As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]  (อ่าน 14510 ครั้ง)

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
« เมื่อ19-07-2018 21:07:00 »


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************


สวิสเซอร์แลนด์มีอะไรดี?

คำตอบของคนทั่วไปคือ ภูเขา, ทะเลสาบ หรือ ทัศนียภาพที่งดงามจนลืมหายใจ

แต่คำตอบสำหรับผมคือ...ผู้ชายคนนี้...


_________________________________

Warning

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18  ปี

เนื้อหามีความรุนแรง ควรได้รับการแนะนำ

_________________________________

TAG :: #AsHePleases

FACEBOOK :: www.facebook.com/pierre.pixie
TWITTER :: @Pxpierre

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2019 23:58:20 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
«ตอบ #1 เมื่อ19-07-2018 21:12:41 »


I

Time to start a new chapter


   ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

   “ดูแลตัวเองด้วยนะลูก” หญิงสาววัยกลางคนผมสั้นตรงหน้าผมกล่าวทั้งน้ำตาและเข้ามากอดอย่างแนบแน่น

   “ม๊าก็ด้วยนะครับ ถ้าถึงแล้วมีไวไฟเดี๋ยวผมส่งข้อความหา” ผมกอดแม่ที่ร่างเล็กกว่าแล้วยิ้ม ผมไม่อยากร้องไห้ตอนนี้ จะให้มันไหลออกมาไม่ได้ ผมเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะไป ถ้าผมไม่เข้มแข็งพอแล้วแม่จะหายกังวลได้ยังไง

   “โชคดีนะมึง มีอะไรโทรหากูได้เสมอ แต่ขอเวลาไทยนะครับไอ้คุณมิค ไม่ใช่โทรมาตีสาม กูกำลังหลับฝันดี” ไอ้เอิร์ธ เพื่อนสนิทสุดเกรียนที่ติดเกมยิ่งกว่าอะไรดี

   “มึงหลับหรือกำลังโดดร่มเอาดีๆ”

   “สัตว์ รู้ทัน”

   “เตี้ยๆ แบบมึงนี่ไปอยู่โน้นจะไม่ยิ่งกลายเป็นแคระเหรอวะ” อ่าวคุณสิงห์ครับ ปากแบบนี้สงสัยคงอยากให้ผมอยู่ไทยต่อด้วยข้อหาทำร้ายร่างกาย

   เพื่อนๆ ที่มาอำลาผมในวันนี้มีไม่มากหรอกครับ เพราะผมบินไฟลท์เที่ยงของวันอังคาร แต่ละคนก็อวยพร (หรือสาปแช่งก็ไม่แน่ใจ) ผ่านเฟซบุ๊กและวิดิโอคอลกันหมดแล้วเพราะไม่ว่างติดทำงานหาเลี้ยงปากท้องกันหมด ซึ่งผมก็เข้าใจ ไม่ได้รู้สึกน้อยใจแต่อย่างใด

   ตอนนี้ผมเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ได้บรอดดิ้งพาสมาไว้ในมือ จุดหมายปลายทางสู่มหานครซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศที่หลายๆคนใฝ่ฝัน ขนาดตัวผมเองยังไม่คิดเลยว่าจะได้ไปใช้ชีวิตในดินแดนแสนสวยงามแห่งนี้

   ขอเกริ่นก่อนว่าตัวผมชื่อ มิค ชื่อเล่นง่ายๆ ที่ทั้งคนไทยและเทศคงเข้าใจ เรียนจบมาได้ 10 เดือน ระหว่างนั้นไปทดลองงานเป็นเลขาอยู่สามเดือน ณ บริษัทนำเข้าเครื่องจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งก็โอเคนะครับ แต่ทว่าผมกลับรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องทำงานร่วมกับเจ้านาย เลยขอยื่นซองขาวเองดีกว่า อีกอย่างนั้นผมมีเป้าหมายที่จะไปเป็น ‘ออแพร์’ (AuPair) หรือพี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัวต่างชาติเป็นเวลาหนึ่งปีนั่นเอง คำๆ นี้หลายคนอาจจะไม่คุ้นนัก ให้เรียกง่ายๆ ก็คือพี่เลี้ยงเด็กที่อาศัยอยู่กับโฮสแฟมิลี่ กินอยู่ฟรีแถมได้เงินเดือน คล้ายๆ โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่เราต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวต่างชาติ แต่ทว่าหน้าที่หลักคือคอยดูแลจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆ และในเวลาว่างก็จะต้องไปเรียนภาษา ซึ่งค่าเรียนภาษาโฮสแฟมิลี่ก็จะเป็นผู้ออกให้เช่นกัน

   เห็นสวัสดิการดีแบบนี้แล้วขอบอกเลยว่าการจะมาเป็นออแพร์นั้นไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ ต้องมีการเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก ฝึกขับรถ ทำอาหาร ทำงานบ้าน ทำวิดิโอแนะนำตัว สัมภาษณ์ผ่านสไกป์กับโฮสแฟมิลี่ ถ้าคุยโอเคถูกคอก็แมทช์ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการทำวีซ่า ยิ่งผมเป็นผู้ชาย โอกาสที่จะได้มาเป็นออแพร์นั้นน้อยมาก เรียกได้ว่า 98% ของออแพร์เป็นเพศหญิงทั้งหมด ส่วนผมโชคดีที่ได้เป็นหนึ่งใน 2% ของออแพร์เพศชาย

   ออแพร์นั้นมีทั่วโลกครับ แต่มันมีข้อจำกัดของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เช่น เรื่องอายุ เงินเดือน พักร้อน ที่จะต่างกันไป และออแพร์ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยนะครับ ออแพร์สามารถมาจากได้ทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นการแข่งขันแย่งโฮสแฟมิลี่จึงเป็นไปในอัตราที่สูง ยิ่งเราเป็นคนไทยถ้าภาษาอังกฤษไม่คล่องหรือมีคุณสมบัติไม่พอที่จะไปสู้ออแพร์ประเทศอื่นนี่แย่แน่นอน ออแพร์บางคนใช้เวลาหาโฮสแฟมิลี่นานเป็นปีก็มี ส่วนตัวผมใช้เวลาหาโฮส 3 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วมาก จากนั้นรอวีซ่าและเอกสารต่างๆ อีกประมาณ 3 เดือน และในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้ครับ

   ผมกอดแม่และเพื่อนๆ เป็นครั้งสุดท้าย เดินขึ้นบันไดเลื่อนและหันมาโบกมือบ๊ายบายเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอหันหลังกลับเท่านั้นแหละ น้ำตาผมไหลพราก ผมเห็นซีเคียวริตี้เช็คแบบเบลอๆ วางกระเป๋า ถอดรองเท้า เข้าเครื่องสแกน เดินหาเกทแบบสมองไม่รับรู้อะไร อยากจะวิ่งกลับไปหามะม๊า แต่ผมทำไม่ได้ ผมฝ่าฝันทุกอย่าง ดำเนินเรื่องและเอกสารมามากมาย จะหันหลังกลับง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด

   จากความคิดผมอาจจะเหมือนลูกแหง่ ใช่ ผมยอมรับ ผมติดแม่มาก ทั้งชีวิตผมคือแม่เท่านั้น ส่วนพ่อเสียชีวิตไปนานแล้ว ผมอยู่กับแม่มาตลอด ไม่มีพี่น้อง และนี่จะเป็นครั้งแรกที่ต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีแม่ 1 ปีเต็มๆ

   ผมต้องทำได้ อายุ 24 เข้าไปแล้ว จะให้มาอาศัยอยู่กับแม่ไปตลอดมันก็ไม่ใช่

   ‘ถ้ามีปัญหาหรืออุปสรรคให้คิดถึงแม่เข้าไว้นะลูก ยังมีแม่คนนี้คอยเคียงข้างเสมอ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับบ้านเรานะ’

   คำพูดของแม่ยังก้องอยู่ในอยู่ แต่ผมอยากพิสูจน์ตัวเองว่าผมสามารถใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว

   เสียงประกาศเรียกบรอดดิ้งดังไปทั่วเกท ดึงสติผมกลับมาให้อยู่กับปัจจุบัน กระชับพาสปอร์ตและบรอดดิ้งพาสในมือ น้ำตาผมเหือดแห้งไปแล้ว เหลือแต่ความมุ่งมั่นเท่านั้น

   อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมเลือกทางเดินนี้แล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุด เรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์โลกภายนอกให้ได้มากที่สุด





   11 ชั่วโมงอันแสนทรมานบนเครื่องบินผ่านพ้นไป ในที่สุดเสียงประเทศของกัปตันก็พูดขึ้นว่าจะทำการแลนดิ้งในอีก 15 นาทีข้างหน้า ผมที่โชคดีได้นั่งติดหน้าต่าง (แต่ลำบากตอนลุกออกไปฉี่) มองออกไปด้านนอก ก็พบกับทะเลสาบสีเขียวมรกตและบ้านหลังเล็กใหญ่ประปราย

   เมื่อล้อเครื่องบินกระทบสู่พื้น รอสัญญาณจากกัปตัน ปลดเข็มขัดออก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงของประเทศไทย แต่กัปตันบอกว่าตอนนี้คือเวลา 19 นาฬิกาตามเวลาประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผมจึงปรับเปลี่ยนเวลาในโทรศัพท์ให้ตรงตามเขตทามโซนก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าด้านบนและเดินตามคนอื่น ๆ ไป

   ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อเท้าเหยียบเข้าสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์คือเงียบสงบ เงียบจริงๆ ครับ ไม่รู้คนหายไปไหนหมด ผู้โดยสารท่านอื่นที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันส่วนใหญ่เดินเข้าช่องพาสปอร์ตในกลุ่มประเทศเชงเก้น แล้วผ่านด่านตรวจไปได้เลย ส่วนผมน่ะหรอ...คนไทย ต้องไปต่อคิวแถวยาวเหยียดพร้อมกับคุณป้าอีกประมาณ 4-5 ท่าน ซึ่งก็มีคุณป้าชวนผมคุยว่ามาทำไรอะไรที่นี่ อยู่นานแค่ไหน ซึ่งดูจากทรงแล้วป้าคงอยากอวดมากกว่าว่าตัวเองได้มาอยู่ที่นี่แบบถาวรเพราะแต่งงานกับสามีชาวสวิสเซอร์แลนด์ที่รวยมาก มีบ้านสามหลัง และมีลูกติดอายุ 10 ปีซึ่งสามีคนใหม่ยินยอมรับเป็นบุตรบุญธรรมและได้พาสปอร์ตสวิสแล้ว

   ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ถาม คุณป้าท่านเล่าออกมาเอง ตบท้ายว่าถ้าว่างๆ ก็มาเที่ยวบ้านได้ คุณป้าจะทำอาหารไทยให้กิน พร้อมแนบเบอร์โทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย +41 ไว้เผื่อติดต่ออยากไปหา

   ผมมองกระดาษในมือแบบยิ้มๆ ถ้าหากผมไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็อาจจะแวะไปหาคุณป้านะครับ

   ยืนต่อเข้าคิวประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ถามคำถามผมไม่กี่ประโยคก่อนจะปล่อยให้เข้าแบบง่ายๆ ในที่สุดผมก็ได้เข้าประเทศอย่างเป็นทางการสักที

   ระหว่างรอรับกระเป๋าบนสายพาน ผมเชื่อมต่อไวไฟฟรีในสนามบิน ส่งข้อความหาโฮสแดดว่าผมถึงที่หมายแล้ว โฮสแดดอ่านทันทีและตอบกลับมาว่ายืนรออยู่ตรงขาออก ผมโล่งไปเปาระหนึ่ง อย่างน้อยโฮสก็ไม่ทิ้งขว้างให้ผมเรียกบริการรถสาธารณะไปบ้านโฮสเอง

   จากนั้นก็ส่งไลน์หาแม่และเพื่อนๆ ว่าผมถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและกำลังจะไปเจอโฮสแฟมิลี่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

   เมื่อได้กระเป๋าเรียบร้อย ผมเดินตรงไปยังทางที่คนอื่นๆ เขาออกกัน คงเพราะคนไม่เยอะเลยทำให้ผมสังเกตโฮสแดดได้ง่าย อีกทั้งเขายังตัวสูง ดูหล่อเหลา โดดเด่นจากคนอื่นๆ หากไม่ติดว่าผมรู้อยู่แล้วว่าเขามีลูกคงคิดว่ายังเป็นหนุ่มโสดที่มารอรับแฟนสาวที่สนามบิน

   ผมตรงเข้าไปพร้อมกับยิ้มสยามและยกมือไหว้ตามธรรมเนียมไทย โฮสแดดยกมือไหว้กลับแบบแข็ง ๆ พร้อมพูดสวัสดีครับแบบแปร่งๆ

   “Sawadeekrub. Hello Mic! Nice to meet you. How was your flight? How many hours? 11 hours, isn’t it? Hope you are not too tired (สวัสดีมิค ยินดีที่ได้พบเธอนะ การเดินทางเป็นยังไงบ้าง? กี่ชั่วโมงนะ? 12 ชั่วโมงใช่ไหม หวังว่าเธอจะไม่เหนื่อยเกินไป)” รัวภาษาอังกฤษติดโทนต่ำใส่ผมเสร็จก็โน้มตัวลงมากอด ที่ต้องโน้มตัวลงมาเพราะผมไม่ได้เตี้ยนะ แค่โฮสแดดเขาสูงมากตามเชื้อชาติตะวันตกนั่นเอง

   “Hello Lucas, Nice to meet you too. Yes, 11 hours. It was a long flight but I’m ok because I’m so excited to meet your family. (สวัสดีครับลูคัส ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกัน ใช่ครับ 11 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่นานมาก แต่ผมสบายดีครับเพราะว่าผมตื่นเต้นที่จะได้เจอครอบครัวของคุณ)” ผมตอบกลับไปด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แต่ในใจนี่...อยากนอนโว๊ยยยยย ไม่ได้นอนมาจะ 30 ชั่วโมงแล้วมั้ง ที่ยังลืมตาได้นี่เพราะคาเฟอีนช่วยไว้ล้วนๆ

   ลูคัส เฟนนินเกอร์ (Lucas Pfenninger) ชายหนุ่มวัยทำงานอายุ 53 ปี รูปร่างสูงโปร่งประมาณ 190 เซ็นติเมตร มีกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายกลางแจ้งพวกปีนเขา ปั่นจักรยานเสือภูเขา และว่ายน้ำเป็นประจำ นัยน์ตาสีฟ้าตัดขอบสีครามด้านนอก ผมสีบลอนด์ทอง จมูกโด่งแต่คดตรงปลายนิดหน่อย การแต่งกายมาด้วยมาดหนุ่มนักธุรกิจสบายๆ เสื้อเชิ้ตโปโลสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นระดับหัวเข่าสีขาว รองเท้าผ้าใบสีขาวเช่นกัน ซึ่งทั้งสองชิ้นไม่มีรอยเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ตามประวัติลูคัสที่ผมได้อ่านมาพอสังเขป  เขาเป็น CEO ของบริษัทช๊อคโกแลตที่แพงและขายดีที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ ลูคัสเป็นคนสวิสตอนเหนือของประเทศ พูดได้ 6 ภาษา สวิสเยอรมัน เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี รัซเซียและแน่นอนภาษาอังกฤษ

   “You can sleep if you want. It takes 45 minutes from the airport to our house. (ถ้าเธออยากหลับ จะหลับก็ได้นะ จากสนามบินไปยังบ้านใช้เวลาประมาณ 45 นาที)” ลูคัสหันมาบอกผมที่นั่งฝั่งขวา ตอนแรกผมเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มด้วยการไปเปิดประตูฝั่งซ้ายเสียเอง ลืมไปเลยว่าพวกมาลัยของที่นี่มันคนละฝั่งกับที่ไทย ลูคัสถึงกับแซวเลยว่าถ้าอยากขับเดี๋ยวฉันให้ขับวันหลัง วันนี้เป็นวันแรกที่เธอมาถึงคงยังไม่ชินทางเท่าไหร่ ผมนี่เขินเลย

   ระหว่างทางผมสังเกตภูมิประเทศรอบ ๆ จากสนามบินที่ยังไม่มีอะไรมาก จนเริ่มเข้าตัวเมืองที่มีบ้าน อพาร์ทเม้นเป็นตึกไม่สูงมาก ร้านอาหารเริ่มมีพนักงานนำเก้าอี้และโต๊ะออกมาตั้งกลางแจ้ง จากนั้นภาพรอบๆ ตัวผมก็กลายเป็นทะเลสาบน้ำสีเขียวใสราวกับมรกต เบื้องหลังเป็นภูเขาสูง ยอดเขาหายเข้าไปในกลีบเมฆ เป็นภาพที่ผมประทับใจมากทีเดียว
    
      “What a beautiful scenery. (เป็นวิวที่สวยอะไรเช่นนี้)” ลูคัสหันมาพูดกับผมเมื่อเห็นผมยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพ เขายังคงกำพวงมาลัยที่มีโลโก้แบรนด์ออดี้สี่ห่วง “You will stay here for 1 year,I bet you will get bored of this view soon. (เธอจะอยู่ที่นี่เป็นเวลา 1 ปี ฉันพนันเลยว่าเธอต้องเบื่อวิวพวกนี้วันใดวันหนึ่งแน่ๆ)”

   “I don’t think so. I always enjoy when I see a nice view (ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ ผมรู้สึกเพลิดเพลินเวลาที่ได้มองวิวสวยๆ เสมอ)” คราวนี้ผมไม่ได้ตอบเอาใจ ผมตอบตามความรู้สึกจริง ๆ ลูคัสยิ้มเล็กน้อย

   เส้นทางไปยังบ้านโฮสแฟมิลี่นั้นสวยมากจริง ๆ ครับ เพราะลูคัสขับเลียบทะเลสาบไปตามถนน ซึ่งมีรถหรูหลายคันที่สวนทางไปเปิดประทุนรับลม ผมเห็นบางคนย่างบาร์บีคิวในสวน ตามริมทะเลสาบก็มีผู้คนมานั่งตกปลาบ้าง แล่นเรือบ้าง ดูคึกคัก ตอนนี้เป็นฤดูร้อนของที่นี่ ซึ่งตอนเช้าอากาศจะเย็นแต่พอเข้าเวลาสายอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นราว 20 องศา และตอนบ่ายจะเป็นช่วงร้อนที่สุดของวัน บางวันอากาศพุ่งสูงถึง 28-30 องศาก็มี ทว่าหน้าหนาวจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง อากาศจะหนาวมาก ผู้คนจะหลบและหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน

   แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ลูคัสเพิ่งบอก ก็แหม...ผมมาถึงได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง ฮ่าๆ

   ไม่นานนักลูคัสก็เลี้ยวรถเข้าโรงจอดใต้ดิน ผมนี่ตื่นตาตื่นใจมากเพราะรถที่จอดทิ้งไว้นั้นแต่ละคันนี่ไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาทไทย เรียกได้ว่าเป็นโชว์รูมย่อมๆ เลยก็ได้ มีทุกแนว ทั้งสปอร์ต รถยนต์ธรรมดา รถยนต์รุ่นเก่าแต่ยังคงความงาม คล้ายๆรถของดอมินิคโทเร็ตโต้ในฟาสแอนด์ฟิวเรียส ที่ผมอธิบายไม่ถูก บิ๊กไบค์ยังมี ส่วนออดี้คันที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้เป็นรถครอบครัว

   ลูคัสไม่ปล่อยให้ผมได้ชื่นชมความงามของรถแต่ละคัน ตรงไปหยิบกระเป๋าผมทำให้ผมต้องรีบแย่งมาถือเอง แต่ผมสัญญาเลยว่าสักวันจะลงมาชื่นชมดื่มด่ำความงามของรถในโรงจอดนี้ให้ได้

   ผมเดินลากกระเป๋าตามลูคัสไป แต่ทว่าก่อนที่ลูคัสจะผลักประตู ประตูดันเปิดออกเองซะก่อน

   คนที่เปิดออกมาเป็นวัยรุ่นชายอายุน่าจะราวๆ 18-20 ปี รูปร่างสูงโปร่ง นัยน์ตาสีฟ้าสว่าง ผมบลอนด์เข้ม ถอดแบบลูคัสมาเป๊ะ คงจะไม่ผิดว่าเขาคือลูคัสตอนวัยรุ่น หน้าตาหล่อเหลาตามแบบฉบับฝรั่ง เขาสบตากับผมชั่วครู่ก่อนจะคุยอะไรกับลูคัสก็ไม่รู้เป็นภาษาสวิสเยอรมัน ถ้าให้ผมเดานะ

   นี่คงเป็นธีโอ (Theo Pfenninger) ลูกชายคนโตสุดของบ้าน อายุ 18 ปี เรียนอยู่ไฮสคูลปีสุดท้าย

   ผมยิ้มให้อย่างจริงใจ แต่รู้ไหมว่าลูกชายคนโตสุดของบ้านกลับเมินใส่ผม!

   เสียงปลดล๊อครถทำให้ผมหันไปมอง ธีโอเลือกขับ BMW i8 ลูคัสตะโกนอะไรไม่รู้ออกไป แต่คุณชายคนโตไม่สนใจ เสียงล้อรถบดพื้นแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

   “I apologize what he did. That is my oldest son, Theo. (ฉันขอโทษแทนสิ่งที่เขาทำด้วยนะ นั่นลูกชายคนโตสุดของฉันเอง ธีโอ)”

    ผมยิ้มให้ลูคัสแบบแหยๆ ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไปกับพฤติกรรมไร้มารยาทแบบนี้ อย่างน้อยเขาควรจะรู้ว่าผมจะย้ายมาอยู่ด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ควรแนะนำตัวทักทายกันสักหน่อย สั้น ๆ ไม่ถึงนาทีคงไม่ตายหรอกมั้ง

   ผมไม่สนใจอะไรอีก เดินตามลูคัสเข้าไปด้านในและตรงไปยังลิฟท์

   ลูคััสอธิบายให้ฟังว่าที่นี่คืออพาร์ทเม้นที่เขาเหมาซื้อทุกชั้น มีทั้งหมดสี่ชั้นด้วยกัน ชั้นบนสุดเขา ภรรยา และลูกอีกสองคนอาศัยอยู่ ชั้นสามรองลงมาเป็นของธีโอ และชั้นที่ผมจะได้อยู่คือชั้นสอง ทั้งชั้นเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว และชั้นล่างสุดเป็นโรงจอดรถ มีห้องเก็บไวน์ ห้องเก็บของอีกสามห้อง

   ลูคัสกดลิฟท์ชั้นสอง แล้วให้ผมเอากระเป๋าไว้หน้าห้องก่อน เพราะอยากให้ผมไปเจอกับภรรยาและลูกๆ อีกสองคน ผมกลับเข้ามาในลิฟท์อีกครั้ง ลูกคัสกดชั้นสี่ เมื่อประตูลิฟท์เปิดเท่านั้นแหละ...

   เสียงเด็กเบบี้ร้องแหกปากดังลั่น ผสานด้วยเสียงตะโกนอย่างเอาแต่ใจของเด็กผู้ชายอีกคน

   ผมจะไหวไหมเนี่ย...




TBC

 :mc4:
สวัสดีค่ะ นักอ่านทุกท่าน ผู้เขียนชื่อ แพร นะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ที่แพรจะพาไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ และแอบตะลอนยุโรปกันค่ะ

ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ติ ด่า ได้ แต่อย่าแรงนะคะ แพรไม่สตรองพอ 55555

ขอถามเพื่อนๆ นักอ่านนิดนึงนะคะว่าบทสนทนาในเรื่องอยากให้เป็นภาษาอังกฤษแล้วมีภาษาไทยกำกับ (แบบตอนแรกที่แพรลง) หรือเอาเป็นแค่บทสนทนาที่เป็นภาษาไทยอย่างเดียวดีเอ่ย?

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 15:50:54 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
«ตอบ #2 เมื่อ19-07-2018 22:30:00 »

Theo is a leading man isn't he?

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
«ตอบ #3 เมื่อ20-07-2018 23:59:01 »

ภาษาไทยล้วนๆ ก็ดีค่ะ

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
«ตอบ #4 เมื่อ18-10-2018 17:21:10 »

II

Host Family
   
   ผมเดินตามลูคัสไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งขอบอกเลยครับว่ามันรกมาก ของเล่นระเกะระกะเต็มพื้น แต่กระนั้นก็ยังพอดูออกว่าอพาร์ทเม้นแห่งนี้หรูหราและคงแพงน่าดู เนื่องจากเป็นอพาร์ทเม้นที่มีกระจกรอบด้านแบบพาโนราม่า สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบ ภูเขา พระอาทิตย์ที่กำลังลับหายขอบฟ้า เป็นภาพที่สวยงามประทับใจสุดๆ และผมจะได้เห็นไปอีกหนึ่งปีเต็ม ตัดกลับมาที่ห้องนั่งเล่น มีโซฟากว้าง โต๊ะทรงกลมคั่นอยู่ตรงกลาง โทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ติดอยู่บนพนัง และมีลำโพงยาวสองตัวขนาบข้าง มองมายังอีกฝั่งก็จะเป็นห้องครัวและโต๊ะทานข้าว แต่ถ้าหากเดินกลับไปยังโถงทางเดินที่ลูคัสกำลังเดินไปนั้น ถ้าให้ผมเดาก็คงเป็นพวกพวกห้องนอนของลูคัสและลูกๆ รวมไปถึงห้องน้ำนั่นเอง

   ลูคัสตะโกนถามภรรยาของตัวเองเป็นภาษาสวิสเยอรมัน และสักพักก็เดินตรงไปยังห้องน้ำ ผมเดินตามไปอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อเดินมาถึงก็พบกับผู้หญิงผมบลอนด์น้ำตาลเข้มคนหนึ่งที่กำลังจับปล้ำลูกชายวัย 7 ขวบให้แปรงฟัน ส่วนเจ้าตัวเล็กวัย 8 เดือนเงียบลงแล้วเพราะได้ของเล่นใหม่คือแปรงสีฟันที่ถืออยู่ในมือ สภาพห้องน้ำทำด้วยหินอ่อนทั้งหมด และแน่นอน....มันรกมาก ผ้าเช็ดตัววางบนพื้น ของเล่นเลโก้อยู่ในอ่างจากุชซี่ ตุ๊กตาหมี วางบนชักโครก แชมพูครีมอาบน้ำทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ทั้งหลายแหล่กระจัดกระจายอยู่ในห้องอาบน้ำแบบฟักบัว เสื้อผ้าของเด็กๆ ที่เพิ่งถอดก็วางสะเปะสะปะอยู่บนพื้น

   “สวัสดีมิค ฉันโซอี้ ยินดีที่ได้พบเธอนะ และขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปรับ พอดีฉันต้องดูแลเด็กๆน่ะ”

   โซอี้ เฮ็กก์ (Zoe Hegg) กล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอเป็นภรรยาของลูคัส อายุ  42 ปี อาชีพทนาย แต่ตอนนี้เธอหยุดงานหนึ่งปีครึ่งเพื่อออกมาเลี้ยงลูก โซอี้เป็นหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง ผมของเธอไม่ใช่สีบลอนด์จ๋า แต่เป็นบลอนด์น้ำตาลเข้มตรงโคนผมและไล่ระดับสีอ่อนมายังปลาย นัยน์ตาสีเขียว ฟันสีขาวเรียงตัวสวย เมื่อโซอี้จัดการแปรงฟันลูกชายคนกลางเสร็จเธอก็ยืนขึ้นและอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน เธอมีรูปร่างสมส่วน ความสูงนั้นเท่าผมพอดี

   แซมมวล เฟนนินเกอร์ (Samuel Pfenninger) ลูกชายคนกลางอายุ 7 ปี เดินมาเกาะขาคุณแม่พร้อมมองผมแบบอายๆ ผมทักทายด้วยรอยยิ้ม และแนะนำตัวตัวเอง แต่แซมมวลกลับตอบผมแค่ว่าสวัสดี ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเข้าใจว่ามันต้องใช้เวลา แซมมวลหรือผมขอเรียกสั้นๆ ว่า แซม เด็กชายคนนี้มีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นแม่คือมีผมสีบลอนด์เข้ม นัยน์ตาสีเขียวไม่ใช่สีฟ้าแบบพ่อ

   และสุดท้ายเจ้าตัวเล็ก เจย์เด็น เฟนนินเกอร์ (Jayden Pfenninger) ลูกชายคนสุดท้องวัยเพียง 8 เดือน ที่กำลังเขินเอียงอายหลบหน้าผมอยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่เช่นกัน เจย์เด็นดูอวบๆอ้วนๆ นิดหน่อยเหมือนเทียบกับเด็กเบบี้ทั่วไป แต่นั่นมันก็ทำให้เจย์เด็นดูน่ารักน่าฟัดเหมือนตุ๊กตา ใบหน้ากลมๆ คอมีเหนียงและพุงยื่นมันทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นเด็กคนนี้ต้องอยากเข้าไปอุ้มและฟัดหอมอย่างแน่นอน

   “วันนี้เธอคงเหนื่อยมาก ลงไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะอธิบายงานให้เธอฟัง หวังว่าเธอจะชอบอาพร์ทเม้นนะ หากขาดเหลืออะไรบอกได้เลย ส่วนคืนนี้ราตรีสวัสดิ์จ้ะ เจอกันพรุ่งนี้ 7 โมงเช้านะ”

   “ครับผม ฝันดีครับ” ผมยิ้มให้โซอี้ก่อนพูดกับแซมและเจย์เด็น “ฝันดีนะแซม ฝันดีครับเจย์เด็น ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

   โซอี้กับลูกๆ เดินเข้าห้องนอนไป ส่วนผมเดินตามลูคัสมายังหน้าประตูลิฟท์อีกครั้ง เราสองคนมาโผล่ที่อาพร์ทเม้นชั้นสองอีกรอบ ลูคัสยื่นกุญแจให้ผมทั้งหมด 4 ดอก คือกุญแจของทุกชั้นนั่นเอง เพราะเวลาประตูลิฟท์เปิดออกก็จะมีประตูบ้านขวางกั้น ต้องใช้กุญแจในการไขเข้าไป

   อพาร์ทเม้นที่อยู่จะมาอาศัยอยู่อีกหนึ่งปีนี้คล้ายๆ กับชั้นบนสุด แต่ทว่าจะไม่มีวิวพาโนราม่าเห็นทะเลสาบและภูเขา แต่แทนที่ด้วยวิวสนามหญ้า ไว้ในเด็กๆ วิ่งเล่น มีแทรมโปลีนขนาดยักษ์วางอยู่ตรงกลาง โกลฟุตบอลสำหรับเด็กวางอยู่สองข้างฝั่ง ลูคัสบอกว่าทั้งชั้นนี้เป็นของผม ผมตาโตและบอกกับลูคัสว่า

   “โห ผมชอบห้องนี้มาก ๆ เลยครับ ขอบคุณนะครับ ผมจะดูแลทำความสะอาดเรียบร้อยให้อย่างดีเลยครับ”

   “ยังไงก็จะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้งอยู่แล้ว แต่มันจะดีมากๆ ถ้าเธอช่วยรักษาความสะอาดไปในตัว...อ้อ บางครั้งธีโออาจจะเข้ามาอ่านหนังสือที่ห้องนั้นนะ แต่ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ชอบเข้ามานอนอ่านหนังสือเล่น เขาไม่รบกวนเธอแน่นอน” ลูคัสชี้ไปยังประตูห้องหนึ่ง พอเปิดเข้าไปก็จะเห็นชั้นหนังสือเรียงไว้อย่างกับห้องสมุดขนาดย่อม มีมุมโซฟาน่ารัก ๆ ข้างหน้าต่าง เห็นวิวสนามเด็กเล่นข้างนอก

   ผมเดินออกไปส่งลูคัสที่ประตูลิฟท์และกล่าวราตรีสวัสดิ์ ขณะที่ผมกำลังลากกระเป๋าเข้าห้อง ประตูลิฟต์ก็เปิดอีกครั้ง

   “อ่ะนี่รหัสไวไฟ ฉันรู้ว่าเธอต้องใช้มัน” ลูคัสยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้ บนนั้นเขียนว่า ‘die Schokolade’

   รหัสคือช็อคโกแล็ตงั้นเหรอ? แต่คงเป็นพิมแบบภาษาเยอรมันสินะ

   ผมขอบคุณอีกครั้ง หันมามองที่กระเป๋า ทีนี้ก็ได้เวลาจัดของ รื้อกระเป๋าสักทีสินะ สิ่งที่ผมเอามามีไม่มากหรอกครั้ง เสื้อผ้านิดหน่อย เพราะผมกะว่าหน้าหนาวยังไงผมก็จะซื้อเสื้อกันหนาวหรือพวกแจ็คเก็ต ถุงมือ ผ้าพันคอที่นี่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่อัดแน่นเต็มกระเป๋าแต่น้ำหนักเบามากนั่นก็คือมาม่า อาหารยังชีพสำหรับคนไทยทุกคน นอกจากนั้นยังมีพวกผงโลโบ้ ผัดกระเพรา แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น ต้มข่าไก่ ซอสผัดไทย น้ำจิ้มสุกี้ น้ำปลา น้ำมันหอย พริกป่น รวมไปถึงขนมกินเล่นเช่น เบนโต๊ะ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ป๊อกกี้

   ผมใช้เวลาสักพักในการจัดของทั้งหมด จากนั้นก็อาบน้ำและเช็คโซเชี่ยลมีเดียทุกช่องทาง ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินตราแกรม ไลน์ และสแนปแชท ใครอยากได้แอดเค้าผมทั้งหมดหลังไมค์มานะครับ บอกเลยว่าในโซเชียลเนี่ย...ผมดังมาก

   ผู้ติดตามเยอะ คนฟอลเยอะเกินแสนคนแน่ ๆ

   อ๋อ เปล่า เปิดเสียงนอตติฟิเคชั้นไว้ดังน่ะ

   ...

   รู้ว่ามันแป้ก แต่อย่ากรอกตามองบนแบบนั้นได้ไหมครับผม ผมเหงา เล่นกับผมหน่อยนะ

   โอเค ผมควรนอน ไปนอนก็ได้ ฝันดีครับ




   เริ่มงานวันแรก ผมตื่นเต้นมาก หรืออาจเกิดจากเจ็ตแล็ค ผมตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าสี่สิบห้า นอนกลิ้งเล่นอยู่บนเตียงจนประมาณหกโมงครึ่งถึงลุกไปแปรงฟันล้างหน้า เมื่อถึงเวลา 6.55 ผมก็เข้าลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุด

   “สวัสดีตอนเช้าครับ” ผมกล่าวทักทายเมื่อเห็นโซอี้กำลังชงกาแฟ

   “สวัสดีตอนเช้าจ้ะ เมื่อคืนหลับสบายไหม”

   “มีอาการเจ็ตแล็คนิดหน่อยครับ แต่สบายมาก”

   “ฉันเข้าใจดีเลยล่ะ รออีกสักสองสามวันร่างการเธอคงปรับตัวกับเวลาของที่นี่ได้”

   “ครับผม...ว่าแต่แซมมวลยังไม่ตื่นเหรอครับ” ถามพร้อมกับมองไปรอบ ๆ เห็นแต่เจย์เด็นที่กำลังเล่นของเล่นอยู่บนพื้น

   “ยังจ้ะ แต่อีกสักพักคงตื่น พอดีช่วงนี้เป็นซัมเมอร์ฮอลลิเดย์น่ะ เลยไม่ต้องปลุกเขา...และด้วยเหตุนี้แหละช่วงสัปดาห์นี้เธออาจจะต้องทำงานหนักหน่อยนะ เพราะต้องดูแลทั้งสองคน แต่ถ้าแซมเปิดเทอมเมื่อไหร่งานก็ไม่หนักแล้วล่ะ” โซอี้ยิ้ม “เอาล่ะ เรื่องงานฉันจะค่อย ๆ อธิบายไปทีละจุดนะ เพราะถ้าบอกเธอทีเดียวคงจำไม่ได้แน่ ฉันเองก็หลง ๆ ลืม ๆ ถ้านึกอะไรออกก็จะบอกเธอเป็นระยะ ๆ”

   “ครับผม”

   “อาจจะต้องใช้เวลาสักนิดนึง แต่ถ้าเธอปรับตัวได้มันก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันโดยอัตโนมัติ เธอจะไม่ต้องจำเลย แค่อาศัยความเคยชิน...อืมมม ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มกันที่อย่างแรกเลยดีกว่า ตอนเช้าเวลา 7 โมงตรงโดยประมาณ เจย์เด็นจะตื่นด้วยตัวของเขาเอง หรือถ้า 7 โมงแล้วเขายังไม่ตื่นก็ไม่เป็นไร ปล่อยเขาหลับไป แต่บางทีเจย์เด็นก็อาจจะตื่นก่อนเวลาเช่น 6 โมงบ้าง ตี 5 บ้าง แต่ฉันจะดูแลเขาเองในช่วงเวลานี้ เธอไม่ต้องห่วง ส่วนแซมมวล ถ้าปกติเวลาไปโรงเรียน เขาจะต้องตื่น 7 โมงตรง ซึ่งรายนี้เธอต้องปลุกเขา แต่อย่างที่บอกไป ช่วงนี้เป็นฮอลิเดย์ เขาสามารถตื่นสายได้ จากนั้นเมื่อเธอปลุกแซมมวลเสร็จ เธอต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุด แต่ปกติแล้วแซมดูแลตนเองได้ เขาโตมากพอที่จะทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เธอแค่ต้องเป็น supervisor จับตาดูเขาว่าแปรงฟันแล้วจริง ๆ ไม่ใช่แปรงสิบวินาทีเสร็จอะไรแบบนี้

   ระหว่างที่แซมกำลังเปลี่ยนชุดเธออาจจะใช้เวลาช่วงนั้นมาเตรียมข้าวกล่องให้แซมมวลสำหรับทานที่โรงเรียน รวมไปถึงอาหารเช้าง่าย ๆ ที่เธอจะต้องเมคชัวร์อีกว่าแซมกินจริง ๆ ซึ่งทั้งหมดที่กล้าวมานี้ต้องเสร็จก่อน 7.45 เลทสุดคือ 8.00 เพราะลูคัสจะขับรถไปส่งแซมที่โรงเรียนและเลยไปทำงาน หลังจากนั้นก็เป็นเวลาดูแลเจย์เด็น...

   สำหรับเจ้าตัวเล็ก กินอาหารเช้าประมาณ 8.10 ซึ่งอาหารเช้าของเขาคือมูสลี่ (Müsli)* 5 ช้อนชา ผสมกับ นมผง 1 ช้อนชา และนมผงสารอาหารอีก 2 ช้อนชา เมื่อเขากินเสร็จก็พาไปเปลี่ยนชุดเป็นชุด daily cloth ซึ่งฉันจะเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำ แต่ถ้าหากเขาอึก่อนกินอาหารแล้วเธออยากจจะเปลี่ยนผ้าอ้อมและเปลี่ยนชุดเขาเลยก็ไม่เป็นไร จากนั้นเธอก็ดูแลเขา เล่นกับเขา ซึ่งระหว่างนี้จริง ๆ แล้วเจย์เด็นเขาเล่นของเล่นด้วยตัวเองได้ เธออาจจะไม่ต้องยุ่งอะไรกับเขาเลย แค่ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติ แต่ต้องมั่นใจว่าเขาต้องปลอดภัย ไม่มีของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ที่เขาอาจจะกินแล้วติดคอตายได้

   เมื่อเธอเห็นว่าเจย์เด็นโอเคแล้ว เธอก็มาตรวจดูความเรียบร้อยทุกห้อง ยกเว้นห้องนอนของฉันกับลูคัส เช่น ผ้าอ้อมทิ้งใส่ถุงพลาสติกแล้วหรือยัง เสื้อผ้าใส่ตระกร้าซัก แซมมวลเก็บเตียงหรือยัง ถ้ายังเธอต้องเก็บให้เขา แต่วันต่อไปเธอต้องกำชับเขาตอนตื่นทันทีว่าเก็บเตียงด้วย จากนั้นก็เป็นห้องครัวเป็นหน้าที่ของเธอเช่นกัน เก็บทำความสะอาดหลังอาหารเช้าเด็ก ๆ เอาจานชามออกจากเครื่องล้างจานเก็บให้เข้าที่ ทำความสะอาดเก้าอี้เด็ก และโต๊ะทานข้าว จากนั้นก็มาดูผ้าในห้องซักผ้าว่าต้องพับรีดหรือเอาเข้าเครื่องไหม อ้อ เกือบลืม ตอนช่วงเวลา 10 โมงเธอจะต้องพาเจย์เด็นนอนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะจ้ะ และพอถึงเวลาเที่ยง เธอต้องป้อนข้าวเขา ก็เป็นพวกผักปั่นต่าง ๆ เธอทำอาหารให้ตัวเองไปด้วยก็ได้ อาจจะกินพร้อมเจย์เด็นเลยก็ได้

   จากนั้นเวลาบ่ายโมงตรงฉันจะมารับช่วงต่อเองจ้ะ เธอสามารถพักเบรคช่วงบ่ายได้จนถึง 16.30 ซึ่งเป็นเวลาที่แซมมวลจะกลับจากโรงเรียน ถ้าวันไหนเขามีคลับก็อาจจะเป็นห้าโมงครึ่ง เธออยู่กับเขาและดูแลเจ้าตัวเล็กไปด้วย แซมจะเปลี่ยนชุด ล้างหน้าล้างมือ เขาสามารถกินขนมได้ระหว่างนี้ เขาอาจจะออกไปเตะบอล เล่นบาส ทำการบ้าน หรืออะไรก็แล้วแต่ จนประมาณ 18.30 เราจะเริ่มมื้อเย็นกันจ้ะ โดยปกติถ้าเธอดูแลเด็ก ๆ ฉันจะทำอาหาร แต่ถ้าหากฉันดูแลพวกเขาเอง เธอก็มาทำอาหารแทนฉัน เมื่อรับประทานมื้อเย็นกันเสร็จเธอต้องพาเจย์เด็นเข้านอน ส่วนแซมมวลลูคัสและฉันจะดูแลเอง และนั่นคือเวลาเสร็จงานของเธอจ้ะ...”

   ผมนั่งนิ่งอึ้ง...

   จะจำหมดได้ยังไงวะเนี่ย !?

   เหมือนโฮสมัมของผมจะอ่านสีหน้าของผมออก โซอี้รีบพูดต่อว่า

   “ที่พูดไปมันเยอะ แต่ทว่าพอได้ทำจริง ๆ แล้วมันแทบไม่มีอะไรเลย แค่ต้องใส่ใจในรายละเอียด มันต้องใช้เวลาสักนิด แต่ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำได้”

   โซอี้พูดให้กำลังใจ ทว่าหากฟังความหมายดี ๆ มันคือการกดดันนี่เอง

   “ครับผม ผมจะทำให้ดีที่สุด หากผมทำอะไรผิดพลาดไป ตักเตือนได้เลยนะครับ”

   “จ้ะ บางทีตัวฉันเองก็พลาดเหมือนกัน ยิ่งลูคัสนะ...รายนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจย์เด็นใส่ผ้าอ้อมเบอร์อะไร” ประโยคหลังภรรยาคนสวยพูดเสียงเบา กลัวสามีตัวเองได้ยิน ผมขำนิดหน่อย

   ผมเข้าใจนะสิ่งที่โซอี้อธิบายมาทั้งหมด นั่นคืองานออแพร์พี่เลี้ยงเด็กจริง ๆ ผมอ่านประสบการณ์ของออแพร์บางคนที่แชร์ให้คนอื่นฟังในกลุ่มเฟซบุ๊ค บางคนก็โดนใช้แรงงานทาส บางคนโดนเอาเปรียบทำงานเกินชั่วโมงที่กำหนด แต่โฮสไม่ยอมจ่ายเอ็กซ์ตร้าให้ บางคนเป็นออแพร์แต่แทบไม่ได้ดูแลเด็กเลย เหมือนมาเป็นแม่บ้านมากกว่าก็มี โดนโฮสเด็กใส่ร้ายตบตีก็มีเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นผมว่าการแมทช์กับโฮสมันขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและการตอบคำถามตอนสัมภษณ์ของแต่ละคน 50% อีก 50%  คือดวงล้วน ๆ เพราะโฮสบางบ้านตอนสัมภาษณ์ก็ดูดี แต่พอมาอยู่ด้วยแล้วจริง ๆ กลับกลายเป็นอีกแบบ ไม่เหมือนอย่างที่คุยกันไว้

   ส่วนตัวผมที่เลือกบ้านนี้ก็เพราะมีตัวเลือกน้อย สัมภาษณ์มาแค่สามบ้าน สองบ้านแรกสัมภาษณ์แล้วเงียบหาย บ้านเฟนนินเกอร์นี้เป็นหลังที่สาม ซึ่งผมกดดันมาก เพราะบ้านหลังนี้มีออแพร์มาแล้ว 3 คน ทุกคนที่เคยเป็นให้ 5 ดาวและยืนยันว่าครอบครัวนี้น่ารัก แฟร์ เท่าเทียม ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนเอาเปรียบและให้เงินเอ็กซ์ตร้าเยอะมาก ดังนั้นเป็นเหตุให้หลาย ๆ คนที่อยากจะเป็นออแพร์อยากมาอยู่กับครอบครัวนี้เช่นกัน เอเจนซี่บอกกับผมแบบตัดความหวังมากว่า

   ‘น้องมิคคะ อาจจะต้องทำใจหน่อยนะคะ เพราะครอบครัวนี้มีผู้สมัครและสัมภาษณ์กับโฮสแฟมิลี่มากถึง 8 คนค่ะ’

   ผมนี่เข่าแทบทรุด ตอนสัมภาษณ์ทางสไกป์ผมไม่หวังอะไรทั้งนั้น ผมตอบตามความเป็นจริง ไม่ตอบคำถามเว่อร์วังอวยตัวเอง อีกทั้งผิดหวังมาแล้วสองครอบครัว คิดว่าผิดหวังอีกสักครอบครัวจะเป็นไรไป อีกทั้งผมยังเป็นเพศชาย ซึ่งมีน้อยมากอย่างที่บอกไปแต่แรก ตอนเอเจนซี่ส่งอีเมลล์มาบอกผมว่าแมช์กับครอบครัวนี้ ผมจึงรู้สึกประหลาดใจและดีใจมาก ๆ ที่ครอบครัวเฟนนินเกอร์เลือก

   ดังนั้นผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังที่เลือกผมโดยเด็ดขาด

   *Müsli หรือ Cereal เป็นอาหารเช้าประกอบไปด้วยข้าวโอ๊ตชนิดเกล็ด (rolled oats) และส่วนประกอบอื่น ๆ รวมไปถึงธัญพืช ผลไม้สดและแห้ง เมล็ดพันธุ์และถั่ว และอาจผสมกับนมวัว นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์





   วันนี้เป็นวันแรก ผมค่อย ๆ เรียนรู้งานจากโซอี้ทีละจุด ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เจย์เด็นยังไม่อยากให้ผมอุ้มสักเท่าไหร่ พอจะจับแขนทีไรก็แหกปากร้องไห้จนผมทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนเป็นคนใจร้ายที่ทำเด็กร้องไห้ ส่วนแซมมวลนั้นง่ายกว่ามากเพราะเขาโตแล้ว แซมมวลเป็นเด็กชายที่ใจร้อน พูดไม่คิด พูดเร็ว ไม่ยอมใคร ไม่ชอบความพ่ายแพ้ กวน ๆ ตามประสาเด็กผู้ชาย แต่ทว่ายังดีที่ยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น ผมสังเกตเขาได้จากการเล่นเกมเศรษฐี (Monopoly) ซึ่งเขาจะคอยหาวิธีทำให้ตัวเองชนะ ผมไม่ได้บอกว่าโกงนะ ถ้าโกงคือต้องโยนลูกเต๋าได้เบอร์ 4 แต่บอกตัวเองได้เบอร์ 6 เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโดนจ่ายเงินที่ช่องของผมบนกระดาน แต่สำหรับแซมมวลนั้นเป็นอีกแบบ

   “เฮ้ มิค จ่ายเงินผมมา 10 ฟรังสิ มิคจะได้เดินต่อได้” เขาพูดเมื่อผมตกลงช่องติดคุกพร้อมแบมือ หมายเหตุนอกจากเขาจะเป็นผู้เล่นแล้วเขายังชอบเป็นธนาคารอีกด้วย

   “ฉันไม่จ่ายหรอก ฉันอยากติดคุก”

   “ทำไมล่ะ แค่จ่ายเงินก็ได้ออกจากคุกแล้ว” เขายังไม่ยอมแพ้ พร้อมจ้องช่องบนกระดานที่มีบ้านหลังสีแดงวางเรียงรายต่อจากช่องติดคุก มีเพียงช่องเดียวที่เว้นว่างยังไม่มีใครตกลงช่องนั้น

   บ้านสีแดงคือบ้านของแซมที่เขาซื้อไว้แล้วนั่นเอง

   “ฉันรู้นะว่าเธออยากให้ฉันจ่ายเพราะจะได้ทอยเต๋าต่อแล้วตกลงที่ช่องของเธอ”

   มิคแสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยที่ผมรู้ทัน

   “งั้นมิคก็เป็นคนเลวสินะ เพราะคนเลวอยู่ในคุก”

   ผมอึ้งไปเล็กน้อย แซมพูดด้วยท่าทางจริงจังเหมือนผมเป็นคนเลวจริง ๆ แต่ผมพยายามไม่คิดอะไรมาก แล้วตอบกลับว่า

   “งั้นเธอเป็นคนที่เลวกว่าเพราะยอมติดสินบนจ่ายเงินเพื่อให้ได้ออกจากคุก”

   โหยยย...นี่แค่เล่นเกมเศรษฐีนะ ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้

   คงเพราะแซมมวลอยากชนะเลยทำให้เขาจริงจังมากเกินกว่าเหตุ ผมเลยจริงจังตามไปด้วย

   ไม่ได้...ผมจะให้เด็ก 7 ขวบมาควบคุมอารมณ์ไม่ได้

   “ว่าแต่...เธอชอบสีแดงเหรอ เห็นข้าวของในห้องส่วนใหญ่เป็นสีแดงหมดเลย” ผมเปลี่ยนเรื่อง

   “ใช่ แล้วมิคล่ะ?”

   “ฉันชอบสีเขียว...มิน่าล่ะ เธอถึงเลือกตัวเดินกระดานสีแดง”

   “มิน่าล่ะ เธอถึงเลือกตัวเดินกระดานสีเขียว”

   “นี่ล้อเลียนฉันเหรอ ?”

   “นี่ล้อเลียนฉันเหรอ ?”

   เอาล่ะไง...โดนเด็กกวนตีนใส่ แซมมวลเลียนแบบผมทั้งคำพูดและท่าทาง ผมขำที่เขาเลียนแบบไม่หยุด แต่สักพักแซมมวลก็เลิกไปเองเพราะโซอี้เรียกผมไปช่วยในครัวเพื่อเตรียมมื้อเย็น



อ่านต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2019 15:22:34 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
«ตอบ #5 เมื่อ18-10-2018 17:22:36 »

   ผมเดินมาที่ครัวโซอี้บอกให้ผมเตรียมโต๊ะอาหาร

   “แซมมวลไปล้างมือแล้วโทรเรียกธีโอให้ขึ้นมากินข้าวหน่อยลูก...มิคจ้ะ ช่วยจัดโต๊ะอาหารหน่อยนะ ผู้ใหญ่ 4 เด็ก 1 และลากเก้าอี้เบบี้มาไว้ข้าง ๆ เธอด้วยจ้ะ เพราะเดี๋ยวฉันจะลองให้เธอป้อนข้าว”

   เก้าอี้ของเจย์เด็นเป็นแบบของเด็กเล็ก ส่วนแซมมวลใช้เก้าอี้ปกติแบบผู้ใหญ่นั่ง ผมเดินไปหยิบผ้ารองจาน จาน แก้วน้ำ ผ้าเช็ดปาก มีดกับส้อม ช้อนใหญ่และช้อนเล็ก จากนั้นจัดเรียงตามแบบสากล

   ดีนะที่ผมเคยเรียนตอนอยู่มหาลัยมาเรื่องการรับประทานอาหารบนโต๊ะ มารยาทในการเข้าสังคม ผมจึงมีความรู้ติดตัวอยู่หน่อยบ้าง ตอนนั้นก็คิดว่าจะเรียนไปทำไม กินข้าวก็แค่ตักใส่ปาก แต่พอมาวันนี้ได้มีโอกาสร่วมโต๊ะแบบสากลก็รู้สึกขอบคุณอาจารย์ผู้สอนวิชานั้นขึ้นมาทันที จำได้ว่าตอนเรียนมีการสอนเรื่องตักซุป โดยปกติคนทั่วไปก็จะตักซุปใส่ช้อนแล้วเกลี่ยน้ำซุปหลังช้อนออกเข้าหาตัว แต่ความจริงแล้วมารยาทคือเราควรเกลี่ยน้ำซุปหลังช้อนออกโดยหันตูดช้อนตรงข้ามกับเรา เพื่อที่สมาชิกร่วมโต๊ะอาหารจะได้ไม่เห็นคราบสกปรกบนช้อน รวมไปถึงการรับประทานสลัด ที่หากมีผักสลัดใบใหญ่ ให้พับแล้วนำส้อมจิ้ม แต่ผักจะคลี่ออก ดังนั้นเราจึงควรจิ้มแครอท แตงกวา หรือเนื้อต่อเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผักคลี่ออก อีกทั้งยังเป็นการรับประทานผักและเนื้อไปพร้อม ๆ กันเพื่อตัดรสชาติในปาก

   กลับมาที่ปัจจุบัน เสียงประตูลิฟต์เปิดออก คนที่มาใหม่ไม่ใช่ใครแต่เป็นลูกชายคนโตสุดนั่นเอง

   “สวัสดีตอนเย็นธีโอ” ทักทายตามมารยาท แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจมารยาทสักเท่าไหร่นัก

   ธีโอคุยกับโฮสมัมเป็นภาษาสวิสเยอรมัน เหมือนจะถามไถ่อะไรสักอย่าง ทำหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วเขาก็นั่งลงตรงข้ามผม

   ผมไม่สนใจ ป้อนข้าวเจ้าตัวเล็กต่อ ดูเหมือนเจย์เด็นจะไม่สนใจว่าใครป้อนข้าวให้ ขอแค่ให้ได้กินก็พอ

   “อ๊า อ๊า มะ มะ อ๊ะ น่ำ แอ๊ะ” เสียงเด็กเบบี้ร้องไม่เป็นภาษา ทำเอาผมยิ้ม เจย์เด็นมีความสุขที่ได้กิน

   เมื่ออาหารพร้อม โซอี้ยกพาสต้าและน้ำซอสวางไว้ตรงกลางโต๊ะ ผมรอให้ทุกคนตักเสร็จผมจึงตักพาสต้าใส่จานตัวเองบ้าง

   “เธอทำอาหารไทยเป็นใช่ไหมมิค” ลูคัสถาม

   “ใช่ครับ แต่ผมไม่มั่นใจว่าจะหาวัตถุดิบได้ที่ไหน แล้วอีกอย่างรสชาติอาจไม่ถูกปากด้วยครับ”

   “ไม่เลย พวกเราชอบอาหารไทยมาก ใช่ไหมแซม ใช่ไหมธีโอ”

   “ใช่ ผมชอบแกงเขียวหวานมาก” แซมสนับสนุน ส่วนคนโตสุดไม่ตอบอะไรนอกจากจิ้มพาสต้าเข้าปาก

   “มีร้าน Asia shop ตรงใจกลางเมืองอยู่หลายร้าน แต่ที่ใกล้บ้านเราที่สุดก็นั่งรถเมล์หรือแทรมไปสามสี่ป้าย” โซอี้บอก

   “ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นว่าง ๆ ให้ผมได้โชว์ฝีมือการทำอาหารไทยให้ทุกคนทานนะครับ”

   “แอ๊ะ แอ๊ะ นั่ม นั่ม อ๊ะ แอะ”

   “เห็นไหมเจย์เด็นก็อยากลองอาหารไทยฝีมือมิค ฮ่า ๆ” คนแม่พูดติดตลกเมื่อเห็นลูกคนเล็กร้องขึ้นมาได้จังหวะพอดี

   ผมตักพาสต้าใส่ปากตัวเอง แล้วป้อนข้าวเจย์เด็นสลับไปมา จนเจย์เด็นกินหมด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะมีกระเพาะอาหารที่ใหญ่กว่าตาเห็น เพราะเขายังร้องไม่หยุด พร้อมยกมือชี้นิ้วไปที่พาสต้าของผม

   “เธอสามารถให้เขาทานพาสต้าได้นะ ยกเว้นซอส” เมื่อโซอี้อนุญาตแล้วผมเลยหยิบพาสต้าส่วนที่ไม่มีซอสจากจานตัวเองให้เจย์เด็น เขารับมันไว้ในมือและนำใส่ปาก

   เจย์เด็นดูท่าจะไม่อิ่มง่าย ๆ เขายังคงร้องเรียกความสนใจจากทุกคน ผมเลยหยิบพาสต้าให้อีกหลาย ๆ ชิ้น วางไว้หน้าเขา ให้เขาหยิบกินเอง ดูเหมือนเจยเด็นจะสนุกกับการกิน

   ผมชอบที่ได้เห็นวิวัฒนาการของเด็กวัยนี้ เพราะมันสามารถสร้างความประหลาดใจให้ผมได้เสมอ

   หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ ผมช่วยโซอี้เก็บโต๊ะ ส่วนลูคัสช่วยเก็บนิดหน่อยแล้วเดินไปคุยโทรศัพท์ ธีโอบอกฝันดีและจุ๊บแก้มแม่ตัวเองหนึ่งครั้ง บอกฝันดีลูคัสกับแซมแล้วเดินไปที่ลิฟต์

   “ช่วงเวลานี้แซมจะเล่นกับพี่ชายเขากับลูคัสด้วยกันสามคนหลังกินอาหารเสร็จ ส่วนฉันจะไปเปลี่ยนชุดนอนให้เจย์เด็นและพาเขาเข้านอน ประมาณ 19.30 ส่วนเธออาจจะทำความสะอาดครัวหรือพาเจย์เด็นเข้านอนแล้วแต่สถานการณ์ แต่วันนี้เธอมากับฉันก่อน มาเรียนรู้ว่าฉันพาเจย์เด็นเข้านอนยังไง”

   วิธีพาเด็กวัยนี้เข้านอนไม่มีอะไรซับซ้อนมาก แค่ชงนมแล้วให้เจย์เด็นดูดนม ระหว่างนั้นด็ค่อย ๆ ลูบหัวเขาไปด้วย

   “เจย์เด็นเป็นเด็กที่อ่านง่าย อย่างถ้าเขาเอานุกกี้ (Nuk)* ออกจากปากนั่นหมายความว่าเขาต้องการดูดนมต่อ แต่ถ้าเขาไม่ต้องการแล้วเขาจะหยิบนุกกี้ใส่ปากตัวเอง” โซอี้อธิบาย “เธอไม่ต้องรอให้เขาดูดนมจนหมดขวดหรือลูบหัวจนกระทั่งเขาหลับนะ เธอแค่คอยดูว่าเขาโอเคแล้ว เธอก็ออกจากห้อง ปิดประตู แง้มไว้นิดหน่อย และเงี่ยหูฟังเสียงสักระยะ เจย์เด็นสามารถหลับได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าหากเขาร้องไห้ขึ้นมา ปล่อยเขาร้องประมาณ 30 วินาที ให้เขาหยุดและหลับไปเอง แต่ถ้าเกินกว่านั้นเธอต้องเข้าไปกล่อมเขาและให้นมใหม่ เพราะเขายังอาจจะยังต้องการนมเพิ่ม”

   ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ มือหนึ่งถือขวดนมให้เจย์เด็นดูด อีกมือหนึ่งลูบหัวกลม ๆ ที่กำลังดูดนมอย่างตั้งใจ

   โซอี้ให้สัญญาณว่าผมควรออกจากห้อง ผมกระซิบบอกฝันดีกับเจ้าตัวเล็ก แล้วค่อย ๆ ย่องออกมา

   เราทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูเพื่อเงี่ยฟังเสียง ผ่านไปประมาณ 5 นาทีเจ้าตัวเล็กก็ร้องขึ้นมา แต่ทว่าเขาก็เงียบสงบลงไปเอง ผมแง้มประตูเข้าไปดูนิดหน่อย พบว่าเจย์เด็นหลับตาพริ้มราวกับเทวนาตัวน้อย ๆ ไปเสียแล้ว

   “เป็นอย่างไรบ้างจ้ะงานวันแรก” โซอี้ถามผม ในขณะที่เดินมายังห้องครัวเพื่อทำความสะอาดส่วนที่ยังค้างไว้

   “สบายมากครับ” ผมตอบตามความจริง “แต่ผมอาจจะยังต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้กิจวัตรประจำวัน”

   “ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ฉันเชื่อว่าไม่นานเธอต้องเข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีแน่ ๆ และเธอจะทำทุกอย่างได้โดยที่ไม่มีฉัน” โซอี้ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมอธิบายไม่ถูก คือคำพูดของเธอดูเหมือนจะหวังดีแต่ประสงค์ร้าย...ไม่ใช่สิ ประสงค์ให้ทุกคนทำตามที่เธอต้องการเสียมากกว่า

   “ตารางงานเธอจะคล้าย ๆ แบบนี้ทุกวัน ในตอนเช้าฉันจะเคลียงานเรื่องลูกความ เอกสารต่าง ๆ เธอก็ดูแลเจย์เด็นไป ส่วนตอนบ่ายเธอสามารถพักได้ จนถึงเวลาแซมกลับจากโรงเรียนและรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน เธอหรือฉันพาเจย์เด็นเข้านอนและเก็บครัว เป็นอันเสร็จงานจ้ะ” โซอี้ทบทวนให้ผมฟังอีกครั้ง

   “เธอมีคำถามอะไรไหมจ้ะ”

   “เรื่องบัตรประชาชน ...”

   “อ๋อ พรุ่งนี้ฉันจะพาไปจ้ะ เพราะเธอต้องมีบัตรประชาชนภายในหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นฉันจะพาเธอไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อโอนเงินเดือน และพาไปทำบัตรรถขนส่งสาธารณะหรือที่เรียกว่า Swiss Pass เธอจะได้ส่วนลด 50% ในการซื้อตั๋วรถขนส่งสาธารณะทุกประเภทและนั่งรถไฟฟรีตั้งแต่ 7 pm - 7 am และนี่...คือซิมโทรศัพท์ เธอสามารถโทรฟรี และอินเตอร์เน็ตฟรี ไม่ต้องห่วงค่าใช้จ่าย ฉันออกให้จ้ะ”

   “ขอบคุณมาก ๆ ครับ” ผมรับซิมโทรศัพท์มาไว้ในมือ

   “ส่วนเรื่องเรียนภาษา เธออยากเรียนภาษาอะไรเหรอจ้ะ สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ไม่ง่ายในการใช้ชีวิตเพราะมีภาษาราชการด้วยกันถึง 4  4 ภาษา ได้แก่ เยอรมัน ซึ่งคนจะพูดเยอะสุด คิดสัดส่วนเป็น 70% รองลงมาคือ อิตาเลียน และฝรั่งเศส ตามลำดับ”

   “เยอรมันครับ”

   “โอเคจ้ะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าหลังโรงเรียนแซมมวลเปิด เธอสามารถไปเรียนระหว่างวันได้ แต่ภาษาเยอรมันที่เธอจะได้เรียนมันแตกต่างกับท่ี่คนสวิสพูดอยู่สักหน่อยนะจ้ะ เธออาจจะสับสนหากได้ยินพวกเราคุยกัน”

   เรื่องนั้นผมก็พอรู้ว่าอยู่บ้างว่าคนสวิสที่พูดเยอรมันจะออกเสียงต่างจากภาษาเยอรมันทั่วไป

   โซอี้บอกตารางงานในวันพรุ่งนี้ว่าผมจะต้องทำอะไรบ้าง จากนั้นผมก็บอกลาและลงมายังชั้นของผม ทว่าในขณะที่ผมกำลังไขกุญแจเพื่อเปิดประตูนั้น ดันมีคนเปิดประตูออกมาเสียก่อน

   “อ้าว ธีโอ” ผมทัก แต่ก็เหมือนเดิม เขาไม่ตอบผม

   ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนในสายตาเขา

   ผมไม่สนใจ คิดซะว่ายังไงเราคงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมายอยู่แล้ว หน้าที่ผมคือดูแลแซมมวลและเจย์เด็น ไม่ใช่คนพี่ตัวโตเป็นควายแต่สมองคิดไม่ได้อย่างธีโอ

   เพียงแต่คนอาศัยบ้านเดียวกัน ต้องกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารกัน อย่างน้อยก็ควรจะทักทาย พูดคุยกันสักเล็กน้อยไม่ดีกว่าหรือไง หรือว่าธีโอมีปัญหาด้านการเข้าสังคม

   ผมได้แต่คิดไปต่าง ๆ นานา สุดท้ายคิดไปก็เท่านั้น มันเรื่องของเขา มาคิดกันดีกว่าว่าสุดสัปดาห์ที่ผมจะได้หยุดนี้มีที่ไหนน่าไปบ้าง

   สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยทุกมุม ไม่ว่าพื้นที่ไหน ภูเขา ทะเลสาบ อะไรก็งดงามไปหมด ผมมีเวลาเรียนรู้และสำรวจประเทศนี้ทั้งปี ดังนั้นค่อย ๆ เริ่มจากใกล้ ๆ ก่อนดีกว่า

   พอเซิสข้อมูลแล้วพบว่าในซูริคมีภูเขาเล็ก ๆ ชื่อว่า Uetilberg เหมาะสำหรับมือใหม่เริ่มการเดินขึ้นเขาอย่างผม

   ทว่าผมคงต้องไปคนเดียว เพราะผมยังไม่รู้จักใครสักคนเลย

   หืม ? ทำไมไม่ลองชวนคนที่เพิ่งเจอกันแต่ไม่ยอมแม้แต่จะทักผมกลับน่ะเหรอ ? ...

   เหอะ! ผมยอมไปคนเดียวซะดีกว่า






   “มิคจ้ะ วีคเอนนี้มีแพลนยังไงเหรอจ้ะ” โซอี้ถามระหว่างที่เราทุกคนพร้อมหน้ากำลังทานอาหารเย็นวันศุกร์

   “ผมกะว่าจะไปปีนเขาน่ะครับ เห็นว่ามีภูเขาไม่ไกลจากซูริค นั่งรถไฟไม่ถึงชั่วโมง” ผมตอบขณะที่ป้อนข้าวเจย์เด็นไปด้วย

   “ใช่ Uetilberg รึเปล่า?” ลูคัสถามบ้าง

   “ใช่ครับ”

   “ที่นั่นวิวสวยมากนะ ฉันชอบ แถมเหมาะกับคนเพิ่งเริ่มปีนเขาอย่างเธอ” โฮสแดดสนับสนุน

   “ว่าแต่เธอจะไปคนเดียวเหรอจ้ะ? มีเพื่อนมั้ย?” โฮสมัมถามอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ว่าผมเพิ่งมาถึงได้สามวันและยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน

   “เอ่อ...ผมคงไปคนเดียวน่ะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นให้ธีโอไปด้วยไหม เขาเคยไปที่นั่นมาแล้ว ให้เขาพาเธอเที่ยวในเมือง เป็นไกด์แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ในซูริคก็ได้” โซอี้เสนอ

   “นั่นสิ มิคจะได้มีเพื่อนสำรวจเมือง พอเขารู้เส้นทางหรือการนั่งแทรม รถไฟ รถบัส ทีหลังเขาจะได้ไปเองได้...นับว่าเป็นไอเดียที่ดีนะ” ลูคัสเห็นด้วย

   มีแต่ผมกับคนตรงข้ามนี่แหละ ที่หยุดการกินชะงัก และแสดงท่าทางชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย

   “พ่อครับ เสาร์นี้ผมมีนัดแล้ว”

   “แกเพิ่งบ่นกับฉันว่าเสาร์นี้ว่างมาก ไม่มีอะไรทำเพราะพวกเพื่อนแกหยุดฮอลิเดย์ไปเที่ยวกันหมด” คนเป็นพ่อสวนกลับ

   “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นตามนี้นะจ้ะ ฝากด้วยนะธีโอ พามิคเปิดหูเปิดตา” โซอี้ยิ้มให้ลูกชายคนโตแบบที่เขาต้องยอมรับชะตากรรม

   ส่วนผมก็ได้แต่พูดขอบคุณตามน้ำไปก่อน ทว่ากะรอเวลาหลังทานข้าวและทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมจะลงไปคุยกับเขาว่าผมสามารถไปคนเดียวได้ เขาไม่ต้องฝืนมากับผมเลย

   หลังเสร็จงาน ผมเข้าลิฟต์และกดชั้นสาม ผมเคาะประตูเพื่อให้รู้ว่ามีคนเข้ามาพร้อมตะโกนเรียก

   “เฮ้ ธีโอ อยู่ไหม”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

   ถ้าอย่างนั้นขอถือวิสาสะเข้าไปเลยละกันนะ

   ผมเดินเข้าไป ชั้นของธีโอมีความเหมือนกับชั้นบนสุด มีกระจกบานใสเห็นวิวพาโนราม่า ผมสำรวจที่ห้องนั่งเล่นกลับไม่พบใคร นอกจากกระป๋องเบียร์ แก้วไวน์ และขวดเหล้าวางกระจัดกระจาย

   “ธีโอ นี่ฉันเอง มิค ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ผมตะโกน ไม่อยากเปิดประตูห้องนอนทุกห้อง แค่นี้ก็บุกรุกพื้นที่ส่วนตัวเขามากพอแล้ว “ฉันจะคุยเรื่องวันพรุ่งนี้” ผมสำทับและมันได้ผล ประตูห้องหนึ่งเปิดออกพร้อมเจ้าของห้องที่ดูอารมณ์เสียสุด ๆ ร่างสูงพิงกำแพง ยืนกอดอก

   “มีอะไร?”

   “คือพรุ่งนี้ไม่ต้องไปกับฉันก็ได้นะ ฉันไปเองได้ ฉันไม่อยากไปเที่ยวกับคนที่ไม่เต็มใจไปด้วย” ผมพูดตรง ๆ ธีโออึ้งเล็กน้อย เขาเดินตรงมาหาผม

   “ฉันบอกตอนไหนว่าไม่เต็มใจ?”

   “ไม่ต้องบอก แต่ดูจากท่าทางของนาย ใคร ๆ ก็รู้” นี่ผมมาดีนะ แต่ทำไมบทสนทนามันชักจะเริ่มออกแนวหาเรื่องเรื่อย ๆ “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่านายจะโกรธเกลียดอะไรฉัน แต่เราอยู่บ้านเดียวกันอย่างน้อยต่อหน้าพ่อแม่ของนายก็ควรมีมารยาทบ้าง ส่วนลับหลังนายจะไม่ได้เห็นหน้าฉันเลยถ้าไม่จำเป็น ฉันมาอยู่ที่นี่แค่หนึ่งปีเพื่อดูแลน้องชายทั้งสองคนของนาย อย่างน้อยนายควรจะปฏิบัติตัวดี ๆ กับฉันสักหน่อยนะ...แค่หนึ่งปีเท่านั้น แล้วฉันจะไปไม่นายเห็นหน้าอีก”

   ผมควรเคลียร์ตั้งแต่ตอนนี้ ผมไม่อยากมีปัญหากับเขา เพราะนี่มันเพิ่งเริ่มต้นด้วยซ้ำ อีก 12 เดือนที่เราต้องอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน และที่ผมพูดตรง ๆ กับธีโอเพราะอยากให้เขารับรู้ แต่ถ้ามันไม่ดีขึ้น ผมก็คงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

   ธีโอเงียบไปครู่หนึ่ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูด จ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น ในที่สุดผมก็ถอนหายใจ

   “เฮ้อ แล้วแต่เลยละกัน ฝันดีนะ ส่วนเรื่องไปเที่ยวพรุ่งนี้ฉันจะบอกโซอี้กับลูคัสเองว่าฉันอยากไปคนเดียวมากกว่า” พูดจบแล้วหันหลังกลับ

   ทว่าอีกฝ่ายกลับตะโกนตามหลังมาว่า

   “พรุ่งนี้เจอกัน 10 โมง”

   ผมยิ้ม

   “โอเค ฝันดีนะ”




   * Nuk คือจุกนม ในที่นี้โซอี้ชอบเรียกว่านุกกี้







TBC


มาช้าเหมือนเดิม 55555
ตอนแรกๆ จะรายละเอียดเยอะหน่อยเพราะอยากให้รู้ตารางการทำงานของมิคค่ะ และบทสนทนาแพรพยายามใช้ความรู้สึกสิ่งที่โฮสฝรั่งเค้าพูดกันจริง ๆ มาแปลเป็นภาษาไทยนะคะ เลยอ่านแล้วอาจจะขัด ๆ ไปบ้าง ถ้าหากมีข้อเสนอแนะอะไรสามารถบอกมาได้เลยค่ะ



   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2018 17:37:04 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: As he pleases ❣️ Chapter II [Oct, 18]
«ตอบ #6 เมื่อ18-10-2018 18:28:12 »

ธีโอก็ไม่ใช่คนใจร้ายนี่นา  :hao6:

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ❣️ Chapter II [Oct, 18]
«ตอบ #7 เมื่อ03-01-2019 04:21:40 »

III

For the first time we met


   เวลา 10.00 นาฬิกา

   ผมแต่งตัวในลุคสบาย ๆ ใส่รองเท้าพร้อมเดินขึ้นเขา ยืนอยู่หน้าห้องของลูกชายคนโตของบ้าน เคาะประตูอยู่สองสามทีพร้อมตะโกนเรียก ไม่นานเจ้าของห้องก็ออกมาเปิดประตูให้ จริง ๆ แล้วผมจะไขกุญแจเข้าไปเลยก็ได้ แต่ผมว่ามันคงเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่

   ธีโอเปิดประตูให้ผมพร้อมกับทำหน้างุนงงเล็กน้อย

   “นายไม่มีกุญแจห้องฉันเหรอ?”

   “เอ่อ...มีนะ”

   “งั้นทีหลังก็ไม่ต้องเคาะ เข้ามาเลยก็ได้ ฉันกำลังเซ็ทผมอยู่ มันขัดจังหวะ”

   เอ้า! เป็นคนมีมารยาทก็ผิด

   “แล้วถ้าเกิดนายโป๊อยู่ล่ะ?”

   “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่” ร่างสูงตอบอย่างไม่แยแส เดินไปที่ห้องน้ำเพื่อเซ็ทผมตัวเองให้เสร็จตามที่ตั้งใจไว้ “ทีเมื่อวานนายยังเข้าห้องฉันโดยที่ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลย”

   ผมสะอึก...เออจริงด้วย แต่เมื่อวานผมตะโกนเรียกแล้วไม่มีคนตอบนี่นา

   “ช่างเถอะ ว่าแต่นายพกอาหารไปกินด้วยรึเปล่า พวกแซนด์วิช น้ำ เบียร์ อะไรพวกนี้”

   “เอ่อ เปล่า”

   “ฉันว่านายควรพกไปเองนะ เพราะถ้าซื้อข้างนอกมันแพงมาก”

   “แต่ที่อพาร์ทเม้นฉันไม่มีอะไรให้กินเลย” ผมแย้งไป

   นัยน์ตาฟ้าครามเหลือบมองไปยังห้องครัว จากนั้นก็เปิดไปเปิดตู้เย็นและหยิบของออกมาวางไว้ ได้แก่ ไข่ ผักสลัด มะเขือเทศ ชีส แฮม ต่อด้วยขนมปังที่วางอยู่บนเขียง ข้าง ๆ มีมีดเลื่อยสำหรับหั่นขนมปังแบบนี้อยู่

   “นายทำแซนด์วิชเป็นใช่ไหม?”

   ผมพยักหน้าตอบรับ รู้หน้าที่ทันทีว่าตัวเองต้องทำอะไร เพราะไอ้คนที่เพิ่งหยิบของออกมานั้นเดินกลับไปเซ็ทผมต่อแล้ว

   แซนด์วิชที่ผมทำเป็นแบบง่าย ๆ ตามสิ่งที่ธีโอหยิบเตรียมไว้ให้ แต่ผมว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป พอเปิดตู้เย็นดูพบว่ามีมายองเนสแบบหลอด ผมจึงทาลงบนขนมปังไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ

   ธีโอดูแปลกใจที่ผมเตรียมแซนด์วิชไว้ให้เขาด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากบอกว่ารอแป๊บนึง เขาจะขึ้นไปเอาของชั้นบน

   โอ๊ย พ่อคุณ แค่คำขอบคุณน่ะ ไม่ได้พูดยากขนาดนั้นหรอกมั้ง

   ผมนั่งเล่นโทรศัพท์รอระหว่างที่ธีโอไปเอาของ ไม่นานนักร่างสูงก็กลับมาพร้อมกล้วย แมนดาริน(ส้มลูกเล็ก) แอ๊ปเปิ้ล และองุ่น ไว้ในมือ เขายัดทุกอย่างลงกระเป๋าเป้ รวมถึงกล่องแซนด์วิชที่ผมเพิ่งทำ

   “นายมีน้ำหรือยัง?” เอาถามระหว่างเปิดตู้เย็นเพื่อเช็คว่ามีอะไรขาดเหลืออีกบ้าง

   ผมยกขวดน้ำเปล่าให้เขาดูเป็นคำตอบ แต่ผมเห็นว่าธีโอหยิบเบียร์สี่กระป๋องยาว ๆ ใส่ลงเป้ ไม่รู้หยิบไปทำไมเยอะแยะ บอกก่อนเลยนะว่าผมคออ่อนมาก แค่เบียร์ครึ่งกระป๋องหน้าก็แดงแจ๋แล้ว

   “พร้อมหรือยัง?” ธีโอถาม

   “อือ ไปกันเถอะ”

   “ว่าแต่นายรู้วิธีเปิด-ปิดเครื่องสัญญาณกันขโมยรึยัง ?”

   ผมทำหน้างงเป็นคำตอบ ส่วนคนถามกลอกตาบนเบา ๆ

   คนไม่รู้คือคนไม่ผิด แล้วผมเพิ่งมาได้สองวัน จะไปรู้ทุกอย่างของบ้านได้ยังไง ผมบ่นเบา ๆ ในใจ แต่ความจริงกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่ธีโออธิบาย

   “ถ้านายจะเปิดบ้านนายต้องเช็คทุกอย่างในบ้านว่าประตูและหน้าต่างทุกบานปิดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นมาที่เครื่องสัญญาณกันขโมย นายกดปุ่มนี้ (รูปกุญแจล๊อคบ้าน) จากนั้นนายจะมีเวลา 30 วินาทีในการออกบ้าน” ผมพยักหน้าตาม

   ง่ายจังแหะ

   “ใช่มันฟังดูง่าย แต่เวลานายกลับเข้ามาในบ้าน มันจะกลับกัน พอนายเปิดประตูบ้านปุ๊ป สัญญาณกันขโมยจะดังปี๊ป ๆ เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้นายใส่รหัสปลดล๊อค แต่ถ้านายใส่ไม่ทันภายใน 20 วินาทีแล้วละก็...ตำรวจจะโทรหาพ่อฉัน และถ้าพ่อฉันกำลังติดประชุมหรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ ตำรวจจะมาที่บ้านทันที และนั่นคือเรื่องใหญ่ เพราะถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นแค่ความผิดพลาดของตัวนายหรือใครก็ตามในบ้านนี้เอง พ่อฉันจะต้องจ่ายค่าปรับเสียเวลาให้ตำรวจเป็นจำนวน 1000 ฟรัง หวังว่านายจะเข้าใจนะ”

   1000x33=33000 บาท! แม่จ้าวววววววว

   โอเค ผมตั้งใจฟังธีโออธิบายและคราวนี้

   “พอนายไขกุญแจเปิดประตูปุ๊ป นายต้องรีบมาใส่รหัสทันที รหัสคือ ...1234 ทุกชั้น”

   “Seriously ? (ถามจริง ?)”

   หะ ? ถึงขนาดกับติดตั้งสัญญาณกันขโมย แต่รหัสโคตรพ่อโคตรแม่ง่ายแบบนี้เนี่ยนะ เอาจริงดิ

   “The most dangerous place is the safest. (ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด)” ธีโอหันมายักคิ้วหลิ่วตาแล้วคว้ากระเป๋าเป้เดินเข้าลิฟต์

   ผมเดินตามไปอย่างงง ๆ แต่พอได้เข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้วธีโอก็แอบเฉลยว่าจริง ๆ แล้วพ่อแม่เขาขี้เกียจเปลี่ยนรหัสผ่านน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก

   โธ่ แล้วไอ้คำคมกับท่าทางเท่ ๆ เมื่อกี้คืออะไร




   ผมกับธีโอนั่งรถแทรม (Tram) จากหน้าบ้านมาลงยังสถานีรถไฟใจกลางเมืองหรือเรียกง่าย ๆ ว่า Zurich HB (Zürich Hauptbahnhof) เพื่อจะได้นั่งต่อไปยัง Top of Zurich ยอดเขา Uetilberg เป้าหมายของเรา

   แต่ก่อนอื่นธีโอลากผมไปทำบัตร Swiss Pass ซึ่งจะได้ส่วนลด 50% ทุกครั้งในการซื้อตั๋วรถสาธารณะทั่วประเทศ และรวมไปถึงซื้อโปรโมชั่นนั่งรถไฟฟรีหลัง 1 ทุ่มถึง 7 โมงเช้า ผมกรอกรายละเอียดนิดหน่อยจากนั้นพอถึงเวลาจ่ายเงิน ธีโอเป็นคนจ่ายให้ (บัตรเครดิตโซอี้) ราคาก็ไม่เท่าไหร่แค่คิดเป็นเงินไทยราว ๆ หนึ่งหมื่นบาท ดูเหมือนจะแพง แต่พอมาคิดหาร 12 เดือนแล้ว ตกเดือนละ 800 กว่าบาท ผมว่ามันคุ้มนะครับ

   เมื่อทำรายการเสร็จ คราวนี้เราสองคนตรงมายังตู้ซื้อตั๋วต่าง ๆ ธีโอสอนผมทั้งหมดว่าซื้อยังไง กดอะไร จริง ๆ แล้วเมนูมีหลายภาษา รวมไปถึงภาษาอังกฤษ แต่ผมว่าดีแล้วที่เขาสอน เพราะผมก็ยังแอบงง ๆ อยู่ดี

   “จริง ๆ แล้วตอนนี้เทคโนโลยีมันไปไกลมาก ไม่ต้องกลัวหลงหรอก แค่เดินตามกูเกิ้ลแมพก็พอ อ้อนี่...นายติดตั้งแอพ SBB ซะ สามารถเช็ครถบัส รถไฟ ทุกอย่างในแอพนั้น รวมถึงซื้อตั๋วด้วย”

   เราสองคนซื้อตั๋วรถไฟไปลงสถานี Uetilberg ในครึ่งราคา และเดินไปขึ้นรถไฟตามชานชลาที่ระบุไว้ Zurich HB มีหลายชานชลามาก ใครที่ไม่เคยมาแบบผมอาจจะหลงและพลาดรถไฟได้ ธีโอบอกผมว่าชานชลาต้น ๆ จะอยู่บนดิน ส่วนชานชลาตั้งแต่ 19 จนถึง 40 กว่า ๆ จะอยู่ชั้นใต้ดิน

   ยอมรับเลยว่าแม้ตอนแรกธีโอจะดูไม่เป็นมิตรกับผม แต่ตอนนี้เขาเป็นไกด์ที่ดีคนนึง แนะนำมือใหม่แบบผมทุกอย่าง เขาไม่ได้พูดมากจนน่ารำคาญ อธิบายเป็นจุด ๆ อย่างพอเหมาะ ผมชวนเขาคุยบ้างระหว่างที่เรากำลังนั่งรถไฟ ในมือก็ถ่ายรูปด้วยกล้อง Nikon ไปด้วย เพราะวิวนอกรถไฟมันสวยมากจริง ๆ

   “นายพูดได้กี่ภาษา” ผมถามเขา

   “3 ภาษา เยอรมัน อิตาลี อังกฤษ แต่ถ้านับรวมสวิสเยอรมันด้วยก็ 4 ภาษา นายล่ะ?”

   “โห ฉันพูดได้แค่ 2 ภาษาเอง ไทยกับอังกฤษ”

   “ว่าแต่นายชอบถ่ายรูปหรอ ?”

   ไม่ชอบมั้ง ถือกล้องราคาครึ่งแสนในมือขนาดนี้

   “อ่าหะ”

   จู่ ๆ ผมนึกอะไรไม่รู้ เบนกล้องจากที่กำลังถ่ายวิวมาถ่ายคนที่นั่งตรงข้ามผม

   แชะ !

   “เฮ้ แอบถ่ายฉันเหรอ ไหนเอามาดูสิ” นึกว่าธีโอจะไม่พอใจ เปล่าเลย พอเขาแย่งกล้องในมือผมไปได้ เขายิ้มมุมปากเอกลักษณ์ประจำตัวเขาแบบชอบใจ “คนอะไรไม่รู้ดูดีชะมัด ขนาดเผลอยังหล่อ”

   ผมเบะปากเล็กน้อย แล้วยกเครดิตให้ตัวเอง

   “เพราะคนถ่าย ถ่ายเก่งหรอก”

   อันที่จริงต้องยอมรับเลยว่าธีโอหล่อมาก หล่อโดดเด่นมากกว่าวัยรุ่นฝรั่งทั่วไป ผมบลอนด์ นัยน์ตาฟ้าตัดคราม รูปร่างโปร่งแต่ไม่บอบบาง ผมแอบเห็นว่ามีสาว ๆ หลายคนมองมาที่ธีโอตอนที่เราอยู่ในสถานีรถไฟ

   ถ้าเขาไม่เด็กกว่าผม 6 ปี ผมคงเผลอใจให้ผู้ชายคนนี้

   หลังจากนั่งมาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง พวกเราเดินทางมาถึงจุดหมาย

   “โชคดีแหะ วันนี้ิอากาศดีมาก” ธีโอเปิดเช็คสภาพอากาศในโทรศัพท์ มีแดดจ้าทั้งวัน และพระอาทิตย์ตกราว ๆ 4 ทุ่ม “นายพร้อมหรือยัง” ร่างสูงหันมาถามพร้อมถอดเสื้อเชิ้ตออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีเขียวขี้ม้าแบรนด์ Polo ด้านใน กระชับเป้ด้านหลัง ใส่แว่นตากันแดดจาก Oakley ซึ่งเพิ่มความเท่ให้กับเขาอีก 25% เห็นแบบนั้นแล้วผมเลยหยิบออกมาใส่บ้าง

   “Let’s go!”




   ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

   “แฮ่ก ๆ”

   “นายนี่มันอ่อนแอจริง ๆ ไหวไหมน่ะ ? อีกประมาณ 200 เมตรก็จะถึงจุดพักแล้ว เราไปนั่งกินข้าวเที่ยงกันตรงนั้นก็ได้” ธีโอแหล่มองอย่างเหยียด ๆ

   เกลียดจริงเว้ยยยย ไอ้ท่าทางสบาย ๆ นั่นน่ะ

   คือผมเป็นคนปกติ แข็งแรง ไม่มีโรคภัย แต่ก็ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ดังนั้นการเดินขึ้นเขาครั้งนี้ผมเลยออกอาการที่ทำให้ผมรู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด

   “จุดพัก ? แฮ่ก ๆ ยังไม่ใช่ยอดเขา...แฮ่ก ๆ ...ที่มองเห็นวิวได้ทั่วซูริคเหรอ ?”

   “ยัง ต้องไปต่ออีกประมาณ 15 นาที อ้อ...แต่ถ้าความเร็วสำหรับนายคงประมาณ 20-25 นาทีได้ล่ะมั้งกว่าจะถึงยอดเขาน่ะ”

   เกลียดความเหน็บ ที่เถียงกลับไม่ได้จริง ๆ

   ธีโอตั้งตาตั้งตาเดินต่อแบบชิล ๆ ในขณะที่ผมหอบ ต้องหายใจทางปากแทน คือตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์มาแวะถ่ายรูปหรือชมวิวอะไรทั้งนั้นครับ เพราะทางที่เราเดินนี้มันเป็นทางสำหรับให้ผู้คนเดิน สองข้างทางคือป่า อาจจะได้เห็นกระรอก นก สัตว์ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ บ้าง แต่อย่างที่บอก แรงจะเดินยังไม่มี จะให้ยกกล้องยังไงไหว

   “อากาศ...แฮ่ก ๆ ... มันร้อนหรอก ฉันเลย...แฮ่ก ๆ ....เหนื่อยกว่าปกติ”

   “ได้ข่าวว่านายมาจากเมืองร้อนนะ”

   จุกเลยครับผม ไม่เถียงแล้วก็ได้

   ในที่สุดเราก็ถึงจุดพัก มีน้ำพุเล็ก ๆ สามารถดื่มได้ อันที่จริง น้ำทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นน้ำก๊อกหรือน้ำพุก็สามารถดื่มได้หมดครับ ยิ่งน้ำพุบนเขาแบบนี้ยิ่งการันตีความสะอาดสดชื่น

   บริเวณนี้มีโต๊ะไม้ประมาณ 3-4 โต๊ะ ถูกจับจองไปแล้วสอง ซึ่งเป็นกลุ่มคณะ พวกเขาย่างเนื้อควันโขมง ดูสนุกสนาน ส่วนผมกับธีโอเดินมานั่งโต๊ะเลยถัดไปหน่อย

   ด้วยความหิวและต้องการพลังงาน ผมกินอย่างไม่พูดไม่จา เมื่อแซนด์วิชหมดแล้ว ผมกัดแอปเปิ้ลอีก 1 ลูก จากนั้นก็เริ่มเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ แต่ผมพยายามเลี่ยงไม่ให้มีคนในภาพ เพราะไม่อย่างนั้นอาจเป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนตัว และผมสามารถโดนฟ้องร้องหมดตัวได้ทันที

   เราสองคนใช้เวลาตรงจุดพักนี้ไม่มาก จากนั้นก็ลุยกันต่อ ทางลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ ป่าสองข้างทางเริ่มหายไป ช่องว่างระหว่างปลายยอดต้นไม้เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม ริ้วก้อนเมฆบาง ๆ เท้าของผมก้าวเร็วขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ เหมือนเด็กตื่นเต้นที่จะได้เห็นของเล่นใหม่ ๆ

   คุ้มค่าจริง ๆ ครับ กับการเดินขึ้นเขาครั้งนี้ ภาพตรงหน้าผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเอง ทั้งเมืองซูริคและทะเลสาบที่มีเรือแล่นไปมาหลายลำ ทั้งลำเล็กลำใหญ่ ท้องฟ้าวันนี้ก็เป็นใจมาก เปิดกว้าง เหลือเพียงแค่ริ้วเมฆบาง ๆ ตัดกับท้องฟ้าสีคราม

   เสียงชัตเตอร์ดังรัวไม่หยุด ผมอยากเก็บทุกภาพไว้ในความทรงจำ ผ่านเลนส์กล้องตัวนี้

   “นายถ่ายรูปไปนะ ฉันจะไปนั่งจิบกาแฟสักหน่อยตรงร้านอาหารตรงนั้น” ธีโอเดินมาสะกิดบอกผม ผมพยักหน้ารับรู้ มองตามจุดที่ธีโอชี้ บริเวณนั้นเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ เห็นได้ชัดว่าวันนี้อากาศดีและเป็นร้านอาหารยอดนิยม ผมไม่เห็นโต๊ะว่างเลยสักโต๊ะ แต่ธีโอคงมีวิธีของเขาให้ได้โต๊ะมานั่นแหละ

   ผมเดินถ่ายรูปต่ออีกหน่อยจนเป็นที่พอใจแล้วก็ไปหาธีโอ เขาจิบกาแฟดื่มด่ำกับบรรยากาศ โต๊ะที่เขานั่งเป็นจุดที่ดีที่สุดในการชมวิวเลยก็ว่าได้

   “หืม ตรงนี้วิวสวยนะ”

   “แน่นอน ฉันเลือกเอง”

   ผมว่าเขาแค่โชคดีมากกว่าที่ลูกค้าคนก่อนลุกพอดี แต่ช่างเถอะ ผมก็พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย พนักงานเดินมาถามว่าผมจะรับอะไรดี แต่ผมยังคิดไม่ออก เลยตอบแบบส่ง ๆ ไปว่าคาปูชิโน่

   “เลียนแบบ”

   “ฉันชอบคาปูชิโน่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเลียนแบบ”

   “ก็ฉันสั่งมาก่อน แล้วนายไม่รู้จะสั่งอะไร เลยสั่งตามฉัน”

   “เห้อ งั้นคนในร้านนี้คงเลียนแบบนายประมาณ 20 คนได้มั้ง”

   เรานั่งจิบกาแฟ เล่นโทรศัพท์ พูดคุยบ้างบางครั้ง เพราะเราไม่ได้สนิทกันมากเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่เลยจมไปกับโลกออนไลน์บนมือถือ

   ผมสังเกตเห็นธีโอถ่ายรูปวิวจากกล้องโทรศัพท์ของเขา ผมไม่รู้ว่าเขาเล่นโซเชียลหรือเปล่า แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะเล่นนั่นแหละ

   ผมควรขออินสตราแกรมเขาดีไหมนะ ? สแนปแชท ? หรือเฟซบุ๊กดี ?

   ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากถาม เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังเสียก่อน ธีโอทำสีหน้ายุ่งยากเหมือนจะไม่ยากรับสายนี้สักเท่าไหร่ เขาดูลังเล

   “รับสิ ไม่ก็ตัดสาย เสียงมันน่ารำคาญ” ผมพูดแทนโต๊ะข้าง ๆ ที่เหลือบมองมายังธีโอ เพราะเสียงเรียกเข้าของเขามันรบกวนคนอื่น

   เขารับ แล้วคุยด้วยภาษาบ้านเกิด ซึ่งผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดเดียว แต่ดูจากสีหน้าแล้ว เขาคงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ จนเมื่อวางสาย นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองผมด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

   ย้ำว่าเล็กน้อย

   “มิค”

   “ว่าไง?”

   การที่เขาเรียกชื่อผมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

   “ฉันขอโทษนะ แต่ฉันต้องไปแล้ว”

   ทำไมแทงหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ ?

   “พอดี...เพื่อนฉัน...กำลังแย่น่ะ”

   “อือ ไม่เป็นไร ไปเถอะ ฉันเที่ยวต่อคนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง”

   “แน่นะ ?” ธีโอถามเพื่อความแน่ใจ แต่มือนี่หยิบเงินสดออกมาวางไว้พร้อมหยิบเป้สะพายแล้ว ตกลงเป็นห่วงจริงไหมเนี่ย

   “แน่สิ เพื่อนนายต่างหากตอนนี้ที่ต้องเป็นห่วง ไปเถอะ”

   “โอเค งั้นเที่ยวให้สนุกนะ เจอกันที่บ้าน บาย”

   ร่างสูงเดินจากไปแล้ว เหลือเพียงผมที่นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวี แต่แท้จริงแล้วในใจผมตอนนี้คือ...

   แล้วกูจะหาทางลงเขายังไงวะเนี่ยยยยยย ? ใครก็ได้พาผมลงเขาหน่อยคร้าบบบบบ





   เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมวางแผนไว้ในหัวแล้วว่าคงเดินตามคนอื่น ๆ เอา จากนั้นก็จะนั่งรถไฟเข้าเมือง ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเล่น ๆ ผมยังไม่อยากเข้าบ้านสักเท่าไหร่

   ตอนนี้ผมกำลังเดินลงจากเขา ซึ่งขอบอกเลยว่าผมอยากให้ธีโออยู่กับผมตอนนี้มาก

   การขึ้นว่ายากแล้ว การลงเขานั้นยากกว่า

   การขึ้นเหนื่อยแค่กาย ปวดขา น่องปูด อะไรก็ว่ากันไป แต่ขาลงนี้...บอกตรง ๆ ว่าผมหายใจไม่ทั่วท้อง ทางเดินลาดชัน มีราวให้เกาะเป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่ได้ต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าผมเดินไม่เป็นหรือรองเท้าผมมันไม่ดีพอ เพราะนับตั้งแต่เดินลงมาผมลื่นหัวเข่าถลอกไปแล้วสามครั้ง ผมได้แต่สบถก่นด่าตัวเองในใจว่าจะเลือกใส่กางเกงขาสั้นเหนือเข่ามาทำไม ตอนนี้หัวเข่าผมมีแต่เลือดเต็มไปหมด แถมแสบอีกต่างหาก ผมได้แต่ใช้น้ำเปล่าราดเพื่อทำความสะอาดแบบลวก ๆ
 
   ไม่รู้ว่าหนทางยังยาวไกลอีกแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมเริ่มท้อ แค่มองตามทางลาดก็เหนื่อยใจแล้ว

   ผมค่อย ๆ เกาะเดินตามราว เดินแบบเฉียงเพื่อเพิ่มแรงเสียดและทรงตัวได้ง่ายขึ้น พยายามเดินบนดิน ที่ไม่ใช่ก้อนกรวด
   “ให้ผมช่วยไหมครับ ?” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นด้านหลัง ผมหันไปมอง

   ชายหนุ่มผมสีบลอนด์เหลือบแดง ไว้หนวดเคราพอประมาณ ยิ่งเสริมเขาดูเซ็กซี่ ร่างกายกำยำแบบที่ชายทุกคนบนโลกใบนี้ใฝ่ฝัน ท่อนแขนกล้ามเนื้อได้รูปนั่นกำลังจับแขนผม นัยน์ตาเขียวอมฟ้ากำลังจ้องมองมาทางผม

   เขาดูเยือกเย็นแต่ร้อนแรง เขาดูอันตรายแต่น่าหลงใหล

   นั่นคือสองประโยคแรกทันทีที่ผมหันไปมองเขา ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย

   “คุณโอเคไหม ?” เสียงทุ้มถามซ้ำ ผมหลุดจากภวังค์

   “คะ ครับ”

   “แต่คุณดูไม่โอเคนะ...เฮ้ ขาคุณได้รับบาดเจ็บนี่” เขาร้องเมื่อเห็นแผลถลอกตรงหัวเข่า เขานั่งคุกเข่าลงหนึ่งข้าง เปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบผ้ากับครีมอะไรไม่รู้หนึ่งหลอด เขาจับขาผมวางบนหน้าขา “อยู่นิ่ง ๆ นะครับ อาจแสบหน่อย”

   “เอ่อ...”

   “ผมจะใช้ผ้าทำความสะอาด แล้วเอาครีมป้ายนะครับ ครีมนี้คือครีมที่ใช้รักษาพวกผิวหนังทั่วไปเช่นแผลถลอก ผิวลอก แห้ง ดังนั้นไม่ต้องห่วงนะครับว่าผมจะเอายาอะไรไม่ดีป้ายใส่” เขาอธิบายไป ทาครีมบนหัวเข่าของผมไป “แผลถลอกไม่ลึกมากเท่าไหร่ ทางที่ดีพยายามอย่าให้โดนน้ำ และไม่ต้องปิดแผลนะครับ เปิดไว้จะดีกว่า แผลจะได้แห้งตกสะเก็ดเร็ว”

   ผมก้มมองคนแปลกหน้าที่กำลังลูบไล้ทั่วหัวเข่าผม ฝ่ามือหนาแต่นิ้วเรียวได้รูป แม้แต่ข้อนิ้วยังดูดี

   คนอะไรดูดีไปหมด เขาเป็นดารานายแบบรึเปล่า ?

   “ขอบคุณมากครับ” ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กล่าวขอบคุณ

   ใบหน้าราวกับเทวดาเงยมายิ้มให้ผมเล็กน้อย

   “ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าแต่มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ ?” คนแปลกหน้าถาม เขาทาครีมให้ผมเสร็จแล้วและลุกขึ้นยืนเต็มความสูง น่าจะสัก 193 เซ็นติเมตรได้

   “อ่อ คือพอดีผมมากับเพื่อน แต่เขาติดธุระด่วนเลยกลับไปก่อน” ผมเล่าให้เขาฟังตามจริง “แล้วคุณละครับ มาคนเดียวเหมือนกันใช่ไหม”

   “ใช่ครับ เวลาว่าง ๆ ผมชอบมาปีนเขาเล่นคนเดียวน่ะ”

   ยิ้มแล้วโลกสดใสมันเป็นแบบนี้นี่เอง

   “ผมไมเคิล หรือจะเรียกว่าไมค์ก็ได้ครับ” คนแปลกหน้ายื่นมืออกมาแนะนำตัว

   “ผมมิคครับ หรือจะเรียกว่ามิคก็ได้ครับ” ผมหยอกล้อเขากลับ พร้อมจับมือแน่น

   “ฮ่า ๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับมิค ถ้าไม่รังเกียจ เราสามารถเดินลงเขาไปพร้อมกันได้นะครับ”

   คนหล่อชวนขนาดนี้จะปฏิเสธได้ยังไง

   “แต่ว่า ผมเดินลงช้ามากนะครับ ยิ่งมีแผลแบบนี้ด้วย อาจจะเสียเวลาคุณเปล่า ๆ”

   แต่รู้จักไหมครับ มารยาชายไทยอย่างผม

   “ไม่เลยครับ ดีซะอีก ผมจะได้ช่วยพยุงคุณได้” ไมเคิลยิ้มกว้าง เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบแล้วยื่นมือมาให้ผมจับ “มืออีกข้างจับผมไว้นะครับ ส่วนอีกข้างก็จับราวไป เราค่อย ๆ ลง ผมไม่รีบ มีเวลาทั้งวันครับ” ไมเคิลพูดติดตลก

   “ถ้าคุณยืนยันขนาดนั้นแล้ว...ก็รบกวนด้วยนะครับ”

   ขอบคุณแสงแดดยามบ่ายที่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเขาสูงขึ้น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามไรผม ทุกอย่างบนร่างกายเขาดูลงตัวไปหมด

   ขอบคุณเขาลูกนี้ที่ทางลงชันมากจนทำให้ผมได้แผล แต่กลับได้ชายจิตใจดีมาช่วยเหลือ

   ขอบคุณธีโอที่ทิ้งผมไว้คนเดียว...ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่ได้เจอและรู้จักกับผู้ชายคนนี้




TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 15:51:52 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
«ตอบ #8 เมื่อ03-01-2019 10:20:20 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
«ตอบ #9 เมื่อ04-01-2019 01:26:04 »

 :katai2-1:


อิจจจจจจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
« ตอบ #9 เมื่อ: 04-01-2019 01:26:04 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
«ตอบ #10 เมื่อ18-01-2019 01:23:39 »

คุณไมเคิลคือของดีสวิสเซอร์แลนด์ที่มิคบอกใช่ไหมมมมม

 :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
«ตอบ #11 เมื่อ18-01-2019 22:32:48 »

 :z13:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
«ตอบ #12 เมื่อ19-01-2019 12:03:06 »

กรี๊ด เรื่องใหม่ติดตามตั้งแต่ am not you dont

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
«ตอบ #13 เมื่อ21-03-2019 04:19:38 »


IV


Please, leave


     ไมเคิล แบชมานน์ (Micheal Bachmann) อายุ 33 ปี เป็นชาวสวิส สามารถพูดได้ 5 ภาษา กิจกรรมยามว่างคือชอบปีนเขา เล่น SUP* สกี ขี่ม้า และยิงปืน ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ส่วนภาพยนตร์นั้นเขาสามารถดูได้ทุกประเภท แต่จะชอบแนวสยองขวัญ ระทึกขวัญเป็นพิเศษ ปัจจุบันอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นใจกลางเมืองซูริค

     ส่วนโสดไหม...ผมก็ยังไม่รู้

     ก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนี่นา...

     ระหว่างทางที่เดินเขาลงมาด้วยกัน ผมกับไมเคิลผลัดกันถามกันตอบ ลืมความเจ็บแสบแผลถลอกไปเสียสนิท

     ใช่ครับ ผมกำลังสร้างความสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติ ผมจะไม่ยอมให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันแน่

     “คุณจะอยู่ที่นี่นานไหม ?”

     ฮันแน่...ถามแบบนี้...

     “1 ปีครับ”

     นานพอที่จะทำความรู้จักกันไหมครับ ?

     “1 ปีเหรอ ? อืมมม ไม่เร็วแต่ก็ไม่นานเกินไป 1 ปีนี่คุณสามารถเรียนรู้อะไรได้หลาย ๆ อย่าง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยนะ”

     “ใช่ครับ มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ผมต้องเรียนรู้ เริ่มจากตอนนี้เลยครับ ผมจะกลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย ?” ผมถือคติ ‘สวยมักนกตลกมักได้’ แอบหยอดมุขเล็กๆ ซึ่งก็ได้ผล ไมเคิลขำ ทำเอาผมแทบละลายกองอยู่ตรงนั้น

     “มาครับผมช่วยสอน ก่อนอื่นเลยคุณมีแอพ SBB หรือยัง”

     “เพิ่งโหลดเมื่อเช้านี้เองครับ แต่ผมยังงงๆกับการใช้งานมันอยู่” เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก แค่กรอกชื่อสถานีจุดเริ่มกับจุดหมายปลายทาง กับเวลาที่ต้องการ แค่นี้ก็รู้เส้นทางแล้ว

     ร่างสูงโน้มตัวลงมาจิ้ม ๆ บนโทรศัพท์เพื่อสอนผม แต่ผมแอบลอบมองสันกรามกับสูดกลิ่นกายร่างสูง มันไม่ได้น่ารังเกียจ เพราะผมได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเหงื่อ เป็นกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา

     กล้ามเนื้อแขนแน่น ๆ นี้หากรัดตัวผมไว้คงดิ้นไม่หลุด หนวดเคราสีแดงไซร์ตามหลังหูและลำคอคงทำผมเคลิ้มจนลืมวันเวลา นัยน์ตาเขียวอมฟ้าดุจเพชรจับจ้องมองมาที่ผมคนเดียว

     “นี่ครับ ขึ้นรถไฟรอบนี้ไปลง Zurich HB แล้วต่อแทรมไม่กี่สถานีก็ถึงบ้านแล้วครับ”

     ผมหลุดจากภวังค์

     “ขอบคุณครับ แล้วไมค์กลับยังไงครับ ?” ใจจริงคืออยากถามมากกว่าว่าหิวรึยัง ไปหาอะไรกินกันไหม แต่ผมกลัวว่าจะเป็นการรุกเร็วเกินไปอาจทำให้เหยื่อตกใจได้

     “ผมก็จะนั่งรถไฟไปลงที่ Zurich HB เหมือนกันครับ แต่ต่อแทรมคนละสาย”

     “น่าเสียดายนะครับ” ถ้าอยู่ใกล้กันคงดี

     “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ”

     “อ๋อ เปล่าครับ ผมบอกว่าดีเลยครับ จะได้นั่งไปด้วยกัน” ผมยิ้มให้

     เอาว่ะ อย่างน้อยอยู่เมืองเดียวกัน ไปมาหาสู่คงไม่ยากเท่าไหร่

     ผมกับเพื่อนสุดหล่อคนใหม่ขึ้นรถไฟด้วยกัน ขณะอยู่บนรถไฟเราไม่ได้พูดคุยเหมือนตอนที่ลงมาจากเขา ทั้งผมทั้งเขาต่างเงียบ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แอบเหลือบมองคนนั่งตรงข้ามเป็นระยะ ๆ ก็เห็นทำหน้านิ่งขรึม มองวิวนอกหน้าต่าง ส่วนตัวผมรู้สึกหดหู่เล็กน้อย มันเหมือนกับว่าเวลาที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันใกล้หมดลงแล้ว

     ต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยต้องขอเฟซบุ๊กหรืออะไรก็ได้ติดต่อไว้ แต่จะขอยังไงดีล่ะ ?

     “มิคหิวไหม ?”

     ผมยิ้มร่า เหมือนหมาหงอยที่เจอเจ้าของกลับมาบ้านสักที หากผมมีหางคงกระดิกไปมาไม่หยุด

     “หิวครับ”

     “อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ? เช่น อาหารอิตาเลียน อาหารเวียดนาม หรืออาหารไทยดี ?” ไมเคิลโน้มตัว ยันศอกกับเข่า เสื้อกล้ามเขาร่นลงมา ทำให้ผมเห็นแผงอกอันสวยงามน่าลูบไล้

     “เอ่อ...” ผมหลุบตามองต่ำแล้วรีบตวัดกลับมาจ้องมองคนตรงข้าม ที่ผมว่าเขากำลังอ่อยผมแน่ ๆ “ผม...อยากกินอาหารสวิสครับ”

     อ่อยมาอ่อยกลับไม่โกง

     “ได้เลยครับ ผมรู้จักอยู่ร้านนึงแถว Old town มิคน่าจะชอบ”

     “Old town ? ที่ไหนหรอครับ ?”

     “มันคือย่านใจกลางเมืองยุคเก่าของซูริคน่ะ เดินเลยย่าน Down Town ไปนิดนึง บริเวณนั้นบ้านเรือน ตึก อาคารสถาปัตยกรรมยังแบบเก่าดั้งเดิมไว้ มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้างานฝีมือ หอศิลป์ โบสถ์ รวมไปถึงโรงละครโอเปร่า สามารถเดินชมวิวริมแม่น้ำ Limmat ได้ด้วย ถ้าคุณอยากไป ผมสามารถพาไปได้”

     “รบกวนด้วยนะครับ”

     “ถ้าอย่างนั้นเราไปเดินเล่นกันก่อน ผมจะโทรจองโต๊ะไว้สองที่สัก 1 ทุ่ม โอเคไหมครับ ?”

     “เยี่ยมเลยครับ”

     ไมเคิลต่อสายเพื่อจองโต๊ะตามที่เขาว่าไว้ ส่วนผมแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ นี่เป็นสัญญาณที่ดี เราไปทานอาหารเย็นด้วยกันต่อ ไม่ได้แยกย้ายต่างคนต่างกลับ สำหรับเขาผมอาจเป็นแค่เพื่อนต่างชาติคนใหม่ แต่สำหรับผม เขาเป็นบุคคลที่มีสเน่ห์ น่าหลงใหล เท่าที่รู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงนี้ผมรู้สึกว่าเขาสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตน รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น แต่ผมมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าภายในที่แท้จริงของเขามันจะต้องตรงข้ามอย่างสุดขั้วแน่นอน

     ผมแทบจะรอวันที่ได้รู้จักนิสัยที่เขาแอบซ่อนไว้ไม่ไหวแล้ว

     พิจารณารูปร่างภายนอกบอกได้เลยว่าไมเคิลเป็นที่ต้องตาทั้งหญิงสาวและชายหนุ่ม ระหว่างทางที่เราเดินด้วยกันในย่าน Old Town มีแต่คนมองมาที่เขา ส่วนผมก็เป็นแค่เอเชียหน้าจืดที่บังเอิญได้เดินข้าง ๆ เขาแค่นั้นเอง

     เมื่อเดินมาถึงร้านซึ่งคึกคักคนแน่นเป็นพิเศษ ผมรู้สึกเบาใจที่ได้มากับไมเคิลเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าร้านจะต้องแน่น เลยโทรจองโต๊ะไว้ก่อน เป็นร้านอาหารไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ตกแต่งน่ารักตามสไตล์ด้วยสีขาวแดง พนักงานเดินนำแล้วมอบเมนูให้ ซึ่งมีสามภาษาให้เลือก

     “ทานอะไรดีครับ”

     “มีอะไรแนะนำไหม ผมยังไม่เคยทานอาหารสวิสมาก่อนเลย”

     “โอ้ ถ้าอย่างนั้นต้องฟองดูชีสเลยครับ คุณชอบชีสไหม”

     “รักเลยล่ะ” ผมยิ้มกว้าง

     “เครื่องดื่มเอาอะไรดี ไวน์แดงไหม?”

     “ครับ”

     คือ...ผมดื่มไวน์ไม่เป็น แต่ถ้าเพื่อไมเคิลแล้วผมทำได้

     ระหว่างรออาหารผมสำรวจไปรอบ ๆ ร้าน มีหลายโต๊ะที่สั่งฟองดูชีส ซึ่งแต่ละโต๊ะจะมีหม้อสีแดงตั้งไว้ตรงกลางเพื่อต้มชีสด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ละลายอยู่ตลอดเวลา มีไม้ปลายแหลมเหมือนส้อมจิ้มขนมปังลงไปในชีส รับประทานคู่กับมันฝรั่งและผักสลัด

     รอไม่นานพนักงานก็มาเสิร์ฟฟองดูชีสที่โต๊ะผมบ้าง กลิ่นชีสตลบอบอวล มันไม่เหมือนชีสที่คนไทยชอบกิน กลิ่นจะแรงกว่ามาก ยิ่งผสมกับไวน์ขาวทำเอาผมแทบมึนแม้จะยังไม่ได้เริ่มกินสักคำ

     “Cheers”

     คนตรงข้ามยกแก้วไวน์ขึ้นมา ผมยกแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง

     แกร๊ง

     “Cheers”

     เราสองคนสบตากัน แม้ขณะดื่มไวน์ ไมเคิลดูเซ็กซี่มากจนผมอยากจะกินเขาแทนฟองดูชีสตรงหน้า

     “แด่การพบกันครั้งแรกของเรา”

     “แด่การพบกันครั้งแรกของเรา”

     จะผิดไหมถ้าผมอยากจะเอาชีสราดทั่วร่างเขาแล้วเลียไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว







     ตั้งแต่วันที่ผมพบไมเคิลก็เป็นเวลาผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้ว เราไม่ได้เจอกันอีก เพียงแค่แชทคุยผ่าน Whatsapp เท่านั้น ซึ่งไมเคิลตอบช้ามากจนผมรู้สึกเกรงใจที่จะแชททักไปหาเขาบ่อย ๆ เขาดูงานยุ่ง ไม่มีเวลา หรืออาจจะมีนัดเดทกับสาวอื่นซึ่งผมก็ไม่อาจรู้ได้ ผมสืบเสาะหาเฟซบุ๊กของเขาจนเจอและได้ส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนแล้ว แต่เขายังไม่รับ ส่วนอินตาแกรมนั้นผมไม่สามารถจริง ๆ

     ผมรู้สึกดีที่ได้ขอเบอร์วอสแอพเขาไว้ก่อนจากกันวันนั้น อ้างว่าเผื่อได้ไปเที่ยวกันอีก แต่ความเป็นจริงอีกด้านผมกลับรู้สึกแย่ ที่เขาไม่เคยทักผมก่อนเลย มีแต่ผมที่ทักเขาไป

     6.34 Mic : Good morning! How did you sleep? (อรุณสวัสดิ์ นอนหลับสบายไหมครับเมื่อคืน)

     15.20 Micheal : Hi Mic. I slept well. Thanks (สวัสดีมิค ฉันหลับสบายดี ขอบคุณ)

     15.35 Mic : Glad to hear that. How is your day so far? Are you busy? Mine is quite ok but today Jayden did poo 4 times! I think he might have diarrhea. (ดีจังที่ได้ยินแบบนั้น ว่าแต่วันนี้เป็นยังไงบ้าง งานยุ่งไหม ส่วนผมก็ค่อนข้างโอเคนะวันนี้ แต่เจย์เด็นอึ๊ตั้ง 4 รอบแน่ะ ผมคิดว่าเขาคงท้องเสีย)

     23.56 Micheal : My day was not bad. Oh really? Maybe he ate something wrong. I hope Jayden will get better soon. (วันของฉันไม่แย่เท่าไหร่ โอ้ จริงเหรอ เขาอาจจะกินอะไรผิดไปก็ได้ ฉันหวังว่าเจย์เด็นจะดีขึ้นนะ)

     00.12 Mic : Yeah...I don’t know what did he eat but if tomorrow he is not getting better, Zoey will bring him to the hospital. (อื้อ...ผมไม่รู้ว่าเขากินอะไรเข้าไป แต่ถ้าพรุ่งนี้เขายังไม่ดีขึ้น โซอี้จะพาไปโรงพยาบาล)

     00.45 Mic : Goodnight. (ฝันดีนะครับ)

     ถึงแม้ว่าไมค์จะตอบช้า และไม่ค่อยถามกลับ แต่ผมก็ยังจะหน้าด้านคุยต่อไป ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าเขาอาจจะงานยุ่งมากจริง ๆ นี่ผมทักหาเขาน้อยลงกว่าสองสามวันแรกด้วยซ้ำ พยายามทำให้ตัวเองยุ่งกับเด็ก ๆ และไม่คิดถึงนัยน์ตาสีเขียวอมฟ้านั่น

     ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไมเคิลมีรสนิยมทางเพศแบบไหน เขาอาจจะไม่ใช่เกย์แบบผมก็ได้ ผมไม่ควรรุกมากเกินไป ผมยังอยากเจอเขาอีก แม้ในฐานะเพื่อนก็ตาม

     “เฮ้มิค ตานายน่ะ” แซมร้องเรียก เมื่อเห็นผมเหม่อลอย “เอ้า การ์ดบนสุดนั่นสีแดงเลขเจ็ด นายจะลงสีเขียวเลขสองไม่ได้นะ นายเล่นอูโน่เป็นจริงรึเปล่าเนี่ย?”

     เวร แค่เผลอคิดคิดถึงไมเคิลแป๊บเดียวกลับโดนเด็กด่าซะได้

     “ฉันเปล่าลงการ์ดใบนั้นนะ เจย์เด็นทำต่างหาก ใช่ไหมครับ หื้มมมมม” ตััวเล็กนั่งตักผม ขณะที่ผมเล่นอูโน่กับแซมมวลไปด้วย เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคักเวลาก้มลงไปฟัดแก้มนิ่ม ๆ

     “แอ๊ะ อ๊ะๆๆ ตั๊ดตา ตาาา ตั๊ดตาา” เจย์เด็นส่งเสียงราวกับคัดค้านที่ผมพูด

     “ไม่ต้องอ้างเจย์เลย นายนั่นแหละ ลงใหม่สิ” แซมหยิบการ์ดบนสุดคืนให้ผม เด็ก 7 ขวบตรงหน้าผมดูจริงจังกับการเล่นอูโน่มาก ราวกับกำลังแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่

     ผมเล่นต่อเรื่อย ๆ ปล่อยให้เจย์เด็นคลานรอบห้องนั่งเล่น หรือไม่ก็เกาะขอบโต๊ะ เพราะตอนนี้เจย์เด็นเริ่มยืนได้มั่นคงแล้ว และขอบอกเลยว่าเห็นอวบๆแบบนี้แต่คลานได้เร็วมาก

     “อูโน่!” แซมมวลร้องตะโกนเมื่อเหลือการ์ดในมือแค่ใบเดียว ส่วนผมน่ะเหรอ เหลือ 5 ใบ

     ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าใครชนะ

     “นี่นายแพ้เด็ก 7 ขวบหรอ ?” เสียงลอยมาจากด้านหลังผม

     ธีโอมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขายิ้มเยาะเย้ย

     “เกมนี้มันวัดกันที่ดวงหรอก ไม่ใช่ความสามารถ” ผมเถียงกลับ ขณะเรียงเก็บการ์ดอูโน่ทั้งหมดเข้ากล่อง

     “แต่ฉันไม่เคยแพ้แซมเลยนะ”

     “เพราะพี่โกงหรอก !” คนโดนอ้างรีบแก้ตัว

     “ไม่เอาน่า..แซม นายก็รู้ว่านายไม่เคยชนะฉันสักอย่าง”

     เอาล่ะครับ...ศึกพี่น้องได้บังเกิดขึ้นแล้ว

     ผมเดินไปอุ้มเจย์เด็นที่กำลังปีนขึ้นเก้าอี้ เพื่อหนีสถานการณ์ตรงหน้า

     “งั้นลองมาเล่นสักเกมไหม จะได้รู้กันไปเลย” แซมท้าพี่ชาย “ให้มิคเป็นกรรมการ”

     ในขณะที่ผมกำลังจะแจกการ์ดให้สองพี่น้อง เสียงโซอี้เรียกกินข้าวก็ดังขึ้นมา

     “เด็ก ๆ ได้เวลากินข้าวแล้วจ๊ะ”

     “โธ่ แม่ ขอเล่นตานึงสิครับ จะได้รู้กันไปเลยว่าผมกับธีโอใครเก่งกว่ากัน”

     “ไม่ได้ ไว้หลังกินข้าว ตอนนี้แม่บอกให้มานั่งบนโต๊ะก็ต้องมา” โซอี้ดุ แซมถอนหายใจแล้วเดินมายังโต๊ะกินข้าวแบบเนือย ๆ

     วันนี้โซอี้ทำลาซานญ่า แน่นอนว่าชีสและแป้งมาเต็ม เอาจริง ๆ ผมอยากอาสาทำอาหารให้มากกว่า แต่ผมตกลงกับโซอี้ไว้แล้วว่าทุกวันอังคารกับพฤหัสมื้อค่ำจะเป็นอาหารไทย ส่วนวันนี้วันพุธ เธอเลยลงมือเป็นแม่ครัวเอง

     บนโต๊ะอาหารส่วนใหญ่ทุกคนจะคุยกันเป็นภาษาสวิสเยอรมัน นอกจากเรื่องไหนที่พวกเขาอยากให้ผมรับรู้ก็จะพูดเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนตัวผมไม่อะไรอยู่แล้วเพราะผมก็ไม่ได้อยากรับรู้มาก ยุ่งกับการป้อนข้าวตัวเล็กนี่ดีกว่า

     ในบางครั้งเจย์เด็นก็จะร้องแหกปากจนทุกคนแทบทนไม่ได้ เพราะอยากกินสิ่งที่คนอื่นกินบ้าง แต่เจย์เด็นยังเล็ก บางอย่างไม่สามารถให้กินได้ โซอี้ก็จะจัดการเจย์เด็นด้วยตัวของเธอเอง นับว่าโซอี้ถือเป็นแม่ที่ดีเลย ไม่ได้ว่ามีพี่เลี้ยงแล้วจะทิ้งลูกไว้กับพี่เลี้ยงตลอดเวลา แม้ในตอนเช้าเธอจะต้องทำงานในออฟฟิศเธอและทิ้งตัวเล็กไว้กับผม แต่ผมก็โอเค เพราะมันคือหน้าที่ ผมมาเป็นออแพร์เพราะสิ่งนี้ ส่วนตอนบ่าย โซอี้จะดูแลตัวเล็กเอง ส่วนผมสามารถพักเบรคได้ เริ่มวานอีกทีคือสี่โมงเย็นเวลาแซมมวลกลับมาจากโรงเรียน

     “พ่อกลับมาแล้วจ้าาาาาาา” เสียงตะโกนของลูคัสตั้งมาแต่ไกลตั้งแต่ลิฟท์เปิด แซมมวลกระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งไปกอดพ่อ ลูคัสอุ้มแซมมวลกลับมาที่โต๊ะอาหารพลางพาดสูทไว้บนโซฟา แวะมาเล่นกับเจย์เด็น แล้วเดินไปจูบแก้มภรรยาตนเอง ต่อด้วยชกมือกับธีโอ

     ธรรมเนียมบ้านนี้เขาล่ะ

     “ว้าววว ลาซานญ่า ใครทำฮึ? เธอหรือพ่อครัวสุดเก่งจากประเทศไทย”

     “ลองชิมดูสิ” โซอี้ไม่ตอบ

     ลูคัสนั่งลงประจำที่ของตัวเอง ตักทานหนึ่งคำ ทำท่าครุ่นคิด

     “อืมมม เค็มแบบนี้ ฝีมือเธอแน่นอนโซอี้”

     “งั้นไม่ต้องกินเลย”

     “โอ๋ๆ เมียสุดที่รัก ล้อเล่นจ๊ะ อร่อยมาก ของโปรดฉันเลย” ลูคัสทานต่อ เป็นสัญญาณว่าทุกคนสามารถรับประทานอาหารต่อได้ ทุกคนเริ่มสนทนาเป็นภาษาสวิสเยอรมันอีกครั้ง ผมไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งได้ยินชื่อตัวเองในประโยค ลูคัสเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษแทน

     “วันศุกร์นี้พอดีจะมีแขกมาที่บ้าน ฉันขอให้เธอทำอาหารไทยให้พวกเราหน่อยได้ไหม ?” ลูคัสหันมาถามผม

     “ได้แน่นอนครับ ว่าแต่มีแขกกี่คนเหรอครับ แล้วอยากให้ผมทำสักกี่อย่างดีครับ” ผมตอบด้วยความเต็มใจ ผมชอบการทำอาหาร แค่ชอบเฉย ๆ นะ เพราะรู้สึกว่าเวลาทำอาหารผมไม่ต้องเลี้ยงดูเด็ก ฮ่าๆๆ ซึ่งบางทีแซมมวลก็เอาแต่ใจ เจย์เด็นก็กรีดร้องแหกปากจนผมปวดหัว ปล่อยให้เป็นหน้าที่โซอี้แทนดีกว่า

     “สามคนจ๊ะ เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจของลูคัสเขา ฉันอยากให้เธอทำเปาะเปี๊ยะทอด กับแกงสักอย่างไม่ต้องเผ็ดมาก และก็อะไรก็ได้อีกอย่างนึงจ๊ะ รบกวนด้วยนะจ๊ะ ส่วนวัตถุดิบทั้งหมดเธอสามารถใช้บัตรเครดิตฉันไปซื้อได้ตามปกติเลย”

     “โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะทำแกงเขียวหวาน กับผัดผักน้ำมันหอยนะครับ”

     “เยี่ยมเลย แค่ได้ยินก็รู้เลยว่าต้องอร่อยแน่นอน” ลูคัสหันมายิ้มให้ผม

     หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อย ผมมีหน้าที่เก็บครัวตามปกติ ส่วนลูคัสกับโซอี้ก็เล่นกับลูก ๆ ก่อนจะส่งเข้านอน พอทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จผมเดินไปบอกฝันดีกับเจ้าตัวเล็กและแซมมวล เป็นอันเสร็จงานของวันนี้

     ผมลงมายังอพาร์ทเม้นของผมชั้นล่าง อาบน้ำสระผมให้หอมฟุ้ง นุ่งผ้าเช็ดตัวมายังห้องนั่งเล่น เช็คโทรศัพท์แล้วไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ จากคนชื่อไมเคิล ยอมรับตรง ๆ ว่าเริ่มท้อ และพลางคิดไปว่าอาจไม่ได้้เจอกันอีก

     ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ผมได้ยินเสียงคนไขกุญแจห้อง

     โซอี้ ? ไม่ใช่...

     “เฮ้ มิค อยู่ไหม”

     เสียงธีโอนี่นา เขามาทำอะไร ? หรือว่าจะมาอ่านหนังสือในห้องนั้นที่ลูคัสเคยบอก

     ผมไม่ทันได้แต่งตัวให้เรียบร้อย คนบุกรุกก็เห็นผมเสียแล้ว

     “อ้าว ธีโอ มีอะไรรึเปล่า ?”

     “ฉันหิว”

     หิว...แล้วยังไงต่อ ? คือทำไมไม่ไปหาอะไรกินล่ะ

     “เมื่อกี้ไม่ได้กินข้าวเหรอ แต่ฉันเห็นอยู่นะว่านายกิน”

     “ก็หิวอีก” ธีโอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตรงข้าม

     “งั้นก็ไปหาอะไรกินซะสิ”

     “ทำอะไรให้กินหน่อย”

     หะ ? ผมหูฝาดไปรึเปล่า

     “นายติดค้างที่ฉันพาขึ้นเขาอยู่นะ”

     พาขึ้นแต่ไม่ได้พาลงเว้ยยยย ไอ้บ้า มีหน้ามาทวงบุญคุณแบบนี้ด้วย

     “แต่นายก็ทิ้งฉันไว้ที่นั่นคนเดียว” ผมตอกกลับ ธีโอนิ่วหน้าไปเล็กน้อย

     “ก็นั่นมันเหตุสุดวิสัย...ตกลงนายจะไม่ทำอะไรให้ฉันกินใช่ไหม” ธีโอลุกขึ้น ท่าทางหงุดหงิด

     ด้วยความจิตใจดีส่วนลึก ๆ ข้างในทำให้ผมพูดโพล่งออกไปว่า

     “นายชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไหม”

     ร่างสูงทำท่านึก ก่อนจะตอบ

     “ไม่เคยลอง”

     “อยากลองไหมละ ?”

     “ก็เอาสิ”

     บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่าก็คือมาม่าต้มยำกุ้งที่ผมขนมาจากประเทศไทย เผื่อไว้กินยามฉุกเฉิน สำหรับคนไทยมันไม่ได้มีความเผ็ดมากใช่ไหมครับ แต่สำหรับฝรั่ง....หึหึหึหึหึ























*Stand up Paddle (SUP) กิจกรรมบนน้ำโดยผู้เล่นจะยืนอยู่บนแผ่นเซิร์ฟแล้วใช้ไม้พาย(Paddle)พายเพื่อเคลื่อนที่ไปยังทิศทางต่าง ๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 15:52:23 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #14 เมื่อ21-03-2019 10:11:33 »

แกล้งเขานะ
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #15 เมื่อ21-03-2019 21:59:37 »

ธีโอ

แกเสร็จแน่

หุหุ

แกจะต้องติดใจ

มาม่าต้มยำกุ้ง

เหมือนพวกฉันแน่

มิคถ้าไมเคิลมันเล่นตัวนัก

ถึงมันจะหล่อก็ไม่ต้องเสียเวลาจ้า

รีบเรียนภาษาให้เก่ง

ผู้งานดีมีอีกเพียบ


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #16 เมื่อ21-03-2019 23:51:16 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #17 เมื่อ22-03-2019 03:09:03 »




     และก็เป็นอย่างท่ี่ผมคิดไว้ ธีโอกินคำแรกก็ร้องซู้ดปากเสียงดัง แต่เขาไม่ยอมแพ้ ยังคงกินต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันเอร็ดอร่อยมาก แม้ว่าปากจะบวมแดงและมีเหงื่อซึมก็ตาม

     “เฮ้ ถ้านายไม่ไหวก็อย่าฝืน”

     “มันเผ็ด แต่อร่อย” เจ้าตัวยืนยันจะกินต่อ

     ก็ผงชูรสเยอะขนาดนั้นไม่อร่อยได้ไง

     “กินเสร็จแล้วเอาเข้าเครื่องล้างจานแล้วกดเปิดเครื่องให้ด้วยล่ะ ฉันจะไปแต่งตัว”

     สั่งเสร็จผมก็เดินเข้าห้องไปใส่ชุดนอนลายมิคกี้เม้าโง่ ๆ ที่ได้มาเมื่อห้าปีที่แล้วจากเพื่อนสนิท พอเดินออกมาก็พบว่าธีโอจัดการทำความสะอาดครัวให้เรียบร้อย ตอนนี้เขากำลังไล่เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ในมือไปเรื่อย มืออีกข้างถือกระป๋องเบียร์ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน มั่นใจว่าผมไม่ได้ซื้อมาตุนไว้ในตู้เย็นแน่ ๆ

     “ดื่มไหม ?” ธีโอยื่นกระป๋องเบียร์ที่ยังไม่ได้เปิดมาให้

     “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

     “แล้ว ?...ฉันก็ต้องตื่นไปเรียนเหมือนกัน” ท่าทางดูถูกนั่นทำให้ผมรับเบียร์มาไว้ในมือ ทิ้วตัวลงนั่งข้าง ๆ เปิดเบียร์ดื่มกินแล้วพบว่านี่มันเป็นเบียร์ที่อร่อย ผิดแปลกไปจากเบียร์ช้างที่เคยกินที่ไทย มันได้กลิ่นหอมผลไม้ รสชาติไม่ขมมาก

     “ชอบไหม?” คนข้าง ๆ ถาม

     “อืม”

     ถ้าตาไม่ฝาดผมเห็นว่าเขายิ้มเล็กน้อยด้วยแหละ

     น่าจะยิ้มบ่อย ๆ นะ หน้าตาออกจะดีขนาดนี้

     เราสองคนนั่งดูซีรีย์ทางเน็ตฟลิกซ์ นั่งดูเพลิน ๆ ดื่มเพลิน ๆ จนตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าเมาเล็กน้อย เพราะเบียร์มันอร่อย ดื่มง่าย ส่วนไอ้เด็กม.ปลายข้าง ๆ นี่กระดกเอา ๆ อย่างกับน้ำ โต๊ะทรงกลมเตี้ยตรงหน้าเต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์ที่หมดแล้ว

     “ทำไมนายถึงอยากมาเป็นออแพร์” จู่ ๆ ธีโอก็ถาม

     “อยากมาหาประสบการณ์ อยากฝึกภาษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ” ผมตอบตามสคริปท์ “แล้วนายล่ะ อยากเป็นอะไร หลังเรียนจบไฮสคูล”

     ผมพอรู้มาบ้างว่าพวกฝรั่งจะมี Gab year เป็นเวลาที่ทุกคนจะได้ไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อยากลอง แล้วค่อยเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือจะทำงานต่อเลยก็แล้วแต่

     “ไม่รู้เหมือนกัน เอาจริง ๆ ก็อยากเที่ยวรอบโลก” ธีโอเอนหลังพิงกับเบาะ เอามือสอดใต้หัว “แต่เที่ยวรอบโลกโดยใช้เวลาแค่ 1 ปีมันไม่เพียงพอหรอก แถมต้องใช้เงินอีก”

     “งั้นค่อย ๆ เที่ยว ค่อย ๆ ทำงานเก็บเงินไปด้วยไม่ดีกว่าหรอ” ผมเสนอ “แล้วประเทศไหนที่นายอยาก...”

     ยังถามไม่เสร็จเสียงโทรศัพท์ของธีโอก็ดังขึ้น ทั้งผมและเจ้าของเครื่องเหลือบมอง ผมเห็นชื่อขึ้นว่า Charlotte

     “ขอตัว” ธีโอลุกขึ้น เปิดประตูเพื่อออกไปคุยข้างนอกตรงสนามเด็กเล่น

     แฟนล่ะมั้ง ?

     ผมมีความรู้สึกว่าธีโอเริ่มเปิดใจให้ผมมากขึ้นหลังจากที่ผมบอกไปตรง ๆ เรื่องที่เราจะต้องอาศัยอยู่ด้วยกันหนึ่งปี ดูจากการที่เขาพาผมขึ้นเขา (แม้จะไม่ได้พาลงก็ตาม) มีบทสนทนากับผมตามแต่โอกาส ไม่ได้มึนตึงใส่เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน และยังตอนนี้นั่งกินเบียร์ดูหนังด้วยกัน เหมือนเราเป็นเพื่อนกันซะมากกว่า

     พอเจ้าตัวคุยเสร็จกลับมายังห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม ผมเลยเปิดปากถาม ถ้าเป็นเวลาปกติคงไม่กล้าถามหรอก นี่ถือว่ากรึ่ม ๆ โทษเบียร์เอาละกัน

     “แฟนหรอ ?”

     ธีโอหันมามองหน้า ก่อนจะตอบอย่างเบื่อหน่าย

     “เปล่า แค่นอนด้วยกันเฉย ๆ”

     วู้ววววววว

     “แต่พักหลังนี้ชาร์ล็อตต์พยายามที่จะเป็นมากกว่านั้น”

     อ่าหะ ก็เข้าใจนะ รูปหล่อพ่อรวย ไม่รู้ -วย ใหญ่มั้ย

     “ตอนนี้เลยพยายามตีตัวออกห่าง”

     “ทำไมล่ะ ไม่ตรงสเป็คเหรอ?”

     “ถ้าหมายถึงหน้าตารูปร่างภายนอกล่ะก็...ชาร์ล๊อตต์จัดว่าเป็นคนที่สวยมีสเน่ห์ดึงดูดสุด ๆ แต่นิสัยเธอไม่โอเค” ธีโอเล่าไปกระดกเบียร์ไป “อย่างวันนั้นที่ฉันทิ้งนายไว้บนเขาเพราะชาร์ล๊อตโทรมาบอกว่าไม่สบาย ไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่มีใครดูแลเธอ ฉันเลยไปหา แต่พอไปถึงจริง ๆ แล้ว เธอสบายดี แค่แกล้งไอเจ็บคอกับเอาไดร์มาเป่าที่หน้าผากทำให้ดูเหมือนมีไข้”

     “รู้ได้ไงว่าเอาไดร์มาเป่า”

     “เพราะฉันไม่ได้โง่เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ ของเธอไง ฉันวัดไข้เธอด้วยปรอทก็อุณหภูมิปกติดี แถมผ่านไปไม่ถึง 5 นาที หน้าผากเธอก็ไม่ได้ร้อนเหมือนตอนแรก”

     “แล้วยังไงต่อ”

     “เธอแค่เรียกร้องความสนใจ”

     “จากนั้นนายก็กลับบ้าน ?”

     “เปล่า ก็...มีอะไรกันนั่นแหละ”

     แหมมม ปากบอกอยากตีตัวออกห่าง แต่การกระทำไม่ใช่นะ

     “เธอยั่วเอง”

     ฟังไว้นะครับคุณผู้หญิง ความคิดจิตใจของผู้ชายมันเป็นแบบนี้แหละ อย่างธีโอนี้ไม่สนด้วยซ้ำว่าทำไมชาร์ล๊อตต์ถึงทำอย่างนั้น ผมฟังแค่นี้ยังดูออกเลยว่าเธอคงชอบหรือไม่ก็รักธีโอมาก ยอมแม้กระทั่งเป็นแค่คู่นอน

     เอ๊ะ หรือผมมองโลกในแง่ดีมากเกินไป บางทีฝ่ายหญิงอาจจะมองว่าธีโอเป็นแค่คู่นอนเหมือนกันก็ได้ แต่อาจจัดธีโอไว้อันดับหนึ่งท่ามกลางผ้ชายอีกหลายคนในสต๊อคของเธอ

     “ถ้าไม่อยากยุ่งอีกก็บล๊อคออกจากชีวิตไปซะสิ หรือไม่ว่ายังหาคู่นอนคนใหม่มาแทนไม่ได้ ?” มองก็รู้ว่าธีโอจัดอยู่ในประเภทเซ็กส์กับหัวใจแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

     “หึ นายคิดว่าหน้าตาอย่างฉันหาผู้หญิงมานอนด้วยยากมากหรอ ?”

     “ก็ไม่รู้สินะ” ผมตอบกวน ๆ “ลีลานายอาจจะแย่ หรือไม่ไอ้นั่นเล็กจนไม่มีใครอยากมีเซ็กส์ด้วย”

     ที่พูดออกไปนี่เพราะเบียร์ล้วน ๆ เวลาปกติผมคงไม่ปากกล้าขนาดนี้หรอก

     นัยน์ตาสีฟ้าสว่างตัดขอบสีครามหรี่ลง ธีโอไม่โกรธ ซ้ำยังดูสนุก มุมปากยิ้มเยาะแบบที่ชอบทำประจำ ตอกกลับด้วยคำพูดที่เหนือกว่า

     “นายจะลองพิสูจน์ด้วยตาตัวเองก็ได้นะ”

     โทษทีฉันไม่นิยมคนเด็กกว่า”

     คิดผิดแล้วไอ้หนู

     ขณะที่ผมกำลังยิ้มให้กับชัยชนะในยกนี้ จู่ ๆ อีกฝ่ายนั่งหลังตรง รู้ตัวอีกทีก็มีฝ่ามือก็ประกบไว้ทั้งสองข้างแก้ม บีบกรามแน่นจนผมเริ่มเจ็บ

     “เคยลองหรือยัง ถ้ายังก็อย่ามาทำเป็นปากดี ดูก็รู้ว่ายังไม่เคยมีเซ็กส์กับผู้หญิง หรืออาจจะเคยแต่ล่มปากอ่าวจนทำให้เป็นแผลฝังใจ และกลายเป็นเกย์เหมือนทุกวันนี้”

     ผมปัดมือธีโอออกหน้าใบหน้าแล้วลุกขึ้นยืน

     “Please, leave (กรุณาออกไป)”

     “ทำไม พูดแทงใจดำหรือไง” ธีโอไม่ยอม เขาลุกขึ้น ความสูงเลยเหนือหัวผมไป “ว่าแต่เป็นเกย์นี่ เกย์รับหรือรุก แต่ท่าทางตุ้งติ้งของนายน่าจะเป็นรับใช่ไหม”

     “ออกไป”

     “ได้ยินมาว่าก่อนจะมีเซ็กส์ต้องสวนล้างทวารหนักนิ ไม่งั้น...ไม่อยากจะคิด”

     “ครั้งสุดท้าย...กรุณาออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”

     “เออ ไปก็ได้ ไม่อยากจะอยู่นักหรอกในห้องของพวกเกย์”

     ปึง!!!

     เสียงปิดประตูดังลั่น ผมยังยืนอยู่ที่เดิม

     มือกำแน่นจนสั่น รู้สึกได้ถึงเล็บที่จิกลงไปในฝ่ามือ แต่มันยังเจ็บไม่ได้ถึงครึ่งของคำพูดที่ธีโอพูดพล่อย ๆ ออกมา ผมไม่รู้ว่าเขาเมาหรืออะไร แต่ดูท่าทางสติครบถ้วนดี คงเป็นจิตใต้สำนึกของเขาที่ต่อต้านรังเกียจเกย์

     ที่ประเทศไทยแม้เพื่อนๆ จะรู้ว่าผมเป็นเกย์แต่ทุกคนก็ยอมรับ ให้ความเสมอภาค ไม่มีการพูดจาเหยียดหยามแต่อย่างใด

     ผมคิดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสวิสเซอร์แลนด์จะมีการสอนให้เคารพเพศสภาพในชั้นเรียนเสียอีก...

     น่าผิดหวังจริงๆ...ธีโอ...



TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 15:52:42 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #18 เมื่อ22-03-2019 23:29:16 »

 :z6:


ทำตัวเหมือนคนไม่ได้โตมาจากเมืองที่เจริญแล้ว

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #19 เมื่อ24-03-2019 11:06:42 »

ธีโอ.. :z6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
« ตอบ #19 เมื่อ: 24-03-2019 11:06:42 »





ออฟไลน์ holyhilly

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #20 เมื่อ26-03-2019 06:08:56 »

 :z1: อ่านรวดเดียวเลย รออ่านต่อนะจ่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #21 เมื่อ26-03-2019 07:58:58 »

ธีโอเหมือนเด็กเลย แต่คาแรคเตอร์น่าจะเป็นพระเอก

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
«ตอบ #22 เมื่อ04-07-2019 04:49:03 »


V

I am really sorry



   วันนี้ผมออกมาซื้อของที่ coop ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แถวบ้านเพราะจะต้องลงมือทำดินเนอร์มื้อใหญ่ เนื่องจากจะมีแขกมาที่บ้านอย่างที่ลูคัสได้บอกไว้ ผมลิสต์รายการของที่ต้องซื้อไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันก็เยอะมาก จนโซอี้คิดว่าต้องให้ใครสักคนมาช่วยผมถือของ

   ใช่ครับ คน ๆ นั้นคือ

   ‘ผมมีคลับนะวันศุกร์บ่าย’

   ‘แกมีคลับบ่ายสาม แต่มิคจะออกไปซื้อของตอนบ่ายโมง ยังไงก็ไปเรียนทัน’ โซอี้ตอบกลับเสียงเรียบ

   ‘แม่...ผม’

   ‘คือผมไปคนเดียวได้ครับ ของไม่น่าจะหนักมากเท่าไหร่’

   ‘เอาอย่างนั้นหรอ ? มั่นใจนะมิค’

   ‘ครับผม’

   ‘โอเค เอางั้นก็ได้...แต่แก ธีโอ วันนี้แกต้องอยู่ร่วมมื้อเย็น เข้าใจนะ ?’ โซอี้หันไปกำชับธีโออีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะเดินออกจากบ้านไป

   นี่คือบทสนทนาในตอนเช้าวันที่สองหลังจากที่ธีโอพูดจาต่ำ ๆ ใส่ผม เขาไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาขอโทษ ส่วนผมก็ทำงานเลี้ยงเจ้าตัวเล็กหรือเล่นกับแซมมวลไปเรื่อย ธีโอไม่ค่อยได้โผล่หัวออกมาต่อหน้าผมสักเท่าไหร่ อย่างเมื่อวานมื้อเย็นเขาก็ไม่ได้มาร่วมดินเนอร์อย่างเคย อ้างว่าต้องอ่านหนังสือ

   ผมไม่ได้สนใจธีโอสักเท่าไหร่ เรื่องที่เขาพูดจาแบบนั้นใส่ผม ผมไม่แคร์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ชอบกันก็อยู่ห่าง ๆ กันไว้จะดีกว่า ดีแล้วที่เขาแสดงท่าทีออกมาแต่แรกว่ารังเกียจเกย์ ผมจะได้วางตัวถูก

   เรื่องที่ผมแคร์มากตอนนี้ก็คือข้อความประโยคหนึ่งที่ถูกส่งมาโดยไมเคิลตอนตีหนึ่ง ทำเอาผมแทบบ้าไปทั้งวัน

   Long time no see, but we will see each other again SOON. Sleep well Micky : ) (ไม่ได้เจอกันนานนะ แต่เราจะเจอกันเร็วๆ นี้แหละ หลับฝันดีนะ มิคกี้)

   มันเป็นประโยคที่ผมรอคอยมานานหลายวัน รอจนแทบหมดหวัง แต่นี้...ไมเคิลบอกว่าเราจะได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้ครับท่านผู้โชมมมม ฮู้เร่

   ผมส่งถามกลับไปว่าเราจะเจอกันเมื่อไหร่ ที่ไหน กี่โมงดี ไมเคิลกลับอ่านแต่ไม่ตอบ

   ช่างเถอะ แค่เขาบอกว่าเราจะได้เจอกันอีกมันก็ทำให้หัวใจผมพองโตแล้ว

   ขณะที่ผมกำลังเตรียมทำอาหารโซอี้ทักขึ้นมาว่า

   “ไม่ต้องเผ็ดมากนะจ๊ะ ฉันกลัวเพื่อนร่วมงานของลูคัสจะทานไม่ได้”

   “ครับผม เรื่องนั้นผมระวังไว้อยู่แล้ว” ผมยิ้มตอบกลับไป

   “ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรบอกได้เลยนะ ฉันจะไปตามธีโอมาช่วย...ว่าแต่ลูกชายคนโตของฉันไปไหนเนี่ย ควรจะกลับถึงบ้านได้แล้วนะ นี่มันใกล้เวลาดินเนอร์แล้ว” โซอี้บ่นพลางมองนาฬิกาข้อมือ

   20 นาทีต่อมา คนที่ถูกตามหาก็ปรากฎตัวในสภาพเหงื่อโชก ทิ้งกระเป๋ากีฬาที่มีไม้เทนนิสโผล่ออกมาจากตัวกระเป๋าที่ปิดไม่สนิท

   ธีโอมีคลับเทนนิสทุกวันศุกร์

   ผมไม่ได้อยากจะจำ แต่มันต้องใส่ใจ ตอนนี้ผมเริ่มจำทุกอย่างในบ้านได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลาย เครื่องครัวต่าง ๆ ลิ้นชักไหนผมรู้หมด เสื้อผ้าทุกคนผมก็แยกออกว่าตัวไหนเป็นของใคร เพราะเป็นผมซะส่วนใหญ่ที่เก็บบ้านแล้วโยนเสื้อผ้าทุกคนลงในเครื่องซักผ้า รวมไปถึงตารางทำงาน กิจกรรมของแต่ละคน

   หลังจากที่หั่นผัก หุงข้าว จัดโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว วุ่นวายอยู่ตรงครัวประมาณหนึ่งชั่วโมง จนตอนนี้ทุกอย่างเกือบเรียบร้อย เหลือแค่เปิดไวน์รินรอแขกที่จะมาถึงในอีก 10 นาทีเท่านั้น เนื่องจากวันนี้มีดินเนอร์ใหญ่ พวกเราเลยทานข้าวเย็นช้ากว่าปกติ แต่เจย์เด็นไม่ใช่ เขาต้องกินตรงเวลา ผมเลยหันไปป้อนข้าวเย็นเจย์เด็น พอเจ้าก้อนนี้กินเสร็จก็ปล่อยให้เขาลงไปคลานเล่นทั่วบ้านต่อเพื่อที่จะได้เบิร์นไขมันบ้าง ในขณะที่ผมเล่นแข่งรถปลอมๆ กับแซมมวลฆ่าเวลา (แหงล่ะ เขาขอชนะตลอด)

   “Guten Abend!* (สวัสดีตอนเย็นจ้า)” เสียงลิฟต์เปิดออกพร้อมด้วยเสียงตะโกนสวัสดีตอนเย็นจากลูคัสเหมือนทุก ๆ วัน แต่ที่ไม่เหมือนก็คือผมได้ยินเสียงพูดคุยเป็นภาษาสวิสเยอรมันจากแขกที่จะมาร่วมรับประทานอาหารค่ำในวันนี้

   ทำไมเสียงคุ้น ๆ จังเลยนะ

   โซอี้อุ้มเจย์เด็นไว้ในอ้อมอกดั่งเคยเพราะเจ้าตัวเล็กเริ่มร้องแหกปากเนื่องจากคุณแม่เดินออกห่างเพื่อไปต้อนรับ เจย์เด็นคลานตามอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าคุณแม่ของเขาจะหายไป มันคล้าย ๆ กับสภาวะความกลัวของเด็กถ้าหากไม่มีผู้ปกครองอยู่ใกล้ ๆ ยิ่งมีคนแปลกหน้าเข้ามามันยิ่งทำให้เจย์เด็นรู้สึกกลัว

   เห็นดังนั้นผมจึงรีบปรี่เข้าไปช่วยอุ้ม แต่พอได้เห็นแขกที่จะมาร่วมมื้อเย็นในวันนี้ทำเอาผมช็อค

   ไมเคิล...

   เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

   ณ วินาทีนั้นผมทั้งตกใจและดีใจ ผมแกล้งกลบเกลื่อนรอยยิ้มและท่าทางไม่ให้ออกนอกหน้า ทำเป็นรับอุ้มเจย์เด็นจากอ้อมอกโซอี้ แต่เจ้าตัวเล็กไม่ให้ความร่วมมือ กำมือจับชายเสื้อโซอี้แน่น

   ทุกคนทักทายกล่าวสวัสดี ผลัดหอมแก้มคนละสามที เพราะเป็นธรรมเนียมของที่นี่ บางประเทศก็แค่หอมแก้มสองที หรือหนึ่งที บางที่ก็แค่กอด แต่ถ้าหากไม่สนิทสามารถเช็คแฮนด์ตามมารยาทสากลได้ ดังเช่นผมตอนนี้ที่กำลังทำความรู้จักกับสาวสวยผมบลอนด์ชื่อเอริก้าที่นำดอกไฮเดรนเยียมาเป็นของขวัญและชายสูงวัยชื่ออีริคที่มาพร้อมกับขวดไวน์ราคาแพง

   “Good evening, Mic. Finally, we meet again (สวัสดีตอนเย็นมิค ในที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง)” ไมเคิลยิ้มแย้มพลางเข้ามากอดอย่างสนิทสนม หลังจากมอบของขวัญที่เขาเอามาฝากเด็ก ๆ แต่เขาไม่ได้หอมแก้มผมแบบที่ทำกับโซอี้

   แอบเสียดาย แต่เรายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนี่นา

   มือหนาทาบทับบนหลังผมพลางลูบขึ้นลง แต่เราสองคนไม่ได้กอดกันแนบแน่น เหมือนเพื่อนที่ได้เจอกันอีกครั้งเสียมากกว่า

   “เป็นยังไงบ้าง? สบายดีไหม?”

   นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าที่พร้อมจะสยบทุกคนที่มอง รอยยิ้มนุ่มนวล ร่างกายแข็งแกร่งกำยำ...ทุกส่วนของเขา...ผมจินตนาการมาตลอดสองสัปดาห์ แต่บัดนี้ไมเคิลมาอยู่ต่อหน้าผมแล้ว

   ผมอยากจะตอบว่าผมคิดถึงคุณมากและเฝ้ารอวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง แต่ความจริงแล้วผมตอบไปว่า

   “สบายดีครับ ไมเคิลล่ะ? ทำงานหนักไหม?”

   “หนักมากเลยล่ะ พอดีฉันได้รับการเลื่อนขั้น เลยมีเรื่องต้องสะสางหลายอย่าง”

   “ว้าว ยินดีด้วยนะครับ” มิน่าเขาถึงไม่ค่อยตอบข้อความผม ได้ฟังแบบนี้แล้วค่อยน่าให้อภัยหน่อย

   “ว่าแต่หน้าที่คุณแม่มือใหม่ไปถึงไหนแล้ว หืม?” ไมเคิลถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

   “คุณพ่อมือใหม่ต่างหาก” ผมแก้ “ก็ดีครับ แซมมวลมีดื้อกับผมบ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาจะฟังผม ส่วนเจย์เด็น...รายนั้นติดคุณแม่แจเลยล่ะ...ผมทำงานลำบากมากหากโซอี้อยู่ใกล้ ๆ เพราะเจย์เด็นเอาแต่แม่ ไม่เอาผมเลย”

   “ฉันพอจะดูออก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องดูแลเด็กวัยกำลังคลาน”

   “อ้าว เธอสองคนรู้จักกันแล้วเหรอ” ลูคัสเข้ามาแทรกเมื่อเห็นว่าผมกำลังคุยกับไมเคิล

   ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดในใจว่าตอบลูคัสยังไงดี ไมเคิลก็ชิงบอกเสียก่อน

   “ครับ พอดีผมบังเอิญไปเจอมิคที่เขา Uetilberg ตอนนั้นมิคกำลังบาดเจ็บ ผมเลยช่วยเขาไว้ เราสองคนเลยรู้จักกันครับ”

   “โอ้ เป็นอย่างนั้นนี่เอง ไมเคิลนี่มิค ออแพร์ที่คอยดูแลเด็กๆ และนี่มิคนี่ไมเคิลผู้บริหารบริษัทผลิตสิ่งทอและบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ เป็นคู่ค้าของบริษัทฉันเอง เขาผลิตบรรจุภัณฑ์ให้ชอคโกแลตแบรนด์ของเรา”

   โอ้มายก๊อชชชช นอกจากหน้าตาจะหล่อเหลาแล้ว โปรไฟล์ยังดีเสียด้วย

   อดเทียบกับตัวเองไม่ได้ที่รับเงินเดือนกระจอกๆ แค่ 700 ฟรังก์ ในขณะที่ผู้บริหารอย่างเขาต้องมีรายรับไม่ต่ำกว่า 50,000 ฟรังก์แน่นอน

   นี่มันบุญวาสนาของผมแท้ ๆ ที่ได้มารู้จักกับเขา

   “ขอบใจเธอด้วยนะไมค์ที่ช่วยเหลือมิค...ว่าแต่ตอนนั้นเธอไปกับธีโอไม่ใช่หรอ?” ประโยคหลังลูคัสหหันมาถามผม

   “เอ่อ...ธีโอขอตัวไปทำธุระต่อน่ะครับ” ผมยิ้มแห้ง ๆ แก้ต่างให้ธีโอ

   “ไม่ไหวเลยลูกชายคนนี้” ลูคัสถอนหายใจ ส่ายหัวเบา ๆ “รู้จักกันแล้วก็ดี เราไปนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า”

   ลูคัสเชิญชวนทุกคนมาที่ห้องนั่งเล่น และถามทุกคนว่าอยากดื่มอะไร แชมเปญ ไวน์โรเซ่** ไวน์ขาว หรือไวน์แดง ทุกคนเลือกแชมเปญหมด ยกเว้นโซอี้ที่เธอนั้นคลั่งไคล้ไวน์โรเซ่เอาเสียมาก ๆ

   “Cheers!”

   เสียงแก้วกระทบดังไปทั่ว แต่ธรรมเนียมของที่นี่นั้นไม่ใช่แค่กระทบแก้วหมู่ร่วมกันแล้วจบ ทุกคนจะชนแก้วจนครบรอบวง นอกจากนั้นในขณะที่ชนแก้วสองคนยังต้องจ้องตากันเพื่อเป็นการให้เกียรติและแสดงความจริงใจของคนที่เราชนแก้วด้วย

   ไม่ยกเว้นแม้แต่การชนแก้วกับธีโอที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แต่ดูท่าจะมีมารยาทพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการแสดงออกในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่่อมีลูคัสและโซอี้อยู่แบบนี้ด้วย

   ทุกคนคุยกันเป็นภาษาสวิสเยอรมันอย่างออกรส รวมไปถึงแซมมวลที่เข้ามาแจมแต่ในมือเขามีแก้วน้ำเปล่าธรรมดาๆ แซมมวลกลายเป็นจุดสนใจ ทุกคนถามไถ่เขา ส่วนเจ้าตัวเล็กเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียงแก้วน้ำพลาสติกบนพื้น

   ผมรู้หน้าที่ตนเองจึงวางแก้วแชมเปญลงบนโต๊ะ แล้วลุกไปเตรียมอาหาร ส่วนโซอี้ก็แอบมากระซิบว่าเธอจะพาเจย์เด็นเข้านอนเอง

   โซอี้ใช้เวลาไม่นานในการกล่อมเจ้าตัวเล็กให้หลับ เมื่อทุกคนพร้อมเพรียงแล้วก็นั่งประจำที่ โดยมีลูคัสนั่งหัวโต๊ะ ปกติตามธรรมเนียมแล้วนั้นจะจัดให้ชายหญิงนั่งสลับกัน และให้ผู้ที่สนิทสนมนั่งตรงข้ามกันเพราะจะได้พูดคุยกันโดยไม่ต้องหันข้าง แต่ผมไม่ถือเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ให้ทุกคนได้จัดแจงที่นั่งกันระหว่างผมตักข้าวเสิร์ฟ จากนั้นยกแกงเขียวหวานใส่ถ้วยเล็กตกแต่งด้วยผักชีและพริกแดงให้แต่ละคน ตามด้วยเป๊าะเปี๊ยะทอด ผัดผักน้ำมันหอย และยำไก่สมุนไพร ที่ผมเพิ่มเข้ามาเป็นอย่างสุดท้าย

   อิริคเปิดไวน์ราคาแพงขวดนั้นแล้วลุกขึ้นวนรินให้ทุกคน รวมไปถึงผมด้วย ส่วนแซมวันนี้เขาได้ดื่มโค้กแทน

   ที่นั่งสุดท้ายที่เหลือคือนั่งข้างๆ แซม ตรงข้ามเป็นธีโอ ส่วนไมเคิลที่ผมอยากนั่งใกล้ ๆ อยู่หัวโต๊ะข้างลูคัสโน่น ผมเข้าใจว่าพวกเขาต้องคุยเรื่องธุรกิจกัน

   “แด่ลูคัส CEO คนเก่งของเรา, แด่โซอี้ทนายสุดสวย, แด่เอริก้า PR ที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง, แด่ไมเคิลผู้ที่ทำให้แบรนด์ช๊อกโกแลตของเรามีผลิตภัณฑ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร” อิริคชูแก้วไวน์สูงขึ้นหันไปมองแต่ละคน “และสุดท้ายนี้มิค พ่อครัวคนเก่งของเรา”

   ทุกคนหันมาทางผม ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่ออยู่ในการกล่าวเปิดครั้งนี้ด้วย

   “ด้วยความยิ่งดีอย่างยิ่งครับ ผมหวังว่าทุกคนจะชอบรสชาติอาหารที่ผมทำนะครับ” ผมยิ้มพร้อมชูแก้วไวน์ สิ้นสุดคำพูดทุกคนก็ลงมือจับมีดและส้อม

   ในที่สุดก็ได้กินสักที ผมหิวไส้กริ่วแล้วเนี่ย

   ถึงแม้จะเป็นดินเนอร์มื้อใหญ่ แต่ผมก็ไม่ลืมทำหน้าที่ดูแลแซม ผมคอยตักซุปแกงเขียวหวาน หั่นชิ้นเนื้อไก่ และคอยบอกให้เขาระมัดระวังเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร

   ห้องรับประทานอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงมีดกระทบกับจาน แต่ทว่ามีอยู่คนนึงที่ดูจะลืมเอาปากมาด้วย

   ธีโอนั่งตรงข้ามแซม ซึ่งเยื้องๆ กับผม ผมสังเกตว่าเขาเอาแต่ทาน ไม่พูดไม่จาอะไรเลยนอกจากเสียว่าจะมีคนเข้ามาถาม

   “อาหารอร่อยมากเลยครับ” จู่ๆ ไมเคิลก็พูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษและยิ้มให้กับผม

   โอ๊ยยย เคลิ้มครับเคลิ้ม คำชมแค่นี้แต่มันเหมือนราวกับไมเคิลกำลังขอผมแต่งงานก็ไม่ปาน

   “ใช่ อร่อยมากๆ เลย ผมชอบทุกอย่างที่มิคทำให้ผมกิน วันก่อนเขาทำกุ้งชุบแป้งทอดให้กิน อร่อยมาก” แซมเสริม ผมหันไปยีหัวไอ้ตัวแสบแล้วพูดว่า

   “ใช่ เธอกินหมดคนเดียวตั้ง 10 ตัว ไม่เหลือให้พ่อของเธอกินเลย”

   “ก็มันอร่อยนี่นา...แถมพ่อกลับบ้านช้าเอง ช่วยไม่ได้”

   ทุกคนหัวเราะ

   “นี่แซมดูโตเป็นหนุ่มขึ้นตั้งเยอะเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ฉันมาพาพวกเธอ” อีริคพูด

   “ใช่ค่ะ แซมเขาสูงขึ้น 10 เซ็นต์” ผู้เป็นแม่ตอบแทนและลูบหัวแซมมวลด้วยความรักใคร่

   “เธอก็ด้วยนะธีโอ ดูหล่อเหลากว่าเมื่อปีก่อน ไปเป็นนายแบบได้เลยนะเนี่ย” เอริก้าเสริมขึ้นบ้าง เจ้าตัวขยับนั่งหลังตรงเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูด

   “ครับ ก็คงประมาณนั้น” ธีโอยกแก้วไวน์จิบเล็กน้อย ดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ ตรงหน้าเขาวางมีดและส้อมไขว้กันเป็นรูปกากบาทบ่งบอกถึงว่าอิ่มแล้วและไม่ต้องการเพิ่ม

   เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเสริมอีกครั้ง สำหรับคนที่นี่ หากทานอิ่มและไม่ต้องการเพิ่มแล้วก็จะวางมีดและส้อมไขว้กัน สำหรับคนไทยก็จะวางคู่กันแทน และข้อสำคัญต่อให้ตนเองทานเสร็จก็จะไม่ลุกออกจากโต๊ะเป็นอันขาดจนกว่าทุกคนจะทานอิ่ม นี่เป็นมารยาทข้อแรกๆ หลังจากที่ผมได้ร่วมทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวเมื่ออาทิตย์แรกที่ผมมาถึง

   “ปีก่อนเขาถูกทาบทามจากเอเจนซี่ที่บริษัทเราจ้างให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ช๊อคโกแลตสูตรใหม่ที่จะออกช่วงฤดูใบไม้ร่วงน่ะ” โซอี้เล่า “พวกเขาบอกว่าหน้าตาธีโอเป็นเอกลักษณ์มาก หากได้เข้าวงการอาจดังไกลไปถึงฮอลลีวูด”

   “ธีโอเลยได้ร่วมงานเล็กๆ น้อยๆ กับแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่นที่เพิ่งเปิดตลาด” ลูคัสเล่าต่อ

   “ว้าวววว ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยพ่อหนุ่มน้อย” อีริคปรบมือแสดงความชอบใจ

   “ผมได้ถ่ายแบบแค่นิดเดียวครับ หลายๆ คนก็ได้รับโอกาสแบบนั้น”

   “หืม ไม่แน่นะต่อไปอาจได้เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ Calvin Klein ก็ได้ใครจะไปรู้ จริงไหม ฮ่าๆๆ” ลูคัสอวยลูกตัวเอง

   เจ้าตัวจิบไวน์แก้อาการเขินเล็กน้อย

   “นี่จ๊ะ ฉันเติมไวน์ให้” เอริก้ารินไวน์แต่ทว่ามันหมดเสียแล้ว

   “หมดแล้วเหรอ...ไม่เป็นไร ธีโอช่วยไปหยิบไวน์ในห้องเก็บไวน์ที เอามาสัก 3-4 ขวดก็ได้” ลูคัสวาน

   ทุกคนลุกจากเก้าอี้เพราะต่างคนต่างก็อิ่มแล้ว เอริก้าและอีริคชมไม่ขาดปากว่าอาหารที่ผมทำอร่อยมาก ได้ยินแค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ

   ขณะที่ผมกำลังเก็บโต๊ะนั้นโซอี้ก็มาบอกให้ผมลงไปช่วยธีโอ เพราะเธอต้องการไวน์โรเซ่เพิ่มเช่นกัน

   “หืม ขวดที่เพิ่งเปิดหมดแล้วเหรอครับ?”

   “ก็ใช่น่ะสิ ดูด้วยว่าใครดื่ม เมื่อก่อนสมัยสาวๆ เธอเล่นจองคนเดียว 5 ขวดเลยล่ะ ฉันนี่แทบประเคนหามาให้แทบไม่ทัน” ลูคัสแซวพลางหอมแก้มโชว์หนึ่งฟอด

   ผมขำเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์

   ทั้งลูคัสและโซอี้คือนักดื่มไวน์ตัวยง ไม่ต้องบอกว่าทั้งคู่คลั่งไคล้ไวน์มากแค่ไหน ขนาดมีห้องเก็บไวน์ไว้ที่บ้านก็คงจะเดาออกใช่ไหมล่ะครับ ทั้งคู่ดื่มเกือบทุกวัน ดื่มแทนน้ำเปล่าในมื้อเย็น ดังนั้นจึงมีโกดังสะสมไวน์ไว้ก็ไม่แปลก

   “อะ อ่าว” ผมเปิดประตูห้องเก็บไวน์จนเกือบชนคนที่โดนใช้ลงมาก่อนหน้า

   ในอ้อมแขนธีโอมีไวน์แดงสามขวด และไวน์ขาวหนึ่งขวด

   “นายลงมาทำอะไร”

   “ลงมาเอาโรเซ่ให้แม่เธอไง” ผมไม่ได้อยากจะตอบกวนตีนนะ แต่ประโยคภาษาอังกฤษมันแปลแล้วออกมาเป็นแบบนี้จริงๆ

   “เข้าไปสิ” ธีโอเบี่ยงตัวให้ผมเข้าไปด้านในห้องเก็บอุณหภูมิที่ตั้งไว้สำหรับไวน์โดยเฉพาะ

   ผมเพิ่งลงมาห้องนี้ครั้งแรก เลยไม่รู้ว่าไวน์โรเซ่อยู่ไหน เห็นแต่ไวน์แดงกับขาว

   “เดินเข้าไปอีก แล้วเลี้ยวขวา”

   คนที่ผมคิดว่าจากไปตั้งนานแล้วตะโกนบอก ผมเดินตามนั้นแล้วก็พบกับไวน์สีชมพูอ่อนไปจนเข้ม เหลือบสีส้มบ้างก็มี บรรจุอยู่ในรูปทรงขวดที่ต่างกันไป

   เอ่อ...ขวดไหนล่ะเนี่ย?

   “Miraval ขวดอ้วนๆ หน่อย อยู่ล่างๆ”

   “นายรู้ได้ไงว่าขวดนี้” ผมถามกลับ ได้ยินเสียงผีเท้าใกล้เข้ามา

   “ก็นายได้ถามแม่ฉันไหมล่ะว่าให้หยิบขวดไหน” ท่าทางเขาดูแคลนผมสุดๆ โง่ในเรื่องง่ายๆ ประมาณนั้น

   เอ่อว่ะ...ลืม

   “แม่ฉันชอบขวดนั้นมากที่สุด”

   “โอเค ขอบใจ”

   ครั้งล่าสุดที่คุยกัน ถึงแม้เขาจะพูดไม่ดีกับผม แต่ตอนนี้ธีโอช่วยเหลือผม ผมก็ควรจะขอบคุณเค้า

   ผมได้ขวดไวน์โรเซ่อ้วนๆ มาไว้ในอ้อมแขน แต่พอหันหลังกลับไปดันเจอกับร่างสูงที่ยืนขวางผมอยู่

   “หลบไปสิ”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองธีโอ สีหน้าเขาดูไม่มั่นใจ เหมือนไม่ใช่ตัวตนเขาที่มักจะมั่นใจอยู่เสมอ

   “มีอะไรรึเปล่า?” ผมถาม

   “คือว่า...”

   “...”

   “ขอโทษ”

   เงียบไปอึดใจ

   “ฉันพูดไม่ดีกับนาย ดูถูกและเหยียดหยามนาย” นัยน์ตาธีโอดูสำนึกผิด “ไม่ว่านายจะมีสีผิว หรือรสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนฉันก็ไม่ควรพูดออกไปแบบนั้น...ฉันขอโทษจริงๆ”

   เฮ้อ...ผมควรจะให้ออภัยเขาไหม? ท่าทางตอนที่เขาดูถูกผมยังจำฝังใจผมอยู่เลย

   แต่ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรขนาดนั้น อีกอย่างธีโอก็พูดขอโทษแบบแมนๆ ไม่ได้อ้างว่าเมาด้วย ที่เขาดูเงียบๆ ไปหลายวันเพราะแบบนี้เองสินะ สำหรับคนที่มั่นใจในตัวเอง อีโก้สูงขนาดนั้นคงเป็นเรื่องที่ทำใจยากหากต้องเอ่ยคำขอโทษก่อน

   “ก็ได้...ฉันรับคำขอโทษไว้ แต่คราวหน้าคราวหลังนายควรจะหัดคิดก่อนพูด”

   “ขอบคุณ”

   “คนพูดไม่เคยจำ คนฟังไม่เคยลืม นายเคยได้ยินวลีนี้ไหม?” ธีโอหลุบตาลง “คำพูดน่ะ...ใครๆ ก็พูดออกมาได้ แต่คนที่ได้ยินได้ฟังเขาเก็บเอาไปคิด บางครั้งคำพูดเพื่อความสะใจแค่ชั่วครู่ แต่มันอาจพังทลายความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนได้เลยนะ”

   “ครับ”

   “ดังนั้นก่อนจะพูดอะไร คิดให้ดี ว่ามันคุ้มไหมก่อนที่จะพูดออกมา แต่ถ้าพูดออกมาแล้วมันมีประโยชน์ก็พูดออกมาเถอะ”

   “เข้าใจแล้ว บ่นเหมือนคนแก่เลย”

   “ยังไม่ทันขาดคำ”

   “ล้อเล่นน่า”

   “ไม่มีการล้อเล่นใดๆ ทั้งนั้นแหละ”

   เก๊กขรึมไว้มิค อย่าหลุดขำนะ

   “ขอโทษครับ” ธีโอพูดเสียงหงอย

   “เพื่อเป็นการลงโทษต่อไปนี้นายต้องเรียกฉันว่า ‘พี่มิคสุดหล่อ’”

   “ผีมิคซูดล่อ”

   ไม่ใช่โว๊ยยยยยย

   “พี่มิคสุดหล่อ”

   “พีมิคสูทลอ”

   “พี่-มิค-สุด-หล่อ” ผมเน้นย้ำทีละคำ

   “พี้-มิค-ซุท-ล้อ”

   “เฮ้อ..ก็ได้ว่ะ” ผมบ่นออกมาเป็นภาษาไทย

   “เมื่อกี้พูดว่าไรนะ” เขาถาม

   “ไม่มีอะไร ต่อไปนายคงออกเสียงถูกเอง เรียกบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

   “โอเคผีมิคซุทล่อ”

   เหมือนไอ้คนร่างสูงกว่าแต่เด็กกว่าผมจะรู้ว่าหากเรียกผิดโทนแล้วมันทำให้ผมหงุดหงิดได้ก็เหมือนจะชอบใจใหญ่ อย่าคิดนะว่าไม่เห็นลักยิ้มมุมปากนั่น

   “ว่าแต่ฉันไปได้หรือยัง?”

   “ทำไม?”

   ธีโอชูขวดไวน์ในมือ

   “ป่านนี้พ่อกับแม่ฉันคงเป็นห่วงแย่แล้ว”

   “เออจริงด้วย”

   “เป็นห่วงไวน์นะ ไม่ได้เป็นห่วงฉัน” ธีโอพูดขำๆ

   ผมหัวเราะให้กับมุกตลกที่นานๆ ทีจะออกมาจากปากธีโอ









*Guten Abend เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า สวัสดีตอนเย็น

**Rosé Wine ไวน์โรเซ่ คือ ไวน์สีชมพูดอกกุหลาบ มีสีชมพูอ่อน ไปจนถึงสีชมพูเข้ม ผลิตขึ้นจากองุ่นแดง หรือองุ่นดำ แต่ในกระบวนการหมัก เปลือกองุ่น หรือส่วนอื่น ๆ จะถูกทิ้งให้สัมผัสกับน้ำองุ่นเพียงช่วงสั้น ๆ ราว 12-36 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากนั้น การผลิตไวน์โรเซ่ ที่เป็นการนำไวน์แดง (Red Wine) และไวน์ขาว (White Wine) มาเบลนด์ (Blended) เข้าด้วยกัน ก็เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้เช่นกัน




TBC





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 15:53:06 โดย ✿PIERRE »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
«ตอบ #23 เมื่อ04-07-2019 09:25:11 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
«ตอบ #24 เมื่อ04-07-2019 10:50:12 »

น่ารักดี :o8: :ling1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
«ตอบ #25 เมื่อ04-07-2019 11:09:49 »

ตอนนี้ธีโอเริ่มมีความน่ารักขึ้นมาบ้างแล้ว

 :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
«ตอบ #26 เมื่อ05-07-2019 00:19:39 »

 :katai2-1:


ทำดีต้องมีรางวัล

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
«ตอบ #27 เมื่อ06-07-2019 21:30:13 »

ใครจะคู่กับมิคนะ ระหว่างธีโอกับไมเคิล

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
«ตอบ #28 เมื่อ16-09-2019 15:45:01 »


VI

The darkest nights produce the brightest stars



   หลังจากที่ผมเก็บโต๊ะและทำความสะอาดครัวเสร็จก็หมดหน้าที่ของผมในวันนี้ แซมเข้านอนเรียบร้อยแล้ว แม้วันนี้เขาจะดื้อเป็นพิเศษตอนส่งเข้านอน ผมได้ยินเสียงร้องของเขาว่ายังอยากดูทีวีในขณะที่ผู้ใหญ่พูดคุยกัน

   โซอี้กล่าวขอบคุณผมอีกครั้ง

   “ขอบคุณนะมิคที่ทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเราทาน”

   “อร่อยมากจริงๆ ขนาดฉันไปกินที่ร้านอาหารไทยยังไม่อร่อยเท่านี้เลย” ลูคัสกล่าวชมผมเกินไปแล้ว

   “ยินดีครับ ผมว่าการทำอาหารก็สนุกไปอีกแบบ” ผมยิ้มหน้าบาน “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”

   “แล้วเจอกันวันจันทร์เวลาเดิม 7 โมงเช้านะจ๊ะ” โซอี้บอก “ฝันดีและขอให้เธอมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์จ้ะ”

   “ฝันดีครับ โซอี้ ลูคัส” เพื่อเป็นมารยาท ผมเดินไปบอกลาแขกสามคนที่เหลือด้วย

   ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่น เอริก้ากำลังคุยกับไมเคิล ส่วนอีริคกำลังจดจ่อกับโทรศัพท์ในมือ

   “ผมขอตัวก่อนนะครับ ฝันดีครับทุกคน”

   เอริก้าและอีริคบอกฝันดีเรียบร้อยก่อนจะหันไปคุยกับลูคัสและโซอี้ ส่วนร่างสูงโปร่งนั้นเดินมาส่งผมที่หน้าลิฟต์

   “ฉันบอกแล้วว่าเราจะได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้” ไมเคิลขยิบตา ก้มลงมาข้างๆ หูผม พูดเสียงไม่ดังมาก

   ลมหายใจเขาเฉียดแก้มผมไปนิดเดียว

   “ผะ ผะ ผมไม่คิดว่า คะ คุณจะเป็นเพื่อนกับลูคัส” แค่เขาเอาจมูกเฉียดแก้มไปนิดเดียวถึงกับพูดตะกุกตะกัก

   ไก่อ่อนเอ๊ย

   ผมด่าตัวเองในใจ

   “ตอนแรกฉันก็ไม่มั่นใจหรอก แต่เห็นนายบอกว่าโฮสแดดเป็น CEO แบรนด์ช๊อกโกแลต ประจวบกับลูคัสชวนฉันมากินข้าว ซึ่งเขาบอกว่าเขามีออแพร์ไทยที่ทำอาหารไทยอร่อยมาก ฉันเลยพอเดาออกว่าน่าจะเป็นเธอ”

   “อ๋อ เข้าใจแล้วครับ”

   “คนไทยในเมืองซูริคน่ะ มีไม่เยอะ หาตัวไม่ยากหรอก”

   “ครับ”

   ผมไม่รู้จะตอบอะไร ตอนนี้มึนเสน่ห์ของคนตรงหน้าจนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว คนอะไร Sex appeal สูงมาก ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง รูปร่างไร้ที่ติ

   “แล้วนี่เธอกำลังจะไปไหน”

   “เอ่อ...เข้านอนมั้งครับ” ใจจริงก็อยากคุยต่อนานๆ แต่เกรงว่าไมเคิลจะต้องคุยธุรกิจกับลูคััสต่อ

   “หืม วันนี้คืนวันศุกร์นะ”

   “ผมไม่มีเพื่อนเท่าไหร่ ให้ไปคนเดียวคงเหงาแย่”

   “เธอมีฉันไง”

   “...”

   “ไปขับรถเล่นกันไหม?”



   ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

   เสียงหัวใจเต้นรัว จนผมกลัวว่าคนข้าง ๆ จะได้ยิน ตอนนี้ผมอยู่ในรถออดี้สีดำเปิดประทุน ส่วนคนที่เสนอตัวเป็นสารถีกำลังตัดสินใจเลือกเพลงที่จะเปิดอยู่

   “เอ่อ...ออกมากระทันหันแบบนี้ คนอื่นๆ ไม่ว่าเอาหรอครับ ?” ผมถามหยั่งเชิง เพราะเอริก้าและอิริคยังสนทนาอยู่กับลูคัสและโซอี้ในห้องรับแขก เสียงพูดคุยดังออกมาเป็นระยะ ๆ ในขณะที่ผมลงลิฟต์มากับไมเคิล

   “หืม? ไม่นี่ จะว่าเรื่องอะไรล่ะ? ฉันแค่ขอตัวออกมาก่อน เรื่องธุรกิจฉันคุยไปหมดเรียบร้อยแล้ว อีกอย่าง...ฉันตั้งใจจะมาเจอเธอ...”

   ตึกตัก ตึกตัก

   อะ...อะ อะไรนะ เขาพูดว่าตั้งใจจะมาเจอผมใช่ไหม ผมหูไม่ฝาดใช่ไหม

   ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่รู้สึกได้เลยว่าใบหน้าผมเห่อร้อนจากประโยคเมื่อสักครู่

   “ปกติชอบฟังเพลงแนวไหน?” เขาถาม

   “เอ่อ...จริงๆแล้วอะไรก็ได้ครับ แต่ชอบเป็นพิเศษก็แนว R&B ครับ”

   ไมเคิลพยักหน้ารับรู้ ก่อนเสียงเพลงทำนองเบาสบายในแบบที่ผมชอบจะดังขึ้นมา ไมเคิลสตาร์ทรถ จอเนวิเกเตอร์เลื่อนขึ้นมาจากคอนโซลกล่าวสวัสดีไมเคิลด้วยเสียงของผู้หญิงที่ฟังแล้วดูดีว่า Siri ของ iOS เยอะ ผมหันไปมองแผนที่บนจอที่ผมคิดว่าคงป้อนคำสั่งให้คำนวณเส้นทางได้ แต่เจ้าของรถกลับไม่ได้แตะต้องหน้าจอเลยสักนิด เขาเหยียบคันเร่ง รถยุโรปหรูคันนี้ก็เคลื่อนตัวออกจากโรงจอดรถของลูคัสอย่างสง่างาม

   ด้านนอกมืดแล้ว เวลาตอนนี้คือสามทุ่มกว่า ๆ เสียงครืดๆดังบนหัวทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง พบว่าหลังคารถได้ย้ายลงไปเก็บด้านหลังแล้ว ผมสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆ ยามค่ำคืน สูดอากาศบริสุทธิ์ชุ่มฉ่ำปอด

   ไมเคิลขับรถช้า ๆ แต่ก็ไม่ได้ช้ามาก หากมีรถคันหลังตามมาเขาก็จะหลบขวาให้อีกคันแซงซ้ายขึ้นไป ผมไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน แต่ไม่ว่าเขาจะพาไปที่แห่งใดผมก็พร้อมที่จะไปกับเขาเสมอ

   ระหว่างทางแทบจะไม่มีบทสนทนาเลย แต่ผมก็ชอบที่เป็นแบบนี้ เสียงหัวใจผมจากตอนแรกเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาให้ได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นจังหวะเนิบนาบในอัตราปกติ เราสองคนมานั่งรถเล่นจริง ๆ ไม่ต้องมีจุดหมาย ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ซึมซับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว ได้เห็นวิวอีกด้านของเมืองซูริคตอนกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำ ตัวเมืองที่แม้จะไม่ได้เงียบสงบมากแต่ก็รู้สึกถึงความปลอดภัย

   เราขับชะลอผ่านร้านผับบาร์ชื่อดังเห็นคนต่อคิวเข้ายาวมาก ไมเคิลบอกว่านั่นคือผับประจำของเขา เมื่อก่อนเขามาบ่อย เป็นสมาชิควีไอพีรายปี สามารถเข้าได้เลย เขาถามผมว่าอยากเข้าไปดูไหม

   แต่ผมไม่ได้เป็นวีไอพีนี่ จะเข้าได้ยังไง แค่เห็นแถวก็ท้อแล้ว แถมเหลือบสายตาไปเห็นค่าเข้าผมแทบเป็นลม

   ผู้ชาย 50 chf ผู้หญิง 30 chf

   ว้อททททท ทำไมราคาถึงได้ต่างกันขนาดนี้ล่ะ? ผมพอจะรู้อยู่บ้างว่าผับบางที่เก็บค่าเข้า ราคาหญิงชายต่างกัน แต่มันก็ไม่ได้แพงขนาดนี้ ไมเคิลบอกว่าถ้าไม่ใช่วีไอพีต้องตอบคำถามลับเฉพาะด้วย เพื่อกรองลูกค้า

   การที่เขาชับชะลอจนเกือบจะเป็นการจอดรถหน้าผับ ทำให้การ์ดร่างใหญ่ที่ทำหน้าที่รักษาความสงบตรงประตูเห็นเข้า และเดินมาทักทายอย่างสนิทสนม ผมไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน เพราะเป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแอบชำเลืองมองมาที่ผมนิด ๆ แล้วเซย์ไฮเป็นภาษาอังกฤษ

   “ถ้าคราวหน้าเธอมาคนเดียวก็ตรงมาที่ฉันได้เลยนะ ไม่ต้องไปต่อคิว ฉันให้สิทธิพิเศษในฐานะที่เป็นเพื่อนของไมค์” พูดเสร็จแล้วก็ขยิบตา จากนั้นหันไปคุยกับไมเคิลสองสามประโยคแล้วผละไป ปรากฏกายอีกครั้งพร้อมถุงทรงยาวหรูหรา เขาวางไว้ให้ที่เบาะหลัง

   รถเปิดประทุนสำดำเคลื่อนตัวออกอีกครั้ง

   “มาเอาของเหรอครับ?” ผมถามพลางชำเลืองมองถุงด้านหลัง

   “อืม” ไมเคิลตอบสั้น ๆ ไม่ขยายความใด ๆ ผมไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ

   ไมเคิลขับเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เหมือนเดิม วนหนึ่งรอบย่าน Old town ขับถามริมแม่น้ำ ผมเห็นกลุ่มคนหรือไม่ก็คู่รักมานั่งตามริมแม่น้ำ ดูแล้วสบายตา ไม่วุ่นวายเหมือนอย่างกรุงเทพ

   ขณะที่ผมกำลังใช้สองแขนเท้ากรอบประตูรถ หัวของผมเอนทับแขนทั้งสองข้าง ปากงึมงำตามเนื้อเพลงที่คลอเบา ๆ บางครั้งก็ยื่นมือออกไปรับใบไม้ที่ร่วงหล่น บางทีก็โบกมือให้กับสุนัขที่เจ้าของพาออกมาเดินเล่นยามค่ำคืน

   ไมเคิลไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เพราะช่วงเวลานี้แทบจะไม่มีรถวิ่งผ่าน ยิ่งในตัวเมืองยิ่งน้อย ผมเลยยื่นแขนออกนอกตัวรถได้ตามสบาย หากเห็นแสงจากรถคันอื่นผมก็จะหุบแขนเข้ามาในตัวรถดังเดิม

   ผมแอบลองสังเกตสารถีสุดหล่อ เขาแค่เคาะนิ้วที่พวงมาลัยตามจังหวะเพลง ใบหน้าหล่อเหลาเผลอยิ้มน้อย ๆ สันกรามเห็นเด่นชัด สายตาจดจ้องไปยังถนนข้างหน้า ท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาต้องหนักใจ

   ผมอยากอยู่แบบนี้ไปนาน ๆ ไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสายลมยามค่ำคืนที่ปะทะเข้ากับใบหน้า ไม่ร้อนและไม่หนาวเกินไป จดจำไว้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยออกมานั่งรถเล่นกับคนๆ นี้ ในฤดูร้อนของเมืองซูริค

   ไม่อยากกลับเลย...

   เหมือนคนข้าง ๆ รู้ว่าผมคิดอะไร เขาไม่ได้เลี้ยวรถเข้าสู่เส้นทางบ้านลูคัส แต่กลับหักออกวิ่งเข้าสู่เส้นออโต้บาน (Autobahn) หรือที่คนไทยเรียกว่าไฮเวย์

   ถนนเส้นนี้ไม่จำกัดความเร็ว ดังนั้นไมเคิลจึงกดปุ่มคำสั่งให้หลังคาปิดกลับมาดังเดิมก่อนที่ความเร็วจะพุ่งเข้าสู่ 180km/hr ให้สมกับความแรงของรถ

   “เรากำลังจะไปไหนกันหรอครับ?” พยายามกดเสียงไม่ให้ตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า แต่ทว่าใบหน้าผมคงยิ้ม แสดงสีหน้าดีใจจนไมเคิลตอบแบบยิ้มๆ

   “ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ ชอบนั่งรถเล่นขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ครับ ชอบมากครับ”

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นั่งกับคุณ...

   “ไม่กลัวฉันพาไปฆ่าข่มขืนหรอ?”

   “โห ถ้าโจรเป็นไมเคิลล่ะก็...สมยอมครับแบบนี้ ยอมให้กินทั้งเนื้อทั้งตัว จะชำแหละผมยังไงก็ได้เลยล่ะ” เขาหัวเราะกับคำตอบของผม “จะว่าไป...คุณไม่มีแฟนหรอครับ? ถึงได้ว่างพาผมออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้”

   “กำลังหาอยู่” ไมเคิลยิ้มร้าย ๆ ยังไงไม่รู้ตอนที่หันมาทางผม เล่นเอาความร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว เขาเซ็ตอะไรบนจอเนวิเกเตอร์ก็ไม่รู้ก่อนจะปล่อยพวงมาลัยและหันไปหยิบน้ำดื่มแบบชิล ๆ

   คงเป็นโหมดขับออโต้ล่ะมั้ง

   ขณะที่ผมกำลังสงสัยกับการกระทำของเขา ไมเคิลก็ถามผมขึ้นมาว่า

   “แล้วเธอล่ะ มีแฟนไหม?”

   “ไม่มีครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว “ที่จริงก็ไม่มีมานานแล้วครับ”

   “ทำไมล่ะ?”

   “คือผม...”

   ยังไงดีล่ะ ? จะให้ตอบไปตรง ๆ ว่าชอบผู้ชายอย่างนั้นเหรอ...

   “คือผม...ค่อนข้างเรื่องมากน่ะครับ คงไม่มีใครอยากได้เป็นแฟนเท่าไหร่ อีกอย่างที่โสดอยู่ตอนนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่ แม้จะมีเหงาบ้างบางครั้งก็ตาม”

   “ฉันก็เหมือนกัน ของแบบนี้ต้องศึกษาดูใจกันไปนานๆ”

   เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีก ไมเคิลพาเลี้ยวมายังเส้นทางหนึ่งซึ่งผมอ่านไม่ออก ทางชันขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเขาจะพาผมขึ้นไปยอดเขา บอกตามตรงว่าทางอันตราย ผมแอบหวั่น ๆ ว่าเขาจะพาตกเขา เพราะเส้นทางนี้ไม่มีแสงไฟใด ๆ เลยนอกจากเสาปักที่สะท้อนแสงไฟหน้ารถให้เป็นเส้นทาง

   อันที่จริงถนนหนทางประเทศนี้ไม่มีเสาไฟเลยดีกว่า แต่ในตัวเมืองยังมีแสงสีจากร้านอาหารผับบาร์ แสงจากรถคันอื่นไง แต่นี้เราสองคนเหมือนอยู่ในป่า

   เขาคงไม่ได้พาผมมาฆ่าหมกป่าตามที่พูดเล่นหรอกนะ...

   แต่ก่อนที่ผมจะมีจินตนาการเลวร้ายไปกว่านั้น ไมเคิลหยุดรถที่ไหล่ทาง และบอกให้ผมลงจากรถได้

   ผมแอบถอนหายใจกับตัวเอง อย่างน้อยเขาก็ชำนาญทางพอที่จะไม่ขับเซหรือไม่เห็นทางโค้งซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้

   “Welcome to my favourite place (ยินดีต้อนรับสู่สถานที่โปรดของฉัน)” ไมเคิลเดินนำ ผมก้มหัวผ่านพุ่มไม้ ก่อนจะเบิกตากว้าง ลืมตัวอ้าปากค้างให้กับวิวตรงหน้า

   จากจุดนี้ที่ผมยืนอยู่ทำให้ผมเห็นตัวเมืองซูริค ยอดโบสถ์อันเก่าแก่ แม่น้ำตัดผ่านใจกลาง แสงไฟยามค่ำคืนระยิบระยับ ท้องฟ้าอันมืดมิดที่แม้ผมจะไม่ได้เห็นดวงจันทร์แต่ดวงดาวกลับส่องสว่างเป็นประกาย

   “นี่มัน...สวยมาก ๆ เลยครับ”

   ร่างสูงที่ยิืนข้าง ๆ ผมไม่ได้ตอบอะไร เขาชูแขนบิดตัวปล่อยความเมื่อยล้าที่ต้องขับรถเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะปล่อยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เขาปล่อยให้ผมซึมซับวิวตรงหน้าเงียบ ๆ และก่อนที่ผมจะรู้ตัว เขาพาผมนั่งลงกับพื้นหญ้า ในมือหิ้วถุงทรงสูงที่ได้มาจากการ์ดคนนั้น

   และคำตอบที่สงสัยมานานก็กระจ่าง

   ในถุงคือขวดไวน์ราคาแพงที่ผมไม่รู้ว่าปีไหนหรือควรจะมีรถชาติยังไง ไมเคิลเปิดขวดไวน์อย่างชำนาญด้วยที่เปิดไวน์ หมุน ๆ จุกก๊อกเสียงดังป๊อก แล้วเทลงแก้วไวน์พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งที่อยู่ในถุงนั้นด้วย

   มือแกร่งยืนไวน์มาให้ผม

   “Danke Schön* (ขอบคุณครับ)”

   “Bitte Schön** (ด้วยความยินดี)”

   ผมมองเข้าไปในดวงตาเขาขณะที่เราชนแก้วกัน นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าทอประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า รอยยิ้มน้อย ๆ ของเขาทำเอาผมเบลอไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไวน์หรือผู้ชายตรงหน้ากันแน่

   “ฉันขึ้นมาที่นี่บ่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน กับฤดูใบไม้ผลิ” เขาเอ่ย “มันสงบ เงียบ ห่างไกลผู้คนแต่ก็ยังเห็นความวุ่นวายในตัวเมือง ได้มานั่งคิดอะไรคนเดียวเงียบ ๆ ไม่ต้องมีใครมาคอยตามงาน” ถึงตรงนี้ไมเคิลหัวเราะเบา ๆ

   ท่าทางเขาคงทำงานหนักมากจริง ๆ คงคล้าย ๆ กับลูคัสที่บ้างานจนลืมให้เวลากับตัวเอง

   “ขอโทษนะที่ฉันไม่ค่อยได้ตอบข้อความเธอ”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ตอนแรกก็แอบน้อยใจอยู่หรอก แต่พอมาได้ฟังคำขอโทษจากปากคนตรงหน้าก็เพียงพอแล้วที่จะให้อภัยง่าย ๆ

   “อาหารที่เธอทำอร่อยมาก” ไมเคิลพูดชม

   “ขอบคุณครับ”

   “ถ้ามีโอกาสฉันก็อยากทานฝีมือเธออีกนะ...เธอว่าไง?”

   เดี๋ยวนะครับ ประโยคด้านบนผมไม่ได้คิดในใจนะครับ นั่นไมเคิลเขาพูดด้วยตัวเอง

   “นะ แน่นอนสิครับ! ยินดีอย่างยิ่งเลยล่ะ” ผมตอบอย่างตื่นเต้น “คุณชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ แพ้อะไรรึเปล่า ผักแบบไหนที่กินได้หรือไม่ได้ ชอบเนื้อวัวหรือหมู...”

   “อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่กินได้ก็พอ” ไมเคิลขัดจังหวะผมแบบขำๆ

   “อ่า...ครับ ผมจะทำสุดฝีมือเลย” ผมให้คำมั่น “ว่าแต่วันไหนดีครับ เผื่อจะได้ไปซื้อที่ coop มาไว้ล่วงหน้า”

   “อืมมม...จันทร์ถึงศุกร์เธอไม่ว่างใช่ไหม...เสาร์อาทิตย์หน้าฉันก็ไม่ว่างด้วยสิ ต้องไปคุยธุรกิจที่อเมริกายาวเลย” จากที่เขาพูดมาผมเริ่มหงอยลงเล็กน้อย

   จะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยเหรอ...

   “แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีิอะไรแล้วนะ” เขาครุ่นคิด “เอางี้ไหม วันไหนเธอเลิกงานเร็วบ้าง?”

   “เอ่อ...ส่วนใหญ่ถ้าตารางงานไม่เปลี่ยน ลูคัสจะกลับบ้านไววันพุธครับ แล้ววันนั้นผมจะเลิกเร็วเพราะลูคัสมาช่วยดูแลลูก ๆ ตอนเย็น”

   “งั้นก็วันพุธ เดี๋ยวฉันไปรับที่บ้าน ตกลงไหม”

   “ครับ” ผมยิ้มแป้น

   “เธอลิสต์รายการของที่ต้องซื้อมาแล้วกัน ฉันจะไปซื้อเตรียมไว้ให้”

   “ได้เลยครับ” ผมตอบแล้วยกแก้วไวน์ดื่มจนหมด

   จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก ต่างคนต่างชมอยู่กับห้วงความคิด

   ผมพยายามจำทุกรายละเอียด ณ วินาทีนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด

   อาจจะเร็วเกินไป แต่ผมยอมรับตรง ๆ ว่าตอนนี้ผมชอบไมเคิลมาก ยิ่งเขามาทำดีกับผมแบบนี้ด้วยแล้ว...

   ส่วนเขา...ผมไม่รู้สิว่าเขาคิดยังไงกับผม แอบหลงตัวเองนิดหน่อยว่าเขาคงรู้สึกอะไรกับผมสักอย่าง แต่ที่แน่ ๆ ต้องมีบางสิ่งที่ทำให้เขาพาผมมายังสถานที่แห่งนี้ อาจจะแค่มิตรภาพที่ดี...แต่แค่นั้นผมก็พอใจแล้ว

   ผมดื่มไวน์หมดไปสองแก้ว รู้สึกมึนหัวนิด ๆ แต่ยังสติดีอยู่ ส่วนเขาดื่มไปแก้วเดียวเพราะต้องขับรถ หากมากกว่านั้นก็ไม่สามารถขับรถได้ ซึ่งถ้าเขาขับไม่ได้ ผมขับไม่ได้ ก็คงต้องนอนที่นี่กันทั้งคู่ ฮ่าๆๆๆ

   ว่าแล้วก็เอนตัวลงนอนดีกว่า

   ผมมองท้องฟ้า มองคนข้าง ๆ ที่เอนตัวลงแล้วพูดว่า

   “The darkest nights produce the brightest stars. (ค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดก่อให้เกิดดวงดาวที่เปล่งประกายที่สุด)”















*Danke Schön ภาษาเยอรมัน แปลว่า ขอบคุณ

**Bitte Schön ภาษาเยอรมัน แปลว่า ไม่เป็นไร, ยินดีเป็นอย่างยิ่ง



TBC




มาแล้ววว ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นค่าาาาา

มาช้าแต่มานะ อิอิ



ใครเล่นทวิตฝากแท็ก #AsHePleases  ด้วยนะคะ

ขอบพระคุณค่ะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VI [Sep, 16]
«ตอบ #29 เมื่อ16-09-2019 19:22:16 »

งื้อ คุณไมเคิลคะ  :-[
แอบหวั่นใจนิดหน่อยคุณไมเคิลจะไม่พลิกบทบาทใช่ไหม..

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด