[Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]  (อ่าน 58742 ครั้ง)

ออฟไลน์ __puppy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เป็นเวิสที่น่าสนใจมากๆๆๆ ขอปักกก่อนนะคะ เดี๋ยวมาอ่าน อิอิ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เซ็บน่ารักกกกกกก

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
เซ็บค่อนข้างจะตรงไปตรงมานะ รู้สึกแบบไหนยังไงก็ยอมรับตัวเองได้
ส่วนแมวยักษ์ก็สมกับฉายามากๆ เอะอะก็ซบ เอะอะก็อ้อน ฮึ่ยยย
ถึงไม่ใช่โซลเมทก็หลงแพทได้ง่ายๆเลยละ

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 7

Better when we are together


[Patrick]


หลังรับโทรศัพท์สายนั้นเซบาสเตียนดูเปราะบางอย่างน่าใจหาย ผมห่วงเขาจนอาสาพาตัวเองมาอยู่ข้างๆ แม้จะโดนปฏิเสธในตอนแรกก็ตาม เซบาสเตียนอายุมากกว่าผม หลายๆ ครั้งที่ผมรู้สึกว่า ว้าว! คนๆ นี้ดูเป็นผู้ใหญ่จัง นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาปฏิเสธจะรับความช่วยเหลือ แต่ถึงเซบาสเตียนจะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ

ผมทำใจทิ้งเขาไว้คนเดียวไม่ได้จริงๆ

เป็นผู้ใหญ่กว่าแล้วยังไง พึ่งพิงคนที่เด็กกว่ามันเสียศักดิ์ศรีตรงไหน?

ตอนนี้เลยกลายเป็นผมนั่งตัวแข็งเกร็งอยู่ในห้องพักระดับ VIP ที่มีบอดี้การ์ดชุดดำยืนเรียงอารักษ์ขารอบห้อง แน่นอนว่าห้องของ ‘ซีมอน รอสซ์’ การป้องกันต้องแน่นหนาเป็นธรรมดา ถ้าเซบาสเตียนไม่ยืนกรานจะให้ผมเข้ามาด้วย ผมคงโดนการ์ดกันไว้ตั้งแต่หน้าห้อง

“ฝนใกล้หยุดแล้ว”

ผมหันมองเซบาสเตียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เรียวขายาวยกพาดโต๊ะรับแขกตรงหน้า สองมือกอดอกหลวมๆ หลังเอนพิงโซฟา เบนหน้ามองออกนอกประตูระเบียงกระจกที่เกาะพราวไปด้วยเม็ดฝน ท่าทางผ่อนคลายจนผมนึกขำตัวเอง

พวกเราเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันจริงๆ นั่นแหละ

ในขณะที่ผมเกร็งกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่ยืนเรียงเต็มห้อง เซบาสเตียนกลับทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ผมส่งเสียงขานรับในลำคอ ตาจ้องมองช่วงลำคอของคนที่นั่งข้างๆ นึกอยากเอียงหน้าซบสูดกลิ่นหอมจากตัวเขาอีกสักครั้ง แถมอุณหภูมิบนตัวเซบาสเตียนก็อุ่นกำลังดี และผมชอบมันสุดๆ ไปเลย

สิบนาทีต่อมาฝนก็หยุดตก

เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังห้องเป็นเสียงแรกที่ดังเข้าโสตประสาทการได้ยิน

“อัล...นายไปตามแมทธิวมา”

“รับทราบครับคุณเซบาสเตียน”

หนึ่งในบอดี้การ์ดโค้งหัวรับคำก่อนเดินออกไปข้างนอก เซบาสเตียนหันมาทางผม ดวงตาสีเขียวหรี่ลงจากนั้นมุมปากก็กระตุกยิ้ม

เท่จนอยากโดดเข้าใส่

“เป็นอะไรเจ้าแมวยักษ์ นั่งตัวเกร็งขนาดนั้น”

“คุณรู้ อย่าแกล้งถามเลย”

“ก็บอกแล้ว” เสียงหัวเราะหึดังเข้าหู “ว่าให้กลับไปก่อน นายดื้อเองนะแพท”

“ก็ไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว”

“ฉันดูอ่อนแอขนาดนั้น?”

“ผมเป็นห่วง”

เซบาสเตียนเลิกคิ้วเหมือนถามว่าเขาดูน่าเป็นห่วงตรงไหน ผมไล่สายตามองคนที่เอนหลังพิงโซฟา ขาเหยียดพาดโต๊ะอย่างสบายอกสบายใจแล้วหาคำพูดไปค้านไม่ออก เซบาสเตียนตอนนี้ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละ

แอ๊ด…

เสียงเปิดประตูทำให้ผมเงียบลง แมทธิวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแจ่มใสเหมือนเป็นคนละคนกับตอนที่ซีมอน รอสซ์อยู่ในห้องฉุกเฉิน

“ฝนหยุดสักที”

“เรื่องมันเกิดได้ยังไง”

“อา...เรื่องนั้น…” แมทธิวลากเสียง ดวงตาเบนมาสบผมแล้วคลี่ยิ้ม “อืม...บางทีเราคงต้องเชิญเพื่อนใหม่ออกไปรอข้างนอกสักพักนะเซ็บ”

“อา พวกคุณตามสบายเลยครับ” ผมรีบลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้แมทธิว ไม่ติดใจกับการออกปากไล่ทางอ้อม นี่เป็นเรื่องในครอบครัวและผมเป็นคนนอก ผมไม่ควรเข้ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว “ผมก็ว่าจะออกไปหาอะไรทานพอดี”

“แมวส้ม”

“ครับ?” ผมชะงักเท้า หันกลับมาขานรับเซบาสเตียน ดวงตาคมสีเขียวมรกตจ้องสบผมนิ่ง

“เสร็จแล้วจะตามไป”

“...?”

“นายไม่ได้เอารถมานี่” เขาถอนใจ มองผมด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่าแค่นี้คิดไม่ได้หรือไง “จะไปส่ง ขอคุยธุระก่อน”

“ครับ” ผมพยายามกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม “ผมจะรอนะ”

เซบาสเตียนพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดหรือรั้งอะไรไว้อีก ผมเลยหันไปผงกหัวบอกลาแมทธิวตามมารยาทแล้วเดินออกจากห้อง แอบสะดุ้งนิดหน่อยที่เห็นบอดี้การ์ดอีกชุดยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้า แถมพอยิ้มให้ก็ไม่ยอมยิ้มตอบอีกต่างหาก

มนุษย์สัมพันธ์แย่จริงๆ


ผมเดินเตร่อย่างไร้เป้าหมาย ในโรงพยาบาลแบบนี้มันยากที่จะหาอะไรทำฆ่าเวลาจริงๆ ผมจนปัญญาจนต้องลงลิฟต์มาชั้นหนึ่ง ถามนางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ว่าที่นี่มีที่ๆ พอจะให้ผมไปนั่งเล่นรอคนได้ไหม คำตอบที่ได้คือในเขตโรงพยาบาลมีร้านกาแฟตั้งอยู่ ผมสามารถไปรอที่นั่นได้ หลังถามทางจนแน่ใจว่าจะไม่หลง ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย

กริ๊ง

เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณต้อนรับเมื่อเปิดเข้าไป กลิ่นกาแฟหอมลอยแตะจมูก โต๊ะส่วนใหญ่ถูกจับจองเกือบหมด ผมกวาดสายตาหาที่นั่งให้ตัวเอง โชคดีที่โต๊ะติดหน้าต่างด้านในสุดยังว่างอยู่

“รับอะไรดีคะ”

“โกโก้ร้อนที่นึงครับ ขอบคุณ”

ผมไม่ค่อยดื่มกาแฟเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็น ยกเว้นต้องถ่างตาทำงานดึกๆ โกโก้ร้อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดี ผมหยิบไอแพดขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ข่าวดังในโซเชียลเน็ตเวิร์คตอนนี้คงหนีไม่พ้นข่าวของซีมอน รอสซ์ที่ถูกลอบยิง กองทัพนักข่าวที่ถูกกันไว้หน้าโรงพยาบาลเป็นพยาน ผมเลื่อนอ่านข่าวไปเรื่อยๆ ข้อมูลบางแหล่งก็ใส่สีตีไข่เยอะเกินจนดูออก

แต่บางข้อมูลที่ผู้คนคอมเม้นต์กันใต้แหล่งข่าวก็ทำให้ผมเผลอขมวดคิ้ว


ฉันเคยได้ยินว่า ‘เซบาสเตียน รอสซ์’ ปฏิเสธการหมั้นกับ ‘เมลิน่า มอเรน’ ทายาทตระกูลดังที่เคยเป็นคู่ค้ากับรอสซ์มานาน ไม่แน่นะ การโดนหักหน้าครั้งนี้อาจทำให้ ‘มาร์ค มอเรน’ ไม่พอใจจนสั่งคนไปยิงสั่งสอนซีมอนก็ได้


ใต้คอมเม้นต์นั้นมีการตอบกลับนับสิบ ผมเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วเผลอกดดูอย่างห้ามไม่ได้


เซบาสเตียนเป็นคนปฏิเสธแต่กลับไปยิงคนพ่อเนี่ยนะ ไม่เมคเซ้นส์เอาซะเลย

ข่าวนั้นเกือบจะเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งมาสั่งยิงเอาตอนนี้

คนจะได้ไม่พุ่งเป้าไปที่มาร์คไงล่ะ

เฮ้! สติหน่อยเถอะพวกคุณ เท่าที่อ่านมาฉันยังหาจุดเชื่อมโยงของเรื่องนี้ไม่เจอเลย ถ้าฉันเป็นมาร์คแล้วคิดจะยิงใครสักคนล่ะก็ คนๆ นั้นควรเป็นเซบาสเตียน ไม่ใช่ซีมอน


ผมวางไอแพดลงบนโต๊ะ ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับซีมอนสักนิด ที่สนใจตอนนี้มีแค่เรื่องของเซบาสเตียนและเมลิน่า ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซบาสเตียนมีคู่หมั้น...ไม่สิ เขาปฏิเสธเธอ ข่าวนี้น่าจะใหญ่พอสมควรแต่ทำไมผมถึงไม่รู้กัน?

“โกโก้ร้อนมาแล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมเงยหน้าส่งยิ้มก่อนรับแก้วโกโก้มา กลิ่นหอมหวานของมันช่วยให้ความคิดที่สับสนของผมผ่อนคลายลง ผมกุมแก้วไว้ด้วยสองมือ สัมผัสอุ่นร้อนนาบผิวเนื้อ มันไม่ร้อนมากจนลวกผิว และผมค่อนข้างชอบอุณหภูมิระดับนี้

ไอสีขาวลอยขึ้นมาแล้วจางหายไปในอากาศ

ถ้าความคิดยุ่งเหยิงที่ผมมีต่อเซบาสเตียนหายไปเหมือนไอสีขาวนี่ก็คงดี เพราะตอนนี้ผมต้องยอมรับว่าหวงเขามากๆ ถึงพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันก็ตาม มีแค่สถานะ ‘โซลเมต’ ที่ทำให้ผมอุ่นใจว่าระหว่างเรายังมีสายใยบางๆ รั้งเอาไว้

ที่ผมบอกว่าสนใจเซบาสเตียนมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และความสนใจในวันนั้นมันเติบโตเป็นความรู้สึกที่มากขึ้นกว่าเดิม

เพิ่มเติมและอัดแน่นอยู่ในใจ

กริ๊ง…

เสียงกระดิ่งร้านดังกังวาน ทว่าผมยังจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง เสียงฝีเท้าที่เดินตรงมาฟังดูห่างไกล กระทั่งเก้าอี้ข้างตัวผมถูกดึงออกและมีใครบางคนทรุดตัวลงนั่งถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง

“มองแก้วโกโก้แล้วเหม่อแบบนี้ แน่ใจว่าไหว?”

“อ่า…” ผมกะพริบตา สติกลับคืนมาและพบว่าเซบาสเตียนนั่งจ้องหน้าผมด้วยแววตาสงสัย “คิดอะไรนิดหน่อยครับ คุณตามมาถูกได้ยังไง”

พวกเราไม่ได้แลกเบอร์กัน และเขาไม่ได้โทรมาถามผมแน่ๆ ว่าอยู่ที่ไหน

“ฉันส่งบอดี้การ์ดตามนายมา แล้วอะไรนิดหน่อยที่ว่านั่น…” เขาหลุบสายตามองบนโต๊ะ หน้าจอไอแพดผมยังเปิดค้างอยู่หน้าเว็บเดิม “...ใช่เรื่อง ‘อดีต’ คู่หมั้นฉันหรือเปล่า”

“...”

“แพท” น้ำเสียงเข้มทุ้มต่ำ เซบาสเตียนจ้องหน้าผม “ลืมเอาปากมาหรือไง”

“คือ...เปล่า”

“งั้นก็ตอบคำถามฉัน”

น้ำเสียงเขาเหมือนคุณครูจอมเฮี้ยบกำลังคาดคั้นให้เด็กนักเรียนสารภาพความผิด แม้เซบาสเตียนจะเป็นอาจารย์จริงๆ แต่ผมไม่ได้เป็นนักเรียนของเขา ถึงอย่างนั้น...น้ำเสียงนั่นก็มีอิทธิพลทำให้ผมยอมตอบแต่โดยดี

“อื้ม…”

“แมวโง่” เซบาสเตียนถอนใจหนัก เขาจ้องหน้าผม “จะทำตัวเป็นแมวหงอยทำไม ในข่าวก็บอกอยู่ว่าฉันปฏิเสธ”

“ผมแค่…” ผมขมวดคิ้ว ไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่พึมพำเสียงเบา “...หวงคุณ”

“มีสิทธิ์หวงงั้นเหรอ”

“ไม่มี”

“ก็รู้ตัวนี่” เสียงเรียบเฉยชาจนน่าใจหาย ผมเงยหน้าจ้องเขา เผลอตัวตัดพ้อเสียงขึ้นจมูก

“คุณใจร้าย”

“แต่นายก็ยังชอบ…” เขาสวนกลับหน้าตาย “ฉันพูดถูกไหม?”

ผมสบตากับเซบาสเตียน ไม่รู้ว่าที่เขาพูดแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร เหมือนจะเปิดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ชัดเจนว่าผมไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา ความสับสนทำให้ผมแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกไป ซึ่งก็คงถูกใจเซบาสเตียน เขายิ้ม เป็นยิ้มมุมปากนิดๆ ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น

เขายกฝ่ามือขึ้นแตะหลังคอผม ขยี้เส้นผมบริเวณนั้นเบาๆ ผมเอียงคอแนบกับฝ่ามือเขาเพื่อรับสัมผัสนั้น มือเซบาสเตียนอุ่นกว่าแก้วโกโก้ที่เริ่มเย็นชืดในมือ เป็นอุณหภูมิที่ไม่เย็นเกินไป ไม่ร้อนเกินไปและผมชอบความอบอุ่นนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“คุณชอบผมบ้างไหมเซ็บ”

“ไม่รู้สิ” เขาตอบกลับรวดเร็วพอๆ กับที่ผมกะพริบตา ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยปอยผมที่ท้ายทอยผมไปมา บางทีเซบาสเตียนคงคิดว่าตัวเองลูบขนแมวยักษ์อยู่จริงๆ ก็ได้ “แต่สีผมนายสวยดี ฉันชอบ”

“คุณชอบมัน...งั้นเหรอ?”

“แปลกหรือไง”

เขาดึงมือออกไปตั้งศอกเท้าคางกับโต๊ะ ทิ้งสัมผัสร้อนผะแผ่วไว้บนหลังคอผมให้รู้สึกอาลัยและโหยหา

“คุณรู้ไหมเซ็บว่าคนที่มีลักษณะแบบผมเขาเรียกกันว่าพวกจินเจอร์ แฮร์ (Ginger Hair)” ผมสบตาเขา “เคยมีความเชื่อว่าจินเจอร์ แฮร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายนะ”

“หืม? เพราะอะไร”

“เพราะพวกเราดูแปลกจากคนทั่วไป ทั้งสีผม สีผิว กระ หรือแม้กระทั่งสีของดวงตาที่ซีดกว่าปกติ” ผมอธิบายพลางสังเกตสีหน้าของเซบาสเตียน เขาสบตาผม ไม่ได้พูดแทรก แต่ก็ดูตั้งใจฟังดี “แม่ผมเป็นจินเจอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พอมีผม ผมก็ได้ยีนส์มาจากแม่เต็มๆ...”

ผมชะงักไปเมื่อเซบาสเตียนเปลี่ยนมาจับมือผม กุมเบาๆ ไม่แน่นไม่หลวมเกินไป ผมเงยหน้าสบกับดวงตาสีมรกต เขามองมาด้วยสายตาที่อ่อนลง

ผมเคยบอกไว้ว่าเซบาสเตียนใจดี

“ไม่ไหวก็ไม่ต้องเล่าแพท”

ซึ่งเขาก็ใจดีจริงๆ นั่นแหละ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ผมยิ้ม ในอกรู้สึกอุ่นวาบไปกับความห่วงใยที่ได้รับ “ตอนเด็กผมโดนแกล้งบ่อย อืม...มันก็ไม่ต่างอะไรกับเหยียดผิวในปัจจุบันหรอก เคยโดนล้อว่าเป็นพ่อมด แวมไพร์เพราะผิวขาวซีดกว่าคนทั่วไปด้วย แต่พอโตขึ้นพวกเพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยแกล้งเท่าไหร่แล้ว อย่างว่าแหละ เด็กจะไปเข้าใจความแตกต่างได้ยังไง”

“นายดูมองโลกในแง่ดีจนฉันไม่คิดว่า...”

เขาขมวดคิ้ว คล้ายไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายโดยไม่ให้กระทบความรู้สึกผม

เซบาสเตียนเป็นคนที่ภายนอกดูแข็งแต่ภายในอ่อนโยน

ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบเขาไปมากกว่านี้ได้หรือเปล่า

“เรียกว่าปรับตัวเก่งดีไหมนะ” ผมยิ้ม “พอคุณบอกว่าชอบมันผมเลยรู้สึกตกใจนิดหน่อย”

“ก็แปลก แต่สวยดี”

“เซบาสเตียน”

“...?”

“ผมคิดว่าที่พระเจ้าเลือกให้พวกเราเป็นโซลเมตกันเพราะท่านต้องการเติมเต็มเราทั้งคู่” คำพูดผมดูเพ้อฝัน มันน่าอายที่พูดจาอะไรแบบนี้ออกมา แต่เซบาสเตียนไม่ได้หัวเราะ เขาใช้ดวงตาสีมรกตมองผม รอคอยให้พูดต่อไป “ผมและคุณต่างก็ไม่สมบูรณ์แบบ พวกเรามีความทรงจำวัยเด็กที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะงั้น…”

“พูดต่อสิแพท”

เขาว่าเมื่อผมเงียบไป

“เพราะงั้น…” ผมเม้มปาก มองสบตากับคนหน้านิ่งจนไม่รู้ว่าภายในใจคิดอะไร “บางทีพวกเราอาจจะเป็นคนที่เข้าใจกันและกันได้ดีที่สุด เติมเต็มให้กันจนสมบูรณ์”

ความเงียบดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เซบาสเตียนมองสำรวจใบหน้าผมอย่างละเอียด ผมเหมือนถูกเขาเปิดเปลือยทุกความรู้สึกด้วยสายตาคู่นั้น

“พระเจ้าเก่งขนาดนั้นเชียว?”

“...”

“นายก็รู้ว่าฉันไม่เชื่อเรื่องนี้” คำตอบของเซบาสเตียนทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ “...แต่บางทีพระเจ้าอาจจะเล่นเกมจับคู่เก่งจริงๆ ก็ได้”

“เซ็บ”

ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นตบเบาๆ ที่ข้างแก้มผม ปลายนิ้วปัดผ่านผิวเนื้อ...อ้อยอิ่ง ผมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่านร่าง เซบาสเตียนคลี่ยิ้มออกมา

ทุกอย่างรอบตัวดูจืดชืดไปถนัดตาเมื่อเซบาสเตียนยิ้ม ตัวตนของเขาที่อยู่ตรงหน้าผมชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของผมเอาไว้จนไม่อาจละสายตา

“พยายามเข้าล่ะเจ้าแมวยักษ์”

ถ้าพระเจ้าเก่งที่ผูกพันพวกเราไว้ด้วยเส้นด้ายแห่งโชคชะตา

เซบาสเตียนก็เก่ง...ในการขยันทำให้ผมหลงอยู่ในวังวนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า



*****************************************************************************************



ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :z13: จิ้มค่า ติดตามๆ

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
แบบนี้เขาเรียกว่าเปิดใจแล้วใช่ไหมคะ ฮื่อออ หลงคุณเซ็บล่ะเกินนนน :o8:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แมวยักษ์...เป็นแมวโรแมนติก  :catrun:

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
น่ารักกกกกกก เหมือนโลกนี้มีเพียงเราเนอะ 555

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
ยิ่งอ่านก็ยิ่งหลง
ทำไมเซ็บถึงได้ละมุนขนาดนี้เนี่ย เพราะเจ้าแมวส้มขี้อ้อนหรือเปล่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โรแมนติกมากเลยค่ะ สู้ๆนแมวยักษ์ ปีนกำแพงไปให้ได้นะ ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อ๊ากกกกกก ใจสั่น :hao5:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อีกไม่นานหรอกเซ็บ  :hao7:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5


Chapter 8

Comfort Zone


[Sebastian]


หลังพ่อโดนยิงก็มีเรื่องน่าวุ่นวายตามมา ผมคิดไว้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะมากจนน่าหงุดหงิดขนาดนี้ พวกนักข่าวพากันอออยู่หน้าโรงพยาบาล พอเห็นผมก็วิ่งกรูเข้าหาเหมือนซอมบี้ ไมค์และเครื่องอัดเสียงถูกยื่นจ่อหน้าพร้อมสารพัดคำถามที่แย่งกันพูดออกมา

ผมถอนใจ ปัดไมค์ที่ยื่นจ่อหน้าอย่างไร้มารยาทไปทางอื่น เดินฝ่ากลุ่มนักข่าวไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เสียงตะโกนถามคำถามดังไล่หลังพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ผมปล่อยให้มันลอยผ่านหูไป ไม่เก็บมาใส่ใจ

เจอแบบนี้มาสามวันติด พวกนักข่าวน่าจะรู้ว่าผมไม่ตอบคำถามไร้สาระพวกนี้ บางทีแมทธิวอาจพูดถูก ผมควรมีการ์ดติดตามตัวอย่างน้อยสองคน ถึงจะไม่ชอบเวลามีคนคอยตามแต่อย่างน้อยพวกเขาน่าจะช่วยกันนักข่าวน่ารำคาญพวกนี้ให้ผมได้

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องพักของพ่อ บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าหน้าห้องโค้งศีรษะให้ผมเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับ เปิดประตูเข้าไปในห้องพักระดับ VIP

หรูหรา สะดวกสบายเหมาะกับฐานะเจ้าของห้อง

“วันนี้มาเร็ว”

“พยายามทำหน้าที่ลูกที่ดี” ผมตอบ เดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง พ่อมองผม มุมปากกระตุกยิ้ม “เป็นไงบ้างครับ”

“ดีขึ้น”

“วันนี้จะบอกผมได้หรือยัง”

“ถ้าบอกวันนี้ วันต่อไปลูกก็จะไม่มาเยี่ยมพ่ออีก”

“อยากให้ผมมาเยี่ยมเพราะเป็นห่วงจริงๆ หรือเพราะต้องการผลประโยชน์จากพ่อกันล่ะ”

“ในฐานะนักธุรกิจ” เขามองผม แววตากระจ่างใสลึกล้ำไม่เหมือนคนอายุหกสิบกว่าทั่วไป “ผลประโยชน์สำคัญที่สุด ถึงลูกไม่เต็มใจ แต่พ่อได้ผลประโยชน์”

“งั้นผมควรได้สิ่งตอบแทนบ้าง” ผมหรี่ตา จ้องหน้าเขา “เช่นคำตอบ...ว่าเพราะอะไรทำไมวันนั้นพ่อถึงไปบ้านแม่”

“กดเรียกหมอให้หน่อยได้ไหม อยู่ๆ ก็เจ็บแผล”

“พ่อ” ผมถอนใจ สบตาคนที่พยายามเปลี่ยนเรื่อง “พ่อเคยพูดเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก”

“...”

“ยังไม่ทันถึงเดือนก็กลับคำแล้วหรือไง”

พ่อเงียบ ผมก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากสบตากัน พ่อมองผมด้วยสายตาลำบากใจ ในขณะที่ผมมองเขาด้วยสายตากดดัน วันที่พ่อโดนยิงผมรู้จากปากแมทธิวแล้วว่าทำไมบอดี้การ์ดถึงช่วยพ่อไม่ได้ ทั้งที่ฝีมือพวกเขาไม่ได้ห่วยแตก

พ่อแวะไปบ้านแม่

หลังจากที่พวกเขาหย่ากันเมื่อต้นเดือนและพ่อบอกเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก

พวกเขาเป็นโซลเมตกัน แต่พ่อไม่ได้รักแม่ คนที่พ่อรักคือน้ามาเรียแม่ของแมทธิว พวกเขาหย่ากันหลังสัญญาที่มีข้อผูกมัดเป็นผลประโยชน์จบลง ความจริงมันควรจบตั้งแต่ผมอายุยี่สิบห้า ผมไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ยืดเยื้อไปอีกสองปี และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เชื่อเรื่องโซลเมต พระเจ้าไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดจับคู่คนที่รักกันจริงๆ ได้ทุกคนหรอก

อย่างน้อยพ่อกับแม่ผมก็ไม่ใช่

พ่อไม่ยอมให้บอดี้การ์ดตามไป มีเพียงคนเดียวที่เขาอนุญาตให้ติดตามไปได้คือธิโอ บอดี้การ์ดคนสนิทคนเดียวที่ทำหน้าที่ขับรถให้ พ่อถูกลอบยิงตอนขากลับ กระสุนพุ่งเข้าหัวไหล่ ฝังคาตรงนั้น พ่อหมดสติเพราะเสียเลือดมากบวกกับสภาพร่างกายที่ไม่ได้หนุ่มแน่นเหมือนเมื่อก่อน

โชคดีที่ธิโอสลัดพวกมันพ้นในที่สุดและโทรขอความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดอีกทีม ไม่งั้นพ่อคง…

“บางเรื่องมันก็ซับซ้อนเกินกว่าลูกจะเข้าใจ”

“ผมแค่อยากรู้ว่าพ่อจะไม่หาเรื่องให้แม่ไม่สบายใจ” ผมสบตาเขา เน้นเสียงประโยคหลัง “หรือเจ็บปวดอีก”

“น่าอิจฉา ลูกห่วงแม่มากกว่าพ่ออีก”

“...”

