❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018  (อ่าน 36773 ครั้ง)

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑o-

ผิดสัญญา



            หลังจากเลิกเรียนแล้วคิมก็ได้แยกกับเพื่อนเพื่อไปส่งเลิฟที่บ้านเหมือนปกติ แต่วันนี้เจ้าตัวต้องวนรถกลับไปสมทบกับเพื่อนที่ร้านเฮียอ่ำอีกที เพราะทั้งห้าหนุ่มได้นัดสังสรรค์กันตามที่ได้สัญญากันเอาไว้

            เมื่อรถบิ๊กไบค์คันใหญ่จอดที่หน้าบ้านแล้ว เลิฟก็ลงไปยืนข้างๆ ส่งยิ้ม โบกมือให้เหมือนเช่นทุกวัน

            “ขอบคุณครับพี่คิม”

            “ขอบคุณทำไมทุกวันวะ วันนี้กูจะไปเที่ยวกับเพื่อน อาจจะไม่ได้โทรหานะ” คิมบอกเอาไว้

            “ไม่เห็นชวนผมเลยอ่ะ” คนพูดทำเป็นงอน

            “มึงอยู่บ้านล่ะดีแล้วช่วยน้าพิมพ์ทำงาน”

             “ครับผม สั่งอย่างกับพ่อแหนะ”

             “กูไปละนะ”

             “อย่าเมานะครับพี่ ผมเป็นห่วง” เลิฟรู้สึกเคอะเขินเมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา

             “เออ กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกูไม่เมาหรอกน่า” คนพูดยักคิ้วให้ก่อนจะขับรถออกไป

             กำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงร้อง เลิฟจึงหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมารับสาย

            “ฮัลโลครับพี่โอม”

             ไปส่งเลิฟที่บ้านแล้วก็คิมก็บึ่งรถวนกลับมาที่ร้านของเฮียอ่ำทันที คนค่อนข้างแน่นร้าน นั่นเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ที่นั่งทุกโต๊ะเกือบเต็มจะมีว่างบ้างประปราย นั่นเพราะมีคนได้จองเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว

            โบว์สาวสวยประจำร้านเดินเข้ามารับออเดอร์เหมือนทุกครั้ง หล่อนรู้จักและคุ้นเคยกับหนุ่มๆ เป็นอย่างดี จึงทำให้บรรยากาศเป็นกันเอง

            “วันนี้มาเลี้ยงฉลองอะไรจ๊ะหนุ่มๆ” เธอกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม สวมชุดล่อใจเสือเหมือนทุกวัน

            “มาเลี้ยงฉลองที่ไอ้คิมมันมีแฟนครับพี่โบว์สุดสวย” โต้งว่า

            “ว้า! เสียดายจัง หล่อ หุ่นดี อย่างนี้ฉันยังไม่ทันได้แอ้มเลยอ่ะ ว่าแต่ผู้หญิงโชคดีคนนั้นเป็นใครกันนะ ฉันอยากจะตามไปตบซะจริงๆ” โบว์ว่า

            “ไม่ต้องเสียดายหรอกครับพี่ ไอ้พวกสี่คนนี้มันยังว่าง ชี้นิ้วเลือกเอาเลย” คิมว่า

            “ถ้าไม่ใช่เธอฉันก็ไม่มีทางเอาหรอกย่ะกะโหลกกะลา รีบๆ เขียนมาจะเอาอะไรบ้าง”

            “โห ดูถูกกันนี่หว่าพี่ นัดจัดกันสักรอบดีไหม จะได้รู้ว่าพวกผมไม่กะโหลกกะลา สี่ต่อหนึ่งเลยก็ได้” หินว่า

            “ไม่เอาด้วยหรอก บอกแล้วไงคนที่ฉันจะเอาก็คือคิมคนเดียวย่ะ” เธอยังคงยืนยันคำพูดเดิม

            “ลำเอียงนี่หว่าพี่ ของดีๆ ทั้งนั้นกลับไม่เอา อย่าเสียดายทีหลังละกัน” โต้งเอ่ยหยอก

            “โนเวย์ ไม่มีทางเสียดายย่ะ ไม่ได้คิมก็มีลูกค้าโต๊ะอื่นๆ เยอะแยะ หล่อกว่าอีกด้วย” เจ้าหล่อนพูดจีบปากจีบคอ เชิดหน้าใส่

            “อ่ะ ตามนี้พี่เร็วๆ ด้วยนะหิว” โต้งยื่นกระดาษที่จดเมนูคืนให้

            “ย่ะ...รอสักครู่” เธอยื่นมือไปรับแล้วก็เดินสะบัดตูดไป

            ระหว่างนั่งรออาหาร เครื่องดื่มก็ถูกนำมาเสิร์ฟก่อน ทั้งห้าหนุ่มนั่งจิบเบียร์ เหล่สาวในร้านไปพลางๆ แต่ทว่าคิมกลับบังเอิญเจอใครบางคนที่คุ้นเคยเดินมาพร้อมกับโอม

            “นั่นมันไอ้เลิฟกับไอ้โอมนี่หว่า ทำไมมาด้วยกันได้วะ” เมื่อเห็นทั้งสองคนเทอร์โบก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง จนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน

            คิมไม่พูดอะไรเอาแต่จ้องทั้งสองคนตาเขม็ง เขางงว่าทำไมเลิฟถึงออกมากับโอมได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งไปส่งที่บ้านมา อีกฝ่ายไม่ได้บอกอะไรเขาเลย ออกมากับมันทำไม? ทำไมไม่บอกกันเลยสักคำ? นั่นคือสิ่งที่คิมอยากจะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง

            “ไอ้คิม ไอ้คิมโว้ย” เมื่อเรียกครั้งแรกไม่ได้ยิน โต้งจึงเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีก

            “อะ...อะไรวะ แหกปากซะดังเชียว” คิมว่าให้เพื่อน

            “ก็มึงนั่งเหม่อ เห็นรึเปล่าว่าไอ้เลิฟมากับไอ้โอมน่ะ” โต้งว่า

            “เห็นแล้วทำไมวะ” คิมทำสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

            “มึงไม่เป็นห่วงมันเลยเหรอวะ อุตส่าห์ไปรับไปส่งทุกวันอย่างกะแฟน”

            “กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันนี่หว่า ทำไมต้องรู้สึกอะไรด้วย ดีเหมือนกันมันจะได้ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับกูอีกไง” คิมยิ้ม แต่ในใจกลับกระวนกระวาย อยากจะไปกระชากคอเสื้อถามให้รู้เรื่อง

            “ถ้างั้นก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อยเนาะ” โต้งว่าแล้วเรียกทั้งหมดมาชนแก้ว “ชนแก้วเว๊ย”

            แกร๊ง!

            “หมดแก้วววว!!!” หินบอกกับเพื่อนทุกคน ก่อนจะกระดกน้ำสีเหลืองอ่อนลงคอจนพร่องแล้ว

            “พวกมึงกูว่าจะไปทักทายไอ้นั่นซะหน่อย ยังไงก็คนรู้จักกันเดี๋ยวมันจะหาว่าหยิ่ง” คิมบอกกับเพื่อน

            “อ้าวไหนบอกไม่สนไงวะ ไอ้ห่านี่ ยังไงกันแน่” อ๋องว่า มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ

            “ก็คนมันรู้จักกัน อย่างน้อยมันก็เป็นน้องคนนึง เอาน่ากูไปแป๊บเดียว”

            “กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่มึงโว้ย” อ๋องยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

            คิมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาคนรัก ที่นั่งอยู่ถัดไปประมาณสี่โต๊ะ ระหว่างเดินไปนั้นก็พยายามควบคุมอารมณ์ ไม่ให้หึงหวงจนออกนอกหน้า แต่ภาพที่เห็นนั้นมันช่างบาดใจเสียเหลือเกิน มากันสองต่อสองแถมยังนั่งติดกันอีกด้วย ทำตัวอย่างกับมาออกเดตกันซะอย่างนั้น

            “เฮ้ย! พวกมึง” เมื่อเดินไปถึงโต๊ะคิมก็เอ่ยทักทายทั้งสองหนุ่ม

            เลิฟหันมามองที่ต้นเสียงก็ขมวดคิ้ว มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย “พี่คิม!”

            “เออกูเอง” สายตาคมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แต่ทว่าเลิฟกลับเปลี่ยนท่าทียิ้มให้เหมือนปกติ

            “ไม่ยักรู้ว่ามึงมาที่นี่ด้วย ถ้ารู้จะได้ชวนมาพร้อมกัน” โอมว่า ทำหน้ายียวนราวกับได้เป็นผู้ชนะในเกมนี้แล้ว

            “ชวนกูก็ไม่มาหรอก เพราะเพื่อนกูสำคัญกว่า”

            “แล้วมึงมาหาพวกกูทำไมวะ”

            “กูแค่มาทักทายตามประสาคนรู้จักกัน” คิมตั้งใจพูดประชดประชันเลิฟ ให้รู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังไม่พอใจมาก จากทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่ขุ่นมัว

            “ดีใจว่ะที่มึงอุตส่าห์มา กูมาเลี้ยงขอบคุณที่วันนั้นไอ้เลิฟมันเข้าไปช่วยพวกกู”

            “แล้วทำไมต้องมากันสองคนวะ เหมือนจงใจ” คิมอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะ ยิ่งอยู่ที่นี่นานเขายิ่งห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้

            “ทำไม! พวกกูจะมากันสองคนมันผิดตรงไหนวะ” โอมพูดจายียวน

            “นี่มึงกวนตีนกูเหรอวะ” คิมอารมณ์เดือดพล่าน เมื่อรู้ว่าโอมจงใจจะกวนตีน

            “เอ่อ...ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” เลิฟว่า มองตาคนที่ยืนอยู่ พยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าให้ตามมา

            “เคๆ เดี๋ยวกูนั่งดื่มรอ” โอมบอก

            เมื่อเลิฟเดินไปแล้ว สองหนุ่มก็จ้องตากันเขม็ง ประกาศสงครามกันอย่างชัดเจน โอมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของคิมและเลิฟนั้นถึงขั้นไหนแล้ว แต่เจ้าตัวมั่นใจว่าคงไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะดูจากสายตามี่มองและการกระทำที่แสดงออก คิมมักจะหึงหวงตลอดเวลาที่เขาอยู่ใกล้เลิฟ

            เมื่อมาถึงหน้าห้องน้ำแล้ว คิมก็จูงมืออีกฝ่ายเดินเลี่ยงไปด้านหลังในที่ลับตาคน

            “ปล่อยผม!”

            “มึงมากับมันได้ยังไง กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามากับมัน” ประโยคแรกคิมก็ขึ้นเสียงใส่ทันที

            “พี่โอมเขาโทรมาชวนผมอ่ะ แล้วจะให้ปฏิเสธได้ยังไงกัน” เลิฟอธิบาย

            “แล้วทำไมถึงไม่โทรมาบอกกกูก่อนล่ะ” คิมยังหาเรื่องไม่เลิก

            “ผมรู้ไงว่าพี่มาเที่ยวกับเพื่อนเลยไม่อยากกวน ทำไมจะต้องทำให้เรื่องง่ายเป็นเรื่องยากด้วยเนี่ย”

            “เรื่องง่ายงั้นเหรอ มึงแม่งคิดน้อยจังเลยวะ ไม่นึกถึงใจคนห่วงบ้างเลย มันจะทำอะไรมึงบ้างก็ไม่รู้ ไอ้อ่อนเอ๊ย!” ด้วยความโมโหคิมก็ว่าให้อีกฝ่าย

            “ถ้าพูดไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูดกันอีกเลย ผมเบื่อกับความงี่เง่าของพี่เหมือนกัน” ว่าแล้วเลิฟก็หันหลังกลับ เดินออกมา แต่คิมไม่ยอมจบรั้งมือเอาไว้

            “กูยังพูดไม่จบ มึงจะไปไหนไม่ได้”

            “พี่แม่งพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ถ้าไม่ปล่อยเราก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก” เลิฟหน้าขึ้นสี โมโหกับการกระทำของรุ่นพี่

            “ถ้างั้นก็ไปหามันเลย ไม่ต้องห่วงว่ากูจะเป็นยังไง” คิมยอมปล่อยมือ ยืนนิ่งไม่มองหน้า

            “พี่แม่งไม่มีเหตุผล” เลิฟเอ่ยแค่นั้นก็เดินหัวเสียออกไป ปล่อยให้คิมยืนน้ำตาตกในอยู่เพียงลำพัง

            เลิฟเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อควบคุมอารมณ์โมโห จากนั้นก็เดินออกมาในสภาพปกติ 

            “มาพอดีเลย อาหารเพิ่งมาเสิร์ฟ” โอมว่า

            “ถ้างั้นลงมือเลยครับพี่” เลิฟมองหน้า ยิ้มให้รุ่นพี่ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่เหมือนคิมอย่างสิ้นเชิง สามารถเก็บอารมณ์และแยกแยะสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี แต่รายนั้นสภาพจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ เป็นคนคิดมากและขี้น้อยใจเป็นที่สุด

            ทางด้านคิมก็เดินคอตกกลับมาที่โต๊ะ เขาไปซะนานจนลืมว่าตอนนี้เพื่อนรออยู่ นั่นทำให้ทั้งสี่หนุ่มรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมของคิม ปากก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กลับเป็นห่วงเป็นใยตลอดเวลา คนเป็นเพื่อนสนิทสังเกตได้ไม่ยากเพราะรู้นิสัยกันเป็นอย่างดี

            “ไอ้คิม ไปซะนานเชียวนะมึง” โต้งถาม

            “.........”

            เจ้าตัวไม่ตอบแต่กลับนั่งลงที่เก้าอี้ คว้าแก้วเบียร์ที่วางอยู่มาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนจะยื่นไปให้เพื่อนเปลี่ยนเป็นเหล้าให้แทน

            “ชงเหล้าให้กูหน่อยเอาเข้มๆ”

            “มึงเป็นอะไรมาวะ ไปหาไอ้หน้าหล่อนั่นก็เดินคอตกกลับมา” หินถาม ขณะชงเหล้าให้เพื่อนไปด้วย

            “เปล่าว่ะ...คนอย่างกูมันไม่มีใครต้องการ กูมันเป็นหมาหัวเน่า” คิมบ่น คว้าแก้วน้ำสีอำพันจากมือหินมา ทั้งที่ยังชงไม่เสร็จ

            “เฮ้ย! เบาๆ เว้ยเดี๋ยวก็เมากันพอดี” อ๋องพยายามปรามเพื่อน

            “เมาให้มันตายไปเลย คนอย่างกูไม่มีใครสนใจหรอก เป็นแค่ของตาย”

            “กูถามจริงๆ มึงกับไอ้เลิฟเป็นอะไรกันแน่วะ อย่าคิดว่าพวกกูดูไม่ออกนะเว้ย มึงไม่เคยชายตาแลใครมานาน แต่พอมีไอ้เลิฟเข้ามามึงก็ปลีกตัวจากพวกกูไปคลุกคลีอยู่กับมัน อย่าอ้างว่าเป็นเพราะเรื่องที่พนันกันไว้เพราะตอนนี้มันจบลงแล้ว” อ๋องถามออกไปตรงๆ

            “ไม่มีอะไรจริงๆ เว้ย” คิมยังจำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเลิฟได้แม่น จะไม่มีทางให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด

            “ก็แล้วแต่มึงนะพวกกูมันก็แค่เพื่อน ไม่ได้มีความสำคัญอะไร” อ๋องพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เพื่อกดดันให้เพื่อนพูดความจริงออกมา

            “มึงอย่ากดดันกูสิวะ” พูดแล้วก็กระดกเหล้าเข้าปากไปจนหมดแก้ว ระหว่างนั้นก็ปรายตามองเลิฟอยู่บ่อยครั้ง แต่อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้ม หัวเราะ พูดคุยกับโอมอย่างมีความสุข

            “ถ้างั้นก็แล้วแต่มึงสบายใจละกัน ดื่มเข้าไปให้พอใจเดี๋ยวพวกกูไปส่งที่บ้านเอง” อ๋องว่า มองหน้าเพื่อนคนอื่นแล้วยกยิ้ม เหมือนมีแผนในใจ

            หลังจากดื่มยกแก้วไปหลายยก ตอนนี้คิมก็เริ่มทรงตัวไม่ได้ ฟลุบหน้าลงบนโต๊ะ ปากก็บ่นอะไรออกมาไม่เป็นภาษา เพื่อนทั้งสี่คนจึงใช้โอกาสนี้ถามความจริงที่อยากจะรู้

            “ไอ้คิมมึงจะบอกพวกกูได้ยังว่าคนที่มึงชอบเป็นใคร” โต้งถาม

            “กูรู้ว่าพวกเมิงหลอกถาม แต่ก็จาบอกให้ก็ด้ายย” คิมเงยหน้าขึ้นมายิ้มตาปรือให้กับเพื่อน มือทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะเพื่อทรงตัว

            “รีบๆ บอกมาเลยดิวะ” ทั้งสี่คนมองหน้าเพื่อน ลุ้นกันยิ่งกว่าลุ้นหวย

            “คนที่กูชอบก็คือ...” พูดยังไม่ทันจบก็ฟลุบหน้าลงบนโต๊ะเสียก่อน

            “โอ๊ย! อย่าเพิ่งหลับสิวะบอกมาก่อน” หินเขย่าตัวเพื่อนจนคิมเงยหน้าขึ้นมายิ้มอีกครั้ง

            “คนคนนั้นก็คือ....ไอ้เลิฟงายล่ะ” พูดจบก็ฟลุบหน้าลงอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครปลุกขึ้นมาอีกแล้ว ปล่อยให้หลับไปอย่างนั้น

            “เหี้ย! กูว่าแล้วแม่งต้องเป็นอย่างนี้ มันสองคนมีซัมติงกันจริงๆ ว่ะ” โต้งว่า

            “มึงว่ามันสองคนจะได้กันยังวะ” อ๋องถามขึ้นมา มองหน้าเพื่อนคนอื่นยิ้มๆ

            “จะเหลือเร้อ ไปรับไปส่งกันขนาดนั้น” เทอร์โบว่า

            “มันบอกว่าไอ้เลิฟเป็นเกย์ แล้วไอ้คิมล่ะพวกมึงว่ามันจะเป็นด้วยรึเปล่าวะ หรือแค่อยากลองของแปลก” เทอร์โบว่า

            “ต้องดูกันต่อไปว่ะ” โต้งว่า

            จากนั้นทั้งหมดก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้เลิฟได้ยินประโยคพวกนั้นเข้าเต็มหู จากตอนแรกที่ตั้งใจจะมาดูว่าคิมเป็นยังไงบ้าง แต่เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้วเขาก็ไม่มีอะไรจะต้องห่วงอีกแล้ว ในเมื่อไม่รักษาสัญญาก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยจะดีกว่า

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๑-

ตามง้อ



            ช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมาทั้งสองคนไม่ได้คุยกันเลยสักคำ คิมเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์มือถือเกือบทั้งวัน ส่วนเลิฟเองก็ทำงานช่วยผู้เป็นแม่ด้วยอาการที่เหม่อลอย แม้ว่าต่างฝ่ายต่างก็คิดถึงกันมาก แต่ทว่าความขุ่นข้องหมองใจยังคงมีอยู่ นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยังคงตึงเครียด

            “ทำไมวันนี้มึงได้ปั่นจักรยานมาเองวะ พี่คิมไม่ได้ไปรับมึงเหรอ” โด้เอ่ยถาม ขณะทั้งสองนั่งอยู่ในห้องเรียน

            “กูเบื่อนั่งมอไซต์ อยากปั่นจักรยานเหมือนเดิม” คนพูดทำหน้าไม่สบอารมณ์

            “กูก็นึกว่ามึงกับพี่คิมทะเลาะกันซะอีก”

            “ทำไมพวกกูจะต้องทะเลาะด้วยวะ”

            “ก็เปล่า มันผิดปกติไงวะ ทำไมต้องขึ้นเสียงใส่กูด้วยล่ะไอ้ห่า” โด้ว่าให้

            “เปล่าซะหน่อย”

            “เอ้อ ไปกินข้าวกับพี่โอมเป็นไงบ้างวะ”

            “ก็ดีนะ อร่อยดี” เลิฟตอบแบบส่งๆ

            “อร่อยแล้วทำไมทำหน้างั้นวะ”

            “แล้วมึงจะให้กูทำหน้ายังไงล่ะ”

            “กูว่า....มึงต้องกำลังมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ บอกกูมาว่ามึงเป็นอะไร คนอย่างมึงมันจะมีอะไรให้เครียดได้วะ” โด้ว่า มองหน้าเพื่อนพร้อมกับทำค่าคิดไปด้วย

            “ไม่มีอะไรหรอก มึงน่ะคิดมากไปเอง เอาเวลาไปคิดว่าจะทำยังไงให้ชนะดีกว่า อีกสองวันก็จะแข่งแล้วนะโว้ย” เลิฟบอกกับเพื่อน อีกสองวันก็จะถึงการแข่งขันวงดนตรีนักเรียนนักศึกษาในรอบคัดเลือกแล้ว หากผ่านรอบนี้เข้าไปได้ ก็จะได้ไปแสดงสดบนเวทีใหญ่ในรอบตัดสินทันที

            “เรื่องนั้นกูคิดอยู่ตลอดเวลาโว้ย วันนี้ซ้อมใหญ่ซะด้วยสิ คงจะดึกกว่าทุกวัน”

            “เออว่ะ กูลืมไปเลยถ้างั้นเดี๋ยวกูโทรไปบอกแม่ก่อนนะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ว่าแล้วเลิฟก็ลุกขึ้น เดินออกไประเบียงหน้าห้อง

            ขณะกำลังคุยกับผู้เป็นแม่อยู่นั้น คิมและเพื่อนก็บังเอิญเดินผ่านมา ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาจากกัน ต่างฝ่ายต่างยังคงมีทิฐิ จึงทำให้ยังคงมีความหมางเมิน

            “คืนนี้ผมจะกลับดึกนะครับแม่”

            (“อ้าวทำไมล่ะลูก”)

            “รุ่นพี่นัดซ้อมใหญ่ครับ”

            (“อ๋อ ถ้างั้นก็อย่าดึกมากนะลูก ขับรถกลับให้ระวังด้วย”)

            “คร้าบบบ ผมจะระวังไม่ต้องเป็นห่วง”

            (“ถ้างั้นก็โอเคจ้ะ”)

            “แค่นี้ก่อนนะครับแม่ผมต้องเข้าเรียนแล้ว”

            วางสายผู้เป็นแม่แล้วเลิฟก็อดไม่ได้ที่จะมองตามหลังคิมไป ในเมื่อไม่สนใจทักทายกันก็ไม่ต้องคุยกันอีก เขาเองก็ไม่อยากจะคุยกับคนที่ชอบผิดสัญญานักหรอก

            วันนี้เป็นการซ้อมใหญ่ของวงบางกอกบอยแบนด์ ทั้งห้าหนุ่มเตรียมเสบียงติดมือขึ้นมาด้วย พร้อมสำหรับการซ้อมหลายชั่วโมงต่อเนื่อง

            ยังคงมีคนนั่งเฝ้าเจ้าประจำนั่นคือโจ้นั่นเอง คนที่มีกำลังใจดีสุดคงจะเป็นโด้ที่เอาแต่ส่งยิ้มหวานให้คนรักอยู่ไม่ขาด ทำเอาคนที่เหลือต่างห็หมั่นไส้ ให้กับความหวานของคู่นี้

            “วันนี้ซ้อมใหญ่แล้วนะโว้ยตั้งใจๆ หลังแข่งไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านเข้ารอบ เราจะไปเที่ยวทะเลกัน ดีไหม? ” แจ๊บเอ่ยกับทุกคน

            “ดีเลยครับ เย้!!!” โด้ตอบรับเป็นคนแรก ส่วนทุกคนที่เหลือต่างก็โห่ร้องเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน

            “ถ้างั้นก็สู้ให้เต็มที่ มารวมพลังกันหน่อยเร้ว” แจ๊บว่าแล้วก็ยื่นมือไปข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือก็ยื่นมาทับกันไปเรื่อยๆ จนครบ จากนั้นก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน

            “บางกอกบอยแบนด์สู้!”

            แปะๆๆ

            เมื่อสร้างความฮึกเหิมให้กันแล้ว ทุกคนก็เข้าประจำที่ เตรียมพร้อมสำหรับการซ้อมใหญ่เป็นครั้งแรก และเป็นการซ้อมที่ยาวนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา การแข่งขันจะต้องเล่นสองเพลง นั่นคือเพลงช้าและเพลงเร็ว จากนั้นก็จะคัดเข้ารอบห้าทีมสุดท้าย เพื่อไปแสดงสดที่เวทีใหญ่ ถ่ายทอดออกอากาศที่สถานีโทรทัศน์ชื่อดังช่องหนึ่ง

            ระหว่างที่ทุกคนกำลังซ้อมอยู่ในห้องนั้น คิมได้แอบมานั่งอยู่หน้าห้อง แอบมองผ่านกระจกอย่างระแวดระวัง ไม่ให้คนที่อยู่ด้านในรู้ตัว เขาได้ยินว่าวันนี้ซ้อมใหญ่แถมยังต้องกลับดึกกว่าทุกวัน นั่นทำให้คิมรู้สึกเป็นห่วง เขาตั้งใจจะคอยตามดูอยู่ห่างๆ ไม่ให้เลิฟรู้ตัว อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาเองสบายใจมากขึ้น

            ระหว่างนั่งรอก็โทรไปหาผู้เป็นแม่ เพื่อจะบอกกล่าวว่าวันนี้จะกลับดึกกว่าทุกวัน

            “ฮัลโล”

            (“ว่าไงลูก โทรมาอย่างนี้แสดงว่ายังไม่กลับบ้านแน่นอน”) วิภาวีรู้ทันลูกชาย

            “โห...รู้ทันอีก ใช่แล้วครับวันนี้ผมจะกลับดึกหน่อยนะ”

            (“วันนี้จะไปไหนอีกล่ะ”)

            “คือวันนี้ไอ้เลิฟมันซ้อมดนตรีดึกน่ะครับแม่ ผมเลยมารอรับน้องกลับบ้าน”

            (“อ้อ... ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถระวังด้วยนะลูก ค่ำมืดมันอันตราย”)

            “คร้าบบบคุณแม่สุดที่รัก”

            (“แค่นี้นะแม่ต้องไปทำกับข้าวแล้ว”)

            “ครับผม”

            วางสายผู้เป็นแม่ไปแล้ว เจ้าตัวก็ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันไปแอบมองดูคนรัก ที่กำลังซ้อมดนตรีอยู่ภายในห้อง ระหว่างซ้อมสีหน้าของเลิฟเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เห็นอย่างนี้แล้วเขาเองก็อยากจะให้ความฝันของอีกฝ่ายเป็นจริง อย่างไม่มีอุปสรรคใดๆ แม้จะให้อยู่ในมุมมืดแบบนี้ไปตลอดชีวิตเขาก็ยอม ขอเพียงได้อยู่ข้างๆ คอยดูแลและให้กำลังใจเท่านั้นเป็นพอ แค่นี้ก็สุขใจแล้ว

            นั่งรออยู่นานจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเปิดประตู คิมสะดุ้งโหยงแล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า

            “ไอ้เลิฟมึงไม่ให้กูไปส่งจริงดิวะ นี่มันก็สองทุ่มกว่าแล้วนะเว้ย” โด้เอ่ยกับเพื่อน

            “ไม่ต้องว่ะบ้านกูอยู่แค่นี้เองชิวๆ”

            “ระวังรถใหญ่ด้วยนะเว้ยไอ้เลิฟ กูกลับล่ะ” อู๋บอก

            “ครับพี่อู๋”

            “กลับก่อนนะเว้ยแล้วเจอกันพรุ่งนี้” แจ๊บเอ่ย ขณะกอดคอน้องชายเอาไว้

            “สวัสดีครับพี่ๆ” เลิฟยกมือไหว้ ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายขับรถกันออกไป

            จากนั้นเลิฟก็ปั่นจักรยานออกจากอาคารเรียนไปเพียงลำพัง ทางด้านคิมรอจังหวะให้อีกฝ่ายขับไปได้สักระยะก่อน จึงสตาร์ทเครื่อง ค่อยๆ ขับตามหลังไปอย่างช้าๆ เขาจะขับตามไปจนกว่าเลิฟจะถึงบ้านอย่างปลอดภัย

            คิมจอดรถที่หน้าปากซอยแล้วมองตามหลังไป ดูให้แน่ใจว่าเลิฟได้เข้าไปในบ้านแล้ว นั่นถือเป็นอันสิ้นสุดของภารกิจในวันนี้ จากนั้นเจ้าตัวจึงบึ่งรถกลับบ้านไป

            เลิฟเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้เป็นแม่กำลังกวาดพื้นร้านอยู่เพียงลำพัง

            “พี่เหมียวกลับแล้วเหรอครับแม่”

            “จ๊ะ กลับเมื่อครู่นี่เอง วันนี้ดูท่าทางจะเหนื่อยน่าดูนะเรา”

            “ก็นิดหน่อยครับแม่ มะรืนก็จะไปแข่งรอบคัดเลือกแล้ว ช่วงนี้เลยซ้อมหนักหน่อย”

            “อย่าหักโหมมากนักล่ะลูก วันแข่งจริงจะได้มีแรงสู้เยอะๆ”

            “คร้าบบบ”

            “ว่าแต่ทำไมเมื่อเช้านี้พี่คิมไม่มารับเราล่ะ”

            “เอ่อ...วันนี้ซ้อมดึกครับผมเลยบอกพี่เขาไม่ต้องมารับมาส่งแล้ว อีกอย่างช่วงนี้อาจจะกลับไม่เป็นเวลา ผมเกรงใจพี่เขาอ่ะ” เลิฟคิดหาทางออกเพื่อไม่ให้ผู้เป็นแม่สงสัย

            “เอ๊ะ! เมื่อตอนเย็นน้าวิโทรมาบอกแม่ว่าคิมไปรอรับลูกที่วิทยาลัยนี่นา” พิมพ์พรทำหน้างง

            “อ้าวเหรอครับ ผมไม่เห็นพี่เขาเลยนี่นา” เมื่อได้ยินอย่างนั้น เลิฟก็นึกขึ้นได้ว่ามีรถมอเตอร์ไซต์ขับตามหลังมาห่างๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่าน่าจะเป็นคิมนั่นเอง

            “แต่ก็ช่างเถอะ รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมากินข้าวเร็วลูก แม่จะอุ่นกับข้าวไว้รอ”

            “ครับแม่”

            เลิฟสะพายกระเป๋าเป้เดินขึ้นไปบนห้องนอน ในใจก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายที่ต้องมาคอยตามเฝ้าอย่างนี้ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ร้านเฮียอ่ำ ก็ต้องทำใจแข็งเอาไว้

            กำลังจะปลดกระดุมเสื้อก็มีสายโทรเข้ามา เลิฟเอื้อมมือไปหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารนั้นขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นสายของคิมนั่นเอง จ้องมองที่หน้าจออยู่สักพักเพื่อตัดสินใจว่าจะรับดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่อง โยนทิ้งไว้บนเตียงเช่นเดิม

            หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว เลิฟก็ลงมาทานข้าวที่ห้องครัว ตอนนี้อาหารที่อุ่นใหม่ๆ พร้อมข้าวสวยร้อนๆ ถูกวางไว้บนโต๊ะรออยู่แล้ว ส่วนผู้เป็นแม่กำลังเดินมาจากร้านพอดี

            “แม่ไม่หิวเหรอครับทำไมไม่กินก่อนผมเลย”

            “ก็เรามีกันแค่สองคน ถ้าแม่กินก่อนแล้วใครจะกินเป็นเพื่อนลูกล่ะ” เธอว่าพลางตักไข่เจียวให้ลูกชาย

            “ขอบคุณครับ”

            “วันแข่งแม่ต้องปิดร้านไปเชียร์รึเปล่าเนี่ย”

            “เอาไว้ให้ได้เข้ารอบชิงก่อนค่อยไปก็ได้ครับแม่ แต่ไม่รู้จะได้เข้ารึเปล่านะ ฮ่าๆ” เลิฟว่าพลางตักข้าวทานไปด้วย

            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะลูกแม่เก่งอยู่แล้ว”

            “แม่ชมขนาดนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะเนี่ย” เลิฟยิ้มให้

            “จ้ามันต้องมั่นใจอย่างนี้ ถึงจะเอาชนะเขาได้”

            “ครับแม่”

            การรับประทานอาหารมื้อเย็นพร้อมบทสนทนาที่แสนจะอบอุ่น ทำให้เลิฟลืมเรื่องทุกข์ใจไปได้ชั่วคราว แม้ว่าก่อนนอนใบหน้าของคิมจะลอยมาให้เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ข่มตานอนจนหลับไปในที่สุด

--*-*-*-*-*

            เช้าวันใหม่ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วเลิฟก็ลงมาที่ห้องครัวเพื่อทานมื้อเช้า บนโต๊ะอาหารนั้นมีนมสดหนึ่งแก้วและกับข้าววางไว้รอเหมือนเช่นทุกวัน เจ้าตัวรีบนั่งแล้วลงมือจัดการกับอาหารที่ผู้เป็นแม่ได้เตรียมไว้ให้ เสร็จแล้วก็เดินสะพายกระเป๋าออกมาหาผู้เป็นแม่ที่กำลังเตรียมของเปิดร้านอยู่

            “ไปก่อนนะครับแม่” ว่าแล้วก็ยกมือไหว้

            “จ้า ระวังรถด้วยนะลูก”

            “ครับผม”

            เลิฟเดินยิ้มออกมาได้ไม่นาน ก็ต้องหุบยิ้มลง นั่นเพราะตอนนี้รถบิ๊กไบค์คันใหญ่จอดรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับผู้เป็นเจ้าของหน้าหล่อที่ส่งยิ้มมาให้

            เลิฟทำเป็นไม่สนใจ ก้าวขาขึ้นไปนั่งบนรถจักรยานคู่ใจ แต่คิมกลับเดินมายืนขวางหน้าเอาไว้

            “กูมารับ” คนพูดจ้องอย่างไม่ละสายตา

            “ไม่ไป! หลีกทางด้วย”

            “ไม่หลีก”

            “อยากเจ็บตัวรึไง ออกไปดิ” เลิฟกัดฟันพูด ใจจริงอยากจะตะโกนใส่หน้าเสียด้วยซ้ำ แต่กลัวผู้เป็นแม่จะได้ยินเข้า

            “กูขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าใส่มึงวันนั้น กูจะไม่ใจร้อนแบบนั้นอีก กูสัญญา”

            “ผมไม่มีทางเชื่อหรอกว่าพี่จะทำได้ ขนาดเรื่องที่เราคบกันพี่ยังพูดให้เพื่อนฟังเลย”

            “กูไม่ได้พูด! จริงๆ นะสาบานได้เลย” ว่าแล้วก็ยกสามนิ้วขึ้น

            “ยังจะมาโกหกอีก พี่มันเหี้ยบอกไว้เลย ผมไม่มีทางเชื่อพี่อีกแล้วว่ะ”

            “กูพูดจริงๆ ทำยังไงมึงถึงจะเชื่อใจกันวะ”

            “พี่จำไม่ได้เลยเหรอว่าพูดอะไรออกมา ถ้าจำไม่ได้ก็ไปถามเพื่อนพี่ดิ ถ้าเมาแล้วปากโป้งอย่างนั้นมันจะมีอะไรให้ไว้ใจกันได้อีกวะ”

            “อย่าบอกนะว่าวันนั้นกูพูดออกไปให้ไอ้พวกสี่ตัวนั้นรู้หมดแล้ว” คิมพยายามนึกถึงเรื่องวันนั้นแต่ก็จำไม่ได้

            “ก็เออน่ะดิ รู้ยังว่าตอนนี้พี่ทำผิดร้ายแรงแค่ไหน เพิ่งคบกันได้ไม่นานก็ทำความลับรั่วซะแล้ว ถ้าคบกันต่อไปผมไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไง”

            “กูขอโทษเว้ย กูขอโทษจริงๆ มึงอย่าพูดแบบนี้สิกูใจคอไม่ดี มึงพูดเหมือนกับว่าจะเลิกคบกับกู” คนพูดขอบตาร้อนผ่าว กำลังจะร้องไห้ออกมา

            เลิฟเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจยาว ปรายตาหนีไปอีกทาง เขาไม่อยากเห็นภาพนั้น เพราะมันจะทำให้ตัวเองใจอ่อนไปด้วย

            “ผู้ชายอะไร จะบ่อน้ำตาตื้นขนาดนี้” เลิฟว่าให้

            “ก็กูเสียใจนี่หว่า มึงไม่ยอมใจอ่อนยกโทษให้กูเลย ขอโอกาสให้กูอีกครั้งเถอะนะ กูสัญญาว่าจะไม่ดื่มเหล้าจนกว่ามึงจะอนุญาต เอาอย่างนี้ก็ได้” คิมก้มหน้าไม่ยอมไปไหน มือทั้งสองข้างจับที่แฮนด์รถจักรยานไว้

            “ถ้างั้นก็ไปคุยต่อที่วิทลัยละกัน ผมจะไปกับพี่ก็ได้” เห็นอย่างนั้นเลิฟก็อดใจอ่อนไม่ได้ จึงลงจากรถแล้วจูงไปจอดไว้หน้าบ้านเหมือนเดิม

            ส่วนคิมก็รีบไปสตาร์ทเครื่องรอ ยิ้มไม่ยอมหยุด

            “กอดเอวกูไว้แน่นๆ นะ”

            “ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วน่า”

            “จะไปละนะ” คิมพูดแต่ไม่ยอมออกรถ หาเรื่องคุยกับอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด

            “จะไปก็รีบไปดิเดี๋ยวก็สายกันพอดี”

            “มึงยกโทษให้กูแล้วใช่ป่ะ พูดให้กูสบายใจหน่อยดิ”

            “โอ๊ย! พี่แม่งบ้า เออ ยอมก็ยอมโว้ย จะไปได้ยัง” เลิฟตะโกนที่ข้างหูเสียงดัง จนอีกฝ่ายได้ยินอย่างชัดเจน

            “โอเคครับเจ้านาย จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” คิมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะบึ่งรถออกไป

            แม้ว่าเลิฟจะโกรธอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม แต่พอเห็นใบหน้าหล่อที่สำนึกผิด ก็ทำให้ยอมลดทิฐิลงมาได้อย่างง่ายดาย ผู้ชายคนนี้ภายนอกอาจจะดูเข้มแข็ง แต่ทว่าภายในนั้นกลับอ่อนไหวเสียเหลือเกิน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:


โถววว พี่คิมผู้อ่อนไหว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เลิฟใจอ่อนอีกแล้ว  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๒-

ความสำเร็จ



            วันนี้สมาชิกวงบางกอกบอยแบนด์พร้อมใจกัน เดินทางมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในวงดนตรีนักเรียนประจำปีของคลื่นวิทยุค่ายหนึ่ง

            หน้าเวทีมีกองเชียร์นับพันคน ที่ต่างก็ตั้งตารอเชียร์ทีมโรงเรียนของตัวเอง ป้ายไฟทั้งหลายถูกยกขึ้นมาเพื่อให้คนที่อยู่บนเวทีรับรู้ว่ามีกำลังใจเชียร์อยู่ตรงนี้ 

            การแสดงจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว ทำเอาทั้งหน้าหนุ่มถึงกับตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย มือเย็นเฉียบ หัวใจเต้นแรง โดยเฉพาะน้องใหม่ทั้งสองคนที่เพิ่งจะเข้ามาสู่สังเวียนนี้

            “ไม่ต้องเกร็งเว้ย ทำให้ได้เหมือนที่พวกเราซ้อมกันมา อย่าคาดหวังกับผลแต่ตั้งใจทำมันให้ดีที่สุดเป็นพอ” แจ๊บบอกกับสมาชิกในวง ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

            “บางกอกบอยแบนด์สู้!”

เมื่อเรียกเอาขวัญกำลังใจกันแล้ว ทั้งหน้าหนุ่มก็เดินเข้าไปยืนรอสแตนด์บายที่ข้างเวที ต่างคนต่างก็ยกมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ในขณะวงที่กำลังแสดงอยู่นั้นใกล้จะจบลงแล้ว

            “วงต่อไปที่จะขึ้นมาแสดงความสามารถให้กับพวกเราได้รับชมกัน พวกเขาเป็นเด็กช่างที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เมื่อครู่ที่เห็นกันข้างเวทีผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เด็กช่างเมืองไทยจะหล่อได้ถึงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเรามาชมทั้งความหล่อและความสามารถของพวกเขาไปพร้อมๆ กันเลยครับ กับวงบางกอกบอยแบนด์!!!”

            เมื่อพิธีกรพูดจบทั้งหมดก็เดินเข้าไปยืนเป็นแถว ยกมือไหว้ผู้ชมนับพันหน้าเวทีพร้อมกัน ก่อนจะเดินเข้าไปประจำจุดของตัวเอง

            “สวัสดีคร้าบบทุกคน พวกเราวงบางกอกบอยแบนด์ วันนี้จะมาขับกล่อมทุกคนด้วยเสียงอันไพเราะของผม ผสมกับดนตรีที่ยอดเยี่ยมจากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างหลัง เรามาเริ่มต้นกันด้วยเพลงช้าๆ ซึ้งๆ กันก่อนเลยครับกับเพลงนี้ นับหนึ่งกันไหม...”

            พูดจบจังหวะดนตรีก็เริ่มขึ้น เลิฟโยกย้ายตามจังหวะเพลงไปด้วย พร้อมทั้งโบกมือให้กับแฟนๆ หน้าเวที แต่สายตาคมนั้นกลับหยุดมองที่ใครคนหนึ่ง ที่กำลังยืนยิ้มให้อยู่ตรงหน้า เป็นคิมนั่นเองที่มาตามเชียร์ถึงขอบเวทีพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ

            “ถ้าหากว่าฉันต้องมีใจ ต้องเริ่มความรักขึ้นมากับใครสักคน อยากมีคนนั้นที่เข้าใจหยุดอยู่ที่ฉันเรื่อยไป ด้วยความมั่นคง เธอทำให้รู้ว่าฉันยังมีหวังอยู่ ถ้าเธอไม่รักก็คงจะไม่รู้สึก จากคำพูดและการกระทำจากส่วนลึกของใจเธอนั้น คือทุกคำตอบที่ฉันรอ...นับหนึ่งกันไหมเมื่อหัวใจตรงกัน เริ่มต้นที่รักกันจนวันสุดท้ายของลมหายใจ รักอย่างที่ฝันที่หวังไว้ในใจ ไม่ขอมากเกินไปแค่มีเธอคนนี้ เป็นเดือนประดับใจ อยากให้จบสวยเหมือนในนิยาย เป็นรักแท้ตลอดไป...”

            ทุกท่วงทำนองที่เปล่งเสียงร้องออกมา ราวกับต้องการร้องเพลงนี้ให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า นั่นทำให้ทุกอย่างมันออกมาจากใจและเป็นธรรมชาติ สื่ออารมณ์ของเพลงได้เป็นอย่างดี

            เพลงแรกจบลงไปอย่างสวยงาม หลังจากนั้นก็ตามต่อด้วยเพลงเร็วทันที เพลงที่เลือกมาร้องนั่นคือเพลง ‘เล่นของสูง’ ของวงบิ๊กแอส

            การแสดงดำเนินไปเรื่อยๆ จนครบทุกวง และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนต่างก็รอคอย นั่นคือการประกาศผลวงที่ผ่านเข้ารอบห้าวงสุดท้าย ตอนนี้ทุกคนมายืนรวมตัวกันอยู่บนเวทีอย่างเนืองแน่น ต่างก็ตื่นเต้นลุ้นว่าตัวเองจะได้ไปต่อหรือไม่

            “เชื่อว่าตอนนี้น้องๆ ทุกคนคงจะตื่นเต้นน่าดู เราจะประกาศห้าทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า พร้อมที่จะฟังผลกันรึยังครับ” พูดจบพิธีกรก็ยื่นไมโครโฟนไปซาวเสียงจากผู้ชม

            “พร้อมแล้ว”

            “กรี๊ดดด!!!”

            “ถ้าพร้อมแล้วเราจะมาประกาศผลทีมแรกที่ได้ผ่านเข้ารอบ วงไหนที่ถูกประกาศชื่อให้เดินออกมาหน้าเวทีเลยนะครับ” ว่าแล้วพิธีกรก็เปิดแผ่นกระดาษใบเล็กๆ ขึ้นมาอ่าน ก่อนจะประกาศผลให้ทุกคนทราบ “วงแรกที่ผ่านเข้ารอบคือ วงเดอะไนน์จากโรงเรียนเซนท์คริสเตียนคร้าบบบ”

            เสียงโห่ร้องดังขึ้นท่วมฮอลล์เมื่อพิธีกรประกาศชื่อทีมแรกออกมา คิมกับเพื่อนต่างก็ลุ้นภาวนาให้ชื่อต่อไปเป็นชื่อของวงบางกอกบอยแบนด์

            “และทีมต่อไปก็คือ วงน็อกเอาท์จากโรงเรียนศรีอำมาตยศิลป์”

            “วงแบล็กสกายจากโรงเรียนศึกษาพาณิชย์”

            “วงอินเดอะกราวด์จากวิทยาลัยเทคนิคXXX”

            สี่ทีมที่เข้ารอบไปล้วนแต่เป็นทีมที่มีฐานแฟนคลับค่อนข้างสูง ทำให้เสียงเชียร์ดังกระหึ่มกลบทีมอื่นๆ ไปโดยปริยาย ยิ่งเหลืออีกหนึ่งที่ยิ่งทำให้หนุ่มๆ ทั้งห้าคนกดดันหนักมากขึ้น รวมถึงกองเชียร์ที่อยู่หน้าเวทีด้วย ก่อนจะประกาศชื่อที่ผ่านเข้ารอบเป็นทีมสุดท้าย ทั้งห้าหนุ่มก็จับมือกันไว้ หลับตาปี๋รอลุ้น ในใจก็ภาวนาให้เป็นชื่อวงของตัวเอง

            “และทีมที่เข้ารอบเป็นทีมสุดท้าย ขอบอกเลยว่าวงนี้นักร้องนำหล่อบาดใจสาวๆ ซะเหลือเกินจนผมแอบอิจฉา และวงนั้นก็คือ วง...วงบางกอกบอยแบนด์จากวิทยาลัยช่างบางกอกคร้าบบบ”

            “เฮ้ย! วงเราเข้าแล้ววงเราเข้ารอบแล้วโว้ย” แจ๊บลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยกับสมาชิกในวง ก่อนจะกระโดดโหยงกอดคอกันด้วยความดีใจ พร้อมใจกันเดินมาหน้าเวทีแล้วโบกมือให้กับกองเชียร์ที่กำลังส่งเสียงโห่ร้องไม่แพ้กัน

            “และนี่คือห้าวงสุดท้ายของเราในวันนี้ ปรบมือให้กับพวกเขาอีกครั้งหน่อยคร้าบบ” พิธีกรรอให้เสียงปรบมือซาลงก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อย่าลืมติดตามเชียร์พวกเขาได้ในรอบชิงชนะเลิศที่จะมีขึ้นในวันที่สิบเอ็ดเดือนหน้าด้วยนะครับ ต้องขอขอบคุณแฟนๆ ทุกท่านที่มาเชียร์กันอย่างคับคั่งในวันนี้ สำหรับวันนี้ต้องขอลาเพียงเท่านี้ก่อนนะคร้าบบบ” พูดจบพิธีกรก็ยกมือขึ้นไว้ขอบคุณแฟนๆ หน้าเวที เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการหน้าเวที

            หลังจากนั้นทุกวงที่เข้าร่วมแข่งขันก็ร่วมถ่ายรูปกับคณะกรรมการ ก่อนจะแยกถ่ายเฉพาะวงที่ผ่านเข้ารอบ จากนั้นก็เข้าไปหลังเวทีเพื่อฟังบรีฟจากทางทีมงาน นัดแนะวันเวลาและบอกกติกาที่จะใช้ในรอบตัดสิน

            คิมและผองเพื่อนยังคงยืนรออยู่หน้าเวที เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้

            “รู้สึกว่ามึงจะยิ้มไม่หุบเลยนะไอ้คิม” โต้งเอ่ยแซว เมื่อปรายตามองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกัน ก็เห็นว่าเอาแต่ยิ้ม ชะเง้อมองหาคนรัก

            “แน่นอนสิวะ หรือมึงไม่ดีใจที่วิทลัยเราเข้ารอบ”

            “ก็ดีใจ แต่มึงมันมีอะไรมากกว่านั้นนี่หว่า”

            “อย่ามาทำเป็นรู้ดี เพราะพวกมึงเลยทำให้กูแทบแย่” คิมยังคาดโทษเรื่องที่ร้านเฮียอ่ำไว้อยู่

            “อย่ามาโทษพวกกู มึงมันเมาแล้วรั่วเองนี่หว่า ฮ่าๆๆ” โต้งว่าแล้วก็ขำออกมา

            ระหว่างนั้นทั้งห้าหนุ่มก็เดินออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อทุกคนเห็นก็ส่งเสียงโห่ร้อง ปรบมือต้อนรับเสียงดัง แล้วรีบวิ่งเข้าไปสวมกอด กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

            “พวกมึงสุดยอดเลยว่ะ” หนึ่งในกลุ่มกองเชียร์เอ่ยขึ้นมา

            “ขอบใจเว้ย” แจ๊บตอบกลับไปด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

            คิมเอาแต่ส่งยิ้มให้กับคนรัก ที่กำลังจ้องมองมาเช่นเดียวกัน เมื่อเดินเข้ามาใกล้กันแล้ว คิมก็วางมือลงบนบ่า เอ่ยแสดงความยินดี

            “ดีใจด้วยนะเว้ยไอ้น้อง”

            “ครับพี่”

            ทั้งสองยิ้มให้กัน มีเพียงกลุ่มเพื่อนของคิมเท่านั้นที่รู้สถานะของคนทั้งสอง จึงเอาแต่ยิ้มตาม แต่คนอื่นๆแม้กระทั่งโด้เอง ก็คิดว่าเป็นแค่การทักทายของรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาเท่านั้นเอง

            “วันนี้จะไปฉลองกันที่ไหนวะไอ้แจ๊บ” หินตะโกนถาม เพราะอยากจะไปร่วมแจมด้วย

            “วันนี้งดเพราะพรุ่งนี้พวกกูมีนัดไปเที่ยวทะเลกัน คงจะไปฉลองกันที่นั่นว่ะ”

            “เฮ้ย! พวกกูไปด้วยอยากไปเที่ยวทะเลเหมือนกัน” หินรีบตอบโดยเร็ว

            “ไปก็ไปดิวะใครห้าม ไปหลายคนสนุกออก” แจ๊บว่า

            “พวกมึงไปกันหมดนี่เลยป่ะ” อ๋องถาม

            “ใช่ไปกันทั้งหมดนี่ล่ะ แล้วพวกมึงล่ะจะไปกันกี่คน” แจ๊บถามต่อ

            อ๋องมองหน้าเพื่อนที่เหลือ ทั้งหมดยกมือขึ้นพร้อมกันครบทีม กลายเป็นว่าตอนนี้มีสมาชิกที่จะร่วมทริปนี้สิบเอ็ดคนรวมทั้งโจ้ด้วย

            “ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันที่หน้าวิทลัยหกโมงเช้า พวกกูเหมารถตู้ไว้แล้วรวมพวกมึงด้วยก็พอดีเลย” แจ๊บบอก

            “โอเคเว้ยเพื่อน” โต้งว่า

            “ถ้างั้นก็แยกย้านกันกลับเว้ยเจอกันพรุ่งนี้”

            หลังจากแจ๊บเอ่ยกับทุกคนแล้ว หนุ่มๆ ก็แยกย้ายกันกลับ

            เลิฟนั่งซ้อนท้ายเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันประจำกลับบ้าน นอกจากจะดีใจที่ได้ผ่านเข้ารอบแล้ว เลิฟยังดีใจที่คิมไปให้กำลังใจติดขอบเวที วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขมากเหลือเกิน รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก อยากกลับไปบอกผู้เป็นแม่ให้เร็วที่สุด ท่านคงจะดีใจมากเหมือนกัน

            “อ้าว! นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับพี่” เมื่อเห็นคิมขับรถออกนอกเส้นทาง เลิฟก็รีบตะโกนถามทันที

            “......”

            คิมไม่ตอบแต่กลับยิ้มมุมปาก รีบบึ่งรถไปยังสถานที่เป้าหมายทันที

            ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองก็มาถึงที่หมาย เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อจอดรถแล้วคิมก็หันมายิ้มให้รุ่นน้องที่ยืนทำหน้างองุ้มอยู่

            “สรุปพาผมมาที่นี่ทำไมอ่ะ”

            “ตั้งแต่คบกันมากูยังไม่เคยซื้ออะไรให้มึงเลย วันนี้มึงแข่งชนะทั้งทีกูเลยจะตามใจมึงไง อยากได้อะไรจัดไปเลยเดี๋ยวกูจ่ายเอง” วันนี้เขาพร้อมจะทำตัวเป็นป๋าทำตามใจแฟนทุกอย่าง

            “แน่รึ” เลิฟยิ้มกวน

            “แน่สิ”

            “จะจ่ายไหวเร้อ งานก็ยังไม่ได้ทำ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย คิดจะเป็นป๋าซะแล้ว”

            “ป๋าไม่ป๋าเดี๋ยวก็รู้ ป่ะ” ว่าแล้วคิมก็ยื่นมือไปรอให้อีกฝ่ายจับ จะได้เดินไปพร้อมกัน แต่เลิฟกลับเมินหน้าไม่ยอมทำตามใจ เดินนำหน้าไปก่อน

            ระหว่างที่สองหนุ่มเดินเคียงคู่กันไป ความโดดเด่นทำให้สาวแท้สาวเทียมที่เห็น ต่างก็ส่งสายตาหวานเยิ้มพร้อมกับยิ้มให้ มีเอ่ยแซวบ้างในบางครั้ง ทั้งสองได้แต่ส่งยิ้มให้ตามประสาเด็กหนุ่ม โดยไม่มีการหึงหวงกันแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นแค่เรื่องสนุกๆ เท่านั้นเอง

            “ผมไม่ค่อยชอบซื้อของในห้างสักเท่าไหร่อ่ะ มีร้านแบกะดินหรือพวกตลาดนัดไหมอ่ะพี่” เมื่อเดินมาได้สักพัก เลิฟก็เอ่ยกับคนที่ยืนข้างกัน

            “อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกวะ”

            “พี่ถามความคิดเห็นผมซะที่ไหนกันล่ะ อยู่ๆ ก็พามาซะงั้น”

            “ก็กูอยากจะเซอร์ไพรซ์มึงนี่นา”

            “เซอร์ไพรซ์มากกก” เลิฟลากเสียงยาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายจึงเอื้อมมือไปบิดแก้มเบาๆ

            “อุ๊ย! น่ารักจัง” สองสาวนักเรียนมอต้นเดินผ่านมาเห็นพอดีจึงอุทานออกมา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองทั้งสองหนุ่มแล้วเดินผ่านไป คิมได้แต่ยิ้มรับอย่างพอใจ แต่คนที่ทำหน้าเหี้ยมกลับเป็นเลิฟซะงั้น

            “เพราะพี่คนเดียวเลยทำให้โดนแซว อายจะตายห่าอยู่แล้ว” ตอนนี้สีหน้าของคนพูดเริ่มแดงก่ำขึ้นมา จนสังเกตเห็นได้ชัดเจน

            “อายทำไมวะ น่ารักจะตาย”

            “หยุดพูดเลย ตกลงมีไหมอ่ะตลาดแบกะดิน ผมมันพวกติดดินเว้ยไม่เหมือนพี่”

            “มีดิวะตลาดเอาท์ดอร์เดินไปแปบเดียวก็ถึงละ”

            “จะรออะไรล่ะคร้าบนำหน้าไปดิ”

            “ไม่! เราจะเดินไปพร้อมกัน” ว่าแล้วก็กอดคออีกฝ่ายเอาไว้ ตั้งหน้าเดินไปอย่างสบายใจ เลิฟพยายามปัดมือรุ่นพี่ออกอยู่บ่อยครั้ง แต่คิมกลับยกมันขึ้นมาอีกจนได้ จนเลิฟต้องยอมในความดื้อด้าน ยอมให้มันเป็นไปอย่างนั้น

            ตลาดแบกะดินที่คิมว่านั้นอยู่หลังห้าง เป็นตลาดที่หนุ่มสาวออฟฟิชมักจะมาเปิดท้ายขายกันหลังจากเลิกงาน ส่วนมากจะเป็นของมือสองเกือบทั้งนั้น

            “สมใจอยากยังของมือสองเกือบทั้งนั้นเลย” คิมเอ่ยกับคนรักเมื่อเดินมาถึงที่หมายแล้ว

            “นี่ล่ะทางผมเลย เตรียมเงินไว้ด้วยล่ะ”

            “กูอยากจะรู้นัก ว่ามึงจะมีปัญหาซื้อได้เยอะแค่ไหนกันเชียว”

            “เดี๋ยวก็รู้” เลิฟทำหน้ากวน แลบลิ้นให้หยอกเล่นๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไป

            เลิฟแวะเข้าไปเลือกดูของเกือบทุกร้านที่เดินผ่าน แต่ทว่ากลับไม่ได้สนใจซื้ออะไรติดมือมาสักอย่าง คิมเดินตามหลังไปอย่างนั้นไม่ได้ว่าอะไร เจ้าตัวยืนมองทุกอิริยาบถของคนรักอย่างเพลินตา มันรู้สึกดีจนลืมไปเลยว่าตอนนี้เขายังไม่ได้ควักกระเป๋าจ่ายตังค์เลยสักบาทเดียว

            “พี่ครับโมเดลนักร้องนี่เท่าไหร่ครับ” เดินมาถึงร้านขายโมเดลร้านหนึ่ง เลิฟก็ความสนใจแล้วนั่งลงสนทนากับพ่อค้า

            “สองเก้าเก้าครับน้อง ของใหม่เลยนะนั่น ไม่ใช่มือสอง”

            “จับดูได้ไหมครับ”

            “ตามสบายเลยน้อง มันไม่พังง่ายๆ หรอกของมันดี” พ่อค้าบอก

            คิมที่นั่งอยู่ข้างกัน เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เขานึกว่าจะอยากได้เสื้อผ้าซะอีก แต่ไหงกลับมาสนใจของชิ้นเล็กๆ อย่างนี้ซะงั้น

            “มึงชอบเหรอ”

            “ชอบดิน่ารักจะตาย พี่ว่าเหมือนผมไหม” ว่าแล้วก็ยกขึ้นมาเทียบกับใบหน้าตัวเอง ยิ้มให้อีกฝ่าย

            “ไม่เห็นจะเหมือนเลยมึงหล่อกว่าตั้งเยอะ” คิมชมหน้าตาย ทำเอาเลิฟถึงกับเขินจนเบนหน้าไปสนใจพ่อค้าแทน

            “ลดให้หน่อยได้ไหมครับพี่ แม่ให้เงินมานิดเดียวเอง ผมชอบจริงๆ อ่ะ” เลิฟทำเป็นอ้อนพ่อค้า

            คิมกำลังจะอ้าปากพูด แต่เลิฟกลับเอื้อมมือไปปิดเอาไว้ เจ้าตัวจึงปิดปากเงียบนั่งมองดูเฉยๆ

            “ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ลดให้เหลือสองร้อยเจ็ดสิบละกัน” พ่อค้าทำหน้าคิดนิดหน่อยแล้วเอ่ยบอกราคา

            “สองร้อยห้าสิบไม่ได้เหรอพี่ นะนะ พี่คนหล่อ ถ้าผมมีเงินเดี๋ยววันหลังมาอุดหนุนพี่อีก” เลิฟยังต่อราคาลงอีก ทำเอาพ่อค้าหนักใจมากยิ่งขึ้น

            คิมรู้สึกอายที่อีกฝ่ายหั่นราคาลงซะฮวบฮาบ ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าพ่อค้า ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยต่อราคาอย่างนี้ซะที่ไหนกัน

            “เฮ้อ! แทบจะไม่ได้กำไรเลยนะน้อง แต่ก็เอาเถอะถือว่าพี่สงสารละกันให้ก็ได้” ในที่สุดพ่อค้าก็ยอมใจอ่อนจนได้

            “เย้! ถ้างั้นเอาตัวนี้ครับพี่” ว่าแล้วก็ยื่นให้พ่อค้าใส่ถุงให้ ส่วนเจ้าตัวก็รีบเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินออกมาจ่าย

            “เดี๋ยวกูจ่ายให้” คิมว่า

            “ไม่เอาผมมีปัญญาจ่ายเอง พูดเล่นไปงั้นล่ะ” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้

            หลังจากจ่ายเงินแล้วสองหนุ่มก็เดินออกจากร้าน ระหว่างนั้นเลิฟก็ยื่นถุงนั้นให้กับรุ่นพี่

            “อ่ะผมซื้อให้”

            “อ้าว! ซื้อให้กูทำไม กูต่างหากที่ต้องซื้อให้มึง” คิมว่าแต่ยังไม่ยอมรับ

            “นี่มันโมเดลนักร้อง เป็นเหมือนตัวแทนผมไง เวลาคิดถึงผมก็ให้ดูไอ้นี่ไปพลางๆ”

            “มึงนี่นะ หลอกกูแล้วหลอกกูอีก จนกูตามไม่ทันแล้วเนี่ย ขอบใจละกันกูจะดูแลมันอย่างดี จะตั้งไว้บนหัวเตียงเลยล่ะ กราบเช้ากราบเย็น” คิมพูดติดตลก

            “ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะ ถ้างั้นกลับกันเถอะผมจะได้ไปช่วยแม่ที่ร้าน อีกอย่างจะได้ไปเก็บกระเป๋าด้วยพรุ่งนี้ก็จะเดินทางแล้ว”           

            “เออใช่ว่ะ ถ้างั้นมึงรออยู่ตรงนี้ก่อนนะกูไปเข้าห้องน้ำแปบ ปวดเยี่ยวฉิบหาย” พูดพร้อมกุมมือที่เป้าตัวเองด้วย

            “เออๆ รีบมาละกันเดี๋ยวผมจะยืนรออยู่นี่”

            คิมยิ้มให้ แล้วรีบเดินไป เลิฟยืนรออยู่ตรงนั้นเกือบสิบนาที อีกฝ่ายก็เดินกลับมา ในมือก็ถือถุงอะไรบางอย่างมาด้วย

            “โทษทีว่ะที่มาช้า”

            “ว่าแต่พี่ไปซื้ออะไรมาอ่ะ ไหนบอกไปห้องน้ำ” เลิฟเอ่ยถาม สายตาก็จ้องมองไปที่ถุงในมือ

            “กูขอหลอกมึงคืนบ้าง กูไปซื้อไอ้นี่มา” คิมยกถุงขึ้นตรงหน้าให้อีกฝ่ายดูอย่างภูมิใจ

            “อะไรอ่ะ”

            “เปิดดูดิ” คนพูดยิ้มแล้วยื่นถุงให้

            เลิฟรับมาแล้วหยิบของในถุงนั้นออกมา เมื่อเห็นแล้วก็ปรายตามองอีกฝ่าย ยิ้มน้อยๆ ออกมา มันคือโมเดลนักแข่งรถ

            “โมเดลนักแข่งรถ”

            “ใช่ มันคือตัวแทนกูไงล่ะ เราจะได้เสมอกัน เวลามึงคิดถึงกูก็ดูไอ้นี่”

            “ใครจะคิดถึงพี่อ่ะคิดเองเออเอง” เลิฟว่าพลางเก็บมันเข้าไปในถุงเหมือนเดิม แต่ก็ยิ้มไม่ยอมหยุด

            “ไม่คิดถึงลองดูสิ กูจะตามมานอนด้วยถึงห้องเลยคอยดู” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกอดคอรุ่นน้องเอาไว้

            “ก็มาดิ พี่จะได้เสียตูดให้ผม” เลิฟขู่เล่นๆ

            “ป่ะ กูอยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะลีลาเด็ดแค่ไหน” พูดแล้วก็เริ่มเดินไป

            “พูดเล่นโว้ย พี่ไม่มีทางได้เห็นขาอ่อนผมหรอก”

            “ใครอยากจะเห็นวะ คงจะมีแต่ขนเต็มไปหมด ฮ่าๆ” พูดแล้วก็ขำออกมา

            “จำคำพูดเอาไว้เลยนะ อย่าหวังจะได้เข้าไปในห้องนอนผมอีกเด็ดขาด” เลิฟชี้หน้าขู่

            “โอ๋เอ๋ พี่พูดเล่นคร้าบ” คิมง้องอนอีกฝ่ายด้วยการเอื้อมมือไปสัมผัสที่ปลายคางเล่น ก่อนจะเดินยิ้มไปอย่างนั้นอย่างอารมณ์ดี

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เอาแบบน่ารักนะไม่เอาดราม่า :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แลกของแทนใจกันแล้ว  :o8:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๓-

สารภาพ



วันนี้หนุ่มๆ มารวมตัวกันที่หน้าวิทยาลัย เมื่อมาถึงก็ขนสัมภาระขึ้นไปไว้ท้ายรถตู้ ก่อนจะขึ้นไปจับจองที่นั่ง ตอนนี้สมาชิกทั้งหมดมาเกือบจะครบแล้ว จะเหลือก็แต่คิมกับเลิฟเท่านั้น

แจ๊บที่ยืนรออยู่หน้ารถดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ สลับกับมองถนนรอสองหนุ่มที่เหลือ ไม่นานรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ก็ขับมาจอดตรงหน้า

“มาซะทีนะพวกมึง พวกกูว่าจะออกไปก่อนแล้วเนี่ย” แจ๊บบ่นให้

“โทษทีว่ะ” คิมตอบ ส่วนเลิฟลงจากรถแล้วรีบเอากระเป๋าไปเก็บ

“เออๆ รีบเอารถไปจอดไว้ในวิทลัย จะได้ออกเดินทางกัน”

คิมขับรถไปจอดไว้ในรั้ววิทยาลัย ฝากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอาไว้ ก่อนจะเดินออกมาสมทบกับสมาชิกที่เหลือ

“พวกมึงสองตัวนั่งหลังสุดเลยนะเว้ย ข้างหน้าเต็มหมดแล้ว” เอ็มตะโกนบอก จงใจเว้นที่นั่งไว้ให้ เพราะรู้ว่าทั้งสองคงอยากจะมีความเป็นส่วนตัว

ได้ยินอย่างนั้นทั้งสองก็ยิ้มให้กัน พอใจกับที่นั่งที่เพื่อนเหลือไว้ให้ เข้าไปนั่งที่แล้วก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากที่นั่งด้านหน้าสุด

“มึงมานั่งนี่เลยไอ้โด้ กูจะนั่งข้างน้องกู”

“โธ่! พี่แจ๊บอ่ะใจร้ายจัง พรากคู่รักไม่ให้สวีตกันมันบาปนะครับ” โด้บ่น เมื่อโดนพี่ชายของคนรักนั่งแทรกตรงกลาง

“กูใจดีกับมึงมามากพอแล้ว น้องกูสึกหรอไปหมดแล้วมั้งเนี่ย” แจ๊บว่าแล้วหันไปเอ่ยกับโชว์เฟอร์ “ออกรถได้เลยครับพี่”

“เย้!!!” ทุกคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่รถจะเคลื่อนล้อออกจากหน้าวิทยาลัย ตรงไปยังจังหวัดระยอง



ระหว่างทางนั้น ทุกคนก็ร้องรำทำเพลงไปด้วยความสนุกสนาน มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังอยู่ไม่ขาดช่วง ส่วนคู่รักที่อยู่เบาะหลังสุดก็นั่งจับมือกันไปตลอดทาง มองตากันบ้างในบางครั้ง นอนซบไหล่กันบ้างล่ะ เปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงที่หมาย

ในที่สุดก็มาถึงบ้านเช่าติดทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปจอดในลานจอดรถแล้ว หนุ่มๆ ก็ขนของลงมา นำเข้าไปยังที่พักทันที

บ้านพักมีสองชั้น มีสี่ห้องนอน สองห้องน้ำ มีห้องครัวที่สามารถใช้ประกอบอาหารในระหว่างพักได้อย่างสะดวกสบาย ที่หน้าบ้านเป็นลานหญ้าขนาดไม่ใหญ่มาก เหมาะสำหรับจัดปาร์ตี้ในช่วงเย็นได้เป็นอย่างดี

“แล้วจะแบ่งห้องกันยังไงวะ” อู๋เอ่ยถาม ขณะทุกคนยืนถือสัมภาระอยู่หน้าบ้านแล้ว

“ข้างบนมีห้องนอนสามห้อง นอนได้ห้องละสองคน ส่วนด้านล่างเป็นห้องรวมมีเตียงเล็กห้าเตียง” แจ๊บบอก

“ถ้างั้นเอางี้ พวกกูห้าคนจะนอนด้านล่างเอง ส่วนพวกมึงหกคนไปแบ่งกันเอาเองว่าใครจะนอนกับใคร” คิมว่า ใจจริงก็อยากจะนอนกับเลิฟใจจะขาด เพียงแต่ว่าหากทำอย่างนั้นมีหวังโดนเพื่อนแซวแน่นอน

“ถ้างั้นก็ตามนี้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา แยกย้ายกันได้เว้ย” แจ๊บบอกกับทุกคน จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันเอาสัมภาระไปเก็บ

เมื่อเก็บของและนั่งพักผ่อนกันได้สักพักแล้ว ทั้งหมดก็เปลี่ยนชุดสบายๆ ออกมารวมตัวกันที่ลานหญ้าหน้าบ้าน เพื่อไปเล่นน้ำทะเลที่มองเห็นสุดลูกหูลูกตาอยู่ตรงหน้า

“พร้อมกันยังวะ” แจ๊บเอ่ยถาม

“ยังจะถามอีกเหรอวะ พร้อมซะยิ่งกว่าพร้อมอีก ร่างกายกูต้องการทะเลแล้ววว” อู๋บอก

“ถ้างั้นก็ลุย!!!” สิ้นเสียงแจ๊บ ทุกคนก็วิ่งตรงไปยังชายหาด ลงไปเล่นน้ำทะเลให้สมใจอยาก

ทั้งสิบเอ็ดหนุ่มต่างก็สนุกสนานกับการเล่นน้ำ โด้พยายามว่ายน้ำเข้าไปหาโจ้ เว้นระยะห่างเอาไว้เล็กน้อย ไม่ให้แจ๊บผิดสังเกต แต่ทว่ามือนั้นกลับอยู่ไม่สุข มันเอื้อมไปจับมือของโจ้เอาไว้ใต้น้ำอยู่อย่างนั้น

ส่วนเลิฟตอนนี้นั่งขี่หลังคนรักอย่างสบายใจ มือทั้งสองข้างกอดคอคิมเอาไว้แน่น ตัวแทบจะไม่ห่างกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากเล่นน้ำกันสมใจอยากแล้ว ทั้งหมดก็มานอนแผ่หลาอยู่บนหาดทรายสีขาว เรียงรายกันเป็นแนวยาว อาบแสงแดดที่กำลังส่องแสงจ้าลงมา

ระหว่างนั้นอ๋องก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบกล้องถ่ายรูปออกมา จากนั้นก็ถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนให้ลุกขึ้นมาถ่ายภาพหมู่อีกครั้ง

“พวกมึงถ่ายรูปกัน”

เมื่อได้ยินเสียงทุกคนก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา แล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่ม โพสท่า กอดก่ายกันอย่างสนุกสนาน

“ไอ้อ๋องมึงมาเข้าเฟรมบ้างเดี๋ยวกูถ่ายให้” คิมว่าแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนหน้าที่กับเพื่อน

“เอานะเว้ย หนึ่ง สอง ซ้ำ”

“ไอ้แจ๊บมึงให้ไอ้โด้กับโจ้ยืนใกล้กันหน่อยดิ จะหวงน้องทำห่าอะไรนักหนา” คิมบอก แจ๊บได้ยินก็จำใจยอมสลับที่ให้โจ้อยู่ตรงกลาง โด้ยักคิ้วให้คิมทันทีสื่อว่าเป็นการขอบคุณที่ช่วย



เมื่อถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ทั้งหมดก็แยกย้ายไปเดินเล่นตามอัธยาศัย แน่นอนว่าคิมกับเลิฟต้องหาทางปลีกตัวแยกไปเพียงลำพัง แต่ก่อนจะเดินไปนั้นอ๋องก็ได้เรียกทั้งสองเอาไว้ก่อน

“เฮ้ย! พวกมึงสองคนหยุดก่อน”

ทั้งสองหันกลับมามองพร้อมกัน มองหน้าเหมือนตั้งคำถาม

“มีอะไรวะ หรือจะไปกับพวกกูด้วย” คิมถาม

“เปล่า! กูจะไปเป็น กขค. พวกมึงทำไมวะ ที่กูเรียกเพราะจะถ่ายรูปให้ไง ไม่อยากมีรูปคู่มั่งเหรอ”

“มึงเป็นเพื่อนที่แสนรู้จังวะ” คิมยิ้มเมื่อเห็นว่าเพื่อนหวังดีขนาดนี้

“ไอ้ห่ากูไม่ใช่หมา เอาสักสองสามภาพละกัน ยืนชิดกันหน่อย เอาที่พวกมึงสบายใจเลย” อ๋องแนะนำ

คิมเอื้อมมือไปเกี่ยวเอวคนข้างๆ เอาไว้ ก่อนจะยิ้มให้กล้อง จากนั้นก็จ้องตากัน และภาพสุดท้ายก็จับมือกันไว้แน่นแล้วยกขึ้นมาตรงกลาง เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจถ่ายรูปคู่เฉพาะกิจ

“ขอบใจเว้ยพวกกูเดินไปเล่นฝั่งโน้นก่อน แล้วมึงล่ะจะไปไหน”

“กูจะเข้าไปงีบสักหน่อยวะง่วง” อ๋องบอก จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป



ทั้งสองหนุ่มเดินเคียงคู่กันไปตามชายหาดสีขาว ก่อนจะเจอกับเนินหินสูง ที่เมื่อขึ้นไปแล้วจะสามารถมองเห็นวิวทะเลแถวนั้นได้เกือบทั้งหมด

“ขึ้นไปชมวิวบนนั้นป่ะ” คิมเอ่ยปากชวน

“เขาให้ขึ้นไปได้เหรอพี่”

“ได้สิวะ คงไม่ใช่แค่เราที่เคยขึ้นไปแน่นอน เชื่อใจกู”

“ถ้างั้นก็รีบขึ้นไปกันเถอะ จะได้รีบกลับไปกินข้าวเที่ยง” เลิฟว่า

เมื่อปีนป่ายขึ้นไปจนถึงด้านบนสุด ก็เป็นอะไรที่คุ้มค่า เพราะบนนั้นสามารถมองเห็นวิวของท้องทะเลในมุมสูง น้ำทะเลสีฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาภายใต้โค้งขอบฟ้าสีคราม ทั้งสองยืนจับมือชมวิวทิวทัศน์นั้นอยู่สักพักแล้วหันมายิ้มให้กัน

“เป็นไงคุ้มไหมล่ะ” คิมเอ่ย

“อือ คุ้มมากสวยเนอะพี่” เลิฟยิ้มไม่ยอมหุบ

“ถ้าโลกนี้มีแค่มึงกับกูอย่างนี้คงจะดีเนาะ จะได้ทำอะไรตามใจไม่ต้องแคร์ใครจะมองยังไง”

“นี่ผมทำให้พี่คิดมาขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมา ทำเอาเลิฟถึงกับใจกระตุก รู้สึกผิดที่ทำให้คนรักต้องอึดอัดอย่างนี้

“เปล่าเว้ย กูพูดไปงั้นล่ะอย่าคิดมาก”

“ผมขอโทษนะพี่ ขอเวลาผมอีกสักนิด ให้ผมมีความกล้ามากกว่านี้ก่อน” เลิฟเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง

“กูไม่เป็นไรเว้ยทุกวันนี้มันก็ดีอยู่แล้ว มึงไม่ต้องทำอะไรหรอกกูโอเค”

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจผม” เลิฟมองใบหน้าหล่อนั้นด้วยความซาบซึ้งใจ มอบความรักที่บริสุทธิ์ให้อย่างไม่หวังผลตอบแทน แม้เจ้าตัวจะมีข้อแม้ต่างๆ นานาแต่คิมก็ยอมทำตามมาเสมอ “พี่อยากจูบผมไหม”

ได้ยินคำถามนั้นก็ทำเอาคิมถึงกับหน้าเหวอ เหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาเลิกคิ้วมองหน้าอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะตั้งสติตอบกลับไป

“ทำไมต้องถามในเมื่อมึงก็รู้อยู่แล้ว” นั่นคือคำตอบที่เขาเอ่ย

เมื่อได้รับคำตอบอย่างนั้น เลิฟก็เป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากก่อน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของคิม ที่ต้องบดจูบริมฝีปากนั้นคืนอย่างหนักหน่วง ให้สมกับการรอคอยที่แสนยาวนาน ความรุนแรงและเร่าร้อน ทำเอาทั้งสองคนถึงกับครางกระเส่าในลำคอไม่หยุด ยิ่งปลายลิ้นสัมผัสกันยิ่งทำให้ความร้อนรุ่มภายในทรวงมันพลุ่งพล่าน จนอยากจะเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายนั้นออกเสียตรงนี้

“อือออ”

สิ้นเสียงกระเส่า ทั้งสองก็ผละใบหน้าออกจากกัน แต่สายตาจ้องมองกันอยู่นั้นแสดงถึงความเสียดาย คิมอดใจไม่ไหว ก่อนจะเก็บตกด้วยการระดมจูบที่ริมฝีปากบางอีกซ้ำๆ จนพอใจ

“พอใจยัง”

“จริงๆ ก็ยังแต่แค่นี้ก็ดีใจแล้วว่ะ” คนพูดยิ้ม เอื้อมมือไปจับที่ท้ายทอยแล้วลูบเบาๆ อย่างเอ็นดู

“ดีมากไอ้น้อง”

“ใครเป็นน้องมึงวะ เดี๋ยวก็โดนหนักกว่านี้หรอก” ว่าแล้วคิมก็กอดอีกฝ่ายจากด้านหลังเอาไว้แน่น

“โทษคร้าบบบ เดี๋ยวให้ยืนกอดอย่างนี้จนกว่าจะพอใจดีป่ะ” คนพูดเอียงหน้าไปเอ่ยกันคนที่กอดตัวเองอยู่

“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้ว” คิมยิ้มละมุนให้

ทั้งสองทอดสายตามองไปยังท้องทะเลกว้าง ตักตวงความสุขในช่วงเวลาที่น่าประทับใจเอาไว้ เผื่อในอนาคตอาจจะไม่ได้มีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นอีกก็เป็นได้



ตกเย็นทั้งหมดก็จัดปาร์ตี้เล็กๆ หน้าบ้าน มีเครื่องดื่มและอาหารครบครันจากการไปเดินตลาดเมื่อช่วงเย็น โด้กับโจ้กำลังช่วยกันย่างอาหารทะเล และใช้โอกาสนี้พลอดรักกันไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็นั่งสังสรรค์กันอยู่ที่โต๊ะ บรรยากาศตอนนี้กำลังดี มีลมเย็นๆ พัดโชยมาไม่ขาดช่วง

เลิฟนั่งอยู่มุมโต๊ะข้างกระติกน้ำแข็งใบใหญ่ ข้างกันก็มีขวดเหล้ายี่ห้อดังวางเรียงรายอยู่พร้อมกับมิกเซอร์ เขามีหน้าที่คอยชงเหล้าให้กับรุ่นพี่ ส่วนคนที่นั่งข้างกันนั้นจะเป็นใครไปได้นอกจากคิมนั่นเอง

“เลิฟชงให้กูมั่ง” เอ็มยื่นแก้วไปให้ เลิฟรับมาแล้วจัดการเติมน้ำแข็งให้ ตามด้วยน้ำสีอำพันพอประมาณ และตบท้ายด้วยน้ำโซดา ก่อนจะคนด้วยที่คีบน้ำแข็งพอลวกๆ

“อ่ะพี่” เลิฟยื่นแก้วให้

“รวดเร็วถูกใจจังวะ ยอดเยี่ยม” เอ็มยกนิ้วให้ ก่อนจะรับมาดื่ม แล้วยู่หน้าเพราะความเข้มข้นของแอลกอฮอล์นั้นมันมากกว่าปกติที่เขาเคยดื่ม “อ่า...แม่งโคตรเข้มเลย มึงคิดจะมอมเหล้ากูรึไงวะ” เอ็มโวยวาย

“เห็นว่าพี่เติมบ่อยๆ ผมเลยเพิ่มดีกรีให้ไง” พูดแล้วก็ยักคิ้วให้รุ่นพี่กวนๆ

“สมน้ำหน้าไอ้เอ็ม พวกมึงเว้ยมาชนแก้วกันหน่อย ฉลองให้กับความสำเร็จเมื่อวานนี้” แจ๊บยกแก้วขึ้น จากนั้นทั้งหมดก็ยกขึ้นตาม

“เดี๋ยวก่อนพี่รอผมด้วย” โด้รีบวิ่งมาหยิบแก้วตัวเอง จากนั้นทั้งหมดยื่นแก้วไปชนที่กลางวง

“แกร๊ง!”

“หมดแก้วเว้ย” แจ๊บบอกกับทุกคน

เมื่อดื่มหมดแก้ว นั่นหมายความว่าเลิฟต้องทำงานหนักอีกรอบ เพราะต้องเป็นคนชงให้ทั้งหมด คิมเห็นอย่างนั้นจึงสลับที่นั่งเข้าไปทำหน้าที่แทน ก่อนสมาชิกที่เหลือจะส่งแก้วมาให้

“มึงมาสลับที่กับกู”

“อ้าว! แต่ผมต้องชงเหล้านะ”

“ไม่เป็นไรกูทำเอง มึงเมื่อยนานแล้ว ลุกดิ” เลิฟมองหน้าแล้วก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี

เมื่อเปลี่ยนที่นั่งกันแล้วคนที่ยื่นแก้วมาให้เป็นคนแรกนั่นคือเอ็ม

“ไอ้คิมทำหน้าที่หน่อยโว้ย”

“กูว่าแล้วมึงต้องมาเป็นคนแรก” คิมว่าแต่ก็ยอมรับแก้วมาชงให้

“กูสังเกตมาหลายรอบแล้ว ไอ้คิมกับไอ้เลิฟ มึงสองคนชักจะทำตัวสนิทสนมกันขึ้นทุกวันๆ จนน่าสงสัย ใครคิดแบบกูบ้างวะ” แจ๊บเอ่ยถามออกไปตรงๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสมโรงด้วยทำให้กล้า

สมาชิกแก๊งช่างยนต์เซ็กซี่บอยไม่ตอบ กลับยิ้มอย่างเดียวเพราะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่คนอื่นๆ นั่นสิที่ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

เลิฟมองรุ่นพี่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“ทำไมพวกมึงเงียบ” แจ๊บถามต่อ

“เปล่าก็พวกกูไม่ได้สงสัยนี่หว่า” โต้งตอบยิ้มๆ

“แต่ผมสงสัยพี่ ช่วงนี้ไอ้เลิฟมันตีตัวออกห่างผมไปกับพี่คิมบ่อยๆ” โด้ตะโกนแทรกเข้ามา

“พวกมึงก็คิดมากไปได้ กูกับมันเป็นแค่ (พี่น้อง) ” คิมพูดยังไม่ทันจบ เลิฟก็เป็นฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“แฟนครับ ผมกับพี่คิมเป็นแฟนกัน” เลิฟเอ่ยออกมาเสียงดัง จับมือคนที่นั่งข้างกันเอาไว้แน่น คิมเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้ยินคำนั้นจากปากคนรัก สัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเลิฟว่าอยากทำมันเพื่อให้เขารู้สึกดี

“กูว่าแล้วไง” โด้วางเหล็กคีบไว้บนตะแกรง แล้วเดินมาที่โต๊ะ “ยินดีด้วยนะพี่” โด้จับมือคิมเพื่อแสดงความยินดี

“ขอบใจเว้ยไอ้น้อง” คิมยิ้มรับ

โด้เองก็พอจะดูออกแต่ไม่คิดว่าเพื่อนจะเอ่ยมันออกมาให้ทุกคนรับรู้ เพราะเขารู้ว่าเลิฟมีความมุ่งมั่นกับการเป็นนักร้องมากแค่ไหน หากมีความรักที่ไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป อาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ก็เป็นได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้โด้มั่นใจว่าเพื่อนจะไม่มีวันพูดมันออกมา

“ไอ้โด้มึงไม่แปลกใจเลยเหรอวะ” เลิฟถามเพื่อน

“แปลกใจทำไมวะในเมื่อกูดูออกตั้งนานแล้ว แต่รอให้มึงสารภาพเอง”

“ไอ้แสนรู้เอ๊ย” เลิฟว่าให้เพื่อนแก้เขิน

“ขยันมีแฟนกันซะเหลือเกินนะพวกมึง แซงหน้าพวกกูไปแล้ว” แจ๊บว่าให้รุ่นน้องทั้งสองคนขำๆ “มาสอยนักร้องนำวงกูไปแล้ว มึงก็ดูแลมันให้ดีด้วยล่ะไอ้คิม”

“แน่นอนว่ะ กูไม่มีทางทำให้มันเสียใจเด็ดขาด” คิมรับปาก พร้อมกับมองหน้าเลิฟไปด้วย ทำเอาบรรยากาศที่สนุกครึกครื้น กลายเป็นโรแมนติกไปในพริบตา

“ถ้างั้นก็มาฉลองให้กับคู่บ่าวสาวกันอีกครั้งหน่อยสิวะ” อู๋ตะโกนเสียงดัง ชูแก้วน้ำสีอำพันขึ้น

แกร๊ง!!!!

หลังจากชนแก้วฉลองให้กับคู่รักที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ แล้ว ทั้งหมดก็พร้อมใจกันเทน้ำสีอำพันในแก้ว ราดบนศีรษะของคิมและเลิฟจนเปียกไปทั้งตัว มันเป็นการฉลองที่เขาทั้งสองไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต แต่ทว่ามันกลับรู้สึกมีความสุขมากที่สุดในชีวิตเหมือนกัน


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ฉลองด้วยคน  :mc4:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๔-

เหตุร้าย



            หลังจากดื่มกันอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้หนุ่มๆ ต่างก็นอนเรียงรายอย่างหมดสภาพ ที่บริเวณห้องโถงของตัวบ้าน ท่ามกลางขวดเหล้าเปล่าแบรนด์นอกที่ถูกทิ้งเกลื่อนไปทั่ว รวมถึงเศษขยะจากซองขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

            คิมเริ่มขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัว เปลือกตาค่อยๆ คลี่ขึ้นอย่างเชื่องช้าภาพแรกที่เห็นก็คือพัดลมเพดานที่กำลังพัดไหวอยู่เนืองๆ เจ้าตัวยกมือขึ้นมากุมขมับเพราะก็รู้สึกปวดหนึบศีรษะจากอาการแฮงค์ กำลังจะลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกหนักที่บริเวณไหล่ด้านซ้ายเหมือนมีอะไรบางอย่างมาทับไว้ เมื่อเหลือบตาลงมาดูก็พบว่าเป็นเลิฟนั่นเองที่ยังคงนอนหลับตานิ่ง แต่ทว่าใบหน้าหล่อนั้นกลับยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังฝันดี

            “ยิ้มอย่างนี้แสดงว่าตื่นแล้วดิ”

            “รู้แล้วยังจะถามอีก” ว่าแล้วเลิฟก็ลืมตาขึ้นมา

            “ไปเดินรับลมทะเลตอนเช้ากันดีกว่า ปล่อยให้ไอ้พวกนี้มันนอนต่อให้สบายใจ” ว่าแล้วคิมก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับคนที่อยู่ในอ้อมกอด

            ทั้งสองหนุ่มล้างหน้าให้สดชื่นก่อนจะเดินลงไปที่ชายทะเล เลิฟไม่ลืมที่จะหยิบกีตาร์โปร่งติดมือไปด้วย บรรยากาศยามเช้าอย่างนี้เหมาะที่จะนั่งกินลมชมวิวพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย

            เมื่อได้ที่แล้วทั้งสองหนุ่มก็นั่งลงข้างกัน ชมความงดงามของพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นเหนือน้ำทะเล แสงสีส้มส่องประกายสะท้อนลงมายังผืนน้ำ ทำให้ทะเลสีฟ้ากลายเป็นสีส้มในพริบตา ดูแล้วช่างรู้สึกอบอุ่นใจ

            “อยู่กรุงเทพคงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นแบบนี้ภาพแบบนี้เนาะ” คิมเอ่ย ขณะทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างสบายใจ

            “ย้ายมาอยู่นี่เลยไหมล่ะพี่ เอามะ” บรรยากาศกำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว แต่เลิฟกลับพูดกวนซะงั้น ทำเอาคนที่นั่งข้างกันหันขวับมามองค้อนใส่

            “กำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว”

            “ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลยอ่ะ” เลิฟตอบรุ่นพี่หน้าระรื่น

            “ทำไมจะไม่เกี่ยววะในเมื่อตอนนี้มีแค่มึงกับกูอยู่กันสองคน”

            “พี่ก็ชอบบรรยากาศโรแมนติกกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย”

            “เด็กช่างก็ใช่ว่าจะโรแมนติกไม่เป็นนี่หว่า”

            “ถ้าชอบผมจะจัดให้” เลิฟยักคิ้วข้างหนึ่งให้รุ่นพี่

            “ทำไงวะ? หรือจะจูบกูเหมือนเมื่อวาน” คนพูดทำหน้าหื่นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้

            “ไม่ใช่โว้ย จะร้องเพลงให้ฟังต่างหาก อยากฟังป่ะละ” ว่าแล้วเลิฟก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาเกาจนเกิดเสียง

            “อยากฟังดิ ดีเหมือนกันมีคนร้องเพลงจีบริมทะเลอย่างนี้ ครั้งแรกในชีวิตกูเลยนะเว้ย”

            “ไม่ได้จีบเว้ยแค่ร้องให้ฟังเฉยๆ คิดเองเออเองนะพี่ พร้อมจะฟังยัง”

            “พร้อมตั้งนานแล้วเว้ย” คิมจ้องหน้าอีกฝ่าย ส่งยิ้มให้

            เมื่อทำนองดนตรีเพลงแค่คุณจากกีตาร์โปร่งดังขึ้น คิมก็ยิ้มหวานขึ้นมาทันที เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง เข้ากับเรื่องราวความรักของเขาทั้งสองคนมากเหลือเกิน

            “รู้ไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน ความทรงจำเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่ทำให้เราสองคนเริ่มหวั่นไหว หรือจะเป็นในตอนที่คุณต้องนอนเสียใจ หรือในตอนที่เราต้องไกลมันทำให้ผมได้รู้ว่าคิดถึงแต่คุณ และในตอนนี้ ในเวลานี้ ล่วงเลยมานานเป็นปีให้ดวงดาวนั้นเป็นเหมือนพยานรัก ขอสัญญาว่าจะรักเพียงคุณ ว่าจะรักแค่คุณ ว่าจะรักแค่คุณเท่านั้น นานแสนนานก็จะรักเพียงคุณ ก็จะรักแค่คุณอยากจะมีแค่คุณคนเดียว......” ในระหว่างที่เลิฟร้องเพลงอยู่นั้น ทั้งสองก็สบตากันตลอดเวลา มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่มีค่าที่สุด

            “ไหนบอกว่าไม่ได้ร้องเพลงจีบกูไง ความหมายชัดเจนซะขนาดนี้” คิมเอ่ยหลังจากอีกฝ่ายร้องเพลงจบลงไปแล้ว

            “อ้าวเหรอ! ผมก็แค่ตั้งใจร้องให้เข้ากับบรรยากาศเท่านั้นเอง เป็นผลพลอยได้เลยนะนั่น” เลิฟกลอกลูกตาไปมา กำลังรู้สึกเขินอายกับการกระทำเมื่อครู่

            “ถ้าในวันข้างหน้าไม่มีกูแล้ว มึงสัญญาได้ไหมว่าจะรักเพียงแค่กูคนเดียวจริงๆ”

            “พี่จะไปไหนล่ะ ถ้าพี่ไม่ทิ้งผมผมก็จะไม่มีวันรักคนอื่น มันขึ้นอยู่กับพี่แล้วล่ะ”

            “ถ้างั้นกูสัญญาว่าจะไม่จากมึงไปไหนละกัน”

            “เป็นบ้ารึเปล่าเนี่ย ชอบพูดจาแปลกๆ ตลอดเลยพี่อ่ะ”

            “แดดเริ่มอุ่นแล้ว เข้าไปในบ้านกันเถอะ ผมเริ่มหิวแล้วอ่ะ” เลิฟว่าพลางลูบที่ท้องตัวเองไปด้วย

            คิมยืนขึ้นก่อน แล้วยื่นมือให้อีกฝ่ายจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นมา

            “สุภาพบุรุษโคตรๆ”

            “แน่นอนอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็แย่งกีตาร์ในมือมาถือไว้เอง ก่อนจะกอดคอรุ่นน้องเดินตรงไปที่บ้านพัก

            ตอนนี้ห้องโถงที่เคยมีหนุ่มๆ นอนเรียงรายกันอยู่กลับว่างเปล่า นั่นเพราะได้แยกย้ายกันไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพ

            “พวกมึงสองตัวไปเอากันที่ไหนมาวะ” หินถามขณะเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพสวมกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียว

            “ไอ้สัด ปากหมาตั้งแต่เช้าเลยนะมึง พวกกูไปรับลมทะเลกันมาเว้ย” คิมตอบ   

            “แหมๆๆ โรแมนติกกันซะจริงๆ เลยนะ เพิ่งเปิดตัวกันก็จัดหนักจัดเต็มเลย” หินยังแซวไม่เลิก ทำเอาเลิฟหน้าแดงก่ำ ส่วนคิมก็จัดการเพื่อนด้วยการเอื้อมมือตบกบาลหนึ่งที

            “ชอบแซวจังนะมึง ไอ้เลิฟมันหน้าแดงหมดแล้วนั่น”

            “เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เลิฟบอก

            “โอเคครับที่รัก” นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คิมพูดคำหวานออกมา ทำเอาหินและเลิฟแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เลิฟไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน

            หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยออกมาจากห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง นำไปเก็บไว้ที่รถเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่ก่อนที่จะกลับทั้งหมดก็ได้แวะไปทานข้าวเช้าในร้านอาหารดังในย่านนี้ จากนั้นก็แวะเที่ยวตามรายทางไปเรื่อยจนถึงกรุงเทพ

*-*-*-*-*-*

            กว่าจะกลับมาถึงก็เกือบสี่โมงเย็น คิมแวะไปส่งเลิฟที่บ้าน ด้วยความเพลียจากการนั่งรถจึงไม่ได้เข้าไปทักทายพิมพ์พร เขารีบบึ่งรถออกมาแล้วตรงกลับไปที่บ้านทันที

            เมื่อมาถึงคิมก็รีบเดินเข้าไปหาพ่อกับแม่พร้อมกับของฝาก แต่เมื่อเดินไปถึงห้องนั่งเล่นก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นหญิงสาวที่คุ้นหน้านั่งพูดคุยอยู่กับผู้ปกครองของตนเอง

            “อ้าว! กลับมาแล้วเหรอลูก” เมื่อวิภาวีเห็นลูกชายยืนอยู่ก็เอ่ยเรียกทันที

            หญิงมองหน้าชายหนุ่มผู้มาใหม่ ก่อนจะส่งยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “พี่คิมสวัสดีค่ะ”

            “หญิงมาที่นี่ทำไม” คิมรู้สึกไม่ปลื้มกับการกระทำของหญิงเลยสักนิด เพราะเจ้าหล่อนเริ่มเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขามากเกินไปแล้ว

            “ทำไมว่าน้องอย่างนั้นล่ะลูก” วิภาวีปรามลูกชาย

            “แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ผู้หญิงเขาอุตส่าห์มาง้อยังจะทำเมินใส่อีก” ก้องเกียรติว่าให้ลูกชาย

            “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับพ่อผมกับหญิงเรา...” พูดยังไม่ทันจบหญิงก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

            “เราเป็นแฟนกันแล้ว หญิงขอโทษที่ทำให้พี่คิมโกรธ ตอนนี้หญิงมาง้อพี่แล้วนะคะ” หญิงพยายามพูดให้ตัวเองดูน่าสงสารในสายตาผู้ใหญ่ นั่นทำให้คิมยิ่งรู้สึกว่ามองผู้หญิงคนนี้ผิดไป ก่อนหน้าเข้าใจว่าที่หญิงโพสไปอย่างนั้นเพราะผิดหวังที่เขาปฏิเสธ แต่มาวันนี้เขาไม่รู้สึกสงสารอะไรทั้งนั้นแล้ว เพราะหญิงได้ล้ำเส้นมากเกินกว่าจะมีความรู้สึกดีๆ ด้วย

            “พี่ไม่รู้ว่าหญิงกำลังทำอะไรอยู่ แต่เราควรจะไปคุยกันข้างนอก ไม่ควรมารบกวนพ่อกับแม่พี่อย่างนี้” คิมพยายามระงับอารมณ์โมโหเอาไว้

            “ทำไมต้องไปคุยกันที่อื่น คุยกันตรงนี้ให้เข้าใจ พ่อแม่จะได้รู้เรื่องด้วย” ก้องเกียรติเอ่ยเสียงเข้ม ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนเลย

            “ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวหญิงไปคุยกับพี่คิมสองคนน่าจะดีกว่า” หญิงเองก็กลัวว่าฝ่ายชายจะสาวไส้เธอออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้ความจริง

            “ถ้างั้นก็คุยกันดีๆ ล่ะลูก” วิภาวีบอกกับทั้งสองคน

            “ค่ะคุณแม่ ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนะคะ” หญิงยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มไป

            แทนที่จะได้ไปพักผ่อน แต่คิมกลับต้องมาเครียดกับเรื่องของหญิงอีก นั่นยิ่งทำให้ความเหนื่อยล้ามันเพิ่มทวีคูณมากยิ่งขึ้นไปอีก

            “ขึ้นมาก่อนแล้วค่อยไปคุยกันที่อื่น” คิมเอ่ยเสียงแข็ง ไม่ยอมมองหน้าหญิงแม้เพียงเสี้ยวเดียว

            หญิงไม่พูดอะไรยอมขึ้นซ้อนท้ายรถ จากนั้นคิมก็บึ่งรถออกไปยังสวนสาธารณะใกล้บ้าน เพื่อเคลียร์ปัญหากับหญิงให้รู้เรื่อง

            เมื่อมาถึงแล้วคิมก็เดินนำหน้าไปที่ม้านั่งริมสระน้ำ ต่างคนต่างเงียบเมื่อนั่งลงแล้ว ก่อนที่คิมจะเป็นคนทำลายความเงียบนั้นเสียเอง

            “ทำไมหญิงถึงทำแบบนี้ พี่อุตส่าห์เงียบแล้วนะทำไมถึงไม่ยอมจบซักที”

            “ทำไมงั้นเหรอ ก็เพราะหญิงรักพี่มาก ก็พี่เองไม่ใช่เหรอที่มาให้ความหวังหญิงจนต้องเป็นแบบนี้”

            “พี่ก็ขอโทษแล้วไง ส่วนหญิงก็ประจานพี่แล้วนี่แค่นี้ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

            “แล้วไงคะ พี่จูบหญิง พี่ลวนลามหญิง แค่คำว่าขอโทษจะทำให้หญิงจบง่ายๆ งั้นเหรอคะ” เจ้าหล่อนเริ่มขึ้นเสียง

            “ถ้างั้นจะให้พี่ทำยังไงล่ะ หญิงถึงจะยอมหยุด” คิมเอ่ยแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “พี่คิมต้องคบกับหญิงเท่านั้น” หญิงยื่นคำขาด

            “ไม่มีทาง! หญิงก็รู้ว่าพี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากอย่างนี้วะ!” คิมขึ้นเสียงใส่ จนหญิงถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ทำหน้าไม่พอใจ

            “ทำไมพี่คิมต้องตะคอกใส่หญิงด้วยเนี่ย ฮึก”

            “พี่ขอโทษ...แต่คงทำตามที่หญิงบอกไม่ได้” คิมรู้ตัวว่าทำกิริยาไม่ดีใส่ จึงพยายามระงับอารมณ์โมโหลงจนเป็นปกติ

            “ถ้าพี่ไม่ยอมหญิงก็จะใช้วิธีของหญิงเอง”

            “หญิงจะทำอะไร” คิมหันไปมอง รู้สึกกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปอีก เหมือนกับการไปหาเขาที่บ้าน

            “จะทำอะไรมันก็เรื่องของหญิง พี่คิมไม่ต้องมาทำเป็นอยากรู้”

            “อย่าทำอะไรโง่ๆ เหมือนวันนี้อีกนะ พี่ไม่อยากให้หญิงต้องมาเสียใจทีหลัง เราเป็นพี่น้องกันมันน่าจะดีที่สุดแล้ว เพราะถึงยังไงพี่ก็ไม่มีทางคิดกับหญิงเป็นอย่างอื่นไปได้แน่นอน” คิมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม เพื่อไม่ให้สถานการณ์มันคุกรุ่นไปมากกว่านี้

            “พี่คิมไม่รู้หรอกว่าหญิงเสียใจมากแค่ไหน หญิงแอบรักพี่มาเป็นปี พอมาวันนึงพี่ก็ทำให้ความฝันหญิงเข้าใกล้ความจริง อยู่ๆ พี่ก็ทำเหมือนว่ากับหญิงเป็นของเล่น ที่จะทำอะไรยังไงก็ได้ ทำอย่างกับหญิงไม่มีความรู้สึก เพราะงั้นถ้าหญิงไม่ได้พี่ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขกับคนที่พี่รัก” หญิงพูดก็ไปร้องไห้ไป ใบหน้าสวยแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา คิมเห็นอย่างนั้นก็อดสงสารไม่ได้ แต่จะให้ทำอย่างไรเพราะเขาไม่ได้รักเธอ คนที่อยู่ในใจมีเพียงเลิฟคนเดียวเท่านั้น

            “พี่ทำดีที่สุดแล้ว ถ้าหญิงยังคิดไม่ได้พี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ลุกขึ้นเถอะเดี๋ยวพี่จะไปส่งที่บ้าน” ว่าแล้วคิมก็ลุกขึ้นยืน ทำหน้าเมินอีกฝ่าย

            “ไม่! หญิงไม่กลับ” หญิงยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมลุกขึ้น

            “พี่เหนื่อย ไม่มีเวลามาง้อหญิงหรอกนะ รีบลุกขึ้นเร็วเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

            “กลับไปเลยค่ะ หญิงจะอยู่ที่นี่” หญิงยังคงดื้อ นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น

            “ถ้างั้นก็กลับเองละกันนะ พี่ขอตัวกลับก่อน” ในเมื่อไม่ยอมฟังกัน เขาเองก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม จึงเดินออกไปจากตรงนั้น ขับรถกลับบ้าน

            หลังจากคิมกลับบ้านไปแล้ว หญิงยังคงนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม เจ้าหล่อนรู้สึกเสียใจและเสียหน้าที่ไม่สามารถทำให้ผู้ชายที่เธอรักมารักเธอได้ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกลียดเธอมากยิ่งขึ้นอีก

            หญิงนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานเข้ามาแทนที่ความสว่าง ผู้คนที่เข้ามาวิ่งออกกำลังกายก็ทยอยกลับบ้านไป เห็นอย่างนั้นหญิงจึงลุกขึ้นจากม้านั่งเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ทว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับเธอ

            “จะไปไหนเหรอจ๊ะน้องสาว” หนุ่มนิรนามคนหนึ่งยืนขวางหน้าหล่อนเอาไว้ ท่าทางคงจะดื่มมาอย่างหนัก

            “กะ...แกเป็นใคร หลีกไปฉันจะกลับบ้าน”

            “จะกลับไปไหนล่ะจ๊ะมานั่งคุยกับพี่ก่อนไม่ได้เหรอ” ว่าพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้

            “อย่าเข้ามานะไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”

            “แถวนี้ไม่มีคนมาช่วยน้องได้หรอกจ๊ะหึๆ” ชายหนุ่มกระโจนเข้าไปหาแล้วรวบตัวหญิงสาวเอาไว้

            “ช่วยด้วย!! อุ๊บ!” เมื่อโดนมือหนาปิดที่ปากเอาไว้แล้ว หญิงก็โดนลากตัวเข้าไปในพุ่มไม้ทึบอย่างทุลักทุเล

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทำตัวเอง จนโดนข่มขืน แล้วก็ท้อง จนไปฟ้องพ่อแม่คิมว่า คิมเป็นพ่อเด็กในท้อง จบการสันนิฐาน  :hao3:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๕-

รู้สึกผิด





            ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่วันเกิดเรื่อง แต่คิมกลับไม่ได้ข่าวคราวของหญิงเลย ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้ชะล่าใจ เพราะยังคิดกังวลอยู่ในหัวตลอดเวลา ว่าหญิงคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเหมือนที่เคยพูดขู่เอาไว้ หากอีกฝ่ายทำอะไรที่มันเกินเลย เขาเองก็คงจะไม่อยู่เฉยเหมือนคราวที่แล้วแน่นอน

            หลังจากซ้อมบาสเสร็จแล้วคิมและเพื่อนต่างก็นั่งดื่มน้ำเย็นๆ อยู่ข้างสนามในโรงยิมของวิทยาลัย นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ต่างก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กข่าวสารในโลกโซเชี่ยว ระหว่างที่คิมกำลังส่งข้อความไลน์หาเลิฟอยู่นั้น โต้งก็อุทานขึ้นเสียงดัง จนเพื่อนทั้งหมดหันไปมองพร้อมกัน

            “เหี้ยแล้วไง!”

            “อะไรของมึงไอ้โต้ง ทำเอาซะพวกกูตกใจ” อ๋องว่า

            “มึงเห็นผีรึไงวะ” หินหันมาถามอีกคน

            “พวกมึง...น้องหญิงโดดตึกฆ่าตัวตายว่ะ” โต้งเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก

            คิมได้ยินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “จะ...จริงเหรอวะ” เจ้าตัวเอ่ยถามเพื่อนเสียงสั่น

            “จริงดิวะ เหมือนเพิ่งโดดเมื่อไม่ถึงชั่วโมงเอง” โต้งตอบ

            เมื่อเพื่อนยืนยันว่ามันคือเรื่องจริง คิมก็เริ่มกลัว กลัวว่าต้นเหตุจะมาจากวันนั้น วันที่เขาเอ่ยกับหญิงอย่างตัดรอน

            “มึงใจเย็นๆ นะไอ้คิม” เทอร์โบวางมือบนบ่าเพื่อนเหมือนกำลังช่วยปลอบใจ “รูปที่น้องหญิงลงเป็นภาพสุดท้ายมันเกี่ยวกับมึงอีกแล้วว่ะ” ว่าแล้วก็ยืนมือถือให้เพื่อนดู

ภาพที่หญิงโพสต์เป็นภาพสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจกระโดดตึกโรงเรียน คือภาพถ่ายของสะสมในกล่อง ที่มีแต่ภาพของคิมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะกำลังแข่งบาส หรือภาพที่ลงในอินสตาแกรม เธอนำมันมาอัดเป็นภาพแล้วเก็บสะสมเอาไว้

            *‘หากชาติหน้ามีจริงขอให้พี่คิมรักหญิงบ้าง ลาก่อนความรักที่ไม่มีวันสมหวัง...”*

            ทั้งภาพและแคปชั่นยิ่งทำให้คนเข้าใจว่าหญิงฆ่าตัวตายเพราะคิมเป็นต้นเหตุ ทำให้ตอนนี้ในอินตาแกรมของคิมโดนถล่มยับ มีคอมเมนต์เข้ามาด่าทอกันอย่างล้นหลาม

            “นี่กู...เป็นต้นเหตุให้หญิงฆ่าตัวตายเหรอวะ” คิมหน้าเสียเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องคิดสั้น ยิ่งอ่านคอมเมนต์ยิ่งทำให้ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นในหัว เหตุการณ์ครั้งนี้มันรุนแรงที่สุดในชีวิตของแล้ว

            “มึงปิดมือถือเดี๋ยวนี้ไอ้คิม” โต้งสั่งเพื่อน เพราะหากอ่านคอมเมนต์ไปเรื่อยๆ มีหวังเพื่อนได้เป็นบ้าแน่

            “อย่าเพิ่งโทษตัวเองเลยว่ะ มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มึงคิดก็ได้” หินพยายามปลอบใจเพื่อน

            “มันเป็นเพราะกู เพราะกูคนเดียว วันนั้นกูไม่น่าพูดตัดรอนหญิงไปอย่างนั้นเลย” คิมพูดเสียงสั่น เริ่มควบคุมสติตัวเองไม่ได้

            “มึงตั้งสติให้ดีไอ้คิม มึงไม่ได้เป็นคนทำ มึงทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วนะเว้ย” เมื่อเห็นเพื่อนเริ่มสติแตก หินก็พยายามพูดปลอบใจ

            “มันเป็นเพราะกูจริงๆ เว้ย มันเป็นเพราะกูคนเดียว กูมันเลว กูมันเหี้ย กูทำให้คนที่รักกูต้องฆ่าตัวตาย”

            “ไอ้เหี้ยคิมมึงตั้งสติดิวะ” โต้งจับไหล่ทั้งสองข้าง เขย่าตัวเพื่อน เหมือนเป็นการเรียกสติกลับคืนมา แต่คิมกลับยังคงตัวสั่น กลอกลูกตาไปมาราวกับคนเสียสติ

            “กูจะกลับบ้าน กูไม่อยากเจอใครทั้งนั้น กูอยากอยู่คนเดียว” คิมลุกพรวดพราดขึ้นมา หยิบกระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกไปจากโรงยิม เพื่อนทั้งสี่คนเดินตามหลังไปติดๆ กลัวว่าคิมจะคิดมากจนทำอะไรไม่คาดคิดลงไป

            “ไอ้คิมให้พวกกูไปส่งมึงดีกว่า” โต้งตะโกนตามหลังไป

            “ไม่ต้อง! กูจะกลับเอง”

            “แล้วไอ้เลิฟล่ะมึงไม่ไปรับมันแล้วเหรอวะ”

            เมื่อได้ยินชื่อเลิฟ คิมก็หยุดเดินแล้วนึกถึงใบหน้าคนรัก ใช่สิ เขาต้องไปรับเลิฟ แต่ถ้าเลิฟเห็นเขาในสภาพนี้อาจจะไม่มีกำลังใจซ้อมก็เป็นได้ เขาจะไม่มีวันทำลายกำลังใจของอีกฝ่ายแน่นอน

            “ไอ้โต้งมึงไปส่งมันแทนได้ไหมวะ กูไม่ไหวจริงๆ”

            “ได้ไม่มีปัญหา แต่มึงห้ามคิดมากนะโว้ย ใจเย็นๆ เรื่องนี้มันไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก อย่าโทษตัวเอง”

            “ขอบใจว่ะที่เตือนสติกู ส่งมันให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยด้วย กู...ไปล่ะ” คิมเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนเชิงเป็นการขอบใจ ก่อนจะเดินอย่างคนไร้ซึ่งชีวิตชีวาตรงไปที่โรงจอดรถ ส่วนเพื่อนคนอื่นได้แต่ยืนมองตามหลังด้วยความเป็นห่วง

            เมื่อใกล้ถึงเวลากลับบ้านแล้ว โต้งก็ขึ้นไปหาเลิฟที่ห้องซ้อมดนตรี ไปรับรุ่นน้องตามคำขอเพื่อน เมื่อเลิฟเห็นโต้งก็รู้สึกแปลกใจ เพราะปกติรุ่นพี่ไม่เคยขึ้นมาที่นี่เลย ในขณะเดียวกันก็ปรายตามองหาคนรัก เข้าใจว่าอาจจะมาด้วยกัน

            “อ้าว! พี่โต้งทำไมได้ขึ้นมาล่ะครับ”

            “กูมารับมึงแทนไอ้คิม มันมีธุระต้องกลับบ้านไปก่อน” โต้งเอ่ยแต่สีหน้ากลับไม่ค่อยสู้ดีนัก เลิฟผิดสังเกตจึงเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ

            “พี่โต้งบอกผมมาตรงๆ พี่คิมเป็นอะไร”

            “คือ...พวกมึงรู้ข่าวนักเรียนหญิงโรงเรียนใกล้เรากระโดดตึกฆ่าตัวตายป่ะ” โต้งเอ่ยถาม

            “ใครกันวะไอ้โต้ง” แจ๊บถาม

            “น้องหญิง”

            เมื่อทุกคนได้ยินชื่อก็ถึงกับอึ้ง เพราะพอจะรู้ว่าหญิงคือคนที่แอบปลื้มคิมมาตลอด

            “น้องหญิงที่ตามจีบไอ้คิมนั่นเหรอ” เอ็มถามเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกัน

            “เออ นั่นล่ะเป็นเหตุผลที่มันมารับไอ้เลิฟไม่ได้” โต้งบอกกับทุกคน

            เลิฟรู้อย่างนี้ก็พอจะเดาออก ว่าผู้หญิงที่เคยทำให้คิมต้องวิตกกังวลมาช่วงหนึ่งนั้นคือหญิงคนนี้ ตอนนี้เริ่มเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเหลือเกิน กลัวว่าจะคิดฟุ้งซ่านจนเผลอทำอะไรไม่ดีลงไป

            “มึงหมายความว่าน้องหญิงฆ่าตัวตายเพราะไอ้คิมงั้นเหรอวะ” แจ๊บถามต่อ

            “ก็ประมาณนั้น ไอ้คิมมันโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้หญิงฆ่าตัวตาย ดูท่าทางมันไม่ค่อยดีเลยว่ะ”

            “ไอ้เลิฟมึงรีบกลับไปหามันเถอะ กูว่าตอนนี้มันกำลังต้องการใครสักคนจริงๆ” แจ๊บบอกกับรุ่นน้อง

            “ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับพี่” เลิฟรีบไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย แล้วยกมือไหว้รุ่นพี่

            “โชคดีไอ้น้อง กูเชื่อว่ามึงจะทำให้ไอ้คิมมันรู้สึกดีขึ้นได้” แจ๊บเอ่ย

            “ขอบคุณครับพี่”

            เมื่อขับรถมาส่งเลิฟถึงหน้าบ้านคิมแล้ว โต้งก็ฝากรุ่นน้องช่วยเยียวยาจิตใจของเพื่อนให้ดีขึ้น ก่อนจะบึ่งรถกลับไป แม้ใจจริงอยากจะเข้าไปพร้อมกับรุ่นน้อง แต่เขาคิดว่าเลิฟจะสามารถทำให้คิมดีขึ้นได้กว่าคนอื่นๆ แน่นอน

            เมื่อเดินเข้าไปหน้าร้านทอง เลิฟก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน

            “สวัสดีครับคุณน้า” ว่าพร้อมกับยกมือไหว้

            “สวัสดีจ้ะเลิฟ มาหาพี่คิมเหรอจ๊ะ” วิภาวีเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “ครับ”

            “ถ้างั้นก็ขึ้นไปเลยจ้ะ มาถึงก็ขึ้นไปบนห้องไม่พูดไม่จา ไม่รู้เป็นอะไร” วิภาวีเองก็รู้สึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ทั้งสองยังไม่รู้เรื่องที่หญิงฆ่าตัวตาย จึงยังไม่ได้เอะใจอะไร

            “ถ้างั้นผมขึ้นไปแล้วนะครับ” เลิฟยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะรีบเดินขึ้นไปหาคนรักบนห้องนอน

            ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องแล้ว จึงตัดสินใจเคาะประตูห้อง เอ่ยเสียงเรียกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขามาหาแล้ว

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “พี่คิมครับ”

            คนที่นั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ข้างเตียง เงยขึ้นมามองไปยังประตู ดวงตาคมที่เคยสดใสกลับหมองหม่นและแดงก่ำ พวงแก้มทั้งสองข้างแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่งเลยทีเดียว

            “มีอะไรวะ” คิมพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น

            “ผมรู้เรื่องหมดแล้ว พี่อย่าฝืนตัวเองเลย เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อยนะ”

            “กูอยากอยู่คนเดียว มึงกลับไปก่อนเถอะ” คนในห้องตะโกนออกมา แต่มีหรือที่เลิฟจะฟัง

            “ถ้าพี่ไม่เปิดผมก็จะนั่งอยู่หน้าห้องไม่ไปไหน” ว่าแล้วก็นั่งลงที่พื้นทันที

            คิมยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ก่อนจะตัดสินใจเดินมาเปิดประตู ดูให้แน่ใจว่าคนรักยังคงอยู่ที่หน้าห้องเหมือนที่พูดไว้หรือเปล่า

            “ทำไมมึงถึงดื้อ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่ คิมก็เอ่ยตำหนิ แต่ทว่ากลับรู้สึกอยากเข้าไปสวมกอดมากเหลือเกิน

            “ถ้าผมไม่ดื้อจะได้ยืนอยู่ตรงหน้าพี่อย่างนี้เหรอ” เลิฟว่าพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

            “มึงรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” เดินเข้ามาแล้วคิมก็เอ่ยถาม ทั้งที่ยังหันหลังให้อยู่

            “พี่อยากกอดผมไหม”

            คิมหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเศร้า เขาไม่อยากจะอ่อนแอเลยสักนิด แต่มันก็ทำไม่ได้ เขาทำให้คนตายไปทั้งคน

            เลิฟไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ จึงเป็นคนเดินเข้าไปสวมกอดก่อน เมื่อได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดคนรักแล้ว คิมก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที เขาร้องไห้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

            “กูเป็นต้นเหตุทำให้หญิงต้องตาย ฮือๆ” คิมระบายมันออกมาให้ฟัง ทั้งที่ยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด

            “พี่อย่าคิดแบบนั้นสิ มันไม่เกี่ยวกับพี่หรอก มันคือการตัดสินใจของหญิงเอง อย่าคิดมากเลยนะครับพี่”

            “ไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่คิดแบบนี้ คนอื่นเขาก็คิดแบบเดียวกัน กูมันเป็นฆาตกร เรื่องทุกอย่างมันเป็นเพราะกูคนเดียว เป็นเพราะกู..ฮึก”

            “ถ้าพี่ผิดผมเองก็ผิดด้วย เพราะเป็นต้นเหตุให้พี่ต้องบอกอย่างนั้นกับหญิง ถ้าพี่โทษตัวเองอยู่อย่างนี้ ผมก็จะโทษตัวเองด้วย ผมจะไม่ปล่อยให้พี่ต้องรู้สึกผิดคนเดียวหรอก”

            “ไม่! มึงไม่ผิดเลย เป็นเพราะกูคนเดียว มึงอย่าคิดแบบนั้น กูจะไม่มีทางให้มึงต้องมาทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด”

            “ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมทุกข์ใจ พี่ก็ต้องทำด้วย ไม่งั้นผมคงทำไม่ได้หรอก”

            “กู....ทำไม่ได้จริงๆ ในหัวกูตอนนี้มันมีแต่คำสาปแช่งจากหญิง คำก่นด่าจากเพื่อนของหญิง จากครอบครัวของหญิง และจากคนอื่นๆ ที่รู้ข่าวนี้” คิมพร่ำเอ่ยข้างใบหู ราวกับกำลังอยู่ในฝันร้าย

            “พี่อย่าคิดมากสิวะ รู้ไหมผมใจไม่ดีเลยที่เห็นพี่เป็นอย่างนี้ พี่ไม่รักผมแล้วเหรอ พี่ไม่ฟังผมแล้วใช่ไหม”

            “กูรักมึงมาก แต่กูทำใจไม่ได้จริงๆ กูเสียใจจริงๆนะเลิฟ กูเสียใจมากที่ทำให้คนที่รักกูต้องตาย กูกลัวว่าในอนาคตกูจะทำให้มึงเสียใจเหมือนหญิงอีก กูกลัวไปหมดทุกอย่าง”

            เลิฟผละตัวออกมา จับไหล่ทั้งสองข้างของคิม จ้องหน้าเอ่ยเตือนสติอย่างตั้งใจ

            “พี่ตั้งสติให้ดี แล้วมองหน้าผม ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีรอด หญิงก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ว่าวันนี้หรือในอนาคต สักวันหญิงก็ต้องตายมันเป็นสัจธรรมของชีวิต พี่ต้องคิดอย่างนั้นให้ได้”

            “กู...จะพยายามคิดแบบนั้นให้ได้” คิมเริ่มได้สติเมื่อได้ฟังสิ่งที่คนรักพูด แต่ทว่าจิตใจมันยังคงสั่นไหวอยู่เหมือนเดิม

            “คืนนี้ผมจะนอนกับพี่ ผมจะนอนกอดพี่ทั้งคืนดีไหมครับ”

            “มึงจะนอนกับกูจริงๆ ใช่ไหม”

            “จริงดิครับ ผมจะปล่อยให้แฟน นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ห้องคนเดียวได้ไง” เลิฟยิ้มให้

            “กูขอโทษที่ทำให้มึงต้องมาเหนื่อยใจกับกู กูมันไม่ได้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่กูควรจะดูแลปกป้องมึง แต่กลับกลายเป็นว่ามึงต้องมาคอยปกป้องกู คอยดูแลจิตใจกู กูแม่ง...อ่อนแอว่ะ” คิมก้มหน้าพูด เอ่ยโทษตัวเอง หากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่มีทางทำอย่างนั้นให้หญิงเข้าใจผิด เขาจะตั้งหน้าจีบเลิฟตั้งแต่แรก จะไม่ลังเลใจจนทำให้เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้น

            “พี่แม่งคิดมากว่ะ เรื่องแค่นี้เองผู้ชายแมนๆ อย่างเราไม่เอามันมาใส่ใจหรอก พี่บอกกับผมมาตลอดว่าที่แมนเต็มร้อยไม่ใช่รึไง ต้องทำให้ได้อย่างที่พูดสิ เข้มแข็งเข้าไว้ ผมจะเดินไปพร้อมกับพี่เอง” ว่าแล้วก็จับมือคนที่อยู่ตรงหน้าไว้ ส่งรอยยิ้มหวานให้

            ในระหว่างนั้นเสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทำให้คิมหันขวับไปมอง จะปล่อยมืออีกฝ่ายเพื่อไปหยิบมันขึ้นมาดู แต่เลิฟกลับไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ เขาไม่อยากให้คิมต้องมาถูกกระตุ้นให้ฟุ้งซ่านจากนักเลงคีย์บอร์ดอีกเป็นแน่

            “ปล่อยมือก่อนดิ กูจะไปหยิบมือถือ”

            “ไม่! ผมจะไม่ให้พี่ต้องเจออะไรที่มันบั่นทอนจิตใจอีกเป็นอันขาด คืนนี้พี่ห้ามแตะมือถือเด็ดขาด เพราะถ้าพี่ยิ่งดู ยิ่งอ่าน มันจะยิ่งทำให้จิตใจพี่ย่ำแย่ลงน่ะสิ”

            “แต่...” เขาเองก็อยากจะรู้เรื่องข่าวของหญิงมันไปถึงไหนแล้ว

            “ไม่ต้องแต่ คืนนี้จะมีแค่เราเท่านั้น คนที่อยู่ในโลกโซเชี่ยวเขาก็แค่คอมเมนต์เอามันส์ เอาความสะใจ แต่เขาไม่ได้มาทุกข์ใจเหมือนกับเรานี่นา ทำไมจะต้องไปดู ไปให้ค่าคนพวกนั้นด้วยล่ะ”

            “ถ้างั้นคืนนี้กูจะเชื่อฟังมึงทุกอย่าง”

            “ดีมากครับ แฟนสุดหล่อของผม” เลิฟโผเข้ากอดอีกฝ่ายอีกครั้งเพื่อให้กำลังใจ เขาจะทำทุกวิธีให้คนที่เขารักกลับมามีความสุขเหมือนเดิม แม้ว่าจะต้องผิดคำพูดเสียเอง ว่าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายล่วงเกิน แต่หากมันจะทำให้คิมลืมความเสียใจพวกนั้นไปได้ เขาก็จะทำมันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หญิงฆ่าตัวตาย แล้วตายจริงป่ะ มีออกข่าวไหม ก็ยังงง ๆ อยู่นะ ว่าจะเป็นแผนของหญิงหรือเปล่า  :hao4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แอบรักน้องมาตั้งนาน แต่ไม่กล้าบอกน้องสินะ555

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๖-

ภัยมืด (NC)



            เช้าวันต่อมา เมื่อวิภาวีและก้องเกียรติรู้เรื่องการตายของหญิง ท่านทั้งสองเรียกคิมลงมาซักถามความจริงที่ห้องนั่งเล่น ส่วนเลิฟก็นั่งข้างคนรักอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศภายในห้องเงียบงัน แต่อบอวลไปด้วยความตึงเครียด คิมเอาแต่นั่งก้มหน้ากลัวว่าพ่อกับแม่จะด่าว่าให้

            “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ลูก ทำไมหญิงถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนั้น” วิภาวีเอ่ยถามลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            “จริงๆ แล้วผมกับหญิงไม่ได้เป็นแฟนกันครับ หญิงแอบชอบผมมานาน แต่ผมไม่ได้สนใจและได้ปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่หญิงไม่ยอมหยุดจนมาที่บ้านในวันนั้น หลังออกจากบ้านไปผมก็ได้ย้ำกับเธออีกครั้งว่าผมไม่ได้รักเธอ มันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นอย่างนี้ครับแม่ ผมไม่ได้ตั้งใจอยากให้มันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเลย” คิมก้มหน้าพูด ทุกคำที่พูดออกมาจากใจล้วนๆ

            “ทำไมหญิงถึงได้คิดสั้นทำอย่างนี้นะ แม่ไม่ได้จะด่าจะโทษลูกเลย ที่เรียกมาถามเพราะอยากรู้ความจริงว่ามันเป็นมายังไงกันแน่ แม่ไม่อยากให้ลูกคิดมาก แม้ว่าใครจะมองยังไงก็ตาม แต่แม่กับพ่อยังอยู่ข้างลูกเสมอ แม่เชื่อว่าลูกทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”

            “ว่างๆ ก็ไปทำบุญขออโหสิกรรมหญิง เราจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น” ก้องเกียรติบอกกับลูกชาย

            “ครับพ่อ”

            “ขอบใจเลิฟมากนะลูกที่คอยอยู่ข้างๆ พี่เขา” วิภาวีเอ่ย

            “ไม่เป็นไรครับน้าวิผมยินดี”

            “ลูกอยากไปขออโหสิหญิงด้วยตัวเองรึเปล่า แม่กับพ่อจะพาลูกไปเอง”

            “คือ...ใจจริงผมก็อยากไปครับ แต่ไปแล้วผมกลัวว่าจะทำใจไม่ได้ ผมขอไปวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้หญิงดีกว่าครับ”

            “ถ้างั้นก็ตามใจลูกละกัน อย่าคิดมากนะลูก มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพ่อกับแม่บ้าง ไม่ใช่ให้รู้เองอย่างนี้ คิมคือลูกชายคนเดียวของพ่อกับแม่นะ ถ้าหากลูกเป็นอะไรไปพ่อกับแม่จะเสียใจมากรู้ไหม”

            “ผมขอโทษครับ ผมรักพ่อกับแม่นะครับ” ว่าแล้วคิมก็โผเข้าไปกอดทั้งสองท่าน เลิฟนั่งยิ้มมองภาพนั้นด้วยความยินดี อย่างน้อยเขาก็อุ่นใจที่ท่านทั้งสองเข้าใจลูกชาย ไม่ซ้ำเติมเหมือนคนอื่นๆ

            ผละออกจากอ้อมกอดของพ่อกับแม่แล้ว คิมก็ขอตัวไปทำบุญที่วัดกับรุ่นน้อง

            “แม่ครับ พ่อครับ ผมขอตัวไปทำบุญที่วัดกับเลิฟนะครับ”

            “ฝากทำบุญเผื่อพ่อกับแม่ด้วยละกัน” วิภาวีเอ่ย

            “ครับแม่”

            “ฝากพี่คิมด้วยนะเลิฟ”

            “ครับน้าวิ”

            เมื่อทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว ทั้งสองหนุ่มก็ออกเดินทางไปวัดที่อยู่ละแวกบ้าน

            มาถึงแล้วก็ซื้อดอกไม้ธูปเทียนพร้อมทั้งสังฆทานเข้าไปในวิหาร เพื่อกราบไหว้พระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน ในนั้นมีหลวงพ่อรูปหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้านหน้าองค์ประธาน เห็นอย่างนั้นทั้งสองจึงนั่งลงกราบ หลังจากจุดธูปเทียนขอพรและถวายดอกไม้พระประธานแล้ว ก็มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อจนเสร็จสรรพ แล้วนั่งสนทนากับท่าน

            “ดูจากสีหน้าโยมไม่ค่อยสู้ดีนัก มีเรื่องทุกข์ใจอยู่รึโยม” หลวงพ่อเอ่ย พลางจ้องหน้าคิมไปด้วย

            “ตอนนี้ผมมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยครับหลวงพ่อ”

            “ทุกข์มันเกิดมาจากจิตใจของเราเอง หากเราคุมจิตให้แกร่งได้ความทุกข์มันก็เป็นแค่เศษฝุ่นที่เราสามารถปัดมันออกไปได้ มันขึ้นอยู่กับโยมแล้วล่ะว่าจะสามารถทำได้หรือเปล่า”

            “ผมจะพยายามทำให้ได้ครับหลวงพ่อ”

            “ช่วงนี้ก็ระมัดระวังตัวด้วยนะโยม อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใคร พยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้ได้”

            “จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอครับหลวงพ่อ” เลิฟได้ยินก็ไม่สบายใจ จึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ

            “อาตมาก็แค่อยากจะเตือนเอาไว้เท่านั้นเอง หากเราระวังตัวเอง อะไรก็ไม่สามารถมาทำร้ายเราได้”

            “ผมจะระวังตัวครับหลวงพ่อ”

            “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น อาตมาอยากให้โยมทั้งสองเข้มแข็งเอาไว้ โดยเฉพาะโยมต้องหนักแน่นเอาไว้ให้มาก” หลวงพ่อหันมาเอ่ยย้ำกับเลิฟ

            “ครับหลวงพ่อ”

            “ถ้าเช่นนั้นอาตมาขอตัวก่อนนะโยม เจริญพร”

            “ครับหลวงพ่อ” ทั้งสองคนกราบหลวงพ่อพร้อมกัน จากนั้นท่านก็เดินออกไป

            ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินเคียงคู่ออกมาจากวิหาร การมาเข้าวัดครั้งนี้ทำให้จิตใจของคิมสงบขึ้นมาก เพราะได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับหญิง แต่สำหรับเลิฟกลับยังคงรู้สึกตงิดใจกับคำเตือนของหลวงพ่อ ราวกับว่าท่านรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นในอนาคต เขาได้แต่พยายามลืมเรื่องวันนี้ไป แล้วดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทเท่านั้นเอง

*-*-*-*-*-*

            หลังจากหยุดเรียนไปสองวันเพื่อปรับสภาพจิตใจ ไม่ติดตามข่าวสารในโลกโซเชี่ยว อยู่กับครอบครัวเท่านั้น วันนี้คิมมาเรียนตามปกติ นักศึกษาหลายคนที่เดินผ่านไปมา ต่างก็ปรายตามองแล้วซุบซิบนินทา เขารู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ

             ก่อนเดินเข้าไปในอาคารเรียน คิมก็พบกลุ่มนักศึกษา กำลังมุงดูอะไรบางอย่างบนบอร์ดประชาสัมพันธ์ เจ้าตัวเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้จึงเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน

            “เจ้าตัวจะรู้ยังวะว่าตอนนี้ตัวเองดังมาก”

            “ทำอย่างนี้ได้ไงวะสงสารน้องผู้หญิง”

            “แล้วอย่างนี้จะมองหน้าใครได้ล่ะวะ โดนประณามซะขนาดนี้”

            คำวิจารณ์หลากหลายต่างก็ดังเข้าหูคิม ยิ่งเมื่อเห็นแผ่นกระดาษที่ติดอยู่บนบอร์ด ยิ่งทำให้เจ้าตัวแทบทรุดลงกับพื้น มันเป็นภาพของเขาเองที่โชว์หราอยู่กลางหน้ากระดาษ ข้างบนนั้นก็มีตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ***‘ไอ้ฆาตกร’***

            “เฮ้ย ไปกันเถอะพวกมึง”

            เมื่อทุกคนรู้ว่าคิมยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ต่างก็พากันรีบเดินหนีออกไป ทำให้เหลือเพียงเจ้าตัวยืนอยู่ลำพัง ช่วงสองวันมานี้เขาพยายามทำใจให้สงบได้แล้ว แต่พอมาเจออย่างนี้มันกลับดิ่งลงเหวอีกครั้ง มือหนาเอื้อมไปดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วขยำทิ้งลงพื้น ก่อนจะถอนหายใจยาว หลับตาเพื่อตั้งสติ

            “เรื่องแค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอก” คิมพูดให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เพื่อต่อสู้กับด้านมืดของจิตใจ

            ตี๊ดๆ

            ในระหว่างนั้นเสียงข้อความในมือถือก็ดังขึ้นมา ทำเอาเจ้าตัวหลุดจากภวังค์ ก่อนจะเปิดมันอ่าน

            ***‘ไอ้ฆาตกร มึงอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข’***

            คิมเห็นอย่างนั้นก็รีบโทรกลับไปทันที แต่ทว่าปลายสายกลับปิดเครื่องเอาไว้เสียก่อน

            “ช่างแม่งเถอะ กูไม่กลัวอะไรแล้ว” คิมตะโกนออกมาเสียงดัง ก่อนจะลบข้อความนั้นทิ้งแล้วเดินเข้าไปในอาคารเรียนอย่างไม่ใส่ใจ

            “เฮ้ย! ในที่สุดมึงก็กลับมาซะที” หินเอ่ย ก่อนจะรีบเดินตรงปรี่เข้ามาหาเพื่อน

            “โทษทีว่ะที่กูไม่ติดต่อใครเลย”

            “ช่างเถอะ แค่มึงกลับมาครบสามสิบสองพวกกูก็ดีใจแล้ว” โต้งเอ่ย พลางวางมือบนบ่าของเพื่อน

            “มึงดีขึ้นจริงๆ แล้วนะ” โต้งถามย้ำเพื่อนอีกครั้ง

            “ก็เออดิวะ จิตใจกูปกติแล้ว เลิกคิดมากเรื่องหญิงแล้ว” คิมยิ้มให้เพื่อน พยายามทำตัวเป็นปกติที่สุด

            “อย่างนี้สิวะเพื่อนกู พวกกูเองจะได้สบายใจ” เทอร์โบเห็นเพื่อนดีขึ้นแล้วก็ยิ้มได้บ้าง

            “กูไม่อยากให้ไอ้เลิฟมันมาเครียดกับกูด้วย เพราะอีกไม่กี่วันมันก็จะต้องไปแข่งแล้ว กูอยากให้มันทำให้เต็มที่”

            “เดี๋ยววันแข่งพวกเราไปเชียร์มันติดขอบเวทีเหมือนเดิม ถ้ามันได้กำลังใจจากมึง กูรับรองว่าแชมป์ต้องเป็นของวิทลัยเราแน่นอน” อ๋องเอ่ยอย่างมีความหวัง

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีว่ะ” คิมเอ่ย เขาอยากเห็นเลิฟมีความสุขกับสิ่งที่รัก เขาอยากจะเห็นวันที่คนรักประสบความสำเร็จสูงสุด เขาจะคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าจะถึงวันนั้น

            หลังจากไปนั่งดูคนรักซ้อมดนตรีจนเสร็จ คิมก็ขับรถมาส่งที่บ้านเหมือนปกติ เจ้าตัวพยายามลืมเรื่องราวพวกนั้นไปจากสมองชั่วคราวเมื่อได้อยู่กับเลิฟ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกเป็นกังวลไปด้วย

            “สวัสดีครับแม่”

            “วันนี้ซ้อมเสร็จเร็วจังลูก”

            “วันนี้รุ่นพี่มีธุระเลยให้เลิกก่อนเวลาครับ”

            ระหว่างนั้นคิมก็ถือโอกาสยกมือไหว้พิมพ์พรบ้าง

            “สวัสดีครับน้าพิมพ์”

            “สวัสดีจ้าคิม ขอบใจที่มารับมาส่งน้องนะ”

            “ผมยินดีครับ เลิฟก็เหมือนน้องผมคนหนึ่งเหมือนกัน”

            “ได้ยินอย่างนี้น้าก็ดีใจ เลิฟมันจะได้มีพี่ชายคอยดูแลเหมือนคนอื่นบ้าง”

            “ไม่จริงเลยแม่ มีแต่ผมนี่ล่ะดูแลพี่เขา” เลิฟว่าพลางยักคิ้วให้รุ่นพี่

            “ก็เหมือนกันนั่นล่ะ เป็นน้องก็ต้องดูแลพี่บ้างมันเป็นเรื่องธรรมดา”

            “จริงครับน้า”

            “ไม่พูดกับแม่แล้ว ชอบเข้าข้างคนอื่นอยู่เรื่อย ผมขึ้นข้างบนก่อนล่ะ” ว่าแล้วก็เดินสะพายเป้ขึ้นไปบนห้อง ไม่รอคนที่มาส่งเลย

            “ถ้างั้นผมขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับน้าพิมพ์” คิมยิ้มให้แล้วรีบเดินตามหลังขึ้นมา

            “ไม่รู้จะตามขึ้นมาทำไม ยังไงผมก็จะลงไปอยู่แล้ว” เลิฟเอ่ยขณะยืนอยู่ข้างเตียง เตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า

            “กูไม่ได้ขึ้นมาห้องมึงนานแล้วนะ ใจจริงก็อยากจะมานอนที่นี่ด้วยซ้ำ” คิมเอ่ยขณะนอนเอนหลังอยู่บนเตียงด้วยท่าทีสบายๆ

            “ก็มานอนสิใครว่าพี่ล่ะ” ตอนนี้เจ้าตัวเริ่มถอดเสื้อช็อปออกเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแทน

            “จะอ่อยรึไง ถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้ากูอย่างนี้” คิมเอาแต่มองดูอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา

            “นี่มันห้องผม ผมเปลี่ยนอย่างนี้ประจำ ไม่ได้อ่อยซะหน่อย”

            “แต่อย่างนี้กูเรียกว่าอ่อยเว้ย”

            “อ่อยแล้วไงจะทำอะไรผมล่ะ” เลิฟจงใจเอ่ยท้าทาย

            คิมลุกขึ้นจากเตียงไปยืนตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากัน ไม่นานคิมก็เอื้อมมือไปเกี่ยวเอวไว้ ก่อนจะโน้มใบหน้าไปจุมพิตกลางหน้าผานุ่ม

            “กูรักมึงมากรู้ไหม” เสียงนุ่มเอ่ยอย่างแผ่วเบา

            “ผมรู้” เลิฟจ้องตา ยิ้มออกมาเล็กน้อย

            “แล้วมึงล่ะรักกูมากไหม”

            “มากกว่าพี่รักผมก็แล้วกัน”

            “ไม่จริงกูรักมึงมากกว่า”

            “ผมรักพี่มากกว่า”

            “กูขอได้ไหม กูอยากมีมึงเข้ามาเติมเต็มในชีวิต”

            “แต่ว่า....ผมกลัวแม่จะสงสัยอ่ะ ตอนเย็นได้ไหม”

            “กูไม่ไหวแล้วจริงๆ น้าพิมพ์ไม่สงสัยหรอกกูมั่นใจ เชื่อใจกูนะ”

            “ผมจะเชื่อใจพี่” เลิฟส่งยิ้มให้ เป็นสัญญาณว่าอนุญาต

             คิมไม่รอช้ารีบผลักอีกฝ่ายลงบนเตียงก่อนจะขึ้นคร่อมทันที คิมจ้องตาอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปประกบริมฝีปาก บดจูบอย่างหื่นกระหาย ในระหว่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ทั้งสองต่างก็เปลือยกายล่อนจ้อน

            “มึงพร้อมจะเป็นของกูแล้วใช่ไหม”

            “ใครบอกว่าผมจะให้พี่ พี่ต่างหากที่ต้องให้ผม” เลิฟว่า

            คิมไม่รอช้ารีบจับตัวอีกฝ่ายนอนคว่ำลงบนเตียง ก่อนจะทับตัวเอาไว้ มือทั้งสองข้างของเลิฟถูกตรึงไว้บนเตียง

            “พี่แม่งเอาเปรียบว่ะ อย่าเผลอละกัน” คนที่นอนอยู่บนเตียงเอียงหน้ามาพูดด้วย

            “กูไม่มีทางเผลอแน่นอน วันนี้มันเป็นวันของกูแล้วว่ะ เตรียมใจเอาไว้เลย”

            คิมพรมจูบบริเวณหัวไหล่ ไล่ลงมาจนถึงแผ่นหลัง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับขนลุกชัน รู้เสียววูบวาบไปทั่วทั้งร่าง รับรู้ได้ถึงความเป็นชายของรุ่นพี่ มันกำลังแข็งตัวอย่างเต็มที่ ดุดันอยู่บริเวณทางเข้า ถูไถอยู่อย่างนั้นสักพัก คิมก็ถ่มน้ำลายลงบนมือ แล้วนำไปลูบไล้ที่ช่องทางของคนรัก ก่อนจะดันแท่งร้อนเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ทว่าคนที่ใต้ร่างนั้นกลับเริ่มส่งเสียง

            “โอ๊ย! จะ...เจ็บอ่ะพี่”

            “อดทนหน่อยสิวะ เข้าไปแล้วรับรองว่ามึงจะติดใจ” ว่าแล้วคิมก็ดันมันเข้าไปจนสุดก่อนจะแช่เอาไว้ เปลี่ยนมาโลมเลียบริเวณซอกคอขาว เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย

            เลิฟขบริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น มือทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนเพื่อระบายความเจ็บปวด เมื่อคิมเริ่มขยับส่วนที่เชื่อมต่อกัน ความเจ็บปวดมันกลับลดน้อยลง เลิฟรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกใหม่ มันมีแต่ความสุขสมและเสียวซ่านรัญจวนใจ ไม่อยากให้อีกฝ่ายหยุดมันเลยแม้แต่วินาทีเดียว

            “พะ...พี่คิม” เลิฟเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างเร่าร้อนและออดอ้อน ทั้งที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่

            “ว่าไงครับที่รัก” คิมเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหู เลิฟได้ยินก็ยิ้มมุมปาก ลืมตาขึ้นมามองด้วยสายตาที่หวานเยิ้ม

            “สะ...เสียวครับ อ๊ะ”

            คิมไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มพอใจ เขาถอนแก่นกายออกมา พลิกตัวคนรักให้นอนหงาย แยกขาทั้งสองข้างออกจากกัน ดันแท่งร้อนเข้าไปอีกครั้ง นั่นทำให้โน้มตัวเข้าไปประกบจูบได้ถนัดมากขึ้น

            “อืมมม...” เสียงครวญครางในลำคอของทั้งสองคนดังขึ้นไม่ขาดช่วง

            มือที่ประสานกันไว้บนเตียงอย่างแนบแน่น เป็นเหมือนสัญญาว่าจะไม่มีทางแยกจากกันไปไหน ร่างกายที่เชื่อมต่อกันบ่งบอกว่าตอนนี้ทั้งสองกลายเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส มันไม่ได้เกิดจากเพียงความใคร่เท่านั้น แต่มันเป็นการให้คำสัญญากันและกันว่า จากนี้ไปพวกเขาจะรัก จะมีเพียงกันและกันตลอดไป

            หลังจากเชยชมเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างสุขสมไปเสียนาน ตอนนี้ของเหลวในตัวเริ่มเคลื่อนตัวออกมาเกือบจะถึงปลายลำกล้องแล้ว คิมจึงเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันเลิฟก็จัดการกับแก่นกายของตัวเองไปด้วย ไม่นานทั้งสองก็ถึงจุดหมายปลายทาง จังหวะที่ของเหลวสีขาวขุ่นพุ่งกระฉูดออกมานั้น ทั้งสองต่างก็เกร็งตัว รู้สึกเคลิ้มตัวเบาราวกับล่องลอยในอากาศได้

            “แฮ่กๆ”

            คิมนอนหายใจหอบเหนื่อยอยู่ข้างคนรัก ก่อนจะดึงตัวมากอดไว้แน่น ทั้งสองจ้องตาอย่างหวานซึ้ง ริมปากเผยอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ คิมเอื้อมมือไปสะกิดที่ยอดอกคนรักหยอกล้อเล่น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับปัดมือออก มองค้อนใส่

            “พอเลยพี่”

            “ทำไม? กลัวว่ากูจะต่อเหรอ”

            “ไม่กลัว แค่เหนื่อย”

            “เหนื่อยมากป่ะ”

            “มากดิ” เลิฟตอบ

            “กูต่างหากที่ต้องเป็นคนบ่นว่าเหนื่อย แม่งนอนอยู่เฉยๆ”

            “ให้ผมเป็นฝ่ายรุกบ้างดิถ้างั้น”

             “ไม่เอาโว้ย” คิมรีบปฏิเสธทันควัน

            “รีบปฏิเสธเร็วเชียวนะ เจ็บจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย” เลิฟบ่น

             “ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเองล่ะ”

             “ใครบอกพี่ว่าผมจะให้อีก แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวพอ ถ้าไม่เห็นว่าพี่เพิ่งผ่านเรื่องไม่สบายใจมา ผมไม่ยอมเด็ดขาดเลยนะเนี่ย”

            “ขอบใจนะที่ทำเพื่อกูขนาดนี้ กูสัญญาว่าจะรักและอยู่ข้างมึงอย่างนี้ตลอดไป” เมื่อได้รู้เหตุผลที่คนรักยอม ก็ทำให้คิมต้องเปลี่ยนบรรยากาศให้โรแมนติกขึ้น หากไม่มีผู้ชายคนนี้เตือนสติ ป่านนี้เขาคงคิดฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าไปแล้วก็ได้

            “สัญญาบ่อยจัง ทำให้ได้ด้วยล่ะ” เลิฟยิ้ม รู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากเหลือเกิน

            ในระหว่างทั้งสองกำลังนอนพลอดรักกันอยู่บนเตียงนั้น พิมพ์พรก็เคาะประตูห้อง เอ่ยเรียกลงไปทานข้าวเย็น

            “หนุ่มๆ ลงมาทานข้าวกันได้แล้วจ้า”

            ได้ยินอย่างนั้นทั้งสองก็สะดุ้ง ลุกขึ้นจากเตียงโดยเร็ว ต่างฝ่ายต่างก็รีบสวมใส่เสื้อผ้า แต่ก็ไม่วายส่งยิ้มให้กันตลอดเวลา




ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารคิมอ่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะมีเรื่องอะไรทำให้คิมนอยลงไปมากกว่านี้อีกนะ เลิฟจะช่วยพี่เขาได้บ้างไหมหนอ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

สงสารตรงที่คิมตกเป็นเหยื่อ
คนหลายๆคนก็เมามันกับการวิจารณ์คนอื่นโดยไม่รู้ด้วยว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๑๗-

บุคคลนิรนาม



            วันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้วหนุ่มๆ ทั้งหมด ก็พร้อมใจกันยกโขยงมาที่ร้านเฮียอ่ำ และวันนี้วงบางกอกบอยแบนด์ก็ถือโอกาสมาวอร์มทีมเล่นดนตรีที่ร้านด้วย ก่อนจะไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันมะรืนนี้

            อาหารจานเด็ดถูกนำมาวางเรียงรายบนโต๊ะพร้อมกับเครื่องดื่ม วันนี้เฮียอ่ำจองโต๊ะหน้าเวทีให้กับน้องๆ เป็นพิเศษ

            คิมและผองเพื่อนนั่งดื่มรออยู่ที่โต๊ะ ส่วนที่เหลือก็ขึ้นไปบนเวที เตรียมแสดงดนตรีให้กับแขกในร้านได้รับฟังกัน นี่ถือเป็นครั้งแรกของวงบางกอกบอยแบนด์ ได้มีโอกาสขึ้นมาแสดงที่ร้านอย่างเต็มวง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว การแสดงดนตรีก็เริ่มในทันที

            “สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติในร้านทุกท่าน วันนี้พวกเราวงบางกอกบอยแบนด์ ขอมาสร้างความสุขให้กับทุกๆ ท่านในที่นี้ด้วยเสียงเพลง” เลิฟยืนอยู่กลางเวทีเล็กๆ สวมกางเกงยีนเข้าคู่กับเสื้อยืดสีดำ ดูเท่ไม่หยอก เขาเอ่ยกับแขกในร้าน พลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ แล้วก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเวที สบตากับคนรักที่เอาแต่จ้องมองมาเช่นเดียวกัน

            “กรี๊ด! นักร้องหล่อจังเลยค้า” เสียงหญิงวัยกลางคนโต๊ะหนึ่งตะโกนมา เลิฟจึงส่งยิ้มให้แล้วตอบกลับไป

            “ขอบคุณคร้าบบบ มีคนชมผมอย่างนี้บ่อยๆ ชินซะแล้วล่ะครับ” เจ้าตัวพูดติดตลก ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะเดินถือธนบัตรสีแดงมาเตรียมจะยื่นให้

            “ชื่ออะไรจ๊ะน้องสุดหล่อ” เจ้าหล่อนเอ่ยอย่างไม่มีท่าทีเคอะเขิน ราวกับคุ้นชินกับชายหนุ่มเป็นอย่างดี

            “ผมเลิฟครับคุณพี่ ถามอย่างนี้อยากเป็นลูกสะใภ้แม่ผมรึไงเนี่ย” เลิฟหยอดคำหวานไปให้

            “อร้ายย เป็นได้เหรอจ๊ะถ้างั้นบอกที่อยู่มาพี่จะไปกราบแม่สามีถึงที่บ้านด้วยตัวเอง” พูดจบคนทั้งร้านก็โห่ร้องอย่างถูกใจ ทำให้บรรยากาศดูสนุกครื้นเครงมากพอสมควร

            “ใจจริงก็อยากจะให้ไปนะครับ แต่กลัวว่าลูกกับเมียที่บ้านผมจะว่าเอาน่ะสิ ฮ่าๆ” ทุกคนในร้านได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจกันยกใหญ่

            “มีเมียแล้วก็เอาจ้ะ หล่ออย่างนี้เจ้ยอมเป็นเมียน้อย”

            “ฮิ้ววว”

            เสียงเพื่อนสาวร่วมโต๊ะของเจ้าหล่อนส่งเสียงโห่ร้องอย่างพอใจ ทำเอาเลิฟยิ้มเขิน เพราะเธอเล่นรุกไม่เลิก คิมได้แต่มองดูแล้วยิ้มตาม เห็นอีกฝ่ายมีความสุขกับสิ่งที่รัก แค่นี้ก็ทำให้เขามีความสุขตามไปด้วย

            “ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปเคลียร์กับเมียที่บ้านก่อนนะครับ แล้วจะมาบอกพี่สาวคนสวย แล้วทิปร้อยนึงเมื่อไหร่จะให้ผมครับเจ้ รอจนเมื่อยแล้วเนี่ย” เลิฟเอ่ยแซวเจ้าหล่อน

            “มีทวงนะ ก่อนให้เจ้ขอเพลงหน่อยได้ป่ะ”

            “ได้สิครับ ยิ่งทิปเยอะกว่านี้ผมร้องให้ฟังทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้”

            “แหมๆ เอาแค่นี้พอ ไปหย่ากับเมียที่บ้านก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้อยากฟังเพลงหนึ่งในไม่กี่คน ร้องได้รึเปล่าจ๊ะน้องเลิฟสุดหล่อ”

            “ได้สิครับไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมร้องให้ฟังเพลงแรกเลยดีไหม”

            “กรี๊ดดด ดีมากๆ เลยจ้ะ เดี๋ยวเจ้ไปนั่งรอฟังที่โต๊ะนะ” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็เอื้อมมือไปโน้มต้นคอนักร้องหนุ่มสุดหล่อลงมาหอมแก้มฟอดใหญ่ แล้วรีบเดินกลับโต๊ะด้วยท่าทีเขินอาย

            คนที่อยู่ในร้านต่างก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเมื่อเห็นอย่างนั้น

            “ทำเอาซะผมไปไม่เป็นเลยครับ” พูดแล้วก็ยิ้มเขิน ใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเหลือบตาไปมองคนรักที่นั่งอยู่หน้าเวที ก็เห็นคิมก็ขู่โดยการยกนิ้วชี้ขึ้นมาปาดคอตัวเอง สื่อว่ามึงตายแน่อะไรเทือกนั้น แต่เลิฟกลับยิ้มหน้าระรื่นไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด

            “ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังเพลงหนึ่งในไม่กี่คนไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าครับ ใครร้องได้ร้องตามด้วยนะ” เลิฟพูดจบเสียงดนตรีก็ดังขึ้น ในระหว่างช่วงอินโทรนั้น เขาก็โยกตัวไปตามจังหวะ ตาก็มองดูคนรักอยู่ตลอดเวลา ราวกับต้องการสื่อให้รู้ว่า เพลงนี้ให้มอบให้เขาคนนั้น

            “ไม่กี่คนที่จะเคียงข้างกัน ไม่กี่คนที่จะคอยร่วมทุกข์ใจ และไม่ทิ้งฉันไว้ลำพัง ไม่ว่าเจอเรื่องร้ายใดๆ ก็พร้อมเดินไปกับฉัน ไม่กี่คนที่จะรักฉันจริง ทำให้ยิ้มในชั่วโมงที่เหงาใจ ในชีวิตที่ล่วงเลยมา ไม่กี่คนที่ฉันไว้ใจให้กุมมืออยากฝากชีวิต และหนึ่งในนั้นก็คือเธอคนดี ที่ฉันนั้นโชคดีที่เราได้พบกัน จากหนึ่งในร้อย หนึ่งจากในล้านได้มาร่วมทางเดิน ให้หนึ่งในฉันได้เจอกับรักดีๆ................อยากบอกว่าฉันรักเธออีกครั้งคนดี”

            เมื่อเพลงจบลงทุกคนก็ปรบมือเสียงดัง เลิฟโค้งคำนับแสดงความขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ก่อนจะเอ่ยอะไรบางอย่าง

            “ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือนะครับ ก่อนที่จะฟังเพลงต่อไป ผมอยากจะเอ่ยอะไรสักเล็กน้อย ฝากถึงคู่รักหลายๆ คู่ ในช่วงเวลาที่พวกคุณได้มีเวลาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ขอให้คุณรักและดูแลคนรักให้มากๆ เพราะในชีวิตคนเราจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเดินเข้ามาในชีวิต แล้วทำให้เรามีความสุขได้ หากคุณมีคนคนนั้นแล้ว ขอให้รักษาเขาไว้ให้ดี แล้วชีวิตคุณจะมีความสุขตลอดไป” พูดจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงดังมากขึ้นเป็นเท่าตัว ในระหว่างนั้นคิมก็เอาแต่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจในตัวคนรัก

            หลังจากร้องไปได้สามเพลง ก็หมดหน้าที่ของวงบางกอกบอยแบนด์ ทั้งห้าหนุ่มลงมานั่งที่โต๊ะ ให้วงต่อไปรับช่วงต่อ เมื่อทั้งหมดเข้ามานั่งครบทีมแล้ว ความสนุกสนานเฮฮาก็บังเกิดขึ้นในทันที

            “ไอ้เลิฟมึงร้องดีว่ะวันนี้ วันแข่งเอาให้ได้อย่างนี้นะโว้ย” หินยกนิ้วให้รุ่นน้อง เมื่อมานั่งที่แล้ว ข้างกันนั้นก็คือคิมนั่นเอง

            “ขอบคุณครับพี่ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เลิฟยกมือไหว้ขอบคุณ

            “ตอนนี้พวกมึงเตรียมความพร้อมไปถึงไหนแล้ววะไอ้แจ๊บ” โต้งถาม

            “ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่ะ ก็ขึ้นอยู่กับหน้างานว่าจะมีอะไรผิดพลาดรึเปล่า แต่ถ้ามันเป็นไปอย่างที่คิดไว้คงจะผ่านฉลุย” แจ๊บตอบ

            “ถ้างั้นก็ทำให้เต็มที่ เดี๋ยวพวกกูจะไปเชียร์ติดขอบเวทีเลย” โต้งเอ่ย

            “ขอบใจว่ะ ถ้างั้นมาชนกันแก้วฉลองกันหน่อยสิวะจะรออะไร” แจ๊บว่าแล้ว ทั้งหมดก็ยกแก้วขึ้นไปชนกลางโต๊ะ

            หลังจากดื่มน้ำสีเหลืองอ่อนจนพร่องแก้วแล้ว คิมก็หันมาเอ่ยกับคนรักทันที “เมื่อกี้มึงชักจะหว่านเสน่ห์เกินไปแล้วนะไอ้เลิฟ”

            “เกิดอาการหึงหวงกันซะแล้วว่ะ ไอ้ห่าคิมน้องมันทำงานเว้ยคิดมากไปได้ ฮ่าๆ” เทอร์โบเอ่ยแซวเพื่อน หัวเราะเบาๆ

            “ไม่รู้ล่ะ แม่งแซวหญิงต่อหน้ากู มันหยามศักดิ์ศรีกันเว้ย”

            “หยามตรงไหนวะพี่ ผมก็ทำตามหน้าที่นี่นา” เลิฟว่าแล้วหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มสองสามอึก ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น

            “กูไม่อยากให้มึงพูดอย่างนั้นกับใครนอกจากกูเว้ย จำไว้ด้วย”

            “ฮิ้วว!! มีคนหึงโว้ย” เสียงแซวจากเพื่อนดังขึ้น

            “ทำเป็นโวยวายนะพี่อ่ะ ผมแอบสังเกตเห็นนะ พี่กับไอ้เลิฟจ้องตากันตลอด จนผมคิดว่าทุกเพลงที่มันร้อง มันร้องให้พี่ซะงั้น” โด้เอ่ยกับทั้งสองคน

            “รู้ดีจังนะมึงอ่ะ” เลิฟว่าให้เพื่อน

            “หรือไม่จริงวะ”

            “เออ...ก็จริง” เลิฟพูดยิ้มๆ รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไม่กล้าสบตากับคนที่นั่งข้างกัน

            พวกมึงนี่นะ มีเรื่องให้พวกกูได้ลุ้นตลอด กว่าจะเรียนจบสงสัยคงได้มีลูก ให้พวกกูเซอร์ไพรซ์อีกแน่นอน” อ๋องเอ่ยแซว

            “ไอ้ห่าอ๋องมึงก็ว่าไป แต่ถ้ามีได้ก็ดีสิวะ ก็จะได้ขยันขึ้นกว่าเดิม” พูดแล้วก็หันไปจ้องหน้าคนรัก เลิฟจ้องตอบก่อนจะทำหน้าทะเล้นใส่แก้เขิน

            “แสดงว่าพวกมึงสองคนยิ้มกันแล้วใช่ไหมวะ เป็นไงเล่าให้พวกกูฟังบ้างดิวะ” อู๋ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ทำเอาเลิฟทำหน้าเหลอหลา ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย คิมทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่นอีกแล้ว

            “พี่อย่าไปฟังพี่คิมแม่งเลย โม้ไปเรื่อยล่ะ” เลิฟว่าแล้วดึงหูคนที่นั่งข้างกัน จนคิมต้องทำหน้าเหยเก

            “โอ๊ยยย! มึงจะดึงจนขาดเลยรึไงวะเนี่ย” คิมร้องโอดโอย พลางจับมือคนรักเอาไว้

            “ก็พี่ปากพล่อยไง ผมเลยต้องจัดการ”

            “เอามันให้หนักๆ เลยไอ้เลิฟ พวกกูสนับสนุน” โต้งว่า ยิ้มไม่ยอมหุบ

            “พวกมึงเป็นเพื่อนกูรึเปล่าววะไม่เข้าข้างกูเลย”

            “เป็นสิวะ แต่พวกกูจะเข้าข้างไอ้เลิฟ มึงมีปัญหาอะไรวะ” โต้งตอบ

            “กูขี้เกียจพูดกับพวกมึงแระ เพราะตอนนี้ปวดหูฉิบหาย” พูดกับเพื่อนจบก็เอ่ยกับคนรักต่อทันที “มึงจะปล่อยหูกูให้เป็นอิสระได้รึยังเนี่ย นานแล้วนะโว้ย”

            “อ้าว! ผมลืมไปเลย โทษทีนะครับที่รัก” เลิฟยอมปล่อยมือ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

            “เห็นอย่างนี้แล้วคิดถึงน้องโจ้จังเอยอ่ะ” โด้บ่นออกมา

            “คิดถึงก็ไปหาที่บ้านดิวะ จะยากอะไร” เอ็มบอก     

            “ไม่ได้โว้ย ช่วงนี้น้องกูต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ ใครหน้าไหนห้ามไปทำลายสมาธิเด็ดขาด” แจ๊บว่า

            “พี่แจ๊บอ่ะใจร้ายที่สุด อย่างน้อยก็ให้น้องโจ้ไปเชียร์ผมที่หน้าเวทีในรอบชิงได้ไหม ถ้าไม่เห็นหน้าผมคงไม่มีกะจิตกะใจแน่นอน” โด้ทำหน้าเศร้า อ้อนวอนขอร้องรุ่นพี่ นานหลายวันแล้วที่เขาไม่ได้พูดคุยและเห็นหน้า เพราะแจ๊บสั่งเอาไว้ ช่วงนี้โจ้ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบกลางภาค

            “กูไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกโว้ย วันแข่งกูจะให้น้องกูมาแน่นอน มึงไม่ต้องเป็นห่วง”

            “ขอบคุณมากๆ ครับพี่แฟน”  ได้ยินอย่างนั้นโด้ก็ยิ้มออก

            “ไอ้ห่าแจ๊บหวงน้องอย่างกับจะเก็บไว้กินเองซะอย่างนั้นนะมึงอ่ะ” เอ็มเอ่ยแซว

            “จริงๆ พี่” โด้เห็นด้วยเต็มที่

            “ไอ้ห่าโด้เดี๋ยวกูก็สั่งให้น้องเลิกคบกับมึงซะหรอก”

            “ขอโทษครับพี่ ผมปากไวไปหน่อย แค่ล้อเล่นเองน่า”

            “ที่กูหวงไม่ใช่อะไรหรอก กูแค่อยากให้น้องมันตั้งใจเรียนก่อนเท่านั้นเอง ใครๆ ก็รักน้องตัวเองกันทั้งนั้น หรือพวกมึงไม่รัก” แจ๊บถาม ทุกคนเงียบไม่ตอบ เพราะมันก็เป็นอย่างที่เพื่อนพูด “เห็นไหมล่ะเงียบเป็นป่าช้า เอาเป็นว่าถ้ามันโตกว่านี้หน่อยกูปล่อยมันแน่นอน”

            “ตั้งแต่รู้จักพี่มา วันนี้พี่มีเหตุผลสุดๆ สมแล้วพี่เป็นพี่ชายแฟนผม ขอคารวะศิษย์พี่ครับ” โด้ว่าแล้วทำความเคารพรุ่นพี่เหมือนในหนังจีนกำลังภายใน ทำเอาทุกคนต่างก็หัวเราะกันยกใหญ่ รวมถึงแจ๊บเองด้วย

            ในระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานนั้น ก็มีเสียงข้อความดังขึ้น คิมรีบล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู รู้สึกสังหรณ์ใจพิกล คิดว่าต้องเป็นคนเดียวกับที่เคยส่งมาก่อนหน้านี้แน่นอน

            ‘กูจับตาดูมึงมาหลายวันแล้ว อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ มึงกำลังคั่วกับไอ้นักร้องคนนั้นอยู่ ระวังคนของมึงเอาไว้ให้ดี ไอ้ฆาตกร’

            ได้อ่านข้อความทำเอาคิมถึงกับหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธ ก่อนจะมองไปรอบตัว เพื่อดสังเกตดูว่ามีใครน่าสงสัยไหม แต่คนเยอะแยะขนาดนี้เขาก็ไม่รู้จะสงสัยใครดี มันมืดแปดด้านไปหมด

            “มีอะไรรึเปล่าพี่” เลิฟถามเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ

            “ปะ...เปล่าไม่มีอะไร” เจ้าตัวทำหน้าเลิ่กลั่กราวกับกำลังมีพิรุธ

            “แล้วทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ หรือไม่สบาย” เลิฟถามด้วยความเป็นห่วง ดูตาเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องไม่สบายใจแน่นอน

            “ไม่มีอะไรจริงๆ เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะทันที เลิฟได้แต่มองตามหลังอย่างไม่สบายใจ เขาไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีอะไรจริงๆ

            เดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้ว คิมก็รีบโทรกลับเบอร์นิรนามนั้นทันที ครั้งนี้ปลายสายไม่ได้ปิดเครื่องเหมือนครั้งที่แล้ว คิมใจจดใจจ่ออยากรู้เต็มทีว่าปลายสายนั้นเป็นใครกันแน่ เขามั่นใจว่าคนที่กำลังโทรหานั้น ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหญิงอย่างแน่นอน

            “มึงเป็นใคร ต้องการอะไรจากกูกันแน่” เมื่อปลายสายกดรับ คิมก็รีบยิงคำถามไปทันที

            (“มึงไม่ต้องรู้หรอกว่ากูเป็นใคร รู้แค่เพียงว่ากูไม่อยากให้มึงมีความสุขก็พอ”)

            “กูถามว่ามึงเป็นใครกันแน่วะ”

            (“ถ้ามึงอยากรู้มะรืนนี้ไปเจอกูที่ตึกร้างข้างสนามกีฬาXXX สี่โมงเย็น แล้วมึงจะได้รู้ว่ากูเป็นใคร ถ้าเรื่องนี้ถึงหูใครรับรองคนรักของมึงได้เดือดร้อนแน่”)

            “กูจะเชื่อมึงได้ไงว่ามึงจะไม่ทำร้ายคนของกู”

            (“มึงไม่มีสิทธิ์ต่อรอง แต่บอกไว้ก่อนว่ากูไม่ใช่คนใจโลเลอย่างมึง”)

            “เรื่องนี้เกี่ยวกับหญิงใช่ไหม” คิมเอ่ยถาม

            (“เกี่ยวไม่เกี่ยวเดี๋ยวมึงก็ได้รู้ กูรับรองว่ามึงได้รู้สมใจอยากแน่นอน”)

            “แล้ว....”

            ตู๊ดๆๆ

            ยังมีอีกหลายคำถามที่อยากรู้คำตอบ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับตัดสายไปเสียก่อน คิมกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ทอดสายตามองไกลด้วยความรู้สึกเดือดดาล หากมันเกี่ยวกับเรื่องของหญิงจริงๆ เขาก็พร้อมจะไปเผชิญหน้า เพื่อที่จะให้เรื่องนี้จบลงไปเสียที ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะยอมรับผลที่ตามมา และที่สำคัญเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนรักได้อย่างแน่นอน

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มันเป็นใครฟ่ะ ตาม ๆ   :3125:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด