-๑๒-
ความสำเร็จ
วันนี้สมาชิกวงบางกอกบอยแบนด์พร้อมใจกัน เดินทางมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในวงดนตรีนักเรียนประจำปีของคลื่นวิทยุค่ายหนึ่ง
หน้าเวทีมีกองเชียร์นับพันคน ที่ต่างก็ตั้งตารอเชียร์ทีมโรงเรียนของตัวเอง ป้ายไฟทั้งหลายถูกยกขึ้นมาเพื่อให้คนที่อยู่บนเวทีรับรู้ว่ามีกำลังใจเชียร์อยู่ตรงนี้
การแสดงจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว ทำเอาทั้งหน้าหนุ่มถึงกับตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย มือเย็นเฉียบ หัวใจเต้นแรง โดยเฉพาะน้องใหม่ทั้งสองคนที่เพิ่งจะเข้ามาสู่สังเวียนนี้
“ไม่ต้องเกร็งเว้ย ทำให้ได้เหมือนที่พวกเราซ้อมกันมา อย่าคาดหวังกับผลแต่ตั้งใจทำมันให้ดีที่สุดเป็นพอ” แจ๊บบอกกับสมาชิกในวง ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“บางกอกบอยแบนด์สู้!”
เมื่อเรียกเอาขวัญกำลังใจกันแล้ว ทั้งหน้าหนุ่มก็เดินเข้าไปยืนรอสแตนด์บายที่ข้างเวที ต่างคนต่างก็ยกมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ในขณะวงที่กำลังแสดงอยู่นั้นใกล้จะจบลงแล้ว
“วงต่อไปที่จะขึ้นมาแสดงความสามารถให้กับพวกเราได้รับชมกัน พวกเขาเป็นเด็กช่างที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เมื่อครู่ที่เห็นกันข้างเวทีผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เด็กช่างเมืองไทยจะหล่อได้ถึงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเรามาชมทั้งความหล่อและความสามารถของพวกเขาไปพร้อมๆ กันเลยครับ กับวงบางกอกบอยแบนด์!!!”
เมื่อพิธีกรพูดจบทั้งหมดก็เดินเข้าไปยืนเป็นแถว ยกมือไหว้ผู้ชมนับพันหน้าเวทีพร้อมกัน ก่อนจะเดินเข้าไปประจำจุดของตัวเอง
“สวัสดีคร้าบบทุกคน พวกเราวงบางกอกบอยแบนด์ วันนี้จะมาขับกล่อมทุกคนด้วยเสียงอันไพเราะของผม ผสมกับดนตรีที่ยอดเยี่ยมจากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างหลัง เรามาเริ่มต้นกันด้วยเพลงช้าๆ ซึ้งๆ กันก่อนเลยครับกับเพลงนี้ นับหนึ่งกันไหม...”
พูดจบจังหวะดนตรีก็เริ่มขึ้น เลิฟโยกย้ายตามจังหวะเพลงไปด้วย พร้อมทั้งโบกมือให้กับแฟนๆ หน้าเวที แต่สายตาคมนั้นกลับหยุดมองที่ใครคนหนึ่ง ที่กำลังยืนยิ้มให้อยู่ตรงหน้า เป็นคิมนั่นเองที่มาตามเชียร์ถึงขอบเวทีพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ
“ถ้าหากว่าฉันต้องมีใจ ต้องเริ่มความรักขึ้นมากับใครสักคน อยากมีคนนั้นที่เข้าใจหยุดอยู่ที่ฉันเรื่อยไป ด้วยความมั่นคง เธอทำให้รู้ว่าฉันยังมีหวังอยู่ ถ้าเธอไม่รักก็คงจะไม่รู้สึก จากคำพูดและการกระทำจากส่วนลึกของใจเธอนั้น คือทุกคำตอบที่ฉันรอ...นับหนึ่งกันไหมเมื่อหัวใจตรงกัน เริ่มต้นที่รักกันจนวันสุดท้ายของลมหายใจ รักอย่างที่ฝันที่หวังไว้ในใจ ไม่ขอมากเกินไปแค่มีเธอคนนี้ เป็นเดือนประดับใจ อยากให้จบสวยเหมือนในนิยาย เป็นรักแท้ตลอดไป...”
ทุกท่วงทำนองที่เปล่งเสียงร้องออกมา ราวกับต้องการร้องเพลงนี้ให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า นั่นทำให้ทุกอย่างมันออกมาจากใจและเป็นธรรมชาติ สื่ออารมณ์ของเพลงได้เป็นอย่างดี
เพลงแรกจบลงไปอย่างสวยงาม หลังจากนั้นก็ตามต่อด้วยเพลงเร็วทันที เพลงที่เลือกมาร้องนั่นคือเพลง ‘เล่นของสูง’ ของวงบิ๊กแอส
การแสดงดำเนินไปเรื่อยๆ จนครบทุกวง และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนต่างก็รอคอย นั่นคือการประกาศผลวงที่ผ่านเข้ารอบห้าวงสุดท้าย ตอนนี้ทุกคนมายืนรวมตัวกันอยู่บนเวทีอย่างเนืองแน่น ต่างก็ตื่นเต้นลุ้นว่าตัวเองจะได้ไปต่อหรือไม่
“เชื่อว่าตอนนี้น้องๆ ทุกคนคงจะตื่นเต้นน่าดู เราจะประกาศห้าทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า พร้อมที่จะฟังผลกันรึยังครับ” พูดจบพิธีกรก็ยื่นไมโครโฟนไปซาวเสียงจากผู้ชม
“พร้อมแล้ว”
“กรี๊ดดด!!!”
“ถ้าพร้อมแล้วเราจะมาประกาศผลทีมแรกที่ได้ผ่านเข้ารอบ วงไหนที่ถูกประกาศชื่อให้เดินออกมาหน้าเวทีเลยนะครับ” ว่าแล้วพิธีกรก็เปิดแผ่นกระดาษใบเล็กๆ ขึ้นมาอ่าน ก่อนจะประกาศผลให้ทุกคนทราบ “วงแรกที่ผ่านเข้ารอบคือ วงเดอะไนน์จากโรงเรียนเซนท์คริสเตียนคร้าบบบ”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นท่วมฮอลล์เมื่อพิธีกรประกาศชื่อทีมแรกออกมา คิมกับเพื่อนต่างก็ลุ้นภาวนาให้ชื่อต่อไปเป็นชื่อของวงบางกอกบอยแบนด์
“และทีมต่อไปก็คือ วงน็อกเอาท์จากโรงเรียนศรีอำมาตยศิลป์”
“วงแบล็กสกายจากโรงเรียนศึกษาพาณิชย์”
“วงอินเดอะกราวด์จากวิทยาลัยเทคนิคXXX”
สี่ทีมที่เข้ารอบไปล้วนแต่เป็นทีมที่มีฐานแฟนคลับค่อนข้างสูง ทำให้เสียงเชียร์ดังกระหึ่มกลบทีมอื่นๆ ไปโดยปริยาย ยิ่งเหลืออีกหนึ่งที่ยิ่งทำให้หนุ่มๆ ทั้งห้าคนกดดันหนักมากขึ้น รวมถึงกองเชียร์ที่อยู่หน้าเวทีด้วย ก่อนจะประกาศชื่อที่ผ่านเข้ารอบเป็นทีมสุดท้าย ทั้งห้าหนุ่มก็จับมือกันไว้ หลับตาปี๋รอลุ้น ในใจก็ภาวนาให้เป็นชื่อวงของตัวเอง
“และทีมที่เข้ารอบเป็นทีมสุดท้าย ขอบอกเลยว่าวงนี้นักร้องนำหล่อบาดใจสาวๆ ซะเหลือเกินจนผมแอบอิจฉา และวงนั้นก็คือ วง...วงบางกอกบอยแบนด์จากวิทยาลัยช่างบางกอกคร้าบบบ”
“เฮ้ย! วงเราเข้าแล้ววงเราเข้ารอบแล้วโว้ย” แจ๊บลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยกับสมาชิกในวง ก่อนจะกระโดดโหยงกอดคอกันด้วยความดีใจ พร้อมใจกันเดินมาหน้าเวทีแล้วโบกมือให้กับกองเชียร์ที่กำลังส่งเสียงโห่ร้องไม่แพ้กัน
“และนี่คือห้าวงสุดท้ายของเราในวันนี้ ปรบมือให้กับพวกเขาอีกครั้งหน่อยคร้าบบ” พิธีกรรอให้เสียงปรบมือซาลงก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อย่าลืมติดตามเชียร์พวกเขาได้ในรอบชิงชนะเลิศที่จะมีขึ้นในวันที่สิบเอ็ดเดือนหน้าด้วยนะครับ ต้องขอขอบคุณแฟนๆ ทุกท่านที่มาเชียร์กันอย่างคับคั่งในวันนี้ สำหรับวันนี้ต้องขอลาเพียงเท่านี้ก่อนนะคร้าบบบ” พูดจบพิธีกรก็ยกมือขึ้นไว้ขอบคุณแฟนๆ หน้าเวที เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการหน้าเวที
หลังจากนั้นทุกวงที่เข้าร่วมแข่งขันก็ร่วมถ่ายรูปกับคณะกรรมการ ก่อนจะแยกถ่ายเฉพาะวงที่ผ่านเข้ารอบ จากนั้นก็เข้าไปหลังเวทีเพื่อฟังบรีฟจากทางทีมงาน นัดแนะวันเวลาและบอกกติกาที่จะใช้ในรอบตัดสิน
คิมและผองเพื่อนยังคงยืนรออยู่หน้าเวที เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้
“รู้สึกว่ามึงจะยิ้มไม่หุบเลยนะไอ้คิม” โต้งเอ่ยแซว เมื่อปรายตามองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกัน ก็เห็นว่าเอาแต่ยิ้ม ชะเง้อมองหาคนรัก
“แน่นอนสิวะ หรือมึงไม่ดีใจที่วิทลัยเราเข้ารอบ”
“ก็ดีใจ แต่มึงมันมีอะไรมากกว่านั้นนี่หว่า”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี เพราะพวกมึงเลยทำให้กูแทบแย่” คิมยังคาดโทษเรื่องที่ร้านเฮียอ่ำไว้อยู่
“อย่ามาโทษพวกกู มึงมันเมาแล้วรั่วเองนี่หว่า ฮ่าๆๆ” โต้งว่าแล้วก็ขำออกมา
ระหว่างนั้นทั้งห้าหนุ่มก็เดินออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อทุกคนเห็นก็ส่งเสียงโห่ร้อง ปรบมือต้อนรับเสียงดัง แล้วรีบวิ่งเข้าไปสวมกอด กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“พวกมึงสุดยอดเลยว่ะ” หนึ่งในกลุ่มกองเชียร์เอ่ยขึ้นมา
“ขอบใจเว้ย” แจ๊บตอบกลับไปด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
คิมเอาแต่ส่งยิ้มให้กับคนรัก ที่กำลังจ้องมองมาเช่นเดียวกัน เมื่อเดินเข้ามาใกล้กันแล้ว คิมก็วางมือลงบนบ่า เอ่ยแสดงความยินดี
“ดีใจด้วยนะเว้ยไอ้น้อง”
“ครับพี่”
ทั้งสองยิ้มให้กัน มีเพียงกลุ่มเพื่อนของคิมเท่านั้นที่รู้สถานะของคนทั้งสอง จึงเอาแต่ยิ้มตาม แต่คนอื่นๆแม้กระทั่งโด้เอง ก็คิดว่าเป็นแค่การทักทายของรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาเท่านั้นเอง
“วันนี้จะไปฉลองกันที่ไหนวะไอ้แจ๊บ” หินตะโกนถาม เพราะอยากจะไปร่วมแจมด้วย
“วันนี้งดเพราะพรุ่งนี้พวกกูมีนัดไปเที่ยวทะเลกัน คงจะไปฉลองกันที่นั่นว่ะ”
“เฮ้ย! พวกกูไปด้วยอยากไปเที่ยวทะเลเหมือนกัน” หินรีบตอบโดยเร็ว
“ไปก็ไปดิวะใครห้าม ไปหลายคนสนุกออก” แจ๊บว่า
“พวกมึงไปกันหมดนี่เลยป่ะ” อ๋องถาม
“ใช่ไปกันทั้งหมดนี่ล่ะ แล้วพวกมึงล่ะจะไปกันกี่คน” แจ๊บถามต่อ
อ๋องมองหน้าเพื่อนที่เหลือ ทั้งหมดยกมือขึ้นพร้อมกันครบทีม กลายเป็นว่าตอนนี้มีสมาชิกที่จะร่วมทริปนี้สิบเอ็ดคนรวมทั้งโจ้ด้วย
“ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันที่หน้าวิทลัยหกโมงเช้า พวกกูเหมารถตู้ไว้แล้วรวมพวกมึงด้วยก็พอดีเลย” แจ๊บบอก
“โอเคเว้ยเพื่อน” โต้งว่า
“ถ้างั้นก็แยกย้านกันกลับเว้ยเจอกันพรุ่งนี้”
หลังจากแจ๊บเอ่ยกับทุกคนแล้ว หนุ่มๆ ก็แยกย้ายกันกลับ
เลิฟนั่งซ้อนท้ายเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันประจำกลับบ้าน นอกจากจะดีใจที่ได้ผ่านเข้ารอบแล้ว เลิฟยังดีใจที่คิมไปให้กำลังใจติดขอบเวที วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขมากเหลือเกิน รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก อยากกลับไปบอกผู้เป็นแม่ให้เร็วที่สุด ท่านคงจะดีใจมากเหมือนกัน
“อ้าว! นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับพี่” เมื่อเห็นคิมขับรถออกนอกเส้นทาง เลิฟก็รีบตะโกนถามทันที
“......”
คิมไม่ตอบแต่กลับยิ้มมุมปาก รีบบึ่งรถไปยังสถานที่เป้าหมายทันที
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองก็มาถึงที่หมาย เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อจอดรถแล้วคิมก็หันมายิ้มให้รุ่นน้องที่ยืนทำหน้างองุ้มอยู่
“สรุปพาผมมาที่นี่ทำไมอ่ะ”
“ตั้งแต่คบกันมากูยังไม่เคยซื้ออะไรให้มึงเลย วันนี้มึงแข่งชนะทั้งทีกูเลยจะตามใจมึงไง อยากได้อะไรจัดไปเลยเดี๋ยวกูจ่ายเอง” วันนี้เขาพร้อมจะทำตัวเป็นป๋าทำตามใจแฟนทุกอย่าง
“แน่รึ” เลิฟยิ้มกวน
“แน่สิ”
“จะจ่ายไหวเร้อ งานก็ยังไม่ได้ทำ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย คิดจะเป็นป๋าซะแล้ว”
“ป๋าไม่ป๋าเดี๋ยวก็รู้ ป่ะ” ว่าแล้วคิมก็ยื่นมือไปรอให้อีกฝ่ายจับ จะได้เดินไปพร้อมกัน แต่เลิฟกลับเมินหน้าไม่ยอมทำตามใจ เดินนำหน้าไปก่อน
ระหว่างที่สองหนุ่มเดินเคียงคู่กันไป ความโดดเด่นทำให้สาวแท้สาวเทียมที่เห็น ต่างก็ส่งสายตาหวานเยิ้มพร้อมกับยิ้มให้ มีเอ่ยแซวบ้างในบางครั้ง ทั้งสองได้แต่ส่งยิ้มให้ตามประสาเด็กหนุ่ม โดยไม่มีการหึงหวงกันแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นแค่เรื่องสนุกๆ เท่านั้นเอง
“ผมไม่ค่อยชอบซื้อของในห้างสักเท่าไหร่อ่ะ มีร้านแบกะดินหรือพวกตลาดนัดไหมอ่ะพี่” เมื่อเดินมาได้สักพัก เลิฟก็เอ่ยกับคนที่ยืนข้างกัน
“อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกวะ”
“พี่ถามความคิดเห็นผมซะที่ไหนกันล่ะ อยู่ๆ ก็พามาซะงั้น”
“ก็กูอยากจะเซอร์ไพรซ์มึงนี่นา”
“เซอร์ไพรซ์มากกก” เลิฟลากเสียงยาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายจึงเอื้อมมือไปบิดแก้มเบาๆ
“อุ๊ย! น่ารักจัง” สองสาวนักเรียนมอต้นเดินผ่านมาเห็นพอดีจึงอุทานออกมา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองทั้งสองหนุ่มแล้วเดินผ่านไป คิมได้แต่ยิ้มรับอย่างพอใจ แต่คนที่ทำหน้าเหี้ยมกลับเป็นเลิฟซะงั้น
“เพราะพี่คนเดียวเลยทำให้โดนแซว อายจะตายห่าอยู่แล้ว” ตอนนี้สีหน้าของคนพูดเริ่มแดงก่ำขึ้นมา จนสังเกตเห็นได้ชัดเจน
“อายทำไมวะ น่ารักจะตาย”
“หยุดพูดเลย ตกลงมีไหมอ่ะตลาดแบกะดิน ผมมันพวกติดดินเว้ยไม่เหมือนพี่”
“มีดิวะตลาดเอาท์ดอร์เดินไปแปบเดียวก็ถึงละ”
“จะรออะไรล่ะคร้าบนำหน้าไปดิ”
“ไม่! เราจะเดินไปพร้อมกัน” ว่าแล้วก็กอดคออีกฝ่ายเอาไว้ ตั้งหน้าเดินไปอย่างสบายใจ เลิฟพยายามปัดมือรุ่นพี่ออกอยู่บ่อยครั้ง แต่คิมกลับยกมันขึ้นมาอีกจนได้ จนเลิฟต้องยอมในความดื้อด้าน ยอมให้มันเป็นไปอย่างนั้น
ตลาดแบกะดินที่คิมว่านั้นอยู่หลังห้าง เป็นตลาดที่หนุ่มสาวออฟฟิชมักจะมาเปิดท้ายขายกันหลังจากเลิกงาน ส่วนมากจะเป็นของมือสองเกือบทั้งนั้น
“สมใจอยากยังของมือสองเกือบทั้งนั้นเลย” คิมเอ่ยกับคนรักเมื่อเดินมาถึงที่หมายแล้ว
“นี่ล่ะทางผมเลย เตรียมเงินไว้ด้วยล่ะ”
“กูอยากจะรู้นัก ว่ามึงจะมีปัญหาซื้อได้เยอะแค่ไหนกันเชียว”
“เดี๋ยวก็รู้” เลิฟทำหน้ากวน แลบลิ้นให้หยอกเล่นๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไป
เลิฟแวะเข้าไปเลือกดูของเกือบทุกร้านที่เดินผ่าน แต่ทว่ากลับไม่ได้สนใจซื้ออะไรติดมือมาสักอย่าง คิมเดินตามหลังไปอย่างนั้นไม่ได้ว่าอะไร เจ้าตัวยืนมองทุกอิริยาบถของคนรักอย่างเพลินตา มันรู้สึกดีจนลืมไปเลยว่าตอนนี้เขายังไม่ได้ควักกระเป๋าจ่ายตังค์เลยสักบาทเดียว
“พี่ครับโมเดลนักร้องนี่เท่าไหร่ครับ” เดินมาถึงร้านขายโมเดลร้านหนึ่ง เลิฟก็ความสนใจแล้วนั่งลงสนทนากับพ่อค้า
“สองเก้าเก้าครับน้อง ของใหม่เลยนะนั่น ไม่ใช่มือสอง”
“จับดูได้ไหมครับ”
“ตามสบายเลยน้อง มันไม่พังง่ายๆ หรอกของมันดี” พ่อค้าบอก
คิมที่นั่งอยู่ข้างกัน เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เขานึกว่าจะอยากได้เสื้อผ้าซะอีก แต่ไหงกลับมาสนใจของชิ้นเล็กๆ อย่างนี้ซะงั้น
“มึงชอบเหรอ”
“ชอบดิน่ารักจะตาย พี่ว่าเหมือนผมไหม” ว่าแล้วก็ยกขึ้นมาเทียบกับใบหน้าตัวเอง ยิ้มให้อีกฝ่าย
“ไม่เห็นจะเหมือนเลยมึงหล่อกว่าตั้งเยอะ” คิมชมหน้าตาย ทำเอาเลิฟถึงกับเขินจนเบนหน้าไปสนใจพ่อค้าแทน
“ลดให้หน่อยได้ไหมครับพี่ แม่ให้เงินมานิดเดียวเอง ผมชอบจริงๆ อ่ะ” เลิฟทำเป็นอ้อนพ่อค้า
คิมกำลังจะอ้าปากพูด แต่เลิฟกลับเอื้อมมือไปปิดเอาไว้ เจ้าตัวจึงปิดปากเงียบนั่งมองดูเฉยๆ
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ลดให้เหลือสองร้อยเจ็ดสิบละกัน” พ่อค้าทำหน้าคิดนิดหน่อยแล้วเอ่ยบอกราคา
“สองร้อยห้าสิบไม่ได้เหรอพี่ นะนะ พี่คนหล่อ ถ้าผมมีเงินเดี๋ยววันหลังมาอุดหนุนพี่อีก” เลิฟยังต่อราคาลงอีก ทำเอาพ่อค้าหนักใจมากยิ่งขึ้น
คิมรู้สึกอายที่อีกฝ่ายหั่นราคาลงซะฮวบฮาบ ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าพ่อค้า ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยต่อราคาอย่างนี้ซะที่ไหนกัน
“เฮ้อ! แทบจะไม่ได้กำไรเลยนะน้อง แต่ก็เอาเถอะถือว่าพี่สงสารละกันให้ก็ได้” ในที่สุดพ่อค้าก็ยอมใจอ่อนจนได้
“เย้! ถ้างั้นเอาตัวนี้ครับพี่” ว่าแล้วก็ยื่นให้พ่อค้าใส่ถุงให้ ส่วนเจ้าตัวก็รีบเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินออกมาจ่าย
“เดี๋ยวกูจ่ายให้” คิมว่า
“ไม่เอาผมมีปัญญาจ่ายเอง พูดเล่นไปงั้นล่ะ” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้
หลังจากจ่ายเงินแล้วสองหนุ่มก็เดินออกจากร้าน ระหว่างนั้นเลิฟก็ยื่นถุงนั้นให้กับรุ่นพี่
“อ่ะผมซื้อให้”
“อ้าว! ซื้อให้กูทำไม กูต่างหากที่ต้องซื้อให้มึง” คิมว่าแต่ยังไม่ยอมรับ
“นี่มันโมเดลนักร้อง เป็นเหมือนตัวแทนผมไง เวลาคิดถึงผมก็ให้ดูไอ้นี่ไปพลางๆ”
“มึงนี่นะ หลอกกูแล้วหลอกกูอีก จนกูตามไม่ทันแล้วเนี่ย ขอบใจละกันกูจะดูแลมันอย่างดี จะตั้งไว้บนหัวเตียงเลยล่ะ กราบเช้ากราบเย็น” คิมพูดติดตลก
“ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะ ถ้างั้นกลับกันเถอะผมจะได้ไปช่วยแม่ที่ร้าน อีกอย่างจะได้ไปเก็บกระเป๋าด้วยพรุ่งนี้ก็จะเดินทางแล้ว”
“เออใช่ว่ะ ถ้างั้นมึงรออยู่ตรงนี้ก่อนนะกูไปเข้าห้องน้ำแปบ ปวดเยี่ยวฉิบหาย” พูดพร้อมกุมมือที่เป้าตัวเองด้วย
“เออๆ รีบมาละกันเดี๋ยวผมจะยืนรออยู่นี่”
คิมยิ้มให้ แล้วรีบเดินไป เลิฟยืนรออยู่ตรงนั้นเกือบสิบนาที อีกฝ่ายก็เดินกลับมา ในมือก็ถือถุงอะไรบางอย่างมาด้วย
“โทษทีว่ะที่มาช้า”
“ว่าแต่พี่ไปซื้ออะไรมาอ่ะ ไหนบอกไปห้องน้ำ” เลิฟเอ่ยถาม สายตาก็จ้องมองไปที่ถุงในมือ
“กูขอหลอกมึงคืนบ้าง กูไปซื้อไอ้นี่มา” คิมยกถุงขึ้นตรงหน้าให้อีกฝ่ายดูอย่างภูมิใจ
“อะไรอ่ะ”
“เปิดดูดิ” คนพูดยิ้มแล้วยื่นถุงให้
เลิฟรับมาแล้วหยิบของในถุงนั้นออกมา เมื่อเห็นแล้วก็ปรายตามองอีกฝ่าย ยิ้มน้อยๆ ออกมา มันคือโมเดลนักแข่งรถ
“โมเดลนักแข่งรถ”
“ใช่ มันคือตัวแทนกูไงล่ะ เราจะได้เสมอกัน เวลามึงคิดถึงกูก็ดูไอ้นี่”
“ใครจะคิดถึงพี่อ่ะคิดเองเออเอง” เลิฟว่าพลางเก็บมันเข้าไปในถุงเหมือนเดิม แต่ก็ยิ้มไม่ยอมหยุด
“ไม่คิดถึงลองดูสิ กูจะตามมานอนด้วยถึงห้องเลยคอยดู” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกอดคอรุ่นน้องเอาไว้
“ก็มาดิ พี่จะได้เสียตูดให้ผม” เลิฟขู่เล่นๆ
“ป่ะ กูอยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะลีลาเด็ดแค่ไหน” พูดแล้วก็เริ่มเดินไป
“พูดเล่นโว้ย พี่ไม่มีทางได้เห็นขาอ่อนผมหรอก”
“ใครอยากจะเห็นวะ คงจะมีแต่ขนเต็มไปหมด ฮ่าๆ” พูดแล้วก็ขำออกมา
“จำคำพูดเอาไว้เลยนะ อย่าหวังจะได้เข้าไปในห้องนอนผมอีกเด็ดขาด” เลิฟชี้หน้าขู่
“โอ๋เอ๋ พี่พูดเล่นคร้าบ” คิมง้องอนอีกฝ่ายด้วยการเอื้อมมือไปสัมผัสที่ปลายคางเล่น ก่อนจะเดินยิ้มไปอย่างนั้นอย่างอารมณ์ดี