“ลูกคงรักแม่มาก” เขาถอนใจ เบนหน้าหนีจากผม ทอดสายตามองออกนอกหน้าต่างไปไกล “พ่อหย่ากับแม่ลูกไม่ทันไรลูกก็ย้ายออกไป”

“ตั้งแต่กลับมา...ผมตั้งใจจะออกมาอยู่คนเดียวนานแล้ว”

“แค่การตัดสินใจพ่อเร่งให้ลูกทำ” เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ พ่อหันกลับมา มุมปากประดับรอยยิ้มแต่ดวงตาเฉยเมย “ความสัมพันธ์ที่เกิดจากผลประโยชน์ทางธุรกิจสักวันมันต้องจบลง ลูกก็รู้ดี ยิ่งยื้อยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม หรือลูกเห็นต่าง?”

“มันคงจะดีถ้าพ่อรักแม่...เหมือนที่แม่รักพ่อ”

“จนถึงตอนนี้พ่อมีความหวังดีให้แม่ของลูกเสมอ”

“หวังดีแต่ประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก”

“เบลจะได้ไม่เจ็บปวด” พ่อพูดแทรก “ไม่คาดหวังว่าพ่อจะกลับไป ไม่หวังว่าสักวันพ่อจะรักเธอ ทำแบบนี้ดีที่สุดแล้ว”

“พ่อกำลังเบี่ยงประเด็น”

“อ่า...นั่นสินะ”

“สรุปพ่อไปหาแม่ทำไม”

“พ่อแค่…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “แค่ต้องการให้แน่ใจว่าแม่ของลูกจะมีความสุขดี...ก่อนปล่อยมือจากเธอเป็นครั้งสุดท้าย”

“ผมไม่เข้าใจ” ผมส่ายหัว “พ่อไม่รักแม่ แต่ก็เหมือนแคร์แม่”

“พ่อบอกแล้วว่าเรื่องมันซับซ้อน ถึงพ่อไม่รักเธอแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาหลายปีพวกเราผูกพันกัน” เขายิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไรต่อแต่เปลี่ยนเรื่อง “ถ้าเป็นไปได้ ย้ายกลับมาเถอะเซ็บ”

“คอนโดฯ ใกล้ที่ทำงานผมมากกว่า”

“ลูกไม่จำเป็นต้องทำงานพวกนั้นในเมื่อ…”

“ผมเคยบอกพ่อแล้ว” ผมพูดแทรก มองพ่อด้วยสายตาจริงจัง “ผมไม่ชอบธุรกิจของครอบครัวเรา”

“โอเค” เขายกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงยอมแพ้ “งั้นลูกไม่จำเป็นต้องทำงาน แค่…”

“และผมก็ไม่ชอบอยู่เฉยๆ กินเงินจากธุรกิจของพ่อไปวันๆ”

“ตามตรงนะเซ็บ” พ่อจ้องหน้าผม สีหน้าเครียดขึ้นจากเดิม “แมทน่าจะบอกลูกแล้วว่าช่วงนี้มันอันตราย จนกว่าจะสะสางเสร็จ พ่อไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับลูก กับแมท...กับครอบครัวเรา”

“นั่นเพราะพ่อไม่ใช่หรือไง”

“ใช่ พ่อยอมรับ”

“ถ้าห่วง พ่อคงตัดสินใจไม่มีเรื่องกับคนพวกนั้น”

“ลูกต้องเข้าใจธุรกิจนะเซ็บ”

“ธุรกิจกับความปลอดภัยของครอบครัวพ่อเลือกอะไร?” ผมถาม แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว พ่อเงียบไป ผมเลยพูดต่อ “พ่อเลือกธุรกิจ เลือกจะขัดแข้งขัดขาคนพวกนั้นเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ รู้ทั้งรู้ว่าครอบครัวตัวเองจะตกเป็นเป้าหมาย แต่พ่อก็ไม่เปลี่ยนใจ”

“พ่อจะเพิ่มบอดี้การ์ด…”

“เห็นไหม แค่นี้ก็รู้แล้วว่าพ่อเลือกอะไรเป็นอย่างแรก” ผมแค่นหัวเราะ “พ่อรู้ดีว่าจะเกิดอะไร แต่พ่อเลือกทำแล้วค่อยหาทางป้องกันสิ่งที่เกิดจากการกระทำของพ่อ แทนที่พ่อจะไม่ทำมันตั้งแต่แรก”

“เซ็บ…”

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นยืน สบตากับพ่อชั่วครู่แล้วเบนหน้าหนี “พ่อไม่เจ็บมากก็ดีแล้ว รักษาตัวเองดีๆ ครับ”

ผมพูดทิ้งท้าย หันหลังเดินหนี เอื้อมมือจับลูกบิดประตูห้องยังไม่ทันเปิด เสียงจากด้านหลังก็ทำให้ชะงัก

“พ่อรู้ว่าลูกเกลียดมัน เกลียดสิ่งที่พ่อทำ แต่พ่อก็อยากให้ลูกรู้เอาไว้ว่าลูกเองก็เติบโตมาได้เพราะสิ่งที่ลูกเกลียด”

“...”

“ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีขาวกับดำ มีแต่สีเทา พ่อก็แค่สีเทาเฉดหนึ่งในวงการธุรกิจ พ่อไม่ใช่คนดีแต่พ่อก็ไม่ได้เลวขนาดไม่สนใจครอบครัว ยังมีสีเทาอีกหลายเฉดที่ลูกไม่รู้ ลูกอย่าคาดหวังอะไรที่บริสุทธิ์จากวงการนี้เซ็บ ถ้าเราไม่พยายามให้ตัวเองรอด ก็เป็นเราเองที่ถูกเหยียบ”

ผมเม้มปาก เกลียดที่ลึกๆ ในใจรู้ดีว่าพ่อพูดถูก

“แล้วเจอกันครับ”

เค้นเสียงพูดออกมาได้แค่นั้น ผมเปิดประตู เดินออกไปจากโลกของพ่อ โลกที่ผมพยายามหนีมาตลอดแต่สุดท้ายกลับพบความจริงว่าผมไม่มีวันหนีพ้น


“นายอยู่ไหน”

ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือทันทีที่ปลายสายกดรับ

“ฟิตเนส...ครับ” แพทริคบอกชื่อฟิตเนสที่ตัวเองทำงานอยู่ น้ำเสียงดูแปลกใจที่ผมโทรไป “มีอะไรหรือเปล่า?”

“ฉันไปหาได้ไหม”

“หืม แต่ผมยังไม่เลิกงานนะ”

“แล้วไปหาไม่ได้?”

“เปล่า แค่…” ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง “โอเค คุณจะมาก็ได้ แต่ผมคงอยู่กับคุณตลอดไม่ได้นะครับ วันนี้มีตารางเทรนให้ลูกค้าสองคน”

“อืม ไม่เป็นไร”

“คุณมาถูกใช่ไหม”

“เคยขับผ่านอยู่”

“ถึงแล้วบอกนะครับ”

“...”

“เซ็บ?”

“อืม ถ้าใกล้ถึงแล้วฉันจะบอก”

แพทริคคงไม่รู้ว่าคำพูดของเขาทำให้ผมอุ่นวาบในใจ มันเป็นแค่คำง่ายๆ แต่ความหมายกลับมากกว่านั้น ความรู้สึกเวลาที่มีใครสักคนรอเรามันดีแบบนี้นี่เอง


ผมมาถึงฟิตเนสที่แพทริคทำงานในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาเดินออกมารับ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจนผมนึกอิจฉา แพทริคเป็นคนที่ดูมีความสุขอยู่เสมอแม้เขาจะเจอเรื่องอะไรไม่ดีแต่กลับคิดบวกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“คิดถึงคุณ”

นอกจากคิดบวกแล้วก็ ‘คิดถึง’ เก่ง

“หวังจะได้คำว่าคิดถึงกลับหรือไง” ผมเลิกคิ้ว

“อืม...ถ้าได้ก็ดีนะ”

“ฝันเถอะเจ้าแมวส้ม”

“เซ็บ~”

เขาส่งเสียงโอดครวญ ผมยกยิ้มก่อนรีบหุบเมื่อเขามองมา แพทริคหน้ามุ่ย เขาเดินนำผมเข้าไปข้างใน ผมมองรอบด้าน สำรวจด้วยความสนใจ

“ใครน่ะแพท”

เสียงห้าวดังขึ้น ผมหันมอง เจอชายมีอายุร่างใหญ่จ้องมาด้วยสายตาสงสัย แพทริคหัวเราะ เขาเอาแขนพาดไหล่ผมแล้วดึงไปใกล้

“เจ้าของผมเอง~”

“ฉันยังไม่ได้รับเลี้ยงนายเจ้าแมวส้ม”

“โธ่เซ็บ”

“อ๋อ โซลเมตนายที่ว่าน่ารักๆ น่ะเหรอ” ชายคนนั้นว่า ส่วนผมขมวดคิ้วแน่น หันไปมองแพทริคโดยอัตโนมัติ เขาสบตาผม ส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “หรือว่าไม่ใช่? คนนี้หล่อมากกว่าจะน่ารักนะแพท”

“ผมพาเขาไปก่อนนะลุงมาคัส”

“อ้าว เดี๋ยวสิ ยังไม่แนะนำให้ฉันรู้จักเลย แพท!”

แพทริคไม่ฟังเสียงตะโกนตามหลัง เขาคว้าข้อมือผมพาเดินหนีไปจากตรงนั้นทันที

“จะไปไหน”

“พาคุณไปเก็บไว้”

“ฉันไม่ใช่สิ่งของ”

“ผมหวงคุณนี่” เขาว่าในขณะดันผมเข้าไปในลิฟต์ พอประตูปิดลงก็หันมา “สาวๆ มองคุณใหญ่เลย ไม่รู้สึกตัวหน่อยเหรอ”

“ฉันไม่ได้สนใจ”

“แต่ผมสน” แพทริคงอแง ดูไม่เข้ากับตัวใหญ่ๆ ของเขาเลย “ผมหวงของผมนะ”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้สนใจ” ผมถอนใจเบาๆ ดีดหน้าผากเขาไปทีนึงจนเจ้าแมวยักษ์หน้าเบ้ “ต้องให้ขยายความต่อไหม ว่าเพราะมัวแต่มองนายคนเดียว”

แพทริคอ้าปากค้าง ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง ผมหลุดหัวเราะพอดีกับประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นสี่ ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจแพทริคแล้วเดินออกไป เหมือนชั้นนี้จะเป็นที่พักส่วนตัวต่างจากชั้นอื่นๆ

“พาฉันมาห้องนายเหรอ”

“เดี๋ยวเซ็บเมื่อกี้” แพทริคเดินล้อมหน้าล้อมหลังผม ไม่ต่างอะไรกับแมวยักษ์ที่ตื่นตกใจจนพันแข้งพันขาเจ้าของ “คุณบอกว่ามองผมคนเดียวเหรอ”

“แล้วได้ยินว่ายังไงล่ะ?”

“ผมไม่อยากคิดไปเอง”

“ได้ยินยังไงก็ตามนั้น”

“เซ็บ…”

“จะให้ฉันยืนรอนายตรงนี้หรือจะให้เข้าห้อง” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“คุณนี่…” เขาขมวดคิ้ว “ชอบทำให้ผมมีความหวัง”

บ่นงึมงัมอยู่คนเดียวแต่ก็เดินนำผมไปที่ห้องของตัวเอง เจ้าของห้องเข้าไปก่อน ผมก้าวตาม จากนั้นก็เผลอขมวดคิ้วเมื่อเห็นห้องรกๆ ของแพทริค ที่นี่รกกว่าห้องที่คอนโดฯ เขาซะอีก

“ไม่ได้เก็บห้องมานานแค่ไหนแล้ว”

“อ่า…”

“รก” ผมว่าสั้นๆ แต่ทำเจ้าแมวยักษ์หน้าจ๋อย “ทำความสะอาดบ้าง เอาเสื้อผ้ามากองบนโซฟาแบบนี้ได้ไง ไม่เรียบร้อยเลย แล้วนี่อีก” ผมขมวดคิ้ว ปาดนิ้วลงบนเฟอร์นิเจอร์ “ขี้ฝุ่นขนาดนี้เช็ดมั่งเถอะแพท”

“ผมไม่ค่อยได้นอนที่นี่บ่อยนี่นา มันเลย…”

“แพท” ผมกดเสียงเรียกเขา “จะอยู่บ่อยหรือไม่บ่อยก็ควรทำความสะอาดถ้านั่นเป็นที่นอนนาย มันไม่ดีต่อสุขภาพเข้าใจที่ฉันบอกไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”

“ไม่ต้องมาทำหน้าหงอย ที่พูดนี่เพราะเป็นห่วง นายควรดีใจ”

“เซ็บ...คุณทำให้ผมมีความหวังอีกแล้วนะ”

“ฉันก็ไม่ได้บอกให้นายเลิกหวังสักหน่อย” ดวงตาของแพทริคเป็นประกายเมื่อผมพูดออกไป ผมเบนหน้าหนีสายตานั้น เดินไปนั่งบนโซฟาที่ตั้งอยู่ไม่ไกล “กลับไปทำงานได้แล้วไป”

“อ่า ครับ”

แพทริครับคำ เขารีรอสักพักแต่สุดท้ายก็เดินออกไป เสียงประตูปิดลง ผมถอนใจ ความรู้สึกหนักอึ้งตั้งแต่ที่โรงพยาบาลหายไปแค่เพราะได้เจอหน้าแพทริค เห็นเจ้าแมวยักษ์แสดงสีหน้าต่างๆ

ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ไม่ต้องการคำปลอบใจสวยหรู

แค่เห็นหน้ากัน...แค่นั้น

ดูเหมือนว่า...แพทริคจะทำให้ผมอยากเลี้ยงแมวขึ้นมาซะแล้ว


ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูทำให้ผมเงยหน้าจากหนังสือในมือ มันเป็นหนังสือนิยายแนวรักโรแมนติกที่ผู้หญิงชอบกัน ไม่คิดว่าแพทริคจะอ่านนิยายแนวนี้ แต่พอลองอ่านดูมันก็ไม่เลี่ยนเท่าที่คิด

“เซ็บ”

“หืม? มีอะไร” ผมเลิกคิ้ว แพทริคลงไปยังไม่ถึงชั่วโมงดีก็กลับขึ้นมา “ยังไม่หมดเวลางานนี่ มีอะไรหรือเปล่า ดูทำหน้าเข้า”

“ตามตรงนะครับ”

“...?”

“ผมไม่สบายใจเลย” แพทริคเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์แทนที่จะมานั่งข้างผมเหมือนทุกครั้งที่มีโอกาสเข้าใกล้ ดวงตาสีฟ้าจ้องตรงมา “คุณตอบผมตามตรงนะเซ็บ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”

“ทำไมนายคิดอย่างนั้น”

“ตอนรับสาย เสียงคุณดูไม่สบายใจ”

“นายช่างสังเกตดี”

“เพราะเป็นคุณไง” แพทริคสบตาผม น้ำเสียงจริงจังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “มีอะไรหรือเปล่า ผมรับฟังคุณได้นะคุณก็รู้”

ผมส่ายหน้า เรื่องในครอบครัวมันซับซ้อนเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังได้อย่างสบายใจ ผมยอมรับแพทริคนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเอาเรื่องในครอบครัวมาเล่าให้เขาฟังได้ ผมไว้ใจเขา แต่ยังไม่ถึงขั้นนั้น

“มันยากที่จะเล่าให้ฟัง ขอโทษที”

“ไม่เป็นไรเซ็บผมเข้าใจ” แพทริคส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ หัวใจผมเหมือนได้รับการเยียวยาอีกครั้ง “ผมไม่ได้อยากรู้ว่าคุณไม่สบายใจเรื่องอะไร ที่ผมต้องการคืออยากให้คุณสบายใจเลยให้ระบายออกมา แต่ถ้าทำให้คุณลำบากก็ไม่ต้องเล่าครับ แค่…”

ผมเงียบ รอฟังว่าแพทริคจะพูดอะไร

“ผมแค่อยากเป็นความสบายใจให้คุณได้”

ผมยิ้ม มองหน้าเจ้าแมวยักษ์ที่ดูระมัดระวังคำพูดกับผมพอสมควร

เป็นความสบายใจให้ผมงั้นเหรอ?

ก็เป็นอยู่นี่ไงเจ้าแมวโง่ ไม่งั้นจะมาหาทำไม

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแพทริคไม่มีชื่อเรียก ผมรู้แค่ตอนนี้เขาเป็น ‘พื้นที่สบายใจ’ ของผม และคงดีถ้าเราเป็นความสบายใจให้แก่กัน

ผมไม่ชอบเป็นฝ่ายได้รับฝ่ายเดียว แม้เจ้าแมวยักษ์จะไม่ยอม แต่ผมอยากให้เขาบ้าง

“เฮ้”

“ครับ?”

“มานี่” ผมกวักมือเรียก แพทริคเลิกคิ้ว

“ผมตัวเหม็นเหงื่อ”

อ้อ นี่สินะเหตุผลที่เขาดูห่วงผมแทบตายแต่กลับไม่ยอมเข้ามานั่งใกล้ๆ

“ไม่เหม็นขนาดนั้นหรอก”

ผมยังกวักมือเรียกเขา แพทริคมีสีหน้าไม่มั่นใจแต่สุดท้ายก็ยอมเคลื่อนตัวจากที่เดิมมานั่งข้างผมบนโซฟา ผมได้กลิ่นเหงื่อจากเสื้อเขาปะปนไปกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ไม่ใช่กลิ่นที่เหม็นอะไรอย่างที่เจ้าตัวกังวล

คนเราจะตัวหอมตลอดเวลาก็ไม่ใช่ จริงไหม ผมไม่รู้ว่าเขาจะกังวลเรื่องกลิ่นตัวกับผมทำไม ในเมื่อผมไม่ได้รังเกียจเขาสักหน่อย

“เด็กดี”

“คุณทำเหมือนผมเป็นแมวจริงๆ”

เขาประท้วงเมื่อผมแทรกปลายนิ้วกับเส้นผมสีจินเจอร์แล้วขยี้เบาๆ แต่อาการเอียงหัวรับสัมผัสนั้นช่างย้อนแย้งกับคำพูด

“หรือไม่ชอบ?”

“ชอบ” แพทริคมองผม ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวานไปถึงดวงตา “ชอบคุณด้วย”

ผมเลิกคิ้ว อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่าแมวขี้อ้อนแบบนี้ทุกตัวหรือเปล่า…

หรือเป็นเฉพาะแมวยักษ์ที่ชื่อว่าแพทริค?

“ขอบใจ...” ผมเปลี่ยนเรื่อง “...ที่เป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

“แน่นะ?”

“แค่เจอห้องรกๆ ของนายก็เลิกปวดหัวเรื่องนั้นแล้วมาปวดหัวกับห้องนายแทนนี่แหละ” ผมแกล้งหยอกเขาหน้านิ่ง ส่วนแพทริคทำตาโต

“ผมจะรีบทำความสะอาด สัญญาเลย”

“สัญญาแล้วทำให้ได้”

“แน่นอน”

ผมยิ้ม ขยี้หัวเจ้าแมวยักษ์แรงๆ ไปอีกที แพทริคส่งเสียงประท้วง เขาดีดตัวออกจากผม เส้นผมสีจินเจอร์ฟูฟ่อง

“เซ็บนะเซ็บ ขยี้มาได้ หมดหล่อแล้วเนี่ย”

“เป็นแค่แมวยักษ์ จะอยากหล่ออะไรนักหนา”

“หล่อให้คุณดูไง” เขายักคิ้ว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณยิ้มได้ขนาดนี้ สบายใจแล้วจริงๆ ด้วย”

“สบายใจตั้งแต่เห็นหน้านายนั่นแหละ”

“กับห้องรกๆ ของผม?”

“เปล่า” ผมอมยิ้มอีกครั้ง สบกับดวงตาสีฟ้าซีดฉายแววงุนงง “สบายใจเพราะได้เจอหน้านายจริงๆ ไม่งั้นจะโทรหาเหรอ สมใจแล้วสิ ได้เป็นความสบายใจของฉันจริงๆ”

“...”

“ขอบใจ...แพท”

ผมวางมือบนศีรษะเขา ขยับลูบไปมาเบาๆ

หลังจากนั้นแมวยักษ์ก็แข็งเป็นหินไปเลย


*****************************************************************************************



ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
อยากเลี้ยงปมวยักษ์บ้าง น่ารักมาก

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แมวยักษ์จะช็อคตายไหมนี่..เจอเซ็บโหมดนี้เข้าไป  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
เรื่องของความรัก แม้แต่พระเจ้าก็ห้ามไม่ได้
คิดว่าเซ็บอาจจะต้องพูดคุยกับแม่เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น
มีพื้นที่สบายใจมันก็ดีอ่ะ แต่ถ้าเข้าใจด้วยนี่มันจะยิ่งดีมากๆ
อยากให้ฝนตกอีกเร็วๆจัง
ชอบเวลาที่เขามีกันแค่สองคนบนโลกใบนี้ ><

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
แมวยักษ์โดนกัญชาแมวATK

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5

Chapter 9

Let me … you


[Patrick]


เซบาสเตียนน่ะใจร้าย…

จู่ๆ ก็พูดออกมาไม่ทันให้ผมตั้งตัวสักนิด ยังไม่ทันถามก็โดนไล่กลับไปทำงาน แล้วผมจะมีสมาธิทำงานได้ยังไงในเมื่อทั้งรอยยิ้มและคำพูดของเขาลอยวนในหัว

“แพทคะ?”

“ฮะ ครับ?” ผมสะดุ้ง หลุดออกจากความคิดตัวเอง ลูกค้าสาวจ้องหน้าผม เธอเลิกคิ้วสูง

“เหม่อจังเลยค่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร”

แค่คิดถึงใครบางคน

“แน่นะ” เธอหรี่ตามอง สายตาคล้ายรู้ทัน “พอคุณกลับมาอีกครั้งก็เหมือนใจไม่อยู่กับตัว ฉันเห็นคุณยิ้มคนเดียวด้วย มีเรื่องดีๆ เหรอคะ”

“อืม…” ผมอมยิ้ม “ครับ เขาส่งสัญญาณมาแบบนี้ คิดว่าคงดีแน่ครับ”

“เกี่ยวกับสุดหล่อคนนั้นที่มาหาคุณหรือเปล่าน้า?”

“คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“เกี่ยวแน่นอน” เธอเอียงตัวพิงเครื่องออกกำลังกายสำหรับสร้างกล้ามเนื้อ รอยยิ้มล้อเลียนถูกส่งมา ผมยิ้มรับ ส่ายหัวเบาๆ กับความขี้แกล้งของเธอ

“ดูเหมือนผมจะปล่อยให้คุณพักนานไป เริ่มเซตที่สองกันเลยไหมครับ”

“โธ่แพท ฉันเพิ่งพักได้ไม่กี่นาที”

“รวมกับตอนที่ผมขอตัวไปข้างบนเมื่อกี้” ผมแกล้งยกนิ้วขึ้นมานับ “อืม คุณได้พักตั้งนานเลยนะครับ”

“แพทคะ…”

“มาครับ ต่ออีกสามเซตดีกว่า”

“เดี๋ยว…”

“กล้ามเนื้อจะได้กระชับไงครับ คุณอยากมีหน้าท้องสวยๆ ไม่ใช่เหรอ” ผมยิ้มแต่เธอกลับมองมาด้วยสายตาผวา อืม...ผมบอกหรือยังนะว่าเวลาผมเทรนให้ลูกค้าจะค่อนข้างเข้มพอสมควร “ที่จริงตั้งแต่เทรนมามันน่าจะเห็นผลแล้วนะครับ ยกเว้นคุณจะทานอาหารอย่างอื่นนอกจากที่ผมกำหนดให้”

“เรื่องนั้น ฉัน…” เธอมองหน้าผม หัวเราะแห้งๆ ในขณะแก้ตัว “แค่นิดเดียวเองค่ะ สาบานได้ว่าเผลอไปนิ๊ดเดียว”

“อ๋อ นิดเดียวเอง”

“ใช่ค่ะ เพราะงั้น…”

“เพราะงั้นเพิ่มเป็นสี่เซตนะครับ จากนั้นต่อด้วยซิทอัพ” ผมยิ้มหวาน ในขณะที่เธอหน้าซีด “ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะไม่เสียใจที่จ้างผมมาเป็น PT รับประกันว่าเห็นผลแน่นอน”

“แพทคะ แพท”

“เอาล่ะครับ ต่อกันเลย”

ใบหน้าผมเปื้อนยิ้มแต่น้ำเสียงเฉียบขาด และแน่นอนว่าเธอค้านไม่ได้

ลูกค้าจ่ายเงินซื้อคอร์สไปแล้วผมต้องทำเต็มที่สิครับจริงไหม


สองชั่วโมงผ่านไปผมถึงเลิกงาน หกโมงเย็นแล้ว ไม่รู้เซบาสเตียนจะเป็นยังไงบ้าง ผมรีบเดินไปทางลิฟต์ ผ่านหน้าเทเรซ่ากับลุงมาคัส พวกเขาส่งเสียงแซวไม่หยุด

“รีบเดินเชียวนะแพท”

“ไม่รู้เลยว่าจะไปหาใคร หึๆ” ลุงมาคัสยักคิ้วใส่ “อย่าลืมพาไปแนะนำตัวที่บ้านล่ะ”

“ว้าว แสดงว่าจริงจังใช่ไหมคะเนี่ย” เทเรซ่าหัวเราะ

“อย่าแซวน่า”

ผมบอกปัด เดินหนีเข้าลิฟต์ ได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลัง เผลอยิ้มเมื่อคิดถึงคำแซวของลุงมาคัส พาไปแนะนำตัวที่บ้านงั้นเหรอ ผมก็อยากนะ แต่ว่า...เซบาสเตียนน่ะ ถึงจะดูเปิดใจแล้ว สถานะระหว่างเราก็ยังไม่ชัดเจนถึงขั้นนั้นอยู่ดี บางที...ผมคงต้อง ‘รุก’ เขาหนักกว่านี้

ติ๊ง!

ลิฟต์ดังเมื่อขึ้นมาถึงชั้นสี่ ประตูเปิด ผมก้าวออกไป ถึงหน้าห้องก็จับลูกบิดหมุนเปิดโดยไม่ทันเคาะประตูเพราะความเคยชิน กว่าจะนึกได้ก็เผลอเสียมารยาทไปแล้ว ผมขมวดคิ้ว เตรียมรอรับคำบ่นจากเซบาสเตียน แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงบ พอมองเข้าไปข้างในถึงได้คำตอบ

คุณเสือดำสุดเท่ของผมนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา เรียวขาเหยียดยาว สองมือกอดอกตัวเองไว้ ผมย่องเข้าไปใกล้ พยายามให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

เคยเห็นแมวลักหลับเสือไหมครับ?

เดี๋ยววันนี้จะทำให้ดู

ผมคุกเข่าอยู่ข้างโซฟา ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ เซบาสเตียนยังหลับสนิท ไม่รู้สึกตัว แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ ปอยผมสีดำตกระหน้าผาก ผมใช้ปลายนิ้วปัดมันไปด้านข้าง เฉียดผ่านหน้าผากอุ่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อถูกรบกวน ผมชะงัก กลัวทำเขาตื่น

แต่เซบาสเตียนหลับลึกกว่าที่คิด ผมนิ่ง จ้องพิจารณาใบหน้าตอนหลับของเขา เซบาสเตียนเป็นคนหน้านิ่งติดจะดุ แต่เวลาหลับกลับดูผ่อนคลาย

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ สัมผัสถึงลมหายใจอุ่น หลุบตามองริมฝีปากเซบาสเตียนที่เผยอเล็กน้อย ความรู้สึกตีกันในใจ ผมอยากสัมผัสเขา ในขณะเดียวกันก็กลัวอีกฝ่ายโกรธ

แต่แค่แตะๆ เอง…

“คิดจะทำอะไร”

ผมสะดุ้งเมื่อคนที่คิดว่าหลับพูดโดยไม่ลืมตา วินาทีต่อมาเปลือกตาถึงขยับไหว เขาจ้องมองมา ดวงตาสีเขียวมรกตไม่มีร่องรอยความงัวเงียสักนิด

“อ่า…”

“จะสารภาพเองหรือจะให้ฉันเค้นความจริงเจ้าแมวยักษ์”

“ผมแค่”

“คิดว่าฉันหลับเหรอ?” เซบาสเตียนกระตุกยิ้มมุมปาก เขาลุกขึ้น เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง กอดอกเอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างสบายใจ ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยเสน่ห์ ดวงตาคมกริบหลุบมองผมที่นั่งอยู่ด้านล่าง แววตาไม่ต่างอะไรกับนักล่ามองเหยื่อตัวจ้อย “ใช่ ฉันหลับ แต่ฉันไม่ได้หลับลึกขนาดไม่รู้ตัวว่ามีใครเข้าใกล้”

“...”

“อย่าดูถูกสัญชาตญาณของรอสซ์เชียวแพทริค”

“โอเค ผมยอมแพ้” ผมยกมือขึ้นสองข้าง เงยหน้าสบตาเขา “แค่อยากลองจูบคุณ”

“ใจกล้าเกินไปหรือเปล่า”

“ช่วยไม่ได้ ผมชอบคุณนี่” ผมยักไหล่

“ไม่กลัวฉันโกรธ?”

“ก็…” ผมกลอกตา สุดท้ายก็ยอมรับตามตรง “กลัว แต่อยากจูบคุณมากกว่า มันก็น่าเสี่ยงนี่ จริงไหม”

“หึ”

เซบาสเตียนหัวเราะในลำคอ ขาที่ไขว้กันอยู่ขยับออก เขาโน้มตัวลงมา ทิ้งแขนวางเท้ากับขาทั้งสองข้าง คิ้วเลิกขึ้นในขณะเอียงคอจ้องหน้าผม ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราลดน้อยลง ผมถูกดวงตาสีเขียวมรกตสะกดเอาไว้ ไม่รู้ว่าเซบาสเตียนคิดอะไรอยู่ในขณะที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ปลายคางผมถูกจับเชยขึ้น

ผมกลืนน้ำลายลงคอ กลิ่นน้ำหอมจากตัวเซบาสเตียนกำลังมอมเมาผม

เซบาสเตียนเป็นคนร้ายกาจ…

จู่ๆ ใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้จนเกือบสัมผัสได้ก็เบี่ยงออกข้าง เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู

“แพท...”

เขาเรียกชื่อผม ลมหายใจอุ่นเป่ารดติ่งหู ผมรู้สึกปั่นป่วนจนเผลอกลั้นหายใจ

“...เจ้าแมวโง่” จู่ๆ เซบาสเตียนก็ดึงตัวออก เขาตบลงบนไหล่ผม ริมฝีปากกระตุกยิ้ม ดวงตาฉายประกายวาว “คิดว่าจะได้อะไรจากฉันหรือไง”

“เซ็บ” ผมโอดครวญ “คุณแกล้งผม”

“หิว” เขาว่าหน้าตาย “ไปหาอะไรกินกันเจ้าแมว”

“เซ็บ…”

“อะไรอีก”

“สักนิดไม่ได้เหรอ”

“เป็นแค่แมวยักษ์ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง”

เขายักไหล่ ลุกจากโซฟาเดินนำผมไป ผมมองตาม หรี่ตาลง

เซบาสเตียนเป็นคนร้ายกาจ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะร้ายกาจได้คนเดียว

“หืม...?”

“เป็นแค่แมวยักษ์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องเหรอครับ” ผมย้อนถาม มือโอบรอบเอวสอบจากด้านหลังแน่น สัมผัสถึงกล้ามเนื้อที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ต ผมวางคางเกยไหล่ เอียงหน้ามองสันกรามเขา กลิ่นน้ำหอมอ่อนลอยแตะจมูก หอมจนต้องกดปลายจมูกกับไหล่กว้าง “แล้วถ้าแมวยักษ์ดื้อจะเรียกร้องให้ได้ล่ะครับ?”

“แมวยักษ์ก็จะได้แค่ครั้งนี้” เซบาสเตียนเอี้ยวหน้ามาสบตาผม “ครั้งต่อไปจะไม่ได้อีก”

“งั้นถ้าผมอ้อน…คุณจะใจอ่อนไหม”

“ทำไงดี ฉันดันเป็นพวกใจแข็งน่ะสิ”

“เซ็บ…”

“เคยได้ยินไหมว่าถ้าทำตัวดีๆ จะได้รางวัล”

“อย่าพูดเหมือนผมเป็นเด็ก”

“นายเด็ก” เขาย้ำ “ไอ้อาการอ้อนจะเอาให้ได้นี่ไม่เด็กเลยงั้นสิ?”

“โธ่เซ็บ”

“เป็นเด็กดีหน่อยแพทริค” เป็นอีกครั้งที่เซบาสเตียนเรียกชื่อเต็มผม ดวงตาสีเขียวมรกตตวัดมอง “ฉันหิว นายจะเอาแต่ใจไปถึงเมื่อไหร่”

“ก็ได้…”

ผมว่าเสียงอ่อย ปล่อยเซบาสเตียนจากอ้อมกอด ความว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ผมไม่ชอบเลยสักนิด ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โหยหาเขามากขนาดนี้?

“ไปรถฉันแล้วกัน รถนายทิ้งไว้นี่”

“ครับ”

ผมขานรับ จะทำอะไรได้นอกจากเป็นเด็กดีทำตามที่เซบาสเตียนต้องการ ผมเดินตามเขาไปเงียบๆ ชะงักเมื่ออีกฝ่ายหยุดเดิน ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ยังไม่ได้ถาม ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก

เซบาสเตียนหมุนตัวกลับมา ยื่นมือรั้งต้นคอผมเข้าไปใกล้ ชะโงกหน้าประทับริมฝีปากอุ่นลงบนขมับ ผมยืนตัวแข็ง เสียงหัวเราะแผ่วเบาคล้ายมาจากที่แสนไกล จนเซบาสเตียนผละออกไป กลิ่นน้ำหอมเจือจางลอยในอากาศ อวลอยู่รอบตัว เขามองผม มุมปากอมยิ้ม

“รางวัลสำหรับเด็กดี”

“...”

“ถ้าอยากได้อีกต้องเป็นเด็กดีกว่านี้เข้าใจไหมแพท”

อา...เซบาสเตียน

เสือดำตัวนี้ร้ายกาจเกินไป ผมประมาทไม่ได้ซะแล้ว


เซบาสเตียนเลือกร้านอาหารเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนห่างจากคอนโดฯ ผมสองบล็อก บรรยากาศภายในร้านผ่อนคลายมากทีเดียว ผมฮัมทำนองตามเพลงที่เปิดคลอในร้าน มองเซบาสเตียนเปิดสมุดเมนูเพื่อสั่งอาหาร

“หน้าฉันเหมือนสมุดเมนูหรือไง”

เขาพูด สายตายังกวาดมองรายชื่ออาหารในใบเมนู ผมหลุดยิ้ม นั่นสินะ...โดยจ้องขนาดนี้จะรู้ตัวก็ไม่แปลก

“ไม่มีหรอกครับ ผมแค่ชอบมองคุณ”

“ดูมีความสุขจังนะแมวยักษ์” เขาเหลือบตาขึ้นมา ว่าเสียงเข้ม “รีบสั่ง อย่ามัวแต่มองหน้าฉัน”

“คุณเขินเหรอ”

“ฉันดูเขิน?”

“อ่า…” ผมเอียงคอมอง “ก็ไม่”

“ตามนั้น”

“ไม่ยุติธรรมเลย”

“อะไรอีกล่ะ”

“มีแต่ผมที่เขินคุณคนเดียว”

“เป็นธรรมดา” เซบาสเตียนสบตาผม “สำหรับคนที่รู้สึกก่อน”

“แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้สึกเหมือนกันกับผมล่ะ?” เซบาสเตียนเงียบไปทันทีที่ถาม ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่บรรยากาศระหว่างพวกเรามันเปลี่ยนไป ผมเผลอขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า “ขอโทษที ผมอาจพูดอะไรไม่เข้าท่า”

“เปล่าหรอก” เขาส่ายหน้า สบตาผมครู่หนึ่งแล้วเบนหนี “เลือกได้หรือยัง จะสั่งอาหารแล้ว”

“อา...ครับ”

เซบาสเตียนยกมือเรียกพนักงานรับออเดอร์ หลังแจ้งรายการอาหารที่สั่งและทวนเรียบร้อยพนักงานเสิร์ฟก็เดินจากไป ผมมองตามจนเขาหายลับตาถึงหันกลับมาหาเซบาสเตียน ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง

อะไรบางอย่างที่จะไม่ยอมบอกผมแน่ๆ

ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดปกตินั้น

“วันนี้คุณไม่มีสอนเหรอถึงมาหาผมได้”

“เพิ่งจะมาสงสัยหรือไง”

“ก็ตอนนั้นผมตกใจ” ผมสบตาเขา ส่งยิ้มให้อีกคนผ่อนคลาย “จู่ๆ คุณก็โทรมาบอกจะมาหา ผมยังคิดอยู่เลยว่าฝันกลางวันไปเองหรือเปล่า”

“อาทิตย์นึงฉันสอนแค่สามวัน” เซบาสเตียนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ เกิดเสียงต๊อกๆ เป็นจังหวะ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ นอกนั้นว่าง”

“ปกติเวลาว่างคุณทำอะไร อืม...พวกงานอดิเรกน่ะ”

“เตรียมแผนการสอน ตรวจงานนักศึกษา” ปลายนิ้วที่เคาะกับโต๊ะชะงักไปพร้อมกับเสียงที่เงียบลง ผมลอบสังเกต เซบาสเตียนเม้มปาก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “...ไปเยี่ยมแม่เป็นบางวัน”

“อา…”

“นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ”

“ไม่เบื่อเหรอครับ”

“ชินแล้วมั้ง” เขายักไหล่ สบตาผม “ทำไม จะแนะนำอะไรหรือไง”

“อืม…” ผมแกล้งทำเป็นคิด “มาช่วยผมเลี้ยงซูกกี้ไหมล่ะ”

“แมวนาย ฉันเกี่ยวอะไรด้วย”

“คุณอยากเกี่ยวแบบไหนดีล่ะ” ผมหรี่ตา อมยิ้มมุมปาก “ผมให้คุณได้ทุกสถานะเลยนะ”

ปั่ก!

เซบาสเตียนไม่ตอบ แต่แรงเตะจากใต้โต๊ะทำเอาหน้าเบ้ จะร้องก็ไม่ได้เพราะอาหารมาเสิร์ฟพอดี ผมเม้มปาก กลั้นความเจ็บเอาไว้ แต่หน้าตาคงบูดเบี้ยวน่าดู เพราะในที่สุดเซบาสเตียนก็ยิ้มออกมา

เอาเถอะ เห็นเขายิ้มได้ผมก็ดีใจ

“รีบกิน จะได้รีบกลับ”

ผมพยักหน้า พวกเราทานมื้อเย็นกันเงียบๆ คุยบ้างนิดหน่อย เซบาสเตียนค่อนข้างเงียบเวลากินข้าว ผมคิดว่าเขาคงติดมาจากที่บ้าน พวกตระกูลใหญ่ตระกูลโตส่วนมากมักเคร่งเรื่องมารยาท

“เฮ้ แพท!”

“หืม?” ผมชะงัก เงยหน้ามองตามเสียงเรียก เห็นแม่สาวผมบรอนซ์ใบหน้าคุ้นตาโบกมือให้ “เฮ้ เจน”

“ไม่เจอตั้งนาน”

“เหมือนกัน” ผมวางช้อนลง หันไปทักเธอด้วยรอยยิ้ม “เป็นไงบ้าง”

“สบายดี แล้วนี่…” เธอหันไปทางเซบาสเตียน

“อ้อ…” ผมขมวดคิ้ว ไม่รู้จะแนะนำตัวเซบาสเตียนว่ายังไง “รุ่นพี่น่ะ”

“อ๋อ สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” เซบาสเตียนตอบรับสั้นๆ สีหน้าเรียบนิ่งดูถือตัวเหมือนตอนผมเจอเขาครั้งแรกไม่มีผิด

“ฉันเจนนะคะ” เธอหัวเราะ “ตอนนี้เป็นเพื่อนของแพทค่ะ”

“ตอนนี้?”

เซบาสเตียนขมวดคิ้วทวนคำ

“เคยเดทกันค่ะ คิก”

“เฮ้เจน ไม่เอาน่า”

“อยากรำลึกความหลังไม่ได้เหรอแพท” เธอทำหน้ามุ่ยแต่แววตาดูสนุกที่ได้แกล้งผมเล่น “รอรีเทิร์นนะ ฉันน่ะชอบนายที่สุดในบรรดาคู่เดทแล้ว”

“อย่าลืมว่าเธอทิ้งฉันก่อน” ผมหัวเราะ ส่ายหัวกับความแสบของอีกฝ่าย “แล้วนี่มาทานข้าวกับใคร”

“ความลับค่ะ” เธอขยิบตา “งั้นขอตัวก่อนแล้วกัน ขอโทษนะคะที่รบกวน”

เจนก้มหัวให้เซบาสเตียน เขาพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร เจนหันมาบ๊ายบายผมแถมยังทิ้งท้ายว่าตัวเองใช้เบอร์เดิมถ้าผมเหงาให้โทรไปได้เสมอก่อนเดินผ่านโต๊ะผมเข้าไปในร้าน

“เธอขี้แกล้งน่ะครับ” ผมรีบออกตัวเมื่อหันมาเจอสายตาของเซบาสเตียน

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“ไม่ว่าเลยเหรอ”

“ไม่ ทำไม?” เขาเลิกคิ้ว สบตาผมอยู่สักพักแล้วกลับไปโฟกัสกับมื้อเย็นตรงหน้า “คนรู้จักทักทายกันเป็นเรื่องปกติ”

“ถามจริง?”

“อะไร”

“เจนแนะนำตัวว่าเคยเดทกับผม คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

ผมไม่รู้ตัวว่าใช้น้ำเสียงแบบไหนถาม รู้แค่เซบาสเตียนชะงัก เขาเงยหน้า ดวงตาจ้องสบผม ในแววตานั้นเรียบนิ่งจนมองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ผมรู้ว่าตัวเองคาดหวังกับคำตอบเขามาก

“ไม่”

และความรู้สึกเวลาสิ่งที่คาดหวังไม่เป็นไปตามนั้นแม่งโคตรแย่เลย


บรรยากาศหลังจากนั้นแย่มาก พวกเราเงียบใส่กัน อันที่จริง...เซบาสเตียนค่อนข้างเงียบอยู่แล้ว มีแค่ผมที่ชวนคุย แต่คราวนี้ผมไม่รู้จะชวนคุยเรื่องไหน ในเมื่อหัวมันตื้อไปหมด

คนที่รู้สึกก่อนมักเสียเปรียบ บางทีตอนนี้ผมอาจเสียเปรียบไปแล้วก็ได้

ไม่มีใครบอกให้ผมคาดหวัง มีแค่ผมเองที่เผลอตัวคาดหวังความรู้สึกจากเซบาสเตียนเพียงเพราะเขาดู ‘เปิดใจ’ มากกว่าตอนแรก

มื้ออาหารจบลง เซบาสเตียนขับรถมาส่งผมที่หน้าคอนโดฯ

“ไม่ลง?”

“ขึ้นไปจอดข้างบนได้ไหมครับ?”

“หืม?”

“ที่จอดรถชั้นห้องผม” ผมขยายความ หันไปสบตาเขา “วันนี้เหนื่อยมาก ไม่อยากเดินไกล”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” ผมโกหก

“เฮ้อ…” เซบาสเตียนถอนใจ แต่ก็วนรถขึ้นไปจอดข้างบนตามที่ผมขอ “เฮ้ ถึงแล้ว”

“...”

“แพท?” เซบาสเตียนวางมือบนไหล่ผม เขย่าเบาๆ ผมหันมองเขา “เป็นอะไรแมวยักษ์”

“ผม…”

“แพทริค” เขากดเสียงเรียกชื่อผม “เป็นอะไร หืม?”

“เรื่องไร้สาระครับ”

“เคยมีแมวยักษ์ตัวนึงพูดไว้…” เซบาสเตียนปลดเบลท์ เขาหันมาทางผมเต็มตัว แสงไฟสีส้มในรถตกกระทบใบหน้า ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ผมละสายตาไม่ได้เลย “...ว่าการมีใครสักคนให้พูดเรื่องไร้สาระด้วยมันดี”

“...”

“คนๆ นั้นยังเป็นฉันอยู่ไหม หรือนายเปลี่ยนใจแล้ว”

“เซ็บ”

“จะถามอีกครั้ง เป็นอะไร”

“เพราะคุณ”

“ฮะ เพราะฉัน?” เขาเลิกคิ้ว “ฉันทำอะไรนาย”

“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับผม” ผมจับมือเขา เซบาสเตียนไม่ได้ดึงหนี นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี “แต่ผมบอกคุณเสมอว่าผมชอบคุณ และตอนนี้ชอบมากๆ ผมคิดว่าคุณจะรู้สึกเหมือนกันซะอีก...ไม่มากแต่แค่นิดเดียวก็ยังดี”

“ฉันแสดงออกไม่มากพอหรือไง”

“การแสดงออกของคุณทำผมคาดหวัง” ผมสบตาเขา เซบาสเตียนไม่หลบตาสักนิด “ก่อนหน้านี้ที่คุณจูบผม คุณรู้ไหมเซ็บว่าผมคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลแค่ไหน”

“ไกลแค่ไหนล่ะ”

“ไกลมากกว่าที่คุณคิดกับผม”

“รู้ได้ไงว่าไกลกว่าที่ฉันคิดกับนาย”

“คุณไม่หึงผมด้วยซ้ำ” ผมสารภาพออกไป รู้ว่าความคิดดูเด็ก แต่อดไม่ได้จริงๆ “ขนาดเจนบอกเคยเดทกับผม แสดงท่าทีสนิทสนมกับผมคุณยังไม่รู้สึกอะไรสักนิด”

“แล้วนายจะให้ฉันรู้สึกยังไง” คราวนี้เซบาสเตียนถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาสบตาผม คิ้วขมวดเข้าหากัน “ไม่สิ ตอบฉันมาก่อนว่าตอนนี้นายกับเจนเป็นอะไรกัน”

“ก็...เพื่อน”

“แล้วที่เคยเดทกันคืออดีต ฉันพูดถูกไหม”

“ถูกครับ”

“นั่นไงคำตอบ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอเขา เซบาสเตียนมองผมด้วยสายตาที่อ่อนลง “เพราะมันคืออดีต นายจะให้ฉันหึงอดีตไปทำไมในเมื่อปัจจุบันมันไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

“…”

“เด็กโง่” เขาวางมือลงบนหัวผม จับโยกเบาๆ คล้ายปลอบใจ “นายเด็กกว่าฉันจริงๆ นั่นแหละแพท”

“เซ็บ…”

ผมรู้สึกอายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเหตุผลของเซบาสเตียน มุมมองของเขาเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลจนผมอดต่อว่าตัวเองในใจไม่ได้ที่เรียกร้องเอาแต่ใจเป็นเด็กทั้งที่อายุก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว

ผมเสียการควบคุมทุกครั้งเมื่อเป็นเรื่องของเซบาสเตียน

“แพท”

“ครับ”

“ฉันถามอะไรได้ไหม” เซบาสเตียนมองผมนิ่ง ผมพยักหน้า “ความรู้สึกนายตอนนี้ จริงจังงั้นเหรอ”

“ผมไม่เคยเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง สบตาเขาให้เห็นถึงความมุ่งมั่น “ผมจริงจังกับคุณนะเซ็บ”

“นายชอบฉันเพราะฉันเป็นโซลเมตนาย อย่างนั้นใช่ไหม”

“การเป็นโซลเมตทำให้เราได้เจอกัน” ผมยิ้ม กุมมือเขาเอาไว้ “แต่ผมชอบคุณเพราะนั่นคือคุณครับเซ็บ”

“ฉันน่ะ…” เขาเงียบไป “เคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่เชื่อเรื่องโซลเมต”

“ครับ คุณเคยบอกแล้ว”

“พ่อกับแม่ฉันเป็นโซลเมตกัน แต่พ่อไม่ได้รักแม่” เซบาสเตียนสบตาผม ในขณะที่ผมตกใจที่เขาเล่าเรื่องราวในครอบครัวให้ฟังเป็นครั้งแรก “ฉันเลยไม่เชื่อเรื่องพวกนี้...จนกระทั่งเจอนาย”

“...”

“ความรู้สึกนี้ไม่เร็วไปใช่ไหม” เขาเม้มริมฝีปาก ท่าทางคิดหนัก “แพท...นายคิดว่าคราวนี้พระเจ้าจะพลาดอีกไหม”

“คราวนี้ท่านจะไม่พลาดครับ” ผมรับรองกับเขา น้ำเสียงหนักแน่น “ผมจะไม่ยอมให้พลาด”

“ฉันเชื่อนาย”

เซบาสเตียนยิ้มรับ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาทำให้ภายในรถที่มีเพียงแสงไฟสีส้มสลัวสว่างขึ้น โดยเฉพาะตัวตนของเซบาสเตียนที่อยู่ตรงหน้า รู้ตัวอีกทีผมก็ขยับเข้าไปใกล้

ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมที่ผมหลงใหล

“เซบาสเตียน…” ผมแตะข้างแก้มเขา ประคองไว้ ความอบอุ่นจากผิวแก้มแผ่ซ่านไปทั่วปลายนิ้วและฝ่ามือ พวกเราสบตากัน ผมยื่นหน้าเข้าหา กระซิบแผ่วเบาชิดริมฝีปาก “ให้ผมจูบคุณนะ”

เซบาสเตียนไม่ตอบ แต่การที่เขาประทับริมฝีปากเข้าหาผมถือว่าเป็นคำอนุญาต

จูบของเซบาสเตียนดียิ่งกว่าที่ผมคิด ริมฝีปากเขาไม่ได้นุ่มหรือมีกลิ่นลิปสติกหอมหวานเหมือนพวกผู้หญิง แต่เพราะเป็นเขา ทุกอย่างที่ธรรมดาจึงพิเศษขึ้นมา

ผมบดริมฝีปากลงไป หนักหน่วงและเริ่มร้อนแรง เสียงหอบหายใจดังประสาน เซบาสเตียนประคองใบหน้าผมเอาไว้ ปลายลิ้นร้อนถูกส่งมาทักทาย ผมเกี่ยวกระหวัดมันไว้อย่างไม่ยอมแพ้ เสียงเฉอะแฉะดังก้องภายในรถที่เงียบสงบ ผมลุ่มหลงในรสจูบ มัวเมาในรสสัมผัส ดื่มด่ำจนแทบสิ้นสติ

“พอ…”

เขาผลักผมออก เสียงหอบหายใจดังก้อง ไอร้อนจากลมหายใจประสานกัน ผมสบตาเซบาสเตียน โน้มใบหน้าลงไปจูบซับบนริมฝีปากเขาอีกครั้ง

ไม่มีการลุกล้ำแต่ในใจกลับสั่นไหวยิ่งกว่าเดิม

ผมดึงตัวเซบาสเตียนมากอดไว้ ซุกใบหน้าลงบนไหล่กว้าง เอียงหน้าขยับปลายจมูกปัดผ่านต้นคอเขา

“คืนนี้ค้างห้องผมนะครับ”

ผมกระซิบ ในใจคาดหวังคำตกลง

“อืม”

และคราวนี้เซบาสเตียนตอบรับความคาดหวังของผม


*****************************************************************************************


ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
โฮ้ยยยย อยากจะกรีดร้อง
ตอนแรกแอบหวั่นใจ ทำไมคุณเซบาสเตียนถึงได้แข็งทื่อไร้อารมณ์ได้ขนาดนี้
แต่พออธิบายเท่านั้นแหละ ตายค่ะตาย ละมุนมาก
ดีที่แพทไม่ระเบิดบึ้มกลายเป็นโกโก้ครั้นช์ไปซะก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะอดฟินที่ชั้นจอดรถแน่ๆ >///<

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ตายยยย เซ็บทำไมน่ารักอะไรอย่างนี้ ทำน้องแมวยักษ์(และเรา) ละลายในอ้อมกอดได้เลยค่ะ  :pighaun: :hao7:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เสือดำราชินี  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ JackXy Wu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-5


Chapter 10

I just want to say I like you


[Sebastian]


ผมตอบรับคำขอแพทริคง่ายๆ ไม่ได้หมายความว่าผมจะให้เขาทำ ‘อะไร’ ง่ายๆ

“คุณตัวหอม”

“ถอยไปเจ้าแมวยักษ์” ผมเอียงหน้าหนี แต่แพทริคไม่ยอมแพ้ เขาเบียดเข้าหา แม้โซฟาจะตัวกว้างมากก็ตาม แมวชอบความอบอุ่น ผมคิดว่าแมวยักษ์ตัวนี้ก็เหมือนกัน หลังอาบน้ำเสร็จเลยเอาแต่เบียดผมไม่หยุด

รู้อย่างนี้ไม่น่าอาบน้ำก่อน แมวจะได้ไม่วอแว

“ช่วยไม่ได้ คุณตัวหอม”

“สบู่ก็กลิ่นเดียวกับนาย” ผมขมวดคิ้ว หันมองเขา แพทริคสบตาผม ยิ้มหวานจนตาหยี “ดมตัวเองไปสิ”

“คุณนี่”

“อะไร”

“ที่จริงไม่เกี่ยวกับกลิ่นหรอก” เขายื่นหน้ามาใกล้ ผมได้กลิ่นหอมจางๆ จากสบู่กลิ่นเดียวกับที่ใช้ ดวงตาสีฟ้าซีดฉายประกายวาว แมวยักษ์แปลงร่างเป็นเสือชั่วขณะ “เพราะเป็นคุณ สบู่กลิ่นเดียวกันเลยหอมมากเป็นพิเศษ”

“...”

“ผมอยากอยู่ใกล้คุณ อยากอ้อนคุณ ให้คุณสนใจ” ปลายจมูกขยับเข้ามา ใกล้จนเห็นรอยกระของแพทริคได้ชัดเจน เขาปัดจมูกผ่านแก้มผม มันให้ความรู้สึกจั๊กจี้แต่ผมไม่ได้ถอยหนี “อยากให้คุณเป็นของผมด้วย…”

“ถ้าอย่างนั้นนายคงต้องพยายามมากหน่อย”

“คุณก็รู้” แพทริคหัวเราะ เขาดึงใบหน้าออก แต่ระยะห่างระหว่างพวกเราก็ยังใกล้มากกว่าปกติอยู่ดี “ว่าผมพยายามเก่งมากแค่ไหน ไม่งั้นคงถอดใจ ไม่คอยร้องเรียกหาคุณทุกๆ หน้าฝนตลอดหกปีที่ผ่านมาหรอก”

“แมวดื้อด้าน”

“แต่ก็คุ้ม เพราะสุดท้ายคุณก็สนใจผม”

ผมกลอกตา ไม่ตอบรับ เบนหน้าหนีมาสนใจซีรี่ย์สืบสวนบนหน้าจอทีวีต่อ ทุกอย่างดูปกติเกินไปทั้งที่พวกเราเพิ่งจูบกัน

เป็นจูบที่ไม่แย่ และผมค่อนข้างชอบมันด้วยซ้ำ

“ถามหน่อยสิครับ”

“อะไร” ผมขานรับ ตายังจ้องจอทีวี แพทริควางคางเกยไหล่ผม “หนัก ออกไป”

“ทำไมก่อนหน้านี้ไม่คุยกับผมล่ะ”

“หมายความว่ายังไง?”

“ผมหมายถึง…” แพทริคเงียบไป เขากดจูบลงบนไหล่ผมผ่านเนื้อผ้า อดไม่ได้จนหันมาดู พอดีกับดวงตาสีฟ้าตวัดขึ้นสบ “เมื่อหลายปีก่อนผมพยายามคุยกับคุณ คุณไม่ตอบรับเลย”

“จะว่าฉันใจร้าย?”

“เซ็บ...คุณอย่าเปลี่ยนเรื่อง”

“เดี๋ยวนี้กล้าแข็งข้อกับฉันแล้วเหรอ หืม?” ผมเลิกคิ้ว แพทริคหน้ามุ่ย ผมเลยสอดปลายนิ้วเข้ากับเส้นผมสีจินเจอร์ของอีกฝ่าย มันเปียกชื้นจากการสระ แต่แพทริคไม่สนใจจะเช็ดให้แห้ง ผมออกแรงขยี้เบาๆ ให้สะเด็ดน้ำ

“เซ็บ…”

“ก็ได้” ผมยอมในที่สุด “นายได้ยินเสียงฉันตอนไหน”

“ตอนผมอายุสิบแปด” เขาเอียงศีรษะเข้าหามือผม ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอคล้ายพอใจ

“นายห่างจากฉันสามปี ตอนนั้นฉันยี่สิบเอ็ด”

“อาฮะ”

“พ่อส่งฉันเรียนต่อโทที่ต่างประเทศ” ผมเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง มันลื่นไหลกว่าที่คิด อาจเพราะผมเล่าให้แพทริคฟัง ไม่ใช่คนอื่น “นายรู้ไหมเนื้อหาปริญญาโทมันยากแค่ไหน จู่ๆ ก็มีเสียงใครก็ไม่รู้ชวนคุยนู่นนี่ในหัวทุกครั้งที่ฝนตก”

“โธ่เซ็บ ก็ผมไม่รู้…”

“อืม ฉันเองก็ไม่ได้บอกนาย” ผมโคลงหัว “อีกเหตุผลที่ไม่คุยกับนายก็เพราะเรื่องโซลเมตบ้าๆ นี่”

“โอเค ผมเข้าใจ คุณไม่เชื่อเรื่องนี้”

“และฉันก็ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า”

“แต่อย่างน้อยถ้าคุณรำคาญก็น่าจะบอกผมหน่อย” แพทริคตัดพ้อ ดวงตาสีฟ้าซีดจ้องผม “ผมจะได้เงียบๆ ไม่กวนคุณไง”

“ไม่จำเป็นเท่าไหร่”

“ทำไมครับ?”

“ประเทศที่ฉันไปเรียนต่ออยู่เขตร้อน” ผมสางเส้นผมของแพทริคเบาๆ มันเริ่มหมาดกว่าตอนแรกแล้ว “เรียกว่าเป็นหน้าร้อนตลอดทั้งปีก็ได้ หน้าฝนมีไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ไม่ต้องคิดเรื่องฝนตกตรงกันเลย แทบจะคนละเขตเวลา อืม...แต่ก็มีบ้าง ฉันแค่แกล้งเงียบ”

“สบายคุณเลยสินะ”

“ก็ถือว่าสบาย” ผมแกล้งยิ้มใส่ แพทริคเลยหน้ามุ่ยอีกครั้ง “ตลอดทั้งปีได้ยินเสียงนายไม่ถึงเดือน ทนแป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว”

“ผมโกรธคุณดีไหมเนี่ย”

“กล้าโกรธ?”

“เฮ้ อย่าทำเหมือนคุณถือไพ่เหนือกว่าได้ไหม”

“หรือไม่จริงล่ะ” ผมย้อนถาม แพทริคดูฮึดฮัด

“จริง”

“ไม่โกรธน่าเจ้าแมว”

“แล้วคุณกลับมาเมื่อไหร่ ผมรู้สึกช่วงหลังๆ คุณมีปฏิกิริยากับเสียงผม”

“อืม...ปีที่แล้ว”

“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงตอบรับเสียงผมล่ะ”

“ข้อนี้ยังไม่ตอบได้ไหม” ผมชะงักปลายนิ้วที่สางผมแพทริค ขยี้หัวเขาแรงๆ ก่อนดึงมือออก “ถามเยอะเกินไปแล้วเจ้าแมว”

“แสดงว่ามีเหตุผลอื่นนอกจากที่คุณบอกว่าเห็นแก่ความพยายามของผม”

เขาจ้องผมด้วยแววตาจับผิด ผมสบตาแพทริคครู่หนึ่งก่อนเบนหนี แมวยักษ์ฉลาดเกินไป แค่คำพูดไม่กี่คำกลับโยงเรื่องได้เกือบหมด

เหตุผลมันไม่มีอะไรมากเลย

มันแค่...เป็นวันที่ผมรู้สึกอ่อนแอ วันฝนตกที่ทุกอย่างเงียบงัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้กับปัญหาห่วยๆ ที่คิดหาทางแก้ไม่ตกนอกจากหนีมาตั้งหลัก

ตอนนั้นผมได้ยินเสียงแพทริค

ความจริงที่ว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวปรากฏขึ้นมา ผมคว้าเอาไว้ ตอบรับเสียงเรียกของเขา

“อย่าคิดมาก”

“หืม?”

“อย่าคิดมากกับคำถามผมเลย” แพทริคส่งยิ้มมา ดวงตาสีฟ้าอ่อนโยน ผมได้รับการปลอบประโลมจากเขาอีกครั้ง ทุกอย่างที่เป็นแพทริคช่วยเยียวยาเสมอมา “อยู่กับผม ผมอยากให้คุณยิ้มมากกว่า”

“ฉันคงไม่บ้ายิ้มทั้งวัน”

ถึงพูดแบบนั้น แต่ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่

“ไม่ยิ้มทั้งวันก็ได้ แค่ยิ้มให้ผมพอ ผมชอบรอยยิ้มคุณนะเซ็บ ชอบคุณด้วย”

“คำว่าชอบอย่าพูดพร่ำเพรื่อดีกว่า”

“ทำไมล่ะ” เขาเอียงคอมอง “ผมแค่พูดความรู้สึกตัวเอง”

“มันเหมือนฉันเอาเปรียบนาย”

“ครับ?”

“ความรู้สึกของนายชัดเจนฉันรู้ดี แต่แพท…” ผมถอนใจ สบตาเขานิ่ง “สุดท้ายฉันก็ยังไม่มั่นใจพอจะพูดคำเดียวกับนายออกมา”

“เซ็บ”

“ฉันรู้มันงี่เง่า ฉันแค่…” ผมกลอกตา “ฝังใจกับเรื่องของพ่อแม่”

“ผมเข้าใจ”

“นายไม่เข้าใจหรอก”

“ไม่เซ็บ ที่บอกว่าเข้าใจน่ะ” แพทริคจับมือผมไว้ บีบเบาๆ พวกเราสบตากัน “ผมเข้าใจถ้าตอนนี้คุณยังไม่พร้อม ผมไม่เร่งรัดอะไรเลยเซ็บ ผมบอกแล้วไงผมอยากเป็นความสบายใจให้คุณ คุณอย่าคิดว่าเอาเปรียบผม ผมเต็มใจบอกชอบคุณและก็เต็มใจรอวันที่คุณจะบอกชอบผม”

“...”

“ผมรอเก่ง คุณก็รู้”

“รอเก่งกับดื้อต่างกันนิดเดียว”

“แล้วคุณคิดว่าผมเป็นแบบไหนล่ะ”

“ดื้…”

คำตอบของผมหายไปเมื่อริมฝีปากถูกแมวยักษ์ยื่นหน้ามาจูบ กดค้างไว้ก่อนผละออก แพทริคยิ้มหวาน เป็นรอยยิ้มที่ส่งไปถึงดวงตา ผมสบตาเขา ถ้าดวงตาของแพทริคเป็นห้วงจักรวาล ในนั้นคงมีดวงดาวนับล้าน

ผมสงสัย...ว่าตัวเองเป็นดาวสักดวงในจักรวาลของแพทริคหรือไม่?

“คุณว่าผมควรทำยังไงดีเซ็บ”

“...?”

“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองชอบคุณมากขึ้นทุกๆ วินาทีเลย”

“ไม่ต้องทำอะไร” ผมยักไหล่ หันกลับไปทางจอทีวี ซีรี่ย์สืบสวนยังไม่จบ แต่ผมดูมันไม่รู้เรื่องอีกต่อไป “แค่ชอบฉันต่อไปจนกว่าฉันจะชอบนายกลับก็พอ”

มันใช้ความกล้าน้อยกว่าที่คิดในการพูดออกไป แต่ใช้ความกล้าทั้งชีวิตเผชิญกับเสียงเต้นของหัวใจและสายตาของแพทริคหลังพูดจบ

แมวยักษ์กำลังจ้องอยู่ ผมรับรู้ถึงสายตาเขา

รู้ตัวอีกทีแพทริคก็ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ผมหันมอง ดวงตาสีฟ้าซีดของเขาดูเข้มขึ้น ผมเห็นความต้องการแฝงอยู่ในนั้น ไม่มีคำพูดระหว่างเรา เขายื่นมือแตะข้างแก้มผม ปลายนิ้วอุ่นคล้ายมีไฟฟ้าสถิต

แพทริคขยับใบหน้าเข้ามา

หลังจากนั้นริมฝีปากผมก็ถูกครอบครอง

ผมหลับตาลง...

แพทริคเป็นคนขี้อ้อน แม้กระทั่งจูบของเขาก็ยังขี้อ้อน แมวยักษ์ไม่รีบร้อนจู่โจม เขาชอบละเลียด ค่อยเป็นค่อยไป จูบผมเบาๆ เคล้าคลอเรียกร้องความสนใจ ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มผมไปมา

“เมี้ยว!”

เสียงแหลมของลูกแมวร้องแทรกขึ้น ผมได้สติตอนซู้กกี้กระโดดขึ้นมาบนตัก

“แพท”

“ครับ”

เขาขานรับ จูบซับริมฝีปากผม

หนึ่งครั้ง

สองครั้ง

สามครั้ง

และคงจะอีกหลายครั้ง ผมยกมือปิดปากเขา จ้องแมวยักษ์ที่ตาหวานเชื่อม ความอบอุ่นจากสัมผัสเมื่อครู่ยังค้างอยู่ ผมเผลอเม้มริมฝีปาก ซู้กกี้กระโดดจากตักผมไปหาแพทริค

“พอได้แล้ว”

“เซ็บ...คุณก็รู้” แพทริคสบตาผม แววตาฉายประกายวาว “ว่าที่ผมชวนคุณค้างห้อง...ความหมายมันมากกว่านั้น”

“สำหรับฉันหมายความแค่นอนเป็นเพื่อนนาย”

“ผมอยากได้มากกว่านั้น”

“เอาแต่ใจ”

“เซ็บ”

“นายอยากได้ความสัมพันธ์แบบ One night stand งั้นเหรอ” พอพูดไปอย่างนั้นแพทริคก็ตาโตใส่

“ผม ผมไม่ได้…”

“รู้น่า” ผมขยี้เส้นผมเขาจนยุ่ง “ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่ยอมนายก็ไม่ทำหรอก”

“อืม...แต่ผมก็คิด”

“ตรงเกินไปไหม?”

“เปล่า ก็แค่…” แพทริคกลอกตา “ผมแค่อยากให้คุณระวังไว้ อย่าทำผมอารมณ์ขึ้นง่ายๆ สิครับ”

“หึ”

“เมี้ยว!”

เสียงของซู้กกี้ดังขึ้นอีกครั้ง ผมมองมัน ลูบหัวเล็กนั้นเบาๆ เจ้าก้อนขนฟูเอาหัวไถกับมือผม…

...ขี้อ้อนเหมือนเจ้าของมันไม่มีผิด

“มันอ้วนขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า” ผมตั้งข้อสังเกต “ท้องป่องหมดแล้ว”

“ซู้กกี้กินเยอะน่ะครับ”

“ระวังนายจะเลี้ยงแมวกลายเป็นหมู”

“ซู้กกี้ไม่หมูสักหน่อย” แพทริคค้าน เขาอุ้มลูกแมวตัวเองขึ้นมาฟัดพุงจนมันส่งเสียงร้องประท้วง ผมอดห่วงไม่ได้ กลัวซู้กกี้ข่วนหน้าเขา “ใช่ไหมซู้กกี้”

“เดี๋ยวก็โดนข่วน”

แพทริคทำท่าจะเถียง แต่เสียงกริ่งหน้าห้องดังขัดขึ้นมา เขาชะงัก ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนวางซู้กกี้ลงกับพื้น

“เดี๋ยวผมมานะ”

“อืม”

ผมพยักหน้า หันกลับมาดูซีรี่ย์อีกครั้งและพบว่ามันจบไปแล้ว ให้ตาย นี่ต้องไปหาดูย้อนหลังใหม่ใช่ไหม? ผมไม่น่าใจอ่อนยอมให้แพทริครบกวนเวลาดูทีวีเลย

“เซ็บ คุณมานี่หน่อย”

เสียงตะโกนเรียกดังมาจากหน้าประตูห้อง ผมขมวดคิ้ว ลุกเดินตามเสียง สังหรณ์ใจแปลกๆ

และลางสังหรณ์ผมก็ถูกต้อง

“แจสเปอร์”

ตรงหน้าผมคือผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท...ยับย่น แว่นตากรอบใสทำให้เขาดูสุขุม...ถ้าไม่นับเส้นผมหยักศกสีดำยุ่งเหยิงและรอยสักเถาวัลย์หนามที่เลื้อยจากด้านหลังขึ้นมาข้างลำคอขวา

ปกติเขาจะทารองพื้นปิดมันไว้และเซตผม ดูเหมือนว่า...

“ขอโทษที่ผมต้องรบกวนเวลาส่วนตัวคุณนะครับเซบาสเตียน แต่…” แจสเปอร์ถอนหายใจ ใบหน้าดูข่มอารมณ์ เขาขยับตัวออกด้านข้าง โคลงศีรษะไปทางแขกผู้มาเยือนอีกคนที่กำลังส่งยิ้มเซย์ไฮมาให้ “...คุณแมทธิวไม่เจอคุณที่ห้อง ก็เลย...เออ นั่นแหละ ลากฉันจากห้องมาใช้งานต่อ เจ้านายเวร!”

ดูเหมือนพี่ชายผมจะทำให้ ‘แจสเปอร์ คิม’ หงุดหงิดพอสมควร เขาถึงไม่สำรวมคำพูดอย่างที่มักทำตามปกติ แต่ถ้าผมเป็นแจสเปอร์ก็คงหงุดหงิด นี่มันเกินเวลางานแล้วแต่กลับถูกลากมาช่วยธุระส่วนตัวอีก เขาเป็นทั้งเลขา ผู้ช่วยมือดีของแมทธิว…

...และโซลเมตอีกตำแหน่ง

แจสเปอร์เป็นทุกอย่างให้พี่ชายผมแล้วจริงๆ ยกเว้นเป็นคนรัก

แมทธิวมองโซลเมตตัวเองเป็นบัดดี้ที่รู้ใจ และแจสเปอร์เองก็ได้ผลประโยชน์จากพี่ชายผม ความสัมพันธ์ของพวกเขาตั้งอยู่บนคำว่าธุรกิจร้อยเปอร์เซ็นต์

“ไงน้องชาย หลบมาอยู่ที่นี่เอง”

“มีอะไร”

“มีหลายเรื่อง” แมทธิวยิ้ม เขาเดินนำเข้าห้อง ไม่สนแพทริคที่เป็นเจ้าของห้องสักนิด ผมแทบกุมขมับกับมารยาทพี่ชายตัวเอง หันไปขอโทษแพทริคทางสายตา อีกฝ่ายยิ้มให้ ดูไม่ติดใจอะไร

“เร่งด่วนมากหรือไงถึงต้องรบกวนคนอื่นแบบนี้”

“โอ้ๆ ขอโทษทีที่ฉันรบกวนเวลาส่วนตัวของพวกนาย” แมทธิวแสร้งทำสีหน้าเสียใจ เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

“และฉันด้วย”

“โอเคแจสเปอร์ นายด้วย” แมทธิวหันไปขยิบตาให้โซลเมตตัวเอง

แจสเปอร์ขบฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน เขากำลังข่มอารมณ์ แต่ในใจคงกระชากคอเสื้อแมทธิวต่อยไปแล้วร้อยที

“นั่งก่อนครับ รกนิดหน่อยนะ ผมไม่นึกว่าจะมีแขก”

แพทริคผายมือเชิญแมทธิวและแจสเปอร์ พวกเขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่ผมและแพทริคเพิ่งจะนัวเนียกันไป ผมเผลอขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกๆ สุดท้ายก็สะบัดหัวไล่ความคิดนั้น นั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ กัน ส่วนแพทริคเดินหายเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมเบียร์สี่กระป๋อง

“มีอะไรแมท” ผมเปิดประเด็น

“ให้ผมออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนไหม เรื่องส่วนตัวมากหรือเปล่า” แพทริคดูทำตัวไม่ถูก กลายเป็นผมรู้สึกผิดที่ทำเขาลำบากแทน ทั้งที่นี่เป็นห้องเขา

“อยู่นี่แหละ”

“จะดีเหรอคุณ”

“ดี” ผมตัดบท แพทริคเลยไม่กล้าทำอะไรนอกจากเดินไปนั่งโซฟาเดี่ยวตรงข้ามผม

“มีอะไรแมท”

“ขอเกริ่นก่อนได้ไหม”

“อย่ากวนโมโหน่าแมท” ผมถอนใจ “มีอะไรรีบว่ามาเถอะ”

“อืม…” แมทธิวเปิดเบียร์กระป๋องหนึ่งขึ้นดื่ม แววตาจริงจังกว่าเดิม “รู้ใช่ไหมว่าพ่อชนะประมูลโครงการรีโนเวทคอนโดหรูใจกลางเมืองเขต A”

“ข่าวดังขนาดนั้นถึงไม่อยากสนใจก็รู้อยู่ดี”

“แล้วนายพอจะรู้อีกไหม ว่าตอนนี้มันกำลังมีปัญหา”

“พอจะได้ยิน ทำไม นายทำอย่างกับว่าทุกงานผ่านมาได้โดยไม่มีปัญหา?”

แมทธิวยิ้ม เป็นรอยยิ้มเครียดๆ เขาโน้มตัวมาข้างหน้า สบตาผม แววตาเย็นชา

“มันคงไม่แปลกถ้าคนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาครั้งนี้ไม่ใช่คนที่แพ้ประมูลไปอย่างเฉียดฉิว...นายจำเขาได้ไหม”

“เอลตัน มิลาโน”

ชื่อชายคนนั้นออกจากปากผมโดยอัตโนมัติ ตระกูลมิลาโนอิทธิพลไม่ด้อยกว่ารอสซ์สักนิด

“ผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งของเราว่าอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายพ่อกับสร้างปัญหาให้งานเรา เหตุจูงใจสูงพอสมควร พ่อไปขัดแข้งขัดขาเขา” แมทธิวกระดกเบียร์อีกอึกหนึ่ง “พ่อสั่งคนตามสืบเรื่องนี้ แต่เขาไม่ยอมบอกรายละเอียดฉัน”

“นั่นหมายความว่าเขาไม่อยากให้นายยุ่ง”

“ใช่ แต่เพราะอะไรล่ะ ถ้าพ่อแค่ต้องการตัวคนที่ลอบทำร้ายเขาจะปิดบังทำไม ให้ฉันช่วยเหมือนทุกครั้งไม่เร็วกว่าหรือไง? นอกจากมีเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้”

“นายกำลังจะทำอะไรแมท”

แมทธิวยิ้มเหมือนในที่สุดผมก็ถามถูกต้องสักที เขาโคลงศีรษะ ปรายตามองผม คำถามเรียบๆ ถูกส่งมาไม่ให้ตั้งตัว

“ในเมื่อพ่อไม่บอก…”

“...”

“ฉันก็จะลงมือเอง”

“...”

“นายจะร่วมมือด้วยไหมน้องชาย”


*****************************************************************************************



ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มาแล้วววววว :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
ตอนที่เล่าเรื่องหกปีก่อนนี่แอบสงสารแพทเล็กน้อย พูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน

เหมือนจะมีเรื่องหนักใจเพิ่มมาและแมวยักษ์อาจจะต้องทำหน้าที่หนักเพิ่มเป็นสองเท่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด