❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018  (อ่าน 36795 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
บุคคลนิรนามมันเป็นใครเนี่ย

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ถ้ามันไม่ผ่านมา17ตอน แล้วคิมได้จิ้มเลิฟนี่
เราคงคิดว่าคิมน่าจะเป็นเมียอะ  :z3:

เดาว่าพี่ชายหญิงอะ เห็นพูดถึง

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๘-

ความสุข(ส่งท้าย)



            หลังจากนอนเครียดมาทั้งคืนเรื่องที่จะต้องไปตามนัดในวันพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แม้จะมีความกลัวอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ต้องไปเพราะไม่อยากให้เลิฟต้องมาเดือดร้อนด้วยอีกคน แถมพรุ่งนี้ยังเป็นวันสำคัญของอีกฝ่าย เขาไม่อยากให้ทุกอย่างที่เลิฟสร้างมา ต้องพังทลายเพราะตัวเขาเอง

            วันนี้จึงได้นัดคนรักออกมาคลายเครียด ที่สวนสนุกชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังจากได้โทรนัดเมื่อคืนที่ผ่านมา ช่วงเช้าคิมจึงขับรถไปรับที่บ้าน ก่อนจะขับตรงมาที่แห่งนี้

            “ทำไมอยู่ๆ ถึงได้นัดออกมาเที่ยวที่นี่ อยากจะย้อนความหลังช่วงวัยเด็กเหรอพี่” เลิฟเอ่ย หลังจากเดินผ่านประตูทางเข้ามาได้เพียงสองสามก้าว

            “เปล่า...แค่อยากพามึงมาเที่ยวบ้าง เราไม่เคยมาเที่ยวสองต่อสองอย่างนี้เลยสักครั้ง กลัวมึงจะน้อยใจ” ว่าแล้วก็เอื้อมจับมือคนที่ยืนข้างกัน ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ เลิฟยิ้มตอบไม่ได้ปฏิเสธมันแต่อย่างใด

            “จะน้อยใจทำไมล่ะในเมื่อพี่เองก็ไปรับไปส่งผมทุกวันอยู่แล้ว เห็นหน้ากันจนเบื่อจะแย่”

            “นี่มึงเบื่อกูแล้วเหรอวะ”

            “ใช่…เบื่อมากก”

            “ถ้างั้นวันนี้กูจะทำให้มึงหายเบื่อไปเลยล่ะ” ว่าแล้วก็ยิ้มมุมปาก

            “มีแผนอะไรอีกเนี่ย ห้ามเล่นพิเรนทร์เด็ดขาดเลยนะ” เลิฟชี้หน้าขู่ไว้ก่อน

            “ไม่หรอกน่า ว่าแต่มึงอยากเล่นอะไร บอกมาได้เลยเดี๋ยวกูพาไป”

            “เดินดูก่อนอ่ะ แล้วพี่ล่ะชอบเล่นอะไร”

            “กูชอบเล่นรถไฟเหาะเสียวดี มึงเคยป่ะ”

            “ไม่อ่ะ”

            “ถ้างั้นไปขึ้นรถไฟเหาะกันตอนนี้เลย”

            ว่าแล้วก็จูงมือคนรักเดินตรงไปยังเครื่องเล่นที่สุดแสนจะตื่นเต้นและหวาดเสียว ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้านี้

            เมื่อมาถึงแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปต่อคิว มีคนไปยืนรอคิวเกือบยี่สิบคนได้ เลิฟก็รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ นั่นเพราะคนที่ขึ้นไปก่อนหน้าต่างก็ส่งเสียงร้องราวจะขาดใจ เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็กลืนน้ำลายลงคืออย่างฝืดเคือง มองดูอย่างลังเลใจ หากเปลี่ยนใจตอนนี้ยังจะยังทันอยู่ไหมนะ

            “กลัวรึไง” คิมถาม เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของคนรัก ดูท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย

            “ใครกลัว ไม่มีทางเว้ยพี่” เลิฟรีบหันกลับมามอง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้ดูฮึกเหิมขึ้น

            “จริงเร้อทำไมตอนมองคนอื่นเล่นถึงได้หน้าซีดเป็นไก่ต้มอย่างนั้น”

            “ไม่มีซะหน่อย แค่นี้ชิวๆ เว้ย” เลิฟยังคงทำเป็นเก่ง ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหัวเราะเยาะแน่นอน

            “กูจะคอยดูว่ามึงจะเก่งเหมือนปากไหม ป่ะถึงคิวเราแล้ว” ในขณะตอบกลับคนรักก็ถึงคิวพอดี คิมจึงดุนหลังอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปก่อน

            หลังจากได้ที่นั่งและรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างแน่นหนาแล้ว ทั้งสองก็นั่งรอเวลาที่จะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นและหวาดเสียว คิมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นจึงจับมือกันไว้ตลอดเวลา แต่คนที่นั่งข้างกันยังคงทำเป็นเก่ง ทำเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย

            “พร้อมยัง”

            “อื้อ พร้อมตั้งนานแล้ว”

            “ยังเก่งไม่เลิกนะเรา เดี๋ยวได้คลานลงมาแน่ หึๆ” พูดแล้วก็หัวเราะในลำคอเบาๆ

            “ทำไมชอบขู่จังวะ คอยดูละกันคนอย่างผมไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว”

            “เออ ไอ้คนเก่ง” คิมยิ้มให้

            หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็พร้อม รถไฟเคลื่อนตัวขึ้นไปตามรางที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะหยุดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมที่จะพุ่งทะยานลงมาอีกครั้ง ในตอนนั้นสีหน้าของเลิฟเริ่มซีดมากขึ้น มือที่จับกันไว้ก็ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก

            “หายใจเข้าลึกๆ ในอีกไม่กี่นาทีมึงได้แหกปากแน่”

            พูดยังไม่ทันขาดคำรถไฟก็พุ่งทะยานลงมาจากที่สูงด้วยความเร็ว ทำเอาสมาชิกที่นั่งอยู่นั้นเริ่มส่งเสียงร้องกรี๊ดดังกระหึ่มไปทั่วพื้นที่ หนึ่งในนั้นก็คือเลิฟนั่นเอง

            “อ๊ากกกก!!! เชี่ยยยย!!”

            “ไม่ไหวแล้วโว้ยยย”

            “โอ้ยยยย”

            ด้วยความที่เพิ่งจะเคยเล่นเป็นครั้งแรก ทำเอาเลิฟถึงขนาดกับตัวเกร็ง แหกปากร้องดังลั่น กลัวว่าตัวเองจะหล่นลงพื้น ในช่วงจังหวะที่ห้อยหัวลงมานั้นยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ เจ้าตัวร้องดังลั่นไม่ยอมหยุด จนมาถึงจุดหมายปลายทาง สภาพของหนุ่มหล่อนั้นแทบหมดสภาพ ใบหน้าซีดเซียว แข้งขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

            “เป็นไงล่ะไอ้คนเก่ง ฮ่าๆๆ” เมื่อปลดเข็มขัดนิรภัยแล้ว คิมก็หิ้วปีกคนรักเดินลงมาจากที่นั่ง ตอนนี้เลิฟแทบไม่มีแรงเดิน จะใช้คำว่าลากตัวมาก็ยังได้

            “ซ้ำเติมกันจังนะ จะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย” เลิฟเอ่ยอย่างเบาเสียง

            “ไปนั่งตรงนั้นก่อนมีที่นั่งพอดี” ว่าแล้วก็พยุงคนรักไปที่ม้านั่ง

            “ชาตินี้จะไม่เล่นไอ้เครื่องเล่นบ้าอย่างนี้อีกแล้ว”

            “ไหนบอกว่าไม่กลัวอะไรไง ทำไมกลับคำอย่างนี้ล่ะ”

            “ไม่ต้องมาพูดเลยพี่อ่ะ ชอบซ้ำเติมกันดีจัง” คนพูดเอนศีรษะพิงกับพนักเก้าอีก ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างน้อยอกน้อยใจ

            “นั่งอยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวกูไปซื้อยาดมกับน้ำเย็นๆ มาให้”

            “รีบมาล่ะ”

            “คร้าบบ” คิมยิ้มให้แล้วเดินตรงไปยังร้านมินิมาร์ทเล็กๆ ที่เปิดขายอยู่ไม่ไกล

            นั่งรออยู่สักพัก เลิฟก็รู้สึกว่ามีอะไรเย็นๆ มาสัมผัสที่แก้ม จึงเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นคนรักยืนยิ้ม ยื่นขวดน้ำเย็นให้

            “อ่ะ”

            “ชอบแกล้งผมจังนะพี่อ่ะ เดี๋ยวก็เอาคืนซะเลย” รับน้ำมาแล้วก็เปิดฝาเสียบหลอด ดูดอย่างชื่นใจ

            “กูมีแฟนหล่อน่ารักอย่างนี้ ก็ให้แกล้งหน่อยดิวะ อ่ะยาดม”

            “ขอบคุณครับ ป๋ามากเลยอ่ะวันนี้”

            “ก็นิดหน่อย พาเมียมาเที่ยวทั้งที”

            “ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลย ถ้าสาวๆ มาได้ยินเข้าผมเสียหายหมด” เลิฟชี้หน้า มองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง

            “กลัวเรทติ้งตกรึไง”

            “ก็เออน่ะสิ”

            “ถ้าวันนึงเราไม่ได้คบกันแล้ว มึงคงจะแต่งงานมีลูกมีเมียสินะ”

            “แน่นอนอยู่แล้ว หล่อๆ อย่างผมต้องมีเมียสวยๆ ลูกชายน่ารักๆ” เลิฟเอ่ยขำๆ ไม่ได้จริงจังอะไร

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นกูก็ดีใจ จะได้ไม่ต้องห่วงว่ามึงจะไม่มีใครมาดูแล”

            “ทำไมทำหน้าจริงจังอย่างนั้นล่ะ ผมแค่พูดเล่นเอง คนอย่างผมจะต้องทนคบกับพี่ไปจนตายนั่นล่ะ”

            “ใช้คำว่าทนคบเลยเหรอวะ”

            “ก็เออดิ ใครกันน๊าที่เข้ามาจีบผมก่อน ทำเนียนมาตีสนิทผมตั้งแต่แรกเจอ เลยปัดรำคาญยอมทนคบมาจนถึงตอนนี้เลย” เลิฟพูดแหย่

            “เหรอออ พูดเอาดีเข้าตัวหมดเลยนะมึงอ่ะ กูยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมดก็ได้”

            “ดี...ยอมรับง่ายๆ จะได้ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืด แล้วนี่เราจะไปไหนต่ออ่ะ”

            “แล้วมึงอยากเล่นอะไรอะ หรือจะกลับไปนั่งรถไฟเหาะอีกรอบ”

            “ไม่เอาเว้ย ครั้งเดียวในชีวิตพอ แค่นี้ก็จะตายแล้ว เกร็งจนปวดไข่ฉิบหาย” เลิฟนึกถึงตอนที่นั่งอยู่บนรถไฟ ก็ถึงกับหยีหน้า เข็ดขยาดซะเหลือเกิน

            “ครั้งแรกก็งี้ล่ะ ครั้งต่อไปเดี๋ยวก็ชินเอง”

            “ไม่มีครั้งต่อไปแล้วพอๆ ห้ามเล่นอะไรแบบนี้อีก มีอย่างอื่นที่มันซอฟต์กว่านี้ป่ะพี่”

            “มีดิ”

            “อะไรอ่ะ”

            “ม้าหมุนไง อันนี้มีแต่เด็กๆ เล่นกัน ถ้ามึงไม่อายจะไปเล่นก็ได้นะ”

            “ถ้างั้นไม่ไปนั่งแม่งอยู่ตรงนี้ล่ะถ้างั้น”

            “ไปเถอะไม่มีใครว่ามึงเป็นเด็กหรอก เพราะเราจะเล่นด้วยกัน” คิมยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกันนั้นก็ดึงตัวคนรักให้ยืนขึ้นด้วย

            “ผมเชื่อใจพี่นะเนี่ย” คนพูดยิ้มตอบ ทำไมวันนี้เขาถึงได้เห็นความเศร้าแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้นก็ไม่รู้ ช่วงหลังๆ มานี้คิมเหมือนเก็บงำอะไรบางอย่างไว้ เขาพยายามถามหลายครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเลยสักครั้ง

            เมื่อเดินมาถึงม้าหมุน ก็พบว่าไม่มีใครเลยจากพนักงานคุมเครื่อง ในขณะพื้นที่โดยรอบกลับมีผู้คนพลุกพล่าน

            “ทำไมไม่มีใครมาเล่นเลยอ่ะพี่ เจ๊งรึเปล่าเนี่ย”

            “ไม่เจ๊งหรอก พี่พนักงานยังยืนรอเราอยู่เลย เข้าไปกันเถอะ”

            “อื้ม” เลิฟพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไป

            หลังจากส่งตัวคนรักขึ้นไปบนตัวม้าแล้ว คิมก็จะตามขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายด้วย เลิฟเห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยห้ามไว้ทันที

            “ทำไมต้องมานั่งตัวเดียวกันด้วยเนี่ย มีตั้งหลายตัวนะพี่”

            “ก็กูอยากนั่งตัวเดียวกับมึงอ่ะ เขยิบตูดเข้าไปอีก”

            “ไม่เอา ไม่อายพี่เขารึไงนั่น มองดูเราใหญ่แล้ว”

            “อายทำไมพี่เขาไม่รู้จักเราซะหน่อย” คิมไม่สนใจขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายจนได้ เลิฟจึงปล่อยเลยตามเลย

            “เออ ก็ได้” แม้จะแย้ง แต่ก็อมยิ้มไม่หยุด

            คิมให้สัญญาณกับพนักงานคุมเครื่อง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ไฟทุกดวงก็สว่างจ้าขึ้น ทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกขึ้น แถมยังมีเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงดังคลอเคล้าไปด้วย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวกับถูกจัดฉากไว้ล่วงหน้าซะอย่างนั้น หากไม่คิดระแวงมากเกินไป เลิฟก็คิดว่าคิมเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น

            “วันนี้กูพามึงมาย้อนวัยเด็กเลยนะเนี่ย” เจ้าตัวเอ่ยขณะสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

            “ว่าแล้ว...ไม่บอกก็รู้หรอกน่า”

            “รู้สึกยังไงวะที่ได้มานั่งม้าหมุนกับกูอย่างนี้ กูอยากฟังสิ่งที่อยู่ในใจมึงให้ชื่นใจสักครั้ง”

            “รู้สึกเฉยๆ อ่ะ”

            “เดี๋ยวกูตบกะโหลกแม่งเลย กำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว” ว่าแล้วคิมก็ยกมือขึ้นมาจับศีรษะคนรักแล้วโยกไปมาด้วยความเอ็นดู

            “ล้อเล่นน่า” เลิฟขำเล็กน้อย

            “ว่ามาดีๆ”

            “ไม่อยากพูดเลยอ่ะเขิน จริงๆ แล้วไม่ต้องพูดพี่ก็น่าจะรู้ว่าผมรู้สึกยังไง มันมีความสุขมาก นอกจากแม่แล้ว คนที่ทำให้ผมมีความสุขได้ก็คือพี่ ไม่ใช่แค่ตอนนี้นะเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ช่วงที่เราไม่ได้เจอกันแค่คิดถึงพี่ผมก็มีความสุขแล้ว พอใจยัง” เลิฟเอียงหน้าหล่อหันไปเอ่ยกับคนที่อยู่ด้านหลัง

            “ชื่นใจจังว่ะ” ว่าแล้วก็โนมใบหน้าคมไปหอมแก้มอีกฝ่ายทันที

            “ทำเหี้ยอะไรอีกเนี่ย แค่นั่งด้วยกันก็อายคนจะแย่แล้ว” เลิฟฟาดเข้าที่ต้นขาอีกฝ่ายเต็มแรง

            “อายทำไมวะไม่มีใครรู้จักเราซะหน่อย กลับบ้านก็ตัวใครตัวมันแล้ว”

            “หน้าด้านจังนะพี่อ่ะ”

            “แน่นอน”

            หลังจากสงครามน้ำลายจบลง ทั้งสองก็นั่งอยู่บนม้าหมุนอย่างนั้นไปจนจบเพลง มันเป็นการย้อนวัยเด็กที่มีความสุขมาก เมื่อลงมาแล้วคิมก็เดินไปหาพนักงานคนนั้น เพื่อจ่ายค่าจ้างที่ช่วยจัดการเรื่องทุกอย่างให้

            “ขอบคุณมากๆ นะครับพี่ที่ช่วยผม”

            “ไม่เป็นไรน้อง เราต่างก็วินวินกันทั้งคู่ ขอให้รักกันนานๆ ละกัน”

            “ขอบคุณครับ ผมไปล่ะ”

            เมื่อคุยเสร็จแล้ว ก็เดินไปหาเลิฟที่ยืนรออยู่

            “คุยอะไรกันอ่ะ ดูมีลับคมคมใน”

            “ไม่มีอะไรไปกันเถอะ” ว่าพร้อมกับกอดคออีกฝ่าย ก้าวเท้าเดินไปพร้อมกัน

            “อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าพี่จัดฉาก”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นคิมก็ก้มลงมามองหน้าอีกฝ่ายทันที

            “ฉลาดจังเลยวะไอ้นี่”

            “บอกแล้วพี่ไม่ทันผมหรอก หมดไปเท่าไหร่อ่ะเมื่อกี้”

            “ไม่เยอะหรอกนิดเดียว”

            “ใช่สินะบ้านพี่รวยนี่นา แค่นี้จิ๊บๆ”

            “เพื่อมึงกูทำได้ทุกอย่างล่ะ เผื่อว่าในอนาคตกูอาจจะไม่ได้ทำอย่างนี้ให้มึงอีก”

            “ทำไมชอบพูดแบบนี้วะ ห้ามพูดอีกเด็ดขาดผมกลัว”

            “กลัวอะไร”

            “กลัวว่าพี่จะหายไปจากชีวิตผมอีกไง ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ยอมแน่นอน”

            “ไม่หรอกน่า เรารักกันขนาดนี้จะจากกันได้ไงล่ะ กูสัญญาเว้ย”

            “สัญญาบ่อยอย่างนี้จำได้หมดป่ะ สัญญาพร่ำเพรื่อจริงๆ นะพี่อ่ะ”

            “เรื่องของมึงกูจำได้หมดล่ะ”

            “ปากหวานก้นเปรี้ยวจริงๆ ฮ่าๆ”

            “ยังไม่ชิมรู้ได้ไงว่ากูก้นเปรี้ยว” คิมยกมือขึ้นมาลูบกลางกระหม่อมเล่นเบาๆ

            “พูดอย่างนี้อยากให้ชิมรึไง ผมพร้อมเสมอนะ” เลิฟยักคิ้ว ยิ้มมุมปากให้อีกฝ่าย

            “ฝันไปเถอะ หิวยังจะได้ไปหาอะไรกินกัน”

            “ยังไม่หิวเลยอ่ะ”

            “ถ้างั้นไปหาที่นั่งพักก่อน แล้วค่อยไปกินข้าว”

            สองหนุ่มเดินมานั่งในศาลาริมสระน้ำขนาดใหญ่ มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้อากาศที่ร้อนเริ่มคลายลงบ้าง แต่ทว่าเลิฟกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น

            “ร้อนเนาะ” เลิฟบ่น พลางหยิบหมวกแก็ปที่ถือติดมือมาด้วย พัดเพื่อระบายความร้อน

            “อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวก็หายร้อนเองล่ะ กูไม่เห็นร้อนเลย”

            “ไม่ร้อนก็แล้วแต่พี่ แต่ผมร้อนนี่นา”

            “กินติมป่ะเดี่ยวกูไปซื้อมาให้”

            “อื้อ ดีๆ” เลิฟทำตาโตพยักหน้าหงึกรับ

            “รอแปบนะเดี๋ยวกูมา”

            “ครับผม”

            เลิฟนั่งทอดสายตามองไปยังสระน้ำ มองดูน้ำพุที่กำลังพุ่งขึ้นมาเป็นสาย และตกลงมายังผืนน้ำเหมือนดังเดิม เป็นอย่างนั้นอยู่ซ้ำๆ ทำให้เจ้าตัวคิดเปรียบเปรยกับชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะอยู่สูงสักเท่าไร แต่สักวันก็ต้องร่วงลงกลับมาสู่พื้นดิน หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมเขาจะต้องกลัวการอยู่บนโลกใบนี้ด้วยสถานะทางเพศที่แท้จริงด้วยล่ะ ชีวิตคนเราเกิดมาก็เพื่อตายและดับสูญไป หากไม่ทำอะไรที่ต้องการในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ถือว่าเกิดมาไม่คุ้มค่าความเป็นคน

            “อ่ะ ไอติมเย็นๆ” เสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้น ทำให้เลิฟหลุดจากภวังค์ หันขวับไปมองก็เห็นไอศกรีมโคนอยู่ตรงหน้า เจ้าตัวส่งยิ้มให้แล้วเอื้อมมือไปรับมา

            “ขอบคุณครับ”

            “นั่งเหม่ออะไรอยู่วะ ถ้ามีคนมาปล้นจะรู้ตัวไหมเนี่ย”

            “คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอ่ะพี่” ว่าแล้วก็ใช้ลิ้นเลียไอศกรีมเนื้อสีขาวอย่างชื่นใจ “หืมมม อร่อย”

            “อร่อยก็รีบกินให้หมดเร็วๆ ก่อนมันจะละลายไปก่อน”

            “ครับผม” ว่าแล้วก็ตั้งใจทานด้วยความเอร็ดอร่อย คิมมองภาพนั้นแล้วยิ้มตามไปด้วย อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีความสุข และได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนรักอย่างคุ้มค่าที่สุด

            หลังจากทานไอศกรีมจนเกลี้ยงแล้ว เลิฟก็เอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่าย ราวกับมีอะไรบางอย่างในใจอยากจะบอก

            “มองหน้ากูอย่างนี้หมายความว่าไงวะ” คิมเลิกคิ้วมองหน้าด้วยความสงสัย

            “ทำไม? มองไม่ได้เหรอ”

            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะอยากให้มองไปตลอดชีวิตด้วยซ้ำ”

            “พี่ว่าเราจะคบกันได้นานแค่ไหนอ่ะ”

            “ทำไมถามอย่างนั้นวะ”

            “ก็แค่อยากฟังความคิดเห็นของพี่อ่ะ อนาคตถ้าเรายังคบกันแบบลับๆ อย่างนี้ พี่จะยังโอเคกับผมอยู่ไหม”

            “ต่อให้มีแค่มึงกับกูรู้กันแค่สองคน กูก็ยังจะรักมึงไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ความสุขและความสบายใจของมึงต้องมาเป็นอันดับหนึ่งโว้ย”

            “ชื่นใจจัง แต่ผมคงไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นหรอก ผมตัดสินใจแล้วว่าหลังจากแข่งจบ ผมจะบอกเรื่องของเรากับแม่”

            “อ้าว! ทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้นวะ มึงไม่กลัวน้าพิมพ์จะเสียใจรับไม่ได้เหรอ” คิมตกใจเล็กน้อย ไม่นึกว่าเลิฟจะตัดสินใจอย่างนั้น

            “ผมว่าแม่จะต้องรับได้แน่นอน ผมอยากทำอะไรให้พี่สบายใจบ้าง ไม่ต้องมาตามใจผมอย่างเดียว”

            “กูไม่ได้ต้องการให้มึงทำอะไรเลยนะเว้ย ขอแค่มึงมีความสุขก็พอ”

            “นี่ไงผมถึงต้องทำให้พี่บ้าง เราคบกันแล้ว ผมเองก็อยากให้เรามีความสุขไปด้วยกัน”

            “ได้ยินแค่นี้กูก็ชื่นใจแล้ว เดี๋ยวกูจะไปขอมึงจากน้าพิมพ์ด้วยเลยดีไหมล่ะ จะได้ครบสูตร”

            “ถ้ากล้าก็เอาเลย แต่ผมว่าแม่คงไม่ยกให้แน่นอน”

            “ทำไมล่ะวะ” คิมทำหน้าสงสัย

            “ก็ผมตัวหนักไง แม่ยกไม่ไหวหรอก ฮ่าๆๆ” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง คิมไม่รอช้า รีบเอาคืนด้วยการประกบจูบทันที ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเบิกตากว้าง

            นี่มันในสวนสนุกนะเว้ยพี่.....

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะได้อยู่กันแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนนะ  :hao4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บุคคลปริศนายังรอการเฉลยอยู่เน้อ~

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :serius2: เครีดแทนคิมอ่ะ

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๙-

ความรักที่ว่างเปล่า





          วันนี้คิมตื่นขึ้นมาใส่บาตรกับพ่อแม่ตั้งแต่เช้า นานทีปีหนเขาจะได้มีโอกาสตื่นเช้ามาทำบุญร่วมกับทั้งสองท่าน นั่นทำให้วิภาวีและก้องเกียรติต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ที่วันนี้ลูกชายลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งสองยิ้มอย่างพอใจที่วันนี้ได้มีโอกาสทุกบุญร่วมกันทั้งครอบครัว

            “ทำไมวันนี้ลงมาได้ล่ะไอ้ลูกชาย” ก้องเกียรติเอ่ยถาม

            “ผมไม่ได้ตื่นเช้ามาตักบาตรนานแล้วนี่ครับพ่อ อยากทำบุญมั่ง”

            “ดีแล้วทำบุญเยอะๆ ชีวิตจะได้ราบรื่นไม่มีอุปสรรคอันตรายมากล้ำกรายได้” วิภาวีเอ่ย ส่งยิ้มให้ลูกชาย

            นั่งรอไม่นานภิกษุสามรูปก็เดินสำรวมเป็นแถวมา พร้อมกับเด็กวัดคนหนึ่ง ที่เข็นรถตามหลังมาติดๆ

            “นิมนตร์ก่อนค่ะหลวงตา”

            เมื่อภิกษุทั้งสามรูปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ฆราวาสก็พร้อมใจกันนำข้าวสวยและอาหารที่บรรจุเตรียมใส่ถุงไว้อย่างดี รวมถึงน้ำดื่มและดอกไม้ใส่ลงไปในบาตร เสร็จแล้วก็นั่งพนมมือรอรับพร

            “อายุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญพรโยม ทำบุญร่วมกันชาตินี้ จะได้เกิดมาร่วมชาติกันอีกอย่างแน่นอน” ภิกษุผู้มีพรรษาสูงสุดเอ่ยกับทั้งสามคน

            “สาธุค่ะ ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะหลวงพ่อ” วิภาวีมองหน้าคนทั้งสองที่นั่งขนาบข้าง ก่อนจะยิ้มให้อย่างอิ่มบุญ

            หลังจากพระสงฆ์ทั้งสามรูปเดินไปแล้ว สามคนพ่อแม่ลูกก็กลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง เพื่อนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน วันนี้วิภาวีทำกับข้าวที่ลูกชายชอบเกือบทุกเมนู ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าวันนี้ลูกชายต้องอยากกินของพวกนี้เป็นแน่

            “ทำไมแม่รู้ใจผมอย่างนี้ มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้นเลย”

            “กินเยอะๆ นะลูก จะได้ไม่เสียแรงที่แม่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่เช้า”

            “ขอบคุณนะครับแม่ ที่ทำอะไรเพื่อผมมาตลอด”

            “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ มันเป็นหน้าที่ของแม่อยู่แล้ว กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ” ว่าแล้วก็ตักกับข้าวใส่จานให้ลูกชาย ตามด้วยสามีอีกคน “คุณก็กินเยอะๆ จะได้มีแรงทำงาน”

            “ครับเมียสุดที่รัก” ก้องเกียรติยิ้มไม่หุบ เขาปลื้มใจกับภรรยาคนนี้มากเหลือเกิน เป็นทั้งแม้บ้านและคู่ชีวิตที่คอยอยู่เคียงข้างกันมาตลอด

            “จริงๆ แล้วพ่อกับแม่น่าจะมีลูกอีกสักคนนะครับ เผื่อผมไม่ได้อยู่บ้านแล้วจะได้ไม่เหงา”

            “แก่ป่านนี้แล้วจะมีได้ไงล่ะ ลูกก็พูดไป แล้วที่ว่าไม่อยู่จะไปไหน เรียนก็ใกล้บ้านแค่นี้เอง”

            “หรือว่าแกคิดจะมีลูกมีเมีย แล้วย้ายไปอยู่ข้างนอก ไม่ได้นะต้องพามาอยู่ที่บ้านเรา” ก้องเกียรติบอกกับลูกชาย

            “ผมยังเรียนไม่จบเลยครับพ่อ ไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลยสักหน่อย”

            “ยังไงพ่อกับแม่ก็หวังว่าจะได้อุ้มหลานอยู่นะ ยิ่งมีแกคนเดียวยิ่งต้องหวังสูงมากเป็นธรรมดา”

            “อย่าเพิ่งหวังอะไรมากเลยครับ บางทีผมอาจจะทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังก็ได้” เมื่อได้ยินอย่างนั้น คิมก็รู้สึกผิดขึ้นมา เพราะทั้งสองท่านหวังกับเขามาก

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ก็เชื่อว่าลูกต้องมีเหตุผล ชีวิตเป็นของลูกถ้าอะไรที่ทำให้ลูกมีความสุข พ่อกับแม่ก็พร้อมที่จะรับฟังและเห็นด้วย ขอแค่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนและผิดกฎหมายเป็นพอ” วิภาวีรู้ว่าสิ่งที่คาดหวังอาจจะทำให้ลูกชายกดดัน เธอจึงพูดให้คลายความกังวลใจลงไปบ้าง

            “ขอบคุณครับที่ให้โอกาสผม ถ้าชาติหน้ามีจริงผมอยากจะเกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่อีกนะครับ”

            “พูดอะไรแบบนั้นเนี่ย รีบกินดีกว่า จะไปบ้านน้าพิมพ์ไม่ใช่เหรอ เห็นว่าวันนี้เลิฟมีแข่งดนตรีนี่นา”

            “ใช่ครับแม่ วันนี้น้องมีแข่งรอบชิง ผมจะไปเชียร์ติดขอบเวทีเหมือนเดิม”

            “แม่ฝากเชียร์น้องด้วยละกัน วันนี้ลูกค้าคงจะเยอะน่าดูคงไปไม่ได้”

            “ครับแม่”

            การรับประทานข้าวมื้อนี้เป็นอะไรที่วิเศษสุดสำหรับคิม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและความรักของทั้งพ่อและแม่ นี่คือสิ่งที่เขาได้รับมันมาโดยตลอด แม้จะดื้อไปบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้มีสติเดินไปในทางที่ดีมาโดยตลอด

            หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว คิมก็ขับรถคู่ใจออกมาจากบ้านตรงไปหาคนรักทันที วันนี้เขาตั้งใจจะไปส่งเลิฟที่สถานที่จัดงานด้วยตัวเอง

            วันนี้ร้านเบเกอร์รี่ปิดทำการ เพราะพิมพ์พรและผู้ช่วยสาวต้องไปเชียร์เลิฟถึงขอบเวที เมื่อคิมเดินเข้าไปในร้านจึงมีแต่ความเงียบงัน และพบว่าพิมพ์พรกำลังทำความสะอาดร้านพร้อมกับผู้ช่วยสาว

            “สวัสดีครับน้าพิมพ์”

            “อ้าว! สวัสดีจ้าคิม มารับน้องเหรอจ๊ะ”

            “ครับผม วันนี้เลิฟต้องเข้าไปเตรียมตัวที่งานก่อนครับ”

            “ถ้างั้นก็ขึ้นไปเลยจ้ะน้องน่าจะกำลังแต่งตัวอยู่บนห้อง”

            “ถ้างั้นขอตัวก่อนนะครับ”

            ว่าแล้วเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างคุ้นเคย ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง

            เมื่อถึงหน้าห้องคิมก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบๆ เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ จึงย่องเงียบเข้าไปชะโงกหน้าดูใกล้ๆ เห็นอย่างนั้นคิมก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะตอนนี้คนรักกำลังนั่งเขียนบรรยายถึงเขาอยู่นั่นเอง

            “พี่คิมเป็นคนที่เอาใจเก่ง และคอยตามใจผมตลอดเวลา” คิมตั้งใจอ่านออกเสียงให้อีกฝ่ายรู้ตัว

            เมื่อได้ยินเลิฟก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าขาวเปลี่ยนสีในทันที พร้อมทั้งรีบปิดสมุดบันทึกเอาไว้

            “พี่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ไม่มีมารยาทเอาซะเลยว่ะ”

            “ถ้าไม่แอบเข้ามาเงียบๆ จะได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้เหรอวะ” คนพูดยิ้มไม่ยอมหุบ

            “เห็นหมดแล้วอ่ะดิ” เลิฟก้มหน้าพูดด้วยความเคอะเขิน

            “กูดีใจนะเว้ยที่มึงให้ความสำคัญกับกูถึงขนาดนี้ กูอยากอ่านจังว่ามึงเขียนอะไรถึงกูบ้าง”

            “อยากอ่านจริงดิ ถ้างั้นผมจะให้อ่านก็ได้ เอาไปอ่านที่บ้านละกัน” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบสมุดบันทึกเล่มแรกที่เขาเขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว ยื่นให้กับคนรัก

            “ทำไมง่ายจังวะรอบนี้”   

            “ก็พี่เห็นแล้วไง มันไม่ใช่ความลับอีกต่อไป อ่านจบแล้วก็เอามาคืนผมด้วยละกัน”

            “เออ...อ่านจบแล้วเดี๋ยวเอามาคืนให้ แต่งตัวเสร็จยังจะได้รีบไป ไอ้พวกนั้นมันคงไปถึงแล้วมั้งป่านนี้”

            “เสร็จแล้วครับ ลงไปกันถอะถ้างั้น” เลิฟหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาถือไว้ เตรียมจะสะพายแต่กลับโดนอีกฝ่ายเข้ามาสวมกอดไว้ก่อน

            “โชคดีนะเว้ย ทำให้เต็มที่กูจะส่งกำลังใจให้มึงตลอดเวลา”

            “มาทำซึ้งอะไรตอนนี้เนี่ย” เลิฟยิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้บ้าง

            “กูเชื่อว่าวันนี้มึงจะต้องทำมันสำเร็จ และคนที่ได้กอดมึงก่อนใครก็คือกูไงล่ะ”

            “ที่แท้ก็อยากเป็นคนแรก พอได้แล้วลงไปกันเถอะ” เลิฟผละตัวออกมาแล้วมองหน้าอีกฝ่าย “วันนี้ผมจะทำให้เต็มที่ไม่ต้องห่วงครับที่รัก”

            “ดีมากไอ้น้อง”

            ทั้งสองยิ้มให้กัน เดินลงไปหาพิมพ์พรที่ชั้นล่างเพื่อบอกกล่าว ก่อนจะออกเดินทางไป

            “ผมไปก่อนนะครับแม่”

            “จ้ะ เดี๋ยวแม่กับพี่เหมียวตามไปนะ”

            “ครับผม ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปล่ะนะ อย่าไปช้านักล่ะ เดี๋ยวไม่ได้เชียร์ติดขอบเวทีไม่รู้ด้วยนะ”

            “จ้าเคลียร์ของที่ร้านเสร็จแล้ว แม่จะตามไป”

            “ผมไปก่อนนะครับน้าพิมพ์” คิมยกมือไหว้

            “จ้า ฝากน้องด้วยนะ”

            “ครับ”

            หลังจากไหว้ลาผู้ใหญ่แล้ว ทั้งสองก็ออกเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน ซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง คิมพาคนรักเดินเข้าไปสมทบกับคนอื่นๆ ซึ่งมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนจะเริ่มการแข่งขันทุกทีมต้องเข้าไปสแตนด์บายด้านใน เพื่อซักซ้อมให้คุ้นกับเวที ก่อนจะได้แสดงจริงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

            “กูนึกว่าพวกมึงไปให้กำลังใจกันที่โรงแรมม่านรูดซะอีก” แจ๊บเอ่ยแซว เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินมาพร้อมกัน

            “ไอ้สัดแจ๊บ มึงก็คิดไปได้” คิมว่าให้ แต่ก็ยิ้มน้อยๆ

            “สวัสดีครับพี่ๆ” เลิฟยกมือไหว้รุ่นพี่ทุกคน

            “เข้าไปเลยป่ะ จะได้รีบไปเตรียมตัวกัน” อู๋เอ่ยขึ้น

            “พวกมึงสองตัวก็รีบร่ำลากันซะจะได้เข้าไปแล้ว” แจ๊บเอ่ยกับคู่รักที่เพิ่งมาถึง

            “ถ้างั้นผมเข้าไปล่ะนะพี่” เลิฟหันมาเอ่ยกับคนรัก

            “ตั้งใจซ้อมล่ะ ถึงเวลากูจะมาเชียร์ถึงขอบเวที”

            “ครับผม” เลิฟยิ้มตอบ

            ในระหว่างนั้นคิมก็ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด ต่อหน้าเพื่อนๆ ทุกคน ทำเอาคนรอบข้างถึงกับอิจฉาตาร้อนกัน

            “หวานเหี้ยๆ สงสัยไอ้เลิฟมันจะมีกำลังใจเกินร้อยแล้วว่ะ ชนะชัวร์” เอ็มเอ่ยแซว

            “กูมีธุระต่อ เดี๋ยวเจอกันหน้าเวทีเว้ยพวกมึง ฝากดูแลมันด้วยล่ะ”

            “เออๆ ห่วงกันจริง” แจ๊บตอบ

            ก่อนจะเดินจากไป คิมก็ไม่วายจะส่งยิ้มให้คนรัก แล้วหันหลังกลับเดินหน้าออกไปจากตรงนั้น มุ่งหน้าไปสะสางปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ภายในใจ

            หลังจากจอดรถไว้ที่หน้าตึกร้างแล้ว คิมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไป ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเข้ามามากนัก เพราะเป็นเขตหวงห้าม แต่ทว่าก็มีเด็กวัยรุ่นบางกลุ่มขึ้นมามั่วสุมเสพยาเสพติดกันอยู่บ่อยครั้ง แถมยังฉีดสเปรย์สีเป็นรูปภาพต่างๆ ไว้มากมาย ตึกร้างแห่งนี้มีทั้งหมดสิบชั้น ทั้งสองได้นัดกันที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า เดินขึ้นบันไดชั้นแล้วชั้นเล่าจนในที่สุดคิมก็มาถึงเสียที

            หนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงยีน กำลังยืนหันหลังให้ เขาคนนั้นชื่อใหญ่ เป็นพี่ชายคนเดียวของหญิงนั่นเอง และทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อจะทวงความยุติธรรมให้กับน้องสาว ที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ทิ้งไว้เพียงความโกรธแค้นที่เขาจะต้องสานมันต่อ

            “มึงเป็นใคร” คิมเอ่ยถาม เมื่อเดินมาถึงแล้วเห็นอีกฝ่ายยืนหันหลังอยู่

            ใหญ่หันหลังกลับมามองผู้มาใหม่ ก่อนจะยิ้มเหี้ยมใส่อย่างเย็นยะเยือก

            “ตรงต่อเวลาดีนี่หว่าไอ้คิม”

            “มึงเป็นใครกันแน่”

            “มึงไม่ต้องรู้ชื่อเสียงเรียงนามกูหรอก รู้เพียงแต่ว่ากูคือพี่ชายของหญิง”

            “มึงต้องการอะไร ถึงนัดกูมาเจอที่นี่”

            “กูก็จะมาแก้แค้นให้น้องสาวกูไงล่ะ ไอ้หน้าตัวเมีย มึงข่มขืนน้องกู ทำให้น้องกูต้องฆ่าตัวตาย” ใหญ่ตะโกนใส่หน้าด้วยท่าทีแข็งกร้าว เขาอยากจะสับไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ ให้ตายตกตามน้องสาวไปเสีย

            “กูไม่ได้ข่มขืนหญิง สงสัยมึงเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว” คิมรีบแย้งกลับโดยทันที เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายถึงเข้าใจผิดไปได้ถึงขนาดนี้

            “ผู้ร้ายคนไหนมันจะยอมรับวะ กูรู้อยู่แล้วว่ามึงจะต้องปฏิเสธ กูเชื่อน้องกูมากกว่ามึง น้องคนที่ต้องฆ่าตัวตายเพราะผู้ชายเลวๆ อย่างมึง!”

            “ก็กูบอกว่าไม่ได้ทำยังไงล่ะวะ น้องมึงโกหก!”

            เมื่อได้ยินอย่างนั้น ใหญ่ไม่รอช้ารีบวิ่งปรี่เข้ามากระชากตัวคิม ซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าคมเต็มแรง จนล้มกองลงกับพื้น จากนั้นก็นั่งคร่อมตัว รัวหมัดใส่ไม่ยั้ง ราวกับรอช่วงเวลานี้มาแสนนาน

            “เอาเลยถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะทำให้น้องมึงฟื้นขึ้นมา” ตอนนี้สภาพใบหน้าคิมบวมแดง มีเลือดไหลที่มุมปากเล็กน้อย

            “ไอ้เหี้ย! ยังไม่สำนึกอีกเหรอวะ!”

            “คนอย่างมันไม่มีทางสำนึกผิดหรอก”

            เสียงของใครบางคนดังขึ้น ทำเอาคิมถึงกับประหลาดใจ ที่นี่ไม่ได้มีแค่เขากับพี่ชายหญิงงั้นเหรอ หันไปมองก็เห็นโอมยืนยิ้มมุมปากอย่างสะใจอยู่ไม่ไกล

            “ไอ้โอม!”

            “ใช่กูเอง ตกใจเหรอที่รู้ว่าเป็นกู”

            “มึงมาที่นี่ได้ไงวะ แล้วพวกมึงสองคนรู้จักกันได้ไง”

            “ใช่! พวกกูรู้จักกัน แต่หลังจากหญิงตายไปแล้วนะ ไอ้โอมมันคอยส่งข่าวความเคลื่อนไหวของมึงให้กูเองล่ะ เป็นไงอึ้งแดกไปเลยเหรอไอ้ฆาตกร”

            “กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเหี้ยอย่างนี้ กูทำอะไรให้มึงโกรธขนาดนั้นเหรอวะไอ้โอม!”

            “ก็มึงมันทำตัวเด่นเกินไปไงล่ะ กูเหม็นขี้หน้ามึงมาตั้งนานแล้ว เป็นไงล่ะที่นี้อยู่ใต้ตีนคนอย่างกูบ้างรู้สึกยังไง” ว่าแล้วก็เหยียบเข้าที่หน้าอก กดให้แน่นลงจนคิมทำหน้าเหยเก

            “ไอ้เหี้ย! มึงมันก็แค่คนขี้ขลาด เอาชนะคนอื่นด้วยวิธีสกปรก คนอย่างมึงมันไม่ตายดีหรอก”

            “ใครกันแน่วะที่ไม่ตายดี วันนี้พวกกูจะส่งมึงไปลงนรกเอง”

            “มะ...หมายความว่าไง พวกมึงเป็นบ้าไปแล้วรึไงวะ!” เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย คิมก็พยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ทว่ากลับโดนโอมล็อกตัวเอาไว้แน่น ปล่อยให้ใหญ่ซ้อมจนพอใจ จนตอนนี้เนื้อตัวคิมสะบักสะบอม ใบหน้าที่เคยหล่อขาวใส กลับเต็มไปด้วยเลือดโชก นอนกองอยู่บนพื้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะหลบหนีได้

            ในใจตอนนี้เขานึกถึงแต่หน้าพ่อกับแม่พร้อมทั้งคนรัก น้ำตาของลูกผู้ชายไหลหลั่งลงมาจากหางตา ภาพแห่งความทรงจำของคนทั้งสามฉายวนในหัวอยู่ซ้ำๆ สายตาคมที่เคยมองเห็นทุกอย่างชัดเจนเริ่มพร่ามัว ทุกอย่างมันเบลอไปเสียหมด

            ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูจะต้องไปเชียร์มึงให้ได้ กูจะต้องไปให้ได้......

            ไม่นานหลังจากนั้น คิมก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ และทุกอย่างก็ดับวูบลงไปในที่สุด มีเพียงแต่ความมืดและความเงียบสงบเท่านั้น...

            หลังจากนั่งรอคิวการแสดงอยู่นานพอสมควร ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นบนเวทีแล้ว เลิฟกับสมาชิกวงบางกอกบอยแบนด์เดินขึ้นไปประจำจุดของตัวเอง เพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยของอุปกรณ์ ในระหว่างนั้นนักร้องนำหน้าหล่อก็เอาแต่ส่องสายตาหาใครบางคน เขาเจอผู้เป็นแม่กับเหมียวยืนโบกมือให้อยู่หน้าเวทีจึงยิ้มตอบ ข้างกันนั้นก็เป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันกลุ่มใหญ่ที่ส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม แต่ทว่าเลิฟยังไม่เห็นเขาคนนั้น คนที่อยากเห็นหน้ามากที่สุดในตอนนี้

            “สวัสดีคร้าบบทุกคน ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงวันนี้ วันที่สำคัญที่สุดของพวกเราทุกคน พวกเราวงบางกอกบอยแบนด์ขอสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อวิทยาลัยช่างบางกอกของพวกเรา และหวังว่าทุกคนที่อยู่ในฮอลล์แห่งนี้ จะมีความสุขไปพร้อมกับพวกเรานะครับ” เสียงเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งฮอลล์ หลังจากนักร้องนำสุดหล่อพูดจบ หลังจากนั้นการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น

            การแสดงมินิคอนเสิร์ตในครั้งนี้ เลิฟทำมันได้ไม่ดีนัก เพราะยังคงไม่เห็นหน้าคนรักที่เคยสัญญาว่าจะมาให้กำลังใจหน้าเวที แต่พอถึงช่วงท้ายของการแสดง วินาทีที่เขารอคอยก็มาถึง เมื่อเห็นคนรักยืนยิ้มให้อยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นอย่างนั้นเลิฟก็ยิ้มออก มีกำลังใจที่จะทำมันให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ในช่วงเพลงสุดท้ายเขาทำมันได้ดีมาก จนทำให้คนทั้งฮอลล์มีอารมณ์ร่วมได้ไม่ยาก ต่างก็ร้องและโบกมือตามจังหวะเพลงไปด้วย

            จนถึงช่วงเวลาที่บีบรัดหัวใจ นั่นคือการประกาศผล ทั้งห้าวงที่เพิ่งจะโชว์ความสามารถมาหมาดๆ ต่างก็ยืนจับกลุ่มกันบนเวทีด้วยความตื่นเต้น ไม่ต่างจากผู้ชมหน้าเวทีที่ยืนตัวเกร็งกันเป็นระนาว

            “ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย เราจะประกาศทีมที่มีคะแนนสูงสุดเพียงทีมเดียวเท่านั้น อีกสี่วงที่เหลือจะได้รับรางวัลรองชนะเลิศเสมอกัน วงที่ผมจะประกาศชื่อต่อไปนี้ จะได้เซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงอันดับหนึ่งของประเทศ และมีอัลบั้มเป็นของตัวเองอีกด้วยครับ และวงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศวงดนตรีนักเรียน ครั้งที่ 15 ได้แก่...........”

            เลิฟได้ฟังผลการตัดสินก็ถึงกับน้ำตาไหล เขาจ้องมองไปยังชายคนรักที่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนที่เขาคนนั้นจะค่อยๆ เดินถอยหลังห่างออกไป และหายไปจากสายตาในที่สุด

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คิมตายหรอ ไม่อาววววววววววววววววแบบนี้นะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ  :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จะตายไม่ได้เน้อออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๒o-

อวสาน



            7 ปีต่อมา

            แม้ว่าท้องฟ้าที่มองเห็นจากทางหน้าต่างจะยังมืดสลัว แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงกลับลืมตาตื่นขึ้นมา ในช่วงเวลาเช้าตรู่อย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอื้อมมือไปหยิบโมเดลนักแข่งรถที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ที่คนรักเคยให้ไว้เมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาดู เขามักจะตื่นขึ้นมามองดูมันอย่างนี้เป็นประจำทุกเช้า

            คนที่นอนข้างกันนั้นเป็นเด็กชายหน้าตาน่ารักวัยเจ็ดขวบ กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ แม้ว่าคิมจะได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เขาก็ได้มอบชีวิตน้อยๆ นี้มาให้เลิฟ ทำให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความหวัง เขามองดูโมเดลนั้นกับลูกชายสลับไปมา ใบหน้าหล่อก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอยู่เนืองๆ แม้ว่าทั้งสามจะไม่ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้า แต่เลิฟก็เลี้ยงดูลูกชายอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

            “พี่คิมครับผมคิดถึงพี่จัง” ว่าแล้วก็วางโมเดลนั้นไว้บนโต๊ะดังเดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ที่เรือนผมของลูกชายเบาๆ ยิ่งโตขึ้นมาใบหน้ายิ่งคล้ายคลึงกับผู้เป็นพ่อ จนเลิฟรู้สึกได้ว่าคิมมาเกิดใหม่ในร่างของลูกชายตัวน้อยคนนี้

            นอนมองหน้าลูกชายอยู่อย่างนั้นจนฟ้าเริ่มสว่าง ‘มิ่งขวัญ’ ก็ค่อยๆ ขยับและเริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยอาการงัวเงีย

            ที่ตั้งชื่อลูกชายว่ามิ่งขวัญ ก็เพราะมีความหมายว่า ‘ผู้เป็นที่รัก’ เขาอยากให้ลูกชายเป็นตัวแทนของคิม ผู้ซึ่งเป็นที่รักของเขานั่นเอง

            “ตื่นแล้วเหรอครับคนดีของแม่” เลิฟยิ้มให้ลูกชาย เอื้อมมือไปเกลี่ยไรผมออกจากใบหน้าให้

            “ครับคุณแม่” มิ่งขวัญตอบ

            “ถ้างั้นรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำ จะได้ลงไปกินข้าว วันนี้แม่จะพาไปเที่ยวและไปหาคุณพ่อด้วย” เลิฟบอกกับลูกชาย

            “เย้! น้องมิ่งจะไปหาคุณพ่ออีกแล้ว” ดูท่าทางว่าเด็กชายตัวน้อยจะดีใจเป็นพิเศษ เมื่อรู้ว่าจะได้ไปพบผู้เป็นพ่ออีกครั้ง

            “ถ้างั้นเราอาบน้ำแล้วลงไปหาคุณยายกันนะครับ”

            หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เลิฟจะใช้เวลาอยู่กับลูกชายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบทเรียนในอดีตเขาใช้เวลากับคนรักได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร จึงไม่อยากสูญเสียเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น วงบางกอกบอยแบนด์ไม่ได้เป็นทีมชนะ นั่นทำให้เลิฟผิดหวังมาก แถมเมื่อลงจากเวทีก็ได้รับข่าวร้ายว่าคิมตกตึกเสียชีวิตอีกต่างหาก ทำให้ความผิดหวังเสียใจมันยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีก ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทำให้เจ้าตัวรับไม่ได้ จมอยู่กับความโศกเศร้านานนับเดือน แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับเขา เมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีลูก ราวกับสวรรค์ได้ส่งเด็กคนนี้เข้ามาเป็นเหมือนแสงนำทางให้ชีวิตอีกครั้ง หลังจากนั้นเลิฟก็เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น เพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกมาอย่างแข็งแรงและสมบูรณ์

            ตอนนี้เลิฟทำงานด้านไอทีซึ่งตรงกับสายที่เรียนมา ส่วนความฝันที่จะเป็นนักร้องต้องพับเอาไว้ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เขาเต็มใจที่จะเปิดเผยกับทุกคนบนโลกใบนี้ให้รู้ว่าเขาเป็นเกย์ และเลี้ยงดูมิ่งขวัญในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นี่คือสิ่งที่เขาจะทำให้คิมได้เป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิต และคิดว่าคิมคงจะมองดูเขากับลูกอยู่บนสวรรค์ แล้วยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน

            “มาแล้วคร้าบบคุณยาย” เมื่อลงมาจากห้องนอนแล้ว มิ่งขวัญก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปกอดผู้เป็นยาย เป็นการทักทายในตอนเช้าที่สุดแสนจะอบอุ่น

            “วันนี้ตื่นแต่เช้าเชียวนะไอ้ตัวเล็กของยาย”

            “วันนี้คุณแม่จะพาไปเที่ยวครับ”

            “จริงสิถ้างั้นต้องกินข้าวเยอะๆ จะได้มีแรงเดินเที่ยวนะ”

            “ครับคุณยาย”

            เลิฟส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ที่กำลังยืนกอดหลานชายอยู่ ช่วงเวลาที่เลิฟทุกข์ใจที่สุดในชีวิต แม่คนนี้ไม่เคยห่างเขาไปไหนเลย คอยปลอบใจ คอยเป็นห่วง และเป็นคนที่จูงเขาขึ้นมาจากห้วงแห่งความทุกข์ หากไม่มีแม่คนนี้ ป่านนี้เขาคงจะต้องฆ่าตัวตายตามคิมไปเสียแล้ว

            “เตรียมร้านเสร็จแล้วเหรอครับแม่”

            “จ้ะเสร็จแล้ว พาลูกไปกินข้าวก่อนเถอะ แม่เตรียมไว้บนโต๊ะรอแล้ว”

            “ขอบคุณนะครับแม่ ที่เป็นทุกอย่างให้ผมมาตลอด” เลิฟส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่

            “แม่ทุกคนทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง อีกหน่อยน้องมิ่งโตขึ้น ลูกก็จะต้องทำเหมือนแม่นี่ล่ะ”

            “ครับแม่ ถ้างั้นเราไปกินข้าวกันเถอะครับ”

            หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินเข้าไปรับประทานอาหารในครัว ส่วนร้านก็ให้เหมียวจัดการต่อ



            หลังจากรับประทานข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เลิฟก็ขับรถพาลูกชายออกจากบ้าน ตรงไปยังวิทยาลัยช่างบางกอก วันนี้เขาจะพาลูกชายไปทำความรู้จักเส้นทางรักของเขาและคิม มิ่งขวัญจะได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาเคยมีช่วงเวลาที่สุดพิเศษด้วยกันมากแค่ไหน

            รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นขับเข้าไปจอดบนถนนในวิทยาลัย วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จึงแทบจะไม่มีคน จะมีบ้างก็เป็นกลุ่มนักศึกษาที่มาซ้อมกีฬาและทำกิจกรรมกลุ่ม เมื่อลงจากรถแล้วก็จูงมือลูกชาย เดินไปยังสถานที่แห่งความทรงจำของเขา

            “คุณแม่พาน้องมิ่งมาที่นี่ทำไมครับ ไหนบอกจะพาไปเที่ยว” เด็กชายตัวน้อยรู้สึกสงสัย จึงเงยหน้าขึ้นไปถาม

            “วันนี้แม่จะพามาเที่ยวที่นี่ไงครับ รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เคยเรียนที่นี่ด้วยกัน”

            “จริงดิครับ”

            “จริงสิครับ ถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้มาเรียนที่นี่น้องมิ่งก็คงไม่ได้เกิดมา”

            “ผมต้องขอบคุณที่นี่ใช่ไหมครับ ที่ทำให้พ่อกับแม่เจอกัน”

            “ใช่แล้วครับ”

            ว่าแล้วเด็กชายตัวน้อยก็ยกมือขึ้นไหว้รอบตัวด้วยความใสซื่อ “ขอบคุณครับที่ทำให้ผมเกิดมา”

            เลิฟยิ้มแล้วจูงมือลูกชายขึ้นไปยังตึก ที่เขาเคยซ้อมดนตรี ที่นี่เปลี่ยนไปมาก แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนนั่นคือความรู้สึกและความทรงจำที่มีต่อที่นี่ มันยงคงเป็นความทรงจำดีๆ เสมอมา

            ห้องซ้อมดนตรีที่เขาเคยใช้ซ้อมสมัยเรียน มันยังคงอยู่ในสภาพเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ภาพความทรงจำที่เคยซ้อมกับรุ่นพี่ฉายให้เห็นอยู่ตรงหน้า เลิฟได้แต่ยิ้มตามเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ

            “แม่เคยมาซ้อมดนตรีที่นี่สมัยเรียน พ่อหนูเคยมานั่งรอแม่เป็นประจำเลยครับ” เลิฟบอกกับลูกชาย

            “สงสัยคุณพ่อต้องรักคุณแม่มากๆ เลยถึงได้มานั่งรออย่างนี้”

            “ใช่แล้วครับ คุณพ่อรักแม่มากที่สุดในโลกเลย” พอนึกถึงภาพเก่าๆ ก็ทำให้เลิฟขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาจะไหลออกมา แต่เจ้าตัวพยายามกลั้นมันเอาไว้

            “ทำไมคุณแม่ตาแดงอย่างนั้นล่ะครับ”

            “เปล่าครับ แม่แค่รู้สึกแสบตาเฉยๆ เดี๋ยวเราเข้าไปข้างในกันเถอะครับ”

            เลิฟพาลูกชายเข้าไปในห้องซ้อมดนตรี ก่อนจะเดินดูรอบๆ ด้วยความคิดถึง เพื่อนที่เคยซ้อมด้วยกันต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง นานๆ ทีถึงได้มาพบปะสังสรรค์กันที่ร้านเฮียอ่ำ ซึ่งตอนนี้โบว์เองได้เลื่อนขึ้นมาเป็นคุณนายของร้านไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้อยู่ใกล้ชิดกันอยู่นานจนกลายเป็นความรักขึ้นมา

            ส่วนโด้ตอนนี้ก็เป็นมือกีตาร์ที่มีชื่อเสียงค่ายเพลงแห่งหนึ่ง ตอนนี้ยังคบกับโจ้เหมือนเดิม เทียวไปรับไปส่งที่มหาวิทยาลัยอยู่เป็นประจำ

            “เฮ้ย! ไอ้หัวขโมยมาทำอะไรในห้องนี้วะ” เสียงที่คุ้นหูเอ่ยทักจากหน้าประตู ทำให้เลิฟต้องหันขวับไปมอง แล้วยิ้มออกมาทันที

            “พี่แจ๊บ! สวัสดีครับ”

            “หวัดดี แล้วมาทำอะไรกันที่นี่”

            “พาลูกมาเที่ยวเล่นเฉยๆ ครับ น้องมิ่งไหว้ลุงแจ๊บสิครับ”

            “สวัสดีครับ” เจ้าหนูยกมือไหว้ตามที่ผู้เป็นแม่สั่ง

            “สวัสดีครับ ไม่เจอกันตั้งนานโตขึ้นตั้งเยอะเลยนะ หน้าเหมือนพ่อโคตรๆ” แจ๊บนั่งลงต่อหน้าหลานชาย จ้องมองใบหน้าพร้อมทั้งส่งยิ้มให้

            “ใครๆ ก็บอกอย่างนี้ครับคุณลุง”

            “แล้วเราเคยเห็นรูปพ่อตัวเองบ้างรึยัง”

            “เห็นแล้วครับ คุณแม่เอาให้ดูบ่อยๆ แต่น้องมิ่งดูยังไงก็ไม่เห็นจะเหมือนเลย” มิ่งขวัญเอ่ยออกมาตามประสาความคิดของเด็ก

            “ฮ่าๆๆ เดี๋ยวโตขึ้นเอ็งก็จะรู้เองว่าเหมือนหรือไม่เหมือนพ่อ”

            “ว่าแต่ทำไมพี่แจ๊บได้มาวิทลัยล่ะครับ วันนี้หยุดไม่ใช่เหรอ”

            “วันนี้พี่นัดเด็กๆ มาซ้อมอ่ะ เดือนหน้าก็จะต้องไปแข่งแล้ว” ตอนนี้แจ๊บเป็นอาจารย์สอนดรตรีที่วิทยาลัย แถมยังเป็นที่ปรึกษาของวงบางกอกบอยแบนด์รุ่นปัจจุบันอีกด้วย

            “พูดแล้วก็คิดถึงสมัยโน้นนะครับ เป็นเพราะผมแท้ๆ เลยทำให้พวกเราไปไม่ถึงฝัน”

            “มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นล่ะ พวกเราทุกคนทำดีที่สุดแล้ว การชนะมันไม่ได้เป็นที่สุดของความฝันหรอก ดูอย่างไอ้โด้สิ เป็นมือกีตาร์ชื่อดังไปซะแล้ว”

            “เดี๋ยวนี้ชมใหญ่เลยนะครับ แต่ก่อนกันท่าซะเหลือเกิน”

            “ก็มันเป็นคนมีความพยายามดี ดูแลน้องกูมาตลอด ก็เลยต้องยอมมันนั่นล่ะ” แจ๊บพูดไปยิ้มไป

            “ว่าแต่เอ็งโตขึ้นอยากเป็นอะไรล่ะ” แจ๊บก้มลงไปถามหลานชาย

            “ผมอยากเป็นนักแข่งรถครับ”

            “อ้าว! ทำไมถึงอยากเป็นนักแข่งรถล่ะ”

            “เพราะคุณแม่ชอบเอาโมเดลนักแข่งรถมาให้ดูประจำ ผมเลยคิดว่าคุณแม่น่าจะชอบนักแข่งรถ”

            เลิฟมองหน้ารุ่นพี่แล้วยิ้มออกมา ก่อนจะอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นมายังไง “โมเดลนั่นพี่คิมซื้อให้ผมครับ มันเป็นเหมือนตัวแทนพี่คิม”

            “อ่อ เข้าใจแระ” แจ๊บตอบ แล้วหันไปเอ่ยกับมิ่งขวัญต่อ “อย่าดื้อกับแม่เขาล่ะเข้าใจไหม”

            “ครับคุณลุง”

            “ถ้างั้นผมกับลูกขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ว่าจะพาน้องมิ่งไปหาพ่อเขาสักหน่อย”

            “โชคดีเว้ย ว่างๆ เดี๋ยวนัดเจอกัน”                 

            “ครับพี่ ไว้เจอกัน” แจ๊บยกมือไหว้ ก่อนจะบอกลูกชายไหว้ตามอีกคน “ไหว้ลุงแจ๊บสิครับ”

            “สวัสดีครับลุงแจ๊บ”

            “สวัสดีครับ” แจ๊บยิ้มให้ แล้วมองตามหลังคนทั้งสองไปอย่างมีความสุข แม้ว่าเพื่อนจะจากไปแล้วแต่ก็ยังมีตัวแทนที่น่ารักเอาไว้ ให้คลายความคิดถึงไปได้บ้าง



            ออกมาจากห้องแล้ว เลิฟก็พาลูกเดินไปชมสถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวความทรงจำให้ลูกชายฟังไปด้วย ดูท่าทางแล้วเจ้าตัวเล็กคงจะชอบมาก เพราะตั้งใจฟังไม่งอแงเลยสักนิด

            หลังจากนั้นเลิฟก็ขับรถออกมาจากวิทยาลัย แวะที่ร้านขายดอกไม้ ก่อนจะขับตรงไปยังสุสานแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี เพื่อไปหาคนที่เขารักสุดหัวใจ

            สุสานแห่งนี้อยู่บนเนินเขาสูง มีฮวงซุ้ยนับพันที่ถูกสร้างไว้อย่างสวยงาม ที่นี่มีคนคอยดูแลให้อยู่เป็นประจำ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดของพื้นที่ เลิฟเคยพามิ่งขวัญมาที่นี่อยู่หลายครั้งในช่วงวันสำคัญต่างๆ รวมถึงทั้งสองครอบครัวก็จะมาทำบุญกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่สำหรับวิภาวีและก้องเกียรติจะมาเยี่ยมลูกชายอยู่บ่อยครั้งกว่าใครๆ

            “วางดอกไม้ให้พ่อกันครับ” ว่าแล้วทั้งสองคนก็นั่งลงแล้ววางช่อดอกไม้ไว้ที่ป้ายชื่อภาจีน ที่สลักอยู่บนหินอ่อนเนื้อดี ข้างบนนั้นก็มีรูปของคิมใบเล็กๆ ติดอยู่ เป็นภาพเมื่อครั้งที่คิมถ่ายไว้ตอนเข้าเรียนที่วิทยาลัยใหม่ๆ

            “พี่คิมครับ วันนี้เป็นวันเกิดลูกของเรา พี่ช่วยอวยพรให้น้องมิ่งแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงด้วยนะครับ” เอ่ยไปน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นทาง เขาไม่สามารถกลั้นมันเอาไว้ได้เลย ยิ่งเห็นภาพถ่ายนั้นยิ่งรู้สึกคิดถึงจับใจ

            “คุณแม่อย่าร้องไห้นะครับ” เด็กชายตัวน้อยเอื้อมไปปาดน้ำตาบนแก้มให้ผู้เป็นแม่ เลิฟยิ้มให้ลูกชายทั้งน้ำตาก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มนุ่มอย่างเอ็นดู

            “แม่ไม่ร้องแล้วครับลูก” ว่าแล้วก็ปาดน้ำตาบนแก้มออกจนหมด

            “น้องมิ่งมีอะไรจะบอกกับคุณพ่อไหมครับ คุณพ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว”

            “คุณพ่อจะได้ยินเหรอครับคุณแม่”

            “ได้ยินสิครับ คุณพ่อหลับอยู่ด้านในนั่นไง แต่คุณพ่อออกมาหาเราไม่ได้เท่านั้นเอง”

            “ทำไมล่ะครับ”

            “คุณพ่อเขาอยู่ในนั้นอย่างสบายแล้วไงล่ะครับ”

            “ถ้าคุณพ่อได้ยิน น้องมิ่งจะบอกกับคุณพ่อว่าน้องมิ่งจะดูแลคุณแม่เองนะครับ คุณพ่อนอนหลับอยู่ในนั้นให้สบาย ผมกับคุณแม่จะมาเยี่ยมคุณพ่อบ่อยๆ นะครับ คุณพ่อจะได้ไม่เหงา” มิ่งขวัญเอ่ยต่อหน้ารูปถ่ายผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับ เหมือนรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดอย่างแน่นอน

            “ถ้าวั้นนั้นพี่บอกผม ผมคงไม่ยอมให้พี่ไปที่นั่นแน่นอน ไม่อย่างนั้นป่านนี้เราคงจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก แต่ไม่เป็นไรครับผมจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกเองพี่ไม่ต้องเป็นห่วง” น้ำตาของเขาไหลลงมาอีกครั้ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน แต่เมื่อได้มานั่งสนทนากับคนรักที่สุสานแห่งนี้ เขาอดที่จะร้องไห้ไม่ได้เลยสักครั้ง

            แม้ว่าคิมจะจากเขาไปนานเจ็ดปีแล้ว แต่เลิฟยังคงไม่หยุดบันทึกความรู้สึกที่มีต่อคนรักเลยแม้แต่วันเดียว นั่นทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่ข้างกายตลอดเวลา แม้มันอาจจะดูเหมือนหลอกตัวเองไปวันๆ แต่สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขามีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป เพื่อดูแลลูกชายให้ดีที่สุด

            “คุณแม่ร้องไห้อีกแล้ว ไม่เอานะครับ น้องมิ่งไม่อยากให้คุณแม่ร้อง”

            “แม่ขอโทษครับลูก แม่พยายามแล้ว” ยิ่งพูด เจ้าตัวยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก

            “เดี๋ยวคุณพ่อก็เป็นห่วงคุณแม่หรอกครับ”

            “แม่ไม่ร้องแล้วครับคนดี แม่ไม่ร้องแล้ว” เลิฟถอนหายใจยาว ก่อนจะตั้งสติอีกครั้ง คว้าตัวลูกชายเข้ามาสวมกอดไว้ จ้องมองไปยังภาพถ่ายของคนรักที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงภาพวันเก่าๆ ที่เคยร่วมทำด้วยกันมา ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่ามันเพิ่งไปเกิดเมื่อวานนี้เอง ก่อนกลับเขาจะร้องต้องเพลงให้คนรักฟังทุกครั้ง และในวันนี้เพลงที่เขาจะร้องให้คิมฟังนั่นก็คือเพลง ‘คิดถึง’



            “คนเดียวที่คิดถึง ที่รักเธอเป็นดั่งดวงใจ เธอไม่มาด้วยเหตุใด จะไปไหนก็ไม่บอก ทิ้งฉันไว้คนเดียว

            คนเดียวที่คิดถึง ป่านนี้ใจเธอคิดอะไร คิดถึงฉันรึเปล่า ว่านอนหนาวหัวใจ เหงาเกินคำบรรยาย

            เลยเวลาเธอไม่มาหา รู้บ้างไหมว่าฉันคอย กำลังใจเริ่มจะทดถอย น้ำน้อยๆ ล้นออกตา

            คิดถึงเธอแทบใจจะขาด อยากให้เธอกลับมาซะที คิดถึงเธอทุกวินาที อยากจะพบเธอคนเดียว....”



จบบริบูรณ์


              --------------------------------------------
             ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะครับ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แล้วคิมตายฟรีสินะ :m15:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จับคนร้ายที่ฆ่าคิมไม่ได้หรอ  :m15:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai1: สงสารน้องนะเนี่ย พี่คิมมาตายซะงั้น

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แล้วใหญ่กับโอม ไม่ได้รับผลกรรมเลยหรอ???

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ไม่น่ารีบตัดจบเลย
 :mew4:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รู้ว่าคิมตายฟรีก็น่าเศร้าแล้ว :o12:

นี่ตัดจบ ปมไม่คลาย ทิ้งปลายเปิด...เศร้ายิ่งกว่า  :sad4: 

           :katai1: :ling1: :katai5:

ออฟไลน์ Icegemini04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่น่าจบแบบนี้เลย แบบคือดูสับสนไปหมด ความคิดของตัวละครคืองงๆ อยู่ๆก็โผล่มา
ไม่มีเรื่องอะไรเคลียร์เลย ตัดจบได้เซ็งมากค่ะ

 :katai1: :katai1: :katai1:

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BIEWL

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอเค จบได้ป่วยมาก ไม่มีปมคลี่คลายอะไรเลย

ออฟไลน์ PanGii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ยยยยยยย  น้องมิ่งน่ารักจังเลยลูก  สงสารน้องเลิฟ

ออฟไลน์ reborn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 675
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

ออฟไลน์ NnAeMe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ยยย สงสารเลิฟฟ ฮื่อออออออออออ


ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตัดจบแบบป่วยมาก
สรุปคิมตายฟรี
คนร้ายทั้งหมดที่ข่มขื่นหญิง
และโอมกับใหญ่ลอยนวล????
ไม่คลีคลายอะไรเลย เซง
อุตส่าเข้ามาอ่าน

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สงสารทั้งคิมทั้งเลิฟเลยอ่ะ  :hao5:
ทำไมจับคนที่ทำร้ายกันไม่ได้ แงงงงง

ออฟไลน์ zysygy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จบไม่สวยอ่าาาา

ออฟไลน์ Noina_Pn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
งื้ออออออ :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ มนุษย์สาววาย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สงสารน้องงงง อยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด