนผมอยู่แบบนี้ ผมว่าผมกันมันต่างคนต่างอยู่แบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าใจดีไปบอกมันแบบนั้นเลยครับ 

ผมถลึงตามองมันที่กำลังยื่นมือมาเปิดประตูรถ

“กูจะไปกันสองคน” ผมบอกมัน

“ให้เพื่อนติดรถไปด้วยสักคนไม่ได้เลยหรอ” มันยังคงเน้นย้ำคำว่าเพื่อนกับผม

“ให้พี่ช้อปติดรถไปด้วยก็ได้หนิมิกซ์” ผมคงไม่ยอมให้มันขึ้นรถไปด้วยเด็ดขาด ดูจากสีหน้ามันแล้วน่าจะมีแผนอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ อีกอย่างผมไม่อยากให้ใครมาเป็นก้างของผมกับฝ้ายด้วย

ช้อปมันส่งยิ้มกวนมาให้ผม ดูก็รู้ครับว่ามันคิดจะทำอะไร

“มึงมาคุยกับกูเดี๋ยวนี้”

ผมเดินเข้าไปลากแขนมันออกไกลจากจุดที่ผมจอดรถ

ผมคงต้องคุยกับมันให้ชัดเจนกว่านี้

“ที่กูบอกว่าให้มึงเป็นเพื่อนกูไม่ได้หมายความว่าให้มึงกวนกูได้แบบเมื่อก่อน” ผมเปิดประเด็น

ถึงจะบอกให้มันเป็นเพื่อน แต่ความรู้สึกผมมันคงไม่เหมือนก่อนเพราะจะให้ผมทำตัวปกติกับผู้ชายที่มาบอกชอบผม มันคงเป็นไปได้ยาก ถึงจะเป็นเพื่อนกันแต่ระหว่างผมกับมันคงต้องมีระยะห่างกันมากขึ้น

มันยืนกอดอกแถมยิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับที่ผมพูด

“นี่มึงไม่เข้าใจที่กูบอกจริงๆ หรอ”

“ที่บอกให้กูเป็นเพื่อนนะหรอ กูก็เป็นเพื่อนมึงอยู่นี่ไง” มันยอกย้อนผม

“มึงก็รู้ แล้วจะกวนกูอีกทำไม”

“กูยอมเป็นเพื่อนมึงตอนนี้ แต่ใช่ว่ากูจะเป็นเพื่อนมึงตลอดไป เพราะกูเป็นเพื่อนที่แอบชอบเพื่อนแบบมึง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้กูจะ ‘จีบ’ มึงอย่างเป็นทางการ”

มันพูดว่าอะไรนะครับ จีบผมเหรอ นี่มันยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมบอกไปใช่ไหมครับ  

แต่ยังไงก็เถอะ ผมเป็นผู้ชายไม่มีทางชอบผู้ชายด้วยกันหรอกครับและเป็นมันด้วยยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย

“หึๆ คงไม่มีวันนั้นหรอก” ผมหัวเราะในลำคอ เดินเข้าไปตบบ่ามัน 

ถึงมันจะตามจีบผมยังไงก็ไม่มีทางทำให้ผมเปลี่ยนใจไปชอบคนอย่างมันได้หรอกครับ ถึงไม่มีผู้หญิงบนโลกนี้ผมก็ไม่มีทางคิดอะไรกับมันอย่างแน่นอน



“อย่าตกหลุมรักกูขึ้นมาล่ะ”

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 7



Rrrrr Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ดังปลุกผมให้ตื่น ผมลืมตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง

‘สี่โมงเช้า’ วันนี้เป็นวันหยุดนะครับแต่ไม่รู้ใครมันใครโทรมากวนผมตั้งแต่เช้าแบบนี้ เสียเวลานอนผมจริงๆ

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะข้างหัวเตียง

‘กวนส้นตีน’ เป็นชื่อของช้อปที่ผมเมมไว้ เหมาะกับมันที่สุดแล้วครับ

ผมกดตัดสายทันทีที่รู้ว่าเป็นมัน ไม่มีธุระอะไรmujผมต้องรับสายมัน

Rrrrr Rrrrr

“ใครอีกแล้ววะ” ผมดึงหมอนมาปิดหน้าไว้

มันอีกแล้วครับ มันโทรมาเป็นรอบที่สองแล้ว ผมกดตัดสายมันอีกครั้ง

ตี๊ดๆ ๆ ๆ ตี๊ดๆ ๆ ๆ

คราวนี้เป็นเสียงข้อความครับ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่านข้อความ

‘ถ้ามึงตัดสายอีก กูจะพังประตูห้องมึงเข้าไป’

แล้วมันจะพังประตูห้องผมได้ไงครับ หรือว่ามัน...

ผมพุ่งตัวออกจากห้องนอนวิ่งไปหยุดที่หน้าประตูห้อง หวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอกนะครับ

ผมยื่นหน้าเข้าไปแนบกับบานประตู หรี่ตามองที่ช่องตาแมว มันจริงๆ ช้อปมันกำลังยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าห้องผม

Rrrrr Rrrrr

ผมสะดุ้งจนเกือบทนโทรศัพท์ในมือหล่น ผมคงต้องกดรับสายมันแล้วล่ะครับ

“โทรมาทำเชี่ยอะไร” ผมกรอกเสียงเหวี่ยงๆ ใส่โทรศัพท์ ไม่มีอารมณ์จะพูดดีกับมันครับ

“เปิดประตูให้กู”

“ไม่” ผมตอบเสียงแข็ง แล้วทำไมผมต้องเปิดประตูให้มันด้วย

“จะเปิดไม่เปิด”

“ไม่”

“ได้” ผมส่องที่ตาแมวอีกครั้งดูว่ามันกำลังทำอะไร

มันเดินถอยหลังห่างออกจากประตูห้อง ก้าวขาข้างหนึ่งออกมาข้างหน้าในท่าเตรียม มันคงไม่พังประตูห้องผมจริงๆ ใช่ไหม

ฉิบหายแล้วครับ มันจะพังประตูผมจริงๆ ด้วย

ผมรีบคว้าลูกบิดประตูหมุนเปิดออกทันที

มันพุ่งเข้ามาปะทะกับตัวผม จนผมกระเด็นล้มลงนอนกองกับพื้น ช้อปเองมันก็ล้มตามลงมานอนทับบนตัวผม

ไม่ใช่แค่ตัวมันที่ทับอยู่บนตัวผมเท่านั้น แต่ตอนนี้ปากของผมกับมันยังแนบกันสนิท ผมนอนนิ่งเบิกตากว้างมองหน้ามัน เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอกลั้นหายใจ ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่หน้าช้อปมันเข้ามาใกล้ผมมากๆ ผมต้องกลั้นหายใจด้วย

“มึงเป็นไรรึเปล่า มิกซ์...มิกซ์"

ผมนอนตัวแข็งทื่ออยู่นาน ได้สติอีกทีก็ตอนช้อปมันเขย่าตัวเรียกผม

ที่ผ่านมาผมเคยจูบกับผู้หญิงมาก็หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจูบกับผู้ชาย แล้วทำไมผมต้องมาเสียจูบให้ช้อปมันด้วยครับ ถึงมันจะเป็นอุบัติเหตุก็เถอะผมก็ไม่รู้สึกโอเคที่ต้องมาจูบกับภาคมันแบบนี้

“ไอ้สัส!!!” ผมยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเอง

“รังเกียจกูขนาดนั้นเลย”

“เออ แล้วมึงรีบออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้เลย” ผมยังคงใช้มือเช็ดปากตัวเองไม่หยุด

“กูไม่ออก” มันยืนกอดอกทำหน้ากวนใส่ผม

“มึงจะออกหรือไม่ออก” ผมชูกำปั้นขึ้นขู่มัน

“มึงต่อย กูจูบ” มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง

ผมรีบถอยหลังหนีม หน้ามันเหมือนจะเอาจริงด้วยครับ

ผมไม่รู้ ว่ามันจะตามผมไปถึงไหน ทั้งๆที่ผมบอกกับมันไปแล้วว่ายังไงผมก็ไม่มีวันที่จะไปชอบมัน ถึงมันจะทำยังไงผมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายได้แน่ๆ

“ต่อยกูสิ กูจะได้จูบมึง จูบจริงๆนะ ไม่ใช่แบบเมื่อกี้” มันเดินเข้ามาใกล้ จนผมต้องถอยหลังกรูไปติดกำแพง

ไม่เอาแล้วครับ จูบเมื่อกี้ผมยังเช็ดออกไม่หมด ผมไม่ยอมจูบกับมันอีกครั้งแน่ๆ

มันเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมพยายามเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง แต่โดนแขนของมันที่เท้าอยู่กับผนังห้องขวางเอาไว้

มัยยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องหดคอหลับตาปี๋ เผลอกลั้นหายใจอีกแล้ว

“กูไม่จูบกับคนไม่แปรงฟันหรอก” มันจิ้มหัวผมเบาๆ

เฮ้อ...เกือบขาดอากาศตายอีกแล้วครับ

“ยังไม่รีบไปอาบน้ำแต่งตัวอีก หรือว่ามึง....” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก แต่คราวนี้เป็นผมที่เร็วกว่าผลักแขนมันรีบวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

‘แล้วทำไมกูต้องทำตามที่มึงสั่งด้วยวะ’ ผมยืนขมวดคิ้วมองตัวเองในกระจก

วันนี้เป็นวันหยุดแล้วทำไมผมต้องตื่นเช้าแบบนี้ด้วย แต่จะให้กลับไปนอนต่อคงไม่ทันแล้วครับเพราะเจอหน้ามันก็ทำให้ผมหายง่วงเป็นปริทิ้งแล้ว

“อ่าๆ” ผมใช้มือป้องปากตัวเอง เมื่อกี้ช้อปมันบอกว่าปากผมเหม็น ก็ผมเพิ่งตื่นนี่ครับมันก็เป็นธรรมดา

ผมหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่มาพันรอบเอว หยุดยืนนิ่งที่หน้าประตูห้องน้ำ

มันจะกลับไปรึยังครับ

ผมค่อยๆ เปิดประตูชะโงกหน้าออกไปดู เฮ้อ...มันกลับไปแล้วครับ ผมเปิดประตูเดินออกมา

“เชี่ย!!!” ผมเผลอตะโกนออกไปเสียงดัง ตกใจจนผ้าเช็ดตัวเกือบหลุด ดีที่ผมยังคว้าไว้ได้ทัน

จู่ๆ ช้อปมันก็เดินออกมาจากห้องนอน ผมคิดว่ามันกลับไปแล้วซะอีก มันยืนยิ้มมองสำรวจร่างกายผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

ผมรีบยกมือกอดตัวเองไว้ คงไม่ปลอดภัยสำหรับผมครับโดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าช้อปมันตอนนี้

“มองอะไร” ผมถามมันเพราะจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หยุดมองผมเลย

“เปล๊า...” มันยิ้ม ยักไหล่แล้วเดินกลับไปนั่งที่โซฟา

“มึงกลับไปได้แล้ว”

“กูบอกให้รีบไปแต่งตัว หรืออยากจะให้กูช่วย” มันทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมา ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้อง หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว

ไม่ปลอดภัยแน่ๆถ้าผมยังอยู่ในสภาพนี้

ผมชะโงกหน้าออกมาจากห้องนอน มันยังนั่งชิลล์อยู่ที่โซฟาผมอยู่เลย

“เสร็จแล้วก็รีบออกมา” มันหันหน้ามาสั่ง

ผมเดินออกมาตามที่มันสั่ง ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องทำตามที่มันสั่งทุกอย่างด้วยเนี่ย

“มึงมาทำไม”

“มารับมึงไปเดท” มันพูดอย่างหน้าตาเฉย

“เดทอะไรของมึง กูไม่ไป”

“ก็กูบอกว่าจะจีบมึง” มันลุกขึ้นยืนมองหน้าผม

“มึงหยุดเถอะ มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”

มันยืนนิ่งไปสักพักเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“ยังไม่ลองแล้วมึงรู้ได้ไง” มันเดินเข้ามาคว้าแขน ฉุดให้ผมเดินตาม

ผมยื้อแขนตัวเองไว้ไม่ยอมเดินตามมันไป

“จะเดินเองหรือจะให้กูอุ้ม” มันหันกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

แล้วทำไมผมต้องไปกับมันด้วยครับ

มันลากผมขึ้นรถขับพามาห้างดังใจกลางเมือง

ผมนั่งนิ่งไม่ลงจากรถ

“ลงมาสิ” มันชะโงกหน้าเข้ามาในรถ ผมยังนั่งนิ่งไม่สนใจที่มันพูด

ผมไม่มีธุระอะไรที่ต้องมาที่นี่ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เต็มใจจะมากับมันสักเท่าไรด้วย

ประตูฝั่งผมถูกเปิดออกพร้อมกับหน้าของช้อปที่ลอยเฉียดหน้าผมไป มันก้มตัวลงไปปลดล็อกเบลล์ที่คาดตัวผม

“ลง” มันหันหน้ามาบอกผม จังหวะที่มันดึงตัวกลับ เป็นอีกครั้งที่ผมกลั้นหายใจเวลาที่มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ คงเป็นเพราะผมไม่ชอบมันเอามากๆละมั้งครับ

ผมเดินตามหลังมันอยู่ห่างๆ ไม่อยากเดินใกล้มัน

“รีบเดินหน่อย” มันเดินกลับมาคว้ามือผมไปจับ เดินนำผมเข้าไปในตัวห้าง

“ปล่อยมือกู” ผมสะบัดมือมันออก ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด

มันเดินนำผมเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังร้านหนึ่ง

“กินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวค่อยไปเดินเล่นต่อ” มันไม่รอคำตอบ คว้ามือผมเดินเข้าไปในร้าน

ผมว่านอกจากความกวนตีนแล้ว มันยังเอาแต่ใจไม่ยอมฟังใครจริงๆเลยครับ

มันยื่นเมนูอาหารส่งมาให้ผม

“มึงชอบกินอะไร” มันถาม มองหน้าผมอย่างตั้งใจ

“ได้หมด” ผมตอบมันห้วนๆ

มันพยักหน้า หันกลับไปสั่งเมนูกับพนักงานสาว

อาหารหลากหลายเมนูถูกยกมาว่างเกือบเต็มโต๊ะ มากินกันแค่สองคนไม่รู่ว่ามันจะสั่งอะไรมาเยอะแยะขนาดนี้

แล้วจะกินหมดไหมเนี่ย

มันยื่นตะเกียบกับจานส่งมาให้ผม จัดแจงทุกอย่างทั้งแก้วน้ำ แม้แต่กระดาษทิชชูมันยังหยิบมาวางให้ผมเลยครับ รู้สึกไม่ชินกับการที่มีคนคอยทำอะไรให้แบบนี้เลย

“กินสิ ไม่ต้องห่วงวันนี้กูเลี้ยงเอง” ไม่ได้ห่วงเรื่องค่าอาหารหรอกครับ แต่พอมองเห็นมันนั่งอยู่ตรงหน้า ความอยากอาหารผมมันก็หายไปหมด ยิ่งมันคอยหยิบนั่นส่งนี่ดูแลผมแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก

“ช้อป” ผมเรียกมัน

“ทำไมต้องเป็นกู” มันวางตะเกียบลง มองผมด้วยสีหน้าจริงจัง

ผมเองก็มองหน้ารอคำตอบจากมัน

“มึงเชื่อไหมว่ากูยังไม่เคยมีแฟนเลย” ผมแทบจะหลุดขำตอนที่มันบอก นี่มันคิดจะหลอกผมด้วยมุขแบบนี้จริงๆเหรอ ถึงผมจะโง่แต่ก็ไม่ยอมให้มันหลอกง่ายๆหรอกนะครับ

ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แค่ผมที่ไม่เชื่อ ถ้ามันไปพูดแบบนี้กับใครก็ไม่มีใครเชื่อมันหรอกครับ ทั้งหล่อ เท่ และดูแล้วบ้านมันคงรวยไม่น้อย คงมีสาวน้อยสาวใหญ่หรือว่าจะเป็นหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่วิ่งเข้าหามันไม่ขาดสายแน่

มันไม่พูดอะไรต่อ เพียงส่ายหน้าถอนหายใจเสียงดัง

“มึงพูดจริงหรอ” เป็นผมที่ต้องถามมันกลับ

มันพยักหน้าตอบ

ผมนั่งนิ่งสังเกตสายตามัน นี่มันไม่เคยมีแฟนมาก่อนจริงๆเหรอครับ ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย คนอย่างมันเนี่ยนะไม่เคยมีแฟน ผมว่ามันเซอร์ไพรซ์มากกว่าตอนที่ผมรู้ว่ามันเป็นรุ่นพี่ซะอีก

ผมนั่งวิเคราะห์หาเหตุผลที่ทำให้คนอย่างมันไม่มีแฟน ปากหมา? กวนตีน? แต่ผมเองโง่ขนาดนี้ยังมีแฟนมาแทบนับไม่ถ้วน คงจะเป็นเพราะหน้าหล่อๆ ของผมนั่นแหละครับที่ดึงดูดสาวๆ ให้หลงเข้ามา แต่ช้อปมันก็หล่อ หล่อระดับเดือนคณะเลยนะครับ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ทำให้มันไม่มีแฟน

“ทำไมมึงถึงไม่มีแฟน” ผมจ้องหน้ารอคำตอบจากมัน อยากรู้จริงๆ ครับ

“กูแค่ไม่อยากมี” เป็นเหตุผลที่พอฟังได้ครับ แต่มันบอกไม่อยากมีแฟนแล้วมันมาจีบผมทำไม

“แล้วทำไมถึงไม่อยากมีแฟน”

“ก็แค่อยากอยู่คนเดียว”

“แล้วกูล่ะ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง นี้เป็นคำถามที่ผมอยากได้คำตอบมากที่สุดตอนนี้ครับ

ทำไมต้องเป็นผม

“มึงคงจำไม่ได้หรอก วันที่สอบสัมภาษณ์มึงเคยเข้าถามทางกู” ผมนั่งคิดย้อนตามที่มันพูด

วันที่สอบสัมภาษณ์เหรอ อ่อ...ผมจำได้แล้ว วันนั้นที่ผมกับเพื่อนหาห้องสอบไม่เจอจนเกือบไปสัมภาษณ์ไม่ทัน แต่ผมไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยเจอมันมาก่อนเพราะคนที่ผมเข้าไปถามทางคือหมีบราวน์ มาสคอสที่ยืนอยู่หน้าตึกคณะ

หรือว่า...

“มึงคือหมีบราวน์งั้นหรอ” มันพยักหน้า

“จริงดิ” วันนั้นมันไม่ได้แค่บอกทางผมหรอก มันเป็นคนวิ่งนำทางผมกับเพื่อนหาห้องสอบจนเข้าสัมภาษได้ทันเวลาพอดี ถ้าไม่ได้มันผมคงอดเรียนที่นี่แน่ๆ เลยครับ

ผมเองกะว่าสัมภาษเสร็จจะลงมาขอบคุณ แต่พอกลับลงมาก็ไม่เจอแล้ว ผมยังคิดว่าตัวเองติดหนีบุญคุณเจ้าหมีบราวน์ตัวนั้นจนถึงทุกวันนี้

ไม่น่าเชื่อเลยครับว่าช้อปมันจะเป็นเจ้าหมีบราวน์ตัวนั้น

“แล้วตอนนั้นมึงหายไปไหน” เรื่องขอบคุณเอาไว้ก่อน ผมอยากรู้เรื่องต่อจากนี้มากกว่า

“กูไม่ได้ไปไหนหรอก กูก็แอบตามดูมึงนั่นแหละ” มันพูดไปก็ยิ้มไป

“ตามดูกู”

“ก็เออ ไม่รู้เด็กหัวเกรียนแถมยังทำตัวเกรียนแบบมึงถึงทำให้กูใจเต้นได้ก็ไม่รู้”

“กับกูเนี่ยนะ”

“เออ กูเห็นมึงครั้งแรกไม่รู้ทำไมใจมันเต้นแรงฉิบหาย หลังจากมึงสอบเสร็จกูก็แอบตามดูมึงตลอด” ไม่รู้ว่าตัวผมมีอะไรไปทำให้มันใจเต้นได้แบบนั้น

“กูไม่ได้ตามดูมึงแค่วันนั้นวันเดียวนะ มึงรู้ไหมกว่ากูจะรู้ว่ามึงเป็นใคร ชื่ออะไร กูก็เหนื่อยแทบแย่”

“แล้วมึงรู้จักกูได้ยังไง”

“กูเจอมึงในเพจคิ้วบอยของมหาลัย ตอนที่กูเห็นกูรีบตามหาแอดมินถามเรื่องมึงเลย” ผมควรดีใจใช่ไหมครับที่ทำให้ผู้ชายใจเต้นแรงได้แถมยังทุ่มเทตามหาผมแบบนี้อีก

“แสดงว่ามึงรู้จักกูตั้งแต่ก่อนจะเล่นเกมแล้ว” มันพยักหน้า

ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกี่ยวกับมันได้บ้างแล้วครับ

“กูแอบส่องเฟสมึงตั้งนานแล้ว เห็นมึงชอบเล่นเกมนั้นกูเลยลองหัดเล่นบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอกับมึงในเกม” ผมว่าผมกับมันจะมีเรื่องบังเอิญด้วยกันหลายเรื่องเลยครับ บังเอิญเจอถามทาง บังเอิญเจอกันในเกม บังเอิญเรียนที่เดียวกันคณะเดียวกันอีก ไม่รู้ว่าจะบังเอิญอะไรนักหนา

“ชอบกู แล้วทำไมต้องว่ากูตลอดเลยวะ” ผมขอถามเรื่องนี้เลยละกัน ทั้งที่บอกว่าชอบแต่ทำไมมันถึงชอบด่า ชอบว่า ชอบแกล้งผมอยู่ตลอดๆ

“ก็กูไม่เคยชอบใครมาก่อน ไม่รู้จะเริ่มคุยกับมึงว่ายังไง อีกอย่างมึงก็เป็นผู้ชาย”

“เลยด่ากูว่างั้น”

“แต่มึงก็รู้ว่ากูเป็นผู้ชาย มึงเป็นเกย์งั้นหรอ”

“เฮ้ย...ถึงกูไม่เคยชอบใครแต่กูมั่นใจว่ากูเป็นผู้ชาย”

“แล้วกูล่ะ” ก็มันบอกเองว่าชอบผมและผมก็เป็นผู้ชาย ถ้ามันไม่เป็นเกย์แล้วมันเป็นอะไรเหรอครับ

“ตอนแรกกูก็ไม่เข้าใจว่าทำไม่ถึงได้ใจเต้นแรงกับมึง แต่พอนั่งคิดถึงมึงทีไรกูก็ยิ้มคนเดียวทุกที จนฟลุ๊คมันสงสัยกูเลยเล่าเรื่องมึงให้มันฟัง”

“แล้วพี่ฟลุ๊คว่าไง”

“มันบอกว่ากูชอบมึง ตั้งแต่วั้นนั้นกูก็มั่นใจแล้วว่ากูชอบมึง กูถึงได้ตามสืบเรื่องมึงไง”

จากแค่เพื่อนที่บังเอิญเจอกันในเกม วันหนึ่งก็กลายมาเป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ แล้วมันยังมาสารภาพรัก มาตามจีบผมอีก คิดแล้วก็ตลกดีนะครับ จะมีกี่คนที่ได้เจอเรื่องแบบนี้เหมือนผมบ้าง

“กูบอกมึงขนาดนี้แล้ว มึงยอมให้กูจีบได้ยัง” มันส่งสายตาอ้อนวอนมา

“เอ่อ...กูหิวแล้วขอกินต่อก่อนนะ” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง คีบอาหารที่วางอยู่ต่อหน้าเข้าปากอย่างรวดเร็ว

แม้ว่ามันจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าไรนักที่มีผู้ชายมาตามจีบ เพราะผมก็ยังยืนยันอยู่ว่าผมเป็นชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายด้วยกันอย่างแน่นอน

ผมรีบยัดอาหารเข้าปาก กรอกน้ำตามลงไปแล้วรีบเดินออกจากร้านทันที

มันเคลียค่าอาหารเสร็จ เดินตามผมออกมาจากร้าน

ผมหันไปมองมันที่เดินตามหลังมา พยายามรักษาระยะห่างระหว่างผมกับมันไว้พอสมควร

"มิกซ์ๆ" มันเรียก แล้วรีบวิ่งตามผมมาอย่างรวดเร็ว

“มึงรอกูตรงนี้ก่อนนะ” มันวิ่งเข้ามาบอกให้ผมนั่งรอที่ม้านั่งใกล้ๆ ผมเดินไปนั่งตามที่มันบอก ยังไม่ทันได้ถามว่ามันจะทำอะไร มันก็เดินห่างออกไปแล้ว

ผมนั่งมองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาพลางคิดถึงเรื่องช้อปมันไปด้วย ผมจะบอกให้มันตัดใจยังไงดีครับ รู้สึกไม่สบายใจกับความสัมพันธ์ตอนนี้ ความสัมพันธ์ที่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย

“อ้าว...มิกซ์” เสียงใสที่ผมคุ้นเคย ผมเงยหน้ามองสาวสวยที่ยืนโบกมือให้ ผมยิ้มเดินตรงเข้าไปหาเธอทันที

“ฝ้ายมาเดินเล่นหรอ” เธอพยักหน้าตอบ

“แล้วมิกซ์ล่ะ”

“เอ่อ...” ผมจะตอบเธอว่ายังไงดีครับ ตอบว่ามาเดทอย่างที่ช้อปมันบอกเหรอครับ ผมไม่มีทางตอบเธอไปแบบนั้นแน่ เดี๋ยวเธอเข้าใจผิดกันพอดีเพราะผมเองก็ตามจีบเธออยู่เหมือนกัน

“เราก็มาเดินเล่นเหมือนกัน” ผมตัดสินใจตอบเธอไป

“แล้วมิกซ์มากับใคร”

“เอ่อ...” ผมกำลังคิดว่าจะตอบกับฝ้ายเธอว่ายังไง

“มิกซ์มากับพี่เองแหละ” ช้อปเดินเข้ามายืนข้างๆ ผมสังเกตเห็นถุงบางอย่างในมือมัน สงสัยมันคงออกไปซื้อของมา

“แล้ว...” ฝ้ายลากเสียงยาว มองเราสองคนเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง

“อ่อ พี่กับมิกซ์มาเดทกันนะ” มันยกมือที่จับกับผมอยู่ขึ้น ผมมัวแต่สนใจฝ้ายไม่รู้ว่ามันแอบจับมือผมตั้งแต่เมื่อไร 

ผมเบิกตากว้างรีบยกมืออีกข้างแกะมือมันออก แต่ยิ่งแกะมันยิ่งกุมมือผมแน่นขึ้น

“คะ...ค่ะ งั้นฝ้ายขอตัวก่อนนะคะ”

“ฝ้ายเดี๋ยว” ผมเรียกตามหลังฝ้าย พยายามแกะมือช้อปออกแต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมปล่อยมือผม จนฝ้ายเธอเดินหายออกไปมันถึงคลายมือออก

“มึงทำเชี่ยอะไรของมึง” ผมผลักอกมันอย่างแรงด้วยความโกรธ

มันเล่นแรงเกินไปแล้วครับ จะแกล้งยังไงผมไม่ว่าแต่ถ้ามายุ่งเรื่องส่วนตัว ทำให้ฝ้ายเข้าใจผิดแบบนี้ผมไม่ยอมมันแน่

“ตอบกูสิ” ผมผลักอกมันอีกครั้ง

“ก็กูหวงมึง”

“มึงมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้” ผมขึ้นเสียงด้วยความโมโห จนคนแถวนี้เริ่มหันมามองเราสองคน

ผมไม่สนใจว่าใครจะมองแล้วครับ เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อมัน

“ตอบกูสิ” มันเงียบไม่ยอมตอบ

“จะเล่นอะไรให้มันมีขอบเขตบ้าง”

“กูไม่ตั้งใจ กูขอโทษ” หน้ามันดูถอดสีมากครับ คงไม่คิดว่าผมจะโกรธขนาดนี้

ผมคลายมืออออกจากคอเสื้อ ผลักมันให้ถอยหลังออกไป

วันนี้ผมก็ไม่ได้ตั้งใจออกมากับมันและก็ไม่สนิทใจที่จะอยู่กับมันด้วย เพราะมันบังคับต่างหากผมถึงได้ยอมออกมา ตอนที่ได้ฟังมันเล่าเรื่องระหว่างผมกับมัน ผมเริ่มมองมันเปลี่ยนไปบ้างแล้ว เริ่มเข้าใจสิ่งที่มันทำ ที่มันชอบว่า ชอบด่า ชอบแกล้งผมอยู่เป็นประจำ แต่สิ่งที่มันทำเมื่อกี้มันเกินขอบเขตที่ผมจะรับได้

“ต่อไปนี้มึงไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก”

ถ้ามันทำแบบนี้ ผมกับมันคงเป็นได้แค่คนรู้จักกันเท่านั้น

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เราอ่านแล้วอินมาก 5555 ขอพิมพ์ยาวๆเกี่ยวกับมิกซืนะคะ เราว่ามิกซ์โกรธเว่อไป โกรธจนเราคิดว่ามิกซ์เป็นไรอะ ขนาดที่ว่าจะตัดสายโคกัน ปกติสายโคไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยุ่ง แต่มิกซ์คือเพราะไม่บอกว่าเป็นพี่เลบโกรธ เกินไปนิดนึงนะ5555 แต่อย่างว่าคนเรามันไม่เหมือนกัน มันอาจเป็นเรื่องใหญ่ของมิกซ์ที่เล่นเกมกันมาตั้งนาน ทำไมไม่บอกไรกันถึงส่วนหนึ่งจะเป็นความผิดมิกซ์ด้วยอะนะ แต่ณ จุดนั้นมิกซ์ก็ยังยืนยันความผิดว่าช้อปผิดฝ่ายเดียว แต่เรื่องที่ไม่อยากยุ่งด้วยเพราะช้อปมาชอบอันนี้ก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่คนไม่ได้ชอบแต่โดนวุ่นวายจะเป็นอยู่แล้ว เขียนเก่งมากค่ะที่ทำให้อินได้ขนาดนี้55555 สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เราอ่านแล้วอินมาก 5555 ขอพิมพ์ยาวๆเกี่ยวกับมิกซืนะคะ เราว่ามิกซ์โกรธเว่อไป โกรธจนเราคิดว่ามิกซ์เป็นไรอะ ขนาดที่ว่าจะตัดสายโคกัน ปกติสายโคไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยุ่ง แต่มิกซ์คือเพราะไม่บอกว่าเป็นพี่เลบโกรธ เกินไปนิดนึงนะ5555 แต่อย่างว่าคนเรามันไม่เหมือนกัน มันอาจเป็นเรื่องใหญ่ของมิกซ์ที่เล่นเกมกันมาตั้งนาน ทำไมไม่บอกไรกันถึงส่วนหนึ่งจะเป็นความผิดมิกซ์ด้วยอะนะ แต่ณ จุดนั้นมิกซ์ก็ยังยืนยันความผิดว่าช้อปผิดฝ่ายเดียว แต่เรื่องที่ไม่อยากยุ่งด้วยเพราะช้อปมาชอบอันนี้ก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่คนไม่ได้ชอบแต่โดนวุ่นวายจะเป็นอยู่แล้ว เขียนเก่งมากค่ะที่ทำให้อินได้ขนาดนี้55555 สู้ๆค่ะ

ขอบคุณที่ชอบครับ ฝากติดตามด้วยนะครับ


กระสุนนัดที่ 8

ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆ ๆ

เสียงเคาะประตูห้องผมดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“มิกซ์ออกมาคุยกับกูหน่อย” ช้อปมันตามผมมาตั้งแต่ผมเดินหนีมันตอนอยู่ที่ห้าง ผมเดินแยกจากมัน โบกแท็กซี่กลับมาที่ห้อง

มันตามมายืนเคาะประตูเรียกผมอยู่นาน

“มิกซ์กูขอโทษ ออกมาคุยกันหน่อย” มันยังอ้อนวอนไม่หยุด

ครั้งนี้ผมต้องตัดมันให้ได้จริงๆ ผมไม่ควรใจอ่อนเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกับมันอีก

ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆ ๆ

“เปิดเถอะนะมิกซ์” มันยังคงเคาะประตูไม่หยุด อยากเคาะก็ปล่อยมันไปต่อให้มันเคาะจนมือแดงผมก็ไม่เปิดให้มันหรอกครับ

“มิกซ์”

“มึงจะเคาะอะไรนักหนาวะ” ไม่ใช่เสียงผมครับ น่าจะเป็นเสียงข้างห้องที่เริ่มรำคาญจนต้องออกมาด่ามัน

ดีแล้วครับ ปล่อยให้มันโดนด่ามันจะได้รีบกลับไปซะที

ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆ ๆ

ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ยอมกลับไป มันยังคงเคาะประตูอย่างต่อเนื่อง นี่มันไม่คิดจะเกรงใจข้างห้องผมเลยรึไง

“นี้มึงกวนกูใช่ไหม” เสียงจากข้างนอกดังขึ้นอีก

ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆ ๆ

“อย่ามายุ่งกับกู” เสียงช้อปมันกำลังเหวี่ยงคนด้านนอก

ผมว่ามันชักจะไม่ดีซะแล้วครับ

ผมเดินตรงแนบหูฟังเสียง

“ไอ้สัส มึงจะเอาใช่ไหม”

ผลั๊ก!!! ตุบ

ผมรีบเปิดประตูออกไปดูทันที ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้ชายร่างใหญ่นักคร่อมตัวช้อปและกำลังเหวี่ยงหมัดเข้าใส่มัน

ผมรีบวิ่งเข้าไปล็อกตัวผมชายคนนั้นไว้ หันไปมองช้อปที่นอนเลือดกบปากอยู่

“ใครวะ” ผู้ชายที่ผมล็อกตัวอยู่สะบัดแขนผมออก จนผมกระเด็นไปชนกับผนัง

“มึงเองหรอเจ้าของห้อง หูหนวกรึไงปล่อยให้ไอ้เหี้ยนี่เคาะประตูไม่หยุด” ดูท่าเขาจะโมโหมาก หันไปชี้หน้าเหมือนจะเดินเข้าไปซ้ำช้อปมันอีก

ผมรีบวิ่งไปคว้าแขนเขาไว้

“ผมขอโทษแทนมันด้วยนะครับ” ผมก้มหัวเป็นการขอโทษเขา

“ทีหลังอย่าให้เป็นแบบนี้อีก” เขาสะบัดมือผมออก แล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป

ผมเหลือบตาไปมองช้อปเล็กน้อย ไม่อยากสนใจมัน มันทำตัวของมันเอง

“มิกซ์คุยกับกูก่อน” มันวิ่งเข้ามาคว้าแขน เบี่ยงตัวเข้ามาขวางทางผมไว้

“หลีก” ผมผลักตัวมันออก แอบเห็นมันยกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่ไหลอยู่มุมปาก

“กูขอโทษ กูเคลียกับน้องฝ้ายให้แล้ว”

“ก็ดี งั้นมึงก็กลับไปได้แล้ว” ผมพยักหน้า ผลักมันออกจากหน้าประตูห้อง

“โอ้ย!!!” มันยืนตัวงอ ยกมือขึ้นกุมท้องตัวเอง

ผมว่าผมผลักมันแค่เบาๆ นะครับ อีกอย่างตอนที่มันโดนชกก็แค่ที่หน้าเท่านั้น แล้วมันกุมท้องทำไม

มันโกหกๆ ไม่เนียนเลยครับ

“จะเข้ามาไหม” ผมหันไปบอกมัน

มันยืดตัวตรงรีบเดินเข้ามาในห้อง รู้ทั้งรู้ครับว่ามันแกล้งแอคติ้ง แต่ที่ยอมให้มันเข้ามาก็เพราะอย่างน้อยมันก็เคลียกับฝ้ายแล้ว ผมคงไม่ใจดำปล่อยให้มันเดินเลือดกบปากแบบนั้นหรอกครับ

“อะ...นี่” ผมโยนอุปกรณ์ทำแผลให้มัน ปล่อยให้มันทำเองครับ ใครบอกให้มันเสียงดังรบกวนชาวบ้านเขาแบบนั้น ก็สมควรแล้วกับหมัดที่มันได้รับมา

“โอ๊ย...ซีด” มันหน้าเหยเก ใช้สำลีเช็ดแผลผิดๆถูกๆ เห็นแล้วรู้สึกสมเพช ชอบหาเรื่องจริงๆ

“เอามานี่” ผมแย่งสำลีจากมือมัน เทแอลกอฮอล์ล้างแผลเพิ่ม

“โอ๊ย...เบาหน่อยกูเจ็บ” มันยังมีหน้ามาบ่นผมอีก รู้งี้ปล่อยให้โดนกระทืบไปเลยดีกว่า

“ตอนแหกปากเคาะประตูเสือกไม่คิด ทีงี้ทำเป็นร้อง” ผมแกล้งกดมือที่แผล มันร้องซะเหมือนโดนมีดแทงเลยครับ

“กูขอโทษ”

“รู้ด้วยหรอว่าผิด”

“แต่กูหวงมึงจริงๆ นะ” มันกะพริบตาปริบมองหน้าผม น่ารักตายแหละไอ้สัส

“กูกับมึงไม่ได้เป็นอะไรกัน มึงจะหวงกูทำไม”

“ก็กูชอบมึง ไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับคนอื่น” มันกระเถิบตัวเข้ามาใกล้ผม

“ถึงชอบมึงก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น มึงฟังกูนะ” ผมมองมันด้วยสีหน้าจริงจัง

“กูเองก็ชอบฝ้าย กูไม่อยากให้ฝ้ายเข้าใจผิดและกูขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่ากูกับมึงมันไม่มีทางเป็นไปได้”

“มึงยังไม่เคยให้โอกาศกูเลย มึงรู้ได้ไงว่าเป็นไปไม่ได้” เมื่อไรมันจะเข้าใจสักที จะให้ผมเปลี่ยนไปชอบผู้ชายง่ายๆ เหมือนกับตากฝนแล้วเป็นหวัดเหรอครับ

“กูเชื่อแล้วว่ามึงไม่เคยชอบใครจริงๆ เพราะมึงไม่เข้าใจที่กูพูดเลย”

“ทำไมกูจะไม่เข้าใจ กูชอบมึง กูก็บอกมึงอยู่นี่ไง” มันยังคงยกเหตุผลต่างๆ นานามาคุยกับผม

“ถึงทีกูด่ามึงว่าโง่บ้างแหละ” ผมด่ามัน

ผมว่าเรื่องนี้มันโง่จริงๆครับ ไม่ยอมเข้าใจสิ่งที่ผมบอกสักที

“ถ้ากูโง่มึงก็สอนกูสิ” ผมนั่งส่ายหน้ามองมัน ดื้อดันจริงๆเลยครับ

“มึงให้โอกาสกูหน่อยนะ หลังจากนั้นถ้ามันไม่ใช่ กูจะถอยเอง”

“เฮ้อ..." ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี

"อยากทำอะไรก็เรื่องของมึง แต่กูบอกมึงไว้อย่างว่ามึงคงต้องเสียเวลาเปล่าแน่” ผมเบื่อที่ต้องมานั่งอธิบายกับคนที่ไม่ยอมฟังอะไรอย่างมัน อยากทำอะไรก็เรื่องของมัน ถ้ามันอยากเสียเวลาเปล่าก็ปล่อยมันไป ผมยังมั่นใจว่ายังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนรสนิยมแน่นอน

“จริงนะ” มันพูดไปยิ้มไป ดูจะตื่นเต้นกับคำตอบที่ผมให้

“อะ...นี่” มันยื่นถุงพลาสติกที่ผมเห็นมันถือตั่งแต่อยู่ในห้างให้

ผมรับมา วางไว้บนโต๊ะ

“มึงไม่เปิดดูหรอ เปิดดูหน่อยนะ” มันหยิบถุงนั้นขึ้นมาส่งให้ผมอีกครั้ง

ผมหยิบกล่องที่อยู่ข้างในออกมา เปิดดูของที่อยู่ในกล่อง

‘หมีบราวน์’ ผมเงยหน้ามองมัน หมีบราวน์นี่นะที่มันให้ มันคิดว่าผมเป็นเด็กผู้หญิงรึไงถึงได้ให้ตุ๊กตาหมีแบบนี้

“ตุ๊กตาหมี?” ผมถาม มันพยักหน้าตอบ

“ตัวแทนกูไง” มันหยิบตุ๊กตาจากมันผมไป จ้องตุ๊กตาตัวนั้น

“ดูแลเจ้าของใหม่แกดีๆล่ะ” มันพูดกับตุ๊กตาครับ ผมนั่งมองอย่างงงๆ ไม่คิดว่าจะได้เห็นโมเมนต์นี้ของมัน ผู้ชายตัวโตนั่งคุยกับตุ๊กตาหมีเนี่ยนะเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

“ฮาๆ ๆ มึงคุยกับตุ๊กตาเนี่ยนะ” ว่าแล้วก็ขอขำมันหน่อยแล้วกันครับ

“มึงยิ้มน่ารักดีนะ กูรู้แล้วว่าทำไมถึงชอบมึง” มันนั่งมองหน้าผมแล้วยิ้ม

ไม่มีใครเคยชมผมว่าน่ารักมาก่อน ส่วนใหญ่ถ้าไม่บอกว่าหล่อก็จะบอกว่าแบดไปเลย แต่น่ารักเนี่ยไม่เคยเจอจริงๆ

มันพูดไม่เกรงใจรอยสักกับสันกรามผมเลยครับ

“น่ารักอะไรของมึง ทำแผลเสร็จแล้วก็รีบออกไป” ผมลุกขึ้นหันหน้าหนีมัน

“ดูแลมันดีๆ ด้วยล่ะ” มันลูบหัวหมีบราวน์ก่อนลุกขึ้นมายืนข้างหลังผม

“มิกซ์” ผมหันไปมองมัน

มันไม่พูดอะไรยืนยิ้มมองหน้าผมอยู่นาน ก่อนเปิดประตูห้องเดินออกไป

ทำไมผมต้องรู้สึกหวิวๆ ตอนที่มันมองหน้าด้วย ผมเดินไปหยิบรีโมทแอร์เร่งอุณหภูมิในห้องให้เย็นขึ้นเพราะไม่รู้ว่าทำไมหน้าผมถึงได้ร้อนผ่าวแบบนี้

“มองหน้ากูทำไม จะกวนตีนแบบเจ้าของมึงหรอ” ผมหันหน้าไปเจอตุ๊กตาหมีที่ช้อปมันวางเอาไว้บนโซฟา

“ยังไม่หยุดมองกูอีก” ผมหงุดหงิดจนต้องขว้างรีโมทในมือใส่ ชี้หน้าคาดโทษมัน สะบัดตัวหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอน

แล้วผมเป็นบ้าอะไรไปคุยกับตุ๊กตาเนี่ย โอ๊ย...



วันหยุดที่มีแค่สองวันต่อสัปดาห์ของผมได้สิ้นสุดลง ผมตื่นขึ้นมาจัดการอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า วันนี้ถือเป็นวันเปิดเรียนอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นวันแรกที่เหล่านักศึกษาใหม่ทุกคนต้องเข้าเรียนตามสาขาของตัวเอง

“มองกูทำไม” ผมหันไปด่าไอ้หน้าหมีที่นั่งอยู่บนโซฟาก่อนที่จะเดินออกจากห้อง เห็นแล้วมันขัดตายังไงไม่รู้

ฟิสิกส์ ชั่วโมงแรกของผมเปิดด้วยวิชาที่ไม่ค่อยถูกกับผมสักเท่าไร ไม่ใช่แค่วิชานี้หรอกครับที่ไม่ถูกกับผม รวมถึงวิชาที่ต้องใช้การคำนวณทั้งหมดด้วย อย่างที่บอกครับว่าที่ผมเรียนคณะนี้เพราะรู้สึกว่ามันเท่เท่านั้น แต่ที่ผมสอบติดคณะนี้ไม่ใช่ฟลุ๊คนะครับ ผมต้องเปลี่ยนตัวเองให้ขยัน ตื่นเช้าไปติวทุกวัน กว่าจะสอบกว่าจะยื่นคะแนนก็ทำเอาผมเหนื่อยอยู่ไม่น้อยกว่าจะสอบติดที่นี่ จากนี้ไปผมคงต้องเรียกความฟิตในช่วงนั้นกลับมาใช้อีกครั้งแล้วครับ

“ชั่วโมงแรกก็เหนื่อยเลย” คิมเดินเข้ามาคล้องคอ

“ดูดวิญญาณกูฉิบหาย” เอ็นเดินเข้ามาคล้องคอผมอีกข้าง

ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวผมกับเพื่อนในกลุ่มโดยเฉพาะคิมกับเอ็ม ก็สนิทกันจนเปลี่ยนสรรพนามเป็นมึงกูเรียบร้อยแล้ว

“บ่นอะไรตั้งแต่ชั่วโมงแรก” กิ๊ฟเดินเข้ามาสมทบ

“ก็มันจริง” เอ็มหันไปเถียง

“พอๆ แล้วว่างอีกตั้งสองชั่วโมงเราจะไปไหนกันดี” มิลล์เดินเข้ามาปรามทั้งสองคน

ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีครับ เพราะชั่วโมงต่อไปเป็นคาบแล็บที่จะเปิดการเรียนการสอนก็อาทิตย์หน้านู้นครับ จากนี้อีกสองชั่วโมงรวมถึงพักเที่ยงก็จะเป็นคาบว่างของพวกเรา

“ไปนั่งขนมกินกันไหม” กิ๊ฟเสนอ ทุกคนในกลุ่มดูเหมือนจะเห็นด้วย พยักหน้ารับกันอย่างพร้อมเพรียง

ผมรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถพาเพื่อนๆ ไปร้านกาแฟชื่อดังของมหาลัย ผมจอดรถเปิดประตูเดินตามเพื่อนเข้าไปในร้าน คนค่อนข้างเยอะครับวันนี้ น่าจะเป็นเพราะวันแรกบางวิชายังไม่เปิดสอนเช่นเดียวกับพวกผม แต่ก็ยังพอมีที่ว่างให้เรานั่งอยู่บ้าง

เราเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ พนักงานสาวยื่นลิสต์เมนูอาหารให้พวกเรา

“กินอะไรกันดี” มิลล์ถาม

“เรานมสดปั่น” กิ๊ฟตอบ

“เราชาเขียว”

“เราด้วย” เอ็มกับคิมสั่งชาเขียว

“แล้วมึงล่ะมิกซ์” เอ็มหันมาถามผม

“เหมือนมึงนั่นแหละ” ผมตอบไป คิดไม่ออกครับว่าจะสั่งอะไร

มิลล์ยื่นลิสต์รายการส่งให้พนักงานหลังจากที่เราสั่งเค้กเพิ่มไปอีกสี่ก้อน เรานั่งรอสักพักอาหารที่เราสั่งก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ ผมหยิบแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาดูด

‘แกๆ ดูนั้น’

‘โคตรหล่อเลย’

‘เดือนวิศวะใช่ไหมแก’

'ฉันจอง'

เสียงแซงแซ่ดังขึ้นรอบทิศทาง ผมมองหน้ากิ๊ฟกับมิลล์ที่พยักหน้าให้ผมมองด้านหลัง ผมหันหลังกลับไปมองตามเสียง

ภาพที่เห็นตรงหน้าคือหนุ่มหล่อสามคนกำลังเดินเข้ามาในร้าน คนแรกคือพี่ฟลุ๊คพี่รหัสสุดหล่อของผมเอง อีกคนผมไม่รู้ว่าชื่ออะไรแต่จำได้เพราะเคยเจอกันอยู่ครั้งหนึ่ง และคนสุดท้ายไอ้คนหน้าหล่อที่มาพร้อมกับความกวนตีน

วันนี้มันใส่เสื้อช็อปสีน้ำเงินกับกางเกงยีนขาดตรงหัวเขาทั้งสองข้าง เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาในร้าน ผมว่าวันนี้มันไม่ได้แค่หล่อเท่านั้นครับ แต่มันดูเท่มากเมื่ออยู่ในชุดนี้ นี่แหละครับที่เป็นเหตุผลให้ผมอยากเรียนวิศวะ เสื้อช็อปกับกางเกงยีนนี้แหละครับที่ผมวาดฝันว่าจะได้ใส่มันเดินอวดสาว

“อ้าว...มิกซ์” พี่ฟลุ๊คเดินเข้ามาทัก ผมรีบยกมือไหว้ทักทายพี่แกไป

“มากินขนมกันหรอ”

“ครับ”

“พี่ฟลุ๊คล่ะ” ผมคุยกับพี่ฟลุ๊คแต่สายตาแอบเหลือบไปมองช้อปที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างๆ

‘เชี่ย’ เพียงแว๊บเดียวที่ผมหันไปมองมันเพราะผมแอบเหลือบไปสบตามันพอดี มันกำลังยืนจ้องผมอยู่เลยครับ

“พี่ก็มากินขนมเหมือนกัน เออ...พี่มีเรื่องจะบอกเราอยู่พอดี เย็นนี้พี่มีนัดเลี้ยงสายที่ร้าน ‘ดื่มหลังมอ’ ”

“จริงดิพี่” ผมถามอย่างตื่นเต้น เพราะร้านที่พี่ฟลุ๊กบอกมันคือร้านเหล้าชื่อดังย่านมหาลัย ผมรอวันนี้มานานแล้วครับ วันที่ผมได้เข้าร้านเหล้าแบบไม่ต้องแอบสักที ก่อนหน้านี้ตอนมัธยมผมต้องแอบที่บ้านไปเที่ยวบ่อยๆ ถ้าโดนจับได้ทีก็โดนหักค่าขนมไปเป็นเดือน แต่ตอนนี้ผมเป็นอิสระแล้วหวังว่าคงได้เที่ยวอย่างสมใจแล้วนะครับ

“อืม งั้นเย็นนี้เจอกันนะ” ผมพยักหน้าให้พี่ฟลุ๊ค ก่อนที่แกจะเดินไปนั่งโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งที่อยู่มุมร้าน

“มิกซ์ ทำไมพี่ช้อปถึงมองมึงแบบนั้น เรื่องนั้นมึงยังไม่เคลียกับพี่เขาอีกหรอ” เอ็มสะกิดบอกให้ผมมองช้อป เรื่องที่เอ็มพูดถึงคงหมายถึงที่ผมไปตีสนิทกับช้อปมัน แต่เอ็มมันคงยังไม่รู้เรื่องที่ช้อปตามจีบผมอยู่ ผมเองไม่อยากบอกเท่าไรหรอก มันน่าอายนะครับที่มีผู้ชายมาตามจีบ

ผมค่อยๆ เหลือบตามองตามที่เอ็มบอก

จริงด้วยครับ ช้อปมันกำนั่งไขว่ห้างมองผมอยู่ ผมรีบหลบสายตามัน หยิบหลอดขึ้นมาดูด

“มึงเป็นอะไรมิกซ์ นี่มันช้อนไม่ใช่หลอด ดูดอยู่ได้” ผมก้มมองสิ่งที่ผมถืออยู่ในมือ ช้อนจริงๆ ครับ นี่ผมประหม่าจนหยิบช้อนขึ้นมาดูดขนาดนี่เลยเหรอ

ผมหันไปแอบมองช้อปมันอีก มันนั่งขำ ฉีกยิ้มกว้างมองผม

มือนะมือใครใช้ให้มึงหยิบช้อนขึ้นมา โคตรอายเลยครับ

ผมรีบวางช้อนลง หยิบแก้วน้ำขึ้นมาแทนหันหน้ากลับมาที่กลุ่มพยายามคุมสีหน้าตัวเองให้ปกติที่สุด

“เค้กช็อกโกแลตค่ะ” พนักงานยกจานเค้กวางลงตรงหน้าผม

“ใครสั่ง” ผมหันไปถามเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนต่างส่ายหน้าเป็นคำตอบ ถ้าไม่มีใครสั่งแล้วใครสั่ง

“โต๊ะนี่ไม่ได้สั่งนะครับ” ผมหันไปบอกพนักงานสาว

“คือว่าลูกค้าโต๊ะนั้น สั่งให้คุณมิกซ์ค่ะ” ผมมองตามนิ้วของเธอที่ชี้ไปตรงโต๊ะหนึ่งตรงมุมร้าน มันเป็นโต๊ะเดียวกับที่ช้อปมันนั่ง ผมขมวดคิ้วมองค้อนมัน

“อ่ะ...นี่” ผมตัดสินใจเดินตรงไปที่โต๊ะมัน ล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าวางลงบนโต๊ะ

“อะไร” มันเงยหน้ามาถามผม

“ค่าเค้ก” ผมบอก แล้วหันหลังเดินออกมาจากโต๊ะมันทันที

“เฮ้ย...ไม่เอา กูอยากเลี้ยงมึง” มันรั้งแขนผมไว้ หยิบเงินที่วางอยู่ยัดใส่มือผม

“กูมีตังค์ มึงไม่จำเป็นต้องมาเลี้ยงกู” ผมยัดเงินใส่มือมันกลับ

ผมมีเงินครับไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเลี้ยง

“กินของมันหน่อยเถอะมิกซ์ พี่ขี้เกียจนั่งปลอบมันอีก คราวที่แล้วพี่ต้องทนนั่งฟังมันเพ้อถึงเราเกือบอาทิตย์” ผมหันกลับไปมองพี่ฟลุ๊คที่กลำลังทำหน้าอ้อนวอน 

ผมหยิบเงินจากในมือมันมา

“กูเห็นแก่พี่ฟลุ๊คนะ” มันพยักหน้าหงึกๆ ยิ้มหน้าบานให้ผม

ผมเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ พร้อมกับสายตาจากเพื่อนๆ ที่นั่งมองผมอย่างสงสัย

“คือยังไงหรอมิกซ์ พี่ช้อปแกล้งแกหรอ” กิ๊ฟถามด้วยสีหน้าสงสัย เพื่อนทุกคนต่างขยับตัวเข้ามาใกล้ รอคำตอบจากผม

“ไม่มีไรหรอกอย่าไปสนใจเลย กินต่อดีกว่า” ผมส่ายหน้า รีบเปลี่ยนเรื่อง

ผมหันไปหยิบช้อนเตรียมจะตักเค้กขึ้นมากิน

“แหะๆ” พวกมันทุกคนมองหน้าผม หัวเราะแห้งๆมา

ผมก้มมองซากเค้กที่วางอยู่ โอ้โห ผมไปแป๊บเดี๋ยวพวกมันกินหมดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ผมส่ายหน้าให้พวกมันที่นั่งทำหน้าสำนึกผิดอยู่

“เออๆ ไม่เป็นไร กูไม่ค่อยหิว”

“เค้กมาแล้วค่ะ” พนักงานคนเดิมเดินถือเค้กอีกสามสี่ก้อนวางลงที่โต๊ะ

“ใครสั่ง” เราทุกมองหน้าส่ายหัวสลับกันไปมา

ผมหันไปมองช้อปมันอีกครั้ง ผมมั่นใจว่าเป็นเค้กจากมันอีก

ผมขยับปากพูดโดยไม่มีเสียงใส่มัน

‘รวย นัก หรอ มึง’ เป็นประโยคที่ผมบอกมัน

อวดรวยจริงๆ เลยนะมึง

“นี่ของคุณมิกซ์ค่ะ” ยังไม่หมดครับ พนักงานวางเค้กที่เหลืออีกก้อนตรงหน้าผม

มันเป็นเค้กช็อกโกแลตธรรมดานี้แหละครับ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือมันมีป้ายเล็กๆ เสียบอยู่

‘ที่รัก’ ผมดึงป้ายนั้นออกจุ่มมันลงกับก้อนเค้กอย่างรวดเร็วก่อนที่เพื่อนจะเห็น

‘ค ว ย’ ผมหันไปขยับปากด่ามันอีกครั้ง

ตี๊ดๆ ๆ ตี๊ดๆ ๆ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เป็นข้อความที่ส่งมาจากมัน ผมกดเปิดอ่านข้อความนั้น

‘บอกรักกูหรอ กูก็รักมึงนะ’ ข้อความที่ตามด้วยสติกเกอร์รูปหัวใจ

ผมหยิบช้อนขึ้นมาชี้หน้าคาดโทษมัน ก่อนจะจิ้มลงที่เค้กอย่างแรง

รักกับผีมึงสิ

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 9



หลังจากการเรียนในช่วงบ่ายจบลง ผมรีบบึ่งรถกลับห้องทันที

ชุดนักศึกษาถูกถอดออก ผมเดินเปลือยเปล่าเข้าไปยืนใต้ฝักบัวเปิดน้ำให้ไหลผ่านร่างกาย กลับมาเหนื่อยๆ ได้อาบน้ำเย็นๆ แบบนี้สดชื่นจริงๆ ครับ

ผมเดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอว

‘สักเพิ่มดีไหม’ ผมยืนลูบหน้าอกข้างขวาของตัวเอง ถ้ามีรอยสักเพิ่มมาอีกสักรอยคงเท่กว่าเดิมแน่ๆ แต่เอาไว้ว่างเมื่อไรค่อยคิดอีกทีละกัน

ผมหยิบกางเกงในยี่ห้อโปรดขึ้นมาสวมทับปกปิดน้องรักของผมไว้ หยิบสกินนี่ยีนสีดำฟิตเปรี๊ยะขึ้นมาสวมทับ สุดท้ายเสื้อโอเวอร์ไซต์สีขาวคอกว้างแบบที่ผมชอบ สวมทับท่อนบน ผมดำขลับถูกเซดจัดทรงแนวเกาหลีที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้

ผมยืนสำรวจตัวเองอีกเล็กน้อย

“โอเคหล่อแล้ว”

ผมเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะเดินลงออกจากห้องลงไปที่ลานจอดรถ

ผมขับรถออกจากหอพักตรงไปสถานที่ที่พี่ฟลุ๊คนัดเอาไว้ นั่นไงครับพี่ฟลุ๊ค ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงที่ว่าง เดินตรงเข้าไปหากลุ่มพี่ฟลุ๊คทันที

“แต่งตัวอะไรของมึง” ผมหยุดกึก อีกนิดเดียวก็จะถึงพี่ฟลุ๊คอยู่แล้ว แต่กลับมีไอ้ตัวกวนเดินเข้ามาขวางผมไว้ก่อน

ผมก้มมองสำรวจตัวเอง ก็ดูดีนิครับ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน

“เกี่ยวไรกับมึง” ผมเงยหน้าไปคุยกับมัน

“จะเปิดอะไรนักหนา” มันเดินเข้ามาใกล้ จับที่คอเสื้อดึงขึ้นมาปิดช่วงไหปลาร้าผมไว้

“ยุ่ง” ผมดึงคอเสื้อลง เบี่ยงตัวหลบเดินเข้าไปหาพี่ฟลุ๊ค

“อ้าว...มิกซ์”

“สวัสดีครับพี่” ผมเดินเข้าไปสวัสดีพี่ฟลุ๊ค พี่นพ รวมถึงพี่บิ๊กสายโคของผมด้วย

“หล่อจังเลยวันนี้” พี่ฟลุ๊คคุยกับผม แต่หน้ากลับหันไปยิ้มให้ช้อปที่ยืนกอดอกหน้าบึ้งมองผมอยู่

“แล้วพี่บีล่ะ” ตั้งแต่มาถึงผมยังไม่เห็นสายรหัสสุดสวยของผมเลย

“พี่ลืมบอกไป พี่ปีสี่ติดธุระเลยมาไม่ได้”

“งั้นเราไปกันเลยดีไหมครับ”

“ใจเย็น นี่เพิ่งหกโมงเอง ไปหาอะไรกินกันก่อน” ผมพยักหน้าเข้าใจ หิวอยู่เหมือนกัน

ผมเองก็รีบจนลืมกินข้าว ได้เพิ่มพลังก่อนออกเที่ยวก็คงดี จะได้มีแรงม่อสาว

“ดีเลยพี่ จะได้มีแรงคุยกับสาวๆ”

“แหะๆ ๆ” พี่ฟลุ๊คหัวเราะแห้ง มองช้อปที่ยืนกอดอกมองผม มันหน้าบึ้งกว่าเดิมเสียอีก

ผมขับรถตามพี่ฟลุ๊คไปที่ร้านอาหาร โดยมีอาร์มสายโครุ่นเดียวกันกับผมนั่งมาด้วย ผมได้เพื่อนเพิ่มมาอีกคนแล้วครับ

ผมขับตามพี่ฟลุ๊คได้สักพักก็มาถึงร้านข้าวต้มร้านหนึ่ง ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงที่ว่าง เดินคู่กับอาร์มตามพวกพี่ๆเข้าไปในร้าน

“อาร์มมานั่งนี่สิ” ผมตบเก้าอี้ข้างๆ เป็นสัญญาณให้อาร์ม

พรึบ!!!

ผมยกมือที่กำลังตบเก้าอี้ออกเกือบไม่ทัน ก็อยู่ดีๆช้อปมันก็เดินเข้ามาแทรกแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวนั้นแทน ผมหันหน้าไปมองพี่ฟลุ๊คพยายามส่งสัญญาณให้พี่แกช่วยเอาช้อปมันออกไป

“อาร์มมานั่งกับพี่นี่” พี่ฟลุ๊คยิ้มตอบผม เรียกอาร์มไปนั่งข้างๆแทน

แต่ผมยังส่งสัญญาณขอความช่วยจากพี่แกอยู่ แกเพียงยิ้มพยักพเยิดหน้าให้ผมเท่านั้น

ช่วยเพื่อนแล้วทิ้งน้องรหัสตัวเองอย่างนั้นเหรอ ผมนั่งกอดอกทำหน้างอนพี่แกไป

“มิกซ์ๆ”

“อะไร” ผมหันไปมองเหวี่ยงช้อปที่สะกิดแขนเรียกผมอยู่

“ไปเปลี่ยนเสื้อไหม เดี๋ยวกูไปส่ง” มันยังคงไม่จบกับเรื่องเสื้อ ไม่รู้มันจะวุ่นวายอะไรกับการแต่งตัวของผมนักหนา แค่เสื้อคอกว้าง ผมเป็นผู้ชายจะโชว์ถึงนมยังได้เลย

ผมทำเป็นไม่สนใจมันนั่งหันข้างคุยกับคนในโต๊ะแทน

“ดูมิกซ์จะชอบเที่ยวมากเลยนะ” พี่นพถาม

“ชอบสิพี่ ตอนมัธยมผมแอบที่บ้านไปเที่ยวอยู่บ่อยๆ”

“งั้นหล่อๆแบบนี้ก็มีสาวเยอะเลยละสิ”

“ก็นิดหน่อยนะพี่” ผมยืดอกยิ้มอย่างภูมิใจ

“ได้ข่าวว่าคุยกับน้องฝ้ายดาวคณะอยู่ไม่ใช่หรอ แล้วนี่จะม่อสาวยังไง”

“แค่คุยๆกันอยู่เองพี่ ยังไงตอนนี้ผมก็โสด ถือว่าให้โอกาสตัวเองไง”

ถึงตอนนี้ผมจะคุยกับฝ้าย แต่เราก็ยังเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ ยังไงผมก็ยังโสดไม่อยากปิดกั้นตัวเอง เผื่อพลาดจากฝ้าย ผมจะได้มีช้อยไว้ให้เลือก ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผมใช่ไหมล่ะครับ

แต่ถ้าถามว่าแล้วช้อปล่ะ ทำไมผมถึงไม่ให้โอกาสมัน มันคนละเรื่องกันแล้วครับ ที่ผมบอกว่าให้โอกาสหมายถึงผู้หญิง กับผู้ชายอย่างช้อปมันคงต้องรอสมองผมกระทบกระเทือนก่อนผมถึงจะยอมมองมันแบบนั้นได้

“น้องกูมันแน่จริงๆ ว่ะ” พี่นพตบโต๊ะฉาดหนึ่ง พี่แกดูจะชอบใจที่ผมตอบ

“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะ” อยู่ดีๆ ช้อปมันก็ลุกขึ้นยืนเดินออกจากร้านไป ท่ามกลางสายตางุนงงของคนในโต๊ะ

ปล่อยมันไปครับ มันคงหงุดหงิดเรื่องเสื้อผมอยู่

อาหารที่เราสั่งมาเสิร์ฟพอดี เราลงมือจัดการอาหารตรงหน้าโดยที่ไม่รอให้ช้อปมันกลับมา เราลงมือจัดการอาหารตามที่พี่นพสั่งเพราะถ้าให้รอก็ไม่รู้ว่าช้อปมันจะกลับมาเมื่อไร

อาหารถูกจัดการจนหมด ตอนนี้ก็เกือบๆสองทุ่มแล้ว เราออกจากร้านเตรียมตัวเดินทางไปที่ร้านเหล้า เราออกมาโดยไม่รอช้อปเพราะมันโทรบอกพี่บิ๊กพี่รหัสมันว่าให้ไปเจอกันที่ร้านเลย

เราขับรถมาไม่นานก็ถึงร้าน

ผมยืนจัดเสื้อผ้าลูบผมตัวเองเล็กน้อยตรงทางเข้าร้าน ร้านที่เรามาวันนี้เป็นร้านกึ่งผับกึ่งนั่งชิลล์ เสียงดนตรีสดดังออกมาจากด้านในร้าน

ตื่นเต้นครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกมาเที่ยวโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าที่บ้านจะจับได้ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ชีวิตอิสระมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมขอใช้มันให้เต็มที่หน่อยละกันครับ

ผมยกแขนคล้องคออาร์มเดินตามรุ่นพี่เข้าไปในร้าน บรรยากาศภายในร้านดูครึกครื้นมาก เสียงเพลงจากนักร้องบนเวทีช่วยเพิ่มบรรยากาศให้น่านั่งมากขึ้น พนักงานเดินนำเราไปนั่งที่โต๊ะมุมร้าน พี่นพจัดการสั่งเครื่องดื่มและกลับแกล้งให้อย่างเสร็จสรรพ

พี่ฟลุ๊ครับหน้าที่เป็นคนจัดการเรื่องเครื่องดื่ม แก้วใสที่ภายในมีของเหลวสีเข้มอยู่เกือบเต็ม ถูกแจกจ่ายให้กับทุกคนในโต๊ะ

“ไม่เมาห้ามหยุดนะ” ผมรับแก้วเหล้าจากพี่ฟลุ๊ค

“เอ้า มาชนกันหน่อย” พี่นพยกแก้วขึ้นชู ทุกคนชูแก้วในท่าเตรียมตามพี่นพ

“รอช้อปมันก่อนไหมพี่” พี่ฟลุ๊คพูดขัดขึ้น พี่นพพยักหน้าเห็นด้วยดึงแก้วกลับ วางลงที่โต๊ะ

เฮ้อ...ทำไมต้องรอมันด้วย แล้วนี่มันหายไปไหนตั้งนานทำไมถึงไม่มาสักที ผมได้แค่นั่งหยิบกับแกล้มขึ้นมาเคี้ยวเล่นเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น

เอาเป็นว่าผมขอใช้เวลานี้ในการส่องสาวหน่อยละกัน

ผมสอดสายตามองรอบๆโต๊ะ สาวสวยหลายคนกำลังนั่งโยกตัวช้าๆตามจังหวะเพลง ยังไม่มีใครเข้าตาผมสักคนเลยครับ สเป็กผมต้องขาว สวย หน้าอกโตๆหน่อย แต่ผมยังไม่ยอมแพ้สอดสายตามองหาสาวต่อ

“อ้าว ช้อป” พี่ฟลุ๊คยกมือเรียกช้อปที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน ในมือมันถือถุงอะไรสักอย่างอยู่

“มาครบแล้วก็ลุยกันเลยนะ” พี่นพยกแก้วขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในโต๊ะก็เตรียมชูแก้วขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนพี่” ช้อปมันขัดขึ้น ทุกคนหันมองมันด้วยสีหน้าสงสัย

มาช้าแล้วยังเรื่องมากอีก ผมอยากจะด่ามันจริงๆเลยครับ

“รอแป๊บนะพี่” มันลุกขึ้น คว้าแขนผมลากให้เดินตามออกมา มันดันตัวผมให้เข้าไปในห้องน้ำ ยกถุงที่มันถือมาด้วยขึ้น

มันหยิบของในถุงนั้นออกมา เป็นเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำครับ มันยกขึ้นมาแกะป้ายราคาออกแล้วส่งให้ผม

“ใส่” ผมยืนมองหน้า ไม่ยอมรับเสื้อจากมัน

“อะไรของมึง”

“กูบอกให้ใส่ก็ใส่” มันคลีเสื้อตัวนั้นเดินเข้ามาคลุมตัวผมจากด้านหลัง บังคับให้ผมสอดแขนเข้าไปในเสื้อตัวนั้น

มันกลับมายืนด้านหน้าเกี่ยวตะขอซิป รูดขึ้นจนเกือบมิดคอผม

ชุดผมมันดูแปลกขนาดนั้นเลยเหรอครับ มันถึงต้องหาเสื้อคลุมมาให้ผมใส่ขนาดนี้

“กูไม่ใส่” ผมรูดซิปลง เตรียมถอดเสื้อตัวนั้นออก

“ห้ามถอด” มันรูดซิปขึ้นอีกครั้ง แล้วรีบคว้ามือผมเดินกลับมาที่โต๊ะ

“ใส่เสื้อแบบนั้น ไม่ร้อนหรอมิกซ์” พี่นพที่ถือแก้วเหล้าอยู่ในมือถามผม สงสัยพี่แกคงไม่อยากรอเลยดื่มกันก่อน

ผมอยากจะถามช้อปมันเหมือนกันว่ามันคิดได้ยังไงถึงให้ผมใส่แจ๊คเก็ตในที่แบบนี้

“ร้อนสิพี่” ผมทำท่าจะถอดเสื้อออก แต่โดนมือช้อปมันขวางไว้ก่อน

มันจะยุ่งอะไรกับผมนักหนาเนี่ย

ผมแอบเหลือบตาไปเห็นพี่ฟลุ๊คนั่งขำอยู่ คงรู้เห็นเป็นใจกับช้อปมันอีกแล้วสิท่า สมกับเป็นเพื่อนกันจริงๆ

ผมเลิกสนใจเสื้อกับช้อป หยิบแก้วเหล้ากระดกรวดเดียวหมดแก้ว อ่า...ทำไมมันช่างหอมหวานแบบนี้ ผมยื่นแก้วตัวเองให้พี่ฟลุ๊ค แกรับไปชงเหล้าให้ผมเพิ่ม

“ขออีกพี่” ผมกระดกแก้วที่สองรวดเดียวหมด ยื่นแก้วให้พี่ฟลุ๊คอีก

“เฮ้ย...ใจเย็นๆ” พี่ฟลุ๊คปรามผม แต่มือก็ยังชงเหล้าแก้วใหม่ให้ผมอยู่

“พี่ไม่ต้องห่วง ผมคอแข็ง” ผมรับแก้วมากระดกเข้าปากอีกครั้ง เอาให้มันเต็มที่ไปเลยครับวันนี้

“เด็กใหม่มันห้าวว่ะ สงสัยกูจะยอมไม่ได้แล้ว” พี่บิ๊กสายรหัสช้อป ยื่นแก้วให้พี่ฟลุ๊ค ตามมาด้วยคนอื่นในโต๊ะที่รีบกระดกเหล้า ส่งแก้วให้พี่ฟลุ๊คเช่นกัน

โต๊ะเราเริ่มครึกครื้นมากขึ้นตามจังหวะเพลงที่เร็วและเร้าใจขึ้น นักเที่ยวหลายคนเริ่มลุกจากเก้าอี้ขึ้นมาโชว์ลวดลายการเต้นกันอย่างสนุกสนาน

“เอ้า...ชน” เหล้าอีกแก้วถูกกระดกเข้าปาก ผมลุกขึ้นกอดคอลากอาร์มให้ลุกขึ้นมาเต้น

“มึงไม่กินหน่อยหรอช้อป กูเห็นนั่งนิ่งตั้งแต่มาถึงแล้ว” ผมหันไปมองช้อปที่นั่งนิ่งไม่ยอมแตะเหล้าสักนิด สงสัยมันจะคออ่อนมั้งครับ ไม่สมกับเรียนวิศวะเลย 

ผมเลิกสนใจมันหันกลับมาเต้นกับอาร์มต่อ

“กูเมาแล้วใครจะดูมิกซ์” เสียงแว่วๆดังเข้าหูผม ผมเบิกตากว้าง ค่อยๆหันไปมองมัน 

ทำไมต้องมาดูผมด้วย ผมคอแข็งจะตายอีกอย่างผมก็เป็นผู้ชายไม่จำเป็นต้องมีใครมาดูแลหรอกครับ

มันยังนั่งนิ่งกอดอก ขมวดคิ้วมองหน้าผม

จะรู้สึกยังไงดีครับกับการมีใครสักคนมานั่งคอยเป็นห่วงอยู่แบบนี้ ผมว่าช้อปมันคาดหวังและคิดกับผมไปไกลมาก ทั้งๆที่ผมคิดกับมันได้แค่เพื่อน มองมันตอนนี้แล้วรู้สึกสงสารมันเหมือนกัน ผมเข้าใจความรู้สึกของมันนะครับ แต่ผมรับความรู้สึกมันไว้ได้จริงๆ

ผมพยายามบอกกับมันหลายครั้งแล้วว่าเรื่องของผมกับมันไม่มีทางเป็นไปได้ ผมไม่อยากให้มันหวังไปมากกว่านี้ แต่ผมไม่รู้จริงๆว่าจะทำยังไงให้มันตัดใจจากผมได้

เฮ้อ...ทำไมมึงต้องทำให้กูลำบากใจแบบนี้ด้วย

“ขอชนแก้วหน่อยได้ไหมคะ” สาวสวยนั่งลงตรงที่นั่งข้างๆช้อป เธอสวย เซ็กซี่สเปคผมเลยครับ

สาวสวยสะกิดให้ช้อปมันหันมอง เธอยกแก้ว ส่งยิ้มหวานบาดใจให้มัน

“ไม่ดีกว่าครับ” มันหันไปปฏิเสธ เธอถึงกับเหวอมองซ้ายมองขวาเหมือนกับว่ากำลังทำอะไรไม่ถูก

ผมเองก็ยืนอึ้งกับคำตอบขอมัน สวยขนาดนี้มันปฏิเสธได้ยังไงครับ ไหนมันบอกว่ายังมีอารมณ์กับผู้หญิงแล้วมันปฏิเสธเธอทำไม ผมไม่เข้าใจมันจริงๆ

สาวสวยลุกเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เช่นเดียวกับมันที่หันกลับมานั่งกอดหน้าบึ้งมอกมองผมเหมือนเดิม

ปล่อยของดีๆไปแล้วมานั่งจ้องกูเนี่ยนะ มึงโง่รึเปล่า

ผมเลิกสนใจมันหันกลับมาเต้นกับอาร์มต่อ

เปรี๊ยะ!!!

เหมือนมีกระแสไฟวิ่งเข้าชนลูกตาผม ผมสบตาเข้ากับสาวสวยคนหนึ่งที่นั่งไขว่ห้างชูแก้วมองหน้าผมอยู่ ถึงตาผมบ้างแล้วครับ ผมหยิบแก้วเดินตรงไปที่โต๊ะของเธอ

“มากับแฟนหรอครับ” ผมยกแก้วขึ้นชน ลองถามหยั่งเชิงเธอดูเล็กน้อย

“มากับเพื่อนค่ะ” เธอตอบ ยกมือขึ้นทัดผมตัวเอง

“เหมือนกันเลย ผมก็มากับเพื่อน งั้นผมขอนั่งด้วยคนนะครับ” ผมนั่งลงที่ว่างข้างๆเธอ

ถูกใจผมมากครับ สงสัยคืนนี้ผมคงได้เจองานหนักแน่ๆ

“สวยๆ แบบนี้มีแฟนรึยังครับ”

“ก็แล้วแต่ว่าใครเป็นคนถาม”

“แล้วถ้าผมถามล่ะครับ”

“แล้วอยากให้โสดไหมล่ะ”

“แน่อยู่แล้ว” ผมยกแก้วขึ้นชนกับเธออีกครั้ง ดูเธอก็ถูกใจผมมากเหมือนกัน

ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องใช้แผนต่อไปแล้วล่ะครับ

“คืนนี้ห้องผมว่างพอดี ไม่รู้ว่าคุณอยากจะไปนั่งเล่นห้องผมรึเปล่า” ผมหยั่งเชิงเธอดูอีกครั้ง

เธอไม่ตอบ ยื่นมือมารูดซิปแจ็คเก็ตผมลง สอดนิ้วเข้ามาเกลี่ยหน้าอกผม แบบนี้ถือว่าเธอตกลงแล้วครับ ตอนนี้เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น

ผมวางแก้วลง สอดมือเข้าไปรวบเอวเธอไว้ เธอช่างยั่วผมซะเหลือเกิน ผมเริ่มจะทนไม่ไหวอยากลากเธอกลับห้องซะตอนนี้เลย

“ว้าย!!!” เสียงเธอกรี๊ด พร้อมกับแรงดึงจากด้านหลังกระชากเธอออกจากผม

“ไอ้สัส!!! มึงเป็นใคร” ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนชี้หน้าผมอยู่

“แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วย” ผมจ้องหน้ามันกลับ

“เกี่ยวสิก็นี่แฟนกู” ผมมองสาวสวยสลับกับมัน ที่ผมเข้าใจไม่ใช่แบบนี้หนิครับ เธอบอกผมเองว่ายังไม่มีแฟน

“มึงคิดไปเองรึเปล่า เขาบอกกับกูเองว่าเขาโสด” ผมตอบกลับมันเสียงแข็ง

“แต่ถ้าเป็นแฟนจริงสงสัยเขาเบื่อมึงแล้ว” ผมยิ้มเยาะเย้ยมัน มันคงน่าเบื่อจนเธอแอบมาคุยกับผมแบบนี้

“มึง…” มันพุ่งเข้ามายัดหมัดใส่หน้าผมอย่างจัง จนผมถลาไปชนกับโต๊ะด้านหลัง

คนในร้านเริ่มหันมาดูเหตุการณ์นี้แล้ว

ผมตั้งตัวได้ หันกลับไปสวนมันจนมันล้มไปกองกับพื้น

“หึๆ” ผมหัวเราะในลำคอ ยืนมองมันที่กำลังเกาะโต๊ะดึงตัวเองขึ้นมา

“มึงอยากตายมากใช่ไหม” มันหยิบขวดเหล้าที่อยู่ใกล้ๆชี้หน้าผม

“มึงได้ตายจริงแน่” มันเดินตรงเข้ามาหาผม ง้างขวดเหล้าที่อยู่ในมือพร้อมฟาด

ผมยกมือขึ้นบังหน้าตัวเอง จะให้หนีตอนนี้คงไม่ทันแล้วครับ

เพล้ง!!! กรี๊ดดดดด

เสียงขวดแตกพร้อมกับเสียงกรี๊ดดังลั่นร้าน

“มึงไม่เป็นไรใช่ไหม” ผมเงยหน้ามองช้อปที่ยืนคร่อมตัวผมไว้ ไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไร

ผมพยักหน้าตอบมัน

ผมไม่เป็นอะไร แล้วเสียงเมื่อกี้ล่ะ ผมมองหน้าช้อปที่ยังยืนคร่อมผมอยู่

“มิกซ์ เป็นไรรึเปล่า” พี่ฟลุ๊ควิ่งเข้ามาถามผมด้วยความเป็นห่วง เสียงวุ่นวายยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

“เลือด พี่ช้อปมันเลือดออก” ผมเพิ่งสังเกตเห็นเลือดที่กำลังไหลลงมาตามหน้าผากช้อป

“มิกซ์พาช้อปมันออกไปก่อน เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง” ผมยกมือช้อปขึ้นคล้องคอพยุงตัวมันเดินออกมานอกร้าน

“มึงไหวรึเปล่า” ผมถามมันตลอดทางที่เดินออกมา เลือดมันไหลลงอาบแก้มไม่มีที่ทาว่าจะหยุด

ผมประคองมันจนมาจนถึงรถ เปิดประตูดันมันเข้าไปนั่งข้างใน ดูมันจะเจ็บเอาการนั่งเคลิ้มเหมือนจะหลับตลอดเวลา

“มึงทนอีกหน่อยนะช้อปเกือบถึงโรงพยาบาลแล้ว” ผมหันไปคุยกับมันตลอดทางกลัวว่ามันจะหลับไปซะก่อน

อีกนิดเดียวนะ

ผมเหยียบคันเร่งจนเกือบมิด มุ่งหน้าตรงไปโรงพยาบาลของมหาลัย

“ถึงแล้วช้อป” ผมประคองมันลงจากรถ เดินตรงเข้าไปแผนกฉุกเฉินทันที

บุรุษพยาบาลรวมถึงพยาบาลวิ่งเข้ามารับตัวมันอย่างรวดเร็ว ช้อปถูกหามขึ้นไปนอนบนเตียง มันยื่นมือมาจับมือผมไว้

“เข้าไปกับกูนะ”

“เขาห้ามเข้าไป” ผมตอบ

มันค่อยๆปล่อยมือผม บุรุษพยาบาลเข็นรถมันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

ผมโทรกลับไปหาพี่ฟลุ๊ค พี่แกบอกว่ากำลังเคลียเรื่องทางนั้นอยู่ให้ผมช่วยดูแลช้อปมันไปก่อน ผมรับคำพี่ฟลุ๊ค กดวางสายเดินไปยืนรอช้อปที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน

ผมยืนคิดถึงเรื่องที่ร้าน ถ้ามันไม่เอาตัวเข้ามากันผมไว้ผมคงโดนขวดนั้นฟาดเขาเต็มๆแน่ ทำไมมันถึงต้องทำขนาดนั้นด้วย

เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับรถเข็นที่ค่อยๆเคลื่อนออกมา ผมรีบวิ่งเข้าไปหาช้อปทันที

“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ” ผมถามพยาบาลสาว

“หัวแตกเล็กน้อย ตอนนี้คุณหมอเย็บแผลให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวญาติคนไข้รอรับยาแล้วพาคนไข้กลับได้เลยนะคะ”

“ไม่ต้องเอกซเรย์สมองหรอครับ” ผมถามพยาบาลอีกครั้ง เป็นห่วงช้อปมันครับ เลือดออกขนาดนั้นผมกลัวว่าจะเป็นอะไรร้ายแรง

“คุณหมอตรวจให้เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ขอบคุณครับ” ผมก้มหัวเป็นการขอบคุณ เดินเข้าไปช่วยเข็นช้อป

ผมคงรู้สึกผิดมากถ้าช้อปมันต้องเจ็บหนักไปมากกว่านี้ แค่นี้ผมก็ก็รู้สึกผิดจนไม่รู้จะขอโทษหรือขอบคุณมันยังไงดี เป็นเพราะความห้าวของผมแท้ๆ

ผมเข็นช้อปไปนั่งรอรับยา ผมยังไม่กล้าคุยอะไรกับมันเลย ยิ่งเห็นแผลมันแล้วยิ่งรู้สึกผิด

“มึงไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม” ผมตัดสินใจอยู่นานกว่าจะกล้าถามมัน

“แล้วมึงเป็นไงบ้าง” มันถามผมกลับ ผมเพียงส่ายหน้าตอบมันไปเท่านั้น

“ดีแล้ว” มันมองหน้าผมแล้วยิ้ม ผมควรจะดีใจที่เห็นมันไม่เป็นอะไร แต่มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาสักเท่าไร

ผมประคองช้อปเดินมาที่รถ ตอนนี้ในรถมีเพียงความมืดและความเงียบเท่านั้น ผมนั่งนิ่งไม่ยอมสตาร์ทรถ

“กูขอโทษนะ” ผมตัดสินใจพูดกับมัน แต่ก็ยังไม่กล้าสบตามัน

“กูไม่เป็นไรแล้ว มึงไม่ต้องคิดมาก” มันยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ นอกจากพ่อกับแม่ผมแล้วก็ไม่มีใครเคยลูบหัวผม

“มึงคิดว่าเป็นคนเหล็กหรอ ถึงมารับขวดแทนกูแบบนั้น”

“กูว่ามึงก็รู้ว่าเพราะอะไร” แค่คำว่าชอบมันถึงกับยอมทำขนาดนี้เลยเหรอครับ มันไม่คิดบ้างเหรอว่าตัวเองจะเป็นยังไง

“มึงชอบกูขนาดนั้นเลยหรอ”

“กูทำขนาดนี้ มึงยังสงสัยอีกหรอ”

“กูย้ำกับมึงทุกวัน มึงไม่ท้อบ้างหรอวะ”

“จะให้กูทำไง ก็กูชอบไปแล้ว กูไม่ขออะไรมากกูขอแค่ให้มึงลองเปิดใจให้โอกาสกูบ้าง”

คำว่าโอกาสที่มันหมายถึง คือให้ผมเปลี่ยนใจไปคบกับผู้ชายอย่างนั้นเหรอครับ ตั้งแต่เกิดมาผมก็มองแต่ผู้หญิง แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่ผมสามารถรู้สึกเชิงชู้สาวได้

เรื่องนี้มันต้องเปลี่ยนที่ผมหรือผมควรบอกให้ช้อปมันตัดใจ

ความเงียบปกคลุมรถอีกครั้ง เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของเราสองคน ช้อปนั่งนิ่งเหมือนรอฟังผมพูด



“ช้อป...คืนนี้ไปนอนห้องกูไหม”

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 10


เกร๊ง!!!

ผมยืนมือสั่นอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง พยายามเสียบกุญแจห้องอยู่หลายครั้ง แต่ก็เสียบไม่ได้สักที ยังเผลอทำกุญแจหล่นอีก

‘ช้อป...คืนนี้ไปนอนห้องกูไหม’

อาการประหม่าจนมือไม้สั่นของผม มันเริ่มจากที่ผมพูดประโยคนั้นกับช้อปตอนที่อยู่โรงพยาบาล

อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะครับว่าผมใจอ่อนกับช้อปจนพามันมาทำอย่างว่า ผมแค่ทำตามใบสั่งยาเท่านั้น

‘ทานยาทุกๆ 4 ชั่วโมง สังเกตอาการทุกๆ 2 ชั่วโมง’

ประโยคในใบสั่งยาเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องชวนมันมานอนที่ห้อง ถ้าปล่อยให้มันกลับก\ไปนอนที่ห้องคนเดียว ผมกลัวว่ามันจะมีอาการปวดหัวตอนดึกๆ มันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องดูแลมันเพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องเจ็บตัว อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการขอบคุณที่มันช่วยผมไว้

แต่อาการสั่นของผมตอoนี้ ผมมั่นใจว่ามันเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างผมกับมันตอนอยู่บนรถ ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ใจสั่นเวลาที่ช้อปมันบอกชอบผม ทั้งที่ก่อนหน้าผมยังรู้สึกเฉยๆ กับประโยคพวกนี้

“กูเปิดให้ไหม” มันยืนมองผมไขประตูอยู่นานแต่ก็ยังเปิดไม่ได้สักที่ มันเดินเข้ามาจับมือผมไว้ เสียบลูกกุญแจเข้าไปเปิดประตูอย่างง่ายดาย

“ขอบใจมึง” ผมหันไปขอบคุณมันเล็กน้อย แล้วรีบเดินเข้าไปในห้องทันที

ผมเดินเข้าไปนั่งที่โซฟา แอบหันไปมองช้อปที่เดินตรงมานั่งข้างๆ ผมนั่งกุมมือตัวเองจนเหงื่อชุ่มไปหมด

“มึงจะอยู่มืดๆ แบบนี้หรอ” ผมเงยหน้ามองรอบๆ ห้อง ที่ตอนนี้มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามาในห้องเท่านั้น ผมประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก

ผมเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟ

‘อันไหนล่ะเนี่ย’ ผมกดสวิตซ์ไฟปิด-เปิดไปมา ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน

“มึงโอเคใช่ไหม” ช้อปเดินเข้ามากดเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ข้างๆ

“โอเค...กูโอเค” ผมเดินเบลอๆ กลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิม

หัวใจผมเต้นรั่วจนทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าการให้ช้อปมันมานอนที่ห้องจะทำให้ผมประหม่าแบบนี้ ทั้งๆ ที่มันก็เคยเข้ามาในห้องผมแล้ว

“เราจะนั่งกันอยู่แบบนี้อีกนานไหม”

“ฮะ!!! …” ผมสะดุ้งตัวหันไปมองช้อปที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าผมเผลอนั่งนิ่งอยู่แบบนี้นานเท่าไรแล้ว

ตั้งสติหน่อยสิวะมิกซ์

“อะ...เออ งั้นมึงไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้มัน มันรับแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมคงต้องใช้เวลานี้ดึงสติตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด

กรึก!!!

“มึงกินยานี่...ก่อนนะ” เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก ผมชูยาที่เตรียมไว้ กะว่ามันอาบน้ำเสร็จออกมาจะได้กินยาแล้วเข้านอนเลย แต่ก็ต้องหยุดกึก มองมันที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ โดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวพันอยู่ที่เอวเท่านั้น

ผมเพิ่งเคยเห็นรูปร่างของมันเป็นครั้งแรก ซิกแพคลอนงามรับกับวีเชฟไม่ต่างจากของผม แต่ดูแล้วของมันน่าจะใหญ่กว่าของผมเล็กน้อย หยดน้ำที่เกาะบนตัวมันทำไมมันถึงดึงดูดสายตาผมได้มากขนาดนี้

“มิกซ์ๆ ... มิกซ์ มึงว่าอะไรนะ” มันเดินเข้ามาเขย่าตัวผม นี่ผมเผลอนั่งใจลอยอีกแล้วเหรอ

มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ยมิกซ์

“นี่ยานั้นเสื้อ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมยัดยาใส่มือมัน ลุกขึ้นยืนเดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“เออ...กูลืมผ้าเช็ดตัวน่ะ” ดันลืมผ้าเช็ดตัวซะงั้น

ผมเปิดน้ำให้ไหลผ่านร่างกาย หวังจะลดอาการร้อนผ่าวที่ใบหน้าลงได้บ้าง ผมย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ทำไมผมถึงได้ไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ เป็นเพราะผมเป็นห่วงมัน หรือเป็นเพราะผมรู้สึกผิดกับช้อปมันเหรอครับ ทำไมใจผมถึงเต้นแรงแบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

ผมยืนอยู่ในห้องน้ำอยู่นาน ออกมาอีกทีช้อปมันก็หลับไปแล้ว มันหลับแบบนี้ดูต่างจากตอนที่มันชอบกวนผม เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

เฮ้ย...เดี๋ยว แล้วทำไมผมต้องยิ้มด้วยเนี่ย

ผมเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน แล้วเดินออกมาปลุกมัน

“ช้อป...ตื่นเข้าไปนอนในห้อง” มันลืมตาขึ้นาด้วยความสะลึมสะลือ

“อื้อ...” มันลุกเดินตามผมเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงนอนที่เตียง

“แล้วมึงจะไปไหน” มันถาม ผมหยิบผ้าห่มกับหมอนเตรียมจะออกไปนอนที่โซฟาด้านนอก

“กูจะออกไปนอนข้างนอก อีก 2 ชั่วโมงเดี๋ยวกูเข้ามาดูอาการมึง”

“ไม่เอา” มันเหมือนจะไม่ยอม ผมฉวยโอกาสรีบปิดไฟเดินหอบผ้าห่มออกมาที่โซฟา

ผมกดโทรศัพท์ตั้งเวลาตั้งเวลาปลุก อีก 2 ชั่วโมง ผมต้องตื่นขึ้นมาดูอาการของมัน เผื่อว่ามันปวดหัวจะได้ให้มันกินยาเพิ่ม

ไฟทุกดวงในห้องถูกปิดลง ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกตัวเอง ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว ผมพยายามข่มตาตัวเองให้หลับจะได้มีแรงตื่นขึ้นมาดูอาการช้อปมัน

ตี๊ดๆ ๆ ตี๊ดๆ ๆ

เสียงโทรศัพท์ดังปลุกให้ผมตื่น ตีหนึ่งแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องเช็กอาการช้อปมัน

“โอ๊ย!!!”

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวขาลุกจากโซฟา เหมือนว่าเท้าผมเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง

ผมเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องดูที่พื้น

“ช้อป!!!” ผมเรียกช้อปที่กำลังนอนขดตัวอยู่ที่พื้น ทำไมมันมานอนอยู่ตรงนี้

มันยกมือขึ้นบังแสงไปจากโทรศัพท์ ผมรีบเดินไปเปิดไฟ แล้วกลับมาดูมัน

“มึงมานอนอะไรตรงนี้” ผมประคองตัวมันให้ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา

“กูอยากนอนกับมึง”

“แล้วทำไมไม่เรียกกู”

“กูไม่อยากกวนมึง” ผมส่ายหน้ามองมัน

ก่อนหน้านี้มันก็กวนผมอยู่เป็นประจำ ที่อย่างนี้กลับมาบอกว่าไม่อยากกวน ผมไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ

“แล้วนี่เป็นไงบ้าง” ผมจับมันหันหลัง ตรวจดูแผลที่หัวมัน เลือดมันยังไหลซึมออกมาเปื้อนผ้าก็อตไม่หยุดเลย

“เลือดมึงยังไม่หยุดไหลเลย”

“มิกซ์...กูขอถามมึงอีกรอบอีกรอบได้ไหม” มันไม่สนใจสิ่งที่ผมพูด จับไหล่ผมให้หันมองหน้ามัน

ผมนั่งนิ่งรอฟังสิ่งที่มันจะพูด

“มึงให้โอกาสกูได้ไหม”

ผมได้ยินคำถามนี้จากมันมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงและดังกว่าทุกครั้ง มันดังจนผมมั่นใจว่าช้อปก็ได้ยิน

อาการใจเต้นแรงแบบนี้ มันมักเกิดจะเกิดตอนที่ผมรู้สึกชอบใครสักคน แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองถึงได้มีอาการแบบนี้ต่อหน้าช้อป มันคงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดใช่ไหม ผมรู้สึกแบบนั้นกับมันจริงๆ เหรอ

ผมทาบมือลงที่หน้าออกข้างซ้ายของช้อป มันเองก็ใจเต้นแรงไม่ต่างจากผม

“มึงใจเต้นแรงคนเดียวไม่ได้หรอ” มันมองหน้าผมอย่างสงสัย

“ทำไมต้องทำให้กูใจเต้นแรงด้วย” ผมดึงมือกลับ มองดูมือตัวเองที่กำลังสั่น

“มึงหมายความว่ายังไง” ช้อปจับไหล่ พยายามให้ผมสบตามัน

“ขอเวลาให้กูได้ลองถามใจตัวเองดูก่อนนะ”

“กูรอได้” มันยิ้มกว้างส่งมาให้ผม

“แต่ระหว่างนี้เรื่องระหว่างกูกับฝ้ายหรือกับคนอื่น กูก็ยังตอบไม่ได้ว่ามันจะเป็นยังไง”

ผมเองก็อยากลองพิสูจน์ว่าความรู้สึกแบบนี้กับช้อปมันเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่ววูบ ผมอยากรู้ว่าระหว่างผู้หญิงที่ผมมองมาโดยตลอดกับช้อปผู้ชายที่เข้ามาทำให้หัวใจผมเต้นแรง สุดท้ายแล้วความรู้สึกของผมมันจะเป็นอย่างไร

“กูไม่ว่าอะไรมึงหรอก” แค่มึงให้โอกาสกูก็ดีใจแล้ว แต่วันนี้...” มันจ้องมองตาผม

“กูขอจองมึงไว้ก่อนนะ”

มันโน้มตัวเข้ามาจูบผมเบาๆ แปลกดีที่ผมนั่งนิ่งไม่ยอมขัดขืน





วันนี้ผมรีบตื่นตั้งแต่เช้า แต่งตัวแล้วรีบออกจากห้องโดยไม่ปลุกช้อป ผมโทรบอกให้พี่ฟลุ๊คช่วยเข้ามารับมันที่ห้อง จู่ๆ ผมก็ไม่กล้ามองหน้ามัน หลังจากที่นั่งนิ่งให้มันจูบเมื่อคืน แค่ตื่นขึ้นมาเห็นมันนอนอยู่ข้างๆ ใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ไม่รู้ว่าจะมองหน้ากับมันยังไง

“ไอ้มิกซ์” ผมหันมองตามเสียงเรียก

เฮ้ย...นั้นมันไอ้แทนกับไอซ์นี่ครับ

มันสองคนยืนโบกมือเรียกอยู่หน้าตึกคณะผม ไม่ได้เจอพวกมันเกือบอาทิตย์แล้ว ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เล่นเกมเลยไม่ค่อยได้คุยกับพวกมันเลย

“พวกมึงมาได้ไง” ผมวิ่งเข้าไปกอดคอพวกมัน

“หายหน้าหายตาเลยนะมึง เกมก็ไม่เล่น” มันบ่นผมทันที ปกติผมกับพวกมันคุยกันเกือบทุกวัน ห่างหายกันไปเกือบตั้งอาทิตย์ มันก็ต้องมีคิดถึงกันบ้างเป็นธรรมดา

“กูติดซ้อมประกวดว่ะ”

“เบื่อจริ๊ง มีเพื่อนหล่อเนี่ย” แทนมันล็อกคอผมไว้ ตบหัวผมเบาๆ

“เชี่ย!!!” ผมดันแขนแทนออก รีบเข้าไปหลบหลังมันสองคน

ช้อปมันกำลังเดินตรงมาที่ตึกครับ มันเดินมาพร้อมกับพี่ฟลุ๊คและพี่ฟิล์ม

“มึงกูไปก่อนนะ” ผมสะกิดหลังแทนกับไอซ์ เตรียมเดินหลบออกไปอีกทาง

“จะหนีไปไหน” ช้อปวิ่งเข้ามาคว้าตัวผมไว้

“เมื่อเช้าทำไมไม่ปลุกกู” ประโยคนี้ทำเอาแทนกับไอซ์หันมามองผมพร้อมกัน

ผมได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบพวกมันไป

“กูรีบไง” ผมตอบมันไปแบบห้วนๆ

“ช้อป เอ่อ...พี่ช้อปใช่ไหม” แทนเรียกถามช้อป ตั้งแต่พวกมันรู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันได้เจอหน้ากันจริงๆ แทนมันคงจำช้อปได้จากในรูปที่ผมเคยส่งให้มันดู

“แทนกับไอซ์ใช่ไหม” ช้อปชี้นิ้วที่แทบกับไอซ์สลับกัน

“คะ...ครับพี่ช้อป”

“แล้วนี่มาได้ไง” ช้อปทำหน้าแปลกใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่

“มาหามิกซ์ครับ ไม่ได้คุยกับมันเกือบอาทิตย์แล้ว” แทนตอบ

“พวกกูรีบ ไปก่อนนะ” ผมไม่ปล่อยให้พวกมันคุยกันนานกว่านี้ รีบคว้าแขนแทนกับไอซ์วิ่งออกมา ปล่อยให้ช้อปมันยืนมองตามหลังมาเท่านั้น

ต้องรีบออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ยิ่งอยู่ตรงนั้นยิ่งรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าขึ้นมาเรื่อยๆ

“มึงเป็นเชี่ยไรมิกซ์ พวกกูจะคุยกับช้อปมัน” แทนมันบ่นผม ดูมันตื่นเต้นที่ได้เจอกับช้อปตัวเป็นๆ แต่มันต้องไม่ใช่เวลานี้สิวะ

“แต่เดี๋ยวนะ ที่ช้อปมันบอกว่ามึงไม่ยอมปลุกมันหมายความว่าไง” ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ หันหน้าหนีมันสองคน

“มึงนอนกับมันแล้วหรอ”

“เฮ้ย...ไม่ใช่” ผมปฏิเสธมือเป็นระวิง

“เมื่อคืนกูมีเรื่องนิดหน่อย”

ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้พวกมันสองคนฟัง ยกเว้นเรื่องที่ผมจูบกับช้อป ถ้าบอกไปพวกมันได้ล้อผมไม่หยุดปากแน่

“แล้วมาหากูมีเรื่องอะไร” ผมถาม

พวกมันคงไม่คิดถึงผมจนต้องมาหาผมที่คณะเองแบบนี้ ดูจากสายตาของพวกมันแล้ว

“คืนนี้ไปเที่ยวกัน” มันส่งยิ้มแบบมีแค่เราสามคนที่รู้กัน ผมรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง ตอนมัธยมมันสองคนนี่แหละครับที่เป็นตัวบงการวางแผนพาผมหนีเที่ยวอยู่บ่อยๆ

“เออ...ดีเหมือนกัน เมื่อคืนกูแม่งเซ็งฉิบหาย วันนี้ขอแก้ตัวหน่อยละกัน”

“แล้วผัวววว ช้อปมึงจะไม่ว่าหรอ” ไอซ์มันหันไปขำกับแทนสองคน

“สัส!!! พวกมึง...”

“งั้นเจอกันตอนเย็นนะ” มันรีบวิ่งหนีเพราะผมง้างมือเตรียมไล่ฟาดพวกมันอยู่

เอาเป็นว่าคืนนี้ผมขอแก้ตัวหน่อยละกันครับ



ผมนั่งเรียนตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ผมมีนัดซ้อมเดือนต่ออีกจนถึงหนึ่งทุ่ม ผมโทรนัดแทนกับไอซ์ให้มาเจอกันที่คณะผม ซ้อมเสร็จผมจะได้กลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแล้วจะได้ออกไปร้านเลย

“วันนี้ฝ้ายกลับเองได้ไหม พอดีเรามีธุระนิดหน่อย” เธอพยักหน้ารับ ไม่ถามอะไรผมต่อ

แต่อีกคนนี่สิครับ ช้อปมันกำลังเดินตรงมาทางผม เอาไงดีครับ มันเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ แล้ว

หนีดีกว่า

“มึงจะไปไหน” มันวิ่งเข้ามาขวางทางผมไว้

“กูจะกลับห้อง”

“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนกูหน่อย” มันทำหน้าอ้อนๆ

“กูมีนัดแล้ว”

“ไปไหน” มันเน้นเสียงถามผม

“ไปเที่ยว” ผมหดคอ ตอบมันเสียงเบา

ผมปล่อยให้มันยืนจ้องหน้าผมอยู่นาน รอฟังว่ามันจะพูดอะไร

“อย่ากินเหล้าเยอะ ถึงห้องแล้วโทรหากูด้วย”

ผมฟังไม่ผิดใช่ไหมครับ มันไม่เหมือนกับที่ผมคิดไว้ แค่เวลาไม่กี่ชั่วโมงทำไมผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป

“ไม่ห้าม?”

“กูบอกเองว่าจะรอ ระหว่างนี้กูจะมองมึงอยู่ห่างแล้วกัน”

มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เมื่อวานแค่ผมใส่เสื้อคอกว้างมันยังนั่งหน้าบึ้ง ถึงกับต้องหาเสื้อแจ๊คเก็ตมาให้ผมใส่อยู่เลย

คงเหลือแค่ผมแล้วครับ ที่ต้องพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองบ้าง

“แต่มึงห้ามใส่เสื้อตัวเมื่อวานนะ”

ไอ้สัส!!!

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 11



“หล่อเกินหน้าเกินตาเพื่อนอีกแล้วนะมึง” ไอซ์เดินมากอดคอผมจากด้านหลัง ใช้มือยีหัวผม

“สัส ผมกูเสียทรงหมด” ผมยืนจัดทรงผมตัวเองอยู่ข้างๆ รถ

“แล้วนี่มึงไม่ร้อนบ้างหรอวะ” ไอซ์มองสำรวจชุดที่ผมใส่

ชุดที่ผมใส่วันนี้คือเสื้อยืดกับกางเกงยีนแบบที่ผมชอบ แต่มีแจ็คเก็ตตัวที่ช้อปมันซื้อให้สวมทับอยู่ จะได้ไม่โดยช้อปมันโวยวายใส่ทีหลัง ไม่รู้ว่ามันจะอะไรนักหนากับสไตล์การแต่งตัวของผม

“มันเป็นสไตล์” ผมหาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองดูดีตอบไอซ์ไป ถึงตอนนี้จะรู้สึกร้อนอย่างที่ไอซ์มันบอกก็ตาม

“วันนี้มึงห้ามพลาดนนะ” แทนยักคิ้วเป็นสัญญาณ ผมเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เมื่อวานผมพลาดไปม่อสาวที่มีเจ้าของแล้ว จนเกือบโดนแฟนเธอใช้ขวดฟาดหัว ดีที่ช้อปมันเข้ามาช่วยไวได้ทัน

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ วันนี้ผมเตรียมตัวมาอย่างดี ยังไงก็ต้องได้สาวๆ ติดไม้ติดมือกลับไปให้ได้

“กูซะอย่าง” ผมยักคิ้วกลับ เดินตัวปลิวนำพวกมันเข้าไปในร้าน

บรรยากาศภายในร้านดูไม่ต่างจากเมื่อวานสักเท่าไร มีเพียงแนวเพลงที่ถูกเปลี่ยนเป็นแนว EDM ที่เร้าใจและเพิ่มความครึกครื้นได้เป็นอย่างดี

เครื่องดื่มถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมที่โต๊ะ แทนจัดการผสมเหล้าเข้มๆ กับโซดาอย่างชำนาญมือ สมแล้วที่พวกเราแอบหนีเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ

แก้วเหล้าสีเข้มวางลงตรงหน้า ผมหยิบมันขึ้นมาเตรียมกระดกรวดเดียวแบที่ผมชอบทำ

‘อย่ากินเหล้าเยอะ ถึงห้องแล้วโทรหากูด้วย’ เสียงช้อปดังขึ้นในหัว ผมมองแก้วเหล้าที่อยู่ในมือแกว่งมันไปมา เฮ้อ...ผมยกแก้วขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยก่อนวางมันลงที่โต๊ะ

แทนกับไอซ์ยืนมองหน้าผมสลับกันไปมา

“แดกแค่นี้ ไม่สมกับเป็นมึงเลย” แทนบ่น

“เออ ใช่” ไอซ์พยักหน้าเห็นด้วย

ปกติพวกมันจะเห็นผมกระดกเหล้ารวดเดียวหมด พวกมันคงไม่ชินกับการยืนจิบเหล้าแบบนี้ของผม

ไม่รู้ทำไมผมต้องทำตามที่ช้อปมันบอกด้วย

“กูไม่อยากเมา ถ้าเมากูก็อดหิ้วสาวสิ” ผมหาข้ออ้างเพื่อเลี่ยงคำถามจากพวกมัน

เสียงเพลงดังปลุกเร้าอารมณ์ให้พวกเราลุกจากเก้าอี้ เราสามคนต่างวาดลวดลายการเต้นกันอย่างสนุกสนาน

ขวับ!!!

ผมรู้สึกว่ามีใครสักคนจ้องมองเราอยู่ ผมมองรอบๆ ตัวพยายามหาเจ้าของสายตาคู่นั้น

“มิกซ์ๆ” แรงกระแทกที่สีข้างเรียกให้ผมหันกลับมา แทนพยักหน้าให้ผมมองสาวสวยที่นั่งมองผมอยู่ ดูท่าว่าเธอกำลังเรียกร้องผมด้วยสายตา เธอชูแก้วขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มอันยั่วยวนมา ผมหยิบแก้วของตัวเองเดินตรงเข้าไปหาเธอ

“ขอชนแก้วได้ไหมครับ” เธอยกแก้วขึ้นมาชนกับแก้วของผม

“มาคนเดียวหรอครับ” ผมโปรยยิ้มหวานใส่เธอ

“ค่ะ แล้วน้องมิกซ์ละ มาคนเดียวหรอ” ผมขมวดคิ้วมองหน้าเธอ นี่เธอรู้จักผมด้วยเหรอครับ

“รู้จักผมด้วย?”

“ทำไมจะไม่รู้จัก เดือนวิศวะสุดหล่อ” รู้สึกดีจังเลยครับเวลาที่มีคนชมแบบนี้ ยิ่งเป็นสาวสวยด้วยแล้วผมนี่ยืดอกรับแทบไม่ทัน

“ดีใจจังเลย คนสวยๆ รู้จักด้วย” ผมโน้มตัวเข้าไปใกล้ ฉีกยิ้มสบตาเธอ

“ปากหวานจัง เด็กคนนี้”

“ไม่เด็กแล้วนะครับ”

“จะจริงอย่างที่พูดไหมน๊า” เธอส่งสายตายั่วยวนมา มือเรียวลูบวนที่หน้าอกผม มันทำให้ผมแทบจะทนไม่ไหวอยากตะปบเธอตรงนี้ซะเลย

“คงต้องพิสูจน์แล้วละครับ” ผมก้มไปกระซิบที่หู ฉกหอมแก้มเธอไปครั้งหนึ่ง



ผมเดินออกจากลิฟต์ มือข้างหนึ่งโอบเอวสาวสวยอยู่ ผมแยกตัวออกมาจากแทนกับไอซ์ สาวสวยเธอเสนอให้ไปที่ห้องเธอ ผมเองก็ไม่ขัด ขับรถออกจากร้านตรงมาที่คอนโดเธอ

“ใจเย็น เดี๋ยวขออาบน้ำก่อน” ผมผลักเธอลงไปนอนที่โซฟา กระโดดตามขึ้นไปคร่อมตัวเธอไว้

“ไม่ต้องหรอกครับ” ผมทนไม่ไหว กดแขนเธอไว้ ก้มลงไปซุกไซ้ที่ต้นคอเธออย่างหื่นกระหาย

เธอเองก็ไม่ขัดขืน มือสองข้างคล้องคอลูบไล้ที่แผ่นหลังผม เสื้อแจ็คเก็ตหนาของผมถูกถอดออก มือผมควานหาซิบที่อยู่ด้านหลังชุดเดรชสีดำของเธอ ผมถอดชุดของเธอออก จนตอนนี้ร่างกายของเธอเหลือเพียงชุดชั้นในสีชมพูตัวจิ๋วเท่านั้น ผมปลดเข็มขัดถอดกางเกงของตัวเองออกบ้าง

ผมมองสำรวจร่างกายเธออีกครั้ง ก่อนโน้มตัวลงไปซุกไซ้เธออีกครั้ง มือคลึงอยู่ที่เต้านูนทั้งสองข้างของเธอ

“อ้า…” เสียงเธอร้องครางกระเส่าไม่ขาดสาย

“อื้อ...” ผมประกบปากแลกลิ้นกับเธอ มือไล่ลงปลดตะขอชุดชั้นในของเธอ

ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆ ๆ

ผมถอนปากออก ขมวดคิ้วมองหน้าเธอ

“เมย์ เปิดประตูให้เค้าหน่อย” เธอตาโตผลักตัวผมออก หยิบชุดของตัวเองขึ้นมาใส่อย่างลุกลี้ลุกลน

“มีอะไรรึเปล่า” ผมมองหน้าเธออย่างงงๆ

เธอหยิบเสื้อผ้าผมยัดใส่มือ เปิดประตูระเบียงดันผมให้เข้าไปหลบหลังผ้าม่าน

“แฟนพี่มา หลบอยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

“ห๊ะ…” เธอไม่รอให้ผมถามต่อ ดึงผ้าม่านบังตัวผมไว้ แล้วรีบวิ่งออกไปทันที

อะไรอีเหรอครับ แฟน เธอบอกผมว่าแฟนเธอมา ผมโดนหลอกอีกแล้วเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้ซวยสองวันติดขนาดนี้ครับ

ผมยื่นนิ่งไม่ขยับตัวเพราะได้ยินเสียงเท้ากำลังเดินเข้ามาในห้อง

“ไหนตัวเองบอกว่าจะกลับมาพรุ่งนี้” เสียงสาวสวยถาม

“เค้าคิดถึงตัวเองไง” เสียงแฟนเธอหอมแก้มเธอฟอดใหญ่

ผมยังยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก คงต้องรอจนกว่าแฟนเธอจะกลับไป

“ตัวจะไปไหน”

“เค้าจะออกไปสูบบุหรี่สักหน่อย” เสียงเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมรีบกลั้นหายใจกลัวว่าเขาจะได้ยิน ถ้าโดนจับได้ผมคงกลายเป็นศพอยู่ข้างล่างตึกแน่

“ไม่ได้!!!”

“ทำไมล่ะ” เสียงสาวสวยวิ่งเข้ามาใกล้ประตู

“เออ...พอดีเค้าตากเสื้อเอาไว้” เธอยกข้ออ้างบอกแฟนตัวเอง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเสียงเท้าเริ่มห่างออกไปแล้ว

“งั้นเค้านอนก่อนนะ” เสียงทิ้งตัวลงนอนดังอยู่ไม่ไกลจากผม

จะมานอนอะไรตอนนี้วะ

“เค้าหิวอ่ะ เราออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า” เสียงสาวสวยรบเร้าแฟนเธอ ถ้าเขาไม่ยอมผมคงออกจากห้องนี้ไม่ได้แน่

ตายแน่ครับงานนี้ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นชู้เขาซะงั้น ทำไงดีครับ

แทน ไอซ์ ใช่สิผมต้องเรียกให้มันสองคนมาช่วย

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาไอ้แทน

‘ไม่ได้สิเดี๋ยวข้างในได้ยิน’ ผมกดวางสาย เปลี่ยนเป็นพิมพ์ข้อความส่งไปแทน

‘แทนมึงมาช่วยกูที่ แฟนเธอกลับมาห้องว่ะ’

ผมยืนรอการตอบกลับ

เงียบ

ผมกดส่งอีกข้อความให้ไอซ์

‘ไอซ์ช่วยกูที’

ยังคงไม่มีการตอบกลับมาจากมันทั้งสองคน แย่แล้วครับ ถ้าโดนจับได้ผมเละแน่

‘กวนส้นตีน’ ผมเลื่อนหน้าจอมาเจอกับเบอร์ช้อป เหลือแค่มันคนเดียว ผมคงต้องพึ่งมันแล้วล่ะครับ

‘ช้อปช่วยกูที กูกำลังมีปัญหา’ ผมกดส่งข้อความหามัน

‘รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวกูรีบไป’ ผมยืนนิ่งกำโทรศัพท์ในมือแน่น

มึงรีบๆ มานะช้อป

ไม่ถึงสิบนาที เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นหน้าห้อง

“อ้าวช้อป มึงมาได้ไง”

“กูมีเรื่องให้มึงช่วย ออกมากับกูหน่อย” ผมยืนฟังบทสนทนาระหว่างช้อปกับแฟนสาวสวย ทำไมดูเหมือนสองคนนั้นรู้จักกันและน่าจะสนิทกันในระดับหนึ่งด้วย

“รีบออกมาเร็ว” สาวเจ้ารีบวิ่งเข้ามาลากแขนผมออกจากห้อง

“รีบๆ กลับไป” เธอบอกแล้วรีบปิดประตูใส่หน้าผม โดยไม่มีคำบอกลา

โดนอีกแล้วมิกซ์เอ๊ย

ผมเดินออกมาทั้งๆ ที่ใส่แค่เสื้อยืดกับบ๊อกเซอร์เท่านั้น ผมหอบเสื้อผ้าเดินหลบเข้าตรงมุมบันได

“หลอกกันได้” หยิบเสื้อกับกางเกงขึ้นมาใส่ ปากก็บ่นสาวเจ้าไปด้วย มีแฟนแล้วก็ไม่บอก

“เป็นไงบ้างล่ะ” ผมมองตามเสียง เงยหน้ามองคนที่กำลังยืนกอดอกมองผมอยู่ข้างบน

“ขอบใจมึงนะ ท่มาช่วยกู”

“ที่หลังก็หัดดูตาม้าตาเรือบ้าง” ผมเดินลงบันไดโดยมีช้อปเดินบ่นอยู่ข้าง ไม่รู้จะบ่นอะไรนักหนา

แต่เดี๋ยวนะ...

“มึงรู้ได้ไงว่ากูอยู่ที่นี่” ผมหยุดเดินหันไปมองมัน

ผมจำได้ว่าตอนที่ส่งข้อความไป ผมยังไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรกับมันเลย แต่มันกลับหาผมเจอภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที

“หยุดเดี๋ยวนี้ มึงแอบตามกูมาใช่ไหม” ผมเรียกมันไว้เพราะมันทำท่าจะวิ่งหนี

ผมมั่นใจว่ามันแอบตามผมมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ร้านเหล้าแล้ว ผมรู้สึกว่ามีคนมองผมอยู่ตลอดเวลา คงเป็นมันนี่แหละครับ

“ขอบคุณมึงมากนะ” มันหยุด หันเดินกลับมาหาผม

ผมคงไม่กล้าว่ามันหรอก ผมเองที่ไม่ยอมดูตาม้าตาเรือ ถ้าไม่ได้มันมาช่วยไว้ ผมคงโดนแฟนสาวสวยเธอโยนผมลงจากคอนโดแล้ว

“มึงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” มันลูบหัวผมเบาๆ

“คราวหน้ากูต้องดูให้ดีๆ ก่อนแล้วแหละ”

“ยังจะมีคราวหน้าอีกหรอ” มันเปลี่ยนจากลูบเป็นเขกหัวผมแทน





“มึงเป็นไงบ้าง” ผมกดรับสายแทนที่โทรมาตอนที่ผมถึงห้องแล้ว

“ไม่โทรมาตอนที่กูโดนโยนลงจากตึกเลยล่ะ”

“โทษทีกูเพิ่งเห็น”

“เออไม่เป็นไร”

“พรุ่งนี้เอาใหม่ไหม” ผมนั่งไขว่ห้าง คิดถึงเรื่องเมื่อวานกับวันนี้ ผู้หญิงสวยโสดไม่มีแล้วหรือยังไง ทำไมผมถึงพลาดไปกับสาวสวยที่มีแฟนแล้วติดกันถึงสองคน จะมีใครซวยแบบผมอีกไหมครับ

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก มันต้องมีสักวันที่เป็นวันของผม

“จัดไป”



เย็นวันถัดมา ผมกลับไปที่ร้านเหล้าร้านเดิมอีก วันนี้ผมได้สาวสวยมาอีกคนผมและผมแน่ใจว่าเธอคนนี้โสด ครั้งนี้ผมรอบคอบมากกว่าเมื่อวาน ผมพาเธอกลับมาที่ห้องตัวเอง จะได้ตัดปัญหาไม่ต้องกลัวว่าใครจะมากวนอีก

ผมเริ่มปฏิบัติการสวาทกับเธอทันทีที่ถึงห้อง เสื้อผ้าของเธอถูกถอดออกจนเหลือเพียงชุดชั้นใน ผมเองก็เหลือเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว ปกปิดส่วนล่างไว้เท่านั้น ถึงเวลาเผด็จศึกเธอแล้วครับ ผมก้มหน้าลงซุกกับหน้าอกนูน มือลูบไล้ที่หน้าท้องของเธอ

นอกจากนมแม่ที่ผมชอบดูดตอนเด็กๆ ก็มีนมสาวๆ นี่แหละครับที่ผมชอบ มันช่างเย้ายวนผมซะเหลือเกิน

ผมจัดการถอดชุดชั้นในของเธอออก ตอนนี้เธอนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง ผมหยิบถุงยางขึ้นมาสวมน้องชายตัวเองที่ตั้งชัน พร้อมมอบความสุขให้กับสาวสวยแล้ว

“จะใส่แล้วนะ” ผมก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูเธอ ขยับตัวให้น้องชายจ่อตรงกับส่วนกลางของเธอ เธอเองก็หลับตาพริ้มรอรับความสุขจากผมเช่นกัน

Rrrrr Rrrrr

“อื้อ...” ไม่ใช่เสียงครางด้วยความเสียว แต่มันเป็นเสียงครางด้วยความหัวเสียของผม จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่หัวเตียงก็ดังขึ้น

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจเสียงดัง ลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ

ใครมันโทรมาเวลาแบบนี้

“คุณมิกซ์ เจ้าของห้อง 401 ใช่ไหมคะ”

“ครับ มีอะไรรึเปล่า” ผมกรอกเสียงเซ็งๆ ตอบกลับไป

“รถของคุณโดนชนค่ะ”

“อ๊ะ!!!” ผมโพล่งออกไปเสียงดัง

รถผมโดนชน เป็นไปได้ยังไงครับ ผมจอดไว้ที่ชั้นจอดรถของหอพัก แล้วจะโดนชนได้ยังไง

“ครับๆ เดี๋ยวผมรีบลงไป” ผมกดวางสาย หันไปมองสาวสวยที่นอนรออยู่บนเตียง

“รอแป๊บนะ เดี๋ยวผมรีบกลับมา” ผมบอกเธอ มือคว้าเสื้อยืดกับกางเกงบ๊อกเซอร์ขึ้นมาใส่ รีบวิ่งเข้าลิฟต์ลงไปที่ชั้นจอดรถ

“คุณเป็นเจ้าของรถใช่ไหมครับ” ผมเดินผ่านหน้าผู้ชายที่ถามผม ตรงเข้าไปลูบตรงกันชนหน้ารถที่โดนชนจนยุบเข้าไป

“ใครมันชน บอกพ่อมาสิ” ผมพูดกับรถสุดรักของผม มือก็ลูบตัวรถไปด้วย

ลูกชายสุดที่รักของผม รถคันนี้เป็นรถที่ผมได้เป็นของที่ผมสอบติด ถึงมันจะไม่ได้เป็นรถหรูก็เถอะ แต่ผมก็รักและดูแลมันเป็นอย่างดี

“ใครที่ชนรถผม” ผมหันกลับมาถามผู้ชายที่อยู่ด้านหลัง

“กูเองแหละ”

“มึงมาได้ไง” ผมถามช้อปที่กำลังเดินออกมาจากรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ มันเป็นคนขับรถชนรถผมครับ

“แค่จะมากลับรถ” มันตอบด้วยสีหน้าเรียบ

“กลับรถ?” ถนนมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมมันต้องมากลับรถที่หอผมด้วย แล้วนี่มันกลับรถยังไงถึงได้ชนรถผมได้

“นั้นประกันกู” ผมหันไปคุยกับพนักงานประกันสักพัก ได้ข้อสรุปว่าทางช้อปมันจะรับผิดชอบค่าซ่อมทั้งหมด แต่ต้องเอารถผมเข้าศูณย์หนึ่งอาทิตย์ แล้วผมจะเอารถที่ไหนใช้ละครับทีนี้

“เดี๋ยวทางเราจะเอารถมาส่งให้นะครับ” ผมยื่นกุญแจรถให้กับพนักงานประกัน

ผมยืนมองลูกชายคันโปรดของผมกำลังขับออกห่างจากผมไปเรื่อยๆ

“ไปไหน” ช้อปเดินเข้ามาคว้ามือผมไว้

“เรื่องของกู” ผมรีบเดินหนีมันเข้าไปในลิฟต์

ผมต้องรีบกลับห้องไปหาสาวสวย จะได้กลับไปต่อเรื่องที่เราทำค้างกันไว้

ว่างเปล่า ผมเปิดประตูห้องเข้ามาก็ไม่เจอเธออยู่ในห้องแล้ว เธอคงกลับไปตอนที่ผมลงไปเคลียเรื่องรถเมื่อกี้

นี่ผมพลาดสาวๆ สามคนติดเลยเหรอครับเนี่ย ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้

ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆ ๆ

เสียงเคาะประตูดังไล่หลังมา หรือว่าเธอจะกลับมา ผมหวังให้เป็นอย่างนั้นนะครับ

ผมฉีกยิ้ม รีบวิ่งไปเปิดประตูเตรียมต้อนรับเธอกลับมา

“มึงตามมาทำไม” ผมหุบยิ้มเปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งทันทีที่รู้ว่าเป็นช้อป

มันเดินเบียดผมเข้ามาในห้อง ตรงเข้าไปในห้องนอนผม

“อะไรของมึง” ผมยืนงงกับท่าทางของมันที่เดินออกมาจากห้องนอน

ผมว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวกับที่มันขับรถชนรถผมแน่ หรือว่า...

“ไหนมึงบอกจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้” ผมเดินเข้าไปหามัน

“กูพยายามแล้ว แต่เห็นมึงอยู่กับคนอื่นกูทนไม่ได้จริงๆ” เป็นอย่างที่ผมคิดครับ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันตั้งใจที่จะขัดขวางไม่ให้ผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ถึงกับต้องขับรถชนรถผม

“แล้วนี่กูจะเอารถที่ไหนใช้”

“ไม่ต้องห่วง กูจะคอยรับคอยส่งมึงเอง แต่ตอนนี้...” มันมองสำรวจตัวผม สายตามันเจ้าเล่ห์เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

มันผลักผมให้ล้มลงไปนอนที่โซฟา กระโดดตามขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้

“เมื่อกี้มึงคงค้าง เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง” มันกดแขนผมไว้ ก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม

“มึงจะทำอะไร อื้อ...” มันไซ้ที่ซอกคอ จนผมเผลอครางออกมา

ผมพยายามขัดขืน แต่ก็สู้แรงมันไม่ได้ มันไล่จมูกขึ้นมาที่แก้มที่หน้าผากและกดจูบลงที่ปากผม

“อื้อ...” มันสอดลิ้นเข้าในปาก ควานหาลิ้นผมที่อยู่ภายใน

มันจูบผมอยู่นาน จนมันยอมถอนปากออก ปล่อยแขนและลุกออกจากตัวผม

มันยืนยิ้มมองหน้าผมที่กำลังนอนนิ่ง หน้าร้อนผ่าวอยู่บนโซฟา

“ไหนบอกว่าชอบผู้หญิง กูจูบแค่นี้ ทำไม่แข็งชี้หน้ากูขนาดนั้น”

ผมมองลงไปที่ท่อนล่างของตัวเอง ที่กำลังตั้งชันอยู่ภายใต้บ๊อกเซอร์ตัวบาง ผมรีบลุกขึ้นนั่งกุมเป้าตัวเองไว้

“มึงออกไปเลยนะ” ผมชี้นิ้วไปที่ประตูห้อง มันเดินออกไปโดยไม่ขัดขืนอะไร ผมหนีบขาทำหน้าบึ้งมองมันที่กำลังเดินออกไป

ผมยืดตัวตรงมองน้องชายตัวดีที่ยังชูชันไม่ยอมลงสักที

“อย่าแอบชักว่าวคนเดียวล่ะ” มันโผล่หน้าเข้าในห้อง ทำเอาผมกุมเป้าตัวเองแทบไม่ทัน

ไม่จริงใช่ไหม นี้ผมถึงขั้นมีอารมณ์กับช้อปมันแล้วเหรอเนี่ย ม้ายยยย

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 12


“พวกมึงเคยมีอารมณ์กับ...ผู้ชายด้วยกันไหม” ผมกรอกเสียงใสไมค์โครโฝนที่ติดอยู่กับหูฟัง

“อย่าบอกนะว่ามึงเสร็จช้อปมันไปแล้ว” แทนมันดูตกใจกับสิ่งที่ผมถาม

“หรือว่ามึงเป็นเกย์วะมิกซ์” ไอซ์พูดแทรกเข้ามา

“ไอ้สัส ไม่ใช่ เกย์ห่าอะไร กูนอนกับผู้หญิงมาตั้งหลายคนแล้วพวกมึงก็รู้” มันสองคนเออออตามผม

“แล้วมึงถามพวกกูทำไม” แทนถาม น้ำเสียงมันดูอยากรู้เรื่องของผมมาก

“กูแค่ถาม เผื่อว่าพวกมึงเคยไง” เราสามคนสนิทกันมาก จนสามารถพูดเรื่องพวกนี้ได้โดยไม่รู้สึกแปลกอะไร

“ไอ้สัส กูจะเคยได้ไง” แทนตอบ

“เออใช่ พวกกูจะเคยได้ไง แต่นี่อย่าบอกนะว่ามึงมีอารมณ์กับช้อปมัน” ไอซ์ยิ่งคำถามเข้าจุดผม

“คงงั้นมั้ง”

“เฮ้ย!!! ตั้งแต่เมื่อไร/ตั้งแต่เมื่อไร” มันประสานเสียงกันเสียงดัง จนผมต้องถอดหูฟังออก

“พวกมึงจะเสียงดังทำไมวะ”

“มึงรีบเล่ามาเลย” แทนรบเร้าให้ผมพูด มันคงอยากรู้เรื่องระหว่างผมกับช้อปว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมเล่าเหตุการณ์ที่เมื่อไม่นานนี้ให้พวกมันฟัง รวมถึงอาการใจเต้นแรงเวลาที่ผมมองหน้าช้อปมันด้วย

“เรื่องที่มึงแข็งตอนที่ช้อปมันเล้าโลม มึงอาจอารมณ์ค้างอยู่ก็ได้” ผมเห็นด้วยกับคำตอบนี้ของแทน ก็ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรกับเธอให้เสร็จเลย มันก็ต้องมีอารมณ์ค้างกันบ้าง ก็เพราะช้อปมันนั่นแหละที่เข้ามาขวางผม

“แต่เรื่องหลัง...กูว่ามึงเริ่มชอบช้อปมันแล้วว่ะ” ผมถอดหูฟังออก นั่งมองหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมเริ่มชอบป้อมมันแล้วจริงๆ เหรอ ผมชายเนี่ยนะที่ผมชอบ

เฮ้อ...เสืออย่างมึงเนี่ยนะมิกซ์ชอบผู้ชาย



ก็อกๆ ๆ ก็อกๆ ๆ

“มาทำไม” ผมถามช้อปที่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตูห้อง

“มารับมึงไปเรียนไง” ผมลืมไปเลยว่ามันบอกจะมารับผมจนกว่ารถของผมที่มันขับชนจะซ่อมเสร็จ

“ไม่ต้องกูเดินไปเองได้”

“มึงไม่สบายรึเปล่าหน้าแดงๆ” มันไม่สนใจที่ผมพูด ทาบมือที่หน้าผากผม

ป่วยอะไร ผมสบายดี

“กูไม่ได้เป็นอะไร” ผมถอยหลังหนีมัน ยิ่งอยู่ต่อหน้ามัน อากาศรอบห้องเหมือนจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ

“มึงเขินกูหรอ” มันเดินเข้ามาขวางหน้าผมไว้ ท่าทางมันจะมีความสุขมากที่เห็นผมเป็นแบบนี้

“เขินเชี่ยไร” ผมเบียดมัน เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนโซฟา เดินสวนช้อปเปิดประตูออกไปนอกห้อง

“ไหนบอกจะมารับกูไปเรียนไง” ผมหันกลับไปบอกช้อปที่ยืนทำหน้างงอยู่ในห้อง มันยิ้มกว้าง รีบวิ่งตามผมออกมาอย่างรวดเร็ว

ทำอย่างกับเด็กได้ของเล่นงั้นแหละ

ผมเดินออกจากห้องลงมาที่ชั้นจอดรถของหอพัก โดยมีช้อปเดินเบียดอยู่ข้างๆ

“บ้านมึงรวยนักหรอ ถึงขับรถชนรถกูแบบนั้น” ผมถามมันกันที่จะเดินถึงรถของมันที่จอดอยู่ มันใช้รถคันใหม่มารับผมครับ

“แพงหน่อย แต่กูว่ามันคุ้มนะ” มันยิ้มแล้วเดินไปเปิดประตูรถให้ผม

“กูเปิดเองได้” มันทำเปนไม่สนใจ ยืนยิ้มรอให้ผมเข้าไปในรถ

“อะนี่” มันยืนถุงเซเว่นส่งมาให้ผม

“อะไร”

“ก็มึงไม่ชอบกินข้าวเช้า” ผมเปิดถุงนั้นดู ข้างในมีแซนด์วิซทูน่ากับนมรสเมล่อน

สงสัยจังว่าใครที่เป็นคนบอกมัน

ผมนั่งฟังช้อปมันฮัมตามเพลงที่เปิดไว้ ขนาดเพลงเศร้ามันร้องไปยิ้มไป มันไปโดนตัวไหมมาถึงได้อารมณ์ดีแบบนี้

“ตอนเย็นเดี๋ยวกูโทรหา” ผมพยักหน้ารับ

ช้อปเดินลงมาส่งผมถึงหน้าตึกคณะ วันนี้มันไม่มีเรียนช่วงเช้า แต่มันก็ยังตื่นขึ้นมารับผมมาส่งที่มหาลัย



“นั้นพี่ช้อปไม่ใช่หรอ ทำไมมากับมิกซ์ได้” กิ๊ฟยืดคอมองช้อปที่ยังยืนอยู่หน้าตึกไม่ยอมไปไหน

“ไม่มีไรหรอก พอดีว่ารถเราเสีย มันขับผ่านมาพอดีมันเลยอาสามาส่ง” ผมจำเป็นต้องโกหกไป ถ้าไม่ทำอย่างนั้น สองสาวดูโอ้ที่นั่งจ้องเหมือนกับกำลังจับผิดผมอยู่ คงไม่หยุดสงสัยแน่

"เราถามจริงๆ นะ พี่ช้อปตามจีบมิกซ์อยู่รึเปล่า”

“เปล่า!!!” ผมลุกขึ้นยืน ส่ายหน้าไปมา กลัวว่าเพื่อนจะไม่เชื่อ

“แต่เราว่า...”

“แกถามอะไรมิกซ์มันแบบนั้น มันจีบฝ้ายอยู่แกก็รู้” คิมพูดขัดขึ้น มันช่วยผมได้ทันเวลาจริงๆ ผมทำได้เพียงนั่งพยักหน้าหงึกๆ ไปเท่านั้น

ทำไมผู้หญิงถึงได้มีเซนส์กับเรื่องพวกนี้กันจัง ถ้าอยู่ตรงนี้ต่อผมต้องโดนซักจนจนมุมแน่

“เราไปห้องเรียนก่อนนะ” ผมรีบลุกขึ้น มุ่งหน้าตรงไปยังห้องเรียน ที่ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงคาบเรียน ผมดูไม่มีพิรุธใช่ไหมครับ





เสียงอาจารย์พูดผ่านลำโพงที่ติดอยู่ทั่วห้อง ผมจับปากกา ก้มหน้าขีดเขียนลงบนสมุด ไม่ได้จดเลคเชอร์หรอกครับ ผมมัวแต่นั่งวาดรูปเรื่อยเปื่อย เพราะในหัวยังคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืน

“นายธีระ นายธีระ!!!”

“ผมไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับ” ผมมัวแต่นั่งเหม่อไม่ได้ยินเสียงอาจารย์เรียก จนเผลอโพล่งสิ่งที่กำลังคิดอยู่ออกไปซะเสียงดัง

ผมทำอะไรลงไปเนี่ย

นักศึกษาทั้งชั้นหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน รวมถึงฝ้ายที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง เสียงแซวดังขึ้นทั่วห้อง เพื่อนในกลุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบดึงตัวผมให้นั่งลงก่อนที่จะเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้

“เธอเป็นอะไรของเธอ นายธีระ” อาจารย์ป้าหน้าโหดกรอกเสียงใส่ไมค์

“เขาละเมอค่ะอาจารย์” มิลล์ไหวพริบดี ช่วยรับหน้าตอบอาจารย์แทน ผมอยากจะขอบคุณมิลล์จริงๆ ผมเองไม่รู้จะตอบอาจารย์ว่ายังไงดี

ประโยคที่ผมเผลอพูดออกไปวันนี้กลายเป็นทอคออฟเดอะทาวน์ ผมเดินผ่านใครก็จะโดนถามโดนแซวทุกครั้ง

“เดือนคณะกูเป็นเกย์หรอวะ” เสียงแซวจากกลุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ ทำไมผมคุ้นหน้าเข้าจัง ผมจำได้แล้วเขาคือแฟนของเมย์ สาวที่ผมเคยม่อไว้ จนเกือบโดนเขาจับได้

“แล้วพี่เกี่ยวอะไรด้วย” ผมสวนกลับเขาไปทันควัน

“มึงกล้าพูดแบบนี้กับรุ่นพี่ได้ยังไง” เข้าลุกขึ้นเดินตรงตรงเข้ามาอย่างเอาเรื่อง

“มึงจะเอายังไง” เขาผลักที่หน้าอกผม ผมทนไม่ไหวปัดมือเขาออก แต่เขายังดึงคอเสื้อผมไปกำไว้แน่น

“ปล่อย” เสียงดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับมือที่ยื่นมากำแขนของเขาไว้

“มึงไม่ต้องมายุ่ง กูจะสั่งสอนไอ้เด็กนี่” เขายังคงกำคอเสื้อผมแน่น กระชากผมให้เข้าไปใกล้เขาอีก

“กูบอกให้ปล่อย” ช้อปพูดเสียงเรียบ ผมสังเกตเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนบนหลังมือของมัน

“โอ๊ย...มึงเป็นเชี่ยอะไรของมึงช้อป” เขาปล่อยมือจากคอเสื้อผม คงทนแรงบีบจากมือช้อปไม่ได้

“มึงล่ะเป็นเชี่ยอะไร” ช้อปถามกลับ

“ก็ไอ้เด็กนี่มันกวนตีนกู” ผมไปกวนตีนเขาตอนไหน ผมก็อยู่ส่วนผม เขาเองที่มาหาเรื่องผมก่อน

“หรอ...งั้นเดี๋ยวกูจัดการน้องมันให้เอง” ช้อปคว้าแขน ดึงให้ผมเดินตาม

“แต่ผมขอเตือนพี่ไว้ก่อน ดูแลแฟนพี่ดีล่ะ ระวังจะโดนสวมเขาแบบไม่รู้ตัว” ผมหันกลับไปพูดกับเขา ดูเขางงๆ ไม่เข้าใจที่ผมพูด

“มึงหมายความว่าไง”

“หึๆ” ผมเพียงยกยิ้ม หัวเราะในลำคอ แล้วเดินนำหน้าช้อปออกมา

“ยังจะเก่งอีกนะ ถ้ามันรู้เรื่องนั้น มึงได้ตายคาตีนมันแน่” ช้อปเขกที่หัวผมไปที่หนึ่ง ก็มันอดไม่ได้จริงๆ หนิครับ ใครใช้ให้มายุ่งกับผมก่อนเอง

“แล้วนี่มึงโอเคนะ” มันคงถามเรื่องที่เป็นข่าวดังในคณะตอนนี้ ก็เรื่องของผมนั่นแหละครับ

“เรื่องอะไร” ผมเฉไฉทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“อย่าทำมาเป็นไม่รู้เรื่อง” มันเขกหัวผมอีกที ถ้าสมองผมกระทบกระเทือนโทษมันได้เลยนะครับ จะเขกอะไรนักหนา

“กูจริงจัง มึงโอเคใช่ไหม” มันรั้งผมไว้

ถ้าถามว่าโอเคไหมคงไม่มีใครโอเคหรอกครับที่โดนคนเกือบทั้งคณะแซวแบบนี้ แต่จะให้ทำยังไง จะห้ามให้เขาพวกนั้นไม่คิดก็ไม่ได้ ก็ผมเองที่เผลอพูดออกไปแบบนั้น

“อื้ม...กูโอเค”

“แล้วนี่คิดถึงกูมากขนาดเผลอพูดออกไปแบบนั้นเลยหรอ” มันยิ้ม ทำหน้าล้อเลียนผม

“ใครบอกว่ากูคิดถึงมึง”

“แล้วมึงคิดถึงใคร” มันหน้าบึ้ง จับไหล่ผมไว้ พยายามเค้นคำตอบ

มันเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวจนผมแทบตามไม่ทัน

“ปล่อย” ผมพยายามสะบัดตัวหนี

“ไม่ ตอบกูมาก่อน นอกจากกูแล้วมีผู้ชายคนไหนอีก” ผมไม่น่าไปสะกิดต่อมมันเลย เอาไงล่ะที่นี้

“กู...พูดเล่น”

“ผู้หญิงกูไม่ว่า แต่ห้ามมีผู้ชายคนอื่นจำไว้” ผมพยักหน้ารับ

แล้วทำไมผมต้องทำตามที่มันบอกด้วย มันไม่ได้เป็นอะไรกับผมสักหน่อย

มันลากผมมาที่รถ ขับพาผมไปเตรียมตัวซ้อมประกวด

“มึงคิดการเรื่องการแสดงได้ยัง” มันถามผมตอนที่ขับรถออกจากตึกคณะ

ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย พี่ทีมงานให้โจทย์ผมไปคิดว่าจะแสดงความสามารถอะไรตอนประกวด ถึงตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกเลย

“ยังเลย” ผมก้มหน้าลงซบกับคอนโซลหน้ารถ

ยากจัง ยากกว่าตอนสอบเข้าอีก ผมไปขอลาออกจากตำแหน่งตอนนี้ได้ไหม

“มึงไม่มีความสามารถพิเศษอะไรบ้างเลยหรอ” ช้อปมองผมด้วยสีหน้าเหนือใจ

“แล้วมึงล่ะ ตอนนั้นแสดงอะไร” ผมถามมันกลับ เผื่อว่าจะได้ไอเดียอะไรบ้าง

“ร้องเพลงกับเล่นกีตาร์” หล่ออย่างมันเล่นกีตาร์ไปร้องเพลงไปด้วยสาวๆ คงกรี๊ดหน้าดู

“ขอผ่าน” ผมก็ยังไม่มีความสามารถในการเล่นกีตาร์หรือร้องเพลงอยู่ดี

“มึงนี่มีอะไรดีบ้าง ไม่รู้ว่ากูเผลอไปชอบมึงได้ยังไง” ผมมันโดนด่าอีก

“เลิกชอบซะสิ”

“ไม่มีทาง” อะไรของมัน เมื่อกี้ยังบอกว่าผมไม่มีอะไรดีอยู่เลย ทำไมมันไม่เลิกชอบผมไปเลยล่ะ ดีซะอีกผมจะได้ไม่ต้องสับสนกัตัวเองอยู่แบบนี้

“เดี๋ยวกูสอนให้เอาไหม กีตาร์หนะ” มันเสนอความคิด สงสัยอยากช่วยผมจริงๆ

“จะทันหรอวะ เหลืออีกสองอาทิตย์เอง” ผมเคยเห็นแทนมันแบกกีตาร์มาฝึกที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ กว่ามันจะดีดได้คล่อง ก็ใช้เวลาเป็นเดือนๆ นี่แค่ 2 อาทิตย์กับคนสมองช้าอย่างผม มันจะทันเหรอครับ

“ลองดูก่อนเดี๋ยวกูช่วยมึงเอง”

“เอางั้นก็ได้” เป็นไงเป็นกันคราวนี้ หวังว่าช้อปมันจะช่วยผมได้นะ



วันนี้ผมยังคงซ้อมตามปกติ โดยที่มีช้อปนั่งดูอยู่ห่างๆ แต่ก็ยังไม่วายเดินส่งน้ำส่งขนมให้ผมไม่ขาดสาย จนพี่ๆ ที่กองประกวดแซวกันยกใหญ่ บางคนถึงกับโยงเข้าเรื่องที่ผมเผลอพูดในห้องเรียนเมื่อเช้านี้

“มิกซ์กับพี่ช้อป...คบกันอยู่หรอ” ฝ้ายที่นั่งอยู่ข้างถามขึ้น วันนี้เธอดูแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว เธอมองผมเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเวลาที่ช้อปเดินเข้ามาหาผม

“เฮ้ย...ไม่ใช่” ผมรีบปฏิเสธ

“คือ...คือ...เอ่อ”

“เราไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะถ้ามิกซ์กับพี่ช้อปจะคบกัน เรารู้อยู่แล้วล่ะว่ามิกซ์ไม่ได้จริงจังอะไรกับเรา” ผมไม่รู้มาก่อนว่าฝ้ายคิดแบบนี้ ผมยอมรับว่าไม่ได้จริงจังกับใครสักเท่าไร ตอนนี้ผมก็รู้สึกกับฝ้ายไม่เหมือนเดิมแล้ว ใครจะว่าผมเลวก็ได้นะครับ แต่ผมก็เป็นแบบนี้ ไม่อยากจริง ไม่อยากผูกมัดกับใคร

“ฝ้าย…” ผมไม่รู้จะตอบเธอว่ายังไงดี

“ไม่ต้องคิดมาก เาชอบนะเวลาที่เห็นผู้ชายสองคนคบกัน เราว่ามันน่ารักดี” เธอยิ้มกว้าง จนทำให้ผมยิ้มตาม แต่เดี๋ยวนะผมไปคบกับช้อปมันตอนไหน

“เฮ้ย...ฝ้าย เรากับช้อปไม่ได้เป็นอะไรกันนะ” ผมรีบแก้ตัว

“จ้าๆ เราจะรอดูว่ามิกซ์จะใจแข็งได้นานเท่าไร นั้นไงพี่ช้อปมานู้นแล้ว” ผมมองตามสายตาฝ้าย ช้อปมันเดินมาหาผมอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะมาอะไรนักหนา นี่ก็ครั้งที่ห้าแล้วที่มันเดินกลับไปกลับมา

“เราไปก่อนนะ ไม่อยากเป็น กขค” ฝ้ายยิ้ม แล้วรีบเดินหนีออกไปอีกทาง

“ฝ้าย...เดี๋ยว”

“คุยอะไรกัน ยิ้มซะขนาดนั้น” มันถามทันทีที่เดินมาถึง

“ไม่เกี่ยวกับมึง แล้วนี่จะเดินมาทำไมนักหนา”

“คิดถึง” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ยกยิ้มกวนๆ ใส่ผม

“กวนตีน”

“คนอะไรด่ายังน่ารักเลย” มันดูไม่สะทกสะท้าน แถมยังทำหน้าระรื่น ไม่สนใจผมที่นั่งทำหน้าหง่อยอยู่

“รอกูก่อน เดี๋ยวกูไปคุยเรื่องการแสดงให้” ผมยืนมองมันคุยอยู่กับรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ดูมันจะตั้งใจช่วยผมมาก

“ยิ้มอะไร กูเก็บกระเป๋าให้แล้ว ไปขึ้นรถกูจะไปส่งที่ห้อง” อยากจะตบปากตัวเองเลยจริง ทำไมมันชอบทำตามใจตัวเองแบบนี้ เมื่อเช้าก็เผลอหลุดปากพูด ตอนนี้ก็เผลอยิ้มอีก ผมโดนช้อปมันปั่นหัวเข้าแล้วล่ะครับ

มันเดินถือกระเป๋าผม เดินนำหน้าไปที่รถแล้วทำไมผู้ต้องให้ผู้ชายมาถือกระเป๋าให้ด้วยเนี่ย



“รีบนอนด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูมารับ” ผมยืนฟังมันสั่งอยู่หน้าห้อง ผมก็ยังพยักหน้าตอบมันเช่นเคย

“เออ...ไปได้แล้ว” ผมไล่มันกลับห้องตัวเองไป

อีกเรื่อง เมื่อวานทำไมกูไม่เห็นตุ๊กตาที่กูให้ อย่าบอกนะว่ามึงเอามันไปทิ้ง” มันเอาเวลาที่ไหนมาสำรวจห้องผม

“เปล่ากูไม่ได้ทิ้ง กูวางไว้ในห้องนั่นแหละ มึงรีบกลับไปได้แล้ว”

“อย่าทำหายล่ะ”

“รู้แล้ว ขับรถกลับดีๆ ล่ะ” โอ๊ย...อะไรของมึงเนี่ยมิกซ์ มึงพูดอะไรออกไป

ผมรีบปิดประตู แอบเห็นช้อปมันยิ้มด้วย

“แกอยู่ไหนวะไอ้หมี” ผมจำได้ว่าโยนมันไว้แถวๆ ห้องนั่งเล่น แต่ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนแล้วตอนนี้

เจอแล้ว มันติดอยู่ตรงซอกโซฟานี่เอง ผมมันขึ้นมาปัดฝุ่นทำความสะอาดเล็กน้อย

“อยู่ตรงนี้ห้ามหายไปไหนนะ” ผมวางมันลงที่โซฟา เอาไว้ตรงนี้แหละ เวลาที่ช้อปมามันจะได้เห็นชัดๆ จะได้ไม่โวยวายผมอีก



“เป็นไงบ้างเรื่องมึงกับช้อป” แทนพูดผ่านสนทนาภายในเกม

“กูก็อยากรู้” มันสองคนคงอยากรู้เรื่องผมกับช้อปมาก ตั้งแต่เข้าเกมมาพวกมันยังจ้อถามไม่หยุด

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

ผมเปิดโทรศัพท์เปิดอ่านข้อความที่ส่งมาทาง Messenger รูปที่ช้อปทำหน้าบึ้ง ชี้นิ้วมองกล้องอยู่ มันส่งมาพร้อมกับข้อความ

‘นอนได้แล้วอย่าเล่นเกมเยอะ กูเป็นห่วง’

ประโยคสุดท้ายทำเอาผมใจสั่น มือที่จับเมาส์อยู่แทบจะควบคุมไม่อยู่



“กูว่ากูชอบมันแล้วว่ะ”

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 13



“ตื่นได้แล้ว กูรออยู่หน้าห้อง”

ผมตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เมื่อคืนหลังจากที่มันส่งข้อความนั่นมาผมก็ใจเต้นรัวไม่หยุด ผลก็คือมันทำให้ผมนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน กว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบตีสี่ แล้วนี่มันยังโทรมาปลุกผมแต่เช้าอีกนี่มันวันเสาร์ทำไมมันยังมากวนผมอีกเนี่ย

“มาทำไม” ผมขยี้ตาถามมัน ง่วงจนแทบคลานออกลงจากเตียงเพื่อเปิดประตูให้มัน

ช้อปขมวดคิ้วมองสภาพผมยื่นกึ่งหลับกึ่งตื่น ดูไม่ต่างจากซอมบี้ในหนังสักเท่าไร

“กูบอกแล้วไงว่าห้ามเล่นเกมดึก” มันเขกหัว บ่นผมชุดใหญ่

เป็นเพราะมึงนั่นแหละ ใครใช้ให้ส่งข้อความแบบนั้นมาล่ะ

“รีบไปอาบน้ำ” มันเดินเบียดผมเข้ามาในห้องชูโจ๊กสองถุงในมือ แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องครัว มันทำเหมือนกับว่าเป็นห้องตัวเอง

เฮ้อ...ผมถอนหายใจ ถือผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำตามที่มันสั่ง

ผมเปิดฝักบัวให้น้ำไหลอาบทั่วร่างกาย ความเย็นของน้ำไม่ได้ช่วยให้ความง่วงลดลงเลย ผมเดินงัวเงียออกมาจากห้องน้ำ สูดกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยเตะจมูกอยู่ตอนนี้

“ไม่เช็ดผมให้แห้งก่อน เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” มันหันมาบ่นผมที่เดินเข้ามาในครัวโดนที่มีผ้าเช็ดตัวคลุมอยู่ที่หัว

“ออกไปนั่งรอข้างนอก เดี๋ยวกูตามออกไป” มันสะบัดมือไล่ผมให้ออกจากห้องครัว ผมยืนมองมันทอดไข่ดาวกับไส้กรอกสักครู่ก่อนเดินออกมารอข้างนอกตามที่มันสั่ง

“อะนี่” มันวางถ้วยโจ๊กลงที่โต๊ะพร้อมกับไข่ดาวและไส้กรอก

“มึงไม่กินหรอ” ผมถามเพราะเห็นมันเอาแต่นั่งมองหน้าผม ไม่ยอมกินโจ๊กของตัวเอง

“กูบอกให้เช็ดผมให้แห้งไง” มันดึงผ้าเช็ดตัวที่คลุมอยู่ที่หัวไป ขยับตัวเขามานั่งใกล้ๆ ผม

“เฮ้ย...ไม่ต้องกูทำเองได้” ผมวางช้อนพยายามแย่งผ้าเช็ดตัวในมือมันกลับ

“ปล่อย!!!” มันทำหน้าดุใส่ ผมหน้างอทำตามที่มันบอกปล่อยให้มันนั่งเช็ดผมอยู่ข้างๆ

ผมคงขัดใจมันไม่ได้ หันกลับมาตักโจ๊กกับไส้กรอกเข้าปากโดยมีมือช้อปถูวนอยู่ที่หัว

“มึงทำแบบนี้กับทุกคนรึเปล่า” ผมถาม แต่ไม่ได้หันไปมองหน้ามัน

“กูทำให้มึงเป็นคนแรก” มันดึงผ้าเช็ดตัวออก ลุกเดินไปแขวนไว้ที่ราวตากผ้า แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม

“แล้วมึงล่ะเคยทำแบบนี้ให้ใครไหม” มันถามกลับพร้อมกับตักโจ๊กในชามตัวเองเข้าปาก

“ไม่เคย” ผมส่ายหน้าตอบมัน

ผมก็ยังไม่เคยทำแบบนั้นให้ใครเหมือนกัน ตอนมีแฟนอย่างมากผมก็แต่ไปรับไปส่งที่บ้านเท่านั้น

“แล้วทำไมถึงทำให้กู” ผมถามมันต่อ

“ไม่รู้สิ เผื่อทำแบบนี้แล้วมึงจะชอบกูบ้าง” มันพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ

มึงไม่ต้องพยายามทำอะไรแบบนี้แล้วล่ะเพราะกูเอง.......ก็ชอบมึงแล้วเหมือนกัน

“ช้อปคือ...”

“กูว่ามึงรีบกินดีกว่า เสร็จแล้วกูจะพาออกไปข้างนอก” มันพูดขัดก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อ

ความจริงแล้วผมก็อยากจะบอกความรู้สึกของตัวเองบ้าง เพราะช้อปเองมันก็บอกความรู้สึกของมันกับผมเสมอ แต่ติดที่ผมไม่รู้จะเริ่มบอกมันที่ตรงไหน ถึงแม้ผมจะรู้ตัวแล้วว่าชอบช้อปมันเหมือนกัน แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจและยังสับสนกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ตอนนี้

ผมเป็นเกย์?

คงต้องรอให้ผมมั่นใจและพร้อมที่จะบอกความรู้สึกกับมัน

“จะไปไหน”

“เดี๋ยวก็รู้”





ผมยืนมองกีตาร์ที่ตั้งเรียงรายหลายสิบตัว แต่ละตัวมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งตัวเครื่อง สี ลวดลายหรือแม้กระทั่งขนาดก็ยังแตกต่างกัน ช้อปมันคงพาผมมาซื้อกีตาร์เพื่อใช้แสดงในวันประกวด แต่มันจำเป็นเหรอครับที่ต้องมาร้านแบบนี้เพราะกีตาร์ที่วางอยู่ตรงหน้าเป็นกีตาร์ที่ต้องสั่งทำทั้งหมด มันคงไม่เหมาะกับมือใหม่อย่างผมสักเท่าไร

“เครื่องที่ผมสั่งได้รึยังครับ” ช้อปยืนคุยกับเจ้าของร้านที่เดินออกมาต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี

“รอสักครู่นะครับ” เขายิ้ม ก้มหัวเล็กน้อย ก่อนเดินหายเข้าไปหลังร้าน

“มานี่” ช้อปกวักมือเรียกผมให้เดินไปหา

“โคตรสวยเลยว่ะ” ผมยืนมองกีตาร์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า มันดูไม่แตกต่างจากกีตาร์โปร่งทั่วไป แต่ลวดลายของตัวไม้ที่นำมาประกอบ กลับโดดเด่นกว่าตัวอื่นที่วางอยู่ในร้าน

“โหแพงซะด้วย” ผมหันไปมองป้ายราคาที่แปะอยู่ด้านล่าง แพงมากเลยครับ

“ของกูเอาถูกๆ พอนะ ช่วงนี้กูไม่ค่อยมีตังค์” ผมแอบกระซิบกับมัน ถ้าต้องซื้อกีตาร์แพงขนาดนี้แค่เพื่อการแสดงไม่กี่นาทีผมว่าคงไม่คุ้ม อีกอย่างถ้าซื้อตัวนี้ผมคงต้องกินแกลบไปหลายเดือนแน่

“เออ...น่า” ช้อปเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ หลังจากที่เจ้าของร้านเดินออกมาพร้อมกับกีตาร์ในมือ

“สวยไหม” ช้อปหันมาถามผม ถึงมันจะไม่ได้สวยเหมือนกับกีตาร์ตัวนั้น แต่ก็ดูมีเอกลักษณ์ดูสวยไปอีกแบบ

“ของกูหรอมีชื่อกูด้วย” ผมชี้ไปที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษ MIX ที่เขียนอยู่บนตัวเครื่อง

“กูให้เขาเขียนชื่อมึงเองแหละ” มันฉีกยิ้ม มองหน้าผม

“แล้วนี่อะไร” ผมชี้นิ้วไปที่ตัวอักษร เล็กๆ ที่เขียนอยู่ด้านล่างชื่อผม

‘SHOP’

“ชื่อกูไง” มันตอบยิ้มๆ

“แล้วแพงรึเปล่าวะ” ผมยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูมัน กลัวว่าเจ้าของร้านจะได้ยิน

“ผมเอาไปได้เลยใช่ไหมครับ” ช้อปถาม

เจ้าของร้านจัดแจงใส่กีตาร์ลงกล่องส่งให้กับช้อป มันรับมาแล้วเดินนำผมออกมาจากร้านโดยที่ไม่ยอมตอบผมเรื่องราคา

“กูยังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะ” ผมรั้งแขนมันไว้

“กูจ่ายให้แล้ว” มันหันกลับมา แล้วรีบเดินนำหน้าผมออกไป

ผมรีบวิ่งไปขวางหน้ามันไว้ กีตาร์ตัวนี้เป็นของผม ผมก็ต้องจ่ายเงินเองสิ ทำไมมันต้องมาจ่ายแทนผมด้วย

“กีตาร์กู กูจ่ายเองได้” มันทำเป็นไม่สนใจ เดินหนีไม่ยอมคุยกับผม

“มึงอย่าเอาแต่ใจสิวะ” ผมรั้งแขนมันไว้

“กูซื้อให้ มึงแค่รับไปก็เท่านั้น” มันหันกลับมาพูดกับผมเล็กน้อย ก่อนเดินหนีผมออกไปอีก

“มันราคาเท่าไร” ผมวิ่งตามไปถามมัน ผมต้องรู้ให้ได้

“กูแค่อยากซื้อให้ มึงแค่รับไป จะอยากรู้เรื่องราคาไปทำไม”

ผมเริ่มจะทนความเอาแต่ใจของมันไม่ได้แล้ว

“ถ้าไม่บอก กูก็ไม่รับ” หยุดเดิน ยื่นคำขาดกับมัน ถ้าไม่ทำแบบนี้ช้อปมันคงไม่ยอมบอกผมแน่

มันเดินกลับมาทำหน้าหง่อยใส่

“กูแค่อยากให้มึง” มันยังคงพูดเหมือนเดิม ยืนยันที่จะให้ผมรับกีตาร์ตัวนั้นให้ได้

“ตอบกูมา” ผมพูดเสียงเรียบ ถลึงตาเค้นคำตอบจากมัน

มันขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมก็ขยับตัวถอยหลังหนีมัน ถ้าไม่ตอบก็ไม่ต้องมาใกล้

มันยืนกระอักกระอ่วนไม่ยอมบอกผมสักที

“ไม่ตอบ กูกลับ” ผมขู่มัน ถ้ามันไม่ตอบผมกลับจริงๆ แน่

“สามหมื่นห้า”

“ห๊ะ!!!” ผมโพล่งออกมาเสียงดัง ตัวเลขที่มันบอกทำผมขาอ่อนเดินเซ จนต้องหาที่นั่งที่ใกล้ที่สุดในตอนนั้น ผมนั่งลงที่ม้านั่งยาวที่วางอยู่ใกล้ๆ บันไดเลื่อน

เฮ้อ...ผมถอนหายใจ นั่งกุมขมับกับความฟุ่มเฟือยของช้อปมัน

“ทำไมมึงต้องซื้อแพงขนาดนั้นด้วย” ผมถามมันที่เดินมานั่งที่ว่างข้างๆ มันว่างกล่องกีตาร์ลงที่พื้น หันมาทำหน้าอ้อนวอน

“กูไม่รับนะ”

“ไม่ได้สิ กูตั้งใจให้มึงจริงๆ” มันเขย่ามือผม กระเถิบตัวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

“มันแพงไปช้อป มึงเก็บไว้ใช้เองเถอะ เดี๋ยวกูไปขอยืมของไอ้แทนมันก็ได้” ผมดึงมือกลับนั่งหันข้างให้มัน

แพงขนาดนั้นผมคงรับไว้ไม่ได้ แต่จะให้ผมจ่ายเองคงไม่ไหวมันแพงเกินไปสำหรับผมจริง อีกอย่างผมไปยืมของไอ้แทนมันมาเล่นก่อนก็ได้ เพราะช่วงนี้มันก็ติดเกมไม่มีเวลาให้เล่นกีตาร์โชว์สาวแบบเมื่อก่อน

“กูตั้งใจให้มึงจริงๆ นะ” มันยังไม่หยุดอ้อนวอนผม ลุกขึ้นมายืนมองหน้าผม

ผมไม่ชอบความเอาแต่ใจของมันเลย ตอนซื้อมันไม่ถามผมสักคำ มันดูไม่มีเหตุผลสักเท่าไรที่ต้องเสียเงินมากขนาดนั้นเพื่อกีตาร์ตัวเดียว

“ถ้าจะให้กูรับ มึงต้องให้กูจ่ายเงินคืนมึงด้วย” ผมยื่นข้อเสนอให้มัน ถึงมันจะเป็นข้อเสนอที่ทำให้ผมต้องงดเที่ยวงดใช้เงินฟุ่มเฟือยไปหลายเดือนก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่ารับของจากมันเปล่าๆ

“มิกซ์ฟังกูนะ กูอยากให้มึงจริงๆ มึงรับไปเถอะนะ แค่ครั้งนี้ก็ได้” มันยังตื๊อผมไม่เลิก

เฮ้อ...จะทำยังไงกับมันดี ถ้าไม่รับมันคงไม่ยอมเลิกตื๊อผมแน่ๆ ช้อปนะช้อป หาแต่เรื่องมาให้กูหนักใจจริงๆ

“แค่ครั้งนี้นะ แล้วที่หลังทำอะไรให้ปรึกษากูก่อน” ผมจำใจต้องรับแต่ต้องมีข้อแม้กับมันหน่อยจะได้ไม่เอาแต่ใจแบบนี้อีก

“งั้นไปหาไรกินกันดีกว่าหิวแล้ว” ผมยืนบ่นมันต่อสักพัก จนมันคงจะทนไม่ไหวรีบเปลี่ยนเรื่องคว้ามือให้ผมเดินตามมันไป



ผมเปิดกล่องกีตาร์ นั่งมองชื่อตัวเองกับช้อปที่เขียนอยู่ บนตัวเครื่อง ผมหยิบมันออกมาวางที่ตักในหัวก็นึกถึงภาพที่ช้อปยืนขอร้องให้ผมรับกีตาร์ตัวนี้

‘MIX SHOP’ ผมเผลอยิ้มทุกครั้งที่หันไปเจอตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนตัวกีตาร์

มึงนี่เอาแต่ใจจริงเลยนะ

‘จะเล่นคุ้นไหมล่ะเนี่ย’ ผมหยิบโทรศัพท์ถ่ายรูปคู่กับกีตาร์อัพลงเฟสบุ๊ค คอมเม้นจากเหล่าแฟนคลับผมหลั่งไหลเขามาอย่างไม่ขาดสายส่วนก็ใหญ่อยากให้ผมเล่นกีตาร์ให้ฟัง ผมนั่งอ่านคอมเม้นไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับข้อความหนึ่ง

‘ตั้งใจซ้อมด้วยล่ะ เดี๋ยวกูจะคอยช่วยเอง’ ข้อความพร้อมกับอิโมจิชูสองนิ้ว มันทำใจผมเต้นรัวอีกแล้ว

Rrrr Rrrr

ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“มีอะไร” ผมกดรับสาย มือหนึ่งยื่นไปหมุนลูกบิดประตูห้อง หิวครับผมกะว่าจะลงไปหาอะไรกินสักหน่อย แต่ช้อปมันดันโทรมาซะก่อน ดึกดื่นแบบนี้ไม่รู้ว่ามันโทรมาทำไม

“ทำไรอยู่”

“กำลังจะนอน” ผมพูดทั้งที่มือยังบิดลูกบิดประตูห้องอยู่ ผมเปิดประตูเดินออกมานอกห้องก่อนดันประตูปิดให้เสียงเบาที่สุด กลัวว่าเสียงมันจะดังเข้าสายโทรศัพท์ เดี๋ยวช้อปมันจับได้ว่าผมโกหก

“มึงมั่นใจ” มันทำเสียงดุใส่ผม

“ก็เออสิ ดึกขนาดนี้กูจะออกไปไหนได้” ผมยังโกหกมันต่อ

“กูให้โอกาสมึงแก้ตัว” ผมดึงโทรศัพท์ออกจากหู ทำไมเสียงช้อปมันดังกว่าปกติแบบนี้ ผมคงคิดไปเองล่ะมั้ง

ผมคงกุญแจที่อยู่ในมือหันข้างเตรียมเดินลงไปข้างล่าง

เกร๊ง!!!

พวกกุญแจในมือผมหล่นกระทบพื้นทางเดิน ผมตาโตมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ช้อมมันมาได้ยังไง

“กูจะนอนแล้ว แค่นี้นะ” ผมกดวางสายหันตัวกลับไปหมุนลุกบิดประตู

ทำไมเปิดไม่ออกวะ

“กุญแจ” ผมรนจนลืมว่าตัวเองทำกุญแจหล่นที่พื้นก่อนหน้านี้ ผมก้มลงไปคลำหากุญแจที่พื้น

หายไปไหนวะเนี่ย

“หานี่อยู่หรอ” ช้อปยื่นกุญแจมาตรงหน้า ผมรีบยื่นมือไปคว้าแต่ช้อปมันดึงมือกลับไปไม่ยอมให้กุญแจ

“ตอบกูมาก่อนว่าจะออกไปไหน”

“กินข้าว” ผมตอบมันไปตามความจริง

“ทำไมต้องโกหก” มันพูดเสียงเรียบ เดินเข้ามาใกล้กดดันให้ผมตอบ

“กูแค่จะออกไปกินข้าวเอง” ผมตอบเสียงเบา

“ไม่ได้โกหกกูใช่ไหม” ผมพยักหน้าตอบ ไม่คิดว่าการหิวข้าวกลางดึกจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ใครจะไปคิดละครับว่าช้อปมันจะมายืนอยู่หน้าห้องแบบนี้

ว่าแต่มันมาทำอะไรตอนนี้

“แล้วมึงมาทำอะไร” ผมถามมันกลับ

“คิดถึง”

ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ

เสียงหัวใจผมเต้นตึกตัก มันดังจนผมต้องรีบขยับตัวหนีกลัวว่าช้อปมันจะได้ยิน

เอาอีกแล้วทำไมมันชอบพูดให้ผมใจเต้นแรงแบบนี้ด้วย

“เป็นอะไร” มันเดินตามเข้ามาใกล้ ก้มหน้าสบตาผม

“ปะ...เปล่า” ผมขยับตัวหนีไม่ยอมสบตากลัวว่ามันจับสังเกตได้

“เอากุญแจมากูจะเข้าห้อง” ผมแบมือแต่ไม่ยอมสบตามัน

“มิกซ์สัญญากับกูได้ไหมว่าจะไม่โกหกอีก” มันไม่ยอมส่งกุญแจตามที่ผมขอ มันกลับยื่นมือมาจับมือผมไว้แทน

“กูขอมึงแค่เรื่องเดียว” มันบีบมือ รอฟังคำตอบ

ผมไม่คิดจะโกหกมันหรอกครับ แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมไม่จำเป็นต้องบอกมันทุกเรื่อง

“ทำไมกูต้อง...”

“กูรู้ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน กูไม่มีสิทธิ์ห้ามมึงหรอก แต่กูขออย่างเดียวมึงอย่าโกหกกูได้ไหม”

ผมยืนนิ่ง มันเองยังคงบีบมือรอคำตอบจากผม

“ได้ไหม” มันย้ำถาม

“อื้ม” ผมเงยหน้าสบตา มันฉีกยิ้มทันทีที่ได้ยินคำตอบ มันเผลอทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเช่นกัน

“เอากุญแจมาได้แล้ว กูจะเข้าห้อง” ผมรีบดึงสติตีหน้าเรียบเหมือนเดินก่อนที่จะเผลอแสดงออกไปมากกว่านี้

“ไหนบอกว่าหิวข้าว” มันไม่ยอมส่งกุญแจมา

ผมลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังหิว มัวแต่คุยกับช้อปมัน

“ไม่หิวแล้ว” ผมตอบทั้งที่กระเพาะยังร้องเรียกอาหารอยู่ คงต้องทนหิวจนถึงเข้าครับงานนี้

“ไม่ทันไรก็โกหกกูแล้ว ไป เดี๋ยวกูพาไปหาไรกิน” มันเขกหัวผมที่หนึ่ง ผมหน้ายู่ใส่แต่ก็ยอมเดินตามมันแต่โดยดี ทนหิวไม่ไหวแล้วครับ

มันเดินนำผมลงมาจากหอพัก ลากผมเดินเข้าไปนั่งในร้านอาหารตามสั่งที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

“สั่งเยอะขนาดนี้ มึงจะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านเลยหรอ” มันบ่นเมื่อเห็นอาหารหลากหลายเมนูถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมไม่สนใจตักอาหารหารที่วางอยู่เข้าปากตัวเอง ต่างจากช้อปที่นั่งมองแล้วส่ายหน้าใส่ผม มันคงไม่เข้าใจอารมณ์คนหิวอย่างผม

มันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วก็ยิ้มสลับกับมองหน้าผม

“มึงไม่กินรึไง มองหน้ากูอยู่นั่นแหละ” ผมวางช้อนลง เงยหน้าไปบ่นคนที่กำลังนั่งจ้องผมอยู่

จ้องขนาดนี้ใครมันจะกินลงละครับ

มันไม่สนใจที่ผมพูด ก้มหน้ามองโทรศัพท์แล้วก็เงยหน้ามายิ้มให้ผมอีก มันต้องมีอะไรแน่ๆ ผมล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง เปิดแอพเฟสบุ๊คเลื่อนดูแถบการแจ้งเตือน

“ลบเลยไอ้เชี่ยช้อป” ผมเงยหน้าขึ้นไปโวยวายใส่มัน แจ้งเตือนเมื่อกี้ไม่ใช่จากช้อป แต่มันมาจากไอ้แทนกับไอซ์ที่พร้อมใจกันแท็กผม

‘มึงใช่ไหมกูจำได้’ คือข้อความที่มันสองคนแท็กมา

ฟังดูแล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับช้อปมันใช่ไหมครับ แต่มันเกี่ยวครับและเกี่ยวมากๆ ด้วยเพราะข้อความที่เพื่อนสองคนของผมแท็กมา เป็นคอมเม้นใต้รูปที่ช้อปมันโพสต์

‘พาเด็กขี้โกหกมากินข้าว’

แคปชั่นพร้อมกับรูปที่เห็นแค่ครึ่งตัว ถึงไม่เห็นหน้าแต่ก็มองออกว่าคนในรูปคือผม นี่สินะเหตุผลที่มันเอาแต่สนใจโทรศัพท์

“ลบทำไม” มันไม่ยอมทำตามที่ผมบอก ก้มหน้าอ่านคอมเม้นแล้วยิ้มคนเดียวต่อ

“ลบ เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดอะไร มันไม่เห็นหน้ามึงสักหน่อย” มันยืนกรานไม่ยอมลบรูป

"ลบเถอะนะ” ผมอ้อนวอนมัน"

“ถ้าจะให้ลบ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” มันยกยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ผมว่ามันต้องเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับผมแน่

ผมเงียบนั่งคิดกับตัวเองสักพัก

“ว่าไง” มันเร่งเร้า

“มึงจะให้ทำอะไรว่ามา” ขอฟังข้อเสนอของมันก่อน ถ้าไม่มากเกินที่ผมจะรับได้ผมก็จะทำ

“ตั้งสเตตัสว่ามีแฟนแล้ว” มันยกยิ้มยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ

ตั้งสเตตัสเหรอ? ถ้าแค่ผมคนเดียวก็พอได้แต่ถ้ามากกว่านั้นผมจะฟาดหัวมันให้

“แค่กูคนเดียวใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจเดี๋ยวมันมีเล่ห์เหลี่ยมอีก

ช้อปพยักหน้าตอบ

“ได้” ผมตัดสินใจทำตามที่มันบอก ดูแล้วผมก็ไม่เสียอะไรด้วย ถึงมันอาจจะทำให้เรทติ้งผมตกลงไปบ้าง แต่มันคงไม่สำคัญกับผมแล้วเพราะสุดท้ายผมก็รู้ตัวเองแล้วว่าผมชอบช้อปมันไปแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่พร้อมที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองให้มันรู้ก็เท่านั้น

“พอใจยัง” ผมยื่นโทรศัพท์ให้มันดูหลังจากตั้งสถานะเรียบร้อยตามที่มันต้องการ

“ยัง” มันถลึงตามองมัน

มันจะเล่นลิ้นอะไรกับผมอีก ผมยอมทำตามที่มันบอกแล้วนะ

ผมเริ่มโมโหเหวี่ยงมันไป

“มึงจะเอาอะไรกับกูอีก กูก็ทำตามที่มึง...”

“ครั้งหน้าตั้งสถานะกับกูนะ”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 14



หลังจากเมื่อวานที่ช้อปมันลากผมไปร้านกีตาร์บังคับให้ผมรับกีตาร์แสนแพงตัวนั้น ช่วงดึกผมยังโดนมันโวยอีกจู่ๆ มันก็มาโผล่ที่หน้าห้องผมแล้วก็โวยหาเรื่องที่ผมโกหกว่ากำลังจะนอนแล้ว แต่แท้จริงแล้วผมกำลังออกไปข้างนอก ก็มันหิวนี่ครับ

‘มีแฟนแล้ว’ สถานะเฟชบุ๊คของผมเมื่อคืนที่ช้อปมันยื่นข้อเสนอให้แลกกับการลบรูปบนเฟชบุ๊คของมันที่ถ่ายติดมือผมเพียงเล็กน้อยนั่นออกไป แต่ก็ต้องตกเป็นภาระผมอีกที่ต้องมานั่งคอยชี้แจกคนที่เข้ามาคอมเม้นเกี่ยวกับสถานะที่โชว์หราอยู่บนโปรไฟล์ของผม กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าตื่นอีกที่ก็ห้าโมงเย็นของอีกวันแล้วคืนนี้ผมคงนอนไม่หลับอีกแน่

“เมื่อไรมึงจะกดวะมิกซ์ พวกกูรอนานแล้วนะ” แทนกรอกเสียงบ่น

ช่วงสามทุ่มผมโทรชวนแทนกับไอซ์มาเล่นเกมเป็นเพื่อน กะว่าจะชวนแค่มันสองคนแต่วันนี้กลับมีช้อปเพิ่มเข้ามาอีกคน ตั้งแต่เปิดเทอมมาจนผมรู้ความจริงที่ช้อปมันเป็นรุ่นพี่ มันก็ไม่ได้เข้ามาเล่นเกมกับพวกผมอีกเลยมีบ้างที่มันเข้ามาแอบฟังพวกผมคุยกันใน TS แปลกที่วันนี้มันเปิดเกมเข้ามาเล่นด้วย จะยังไงก็ช่างคืนนี้ผมคงต้องเล่นเกมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะง่วงนั่นแหละครับ

“กดแล้วๆ จะรีบไปไหนวะ” ผมบ่นมันกลับ

ผมกดเริ่มเกม ตอนนี้ตัวละครของเราทั้งสี่คนถูกพามายังเกาะเล็กๆ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินลำเลียง ผมนั่งมองตัวละครของช้อปที่เป็นผู้ชายใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนังกับกางเกงขายาวเดินเข้ามายืนตรงหน้าตัวละครของผม มันลุกนั่งอยู่ตรงหน้าผมสักพักก่อนลุกขึ้นยืนแล้วกดแอคชั่นอิโมจิรูปหัวใจมาให้ ผมแป้นคีย์บอร์ดสั่งให้ตัวละครของผมหันหลังให้มัน

“มิกซ์หันหน้ามาคุยกันหน่อย” มันที่เสียงอ้อนๆ เดินอ้อมมายืนตรงหน้าผมแล้วกดส่งแอคชั่นโมจิรูปหัวใจมาอีก

กวนได้แม้กระทั่งในเกมเลยนะมึง

“ลงที่ไหนดี” ไอซ์ถาม

ตอนนี้เราอยู่บนเครื่องบินลำเลียงพร้อมกับผู้เล่นคนอื่นอีก 96 คน เตรียมพร้อมที่จะกระโดดร่มเข้าสู่สนามรบ แผนที่เกมนี้คือแมพทะเลทรายที่ถือเป็นแมที่ต้องใช้ความสามารถในการเล่นมากกว่าแมพอื่น เพราะในแมพนี้จะเป็นพื้นที่โล่งไม่มีที่ให้ซุ่มโจมตีมากนัก

“สนามมวย” แทนมาร์คจุดลงบนแผนที่

เรากระโดดร่มลงจากเครื่องบินร่อนตามเส้นทางที่แทนมาร์คไว้ จุดนี้เป็นจุดฟาร์มยอดนิยมทำให้มีผู้เล่นลงมากันเยอะพอสมควร รวมถึงเกมเมอร์สายบวกอย่างพวกผมที่ร่างกายต้องการการปะทะอยู่ตลอดเวลา

“ใครมีกระสุนเขียวบ้างวะ” ตอนนี้ในมือผมถือปืน M416 กับ Kar98 ที่ขาดคือกระสุนที่ใช้กับปืนไรเฟิล M416

“ไม่มีวะ” ไอซ์ตอบ

“กูมีแค่หกสิบนัดเอง” แทนตอบ กระสุน 60 นัดกับการลงเมืองใหญ่แบบนี้คงไม่เพียงพอกับการเข้าไฟต์แน่

“รอกูอยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูเอาเข้าไปให้” เสียงช้อปที่เงียบมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องบิน ผมกดนั่งตามที่มันบอก ไม่นานมันก็ปีนหน้าต่างเข้ามาในตัวบ้านที่ผมแอบซุ่มอยู่ ตามมาด้วยแทนกับไอซ์เปิดประตูตามหลังมันเข้ามา

กองกระสุนสีเขียวถูกทิ้งลงที่พื้นหลายกอง กล่องพยาบาล กระป๋องน้ำ ยาแก้ปวดรวมถึงปืนทั้งหมดที่ช้อปมีก็ถูกทิ้งลงที่พื้นเช่นกัน ยังไม่พอมันยังถอดชุดของตัวละครของมันออกจนเหลือกางเกงในสีขาวเพียงตัวเดียว

อะไรของมันผมของแค่กระสุนทำไมมันทิ้งของทั้งหมดมาแบบนี้

“กูขอแค่กระสุน มึงทิ้งมาหมดแบบนี้จะเอาอะไรใช้” อย่างที่รู้ว่าเกมสู้รบแบบนี้ถ้ามันไม่มีอาวุธจะเอาอะไรไปสู้

“ถึงกูมีแค่กระทะกูก็จะปกป้องมึงเอง”

“อ้วก/อ้วก” สองเสียงของเพื่อนตัวดีประสานกันทันทีที่ได้ยินคำจากช้อป

“ห้องน้ำไหมไอ้สัส” ปากก็ด่าสองคนนั้น แต่ตัวผมเองเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้นั่งบิดไปบิดมาทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงหยิบรีโมทแอร์ปรับอุณหภูมิแก้เขินไปเท่านั้น เจอมันมาไม้นี้ไม่รู้จะตอบมันว่ายังไงดีเหมือนกัน

มุกเชี่ยไรเสียวฉิบหาย

“ไม่เอากูขอแค่กระสุน”

“เอาแค่กระสุนหรอ แล้วใจกูล่ะ” ผมเหมือนโดนช้อปมันยิงเข้าที่กลางอกด้วยปืน AWM ถึงจะมีเกราะเลเวลสามมันคงต้านทานดาเมจจากมันไม่ได้ ผมโดนมันยิงเข้ากลางใจไปเรียบร้อยแล้วครับ

ผมนั่งนิ่งปล่อยความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าตอนนี้มันเริ่มลามไปที่หูผมด้วยแล้ว จะทำยังไงกับอาการนี้ดี

“จีบกันเกรงใจพวกกูบ้าง”

“แบบนี้ก็ได้หรอครับพี่ช้อป” เสียงแซวจากไอ้สองตัวที่นอกจากไม่ช่วยยังส่งเสริมช้อปมันอีก ผมยังนั่งอึ้งกับมุกเสี่ยวของช้อปมัน

ไม่ไหวแล้วโว้ย

ผมปิดไมค์ลุกจากหน้าคอมฯ เดินเข้าห้องน้ำเปิดฝักบัวราดหัวตัวเอง ไม่ใช่เพราะอาการหัวร้อนแต่เพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา ถ้ายังโดนมันยิงมุกเสี่ยวๆ กับเสียงแซวจากไอ้สองตัวนั้นผมคงได้เสียอาการจนไม่เป็นตัวของตัวเองแน่

“มิกซ์ๆ ๆ มึงหายไปไหนวะ มึงคงไม่เขินจนโดดหน้าต่างลงมานะไอ้สัส” ผมตั้งสติได้เดินกลับนั่งที่หน้าจอคอมฯ เหมือนเดิน พร้อมกับเสียงไอ้แทนที่กำลังแอบด่าผมอยู่

“กูมาแล้วไอ้สัส”

“เขินจนต้องปิดไมค์หนีเลยหรอวะ” ไอซ์ยังคงแซวไม่หยุด

“ใครเขิน!!! กูออกไม่เอาน้ำมากินเฉยๆ” ผมตอบเสียงสูง

“ไปหลอกเด็ก ป.1 เถอะไอ้สัส” เรื่องอื่นแม่งเสือกโง่แต่เรื่องแบบนี้ทำไมพวกมึงฉลาดกันจังวะ ผมคงหลอกผมมันไม่ได้จริงๆ สินะ แต่หวังว่าพวกมันจะไม่หลุดปากเรื่องที่ผมเผลอบอกชอบช้อปมันไปนะครับ กว่าผมจะขอร้องพวกมันให้ปิดปากห้ามพูดเรื่องนี้ได้ก็ต้องยอมเอาแอลกอฮอล์เป็นตัวล่อ พวกมันถึงได้ยอมปิดปาก

ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงเลยพวกมึง

“อย่ามาโกหกไอ้สัส วันนั้นมึงยังบอกว่าชอบมันอยู่เลย” ฉิบหายแล้ว มึงพูดอะไรออกไปไอ้เชี่ยแทน ผมไม่น่าไว้ใจคิดว่าพวกมันจะช่วยเก็บความลับไว้ได้เลย

แอบหวังเล็กว่าช้อปมันคงไม่ได้ยินที่เพื่อนปากสว่างของผมพูดออกไปนะครับ

“เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ มิกซ์มันชอบใคร” นั้นไงมันคงได้ยินเต็มสองหูแน่ ถึงได้ทำเสียงขู่ฟ่อแบบนั้นมา เอาไงละครับถ้าเป็นแบบนี้ความแตกแน่

“เออกูหมายถึงมันที่เป็นผลไม้ มิกซ์มันชอบกินมันสำปะหลังน่ะ” ไม่ต่างจากกูเลยไอ้เชี่ยแทน หลอกเด็ก ป.1 ยังไม่เชื่อเลย มันบ้าน้ามึงหรอเป็นผลไม้แล้วกูไปชอบกินมันสำปะหลังตั้งแต่เมื่อไร

ผมรู้สึกว่ายิ่งหาข้อแก้ตัวยิ่งทำให้ช้อปมันจับพิรุธได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรมันต้องรู้ความจริงแน่

พระสงฆ์พะโล้หรือพระอะไรช่วยลูกช้างด้วย

“พวกมึงไว้ไปคุยกันที่หลังได้ไหม ตอนนี้มาช่วยกูก่อน มันมากันสี่คนเลยเนี่ย” เสียงไอซ์เรียกขอความช่วยเหลือ มันโดนศัตรูที่มาพร้อมอาวุธครบมือยิงมันดาว์นไปแล้วเรียบร้อย เราสามคนที่เหลือรีบวิ่งเข้าไปช่วยมันอย่างรวดเร็ว

ปังๆ ๆ ปังๆ ๆ

เสียงปืนดังสนั่น ผมวิ่งเข้าปะทะกับศัตรูที่กำลังวิ่งกรูเข้ามาในตัวบ้านที่ไอซ์อยู่

“มันดาว์นสองแล้ว มิกซ์มึงรีบไปช่วยไอ้ไอซ์ เดี๋ยวทางนี้กูกับช้อปจัดการเอง” แทนร้องสั่งการ ผมรีบวิ่งเข้าไปฮิลว์ไอซ์ที่คลานอยู่ใกล้ๆ

เสียงปืนสงบลงพร้อมกับสัญญาณเคลียที่แทนส่งมา มันสองคนเข้าไปจัดการศัตรูเรียบร้อย ศัตรูกลุ่มเมื่อกี้ช่วยดึงความสนใจจากช้อปได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณพะโล้นะครับที่ช่วยลูกช้างไว้

“แล้วเมื่อกี้ที่แทนพูดหมายถึงใคร” แต่ก็ได้เพียงไม่นานช้อปมันก็วกกลับมาเค้นพวกผมต่อ

พะโล้ช่วยลูกช้างอีกทีนะครับ

“ทาง 285 มาอีกสี่ว่ะ” เสียงไอซ์บอกพิกัดศัตรู

โอ้โหท่านพะโล้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ สงสัยผมต้องจดเครื่องเทศชุดใหญ่ถวายท่านแล้วล่ะครับ

แหละหลังจากนั้นศัตรูก็ถาโถมเข้ากันเข้ามาอย่างไม่หยุด ไม่เว้นระยะให้ช้อปมันได้เค้นถามต่อ

“เย้!!! ชนะแล้วโว้ย” เสียงแทนกับไอซ์เฮลั่นผมเองก็ดีใจไม่ต่างจากพวกมัน แต่ช้อปนี่สิครับมันกลับเงียบไปเลยหลังจากเกมจบ สถานะใน TS มันก็ออฟไลน์ไปแล้วด้วย เฮ้อ...รอดตัวไปครับคิดว่ามันจะซักผมต่อซะแล้ว ว่าแต่มันจะรีบไปไหนของมัน



ปังๆ ๆ ปังๆ ๆ

ไม่ใช่เสียงปืนจากในเกมแต่เป็นเสียงทุบประตูดังมาจากหน้าห้อง มันทุบซะไม่เกรงใจเจ้าของห้องอย่างผมเลย ผมถอดหูฟังเดินออกไปเปิดประตูจะออกไปด่ามันสักหน่อยว่าไม่มีใครสอนมารยาทมันเลยเหรอ ถ้าไม่มีธุระสำคัญผมจะด่าให้

“ใครวะ มึงเคาะดีๆ ไม่เป็นรึไง” ผมโวยวายตั้งแต่ยังไม่เปิดประตูเพราะไอ้คนที่อยู่ด้านนอกมันยังไม่หยุดทุบประตูผมเลย

“เคาะหา...พ่อมึงหรอ” ประโยคหลังของผมแทบจะไม่มีเสียง ก็คนที่ยืนทุบประตูห้องผมอยู่คือช้อป มันกำลังยืนตาเขียวจ้องผมอยู่

“ตอบกูมาว่ามึงชอบใคร” มันจับไหล่สองข้างผมไว้แน่น เขย่าตัวเค้นคำตอบจากผม ที่มันหายจาก TS คงตรงมาหาผมแน่ๆ

“ตอบมาสิ” มันยังเขย่าตัวไม่เว้นให้ผมได้ตอบ

“มึงใจเย็นๆ ปล่อยกูก่อน” มันปล่อยมือตามที่ผมขอ แต่มันเดินเข้ามาชิดตัวรอคำตอบแทน

“ว่าไง ตอบกูมาสิ”

“ไอ้แทนมันก็พูดมั่วไปอย่างนั้นแหละ” ผมก้มหน้าหลบสายตาหันหลังเดินหนีมัน

ไอ้เชี่ยแทนหาเรื่องให้กูอีกแล้วนะมึงเจอกันคราวหน้ามึงโดนกูแน่ แต่อย่าเพิ่งสนใจเรื่องไอ้แทนเลยตอนนี้ผมต้องคิดก่อนว่าจะแก้ตัวยังไงให้ช้อปมันเชื่อดี

“มิกซ์!!!” มันเรียกผมเสียงแข็งทำผมสะดุ้งตัวโยน

“กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ผมรีบหันกลับไปตามที่มันสั่งดูท่าว่าถ้ามันไม่ได้คำตอบคงไม่ยอมปล่อยให้ผมไปไหนแน่

“กูไม่ได้ชอบใครจริง แทนมันแกล้งกู” ผมยังแก้ตัวหับมันต่อ แต่ดูเหมือนคำตอบที่ผมให้จะไม่ถูกใจมันสักเท่าไร มันเดินเข้ามาประชิดตัว ผมถึงกับต้องถอยหลังกรูรู้ตัวอีกที่ก็ไม่สามารถถอยไปไหนได้อีกเพราะตอนนี้หลังผมแนบติดอยู่กับผนังห้อง

มันเดินตามเข้ามาประกบยื่นแขนขึ้นมาค้ำตัวมันไว้กันไม่ให้ผมหนีไปไหน

“มึงไม่ได้ชอบใครจริงๆ หรอ” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมพยักหน้าหงึกๆ ตอบแต่ไม่ยอมสบตามัน

มึงจะเข้ามาใกล้อะไรนักหนาวะ

“แม้แต่กูมึงก็ไม่ชอบหรอ”

ตึกๆ ตึกๆ

เสียงหัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอกผมให้ได้ ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตามันอยู่นานแต่ไม่ไม่ได้ตอบอะไรกับมัน

‘กูชอบมึง’ ผมอยากจะบอกแบบนี้กับมันเหมือนกัน แต่ก็โดนรั้งปากไว้ด้วยความไม่กล้า กลัวว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงถ้าผมบอกความรู้สึกกับมัน

“เฮ้อ...มึงนี้จริงๆ” มันไม่คาดคั้นผมต่อกลับหัวเราะและดึงริมฝีปากผมแทน

มันไม่โวยวายแล้วเหรอครับ อะไรที่ทำให้มันเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วขนาดนี้ แต่ก็ดีแล้วล่ะครับถ้ามันยังเค้นผมมากกว่านี้ผมได้จนมุมจริงๆ แน่

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจเบาๆ มองช้อปที่กำลังเดินหันหลังทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา ส่วนผมยังยืนนิ่งตัวติดกับผนังถึงจะไม่โดนตัวช้อปมันขวางไว้แล้วแต่ด้วยสายตากับรอยยิ้มแปลกๆ ที่มันส่งมา ทำให้ผมไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน

“มึงจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม” ช้อปช่วยเรียกสติผมกลับมา ถ้ามันไม่เรียกผมคงยืนนิ่งไม่ต่างจากจิ้งจกโดนบานประตูหนีบแน่

ผมขยับตัวออกมาจากผนัง เดินมาหยุดยืนที่หน้าทีวีแทน

“ไปยืนตรงนั้นทำไม มานั่งตรงนี้สิ” มันตบที่โซฟาเรียกให้ผมไปนั่งที่ว่างข้างๆ ทำยังกะว่าห้องนี้เป็นห้องของมัน

“มึงไม่กลับห้องตัวเองล่ะ” ผมยืนมองมันเล่นกับเจ้าหมีบราวน์

“ดึกแล้วกูขอนอนห้องมึงนะ” มันลุกขึ้นเดินมาจับมือทำหน้าอ้อนผม

“ไม่ได้ มึงรีบกลับไปเลย” อะไรของมันจู่ๆ ก็มาโวยวายอยู่หน้าห้องแล้วนี่ยังมาขอนอนห้องผมอีก เรื่องอะไรผมจะให้มันนอนด้วย แค่มันอยู่ใกล้ๆ ผมตอนนี้.......

ใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว

“มันดึกแล้วกลับตอนนี้มันอันตราย มึงไม่เป็นห่วงกูหรอ” อันตรายอะไรของมันตอนมาไม่เห็นจะกลัวอะไร ตอนกลับกลับปอดบอกว่าอันตรายซะงั้น

“มึงกลับไปเลย” ผมดันตัวมันให้เดินไปที่หน้าประตูแต่มันยังขัดขืนไม่ยอมออกไป

“นะๆ แค่คืนเดียว พรุ่งนี้เช้าจะได้ไปเรียนพร้อมกันเลยไง” มันทำอ้อนแบบเด็กๆ ผมได้แค่ยืนส่ายหน้ากับท่าทางของมันปัญญาอ่อนของมัน

ดูแล้วมันจะไม่ยอมกลับง่ายๆ แน่

“เฮ้ย...ไอ้เชี่ยช้อป” มันใช้โอกาสที่ผมเผลอวิ่งหนีเข้าไปในห้องนอน รู้ทั้งรู้ว่าช้อปมันเอาแต่ใจแค่ไหน ผมไม่น่าเหม่อคิดหาวิธีไล่มันกลับจนเปิดทางให้มันแบบนี้เลย

ผมวิ่งตามมันเข้าไป ภาพที่เห็นคือมันกำลังใช้ผ้าห่มห่อตัวเองไว้มีส่วนของใบหน้าเท่านั้นที่โผล่ออกมาสภาพมันไม่ต่างจากดักแด้ผีเสื้อที่กำลังลอกคราบ มันโผล่หน้าออกมายิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนขยับตัวให้ผ้าห่มรัดตัวมันแน่นขึ้น ผมได้แค่ยืนกอดอกส่ายหน้ามองมันจากปลายเตียงเท่านั้น

กูไม่น่าหลงผิดไปชอบมึงเลยจริงๆ เอาแต่ใจฉิบหาย

“ลงมาจากเตียงกู” ผมฉุดแย่งผ้าห่มออกจากตัวมัน

“ไม่” มันตอนเสียงแข็ง ม้วนตัวดึงผ้าห่มให้รัดตัวมันแน่นกว่าเดิม

“มึงจะนอนได้ไง พรุ่งนี้มึงมีเรียนเช้าจะเอาชุดที่ไหนใส่ ของกูเพิ่งส่งไปซักเหลือแค่ชุดเดียว” ผมยกข้ออ้างขึ้นมาพูดบ้าง อันที่ผมมีชุดนักศึกษาอยู่หลายตัวแต่ผมไม่ให้มันยืมหรอกอยากไล่ให้มันกลับห้องไปมากกว่า

“กูเตรียมมาแล้ว” เตรียมมาหรอ? แสดงว่าจุดประสงค์หลักที่มันมาหาผมคงไม่ใช่เพื่อจะมาถามเรื่องนั้น มันคงเน้นหนักที่จะมานอนห้องผมแน่ก็เล่นเตรียมชุดมาพร้อมซะขนาดนั้น

แผนเยอะจริงๆ นะมึง

มันมีแผนผมก็ต้องมีแผนเหมือนกัน ผมคงต้องคิดหาวิธีซ้อนแผนมันกลับบ้างแล้วล่ะ

“ถ้ามึงอยากนอนห้องกูก็ตามใจแล้วกัน” ผมคิดแผนหนึ่งขึ้นได้

“จริงดิ” มันหมุนตัวคลายผ้าห่มออก กระโดดลุกจากเตียงขึ้นมาดีใจ

“อืม...งั้นมึงรีบไปอาบน้ำจะได้มานอน” ผมกดเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดมันจะได้ตายใจไม่สงสัยว่าผมมีแผนอะไรในใจ

“โอเค งั้นเดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน” หลอกง่ายฉิบหาย มันวิ่งออกไปโดยไม่นึกเอะใจอะไร

เสร็จกูละ

ปัง...กรึก

หึๆ คิดว่าผมจะให้มันนอนด้วยง่ายๆ หรอครับ ไม่มีทาง

“นี่มึงหลอกกูหรอ มึงเปิดเดี๋ยวนี้เลยนะมิกซ์”

ปังๆ ๆ ปังๆ ๆ

เสียงโวยวายของมันดังลอดประตูเข้ามา ต่างจากผมที่ยืนกอดอกหัวเราะด้วยความสะใจ

นี่มึงเพิ่งรู้ตัวเหรอ? ถึงจะรู้ตัวตอนนี้มันก็สายไปแล้ว อยากนอนห้องกูนักก็นอนนอกข้างไปเลยนอนกับไอ้บราวน์ของมึงที่โซฟานั่นแหละ

แผนเยอะดีนักโดนซ้อนแผนเข้าไปถึงกับเหวอเลยดิ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร

“อยากนอนห้องกูมากก็นอนตรงโซฟาไปเลย นอนกับไอ้บราวน์ของมึงไปเลย” ผมตะโกนข้ามประตูไปเย้ยมัน

“อย่าให้กูเข้าไปได้นะ มึงโดนแน่” มันขู่ฟ่อกลับมา ก็ได้แค่ขู่แหละครับมันอยู่ข้างนอกจะทำอะไรผมได้

เสียงเคาะประตูเงียบลง ผมแอบเงี่ยหูฟังว่ามันยังอยู่หน้าห้องรึเปล่า เงียบแบบนี้มันคงถอดใจไม่คิดหาทางเขามาในห้องนอนผมอีก ผมเดินกลับไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงดึงผ้าห่มคลุมตัว ดึกมากแล้วผมคงต้องนอนแล้วล่ะพรุ่งนี้มีเรียนเช้าเดี๋ยวจะตื่นไม่ทัน



กรึกๆ แกร็ก

เสียงที่ประตูดังขึ้นหลังจากที่ผมปิดตาเตรียมพักผ่อน แสงไฟจากข้างนอกลอดผ่านเข้ามาในห้อง ผมหรี่ตาปรับโฟกัสมองเงาดำที่กำลังเคลื่อนตัวเขามา ผมเลื่อนมือไปเปิดสวิซต์ไฟข้างหัวเตียง

“หึๆ กูบอกแล้วไงว่าอย่าให้กูเข้ามาได้” เป็นช้อปมันที่ยืนกระตุกยิ้มมองผมอยู่ที่ปลายเตียง

“มึงเข้ามาได้ยังไง” มันเข้ามาได้ยังไง ผมมั่นใจนะว่าผมล็อกประตูห้องแล้ว

“นี่ไง” ผมหรี่ตามองของที่อยู่ในมือมัน มันชูพวกกุญแจขึ้นมานั้นมันกุญแจห้องผม แล้วมันไปอยู่ที่ช้อปได้ยังไง

“อ่อยกูหรอ ทิ้งกุญแจไว้แบบนี้” ผมลืมไปซะสนิท คงเป็นเพราะความเคยชินผมมักจะวางกุญแจทั้งหมดไว้ที่โต๊ะห้องนั่งเล่น แต่ผมไม่ได้อ่อยมันนะครับผมแค่ลืมไปเท่านั้นเอง

“มึงจะทำอะไร” ผมถอยหลังกรูดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกตัวเองไว้

ผมมองตามเสื้อยืดที่ลอยผ่านหน้าผมไป จู่มันก็ถอดเสื้อยกยิ้มเจ้าเล่ห์มองสำรวจตัวผม มันคงไม่คิดจะทำอย่างนั้นกับผมใช่ไหม

“มึงห้ามขึ้นมานะ” มันไม่สนใจเสียงปรามคลานเปลือยอกขึ้นมาบนเตียง

“ช้อปกูไม่เล่นนะ”

“แล้วใครบอกว่ากูจะเล่น” มันคลานเข้ามาใกล้พยายามดึงผ้าห่มที่คลุมตัวผมออก

ผมเห็นท่าไม่รีบพลิกตัวหนีแต่ก็ไม่ทันความเร็วของมัน มันกระโดดขึ้นมาคร่อมตัวกดแขนสองข้างผมแนบกับที่นอน มันไม่ปล่อยให้ผมได้ขัดขืนก้มหน้าลงมาประกบริมฝีปากกับผม มันประกบปากอยู่นานแต่ไม่ได้สอดใส่ลิ้นเข้ามาอย่างครั้งที่แล้ว

มันเลื่อนปากลงมาที่ต้นคอกับใบหูเสียงลมหายใจกับไอร้อนจากจมูกของมันกระทบกับต้นคอจนขนผมลุกซู่

“มิกซ์” มันกระซิบที่ข้างหู ผมหลับตาเม้มปากแน่นอนแข็งทื่อปล่อยให้มันหายใจรดต้นคออยู่นาน

“ฮาๆ ๆ มึงคิดว่ากูจะทำอะไร” มันขำก๊ากพลิกตัวเปลี่ยนเป็นสวมกอดผมจากด้านหลังแทน ปล่อยให้ผมนอนนิ่งเป็นหมอนข้างให้มันกอดเท่านั้น นี่มันแกล้งผมเหรอ

“ปล่อยกู ไอ้เชี่ยช้อป” ผมดิ้นขัดขืนแต่ยิ่งดิ้นมันยิ่งกระชับกอดผมแน่นขึ้น

ผมควรรู้สึกอึดอัดแต่กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“นอนได้แล้วกูง่วง” มันขยับตัวเล็กน้อย

“นอนก็ได้ แต่มึงปล่อยกูก่อน”

“ไม่” มันตอบเสียงแข็ง เลื่อนคางมาเกยไหล่ผม

“งั้นมึงช่วยลุกไปใส่เสื้อก่อนได้ไหม” ถึงผมจะชอบมันจะรู้สึกดีเวลาที่มันกอด แต่ผมคงไม่สนิทใจที่โดนกอดโดยที่มันไม่ใส่เสื้ออยู่แบบนี้ สถานการณ์มันดูล่อแหลมเกินไป

“ถ้ากูใส่เสื้อผ้ากูจะนอนไม่หลับ” แล้วกูต้องรู้ไหมนี่มันห้องกูถ้าอยากนอนแก้ผ้าก็กลับไปที่ห้องตัวเองสิ

“มึงก็กลับ...”

“หรือจะให้กูถอดกางเกงด้วย”

เสียงหัวใจของผมกับมันดังประสานกัน แปลกจังครั้งก่อนที่มันส่งข้อความมาทำผมใจสั่นจนนอนแทบไม่หลับ ครั้งนี้มันก็ยังทำผมใจสั่นดูเหมือนจะมากกว่าเดิมเสียอีก แต่แปลกที่ผมกลับหลับสนิททั้งที่อยู่ในอ้อมแขนของมัน





อื้อ...ผมลืมตาตื่นขึ้น มือหนักของช้อปยังพาดตัวผมอยู่ในท่าเดียวกันกับเมื่อคืน แผ่นหลังผมยังแนบกับอกเปลือยและหน้าท้องของมัน แต่มีบางสิ่งที่มันยื่นออกมาทิ่มก้นผมอยู่ตอนนี้ ผมพยายามขยับตัวหนีแต่ยังถูกแรงจากท่อนแขนของมันรั้งไว้ผมยิ่งดิ้นก้นผมยิ่งถูไถกับเจ้าสิ่งนั้น ผมตัดสินใจเลื่อนมือไปด้านหลังเพื่อเช็กว่าสิ่งที่ทิ่มหลังผมอยู่ มันคงไม่ใช่หนอนน้อยอย่างที่ผมคิดนะครับ

‘หมับ’ ผมจับสิ่งนั้นเข้าเต็มมือ ผมคิดผิดครับไม่ใช่หนอนน้อยครับแต่มันคืออนาคอนด้าแห่งลุ่มน้ำอะเมซอนต่างหาก

ผมรีบดึงมือกลับแต่โดนมือเจ้าของงูยักษ์ตัวนั้นจับไว้ซะก่อน

“นี่มึงลักหลับกูหรอ” มันจับมือผมไว้ทั้งๆ ที่มือผมยังแปะอยู่ที่อนาคอนด้าตัวเขืองของมันอยู่

เชี่ย!!! มันผงกหัวด้วย

“ที่หลังอยากจับก็ขอกูดีๆ ก็ได้ กูยินดีเสมอถ้าเป็นมึง” มันกระซิบที่ข้างหู หลังจบประโยคมันยังแอบพ่นลมใส่หูผมด้วย เล่นเอาผมขนลุกไปทั้งตัว

“ปล่อยกู แล้วเอาของมึงออกไปจากตูดกูด้วย”

“ได้ไงมึงเป็นคนปลุกมัน มึงก็ต้องกล่อมมันให้หลับด้วยสิ”

“มันตื่นเองไม่เกี่ยวกับกู” มันต่างหากที่ปลุกผม ทิ่มก้นผมขนาดนี้ยังมีหน้ามาหาว่าผมปลุกมันอีก

“ใครปลุกก็ช่าง แต่มึงไม่คิดจะช่วยมันบ้างหรอ” ช่วยกับป้ามึงสิ ของมึงมึงก็ช่วยมันเองสิ

“ไอ้สัส!!! ปล่อยกู”

“ล้อเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้” จู่มันก็คลายกอด สะบัดตัวเดินทำหน้างอออกไป ปล่อยให้ผมนอนมองมันอย่างงงๆ

ผมนั่งรอมันอาบน้ำอยู่หน้าทีวี ไม่นานมันก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอว นั้นผ้าเช็ดตัวผมนิแล้วมันเอาไปใช้โดยที่ไม่ขอผมได้ไง แม่งทำอย่างกับเป็นห้องตัวเอง

ผมเหลือผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวแล้วผมจะเอาที่ไหนใช้ล่ะที่นี้

“มึงเอาผ้าเช็ดตัวกูไปแล้วกูจะใช้อะไร” ผมบ่นมันที่กำลังเดินยกมือสางผมตัวเองตรงมานั่งที่โซฟาข้างๆ ผม มันไม่สนใจที่ผมพูดหันมองรอบๆ ห้องเหมือนกำลังหาอะไรอยู่

“มึงมีชุดให้กูยืมไหม” อ้าวเฮ้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า ไหนมึงบอกว่าเตรียมชุดมา

อย่าบอกนะครับว่าผมโดนมันหลอกเข้าอีกแล้ว

“ไหนมึงบอกว่าเตรียมชุดมา” มันเบะปากยักไหล่เดินเข้าไปในห้องนอนอย่างหน้าตาเฉย

“มิกซ์ๆ” มันเดินเข้าไปได้ไม่ถึงสองนาทีก็โผล่หน้าออกมาเรียกผม

อะไรของมึงอีก

“อะนี่” ผ้าเช็ดตัวลอยปลิวออกมาคลุมหัวผม อย่าบอกนะว่ามันกำลังแก้ผ้าล่อนจ้อนอยู่ในห้องนอนผม

“ไอ้เชี่ยช้อป” ผมดึงผ้าเช็ดตัวออก มันหายตัวกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งปล่อยให้ผมยืนโวยวายอยู่คนเดียว

เฮ้อ...ผมคงต้องปล่อยมันไป มันอยากทำอะไรก็เชิญผมคงห้ามอะไรมันไม่ได้อยู่แล้ว

“มิกซ์”

“เชี่ย!!! อะไรของมึงอีก” ผมตกใจสะดุ้งตัวโยน จู่ๆ มันก็โผล่หน้าออกมาอีก

“กูยืมนะ” มันชูเสื้อกับกางเกงนักศึกษาให้ผมดู ถึงขนาดนี้แล้วมึงยังต้องขออนุญาตกูอีกหรอ

คงเหลือแค่กางเกงในแล้วมั้งครับที่มันยังไม่ได้ใช้ของผม

ผมถอนหายใจพรืดเดินตรงเข้าห้องน้ำ

“มิกซ์นี่ด้วยนะ” ยังไม่หมด มันยังโผล่หน้าออกมาเรียกผมอีก คราวนี่มันชูกางเกงใน Calvin Klein สีขาวของผมออกมา

โอ๊ย...ผมจะทำยังไงกับมันดีเนี่ย

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 15


ผมนั่งมองช้อปที่กำลังกระตือรือร้นจัดแจงกระเป๋าเป้และกีตาร์ที่มันซื้อให้ วันนี้ดูมันอารมณ์ดีเป็นพิเศษมันเดินถือกระเป๋ากีตาร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมเดินตามมันออกมาจากห้องตลอดทางที่เดินลงมาชั้นจอดรถ หลายครั้งที่มันหันกลับมาส่งยิ้มให้โดยไม่มีเหตุผล วันนี้มันดูแปลกๆ แต่จะว่าไปมันก็ดูแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

มันเดินไปเปิดประตูที่นั่งด้านหลังยัดกล่องกีตาร์วางไว้บนเบาะแล้ววิ่งอ้อมมาเปิดประตูรถฝั่งคนนั่ง มันยืนยิ้มรอให้ผมเข้าไปนั่งในรถ ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าว่ามันดูแลผมมากกว่าปกติ

ผมนั่งฟังช้อปมันฮัมเพลงเคาะพวงมาลัยมาตลอดทางตลอดทาง ผมแอบสงสัยไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้มันอารมณ์ดีขนาดนี้

“มึงเป็นอะไร ทำไมวันนี้มึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” ผมเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวเอ่ยถามมันทันทีที่รถจอดสนิทตรงหน้าตึกคณะ

“เปล๊า!!!” มันตอบเสียงสูงพร้อมกับรอยยิ้มส่อพิรุธ มันทำเป็นไม่สนใจเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้ผม

“มึงตอบกูมา” มันไม่ตอบแค่ส่งยิ้มแบบเดิมมาแล้วเดินหนีออกไป อาการแปลกๆ ของมันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับผม ถ้าวันนี้ผมไม่ได้คำตอบคงอึดอัดตายแน่

ผมรีบวิ่งตามไปคว้ากระเป๋ารั้งมันเอาไว้

“ไม่ได้ยินที่กูถามหรอ”

“มึงก็เลิกปากแข็งก่อนสิ” ผมคิดว่ามันลืมเรื่องเมื่อคืนไปแล้วซะอีก มันจะเอาคำตอบจากผมให้ได้เลยใช่ไหม

“ก็…” ผมยืนอ้ำอึ้งอยู่เกือบนาที โดนมันย้อนกลับด้วยวิธีนี่ผมก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน

“เฮ้อ…” มันถอนหายใจเสียงดัง สีหน้ามันเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีมันก็กลับมาคลี่ยิ้มก่อนคว้ามือผมไปจับไว้

ผมเดินตามแรงดึงจากมือช้อปจนเกือบถึงหน้าตึก ผมรีบสะบัดมือที่จับอยู่กับช้อปออก มันเองก็คงเข้าใจสิ่งที่ทำ มันไม่ดึงดันที่จะจับมือผมต่อรีบคลายมือทันทีที่เห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งยืนคุยกันอยู่หน้าตึก

ถึงช่วงเช้าจะมีนักศึกษามากันไม่เยอะเท่าไร แต่ถ้ามีใครมาเห็นผมเดินจับมือกับช้อปแบบนี้คงตกเป็นประเด็นร้อนของคณะอีกแน่ เรื่องคราวที่แล้วผมยังเคลียไม่จบเลย

“ถ้ากลัวใครเห็นเดี๋ยวกูเดินเข้าไปก่อนก็ได้” มันหันกลับมาบอกแล้วเดินนำห่างเข้าไปใต้ตึกคณะ

ผมเดินตามหลังช้อปมาห่างๆ ยืนมองมันเดินตรงเข้าไปวางกระเป๋าเป้ของผมลงบนโต๊ะที่กิ๊ฟกับมิลล์นั่งอยู่ สองสาวที่กำลังนั่งเมาท์กันอย่างออกรสออกชาติเงยหน้าขึ้นมามองช้อปแล้วหันกลับมามองหน้ากันเองอย่างสงสัย

“พี่ช้อปมาได้ยังไงคะ แล้วนี่กระเป๋ามิกซ์ไม่ใช่หรอ” ผมรีบสาวเท้าวิ่งเข้าไปทันทีเมื่อได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา

“ช้อปมันมากับเรา” ผมตะโกนนำออกไปตั้งแต่ตัวยังไม่ถึงโต๊ะ สองสาวหันมามองหน้าผมด้วยความสงสัย

ถ้าช้อปมันหลุดปากพูดเรื่องที่มันนอนห้องผมเมื่อคืนคงได้กลายเป็นเรื่องแน่ สองคนนั้นยิ่งสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับมันอยู่ด้วย

“เราบังเอิญเจอกัน” ยิ่งพูดสองสาวยิ่งมองผมด้วยสีหน้าสงสัยมากกว่าเดิมเสียอีก

“แกเป็นอะไรรึเปล่ามิกซ์ ฉันยังไม่ได้ถามแกสักคำเลย” กิ๊ฟมองผมอย่างจับผิด ผมยืนกระอักกระอ่วนหาคำแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่หน้าเครื่องจับเท็จ สองสาวคงไม่ต่างกับนักสืบที่นั่งกดดันให้ผู้ร้ายปากแข็งอย่างผมคายความลับออกมา

ผมไม่น่าร้อนตัวไปก่อนเลย

“พอดีพี่เห็นมิกซ์เดินอยู่อยู่คนเดียวเลยแวะรับมันมาด้วย” ทั้งสองคนพยักหน้าเป็นการรับรู้ แต่สายตากลับจ้องมาที่ผมแทนที่จะเป็นช้อปคนที่ตอบคำถามเมื่อกี้

นิสัยที่ผู้หญิงส่วนมากเป็นกันคือถ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็ต้องรู้ให้ได้ ไม่ยอมปล่อยให้มีอะไรค้างคาในใจพวกเธอ สองสาวตรงหน้าก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงจะไม่ได้ถามออกมาตรงๆ เพราะช้อปยังนั่งอยู่ต่อหน้า แต่ด้วยสายตาท่าทางของทั้งสองแล้วคงไม่ยอมปล่อยผมไปโดยไม่มีคำตอบให้พวกเธอแน่

ผมโดนสองสาวเล่นเข้าให้แล้ว

ผมยังแอบเห็นพวกเธอหันหน้าซุบซิบกันอยู่หลายครั้ง ผมมั่นใจว่าตัวเองต้องเป็นประเด็นในบทสนทนาของสองคนนั้น

ผ่านไปสิบกว่านาทีเหมือนสองคนนั้นจะลดความสงอยากรู้เรื่องผมไปบ้าง ต่างคนต่างหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากด มีบ้างที่ทั้งสองกดมือถือยุกยิกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามชีวิตความเป็นอยู่ของช้อปมัน ผมต้องสะดุ้งเฮือกและลุ้นทุกครั้งว่าพวกเธอจะถามอะไร

“เอ่อ...พี่ช้อปคะ” และนี้ก็เป็นอีกครั้งที่กิ๊ฟเอ่ยถามช้อปและก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องสะดุ้งเฮือก แต่ต้องรีบเก็บอาการไว้ทำได้เพียงเงี่ยหูแอบฟัง

“เอ่อ...ไม่มีไรแล้วค่ะ” ผมว่าสองคนนั้นไม่ได้ต้องการถามเพื่อจะเอาคำตอบอะไรจากช้อป ดูเหมือนช้อปจะเป็นเพียงเครื่องมือที่สองคนนั้นใช้จับผิดผมซะมากกว่า

ผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นอ่านการกระทำของผมไปถึงไหนแล้ว ทั้งกิ๊ฟและมิลล์เลือกที่จะไม่คุยกับผม แต่เลือกที่จะโยนคำถามใส่ช้อปแล้วหันมาดูปฏิกิริยาของผม หลังจากโยนคำถามเสร็จก็หันกลับไปกดมือถือยุกยิกๆ แล้วพยักหน้าให้กันเอง

“มิกซ์ๆ ” เสียงช้อปกระซิบเรียก มันเองก็เหมือนกันตั้งแต่มาถึงมันก็นั่งยุกยิกขยับตัวไปมาไม่ต่างจากเพื่อนขี้สงสัยสองคนของผม

แล้วมันเป็นอะไรของมันอีก

“อะไร” ผมยกหนังสือขึ้นบังหน้า กระซิบถามมันกลับ

“กางเกงในมึงเล็กหรือของกูใหญ่ทำไมมันอึดอัดแบบนี้” มันไม่พูดเปล่าเลื่อนมือไปกุ้มเป้าตัวเองโชว์อย่างหน้าตาเฉย ถ้ามันไม่อายผมก็ควรอายเจ้าที่หรือสองสาวที่นั่งตรงข้ามบ้าง ดีนะที่ยังมีหนังสือผมบังเอาไว้

“เชี่ย! มึงทำอะไร” แค่กุมเป้าผมก็ว่ามันน่าเกลียดมากแล้ว แต่นี้มันกลับล้วงมือเข้าไปในกางเกงเหมือนกำลังจัดระเบียบงูยักษ์ของตัวเองอยู่

ครั้งนี้ไม่มีหนังสือค่อยช่วยปิดกั้นสายตาอยากรู้อยากเห็นของสองสาว เพราะมันหลุดจากมือผมไปตั้งแต่ช้อปมันเริ่มล้วงมือเข้าไปในกางเกงแล้ว และที่สำคัญผมเผลอโพล่งออกไปเสียงดังจนตกเป็นเป้าสายตาของสองสาวอีกครั้ง

หวังว่าสองคนนั้นจะไม่ได้ยินและไม่เห็นสิ่งที่ช้อปมันทำนะครับ

ตาสองคู่ที่จ้องมาที่ผมแทบไม่กะพริบ จ้องจนผมไม่กล้าหันไปเอ็ดช้อปที่ทำอะไรทุเรศๆ แบบนั้น

“พี่ช้อปคะ มิกซ์มันยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย” จู่ๆ กิ๊ฟก็เปิดประเด็นใหม่ มันต้องมีแผนอะไรแน่ๆ

“ใช่สิลืมไปเลย เดี๋ยวกูมานะ” ช้อปลุกเดินออกไปทิ้งให้ผมนั่งตัวลีบอยู่กับสองสาวโคนันที่กำลังเผยรอยยิ้มร้ายๆ ออกมา

มันไม่ยอมปล่อยให้ที่นั่งข้างๆ ผมว่าง รีบเดินอ้อมมานั่งเบียดผมไว้ทั้งสองข้าง ตอนนี้ผมโดนปิดตายไม่มีช่องทางให้หนีแล้ว

“มิกซ์! แกตอบพวกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าแกกับพี่ช้อปเป็นอะไรกัน” นี่คงเป็นเวลาที่มันสองคนรอคอย กิ๊ฟยิ่งคำถามใส่ไม่รอให้ผมได้ตั้งตัวเลย มิลล์เองก็ยกมือขึ้นจับหัวไหล่ผมเป็นการกดดัน

“พวกแกทำอะไรกัน” คิมกับเอ็มเพิ่งมาถึง เดินมานั่งที่ว่างตรงข้ามที่กิ๊ฟกับมิลล์เคยนั่งอยู่ คิมเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

มันสองคนมาถูกเวลาจริงๆ ผมส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพวกมันสองคน

“แกสองคนจะทำอะไรมิกซ์มันอะ” ดูเหมือนคิมยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าไร แต่ก็ยังเอ่ยปากช่วย

“แกเงียบไปเลย!” กิ๊ฟหันไปขู่ฟ่อใส่คิม จนคิมต้องหดคอกลับทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม มันโดนอารมณ์หญิงเล่นงานเข้าอีกคนแล้ว

“เฮ้ย...พวกแกปล่อยมิกซ์มันก่อน มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน” คราวนี้เป็นเอ็มที่ลุกขึ้นปรามสองสาว เอ็มเพื่อนรักมึงคืออัศวินขี่ม้าขาวของกู ผมส่งยิ้มแสดงความขอบคุณ ผมภูมิใจในความกล้าหาญของมันมาก

“แกก็อีกคน!” มิลล์ที่นั่งเบียดผมอยู่ทุบโต๊ะปังพร้อมกับมองเอ็มด้วยสายตาพิฆาต แล้วไอ้เอ็มก็เป็นอีกคนที่ต้องพ่ายให้กับสองสาว ไม่เหลือใครที่จะช่วยผมได้แล้ว

จริงสิ! ยังมีช้อปอีกคนที่สองสาวยังพอจะให้ความเกรงใจอยู่บ้าง ‘มึงไปไหนเนี่ยช้อปรีบกลับมาช่วยกูที’ แต่ก็คงเรียกมันได้แค่ในใจเพราะยังไม่มีวี่แววที่มันจะกลับมาเลย

“มิกซ์! แกตอบพวกฉันมาได้แล้ว ตกลงแกกับพี่ช้อปเป็นอะไรกัน”

“ห๊ะ/ห๊ะ” เสียงของคิมกับเอ็มประสานกัน

“แกหมายความว่ายังไงกิ๊ฟ/แกหมายความว่ายังไงกิ๊ฟ” มันสองคนลุกขึ้นยืนมือเท้าโต๊ะ

“พวกแกมองไม่ออกเลยหรอว่ามิกซ์กับพี่ช้อปมีซัมติงอะไรกัน” กิ๊ฟตอบมันสองคน แต่กลับยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ หูผมแทน ทำเอาผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“จริงหรอวะมิกซ์” สถานการณ์ดูไม่ดีขึ้น ผมว่ามันแย่กว่าเดิมซะอีกก็ไอ้เพื่อนสองตัวของผมมันได้แปรพักตร์เข้าร่วมกลุ่มสืบสวนกับสองสาวไปเป็นที่เรียบร้อย มันช่างเจ็บใจจริงๆ โดนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแบบนี้

ผมนั่งตัวลีบให้พวกมันคาดคั้นอยู่นาน แต่ผมก็ยังปฏิเสธเสียงแข็งบอกพวกแค่ว่าช้อปเป็นพี่เลี้ยงและช่วยสอนกีตาร์ผมเท่านั้น แต่มีหรือที่พวกมันจะยอมเชื่อ

โทรศัพท์มือถือของผมถูกคิมกับเอ็มยืดไป พวกมันพยายามสุ่มรหัสผ่านมือถือทั้งวันเกิด ปี พ.ศ. หรือแม้กระทั่งทะเบียนรถผมก็ตาม แต่ให้เดายังไงก็ไม่มีทางถูกหรอก มีเหรอคนอย่างผมจะตั้งพาสเวิร์ดแบบนั้น 0000 ต่างหากที่ผมใช้ แม้กระทั่งรหัสเอทีเอ็มผมยังใช้รหัสนี้เลย

“พวกแกสองคนนี้โง่จัง เห็นปุ่มแสกนลายนิ้วมือนี้ไหม” กิ๊ฟแย่งโทรศัพท์จากมือพวกมันสองคน ส่งสายตาเป็นสัญญาณที่ผมเองก็เข้าใจ ‘จับตัวมันไว้’ นี่แหละสิ่งที่กิ๊ฟต้องการบอก

ผู้หญิงอย่างกิ๊ฟนี่น่ากลัวเป็นบ้า นอกจากจะทันคนแล้วยังมีความคิดที่ก้าวล้ำกว่าคนทั่วๆ ไปอีก

คิมกับเอ็มพยักหน้ารับทราบก่อนกระโดดข้ามโต๊ะมาล็อกตัวผมไว้

“เช่ีย! ปล่อยกู” ผมพยายามดิ้นขัดขืน สองแขนผมถูกล็อกอย่างแน่นหนา คนหนึ่งเป็นนักกีฬาอีกคนถึงจะเป็นเด็กแว่นแต่ก็มีแรงมากพอที่จะล็อกแขนอีกข้างผมไว้ คงเป็นเพราะความอยากรู้ของพวกมันถึงได้มีแรงล็อกตัวผมไว้ขนาดนี้

ผมนั่งนิ่งไม่สามารถขัดขืนใดๆได้อีก

“หึๆ ” กิ๊ฟเดินถือโทรศัพท์มานั่งตรงหน้าผม

“แกบังคับให้พวกฉันต้องทำอย่างนี้เองนะ” กิ๊ฟยกยิ้มเล็กย้อนก่อนสั่งให้คิมยกมือข้างหนึ่งของผมวางบนโต๊ะ มือผมถูกหงายขึ้น กิ๊ฟพลิกโทรศัพท์ด้านที่มีปุ่มสแกนลายนิ้วมือยื่นมาใกล้นิ้วหัวแม่มือผม นิ้วมือผมกับปุ่มสแกนอยู่ห่างกันไม่ถึงเซน

ผมจะทำยังไงดี ตอนนี้คงได้แค่ภาวนาว่าจะมีใครสักคนเข้ามาห้ามพวกมันไว้ได้ทัน

“แก...พี่ช้อปมา” ไอ้ช้อปมันกลับมาแล้ว ผมไม่เคยดีใจที่ได้ยินชื่อมันแบบนี้มาก่อน

มือที่ล็อกตัวผมอยู่คลายออกโทรศัพท์มือถือผมถุงดึงกลับไปโดยกิ๊ฟ พวกมันทั้งสี่รีบวิ่งกลับไปนั่งเบียดกันอยู่ที่อีกฝั่งแถมยังตีหน้าเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก อยากจะมอบรางวัลออสการ์สาขาการตอแหลให้พวกมันจริงๆ

แต่ก็ช่างพวกมันเถอะเพราะผมได้ช้อปกลับมาเป็นไม้กันเสือกแล้ว พวกมันคงไม่กล้าถามอะไรผมต่อแล้ว

“อะนี่แซนด์วิซกับนม กินด้วยเดี๋ยวกูต้องรีบไปเรียนแล้ว” ห่อแซนด์วิซและนมรสกล้วยถูกวางลงตรงหน้า กระเป๋ากับสัมภาระของช้อปถูกหยิบขึ้นไป ผมเงยหน้ามองช้อปที่กำลังก้มมองผมอยู่เช่นกัน

มันจะรีบไปไหนอยู่ต่อก่อนไม่ได้รึไง ความหวังสุดท้ายของผมเริ่มริบหรี่ลง

“รีบกิน เดี๋ยวตอนเย็นกูมารับ” มันเพียงส่ายหน้าขยี้หัวผมเบาๆ แล้วเดินหันหลังออกไป

ช้อป มึงกลับมาก่อนได้ไหมวะ

ผมเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าแล้วจับโยนเข้าไปในกรงสิงโต น่าจะเป็นสิงโตมังสวิรัติซะด้วยเห็นชอบกินเผือกกันเหลือเกิน

ผมหันกลับมาที่โต๊ะ ก็เป็นอย่างที่คิดพวกมันทั้งสี่กำลังยกยิ้มร้ายส่งมาให้ ทางรอดทางเดียวของผมตอนนี้คือการหนีและต้องหนีเท่านั้น

ผมแอบเลื่อนมือไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ใกล้ๆ

“มึงจะทำอะไร” คิมเอื้อมมือมาตะปบกระเป๋าเป้ผมไว้

“หยุดคิด” หนังสือของผมก็ถูกมิลล์แย่งไปเรียบร้อย

“หึๆ ” แม้แต่ปากกาที่มีอยู่แค่แท่งเดียวของผมก็ถูกเอ็มแย่งไปทัดหู

ผมไม่เหลืออะไรให้เก็บกลับแล้วเหลือแค่ตัวเท่านั้นที่คงต้องรีบหนีออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ผมพร้อมแล้ว หนึ่ง...สอง...

“จะตอบพวกฉันดีๆ หรือจะให้ถามพี่ช้อปเอง” กิ๊ฟยกโทรศัพท์ผมส่ายไปส่ายมา แต่ว่า...มันปลดล็อกโทรศัพท์ผมได้ยังไง

“แกปลดล็อกมือถือเราได้ยังไง”

“0000 ฉันน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว รหัสที่เหมาะกับคนอย่างแกที่สุด” ผมว่ากิ๊ฟมันจะเก่งเกินไปแล้ว พ่อมันเป็นโคนันหรือแม่มันเป็นไฮบาระหรือเปล่าทำไมถึงได้จับผิดเก่งแบบนี้

ถึงพวกมันจะเปิดมือถือผมได้แต่ยังไงก็ไม่มีทางล้วงความลับของผมไปได้ เพราะส่วนใหญ่ที่ผมคุยเรื่องช้อปกับพอกไอ้แทนไอ้ไอซ์ผมก็ลบไปหมดแล้ว

ที่เหลือก็คงจะมีแค่...รูปของช้อปที่ผมแอบเซฟไว้

ผมก็บอกไปแล้วว่าชอบช้อปมัน ผมแค่ยังไม่กล้าบอกกับมันเท่านั้น หลายครั้งที่ผมไปเจอรูปมันในเพจของมหาลัยก็อดเซฟรูปมันไว้ในเครื่องไม่ได้ ไม่รู้ว่าแอบหลงมันไปตั้งแต่ตอนไหนเหมือนกัน

แต่ไม่ต้องห่วงว่าเพื่อนรักทั้งสี่คนมันจะเห็นเพราะผมเก็บมันไว้ในไฟล์นิรภัยที่ต้องใส่รหัสแปดหลักถึงเจ้าเข้าไปได้

ตอนนี้ผมก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าพวกมันจะรู้เรื่องของผมกับช้อป แต่ว่าผมควรหนีให้ห่างจากพวกมันก่อน ผมคิดว่าคนอย่างกิ๊ฟต้องหาวิธีง้างปากผมได้แน่

กิ๊ฟยกมือถืออีกเครื่องที่กดเบอร์ใครคนหนึ่งเอาไว้

“คิดให้ดีนะว่าจะตอบเองหรือจะให้ถามกับพี่ช้อป” นั้นไงครับพูดยังไม่ทันขาดคำกิ๊ฟมันก็หาทางมากดดันผมจนได้

“แกไม่กล้าหรอก” ผมว่ามันคงไม่กล้าหรอกเพราะอยู่ต่อหน้ามันยังไม่กล้าถามช้อปตรงๆ เลย

ผมหันหลังก้าวขาข้างหนึ่งออกมาจากเก้าอี้เรียบร้อย แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงร้องสายที่ดังผ่านสปิกเกอร์โฟนอยู่ทางด้านหลัง

มันไม่คิดจะโทรหาช้อปจริงๆ ใช่ไหม

“เฮ้ย! เอามานี่” ผมหันกลับไปพยายามแย่งมือถือจากกิ๊ฟ มันกดโทรหาช้อปแล้วจริงๆ

“จะบอกเองหรือว่า...”

“ฮัลโหล...” เสียงผู้ชายดังลอดออกมา ผมจำได้แม่นว่าเป็นเสียงของช้อป

กิ๊ฟยังเงียบไม่ตอบกลับช้อป แต่หันมองผมแล้วขยับปากถามผมแทน ‘ว่าไง’ สิ่งที่ผมอ่านได้จากปากกิ๊ฟ

“ฮัลโหล นั่นใครครับ” เสียงช้อปดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เหมือนกิ๊ฟจะขยับปากพูดใส่โทรศัพท์ เป็นผมที่ต้องรีบพยักหน้ารับข้อเสนอของมัน

คงต้องยอมบอกพวกมันแล้ว

“กิ๊ฟเองค่ะพี่ช้อป กิ๊ฟแค่มือลั่น ขอโทษนะคะ” แล้วกิ๊ฟก็กดวางสายหันมาจ้องหน้ารอคำตอบจากผม

“ว่าไง”

“เอ่อ...คือว่า...คือ...”

“มิกซ์!” สี่เสียงประสาน

“คือช้อปมันตามจีบเราอยู่” ผมรีบตอบออกไป ไอ้คิมกับเอ็มเบิกตาโตเป็นไข่ห่านทันทีที่ผมตอบเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“มะ...มึงพูดจริงหรอมิกซ์” เป็นเอ็มที่เอ่ยถามก่อน

ผมแค่พยักหน้ายืนยันกับมัน คราวนี้มันสองคนถึงกับอ้าปากค้างกันเลย ผมเองก็เคยเป็นแบบพวกมัน ใครจะเชื่อล่ะครับว่าเดือนคณะอย่างช้อปมันจะชอบผู้ชายและผู้ชายที่มันก็ชอบก็คือผม

แต่ดูปฏิกิริยาของสองสาวจะดูไม่ตื่นเต้นสักเท่าไร

“พวกฉันรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว” ก็คงเป็นเซนต์แรงของผู้หญิงที่มักสัมผัสเรื่องพวกนี้ได้ ผมเองก็เริ่มสงสัยตั้งแต่ที่โดนกิ๊ฟจี้ถาม แต่ตอนนั้นผมยังคุยกับฝ้ายอยู่กิ๊ฟเลยไม่ซักผมอะไรผมต่อ

“เรื่องที่พวกฉันอยากรู้คือแกชอบพี่ช้อปด้วยไหม” นี่คงเป็นประเด็นหลักที่สองสาวอยากรู้ แต่จะให้ผมบอกว่าชอบช้อปได้ยังไง ถ้าผมบอกไปพวกมันจะมองผมด้วยสายตาแบบไหน เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุด

“มันจะชอบได้ยังไง มิกซ์มันแมนขนาดนี้จะชอบผู้ชายได้ไง” คิมพูด

“ใช่ๆ พวกแกก็เห็นว่ามิกซ์มันจีบผู้หญิงอยู่” เอ็มเสริม

อยากจะขอบคุณพวกมันที่ช่วยแก้ตัวแทนผม แต่ก็รู้สึกผิดกับพวกมันที่ความรู้สึกของผมจริงๆ ของผมไม่ได้เป็นอย่างที่พวกมันคิด แบบนี้จะให้ผมกล้าบอกว่าชอบช้อปได้ยังไงแค่รู้ว่าช้อปมันชอบผมพวกมันก็ดูช็อกขนาดนั้น

“แกเป็นผู้ชายจะรู้อะไร ผู้หญิงอย่างพวกฉันดูออก” เป็นมิลล์ที่แย้งขึ้นมา

“ผู้หญิงชอบมโนทั้งนั้นแหละ” เอ็มเถียงกลับ

“แกว่าใครมโน”

“ว่าแกสองคนนั้นแหละ” กลายเป็นว่าเกิดสงครามน้ำลายระหว่างสองฝั่ง ฝั่งที่คิดว่าผมชอบกับฝั่งที่คิดว่าไม่ชอบ ผมยืนมองมันสี่คนทะเลาะกันอยู่นานและไม่มีวี่แววจะหยุดลงง่ายๆ เริ่มจะมีการขว้างปาสิ่งของกันขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าปล่อยไว้แบบนี้พวกมันได้ทะเลาะกันแบบจริงจังแน่

“ใช่ เราชอบช้อป” เสียงเอะอะโวยวายหายไป สงครามคงต้องหยุดลงเพียงเท่านี้ ผมไม่อยากให้พวกมันทะเลาะกันจนเลยเถิด

ผมตัดสินใจเพียงเสี้ยววิเดียวและตอบออกไปแบบนั้น ผมคิดว่าคงปกปิดพวกมันไว้ไม่ได้แล้ว

“จริงดิ/จริงดิ” คิมกับเอ็มประสานเสียงกันอีก

“อืม” ผมทำได้เพียงพยักหน้าตอบไปเท่านั้น

“เป็นไปได้ยังไง”

“มีแค่แกสองคนเท่านั้นแหละที่ดูไม่ออก” มิลล์เอ็ดพวกมันสองคน

ผมพยายจับสีหน้าและสายตาของพวกมันว่าเปลี่ยนไปหรือเปล่าหลังจากที่รู้ว่าผมชอบผู้ชาย ดูสีหน้าพวกมันจะตกใจเท่านั้นแต่สายตาที่มองผมยังคงเหมือนเดิม ผมคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองใช่ไหม

“พวกมึงไม่รู้สึกแปลกๆ กับกูหรอ” ผมตัดสินใจถามออกไป

“แปลกอะไร” คิมดูจะไม่เข้าใจคำถาม

“เออ แปลกอะไร” เอ็มก็เช่นกัน

“ก็ที่กูชอบผู้ชายไง พวกมึง...”

“ไอสัส! มึงคิดอะไรของมึงพวกกูเคยอยู่โรงเรียนชายล้วน เรื่องพวกนี้กูชินแล้ว ขนาดเพื่อนกูมันจะเอากันต่อหน้ากูยังเฉยๆ เลย ใช่ไหม” คิมหันไปถามความคิดเห็นเอ็ม

“เออใช่ พวกกูแค่ตกใจ ใครจะไปคิดละว่าคนอย่างมึงจะชอบผู้ชาย” คำตอบของพวกมันทำผมยิ้มออกทันที นอกจากไอ้แทนกับไอซ์ที่สนิทกับผมมานานแล้ว ก็มีไอ้สองคนนี้แหละที่ดูเจ้าเข้าใจผมที่สุด

“แล้วกิ๊ฟกับมิลล์ล่ะ” ผมหันไปถามสองคนที่เหลือ

“แกก็คิดมากพวกฉันโอเคและก็โอเคมาก และอีกอย่างพวกฉันสงสัยแกมาตั้งนานแล้ว” สองสาวพยักหน้าให้กัน

“ตั้งแต่ตอนไหน” ผมถาม

“ฉันสงสัยตั้งแต่แกตะโกนออกมากลางห้องแล้ว แค่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นพี่ช้อปหรือเปล่าเท่านั้น” กิ๊ฟเล่าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ คงจะดีใจมากที่สามารถจับผิดผมได้ แต่ผมไม่ว่าอะไรพวกมันหรอกครับเพราะผมได้พูดสิ่งที่ผมกลัวออกไปแล้ว ต่อจากนี้ไปก็เหลือสายตาจากคนรอบๆ ที่ผมต้องเผชิญและกล้าที่จะบอกความรู้สึกช้อปมันสักที

“จะถึงเวลาแล้ว รีบไปเรียนกันดีกว่า” มิลล์ตัดบทขึ้น เหลืออีกแค่สิบนาทีพวกผมต้องรีบเข้าห้องเรียนถ้าไปสายได้โดนอาจารย์ป้าขาโหดดุเอาแน่ๆ



ผมนั่งเรียนยาวตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็เหลืออีกแค่สิบนาทีจะหมดเวลาของชั่วโมงสุดท้าย ผมยัดสมุดหนังสือตัวเองกระเป๋าทั้งที่อาจารย์ยังสอนไม่เสร็จ ก็เป็นปกติของผม คิมกับเอ็มมันก็เก็บของใส่กระเป๋าก่อนผมซะอีก

“จะรีบไปไหนอาจารย์ยังสอนไม่เสร็จเลย” มิลล์หันมาถาม

“แกลืมไปแล้วหรอมิลล์ว่าใครรอมิกซ์อยู่”

“ฮิ้ว…” เสียงไอ้คิมกับเอ็มโห่แซวจนอาจารย์หันมาค้อนพวกเรา ก็อย่างที่เห็นครับตั้งแต่พวกมันรู้ผมก็โดนแซวตั้งแต่เช้าจนตอนนี้พวกมันยังไม่หยุดกันเลย แต่ยังดีที่พวกมันรู้ขอบเขตเพราะผมขอไว้ พวกมันจะแซวเฉพาะตอนที่อยู่กันสี่คนเท่านั้น

และทุกครั้งที่โดนแซวผมก็มันจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่เผลอหลุดยิ้มออกมาทุกครั้ง

“ฝากเพื่อนหนูด้วยนะคะพี่ช้อป”

“ส่งให้ถึงห้องนอนมันเลยนะพี่”

แซวในห้องยังไม่พอพวกมันยังตามมาส่งผมทั้งๆ ที่ทุกวันจะแยกกันกลับ แค่เพื่อมาแซวผมต่อเท่านั้น ยอมพวกมันเลยจริงๆ

มีแค่ช้อปมันเท่านั้นที่ยืนทำหน้างงแต่ก็ยังยิ้มตอบกลับเหล่าเพื่อนของผมไป

“มีอะไรกันรึเปล่า” มันถาม

“เปล๊า!”

“มึงดูแปลกๆ นะ” นี่ก็อีกคน จับผิดเก่งจริงๆ

“แปลกยังไง”

“เมื่อเช้ายังหน้าบูดอยู่เลย ทำไมตอนนี้ยิ้มซะหน้าบานเลยห๊ะ” มันมองหน้าผมด้วยความสงสัย

จะบอกว่าเป็นเพราะมันก็ไม่ได้ซะด้วย

“ไม่มีอะไร๊” ไม่มีพิรุธหรอกคนอย่างผม

“มึงนี่โกหกไม่เนียนเลยนะ” ไม่เนียนตรงไหนตรงไหนที่ไม่เนียน มันไม่พูดเฉย เดินเข้ามาล็อกคอลากผมเดินไปที่รถ

ชอบบังคับขืนใจกูจริงๆ เลยนะมึง

ผมปล่อยให้มันล็อกคออยู่อย่างนั้นจนเดินมาถึงรถ ผมหันไปมองกีตาร์ของตัวเองที่วางอยู่เบาะด้านหลัง มีกีตาร์แค่ตัวเดียวแล้วช้อปมันจะสอนผมยังไง

“มีกีตาร์ตัวเดียว จะสอนกูยังไง”

“ก็จะพาไปห้องกูนี่ไง” ไปห้องมัน ไปทำไม ไม่ไปผมไม่ไปเด็ดขาด

“มึงจะทำอะไร” ผมไม่รอให้คำตอบมัน เอื้อมเปิดประตูรีบกระโดดลงรถทันที ผมไม่มีทางไปห้องมันแน่นอน ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบเมื่อคืนอีกมันล่อแหลมเกินไป

ครืนๆ ครืนๆ

“จะหนีก็ช่วยวิ่งไปทางอื่นได้ไหม วิ่งทางหลักแบบนี้คิดจะอ่อยกูหรอ” เสียงเบิ้ลรถดังอยู่ข้างๆ พร้อมกับกระจกที่ถูกลดลงมาเผยให้เห็นคนที่นั่งอยู่ข้างใน

“มึงจะตามกูมาทำไม” ผมตะโกนใส่หน้ามัน

“หยุดวิ่งแล้วรีบขึ้นมาบนรถ”

“ไม่!” ผมยังตั้งหน้าตั้งตาจ้ำอ้าวหนีมัน แต่ความเร็วของคนจะสู้ความเร็วรถยุโรปของมันได้ยังไง

แฮกๆ

ผมทิ้งตัวนั่งหอบอยู่ข้างทาง ก็ช้อปมันเลิกขับตามผมสักที่แถมยังบีบแตรไล่ผมอีก

“เป็นไง จะขึ้นรถได้รึยัง” มันจอดรถเดินลงมากอดอกมองผมอยู่ใกล้ๆ

“ไม่!” ผมยังปฏิเสธเสียงแข็ง พุ่งตัวหนีมันต่อถึงแม้ตอนนี้จะแทบคลานก็ตาม

“คิดว่ากูจะพามึงไปทำอะไรที่ห้อง” มันเดินกอดอกตามผมมา ยังมีหน้ามาถามอีกเมื่อคืนก็นอนกอดผมทั้งคืนตื่นเช้ามายังเอางูมาทิ่มตูดผมอีก จะไม่ให้ผมห่วงความปลอดภัยของตัวเองได้ยังไง

ถึงผมจะชอบมันยังไงแต่คงไม่ยอมเอาความบริสุทธิ์ของตัวเองไปเสี่ยงกับมันแน่ๆ

ตูดผมต้องมีไว้เพื่อขี้เท่านั้น

“ไม่รู้แล้ววิ่งหนีเนี่ยนะ”

“เออ”

“ขึ้นมากูไม่ทำไรมึงหรอก แค่จะไปเอากีตาร์แค่นั้น”

มันไม่ทำอะไรผมอย่างที่มันบอก พอถึงคอนโดมันก็เปิดประตูออกจากรถเดินขึ้นคอนโดไปเลย ก่อนไปมันยังหันกลับมาย้ำห้ามให้ผมตามขึ้นไปอีก

มันบอกว่าผมมีพิรุธมันเองก็ไม่ต่างจากผมหรอก สงสัยซ่อนใครไว้บนห้องแน่ๆ ไหนบอกว่าชอบกู ไหนบอกว่าชอบกูคนแรกที่แท้มึงก็หลอกกูนี่เอง

แม่งเอ๊ย...ไม่น่าไปหลงชอบคนอย่างมึงเลย

แต่จะว่าไปผมมีสิทธิ์อะไรหึงไปหวงมัน เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย

“เป็นอะไรทำไมหน้าบูดอีกแล้ว” มันเดินลงมาจากคอนโดพร้อมกับกีตาร์ในมือ

“เปล่า”

“มีอะไร”

“เปล่า” ผมนั่งกอดอกหันหน้ามองออกนอกหน้าต่างรถ

“มิกซ์ถ้ามึงไม่พูดกูจะรู้ไหมว่าโกรธกูเรื่องอะไร”

“ซ่อนใครไว้บนห้องยังกล้ามาโกหกหน้าตายอีก” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ

“เดี๋ยวนะที่มึงพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง” หูไวจมูกไวยังกะหมาตำรวจเลยนะมึง ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“ใครพูด กูพูดเมื่อไร”

“กูได้ยิน”

“กูไม่ได้พูด”

“อย่าบอกที่เป็นแบบนี้มึงคิดว่ากูซ่อนใครไว้บนห้อง” มันยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ

“หึงกูอยู่หรอ”

“หึงเชี่ยไร” เออกูหึงมึง แต่มึงแม่งโคตรเหี้ยหลอกกูได้ไง

“กูไม่ได้ซ่อนใครไว้จริงๆ สาบานเลยก็ได้” มันชูสามนิ้วขึ้น

“ไม่มีอะไรจริงๆ ที่กูไม่ให้มึงขึ้นไปเพราะว่า...” มันลากเสียงยาวจนผมต้องหันไปมองหน้ามัน

จะมีเหตุผลอะไรอีกนอกจากมันซ่อนใครไว้

“ไม่บอกดีกว่า ไว้มึงชอบกูยอมเป็นแฟนกูก่อน กูถึงจะยอมพามึงขึ้นไปดู”

“ไอ้สัส!”

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 16

ผมนั่งฟังช้อปมันอ้างเหตุผลนู่นนี่นั้นห้ามไม่ให้ผมขึ้นไปบนห้องมัน ผมก็ไม่อยากขึ้นไปบนห้องมันสักเท่าไรหรอก แค่อยากรู้ว่าที่มันยืนยันนอนยันตีลังกายันกับผมว่าไม่ได้ซ่อนใครไว้จะจริงอย่างที่มันพูดหรือเปล่า แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละครับถ้าผมแสดงออกไปมากกว่านีคงโดนจับได้แน่ว่าผม...

หึงมัน

มันขับรถพาผมมาที่ไหนสักแห่ง ตึกพาณิชย์ขนาดใหญ่ด้านหน้าทางเข้ามีตัวอักษรกับตัวโน๊ตติดอยู่ ช้อปเดินไปเปิดประตูที่นั่งด้านหลังรถหยิบกีตาร์ทั้งของมันและผมเดินนำเข้าไปข้างใน

ผมยืนมองวัยรุ่นหลายคนรวมถึงเด็กตัวเล็กๆ เดินถือเครื่องดนตรีสวนกันไปมา ช้อปเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์คุยอะไรสักอย่างกับพนักงานก่อนเดินกลับมาเรียกผมให้เดินตามมันไป

ผมเดินตามช้อปขึ้นมาที่ชั้นสองของตึก ชั้นนี้ถูกแบ่งเป็นห้องเรียงตามความยาวของตึก น่าจะมีสิบกว่าห้องได้

“มาแล้วหรอวะ” ผู้ชายร่างท้วมเดินตรงเข้ามาทักช้อป

“ครับพี่” ช้อปยิ้มตอบผู้ชายคนนั้น

ผมยื่นฟังสองคนนั้นคุยกันอยู่ห่างๆ ฟังจากบทสนทนาแล้วสองคนนั้นคงสนิทกันมากในระดับหนึ่ง

“คนนั้นหรอที่บอกจะพามาซ้อม” หลังจากที่สองคนนั้นคุยกันอยู่สักพักผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนบทสนทนาหันมามองที่ผม ช้อปพยักหน้าเรียกผมให้เดินเข้าไปหา

“ใช่ครับพี่ นี่มิกซ์...”

“เพื่อนครับ ผมเป็นเพื่อนช้อป” ผมพูดแทรกขึ้น ถ้าปล่อยช้อปพูดเดี๋ยวมันได้แนะนำผมแบบแปลกๆ อีก

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทักทายเขา

“เออๆหวัดดี” เขายิ้มตอบเล็กน้อยก่อนหันกลับไปคุยกับช้อปต่อ

“ห้องเจ็ดนะ ตามสบายเลย ซ้อมเสร็จแล้วก็เรียกกูนะ”

“ครับพี่ ขอบคุณครับ” เขาคุยกับช้อปต่อเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันทำไมต้องแอบกระซิบกันแบบนั้น ในระหว่างกระซิบยังหันมามองผมแล้วกลับไปยิ้มกันสองคน คงเกี่ยวกับผมอีกแน่

สงสัยจังว่าคุยเรื่องอะไรกัน

“มึงคุยอะไรกับพี่เขา” ผมถามช้อปทันทีที่พี่คนนั้นเดินออกไป

“ไม่มีอะไรหรอกน่า”

“ตอบกูมา” ผมซักมันต่อ

มันเดินเข้ามาใกล้ยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหู

“กูบอกพี่เขาว่ากูกับมึงเป็นแฟนกัน” มันพูดเสร็จก็ฉีกยิ้มหล่อๆ แล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องไป ปล่อยให้ผมยืนหน้าร้อนผ่าวอยู่คนเดียว ผมยืนมองหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกประตู ทำไมหน้าผมถึงแดงขนาดนี้ ผมลูบหน้าตัวเองที่แดงเถือกมันลามไปที่ใบหูของผมแล้ว

“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” ผมรีบหันหน้าหนี จะให้ผมเข้าไปตอนนี้มันต้องเห็นหน้าแดงเถือกของผมแน่

“เออ...กูขอคุยโทรศัพท์แป๊บ” ผมหยิบมือถือออกกระเป๋ากระเป๋ากางเกงอย่างยากลำบาก อาการประหม่าทำมือไม้ผมสั่นแทบจะควบคุมไม่อยู่ ผมกดเมนูรายชื่อในมือถือเลื่อนหน้าจอสุ่มกดเบอร์โทรโดยที่ไม่มองหน้าจอ

ใครก็ได้ตอนนี้ขอแค่ช่วยยื้อเวลาให้ผมได้สักนิดก็ยังดี

“ฮัลโหล” เสียงตอบกลับจากปลายสาย ทำไมเสียงนี้มันดูคุ้นๆ

“อยู่แค่ตรงนี้ มึงจะโทรมาทำไม” ชัดเลย ผมยกโทรศัพท์ออกจากหูมองดูเบอร์ที่ผมเพิ่งโทรออกไป

ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้ เบอร์มีเป็นร้อยทำไมต้องกดโดนเบอร์ช้อปมันด้วย เอาไงล่ะที่นี้

“เอ่อ...กูโทรผิด” ผมกดตัดสาย

“มึงกลับเข้าไปในห้องก่อน เดี๋ยวกูตามเข้าไป” ผมสะบัดมือไล่โดยที่ยังหันหลังให้มัน

“มึงไม่เป็นไรจริงๆ นะ” เสียงเท้ามันดังเข้ามาใกล้

“มะ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูลงไปซื้อน้ำก่อน” ผมออกตัววิ่งก่อนที่มันจะเข้ามาถึงตัว คงต้องหาอะไรเย็นช่วยทุเลาอาการลงซะก่อน

ผมยืนมองตู้กดน้ำที่ตั้งอยู่ชั้นล่าง แทนที่จะเลือกน้ำที่อยู่ตรงหน้าผมกลับยืนเหม่อคิดถึงคำพูดของช้อปมัน ‘กูบอกพี่เขาว่ากูกับมึงเป็นแฟนกัน’ มันยังดังอยู่ในหัวจนผมเผลอหลุดยิ้มออกมา

ผมคงไม่ได้แค่ชอบมันแล้วล่ะ

แต่ผม...ตกหลุม ‘รัก’ มันเข้าเต็มๆ

“พี่คะ...พี่คะๆ”

“ห๊ะ คะ...ครับ” ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนสะกิดไหล่เรียก

เด็กผู้หญิงในชุดนักเรียน ม.ปลาย ยืนขมวดคิ้วมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มที่ทำให้โลกนี้สดใสขึ้นมาทันตา ใบหน้าเรียว ดวงตากลมโต จมูกเชิดเล็กน้อยกับริมฝีปากบางชวนมอง เธอน่ารักมากถึงจะไม่ใช่สเปคแต่ก็ทำให้ผมเผลอมองหน้าเธออยู่นาน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงพุ่งเข้าไปขอเบอร์เธอแบบไม่ต้องคิด ยอมรับเลยว่าเธอทำให้ผมใจสั่นแต่คงไม่เท่ากับที่ช้อปมันทำให้ผมเป็นอยู่ตอนนี้

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“คือหนูจะซื้อน้ำ...”

“อ้อ โทษทีครับ” ผมหลีกทางให้น้องเขาเดินเข้าไป

“พี่ไม่ซื้อหรอคะ” เธอยืนเลือกอยู่สักพักก่อนเดินออกมาพร้อมกับขวดชาเขียวในมือ

“ซื้อครับ ซื้อ” ผมเดินไปเลือกเครื่องดื่มบ้าง

ช้อปมันชอบกินอะไร น้ำเปล่า น้ำโค๊ก นมหรือว่าชาเขียวดี

“ยังเลือกไม่ได้อีกหรอคะ” น้องคนเมื่อกี้เธอยังไม่ได้ไปไหนเดินมายืนข้างๆ ชี้นิ้วเหมือนกำลังช่วยผมเลือก

ดูแล้วน้องเขาก็น่ารักจริงๆ นะครับ

“อันนี้ดีไหมคะ” เธอชี้ไปที่เครื่องดื่มแมนซั่มขวดสีฟ้า

“เหมาะกับนักดนตรี” ก็จริงอย่างที่เธอว่าเครื่องดื่มสำหรับผู้ชายคงเหมาะกับผู้ชายอย่างผม ผมสอดเงินเข้าไปในตู้กดเลือกเครื่องดื่มมาสองขวด ซื้อไปฝากช้อปขวดหนึ่งมันจะได้สดชื่นมีแรงสอนผมด้วย

“ขอบคุณนะที่ช่วยพี่เลือก” ผมชูขวดในมือส่งยิ้มหล่อๆ เป็นการขอบคุณ

รีบกลับดีกว่าออกมานานแล้วเดี๋ยวช้อปมันรอ

“พี่ไปละนะ” ผมเดินขึ้นบันไดกลับมาที่ชั้นสองแต่ยังเดินขึ้นได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงเรียกจากคนด้านล่าง

“ดะ...เดี๋ยวค่ะพี่”

“มีอะไรรึเปล่า” ผมหันกลับไปตอบคนที่ยืนบิดตัวไปมาอยู่ด้านล่าง

“พี่...พี่...พี่ชื่ออะไรคะ” ผมยืนมองเธอบิดไปบิดมากว่าจะเอ่ยถามได้ผมก็ต้องลุ้นเอาใจช่วยเธออีกแรง สุดท้ายสิ่งที่เธออยากรู้ก็แค่ชื่อผมเท่านั้น

“พี่ชื่อมิกซ์” ผมส่งยิ้มหล่อให้เธอไปทำเอาเธออายม้วนบิดตัวไปมามากกว่าเดิมซะอีก

ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองสักเท่าไร แต่ความหล่อผมคงเข้าตาเธอเข้าให้แล้ว ผมดีใจนะที่มีคนเข้ามาชอบ แต่ถึงเธอจะน่ารักสักแค่ไหนก็คงสู้ความเอาแต่ใจของใครบางคนที่คอยปั่นป่วนคอยกวนใจ จนผมเผลอตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง

“หนูชื่ออายนะคะ”



ผมเดินกลับมายื่นอยู่หน้าห้องซ้อมหมายเลขเจ็ด ยื่นมือไปเลื่อนประตูเบาๆ เพราะกลัวว่าคนข้างในจะได้ยิน เสียงกีตาร์ดังออกมาจากในห้อง ผมยังยืนอยู่หน้าห้องแอบมองคนข้างในกำลังก้มหน้าก้มตาหมุนจูนเนอร์ปรับเสียงกีตาร์อยู่โดยที่ไม่รู้ว่ามีใครแอบมองอยู่

ผมเคยได้ยินว่าเวลาที่มีกีตาร์อยู่ในมือจะทำให้ดูเท่ขึ้นมาเท่าตัว แต่ผมว่าช้อปมันดูเท่กว่าคนอื่นที่ผมเคยเห็น มันดูมีเสน่ห์ชวนมองจนผมเผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

แค่ปรับสายกีตาร์ยังเท่ขนาดนี้แล้วตอนที่มันประกวดล่ะ ทั้งดีดกีตาร์ทั้งร้องเพลงคงมีสาวๆ ตามกรี๊ดมันเป็นขบวนแน่ๆ คิดแล้วทำไมมันหงุดหงิดแบบนี้

“มึงหายไปไหนมาตั้งนาน” ผมโดนสอบตั้งแต่ก้าวเท้าแรกเข้ามาในห้อง

“ไปซื้อน้ำมานี่ไง ไม่เห็นหรอ” ผมชูขวดเครื่องดื่มในมือให้มันดูเป็นหลักฐาน มันจับผิดเก่งไม่แพ้กิ๊ฟเลย

“แค่นั้นหรอ”

“อืม...แค่นั้น” ผมยืนคิดกับตัวเองสักครู่ ก็มีแค่ที่ผมบอกมันไปผมก็แค่ลงไปซื้อน้ำ มันถามเหมือนกับว่าไม่เชื่อที่ผมพูด

“อะนี่” ผมยื่นเครื่องดื่มที่ซื้อมาให้มัน ดูมันจะไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรได้ดื่มน้ำเย็นๆ คงทำให้สดชื่นขึ้นมาได้บ้าง

“หรอ...หึๆ” มันไม่ยอมรับเครื่องดื่มที่ผมให้กลับก้มหน้าหัวเราะในลำคอแทน

บรรยากาศในห้องดูอึมครึมแปลกๆ นอกจากที่ช้อปมันจะไม่ยอมรับเครื่องดื่มที่ผมให้ มันยังนั่งเงียบก้มหน้าก้มตาสนใจแค่กีตาร์ที่อยู่ในมือเท่านั้น คงมีแค่ตอนที่มันสอนผมจับคอร์ดพื้นฐานและต้องสอนการกดสายเท่านั้นที่มันจะพูดกับผม มันจับมือผมกดสายแต่มันกลับไม่เงยหน้ามองผมเลย และทุกครั้งที่มันพูดจะใช้เสียงเรียบดูเย็นชาไม่เหมือนปกติที่มันมักจะพูดกับผม

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ผมพยายามถามมันหลายครั้งแต่คำตอบที่ได้คือความเงียบ มันนั่งเงียบทำเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด ผมไม่ชอบเลยที่เห็นมันเป็นแบบนี้



สองชั่วโมงที่อยู่ในห้องซ้อม ผมเริ่มจำคอร์ดพื้นฐานได้บ้างแล้วแต่ก็แค่คอร์ดพื้นฐานเท่านั้น เหลืออีกแค่อาทิตย์กว่าๆก็จะถึงวันประกวดแล้ว ไม่รู้ว่าผมจะเล่นได้อย่างที่หวังไหม เฮ้อ...คิดแล้วก็เครียด

นอกจากจะเครียดเรื่องประกวดยังต้องมาเครียดเรื่องช้อปอีก ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรถึงได้ไม่พูดไม่จากับผม

ผมเดินตามหลังมันออกมาจากห้องซ้อม ขวดน้ำที่ผมให้มันยังตั้งอยู่ที่เดิม อยากจะถามมันอีกสักครั้งแต่ก็กลัวว่าจะได้ความเงียบเป็นคำตอบอีก คงต้องรอให้อารมณ์มันกลับมาเป็นปกติซะก่อน ถึงตอนนั้นมันคงกลับมาคุยกับผมเหมือนเดิมนะครับ

“พี่มิกซ์” ผมเดินลงมาจากชั้นสองก็เจอน้องน่ารักคนนั้นยืนโบกมือให้

“น้องอายมีอะไรรึเปล่า” ผมยื่นนึกชื่อเธอสักครู่ก่อนจะเดินเข้าไปหา

“นี่ค่ะ” เธอยื่นเครื่องดื่มขวดสีฟ้าที่เธอเคยแนะนำให้ผมซื้อมาให้

“ให้พี่หรอ”

“ค่ะ” เธอยิ้มกว้างพยักหน้าหงึกๆ ทำเอาผมอดขำกับท่าทางเธอไม่ได้ แต่เหมือนจะมีอีกคนที่ดูไม่ขำกับผมสักเท่าไร

“กูไปรอที่รถนะ” มันพูดเสียงเรียบ เปิดประตูแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ไปก่อนนะ” ผมโบกมือลาน้องอายเล็กน้อยก่อนรีบวิ่งตามช้อปออกมาที่รถ

มันขับรถมาส่งผมที่หอพักโดยที่ไม่คุยกับผมสักคำ ไม่เดินลงมาส่งผมไม่อ้อนขึ้นมาบนห้องอย่างที่มันเคยทำ เพียงปลดล็อกประตูให้ผมลงจากรถแล้วก็ขับรถพุ่งออกไป

มึงไม่พูดแล้วกูจะรู้ไหมว่ามึงเป็นอะไร

ผมพยายามนึกแล้วนึกอีกว่าทำอะไรให้มันไม่พอใจรึเปล่า แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงอึดอัดตายแน่

“มึงเป็นอะไรของมึง” ผมหยิบหมีบราวน์ขึ้นมาคุย มันก็เหมือนกับเจ้าของถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ เงียบแบบนี้แล้วผมจะรู้ได้ไง หงุดหงิดโว้ย...



ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ลูกรักของผมต้องห่างจากอ้อมอกของผมไปอยู่ที่ศูนย์ วันนี้พนักงานขับรถมาส่งให้ผมที่หอ ผมควรจะดีใจที่ได้รถกลับมาใช้ ช้อปมันจะได้ไม่ต้องเทียวรับเทียวส่งผมทุกวันแบบนี้ แต่มันกลับสร้างปัญหาให้ผมอีก ก็ผมไปบอกช้อปว่าไม่ต้องมาไปรับไปส่งผมแล้วด้วยเหตุผลว่าผมเกรงใจมัน ทั้งที่ก่อนหน้าทั้งอาทิตย์มันไม่ยอมพูดกับผมเลย แต่มันกลับโวยวายทันทีที่ผมพูดเรื่องนี้จนเราทะเลาะเกือบกลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นผมที่ต้องยอมมันเพราะไม่อยากให้มันโกรธไปมากกว่านี้

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสงสัย เหตุผลแปลกๆที่มันยกขึ้นมาห้ามผมไม่ให้ใช้รถตัวเอง ‘จะขับพาใครไปเที่ยวล่ะ’ และเหตุผลอีกหลายอย่างที่ผมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร



“พี่มิกซ์คะ” ผมมาที่ห้องซ้อมเหมือนทุกวัน ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาซ้อมกีตาร์ที่นี่จนเหลืออีกแค่สามวันที่ผมจะต้องขึ้นประกวดแล้ว น้องอายก็มักจะมาดักรอผมทั้งเช้าและเย็นคอยส่งน้ำส่งขนมให้ผมทุกวัน วันนี้ก็เหมือนทุกวันแต่แปลกตรงที่เธอดูตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง

“พี่ช้อปเป็นเดือนคณะหรอคะ” เธอยื่นโปสเตอร์การประกวดของคณะที่มีรูปผมยืนคงกับฝ้ายส่งมาให้ผมดู

“อืม พี่เป็นเดือน”

“ทำไมพี่ไม่บอกอายล่ะ”

“น้องอายก็รู้แล้วนิ”

“พี่มิกซ์น่าจะบอกอายให้เร็วกว่านี้” เธอทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

“อายจะได้เตรียมตัวได้ทัน แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยววันนั้นอายจะไปเกาะขอบเวทีเป็นกำลังใจให้พี่เองนะคะ สู้ๆ” แต่เธอก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแล้วชูสองนิ้วให้

“ขอบคุณนะ” ผมยิ้มขอบคุณเธอ แต่ก็ได้เพียงไม่นานเพราะผมต้องรีบวิ่งตามไอ้หน้าหล่อที่กำลังเดินหน้างอออกไปนู่นแล้ว จนถึงวันนี้มันก็ยังไม่ยอมเปิดปากพูดกับผมเลยและผมเองก็ยังไม่รู้สาเหตุที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ด้วย

เฮ้อ...มึงจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม



แสงไฟทั้งหอประชุมถูกปิดลง มีเพียงแสงสปอตไลต์สาดส่องผู้ประกวดที่ผลัดกันเดินขึ้นเวทีอวดความสวยความหล่อ เสียงร้องเชียร์จากผู้ชมดังมาไม่ขาดสาย

รอบแรกเป็นรอบแนะนำตัวผู้ประกวดจากสาขาต่างๆ ผมกับฝ้ายอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า อีกไม่นานก็ต้องขึ้นเวทีแล้วแต่ก็ยังมีรุ่นพี่คอยปัดคอยซับหน้าให้อยู่ตลอด ผมที่อยู่บนหัวถึงแม้จะถูกเซตจัดทรงจนเรียบแปล้ แต่ก็ยังไม่วายโดนจับๆ ลูบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีผมเส้นไหนที่ดีดโผล่ออกมา

“ขอเสียงปรบมือให้กับตัวแทนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์” เสียงประกาศจากพิธีกรบนเวที ถึงคิวของผมแล้ว ผมยืดตัวกำมือยกข้อศอกขึ้นให้สาวสวยที่ยืนอยู่ข้างๆ สอดแขนเข้ามา

“ตื่นเต้นจังเลยนะ” ฝ้ายกระชับมือที่เกาะอยู่กับต้นแขนผม ฝ้ายสูดลมหายใจเฮือกใหญ่หันมาส่งยิ้มให้ “ฟู่” ผมเองก็สูดลมเข้าทางจมูกจนเต็มปอดกลั้นมันไว้สักพักก่อนพ่นลมออกมาทางปาก

“ใช่ ตื่นเต้นมาก” ผมหันกลับไปยิ้มตอบ ผมพยายามข่มอาการประหม่าไม่ให้มันแสดงออกมาทางสีหน้ามากจนเกินไป ข้อนี้สำคัญมากเพราะรุ่นพี่กำชับแล้วกำชับอีกถึงจะตื่นเต้นมากแค่ไหนก็ต้องยิ้มออกมาให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด

อยากได้กำลังใจจังเลย

ผมหันหลังไปมองช้อปที่ยืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่ไกลๆ สายตาของเราสบกันพอดีแต่ก็แค่เสี้ยวแป๊บเดียวเท่านั้น แค่เสียววิที่มันสบตาผมหลังจากที่คอยหลบตาผมเกือบสองอาทิตย์เต็ม

มองกูนานกว่านี้ไม่ได้หรอ ให้กำลังใจกูหน่อยไม่ได้รึไง

ผมมองมันได้ไม่นานก็โดนแรงดันจากรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผมก้าวเดินขึ้นบนเวทีโดยมีฝ้ายควงแขนอยู่ข้างๆ เธอกระชับแขนผมแน่นขึ้น ดูเธอจะตื่นเต้นไม่ต่างจากผม

กรี๊ด!!!!

เสียงกรี๊ดดังขึ้นทันทีที่สปอตไลต์สาดแสงมากระทบตัวเราสองคน ถึงไฟในบริเวณที่นั่งผู้ชมถูกปิดลง แต่ยังมองเห็นผู้ชมจำนวนมากนั่งปรบมือส่งเสียงเชียร์พวกเราอยู่ ผมฉีกยิ้มตามที่รุ่นเคยบอก

แสงสปอตไลต์เคลื่อนตามการเดิน ผมเดินคู่กับฝ้ายตามที่เคยซ้อมกันไว้ เสียงเชียร์ดังขึ้นตลอดเวลาที่เราอยู่บนเวที พิธีกรชายหญิงเดินออกมาจากด้านหลังเมื่อเราสองคนเดินมาหยุดตรงกลางเวที ผมฉีกยิ้มกว้างให้กับบรรดาตากล้องที่กดชัตเตอร์รัวๆ อยู่ด้านหน้า

“เอาละครับ เดี๋ยวเราให้ผู้เข้าประกวดทั้งสองคนแนะนำตัวกันก่อนนะครับ” เสียงผู้ชมในหอประเงียบลง ไมค์ถูกส่งจากพิธีกรชายมาที่ผม ถึงตอนนี้แล้วความประหม่ายิ่งเพิ่มขึ้นแต่มาถึงขนาดนี้ผมจะกลัวไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุด

“เออ...สวัสดีครับ” เพียงแค่ผมกล่าวทักทายเสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มทั่วทั้งหอประชุม โดยเฉพาะจากเหล่าเพื่อนผมที่กระโดดโลดเต้นชูป้ายไฟเรียกชื่อผมอย่างออกนอกหน้านอกตา ไอ้แทนกับไอซ์ก็เอากับเขาด้วยคณะตัวเองไม่เชียร์กลับมายืนถือป้ายไฟชื่อผมซะงั้น เห็นพวกมันแล้วก็ช่วยให้ความตื่นเต้นของผมลดลงไปได้บ้าง

“ผมชื่อนายธีระ วรตระการ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ครับ” ผมแนะนำตัวเสร็จ ฉีกยิ้มกว้างให้กับผู้ชมอีกครั้ง ผมส่งไมค์กลับให้พิธีกรชายแต่เสียงกรี๊ดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนพิธีกรหญิงต้องช่วยตัดบท

“เราทำความรู้จักกับฝ่ายชายไปแล้ว ถึงคราวฝ้ายหญิงของเราบ้างนะคะ” พิธีกรหญิงส่งไมค์ให้กับฝ้าย เสียงเชียร์ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช้เสียงกรี๊ดแบบของผมแต่เป็นเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งของเหล่ากระทิงเปลี่ยวที่กำลังมองดาวคณะผมตาเป็นมัน ผมว่าไอ้เพื่อนสองตัวมันไม่ได้ตั้งใจจะมาเชียร์ผมแล้วล่ะ เพราะป้ายไฟในมือมันที่เคยเป็นชื่อผมได้เปลี่ยนเป็นชื่อของสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมแทน ตัวอักษรชื่อฝ้ายต่อท้ายด้วยรูปหัวใจบนแผ่นป้ายที่ใหญ่กว่าของผมซะอีก มันสองคนนี่จริงๆเลยเห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อน

ก็อย่างที่รู้ละครับว่าฝ้ายเป็นผู้หญิงในฝันของผู้ชายหลายๆ คน ผมไม่น่าไปเล่นกับความรู้สึกของเธอเลยคิดแล้วก็รู้สึกผิดไม่หาย แต่ก็ต้องขอบคุณเธอที่ไม่โกรธผม

ตอนนี้ด้านหลังเวทีกำลังวิ่งวุ่นแต่งหน้าทำผมรวมถึงจัดหาชุดใหม่ให้ผู้เข้าประกวด รอบแสดงความสามารถพิเศษจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาที แต่ยังเป็นโชคดีของผมที่ได้ลำดับการแสดงเกือบท้ายสุดทำให้มีเวลาแต่งตัวมากกว่าคนอื่น ผมหยิบกีตาร์ขึ้นมาซ้อมในขณะที่ช่างทำผมกำลังเซทเปลี่ยนทรงใหม่ เสียงความวุ่นวายดังลอยมาไม่หยุด ผมพยายามทำเป็นทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเดี๋ยวมันจะพาให้ผมสติแตกลืมเนื้อร้องกับคอร์ดเพลงที่ผมเตรียมมา

ว่าแต่ช้อปมันหายไปไหนตั้งแต่ลงมาจากเวทีผมยังไม่เห็นมันเลย อยากให้มันช่วยสอนผมอีกสักหน่อยก็ยังดี แต่นั่นคงเป็นแค่ข้ออ้างอันที่จริงผมอยากเห็นหน้ามันก่อนขึ้นเวทีต่างหาก เผื่อจะช่วยให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

“มิกซ์ๆ มีคนฝากมาให้” ผมรับปิ๊กกีตาร์จากรุ่นพี่คนหนึ่งมา ปิ๊กสามเหลี่ยมสี่ดำที่มีอักษรภาษาอังกฤษสีขาวเขียนอยู่ตรงกลาง M อักษรตัวเดียวที่เขียนอยู่บนนั้นมันใช้ฟอนต์แบบเดียวกับชื่อผมที่เขียนอยู่บนตัวกีตาร์

“ช้อปให้มาใช่ไหมพี่” ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นของมัน แต่ทำไมมันไม่ยอมเอามาให้ผมเอง

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นมีโน๊ตแปะไว้บนโต๊ะแต่งตัว พี่เลยเก็บไว้ให้เรา” ผมอย่างรู้จริงๆ ว่าผมทำอะไรผิดรึเปล่ามันถึงได้เป็นแบบนี้ แค่จะเอาของให้ยังแปะโน๊ตไว้ไม่ยอมเอามาให้ด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันแค่นี้

เรื่องนี้ยังกวนใจผมไม่หยุดผมเริ่มไม่มีสมาธิกับการแสดงแล้ว เหลืออีกแค่สิบนาทีเท่านั้นที่ผมจะต้องขึ้นไปแสดงแล้ว ถ้าผมไม่ได้เคลียกับมันตอนนี้การแสดงที่เตรียมไว้คงออกมาไม่ดีแน่

“เดี๋ยวผมมานะครับพี่” ผมวางกีตาร์ลง ลุกขึ้นเดินตามหาช้อปมัน

ตรงนั้นก็ไม่มีตรงนี้ก็ไม่เจอ ผมเดินหามันจนทั่วห้องแต่งตัว ทั้งหลังเวทีทั้งในห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของมันเลย

ผมจะทำยังไงถ้าไม่ได้เจอมันตอนนี้ เหลืออีกแค่ไม่กี่นาทีผมต้องขึ้นแสดงแล้ว

“ช้อป!” ผมโบกมือตะโกนเรียกคนที่กำลังเดินเข้ามาในมือมันถือดอกกุหลาบดอกหนึ่ง แต่ทันทีที่มันเห็นผมมันก็รีบซ้อนดอกกุหลาบนั้นไว้ข้างหลัง

ผมพยายามหลบผู้คนที่กำลังวิ่งวุ่นสวนกันไปกันมาเพื่อเดินเข้าไปหาช้อป

“อยู่นี่เองพี่ตามหาแทบแย่” อีกแค่ไม่กี่ก้าวผมจะเดินไปถึงมันแล้ว แต่กลับโดนรุ่นพี่รั้งแขนไว้ซะก่อน

“รีบไปเตรียมตัว ถึงเวลาที่เราต้องข้นเวที” เธอพูดด้วยเสียงหอบแฮก เธอคงตามหาผมเหมือนที่ผมตามหาช้อป

“แป๊บหนึ่งได้ไหมพี่” ผมขอเวลาแค่แป็บเดียวขอให้ผมได้คุยกับช้อปมันก่อน แต่พอผมหันกลับไปช้อปมันก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว มันหายไปไหนอีก ผมเริ่มจนทนไม่ไหวแล้ว

ผมโดนลากขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าและอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ผมเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้ตรงกลางเวที ทั้งหอประชุมมืดสนิทมีเพียงแสงจากสปอตไลต์ส่องให้ผมนั่งเด่นอยู่บนเวที ผมพยายามเพ่งสายตามองไปด้านบนเผื่อว่าจะเจอช้อปมันอยู่บนนั้น

ขอแค่เจอมันอีกสักหน่อยก็ยังดี

ความประหม่าความตื่นเต้นที่ผมกลัวหายไปเกือบหมด สาเหตุมันมาจากเรื่องของช้อปนั่นแหละครับ ความสับสน ความอยากรู้ ความไม่เข้าใจคอยกวนใจผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่มีสมาธิพอที่จะโฟกัสการแสดงในครั้งนี้ได้

ตรึง! กึก!

และก็เป็นอย่างที่คิด เสียงกีตาร์ที่ผมเล่นออกไปมันบอดตั้งแต่คอร์ดแรก ถึงแม้ผมจะพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับมา อย่างน้อยขอแค่ผมให้สามารถควบคุมมือไม่ให้ตัวเองไม่ให้สั่นก็เป็นพอ แต่มันไม่ง่ายเลยทั้งอินโทรเพลงที่ผมเล่นออกไปมันบอดสนิทแทบจะทุกคอร์ด

เริ่มมีเสียงคุยจากผู้ชมดังขึ้น ทุกคนคงฟังออกว่าอินโทรเพลงที่ผมเล่นไปเมื่อกี้มันเพี้ยนเกือบทั้งหมด

‘น้องเขาเป็นอะไรรึเปล่า’

‘ทำไมเข้าไม่แสดงสักที’

‘ใจเย็นๆ นะสู้ๆ’


เสียงผู้ชมดังขึ้นเรื่อยๆ คงเป็นเพราะผมนั่งนิ่งไม่ยอมแสดงต่อ ผมพยายามแล้วแต่มันทำไม่ได้จริงๆ ผมบังคับตัวเองให้แสดงต่อไม่ได้แล้ว

“น้องโอเคไหมครับ” พิธีกรชายเดินขึ้นมากระซิบถาม

“เอ่อ...ผม...” แม้แต่จะตอบ ผมยังอึกอัก

ผมจะทำยังไงต่อดี ถ้าเรื่องของช้อปมันยังกวนใจผมอยู่แบบนี้ผมไม่มีทางแสดงได้แน่



ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 17


กรี๊ด! กรี๊ด!

เสียงกรี๊ดดังสนั่นหอประชุมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นผู้ชนบนที่นั่งถึงได้เสียอาการร้องกรี๊ดกร๊าดกันได้ขนาดนั้น

“ส่งสัยปีนี้คณะวิศวะจะมีเซอร์ไพรซ์” เสียงพิธีกรกรอกเสียงใส่ไมค์ เซอร์ไพรส์ที่เขาว่ามันคืออะไรทำไมผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการแสดงของผมจะมีเซอร์ไพรส์พิเศษ

“ขอเสียงปรบมือให้กับช้อป เดือนวิศวะปีที่แล้ว” เสียงกรี๊ดดังขึ้นกว่าเดิม ผมหันไปมองบันไดทางขึ้นเวที

สปอตไลต์อีกดวงถูกเปิดขึ้น แสงไฟส่องสว่างไปที่บันไดทางขึ้นเวที ผู้ชายที่ผมคุ้นเคยเดินถือกีตาร์ขึ้นมาบนเวที

‘ช้อป’ ผมคลี่ยิ้มออกมาทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่เดินขึ้นมาคือมัน คนดูแลสเตจวิ่งถือเก้าอี้อีกตัวขึ้นมาวางข้างๆ ผม

“มึงมาได้ไง” ผมยังงงกับการที่เห็นมันเดินขึ้นมาบนนี้ แต่ก็อดดีใจที่เห็นมันไม่ได้

มันยังทำหน้าเรียบอย่างที่ผ่านมา มันไม่ตอบคำถามไม่มองหน้าผมเพียงจับกีตาร์ของผมให้เข้าที่เท่านั้น

“พร้อมนะ” คำแรกที่ได้ยินจากปากมัน ผมดีใจที่ได้ยินเสียงมัน แต่คงไม่มีเวลามากพอให้ผมได้พูดอะไรกับมันอีก ผมจัดท่านั่งให้เข้าที่กดสายกีตาร์คอร์ดแรกของอินโทรเพลง

“ตึก ตึก ตึก” เสียงช้อปเคาะกีตาร์ให้จังหวะ

ผมเริ่มเล่นคอร์ดแรกพร้อมกับมัน เสียงกีตาร์ผมไม่บอดแล้วมันไหลลื่นผ่านช่วงอินโทรเข้าสู่ท่อนแรก

รักมันคืออะไร รักมันเป็นยังไง

มันใช่อาการอุ๋งๆ หรือเปล่า


มะงึกๆ อุ๋งๆ คือเพลงที่ผมใช้ในการแสดงครั้งนี้ ผมเป็นคนเลือกเพลงนี้เองแหละครับ ผมว่ามันตรงกับผมตอนนี้ที่สุด ไม่กล้าบอกความรู้สึกกับคนที่ชอบ ถึงใช้คำอื่นมาแทนเหมือนในเพลงก็ไม่รู้ว่าผมจะกล้าพูดรึเปล่า ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงได้กลัวสายตาจากคนอื่นมากกว่าที่จะบอกความรู้สึกตัวเองกับคนที่ชอบ ผมนี่มันขี้ขลาดจริงๆ

รักมันคืออะไร รักมันเป็นยังไง

มันหน้าเหมือน พัศชนันท์ หรือเปล่า


จนถึงท่อนนี้มันก็ยังก้มหน้าหันไปอีกทางไม่ยอมมองหน้าผม ถึงมันจะไม่มองหน้าแต่ก็ยังพยักหน้าช่วยนับจังหวะให้

เธอเข้ามาอ้อนทำเหมือนว่าอุ๋งเธอเข้ามาตกหัวใจ

มาตกให้ฉันอุ๋ง ฉันมะงึกทั้งหัวใจ

ไม่รู้ตัวมาก่อน จนเธอมายิ้มใส่

เธอทำให้ฉันมะงึกอยู่อย่างนั้น จะไม่ให้อุ๋งเธอได้ไง.....


เพลงจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดที่ดังอย่างต่อเนื่อง ช้อปมันลุกเดินออกไปทันทีเมื่อเพลงจบไม่รอให้ผมได้พูดอะไร ผมเตรียมที่จะเดินตามมันลงไปแต่ก็โดนเรียกไว้จากเพื่อนๆที่ยืนถือดอกกุหลาบโบกมือให้ผมจากด้าน ดอกกุหลาบในมือเพื่อนกับผู้ชมที่ยืนออกันอยู่หน้าเวทีเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลอย่างมากต่อการตัดสิน ผมเดินกลับไปรับดอกไม่จากผู้ชมที่ต่างแย่งกันยัดใส่มือผมอย่างไม่ขาดสาย

“กูลุ้นแทบตายคิดว่ามึงจะไม่ร้องซะแล้ว” แทนพูดพร้อมกับยื่นดอกกุหลาบในมือมาให้

“โคตรเซอร์ไพรซ์ไม่คิดว่าพี่ช้อปจะขึ้นมาแสดงด้วย” เราก็เซอร์ไพรส์ไม่ต่างจากแกหรอกกิ๊ฟ

ผมก้มรับดอกไม้พร้อมกับคำชมที่ล้นหลามเอามากๆ ไม่คิดว่าจะมีคนชอบการแสดงผมมากขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเพราะช้อปมัน แต่ยังไงก็เถอะผมต้องขอบคุณมันมากๆ ที่เข้ามาช่วยผมไว้ได้ทัน แต่ตอนนี้ผมควรรีบรับดอกไม้แล้วรีบตามช้อปมันไปดีกว่า เดี๋ยวมันหายไปอีกผมคงไม่มีโอกาสได้เคลียกับมันอีก

“พี่มิกซ์ๆ” เสียงใส่ๆ ที่ผมเคยได้ยินตลอดสองอาทิตย์ที่ผมไปห้องซ้อม ผมฉีกยิ้มให้กับน้องอายที่กระโดดโหย่งๆ โบกมือเรียกผมอยู่ ผมไม่คิดว่าเธอจะมาจริงๆ

“มาได้ไง” ผมก้มลงไปถามเธอ

“ก็อายบอกว่าจะมาเชียร์พี่ อายก็ต้องมาสิคะ” เธอฉีกยิ้มยื่นดอกกุหลาบช่อใหญ่มาให้

“ขอบคุณมากนะ แล้วนี่มากับใคร” ผมถามเพราะเป็นห่วง งานประกวดจัดดึกขนาดนี้ถ้าเธอมาคนเดียวแล้วต้องกลับคนเดียวตอนดึกๆ แบบนี้ไม่ดีแน่

“อายมากับเพื่อน” ผมหันไปมองเด็กผู้หญิงสี่ห้าคนที่ยืนยิ้มบิดไปบิดมาข้างๆ น้องอาย มากันหลายคนแบบนี้ผมก็หายห่วง

“ตัวจริงหล่ออย่างที่ฉันบอกไหม” อายกระซิบถามเพื่อนตัวเองแต่มันดังพอที่ผมจะได้ยิน

“หล่อสิ โคตรหล่อเลย” เพื่อนๆของน้องอายต่างกรูกันเข้ามายื่นดอกไม้ให้กับผม

“น้อยๆ พวกแก คนนี้ฉันจองแล้ว” ประโยคนี้ของน้องอายทำให้เพื่อนๆ ของเธอถึงกับยู่หน้าพร้อมกัน ผมเองก็ได้แต่ส่ายมองท่าทางของพวกเธอ

“เอ่อ...น้องอายงั้นพี่ไปหลังเวทีก่อนนะต้องรีบไปแต่งตัวรอบต่อไปอีก” ผมตัดบทฉีกยิ้มให้พวกเธอก่อนรีบเดินลงหลังเวทีอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาพูดคุยกับสาวๆ สิ่งที่ผมต้องทำคือรีบออกไปตามช้อปมัน

ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อยังเห็นช้อปมันยังอยู่ที่ห้องแต่งตัว มันนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งอยู่ที่มุมห้อง ก็ยังดีกว่าที่มันจะหนีผมไปอีก ผมใช้โอกาสนี้เดินตรงเข้าไปหามัน ผมต้องคุยกับมันให้รู้เรื่องซะแล้ว

“มิกซ์จะไปไหนอีก รีบไปแต่งตัว เดี๋ยวต้องขึ้นเวทีแล้ว” ก่อนจะเดินถึงตัวมันผมก็โดนรุ่นพี่รั้งไว้ซะก่อน ผมยื้อยุดฉุดกระชากกับรุ่นพี่อยู่นานสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะพี่แกเรียกกำลังเสริมให้มาช่วยลากตัวผมกลับมาแต่งตัว

ปล่อยให้ผมได้คุยกับช้อปมันสักหน่อยก็ไม่ได้

ผมถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ กางเกงถูกเปลี่ยนเป็นสแล็คขาเต่อสีกรมท่า ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกยัดเข้าไปในกางเกง กระดุมสามเม็ดบนถูกปลดออกเผยให้เห็นรอยสักรูปดอกกุหลาบบนต้นคอฝั่งขวา ผมยืนกางแขนให้ช่างแต่งตัวสวมสูทสีเดียวกับกางเกง สูทที่ตัดมาอย่างพอดีตัวแอบเว้าตรงบริเวณเอวเพื่อโชว์สรีระในแบบผู้ชาย ต่างหูรูปไม้กางเขนคือเครื่องประดับชิ้นสุดท้าย

ผมไม่มีอารมณ์มานั่งภูมิควรภูมิใจในความหล่อของตัวเอง ผมพยายามยืดตัวมองหาช้อปมันตลอด ยังดีที่ได้เห็นมันนั่งกอดอกอยู่ที่เดิมถึงจะนั่งหน้าบึ้งคิ้วชนกันก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อยว่ามันไม่ได้หนีผมไปไหนอีก

ผมจะแอบหนีไปหามันหลายครั้งแต่ก็โดดรุ่นพี่จับตัวไว้ทุกครั้ง อยากจะคุยกับมันให้รู้เรื่องสักที

การประกวดรอบสุดท้ายเริ่มขึ้น เหล่ากรรมการกำลังรวบรวมคะแนนในรอบต่างๆ ผมไม่ได้สนใจการประกวดกับตำแหน่งสักเท่าไร มัวแต่ยืนใจลอยอยากลงจากเวทีไปคุยกับช้อปมันเร็วๆ

“ดีใจด้วยนะมิกซ์” เสียงกล่าวยินดีดังขึ้นตลอดทางที่เดินกลับมาห้องแต่งตัว ผมเดินกลับมาโดยมีสายสะพายร้องชนะเลยอันดับหนึ่งพ่วงมาด้วยสายสะพายขวัญใจช่างภาพอีกหนึ่งตำแหน่ง สวนตำแหน่งเดือนปีนี้ก็ตกไปเป็นของว่าที่คุณหมอสุดหล่อจากคณะแพทย์ ที่ทั้งหล่อทั้งเรียนเก่งคุณสมบัติที่เพียบพร้อมไปซะทุก ก็เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งที่เขาได้รับ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาดีใจกับตำแหน่งรองเดือนที่ได้รับ ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องแต่งตัวตรงเข้าไปที่ที่ช้อปเคยนั่ง มันไม่อยู่ตรงนันั้นแล้ว มันหายไปไหนอีก ผมพยายามเดินหามันรอบๆ ห้องถามคนที่อยู่แถวนั้นก็ได้คำตอบเพียงว่ามันออกไปตั้งแต่ผมขึ้นเวทีแล้ว

ผมรีบเดินกลับไปที่โต๊ะแต่งตัวขอมือที่ฝากรุ่นพี่ไว้คืนมา ผมกดมือถือโทรหามันทันที

“ช้อป” จังหวะที่ผมกดโทรออกผมก็เห็นคนเจ้าของเบอร์เปิดประตูเดินเข้ามาพอดี

“กูขอคุยด้วยหน่อย” ผมจูงมือมันเดินไปมุมเงียบๆมุมหนึ่งของห้อง วันนี้ผมต้องเคลียกันมันให้รู้เรื่อง

“มีอะไร” มันถามเสียงเรียบ ก้มหน้ามองพื้นไม่ยอมสบตาผมเหมือนเคย

“กูต้องเป็นคนถามมึงมากกว่าว่าเป็นอะไร” มันไม่ตอบเพียงหัวเราะในลำคอแล้วหันหน้าไปอีกทาง

“มึงหันมาหน้าคุยกับกูดีๆ ได้ไหม” ผมเริ่มโมโหขึ้นมาหน่อยแล้ว นอกจากจะไม่ตอบมันยังทำเป็นไม่สนสิ่งที่ผมพูดอีก

“หันมาคุยกับกูให้รู้เรื่อง” ผมจับไหล่ให้มันหันมามองที่ผม

“มึงจำสัญญาที่กูขอไว้ได้ไหม” ผมคิดตามที่มันพูด เรื่องที่มันขอไม่ให้ผมโกหกมันอีกผมจำได้แม่น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ ผมว่าตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยโกหกมันอีก นอกจากเรื่องที่ผมปากแข็งไม่ยอมตอบคำถามว่าชอบใคร

ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ผมไปโกหกมันตอนไหน

“กูไปโกหกมึงตอนไหน” ผมไม่รู้จริงๆ

“มึงเก่งขึ้นเยอะเลยนะ โกหกหน้าตายได้ขนาดนี้”

“มึงพูดอะไรกูไม่เข้าใจ” มันยิ่งพูดผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่

“กูอุตส่าห์ไปตามบังคับถามไอ้แทน กูอุตส่าห์ดีใจว่าคนที่แทนมันพูดถึงคือกู กูอุตส่าห์ดีใจว่าคนที่มึงชอบคือกู” วันนั้นที่มันมีอาการแปลกๆ ที่มันเข้ามาเคาะประตูห้องผมตอนดึก ที่มันวางแผนมาขอนอนกับผมที่ห้องคือมันรู้ความจริงจากแทนแล้วว่าผมชอบมัน

แต่ทำไมตั้งแต่วันนั้นวันที่มันพาผมไปที่ห้องซ้อม มันไม่ยอมคุยไม่ยอมมองหน้าผมตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้ที่มันมาบอกว่าผมโกหกมันอีก จะให้ผมเข้าใจได้ยังไงว่าผมไปโกหกหรือทำอะไรให้มันไม่พอใจตอนไหน อยู่มันก็เปลี่ยนไปผมถามเหตุผลมันก็ไม่ยอมตอบผมสักครั้ง

แล้วจะให้ผมเริ่มอธิบายหรือแก้ตัวกับมันตรงไหน

“มึงรู้แล้วว่ากูชอบมึง”

“แต่มันคงไม่สำคัญแล้วละเพราะมึงเลือกที่จะโกหกกู”

“มึงช่วยบอกกูหน่อยได้ไหมว่ากูโกหกมึงเรื่องอะไร” ถ้ามันยังไม่บอกผมไม่ทางรู้แน่ๆ ว่าเรื่องอะไร

“วันที่กูพามึงไปห้องซ้อมวันแรก ตอนที่มึงหายลงไปข้างล่างนานๆ กูถามมึงว่าไปไหนมา มึงตอบกูแค่ว่าลงไปซื้อน้ำ” ก็ผมลงไปซื้อน้ำจริงๆ แต่ที่หายลงไปนานเพราะผมมัวแต่คิดถึงเรื่องมันอยู่นั่นแหละ

“แต่สิ่งที่กูเห็นมันมากกว่านั้น” มันแอบตามผมลงมาเหรอ

“กูเห็นมึงยืนคุยกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง แต่มึงก็โกหกกูว่าแค่ลงไปซื้อน้ำ” ก็แค่คุยอีกอย่างน้องเขาช่วยผมเลือกน้ำจะไม่ให้ผมคุยกับเธอก็คงจะดูไม่ดีเท่าไร และที่สำคัญผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย

“ที่มึงไม่ยอมให้กูไปรับไปส่งเพราะมึงอยากไปไหนมาไหนกับน้องเขา มึงแอบคุยกับน้องเขาตั้งแต่วันนั้น” ถ้ามันจะมโนเก่งขนาดนี้ ผมว่ามันควรไปเป็นนักเขียนนิยายมากกว่าจะมาเรียนวิศวะแบบนี้

“วันนี้มึงก็นัดเขามาที่นี้อีก” ผมว่ามันจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว

“มันจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วกูไม่ได้นัดน้อง...”

“หรอ เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวได้ขนาดนี้ มึงยังโกหกว่าไม่ได้นัดมาอีกหรอ” มันพูดอะไรอีก ใครเข้ามาในห้องแต่งตัว

“พี่มิกซ์คะ” มันคงหมายถึงคนที่กำลังเรียกผมอยู่ตอนนี้

น้องอายเธอเข้ามาได้ยังไง ผมไม่ได้เป็นคนพาเธอเข้ามานะครับ

“อายเข้ามาได้ไง” ผมถามคนที่เดินยิ้มกว้างตรงเข้ามา ผมพยายามเสียงดังให้ช้อปมันได้ยินด้วย มันจะได้รู้ว่าผมไม่ได้เป็นคนนัดเธอมาที่นี่

“พอดีพี่สาวอายเรียนที่นี่เลยขอให้พาเข้ามาค่ะ”

“มาหาพี่หรอ” เธอพยักหน้าตอบ

“มีอะไรรึเปล่า” ผมถามอายที่กำลังยืนบิดตัวไปมา

“อายมีเรื่องจนคุยกับพี่ พี่มิกซ์ออกไปคุยกับอายข้างนอกได้ไหมคะ” ผมแอบหันไปมองปฏิกิริยาของช้อปตอนที่อายพูดประโยคนี้กับผม สีหน้ามันดูไม่พอใจสักเท่าไรและเหมือนมันจะเดินหนีผมด้วย

“พี่สะดวกคุยตรงนี้นะ อายมีอะไรพูดมาได้เลย” ผมไม่อยากออกไปจากตรงนี้อีกเดี๋ยวช้อปมันเข้าใจผิดคิดว่าผมแอบคุยกับน้องอาย คุยตรงนี้แหละช้อปมันจะได้รู้ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอ

“คือ...คือ...หนูชอบพี่มิกซ์นะคะ” ผมไม่แปลกใจที่ได้ยินแบบนี้ผมดูออกตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน แต่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้ามาสารภาพต่อหน้าแบบนี้

แต่อีกคนนี้สิครับดูท่าจะโมโหมากจะแสดงท่าทางฟึดฟัดออกมาชัดเจน

“ถ้าพี่มิกซ์ยังไม่มีแฟน...เราจะลองคุยกันได้ไหม” เธอพูดไปก็บิดตัวไปกับอีกคนที่ยืนฟังอยู่ก็เหมือนจะทนฟังไม่ไหวเริ่มขยับตัวเดินหนี

“พี่ขอโทษนะ พอดีพี่มีคนที่ชอบแล้ว” ผมตอบเธอแต่สายตายังมองตามแผ่นหลังของอีกคน มันหยุดกึกทันทีที่ได้ยินคำตอบของผม แต่มันคงไม่เชื่อที่ผู้พูดหรอกครับก็มันมองผมเป็นคนโกหกไปแล้ว

“ใครหรอคะ”

“คนนั้นไง” ผมพยักหน้ามองทางคนที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกล

ผมกล้าที่จะบอกความรู้สึกที่มีกับมันด้วยตัวเองเหลือแค่รอว่ามันจะยอมเชื่อที่ผมพูดรึเปล่า มันจะมองผมเป็นคนโกหกอีกไหม

แต่มันกลับนิ่งไม่พูดหรือทำอะไรให้ผมรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ มันคงมองว่าผมเป็นคนโกหกไปแล้วจริงๆ

“พะ...พี่มิกซ์เป็น...” แล้วแต่ว่าเธอจะมองผมว่าเป็นอะไร ผมแค่อยากบอกความรู้สึกให้คนตรงหน้ารู้เท่านั้น

"คงงั้นมั้ง" ผมตอบ

“เขาก็เคยชอบพี่นะ แต่ตอนนี้เขาคงไม่ชอบพี่แล้วละ เขาบอกว่าไม่ชอบคนโกหกแล้วเข้าก็มองพี่เป็นคนแบบนั้นด้วย” เป็นผมที่หันหลังให้มันบ้าง ผมพูดไปหมดแล้วแต่มันก็ยังไม่เชื่อใจผม เฮ้อ...เรื่องของเราคงจนกันตรงความเข้าใจผิดกันแล้วล่ะครับ

“แต่ถ้าน้องอายไม่รังเกียจคนที่เคยชอบผู้ชายอย่างพี่ เราลองมาคุย...” ผมยังพูดไม่จบประโยคก็โดนแรงฉุดจากใครสักคนลากผมให้เดินออกข้างนอก มันไม่ชอบผมแล้วไม่ใช่เหรอแล้วลากผมออกมาแบบนี้ทำไม

ผมเดินตามหลังมันอย่างเงียบๆ มาหยุดที่มุมตึกไม่หาจากสถานที่ประสักเท่าไร

“มึงลากกูออกมาทำไม กูจะคุยกับน้องอาย” ผมพยายามสะบัดมือมันออก

“มึงไม่เชื่อกูไม่ใช่หรอ...อื้อ...” มันยื่นหน้าเข้ามาจูบแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงผมจะพยายามขัดขืนแต่ก็สู้แรงมันไม่ได้ มันล็อกหน้าบดจูบอย่างเร่าร้อนถึงแม้มันจะเป็นคนทำอยู่ฝ่ายเดียวแต่สัมผัสจากริมฝีปากและลิ้นของมันก็ทำแขนขาผมอ่อนแรงแทบยืนไม่อยู่ จนมันต้องปล่อยมือที่ล็อกหน้ามาช่วยประคองตัวผมไว้แทน

ไม่ชอบกูแล้วมาทำแบบนี้ทำไม

ผมยืนนิ่งให้มันบดจูบอยู่นานจนมันยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระ ผมยืนหอบแฮกพยายามสูดลมหายใจเอาออกซเจนเข้าไปทดแทนให้ได้มากที่สุด

“กูขอโทษ” มันทำหน้าสำนึกผิด

“มึงจะขอโทษกูเรื่องอะไรก่อนดี เรื่องที่มึงหาว่ากูโกหกหรือว่าเรื่องที่มึงจูบกูเมื่อกี้”

“กูขอโทษที่เข้าใจมึงผิด กูขอโทษที่หึงมึงมากไปหน่อย” มันบีบมือพยายามขอให้ผมยกโทษให้

ปล่อยให้กูอึดอัดมาตั้งนานแล้วมาขอโทษกันง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ

“แต่เรื่องที่กูจูบมึงกูไม่ขอโทษนะเพราะกูตั้งใจจูบมึงจริงๆ” เอากับมันสิครับผิดแล้วยังมีหน้ามาต่อรองกับผมอีก

“ตกลงว่าเรื่องที่ทำให้มึงไม่ยอมคุยกับกูคือมึงคิดว่ากูแอบคุยกับน้องอาย” มันทำหน้าหง่อยพยักหน้าหงึกๆ

“แล้วมึงก็คิดว่ากูโกหกเรื่องน้องเขาด้วยใช่ไหม” ผมไล่เรียงความผิดของมัน มันไม่แก้ตัวอะไรแค่ก้มหน้าก้มตาพยักหน้ายอมรับผิดเท่านั้น

“มึงรู้ไหมว่ามึงการที่มึงไม่ยอมพูด มันทำให้กูหงุดหงิดแค่ไหน มึงรู้ไหมว่ากูไม่มีสมาธิจะทำอะไร กูเกือบทำงานประกวดพังก็เพราะมึง” มันยังก้มหน้าสำนึกผมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ย” พูดแล้วก็หงุดหงิดไม่หาย แค่มันถามแค่มันพูดกับผมสักคำคงไม่ต้องเข้าใจผิดกับจนถึงวันนี้

“กูต้องทำยังไงมึงถึงหายโกรธ” มันถามหาข้อเสนอจากผม

“เฮ้อ...มึงเนี่ยนะ ทีหลังมีอะไรให้ถามไม่ใช่คิดเองเออเองเข้าใจไหม”

“ครับ” ที่อย่างนี้พูดเพราะเลยนะมึง

“แล้วที่มึงบอกว่าชอบกูล่ะ”

“กูพูดตอนไหน” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ก็มึงบอกกูเองเมื่อกี้” มันทำหน้างอใส่

“ใครบอกล่ะว่ากูหมายถึงมึง”

“มิกซ์!” นี่มันกล้าขึ้นเสียงใส่ผมเลยเหรอเนี่ย ความผิดเมื่อกี้ยังไม่ได้สะสางกันเลยมันจะเพิ่มข้อหาใหม่ให้ตัวเองอีกแล้ว

“พูดดีๆ ไม่ได้หรอ” ผมปรับตัวเองให้เข้าสู้โหมดโหด

“ขอโทษ มึงก็ตอบกูดีๆ สิ” คราวนี้มันหดคอตอบผมเสียงเบา

“แทนมันก็บอกมึงแล้วไม่ใช่หรอ”

“กูอยากได้ยินจากปากมึงให้แน่ใจ” ดูความเอาแต่ใจของมัน ถ้ามันลดตรงนี้ได้ผมอาจชอบมันมากกว่าตอนนี้อีกก็เป็นได้

“เออ กูชอบมึงพอใจยัง” มันฉีกยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินคำตอบ เดินเข้ามาใกล้ก่อนกดริมฝีปากลงจูบกับผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้เป็นคนกระทำฝ่ายเดียวอย่างที่เคยผ่านมา ผมเองก็ยกมือคล้องคอส่งลิ้นเข้าไปเกี่ยวลิ้นของมันเช่นกัน เรายืนแลกสัมผัสกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ ทั้งผมและมันต่างส่งจูบอันเร่าร้อนให้กันและกันอยู่นาน

“ว้าย...” เสียงร้องจากใครสักคนทำให้เราสองคนต้องรีบผละตัวออกจากกัน ผมมองผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนเอามือปิดหน้าตัวเองอยู่ใกล้ๆ ฝ้าย? ใช่เธอจริงๆ ด้วย ทำไงดีเธอต้องเห็นตอนที่ผมกับช้อปจูบกันแน่ๆ

“เอ่อ...คือรุ่นพี่ให้เรามาตามมิกซ์ไปถ่ายรูปนะ” เธอหน้าแดงเถือก พูดไปก็บิดตัวเขินไปด้วย คงไม่ใช่แค่ฝ้ายที่เขินผมเองก็ยืนหน้าร้อนผ่าวและผมมั่นใจว่าหนาผมก็แดงเถือกไม่ต่างจากเธอ

“ดะ...เดี๋ยวเราตามไปนะ” เราสองคนคุยกันแต่ไม่มีใครกล้ามองหน้าของอีกคน ก็มันเขินนี่ครับ ใครจะไปคิดว่าฝ้ายจะมาเจอผมกับช้อปยืนจูบกันแบบนี้

“ถ้า...เอ่อ...กันเสร็จแล้วก็รีบตามมานะ เราไม่กวนแล้ว” เธอไม่พูดทุกคำออกมาแต่ยกปลายนิ้วชี้ชนกันเป็นสัญลักษณ์แทน ผมนี่อายมากกว่าเดิมซะอีก

“เอ่อ...กูไปก่อนนะ” ผมเตรียมจะวิ่งตามฝ้ายไปแต่โดนดึงแขนไว้ซะก่อน

“อื้อ...” ช้อปมันจูบผมอีกแล้ว มันจูบผมอยู่นานจนรู้สึกว่าปากผมต้องบวมแล้วแน่

“พะ...พอก่อน” ผมพยายายเอ่ยห้ามมันก่อนที่จะนานไปกว่านี้ ผมยืนลูบปากตัวเองก้มหน้าไม่กล้าสบตามัน

“กูไปก่อนนะ” แล้วผมก็รีบวิ่งตามฝ้ายเข้าไปข้างใน

ขณะที่ถ่ายรูปผมแอบเห็นฝ้ายเธอหันมามองผมหลายครั้ง ทุกครั้งที่สายตาเราสบกันทั้งผมและเธอจะรีบหันหน้าหนีกันและกัน เธอเขินส่วนผมอาย จนผมต้องขอคุยกับเรื่องนี้กับเธอเป็นการส่วนตัว

“ฝ้ายอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องนี้ได้ไหม” ผมขอร้องเธอ

“อืม...” เธอตอบยิ้มๆ

“แต่มิกซ์บอกกับเราก่อนได้ไหมว่ามิกซ์กับพี่ช้อปถึงไหนกันแล้ว เป็นแฟนกันรึยัง”

“เฮ้ย! เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมปฏิเสธมือไม้เป็นระวิง

“อื้ม...เราจะไม่บอกใคร แต่มิกซ์สัญญากับเราก่อนว่าถ้ามิกซ์คบกับพี่ช้อปจะบอกให้เรารู้เป็นคนแรก” ฝ้ายยื่นข้อเสนอกับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มา ผมก็ยังไม่รู้เลยว่ากับช้อปจะเป็นยังไงต่อไป

“เอ่อ...”

“เราจะถือว่ามิกซ์สัญญาแล้วนะ แต่ตอนนี้มิกซ์รีบไปดีกว่าพี่ช้อปมานู่นแล้ว” ฝ้ายพยักหน้าให้ผมหันไปมองช้อปที่ยืนกอดอกฉีกยิ้มกว้างมาให้

“เราไม่อยากขัดเวลาความสุขอีก” คราวนี้เธอกลับแซวผมซะงั้น ไม่เห็นเขินเหมือนก่อนหน้านี้เลย ผู้หญิงนี่เหมือนกันทุกคนเลยนะครับ

แล้วฝ้ายก็เธอก็เดินจากไปทิ้งให้ผมอยู่สองต่อสองกับช้อปมันอีกครั้ง

“มิกซ์ เราต้องคุยกันแล้วล่ะว่าจะเอายังไงกันต่อ”

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
รักกันแล้ว
ก็คบกันให้ชัดเจนเลยน้า
 :o8:

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 18



ผมเดินเงียบๆ ตามหลังช้อปเข้าไปในรถ เราทั้งสองต่างฝ่ายต่างรู้ความรู้สึกของกันและกันแล้ว และนั้นก็เป็นเหตุผลให้คนข้างๆ คะยั้นคะยอถามเรื่องความสัมพันธ์ของเราหลังจากนี้

‘มันชอบผม’ และ ‘ผมชอบมัน’ ดูเหมือนว่าจะลงเอยด้วยดี แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเราสองคนเท่านั้น

หลายครั้งที่ผมต้องโกหกเพื่อเบี่ยงประเด็นไม่ให้มันจับความรู้สึกได้ ผมอยากเก็บความรู้สึกนั้นให้นานที่สุดจนกว่าผมจะมีความมั่นใจมากพอ มากพอที่กล้าคบกับมันโดยไม่กลัวสายตาคนรอบข้าง สุดท้ายผมก็เก็บมันไว้ไม่ได้อีกต่อไป ผมเลือกที่จะบอกความรู้สึกเพราะไม่อยากให้มันเข้าใจผิด ผมทนเห็นมันเย็นชาใส่แบบนั้นไม่ไหวแล้ว

“มึงจะเอายังไงต่อ” คนข้างๆ เอ่ยถาม ผมได้ยินแต่เลือกที่จะเงียบและไม่สบตา

“คบกับกูได้ไหม” มือหนายื่นมากุมมือผมไว้ ประโยคนี้กระตุ้นจังหวะการเต้นหัวใจของผมได้เป็นอย่างดี

“กูกลัวว่ะช้อป”

“มึงกลัวอะไร” มันเชยคางให้ผมหันไปสบตา มืออีกข้างกุมมือผมแน่น

“กูเป็นผู้ชายมาตลอด...”

“มึงจะบอกว่ามึงอายที่ต้องคบกับกู” มันพูดแทรกขึ้น มือที่กุมอยู่เริ่มคลายออก

“ไม่ใช่อย่างนั้น” เป็นผมที่ดึงมือมันกลับมากุมไว้แน่น

“กูไม่ชอบเวลาที่คนอื่นมองกูแบบวันนั้น” ผมหมายถึงวันที่ผมเผลอโพล่งออกมากลางห้องเรียน วันนั้นทั้งวันผมโดนแซวโดนล้อจนเกือบมีเรื่องกับไอ้รุ่นพี่คนนั้น แต่ที่ผมไม่ชอบที่สุดคือการนินทาผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรเมื่อเห็นผมเดินผ่าน มันกวนใจจนอยากจะเดินเข้าไปถามให้รู้แล้วรู้รอด

“มึงแคร์คนพวกนั้นมากกว่ากู มิกซ์...มึงชอบกูจริงๆ รึเปล่า”

“กูขอโทษ แต่มึงให้เวลากูหน่อยได้ไหม”

“ที่ผ่านมามันยังไม่พออีกหรอ กูชอบมึง มึงชอบกูแล้วจะกลัวอะไรอีก” ผมอยากมีความกล้าให้ได้สักครึ่งของมัน แต่ตอนนี้ผมยังทำไม่ได้จริงๆ

“กูขอเวลาอีกนิดนะ”

“แล้วกูจะแน่ใจได้ยังไงว่าถึงวันนั้นแล้วมึงจะไม่เปลี่ยน.....” บทจูบระหว่างผมกับมันเริ่มขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นผมที่เป็นฝ่ายเริ่มเอง มันนั่งนิ่งปล่อยให้ผมจูบอยู่ฝ่ายเดียว มันคงคิดไม่ถึงว่าผมจะเป็นคนเริ่มก่อน

ผมเป็นฝ่ายคุมบทจูบนี้ได้ไม่นาน “อื้ม…” เมื่อคนตรงหน้าเริ่มตั้งตัวติดบทจูบก็ดูร้อนแรงขึ้นมาในทันที ผมเผลอหลุดครางออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ บทจูบดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราต่างฉกแลกน้ำลายกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ บทจูบอันร้อนแรงนั้นจบลงแล้ว คิดว่าจะขาดอากาศหายใจตายซะแล้ว ก็มันเล่นจูบไม่เว้นจังหวะให้ผมได้หายใจหายคอกันบ้างเลย

“จูบนี่แทนคำสัญญา พอใจยัง” ผมพูดไปงุดหน้าไปไม่กล้าสบตาคนข้างๆ ไม่รู้จะเขินหรืออายก่อนดี ผมกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง ถ้าผมมุดหน้าเข้าไปในคอนโซลรถได้ผมคงทำไปแล้ว

“ยัง กูยังไม่พอใจ” จูบผมซะปากเจ่อยังไม่พอใจอีกเหรอ จะต้องให้ผมทำอะไรมันถึงจะพอใจ

“แล้วกูต้อง...อื้ม...อื้อ...” และบทจูบรอบที่สามของวันนี้ก็เริ่มขึ้นอีก มันจูบเหมือนกลัวจะไม่ได้จูบผมอีก จูบเอาเป็นเอาตายไม่เว้นว่างให้ผมได้หายใจหายคอ จูบครั้งนี้กินเวลานานพอๆกับครั้งก่อนหน้า กว่ามันจะยอมปล่อยผมก็เกือบขาดอากาศหายใจ

“สัญญาแล้วนะว่าจะไม่เปลี่ยนใจ” มันพูดพร้อมยกนิ้วก้อยขึ้นมา มันคิดว่าผมเป็นเด็กรึไงถึงได้เกี่ยวก้อยสัญญาแบบนี้ แต่ก็นั้นล่ะครับผมทนมองหน้าอ้อนๆ ของมันต่อไม่ไหวแล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งใจอ่อน

“เออ! สัญญา” ผมยกนิ้วก้อยขึ้นไปเกี่ยวอย่างอายๆ ผมเขินจนไอ้คนข้างๆล้อไม่หยุด ใครจะไปคิดละครับว่าเพลย์บอยอย่างผมจะแพ้ลูกอ้อนของผู้ชายแบบนี้

“กูให้” กุหลาบสีแดงดอกใหญ่ ก้านดอกหักพับจนช่อดอกทิ่มลงพื้น กลีบดอกหลายกลีบร่วงหายไป กลีบดอกที่เหลือช้ำจนกลายเป็นสีดำ ผมมองดอกไม้ที่แทบจะไม่เหลือความสวยงามอยู่แม้แต่นิดก่อนเงยหน้ามองคนให้ มันยื่นดอกกุหลาบนั้นมาให้โดยจับตรงก้านดอกที่หักให้ตั้งตรง

“อะไร”

“ก็...ดอกกุหลาบไง”

“กูรู้ แล้วทำไมมึงเพิ่งให้”

“ก็ตอนนั้น...กูเห็นคนให้มึงเยอะแล้ว” หน้ามันเริ่มขึ้นสีกลายเป็นฝ่ายเขินผมบ้าง เห็นแบบนี้แล้วขอแกล้งมันหน่อยแล้วกัน

“เสียดายจัง ถ้ามึงให้กูตั้งแต่ตอนประกวด กูคงได้เป็นเดือนมหาลัยไปแล้ว” ผมรับดอกกุหลาบนั้นมา แอบมองปฏิกิริยามันเล็กน้อย มันแค่ทำหน้ารู้สึกผิดเท่านั้น

“ถ้ากูได้เป็นเดือนมหาลัย....” หลังจากนี้ล่ะมันจะทำหน้ายังไง

“คงมีสาวๆ มาติดกูอีกเพียบเลยเน๊าะ”

“มิกซ์!” มันกระชากเสียงซะผมตกใจสะดุ้งตัวโยน ผมเหลือบไปมองหน้ามันเล็กน้อย มันเข้าสู้โหมดเดอะฮัคเป็นที่เรียบร้อย

“กูล้อเล่นๆ” ผมแก้ตัวเป็นพัลวันยกมือป้องตัวเองไว้เมื่อเห็นมันกำลังโถมตัวเข้ามา

“ห้ามล้อเล่นแบบนี้อีก” เสียงประกาศิตทำผมต้องพยักหน้ารับอย่างไว รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นคนยังไง ผมไม่น่าไปแหย่มันเลย

เราได้ข้อสรุปเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้ว ช้อปยอมให้เวลาแลกกับคำสัญญาว่าผมห้ามมองหรือเจ้าชู้กับใครแบบที่ผ่านมา รวมถึงต้องยอมให้มันเป็นสารถีส่วนตัวคอยรับส่งระหว่างหอพักกับมหาลัยด้วย ถึงผมจะอ้อนวอนขอใช้รถตัวเองแค่ไหนแต่คำตอบที่ได้คือ ‘ไม่’ มันให้เหตุผลว่ากลัวผมจะเถลไถลหนีเที่ยวโดยที่ไม่บอกมันอีก

ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนยังมีกฎเยอะมากมายขนาดนี้ ถ้าเป็นแฟนกันมันไม่จับผมขังไว้ในห้องไม่ให้เห็นเดือนเห็นดาวใช่ไหม ผมกลัวใจคนอย่างช้อปมันจริงๆ

“ไม่ให้กูนอนด้วยจริงหรอ” เมื่อมาถึงห้องมันก็ยังไม่วายทั้งตื้อทั้งอ้อนขอนอนที่ห้องด้วย

“กูเหนื่อยมาทั้งวันขอกูพักเถอะนะ” ไม่ใช่แค่วันนี้หรอกครับ ตั้งแต่เมื่อวานผมยังไม่ได้พักเลยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง ไหนจะต้องมานั่งเครียดเรื่องช้อปมันอีก กว่าจะประกวดกว่าจะเคลียร์กับช้อปเสร็จก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว

“ก็ได้ งั้นรีบนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้กูมารับ” มันยอมปล่อยมือที่จับมือผมตั้งแต่ลานจอดรถจนถึงห้องออก พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างมาให้จนผมเผลอหลุดยิ้มตาม

“ไปจริงๆ แล้วนะ” ก่อนไปยังหันกลับมาทำหน้าเศร้าใส่ เป็นผมที่ต้องโบกมือไล่กว่ามันจะยอมเดินออกไป



ผมถือดอกกุหลาบที่มันให้มาใส่ไว้ในแจกันกลางห้องนั่งเล่น หยิบหมีบราวน์ที่เคยนั่งประจำที่โซฟาไปวางไว้ข้างๆแจกัน ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าเจ้าหมีบราวน์มันแอบส่งยิ้มให้ผมด้วย





หมอนและผ้าบนเตียงเหมือนจะมีแรงดึงดูดผมต่อผมอย่างมาก ผมทิ้งตัวลงนอนในชุดนักศึกษาตัวเดียวกับตอนขึ้นประกวด ผมไม่มีแรงเหลือพอที่จะอาบน้ำแม้แต่เปลี่ยนชุดผมยังทำไม่ได้เลย

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

ผมหลับตาพร้อมเข้าสู่ห้วงนิทราแต่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงเรียกปลุกผมซะก่อน มันช่างมาถูกจังหวะและเวลาจริงๆ

ผมชั่งใจอยู่ว่าจะเปิดดูหรือจะนอนต่อดี แต่คนที่ส่งข้อความมาดึกๆ แบบนี้คงมีเรื่องสำคัญแน่ ผมตัดสินใจล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์หน้าจอเปิดอ่านข้อความ

‘ฝันดีนะ อย่าลืมฝันถึงกูด้วย’

ข้อความพร้อมกับกับแนบรูปเจ้าของข้อความที่กำลังยิ้มกว้าง ผมมั่นใจว่ามันยังไม่ถึงห้องแน่เพราะแบคกราวด้านหลังยังเป็นเบาะหนังในรถหรูของมัน

ผมเพียงกดอีโมจิรูปยิ้มตอบกลับมันเท่านั้น อยากจะพิมพ์ตอบมันมากกว่านั้นแต่ผมง่วงเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

เสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง

ช้อปมันคงมันคงส่งมาถามเหตุผลที่ผมตอบกลับมันแค่อีโมจิแน่ ผมคงต้องหาเหตุผลที่ทำให้มันพอใจแล้วละ

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นข้อความที่ส่งมาไม่ได้มาจากช้อป ภาพโปรไฟล์สาวสวยที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ‘เนย’ แฟนเก่าคนล่าสุดผมเองครับ เธอเป็นผู้หญิงไม่กี่คนที่บอกเลิกผม ไม่ใช่บอกเลิกสิ ผมต่างหากที่แอบไปเจอเธออยู่กับผู้ชายคนอื่น

ผมยอมรับว่าเสียใจที่โดนเธอบอกเลิก แต่ก็ได้ไอ้แทนกับไอซ์คอยปลอบคอยหาวิธีให้ผมหายเศร้า ผมใช้เวลาไม่นานกับการลืมผู้หญิงคนนี้และผมก็ลืมเธอไปแล้วจริงๆ

เกือบหนึ่งปีที่เราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งแต่เลิกรากันไป แล้วทำไมเธอถึงทักผมมาอีก ผมนั่งมองตัวเลขสีแดงบนป๊อปอัพข้อความที่เด้งเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

ผมเลือกที่จะไม่เปิดอ่านข้อความ จนเสียงข้อความเงียบหายไป หวังว่าเธอจะเลิกส่งข้อความมากวนผมอีกนะ

Rrrr Rrrr

เสียงข้อความเงียบลงไปแล้วก็จริงแต่กลับมีเสียงคอลผ่านแอพ messenger แทน ผมกดตัดสายทิ้งแบบไม่ต้องคิด เรื่องระหว่างผมกับเธอมันจบไปแล้ว ผมไม่มีอะไรที่ต้องคุยกับเธออีก

ความง่วงที่สะสมมาทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง ถึงผมจะตัดสายทิ้งหลายครั้งเธอก็ยังพยายามโทรเข้ามาสลับกับข้อความที่เด้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เธอไม่ได้กวนใจผมแม้แต่น้อยแต่เธอกวนเวลานอนผมซะมากกว่า

[เนยมีอะไรรึเปล่า]

ผมตัดสินตัดสายทิ้งแล้วเลือกที่จะพิมพ์ข้อความตอบเธอแทน ผมไม่สนใจข้อความก่อนหน้าที่เธอส่งมาเพียงอยากรู้เหตุผลที่เธอโทรมากวนผมอยู่อย่างนี้

[ยอมคุยกับเราสักที] ความเอาแต่ใจของเธอยังไม่เปลี่ยนเลย ตอนที่เราคบกันผมเป็นฝ่ายที่ต้องตามใจเธอทุกอย่าง แต่ตอนนั้นผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติของผู้หญิง แต่เธอไม่ควรทำแบบนั้นในสถานะที่เราเป็นอยู่ตอนนี้

[เนยมีอะไรกับเรารึเปล่า]

[มิกซ์หล่อขึ้นเยอะเลยนะ] ข้อความพร้อมกับรูปตอนที่ผมอยู่บนเวที

[ขอบคุณนะ แต่ตอนนี้เราง่วงมากขอไปนอนก่อนนะ]

[เดี๋ยวคุยกับเราก่อน] ผมนั่งรออ่านข้อความที่เธอกำลังพิมพ์

[เราเพิ่งรู้ว่ามิกซ์เรียนที่เดียวกับเรา] ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน

[อืม มีอะไรอีกรึเปล่า ถ้าไม่มีเราไปนอนแล้วนะ] ผมพร้อมจะตัดบทสนทนากับเธอได้ทุกเมื่อ

[เดี๋ยว] แต่เธอก็ยังรั้งผมไว้อีก

กำลังพิมพ์.....

ข้อความต่อไปดูท่าจะยาวพอสมควรเพราะเธอใช้เวลาพิมพ์มากกว่าปกติ

[เราขอโทษเรื่องที่เคยเกิดขึ้น เราเสียใจที่ทำให้มิกซ์เสียใจ เรายังรู้สึกดีๆ กับมิกซ์ มิกซ์ยกโทษให้เราได้ไหม เรากลับมาคุยกับแบบเมื่อก่อนได้ไหม] ผมไม่รู้สึกอะไรกับข้อความที่เธอส่งมาแม้แต่น้อย ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้เธอมันหมดไปตั้งแต่วันนั้น วันที่เธอเลือกที่จะนอกใจผมไปหาผู้ชายคนใหม่

แต่ผมต้องขอบคุณเธอนะครับที่ทำให้ผมได้เจอสิ่งใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ รวมถึงความรักในอีกรูปแบบหนึ่งที่ถึงแม้จะต้องใช้เวลาปรับจูนความรู้สึกตัวเองสักหน่อย แต่ผมก็ยังมั่นใจว่ามันจะช่วยเติมเต็มหัวใจของผมได้

‘ช้อป’ คนคนนี้แหละครับที่ทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นมาได้อีกครั้ง

[เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว ถ้าแค่เพื่อนเราอาจให้เนยได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นเราคงไม่มีเรื่องต้องคุยกันอีก] ผมให้เธอได้แค่เพื่อน มากกว่านั้นคงไม่ได้อีกแล้ว

[เราลองคุยกันก่อนก็ได้]

[คงไม่ได้หรอก เพราะเรามีคนที่ชอบแล้ว] ผมตัดบทด้วยข้อความสุดท้ายนี้พร้อมกับกดปิดแจ้งเตือนข้อความจากเธอ ผมรู้นิสัยเอาแต่ใจของเธอดีถ้าเธอไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเธอคงไม่ยอมหยุดโทรหยุดส่งข้อความมาหาผมแน่

ผมปิดเสียงโทรศัพท์วางมันไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง เฮ้อ...แต่ทำยังไงผมก็นอนไม่หลับสักที ขยับตัวเปลี่ยนท่านอนก็แล้วนับแกะก็แล้วก็ยังหลับไม่ลงสักที

“ฮัลโหล” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดเบอร์หนึ่งแล้วโทรออก

‘ทำไมยังไม่นอนอีก’ เสียงช้อปดังผ่านลำโพงออกมา

“นอนไม่หลับ”

‘ไหนบอกว่าง่วงไง เป็นไรรึเปล่า’

“ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็นอนไม่หลับ” ผมคิดดูแล้วว่าไม่ควรพูดเรื่องเนยกับช้อปมัน ถึงผมจะบอกหรือไม่บอกมันคงไม่สำคัญอะไรเพราะผมไม่ได้คิดอะไรกับเนยแล้ว ช้อปมันยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ด้วยถ้ามันรู้เดี๋ยวผมต้องคอยคิดหาข้อแก้ตัวอีก

‘ให้กูไปหาไหม’

“ไม่เป็นไร แต่มึงช่วยคุยกับกูจนกว่ากูจะหลับได้ไหม”

‘ได้สิ’

ผ่านไปเกือบๆ ชั่วโมงจนตอนนี้เกือบตีหนึ่งครึ่งแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงได้มีเรื่องคุยกับมันมากมายขนาดนั้นทั้งที่เพิ่งแยกกันได้ไม่นาน

‘นอนได้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย’ จนมันต้องเป็นฝ่ายเตือน

อยากคุยกับมันต่อจัง แต่พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้าคงถึงเวลาที่ต้องไปนอนแล้ว

“อื้ม ฝันดีนะ”

ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งหมดกลับมาอีกครั้ง ผมหลับไปทันทีหลังจากวางสาย



หน้าของช้อปโผล่เข้ามาในความฝัน ผมคิดถึงมันจนเก็บไปฝันเลยเหรอเนี่ย

“มิกซ์ ตื่นได้แล้ว” เสียงที่มันเรียกดูเหมือนจริงซะจนผมแยกไม่ออกว่านี่คือความจริงหรือความฝัน

“มิกซ์ ตื่นได้แล้ว” เสียงมันย้ำเรียกผมอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสเบาๆ ที่ข้างแก้ม

“มึงเข้ามาได้ไง” ผมรู้ตัวแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน คนที่ยืนตรงหน้าก็คือช้อปตัวเป็นๆ ไม่ใช่แค่ความฝันอย่างที่ผมคิด แล้วมันเข้ามาในห้องผมได้ยังไง

“เมื่อคืนมึงลืมล็อกห้องใช่ไหม”

“เออ…” อีกแล้วเหรอเนี่ย นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมลืมล็อกประตูห้อง ก็ตั้งแต่ช้อปมันเข้าใจผมวันนั้น ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเกือบๆ สองอาทิตย์ทั้งลืมล็อกประตูห้องลืมหนังสือ มีหนักถึงขั้นลืมตื่นไปเรียนก็มี

ถึงช้อปมันจะเข้าใจผิดหรืองอนผมมากแค่ไหน แต่ทุกๆ เช้าคอยมาปลุกคอยมารับผมไปเรียนทุกวัน ถ้าไม่ได้มันผมคงได้ขาดเรียนไปหลายวันแน่

“กูลืมอีกแล้วว่ะ” ผมยอมรับตามตรง

“ที่หลังห้ามลืมอีกเข้าใจไหม” ผมพยักหน้ารับ

“ไปอาบน้ำแล้วออกมากินข้าว กูซื้อกาแฟมาให้ด้วย” ผมลุกจากที่นอนตามที่มันสั่ง เห็นมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

ปล่อยให้กูเครียดอยู่ตั้งนานสองนาน

“จะยิ้มอีกนานไหม รีบไปอาบน้ำกูเหม็นจะแย่อยู่แล้วเนี่ย” มันพูดพร้อมกับยกมือขึ้นขึ้นมาปิดจมูก

“งั้นมึงก็ไม่ต้องเข้ามาใกล้กูอีก” ผมยู่หน้าใส่ สะบัดตัวเดินหนีเข้าห้องน้ำ เมื่อคืนยังจูบกูไม่ยอมปล่อยแค่ไม่อาบน้ำคืนเดียวทำเป็นรังเกียจ



ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวอยู่สักพัก ออกมาก็เจอช้อปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับข้าวเช้าและกาแฟที่มันเตรียมไว้ให้

“เสร็จแล้วก็มากินข้าว” มันเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ แต่ผมเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินเดินผ่านหน้ามันตรงไปหยิบกระเป๋ากับรองเท้าที่วางอยู่หน้าห้อง

“มึงจะรีบไปไหน” มันรีบวิ่งตามมาคว้าแขนผมไว้ ผมเงียบแทนคำตอบ

“งอนอะไรกูรึเปล่า” บอกว่าเหม็นกูไม่ใช่เหรอแล้วตามมาทำไม

“มิกซ์ คุยกับกูหน่อย”

“ปล่อยกูจะรีบไปเรียน”

“มึงงอนกูแน่ๆ”

“เปล่า”

“มึงงอน”

“ใครงอน”

“มึงงอน”

“กูไม่ได้งอน”

“มึงงอน”

ผมยืนเถียงกับมันอยู่นาน ถึงผมจะปฏิเสธเสียงแข็งแต่เอาเข้าจริงแล้วผมก็งอนตามที่มันพูดนั่นแหละครับ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้คือเมื่อไรมันจะรู้ว่าผมงอนเรื่องอะไร

“อย่าบอกนะว่า...” มันเหมือนนึกอะไรออก หวังว่ามึงคงรู้ตัวแล้วนะ

“กูขอโทษ กูแค่ล้อเล่น ตัวมึงหอมจะตาย” มันไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาคลอเคลียที่ไหล่พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่

“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าหายโกรธแล้วใช่ไหม” ผมเผลอหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย ถึงจะพยายามเก็บอารมณ์ตัวเองแค่ไหนแต่คงไม่พ้นสายตาของคนตรงหน้าได้อยู่ดี

“กูไม่ได้งอนสักหน่อย” ผมวางรองเท้าลง หันตัวเดินกลับมานั่งจัดการกับอาหารที่มันเตรียมไว้ให้

ช้อปเดินตามมานั่งข้างๆ มันนั่งมองผมตักข้าวเข้าปากสักพักก่อนจะหลุดยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไร ไม่เคยเห็นคนกินข้าวหรอ”

“รู้ตัวไหมว่าเวลาที่มึงงอนโคตรน่ารักเลย”

“แอ๊กๆ” ผมรีบกลืนข้าวในปากที่เคี้ยวยังไม่ทันละเอียดลงคอจนเกือบสำลักออกมา

“มึงจะรีบกินไปไหนเนี่ย เอานี่น้ำ” คนข้างๆ บ่นอุบแต่ก็ยังหยิบแก้วน้ำที่ว่าอยู่ใกล้ๆ ส่งมาให้

ผมอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้แล้ว ขืนอยู่ต่อได้ปล่อยไก่เขินต่อหน้ามันอีกแน่

ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะครับจะให้มานั่งเขินกับคำพูดพวกนั้นได้ยังไง น่าอายจะตาย ถ้าไอ้สองเกลอกับเหล่าเพื่อนโคนันผมรู้เข้าคงโดยพวกมันล้อจนลูกบวชแน่

“กูไปรอข้างนอกนะ” ว่าแล้วผมก็รีบลุกจากโซฟา หยิบกระเป๋าเป้กับรองเท้าขึ้นมาใส่แล้วรีบเปิดประตูออกมายืนรอมันหน้าห้อง

ไม่นานมันก็เดินตามออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มต่างกับผมที่ได้แต่งุดหน้าไม่ให้มันจับแววตาได้





ผมนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ไอ้หน้าหล่อที่ฮัมเพลงอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่ามีความสุขอะไรนักหนากับการทำให้ผมเขินได้ ดีใจอย่างกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง

“ช้อป! ห้ามทำอะไรประเจิดประเจ้อเข้าใจไหม” ผมเน้นย้ำเรื่องนี้กับมันหลายรอบ ต่อหน้าเพื่อนผมคงไม่เท่าไร แต่ผมกลัวมันทำอะไรต่อหน้าประเจิดประเจ้อต่อหน้านักศึกษาคนอื่น ผมไม่อยากกลายเป็นข่าวดังเหมือนตอนนั้นอีก

“รับทราบ” มันยอมตกลงเป็นอย่างดีพร้อมกับยกมือทำความเคารพแบบที่ทหารทำ เพียงแต่สายตาที่ส่งมาไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่ควรเป็น มันกลับส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มมาให้แทน

ผมเดินลงจากรถตรงเข้าตึกคณะโดยมีช้อปเดินตามมาไม่ห่าง มันรักษาระยะห่างตามที่ตกลงกันไว้ เป็นอย่างดี

เหล่าแก๊งนักสืบโคนันทั้งสี่โบกมือให้ทันทีเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าเห็นคนที่นั่งรออยู่เป็นสองสาว ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเห็นไอ้คิมกับไอ้เอ็มมาเช้าขนาดนี้ ผมว่าวันนี้คงได้เห็นหิมะตกในประเทศไทยแน่

มันสองคนวิ่งเข้ามาโค้งตัวพร้อมกับใช้มือปัดพื้นทำความสะอาดพื้นให้ตลอดทางเดิน

“เชิญนั่งครับ รองเดือนมหาลัยสุดหล่อ” มันสองคนผายมือไปยังที่ว่างที่เตรียมไว้สำหรับผมโดยเฉพาะ

“ของใครวะ” ผมมองกองขนมกองโตที่วางอยู่ตรงหน้า

“ของสมน้ำหน้าคุณจากเหล่าแฟนคลับของเพื่อนมิกซ์ไง” คิมพูดพร้อมกับหยิบห่อช็อกโกแลตไปฉีกแล้วยัดเข้าปากเกือบทั้งอัน กินไม่เกรงใจปริมาณน้ำตาลในนั้นเลย เดี๋ยวก็มาบ่นกับผมว่ากล้ามไม่ชัดอีก ทั้งๆ ที่แขนเสื้อมันแทบปริเพราะกล้ามโตๆ ของมันแล้ว

“เขาเรียกว่าสมนาคุณครับเพื่อนคิม” ไอ้เอ็มก็เอากับเขาด้วย เห็นมันผอมอย่างนี้แต่เรื่องกินมันก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน ยิ่งของฟรีมันยิ่งชอบ

ผมมัวแต่สนใจเพื่อนเห็นแก่กินสองคนตรงหน้าจนลืมสนใจว่ามีอีกคนกำลังเดินตามมาอยู่ห่างๆ

“อ้าว พี่ช้อปมาคนเดียวหรอคะกิ๊ฟคิดว่ามากับมิกซ์ซะอีก” กิ๊ฟเข้าประเด็นทันทีเหมือนกำลังรอเวลานี่อยู่เลย

“ก็มาพร้อมกันนั่นแหละ แต่มิกซ์ขอให้พี่เว้นรักษาระยะห่าง” มาถึงก็ฟ้องเลย

“หมายความว่าไงมิกซ์” กิ๊ฟหันมาถามผม ผมตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนทั้งหมดอีกครั้ง

“คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดไง”

“แล้วพี่ช้อปรู้ยังว่าแกก็ชอบพี่เขา” คราวนี้กิ๊ฟยื่นหน้าเข้ามากระซิบ พร้อมกับเพื่อนอีกสามคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้

ผมเพียงพยักหน้าตอบ แต่ดูจากสีหน้าแล้วพวกมันคงยังไม่พอใจคำตอบที่ผมให้

“แล้วเป็นแฟนกันรึยัง” กิ๊ฟยื่นหน้าเข้ามากระซิบอีกครั้ง พวกที่เหลือต่างขยับตัวล้อมวงรอบตัวผมเพื่อรอคำตอบ

“ยัง พี่กับมิกซ์ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” เสียงจากคนด้านหลังแทรกขึ้น ช้อปมันคงได้ยินสิ่งที่กิ๊ฟถาม มันช่วยตอบแทนก็ดีแล้วเพื่อนขี้สงสัยของผมจะได้หยุดเซ้าซี้ผมสักที เหนื่อยที่จะตอบพวกมันเต็มทนแล้วเหมือนกัน

“ได้ไง ชอบกันแล้วทำไมไม่เป็นแฟนกัน” มิลล์ถามด้วยความสงสัย

“เอาเป็นว่าแค่ยังไม่ถึงเวลา พวกเราเลิกถามมิกซ์มันได้แล้วเดี๋ยวมันพาลงอนพี่เหมือนเมื่อเช้าอีก” ได้ทีแฉกูใหญ่เลยนะ

“แกเนี่ยนะงอน ฉันนึกไม่ภาพแบดบอยอย่างแกงอนไม่ออกเลยว่ะ” กิ๊ฟเอ่ย เพื่อนทุกต่างพยักหน้าเห็นด้วย

“โคตรน่ารักเลย” แล้วไอ้คนข้างหลังที่ตอนนี้แทรกตัวลงมานั่งข้างๆ พร้อมกับเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมหน้าแดงแต่เพื่อนรอบๆกลับขำก๊ากกันซะงั้น

“ค่ะๆ กิ๊ฟเชื่อแล้วว่าพี่หลงเพื่อนกิ๊ฟมาก”

และผมก็โดนพวกมันล้อด้วยประโยคนั้นเกือบครึ่งค่อนวัน พวกมันจะยอมหยุดก็ตอนมีอาหารเข้าปากเท่านั้น

เที่ยงนี้เราออกมาทานข้าวกันที่โรงอาหารของคณะ ผมเดินแยกออกมาจากโต๊ะเพื่อรับสายจากแทน

“ว่าไง” ผมกรอกเสียงทักทายใส่โทรศัพท์มือถือ

“มึงอยู่ไหน”

“โรงอาหารคณะ มึงมีอะไรรึเปล่า”

“มึงอยู่ตรงไหนเดี๋ยวกูเดินเข้าไปหา พวกกูอยากกินข้าวกับมึง” ผมกดวางสายเมื่อบอกพิกัดของตัวเองกับเพื่อนไป

มันคงไม่มาที่นี่เพียงเพราะอยากกินข้าวกับผมแน่ คงมีเรื่องอะไรบางอย่างพวกมันถึงได้ถ่อมาใกล้ถึงโรงอาหารคณะผมแบบนี้

ไม่นานเพื่อนสนิทสองคนของผมก็เดินเข้ามาหา ดูจากสีหน้าพวกมันแล้วคงมีเรื่องมาให้ผมช่วย

“มีอะไรก็รีบพูดมา” ผมเปิดประเด็นก่อนที่พวกมันจะพูดอะไรซะอีก

“มึงนี่รู้ใจพวกกูจริงๆ” แทนคลี่ยิ้มทันที

“แล้วมีเรื่องอะไรถึงมาหากูได้”

“คือคณะกูเขาจัดแข่ง PUBG กัน กูสองคนเลยมาชวนมึงด้วย”

“เอาสิ” ผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว อยากทดสอบฝีมือตัวเองด้วย

“แต่เรื่องแค่นี้ทำไมต้องมาหากูถึงที่นี่ด้วย แค่โทรมาก็ได้”

“เพราะเรื่องนี้แหละที่พวกกูต้องมาหามึงถึงที่นี่ มึงช่วยไปคุยกับช้อปให้หน่อยได้ไหม”

“ทำไมมึงไม่คุยกับมันเอง”

“กูคุยแล้วแต่มันไม่ยอมลงแข่ง มันบอกว่าเสียเวลาอ่านหนังสือ”

“แล้วจะให้กูทำไง”

“มึงทำยังไงก็ได้ให้มันยอมลงแข่ง มึงรู้ไหมของรางวัลครั้งนี้เป็นโน๊ตบุคเกมมิ่งเลยนะ” เป็นของรางวัลที่ล่อตาล่อใจผมมาก ผมอยากนานได้โน๊ตบุครุ่นนั้นมานานแล้วด้วยแต่เก็บเงินเท่าไรก็ไม่พอสักที คราวนี้แหละโอกาสที่ผมจะได้โน๊ตบุคเครื่องนั้นมาครองก็มาถึงแล้ว

แต่ก่อนอื่นผมคงต้องหายวิธีเกลี้ยกล่อมให้ช้อปมันยอมลงแข่งซะก่อน ความกดดันตกอยู่ที่ผมทั้งหมด ความหวังของเพื่อนและความหวังของผมเองอยู่ในมือผมแล้วผมต้องทำมันให้สำเร็จ เพื่อของรางวัลผมต้องทำมันให้ได้

“ช้อปๆ” ผมใช้โอกาสตอนที่มันขับรถมาส่งที่หอคุยเรื่องนี้กับมัน ผมยังไม่มีแผนอะไรในใจเพียงแค่ลองถามเพื่อดูปฏิกิริยาของมันก่อน

“มีอะไร”

“มึงลงแข่ง PUBG กับพวกกูได้ไหม”

“กูบอกเพื่อนมึงไปแล้ว มึงก็อีกคนอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบแล้ว ยังห่วงเล่นเกมกันอีก”

“นะช้อปนะ”

“กูจะอ่านหนังสือ แล้วกูก็เตรียมสรุปของปีที่แล้วไว้ให้มึงด้วย” ดูท่ามันจะไม่ยอมง่ายๆ ผมทั้งอ้อนทั้งขอร้องมันก็ยังใจแข็งเหมือนเดิม หรือว่าผมจะต้องยอมปล่อยโน๊ตบุคเกมมิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตลอดให้หลุดลอยไป

แต่โอกาสดีดีแบบนี้คงหาไม่ได้อีก ฉะนั้นผมจะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

“กูมีข้อเสนอให้มึง” ผมคิดข้อเสนอที่มันได้ยินแล้วต้องไม่กล้าปฏิเสธผมและมั่นใจว่าสิ่งนี้จะยอมทำตามที่ผมขอแน่

“ตกลงกูจะลงแข่งด้วย”

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 19

หลังจากช้อปยอมตบปากรับข้อเสนอของผมแล้ว นับจากวันนี้เหลืออีกเพียงสามวันก็ถึงจะวันแข่ง คนที่ดูจริงจังกับการแข่งครั้งนี้เห็นจะเป็นช้อป มันดูจริงจังและตั้งใจมากกว่าพวกผมซะอีก ถึงขั้นเขียนตารางซ้อมให้ผมสามคน

ไอ้เพื่อนรักทั้งสองคนของผมที่เป็นคนตัวตั้งตัวตีในการแข่งครั้งนี้ ถึงกับร้องโอดครวญเมื่อเห็นตารางซ้อมที่ช้อปส่งไปให้ นั่นเป็นเพราะการซ้อมจะเริ่มตั้งแต่สองทุ่มไปจนถึงตีสองตลอดทั้งสามวัน และทุกเช้าเราทุกคนต้องตื่นเพื่อเข้าเรียนในวันถัดมาอีกด้วย

“เชี่ยมิกซ์ มึงไปตกลงอะไรกับช้อปมัน” แทนร้องโอดหลังจากจบการซ้อมอันหนักหน่วงของวันแรก

“ใช่ กูเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” เสียงไอซ์ร้องอย่างหมดแรง

“พวกมึงบอกกูเองว่าให้ทำอะไรก็ให้ช้อปมันลงแข่ง แล้วพวกมึงจะร้องหาพระแสงอะไร” ผมบ่น พวกมันมาขอร้องผมเองจะมาโทษผมได้ไง แต่ผมไม่เถียงว่าการซ้อมวันนี้หนักมากจริงๆ

“แล้วมึงตกลงอะไรกับมัน” ผมถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำถามนี้ จะบอกเรื่องนั้นกับพวกมันยังไงดี

“เอ่อ...คือ...เอ่อ...กูง่วงแล้วขอไปนอนก่อนนะ” แล้วผมก็รีบตัดสายพวกมันทิ้งทันทีก่อนที่พวกมันจะซักไซ้ไปมากกว่านี้

คงสงสัยกันใช่ไหมล่ะครับว่าผมไปตกลงอะไรกับช้อป

เรื่องที่ผมตกลงกับมันคือ.....









ไม่บอกหรอกครับ รอแข่งจบก่อนเดี๋ยวทุกคนก็รู้เอง

ผมกดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เดินหลับตาทิ้งตัวลงบนเตียง ซ้อมเสร็จตอนตีสองกว่าจะคุยกับไอ้สองตัวนั้นเสร็จก็ปาไปตีสองครึ่ง พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้าซะด้วยแล้วผมจะตื่นไปเรียนทันไหมเนี่ย

คิดดูแล้วผมไม่น่ายื่นข้อเสนอนั่นให้ช้อปมันเลย

ผมเหนื่อยเกินกว่าจะทนไหวแล้ว ตาสองข้างของผมปิดสนิทพร้อมเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน

แต่แล้ว...

Rrrrr Rrrrr

ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงโทรศัพท์จากใครสักคนดังขึ้น

“มีอะไรอีก กูง่วงแค่นี้นะ” ผมว่าทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“เดี๋ยว!” ปลายสายร้องห้าม ผมนิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่มันจะพูด

“ฝันดีนะ” ผมลืมตาขึ้นมามองโทรศัพท์ คลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“อื้ม...มึงก็ฝันดีนะ”

มึงเก่งจริงๆ ที่ทำให้ใจกูเต้นแรงได้ขนาดนี้





ผมคลานออกจากเตียงในสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณ นอกจากตารางฝึกซ้อมอันหนักหน่วง โค้ชคนเก่งของผมยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกโทรปลุกผมตั้งแต่เช้า

ผมเดินเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว อาบน้ำชำระร่างกายหวังให้น้ำเย็นช่วยไล่ความง่วงที่มีอยู่ออกไป

ผมเดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันรอดเอวอย่างหมิ่นเหม่ มือหนึ่งใช้ผ้าเช็ดตัวอีกผืนเช็ดน้ำออกจากเส้นผม

“เชี่ย!” ผมอุทานออกมาเสียงดัง สะดุ้งถอยหลังจนผ้าเช็ดตัวที่พันอยู่หลุดร่วงลงกับพื้น

“มึงเข้ามาได้ไง” ผมถามคนที่นั่งกระตุกยิ้มอยู่ที่โซฟา มันมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและหยุดสายตาตรงกล่องดวงใจใต้สะดือ

ผมไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าลวนลามทางสายตาไปมากกว่านี้ รีบก้มหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันรอบเอวตามเดิม

“มึงเข้ามาได้ไง” ผมถามย้ำอีกรอบ ช้อปหุบยิ้มก่อนทำหน้านิ่ง สายตาที่ส่งมาทำให้บรรยากาศรอบห้องเย็นยะเยือก

คนตรงหน้าลุกพรวดขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมถอยหลังกรูจนหลังแนบติดผนังห้อง ช้อปเดินตามมาประกบอย่างรวดเร็ว

“มึงจะทำอะไร” ผมเอ่ยถามเมื่อมันยกมือทั้งสองข้างยันผนังขังผมไว้ตรงหว่างแขน ผมเบี่ยงหน้าหลบเมื่อหน้าของอีกคนยื่นเข้ามาใกล้ ใกล้จนสัมผัสลมหายใจอุ่นของมันได้ ลมอุ่นเลื่อนผ่านข้างแก้ม ลำคอและหยุดลงที่ใบหู

แค่น้องชายผม ทำให้มันมีอารมณ์ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

“ช้อปอย่า” ผมกลืนน้ำลายลงคอเมื่อมันเริ่มขยับหน้าอีกครั้ง

“มึงรู้หรอว่ากูจะทำอะไร” มันกระซิบถาม ผมส่ายหน้าตอบ

“แล้วอยากรู้ไหมว่าทำไมกูถึงทำแบบนี้” ผมพยักหน้าหงึกๆ คงไม่ใช่เพราะมันเห็นน้องชายผมอย่างที่คิดนะ

“มึงลืมล็อกประตู” มันชี้นิ้วไปที่ประตู

ผมลืมล็อกประตูอีกแล้วเหรอเนี่ย คิดว่าคืนดีกับช้อปแล้วอาการขี้ลืมจะหายไป แต่เปล่าเลยมันคงติดเป็นนิสัยผมไปแล้ว

“เอ่อ...มึงใจเย็นๆ นะ” ผมจับแขนคนตรงหน้าไว้ มืออีกข้างลูบที่อกแน่นให้คนโกรธใจเย็นลง

“ถ้ามีใครแอบเข้ามา มึงจะทำไง”

“ขอโทษ กูลืมจริงๆ” ผมทำหน้าสำนึกผิด

“เฮ้อ…” มันส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ

“มึงห้ามลืมอีกเข้าใจไหม” ผมพยักหน้ารับ

“หรือว่า...” มันคิดสักพักก่อนกระตุกยิ้ม มองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“กูจะย้ายมาอยู่ที่นี่ดีไหม”

“เฮ้ย! ไม่ได้ มึงก็นอนที่ห้องมึงไปสิ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

“มึงจะให้กูทำไง ก็มึงทำให้กูเป็นห่วง” เป็นห่วง? ผมหลุดยิ้มออกมาเพราะประโยคนี้

“ยิ้มทำไม กูจริงจังนะ” มันขมวดคิ้วเป็นปม มองหน้าผมอย่างสงสัย กูยิ้มเพราะมึงนั่นแหละ

สำหรับช้อปถึงมันไม่ได้บอกออกมาเป็นคำพูด แต่สิ่งที่มันทำตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกันจนถึงตอนนี้ แสดงให้เห็นว่ามันเป็นห่วงผมมาโดยตลอด แม้กระทั่งเวลามันโกรธหรืองอนแค่ไหนก็ยังคอยไปรับไปส่งไม่ขาด ผมว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผม ‘หลงรัก’ ผู้ชายอย่างมัน

ผมยังคงยิ้มกว้างมองคนตรงหน้าที่กำลังมองหน้าผมอยู่เช่นกัน

“กูขอโทษนะ ต่อไปนี้กูจะไม่ลืมแล้ว” ช้อปคลายปมคิ้วเมื่อผมขยับตัวเข้าไปใกล้ทำหน้าอ้อน

“มึงห้ามลืมอีกเข้าใจไหม” เสียงและท่าทางดูจริงจังแต่มันเผลอหลุดยิ้มออกมาเมื่อผมกะพริบตาปริบๆ ใส่ มันพยายามหันหน้าหนีไม่ให้ผมจับสังเกตได้ แต่คงไม่พ้นสายตาของผม

ผมจับหน้าบังคับให้มันสบตาและผมก็ได้รู้ว่า....

มันกำลัง ‘เขิน’ ผมอยู่

“ฮาๆ ๆ มึงเขินกูหรอ” ผมแกล้งแหย่คนหน้าแดง

“อะไร” เจ้าของเสียงเกร็งหน้า

“มึงเขิน”

“เปล๊า!” มันปฏิเสธแต่สายตาตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด

“มึงเขิน”

“เออ! กูเขิน” ในที่สุดผู้ร้ายปากแข็งก็ยอมจำนนต่อหลักฐาน

“ฮาๆ ๆ ๆ” ผมกุมท้องหลุดขำออกมา

“มิกซ์!” แต่สักพักมันก็เปลี่ยนสีหน้าเข้าสู่โหมดจริงจัง มันจับไหล่ดึงผมเข้าไปแนบตัว

“วะ...ว่า” ผมเสียงสั่นเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไป มันโกรธผมแล้วแน่เลย

ผมยืนเกร็งมองปากคนตรงหน้าที่กำลังเริ่มขยับ เตรียมตัวเตรียมใจให้คนหน้าขรึมด่า

“ห้ามน่ารักแบบนี้กับใครเข้าใจไหม” ผมต้องยืนค้างไปเมื่อสิ่งที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว หัวใจสูบฉีดแรงมากว่าปกติ หน้าผมตอนนี้แดงเถือกลามไปถึงหู

สถานการณ์กลับตาลปัตรเพราะประโยคที่มันพูดออกมาก่อนหน้า ผมมุดหน้ากับอกกว้างปกปิดอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเองไว้ ผมเพิ่งล้อมันไปเมื่อไม่นานกลับต้องกลายเป็นฝ่ายเขินซะเอง

คงไม่มีใครสามารถทำให้ผมเขินได้เหมือนกับมันแล้ว

“เขินกูล่ะสิ” เสียงกระซิบดังที่ข้างหู โดนเอาคืนแล้วไง ผมยังมุดหน้าอยู่อย่างนั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง

“ไอ้สัส! ชอบทำให้กูเขิน” ผมตัดสินใจเพียงเสียววิ ทุบเข้าที่หน้าอกมันเบาๆ ก่อนวิ่งปรี่เข้าไปในห้องนอน แต่ไอ้ตัวดียังไม่วายเคาะประตูร้องแซวจากด้านนอกไม่หยุด

ผมนั่งหลบในห้องนอนอยู่นาน ใช้เวลาแต่งตัวเพียงห้านาที ผมนั่งทำใจเกือบสามสิบนาทีจนช้อปต้องเคาะประตูเรียกเพราะกลัวว่าจะไปเรียนสาย เช้านี้ผมมีเรียนกับอาจารย์ป้าสุดโหดด้วย

ผมจำยอมออกมาจากห้องนอนพร้อมกับช้อปที่หันขวับทันทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู มันเดินตรงเข้ามายื่นแซนด์วิซในมือให้ ไม่มีเสียงล้อเสียงแซวจากมันอีก ผมรับแซนด์วิซมาอย่างงงๆ เดินเบี่ยงตัวมาหยิบกระเป๋าเป้ที่ใช้เป็นประจำขึ้นมา

ผมเริ่มกังวลกับสถานการณ์แปลกๆ นี้ เมื่อกี้มันยังล้อผมอยู่เลยแต่ทำไมตอนนี้ถึงได้เงียบจนดูผิดปกติจากสิ่งที่ควรเป็น

ช้อปเดินเงียบตามหลังผมออกมา สีหน้ามันก็ไม่ได้ดูโกรธหรืองอน มันกลับดูอมยิ้มตลอดเวลาซะอีก ผมเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว เบรกตัวเองหันกลับไปเอ่ยถามคนข้างหลัง

“มึงเป็นอะไรรึเปล่า”

“ไม่หนิ ก็ปกติ” มันยักไหล่

“บอกมา”

“ไม่มีอะไรจริงๆ” มันยังยืนยันคำเดิม แต่ท่าที่มันดูเปลี่ยนไป เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้

“แต่กูขอพูดกับมึงเรื่องหนึ่งได้ไหม” มันทำหน้าเหมือนรอคำตอบ

ผมพยักหน้าอนุญาต ใจจริงก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่

ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีกูฟาดมึงแน่

มันขยับตัวเข้ามาใกล้ มองหน้าเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้ามองต่ำลงเรื่อยๆ จนมาหยุดตรงเป้ากางเกงนักศึกษา

“เล็กนิดเดียว สาวเสือกติด” มันไม่พูดเปล่า หรี่ตายกนิ้วขึ้นจีบด้วยท่าทางกวนตีน

“ไอ้เชี่ยช้อป มึงตาย!” มันต้องตายครับ ใครที่กล้าดูถูกน้องชายสุดรักของผมมันต้องตายสถานเดียว

งูของผมมันอาจจะดูเล็กเมื่อขดตัวอยู่ แต่หากมีสิ่งกระตุ้นมันก็พร้อมกลายร่างเป็นงูยักษ์ฉกกัดและพ่นพิษใส่เหยื่อที่หลงเข้ามาได้ทุกเมื่อ

มึงต้องได้รับการลงโทษอย่างสาสม

ตายซะเถอะมึง

ผมกระโจนเข้าใส่คนตรงหน้า แต่มันเร็วพอที่จะเบี่ยงตัวหลบ ผมหันกลับไปถลึงตามองด้วยความโมโห มันกลับยังยิ้มร่าไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์อันเดือดดาลของผมเลย

กูไม่ปล่อยมึงไปง่ายๆ แน่ไอ้เชี่ยช้อป

ผมยังไม่ลดละความพยายามที่จะจัดการกับมัน ผมจับจ้องการเคลื่อนไหวของมันก่อนกระโจนเข้าใส่อีกครั้ง แต่มันก็ยังเร็วมากพอเบี่ยงตัวหลบได้อีก ทำให้ผมเสียหลักตัวเอนไปข้างหน้า

ปัก!

แทนที่จะเป็นผมที่ล้มกระแทกพื้น กลับเป็นไอ้ตัวต้นเหตุพุ่งเข้ามาคว้าตัวผมก่อนล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง พร้อมกับรับน้ำหนักตัวของผมที่ทับอยู่ด้านบนด้วย

“มึงเป็นไรไหม” ผมดันตัวเองขึ้นเพื่อเช็กอาการคนด้านล่าง

“ช้อป มึงได้ยินที่กูพูดไหม” ผมเขย่าตัวคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ ผมเริ่มใจหายเมื่อไม่มีการตอบสนองกลับมา

จริงๆ แล้วที่ผมต้องการลงโทษมันแค่เพียงให้มันสำนึกผิดเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้มันเจ็บตัวแบบนี้ และยิ่งมันต้องเจ็บตัวเพราะเข้ามาช่วยผม กลายเป็นว่าผมต้องเป็นฝ่ายรู้สึกผิดต่อมันซะเอง

“ช้อปพูดกับกูสิ” แม้ผมจะเรียกสักกี่ครั้งมันก็ยังคงนอนนิ่งอยู่เช่น

“มึงอย่าเป็นอะไรนะ กูกำลังโทรเรียกรถพยาบาล” ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาด้วยอาการสั่น มือหนึ่งกดโทรศัพท์มืออีกข้างลูบหน้าของอีกคน

กูขอโทษ มึงอย่าเป็นอะไรนะ

แต่ในขณะที่กำลังกดโทรออกคนที่นอนอยู่ก็รวบตัวผมเข้าไปกอด

“เป็นห่วงกูมากขนาดนั้นเลย ดีใจจัง” เสียงมันกระซิบ

“นี่มึงแกล้งกูหรอ” ผมดันตัวขึ้น โยนหมัดใส่หน้ามันเต็มแรง

“มันใช่เรื่องล้อเล่นไหม” ผมตะคอกใส่ ขยับตัวลุกออกจากตัวมัน

“เฮ้ย...มิกซ์ กูขอโทษ” มันคว้าแขนไว้ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นยืน เลือดที่มุมปากตรงที่โดนผมต่อยไหลซิบออกมา

สมควรแล้ว

“ปล่อยกู” ผมสะบัดมือออกแต่โดนมันรวบตัวผมไว้จากด้านหลัง

“กูขอโทษ”

“ปล่อยกู”

“ไม่”

“มึงจะทำอะไร” ผมเบิกตาโพลงเมื่อโดนมันจับพลิกตัวกดลงกับพื้นทางเดิน ยิ่งดิ้นมันยิ่งกดแขนไว้แน่น

“ปล่อยกู”

“หายโกรธกูก่อน” แบบนี้ก็ได้เหรอครับ จับกดแล้วบังคับให้หายงอนเนี่ยนะ

“ไม่!”

“จะหายไม่หาย” มันโน้มตัวเข้ามาใกล้ กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์

มันคงไม่คิดทำอะไรกับผมตรงทางเดินนี่ใช่ไหม

“ว้าย!” เสียงกรี๊ดดังลั่นชั้น ผมหันมองตามต้นเสียง แม่บ้านประจำตึกสองคนเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดครบมือ

“ทะ...ทำตรงนี้ไม่ได้นะหนู” ป้าแม่บ้านร่างท้วมว่า สีหน้าป้าแกดูตกใจมากแต่ยังพอมีสติร้องห้ามผมสองคน

“ชะ...ใช่ ป้าว่าหนูสองคนกลับเข้าไปทำในห้องดีกว่า” ป้าแม่บ้านอีกคนเสริม

“ไม่ใช้อย่างที่ป้าคิดนะครับ” ผมรีบปฏิเสธ

เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว

“ช้อปปล่อยกู” ผมหันกลับมาสั่งคนด้านบน มันทำเหมือนไม่ได้ยินกลับให้ไปยิ้มให้ป้าแม่บ้านสองคนนั้นแทน

“ขอโทษครับ พอดีผมอดใจไม่ไหว” มันพูดโดยไม่สนใจสีหน้าตกใจของป้าๆ แกเลย ซ้ำยังยิ้มเหมือนกับว่าการนั่งคร่อมกันในที่สาธารณะนั้นเป็นเรื่องปกติ

“ปล่อยกูได้แล้ว”

“หายโกรธกูก่อน” แทนที่มันจะเกรงใจป้าแม่บ้าน มันกลับใช้โอกาสนี้เป็นข้อต่อรอง

“ว่าไง หรือจะให้กู...” มันทำปากจู๋ยื่นหน้าเข้ามาขู่ ป้าสองคนถึงกับอ้าปากหวอ ยกมือปิดหน้าปิดตากันเป็นพัลวัน

ผมใช้เวลาคิดเพียงไม่นานเพราะมีปากจู๋ของคนด้านบนกดดันอยู่อย่างต่อเนื่อง

“โอเคๆ ปล่อยกูได้แล้ว”

“จริงนะ” ผมพยักหน้ายืนยัน มันฉีกยิ้มกว้างคลายมือที่กดแขนผมออก จับมือพยุงให้ผมลุกขึ้นยืน

อันที่จริงผมยังไม่หายโกรธมันหรอก ที่ยอมตกลงง่ายๆ แบบนั้นเพียงเพราะกลัวว่าป้าแม่บ้านจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ เพราะผมเองต้องอยู่หอนี้อีกสี่ปีเต็ม

ถ้าโดนช้อปมันจูบคงตกเป็นประเด็นสนทนาของแม่บ้านและ รปภ. ที่งานอดิเรกคือการจับกลุ่มเมาท์ลูกค้าที่พักอาศัยในหอพักแห่งนี้

“ขอตัวก่อนนะครับ”

“จ้าๆ ทีหลังก็ใจเย็นๆ อดใจไว้กลับไปทำที่ห้องนะจ๊ะ” ป้าแม่บ้านร่างท้วมว่าก่อนหันไปยิ้มให้ป้าแม่บ้านอีกคน

“มะ...ไม่...” ผมกำลังจะพูดแก้ แต่คนข้างๆ ดันจับมือดึงตัวเข้าไปในลิฟต์ซะก่อน

ไม่ใช่อย่างที่ป้าคิดนะครับ

“ปล่อยกูได้แล้ว” ผมโวยทันทีที่เข้ามาในลิฟต์ มันขมวดคิ้วทำหน้าแปลกใจ

“ไหนบอกว่าหายโกรธกูแล้ว”

“…” ผมไม่ตอบ ยืนกอดอกหันหลังใส่

“มิกซ์ คุยกันก่อน”

“…”

“ขอโทษ”

“เรื่อง?” มีสองเรื่องที่มันทำให้ผมโกรธในวันนี้

“ก็ที่กูบอกล้อมึงว่าของเล็กไง”

“แค่นั้น?”

“กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจกูแค่อยากรู้ว่ามึงเป็นห่วงกูรึเปล่า”

“แล้วมันใช่เรื่องไหม?” มันส่ายหน้าตอบ

“ขอโทษ จะไม่ทำอีกแล้ว” มันทำหน้าสำนึกผิดก่อนคลี่ยิ้มขยับตัวเข้ามาใกล้

“แต่กูดีใจมากเลยนะที่รู้ว่ามึงเป็นห่วง”

“รู้แล้วก็ห้ามทำอีก”

“มึงหายโกรธ”

“อื้อ” หายกับที่มันช่วยเอาตัวมารองผมไว้

“เย้!” มันร้องดีใจเหมือนเด็ก

“แต่…” มันหยุดชะงัก ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

“มึงต้องโดนลงโทษ” สิ้นเสียงมันก็โอดครวญทำหน้างออิดออดไม่เหมือนจะไม่อยมทำตามที่ผมสั่ง

“งั้นข้อตกลงที่กูเคยให้ไว้เป็นอันโมฆะ”

“ตกลง มึงจะทำโทษอะไรก็ว่ามา” แค่เอาข้อเสนอนั้นมาอ้างมันก็รีบตกลงอย่างง่ายดาย

ขู่มาขู่กลับไม่โกง

“ห้ามเข้าห้องกูสามวัน” นั่นเป็นคำชี้ขาดจากผมทำให้คนหน้างอต้องยอมรับการลงโทษอย่างไม่มีทางขัดขืน

“แต่มึงต้องให้กูไปรับไปส่งเหมือนเดิม”

“โอเค”

หลังจากศึกครั้งนี้จบลง เราสองคนรีบออกเดินทางไปมหาลัย ผมเผลอหลับตั้งแต่รถยังไม่ทันขับออกจากลานจอดรถใต้หอพัก ผมหลับไปเกือบๆ สิบห้านาทีจนรถเคลื่อนมาหยุดตรงลานจอดรถหน้าตกคณะ

“มิกซ์ ตื่นได้แล้ว”

“ถึงแล้วหรอ” ผมขยี้ตาหันไปถามคนข้างๆ

“ถึงแล้ว แต่วันนี้กูไม่ได้เข้าไปนั่งด้วยนะ สายแล้วเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน” ผมหยิบกระเป๋าลงจากรถ เดินแยกทางกับช้อปตรงทางเข้าตึก

ผมเดินงัวเงียเข้าไปในใต้ตึกตรงไปที่โต๊ะประจำที่นั่งทุกวัน วันนี้ผมมาสายกว่าทุกวัน สายกว่าไอ้คิมกับเอ็มซะอีก ปกติแล้วหากพวกมันมาถึงก่อนแล้วเห็นผมเดินเข้าตึก พวกมันสองคนมักตะโกนเรียกและเดินเข้ามาคล้องคอผมเสมอ

วันนี้พวกมันกลับมีท่าทีแปลกไป มันไม่ร้องทักหรือเข้ามาคล้องคออย่างที่เคยทำ รวมถึงสองสาวกิ๊ฟกับมิลล์ที่มักจะคอยเอ็ดเมื่อมันสองคนส่งเสียงดังรบกวนคนรอบๆ ก็ยังนั่งเงียบไม่ทำเหมือนทุกครั้ง

เป็นอะไรไปกันหมด

ผมพยายามร้องถาม แต่คำตอบที่ได้จากพวกมันคือการกระตุกหน้าไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น

พวกมึงเป็นสันนิบาตลูกนกกันรึไง

“หวัดดีมิกซ์” จนในที่สุดผมก็ได้รู้สาเหตุที่ทำให้พวกมันมีอาการเช่นนั้น

‘เนย’ แฟนเก่าสมัยมัธยมของผมที่เลิกลากันไปเกือบปี จู่ๆ เธอก็ทักแชทมาหลังจบงานประกวดดาวเดือนและใจความในบทสนทนาคือเธอต้องการขอคืนดีและกลับมาคบกับผมอีกครั้ง

ผมบอกเธอไปชัดเจนแล้วว่าเรื่องของผมกับเธอไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก แล้ววันนี้เธอมาทำอะไรที่นี่ เธอมาพร้อมกับเพื่อนผู้หญิงของเธออีกสองคน

ผมรู้สึกโชคดีมากที่วันนี้ช้อปไม่ได้ตามผมมาด้วย ไม่งั้นต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อีกแน่

“เนยมีอะไรรึเปล่า” ผมถาม เธอเดินเข้ามาเกาะแขนผมไว้

“เราก็มาหามิกซ์ไง”

“มาหาเราทำไม” ผมแกะมือเธอที่เกาะอยู่ออก ขยับตัวออกห่างจากเธอ

“เรามีเรื่องจะคุยกับมิกซ์” เธอขยับตัวตามมาเกาะแขน ผมหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่นั่งอยู่ โดยเฉพาะกิ๊ฟ

“เอ่อ...มิกซ์นี่ของแก” กิ๊ฟชูถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อ

“อะไรหรอ” ผมถามเพราะไม่รู้ว่ากิ๊ฟมีแผนอะไรอยู่ แต่ผมมั่นใจว่ากิ๊ฟต้องช่วยผมได้แน่

“ขนมไง พี่ที่คุยกับแกฝากมาให้” กิ๊ฟกะพริบตาส่งซิก

“จะ...จริงดิ แล้วพี่เขาอยู่ไหน” ผมเล่นตามน้ำ ทำท่าทางเหมือนกำลังมองหาใครสักคน ผมได้จังหวะรีบแกะมือเนยออกเดินไปรับถุงขนมจากกิ๊ฟ

“พี่เขารีบน่ะ แต่เขาฝากบอกคิดถึงแกด้วย”

“อ๋อ...หรอ” ผมเกือบหลุดบทเพราะความเล่นใหญ่ของกิ๊ฟ ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ว่างข้างๆ หยิบห่อขนมขึ้นมาแกะทานให้สมบทบาท

ฉิบหาย! ใครมันแดกขนมหมดวะ

ผมเงยหน้ามองไอ้เพื่อนสองตัวจอมตะกละที่กำลังส่งยิ้มแหยะๆ มา ทำให้ผมต้องรีบยัดห่อขนมที่ไม่มีขนมสักชิ้นกลับเข้าไปในถุง

เกือบความแตกแล้วไหมล่ะ

“มิกซ์” เนยเรียกผมอีกครั้ง สายตาเธอดูไม่ค่อยพอใจ

“อื้ม”

“เราขอคุยด้วยหน่อย”

“เนยมีอะไรว่ามาเลย”

“เราขอคุยกับมิกซ์สองคนได้ไหม”

“เอ่อ…” ผมใช้เท้าสะกิดขาของเพื่อนๆ เพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง

“โอ๊ย! ไอ้เชี่ยมิกซ์มึงถีบขากูทำไม” ไอ้คิมที่ตัวโตเป็นควายแต่สมองเท่ามดก็ร้องขึ้น เนยที่ยืนอยู่หันไปมองหน้าโง่ๆ ของมันอย่างสงสัย

สะกิดนิดสะกิดหน่อยทำเป็นร้องนะไอ้สัส

“เฮ้ย! สายแล้ว เรารีบไปกันเถอะ” กิ๊ฟเอ่ยแผนการอันชาญฉลาดอีกครั้ง

“ใช่ เข้าเดี๋ยวโดนอาจารย์ป้าเพ่งกบาล,กระบาลเอา” มิลล์ตอบรับแผนการจากเพื่อนสาวได้เป็นอย่างดี ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของชายฉกรรจ์ผู้ไร้ซึ่งสมองและสติปัญญาอย่างผมสามคน

“เออมึงรีบไปกันเถอะ” เอ็มเก็บกระเป๋าลุกขึ้นเป็นคนแรก สะกิดคิมที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ลุกขึ้นตาม กิ๊ฟกับมิลล์เองก็เก็บกระเป๋าตัวเองแล้วลุกตามไอ้สองคนนั้นไป

“เร็วสิมิกซ์ เดี๋ยวไปสาย” กิ๊ฟพยักหน้าเรียกก่อนเดินนำหน้าออกไป

“อะ...เอ่อ งั้นเราไปก่อนนะเนย” ผมยิ้มเจื่อนให้เธอ แล้วรีบพุ่งตัววิ่งตามหลังพวกนั้นออกมา

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ไอ้เชี่ยคิมเกือบไปแล้วนะมึง” ผมหันไปบ่นเพื่อนตัวโตที่เกือบทำเสียแผน

“ก่อนที่แกจะบ่นคิม แกตอบพวกฉันก่อนไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” กิ๊ฟยิงคำถามใส่ทันทีเมื่อพ้นจากสายตาเนย ทุกคนหยุดเดินหันมาให้ความสนใจกับคำถามของกิ๊ฟ

“คือว่า...”

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดระหว่างผมกับเนยให้พวกมันฟัง รวมถึงเรื่องที่เธอโทรมาขอคืนดีกับผม กิ๊ฟกับมิลล์ดูอารมณ์เสียมากเมื่อได้ฟังเรื่องที่ผมเล่า

“แล้วเขากลับมาหามึงทำไมวะ” คิมเอ่ยถาม

“แกนี่มันโง่จริงๆ หล่อระดับรองเดือนมหาลัยมีใครไม่อยากเป็นแฟนบ้าง” คิมพยักหน้า ผมคิดตามที่มิลล์พูด

หรือว่าจะจริง เพราะประโยคแรกที่เนยส่งมาคือชมว่าผมหล่อขึ้น

“ฉันก็คิดเหมือนแก” กิ๊ฟเอ่ยเห็นด้วยกับมิลล์พลางคิดอะไรอยู่ในใจ

“นางคงเห็นว่าแกหล่อขึ้น เลยเกิดอาการหิวแกขึ้นมาอีก” กิ๊ฟหันมาให้เหตุผลเพิ่มเติม

“มึงนี่มันเอาเรื่องว่ะ หล่อจนแฟนเก่าหิว”

“มันใช่เวลาไหมไอ้สัส” ผมด่าไอ้เอ็ม เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา

“แล้วพี่ช้อปรู้เรื่องนี้รึยัง” กิ๊ฟถาม ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ เรื่องนี้แหละครับที่ผมกำลังเป็นกังวลอยู่ ก่อนหน้าที่เนยโทรมา ผมไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับช้อปเพราะเห็นว่าไม่สำคัญ

แต่หลังจากที่เธอตามมาหาผมที่คณะแล้ว ทำให้ผมกลัวว่าถ้าหากไม่บอกแล้วมันบังเอิญมาเห็นผมกับเนยอยู่ด้วยกันจะเกิดอะไรขึ้น

แค่ผมยืนกดน้ำข้างๆ น้องอายมันยังเข้าใจผิด พาลงอนผมเกือบสองอาทิตย์เต็ม ถ้ามันรู้ว่าแฟนเก่าผมกลับมาคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่อีกแน่

ถ้ารู้ว่าได้เป็นรองเดือนจะทำให้ลำบากใจขนาดนี้ ไม่เป็นเลยยังจะดีซะกว่า

“ยังเลยวะ”

“ความฉิบหายตกมาอยู่ที่พวกเราอีกแล้ว” คิมโพล่งออกมาก่อนจะเม้มปากเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของสองสาว ร่วมถึงเอ็มที่รีบยกมือปิดปากเพื่อนตัวโต

“หมายความว่าไง” พวกมันทั้งสี่คนกระอึกกระอักทำท่าเหมือนจะเดินหนี

“ตอบกูมา” ผมกระชากเสียง พวกมันหยุดกึกค่อยๆ หันกลับมายิ้มแหยะๆ ให้

“มึงเล่าสิวะไอ้คิม”

“แกเล่าสิมิลล์”

“แกเลยกิ๊ฟ” มันโยนกันไปกันมาไม่มีใครยอมเล่า

“เออๆ ฉันเล่าให้แกฟังก็ได้ ก่อนหน้าที่แกจะประกวดแกไปหม้อใครไว้รึเปล่า” ผมส่ายหน้า หรือว่าที่พวกมันหมายถึงคือน้องอาย

“น้องอายหรอ?” พวกมันพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่กิ๊ฟจะเล่าต่อ

“พวกฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พี่ช้อปเรียกพวกฉันไปคุยแล้วก็โวยวายกับพวกฉันใหญ่เลยว่าแกแอบคุยกับเด็ก” กิ๊ฟเงียบไป

“แล้วไงต่อ”

“พี่แกก็เค้นสอบพวกฉันอยู่นาน แต่พวกฉันจะไปรู้เรื่องของแกได้ยังไง” เพื่อนที่เหลือพร้อมใจกันพยักหน้า

“แกรู้ไหมว่าพี่ช้อปของแกโคตรน่ากลัว กว่ายอมปล่อยตัวพวกฉันออกมาพวกฉันแทบแย่ ก่อนปล่อยยังสั่งให้พวกฉันช่วยสืบเรื่องของแกด้วย”

“ขนาดนั้นเลยหรอ” พวกมันพร้อมใจกันพยักหน้าอีกครั้ง ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าช้อปมันทำแบบนั้น

“หึงโหดสัส” เอ็มว่า

“ใช่ กูยังขนลุกไม่หาย” คิมลูบแขนล่ำตัวเองไปมา

“เฮ้ย...จริงดิ กูขอโทษนะเว้ย”

“เออๆ พวกฉันไม่เป็นไร แล้วนี่คุยกันรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” กิ๊ฟถาม

“อื้ม” ผมพยักหน้าตอบ

แอบสงสารพวกมันเหมือนกัน ใครจะคิดละครับว่าช้อปมันคิดเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น

“แต่ฉันขอนะ แกรีบไปเคลียร์เรื่องแฟนแกดีกว่าเดี๋ยวหวยมาตกที่พวกฉันอีก”

“เออๆ โทษที”

ช่วงเช้าของวันผ่านไป จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆ เที่ยงและเป็นเวลาอาหารกลางวันของพวกเรา ผมต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าเนยเธอมาดักรอที่โรงอาหาร

ฉิบหายแล้ว วันนี้ช้อปมันจะมากินข้าวกับผมด้วย

“แกรีบไปเคลียร์กับยัยนั่นให้รู้เรื่องก่อน ทางนี้เดี๋ยวพวกฉันจัดการเอง” กิ๊ฟออกคำสั่ง ผมรีบพาเนยออกมาจากโรงอาหาร พาเธอออกมาให้ไกลและคิดว่าจะไม่มีใครผ่านมาเห็น

ผมยังยืนยันคำเดิมกับเธอว่าเรื่องของเราไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ผมทั้งหาเหตุผลและข้ออ้าง ทั้งบอกเธอว่าผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่เธอกลับไม่สนใจยังบอกให้ผมพาคนที่พูดถึงให้มาเจอกับเธอด้วย

เรื่องของเธอกับผมดูจะไม่จบลงง่ายอย่างที่คิดเพราะเธอยืนยันว่าจะตามง้อจนกว่าผมจะยอมคืนดี

เนยไม่ยอมปล่อยตัวผม ซ้ำยังตามผมมาที่โรงอาหารอีก แต่ยังดีที่ช้อปมันติดธุระต้องรีบออกไปข้างนอกกับพี่ฟลุ๊ค ทำให้ผมยังรอดตัวจากช้อปไปได้อีกวัน ถึงกระนั้นเนยก็ยังทำตัวติดกับผมจนคนในคณะเริ่มมอง บางคนถึงกับจับกลุ่มซุบซิบกัน ผมต้องรอจนถึงเวลาเข้าเรียนเนยถึงจะยอมกลับ





จนถึงต้องเย็น ช้อปมารอรับผมกลับเหมือนทุกๆ วัน ผมพยายามสังเกตสีหน้ามันว่ามีอะไรผิดปกติไปจากเดิมรึเปล่า

“ช้อป” ผมลองเรียกมัน

“ว่า” มันดูปกติ ไม่แสดงอาการอะไรออกมา มันคงยังไม่รู้เรื่องของเนย

“เอ่อ...ไม่มีอะไร กลับกันดีกว่า”

ช้อปเดินขึ้นมาส่งผมที่ห้อง มันยังชวนผมคุยนั่นคุยนี่ตลอดทาง

“กลับก่อนนะ” มันไม่เข้ามาในห้องตามที่เคยตกลงกันไว้ เพียงฉีกยิ้มบอกลาตรงหน้าประตูห้องเท่านั้น

“ช้อป”

“มีอะไรรึเปล่า” มันขมวดคิ้ว

“คือ...แฟนเก่ากูเขาขอกลับมาคืนดี” ผมตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับมันเพราะรู้ว่ายังไงช้อปมันต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี ผมไม่อยากให้มันรู้เรื่องนี้จากปากใคร อย่างน้อยผมควรบอกเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

คนตรงหน้าไม่ได้มีอาการตกใจหรือโมโหอย่างที่คาดการณ์ไว้ กลับเป็นผมเองที่รู้สึกแปลกใจกับสีหน้าของมัน

“มึงไม่ตกใจ ไม่โกรธ ไม่ว่ากูหน่อยหรอ”

“ไม่นี่” มันเพียงส่ายหน้า ทั้งยังส่งยิ้มมาให้อีก

“กูรู้ตั้งแต่เที่ยงแล้ว”

“แล้วมึงก็เงียบ ไม่พูดอะไรเลย”

“กูอยากรอดูว่ามึงจะบอกกูรึเปล่า” มันฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม

“กูดีใจนะที่มึงไม่ปิดบังกู”

“กูก็ไม่อยากบอกเท่าไรหรอก แต่กลัวว่าคนแถวนี้จะโวยวายอีก”

“ใครโวยวาย”

“แมวมั้ง” ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง ไอ้แมวขี้โวยวายยืนทำหน้างออยู่หน้าประตู

“ไม่ให้เข้าไปจริงๆ หรอ” มันเกาะขอบประตูไว้แน่น ทำหน้าอ้อนๆ

อย่าหวังว่ากูจะใจอ่อน

“อีกสองวันค่อยคุยกันอีกที” ผมกระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย ปล่อยให้อีกคนยืนเคาะประตูโวยวายอยู่หน้าห้อง

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 20

“แกจะปล่อยให้ยัยเนยเน่านั่นตามแกแบบนี้ตลอดเลยหรอ” กิ๊ฟเอ่ยถามเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ พร้อมๆกับคนที่มันเอ่ยถึงกำลังเดินตรงเข้ามาเช่นกัน

“เฮ้อ...” ผมทำได้เพียงถอนหายใจและส่ายหน้าตอบมันไป

ผมลองใช้แทบทุกวิธี อ้างว่ารีบก็แล้ว ไม่ว่างก็แล้ว แม้กระทั่งบอกว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้วแต่เนยก็ยังไม่ยอมหยุดตามผมสักที เธอให้เหตุผลว่าผมต้องพาคนที่พูดถึงมาเปิดตัวต่อหน้าเธอถึงจะยอมเชื่อ

ผมละเหนื่อยกับความเอาแต่ใจบอกเธอจริงๆ

“มิกซ์เราเอาขนมมาฝาก” เนยยื่นถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อในมือมาให้ ข้างในถุงมีแซนด์วิชหนึ่งชิ้นกับนมหนึ่งกล่อง

“เรามีแล้ว” ผมชูถุงพลาสติกร้านสะดวกซื้อยี่ห้อเดียวกันให้เธอดู เมื่อเช้าช้อปมันแวะซื้อแซนด์วิชกับนมก่อนเข้ามารับผมที่หอพัก

“มิกซ์มันมีแล้ว งั้นถุงนี้เราขอนะ” คิมคว้าถุงพลาสติกในมือเนยไปอย่างหน้าตาเฉย

“ปกติเราเห็นมิกซ์ไม่ค่อยกินข้าวเช้า แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ถึง...”

“มันกินเพราะคนซื้อน่ะ” คิมพูดก่อนยัดแซนด์วิชทั้งอันเข้าปากเพราะกลัวว่าไอ้เอ็มที่นั่งข้างๆจะแย่ง เรื่องกินนี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับมันมากโดยเฉพาะของฟรีมันจะชอบเป็นพิเศษ พอกินอาหารเสร็จก็ไปกินลูกเหล็กในฟิตเน็ตของมันต่อ ผมละนับถือความขยันของมันจริงๆ

ผมมองไอ้เพื่อนสองคนแย่งนมรสกล้วยที่อยู่ในถุงโดยไม่ได้สนใจอีกคนที่ยืนทำหน้าไม่พอใจ

“มิกซ์มีคนอื่นแล้วจริงหรอ” ผมหันกลับไปมองหน้าคนถาม

“เราบอกเนยแล้วไง” ผมบอกเธอไปหลายครั้งแล้วแต่เธอเลือกที่จะไม่เชื่อเอง

“ใคร? ถ้ามิกซ์มีคนอื่นจริงๆ ทำไมไม่พาเขามาเจอเนยล่ะ” ประโยคเดิมๆ ที่ผมได้ยินตลอดหลายวันที่เธอคอยตาม

ผมถอนหายใจและเลือกที่จะเงียบพลางเสตามองไปทางอื่น

“มิกซ์เป็นแบบนี้แล้วจะให้เราเชื่อได้ไง”

“นี่นังชะนี หล่อนทำตัวน่ารำคาญมากรู้ไหม เพื่อนฉันมีคนคุยด้วยแล้วหล่อนควรหยุดตอแยมิกซ์มันได้แล้ว” กิ๊ฟลุกขึ้นยืนวางมือทั้งสองข้างเท้าโต๊ะพร้อมกับจ้องหน้าเนย มันคงรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทนกับการกระทำของเนย ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกันเพียงผมไม่อยากพูดอะไรหรือทำอะไรเพราะรู้นิสัยเอาแต่ใจของแฟนเก่าดี

“นี่เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ” เนยถลึงตามองกิ๊ฟ ท่าทางทั้งสองคนพร้อมจะเปิดศึกใส่กัน

“สงสัยรองพื้นหนาๆ บนหน้าหล่อนจะเข้าไปอุดหูด้วย” กิ๊ฟกอดอกกระตุกยิ้มใส่

“นี่แก...”

“เนย! พอได้แล้ว” ผมรีบคว้าแขนเนยไว้ก่อนที่เธอจะกระโจนใส่คู่กรณีอย่างกิ๊ฟที่สีหน้าเอาเรื่องไม่แพ้กั

“มิกซ์ไม่เห็นหรอว่ามันว่าเนย” เธอหันกลับมาฟ้อง

“ก็ฉันพูดความจริง” กิ๊ฟกอดอกเบ้ปากพลางมองบนใส่

“แก!” เนยสะบัดแขนผมออก ยกมือชี้หน้ากิ๊ฟก่อนจะวิ่งตรงเข้าใส่ ผมเองก็รีบวิ่งตามไปรวบตัวเธอไว้จากด้านหลังก่อนจะถึงตัวกิ๊ฟ แต่ทว่าทั้งสองคนก็ยังไม่หยุดแยกเขี้ยวใส่กัน เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องแยกตัวเนยออกมา

“มิกซ์ห้ามเราทำไม” เนยโวยวายทันทีที่ผมปล่อยมือ

“เนย เราขอเถอะนะ หยุดตามเราสักที”

“ไม่! เราไม่หยุด”

“เนยต้องการอะไรจากเราอีก เนยเป็นคนทิ้งเราไปเอง ตอนนี้เราก็มีคนที่ชอบแล้ว”

“เราผิดเองเราขอโทษ แต่เรารักมิกซ์นะ” เธอเดินเข้ามากอดผมไว้แน่น

“เนยปล่อยเราก่อน เดียวมีคนมาเห็น” ผมพยายามแกะมือเหนียวของเธอออก

“ไม่!” ยิ่งผมพยายามดันตัวเธอออกเธอยิ่งรัดตัวผมแน่น นักศึกษาที่อยู่รอบๆ เริ่มหันมามองเราสองคน ผมต้องรีบออกห่างจากเธอก่อนที่จะมีใครเข้าใจผิด

“เนยปล่อยเราเถอะ”

“ไม่!” เธอยังยืนยันเสียงแข็ง

“ปล่อยเราเถอะนะ”

“อ้าวมิกซ์อยู่นี่เอง พี่ตามหาเราตั้งนาน” ในขณะที่กำลังพยายามผละตัวออกจากเนย เสียงใครคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยก็ดังขึ้น

ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ‘ช้อป’ ผมดีใจนะครับที่มันมาแต่ทำไมมันต้องมาตอนที่เนยยืนกอดผมด้วย ผมกลัวมันเข้าใจผิด ไม่อยากให้เป็นเหมือนเรื่องของน้องอายอีก

แต่แทนที่ช้อปมันจะโกรธหรือโมโหแต่มันกลับพยักหน้าส่งสัญญาณอะไรสักอย่างมา

มันกำลังช่วยผมอยู่ใช่ไหม?

“อ๋อ ครับพี่ผมกำลังจะไปหาพี่อยู่พอดีเลย” ผมพยักหน้าเข้าใจและเล่นตามบทที่ช้อปส่งมา เนยค่อยๆ คลายกอดออกเมื่อมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ

“ใครหรอ” เธอคลายกอดก่อนเงยหน้าถาม

“รุ่นพี่เราน่ะ” ผมตอบและพยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุจ เนยหันไปมองสำรวจช้อปก่อนหันกลับมามองผม

“เรานัดกับรุ่นพี่ไว้ งั้นเราขอตัวก่อนนะ” ผมใช้ช้อปเป็นข้ออ้างต่อ

“ก็ได้” เนยยอมแต่โดยดี คงเพราะเกรงใจรุ่นพี่อย่างช้อป

“งั้นตอนเที่ยงเจอกันนะ” แต่เธอยังไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ

“คือเที่ยงนี้เรามีนัดแล้ว”

“กับใคร? คนที่มิกซ์บอกใช่ไหม” เธอมองหน้าเหมือนกำลังจับผิด ผมไม่ได้โกหกนะครับ เที่ยงนี้ผมมีแข่ง PUBG กับช้อปและไอ้สองเกลอที่ตึกไอที

“พี่เองแหละ” ช้อปช่วยยืนยันอีกแรง

“อย่างนั้นหรอคะ” เนยดูไม่สงสัยอะไร แต่เธอหารู้ไม่ว่าคนที่ผมพูดถึงคือผู้ชายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเธอ

เหตุผลที่ผมไม่บอกเธอเรื่องช้อปคือผมยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ มันคงกลายเป็นทอคออฟเดอะทาวน์หากมีข่าวว่าเดือนวิศวะกำลังคบกัน ถึงผมกับช้อปจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็ตาม อีกเรื่องหนึ่งอย่างที่ผมเคยบอก เนยไม่มีทางเชื่อแน่หากบอกเธอว่าผมชอบผู้ชาย

เนยยอมปล่อยตัวผมออกมา ผมเดินกลับมาที่โต๊ะโดยมีช้อปเดินอยู่ข้างๆ

“ไหนบอกว่าไปเรียนแล้วไง” ผมเอ่ยถามคนข้างๆ

“ถ้ากูไป กูจะเห็นมึงแอบกอดกับแฟนเก่าไหม” มันทำหน้างอนใส่

อย่าบอกนะว่ามันแอบดูผมทุกวัน

“กูไม่ได้กอดนะ” ผมรีบแก้ตัว

“กูเห็นมึงกอด”

“กูไม่ได้กอด”

“มึงกอด”

“กูไม่ได้กอด เมื่อกี้กูยืนแบบนี้” ผมวางมือแนบลำตัว ทำท่าทางยืนยันว่าตัวเองไม่ได้กอด แล้วทำไมผมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยเนี่ย

“ฮาๆ ครับ เชื่อแล้วครับว่าไม่ได้กอด” มันคลี่ยิ้มพร้อมกับหลุดขำออกมา ผมยู่หน้าเมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนแกล้ง

ถ้ารู้ว่ามันแอบดูและคอยแกล้งแบบนี้ ผมจะไม่ปล่อยให้เนยกอดอยู่ฝ่ายเดียวหรอกครับ ผมจะทั้งกอดทั้งจูบให้มันขาดใจตายไปเลย

“มิกซ์แกต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้วนะ ก่อนที่ฉันจะทนยัยนั่นไม่ไหว” กิ๊ฟเหมือนจะหมดความทนแล้วจริงๆ แต่จะให้ผมทำยังไงเพราะผมเองก็ลองทำทุกวิธีแล้ว

“แกก็เห็นว่าเราลองทุกวิธีแล้ว” ผมเอ่ยอย่างหมดหวัง

“แกก็รีบคบกับพี่ช้อป แล้วก็เปิดตัวให้ยัยนั่นอกแตกตายไปเลยสิ” กิ๊ฟเสนอ ถ้าง่ายแบบนี้ก็ดีสิ

“กิ๊ฟพูดถูก” ไอ้ตัวดียิ้มกว้าง รีบเอ่ยเห็นด้วยกับความคิดเห็นของกิ๊ฟ

“ไปเรียนได้แล้ว” ผมทำเป็นไม่สนใจ แต่หันไปไล่คนข้างๆ แทน

“ขออยู่อีกหน่อยนะ”

“จะไปหรือไม่ไป” ผมทำเสียงขู่

“ไปก็ได้” แล้วมันก็สะบัดตูดทำหน้างอนแล้วเดินหันหลังออกไป

นับวันยิ่งปัญญาอ่อนขึ้นทุกที เฮ้อ...คิดถูกไหมเนี่ยที่หลงไปชอบคนอย่างมึง

“มิลล์ แกเป็นอะไรวะ” เอ็มเอ่ยถามเพราะจู่ๆ มิลล์ก็ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้

“ฉันอาย” มิลล์ยกมือปิดหน้าตัวเองไว้พร้อมกับทำท่าสะอื้น

“อายอะไรวะ” เอ็มเอ่ยถามอีกครั้ง ผมเองก็สงสัยว่ามิลล์มันอายอะไร

“แกไม่เห็นหรอ ผู้ชายหล่อๆ สองคนนั่งสวีทกัน แต่ชะนีสวยๆ อย่างฉันกลับไม่มีใครเอา” มิลล์โอดครวญพร้อมยกมือเกลี่ยผมทัดหูตรงประโยคที่บอกว่าตัวเองสวย

อย่างผมกับช้อปเรียกว่าสวีทหรอ? เรียกว่ากัดกันยังจะเหมาะกว่า

“โอ๋...เพื่อนฉัน” กิ๊ฟโผเข้ากอดมิลล์

“พวกผู้หญิงนี่แปลกจัง มึงว่าไหม” คิมหันไปยกมือกอดคอเอ็ม

“แกสองคนก็เหมือนกัน อย่าให้ฉันรู้นะว่าพวกแกก็แอบกินกันเอง” สิ้นเสียงมิลล์ไอ้สองตัวก็รีบดึงมือตัวเองกลับพร้อมกับสไลด์ตัวออกห่างจากกันทันที

“เชี่ย/เชี่ย” มันสองคนมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนท่าอ้วกออกมาพร้อมกัน ผมได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะกับท่าทางของมันสองคน

ชอบผู้ชายมันไม่ง่ายขนาดนั้นนะเว้ย



การเรียนช่วงเช้าผ่านไป แต่จะเรียกว่าเรียนก็ไม่ได้เพราะผมนั่งหลับตั้งแต่ชั่วโมงแรกยันชั่วโมงสุดท้าย ถึงจะเป็นคืนก่อนแข่งแต่โค้ชช้อปก็ยังไม่ปล่อยให้พวกเราได้พักก่อนเวลาเลย

ผมเดินตาปิดลงมาที่ใต้ตึก เพื่อนคนอื่นๆ เดินแยกตัวออกไปทางโรงอาหารคณะ ส่วนผมนั่งเท้าคางหลับรอช้อปอยู่ที่ม้านั่ง

ผมกะจะงีบสักหน่อยแต่กลับผล็อยหลับไปจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่ามีอะไรเย็นๆ มาสัมผัสที่แก้ม

“เชี่ย!” ผมอุทานเสียงดังพร้อมกับค่อยๆ ยกเปลือกตาขึ้น

“เล่นอะไรของมึงเนี่ย” ผมเงยหน้าบ่นเล็กน้อยพลางยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด

“อะนี่” ช้อปเลิกคิ้ว ฉีกยิ้มกวนๆ พร้อมส่งแก้วกาแฟในมือมาให้ ผมรีบคว้าแก้วกาแฟมาดูดรวดเดียวเกือบหมด

“จะง่วงอะไรขนาดนั้น” ยังมีหน้ามาถามอีก

“เพราะใครล่ะ” ผมยู่หน้าใส่

“ไม่ต้องบ่น รีบไปขึ้นรถ ไปสายเดี๋ยวโดนตัดสิทธิ์” โห...นี่มึงห่วงการแข่งมากกว่ากูอีกหรอเนี่ย มันน่าน้อยใจจริงๆ เลย

“แมร่ง” งอแงหน่อยก็ไม่ได้

ผมหน้ามุ่ยเดินตามหลังมันมาที่รถ ความง่วงลดลงมากหลังจากได้ดื่มกาแฟที่ช้อปซื้อมาให้ ก่อนออกรถมันยังเดินอ้อมไปหยิบข้าวกล่องที่วางตรงเบาะหลัง

“กินข้าวด้วย” มันส่งถุงข้าวกล่องมาให้ก่อนสตาร์ทรถขับออกมา

ผมเปิดกล่องโฟมออก กลิ่นข้าวกะเพราหมูสับลอยคลุ้งทั่วรถ ผมตักข้าวคำแรกเข้าปากในทันที ตั้งแต่เช้ามีแค่แซนด์วิชกับนมเท่านั้นที่ตกถึงท้อง นึกว่าจะไม่ได้กินข้าวเที่ยงซะแล้ว

ผมตักข้าวอีกคำเข้าปากพลางเหลือบมองคนข้างๆ ผมแอบเห็นลูกกระเดือกมันขยับขึ้นลงอยู่หลายครั้ง อย่าบอกนะว่ามันก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง มันคงแอบกลืนน้ำลายอยู่แน่ๆ

“ช้อป” ผมเอ่ยเรียก มันหันมาขมวดคิ้วมอง

“อ้าปาก” ผมสั่งพร้อมเลื่อนช้อนพลาสติกเข้าไปใกล้ๆ ปาก

“อะไร?”

“อ้าปาก” ผมสั่งอีกครั้ง มันอ้าปากฮุบข้าวกะเพราเข้าไปก่อนมองหน้าผมแล้วอมยิ้มจนแก้มแทบปริ ส่วนผมต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะกลัวเผลอหลุดยิ้มตาม

“อร่อยจัง” มันพูดทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก

ผมตักข้าวเขาปากหนึ่งคำสลับกับป้อนคนข้างๆ จนข้าวกะเพราหมดเกลี้ยงกล่อง ผมหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาเปิดก่อนเสียบหลอดยื่นให้คนข้างๆ ดูด

“อ้า...สดชื่น” โคตรเวอร์มันแค่น้ำเปล่า

ผมดึงขวดน้ำกลับก่อนดูดน้ำจากหลอดอันเดิม

“แอบจูบกูทางอ้อมด้วย” ผมเสตาไปค้อนคนข้างๆ ก่อนกดลดกระจกหยิบหลอดอันนั้นโยนทิ้งไป อยากจูบตายแหละ

ผมยกขวดน้ำกระดกเข้าปาก แต่จู่ๆ มันก็ชะลอความเร็วลงก่อนหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าข้างทาง

“สงสัยอยากจูบจริง” มันยื่นมือมาแย่งขวดน้ำก่อนโน้มตัวเข้ามาประกบปากผมทันที

ผมเบิกตากว้างนั่งนิ่งอยู่สักพักก่อนจะได้สติรีบขยับหน้าหนี แต่อีกคนไวพอที่จะสอดมือช้อนท้ายทอยล็อกหน้าผมไว้ซะก่อน ผมไม่สามารถขยับหน้าหนีไปไหนได้อีก ทำได้เพียงนั่งนิ่งปล่อยคนตรงหน้าบดจูบตามต้องการ

ช้อปมันไม่พยายามสอดใส่ลิ้นเข้ามา มันเพียงกดจูดเบาๆเพื่อรับสัมผัสจากริมฝีปากของกันและกันเท่านั้น

มันคลายมือจากท้ายทอยเล็กน้อยให้ผมสามารถดึงหน้าหนีได้ “ไอ้...” ผมกำลังจะอ้าปากพูดมือที่ยังช้อนท้ายทอยก็ดึงหน้าผมเข้าไปจูบอีกครั้ง

จะจูบอะไรนักหนาวะ

แต่เพียงไม่นานมันก็คลายจูบและปล่อยผมเป็นอิสระ

“ไอ้เชี่ยช้อป! มึงจูบกูทำไม” ผมรีบโว้ยวายปกปิดอาการเขินไว้ มันทำเป็นไม่สนใจสนใจเพียงยักไหล่ ยกยิ้มอย่างภูมิใจก่อนหันกลับไปจับพวงมาลัยรถหรูของตัวเอง

“เฮ้ย...จะไปไหน!” มันรีบร้องทักเมื่อผมเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ

ผมไม่ได้โกรธมันหรอกนะครับ แต่โดนมันจูบทีไรก็เขินจนทำตัวไม่ถูกทุกที

กรึก! เสียงล็อกประตูรถ

“เปิด! กูจะลง”

“ใกล้จะถึงแล้ว” มันคว้ามือผมไว้ข้างหนึ่งอีกข้างจับพวงมาลัยก่อนเหยียบคันเร่งตรงไปข้างหน้าทันที ผมเมินหน้าออกนอกหน้าต่าง ช้อปจับมือผมไว้แน่นมันคงกลัวว่าผมจะเปิดประตูกระโดดลงไป

ขับเร็วขนาดนี้ใครมันจะโง่กระโดดลงไปวะ

ไม่ถึงห้านาทีรถของเราก็มาถึงตึกไอที ช้อปหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าลานจอดรถ ผมรีบเอื้อมมือไปเปิดประตูทันทีเมื่อเห็นไอ้แทนกับไอซ์นั่งรออยู่

กรึก!

“จะรีบไปไหน คุยกันก่อน” คนข้างๆ กดล็อกประตูก่อนหันมาคว้าแขนผมไว้ ผมเบือนหน้าหนีพยายามเปิดประตูรถ

“โกรธที่กูจูบหรอ”

“…” ผมเงียบ

“มิกซ์โกรธกูหรอ” มันเขย่าแขน

“…”

“มิกซ์ตอบหน่อย”

“…”

“ไม่ตอบ กูจูบนะ” โห... ง้อไม่ได้ก็ขู่ แบบนี้ก็ได้หรอ

แต่ผมว่ามันไม่ได้แค่ขู่แล้วสิครับเพราะมันกำลังปลดเบลล์ออก ถึงจะหันหลังแต่ก็ยังรู้สึกได้ว่ามันกำลังโน้มตัวเข้ามาใกล้

“จะตอบหรือไม่ตอบ” มันกระซิบข้างหู ผมตาไม่กล้าขยับตัวเพราะปากของมันอยู่ห่างจากซอกคอผมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ถามอีกทีนะ จะตอบหรือไม่ตอบ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจมูกโด่งชนข้างแก้ม

“กูไม่ได้โกรธ กูเขิน มึงได้ยินไหมว่ากูเขิน” ผมหลับตาพ่นคำที่น่าอายออกไป

“รู้แล้วก็เปิดรถสักทีสิวะ”

“…” มันอึ้งไปสักพักก่อนกดปลดล็อกประตู มันคงคิดไม่ถึงว่าผมจะพูดแบบนั้นออกมา

อยากให้กูพูดนักไม่ใช่หรอ

ผมรีบเปิดประตูกระโจนลงจากรถ วิ่งตรงไปหาเพื่อนสองคนที่นั่งรออยู่ 

“มึงไปทำเชี่ยไรมาถึงหน้าแดงขนาดนั้น” คำทักทายแรกของไอ้แทนก็ยิงตรงเข้าประเด็นทันที

ผมหันไปมองข้างหลังเล็กน้อย ไอ้ตัวต้นเหตุกำลังวิ่งตรงมาแล้ว ผมไม่รอให้มันเข้ามาใกล้ รีบแหวกกลางไอ้แทนกับไอซ์วิ่งเข้าไปในตัวอาคาร

“มึงจะรีบไปไหนไอ้เชี่ยมิกซ์” เสียงไอ้แทนดังไล่หลังมา ไม่รีบพ่อมึงก็ตามมาสิ

ผมเดินหอบแฮกเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ข้างในก่อนได้ข้อมูลว่าการแข่งจัดที่ชั้นสาม ผมเดินเข้าลิฟต์ขึ้นมารอพวกที่ด้านบน

ไม่นานทั้งสามคนก็เดินออกมาจากลิฟต์ ผมเบือนหน้าหนีหนึ่งคนในนั้นก่อนรีบเดินเข้าไปในห้องแข่ง

ภายในเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ โต๊ะยาวจำนวนยี่สิบห้าตัวถูกดัดแปลงเพื่อปกปิดแผนการเล่นและป้องกันการแอบมองแผนการของคู่ต่อสู้ด้วย บนโต๊ะแต่ละตัวมีคอมพิวเตอร์วางอยู่สี่เครื่อง

นักแข่งทีมอื่นๆ ทยอยเดินเข้าไปนั่งประจำที่ ผมสอดสายตามองหาชื่อทีมของตัวเอง ‘สุดหล่อ’ คือชื่อทีมที่ไอ้แทนกับไอซ์ช่วยกันตั้ง มันคงเอาหน้าตาผมเป็นไอเดีย

นั่นไงป้ายชื่อทีมผม เมื่อผมเห็นโต๊ะของตัวเองก็ตรงดิ่งเข้าไปนั่งทันทีพลางเหลือบมองอีกสามคนที่กำลังเดินตามหลังมา

“เชี่ยแทนมึงมานั่งนี่” ผมกวักมือเรียกไอ้แทน มันขมวดคิ้วเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆ

“เชี่ยไอซ์มึงก็มานั่งตรงนี้” ไอซ์เดินมานั่งเก้าอี้ถัดจากไอ้แทน ตอนนี้เหลือเก้าอี้ว่างเพียงตัวเดียว ผมจงใจให้มันสองคนนั่งคั่นผมกับช้อปไว้ ผมเสตาผ่านเพื่อนสองคนก่อนกระตุกยิ้มเย้ยช้อปมันเล็กน้อย

ชอบฉวยโอกาสดีนัก นั่งห่างๆ กูไปเลย

ผมยกหูฟังขึ้นใส่ กดเปิดเพลงเร่งเสียงให้ดังกลบเสียงช้อปที่กำลังขยับปากพูดอะไรสักอย่าง ผมทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ยังแอบเหลือบตาไปมองโดยไม่ให้มันรู้ตัว

นักแข่งทยอยเดินเข้ามาในห้องประชุม ต่างคนต่างนั่งประจำที่ของตัวเอง พิธีกรชายคนหนึ่งถือไมค์เดินขึ้นบนเวที

“สวัสดีเหล่าเกมเมอร์มหาวิทยาลัย X ทุกท่าน” เสียงปรบมือดังกึกก้อง ผมหรี่เสียงเพลงลงแต่ยังไม่ถอดหูฟังออก มองตรงไปข้างหน้าให้ความสนใจกับพิธีกรที่อยู่บนเวที

“เนื่องจากมีเสียงเรียกร้องจากหลายท่านให้จัดการแข่งขันกีฬา e-Sport ทางมหาวิทยาลัยเห็นชอบและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่” เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากร่วมถึงตัวผมเองด้วย

ในต่างประเทศการแข่งขันกีฬา e-Sport มีมานานแล้วและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง แต่ประเทศไทยยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากผู้ใหญ่ในประเทศ

คนภายนอกอาจมองพวกเราเป็นแค่เด็กติดเกม เขาอาจมองว่าแค่การนั่งกดคีย์บอร์ดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะเรียกว่ากีฬาได้ยังไง? เกมเมอร์อย่างพวกเราอาจไม่ได้ใช้ร่างกายและพละกำลังเหมือนกับกีฬาชนิดอื่น แต่ถ้าหากพวกเขาได้เข้ามาสัมผัส พวกเขาจะรู้ว่ากีฬา e-Sport ก็ไม่ต่างจากกีฬาหมากรุกเพราะเราใช่ 'สมอง' ในการเล่น

ผมดีใจที่ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญ ให้โอกาสเหล่าเกมเมอร์อย่างพวกเราได้ออกมาโชว์ศักยภาพให้คนภายนอกได้เห็น

“ทางมหาวิทยาลัยได้เลือกเกม PUBG เป็นเกมนำร่อง” นอกจาก Battelground แบบที่ผมเล่น ก็ยังมีเกมแนว Moba ตีป้อมที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ รวมถึงอีกหลายๆ เกมที่รอทางผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่

พิธีกรร่ายยาวเกี่ยวกับความเป็นมาและผู้สนับสนุนการจัดงานกว่าสิบห้านาที ในระหว่างที่พิธีกรกล่าวทางทีมงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาภาคไอทีหลายสิบคนเดินเช็กความพร้อมของอุปกรณ์ รวมถึงเช็กการล็อกอินแอคเคาท์ของผู้แข่งขัน จนมาถึงทีม ‘สุดหล่อ’

ผมเป็นคนแรกของทีม ทีมงานเดินเข้ามาเช็กชื่อจริง ชื่อตัวละครในเกม ทุกอย่างของผมถูกต้อง

คนถัดไปคือไปคือไอ้แทน ทีมงานเดินไปเช็กคอมพิวเตอร์เครื่องข้างๆ

“CHOPPER007x” ผมหันขวับเพราะมันไม่ใช่ชื่อตัวละครของไอ้แทน เจ้าของแอคเคาท์ยกยิ้ม ผมมองผ่านคนข้างๆ ไปมองไอ้แทนที่ย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้ตัวสุดท้าย มันส่งยิ้มแหยะๆ มาก่อนหันไปคุยกับทีมงาน

มันสองคนสลับที่นั่งกันตั้งแต่เมื่อไร

ผมกลับมามองคนตรงหน้า มันฉีกยิ้มกว้าง จ้องหน้าผมแต่ไม่พูดอะไร

“เขินหรอ หน้าแดงอีกแล้ว” มันกระซิบเบาๆ คงรู้ว่าผมไม่อยากให้ไอ้สองคนข้างหลังได้ยิน

“มึงแมร่ง” ผมหน้างอ สะบัดหน้าหนี

“มิกซ์” มันสะกิดมือข้างที่จับเมาส์ก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ห้ามลืมสัญญานะ” ผมนึกถึงข้อตกลงที่ให้ไว้กับมัน

ผมเห็นความตั้งใจตั้งแต่วันแรกที่ลงสมัคร ชัยชนะคงสำคัญกับมันมาก แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะคู่แข่งทั้ง 24 ทีม

“เอาล่ะครับ” เสียงพิธีกรดังขึ้นอีกครั้ง

“ตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันทุกท่านก็เข้ามาในล็อบบี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ” จอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ฉายรายชื่อสมาชิกในแต่ละทีม

คนข้างๆ หันกลับไปจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ผมอยากให้กำลังใจมันอยู่เหมือนกัน แต่เพราะความปากหนักและกลัวจะปล่อยไก่เขินหน้าแดงอีกเลยไม่กล้าพูดอะไรออกไป

ยังไงก็สู้ๆ นะ กูไม่ลืมสัญญาหรอก

ตัวละครของเราทั้งสี่คนเข้ามาอยู่ล็อบบี้เกมรวมถึงผู้เล่นอีก 96 คนที่เหลือด้วย ครั้งนี้ผมเลือกใช้ตัวละครผู้หญิงพร้อมกับชุดสาวเมดสุดสวยแต่แลกมาด้วยราคาที่แสนแพง ผมหมดเงินไปเกือบห้าพันกว่าจะได้ชุดนี้มา ไอ้แทนกับไอ้เลือกใช้ตัวละครผู้ชายมาพร้อมกับชุดแสนแพงไม่ต่างกัน

‘เกลือแค่ไหนเราก็พร้อมจะเปย์’ เพราะนี่คือปณิธานของกลุ่มเรา

ส่วนคนข้างๆ ใช้ตัวละครผู้ชายกับกางเกงในทรง Boxer briefs สีเทา ที่ติดมากับตัวละครตั้งแต่ครั้งแรก มันไม่จริงจังกับการเล่นเกมสักเท่าไร มันเคยบอกว่าที่มันเล่นเกมนี่ก็เพราะ...เอ่อ...เพราะ...ผม

แมร่งเอ๊ย เขินอีกแล้ว



ตอนนี้นักแข่งทุกคนอยู่บนเกาะเล็กๆ เพื่อรอขึ้นเครื่องบินลำเลียง ตัวเลขด้านบนเริ่มนับเวลาถอยหลังเตรียมเข้าสู่สมรภูมิ

3…2…1

ครืน...

เสียงเครื่องบินลำเลียงดังขึ้น ภาพเบื้องล่างเป็นสีแดงอิฐบ่งบอกว่าเป็นแผนที่ Mirama หรือเกาะทะเลทรายได้อย่างชัดเจน

ทางทีมงานไม่ได้แจ้งว่าจะใช่แผนที่ใดในการแข่ง ทางเราจึงฝึกซ้อมทั้งสองแผนเพื่อเตรียมรับมือ

แผนสำหรับแผนที่ทะเลทรายถูกวางไว้แล้ว เราเลือกโดดร่มลงในเมืองเล็กๆ อย่าง Impala แทนการโดดลงในเมืองใหญ่อย่าง Los Leones หรือ El Pozo เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะในช่วงต้นเกม ถึงเมือง Impala จะมีอาวุธและไอเท็มในการเอาชีวิตรอดน้อยกว่าแต่ก็เพียงพอสำหรับเราสี่คน

“โดด!” เสียงช้อปสั่ง ทิศทางการเคลื่อนตัวของเครื่องบินเริ่มต้นจากด้านซ้ายล่างของแผนที่และทแยงขึ้นด้านบนขวา ทำให้เราต้องร่อนลงจากเครื่องบินลำเลียงในทันที

ผมกดปุ่ม F บนคีย์บอร์ด เลื่อนมือข้างซ้ายที่จับเมาส์ร่อนตามไปติดๆ

“มีตี้หนึ่งตามหลังมาว่ะ” ไอซ์ร้องบอก ทีมนั้นคงใช้แผนเดียวกับพวกเรา

“ไหวๆ แค่ทีมเดียว” แทนร้องตอบ พวกเรามันสายบวกอยู่แล้วแค่ทีมเดียวเราไม่กลัวหรอก

“ลงใกล้ๆ กูไว้นะ” ช้อปหันมาบอก ผมพยักหน้ารับ

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ช้อปร่อนลงพื้นเป็นคนแรกก่อนวิ่งเข้าไปในตึกสองหนึ่ง ผมเองก็ร่อนตามลงไปติดก่อนวิ่งเข้าไปในตึกอีกหลังที่อยู่ข้างๆ กัน

“เชี่ย! มีคนเข้ามาบ้านกูว่ะ” ผมร้องบอกเมื่อได้ยินเสียงเท้าของศัตรู ผมรีบวิ่งหาอาวุธจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งก่อนจะพบว่ามีศัตรูคนหนึ่งกระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามาในตัวตึก

ปัง!

แต่โชคดีที่ผมหยิบอาวุธได้ก่อน ผมลั่นไกปืนลูกซอง Headshot เข้ากลางหัวไปหนึ่งดอก

“ดาวน์หนึ่ง” ผมร้องบอกทีนเมื่อยิงศัตรูล้มไปหนึ่งคน

“สวย!” เสียงอีกสามคนร้องประสานกัน

ตึก! ตึก! ตึก!

“เพื่อนมันมาว่ะ” ผมร้องบอกเมื่อได้ยินเสียงเท้าของศัตรูอีกคน ผมวิ่งหาที่หลบก่อนกดปุ่มนั่งเพื่อนไม่ให้ศัตรูได้ยินเสียงเท้า

ตึก! ตึก! ตึก!

เสียงเท้าดังเข้ามาใกล้ ผมขยับตัวเล็กน้อยแอบมองศัตรู ไม่นานตัวละครผู้หญิงพร้อมปืนไรเฟิล M4A1 ก็เดินเข้ามา ผมรีบเผยตัวเตรียมลั่นไกปืนลูกซองในมือ

ปัง!

ศัตรูคนนั้นล้มลงไป

“ดาวน์อีกหนึ่ง” ไม่ใช่ผมที่เป็นคนยิงแต่เป็นช้อปที่กระโดดข้ามหน้าต่างและลั่นไกจากด้านหลัง

ผมหันมองคนข้างๆ พร้อมกับมันที่หันมา ผมยักคิ้วให้ มันฉีกยิ้มส่งกลับมา

“ช่วยกูด้วย เพื่อนมันอยู่กับกูสองคน” เสียงไอซ์เรียก เราทั้งสองหันกลับไปมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

“มิกซ์มึงรีบซ้ำเพื่อนมันแล้วตามกูไปช่วยไอซ์” ผมยิงซ้ำศัตรูที่คลานอยู่ เปลี่ยนจากปืนลูกซองเป็น M4A1 และปืนสไนเปอร์ Kar98 สำหรับยิ่งระยะไกลที่อยู่ในกล่องศพของศัตรูก่อนกระโดดออกทางหน้าต่างตามช้อปไป

“ไอซ์มึงล่อมันไว้เดี๋ยวพวกกูขึ้นไปช่วย” แทนร้องบอกขณะย่องอยู่ข้างนอกตึก

“มีใครมีระเบิดไหม” แทนถาม

“กูมี” ผมตอบ เพิ่งเก็บมาจากศพเมื่อกี้หนึ่งลูก

“มึงออกไปปาระเบิดเข้าหน้าต่าง เดี๋ยวกูกับช้อปรอจัดการมันตรงบันได” ผมเดินออกห่างตัวตึกเล็กน้อยก่อนกดปุ่มปลดสลักแล้วโยนระเบิดลูกนั้นผ่านหน้าต่างเข้าไป

“มาแล้ว” เพียงแค่ไม่กี่วินาทีศัตรูสองคนก็วิ่งลงบันไดจากชั้นสองลงมา

ปัง! ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

เสียงปืนจากช้อปและแทนที่ดักรออยู่ดังขึ้น

“สวยพี่สวย” เสียงแทนร้องดีใจเมื่อจัดการกับศัตรูทั้งสองได้สำเร็จ การต่อสู้ในเมืองนี้จบลง เราสี่คนแยกย้านกันฟาร์มอาวุธและไอเท็มที่จำเป็น

เส้นวงกลมสีขาวปรากฏขึ้นในแผนที่พร้อนกับตัวเลขบอกเวลาที่กำลังนับถอยหลังบอกการลดขนาดโซนการเล่น โซนแรกยังอยู่ในพื้นที่การเล่นของทีมเรา ทำให้เรามีเวลาในการฟาร์มของมากพอสมควร

“วงเป็นใจกับพวกเราแบบนี้ชนะชัวร์ว่ะ” แทนเอ่ยอย่างมั่นใจ

เราแคมป์กันที่เมือง Impala สักพักเพื่อรอวงลดขนาดและรอโซนการเล่นถัดไป

“สวย” ไอซ์ร้องดีใจเมื่อเห็นโซนการเล่นที่สองอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่มากนัก

ผ่านแค่ช่วงต้นเกมแต่จำนวนผู้เล่นกลับลดลงไปมากพอสมควร ตอนนี้เหลือผู้เล่นเพียง 64 คนในแผนที่ ส่วนสกอร์ในการฆ่าของทีมเราเป็นดังนี้ ผม 1 kill ช้อป 2 kill แทน 1 kill และไอซ์ 0 kill ถือเป็นสกอร์ที่ดีมากในช่วงต้นเกม

การนับคะแนนผลแพ้ชนะไม่ได้อยู่ที่ลำดับที่ได้แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนการฆ่าที่จะนำมานับคะแนนหลังจบเกมด้วย ดังนั้นถึงได้ที่หนึ่งแต่ไม่มีสกอร์ฆ่าเลยก็อาจแพ้ทีมที่สอง สาม ที่มีคะแนนจากจำนวนการฆ่ามากกว่า ทีมเราจึงให้ความสำคัญทั้งการฆ่าและการเป็นที่หนึ่ง

เราเริ่มขยับตัวจากโซนการเล่นแรกเข้าสู่โซนการเล่นที่สอง โดยเลือกเมือง La Bendita ในการแคมป์รอศัตรู

เราซุ้มรอศัตรูอยู่สักพักจนโซนการเล่นที่สามปรากฏขึ้น โซนการเล่นมีขนานเล็กลงเรื่อยๆ พร้อมกับจำนวนผู้เล่นที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

“เอาไงต่อดี” แทนเอ่ยถามความคิดเห็น

“เข้าไปดักรอในวงดีกว่า” ไอซ์เสนอ

“กูว่าเนินตรงนี้น่าจะได้” ช้อปมาร์คจุดแคมป์ไม่ไกลจากเมือก Pecado ทุกคนเห็นด้วยและเริ่มขยับ Possition การเล่น

เราวิ่งออกจาก Le Bendita ลัดเลาะขอบหลุมอุกกาบาตก่อนหยุดซุ่มตรงเนินเขา

“มีตี้หนึ่งมาจากซ้ายมือทาง S ว่ะ” แทนร้องบอกเพื่อนเมื่อเห็นศัตรูขยับตัวเข้ามาใกล้

ผมหยิบสไนเปอร์ Kar98 พร้อมติดสโคป X8 ส่องไปที่ศัตรู

“กูยิงได้นะ” ผมเสนอเมื่อศัตรูอยู่ในจุดโฟกัส

“โอเค” เสียงอนุญาตจากโค้ชช้อป ผมลั่นไกใส่ศัตรูทันที

“โดนว่ะ” ศัตรูล้มลงเพราะกระสุนของผมลั่นใส่กลางหัว

“สวย/สวย” แทนกับไอซ์ร้องขึ้นพร้อมกัน

“ดันเข้าไปเลย” ช้อปสั่ง ผมเปลี่ยนจากสไนเปอร์เป็นไรเฟิล M4A1 ก่อนวิ่งเข้าใส่ศัตรูตามช้อปสั่ง

เสียงปืนดังสนั่น ทั้งทีมผมและฝ่ายตรงข้ามสายกระสุนใสกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่เนื่องจากจำนวนฝั่งศัตรูมีน้อยกว่าทำให้ทีมเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ

“ดาวน์หนึ่ง” เสียงช้อปดังขึ้น

“สวย”

“ดาวน์อีกหนึ่ง” เสียงช้อปดังขึ้นอีก มันเริ่มโชว์ความโหดออกมาแล้ว

“โอเค หมดตี้” ไอซ์ร้องบอกเมื่อจัดการศัตรูตัวสุดท้ายได้สำเร็จ

โซนการเล่นที่สามลดขนาดลงเสร็จโซนการเล่นสุดท้ายก็ปรากฏขึ้น โซนการเล่นสุดท้ายจบลงที่เมือง Pecado หรือเมืองสนามมวยสถานที่ผู้เล่นสายบู้โปรดปราน

ผู้เล่นในแผนที่เหลือเพียง 12 คน เท่านั้น คำนวณดูแล้วคงเหลือไม่เกินห้าทีม โซนการเล่นเริ่มบีบเข้ามาอีกครั้งทำให้พื้นที่การเล่นลดลงและบีบให้ผู้เล่นปะทะกันเพื่อความอยู่รอด

ปัง! ๆ ๆ ๆ ๆ และเสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างที่ผมคิดไว้ ผมพยายามตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าของศัตรูเพื่อระบุตำแหน่ง

เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่องและไม่นานก็หยุดลงเมื่อตัวเลขด้านบนของหน้าจอเขียนว่า 8 Alive ถ้าโชคดีทีมอื่นอาจเหลือสองหรือสามคนต่อทีม แต่ถ้าหากโชคร้ายทีมที่เหลืออาจมีสมาชิกครบแบบทีมผมก็ได้

“ทีมมันเหลือสี่ว่ะ” และโชคก็ไม่เข้าข้างทีมผม

“มันกำลังวิ่งเข้าสนามมวย” ไอซ์ร้องบอกจำนวนและพิกัดของศัตรู

โซนการเล่นลดขนาดลงเรื่อยๆ บีบให้เราต้องเข้าไปข้างในสนามมวย ช้อปวิ่งนำหน้าไปก่อนจะนั่งยองๆ เพื่อลดเสียงเท้า

เราได้ยินเสียงของศัตรูอยู่ที่ชั้นบนของสนามมวย ตอนนี้เรายังไม่ได้พิกัดที่แน่ชัดของศัตรูจึงใช้วิธีแยกกันออกเป็นสองกลุ่ม แผนการนี้นอกจากจะเห็น Posittion ของศัตรูได้อย่างชัดเจนแล้วยังสามารถดึงความสนใจทำให้ศัตรูสับสนได้

ปัง!

“โอ้ย! เชี่ย...แมร่งมันเห็นได้ไงวะ” จู่ๆ ไอซ์ก็โดนยิงล้มลงไป แทนรีบวิ่งเข้าไปช่วยทันที

ปัง!

“เชี่ย! มันยิงมาจากตรงไหนวะ” แทนร้องโอดเพราะโดนยิงล้มตามไอซ์ไป

“มิกซ์ช่วยกูที” แทนกับไอซ์คลานมาในจุดที่คิดว่าปลอดภัย ผมย่องเข้าไปช่วยฮิลล์ไอซ์ก่อน

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งและผมก็กลายเป็นคนล้มลงไปคลานกับไอ้สองคน ผมเริ่มรู้วิถีของกระสุนแล้ว มันมาจากชั้นสองจากอีกฟากของที่ที่เราอยู่ คงเพราะกระบอกเก็บเสียงถึงทำให้พวกเราจับพิกัดไม่ได้

“ช้อปมึงไม่ต้องเข้ามาช่วย” ผมร้องห้ามเมื่อเห็นมันกำลังขยับตัวเข้ามา เราอยู่ในจุดที่เสียเปรียบมาก ถ้ามันเข้ามาช่วยคนโดนยิงล้มไปอีกคน

เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!

“เชี่ย! ระเบิด”

ตู้ม!

และเราสามคนก็ถุกตัดออกจากการแข่งขัน ภาพตัดมาที่ตัวละครของช้อป ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่กำลังจ้องหน้าจอด้วยสีหน้าตึงเครียด ผมมองเห็นความจริงจังและตั้งใจจากสายตาของมัน

ไม่คิดว่าข้อเสนอนั้นจะทำให้มันจริงจังได้ขนาดนี้

ผมแอบเอื้อมมือไปแตะที่ต้นขามันเบาๆ อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้มันได้บ้าง มันหันมองมาหน้าผมก่อนคลี่ยิ้มออกมา



สถานการณ์กลีบมาตึงเครียดอีกครับเมื่อโซนการเล่นลดขนาดลงเรื่อย ช้อปเหมือนกำลังคิดหาวิธีสู้กับศัตรูที่เหลืออยู่ครบทีม

ถึงมันจะเก่งแค่ไหน แต่จำนวน 4 ต่อ 1 มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะชนะการแข่งครั้งนี้ ถึงจะพูดว่ามีโอกาสแต่ก็เพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์จากคำว่าปาฏิหาริย์เท่านั้น

แทนกับไอซ์ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ ต่างคนต่างลุ้นและให้กำลังใจเพราะช้อปความหวังหนึ่งเดียวของทีม

ช้อปนิ่งไปสักพัก ไม่นานมันก็กดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดขยับตัวละครให้เดินไปในจุดที่ต้องการก่อนขว้างระเบิดหลายลูกขึ้นไปชั้นลอยด้านบน เป็นวิธีที่ฉลาดมาก มันใช้ระเบิดทำให้ศัตรูสับสนและเสีย Possition มันใช้โอกาสนี้วิ่งขึ้นชั้นสองก่อนเปิดฉากยิงไม่ให้ศัตรูได้ทันตั้งตัว

ปังๆ ๆ ๆ ศัตรูตัวแรกล้มลง

ช้อปเลือกใช้ระเบิดแฟลชีกลูกปิดวิสัยการมองเห็นและการได้ยินของศัตรูตัวหนึ่งไว้ มันกราดยิงอีกครั้งและศัตรูอีกคนก็ล้มลง

นักแข่งที่ถูกตัดเองเริ่มลุกจากที่เดินออกมาดูโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ที่กำลังฉายการแข่งขันอันดุเดือด เสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อช้อปยิ่งศัตรูตัวที่สามล้ม

ผมได้แต่อ้าปากหวอไม่คิดว่าช้อปมันจะทำได้ขนาดนี้

ตอนนี้เป็นการดวลตัวต่อตัวระหว่างช้อปกับผู้เล่นอีกคน เสียงเชียร์ในห้องประชุมเงียบลงเพื่อไม่เป็นการรบกวนผู้เล่นที่เหลือ ช้อปเริ่มขยับเปลี่ยน Possition เพื่อหาองศาการยิง

ปังๆ ๆ ๆ ปังๆ ๆ ๆ

เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง คงเป็นไฟต์สุดท้ายของการแข่งครั้งนี้แล้ว

“เราได้ทีมผู้ชนะในทัวร์นาเมนต์ e-Sport ครั้งแรกของมหาวิทยาลัย X” พิธีกรวิ่งถือไมค์ขึ้นมาบนเวที

“คือทีม...” เสียงเฮดังกระหึ่มทั่วห้องประชุม การแข่งขันครั้งนี้ได้จบลงแล้ว





“มึงรีบตามช้อปมันไปดีกว่า” เสียงแทนบอกให้ผมตามช้อปออกไป มันลุกเดินออกจากห้องประชุมทันทีโดยไม่รอให้พิธีกรประกาศผล ผมวิ่งตามหลังมันจนมาถึงทางกลับบันได

“มึงจะไปไหน” ผมรีบคว้าแขนมันไว้ มันหันกลับมามองผมด้วยสายตาผิดหวัง

“ก็กูแพ้แล้ว” ทีมเราแพ้ครับ

“แพ้แล้วไง”

“มึงบอกว่าถ้ากูชนะมึงจะยอมคบกับกู” ข้อตกลงที่ผมทำไว้กับมันคือ ถ้ามันชนะการแข่งครั้งนี้ผมจะยอมคบกับมัน นั่นเป็นเหตุผลให้มันจริงจังกับการแข่งครั้งนี้มากและผมมองเห็นความตั้งใจที่มันทำมาโดยตลอด

“แต่ตอนนี้กูแพ้แล้ว” มันดึงแขนกลับก่อนหันหลังเดินคอตกลงบันไดไป

ความรู้สึกของผมตอนนี้มันตีกันไปหมด ใจหนึ่งก็ดีใจที่เห็นช้อปมันตั้งใจเพื่อผมมากขนาดนี้ อีกใจก็รู้สึกไม่ชอบที่ช้อปมันเดินหันหลังให้แบบนี้

“ช้อป” ความรู้สึกข้างในสั่งให้ผมเรียกมันไว้ มันหยุดเดินตรงบันไดขั้นสุดท้ายแต่ยังไม่หันกลับมามอง







“คบกับกูนะ”

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 21



“คบกับกูนะ” ผมร้องบอกคนข้างล่าง

เผลอ?

หลุดปาก?

ไม่ได้ตั้งใจพูด?

ไม่ใช่ทั้งหมดที่กล่าวมาหรอกครับ ผมไม่ได้เผลอ ไม่ได้หลุดปาก ผมตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปเอง ก่อนหน้านี้ผมเป็นฝ่ายลังเลใจมาตลอดเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีความรู้สึกแบบนี้กับผู้ชาย แต่ตอนนี้ผมมั่นใจกับความรู้สึกที่มีให้มันและพร้อมขยับความสัมพันธ์ของเรา

มันหยุดเดินตรงพื้นราบ “กูแพ้แล้วมึงยังจะล้อเล่นแบบนี้กับกูอีก” มันพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ผมรู้ว่ามันตั้งใจกับการแข่งนี้มาก

“แพ้แล้วไง กูเคยบอกมึงหรอว่าถ้าแพ้กูจะไม่คบกับมึง”

“มึงหมายความว่าไง” มันหันกลับมา

“มึงคิดกูกำลังล้อเล่นกับความรู้สึกตัวเองหรอ” 

“มิกซ์” มันขึ้นบันไดมาหยุดยืนตรงหน้า “มึงพูดจริงๆ หรอ” มือข้างหนึ่งจับมือผมไว้

“มึงอยากให้กูพูดเล่นไหมล่ะ”

“ไม่ๆ ๆ” มันรีบปฏิเสธ ก่อนหน้านี้ยังหาว่ากูโกหกอยู่เลย

“มิกซ์” มันเรียกผมอีกครั้งพร้อมยื่นมืออีกข้างจับมือผมไว้

“มึงช่วยพูดอีกครั้งให้กูมั่นใจหน่อยได้ไหม” มันจ้องตารอคำตอบ มือสองข้างบีบมือผมไว้แน่น

"..."

Rrrrr Rrrrr

แต่ก่อนที่ผมจะตอบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมก็ดังขึ้น ผมกดรับสายเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โชว์อยู่คือไอซ์ มันคงโทรตามเราสองคนให้กลับเข้าไปด้านใน

“ว่าไง” ผมกรอกน้ำเสียงสงสัยใส่โทรศัพท์

“ช้อปอยู่กับมึงไหม” เสียงมันดูตื่นเต้นมาก “อยู่ มึงมีอะไรรึเปล่า” ผมเงยหน้ามองคนที่ถูกพูดถึง 

“ดีเลย งั้นมึงเปิดลำโพงให้มันฟังด้วย” ผมกดเปิดสปีคเกอร์โฟนตามที่ไอซ์สั่ง ช้อปเลิกคิ้วทำหน้าสงสัย

“มีไรว่ามา” ผมเองก็สงสัยไม่ต่างกัน 

“มึง! ทีมเราชนะ” ผมกับช้อปมองหน้ากัน ไอซ์มันหมายความว่าไง

“ชนะเชี่ยไรของมึง...” ผมยังพูดไม่จบประโยคคนตรงหน้าก็แย่งโทรศัพท์ไป

“ไอซ์ พูดใหม่อีกทีซิ” มันกรอกน้ำเสียงสงสัยพลางมองหน้าผมขณะพูด ผมเลิกคิ้วให้ความสนใจเช่นกัน

“ทีมเราชนะ” มันร้องดีใจ เสียงของไอ้แทนก็ดังลอดมาเช่นกัน

“ได้ไงวะ” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยถาม ก็เห็นๆ อยู่ว่าทีมผมแพ้

“ทีมเชี่ยนั่นโดนตัดสิทธิ์ แม่งเอาเด็กจากมออื่นมาแข่งด้วย”

“เชี่ย! จริงดิวะ” ได้ยินแบบนี้ผมเองก็ดีใจไม่แพ้กัน

“มึงสองคนรีบเข้ามาเลยนะ เดี๋ยวเขาจะมอบรางวัลแล้ว”

“งั้นเดี๋ยวกูรีบ...” ผมกำลังร้องตอบแต่คนตรงหน้ากลับตัดสายทิ้งซะก่อน 

“มิกซ์” ผมเงยหน้ามอง “กูแข่งชนะแล้ว มึงจะยอมคบกับกูใช่ไหม” ผมดีใจจนลืมเรื่องสำคัญที่กำลังคุยกับมันไปเลย

“ไม่!” ผมตอบ มันหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด

“แต่มึงสัญญากับกูแล้วนะมิกซ์”

“แต่มึงยังไม่ตอบคำถามกู” ผมท้วงกลับ 

“มึงอย่าเปลี่ยนเรื่องได้ไหม”

“มึงต่างหากที่ยังไม่ตอบคำถามกู”

“มิกซ์!” มันขึ้นเสียง 

“กูขอคบก่อนมึงก็ตอบกูก่อนสิ!” ผมโวยวายกลับ ถามไปตั้งนานแต่ผมยังไม่ได้คำตอบเลย

อีกเหตุผลที่ผมเป็นฝ่ายขอคบก่อนคือผมรู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไรหากต้องเป็นฝ่ายโดนรุกก่อน ผู้หญิงหลายๆคนของผมก่อนหน้ามักจะเป็นผมที่เป็นฝ่ายรุกจีบก่อนเสมอ ถึงตอนนี้จะต้องคบกับผู้ชายแต่อย่างน้อยได้เป็นฝ่ายรุกก่อนแบบที่ผ่านมาก็ยังดี

มันยืนนิ่งจ้องหน้าผมอยู่สักพัก “มึงทำให้กูเซอร์ไพรซ์อีกแล้วนะ” ก่อนคลี่ยิ้ม ขยับตัวเข้ามาใกล้

“พูดมากอยู่นั่นแหละ ถ้ามึงยังไม่ตอบกูจะกลับไปหาสาวๆ ของกูแล้วนะ” ผมสะบัดหน้าหนี ยกมือกอดอก ถ้ามันยังไม่รีบตอบผมจะกลับไปหาสาวๆ จริงๆ ด้วย

“คบๆ คบกันนะ” มันรีบจับไหล่ก่อนเชยคางให้ผมสบตาก่อนจะขยับปากพูดอะไรบางอย่าง 

“แฟน” มันเรียกใคร เรียกผมหรอ?

“แฟน” มันเรียกอีกครั้ง ผมกลอกตาทำไม่รู้ไม่ชี้ มือหนาประคองหน้าผมไว้พลางส่งสายตาหวานๆมา

“คุณแฟนมิกซ์ครับ” มันยื่นหน้าเข้ามาเรียกใกล้ๆ ผมพยายามขยับหน้าหนีแต่โดนมือของมันล็อกไว้

“อะ...เออ มีอะไรก็รีบว่ามา”

มันฉีกยิ้มกว้าง “ขอกอดหน่อยได้ไหม” ผมหูฝาดไปใช่ไหม ขอกอด? ก่อนหน้านี้มันขโมยจูบผมไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ทำไมแค่กอดมันถึงได้ขออนุญาตด้วยหรือว่าต่อมมารยาทมันเพิ่งทำงาน

ผมหันมองซ้ายมองขวาเช็กว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้

“แค่กอดนะ” ผมว่า มันพยักหน้าพร้อมกางแขนออก เอาวะจูบก็เคยมาแล้ว แค่กอดอีกสักทีจะเป็นไรไป

แต่ต้องมีข้อแม้ “ห้ามจูบ” มือข้างหนึ่งดันอกมันไว้ มันทำหน้าเซ็งเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับทราบ ต้องปราบมันไว้ก่อนครับ เดี๋ยวเสียเหลี่ยมให้คนเจ้าเล่ห์อย่างมันอีก

หลังจากตกลงกันเสร็จสรรพ แขนแกร่งรวบตัวผมเข้าไปกอด มือหน้าแปะที่แผ่นหลัง ผมยืนนิ่งแขนแนบข้างลำตัว คางแหลมเกยที่ไหล่กว้าง

แต่แค่เพียงไม่นานที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของมัน จู่ๆ มันก็จับไหล่และดันตัวผมออก

ทำไมล่ะ ตัวผมเหม็นหรอ?

ผมแอบสูดกลิ่นตัวเอง ก็ไม่เหม็นหนิ ผมจำได้ว่าเมื่อเช้าฉีดน้ำหอมยี่ห้อดังมา

ผมพยายามสังเกตสีหน้าและอาการของมันแต่ก็ดูไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป บนใบหน้ามันยังมีรอยยิ้ม สายตาที่มันมองผมก็ยังคงเหมือนเดิม

แล้วทำไมมันถึง...

“เวลากอดกับสาวๆ มึงยืนแข็งแบบนี้ไหม”

“ห๊ะ! เอ่อ...คือว่า...”

“แบบนี้เขาไม่เรียกว่ากอดหรอกนะ” ก็ถูกของมัน ยืนแข็งทื่อให้อีกคนกอดอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ใครเขาเรียกว่ากอด

งั้นคงต้อง...

ผมโผเข้ากอดมันไว้แน่น ซุกหน้าเข้ากับอกกว้าง “พอใจยัง” มันผงะถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะตั้งหลักยืนตรงได้ 

“ยิ่งกว่าพอใจอีก” มันก้มลงมากระซิบก่อนวาดวงแขนกอดผมอีกครั้ง อกหนาแนบชิด เสียงหัวใจของเราดังประสานกัน มันดังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ผ่านไปหลายนาทีที่เรายืนกอดกันอยู่ตรงนี้ไม่ขยับตัวไปไหน ผมแอบกลัวนะครับว่าจะมีใครผ่านมาเห็น แต่ต้องยอมรับว่ากอดครั้งนี้มันรู้สึกดีจนไม่อยากคลายมือออก

Rrrrr Rrrrr

“ช้อป ปล่อยได้แล้ว” มันยอมคลายกอดแต่โดยดีเพราะเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกำลังส่งเสียงร้องให้กดรับสาย

ไอซ์โทรมา สงสัยจะโทรตามให้เราสองคนเข้าไปข้างใน

“มึงสองคนทำเชี่ยไรกันอยู่ เขาจะมอบรางวัลกันแล้ว”

“เออๆ เดี๋ยวพวกกูเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมกดวางสาย

“เข้าไปข้างในกันเถอะ” 

“เดี๋ยว!” อะไรของมันอีก กอดก็กอดไปแล้ว ขืนเข้าไปข้างในช้ากว่านี้ไอ้สองคนต้องสงสัยแน่

ฟอด! ผมเบิกตามเมื่อจู่ๆ โดนขโมยหอมแก้ม

“ไหนสัญญาว่าจะไม่...” ผมโวยวายยกมือลูบปอยแก้ม

“มึงห้ามจูบแต่ไม่ได้ห้ามหอมแก้ม” มันยกยิ้มกวนๆ หลังจากฉวยโอกาสได้สำเร็จ ผมหลงกลความเจ้าเล่ห์ของมันเข้าให้แล้ว คงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้

“มึงแม่ง” ผมยู่หน้า สะบัดตัวหันหลังเดินขึ้นบันได

“รอด้วย” มันรีบวิ่งตามขึ้นมาก่อนสอดนิ้วจับมือผมไว้

“ช้อป! ปล่อย เดี๋ยวคนเห็น”

“ขอจับหน่อยนะ” มันทำหน้าอ้อน

ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งจูบ แล้วนี่จะจับมืออีก แต่ก็นะมันก็เป็นปกติของคนเป็น...แฟนกันนี่หน่า 

“แค่หน้าห้องนะ”

เราเดินจับมือกันกลับมาที่หน้าห้องประชุมก่อนจะปล่อยมือตามที่ตกลงไว้ เสียงประกาศจากพิธีกรดังลอดออกมา เราเดินเข้าไปข้างในก็เจอไอ้เพื่อนสองตัวกำลังกระโดดโหย่งๆโบกไม้โบกมือเรียก

“มึงหายไปไหนกันมาตั้งนาน” แทนมองหน้าเราสองคนสลับกันไปมา ผมเลิกลักแต่ไอ้คนข้างๆ กลับยิ้มแฉ่ง

“เดี๋ยวนะ ก่อนออกไปกูยังเห็นมึงหน้างออยู่เลย” ไอซ์คงจับพิรุจคนข้างๆได้

“นั่นสิ มึงสองคนไปทำอะไรกันมา” แทนยกนิ้วชี้หน้าเราสองคนสลับกันไปมา ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่

“คือเราไป...โอ๊ย!” ผมแอบหยิกไอ้คนข้างๆ เพราะกลัวว่ามันจะหลุดพูดเรื่องนั้นออกไป

“ไม่มีอะไรหรอก พวกกูแค่ออกไปข้างนอกมา” ผมบอกปัด เรื่องที่เราคบกันยังไงพวกมันก็ต้องรู้สักวัน แต่มันต้องไม่ใช่วันนี้ ถ้าพวกมันรู้คงล้อผมไม่หยุดแน่

ขอเวลาเตรียมตัวเตรียมใจสักหน่อยแล้วกัน

“แต่กูว่านะ...” แทนมันยังไม่หายสงสัย ยังคงมองเราสองคนอย่างจับผิด

“ไม่มีอะไรจริงๆ นู้นเขาเรียกขึ้นไปรับรางวัลแล้ว” สบจังหวะที่พิธีกรประกาศเรียกพวกเราขึ้นไปบนเวที ผมรีบดันตัวพวกมันไปข้างหน้าแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามอง

เรื่องเสือกนี่เก่งกันจริงๆ นะพวกมึง

“ขอเสียงปรบมือให้กับผู้ชนะของเราในวันนี้” เราสี่คนเดินขึ้นบนเวทีพร้อมเสียงปรบมือจากนักแข่งทีมอื่นๆ

“ขอเชิญท่านอธิการบดีขึ้นมอบรางวัลครับ” ท่านอธิการบดีเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับนักศึกษาชายหญิงสองคน

“เชิญท่านมอบเกียรติบัตรครับ” เราเดินต่อแถวตรงไปที่กลางเวที แทนเดินเข้าไปรับเป็นคนแรกตามด้วยไอซ์ ผม ปิดท้ายด้วยช้อป

เป็นภาพที่น่าดีใจมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งผม แทน ไอซ์ได้รับเกียรติบัตร ตั้งแต่สมัยมัธยมเราสามคนก็ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรเหมือนคนอื่นๆ อาจมีเล่นกีฬาบ้างแต่ก็แค่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเท่านั้น 

เราสามคนจึงมักใช่เวลาที่เหลือในการเล่นเกมเป็นซะส่วนใหญ่ ไม่เคยคิดเลยว่าการเล่นเกมจะทำให้เราได้รับเกียรติบัตรชื่นชมแบบนี้ สงสัยต้องถ่ายรูปส่งไปอวดพ่อกับแม่สักหน่อย

แต่กับอีกคนดูท่าจะเป็นทั้งเด็กเรียนและเด็กกิจกรรม เดาว่ามันคงมีเกียรติวางเกลื่อนห้องแน่

เราทั้งสี่ต่างตื่นเต้นกับเกียรติบัตรที่ได้รับ แต่ยังมีของรางวัลอีกอย่างที่เป็นจุดประสงค์หลักที่พวกเราลงแข่งในครั้งนี้

“และรางวัลสำหรับแชมป์ PUBG ในปีนี้ก็คือ...โน๊ตบุคเกมมิ่งสุดเทพ”

แทนกับไอซ์ตาเป็นประกายเมื่อนักศึกษาชายส่งกล่องโน๊ตบุคในฝันของพวกเราให้กับท่านอธิการบดี ไอ้แทนกับไอซ์กระดี๊กระด๊าออกนอกหน้าทันที ผมเองก็พลอยดีใจและตื่นเต้นไม่แพ้กัน

มันสองคนเป็นตัวแทนออกไปรับมอบรางวัล ผมกับช้อปยืนอยู่ด้านหลัง ช้อปมันดูไม่ได้ตื่นเต้นกันรางวัลที่ได้รับ มันกลับยืนสะกิดนั้นสะกิดนี่ผมอยู่ตลอดๆ 

หลังจากรับมอบรางวัลจากท่านอธิการบดีเสร็จไอ้สองคนก็เดินยิ้มแฉ่งกลับมาพร้อมกับกล่องโน๊ตบุคในมือ มันดีใจกว่าตอนได้รับเกียรติบัตรซะอีก

“ขอเชิญท่านอธิการบดีให้โอวาทแก่เหล่าเกมเมอร์ที่มาร่วมงานวันนี้ด้วยครับ” สิ้นเสียงพิธีกร ท่านอธิการบดีกล่าวให้โอวาทพร้อมกล่าวปิดงาน

ทุกอย่างวันนี้จบลงด้วยดี ทั้งการแข่งขันที่จบลงด้วยชัยชนะและรางวัลอันน่าพอใจ รวมถึงความสัมพันธ์ของผมกับช้อปที่พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น

“เอาไงกับรางวัลดี” แทนเอ่ยถามเมื่อออกจากงานมาที่ลานจอดรถหน้าตึกไอที ของรางวัลมีแค่สองชิ้นซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เพียงสำหรับเราทั้งสี่คน

“มึงเอาไงมิกซ์” แทนหันมาถาม

“แล้วแต่พวกมึงเลย กูได้หมด”

“แล้วมึงล่ะช้อป” แทนหันไปถามคนข้างๆ ผมบ้าง

“แล้วแต่เลยได้หมด” มันดูไม่ได้สนใจของรางวัลสักเท่าไรเพราะมันง่วนอยู่กับการสะกิดแขนผม ตั้งแต่ที่อยู่บนเวทีจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หยุดสะกิดเลย สงสัยคงมีเรื่องต้องคุยกันหน่อยแล้ว

“งั้นเอาแบบนี้ไหม แบ่งกันคนละเครื่องกูกับไอ้ไอซ์ มึงกับช้อป โอเคไหม” แทนแนะวิธี ฟังดูแล้วก็เข้าท่า

“มึงว่าไง” ผมหันไปถามคนข้างๆ

“แล้วแต่มึงเลย” แล้วมึงเป็นเชี่ยอะไรสะกิดยิกๆ อยู่นั่นแหละ

“โอเคงั้นตามที่มึงบอกเลยแล้วกัน” แทนส่งโน๊ตบุคอีกเครื่องมาให้ก่อนขอตัวแยกย้ายกันกลับ เรามีนัดฉลองกันแต่คงไม่ใช่วันนี้ ดูจากสภาพแต่ละคนคงต้องการหมอน ผ้าห่มและการพักผ่อนหลังจากต้องฝึกหนักกันมาสามวันเต็มและผมก็มีเรื่องต้องคุยกับไอ้แฟนหมาดๆ ของผมด้วย

ผมเดินขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหลัง ช้อปเดินไปอีกฝั่งก่อนเปิดประตูเข้าขึ้นมานั่งเบาะข้างๆ

“ช้อป! มึงจะสะกิดทำเชี่ยไร" ผมเหวี่ยงใส่ทันที "มีอะไรทำไมไม่พูด”

“กูแค่จะชวนมึงไปห้อง” ก็แค่นั้น ห๊ะ! เมื่อกี้มันพูดว่าอะไรนะครับ ไปห้องมันหรอ? แล้วทำไมต้องไปห้องมันด้วย อย่าบอกนะว่า...มันกำลังคิดจะทำเรื่องอย่างว่า

ตั้งแต่วันแรกเลยหรอ?

“ไอ้เชี่ยช้อป มึงคิดจะทำอะไรกับกู” ผมโวยวายกอดตัวเองไว้แน่น

“ทำไร?” มันขมวดคิ้ว ตีหน้าซื่อ ทำไม่รู้ไม่ชี้

มึงคิดหรอว่ากูจะไม่รู้ว่ามึงกำลังคิดจะทำอะไร เรื่องแบบนี้กูผ่านมาเยอะมึงอย่าคิดว่ากูดูไม่ออก

“เดี๋ยวนะ มึงกำลังคิดว่ากู...” มึงพูดแบบนั้นจะให้คิดเป็นแบบไหนได้อีก

ผมไม่สนใจคำพูดของมันอีกตัดสินใจเปิดประตูเดินลงจากรถ ขืนอยู่ต่อต้องโดนมันพาไปทำมิดีมิร้ายแน่

“เฮ้ย! มิกซ์ นั่นมึงจะไปไหน” เสียงไอ้คนเจ้าเล่ห์ดังไล่หลัง ผมสาวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับไปมอง

ผมวิ่งไกลออกมาพอสมควรจนเสียงคนที่วิ่งตามหลังเงียบลง มันไม่ตามมาแล้ว สงสัยคงตามสกิลการวิ่ง 4x100 ของผมไม่ทัน

คิดจะรวบหัวรวบหางกูหรอฝันไปเถอะ

“เฮ้อ…” ผมทิ้งตัวลงนั่งริมฟุตบาทสูดลมหายใจกอบเอาออกซิเจนเข้าปอดเฮือกใหญ่ 

แฮกๆ แฮกๆ 

“เฮ้อ...คอแห้งจังเลยวะ ได้น้ำสักแก้วคงดี” ผนบ่นกับตัวเอง แต่ก็คงได้แค่คิดเพราะแถวนี้ค่อนข้างใกล้จากตึกคณะ สองข้างทางก็มีแค่ต้นไม้ ไม่มีร้านค้าหรือแม้แต่คนเดินผ่านไปผ่าน

ผงคงต้องนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนที่จะหาทางเดินกลับไปที่ตึกคณะ

ตุบ!

เฮ้ย! แม่งปากพระร่วงจริงๆ พูดปุ๊บขวดน้ำก็ลอยลงมาปั๊บ

ผมหยิบขวดน้ำที่หล่นอยู่บนตักขึ้นมามองซ้ายมองขวาหาเจ้าของ ไม่มีใครหนิ แล้วมันหล่นลงมาจากไหน แต่จะของใครก็ช่างขอดื่มให้ชื่นใจก่อนแล้วกัน

“อ้า ชื่นใจ” ผมมองขวดน้ำอย่างพอใจ

“ไม่รู้ว่าของใคร แต่ยังไงก็ขอบคุณแล้วกัน”

“หายเหนื่อยแล้วใช่ไหม”

“อื้ม” ผมตอบเพราะได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยถาม แต่ทำไมมันฟังดูคุ้นๆ จัง

เสียงนี้มัน “หายแล้วก็ไปขึ้นรถ” ผมหันหลังกลับไปมองก็เห็นคนที่ผมเพิ่งวิ่งหนีมายืนกอดอกก้มมองจากด้านบน

มันมาได้ไงเนี่ย

“ไม่!” หนีมาขนาดนี้แล้วจะให้กลับไปง่ายๆ ได้ไง

“ไปคุยกันในรถ” มันคว้าข้อมือก่อนจะฉุดผมขึ้นรถ

กรึก!

เสียงล็อกประตูรถ มันคงกลัวว่าผมจะวิ่งหนีอีก

“มิกซ์”

“มิกซ์!” มันเรียกซ้ำเมื่อผมไม่ตอบ

“วิ่งหนีกูทำไม”

“แล้วทำไมมึงต้องพากูไปห้องด้วย คบกันยังไม่ถึงวันมึงก็จะ......แม่งเอ๊ย” 

“เดี๋ยวนะ นี่มึงคิดว่ากูจะพามึงไปทำอย่างว่าหรอ” จะมีอะไรอีกล่ะ

“มิกซ์มึงลืมแล้วหรอใครที่โวยวายตอนที่กูไม่พาไปห้อง ใครที่งอนเพราะคิดว่ากูซ่อนผู้หญิงไว้” ผมกำลังนึกภาพตาม

“เอ่อ...คือ...”

“กูเคยสัญญาไว้ ถ้ามึงยอมเป็นแฟนกูจะพามึงไปห้อง มึงจำไม่ได้หรอ” ภาพทุกอย่างในวันนั้นลอยเข้ามาในหัว ผมยกมือตบแปะที่หน้าผาก นี่ผมคิดไปเองทั้งหมดเลยหรอเนี่ย

“จะยังไงก็ช่างมึงก็ไม่ควรชวนกูไปห้องตั้งแต่วันแรก” โยนความผิดให้มันไปก่อนละกัน

“แล้วทีสาวๆ ของมึงล่ะ รู้จักกันแค่ไม่กี่นาทีก็ชวนกันขึ้นห้องแล้ว”

อึก!

ผมต้องสะอึกเมื่อโดนย้อนกลับด้วยคำถามแบบเดียวกัน

มันปิดประตูตีแบบนี้แล้วผมจะรอดได้ไง

“เอ่อ...คือ...” นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าหมาจนตรอก

“มิกซ์กูถามมึงตรงๆ นะ มึงยอมคบกับเพราะอะไร” สีหน้ามันดูผิดหวัง

“ช้อปกู...”

“ถ้ามึงรู้สึกไม่โอเคกับการที่ต้องคบกับกูมึงบอกเลิกกูตอนนี้เลยก็ได้นะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น กูไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

“แต่ที่มึงทำ...” มันบ่ายหน้ามองออกไปนอกรถ

“มันไม่ใช่แบบที่มึงคิด กูแค่ตกใจ กูกลัวว่า...”

“กลัว? มึงกลัวแฟนตัวเองเนี่ยนะ” ใช่สิ มันเป็นแฟนผมแล้ว แต่...

“มึงก็รู้ว่ามึงเป็นผู้ชายคนแรกของกู แล้วจู่ๆ มึงชวนกูเข้าห้องจะให้กูคิดยังไง” ถึงจะเป็นแฟนกันแต่ผมก็ยังไม่สนิทใจอยู่ดี

“ผู้ชายคนแรก?” มันหันกลับมา

“ก็ใช่ไง” ถ้าเป็นผู้หญิงอาจต้องใช้เวลาในการนับกันบ้าง แต่สำหรับช้อปมันคือผู้ชายคนแรกของผม

“มึงพูดอีกทีซิ” เกิดหูหนวกอะไรขึ้นมาตอนนี้

“ก็มึงไง ผู้ชายคนแรกของกู” พูดจบคนหน้างอก็มีรอยยิ้ม ผมต้องขมวดคิ้วเมื่อจู่ท่าทีของมันก็เปลี่ยนไป

เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวยิ้ม ผมตามอารมณ์มันไม่ทันแล้ว

แต่ก็ยังดีกว่าโดนมันโกรธ

“ยิ้มแบบนี้หายโกรธแล้วใช่ไหม” ผมเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ

“อื้ม แต่มึงต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่คิดเองเออเองอีก มีอะไรให้ถาม ไม่ใช่วิ่งหนีแบบนี้” แม่งโคตรขี้บ่น ผมรู้ว่าผมผิดเพราะนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมวิ่งหนีมัน

“มึงก็เหมือนกัน เป็นเชี่ยไรบอกเลิกกูตั้งแต่วันแรก” ถึงทีผมบ้าง มันเองก็เหมือนกันคบกันไม่ถึงชั่วโมงก็ขอเลิกซะแล้ว 

“ก็ตอนนั้นกูโกรธอยู่ ขอโทษนะ” มันทำหน้าสำนึกผิด

“แล้วตกลงจะเลิกไหม”

“ไม่ๆ ไม่เลิกกัน” มันทำหน้าอ้อน

เฮ้อ...แพ้ลูกอ้อนมันทุกทีสินะ

“งั้นห้ามพูดแบบนั้นอีก เข้าใจไหม!”


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด