พิมพ์หน้านี้ - As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: ✿PIERRE ที่ 19-07-2018 21:07:00

หัวข้อ: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 19-07-2018 21:07:00

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/4141/images/636978694686140291.jpg)

สวิสเซอร์แลนด์มีอะไรดี?

คำตอบของคนทั่วไปคือ ภูเขา, ทะเลสาบ หรือ ทัศนียภาพที่งดงามจนลืมหายใจ

แต่คำตอบสำหรับผมคือ...ผู้ชายคนนี้...


_________________________________

Warning

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18  ปี

เนื้อหามีความรุนแรง ควรได้รับการแนะนำ

_________________________________

TAG :: #AsHePleases

FACEBOOK :: www.facebook.com/pierre.pixie
TWITTER :: @Pxpierre

หัวข้อ: Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 19-07-2018 21:12:41

I

Time to start a new chapter


   ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

   “ดูแลตัวเองด้วยนะลูก” หญิงสาววัยกลางคนผมสั้นตรงหน้าผมกล่าวทั้งน้ำตาและเข้ามากอดอย่างแนบแน่น

   “ม๊าก็ด้วยนะครับ ถ้าถึงแล้วมีไวไฟเดี๋ยวผมส่งข้อความหา” ผมกอดแม่ที่ร่างเล็กกว่าแล้วยิ้ม ผมไม่อยากร้องไห้ตอนนี้ จะให้มันไหลออกมาไม่ได้ ผมเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะไป ถ้าผมไม่เข้มแข็งพอแล้วแม่จะหายกังวลได้ยังไง

   “โชคดีนะมึง มีอะไรโทรหากูได้เสมอ แต่ขอเวลาไทยนะครับไอ้คุณมิค ไม่ใช่โทรมาตีสาม กูกำลังหลับฝันดี” ไอ้เอิร์ธ เพื่อนสนิทสุดเกรียนที่ติดเกมยิ่งกว่าอะไรดี

   “มึงหลับหรือกำลังโดดร่มเอาดีๆ”

   “สัตว์ รู้ทัน”

   “เตี้ยๆ แบบมึงนี่ไปอยู่โน้นจะไม่ยิ่งกลายเป็นแคระเหรอวะ” อ่าวคุณสิงห์ครับ ปากแบบนี้สงสัยคงอยากให้ผมอยู่ไทยต่อด้วยข้อหาทำร้ายร่างกาย

   เพื่อนๆ ที่มาอำลาผมในวันนี้มีไม่มากหรอกครับ เพราะผมบินไฟลท์เที่ยงของวันอังคาร แต่ละคนก็อวยพร (หรือสาปแช่งก็ไม่แน่ใจ) ผ่านเฟซบุ๊กและวิดิโอคอลกันหมดแล้วเพราะไม่ว่างติดทำงานหาเลี้ยงปากท้องกันหมด ซึ่งผมก็เข้าใจ ไม่ได้รู้สึกน้อยใจแต่อย่างใด

   ตอนนี้ผมเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ได้บรอดดิ้งพาสมาไว้ในมือ จุดหมายปลายทางสู่มหานครซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศที่หลายๆคนใฝ่ฝัน ขนาดตัวผมเองยังไม่คิดเลยว่าจะได้ไปใช้ชีวิตในดินแดนแสนสวยงามแห่งนี้

   ขอเกริ่นก่อนว่าตัวผมชื่อ มิค ชื่อเล่นง่ายๆ ที่ทั้งคนไทยและเทศคงเข้าใจ เรียนจบมาได้ 10 เดือน ระหว่างนั้นไปทดลองงานเป็นเลขาอยู่สามเดือน ณ บริษัทนำเข้าเครื่องจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งก็โอเคนะครับ แต่ทว่าผมกลับรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องทำงานร่วมกับเจ้านาย เลยขอยื่นซองขาวเองดีกว่า อีกอย่างนั้นผมมีเป้าหมายที่จะไปเป็น ‘ออแพร์’ (AuPair) หรือพี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัวต่างชาติเป็นเวลาหนึ่งปีนั่นเอง คำๆ นี้หลายคนอาจจะไม่คุ้นนัก ให้เรียกง่ายๆ ก็คือพี่เลี้ยงเด็กที่อาศัยอยู่กับโฮสแฟมิลี่ กินอยู่ฟรีแถมได้เงินเดือน คล้ายๆ โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่เราต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวต่างชาติ แต่ทว่าหน้าที่หลักคือคอยดูแลจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆ และในเวลาว่างก็จะต้องไปเรียนภาษา ซึ่งค่าเรียนภาษาโฮสแฟมิลี่ก็จะเป็นผู้ออกให้เช่นกัน

   เห็นสวัสดิการดีแบบนี้แล้วขอบอกเลยว่าการจะมาเป็นออแพร์นั้นไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ ต้องมีการเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก ฝึกขับรถ ทำอาหาร ทำงานบ้าน ทำวิดิโอแนะนำตัว สัมภาษณ์ผ่านสไกป์กับโฮสแฟมิลี่ ถ้าคุยโอเคถูกคอก็แมทช์ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการทำวีซ่า ยิ่งผมเป็นผู้ชาย โอกาสที่จะได้มาเป็นออแพร์นั้นน้อยมาก เรียกได้ว่า 98% ของออแพร์เป็นเพศหญิงทั้งหมด ส่วนผมโชคดีที่ได้เป็นหนึ่งใน 2% ของออแพร์เพศชาย

   ออแพร์นั้นมีทั่วโลกครับ แต่มันมีข้อจำกัดของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เช่น เรื่องอายุ เงินเดือน พักร้อน ที่จะต่างกันไป และออแพร์ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยนะครับ ออแพร์สามารถมาจากได้ทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นการแข่งขันแย่งโฮสแฟมิลี่จึงเป็นไปในอัตราที่สูง ยิ่งเราเป็นคนไทยถ้าภาษาอังกฤษไม่คล่องหรือมีคุณสมบัติไม่พอที่จะไปสู้ออแพร์ประเทศอื่นนี่แย่แน่นอน ออแพร์บางคนใช้เวลาหาโฮสแฟมิลี่นานเป็นปีก็มี ส่วนตัวผมใช้เวลาหาโฮส 3 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วมาก จากนั้นรอวีซ่าและเอกสารต่างๆ อีกประมาณ 3 เดือน และในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้ครับ

   ผมกอดแม่และเพื่อนๆ เป็นครั้งสุดท้าย เดินขึ้นบันไดเลื่อนและหันมาโบกมือบ๊ายบายเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอหันหลังกลับเท่านั้นแหละ น้ำตาผมไหลพราก ผมเห็นซีเคียวริตี้เช็คแบบเบลอๆ วางกระเป๋า ถอดรองเท้า เข้าเครื่องสแกน เดินหาเกทแบบสมองไม่รับรู้อะไร อยากจะวิ่งกลับไปหามะม๊า แต่ผมทำไม่ได้ ผมฝ่าฝันทุกอย่าง ดำเนินเรื่องและเอกสารมามากมาย จะหันหลังกลับง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด

   จากความคิดผมอาจจะเหมือนลูกแหง่ ใช่ ผมยอมรับ ผมติดแม่มาก ทั้งชีวิตผมคือแม่เท่านั้น ส่วนพ่อเสียชีวิตไปนานแล้ว ผมอยู่กับแม่มาตลอด ไม่มีพี่น้อง และนี่จะเป็นครั้งแรกที่ต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีแม่ 1 ปีเต็มๆ

   ผมต้องทำได้ อายุ 24 เข้าไปแล้ว จะให้มาอาศัยอยู่กับแม่ไปตลอดมันก็ไม่ใช่

   ‘ถ้ามีปัญหาหรืออุปสรรคให้คิดถึงแม่เข้าไว้นะลูก ยังมีแม่คนนี้คอยเคียงข้างเสมอ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับบ้านเรานะ’

   คำพูดของแม่ยังก้องอยู่ในอยู่ แต่ผมอยากพิสูจน์ตัวเองว่าผมสามารถใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว

   เสียงประกาศเรียกบรอดดิ้งดังไปทั่วเกท ดึงสติผมกลับมาให้อยู่กับปัจจุบัน กระชับพาสปอร์ตและบรอดดิ้งพาสในมือ น้ำตาผมเหือดแห้งไปแล้ว เหลือแต่ความมุ่งมั่นเท่านั้น

   อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมเลือกทางเดินนี้แล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุด เรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์โลกภายนอกให้ได้มากที่สุด





   11 ชั่วโมงอันแสนทรมานบนเครื่องบินผ่านพ้นไป ในที่สุดเสียงประเทศของกัปตันก็พูดขึ้นว่าจะทำการแลนดิ้งในอีก 15 นาทีข้างหน้า ผมที่โชคดีได้นั่งติดหน้าต่าง (แต่ลำบากตอนลุกออกไปฉี่) มองออกไปด้านนอก ก็พบกับทะเลสาบสีเขียวมรกตและบ้านหลังเล็กใหญ่ประปราย

   เมื่อล้อเครื่องบินกระทบสู่พื้น รอสัญญาณจากกัปตัน ปลดเข็มขัดออก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงของประเทศไทย แต่กัปตันบอกว่าตอนนี้คือเวลา 19 นาฬิกาตามเวลาประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผมจึงปรับเปลี่ยนเวลาในโทรศัพท์ให้ตรงตามเขตทามโซนก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าด้านบนและเดินตามคนอื่น ๆ ไป

   ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อเท้าเหยียบเข้าสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์คือเงียบสงบ เงียบจริงๆ ครับ ไม่รู้คนหายไปไหนหมด ผู้โดยสารท่านอื่นที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันส่วนใหญ่เดินเข้าช่องพาสปอร์ตในกลุ่มประเทศเชงเก้น แล้วผ่านด่านตรวจไปได้เลย ส่วนผมน่ะหรอ...คนไทย ต้องไปต่อคิวแถวยาวเหยียดพร้อมกับคุณป้าอีกประมาณ 4-5 ท่าน ซึ่งก็มีคุณป้าชวนผมคุยว่ามาทำไรอะไรที่นี่ อยู่นานแค่ไหน ซึ่งดูจากทรงแล้วป้าคงอยากอวดมากกว่าว่าตัวเองได้มาอยู่ที่นี่แบบถาวรเพราะแต่งงานกับสามีชาวสวิสเซอร์แลนด์ที่รวยมาก มีบ้านสามหลัง และมีลูกติดอายุ 10 ปีซึ่งสามีคนใหม่ยินยอมรับเป็นบุตรบุญธรรมและได้พาสปอร์ตสวิสแล้ว

   ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ถาม คุณป้าท่านเล่าออกมาเอง ตบท้ายว่าถ้าว่างๆ ก็มาเที่ยวบ้านได้ คุณป้าจะทำอาหารไทยให้กิน พร้อมแนบเบอร์โทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย +41 ไว้เผื่อติดต่ออยากไปหา

   ผมมองกระดาษในมือแบบยิ้มๆ ถ้าหากผมไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็อาจจะแวะไปหาคุณป้านะครับ

   ยืนต่อเข้าคิวประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ถามคำถามผมไม่กี่ประโยคก่อนจะปล่อยให้เข้าแบบง่ายๆ ในที่สุดผมก็ได้เข้าประเทศอย่างเป็นทางการสักที

   ระหว่างรอรับกระเป๋าบนสายพาน ผมเชื่อมต่อไวไฟฟรีในสนามบิน ส่งข้อความหาโฮสแดดว่าผมถึงที่หมายแล้ว โฮสแดดอ่านทันทีและตอบกลับมาว่ายืนรออยู่ตรงขาออก ผมโล่งไปเปาระหนึ่ง อย่างน้อยโฮสก็ไม่ทิ้งขว้างให้ผมเรียกบริการรถสาธารณะไปบ้านโฮสเอง

   จากนั้นก็ส่งไลน์หาแม่และเพื่อนๆ ว่าผมถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและกำลังจะไปเจอโฮสแฟมิลี่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

   เมื่อได้กระเป๋าเรียบร้อย ผมเดินตรงไปยังทางที่คนอื่นๆ เขาออกกัน คงเพราะคนไม่เยอะเลยทำให้ผมสังเกตโฮสแดดได้ง่าย อีกทั้งเขายังตัวสูง ดูหล่อเหลา โดดเด่นจากคนอื่นๆ หากไม่ติดว่าผมรู้อยู่แล้วว่าเขามีลูกคงคิดว่ายังเป็นหนุ่มโสดที่มารอรับแฟนสาวที่สนามบิน

   ผมตรงเข้าไปพร้อมกับยิ้มสยามและยกมือไหว้ตามธรรมเนียมไทย โฮสแดดยกมือไหว้กลับแบบแข็ง ๆ พร้อมพูดสวัสดีครับแบบแปร่งๆ

   “Sawadeekrub. Hello Mic! Nice to meet you. How was your flight? How many hours? 11 hours, isn’t it? Hope you are not too tired (สวัสดีมิค ยินดีที่ได้พบเธอนะ การเดินทางเป็นยังไงบ้าง? กี่ชั่วโมงนะ? 12 ชั่วโมงใช่ไหม หวังว่าเธอจะไม่เหนื่อยเกินไป)” รัวภาษาอังกฤษติดโทนต่ำใส่ผมเสร็จก็โน้มตัวลงมากอด ที่ต้องโน้มตัวลงมาเพราะผมไม่ได้เตี้ยนะ แค่โฮสแดดเขาสูงมากตามเชื้อชาติตะวันตกนั่นเอง

   “Hello Lucas, Nice to meet you too. Yes, 11 hours. It was a long flight but I’m ok because I’m so excited to meet your family. (สวัสดีครับลูคัส ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกัน ใช่ครับ 11 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่นานมาก แต่ผมสบายดีครับเพราะว่าผมตื่นเต้นที่จะได้เจอครอบครัวของคุณ)” ผมตอบกลับไปด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แต่ในใจนี่...อยากนอนโว๊ยยยยย ไม่ได้นอนมาจะ 30 ชั่วโมงแล้วมั้ง ที่ยังลืมตาได้นี่เพราะคาเฟอีนช่วยไว้ล้วนๆ

   ลูคัส เฟนนินเกอร์ (Lucas Pfenninger) ชายหนุ่มวัยทำงานอายุ 53 ปี รูปร่างสูงโปร่งประมาณ 190 เซ็นติเมตร มีกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายกลางแจ้งพวกปีนเขา ปั่นจักรยานเสือภูเขา และว่ายน้ำเป็นประจำ นัยน์ตาสีฟ้าตัดขอบสีครามด้านนอก ผมสีบลอนด์ทอง จมูกโด่งแต่คดตรงปลายนิดหน่อย การแต่งกายมาด้วยมาดหนุ่มนักธุรกิจสบายๆ เสื้อเชิ้ตโปโลสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นระดับหัวเข่าสีขาว รองเท้าผ้าใบสีขาวเช่นกัน ซึ่งทั้งสองชิ้นไม่มีรอยเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ตามประวัติลูคัสที่ผมได้อ่านมาพอสังเขป  เขาเป็น CEO ของบริษัทช๊อคโกแลตที่แพงและขายดีที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ ลูคัสเป็นคนสวิสตอนเหนือของประเทศ พูดได้ 6 ภาษา สวิสเยอรมัน เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี รัซเซียและแน่นอนภาษาอังกฤษ

   “You can sleep if you want. It takes 45 minutes from the airport to our house. (ถ้าเธออยากหลับ จะหลับก็ได้นะ จากสนามบินไปยังบ้านใช้เวลาประมาณ 45 นาที)” ลูคัสหันมาบอกผมที่นั่งฝั่งขวา ตอนแรกผมเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มด้วยการไปเปิดประตูฝั่งซ้ายเสียเอง ลืมไปเลยว่าพวกมาลัยของที่นี่มันคนละฝั่งกับที่ไทย ลูคัสถึงกับแซวเลยว่าถ้าอยากขับเดี๋ยวฉันให้ขับวันหลัง วันนี้เป็นวันแรกที่เธอมาถึงคงยังไม่ชินทางเท่าไหร่ ผมนี่เขินเลย

   ระหว่างทางผมสังเกตภูมิประเทศรอบ ๆ จากสนามบินที่ยังไม่มีอะไรมาก จนเริ่มเข้าตัวเมืองที่มีบ้าน อพาร์ทเม้นเป็นตึกไม่สูงมาก ร้านอาหารเริ่มมีพนักงานนำเก้าอี้และโต๊ะออกมาตั้งกลางแจ้ง จากนั้นภาพรอบๆ ตัวผมก็กลายเป็นทะเลสาบน้ำสีเขียวใสราวกับมรกต เบื้องหลังเป็นภูเขาสูง ยอดเขาหายเข้าไปในกลีบเมฆ เป็นภาพที่ผมประทับใจมากทีเดียว
    
      “What a beautiful scenery. (เป็นวิวที่สวยอะไรเช่นนี้)” ลูคัสหันมาพูดกับผมเมื่อเห็นผมยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพ เขายังคงกำพวงมาลัยที่มีโลโก้แบรนด์ออดี้สี่ห่วง “You will stay here for 1 year,I bet you will get bored of this view soon. (เธอจะอยู่ที่นี่เป็นเวลา 1 ปี ฉันพนันเลยว่าเธอต้องเบื่อวิวพวกนี้วันใดวันหนึ่งแน่ๆ)”

   “I don’t think so. I always enjoy when I see a nice view (ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ ผมรู้สึกเพลิดเพลินเวลาที่ได้มองวิวสวยๆ เสมอ)” คราวนี้ผมไม่ได้ตอบเอาใจ ผมตอบตามความรู้สึกจริง ๆ ลูคัสยิ้มเล็กน้อย

   เส้นทางไปยังบ้านโฮสแฟมิลี่นั้นสวยมากจริง ๆ ครับ เพราะลูคัสขับเลียบทะเลสาบไปตามถนน ซึ่งมีรถหรูหลายคันที่สวนทางไปเปิดประทุนรับลม ผมเห็นบางคนย่างบาร์บีคิวในสวน ตามริมทะเลสาบก็มีผู้คนมานั่งตกปลาบ้าง แล่นเรือบ้าง ดูคึกคัก ตอนนี้เป็นฤดูร้อนของที่นี่ ซึ่งตอนเช้าอากาศจะเย็นแต่พอเข้าเวลาสายอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นราว 20 องศา และตอนบ่ายจะเป็นช่วงร้อนที่สุดของวัน บางวันอากาศพุ่งสูงถึง 28-30 องศาก็มี ทว่าหน้าหนาวจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง อากาศจะหนาวมาก ผู้คนจะหลบและหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน

   แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ลูคัสเพิ่งบอก ก็แหม...ผมมาถึงได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง ฮ่าๆ

   ไม่นานนักลูคัสก็เลี้ยวรถเข้าโรงจอดใต้ดิน ผมนี่ตื่นตาตื่นใจมากเพราะรถที่จอดทิ้งไว้นั้นแต่ละคันนี่ไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาทไทย เรียกได้ว่าเป็นโชว์รูมย่อมๆ เลยก็ได้ มีทุกแนว ทั้งสปอร์ต รถยนต์ธรรมดา รถยนต์รุ่นเก่าแต่ยังคงความงาม คล้ายๆรถของดอมินิคโทเร็ตโต้ในฟาสแอนด์ฟิวเรียส ที่ผมอธิบายไม่ถูก บิ๊กไบค์ยังมี ส่วนออดี้คันที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้เป็นรถครอบครัว

   ลูคัสไม่ปล่อยให้ผมได้ชื่นชมความงามของรถแต่ละคัน ตรงไปหยิบกระเป๋าผมทำให้ผมต้องรีบแย่งมาถือเอง แต่ผมสัญญาเลยว่าสักวันจะลงมาชื่นชมดื่มด่ำความงามของรถในโรงจอดนี้ให้ได้

   ผมเดินลากกระเป๋าตามลูคัสไป แต่ทว่าก่อนที่ลูคัสจะผลักประตู ประตูดันเปิดออกเองซะก่อน

   คนที่เปิดออกมาเป็นวัยรุ่นชายอายุน่าจะราวๆ 18-20 ปี รูปร่างสูงโปร่ง นัยน์ตาสีฟ้าสว่าง ผมบลอนด์เข้ม ถอดแบบลูคัสมาเป๊ะ คงจะไม่ผิดว่าเขาคือลูคัสตอนวัยรุ่น หน้าตาหล่อเหลาตามแบบฉบับฝรั่ง เขาสบตากับผมชั่วครู่ก่อนจะคุยอะไรกับลูคัสก็ไม่รู้เป็นภาษาสวิสเยอรมัน ถ้าให้ผมเดานะ

   นี่คงเป็นธีโอ (Theo Pfenninger) ลูกชายคนโตสุดของบ้าน อายุ 18 ปี เรียนอยู่ไฮสคูลปีสุดท้าย

   ผมยิ้มให้อย่างจริงใจ แต่รู้ไหมว่าลูกชายคนโตสุดของบ้านกลับเมินใส่ผม!

   เสียงปลดล๊อครถทำให้ผมหันไปมอง ธีโอเลือกขับ BMW i8 ลูคัสตะโกนอะไรไม่รู้ออกไป แต่คุณชายคนโตไม่สนใจ เสียงล้อรถบดพื้นแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

   “I apologize what he did. That is my oldest son, Theo. (ฉันขอโทษแทนสิ่งที่เขาทำด้วยนะ นั่นลูกชายคนโตสุดของฉันเอง ธีโอ)”

    ผมยิ้มให้ลูคัสแบบแหยๆ ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไปกับพฤติกรรมไร้มารยาทแบบนี้ อย่างน้อยเขาควรจะรู้ว่าผมจะย้ายมาอยู่ด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ควรแนะนำตัวทักทายกันสักหน่อย สั้น ๆ ไม่ถึงนาทีคงไม่ตายหรอกมั้ง

   ผมไม่สนใจอะไรอีก เดินตามลูคัสเข้าไปด้านในและตรงไปยังลิฟท์

   ลูคััสอธิบายให้ฟังว่าที่นี่คืออพาร์ทเม้นที่เขาเหมาซื้อทุกชั้น มีทั้งหมดสี่ชั้นด้วยกัน ชั้นบนสุดเขา ภรรยา และลูกอีกสองคนอาศัยอยู่ ชั้นสามรองลงมาเป็นของธีโอ และชั้นที่ผมจะได้อยู่คือชั้นสอง ทั้งชั้นเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว และชั้นล่างสุดเป็นโรงจอดรถ มีห้องเก็บไวน์ ห้องเก็บของอีกสามห้อง

   ลูคัสกดลิฟท์ชั้นสอง แล้วให้ผมเอากระเป๋าไว้หน้าห้องก่อน เพราะอยากให้ผมไปเจอกับภรรยาและลูกๆ อีกสองคน ผมกลับเข้ามาในลิฟท์อีกครั้ง ลูกคัสกดชั้นสี่ เมื่อประตูลิฟท์เปิดเท่านั้นแหละ...

   เสียงเด็กเบบี้ร้องแหกปากดังลั่น ผสานด้วยเสียงตะโกนอย่างเอาแต่ใจของเด็กผู้ชายอีกคน

   ผมจะไหวไหมเนี่ย...




TBC

 :mc4:
สวัสดีค่ะ นักอ่านทุกท่าน ผู้เขียนชื่อ แพร นะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ที่แพรจะพาไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ และแอบตะลอนยุโรปกันค่ะ

ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ติ ด่า ได้ แต่อย่าแรงนะคะ แพรไม่สตรองพอ 55555

ขอถามเพื่อนๆ นักอ่านนิดนึงนะคะว่าบทสนทนาในเรื่องอยากให้เป็นภาษาอังกฤษแล้วมีภาษาไทยกำกับ (แบบตอนแรกที่แพรลง) หรือเอาเป็นแค่บทสนทนาที่เป็นภาษาไทยอย่างเดียวดีเอ่ย?

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบค่า
หัวข้อ: Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 19-07-2018 22:30:00
Theo is a leading man isn't he?
หัวข้อ: Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 20-07-2018 23:59:01
ภาษาไทยล้วนๆ ก็ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 18-10-2018 17:21:10
II

Host Family
   
   ผมเดินตามลูคัสไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งขอบอกเลยครับว่ามันรกมาก ของเล่นระเกะระกะเต็มพื้น แต่กระนั้นก็ยังพอดูออกว่าอพาร์ทเม้นแห่งนี้หรูหราและคงแพงน่าดู เนื่องจากเป็นอพาร์ทเม้นที่มีกระจกรอบด้านแบบพาโนราม่า สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบ ภูเขา พระอาทิตย์ที่กำลังลับหายขอบฟ้า เป็นภาพที่สวยงามประทับใจสุดๆ และผมจะได้เห็นไปอีกหนึ่งปีเต็ม ตัดกลับมาที่ห้องนั่งเล่น มีโซฟากว้าง โต๊ะทรงกลมคั่นอยู่ตรงกลาง โทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ติดอยู่บนพนัง และมีลำโพงยาวสองตัวขนาบข้าง มองมายังอีกฝั่งก็จะเป็นห้องครัวและโต๊ะทานข้าว แต่ถ้าหากเดินกลับไปยังโถงทางเดินที่ลูคัสกำลังเดินไปนั้น ถ้าให้ผมเดาก็คงเป็นพวกพวกห้องนอนของลูคัสและลูกๆ รวมไปถึงห้องน้ำนั่นเอง

   ลูคัสตะโกนถามภรรยาของตัวเองเป็นภาษาสวิสเยอรมัน และสักพักก็เดินตรงไปยังห้องน้ำ ผมเดินตามไปอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อเดินมาถึงก็พบกับผู้หญิงผมบลอนด์น้ำตาลเข้มคนหนึ่งที่กำลังจับปล้ำลูกชายวัย 7 ขวบให้แปรงฟัน ส่วนเจ้าตัวเล็กวัย 8 เดือนเงียบลงแล้วเพราะได้ของเล่นใหม่คือแปรงสีฟันที่ถืออยู่ในมือ สภาพห้องน้ำทำด้วยหินอ่อนทั้งหมด และแน่นอน....มันรกมาก ผ้าเช็ดตัววางบนพื้น ของเล่นเลโก้อยู่ในอ่างจากุชซี่ ตุ๊กตาหมี วางบนชักโครก แชมพูครีมอาบน้ำทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ทั้งหลายแหล่กระจัดกระจายอยู่ในห้องอาบน้ำแบบฟักบัว เสื้อผ้าของเด็กๆ ที่เพิ่งถอดก็วางสะเปะสะปะอยู่บนพื้น

   “สวัสดีมิค ฉันโซอี้ ยินดีที่ได้พบเธอนะ และขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปรับ พอดีฉันต้องดูแลเด็กๆน่ะ”

   โซอี้ เฮ็กก์ (Zoe Hegg) กล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอเป็นภรรยาของลูคัส อายุ  42 ปี อาชีพทนาย แต่ตอนนี้เธอหยุดงานหนึ่งปีครึ่งเพื่อออกมาเลี้ยงลูก โซอี้เป็นหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง ผมของเธอไม่ใช่สีบลอนด์จ๋า แต่เป็นบลอนด์น้ำตาลเข้มตรงโคนผมและไล่ระดับสีอ่อนมายังปลาย นัยน์ตาสีเขียว ฟันสีขาวเรียงตัวสวย เมื่อโซอี้จัดการแปรงฟันลูกชายคนกลางเสร็จเธอก็ยืนขึ้นและอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน เธอมีรูปร่างสมส่วน ความสูงนั้นเท่าผมพอดี

   แซมมวล เฟนนินเกอร์ (Samuel Pfenninger) ลูกชายคนกลางอายุ 7 ปี เดินมาเกาะขาคุณแม่พร้อมมองผมแบบอายๆ ผมทักทายด้วยรอยยิ้ม และแนะนำตัวตัวเอง แต่แซมมวลกลับตอบผมแค่ว่าสวัสดี ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเข้าใจว่ามันต้องใช้เวลา แซมมวลหรือผมขอเรียกสั้นๆ ว่า แซม เด็กชายคนนี้มีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นแม่คือมีผมสีบลอนด์เข้ม นัยน์ตาสีเขียวไม่ใช่สีฟ้าแบบพ่อ

   และสุดท้ายเจ้าตัวเล็ก เจย์เด็น เฟนนินเกอร์ (Jayden Pfenninger) ลูกชายคนสุดท้องวัยเพียง 8 เดือน ที่กำลังเขินเอียงอายหลบหน้าผมอยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่เช่นกัน เจย์เด็นดูอวบๆอ้วนๆ นิดหน่อยเหมือนเทียบกับเด็กเบบี้ทั่วไป แต่นั่นมันก็ทำให้เจย์เด็นดูน่ารักน่าฟัดเหมือนตุ๊กตา ใบหน้ากลมๆ คอมีเหนียงและพุงยื่นมันทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นเด็กคนนี้ต้องอยากเข้าไปอุ้มและฟัดหอมอย่างแน่นอน

   “วันนี้เธอคงเหนื่อยมาก ลงไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะอธิบายงานให้เธอฟัง หวังว่าเธอจะชอบอาพร์ทเม้นนะ หากขาดเหลืออะไรบอกได้เลย ส่วนคืนนี้ราตรีสวัสดิ์จ้ะ เจอกันพรุ่งนี้ 7 โมงเช้านะ”

   “ครับผม ฝันดีครับ” ผมยิ้มให้โซอี้ก่อนพูดกับแซมและเจย์เด็น “ฝันดีนะแซม ฝันดีครับเจย์เด็น ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

   โซอี้กับลูกๆ เดินเข้าห้องนอนไป ส่วนผมเดินตามลูคัสมายังหน้าประตูลิฟท์อีกครั้ง เราสองคนมาโผล่ที่อาพร์ทเม้นชั้นสองอีกรอบ ลูคัสยื่นกุญแจให้ผมทั้งหมด 4 ดอก คือกุญแจของทุกชั้นนั่นเอง เพราะเวลาประตูลิฟท์เปิดออกก็จะมีประตูบ้านขวางกั้น ต้องใช้กุญแจในการไขเข้าไป

   อพาร์ทเม้นที่อยู่จะมาอาศัยอยู่อีกหนึ่งปีนี้คล้ายๆ กับชั้นบนสุด แต่ทว่าจะไม่มีวิวพาโนราม่าเห็นทะเลสาบและภูเขา แต่แทนที่ด้วยวิวสนามหญ้า ไว้ในเด็กๆ วิ่งเล่น มีแทรมโปลีนขนาดยักษ์วางอยู่ตรงกลาง โกลฟุตบอลสำหรับเด็กวางอยู่สองข้างฝั่ง ลูคัสบอกว่าทั้งชั้นนี้เป็นของผม ผมตาโตและบอกกับลูคัสว่า

   “โห ผมชอบห้องนี้มาก ๆ เลยครับ ขอบคุณนะครับ ผมจะดูแลทำความสะอาดเรียบร้อยให้อย่างดีเลยครับ”

   “ยังไงก็จะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้งอยู่แล้ว แต่มันจะดีมากๆ ถ้าเธอช่วยรักษาความสะอาดไปในตัว...อ้อ บางครั้งธีโออาจจะเข้ามาอ่านหนังสือที่ห้องนั้นนะ แต่ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ชอบเข้ามานอนอ่านหนังสือเล่น เขาไม่รบกวนเธอแน่นอน” ลูคัสชี้ไปยังประตูห้องหนึ่ง พอเปิดเข้าไปก็จะเห็นชั้นหนังสือเรียงไว้อย่างกับห้องสมุดขนาดย่อม มีมุมโซฟาน่ารัก ๆ ข้างหน้าต่าง เห็นวิวสนามเด็กเล่นข้างนอก

   ผมเดินออกไปส่งลูคัสที่ประตูลิฟท์และกล่าวราตรีสวัสดิ์ ขณะที่ผมกำลังลากกระเป๋าเข้าห้อง ประตูลิฟต์ก็เปิดอีกครั้ง

   “อ่ะนี่รหัสไวไฟ ฉันรู้ว่าเธอต้องใช้มัน” ลูคัสยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้ บนนั้นเขียนว่า ‘die Schokolade’

   รหัสคือช็อคโกแล็ตงั้นเหรอ? แต่คงเป็นพิมแบบภาษาเยอรมันสินะ

   ผมขอบคุณอีกครั้ง หันมามองที่กระเป๋า ทีนี้ก็ได้เวลาจัดของ รื้อกระเป๋าสักทีสินะ สิ่งที่ผมเอามามีไม่มากหรอกครั้ง เสื้อผ้านิดหน่อย เพราะผมกะว่าหน้าหนาวยังไงผมก็จะซื้อเสื้อกันหนาวหรือพวกแจ็คเก็ต ถุงมือ ผ้าพันคอที่นี่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่อัดแน่นเต็มกระเป๋าแต่น้ำหนักเบามากนั่นก็คือมาม่า อาหารยังชีพสำหรับคนไทยทุกคน นอกจากนั้นยังมีพวกผงโลโบ้ ผัดกระเพรา แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น ต้มข่าไก่ ซอสผัดไทย น้ำจิ้มสุกี้ น้ำปลา น้ำมันหอย พริกป่น รวมไปถึงขนมกินเล่นเช่น เบนโต๊ะ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ป๊อกกี้

   ผมใช้เวลาสักพักในการจัดของทั้งหมด จากนั้นก็อาบน้ำและเช็คโซเชี่ยลมีเดียทุกช่องทาง ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินตราแกรม ไลน์ และสแนปแชท ใครอยากได้แอดเค้าผมทั้งหมดหลังไมค์มานะครับ บอกเลยว่าในโซเชียลเนี่ย...ผมดังมาก

   ผู้ติดตามเยอะ คนฟอลเยอะเกินแสนคนแน่ ๆ

   อ๋อ เปล่า เปิดเสียงนอตติฟิเคชั้นไว้ดังน่ะ

   ...

   รู้ว่ามันแป้ก แต่อย่ากรอกตามองบนแบบนั้นได้ไหมครับผม ผมเหงา เล่นกับผมหน่อยนะ

   โอเค ผมควรนอน ไปนอนก็ได้ ฝันดีครับ




   เริ่มงานวันแรก ผมตื่นเต้นมาก หรืออาจเกิดจากเจ็ตแล็ค ผมตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าสี่สิบห้า นอนกลิ้งเล่นอยู่บนเตียงจนประมาณหกโมงครึ่งถึงลุกไปแปรงฟันล้างหน้า เมื่อถึงเวลา 6.55 ผมก็เข้าลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุด

   “สวัสดีตอนเช้าครับ” ผมกล่าวทักทายเมื่อเห็นโซอี้กำลังชงกาแฟ

   “สวัสดีตอนเช้าจ้ะ เมื่อคืนหลับสบายไหม”

   “มีอาการเจ็ตแล็คนิดหน่อยครับ แต่สบายมาก”

   “ฉันเข้าใจดีเลยล่ะ รออีกสักสองสามวันร่างการเธอคงปรับตัวกับเวลาของที่นี่ได้”

   “ครับผม...ว่าแต่แซมมวลยังไม่ตื่นเหรอครับ” ถามพร้อมกับมองไปรอบ ๆ เห็นแต่เจย์เด็นที่กำลังเล่นของเล่นอยู่บนพื้น

   “ยังจ้ะ แต่อีกสักพักคงตื่น พอดีช่วงนี้เป็นซัมเมอร์ฮอลลิเดย์น่ะ เลยไม่ต้องปลุกเขา...และด้วยเหตุนี้แหละช่วงสัปดาห์นี้เธออาจจะต้องทำงานหนักหน่อยนะ เพราะต้องดูแลทั้งสองคน แต่ถ้าแซมเปิดเทอมเมื่อไหร่งานก็ไม่หนักแล้วล่ะ” โซอี้ยิ้ม “เอาล่ะ เรื่องงานฉันจะค่อย ๆ อธิบายไปทีละจุดนะ เพราะถ้าบอกเธอทีเดียวคงจำไม่ได้แน่ ฉันเองก็หลง ๆ ลืม ๆ ถ้านึกอะไรออกก็จะบอกเธอเป็นระยะ ๆ”

   “ครับผม”

   “อาจจะต้องใช้เวลาสักนิดนึง แต่ถ้าเธอปรับตัวได้มันก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันโดยอัตโนมัติ เธอจะไม่ต้องจำเลย แค่อาศัยความเคยชิน...อืมมม ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มกันที่อย่างแรกเลยดีกว่า ตอนเช้าเวลา 7 โมงตรงโดยประมาณ เจย์เด็นจะตื่นด้วยตัวของเขาเอง หรือถ้า 7 โมงแล้วเขายังไม่ตื่นก็ไม่เป็นไร ปล่อยเขาหลับไป แต่บางทีเจย์เด็นก็อาจจะตื่นก่อนเวลาเช่น 6 โมงบ้าง ตี 5 บ้าง แต่ฉันจะดูแลเขาเองในช่วงเวลานี้ เธอไม่ต้องห่วง ส่วนแซมมวล ถ้าปกติเวลาไปโรงเรียน เขาจะต้องตื่น 7 โมงตรง ซึ่งรายนี้เธอต้องปลุกเขา แต่อย่างที่บอกไป ช่วงนี้เป็นฮอลิเดย์ เขาสามารถตื่นสายได้ จากนั้นเมื่อเธอปลุกแซมมวลเสร็จ เธอต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุด แต่ปกติแล้วแซมดูแลตนเองได้ เขาโตมากพอที่จะทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เธอแค่ต้องเป็น supervisor จับตาดูเขาว่าแปรงฟันแล้วจริง ๆ ไม่ใช่แปรงสิบวินาทีเสร็จอะไรแบบนี้

   ระหว่างที่แซมกำลังเปลี่ยนชุดเธออาจจะใช้เวลาช่วงนั้นมาเตรียมข้าวกล่องให้แซมมวลสำหรับทานที่โรงเรียน รวมไปถึงอาหารเช้าง่าย ๆ ที่เธอจะต้องเมคชัวร์อีกว่าแซมกินจริง ๆ ซึ่งทั้งหมดที่กล้าวมานี้ต้องเสร็จก่อน 7.45 เลทสุดคือ 8.00 เพราะลูคัสจะขับรถไปส่งแซมที่โรงเรียนและเลยไปทำงาน หลังจากนั้นก็เป็นเวลาดูแลเจย์เด็น...

   สำหรับเจ้าตัวเล็ก กินอาหารเช้าประมาณ 8.10 ซึ่งอาหารเช้าของเขาคือมูสลี่ (Müsli)* 5 ช้อนชา ผสมกับ นมผง 1 ช้อนชา และนมผงสารอาหารอีก 2 ช้อนชา เมื่อเขากินเสร็จก็พาไปเปลี่ยนชุดเป็นชุด daily cloth ซึ่งฉันจะเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำ แต่ถ้าหากเขาอึก่อนกินอาหารแล้วเธออยากจจะเปลี่ยนผ้าอ้อมและเปลี่ยนชุดเขาเลยก็ไม่เป็นไร จากนั้นเธอก็ดูแลเขา เล่นกับเขา ซึ่งระหว่างนี้จริง ๆ แล้วเจย์เด็นเขาเล่นของเล่นด้วยตัวเองได้ เธออาจจะไม่ต้องยุ่งอะไรกับเขาเลย แค่ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติ แต่ต้องมั่นใจว่าเขาต้องปลอดภัย ไม่มีของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ที่เขาอาจจะกินแล้วติดคอตายได้

   เมื่อเธอเห็นว่าเจย์เด็นโอเคแล้ว เธอก็มาตรวจดูความเรียบร้อยทุกห้อง ยกเว้นห้องนอนของฉันกับลูคัส เช่น ผ้าอ้อมทิ้งใส่ถุงพลาสติกแล้วหรือยัง เสื้อผ้าใส่ตระกร้าซัก แซมมวลเก็บเตียงหรือยัง ถ้ายังเธอต้องเก็บให้เขา แต่วันต่อไปเธอต้องกำชับเขาตอนตื่นทันทีว่าเก็บเตียงด้วย จากนั้นก็เป็นห้องครัวเป็นหน้าที่ของเธอเช่นกัน เก็บทำความสะอาดหลังอาหารเช้าเด็ก ๆ เอาจานชามออกจากเครื่องล้างจานเก็บให้เข้าที่ ทำความสะอาดเก้าอี้เด็ก และโต๊ะทานข้าว จากนั้นก็มาดูผ้าในห้องซักผ้าว่าต้องพับรีดหรือเอาเข้าเครื่องไหม อ้อ เกือบลืม ตอนช่วงเวลา 10 โมงเธอจะต้องพาเจย์เด็นนอนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะจ้ะ และพอถึงเวลาเที่ยง เธอต้องป้อนข้าวเขา ก็เป็นพวกผักปั่นต่าง ๆ เธอทำอาหารให้ตัวเองไปด้วยก็ได้ อาจจะกินพร้อมเจย์เด็นเลยก็ได้

   จากนั้นเวลาบ่ายโมงตรงฉันจะมารับช่วงต่อเองจ้ะ เธอสามารถพักเบรคช่วงบ่ายได้จนถึง 16.30 ซึ่งเป็นเวลาที่แซมมวลจะกลับจากโรงเรียน ถ้าวันไหนเขามีคลับก็อาจจะเป็นห้าโมงครึ่ง เธออยู่กับเขาและดูแลเจ้าตัวเล็กไปด้วย แซมจะเปลี่ยนชุด ล้างหน้าล้างมือ เขาสามารถกินขนมได้ระหว่างนี้ เขาอาจจะออกไปเตะบอล เล่นบาส ทำการบ้าน หรืออะไรก็แล้วแต่ จนประมาณ 18.30 เราจะเริ่มมื้อเย็นกันจ้ะ โดยปกติถ้าเธอดูแลเด็ก ๆ ฉันจะทำอาหาร แต่ถ้าหากฉันดูแลพวกเขาเอง เธอก็มาทำอาหารแทนฉัน เมื่อรับประทานมื้อเย็นกันเสร็จเธอต้องพาเจย์เด็นเข้านอน ส่วนแซมมวลลูคัสและฉันจะดูแลเอง และนั่นคือเวลาเสร็จงานของเธอจ้ะ...”

   ผมนั่งนิ่งอึ้ง...

   จะจำหมดได้ยังไงวะเนี่ย !?

   เหมือนโฮสมัมของผมจะอ่านสีหน้าของผมออก โซอี้รีบพูดต่อว่า

   “ที่พูดไปมันเยอะ แต่ทว่าพอได้ทำจริง ๆ แล้วมันแทบไม่มีอะไรเลย แค่ต้องใส่ใจในรายละเอียด มันต้องใช้เวลาสักนิด แต่ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำได้”

   โซอี้พูดให้กำลังใจ ทว่าหากฟังความหมายดี ๆ มันคือการกดดันนี่เอง

   “ครับผม ผมจะทำให้ดีที่สุด หากผมทำอะไรผิดพลาดไป ตักเตือนได้เลยนะครับ”

   “จ้ะ บางทีตัวฉันเองก็พลาดเหมือนกัน ยิ่งลูคัสนะ...รายนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจย์เด็นใส่ผ้าอ้อมเบอร์อะไร” ประโยคหลังภรรยาคนสวยพูดเสียงเบา กลัวสามีตัวเองได้ยิน ผมขำนิดหน่อย

   ผมเข้าใจนะสิ่งที่โซอี้อธิบายมาทั้งหมด นั่นคืองานออแพร์พี่เลี้ยงเด็กจริง ๆ ผมอ่านประสบการณ์ของออแพร์บางคนที่แชร์ให้คนอื่นฟังในกลุ่มเฟซบุ๊ค บางคนก็โดนใช้แรงงานทาส บางคนโดนเอาเปรียบทำงานเกินชั่วโมงที่กำหนด แต่โฮสไม่ยอมจ่ายเอ็กซ์ตร้าให้ บางคนเป็นออแพร์แต่แทบไม่ได้ดูแลเด็กเลย เหมือนมาเป็นแม่บ้านมากกว่าก็มี โดนโฮสเด็กใส่ร้ายตบตีก็มีเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นผมว่าการแมทช์กับโฮสมันขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและการตอบคำถามตอนสัมภษณ์ของแต่ละคน 50% อีก 50%  คือดวงล้วน ๆ เพราะโฮสบางบ้านตอนสัมภาษณ์ก็ดูดี แต่พอมาอยู่ด้วยแล้วจริง ๆ กลับกลายเป็นอีกแบบ ไม่เหมือนอย่างที่คุยกันไว้

   ส่วนตัวผมที่เลือกบ้านนี้ก็เพราะมีตัวเลือกน้อย สัมภาษณ์มาแค่สามบ้าน สองบ้านแรกสัมภาษณ์แล้วเงียบหาย บ้านเฟนนินเกอร์นี้เป็นหลังที่สาม ซึ่งผมกดดันมาก เพราะบ้านหลังนี้มีออแพร์มาแล้ว 3 คน ทุกคนที่เคยเป็นให้ 5 ดาวและยืนยันว่าครอบครัวนี้น่ารัก แฟร์ เท่าเทียม ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนเอาเปรียบและให้เงินเอ็กซ์ตร้าเยอะมาก ดังนั้นเป็นเหตุให้หลาย ๆ คนที่อยากจะเป็นออแพร์อยากมาอยู่กับครอบครัวนี้เช่นกัน เอเจนซี่บอกกับผมแบบตัดความหวังมากว่า

   ‘น้องมิคคะ อาจจะต้องทำใจหน่อยนะคะ เพราะครอบครัวนี้มีผู้สมัครและสัมภาษณ์กับโฮสแฟมิลี่มากถึง 8 คนค่ะ’

   ผมนี่เข่าแทบทรุด ตอนสัมภาษณ์ทางสไกป์ผมไม่หวังอะไรทั้งนั้น ผมตอบตามความเป็นจริง ไม่ตอบคำถามเว่อร์วังอวยตัวเอง อีกทั้งผิดหวังมาแล้วสองครอบครัว คิดว่าผิดหวังอีกสักครอบครัวจะเป็นไรไป อีกทั้งผมยังเป็นเพศชาย ซึ่งมีน้อยมากอย่างที่บอกไปแต่แรก ตอนเอเจนซี่ส่งอีเมลล์มาบอกผมว่าแมช์กับครอบครัวนี้ ผมจึงรู้สึกประหลาดใจและดีใจมาก ๆ ที่ครอบครัวเฟนนินเกอร์เลือก

   ดังนั้นผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังที่เลือกผมโดยเด็ดขาด

   *Müsli หรือ Cereal เป็นอาหารเช้าประกอบไปด้วยข้าวโอ๊ตชนิดเกล็ด (rolled oats) และส่วนประกอบอื่น ๆ รวมไปถึงธัญพืช ผลไม้สดและแห้ง เมล็ดพันธุ์และถั่ว และอาจผสมกับนมวัว นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์





   วันนี้เป็นวันแรก ผมค่อย ๆ เรียนรู้งานจากโซอี้ทีละจุด ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เจย์เด็นยังไม่อยากให้ผมอุ้มสักเท่าไหร่ พอจะจับแขนทีไรก็แหกปากร้องไห้จนผมทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนเป็นคนใจร้ายที่ทำเด็กร้องไห้ ส่วนแซมมวลนั้นง่ายกว่ามากเพราะเขาโตแล้ว แซมมวลเป็นเด็กชายที่ใจร้อน พูดไม่คิด พูดเร็ว ไม่ยอมใคร ไม่ชอบความพ่ายแพ้ กวน ๆ ตามประสาเด็กผู้ชาย แต่ทว่ายังดีที่ยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น ผมสังเกตเขาได้จากการเล่นเกมเศรษฐี (Monopoly) ซึ่งเขาจะคอยหาวิธีทำให้ตัวเองชนะ ผมไม่ได้บอกว่าโกงนะ ถ้าโกงคือต้องโยนลูกเต๋าได้เบอร์ 4 แต่บอกตัวเองได้เบอร์ 6 เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโดนจ่ายเงินที่ช่องของผมบนกระดาน แต่สำหรับแซมมวลนั้นเป็นอีกแบบ

   “เฮ้ มิค จ่ายเงินผมมา 10 ฟรังสิ มิคจะได้เดินต่อได้” เขาพูดเมื่อผมตกลงช่องติดคุกพร้อมแบมือ หมายเหตุนอกจากเขาจะเป็นผู้เล่นแล้วเขายังชอบเป็นธนาคารอีกด้วย

   “ฉันไม่จ่ายหรอก ฉันอยากติดคุก”

   “ทำไมล่ะ แค่จ่ายเงินก็ได้ออกจากคุกแล้ว” เขายังไม่ยอมแพ้ พร้อมจ้องช่องบนกระดานที่มีบ้านหลังสีแดงวางเรียงรายต่อจากช่องติดคุก มีเพียงช่องเดียวที่เว้นว่างยังไม่มีใครตกลงช่องนั้น

   บ้านสีแดงคือบ้านของแซมที่เขาซื้อไว้แล้วนั่นเอง

   “ฉันรู้นะว่าเธออยากให้ฉันจ่ายเพราะจะได้ทอยเต๋าต่อแล้วตกลงที่ช่องของเธอ”

   มิคแสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยที่ผมรู้ทัน

   “งั้นมิคก็เป็นคนเลวสินะ เพราะคนเลวอยู่ในคุก”

   ผมอึ้งไปเล็กน้อย แซมพูดด้วยท่าทางจริงจังเหมือนผมเป็นคนเลวจริง ๆ แต่ผมพยายามไม่คิดอะไรมาก แล้วตอบกลับว่า

   “งั้นเธอเป็นคนที่เลวกว่าเพราะยอมติดสินบนจ่ายเงินเพื่อให้ได้ออกจากคุก”

   โหยยย...นี่แค่เล่นเกมเศรษฐีนะ ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้

   คงเพราะแซมมวลอยากชนะเลยทำให้เขาจริงจังมากเกินกว่าเหตุ ผมเลยจริงจังตามไปด้วย

   ไม่ได้...ผมจะให้เด็ก 7 ขวบมาควบคุมอารมณ์ไม่ได้

   “ว่าแต่...เธอชอบสีแดงเหรอ เห็นข้าวของในห้องส่วนใหญ่เป็นสีแดงหมดเลย” ผมเปลี่ยนเรื่อง

   “ใช่ แล้วมิคล่ะ?”

   “ฉันชอบสีเขียว...มิน่าล่ะ เธอถึงเลือกตัวเดินกระดานสีแดง”

   “มิน่าล่ะ เธอถึงเลือกตัวเดินกระดานสีเขียว”

   “นี่ล้อเลียนฉันเหรอ ?”

   “นี่ล้อเลียนฉันเหรอ ?”

   เอาล่ะไง...โดนเด็กกวนตีนใส่ แซมมวลเลียนแบบผมทั้งคำพูดและท่าทาง ผมขำที่เขาเลียนแบบไม่หยุด แต่สักพักแซมมวลก็เลิกไปเองเพราะโซอี้เรียกผมไปช่วยในครัวเพื่อเตรียมมื้อเย็น



อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: As he pleases ● Chapter Ⅰ [July 19]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 18-10-2018 17:22:36
   ผมเดินมาที่ครัวโซอี้บอกให้ผมเตรียมโต๊ะอาหาร

   “แซมมวลไปล้างมือแล้วโทรเรียกธีโอให้ขึ้นมากินข้าวหน่อยลูก...มิคจ้ะ ช่วยจัดโต๊ะอาหารหน่อยนะ ผู้ใหญ่ 4 เด็ก 1 และลากเก้าอี้เบบี้มาไว้ข้าง ๆ เธอด้วยจ้ะ เพราะเดี๋ยวฉันจะลองให้เธอป้อนข้าว”

   เก้าอี้ของเจย์เด็นเป็นแบบของเด็กเล็ก ส่วนแซมมวลใช้เก้าอี้ปกติแบบผู้ใหญ่นั่ง ผมเดินไปหยิบผ้ารองจาน จาน แก้วน้ำ ผ้าเช็ดปาก มีดกับส้อม ช้อนใหญ่และช้อนเล็ก จากนั้นจัดเรียงตามแบบสากล

   ดีนะที่ผมเคยเรียนตอนอยู่มหาลัยมาเรื่องการรับประทานอาหารบนโต๊ะ มารยาทในการเข้าสังคม ผมจึงมีความรู้ติดตัวอยู่หน่อยบ้าง ตอนนั้นก็คิดว่าจะเรียนไปทำไม กินข้าวก็แค่ตักใส่ปาก แต่พอมาวันนี้ได้มีโอกาสร่วมโต๊ะแบบสากลก็รู้สึกขอบคุณอาจารย์ผู้สอนวิชานั้นขึ้นมาทันที จำได้ว่าตอนเรียนมีการสอนเรื่องตักซุป โดยปกติคนทั่วไปก็จะตักซุปใส่ช้อนแล้วเกลี่ยน้ำซุปหลังช้อนออกเข้าหาตัว แต่ความจริงแล้วมารยาทคือเราควรเกลี่ยน้ำซุปหลังช้อนออกโดยหันตูดช้อนตรงข้ามกับเรา เพื่อที่สมาชิกร่วมโต๊ะอาหารจะได้ไม่เห็นคราบสกปรกบนช้อน รวมไปถึงการรับประทานสลัด ที่หากมีผักสลัดใบใหญ่ ให้พับแล้วนำส้อมจิ้ม แต่ผักจะคลี่ออก ดังนั้นเราจึงควรจิ้มแครอท แตงกวา หรือเนื้อต่อเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผักคลี่ออก อีกทั้งยังเป็นการรับประทานผักและเนื้อไปพร้อม ๆ กันเพื่อตัดรสชาติในปาก

   กลับมาที่ปัจจุบัน เสียงประตูลิฟต์เปิดออก คนที่มาใหม่ไม่ใช่ใครแต่เป็นลูกชายคนโตสุดนั่นเอง

   “สวัสดีตอนเย็นธีโอ” ทักทายตามมารยาท แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจมารยาทสักเท่าไหร่นัก

   ธีโอคุยกับโฮสมัมเป็นภาษาสวิสเยอรมัน เหมือนจะถามไถ่อะไรสักอย่าง ทำหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วเขาก็นั่งลงตรงข้ามผม

   ผมไม่สนใจ ป้อนข้าวเจ้าตัวเล็กต่อ ดูเหมือนเจย์เด็นจะไม่สนใจว่าใครป้อนข้าวให้ ขอแค่ให้ได้กินก็พอ

   “อ๊า อ๊า มะ มะ อ๊ะ น่ำ แอ๊ะ” เสียงเด็กเบบี้ร้องไม่เป็นภาษา ทำเอาผมยิ้ม เจย์เด็นมีความสุขที่ได้กิน

   เมื่ออาหารพร้อม โซอี้ยกพาสต้าและน้ำซอสวางไว้ตรงกลางโต๊ะ ผมรอให้ทุกคนตักเสร็จผมจึงตักพาสต้าใส่จานตัวเองบ้าง

   “เธอทำอาหารไทยเป็นใช่ไหมมิค” ลูคัสถาม

   “ใช่ครับ แต่ผมไม่มั่นใจว่าจะหาวัตถุดิบได้ที่ไหน แล้วอีกอย่างรสชาติอาจไม่ถูกปากด้วยครับ”

   “ไม่เลย พวกเราชอบอาหารไทยมาก ใช่ไหมแซม ใช่ไหมธีโอ”

   “ใช่ ผมชอบแกงเขียวหวานมาก” แซมสนับสนุน ส่วนคนโตสุดไม่ตอบอะไรนอกจากจิ้มพาสต้าเข้าปาก

   “มีร้าน Asia shop ตรงใจกลางเมืองอยู่หลายร้าน แต่ที่ใกล้บ้านเราที่สุดก็นั่งรถเมล์หรือแทรมไปสามสี่ป้าย” โซอี้บอก

   “ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นว่าง ๆ ให้ผมได้โชว์ฝีมือการทำอาหารไทยให้ทุกคนทานนะครับ”

   “แอ๊ะ แอ๊ะ นั่ม นั่ม อ๊ะ แอะ”

   “เห็นไหมเจย์เด็นก็อยากลองอาหารไทยฝีมือมิค ฮ่า ๆ” คนแม่พูดติดตลกเมื่อเห็นลูกคนเล็กร้องขึ้นมาได้จังหวะพอดี

   ผมตักพาสต้าใส่ปากตัวเอง แล้วป้อนข้าวเจย์เด็นสลับไปมา จนเจย์เด็นกินหมด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะมีกระเพาะอาหารที่ใหญ่กว่าตาเห็น เพราะเขายังร้องไม่หยุด พร้อมยกมือชี้นิ้วไปที่พาสต้าของผม

   “เธอสามารถให้เขาทานพาสต้าได้นะ ยกเว้นซอส” เมื่อโซอี้อนุญาตแล้วผมเลยหยิบพาสต้าส่วนที่ไม่มีซอสจากจานตัวเองให้เจย์เด็น เขารับมันไว้ในมือและนำใส่ปาก

   เจย์เด็นดูท่าจะไม่อิ่มง่าย ๆ เขายังคงร้องเรียกความสนใจจากทุกคน ผมเลยหยิบพาสต้าให้อีกหลาย ๆ ชิ้น วางไว้หน้าเขา ให้เขาหยิบกินเอง ดูเหมือนเจยเด็นจะสนุกกับการกิน

   ผมชอบที่ได้เห็นวิวัฒนาการของเด็กวัยนี้ เพราะมันสามารถสร้างความประหลาดใจให้ผมได้เสมอ

   หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ ผมช่วยโซอี้เก็บโต๊ะ ส่วนลูคัสช่วยเก็บนิดหน่อยแล้วเดินไปคุยโทรศัพท์ ธีโอบอกฝันดีและจุ๊บแก้มแม่ตัวเองหนึ่งครั้ง บอกฝันดีลูคัสกับแซมแล้วเดินไปที่ลิฟต์

   “ช่วงเวลานี้แซมจะเล่นกับพี่ชายเขากับลูคัสด้วยกันสามคนหลังกินอาหารเสร็จ ส่วนฉันจะไปเปลี่ยนชุดนอนให้เจย์เด็นและพาเขาเข้านอน ประมาณ 19.30 ส่วนเธออาจจะทำความสะอาดครัวหรือพาเจย์เด็นเข้านอนแล้วแต่สถานการณ์ แต่วันนี้เธอมากับฉันก่อน มาเรียนรู้ว่าฉันพาเจย์เด็นเข้านอนยังไง”

   วิธีพาเด็กวัยนี้เข้านอนไม่มีอะไรซับซ้อนมาก แค่ชงนมแล้วให้เจย์เด็นดูดนม ระหว่างนั้นด็ค่อย ๆ ลูบหัวเขาไปด้วย

   “เจย์เด็นเป็นเด็กที่อ่านง่าย อย่างถ้าเขาเอานุกกี้ (Nuk)* ออกจากปากนั่นหมายความว่าเขาต้องการดูดนมต่อ แต่ถ้าเขาไม่ต้องการแล้วเขาจะหยิบนุกกี้ใส่ปากตัวเอง” โซอี้อธิบาย “เธอไม่ต้องรอให้เขาดูดนมจนหมดขวดหรือลูบหัวจนกระทั่งเขาหลับนะ เธอแค่คอยดูว่าเขาโอเคแล้ว เธอก็ออกจากห้อง ปิดประตู แง้มไว้นิดหน่อย และเงี่ยหูฟังเสียงสักระยะ เจย์เด็นสามารถหลับได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าหากเขาร้องไห้ขึ้นมา ปล่อยเขาร้องประมาณ 30 วินาที ให้เขาหยุดและหลับไปเอง แต่ถ้าเกินกว่านั้นเธอต้องเข้าไปกล่อมเขาและให้นมใหม่ เพราะเขายังอาจจะยังต้องการนมเพิ่ม”

   ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ มือหนึ่งถือขวดนมให้เจย์เด็นดูด อีกมือหนึ่งลูบหัวกลม ๆ ที่กำลังดูดนมอย่างตั้งใจ

   โซอี้ให้สัญญาณว่าผมควรออกจากห้อง ผมกระซิบบอกฝันดีกับเจ้าตัวเล็ก แล้วค่อย ๆ ย่องออกมา

   เราทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูเพื่อเงี่ยฟังเสียง ผ่านไปประมาณ 5 นาทีเจ้าตัวเล็กก็ร้องขึ้นมา แต่ทว่าเขาก็เงียบสงบลงไปเอง ผมแง้มประตูเข้าไปดูนิดหน่อย พบว่าเจย์เด็นหลับตาพริ้มราวกับเทวนาตัวน้อย ๆ ไปเสียแล้ว

   “เป็นอย่างไรบ้างจ้ะงานวันแรก” โซอี้ถามผม ในขณะที่เดินมายังห้องครัวเพื่อทำความสะอาดส่วนที่ยังค้างไว้

   “สบายมากครับ” ผมตอบตามความจริง “แต่ผมอาจจะยังต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้กิจวัตรประจำวัน”

   “ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ฉันเชื่อว่าไม่นานเธอต้องเข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีแน่ ๆ และเธอจะทำทุกอย่างได้โดยที่ไม่มีฉัน” โซอี้ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมอธิบายไม่ถูก คือคำพูดของเธอดูเหมือนจะหวังดีแต่ประสงค์ร้าย...ไม่ใช่สิ ประสงค์ให้ทุกคนทำตามที่เธอต้องการเสียมากกว่า

   “ตารางงานเธอจะคล้าย ๆ แบบนี้ทุกวัน ในตอนเช้าฉันจะเคลียงานเรื่องลูกความ เอกสารต่าง ๆ เธอก็ดูแลเจย์เด็นไป ส่วนตอนบ่ายเธอสามารถพักได้ จนถึงเวลาแซมกลับจากโรงเรียนและรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน เธอหรือฉันพาเจย์เด็นเข้านอนและเก็บครัว เป็นอันเสร็จงานจ้ะ” โซอี้ทบทวนให้ผมฟังอีกครั้ง

   “เธอมีคำถามอะไรไหมจ้ะ”

   “เรื่องบัตรประชาชน ...”

   “อ๋อ พรุ่งนี้ฉันจะพาไปจ้ะ เพราะเธอต้องมีบัตรประชาชนภายในหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นฉันจะพาเธอไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อโอนเงินเดือน และพาไปทำบัตรรถขนส่งสาธารณะหรือที่เรียกว่า Swiss Pass เธอจะได้ส่วนลด 50% ในการซื้อตั๋วรถขนส่งสาธารณะทุกประเภทและนั่งรถไฟฟรีตั้งแต่ 7 pm - 7 am และนี่...คือซิมโทรศัพท์ เธอสามารถโทรฟรี และอินเตอร์เน็ตฟรี ไม่ต้องห่วงค่าใช้จ่าย ฉันออกให้จ้ะ”

   “ขอบคุณมาก ๆ ครับ” ผมรับซิมโทรศัพท์มาไว้ในมือ

   “ส่วนเรื่องเรียนภาษา เธออยากเรียนภาษาอะไรเหรอจ้ะ สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ไม่ง่ายในการใช้ชีวิตเพราะมีภาษาราชการด้วยกันถึง 4  4 ภาษา ได้แก่ เยอรมัน ซึ่งคนจะพูดเยอะสุด คิดสัดส่วนเป็น 70% รองลงมาคือ อิตาเลียน และฝรั่งเศส ตามลำดับ”

   “เยอรมันครับ”

   “โอเคจ้ะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าหลังโรงเรียนแซมมวลเปิด เธอสามารถไปเรียนระหว่างวันได้ แต่ภาษาเยอรมันที่เธอจะได้เรียนมันแตกต่างกับท่ี่คนสวิสพูดอยู่สักหน่อยนะจ้ะ เธออาจจะสับสนหากได้ยินพวกเราคุยกัน”

   เรื่องนั้นผมก็พอรู้ว่าอยู่บ้างว่าคนสวิสที่พูดเยอรมันจะออกเสียงต่างจากภาษาเยอรมันทั่วไป

   โซอี้บอกตารางงานในวันพรุ่งนี้ว่าผมจะต้องทำอะไรบ้าง จากนั้นผมก็บอกลาและลงมายังชั้นของผม ทว่าในขณะที่ผมกำลังไขกุญแจเพื่อเปิดประตูนั้น ดันมีคนเปิดประตูออกมาเสียก่อน

   “อ้าว ธีโอ” ผมทัก แต่ก็เหมือนเดิม เขาไม่ตอบผม

   ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนในสายตาเขา

   ผมไม่สนใจ คิดซะว่ายังไงเราคงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมายอยู่แล้ว หน้าที่ผมคือดูแลแซมมวลและเจย์เด็น ไม่ใช่คนพี่ตัวโตเป็นควายแต่สมองคิดไม่ได้อย่างธีโอ

   เพียงแต่คนอาศัยบ้านเดียวกัน ต้องกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารกัน อย่างน้อยก็ควรจะทักทาย พูดคุยกันสักเล็กน้อยไม่ดีกว่าหรือไง หรือว่าธีโอมีปัญหาด้านการเข้าสังคม

   ผมได้แต่คิดไปต่าง ๆ นานา สุดท้ายคิดไปก็เท่านั้น มันเรื่องของเขา มาคิดกันดีกว่าว่าสุดสัปดาห์ที่ผมจะได้หยุดนี้มีที่ไหนน่าไปบ้าง

   สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยทุกมุม ไม่ว่าพื้นที่ไหน ภูเขา ทะเลสาบ อะไรก็งดงามไปหมด ผมมีเวลาเรียนรู้และสำรวจประเทศนี้ทั้งปี ดังนั้นค่อย ๆ เริ่มจากใกล้ ๆ ก่อนดีกว่า

   พอเซิสข้อมูลแล้วพบว่าในซูริคมีภูเขาเล็ก ๆ ชื่อว่า Uetilberg เหมาะสำหรับมือใหม่เริ่มการเดินขึ้นเขาอย่างผม

   ทว่าผมคงต้องไปคนเดียว เพราะผมยังไม่รู้จักใครสักคนเลย

   หืม ? ทำไมไม่ลองชวนคนที่เพิ่งเจอกันแต่ไม่ยอมแม้แต่จะทักผมกลับน่ะเหรอ ? ...

   เหอะ! ผมยอมไปคนเดียวซะดีกว่า






   “มิคจ้ะ วีคเอนนี้มีแพลนยังไงเหรอจ้ะ” โซอี้ถามระหว่างที่เราทุกคนพร้อมหน้ากำลังทานอาหารเย็นวันศุกร์

   “ผมกะว่าจะไปปีนเขาน่ะครับ เห็นว่ามีภูเขาไม่ไกลจากซูริค นั่งรถไฟไม่ถึงชั่วโมง” ผมตอบขณะที่ป้อนข้าวเจย์เด็นไปด้วย

   “ใช่ Uetilberg รึเปล่า?” ลูคัสถามบ้าง

   “ใช่ครับ”

   “ที่นั่นวิวสวยมากนะ ฉันชอบ แถมเหมาะกับคนเพิ่งเริ่มปีนเขาอย่างเธอ” โฮสแดดสนับสนุน

   “ว่าแต่เธอจะไปคนเดียวเหรอจ้ะ? มีเพื่อนมั้ย?” โฮสมัมถามอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ว่าผมเพิ่งมาถึงได้สามวันและยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน

   “เอ่อ...ผมคงไปคนเดียวน่ะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นให้ธีโอไปด้วยไหม เขาเคยไปที่นั่นมาแล้ว ให้เขาพาเธอเที่ยวในเมือง เป็นไกด์แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ในซูริคก็ได้” โซอี้เสนอ

   “นั่นสิ มิคจะได้มีเพื่อนสำรวจเมือง พอเขารู้เส้นทางหรือการนั่งแทรม รถไฟ รถบัส ทีหลังเขาจะได้ไปเองได้...นับว่าเป็นไอเดียที่ดีนะ” ลูคัสเห็นด้วย

   มีแต่ผมกับคนตรงข้ามนี่แหละ ที่หยุดการกินชะงัก และแสดงท่าทางชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย

   “พ่อครับ เสาร์นี้ผมมีนัดแล้ว”

   “แกเพิ่งบ่นกับฉันว่าเสาร์นี้ว่างมาก ไม่มีอะไรทำเพราะพวกเพื่อนแกหยุดฮอลิเดย์ไปเที่ยวกันหมด” คนเป็นพ่อสวนกลับ

   “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นตามนี้นะจ้ะ ฝากด้วยนะธีโอ พามิคเปิดหูเปิดตา” โซอี้ยิ้มให้ลูกชายคนโตแบบที่เขาต้องยอมรับชะตากรรม

   ส่วนผมก็ได้แต่พูดขอบคุณตามน้ำไปก่อน ทว่ากะรอเวลาหลังทานข้าวและทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมจะลงไปคุยกับเขาว่าผมสามารถไปคนเดียวได้ เขาไม่ต้องฝืนมากับผมเลย

   หลังเสร็จงาน ผมเข้าลิฟต์และกดชั้นสาม ผมเคาะประตูเพื่อให้รู้ว่ามีคนเข้ามาพร้อมตะโกนเรียก

   “เฮ้ ธีโอ อยู่ไหม”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

   ถ้าอย่างนั้นขอถือวิสาสะเข้าไปเลยละกันนะ

   ผมเดินเข้าไป ชั้นของธีโอมีความเหมือนกับชั้นบนสุด มีกระจกบานใสเห็นวิวพาโนราม่า ผมสำรวจที่ห้องนั่งเล่นกลับไม่พบใคร นอกจากกระป๋องเบียร์ แก้วไวน์ และขวดเหล้าวางกระจัดกระจาย

   “ธีโอ นี่ฉันเอง มิค ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ผมตะโกน ไม่อยากเปิดประตูห้องนอนทุกห้อง แค่นี้ก็บุกรุกพื้นที่ส่วนตัวเขามากพอแล้ว “ฉันจะคุยเรื่องวันพรุ่งนี้” ผมสำทับและมันได้ผล ประตูห้องหนึ่งเปิดออกพร้อมเจ้าของห้องที่ดูอารมณ์เสียสุด ๆ ร่างสูงพิงกำแพง ยืนกอดอก

   “มีอะไร?”

   “คือพรุ่งนี้ไม่ต้องไปกับฉันก็ได้นะ ฉันไปเองได้ ฉันไม่อยากไปเที่ยวกับคนที่ไม่เต็มใจไปด้วย” ผมพูดตรง ๆ ธีโออึ้งเล็กน้อย เขาเดินตรงมาหาผม

   “ฉันบอกตอนไหนว่าไม่เต็มใจ?”

   “ไม่ต้องบอก แต่ดูจากท่าทางของนาย ใคร ๆ ก็รู้” นี่ผมมาดีนะ แต่ทำไมบทสนทนามันชักจะเริ่มออกแนวหาเรื่องเรื่อย ๆ “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่านายจะโกรธเกลียดอะไรฉัน แต่เราอยู่บ้านเดียวกันอย่างน้อยต่อหน้าพ่อแม่ของนายก็ควรมีมารยาทบ้าง ส่วนลับหลังนายจะไม่ได้เห็นหน้าฉันเลยถ้าไม่จำเป็น ฉันมาอยู่ที่นี่แค่หนึ่งปีเพื่อดูแลน้องชายทั้งสองคนของนาย อย่างน้อยนายควรจะปฏิบัติตัวดี ๆ กับฉันสักหน่อยนะ...แค่หนึ่งปีเท่านั้น แล้วฉันจะไปไม่นายเห็นหน้าอีก”

   ผมควรเคลียร์ตั้งแต่ตอนนี้ ผมไม่อยากมีปัญหากับเขา เพราะนี่มันเพิ่งเริ่มต้นด้วยซ้ำ อีก 12 เดือนที่เราต้องอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน และที่ผมพูดตรง ๆ กับธีโอเพราะอยากให้เขารับรู้ แต่ถ้ามันไม่ดีขึ้น ผมก็คงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

   ธีโอเงียบไปครู่หนึ่ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูด จ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น ในที่สุดผมก็ถอนหายใจ

   “เฮ้อ แล้วแต่เลยละกัน ฝันดีนะ ส่วนเรื่องไปเที่ยวพรุ่งนี้ฉันจะบอกโซอี้กับลูคัสเองว่าฉันอยากไปคนเดียวมากกว่า” พูดจบแล้วหันหลังกลับ

   ทว่าอีกฝ่ายกลับตะโกนตามหลังมาว่า

   “พรุ่งนี้เจอกัน 10 โมง”

   ผมยิ้ม

   “โอเค ฝันดีนะ”




   * Nuk คือจุกนม ในที่นี้โซอี้ชอบเรียกว่านุกกี้







TBC


มาช้าเหมือนเดิม 55555
ตอนแรกๆ จะรายละเอียดเยอะหน่อยเพราะอยากให้รู้ตารางการทำงานของมิคค่ะ และบทสนทนาแพรพยายามใช้ความรู้สึกสิ่งที่โฮสฝรั่งเค้าพูดกันจริง ๆ มาแปลเป็นภาษาไทยนะคะ เลยอ่านแล้วอาจจะขัด ๆ ไปบ้าง ถ้าหากมีข้อเสนอแนะอะไรสามารถบอกมาได้เลยค่ะ



   
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter II [Oct, 18]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 18-10-2018 18:28:12
ธีโอก็ไม่ใช่คนใจร้ายนี่นา  :hao6:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter II [Oct, 18]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 03-01-2019 04:21:40
III

For the first time we met


   เวลา 10.00 นาฬิกา

   ผมแต่งตัวในลุคสบาย ๆ ใส่รองเท้าพร้อมเดินขึ้นเขา ยืนอยู่หน้าห้องของลูกชายคนโตของบ้าน เคาะประตูอยู่สองสามทีพร้อมตะโกนเรียก ไม่นานเจ้าของห้องก็ออกมาเปิดประตูให้ จริง ๆ แล้วผมจะไขกุญแจเข้าไปเลยก็ได้ แต่ผมว่ามันคงเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่

   ธีโอเปิดประตูให้ผมพร้อมกับทำหน้างุนงงเล็กน้อย

   “นายไม่มีกุญแจห้องฉันเหรอ?”

   “เอ่อ...มีนะ”

   “งั้นทีหลังก็ไม่ต้องเคาะ เข้ามาเลยก็ได้ ฉันกำลังเซ็ทผมอยู่ มันขัดจังหวะ”

   เอ้า! เป็นคนมีมารยาทก็ผิด

   “แล้วถ้าเกิดนายโป๊อยู่ล่ะ?”

   “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่” ร่างสูงตอบอย่างไม่แยแส เดินไปที่ห้องน้ำเพื่อเซ็ทผมตัวเองให้เสร็จตามที่ตั้งใจไว้ “ทีเมื่อวานนายยังเข้าห้องฉันโดยที่ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลย”

   ผมสะอึก...เออจริงด้วย แต่เมื่อวานผมตะโกนเรียกแล้วไม่มีคนตอบนี่นา

   “ช่างเถอะ ว่าแต่นายพกอาหารไปกินด้วยรึเปล่า พวกแซนด์วิช น้ำ เบียร์ อะไรพวกนี้”

   “เอ่อ เปล่า”

   “ฉันว่านายควรพกไปเองนะ เพราะถ้าซื้อข้างนอกมันแพงมาก”

   “แต่ที่อพาร์ทเม้นฉันไม่มีอะไรให้กินเลย” ผมแย้งไป

   นัยน์ตาฟ้าครามเหลือบมองไปยังห้องครัว จากนั้นก็เปิดไปเปิดตู้เย็นและหยิบของออกมาวางไว้ ได้แก่ ไข่ ผักสลัด มะเขือเทศ ชีส แฮม ต่อด้วยขนมปังที่วางอยู่บนเขียง ข้าง ๆ มีมีดเลื่อยสำหรับหั่นขนมปังแบบนี้อยู่

   “นายทำแซนด์วิชเป็นใช่ไหม?”

   ผมพยักหน้าตอบรับ รู้หน้าที่ทันทีว่าตัวเองต้องทำอะไร เพราะไอ้คนที่เพิ่งหยิบของออกมานั้นเดินกลับไปเซ็ทผมต่อแล้ว

   แซนด์วิชที่ผมทำเป็นแบบง่าย ๆ ตามสิ่งที่ธีโอหยิบเตรียมไว้ให้ แต่ผมว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป พอเปิดตู้เย็นดูพบว่ามีมายองเนสแบบหลอด ผมจึงทาลงบนขนมปังไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ

   ธีโอดูแปลกใจที่ผมเตรียมแซนด์วิชไว้ให้เขาด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากบอกว่ารอแป๊บนึง เขาจะขึ้นไปเอาของชั้นบน

   โอ๊ย พ่อคุณ แค่คำขอบคุณน่ะ ไม่ได้พูดยากขนาดนั้นหรอกมั้ง

   ผมนั่งเล่นโทรศัพท์รอระหว่างที่ธีโอไปเอาของ ไม่นานนักร่างสูงก็กลับมาพร้อมกล้วย แมนดาริน(ส้มลูกเล็ก) แอ๊ปเปิ้ล และองุ่น ไว้ในมือ เขายัดทุกอย่างลงกระเป๋าเป้ รวมถึงกล่องแซนด์วิชที่ผมเพิ่งทำ

   “นายมีน้ำหรือยัง?” เอาถามระหว่างเปิดตู้เย็นเพื่อเช็คว่ามีอะไรขาดเหลืออีกบ้าง

   ผมยกขวดน้ำเปล่าให้เขาดูเป็นคำตอบ แต่ผมเห็นว่าธีโอหยิบเบียร์สี่กระป๋องยาว ๆ ใส่ลงเป้ ไม่รู้หยิบไปทำไมเยอะแยะ บอกก่อนเลยนะว่าผมคออ่อนมาก แค่เบียร์ครึ่งกระป๋องหน้าก็แดงแจ๋แล้ว

   “พร้อมหรือยัง?” ธีโอถาม

   “อือ ไปกันเถอะ”

   “ว่าแต่นายรู้วิธีเปิด-ปิดเครื่องสัญญาณกันขโมยรึยัง ?”

   ผมทำหน้างงเป็นคำตอบ ส่วนคนถามกลอกตาบนเบา ๆ

   คนไม่รู้คือคนไม่ผิด แล้วผมเพิ่งมาได้สองวัน จะไปรู้ทุกอย่างของบ้านได้ยังไง ผมบ่นเบา ๆ ในใจ แต่ความจริงกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่ธีโออธิบาย

   “ถ้านายจะเปิดบ้านนายต้องเช็คทุกอย่างในบ้านว่าประตูและหน้าต่างทุกบานปิดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นมาที่เครื่องสัญญาณกันขโมย นายกดปุ่มนี้ (รูปกุญแจล๊อคบ้าน) จากนั้นนายจะมีเวลา 30 วินาทีในการออกบ้าน” ผมพยักหน้าตาม

   ง่ายจังแหะ

   “ใช่มันฟังดูง่าย แต่เวลานายกลับเข้ามาในบ้าน มันจะกลับกัน พอนายเปิดประตูบ้านปุ๊ป สัญญาณกันขโมยจะดังปี๊ป ๆ เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้นายใส่รหัสปลดล๊อค แต่ถ้านายใส่ไม่ทันภายใน 20 วินาทีแล้วละก็...ตำรวจจะโทรหาพ่อฉัน และถ้าพ่อฉันกำลังติดประชุมหรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ ตำรวจจะมาที่บ้านทันที และนั่นคือเรื่องใหญ่ เพราะถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นแค่ความผิดพลาดของตัวนายหรือใครก็ตามในบ้านนี้เอง พ่อฉันจะต้องจ่ายค่าปรับเสียเวลาให้ตำรวจเป็นจำนวน 1000 ฟรัง หวังว่านายจะเข้าใจนะ”

   1000x33=33000 บาท! แม่จ้าวววววววว

   โอเค ผมตั้งใจฟังธีโออธิบายและคราวนี้

   “พอนายไขกุญแจเปิดประตูปุ๊ป นายต้องรีบมาใส่รหัสทันที รหัสคือ ...1234 ทุกชั้น”

   “Seriously ? (ถามจริง ?)”

   หะ ? ถึงขนาดกับติดตั้งสัญญาณกันขโมย แต่รหัสโคตรพ่อโคตรแม่ง่ายแบบนี้เนี่ยนะ เอาจริงดิ

   “The most dangerous place is the safest. (ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด)” ธีโอหันมายักคิ้วหลิ่วตาแล้วคว้ากระเป๋าเป้เดินเข้าลิฟต์

   ผมเดินตามไปอย่างงง ๆ แต่พอได้เข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้วธีโอก็แอบเฉลยว่าจริง ๆ แล้วพ่อแม่เขาขี้เกียจเปลี่ยนรหัสผ่านน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก

   โธ่ แล้วไอ้คำคมกับท่าทางเท่ ๆ เมื่อกี้คืออะไร




   ผมกับธีโอนั่งรถแทรม (Tram) จากหน้าบ้านมาลงยังสถานีรถไฟใจกลางเมืองหรือเรียกง่าย ๆ ว่า Zurich HB (Zürich Hauptbahnhof) เพื่อจะได้นั่งต่อไปยัง Top of Zurich ยอดเขา Uetilberg เป้าหมายของเรา

   แต่ก่อนอื่นธีโอลากผมไปทำบัตร Swiss Pass ซึ่งจะได้ส่วนลด 50% ทุกครั้งในการซื้อตั๋วรถสาธารณะทั่วประเทศ และรวมไปถึงซื้อโปรโมชั่นนั่งรถไฟฟรีหลัง 1 ทุ่มถึง 7 โมงเช้า ผมกรอกรายละเอียดนิดหน่อยจากนั้นพอถึงเวลาจ่ายเงิน ธีโอเป็นคนจ่ายให้ (บัตรเครดิตโซอี้) ราคาก็ไม่เท่าไหร่แค่คิดเป็นเงินไทยราว ๆ หนึ่งหมื่นบาท ดูเหมือนจะแพง แต่พอมาคิดหาร 12 เดือนแล้ว ตกเดือนละ 800 กว่าบาท ผมว่ามันคุ้มนะครับ

   เมื่อทำรายการเสร็จ คราวนี้เราสองคนตรงมายังตู้ซื้อตั๋วต่าง ๆ ธีโอสอนผมทั้งหมดว่าซื้อยังไง กดอะไร จริง ๆ แล้วเมนูมีหลายภาษา รวมไปถึงภาษาอังกฤษ แต่ผมว่าดีแล้วที่เขาสอน เพราะผมก็ยังแอบงง ๆ อยู่ดี

   “จริง ๆ แล้วตอนนี้เทคโนโลยีมันไปไกลมาก ไม่ต้องกลัวหลงหรอก แค่เดินตามกูเกิ้ลแมพก็พอ อ้อนี่...นายติดตั้งแอพ SBB ซะ สามารถเช็ครถบัส รถไฟ ทุกอย่างในแอพนั้น รวมถึงซื้อตั๋วด้วย”

   เราสองคนซื้อตั๋วรถไฟไปลงสถานี Uetilberg ในครึ่งราคา และเดินไปขึ้นรถไฟตามชานชลาที่ระบุไว้ Zurich HB มีหลายชานชลามาก ใครที่ไม่เคยมาแบบผมอาจจะหลงและพลาดรถไฟได้ ธีโอบอกผมว่าชานชลาต้น ๆ จะอยู่บนดิน ส่วนชานชลาตั้งแต่ 19 จนถึง 40 กว่า ๆ จะอยู่ชั้นใต้ดิน

   ยอมรับเลยว่าแม้ตอนแรกธีโอจะดูไม่เป็นมิตรกับผม แต่ตอนนี้เขาเป็นไกด์ที่ดีคนนึง แนะนำมือใหม่แบบผมทุกอย่าง เขาไม่ได้พูดมากจนน่ารำคาญ อธิบายเป็นจุด ๆ อย่างพอเหมาะ ผมชวนเขาคุยบ้างระหว่างที่เรากำลังนั่งรถไฟ ในมือก็ถ่ายรูปด้วยกล้อง Nikon ไปด้วย เพราะวิวนอกรถไฟมันสวยมากจริง ๆ

   “นายพูดได้กี่ภาษา” ผมถามเขา

   “3 ภาษา เยอรมัน อิตาลี อังกฤษ แต่ถ้านับรวมสวิสเยอรมันด้วยก็ 4 ภาษา นายล่ะ?”

   “โห ฉันพูดได้แค่ 2 ภาษาเอง ไทยกับอังกฤษ”

   “ว่าแต่นายชอบถ่ายรูปหรอ ?”

   ไม่ชอบมั้ง ถือกล้องราคาครึ่งแสนในมือขนาดนี้

   “อ่าหะ”

   จู่ ๆ ผมนึกอะไรไม่รู้ เบนกล้องจากที่กำลังถ่ายวิวมาถ่ายคนที่นั่งตรงข้ามผม

   แชะ !

   “เฮ้ แอบถ่ายฉันเหรอ ไหนเอามาดูสิ” นึกว่าธีโอจะไม่พอใจ เปล่าเลย พอเขาแย่งกล้องในมือผมไปได้ เขายิ้มมุมปากเอกลักษณ์ประจำตัวเขาแบบชอบใจ “คนอะไรไม่รู้ดูดีชะมัด ขนาดเผลอยังหล่อ”

   ผมเบะปากเล็กน้อย แล้วยกเครดิตให้ตัวเอง

   “เพราะคนถ่าย ถ่ายเก่งหรอก”

   อันที่จริงต้องยอมรับเลยว่าธีโอหล่อมาก หล่อโดดเด่นมากกว่าวัยรุ่นฝรั่งทั่วไป ผมบลอนด์ นัยน์ตาฟ้าตัดคราม รูปร่างโปร่งแต่ไม่บอบบาง ผมแอบเห็นว่ามีสาว ๆ หลายคนมองมาที่ธีโอตอนที่เราอยู่ในสถานีรถไฟ

   ถ้าเขาไม่เด็กกว่าผม 6 ปี ผมคงเผลอใจให้ผู้ชายคนนี้

   หลังจากนั่งมาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง พวกเราเดินทางมาถึงจุดหมาย

   “โชคดีแหะ วันนี้ิอากาศดีมาก” ธีโอเปิดเช็คสภาพอากาศในโทรศัพท์ มีแดดจ้าทั้งวัน และพระอาทิตย์ตกราว ๆ 4 ทุ่ม “นายพร้อมหรือยัง” ร่างสูงหันมาถามพร้อมถอดเสื้อเชิ้ตออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีเขียวขี้ม้าแบรนด์ Polo ด้านใน กระชับเป้ด้านหลัง ใส่แว่นตากันแดดจาก Oakley ซึ่งเพิ่มความเท่ให้กับเขาอีก 25% เห็นแบบนั้นแล้วผมเลยหยิบออกมาใส่บ้าง

   “Let’s go!”




   ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

   “แฮ่ก ๆ”

   “นายนี่มันอ่อนแอจริง ๆ ไหวไหมน่ะ ? อีกประมาณ 200 เมตรก็จะถึงจุดพักแล้ว เราไปนั่งกินข้าวเที่ยงกันตรงนั้นก็ได้” ธีโอแหล่มองอย่างเหยียด ๆ

   เกลียดจริงเว้ยยยย ไอ้ท่าทางสบาย ๆ นั่นน่ะ

   คือผมเป็นคนปกติ แข็งแรง ไม่มีโรคภัย แต่ก็ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ดังนั้นการเดินขึ้นเขาครั้งนี้ผมเลยออกอาการที่ทำให้ผมรู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด

   “จุดพัก ? แฮ่ก ๆ ยังไม่ใช่ยอดเขา...แฮ่ก ๆ ...ที่มองเห็นวิวได้ทั่วซูริคเหรอ ?”

   “ยัง ต้องไปต่ออีกประมาณ 15 นาที อ้อ...แต่ถ้าความเร็วสำหรับนายคงประมาณ 20-25 นาทีได้ล่ะมั้งกว่าจะถึงยอดเขาน่ะ”

   เกลียดความเหน็บ ที่เถียงกลับไม่ได้จริง ๆ

   ธีโอตั้งตาตั้งตาเดินต่อแบบชิล ๆ ในขณะที่ผมหอบ ต้องหายใจทางปากแทน คือตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์มาแวะถ่ายรูปหรือชมวิวอะไรทั้งนั้นครับ เพราะทางที่เราเดินนี้มันเป็นทางสำหรับให้ผู้คนเดิน สองข้างทางคือป่า อาจจะได้เห็นกระรอก นก สัตว์ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ บ้าง แต่อย่างที่บอก แรงจะเดินยังไม่มี จะให้ยกกล้องยังไงไหว

   “อากาศ...แฮ่ก ๆ ... มันร้อนหรอก ฉันเลย...แฮ่ก ๆ ....เหนื่อยกว่าปกติ”

   “ได้ข่าวว่านายมาจากเมืองร้อนนะ”

   จุกเลยครับผม ไม่เถียงแล้วก็ได้

   ในที่สุดเราก็ถึงจุดพัก มีน้ำพุเล็ก ๆ สามารถดื่มได้ อันที่จริง น้ำทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นน้ำก๊อกหรือน้ำพุก็สามารถดื่มได้หมดครับ ยิ่งน้ำพุบนเขาแบบนี้ยิ่งการันตีความสะอาดสดชื่น

   บริเวณนี้มีโต๊ะไม้ประมาณ 3-4 โต๊ะ ถูกจับจองไปแล้วสอง ซึ่งเป็นกลุ่มคณะ พวกเขาย่างเนื้อควันโขมง ดูสนุกสนาน ส่วนผมกับธีโอเดินมานั่งโต๊ะเลยถัดไปหน่อย

   ด้วยความหิวและต้องการพลังงาน ผมกินอย่างไม่พูดไม่จา เมื่อแซนด์วิชหมดแล้ว ผมกัดแอปเปิ้ลอีก 1 ลูก จากนั้นก็เริ่มเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ แต่ผมพยายามเลี่ยงไม่ให้มีคนในภาพ เพราะไม่อย่างนั้นอาจเป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนตัว และผมสามารถโดนฟ้องร้องหมดตัวได้ทันที

   เราสองคนใช้เวลาตรงจุดพักนี้ไม่มาก จากนั้นก็ลุยกันต่อ ทางลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ ป่าสองข้างทางเริ่มหายไป ช่องว่างระหว่างปลายยอดต้นไม้เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม ริ้วก้อนเมฆบาง ๆ เท้าของผมก้าวเร็วขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ เหมือนเด็กตื่นเต้นที่จะได้เห็นของเล่นใหม่ ๆ

   คุ้มค่าจริง ๆ ครับ กับการเดินขึ้นเขาครั้งนี้ ภาพตรงหน้าผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเอง ทั้งเมืองซูริคและทะเลสาบที่มีเรือแล่นไปมาหลายลำ ทั้งลำเล็กลำใหญ่ ท้องฟ้าวันนี้ก็เป็นใจมาก เปิดกว้าง เหลือเพียงแค่ริ้วเมฆบาง ๆ ตัดกับท้องฟ้าสีคราม

   เสียงชัตเตอร์ดังรัวไม่หยุด ผมอยากเก็บทุกภาพไว้ในความทรงจำ ผ่านเลนส์กล้องตัวนี้

   “นายถ่ายรูปไปนะ ฉันจะไปนั่งจิบกาแฟสักหน่อยตรงร้านอาหารตรงนั้น” ธีโอเดินมาสะกิดบอกผม ผมพยักหน้ารับรู้ มองตามจุดที่ธีโอชี้ บริเวณนั้นเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ เห็นได้ชัดว่าวันนี้อากาศดีและเป็นร้านอาหารยอดนิยม ผมไม่เห็นโต๊ะว่างเลยสักโต๊ะ แต่ธีโอคงมีวิธีของเขาให้ได้โต๊ะมานั่นแหละ

   ผมเดินถ่ายรูปต่ออีกหน่อยจนเป็นที่พอใจแล้วก็ไปหาธีโอ เขาจิบกาแฟดื่มด่ำกับบรรยากาศ โต๊ะที่เขานั่งเป็นจุดที่ดีที่สุดในการชมวิวเลยก็ว่าได้

   “หืม ตรงนี้วิวสวยนะ”

   “แน่นอน ฉันเลือกเอง”

   ผมว่าเขาแค่โชคดีมากกว่าที่ลูกค้าคนก่อนลุกพอดี แต่ช่างเถอะ ผมก็พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย พนักงานเดินมาถามว่าผมจะรับอะไรดี แต่ผมยังคิดไม่ออก เลยตอบแบบส่ง ๆ ไปว่าคาปูชิโน่

   “เลียนแบบ”

   “ฉันชอบคาปูชิโน่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเลียนแบบ”

   “ก็ฉันสั่งมาก่อน แล้วนายไม่รู้จะสั่งอะไร เลยสั่งตามฉัน”

   “เห้อ งั้นคนในร้านนี้คงเลียนแบบนายประมาณ 20 คนได้มั้ง”

   เรานั่งจิบกาแฟ เล่นโทรศัพท์ พูดคุยบ้างบางครั้ง เพราะเราไม่ได้สนิทกันมากเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่เลยจมไปกับโลกออนไลน์บนมือถือ

   ผมสังเกตเห็นธีโอถ่ายรูปวิวจากกล้องโทรศัพท์ของเขา ผมไม่รู้ว่าเขาเล่นโซเชียลหรือเปล่า แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะเล่นนั่นแหละ

   ผมควรขออินสตราแกรมเขาดีไหมนะ ? สแนปแชท ? หรือเฟซบุ๊กดี ?

   ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากถาม เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังเสียก่อน ธีโอทำสีหน้ายุ่งยากเหมือนจะไม่ยากรับสายนี้สักเท่าไหร่ เขาดูลังเล

   “รับสิ ไม่ก็ตัดสาย เสียงมันน่ารำคาญ” ผมพูดแทนโต๊ะข้าง ๆ ที่เหลือบมองมายังธีโอ เพราะเสียงเรียกเข้าของเขามันรบกวนคนอื่น

   เขารับ แล้วคุยด้วยภาษาบ้านเกิด ซึ่งผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดเดียว แต่ดูจากสีหน้าแล้ว เขาคงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ จนเมื่อวางสาย นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองผมด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

   ย้ำว่าเล็กน้อย

   “มิค”

   “ว่าไง?”

   การที่เขาเรียกชื่อผมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

   “ฉันขอโทษนะ แต่ฉันต้องไปแล้ว”

   ทำไมแทงหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ ?

   “พอดี...เพื่อนฉัน...กำลังแย่น่ะ”

   “อือ ไม่เป็นไร ไปเถอะ ฉันเที่ยวต่อคนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง”

   “แน่นะ ?” ธีโอถามเพื่อความแน่ใจ แต่มือนี่หยิบเงินสดออกมาวางไว้พร้อมหยิบเป้สะพายแล้ว ตกลงเป็นห่วงจริงไหมเนี่ย

   “แน่สิ เพื่อนนายต่างหากตอนนี้ที่ต้องเป็นห่วง ไปเถอะ”

   “โอเค งั้นเที่ยวให้สนุกนะ เจอกันที่บ้าน บาย”

   ร่างสูงเดินจากไปแล้ว เหลือเพียงผมที่นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวี แต่แท้จริงแล้วในใจผมตอนนี้คือ...

   แล้วกูจะหาทางลงเขายังไงวะเนี่ยยยยยย ? ใครก็ได้พาผมลงเขาหน่อยคร้าบบบบบ





   เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมวางแผนไว้ในหัวแล้วว่าคงเดินตามคนอื่น ๆ เอา จากนั้นก็จะนั่งรถไฟเข้าเมือง ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเล่น ๆ ผมยังไม่อยากเข้าบ้านสักเท่าไหร่

   ตอนนี้ผมกำลังเดินลงจากเขา ซึ่งขอบอกเลยว่าผมอยากให้ธีโออยู่กับผมตอนนี้มาก

   การขึ้นว่ายากแล้ว การลงเขานั้นยากกว่า

   การขึ้นเหนื่อยแค่กาย ปวดขา น่องปูด อะไรก็ว่ากันไป แต่ขาลงนี้...บอกตรง ๆ ว่าผมหายใจไม่ทั่วท้อง ทางเดินลาดชัน มีราวให้เกาะเป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่ได้ต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าผมเดินไม่เป็นหรือรองเท้าผมมันไม่ดีพอ เพราะนับตั้งแต่เดินลงมาผมลื่นหัวเข่าถลอกไปแล้วสามครั้ง ผมได้แต่สบถก่นด่าตัวเองในใจว่าจะเลือกใส่กางเกงขาสั้นเหนือเข่ามาทำไม ตอนนี้หัวเข่าผมมีแต่เลือดเต็มไปหมด แถมแสบอีกต่างหาก ผมได้แต่ใช้น้ำเปล่าราดเพื่อทำความสะอาดแบบลวก ๆ
 
   ไม่รู้ว่าหนทางยังยาวไกลอีกแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมเริ่มท้อ แค่มองตามทางลาดก็เหนื่อยใจแล้ว

   ผมค่อย ๆ เกาะเดินตามราว เดินแบบเฉียงเพื่อเพิ่มแรงเสียดและทรงตัวได้ง่ายขึ้น พยายามเดินบนดิน ที่ไม่ใช่ก้อนกรวด
   “ให้ผมช่วยไหมครับ ?” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นด้านหลัง ผมหันไปมอง

   ชายหนุ่มผมสีบลอนด์เหลือบแดง ไว้หนวดเคราพอประมาณ ยิ่งเสริมเขาดูเซ็กซี่ ร่างกายกำยำแบบที่ชายทุกคนบนโลกใบนี้ใฝ่ฝัน ท่อนแขนกล้ามเนื้อได้รูปนั่นกำลังจับแขนผม นัยน์ตาเขียวอมฟ้ากำลังจ้องมองมาทางผม

   เขาดูเยือกเย็นแต่ร้อนแรง เขาดูอันตรายแต่น่าหลงใหล

   นั่นคือสองประโยคแรกทันทีที่ผมหันไปมองเขา ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย

   “คุณโอเคไหม ?” เสียงทุ้มถามซ้ำ ผมหลุดจากภวังค์

   “คะ ครับ”

   “แต่คุณดูไม่โอเคนะ...เฮ้ ขาคุณได้รับบาดเจ็บนี่” เขาร้องเมื่อเห็นแผลถลอกตรงหัวเข่า เขานั่งคุกเข่าลงหนึ่งข้าง เปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบผ้ากับครีมอะไรไม่รู้หนึ่งหลอด เขาจับขาผมวางบนหน้าขา “อยู่นิ่ง ๆ นะครับ อาจแสบหน่อย”

   “เอ่อ...”

   “ผมจะใช้ผ้าทำความสะอาด แล้วเอาครีมป้ายนะครับ ครีมนี้คือครีมที่ใช้รักษาพวกผิวหนังทั่วไปเช่นแผลถลอก ผิวลอก แห้ง ดังนั้นไม่ต้องห่วงนะครับว่าผมจะเอายาอะไรไม่ดีป้ายใส่” เขาอธิบายไป ทาครีมบนหัวเข่าของผมไป “แผลถลอกไม่ลึกมากเท่าไหร่ ทางที่ดีพยายามอย่าให้โดนน้ำ และไม่ต้องปิดแผลนะครับ เปิดไว้จะดีกว่า แผลจะได้แห้งตกสะเก็ดเร็ว”

   ผมก้มมองคนแปลกหน้าที่กำลังลูบไล้ทั่วหัวเข่าผม ฝ่ามือหนาแต่นิ้วเรียวได้รูป แม้แต่ข้อนิ้วยังดูดี

   คนอะไรดูดีไปหมด เขาเป็นดารานายแบบรึเปล่า ?

   “ขอบคุณมากครับ” ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กล่าวขอบคุณ

   ใบหน้าราวกับเทวดาเงยมายิ้มให้ผมเล็กน้อย

   “ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าแต่มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ ?” คนแปลกหน้าถาม เขาทาครีมให้ผมเสร็จแล้วและลุกขึ้นยืนเต็มความสูง น่าจะสัก 193 เซ็นติเมตรได้

   “อ่อ คือพอดีผมมากับเพื่อน แต่เขาติดธุระด่วนเลยกลับไปก่อน” ผมเล่าให้เขาฟังตามจริง “แล้วคุณละครับ มาคนเดียวเหมือนกันใช่ไหม”

   “ใช่ครับ เวลาว่าง ๆ ผมชอบมาปีนเขาเล่นคนเดียวน่ะ”

   ยิ้มแล้วโลกสดใสมันเป็นแบบนี้นี่เอง

   “ผมไมเคิล หรือจะเรียกว่าไมค์ก็ได้ครับ” คนแปลกหน้ายื่นมืออกมาแนะนำตัว

   “ผมมิคครับ หรือจะเรียกว่ามิคก็ได้ครับ” ผมหยอกล้อเขากลับ พร้อมจับมือแน่น

   “ฮ่า ๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับมิค ถ้าไม่รังเกียจ เราสามารถเดินลงเขาไปพร้อมกันได้นะครับ”

   คนหล่อชวนขนาดนี้จะปฏิเสธได้ยังไง

   “แต่ว่า ผมเดินลงช้ามากนะครับ ยิ่งมีแผลแบบนี้ด้วย อาจจะเสียเวลาคุณเปล่า ๆ”

   แต่รู้จักไหมครับ มารยาชายไทยอย่างผม

   “ไม่เลยครับ ดีซะอีก ผมจะได้ช่วยพยุงคุณได้” ไมเคิลยิ้มกว้าง เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบแล้วยื่นมือมาให้ผมจับ “มืออีกข้างจับผมไว้นะครับ ส่วนอีกข้างก็จับราวไป เราค่อย ๆ ลง ผมไม่รีบ มีเวลาทั้งวันครับ” ไมเคิลพูดติดตลก

   “ถ้าคุณยืนยันขนาดนั้นแล้ว...ก็รบกวนด้วยนะครับ”

   ขอบคุณแสงแดดยามบ่ายที่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเขาสูงขึ้น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามไรผม ทุกอย่างบนร่างกายเขาดูลงตัวไปหมด

   ขอบคุณเขาลูกนี้ที่ทางลงชันมากจนทำให้ผมได้แผล แต่กลับได้ชายจิตใจดีมาช่วยเหลือ

   ขอบคุณธีโอที่ทิ้งผมไว้คนเดียว...ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่ได้เจอและรู้จักกับผู้ชายคนนี้




TBC
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-01-2019 10:20:20
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-01-2019 01:26:04
 :katai2-1:


อิจจจจจจ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 18-01-2019 01:23:39
คุณไมเคิลคือของดีสวิสเซอร์แลนด์ที่มิคบอกใช่ไหมมมมม

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-01-2019 22:32:48
 :z13:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 19-01-2019 12:03:06
กรี๊ด เรื่องใหม่ติดตามตั้งแต่ am not you dont

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter III [Jan, 03]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 21-03-2019 04:19:38

IV


Please, leave


     ไมเคิล แบชมานน์ (Micheal Bachmann) อายุ 33 ปี เป็นชาวสวิส สามารถพูดได้ 5 ภาษา กิจกรรมยามว่างคือชอบปีนเขา เล่น SUP* สกี ขี่ม้า และยิงปืน ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ส่วนภาพยนตร์นั้นเขาสามารถดูได้ทุกประเภท แต่จะชอบแนวสยองขวัญ ระทึกขวัญเป็นพิเศษ ปัจจุบันอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นใจกลางเมืองซูริค

     ส่วนโสดไหม...ผมก็ยังไม่รู้

     ก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนี่นา...

     ระหว่างทางที่เดินเขาลงมาด้วยกัน ผมกับไมเคิลผลัดกันถามกันตอบ ลืมความเจ็บแสบแผลถลอกไปเสียสนิท

     ใช่ครับ ผมกำลังสร้างความสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติ ผมจะไม่ยอมให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันแน่

     “คุณจะอยู่ที่นี่นานไหม ?”

     ฮันแน่...ถามแบบนี้...

     “1 ปีครับ”

     นานพอที่จะทำความรู้จักกันไหมครับ ?

     “1 ปีเหรอ ? อืมมม ไม่เร็วแต่ก็ไม่นานเกินไป 1 ปีนี่คุณสามารถเรียนรู้อะไรได้หลาย ๆ อย่าง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยนะ”

     “ใช่ครับ มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ผมต้องเรียนรู้ เริ่มจากตอนนี้เลยครับ ผมจะกลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย ?” ผมถือคติ ‘สวยมักนกตลกมักได้’ แอบหยอดมุขเล็กๆ ซึ่งก็ได้ผล ไมเคิลขำ ทำเอาผมแทบละลายกองอยู่ตรงนั้น

     “มาครับผมช่วยสอน ก่อนอื่นเลยคุณมีแอพ SBB หรือยัง”

     “เพิ่งโหลดเมื่อเช้านี้เองครับ แต่ผมยังงงๆกับการใช้งานมันอยู่” เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก แค่กรอกชื่อสถานีจุดเริ่มกับจุดหมายปลายทาง กับเวลาที่ต้องการ แค่นี้ก็รู้เส้นทางแล้ว

     ร่างสูงโน้มตัวลงมาจิ้ม ๆ บนโทรศัพท์เพื่อสอนผม แต่ผมแอบลอบมองสันกรามกับสูดกลิ่นกายร่างสูง มันไม่ได้น่ารังเกียจ เพราะผมได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเหงื่อ เป็นกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา

     กล้ามเนื้อแขนแน่น ๆ นี้หากรัดตัวผมไว้คงดิ้นไม่หลุด หนวดเคราสีแดงไซร์ตามหลังหูและลำคอคงทำผมเคลิ้มจนลืมวันเวลา นัยน์ตาเขียวอมฟ้าดุจเพชรจับจ้องมองมาที่ผมคนเดียว

     “นี่ครับ ขึ้นรถไฟรอบนี้ไปลง Zurich HB แล้วต่อแทรมไม่กี่สถานีก็ถึงบ้านแล้วครับ”

     ผมหลุดจากภวังค์

     “ขอบคุณครับ แล้วไมค์กลับยังไงครับ ?” ใจจริงคืออยากถามมากกว่าว่าหิวรึยัง ไปหาอะไรกินกันไหม แต่ผมกลัวว่าจะเป็นการรุกเร็วเกินไปอาจทำให้เหยื่อตกใจได้

     “ผมก็จะนั่งรถไฟไปลงที่ Zurich HB เหมือนกันครับ แต่ต่อแทรมคนละสาย”

     “น่าเสียดายนะครับ” ถ้าอยู่ใกล้กันคงดี

     “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ”

     “อ๋อ เปล่าครับ ผมบอกว่าดีเลยครับ จะได้นั่งไปด้วยกัน” ผมยิ้มให้

     เอาว่ะ อย่างน้อยอยู่เมืองเดียวกัน ไปมาหาสู่คงไม่ยากเท่าไหร่

     ผมกับเพื่อนสุดหล่อคนใหม่ขึ้นรถไฟด้วยกัน ขณะอยู่บนรถไฟเราไม่ได้พูดคุยเหมือนตอนที่ลงมาจากเขา ทั้งผมทั้งเขาต่างเงียบ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แอบเหลือบมองคนนั่งตรงข้ามเป็นระยะ ๆ ก็เห็นทำหน้านิ่งขรึม มองวิวนอกหน้าต่าง ส่วนตัวผมรู้สึกหดหู่เล็กน้อย มันเหมือนกับว่าเวลาที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันใกล้หมดลงแล้ว

     ต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยต้องขอเฟซบุ๊กหรืออะไรก็ได้ติดต่อไว้ แต่จะขอยังไงดีล่ะ ?

     “มิคหิวไหม ?”

     ผมยิ้มร่า เหมือนหมาหงอยที่เจอเจ้าของกลับมาบ้านสักที หากผมมีหางคงกระดิกไปมาไม่หยุด

     “หิวครับ”

     “อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ? เช่น อาหารอิตาเลียน อาหารเวียดนาม หรืออาหารไทยดี ?” ไมเคิลโน้มตัว ยันศอกกับเข่า เสื้อกล้ามเขาร่นลงมา ทำให้ผมเห็นแผงอกอันสวยงามน่าลูบไล้

     “เอ่อ...” ผมหลุบตามองต่ำแล้วรีบตวัดกลับมาจ้องมองคนตรงข้าม ที่ผมว่าเขากำลังอ่อยผมแน่ ๆ “ผม...อยากกินอาหารสวิสครับ”

     อ่อยมาอ่อยกลับไม่โกง

     “ได้เลยครับ ผมรู้จักอยู่ร้านนึงแถว Old town มิคน่าจะชอบ”

     “Old town ? ที่ไหนหรอครับ ?”

     “มันคือย่านใจกลางเมืองยุคเก่าของซูริคน่ะ เดินเลยย่าน Down Town ไปนิดนึง บริเวณนั้นบ้านเรือน ตึก อาคารสถาปัตยกรรมยังแบบเก่าดั้งเดิมไว้ มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้างานฝีมือ หอศิลป์ โบสถ์ รวมไปถึงโรงละครโอเปร่า สามารถเดินชมวิวริมแม่น้ำ Limmat ได้ด้วย ถ้าคุณอยากไป ผมสามารถพาไปได้”

     “รบกวนด้วยนะครับ”

     “ถ้าอย่างนั้นเราไปเดินเล่นกันก่อน ผมจะโทรจองโต๊ะไว้สองที่สัก 1 ทุ่ม โอเคไหมครับ ?”

     “เยี่ยมเลยครับ”

     ไมเคิลต่อสายเพื่อจองโต๊ะตามที่เขาว่าไว้ ส่วนผมแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ นี่เป็นสัญญาณที่ดี เราไปทานอาหารเย็นด้วยกันต่อ ไม่ได้แยกย้ายต่างคนต่างกลับ สำหรับเขาผมอาจเป็นแค่เพื่อนต่างชาติคนใหม่ แต่สำหรับผม เขาเป็นบุคคลที่มีสเน่ห์ น่าหลงใหล เท่าที่รู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงนี้ผมรู้สึกว่าเขาสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตน รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น แต่ผมมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าภายในที่แท้จริงของเขามันจะต้องตรงข้ามอย่างสุดขั้วแน่นอน

     ผมแทบจะรอวันที่ได้รู้จักนิสัยที่เขาแอบซ่อนไว้ไม่ไหวแล้ว

     พิจารณารูปร่างภายนอกบอกได้เลยว่าไมเคิลเป็นที่ต้องตาทั้งหญิงสาวและชายหนุ่ม ระหว่างทางที่เราเดินด้วยกันในย่าน Old Town มีแต่คนมองมาที่เขา ส่วนผมก็เป็นแค่เอเชียหน้าจืดที่บังเอิญได้เดินข้าง ๆ เขาแค่นั้นเอง

     เมื่อเดินมาถึงร้านซึ่งคึกคักคนแน่นเป็นพิเศษ ผมรู้สึกเบาใจที่ได้มากับไมเคิลเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าร้านจะต้องแน่น เลยโทรจองโต๊ะไว้ก่อน เป็นร้านอาหารไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ตกแต่งน่ารักตามสไตล์ด้วยสีขาวแดง พนักงานเดินนำแล้วมอบเมนูให้ ซึ่งมีสามภาษาให้เลือก

     “ทานอะไรดีครับ”

     “มีอะไรแนะนำไหม ผมยังไม่เคยทานอาหารสวิสมาก่อนเลย”

     “โอ้ ถ้าอย่างนั้นต้องฟองดูชีสเลยครับ คุณชอบชีสไหม”

     “รักเลยล่ะ” ผมยิ้มกว้าง

     “เครื่องดื่มเอาอะไรดี ไวน์แดงไหม?”

     “ครับ”

     คือ...ผมดื่มไวน์ไม่เป็น แต่ถ้าเพื่อไมเคิลแล้วผมทำได้

     ระหว่างรออาหารผมสำรวจไปรอบ ๆ ร้าน มีหลายโต๊ะที่สั่งฟองดูชีส ซึ่งแต่ละโต๊ะจะมีหม้อสีแดงตั้งไว้ตรงกลางเพื่อต้มชีสด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ละลายอยู่ตลอดเวลา มีไม้ปลายแหลมเหมือนส้อมจิ้มขนมปังลงไปในชีส รับประทานคู่กับมันฝรั่งและผักสลัด

     รอไม่นานพนักงานก็มาเสิร์ฟฟองดูชีสที่โต๊ะผมบ้าง กลิ่นชีสตลบอบอวล มันไม่เหมือนชีสที่คนไทยชอบกิน กลิ่นจะแรงกว่ามาก ยิ่งผสมกับไวน์ขาวทำเอาผมแทบมึนแม้จะยังไม่ได้เริ่มกินสักคำ

     “Cheers”

     คนตรงข้ามยกแก้วไวน์ขึ้นมา ผมยกแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง

     แกร๊ง

     “Cheers”

     เราสองคนสบตากัน แม้ขณะดื่มไวน์ ไมเคิลดูเซ็กซี่มากจนผมอยากจะกินเขาแทนฟองดูชีสตรงหน้า

     “แด่การพบกันครั้งแรกของเรา”

     “แด่การพบกันครั้งแรกของเรา”

     จะผิดไหมถ้าผมอยากจะเอาชีสราดทั่วร่างเขาแล้วเลียไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว







     ตั้งแต่วันที่ผมพบไมเคิลก็เป็นเวลาผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้ว เราไม่ได้เจอกันอีก เพียงแค่แชทคุยผ่าน Whatsapp เท่านั้น ซึ่งไมเคิลตอบช้ามากจนผมรู้สึกเกรงใจที่จะแชททักไปหาเขาบ่อย ๆ เขาดูงานยุ่ง ไม่มีเวลา หรืออาจจะมีนัดเดทกับสาวอื่นซึ่งผมก็ไม่อาจรู้ได้ ผมสืบเสาะหาเฟซบุ๊กของเขาจนเจอและได้ส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนแล้ว แต่เขายังไม่รับ ส่วนอินตาแกรมนั้นผมไม่สามารถจริง ๆ

     ผมรู้สึกดีที่ได้ขอเบอร์วอสแอพเขาไว้ก่อนจากกันวันนั้น อ้างว่าเผื่อได้ไปเที่ยวกันอีก แต่ความเป็นจริงอีกด้านผมกลับรู้สึกแย่ ที่เขาไม่เคยทักผมก่อนเลย มีแต่ผมที่ทักเขาไป

     6.34 Mic : Good morning! How did you sleep? (อรุณสวัสดิ์ นอนหลับสบายไหมครับเมื่อคืน)

     15.20 Micheal : Hi Mic. I slept well. Thanks (สวัสดีมิค ฉันหลับสบายดี ขอบคุณ)

     15.35 Mic : Glad to hear that. How is your day so far? Are you busy? Mine is quite ok but today Jayden did poo 4 times! I think he might have diarrhea. (ดีจังที่ได้ยินแบบนั้น ว่าแต่วันนี้เป็นยังไงบ้าง งานยุ่งไหม ส่วนผมก็ค่อนข้างโอเคนะวันนี้ แต่เจย์เด็นอึ๊ตั้ง 4 รอบแน่ะ ผมคิดว่าเขาคงท้องเสีย)

     23.56 Micheal : My day was not bad. Oh really? Maybe he ate something wrong. I hope Jayden will get better soon. (วันของฉันไม่แย่เท่าไหร่ โอ้ จริงเหรอ เขาอาจจะกินอะไรผิดไปก็ได้ ฉันหวังว่าเจย์เด็นจะดีขึ้นนะ)

     00.12 Mic : Yeah...I don’t know what did he eat but if tomorrow he is not getting better, Zoey will bring him to the hospital. (อื้อ...ผมไม่รู้ว่าเขากินอะไรเข้าไป แต่ถ้าพรุ่งนี้เขายังไม่ดีขึ้น โซอี้จะพาไปโรงพยาบาล)

     00.45 Mic : Goodnight. (ฝันดีนะครับ)

     ถึงแม้ว่าไมค์จะตอบช้า และไม่ค่อยถามกลับ แต่ผมก็ยังจะหน้าด้านคุยต่อไป ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าเขาอาจจะงานยุ่งมากจริง ๆ นี่ผมทักหาเขาน้อยลงกว่าสองสามวันแรกด้วยซ้ำ พยายามทำให้ตัวเองยุ่งกับเด็ก ๆ และไม่คิดถึงนัยน์ตาสีเขียวอมฟ้านั่น

     ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไมเคิลมีรสนิยมทางเพศแบบไหน เขาอาจจะไม่ใช่เกย์แบบผมก็ได้ ผมไม่ควรรุกมากเกินไป ผมยังอยากเจอเขาอีก แม้ในฐานะเพื่อนก็ตาม

     “เฮ้มิค ตานายน่ะ” แซมร้องเรียก เมื่อเห็นผมเหม่อลอย “เอ้า การ์ดบนสุดนั่นสีแดงเลขเจ็ด นายจะลงสีเขียวเลขสองไม่ได้นะ นายเล่นอูโน่เป็นจริงรึเปล่าเนี่ย?”

     เวร แค่เผลอคิดคิดถึงไมเคิลแป๊บเดียวกลับโดนเด็กด่าซะได้

     “ฉันเปล่าลงการ์ดใบนั้นนะ เจย์เด็นทำต่างหาก ใช่ไหมครับ หื้มมมมม” ตััวเล็กนั่งตักผม ขณะที่ผมเล่นอูโน่กับแซมมวลไปด้วย เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคักเวลาก้มลงไปฟัดแก้มนิ่ม ๆ

     “แอ๊ะ อ๊ะๆๆ ตั๊ดตา ตาาา ตั๊ดตาา” เจย์เด็นส่งเสียงราวกับคัดค้านที่ผมพูด

     “ไม่ต้องอ้างเจย์เลย นายนั่นแหละ ลงใหม่สิ” แซมหยิบการ์ดบนสุดคืนให้ผม เด็ก 7 ขวบตรงหน้าผมดูจริงจังกับการเล่นอูโน่มาก ราวกับกำลังแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่

     ผมเล่นต่อเรื่อย ๆ ปล่อยให้เจย์เด็นคลานรอบห้องนั่งเล่น หรือไม่ก็เกาะขอบโต๊ะ เพราะตอนนี้เจย์เด็นเริ่มยืนได้มั่นคงแล้ว และขอบอกเลยว่าเห็นอวบๆแบบนี้แต่คลานได้เร็วมาก

     “อูโน่!” แซมมวลร้องตะโกนเมื่อเหลือการ์ดในมือแค่ใบเดียว ส่วนผมน่ะเหรอ เหลือ 5 ใบ

     ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าใครชนะ

     “นี่นายแพ้เด็ก 7 ขวบหรอ ?” เสียงลอยมาจากด้านหลังผม

     ธีโอมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขายิ้มเยาะเย้ย

     “เกมนี้มันวัดกันที่ดวงหรอก ไม่ใช่ความสามารถ” ผมเถียงกลับ ขณะเรียงเก็บการ์ดอูโน่ทั้งหมดเข้ากล่อง

     “แต่ฉันไม่เคยแพ้แซมเลยนะ”

     “เพราะพี่โกงหรอก !” คนโดนอ้างรีบแก้ตัว

     “ไม่เอาน่า..แซม นายก็รู้ว่านายไม่เคยชนะฉันสักอย่าง”

     เอาล่ะครับ...ศึกพี่น้องได้บังเกิดขึ้นแล้ว

     ผมเดินไปอุ้มเจย์เด็นที่กำลังปีนขึ้นเก้าอี้ เพื่อหนีสถานการณ์ตรงหน้า

     “งั้นลองมาเล่นสักเกมไหม จะได้รู้กันไปเลย” แซมท้าพี่ชาย “ให้มิคเป็นกรรมการ”

     ในขณะที่ผมกำลังจะแจกการ์ดให้สองพี่น้อง เสียงโซอี้เรียกกินข้าวก็ดังขึ้นมา

     “เด็ก ๆ ได้เวลากินข้าวแล้วจ๊ะ”

     “โธ่ แม่ ขอเล่นตานึงสิครับ จะได้รู้กันไปเลยว่าผมกับธีโอใครเก่งกว่ากัน”

     “ไม่ได้ ไว้หลังกินข้าว ตอนนี้แม่บอกให้มานั่งบนโต๊ะก็ต้องมา” โซอี้ดุ แซมถอนหายใจแล้วเดินมายังโต๊ะกินข้าวแบบเนือย ๆ

     วันนี้โซอี้ทำลาซานญ่า แน่นอนว่าชีสและแป้งมาเต็ม เอาจริง ๆ ผมอยากอาสาทำอาหารให้มากกว่า แต่ผมตกลงกับโซอี้ไว้แล้วว่าทุกวันอังคารกับพฤหัสมื้อค่ำจะเป็นอาหารไทย ส่วนวันนี้วันพุธ เธอเลยลงมือเป็นแม่ครัวเอง

     บนโต๊ะอาหารส่วนใหญ่ทุกคนจะคุยกันเป็นภาษาสวิสเยอรมัน นอกจากเรื่องไหนที่พวกเขาอยากให้ผมรับรู้ก็จะพูดเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนตัวผมไม่อะไรอยู่แล้วเพราะผมก็ไม่ได้อยากรับรู้มาก ยุ่งกับการป้อนข้าวตัวเล็กนี่ดีกว่า

     ในบางครั้งเจย์เด็นก็จะร้องแหกปากจนทุกคนแทบทนไม่ได้ เพราะอยากกินสิ่งที่คนอื่นกินบ้าง แต่เจย์เด็นยังเล็ก บางอย่างไม่สามารถให้กินได้ โซอี้ก็จะจัดการเจย์เด็นด้วยตัวของเธอเอง นับว่าโซอี้ถือเป็นแม่ที่ดีเลย ไม่ได้ว่ามีพี่เลี้ยงแล้วจะทิ้งลูกไว้กับพี่เลี้ยงตลอดเวลา แม้ในตอนเช้าเธอจะต้องทำงานในออฟฟิศเธอและทิ้งตัวเล็กไว้กับผม แต่ผมก็โอเค เพราะมันคือหน้าที่ ผมมาเป็นออแพร์เพราะสิ่งนี้ ส่วนตอนบ่าย โซอี้จะดูแลตัวเล็กเอง ส่วนผมสามารถพักเบรคได้ เริ่มวานอีกทีคือสี่โมงเย็นเวลาแซมมวลกลับมาจากโรงเรียน

     “พ่อกลับมาแล้วจ้าาาาาาา” เสียงตะโกนของลูคัสตั้งมาแต่ไกลตั้งแต่ลิฟท์เปิด แซมมวลกระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งไปกอดพ่อ ลูคัสอุ้มแซมมวลกลับมาที่โต๊ะอาหารพลางพาดสูทไว้บนโซฟา แวะมาเล่นกับเจย์เด็น แล้วเดินไปจูบแก้มภรรยาตนเอง ต่อด้วยชกมือกับธีโอ

     ธรรมเนียมบ้านนี้เขาล่ะ

     “ว้าววว ลาซานญ่า ใครทำฮึ? เธอหรือพ่อครัวสุดเก่งจากประเทศไทย”

     “ลองชิมดูสิ” โซอี้ไม่ตอบ

     ลูคัสนั่งลงประจำที่ของตัวเอง ตักทานหนึ่งคำ ทำท่าครุ่นคิด

     “อืมมม เค็มแบบนี้ ฝีมือเธอแน่นอนโซอี้”

     “งั้นไม่ต้องกินเลย”

     “โอ๋ๆ เมียสุดที่รัก ล้อเล่นจ๊ะ อร่อยมาก ของโปรดฉันเลย” ลูคัสทานต่อ เป็นสัญญาณว่าทุกคนสามารถรับประทานอาหารต่อได้ ทุกคนเริ่มสนทนาเป็นภาษาสวิสเยอรมันอีกครั้ง ผมไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งได้ยินชื่อตัวเองในประโยค ลูคัสเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษแทน

     “วันศุกร์นี้พอดีจะมีแขกมาที่บ้าน ฉันขอให้เธอทำอาหารไทยให้พวกเราหน่อยได้ไหม ?” ลูคัสหันมาถามผม

     “ได้แน่นอนครับ ว่าแต่มีแขกกี่คนเหรอครับ แล้วอยากให้ผมทำสักกี่อย่างดีครับ” ผมตอบด้วยความเต็มใจ ผมชอบการทำอาหาร แค่ชอบเฉย ๆ นะ เพราะรู้สึกว่าเวลาทำอาหารผมไม่ต้องเลี้ยงดูเด็ก ฮ่าๆๆ ซึ่งบางทีแซมมวลก็เอาแต่ใจ เจย์เด็นก็กรีดร้องแหกปากจนผมปวดหัว ปล่อยให้เป็นหน้าที่โซอี้แทนดีกว่า

     “สามคนจ๊ะ เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจของลูคัสเขา ฉันอยากให้เธอทำเปาะเปี๊ยะทอด กับแกงสักอย่างไม่ต้องเผ็ดมาก และก็อะไรก็ได้อีกอย่างนึงจ๊ะ รบกวนด้วยนะจ๊ะ ส่วนวัตถุดิบทั้งหมดเธอสามารถใช้บัตรเครดิตฉันไปซื้อได้ตามปกติเลย”

     “โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะทำแกงเขียวหวาน กับผัดผักน้ำมันหอยนะครับ”

     “เยี่ยมเลย แค่ได้ยินก็รู้เลยว่าต้องอร่อยแน่นอน” ลูคัสหันมายิ้มให้ผม

     หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อย ผมมีหน้าที่เก็บครัวตามปกติ ส่วนลูคัสกับโซอี้ก็เล่นกับลูก ๆ ก่อนจะส่งเข้านอน พอทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จผมเดินไปบอกฝันดีกับเจ้าตัวเล็กและแซมมวล เป็นอันเสร็จงานของวันนี้

     ผมลงมายังอพาร์ทเม้นของผมชั้นล่าง อาบน้ำสระผมให้หอมฟุ้ง นุ่งผ้าเช็ดตัวมายังห้องนั่งเล่น เช็คโทรศัพท์แล้วไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ จากคนชื่อไมเคิล ยอมรับตรง ๆ ว่าเริ่มท้อ และพลางคิดไปว่าอาจไม่ได้้เจอกันอีก

     ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ผมได้ยินเสียงคนไขกุญแจห้อง

     โซอี้ ? ไม่ใช่...

     “เฮ้ มิค อยู่ไหม”

     เสียงธีโอนี่นา เขามาทำอะไร ? หรือว่าจะมาอ่านหนังสือในห้องนั้นที่ลูคัสเคยบอก

     ผมไม่ทันได้แต่งตัวให้เรียบร้อย คนบุกรุกก็เห็นผมเสียแล้ว

     “อ้าว ธีโอ มีอะไรรึเปล่า ?”

     “ฉันหิว”

     หิว...แล้วยังไงต่อ ? คือทำไมไม่ไปหาอะไรกินล่ะ

     “เมื่อกี้ไม่ได้กินข้าวเหรอ แต่ฉันเห็นอยู่นะว่านายกิน”

     “ก็หิวอีก” ธีโอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตรงข้าม

     “งั้นก็ไปหาอะไรกินซะสิ”

     “ทำอะไรให้กินหน่อย”

     หะ ? ผมหูฝาดไปรึเปล่า

     “นายติดค้างที่ฉันพาขึ้นเขาอยู่นะ”

     พาขึ้นแต่ไม่ได้พาลงเว้ยยยย ไอ้บ้า มีหน้ามาทวงบุญคุณแบบนี้ด้วย

     “แต่นายก็ทิ้งฉันไว้ที่นั่นคนเดียว” ผมตอกกลับ ธีโอนิ่วหน้าไปเล็กน้อย

     “ก็นั่นมันเหตุสุดวิสัย...ตกลงนายจะไม่ทำอะไรให้ฉันกินใช่ไหม” ธีโอลุกขึ้น ท่าทางหงุดหงิด

     ด้วยความจิตใจดีส่วนลึก ๆ ข้างในทำให้ผมพูดโพล่งออกไปว่า

     “นายชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไหม”

     ร่างสูงทำท่านึก ก่อนจะตอบ

     “ไม่เคยลอง”

     “อยากลองไหมละ ?”

     “ก็เอาสิ”

     บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่าก็คือมาม่าต้มยำกุ้งที่ผมขนมาจากประเทศไทย เผื่อไว้กินยามฉุกเฉิน สำหรับคนไทยมันไม่ได้มีความเผ็ดมากใช่ไหมครับ แต่สำหรับฝรั่ง....หึหึหึหึหึ























*Stand up Paddle (SUP) กิจกรรมบนน้ำโดยผู้เล่นจะยืนอยู่บนแผ่นเซิร์ฟแล้วใช้ไม้พาย(Paddle)พายเพื่อเคลื่อนที่ไปยังทิศทางต่าง ๆ

หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-03-2019 10:11:33
แกล้งเขานะ
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 21-03-2019 21:59:37
ธีโอ

แกเสร็จแน่

หุหุ

แกจะต้องติดใจ

มาม่าต้มยำกุ้ง

เหมือนพวกฉันแน่

มิคถ้าไมเคิลมันเล่นตัวนัก

ถึงมันจะหล่อก็ไม่ต้องเสียเวลาจ้า

รีบเรียนภาษาให้เก่ง

ผู้งานดีมีอีกเพียบ

หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-03-2019 23:51:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 22-03-2019 03:09:03



     และก็เป็นอย่างท่ี่ผมคิดไว้ ธีโอกินคำแรกก็ร้องซู้ดปากเสียงดัง แต่เขาไม่ยอมแพ้ ยังคงกินต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันเอร็ดอร่อยมาก แม้ว่าปากจะบวมแดงและมีเหงื่อซึมก็ตาม

     “เฮ้ ถ้านายไม่ไหวก็อย่าฝืน”

     “มันเผ็ด แต่อร่อย” เจ้าตัวยืนยันจะกินต่อ

     ก็ผงชูรสเยอะขนาดนั้นไม่อร่อยได้ไง

     “กินเสร็จแล้วเอาเข้าเครื่องล้างจานแล้วกดเปิดเครื่องให้ด้วยล่ะ ฉันจะไปแต่งตัว”

     สั่งเสร็จผมก็เดินเข้าห้องไปใส่ชุดนอนลายมิคกี้เม้าโง่ ๆ ที่ได้มาเมื่อห้าปีที่แล้วจากเพื่อนสนิท พอเดินออกมาก็พบว่าธีโอจัดการทำความสะอาดครัวให้เรียบร้อย ตอนนี้เขากำลังไล่เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ในมือไปเรื่อย มืออีกข้างถือกระป๋องเบียร์ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน มั่นใจว่าผมไม่ได้ซื้อมาตุนไว้ในตู้เย็นแน่ ๆ

     “ดื่มไหม ?” ธีโอยื่นกระป๋องเบียร์ที่ยังไม่ได้เปิดมาให้

     “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

     “แล้ว ?...ฉันก็ต้องตื่นไปเรียนเหมือนกัน” ท่าทางดูถูกนั่นทำให้ผมรับเบียร์มาไว้ในมือ ทิ้วตัวลงนั่งข้าง ๆ เปิดเบียร์ดื่มกินแล้วพบว่านี่มันเป็นเบียร์ที่อร่อย ผิดแปลกไปจากเบียร์ช้างที่เคยกินที่ไทย มันได้กลิ่นหอมผลไม้ รสชาติไม่ขมมาก

     “ชอบไหม?” คนข้าง ๆ ถาม

     “อืม”

     ถ้าตาไม่ฝาดผมเห็นว่าเขายิ้มเล็กน้อยด้วยแหละ

     น่าจะยิ้มบ่อย ๆ นะ หน้าตาออกจะดีขนาดนี้

     เราสองคนนั่งดูซีรีย์ทางเน็ตฟลิกซ์ นั่งดูเพลิน ๆ ดื่มเพลิน ๆ จนตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าเมาเล็กน้อย เพราะเบียร์มันอร่อย ดื่มง่าย ส่วนไอ้เด็กม.ปลายข้าง ๆ นี่กระดกเอา ๆ อย่างกับน้ำ โต๊ะทรงกลมเตี้ยตรงหน้าเต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์ที่หมดแล้ว

     “ทำไมนายถึงอยากมาเป็นออแพร์” จู่ ๆ ธีโอก็ถาม

     “อยากมาหาประสบการณ์ อยากฝึกภาษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ” ผมตอบตามสคริปท์ “แล้วนายล่ะ อยากเป็นอะไร หลังเรียนจบไฮสคูล”

     ผมพอรู้มาบ้างว่าพวกฝรั่งจะมี Gab year เป็นเวลาที่ทุกคนจะได้ไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อยากลอง แล้วค่อยเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือจะทำงานต่อเลยก็แล้วแต่

     “ไม่รู้เหมือนกัน เอาจริง ๆ ก็อยากเที่ยวรอบโลก” ธีโอเอนหลังพิงกับเบาะ เอามือสอดใต้หัว “แต่เที่ยวรอบโลกโดยใช้เวลาแค่ 1 ปีมันไม่เพียงพอหรอก แถมต้องใช้เงินอีก”

     “งั้นค่อย ๆ เที่ยว ค่อย ๆ ทำงานเก็บเงินไปด้วยไม่ดีกว่าหรอ” ผมเสนอ “แล้วประเทศไหนที่นายอยาก...”

     ยังถามไม่เสร็จเสียงโทรศัพท์ของธีโอก็ดังขึ้น ทั้งผมและเจ้าของเครื่องเหลือบมอง ผมเห็นชื่อขึ้นว่า Charlotte

     “ขอตัว” ธีโอลุกขึ้น เปิดประตูเพื่อออกไปคุยข้างนอกตรงสนามเด็กเล่น

     แฟนล่ะมั้ง ?

     ผมมีความรู้สึกว่าธีโอเริ่มเปิดใจให้ผมมากขึ้นหลังจากที่ผมบอกไปตรง ๆ เรื่องที่เราจะต้องอาศัยอยู่ด้วยกันหนึ่งปี ดูจากการที่เขาพาผมขึ้นเขา (แม้จะไม่ได้พาลงก็ตาม) มีบทสนทนากับผมตามแต่โอกาส ไม่ได้มึนตึงใส่เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน และยังตอนนี้นั่งกินเบียร์ดูหนังด้วยกัน เหมือนเราเป็นเพื่อนกันซะมากกว่า

     พอเจ้าตัวคุยเสร็จกลับมายังห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม ผมเลยเปิดปากถาม ถ้าเป็นเวลาปกติคงไม่กล้าถามหรอก นี่ถือว่ากรึ่ม ๆ โทษเบียร์เอาละกัน

     “แฟนหรอ ?”

     ธีโอหันมามองหน้า ก่อนจะตอบอย่างเบื่อหน่าย

     “เปล่า แค่นอนด้วยกันเฉย ๆ”

     วู้ววววววว

     “แต่พักหลังนี้ชาร์ล็อตต์พยายามที่จะเป็นมากกว่านั้น”

     อ่าหะ ก็เข้าใจนะ รูปหล่อพ่อรวย ไม่รู้ -วย ใหญ่มั้ย

     “ตอนนี้เลยพยายามตีตัวออกห่าง”

     “ทำไมล่ะ ไม่ตรงสเป็คเหรอ?”

     “ถ้าหมายถึงหน้าตารูปร่างภายนอกล่ะก็...ชาร์ล๊อตต์จัดว่าเป็นคนที่สวยมีสเน่ห์ดึงดูดสุด ๆ แต่นิสัยเธอไม่โอเค” ธีโอเล่าไปกระดกเบียร์ไป “อย่างวันนั้นที่ฉันทิ้งนายไว้บนเขาเพราะชาร์ล๊อตโทรมาบอกว่าไม่สบาย ไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่มีใครดูแลเธอ ฉันเลยไปหา แต่พอไปถึงจริง ๆ แล้ว เธอสบายดี แค่แกล้งไอเจ็บคอกับเอาไดร์มาเป่าที่หน้าผากทำให้ดูเหมือนมีไข้”

     “รู้ได้ไงว่าเอาไดร์มาเป่า”

     “เพราะฉันไม่ได้โง่เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ ของเธอไง ฉันวัดไข้เธอด้วยปรอทก็อุณหภูมิปกติดี แถมผ่านไปไม่ถึง 5 นาที หน้าผากเธอก็ไม่ได้ร้อนเหมือนตอนแรก”

     “แล้วยังไงต่อ”

     “เธอแค่เรียกร้องความสนใจ”

     “จากนั้นนายก็กลับบ้าน ?”

     “เปล่า ก็...มีอะไรกันนั่นแหละ”

     แหมมม ปากบอกอยากตีตัวออกห่าง แต่การกระทำไม่ใช่นะ

     “เธอยั่วเอง”

     ฟังไว้นะครับคุณผู้หญิง ความคิดจิตใจของผู้ชายมันเป็นแบบนี้แหละ อย่างธีโอนี้ไม่สนด้วยซ้ำว่าทำไมชาร์ล๊อตต์ถึงทำอย่างนั้น ผมฟังแค่นี้ยังดูออกเลยว่าเธอคงชอบหรือไม่ก็รักธีโอมาก ยอมแม้กระทั่งเป็นแค่คู่นอน

     เอ๊ะ หรือผมมองโลกในแง่ดีมากเกินไป บางทีฝ่ายหญิงอาจจะมองว่าธีโอเป็นแค่คู่นอนเหมือนกันก็ได้ แต่อาจจัดธีโอไว้อันดับหนึ่งท่ามกลางผ้ชายอีกหลายคนในสต๊อคของเธอ

     “ถ้าไม่อยากยุ่งอีกก็บล๊อคออกจากชีวิตไปซะสิ หรือไม่ว่ายังหาคู่นอนคนใหม่มาแทนไม่ได้ ?” มองก็รู้ว่าธีโอจัดอยู่ในประเภทเซ็กส์กับหัวใจแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

     “หึ นายคิดว่าหน้าตาอย่างฉันหาผู้หญิงมานอนด้วยยากมากหรอ ?”

     “ก็ไม่รู้สินะ” ผมตอบกวน ๆ “ลีลานายอาจจะแย่ หรือไม่ไอ้นั่นเล็กจนไม่มีใครอยากมีเซ็กส์ด้วย”

     ที่พูดออกไปนี่เพราะเบียร์ล้วน ๆ เวลาปกติผมคงไม่ปากกล้าขนาดนี้หรอก

     นัยน์ตาสีฟ้าสว่างตัดขอบสีครามหรี่ลง ธีโอไม่โกรธ ซ้ำยังดูสนุก มุมปากยิ้มเยาะแบบที่ชอบทำประจำ ตอกกลับด้วยคำพูดที่เหนือกว่า

     “นายจะลองพิสูจน์ด้วยตาตัวเองก็ได้นะ”

     โทษทีฉันไม่นิยมคนเด็กกว่า”

     คิดผิดแล้วไอ้หนู

     ขณะที่ผมกำลังยิ้มให้กับชัยชนะในยกนี้ จู่ ๆ อีกฝ่ายนั่งหลังตรง รู้ตัวอีกทีก็มีฝ่ามือก็ประกบไว้ทั้งสองข้างแก้ม บีบกรามแน่นจนผมเริ่มเจ็บ

     “เคยลองหรือยัง ถ้ายังก็อย่ามาทำเป็นปากดี ดูก็รู้ว่ายังไม่เคยมีเซ็กส์กับผู้หญิง หรืออาจจะเคยแต่ล่มปากอ่าวจนทำให้เป็นแผลฝังใจ และกลายเป็นเกย์เหมือนทุกวันนี้”

     ผมปัดมือธีโอออกหน้าใบหน้าแล้วลุกขึ้นยืน

     “Please, leave (กรุณาออกไป)”

     “ทำไม พูดแทงใจดำหรือไง” ธีโอไม่ยอม เขาลุกขึ้น ความสูงเลยเหนือหัวผมไป “ว่าแต่เป็นเกย์นี่ เกย์รับหรือรุก แต่ท่าทางตุ้งติ้งของนายน่าจะเป็นรับใช่ไหม”

     “ออกไป”

     “ได้ยินมาว่าก่อนจะมีเซ็กส์ต้องสวนล้างทวารหนักนิ ไม่งั้น...ไม่อยากจะคิด”

     “ครั้งสุดท้าย...กรุณาออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”

     “เออ ไปก็ได้ ไม่อยากจะอยู่นักหรอกในห้องของพวกเกย์”

     ปึง!!!

     เสียงปิดประตูดังลั่น ผมยังยืนอยู่ที่เดิม

     มือกำแน่นจนสั่น รู้สึกได้ถึงเล็บที่จิกลงไปในฝ่ามือ แต่มันยังเจ็บไม่ได้ถึงครึ่งของคำพูดที่ธีโอพูดพล่อย ๆ ออกมา ผมไม่รู้ว่าเขาเมาหรืออะไร แต่ดูท่าทางสติครบถ้วนดี คงเป็นจิตใต้สำนึกของเขาที่ต่อต้านรังเกียจเกย์

     ที่ประเทศไทยแม้เพื่อนๆ จะรู้ว่าผมเป็นเกย์แต่ทุกคนก็ยอมรับ ให้ความเสมอภาค ไม่มีการพูดจาเหยียดหยามแต่อย่างใด

     ผมคิดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสวิสเซอร์แลนด์จะมีการสอนให้เคารพเพศสภาพในชั้นเรียนเสียอีก...

     น่าผิดหวังจริงๆ...ธีโอ...



TBC
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-03-2019 23:29:16
 :z6:


ทำตัวเหมือนคนไม่ได้โตมาจากเมืองที่เจริญแล้ว
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-03-2019 11:06:42
ธีโอ.. :z6:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: holyhilly ที่ 26-03-2019 06:08:56
 :z1: อ่านรวดเดียวเลย รออ่านต่อนะจ่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 26-03-2019 07:58:58
ธีโอเหมือนเด็กเลย แต่คาแรคเตอร์น่าจะเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter IV [March, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 04-07-2019 04:49:03

V

I am really sorry



   วันนี้ผมออกมาซื้อของที่ coop ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แถวบ้านเพราะจะต้องลงมือทำดินเนอร์มื้อใหญ่ เนื่องจากจะมีแขกมาที่บ้านอย่างที่ลูคัสได้บอกไว้ ผมลิสต์รายการของที่ต้องซื้อไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันก็เยอะมาก จนโซอี้คิดว่าต้องให้ใครสักคนมาช่วยผมถือของ

   ใช่ครับ คน ๆ นั้นคือ

   ‘ผมมีคลับนะวันศุกร์บ่าย’

   ‘แกมีคลับบ่ายสาม แต่มิคจะออกไปซื้อของตอนบ่ายโมง ยังไงก็ไปเรียนทัน’ โซอี้ตอบกลับเสียงเรียบ

   ‘แม่...ผม’

   ‘คือผมไปคนเดียวได้ครับ ของไม่น่าจะหนักมากเท่าไหร่’

   ‘เอาอย่างนั้นหรอ ? มั่นใจนะมิค’

   ‘ครับผม’

   ‘โอเค เอางั้นก็ได้...แต่แก ธีโอ วันนี้แกต้องอยู่ร่วมมื้อเย็น เข้าใจนะ ?’ โซอี้หันไปกำชับธีโออีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะเดินออกจากบ้านไป

   นี่คือบทสนทนาในตอนเช้าวันที่สองหลังจากที่ธีโอพูดจาต่ำ ๆ ใส่ผม เขาไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาขอโทษ ส่วนผมก็ทำงานเลี้ยงเจ้าตัวเล็กหรือเล่นกับแซมมวลไปเรื่อย ธีโอไม่ค่อยได้โผล่หัวออกมาต่อหน้าผมสักเท่าไหร่ อย่างเมื่อวานมื้อเย็นเขาก็ไม่ได้มาร่วมดินเนอร์อย่างเคย อ้างว่าต้องอ่านหนังสือ

   ผมไม่ได้สนใจธีโอสักเท่าไหร่ เรื่องที่เขาพูดจาแบบนั้นใส่ผม ผมไม่แคร์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ชอบกันก็อยู่ห่าง ๆ กันไว้จะดีกว่า ดีแล้วที่เขาแสดงท่าทีออกมาแต่แรกว่ารังเกียจเกย์ ผมจะได้วางตัวถูก

   เรื่องที่ผมแคร์มากตอนนี้ก็คือข้อความประโยคหนึ่งที่ถูกส่งมาโดยไมเคิลตอนตีหนึ่ง ทำเอาผมแทบบ้าไปทั้งวัน

   Long time no see, but we will see each other again SOON. Sleep well Micky : ) (ไม่ได้เจอกันนานนะ แต่เราจะเจอกันเร็วๆ นี้แหละ หลับฝันดีนะ มิคกี้)

   มันเป็นประโยคที่ผมรอคอยมานานหลายวัน รอจนแทบหมดหวัง แต่นี้...ไมเคิลบอกว่าเราจะได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้ครับท่านผู้โชมมมม ฮู้เร่

   ผมส่งถามกลับไปว่าเราจะเจอกันเมื่อไหร่ ที่ไหน กี่โมงดี ไมเคิลกลับอ่านแต่ไม่ตอบ

   ช่างเถอะ แค่เขาบอกว่าเราจะได้เจอกันอีกมันก็ทำให้หัวใจผมพองโตแล้ว

   ขณะที่ผมกำลังเตรียมทำอาหารโซอี้ทักขึ้นมาว่า

   “ไม่ต้องเผ็ดมากนะจ๊ะ ฉันกลัวเพื่อนร่วมงานของลูคัสจะทานไม่ได้”

   “ครับผม เรื่องนั้นผมระวังไว้อยู่แล้ว” ผมยิ้มตอบกลับไป

   “ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรบอกได้เลยนะ ฉันจะไปตามธีโอมาช่วย...ว่าแต่ลูกชายคนโตของฉันไปไหนเนี่ย ควรจะกลับถึงบ้านได้แล้วนะ นี่มันใกล้เวลาดินเนอร์แล้ว” โซอี้บ่นพลางมองนาฬิกาข้อมือ

   20 นาทีต่อมา คนที่ถูกตามหาก็ปรากฎตัวในสภาพเหงื่อโชก ทิ้งกระเป๋ากีฬาที่มีไม้เทนนิสโผล่ออกมาจากตัวกระเป๋าที่ปิดไม่สนิท

   ธีโอมีคลับเทนนิสทุกวันศุกร์

   ผมไม่ได้อยากจะจำ แต่มันต้องใส่ใจ ตอนนี้ผมเริ่มจำทุกอย่างในบ้านได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลาย เครื่องครัวต่าง ๆ ลิ้นชักไหนผมรู้หมด เสื้อผ้าทุกคนผมก็แยกออกว่าตัวไหนเป็นของใคร เพราะเป็นผมซะส่วนใหญ่ที่เก็บบ้านแล้วโยนเสื้อผ้าทุกคนลงในเครื่องซักผ้า รวมไปถึงตารางทำงาน กิจกรรมของแต่ละคน

   หลังจากที่หั่นผัก หุงข้าว จัดโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว วุ่นวายอยู่ตรงครัวประมาณหนึ่งชั่วโมง จนตอนนี้ทุกอย่างเกือบเรียบร้อย เหลือแค่เปิดไวน์รินรอแขกที่จะมาถึงในอีก 10 นาทีเท่านั้น เนื่องจากวันนี้มีดินเนอร์ใหญ่ พวกเราเลยทานข้าวเย็นช้ากว่าปกติ แต่เจย์เด็นไม่ใช่ เขาต้องกินตรงเวลา ผมเลยหันไปป้อนข้าวเย็นเจย์เด็น พอเจ้าก้อนนี้กินเสร็จก็ปล่อยให้เขาลงไปคลานเล่นทั่วบ้านต่อเพื่อที่จะได้เบิร์นไขมันบ้าง ในขณะที่ผมเล่นแข่งรถปลอมๆ กับแซมมวลฆ่าเวลา (แหงล่ะ เขาขอชนะตลอด)

   “Guten Abend!* (สวัสดีตอนเย็นจ้า)” เสียงลิฟต์เปิดออกพร้อมด้วยเสียงตะโกนสวัสดีตอนเย็นจากลูคัสเหมือนทุก ๆ วัน แต่ที่ไม่เหมือนก็คือผมได้ยินเสียงพูดคุยเป็นภาษาสวิสเยอรมันจากแขกที่จะมาร่วมรับประทานอาหารค่ำในวันนี้

   ทำไมเสียงคุ้น ๆ จังเลยนะ

   โซอี้อุ้มเจย์เด็นไว้ในอ้อมอกดั่งเคยเพราะเจ้าตัวเล็กเริ่มร้องแหกปากเนื่องจากคุณแม่เดินออกห่างเพื่อไปต้อนรับ เจย์เด็นคลานตามอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าคุณแม่ของเขาจะหายไป มันคล้าย ๆ กับสภาวะความกลัวของเด็กถ้าหากไม่มีผู้ปกครองอยู่ใกล้ ๆ ยิ่งมีคนแปลกหน้าเข้ามามันยิ่งทำให้เจย์เด็นรู้สึกกลัว

   เห็นดังนั้นผมจึงรีบปรี่เข้าไปช่วยอุ้ม แต่พอได้เห็นแขกที่จะมาร่วมมื้อเย็นในวันนี้ทำเอาผมช็อค

   ไมเคิล...

   เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

   ณ วินาทีนั้นผมทั้งตกใจและดีใจ ผมแกล้งกลบเกลื่อนรอยยิ้มและท่าทางไม่ให้ออกนอกหน้า ทำเป็นรับอุ้มเจย์เด็นจากอ้อมอกโซอี้ แต่เจ้าตัวเล็กไม่ให้ความร่วมมือ กำมือจับชายเสื้อโซอี้แน่น

   ทุกคนทักทายกล่าวสวัสดี ผลัดหอมแก้มคนละสามที เพราะเป็นธรรมเนียมของที่นี่ บางประเทศก็แค่หอมแก้มสองที หรือหนึ่งที บางที่ก็แค่กอด แต่ถ้าหากไม่สนิทสามารถเช็คแฮนด์ตามมารยาทสากลได้ ดังเช่นผมตอนนี้ที่กำลังทำความรู้จักกับสาวสวยผมบลอนด์ชื่อเอริก้าที่นำดอกไฮเดรนเยียมาเป็นของขวัญและชายสูงวัยชื่ออีริคที่มาพร้อมกับขวดไวน์ราคาแพง

   “Good evening, Mic. Finally, we meet again (สวัสดีตอนเย็นมิค ในที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง)” ไมเคิลยิ้มแย้มพลางเข้ามากอดอย่างสนิทสนม หลังจากมอบของขวัญที่เขาเอามาฝากเด็ก ๆ แต่เขาไม่ได้หอมแก้มผมแบบที่ทำกับโซอี้

   แอบเสียดาย แต่เรายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนี่นา

   มือหนาทาบทับบนหลังผมพลางลูบขึ้นลง แต่เราสองคนไม่ได้กอดกันแนบแน่น เหมือนเพื่อนที่ได้เจอกันอีกครั้งเสียมากกว่า

   “เป็นยังไงบ้าง? สบายดีไหม?”

   นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าที่พร้อมจะสยบทุกคนที่มอง รอยยิ้มนุ่มนวล ร่างกายแข็งแกร่งกำยำ...ทุกส่วนของเขา...ผมจินตนาการมาตลอดสองสัปดาห์ แต่บัดนี้ไมเคิลมาอยู่ต่อหน้าผมแล้ว

   ผมอยากจะตอบว่าผมคิดถึงคุณมากและเฝ้ารอวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง แต่ความจริงแล้วผมตอบไปว่า

   “สบายดีครับ ไมเคิลล่ะ? ทำงานหนักไหม?”

   “หนักมากเลยล่ะ พอดีฉันได้รับการเลื่อนขั้น เลยมีเรื่องต้องสะสางหลายอย่าง”

   “ว้าว ยินดีด้วยนะครับ” มิน่าเขาถึงไม่ค่อยตอบข้อความผม ได้ฟังแบบนี้แล้วค่อยน่าให้อภัยหน่อย

   “ว่าแต่หน้าที่คุณแม่มือใหม่ไปถึงไหนแล้ว หืม?” ไมเคิลถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

   “คุณพ่อมือใหม่ต่างหาก” ผมแก้ “ก็ดีครับ แซมมวลมีดื้อกับผมบ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาจะฟังผม ส่วนเจย์เด็น...รายนั้นติดคุณแม่แจเลยล่ะ...ผมทำงานลำบากมากหากโซอี้อยู่ใกล้ ๆ เพราะเจย์เด็นเอาแต่แม่ ไม่เอาผมเลย”

   “ฉันพอจะดูออก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องดูแลเด็กวัยกำลังคลาน”

   “อ้าว เธอสองคนรู้จักกันแล้วเหรอ” ลูคัสเข้ามาแทรกเมื่อเห็นว่าผมกำลังคุยกับไมเคิล

   ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดในใจว่าตอบลูคัสยังไงดี ไมเคิลก็ชิงบอกเสียก่อน

   “ครับ พอดีผมบังเอิญไปเจอมิคที่เขา Uetilberg ตอนนั้นมิคกำลังบาดเจ็บ ผมเลยช่วยเขาไว้ เราสองคนเลยรู้จักกันครับ”

   “โอ้ เป็นอย่างนั้นนี่เอง ไมเคิลนี่มิค ออแพร์ที่คอยดูแลเด็กๆ และนี่มิคนี่ไมเคิลผู้บริหารบริษัทผลิตสิ่งทอและบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ เป็นคู่ค้าของบริษัทฉันเอง เขาผลิตบรรจุภัณฑ์ให้ชอคโกแลตแบรนด์ของเรา”

   โอ้มายก๊อชชชช นอกจากหน้าตาจะหล่อเหลาแล้ว โปรไฟล์ยังดีเสียด้วย

   อดเทียบกับตัวเองไม่ได้ที่รับเงินเดือนกระจอกๆ แค่ 700 ฟรังก์ ในขณะที่ผู้บริหารอย่างเขาต้องมีรายรับไม่ต่ำกว่า 50,000 ฟรังก์แน่นอน

   นี่มันบุญวาสนาของผมแท้ ๆ ที่ได้มารู้จักกับเขา

   “ขอบใจเธอด้วยนะไมค์ที่ช่วยเหลือมิค...ว่าแต่ตอนนั้นเธอไปกับธีโอไม่ใช่หรอ?” ประโยคหลังลูคัสหหันมาถามผม

   “เอ่อ...ธีโอขอตัวไปทำธุระต่อน่ะครับ” ผมยิ้มแห้ง ๆ แก้ต่างให้ธีโอ

   “ไม่ไหวเลยลูกชายคนนี้” ลูคัสถอนหายใจ ส่ายหัวเบา ๆ “รู้จักกันแล้วก็ดี เราไปนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า”

   ลูคัสเชิญชวนทุกคนมาที่ห้องนั่งเล่น และถามทุกคนว่าอยากดื่มอะไร แชมเปญ ไวน์โรเซ่** ไวน์ขาว หรือไวน์แดง ทุกคนเลือกแชมเปญหมด ยกเว้นโซอี้ที่เธอนั้นคลั่งไคล้ไวน์โรเซ่เอาเสียมาก ๆ

   “Cheers!”

   เสียงแก้วกระทบดังไปทั่ว แต่ธรรมเนียมของที่นี่นั้นไม่ใช่แค่กระทบแก้วหมู่ร่วมกันแล้วจบ ทุกคนจะชนแก้วจนครบรอบวง นอกจากนั้นในขณะที่ชนแก้วสองคนยังต้องจ้องตากันเพื่อเป็นการให้เกียรติและแสดงความจริงใจของคนที่เราชนแก้วด้วย

   ไม่ยกเว้นแม้แต่การชนแก้วกับธีโอที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แต่ดูท่าจะมีมารยาทพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการแสดงออกในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่่อมีลูคัสและโซอี้อยู่แบบนี้ด้วย

   ทุกคนคุยกันเป็นภาษาสวิสเยอรมันอย่างออกรส รวมไปถึงแซมมวลที่เข้ามาแจมแต่ในมือเขามีแก้วน้ำเปล่าธรรมดาๆ แซมมวลกลายเป็นจุดสนใจ ทุกคนถามไถ่เขา ส่วนเจ้าตัวเล็กเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียงแก้วน้ำพลาสติกบนพื้น

   ผมรู้หน้าที่ตนเองจึงวางแก้วแชมเปญลงบนโต๊ะ แล้วลุกไปเตรียมอาหาร ส่วนโซอี้ก็แอบมากระซิบว่าเธอจะพาเจย์เด็นเข้านอนเอง

   โซอี้ใช้เวลาไม่นานในการกล่อมเจ้าตัวเล็กให้หลับ เมื่อทุกคนพร้อมเพรียงแล้วก็นั่งประจำที่ โดยมีลูคัสนั่งหัวโต๊ะ ปกติตามธรรมเนียมแล้วนั้นจะจัดให้ชายหญิงนั่งสลับกัน และให้ผู้ที่สนิทสนมนั่งตรงข้ามกันเพราะจะได้พูดคุยกันโดยไม่ต้องหันข้าง แต่ผมไม่ถือเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ให้ทุกคนได้จัดแจงที่นั่งกันระหว่างผมตักข้าวเสิร์ฟ จากนั้นยกแกงเขียวหวานใส่ถ้วยเล็กตกแต่งด้วยผักชีและพริกแดงให้แต่ละคน ตามด้วยเป๊าะเปี๊ยะทอด ผัดผักน้ำมันหอย และยำไก่สมุนไพร ที่ผมเพิ่มเข้ามาเป็นอย่างสุดท้าย

   อิริคเปิดไวน์ราคาแพงขวดนั้นแล้วลุกขึ้นวนรินให้ทุกคน รวมไปถึงผมด้วย ส่วนแซมวันนี้เขาได้ดื่มโค้กแทน

   ที่นั่งสุดท้ายที่เหลือคือนั่งข้างๆ แซม ตรงข้ามเป็นธีโอ ส่วนไมเคิลที่ผมอยากนั่งใกล้ ๆ อยู่หัวโต๊ะข้างลูคัสโน่น ผมเข้าใจว่าพวกเขาต้องคุยเรื่องธุรกิจกัน

   “แด่ลูคัส CEO คนเก่งของเรา, แด่โซอี้ทนายสุดสวย, แด่เอริก้า PR ที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง, แด่ไมเคิลผู้ที่ทำให้แบรนด์ช๊อกโกแลตของเรามีผลิตภัณฑ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร” อิริคชูแก้วไวน์สูงขึ้นหันไปมองแต่ละคน “และสุดท้ายนี้มิค พ่อครัวคนเก่งของเรา”

   ทุกคนหันมาทางผม ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่ออยู่ในการกล่าวเปิดครั้งนี้ด้วย

   “ด้วยความยิ่งดีอย่างยิ่งครับ ผมหวังว่าทุกคนจะชอบรสชาติอาหารที่ผมทำนะครับ” ผมยิ้มพร้อมชูแก้วไวน์ สิ้นสุดคำพูดทุกคนก็ลงมือจับมีดและส้อม

   ในที่สุดก็ได้กินสักที ผมหิวไส้กริ่วแล้วเนี่ย

   ถึงแม้จะเป็นดินเนอร์มื้อใหญ่ แต่ผมก็ไม่ลืมทำหน้าที่ดูแลแซม ผมคอยตักซุปแกงเขียวหวาน หั่นชิ้นเนื้อไก่ และคอยบอกให้เขาระมัดระวังเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร

   ห้องรับประทานอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงมีดกระทบกับจาน แต่ทว่ามีอยู่คนนึงที่ดูจะลืมเอาปากมาด้วย

   ธีโอนั่งตรงข้ามแซม ซึ่งเยื้องๆ กับผม ผมสังเกตว่าเขาเอาแต่ทาน ไม่พูดไม่จาอะไรเลยนอกจากเสียว่าจะมีคนเข้ามาถาม

   “อาหารอร่อยมากเลยครับ” จู่ๆ ไมเคิลก็พูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษและยิ้มให้กับผม

   โอ๊ยยย เคลิ้มครับเคลิ้ม คำชมแค่นี้แต่มันเหมือนราวกับไมเคิลกำลังขอผมแต่งงานก็ไม่ปาน

   “ใช่ อร่อยมากๆ เลย ผมชอบทุกอย่างที่มิคทำให้ผมกิน วันก่อนเขาทำกุ้งชุบแป้งทอดให้กิน อร่อยมาก” แซมเสริม ผมหันไปยีหัวไอ้ตัวแสบแล้วพูดว่า

   “ใช่ เธอกินหมดคนเดียวตั้ง 10 ตัว ไม่เหลือให้พ่อของเธอกินเลย”

   “ก็มันอร่อยนี่นา...แถมพ่อกลับบ้านช้าเอง ช่วยไม่ได้”

   ทุกคนหัวเราะ

   “นี่แซมดูโตเป็นหนุ่มขึ้นตั้งเยอะเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ฉันมาพาพวกเธอ” อีริคพูด

   “ใช่ค่ะ แซมเขาสูงขึ้น 10 เซ็นต์” ผู้เป็นแม่ตอบแทนและลูบหัวแซมมวลด้วยความรักใคร่

   “เธอก็ด้วยนะธีโอ ดูหล่อเหลากว่าเมื่อปีก่อน ไปเป็นนายแบบได้เลยนะเนี่ย” เอริก้าเสริมขึ้นบ้าง เจ้าตัวขยับนั่งหลังตรงเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูด

   “ครับ ก็คงประมาณนั้น” ธีโอยกแก้วไวน์จิบเล็กน้อย ดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ ตรงหน้าเขาวางมีดและส้อมไขว้กันเป็นรูปกากบาทบ่งบอกถึงว่าอิ่มแล้วและไม่ต้องการเพิ่ม

   เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเสริมอีกครั้ง สำหรับคนที่นี่ หากทานอิ่มและไม่ต้องการเพิ่มแล้วก็จะวางมีดและส้อมไขว้กัน สำหรับคนไทยก็จะวางคู่กันแทน และข้อสำคัญต่อให้ตนเองทานเสร็จก็จะไม่ลุกออกจากโต๊ะเป็นอันขาดจนกว่าทุกคนจะทานอิ่ม นี่เป็นมารยาทข้อแรกๆ หลังจากที่ผมได้ร่วมทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวเมื่ออาทิตย์แรกที่ผมมาถึง

   “ปีก่อนเขาถูกทาบทามจากเอเจนซี่ที่บริษัทเราจ้างให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ช๊อคโกแลตสูตรใหม่ที่จะออกช่วงฤดูใบไม้ร่วงน่ะ” โซอี้เล่า “พวกเขาบอกว่าหน้าตาธีโอเป็นเอกลักษณ์มาก หากได้เข้าวงการอาจดังไกลไปถึงฮอลลีวูด”

   “ธีโอเลยได้ร่วมงานเล็กๆ น้อยๆ กับแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่นที่เพิ่งเปิดตลาด” ลูคัสเล่าต่อ

   “ว้าวววว ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยพ่อหนุ่มน้อย” อีริคปรบมือแสดงความชอบใจ

   “ผมได้ถ่ายแบบแค่นิดเดียวครับ หลายๆ คนก็ได้รับโอกาสแบบนั้น”

   “หืม ไม่แน่นะต่อไปอาจได้เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ Calvin Klein ก็ได้ใครจะไปรู้ จริงไหม ฮ่าๆๆ” ลูคัสอวยลูกตัวเอง

   เจ้าตัวจิบไวน์แก้อาการเขินเล็กน้อย

   “นี่จ๊ะ ฉันเติมไวน์ให้” เอริก้ารินไวน์แต่ทว่ามันหมดเสียแล้ว

   “หมดแล้วเหรอ...ไม่เป็นไร ธีโอช่วยไปหยิบไวน์ในห้องเก็บไวน์ที เอามาสัก 3-4 ขวดก็ได้” ลูคัสวาน

   ทุกคนลุกจากเก้าอี้เพราะต่างคนต่างก็อิ่มแล้ว เอริก้าและอีริคชมไม่ขาดปากว่าอาหารที่ผมทำอร่อยมาก ได้ยินแค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ

   ขณะที่ผมกำลังเก็บโต๊ะนั้นโซอี้ก็มาบอกให้ผมลงไปช่วยธีโอ เพราะเธอต้องการไวน์โรเซ่เพิ่มเช่นกัน

   “หืม ขวดที่เพิ่งเปิดหมดแล้วเหรอครับ?”

   “ก็ใช่น่ะสิ ดูด้วยว่าใครดื่ม เมื่อก่อนสมัยสาวๆ เธอเล่นจองคนเดียว 5 ขวดเลยล่ะ ฉันนี่แทบประเคนหามาให้แทบไม่ทัน” ลูคัสแซวพลางหอมแก้มโชว์หนึ่งฟอด

   ผมขำเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์

   ทั้งลูคัสและโซอี้คือนักดื่มไวน์ตัวยง ไม่ต้องบอกว่าทั้งคู่คลั่งไคล้ไวน์มากแค่ไหน ขนาดมีห้องเก็บไวน์ไว้ที่บ้านก็คงจะเดาออกใช่ไหมล่ะครับ ทั้งคู่ดื่มเกือบทุกวัน ดื่มแทนน้ำเปล่าในมื้อเย็น ดังนั้นจึงมีโกดังสะสมไวน์ไว้ก็ไม่แปลก

   “อะ อ่าว” ผมเปิดประตูห้องเก็บไวน์จนเกือบชนคนที่โดนใช้ลงมาก่อนหน้า

   ในอ้อมแขนธีโอมีไวน์แดงสามขวด และไวน์ขาวหนึ่งขวด

   “นายลงมาทำอะไร”

   “ลงมาเอาโรเซ่ให้แม่เธอไง” ผมไม่ได้อยากจะตอบกวนตีนนะ แต่ประโยคภาษาอังกฤษมันแปลแล้วออกมาเป็นแบบนี้จริงๆ

   “เข้าไปสิ” ธีโอเบี่ยงตัวให้ผมเข้าไปด้านในห้องเก็บอุณหภูมิที่ตั้งไว้สำหรับไวน์โดยเฉพาะ

   ผมเพิ่งลงมาห้องนี้ครั้งแรก เลยไม่รู้ว่าไวน์โรเซ่อยู่ไหน เห็นแต่ไวน์แดงกับขาว

   “เดินเข้าไปอีก แล้วเลี้ยวขวา”

   คนที่ผมคิดว่าจากไปตั้งนานแล้วตะโกนบอก ผมเดินตามนั้นแล้วก็พบกับไวน์สีชมพูอ่อนไปจนเข้ม เหลือบสีส้มบ้างก็มี บรรจุอยู่ในรูปทรงขวดที่ต่างกันไป

   เอ่อ...ขวดไหนล่ะเนี่ย?

   “Miraval ขวดอ้วนๆ หน่อย อยู่ล่างๆ”

   “นายรู้ได้ไงว่าขวดนี้” ผมถามกลับ ได้ยินเสียงผีเท้าใกล้เข้ามา

   “ก็นายได้ถามแม่ฉันไหมล่ะว่าให้หยิบขวดไหน” ท่าทางเขาดูแคลนผมสุดๆ โง่ในเรื่องง่ายๆ ประมาณนั้น

   เอ่อว่ะ...ลืม

   “แม่ฉันชอบขวดนั้นมากที่สุด”

   “โอเค ขอบใจ”

   ครั้งล่าสุดที่คุยกัน ถึงแม้เขาจะพูดไม่ดีกับผม แต่ตอนนี้ธีโอช่วยเหลือผม ผมก็ควรจะขอบคุณเค้า

   ผมได้ขวดไวน์โรเซ่อ้วนๆ มาไว้ในอ้อมแขน แต่พอหันหลังกลับไปดันเจอกับร่างสูงที่ยืนขวางผมอยู่

   “หลบไปสิ”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองธีโอ สีหน้าเขาดูไม่มั่นใจ เหมือนไม่ใช่ตัวตนเขาที่มักจะมั่นใจอยู่เสมอ

   “มีอะไรรึเปล่า?” ผมถาม

   “คือว่า...”

   “...”

   “ขอโทษ”

   เงียบไปอึดใจ

   “ฉันพูดไม่ดีกับนาย ดูถูกและเหยียดหยามนาย” นัยน์ตาธีโอดูสำนึกผิด “ไม่ว่านายจะมีสีผิว หรือรสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนฉันก็ไม่ควรพูดออกไปแบบนั้น...ฉันขอโทษจริงๆ”

   เฮ้อ...ผมควรจะให้ออภัยเขาไหม? ท่าทางตอนที่เขาดูถูกผมยังจำฝังใจผมอยู่เลย

   แต่ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรขนาดนั้น อีกอย่างธีโอก็พูดขอโทษแบบแมนๆ ไม่ได้อ้างว่าเมาด้วย ที่เขาดูเงียบๆ ไปหลายวันเพราะแบบนี้เองสินะ สำหรับคนที่มั่นใจในตัวเอง อีโก้สูงขนาดนั้นคงเป็นเรื่องที่ทำใจยากหากต้องเอ่ยคำขอโทษก่อน

   “ก็ได้...ฉันรับคำขอโทษไว้ แต่คราวหน้าคราวหลังนายควรจะหัดคิดก่อนพูด”

   “ขอบคุณ”

   “คนพูดไม่เคยจำ คนฟังไม่เคยลืม นายเคยได้ยินวลีนี้ไหม?” ธีโอหลุบตาลง “คำพูดน่ะ...ใครๆ ก็พูดออกมาได้ แต่คนที่ได้ยินได้ฟังเขาเก็บเอาไปคิด บางครั้งคำพูดเพื่อความสะใจแค่ชั่วครู่ แต่มันอาจพังทลายความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนได้เลยนะ”

   “ครับ”

   “ดังนั้นก่อนจะพูดอะไร คิดให้ดี ว่ามันคุ้มไหมก่อนที่จะพูดออกมา แต่ถ้าพูดออกมาแล้วมันมีประโยชน์ก็พูดออกมาเถอะ”

   “เข้าใจแล้ว บ่นเหมือนคนแก่เลย”

   “ยังไม่ทันขาดคำ”

   “ล้อเล่นน่า”

   “ไม่มีการล้อเล่นใดๆ ทั้งนั้นแหละ”

   เก๊กขรึมไว้มิค อย่าหลุดขำนะ

   “ขอโทษครับ” ธีโอพูดเสียงหงอย

   “เพื่อเป็นการลงโทษต่อไปนี้นายต้องเรียกฉันว่า ‘พี่มิคสุดหล่อ’”

   “ผีมิคซูดล่อ”

   ไม่ใช่โว๊ยยยยยย

   “พี่มิคสุดหล่อ”

   “พีมิคสูทลอ”

   “พี่-มิค-สุด-หล่อ” ผมเน้นย้ำทีละคำ

   “พี้-มิค-ซุท-ล้อ”

   “เฮ้อ..ก็ได้ว่ะ” ผมบ่นออกมาเป็นภาษาไทย

   “เมื่อกี้พูดว่าไรนะ” เขาถาม

   “ไม่มีอะไร ต่อไปนายคงออกเสียงถูกเอง เรียกบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

   “โอเคผีมิคซุทล่อ”

   เหมือนไอ้คนร่างสูงกว่าแต่เด็กกว่าผมจะรู้ว่าหากเรียกผิดโทนแล้วมันทำให้ผมหงุดหงิดได้ก็เหมือนจะชอบใจใหญ่ อย่าคิดนะว่าไม่เห็นลักยิ้มมุมปากนั่น

   “ว่าแต่ฉันไปได้หรือยัง?”

   “ทำไม?”

   ธีโอชูขวดไวน์ในมือ

   “ป่านนี้พ่อกับแม่ฉันคงเป็นห่วงแย่แล้ว”

   “เออจริงด้วย”

   “เป็นห่วงไวน์นะ ไม่ได้เป็นห่วงฉัน” ธีโอพูดขำๆ

   ผมหัวเราะให้กับมุกตลกที่นานๆ ทีจะออกมาจากปากธีโอ









*Guten Abend เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า สวัสดีตอนเย็น

**Rosé Wine ไวน์โรเซ่ คือ ไวน์สีชมพูดอกกุหลาบ มีสีชมพูอ่อน ไปจนถึงสีชมพูเข้ม ผลิตขึ้นจากองุ่นแดง หรือองุ่นดำ แต่ในกระบวนการหมัก เปลือกองุ่น หรือส่วนอื่น ๆ จะถูกทิ้งให้สัมผัสกับน้ำองุ่นเพียงช่วงสั้น ๆ ราว 12-36 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากนั้น การผลิตไวน์โรเซ่ ที่เป็นการนำไวน์แดง (Red Wine) และไวน์ขาว (White Wine) มาเบลนด์ (Blended) เข้าด้วยกัน ก็เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้เช่นกัน




TBC





หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-07-2019 09:25:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 04-07-2019 10:50:12
น่ารักดี :o8: :ling1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 04-07-2019 11:09:49
ตอนนี้ธีโอเริ่มมีความน่ารักขึ้นมาบ้างแล้ว

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-07-2019 00:19:39
 :katai2-1:


ทำดีต้องมีรางวัล
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-07-2019 21:30:13
ใครจะคู่กับมิคนะ ระหว่างธีโอกับไมเคิล
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ Chapter V [July, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 16-09-2019 15:45:01

VI

The darkest nights produce the brightest stars



   หลังจากที่ผมเก็บโต๊ะและทำความสะอาดครัวเสร็จก็หมดหน้าที่ของผมในวันนี้ แซมเข้านอนเรียบร้อยแล้ว แม้วันนี้เขาจะดื้อเป็นพิเศษตอนส่งเข้านอน ผมได้ยินเสียงร้องของเขาว่ายังอยากดูทีวีในขณะที่ผู้ใหญ่พูดคุยกัน

   โซอี้กล่าวขอบคุณผมอีกครั้ง

   “ขอบคุณนะมิคที่ทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเราทาน”

   “อร่อยมากจริงๆ ขนาดฉันไปกินที่ร้านอาหารไทยยังไม่อร่อยเท่านี้เลย” ลูคัสกล่าวชมผมเกินไปแล้ว

   “ยินดีครับ ผมว่าการทำอาหารก็สนุกไปอีกแบบ” ผมยิ้มหน้าบาน “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”

   “แล้วเจอกันวันจันทร์เวลาเดิม 7 โมงเช้านะจ๊ะ” โซอี้บอก “ฝันดีและขอให้เธอมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์จ้ะ”

   “ฝันดีครับ โซอี้ ลูคัส” เพื่อเป็นมารยาท ผมเดินไปบอกลาแขกสามคนที่เหลือด้วย

   ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่น เอริก้ากำลังคุยกับไมเคิล ส่วนอีริคกำลังจดจ่อกับโทรศัพท์ในมือ

   “ผมขอตัวก่อนนะครับ ฝันดีครับทุกคน”

   เอริก้าและอีริคบอกฝันดีเรียบร้อยก่อนจะหันไปคุยกับลูคัสและโซอี้ ส่วนร่างสูงโปร่งนั้นเดินมาส่งผมที่หน้าลิฟต์

   “ฉันบอกแล้วว่าเราจะได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้” ไมเคิลขยิบตา ก้มลงมาข้างๆ หูผม พูดเสียงไม่ดังมาก

   ลมหายใจเขาเฉียดแก้มผมไปนิดเดียว

   “ผะ ผะ ผมไม่คิดว่า คะ คุณจะเป็นเพื่อนกับลูคัส” แค่เขาเอาจมูกเฉียดแก้มไปนิดเดียวถึงกับพูดตะกุกตะกัก

   ไก่อ่อนเอ๊ย

   ผมด่าตัวเองในใจ

   “ตอนแรกฉันก็ไม่มั่นใจหรอก แต่เห็นนายบอกว่าโฮสแดดเป็น CEO แบรนด์ช๊อกโกแลต ประจวบกับลูคัสชวนฉันมากินข้าว ซึ่งเขาบอกว่าเขามีออแพร์ไทยที่ทำอาหารไทยอร่อยมาก ฉันเลยพอเดาออกว่าน่าจะเป็นเธอ”

   “อ๋อ เข้าใจแล้วครับ”

   “คนไทยในเมืองซูริคน่ะ มีไม่เยอะ หาตัวไม่ยากหรอก”

   “ครับ”

   ผมไม่รู้จะตอบอะไร ตอนนี้มึนเสน่ห์ของคนตรงหน้าจนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว คนอะไร Sex appeal สูงมาก ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง รูปร่างไร้ที่ติ

   “แล้วนี่เธอกำลังจะไปไหน”

   “เอ่อ...เข้านอนมั้งครับ” ใจจริงก็อยากคุยต่อนานๆ แต่เกรงว่าไมเคิลจะต้องคุยธุรกิจกับลูคััสต่อ

   “หืม วันนี้คืนวันศุกร์นะ”

   “ผมไม่มีเพื่อนเท่าไหร่ ให้ไปคนเดียวคงเหงาแย่”

   “เธอมีฉันไง”

   “...”

   “ไปขับรถเล่นกันไหม?”



   ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

   เสียงหัวใจเต้นรัว จนผมกลัวว่าคนข้าง ๆ จะได้ยิน ตอนนี้ผมอยู่ในรถออดี้สีดำเปิดประทุน ส่วนคนที่เสนอตัวเป็นสารถีกำลังตัดสินใจเลือกเพลงที่จะเปิดอยู่

   “เอ่อ...ออกมากระทันหันแบบนี้ คนอื่นๆ ไม่ว่าเอาหรอครับ ?” ผมถามหยั่งเชิง เพราะเอริก้าและอิริคยังสนทนาอยู่กับลูคัสและโซอี้ในห้องรับแขก เสียงพูดคุยดังออกมาเป็นระยะ ๆ ในขณะที่ผมลงลิฟต์มากับไมเคิล

   “หืม? ไม่นี่ จะว่าเรื่องอะไรล่ะ? ฉันแค่ขอตัวออกมาก่อน เรื่องธุรกิจฉันคุยไปหมดเรียบร้อยแล้ว อีกอย่าง...ฉันตั้งใจจะมาเจอเธอ...”

   ตึกตัก ตึกตัก

   อะ...อะ อะไรนะ เขาพูดว่าตั้งใจจะมาเจอผมใช่ไหม ผมหูไม่ฝาดใช่ไหม

   ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่รู้สึกได้เลยว่าใบหน้าผมเห่อร้อนจากประโยคเมื่อสักครู่

   “ปกติชอบฟังเพลงแนวไหน?” เขาถาม

   “เอ่อ...จริงๆแล้วอะไรก็ได้ครับ แต่ชอบเป็นพิเศษก็แนว R&B ครับ”

   ไมเคิลพยักหน้ารับรู้ ก่อนเสียงเพลงทำนองเบาสบายในแบบที่ผมชอบจะดังขึ้นมา ไมเคิลสตาร์ทรถ จอเนวิเกเตอร์เลื่อนขึ้นมาจากคอนโซลกล่าวสวัสดีไมเคิลด้วยเสียงของผู้หญิงที่ฟังแล้วดูดีว่า Siri ของ iOS เยอะ ผมหันไปมองแผนที่บนจอที่ผมคิดว่าคงป้อนคำสั่งให้คำนวณเส้นทางได้ แต่เจ้าของรถกลับไม่ได้แตะต้องหน้าจอเลยสักนิด เขาเหยียบคันเร่ง รถยุโรปหรูคันนี้ก็เคลื่อนตัวออกจากโรงจอดรถของลูคัสอย่างสง่างาม

   ด้านนอกมืดแล้ว เวลาตอนนี้คือสามทุ่มกว่า ๆ เสียงครืดๆดังบนหัวทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง พบว่าหลังคารถได้ย้ายลงไปเก็บด้านหลังแล้ว ผมสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆ ยามค่ำคืน สูดอากาศบริสุทธิ์ชุ่มฉ่ำปอด

   ไมเคิลขับรถช้า ๆ แต่ก็ไม่ได้ช้ามาก หากมีรถคันหลังตามมาเขาก็จะหลบขวาให้อีกคันแซงซ้ายขึ้นไป ผมไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน แต่ไม่ว่าเขาจะพาไปที่แห่งใดผมก็พร้อมที่จะไปกับเขาเสมอ

   ระหว่างทางแทบจะไม่มีบทสนทนาเลย แต่ผมก็ชอบที่เป็นแบบนี้ เสียงหัวใจผมจากตอนแรกเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาให้ได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นจังหวะเนิบนาบในอัตราปกติ เราสองคนมานั่งรถเล่นจริง ๆ ไม่ต้องมีจุดหมาย ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ซึมซับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว ได้เห็นวิวอีกด้านของเมืองซูริคตอนกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำ ตัวเมืองที่แม้จะไม่ได้เงียบสงบมากแต่ก็รู้สึกถึงความปลอดภัย

   เราขับชะลอผ่านร้านผับบาร์ชื่อดังเห็นคนต่อคิวเข้ายาวมาก ไมเคิลบอกว่านั่นคือผับประจำของเขา เมื่อก่อนเขามาบ่อย เป็นสมาชิควีไอพีรายปี สามารถเข้าได้เลย เขาถามผมว่าอยากเข้าไปดูไหม

   แต่ผมไม่ได้เป็นวีไอพีนี่ จะเข้าได้ยังไง แค่เห็นแถวก็ท้อแล้ว แถมเหลือบสายตาไปเห็นค่าเข้าผมแทบเป็นลม

   ผู้ชาย 50 chf ผู้หญิง 30 chf

   ว้อททททท ทำไมราคาถึงได้ต่างกันขนาดนี้ล่ะ? ผมพอจะรู้อยู่บ้างว่าผับบางที่เก็บค่าเข้า ราคาหญิงชายต่างกัน แต่มันก็ไม่ได้แพงขนาดนี้ ไมเคิลบอกว่าถ้าไม่ใช่วีไอพีต้องตอบคำถามลับเฉพาะด้วย เพื่อกรองลูกค้า

   การที่เขาชับชะลอจนเกือบจะเป็นการจอดรถหน้าผับ ทำให้การ์ดร่างใหญ่ที่ทำหน้าที่รักษาความสงบตรงประตูเห็นเข้า และเดินมาทักทายอย่างสนิทสนม ผมไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน เพราะเป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแอบชำเลืองมองมาที่ผมนิด ๆ แล้วเซย์ไฮเป็นภาษาอังกฤษ

   “ถ้าคราวหน้าเธอมาคนเดียวก็ตรงมาที่ฉันได้เลยนะ ไม่ต้องไปต่อคิว ฉันให้สิทธิพิเศษในฐานะที่เป็นเพื่อนของไมค์” พูดเสร็จแล้วก็ขยิบตา จากนั้นหันไปคุยกับไมเคิลสองสามประโยคแล้วผละไป ปรากฏกายอีกครั้งพร้อมถุงทรงยาวหรูหรา เขาวางไว้ให้ที่เบาะหลัง

   รถเปิดประทุนสำดำเคลื่อนตัวออกอีกครั้ง

   “มาเอาของเหรอครับ?” ผมถามพลางชำเลืองมองถุงด้านหลัง

   “อืม” ไมเคิลตอบสั้น ๆ ไม่ขยายความใด ๆ ผมไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ

   ไมเคิลขับเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เหมือนเดิม วนหนึ่งรอบย่าน Old town ขับถามริมแม่น้ำ ผมเห็นกลุ่มคนหรือไม่ก็คู่รักมานั่งตามริมแม่น้ำ ดูแล้วสบายตา ไม่วุ่นวายเหมือนอย่างกรุงเทพ

   ขณะที่ผมกำลังใช้สองแขนเท้ากรอบประตูรถ หัวของผมเอนทับแขนทั้งสองข้าง ปากงึมงำตามเนื้อเพลงที่คลอเบา ๆ บางครั้งก็ยื่นมือออกไปรับใบไม้ที่ร่วงหล่น บางทีก็โบกมือให้กับสุนัขที่เจ้าของพาออกมาเดินเล่นยามค่ำคืน

   ไมเคิลไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เพราะช่วงเวลานี้แทบจะไม่มีรถวิ่งผ่าน ยิ่งในตัวเมืองยิ่งน้อย ผมเลยยื่นแขนออกนอกตัวรถได้ตามสบาย หากเห็นแสงจากรถคันอื่นผมก็จะหุบแขนเข้ามาในตัวรถดังเดิม

   ผมแอบลองสังเกตสารถีสุดหล่อ เขาแค่เคาะนิ้วที่พวงมาลัยตามจังหวะเพลง ใบหน้าหล่อเหลาเผลอยิ้มน้อย ๆ สันกรามเห็นเด่นชัด สายตาจดจ้องไปยังถนนข้างหน้า ท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาต้องหนักใจ

   ผมอยากอยู่แบบนี้ไปนาน ๆ ไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสายลมยามค่ำคืนที่ปะทะเข้ากับใบหน้า ไม่ร้อนและไม่หนาวเกินไป จดจำไว้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยออกมานั่งรถเล่นกับคนๆ นี้ ในฤดูร้อนของเมืองซูริค

   ไม่อยากกลับเลย...

   เหมือนคนข้าง ๆ รู้ว่าผมคิดอะไร เขาไม่ได้เลี้ยวรถเข้าสู่เส้นทางบ้านลูคัส แต่กลับหักออกวิ่งเข้าสู่เส้นออโต้บาน (Autobahn) หรือที่คนไทยเรียกว่าไฮเวย์

   ถนนเส้นนี้ไม่จำกัดความเร็ว ดังนั้นไมเคิลจึงกดปุ่มคำสั่งให้หลังคาปิดกลับมาดังเดิมก่อนที่ความเร็วจะพุ่งเข้าสู่ 180km/hr ให้สมกับความแรงของรถ

   “เรากำลังจะไปไหนกันหรอครับ?” พยายามกดเสียงไม่ให้ตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า แต่ทว่าใบหน้าผมคงยิ้ม แสดงสีหน้าดีใจจนไมเคิลตอบแบบยิ้มๆ

   “ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ ชอบนั่งรถเล่นขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ครับ ชอบมากครับ”

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นั่งกับคุณ...

   “ไม่กลัวฉันพาไปฆ่าข่มขืนหรอ?”

   “โห ถ้าโจรเป็นไมเคิลล่ะก็...สมยอมครับแบบนี้ ยอมให้กินทั้งเนื้อทั้งตัว จะชำแหละผมยังไงก็ได้เลยล่ะ” เขาหัวเราะกับคำตอบของผม “จะว่าไป...คุณไม่มีแฟนหรอครับ? ถึงได้ว่างพาผมออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้”

   “กำลังหาอยู่” ไมเคิลยิ้มร้าย ๆ ยังไงไม่รู้ตอนที่หันมาทางผม เล่นเอาความร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว เขาเซ็ตอะไรบนจอเนวิเกเตอร์ก็ไม่รู้ก่อนจะปล่อยพวงมาลัยและหันไปหยิบน้ำดื่มแบบชิล ๆ

   คงเป็นโหมดขับออโต้ล่ะมั้ง

   ขณะที่ผมกำลังสงสัยกับการกระทำของเขา ไมเคิลก็ถามผมขึ้นมาว่า

   “แล้วเธอล่ะ มีแฟนไหม?”

   “ไม่มีครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว “ที่จริงก็ไม่มีมานานแล้วครับ”

   “ทำไมล่ะ?”

   “คือผม...”

   ยังไงดีล่ะ ? จะให้ตอบไปตรง ๆ ว่าชอบผู้ชายอย่างนั้นเหรอ...

   “คือผม...ค่อนข้างเรื่องมากน่ะครับ คงไม่มีใครอยากได้เป็นแฟนเท่าไหร่ อีกอย่างที่โสดอยู่ตอนนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่ แม้จะมีเหงาบ้างบางครั้งก็ตาม”

   “ฉันก็เหมือนกัน ของแบบนี้ต้องศึกษาดูใจกันไปนานๆ”

   เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีก ไมเคิลพาเลี้ยวมายังเส้นทางหนึ่งซึ่งผมอ่านไม่ออก ทางชันขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเขาจะพาผมขึ้นไปยอดเขา บอกตามตรงว่าทางอันตราย ผมแอบหวั่น ๆ ว่าเขาจะพาตกเขา เพราะเส้นทางนี้ไม่มีแสงไฟใด ๆ เลยนอกจากเสาปักที่สะท้อนแสงไฟหน้ารถให้เป็นเส้นทาง

   อันที่จริงถนนหนทางประเทศนี้ไม่มีเสาไฟเลยดีกว่า แต่ในตัวเมืองยังมีแสงสีจากร้านอาหารผับบาร์ แสงจากรถคันอื่นไง แต่นี้เราสองคนเหมือนอยู่ในป่า

   เขาคงไม่ได้พาผมมาฆ่าหมกป่าตามที่พูดเล่นหรอกนะ...

   แต่ก่อนที่ผมจะมีจินตนาการเลวร้ายไปกว่านั้น ไมเคิลหยุดรถที่ไหล่ทาง และบอกให้ผมลงจากรถได้

   ผมแอบถอนหายใจกับตัวเอง อย่างน้อยเขาก็ชำนาญทางพอที่จะไม่ขับเซหรือไม่เห็นทางโค้งซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้

   “Welcome to my favourite place (ยินดีต้อนรับสู่สถานที่โปรดของฉัน)” ไมเคิลเดินนำ ผมก้มหัวผ่านพุ่มไม้ ก่อนจะเบิกตากว้าง ลืมตัวอ้าปากค้างให้กับวิวตรงหน้า

   จากจุดนี้ที่ผมยืนอยู่ทำให้ผมเห็นตัวเมืองซูริค ยอดโบสถ์อันเก่าแก่ แม่น้ำตัดผ่านใจกลาง แสงไฟยามค่ำคืนระยิบระยับ ท้องฟ้าอันมืดมิดที่แม้ผมจะไม่ได้เห็นดวงจันทร์แต่ดวงดาวกลับส่องสว่างเป็นประกาย

   “นี่มัน...สวยมาก ๆ เลยครับ”

   ร่างสูงที่ยิืนข้าง ๆ ผมไม่ได้ตอบอะไร เขาชูแขนบิดตัวปล่อยความเมื่อยล้าที่ต้องขับรถเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะปล่อยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เขาปล่อยให้ผมซึมซับวิวตรงหน้าเงียบ ๆ และก่อนที่ผมจะรู้ตัว เขาพาผมนั่งลงกับพื้นหญ้า ในมือหิ้วถุงทรงสูงที่ได้มาจากการ์ดคนนั้น

   และคำตอบที่สงสัยมานานก็กระจ่าง

   ในถุงคือขวดไวน์ราคาแพงที่ผมไม่รู้ว่าปีไหนหรือควรจะมีรถชาติยังไง ไมเคิลเปิดขวดไวน์อย่างชำนาญด้วยที่เปิดไวน์ หมุน ๆ จุกก๊อกเสียงดังป๊อก แล้วเทลงแก้วไวน์พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งที่อยู่ในถุงนั้นด้วย

   มือแกร่งยืนไวน์มาให้ผม

   “Danke Schön* (ขอบคุณครับ)”

   “Bitte Schön** (ด้วยความยินดี)”

   ผมมองเข้าไปในดวงตาเขาขณะที่เราชนแก้วกัน นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าทอประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า รอยยิ้มน้อย ๆ ของเขาทำเอาผมเบลอไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไวน์หรือผู้ชายตรงหน้ากันแน่

   “ฉันขึ้นมาที่นี่บ่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน กับฤดูใบไม้ผลิ” เขาเอ่ย “มันสงบ เงียบ ห่างไกลผู้คนแต่ก็ยังเห็นความวุ่นวายในตัวเมือง ได้มานั่งคิดอะไรคนเดียวเงียบ ๆ ไม่ต้องมีใครมาคอยตามงาน” ถึงตรงนี้ไมเคิลหัวเราะเบา ๆ

   ท่าทางเขาคงทำงานหนักมากจริง ๆ คงคล้าย ๆ กับลูคัสที่บ้างานจนลืมให้เวลากับตัวเอง

   “ขอโทษนะที่ฉันไม่ค่อยได้ตอบข้อความเธอ”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ตอนแรกก็แอบน้อยใจอยู่หรอก แต่พอมาได้ฟังคำขอโทษจากปากคนตรงหน้าก็เพียงพอแล้วที่จะให้อภัยง่าย ๆ

   “อาหารที่เธอทำอร่อยมาก” ไมเคิลพูดชม

   “ขอบคุณครับ”

   “ถ้ามีโอกาสฉันก็อยากทานฝีมือเธออีกนะ...เธอว่าไง?”

   เดี๋ยวนะครับ ประโยคด้านบนผมไม่ได้คิดในใจนะครับ นั่นไมเคิลเขาพูดด้วยตัวเอง

   “นะ แน่นอนสิครับ! ยินดีอย่างยิ่งเลยล่ะ” ผมตอบอย่างตื่นเต้น “คุณชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ แพ้อะไรรึเปล่า ผักแบบไหนที่กินได้หรือไม่ได้ ชอบเนื้อวัวหรือหมู...”

   “อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่กินได้ก็พอ” ไมเคิลขัดจังหวะผมแบบขำๆ

   “อ่า...ครับ ผมจะทำสุดฝีมือเลย” ผมให้คำมั่น “ว่าแต่วันไหนดีครับ เผื่อจะได้ไปซื้อที่ coop มาไว้ล่วงหน้า”

   “อืมมม...จันทร์ถึงศุกร์เธอไม่ว่างใช่ไหม...เสาร์อาทิตย์หน้าฉันก็ไม่ว่างด้วยสิ ต้องไปคุยธุรกิจที่อเมริกายาวเลย” จากที่เขาพูดมาผมเริ่มหงอยลงเล็กน้อย

   จะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยเหรอ...

   “แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีิอะไรแล้วนะ” เขาครุ่นคิด “เอางี้ไหม วันไหนเธอเลิกงานเร็วบ้าง?”

   “เอ่อ...ส่วนใหญ่ถ้าตารางงานไม่เปลี่ยน ลูคัสจะกลับบ้านไววันพุธครับ แล้ววันนั้นผมจะเลิกเร็วเพราะลูคัสมาช่วยดูแลลูก ๆ ตอนเย็น”

   “งั้นก็วันพุธ เดี๋ยวฉันไปรับที่บ้าน ตกลงไหม”

   “ครับ” ผมยิ้มแป้น

   “เธอลิสต์รายการของที่ต้องซื้อมาแล้วกัน ฉันจะไปซื้อเตรียมไว้ให้”

   “ได้เลยครับ” ผมตอบแล้วยกแก้วไวน์ดื่มจนหมด

   จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก ต่างคนต่างชมอยู่กับห้วงความคิด

   ผมพยายามจำทุกรายละเอียด ณ วินาทีนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด

   อาจจะเร็วเกินไป แต่ผมยอมรับตรง ๆ ว่าตอนนี้ผมชอบไมเคิลมาก ยิ่งเขามาทำดีกับผมแบบนี้ด้วยแล้ว...

   ส่วนเขา...ผมไม่รู้สิว่าเขาคิดยังไงกับผม แอบหลงตัวเองนิดหน่อยว่าเขาคงรู้สึกอะไรกับผมสักอย่าง แต่ที่แน่ ๆ ต้องมีบางสิ่งที่ทำให้เขาพาผมมายังสถานที่แห่งนี้ อาจจะแค่มิตรภาพที่ดี...แต่แค่นั้นผมก็พอใจแล้ว

   ผมดื่มไวน์หมดไปสองแก้ว รู้สึกมึนหัวนิด ๆ แต่ยังสติดีอยู่ ส่วนเขาดื่มไปแก้วเดียวเพราะต้องขับรถ หากมากกว่านั้นก็ไม่สามารถขับรถได้ ซึ่งถ้าเขาขับไม่ได้ ผมขับไม่ได้ ก็คงต้องนอนที่นี่กันทั้งคู่ ฮ่าๆๆๆ

   ว่าแล้วก็เอนตัวลงนอนดีกว่า

   ผมมองท้องฟ้า มองคนข้าง ๆ ที่เอนตัวลงแล้วพูดว่า

   “The darkest nights produce the brightest stars. (ค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดก่อให้เกิดดวงดาวที่เปล่งประกายที่สุด)”















*Danke Schön ภาษาเยอรมัน แปลว่า ขอบคุณ

**Bitte Schön ภาษาเยอรมัน แปลว่า ไม่เป็นไร, ยินดีเป็นอย่างยิ่ง



TBC




มาแล้ววว ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นค่าาาาา

มาช้าแต่มานะ อิอิ



ใครเล่นทวิตฝากแท็ก #AsHePleases  ด้วยนะคะ

ขอบพระคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VI [Sep, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 16-09-2019 19:22:16
งื้อ คุณไมเคิลคะ  :-[
แอบหวั่นใจนิดหน่อยคุณไมเคิลจะไม่พลิกบทบาทใช่ไหม..

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VI [Sep, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-09-2019 22:55:49
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VI [Sep, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-09-2019 09:28:10
 :mew1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VI [Sep, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 18-09-2019 15:23:45
VII
Little moans


   ความรู้สึกกลับหัวกลับหางแล่นเอาผมแทบขย้อนมื้อค่ำออกมาทั้งหมด ถ้าไม่ติดว่าคนที่แบกผมขึ้นรถอยู่นี่ไม่ใช่ไมเคิลล่ะก็...ผมไม่มีทางอดทนกล้ำกลืนความรู้สึกนี้เอาไว้หรอก

   ก่อนที่เขาจะแบกผมเหมือนกระสอบทรายอย่างที่เห็นนี้ ผมเผลอหลับไปเพราะลมเย็นๆ และบรรยากาศที่เบาสบาย ผืนหญ้าที่ผมเอนลงนอนก็นุ่มเหมือนเตียงชั้นดี บวกกับไวน์ที่ผมดื่มเอา ๆ แบบไม่รู้จักเปลือง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้ผมยึดผืนหญ้าเป็นเป็นฟูกหนา ท้องฟ้าเป็นเพดานที่ขับกล่อมให้ผมเข้าสู่ห้วงสงบ แม้ว่าหูได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคนข้าง ๆ พยายามเรียกผมอยู่หลายรอบ แต่ผมมึนเกินกว่าจะตอบรับ คลับคล้ายคลับคลาว่าไมเคิลถอนหายใจยาวก่อนจะสบถอะไรไม่รู้เป็นภาษาแม่ของเขาที่ผมแปลไม่ออก

   สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจแบกผมมาที่รถ ได้ยินแว่ว ๆ เขากำชับว่าอย่าอ้วกบนรถของเขาด้วย ด้วยเหตุนี้สติอันน้อยนิดของผมจึงย้ำเตือนตัวเองว่าอย่าอ้วกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะรังเกียจผม แถมทำรถหรูของเขาเปื้อน ซึ่งแน่ล่ะว่าผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าทำความสะอาดหรอก

   ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แอบสูดกลิ่นกายของไมเคิลสักหน่อยแล้วกัน ส่วนมือก็แอบลูบคลำแผ่นหลังมัดแน่นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หวังว่าเขาจะไม่ถือสาคนเมานะ

   ภายนอกผมดูเมามาย ซึ่งอันที่จริงแล้ว...ผมก็เมาจริง ๆ นั่นแหละ ไวน์นั่นแรงใช้ได้ ไม่รู้ว่าไมเคิลจงใจมอมผมหรือผิดที่ผมคออ่อนเอง แต่สติสัมปชัญญะยังคงรับรู้ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำของไมเคิล

   เขากลับไปนั่งประจำที่คนขับดังเดิม ก่อนจะหันมาถามผม

   “เฮ้ มิค ถ้าฉันพาเธอกลับบ้าน เธอดูแลตัวเองไหวไหม?”

   “อ่า...อือออออ...แอมมม โอเคคคค ไอแคนเทคแคร์ออฟมายเซลลลลฟ์ (I’m okay. I can take care of myself. ผมไหว ผมดูแลตัวเองได้)” เสียงยานคานนี่มันเสียงใครกัน ปกติพูดไทยก็ไ่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่แล้ว แล้วนี่ดันเมาเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษอีก หวังว่าคนฟังจะเข้าใจนะ

   “อ่าหะ ดูแลตัวเองได้อะไร พูดยังไม่รู้เรื่องเลย”

   “จัสเลทมีสลีปซัมแวร์ ไอวิลบีออลลลลลลไรท์ (Just let me sleep somewhere, I will be alright. ปล่อยให้ผมนอนแถวนี้ เดี๋ยวผมก็ดีขึ้นเอง)”

   “โอเค สรุปเธอดูแลตัวเองไม่ได้” ไมเคิลพูดกับตัวเอง “งั้นฉันพาเธอกลับบ้านแล้วกัน”

   “โน โนวว โนๆๆๆ ไอว้อนทูบีวิทยู ไอด้อนว้อนทูโกโฮม (I want to be with you. I don’t want to go home. ผมอยากอยู่กับคุณ ผมไม่อยากกลับบ้าน)” ผมตอบความในใจออกไปแบบไม่รู้ตัว

   เหมือนเขาจะนิ่งงันไปสักพัก ผมไม่รู้ว่าเขามีสีหน้าหรือทำท่าทางอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเหมือนเขาจะตัดสินใจได้ เหยียบคันเร่งทะยานเข้าสู่ถนนสายหลักเส้นเดิม

   “Damn Micky, I don't want to be a devil tonight. How can I control myself if you are being like this. (ให้ตายเถอะมิคกี้ คืนนี้ฉันไม่อยากจะเป็นปิศาจร้ายนะ จะให้ฉันควบคุมตัวเองได้ยังไงในเมื่อเธอเป็นแบบนี้)”

   หืออออ เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ ใครคือเดวิด มีแต่ไมเคิลไม่ใช่หรอ ช่างเถอะ ขอหลับก่อนแล้วกัน ไมเคิลอุตส่าห์ปรับเบาะเอนให้สบาย ๆ รถราคาแพงมันดีแบบนี้นี่เอง




   หลังจากได้หลับสบายบนเบาะนุ่ม แม้จะไม่สบายตัวแต่มันก็ดีกว่าพื้นแข็ง ๆ ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อไมเคิลรับบทผู้ดูแลจำเป็นแบกผมเข้าสู่อพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง

   มันจะดีกว่านี้ถ้าเขาอุ้มผมเข้าห้องด้วยท่าเจ้าหญิง แต่นี่อะไร แบกผมอย่างกับกระสอบทราย โธ๋ชีวิตน้อยๆของมิคกี้ จะมีความโรแมนติกหน่อยก็ไม่ได้เลย ผมว่าผมก็ไม่ได้ตัวสูงมากนะเมื่อเทียบกับเขา เอาจริง ๆ คือความสูงผมเท่ากับมาตรฐานหญิงชาวตะวันตกเลยด้วยซ้ำ

   นี่คงเป็นที่พักอาศัยของเขา ผมปรือตามองเห็นห้องนั่งเล่นกว้างขวาง ตกแต่งอย่างเรียบหรูดูดี ผมไม่ได้สำรวจอะไรมากเขาก็แบกผมมายังห้องนอนแล้ว

   ตุบ!

   โยน! เขาโยนผม!

   มันไม่ได้เจ็บแต่แรงกระแทกก็มากพอที่จะทำให้ผมเกือบขย้อนของเก่าออกมา นี่ถ้าผมอ้วกจริงๆต้องโทษเขาเลยนะ

   ตอนนี้อาการเมาของผมเริ่มทุเลาลงหลังจากได้นอน ปกติผมมักจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว หากเมาก็ขอแค่ได้นอนสักหน่อยแล้วจะดีขึ้นเอง

   ไมเคิลเดินไปที่ปลายเตียงแล้วถอดรองเท้าถุงเท้าให้ผม จากนั้นเลื่อนขึ้นมาถอดเสื้อตัวนอกให้ ผมนี่ใจหวิว ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรแต่ลึกๆ ก็แอบหวังให้เขาสัมผัสผมมากกว่านี้อีกสักนิด

   ผมครางเสียงอืออาเล็กน้อยอย่างไม่สบายตัว

   ณ วินาทีที่เขาปลดกางเกงยีนส์ ความเย็นแล่นพล่านไปทั่ว โดยเฉพาะจุดกึ่งกลางลำตัวที่ดูเหมือนจะมีปฏิกริยาเล็กน้อย ผมข่มความต้องการไว้ในใจ ไม่อยากให้ไมเคิลรับรู้ว่าผมมีความต้องการเพียงแค่เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าผมทีละชิ้น

   แต่แล้วเขาก็หยุดการกระทำ เสียงสวบสาบที่เริ่มไกลออกไปทำให้ผมรู้ว่าเขาเดินออกจากห้องไปแล้ว บนตัวผมเหลือเพียงแค่เสื้อยืดกับบ๊อกเซอร์เท่านั้น ผมรออยู่นานจนเหมือนกับว่าเขาจะไม่เข้ามาในห้องนี้อีกแล้ว ทว่าเขาก็กลับมาอีกครั้ง มาพร้อมผ้าขนหนูเย็น ๆ และเริ่มเช็ดตัวให้ผม

   เขาเริ่มเช็ดจากใบหน้า ลำคอ แขน พลันเลิกเสื้อยืดขึ้นแล้วเช็ดไปตามหน้าท้องแบน ๆ ที่ไม่มีแม้แต่ซิกแพ็คงามๆ แม้แต่ลูกเดียว จากนั้นไล่ย้อนขึ้นมาใหม่ที่ไล่ ไหปลาร้า จบที่แก้มของผมอีกครั้ง

   ไมเคิลไม่ได้เช็ดด้วยความอ่อนโยนเหมือนพระเอกเช็ดในนางเอกในนิยายรักทั่วไป แต่เขาเช็ดด้วยความระมัดระวังและเอาใจใส่ กลัวว่าผมจะตื่น หวังแค่ให้ผมได้นอนหลับสบายตัวโดยที่ไม่ต้องลุกไปอาบน้ำล้างหน้า

   จากการกระทำนี้ทำให้ผมรู้สึกผิดที่แอบคิดเกินเลยกับเขา เขาเป็นคนดี เขาไม่ควรลดตัวมายุ่งกับเกย์แบบผม ที่เขาช่วยเหลือผมตั้งแต่ที่เจอกับที่ภูเขาและตอนนี้ เขาทำไปเพราะความดีที่มีในตัวเขาทั้งสิ้น

   เป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมสมบูรณ์เหมาะจะมีครอบครัวที่น่ารัก ศรีภรรยาสวยสง่ายืนอยู่กับเขาออกสู่งานสังคม และอาจจะมีเจ้าตัวเล็กวิ่งไปมารอบ ๆ ร่าเริงสดใส

   อ่า...นี่ผมคิดอะไรเป็นตุเป็นตะเนี่ย...

   “มิคกี้ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ” จู่ๆ คนที่กำลังเช็ดตัวผมก็เกริ่นขึ้นมา ผมครางรับอืออาในลำคออย่างขี้เกียจ “นายไม่มีแฟนจริง ๆ ใช่ไหม”

   หือ? เขาถามไปแล้วนี่ ผมพงกหัวยืนยันอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่

   “แล้ว...”

   “...”

   “เธอชอบฉันรึเปล่า?”

   สิ้นคำถามผมพลันชะงักไปอึดใจ ทำไมเขาถามแบบนี้...แต่จากอาการท่าทางของผมที่ผ่านมาก็คงดูออกไม่ยากแหละว่าผมเป็นเกย์ และผมชอบเขา

   ผมปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ พลิกตัวหันไปสบตาสีฟ้าเหลือบเขียว ไมเคิลจ้องมาที่ผมด้วยสายตาจริงจัง แววตาไม่มีคำว่าล้อเล่นเลยสักนิด

   เมื่อเห็นผมไม่ยอมตอบ เขาพูดเสริมขึ้นมาอีก

   “ตัวฉันเอง... ‘ถูกใจ’ เธอนะ...ยอมรับตามตรงที่ฉันเข้าไปช่วยเธอตอนเธอหกล้มเพราะเธอเป็นผู้ชายที่น่ารัก หน้าตาดี ตรงสเป็คฉันเลยล่ะ” พูดถึงตรงนี้ใจผมเต้นรัว

   บ้าเอ๊ย! เกิดมายังไม่เคยมีใครสารภาพแบบนี้กับผมตรง ๆ เลย ยิ่งเป็นคนที่ผมชอบด้วยแล้ว...

   “ปกติแล้วฉันออกเดทกับผู้หญิง แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่มองผู้ชาย...แบบเธอ...แล้วฉันก็หัวสมัยใหม่มากพอที่จะไม่แคร์ในเรื่องรักเพศเดียวกัน” ไมเคิลหลุบตาลง หันไปข้าง ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ที่ฉันพาเธอออกไปข้างนอกวันนี้ หวังว่าเธอจะชอบฉันกลับบ้าง...ไม่ได้หวังอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น...แต่ทว่าพอได้เห็นเธอในสภาพนี้...มันทำให้สัญชาตญาณดิบของผู้ชายพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง”

   ตอนนี้ใบหน้าผมเห่อร้อน ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าผมหน้าแดงขนาดไหน สายตาคมเข้มที่เขาจ้องมามันทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง ที่เขาสารภาพนี่เป็นความจริงใช่ไหม ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม หากเป็นความฝัน...นี่ก็คงเป็นฝันที่ดีสุด

   “ใจจริงฉันอยากจะทำอะไรต่อมิอะไรกับเธอ...แต่ว่า...ฉันอยากคุยกับเธอให้รู้เรื่องก่อน ฉันไม่อยากเอาเปรียบเธอ”

   ไมเคิลคนดีของผม...ให้ตายเถอะ...ผมยอมให้เอาเปรียบทั้งตัวและหัวใจเลย...

   แต่ว่า...อย่าลืมครับ เราต้องเล่นตัวสักนิดหนึ่ง ให้รู้ว่าชายไทยอย่างผมไม่ได้ใจง่ายขนาดนั้น แม้ในใจนี่จะยอมถวายตัวแล้วก็เถอะ

   “ถ้าผมตอบว่าผมไม่ได้ชอบคุณล่ะไมเคิล?”

   ไมเคิลหยุดมือเช็ดตัวผม หันมาสบตาผมตรง ๆ แววตามีความท้าทาย

   ผมชอบ ผมชอบที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ได้เห็นคนที่อยากได้ตัวผม พร้อมจะพังทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองผม

   “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย แต่รับรองว่าท้ายที่สุดเธอจะกลับมาเป็นฝ่ายขอร้องฉันเอง” เขาตอบ “อีกอย่าง...ฉันว่าเธอตอบผิดนะพ่อหนุ่มน้อย สายตาที่เธอมองฉันมันฟ้องทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน จวบจนกระทั่งวันนี้ ถ้าเธอไม่ชอบฉันเธอคงไม่ออกมากับฉันแล้วพูดว่าอยากอยู่กับฉันต่อหรอกนะ”

   ใช่...ที่เขาพูดมาถูกต้องทุกอย่าง ผมแพ้เขาทุกทางจริง ๆ

   “ผมพูดไปเพราะว่าเมาหรอก แต่ตอนนี้สร่างแล้ว” ขอแก้ตัวอีกนิดได้ไหม

   “คนเมาไม่พูดโกหก” เสียงทุ้มตอบกลับทันควัน เจือหัวเราะในลำคอนิด ๆ ราวกับสนุกที่ได้เห็นผมจนตรอก “ว่ายังไงมิคกี้”

   “ก็ได้ๆ...ผมชอบคุณ...ชอบมากด้วย” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม

   เกลียดความตรงไปตรงมาของฝรั่งจริง ๆ มีอะไรต้องพูดให้ชัดและเคลียร์ปัญหา ไม่ยอมให้อีกฝ่ายคิดไปเอง แต่นั่นคือข้อดี ดีแล้วที่พูดทุกอย่างให้กระจ่าง ไม่ใช่เก็บเอาไปคิดเองและให้ตีความจากการกระทำ แบบเมื่อสองสามอาทิตย์ที่เขาไม่ค่อยตอบวอสแอพผมเลย

   “แต่...ผมส่งข้อความคุยกับคุณไปตั้งเยอะ คุณไม่ค่อยตอบผมเลย คุณคงไม่ได้ชอบผมจริง ๆ หรอกใช่ไหม”

   “หืม? ฉันว่าเธอยึดติดกับความเคยชินของคนเอเชียไปหน่อยนะ ซึ่งก็โทษเธอไม่ได้ ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบส่งข้อความคุยผ่านแอพพลิเคชั่น ไม่ว่าจะทำงานหรืออยู่กับเพื่อน ฉันใช้เวลากับคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า โลกออนไลน์ฉันมีไว้เพื่อติดต่อสื่อสารกันเท่านั้น หากไม่จำเป็นจริง ๆ ฉันแทบจะไม่จับโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ นอกมีเรื่องด่วนต้องโทรหาฉันเอาก็ได้” ไมเคิลเขยิบเข้ามาชิดผม ใช้ปลายนิ้วเชิดคางผมให้สูงขึ้น “แต่กับเธอ...รู้ไหมฉันตอบข้อความเยอะกว่าข้อความที่ฉันตอบคนอื่นทั้งปีเสียอีก”

   “อ่าครับ” ผมขืนตัวนิดๆ เพราะเขินที่ต้องสบตาร้อนแรงแฝงความต้องการตรง ๆ แบบนี้ “ผมขอโทษที่คิดมากไปเอง”

   “หึหึ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่าเธอคลั่งไคล้ฉันมาก”

   หลงตัวเองชะมัด แต่ก็นั่นแหละ ไม่ผิดที่เขาจะหลงตัวเอง หากผมมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้มันก็ต้องมีความภาคภูมิใจในระดับนึง

   “ว่าแต่...คุณทำแบบนี้กับผู้หญิง เอ๊ย คุณทำแบบนี้กับทุกคนที่คุณถูกใจหมดเลยหรอ”

   “แบบไหน”

   “ก็...พาไปกินข้าว พามานั่งรถเล่น พาไปชมทิวทัศน์ดื่มไวน์ตอนกลางคืน”

   ไมเคิลปล่อยคางผมแล้ว หันมาเล่นปอยผมที่ปรกลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจของผมแทน

   “จะโกรธไหมถ้าฉันตอบว่าใช่” เขาหยุดเล่นปอยผม “ดูทำหน้าเข้า ฮ่าๆๆๆ อันที่จริงมันก็คือสเต็ปการจีบทั่วๆ ไปไม่ใช่หรอ อย่าหึงคนก่อน ๆ ของฉันเลยน่า...อีกอย่างฉันพาเธอไปชมวิวเป็นคนแรกเลยนะ นั่นพอจะหักล้างกันได้ไหม?”

   ผมเปลี่ยนจากหน้างอเป็นฉงนใจเล็กน้อย

   “หืม อย่างคุณยังต้องตามจีบอีกหรอครับ”

   “อันที่จริงส่วนใหญ่ก็ไม่ถึงต้องตามจีบหรอก...”

   ว่าแล้วเชียว หน้าตาอย่างเขาแค่กระดิกนิ้วสาว ๆ คงวิ่งมาหาถึงเตียง

   เขาหยุดพูดไป ซึ่งผมก็ไม่เซ้าซี้ต่อ ยอมรับว่าเขาหน้าตาดีมาก และผมก็ชอบเขามาก แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกผิวเผิน ไม่จำเป็นต้องขนาดต้องตามหึงเขากับคนก่อนหน้านี้

   “แต่ว่านะ...บางทีฉันก็ชอบอารมณ์ตอนรู้จักกันใหม่ ๆ ช่วงแรก ๆ มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักล่า แต่พอนาน ๆ เข้าก็เริ่มเบื่อเหยื่อที่ว่าง่าย...ฉันเลยมีลูกเล่นใหม่ ๆ ให้พวกเธอตื่นเต้น แต่พวกเธอกลับรับไม่ไหวซะนี่”

   หืออออ ลูกเล่นใหม่ๆ ?

   “อายุฉันก็สามสิบต้น ๆ แล้ว ไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องอย่างว่า”

   ไมเคิลโน้มคร่อมตัวผม มือหนาลูบไล้ไปตามผิวราวกับมีกระแสไฟฟ้าลากผ่านบริเวณที่เขาสัมผัส ผมเกร็งตัวราวกับเป็นลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

   “ฉันชอบมีเซ็กส์ มันเป็นกิจกรรมผ่อนคลายอย่างหนึ่ง และถ้าคู่นอนของฉันตอบสนองอารมณ์ได้ดีฉันก็อาจจะมีของขวัญพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้”

   ถึงตรงนี้ ไมเคิลกระซิบชิดริมใบหูผม ขณะที่นิ้วเรียวลากผ่านชั้นในของผมอย่างแผ่วเบา ผมชนลุกซู่ ท้องน้อยปั่นป่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาค่อย ๆ สัมผัสเข้าสู่กึ่งกลางลำตัว

   “อือออ...” ผมเผลอครางออกมา เมื่อเขาจงใจลูบไล้แบบผ่าน ๆ ไม่ยอมสัมผัสแบบตรง ๆ สักที

   ความอึดอัดโป่งพองอย่างเห็นได้ชัด

   “เด็กดี...ร้องขอฉันสิ...”ไมเคิลกระซิบพร่า ริมฝีปากเขาจงใจหยอกล้อขบเม้มใบหูด้านซ้าย ทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ

   “Please...(ได้โปรด...)” น้ำเสียงเว้าวอนเร่งเร้าให้เขาทำในสิ่งที่ผมต้องการ

   ผมอยากให้เขาสัมผัสผมมากกว่านี้

   “อา...อือ...”

   แม้จะพยายามเก็บเสียงลงลำคอ แต่สิ่งได้ที่ได้รับมันเกินห้ามไหว ได้แต่ครางอืออาไม่รู้ประสา เพราะผมไม่รู้จริง ๆ ว่าในเวลานี้ควรตอบสนองอย่างไร

   ใช่...ผมยังเวอร์จิ้น...

   ศึกษามาบ้างจากคลิปต่าง ๆ ทว่ามันก็แค่ภาคทฤษฎี ยังไม่เคยปฏิบัติจริง

   “มิคกี้...ไม่ต้องฝืนหรอก...อยากครางก็ครางออกมาเลย...ฉันชอบที่เธอครางเพราะฉัน...”

   เขากระตุ้นผมด้วยการกัดลำคอ เผยรอยฟันเรียงเป็นระเบียบ

   “ฉันเป็นคนเสพติดเซ็กส์ และชอบที่จะได้เห็นคู่นอนว่าง่าย แต่ก็พยศบ้างบางครั้ง...เธอจะเป็นให้ฉันได้ไหม มิคกี้...”

   “อะ อื้อ...ครับ...”

   “รับปากสิว่าถ้าฉันให้เธอทำอะไร...เธอก็จะทำ”

   “คะ ครับ...”

   “จะเชื่อฟังฉัน”

   “ผมจะ...อื้อ...เชื่อฟังคุณ...อ๊ะ...”

   ไมเคิลขบเม้มยอดอกผมแผ่วเบา ทว่ากลับให้ผลที่รุนแรงเกินคาด ผมแทบจะอดกลั้นไม่ไหวแล้ว หากเขายังเล่นกับร่างกายผมแบบนี้ มีหวังผมต้องปลดปล่อยโดยที่เขายังไม่ได้สัมผัสแก่นกลางของผมด้วยซ้ำ

   “มิคกี้...”

   สิ้นคำริมฝีปากหนาก็ประกบลงมาอย่างร้อนแรง ราวกับทนไม่ไหวและไม่อยากฝืนตัวเองอีกต่อไป ผมหลับตาลง รับความดุดันที่เขาให้อย่างเต็มใจ ไม่มีความอ่อนโยน มีแต่แรงตัณหา ลิ้นอุ่นกระหวัดพันเกี่ยว สำรวจไปทั่วทั้งริมฝีปากและกระพุ้งแก้ม ก่อนจะใช้ฟันขาวดูดดึงริมฝีปากล่างอย่างเอาแต่ใจ

   ครืด ครืด ครืด

   บางสิ่งบางอย่างสั่นบนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง ผมลืมตาขึ้น ประท้วงเบา ๆ ให้เขาหันไปรับโทรศัพท์ แต่ไมเคิลกลับไม่แยแส เอาแต่ประโลมงับ กัด แทะเล็ม ลิ้มรสริมฝีปากผมจนไม่อาจถอนตัวได้ง่าย ๆ

   ครืด ครืด ครืด

   คราวนี้ผมดันและตบหน้าอกเขาเบา ๆ พลางหันหน้าหนี

   “แฮ่ก...ไมเคิล...แฮ่ก...รับโทรศัพท์สิ” ผมหอบหายใจแรง

   “Shit! (เวรเอ๊ย!)” คนตรงหน้าหัวเสีย แต่กระนั้นก็เขยิบร่างไปรับโทรศัพท์ เมื่อเห็นว่าใครโทรมาเขาจึงขอตัวออกไปคุยข้างนอก และบอกให้ผมเตรียมใจเพราะคืนนี้ผมไม่ได้นอนหลับสบายแน่นอน

   ไอร้อนเห่อทั่วใบหน้า ผมดึงผ้าห่มมาคลุมโปงอย่างมิดชิด ไมเคิลหัวเราะก่อนจะเดินจากไป



*50%*


เงียบเหงาจังเลยยย T_T

   
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 50% [Sep, 18]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 18-09-2019 16:50:38
ไม่เงียบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ฉากแบบนี้เงียบได้ยังไงครับ นี่! /ผายมือ หลบกันอยู่หลังม่านตาแป๋วกันทั้งนั้นแหละครับ อย่าให้ said 55555555555555555 ใครอยู่หลังม่านกันบ้าง เฉลยมาซะดีๆครับ คนถือกล้องน้อยใจแล้วเนี่ย เดี๋ยวเขาหักหลบไปที่โคมไฟแล้วเราจะค้างกันนะครับ 5555
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 50% [Sep, 18]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-09-2019 23:29:38
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 50% [Sep, 18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 19-09-2019 00:11:33
หวายยยย ดูแล้วท่าจะแซ่บนะคะ  :o8:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 50% [Sep, 18]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 19-09-2019 01:13:15
ดูท่าไมเคิลจะร้ายใช่เล่นเลย
ว่าแต่ไมเคิลจะสั่งให้น้องมิคทำอะไรคะ  :hao6:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 50% [Sep, 18]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 22-09-2019 13:02:57
*ต่อครบ100%*


   เสียงคุยโทรศัพท์ดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ ผมสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้น แสงแดดอ่อน ๆ ด้านนอกที่ทะลุเข้ามาในห้องนอนทำให้ผมรู้ว่านี่มันเช้าวันใหม่แล้ว

   อ๊ากกกกกก เมื่อคืนผมรอไมเคิลคุยโทรศัพท์จนเผลอหลับไปเสียสนิท

   และนี่ตื่นมาก็ยังได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์อยู่ ไม่ใช่ว่าเขาคุยทั้งคืนหรอกนะ?

   ผมก้มมองสำรวจร่องรอยที่อาจจะเป็นหลักฐานอะไรบางอย่างกลับไม่พบเลยสักนิด หนำซ้ำผ้าห่มคลุมโปงถึงต้นคอนี่อีก...

   อดเสียตัวเลย โธ่

   แม้จะเสียดายแต่ก็ดีแล้ว ในใจผมลึกๆยังไม่พร้อมเท่าไหร่ แหะๆ ปากดีไปอย่างนั้นแหละครับ

   เข็มสั้นนาฬิกาบนผนังชี้ไปยังเลขเจ็ด ผมมองอย่างไม่แปลกใจเพราะตั้งแต่มาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่นี่ผมตื่นเช้าทุกวันโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเสียด้วยซ้ำ ผมยีหัวยุ่งๆ ลุกขึ้นจากเตียง พับผ้าห่มและจัดเตียงให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปยังห้องรับแขกที่มีร่างสูงยืนอยู่เป็นสง่า ในมือเขาถือกาแฟหอมกรุ่น ใกล้ ๆ กันนั้นมีโทรศัพท์ของเขาที่เปิดลำโพงให้ได้ยืนคู่สายโดยไม่ต้องแนบโทรศัพท์ไว้กับหูวางอยู่บนโต๊ะแก้วขนาดกลางที่มองดูก็รู้ว่าใช้งานไม่ได้จริง ไว้แค่ประดับห้องหรูแห่งนี้เท่านั้น

   ไมเคิลสวมเพียงแค่กางเกงวอร์มขายาวกับเสื้อยืดสีขาวธรรมดา ๆ ทำให้เขาดูเป็นคุณชายแต่ไม่ได้เจ้าสำอาง เรือนผมสีบลอนด์เหลือบแดงที่ปกติจะเข้ม ยามนี้กลับอ่อนลงประดายสีทองหม่นเพราะแสงแดดที่กระทบลงมา เขายืนอยู่ตรงออกทางไปยังระเบียง ยืนพิงอยู่อย่างนั้น สายตามองไปไกลไม่มีจุดหมาย มองผู้คนที่ออกมาวิ่งยามเช้าพร้อมสัตว์เลี้ยง มองพระอาทิตย์ที่ขึ้นมาเหนือยอดเขาบ่งบอกให้รู้ถึงวันใหม่

   ริมฝีปากที่ผมได้สัมผัสเองเมื่อคืนว่าเร่าร้อนขนาดไหนกำลังพูดภาษาอิตาลีรัวเร็วไม่แพ้ตอนที่เขาพูดภาษาเยอรมัน

   ภาพตรงหน้าตราตรึงซะผมอยากจะหยิบกล้องคู่ใจมาบันทึกไว้ ทว่าตอนนี้กล้องไม่ได้อยู่กับตัว ดังนั้นผมจึงได้แค่บันทึกไว้ในความทรงจำ

   เนื่องจากไม่อยากรบกวนเขาขณะคุยกับคู่สายที่ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นคงไม่ตื่นแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ ผมเลี่ยงไปยังห้องครัวเงียบ ๆ

   อพาร์ทเม้นที่ไมเคิลอาศัยอยู่นี้เรียกได้ว่าหรูหราพอ ๆ กับอพาร์ทเม้นผมลูคัสอยู่ เพียงแต่จะเล็กกว่าสักหน่อยเพราะมีห้องนอนแค่สองห้อง และไม่มีวิวพาโนราม่าที่เป็นกระจกรอบด้าน แต่ก็แทนที่ด้วยระเบียงและวิวใจกลางเมืองซูริคแทน ที่นี่ไม่เหมือนกับกรุงเทพเลยแม้แต่น้อย ไม่มีตึกสูงเลย สิ่งที่สูงที่สุดของเมืองคือหอระฆังที่เป็นยอดแหลมสูง ไม่ว่าจะมองจากที่ไหนในเมืองซูริคก็สามารถมองเห็นยอดนี้ได้เสมอ

   ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย แฝงกลิ่นอายความเป็นระเบียบและดูสง่า ทำเอากดดันผมเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะไปหยิบจับหรือชนอะไรเข้า

   ห้องครัวนี้ก็เหมือนกับที่บ้านโฮส ผมรู้จักอุปกรณ์แทบจะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเตาอบ เครื่องล้างจาน เตาแก๊สแบบทัชสกรีนหน้าจอ อุปกรณ์ผัด หม้อ กระทะ แขวนเรียงในตู้อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งต้องขอบคุณโซอี้ที่สอนผมให้รู้จัก ไม่อย่างนั้นผมคงเด๋อด๋าและไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันใช้ทำอะไรได้บ้าง ถัดไปอีกหน่อยเป็นบาร์ที่สามารถทานข้าวได้ หรือจะไปนั่งทานบนโต๊ะใหญ่ที่รองรับได้ถึง 10 เก้าอี้

   ผมเดินมายังเครื่องทำกาแฟที่มีแบรนด์เป็นรูปตัว N ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องทำกาแฟที่โด่งดัง ผมใส่แคปซูลลงไปในช่อง กดปุ่มระดับน้ำ จากนั้นเดินไปยังตู้เย็นและหานมสดด้วยตนเอง เทนมสดลงเครื่องปั่นฟองนม รอสักพัก ได้ยินเสียงปี๊ป ๆ ก็เทฟองนมใส่แก้วที่วางอยู่เป็นระเบียบอยู่เหนือหัว เดาเอาว่าลิ้นชักใส่ช้อนส้อมอะไรพวกนี้คงอยู่ไม่ไกล และผมก็เดาถูกหลักจากเปิดปิดลิ้นชักไม่กี่รอบก็หาช้อนคันเล็กเจอ สายตาเหลือบไปเห็นน้ำตาลพอดี เลยเติมลงไปในแก้วเล็กน้อย ผมปฏิบัติราวกับผมคุ้นชินทุกสิ่งในบ้านนี้แล้ว หวังว่าเจ้าของบ้านจะไม่ถือสานะ

   สองขาก้าวเดินไปนั่งที่บาร์เงียบ ๆ พลางเช็คโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ตอบไลน์พ่อกับแม่และกรุ๊ปเพื่อนที่ไทยแล้วก็ถูสไลด์อ่านฟีดเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์อย่างเอื่อย ๆ จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มของไมเคิลที่เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ และมือหนาที่ขยี้หัวผมเบา ๆ นั่นแหละผมถึงได้ปิดหน้าจอและวางมันลง

    “Guten morgen* (สวัสดียามเช้าครับ)” ผมเอ่ยทักขึ้นก่อนเป็นภาษาเยอรมัน ผมรู้คำศัพท์เล็ก ๆ น้อย ๆพวกนี้จากแซมมวล เขาสอนผม เพราะที่บ้านโฮสนั้น การทักทายเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน เย็น หรือเข้านอนก็ต้องพูดฝันดีทุกครั้ง

   ไมเคิลตอบกลับด้วยคำเดียวกันก่อนจะถาม “หลับสบายดีไหม”

   “สบายดีครับ ขอบคุณครับที่ให้ผมมาพักด้วย” ผมยิ้มพลางจิบกาแฟรสนุ่ม “ไมเคิลคุยโทรศัพท์ทั้งคืนเลยหรอครับ ได้นอนบ้างรึยัง?”

   “อ๋อ เมื่อคืนกว่าฉันจะเคลียธุระเสร็จก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า เห็นเธอหลับแล้วก็ไม่อยากปลุก เช้านี้ไดเรคเตอร์สาขาอเมริกาเขาโทรมาพอดี เลยต้องตื่นคุยแต่เช้าน่ะ”

   “โห นี่ขนาดสุดสัปดาห์นะครับ คุณยังต้องทำงานอีกหรอ”

   “อือ นานๆทีน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันชินแล้ว”

   ใครเป็นห่วงกันเล่าา แค่กลัวว่ามันจะไม่ดีต่อสุขภาพเขาเท่านั้นแหละ

   “หิวไหม อยากกินอะไรเป็นอาหารเช้า”

   “อืมมมม ไข่คนกับเบคอน แล้วก็ขนมปังก็ได้ครับ ง่ายๆ...เอ๊ะ แต่ถ้าคุณยังคุยงานไม่เสร็จเดี๋ยวผมจัดโต๊ะและทำอาหารเช้าเองก็ได้นะครับ” ผมเสนอตัว

   “อืมมม...เอาแบบนั้นก็ได้ ไม่รบกวนเธอมากไปใช่ไหม”

   “ไม่เลยครับ” ผมตอบด้วยความกระตือรือร้น “ผมต่างหากที่มารบกวน แถมยังมาขอข้าวเช้ากินอีก”

   “Well, that means ‘sleep with me, free breakfast’, right? (ถ้างั้นมันก็หมายความว่า นอนกับฉัน ฟรีอาหารเช้าเลยสินะ)” ไมเคิลขยิบตา ทำเอาผมตะลึงไปชั่วขณะ แล้วก็ขำ

   เออจริงด้วยแหะ ถึงคำว่า Sleep ในวลีนั้นมันจะมากกว่าแค่คำว่า ‘นอน’ ก็เถอะ

   โทรศัพท์ไมเคิลดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนเขาจะรับสายหันมาบอกกับผมว่าเขาเปลี่ยนใจขอเป็นไข่ลวกแทนเพิ่มสามฟอง ถ้าจัดโต๊ะเสร็จแล้วให้ไปเรียกเขา ของทุกอย่างในห้องนี้สามารถใช้ได้ตามสบาย จากนั้นก็เดินหายไปในห้องทำงาน

   ผมยิ้มกว้างรับคำ คว้าแก้วกาแฟที่หมดแล้วใส่ลงในเครื่องล้างจาน จากนั้นเปิดตู้เย็นสำรวจว่าสามารถทำอะไรทานเป็นอาหารเช้าได้บ้าง

   อืมมม ไมเคิลอยากกินไข่ลวก ผมจะกินไข่คนกับเบคอน มีขนมปังที่ต้องใช้เลื่อยตัดวางอยู่ มีเนย แยมรสต่าง ๆ น้ำผึ้ง และก็ยังมีอโวคาโดกับมะเขือเทศอีก ดีเลย มีทุกอย่างไม่ต้องหาซื้ออะไรเพิ่มแล้ว

   ผมวนเวียนไปมาระหว่างห้องครัวกับโต๊ะอาหาร เอาของทุกอย่างมาวางไว้บนโต๊ะ อาหารเช้ามื้อนี้ผมตั้งใจทำสุดความสามารถ แม้มันจะไม่ได้ยากอะไรเลย แต่ผมก็อยากให้ไมเคิลรู้ว่าผมมีดีด้านการทำอาหารนะ และไม่ได้ทำเป็นแค่อาหารไทยด้วย มื้อเช้าแบบฝรั่งผมก็สามารถเหมือนกัน

   บนโต๊ะยาวมีแจกันทรงสูงประดับอยู่ ผมเลื่อนมันออกไปอีกด้านเพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอที่จะวางเนย แยม น้ำผึ้ง ตระกร้าขนมปังธัญพืช แก้วน้ำ เหยือกน้ำ ขวดน้ำส้ม เกลือ พริกไทย จานเบคอน ที่วางไข่ลวก จาน ผ้าเช็ดปาก ช้อนมีดและส้อม ผมหันไปเตรียมขั้นสุดท้ายคือนำอโวคาโดมาปอกเปลือก คว้านเนื้อมาผสมบดกับอัลมอนด์และมะเขือเทศ เติมรสชาติสไตล์ฝรั่งด้วยพริกไทยและเกลือเล็กน้อย จากนั้นนำไปทาบนแผ่นขนมปังปิ้ง โรยด้วยเมล็ดทานตะวันเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ตกแต่งด้วยใบร็อคเก็ตและมะเขือเทศด้านข้าง แค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟ

   “ว้าว” เสียงอุทานดังขึ้นด้านหลัง ไมเคิลคุยงานเสร็จแล้ว เขาเดินตรงมายังโต๊ะทานข้าว “นี่ฉันอยู่ในโรงแรมห้าดาวรึเปล่าเนี่ย อาหารเช้าน่าทานขนาดนี้”

   ผมยิ้มแก้มแทบปริ เชิญให้เขานั่งลงก่อนจะนั่งฝั่งตรงข้ามตาม

   “Bon appétit (ทานให้อร่อยนะครับ)” ผมกล่าวก่อนจะเอื้อมไปหยิบไข่ลวกในตระกร้าแล้ววางให้เขาบนที่วางไข่ลวก

   “ขอบคุณครับ”

   “หวังว่ามันจะคือไข่ลวกนะไม่ใช่ไข่ต้ม ฮ่าๆ” ผมล้อตัวเองขำ ๆ ทั้ง ๆที่ในใจผมมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันคือไข่ลวกอย่างแน่นอน ต้ม 6 นาทีไม่ขาดไม่เกิน

   ไมเคิลหยิบมีดมาเคาะบริเวณด้านบนหนึ่งในสี่ของไข่ เคาะอยู่สองสามทีจนเปลือไข่ปริแตก จากนั้นเขาใช้มีดค่อย ๆ เลื่อยเปลือกด้านบน หยิบส่วนนั้นออกมาวาง ปรากฎเนื้อไข่ไม่เหลวและไม่แข็งจนเกินไป

   “Perfecto!** (ยอดเยี่ยม!)” ไมเคิลกล่าวชมก่อนจะเริ่มทาน ผมเลยเริ่มทานในส่วนของตัวเองบ้าง

   เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อยแบบนี้ผมก็วางใจ ไมเคิลชอบอโวคาโดโทสของผมจนต้องขอเพิ่มอีกแผ่น

   ถ้าลอยได้ผมนี่คงตัวติดเพดานแล้วครับ

   ไม่เสียแรงที่โซอี้สอนผมทุกอย่างรวมไปถึงเมนูอาหารฝรั่ง นี่ถ้าเป็นเมื่อสามสี่อาทิตย์ก่อนที่ผมจะมาถึงสวิสเซอร์แลนด์ ผมคงทำอะไรไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าต้องจัดโต๊ะอย่างไร ต้องมีอะไรบนโต๊ะอาหาร รวมไปถึงวิธีการปรุงอาหารด้วย

   ผมนี่มีคุณสมบัติครบที่จะเป็นแม่ศรีเรือนจริง ๆ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าสนใจไหม อิอิ

   “เออนี่มิคกี้...เรื่องเมื่อคืนเธอมีความเห็นว่ายังไง?” จู่ๆ คนตรงข้ามก็ถามขึ้น

   ถามแบบนี้ให้ผมตอบยังไงล่ะเนี่ย?

   “ก็...ยังไงก็ได้ครับ” ผมตอบเสียงเบาด้วยความเขิน ให้ตายเถอะ ทำไมฝรั่งถึงชอบพูดตรง ๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้นะ

   “Umm...Are you interested to be my partner, Micky? (เธอสนใจที่จะมาเป็นคู่นอนของฉันไหมมิคกี้)”

   หะ หา Partner ในทีนี้ของเขามันหมายความว่ายังไงกัน

   “Partner?”

   “Let me explain Micky. I am interested in casual sex relationship, both partners agree to have sex without necessarily demanding or expecting the extra commitments of serious relationship. We will go out and be like a couple. Go for walk, movies, dinner, cuddling and have sex, but you need to always remind yourself that we are not in a serious relationship. I am not your boyfriend and you are not my boyfriend as well. Of course, You can sleep with anyone else but you need be safe which is very important. (ให้ฉันอธิบายนะมิคกี้ ฉันสนใจความสัมพันธ์แบบครั้งคราว ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะมีเซ็กส์กันโดยปราศจากความต้องการอื่น ๆ หรือภาระผูกพันธ์แบบความสัมพันธ์ที่จริงจัง เราสองคนจะเหมือนคู่รักกันเวลาออกไปข้างนอก ไปเดินเล่น ดูหนัง ทานข้าวเย็น นอนกอดคลอเคลียกันแล้วก็มีเซ็กส์ แต่เธอต้องย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเราสองคนไม่ได้จริงจัง ฉันไม่ใช่แฟนเธอและเธอไม่ใช่แฟนฉันเช่นกัน เธอยังสามารถไปนอนกับคนอื่นได้แต่เธอต้องนอนกับคนอื่นแบบปลอดภัยไร้โรคซึ่งมันสำคัญมาก)”

   “Moreover, I like kinky stuff. Sometimes I am into all of the things listed under BDSM. For example, physical sensations from feathers or candlewax, bondage from handcuffs or rope, discipline by spanking. You will be dressed up and role-play like cops, nurse, student, etc. All these things can happen (อ้อ ยังมีอีก...ฉันชอบความเร้าใจ บางครั้งฉันก็ชอบสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในขอบเขตการมีเซ็กส์แบบรุนแรงและทรมาน ยกตัวอย่างเช่น ความรู้สึกทางกายภาพจากขนนกและเทียนไข ทำให้เธอเป็นทาสโดยกุญแจมือหรือเชือก การลงโทษโดยการตี เธอจะถูกจับแต่งและแสดงบทบาทสมมติเช่น ตำรวจ นางพยาบาล นักเรียนเป็นต้น สิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้น)”

   “Think carefully Micky. It’s a big risk. You need to know our limit and took yourself off emotional. If you want to stop this relationship, just tell me directly. Do you agree? (คิดให้ดีนะมิคกี้ มันเสี่ยงมาก เธอต้องรู้ลิมิตและนำตัวเองออกห่างจากความรู้สึก ถ้าเธอต้องการหยุดความสัมพันธ์นี้ แค่บอกฉันตรง ๆ เธอเห็นด้วยไหม?)”

   “I am not finding a true love, I am finding a partner who can please me (ฉันไม่ได้กำลังหารักแท้ ฉันกำลังหาคู่นอนที่ทำให้ฉันพึงพอใจได้)”



*



   เมื่อรับประทานกันเสร็จแล้ว ไมเคิลก็ไม่อู้ ช่วยผมเก็บกวาดทุกสิ่งและยัดลงเครื่องล้างจาน

   “วันนี้อากาศดี ฉันว่าจะออกไปเล่น SUP ไปด้วยกันไหม?” เขาชวนขณะที่กำลังเก็บน้ำผึ้งเข้าสู่ชั้นวางของ

   เล่น SUP หรอ...ไอ้ที่ยืนบนแผ่นบอร์ดแล้วมีไม้พายนั่นอ่ะนะ...ผมจินตนาการนึกภาพตัวเองยืนบนแผ่นบอร์ดอย่างมั่นคงกลางทะเลสาบซูริคแล้ว...เอ่อ...ให้นอนเฉยๆยังง่ายกว่า

   “เอ่อ...ผมเล่นไม่เป็นครับ”

   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันสอน”

   “ผมไม่มีอุปกรณ์ด้วย” ไหนจะบอร์ด ไหนจะไม้พาย ผมไม่มีอะไรสักอย่างเลย

   “ฉันมีให้ยืม”

   โอเค ยอมแล้ว ไปเล่นด้วยก็ได้

   “ถ้าผมจมไมเคิลต้องช่วยผมนะ”

   ใบหน้าได้รูปหัวเราะร่า คนอะไรหล่อจริง ๆ หล่อทุกมุม หาที่ติไม่ได้เลย

   แม้ว่าเราจะคุยกันปกติ แต่ในใจผมว้าวุ่น คิดไม่ตกว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอของไมเคิล มันทั้งน่าสนและฟังดูอันตราย และเมื่อข้อเสนอนี้ออกจากปากเขามันยิ่งทำให้ผมกังวล ตอนนั้นผมเลยนั่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไรออกไป ไมเคิลก็ไม่เร่งร้อน เขาบอกให้ผมไปคิด หากรู้คำตอบเมื่อไหร่ค่อยมาบอก

   ผมหันไปมองไมเคิลที่กำลังเดินไปเปิดทีวี ส่วนผมเช็ดครัวเงียบ ๆ

   คนที่สมบูรณ์แบบอย่างไมเคิล...กับผม...เราสองคนจะทำตัวเหมือนเป็นแฟนกัน แต่ไม่ใช่แฟน ในขณะที่ทั้งเขาและผมสามารถไปนอนกับคนอื่นได้โดยไม่หึงหวงซึ่งกันและกัน อีกทั้ง...เราสองคนจะมีเซ็กส์แบบนั้นอีก...

   แค่คิดผมก็หน้าแดงก่ำ ขยำผ้าขี้ริ้วในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย

   ผมจะลองตอบรับความสัมพันธ์แบบนี้ดีไหมนะ...?

   ไหน ๆ ก็ไหนๆแล้ว ผมเองก็ชอบเขา ส่วนเขาก็ถูกใจผม ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ อีกทั้งผมอยู่ที่นี่แค่ปีเดียว ไม่รู้ว่าวันนี้ในปีหน้าผมและเขาจะห่างไกลกันแค่ไหน ณ ตอนนี้ผมได้อยู่ใกล้ ๆ เขา ได้ทำตัวว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน เพียงแค่นี้ก็กำไรมากพอสำหรับผมแล้ว

   ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมต้องระวังให้ดีคือ...หัวใจของผมเอง



*



   ไมเคิลพาผมและออดี้คู่ใจออกมายังทะเลสาบซูริคบริเวณท่าเรือ ผมเห็นคนสัญจรไปมาละลานตาเพราะว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ผมอยู่ในเสื้อยืดของไมเคิลกับกางเกงยีนส์ตัวเมื่อวาน ผมไม่ได้เผื่อว่าจะต้องมาค้างกับไมเคิล เขาเลยให้ยืมอย่างง่ายดาย ส่วนคนข้าง ๆ ที่ชวนผมมาเล่น SUP ในวันนี้อยู่ในกางเกงสามส่วน รองเท้าแตะ เสื้อเชิ้ตสีคราม และแว่นกันแดดสีชาสุดเท่ห์

   วันนี้รถหรูเปิดประทุนเหมือนเมื่อวานเย็น เพราะอากาศดี ลมพัดเย็นสบาย แม้แสงแดดในยามบ่ายนี้มันออกจะแรงไปหน่อย แต่ดูเหมือนว่าไมเคิลจะชอบมาก

   อันที่จริงไม่ใช่แค่ไมเคิล ดูเหมือนฝรั่งทุกคนจะชอบมากที่ได้เจอแสงแดด ราวกับว่ามันล้ำค่าเสียยิ่งกว่าทอง ไมเคิลบอกว่านั่นเป็นเพราะหากเข้าหน้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วละก็...โอกาสที่จะได้เจอแสงแดดหรืออุณหภูมิสูงแบบนี้มีน้อยมาก ดังนั้นหน้าร้อนสำหรับคนยุโรปคือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สมควรจะออกนอกบ้านมากที่สุด ดังนั้นจึงไม่แปลกหากค่าตั๋วบินจากยุโรปไปไทยมันจะแพงในช่วงเดือนพฤษจิกายนลากยาวไปถึงมีนาคม เพราะอากาศบ้านเราที่เรียกว่า ‘ฤดูหนาว’ นั้น มันคือฤดูร้อนของชาวยุโรปดีๆ นี่เอง

   “Actually Thailand has three season called hot, hotter and fucking hottest. (จริง ๆ แล้วประเทศไทยมีสามฤดูนะครับ ที่เรียกว่าหน้าร้อน ร้อนมากๆ และร้อนเหี้ย ๆ)” ไมเคิลขำแรงขณะที่เลี้ยวรถเข้าจอดขนาบกับฟุตบาท

   เขาลงจากรถไปจ่ายค่าที่จอดตรงตู้หยอดเหรียญ ส่วนผมก็เดินมายังท้ายรถเพื่อเอาอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ อันได้แก่ บอร์ดแพดเดิ้ล ไม้พาย ผ้าขนหนูและเสื้อชูชีพที่ไมเคิลบอกว่าผมต้องใส่เพื่อความปลอดภัย ส่วนเขาชำนาญแล้วเลยไม่ต้องใส่ก็ได้ เพราะเขาขะพาผมไปยังบริเวณที่น้ำไม่ลึกมาก เป็นเขตปลอดภัยทางรัฐบาลอนุญาตให้ลงไปเล่นได้

   ไมเคิลพาผมเดินไปยังบริเวณที่มีคนไม่มากไม่น้อย ผมสังเกตเห็นแต่ละคนนั้นมีบอร์ดและไม้พายเป็นของตนเอง และเมื่อมองไปยังบริเวณทะเลสาบซูริคก็จะได้เห็นคนยืนพายประปราย หากมองไกลกว่านั้นก็จะเห็นเรือขนาดต่าง ๆ

   แต่ละคนนี่สุดยอดเลยครับ ยืนพายกันชำนาญมาก ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวตกน้ำเลย บางคนถึงขนาดให้สุนัขมายืนบนบอร์ดด้วยซ้ำ บางบอร์ดก็ยืนเป็นคู่กอดกันอยู่กลางน้ำ ที่สำคัญนั้นทุกคนใส่ชุดว่ายน้ำ ผู้หญิงโชว์เรือนร่างแบบไม่อายสายตาใคร ผู้ชายก็ใส่กางเกงว่ายน้ำแบบขาสั้น ซึ่งไมเคิลและผมก็เลือกที่จะใส่กางเกงว่ายน้ำแบบขาสั้นเช่นกัน

   “ใหญ่ไปเหรอ?” ไมเคิลหันมาถามผมขณะที่เราสองคนกำลังเปลี่ยนชุด

   “อ่า...ครับ แต่เดี๋ยวผมมัดเชือกแน่นๆ เอาก็ได้” กางเกงว่ายน้ำที่ผมใส่อยู่นี่ แน่ล่ะว่าของไมเคิลที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าผม เขายิ้มแล้วเดินมาหา

   “นายนี่ตัวบางชะมัด กินเยอะๆหน่อยสิ เดี๋ยวพอถึงกิจกรรมอย่างว่าแล้วจะไม่ไหวเป็นลมเป็นแล้งเอานะ”

   ผมอ้าปากค้าง...นี่เขากล้าพูดในที่สาธารณะเลยเหรอ!

   ไม่ว่าเปล่า ไมเคิลโอบตัวผมจากทางด้านหลัง แล้วอ้อมมือมาผูกเชือกให้ด้านหน้าในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่และเป็นอันตรายต่อกล่องดวงใจผมอย่างมาก ในท่านี้หากคนที่ไม่รู้จักมองมาก็จะเหมือนว่าเขากอดผมอยู่ แต่ดีที่นี่มันประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไม่มีใครสนใจหรอกครับว่าใครจะกอดใคร ขอแค่ไม่ขนาดเกินงามจนพอดีก็ใช้ได้

   “คิดอะไรอยู่...ฉันหมายถึงกิจกรรม SUP ไง” เขาผูกเชือกเสร็จแล้วเดินมายืนตรงหน้า เขายีหัวผมอีกครั้ง “หน้าเธอนี่แสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาชัดเจนเลยนะ สายตาที่มองฉันกับแก้มแดงๆของเธอนี่มันทำให้ฉันอยากลากเธอกลับบ้านจริง ๆ ถ้าไม่อยากโดนข่มขืนตรงนี้ก็เลิกส่งสายตาแบบนั้นให้ฉันได้แล้ว” ประโยคหลังเขากระซิบทำเอาผมก้มหน้างุด เขาหันไปหยิบบอร์ดกับไม้พายเดินจากไปอย่างง่าย ๆ ราวกับไม่ได้ทิ้งระเบิดอะไรไว้ตรงนี้

   ให้ตายเถอะไมเคิล! ภายนอกเขาดูเป็นคนดีชอบช่วยเหลือคนอื่นแต่ไม่คิดว่าเนื้อแท้เขาจะหื่นได้ขนาดนี้เลย

   ผมใส่เสื้อชูชีพก่อนจะหยิบบอร์ดและไม้พายเดินตามเขาไป

   ไมเคิลเดินนำมายังริมทะเลสาบ มีบันไดให้เดินลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายไปในน้ำ เขาบอกว่าตรงนี้น้ำนิ่ง เหมาะสำหรับคนฝึกเริ่มเล่น

   “เห็นสายรัดข้อเท้าตรงท้ายบอร์ดไหม รัดมันเข้ากับข้อเท้าของเธอ”

   ผมปฏิบัติตาม ไมเคิลยืนสอนผม อธิบายให้เห็นภาพพร้อมกับแสดงท่าทางไปด้วย

   “การเริ่มเล่น SUP ท่าบังคับคือท่าคุกเข่าที่กลางบอร์ดเพื่อให้เกิดความบาลานซ์มากที่สุด เมื่อจะยืนให้วางสองมือไปด้านหน้า จากนั้นยกเท้ามาวางแทนที่เข่าแต่ละข้าง เมื่อยืนได้แล้วก็เริ่มพายได้เลย”

   ผมพยักหน้างึก ๆ แม้มันจะฟังดูยากแต่ก็ไม่น่าเกินความสามารถ

   “สำหรับการเคลื่อนที่ก็พายไปด้ามปกติ แต่ถ้าหากอยากเลี้ยวก็ให้พายถอยหลังสามครั้ง พอครั้งที่สี่ก็เปลี่ยนด้านพายแล้วพายตามปกติ หรือจะอยากหยุดก็แค่หยุดพาย ทิ้งไม้พายไว้ด้านหลัง ทิ้งน้ำหนักตัวโดยการนั่งจะดีที่สุด เข้าใจไหม?”

   “ครับ”

   “ข้อสำคัญที่ต้องจำคือห้ามมองต่ำ และถ้าหากเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในน้ำ เธอมีชูชีพอยู่แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะจม อย่าดึงสายรัดเชือกที่ข้อเท้าเด็ดขาด ให้ตั้งสติแล้วค่อยๆลอยตัวมาอยู่กลางบอร์ดและเตะขาค่อย ๆ ขึ้นมากลางบอร์ด นึกถึงความบาลานซ์ไว้เสมอ หากเธอไปยังท้ายหรือหัวบอร์ด ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่เธอก็ขึ้นบอร์ดไม่ได้หรอก เพราะอีกด้านมันจะตีขึ้นเสมอ มีอะไรสงสัยไหม?”

   “เอ่อ...ตอนนี้ยังไม่มีครับ”

   “ดี งั้นเริ่มกันเลย เธอไปก่อน ฉันจะค่อย ๆบอกขณะที่เธอกำลังขึ้นบอร์ด”

   ไมเคิลไม่ได้คอยประคบประหงมผมเหมือนลูกแหง่ เขาให้ผมแสดงความสามารถเองเลยโดยการทิ้งให้ผมไปคนเดียว ผมพยายามทำตามที่เขาบอก บาลานซ์น้ำหนักบนบอร์ด จนมั่นใจว่ามันมั่นคงแล้วถึงค่อย ๆ ยืนตามที่เขาสอน

   สำเร็จ! ผมยืนได้แล้ว ไม่ยากเท่าไหร่แหะ

   ผมค่อย ๆพายช้า ๆ เพราะเห็นว่าไมเคิลขึ้นบอร์ดและตามมาด้านหลังแล้ว

   ผมและเขาค่อย ๆ พายออกมาไกลจากฝั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามนี้ผมเริ่มชำนาญแล้วครับ จับจุดได้แล้วว่าแค่ทรงตัวให้อยู่ก็พอ คล้าย ๆ กับการขี่จักรยาน เมื่อเริ่มสนุกและไม่มีอะไรให้กังวล สายตาผมก็มองไปรอบด้าน ผมเหมือนยืนบนผืนน้ำอันแสนกว้างใหญ่ บ้านเรือนและต้นไม้บนฝั่งค่อยๆ บีบเล็กลงเรื่อย ๆ ผมมองเห็นอีกฝั่งของทะเลสาบซูริค เบื้องหลังมีภูเขาสลับทับซ้อน แสงแดดแผดเผาไม่น้อยหน้าเมืองไทย ผิวหนังผมเริ่มประท้วงเบา ๆ เต่ผมยังไหวและสนุกอยู่ อีกทั้งคนที่คอยพายตามประกบอยู่ไม่ห่างก็ดูยังไม่อยากจะขึ้นฝั่งตอนนี้

   “มิคกี้ เธออยากลองพายแบบคู่ดูไหม?”

   “หือ?”

   แบบคู่งั้นเหรอ...   

   “เอาสิครับ”

   ตกลงตามนั้นเราสองคนเลยพายเคลื่อนที่กลับมายังฝั่งตามเดิม คราวนี้ไมเคิลเอาบอร์ดของผมไปเก็บ เนื่องจากบอร์ดของเขาใหญ่กว่าและมีพื้นที่ให้คนสองคนได้ยืน อันที่จริงแล้วขนาดบอร์ดและไม้พายที่จะใช้เล่นนั้นต้องขึ้นอยู่กับความสูงของผู้เล่นเช่นกัน ดังนั้นผมที่เตี้ยกว่าเขาเลยต้องใช้บอร์ดตอนที่เขาชอบใช้เล่นเมื่อตอนไฮสคูลแทน

   ผมนั่งอยู่ด้านหน้า ไมเคิลนั่งอยู่ด้านหลัง เมื่อบอร์ดเคลื่อนออกห่างจากฝั่งอีกครั้ง ไมเคิลบอกให้ผมยืนก่อนแล้วเขาจะยืนตาม

   เมื่อเราสองคนยืนบนบอร์ดเดียวกันและทรงตัวได้แล้วไมเคิลก็บอกให้ผมพายนำทิศทาง ส่วนเขา...

   ยืนกอดผมซ้อนหลังอยู่แบบนี้ไง!

   โอ๊ยยย นั่น...ฝรั่งผมทองคนนั้นมองมา เขากำลังเล่น SUP เหมือนกันอยู่ไม่ไกล ไหนจะผู้หญิงที่ใส่บิกินี่ที่เล่น SUP เช่นกันอีกด้าน

   สรุปว่าตอนนี้เราสองคนตกเป็นเป้าสายตา ทว่าไม่ได้ถูกมองในแง่ลบนะครับ เหมือนพวกเขาจะยิ้มๆเสียมากกว่า

   ดีนะที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทย

   ว่าแต่ผมประเมิณความหนาของหนังหน้าไมเคิลต่ำไป ไม่คิดว่าเขาจะกอดซ้อนด้านหลังผมแบบนี้ เขาจู่โจมผมจะตั้งรับไม่ทัน นี่ถ้าผมตกใจเกิดพลัดหล่นน้ำจะว่ายังไง

   ในใจผมนี่เต้นรัวยิ่งกว่าวิ่งมาราธอนมาเสียอีก

   “ชอบไหม?”

   “ชะ ชอบครับ”

   “ชอบที่ได้เล่น SUP หรือชอบที่ฉันกอดเธอแบบนี้”

   “...”

   บึ้มมมมม เสียงระเบิดในหัวผมเอง

   ทั้งเขินทั้งอาย แต่ความสุขมันมีมากกว่า

   ถ้านี่คือ casual sex relationship ที่ว่า...ดังนั้นผมก็จะขอเสี่ยงกับความสัมพันธ์นี้ดูสักครั้ง

   







*Guten morgen ภาษาเยอรมัน แปลว่า สวัสดีตอนเช้า

**Perfecto ภาษาสเปน แปลว่า สมบูรณ์แบบ, ยอดเยี่ยม

   
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 100% [Sep, 22]
เริ่มหัวข้อโดย: We_LS ที่ 22-09-2019 15:29:29
 :pighaun: :pighaun: ถ้าตอบตกลงความสัมพันธ์แบบนี้ ต้องระวังใจมากๆเลยน้า ว่าแต่ใครกันที่จะเผลอใจก่อน
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 100% [Sep, 22]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 22-09-2019 16:42:05
ไมเคิลมีเสน่ห์ เซ็กซี่ ให้ความรู้สึกยุบยิบที่หัวใจจริงๆ
ถ้าน้องมิคโอเคกับแนวsmก็เชียร์ให้น้องลองรับข้อเสนอนี้ เพราะว่ามันต้องแซ่บมากแน่ๆ  :jul1:
แต่ก็แอบหวั่นใจกลัวน้องตกหลุมรักไมเคิลแต่ไมเคิลไม่ได้คิดแบบเดียวกัน
จากที่อ่านเฉพาะฝั่งน้องจะรู้สึกได้ว่าน้องชอบไมเคิลมากๆจนไม่ยากเลยที่จะตกหลุมรัก
ส่วนฝั่งไมเคิลที่เป็นคนเสนอข้อตกลงดูไม่ได้คิดถึงการพัฒนาความสัมพันธ์เลย
แต่ยังไงก็เชียร์คู่ไมเคิลมิคค่ะ แบบหวั่นใจหน่อยๆเพราะกลัวดราม่า  :mew4:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VII 100% [Sep, 22]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 24-09-2019 15:06:41
VIII
Snap


   “คุณนี่โชคดีจัง”

   “โชคดียังไง?”

   “ได้เกิดมาอยู่ในประเทศที่สมบูรณ์พร้อมอย่างสวิสเซอร์แลนด์ ผมละอยากให้ตัวเองเกิดมาในสภาพแวดล้อมของภูมิทัศน์แบบนี้บ้างจัง สูดอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน แถมผู้คนก็รักษากฎระเบียบ บ้านเมืองสะอาดสอ้าน อาหารสดใหม่ไม่มีสารตกค้าง ระบบขนส่งสาธารณะดีเยี่ยม เข้าถึงทุกบ้านเรือนไม่ว่าจะเป็นในตัวเมืองหรือนอกเมือง”

   ผมหลับตาพูด สองมือซ้อนใต้ศีรษะ นอนเอนตัวลงกับพื้นหญ้าอย่างไม่รังเกียจ ตอนนี้ผมกับไมเคิลมานั่งพักหลังจากที่ออกไปเล่น SUP กันมาหลายชั่วโมง ส่วนเขานั่งพิงลำต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ออกกิ่งก้านปกคลุมให้ร่มเงาบริเวณกว้าง ช่วยให้ผมและไมเคิลไม่ร้อนมากนัก

   “คิดตื้นเขินจริงนะเรา บางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่ได้ดีไปเสียหมดหรอก มันต้องมีข้อเสียบ้าง ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เธอว่า” ไมเคิลค้านก่อนจะอธิบายต่อ “เธอบอกว่าสวิสเซอร์แลนด์ดีกว่าประเทศไทยร้อยเท่า เธอบอกว่าระบบขนส่งดีกว่า แต่ลืมคิดไปรึเปล่าว่าค่าโดยสารที่นี่แพงขนาดไหน นั่งรถไฟไม่ถึงครึ่งชั่วโมงราคาประมาณ 15 ฟรังก์ (ประมาณ 500 บาท) เธอบอกได้ซื้อผักผลไม้สดใหม่แต่เธอกลับลืมนึกถึงเนื้อวัว เนื้อหมูต่าง ๆ ที่สุดแสนจะแพง โดยเฉพาะอาหารทะเลที่ประเทศเราต้องนำเข้า เพราะสวิสเซอร์แลนด์ไม่มีอาณาเขตติดกับทะเล นอกจากนั้นเธอบอกว่าที่นี่อากาศดีไม่มีมลพิษ ฉันไม่เถียง แต่เธอยังไม่เจอหน้าหนาวของจริง อุณหภูมิติดลบ หนาวจนหดหู่ ไม่มีใครอยากออกจากบ้าน เดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบากเพราะหิมะ”

   “แต่ผมยอมจ่ายค่าโดยสารแพงๆนะถ้าแลกมากับรถเมล์ รถแทรม หรือรถไฟที่ตรงเวลา และสะอาด มีการแจ้งเตือนบอกเสมอ สามารถเช็คได้จากแอพลิเคชั่น ไม่เหมือนที่ไทย รถไฟฟ้าเสียก็ไม่มีบอก ให้ผู้โดยสารรอไปเถอะ คุณลองไปสถานีสยามสิ โอ๊ยยยยย อัดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋องถ้าชายหญิงท้องได้จากการเสียดสีคงท้องกันไปนานแล้ว ความเจริญที่ไทยมันกระจุกอยู่แค่ในกรุงเทพครับ ไม่ได้เข้าถึงทุกภูมิภาคอย่างสวิสนี่นา”

   “อืมมม...แต่ค่าโดยสารมันก็ถูกกว่าตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง”

   “ก็จริง...” ผมตอบหงอยๆ “เออแต่มีอย่างนึงที่สวิสสู้ไทยไม่ได้เลย”

   “อะไรเหรอ?”

   “ไทยฟูดอิสนามเบอร์วานนนนน (Thai food is No.1 อาหารไทยเป็นที่หนึ่ง)”

   “Couldn’t agree more (ไม่เถียง)” ไมเคิลย้ายที่นั่งมานอนข้างๆ ผม “ฉันชอบอาหารไทยนะ รสชาติกลมกล่อม มีให้เลือกหลากหลายชนิด”

   “คุณเคยไปเที่ยวประเทศไทยรึเปล่า”

   “เคย...แต่นานมาก 10 ปีที่แล้วมั้ง ฉันจะไปพะงันกับภูเก็ตมากับเพื่อนๆสมัยไฮสคูล”

   “แล้วชอบไหม? เป็นยังไงบ้าง” ผมถาม อยากได้ยินความเห็นของฝรั่งที่มีต่อการท่องเที่ยวไทย

   “สวยนะ สวยมากด้วย ผู้คนยิ้มแย้มใจดี อาหารอร่อย โรงแรมที่พักสะดวกสบายแถมราคาถูก แต่ก็มีบางอย่างที่รู้สึกได้ว่าโดนเอาเปรียบเพราะฉันเป็นฝรั่ง อย่างเช่นเช่าเรือหรืออาหารบางอย่างที่พวกเราโดนชาร์จ”

   ผมนี่หน้าหดเหลือสองนิ้ว

   “แต่ช่างมันเถอะ ฉันเข้าใจว่าพวกเขาต้องทำมาหากิน อีกอย่างมันก็ไม่ได้แพงเว่อร์อะไรขนาดนั้นเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่นี่”

   “แล้วชอบหญิงไทยมั้ย สวยๆเยอะเลยนะ”

   ไมเคิลพลิกตัวตะแคง หันมามองหน้าผม

   “ชอบ ฉันชอบคนไทย พวกเขามีเอกลักษณ์ดี” ไมเคิลยื่นมือมาไล้ไปตามผิวแก้ม รู้สึกเขินกับจั๊กจี้นิดหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้ปัดออก “โครงหน้าได้รูป คิ้วคมเข้ม จมูกที่ไม่โด่งมาก ริมฝีปากไม่หนาเตอะ เส้นผมดำขลับ...ฉันชอบหมดทุกอย่าง”

   นิ้วเรียวเขาเล่นกับเส้นผม สังเกตได้่ว่าไมเคิลชอบเล่นกับศีรษะผมมากเพราะเขาบอกว่ามันนิ่มแถมสีดำเป็นธรรมชาติเท่ากันตั้งแต่โคนจรดปลาย ซึ่งหาได้ยากในหมู่คนแถวนี้

   “แล้วเธอล่ะ ชอบคนสวิสไหม?” นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าสบตรง ๆ ทำเอาผมพูดตะกุกตะกัก

   “ชะ ชอบครับ”

   “ชอบตรงไหน”

   “ทุกอย่าง...” ผมพลิกตะแคงหันหน้าเข้าหาไมเคิล ทำแบบเดียวกับที่เขาสัมผัสผม “โครงหน้าคมสันได้รูป เส้นผมสีบลอนด์แดงยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ คิ้วเข้มหนาที่ชอบขมวดตอนคุยงาน นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าบางทีก็เปลี่ยนสีได้นิดหน่อย จมูกโด่งเกินหน้าเกินตา ทั้งหมดนี้ผมชอบหมดเลยครับ...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ริมฝีปากสีชมพูที่ผม...อยากจะจูบทุกครั้งที่ได้เห็น”

   สิ้นคำไมเคิลก็ประกบริมฝีปากผมทันทีโดยไม่รีรอ ทั้งเขาและผมคล้ายแม่เหล็ก มีแรงดึงดูดระหว่างเรา ผมหลงใหลเขามาก เต็มใจรับจูบที่เขามอบให้ ชั้นเชิงเขามีมาก เป็นฝ่ายไล่กวดขัน พลิกลิ้นนุ่มกระหวัดเกี่ยวจนผมร้องครางเบา ๆ ในลำคอ เขาชำนาญมาก ใช้ทั้งริมฝีปาก ฟัน และลิ้นชุ่มชื้นต้อนจนผมจนมุม ส่วนผมที่ไม่ค่อยประสีประสาก็เป็นได้แค่โอนอ่อนคอบรับความร้อนแรงอย่างไม่รู้เบื่อ

   เราจูบกันนานมาก แต่นานแค่ไหนผมก็รู้สึกว่ามันไม่พอ ต้องการมากกว่านี้...

   ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบกัดริมฝีปากล่างของผม กลีบปากไล่ขบเม้มไปทั่วหน้าผมอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะย้อนมาบรรจบที่เดิม

   ผมไม่สนไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าเราอยู่ในที่สาธารณะ ใครจะเห็นหรือไม่ก็ช่าง เรานอนกอดกันอยู่บนผืนหญ้าใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่ว่าที่ไหนหากมีเขาผมก็พร้อมที่จะไปด้วย

   ในที่สุดไมเคิลก็ถอนริมฝีปากออก ปรือตามองผม สายตาที่เขามองมาทำเอาผมแทบละลาย

   ไมเคิลคลึงศีรษะผมเล่นอีกครั้ง

   “ผมเธอนุ่มดี”

   เขากดจมูกโด่งลงบนศีรษะ

   “หอมด้วย”

   “ไม่หอมหรอก วันนี้ยังไม่ได้สระผมเลย สงสัยจมูกคุณรับกลิ่นเพี้ยนแล้วมั้ง”

   “คงจะอย่างนั้น...เพราะทั่วทั้งตัวเธอฉันได้แต่กลิ่นหอมหวาน จนอยากจะกลืนลงไปทั้งหมด”

   โอ๊ยยยย ทำไมเขาชอบพูดอะไรแบบนี้นะ นี่ขนาดอยู่ข้างนอกนะเนี่ย ไม่อยากจะนึงถึงถ้าเราอยู่ด้วยกันสองต่อสองเลย ผมคงระทวยและยอมเขาทุกอย่างแน่ๆ

   “ว่าแต่ข้อเสนอที่ฉันพูดไปเมื่อเช้า...เธอมีคำตอบหรือยัง?”

   “เอ่อ...ก่อนจะให้คำตอบ ผมมีคำถาม”

   “ได้สิ” ไมเคิลกุมมือผมก่อนจะยกไปจูบตามข้อนิ้วเล่น ๆ

   “คือ...คือผม...ไม่ค่อยเก่งเรื่องอย่างว่า...ผมอาจทำให้คุณผิดหวัง”

   “นั่นไม่ใช่ปัญหา ฉันจะค่อย ๆ สอนเธอ ให้เธอได้ปรับตัว”

   “อีกอย่าง...” ผมหลบตาเขา

   “หือ?...มีอะไรบอกฉันสิมิคกี้ ถ้าเราตกลงอยู่ในความสัมพันธ์นี้มีอะไรเราต้องพูดคุยกันตรงๆนะ ห้ามเก็บไปคิดเอง ฉันไม่ชอบคนงี่เง่าที่คอยเก็บงำความรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว ฉันไม่มีเวทมนตร์ ฉันอ่านใจคนอื่นไม่ได้”

   “ผมกลัว...”

   “ไม่ต้องกลัวนะมิคกี้” เขาขยับเข้ามาชิดแน่น คว้าร่างผมไว้ในอ้อมแขน “เซ็กส์มันคือการแสดงออกถึงความสุขทางกายอย่างหนึ่ง ฉันจะทำให้เธอมีความสุขเท่าที่จะทำได้ และจะไม่ทำจนเกินลิมิต เราจะมีคำปลอดภัย (Safe word) โอเคไหม? เธอรู้ไหมว่าอันที่จริงแล้วฉันเป็นฝ่ายเสียเปรียบเธอนะในความสัมพันธ์แบบนี้”

   “ยังไงเหรอครับ?” ฟังยังไงเขาก็ได้เปรียบชัดๆ

   “หลายคนมองว่าการมีความสัมพันธ์แบบ BDSM นั้นฝ่ายที่เป็นเจ้านาย (Master) เป็นฝ่ายได้เปรียบใช่ไหม เพราะจะสั่งหรือทำอะไรกับร่างกายฝ่ายทาส (Slave) ยังไงก็ได้...แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย พวกเขาไม่รู้ว่าฝ่ายทาสต่างหากที่เป็นคนคุมเกม อะไรทำได้หรือไม่ได้ อะไรที่อยู่ในขอบเขตจำกัด 70-80% แท้จริงแล้วทาสต่างหากที่เป็นคนคุมความสัมพันธ์แบบนี้เพราะฝ่ายเจ้านายต้องสังเกตอาการและความรู้สึกของทาสว่าเขาหรือเธอเจ็บจริงไหม พอใจไหม สุขสมไหม”

   ไมเคิลหยุดชั่วครู่

   “ทาสบางคนสุขสมแล้วจนร้องไห้ก็มี แต่นั่นยิ่งทำให้ฝ่ายเจ้านายเกิดความสับสนว่าเขาร้องไห้เพราะมีความสุขจริงหรือเพราะเจ็บจนทนไม่ไหวต้องร้องไห้ออกมา นั่นทำให้ต้องมีการดูแลหลังกิจกรรมเสร็จสิ้น (Aftercare) ฉันจะคอยปลอบประโลมเธอ ดูแลเธอ ไม่ว่าเธอจะมีแผลหรือเจ็บปวดตรงไหนฉันก็จะคอยเฝ้าประคบประหงม เราจะคุยกันถึงกิจกรรมที่ผ่านมาชั่วครู่ว่าเธอโอเคไหม มีความสุขกับสิ่งที่ได้รับรึเปล่า เจ็บปวดเกินไปหรือไม่ เพื่อที่ครั้งหน้าฉันจะได้ปรับระดับความรุนแรงกับเธอได้”

   “คุณทำกับคู่นอนคนอื่น ๆ แบบนี้บ่อยเหรอ”

   “มิคกี้ นี่คือเรื่องของเราสองคน อย่าพูดถึงคนอื่นๆได้ไหม” น้ำเสียงเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย

   “ครับ...ผมไม่พูดถึงแล้ว”

   “แต่ฉันจะเล่าให้เธอฟังก็ได้หากเธออยากรู้”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากรู้แล้วถ้่านั่นมันทำให้ไมเคิลไม่พอใจ”

   “ฉันไม่พูดสักหน่อยว่าไม่พอใจ”

   แล้วน้ำเสียงแข็งเมื่อกี้มันอะไรกันล่ะ ผมแอบเถียงเงียบ ๆ ในใจ

   “ฉันมีคู่นอนหลายคนก็จริง แต่ฉันรับรองได้ว่าปลอดภัยทั้งหมด เพราะฉันตรวจทุก ๆ สามเดือน ล่าสุดตรวจเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เราจะไปตรวจเลือดด้วยกันโอเคไหม?”

   “ครับ”

   “ถึงฉันจะมีเซ็กส์กับหลาย ๆ คนแต่ทว่ามีไม่กี่คนหรอกที่รับความสัมพันธ์แบบนี้ได้ คนพวกนั้นรู้สึก ‘กลัว’ จนไม่อาจตอบสนองได้เต็มที่ และฉันก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น ไม่อยากฝืน เลยได้แต่ปล่อยไป จนป่านนี้ยังไม่สามารถหาใครสักคนที่เข้าใจความต้องการของฉันได้ เพราะพวกนั้นไม่ไว้ใจฉัน...ตอนนี้ฉันอาจยังไม่ขอให้เธอเชื่อใจฉันหรอกนะ ให้เธอพิสูจน์ด้วยตนเองดีกว่า”

   ผมนิ่งงัน ไม่ได้ตอบรับอะไร

   “ฉันจะเคารพเธอ ให้เกียรติเธอ เราจะค่อย ๆ เป็นค่อยๆ ไป ตามระดับ เริ่มจากเบา ๆ ก่อนอย่างเช่นปิดตาหรือตีก้น แล้วค่อยไล่ระดับไปในเลเวลที่รุนแรงขึ้น ถ้าเธอไม่ไหวหรือไม่ต้องการแล้วฉันก็จะหยุด ฉันจะเชื่อฟังเธอทันที เธออยากใช้คำปลอดภัยว่าอะไรดี?”

   “เอ่อ...ไม่รู้สิครับ คิดไม่ออก”

   “อืม...เธอชอบกินอะไร หรือมีกิจกรรมยามว่างแบบไหน?”

   หา ทำไมจู่ๆเขาถึงถาม แม้คำถามจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เราคุยกันอยู่แต่ผมก็ตอบไป

   “ชอบกินไอศกรีมครับ ยามว่างก็...เอ่อ...ถ่ายรูปมั้งครับ”

   “Good! (ดีเลย)” ไมเคิลทำท่านึก “Safe word is... ‘SNAP’. What do you think? (คำปลอดภัยคือ ‘สแนป’ เธอคิดว่ายังไง)”

   “ครับ ผมก็ว่าดีนะ”

   คำว่า Snap นอกจากจะหมายถึงการถ่ายภาพแล้วยังมีความหมายอื่นอีกเช่น ดีดนิ้ว หรือ ฉีกขาด หากมองในแง่ความหมายแฝงของความสัมพันธ์แบบนี้ล้วนแต่มีความหมายที่เข้ากัน

   บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจเลยสักนิดกับความสัมพันธ์แบบนี้..

   ผมไม่ได้กลัวว่าตนเองจะเจ็บปวดหรือโดนทารุณจากมีการมีเซ็กส์ ลึก ๆ แล้วผมเชื่อว่าไมเคิลให้เกียรติและเคารพผมตามที่เขาพูด ผมออกจะตื่นเต้นด้วยซ้ำที่จะได้มีเซ็กส์กับไมเคิล ไม่ว่าในรูปแบบไหนผมก็ยืนยอมพร้อมใจทั้งนั้น หากนั่นมันทำให้เขาพึงพอใจในตัวผม แม้จะไม่มีประสบการณ์มาก่อนแต่ไม่ใช่ปัญหา ผมก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว เรียนจบปริญญาตรีเรียบร้อยแต่ยังไม่เคยมีอะไรกับใคร ผมไม่ได้หัวโบราณถึงขนาดที่ว่าต้องเก็บเวอร์จิ้นไว้จนถึงวันแต่งงาน แต่เมื่อในตัวผมเป็นเกย์ ผมชอบผู้ชาย ไม่คิดจะแต่งงาน แล้วทำไมผมต้องแคร์กับค่านิยมแบบนั้น ก็ไม่ได้เสียหายอะไรหากจะชิงสุกก่อนห่าม

   ตอนอยู่ไทยผมไม่เคยมีแฟน ถามว่ามีคนมาจีบไหม...ก็มีบ้าง แต่ผมไม่ได้ชอบพวกเขานี่ ผมไม่อยากฝืนใจตัวเอง ไม่มีใครสักคนที่ทำให้ผมหวั่นไหวได้ตั้งแต่แรกเจอเหมือนไมเคิล ผมครองตัวโสดจนเพื่อน ๆ หลายคนแทบจะบูชาและเรียกว่าหลวงพี่เพราะพวกมันคิดว่าผมละทางโลกแล้ว แต่เปล่าเลย ในใจผมยังมีความต้องการ ผมดูหนังโป๊เกย์ ช่วยตัวเองบางครั้งบางคราว จินตนาการว่าตัวเองเป็นฝ่ายรับร่างเล็กบางให้ฝ่ายรุกกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัว ผมโหยหาเซ็กส์แบบนั้น

   และในเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้านี้แล้วจะไม่คว้าได้อย่างไร

   แต่ที่ผมไม่มั่นใจกับความสัมพันธ์แบบนี้ก็คือผมกลัว...

   ผมกลัวว่าตัวเองจะตกหลุมรักเขา

   เพราะความสัมพันธ์แบบนี้...

   หากใครมีความรู้สึกมากกว่า...คนนั้นแพ้



*50%*



โทนเรื่องเครียดไปรึเปล่าคะ? ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเครียดนะ

อยากให้นิยายเป็นแบบโรแมนติกใสๆ (หรออออ SM เกริ่นมาขนาดนี้)
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VIII 50% [Sep, 24]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-09-2019 16:16:16
หืมมมม กลัวใจ ถ้าไปถึงความรุ้สึกนั้น :z3:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VIII 50% [Sep, 24]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-09-2019 19:48:58
เนื้อเรื่องเครียดอยู่นะคะ ตอนน้องมิคพูดถึงประเทศไทยอ่านไปน้ำตาจะไหลตาม :m15:
55555555 ล้อเล่นค่า ส่วนตัวอ่านแล้วไม่เครียดนะคะ แค่หวั่นๆหน่อยกลัววืด คนเขียนบอกว่าเป็นโรแมนติกใสๆก็เบาใจขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นแนวโรแมนติกsmเต็มตัวก็ไม่ขัดนะคะ  :hao6:
อยากรู้แล้วค่ะว่าไมเคิลจะดูแลดีตามที่พูดไหม แล้วน้องมิคจะมีความสุขขนาดไหน

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VIII 50% [Sep, 24]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-09-2019 23:41:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VIII 50% [Sep, 24]
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 25-09-2019 01:49:23
เนื้อเรื่องน่าสนใจและน่าติดตามมากเลยค่ะ อยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นยังไงต่อไป มิคจะสามารถhandleสิ่งต่างในความสัมพันธ์ที่ตัวไม่เคยพบเจอได้หรือเปล่าและจะสามารถรับไมเคิลไหวหรือเปล่า ลึกๆเชื่อว่ามิคทำได้ดีแน่นอน แต่เรื่องความสัมพันธ์ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อไป เพราะการห้ามใจมันก็ยากมากๆ ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️ UP! Chapter VIII 50% [Sep, 24]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 25-09-2019 19:15:02
*ต่อ100%*


   ตกเย็นไมเคิลลากผมมายัง Coop ซุปเปอร์มาเก็ตแถวอพาร์ทเม้นเขา พร้อมบอกว่าเขาอยากกินอะไรก็ได้ที่ให้คาร์บเยอะ ๆ เพราะคืนนี้เราทั้งคู่ต้องใช้พลังงานมาก

   เอ่อ...ไม่ต้องโจ่งแจ้งขนาดนั้นก็ได้ม้างงงง

   ผมเลยตัดสินใจว่าคืนนี้จะทำสเต็กเนื้อ มันบดกับหน่อไม้ฝรั่งต้มเป็นมื้อเย็น ผมเดินไปหยิบไข่ ขนมปัง และผลไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อเป็นอาหารเช้าพรุ่งนี้ด้วย ส่วนไมเคิลไปหยิบพวกขนม น้ำอัดลม ไอศกรีม ไวน์ และเหล้ามาแทน

   แม้จะแยกกันช๊อปปิ้ง แต่เวลาจ่ายเขากลับจะจ่ายเพียงคนเดียว คราวนี้ผมไม่ยอม ชิงตัดหน้ายื่นแบงค์ 100 ฟรังก์ให้แคชเชียร์

   “เธอนี่จริงๆเลย...”

   “คุณทั้งขับรถ ทั้งสอนผมเล่น SUP ผมควรจะตอบแทนคุณบ้าง”

   “แต่ยังไงเธอก็เป็นพ่อครัวทำอาหารค่ำนี้นี่ ให้ฉันจ่ายเถอะน่ะ”

   “ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าก็ได้ ผมจะให้คุณซื้อตุนของกินไว้เยอะๆเลย”

   “โอเคๆ” ไมเคิลหัวเราะ “อยากกินอะไรเพิ่มบอกฉันแล้วกัน” เขาพูดพลางหยิบของทั้งหมดลงถุงผ้าที่เขามีติดท้ายรถเสมอ

   ที่นี่หากซื้อของอะไรจะไม่มีถุงให้นะครับ ต้องนำถุงผ้าหรือกระเป๋ามาใส่เอง หากอยากได้ถุงต้องซื้อครับ ราคาประมาณ 0.1-1 ฟรังก์ แล้วแต่คุณภาพและขนาดของถุง

   “ปกติไมเคิลทำอาหารทานเองหรือซื้อข้างนอกเอาครับ” ผมถามขณะที่เรากำลังเดินกลับอพาร์ทเม้นเขาด้วยกัน

   “ส่วนใหญ่จะทำเองนะ...ฉันเป็นคนกินง่าย ไม่เรื่องมาก ตอนเช้าแค่กาแฟ ตอนเที่ยงก็ทานที่ออฟฟิศ ตกเย็นอาจจะออกไปดินเนอร์กับลูกค้า ถ้าไม่มีก็ทำอาหารกินเองง่ายๆ ที่บ้าน ส่วนเสาร์อาทิตย์แล้วแต่โอกาส แล้วเธอล่ะ”

   “วันจันทร์ถึงศุกร์ที่ผมทำงาน ผมกินกับโฮสตลอดครับ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ตามมีตามเกิด ทำเองบ้าง พึ่งฟาสฟู้ดบ้าง เพราะบางครั้งผมก็เบื่อที่จะต้องทำความสะอาดหลังทานเสร็จครับ”

   เมื่อเราทั้งคู่มาถึงห้อง นาฬิกาบนผนังก็บ่งบอกว่าตอนนี้เวลาสองทุ่มแล้ว ไมเคิลยังไม่หิวเท่าไหร่แต่แนะนำให้ผมเริ่มลงมือทำอาหารเลย เพราะถ้าผมทำเสร็จเขาคงหิวพอดี

   ระหว่างเตรียมมื้อเย็นไมเคิลเปิดเพลงเบา ๆ คลอไปทั่ว เขาอยู่ในห้องทำงาน ไมเคิลบอกว่าในห้องนั้นเขาจะใช้เวลามากที่สุดเพราะต้องอ่านเอกสารและทำงานเป็นส่วนใหญ่

   ผมวุ่นวายอยู่ในครัวจนกระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมจัดโต๊ะเรียบร้อย เหลือเพียงแค่เรียกเจ้าของห้องมาเท่านั้น เนื้อสเต็ก มันบดและหน่อไม้ฝรั่งอยู่ในตู้เก็บความร้อนของอาหาร เพื่อไม่ให้อาหารเย็นขณะที่ยังไม่ได้เสิร์ฟ

   ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   แม้จะไม่ได้ปิดประตูสนิทแต่ผมก็เคาะตามมารยาท

   “เข้ามาสิ” ไมเคิลอนุญาต

   ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่ใหญ่แต่เล็กกว่าห้องนอนอยู่หลายส่วน

   “มาตรงนี้” เขากำชับเมื่อยังเห็นผมยืนเงอะงะทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางห้อง

   ตอนแรกผมกะแค่มาเรียกเขา ไม่ได้จะเข้ามาในห้องนี้สักหน่อย แต่ไหน ๆ ก็เข้ามาแล้วขอสำรวจหน่อยแล้วกัน

   ไมเคิลนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานที่ทำจากกระจก ในมือถือกระดาษอยู่จำนวนหนึ่ง บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์และเอกสารวางระเกะระกะ ปากการาคาแพงวางอยู่ตรงหัวมุม แต่ถึงอย่างนั้นบนโต๊ะก็มีพื้นที่มากพอให้วางของอีกหลายชิ้น อีกฝั่งเป็นโซฟาเบด ใกล้ๆ กันมีตู้ไม้วางแฟ้มเอกสาร ถัดมาคือหนังสือหนาเรียงตามตัวอักษรและหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ หากมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นสวนสาธารณะ ต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกขึ้นประปราย ผู้คนออกมาวิ่งกับสัตว์เลี้ยง มีบึงล้อมรอบสะพานไม้ใช้ข้ามไปอีกฝั่ง ตอนนี้แสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ดูงดงามไม่อาจละสายตา ซึ่งต่างจากวิวห้องนอนและห้องนั่งเล่นที่จะเป็นวิวอาคารบ้านเรือนในตัวเมือง

   “เวลาฉันคิดงานไม่ออก ฉันก็ชอบมองออกหน้าต่างไปยังสวนสาธารณะนี่แหละ รู้สึกสบายตาดี ฉันเลยทำห้องนี้เป็นออฟฟิศส่วนตัว” ไมเคิลมองตามผม ส่วนผมที่ได้สติก็เดินไปใกล้เขามากขึ้น

   “ผมก็ชอบมุมนี้นะครับ ได้เห็นธรรมชาติบ้าง”

   ตอบไปตามความรู้สึก แต่ทำไมไมเคิลมองผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์แบบนั้น แม้จะฉายแวววับเพียงชั่วครู่แต่ผมก็จับสัมผัสได้

   “คือ...ผมมาบอกว่ามื้อเย็นเสร็จแล้วนะครับ”

   พระอาทิตย์ข้างนอกจะดูเหมือนว่าตอนนี้เป็นเวลาช่วงหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มตามบ้านเรา แต่ทว่าที่ยุโรปนี้หน้าร้อนพระอาทิตย์จะขึ้นเร็วกว่าปกติในช่วงตีห้าถึงหกโมงเช้า และพระอาทิตย์ตกอีกทีช่วงสี่ทุ่ม ดังนั้นเวลากลางวันจะยาวนานกว่าตอนกลางคืนมาก

   หากมองไปยังนาฬิกาบนโต๊ะของเขาพบว่านี่มันใกล้สามทุ่มแล้ว กลัวว่าเขาจะหิว

   ผมติดมองนาฬิกามากตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าแสงแดดข้างนอกมันบ่งบอกเวลาแท้จริงอะไรไม่ได้เหมือนบ้านเรา แต่รวมไปถึงเวลาอยู่กับโฮสอย่างโซอี้เธอเคร่งครัดเรื่องการตรงต่อเวลามาก ๆ และที่สวิสเซอร์แลนด์แห่งนี้เป็นดินแดนผลิตนาฬิกาแบรนด์หรูต่าง ๆ จึงไม่แปลกที่บ้านโฮสและอพาร์ทเม้นของไมเคิลแห่งนี้จะมีนาฬิกาแขวนและตกแต่งอยู่ในทุกห้อง อย่างบนโต๊ะทำงานของไมเคิลผมเหลือบเห็นชื่อแบรนด์โอเมก้าอยู่บนหน้าปัด

   “อืม” เขารับคำในลำคอ จากนั้นก็สั่งผม “มานี่สิมิคกี้”

   ผมเดินเข้าไปใกล้

   “ใกล้อีก มานั่งตรงนี้” ไมเคิลมองมาที่ผม ส่วนนิ้วยาวเรียวของเขาชี้บนตักตัวเอง

   ผมมองอย่างไม่มั่นใจ ราวกับว่าบนตักเขาจะมีอันตราย

   “เร็วๆสิ” เขาตบตักเร่ง

   ในที่สุดก็ต้องจำใจจนยอมนั่งบนตักเขา แม้จะกลัวหน่อย ๆ ในตอนแรก แต่คงเพราะผมคิดมากไป ไมเคิลไม่ได้ทำอะไรผมนอกจากกอดเอวผมไว้เฉย ๆ มืออีกข้างคลิกเมาส์ไปมา เขาเปิดโปรแกรมอะไรสักอย่างแล้วถาม

   “เธอชอบสีอะไร”

   “สีเขียวครับ เขียวแบบเขียวอ่อน”

   ตอบเสร็จไมเคิลก็คลิกที่ไอคอนสีจากนั้นเขาให้ผมเลือกเฉดเอง ขณะที่ผมกำลังมึนงงแต่ก็ปฏิบัติ พอเลื่อนสีปรากฏว่าสีเดพานและโคมไฟในห้องพลันเปลี่ยนไปด้วย

   “ในอพาร์ทเม้นแห่งนี้ ใช้โปรแกรมรีโมทคอนโทรลที่สามารถควบคุมทุกอย่าง ไฟเพดาน โคมไฟ ทุกส่วนทุกที่สามารถหรี่ปรับความสว่าง หรือจะเปลี่ยนสีเป็นร้อยเฉดก็ได้ตามใจเธอ จะปิดเปิดหน้าต่าง มู่ลี่ ผ้าม่าน รวมไปถึงอุณหภูมิในห้องก็ปรับได้ผ่านโปรแกรมนี้ แต่เดี๋ยวฉันจะให้เธอโหลดแอพลิเคชั่นที่สามารถปรับในโทรศัพท์ได้เช่นกัน และในแอพลิเคชั่นนั้นยังเป็นกุญแจไขเข้าห้องฉันได้ด้วย”

   “หือ...ยังไงเหรอครับ”

   “พอเธอโหลดแอพมาแล้ว ฉันจะให้ชุดโค้ดรหัสลับกับเธอ และแค่เธอเข้าใกล้ประตูห้องฉันในรัศมี 5 เมตร เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาปลดล๊อคหน้าจอตามปกติ และเข้าแอพนี้กดปุ่ม Unlock ประตูห้องก็จะเปิดให้เธอ ไม่ต้องพกกุญแจให้ยุ่งยาก เดี๋ยวพอเรากินข้าวเสร็จแล้วฉันจะสอน”

   “เอ่อ...ขอบคุณครับ”

   นี่เขาไว้ใจให้กุญแจห้องกับผมเลยเหรอ...รู้สึกดีใจนิดๆแหะ

   ขณะที่ผมรู้สึกสนุก คลิกเม้าส์ไปยังห้องต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนสีตามใจชอบ ตัดสินใจปิดหน้าต่างทั้งหมด ปิดผ้าม่าน ไม่ให้มีแสงแดดเล็ดลอดเข้ามา เพื่อให้เฉดสีเด่นชัด ไมเคิลยื่นกระดาษปึกหนึ่งมาให้ผม

   “อะไรเหรอครับ?”

   “สัญญาข้อตกลง ลองอ่านดูสิ”

   ผมกวาดสายตาคร่าว ๆ ลงบนกระดาษที่เต็มไปด้วยภาษาอังกฤษในมือ

   “ฉันอยากให้เราสองคนมีสัญญาที่ชัดเจนแน่นอน เธอเป็นมือใหม่ ฉันไม่อยากเอาเปรียบที่จู่ ๆ จะให้เธอมารับบทเป็นทาสของฉันเลย ฉันอยากให้เธอทำความเข้าใจกับมันก่อน ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ตรงไหนสงสัย หรือไม่โอเคกับข้อตกลงเธอสามารถปรับเปลี่ยนมันเองได้เลย”

   ผมเคยดูหนังเรื่องหนึ่งที่พระเอกนางเอกมีสัญญาข้อตกลงในเรื่องนี้เหมือนกัน ผมไม่คิดว่าไมเคิลจะมีมันเหมือนกัน

   “ในสัญญาระบุสิ่งที่ต้องทำขณะมีกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งในทีนี้ฉันขอเรียกว่ามัน Play (เพลย์) และยังมีขอบเขต บทลงโทษและรางวัล คำปลอดภัย ข้อจำกัดที่อาจจะแก้ไขได้ขึ้นอยู่กับสภาการณ์ ข้อกัดที่ห้ามทำหรือล่วงมะเมิดโดยเด็ดขาด บทบาทหน้าที่ของเจ้านายและทาส ภาษาและถ้อยคำที่ใช้ การดูแลหลังเสร็จสิ้นการเพลย์ สัญญานี้เราสองคนจะยกเลิกมันเมื่อไหร่ก็ได้หากเธอไม่อยากมีความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว”

   ผมพยักหน้าตามงึก ๆ ในมือเปิดกระดาษแต่ละแผ่นไปด้วย

   “ปกติแล้วความสัมพันธ์แบบนี้บางคู่ก็จะเพลย์ทั้งวันทั้งคืน หมายถึง ทาสจะต้องรับใช้เจ้านายไม่ว่าเจ้านายจะทำอะไรก็ตาม การเพลย์ไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์ร่วมกัน บางคู่เจ้านายตื่นนอนมา ทาสก็ต้องนั่งคุกเข่าปรนนิบัติอยู่ที่เท้า ไม่มีสิทธิ์ยืนเสมอเจ้านาย”

   มาถึงตรงนี้ผมหันหน้าไปมองไมเคิลทันที

   “แต่...กับเรา...ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลาจะปฏิบัติต่อกันเหมือนคู่รัก แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ใช่แฟนกัน เราจะเพลย์เฉพาะตอนมีเซ็กส์ ตกลงไหม”

   “ครับ” ผมได้ฟังอย่างนั้นก็โล่งใจหน่อย หากมันเกินที่พอเหมาะพอควร ผมก็ไม่รู้จะรับไหวไหม

   “ฉันว่าเราสองคนไปกินข้าวกันก่อนเถอะ แล้วเธอค่อยมาอ่านสัญญาก็ได้ ไม่ต้องรีบ หรือเธออยากจะเพลย์จนตัวสั่นแล้ว หืม?”

   “คุณน่ะสิอยากเพลย์ ผมแค่อ่านคร่าว ๆ เท่านั้น” ผมชกอกไมเคิลเบาๆ เขาไม่สะเทือนด้วยซ้ำ

   “นี่กล้าทำร้ายเจ้านายเหรอ?”

   “เจ้านายอะไร ผมยังไม่ได้เซ็นสัญญาตกลงกับคุณเลย”

   ผมลุกขึ้น ตรงไปยังโต๊ะทานข้าวโดยมีไมเคิลตามมาติดๆ

   นี่ขนาดเรายังไม่เพลย์แต่เขากลับแสดงอำนาจวางท่าขนาดนี้แล้ว ผมไม่อยากจะคิดเลยหากเราเพลย์ร่วมกันจะเป็นยังไง

   ผมเดินไปหยิบอาหารทั้งหมดมาวางไว้บนโต๊ะ ไมเคิลเปิดไวน์และรินให้ผม ไมเคิลบอกผมทานให้อร่อยและผมตอบกลับตามธรรมเนียม ขณะเริ่มลงมือทานผมหยิบสัญญาเหล่านั้นมาด้วยเพื่อที่จะอ่าน

   “มิคกี้ กินก่อนเถอะ แล้วค่อยอ่าน ไม่อย่างนั้นเธอจะกินข้าวไม่ลง”

   “ครับ ขอโทษครับ”

   มารยาทบนโต๊ะอาหารถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมลืมไปได้ยังไงเนี่ย

   แต่ที่เขาบอกว่าผมจะกินข้าวไม่ลงนี่มันหมายความว่ายังไงกัน?


*


   หลังจากทานมื้อเย็นและเก็บกวาดเสร็จ ผมกับไมเคิลถือแก้วไวน์มานั่งดูหนังที่เขาโปรดปรานบนจอแอลซีดีที่มีขนาดความสูงสูงกว่าตัวผม ไมเคิลนั่งจิบไวน์เงียบ ๆ สายตามองบนยังจอกว้าง ส่วนผมนี่อ่านสัญญาในมือขณะที่คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ

Dominant (Master) / Submissive (Slave) Contract

I,____Micheal Bachmann_________, Agree to this contract and hereby take my place as Dominant (Master).

I,______________________________, Agree to this contract and hereby take my place as Submissive (Slave).

This contract will become effective on the date agreed upon by both parties

and will end on the date also agreed upon by both parties

(End date may be changed ay any time upon by both parties therefore extending the contract as needed)

Contract commencement date : _________________

Contract termination date : ________________

All legalities will be handle by Dominant (Master) as needed during this contract effective time frame.

   ในส่วนแรก ๆ ผมยังเข้าใจได้เพราะมันก็เหมือนสัญญาว่าจ้างงานทั่ว ๆ ไป ตรงช่องว่างไมเคิลเว้นไว้ให้ผมเติมเอง ในส่วนของวันเริ่มและวันสิ้นสุด บรรทัดล่างเขียนไว้ว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายทั้งหมดเขาจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบเอง

   หน้าต่อมาเป็นข้อปฏิบัติของทาสก่อนเพลย์

   1) Within 48 hours before Slave sees Master, Slave will go for bikini waxing. (All expenses is covered by Master)

   2) Slave should workout at least 3 times per week.

   3) Slaves should eat some quality food about 2 hour before playing.

   4) Slave must clean her/his body (including anal) and cut all nail fingers before seeing Master.

   5) Slave must wear costume which is prepared by Master.

   6) When Master is not here, Slave needs to wait Master by kneeling properly.

   7) ‘Sir’ or ‘Master’ will be always called in the play.

   8 ) When Master arrives, always say ‘I am ready to serve, obey and please my Master.’

   1) ภายใน 48 ชั่วโมงก่อนที่ทาสจะเจอเจ้านาย ทาสต้องเข้ารับการจำกัดขนทุกส่วน (ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเจ้านายเป็นผู้ออก)

   2) ทาสควรออกกำลังกายอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์

   3) ทาสต้องทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนการเพลย์

   4) ทาสต้องทำความสะอาดร่างกาย (รวมไปถึงทวารหนัก) และตัดเล็บให้เรียบร้อยก่อนจะเจอเจ้านาย

   5) ทาสต้องสวมใส่สิ่งที่เจ้านายเตรียมไว้ให้

   6) เมื่อเจ้านายยังไม่มาถึง ให้ทาสรอโดยการคุกเข่า

   7) ‘นายท่าน’ หรือ ‘เจ้านาย’ ทาสจะต้องเรียกแบบนี้เสมอในการเพลย์

   8 ) เมื่อเจ้านายมาถึง ทาสต้องพูดว่า ‘ผมพร้อมที่จะรับใช้ เชื่อฟัง และทำให้เจ้านายพอใจแล้วครับ’


   ผม...พูดไม่ออกแล้วครับ...ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการมีเซ็กส์แบบ BDSM ต้องมีข้อตกลงกันถึงขนาดนี้

   “นี่...ไมเคิล...ข้อปฏิบัติพวกนี้หมายถึงผมต้องมารอคุณที่ห้องนี้ก่อนใช่ไหม?” ผมสะกิดถามคนข้างๆ ที่เป็นผู้ออกร่างสัญญานี้ขึ้นมาเอง

   “ใช่ ฉันถึงสอนเธอให้รู้จักปลดล๊อคประตูและการเปิดปิดไฟในห้องยังไงล่ะ”

   และยิ่งในส่วนต่อๆไปเนี่ยสิ...ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมไมเคิลถึงให้ผมกินข้าวก่อนอ่านสัญญา

   เพราะมันคือหัวข้อการเพลย์ที่จะเกิดขึ้นหากผมเซ็นสัญญาลงไปในนี้ ไมเคิลเรียงตามตัวอักษรให้อ่านง่ายรวมไปถึงคำอธิบายแต่ละหัวข้อเป็นตัวเล็ก ๆ จากนั้นให้ผมเลือกวงกลมระหว่างคำว่า DO (ทำได้) และ DON’T (ห้ามทำ) ต่อท้ายมีคำว่า If DO, it will be Soft limits or Hard limits (ถ้าทำได้ มันจะเป็นข้อจำกัดแบบเบา ๆ หรือข้อจำกัดแบบห้ามล่วงละเมิด) บางหัวข้อมี R ต่อท้ายซึ่งหมายความว่า Risk ที่เป็นการเพลย์แบบสุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคหรืออันตรายถึงชีวิต

   ผมขอยกตัวอย่างเล็ก ๆ ให้ดูแล้วกันนะครับ เอาที่แบบเกินจินตนาการผมและความรับรู้ของคนทั่วไปมากมาก มันไม่ได้มีแค่โซ่แส้กุญแจมือหรือแต่งเป็นนางพยาบาลอะไรพวกนั้น...

   Adult Baby (Acting like an infant, wearing diapers and receiving cares)

   เฒ่าทารก (แสดงเป็นทารก สวมใส่ผ้าอ้อมและได้รับการดูแลแบบทารก)

   Blood Play - R (sexual arousal from seeing, letting, or playing with blood. like vampirism)

   เล่นกับเลือด - สุ่มเสี่ยง (ได้รับการกระตุ้นทางเพศโดยการเห็นเลือด ทำให้เลือดออก และเล่นกับเลือด แบบแวมไพร์)

   Bondage (restraining or restricting movement)

   พันธนาการ (ควบคุมและจำกัดการเคลื่อนไหว)

   Breast or Nipple Torture (causing pain to the breasts and nipples)

   การทรมานหน้าอกหรือยอดปทุมถัน (นำซึ่งความเจ็บปวดมาสู่หน้าอกและยอดปทุมถัน)

   Chasity (no sex for you)

   พรหมจรรย์ (ไม่มีเซ็กส์กับคุณ)

   Clothed Sex (sex with clothes on, so the fabric goes inside you)

   เซ็กส์เสื้อผ้า (มีเซ็กส์โดยที่ยังใส่เสื้อผ้า และเสื้อผ้าเหล่านั้นจะไปอยู่ข้างในตัวคุณ)

   Electric Play - R (The safest way is by using a TENS unit)

   การเล่นกับไฟฟ้า - สุ่มเสี่ยง (ใช้เพียงแค่สิบยูนิตเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด)

   Exhibitionism (enjoying when other people watch you having sex)

   จัดงานแสดง (ให้ความรู้สึกสนุกเมื่อมีคนอื่น ๆ กำลังมองคุณมีเซ็กส์)

   Fire Play - R (play that involves fire)

   เล่นกับไฟ - สุ่มเสี่ยง (การเล่นที่เกี่ยวข้องกับไฟ)

   Furry Yiff (dressing up in furry animal costumes)

   ปุกปุย (แต่งตัวโดยใส่ชุดสัตว์ขนปุย)

   Golden Showers - R (peeing one someone)

   อาบน้ำสีทอง - สุ่มเสี่ยง (ปัสสาวะบนร่าง)

   Human Furniture (act like a piece of furniture)

   เฟอร์นิเจอร์มนุษย์ (แสดงเป็นเฟอร์นิเจอร์)

   Knife Play - R (play using knives or sharp objects. Can be sensory or a “threat” roleplay)

   เล่นกับมีด - สุ่มเสี่ยง (ใช้มีดหรือสิ่งของแหลมคม ใช้ในบทบาทของการข่มขู่ได้)

   Nyotaimori (eating sushi off a person’s body)

   เนียวไตโมริ (การทานซูชิบนร่างกาย)

   Orgasm Denial (not allowing someone to have an orgasm for a certain period of time)

   ไม่ยอมให้ถึงจุดสุดยอด (ไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปถึงจุดสุดยอดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง)

   Pony Play (using someone as a pony (including riding). Can include costumes)

   ขี่ม้า (อีกฝ่ายแสดงเป็นม้า รวมไปถึงการควบขี่ สามารถใส่ชุดคอสตูมด้วยได้)

   Shibari (Japanese rope bondage)

   ชิบาริ (ศิลปะการมัดเชือกแบบญี่ปุ่น)

   Tattoos - R (someone is giving tattoos, someone is getting them)

   รอยสัก - สุ่มเสี่ยง (ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้สัก อีกฝ่ายเป็นผู้รับรอยสัก)

   นี่แค่บางส่วนนะครับ...ยังมีหน้าหลัง ๆ ที่ระบุถึงอุปกรณ์อีก....

   ใครไหวไปก่อนเลยครับ ผมไม่ไหวแล้ว ขอตายตรงนี้



TBC




Talk

เนื้อหาจะไม่รุนแรงขนาดที่คนทั่วไปรับไม่ได้ค่ะ จะซอฟต์ๆ ตามระดับของน้องมิคกี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter VIII 100% [Sep, 25]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 25-09-2019 20:22:03
โอโห  :m25:
น้องมิคจะยอมรับข้อตกลงไหมหนอ
ขอให้ยอมรับเถอะ อยากจะรู้ว่าไมเคิลจะเป็นดอมที่แซ่บขนาดไหน
สำคัญที่สุดคืออยากเห็นน้องมิคตอนเป็นซับตัวน้อยๆ  :-[

 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter VIII 100% [Sep, 25]
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 25-09-2019 20:59:34
เป็นการเปิดโลกทัศน์ของมิคมาก มิคก็คือตาแตก งงไปหมด รอติดตามตอนต่อไปค่ะว่าจะตกลงกันยังไงให้ลงตัวทั้งคู่
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter VIII 100% [Sep, 25]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 25-09-2019 23:19:13
ไม่ใช่แค่มิคกี้ที่จะสลบ คนอ่านก็จะสลบเหมือนกัน (ฮา)

เอาจริงๆถ้าไม่นับ BDSM ผมคิดว่าไมเคิลจะชอบมิคกี้นะครับ ในท้ายที่สุดน่ะ เพราะว่าโดยปกติแล้ว ชาวต่างชาติมักหย่าร้างกันเพราะความเข้ากันไม่ได้ในเรื่องของการปรับทัศนคติ ความเป็นตัวของตัวเองที่มากจนไม่ยอมรับคนอื่นมักจะทำให้เกิดปัญหาชีวิตคู่เสมอ แต่มุมมองแบบนี้ในคนไทยที่ได้รับการอบรมมาดีจะค่อนข้างน้อยครับ เราจะซอฟท์กว่า น่ารักกว่า ซึ่งเนื่องจากมิคกี้เป็นผู้ชายด้วย นอกจากความน่ารักของนิสัย ก็น่าจะมีมุมมองที่พูดอะไรออกมาตรงๆและน่าจะถูกจริตของไมเคิลด้วย

แต่พอเห็นเรื่องรายละเอียดของ BDSM บางตัวนี่ก็ค่อนข้างกังวลนะครับ ที่กังวลคือรสนิยมการมีเพศสัมพันธ์นี่แหละครับ คือโดยปกติถ้าเกิดมันมากเกินไป มันจะสร้าง Submissive Tendency ภายในตัวของบุคคล ซึ่งถ้าขาดการดูแลที่ดี มันจะสร้างแรงอารมณ์และทำร้ายทางจิตใจได้นะครับ มันอาจทำให้บางคนทนไม่ไหว รู้สึกต้อยต่ำด้อยค่าของความเป็นมนุษย์เกินไป (อย่างข้อกำหนดข้อ 6 กับข้อ 8 แล้วก็ Adult Baby, Extreme Bondage, แล้วก็พวกสุ่มเสี่ยงทั้งหลาย) พวกนี้ถ้าทำบ่อยๆไม่ดีต่อสุขภาพจิตนะครับ บางทีไปถึงขั้นเลือดตกยางออก คนปกติก็มองเป็น assault หรือ physical injury ไม่แปลกที่คู่นอนไมเคิลหลายคนไม่เอาด้วย เพราะถ้าทำหมดนั่นรับได้แบบสบายๆ แปลว่าคุณต้อง Mind Twist ระดับหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตและเข้าสังคมแน่ๆ ผมยังไม่อยากให้มิคกี้จิตใจ twist ไปแบบนั้นนะครับ

แต่ถ้าเบาๆแบบที่เรามักเจอในการ์ตูนวายของญี่ปุ่นที่ให้เหล่าเด็กมัธยมหรือมหาวิทยาลัยอ่านกัน อันนี้ผมว่าโอเค เราพอรับกันได้ เพราะมันเหมือนมีความแกล้งกันของคู่รักในการเพลย์ด้วย เช่น Breast Torture, Exhibitionism, Furry Yiff, Nyotaimori และ Orgasm Denial พวกนี้จะเห็นเยอะ เพราะเป็นระดับไม่รุนแรงและสื่อสารความหยอกล้อได้ด้วย เราเลยมักเจอในมังงะวายซะเยอะ แล้วถ้าเป็นแบบที่เราสื่อสารความสัมพันธ์ของคู่รักให้คนอ่านรับรู้ได้ มันก็จะทำให้เนื้อเรื่องหรือความสัมพันธ์ตัวละครพัฒนาไปได้อีกครับ

เรารอดูวันที่สุดท้ายมิคกี้กลับไทย แล้วไมเคิลที่น่าจะคิดถึงมิคกี้ซึ่งเป็นทั้งคู่นอนที่น่ารัก เป็นพาร์ทเนอร์ของความรักที่ดี แถมยังดูแลเอาใจใส่ เดี๋ยวถึงตอนนั้นถ้ามาขวนขวายหาแล้วไม่นึกว่าทำไมไม่รั้งแล้วจริงจังกับความสัมพันธ์ ผมอยากดูซิว่าจะไปตามหรือไปง้อกันยังไง (ฮา)
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter VIII 100% [Sep, 25]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-09-2019 00:18:35
 o22
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter VIII 100% [Sep, 25]
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 26-09-2019 11:49:59
โอยไม่ไหวหลายข้อเหมือนกัน มิคกี้ต้องต่อรองนะ ทั้งหมดนี่จะต้องเกิดขึ้นทุกข้อเลยเหรอนี่
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter VIII 100% [Sep, 25]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-09-2019 17:37:55
สัญญาผูกรัดใจ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter VIII 100% [Sep, 25]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 04-10-2019 23:18:18
IX
Sexperience


   “จากการเพลย์ทั้งหมด 156 แบบ เธอเลือกมาทั้งหมด 30 แบบ”

   “ครับ”

   “อุปกรณ์กว่า 100 ชนิด เธอเลือกใช้ได้ไม่ถึง 20 ชนิด”

   “ก็ตามนั้นครับ”

   “เพลย์ได้อาทิตย์ละไม่เกินสองครั้ง และต้องเพลย์แค่วันศุกร์เย็นหรือเสาร์ เพราะวันอาทิตย์เธอต้องการพักร่างกายและจิตใจ”

   “อย่างที่อ่านเลยครับ”

   “เริ่มสัญญาอาทิตย์หน้า?”

   “ครับ ตอนนี้ผมไม่พร้อม”

   “แต่อาทิตย์หน้าเธอก็รู้ว่าฉันไม่อยู่ ต้องบินไปคุยงานที่ต่างประเทศทั้งอาทิตย์”

   “รอหลังคุณกลับมาก็ได้...ผมไม่รีบ”

   คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน รวมไปถึงน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมรู้ว่าไมเคิลไม่สบอารมณ์กับข้อต่อรองผมของที่โคตรเยอะ ผมนั่งทำข้อตกลงฉบับนี้จนเสร็จทันพอดีกับที่ไมเคิลดูหนังสยองขวัญจบ ฉากเลือดสาดน่าสยดสยองบนจอทำอะไรผมไม่ได้เลยเพราะสิ่งที่เขียนระบุไว้ในสัญญามันน่ากลัวกว่ามาก ผมทั้งขีดทิ้งขีดฆ่า วงกลมคำว่า DON’T จนเกือบทั้งหมด ส่วนอะไรที่ทำได้ผมก็เขียนหมายเหตุว่ามันคือ Soft limits หรือ Hard limits ไหนจะอุปกรณ์ด้านหลังที่บางอย่างผมไม่เคยเห็นหน้าตาและจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันใช้งานอย่างไร

   “ตกลงเธอหรือฉันที่เป็นเจ้านายกันแน่?”

   “ก็ถ้าให้ผมเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นเจ้านายก็ไม่เกี่ยงนะครับ แฮร่” ผมยิ้มทะเล้น

   ยังไม่ทันที่จะได้สาธยายต่อนิ้วเรียวก็ดีดใส่หน้าผากผม

   “โอ๊ย! มันเจ็บนะครับ”

   “ซ้อมไว้ก่อนไง ของจริงเจ็บหนักกว่านี้แน่” ไมเคิลทำเสียงดุคาดโทษไว้ ผมได้แต่เอามือลูบๆหน้าผาก ในมือเขาถือข้อตกลง เปิดอ่านครบทุกหน้า จนมาถึงหน้าสุดท้าย

   “เธอยังเวอร์จิ้น?”

   “เอ่อ...ก็ผมไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน...”

   “กับผู้หญิงก็ไม่เคย?”

   “ครับ พอดีค่านิยมในประเทศไทยออกจะล้าหลังไปสักหน่อย...”

   “Damn...(เวร)” ไมเคิลสบถ แต่ดูท่าทางเขาไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น ติดจะยิ้มน้อยๆด้วยซ้ำ “I think you should have some ‘sexperience’ before we ‘play’. You are a beginner and going to skipping steps. Otherwise, you cannot accept all this play. (ฉันว่าเธอควรจะมี ‘ประสบกาม’ สักเล็กน้อยก่อนที่จะเพลย์ เธอยังมือใหม่และกำลังจะข้ามขั้นไปเจอของจริงอย่าง BDSM นะ...ไม่อย่างนั้น...เธอรับทั้งหมดที่วงมาไม่ไหวหรอก)”

   “How can I get sexperience? Are you telling me to have sex with another guy before I can play with you? (แล้วผมจะไปหาประสบกามจากไหนล่ะครับ? อย่าบอกนะว่าจะให้ผมไปมีอะไรกับคนอื่นก่อนที่จะมาเพลย์กับคุณ)”

   “I didn’t say that...Why do you need another guy if you have me? (ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น...ว่าแต่เธอจะไปหาคนอื่นทำไมในเมื่อเธอมีฉัน?)” ไมเคิลยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมเขยิบเข้ามาใกล้ สายตาเขาไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย

   เดี๋ยวนะ...ถ้าอย่างนั้นเขากำลังจะบอกให้ผมมีอะไรกับเขาแบบปกติก่อนงั้นเหรอ...

   ผมเบิกตากว้างเมื่อเริ่มเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าสื่อ

   “But,...I’m not ready (แต่...ผมยังไม่พร้อม)” ตอบพลางหนีพลาง จนตอนนี้หลังผมชิดมุมโซฟาเบดในห้องนั่งเล่นแล้วครับ

   “Why? (ทำไม?)”

   “Ahh...I haven’t showered yet. (ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย)”

   “You always have excuses. You can’t run away from me all the time, Micky. (เธอมีข้ออ้างตลอดเลย แต่เธอหนีฉันไปตลอดไม่ได้หรอกนะมิคกี้)” ไมเคิลพูดแต่ก็ยอมปล่อยให้ผมไปอาบน้ำ ส่วนเขายังนั่งอยู่บนโซฟากว้างเหมือนเดิม หยิบรีโมทมาเปลี่ยนเป็นหนังเรื่องใหม่

   ผมยืนเบลอในห้องน้ำ ไมเคิลคิดจะเอ่อ...มีเซ็กส์กับผมวันนี้เลยเหรอ...คือต่อให้เตรียมใจมาแล้วแต่มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้

   ครั้งแรกเชียวนะครับ! แม้ผมจะดูหนังโป๊เกย์มาบ้างแต่ไม่เคยโดนเองจังๆนี่

   เอาว่ะ...ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว สัญญาก็เซ็นไปแล้ว วันนี้แค่มีเซ็กส์ธรรมดา วันหน้าต้องเจอเซ็กส์ในรูปแบบอื่นๆอีก จะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ แถมคนที่จะมาเปิดซิงผมไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นคนที่ผมชอบเชียวนะ

   ผมรวบรวมกำลังใจให้ตัวเอง อาบน้ำสระผม ขัดถูทุกซอกทุกมุม แปรงฟันสองรอบ วันนี้เป็นวันที่ผมใช้เวลาอาบน้ำนานที่สุดในชีวิตเลย

   ในที่สุดผมก็ออกมาด้วยชุดนอนสีเขียวเข้ม พลางใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนศีรษะไปด้วย ไมเคิลไม่ได้นั่งดูหนังอยู่ในห้องรับแขกแล้ว ผมจึงเดินไปที่ห้องนอน แล้วก็ได้เจอร่างกำยำนอนเอนกายอยู่บนเตียงกว้าง สายตาจดจ้องไปที่จอโทรทัศน์ที่โผล่ลงมาจากเพดานอยู่ตรงกับระดับสายตาเขาพอดี

   “ฉันนึกว่าเธอจะนอนในห้องน้ำซะอีก” ไมเคิลพูดยิ้มๆ

   “ก็คิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกันครับ ห้องน้ำบ้านคุณกว้างขวางดี” ผมตอบพลางนั่งลงข้างๆเขา “มีไดร์เป่าผมมั้ยครับ”

   “เดี๋ยวฉันหยิบให้” เขาลุกขึ้น เดินไปในห้องน้ำส่วนตัวอีกห้อง เป็นคนละห้องกับที่ผมใช้อาบ เขากลับมาพร้อมไดร์เป่าผมในมือ

   “ขอบคุณครับ” ผมที่กำลังจะเอื้อมมือไปรับแต่ไมเคิลกลับเบี่ยงตัวก้มลงไปเสียบไดร์กับปลั๊กข้างๆโคมไฟหัวเตียง “เอ่อ...เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ ไม่รบกวนคุณไมเคิลดูหนังหรอก”

   “ไม่เป็นไร ฉันดูไปเป่าผมเธอไปพร้อมๆกันได้”

   ผมนั่งบนเตียงปริ่มๆจะตกจากเตียง พยายามเกร็งหลังตรงให้เขาเป่าผมได้สบายๆ เสียงไดร์กลบเสียงทีวีได้ แต่กลบเสียงในอกผมไม่ได้

   ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

   ไมเคิลมีผลต่อหัวใจผมมากเกินไปแล้ว แค่เขาเป่าผมให้หัวใจก็แทบจะกระเด็นออกจากร่าง

   ไอร้อนผ่านเส้นผม นิ้วเรียวยาวเกลี่ยผมไปมา ไม่นานนักเส้นผมดำขลับก็แห้งสนิททั่วทั้งศีรษะ ไมเคิลปิดไดร์แล้ววางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันที่ผมผมจะได้หันไปขอบคุณกลับสัมผัสได้ถึงริมฝีปากร้อนผ่าวประทับลงบนหลังคอ

   ผมสะดุ้ง

   “เอ่อ...ขะ ขอบคุณครับ” ในเวลานี้ผมทำตัวไม่ถูก มือไม้เงอะงะ ไม่รู้ควรจะเอาสายตาไว้ตรงไหน ไมเคิลนั่งลงตรงหน้าผม มือหนายังคงจับท้ายทอยผมไว้เพื่อป้องกันการหนี

   นัยน์ตาสีเขียวฟ้าทอประกายร้อนแรง จ้องมาที่ผมตรงๆ

   “มองตาฉัน มิคกี้”

   ผมค่อยๆกระพริบตาและสบกับเขา

   “เธอชอบฉันไหม?” ผมเม้มปาก พยักหน้าเบาๆ “งั้นก็อย่ากลัว ฉันไม่ใช่สัตว์ประหลาด ฉันจะไม่ทำร้ายเธอถ้าเธอไม่ยอม”

   สัตว์ประหลาดที่ไหนหล่อขนาดนี้...

   มือของเขาย้ายจากท้ายทายเลื่อนมาสู่ลำคอก่อนจะค่อยๆประคองใบหน้าผม ใช้นิ้วโป้งไล้เลียไปตามริมฝีปาก สายตาเขาจ้องผมไม่ลดละ มีทั้งความต้องการ สเน่หา รวมไปถึงความอ่อนโยนที่ผมรู้สึกได้เพราะมือหนาอีกข้างประสานเข้ากับมือผมไว้อย่างแนบแน่น

   ผมค่อยๆปิดเปลือกตา ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าคมเข้มโน้มเข้ามาใกล้ ได้รับสัมผัสที่กลีบปาก เขาบดคลึงภายนอกอย่างหยอกเย้า ก่อนจะค่อยๆชี้นำให้ผมเปิดปาก รับลิ้นอุ่นชื้นเข้ามาแทรก ควานหาความหวานไปทั่วทั้งโพรงปาก พันกระหวัดรัดเกี่ยวเพิ่มความร้อนแรงจนอุณหภูมิในกายผมสูงขึ้น เขาถอนจูบ ปล่อยให้ผมหอบหายใจ ทั้งๆที่เป็นแค่จูบไม่กี่นาทีแต่เหมือนกับว่าพลังชีวิตถูกสูบไปจนหมด

   มือของผมถูกอุ้งมือหนาค่อยๆเคลื่อนไปสู่ตำแหน่งหัวใจบนร่างเขา

   “Do you feel me? (เธอรู้สึกถึงตัวตนของฉันไหม?)” เสียงแหบพร่ากระซิบแผ่วเบา

   ตึกตัก ตึกตัก

   หัวใจของเขาก็เต้นแรงไม่แพ้กัน...

   “ให้ตายสิ ฉันตื่นเต้นยิ่งกว่าเธออีก”

   ผมเงยหน้ามองเขา พลันยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆ





*30%*


น้องมิคจะรอดไหมมมมม
 :hao7:

ขอบคุณคอมเม้นต์ของคุณ Grey Twilight ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 30% [Oct, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 05-10-2019 05:19:59
คนอ่านก็ตื่นเต้นค่ะคุณไมเคิล

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 30% [Oct, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-10-2019 12:26:51
เลือดกำเดาจิพุ่ง~5555
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 30% [Oct, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 07-10-2019 22:39:06
กิสสส ขอธรรมดาแบบฟินๆเถอะ อ่านข้อตกลงแล้วไม่ไหวแรงงงงง แงง โหดจัง
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 30% [Oct, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: ninknpk ที่ 08-10-2019 02:19:36
ไมเคิล หล่อนมันวร้ายยย
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 30% [Oct, 04]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 08-10-2019 13:37:44
*ต่อ70%ที่เหลือ*


   “อุ๊บส์!”

   จู่ๆเขาก็ปิดริมฝีปากผมอีกครั้งแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เขารุกรวดเร็ว ขบเม้มและกัดไปทั่วจนผมเริ่มเจ็บเพราะหนวดเคราสากของเขาที่ถึงแม้มันจะไม่ได้ยาว เป็นก็เป็นตอเล็กๆ เสียดสีผิวผมจนแดงไปหมด กลีบปากได้รูปดูดดึงริมฝีปากผมจนชา มือหนาเลิกเสื้อนอนผมขึ้นพลางดันตัวล้มลงนอน ไมเคิลไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว จูบของเขาดุดันและหนักหน่วง ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบกัดริมฝีปากล่างของผม เขาดูดดึงจนมันเห่อแดงก่อนจะละไปยังซอกคอ ใช้ลิ้นร้อนโลมเลียไปทั่วจนร่างกายผมปั่นป่วน

   มือหนาไม่หยุดนิ่ง ตอนนี้เสื้อผมเลิกขึ้นสูงมาเรื่อยๆ ฝ่ามือของเขาลูบไล้สัมผัสผมไปทั่ว ทิ้งไออุ่นไว้ในทุกๆที่ที่เขาลากผ่าน นิ้วเรียวสวยขยับเข้ามาชิดกับยอดอก ปลายนิ้วสะกิดหยอกล้อจนผมสะดุ้งแอ่นหลังขึ้น

   “อ๊ะ”

   ไมเคิลเหมือนรับรู้ได้ว่าร่างกายผมมีปฏิกิริยาบางอย่าง เขาถอดเสื้อนอนซึ่งผมก็ให้ความร่วมมืออย่างดี สายตาร้อนแรงจับจ้องมายังร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าจนผมต้องเบือนหน้าหนี แต่เขากลับยึดปลายคางผมไว้ให้หันกลับมาประสานสายตา นัยน์ตาสีท้องทะเลอันเป็นจุดเด่นบนเครื่องหน้าเขายามปกติมันคือทะเลสาบอันมีทัศนียภาพอันงดงาม แต่บัดนี้มันกลายเป็นทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่น พร้อมทำลายทุกสรรพสิ่ง

   เขาก้มลงจูบผมอีกครั้ง ปรนเปรอด้วยความเร่าร้อนและความต้องการ ไม่มีส่วนไหนที่ริมฝีปากร้อนสัมผัสไม่ถึง ไมเคิลพรมจูบไล่ลงมาที่ลำคอ บ่ากว้าง ก่อนจะจบตรงยอดอกสีสวยที่ผมไม่เคยให้ใครได้เห็นยามที่มันชูชันท้าสายตาแบบนี้

   “อื้อออ”

   ผมบิดตัวเกร็งเพราะความเสียวซ่าน ลิ้นอุ่นตวัดเลียตุ่มเล็กๆด้วยความหิวกระหาย มืออีกข้างของไมเคิลเคลื่อนลงต่ำจนน่าหวาดเสียว แต่ตอนนี้สมองผมเริ่มเบลอ ยังไม่ทันได้ห้ามเขาก็ดึงกางเกงนอนลงอย่างง่ายดาย

   แน่นอนว่ามิคจูเนียร์มันผงาดตั้งขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังดันนูนกางเกงในจนน่าเกลียด แต่คนบนร่างผมกลับไม่คิดแบบนั้น ไมเคิลค่อยๆใช้มือสัมผัสภายนอกผ่านผ้าเนื้อบาง ราวกับว่ากำลังปลอบประโลมมันให้สงบลง...แต่เปล่าเลย ยิ่งเขาทำแบบนั้นมันยิ่งทำให้แก่นกายของผมแข็งตึงไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ

   ผมเริ่มหายใจหอบถี่ ใจเต้นรัวเร็ว...เข้าใจแล้วว่าทำไมบางคนถึงมีเซ็กส์จนหัวใจวายตายได้...

   “Arousing you, arouse me. (การปลุกอารมณ์เธอ...มันทำให้ฉันมีอารมณ์)” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างใบหู แก้มผมเห่อร้อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดหรือสิ่งที่เขาทำ

   น่าจะทั้งสองอย่าง...

   ไมเคิลเป็นผู้นำที่ดี เขาไม่ได้ฝืนใจผมเลยสักนิด...เอ่อ อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าผมเคลิ้มตามจนยอมเขาได้ทุกอย่างมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ...เพราะเขาเชี่ยวชาญไม่ใช่หรอถึงทำให้ผมรู้สึกดีได้ขนาดนี้

   ร่างกำยำยืดถอดเสื้อตัวเองทิ้งลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจะตามด้วยกางเกงนอน ตอนนี้เท่ากับว่าเราสองคนเหลือเพียงแค่ชั้นในบางๆกั้น ปกปิดตัวตนแข็งแกร่งเบื้องล่าง...ที่ออกจะปกปิดไม่มิดสักเท่าไหร่

   ผมฉวยโอกาสนี้สำรวจร่างกายเขาอีกครั้ง ถึงแม้จะเคยเห็นแล้วตอนเล่น SUP ด้วยกัน แต่มันคนละสถานการณ์นี่นา

   คนอะไรสมบูรณ์แบบเป็นบ้า กล้ามเนื้อเรียงสวยแผ่กลิ่นอายกระตุ้นบางสิ่งในตัวผม ผิวสีขาวแบบชาวตะวันตกเนียนละเอียด หากมองต่ำลงหน่อยก็จะเห็นเส้นขนสีทองบางๆหายไปในขอบกางเกงชั้นในดูน่าค้นหา และถ้าต่ำมากกว่านั้น...กะคร่าวๆจากสายตาและยังไม่ได้วัดด้วยมือแล้ว...

   บอกเลยถุงยางไซส์ 56 ก็เอาไม่อยู่

   “มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง?” ไมเคิลยกยิ้มที่มุมปาก เขาดูภูมิใจในรุปร่างตัวเองอย่างมาก

   “ปะ...เปล่าครับ...”

   “แต่สายตาเธอมันฟ้องว่าอยากกิน”

   คุณไมเคิล!!!

   “ผะ ผม...ผมไม่ได้อยากกินซะหน่อย”

   เขาไล่ต้อน ผมเขยิบถอยหลัง ท่าทางคุกคามกับใบหน้ายิ้มร้ายมันเริ่มทำให้ผมหวั่นๆ แต่ก็แอบตื่นเต้นเร้าใจ ดูท่าทางไมเคิลชอบจะสวมบทบาทเป็นผู้ล่า แน่นอนว่าผมก็จะยอมเป็นเหยื่อให้เขา แต่ถ้าเหยื่อถูกกินง่ายๆก็ไม่สนุกสิ

   คิดได้ดังนั้นผมจึงหยุดหนี หันมาเผชิญหน้ากับใบหน้าหล่อคมคาย

   “I just...want to touch it. (ผมแค่...อยากสัมผัส)”

   คนตรงหน้ายิ้มอย่างพอใจ เขายืนเข่าแล้วเรียกผมเข้าไปใกล้

   “Go ahead...It belongs to you. You can do whatever you want. But be gentle with it. (เอาสิ มันเป็นของเธอ เธอจะทำอะไรกับมันก็ได้ แต่อ่อนโยนกันมันหน่อยนะ)”

   ผมเขยิบเข้าไปใกล้ ก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามลำตัวเขา ไล่ตั้งแต่บ่ากว้าง อกแกร่ง แผงซิคแพคได้รูป ก่อนจะจบลงที่ใจกลางลำตัว ผมสัมผัสส่วนนั้นผ่านเนื้อผ้าที่นูนเด่นออกมา สองมือค่อยๆรั้งปราการด่านสุดท้ายลง

   โฮลี่ชิท! ดิส อิส อะ ไจแอ้น เจอมัน ซอสเซส! (Holy shit! This is a giant german sausage. แม่เจ้าโว๊ย นี่มันไส้กรอกเยอรมันขนาดยักษ์)

   เครื่องเพศตรงหน้าหลังจากได้รับอิสระก็เด้งออกมาจนเกือบชนปลายจมูกผม ดีนะที่ผมถอยห่างออกเล็กน้อยได้ทันท่วงที

    ดูหนังโป๊เกย์ทั้งไทยและเทศมาก็เยอะ แต่ไอ้แท่งมหัศจรรย์ตรงหน้านี่มันเกินคำบรรยายจริงๆ มันดูดี ท่อนลำสีชมพูเข้มสวย ยกเว้นปลายยอดที่เป็นสีชมพูอ่อน ขนาดของมันทั้งยาวและอวบจนหนังโป๊เกย์ที่ผมเคยดูกลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย

   “What’s wrong? (เป็นอะไรไป?)” เขาถาม

   “Nah...Nothing (มะ...ไม่มีอะไรครับ)” ผมตอบเสียงสั่น

   “Then why you stepped back? (ถ้างั้นถอยหลังทำไม?)” ไมเคิลยิ้มมุมปาก ร่างสูงเข้ามาใกล้ เขากำลังสนุกที่ได้แกล้งผม “You said you wanna touch it. (เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากจับ)”

   ผมขอถอนคำพูดคืนได้ไหม

   “Let get used to it, next time you’ll know what is waiting for you. (ทำใจให้ชินซะเถอะ ครั้งหน้าเธอจะได้รู้ว่าต้องเจอกับอะไร)”

   ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พยายามทำใจให้สบาย ในเมื่อหลงชอบคนตรงหน้าไปแล้ว ก็ต้องชอบทุกๆส่วนในร่างกายของเขาด้วย ไม่ว่ามันจะใหญ่สักแค่ไหนก็ตาม

   อีกอย่าง...มีไม่กี่คนหรอกที่จะได้เจอคนรูปร่างหน้าตาดี ไอ้นั่นก็ใหญ่ ลีลายิ่งเด็ดแบบไมเคิล โอกาสมาจ่อตรงหน้าแล้วจะปล่อยให้หลุดลอยไปก็น่าเสียดาย

   มือของผมค่อยๆกอบกุมท่อนลำตรงหน้า บอกเลยครับว่ากำไม่รอบ มันทั้งหนาและร้อน ทันทีที่ผมเริ่มขยับมือขึ้นลงอย่างรู้งาน ไมเคิลก็ครางต่ำบ่งบอกถึงความพอใจ

   ยิ่งรูด ยิ่งเค้น มันก็ยิ่งขยาย

   “พอก่อน” ไมเคิลบอก ผมมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามที่เขาบอก

   เขาดันตัวผมล้มลงกับเตียงกว้างอีกครั้ง ร่างกำยำไม่รอช้าทาบทับลงมา ใช้ศอกยันไว้เพื่อไม่เป็นการทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งหมด ไมเคิลปลุกอารมณ์ผมอีกครั้งด้วยการจูบ คลึงเคล้นไปตามร่างกาย แวะเล่นกับยอดอกอีกครั้ง จบท้ายด้วยการรูดชั้นในผมลงอย่างรวดเร็ว

   ฝ่ามือสากกอบกุมแก่นกายผมที่ตอนนี้มันแข็งแทบระเบิด ขยับขึ้นลงแบบที่ผมทำให้เขา ปลายยอดมีน้ำใสๆไหลออกมาเล็กน้อย นิ้วโป้งจงใจเคล้นคลึงเย้าแหย่ให้ผลิตน้ำใสๆออกมามากกว่าเดิม

   ผมเกือบจะขาดอากาศหายใจแล้ว แต่ดีที่ไมเคิลถอนจูบเสียก่อน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หอบหายใจพัก เขากลับรวบตัวตนของผมและเขาเข้าไว้ด้วยกันด้วยมือเดียวแล้วขยับขึ้นลงไปพร้อมๆกัน

   “อื้อออ”

   “อาาา”

   ทั้งผมและไมเคิลคราง

   แบบนี้มันรู้สึกดีชะมัด ดีกว่าทำด้วยมือตัวเองเป็นไหนๆ

   ตัวตนของเราทั้งคู่สัมผัสเบียดเสียดแน่น แข่งกันชูชันอย่างไม่มีใครยอมใคร หากจะแพ้...ผมก็คงแพ้ที่ขนาดเพราะมันต่างกันมากเกินไป

   ไม่รู้ว่าเสียงรอบข้างเงียบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนที่เป่าผมหูยังได้ยินเสียงจากทีวี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ไมเคิลคงปิดไปนานแล้ว ในหัวผมอื้ออึงไปด้วยเสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่ โคมไฟสีส้มสลัวสร้างบรรยากาศให้ดูน่าค้นหา บางครั้งผมก็เห็นเค้าโครงคนตรงหน้าเด่นชัด บางครั้งซีกหน้าอีกฝั่งก็หายไปในเงามืด

   ภายในห้องอบอวลไปด้วยความเร่าร้อน แม้อุณหภูมิภายจะถูกตั้งให้พอดีไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย

   “Micheal...I’m gonna cum. (ไมเคิล...ผมจะไม่ไหวแล้ว)” ผมพูดพลางหอบหายใจ มันยากมากที่จะห้ามไม่ให้ส่งเสียงใดๆในลำคอ

   ผมรู้ตัวว่าอ่อนหัด แค่โดนชักแค่นี้กลับจะปลดปล่อยออกมาเสียแล้ว ผมยอมรับ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าผมไม่เคยมีอะไรกับใคร อย่างมากก็แค่ช่วยตัวเองหน้าจอคอมพ์ที่บ้าน โลกสวยด้วยมือเรา ไม่เคยมีคนมาทำให้แบบนี้นี่นา

   แถมคนที่กำลังช่วยผมหล่อซะขนาดนี้ก็ไม่แปลกที่จะอดใจไม่ไหว

   “Hold it. (อั้นไว้)” ไมเคิลไม่ได้ทรมานผมต่อ แต่ก็ไม่ยอมให้ปลดปล่อย

   เขาประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ไล่พรมจูบตั้งแต่ปลายคาง เขยิบกายถอยร่นไปพร้อมๆกับกลีบปากได้รูปที่ตำแหน่งมันชักจะหมิ่นเหม่ขึ้นเรื่อยๆ

   หน้าอก ช่วงท้องแบนๆ แอ่งสะดือ จวบจนท้องน้อยที่โดนสัมผัสจนขนลุกเกรียว เขายังไม่หยุด...เคลื่อนกายต่ำลงกว่านั้น

   “ดะ เดี๋ยวครับ...ตรงนั้น...ไม่ได้นะครับ”

   ผมพยายามห้าม ดันร่างหนาให้ออกห่าง แน่นอนว่าไม่ได้ผล ไมเคิลไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น เขาจับต้นขาผมแน่นแล้วบังคับให้กางออกอยู่ในท่วงท่าที่น่าอาย ผมยันตัวขึ้นเห็นกลุ่มผมสีบลอนด์เข้มเหลือบแดง จากนั้นริมฝีปากก็ครอบครองตัวตนผมไว้ทั้งหมด

   “อาาาาส์” ผมครางออกมา

   นี่ผม...กำลังอยู่บนนสวรรค์ใช่ไหม ทำไมรู้สึกดีขนาดนี้

   ไมเคิลห่อปากกลืนกินเข้าไปอย่างไม่รังเกียจ ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มในโพรงปาก ปลายลิ้นเขาตวัดอย่างชำนาญ อีกมือก็คอยเล่นกับบอลทั้งสองข้าง

   ผมยันตัวนั่ง หัวใจเต้นถี่ดัง เบิกตากว้างเพราะภาพตรงหน้า...

   ไมเคิลเงยช้อนขึ้นมาสบตาผมอย่างท้าทาย ในปากเขาดูดกลืนแก่นกายผม...

   มันทั้งเซ็กซี่ หื่นกระหาย เต็มไปด้วยตัณหาและกามอารมณ์

   ในหัวสมองผมเบลอ คิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่ากำลังจะไปถึงจุดสุดยอดแล้ว...ผมใช้เรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดผลักดันไหล่เขาให้ออกห่าง เป็นสัญญาณเตือนว่าผมกำลังจะปลดปล่อยแล้ว แต่ไมเคิลกลับดื้อดึง ซ้ำยังเร่งความเร็วเพิ่มอีกด้วย

   “อ๊าาาาาาาาส์”

   ในที่สุดร่างผมก็กระตุก ปลายท่อนเนื้อปลดปล่อยสายธารขุ่นเหลว ไมเคิลพยายามเก็บกลืนทุกหยาดหยด แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไหลเยิ้มออกมาตามมุมปาก เขาตวัดลิ้นไล้เลียจนสะอาด

   ระหว่างที่ร่างกายผมค่อยๆอ่อนตัวลง ผมทิ้วตัวเอนหลังลงกับที่นอน ร่างกายเบาหวิว ใช้แขนก่ายหน้าผาก ปิดตาหลับ อกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจหอบถี่ ในหัวคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น มีแต่ความสุขสมอยากซึมซับความรู้สึกนี้ไว้นานๆ

   ไมเคิลผละห่าง ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ไม่นานนักก็กลับมา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆกับเสียงเปิดขวดใกล้เข้ามา

   เขายังไม่เสร็จนี่นา...ผมควรจะทำคืนให้เขาไหม? มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวไปเลยรึเปล่าถ้าหลับตอนนี้

   ไม่ดีมั้ง...ไมเคิลยังทำให้ผมอย่างไม่รังเกียจเลย ผมควรจะปฏิบัติกลับอย่างเท่าเทียม

   ผมดันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้ามืดเล็กน้อยเพราะลุกนั่งเร็วเกินไป รอให้สายตาปรับโฟกัสเสร็จก็เห็นไมเคิลเยื้องย่างเข้ามาหาแล้ว

   “รู้สึกยังไงบ้าง?” ไมเคิลเปิดปากถามก่อน

   “ดี...ดีมากๆเลยครับ ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน” ผมยิ้มตอบ “แต่คุณ...ยังไม่เสร็จเลย ให้ผมช่วยนะ” ผมเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าลำแท่งที่ยังไม่อ่อนตัวลง

   “ได้สิ เธอได้ช่วยฉันแน่นอน”

   ไมเคิลผลักผมล้มลงอีกครั้ง ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ พลันได้เห็นเขาเทของเหลวใสจากขวดที่เพิ่งไปหยิบมาลงบนฝ่ามือเป็นจำนวนมาก

   ชิบ-หาย-แล้ว

   หายนะกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา ผมรีบหาทางเอาตัวรอด เพราะถ้าไม่ทันได้โดนไส้กรอกยักษ์เล่นงานแน่ๆ

   “เอ่อ...วันอื่นได้ไหมครับ วันนี้ผมเหนื่อยม๊ากกก เดี๋ยวผมช่วยใช้ปากให้นะ”

   “ไม่ ต้องเป็นวันนี้และเดี๋ยวนี้ ถ้าเธอเหนื่อยก็อยู่เฉยๆ ฉันจัดการเอง...ส่วนปากเธอเก็บไว้ครางเถอะ หรือถ้าอยากโชว์ความสามารถไว้ครั้งหน้าก็ยังไม่สาย” ไมเคิลกล่าวเสียงเรียบ แววตาไม่มีการล้อเล่น

   คนตรงหน้านี่มันใคร...เอาคุณไมเคิลแสนดีมีความสุภาพกลับคืนม๊าาาาาาา

   นี่มันซาตานในคราบเทพบุตรชัดๆ ไหนตอนแรกบอกจะไม่ฝืนใจไง ฮรืออออออ

   ไมเคิลคงกลัวผมต่อรอง เขาเลยจัดการปิดปากผมด้วยปากของเขาเอง ฝ่ามือขยำเคล้นคลึงปลุกอารมณ์ผมขึ้นมาอีกครั้ง คิดเหรอว่าผมที่เพิ่งเสร็จไปหมาดๆจะมีอารมณ์ร่วม...

   ครับ มิคจูเนียร์ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

   เกลียดร่างกายตัวเองจริงๆ แค่จูบก็ระทวยแล้ว ไหนจะยังมีฝ่ามือช่ำชองนั่นอีก...

   ไมเคิลใช้จังหวะที่ผมกำลังเผลอเพราะเขาขยำแก้มก้นนุ่มของผมเล่นอย่างมันส์มือ นำปลายนิ้วชุ่มฉ่ำเพราะเจลหล่อลื่นมาวนเวียนอยู่แถวรอยจีบด้านหลัง บั้นท้ายผมมีหมอนรองช่วยให้ช่องทางเผยกว้างและดันสูง องศาเหมาะกับการทำอะไรต่อมิอะไร

   ผมพยายามหุบขา แต่มือหนาที่เหมือนคีบเหล็กนั่นไม่ยอมง่ายๆ ช้อนข้อพับตั้งชันให้กางออก ช่วงกายแกร่งสอดมาอยู่ตรงกลาง คราวนี้ถึงผมจะหุบขาก็คงทำไม่ได้แล้ว

   “Color is very nice. (สีสวยนะ)”

   สีอะไรสวย?!

   โอ๊ยยยยยย อย่าพูดจาล่อแหลมได้ไหม หัวใจจะวายเอา

   มือหนึ่งกอบกุมแก่นกายรังแกผม อีกมือก็ใช้นิ้วสำรวจรอบปากถ้ำ จนเมื่อเขาเห็นว่าผมน่าจะโอเคแล้วจึงค่อยๆสอดนิ้วชี้เข้าไป

   “โอ๊ยยยย”

   “ผ่อนคลาย มิคกี้”

   มันอึดอัด แต่ไม่ได้เจ็บ แค่รู้สึกคับแน่น   ไมเคิลค่อยๆขยับนิ้วเข้าออกให้ผมได้ปรับตัว

   ผมผ่อนลมหายใจ พยายามไม่เกร็งตัว ดีที่เขาใช้เจลหล่อลื่นเยอะนิ้วที่สองเลยตามเข้ามาอย่างง่ายดาย คราวนี้ช่องทางผมคับแน่นมากกว่าเดิม ไมเคิลงอข้อนิ้วด้านในจงใจควานหาตำแหน่งที่จะทำให้ผู้ชายมีความรื่นรมณ์ได้ไม่แพ้ผู้หญิง

   “อ๊ะ”

   ผมสะดุ้ง เมื่อปลายนิ้วกับเจลเย็นๆสัมผัสไปโดน เขาเน้นย้ำที่จุดนั้น ผมร้องครางลืมความละอาย นิ้วเรียวยาวทั้งสองเคล้นคลึงหมุนควงเพื่อให้ช่องทางขยายเตรียมพร้อมรับสิ่งที่ดุดันกว่านี้

   นิ้วที่สามสอดแทรกเข้ามาอย่างยากลำบาก แต่ผมยังทนไหว เพราะถ้าแค่สามนิ้วยังไม่ไหวก็อย่าหวังเลยว่าจะรับตัวตนของเขาได้

   “เด็กดี...เธอเก่งมาก” ไมเคิลโน้มตัวลงมากระซิบเสียงแหบพร่า ผมปรือตามองใบหน้าคมคายชื้นเหงื่อ มือลูบปลายคางสาก ผมรับจูบที่ไมเคิลป้อนให้อย่างเต็มใจ

   ทันใดนั้นไมเคิลก็ถอดนิ้วออกไปทั้งหมด ผมรู้สึกโล่งหวิว แต่แล้วความเป็นชายอันใหญ่โตของเขาก็มาแทนที่โดยการจรดอยู่ที่ปากทางเข้า ไมเคิลไม่ได้ดึงดันเข้ามาทีเดียว เขาส่ายเอวให้ปลายหัวหยักหยอกเย้ากับรูจีบราวกับว่าอยากให้ทำความคุ้นเคยกันก่อน

   “อย่ากลัว...ถ้าเจ็บก็กัดฉันได้” ไมเคิลหอมแก้ม หอมหน้าผาก งับจมูก ใช้สายตามองผม ดวงตาคู่นั้นมีภาพผมสะท้อนเพียงผู้เดียว

   ท่อนลำที่ชโลมไปด้วยเจลหล่อลื่นดุนดันอยู่แบบนั้น สร้างความตื่นเต้นให้กับผม มีหลายครั้งที่เหมือนกับว่าปลายแก่นกายจะผลุบเข้ามาได้ แต่ก็แฉลบเสยขึ้นแทน

   “อาาาาาาา”

   ยิ่งเขาทำแบบนี้มันยิ่งทำให้กายผมเร่าร้อน จากตอนแรกที่กล้าๆกลัวๆเพราะขนาดของเขา แต่บัดนี้ผมกำลังส่ายสะโพกยั่วเย้าให้เขาเติมเต็มผมเร็วๆ

   “I want you inside me. (ผมอยากให้คุณเข้ามาอยู่ในกายผม)” ผมมองเข้าไปในนัยน์ตาคนตรงหน้า อยากให้เขารับรู้ว่าผมพร้อมที่จะเป็นของเขา

   ไมเคิลตวัดปลายหัวหยักไปมาอยู่สองสามทีก่อนจะดันมันผ่านรอยจีบ

   “โอ๊ยยยยยยยย”

   เจ็บ เจ็บมาก เหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

   “ชู่ววว...ชู่วว...เด็กดี” ไมเคิลกอดผม ปลอบประโลมผม แก่นกายเขาผ่านเข้ามาในช่องทางแล้ว ทว่าเข้ามาได้แค่ส่วนปลายเท่านั้น “ผ่อนคลาย อย่าเกร็งนะ” ผมพยักหน้ารับรู้ น้ำตาซึมที่หางตา ไมเคิลจูบซับ

   ผ่อนคลาย...ผ่อนคลาย...อย่าเกร็ง...คนที่กำลังครอบครองผมตอนนี้คือไมเคิล...เขาคือคนที่ผมชอบตั้งแต่ได้เห็นหน้าครั้งแรก ถึงกับเก็บเอาไปฝันไม่ใช่เหรอ....

   ไมเคิลรับรู้ได้ว่าร่างกายผมคลายการต่อต้าน เขาขยับแก่นกายสอดลึกทีละนิดๆ จนในที่สุดผมก็รับตัวตนเขาไว้ได้ทั้งหมด

   “เก่งมากมิคกี้...”

   ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้ผมกับเขาเราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เหมือนฝันเลย...

   จากความเจ็บด้านหลังทำให้ตอนนี้ผมหมดความต้องการ น้องชายผมอ่อนตัวลง ผิดกับท่อนเนื้อด้านหลังที่คับแน่นจนผมอัดอึด รู้สึกได้ถึงลำกายเต้นตุบๆ ความสัมผัสของเนื้อแนบเนื้อโดยไม่มีอะไรขวางกั้น

   ผมนึกไปถึงสัญญาฉบับนั้นที่ผมเพิ่งเซ็นลงไป ไมเคิลแนบผลตรวจเลือดเมื่อเดือนี่แล้วมาให้ ทั้งหมดเป็นเนกาทีฟ ซึ่งหมายความว่าตัวเขาไม่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใดๆ ส่วนผมก่อนจะยื่นวีซ่าและมาเป็นออแพร์ได้ต้องตรวจสุขภาพทุกขั้นตอน เอ็กซเรย์ปอด ตรวจของเสีย ฉีดวัคซีนตามที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์กำหนด และแน่นอนว่าตรวจเลือดด้วย ผลออกมาเป็นลบทั้งหมดเช่นกัน

   เพราะผมรู้แบบนี้ถึงได้ยอมให้เขาสอดใส่ไร้ถุงยาง ไมเคิลเองก็รู้ เราคุยกันถึงเรื่องนี้ตอนที่ดูหนังอยู่ในห้องนั่งเล่น

   ไมเคิลเริ่มปลุกเร้าอารมณ์ผมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเหม่อลอย เขากระตุ้นได้ถูกจุดราวกับว่ารู้จักร่างกายของผมดี ไม่ว่าจะซอกคอ แอ่งหู ยอดอก เขาใช้ลิ้นเล้าโลมจนผมตื่นผงาดขึ้นมาอีกครั้ง

   คราวนี้เขาค่อยๆขยับแก่นกายที่ฝังลงในช่องทางด้านหลัง ถอนออกจนเกือบหลุด ก่อนจะกระแทกทั้นเข้ามาจนสุด จากช้าๆแปรเปลี่ยนเป็นเร็ว อารมณ์ของผมกับเขาพุ่งขึ้นสูง ทั้งห้องมีแต่เสียงครางกระเส่าของเราสองคน

   แม้จะยังเจ็บๆตึงๆอยู่บ้างแต่ตอนนี้ผมมีอารมณ์ร่วมแล้ว ความเจ็บปวดเหล่านั้นจึงบรรเทาลง

   ถ้าเป็นคนอื่น...คงไม่สนใจความรู้สึกผมแบบนี้ แต่นี่คือไมเคิล เขาไม่ฝืนผม เขามีวิธีที่ทำให้ผมยอมเขาโดยจำนน เขาใจเย็นและอดทนรอ

   เสียงผิวกระทบหนั่นเนื้อบวกกับความชื้นแฉะของช่องทางฟังดูหยาบโลน ไมเคิลกระแทกแก่นกายเข้ามาจนตัวผมและเตียงสั่นคลอน ยามนี้เขาดูดุร้ายและบ้าคลั่ง ไม่ยอมจากไปง่ายๆแน่หากยังไม่ได้กินผมจนเต็มอิ่ม

   “เธอแน่นและตอบรับฉันดีมากมิคกี้...” ไมเคิลพูดเสียงสั่น เพราะช่วงล่างขยับไม่ยอมหยุด ผมลืมตามองจุดที่เราประสานกัน แท่งร้อนกระแทกกระทั้นราวกับเครื่องจักร

   ผมเลื่อนไปมือสอดเกี่ยวนิ้วต่อนิ้ว สายตาเลื่อนมามองคนที่คร่อมผมไว้อีกครั้ง พบว่าดวงตาน้ำทะเลจ้องตอบกลับมาเช่นกัน เราทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการมีเซ็กส์ การได้มองคนที่เรากำลังร่วมรัก...

   ร่วมรักงั้นเหรอ...

   ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง แต่สำหรับตอนนี้ขอซึมซับมันไว้ให้ได้มากที่สุด

   “ใจลอยไปถึงไหน..ขนาดกำลังทำเรื่องอย่างว่าอยู่ยังคิดเรื่องอื่นได้อีกเหรอ” เขาเรียกสติผมกลับมา

   ลำกายใหญ่โตจงใจบดเบียดกับผนังด้านในไปโดนจุดที่ทำให้ผมผวาเฮือก ไมเคิลเน้นย้ำที่ตำแหน่งนั้น เพียงไม่กี่ที หัวใจผมเต้นโครมคราม ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย หัวสมองขาวโพลน ร่างกระตุกเกร็งอีกครั้ง

   “อึก อ๊าาาาาา”

   ของเหลวขาวขุ่นเปรอะเปื้อนเต็มหน้าท้อง ลามไปถึงกล้ามแน่นของไมเคิลด้วย ผมหอบหายใจรัว ร่างกายยังสั่นคลอนเพราะไมเคิลก็เร่งเครื่องมากติดๆ

   เขาสวนกายเข้ามาอย่างแรงเป็นครั้งสุดท้าย ครางต่ำยาว ร่างกายกระตุกพร้อมกับปลดปล่อยของเหลวเข้ามาในกายผม ผมรู้สึกได้ถึงความเหนียวแฉะในช่องทาง ไมเคิลปิดเปลือกตา ล้มตัวนอนทับผมอย่างอ่อนแรง

   ไมเคิลยังไม่ถอนแก่นกายออก เขาคามันไว้อย่างนั้น เราสองคนนอนกอดกันเงียบไปเนิ่นนาน ผมสัมผัสได้ว่าหัวใจเขาเต้นแรงอยู่เหนืออกผม ก่อนมันจะค่อยๆแผ่วเบาลงกลับมาเป็นจังหวะปกติ

   “ไมเคิล...เอ่อ...ลุกหน่อยได้ไหมครับ ผมจะไปล้างตัว” อันที่จริงก็อยากหลับไปเลย แต่เหนี่ยวขนาดนี้ ทั้งเหงื่อทั้ง... คงไม่ไหว

   “ได้ เดี๋ยวฉันพาไป”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองได้”

   “แน่ใจเหรอว่าจะลุกไหว?”

   “เอ่อ...ครับ คิดว่านะ...” ผมพูดพลางขยับบั้นท้ายให้ออกห่าง แต่ติดปัญหาที่ว่า...ช่องทางของผมยังเชื่อมกับแก่นกายของเขาอยู่

   “ถ้าฉันเอาออกตอนนี้มันจะไหลเปื้อนเตียง เดี๋ยวฉันอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำเอง”

   ไมเคิลไม่รอให้ผมตอบรับอะไร เขาสอดมือรองรับบั้นท้ายกลมของผมแล้วยืดตัวขึ้นทันทีโดยที่ช่องทางยังสอดประสาน

   “เฮ้ย!” ดีนะหลุดเสียงแมน ไม่ได้วี๊ดว้าย ก็ใครใช้ให้เขาอุ้มผมแบบนี้ล่ะ?

   “เอาขาเกี่ยวฉันไว้”

   “ตะ แต่...”

   นี่มันท่าลิงอุ้มแตงไม่ใช่เรอะ!?

   แล้วทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าไส้กรอกยักษ์กำลังขยายตัวอีกแล้วล่ะ...

   “ฉันชอบท่านี้นะ เธอชอบไหม” ไมเคิลใช้น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าเล่ห์ขนาดไหน

   ยังมีหน้ามาถามอีก...คิดว่าโดนรอบแรกไปคงหมดแรงแล้วสินะ...

   “ท่าโปรดผมเลยล่ะครับ” ผมตอบยิ้มแฉ่ง

   ขอบคุณกล้ามแขนอันทรงพลังของเขาที่ทำให้เราทำกิจกรรมเข้าจังหวะในห้องน้ำได้อีกรอบ...

   ผมไม่เสียใจเลยที่ได้มีเซ็กส์กับเขา ผมมองคนไม่ผิดจริงๆ ภายนอกไมเคิลดูสุภาพ ใจดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ทว่าความจริงแล้วยังมีอีกด้านที่ไม่สามารถเปิดเผยกับคนอื่นได้ รสนิยมทางเพศนี่ตัดสินด้วยหน้าตาไม่ได้จริงๆ

   ผมชักจะตื่นเต้น อดทนรอที่จะได้เพลย์กับเขาไม่ไหวแล้วสิ...









TBC



คุณไมเคิลขาาาาาาาาาาาาาา
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 08-10-2019 17:05:35
กริสสสสส ฟินมั่กก
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 08-10-2019 19:52:02
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
คุณพระ ดีงาม
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-10-2019 19:25:40
ตายอย่างสงบจ้า~ :haun4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 11-10-2019 13:53:23
โอ้ มาย ก็อด  :m25:
นี่แค่แบบธรรมดานะเนี่ย
คุณไมเคิลก็แซ่บขนาดนี้แล้ว :o8:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: MM04 ที่ 17-10-2019 20:03:01
ทีมรอ 1 อาทิตย์ผ่านไปของเรื่องนี้ค่ะ น่าติดตามมากกกกก
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 18-10-2019 08:12:44
อีโรติกได้ใจมากกกกกก จาเป็นลมเลยค่ะ :jul1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-10-2019 22:04:59
เลือดหมดตัวกันเลยทีเดียว นี่แค่เบสิคๆนะเนี่ยะ ถ้าเริ่มเพลแล้วจะต้องเรียกรถพยาบาลรอมั้ยย
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-10-2019 22:33:35
หายไปนานจังเลย
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 19-10-2019 20:30:59
 :jul1: รอค่ะ เอาอีก
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter IX 100% [Oct, 08]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 20-10-2019 20:52:40

X
Tomorrowland


   “มิค เป็นอะไรรึเปล่าจ้ะ? ปวดหลังเหรอ?” เสียงโซอี้ถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นผมใช้มือนวดแถวๆบั้นท้าย

   “เอ่อ..ก็ปวดๆนิดหน่อยครับ เมื่อคืนนอนผิดท่า” ผมตอบ รีบซุกมือเก็บ

   “ถ้าอยากได้ครีมทาคลายเส้นหรือแผ่นแปะคลายปวดก็บอกได้เลยนะจ้ะ”

   “ขอบคุณครับ แต่ตอนนี้ผมยังโอเค ถ้าไม่ไหวจริงๆคงต้องรบกวนด้วยครับ”

   “อย่าฝืนปวดมากเกินไปนะ เดี๋ยวเป็นเหมือนลูคัส เขาล่ะชอบกิจกรรมผาดโผน เมื่อปีที่แล้วพวกเราไปพักผ่อนกันที่แถบเือกเขาเอลป์ ลูคัสสนใจลองเล่นพาราไกลดิ้ง*แบบที่มีครูฝึกด้วย ขาลงร่อนกับพื้นลงอีท่าไหนไม่รู้ สงสัยเอาก้นลง บ่นปวดเป็นเดือน ดีนะไปหาหมอแล้วไม่เป็นอะไรมาก ถ้าไม่ฟอร์มจัดยอมบอกตั้งแต่แรกเขาคงหายปวดไปนานแล้ว” โซอี้เล่าให้ฟัง หรือออกแนวบ่นเสียมากกว่า ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ

   จะให้บอกความจริงไปได้ยังไง...

   ตอนนี้เวลาเที่ยง ผมกำลังพับผ้าของคนทั้งบ้านอยู่ครับ โซอี้เคลียร์งานเร็วเลยมารับช่วงดูแลเจย์เด็นต่อจากผมได้ ผมเลยหันมาเคลียงานบ้านนิดหน่อยที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้า ที่มีให้ซักได้วันเว้นวัน และต้องจำแนกเนื้อผ้า อุณหภูมิน้ำ ผ้าสี ผ้าขาว ยัดลงเครื่องเสร็จก็ต้องมาดูอีกว่าตัวไหนนำเข้าเครื่องปั่นแห้งได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ผมต้องแขวนราวที่ระเบียง ดีที่ว่าตอนนี้ยังเป็นหน้าร้อน ผ้าเลยแห้งไวหอมกลิ่นแดดอ่อนๆ จากนั้นเมื่อแห้งแล้วผมก็ต้องพับและเอาไปเก็บเข้าตู้ให้ตลอด หากตัวไหนต้องรีดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อเชิ้ตของลูคัสผมก็จะเก็บไว้รีดวันต่อไป

   “ผมลงไปที่ห้องก่อนนะครับ แล้วเจอกันตอนเย็นครับ”

   “จ้ะ ตามสบาย”

   ผมหยิบกองพับผ้าที่มีแต่ชุดของลูกชายคนโตสุดของบ้าน ผมกดลิฟต์ชั้นสองและไขกุญแจห้องเข้าไปวางกองผ้านั้นไว้ เจ้าตัวมาเห็นจะได้เก็บเข้าตู้เอง จากนั้นก็ลงไปยังชั้นสามที่เป็นห้องของผม ปกติแล้วช่วงบ่ายแบบนี้ผมจะว่างเพราะโซอี้ดูแลเจ้าก้อนแป้งเอง ส่วนผมก็ทำอาหารกลางวันง่ายๆกิน หรือไม่ถ้าขี้เกียจมากก็ไม่กินอะไรเลย รอทานตอนเย็นทีเดียว

   นิสัยใหม่ของผมตั้งแต่ได้มาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กก็คือ...นอนกลางวันครับ วันละครึ่งชั่วโมงบ้าง หนึ่งชั่วโมงบ้าง ตื่นมาก็ดูหนัง ฟังเพลง แชทคุยกับแม่และเพื่อนที่ไทย เห็นพวกมันลงรูปของกินทีไรนี่น้ำตาจะไหลทุกที ส้มตำปูปลาร้าเอย ขนมจีนน้ำยาปูเอย ไหนจะชาไข่มุกอีก...อาหารไทยคือสิ่งเดียวที่ผมคิดถึง หากไม่นับแม่และเพื่อนๆ

   จริงๆจะตำส้มตำกินเองก็ได้ ทว่าตั้งแต่มาถึงได้เดือนนึงแล้ว เข้าออกซุปเปอร์มาเก็ตเป็นว่าเล่นก็ยังไม่เคยเห็นมะละกอวางขายเลย มะพร้าวยังมีบ้างแต่โคตรพ่อโคตรแม่แพงลูกละสามร้อยกว่าบาท บ้ารึเปล่า ใครจะซื้อ...

   ผมไงครับ ผมซื้อ...นั่งดูดน้ำมะพร้าวพลางเช็คโทรศัพท์อยู่นี่ไง อภินันทนาการจากบัตรเครดิตของคุณนายโซอี้ อิอิ

   แต่ไม่ได้ซื้อของพวกนี้บ่อยนักหรอกนะครับ เพราะผมเกรงใจ ส่วนใหญ่จะตุนเนื้อ ผัก ผลไม้ พวกขนม นม และน้ำอัดลมต่างหาก

   ผมเล่นโทรศัพท์จนผล็อยหลับไป รู้ตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เพราะนาฬิกาที่ผมตั้งปลุกไว้ว่าต้องขึ้นไปทำงานต่อตอนเย็น งานช่วงเย็นก็ไม่มีอะไรมากครับ วันไหนต้องทำดินเนอร์ผมก็จะสบายหน่อย วันไหนที่ต้องเล่นกับเจย์เด็น หรือสอนการบ้านแซมมวลก็จะปวดหัวหน่อยๆ อย่างวันนี้ที่ผมต้องอุ้มเจ้าตัวเล็กไปด้วย สอนเลขแซมมวลไปด้วย เราสามคนนั่งอยู่ในห้องนอนของแซมที่ส่วนใหญ่จะตกแต่งด้วยพรมสนามแข่งรถ โต๊ะลิ้นชักของเล่นก็เต็มไปด้วยลังรถของเล่นที่ผมกะคร่าวๆคงมีมากกว่าห้าร้อยคัน รวมไปถึงสัตว์ต่างๆอีกตู้เช่นไดโนเสาร์ เสือ แรด ปลาฉลาม ถัดมาก็จะเป็นกล่องเครื่องดนตรี ต้องชื่นชมโซอี้เลยครับที่สอนให้ลูกๆรู้จักแบ่งแยกประเภทของเล่นได้อย่างเป็นระเบียบ

   “มะ มะ อะ มะ” เสียงที่ออกมาไม่เป็นคำไม่มีความหมายดังขึ้นจากปากเจย์เด็น เขาดูโง่งมแต่ก็น่ารักมาก มือป้อมๆหยิบรถแข่งคันโตมาแทะเล่น

   “เฮ้! เจย์เด็น อย่ามาแทะแลมโบกินี่ของฉันสิ” ไม่พูดเปล่า แซมรีบคว้าแลมโบสีเหลืองขนาดเท่าหนึ่งไม้บรรทัดออกจากเจย์เด็นทันที ผลที่ตามมาก็คือ...

   “แง๊!!! ฮรืออออออ มะ มะ แง๊! อะ อะ มาาา มะ มาาา” ครับ...เจย์เด็นแหกปากร้องจ้าเพราะโดนขัดใจที่ถูกแย่งของเล่นไป

   ผมที่เป็นพี่เลี้ยงและอยู่มาได้เดือนกว่าแล้วจึงรู้ดีว่าควรทำอย่างไร ผมเดินไปหยิบรถของเล่นคันใหม่ที่อาจจะเล็กกว่าแต่มั่นใจแน่ๆว่าแซมมวลไม่หวงให้เจ้าตัวเล็กแทน พอเจย์เด็นเห็นของเล่นชิ้นใหม่ก็หยุดร้องและเริ่มแทะขอบยางรถทันที

   เฮ้อ...ดีนะที่เจ้าปุ้มปุ้ยนี่ยังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ ขอแค่ได้กินและมีของเล่นให้แทะในมือก็พอแล้ว เจย์เด็นเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากเมื่อเทียบกับเบบี้คนอื่นๆ

   แซมมวลพอเห็นว่าเจย์เด็นหยุดร้องแล้วก็หมุนเก้าอี้หันกลับไปทำการบ้านต่อ เขากำลังเรียนเรื่องสูตรคูณ สามารถท่องแม่2,4,5,10,11 ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ทว่าที่เหลือก็ยังติดขัด เขาเลยต้องมานั่งท่องใหม่แบบนี้

   จากเหตุการณ์เมื่อครู่ถ้าเป็นผู้ปกครองคนอื่นๆหรือพี่เลี้ยงคนอื่นๆคงจะสอนให้พี่ต้องเสียสละของเล่นให้น้องใช่ไหมครับ...แต่สำหรับโซอี้แล้วเธอบอกผมว่าอย่าทำแบบนั้นเพราะมันจะเป็นการสร้างปมในใจให้แซม ยิ่งหากเราไปพูดแบบนั้นมันก็จะยิ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจลึกๆให้กับแซม เขาจะคิดว่าตัวเขาที่เกิดก่อนได้ของเล่นมาก่อนทำไมต้องเอาของเล่นให้น้องด้วย ในขณะที่เจย์เด็นยังเล็กและแทบไม่รู้เรื่องอะไร การที่เราหยิบของเล่นชิ้นใหม่ให้แทนจะง่ายกว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพี่น้องจะไม่เกิด

   แซมมวลเป็นพี่ชายที่ดี แม้บางครั้งจะฉลาดแกมโกงไปบ้าง แต่เขาก็เสียสละให้น้องในบางโอกาสเช่นขนมบิสกิตธัญพืชที่เหลือจากกล่องข้าวที่ผมเตรียมให้ไปโรงเรียน พอกลับบ้านมา เขาก็จะยิื่นให้เจ้าตัวเล็กอย่างใจดี ผมเห็นครั้งแรกแล้วยิ้มแก้มปริเลยครับ แต่พอหลังๆเริ่มสังเกตได้ว่าเขาเหลือบิสกิตนี้มาทุกครั้งผมก็เลยไปถามเขาว่าเพราะอะไร

   ‘มันไม่อร่อย’

   ง่ายๆสั้นๆแค่นั้นแหละ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นพี่ชายใจดีคอยเหลือขนมให้น้อง ที่ไหนได้...แต่ก็ดีที่แซมยังนึกถึงน้อง ส่วนเจ้าก้อนแป้งที่สวาปามทุกอย่างลงท้องมีหรือจะอิดออด ดวงตาฟ้าใสแจ๋วกับมือป้อมๆนั่นคอยรับขนมที่ได้จากพี่ชายทุกวันจนกลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

   ระหว่างที่รอให้แซมท่องสูตรคูณแม่6และ7ได้คล่อง ก่อนที่จะมาสอบท่องกับผม ผมพยุงแขนเจย์เด็นเดินไปรอบห้อง เพื่อฝึกกำลังขา ในวัยนี้เขาคลานเก่งมาก แต่เนื่องจากกระดูกขายังไม่แข็งเลยเดินไม่คล่อง แต่ผมกับโซอี้ชอบจับแล้วฝึกให้เขาเดิน เจย์เด็นชอบใจ หัวเราะเอิ้กอ้าก ขาป้อมสั้นพยายามก้าวยาวๆเพื่อเตะลูกบอลที่ผมหยิบมาเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เขาเดิน

   “มิค ผมพร้อมแล้ว” แซมกล่าวขึ้นขณะที่ผมพาเจย์เด็นเตะบอลวนรอบห้องได้ห้ารอบ

   “โอเค ปิดหนังสือแล้วเริ่มท่องเลย ฉันฟังอยู่” ตัวผมยังคงพาเจย์เด็นเดิน แต่หูก็คอยเงี่ยฟังแม่สูตรคูณจากปากลูกชายคนกลาง

   เรียกได้ว่าคนเป็นแม่หรือพี่เลี้ยงนี่ต้องคอยทำหลายๆอย่างได้ในเวลาเดียวกันจริงๆครับ ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นโซอี้ป้อนข้าวเจ้าตัวเล็กในอ้อมอก ขณะที่ปากก็คุยโทรศัพท์กับลูกความ อีกทั้งยังจับตามองแซมมวลไม่ให้ทำอะไรแผลงๆตรงระเบียงอีกด้วย ซุปเปอร์มัมตัวจริงเสียงจริง

   “มากินข้าวกันได้แล้วจ้า มื้อเย็นเสร็จแล้ว วันนี้มีสเต็กเนื้อกับสลัดผักจ้ะ” เสียงโซอี้เรียกทำเอาแซมกระโดดโหยง แล้วรีบวิ่งไปยังโต๊ะกินข้าว

   “เนื้อ เนื้อ เนื้อ!” แซมชอบเนื้อมาก

   “ล้างมือหรือยัง” ผมพาเจย์เด็นเดินตามมาทีหลังถามแซม

   “ถูกต้องที่สุด” โซอี้ยกนิ้วให้ผม แซมไม่อิดออกเขาลุกไปล้างมืออย่างรวดเร็วในขณะที่ผมอุ้มเจย์เด็นนั่งลงบนเก้าอี้เบบี้ เตรียมป้อนผักบดให้เขา

   “เป็นยังไงบ้างจ้ะมิค เริ่มชินที่นี่หรือยัง”

   “ครับ ผมเริ่มปรับตัวได้แล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่คนจริงๆเลยครับ ฮ่าๆๆ”

   “ฉันว่าเธอต้องเป็นพ่อคนที่ดีแน่นอน”

   “ไม่หรอกครับ ผมยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ยังสู้โซอี้ไม่ได้เลย โซอี้เก่งมากเลยนะครับที่เลี้ยงลูกทั้งสามคนให้เติบโตมาได้ขนาดนี้”

   “แรกๆฉันก็ติดขัดหลายอย่างเลยล่ะจ้ะ แต่การเป็นแม่คนนี่เปลี่ยนอะไรไปได้เยอะ โดยเฉพาะตัวฉันนะ...เมื่อก่อนที่ปาร์ตี้ไม่หลับไม่นอน บ้านไม่กลับ เล่นยา แถมยังเคยแอบปลูกกัญชา บ้าผู้ชายมาก ฉันเคยอกหักไม่ไปเรียนเป็นเดือนด้วย แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง...เจอคนที่ยอมรับและเข้าใจในตัวฉันอย่างลูคัส เราสองคนก็ผ่านอะไรกันมามากมาย จนสุดท้ายแล้วเราก็ได้แต่งงานและมีลูก มันมีความหมายต่อฉันมากจริงๆ”

   โซอี้เล่าให้ฟังขณะที่เราสามคนหนึ่งเบบี้กำลังกินข้าวเย็น ถ้าหากไม่บอกผมก็คงเดาไม่ออกเลยว่าโซอี้ที่เข้มเนี๊ยบสมกับเป็นทนายสาวแบบนี้ครั้งหนึ่งในชีวิตจะเคยเหลวแหลก

   “โอ้” ผมอุทานตาโต

   “ครั้งหนึ่งในชีวิต อยากทำอะไรก็ทำเถอะ แล้วพอเธอมีประสบการณ์และได้เรียนรู้ เธอจะเข้าใจในชีวิตเอง ดีกว่ามาเสียใจทีหลังว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ทำ...หากเธอได้ลองได้ทำแล้ว ในอนาคตเธอจะไม่มีคำว่า ‘ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้...’ เพราะความจริงแล้วเวลาเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ว่าจะรวยหรือจน จะเด็กหรือแก่ก็ไม่มีทางซื้อคืนกลับมาได้ ไม่ว่าสิ่งที่เธอตัดสินใจมันจะดีหรือร้าย แต่อย่างน้อยเธอก็ได้ลองทำแล้ว...”

   ผมนิ่งอึ้ง สิ่งที่โซอี้พูดมันทำให้ผมคิดได้...ดีแล้วที่ตอบรับข้อเสนอของไมเคิล เพราะถ้าหากปฏิเสธไปผมก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกเมื่อไหร่ อีกทั้งผมยังอยากรู้ทุกๆด้านที่เป็นตัวตนของเขา ผมอยากให้เขาเผยออกมาให้ผมรับรู้ทั้งหมด

   ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง...ผมก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงไปแล้ว

   โซอี้เปลี่ยนเรื่องคุยหันไปถามแซมเกี่ยวกับโรงเรียนบ้างเป็นภาษาเยอรมัน ซึ่งผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ เลยได้แต่ป้อนผักบดให้เจย์เด็นกิน ขณะนั้นเสียงลิฟต์เปิดโซอี้จึงตะโกนถาม

   “ธีโอ? กลับมาแล้วเหรอลูก มากินข้าวสิ และอย่าลืมล้างมือก่อนด้วย”

   ลูกชายคนโตกลับมาแล้ว ผมได้ยินเสียงเขาเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างมือตามคำสั่ง ก่อนจะปรากฏกายให้เห็น ธีโอนั่งลงบนเก้าอี้ประจำข้างแซม ตรงข้ามผม เขาทักทายทุกคนเป็นภาษาเยอรมันเรียบๆ รวมไปถึงผมด้วย

   มือที่กำลังป้อนเจย์เด็นชะงัก แต่เจ้าตัวกลับทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ตักสลัดและเนื้อสเต็กใส่จานแล้วกินเงียบๆ ผมที่เรียกสติกลับมาได้จึงตอบทักทายตอนเย็นเป็นภาษาเยอรมันกลับไป

   ที่ผมแปลกใจนั่นเป็นเพราะว่าช่วงที่กินข้าวร่วมโต๊ะกันแรกๆหรือต้องเจอหน้ากัน ธีโอแทบจะไม่มองผมเลย แต่นี่เขากลับทักทายผมก่อน...อืม...สงสัยเป็นเพราะเมื่อคืนวันศุกร์ที่เขารู้สึกผิดจนมาขอโทษ ตอนนี้เขาคงปฏิบัติกับผมแบบปกติแล้วได้ล่ะมั้ง แบบที่ว่าไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้สนิทเหมือนคนในครอบครัว ผมรู้ว่าเรายังมีช่องว่างเล็กน้อย

   เราทานข้าวกันเสร็จ ผมทำหน้าที่ทำความสะอาดครัวเหมือนเดิม แซมหันไปเล่นวิดิโอเกมกับพี่ชาย โซอี้อุ้มเจย์เด็นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เมื่อผมทำความสะอาดเสร็จ บอกฝันดีเจย์เด็น แซมและโซอี้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จงานของวันนี้ ผมเดินมายังหน้าลิฟต์ ทว่าระหว่างรอลิฟต์ขึ้นมาก็มีร่างสูงมายืนข้างๆ

   เป็นธีโอนั่นเอง เราสองคนไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศก็ไม่ได้อึดอัดเหมือนก่อนหน้าที่เขาพูดดูถูกผม คงเรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของผมและเขาดีขึ้นเล็กน้อยล่ะมั้ง

   ติ๊ง!

   ขายาวๆก้าวเข้าไปด้านใน ตามด้วยผม เขากดชั้นสอง ส่วนผมกดชั้นสาม

   “เฮ้...อะแฮ่ม...ผีมิคซูดล่อ...มาที่ห้องฉันแป๊บนึงสิ” เสียงทุ้มต่ำเรียกขณะที่ประตูลิฟต์เปิดชั้นสองห้องพักของเขา ธีโอจำได้ด้วยว่าเมื่อวันศุกร์ผมบสั่งเขาว่าอะไร ผมกลั้นขำที่เขาออกเสียงผิด เก๊กหน้าขรึมเดินตามออกไป

   “มีอะไรเหรอ?”

   ธีโอเปิดประตูห้อง ถอดรองเท้าเปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์และเดินไปยังจุดที่ผมมักจะวางเสื้อผ้าของเขาไว้

   “ขอบคุณนะที่พับผ้าให้”

   ผมเบิกตากว้าง

   โอ มาย ก๊อด ... เขาขอบคุณผมแหละ รู้สึกตื้นตันในอกยังไงก้ไม่รู้ เหมือนหัวใจพองโตเลย

   “แต่ช่วยเอาไปเก็บในตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของฉันด้วยได้ไหม วางตรงนี้มันเกะกะ”

   ...

   หัวใจที่กำลังพองโตของผมเหี่ยวลงทันทีเหมือนมีคนเอาเข็มมาเจาะ

   “ครับ คุณชาย” ผมตอบประชด “มีอะไรอีกไหม” ถ้าเรียกผมมาด้วยเรื่องแค่นี้ทีหลังบอกตอนอยู่ในลิฟต์ก็ได้นะ

    “นายชอบดนตรีแนวไหน”

   หา? คำถามอะไรของเขาเนี่ย

   “ปกติก็ฟังได้ทุกแนว ทำไม?”

   ธีโอไม่ตอบ เดินไปหยิบบางอย่างจากบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ผมเดินตามหลัง เขาหันกลับมาพร้อมบัตรบางอย่าง ข้อความตัวโตๆบนบัตรทำให้ผมตะลึง

   ​นี่มันบัตรเข้างานเทศกาลดนตรี EDM ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก...Tomorrowland!!

   “พอดีว่าเพื่อนฉันคนนึงมันไม่ว่าง เลยเหลือบัตรใบนึง” เขาตอบคำถามโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปาก

   “แล้วเพื่อนนายคนอื่นๆล่ะ? เอามาให้ฉันแบบนี้จะดีเหรอ นี่มันบัตร VIP เลยนะ”

   “อย่าถามมาก ถ้าไม่อยากไปก็เอาคืนมา ฉันจะได้เอาไปขายต่อ” แขนยาวๆคว้าหมายจะเอาบัตรคืน แต่ขอโทษ ผมเร็วกว่า เอี้ยวตัวหลบได้ทัน

   “ให้แล้วให้เลย ไม่มีการเอาคืนสิ” ผมไม่ได้เซ้าซี้ธีโอต่อ แต่สังเกตเห็นจากหูแดงๆนั่นก็พอเดาได้แหละครับว่าเขาตั้งใจเอาบัตรนี้มาให้ผมแน่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่มีเพื่อนเยอะอย่างเขาทำไมต้องเอามาให้ผมด้วย หรือถ้าไม่มีคนไปได้จริงๆเอาไปขายต่อก็ได้ราคาดีมาก

   เพื่อนผมหลายคนที่เป็นสายEDMตระเวณทุกเฟสติวัลกล่าวถึงงานนี้กันเยอะมาก ว่ามันคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเลย การจะได้ไปงานนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีเงินถึงก็ตาม แม้ราคาบัตรจะแรงแต่ก็ขายหมดในไม่กี่นาที อีกทั้งยังจัดที่ประเทศเบลเยี่ยมเท่านั้น

   ผมมองบัตรในมือราวกับว่ามันคือทองล้ำค่า ถึงแม้ผมจะไม่ได้ไปพวกเทศกาลดนตรีบ่อย ทว่าผมก็ชอบไปปาร์ตี้EDMเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนะ มีบัตรแค่ใบเดียวเองเหรอ? จะให้ผมไปคนเดียวหรือยังไง?

   “ฉันกับเพื่อนจะบินไปเบลเยี่ยมศุกร์นี้ จองตั๋วไว้หมดแล้ว ถ้านายจะบินไปพร้อมกันก็บอกชื่อเต็มและเลขพาสปอร์ตนายมา เดี๋ยวฉันจะโทรไปแจ้งเปลี่ยนชื่อบนตั๋วให้” ธีโอพูดนิ่งๆ หยิบไซเดอร์ในตู้เย็นมาดื่ม “บัตร VIP นั่นเป็นแบบรวมที่พัก ดังนั้นนายจะต้องนอนรวมกับเพื่อนๆฉันด้วย แต่ถ้าไม่อยาก...นายต้องไปจองที่พักข้างนอกเองนะ”

   “ไม่เป็นไรๆ ฉันนอนกับเพื่อนนายได้” ผมรีบบอก เรื่องอะไรจะต้องไปจองที่พักเอง ป่านนี้คงเต็มหมดแล้ว ไม่ก็อัพราคาแรงซะจนเงินเดือนทั้งเดือนผมยังไม่พอจ่ายคืนนึงเลย

   “อืม...”

   “ขอบคุณนะ” ผมดีใจจนอดโดดกอดชายหนุ่มที่เด็กกว่าไม่ได้ ธีโอตัวแข็งทื่อ แต่ก็ไม่ได้ปัดป้องผมออก เขาปล่อยให้ผมกอดอยู่อย่างนั้น “นายนี่ก็ใจดีเหมือนกันแหะ”

   การที่เขาเอาบัตร Tomorrowland มาให้ผม...คงไม่ใช่เพียงเพราะการไถ่โทษ แต่คงเพราะเขาเห็นว่าผมไม่มีเพื่อนเลยด้วยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาคงอยากให้ผมออกไปเที่ยว ได้มีสังคมแบบวัยรุ่นทั่วๆไปบ้าง

   “ปล่อยได้รึยัง”

   “ฮันแน่...เขินเหรอ หน้าแดงหูแดงเชียว” ผมแซว ยืดตัวไปจิ้มแก้มสีระเรื่อ ธีโอหันหน้าไปอีกทาง พลางปัดนิ้วมือผมออก

   “เดี๋ยวก็ยึดบัตรคืนซะเลย”

   “ขอโทษครับๆ ไม่แกล้งแล้ว...ยังไงก็ขอบคุณนะธีโอ...ฝันดีครับ”

   “อือ...ฝันดี”

   ผมเดินออกจากห้องธีโอแบบตัวลอยๆ ผมดีใจจริงๆนะที่เขาชวน แถมยังให้บัตรมาฟรีๆอีก ตอนแรกผมนึกว่าสุดสัปดาห์นี้จะต้องนอนเหี่ยวเฉาอยู่ที่ห้องคนเดียวซะอีกเพราะไมเคิลไม่อยู่ พอถึงห้องตัวเองก็รีบหยิบโทรศัพท์ถ่ายบัตรอวดลงโซเชี่ยลมีเดีย เพื่อนผมหลายคนรีบมากดไลค์และคอมเม้นต์กันใหญ่เลยว่าอิจฉา จากนั้นก็เสิร์ชหารายละเอียดของศิลปินดีเจ กิจกรรม รายละเอียดต่างๆของงาน พบว่าบัตร VIP ที่ผมได้มานั้นเป็นแบบเข้างานได้ 4 วัน จากวันพฤหัสบดีถึงวันอังคาร สามารถเข้าได้ทุกโซน รวมไปถึงที่พักแบบ Exclusive Mansion ซึ่งเป็นแบบที่แพงที่สุด! ราคาราวๆหนึ่งล้านบาท สามารถพักได้ 10-12 คน อีกทั้งแมนชั่นนี้จะไม่มีขายรวมกับแพคเกจอื่นๆ แต่ต้องติดต่อกับทีมงาน Tomorrowland โดยตรงเท่านั้น

   เพียงได้อ่านเท่านี้ผมก็จะเป็นลมแล้วครับ ใจเต้นตึกตัก ยิ้มกับตัวเองหน้าคอมพ์ไม่หยุด ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตนี้จะได้ไปเทศกาลดนตรีแบบนี้ด้วย แค่ดูรูปจากปีก่อนๆก็มันส์แล้ว นี่ถ้าผมได้ไปสัมผัสและยืนตรงนั้นเองจะสนุกแค่ไหน

   ต้องขอบคุณธีโอจริงๆ...



*50%*
   



เตรียมตัวให้พร้อม ไปเที่ยวงาน EDM  กับหนูมิคกันค่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 50% [Oct, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-10-2019 00:37:17
ธีโอจะเต๊าะหนูมิคหรอจ๊ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 50% [Oct, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-10-2019 00:44:17
ธีโอจะเต๊าะหนูมิคหรอจ๊ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 50% [Oct, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 08-11-2019 07:39:24
มารอหนูมิคค่ะ

 :z13:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 50% [Oct, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 08-11-2019 12:00:25
ชีวิต คุ้มค่ามาก
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 50% [Oct, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: CKJPQQ ที่ 14-11-2019 20:25:47
 :z10:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 50% [Oct, 20]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 15-11-2019 23:56:42
*ต่อ50%ที่เหลือ*


   “TGIF* จ้ะมิค เดินทางปลอดภัยนะ เสียดายฉันต้องทำหน้าที่แม่ศรีเรือนเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นฉันไปร่วมงานด้วยแน่นอน” โซอี้พูดเศร้าๆ ในอ้อมแขนอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ “ฝากดูแลมิคด้วยนะธีโอ อย่าเมาเละเทะเหมือนปีที่แล้วล่ะ”

   “รู้แล้วล่ะน่าาา” ลูกชายคนโตของบ้านเกาหัวเซ็งๆที่โดนแม่ตัวเองกำชับเรื่องความปลอดภัย

   “แม่ฮะ ผมไปด้วยไม่ได้เหรอ ทำไมธีโอกับมิคถึงได้ไปกันสองคนล่ะ?” แซมงอแงจะตามมาด้วยให้ได้ตั้งแต่รู้ว่าผมกับพี่ชายของเขาจะไปเที่ยว

   “ไว้ลูกโตอีกสักสิบปีแล้วแม่จะให้ไปนะ ถ้าแซมสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี”

   “ไม่จริงอ่ะ ขนาดธีโอเป็นเด็กไม่ดีแม่ยังอนุญาตให้เขาไปได้เลย ผมไม่ยอมๆๆๆๆ”

   เอาแล้วไง...ความฉลาดของลูกชายคนกลางมันน่ากลัวก็ตรงนี้

   ผมยิ้มแหยให้โซอี้ เพราะจากนี้อีกสามวันเธอต้องรับมือกับลูกชายทั้งสองคนเพียงคนเดียว

   “นายว่าใครเป็นเด็กไม่ดีห๊ะ?!” ธีโอที่โดนพาดพิงถึงกับหันมาตะคอกใส่

   “ธีโอ อย่าดุน้อง”

   “แม่ครับ น้องว่าผม”

   ผมหันไปมองวัยรุ่นผมทองข้างๆ...ขี้ฟ้องเหมือนกันนะเนี่ยเรา...

   “เอาล่ะๆ รีบขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก” โซอี้ตัดปัญหา กอดลูกชายคนโตแล้วหันมากอดผมต่อ “เที่ยวให้สนุกนะจ้ะ”

   “บ๊ายบายครับ แล้วผมจะส่งภาพบรรยากาศมาให้ดูเป็นระยะๆนะครับ” ผมโบกมือลา จากนั้นก็ก้าวขาขึ้นแท็กซี่ตามหลังธีโอเพื่อตรงไปยังสนามบิน

   ผมหันหลังมองกลับไปก็พบว่าแซมยังคงดื้อจะตามมาด้วยให้ได้ แต่เหมือนโซอี้จะดุเขา ทำให้แซมหงอยลงแล้วเดินเข้าบ้านอย่างไม่เต็มใจ ผมมองภาพนั้นที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆแล้วหันกลับมานั่งตัวตรงตามปกติ ในใจนึกขอบคุณโฮสที่ดีอย่างโซอี้มากๆที่ไม่ปิดกั้นให้ผมได้ไปเที่ยว แต่ดูจากการเลี้ยงลูกชายทั้งสามคนก็พอจะรู้ว่าครอบครัวนี้เปิดกว้างขนาดไหน ยอมให้ลูกชายคนโตไปเทศกาลดนตรีแถมยังมีพ๊อคเกตมันนี่แถมให้อีกด้วย

   “โซอี้นี่ใจดีจริงๆ นายนี่โชคดีชะมัด” เกิดมาบนกองเงินกองทอง หน้าตาก็ดี พื้นฐานครอบครัวเลิศ

   “นายยังไม่เห็นตอนแม่ฉันแปลงร่าง” ธีโอตอบกลับมา หยิบนินเทนโด้ออกมาเล่นในมือ “กว่าจะขอแม่ไปได้นี่ฉันต้องไปทำงานที่ฟาสต์ฟู้ด เพราะตอนแรกแม่บอกว่าฉันไปได้ แต่จะไม่ยอมออกค่าใช้จ่ายให้ฉันแม้แต่ฟรังก์เดียว แต่ดีที่ฉันพอมีเงินเก็บบ้างเลยซื้อตั๋วทัน”

   “โห งั้นนายคงจะมีเงินเก็บเยอะน่าดู” ราคาบัตร VIP นั้นไม่ใช่เล่นๆ

   “ก็นิดหน่อย ปีก่อนฉันรับงานถ่ายแบบด้วย” เขาพูดแบบไม่ยี่หระ เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆอะไรแบบนั้น “แต่เงินเก็บฉันไม่ได้มากพอที่จะซื้อบัตร VIP นี้หรอก...ตั๋วใบเก่าฉันประกาศขายออนไลน์ไปแล้ว ส่วนตั๋ว VIP นี้พ่อให้มา”

   “อ่าหะ แบบนี้ฉันต้องไปขอบคุณลูคัสด้วยสินะ”

   “แต่แม่จ่าย”

   “อะอ้าว”

   “พอดีว่าแม่ฉันก็ชอบเทศกาลดนตรีแบบนี้ แม่ร่วมงานตั้งแต่ปีแรกที่มีการจัดงานเลย แต่ปีนี้ดันคลอดเจย์เด็นออกมา เลยทำให้เธอไม่ว่าง ต้องสละตั๋ว VIP ให้ลูกชายแบบฉัน”

   “จริงดิ? นึกภาพโซอี้ไปร่วมงานแบบนั้นไม่ถูกเลย” แต่คิดไปคิดมาก็คงไม่แปลก เธอเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าเมื่อก่อนน่ะใช้ชีวิตคุ้มขนาดไหน

   “ฉันมีภาพของแม่ปีก่อนๆด้วย ดูไหม?”

   “ดูสิ ไหนๆๆๆ?” ผมกระตือรือร้น ธีโอล้วงไอโฟนรุ่นล่าสุดออกมาแล้วย้อนเปิดแกลลอรี่ให้ดู เป็นคลังภาพงาน Tomorrowland เมื่อสามปีที่แล้ว โซอี้ทำสีผมฉูดฉาด แต่งกายเซ็กซี่โชว์เนินอก ทั้งยังใส่กางเกงยีนส์สั้นจุ๊ดจู๋

   “มีคลิปด้วยนะ...บอกเลยว่าแม่ฉันแซ่บสุด”

   ธีโอเล่นเปิดคลิปให้ผมดู คนในวิดิโอไม่ใช่ใครที่ไหน...คุณแม่ลูกสามนี่เอง ผมเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่าหญิงสาวที่กำลังเต้นหัวเหวี่ยงอยู่นั่นคือโซอี้ ทนายสาวมาดเนี้ยบนั่นน่ะ

   “ว่าแต่ผู้ชายข้างๆนั่นใครเหรอ?” ดูยังไงๆก็ไม่เหมือนลูคัสสักนิด

   “อ๋อ น้องชายแม่ฉันเอง ชื่อไรอัน นายยังไม่เคยเจอใช่ไหม? แต่เดี๋ยวคงได้เจอแหละ ไม่งานวันเกิดแซมก็ตอนคริสต์มาสโน้นเลย”

   “แล้วลูคัสไปไหนเหรอ?” เขาไม่หวงเมียตัวเองเลยเหรอไง ปล่อยให้แต่งตัวเซ็กซี่แบบนี้เดี๋ยวก็มีผู้ชายอื่นมาจีบหรอก ยิ่งสวยๆแบบนี้ด้วย

   “ทำงานน่ะสิ...แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ผัวเมียคู่นี้รักกันมากมานานกว่า 20 ปีแล้วล่ะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก พ่อฉันสมัยหนุ่มๆก็ใช่ย่อย แต่พอได้รักใครสักคนก็รักเดียวใจเดียว เห็นว่าเดือนหน้าจะหนีไปฉลองฮันนีมูนครบรอบที่ได้รู้จักกันครบ 20 ปีด้วย แม่บอกนายรึยังว่าอาจต้องทำงานวันหยุด?”

   “ยังเลย เดี๋ยวพอกลับมาโซอี้คงบอกตารางงานเดือนหน้าเองล่ะมั้ง”

   เราสองคนคุยกันไม่นานก็มาถึงจุดหมาย ผมกับธีโอลากกระเป๋าเดินทางมายังจุดนัดพบเพื่อนๆของเขา ผมแอบตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้รู้จักฝรั่งคนอื่นๆบ้าง

   “Hey! Theo!” เสียงเรียกจากทางฝั่งขวาทำให้ผมและธีโอหันไปมอง

   เป็นกลุ่มเพื่อนของเขานั่นเองที่มารออยู่นานแล้ว พวกเขาทักทายคุยกันเป็นภาษาสวิสเยอรมันจนผมเบลอ ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงดี

   ก็ในเมื่อกลุ่มเพื่อนวัยรุ่นของเขาหน้าตาดีๆกันทั้งนั้นเลย! ผมละลานตาเลือกไม่ถูก...เอ๊ย...ผมทำตัวไม่ถูกต่างหาก

   “นี่ทุกคน เพื่อนฉันเอง ชื่อมิค มาจากประเทศไทย” ธีโอที่เพิ่งระลึกได้ว่ามีหนุ่มเอเชียติดตามห้อยสอยมาด้วยก็ดันผมมาข้างหน้าแล้วแนะนำให้เพื่อนๆรู้จัก

   ผมเกาหัวแกรกๆ โค้งตัวลงน้อยๆแล้วบอกสวัสดีทุกคนรอบวง

   พวกเขาแต่ละคนผลัดกันแนะนำชื่อตัวเอง แต่ผมจำไม่ได้หรอกนะ ก็มีเยอะซะขนาดนี้ นับได้รวมๆทั้งชายและหญิงประมาณ 10 คน รวมผมกับธีโอเข้าไปด้วย

   “เราไปสแกนกระเป๋ารอบอร์ดดิ้งกันเลยไหม” ชายหนุ่มใส่แว่นคนหนึ่งพูดขึ้นมาที่ผมคุ้นๆว่าเขาชื่อ พาสคัล (Pascal) มั้งนะ ? ถ้าผมจำไม่ผิด

   จากนั้นพวกเราก็ตรงไปยังซีเคียวริตี้เช็คทำตามขั้นตอนก่อนขึ้นเครื่อง ดีที่ว่าสมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไกลแล้ว สามารถเช็คอินจากบ้านได้เลย ไม่ต้องไปเคาเตอร์เพื่อปริ้นบอร์ดดิ้งพาสเหมือนเมื่อก่อน

   ผมเดินตามพวกเขาไปอย่างเงียบๆ ใครเข้ามาทักทายด้วยก็คุยและยิ้มให้ ดีที่ว่าพวกเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากจึงไม่เป็นปัญหาในการสื่อสารเลย

   ขณะที่นั่งรอขึ้นเครื่องธีโอเดินมาถามผมว่าจะเอาอะไรไหม เขากับเพื่อนจะไปเข้าห้องน้ำและซื้อกาแฟ ผมกล่าวปฏิเสธและขอบคุณไป หันมาตอบมะม๊าที่เมืองไทยว่าตอนนี้ผมกำลังขึ้นเครื่องไปเบลเยี่ยม ว่าแล้วก็อัพสเตตัสสักหน่อยดีกว่า ให้เพื่อนที่เมืองไทยอิจฉาเล่น ฮิฮิ

   ผมชูโทรศัพท์ถ่ายรูปตั๋ว VIP ในมือ เบื้องหลังเป็นเครื่องบินลำใหญ่ที่ลวดลายข้างๆเป็นดอกไม้สีสันอาร์ทๆ เขียนว่า Tomoorowland ส่วนหางเครื่องก็เป็นโลโก้สายการบิน ตอนแรกที่ผมเห็นแอบตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าเทศกาลจะยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่าสายการบินยังร่วมด้วย

   “มาร่วมงานครั้งแรกใช่ไหม?” จู่ๆก็มีเพื่อนของธีโอเดินมานั่งข้างๆ “ฉันชื่อ มารียง (Marion) ยินดีที่ได้รู้จักนะ” พูดจบก็ยื่นมือออกมาเพื่อเช็คแฮนด์ ผมตอบรับอย่างกระตือรือร้น

   “ใช่ครับ ปีนี้เป็นปีแรกของผมเลย ส่วนผมชื่อมิค ยินดีที่ได้รู้จักมารียงครับ”

   “เธอคงจะตื่นเต้นมากสินะ? ว่าแต่เป็นเพื่อนธีโอใช่ไหม?”

   “ครับ ผมมาจากประเทศไทย”

   “ว้าว ฉันชอบเมืองไทยมากๆเลยล่ะ” มารียงยิ้มหวาน กุมมือทั้งสองข้างในท่าทางขอพรพระเจ้า “อยากไปอีกจังเลย คิดถึงแดดร้อนๆที่พะงันที่สุด...เออเมื่อกี้เธอถ่ายรูปลงอินสตาแกรมใช่ไหม? ฉันขอแอคเค้าได้รึเปล่า จะได้ฟอลโล่กันไว้”

   “ได้สิครับ”

   ผมกับมารียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ฟอลโล่กันและกันเรียบร้อย มารียงเป็นสาวชาวฝรั่งเศสที่คุยสนุกมาก เมื่อเธอเห็นรูปที่ผมเพิ่งลงก็บอกให้ฟังว่าเครื่องบินลำนี้มีแต่คนที่ไปร่วมงาน Tommorrowland ทั้งนั้น ผู้โดยสารไม่ต้องจ่ายเครื่องบินเพิ่มเพราะรวมลงไปในค่าตั๋วแล้วนั่นเอง มารียงเป็นสาวร่างเริงสดใสสุดๆ เธอเตี้ยกว่าผมไม่กี่เซ็นต์ ยิ่งบวกกับการแต่งกายสีสันในชุดเดรสสั้น สวมหมวกสีช๊อคกี้พิ้งค์ตัดกับผมสีบลอนด์ยิ่งทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตา ผมกับเธอนั่งคุยและเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดที่ว่าเดินเข้าเครื่องบินแล้วเธอขอย้ายที่นั่งกับธีโอเพื่อที่จะได้นั่งกับผมในชั้นธุรกิจ ผมตื่นเต้นเล็กน้อยถึงปานกลางเมื่อรู้ว่าจะได้นั่งในชั้นนี้ นี่สินะสิทธิพิเศษของตั๋ว VIP สงสัยกลับไปคงต้องทำอาหารไทยอร่อยๆแล้วกราบลูคัสกับโซอี้งามๆที่อนุญาตให้ผมหยุดงานมาร่วมเทศกาลดนตรีแบบนี้

   “Merci**...นี่จะว่าไปแล้ว...มิคคงเป็นคนพิเศษสุดๆไปเลย ฉันไม่เคยเห็นธีโอมีเพื่อนเอเชียเลยสักคน มิคเป็นคนแรกเลยนะ! แถมยังพามารู้จักกับพวกเราด้วย” มารียงขอบคุณแอร์โฮสเตสที่เสิร์ฟน้ำส้มแล้วหันมาพูดกับผม

   “อ่า...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ”

   “จะไม่ใช่ได้ยังไง เมื่อกี้ฉันเถียงกับเขาแทบตายกว่าจะแลกที่มานั่งกับมิคได้น่ะ” สาวชาวฝรั่งเศสพูดใส่อารมณ์ พลางถอดจิบน้ำส้มในมือ “เขานิสัยเสียสุดๆเลยล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้จักหนุ่มน้อยน่ารักๆแบบมิคได้”

   ผมหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเพื่อนธีโอเผาเจ้าตัวเองแบบนี้

   “ฮ่าๆๆ ผมเห็นด้วยว่านิสัยเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็มีบางมุมที่น่ารักเหมือนกันนะครับ” ผมที่ได้ตั๋วฟรีมายังไงก็ต้องพูดเอาใจเลียแข้งเลียขาธีโอไว้ก่อน เดี๋ยวเขาเกิดโมโหนึกยึดตั๋วคืนขึ้นมาจะว่ายังไง “แล้วมารียงรู้จักกับธีโอได้ยังไงเหรอครับ?”

   “อ๋อ เป็นเพื่อนที่โรงเรียน แล้วก็เป็นเพื่อนของชาร์ล็อตต์ด้วยจ้ะ” เมื่อเห็นผมทำหน้างงเธอก็อธิบายต่อ “ชาร์ล็อตต์เป็นแฟนของธีโอ แต่คราวนี้เธอไม่ได้มาด้วยเพราะโดนธีโอไล่ให้กลับแคนาดาไปน่ะจ้ะ น่าสงสารเธอมากเลย ธีโอนี่ใจร้ายจริงๆ”

   อ๋อ...ผมจำได้แล้ว ชื่อของผู้หญิงที่เขารับโทรศัพท์เมื่อวันนั้น สรุปเป็นแฟนกันหรอกเหรอ? ไหงธีโอบอกว่าแค่คู่นอนไงล่ะ

   “ใครใจร้าย? แล้วใครเป็นแฟนใครห๊ะ!?” เสียงตวาดขึ้นจากเบาะข้างหลัง ผมกับมารียงหันกลับไปมอง เป็นธีโอนั่นเองที่นั่งหน้าไม่สบอารมณ์ “พูดให้มันดีๆหน่อย ฉันได้ยินที่พวกเธอคุยกันนะ”

   “ก็เธอไงเป็นแฟนกับชาร์ล็อตต์ อิอิ” มารียงไม่ได้กลัวออร่าดำทะมึนที่เริ่มแผ่ออกมาจากร่างกายของธีโอเลย

   “นี่มารียงเลิกแหย่เจ้าธีโอมันได้แล้วน่า...” คนที่นั่งข้างธีโอพูดปราม ผมจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร เพราะเขาเป็นคนพูดน้อยเหลือเกิน

   “เหอะ” ธีโอกอดอก เสตามองไปทางอื่นเมื่อเขาเห็นว่าผมจ้องอยู่

   “โธ่ ไม่สนุกเลย” มารียงหันกลับมากระซิบข้างหูผม “ใครๆก็รู้กันทั้งโรงเรียนนั่นแหละว่าชาร์ล็อตต์ชอบธีโอขนาดไหน ยอมเป็นแค่คู่นอนด้วยซ้ำ มีแต่ธีโอนั่นแหละที่ตาบอด คั่วผู้หญิงไปทั่ว ฉันล่ะสงสารชาร์ล็อตต์จริงๆ ที่ไม่ได้มาด้วยวันนี้ก็เห็นว่าทะเลาะกันจนชาร์ล็อตต์โดนไล่ให้กลับไปเยี่ยมย่าที่แคนาดา อดมาด้วยกันเลย”

   ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสารผู้หญิงที่ชื่อชาร์ล็อตต์แหะ...พอกลับไปคิดถึงตอนที่ธีโอเล่าเรื่องเธอให้ฟัง มันเหมือนหนังคนละม้วนเลย


*


   การเดินทางจากซูริคมายังประเทศเบลเยี่ยมโดยเครื่องบินนั้นใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยังไม่ทันได้หลับเต็มตื่นก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ในสนามบินบรัซเซลล์แล้ว

   ผมเดินตามเพื่อนๆของธีโอมายังจุดรับรถ ซึ่งเป็นการรับส่งจากสนามบินสู่เมืองบูมสถานที่จัดงาน Tomorrowland ที่รวมอยู่ในตั๋วแล้ว ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง รถที่มารับเป็นรถตู้ขนาดกลาง ดังนั้นเลยต้องแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม แต่คราวนี้ผมไม่ได้นั่งติดกับมารียงแล้ว เธอโดนเพื่อนสาวอีกสองคนเรียกตัวให้ไปนั่งในรถตู้อีกคัน

   “มานั่งนี่” เสียงคุ้นเคยของธีโอเรียกผม สายตาหันไปเห็นมือขาวๆที่ตบเบาะข้างเขา บ่งบอกว่าเขาต้องการให้ผมนั่งตรงนั้น ซึ่งสามที่ด้านหน้าโดนเพื่อนเขาจับจองกันครบทุกคนแล้ว

   ผมก้มหัวแล้วหย่อนก้นลงบนเบาะนั้น จากนั้นคนขับรถก็ปิดประตูแล้วเดินไปประจำที่คนขับ

   “นี่”

   “หะ? อะไร?” ผมที่กำลังหลงใหลกับสภาพแวดล้อมในประเทศใหม่ถึงกับสะดุ้ง ธีโอเอียงตัวมากระซิบข้างหูผมเพราะตอนนี้ในรถเปิดเพลงเสียงดังจบกลบเสียงคุย เพื่อนๆเขาสามคนข้างหน้าก็แหกปากโวยวายร้องเพลงที่ผมไม่คุ้นเคย คงเป็นเพลงป๊อปที่ดังๆในบ้านเขานั่นแหละมั้ง

   “ในสายตานาย...ฉันนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” คนพูดดูไม่มั่นใจในตัวเอง “ฉันขอโทษแล้วไงที่ปากพล่อยไปแบบนั้น”

   นี่เขาได้ยินที่ผมคุยกับมารียงบนเครื่องบินสินะ

   “เอ่อ...จะว่ายังไงดีล่ะ เมื่อก่อนฉันก็มองนายแบบนั้นนั่นแหละ ยิ่งนายมาพูดไม่ดีด้วยแล้ว...” ธีโอทำหน้าหงอยลงไปอีก “แต่หลังจากที่นายมาขอโทษแล้วไถ่โทษด้วยตั๋ว Tomorrowland แบบนี้ ฉันว่านายไม่ได้แย่นักหรอกนะ”

   “จริงนะ?”

   “จริงสิ ถ้าฉันยังโกรธนายอยู่คงไม่มาด้วยหรอก”

   “ถ้างั้นตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม?”

   เอ๊ะ ถามแปลก

   “ก็ใช่น่ะสิ...แต่นายลืมอะไรไปรึเปล่า?” ธีโอทำหน้างง “นายลืมเรียกฉันว่า ‘พี่มิคสุดหล่อ’ ยังไงล่ะ”

   “อ๋อ โอเคๆ พีมิคซุดล่อ”

   “ฮ่าๆๆๆ ดีมากไอ้น้องชาย” ผมตบบ่าเขาอย่างสนิทสนม “ส่วนเรื่อง..เอ่อ..ชาร์ล็อตต์น่ะ ฉันไม่ยุ่งหรอกนะ นายจะทำอะไรมันก็เรื่องของนาย แต่ถ้าอยากระบายหรือได้คนรับฟังฉันก็พร้อมอยู่เคียงข้างนายเสมอ”

   ธีโอหันมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าครามจ้องลึกจนผมรู้สึกเก้อเขิน

   ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?

   “Thank you for being kind to me. But you should know that every girl is a doll (ขอบคุณที่ใจดีกับฉัน แต่นายควรรู้ไว้นะว่าผู้หญิงทุกคนน่ะคือตุ๊กตา)”

   หือ ทำไมเขาพูดแบบนั้นล่ะ? จะหาว่าผู้หญิงคือของเล่นสำหรับผู้ชายหรือไง?

   ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากด่ากลับ อีกฝ่ายก็ต่อประโยคขึ้นมาเสียก่อน

   “Either Barbie or Annabelle (ที่เป็นได้ทั้งบาร์บี้และแอนนาเบลล์)”




TBC


*TGIF ย่อมากจาก Thanks God It’s Friday ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้เป็นวันศุกร์

**Merci อ่านว่า แมซี่ (ภาษาฝรั่งเศส) แปลว่าขอบคุณ





Talk

ขอโทษค่ะที่หายไปนานเลย แบบว่าไม่มีไฟจะแต่งเรื่องนี้ต่อ T_T
กำลังใจน้อยมากๆ ฮือออออ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-11-2019 23:58:40
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 16-11-2019 06:52:59
ธีโอปากร้ายเป็นนิสัยสินะแต่ตอนนี้พยายามไม่ปากร้ายกับมิค ถ้ามิคทำอะไรไม่ถูกใจขึ้นมาจะปากร้ายใส่มิคไหม
แล้วทำไมต้องห่วงว่ามิคคิดยังไงกับตัวเอง แอบชอบมิคเหรอ :hao3:

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ :L2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 16-11-2019 08:50:57
ชอบเรื่องนี้มากๆ รายละเอียดดีมาก แต่ละการกระทำสมจริง สมเหตุผล เหมือนเกิดขึ้นจริงๆ เขียนต่อนะ เป็นกำลังใจให้จ้า

รออ่านตอน play

 :L1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-11-2019 08:53:19
ประโยคสุดท้ายนี้ร้ายกาจมากนะธีโอ แต่ดันจริง 55
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 16-11-2019 10:20:30
 o13. น่าสนใจมากกกค่ะ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 16-11-2019 15:04:51
 :L1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: prueksa ที่ 17-11-2019 21:10:21
 o13 thank you
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: prueksa ที่ 22-11-2019 21:24:08
 :z13:รอนักเขียนมาต่ออยู่นะ
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-11-2019 23:01:19
ยังรออยู่น๊า~
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: ออบลิวิอาเต้ ที่ 05-12-2019 08:25:10
รอ~ :mew2:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: We_LS ที่ 05-12-2019 08:36:28
 :sad4: :sad4: เรารอเรื่องนี้ยุเรื่องเดียวในเล้าเลยตอนนี้ เราอยากอ่านต่อมากเลยค่า คุนคนเขียนสู้สู้นะ มาเอากำลังใจจากเราปายยยเลย
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 05-12-2019 22:57:45
มารอด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 21-12-2019 22:36:11
แอบรอเธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-12-2019 01:26:53
ยังรออยู่น๊าาา
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 01-01-2020 22:13:22
กราบขออภัยคุณไมเคิล ต้องย้ายเรือมาถือป้ายไฟธีโอแทนแล้วล่ะ เด็กมันเปย์แรง ไม่ไหว ยิ่งใจง่ายอยู่ :hao7: :hao7: :mew4: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: ออบลิวิอาเต้ ที่ 24-01-2020 19:09:57
~รอ~ :katai4:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 24-01-2020 19:47:55
ลงเรือธีโอดีกว่า กินเด็กอายุยืนนะมิค
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: ออบลิวิอาเต้ ที่ 16-02-2021 07:40:49
 :hao5:
หัวข้อ: Re: As he pleases ❣️[BDSM] UP! Chapter X 100% [Nov, 16]
เริ่มหัวข้อโดย: Goplayz ที่ 19-02-2022 19:18:39
โอ้ย....งานนี้นู๋มิคเจอแพคเก็ตคู่แน่นอน...ไม่เคิล-มิค-ธีโอ....ในใจคิดไปถึง3 some... แว้ววววว....กราบที่ตักงามๆนักเขียน...สุดจริงแน่เรื่องนี้